Professional Documents
Culture Documents
ทฤษฎีการผลิตและพฤติกรรมผู้ผลิต
ความหมายของการผลิต
เช่ น การขนส่ งเงาะจากสุ ราษฎร์ ธานี ไปขายที่ กรุ งเทพฯ การขนส่ งทาให้คนกรุ งเทพฯ มี เงาะบริ โภค
คนกรุ งเทพฯ จึงได้รับความพอใจมากขึ้น เป็ นต้น
3. การผลิ ต ที่ ก่ อ ให้ เ กิ ด อรรถประโยชน์ จ ากเวลา (Time Utility) เป็ นการผลิ ต ที่ ส ร้ า ง
อรรถประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเวลาในการบริ โภค หรื อใช้ประโยชน์จากสิ นค้า เช่น การแช่แข็ง การ
ถนอมอาหารถือเป็ นการผลิตเพราะทาให้สินค้าที่ผลิตในเวลาหนึ่ งสามารถเก็บมาใช้บริ โภคในเวลาต่อมา
ได้ โดยไม่จาเป็ นต้องบริ โภคในขณะที่ผลิตทันที
4. การผลิตที่ก่อให้เกิดอรรถประโยชน์จากการเป็ นเจ้าของ (Ownership Utility) เป็ นการผลิตที่
สร้างอรรถประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสิ ทธิการเป็ นเจ้าของสิ นค้าจากบุคคลหนึ่งเป็ นอีกบุคคลหนึ่ง เช่น
การเป็ นพ่อค้าคนกลางรับซื้ อยางในหมู่บา้ น ผูเ้ ป็ นคนกลางจะสร้างอรรถประโยชน์ให้กบั ผูซ้ ้ื อและผูข้ าย
ทาให้ท้ งั สองฝ่ ายได้รับความสะดวกและได้สินค้าที่ตนต้องการ
ให้สังเกตว่า เมื่อกล่าวถึงจานวนปั จจัยการผลิต โดยปกติจะหมายถึง จานวนบริ การจากปัจจัยการ
ผลิตที่ใช้ในการผลิต ไม่ใช่จานวนหน่ วยของปั จจัยการผลิต ทั้งนี้ เพราะว่าไม่ได้วดั ความมากน้อยของการ
ใช้ปัจจัยการผลิตจากจานวนคน หรื อขนาดที่ดิน แต่จะวัดเป็ นจานวนการใช้บริ การต่อช่วงเวลาหนึ่ ง ๆ
เสมอ เช่น ถ้ากล่าวถึง ค่าเช่า ก็จะหมายถึง ค่าตอบแทนของการใช้ที่ดินต่อเดือน ต่อปี ค่าจ้าง ก็จะคิดเป็ นต่อ
วันต่อเดือน เป็ นต้น และเพื่อสะดวกในการเอ่ยถึงการใช้บริ การจากปั จจัยการผลิตในการผลิตสิ นค้าและ
บริ การจะใช้คาว่า “จานวนปัจจัยการผลิต” แต่ให้เข้าใจว่าจานวนดังกล่าว หมายถึง จานวนบริ การจากปั จจัย
การผลิตนั้น ๆ (นราทิพย์ ชุติวงศ์. 2554 : 183)
จากความหมายของการผลิตดังกล่าว ทาให้ทราบว่าผลผลิตที่ได้ย่อมขึ้นอยู่กบั ปั จจัยการผลิตที่ใส่
เข้าไปในกระบวนการผลิ ต ความสั มพันธ์ ดังกล่ าวนี้ เรี ยกว่ า “ฟั งก์ชันการผลิ ต” โดยมี รายละเอี ยด
ดังต่อไปนี้
ฟังก์ชันการผลิต
Q = f (K , L)
ปัจจัยการผลิตและระยะเวลาในการผลิต
1. ปัจจัยการผลิต
1.2 ปั จจั ย ผั น แปร (Variable Factors) เป็ นปั จจั ย การผลิ ต ที่ ผู ้ ผ ลิ ต สามารถ
เปลี่ยนแปลงจานวนของปัจจัยการผลิตตามระดับการผลิตได้ กล่าวคือ ถ้ามีการผลิตในปริ มาณมาก จะใช้
ปั จจัยการผลิตผันแปรในจานวนที่มากด้วย ในทางกลับกัน ถ้ามีการผลิตน้อย การใช้ปัจจัยผันแปรก็จะ
น้อยด้วย เช่น แรงงาน วัตถุดิบต่าง ๆ เป็ นต้น
อนึ่ง เป็ นการยากที่จะจาแนกว่าปัจจัยใดบ้างเป็ นปัจจัยคงที่ และปัจจัยใดบ้างเป็ นปัจจัย
ผันแปร การจะพิจารณาว่าเป็ นปั จจัยประเภทใดนั้น จะต้องดูความสัมพันธ์ระหว่างปริ มาณผลผลิตที่
ได้รับกับปริ มาณการใช้ปัจจัยการผลิตชนิ ดนั้น ๆ เป็ นเกณฑ์ หากปั จจัยใดไม่ได้มีความสัมพันธ์กบั การ
เปลี่ยนแปลงปริ มาณการผลิต ก็ถือว่าปัจจัยนั้นเป็ นปั จจัยคงที่ กล่าวคือ ไม่วา่ ผลผลิตจะมากขึ้นหรื อลดลง
จานวนการใช้ปัจจัยการผลิตนั้นก็ยงั คงเดิม เช่น ชาวสวนยางอาจจะเพิ่มปริ มาณน้ ายางด้วยการเพิ่มการใส่
ปุ๋ ยมากขึ้น โดยที่ยงั คงใช้ที่ดินในการปลูกยางเท่าเดิม ดังนั้นที่ดินจึงถือเป็ นปั จจัยคงที่ ส่ วนปั จจัยใดมี
ความสัมพันธ์โดยตรงกับปริ มาณการผลิต ก็ถือว่าปั จจัยนั้นเป็ นปั จจัยผันแปร กล่าวคือ เมื่อปริ มาณการ
ผลิตมากย่อมมีการใช้ปัจจัยการผลิตชนิ ดนั้นมากขึ้นด้วย หรื อเมื่อปริ มาณการผลิตมีน้อยก็ย่อมมีการใช้
ปัจจัยการผลิตนั้นน้อยด้วย หรื อหากไม่มีการผลิตก็ไม่มีการใช้ปัจจัยการผลิตนั้นเลย เป็ นต้น
2. ระยะเวลาในการผลิต
การวิเคราะห์ การผลิตในระยะสั้น
Q = f (K , L)
Q = f (L)
เพื่อให้เข้าใจลักษณะและความสัมพันธ์ของผลผลิตแต่ละชนิ ดที่เกิดจากการใช้ปัจจัยผันแปรใน
ระดับต่าง ๆ ขอให้พิจารณาตารางที่ 5.1 ดังต่อไปนี้
124
TP
0 2 3 6 ปัจจัยแปรผัน (L)
AP TP
=
L
AP
0 1 2 3 4 5 6 7 ปั จจัยผันแปร (L)
จากรู ปที่ 5.2 จะเห็นว่า ผลผลิตเฉลี่ยมีลกั ษณะสู งขึ้นเรื่ อย ๆ จนถึงจุดสู งสุ ด ต่อจากนั้น
ผลผลิตเฉลี่ยจะลดลง เส้นผลผลิตเฉลี่ยจึงมีลกั ษณะเป็ นเส้นโค้งรู ปตัว U คว่า
1.3 ผลผลิตส่ วนเพิ่ม (Marginal Product : MP) คือ จานวนผลผลิตที่เปลี่ยนไปเมื่ อใช้
ปัจจัยผันแปรเปลี่ยนไปทีละ 1 หน่วย ผลผลิตส่ วนเพิ่มนี้ จะเป็ นค่าที่บอกให้รู้ว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการ
ใช้ปัจจัยผันแปรไปจากเดิม 1 หน่วย จะทาให้ผลผลิตรวมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมกี่หน่วย เขียนเป็ นสู ตร
ได้วา่
MP ∆TP
=
∆L
MP = Slope ของเส้ น TP
ผลผลิตรวม (TP)
ปั จจัยแปรผัน (L)
0 2 6
MP
รู ปที่ 5.3 เส้นผลผลิตส่ วนเพิ่ม
จากรู ปที่ 5.3 จะเห็ นได้ว่า ในช่ วงแรกผลผลิ ตส่ วนเพิ่มจะเพิ่มสู งขึ้น แม้ว่าจะมี การใช้
ปั จจัยแรงงานในจานวนน้อย แต่เมื่อเลยระดับการใช้ปัจจัยผันแปรจานวนหนึ่ งแล้ว การเพิ่มปั จจัยผันแปร
เกินจานวนนี้ จะส่ งผลทาให้ผลผลิตส่ วนเพิ่มที่ได้จากการเพิ่มปั จจัยหน่วยหลัง ๆ จะค่อย ๆ ลดลงตามลาดับ
จนกระทั่งเท่ ากับศู นย์ และถ้าเพิ่ มปั จจัยผันแปรเข้าไปอี ก จะท าให้ ผลผลิ ตส่ วนเพิ่ มติ ดลบในที่ สุ ด
ซึ่ งปรากฏการณ์เช่นนี้ จะเกิดขึ้นกับการผลิตสิ นค้าทุกชนิ ดและทุกอุตสาหกรรม เรี ยกว่า “กฎแห่ งการลด
น้อยถอย ลงของผลได้” ดังจะได้อธิบายในหัวข้อถัดไป (ภราดร ปรี ดาศักดิ์. 2550 : 155)
MP สูงสุด A MP > 0
D MP = 0
E
MP < 0
AP
F
0 L1 L2 L3 ปั จจัยแปรผัน
MP
การวิเคราะห์ การผลิตในระยะยาว
Q = f (K , L)
โดยที่ Q = ผลผลิตทั้งหมดที่ได้รับจากการผลิต
K = ปัจจัยทุนที่ใช้ในการผลิต
L = ปัจจัยแรงงานที่ใช้ในการผลิต
จานวนปัจจัย K
36 A
26 B
18 C
12 D E
8 IQ
0 1 2 3 4 5 จานวนปัจจัย L
IQ3
IQ2
IQ1
0 จานวนปัจจัยแรงงาน (L)
จากรู ปที่ 5.6 เส้น IQ1, IQ2 และ IQ3 คือ เส้นผลผลิตเท่ากันระดับต่าง ๆ
เส้น IQ3 แสดงระดับผลผลิตที่มากกว่า IQ1 และ IQ2
เส้น IQ2 แสดงระดับผลผลิตที่มากกว่า IQ1 แต่นอ้ ยกว่า IQ3
เส้น IQ1 แสดงระดับผลผลิตที่นอ้ ยกว่า IQ2 และ IQ3
133
จานวนปัจจัยทุน (K)
5 B C
A
IQ1
IQ2
0 3
จานวนปัจจัยแรงงาน (L)
MRTSLK - ∆K
=
∆L
ในทางกลับ กัน ถ้า มี ก ารลดการใช้ปั จจัย L ลง เพื่ อ แลกกับการใช้ปั จจัย K เพิ่ ม ขึ้ น
1 หน่วย จะเขียนเป็ นสัญลักษณ์ได้วา่ MRTSKL และสามารถเขียนสู ตรคานวณ ได้ดงั นี้
134
MRTSKL - ∆L
=
∆K
จานวนปัจจัย K
36 A
∆K
26 B
∆L
18 C
12 D
8 IQ
จานวนปัจจัย L
0 1 2 3 4 5
TC = P LL + P K K
60 B
.F
40 C
20
.G D TC / PL
E จานวนปัจจัย L
0 10 20 30 40
ความชันของเส้ นตรง - ∆K
=
∆L
แทนค่า = OA/OE
- TC/PK
=
TC/PL
ของเงิ นทุ นที่ มี อยู่ ซึ่ ง ใช้เงิ นทุ นที่ มี ไ ม่หมด ส่ วนจุ ด F ผูผ้ ลิ ตไม่ ส ามารถซื้ อปั จจัย ณ ส่ วนผสมนี้ ได้
เนื่ องจากต้องจ่ายเงินซื้ อปั จจัยทั้งสองชนิ ดมากว่าเงินทุนที่มีอยู่ หรื ออาจกล่าวได้ว่า ทุก ๆ จุดที่อยู่นอก
เส้นต้นทุนเท่ากัน แสดงถึงส่ วนผสมของปัจจัยการผลิตที่ผผู ้ ลิตไม่สามารถซื้อได้
53.3 C2
40 I
40 C1
32 C3
I C3 C1 C2
จานวนปั จจัย L จานวนปัจจัย L
0 80 0 53.3 80 160
ก) ราคาปัจจัย K ข) ราคาปัจจัย L
เปลีต่ยเปลี
เปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงเส้นต้นทุนเท่ากันเมื่อราคาปัจจัยการผลิ
รู ปที่ 5.10 น ่ยนแปลง
จากรู ปที่ 5.10 ก) ถ้าราคาปั จจัย K เปลี่ยนแปลงลดลงจาก 4 บาท เป็ น 3 บาทโดยราคาปั จจัย L
และเงินทุนไม่เปลี่ยนแปลง จะทาให้จุดตัดแกนตั้งมีค่าเท่ากับ 160/2 = 53.3 หน่วย โดยที่จุดตัดแกนนอน
จะยังคงเดิ ม ดังนั้นจะส่ งผลทาให้เส้นผลผลิ ตเท่ากันเปลี่ ยนจากเส้น IC1 เดิมเป็ นเส้น IC2 ใหม่กล่าวคือ
เมื่อราคาปัจจัย K ลดลง ผูผ้ ลิตจะจ่ายซื้อปัจจัย K ได้มากขึ้นจากเดิม 40 หน่วย เป็ น 53.3 หน่วย
ถ้าราคาปั จจัย K แพงขึ้นจาก 4 บาท เป็ น 5 บาท โดยราคาปั จจัย L และเงินทุนไม่เปลี่ยนแปลง
จะทาให้จุดตัดแกนตั้งมีค่าเท่ากับ 160/5 = 32 หน่วย โดยที่จุดตัดแกนนอนจะยังคงเดิม ดังนั้นจะส่ งผล
139
ทาให้เส้นต้นทุนเท่ากันเปลี่ยนจากเส้น IC1 เดิมเป็ นเส้น IC3 ใหม่ กล่าวคือ เมื่อราคาปัจจัย K สู งขึ้น ผูผ้ ลิต
จะจ่ายซื้อปัจจัย K ได้นอ้ ยลงจากเดิม 40 หน่วย เหลือเพียง 32 หน่วย
ในทานองเดียวกัน จากภาพที่ 5.10 ข) ถ้าราคาปัจจัย L เปลี่ยนแปลงลดลงจาก 2 บาท เป็ น 1 บาท
โดยราคาปัจจัย K และเงินทุนไม่เปลี่ยนแปลง จะทาให้จุดตัดแกนนอนมีค่าเท่ากับ 160/1 = 160 หน่วย
โดยที่จุดตัดแกนตั้งจะยังคงเดิม ดังนั้นจะส่ งผลทาให้เส้นต้นทุนเท่ากันเปลี่ยนจากเส้น IC1 เดิมเป็ นเส้น
IC2 ใหม่กล่าวคือ เมื่อราคาปั จจัย L ลดลง ผูผ้ ลิตจะจ่ายปั จจัย L ได้มากขึ้นจากเดิ ม 80 หน่ วย เป็ น 160
หน่วย
และถ้าราคาปั จ จัย Lแพงขึ้ นจาก 2 บาท เป็ น 3 บาท โดยราคาปั จ จัย K และเงิ น ลงทุ น ไม่
เปลี่ยนแปลง จะทาให้จุดตัดแกนนอนมีค่าเท่ากับ 160/3 = 53.3 โดยที่จุดตัดแกนตั้งจะยังคงเดิม ดังนั้นจะ
ส่ งผลทาให้เส้นต้นทุนเปลี่ยนจากเส้น IC1 เดิมเป็ นเส้น IC3 ใหม่ กล่าวคือ เมื่อราคาปั จจัย L สู งขึ้น ผูผ้ ลิต
จะจ่ายซื้อปัจจัย L ได้นอ้ ยลงจากเดิม 80 หน่วย เหลือเพียง 53.3 หน่วย
สมมติ ให้ผูผ้ ลิ ตมี เงิ นทุนเท่ากับ 160 บาท ราคาปั จจัย K เท่ากับ 4 และราคา
ปัจจัย L เท่ากับ 2 บาท
จานวนปั จจัย K
50 C2
40 C1
30 C3
I3 I1 I2 จานวนปั จจัย L
0 60 80 100
จากรู ปที่ 5.11 เมื่อผูผ้ ลิตมีเงินเพิ่มขึ้นจาก 160 บาท เป็ น 200 บาท โดยที่ราคาปั จจัยการผลิตทั้ง
สองชนิ ดไม่เปลี่ยนแปลง จะทาให้จุดตัดแกนทั้งสองเปลี่ยนไป คือ จุดตัดแกนนอนมีค่าเท่ากับ 200/2 =
100 หน่วย และจุดตัดแกนตั้งมีค่าเท่ากับ 200/4 = 50 หน่วย เส้น I1C1 เปลี่ยนเป็ นเส้นต้นทุนเท่ากันเส้นใหม่
คือ เส้น I2C2
140
เมื่ อเข้าใจเกี่ ยวกับเส้ นผลผลิ ตเท่ ากันและเส้ นต้นทุ นเท่ ากัน ซึ่ งเป็ นเครื่ องมื อส าคัญส าหรั บ
การวิเคราะห์การผลิตในระยะยาวแล้ว ต่อไปจะเป็ นการวิเคราะห์ว่าผูผ้ ลิตจะตัดสิ นใจเลือกใช้ปัจจัยการ
ผลิต ณ ส่ วนผสมใดจึงจะทาให้เสี ยต้นทุนต่าสุ ด การศึกษาสถานการณ์ดงั กล่าวนี้ เรี ยกว่า “ดุลยภาพของ
ผูผ้ ลิต”
การวิเคราะห์ดุลยภาพของผูผ้ ลิตจะมีแนวคิดคล้ายกับการวิเคราะห์ดุลยภาพของผูบ้ ริ โภคในบทที่
4 ดังที่ได้ศึกษามาแล้ว กล่าวคือ ดุลยภาพของผูผ้ ลิต ก็คือ จุดที่ แสดงส่ วนผสมของปั จจัย K และ L ที่จะทา
ให้เสี ยต้นทุนต่าสุ ด (Least Cost Combination) ซึ่ งเป็ นจุดสัมผัสระหว่างเส้นผลผลิตเท่ากันกับเส้นต้นทุน
เท่ากัน ดังนั้น ณ จุดสัมผัสนั้น ความชันของเส้นผลผลิตเท่ากันจะเท่ากับความชันของเส้นต้นทุนเท่ากัน
สามารถเขียนเป็ นเงื่อนไขดุลยภาพของผูผ้ ลิต ได้ดงั นี้
MRTSLK PL
=
PK
K3 D
K1 A
IQ3 = 300
B
K2 IQ2 =200
IQ1 = 100
จานวนปั จจัย L
0 L3 L1 L2 I
จากรู ปที่ 5.12 เส้น IC คือ เส้นต้นทุนเท่ากัน ส่ วนเส้น IQ1 , IQ2 และ IQ3 คือ เส้นผลผลิตเท่ากัน
ที่แสดงระดับผลผลิต 100 , 200 และ 300 หน่ วย ถ้าผูผ้ ลิตต้องการผลิตสิ นค้าจานวน 200 หน่ วย ผูผ้ ลิต
สามารถผลิตสิ นค้าได้ 200 หน่วย โดยสามารถเลือกใช้ปัจจัย K และ L ในกรณีต่าง ๆ บนเส้นผลผลิตเท่ากัน
(IQ2) ได้ทุกจุด เพราะทุกจุดต่างก็ให้ผลผลิตเท่ากันที่ 200 หน่วย เช่น
จานวนปั จจัย K
C
K3 D
K1 A
IQ2 = 200
K2 B IQ1 = 100
จานวนปั จจัย L
0 L3 L1 L2 I
จากรู ปที่ 5.13 เส้น IC คือ เส้นต้นทุนเท่ากัน ส่วนเส้น IQ1 และ IQ2 คือ เส้นผลผลิตเท่ากันที่แสดง
ระดับผลผลิต 100 และ 200 หน่วย ถ้าผูผ้ ลิตต้องการผลิตสิ นค้าด้วยต้นทุนเท่ากับ 1,200 บาท ผูผ้ ลิตสามารถ
เลือกซื้ อปั จจัย K และ L ในกรณี ต่าง ๆ โดยใช้ตน้ ทุนในการซื้ อปั จจัยทั้งสองชนิ ดในจานวน 1,200 บาท
เท่ากันทุกจุด เช่น
กรณี A จะให้ผลผลิต 200 หน่วย
กรณี B และ D จะให้ผลผลิต 100 หน่วย
จะเห็นว่า กรณี ท้ งั สามต่างก็ใช้ตน้ ทุนจานวนเท่ากัน แต่ ณ ส่ วนผสมที่ทาให้ได้ผลผลิตมากที่สุด
คือ จุด A เพราะจุด B และจุด D เป็ นจุดที่ผผู ้ ลิตได้ผลผลิตน้อยกว่า
จานวนปั จจัย K
C3
C2 Expansion Path
C
C1
B IQ3
A IQ2
IQ1
จานวนปั จจัย L
0 I1 I2 I3
จากรู ปที่ 5.14 ณ ระดับการผลิต IQ1 หน่วย ผูผ้ ลิตจะผลิตที่จุด A เพราะเป็ นจุดที่ทาให้ผูผ้ ลิตเสี ย
ต้นทุนต่ าสุ ด เมื่อผูผ้ ลิ ตมี เงิ นลงทุนเพิ่มขึ้น โดยที่ ราคาปั จจัยการผลิ ตไม่เปลี่ยนแปลง ทาให้เส้นต้นทุน
เท่ากันเคลื่อนจากเส้น IC1 เป็ น IC2 และ IC3 จุดดุลยภาพของผูผ้ ลิตจะเปลี่ยนจากจุด A เป็ นจุด B และ C
ตามลาดับ และถ้าลากเส้นเชื่อมจุดดุลยภาพต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เส้นที่ได้น้ ี เรี ยกว่า “เส้นแนวขยายการผลิต”
(Expansion Path) เส้นดังกล่าวจะบอกให้ทราบว่าเมื่อผูผ้ ลิตขยายการผลิตโดยเพิ่มต้นทุนขึ้นไปเรื่ อย ๆ แล้ว
ส่ วนผสมของปัจจัยการผลิตทั้งสองได้เปลี่ยนแปลงทั้งจานวนและสัดส่ วนไปอย่างไร
2) ผลได้ต่อขนาดคงที่ (Constant Returns to Scale) คือ เมื่ อเพิ่มปั จจัยการผลิ ตทุ กชนิ ดใน
อัตราหนึ่ ง ผลผลิตที่ได้จะเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันกับปั จจัยที่เพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเพิ่มปั จจัยผันแปรเข้า
ไปในกระบวนการผลิตชนิดละ 20% ผลผลิตที่ได้จะเพิ่มขึ้นเท่ากับ 20% เท่ากัน
3) ผลได้ต่อขนาดลดลง (Decreasing Returns to Scale) คือ เมื่อเพิม่ ปัจจัยการผลิตทุกชนิ ดใน
อัตราหนึ่ง ผลผลิตที่ได้จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่นอ้ ยกว่าปั จจัยที่เพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเพิ่มปัจจัยผันแปรเข้าไป
ในกระบวนการผลิตชนิดละ 20% ผลผลิตที่ได้จะเพิ่มขึ้นเพียง 10%
สาเหตุที่ทาให้เกิดผลได้ต่อขนาดในแต่ละลักษณะ เกิดจากการประหยัดภายในและภายนอก
และการไม่ประหยัดภายในและภายนอก ดังจะกล่าวรายละเอียดในบทต่อไป
สรุปท้ ายบท
1. อธิบายความแตกต่างระหว่างการผลิตในระยะสั้นกับการผลิตในระยะยาว
2. กฎว่าด้วยการลดน้อยถอยลงของผลผลิตส่ วนเพิ่ม กล่าวไว้วา่ อย่างไร
3. อธิ บายความสัมพันธ์ระหว่างผลผลิตรวม ผลผลิตเฉลี่ย และผลผลิตส่ วนเพิ่ม พร้อมวาด
ภาพประกอบการอธิบาย
4. การผลิตในระยะสั้น ผูผ้ ลิตควรหยุดการผลิตในช่วงใด เพราะเหตุใด
5. เส้นผลผลิตเท่ากันและเส้นต้นทุนเท่ากันหมายถึง และเขียนเส้นกราฟได้อย่างไร
6. อัตราการทดแทนทางเทคนิคหน่วยสุดท้าย (MRTS) หมายถึง
7. เงื่อนไขดุลยภาพของการผลิต คือ
8. ปัจจุบนั ผูป้ ระกอบรายหนึ่งมีเครื่ องจักรติดตั้งในโรงงานจานวน 5 เครื่ อง สาหรับการผลิต
จักรยาน โดยในกระบวนการผลิตผูผ้ ลิตต้องจ้างแรงงานมาทางานร่ วมกับเครื่ องจักร โดยสามารถผลิต
จักรยานได้ดงั นี้
จานวน จานวน จานวน MP AP
เครื่ องจักร (K) แรงงาน (L) รถจักรยาน
5 1 10
5 2 18
5 3 24
5 4 28
5 5 30
5 6 28
5 7 25
5 8 20
10. จากโจทย์ขอ้ 9 ถ้าผูป้ ระกอบการมีเงินทุน 1,200 บาท ราคาเครื่ องจักรเครื่ องละ 200 บาท
และจ้างแรงงานคนละ 50 บาท จงสร้างเส้นต้นทุนเท่ากัน