Professional Documents
Culture Documents
Untitled
Untitled
ประว้ติศาสตร์ภูมิกาขาของช!zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSR
โ:zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
5เ VI ?เ 60
.
350* .
— ,
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIH
-
^ ^- เ ^ ,เ\ 1 ฬ๊ เ!แาเ, 0เ.'00-1 แเ ) 0 ' ภ. เฟ็!แ]ภ
รจขย วนวว กล
- ...'. '
.-
V
- ’
น-
1
.
ะ
โ
---
I I
^- -* เ
- -. เ"
1
ส& เ เ®
^"
8817[ ฒุ 9 -
ะ
. เ เ
—^ ^ เ! ^
1
เ^
^*,-*
เ ฮเ เฮ’ * 1
& I
.
- I
ๆ*
131.
ฒเ
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTS
- เ
- *
V
1 V '-
- 1
-
4 * ' ๆ,
เ
-- 1
ำ -- -
จ*
ฟ่
*
า*
-
เ
4*
31
เ’
๒
ใ - ษ
-
1
' .-
/ เ
V
7
3 *
"-1"-
ตเ
3
- -- /
ะ .' /
I -- 'ไ
3
-
I ;- 1
.
ฯ เ11ศนหน
เ-
+ -
ดัเกฤษ -.
ทุซีฟ้ธฺเฏืเฑธ้ศิ
I
โ ใ ฝรง่เศส
*
^^
"
&
I I
^- —ก I *
เ
^ *** --
1
ปร:วัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
กิาเนิดสยามจากแผนที:่zyxwvutsrqponmlkjihgfe
ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของขาดิ
dcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ผู้เขียน ธงชัย วินิจจะกูล
คณะผู้แปล พวงทอง ภวัครพันธุ, ไอดา อรณวงศ์, พงษ์เลิศ พงษ์วนานศ์
บรรณาธิการแปล ชูดักต ภัทรกุลวณิชย์
* 81๐17 ณ 06๐
813111 ชุ)!)©*1: 11
^ © ง *๐
-8๐(17 อ!' 31 31 ก
๖7 ๖๐ 80๖3* ^*010๖31 *
X ก ณ
๖7
713081316(1 ?113ก8*๖0ถธึ ?3ผ3 3[)3ก,1(13 1๐0ก^
^ ^ ๐08 ^ ^ , ?๐1ใ 1©11 ?๐11 3ก3ก
* ๖7
71311ธ13(10ก 6(11© (1 0111831* ?3น313๒1 3011
^ :
0๐[)711ธึ๖* © 1990, 110 6181*7 011 3^31* ?1©8ร
^ * *
7๖zyxwvutsrqponmlk
* * ๖7 ** * *
8 6(1111๐0 18 3 1?30ธ131 00 31111101126(1
*8๖ ^ * ๐1 *
16 01 8 031 [)11๖1
jihgfedcbaZYXWVU 1, 170 6X8 17
TSRQPONMLKJIHG
©
*
131^31*
^ * ^ * * * 8๖ * ๖6 ๖7 *^ ^
8x688. 11 118 118 16861 6(1. าโ !© 7๖31 ©( 11 00 8 [)๐๖๖ร (1 0๖ 31
1 ๖1 * * *
^ ๐ * 8๐00 * 8308๒
8 1 08 ?เ 0]601 30(1 8.63(1 ( 30) 80๖1
^ * 11๖ ๒ฑ8, * ) 7๖3 130(1 2013
8๐๖131 ? 8 1 08 *1ญํ60 8 3 831* 1๖6
** * * * * * ^ * 1๐1 (131 00 060106X3(7 30(1
,61๐
06\ { 016018 0 1 68 (81 08) .
)
* * ( )
สำนักพิมพ์อ่าน
เลขท 7/ 2 ซ.อรุณอมรินทร์ 37 ถ.อรุณอมรินทร์บางกอกนัอย กรุงเทพฯ 10700
โทรศพท/โทรสาร 0-2882- 4788 0-กๆอแ: X6ส0เ]๐นโก3เ@9กาฌ่เ.00ฌ
เพลท เลย์โปรเซส 0- 28830306- 1
พิมพ์ โรงพิมพ์ภาพพิมพ์ 0- 24330026- 7
จัดจำหนำย บริษัทเคล็ดไทย จำภัต 0- 2225-9536- 40
ปกอ่อน ราคา 400 บาท ปกแข็ง ราคา 550 บาท
กำเนิดสยามจากแผนที:่ zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZY
ประวัติศาสตร์ภูนิกายาของชาติ
พวงทอง ภวัครพันธุ
ไอดา อรุณวง
พงษ์เลิศ พงษ์วบานต'
^
แปล
(&
สำาXzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
กพิมพ์อ่าน
สารบัญ
สารบัญภาพประกอบzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA ( 7)
คำนำ ฉบับแปลภาษาไทย ( 8)
คำนำ ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในภาษาอังกฤษ ( 1 7)
บทนำ กาธดำธงอยู่ของความเปิบชาติ
ทวิวิถีของการนิยามความเป็นชาติ 4
การนิยามความเป็นไทยทางตรงและทางกลับ 4
ไทยศึกษา 9
การปะทะต่อสู้ของการดีความ 13
สยามในฐานะประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม 17
ขอบเขตและวิธีการศึกษา 22
บทกี่ 1 ภูมิของคบผึ้นถั๋นแสะแผนกี่โบราณ
ภูมิลักษณ์ศักดึ้สิทธิ้
1
29
ภาพของพื้นที่ /ภูมิในจินตนาการ: แผนที่โบราณ 35
การอยู่ร่วมบันของมโนทัศน์ต่างชนิดต่อพื้นที่ / ภูมิ 45
บทกี่ 2 ภูมิคาสฉธ์แบบไหม้กำลังมา
สองโลก เทศะเดียวกัน: กำเนิดของโลกแบบสมัยใหม่ 53
การฝ่าทะลวง : ดาราศาสตร์ผ่านโหราศาสตร์ 60
พื้นที่ /ภูมิประ๓ทใหม่ : ภูมิศาสตร์สมัยใหม่ 67
เทศะใส่รหัส: แผนที่สมัยใหม่ 71
แบบวิถีของการเปลี่ยนแปลง: ความกำกวมและการเข้าแทนที่ 79
บกที่ 3 เสํนเขตแดน
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
เส้นเขตแดนแบบดะวันตกต้านชายแดนดะวันตก 89
การปะทะกนของมโนภาพต่อเส้นเขดแดน 97
อาณาจกรที่เขตแดนลัอมไม่รอบ 104
บกที่ 4 อำนาจอธิฮตย์
ความส้มพ้นธ์แบบเป็นลำดับชั้นระหว่างร์ฐ 139
อธิปไดยร่วม: ยุทฺธศาสตร์เพื่อความอยู่รอด
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA 144
อธิปไตยช้อนและชาวยุโรป 149
บกที่ 5 ชายขอบ
ชายขอบที่ช้อนทับกัน 164
การก่อร่างพื้นที่ “ ของเรา” 169
ชายขอบใหม่: สยามและอังกฤษ 176
การอุบตของรอยต่อระหว่างพรมแดนด้วยกำลังทหาร 179
ภูมิกายามีอำนาจ 214
เลยพ้นดินแดนและภูมิศาสตร์ 21 9
บทกี่ 8 ภูมิกายาและประวัติศาสตร์
บาดแผลของวิกฤติการณ์ร.ศ. 11 2 กับอดีตที่ไม่ต่อเนื่อง 228
ภูมิกายากำมะลอในอดีตของไทย 231
แผนที่ประว้ติศาสตร์ 241
อดีตโดนโครงเรื่องบังคับ ( อดีตโตนวางยา) 250
อดีตผลิตใหม่ 256
หมายเหตุเกี่ยวกับการอ้างอิง 278
เชิงอรรถ 279
บรรณานุกรม 311
ดัชนี 329
สารบัณภาพประกอบ
แผนที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
1 (หน้า 22 ) อุษาคเนย์ภาคพึ๋นทวีปก่อนมีการกำหนดเส้นเขตแตนแบบสมัยใหม่
ค.ศ. 1893
ภาพที่ 10 แผนที่ฉบับแมคคาร์ธ,ี ค.ศ. 1888
ภาพที่ 11 การ์ตูนจากสมัยร้ซกาลที่ 6
ภาพที่ 12 สัญลักษณ์มูลนิธิสายใจไทย
ภาพที่ 13 แผนที่แสดงประวีติศาสตร์อาณาเขตของประเทศไทย
ภาพที่ 14 แผนที่แสตงการเคลื่อนที่ของคนไทยจากโบราณถึงยุคปัจจุบัน
ภาพที่ 15 อาณาจักรน่านเจ้า
ภาพที่ 16 อาณาจักรสุโขทัย สมัยพ่อขุนวามคำแหงมหาราช
ภาพที่ 17 อาณาจักรอยุธยา สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ภาพที่ 18 อาณาจักรธนบุรี สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช
ภาพที่ 19 อาณาจักรรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 1
ภาพที่ 20 “ ตื่นเถิด ชาวไทย ”
ธงชัย วินิจจะกุล (7 )
คำนำฉบับแปลภาษาไทย
หนังสือเล่มหนึ่งเมื่อพ้นมือคนเขียนไปแล้วมักจะมีโขคชะตาไม่ตรงกับทคนเzyxwvu' ขียน
คาดหวัง คนเขียนทุ่มเทความคิด จินตนาการ และส่วนหนึ่งของชีวิต ลงไปในตัวบท
แต่บ่อยครั้งคนอ่านมองไม่เห็นสิ่งที่คนเขียนต้องการจะบอก ทว่าบ่อยครั้งคนอ่าน
กลับเห็นในสิ่งที่คนเขียนเองก็นึกไม่ถึง
313๓ /หฝ็ภ/ว©๙ (ต่อจากนี้จะเรียกว่า ธ/ห) อ่านได้หลายแบบ ทั้งโดยเจตนาของ
ผู้เขียนที่พยายามออกแบบให้เป็นเช่นนั้น และด้วยการด้นพบของผู้อ่านซึ่งผู้เขียน
เพิ่งมาเข้าใจภายหลัง
ธ/หศึกษาความเปลี่ยนแปลงความรู้ความคิดทางภูมิศาสตร์ที่ให้กำเนิดสยาม
ประเทศ หวังว่าอย่างน้อยๆ ผู้อ่านจะได้อิ่มเอมกับประวัติศาสตร์ของภูมิศาสตร์
นอกเหนือจากนั้นถือเป็นของกำนัลซึ่งขอฝากไวํให้ตามแต่ผู้อ่านจะด้นพบหรึอสร้าง
ความหมายมากน้อยขึ้นมา
ความปรารถนามูลฐานของผู้เขียนมีอยู่เพียงว่าอยากเล่าเรื่องดีๆ (1016แ ล
90๐0 51017) สักเรื่องหนึ่ง นึ่เป็นความอยากของนักประว้ติศาสตร์โดยทั้วไป ความ
ปรารถนาข้อนี้ฟังดูง่ายดีแต่ทำไต้ยากชะมัด และไม่ใช่ว่านักประว้ติศาสตร์ทุกคนจะ
ประสบความสำเร็จ เพราะ “ การเล่าเรื่องดีๆ” มีความหมายหลากหลายตามแด่คน
อ่านคาดหวัง และตามแต่ความปรารถนา จินตนาการในการเข้าใจอดีต และประสบ-
การณ์ชีวิตของคนเขียน
ธ/หเขียนขึ้นหลัง 6 ตุลา 2519 และหลังขบวนการสังคมนิยมไทยล่มสลาย ใน
ขณะนั้นคำถามและการวิเคราะห์ร่วมสมัยของปัญญาชนกำลังเป็นอดีตไปแล้ว แด่
จิตวิญญาณกบฏและความท้าทายต่อโลกที่เป็นอยู่ กลับยังคงโลตแล่นผ่านกรอบ
ความคิดใหม่ๆหลายกระแสเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ นับแต่เข้าวันพุธเตือนตุลาปีนั้น
ผ่านการณ์ผันแปรทั้งหลายหลังจากนั้น ทำให้ผู้เขียนตระหนักว่า “ ประวัติศาสตร์
โหดร้าย ” (ในทุกๆความหมายของวลีนี้) ธ/หจึงเป็นการโรมรันพันตูกับความร้
ประว้ติศาสตร์โทยเต็มตัว ตั้งแต่ชื่อ ประเด็นใจกลาง วิธีการศึกษา แนวคิดวิเคราะห์
หลักและรอง หลายเรื่องหลายประเด็น ตลอดจนถึงนัยและความหมายโตยอ้อม
( 8) I กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประวติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ในขณะเดียวกัน ร/zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJI
ห ก็เข้าร่วมถกเถียงสนทนากับโลกวิชาการนอกประเทศไทย
อย่างตั้งใจ ทั้งในแง่สาระข้อเสนอและในแง่แนวคิดวิธีการศึกษา ทั้งต่อไทยศึกษาและ
ต่อกระแสหลังอาณานิคมและภูมิศาสตร์แบบหลังสมัยใหม่
ด้วยเหตุนี้ ร/ห จึงอ่านได้หลายแบบหลายระดับตามแต่ผู้อ่านจะเล็งเห็น
ในระยะแรกๆ สหายเก่าทั้งหลายก็แปลกใจที่ ร/หไม่ตอบปัญหาร่วมสมัยใดๆ
ที่พวกเขาหมกหม่นครุ่นคิดอยู่เลย แถมในเวลานั้นวงวิชาการไทยยังไม่คุ้นเคย ไม่
เข้าใจวิธีคิดและสิ่งที่ธ/หต้องการเสนออีกทั้งธรรมเนียมไทยๆบางอย่างทำให้แม้แต่
การศึกษาซึ่งเกี่ยวเนื่องหรือโต้แย้ง ร/ห ก็ทำโดยไม่ระบุถึง ร/ห ดังนั้น ร/หจึงแทบ
ไม่ปรากฏตัวในโลกวิชาการของไทย จนกระทั้งในเวลาถัดมาอีกหน่อย โลกวิชาการ
นอกภาษาไทยมีส่วนช่วยอย่างมากให้ ร/ห คืบคลานกลับเข้ามาในวงวิชาการไทย
โดยผ่านนักวิชาการรุ่นหลังเป็นสำคัญ
ชะตากรรมของ ร/หในวงวิชาการนอกประเทศไทยกลับไปไกลเกินกว่าที่
ผู้เขียนเองจะคาดคิดได้ คือเป็นหน้งสีอที่รู้จักกันดีในไทยศึกษาและอุษาคเนย์ศึกษา
(50๗16331 /เรเ3ก 51๗163) กล่าวกันว่าเป็นหนังสือที่ “ มีอิทธิพลที่สุด” เล่มหนึ่งใน
อุษาคเนย'ศึกษา ร/ห มีส่วนช่วยกระตุ้นการศึกษาทำนองเดียวกันในอีกหลายกรณี
บนผิวโลก ยิ่งกว่านั้น ประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา ความสนใจภูมิศาสตร์และ รเวส06
ในแง่ประว้ดีศาสตร์ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมศึกษากำลังเติบโตและระบาดเข้าไปใน
แทบทุกสาขาวิชา (จนบางคนเรียกว่า 7เ16 รกลแลเ โบ! ก) ร/หมีส่วนช่วยบุกเบิกและ
'
ร้บอานิสงส์จากกระแสวิชาการดังกล่าวด้วย
ส่วนที่มีผู้กล่าวว่า ร/หได้พลิกโฉมไทยศึกษา (นอกประเทศไทย ) นั้น จะจริง
หรือไม่ ผู้เขียนไม่อยู่ในวิสัยที่จะตัดสิน ( แด'ไม่เป็นความจริงสำหรับไทยศึกษาใน
ประเทศไทยอย่างแน่นอน)
ความท้าทายของประวัติศาสตร์มิใช่อยู่แค่ความสามารถวิเคราะห์ดีความให้เห็นความ
เปลี่ยนแปลงในกรณีหนึ่ง ๆ แด่ที่มากไปกว่านั้นซึ่งนักเรียนประวัติศาสตร์ปรารถนา
อยากจะทำให็ได้ด้วยคือ การเล่าเรื่องดีๆดักเรื่องหนึ่ง ซึ่งสำหร้บผู้เขียนหมายถึง
หนึ่ง ความริเริ่มแปลกใหม่ ท้าทายความรู้ที่มีอยู่เติม ร/ห เขียน'ขึ้นด้วยความ
ปรารถนาจะสร้างสรรค์งานที่ท้าทายความรู้ประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมอย่าง
ถึงราก ไม่ช่วยให้เกิดความภูมิใจในบรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ แด่ผู้เขียน'ใม
,
ธงชัย วินิจจะกล ( 9)
ให้มีประโยชน์'ต่อยุทธศาสตร์ยุทธวิธีเปลี่ยนสังคมไทยแต่อย่างใด เพราะ
ต้องการ'zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประวิติศาสตร์ชนิดนั้นเรียกร้องการเชื่ออย่างไม่พึงสงลัยไปอีกแบบ การเล่าเรองตี ๆ
น่าจะทำให้เราเชื่ออย่างเดิมไม่ได้อีกต่อไป เชื่ออย่างไม่พึงสงสัยไม่ได้ลักเรื่อง กระด้น
ให้เราตั้งคำถามและใช้วิจารณญาณไม่หยุดหย่อนจนกลายเป็นนิสัย ทังต่อประวต -
ศาสตร์และต่อความรู้ความเชื่อสังคมไทยที่ไม่อนุญาตให้สงสัย เรื่องฉีๆที่ผู้เขียน
อยากเล่าคือประวิตศาสตร์เพื่อต่อสู้รับมือกับประวิติศาสตร์ที่โหดร้าย
สอง การเล่าเรื่องดีๆ อาจหมายถึง เล่าเรื่องได้สนุกชวนสิตตามแด่ด้นจนจบ ที่
สำคัญกว่าคือหมายถึง เล่าเรื่องซวนให้คิด ท้าทายเซลล์สมอง น่าตื่นเต้นที่จะร่วม
คิดร่วมสนทนาด้วยจนเกิดความพึงพอใจทางปัญญา การเล่าเรื่องใหัตีตามประสา
นักประว้ตืศาสตร์มิได้หมายถึงสำนวนโวหารอ่านสนุกเสมือนอ่านนิยาย แด่ต้อง
หมายถึงมีสาระ วิเคราะห์ ดีความได้อย่างน่าสนใจและน่าเชื่อด้วย แต่ก็เชื่อไม ลง
,
ดังนั้นต้องหนักแน่นทางแนวคิดทฤษฏีพอที่จะสร้างความริเริ่มแปลกใหม่ได้ แต่ไม่
ต้องอวดรู้แนวคิดทฤษฏีจนเกะกะชัดหูขัตตา ควรปล่อยให้แนวคิดทฤษฏีเป็นที่รับรู้
ได้ควบคู่ไปกับเรื่องที่เล่า
สาม พลังของเรื่องที่ดีมักเกิดจากการใส่ใจกับรายละเอียด เล่าความเปลี่ยน-
แปลงของกรณีรูปธรรมเฉพาะเจาะจงได้อย่างเป็นเรื่องราวมีซีวิดชีวา แด่เรื่องเล่า
เฉพาะเจาะจงดังกล่าวต้องฉายให้เห็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่โตกว่ากรณี
เฉพาะนั้นๆจึงจะเกิดเป็นความสว่างไสวอิ่มเอมทางปัญญา เรื่องเล่ากรณีเล็กๆ ที่
ไม่สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่กว่านั้นหรือสะท้อนให้เห็นเรื่องเล่าที่
ใหญ่กว่าใด ๆ เลย จะไม่ก่อให้เกิดความตื่นตาตื่นใจทางปัญญาแม้ว่าอาจเล่าได้น่าที่ง
ในรายละเอียดก็ดาม พลังของเรื่องที่ดีมักช่วยให้เราสามารถคิดจินตนาการเลยพ้น
ไปจากกรณีรูปธรรมเฉพาะเจาะจงไปสู่ความเข้าใจประวํติศาสตร์ที่กว้างขึ้น
การศึกษาประวิดศาสตร์ของเรื่องใหญ่โตที่เป็นนามธรรมเช่น รัฐประชา -
ธิปไตย ระบบเศรษฐกิจ ฯลฯมักต้องอาศัยภาษาทางสังคมศาสตร์ (ที่มักเรียกกันว่า
ทฤษฏี ) ที่เป็นนามธรรมจึงจะสามารถบรรยายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างสรุปราบย 0ต
ไต้ แด่มักเลยพ้นชีวิตชีวาออกไปไกล กลวิธีการเล่าเรื่องอีกอย่างที่นักเขียนนานิยาย
ประวิดศาสตร์รู้จักเป็นอย่างดีคือ การเล่าเรื่องซ้อนขนานกันระหว่างเรื่องเฉพาะกับ
เรื่องใหญ่ นักประวิดศาสตร์ก็น่าจะสามารถใช้วิธีเล่าทำนองนี้ใด้เพราะเราเชื่อว่า
ความเปลี่ยนแปลงกรณีเฉพาะเจาะจงมักจะสะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่ใหถ]กว่านั้นzy
ธ/หศึกษาประว่ติศาสตร์ของความรู้ภูมิศาสตร์ซึ่งลูเหมือนจะอยู่นอกความสนใจ
ของนักประวัติศาสตร์ทั้งในและนอกเมืองไทยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ( แต่ถึงวันนี้เป็น
ความรู้แขนงหนึ่งที่เติบโตขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น) วิธีการศึกษาคืออาศัยดัญวิทยา
(36๓10๒97) และวาทกรรมวิเคราะห์ (ย่เ500น -36 3ก6เ7รเ3) เพื่อสิบสวนหาสาแหรก
|
ใหม่ กรณีเฉพาะเจาะจงอย่างประว้ติศาสตร์ความคิดที่ทำให้เกิดแผนที่และประว้ติ -
ศาสตร์ของดินแดนที่เกิดใหม่เพราะแผนที่ จึงฉายให้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลาย
ด้านที่ใหญ่โตซับซ้อนและสับสนกว่านั้นมาก ทุก ๆ ขณะของการปะทะกันระหว่าง
ความรู้คนละชนิด เกิดการแลกเปลี่ยนประนิประนอมกันก็มี ชิงพื้นที่เบียดขับ
ผลักไสแทนที่กันก็มี เกินกว่าที่จะจับลงกล่องตัดสินว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดจาก
ภายนอกหรือภายใน เพราะทั้งสองด้านมีบทบาทในทุกขณะไปต่างๆกันและแยก
จากกันไม่ได้ แถมลงท้ายต้องมีอำนาจเช้ามาเป็นปัจจัยขึ้ขาดการปะทะกันของ
ความรู้ทั้งสิ้น ทั้งอำนาจรัฐและไม่รัฐ ใครเป็นหมาป่า ใครเป็นลูกแกะ อาจผิดจากที่
เราเข้าใจกันอย่างง่ายๆ มาเป็นเวลานาน
นักประวัติศาสตร์รู้มานานแล้วว่าสยามสมัยก่อนไม่มีเส้นเขตแดนที่ชัดเจน
รอบประเทศอย่างที่รู้จักกันในยุคสมัยใหม่ นึ่ไม่ใช่ข้อเสนอแปลกใหม่ของ ร/ห แด่
เป็นจุดเริ่มต้น นักประวัติศาสตร์มักเช้าใจผิดว่าเส้นเขตแดนไม่ชัดเจนเพราะขาด
ความรู้ขาดเทคโนโลยี ธ/หเห็นว่านึ่เป็นปัญหาสำคัญมาก เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของ
การขาดแคลนเทคโนโลยี แต่เป็นเพราะความรู้ภูมิศาสตร์คนละชนิดกัน เขตแดน
แบบเก่าผูกอยู่กับความรู้ภูมิศาสตร์คนละชนิดกันกับความรู้ภูมิศาสตร์ที่ผลิตเส้น
เขตแดนและสำนึกเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนอย่างที่รู้จักกันในปัจจุบัน
ธ/ห อธิบายการปะทะกันของความรู้ภูมิศาสตร์คนละชนิด ณ ชั่วขณะต่าง ๆ
ธงชัยวินิจรีะกูล ( 11 )
อธิบายการปะทะกันของความคิดเรื่องอำนาจอธิปไตยคนละชนิด ความคิดเรื่อง
ดินแดนและสิทธิเหนือดินแดนคนละอย่าง ความคิดเรื่องเขตแตนคนละแบบ อธิบาย
การทำและการอ่านแผนที่ซึ่งอิงกับความรู้คนละชุดกันโดยสิ้นเชิง การเปลี่ยนผ่าน
จากความรู้แบบเดิมสู่ชัยชนะของภูมิศาสตร์และแผนที่สมัยใหม่ มีทั้งการปะทะ
เล็กๆน้อยๆและใหญ่โตทั้งที่น่าขบชัน น่าทึ่ง และเคร่งเครียด คอขาดบาดตาย
การปะทะครั้งสำคัญที่สุด คือ วิกฤติการณ์ร.ศ. 112 zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSR
ความขัดแย้งกับฝรั่งเศสคือการแข่งกันแย่งชิงดินแดนประเทศราชที่อยู่ภายใต้
จารีตอธิปไตยซ้อนทับคลุมเครือตามแบบเก่า ผนวกให้กลายเป็นของตนแต่ผู้เดียว
ตามหลักอธิปไตยเหนือดินแตนแบบสมัยใหม่ วิกฤติการณ์ ร.ศ. 1 1 2 ไม่ใช่ความ
ขัดแย้งระหว่างเจ้าอาณานิคม (หมาป่า ) ที่หวังฮุบสยามเป็นอาณานิคมอย่างที่เข้าใจ
กันตลอดมา ความพ่ายแพ้ของสยามมิใช่ความพ่ายแพ้ของเหยื่อ ( ลูกแกะ) ที่ไม มี
,
เกย่!ฐ6กวบธ คำง่ายๆคำนี้มีความหมายชัดเจนสำหรับหน้ง์สือภาษาอังกฤษที่
เกี่ยวกับสังคมวัฒนธรรมอื่น ครั้นแปลเป็นภาษาของสังคมวัฒนธรรมนั้นเอง ความ-
หมายอาจชวนให้เข้าใจผิดทันที เช่น “ ตั้งเดิม” (ซึ่งมีนัยถึงความเก่าแก่ทั้งๆที่คำใน
ภาษาอังกฤษไม่มี ) หรือ “ ท้องถิ่น” (ซึ่งมีนัยหมายถึงไม่ใช่ศูนย์กลาง ทั้งๆที่คำใน
ภาษาอังกฤษหมายรวมถึงศูนย์กลางด้วย ) ใน รทจึงใช้คำว่า “ พื้นถิ่น” โดยตลอด
50306 เป็นคำที่ก่อความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ผู้แปล ผู้ตรวจแก้ และผู้เขียน
เองอย่างมาก แถมเป็นคำสำคัญของ รทเสียด้วย ในภาษาอังกฤษ ความหมาย
เข้าใจไต้ตามบริบทของประโยค เช่น อวกาศ พื้นที่ว่าง พื้นที่ในเชิงนามธรรม ภาวะ
สองมิติในเชิงนามธรรม ดินแตน ( อย่างไม่เฉพาะเจาะจง) หรือหมายถึงระยะห่าง
ระหว่างสองสิ่ง และหมายถึงพื้นที่รูปธรรมเฉพาะเจาะจงก็ได้ ในภาษาไทยไม่มีคำที่
กินความกว้างขวางหลากหลายตามบริบทเช่นนี้ แถมบางความหมายหาคำภาษา
ไทยไม่ได้ ในที่นี้จึงแปลต่างๆกันไปตามบริบทของความในแด่ละแห่ง แด่มีหลาย
แห่งที่คำๆ เดียวในภาษาไทยไม่ครอบคลุมพอหรืออาจทำให้เข้าใจผิด ในที่นี้ก็จะ
แปลโดยใช้ภาษาไทยสองคำคู่กัน ซึ่งเป็นการเขียนภาษาไทยที่ง่มง่ามและประดัก-
ประเดิตอย่างยิ่ง นอกจากนั้นยังขอเสนอคำว่า “ เทศะ” ในหลายแห่ง เพราะเป็นคำ
ที่กินความกว้างหลากหลายทำนองเดียวกับ 80306 ที่สุด
อีกคำที่ไม่สามารถหาคำแปลใดๆในภาษาไทยได้เหมาะสม คือ คำว่า -60โ6- |
ธงชัยวินิจจะทูล I ( า 5)
ตายตัวตามธรรมชาติ หรือลูกต้องเที่ยงตรงเป็นวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด เพียงแต่
ันเท่านั้น ในที่นี้จึงขอใช้คำว่า
เป็นคำนามที่เช้าใจร่วมกันในหม่ข้ขผ่ ้ใช้ภาษาไทยปัจจุจิzบyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJI
“ อุษาคเนย์” ทับความหมายของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณ
ไมเคิล ไรท์ ผู้ผลิตคำนี้ขึ้นมาในภาษาไทย
51 1 ใช้เวลากว่า 20 ปี จึงเดินทางกลับมาสู่ภาษาไทย เกือบครึ่งทางของเวลา
^
ดังกล่าวเนื่องมาจากต้นฉบับแปลกองอยู่บนโต๊ะของผู้เขียนเอง อาจารย์พวงทอง
ภวัครพันธุ แปลเสร็จในร่างแรกเมื่อเกือบสิบปีก่อน หลังจากนั้น คุณไอตา อรุณวงศ์
และคุณพงษ์เลิศ พงษ์วนานต์ มาร่วมแปลต่อในร่างที่สอง โดยมีอาจารย์'ชูศักดี้
ภัทรกุลวณิชย์ เป็นบรรณาธิการแปล คณะผู้แปลและบรรณาธิการทำงานของตน
เสร็จเรียบร้อยนานแล้ว ด้วยความเกรงใจผู้เขียน จึงขอให้ผู้เขียนตรวจทาน ซึ่งใช้
เวลาอีกหลายปีกว่าจะเสร็จ (โดยมากทิ้งไว้เป็นปี เนื่องด้วยนิสัยของผู้เขียนเองที่
อยากเดินหน้าไปเรื่อย ๆ มากกว่าจะทุ่มเทให้กับงานที่ผ่านไปแล้ว)
ผู้เขียนต้องขออภัยอย่างสูงต่อทุกท่านที่ลงแรงมาเป็นเวลานานและขออภัย
ด่อผู้อ่านด้วย
สำนักพิมพ์คบไฟโดยคุณสุนิย์ วงศ์ไวศยวรรณ เป็นผู้สนับสนุนการแปลตั้งแต่
เริ่มต้น ให้ความกรุณากระทั่งผู้เขียนล่าช้าหายสาบสูญก็ไม่ถือสาหาความ แต่ความ
ล่าซัานี้เองท่าให้ผู้เขียนเกรงใจ จึงขอให้สำนักพิมพ์อ่านเข้ามาเป็นภาระการจัดพิมพ์
แทน ขอขอบพระคุณผู้เกี่ยวข้องในสำนักพิมพ์ทั่งสองเป็นอย่างสูง และขออภัยอีก
ครั้งในความเหลวไหลล่าช้าไปหลายปี
ขอชอบพระคุณอย่างสูงต่อคณะผู้แปลและบรรณาธิการตรวจแก้ คืออาจารย์
พวงทอง ภวัครพันธุ, คุณไอดา อรุณวงศ์, คุณพงษ์เลิศ พงษ์วนานศ์, อาจารย์ชูศักตี้
ภัทรกุลวณิชย์ ที่สละเวลาท่างานนี้จนเสร็จและอดทนกับผู้เขียนได้ขนาดนี้ รวมถึง
คุณวริศา กิตติคุณเสรี ที่ทำหน้าที่บรรณาธิการด้นฉบับในขั้นของการจัดพิมพ์
ขออภัยสำหรับความยุ่งยากใจใด ๆ ที่ผู้เขียนก่อขึ้น ขอขอบคุณคุณธนาพล อิ๋วสกุล
ที่เป็นธุระจัตการในหลายๆ เรื่อง และคุณไอดา อรุณวงศ์ ที่ช่วยดูแลจนการจัดพิมพ์
เสร็จสิ้นลง
ธงชัย วินิจจะกูล
พฤษภาคม 2555
76๓33©เ^/ 81ก93|3บโ3
( 16 ) I ก็าเนิตสยามจากแผนที:่ ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
คำนำ zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
(ฉบับพิมพ์ครั้งแรกในภาษาอังกฤษ)
ในทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 โลกกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าสู่ประชาคมชนิด
ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยแรงผลักของประชาคมยุโรป บรรษัทนานาชาติมีบทบาท
เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆไม่ใช่รัฐบาลใดเพียงแห่งเดียว ตลาดและการผลิตผูกโยงกันทั้ง
โลก ระบบการเงินและการไหลเวียนของข่าวสารและทุนไม่สนใจเส้นเขตแตน เอเชีย
โลกแปซิฟิค และอเมริกากำลังพยายามไล่ให้ทันยุโรป โลกของเราดูท่าทางกำลัง
ตระเตรียมจะข้ามให้พ้นมรดกของยุโรปศตวรรษที่ 19 ชาติและชาตินิยมส่อแววว่า
จะพันสมัยไม่ข้าก็เร็ว อย่างไรก็ตาม ในช่วงขณะเดียวกันนี้การล่มสลายของค่าย
สังคมนิยมกลับปลดปล่อยพลานุภาพของลัทธิชาตินิยมและชาติพันธุนิยมที่ออกจะ
เก่าแก่ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าทรงพลังยิ่งกว่าที่มาร์กซ์หรือเลนินเคยคาดคิด ชาติใหม่
อันเก่าแก่กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง ความเป็นชาติช่างน่าปรารถนาอย่างแรงกล้าใน
ขณะที่กำลังจะพันสมัย
หนังสือเล่มนี้กำเนิดขึ้นมาในบริบทดังกล่าว ชาติหนึ่งๆ เป็นส่วนสำคัญของ
ทุกชีวิต ชาติมีรัฐบาล ระบบเศรษฐกิจ สภาพทางสังคมและวัฒนธรรม ทั้งหมดนี้มี
ผลกระทบต่อปัจเจกบุคคล ความเป็นชาติช่างมีพลังยึดโยงชุมชนไว้ด้วยกันทั้ง ๆ ที่
สมาซิกของชาติอาจไม่มีวันรู้จักหน้าค่าตากันเลย ช่างทรงพลังถึงขนาดที่หลายชีวิต
ยอมเสียสละให้ชาติได้ ช่างเป็นแรงบันดาลใจผู้คนมาหลายชั่วคนให้ทุ่มเทเพื่อบรรลุ
ผลสำเร็จอันริเริ่มสร้างสรรค์แก่ชาติ ความเป็นชาติเป็นสิ่งปรารถนารวมทั้งในหมู่
พวก 1-3ป!0ล1 ในหลายๆ ประเทศซึ่งจงรักภักดีต่อประเทศของตนไม่น้อยไปกว่าที่
ศัตรูของพวกเขาภักดีต่อประเทศของตนเอง
แด่ทว่าผลกระทบอย่างหายนะของลัทธิชาตินิยมก็มีมหาศาล หายนภัยของ
มันท่าให้พวกเราตระหนักถึงความไร้เหตุผลและความจอมปลอมของชาติหนึ่งๆ
ณ ปัจจุบันสมัยที่เศรษฐกิจข้ามชาติกับลัทธิชาตินิยมทางการเมืองดำรงอยู่ร่วมกัน
การศึกษาลัทธิชาตินิยมและความเป็นชาติควรจะเดินไปในทิศทางใหม่ได้แล้ว เรา
ไม่ไต้ถูกครอบด้วยความยิ่งใหญ่ท่วมทันและความเสแสร้งของลัทธิชาตินิยมใหม่อีก
ต่อไปแล้ว ความสำนึกดังกล่าวก่อให้เกิดระยะห่างระหว่างปัจเจกบุคคลกับชาติของ
พวกเขา เราสามารถตรวจสอบความเป็นชาติจากจุตยืนที่สามารถมองได้ชัดเจน
หนังสือเล่มนี้หยิบเอาสยามเป็นกรณีศึกษา เพื่อสอบสวนว่าความเป็นชาติ
ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผลและจอมปลอมอย่างไร โดยศาสตร์ที่รู้จักกันดี
คือภูมิศาสตร์ และโดยแผนที่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นปฐมของความรู้ภูมิศาสตร์
ท่ามกลางช่วงขณะต่างๆที่เกิดการปะทะและผลักไสแทนที่ของความหมายต่างๆ
แม้แต่อัดลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดของชาติคือดินแดนของชาติและคุณค่า
ทั้งหลายที่ผูกพันกับมัน ซึ่งทั้งหมดนี้ผู้เขียนเรียกรวมว่า “ ภูมิกายา” ก็ถูกสร้างขึ้น
โดยวาทกรรม บทนำกล่าวถึงความสำคัญของความเป็นชาติในแบบที่ไม่คุ้นเคย
กันนัก โดยตั้งคำถามต่ออัดลักษณ์ของชาติไทยผ่านสายตาคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งอาจ
เรียกไต้ว่ามองจากข้างใน แทนที่จะมองแบบนักบูรพคดีวิทยา (0ก่6ก1สแธ1) อย่างที่
เอ็ดวาร์ต ชาอิด (ผห/ฌป รฟป) คงจะเรียก* บทนำตั้งโจทย์และความมุ่งหมายของ
การศึกษานี้รวมทั้งแนวติดและวิธีการศึกษาพี้นฐานของการศึกษานี้
บทที่ 1 สำรวจความรู้แบบพี้นถิ่น(เกป!96กอบธ) ต่อเทศะ/พี้นที่ทั้งในเชิงจักรวาล-
วิทยาความติดแบบศาสนา และแบบทางโลกย์หรือสามัญวิสัย บทนี้ปูพี้นฐานให้ชัดๆ
ว่าดังคมก่อนสมัยใหม่ในภูมิภาคนี๋ไม่เคยขาดแคลนความรู้และเทคโนโลยีเพื่อร้บร้
เข้าใจเทศะ/พี้นที่ บทที่ 2 จะเปิดเผยให้เห็นคัวแบบของการเปลี่ยนผ่านความร้ท่างzy
ซึ่งเต็มไปด้วยการศึกษาอัดลักษณ์โดยนักวิจัยจากโลกตะวันตก จนถูกซาอิดวิพากษ์ไวิในหนังสือzy
0ก่6ก1‘ส/ ร. ทท อันทรงอิทธิพลกว้างขวาง แต่ในฉบับภาษาไทยนี้ขอบันทึกว่า บทนำจะกล่าวดึงความ
/
สำคัญของความเป็นชาติในแบบที่คนไทยคงไม่คุ้นเคยนัก๗นกันแต่ด้วยเหตุผลดรงกันข้าม กล่าวคือ
มีงานมากมายในภาษาไทยที่ทึกทักว่าคนไทยรูเรื่องไทยตีที่สุด ความเป็นชาติ ความเป็นไทยเป็น
สิ่งน่าภาคภูมิใจอย่างไม่เคยตั้งคำถามสงสัย หรือทึกทักว่าเป็นคนไทยต้องคิดไปในทางรักชาติ รัก
ความเป็นไทย ถ้าไม่คิดตามนี้คงไม่ใช่คนไทย บทนำของหนังสือนี้ตั้งคำถามกับความคิดเหล่านี้ของ
สังคมไทยด้วย อาจเรียกว่าเป็นการมองจากข้างนอกทั้งที่อยู่ข้างในก็คงได้ ภาวะที่ยึนอยู่สองข้าง
ในเวลาเดียวกันหรืออาจเรียกว่ายืนอยู่ระหว่างสองสภาวะ (เก - 66เพ66ก ) คือจุดยืนทางปัญญาของ
หนังสือเล่มนี้ (รวมทั้งของผู้เขียนในงานวิชาการอื่นๆ อีกหลายขึ้น) - หมายเหตุเพึ่มเติมฉบับแปล
4 เ-ฆ
า ฆ
1 *ๆ6
* ([81117113]
11*0* ห่ษ์ผํ
V
0 • เบาษ*! \
9
!*
*** 7เ*
1** * ส
*
53** 57X7 ธ / * \4ษ*ต* ร * 10
* ฬบ* X#
เ^V*ผ/
0*1*0 5* 60
๐
*
เห่ เ ๗
๐ ^ ^ ’-^*ต1 ห ** ***
0
!โ !
*
.
(
51 1ฬิ7
* && *" .เฉ-*'ทำ:
1000 00
* ร*** ***
1
X !
‘จ
0
VI
} บ**6*
น *
"8*1*
14*ก* ๖๗
V *ะ
*๒**
0
โ* ]
XVIXIIเ V *
5.10๗*00
[ 03๓1x 18]
^
รห่เท*6*๐
0
ส
70๗6
760*110๒1
4 ห0001 1* *1
! 60
0
10*
0
0
ฮ
0
ซี
2
•
V
ยเบ8
1 1(50X 11
เชะบ**!:
0 0
100* *0
อุษาคเนย์ภาคพื้นทวีปก่อนมีการกำหนดเสนเขดแดนแบบสมัยใหม่
บกนำ
การดำรงอย่ของความเอนชาติ
หลังจากเดนมาร์กมีชัยเหนือสก็อตแลนด็ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบแรกในปีzyxw
1986 ( พ.ศ. 2529 ) มีรายงานว่าราวร้อยละ 97 ของประชากรเดนมาร์ก 5 ล้านคน
ได้เฝืาชมการถ่ายทอดการแช่งขันนัดนั้น ผู้ประกาศของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่ง
วิจารณ์ประชากรที่เหลืออีกร้อยละ 3 ว่า “ มีแต่ซาวสวีเดนกับพวกคนทรยศเท่านั้น
แหละที่ไม่ได้ดู” อารมณ์ขันของคำวิจารณ์ดังกล่าวช่างเผยให้เห็นนัยอื่นๆ อีกมาก
1
เกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นชาติและความดัมพันธ์ของชาติต่อปัจเจกบุคคล
สมัยใหม่
บทน์า การดำรงอยู่ของความเป็นชาติ 3
ทวิวิถีของการนิยามคาามเป็นชาติ
นด้านหนึ่ง เราท่านมักถือว่าชาติคือองค์รวม (ส 0011601^6 เว๐๘V ) ซึ่งปัจเจกบุคคล
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONML
การนิยามคาามเป็นไทยทางตรงและทางกลับ
ในประเทศไทยทุกวันนี้ คนทั่วไปเข้าใจว่ามีสิ่งที่ถือว่าเป็นธรรมชาติของไทยหรือ
เอกลักษณ์ไทยดำรงอยู่ นั่นคือ ความฟ้นโทยซึ่งเชื่อกันว่าดำรงอยู่มาช้านานแล้ว
และคนไทยทุกคนล้วนตระหนักดีถืงคุณค่าของมัน แม้ว่าในข่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา
สยามได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลสู่ความเป็นสมัยใหม่ก็ตาม ผู้คนก็เชื่อ
4 ปาเนิดสยามจากแผนทีz่ : yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
อยู่ดีวำสารัตถะของความเป็นไทยนี้ได้รับการสงวนรักษาเป็นอย่างดีมาจนถึง
ปัจจุบัน ผู้คนทั่วไปเชื่อว่า ผู้นำที่ยิ่งใหญ่z(yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIH
ในกรณีนี้คือพระมหากษัตริย์) ไต้เลือกรับ
เอาเฉพาะสิ่งที่ดีจากตะวันตกเข้ามา ขณะที่สงวนรักษาคำนิยมตั้งเดิมของตนไว้
อย่างดีที่สุด แม้ว่าพวกขี้สงสัยอาจตั้งข้อกังขากับทัศนะดังกล่าว แต่ความคิตเซ่นนี้ก็
ยังแพร่หลายแม้แต่ในหมู่นักวิชาการไทย
ตัวอย่างหนึ่งของความหันสมัยอย่างเลือกรับบนฐานความเป็นไทยที่ถูกอ้าง
ถึงบ่อยที่สุด ก็คือการที่เรายังยืดมั่นในพุทธศาสนาในฐานะศาสนาประจำชาติควบคู่
ไปกับการยอมรับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบตะวันตกเข้ามาตลอดระยะการ
ปรับตัวสู่สมัยใหม่ ข้อยีนยันที่รู้จักกันดีอีกตัวอย่างหนึ่งก็คือความเห็นของกษัตริย์
ไทยคนสำคัญเกี่ยวกับการรับความรู้แบบตะวันตกว่า เราจักต้องคำนึงถึงความ
เหมาะสมกับสยาม ไม่ใช่ยึดเอาแม่แบบหรือมาตรฐานของตะวันตกมาเป็นเกณฑ์
แต่กลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะซี้ซัตได้ว่าอะไรคือความจำเป็น เหมาะสม ดีงาม มี
ประโยชน์หรือถูกต้อง ไม่เคยมีการนิยามได้แน่ซัดว่าอะไรคือสิ่งที่ “ถูกต้อง” ด้วยซ่า 1
กับจารีตทางการเมืองของสยาม และในอีกโอกาสหนึ่งยังได้ซี้แนะว่าความพยายาม
2
ของซาวจีนที่จะก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นในสยามเป็นสิ่งที่ซัดต่อผลประโยชน์ของ
สยามและต้องต่อต้านทุกวิถีทาง 3 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ( ครอง
ศ. 1910- 1925) ได้สั่งห้ามเผยแพร่ตำราเศรษฐศาสตร์
ราชย์ พ.ศ. 2453- 2468 /ค.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ภาษาไทยเพราะมีดำริว่าไม่เหมาะสมกับสังคมไทย ทั้งนี้เนื่องจากประซาซนชาวไทย
ล้วนเสมอภาคกันภายใต้เบึ้องพระยุคลบาทอยู่แล้ว วิชาเศรษฐศาสตร์อาจก่อให้เกิด
ความแตกแยกหรือความยุ่งเหยิงขึ้นได้เพราะเศรษฐศาสตร์สนใจเรื่องล้าดับชั้นทาง
สังคมระหว่างคนจนกับคนรวย ในทางกลับกัน ท่านได้นำเสนอหลักปรัชญาเศรษฐ-
ศาสตร์ขึ้นมาอีกชุต โดยอยู่บนฐานดำสอนของพุทธศาสนาที่ว่าบุคคลควรพอใจกับ
สิ่งที่ตนมีอยู่ ไม่เพียงแต่ห้ามเขียนตำราเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่ในพ.ศ. 2470 (ค.ศ.
1927 ) ยังมีการออกกฎหมายห้ามสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ด้วย4
บทใเา การดำรงอยู่ของความเป็นชาต 5
อะไรบ้างคือสิ่งที่ต้องธำรงรักษาก็คลุมเครือเช่นกัน เพราะผู้ทรงคุณวุฒิจาก
หลายค่ายต่างอุดมการณ์มักเอ่ยอ้างนิยามความเป็นไทยไปต่าง ๆ กัน เป็นที่ทราบ
กันดีในหมู่นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องเมีองไทยว่าสถาบันกษัตริย์และพุทธศาสนา
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของชาติไทย พระมงกุฎเกล้าฯ ได้เคยดำริไว้ว่า
พระมหากษัตริย์สำคัญที่สุดต่อความเป็นชาติไทยที่แท้จริง ครั้งหนึ่ง สมเด็จฯ กรม
พระยาดำรงราชานุภาพ นักประว้ตศาสตร์และนักปกครองผู้ยิ่งใหญ่ เคยชี้ว่าคนไทย
ประกอบด้วยคุณสมบัติที่สำคัญสามประการ คือรักความอิสระ มีความอดกลั้น และ
รู้จักประสานประโยชน์ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
5
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ว่าวัฒนธรรมไทยควรเป็นเช่นไรและเพื่อดูแลการเผยแพร่วัฒนธรรมนั้น ประชาชน
ถูกสงให้ปฎิบดตามวัตรปฏิบัติยิบย่อยนับแด เรื่องส่วนตัวไปจนถึงเรื่องสาธารณะ
,
เรื่องครอบครัวจนถึงเรื่องสังคม ที่แปลกพิลึกก็คือเครื่องแต่งกายแบบตั้งเดิมและ
7
การเคี้ยวหมากถูกสั่งห้าม ทว่ารัฐบาลกลับประกาศให้ประชาชนหันมาสวมใส่กางเกง
กระโปรงและให้สามีจุมพิตภรรยาก่อนออกจากบ้านไปทำงาน บางส่วนของวัฒนธรรม
ใหม่เหล่านี้อยู่ไม่ยืดเกินสมัยของรัฐบาลจอมพล ป. แด่ก็มีบางอย่างที่ยังคงสืบทอด
มาจนถึงทุกวันนี้จนหลงเชื่อกันว่าคือความเป็นไทยที่มีมาช้านาน
ยังมีทัศนะอื่นๆอีกมากเกี่ยวกับความเป็นไทย และมีคำนิยามอื่นๆไม, รู้จบ
ไทยเป็นชาติหนึ่ง ( แด่ไม่ใช่ชาติเดียว ) ที่กังวลต่อการธำรงรักษาและส่งเสริมวัฒน-
ธรรมของชาติราวกับว่ามันอาจจะหายวับไปไต้ดังนั้นจึงต้องมีหน่วยงานของรัฐบาล
เพื่อการนี้อยู่เสมอแม้ชื่อหรือภารกิจอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา หนึ่งในหน่วยงาน
ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันก็ศึอ คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ซึ่งมีหน้าที่นิยามความ
เป็นไทยเพื่อจะได้กำหนดภารกิจของตนในการวางแผนงาน ประสานงาน และให้คำ
ปรึกษาเกี่ยวกับความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ครั้งหนึ่ง
คณะกรรมการเอกลักษณ์ฯได้ข้อสรุปว่าชาติมีองค์ประกอบ 8 ประการ ( อ้นได้แก่
ดินแตน ประชากร ความเป็นเอกราชและอธิปไตย รัฐบาลและการปกครอง ศาสนา
พระมหากษัตริย์วัฒนธรรม และเกียรติภูมิ ) กระนั้นก็ตี คณะกรรมการแสดงความ
ห่วงใยว่า “จะเห็นได้ว่าคำว่า ‘ เอกลักษณ์ของชาติ, มีความหมายที่กว้างมาก ครอบ
คลุมทุกส่วนของชาติจนทำให้บางครั้งอาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่สับสนและความ
6 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาต
เข้าใจที่ไม่ชัดเจน และสิ่งที่กำหนดขึ้นzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGF
8 ประการตังกล่าวนี้ ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับจาก
ดูเหมือนจะมีไม่จำกัดในที่นี้ความซํ้าซ้อนจึงเป็นสิ่งจำเป็นและมีประโยชน์
ถึงแม้ว่าจะไม่มีทางนิยามตัวตนของความเป็นไทยไต้ชัดเจนแต่เรายังเชื่ออยู่ดี
ว่าคนไทยทุกคนรู้จักม้นต็ ม.ร.ว. คึกฤทธึ้ ปราโมช หนึ่งในรัฐบุรุษและปัญญาชน
ที่สำคัญที่สุดของสังคมไทยสมัยใหม่ เคยสารภาพว่าท่านเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า
เอกลักษณ์แปลว่าอะไร กระนั้นก็ตาม ท่านมั่นใจว่าจักต้องมีเอกลักษณ์ฝังแน่นอยู่ใน
ตัวท่าน “ เอกลักษณ์ของคนชาติใดชาติหนึ่งนั้น...มีติดตัวมาแด่กำเนิดโดยสายเลือด
ความเป็นไทยส่วนใหญ่นั้นเกิดมาพร้อมกับคนไทย เป็นไทยเลียอย่างต้องมีความ
รูสกอย่างนนๆตองมลกษณะอย่างนนนพมใครแกใด” 1
ในเมื่อยากที่จะนิยามปริมณฑลของความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน จึงมีความ
พยายามจะนิยามปริมณฑลของความไม่เป็นไทย ( ยก -!ห31) ให ใต้มาดลอดเช่นกัน
1
ความพยายามพรรค์นี้ข่วยให้เรานิยามปริมณฑลของความเป็นไทยไปได้พร้อมๆ
กันจากอีกต้าน เอ็ดมุนค์ ลืช ( ผกาบก๘ เ-6ล0เา ) ได้ชี่ไห้เห็นในกรณีของพม่าตอนบน
ว่า กลุ่มชาติพันธ์ต่างๆนิยามตนเองได้ในแง่ของความแตกต่างจากกลุ่มชาติพันธุ
อื่นๆ แทนที่จะนิยามจากคุณสมบัติร่วมของคนในซนเผ่าตน (ซึ่งเป็นแคนิทานทาง '
แ เ
1 6 ฬธกใ1 031 0ก )
^
มีบ่อยครั้งที่ความเป็นอื่น (0เ1า6๓6ธ5) หมายถึงอะไรบางอย่างที่สังกัดชาติอื่น
แด่ชาติอื่นหรือชนชาติอื่นที่อ้างถึงกลับมีความหมายคลุมเครือว่าหมายถึงใครหรือ
อะไรกันแน่ ตัวอย่างเช่น ในภาษาไทย คำว่า “ ฝรั้ง” เป็นคำคุณศัพท์และคำนามที่
รู้จักกันดีว่าหมายถึงชาวตะวันตก โดยไม่ได้เจาะจงถึงสัญชาติ วัฒนธรรม ชนชาติ
ภาษา หรืออะไรลักอย่าง “แขก” เป็นอีกคำที่มีความหมายครอบคลุมประชาชนและ
ประเทศต่างๆตั้งแต่คาบสมุทรมลายู หมู่เกาะอินเดียตะวันออก เอเชียใต้ไปจนถึง
ตะวันออกกลาง โดยไม่มีอะไรเฉพาะเจาะจง แขกยังหมายถึงซาวมุสลิมอีกด้วย นั้น
ก็คือ บางครั้งการอ้างถึงความเป็นอื่นก็ท่ากันโดยมิได้สนใจว่าคุณสมบัติที่เอ่ยถึง
บทนำ การดำรงอยู่ขธงความเป็นชาติ 7
นั้นเป็นของชาติหรือชนชาติใดโดยเฉพาะ เพราะจุดประสงค์ของวาทกรรมตังกล่าว
ต้องการแค่บอกถึงสิ่งที่ไม่ใช่ไทย มากกว่าที่จะมุ่งนิยามคุณสมบิตของชนชาตินั้นๆ
มื่อสามารถบอกได้ว่าความไม่เป็นไทยคืออะไรแล้ว ด้านตรงข้ามของมันซึ่งก็คีอ
ความเป็นไทยก็จะเป็นที่เข้าใจได้
ตัวอย่างการนิยามตัวตนทางกลับนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ใม่ยากในชีวิตประจำวัน
ในการสนทนาระหว่างเอกอัครราชทูตไทย ณกรุงแคนเบอร์รา กับนักศึกษาไทย
ที่นั้น เมื่อกลางเตือนกุมภาพันธ์พ.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGF
ศ. 2530 เกี่ยวกับนักศึกษาเอเชียในประเทศ
ออสเตรเลีย ท่านทูตได้กล่าวเตือนนักศึกษาไทยว่า “ อย่าประพฤติตัวเหมือนพวก
เวียดนาม” ไม่แน่ใจนักว่าท่านหมายถึงพวกเวียดนามในออสเตรเลีย หรือคอมมิว -
นิสต์เวียดนามในเวียดนาม หรือว่าทั้งสองอย่าง ท่านเองก็คงไม่ได้สนใจนักว่าคำที่
ท่านใช้นั้นหมายถึงอะไรกันแน่ คำว่า “ เวียดนาม” ในกรณีนี้ใช้แทนความเป็นอื่น
ชนิดหนึ่งหรือสิ่งที่ไม่ใช่ไทยที่เราควรหลีกเลี่ยงแค่นั้นเอง โตยไม่สำคัญเลยว่าจริง ๆ
แล้วคนเวียดนามประพฤติตนเช่นนั้นจริงหรือไม่
บางครั้งความไม่เป็นไทยก็ไม่ใช่เรื่องของชาติหรือเซี้อชาติ ดังเช่นที่ผูสื่อข่าว
คนหนึ่งเล่าว่าเขาเคยแกล้งแหย่คนไทยคนหนึ่งว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แต่คนไทยผู้นั้น
กลับไม่เสึกตลกเลย และรีบสวนกลับไปทันทีว่า “ ผมไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ผมเป็นคน
ไทย” 12 นี่เป็นทัศนะทางการของรัฐไทยที่มีต่อคอมมิวนิสต์ด้วยเช่นกัน กล่าวอย่าง
รวบรัดก็คือ พระราชบิญญิติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ (พ.ศ. 2495/
'
การแจกจ่ายโปสเตอร์เกี่ยวกับภัยคุกคามคอมมิวนิสต์ไปตามโรงเรียนระดับประถม
ทุกแห่ง โปสเตอร์นั้นเป็นภาพวาดแสดงแผนที่ประเทศไทยขนาดเล็กนิดเดียวกำลัง
ถูกข่มขู่จากปีศาจยักษ์สีแตงที่มีกำเนิดจากตอนเหนือขึ้นไปภายในภาคพื้นทวีป
เอเชีย ในที่นึ่ดัทธิคอมมิวนิสม์กับชาติอื่นผนวกรวมกันหมายถึงความเป็นอื่นอัน
ชั่วร้าย (จะพิจารณารูปโปสเตอร์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนึ่แต่ใหม่กว่าโดยละเอียด
ในช่วงท้ายของหนังสือเล่มนี้)
ขบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนในช่วงพ.ศ.2516- 2519
( ค.ศ. 1973-1976) มักถูกกล่าวหาว่าเป็นการสมคบคิดกับศัตรู ศัตรูในที่นึ่ก็คือลัทธิ
8 กำเนิดสยามจากแผนทีz่ : yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประวํตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
คอมมิวนิสม์บวกกับต่างชาติ ผู้นำนักศึกษาถูกป้ายสีว่ามีเชื้อสายเวียดนาม เพราะนับ
ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) เวียดนามได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอื่น
จากปีพ.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ที่ชั่วร้ายที่สุดในสายตาของรัฐไทย ในเหตุการณ์ดังหารหมู่นักศึกษาเมื่อวันที่ 6
ตุลาคม 2519 ขณะที่ผู้ร่วมชุมนุมนับพันกำลังถูกโจมตีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและ
กลุ่มฝ่ายขวาติดอาวุธ นักศึกษาบางคนถูกรุมประชาทัณฑ์เพราะพวกม็อบป่าเถื่อน
ถูกปันหัวว่าผู้ตกเป็นเหยื่อเหล่านั้นเป็นญวน ฉะนั้นในบริบทนี้ เวียดนาม ลัทธิ
{นก ะแอก ) เซ่นเดียวกับชาวสวีเดนและ
คอมมิวนิสม้ และ “ พวกหัวรุนแรง” ทำหน้าที่z(yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPON
(
ไหยศึกษา
แม้ว่าคำนิยามหรือองค์ประกอบของความเป็นไทยจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ชัดมากพอ
ในจิตใจของคนไทย ความเป็นไทยเป็น “ สิ่ง” ที่ดำรงอยู่บนพึ๋นผิวโลกและในประวัติ -
ศาสตร์ มีลักษณะเฉพาะตนที่แตกต่างจากชาติอื่น นักวิชาการไทยจำนวนมากเห็น
ว่าการศึกษาสิ่งดังกล่าวเป็นเรื่องที่คนไทยย่อมรู้ดีลึกซึ้งกว่าคนชาติอื่น คนไทย
ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการหรือไม่ก็ตาม ต่างคุ้นเคยกับคำเดือนว่าอย่า “ ตามกันฝรั่ง”
สำหรับพวกเขา ความเป็นไทย ประเทศไทย คนไทย ไทยศึกษา หรืออะไรก็ตาม
เกี่ยวกับไทย เป็น “ สิ่ง” ที่ฝรั่งศึกษาได้ แด่จะไม่มีวันเข้าถึงอย่างที่คนไทยทำได้
เพราะคนไทยเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทย แต่ฝรั่งไม่ใช่ คนไทยจึงเป็นเจ้าของ
มัน และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่พวกเขามีร่วมกัน ความรู้สึกว่าอัตลักษณ์นี้
เป็นส่วนหนึ่งของตน ทำให้นักวิชาการไทยถือว่าตนอยู่ในสถานะเหนือคนชาติอื่น
ในวงการไทยศึกษา เพราะ “ ไทย” มิใซ่เป็นเพียงแค่อาณาบริเวณการศึกษา แต่เป็น
ส่วนประกอบภายในตัวเขา ในทางตรงข้าม นักวิชาการฝรั่งจะต้องหาทางเอาชนะ
ซ่องว่างมหาศาลที่ขวางกั้นระหว่างตัวตนของผู้ศึกษากับสิ่งที่ศึกษาให็ได้
บางครั้งซ่องว่างนี้ได้ถูกวัดออกมาให้เห็นอย่างชัตเจนและเป็นรูปธรรมด้วย
เส้นพรมแตนของไทย ดังเซ่นนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระดับ
แนวหน้าคนหนึ่งของไทยเคยใช้ประเด็นนี้โต้ตอบนักวิชาการต่างชาติในปัญหา
กัมพูชา เขากล่าวว่านักวิชาการด่างชาติเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากสิ่งที่กำลังเกิดชื้น
บทน์า การท้ารงอยู่ของความเป็นชาติ 9
- กัมพูซา ซึ่งไม่เหมือนคนไทย ( ประชาซน ? นัก
ในกัมพูชาและตามชายแดนไทยzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFE
วิชาการ? ทหาร?) ที่มีประสบการณ์โดยตรง เพราะฉะนั้น “ นักวิชาการ...บางคน
สนใจรับฟังเหตุผลของคนต่างชาติที่มองปัญหาอย่างผิวเผินมากกว่าของคนไทย
อย่างนี้ก็ช่วย'ไม่' ได้”
'
14
ที่เคยตกเป็นอาณานิคมอื่นๆในแงที่ไม่มีการปะทะต่อสู้กันระหว่างวิชาการของ
,
เจ้าอาณานิคมกับฝ่ายต่อต้านอาณานิคม บางครั้งจึงทำให้นักวิชาการที่เห็นอก -
เห็นใจคนพื้นถิ่นสมยอมทางภูมิปัญญาอย่างไม่วิพากษ์วิจารณ์ นักวิชาการเหล่านี้
มีแนวโน้มยอมรับทัศนะของชนชั้นนำสยามเป็นวาทกรรมอันชอบธรรมเกี่ยวกับ
ประเทศไทยไป , 7 หากกิจกรรมทางปัญญาถูกสถาปนาโดยความสัมพันธ์ทางอำนาจ
ดังเช่นที่ซาอิดได้เสนอไว้แล้ว ในบริบทนี้ การเป็นคนพื้นถิ่นก็ได้กลายเป็นอภิสิทธึ้
อย่างน้อยก็สำหรับนักวิชาการจำนวนไม่น้อย
ขณะที่ลัทธิบูรพคดีวิทยา (๐กิ©ก!สแ5กา ) โดยพื้นฐานเป็นความรู้เกี่ยวกับคนอื่น
(๒© ๐๒© โ ) ของอารยธรรมตะวันตก เรื่องไทยของคนไทยเป็นความรู้ของความเป็น
“เรา” (พ© ) หรือตัวตนของคนๆ หนึ่งเอง ความเป็นจริงที่ถูกกล่าวถึง ศึกษา หรือ
จินตนาการชิ้นมา ไม่ใช่ “ศู่ตรงข้าม” (©©นก!© โ - ถ3โ!) แต่เป็นตัวเราเองทางสังคม
และแบบรวมหมู่ ด้วยเหตุผลนี้ชุมชนของชาติและมิติทั้งหลายของมันไม่ว่าจะเป็น
10 ก็าเนิดสยามจากแผนที่ : ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ชาตินิยม ความรักชาติ อัตลักษณ์วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ภาพลักษณ์โลกทัศน์
และอื่นๆ จึงมิไต้เป็นเพียงหัวข้อของการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็น
( พ© - ธ© II ) ทั้งในทางกายภาพและจิตวิญญาณที่เราศึกษา
มิติของความเป็นตัวเราzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
หาความเข้าใจ พอๆ กับที่ห่วงหาอาลัย จงรักภักดี เข้าข้าง และคลงไคลใหลหลง
ภายใต้รูปโฉมของการศึกษาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์และรูปแบบทางวิชาการ
(โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใส่เชิงอรรถ การอ้างอิง และบรรณานุกรม) การศึกษาเรื่อง
ไทยโตยคนไทยอยู่ภายใต้กรอบกระบวนทัศน์ของความเป็นตัวเราตลอดมา สิ่งนี้
ทำให้งานเหล่านั้นมีทัศนะ อารมณ์ค่านิยม ตลอดจนข้อจำกัด ข้อห้าม ข้ออ้าง และ
ความน่าเชื่อถึอในแบบหนึ่ง วิทยาการของความเป็นตัวเรายังมีเศรษฐกิจการเมือง
และคำถามอีกแบบที่แดกต่างไปจากวิทยาการไทยศึกษาโดยนักวิชาการต่างชาติ
อีกด้วย ประเทศไทยที่ถูกมองและศึกษาโดยนักวิชาการไทย มักไม เหมือนกับ
,
ประเทศไทยในสายตาของนักวิชาการต่างชาติ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของวาท -
18
กรรมเกี่ยวกับความเป็นตัวเรา ไทยศึกษาโดยคนไทยจึงดูเหมือนมีอำนาจน่าเชื่อถือ
ตามธรรมชาติ เป็นทัศนะของ “คนใน” ที่จะบอกว่าอะไรคึอสิ่งที่ต็หรือเลวสำหรับ
ไทยและอะไรเป็นไทยหรือไม่ หัวข้อศึกษาที่ชอบอ้างอำนาจของทัศนะคนในและถือ
เป็นความไต้เปรียบอยู่เรื่อยก็คือ ชาติพันธุวิทยาเกี่ยวกับความคิดและโลกทัศน์ของ
คนพึ้นเมือง ดังเช่นที่งานชิ้นหนึ่งได้อ้างว่า:
[หนังสือเล่มนี]้ จะ. พยายามบรรลุถึงคุณประโยชน์บางประการของแนวโน้ม
..
บทนำ การติารงอยู่ของความเป็นชาติ 11
มีโลกทัศน์ของคนไทยภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ และยังมี
โลกทัศน์ของคนไทยสมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ตอนดัน20zyxwvutsrqponmlkjihgfed
วิธีการศึกษา
ของงานเหล่านี้ก็แทบจะเหมือนกันหมด กล่าวคือ จัดข้อมูลหลักฐานเป็นหมวดหมู่
ตามคุณสมบ้ตของความเป็นไทยที่ผู้ศึกษากำหนดล่วงหน้าไว้แล้วว่าประกอบกัน
เข้าเป็นโลกทัศน์ของคนไทย แล้วผู้เขียนก็คัดลอกข้อความจากหลักฐานโดยตรง
ไม่ว่าจะเป็นนิทานพื้นบ้าน เพลง สุภาษิต การละเล่น แล้วบอกว่านั่นคือผลของการ
วิเคราะห์โลกทัศน์ของคนไทย21 ไม่มีใครตั้งคำถามว่า แท้ที่จริงแล้ว ผลของการ
วิเคราะห์นั้นเป็นโลกทัศน์ของคนไทยที่พบจากข้อมูล หรือเป็นผลของการจับข้อมูล
ใส่ลงตามการจำแนก (13X วกวกIV ) แบบที่ผู้เขียนกำหนดล่วงหน้าไปแล้วตามที่ระบุ
1
ไว่ในตอนดันของงานวิจัยแต่ละชิ้น พวกเขาคงจะมีสมมติฐานว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่ง
เดียวกัน ดังนั้นแหล่งที่มาของโลกทัศน์ไทยก็คือตัวผู้เขียนเอง ข้อมูลหลักฐานเพียง
แค่มาช่วยยืนยันผู้เขียนซึ่งเป็นตัวตนของโลกทัศน์ไทยอยู่แล้ว
ข้อวิจารณ์นี้ไม่ใช่เป็นการปฏิเสธว่าแต่ละสังคมมีลักษณะเฉพาะของตนเอง
แต่เพื่อชิ้ว่าวาทกรรมเกี่ยวกับความเป็นตัวเราไม่ใช่แค่เป็นผลของการกล่าวอ้าง
อย่างเกินจริงถึงลักษณะเฉพาะของตน (ซึ่งตามมาด้วยการยํ้าจน “ เว่อร์” ว่าความ
คุ้นเคยใกสํชิดสำคัญขนาดไหน) หากยังเป็นการอวดอ้างโตยคนบางคนหรือหนังสือ
บางเล่มว่าตนมีอภิสิทธี้ สิทธิ หรืออำนาจในวิทยาการด้านไทยศึกษาหรือความเป็น
ไทย เพราะความผูกพันที่ตนมีตามธรรมชาติ ทัศนะของคนพื้นถิ่นเป็นยาขนานดี
เพื่อต่อสู้กับความสัมพันธ์ทางอำนาจของวาทกรรมแบบนักบูรพคดีวิทยา
แต่วาท-
กรรมว่าด้วยความเป็นไทย (ของคนไทย) ก็เป็นอาณาจักรแห่งอำนาจของตนเอง
ด้วยเช่นกัน ในบริบทของลัมพันธภาพทางอำนาจระดับโลก มันอาจเป็นชายขอบ
เพื่อต่อด้านศูนย์กลางของโลก แต่ในบริบทของลัมพันธภาพทางอำนาจในสังคม
ไทย บ่อยครั้งมันเป็นข้ออ้างเพื่อความชอบธรรมของวาทกรรมครอบงำหรือวาห-
กรรมของรัฐที่มีเหนือผู้ถูกปกครองหรือเสียงข้างน้อยภายในโลกของคนไทยเอง
ในยุคหลังอาณานิคมผู้ปกครองที่กดขี่มักใช้วาทกรรมต่อต้านตะวันตกเพื่อช่วยให้
ผู้ปกครองสามารถควบคุมอาณาจักรแห่งอำนาจของตนได้อย่างมั่นคงยิ่งชิ้น หาใช่
วาทกรรมของผู้ที่ถูกกดขี่ไม่ ด้วยเหตุที่ไม่เคยนิยามความเป็นไทยที่ชัดเจนออกมา
และไม่มีวันเป็นไปได้ ฉะนั้นการศึกษาว่าอะไรคือความเป็นไทยและดัมพันธภาพ
ทางอำนาจอ้นเป็นผลที่ตามมาของการศึกษานั้นๆ จึงเป็นสนามของการปะทะกัน
ระหว่างการดีความโดยฝ่ายต่างๆกันเพื่อแย่งชิงอำนาจนำ (ก696๓อกV )
12
I กี่เาเนิตสยามจากแผนที:่ ประวติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
รปะทะต่อส์ของการตีความ
1970 จนถึงกลางทศวรรษถัดมา (ราวๆพ.ศ. 2518- 2528)
บแต่กลางทศวรรษzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ถานีวิทยุทั้งหมดในเครือข่ายของกองทัพบก ชึ่งมีจำนวนถึงสองในสามของสถานี
ทยุทั้งหมดในประเทศไทยขณะนั้นออกอากาศรายการประจำ 2 รายการทุกวันใน
ลา 6.45 น. และ 1 8.00 น. เรียกร้องความมีวินัยและความสามัคคีของคนในชาติ
ระตุ้นกระแสชาตินิยมและให้คนไทยตระหนักถึงความมั่นคงของชาติที่กำลังตก
ยู่ท่ามกลางภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ หัวข้อที่
อกอากาศมีตั้งแต่วิจารณ์การเมืองและปัญหาสังคม รวมทั้งโจมตีรัฐบาลพลเรือน
มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งคราว ไปจนถึงตอบจดหมายที่ส่งเข้ามาและประกาศ
ยวกับงานศพ แต่สาระสำคัญของรายการมีอยู่ชัดเจน นั้นคือ อะไรคือสิ่งที่ถูกและ
ดสำหรับคนไทย คนไทยควรประพฤติตนเข่นไรและควรคิดกับเรื่องต่างๆ อย่างไร
ายการพรรค์นี้พยายามยัดเอียดแบบแผนทางสังคมและความคิดให้กับประชาชน
ป็นรายการล้างสมองอย่างโจ่งแจ้งที่แทรกซึมไปในทุกครัวเรือนและรถประจำทาง
กคันวันละสองเวลา การสรางความชอบธรรมให้กับทัศนะมาตรฐานเหล่านั้น บ่อย
รั้งไม่ไต้มีอะไรมากกว่าคำพูดประ๓ท “ ตาม[วัฒนธรรม คำนิยม ประเพณี ประรัติ -
าสตร์] แบบไทย...” 22 สำหรับการนิยามทางตรง บทวิจารณ์มักอ้างประรัตศาสตร์
ระราชดำรัส หรือดำพูดของผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ
ฉพาะด้านต่างๆ ของความเป็นไทย สำหรับการนิยามทางกลับ พวกเขามักจะ
ล่าวถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินโดจีน ว่าเป็น
วอย่างของความชั่วร้าย เสื่อมทราม และค่านิยมที่คนไทยพึงหลีกเลี่ยง กล่าวให้
ดเจนยิ่งขึ้นก็คีอ มักมีการกส่าวหาบ่อย ๆว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในประเทศเหล่านั้น
อความชั่วร้ายและเสื่อมทราม เป็นคนอื่น รายการดังกล่าวนอกจากทำหน้าที่ระดม
ลังสนับสนุนของมวลชนให้กองทัพบกแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมของ
างราชการเพื่อผลิตมาตรฐานของความเป็นไทย 23
ขณะที่ความพยายามจะสร้างมาตรฐานดังกล่าวนี้มีเป้าหมายอยู่ที่การดีความ
วามเป็นไทยที่โต้แย้งไม่ไต้ ก็กลับมีการดีความแบบอื่นมาโต้แย้งอยู่ดี แด'การ
ตีความอื่นๆ เหล่านั้นแทบทุกกรณี ท้าทายทัศนะของทางการก็เพื่อจะได้เสนอ
มาตรฐานของความเป็นไทยอีกชุดหนึ่งเท่านั้นเอง การละทิ้งความคิดเรื่องความ
ป็นไทยอาจไม่เคยมีในความคิดของพวกเขาเลยก็เป็นได้ แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์
บทน์า การดำรงอยู่ของความเป็นชาติ 13
( พคท . ) ซึ่งเป็นองค์กรที่ต่อต้านอำนาจรัฐไทยอย่างเด็ดขาดที่สุด
แห่งประเทศไทยzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ในประรัตศาสตร์ยุคใหม่ ก็ยังกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็น
พวกต่อด้านตะวันตก จนช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในงานโฆษณาชวนเชื่อ
ด้านอุดมการณ์ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 สัญญาณที่ชัดเจนของคุณลักษณะ
ดังกล่าวก็คือแผนงานด้านวัฒนธรรมของ พคท . ที่มีลักษณะเคร่งครัดหัวโบราณ
( เวนท่เสก! ะส! ) มุ่งสร้างวัฒนธรรมของมวลซนแบบประเพณี (ที่ตนสร้างขึ้น) และโจมตี
(
การไหลบ่าของวัฒนธรรมตะวันตกที่ฟอนเฟะและความหน้าไหว้หลังหลอกของ
รัฐไทยที่ไม่สามารถปัองกันการเสื่อมถอยของวัฒนธรรมไทยได้ ผู้นำนักศึกษา
คนหนึ่งที่เคยเข้าร่วมกับ พคท. และถอนตัวออกมาในภายหลัง ได้กล่าวไว้ว่า “ในแง่
ถือค่านิยมเก่าแล้ว , พรรคคอมมิวนิสต์รับ ‘ มรดก’ ของไทยมามากกว่าที่ผู้ลังเกต -
การณ์หลายคนจะมองเห็น” เท่าที่ผ่านมา บรรดาผู้วิพากษ์ พคท. ยังไม่เคยกล่าว
24
คนบางส่วนของแนวทางนี๋ได้ป่าวประกาศว่าความเป็นไทยเป็นสิ่งที่ฝังรากลึก
อยู่ในวิถีชีวิตและภูมิปัญญาของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เกษตรกร ตาม
ทัศนะเช่นนี้ ความเป็นไทยและภูมิปัญญาไทยจึงอยู่ที่ชนบทและถือกำเนิดจาก
14 กำเนิดสยามจากแผนที่ : ประวตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ขั้วตรงข้ามกับซนชั้นนำzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
27
แต่สิ่งที่พวกเขาเป็นเหมือนๆ กับความเป็นไทยของ
ชนขั้นนำก็คือการต่อต้านวัฒนธรรมตะวันตก บทกวีเล่มหนึ่งที่เขียนโตยประกาศก
คนสำคัญของทัศนะนี้ ได้กล่าวว่า:
บทกวีที่ก้าวทันความขั้าซากว่าเจของวิธีคิตที่ลอกเลียนปรัชญาตะวันตก เพื่อ
นำสู่การมองภาพหมู่บ้านชนบทและงานพัฒนาได้อย่างมีชีวิตชีวาจากความ
เป็นจริง... ทักทายแนวคิดตะวันตกด้วยการผสมผสานสุนทรียด้านใน ผ่าน
ความประณีตบรรจงเพื่อสร้างงานฝากไว้กับแผ่นดินในยุคที่คิลปีนจำนวน
มากกำลังสูญเสียเอกลักษณ์แบบไทยๆ ก้าวเข้ารับใช้เอกลักษณ์ใหม่ที่หลง-
ใหลเข้ามาจากแผ่นดินอื่น...
28
สำหรับฝายทหาร แม้สังคมไทยจะเผชิญการคุกคามจากฝ่ายซ้ายตลอดเวลา
แต่ความเป็นไทยก็ยังเข้มแข็งตีอยู่ แต่สำหรับชาวพุทธที่ราดิกัล ( โ3.6 เ0ฝ) ความ
เป็นไทยตกอยู่ในวิกฤติเพราะอิทธิพลท่วมทันของวัฒนธรรมตะวันตก เพราะฉะนั้น
ความเป็นไทยจะต้องได้รับการพื่นฟูอย่างเร่งด่วน เพราะมันเป็นหนทางเดียวเพื่อ
อนาคตของสังคมไทย29 ดังที่ชาวพุทธราติกัลคนหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ การที่
คนไทยรุ่นปัจจุบันดีดัวออกจากความเป็นไทย คือรู้สึกแปลกแยกและสูญเสียความ
ภาคภูมิใจในชาติของตนนั้นก็เพราะชนขั้นนำของสังคมไทยในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา
ขาดการใช้สติปัญญาถามถึงเอกลักษณ์ของเราอย่างจริงจัง เพราะมัวไปเดินท่อมๆ
ตามกันฝรั่งกัน” ที่แปลกพิกลก็คือ ความกังวลต่อศีลธรรมเสื่อมถอยนี้เหมือนกับ
30
นักต่อต้านคอมมิวนิสต์ตัวยงอย่างกิตติวุฑโฌกลับไม่ห่วงเรื่องนี้แม้ว่าเขาจะเห็น
ด้วยว่าความโลภของทุนนิยมและการศึกษาขั้นสูงเป็นสาเหตุของความตกตํ่าทาง
ศีลธรรมและศรัทธาในศาสนาในโลกตะวันตก แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าในประเทศไทยซึ่งมี
พุทธศาสนาเป็นดวงประทีปนำทาง การเข้ามาของเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์มีแด่
จะช่วยทำให้ศรัทธาในพุทธศาสนาแรงกล้าขึ้น 32
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าการดีความแบบไหนถูกต้องและชอบธรรมมากที่สุต แด่
อยู่ที่ว่าความใกล้ชิดตามธรรมชาติและตามสายเลือดท่าให้คนไทยมีความคุ้นเคย
ปฏิวัติไทยอย่างหัวปักหัวป้าและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
โดยตรง พวกเขาก็ตาสว่างขึ้น สำหร่บคนหนุ่มสาวเหล่านี้ปัจจัยแปลกปลอมจาก
33
16 ท้าเนิดสยามจากแผนที่z:yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
สยามในฐานะประติษฐกรรมทางวัฒนธรรม
ประวัติศาสตร์คือฐานข้อมูลสำคัญของความเป็นไทย การตีความเกี่ยวกับความเป็น
ไทยทั้งหลายมักอ้างอย่างภาคภูมิใจว่าประวัตศาสตร์สนับสนุนความคิดของตน
นแง่นี้ประวัตศาสตร์เป็นอำนาจตัดสินว่าอะไรเป็นไทยหรือไม่ แทบจะไม่มีการ
ดีความอันใดที่ไม่ใช้ประวัตศาสตร์เป็นอำนาจ อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาประวัตzิ -yxwvu
ศาสตร์ไทยเป็นกระดูกสันหลังของวาทกรรมความเป็นชาติอย่างเป็นวิชาการและ
ป็นวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ควรจะทำกับไทยศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดย
คนไทย ก็ไม่ควรเป็นเพียงแค่งานเขียนที่จะถูกผนวกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
งานที่มีอยู่แล้ว แต่ควรจะเป็นตรงข้าม คือควรจะเป็นการท้าทายหรือประวัติศาสตร์
สวนทาง (00บก๒โ - (าเร๒โV )
งานประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศไทยที่ทำกันมามักสมมติล่วงหน้าว่าประเทศ
ป็นหน่วยทางการเมืองหรือสังคมเศรษฐกิจซึ่งเป็นอาณาจักรหรือรัฐที่ดำรงอยู่
ก่อนแล้วแต่กาลโพ้น ด้วยวิธีนี้ นักประวัติศาสตร์จึงสามารถกล่าวถึงระบอบการ
ปกครอง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงของประเทศไต้
ประเทศดำรงอยู่ในตัวมันเอง การศึกษายืนยันการดำรงอยู่ของมัน แต่หนังสือเล่มนี้
ป็นประวัติศาสตร์เพื่อหาว่าความเป็นชาติถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรโตยจะตรวจสอบ
ประวัติศาสตร์ตอนหนึ่งซึ่งนักประวัติศาสตร์แบบจารีตมักยกย่องสรรเสริญว่าเป็น
หนึ่งในเหตุการณ์ที่ยืนยันความเป็นเลิศของความเป็นไทยได้แก่การสร้างรัฐสยาม
สมัยใหม่ แต่แทนที่จะอภิปรายเกี่ยวกับกระบวนการสร้างชาติ งานขึ้นนี้ต้องการ
แสตงให้เห็นว่าสยามคือประติษฐกรรมของวาทกรรม กษัตริย์ไทยเป็นเพียงเครื่องมือ
ของวาทกรรมชุตใหม่เท่านั้น และความเป็นไทยก็หาใช่อะไรอื่นนอกจากประติษซิ -
กรรมที่มีกำเนิดอันสามัญธรรมดา
เช่นเดียวกับชาติทั้งหลายที่อยู่นอกทวีปยุโรป ประวัติศาสตร์ถือว่าการต่อสู้
ของสยามต่อจักรวรรดินิยมยุโรปในศตวรรษที่ 1 9 เป็นจุตเริ่มต้นของชาติสมัยใหม่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต่างจากผู้อี่นก็คือ สยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของตะวันตก
อย่างเป็นทางการเลย นี่เป็นปรากฎการณ์โดดเด่นที่คนไทยรูสึกภูมิใจอยู่เสมอ ดังนั้น
จึงมักถือกันว่าสยามเป็นรัฐแบบจารีตที่ปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่ความเป็นชาติสมัย
ใหม่ด้วยความสามารถของกษัตริย์ไทยในการรับมือกับภัยคุกคามจากมหาอำนาจ
ยุโรปได้อย่างชาญฉลาดและทันท่วงที โดยปรับปรุงประเทศไปสู่ความท้นสมัยใน
บทน์า การดำรงอยู่ของความเป็นซาต 17
ทิศทางที่ถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเวลา ฉะนั้น ความต่อเนื่อง เป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน และความยั่งยืนของจารีตประเพณีโดยเฉพาะพุทธศาสนาของไทยและ
สถาบันกษัตริย์ จึงเป็นคุณสมบัติอันโตดเด่นหรือถึงกับเป็นลักษณะเฉพาะของ
เหมือนใคร ทัศนะมาตรฐานทางประวัติศาสตร์ไทยนี้ดำรงอยู่
สยามยุดใหม่ที่ไมzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
,
อย่างเหนียวแน่นมั่นคงในสังคมไทย รวมทั้งในหมู่นักวิชาการที่ศึกษาประเทศไทย
และแวดวงคนหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าในปัจจุบัน แม้ว่าจะถูกท้าทายอยู่บ้างก็ตาม
34
แน่นอนว่านื่เป็นการให้สิทธิธรรมกับลัทธิทหารด้วยเซ่นกัน
ในประเทศไทย ทัศนะมาตรฐานนี๋ได้ถูกตั้งดำถามโดยประว้ติศาสตร์นิพนธ์
ไทยแนวมาร์กซิสต์ ในช่วงทศวรรษ 1 950- 1970 (ราว ๆ พ.ศ. 2490 เศษ และ 2520
เศษ) 35 มีการนำเสนอประวัติศาสตร์ทางเลือกใหม่จัานวนหนึ่ง โดยเฉพาะในกรอบ
ของการต่อสู้ทางซนชั้นและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม ตามทัศนะนี้ การ
ก่อตัวของสยามสมัยใหม่เป็นผลของการที่สยามไต้เข้าสู่ระบบตลาดโลกโดยถือเอา
สนธิสัญญากับอังกฤษในปี พ.ศ. 2398 ( ค.ศ. 1 855 ) เป็นหลักหมาย พวกเขาโต้แย้ง
กับประวัติศาสตร์กระแสหลักที่ยํ้าถึงบทบาทของสถาบันกษัตรีย็ในกระบวนการ
สร้างรัฐชาติ ด้วยข้อเสนอว่าจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของรัฐชาติคือเมื่อระบอบสมบูร -
ณาฌาสิทธิราชย์สิ้นสุตลงในปี 2475 (ค.ศ. 1932) และสยามนับแต่ปลายศตวรรษ
ที่ 19 จนถึงสามทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 ยังคงเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธึ้อยู่ 36
ควบดู่ไปกับวาทกรรมภายในประเทศเกี่ยวกับรัฐไทย นักวิชาการตะวันตก
หลายคนก็ตั้งดำถามในทำนองเดียวกัน พวกเขาเห็นว่าสยามเป็นประเทศอาณา -
นิคมทางอ้อมทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและการเมืองนับจากกลางศตวรรษที่ 19 ตลอด
มาจนถึงระบอบเผด็จการทหารยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การสร้างชาติและ
37
บทบาทของสถาบันกษัตรีย็ในปลายศตวรรษที่ 1 9 ยังถูกตั้งคำถามอย่างแรงว่าอาจ
เป็นอะไรก็ได้แต่ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของรัฐประชาชาติ ประเด็นสำคัญของข้อโต้แย้งนี้
ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า รัฐไทยไม่สามารถสร้างความเป็นปืกแผ่นทางการเมืองแบบชาติ
สมัยใหม่ตัวยการประสมประสานชนกลุ่มน้อยทุกประ๓ท ไม่ว่าจะเป็นด้านเชี้อชาติ
ศาสนา หรืออุตมการณ์ ให้เข้ากับคนส่วนใหญ่ที่เป็นไทยพุทธภายใต้การปกครอง
ของกษัตริย์ได้ ภายใต้วาทกรรมของนักวิชาการตะวันตก ความหมายของสิ่งที่
38
18 กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
การท้าทายเหล่านี้พยายามที่จะตอบโต้กับการให้ความสำคัญจนเกินเลยกับ
ความปรีชาสามารถของกษัตริย์และความสามารถในการปรับตัวของสถาบันจารีต
ทั้งหลาย การท้าทายเหล่านี้หันไปพิจารณาพลังทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ผูกติต
อยู่กับปัจเจกบุคคล และยังพยายามที่จะแยกกษัตริย์ที่ตูคล้ายนักชาตินิยมออกจาก
กำเนิดของชาติในปัจจุบันด้วยการยํ้าให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ระบอบกษัตริย์ในการทำให้ไทยกลายเป็นรัฐประชาชาติ
ที่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม การมองปัญหาด้วยวิธีการทางเศรษฐกิจสังคมนี้จักต้อง
อิงกับตัวแบบ ทฤษฎี หรือบรรทัดฐานจำนวนหนึ่งของความเป็นรัฐประชาชาติ เพื่อ
เปรียบเทียบสยามกับตัวแบบนั้นๆ ภารกิจของวิธีการศึกษาเหล่านั้น ก็เพื่อระบุว่า
สยามเป็นรัฐประชาชาติหรือไม่ หรีอเพื่อเปิดเผยธรรมชาติของรัฐด้วยการประยุกต์
ใช้เกณฑ์คุณลักษณะที่นักวิชาการกำหนดขึ้นเอง
ประวัติศาสตร์ครํ่าครึเรื่องกษัตริย์กับสงครามมักถือเอานิยามที่ล้าสมัยและ
หยุดนิ่งเกี่ยวกับความเป็นรัฐชาติไทย แล้วประยุกต์ใช้ย้อนไปในอดีต ส่วนประวัติ - zyxw
ศาสตร์ทางเลือกก็มักจะเสนอพลวัตและกระบวนการ แต่ทว่ายึดติดอยู่กับเกณฑ์
ทางวิชาการจำนวนหนึ่งที่สรุปมาจากไหนไม่รู้ แต่อยู่นอกเหนือประวัติศาสตร์ที่พวก
เขาพยายามอธิบายแน่ๆ อันที่จริง ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของรัฐประชาชาติใน
ยุโรป นักวิชาการก็พยายามจะพิจารณาตัดสินว่า องค์ประกอบที่แท้จริงและเป็น
ธรรมชาติของชาติ สัจจะหรือตัวตนของชาติ คืออะไรกันแน่ ประวัติศาสตร์ทั้งหมด
ของชาติหนึ่งมักจะต้องถือว่าชาตินั้นๆ ดำรงอยู่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย หรือทึกทัก
ว่าชาตินั้นๆ มีคุณสมปัติที่แน่นอนอย่างนั้นอย่างนี้ ราวกับว่าตัวตนของชาติหล่นมา
จากฟ้าก่อนหน้านั้นแล้ว
ความยุ่งยากนี้มิได้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะกับประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ของชาติในภูมิภาคอุษาคเนย์เท่านั้น คำถามใหญ่ประการหนึ่งที่ยังคงหลอกหลอน
นักประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ในยุคด้นอยู่ก็คือเรื่องการก่อตัวของรัฐ กล่าวให้ชัดเจน
ยิ่งขึ้นก็คือ คำถามว่าเราจะพูดเกี่ยวกับการก่อตัวของรัฐได้อย่างไรหากไม่กำหนด
ล่วงหน้าไว้ก่อนว่ารัฐคืออะไร ทั้งนี้รัฐเป็นสิ่งที่นักสังคมศาสตร์กำหนดมาให้ไม่ใช่
มาจากผู้คนซาวอุษาคเนย์เอง ฉะนั้น บางครั้งนักประวัติศาสตร์จึงสงสัยว่ารัฐหนึ่งๆ
ที่ตนศึกษาถือได้ว่าเป็นรัฐแน่หรือเปล่า
40
บทนำ การติารงอผู่ของความเป็นชาติzyxwvutsrqp
I 19
หากดูใหํใกลไปกว่าเรื่องชาติ โดนัลด์ เอ็มเมอร์สัน ( อ0กส1๘ 3กาโก6โรอก) ชี้ให้
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWV
20 กำเนิดสยามจากแผนที่z: yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาชองชาติ
วัฒนธรรม เราสามารถที่จะรู้เกี่ยวกับชาติไต้ตราบเท่าที่เราใช้เทคโนโลยีบางชนิด
จดจารลงไปในปริมณฑลที่พอจะเป็นไปได้ ในทางกลับกัน อาจกล่าวได้ว่าเทคโน-zyxw
โลยีดังกล่าวสรางทั้งความรู้และสร้างความจริงของความเป็นชาติขึ้นมา ท่าให้สิ่งที่
เรียกว่าชาติเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
งานบุกเบิกของแอนเดอร์ลันได้แผ้วทางให้กับการศึกษาเกี่ยวกับความเป็น
ชาติอย่างกว้างขวาง กระนั้นก็ตาม งานของเขากลับก่อให้เกิดคำถามท้าทายมากยิ่ง
ขึ้น ประการแรกสุด ภาษาซึ่งเป็นสื่อให้เกิดชุมชนจินตกรรมในงานของแอนเดอร์สัน
หมายถึงภาษาที่ใซักันตามปกติ สำหร้บนักภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างนั้นเป็นภาษา
พูตที่ดำเนินอยู่ในการสนทนาปกติ ขณะที่ “ภาษา” ในความหมายกว้าง หมายถึง
สื่อชนิดไหนก็ได้ระหว่างปัจเจกบุคคลกับโลกภายนอกตัวเขา ถ้า๗นนั้น สื่อกลาง
ชนิดอื่นๆ มีอะไรบ้าง ( เช่นเทคโนโลยีภาษาแบบอื่นๆ นอกเหนือจากภาษาพูด )
แล้วสื่อเหล่านี้ทำงานอย่างไรในการสื่อและสร้างชุมชนจินตกรรม?
ประการที่สอง แอนเตอร์ลันตูจะให้ความสนใจกับจินตนาการหรือความสามารถ
ที่จะคิดเกี่ยวกับชาติมากเกินไป ราวกับว่าชาติถูกผลิตออกมาจากหัวสมองของ
คนๆ หนึ่งและดำรงอยู่แค่ตราบเท่าที่ยังมีการผลิตช้าภายในหัวของคนๆ หนึ่ง จึง
ถูกเรียกว่าเป็นชุมชนจินตกรรม เราอาจตั้งคำถามได้ว่าสื่อกลางดังกล่าวสามารถ
สร้างสถาบันทางสังคมและการปฎิบ้ติทั้งหลายซึ่งสืบทอดปฎิป้ติการและการผลิตช้า
ชุมชนจินตกรรมขึ้นมาในความสัมพันธ์ที่เป็นจริงของมนุษย์ได้อย่างไร การให้ความ
สำคัญสูงสุดกับมโนสำนึกเหนือปฎิบํติการของมนุษย์มีแนวโน้มจะออกไปในทาง
จิตนิยมเสมอ ฉะนั้น ชุมชนจินตกรรมใหม่จึงดูเหมือนจะถูกสร้างจากการเผยแพร่
ความคิดใหม่อย่างปราศจากแรงเสียดทานใด ๆ ราวกับการจดจารภาษาใหม่ลงบน
แผ่นกระดาษอันว่างเปล่า หากชาติมิใช่ชุมชนจินตกรรมชนิดแรกหรือเพียงชนิดเดียว
และถ้าสื่ออย่างใหม่มิได้ปฏิบัติการในสุญญากาศแล้วล่ะก็ จะต้องเกิดการพบปะ ปะทะ
แข่งขัน ผสมผสาน หรือเชื่อมประสานกันระหว่างสื่ออันเก่าและอันใหม่ด้วย
ประการที่สาม การนิยามชุมชนจินตกรรมของแอนเดอร์สันเป็นการนิยามใน
ทางตรง ( เว08เ1^6) ในทัศนะของเขา ภาษาเป็นสิ่งที่สร้างพื้นที่แห่งอัดลักษณ์ ก่อ
รูปร่างและนิยามแกนทางกาละและเทศะของลักษณะร่วมกันของชาติขึ้นมา แต่
การก่อรูปร่างของลักษณะร่วมก็ต้องนิยามความแตกต่างระหว่างปริมณฑลนั้นกับ
ปริมณฑลอื่นที่ต่างออกไป ตัวตนใดๆที่จินตนาการขึ้นมาย่อมมีนัยถึงตัวตนที่อยู่
บทนำ การส์าวงอยู่ของความเป็นชาดzyxwvutsrq
I 21
ในพรมแดนถัดออกไปด้วย นักชาติพันธุวิทยาล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดีถับความ
ยุ่งยากในการนิยามเขึ้อชาติ โตยพึ๋นฐาน การนิยามตัวตนเซิงเชื้อชาติเป็นเพียงการ
ขีดเส้นแบ่งพื่นที่ของความเป็นzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
“ เรา” ที่ตรงข้ามกับ “ เขา” อย่างมีพลวัต ในหลาย
กรณี ความคิดว่าเราเป็นใครเป็นไปได้ด้วยการนิยามบุคลิกลักษณะของผู้คนที่มิใช่
พวกเรา มากกว่าจะเป็นการพิจารณาทางตรงว่าอะไรคือคุณสมป้ติอันเป็นธรรมชาติ
ของ “ เรา” ยิ่งไปกว่านั้นการแยกแยะความแตกต่างก็เป็นเรื่องวัฒนธรรม หาได้
วางอยู่บนคุณสมบัติตามธรรมชาติแต่ประการใด ดังนั้นจึงสามารถเปลี่ยนแปลง
ได้43 นี่ก็เป็นความจริงของการนิยามตัวตนของความเป็นชาติเช่นถัน
หนังสือเล่มนี้มิใช่เป็นงานศึกษาอีกชินหนึ3่ เกี่ยวกับการสร้างชาติ พัฒนาการ
ของรัฐหรือกำเนิดของชาติ อีกทั้งไม่ไต้เป็นงานประว้ติศาสตร์การเมืองหรือเศรษฐกิจ
เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านจากจักรวรรดิก่อนสมัยใหม่สู่การเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ แต่เป็น
ประวัติศาสตร์ของ การนิยามตัวตนของความเป็นชาติ กล่าวคือ อะไรคือสิ่งที่ทำให้
'
เกิดการดำรงอยู่ของความเป็นขาติไทย และตัวตนของมันถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างไร?
ชอฆเฃตและวิธีการธีกษๆ
ความเป็นชาติมีองค์ประกอบหลายประการ งานของแอนเดอร์ลันได้ยํ้าให้เห็นว่า
จิตสำนึกต่อเวลาแบบใหม่ช่วยสร้างสำนึกต่อชุมชนใหม่ที่มีรากเหง้าทางประวัติ -
ศาสตร์ (ที่แตกต่างจากชุมชนจินตกรรมก่อนหน้านี)้ และสำนึกต่อเวลาเดียวกัน
( ย่อ๓0ฐ6ก60บร 11๓6 ) ของชุมชนใหม่ งานขึ้นนี้มุ่งศึกษาองค์ประกอบอีกอันหนึ่ง
ของความเป็นชาติ คือ ภูมิกายา (960-|ว0( ) โดยจะอธิบายถึงปฏิบัติการของ
เทคโนโลยีการจัดการพึ้นที่ / ภูมิ (เ6๓10ท่3แ ^) ที่ได้รังสรรค์ความเป็นชาติในเชิง
เทศะขึ้นมา และต้องการยํ้าให้เห็นถึงการแทนที^ ่ของความรู้เกี่ยวกับพึ้นที่/ภูมิที่ได้
ส่งผลให้เกิดสถาบันทางสังคมและการปฏิบัติที่นำไปสู่การสร้างความเป็นชาติขึ้นมา
การเสือกศึกษาภูมิกายานี้มิได้มาจากเหตุผลทางทฤษฎีหรือประวัติศาสตร์
ใด ๆ แด่ในเมื่อจะท้าทายความเป็นอมตะเหนือกาลเวลาของความเป็นไทยหรือความ
เป็นตัวเรา ก็น่าจะเป็นการเล่นกับคุณลักษณะของชาติที่เป็นรูปธรรมที่สุด ดูเหมือน
เป็นธรรมชาติและมีความมั่นคงถาวรมากที่สุด เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าแม้แต่องค์-
ประกอบที่ลูเป็น “ ธรรมชาติ” มากที่สุดที่สถาปนาความเป็นชาติ ที่แท้ก็ถูกสร้างขึ้น
ในทางวัฒนธรรมด้วยความรู้และเทคโนโลยีบางอย่าง กระนั้นก็ตาม งานศึกษานี้
กระทำต้วยความตระหนักอย่างเต็มเชื่ยมว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ “ การปฏิวัติทาง
22 กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประว้ดศาสตร์ภูมิกายาของชาต
(๒6 โ6V 01บ1เอก ๒ แ๓© ) ก็กำลังดำเนินอยู่และเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กัน
เวลา”zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA 44
ดินแตนของชาติมิใช่เป็นเพียงแค่'สันผิวโลกขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่ง แต่มันเป็น
เรื่องของการจัดการสันที่/ภูมิ ในที่นี้ขออ้างถึงคำของนักทฤษฎีทางภูมิศาสตร์ที่วำ
“ การจัดการสันที่ / ภูมิ [ เป็น] ความพยายามของปัจเจกหรือกลุ่มคนในการสร้าง
ผลกระทบ กำหนดอิทธิพลและควบคุมคน ปรากฏการณ์ และความสัมพันธ์ ด้วย
การกำหนดขอบเขตและควบคุมสันที่ทางภูมิศาสตร์ ... [ มัน] มิได้เกิดจากสัญชาต-
ญาณหรือแรงผลักอะไร แต่เป็นเรื่องของยุทธศาสตร์อันสลับซับซ้อน ... [ และ]
เครื่องมือที่ผู้คนใช้สร้างและรักษาการจัดระเบียบของสันที่” การจัดการสันที่ /
45
ชาติคือการนิยามดินแดนที่กระทำโดยมนุษย์ซึ่งได้สร้างผลกระทบด่อผู้คน สรรพสิ่ง
และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ด้วยการจัดหมวดหมู่ ติดต่อสื่อสาร และบังคับใช้ให้เป็นจริง
กล่าวในทางภูมิศาสตร์ ภูมิกายาของชาติครอบครองสันผิวโลกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งสามารถระบุขึ้ซัตออกมาได้ มันปรากฎต่อสายตาของเราราวกับดำรงอยู่ไต่โดย
มิไต่ขึ้นอยู่กับจินตนาการใดๆ แด่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ภูมิกายาของชาติเป็น
เพียงผลของวาทกรรมทางภูมิศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญของมันก็คือ
แผนที่ ความรู้มากมายของเราเกี่ยวกับความเป็นชาติของสยามถูกสร้างขึ้นจากการ
เห็นสยามที่อยู่บนแผนที่ เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากแผนที่และมิไต้ดำรงอยู่นอกเหนือ
ไปจากบนแผนที่แต่อย่างใด
คำว่า “ ภูมิกายา” เป็นคำที่ผู้เขียนคิดขึ้นมาเอง แต่มิได้มีคำจำกัดความตายคัว
หรือสำเร็จลงตัวแต่อย่างใด ผู้อ่านจะพบว่าคำนี้ยืดหยุ่นมากพอที่จะสื่อความหมาย
ต่างๆ เกี่ยวกับดินแตนของชาติ เราต่างรู้ดีว่าดินแดนของชาติมีความสำคัญเพียงใด
ดินแดนคือสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สุด กล่าวโดยตรงและโดยนัยได้ว่าเป็นฐานอัน
แข็งแกร่งที่สุตของความเป็นชาติทั้งมวล มีแนวติด การปฏิบัติ และสถาบันนับไม
ถ้วนที่เกี่ยวข้องหรือทำงานภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดของภูมิกายาของชาติ อาท
บทนำ การติารงอยู่ของความเป็นชาติ 23
เซ่น แนวคิดเกี่ยวกับบูรณภาพและอธิปไตย การควบคุมแนวชายแดน การปะทะ
ของกองกำลัง การรุกราน และสงคราม หรือการใช้ดินแตนนิยามเศรษฐกิจของ
ชาติ เซ่น ผลผลิต อุตสาหกรรม การค้า ภาษี ภาษีศุลกากร การศึกษา การปกครอง
(5เ9ก! ) ว่าสิ่งท
วัฒนธรรม และอื่นๆ แต่การใช้คำว่าภูมิกายาก็เพื่อสื่อความหมายzyxwvutsrqponmlkjihgf
ศึกษามิใซ่เป็นเพียงเรื่องของพึ้นที่หรือดินแดน แด่เป็นองค์ประกอบส่ว^นหนึ่งของ
ชีวิตของชาติ เป็นที่มาของความภาคภูมิใจ ความจงรักภักดี ความรัก พลังดลใจ
อคติ ความเกลียด เหตุผล ความไร้เหตุผล เมื่อคำนี้ถูกเชื่อมโยงเช้ากับปัจจัยด้าน
ต่างๆ ของความเป็นชาติ ยังไต้ผลิตแนวติดและการปฏิบัติอื่นๆ ที่เกี่ยวกับความ
เป็นชาติออกมาอีกมาก
ทั้งๆที่ดินแตนของชาติมีลักษณะเป็นรูปธรรม แต่ที่ผ่านมาการศึกษาเกี่ยว
กับประวัติศาสตร์ดินแดนของซาดิกดับมีน้อยมาก (หรือความเป็นรูปธรรมที่ว่าน
อาจเป็นสาเหตุก็ได้) งานเกือบทั้งหมดสนใจอยู่กับปัญหาความขัดแย้งเรื่องดินแดน
และการขีดเส้นพรมแดน งานเหล่านั้นมักถือว่ามีการกำหนดเส้นเขตแตนของชาติ
ในแบบสมัยใหม่ดำรงอยู่มานานแล้ว จากนั้น งานเหล่านั้นก็จะเพียงแด่ให้ความ
ชอบธรรมหรือตอบโต้ข้อกล่าวอ้างหนึ่งๆเกี่ยวกับดินแตน เพราะฉะนั้นก็เป็นเพียง
ประวัติศาสตร์การเมืองแบบเทคนิคทางการเมืองเท่านั้น มีเพียงงานของเอ็ดมุนค์
ลีช เกี่ยวกับพม่าที่กระตุ้นให้เกิดการพิจารณาอย่างจริงจังต่อความไร้เหตุผลของ
เส้นเขตแดนที่เพิ่งกำเนิดขึ้นมาเพียงหยกๆ47 อย่างไรก็ตาม สีซเพียงแต่เปิดเผยให
เห็นว่า เส้นเขตแดนสมัยใหม่มีช้อจำกัด และใช้ไม่ได้กับหน่วยของชาติพันธุ เขาไม่
ได้พิจารณาเกี่ยวกับบทบาทของเส้นเขตแตนสมัยใหม่ในฐานะผู้สร้างความเป็นชาติ
การขาดความสนใจในประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติได้นำไปสู่การดีความ
ทางประวัติศาสตร์ที่หลงทิศหลงทางหลายประการ เพราะถือเอาแนวความติด
สมัยใหม่เกี่ยวกับพึ๋นที่ไปอธิบายเหตุการณ์ในอดีตที่ยังอยู่ภายใต้วาทกรรมแบบ
ก่อนสมัยใหม่ ไม่เคยมีการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวาทกรรมทาง
ภูมิศาสตร์แบบก่อนสมัยใหม่กับแบบสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพ
- เ หรือการเปลี่ยนเคลื่อน ( ธห!!!:) หรือการเผชิญหน้ากันจากแบบ
(1เ 3ก3 0ฌา3110ก )
หนึ่งไปสู่อีกแบบ ไม่มีใครสนใจจริงจังกับสภาวะที่ไม่มีเส้นเขตแดนแน่นอนของ
สยามก่อนสมัยใหม่ ราวกับว่ามันเป็นเพียงข้อบกพร่องในทางปฏิบํติหรือทางเทค-
นิคเท่านั้น นักประวัติศาสตร์หลายคนดึงกับย้อนหลังไปขีดเส้นพรมแดนให้กับ
48
24 I กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ชาติยุคก่อนสมัยใหม่ มีหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนที่แสดงดินแตนในประวัติศาสตร
ด้วยแผนที่ผิดยุคสมัย เอาแผนที่สมัยใหม่ไปใส่ให้กับภูมิและพื้นที่ในประวัติศาสตร
ในแง่นี้ งานซิ้นนี้มิใช่เป็นเพียงแค่การบันทึกว่าการทำแผนที่ถูกนัามาประยุกต์ใช
อย่างไรเมื่อไร และเส้นพรมแดนยุติลงด้วยสนธิสัญญาอย่างไร แต่ต้องการเน้นให
เห็นความเปลี่ยนแปลงที่วาทกรรมทางภูมิศาสตร์แบบใหม่ได้เช้ามาแทนที่วาหzy-
กรรมของคนพื้นถิ่น ก่อให้เกิดความชัดแย้ง การเผชิญหน้า และความเช้าใจผิด
อย่างไร ทั้งนี้ประเด็นใจกลางของงานศึกษานี้ก็คือคำถามที่ว่าแผนที่ได้สร้างภูมิ -
กายาของชาติสมัยใหม่ได้อย่างไร
ในที่นี้ ภูมิศาสตร์อยู่ในฐานะเป็นสื่อกลางชนิดหนึ่ง มิใช่สิ่งที่ “ ดำรงอยู่แล้ว”
ตามธรรมชาติ แด่เป็นความรู้ชนิดหนึ่ง เป็นความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรมของ
ความเป็นจริงตามภววิสัย เป็นชุดของระบบสัญลักษณ์ เป็นวาทกรรม ยุทธศาสตร
ของงานศึกษานี้ก็คือการวิเคราะห์วาทกรรมของยุคก่อนสมัยใหม่และสมัยใหม่ แล้ว
สืบหา “ ช่วงขณะ” ( ๓0กา©กเ) ที่วาทกรรมเก่าและใหม่ปะทะกัน ช่วงขณะเหล่านั้น
เป็นปฎิบัติการทางการเมืองดัญวิทยา ( เว0เ )แ00-ธ6โกเ0เ0ฐ ) ซึ่งภายใด้ปฏิบ้ติการ
^
ดังกล่าว วาทกรรมใหม่ไต้คุกคามและเข้าแทนที่วาทกรรมที่มีอยู่ก่อน ช่วงขณะเหล่า
นี้เกิดขึ้นเมื่อมีการปะทะชัดแย้งของความคิดและความหมายเกี่ยวกับภูมิศาสตร
เส้นเขตแตน อธิปไตยเหนือเขตแดน และบริเวณชายขอบ (๓ลโ9เก) ช่วงขณะเหล่า
นั้นสามารถปรากฏตัวในกิจกรรมทางสังคมทุกรูปแบบ เช่น ความสัมพันธ์ทางการ
ทูต การสังเกตการณ์ทางวิทยาศาสตร์ จดหมายโต้ตอบสื่อสาร การเดินทาง ตำรา
เรียน สงคราม และในการสำรวจและทำแผนที่ มันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกหนแห่ง
จากห้องทำงานในวังจนถึงป่าดง ณชายแดนห่างไกล เราสามารถระบุช่วงขณะของ
การปะทะได้ด้วยการตรวจหาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีการสื่อความหมายคลุมเครือ
เกี่ยวกับภูมิและพื้นที่ อันเป็นผลของการที่วาทกรรมด่างชนิดกำลังประชันกันชิง
ความหมาย'ของชุดคำศัพท์ (เ6เทาเก0๒97) และการปฎิบัติเดียวกัน เราจะเห็นความ
สัมพันธ์ระหว่างการทำแผนที่และกำลังทางทหารในฐานะที่เป็นปฏิบัติการร่วมทาง
ความรู้และย้านาจที่สร้างสัจจะของความรู้ทางภูมิศาสตร์ขึ้นมา
การใช้คำว่า สยามชาวสยามประเทศไทย และไทย ตลอดหนังสือเล่มนี้ถึอ
ดามหลักง่ายๆคือ สยามและซาวสยามใช้สำหรับก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อประเทศ
ในปี 2482 (ค.ศ. 1939) ส่วนคำว่าประเทศไทยและไทยใช่ในบริบทหลังปี 2482
บทนำ การติารงอยู่ของความเป็นชาติ 25
การทำเซ่นนี้ทั้งๆ ที่รู้เป็นอย่างดีถึงข้อถกเถียงกันเกี่ยวกับซื่อของประเทศว่า การ
เปลี่ยนชื่อของประเทศและผู้คนเป็นการกระทำทางการเมืองของระบอบคลั่งชาติ
เพื่อส่งเสริมการครอบงำของชาติพันธุและวัฒนธรรมไทยเหนือคนกลุ่มอื่น แต่ถึง
แม้ว่าอคติทางชาติพันธุตามที่แสดงออกในรากศัพท์ของชื่อดังกล่าวและตามความ
เป็นจริงเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะแก้ตกไปได้ง่ายๆ แด่ความหมายที่ครอบงำก็ไม่ไต้
มีความสำคัญอีกต่อไป การใช้คำว่า ไทยในปัจจุบันกว้างขวางกว่าความหมายทาง
“ความเป็นไทย” ที่ได้กล่าวถึงในบทน่านี้ มีได้ต้องการให้
ชาติพันธุ ตัวอย่างเซ่นzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
หมายถึงคุณลักษณะของคนเชึ้อชาติไทยโดยเฉพาะเพียงกลุ่มเดียว แต่หมายถึงคน
ของประเทศไทยโดยรวม ในอีกด้านหนึ่งการใช้คำว่าสยามนั้นแคบกว่ามาก ไม่มี
ใครใช้คำว่า “ความเป็นสยาม” เพื่อหมายถึงคุณลักษณะร่วมกันของประชากร
ทั้งหมดของชาติ ชื่อที่ตั้งใหม่นี้ยังไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงนับแต่กำเนิดขึ้นมา แต่การ
ใช้และการอ้างอิงถึงชื่อนี้ทั้งในแง่ของประเทศและประชาซนได้เปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้น
ความสดับซับช้อนของปัญหานี้จะถูกละไว้นอกขอบข่ายของการศึกษานี้
คำอีกคำหนึ่งที่มักทำให้หลงความหมายอย่างมากก็คือ “สมัยใหม่ ” ( ๓0016๓)
เป็นคำคลุมเครือและสัมพัทธ์จนแทบจะไม่สามารถสื่อความได้ซัดว่ามีลักษณะ
เฉพาะทางประว่ติศาสตร์อย่างไร ยกเว้นคำนามที่มีความหมายเฉพาะ เซ่นศิลปะ
ของยุคสมัยใหม่ ( ๓0016๓13๓) แล้ว คำนี้สามารถหมายถึงสารพัดสิ่ง ขึ้นอยู่กับคำ
นามที่ตามมาหรือบริบทที่ใซั ตัวอย่างเซ่น ยุคสมัยใหม่ของอุษาคเนย์มิได้มีความ -
หมายเซ่นเดียวกับยุคสมัยใหม่ของยุโรป หรือของศิลปะ ในบริบทของประว่ติศาสตร์
สยาม คำคุณศัพท์คำนี้มักหมายถึงการเป็นอย่างตะวันตกในแง่ตรงข้ามกับเป็นอย่าง
จารีต แต่น่าสงสัยว่าสยามที่เป็นอย่างตะวันดกในปลายศตวรรษที่ 19 ยังจะถือว่า
เป็น “สมัยใหม่ ” ได้หรือไม่ ความไม่ชัดเจนของคำๆ นี้ทำให้คำอื่นๆที่สัมพันธ์กัน
เซ่น “จารีต” “ก่อนสมัยใหม่ ” และอื่นๆ พลอยคลุมเครือไปด้วย คำแต่ละคำเหล่านี้
เป็นที่เข้าใจได้ก็ต่อเมื่ออ้างอิงถึงคำอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้น โดยปกติคำว่า “สมัยใหม่” มักจะทึกทักกันว่าหมายถึงการเคลื่อน
ไปข้างหน้า ความก้าวหน้า หรือกระทั่งหมายถึงดีและเป็นธรรม กล่าวคือ มันอ้าง
ความเหนือกว่าสิ่งที่เป็นคู่ตรงข้าม เหนือกว่าก่อนสมัยใหม่และจารีต แน่นอนว่าการ
กล่าวอ้างเซ่นนี้ใม่จำเป็นต้องถูกต้อง แด่ด้วยลักษณะสัมพัทธ์และไม่ชัดเจนนี่เองจึง
ช่วยให้คำๆ นี้มีความยืดหยุ่นและครอบคลุม จนสามารถใชในโอกาสใดก็ได้ ฉะนั้น
ในแง่นี้คำนี้จึงมีประโยชน์มาก
26 ก็าเนิดสยามจากแผนที่: ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาดิ
บกที่ 1
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJ
ภูมิของคนพื้นที่นและแผนที่โบราณ
บกกี่ 1
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ภูมิของคนผื้นถี่นและแผนที่โบราณ
แม้กระทั่งในปลายศตวรรษที่ 18 กษ้ตริย์คนสำคัญสองคนคือพระเจ้ากรุงธนบุรีและ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ก็ยังจัดให้มีการสังคายนาคัมภีร์ไตรภูมิขึ้นใหม่ โดยถือ
เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญเพื่อพื่นฟูราชอาณาจักรภายหลังกรุงศรีอยุธยาถูกพม่า
ทำลายในปี 2310 (ค.ศ. 1767) ผลที่เกิดขึ้นมิใช่แค่การคัดลอกโตรภูมิพระร่วง อีก
ครั้ง แด่เป็นการแต่งขึ้นใหม่ภายใต้กรอบของคติความเชื่อเดียวกัน อย่างไรก็ตาม
การทึกทักว่าไตรภูมิเป็นมโนภาพเชิงพื่นที่/ภูมิเพียงแบบเดียวของคนพื่นถิ่นสยาม
ก่อนภูมิศาสตร์สมัยใหม่จะเข้ามาถึงนั้นเป็นการหลงทิศผิดทางแน่ๆ 3
ภูมิลักษณ์ สักตสิทธ
ตามจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ สิ่งมีชีวิตถูกแบ่งกลุ่มตามบุญกรรมของตน และถูก
กำหนดให้มีชีวิตอยู่ในภูมิหนึ่งๆตามแด่ผลบุญที่ได้สั่งสมมา สิ่งชั่วร้ายที่สุดต้องอยู่
ในนรกขุมลึกที่สุด ใครมีบุญมากขึ้นก็ได้อยู่ในภูมิที่สูงขึ้นไป ผลบุญสามารถเพิ่มขึ้น
หรือลดลงโดยขึ้นอยู่กับการกระทำของบุคคล ทั้งยังส่งผลต่อชีวิตในชาติหน้าด้วย
ด้วยตรรกะเช่นนี้ ชีวิตในปัจจุบันก็คือผลของ.ชีวิตก่อนหน้า ไตรภูมิหรือโลกทั้งสาม
บทที่ 1 ภูมิของคนพนถิ่นและแผนที่โบราณ 29
31 ชั้นภูมิ จัดลำดับชั้นตามคุณค่าของสรรพสัตว์โดยโลกมนุษย์เป็น
นี้มีทั้งหมดzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
เพียงชั้นภูมิหนึ่งเท่านั้น พื้นที่ / ภูมิในไตรภูมิแสดงคุณค่าของสรรพภาวะตาม
จินตนาการ แต่ถึงกระนั้นคัมภีร์โตรภูมิทั้งหมดเท่าที่เหลือมาถึงปัจจุบันก็ได้แจกแจง
รายละเอียดของภูมิต่าง ๆ โดยเฉพาะโลกมนุษย์ รวมทั้งรายละเอียดการโคจรของ
ตวงอาทิตย์และตวงจันทร์ ตลอดจนการเปลี่ยนฤดูกาลไว้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
ในขณะที่ ไตรภูมิพระร่วง และคัมภีร์อื่นๆในแนวเดียวกันโดยทั่วไปเป็นเรื่อง
ของสิ่งมีชีวิตในระดับต่างๆของภูมิทั้งสามและสัจธรรมของนิพพานโดยมีเพียงหนึ่ง
หรือสองบทเท่านั้นที่เกี่ยวกับจักรวาล การเคลื่อนไหวของโลก และสัณฐานของโลก
แต่บางคัมภีร์ในแนวเดียวกันที่สำคัญๆเช่น โลกป้ญอุ/ต และ จักรวาลทีปนีกลับเป็น
แม่แบบของตำราจักรวาลวิทยา4 ตัวอย่างเช่น จักรวาลทีปนีซึ่งถือเป็นการบรรยาย
เกี่ยวกับจักรวาลวิทยาที่ดีที่สุดนั้น สาระสำคัญเน้นเฉพาะเรื่องของรูปทรงสัณฐาน
ของโลกและจักรวาล ทั้งนิยามขนาด และรายละเอียดของส่วนต่างๆของโลก ( เช่น
ภูเขา มหาสมุทร และอื่นๆ ) ทวีปทั้งสี่ของมนุษย์ เรื่องราวของ 36 เมืองและ 21
ชนบท บทบรรยายเกี่ยวกับภพของเทพเทวดาและใต้พิภพ สำหรับมนุษยภูมินั้น 5
ประกอบด้วยสี่ทวีปใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ดามทิศทั้งสี่รอบภูเขาที่เป็นใจกลางของจักรวาล
คือเขาพระสุเมรุ และยังมีมหาสมุทรและภูเขาอีกเจ็ดทิวคั่นอยู่ระหว่างทวีปทั้งสี่กับ
เขาพระสุเมรุ นอกเหนือจากทวีปทางทิศใต้หรือชมพูทวีปแล้ว เรื่องของอีกสาม
ทวีปเป็นที่รับรู้น้อยมากหรือรับรู้เพียงในแง่สัญลักษณ์เท่านั้น ส่วนชมพูทวีปนั้น คือ
ดินแดนที่พระพุทธเจ้าประสูติและเป็นที่ตั้งของประเทศทั้งหลายที่รู้จักกันทั้วไป แม้
การบรรยายเกี่ยวกับมนุษยภูมิในคัมภีร์ต่าง ๆ จะเต็มไปด้วยตัวเลขอย่างละเอียดซึ่ง
โดยมากเป็นสูตรท่านองเดียวกัน แต่ภาพของโลกมนุษย์ที่ปรากฎในคัมภีร์ด่าง ๆ
นั้นกลับแตกด่างกันไป โลกมนุษย์สามารถถูกจินตนาการได้หลากหลายแบบ
การศึกษาเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาของพุทธเถรวาทและการเปลี่ยนเคลื่อน ( 3ฤ1*1)
ไปสู่จักรวาลวิทยาสมัยใหม่ในปลายศตวรรษที่ 1 9 นั้นเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักประว้ติ -
ศาสตร์ที่สนใจเรื่องไทย อย่างไรก็ดาม ไม่มีการศึกษานักว่าความสัมพันธ์ระหว่าง
6
30 เ1าเนิดสยามจากแผนที่ : ประวตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
หลากหลายของมโนภาพพื้นถิ่นในเรื่องพื้นทีz่ /yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJ
ภูมิลงไปเหลือเพียงกรอบของไตรภูมิ
ทำให้เราหลงทางสองประการ ในประการแรก โลกมนุษย์ในจักรวาลวิทยาแบบ
ไตรภูมิถูกมองว่าเป็นทัศนะอันบิดเบี้ยวหรือล้าหลังของซาวบ้านที่มีต่อโลก เป็น
ทัศนะที่แปดเข้อนด้วยความเชื่อผิดๆ หรืองมงาย แด่น่าสงสัยว่าการถ่ายทอดเชิง
7
สัญลักษณ์อย่างในแผนที่โลกของไดรภูมิที่ว่านี้ ถูกออกแบบให้เป็นภาพแทนของ
โลกจริงๆหรือ? ความจริงที่ว่ามีการพรรณนาโลกในลักษณะต่างๆกันไป (เช่นโลก
ทรงสี่เหลี่ยมแบนราบบ้าง หรือโลกทรงกลมบ้าง) มิได้ชี้ถึงพัฒนาการต้านความรู้
ของชาวบ้านเกี่ยวกับลูกโลกหรือชี้ถึงความงมงายขาดความรู้แด่อย่างใด ทว่าน่าจะ
เป็นสิ่งบอกให้รู้ว่า รูปธรรมของโลกมนุษย์สามารถจินตนาการขึ้นมาได้มากกว่า
หนึ่งแบบ เพียงแต่ว่าต้องยึตมั่นในความหมายทางจิตวิญญาณของภูมิทั้งสาม มิติ
ทางจิตวิญญาณนี้ศึอ “ ความเป็นจริง” ของเทศะแบบไตรภูมิ นี่ต่างหากที่เป็นคฺวามรู้
สำคัญที่ต้องการให้สื่อออกมาอย่างถูกต้อง
ประการที่สอง ความรู้พื้นถิ่นเกี่ยวกับกายภาพของพึ้นผิวโลกถูกมองข้าม
ราวกับว่าไม่มีอยู่เลย แท้ที่จริง ภายใต้การครอบงำของจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ
ยังมิความรู้พื้นถิ่นเกี่ยวกับพื้นที่ / ภูมิอีกหลายแบบดำรงอยู่เซ่นกัน ซึ่งรวมถึง
มโนทัศน์ของโลกกายภาพที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาด้วย งานคลาสสิคที่จะต้องพิจารณา
เป็นอันดับแรกคืองานของ โรเบิร์ต ไฮน์- เกลเต็น ( ค0๖6ก เ-เ6เก6-06๒6โก) ว่าด้วย
ความสัมพันธ์ของจุลจักรวาลกับมหจักรวาล ( กา!0โ0005๓ สก!) ๓ส01-0003๓) จาก
การศึกษาแบบแผนทางสถาปัตยกรรมของพระราชวังและศาสนสถาน'โนอุษาคเนย์
ไฮน์- เกลเด็นแสดงให้เห็นว่าอาณาจักร ศูนย์กลางอาณาจักร และพระราชวังอันเป็น
ที่ประหับของกษ้ต่ริย์นั้นคือจุลจักรวาล พระราชวังและศาสนสถานจึงต้องถูกออก-
แบบให้สอตรับกับระเบียบจักรวาล พื้นที่ทางสถาปัตยกรรมทั้งในจารีตของพุทธ
ฮินดู หรืออิสลาม ล้วนแต่เป็นการจัดการพื้นที่โดยสัมพันธ์เชิงอุปมากับจักรวาล-
วิทยา กระนั้นก็ตาม พึ้นที่ทั้งสองแบบนี้ก็หาได้เหมือนกันทั้งหมดเสียทีเดียว พื้นที่
8
ทางสถาปัตยกรรมมีกฎเกณฑ์จารีต แบบแผนของการเปลี่ยนแปลงของตนชุดหนึ่ง
อันที่จริง เรื่องพื้นที่คักดี้สิทชี้ของศูนย์กลางเป็นหัวขัอที่รู้จักกันดีในหมู่นักประว้ติ -
ศาสตร์และนักมานุษยวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับอุษาคเนย์ 9
ิ องคนขึ้นถิ่นและแผนที่โบราณ
บทที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPO
1 ภูม๚ 31
ครั้งหนึ่ง แฟรงค์อ.ี เรย์โนลส์ ( เ^สกเ* ค© V ก0ฬ 5) ได้เที่ยวซมวัดสี่แห่งใน
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประเทศไทย และด้นพบการเดินทางไปสู่สิ่งที่เขาเรียกว่าเทศะแบบพุทธวิทยา
( ธบฝ่ปก010ฐ!03เ ร[ว308) เรย่โนลส์แบ่งความคิดของพุทธเถรวาทออกเป็นสามระดับ
ได้แก่ ปวัชญาเกี่ยวกับนิพพาน จักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ และเรื่องราวทางพุทธ-
วิทยาเกี่ยวกับพุทธประว้ดิ ชาดก พระธาตุ พุทธทำนาย และอื่นๆ ทั้งสามระดับนี้
แม้จะอิงอาศัยกันและกัน ทว่าเป็นวิธีการเข้าถึงพุทธศาสนาในแบบต่างๆกัน แถม
ยังร้อยวัดผูกพันกับความเชื่อต่าง ๆ ของท้องถิ่นหรือความเชื่ออื่นๆ ของอินเดียอีก
ด้วย จิตรกรรมฝาผนังภายในวัดต่างๆที่เรย์โนลส์เข้าซมล้วนบอกเล่าพุทธประวิด
อย่างเชื่อมโยงกับท้องถิ่นทำเลที่ตั้งของวัดนั้นๆ ในภาพวาดเหล่านี้ ถิ่นทำเลที่ตั้ง
10
ของวัดและดินแดนอันเป็นสากลของพระพุทธเจ้าถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน กลายเป็น
ภูมิศาสตร์แบบพุทธวิทยา ( ธบปฝ่แอเอฐเวสเ ฐ60ฐโส|วกV ) ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะถูกต้อง
ตรงกับโลกบนดินที่เรารู้จัก จิตรกรรมฝาผนังนั้นเป็นเสมือนงานประพันธ์ที่คนไทย
เรียกว่าตำนาน หรือที่ภาษาพม่าเรียกว่าตะมาย (7กสทาส!กฐ) ซึ่งเชื่อมต่อกาละและ
เทศะของพุทธศาสนาเข้ากับแต่ละท้องถิ่น ค่าความจริงของภูมิศาสตร์แบบพุทธ-
วิทยานี้ก็เป็นเซ่นเดียวกับค่าความจริงของโลกในไตรภูมิ คิอมิได้อยู่ที่ความถูกต้อง
แม่นยำของคำพรรณนาถึงผิวโลก แต่อยู่ที่การนำเสนอความเป็นจํริงทางจิตวิญญาณ
ที่ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องราว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต่างจากไตรภูมิก็ดีอเทศะที่ภาพ
จิตรกรรมสนใจมิใช่จักรวาลวิทยาของสามภูมิ แต่เป็นเทศะแบบศาสนาของพุทธ-
วิทยา หน่วยของเทศะเซ่นนี้จะวับรู้เข้าใจได้ก็ต่อเมื่อนำมาสัมพันธ์กับเรื่องราวของ
พุทธศาสนาในท้องถิ่น จิตรกรรมฝาผน้งจึงเป็นการนำเสนอภาพแทนพี้นที่/ภูมิอีก
ชนิดหนึ่งนั้นเอง
พี้นที่/ภูมิทางศาสนาอีกชนิดหนึ่งคือภูมิลักษณ์ของการจาริกแสวงบุญและ
ชะตาลิขิต ชาร์ลส์ คายส์ ( (วเาสฝ65 * 6X 63) ได้ศึกษาพระธาตุดักตี๋สทธึ้ 1 2 แห่งของ
ซาวล้านนา ซึ่งเชื่อกันว่าแต่ละพระธาตุมีอำนาจเหนือปีเกิดในรอบ 12 นักษัตร นั่น
หมายความว่าตวงชะตาของคนๆ หนึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของพระธาตุประจำปีเกิด
ของตน ฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะดักการะบูชาพระธาตุของตน คายส์ซี้
ว่าวงจร 12 นักษัตรคือระเบียบจักรวาลก่อนยุคภารตะที่มีมาแต่โบราณในภูมิภาคนี้
ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นระเบียบจักรวาลแบบพุทธในเวลาต่อมา ฉะนั้นพระธาตุทั้ง 12
แห่งนี้จึงเข้ามาแทนที่สิ่งศักดึ้สิทธึ๋ตั้งเดิมของท้องถิ่น เชื่อกันว่าพระธาตุ 12 นักษัตร
32 กำเนิดสยามจากแผนที่z: yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประว?!ศาสตร์ภูมิกาขาของชาติ
มีความเกี่ยวพันกับพระพุทธเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถึงแม้บางแห่งจะมีอายุไม่มาก
ก็ตามและตำแหน่งของพระธาตุอาจจะเปลี่ยนไปไต้ แต่ตัวเลขจะต้องเป็น าzyxwvutsrqponm
2 เช่น
ของจักรวาลซื่งผู้คนเดินทางแสวงบุญไปสักการะให้ครบ หากไม่ใช่เพื่อไปทำบุญก็
เพื่อเสริมดวงชะตาของตน น่าสนใจที่ภูมิลักษณ์นี้ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของพม่า
ลาว และภาคเหนือของไทย และเชื่อมโยงพื้นที่เหล่านี้เข้ากับด้นกำเนิดในอินเดีย
หนึ่งในพระธาตุกลุ่มนี้อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงต้องกำหนดให้วัตแห่งหนึ่งบน
พื่นโลกเป็นสิ่งแทนเพื่อให้ผู้คนดักการะบูชาได้ด้วย เครือข่ายของพระธาตุจึง
ไม่เพียงแต่ขยายข้ามพรมแดนประเทศเท่านั้น แด่ยังข้ามพันโลกมนุษย์อีกด้วย
ครอบคลุมพึ้นที่ /ภูมิในจินตนาการอย่างสวรรค์และชมพูทวีป ตลอดทั้งพื้นที่ที่เป็น
จริงของล้านนา พม่า ลาว และอินเดียเข้าไว้ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม แผนที่ของการ
แสวงบุญนี้มิได้เหมือนกับแผนที่สมัยใหม่ซึ่งแสดงสถานที่และระยะทางบนพื้นผิว
โลก แด่เป็นเหมือนบันทึกการเดินทางในรูปของแผนผัง ซึ่งแสดงสถานที่ต่างๆใน
ดักษณะที่มีความเชื่อมโยงบางอย่างต่อกัน ( ตูภาพที่ 1)
12
ภูมิศาสตร์ของการแสวงบุญนี้มิใช่ระเบียบจักรวาลก่อนยุคภารตะเพียงแบบ
เดียวที่เป็นกรอบในการจัดระบบความคิดเกี่ยวกับพื้นที่ /ภูมิ เอช แอล .ชอร์โต ( เ-เ. เ-.
.
บทที่z1yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONM
ภูมิของคนด้นถิ่นและแผนที่โบราณ 33
(กสเ ) 37 ตน อันเป็นผีของคนพื้นถิ่นในยุคก่อนที่พุทธศาสนาเข้ามา เช่น อารักษ์
นัตzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประจำถิ่น ผีประจำภูเขา หรือผีบรรพบุรุษซึ่งจำนวนมากถูกแทนที่ด้วยสิ่งศักดึ๋สทขึ้
ทางพุทธศาสนา หรือกลายมาเป็นพระธาตุในเวลาต่อมา กล่าวโดยย่อดือ เมื่อนำ
13
เรื่องเล่าเกี่ยวกับที่มาของหัวเมืองทั้งหมดมาประมวลกันเข้าก็จะพบว่าอาณาจักรของ
เมืองทั้ง 32 นี้เป็นดินแดนศักดี๋สฑขึ้ที่ร้อยรัดเข้าด้วยกันโดยสิ่งศักดึ๋สทขึ้ 32 อย่าง
ไม่ว่าจะเป็นข้างเผือก ผี พระธาตุเจดีย์ หรือทั้งหมดนั้นประกอบกันโดยให้ชิ่งศักดื่สฑขึ้
สูงสุดประดิษฐานอยู่ที่เมืองหลวง นี่ดือกฎของจักรวาลในการจัดระบบพึ้นที่ / ภูมิ
ภายในอาณาจักรมอญรวมถึงอาณาจักรพม่าที่รับเอาจารีตของมอญไปใช้ด้วย
อาณาจักรหนึ่งๆ จึงถูกจัดวางตามระเบียบจักรวาลไม่ว่าจะเป็นแบบภารตะ
หรือก่อนภารตะ ระบบความคิดทางศาสนานั้นเองที่ทำให้อาณาจักรศักดื่สิ่ทขึ้หรือ
พื้นที่ / ภูมิอันศักดื่สทขึ้มีหลักหมายชัดเจนโดยพระธาตุประจำถิ่น ซึ่งหลายแห่ง
เสมือนเป็นเทพยสถาน ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าตัวเลขในที่นี้จะไม่ใช่ 1 2 อย่างกรณี
เทศะของการจาริกแสวงบุญข้างต้น แต่คำอธิบายอย่างเป็นเหตุผลของตัวเลขเหล่า
นี้ล้วนคล้ายคลึงกัน จักรวาลวิทยาจึงดูเหมือนจะสัมพันธ์กับการจัดการพื้นที่ /ภูมิ
14
ของอาณาจักรมากขึ้นไปอีก กระนั้นมันก็มิใช่เทศะประเภทเดียวกัน
แขนด์เลอร์ศึกษาชื่อภูมิประเทศในเอกสารเก่าแก่ของเขมรสองขึ้น และพบว่า
อาณาจักรกัมพูชาเป็นภูมิลักษณ์ศักดึ้สิทธึ้ของสถานที่ต่างๆซึ่งมีผีเจ้าที่ ( ๓6ธล,
กส ส ) คอยเผีาดูแลหรือเป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมศักดี้สิทขึ้ ถึงแม้ว่า
^
แขนด์เลอร์จะมิไต้อภิปรายถึงระเบียบของจักรวาลที่อยู่เบื้องหลังการจัดการพื้นที่ /
ภูมิในลักษณะดังกล่าว แต่เขาก็ได้ยํ้าให้เห็นถึงอีกด้านหนึ่งของรายชื่อภูมิประเทศ
เหล่านั้น นั้นดือ มันเป็นแผนที่พื้นถิ่นของอาณาจักรโดยรวมก่อนหน้าที่แผนที่ภูมิ -
ศาสตร์สมัยใหม่จะเข้ามา 15
ในกรณีของสยาม ความคิดที่ว่าอาณาจักรในความรับรู้ของผู้คนเป็นภูมิลักษณ์
ศักดึ้สิทธึ้นั้น เห็นได้ชัดเจนจากคำที่ใข้เรียกดินแดนในอำนาจของกษัตริย์ คำว่า
“อาณาจักร” นั้นแปลตรงตัวไต้ว่าดินแตนภายใต้วงโคจรของจักร อันเป็นสัญลักษณ์
กำหนดของหลักสีมาหรือเสมา ดือหินเครื่องหมายบอกเขตพื้นที่ศักดี้สิทขึ้ซึ่งตาม
ปกติหมายถึงรัดอันเป็นสถานที่ประกอบพิธีอุปสมบท เสมายังหมายถึงหินรูปทรง
เดียวกันบนกำแพงเมืองด้วย ฉะนั้นจึงถึอกันว่า แผ่นดินของกษัตริย์ดือดินแดน
34
I ก็าเนิดสยามจากแผนที่: ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ศักดิ้สิทธี้ภายใต้อำนาจของจักรของกษัตริย์ หรือดินแดนศักดี้สิทธี้ภาย'zyxwvutsrqpon
ในขอบเขต '
ของสีมา นอกจากนี้ยังมีเอกสารชิ้นหนึ่งของไทยสมัยต้นกรุงศรีอยุธยาหรืออย่าง
น้อยในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 ที่คล้ายกับเอกสารเขมรที่แขนต์เลอร์ศึกษาด้วย ถึง
แม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับตัวเลขคักตึ้สิทธี้หรือสหพันธภาพของผีประจำ
ถิ่นต่างๆที่ปรากฏในเอกสาร แต่ความศิตที่ว่าเมีองหนึ่งๆมีเทพารักษ์ประจำอยู่นั้น
ก็เป็นเรื่องที่รู้จักกันดี แม้แต่กรุงเทพฯ ทุกวันนี้ก็มักมีการเรียกหาพระสยามเทวา -
ธิราชผู้เป็นเทพารักษ์เพื่อขอให้ปกปักคุ้มครองทั้งประเทศ
จิตรกรรมอันหลากหลายมากกว่าเป็นเรื่องของพัฒนาการของความรู้เกี่ยวกับโลก
จักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ เป็นเพียงหนึ่งในบรรดาเรื่องราวที่เป็นที่รู้จักกันดีที่
ปรากฏอยู่บนฝาผนังวัดเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นๆในทางพุทธวิทยาอีก เช่น พุทธประว้ติ
พระเวสสันดรชาดก และเรื่องเกี่ยวกับพระธาตุหรือพระพุทธรูปด้วย โดยส่วนใหญ่
ภาพจักรวาลวิทยาและพุทธวิทยาจะอยู่บนฝาผนังคนละด้านกัน17 ยังมีเอกสารเก่า
แก่อีกชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นแหล่งที่มาสำคัญของภาพวาดความรู้ทางพุทธวิทยามาจนถึง
ทุกวันนี้ เอกสารที่ไม่ปรากฏชื่อนี้ระบุว่าเขียนขึ้นในปื พ.ศ. 2319 (ค ศ. 1776 ) แต่
.
ชื่อที่ดั้งให้ในภายหลังว่าzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ÿ™ '
นบุรี อาจทำให้เราเข้าใจผิดไป
ว่าภาพเขียนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องราวของไตรภูมิทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเนี้อหาหลักของ
เอกสารดังกล่าวจะเป็นรูปภาพเกี่ยวกับไตรภูมิ แต่ที่จริงก็มิได้มีแตพรรณนาทาง
'
เอกสารตัวเขียนดังกล่าวเป็นหนังสีอภาพสมุดไทย มีภาพจักรวาลวิทยาแบบ
ไตรภูมิ เรื่องพุทธประรัต มหาชาติชาดก และดำนานที่พุทธศาสนาเข้ามาในดินแดน
บทที่ 1 ภูมิของคนพึ้นถิ่นและแผนที่โบราณ 35
สุวรรณภูมิหรืออุษาคเนย์ภาคพื้นทวีปในปัจจุบัน เอกสารเริ่มจากภาพมหานคร
นิพพาน อันเป็นปริมณฑลแห่งการหลุดพ้นชั่วนิรันดร์ซึ่งอยูzเหนื อพ้นไปจากภูมิ
,
yxwvutsrqponmlkjihgfedcb
ทำให้ภาพส่วนนี้ดูคล้ายแผนที่ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่ารูปภาพจำนวนหนึ่งที่อยู่ระหว่าง
เรื่องของพระเวสสันดรและทศชาติอื่นๆ เป็นแผนที่ภูมิศาสตร์ สัญลักษณ์แม่นั้ามิได้
สื่อแค่ความสัมพันธ์ทางภูมิศาสตริในความเข้าใจของเราเท่านั้น แต่ยังอาจแสดงถึง
ความสัมพันธ์แบบอื่น เซ่น สืบสายวงศ์วานว่านเครือ หรือลำดับเรื่องราวก็ได้เซ่นกัน
หากเราพิจารณาแผนที่อย่างละเอียด (ตูภาพที่ 2) แผ่นพับที่ 1 ถึงแผ่นพับที่ 4
แสดงถึงเรื่องราวในพุทธประว้ติ เริ่มด้นด้วยเมืองและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพุทธ
ประว้ติ ดามด้วยไสไลท์อุบัติการณ์สำคัญๆ ก่อนและหลังการตรัสรูของพระพุทธเจ้า
ในเมื่อเอกสารนี้เป็นสมุดภาพเกี่ยวกับภูมิหรือเทศะ อุบ้ติการณ์เหล่านี้จึงถูกระบุถึง
ด้วยสถานที่ได้แก่เทวนครของบิดาของพระพุทธเจ้า ด้นไม้ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติ
สถานที่ตรัสรู้ ต้นไม้ทั้งเจ็ดต้นที่พระพุทธเจ้าพักผ่อนอิริยาบถและพิเคราะห์ธรรมที่
คันพบและสถานที่อีกหลายแห่งที่ได้เดินทางไปแสดงธรรมเทศนา รวมทั้งภูเขาของ
ยักษ์มารและเมืองของสัตว์
ถ้าเราติดตามสัญลักษณ์แม่นั้าไปสู่แผ่นพับที่ 5 ก็จะพบว่าถิ่นที่อยู่ต่อกับ
สถานที่ต่างๆในพุทธประว่ด คือล้านนาแน่ๆ ด้านบนของแผ่นพับที่ 5, 6 และ 7 คือ
ภูมิภาคในลาวและเวียดนามปัจจุบัน รวมถึงอาณาจักรจามปาซึ่งถูกยึดครองโดย
เวียดนามในศตวรรษที่ 1 6 ด้านล่างของแผ่นพับที่ 7 และ 8 คือภูมิภาคในพม่าและ
มอญปัจจุบัน รวมทั้งพุกาม มะละแหม่ง สิเรียม สะเทิม และทวาย ตรงแถบกลางของ
แผ่นเหล่านี้ซึ่งเป็นใจความสำคัญของภาพคือเมืองต่างๆในล้านนาและสยามซึ่งรวม
ถึงอยุธยา (ไม่มีกรุงเทพฯ) แผ่นพับที่ 8 แสดงถึงปากแม่นํ้าหลายสายและคาบสมุทร
ทั้งหมดนับจากคอคอดกระลงไป ซึ่งปรากฏเป็นเกาะขนาดใหญ่ แผ่นพับที่ 9 และ 1 0
แสดงถึงทะเลที่พระภิกษุเรืองนามสองรูปแห่งอุษาคเนย์ คือพระพุทธโฆษาจารย์
36 ท้าเนิดสยามจากแผนทีz่ : yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาสิ
และพระพุทธทัตตะเดินทางไปและกลับจากเกาะลังกาหรือศรีลังกาในปัจจุบัน ด้าน
ล่างของแผ่นพับทีz่ 8yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ถึง 1 0 เป็นเรื่องราวตอนหนึ่งจากเรื่อง รามเกียรติ้ซึ่งรู้จักกัน
ตี คือตอนที่พระรามสั่งให้หนุมานถมทะเลสร้างถนนไปจนถึงกรุงลงกา อันเป็น
เมืองของพวกอสูรที่มีชื่อคล้ายลังกาในภาษาไทย แผ่นพับที่ 11 คือเกาะลังกา
หรือศรีลังกาในปัจจุบันโดยเน้นที่พระธาตุอันเป็นที่ประดิษฐานพระทันตสารีริกธาตุ
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ เวลาที่ใชในการเดินทาง และระยะทาง
อีกด้วย แผ่นพับที่ 12 เป็นภาพปลาอานนตามเรื่องปรัมปรา
ไมเคิล ไรท์ เขียนบทความในนิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นงานชิ้นเดียวที่
กล่าวถึงแผนที่นี้ เขาเห็นว่าภาพชุตนี้เป็นแผนที่ภูมิศาสตร์ตั้งแต่สมัยอยุธยาที่อาจ
จะยังไม่ได้รับอิทธิพลจากแผนที่ของต่างชาติ , ขณะที่ไรท์ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ตั้ง
9
ของเมืองในล้านนาและภาคกลางหลายเมืองนั้นนับว่าถูกต้องโดยทั่วไป แด่เขาก็
แปลกใจกับข้อผิดพลาดอย่างฉกรรจ์สองประการ นั้นคือ การที่ล้านนาและสถานที่
ในพุทธประว่ดิอยู่ติดต่อกันโดยไม่มีพม่าคั่นกลาง และการที่อินเดียกับศรีลังกากลับ
ไปตั้งอยู่ปลายสุดคนละด้านของแผนที่ เขายังสังเกตด้วยว่าอยุธยาซึ่งเป็นศูนย์กลาง
ของอาณาจักรกลับไม่ได้มีสถานะพิเศษใดๆในแผนที่เลย ทั้งนี้ใรท็ไม่ไต้กล่าวถึง
ถนนพระรามจาก รามเกียรตี้หรือพุทธประว้ติที่ปรากฏในตอนด้นของแผนที่ว่า
เกี่ยวข้องกับแผนที่ภูมิศาสตร์อย่างไร
เราจะเข้าใจสมุดภาพชุดนี้ได้ง่ายชิ้นหากเรายอมรับว่าแผนที่ไม่จำเป็นต้อง
เป็นสื่อแทน ( โ6|ว -6ธ6ก13แอก ) พี้นผิวโลกเท่านั้น แด่สามารถเป็นภาพแสดงความ
|
บทที่ 1 ภูมิของดนพึ้นถิ่นและแผนที่โบราณ 37
ทั้งสองและสรรพชีวิตอื่นๆในปรัมปราชาตกกลับเป็นเรื่องจินตนาการล้วนๆ ภาพ
เขียนชุดนี้มิได้ถูกออกแบบมาให้เป็นภูมิศาสตร์ที่แท้จริงของภูมิภาคนี้ดังที่ไรท้คาด
หวัง ศิลปินผู้วาดภาพจงใจบรรจุแผนที่ล่งไปในกรอบของการพรรณนาที่ใหญ่กว่า
นั้น และเอารายละเอียดของชมพูทวีป สุวรรณภูมิ และศรีลังกา มาวางไว่ในกรอบ
การพรรณนาชุดเดียวกัน
ฉะนั้นการที่ชมพูทวีปและล้านนาอยู่ติดกันโดยไม่มีพม่าคั่นกลางจึงมิใช่ความ
ผิดพลาดแม้แต่น้อยสำหรับช่างวาดและผู้ชมในยุคของเขา การอยู่ติดกันหมายถึง
จุดเริ่มด้นของพุทธศาสนาท้องถิ่นที่มาจากกำเนิดอันเป็นสากล ดังนั้นจึงไม่มีความ
จำเป็นต้องแก้ไขหรือให้คำอธิบายใด ๆzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONML
( เช่นว่าในอดีตอาจมีเส้นทางพิเศษระหว่าง
ชมพูทวีปกับล้านนา ) ดังที่ไรท์พยายามเสนอ แผนที่ของภาคพื้นอุษาคเนย์ที่มี
20
ทิศตะวันออกอยู่ด้านบนและทิศตะวันตกอยู่ด้านล่างนี้เป็นหน่วยทางภูมิศาสตร์ของ
ภูมิภาคแห่งหนึ่งที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ภูมิของหน่วยทางภูมิศาสตร์นี้มิใช่ภูมิ
ในจินตนาการหรือภูมิทางจักรวาลวิทยาแต่อย่างใด ดังนั้นแผนที่ภูมิลักษณ์จึงถูก
นำมาใช่ในที่นี้โดยที่สัญลักษณ์แม่นํ้านั้นหมายถึงแม่นั้าจริง ๆ ลังกาก็หมายถึงลังกา
จริง ๆ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างลังกาและสุวรรณภูมิกลับแสดงผ่านสัญลักษณ์
21
ของเรื่องราวของพระอริยาจารย์สองรูป ส่วนทะเลก็มีความเป็นสัญลักษณ์มากพอ
ที่จะใส่เรื่องราวที่เป็นปรัมปราเข้าไปได้ ต็าแหน่งของชมพูทวีปและลังกาที่อยู่คนละ
ด้านของแผนที่ ระยะห่างระหว่างกัน และทิศทางที่คลาดเคลื่อนเมื่อเทียบกับอุษาค -
เนย์ ก็ไม่ใช่ข้อผิดพลาดทางภูมิศาสตร์ อีกทั้งตำแหน่งของล้านนาและสยามที่อยู่
ตรงกลางของแผนที่ ก็ไม่ได้สื่อว่าอาณาจักรทั้งสองคือศูนย์กลางของไตรภูมิแต่
อย่างใด ทุกอย่างถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งแห่งที่อันควรจะเป็นแล้วตามกรอบการ
พรรณนาประว้ติพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ มิใช่ตามพื้นผิวโลกที่เป็นจริง
โดยรวมแล้ว ภาพชุดนี้บอกเล่าเรื่องคล้ายเรื่องราวในจิตรกรรมฝาผนังของ
วัดต่าง ๆ บางส่วนของภาพชุดนี้เหมือนกันสนิทกับภาพวาดเรื่องราวทางพุทธซึ่ง
สามารถพบไต่ในที่อื่นๆ* เช่น ภาพภิกษุจข่ผ้เผยแผ่ศาสนาสองรปพบกั
ช้
นกลางมหาสมุจ ทร
และภาพพระพุทธเจ้าสละชีวิตทางโลก22 การพรรณนาความเชื่อมโยงระหว่าง
'
ล้านนากับพุทธกาลในลักษณะเดียวกันนี้ยังสามารถพบไต่ในตำนานพุทธศาสนา
ท้องถิ่นจำนวนมาก นักประวัติศาสตร์บางคนถึอว่านึ่เป็นข้อมูลภูมิศาสตร์จริง ๆ
สำหรับค้นหาแหล่งกำเนิดของคนไท แด่ก็มีข้อถกเถียงที่น่าเชื่อกว่าว่าเป็นภูมิ -
38 กำเนิตสยามจากแผนที่ะ ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาขฮงชาติ
ในอุดมคติ นั่นคือเป็น “ ภูมิศาสตร์ตำนาน” ฉะนั้น ภาพเขียนทั้งชุตนี้จึงเป็น
ศาตต!zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
'
กล่าวเกิดขึ้นและถูกทำให้มีความหมายด้วยระบบสิ่งศักตึ้สิทธี้ทั้งหลาย สิ่งคักดี้สิทธี้
นี้เป็นสื่อกลาง (ฌ60แ3101 ) ระหว่างพื้นที่กับมนุษย์ ก่อให้เกิดเทศะในจินตนาการขึ้น
'
มาชุดหนึ่ง ผลก็คือคุณลักษณะของเทศะดังกล่าวถูกกำหนดด้วยความสัมพันธ์ของ
สิ่งดักตึ้สิทธึ๋ทั้งหลาย เช่น ลำดับชั้นของผี (นัด) ทั้ง 37 ตนและหัวเมือง (กา7๐) ทั้ง 32
หรือพระธาตุ 12 นักษัตร และแนวติดเกี่ยวกับการแสวงบุญ ภูมิศาสตร์ตำนานและ
เรื่องราวของพิธีกรรม - ความเชื่อ เราจะเข้าใจเทศะและแผนที่ประเภทนี้ได้ก็ต่อเมื่อ
เราเข้าใจแนวความติด (ไวยากรณ์ ) และสัญลักษณ์ ( หน่วยคำ ) ของมัน
ทำมกลางภูมิลักษณ์คักตึ้สิทธึ้เหล่านี้ อย่าคิดว่าแผนที่พื้นผิวโลกที่ไม่เกี่ยวข้อง
1
กับศาสนาเลยจะไม่ดำรงอยู่ แผนที่ของอุษาคเนย์ภาคพื้นทวีปที่อยู่ในแผนที่ตำนาน
คือหลักฐานอย่างหนึ่ง แชนด์เลอร์บอกเราว่ากัมพูชามีแผนที่ของท้องถิ่นเล็กๆ อยู่
จำนวนมาก เช่น หมู่บ้านและเส้นทางเดินทาง แต่กลับมีสิ่งที่เขาเรียกว่าแผนที่ระดับ
ประเทศอยู่ไม่กี่ขึ้น เขาอธิบายว่าเป็นเพราะวิถีชีวิตของชาวเขมรขาตปฏิสัมพันธ์
ระหว่างภูมิภาคต่างๆ และเป็นเพราะหมู่บ้านเขมรมีลักษณะโดดเดี่ยวและกระจัต -
กระจาย อย่างไรก็ตาม ในกรณีสยาม แผนที่ก่อนสมัยใหม่ของท้องถิ่นและเส้นทาง
25
เล็กๆกลับหายากซึ่งอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาไม่มีความสนใจในเรื่องนี้มากพอ (หาก
นี่เป็นความจริงก็หมายความว่าแผนที่จำนวนมากยังมิได้ถูกด้นพบ) ภาพที่ 3 เป็น
ส่วนหนึ่งของแผนที่ฉบับต่อกันยาวเหยียดของ งตะวันออกทะเลสาบสงขลา ณ เส้น
^
1 ภูมิของคนพนลิ่นและแผนที่โบราณ
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPO
39
รุ้งทีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
7- 8 องศาเหนือบนอ่าวสยาม มีอายุระหว่าง พ.ศ. 2223- 2242 ( ค. ศ . 1680-
1699) บริเวณทั้งหมดปรากฎต่อเนื่องกันไปในรูปของวัด 63 แห่ง 26
งานศึกษา
แผนที่นี้ชิ้นหนึ่งชี้ว่าภูมิประเทศดังกล่าวถูกอ่าน ( นั่นคือถูกสร้างชิ้นมาและถูก
กำกับ ) ด้วยสถานที่ดักดี๋สิ่ทธี้ซึ่งทำให้ภูมิลักษณ์มีคุณค่าความหมายชิ้นมา แด่
27
วัดดักดึ๋สิ่ทธึ้ที่แสดงในที่นี้มิได้เป็นสัญลักษณ์ตามจินตนาการแทนระบบความเชื่อ
แต่อย่างใดหากเป็นสื่อแทนสถานที่ (เ00ส1!เ7) ที่วัดเหล่านั้นตั้งอยู่จริง ๆ หน่วยของ
พื้นที่ /ภูมิในแผนที่นี้ก็มิใช่จักรวาลวิทยาหรือโลกในจินตนาการชนิดไหนทั้งนั้น แต่
เป็นแผนที่ของพื้นผิวโลกเชิงประจักษ์นั่นเอง พึงระลึกว่าแผนที่เส้นทางเดินทาง
หรือแผนผังลายแทงสมบ้ดิ ก็คือรูปแบบแรก ๆ ของแผนที่โบราณในทุกวัฒนธรรม
แผนผังของพื้นผิวโลกที่เป็นส่วนๆ แบบนี้เป็นสิ่งที่คนพื้นถิ่นของสยามรู้จักเป็น
อย่างตีเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีแผนที่อันน่าทึ่งอีกฉบับที่เป็นส่วนหนึ่งของ สมุดภาพไตรภูมิ
ฉบับธนบุรี นั่นคือแผนที่ชาย &[งทะเลจากเกาหลีถึงอาระเบีย ซึ่งถูกผนวกเข้าเป็น
ส่วนหนึ่งของการพรรณนาเกี่ยวกับมนุษยภูมิอันเป็นส่วนหนึ่งของไตรภูมิ ( ดูภาพ
ที่ 4) ในแผนที่นี้ชายย้งทั้งหมดเรียงรายเป็นลำดับตลอดด้านล่างของแผนที่ทุก
28
40 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ไรท์เสนอว่าแผนที่ชายฝังนี้เขียนขึ้นตามขนบแผนที่ของจีนส่วนเทอร์วิลzyxwvutsrqp
( ธ-ป.
6โพเ 61) แย้งว่าแผนที่ยุโรปในศตวรรษที่ 17 เป็น “ แรงบนตาลใจสำคัญของแผนที่
นี”้ ขณะที่เวงศ์ (* ๒บ3 พ6ก^ ) เห็นว่าน่าจะเป็นแผนภูมิจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ
29
พราะแผนที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของตัวคัมภีร์ไตรภูมิ เทอร์วิลสนับสนุนการวิเคราะห์
องเวงศ์และพิจารณาแผนที่นี้ไปในแนวนั้นแม้จะไม่ค่อยแน่ใจนักก็ตาม:
[แผนที่นี้เป็น] ตัวอย่างที่ขึ้ใหัเห็นถึงความสามารถของคนไทยในการตูดซับ
ข้อมูลใหม่ ๆ เข้ามาอย่างละเอียดและปรับให้เข้ากับความคิดจักรวาลวิทยา
แบบไตรภูม.ิ ... มิใช่งานทางภูมิศาสตร์ในความหมายตรงๆ กล่าวดือ ชายฝัง
หลายแห่งมีทิศทางบิดเบี้ยวไม่เหมือนจริง ขนาดประเทศด่างๆโดยเปรียบ-
เทียบก็ผิด และไม่มีเส้นบอกพิกัด เกาะหลายแห่งถูกจัดวางในตำแหน่งที่ผิต
อย่างโจ่งแจ้ง... ความบิดเบี้ยวจากความเป็นจริงอย่างเห็นไต้ชัดน่าจะยืนยัน
ข้อสรุปที่ว่า ผู้ประดิษฐ์แผนภูมินี้ให้ความสนใจกับจักรวาลวิทยามากกว่า
ภูมิศาสตร์ อาจถือได้ว่าแผนภูมินี้เป็นความพยายามที่จะเสนอภาพชายฝัง
ยาวเหยียดของทวีปทางทิศใต้ของไตรภูมิ รวมทั้งเกาะที่เสิอกมาจำนวนหนึ่ง
จากทั้งหมด 500 เกาะ 30
การเหมาว่าก่อนที่ชาวยุโรปจะเข้ามานั้นคนพื้นถิ่นไม่มีความรู้เกี่ยวกับพื้นผิว
ของโลกเลย หรือว่าข้อมูลใหม่สามารถที่จะเข้าใจได้ด้วยแนวคิดจักรวาลวิทยาแบบ
ตรภูมิเท่านั้น เป็นการทึกทักอย่างผิดๆ นอกจากนี้การปฏิเสธความรู้ของคนพื้นถิ่น
ด้วยคำอธิบายว่ามันไม่ถูกต้องแม่นยำตามมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์ของเรา ก็เป็น
ความผิดพลาดเช่นกัน โลกมนุษย์ของไตรภูมิและของโลกตามภูมิศาสตร์เป็นพื้นที่ /
ภูมิคนละชนิดกันแต่สัมพันธ์กันด่างทำงานภายในกรอบของมโนภาพและปฏิบ้ดิ -
การของมนุษย์แบบหนึ่งๆ ที่แตกด่างกัน ในทำนองเดียวกับแผนที่ของอุษาคเนย์
ภาคพื้นทวีป แผนที่ชายบี้งซื่งถูกรวมเข้าไปในการบรรยายพื้นที่ /ภูมิแบบไตรภูมิ
จะต้องถือว่าเป็นหน่วยหนึ่งในกรอบใหญ่ของการพรรณนาเกี่ยวกับจักรวาลวิทยา
แต่กระนั้นก็ตาม ตัวมันเองโดดๆเป็นแผนที่ภูมิศาสตร์ของพื้นผิวโลก หาใช่แผนภูมิ
จักรวาลวิทยาไม่ หากพิจารณาเฉพาะแผนที่ชายส์งนี้โดดๆ เราจะพบว่ามีลักษณะ
คล้ายกับแผนผังชายฝังทะเลในขนบแผนที่ของจีนมากกว่าแผนที่ของยุโรป ถึงแม้
ว่าข้อมูลบางอย่างอาจจะมาจากยุโรป แต่แบบแผนพื้นฐานของแผนที่ตูจะมาจาก
ต้นแบบของจีนมากกว่า31 ทั้งนี้การทำแผนผังชายฝังทะเลนั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบํดิ
1 ภูมิของคนพี๋นถิ่นและแผนที่โบราณ
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPON
41
ของชาวจีนมาตั้งแต่ยุคต้นคริสตกาล ก่อนจะหลีกทางให้การทำแผนที่แบบยุโรป
อันเนื่องมาจากอิทธิพลของพวกบาทหลวงเยซูฮิตราวศตวรรษที่z16 และ 17 ใน
yxwvutsrqponmlkjihg
บรรดาแผนผังที่เหลืออยู่บางส่วนเป็น “แผนที่ที่เป็นแถบแคบๆโดยมีชายส่งหรือ
แนวชายส่งทะเลยาวเหยียดทอดตามแนวนอนของแผนที่ตลอดจากขวาไปซ้ายโดย
ไม่สนใจว่าทิศจะถูกต้องหรือไม่ ” ทิศหลักๆหันเข้าหาแผ่นดินหรือหันออกไปหา
32
ตั้งแต่ต้นคริสตกาลและชื่อของสถานที่ต่าง ๆ ก็ถูกจดจารในบันทึกของนักเดินทาง
ซาวจีนตั้งแต่นั้นฉะนั้นจึงไม่นำประหลาดใจแด่อย่างใดที่รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่
ต่าง ๆ ตั้งแต่แถบทะเลจีนใต้ไปจนถึงชายส่งมหาสมุทรอินเดียจะมีมากกว่าของโลก
อาหรับและยุโรป อย่างไรก็ตาม ในขั้นนี้เป็นการยากที่จะบอกได้ว่าอิทธิพลของจีน
ต่อการทำแผนที่ของสยามมีมากน้อยเพียงใด หรือว่าชาวสยามได้ปรับธรรมเนียม
ปฏิบัติของจีนให้มาเป็นของตนมากน้อยเพียงใด ในการผลิตแผนที่ ผู้ทำอาจจะนำ
ข้อมูลจากหลายแหล่งมาใช้ ซึ่งอาจจะมีของยุโรปรวมอยู่ด้วย ทั้งที่อาจจะไม่เคยมี
ประสบการณ์โดยตรงกับชายส่งเหล่านั้นเลยก็ได้ ชื่อสถานที่ ระยะทาง หรือแม้แด่
สถานที่ตั้ง อาจมาจากคำเล่าลือและเรื่องปรัมปราเกี่ยวกับสถานที่ด่าง ๆ โดยมิได้
มีบรรทัดฐานทางวิทยาศาสตร์แบบที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
แผนที่สุดท้ายที่จะกล่าวถึงในที่นี้คือแผนที่ที่เรียกกันว่า แผนที่ยุทธศาสตร์ของ
รัชกาลที่ 1 (ดูภาพที่ 5) กล่าวกันว่าเป็นแผนที่ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย แต่ถ้า
34
หากเรายอมรับว่าภาพและแผนภูมิพื้นถิ่นนานาชนิดที่ได้กล่าวมาข้างด้นเป็นแผนที่
ชนิดหนึ่งเซ่นกัน คำกล่าวอ้างเซ่นนี้ย่อมผิดอย่างเห็นไต้ซัด อย่างไรก็ตาม ด้วยความ
ที่แผนที่ยุทธศาสตร์นี้ปลอดจากรหัสทางคาสนาโดยสิ้นเซิง ม้นจึงแสดงให้เห็นถึง
'
ในแผนที่ก็คือดินแดนลาว ซึ่งต่อมาเป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในปัจจุบัน
ริคเตอร์ เคนเนดี ( \ก่ด10 โ X ©กก© ) ไต้ศึกษาแผนที่นี้โตยพิจารณาจากฉบับเดียว
^
(
42 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประว?)ศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ที่มีอยู่ซึ่งเป็นฉบับผลิตช่าในสมัยรัชกาลทีz่ 6yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLK
( ครองราชย์ พ.ศ. 2453- 2468/ ค.ศ.
1910-1925) หลังจากได้ตรวจสอบรายละเอียดของแผนที่แล้ว เขาสรุปว่ามันเป็น
แผนที่นี้แสดงเส้นทางการเดินทางจากกรุงเทพฯไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยส่วนใหญ่เป็นเส้นทางตามแม่นํ้า แต่ก็ได้รวมเอาภูเขา แม่นี้า ป้อมค่าย และเมือง
หลายแห่งตลอดเส้นทางไว้ด้วย ระยะทางระหว่างสถานที่สองแห่งวัดตามระยะเวลา
ที่ใซ์ในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เคนเนดีได้พยายามประเมินความ
ถูกต้องแม่นยำของแผนที่นี้ตามมาตรฐานของแผนที่สมัยใหม่ จึงพบว่ามีจุตบกพร่อง
อยู่มากมาย ที่ดั้งของสถานที่หลายแห่งผิดพลาด ไม่มีการกำหนดมาตราส่วน และ
ระยะทางเชื่อถือไม่ได้ กระนั้นก็ตาม ความผิดที่ผิดทางเหล่านี้กลับเป็นร่องรอยที่น์า
เขาไปสู่ช้อสรุป กล่าวคือ บริเวณบางแห่งถูกขยายใหญ่จนผิดสัตส่วน และมีราย -
ละเอียดมากกว่าบริเวณอื่นๆ ก็เพราะว่ามันสำคัญต่อการรบในปี 2370
แม้ว่าจะอยู่ผิดที่ผิตทาง แด่พึ้นที่ /ภูมิของแผนที่นี้มีความหมายและสามารถ
จินตนาการได้มิใช่ในแง่ของสิ่งดักดี้สิทธี๋ทั้งหลาย แต่ในแง่สถานที่ต่างๆที่ผู้เดินทาง
ได้พบพานตามเส้นทางต่างๆบนผิวโลกจริง เห็นได้ชัดว่ามันมิใช่แผนที่ภูมิลักษณ์
อันคักดี้สิทธี้หรือแผนผังจักรวาลวิทยาหากเป็นแผนที่ของพื้นผิวโลกผืนหนึ่งเหมือน
กับแผนที่สมัยใหม่ ทว่าต่างจากแผนที่สมัยใหม่ตรงที่มันมิได้แสดงให้เห็นว่าพื้นผิว
โลกผืนนั้นสัมพันธ์กับโลกทั้งใบอย่างไร หรือดั้งอยู่ตรงไหนของโลกใบนี้ไม่มีอะไร
อ้างอิงถึงพื้นผิวโลกที่กว้างใหญ่กว่านี้ เช่น เส้นรุ้งเส้นแวง หรือความสัมพันธ์ของ
ดินแดนนี้กับอาณาจักรที่ใกล้เคียงในแง่ของเส้นเขตแดน ความสัมพันธ์ดังกล่าวคง
ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับแผนที่ท้องถิ่น เพราะความรุ้เกี่ยวกับพื้นผิวโลกทั้งหมด
เป็นเรื่องของจักรวาลวิทยา การที่พื้นผิวโลกผืนหนึ่งอยู่โดดๆจากโลกทั้งใบ อาจ
เปรียบไต้กับการอยู่โดด ๆ ของโลกมนุษย์จากหมู่ดาวทั้งมวลในความรู้สึกของคนยุค
ปัจจุบัน กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในความรู้เกี่ยวกับพื้นที่/ภูมิของคนพื้นถิ่น เขาจัด
ให้ภูมิศาสตร์ท้องถิ่นอยู่คนละหมวดหมู่กับโลกทั้งใบ เปรียบได้กับปัจจุบันที่วีทยา -
ดาสตร์สมัยใหม่แบ่งภูมิศาสตร์และตาราศาสตร์หรือฟิสิกส์ดาราศาสตร์ออกจากกัน
เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาแผนที่ตำนานและแผนที่ชายส่งทะเลด้วยความเข้าใจ
บทที่ 1 ภูมิของคนพี่นลิ่นและแผนที่โบราณ 43
( “ เป็นความบิตเบี้ยว
ที่ได้จากแผนที่ยุทธศาสตร์นี้สิ่งที่อาจถือเป็นความผิดพลาดzyxwvutsrqponmlkjihgfedcb
จากความเป็นจริงอย่างเห็นได้ซัด ” ในทัศนะของเทอร์วิล ) และการบิดเบือนนั้น อาจ
เป็นผลจากวิธีการทำแผนที่และข้อมูลการเดินทางของคนพื้นถิ่นก็ได้ แผนที่เหล่านี้
ผลิตขึ้นมาโดยไม่มีบรรทัดฐานทางวิทยาศาสตร์และมาตรฐานของความน่าเชื่อถือ
แบบที่เราใช้กันในปัจจุบัน แต่ผู้ทำแผนที่น่าจะมีวิธีการและมาตรฐานของพวกเขา
เอง ในแผนที่ตำนาน ดูเหมือนว่าเส้นทางแม่นํ้าและข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางเลียบ
แม่นั้าจากเหนือถึงใต้คือข้อมูลหลักที่มีการบันทึกไว้ ภาคพื้นอุษาคเนย์ทั้งหมดเป็น
ที่รู้จักได้ก็เพราะเมืองและแม่นั้าหรือสถานที่ที่ตั้งอยูริมฝังแม่นํ้า ฉะนั้นดินแดนภายใน
อันกว้างใหญ่ระหว่างลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยากับแม่นี้าโขงจึงเกือบจะไม่ตำรงอยู่เลย
ขณะที่พื้นที่แถบแคบๆที่มีแม่นํ้าสี่สายไหลผ่านลงสู่อ่าวสยามนั้นได้รับการขยาย
ให็ใหญ่ขึ้น ยิ่งกว่านั้น ในการเดินทางดามแม่นํ้าแต่ละสาย นักเดินทางคงจะประสบ
ปัญหาในการแยกแยะพิกัดเส้นรุ้งที่แตกต่างกันระหว่างปากนํ้าอิระวดีและเจ้าพระยา
มันจึงปรากฎออกมาอยู่ในระดับเดียวกันในแผนที่ หรือเมืองด่างๆในปากนํ้าอิระวดี
ก็ลูจะค่อนมาทางใต้มากกว่าที่ควรจะเป็น อาจเป็นเพราะในการรับรู้ของผู้เดินทาง
ทางเรือ แม่นั้าทั้งหมดล้วนไหลขนานกันไป ในแผนที่อุษาคเนย์ภาคพื้นทวีปที่จัดทำ
โดยชาวยุโรปก่อนกลางศตวรรษที่ 1 9 ในภาวะที่ยังไม่เคยมีชาวยุโรปลักคนเข้าไป
สำรวจดินแดนลึกเข้าไปและจึงต้องอาศัยแด่คำบอกเล่าของชาวบ้านเป็นหลักนั้น
แม่นั้าสายหลักทั้งหมดจากพม่าถึงชาย&เงเวียดนามลูจะเรียงขนานกันไปหมด
การเดินทางทางทะเลตามชายฝังจากจีนถึงอินเดียโดยไม่มีการตรวจสอบกับ
การเดินทางทางบกนั้น อาจผลิตข้อมูลซึ่งถูกปรุงแต่งโดยปัจจัยในการเดินเรือ ภูมื -
อากาศตามฤดูกาล คลื่น ลม และอื่นๆ การที่ข้อมูลนี้ผสานเข้ากับตำนานปรัมปรา
หรือคำเล่าลือต่าง ๆ น่าจะช่วยอธิบายความหยาบของแผนที่ซาย&งทะเล ซึ่งสามารถ
กำหนดตำแหน่งด่างๆตามซาย&งและระยะทางระหว่างจุดต่างๆในแง่เวลาเดินทาง
ไต้ค่อนข้างดี แต่ไม่อาจให้ข้อมูลของแผ่นดินตามเส้นทางเดินเรือได้ ความบิดเบือน
หรือผิดที่ผิดทางอาจเป็นร่องรอยช่วยให้เรามองเห็นแหล่งที่มาเฉพาะของข้อมูล
นั้นๆ รวมถึงจุดประสงค์หรือเทคนิคการทำแผนที่พื้นถิ่นแต่ละฉบับได้ ดังที่เคนเนดี
มองเห็นในกรณีของแผนที่ยุทธศาสตร์ แทนที่จะเชื่อตามแนวการศึกษาที่ผ่านมา
จำนวนมาก เราจึงต้องพิจารณาความผิดที่ผิดทางเหล่านี้ในเชิงบวกว่าเป็นร่องรอย
ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจวิธีการหรือมโนภาพที่อยู่เบี้องหลังและคุณสมปัดหลายอย่าง
44 ก็าเน้ตสยามจากแผนที:่ ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ของแผนที่เหล่านี้ไม่ควรมุ่งประเมินคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ของมันเพียงอย่างเดียว
อีกทั้งไม่ควรถือว่าความผิตที่ผิดทางถือหลักฐานว่าแผนที่ประเภทนี้ไม่มีอะไรเกี่ยว
ข้องกับภูมิศาสตร์ของพึ๋นผิวโลก แล้วมองว่าเป็นเรื่องของจักรวาลวิทยาไปหมด
เมื่อเปรียบเทียบแผนที่พึ้นถิ่นหลายประเภท เราจะเห็นความแตกต่างระหว่าง
ภูมิในจินตนาการกับแผนที่ของพี๋นที่กายภาพประการหนึ่ง นั่น
การวาดภาพพึ๋นที่z/yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ถือการวัตระยะทางระหว่างสถานที่ต่างๆ กล่าวถือ แม้ว่าแผนที่แบบไตรภูมิและแบบ
พุทธตำนานจะมีตัวเลขจำนวนมาก แด่ตัวเลขเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของโลกต่าง ๆ
ของสถานที่ในอุดมคติ ของชีวิตต่างๆ ตามภพภูมิ หรือไม่ก็เป็นจำนวนสัญลักษณ์
ของสิ่งศักตี้สิทธึ้ต่างๆ ในหลายกรณีเราสามารถจะคำนวณไต้ด้วยสูตรคณิตศาสตร์
เช่น ขนาดของโลกและภูมิอื่นๆ หรีอขนาดและระยะทางระหว่างเทือกเขาและมหา -
สมุทรทั้งเจ็ด จะมีก็แด แผนที่ที่แสตงพึ้นผิวโลกผืนหนึ่งเท่านั้นที่มีรายละเอียด
36 ,
การอยู่ร่วมกันของมโน,กัศน์ต่างชนิดส่อพี้นที๋ / ภูมิ
เราสามารถจินตนาการถึงจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิและภูมิลักษณ์อันศักดึ๋สทธี้
ประเภทต่างๆในแบบที่ด่างออกไปจาก “ความเป็นจริง” ทางภูมิศาสตร์ที่เราคุ้นเคย
กันอยู่ได้ ความที่เป็นพึ๋นที่ /ภูมิแบบศาสนาหรือจินตนาการ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้อง
ถูกต้องตรงกับพึ้นผิวโลกเซิงประจักษ์ ความเป็นจริง ความหมาย และสารที่สื่อออก
มาในความสัมพันธ์เชิงเทศะเหล่านี้มิได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับภูมิศาสตร์เชิงประจักษ์
ผลก็ถือเราสามารถเสนอสารเดียวกันด้วยภาพพึ้นที่ /ภูมิต่างกันมากมายนับไม่ถ้วน
ทั้งนี้ เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่แนวถืตเกี่ยวกับไตรภูมินี้เป็นแรงบันดาลใจ
บทที่ 1 ภูมิของคนพึ๋นถิ่นและแผนที่โบราณ 45
ให้กับศิลปินมากมายทั้งแนวจารีตเดิมและสมัยใหม่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQP
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความรู้เกี่ยว
37
46 กำเนิตสยามจากแผนที่ะ ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ของชาวอังกฤษผู้ศิวิไลซ์ไร้ถึงสามหน้ากระดาษ ซึ่งมีเนึ้อหาควรแก่การยกมาอ้าง
(ตูภาพที่ 6):
พร้อมรูปภาพจากหนังสึอของเขาzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGF
อย่างไรก็ตาม พวกเรา๓อบจะเสียมารยาทด้วยการระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
และรู้สึกทรมานเหสิอเกินกับการที่ด้องพยายามควบคุมความรู้สึกอันหฤหรรษ์
นั้นไว้ รอยยิ้มที่เห็นชัดบนใบหน้าของเรา ทำให้พระมหากษัตริย์รู้สึกยินดี ด้วย
สำคัญผิดไปว่าพวกเรารู้สึกปิติและชื่นชมต่อผลงานศิลปะอันงดงามตรงหน้า
ที่ยังความตะลึงลานแก่สายตาด้วยสีสันฉูดฉาดเหล็อร้บ แผนที่มีขนาดราว
สามคูณสองฟุต ตรงกลางเป็นแผ่นสีแตงยาวประมาณสิบแปดนิ้ว กว้างสิบนิ้ว
เหนือขึ้นไปเป็นแผ่นสีเขียว ยาวประมาณสิบนิ้ว กว้างสามนิ้ว ในพื่นที่สีแตง
ทั้งหมดเป็นรูปคนที่ตัตมาจากกระดาษสีเงินแปะติดไว้ รูปคนที่ว่านี้จองมอง
มาข้างหน้า มีอข้างหนึ่งถึอสามง่ามขนาดใหญ่และอีกข้างหนึ่งถึอผลส้ม สวม
มงกุฎไว้บนหัว สวมเดีอยไว้ที่ลันเท้า และขาสองข้างที่ผอมเก้งก้างจนน่า
เวทนาก็งอเข่าเข้าหากันอย่างน่าสมเพช และมนุษย์ผู้ตูเหมีอนขากศพนี้เอง
' 1
ก็ค็อมนุษย์อ้วนกลมที่กำลังนั้งอยู่ตรงหน้าเรา รูปที่ว่านี้ต้องการแสดงให้เห็น
ถึงบุญญาบารมีของพระเจ้าอยู่หัว ที่แผ่ขยายไปไพศาลจากปลายด้านหนึ่งไป
ถึงอีกด้านหนึ่งของพระราชอาณาจักร ภายในแผ่นสีเขียวเล็กมีรูปคนขนาด
เล็กที่เขียนด้วยหมึกอินเดีย มีจุตเล็กที่หมายดึงหัว จุดใหญ่หมายถึงร่างกาย
และเส้นขีตสี่เส้นที่หมายถึงแขนและขา เป็นรูปที่ตั้งใจให้หมายถึงสาราวดีผู้
ชั่วร้าย ซึ่งก็ดีอกษัตริย์พม่าในขณะนั้น มีกองทัพภูตผีร้ายตัวเล็กๆในท่าทาง
ด่างๆ นานาเต้นอยู่รอบทิศของพระราชอาณาจักร เจ้าตัวขยุกขยุยนี้มีไว้แสดง
ให้กับพวกไม่ประสีประสาเห็นถึงอาณาจักรของพม่าที่เต็มไปด้วยปัญหาและ
ความวุ่นวายและกษัตริย์พม่าผู้มิได้มีความสำคัญอะไรในอาณาจักรของตน
แถบสีตำคนกลางอยู่ระหว่างสีเขียวกับสีแตงหมายถึงเส้นเขตแดนที่ไม มี ,
ปัญหา และทางย้งสีแดงของแถบสีตำมีเส้นโค้งบางเขียนด้วยหมึกเพื่อระบุว่า
เป็นดินแดนที่ฝ่ายพม่าอ้างสีทขึ้แต่ฝ่ายสยามไม่ยอมรบ ส่วนที่เหลึอของแผนที่
เป็นสีนิ้าเงินหมายถึงมหาสมุทร ในพื้นที่สีนํ้าเงินที่อยู่ล้อมรอบสีแดงหรือ
ดินแดนของสยาม ปรากฎรูปเรือสำเภาที่วาดขึ้นอย่างหยาบๆ กำลังแล่นไป
มามากมาย บางลำชักเสาเรือแล่นเข้าหาย้ง แต่ก็เห็นได้ว่าบางลำพลิกควํ่า
หรือเสาเรือก็ขึ้ไปผิดทิศ ข้างพม่าที่น่าสงสารกลับไม่มีแมักระทั้งเรือลำเล็ก ๆ
ลักลำให้เห็น แน่นอนว่าทุกคนล้วนด่างนึ่งเงียบต่อคำกล่าวของพระเจ้าอยู่หัว
บททีz่ 1yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPON
ภูมิของคนพึ้นลิ่นและแผนที่โบราณ 47
และแสดงความประหลาดใจออกมาด้วยอาการใบ้เฉกเช่นนักระบำบัลเลฺต์
กษัตริย์ผู้ชราดูจะพอใจและปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง จึงสั่งให้เอาแผนที่ไปเก็บ
และแอบหัวเราะอยู่ชั่วขณะหนึ่งzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
38
บทบรรยายเหตุการณ์ตังกล่าวอาจถูกใส่สีสันจนเกินจริง และภาพในหนังสีอ
ของนีลก็แสดงให้เห็นว่าคนวาดภาพประกอบนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาพเขียนของ
สยามเอาเสียเลย แต่จากข้อมูลที่มีก็ทำให้เราจินตนาการได้ว่าแผนที่ฉบับนี้มีหน้าตา
เช่นไร หากเราแทนที่รูปมนุษย์สยามในสี่เหลี่ยมใหญ่ด้วยรูปเทวดาสวมชฎาหรือ
มงกุฎ และเปลี่ยนสามง่ามคันใหญ่และผลส้มให้เป็นตรีและสังข์ร่างที่อยู่ในอาณาเขต
ของสยามก็จะกลายเป็นเทพบนสรวงสวรรค์ ฉะนั้นสยามก็คือดินแดนของเทวดา
นั้นเอง ตรงกันข้าม พม่าคือดินแดนของอสูรซึ่งมักถูกนำเสนอในภาพทำนองเดียว
กับที่นีลบรรยาย เราไม่ควรนำเสนอผิดๆว่าราชสำนักสยามไม่มีความรูใดๆ เลย
เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ที่ไม่ใช่แบบไตรภูมิ ทว่ามโนภาพเกี่ยวกับพึ้นที่ /ภูมิที่ต่างกัน
จะใช้งานไต่ในสถานการณ์ที่ต่างกันหรือเพื่อจุดประสงค์ที่ด่างกัน ในกรณีนี้วาห -
กรรมเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของสองอาณาจักรถูกนำเสนอในแบบจักรวาลวิทยา
อย่างไรก็ตาม น่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่ปัญหาพรมแตนสามารถแสดงออกในแผนที่
แบบที่ไม่ใช่ภูมิศาสด-!ได้ด้วย
งานศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของซาวสยามในปลายศตวรรษ
ที่ 19 มักมีข้อสรุปอยู่สองประการ ประการแรกคือ การเปลี่ยนผ่านเป็นการตามอย่าง
ตะวันตกที่ค่อนข้างราบรื่นซึ่งนับเป็นคุณูปการของชนชั้นนำสยามผู้รอบรู้ปราด -
เปรื่องและของพวกมิชชันนารีผู้อุดสาหะด้วยบางส่วน แทบจะไม่มีการกล่าวอย่าง
จริงจังถึงการปะทะกันกับความรู้พนถิ่นที่ดำรงอยู่ก่อนเลย ประการที่สองในเมื่องาน
ศึกษาส่วนใหญ่มักเน้นความสำคัญของจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิจนเกินเลยและ
ไม สนใจมโนภาพของพื่นที่ / ภูมิแบบอื่นเลย จึงตูราวกับว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิด
,
48 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
จักรวาลแบบไตรภูมิเท่านั้นแต่ยังต้องเผชิญหน้ากับมโนภาพต่างๆที่ดำรงอยู่ก่อน
ทั้งที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ท้องถิ่น เส้นเขตแดน ผืนดิน รัฐ และอีกมากมาย เป็นไปได้
ว่าความขัตแยังได้เกิตขึ้นในทุกสมรภูมิที่มีการเผชิญหน้ากันของมโนภาพและการ
ปฏิบัติ อาทิเช่น การกำหนดเส้นเขตแดน หรือแนวความคิดเกี่ยวกับอาณาจักรอัน
เป็นพี้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐในภูมิภาคนี้มาแต่เดิม
/ พี้นที่ / ภูมิโดยตัวมันเองก็ไม่มิความหมายอะไรถ้าหากมนุษย์มิได้เอา
เทศะzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
แนวคิดและสื่อกลางบางอย่างเข้าไปจัดการและสื่อมันออกมา ในกรณีนี้ สิ่งศักดึ้ -
สิทขึ้ ความคิดทางศาสนา และโลกทัศน์แบบไตรภูมิ ไต่ให้เครื่องมือ ความคิด และ
สัญญะต่างๆอันนำไปสู่การปฏิบัติแบบหนึ่งๆ ภูมิศาสตร์สมัยใหม่ไม่ใช่เป็นแค่
ข้อมูลใหม่ที่มาสมทบกับมโนภาพที่มีอยู่แล้ว แด่มันเป็นความรู้ คนละชนิด เกี่ยวกับ
เทศะ / พี้นที่ /ภูมิ มีระบบการจัดแบ่งหมวดหมู่ แนวคิด และสัญญะสื่อกลางของมัน
เองอีกแบบหนึ่ง ฉะนั้น คำถามก็ด็อ เกิดผลอะไรดามมาเมื่อผู้คนเลิกคิดถึงเทศะ /
พื้นที่ /ภูมิในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งศักดึ๋สทธึ้ทั้งหลาย และเริ่มรับรู้มันด้วย
สัญญะและกฎเกณฑ์ชุดใหม่แทน?
เมื่อพูดถึงหน่วยทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่นชาติ นั้น มโนภาพพื้นถิ่นจะเป็นไปตาม
วาทกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรบนพื้นผิวโลก ภูมิศาสตร์ท้องถิ่น อำนาจ
อธิปไตย และเขตแตน มากกว่าที่จะเกี่ยวข้องกับจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ ในปริ-
มณฑลของวาทกรรมเหล่านี้นึ่เองที่ภูมิศาสตร์สมัยใหม่ซึ่งมีกฎระเบียบของตัวเอง
และเทคโนโลยีหลักสำหรับมโนภาพเชิงพื้นที่ / ภูมิ อันได้แก่แผนที่สมัยใหม่ ต้อง
ปะทะกับความรู้พื้นถิ่นที่เป็นคู่ตรงข้ามของมัน ผลลัพธ์จากการปะทะที่ว่านี้ ก็คือวิธี
คิดและวิธีรับรู้เกี่ยวกับพื้นที่ /ภูมิแบบใหม่ทั้งหมด และการเกิดขึ้นของแผ่นดินชนิด
ใหม่ของสยาม
บทที่ 1 ภูมิของคนพึ้นถิ่นและแผนที่โบราณ 49
/
บกกี่ 2
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJ
ภูมิศาสตร์แบบใหม่กำลังมา
-
33
-'
*
1
บกกี่ 2
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ภูมิศาสตร์แบบไหม่กำลังบา
ราวช่วงเวลาเดียวกับที่ราชสำนักสยามนำภาพสยามที่เป็นดินแตนแห่งสรวงสวรรค์
มาแสดงแก่อาคันตุกะต่างชาตินั้น ความรู้ที่ว่าสยามเป็นเพียงประเทศหนึ่งทำม
กลางประเทศมากมายบนพื่นผิวโลกก็เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปอยู่แล้ว การค้าขาย
ทำให้การติดต่อสัมพันธ์กับประเทศยุโรปและเพื่อนบ้านเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วzy,
เมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 19 ชื่อของประเทศต่างๆทั่งในยุโรปและเอเชียก็ได้รับการ
กล่าวถึงไวํในเอกสารราชการและวรรณกรรมที่เป็นที่รู้จักกันดีของไทยแล้ว 2
บทที่ 2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่ย่าอังมา 53
สองคนคือ บรัดเลและเฮาส์ ยังบอกให้เรารู้ว่า การจัดแสดงการทดลองวิทยาศาสตร์
ให้สมาชิกของชนชั้นนำสยามชมนั้น บางครั้งพวกเขาแสดงโลก หุ่นจำลองระบบ
กล่าวกันว่าในบรรดาชนชั้นนำ
สุริยะ และการโคจรของดาวเคราะห์ให้ชมด้วยzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQP
4
ความเชื่อเรื่องไตรภูมิของซาวสยาม หนังลือเล่มนี้แพร่กระจายในหมู่สานุศิษย์ของ
เจ้าฟ้ามงกุฎอย่างรวดเร็ว6
ในการสนทนาตอนคํ่าวันหนึ่งระหว่างเจ้าฟ้ามงกุฎกับคนของท่านในกลาง
ทศวรรษ 1840 ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งได้กล่าวว่า หลังจากได้อ่านหนังลือของ
แคสเวลส์ เขาถึงยอมรับความคิดว่าโลกกลม เจ้าฟ้ามงกุฎกล่าวตอบว่าตนมีความ
เห็น๗นนั้นมาก่อนหน้าตั้ง 15 ปี ซึ่งหมายถึงก่อนที่พวกมิชชันนารีอเมริกันจะ
ปรากฏตัวในสยามเสียอีก อย่างไรก็ดาม ขุนนางผู้ใหญ่อีกคนหนึ่งกลับปฏิเสธ
ความคิดดังกล่าวและกล่าวว่าตนไม่มีทางจะยอมเชื่อเช่นนั้นเด็ดขาด บทสนทนา 7
54 กี่เาเนึดสยามจากแผนที่z:yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประวตศาสตร์ภูมิกายาของชาต
เจ้าฟ้ามงกุฎเริ่มมีความสนใจในวิชาดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแต่
วงปีแรกๆที่ออกบวช และโปรดปรานการคำนวณการโคจรของดาวเคราะห์เป็น
วิ}zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
พิเศษ เมื่อเทียบกับผู้คนในยุคเดียวกันแล้ว ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกเช่นนี้นับว่า
ก้าวหน้าไม่น้อย ในข้อเขียนที่โต้ตอบคำอธิบายของบรัดเลเกี่ยวกับบทบาทของ
พระเจ้าผู้สร้างและคัมภีร์ไบเบิลต่ออารยธรรมนั้น ท่านได้แสดงให้เห็นว่าโลกทาง
วิทยาศาสตร์มีความสำคัญอย่างไรในทัศนะของตน ข้อเขียนดังกล่าวยังติเตียนว่า
คัมภีร์ไบเบิลเต็มไปด้วยข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับโลกและธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งความเชื่อเรื่องการสร้างโลกภายในหกวัน และท้าทายว่า หากไบเบิลเป็นแหล่ง
กำเนิดของอารยธรรมมนุษย์จริง ทำไมจึงไม่มีการเอ่ยถึงการวัดเส้นรุ้ง - เส้นแวงบ้าง
เลย บางครั้งความนิยมที่พระองค์มีต่อการคำนวณพิกัตของพึ๋นผิวโลกก็ออกจะ
8
มากไปหน่อย เช่นในจดหมายที่มีไปถึงสหายชาวอเมริกันครั้งหนึ่งในช่วงก่อนขึ้น
ครองราชย์ระบุว่าเขียนจาก “แห่งหนึ่งในผืนทเล เส้นรุ้ง 1 3 องศา 26 ลิปดาเหนือ แล
เส้นแวงา 01 องศา 3 ลิปตาตะวันออกในอ่าวสยามวันที่ 18 เดือนพฤศจิกายนพระ -
คริสตกาล 1849” 9
จริงหรือศาสตร์อันอัศจรรย์จากตะวันตก ปรากฎว่าภูมิศาสตร์และดาราศาสตร์ดูจะ
เป็นลำดับต้นๆ ในบรรดาศาสตร์ทั้งหลายของตะวันตก12
แน่นอนว่ากรณีของพระจอมเกล้าฯ มีความสำคัญมาก เพราะด้วยบทบาท
ของการเป็นผู้น่าคนหนึ่ง ทัศนะต่อวิทยาศาสตร์และภูมิศาสตร์แบบใหม่ของผู้ที่เป็น
'
ผู้น่าย่อมมีผู้คล้อยตาม กระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้ผู้คนหายคลางแคลงใจใน
ภูมิศาสตร์สมัยใหม่ แม้แต่หม่อมราโชทัย ล่ามชาวสยามในคณะทูตที่เดินทางไป
บทที่ 2 ภูมิหาสตร์เพบใหม่กำลังมา 55
ชื่อมสัมพันธไมตรีกับราชสำนักของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียในปีz2400 ( ค .ศ .
yxwvutsrqponmlkjih
1 857 ) ซึ่งเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษและคุ้นเคยกับความคิดแบบตะวันตกเป็นอย่างดี
กส์ชดถึงสภาวะที่เกิดการเปลี่ยนเคลื่อนมโนทัศน์ขึ้นนั้น จะขึ้ให้เราเห็นพลังที่สํงผล
ต่อการลงหลักปักฐานของภูมิศาสตร์สมัยใหม่ เราจะพบว่าความรู่ใหม่นี้มิได้เข้ามา
อย่างราบรื่นหรีอค่อยเป็นค่อยไปแด่อย่างใต
การแสวงหาภูมิศาสตร์สมัยใหม่และศาสตร์อื่นๆของตะวันตกเกิดขึ้นในช่วง
วลาเดียวกันกับที่มีการปฏิรูปพุทธศาสนาในกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งนำไปสู่กำเนิด
ของธรรมยุติกนิกายในสยาม ทั้งการปฏิรูปพุทธศาสนาและการแสวงหาศาสตร์
สมัย' ใหม่มีผู้นำเป็นคนกลุ่มเดียวกัน คือเจ้าพึามงกุฎและบรรดาสานุศิษย์โดยเริ่ม
'
6 ก็าเนิดสยามจากแผนที่: ประว้ดศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
และพบไตัเนพระวินัยอันเคร่งครัตของคณะสงฆ์ซึ่งเชื่อกันว่าบัญญติไวัแล้วตั้งแต่
ครั้งพุทธกาล กระนั้นก็ตาม หัวใจของขบวนการของเจ้าฟ้ามงกุฎอยู่ตรงที่ว่า พุทธ-zyxwv
ศาสนาที่แท้จะต้องไม่ข้องแวะกับเรื่องทางโลก และจำกัดขอบเขตของตนอยู่แต่
เฉพาะเรื่องของศีลธรรมและจิตวิญญาณเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่า คำสอนทางพุทธ-
ศาสนาเกี่ยวกับเรื่องจักรวาลวิทยานั้น ล้วนปนเย้อน'ไปด้วยความเชื่อผิตๆ เช่นลัทธิ
พราหมณ์ตังนั้นพวกเขาจึงแยกเรื่องทางโลกกับทางจิตวิญญาณออกจากกัน แม้ว่า
ทั้งสองอย่างจะสัมพันธ์กันก็ตาม พวกเขาเชื่อว่าพุทธศาสนาคือสัจจะทางธรรมใน
ขณะที่วิทยาศาสตร์คือสัจจะทางโลก กลุ่มของเจ้าฟ้ามงกุฎจึงต้อนรับศาสตร์ของ
ตะวันตกมากกว่ากลุ่มอื่นใตในสยามขณะนั้น มากเสียจนพวกมิชชันนารีถือว่า
ขบวนการพุทธศาสนาเคร่งคัมภีร์กลุ่มนี้คือฝ่ายก้าวหน้าของสยาม 15
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTS
2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่กำลังมา 57
เขตภูมิอากาศ และอื่นๆzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
( น่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์ของบรัตเลหยุตพิมพ์!.นปี
16
เดียวกันนั้นขณะกำลังเล่าเรื่องซาวเอสกิโม) บรัตเลตั้งใจใช้ความรูใหม่นี้เป็นหัวหอก
ทะลุทะลวงความเชื่อเก่า โตยพุ่งเป๋าไปที่ศรัทธาในพุทธศาสนาโดยเฉพาะ จดหมาย
โต้ตอบฉบับหนึ่งที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 มีไปถึงบรัตเล ได้ร่วมมือกับเขาในการ
พยายามกัดเซาะความเชื่อในเรื่องจักรวาลวิทยาแบบตั้งเดิม แต่ในจดหมายฉบับ
เดียวกันนั้นเอง ก็มีการท้าทายคำสอนในไบเบิลด้วยเหตุผลขุดเดียวกัน 17
ของพุทธศาสนาและโต้แย้งคำสอนทั้งหลายที่ไม่ลงรอยกับพุทธศาสนา โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งคำวิจารณ์ของพวกมิชชันนารี แต่การทำเช่นนั้นก็ทำให้ท่านต้องพราก
20
ประเด็นเรื่องรูปทรงของโลกได้กลายมาเป็นหัวข้อใจกลางของการปะทะกันใน
ตัวบท สัจจะตามความรู้พนถิ่นสยามโดยเฉพาะจักรวาลวิทยาแบบพุทธถูกทดสอบ
โดยความรู้แบบตะวันตก ท่านอธิบายโลกในฐานะดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบ
21
สุริยะด้วยความเชื่อมั่นหนักแน่นว่าโลกกลม จนสามารถอธิบายแหล่งกำเนิดของมัน
พร้อมกับสามารถตั้งคำถามตอบโต้บรรดาผู้ที่เชื่อว่าโลกแบนได้ด้วย ต่อปัญหาว่า
เราจะรู้ใด้อย่างไรว่าโลกไม่แบนนั้นท่านอ้างถึงปรากฏการณ์ที่เห็นได้ด้วยดาและ
เรื่องโคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา ซึ่งตัวอย่างทั้งสองนี้พบได้ในหนังสือพิมพ์ของ
บรัตเล ในการท่าเช่นนั้น ท่านตระหนักดีว่าจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิไต้กลาย
22
เป็นเป๋าโจมดีของตนและอาจท่าให้เกิดข้อกังขาต่อความถูกต้องของพระพุทธเจ้า
เนื่องจากถือกันว่าพระพุทธองศ์เป็นผ้รีรเขิ้แจังในสัจธรรมของสรรพสิ่ง อย่างไรก็ดี
รี
ทิพากรวงศ์ไม่เพียงสามารถหลีกเลี่ยงจากการเป็นพวกมิจฉาทิฐิได้เท่านั้น แต่ยัง
58 กำเนิดสยามจากแผนที่ะ ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
“ ถ้าคนใดคิตเหนว่า แผ่นดินแบนก็จะ
สามารถถกเถียงไปไดัใกลถึงขนาดกล่าวว่าzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONM
ถูกกับที่เขาถือว่ามีผู้สร้างใหัเปน ถ้าถือว่าพิภพกลมก็จะถูกกับคำพระพุทธเจ้าที่
กล่าวไว้ว่า ธรรมดานิยม”23
วิธีการเอาตัวรอดจากความอิหลักอิเหลื่อของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ กลายเป็น
แบบฉบับของคนไทยพุทธยุคใหม่ซึ่งศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแน่วแน่ พอๆกับ
เชื่อมั่นในความรู้ที่เที่ยงตรงของวิทยาศาสตร์แบบตะวันตก นอกจากจะแยกสอง
ปริมณฑลของชีวิตออกจากกันแล้ว ท่านยังยืนยันว่าพระพุทธเจ้ารู้แจ้งในสัจจะเกี่ยว
กับโลก แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าสิ่งที่รู้นั้นขัดกับความเชื่อของผู้คน หากยก
ปัญหานี้ขึ้นมาก็จะทำให้ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้จนละเลยมรรคเพี่อการหลุดพ้น
กล่าวอีกอย่างคือเรื่องธรรมชาติที่แท้จริงของโลกเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ไม่มีความ
สำคัญพอที่จะสอน และไม่คุ้มที่จะท้าทาย ท่านโทษพวกพระครูแก่ๆ ในยุคหลังที่
ผนวกเรื่องนี้เข้ามาไว้ในคำสอนทางพุทธศาสนา ทั้งที่อย่างมากที่สุดที่พวกเขาทำ
ได้ก็คือพึ่งคัมภีร์ลัทธิพราหมณ์และอรรถกถาบาลีบางฉบับที่ล้วนเป็นอวิชชา 24
เห็นได้ชัดว่าท่านมิได้ลังเลแม้แต่น้อยที่จะโจมดีคำสอนแบบจารีตที่ปนเปือนไปด้วย
ลัทธิพราหมณ์ ในขณะที่ส่งเส่ริมภูมิศาสตร์แบบใหม่ซึ่งพุทธศาสนาที่แท้จริงรับรอง
ต้อนรับ
ภูมิศาสตร์สมัยใหม่ดูจะเป็นความรู้ชนิดใหม่ล้าหรับปัญหาใด ๆ ก็ตามเกี่ยวกับ
พื้นที่ /ภูมิ/ เทศะ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหายุ่งยากเอาเสียเลย ตัวอย่างเช่น เจ้าพระยา
'
ทิพากรวงศ์ต้องพยายามอธิบายเรื่องในพุทธประว้ดิที่ว่าพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรม
แก่มารตาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านเห็นว่าเรื่องนี้ก็น่าจะจริง แต่ก็ใช่ว่าจะขัดแย้ง
กับความรู้ภูมิศาสตร์ เพราะในความเห็นของท่าน ดาวดึงส์อาจอยู่บนดาวเคราะห์
ทรงกลมอีกใบหนึ่งที่ห่างไกลออกไปก็เป็นได้25 จะเห็นได้ว่าล้าหรับท่านแล้ว ความ
ขัดแย้งระหว่างความจริงตามเรื่องราวในพุทธประวัติกับความจริงของวิทยาศาสตร์
สมัยใหม่นั้นสามารถหาข้อยุติได้อย่างน่าอัศจรรย์และอย่างสอดคล้องต้องกัน
หนังสือแสดงกิจจานุกิจ เป็นหลักฐานดียิ่งที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่สยาม
รับมือกับอิทธิพลของความคิดจักรวาลวิทยาแบบตะวันตก ในแง่หนึ่ง ยุทธศาสตร์
ทางญาณวิทยาเช่นนี้นับเป็นทางออกเพื่อประนิประนอมชุดความรู้ที่ขัดแย้งกันโดย
ไม่สนใจว่าลูกผสมที่ออกมาจะไม่คงเส้นคงวาในทางตรรกะหรือไม่ ขณะเดียวกันก็
เป็นการรุกดีจักรวาลวิทยาดั้งเติมที่ครอบงำอยู่ ดังที่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ได้ระบุไว้
บทที่ 2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่กำลังมา 59
ในคำนำของหนังสือว่า ต้องการให้เป็นหน้ง่สือสำหรับคนรุ่นหลังไต้อ่านแทนบรรตา
“ ไม่ฝนประโยชน์” ที่แพร่หลายในขณะนั้น26
หนังสือzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
อย่างไรก็ดี แม้จะมีอำนาจอยู่ในมือ แต่ขบวนการเคลื่อนไหวทางความคิดที่
พยายามประนึประนอมระหว่างความรู้พื้นถิ่นกับความรู้ตะวันตก ก็ต้องต่อสู้อย่าง
หนักทั้งกับความเชื่อพื้นถิ่นและกับคริสต์ศาสนา พระจอมเกล้าฯ ต้องต่อสู้ตลอดทั้ง
ชีวิตเพื่ออุดมการณ์ลูกผสมของตนซื่งชื่นชมวิทยาศาสตร์แบบตะวันตกและเชิดชู
พุทธศาสนาไปพร้อม ๆ กัน การเดินทางไปหว้ากอเพื่อสังเกตสุริยุปราคาในปี 2411
( ค.ศ. 1868) อันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่มรณกรรมของพระองคํในที่สุตนั้น ก็คือ
ขั้นตอนหนึ่งของการปะทะกันอย่างเจ็บปวดและแตกหักของความรู้คนละประเภท
จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ที่หว้ากอถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางญาณวิทยา
ในหลายแง่ด้วยกัน หากใช้ภาษาของกรัมชึ่ก็ต้องบอกว่า การอยู่ร่วมกันของความร
สองชนิดที่ดูเหมือนจะราบรื่นตีนี้ แท้ที่จริงคือการทำสงครามรุกคืบชิงพื้นที่ (พลโ 01
ก03เ1เ0ก) เพื่อครองอำนาจนำ (เา6ฐ6ฌ0กV ) นั้นเอง
การVเาทะลวง ะ ดาราสาสต!ผ่านโหราศาสตร์
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
นอกเหนือจากความนิยมซมชอบในการคำนวณพิกัตของพื้นผิวโลกแล้ว พระจอม-
เกล้าฯ ยังชื่นชอบการคำนวณการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์อีกด้วย โดยไต้พัฒนา
ความเชี่ยวชาญต้านนี้จากความรู้ทางโหราศาสตร์ไทยตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังอยู่ใน
สมณเพศ แม้จะไต้ชื่อว่าเป็นทั้งผู้นำของฝ่ายหัวก้าวหน้า ผู้นำของขบวนการพุทธ
สายใหม่ และผู'น้ ำอัสตงคตาภิวิติ (พ©๙6โก!2ล1เ0ก) ของสยาม แต่แท้จริงแล้วท่านก็
เป็นศิษย์ตัวยงคนหนึ่งของวิชาโหราศาสตร์โบราณพร้อมๆกันนั้นก็ยังเรียนรู้เกี่ยว
กับดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์แบบตะวันตกจากตำราภาษาอังกฤษด้วย27
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 มีคุณูปการใหญ่หลวงต่อวงการโหราศาสตร์ไทย
ดังที่นักโหราศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบันคนหนึ่งของไทยได้กล่าวไว้ เซ่นเมื่อครั้งที่
ค้นพบว่าอาจเกิดหายนะขึ้นกับราชอาณาจักรเนื่องจากดวงเมืองของกรุงเทพฯ ที่
จารึกไว้บนสุพรรณบัฏซึ่งฝังไวํใต้เสาหลักเมืองนั้นเป็นกาลกิณีกับดวงชะตาของตน
ท่านก็ได้จัดการแก้ไขตวงเมืองเสียใหม่ นอกจากนี้ท่านยังมักแสดงความสามารถ
28
ทางโหราศาสตร์ในคำประกาศต่างๆอยู่เสมอ หนึ่งในคุณูปการต่อวงการโหรา -
ศาสตร์ไทยคือการคำนวณปฏิทินของไทยเสียใหม่ โดยถึงกับตำหนิพวกโหรของ
60 กำเนิดสยามจากแผนที่ ะ ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ราชสำนักว่าไม่เคยตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของการคำนวณและไม่เคยตั้ง
จะเข้าใจตำราโหราศาสตร์อย่างถ่องแท้ด้วยขึ้าไป ปฏิทินของทาง
คำถามหรือแม้แด'zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ราชการจึงมั่วไปหมด การคำนวณวันสำคัญทางพุทธศาสนาก็ผิดพลาตอย่างฉกรรจ์
ฤกษ์ยามสำหรับการมงคลจึงคลาดเคลื่อน ไม' ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งเหล่านี้เป็น
ตัวอย่างที่ตีที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในเรื่องโหราศาสตร์ของพระจอม -
เกล้าฯ29
นอกจากนี้ทุกวันสงกรานต์อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ทางราชสำนักจะประกาศ
ให้ประชาชนทราบถึงฤกษ์งามยามดีของปีนั้นๆ ประกาศดังกล่าวยังต้อนรับปีใหม่
ด้วยการระบุเวลาเผงๆ และช่วงเวลาที่แน่นอนของแต่ละราศี รายละเอียดของคราส
ต่างๆที่จะเกิดขึ้น ปรากฎการณ์บนท้องฟ้าที่สำคัญ ฤกษ์งามยามดีสำหรับการ
มงคล วันอัปมงคลที่ควรหลีกเลี่ยง ฯลฯ ตลอดรัชสมัย พระจอมเกล้าฯ เรียบเรียง
30
แต่งานต้านโหราศาสตร์ที่พระเจ้าอยู่หัวสกฝนและปฏิยัตจำกัดอยู่เฉพาะ
เรื่องการคำนวณการเคลื่อนที่ของดวงดาวเท่านั้น ไม่รวมถึงการท่านายโชคชะตา
อนาคต นอกจากนี้ยังได้ตั้งคำถามกับปฏิทินของทางราชการเพราะพบความผิด
พลาดในการคำนวณวงโคจรของดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ คำประกาศเนื่องในวัน
สงกรานต์ของแต่ละปีจะเต็มไปด้วยรายละเอียดของตำแหน่งของโลกที่สัมพันธ์กับ
ตำแหน่งของดาวในแต่ละจักรราศี เวลาต่างๆ ที่โลกโคจรเข้าหรือออกแต่ละราศี
เวลาข้างขึ้นข้างแรม และคำพยากรณ์การเกิดคราส ท่านยังโปรดปรานการสังเกต
ปรากฏการณ์ต่างๆ บนท้องฟ้า เช่น ดาวหาง จุดดับบนดวงอาทิตย์ และการโคจร
ของดาวนพเคราะห์อื่นๆ
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ไม่เคยประณามหรือปฏิเสธการท่านาย
โชคชะตาอนาคต เพียงแต่แยกมันออกจากศาสตร์การคำนวณปรากฏการณ์บน
ท้องฟ้า ในทัศนะของท่าน ปรากฏการณ์บนท้องฟ้ามิไต้มีผลกระทบต่อความเป็นไป
บทที่ 2 ภูมิศาสตร์แบบ11หม่กำลังมา 61
ของมนุษย์ ความคิดเช่นนี้ย่อมแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากบรรดานักโหราศาสตร์
ในยุคเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากกรณีปรากฎการณ์ดาวหางสองครั้งในปีz2401 และ
yxwvutsrqponm
ความรู้เรื่องโลกหรือท้องฟ้า แม้แด่พระเถระชั้นผู้ใหญ่ของพม่าก็ยังไม่รอดพันจาก
การถูกโจมดีในเรื่องโลกทัศน์จักรวาลวิทยาที่พวกเขาเองถืออยู่ อย่างไรก็ตาม
35
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโหรในยุคนั้นมีปฏิกิริยาต่อการท้าทายของโลกทัศน์แบบใหม่ที่เกิด
จากชาวสยามด้วยกันเองอย่างไร แด่ไม่ว่าจะอย่างไร การต่อสู้ของพระจอมเกล้าฯ
62 ก็าเนิดสยามจากแผนที่ : ประวติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ยังคงตำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ ด้วยความเชื่อมั่นและด้วยท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับ
บรรดาโหรประจำราชสำนักด้วย ทีน่ ่าตลกก็คึอ โหรหลวงส่วนใหญ่เคยเป็นพระ
มาก่อนและรํ่าเรียนวิชาเหล่านี้จากวัดเช่นเดียวกัน การต่อสู้ของท่านตำเนินไป
อย่างตุเดีอดจนถึงบั้นปลายชีวิต
ในการพยากรณ์จันทรุปราคาครั้งหนึ่ง พระจอมเกล้าฯ ได้ยํ้าว่านึ่เป็นการ
คำนวณของตน มิใช่ของโหรประจำราชสำนัก เหตุผลที่ต้องยํ้าเช่นนี้มาเปิดเผย
36
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPON
เหล่านี้โจมดีการทำงานของพวกโหรและพระ รวมถึงความรู้ฉาบฉวยในการคำนวณ
เวลาของพวกเขา 40
เป็นจุดสุดยอดของการต่อสู้ของพระจอมเกล้าฯ คำพยากรณ์ประกาศออกมาในวัน
สงกรานต์ของปีนั้น แต่ไม่มีรายละเอียด เนื่องจากท่านติดภาระราชการ ไม่มีเวลา
พอที่จะคำนวณ แต่พอถึงเดือนสิงหาคมก็มีคำประกาศของทางราชการออกมา
ท่านคำนวณเวลาแน่นอนที่จะเกิดคราสตามการนับเวลาของไทย ( โมง , บาท ) และ
ช่วงเวลาแน่นอนที่คราสจับเต็มดวง คือหนึ่งบาท หรือ “ 6 นาทีนาฬิกากล” แต่ 41
สุริยุปราคาเต็มดวงจะเห็นได้จากบางแถบของโลกเท่านั้นคือ แถบที่พาดผ่าน
คอคอดกระที่ “ลองดิชูต 99 องศา 40 ลิปดา 20 พิลิพ คิดมาแต่ที่ครูครืน วิช เป็น 1
บทที่ 2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่!ทดังมา 63
ผิวโลกเป็นแบบตะวันตกอย่างไม่ต้องสงสัย ในงานชิ้นหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับกรณี
นี้ชิ้ว่าพระจอมเกล้าฯไต้ใช้วิชาที่แหวกแนวออกไปคือตำราของตะวันตกและตำรา
ก็ชงเป็นตำราคำนวณดาวนพเคราะห์ของมอญหนึ่งในสองฉบับที่รู้จักกันดีใน
สารัมzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
,
หมู่คนไทย 43
สุริยุปราคาครั้งนี้ ก็หันมาหมกมุ่นอยู่กับการคำนวณอย่างละเอียดแม่นยำในทุกจุด
เพื่อพิสูจน์ความรู้และเกียรติยศของตนในฐานะกษัตริย์
ด้วยความเชื่อมั่นในความสามารถของตน พระจอมเกล้าฯ จึงจัดเตรียมพิธี
สังเกตการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงและเดินทางไปสังเกตด้วยตนเองแม้จะมีอายุมาก
ถึง 64 ปีแล้วก็ตาม และยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในการเดินทางและการ
พักค้างอ้างแรมในป่าอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อพิสูจน์ความแม่นยำและความ
สามารถของตน จึงได้เลือกหว้ากอเป็นจุดสำหรับสังเกตการณ์สุริยุปราคาแม้ว่า
64 ที่เาเนิตสยามจากแผนที่ ะ ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
นอกจากนี้ ยังมีการเชิญเจ้าหน้าที่ระดับสูง
หว้ากอจะเป็นป่าชุกชุมไปด้วยโรคร้ายzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFED
47
ของมหาอำนาจยุโรปเข้าร่วมการสังเกตการณ์ด้วย อังกฤษและฝรั่งเศสตอบรับคำ
ชิญนี้และขนคณะสังเกตการณ์ชุดใหญ่พร้อมอุปกรณ์มากมายสำหรับดูสุริยุปราคา
และทดลองวิทยาศาสตร์ คณะของสยามเองก็ใหญ่โตไม่แพ้กัน มีเครื่องอำนวยความ
สะดวกเกินจำเป็นสารพัดสำหรับการอยู่ป้าและเพื่อความสำราญของพระเจ้าอยู่หัว
และเหล่าอาคันตุกะ คณะของสยามมิได้ขนเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อะไรไปด้วย
ลย แต่อุตส่าห์ขนนํ้าแข็งจากเมืองหลวงไปด้วย การประชุมกันที่หว้ากอกลายเป็น
งานสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ระดับนานาชาติ และอาจจะเป็นครั้งยิ่งใหญ่ตระการตา
คราวเดียวที่เคยจัดในภูมิภาคนี้ก็ว่าไต้ หากมองในเชิงสัญลักษณ์ หัวใจสำคัญของ
หตุการณ์นี้ คือการพบกันระหว่างโหราศาสตร์แบบดั้งเติมกับดาราศาสตร์แบบ
ตะวันดก รวมถึงทุก ๆ อย่างที่อยู่ตรงกลางระหว่างความรู้ทั้งสอง
วันชี้ชะตา 1 8 สิงหาคม พ.ศ . 2411 ท้องฟ้าที่หว้ากอปกคลุมด้วยเมฆ ทุกคน
ด่างเสารอเวลาที่จ่ะเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงโตยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยุโรปที่จ้ดเตรียม
อุปกรณ์ของตนไว้พร้อมสรรพ แต่โชคไม่ดีที่แทบมองไม่เห็นดวงอาทิตย์เลย ไม่ว่า
จะลูด้วยตาเปล่าหรือโตยเครื่องมือก็ตาม ทว่าจู่ ๆขณะที่คราสกำลังคืบคลานเข้าจับ
ดวงอาทิตย์ ท้องฟ้ากลับปลอดโปร่งขึ้นฉับพลันและสุริยุปราคาเต็มตวงก็ประจักษ์
แก' สายตาของทุกคน ณ ที่นั้น สุริยุปราคาเต็มตวงเป็นไปตามพยากรณ์ของพระ
จอมเกล้าฯ ทุกอย่างจนถึงรายละเอียต แด่ท่านมิได้เตรียมการทดลองทางวิทยา-
ศาสตร์ใต ๆอย่างอาคันตุกะชาวยุโรป ลำพังการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงก็คือความ
สำเร็จของการทดลองแล้ว เป็นการยืนยันอย่างวิเศษที่สุตถึงชัยชนะครั้งสำคัญที่สุด
ของพระเจ้าอยู่หัว
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะนี้ก็มิได้หมายถึงความฟายแพ้ราบคาบของภูมิปัญญา
พื่นถิ่นเสียทีเดียว ความสำเร็จของพระจอมเกล้าฯ เป็นผลมาจากความรู้ทาง
ภูมิศาสตร์และตาราศาสตร์ของตะวันตกมากพอ ๆ กับความเชี่ยวชาญโหราศาสตร์
แผนโบราณอันเป็นที่โปรดปรานของท่านเอง เพียงแต่ความคิดใหม่เรื่องเทหวัตถุ
บนฟากฟ้าและวิธีการคำนวณเท่านั้นที่ไต้ร้บการพิสูจน์แล้วว่าเหนือกว่า แม้กระทง
พระเจ้าอยู่หัวเองก็ถึอว่า ท้องฟ้าที่จู่ ๆก็ปลอดโปร่งขึ้นมาอย่างฉับพลันนั้นนับเป็น
ปาฏิหาริย์ เป็นการดลบันดาลของสิ่งดักดี้สิทชี้ชึ่งต้องถือว่ามีส่วนร่วมในความ
บทที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTS
2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่กำลังมา 65
สำเร็จครั้งนี้ด้วย เมื่อคราสเริ่มคลายออก ขณะที่อาคันตุกะซาวยุโรปยังคงสาละวน
อยู่กับการทดลองวิทยาศาสตร์ ท่านก็เริ่มพิธีสักการะบูชาเพื่อตอบแทนเทพยดา
และสิ่งคักดื่สิ่ทธึ๋ทั้งหลาย
48
ครั้นเมื่อกลับถึงพระนคร พระเจ้าอยู่หัวพบว่าบรรดาโหรประจำราชสำนัก
รวมทั้งพระโหราธิบดี ผู้เป็นหัวหน้าและขุนนางผู้ใหญ่อีกหลายคนที่อยู่ในพระนคร
กลับไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับสุริยุปราคาที่เห็นในกรุงเทพฯได้อย่างเป็นเรื่อง
เป็นราว จึงสั่งให้ลงโทษคนเหล่านี้อย่างหนักให์ไปทำความสะอาดสวนในวังหนึ่ง
วันและขังดุกอีกแปดวัน จากนั้นพระเจ้าอยู่หัวได้มีอรรถาธิบายเกี่ยวกับสุริยุz-y
49
โหรที่เคยบวชเรียนหลายพรรษาว่าดีแต่อวดอ้างความสามารถของตน โดยไม่สนใจ
ใฝ่หาความรู้ใหม่ๆ “ตั้งแต่นี้ไป การหยาบๆไพร่ๆ สกปรกอย่างใจซาววัต คนมา
แต่วัตเซ่นนี้ ให้พวกโหรคิดเงือดงดเสีย” ทุกคนที่เกี่ยวช้องถูกสั่งให้คัดลอกข้อดำริ
เหล่านี้ไว้50
น่าเสียตายที่กว่าจะบรรลุความสำเร็จตังกล่าว พระจอมเกล้าฯ ได้ประกอบ
ภารกิจหนักมากเสียจนพลานามัยทรุดโทรม การเสี่ยงเลือกหว้ากอเป็นสถานที่
สังเกตการณ์สร้างผลสำเร็จ แด่ท่านเองและเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ผู้เป็นโอรสได้รับเชื้อ
มาลาเรียกลับมาด้วย เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ป่วยหนักอยู่ระยะใหญ่แต่ก็รอดชีวิตมาได้
ทว่าพระเจ้าอยู่หัวเองไม่เป็นเซ่นนั้น แม้จะมีชัยเหนือพวกโหรหัวโบราณประจำราช-
ล้านักและเหนือจักรวาลวิทยาแบบพึ้นถิ่น ทว่าก็เป็นชัยชนะที่น่าเศร้า เนื่องจากการ
ต้องสละชีวิตเพื่อความเชื่อของตน
66 กำเนิดสยามจากแผนที่ะ ประวตศาสตร์ภูมิกายาของชาต
พื้นทีz่ /yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ฎมิประเภทใหม่ะ ภูมิศาสตร์สมัยใหม่
ด้วยเหตุที่เรารับรู[้ ลกโดยผ่านสื่อกลางคือมโนภาพชุดหนึ่ง ดังนั้นมโนภาพที่ต่างกัน
ไปย่อมส่งผลต่อความรู้ของเราที่มีต่อโลกและต่อแบบแผนปฏิบัติทางภูมิศาสตร์
ทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง โลกในสายตาคนไทยปลายศตวรรษที่ 19 จะด่างไปอย่างไร
หากพวกเขารับรู้มันด้วยภูมิศาสตร์สมัยใหม่ ? และวาทกรรมใหม่เกี่ยวกับเทศะจะ
สร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพื่นที่อย่างไรบ้าง ? เพื่อจะตอบคำถามนี้ เรา
ต้องตรวจสอบภูมิศาสตร์สมัยใหม่ว่าถูกนำเข้ามาในภาวะทางประวัติศาสตร์อย่างไร
แม้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์จะไม่ประสบความสำเร็จในการพยายามให้ หนังสือ
แอดงกิจจานุกิจ ของท่านเป็นแบบเรียนในโรงเรียน แต่ภูมิศาสตร์สมัยใหม่ก็
สามารถลงหลักปักฐานในสังคมไทยได้อย่างรวดเร็ว เพียง 8 ปีหลังจาก กิจจานุกิจ
ตีพิมพ์ออกมา และ 6 ปีภายหลังจากชัยชนะที่แลกมาด้วยชีวิตของพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 4 หนังสือภูมิศาสตร์ภาษาไทยเล่มแรกซึ่งดัดแปลงมาจากหนังสือภาษา
อังกฤษก็ได้รับการดีพิมพ์ออกมาในปี 2417 ( ค .ศ . 1874 ) คือหนังสือภูมะนิเทศ
เขียนโดยวันไดกี้ (ป. พ. V สก 0 6) มิชชันนารีชาวอเมริกันซึ่งอยู่ในสยามระหว่างปี
ศ
2412 - 2429 ( ค. . 1869- 1886)
^โดยวันไดกี้อุทิศหนังสือเล่มนี้แด่พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าฯ เพื่ออนาคตอันรุ่งโรจน์ของสยาม 51 นึ่ถือว่าเป็นหนังสือ “ แผนที่
โลก ” ฉบับภาษาไทยเล่มแรก ส่วนตรงกลางของหน้าแรกของหนังสือเป็นรูปข้าง
เผือกยืนอยู่เหนึอปีที่พิมพ์ตามปฏิทินไทย
ภูมะนิเทศใช้ในโรงเรียนไม่กี่แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนของมิชชันนารีชาว
อเมริกัน แด่ไม่ได้ร้บการรับรองให้เป็นแบบเรียนของทางการ ในช่วงทศวรรษ 1 880
(พ .ศ. 2423- 2432) อันเป็นระยะเริ่มด้นของระบบการศึกษาแบบใหม่ในสยาม ภูมิ -
ศาสตร์ยังมิได้เป็นวิชาที่นักเรียนต้องเรียน ยกเว้นในระดับมัธยมต้นของหลักสูตร
ภาษาอังกฤษในบางโรงเรียนเท่านั้น โรงเรียนไทยส่วนใหญ่ยังคงเรียนสอนจักรวาล -
วิทยาแบบเดิมอยู่ ในปี 2430 (ค.ศ.! 887) หลังจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ธได็วิจารณ์
ตำราที่ใช้สอนตามโรงเรียนขณะนั้นว่าไร้ประโยชน์เพราะเต็มไปด้วยเรื่องจักรๆ วงศ์ๆ
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ รัฐมนตรีกระทรวงธรรมการคนใหม่ จึงเริ่มปฏิรูปหลักสูตร
การศึกษาและตำราเรียนทั้งหมตที่ใช้ในโรงเรียนไทย ในปี 2435(ค.ศ. 1892) จึงเริ่ม
ใช้หลักสูตรใหม่ ภูมิศาสตร์กลายเป็นวิชาใหม่ที่บรรจุในหลักสูตรของนักเรียนระดับ
มัธยมทุกชั้นปี ตำราภูมิศาสตร์สมัยใหม่จึงเป็นที่ต้องการอย่างเร่งด่วน
52
บทที่ 2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่ลัาดังมา 67
หลักสูตรใหม่ปีz2435 ระบุว่าภูมิศาสตร์ดึอการศึกษาเกี่ยวกับโลก CBA
yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFED ระบบสุริยะ -
จักรวาล ดาวเคราะห์ และปรากฎการณ์ธรรมชาติ รวมทั้งการเซียนแปลนบ้าน การ
วางผังหมู่บ้านหรือเมือง และการใช้แผนที่ 53 หลักสูตรที่ปรับปรุงต่อมาในปี 2438
และ 2441 ( ค .ศ. 1895 และ 1898) กำหนดให้มีการสอนวิชาภูมิศาสตร์ในเกือบ
ทุกชั้นปีและมีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากชื้นสำหรับชั้นที่สูงขึ้น เช่น เรียนเกี่ยวกับ
ประเทศต่างๆ และวิธีการทำแผนที่เบื้องต้น ตำราเรียนเล่มหนึ่งที่จัดทำชื้นในช่วง
ริเริ่มนี้คือ ภูมิศาสตร์ สยามของ ดับเบิลยู. จี. ยอนสัน (พ. 0. ม่อเๆกรอก ) ซึ่งกลายมา
z! yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
เป็นต้นแบบของการทำตำราอีกหลายเล่มในเวลาต่อมา54
ตำราเหล่านี้บอกเราว่าในขณะนั้นมีการเผยแพร่ภูมิศาสตร์สมัยใหม่อย่างไร
และผู้คนรับรู้มันอย่างไรบ้าง มันเป็นเครื่องมีอทางความคิดอย่างดีสำหรับปลูกฝัง
มโนภาพเกี่ยวกับพื้นที่ /ภูมิอย่างภูมิศาสตร์สมัยใหม่ให้แก่นักเรียนเนี้อหาของตำรา
ในช่วงแรกนี้ค่อนข้างง่าย เป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภูมิศาสตร์สมัยใหม่ ต่อมาเมื่อ
มีการผลิตตำราที่ซับซ้อนออกมา ตำราพื้นฐานก็ถูกยกเลิกหรือไม่ก็เอาไปใช้สอน
นักเรียนชั้นประถมแทน ตำราภูมิศาสตร์เล่มหนึ่งต่อมากลายเป็นแบบเรียนวิชา
ภาษาไทย ไม่ใช่ภูมิศาสตร์ เพราะตำราเหล่านี้ก็เหมีธนตำราไวยากรณ์เบื้องดัน คือ
จำเป็นต้องทำให้ง่าย
ตำราเหล่านี้ชี้ ว่า เมื่อถึงด้นศตวรรษที่ 20 ความเชื่อแบบเก่าที่ว่าโลกแบน ถูก
'
เล่มนี้ถีอว่าเรื่องโลกกลมเป็นความรู้ทั้วไปที่เด็กทุกคนควรตอบได้ แม้ว่าหนึ่งในนั้น
อาจจะดังเลอยู่บ้างเพราะไปรับเอาความเห็นของชายแก่ที่ไรัการศึกษาคนหนึ่งมา
แน่นอนว่าตำราภูมิศาสตร์เหล่านี้ย่อมไม่มีที่ทางให้กับโลกในจักรวาลวิทยา
แบบไตรภูมิ โลกตามภูมิศาสตร์สมัยใหม่คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่โคจรรอบดวง
อาทิตย็ในระบบสุริยะ พื้นผิวโลกประกอบด้วยทวีปใหญ่ๆ และมหาสมุทรต่างๆ ที่
สำคัญมากก็ศึอ บนพื้นผิวโลกนี้เต็มไปด้วย “ประเทศ” ต่างๆ ทั้งนี้คำว่าประเทศใน
บทที่z2yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVU
ภูมิศาสตร์แบบใหม่กำลังมา 69
ความหมายใหม่ที่เฉพาะเจาะจงของคำว่าประเทศ ยังถูกเอ่ยถึงในหนังสือของ
ยอนสันด้วย ในฉบับพิมพ์ครั้งแรกๆ ยอนดันใช้คำหลากหลายสำหรับเรียกสยาม
เช่นในหน้าต้นๆใช้คำว่าประเทศสยามหรือสยามประเทศในหน้าหลังๆใช้คำว่ากรุง
สยาม เขาเรียกอังกฤษว่ากรุงอังกฤษ เดิมทีคำว่า “ กรุง” ซึ่งหมายถึงเมืองใหญ่นั้น
61
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 และผู้คนในยุคนั้นใช้เพื่อหมายถึงราชอาณาจักรเช่นกัน
และใช้กันอยู่นานพอสมควร แต่นับจากฉบับพิมพ์ปี 2457 (ค.ศ. 1914) เป็นด้นมา
คำว่ากรุง ที่ปรากฎในฉบับก่อนหน้านั้นถูกแทนที่ด้วยคำว่าประเทศเกึอบทั้งหมต
ยกเว้นบางแห่งในหน้าท้าย ๆ เท่านั้น
ยอนดันให้คำจำกัดความของคำว่าประเทศ ไว้ใน “ คำนำของภูมิศาสตร์” ว่า
คือส่วนต่างๆของพื้นผิวโลกที่มีคนชาติต่างๆอาศัยอยู่ ตัวอย่างเช่นดินแตนของ
ทวีปเอเชียส่วนที่มีคนไทยอาศัยอยู่ เรียกว่าประเทศสยาม ในฐานะที่เป็นหนังสือ
62
ลักษณะสำคัญที่สุดของภูมิศาสตร์สมัยใหม่ที่นำเสนอให้กับเด็กๆในสยาม คือ
ความรู้ว่าพื้นผิวของโลกทรงกลมใบนี้เต็มไปด้วยชาติต่าง ๆ สยามเป็นหนึ่งในชาติ
เหล่านั้น ตั้งอยู่ ณจุดหนึ่งของผิวโลกแน่ๆ ประเทศเป็นดินแตนบนพื้นผิวโลกที่รับรู้
ได้เชิงประจักษ์โดยเราสามารถระบุตำแหน่งแห่งที่ของมันได้ด้วยสองวิธีเป็นอย่าง
น้อย วิธีที่หนึ่งสถานที่ตั้งที่แน่นอนของประเทศนั้นๆบนพื้นผิวโลกอันเป็นส่วนหนึ่ง
ของทวีปที่กว้างใหญ่กว่า วิธีที่สอง ด้วยการดู “ ความสัมพันธ์ของเส้นเขตแดน” กับ
เขตปกครองอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ในกรณีแรก บางครั้งพื้นที่ที่อ้างถึงมิได้จำกัดอยู่แค่
ทวีป แต่อ้างถึงโลกทั้งใบโดยระบุพิกัดที่ชัตเจนดังเช่นที่พระเจ้าอยู่หัววัชกาลที่ 4 มัก
จะทำ ในทำนองเดียวกัน หนํง็สีอ ภูมะณิทศของวันไตกี๋บอกผู้อ่านถึงการดำรงอยู่
ของแด ละประเทศ ด้วยการระบุว่าตั้งอยู่ตรงส่วนไหนของทวีปและระบุดินแดน
,
70 I ฑำเนิดสยามจากแผนที:่ ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาตึ
แต่ถ้าไม่เคยมีใครเห็นลูกโลกที่บรรจุชาติต่าง ๆ ไว้เต็มไปหมดด้วยตาของตัว
เอง และหากเราไม่สามารถมองเห็นดินแดนเพื่อนบ้านทั้งหมดไต้พร้อมกัน แล้วเรา
จะเข้าใจวิธีการอธิบายทั้งสองแบบข้างด้นได้อย่างไร?zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSR
นอกเหนือจากความรู้ทั้วไป
ว่าโลกกลมแล้ว อะไรที่ทำให้คำอธิบายดังกล่าวฟังรู้เรื่อง วิธีอธิบายทั้งสองแบบมี
ลักษณะร่วมกันประการหนึ่ง นั่นคือ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับแผนที่ของโลกหรือของ
ทวีปหรืออย่างน้อยก็บางส่วนของโลก ดังนั้นหนังสือ ภูมะนิเทศของวันไดกึ้ต้อง
แสดงภาพแผนที่โลกทรงกลมและทวีปด่าง ๆ ประกอบแด่ละบท อีกทั้งในหน้าแรก ๆ
ยังมีคำอธิบายอย่างย่อว่าแผนที่คืออะไรและให้วิธีอ่านแผนที่อย่างพื่นฐานไว้ด้วย
เขายังแนะนำชัด ๆ ว่าผู้อ่านควรใช้หนังสือแผนที่โลกประกอบการอ่านหนังสือของ
เขา เพื่อจะได้เห็นรูปร่างของประเทศต่างๆได้ตีขึ้น หนังสือของยอนสันฉบับพิมพ์
ครั้งแรกก็บรรจุแผนที่ไว้สองภาพด้วย คือแผนที่เอเชียอย่างคร่าวๆกับ “ แผนที่เส้น
เขตแดนสยาม” ที่ระบุประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ 64
เราอาจสงสัยว่าคนๆ หนึ่งจะเข้าใจว่าสยามตั้งอยู่ตรงไหนหรือมีรูปร่างอย่าง
หนึ่ง ๆ ได้อย่างไรหากไม่เคยเห็นแผนที่พวกนี้และไม่มีความรู้พื่นฐานในการอ่าน
แผนที่ ฉะนั้นหากไม่มีความรู้ฟ้องด้นเกี่ยวกับแผนที่แล้ว คำอธิบายทั้งสองวิธีข้างต้น
ย่อมเข้าใจไม่ได้เลย เรายังอาจตั้งข้อสงสัยได้ต่อไปอีกว่า ความรู้ต่อเทศะแบบใหม่นี้
จะสามารถสื่อสารกันได้หรือถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับแผนที่เลย ถ้าอย่างนั้นในภูมิ-
ศาสตร์ชนิดนี้ แผนที่ทำให้คำอธิบายเหล่านี้เข้าใจได้รู้เรื่องได้อย่างไร? พูดให้ง่ายขึ้น
ก็คือ แผนที่ทำงานอย่างไร? แผนที่คืออะไร?
แผนที่สมัยใหม่
เทศะใส่รหัส:zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
หนังสือภูมิศาสตร์รุนแรกอีกเล่มหนึ่งอาจช่วยเราตอบคำถามดังกล่าวได้คือภูมิศาลตร์ '
โรงเรียนนานที่สุดและดีพิมพ์ข้าบ่อยที่สุตในประว้ติศาสตร์ของหลักสูตรการศึกษา
สยาม ในเล่ม 2 สืบบทแรกเป็นความรู้ฟ้องด้นเกี่ยวกับการทำแผนที่เริ่มตั้งแต่จะ
66
บทที่ 2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่ท้าลังมา 71
“ โครงร่าง ” ของสิ่งหนึ่งๆ ( หรือ 0ฬแก©
ตามแบบเรียนดังกล่าว แบบแปลนคือzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPON
ตามความหมายเถรตรงของคำ ) ราวกับมองมาจากด้านบน (บทที่ 2- 3) แบบแปลน
ต่างจากรูปภาพเพราะรูปภาพบอกผู้ตูว่าสิ่งนั้นคืออะไรราวกับได้เห็นเอง แต่แบบ
แปลนสามารถบอกได้แค่รูปทรงและขนาดของสิ่งนั้นๆ หรือระยะห่างจากสิ่งอื่นๆ
ที่อยู่ในแบบแปลนเดียวกัน (บทที่ 4) มาดราส่วนคือวิธีขยายหรือลตขนาดของ
แบบแปลนตามสัดส่วนที่เป็นจริงของสิ่งนั้นๆ เหล่านี้เป็นความรู้ที่นักเรียนจะต้อง
ทำความเข้าใจก่อนที่จะเข้าสู่บทที่ 8 10 ว่าด้วยการทำแผนที่และแผนที่สยาม ในเมื่อ
-
ห'แงสึอจริงเป็นบทสนทนาขนาดยาวระหว่างลุงกับหลานสองคนจึงขอนำเสนอบาง
ส่วนดังนี:้
ลุงจึงถามต่อไปว่า “แผนที่คืออะไร” นายชมตอบโพล่งออกไปว่า “แผนที่คือ
รูปภาพขอรับ” ลุงร้องออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “ผิด แผนที่ไม่ใช่รูปภาพ ถ้า
ฝนรูปภาพแล้วเราคงเห็นมีเปนรูปเรือ รูปต้นไม้และรูปคนอยู่ในนั้น แต่นึ่เรา
ไม่เห็นเลย เพราะฉะนั้นจงจำไว้ว่าแผนที่ไม่ใช่รูปภาพ”
ลุงอธิบายต่อไปว่า “ แผนที่ก็คือแปลนนี้เอง ไม่ผิดอะไรกัน...แผนที่เปน
แปลนของพึ้นบนโลก แผนที่จะฝนแปลนของนํ้าก็ได้ หรือจะฝนแปลนของ
บกก็ได้แผนที่ ๆ บอกพื้นโลกทั้งหมด...ก็ฝนแปลนของโลกทั้งโลก...
ลุงเปิดสมุดแผนที่ขึ้น แล้วขึ้บอกว่า “นี่เราเรียกว่าแผนที่ของประเทศ
สยาม นี่แหละคือฝนส่วนของโลกที่พวกเราอยู่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดแผนที่
ของประเทศสยามนี้จึงฝนสีแปลกๆ กัน?” นายชื่นตอบว่า “ เห็นจะเปนด้วย
สีของดินในประเทศเราแปลกกันกระมังขอรับ ” ลุงตอบว่า “ ไม่ใช่ ที่จริงนั้นสี
ดินก็เหมือนๆ กันทั่วไป... ที่เขาระบายสึให้ผิด ๆ กันก็เพื่อจะให้เห็นง่ายเข้าว่า
มณฑลนี้อยู่ที่ตรงนี้มณฑลนั้นอยู่ที่ตรงนั้นเท่านั้นเอง”
“ถ้าหากว่าเราเหาะขึ้นไปสูง ๆ ได้แล้วมองลงมาดูประเทศของเรา เจ้า
72 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประว้ตศาสดร์ภูมิกายาของชาติ
?” นายชื่นนึกรู้แล้ว จึงตอบแทนลุงว่า “ นั่น
อะไรขอรับฝนเส้นตรงขีดไปขีดมาzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCB
แหล่ะคีอถนนแต่ที่ฝนเส้นเล็กๆคดไปคดมานั้นเห็นจะฝนคลอง”
ยิ่งตูก็ยิ่งเพลิน ประเดี๋ยวนายชื่นมองพบถนนที่ตนอยู่ ประเดี๋ยวนายชม
มองพบถนนที่พี่ปัาน้าอาอยู่ ยิ่งตูไปก็ยิ่งรู้จักตำแหน่งแห่งหนมากขึ้นๆ ทุกที...
ลุงขึ้ที่ต่างๆ เช่น สวนดุสิต สนามม้าท้องสนามหลวง และที่อื่นๆให้นาย
ชื่นกับนายชมตูอีกฝนหลายแห่ง แล้วเมื่อวัดตูตามสเกลก็ทราบได้ว่า ตั้งแต่
ที่นั้นไปถึงที่นั้นฝนหนทางยาวเท่านั้น และถนนนั้นยาวเท่านั้น คลองนั้นไกล
เท่านั้นฝนต้น ลุงอธิบายต่อไปว่า “ เมื่อกางแผนที่ออกตู เจ้าต้องรู้ได้ทันทีว่า
กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ทั้งสองฟากแม่น่า...”
เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองเข้าใจซึมตีแล้ว ลุงจึงกลับย้อนพูดว่า “ จงจำไว้
แผนที่ฝนแปลนที่ขึ้ให้เราเห็นรูปและขนาดของส่วนแห่งพึ๋นโลก และแผนที่
อาจจะบอกให้เรารู้ด้วยว่าระยะทางตั้งแต่ที่นั้นไปถึงที่นั้นใกล้ไกลเท่านั้นๆ” 67
บทเรียนเรียบง่ายนี้น่าสนใจมากเพราะแม้ว่าจะไม่ไดให้รายละเอียดมากนัก แต่
สามารถบอกเราอย่างรวบยอดว่าแผนที่เป็นสื่อระหว่างความคิดของมนุษย์กับพื่นที่
ได้อย่างไร
นอกเหนือจากสัญชาตญาณหรือความรู้สึกแล้ว มนุษย์รับรู้โลกและสื่อสารกัน
ผ่านลัญญะด่าง ๆ ที่ทำงานอย่างซับซ้อนในระบบลัญญะนับไม่ถ้วนในซีวิตประจำวัน
แผนที่เป็นสัญญะอย่างหนึ่ง ทฤษฎีการสื่อสารด้วยแผนที่เสนอว่า แผนที่เป็นตัวสื่อ
ระหว่างพึ้นที่จริงๆ กับมนุษย์ (ทั้งผู้ทำและผู้ใช้แผนที่ ) เพื่อช่วยให้มนุษย์สามารถ
รับรู้เกี่ยวกับพื่นที่นั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์โดยตรง ความสัมพันธ์
ระหว่างพื่นที่ แผนที่ และการรับรู้ของมนุษย์ อันเป็นปัจจัยพื่นฐานสามประการของ
การสื่อสารด้วยแผนที่นี้ เป็นสิ่งที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง แผนผังต่อไปนี้อธิบายทฤษฎีตัง
กล่าวอย่างพื่นฐานง่าย ๆ 68
บทที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSR
2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่ก็าลังมา 73
( 1) ( 2)
* พนที่จริง *
IzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA I
(8 ) , ( ธง
2
(0) ( 02)
ผู้ทำแผนที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
เทคนิคและความร้1 1
ความรในการ *5 ผูใซัแผนที่
+
การรับ!ของเขา และ ของผู้ทำแผนที่
3
-
แผนทI
4
อ่านแผนที่ การร้บรู้ของเขา
วัตถุประสงคํของแผนที่
* ) มโนภาพเกี่ยวกับความเป็นจริงของผู้ทำแผนที่
( 1
* 2) มโนภาพเกีย่ วกับความเป็นจรงา)องผู้ใช้แผนที่
(
( ธ ) กัตวิสัยของผู้ทำแผนที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการรับรู้และเป้าหมายของแต่ละโครงการ
1
( ) อัดวิสัยของผู้ใซั โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการรํบรู้ของพวกเขา
2
* กระบวนการเปลี่ยนสภาพหรือการดีความ
11
ผู้ทำแผนที่สังเกตหรือสำรวจภูมิประเทศ ( / เ; ด้วยเป้าหมายเฉพาะเจาะจง
สำหรับแผนที่แต่ละประ๓ท แล้วประมวลความคิดต่อพึ๋นที่นั้นตามวิธีการของแผนที่
( ธ; เปลี่ยนข้อมูลให้อยู่ไนรูปของแผนที่ ( ธ; และผลิตแผนที่ออกมา ข้อมูลที่แผนที่
' "
ของพระยาเทพศาสตร์สถิตชี้นัยของขั้นตอนทางทฤษฏีเหล่านื้ใวัหลายประการโตย
ไม่ทำให้กลายเป็นตำราทางทฤษฏีแด่ประการใต ทั้งนี้เราสามารถขยายความต่อไป
ถึงธรรมชาติอันเฉพาะเจาะจงของแผนที่และกลไกนำเสนอของมันได้จากทฤษฏี
และข้อความข้างต้น กล่าวคือ
74 ทำเนิดสยามจากแผนที:่ ประว็ตศาสตร์ภูมิกายาขธงซาด
ประการแรก แผนที่เหมือนรูปภาพตรงที่อ้างว่าเป็นตัวแทนzyxwvutsrqponmlkjihgfedc
( 1-6(31-6360131100 )
พื้นที่จริงด้วยกราฟฟิคสองมิติ แต่ในเมื่อเป็นแบบแปลนชนิดหนึ่ง แผนที่แตกต่าง
จากรูปภาพตรงรูปแบบการนำเสนอ ตามที่ลุงกล่าวไว้รูปภาพบันทึกรูปลักษณ์ของ
เทศะวัตถุ (รกส!!3เ ๐เว]ธ๐!) ราวกับว่าผู้ดูกำลังเห็นสิ่งนั้นด้วยตาของตนเอง แด่ด้วย
การที่เรามองวัตถุนั้นๆ จากเพียงจุตเดียว ทำให็โครงร่างที่ปรากฏอยู่ในรูปภาพมิได้
เป็นฆิรูปทรงที่แทัจริงของวัตสุจํนั้น แต่ผปzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZY
ัต‘บ่ หมายรู'ฃ่ ้เทศะวัตสุจ่นั้นได้จากรูขิ ปลักษณ์ของมัน
ในทางตรงกันข้าม แบบแปลนเป็นการบันทึกรูปทรง โครงสร่างของวัตถุ สำหรับลุง
แผนที่จึงเป็นแบบแปลนชนิดหนึ่งที่มองจากด้านบนของวัตถุแล้วบันทึกรูปทรงและ
ความสัมพันธ์ทางโครงสร้างของสิ่งต่างๆ นั้นก็คีอ แผนที่เป็นการแสดงรูปร่างทาง
โครงสร่าง (ธ!โบ๐!บใ & เ 000แ9บใ31เ0ก ) ของเทศะวัตถุบนพึ้นที่
'
ประการที่สอง ไม่ว่าแผนที่จะเหมือนกับพื้นที่ที่มันเป็นตัวแทนมากเพียงใด
ก็ตาม มันสามารถท้าเช่นนั้นได้โดยการเปลี่ยนสภาพของพื้นที่จริงๆ สามมิติอัน
ซับซ้อนให้เป็นแผนที่ กระบวนการเปลี่ยนสภาพเช่นนี้ต้องอาศัยขั้นตอนอีกอย่าง
น้อยสามประการด้วยกันคึอ หนึ่ง ประมวลลักษณะทั่วไป (9606ใ3แ23แ0ก ) ของพื้นที่
หมายถึง รวบรวม คัดสรร ผสมผสาน ประมาณการ บิดผัน ลดทอน หรือขยายข้อมูล
รายละเอียดของพื้นที่จนกลายเป็นข้อมูลสำหรับแผนที่แต่ละชิ้นได้ สอง วิธีการ
กำหนดมาตราส่วน หมายความถึงการขยายหรือย่อขนาตที่เป็นจริงด้วยอัตราส่วนที่
แน่นอน สาม ทำให้เป็นสัญลักษณ์หมายถึงการใช้สัญลักษณ์หรือเครื่องมือบางชนิด
ในการนำเสนอ70 ข้อมูลจะถูกเปลี่ยนสภาพด้วยวิธีการคำนวณทางเรขาคณิต และ
ส่วนใหญ่จะถูกนำเสนอด้วยสัญลักษณ์ทางเรขาคณิต ผลที่ออกมาก็คือ พื้นที่จริงๆ
กลายเป็นนามธรรมที่ต้องตีความ
ประการที่สาม แม้ว่าจะเป็นนามธรรมที่ต้องดีความ แผนที่มักอ้างว่าได้จำลอง
ความเป็นจริงมาอย่างถูกต้อง แผนที่จึงสามารถทำงานได้ตราบเท่าที่เรายอมรับว่า
มันเป็นสื่อชนิดโปร่งใสระหว่างพื้นที่จริงๆกับการรับเของมนุษย์ ความเป็นจริงเป็น
ทั้งแหล่งที่มาและผลลัพธ์ของการสื่อสารนั้น หัวข้อสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับการสื่อสาร
ด้วยแผนที่ก็คือกลวิธีเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช่ในแผนที่เป็นการจำลองความจริง ( ๓1๓6315 )
หรือเป็นการสมมติชิ้นเอง ( สเ-ย่แใสโ๒633) มากน้อยเพียงใด นั้นคือการศึกษาว่า ใน
การเสนอความจริงด้วยแผนที่นั้น บรรดาเครื่องหมาย สัญลักษณ์ ขนาด สี หรือ
แม้แด่ตำแหน่งของลัญญะเหล่านี้ สามารถจำลองความจริงหรือกำหนดกันชิ้นมา
บทที่ 2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่กำลังมา 75
บางคนถึงขนาดกล่าวว่าแผนทมีความผูกพันตาม
เองมากน้อยต่างกันแค่ไหนzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDC
71
ธรรมชาติกับโลกภายนอก ขณะที่แผนผังเป็นเพียงสื่อสมมติที่ไม่มีความสัมพันธ
ดังกล่าว หากปราศจากสมมติฐานว่าแผนที่มีความผูกพันตามธรรมชาติกับโลก
72
ภายนอกแล้ว ลุงกับเด็กชายทั้งสองคนนั้นย่อมไม่สามารถสนุกสนานกับการค้นหา
ตึกของทางราชการและสถานที่ด่าง ๆ ที่ปรากฎอยู่บนแผนที่ของกรุงเทพฯ ไต้เลย
อย่างไรก็ตาม หลักการพื้นฐานนี้กลับเป็นสิ่งที่นำสงสัย ดังที่เราจะได้เห็นต่อไป
ประการที่สี่ แผนที่สามารถสื่อสารระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้ และทั้งสองฝ่ายเข้าใจ
ตรงกันว่าแผนที่สัมพันธ์กับวัตถุจริงอย่างไร ก็เพราะกลไกในกระบวนการผลิตโตย
นักทำแผนที่ และกระบวนการอ่านแผนที่โดยผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง สัญลักษณ
มาตราส่วนและอื่นๆนั้น ล้วนวางอยู่บนระบบภาษาแผนที่ชุดเดียวกัน แผนที่มีชีวิต
อยู่ไต้ด้วยขนบซึ่งเป็นที่ยอมรับร่วมกัน (เ30กห6ก11๐กธ) ลุงต้องสอนเด็กทั้งสอง
เกี่ยวกับขนบเหล่านั้น เด็กนักเรียนในทุกสังคมที่เป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมภูมิ -
ศาสตร์สมัยใหม่ในโลกล้วนต้องเรียนร้า)นบเหล่านี้ทั้งนั้น พวกเขาต้องผ่านกระบวน-
การกล่อมเกลาทางสังคมเพื่อทำให้กฎเกณฑ์และขนบเป็นที่ยอมรับกันต่อไป
แผนที่ซึ่งเป็นการผสมผสานของสัญลักษณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาเป็นภาพสองมิตินี้มีชีวิตขึ้น
มาได้ ก็เพราะกฎเกณฑ์และขนบที่มากับภูมิศาสตร์สมัยใหม่และเทคนิคฟ้องด้น
ของการทำแผนที่ การปฏิบัติที่เหมือนกันทั้วโลก๗นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้พื้นที่ซึ่ง
แผนที่นำเสนอปราศจากความคลุมเครีอ (ถ้าอ่านถูกวิธ)ี ถึงแม้อาจจะมีความลักลั่น
ปรากฎอยู่บ้างก็ตาม
ประการสุดท้าย แผนที่มิได้เป็นเพียงตัวแทนเทศะวัตถุหรือทำให้มันกลายเป็น
นามธรรม แต่บางทีความมหัศจรรย์ที่สุดของเทคโนโลยีนี้นำจะอยู่ที่ความสามารถ
ในการพยากรณ์ของมัน อันที่จริงวิธีการพื้นฐานที่สุตอย่างหนึ่งของการทำแผนที่ก
คือการคาตคำนวณทางคณิตศาสตร์ มนุษย์ช่างเล็กจิ๊บจ๊อยในขณะที่โลกช่างใหญ่โต
เหลือเกิน แด่ความใคร่รู้ของมนุษย์กลับกว้างไกลเลยพันโลกใบนี้ ครั้นเมื่อพื้นผิว
โลกถูกถือเป็นกรอบอ้างอิงที่สำคัญที่สุดของแผนที่สมัยใหม่ ในศตวรรษที่ 16 ก็ม
การพัฒนาพิกัดเส้นรุ้ง - แวงที่ครอบคลุมโลกทั้งใบขึ้นมาใช้เป็นฐานอ้างอิงในการ
คำนวณวัตระยะนับแต่นั้นมาโลกใบนี้ก็ทำให้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าหลงใหลใฝ่หาตินแตน
ที่ยังมิได้ถูกด้นพบ เพื่อเดิมตารางสี่เหลี่ยมว่างๆที่คาตคำนวณได้ด้วยคณิตศาสตร
นั้นให้เต็ม แผนที่สมัยใหม่สามารถทำนายได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ ณพิกัดหนึ่ง
76 ก็าเนิดสยามจากแผนที่ะ ประวตศาสตร์ภูมิกายาของซาด
“ ตรงนั้น”
แน่ๆ ผู้ที่ศร้เาธาในแผนที่สมัยใหม่ก็จะ “ ค้นพบ” ข้อเท็จจริงและความรู้ใน
เวลาต่อมา เพราะฉะนั้น ในเมื่อแผนที่ในศตวรรษที่ 19 บอกไว้แล้วว่ามีชาติดำรงอยู่
บนผิวโลก แล้วชาติจะไม่ถูกค้นพบได้อย่างไรกัน
กล่าวโดยสรุปก็ศึอ แผนที่คีอรหัสชุดหนึ่งที่ใซักับเทศะวัตถุในภูมิศาสตร์สมัย
ใหม่ ในฐานะที่เป็นสัญญะ แผนที่ถอดแปรเทศะวัตถุให้กลายเป็นระบบสัญญะชุต
ใหม่ด้วยการทำให้วัตถุกลายเป็นนามธรรม แผนที่ใส่รหัสให้กับพึ๋นที่ซึ่งสามารถถูก
ถอดรหัสออกมาเป็นความรู้เกี่ยวกับพึ๋นที่จริง แผนที่เป็นผลผลิตของวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์พอ ๆ กับที่เป็นผลผลิตของสถาบันสังคมของยุคสมัยใหม่
แผนที่ที่เราพิจารณาตรงนี้แตกตำงอย่างสิ้นเชิงกับแผนที่ก่อนภูมิศาสตร์
สมัยใหม่ ความแตกต่างนี้มิได้เป็นเพียงเรื่องของเทคนิควิธีการเท่านั้น แด่เกิดจาก
ความรู้และมโนภาพต่างชนิดด้วย ตัวอย่างเช่นในมโนภาพพึ๋นถิ่น พนที่มักถูก
นิยามด้วยสิ่งสักตึ๋สทธหรือศาสนภาวะบางอย่าง นี่เป็นคุณสมบัติเนี้อแท้ของเทศะ
หรือกล่าวอีกอย่างก็คึอ คุณสมบัติเชิงศาสนาข่มกายภาพหรือคุณสมบ้ติทางวัตถุ
ของเทศะ/ พิ่นที่ให้อยู่ใต้ดำนาจของมันทำให้คุณสมบัติทางวัตถุขึ้นต่อหรือเป็นการ
แสดงออกของคุณค่าทางศาสนา ในทางตรงกันข้าม ภูมิศาสตร์สมัยใหม่เป็นแขนง
ความรู้ที่ร์ากัตตัวเองอยู่กับการศึกษากายภาพของโลก พนที่บนแผนที่สมัย'ใหม่
หรือพึ๋นที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่นั้นเป็นรูปธรรมและเป็นโลกิยะ ไม่เกี่ยวกับศาสนา ฉะนั้น
แผนที่ก่อนสมัยใหม่จึงไม่สนใจต่อความถูกต้องแม่นยำในเรื่องการวัต และไม่ต้อง
อาศัยวิธีการวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ แผนที่เพียงแต่ฉายข้อเท็จจริงหรือสัจธรรม
ซึ่งรับรู้กันอยู่แล้วออกมาเป็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจักรวาลวิทยา คำสอนทาง
ศาสนา หรือเส้นทางการเดินทาง ในทางกลับกัน แผนที่สมัยใหม่ปฏิเสธการศึกษา
โลกโลกิยะในเชิงศักตึ้สิทธึ้และจินตนาการ แต่ได้สร้างวิธีการใหม่ในการรับรู้เทศะ
ขึ้นมา และนำเสนอวิธึคิตด่อเทศะชุดใหม่ที่ปฏิเสธจินตนาการ “ ที่ไม่เป็นจริง” และจะ
ยอมให้เฉพาะเทศะที่เป็นจริงเท่านั้นดำรงอยู่หลังการถอตรหัสแผนที่
ในแผนที่ก่อนสมัยใหม่ไม่มีการคำนึงว่าพึ๋นที่หน่วยที่นำเสนออยู่นั้นเป็นเพียง
ส่วนย่อยส่วนหนึ่งของมวลเทศะใหญ่โตที่เป็นเอกภาพเดียว ไม่มีการระบุตำแหน่ง
แห่งที่ของพี๋นที่หน่วยนั้นๆ บนพี้นผิวโลก แต่การวาดแผนที่สมัยใหม่ของประเทศ
หนึ่งๆย่อมมีนัยว่าพึ้นที่หน่วยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโลกทั้งใบ ความสำคัญของการ
อ้างอิงถึงโลกกายภาพทั้งใบสร้างความแตกต่างจากแผนที่ก่อนสมัยใหม่เพิ่มขึ้นมา
บททีz่ 2yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUT
ภูมิศาสตร์แบบ11หม่ V ลงมา I 77
( )
อีกประการหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นประการที่สำคัญที่สุต กล่าวคือ แผนที่ก่อนสมัยใหม่
เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเล่าอีกแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าทางศาสนาหรือ
เรื่องเล่าเส้นทางการเดินทางก็แล้วแต่ บางฉบับอาจมิได้สื่อถึงพึ้นที่จริงใดๆ เลย
ดังนั้นแผนที่ก่อนสมัยใหม่จึงเป็นสิ่งที่มีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ในทางตรงข้าม ด้วยเหตุ
ที่เทศะซึ่งแผนที่ประเทศสมัยใหม่ต้องการสื่อถึงกลับไม่มีใครเคยสัมผัสรับรู้พื้นที่
จริงทั้งหมดโดยตรง และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเช่นนั้น แผนที่สมัยใหม่จึงเป็นสื่อที่เรา
ขาดไม่ได้เพื่อรับรู้และคิดเกี่ยวกับเทศะขนาดมหึมาทั้งหมดใหํใดั นี่คือภารกิจซึ่ง
แผนที่ก่อนสมัยใหม่ไม่เคยทำ
นอกจากนี้ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโลก แผนที่ของประเทศหนึ่งๆต้องระบุ
ชัดว่าอยู่บนพึ้นผิวโลก วิธีการที่จะชี้ข้อนี้ให้ชัดจึงขาดไม่ได้อีกเช่นกัน วิธีการทั้ง
หลายต้องบอกให้รู้ว่าแด่ละส่วนของโลก ประเทศ และแผนที่ของประเทศสามารถต่อ
กันเข้าจนกลายเป็นโลกทั้งใบไตzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFED
[ดยปะติดปะต่อเส้นเขตแดนไปเรื่อย เส้นเขตแตน
จึงสำคัญมากสำหรับแผนที่ของประเทศ เพราะแผนที่ของประเทศไม่สามารถมี
ตัวตนอยู่ได้หากปราศจากเส้นเขตแดน เราอาจจินตนาการถึงชาติได้[ตยไม่มีคำ
หรีอสัญลักษณ์ใดๆหรือสีสันบนแผนที่ แด่เราจินตนาการถึงชาติไม่ได้ถ้าหากเส้น
เขตแดนอันเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้แผนที่ของชาติเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมานั้นถูกลบทิ้ง
ไป เส้นเขตแดนจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ต่อการดำรงอยู่ของแผนที่ประเทศชาติ กล่าว
อีกอย่างก็คือ แผนที่ประเทศชาติกำหนดให้ต้องมีเส้นเขตแดนดำรงอยู่ หากคิดตาม
ตรรกะ หมายความว่าเส้นเขตแตนน่าจะต้องมีอยู่ ก่อนทิ้จะเกิดแผนที่ เพราะตัวสื่อ
ทำหน้าที่เพียงแค่บันทึกและอ้างถึงความจริงที่ดำรงอยู่แล้ว แต่ในกรณีนี้ ความเป็น
จริงกลับตาลปัตรกับตรรกะดังกล่าว เพราะมโนภาพของชาติตามภูมิศาสตร์สมัย
ใหม่บงการให้เกิดความจำเป็นต้องมีเส้นเขตแดนที่ชัดเจน แผนที่จึงมิได้เป็นเพียง
ตัวสื่อ แด่เป็นผู้สรางความเป็นจริงขึ้นมาตามต้องการได้ด้วย
ประเทศที่ถูกแทนด้วยรหัส( แผนที่ )นี้ กำลังเข้าสู่โลกชนิดใหม่ที่มีกฎเกณฑ์
และขนบชุดที่ต่างไป เป็นวิถีความสัมพันธ์ที่ต่างออกไป ถ้าหากแผนที่เป็นมากกว่า
ตัวสื่อที่ทำการบันทึกหรือสะท้อนความจริง นั้นหมายความว่าการเปลี่ยนสภาพเข้า
สู่พื้นที่ชนิดใหม่ย่อมซับซ้อนมากกว่าที่เราคาด หากมองปัญหานี้จากกรอบทาง
ประว้ตศาสตร์ก็คือ เราสามารถจินตนาการถึงชาติในรูปของแผนที่ได้ก็ด่อเมื่อเกิด
การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ทั้งมโนภาพและการปฏิบัติของมนุษย์ที่เกี่ยวกับอาณาzyx
78 I กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประวติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
บริเวณและขอบเขตของประเทศ เงื่อนไขเบึ้องด้นสำคัญที่สุตที่จะทำให้สามารถ
จินตนาการถึงชาติไต้ก็คือ มโนภาพและการปฏิบัติเกี่ยวกับเส้นเขตแตนที่เป็น
คัวขีดแบ่งดินแตนอธิปไตยหน่วยหนึ่งออกจากอีกหน่วยหนึ่ง เส้นเขตแตนของชาติ
ทำงานสองทางพร้อมๆ กัน ในด้านหนึ่ง มันกำหนดขีดสิ้นสุดของอำนาจอธิปไตย
หนึ่งอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันแบ่งพึ๋นที่อย่างน้อยสองหน่วย
ออกจากกันอย่างเด็ดขาด กล่าวอีกอย่างก็คือ เส้นเขตแตนเป็นทั้งขอบของหน่วย
หนึ่งและเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางด้วย ดังนั้น มโนภาพและการปฏิบัติหลายประการที่
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับ
ภูมิศาสตร์ชนิดใหม่ของประเทศหนึ่ง ๆ มโนภาพพื่นถิ่นจำต้องถูกผลักไสออกไป
แบบวิถีของการเปลี่ยนแปลง: ความกำกวมและการเข้าแหนที๋
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCB
ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของสยามมิใช่บทบรรยายการขีดเส้นเขตแดนและเหตุการณ์
ต่างๆที่นำไปสู่การเกิดแผนที่สยามเรียงไปตามลำดับเวลา ทว่ากรณีของพระจอม -
เกล้าฯ และความสัมพันธ์ระหว่างดาราศาสตร์กับโหราศาสตร์ดังที่เน้นให้เห็นโดย
กรณีหว้ากอนั้น เป็นตัวอย่างชัดเจนที่แสดงว่าการผลักไสและเข้าแทนที่ของความรู้
ภูมิศาสตร์นั้นซับซ้อนขนาดไหน เป็นกรณีที่ชี้ให้เห็นความรู้ภูมิศาสตร์คนละชนิดที่
ดำรงอยู่ร่วมกัน ปะทะกัน และผลักไสแทนที่กันในที่สุด
การสังเกตสุริยุปราคาที่หว้ากอเน้นให้เห็นการปะทะกันของความรู้สองชุต
ความหมายของเหตุการณ์ดังกล่าวที่ดกมาถึงยุคของเรายังคงกำกวมอยู่ พระจอม -
เกล้าฯได้รับสมัญญานามว่า บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย และว้นที่ 18 สิงหาคมซึ่ง
เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงคราวนั้น ก็ลึอกันว่าเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ คำว่า
“ วิทยาศาสตร์ไทย” หมายถึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในประเทศไทย มิใช่
หมายถึงความรู้วิทยาศาสตร์แบบพึ๋นถิ่นของไทย ดังจะเห็นได้จากเหตุผลที่ใข้ใน
การสดุดีท่าน เช่น ความเชี่ยวชาญทางดาราศาสตร์ การต่อต้านความเชื่องมงาย
และพวกโหราจารย์ ความสนใจในวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ และการประ -
ดิษฐ์คิดคันทางวิทยาศาสตร์ เช่น เรือกลไฟและหนังสือพิมพ์ เป็นด้น73 ทว่าคำ
สดุดีเหล่าน !.ม่ ะขึ้นอยู่กับการดีความเท่านั้น แต่เหตุผลของ
การสดุดีก็มิได้ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัก กล่าวคือ ถึงแมัเราอาจจะพูดได้ว่าเหตุการณ์
ที่หว้ากอและวันที่ 18 สิงหาคมเป็นชัยชนะของวิทยาศาสตร์ ( แบบตะวันตก ) แด่เรา
บฑที่ 2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่ท้าสงมา 79
ควรดูพาความโปรดปรานโหราศาสตร์และการที่พระเจ้าอยู่หัวเชื่อว่ามีเทพข -
ก็ไมzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
,
อ้นเดียวกันเพื่อต่อด้านการคุกคามของจักรวรรดินิยม นี่เป็นชาตินิยมย้อนหลังไม่
ต้องสงสัย เพราะที่จริงคู่ปฏิปักษ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 คือบรรดาโหรแบบ
จารีตของไทย ทว่าซาวยุโรปกลับท่าหน้าที่เป็นพลังกดดันทางสากลที่สนับสนุน
พระองค็ในกรณีนี้
อย่างไรก็ตาม ความหมายที่แท้จริงอาจกำกวม มิได้ดีความได้เพียงอย่างเดียว
คงเป็นความผิดพลาดหากถือว่าความมุมานะของพระจอมเกล้าฯ เป็นกลอุบาย
คนพื้นถิ่นเพื่อต่อสู้กับโลกทัศน์แบบตะวันตก หรีอตะวันตกสู้กับคนพื้นถิ่น นี่คือ
ญาณวิทยาลูกผสม แม้ว่าเราจะเห็นว่าไม่คงเส้นคงวา ขัดแย้งกันเอง หรือลักลั่นทาง
ตรรกะก็ตาม การดีความหรือคำอธิบายแต่ละอย่างพยายามกำหนดความหมาย
และคุณค่าบางอย่างให้เหตุการณ์ตังกล่าวเพื่ออวดอ้างว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
และความเชื่อของท่านเป็นบรรพบุรุษของตน แต่เป็นไปได้ว่า ความกำกวมของ
เหตุการณ์ทั้งหมดและญาณวิทยาลูกผสมของท่านคือหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการ
เปลี่ยนเคลื่อนทางความรู้
ผู้แต่งชีวประวัติของพระจอมเกล้าฯ รายหนึ่งในยุคนั้นระบุในย่อหน้าสรุปไว้
ตอนหนึ่งว่า:
พระองค์ทรงทราบซัดเจนในวิชาโหราศาสตร์และคัมภีร์ฝ่ายสยามและตำรา
ฝ่ายยุโรป อาจจะทรงคำนวณคติโคจรของพระอาทิตย์และพระเคราะห์ทั้งปวง
?1าเนิดสยามจากแผนที่
: ป!ะว้ฅิศาสตร์ภูมิกายาของชาด
80zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ไต้โดยถ้วนถี่ ทายสุริยุปราคา จันทรุปราคา แม่นหาผู้เสมอมิไต้ และทรงทราบ
ทั่วไปในยิโอกวิาพื่ด้วยวิธีวัดแดตวัดดาวโดยแม่นยำzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQ
.. .พระองค์ทรงพระราช -
.
ศรัทธาสถิตมนในคุณพระรัตนตรัยมิได้ย่อหย่อน 78
นี่เป็นชีวประวัติขึ้นแรกเกี่ยวกับพระเจ้าแผ่นดินสยามที่กล่าวถึงความปรีชา
สามารถของพระมหากษัตริย์โน “ศาสตร์” แผนโบราณ อาทิ โหราศาสตร์และศาสนา
พุทธ เคียงคู่กับความรู้แขนงใหม่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ดวงดาว และโลก ( แม้ว่าจะ
มิได้เอ่ยไวํในที่นี้ก็ตาม ) นั่นคีอแขนงความรู้ที่คนไทยในยุคนั้นเรียกว่า “ ยิโอกราที่ ”
ตำแหน่งของคำนื้โนย่อหน้าข้างบนจึงไม่ใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด
โหราศาสตร์เป็นวิชาชั้นสูงในสังคมที่เชื่อว่า ดวงดาวบนท้องฟ้ามีอิทธิพลหรีอ
ลิขิตความเป็นไปของมนุษย์ การตำนวณหาตำแหน่งและการโคจรของดวงดาว
ตลอดจนศิลปะในการดีความอิทธิพลของตวงดาวเป็นภารกิจพื่นฐานสองอย่างของ
โหราศาสตร์ โหรจึงเป็น “นักวิทยาศาสตร์” ที่ทรงอิทธิพลในทุกระดับของสังคม
ตั้งแต่ราชสำนักจนถึงหมู่บ้าน เพราะพวกเขามิความรู้ในการคำนวณทิศทางของ
ดวงตาวและทำนายผลที่จะเกิดขึ้นได้ ศิลปะการพยากรณ์ไม่เพียงแต่ขาดความเป็น
ภววิลัยหรือถึงชั้นงมงายในสายตาของเรา แด่ที่จริงมีพื่นฐานมาจากการดีความที่
มีมาก่อนและบันทึกที่สั่งสมมานานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็น
อิทธิพลของดวงดาว ณ ตำแหน่งต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น การคำนวณทางโหราศาสตร์
ยังเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์โนกรอบของจักรวาลวิทยาที่พัฒนามา
หลายชั้วอายุคน บางทีความรู้เกี่ยวกับการโคจรของดวงดาวดามหลักโหราศาสตร์
อาจเป็นภววิสัยในเชิงคณิตศาสตร์โม่น้อยไปกว่าดาราศาสตร์ก็เป็นได้
โหราศาสตร์ต้องอาศัยความแม่นยำในการคำนวณเช่นเดียวกับที่วิทยาศาสตร์
สมัยใหม่ต้องอาศัยคณิตศาสตร์ ยิ่งคำนวณได้แม่นยำเท่าไร คำทำนายทางโหรา -
ศาสตร์ก็ยิ่งมิความแม่นยำและน่าเชื่อถีอมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น เพื่อแสวงหาความ
แม่นยำ ความรู้จากตะวันตกเกี่ยวกับการโคจรของดวงดาวและโลก และการลังเกด
ปรากฏการณ์เชิงประจักษ์อันเป็นวิญญาณของวิทยาศาสตร์จึงมีเสน่ห์มากสำหรับ
คนอย่างพระจอมเกล้าฯ และบรรดาสานุศิษย์ ไม่แพ้ศาสตร์อื่นๆ เกี่ยวกับเรื่อง
ทางโลก บุคคลเหล่านี้โต้แทนที่ความรู้สันถิ่นด้วย “ยิ โ อกราหี ่ เzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUT
” อย่างใหม่ แต่พวก
เขาก็มิได้มุ่งขจัตโหราศาสตร์ให้หมดสิ้น เพียงแต่ว่าพวกเขากระหายความรู้ใหม่
ล่าสุดที่จะช่วยปรับปรุงการคำนวณ “ ยิโอกราฟื ” ซึ่งรวมถึงดาราศาสตร์ด้วยนี้
บทที่ 2 ภูมศาสตร์แบบใหม่กี่เาดังมา 81
ประกอบภารกิจพื้นฐานหนึ่งในสองzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIH
0ย่างของโหราศาสตร์ได้อย่างแม่นยำกว่าจึGFEงน่า
เชื่อถือมากกว่า ความรู้สองชนิดที่เข้ากันไม่ได้โดยพื้นฐานกลับถูกจับคู่ประกบกัน
แล้วพบว่ามันทำงานเข้ากันได้เป็นอย่างดี ศาสตร์ทั้งสองนี้จึงปรากฏเคียงข้างกันใน
ย่อหน้าเดียวกันของชีวประวัติของพระจอมเกล้าฯ
ควรกล่าวในที่นี้ด้วยว่าตำราโหราศาสตร์ของไทยในยุคต่อมา ได้นำเอาระบบ
สุริยะและจักรวาลของดาราศาสตร์ มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์และคำนวณการ
โคจรของดวงดาว โดยไม่กระทบต่อการทำนายแต่อย่างใด การด้นพบล่าสุดทาง
ดาราศาสตร์เซ่น ความรู้เกี่ยวกับดาว เคราะห์สามดวงที่อยู่ไกลสุดในระบบสุริยะได
ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของความรู้โหราศาสตร์แล้ว ซึ่งซ่วยให์โหรปรับปรุงหรือ
ขยายวิธีคำนวณชะตาราคีอีกด้วย นักโหราศาสตร์ชื่อดังคนหนึ่งของไทยจึงกล่าวว่า
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เป็นผู้นำของวิธีการอันแหวกแนวนี้ 77
ด้วยเหตุที่มีมโนภาพและการทำงานที่เข้ากันไต้เซ่นนี้ ความเข้าใจภูมิศาสตร
สมัยใหม่จึงดำเนินไปโดยแทรกกลืน ( ฝิธธเกาแล เกฐ) เข้ากับมโนภาพที่มีอยู่แล้ว
(
ใหม่โดยแปลผ่านภาษาแม่ของตน เราลองเอาภูมิศาสตร์กายภาพเป็นตัวอย่างก็ได
การจัดหมวดหมูภูมิศาสตร์กายภาพในบทแรกของหนังสือของวันไดกี้ และใน
,
82 ก็าเนิดสยามจากแผนที่z: yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLK
ประวํตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ JIHGFEDCBA
เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เกี่ยวกับจักรวาลและเทศะขนาดใหญ่ จึงมา
จากระบบการตั้งชื่อของไตรภูมิ
ความรู้ทั้งสองชนิดนี้จึงไม่เพียงแต่ศึกษาเรื่องคล้ายกัน แด่ทั้งคู่ยังใช้คำศัพท์
เหมือนๆ กันในระบบการแบ่งหมวดหมู่ที่เทียบเคียงกันไต้ด้วย ฉะนั้น ความรู้สอง
ชนิดนี้ไม่เพียงแต่อยู่เคียงคู่กันเท่านั้น แต่ยังช้อนทับด้วยโดยการใช้คำศัพท์ร่วมกัน
กล่าวอีกอย่างคือ คำศัพท์กลายเป็นปัจจัยเชื่อมต่อระหว่างความรู้ทั้งสองนี้ ในทาง
กลับกันศัพท์ร่วมเหล่านี้แด่ละคำย่อมมีความหมายสองแบบและสื่อความหมายต่าง
กันไปตามระบบความคิดแต่ละชนิด ชุดคำศัพท์และอาจรวมถึงระบบการแบ่งหมวด
หมู่ทั้งหมดกลายเป็นระบบด้ญ่ญะที่มีสองความหมาย นั้นหมายความว่าความรู้และ
คำศัพท์เกี่ยวกับพื่นที่กลายเป็นสิ่งคลุมเครือ ด้วยเหตุนี้ภูมิศาสตร์สมัยใหม่จึงเผชิญ
ภารกิจสองด้านด้วยกัน กล่าวคือ ด้านรับที่ต้องคอยแก้ไขความสับสนและแยกแยะ
ความหมายของดนออกจากความหมายอื่น และด้านรุกที่ต้องฉวยโอกาสจากการ
ช้อนทับกันและความคลุมเครือของวาทกรรมทางภูมิศาสตร์
สำหรับภารกิจแรก ในเมื่อระบบความคิดความรู้ช้างหลังคำศัพท์ชุดเดียวกัน
และการจัดหมวดหมู่ที่เทียบเคียงกันได้นั้นเป็นคนละระบบกันคำๆ หนึ่งจึงสามารถ
(0๐ย่6) ที่ใช้ในขณะนั้น วิธีแก้ปัญหานี้หรือ
สื่อถึงคนละสิ่งแตกต่างกันตามแด่รหัสzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHG
ภารกิจแยกแยะความหมายก็คือ การส่งรหัสสัญญาณ (ธเ9ก3แก9 00ย่ ) บางอย่าง 6
เพื่อบอกแก่ผู้รับสารว่าก้าดังสื่อถึงมโนภาพอย่างใหม่ การใช้แผนที่สมัยใหม่คือ
ตัวอย่างหนึ่งของรหัสสัญญาณนี้ เพราะมันเป็นคุณสมบ้ดีของภูมิศาสตร์สมัยใหม่
เท่านั้น สำหรับรหัสสัญญาณอื่นๆ นั้นน่าจะตูจาก หนังสือแสดงกิจจานุกิจ ของ
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ซึ่งเป็นตัวอย่างวิเศษที่แสดงว่าภาษาเกี่ยวกับพี๋นภูมิสองชนิด
นี้สามารถโลดแล่นอยู่ในสนามเดียวกันแด, อยู่ใต้กฎเกณฑ์คนละชุดกันได้อย่างไร
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ตระหนักดีถึงความคลุมเครือของความรู้ภูมิศาสตร์ทั้งหมดที่
เพิ่มมากขึ้น แด่ท่านก็เช้าใจความแตกต่างของภาษาทั้งสองชุดนี้เป็นอย่างดี เราได้
เห็นแล้วว่าประเด็นหนึ่งที่เป็นการเผชิญหนัากันอย่างหนักระหว่างภูมิศาสตร์คนละ
ชนิดคือ ปัญหาเบื้องด้นว่าด้วยมโนภาพของโลก ประเด็นนี้คือเส้นแบ่งระหว่างความ
รู้สองชนิด การที่วันไดกี่และยอนลันเริ่มต้นหนังสือด้วยข้อความว่าโลกมีรูปร่าง
อย่างไรนั้น คงไม่ใช้แค่การถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้องไปยังผู้อ่าน ทั้งสองคนขึ้นป้าย
ไว้ตรงทางเข้าของหนังสือเลย ข้อความว่าด้วยโลกกลมทำหน้าที่เป็นรหัสสัญญาณ
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUT
2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่ท้าดังมา 83
หรือรหัสผ่านเพื่อบอกว่าเรื่องราวภายในเล่มสังกัดภูมิศาสตร์สมัยใหม่ นี่จึงกลาย
มาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของบรรดาหนังสือภูมิศาสตร์ในรุ่นนั้นว่าต้องเริ่มด้วย
ข้อความเกี่ยวกับโลกก่อน ไม่ว่าหนังสือเล่มนั้นจะเป็นเรื่องภูมิศาสตร์แบบใด ไม่ว่า
ภูมิศาสตร์กายภาพหรือการเมืองหรือของสยามหรือส่วนอื่นๆของโลกก็ตาม แม้แต่
หนังสือแผนที่โลกในรุ่นหสังก็มักเริ่มจากรูปโลกกลมก่อนเสมอราวกับเป็นคำนำของ
ยอนดัน ธรรมเนียมจึงกลายเป็นขนบที่มิได้ทำหน้าที่ดั้งเดิมของมันอีกต่อไปแล้ว
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือกลายเป็นจารีต หาใช่รหัสสัญญาณอีกต่อไป
ภารกิจที่สองยิ่งสำกัญกว่า การกล่าวว่าวาทกรรมทางภูมิศาสตร์คลุมเครือ
หมายความว่าวาทกรรมพื้นถิ่นเกี่ยวกับพื้นที่z/yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQP
ภูมิ มิไต้เป็นภาษาเพียงชุดเดียวที่
ทำหน้าที่ป้อนไวยากรณ์หรือผูกขาดรหัสในการรับรู้เกี่ยวกับพื้นที่ / ภูมิอีกต่อไป
นอกจากการสนับสนุนผลักดันจากราชสำนักและผู้นำทางปัญญาแล้ว ภูมิศาสตร์
สมัยใหม่ได้ดั้งตัวเป็นคู่ต่อสู้ คือเป็นภาษาคู่แข่งที่สามารถร่วมใช้ทรัพย์สินกับภาษา
เดิม แล้วสอดแทรกอำนาจของตนเหนือสนามการสื่อความหมายแห่งเดียวกัน
ในสภาวะคลุมเครือเช่นนี้ ความรู้เดิมเกี่ยวกับพื้นที่ / ภูมิย่อมถูกสั่นคลอน
ในขณะที่ความรู้ทางเสือกใหม่ กลายเป็นสิ่งคุกคามเพื่อการเปลี่ยนแปลง ภูมิศาสตร์
สมัยใหม่มิใช่แค่อยู่ร่วมกันอย่างสงบ หรือแค่พึ่งพิงอิงแอบอยู่กับแรงสนับสนุนทาง
การเมืองซึ่งไม่ใช่พลังทางญาณวิทยา แต่ภูมิศาสตร์สมัยใหม่ดั้งตัวเองเป็นทางเลือก
ใหม่ แม้ว่าการแปลเป็นศัพท์พื้นถิ่นจะเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทำเพื่อสร้างความ
เข้าใจแต่ครั้นการเทียบเคียงนี้ลงหลักปักฐานมั่นคงแล้วย่อมเป็นเรื่องนอกเหนือ
เจตนาของมนุษย์ ภูมิศาสตร์สมัยใหม่มีศักยภาพที่จะเข้ายึตครองคุณสมบัติด่าง ๆ
ของความรู้พื้นถิ่นมาเป็นของตนและผลักดันตัวเองให้เป็นช่องทางใหม่ในการส่งสาร
ในที่สุดมนุษย์ด้องเข้ามาจัดการให้ความคลุมเครือหมดไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
กล่าวอย่างย่อก็คือ ภูมิศาสตร์สมัยใหม่ฉวยโอกาสจากภาวะทับช้อนกันเพื่อสั่น
คลอนหรือทำให้ภาษาพื้นถิ่นคลุมเครือ จากนั้นจึงเสนอตนเป็นช่องทางใหม่ในการให้
ความหมายกับคำศัพท์เหล่านั้น
การผลักไสแทนที่ของความรู้มิใช่กระบวนการที่ราบรื่นค่อยเป็นค่อยไปหรือ
ปรับตัวต่อเนื่องกันไป แด่เป็นกระบวนการที่เกิดช่วงขณะ ( ทา0กา6ก1) วิกฤติมากมาย
ปะทุขี้นมาเพื่อสะสางความคลุมเครือด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง กระบวนการนี้
ออกจะรุนแรง เหตุการณ์หว้ากอเป็นหนึ่งในช่วงขณะวิกฤติที่ว่านั้น ความกำกวมของ
84 กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
การประเมินเหตุการณ์หว้ากอย้อนหลังเป็นผลมาจากความกำกวมและแนวโน้ม
ทางความคิดของพระจอมเกล้าฯ เพราะภูมิศาสตร์สมัยใหม่ดำรงอยู่ควบคู่กับความ
รู้พื้นถิ่นเดิม การที่ท่านโจมตีโหรหลวงและหนังสือของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ก็เป็น
ช่วงขณะที่นำพาให้ความคิดภูมิศาสตร์คนละชนิดเกิดการเผชิญหน้าแตกหักกัน
การกล่าวว่าความคิดวิทยาศาสตร์ลงหลักปักฐานในสยามได้อย่างต่อเนื่อง
ราบรื่นนุ่มนวลดุจใยไหม เท่ากับบอกว่าไม่มีความเสียดทานที่สำคัญหรือการต่อสู้
แดกหักใดๆ ระหว่างมโนภาพหรือการปฏิบัติของความรู้ที่แข่งขันกันเกิดขึ้นเลย แด่
ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ การแลกมาด้วยมรณกรรมของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่z4yxwv
จะหมายถึงอะไรเล่าหากมิใช่ชัยชนะอันน่าเศร้าในการต่อสู้ทางความรู?้ คำอธิบาย
คังที่ได้นำเสนอมาในบทนี้ เป็นตัวแบบสำหรับการอธิบายด้านอื่นๆ ของการผลักไส
แทนที่ความรู้ทางภูมิศาสตร์ไต้เช่นกัน การผลักไสแทนที่ในแง่อื่นๆ ก็เป็นผลของ
การเผชิญหน้า ความกำกวม และช่วงขณะแตกหัก ณเวลา สถานที่ และจังหวะ
ต่างๆกันไป ประเด็นที่เรามุ่งเน้นในที่นี้คือมโนภาพและการปฏิบัติเกี่ยวกับเส้นเขต
แตนและอธิปไตยเหนือดินแตน เราจะเห็นต่อไปว่าช่วงขณะของการผลักไสแทนที่
ความรู้ภูมิศาสตร์ที่ปะทุแตกหักอย่างรุนแรงที่สุดเป็นเหตุการณ์ที่รู้จักกันดีในประ -
วัติศาสตร์ไทย เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาเราเข้าใจเหตุการณ์นั้นในแบบอื่น ดือเห็นว่า
เป็นเหตุการณ์อันเจ็บปวดสำหรับคนไทยทุกชั้นชนเพราะมันจบลงด้วยสิ่งที่เรียก
ว่าการสูญเสียดินแดนใหักับมหาอำนาจตะวันตกในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 1 9
บทที่ 2 ภูมิศาสตร์แบบใหม่กำลังมา 85
บทที่ 3
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIH
เส้นเขตแดน
บกกี 3
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
เส้นเขดแดน
สยามและพม่าเป็นศัตรูคู่ปรับกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 6 ทั้งสองฝ่ายต่างรุกรานโจมตี
กันและกันเป็นระยะๆจนทำให้เมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างสองอาณาจักรโตยเฉพาะทาง
ชายฝังต้านใต้ของพม่าที่รู้จักกันในเวลานั้นว่าเป็นอาณาจักรของซาวมอญนั้น มี
ความสำคัญยิ่งสำหรับสองฝ่าย อันที่จริงพื้นที่ระหว่างสองอาณาจักรจากเหนือจรต
ใต้ล้วนเป็นเทือกเขาใหญ่โตซับช้อนและป่าตงดิบผืนใหญ่ กระนั้นก็ตามทั้งสองฝ่าย
ถือว่าหัวเมืองมอญเหล่านั้นดือแหล่งอาหารและกำลังพลอันสมบูรณ์ซึ่งเป็นปัจจัยที่
สำคัญที่สุดสองอย่างสำหรับการสงครามยุคก่อนสมัยใหม่ สยามและพม่าผลัตกันมี
อำนาจเหนือเมืองเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้ทำหน้าที่ผลิดเสบียงอาหารส่งให้
กองทัพของฝ่ายตน ขณะเดียวกันอีกฝ่ายหนึ่งก็จะมุ่งโจมตีเมืองเหล่านี้ เพื่อป้องกัน
ไม่ให้เป็นแหล่งเสบียงของศัตรู
เส้นเขตแตนแบบตะวันตกต้านชายแตนตะวันตก
เรื่องราวเร้าใจของเราเปิดฉากขึ้นในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 1 9 เมื่ออังกฤษทำ
สงครามกับพม่าเป็นครั้งแรกระหว่างปี 2367 2369 ( ค.ศ . 1824- 1826) ซึ่งขณะนั้น
-
บทที่ 3 เส้นเขตแดน 89
แต่เบอร์นีย์กลับบันทึกว่าสยามในขณะนั้นมีทัศนคติที่เป็นมิตรกับอังกฤษ ดูเหมือน
( อย่างระมัดระวัง ) มหาอำนาจใตก็ตามที่ต่อสู้กับพม่า
ว่าราชสำนักยินดีต้อนรับzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
รายงานของเบอร์นีย์ยังบอกให้เรารู้ว่าราชสำนักสยามติดตามสถานการณ์สู้รบอย่าง
จจดใจจ่อ และกระตือรือร้นที่จะได้ฟังข้อมูลหรือข่าวลือเกี่ยวกับการรบ ต้วยเหตุ
ที่ทั้งสยามและอังกฤษถือพม่าเป็นศัตรูร่วม ทั้งสองฝ่ายเกือบจะบรรลุข้อตกลงที่
ห้สยามส่งทหารสองกองทัพไปช่วยอังกฤษ แต่ข้อตกลงไม่เป็นจริงเพราะเกิดการ
ข้าใจผิตระหว่างทั้งสองฝ่าย อันเนื่องมาจากวิธีการทำสงครามที่แตกต่างกันและ
สงครามได้ยุติลงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น
ในช่วงที่เบอร์นึบัอยู' ที่กรุงเทพฯ จากปลายปี 2368 ถึงด้นปี 2369 ( ค . ศ .
1 825 - 1826 ) อังกฤษสามารถยึดครองภาคใต้ของพม่าไวัใด้ทำให้ตะนาวศรีกลาย
ป็นเขตปกครองของอังกฤษ จากนั้นชายแตนฝังตะวันตกของสยามก็เริ่มกลายเป็น
ปัญหาขึ้นมา เบอร์นีย์ขอให้ฝ่ายสยามส่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไปตกลงเรื่องเขตแดน
1
ระหว่างสยามกับดินแดนที่อังกฤษเพิ่งได้มาใหม่ เจ้าพระยาพระคลังซึ่งดูแลเรื่อง
การค้าและการต่างประเทศกลับบ่ายเบี่ยงด้วยการกล่าวว่า แท้ที่จริงแล้ว ทั้งทวาย
และมะริดอันเป็นเมืองท่าสำคัญสองแห่งทางตอนใต้ของพม่า เคยเป็นเขตแดนของ
สยาม และสยามเคยเดรียมจะยึดเอาเมืองทั้งสองกลับมาจากพม่า อย่างไรก็ตาม
นเมื่อทั้งสองตกเป็นของอังกฤษแล้ว และเพื่อเห็นแก่มิตรภาพของสองฝ่ายที่บังมี
ศัตรูร่วมอยู่ทางตอนเหนือ ( หมายถึงอังวะ ) สยามก็จะไม่อ้างสิทธิ้เหนือเมืองทั้งสอง
อีกต่อไป เบอร์นืย์เล่าต่อไปว่า เจ้าพระยาพระคลังบังอวยพร “ ด้วยท่าทีที่เปิดเผย
จริงใจมากกว่าที่... ได้คาดการณ์ไว้” ให้การยึดครองดินแดนของอังกฤษประสบ
ความสำเร็จในการปกครองดินแดนใหม่ และท่าน “ หวังว่าอังกฤษจะนำการค้าอัน
คึกคักมาสู่สยามโดยผ่านช่องทางด้งกล่าว ”
เมื่อคำตอบของเจ้าพระยาพระคลังไม่ตรงกับคำขอ เบอร์นีย์จึงยํ้าความต้อง -
'
การของฝ่ายอังกฤษอีกครั้ง และแนะว่าพระคลังควรเดินทางไปชายแดนด้วยตนเอง
,
90 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวตศาสดร์ภูมิกายาของชาติ
แลแzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
) เห็นว่าข้อเสนอของเบอร์นีย์ทำให้พระคลังตกใจกลัวเพราะการเจรจาใดๆกับ
อังกฤษนอกเหนือจากที่ทำกันที่กรุงเทพฯ แล้ว ย่อมเป็นอันตรายต่อเอกราชของ
สยาม แด่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง เจ้าพระยาพระคลังตกใจจริง แด่เรื่องเอกราช
3
น่าจะไม่ใช่ประเด็น เป็นไปได้มากกว่าว่าภายใต้การจัดสรรอำนาจปกครองของ
สยามในขณะนั้น บริเวณต้านตะกันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรอยู่ภายใต้การดูแล
ของเจ้าพระยากลาโหม หากพระคลังเจรจาใดๆเหนือดินแดนด้งกล่าว ก็หมายถึง
ไปคุกคามอำนาจของเจ้าพระยากลาโหม เจ้าพระยาพระคลังย่อมไม่ต้องการเอา
ตนเองไปทำเรื่องเสี่ยงแบบนั้น บางทีการเดินทางไปยุโรปอาจน่าตกใจน้อยกว่าก็ได้
แด่ไม่ว่าจะอย่างไร คำตอบของพระคลังชี้ว่า ในขณะนั้นการกำหนดเส้นเขตแดนกัง
มิใช่เรื่องที่ราชสำนักสยามให้ความสำคัญมากนัก
กันรุ่งขึ้น เจ้าพระยาพระคลังมอบสาส้นจากเจ้าพระยากลาโหมให้กับเบอร์นืย์
มีใจความว่า สยามเห็นว่าปัญหาเส้นเขตแตนมังมิใช่เรื่องเร่งด่วน เพราะในขณะนั้น
ผังไม่แน่นอนว่าอังกฤษจะมีชัยเหนือพม่าอย่างเด็ดขาด หรือสามารถรักษาเมือง
เหล่านั้นไวได้หรือไม่ ราชสำนักสยามถือว่าเส้นเขตแดนขึ้นอยู่กับผลของสงคราม
4
หากพม่ารุกกลับได้ เมืองเหล่านั้นอาจถูกเผาทำลายอีกครั้งแทนที่จะเป็นตำแหน่ง
ของเขตแดน พระคลังผังกล่าวด้วยว่า ส้มพันธไมตรีกับอังกฤษมีความสำคัญมาก
พอที่จะเก็บเรื่องไม่สำคัญอย่างการเรียกร้องสิทธิ้เหนือเมืองท่าเหล่านั้นเข้าลิ้นชัก
ไว้ก่อน และฝ่ายกลาโหมก็เห็นว่าเส้นเขตแดนผังมิใช่เรื่องจำเป็นเช่นกัน เห็นได้ชัด
ว่าทั้งเจ้าพระยาพระคลังและเจ้าพระยากลาโหมมิได็ให้ความสำคัญกับปัญหาเส้น
เขตแดนเท่าเบอร์zแย์
'
yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
บทที่ 3 เส้นเขตแดน 91
นักประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมาอย่างฮอลล์เห็นว่าคำตอบดิงกล่าวไร้เดียงสา
เบอร์นีย์เห็นว่าคำตอบนั้นไร้สาระจนน่าขันzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONML
( ลเวธบฟ ) และเขารู้ดีว่าทางการอังกฤษ
ต้องประหลาดใจแน่ๆหากเขาส่งคำตอบดิงกล่าวไปให้ แด่สำหรับขุนนางสยามที่
6
อยู่ในคณะเจรจานั้น ไม่มีอะไรน่าประหลาตแม้แต่น้อยเพราะว่า:
เส้นเขตแดนระหว่างสยามและพม่าเต็มไปด้วยเทือกเขาและปากว้างหลาย
ไมล์และไม่สามารถบอกไต้ว่าเป็นของชาติใด ต่างฝ่ายต่างมีกองทหารของตน
คอยเสาดูเพื่อวับคนของอีกฝ่ายหนึ่งที่เดินพลัดหลงเข้าไปในบริเวณดังกล่าว 7
โน้มน้าวให้ราชสำนักทำข้อตกลงอย่างกว้างๆเรื่องเส้นเขตแตนจนได้ดังมีบรรจุไว้
ในทั้งฉบับร่างและข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ในปี 2369 ( ค.ศ . 1 826 ) มาตราที่เขียน
อย่างยืดยาวตามธรรมเนียมไทยนี้มีสาระอยู่เพียงแค่ว่าหากฝ่ายใดข้องใจเกี่ยวกับ
เขตแดน ก็ใหัแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายและคนจากชายแดนเพื่อสอบสวนและ
ตกลงกันฉินมิตร นี่หมายความว่าเส้นเขตแดนในขณะนั้นไม่มีปัญหาแต่อย่างใดและ
9
ไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับมันประสบการณ์มากกว่าครึ่งปีในกรุงเทพฯของเบอร์นีย์
ทำให้เขาเรียนรู้ว่าการประน็ประนอมที่ดีที่สุดที่เขาจะทำได้ก็คือใส่อะไรดักอย่าง
ลงไปในสัญญา แม้ว่าจะดูมีประโยชน์น้อยนิดสำหรับอังกฤษก็ตาม อาจกล่าวได้ว่า
เบอร์นีย์ยอมที่จะพูดภาษาเดียวกันกับราชสำนักสยามในเรื่องเส้นเขตแดน
หากไม่นับเหตุการณ์เล็กๆในปี 2372 ( ค.ศ . 1829 ) ที่ทหารท้องถิ่นของสยาม
บุกเข้าไปในเขตของอังกฤษเป็นครั้งคราวแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่มีปัญหาเส้นเขตแดน
10
ระหว่างกันจนกระทั้งปี 2383 ( ค.ศ . 1 840) ในปีนั้น อี. เอ. บลันเดลล์ ( 5.& . ธเบกส่6แ )
ผู้ว่าการจังหวัดตะนาวศรีของอังกฤษยกปัญหานี้ขึ้นมาด้วยเหตุว่าเส้นเขตแดนซึ่ง
บังไม่ได้ตกลงกันนี้กำลังสร้างปัญหาขึ้นมาเกี่ยวกับการทำเหมืองแร่ดีบุก ชายแดน
92 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวดศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ด้านใต้สุดของตะนาวศรีมีแม่นี้าปากจั่นพาดผ่านzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQP
ทั้งสองส่งแม่นํ้าเต็มไปด้วยดีบุก
11
และแร่อื่นๆ เมื่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของสยามออกเก็บภาษีอากรจากชาวบ้านที่ทำแร่
อยู่ทั้งสองฟากแม่นํ้า ชาวบ้านที่อยู่ในส่งอังกฤษจึงปฏิเสธไม่ยอมจ่ายภาษีชาซ้อน
ให้กับอังกฤษอีก อีกทั้งคนเหมืองชาวจีนบางส่วนก็ร้องขอความคุ้มครองจากอังกฤษ
ด้วย 12 บดันเดลล์ถือว่าแม่นี้าปากจั่นคือเส้นเขตแดน ด้วยคนเฒ่าคนแก่ในท้องถิ่น
บอกเขาว่า เป็นจุตไกลสุตที่กองทหารพม่าเคยมาตั้งค่ายชั่วคราว เขาจึงส่งจดหมาย
ไปกรุงเทพฯ กล่าวหาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของสยามว่าได้ล่วงลํ้าเข้าไปในเขตอังกฤษ
ราชสำนักตอบกลับในปลายปีเดียวกันนั้นว่าอังไม่เคยมีการกำหนดเส้นเขตแดนที่
ตายตัว ซึ่งเท่ากับบอกเป็นนัยว่าสยามไม่ยอมรับการอ้างสิทธิ้ของบดันเดลล์ 13
เจ้าหน้าที่อังกฤษในอินเดียเดือนบดันเตลส์ให้ระมัดระวัง เพราะพวกเขาเรียนรู้
จากประสบการณ์คราวเบอร์นีย์ว่าราชสำนักสยามไม่ชอบให้หยิบยกเรื่องดังกล่าว
ขึ้นมาด้วยเหตุผลที่พวกเขาไม่เข้าใจ จนถึงปี 2385 ( ค .ศ . 1 842 ) เจ้าหน้าที่ทาง
เบงกอลอังไม่เห็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องตกลงเรื่องเส้นเขตแดนเป็นทางการ
แต่อย่างใด กระนั้น บดันเตลล์อังคงดึงดันขอให้สยามส่งเจ้าหน้าที่ไปอังบริเวณ
14
ดังกล่าวแม้ว่าเขาจะไม่ไต้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของสยามก็ตาม
ปรากฎว่าในกลางปี 2385 จู่ ๆ ราชสำนักกลับยินยอมที่จะให้มีการชี้เส้นเขตแตน
แม้ว่าจะไม่ยอมรับให้แม่นั้าปากจั่นเป็นเส้นเขตแดนก็ตาม ทว่าฤดูฝนที่ตามมา
15
ทำให้ทั้งสองฝายไม่สามารถบุกป่าเข้าไปเพื่อตัดสินเขตแดนได้
อังกฤษเร่งให้สยามตัดสินเรื่องนี้อีกครั้งในปี 2387 ( ค.ศ . 1 844) เพราะมีปัญหา
เล็กน้อยเกิดขึ้นตามชายแตน ครั้งนี้ผู้ว่าการคนใหม่ของอังกฤษ พ้นโท บรอดฟุต
( แ /13] 0 โ 8โ 0ลส่ ?00ใ ) ขอให้ตกลงเขตแตนตั้งแต่เชียงใหม่ลงมาถึงแม่นั้าปากจั่น
16
ราชสำนักดูจะหงุตหงิด แต่ก็ตอบกลับไปอย่างซัดเจนว่า:
-
เหตุที่อังกฤษและสยามมีโอกาส'ใต้กล่าวถึงเรื่องเส้นเขตแดนเพราะ...สยาม
และอังกฤษมีสัมพ้นธไมตรีอันยิ่งใหญ่ต่อกัน และตังที่พันโทบรอดฟุต... ด้วย
ความปรารถนาที่จะให้ส้มพันธไมตรียั่งยืนต่อไป ไต้เขียนจดหมายฉันมิตร
เกี่ยวกับการวัตการเขตแดน เจ้าหน้าที่ของ...กรุงเทพทวาราวดีฯ จึงปรารถนา
เช่นกันที่จะตัดสินเขตแตนให้เรียบรอย ...โดยหวังว่าพันโทบรอดฟุตจะ...ตกลง
อย่างยุติธรรมและเป็นธรรมว่าตรงไหนเป็นเส้นเขตแดน เสนาบดีของ...กรุงเทพ
ทวาราวดีฯ ยินดีที่จะตกลงด้วย 17
บทที่ 3 เส้นเขดแดน 93
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพื่อเห็นแก่สัมพันธไมตรีของสองฝ่าย อังกฤษปรารถนา
สิ่งใด สยามย่อมเห็นดีด้วย ขอเพียงให้เป็นไปอย่างยุติธรรม
ในจดหมายฉบับเดียวกันซึ่งลงวันทีz่ 1yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONML
3 พฤศจิกายน 2387 ( ค.ศ . 1 844 ) ราช -
สำนักได้แสดงความไม่พอใจที่ฝ่ายอังกฤษอ้างสิทธิ้เหนือฝังขวาของแม่นั้าปากจั่น
โดยราชสำนักให้เหตุผลว่าปัญหาเล็กๆนัอยๆที่เกิดขึ้นตามชายแดนนั้น เนื่องมา
จากคนในบังคับของอังกฤษและชาวเมืองกระที่ดูแลแม่นั้าปากจั่นอาศัยอยู่ใกล้กัน
เกินไป นี่จึง “ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันระหว่างสองชาติมหามิตร” ฝ่ายสยาม
จึงค้านข้อเสนอของอังกฤษ เพราะแม่นั้าปากจั่นอยู่ห่างจากเมืองกระไปไม่กี่ร้อย
เมตรเท่านั้น
แล้วเส้นเขตแดนแบบไหนที่ราชสำนักสยามต้องการ คำตอบก็คือ:
หากเส้นเขตแดนถูกกำหนดไว้ตามแนวแม่นํ้าปากจั่น ก็จะใกล้กับเมืองกระจน
เกินไป ในอีกแง่หนึ่ง หากกำหนดให้อยู่ตรงสุดปลายเขตที่สยามเคยมีอำนาจ
ปกครอง มันก็ยังห่างไกลจากมะรีดพอควร ตรงนั้นจึงน่าจะเป็นการดัตสินที่
ยุติธรรม เพื่อที่ว่าคนของทั้งสองฝ่ายจะได้อาศัยอยู่ห่างจากกันมากพอ18
บางทีฝ่ายอังกฤษอาจจะไม่เข้าใจนิยามของเส้นเขตแตนแบบนี้ดีพอ เพราะ
พวกเขายังคงยาข้อเสนอของตนต่อไป การแลกเปลี่ยนถกเถียงเรื่องนี้ต่อมาขยาย
ครอบคลุมไปถึงชายแตนมะละแหม่งทางตอนเหนือของตะนาวศรี เมื่อถึงตรงนั้น
นั้าเสียงของจดหมายจากราชสำนักระหว่างเดือนสิงหาคม 2388 ( ค.ศ. 1 845) ถึง
สิงหาคม 2389 ( ค.ศ . 1 846 ) บอกถึงความไม่สบอารมณ์ชัดๆ ที่แปลกก็คือยิ่งสยาม
รำคาญมากขึ้นเท่าใด ความต้องการที่จะยุติปัญหานี้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น ในจดหมาย
ฉบับแรก สยามยื่นข้อเสนอตอบโต้ยาวเหยียดเกี่ยวกับเส้นเขตแตนจากเชียงใหม่ถึง
เมืองกระกลับไปให้อังกฤษ มีใจความตอนหนึ่งว่า :
สถานที่ใดก็ตามที่ต้องการสำรวจ ให้เจ้าเมืองและเจ้าพนักงานของเมืองนั้นชี้
ว่าเขตแดนของสยามอยู่ตรงไหนบ้าง ให้พวกเขากล่าวอย่างซื่อตรงเพื่อจะได้
ตัดสินให้สิ้นความ...เมื่อตัดสินได้แล้ว ขอใหัมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
สำหรับทุก ๆ ส่วนของเส้นเขตแดน ซึ่งควรถือเป็นที่สิ้นสุด เพื่อที่ว่าในอนาคต
จะได้ไม่มีการล่วงลํ้าแดนของอีกฝ่ายอีกต่อไป 19
94 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ในจดหมายฉบับเดือนสิงหาคมzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFED
2389 ปัญหาเขตแดนดูจะสร้างความรำคาญ
ใจให้กับราชสำนักเป็นอย่างยิ่ง จดหมายกล่าวถึงกรณีที่อังกฤษกล่าวหาว่าเจัา -
พนักงานท้องถิ่นของสยามล่วงลํ้าเช้าไปในดินแดนของตน ปักธงและใช้อำนาจ
เหนือชาวบ้านในบริเวณดังกล่าว อังกฤษสงสัยว่าราชสำนักอาจมีส่วนรู้เห็นกับการ
กระทำนี้และแคลงใจต่อความจริงใจของราชสำนัก ราชสำนักสอบสวนกรณีดังกล่าว
และสรุปว่าต้องหาทางตกลงเรื่องเขตแตนโดยต่วนเพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจมี
ขึ๋นอีก ฝ่ายอังกฤษดีใจมากที่ผลออกมาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถตกลงกัน
20
ได้หลายจุดเช่นตรงแม่นํ้าปากจั่น แต่สยามยอมรับความสำคัญของเส้นเขตแตนและ
มุ่งมั่นจะใหัมีการแบ่งเขตแดน มั่นก็หมายความว่า สยามยอมที่จะพูดเรื่องนี้ในแบบ
ที่อังกฤษต้องการ
ไม่แน่ชัดว่าทำไมลยามจึงเปลี่ยนท่าทีของตนจากการไม่ให้ความร่วมมืออย่าง
ซื่อๆไม่ค่อยเช้าใจในช่วงปีแรกๆ มาเป็นความไม่พอใจแต่ให้ความร่วมมืออย่าง
แข็งขัน ฝ่ายอังกฤษเชื่อว่าเป็นผลกระทบของการรบที่พม่ากำลังพยายามดีเมือง
ของพวกคะยา ( หรือกะเหรี่ยงแตง ) ในแถบภูเขาที่อยู่ระหว่างชายแตนเชียงใหม่
กับอังวะ ฝ่ายอังกฤษคิดว่านี่เป็นการรบระหว่างพม่ากับสยาม ซึ่งเท่ากับว่าเป็น
ข้อพิพาทระหว่างประเทศ พวกเขาเอาเหตุการณ์สองอย่างคือการเปลี่ยนนโยบาย
ของสยามกับลงครามชายแดนเช้ามาวิเคราะห์ภายใต้ระบบเหตุผลแบบการทูต -
การทหารสมัยใหม่ มั่นคือ อังกฤษคิดว่าสยามกำลังกังวลต่อความมั่นคงของเมือง
ประเทศราชของตนทางตอนเหนือ ฉะนั้นจึงต้องการรักษาทางใต้และตะรันตกของ
ประเทศเอาไว่โดยยอมทำตามความต้องการของอังกฤษ ฝ่ายอังกฤษเองก็ตระหนก
กับการรุกของพม่า ทว่าพวกเขาวางตัวเฉยอยู่ การสื่อสารแลกเปลี่ยนกันในหมู่
เจ้าหน้าที่อังกฤษระหว่างปลายปี 2387 ( ค. ศ . 1844) ถึงต้นปี 2389 ( ค.ศ . 1846 )
เต็มไปด้วยรายงานการถกเถียงและการคาดการณ์เกี่ยวกับผลกระทบของสงคราม
ต่อความสัมพันธ์ระหว่างอังวะและกรุงเทพฯ เพราะอังกฤษคิดว่าพม่าตั้งใจจะ
ทดสอบชายแดนสยาม อังกฤษยังแจ้งอย่างเร่งด่วนให้ราชสำนักสยามทราบด้วยว่า
อังกฤษวางดัวเปีนกลางในกรณีนี้ 21
กลายเป็นว่าฝ่ายอังกฤษตื่นตูมไปเองตามหลักคิดแบบหลักเหตุผลของตน
เพราะอันที่จริงกรุงเทพฯ ไมรู้เรื่องที่พม่าโจมดีเมืองของพวกคะยาเลยจนกระตั้ง
,
บทที่ 3 เส้นเขตแตน 95
2388 ( ค.ศ . 1 845 ) ซึ่งการรบยุติไปแล้ว ทางเชียงใหม่เพียงรายงาน
เดือนธันวาคมzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
เข้าไปว่าพม่าไดั[ จมดีเมืองของพวกกะเหรี่ยงแดงแต่ไม่สำเร็จ แม้แต่เชียงใหม่ก็มิไต้
“ไม่มีขึ้นแก่ผู้ใด
ถือว่าการปะทะคราวนั้นเป็นเรื่องของดน เพราะเมืองของพวกคะยาzyxwvutsrqponmlkjih
มาแด่โบราณ” 22
เรื่องทั้งหมดมีเพียงแค่นั้นเอง ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ในจดหมาย
ตอบกลับของสยามต่อเรื่องอังกฤษวางตัวเป้นกลางนั้น ราชสำนักไม่ได้เอ่ยถึงการ
ปะทะครั้งนั้นเลยแม้แด่น้อย 23
การเปลี่ยนแปลงทัศนะต่อปัญหาเส้นเขตแดน เป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษสุดท้ายในรัชสมัยของพระนั้งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3
( ครองราชย์พ.ศ . 2367 - 2394 / ค.ศ . 1824 - 1851 ) ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับ
ตะรันตกราบรื่นมาตลอดจนถึงช่วงดังกล่าว และตามบันทึกของเบอร์นีย์ซึ่งด่างจาก
ทัศนะของนักประรัติศาสตร์หลายคน ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าสงครามอังกฤษ- พม่า
ทำให้มิตรภาพของสองฝ่ายเสื่อมทรามลงนับแต่ทศวรรษ1820 (ระหว่าง พ.ศ . 2363-
สยามในสมัยรัชกาลที่ 3 นับว่าโดดเด่นเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตกับ
2372 ) 23
และเรียกร้องให้ราชนาวีอังกฤษสนับสนุนตน เหตุการณ์เหล่านี้บวกกับการต้อนรับ
26
คณะทูตตะรันตกหลายคณะอย่างเยึนชา ชี้ใหัเรารู้ว่าช่วงเวลารันชื่นคืนสุขได้สิ้นสุด
ลงแล้ว
กลายเป็นว่า ในช่วงปีแรกๆของรัชกาลที่ 3 สยามไม่สนใจที่จะตกลงเรื่องเขต
แดนตามที่อังกฤษร้องขอบ่อยครั้งเพราะเห็นแก่มิตรภาพของสองฝ่าย แด่เมื่อความ
สัมพันธ์เริ่มขื่นขมและสยามรำคาญเจ้าหน้าที่อังกฤษที่ชักจะก้าวร้าวขึ้นในช่วง
ทศวรรษ 1 840 ( พ.ศ . 2383- 2392 ) สยามกลับมุ่งมั่นจะตกลงให้เสร็จ สื่งนี้บอกเรา
เป็นนัยว่ามโนภาพและการหน้าที่ของเส้นเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายเข้าใจอยู่มิใช่อย่าง
เดียวกัน
96 กำณิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
3มโนภาพต่อเส้นเขตแตน
การปะทะกันขอzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ระหว่างปีz2377 - 2379 ( ค .ศ . 1834 - 1836 ) คณะทูตของอังกฤษชุดหนึ่งถกส่งไป
yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
อีกกรณีหนึ่งที่มีการยกดินแดนผืนใหญ่เป็นของขวัญ ก็คือทางด้านหัวเมือง
มลายู ในปี 2372 ( ค.ศ . 1 829) กัปตันเจมส์ โลว์ ( อลเวเฒ่ก ปล๓65 1อพ) เจ้าหน้าที่
อังกฤษที่ปีน้งเสนอใหัมีการปักปันเขตแดนระหว่างมณฑลเวลส์เลย์ซึ่งอังกฤษเช่า
อยู่กับเคดะห์ (ไทรบุรี) ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของนครศรีธรรมราชในเวลานั้น เจ้า
นครฯ โกรธมากที่อังกฤษขอมาเช่นนี้ เพราะเขากล่าวว่าปัญหาเวลส์เลย์ได้ตกลงไว้
ชัดเจนแล้วในสัญญาระหว่างเคดะห์กับปีน้งที่ทำในปี 2345 ( ค.ศ . 1802) อย่างไร
บทที่ 3 เส้นเขตแดน 97
ก็ตาม ในสัญญานั้นระบุไว้zแต่'
เพียงว่าเวลส์เลย์กว้างและยาวเท่าไร นี่อาจชัดเจนพอ
yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
จึงขอมอบดินแตนเพิ่มให้อีก เพื่อเป็นการตอบแทนราชาแห่งสิงคโปร์และ
กัปตันโลร์ 33
98 กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประวติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
แน่นอนว่าอังกฤษไม่ได้คาดฝืนมาก่อน ดินแดนที่ได้มาใหม่ทำให้เวลส์เลย็ใหญ่
ขึ่นเทำตัวและมั่งคั่งยิ่งขึ้น!zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
34
กรุงเทพฯไม่ได้รับรู้ด้วยถึงข้อตกลงและของสมนาคุณ
นี้ทำนองเดียวกับของขวัญจากเจ้าเชียงใหม่ในปี 2377 ( ค.ศ . 1 834) เจ้านครฯ เอง
ก็ดูจะคล้ายกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ที่ชื่นชอบชาวอังกฤษมากถึงขนาดที่ในปี
กัดมาเจ้านครฯ ได้ขอให้มีการติดต่อเป็นประจำกับทางเบงกอล และได้ส่งของขวัญ
ไปอืกพร้อมแสดงความประสงค์จะได้เห้นเรือกลไฟ 35
ข้อความข้างต้นอาจดูไม่แปลกสำหรับเรา แต่เส้นเขตแดนชนิดนี้เป็นสิ่งที่
สยามไนขณะนั้นยังไม คุ้นเคย และการดั้งเงื่อนไขเช่นนี้ออกจะก้าวร้าวเกินไป
,
นั้าเลียงในจดหมายที่ราชสำนักกรุงเทพฯ ตอบกลับไปในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
จึงมีนั้าเสียงเซิงสั่งสอนไม่แพ้กัน และแสดงถึงความมั่นใจของราชสำนักว่ารอบรู้
พื้นที่ตังกล่าวเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ราชสำนักสยามเห็นว่าแต่ละอาณาบริเวณ
ด่างอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น นอกจากนี้ กรรมวิธีปักปันเขดแตน
ก็มิได้เป็นแบบแผนเดียวกันทั้งหมดจากเหนือจรดใต้ ที่น่าสนใจคือ เขตแดนมิได้
ถูกกำหนดโดยแม่นํ้า ภูเขา และลำนี้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงป่าสัก ภูเขาที่ซ้อนกัน
'
บทที่ 3 เสนเขตแดน 99
ถูกห้ามเข้าป่ามีค่าบริเวณพรมแดน ซึ่งพวกเขาเคยดำรงชีวิตด้วยการเก็บนั้าผึ้งป่า
ไม้ฝางไม้สัก และจับข้าง นี่หมายความว่าสำหรับสยาม เส้นเขตแดนzyxwvutsrqponmlkjih
!' ม่ควรเป็นสิ่ง
กีดกันชาวบ้านจากวิถีชีวิตที่เคยปฏิบัติกันมาใช่หรือไม่ ?
เหตุการณ์ในปี 2389 ( ค.ศ .1846) เป็นอีกกรณีหนึ่งที่ชี้ถึงความแตกต่างของ
มโนภาพที่มีต่อเส้นเขตแดน หลังการโต้ตอบทางจดหมายข้างด้น ทั้งสยามและ
อังกฤษที่ตะนาวศรีตกลงส่งเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเต็มไปทำการตกลงเส้นเขตแตน
ณ ปลายขอบด้านตะวันออกเฉียงเหนือของตะนาวศรี กำหนดนัดหมายดือเตือน
มกราคม 2389 แด่ฝ่ายอังกฤษมาถึงที่นัตหมายข้าไปหนึ่งเดือน ฝ่ายสยามที่ตั้งค่าย
คอยมาหนึ่งเดือนเต็มก็เพิ่งถอนกลับไปก่อนหน้านั้นเพียงสามวัน เจ้าหน้าที่อังกฤษ
ที่ได้รับคำสั่งให้มาเจรจาอย่างฉันมิตรที่สุดกลับพบว่าฝ่ายสยามไต้ล่วงลํ้าเข้าไปไกล
ถึงตัวเมืองชายแดนที่เป็นของอังกฤษและได้ก่อกองหินไว้เป็นหลักหมายเพื่ออ้างว่า
เป็นดินแดนของสยามเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายอังกฤษจึงรื้อถอนหลักหมายนั้นลงเสีย
จากนั้นเจ้าหน้าที่อังกฤษที่ตะนาวศรีก็ส่งจดหมายประท้วงไปยังราชสำนัก
กรุงเทพฯ ด้วยภาษาที่รุนแรงและประซดประชัน เช่น ถามว่าทำไมสยามไม่ปักปัน
เส้นเขตแดนไว้ตรงกลางเมืองมะละแหม่งเสียเลยเล่า เป็นต้น ฝ่ายอังกฤษถกเรื่อง
38
นี้กันภายในอย่างเอาจริงเอาจังด้วยวิตกว่าสยามอาจเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่ออังกฤษ
ครั้นพวกเขาพยายามเข้าใจสาเหตุที่สยามกระทำอุกอาจเช่นนั้น ก็ใช้ระบบเหตุผล
'
เพื่อแย่งชิงเมืองของกะเหรี่ยงแดงเพิ่งยุติลง ดังนั้นสยามจึงไม่มีเหตุผลเร่งด่วนที่จะ
ต้องตกลงกับอังกฤษอย่างที่พวกเขาเองวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านั้น
ราชสำนักสยามทำการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว จากนั้นจึงตอบกลับอย่างสุขุม
เยือกเย็นในเดือนสิงหาคม 2389 ปรากฏว่ากรณีดังกล่าวในมุมมองของฝ่ายสยาม
กลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง กล่าวดือ เจ้าหน้าที่สยามกลับมารายงานว่าไม่พบ
เจ้าหน้าที่อังกฤษ ณ จุดนัดหมาย พวกเขาไม่ได้รายงานถึงการลํ้าเข้าไปในดินแตน
ของอังกฤษหรือได้ทำเครื่องหมายปักปันใดๆไว้พวกเขาทุกคนยืนยันว่าไม่มีคำสั่ง
ให้ทำหลักหมายปักปันเขตแดนใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขากลับมาโดยไม่ได้ปรึกษาหารีอ
เรื่องนี้กันต่อเลยดักนืต เพราะพวกเขาไม่ได้พบกับฝ่ายอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ราช -
สำนักไต้อธิบายเพิ่มเติมว่า:
ดูเหมือนว่านายด่านเจ้าพนักงานฝ่ายสยามได้เดินทางเข้าไปในดินแดนของ
อังกฤษจริง แต่พวกเขาไม่ได้ถือวำนี้เป็นการล่วงลํ้าดินแดนของผู้อื่น และเครื่อง -
หมายที่สร้างขึ้นก็ไมใช่หลักปักปันเขตแดนอย่างแน่นอน ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้อง
,
บทที่ 3 เส้นเขตแดน า 01
ทีz่ 4yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ได้กำชับว่าอย่าให้คณะเจรจายอมรับแผนที่ของฝ่ายอังกฤษโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี
สียก่อน เพราะอาจมีรายละเอียดผิดๆ และอาจนำไปสู่กรณีพิพาทได้ แด่ขณะเดียว
กันก็ไม่ยอมรับแผนที่ซึ่งเจำหน้าที่ท้องถิ่นทำขึ้น เพราะ “ แผนที่ที่ทำนั้นก็จะไม่ถูก
กับที่... ถึงกระนั้นภอเข้าใจได้ว่า ความรูในแผนที่นั้นฝนแด่ท่าไปตามวิไสยไทย ” 40
ห็นได้ชัดว่าเส้นเขตแดนที่ถูกกล่าวถึงในที่นี้เป็นชนิดเดียวกับที่อังกฤษเข้าใจ แด่ก็
มิใซ่ชนิดเดียวกันกับที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของสยามเข้าใจ
เขตแดนตามแนวสยามกับพม่าของอังกฤษเป็นเรื่องขึ้นอีกครั้งช่วงทศวรรษ
1 870 และ 1880 ( ระหว่างพ.ศ . 241 3- 2432 ) ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ
ท่านได้ตระหนักว่าภารกิจเร่งด่วนอย่างหนึ่งก็คือการตรวจตราความปลอดภัยและ
กวดชันการดูแลบริเวณชายแดนให้แน่นหนายิ่งขึ้น ท่านพบว่าหลังจากอังกฤษมี
ชัยเหนือพม่า อังกฤษได้ส่งคนออกตรวจตราบริเวณชายแดนสมํ่าเสมอ ในขณะที่
จ้าหน้าที่ท้องถิ่นของล้านนามักอยู่แต่ในเมือง รอคอยโอกาสที่จะเข้าไปปล้นสะดม
และกวาดต้อนผู้คนจากฝังพม่าเข้ามาในล้านนา ท่านจึงมีบัญชาให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
ตั้งหมู่บ้านใหม่ขึ้นตลอดชายแดน รวมทั้งด่านตรวจคน ค่ายทหาร และบ้านเรือน
ขึ้นในแด่ละจุด ทั้งบัญญัติให้บ้านด่านและหัวหน้าหมู่บ้านตรวจตราชายแดนอย่าง
สมํ่าเสมออันเป็นงานที่คนเหล่านี้ไม่คุ้นเคย และยังบัญชาให้พวกเขาปักปันเขตแดน
แด่ละจุดอย่างเร่งด่วนด้วยหลักหมายอะไรก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นกรมหลวงพิชิตฯ ยัง
รียกประชุมหัวหน้าหมู่บ้านบริเวณชายแดนแล้วให้พวกเขาลงนามในคำประกาศ
ถวายความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินของสยามและให้สาบานด้วย เสร็จแล้ว
หัวหน้าหมู่บ้านเหล่านั้นก็ไดัรับเสื้อผ้าซั้นดีและชุดราชปะแตนอันเป็นเครื่องแบบ
ข้าราชการกึ่งตะวันตกซึ่งในขณะนั้นใช้กันในราชสำนักที่กรุงเทพฯ เท่านั้น รวมทั้ง
งินอีกจำนวนหนึ่งเป็นการตอบแทน นึ่ดือการเผชิญหน้ากันระหว่างมโนภาพ
41
และการปฏิบัติเกี่ยวกับเส้นเขตแตนและการควบคุมชายแดนที่แตกด่างกันระหว่าง
ผู้มีอำนาจของกรุงเทพฯ กับเจ้าหน้าที่ของท้องถิ่น ฝ่ายกรุงเทพฯ นั้นตูจะตระหนัก
02 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวดศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ถึงความแตกต่างนี้เป็นอย่างดี จึงได้ใช้มาตรการอันเหมาะสมเพื่อสถาปนาเส้น
ขตแดนแบบใหม่โดยผ่านการปฏิบัติแบบจารีต
ความขัดแยงเกี่ยวกับธุรกิจป่าไม้ที่เกิดขึ้นหลายครั้ง นำไปสู่การลงนามเป็น
ทางการครั้งแรกระหว่างสยามกับอินเดียของอังกฤษในปีz2417 ( ค.ศ . 1 874 ) ที่
yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYX
กัลกัตตาเพื่อตกลงเส้นเขตแดนระหว่างล้านนากับตะนาวศรี แด่หลังจากอังกฤษ
42
อกสารสักอย่างที่ระบุเส้นเขตแตน แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคนหนึ่งกลับตอบว่า
ชาวบ้านในบริเวณนี้เป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรกัน ไว้เนี้อเชื่อใจกันและเข้าใจกันดี
ขตแดนจึงไม่ห้ามผู้คนข้ามเขตไปมาหาสู่หรือทำมาหากิน ฉะนั้นจึงไม่เคยมีการทำ
อกสารใดๆ สำหรับพวกเขา ชายแตนเป็น “ ทางเงินทางทอง เปิดอิสระสำหรับพ่อค้า
วาณิชย์ ” นอกจากนี้ดูเหมือนว่าในบางกรณี หัวหน้าหมู่บ้านถูกสั่งให้ทำแผนที่ขึ้น
มาดังที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นผู้หนึ่งตอบอย่างตรงไปตรงมาว่ากำลังทำอยู่และคงจะเสร็จ
ในเร็วๆนี้ สิ่งที่น่าสับสนที่สุดสำหรับอังกฤษก็คือการที่คนๆ หนึ่งขึ้นกับอำนาจ
43
มากกว่าหนึ่งฝ่ายในเวลาเดียวกัน เพราะเกิดปัญหาในการตัดสินว่าใครเป็นของฝ่าย
ไหนในเมื่อมักมีผู้มีอำนาจมากกว่าหนึ่งรายใช้อำนาจเหนือคนๆ เดียวกันที่ครอบ
ครองบริเวณหนึ่งๆ อยู่ในขณะที่ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาไม่อยู่ในบังคับของใคร
เลย ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่สร้างความสับสนงงงวยให้อังกฤษที่สุตก็คือ การที่บางแห่ง
เช่นเมืองสิงหรือเชียงแขงซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ตรงรอยต่อระหว่างพม่า ลาว และจีน
ในปัจจุบัน เจ้าเมืองและคนในบังคับของเขาขึ้นต่ออธิราชสามรายในเวลาเดียวกัน
เชียงใหม่และน่านเป็นประเทศราชของสยาม แต่เชียงตุงเป็นประเทศราชของพม่า
หัวหน้าคณะสอบสวนของอังกฤษได้สรุปไว้อย่างชาญฉลาดว่า “ นี่เป็นเมืองกลาง...
เพราะยังมิได้ดัดสิน” 44
เราจะพิจารณากรณีแบบนี้ในบทต่อไป
เส้นเขตแดนระหว่างประเทศดำรงอยู่ ณ จุดบรรจบระหว่างดินแดนของรัฐที่
อยู่ติดกัน มีความสำคัญเป็นพิเศษในการกำหนดขอบเขตของอำนาจอธิปไตย
และกำหนดรูปทรงของพื้นที่ของภูมิภาคการเมืองหนึ่งๆ... เส้นเขตแดน
( เว0บกสํลโ! 0ธ ) ได้รับการอธิบายอย่างหลวม ๆ ว่าเป็นเส้นทอดยาวต่อเนื่องกัน
( II ก630 แต่ที่จริงเส้นเขตแดนเกิดขึ้นตลอดแนวดิ่ง ( ขึ้นไปในท้องฟิา ) ของ
ไปzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
จุลบรรจบระหว่างอธิปไลยของรัฐหนึ่งๆกับอีกรัฐ ที่กัดกับพืนผิวโลก ในทาง
ตรงกันข้าม ชายแดน ( โ วก!16โ) คือแถบ ( 20ก6 ) และเพราะฉะนั้นจึงประกอบ
( (
หรอตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์สรุปไว้ว่า: “ เส้นเขตแดนหมายถึงเส้น
ชายแดนหมายถึงแถบ ” สำหรับนักภูมิรัฐศาสตร์ คำว่า ‘ ป -อก!เ © โ” และ “ เวอฟ© โ”
46
!
ไปได้อย่างยิ่งว่าชาวอังกฤษที่ปรากฏในเรื่องนี้มีมโนภาพดังกล่าวเช่นกัน แม้ว่าจะ
ไม่ได้มีนิยามทางเทคนิคชัดเจนเท่านี้ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม สยามในขณะนั้นยังมิได้อยู่ในระเบียบโลกแบบนี้ และยังไม่
จำเป็นต้องท่าตามประดิษฐกรรมของชาวยุโรป อย่างเช่นเส้นเขตแดนของชาติที่
ตายตัวและกฎหมายธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆที่เกี่ยวพันกัน แต่นึ่มิได้หมายความว่า
สยามไม่มีความรับรู้เกี่ยวกับชายขอบของดินแดนในอำนาจของตน ในความเป็น
จริง ภาษาไทยกรุงเทพฯ ในขณะนั้นมีหลายคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกับเส้น
เขตแดน ( (วอนกอ]ลฤา เช่นขอบเขต เขตแดน อาณาเขต ขอบขัณฑสีมา เป็นด้น
ในพจนานุกรมของขุนประเสริฐอักษรนิติปี 2434 ( ค.ศ . 1891 ) มีคำหลายคำ
6
^
XX อบกฝ่เก9 ใเา© พเา0 เ 6 เก9๘0๓ , ฝ่อโกเก 311อก 0\/ © โ ให © ผเา0เ 6 เกฐ -
“ เวอโฝ่ 6โร รบzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
^ ^
” ตามลำดับ49 ฉบับพิมพ์ปี 2439 ( ค.ศ . 1896 ) ยังคงคำแปลไว้ดามเติม แต่เพิ่ม
ฝ่อทาzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
คำว่า “ เขต ” “ ขอบเขต ” และ “ เขตขัณฑสีมา ” ซึ่งหมายถึง “ แกาเ๒ , ” “ แโท!!ธ 3แ
ลโอบกฝ่ ” และ “ เวอบทฝ่ลโ อเ 1เา6 เท่กฐฝ่0กา” ดามลำดับ พจนานุกรมไทย -ไทย
50
^
ของบรัดเลฉบับปี 2416 ( ค. ศ . 1 873) ซึ่งดีพิมพ์ระหว่างงานของปัลเลอกัวซ์สอง
ครั้งไม่มีคำว่า “ อาณาเขต” ขณะที่คำว่า “ ขอบเขตร” หมายถึง “ ประเทศที่หัวเมือง ,
ที่สุดแดนแห่งเมืองหลวงทั้งปวง , หฤาที่ธุดแว่นแคว้นนา” 51
จึงมีหลักฐานชัดเจนว่าสยามมิได้ขาดแคลนคำศัพท์และมโนภาพสำหรับ
รับมือกับอังกฤษในเรื่องเส้นเขตแดน แด่เมื่อพิจารณาคำเหล่านี้อย่างละเอียด เราจะ
เห็นว่า คำที่มีอยู่มิได้มีความหมายเหมือนกับเส้นเขตแดน'ในความเข้า'ใจของอังกฤษ
หากจะระบุความแดกต่างพื้นฐานประการหนึ่งก็คือ คำไทยเหล่านี้ลัวนมีความหมาย
ถึงพื้นที่ ตำบล หรือชายแตน แต่มิใช่เส้นเขตแดน คำพวกนี้หมายถึงขีตจำกัดหรือ
1
ปลายสุด แด่ไม่ใช่ขอบที่ชัดเจนและไม่มีนัยยะถึงการแบ่งแยกขัดระหว่างอำนาจ
ของสองฝ่าย นี่คือความเข้าใจของสยามเมื่ออังกฤษร้องขอให้มีการตกลงเรื่องเส้น
เขตแดน ฉะนั้น ราชสำนักจึงมิได้รู้สึกแปลกใจเมื่ออังกฤษร้องขอมา แด่พวกเขา
เข้าใจความหมายไปในแบบของตนเอง
อะไรคือคุณลักษณะสำคัญของเขตแดนก่อนสมัยใหม่ตามความรับรู้ของสยาม
ประการแรกสุด มันมิได้ถูกกำหนดหรืออนุมัติโดยอำนาจส่วนกลาง การชี้เส้นเขต
แดนเป็นภารกิจที่ดูเหมือนเจ้าพระยาพระคลังไม่เคยคิดว่าตนจะต้องทำ และไม่ใช่
งานที่น่าสนใจสำหรับเจ้าเชียงใหม่แต่อย่างได ทว่าเป็นงานที่อังกฤษสามารถทำได้
ด้วยตนเองหากต้องการจะทำ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากคนท้องถิ่นที่รับผิดชอบ
ปกป๋องชายแดน อย่างเช่นนายด่าน นายพราน หรือชาวบ้านที่หากินอยู่กับการเก็บ
นํ้าผึ้งหรือจับช้าง
ประการที่สองโดยพื้นชิานแล้ว เขตแดนของแต่ละเมืองชี้นอย่บ กับว่าแด่ละเมือง
ฬ้ '
สามารถดแลพื้นที่โดยรอบของตนไดไกลแค่ไหน เมืองหนึ่งจึงไม่จำเป็นต้องมีชายแดน
บรรจบกับอีกเมืองหนึ่งพอดี จึงไม่ต้องพูดถึงเสนแบ่งเขตอ๊านาจระหว่างเมืองหรือรัฐ
สองแห่ง อาณาจักรซึ่งรวมหลายเมืองเข้าด้วยกันจึงประกอบด้วยพื้นที่ของอ๊านาจ
ต่างๆ เป็นหย่อมๆ เป็นแห่งๆ โดยมีที่ว่างระหว่าง เมืองเหล่านึ่นอยู่เต็มไปหมด
บทที่ 3 เส้นเขตแดน 1 ๐5
ประการที่สาม เขตแดนของอาณาจักรหนึ่ง ๆ ครอบคลุมไปถึงขอบเขตของ
หัวเมืองรอบนอกสุดและบริเวณที่พวกเขาสามารถใช้อำนาจได้พ้นจากนี้ไปอาจเปีน
พื้นที่ป่าเขาขนาดใหญ่ที่เป็นกันชนระหว่างอาณาจักรสองอาณาจักร มันจึงเป็น
ชายแดนที่ไม่มีเส้นเขตแดน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งไต้ว่าเป็นzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZ
“ เส้นหนา ” ที่เป็นแนว
ราบขนาดใหญ่
ประการที่สี่ ไม ถือว่าพื้นที่ตลอดแนวชายแตนทั้งหมดอยู่ใต้อำนาจอธิปัตย์
'
หรือการควบคุมของรัฐหนึ่ง ๆ ดังที่ราชสำนักสยามได้ระบุไวไนจดหมายลงจันที่ 28
สิงหาคม พ.ศ . 2388 ( ค.ศ . 1 845) ว่า “ ตรงไหนก็ตามที่มีถนนหรือทางที่มีผู้สัญจร
ไปมา ก็จะมีการสร้างด่านไว้สำหรับคุ้มครองดูแลถนนและสถานที่นั้นๆ” เมื่อ 52
สยามกล่าวถึงเขตแดน สยามกำดังหมายถึงบริเวณทางไปสู่หรือทางผ่านชายแดน
ที่เป็นป่าเขานี้นั้นเอง หมายความว่าทางเหล่านีด่้ างหากที่มีความสำคัญควรค่าแก่
1
การดูแลและทำเครื่องหมายไว้ว่าเป็นปลายเขตที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่
ท้องถิ่น หาใช่บริเวณตลอดแนวชายแดนทั้งหมด ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง “ เส้นบางๆ”
ตลอดแนวชายแดน ทางเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถใช้ต้นไม้หรือกองหินเป็นหลัก -
หมายบอกเขตได้
หลักหมายพรรค์นี้ปรากฏอยู่ในหลักฐานประวัติศาสตร์จำนวนมาก ทางผ่าน 53
บทที่ 3 เส้นเขตแตน า 07
ใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างขอบเขตแดนของอำนาจสองฝ่าย กล่าวโดยสรุปก็คือ สำหรับ
สยามนั้น ปลายสุตของภูมิศาสตร์การเมืองมีมากกว่าหนึ่งแบบ แบบหนึ่งคือขอบzyx -
อย่างไรก็ตาม สำหรับ
ชายแดนของรัฐที่เป็นมิตรกันอย่างเช่นในช่วงต้นรัชสมัย การปฏิบัติกลับตรงข้ามกัน
โดยสิ้นเชิง กล่าวคือ “ ทุกว้นนี้ไทยกับอังกฤษเป็นไมตรีกัน ไม่ต้องระรังรักษาเขต
อังกฤษห้ามประชาชนไม่ให้ผ่านข้ามชายแดนไปมาจึงเป็นสิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง ทั้ง
อาจถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตร เนื่องจากตามธรรมเนียมแล้ว การกระทำ
เช่นนั้นคือขั้นตอนก่อนตั้งทำจะจับกุมข้าศึก นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมการที่อังกฤษ
ห้ามผ่านทางจึงเป็นเรื่องขุ่นเคืองใจแก่ราชสำนักอย่างยิ่ง การห้ามยังทำให้ชาวบ้าน
ที่เคยข้ามเขตแตนเพื่อนบ้านไปมาโดยไม่ต้องขออนุญาตเกิดความสับสนอีกด้วย
ชาวบ้านเหล่านี้คุ้นเคยกับการไปมาหาสู่ญาติพื่นัองสองฝัง บ้างก็อพยพไปอาศัยอยู่
อีกฝัง ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตลอดชายแตนจากแม่นั้าปากจน
จนถึงเหนีอสุดของล้านนา
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับสยามโดยทั้วไปยังเป็นไป
ต้วยตี การห้ามผ่านแดนไม่ใช่อย่างเดียวที่สยามเห็นว่าเป็นเครื่องหมายแสดงความ
ไม่เป็นมิตร แด่ยังรวมถึงการขอให้ระบุเส้นเขตแดนอย่างชัดเจนด้วย ดังเหตุการณ์
ในปี 2372 ( ค.ศ . 1829 ) เมื่อเจ้านครฯได้รับการร้องขอจากข้าหลวงอังกฤษที่ปีนัง
ให้ทำการปักปันเขตแดนระหว่างเคดะห์กับเวลส์เลย์ในยามที่ความสัมพันธ์ระหว่าง
สองฝ่ายยังดีมาก โดยเฉพาะระหว่างตัวเขาเองกับเจ้าหน้าที่อังกฤษหลายนาย เจ้า
นครฯงงรันกับคำขอของอังกฤษอย่างเห็นได้ชัด :
...ในขณะที่เรามีใจเอนเอียงแก่อังกฤษเสมอมาและในจดหมายของเราไม่เคย
มีเจตนาร้ายใดๆ เลย เราประหลาดใจอย่างมากว่า ทำไมมิตรของเราจึงส่ง
จดหมายมาสอบถามเกี่ยวกับขอบเขตของดินแดน
...ดังนั้นเราจึงส่งขุนอากรกับจดหมายฉบับนี้มายังมิตรของเราเพื่อให้เขา
สอบถามอย่างฉันมิตรว่าอะไรคือเจตนาที่มิตรของเราได้ทำเซ่นนี้
59
นี่อาจช่วยอธิบายได้ว่าทำไมคำร้องขอของอังกฤษในระยะแรก จึงทำให้สยาม
ไม่พอใจและไม่เต็มใจตอบสนอง แต่เมื่อทัศนคติของสยามที่มีต่ออังกฤษเปลี่ยนไป
สยามกสับตอบรับคำร้องขอจากอังกฤษอย่างทันทีทันใด ซึ่งอังกฤษถือเป็นเรื่องน่า
ชื่นชมยินดีแต่สยามกลับเต็มไปด้วยความรำคาญ ควรกล่าวไว่ในที่นี้ว่า ในจดหมาย
ชายแดนนั้น เกือบจะไม่ต่างจากพฤติกรรมของรัฐเพื่อนบ้านที่ไม่เป็นมิตรต่อกัน 61
จากข้อดังเกดที่กล่าวมาทั้งหมต เราจะเห็นได้ว่ามีเส้นเขตแดนสารพัดซึ่งอาจ
ไม่ติดต่อกันแต่ทว่ายืดหยุ่นได้บางชนิดหนาเตอะ บางชนิดพร่ามัว บางแห่งเลือน
หายไปหรือไม่เคยมีอยู่เลย สยามก่อนทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 จึงมิได้มี
รูปร่างเหมือนขวานโบราณ แต่เป็นการปะติดปะต่อกันขึ้นมาของหน่วยอำนาจต่าง ๆ
ที่มิได้ติดต่อกัน มีคนหลากหลายดังกัดอยู่ปะปนกันในบริเวณเดียวกัน ในขณะที่
กองสอดแนมกำดังทำงานอยู่ใกล้เมืองชายแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง และดินแดนที่ห่าง
ไกลจากศูนย์กลางอำนาจก็อาจกลายเป็นของกำนัลเพื่อมิตรภาพได้ในกรณีเช่นนั้น
ชายแดนอาจหดลงนิดหน่อยแด่ก็ไม่เป็นไร ดังที่นักวิชาการท่านหนึ่งได้กล่าวถึง
จารีตของอุษาคเนยไว้ว่า “ การยกดินแดนชายขอบให้กันมิได้ถือว่าเป็นอันตรายต่อ
อาณาจักร ตราบเท่าที่หัวใจของอธิปัตย์ [ ศูนย์กลาง] มิได้ถูกกระทบกระเทือน การ
ยกดินแดนให้กันถือเป็นกุศโลบายที่ชอบธรรม” 62
ปริมณฑลของดินแดนหรือขอบเขตของอาณาจักร ถูกกำหนดโตยความจงรัก
ภักดีของหัวเมืองที่มีต่อศูนย์กลางของอาณาจักรเท่านั้น เราอาจวาตแผนที่ของ
ปริมณฑลทางการเมืองได้โตยความสัมพันธ์ทางอำนาจ มิใช่ด้วยความเป็นปีกแผ่น
ของดินแดนฉะนั้นเมื่อจะพูดถึงชายแดนของรัฎฐาธิปัตย์เช่นอาณาเขตขอบขัณฑ-
สีมา จึงหมายถึงอำนาจตามชายขอบของหัวเมืองห่างไกล หรือก๊กเหล่าบริเวณชาย
ขอบของอาณาจักร หาใช่พี้นที่ชายแดนโดยตัวมันเอง
ความพยายามของอังกฤษที่จะปักปันเขตแดน ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่าง
มโนภาพที่ต่างกันต่อพื้นที่ทางการเมือง อย่างไรก็ดาม ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตระหนัก
ถึงการปะทะนี้เพราะต่างฝ่ายด่างก็ใช้ภาษาที่ดูเหมือนจะหมายถึงสิ่งเดียวกัน คำว่า
“ (วอนก 0เสโV ” และ “ เขตแดน” หรือ “ อาณาเขต ” หรือคำอื่นที่คล้าย ๆ กันนี้ดูเหมือน
จะใช้แปลแทนกันได้ แต่ในความเป็นจริง ทุกครั้งที่มีการสื่อสารกัน ก็จะเกิดการ
ปะทะกันในกระบวนการสื่อความหมาย ฝ่ายอังกฤษพยายามผลักดันมโนภาพของ
การปฏิบัติแบบใหม่เข้ามาอย่างมีสำนึก รวมทั้งวิธีกำหนตเส้นเขตแดนแบบสมัยใหม่
และการใช้แผนที่ด้วย ถึงแม้ว่าความแตกต่างระหว่างมโนภาพหลากชนิดบังดำรง
อยู่ในระดับต่างๆของสังคมโดยเฉพาะในหมู่ซาวบ้านที่อยู่ตามชายแตน แด่ในเวลา
ไม่นานนัก กรุงเทพฯ ก็สามารถกวตขันการควบคุมชายแตนแบบใหม่ได้ด้วยกล -
อุบายอันชาญฉลาด เช่น อาศัยความไม่รู้ของคนท้องถิ่นเพื่อท่าพิธีกรรมถวายความ
จงรักภักดี เป็นต้น กรุงเทพฯสามารถสถาปนาการปฏิป้ดชุตใหม่ขึ้นมาได้ทั้งๆที่
เพียงครึ่งศตวรรษก่อนหน้านั้นบังไม่มีใครรู้จักด้วยชํ้าไป
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcb
3 เส้นเขตแดน 111
*
' I
zyxwvuts
09;
2?
00
เห
0
& zyxwvutsrqponmlkjihgfedc
0
๐2
00?0
00
‘น \\
'
เห
ๆ ( & *\
เ0 30 ^: )
0 ะ'
ร
{ 0
^
0'
-
ธฺสึต
10 05
เห 3
0เ
00 (X
จ้ซั๙
^ 05 -
8
ลสุ 0
&’ ^
เห
•9 ปี—ๆ&า
05
ส
* ดี
!X
0 ' 0
0 0^ 300
I
5 •V เห
05
0 *
^ ^ ?เ
เ ?ชิ
,"
^?\
อ
0 03
^๐ปี* 7
/
•
0
ษ?1
แ
23 1 XX !3
?
ๆลช็!ฬ
โ ^เ ส*
^
0 ?
\
0 2
30
2
V/ 0
ธ00
• ^ ำ ^
3 จ•ๆ
า
3
5ต
3
0)
0 V 0
0
?
๘ 31 00 0 03
^ธ ถ ตก 0\ เย้
๙ส เ
5 เ
: 00*หุ
ถ ®*3® 7!เห
0 I?
-* ชิ
เ^
จ่
^5 3 { (5
0-5
0 0\
0
®
0 ชุ *
I
5
เ ^
9' เห, 61
ส?
0
33 / ? &
ถ'
ะธ
ส
4
0 0
- , 0
:ว เห 7 ๐
* ฉๆ
ณ
0
300 0 \
} ฬ 3 ฤ?00 * . 3
^ เริ^• ว
61 ®?
3ชิ® 9
61
0905
*
6* 0
V
อ ซ ห เห
*
ฮะ
V ®;
& '}
เ^ 0
15 ว
1/
ส•
ฯธ
0
0 เห 0
V
& ฐ*
ต
ๆ
V
V
ๆ |
เ'
เห
0 5
9 ^ เ0 8
ชิสิ : 2 า ^*ชิ1 เ*
0
ะ*
0909 0
0
0 0 เห
เ\ ? ?5 3 เะ เ* 0 8
เ *
0
'
V
®
0
000
V
(
'
3?*ซิ) ?3
0* 15 5*
/
0
’ ขิ 1ะ*
“
3
^3 ? 5
0 0* 2) *93
5.
VI*
V
1
^ ^
ภาพที่ 1: แผนที่การจาริกแสวงบุญจากคัมภีร์ล้านนา ( อางจาก “ เ\เ0กเาอโก 7เาสเ IVเลกบร๐!!Iว!: 8บปป1าเธใ ’
1 6. .- "
-1
แผนที่ดำนาน จากคัมภีร์
.ะ:. -:/ V ไดรภูมิ (ได้ร์บความ
• *•**4^'V***
ะ-^ ,
โ
X
' อนุเคราะห์จาก ติลป -
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZY
,2*11
*1* เท* # & * +เ& าฒนธรรม )
'.
.
V
\
-
1
1
. *
' * 1;'
'
- V
&+!
^ !77
‘1
'
, •• '•'' 1'
'
0
เ'-
(©เร่ ห/'**
,
^^ ท !! # & ท ' ๆ#
! } .
17
/
/
ก ไ!โ ,* * V โ
'
91
V
{ ะ.^ V
ไ
-
V, ***- .'
1
V
.'ซ^ -
‘
1
ภาพที่ 2, แผ่นพับที่ 2
, 1 ~ เ*®รึ! .7
..
"
.
-*^ เ ' • - * 1
*
^- , .- -.
. * 1 01‘ -
•* *
1'
'
.- '
9
^8 2
/
*
4 &?- ;.
เชิ
* V
&
โ/
7
ไ *
-
-
* 1
ะ-
ภาพที่z2yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPO
, แผ่นพับที่ 3
ะ. ะ', . -
ะ NMLKJIHGFEDCBA
-
(
. - -: ' •• ห *
โ.zyxwvutsrqpon
0
* '
'-- .-
,
I ,11 V " '
,
- ‘
*
1
8*
-* , V
^
.
^ ง4*ห
'
‘ "* #
•
1 V 0 ไ. ,
—
I
..- 7 9 1**411 (7 1?
* ๐1 ® ' /* .1
/
*
4 zyxwvuts
3
. . 1-1
^
7 7 ?
/
เ #.
; 17 70.1
( ะ
โ .
า-
1 7
?
. * V ๆ!
ภาพที่ 2, แผ่นพับที่ 4 เ^ 2
- ;
ศ่ท์ฟ้( เ1 )
;
'- ^ V .ะ
^ , * 0* * 6*'1
•
^.
ริ
/*
- ^ ’ เ} "'ะ *'
^^
•
*
'
เ ?เ
II
ฒ
'
. .ะเห. . .- ..
. ทV
' • ' ; 4
. ^ ,- ะ-
•: ' V 4
^ ;: 4
44 * -~ - ^ 07?:
?
1
0. . •ๆ
I
*
??
1 IV ? ะ,) - '
V ? ;?
0
(77
.
— '
;
' \ :: V
-
- *'
'
ะ
ร^
•V
‘ 7-
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcba 4
า- ภาพที่ แผ่นพับที่
แ15121
V 2, 5
- zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIH
^
"
1 ''
-- 1' ? ๗. . '
1'
'
: 7^ ~~ /zyxwvutsrqponmlkjih
^ \^แภ
.
^ .
'
?
ไ
ผ
-
'• ' - - ' ’
โ —ะะ1
:: 7
โzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLK
ห'. .*
2*
*^
•
-
, ?
'
•. '" *'
1
ะฯ- 0 0
'
-*
VI น ;ห
—
?4::
^ ^ ^—-.
1 - I
เฟ้ เท
ท์}* *"*
’
1 ^1
I "
\7
- ./
เเ'?ชุ. .-: ;:^-
* /?*/ 1*! * ’;*1 ;
.
ะ
^ - / V \
^
I
ภาพที่ 2, แผ่นพับที่ 6
เ^
’ ''
1?
*
V
*
^
ชั * ] ,
เฟ้
'
^•ะ!** *
\
\
* -
” **'
^\ - ^
-1
4 1
' ^ -'
1 *?
า
’ ** - I
เะว
เ6
*
3 . •'4 *
/' '
4 - ว
;*
1
IX .V '* 1
ไ
1 V
1
X .
1
:
0
'.
;
1
- .-
1 V '*1
"V
^^
4
^
\ 7 1* - ;-
ไ )
^1 า!
ภาพที่z2yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
, แผ่นพับที่ 7 V
\
'
7
โ
๘!
1
;*
1** /
V
'
เ
**4๗
4®— ;
V, ,
4*
ธ
-
แ
ะะะะะะ—
*^
;
^{
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
*
^^
ภาพที่ 2, แผ่นพับที่ 8 ^ะ:
^ะ^
•V
'
\ X
ง''' '
ห 1 !/!
/
V ,
เ^ ^ว '
ะ; .
^ น- - - .- - -
30[ว
V *
- V ‘
ะ!
๘ ะ ; ' ๘' :, 1 ะ
*
12ว
' '
: - 7
7
เ
/ /V /
. *
/ 2 3
7
ฆ! "
ะ^ ^า
1
. โ
;
**
/
เส- — -
:/
'
เ
^^ 1 [1 ]
^
'
โ* --'. "'
(ะzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA ภาพที่ 2, แผ่นพับที่ 9
)zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFED —
^— ^
1 '-
/V *zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFE
*
ไ?
V
ตแ 11311
^ 4^^ 0- -
3
'
ะ ? '
1 - . -zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
*
ซิ; ะ^
.. -
'
3 V./) .
'
.1I ชเ ะ; -.
ะ
^
^
'
ซี
ำ
1
4?"'
^ เงกฒ
~
0V ไโไ ชิ
*' 1
*'
#/ / 5 * 0* ^
เ
*
!
' !
สา 0 &
^
^ #1
เ
ซ ’ิ ^ :.
' *
* ** ?" ห!,
^^
..
.. '
'
. .
'•' ฟ-;
'
444 - -.
I
7
^ ^414 ดึ 4
- ^
"'
เแแ
- 1 ‘
. ภาพที่ 2 แผ่นพับที่ 10
,
เ^^ ^.
.
3,11''-'1'.-
^ซิซ4.ซิ;
( • 1
8* ; 1
-* V
^ะ
^แเฒฒ
V ำห
V
-
ส®ส®
' 1
0*
I - .
1
, V
1
.
'
•
ตึดึสี
เแแ
-
ฌ
7
*I#
&
ฟ้ฝื 1^ ง
3พ^104
* ชิ ,#1 ซิ
^
!
&
แ!5ชิ
•
^7 ’
119
•
.
•ะ'
,ซิ
58
*
ะ-^
4
'
' 4 4. '
/
* -'
7
'/// '' *
ภาพทีz่ 2yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZ
, แผ่นพับที่ า 1 YXWVUTSRQPONMLKJIHG
- . FEDCBA
๙
)
1( ะๆzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXW
ะ'
ณ
\ I
ะ
•
ำ
]zyxwvutsrqponmlkjihgfedcba
ไ
*5 1 เ
-
-' -’' /*
\
:ห!
’
^ V
7ะะ
"ะ/ *
,
.
* \
บเะ 3 3
•
1
1
\^ /
ภาพที่ 2, แผ่นพับที่ 1 2 ะ: ะะ - .
เฟ้* *' หํ'* *?ะ /' •'' เทI '/ เ* "ว่เห่
"
ะ*
ติย!ิ
'
' 1
" 1 ' /
V เท่/เ
ะ
601)*1 11x2) ^ เ /,
ะ
(
^^
^ ไ
?ซี& ,*
โ
ะ,'
8?’
1 ะ’
ะ'*.2
'
๗
'ะ ,
ร่&
))
; ' 1’
1
0
V
โ
ะ **ธื5?
โา /I
\ะะ* * &-
ะส
ะ
,
'
-
-X -ร้*?5 *
เ^า?
ส โา
โ*
โ*
ะ??*
'ะ
I
*
'-*
^^
ไ)ณ:
ๆ
จ*
I
V
ะะ* *''
''1
-*.
* ** ๚
.5'
}
๙* 57
*- . จี?*.*า
0
I X
'
V ///
า
ะ
30เ " * .13 4 * 2
4,
1
'
-V * ะ& *
'ะ
.* ’.
X
- - "
1
'โ
^
*
*
V
I
:
-
เ'zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
.
*
:.
V
.
9zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
V
*-
รี*
. .
.-
!
'
ว
.
* *-
-
*
V1 -
ะ* - * .
-
'
. •
0 - -* -1
" V
-.-
9
.* ะ 7
1 /'
V
{
V
'
โ .
* เส
1*
** •^ +-
1
เ
* X V •-
#เ * 9 \
' 9
* -zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA/
.
' *
— - ** *
(' • I
๙7
โ
9
;
•^* '
**
1
เ รี?
®
.
'เะ^&
* -*1
0
® .
1
*
V*
*'
.
-
-
- '
'
.
*
-
. 1
V . 51
1
7 V"
1
'
1;.
/
น
7-
เ
V
^
ะ- / V ไ ๚
ๆ -
7 VIข้
อ
/ ,
X '
I . *
**
4 เ^
1
ภาพที่ 4 , แผ่นพับที่ 2
รุ่
^ ;
* '- .
&* -,
•เ
/
.
*
I
* ./
ะzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZY
.1 XW
(
ะ
/
เ'
^ ^99 45)
** ๕ะ
จ
,
1
{ ะ^ / เฒเ;
\
/*
' 7
' /
/ ' .
-
'/
\
* 7 /V I *
0
จ ซี^-
/
\ 1
..
*
5
*
0 X 1
* /
.
-
I
-
^
แ?แ &zyxwv
\
- ภาพที่ 4, แผ่นพับที่ 3
.
•. * .'*1:า ^ ฯ*
**
'* I *
'• . ช&
-
/
’
2
7
ะ.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPON
' MLKJIHGFEDCBA
-*
** /
แI
เ'
'
8
/
' ./
•V
‘V
®ฯ-
?“ “
.
'ะ ภาพที่ 4, แผ่นพับที่ 4
ะ-
'1 2
ฯ?ซึ I
ฒ&
*
ส^^
*5*
' V
ะะ. 11' \( 1
ฐ®?- V.
เแแฏื
,
ะ -* ,
ะ'
'
ะ
-
* ''V
I . 5! --
*
** เฒ
' -
- /* - • • ''
*
.
1
I *
- -.
ฯ
-?
+ 1
.-
,
1 เ^
V
1
1
ๆ
^ 11 \
*X 1'
*
ภาพทีz่ 4yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
, แผ่นพับที่ 5 - \
I
V V
/
/
-
* ะ
1
0เ
- เส
1
?
*
' เ)
7
'
' - '
^/' -
\' •ร
'
ะ:5-
ก
- .
^V 1" -*
า
' ะะะ
I
“
-
โ
*
*7*
- 3 -
•5.
กิ\ - ะ/.
' .
7
7
7 *V
^V -
' ’ ., !
ซิ
’!
/
/--:
ะ/ ^
ฒฒแ!!
ภาพที่ 4, แผ่นพับที่ 6zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA /
8 V
เ^แ^ เ1\.๖
'1 ,
63
2 |
0
*^ะะะะะะะ 1ฃ^
ส- 1 ฒ
V.
แ
เฒแธุ1111
เ
*V 0 V ๕ /V
ะ? ?เ' 7 / 2
\ ?'0411! :!!:! . •
-3
9 zyxwvutsrqponmlkj
{ ะะ-เ
I เ
1
/
เ 2533
. 'V
-
ร
ซิร*ส
1
!ี ะ
^ะ
-
ฬ
'.
(
ะเ'หะ
*ะ ะ
^
/.
/
ะ
I * 0\
ะ/ X
/
*7
V * / '/
/
/
7;
*
: แผนที่
ภาพทีz่ 5yxwvutsrqponmlkjih
*
ยุทธศาสดาของวิชกาลที่ 1
,
* '- I
กรมแผนที่ทหาร)
1
.
ะ
8? ซี*
(
11
\
-.
ฟิ’ 4
* ธิzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
- -
๕ }}
-- -
-
52
,-
* V
/
*
©สะ
•
* 1
’ - V
๒
*V
* * *5* ใ
^ V
ต •
- *
-
I
4
*
I **
'-
I \
* ใ-
*
*
ท
-
0
?‘ ะ - นะ- :* * ^
'
!* .' 3
-
เะร
*
- ชิ? - -
๙ V 13.
. : .1ำ., V .ใ *
/
- • - เ ?^* -
*1 -
4 ซี*
52:
1
' -
-
'
.'
- 'ะ * 1
.
V4 ยย้* 38x4* )*
ฒแ!& เ
ภาพท 6: “ แผนทสยาม
(
^เ. ผ ลเ ก /V ^3131111าอ
© 6, 3 V
0 ค ๙6 06
/\ 6 ธ/ 6
0เ 5/301, 55)
-ะะ
;-
'
-
ซี 1
ะ. !^ะ
ซีะ
^ 1
.
--
3 ชิ
ะ'zyxwvutsr
\
^ X1
& ระ * ,\ ?.
* 3* zyxwvutsrqponmlkjihgfedcb
เ^/
001,?] ?
}
ป้!
เ
1)1 0)1: ฬ 0 0,
* *.ร '/ 1 *
/
16
V
เ
,
/
zyxwvutsrqponmlkjihgfe
ฒเ^
เ^ -^ " 0า 1
1#8เ 7\ \ ๐ I \ \1-
*
1 V V โ โ ๐๘^ ^ เ/ '...# 14 . 1
ซี^
*
^ ^
*
^
^^ ^^^^ ^ - - ไ
/!
^^ ! ซื?
* X 11
^
เซี X* ^^
^
๐น 11ใ 5 0??0ฒ
# 07๓ภ:
แฬเ
*
^ะ}
11 5
ธ^
.
;1 5ช้4ณ ๐
^—- ^น 4®
0
3
I
*
0 #
4 ^4
4 *
.
เ เ,
ไไ!6 5
4 ร' * '*" .
"เ;
,
I ^- *-'?/เ
.
** ^ ^เแซี
V / * +
^
'
4/1 2*
.1- * ปีะ -
0®
^ *
#3
'ะ #/ ส^? /.. .
V
11
I^^ VV ^
ปี
* 0
' ' ,
1- ^ ^ 11-
** *
ร'
^..*/ .เ
^^ ^ \ .(
X
V
*! เ
0
'
,
^ 3* ^ 7 2; จุ
^
^ร้ ซิ! รเ/\ V '*
.
^^ (?
1.๐^417*0:
เร^^ \- ^
? / - ®เ/
ะ
I ) I] 5
V
^
! .1 “1 '
^
& เ&
V
0®
''•'ร
® แ^,
•
- ,
^^^
'
'' *1 1
#
เ 0-
*
I \
.
\?1
0 ใ ป0 ร ?ล 5 ( 1
"
ท ?ทา'?เ ! ท *
^
4
* เ* คเ โ! ^:I ๐^.'•ร' (1*" 7 V -&
,, * * (
.
'
V
ฒ\
’ เ^^^
5ะ ^^^
'
V 1, /ร๐/ .รู / ร 00 V"
1 เฐ
01 - ^ / ^
/
ท17(1 }! 0* - 4* ; (1*
// ! // "
\
IX(ท } 0 ง &• ร- เ1แ /1 ' * ริ. /เ^ห .
' * !
^ ® /
XV1 1
^ ) I 4010/
^^
0 ^ 8^ ชชิ 7 ก*
• าร;5?±
^ * V ๆ '- ^
ล โ
*— -- *
:
* 1**} ,
0 / 1
* ?
/;' /
^^
// / / //* // ร ร
4 /// /'/// // ห/* II เท& 010.4, .
'-
1 x0 & 5
.0-
1พ ี
^^
ฯ
แ 14 60 00เ เ
^**** *"^
1
10 )
^.. -:
ฒ
• 3.
/
’
9
—
7.2 เ 1*
^
ร 5*
7
&
1 • ®
•
"เร ,I 2/เ
1& . ^เ เ
.
•
ร
*
^/
1 * ห้
^^
®ะ ^
/'/ *"'
. . เ. / //
,
ร ^.
^ชิ!/^^7
- --
'
‘• ''รุ- 0๐
4.1 ร•เ^
0
- ***14 เ/
XI*
—. - —^.
*
4 รเรร ร
เ ง./ 0*4/1•ห•๐ เ//V 5* ป & /11&* * 49
- ^ **
^ • I
^
/ /
*4
^ เ• *
/ ร # ร #/ ' • ' 1
'
- ร -^//-4
// **
^ VI
/
ไ
ว55
า&^{ --. ำ๙
/ 11
' ”
X *’
V
/::
-ไจฺ. •
?
' *
12
-.. V
../
-
1
4
\
๔
*“
:5 - *^ I +''
)
11 -!
'
*5
' 1 1
า
ษ
เ7 .
วิสื
-
ๆ{ะ'
ห-
\“
*
;
V
1* X
’
7 1ว
*
I
ก. 1
ะ.
^
*
1 4
3*
V: 1
V
1 ;
‘V
/
‘ ส*ะ 1*9
I? X
(('สุเ '
*ๆะ9 -/9zyxwv
ชุ
)
ฯแ
โ / ,&
-
)
—
ง* *
V
? V
*V
6**** ๒
00( X1 &!(X?&
^^
' '’
•4
^09X ท'/./ XXX .
ฯ ๘-.
5
๙^'
^ ^
’
**[ V***
0ม* เ’ เ1.\ พะ 1^’ 111****
1 /0 /
? •V
* ะ.
*
'
'
( )
\เ-
*
- .V - IV *
สะ
ะ:
V
. ..... \
ะ*
ช วว'
V
^ 1? \ '-
V ๘,
.
ะ*.** โ •X"
ะ
ๆ* ะ? -
^
'
^ะ
+ ’4 4 7 ****
'
\ ? 1" *
V ”1
5* /
‘
.-
ะ:
:'. ะ. ร;-, ;
•' *'
- *
ะ* ! 7 ~ * /
3 ก๘ 000เาเก 01าเก ) 3
#1
- ฯ- '*
V zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
\ 4^ 4ไ
I! I *
3 -
{ 1
1 *
- ~zyxwvutsrqponmlkjihgfed
V , V. cbaZYXWVUTSRQPON
*
MLKJIH
* !
0
V #
\
*
X 0' .ร 1
4 '
26
-
* เฟ่
V
- .- V* ;
*
.* 45:
แ’
* ^* , ^3
ห * '* ’' ' '
เ
V
6
*
1
* 4
^ ’ )แ /1 61/
^
* ะ^
1
V*
* I .
1* . \V* 0
1' *
แ*®
^ ๐4
XX
V
เ ^!,
V
- V
ไ
*
-
58 -
' ' 1
— 1
- I
1
^} - •5
-
* .ะ -
'
I zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZ
8 I
*1 *- 1
V.
1'
- .ส**'*'ห้,
* - - ใ
าา 0
โ '’ * ** ฯ.' * *
/
V ๒เ
ะ7X2 ' *
6*
I
^๒ . ะ*:
เ/
-ะ
*
** 01* 0* / ,4 . -
•แ '“
|• • 1 4 *
0*(1*
/ 1
-
• * V
•I
:
?. โ..
0
1
* X 1* ร 4
* X‘
'- *
I
ะ -
/*
0 **
/
1
/ 1* 30 *-
ใ *
เ^
+.
,0
V
*?เ
ฟ้
:*
- 'ใ -
•V
*
'1'' '
กับสยาม ตามแผนที่ของการ์นิเย ( พ.ศ. 2409- 241 1 / ค.ศ. 1866- 1868) และ 3) แนวชายแดนตาม
แผนที่ของแมคคาร์ธึ ( พ.ศ. 2430/ค-.ศ. 1887) (ได้ร้บการอนุญาตจาก ธกํใ!3ใา ม!*3เโV)
ภาพที่ 10: แผนที่ฉบับ
แมคคารธี พ.ศ. 2431
หรือ ค.ศ. 1888 (ได้รับ
* *
*
1-๕-3
XXI าโ ?* * 1| ฒเ การอนุญาตจาก 6โ!1!ธ1า
- ^ )(
น& สโV )
[
๚
" ป
I )
! "V
เ฿*zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
--
โ
* -* -
V .
\ ห -
-0
[
*1X 01*01 8
(
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ะ
•- '-
^^
‘ •
'
๘
#!ช่®3
ภาพที่ 11: ภาพการ์ตูนจาก
1- V4*
*
I
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDC
หนังสือพิมV?ดุสิตสมิต
ซี)
เฒ ^สจ !
เ
:จ
6
1
1
*.
๙เ
'ะ
ใ ใ/
'1:
I
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQ
/,
* รึ
’ ^
แ! -
.
.
/ // 0
'เ‘
& 3
ห# 1
'
/// *
1
I
*
V 3*
ฯI
3
*1
/.
6 XV
*& & \\ /.
เ ‘หเ .
^*
*
1
*
* 0
*?ลแธ์ส่ายใจไทย
๙๔ ๔0๒zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
^
/
V
5๔
ธินเคยzyxwvutsrqponml
/
ซ kjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONM
::&&ปี* &
'
'
* .๒๔
Vพ่ส *
-
^^ ^
,
^
/
/ V
-^
^ โ
"'
,0 จีแคะกสง
± V
:^
* '
ฯ ^^ะ??^
*
!!!
งงยว
ๆ! ^ - ^ ” ,'
\ เ -" ย' -
*. ฒ
๐ ®เช่ ** เ. - ^ 3-’-"
. '
' 0
เต ^
04
. : 71V* )1 : ไ
|
พุกาม
^ ^^
1
จี
' *"- *:
สาว[หนืชิ
จ®*
8ฃี ^ ' ‘‘
^^ 2
.,
0
^ V
ะ®
ช้ . - 6
’
‘
ก1 . .,1*. (
^
’?,! * * ลาน!1า น่าน
ญ 3 . ^ปา3 4 4
* ๙
* *
ย่างฺ1}ง์ 0 V
๖ ** ม ๖
า
ซี กวางพหํ ©
[
กวาง*จ่าย
, 3พุย1
;\
เ
หขีา#
เท ก่ว*ํ ต้น
ไ3
^ 1*
๓ ฬห่
๓
^^
ร์นท
ะ.:-;
&
๓
} 0
0
ซี ‘4
" ๒
''
ข
1
ก
ถ.กงเ
}
^^ 5
\ ^' หํนน่มิยข
^
ไ
^ **
ร่าวใ‘zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWV * *0
6
'
๙\
81
^
โ ,
* ** ไย UTSRQPO
(!
1 อ ‘' / ค๘10
*8®
มหา# ม าร ด็นเติย 1
^งืภงฺห่ธึยว ทะ เส จน
จีนไต
0 ฬํง์งา
๔ ๘
® 6เ
'จ ÿ™ แผนที่ประร์ตฅ์าพึ่ตร
กสนสํน
‘ กเทท* ๐ ช* ๘ ต กๆ}
ไทย
^ แส์ดง ประวัติอาณาเขต!ทย
ส์วนต่าง9 ที่เชืย!ป
•4
01ทํปา! ( V
*.ม?าน๐ ๐
? \๐สะจิ,ง่ง3^
4. มลายู —
๐มะย:กา
" ปาพิง ซิ. สํง์ถะ- ษIด้รีาก!เทงฺปุรเม พ.ส.๖ห๖ '-๒* ๔"’
โ . ตกเ{ เนรธงพม่าเม3 พุ.ศ. ๒เผ๖
๓. -กแ !นร งฝ.ง์เศส.มุ* '' จ-.^
#
5 3 3 !
3
•
#
©0
— —
^น *กา
พ^ เ เ1 เ 1.1 •จ่
^ ^ •^ จ •น V
ยะโ*
(
3
*
๐0 6* ค!!เบน'ๆยงฆะงเหกะฬ พ. ห. เย* *เ๐
๘. ตก,ง็นาม® กถษเมือ พ.ศ. 0๔^๒ .^!
๐
*
1
{ น
๙๔ 0๒
ซี ๑ซี 0
^
เห่*งัเท01ศโ•'ฟ้-IX
^ .เ
ภ-
ของคนไทยจากโบราณ
^^^- ^
- V
ะ'
V อฺข้ 1 ซ ี^* V เ^ I .^
'.
• .
"5,
/
8** ( ห ) * ง*่ ' I?
ะ
๒. ถึงปัจจุบัน (ได้รับการ
.
ฉี เธ *
อนุญาตจากบริษัท
'
'
X-
1
1
- ๖ 1
'
! - 1?
- V
^. เ ฬ เ
•
*1๒
7 ;ฟ ้
/ ^^ฟะะ57
ไทยวัฒนาพานิช)
รี
^
'
'-- .
ๆ
/
-
• .
รี* ) /* '**
4.?
รี® 3® 0 *6 * (
^ *^ 0 1
เ3เ.เ
/ 0 ฒ#1
“ Vÿ™
ๆ^ ซิ
. 3 *
สิห*ื 3 าเ'เผเ น''*
‘แชIV! เ'ฟ้ห่
- * 4
^^^^ 4.
'
^. ^-ซิ^3?
& ฟ้ ท่’หเ
" * *
121 ีึ *
่ ิ ส ดซ’?
หช .
หเ V-
V ะ !?
VI* 1*1
' รี!* ® 'หึห*’
..
V
\ V\ \1 เภ็หฟ้ 0
โ
*** ส*
7
..
รี * ** ** 1
เ.
* ~ๆ2
'''1'
ๆ
- )
รี* *’เหเ;
’ ไห๗
*6
\
^ - ’ ^ IV ®
\ าๆ
- *4 ^ \
I
๙
ห่ร9ี ๒1
** *
I 'โทๆ
*
ฯ แยนที่ป!ะวํอิ รีา:(ต! (
ไทย •หะ
การเคลึยึนทิขจงเทย
แส์ด*
โบราณ ถงงจจุบํน 2- ,,
/*
^
"' ๆ ๆ
.. .....-..
0 3&}* (ะร* * หย่เฬา(X เรี!1-* *
เ2* เหVผแรีเ6ษ1 า เารี ?[ง(6;ท์1
** ทำ *!
'0' ‘ . โาเ
(
•&
’ * ''*่ ;ๆ
• รี ห
(•
^
* *ทึโ* ยๆ!*3ทย
ท'ข แฬะๆทเ** V (
1*1-'-
- ^
V
141
- .: ภาพที่ 15 ะ อาณาวักร
^
'
น่านเจา (ได้รับการ
เ^
0
ช# ^
. 0
ไ ไ “' “
3ชแาผเ เ!, :. 8
'พุ
* * ^ ^ # , ' ' ชิาณาจํ'กรจีน
^.ณเ 0
'
หํเ . ซิ *
^ ฐเา/ณ ๆ จ*'ก 5, ' - , +' .
' ะก -
คู ซ^ี ‘
. V รีI 5
I 1. * * 4! ^**' -:
•
เ* ฟ้ 82
'‘‘ , * *** ; }
?7' 1
1 )
เ: ท ห}'
•ร •• * ๚าณารีกร '•'๒**
ๆ
^
! เ ค
, ๆ
'‘ ๆ
* . '
-' **** ^ๆ* 3
,4 ^^
.ท'.'
*zyxwvutsrqponm
ะ
"
'
lkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLK
"ว
,
0 า
เ
'
- .
!
แ ษทปุ!:!* วัร"ีตบั1 (8 !
ไห* ก์
๗ดรี อาณาจํ
-'
ๆ
* -ห. *
น่านเจา 1
!"
๒
.
.- น*.ห * รี*ท*. 4
'/
*!
๏ เตึแหเ ฒ^ุ ป้เข้ แ * ?
0 1.1*5
!
*
ท]
ภรีรีโ
ห* - * 019
ภาพที่z16 : อาณาจักonmlkjihgf
ร
วั วัวั V
yxwvutsrqp edcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
สุไขท้ย สมัยพ่อขุน 'ะ
^ -/ . , '
'
.! zyxwvutsr
' “ะ ๆ ;
,
*
,• '•
1
ญางา '
’ -
รามคำแหงมหาราช ซ V
* zyxwvutsrq ponmlkjihgfedc
V
( ได้รับการอนุญาตจาก .
1ชุ’ ณา ก ทุก
1
. .;
•
-.
^
‘ 1
3๒1
บริษัทไทยวัฒนาพานิช)
5
อาทแา
ต 0๕ - ๘๒ * • :เ
ะ:X
*เ .
* , 4
3
'
เ
^ ^ ๘
*
©
า
•
2 ร่! - -
* 2*I เ* ห
** * * *
ฒ* เ
ะ เห่*
ท* ฬฬฺเ
•
อาณาจ
®
, *
-
I
9 จ*
ห *** •* 1* ' 3,
ๅ
0 '
* / *
-
-.-
•
'
จะ^ -V
‘1 zyxwvut * - srqponmlkjihgfed
ษ®ทึ{ประว’ชิค้า?&เ*
**
•0
' ง "" เ
* * ไทย
แค้คง อาณา'?ก* ก* •ง!{โรหํ®
• -
.• "1
0
ยุคพ่อๅเรเรามคำแหง*ทงา* าซ '
จ ห.ค้. * * ๒๒- ๔๕ ® ( ©
1
‘
'
'
3 "
( ได้รับการอนุญาตจาก
.* ๒
ๆ
ง
ะห็
• เ เหู่ V3
แฒ
0
บริษัทไทยวัฒนาพานิช) ./ V
ะ
ใ '; -*
V
1
-
:
ฟ้ ?
'V ****
-
า๒
•
* ’ 1
^ ธ!ย* โ
*
*~
เ !11' ไ- ,
1 -^
กฺ ห!• ๆ
-
๗
990
ะ* !**:
' -* / ๒*๒
*
* & &. 0
*
ซิ- 1
4
‘1 ฟ(๒ ;
.-
•
. 1-
V.
1
ษ®นทบ?ะวชิค้าค้ค/
แลาบุ
3
( 75 ไทย
แค้คง อาณาจก?ก{ ง( สอบุ
3 —
^
* ยา
บุคค้แเด็จห?ะไเแค้ว? แหาราช'
V ,
ห คํ . ๒ © เต31 ๒ © ๔๔
. - .ท
.- .ท*.ร* *ษ..* *ÿ™
•
41 !?
!! :• ) ;
ะ ห
น *015
I
' 1 **
‘ *?
^ 1
——
*** ]เ1 !
0
ภาพที่ 18: อาณาจักร
^เซีซเห:ี? ซีซีซี
ชิฒ. เลึซ5ีา
จ ธนบุรี
สมัยสมเด็edcbaZY
ร.zyxwvutsrqponmlkjihgf
?'''
พระเจัาตากสิน (ได้รับ
.-
เะะ 21*^
• •' ห ?1าซ้
* ) 'ห.
'ซี&ธ- ห .1
จฯ ; *
1 ,ไ. 1
การอนุญาตจากบริษัท
'
ะ'* 1!'
*1 .1 1 ! ' 4
^
*1 - 614 * IV -
‘**
0
* * '
. .--
,4* 1 V * V
*. .
V .รี '1
ไทยวัฒนาพานิช )
: •: V • • ะ
'เ&
ไ
ง*.
5 +&
V- •1ะ"
‘
ฬ่ *:'
1
- 1 .
- 2 ห*;
•
** - . •ะ''"“
*.
ฟ้*
. -*?* \ .
ะไ
^
* 0
53
ะ:
- ’
1 IV
.๙
• .
ะ 11
'
I* *2 ;
* *"9*
. ซี .
* -
* 5
ธ
•V ,006:1111.1
^
I
งรค * แห*ที!่ !?ะวเดิคำ * ด/
อ * '
1
ไทย
* 'V. แร(ดง ยาณาจํก!กรุง* นบุ่โ
ยคส์น;& ห*ะหาตาก(รน)
. •,
ร! สาย
•
1 1
?
- * ***
•.• •น*^ เ I
10
ซี?ซี: ?ซีซี
นเ
' ไ
^; รัดนโกสินทร์ สมัย
รัชกาลที่ 1 (ได้รับการ
1 2: ซี- - ?
Vฟ .
^
2
V
งเ
^
^
? 5
'
*
ฯเ
ซ&ีซซ
ซีซี :ี ซีซ*ี]
:.{ ริ
^
#ี 1*
1
,
4 .' V*
เ 1 ..1,
. I
. .*.
เะ
41
๙
*
*
* -***
.
1
/
4 ..ะ
-
•. ะ
ะ -1คคำ &'ด /
แง) นที่ปร.
. zyxwvutsrqponmlkjihgfe dcbaZYXWVUTSRQPON
.., 1:
ร 9 ไทย
* -
:•1.11 ๗กง ยายกรีก* กรุง?ตนโก'#นพ/
ซี! ลาย 1
ธุดพ!ะบาทคํนเกรพ.'ะหุท81 9คฟั-' ๆ ) ;
* ••หหเ*
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGF EDCBA
๗ zyxwvutsrqp
4 5
II
V * ^,
*
๙๙ '
V. -
-
V
ทzyxwvutsrqponml
/
-
ฬ- ;
.
*
I
"- ส** *
ภาพที่ 20: “ ตื่นเถิด ชาวไทย’ (ได้รบการอนุญาตจาก ดอกโลป 73
,
^ 0โ )
บทที่ 4
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJ
อำนาจอธิฮตย
บกกีzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
4
อำนาจอธิปิดย์
การกำหนดเขตแดนของสยามซับซ้อนยุ่งยากมากยิ่งขึ้นในกรณีที่พรมแตนมิได้เป็น
แถบหนากั้นกลาง แต่เป็นเมืองชายแดนร่วมของอาณาจักรมากกว่าหนึ่งอาณาจักร
การมีเส้นเขตแดนสมัยใหม่ย่อมเป็นไปไม่ได้จนกว่าจะขึ้ชัดลงไปก่อนว่าเมืองไหน
แค่ไหนเป็นแผ่นดินของใคร แต่ชุมชนการเมืองก่อนสมัยใหม่ขัดฟินด่อกรรมวิธี
สมัยใหม่ดังกล่าว การเผชิญหน้าและข้อพิพาทเกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียกกันทุกวันนี้ว่า
“ อำนาจอธิปไตย ” เหนือดินแดนของรัฐฉาน ล้านนา กัมพูชา หัวเมืองมลายู และฝัง
ซ้ายของแม่นี้าโขง มีความสำคัญยิ่งต่อการก่อรูปของรัฐไทยสมัยใหม่และต่อประว้ดิ -
1
ศาสตร์รัฐไทยแบบเข้าใจผิดๆ
ความสัมพันธ์แบบเป็นลำดับชั้นระหว่างรัฐ
ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจต่างๆในชุมชนการเมืองก่อนสมัยใหม่ มีลักษณะเป็น
ลำดับชั้น ( ห!© โ& เ ๐ห!๐ล.! ) กล่าวคือ เจ้ารายที่มีอำนาจเหนือเจ้าท้องถิ่นอื่นหรือพ่อเมือง
' '
เล็กๆซึ่งมักอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงรอบๆก็สยบยอมสวามิภักด ต่อเจ้านครอีกรายหนึ่ง
1
ที่เหนือกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐตามแบบแผนนี้แผ่ไปทุกระดับขึ้นไปจนถึง
ยอดของปิรามิดคือพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงอำนาจที่สุดในแผ่นดิน ลีเบอร์แมน ( \40๒โ
น6เว6ก1าลก) ขึ้ว่าแม้แต่ในสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง (พ.ศ . 2094- 2124/ ค.ศ 1551 -
1581 ) ที่ถือกันว่าเป็นยุคที่พม่าเป็นปึกแผ่นมากที่สุตในประวัติศาสตร์นั้น ความ
สัมพันธ์ระหว่างเจ้าหัวเมืองกับเจ้าศูนย์กลางก็ยังเป็นการสวามิภักดิ้ส่วนดัวที่มีต่อ
จำกัดและถือเครื่องราชกกุธภัณฑ์แบบกษัตริย์ อาณาจ้กรดำรงเป็นปึกแผ่นอยู่ได้
ตราบเท่าที่การสวามิภักดิ้ต่ออธิราชผังมั่นคงอยู่ ในภาษาไทย หน่วยการปกครอง
1
เหนือหัว
ความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจ้กรด่าง ๆ รวมทั้งระหว่างมหาอำนาจในภูมิภาค
อย่างสยามหรือพม่า กับเมืองประเทศราชอย่างล้านนา ล้านช้าง และหัวเมืองมลายู
ล้วนเป็นไปดามแบบแผนนี้ โดยพื้นฐานแล้ว เมืองประเทศราชเหล่านี้ถือเป็นอาณา -
จักรด่างหากออกไปที่มีเครือข่ายเจ้าเป็นลำดับชั้นที่ขึ้นต่อตนต่างหาก พระเจ้า -
แผ่นดินของประเทศราชเหล่านี้ไม่เพียงถือว่าตนเป็นเจ้าเหนือหัวในอาณาจักรของ
ตน แด่ราชาธิราชที่มีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคนั้นตามปกติก็จะปล่อยมือไม่ยุ่งเกี่ยว
กับประเทศราชเท่าไรนัก กษัตริย์ประเทศราชแด่ละแห่งมีราชสำนัก ระบบการคลัง
การบริหารการจัดเก็บภาษีกองทัพ และการศาลเป็นของตนเอง เราอาจกล่าวได้ว่า
อาณาจักรที่เล็กกว่าเหล่านี้มีอำนาจอธิปัตย์ของตนเอง อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์
ระหว่างรัฐในภูมิภาคนี้ตำเนินไปได้ก็ด้วยการยอมรับระเบียบโลกแบบล่าดับชั้นที่
มีเจ้าเหนิอหัวสูงสุตผู้มีบุญบารมีมากที่สุด มีอิทธิพลเหนือเจ้าชั้นรองลงมา และหาก
จำเป็น บุญบารมีนี้ก็จะแสตงออกในรูปกำลังทางทหาร ขณะเดียวกัน ประเทศราช
ต้องสวามิภักตึ๋ตอเจ้าชั้นสูงกว่าหรือสูงสุด และยอมรับสถานะที่ด้อยกว่าของตน
ผลก็คือ เจ้าเหนือหัวสูงกว่าจนถึงสูงสุด ( อธิราชหรือราชาธิราช ) สามารถเรียกร้อง
หรือแทรกแซงในกิจการของอาณาจักรชั้นรอง ๆ ไต้ในยามที่ตนเห็นว่าชอบธรรม
กระนั้นก็ตาม บุญบารมีของเจ้าเหนือหัวที่สูงกว่าก็อาจหมดลงได้ฉับพลันเช่นกัน
ซึ่งหมายถึงอำนาจและสิทธิธรรมของเขาตกดำลง ในกรณีเข่นนี้ เจ้าเหนือหัวราย
นั้นอาจถูกท้าทายโดยเจ้าประเทศราชหรือโตยเจ้าชั้นสูงอีกรายที่เป็นคู่แข่ง อันจะ
น่าไปสู่ความวุ่นวายปันป่วนของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแบบลำดับชั้น มาตรการ
รูปธรรมที่จะยุติความไม่แน่นอนดังกล่าวก็คีอสงคราม ประเทศราชอาจดีดัวออกห่าง
จากเจ้าเหนือหัวรายเติมระยะหนึ่งหรือหันไปร่วมมือกับอธิราชอีกราย จนกว่าจะ
มีการจัดลำดับชั้นระหว่างราชันย์ใหญ่น้อยให้ลงตัวไปทางใดทางหนึ่ง แล้วประเทศ -
ราชก็จะถูกปีบให้เข้าสู่สถานะประเทศราชอีกครั้งหนึ่ง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจของ
ขัณฑสีมา” นั้นคือขอเข้ามาอยู่ภายในปริมณฑลศักดิ'สทชี้ของอำนาจยันสูงสุดหรือ
“ ถวายสวามิภักติ ” หมายความว่าราชสำนักสยามจะต้องคุ้มครองเหล่าประเทศราช
'
โกสินทร์จักต้องต่อสู้เพื่อแผ่ขยายพระบรมโพธิสมภารและร่มบุญญาธิการหรือ
ราชธรรมของตนให้กว้างไกลที่สุต เพื่อนำอาณาจักรที่บุญด้อยกว่าเข้ามาอยู่ภายใต้
ร่มบุญญาธิการของตน การทอดทิ้งไม่ปกป้องคุ้มครองราชาที่อ่อนบุญกว่าถือเป็น
ความบกพร่องเพราะราชาเหล่านั้นอาจตกไปอยู่ในมือของมารมิจฉาทิฐิ การผนวก
ประเทศราชโดยตัวของมันเองจึงแสดงถึงความยิ่งใหญ่สูงสุด ความสำเร็จในการ
ป้องกันไม่ให้ประเทศราชตื้อแพ่งหรือดีดนออกห่างหรือถูกแย่งชิงโดยอธิราชรายอื่น
จึงแสดงถึงสถานะของความยิ่งใหญ่สูงสุตนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้พิทักษ์ได้ทึกทัก
หน้าที่ของตนขึ้นมาเองและพยายามแสวงหาผู้ถูกพิทักษ์ เพื่อบรรลุภารกิจของตน
ที่จะเป็นจักรพรรดิราช ตามนัยนี้ การปกป้องคุ้มครองมิได้มาจากการร้องขอ หาก
แต่เป็นการยัดเอียดให้
ความเข้าใจทั่วไปชวนให้เข้าใจไปว่าอันตรายมาจากฝ่ายที่สาม ซึ่งอาจเป็น
อีกอาณาจักรหนึ่งหรือกบฏภายในประเทศราชนั้น แด่ตามนัยของการคุ้มครองแบบ
พุทธที่อธิบายข้างต้นนี้ ภัยคุกคามมิได้มาจากแหล่งอื่นใด แต่มาจากอธิราชผู้
คุ้มครองนั้นเองที่บังคับให้รัฐซึ่งอ่อนแอกว่าตกเป็นประเทศราชใต้คุ้มครองของตน
และคงสถานภาพเช่นนั้นตลอดไป ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมเช่นนี้ การสวามิภักตื้จึง
ถูกบังคับอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หาใช่เป็นความสมัครใจ แนวลิดเรื่องความคุ้มครอง
ทั้งสองแบบนี้ดำรงอยู่ด้วยกันและปรากฏให้เห็นในการปฏิบัติเดียวกัน กล่าวอีก
อย่างหนึ่งก็คือ ความสัมพันธ์แบบประเทศราชเป็นวิถีปฏิบัติที่คลุมเครือกำกวม
กรณีของรัฐมลายูและกัมพูชาจะชี้ใหัเห็นถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆ กันที่รัฐทั้ง
หลายเข้าสู่ความสัมพันธ์แบบประเทศราช ในบางกรณี การปกป้องคุ้มครองแบบ
ข่มเหงเป็นการยัดเอียดให้ และฝ่ายประเทศราชเองก็แทบไม่มีทางเลือกอื่น ขณะที่
ในบางกรณีการแดกเป็นฝักฝ่ายในราชสำนักของประเทศราชนำไปสู่การร้องขอ
ความคุ้มครองจากอธิราชหนึ่งรายหรือมากกว่านั้น ในบางกรณีประเทศราชร้องขอ
ความช่วยเหลือจากอธิราชรายหนึ่งเพื่อคานกับอธิราชอีกรายหนึ่ง
ยิ่งเลวร้ายลงนับแด่ศตวรรษที่ 17 เมื่อเวียดนามเข้มแข็งขึ้นและเรียกร้องให้กัมพูชา
สวามิภักดี่ด่อตน กัมพูชาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำนนต่ออำนาจเหนือหัวของ
เพื่อนบ้านทั้งสอง 4
การแข่งข้นระหว่างสยามและเวียดนามที่จะเป็นใหญ่เหนือกัมพูชานั้น ทวี
ความซับช้อนและรุนแรงยิ่งขึ้นจากการแตกเป็นฝักฝ่ายของราชสำนักกัมพูชาใน
ช่วงระหว่างปลายศตวรรษที่ 18 ถึงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19 ยามใตที่ฝักฝ่ายหนึ่ง
ร้องขอความช่วยเหลือจากอธิราชรายหนึ่ง อีกฝ่ายกจะหันไปหาความคุ้มครองจาก
อธิราชอีกราย เมื่อการแย่งชิงบัลลังก์ตุเดือดยิ่งขึ้น อธิราชทั้งสองก็มักเข้าแทรก
แซงกิจการของราชสำนักกัมพูชาผ่านฝักฝ่ายที่แตกเป็นขั้ว กัมพูชาไม่เพียงต้อง
5
ส่งบรรณาการและปฏิบัติตามพันธกรณีต่าง ๆ เช่นต้องได้รับการยอมรับจากราช
สำนักกรุงเทพฯ และเว้ แด่มหาอำนาจทั้งสองยังส่งกองทัพของตนเข้าไปตั้งมั่นใน
ดินแดนของกัมพูชาอีกด้วย 6
ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่น่าสิ้นหวังเช่นนี้ กษัตริย์กัมพูชาจึงต้องพยายาม
ถ่วงดุลอำนาจของอธิราชทั้งสองฝ่ายอยู่ตลอดเวลาด้วยการท่าให้ความผูกพันสวา-
มีภักดิ้พร่าเลือน เพื่อให้อาณาจักรของตนคงอิสระอยู่ไต้บ้าง สถานะของกัมพูชา
7
ในภาวะดังกล่าวถูกสรุปไว้อย่างชัดเจนในพระราชสาส์นของพระเจ้ายาลอง ( 0!ล
10ก9 ) จักรพรรดิเวียดนามที่มีถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 ในปี 2354 ( ค.ศ . 1811 )
เพื่อขอให้ฝ่ายหลังยกโทษให้สมเด็จพระอุทัยราชาที่หนืไปไซง่อน ( เยียดินห์ไนขณะ
นั้น) หลังจากเกิดข้อพิพาทกับรัชทายาทของตนซึ่งหนีไปพึ่งกรุงเทพฯ:
เพราะเมืองเขมรเคยพึ่งทั้งไทยและญวนมาแต่ก่อน พระเจ้ากรุงสยามเหมือน
...
เป็นบิดา และพระเจ้าเวียดนามเหมือนเป็นมารตาของเจ้ากรุงกัมพูชา บัตนี้
สมเต็จพระอุทัยราชามีความผิดต่อบิดา ไปอ้อนวอนขอให้มารดาช่วยขอโทษ
ก็มิรู้ที่จะทอดทิ้งเสียได้จึงมีพระราชสาสน์มาขอพระราชทานโทษ 8
สำหรับรัฐมลายูทางตอนเหนือ สถานการณ์ลำบากลำบนต่างจากกัมพูชาอยู่
เล็กน้อย แม้จะเป็นแว่นแคว้นเล็กๆหลายแห่งที่มิได้เป็นปีกแผ่น แต่ตำแหน่งทาง
ภูมิศาสตร์ที่อยู่ไกลออกไปทำให้พวกเขาไม่ต้องตกอยู่ท่ามกลางการปะทะแย่งชิง
กันระหว่างอธิราชทั้งหลาย ราชาแห่งรัฐมลายูเหล่านั้นจึงพอจะหายใจหายคอได้
มากกว่าดักหน่อย และยุทธศาสตร์ในการทัดทานแรงกดดันจากสยามก็ผาดโผน
กว่า อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ด่างจากกัมพูชาเท่าไรนัก
ว่ากันตามประวัติศาสตร์ สุลต่านแห่งเคตะห์ดัองต่อสู้เป็นประจำกับรัฐมลายู
รอบข้างและอริที่มีอำนาจในภูมิภาคเช่นมะละกาและอาเจะห์ เพื่อรักษาอำนาจของ
ตนไว้ ในทศวรรษ 1 650 (ระหว่าง พ.ศ . 2 1 93- 2202) ข้อพิพาทที่มีกับพวกดัทช์
ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทะเลในภูมิภาคขณะนั้น ทำให้เคดะห่ไม่มีทางเลือก ต้องร้อง
ขอความช่วยเหลือจากราชสำนักสยามด้วยการส่งดันไม้เงินต้นไม้ทองมาถวาย
อยุธยา สยามจึงถือว่าเคตะห้เป็นประเทศราชของตนนับแต่นั้นมา ตลอดศตวรรษที่
17 เคตะห์เอาตัวรอดด้วยการแสวงหาความช่วยเหลือสดับไปมา ไม่จากดัทช์ก็จาก
สยามเพื่อถ่วงดุลอีกฝ่ายหนึ่งไว้ กล่าวได้ว่าสุลต่านแห่งเคดะห์ประสบความสำเร็จ
ในการดำรงอิสระของตนไว้ได้ระดับหนึ่ง 13
การขึ้นมามีอำนาจในพม่าของอังวะ และการล่มสลายของอาณาจักรอยุธยาใน
ปลายศตวรรษที่ 18 ทำให้เคดะห์สามารถตีดัวออกห่างจากสยามได้แต่ปรากฏว่า
อังวะต้องการให้เคดะห์สวามิภักติ้ด่อตน เคดะห์จึงต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองไป
ถวายอังวะ ที่แย่ก็คือสยามสามารถฟินดัวได้อย่างรวดเร็วและต้องการรื้อหื่เนสถานะ
อำนาจของอธิราชสยามต่อเคดะห์เพิ่มขึ้นด้วยเหตุผลสองประการ ประการ
แรกเพราะฝ่ายต่างๆภายในราชสำนักเคดะห์แย่งชิงบัลลังก์กันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในปี 2346 ( ค.ศ. 1 803) ซึ่งฝ่ายหนึ่งขอให้สยามส่งกองทัพเข้าไปช่วย ประการ 15
ที่สอง เพราะเจ้านครศรีธรรมราชขันแข็งในการขยายอำนาจของตนเหนือเคดะห์
โดยถือว่ากระทำในฐานะเป็นตัวแทนของกรุงเทพฯ เพื่อดูแลผลประโยชน์ให้สยาม 16
ทั้งที่ความจริงทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เกินกว่าความรับรู้หรือคำสั่งจาก
กรุงเทพฯ ส่งผลให้เคดะห์ขัดขืนและก่อการกบฎต่อสยามอยู่เนืองๆ ในท้ายที่สุด
17
ระหว่างรัฐพี้นถิ่นในปลายศตวรรษที่ 18 สุลต่านเคดะห์ถือว่าอังกฤษมีพันธสัญญา
ที่จะต้องให้ความคุ้มครองเคดะห์หากเผชิญกับภัยคุกคามจากสยามหรือพม่า โดย
เฉพาะอย่างยิ่งจากความทะเยอทะยานของเจ้านครฯ ฝรัก กดันดัน และตรังกานูก็
ใช้ยุทธศาสตร์แบบเดียวกันนี้เช่นกัน ฟรักถึงกับขอขึ้นต่ออังกฤษ เพื่อเป็นหลัก
18
ประกันว่าอังกฤษจะช่วยในยามที่ถูกสยามแทรกแซง แด่โชคร้ายตรงที่เจ้าหน้าที่
19
อังกฤษไม่เข้าใจการเมืองแบบประเทศราชเลย เพราะการเมืองที่อังกฤษรู้จักนั้นมี
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งก็คือ ปฏิสัมพันธ์ส่วนใหญ่ในความสัมพันธ์ระหว่างอาณาจักร
เหล่านี้ดำเนินการผ่านตัวกลางในรูปของกำนัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องบรรณาการ
และต้นไม้เงินต้นไม้ทอง ความคลุมเครือของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศราชก็
แสดงออกผ่านความหมายอันคลุมเครือของบรรณาการประเทศราชต้วย งานเขียน
7/16 (3/71 ของมาร์แชล โมสส์ ( เ เ 3โ061 IV! ลบธร ) ช่วยให้เราเข้าใจว่า
คลาสดิคเรื่องzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
^
การแลกเปลี่ยนของกำนัลในสังคมก่อนสมัยใหม่เป็นวิธีสื่อความหมายถึงประเภท
ระดับ และเงื่อนไขของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้กับผู้รับ ในอุษาคเนย์ก่อนสมัย
21
ใหม่ ของกำนัลอันหลากหลายอาจเป็นรหัสซึ่งสามารถถอดความได้ตามกฎเกณฑ์
ของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ นี่อาจช่วยอธิบายได้ว่าทำไมเอกสารเกี่ยวกับความ
สัมพันธ์ระหว่างอาณาจักรเหล่านี้และกับตะวันตก จึงเต็มไปด้วยรายละเอียดของ
ของกำนัลที่มอบให้และได้รับ อย่างไรก็ตาม ประเด็นในที่นี้ก็คือการแลกเปลี่ยนของ
กำนัลซึ่งเป็นพิธีกรรมอันเก่าแก่นั้น มีความย้อนแย้งในตัวเอง ( เวลโลฤ IX ) กล่าวคือ
(
“ ของกำนัลนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ตูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ แต่เป็นเรื่องผล -
ประโยชน์เสมอ และเป็นลิ่งที่ดูเหมือนกระทำโดยสมัครใจแต่จริงๆไม่ได้สมัครใจ ” 22
ในกรณีสยาม แม้ว่าคณะทูตสยามจะแสดงความสวามิภักดิ้ต่อจักรพรรดิจีน
เป็นประจำ แต่การถวายเครื่องบรรณาการต่อจักรพรรดิจีนได้รับการอธิบายจาก
นักวิชาการสมัยใหม่ส่วนใหญ่ว่าเป็นการลงทุนเพื่อแสวงหากำไรอย่างหนึ่ง มิใช่
สัญญาณแสตงความนอบน้อมยอมเป็นเมืองขึ้น เพราะจักรพรรดิจีนจะตอบแทน
บทที่ 4 อำนาจอธิปัตย์ า 47
คณะทูตสยามด้วยข้าวของที่มีค่าสูงกว่าและนำไปขายต่อในตลาดได้เสมอ ในทาง 23
กลับกัน เครื่องบรรณาการโดยเฉพาะดันไม้เงินด้นไม้ทองที่รัฐที่อ่อนแอกว่ามอบให้
สยาม กลับถูกถือว่าเป็นหลักฐานแสดงความนอบน้อมยอมเป็นเมืองขึ้น อย่างไรก็ดี
ผู้มอบบรรณาการอย่างเคดะห์คงไม่ยอมรับการตีความแบบใช้อำนาจบาตรใหญ่
เช่นนี้ได้ และแย้งว่าบรรณาการเป็นเครื่องหมายของมิตรภาพและพันธมิตรzyxwvuts
“ เป็น
เพียงการแลกเปลี่ยนความเคารพต่อกัน” ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น 24
ในความสัมพันธ์แบบประเทศราช เครื่องราชบรรณาการจึงอาจเป็นเครื่องหมาย
แสดงความคุ้มครองทั้งสองแบบ ในสถานการณ์,หนึ่งอาจแสดงถึงการสวามิภักติ้ที่
มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อรักษาความสงบกับอธิราชเหนือหัว หรืออาจเป็นเพียงกล -
อุบายในอีกสถานการณ์หนึ่งก็ได้ มันเป็นทั้งปัญหาและทางออกไปพร้อมๆกัน เป็น
ทั้งการกดขี่และทางเลือก เป็นทั้งการบังคับและความสมัครใจ เป็นทั้งภาระที่ถูกบังคับ
และกุศโสบายเอาตัวรอด แล้วแด่เจตจำนง สถานการณ์แวดล้อม และมุมมองทั้งของ
ผู!้ ห้และผู้รับ ( และของนักประว้ตีศาสตร์ซึ่งเลือกข้างใดช้างหนึ่งเช่นกัน)
เจ้าประเทศราชใช้ความกำกวมของการคุ้มครองและการมอบบรรณาการเป็น
ยุทธศาสตร์เพื่อความอยู่รอต ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถป้องกันการมัตเยียตการ
คุ้มครองแบบมาเฟืยไต้ แด่พวกเขาก็สามารถขัดขืนมันได้ตัวยการใช้เครื่องมือ
เดียวกัน นั้นคือบรรณาการและของกำนัล เพื่อแสวงหาการคุ้มครองจากมหาอำนาจ
อีกฝ่ายหนึ่ง ความสัมพันธ์แบบประเทศราชจึงไหลลื่นได้ตราบที่อำนาจและการ
ต่อต้านเกิดขึ้นภายใต้ความสัมพันธ์และการปฏิบัติเดียวกัน นอกจากนี้ความสัมพันธ์
แบบประเทศราชด่างจากแนวคิดรัฐฏาธิปัตย์สมัยใหม่ตรงที่ว่า การสวามิภักตึ้อย่าง
เป็นทางการและเปิดเผยมิได้ขัดกับความพยายามของประเทศราชที่จะธำรงอำนาจ
ปกครองตนเองหรือ “ อิสรภาพ” ของตนไว้ การธำรงอำนาจปกครองตนเองมิได้ขัด
กับการที่ประเทศราชสวามิภักดี้ด่ออธิราชมากกว่าหนึ่งรายในเวลาเดียวกัน บ่อย
ครั้งการสวามิภักตึ๋ตอหลายอธิราชพร้อม ๆ กันกลับเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งหาก
ประเทศราชต้องการธำรง “ อิสรภาพ ” ของตนไว้ ด้านที่น่าเศร้าของยุทธศาสตร์
แบบนี้ก็คือ มหาอำนาจมักถือว่าประเทศราชเป็นสมบัดของตน ดังเช่นที่สยามและ
เวียดนามอ้างสิทธิอำนาจเหนือกัมพูชา ในขณะที่กษัตริย์กัมพูชาถือเสมอว่าตนเป็น
อิสระ เคดะห์ก็เช่นกัน คือสุลต่านสามารถมอบปีนังและเวลส์เลย์เพื่อแลกเปลี่ยน
กับอำนาจเอาไว้ถ่วงดุลมหาอำนาจอีกฝ่ายหนึ่ง แด่เคดะห์ก็ยังมักตกเป็นเหยื่อของ
ยธิปไตยช้อนและชาวยุโรป
ถึงแม้ว่าการมี “ อิทธิพล” โตยน้ยเหนือรัฐอี่นจะเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองระหว่าง
ประเทศในปัจจุบัน แต่ถ้าว่ากันโดยทางการแล้ว อำนาจอธิปไตยต้องเป็นของรัฐ
หนึ่งๆ แด่ผู้เดียว มิใช่มีหลายเจ้าของหรือซ้อนหับลดหลั่นกันอยู่ และต้องชัดเจน
ไม่คลุมเครือ แม้แต่อาณานิคมก็ถีอว่าเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจอธิปไตยของประเทศ
จักรวรรดินิยม ฉะนั้นในทัศนะของชาวยุโรปในศตวรรษที่ า 9 พวกเขาต้องชี้ขาด
ว่าประเทศราชหนึ่งๆเป็นเอกราชหรือว่าเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นอาณานิคมของอีก
อาณาจักรหนึ่ง ต้องมิใช่อยู่กึ่งๆ กลางๆ ระหว่างเป็นเอกราชกับตกอยู่ในอาณ์ติหรือ
ดกเป็นของอาณาจักรอื่นมากกว่าหนึ่งรายพร้อมๆ กัน ความคลุมเครือของความ
สัมพันธ์แบบประเทศราชนี้เองทำให้กระทั้งนักวิชาการสมัยของเราเองก็ยังเข้าใจ
ไขว้เขว เพราะช่วงประมาณทศวรรษ 1930- 1940 (ระหว่างพ.ศ . 2473- 2492 )
คำว่า “ ประเทศราช” ถูกแทนที่ด้วยคำใหม่คือ “ อาณานิคม” ทั้งๆ ที่คำใหม่นี้ใช้กับ
การเมืองสมัยใหม่เท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ไทยคนหนึ่งเคยพยายาม
25
จัดแบ่งสถานะของประเทศราชในแงที่ว่ามีเอกราชหรืออยู่ในอาณติระดับใด โดย
'
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสยามยุคใหม่อีกคนหนึ่งถึงกับถือว่าประเทศราชคือจังหวัดหนึ่ง
ของสยามนั้นเอง 27
ในกรณีของรัฐมลายูในศตวรรษที่ 1 9 เกิดการเข้าใจผิดหลายครั้งในหมู่เจ้าหน้าที่
อังกฤษ และระหว่างพวกเขากับสยามและบรรดาสุลต่านมลายู ปัญหาเกิดขึ้นมา
นาน เช่นตั้งแต่ปี 2364 ( ค.ศ. 1821 ) เมื่อกองทัพของนครฯ บุกเคดะห์ สุลต่านของ
ความเคารพโดยรัฐที่มีอำนาจน้อยกว่าซึ่งย่อมมีอิสระที่จะมีหรือยกเลิกความสัมพันธ์
ตังกล่าวตามที่ตนปรารถนาไต้ทุกเมื่อดังที่สุลต่านเคดะห้ใต้เคยอ้างไว้ นักประวัติ -
ศาสตร์คนหนึ่งไต้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ ความจริงตูจะอยู่ตรงไหนดักแห่งระหว่างทัศนะ
ที่สุดขั้วทั้งสองนี”้ หรือกล่าวให้ชัดยิ่งขี้นก็คือ ความจริงตำรงอยู่ในความหมาย
28
ทั้งสองอย่างและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไต้
นอกจากนี้ อังกฤษยังสงสัยว่าสัญญากับเคดะห์มีนัยยะว่าอังกฤษมีพันธะต้อง
คุ้มครองเคดะห์ด้วยหรือไม่ ซึ่งปัญหานี้ก็อยู่ที่นัยของการแลกเปลี่ยนของขวัญ (ซึ่ง
ในกรณีนี้ก็คือสัญญาเช่าปีนังและเวลส์เลย ) ในธรรมเนียมพื้นถิ่นอีกเช่นกัน ปัญหา
ความสัมพันธ์แบบประเทศราชและประเพณีการแลกเปลี่ยนของขวัญ ส่งผลให้
เจ้าหน้าที่อังกฤษแตกออกเป็นสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างเสนอนโยบายที่อิงตามการ
ตีความของตน ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 1 9 อังกฤษไม่ปรารถนาไปยุ่งเกี่ยว
กับการเมืองของคนพื้นเมือง แน่นอนว่าอังกฤษพอใจที่จะดีความว่าสัญญาเช่า
29
1 50 กำเนิดลยามจากแผนที่: ประวติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ด้วย ฉะนั้น คณะทูตจอห์น ครอว์เฟิร์ด ( ป0เาก 0โ3พ!บโป ) ที่เดินทางมาสยามในปี '
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIH
เดียวกันนั้นจึงมีภารกิจประการหนึ่งก็คีอ สอบถามว่าสยามคิดอย่างไรต่อสัญญาที่
อังกฤษทำกับเคดะห์และต่อการปรากฎดัวของอังกฤษในภูมิภาคนั้น
ลงท้ายปรากฎว่าครอร์เฟิร์ดดัองประหลาดใจแต่ก็ยินดีที่ประเด็นดังกล่าวไม่
เป็นปัญหาแต่ประการใด เขาสรุปไว่ในรายงานด้วยหลักเหตุผลตามกฎหมายของ
ชาวยุโรปว่า การที่สยามนิ่งเงียบตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ย่อมถือได้ว่าเป็นการยอมรบ
สิทชิ้ของอังกฤษ ที่ตลกก็คีอ หลายทศวรรษหลังจากนี้ อังกฤษกลับเป็นฝ่ายที่
30
ยังคงสงลัยว่าสัญญาเช่าที่ทำกับเคดะห์นั้นมีผลบังคับใช้หรือไม่ เพราะพวกเขาไม่
เคยแน่ใจว่าสถานะของเคดะห็ในความสัมพันธ์กับสยามเป็นเช่นไรแน่ ในท้ายที่สุด
เจ้าหน้าที่อังกฤษคนหนึ่งชี้ว่า ถึงแม้ว่าเคดะห์จะขึ้นกับสยาม แต่สัญญาเช่ากระทำ
ด้วยความเข้าใจ( ผิด )ว่าเคดะห์เป็นรัฐเอกราช ฉะนั้นการครอบครองปีนังและเวลส์-
เลย์จึงอาจเป็น “ ความผิดพลาด ” แด่สิทธอันเกิดจากการครอบครองนั้นไต้รับการ
ยอมรับจากสยามในภายหลัง ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คิอเขาให้เหตุผลว่า เนื่องจาก
เจ้านครฯ เป็นขุนนางชั้นสูงของสยาม ฝ่ายอังกฤษซึ่งกังวลกับข้อกฎหมายจึงถือเอา
ข้อตกลงที่ทำกับเจ้านครฯ เกี่ยวกับการปักปันเขตแดนในปี 2376 ( ค ศ. 1833) .
เป็นหลักฐานทางกฎหมายที่หนักแน่นชิ้นแรกที่แสดงสิทชิ้ของอังกฤษเหนือปีนัง
และเวลส์เลย 31
ความสับสนเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบประเทศราชอีกอย่างหนึ่งที่ซับซ้อน
ยิ่งกว่านั้น เผยตัวชัดในเหตุการณ์ที่เกี่ยวช้องกับการโจมดีเปรักโดยเจ้านครฯ ในปี
2369 ( ค.ศ . 1826 ) ภารกิจหนึ่งของคณะทูตเบอร์นืย์ในปี 2368 2369 คือการขอ
-
หลักประกันจากสยามว่าจะไม่ส่งกองทัพเข้าโจมดีรัฐมลายูไม่ว่าในสถานการณ์ใด
ก็ตาม เบอร์นืย์ทำสำเร็จโดยไม ต้องสะสางความคลุมเครือว่ารัฐมลายูเหล่านั้นมี
,
สถานะชิ้นต่อหรือเป็นอิสระจากสยามกันแน่ สยามตกลงตามคำขอภายใต้
32
เงื่อนไขว่าอังกฤษต้องไม่ข้ตขวางการที่รัฐมลายูเหล่านั้นถวายต้นไม้เงินด้นไม้ทอง
ตามที่เคยเป็นมา เมื่อคำนึงว่าในขณะนั้นอังกฤษเองก็สับสนกับเรื่องประเทศราช
จึงเป็นการยากที่จะตำหนิเบอร์นืย์ที่ยอมรับเงื่อนไขที่ขัดแย้งกันเองนี้ อย่างไรก็ตาม
ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดที่สัญญาดังกล่าวทั้งถูกวิพากษ์อย่างรุนแรงพอ ๆ กับได้รับ
การสนับสนุนอย่างแข็งข้นในหมู่เจ้าหน้าที่อังกฤษ พวกเขาเห็นตรงกันข้อเดียวว่า
33
การถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองไม่ควรถูกดีความว่าเป็นการสวามีภักดิ้ต่อกรุงเทพฯ
ในกรณีของกลันดันและตรังกานู อังกฤษก็ทำความตกลงกับสยามในทำนองเดียว
กันด้วย 35 ทั้งสองฝ่ายต่างมิได้ตระหนักว่าข้อตกลงเหล่านี้อยู่บนฐานความเข้าใจผิด
ไม่นานหลังจากสนธิสัญญาเบอร์นีย์สำเร็จลง เจ้านครฯ ส่งกองทัพขนาดย่อม
เข้าไปย้งเปรักเพื่อทวงต้นไม้เงินต้นไม้ ทอง กัปตันเจมลั โลร์ เจ้าหน้าที่ประจำปีนัง
'
ที่อยู่ฝ่ายสนับสนุนรัฐมลายู ผู้เข้าใจดีว่าต้นไม้เงินต้นไม้ทองเป็นเครื่องหมายของ
การสวามีภักดี้ จึงยุให้สุลต่านฟรักยืนยันในเอกราชของตนโดยปฏิเสธคำเรียกร้อง
ของเจ้านครฯ ยิ่งไปกว่านั้น เขาทำสัญญาในนามของบริษ้ทอังกฤษ ประกาศ
ยอมรับสถานะเอกราชของฝรักทั้ง ๆ ที่มิได้รับการอนุม่ดีจากระดับสูงอย่างถูกต้อง
ฝ่ายฝรักถือว่าอังกฤษยอมรับเป็นผู้คุ้มครองของตนแล้วตามพันธะที่มาพร้อมกับ
การทำสัญญาดังกล่าว เปรักจึงข้บไล่กองทัพของนครฯ ออกไป ทั้งยังแจ้งให้สยาม
รับรู้ว่าอังกฤษจะเข้าข้างตน แด ปรากฏว่าเมื่อเจ้าหน้าที่อังกฤษที่ปีนังรู้เรื่องเข้า
,
ดูเหมือนว่าสยามจะถือว่าข้อตกลงที่จะไม่ส่งกองทัพเข้าไปในรัฐมลายูนั้นเป็น
ประเด็นต่างหากที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่รัฐมลายูเป็นประเทศราชของสยาม ราชสำนัก
สยามจึงไม่ค่อยเข้าใจสถานะของอังกฤษในเปรักเท่าไรนัก แม้จนล่วงเลยมาถึงปี
2393 ( ค . ศ . 1850 ) ราชสำนักสยามยังร้องเรียนกับทูตอังกฤษอีกคนคือ เซอร์เจมส์
กรณีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจผิดที่เกิดจากการปะทะกันระหว่างความ
สัมพันธ์แบบประเทศราชที่มีอยู่เดิมกับการเมืองระหว่างประเทศสมัยใหม่ตามระบบ
เหตุผลของยุโรป ยิ่งไปกว่านั้น การที่รัฐมลายูเหล่านี้ร้องขอความคุ้มครองจาก
อังกฤษ ทำให้อังกฤษสามารถอ้างได้ว่ารัฐมลายูเป็นสมบัติของตน ตลอดครึ่งแรก
ของศตวรรษที่ 1 9 อังกฤษยึดถือนโยบายไม่แทรกแซงกิจการของรัฐมลายูเพื่อรักษา
ผลประโยชน์ทางการค้าของตนในภูมิภาคให้ได้มากที่สุต ด้วยการนี้อังกฤษจึงไม่
แตะต้องความคลุมเครือในเรื่องอธิปไตยของประเทศราชเหล่านี้ ขณะที่ฝรั้งเศสซึ่ง
เผชิญกับความคลุมเครือของฐานะประเทศราชเช่นเดียวกันกลับไม่ปล่อยให้ความ
คลุมเครือนั้นตำรงอยู่ต่อไป พวกเขาตูจะตระหนักถึงสถานการณ์ที่ดำรงอยู่และฉวย
ประโยชน์จากมันเพื่อบรรลุความมุ่งหมายของตนในอินโดจีน
เช่นเดียวกับอังกฤษในระยะแรกฝรั่งเศสยอมรับอิทธิพลของสยามในกัมพูชา
และลังเลที่จะเข้าแทรกแซงกิจการภายในของกัมพูชา ในปี 2404 ( ค.ศ. 1861 )
40
ราชสำนักเขมรแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ฝรั่งเศสปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเจ้าเขมรฝ่าย
ที่ร้องขอความคุ้มครองจากตน อย่างไรก็ตาม ต่อมาฝรั่งเศสเริ่มตระหนักถึงอีกต้าน
41
ฝรั่งเศสและนักประวัติศาสตร์ภายหลังถือว่าสนธิสัญญาซึ่งมี 19 มาตราในปี
ค.ศ . 1863 ( พ.ศ . 2406 ) ที่ทำให้กัมพูชากลายเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส คือ
หลักหมายที่แสดงความสัมพันธ์แบบอาณานิคมระหว่างสองประเทศ กระนั้นก็ตาม
สยามและกัมพูชาในขณะนั้นอาจไม,ได้เข้าใจสนธิสัญญาในแบบนั้น ไมใช่เพราะ ,
พวกเขาต่อด้านจักรวรรดินิยม แด่เพราะพวกเขาเข้าใจข้อตกลงดังกล่าวด้วยกรอบ
ความคิดที่ด่างกัน ในความเป็นจริง แม้ว่าจะมีสนธิสัญญาดังกล่าว ฝรั่งเศสเองก็มิได้
ห้ามกัมพูชาคงความสัมพันธ์แบบประเทศราชกับสยาม รวมทั้งการส่งบรรณาการให้
สยาม ในปีลัดมา ฝรั่งเศสยังเชิญให้สยามเข้าร่วมในพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์
43
สิ่งที่กงสุลฝรั่งเศสอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์โดยรวมแก่ราชสำนักสยามว่า:
มองสิเออวิโอบาเรต์กงสุลฝรั่งเศสก็ไต้มาคิดกันกับท่านเสนาบดีผู้ใหญ่ จะให้
ฝ่ายไทยแลฝ่ายฝรั่งเศสไปให้พร้อมกัน อภิเศกเธอให้ฝนเจ้ากรุงกัมโพชาต่าย
ตามอย่างอ้างว่าครั้งสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชพระองค์จันนั้นไต้รับสุพรรณ-
บัตรทั้งไปแต่กรุงเทพฯ นี้แล้ว ภายหดังก็ไปรับหองทั้งมาแต่เมืองเวียดนามฝน
สองฝ่าย...( ถึงองค์สมเด็จพระหริรักษ์ฯ ก็เหมือนกัน ได้รับสุพรรณบัตรไปแด่
กรุงเทพฯ แล้ว ก็ไปรับหองข้างกรุงเวียดนาม ).... ในสองคราวเจ้าแผ่นดินเขมร
นั้น เมื่อมีหนังสือมาถึงไทยก็ใช้ชื่อไทย เมื่อมีหนังสือไปถึงญวนก็ใช้ชื่อญวน
ญวนกับไทยไม่ชอบกันจึงแยกย้ายกันทั้ง ด่างคนต่างว่าเมืองเขมรเปนของตัว
ก็ในที่ไทยญวนก็ว่าเมืองเขมรเปนของตัวในคราวเดียวกันดังนี้นั้น ฝรั่งเศส
ไม่ดัตสิน ฝรั่งเศสเปนไมตรีอันสนิทกับไทยก่อนญวนจึงชิงชัง ...จึงมาทำ
สัญญาช่วยทำนุบำรุงเมืองเขมรแทนที่ญวนแด่ก่อน เพราะเปนไมตรีกับไทย
การปติพัทธอันใดของไทยที่มีอยู่ในเมืองเขมรก็ให้คงที่ [ทั้งฝรั่งเศสและไทย]
มีอำนาจในเมืองเขมรเท่ากัน ...การที่กงสุลฝรั่งเศสว่าดังนี้ รูปความก็เข้าเรื่อง
.
กันกับหนังสือที่ฝรั่งเศสเขียนให้เธอที่เมืองอุดงมีไชย ที่ส่งเข้ามาให้ดูนั้นแล
. ศ 1863] ท่านเสนาบดีผู้ใหญ่ได้ฟังดังนี้แล้วปฤกษาเห็น
[ สัญญาปี 2406 / คzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
.
พร้อมกันจะให้พระยามนตรีสุริยวงษ์คุมสุพรรณบัตรแลเครื่องอิศริยยศทั้งปวง
ออกไปทำการอภิเศกแก่เธอ 45
นำมาเสนอนี้อิงอยู่กับระบบการเมืองแบบพื้นถิ่น กล่าวดือพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
ได้เสนอประวิเดศาสตร์กัมพูชาตามฉบับของไทยเพื่อแสดงสถานะของกัมพูชา ( ซึ่ง
ท่านเห็นว่าเป็นซนกึ่งอารยะกึ่งอนารยะ ) ว่าเป็นประเทศราชของสยามซึ่งเป็นชน
ชาติที่มีอารยธรรมสูงส่งกว่า ในระยะเวลาไม่กึ่ปี ฝรั่งเศสเรียกร้องราชสำน้กสยาม
47
การปักปันเขตแดนระหว่างสยามและกัมพูชาก็เริ่มขึ้นหลังจากปัญหาอำนาจ
อธิปไตยเหนือดินแตนกัมพูชาแบบสมัยใหม่เป็นที่ยอมรับร่วมกัน แต่เกิตปัญหา
50
ขึ้นเมื่อสยามและฝรั้งเศสพยายามลากเส้นเขตแตนบนพื่นที่ตามบริเวณตลอตแนว
แม่นั้าโขง เพราะบริเวณที่เป็นกันชนระหว่างมหาอำนาจทั้งสองเต็มไปด้วยเมืองที่มี
อธิปไตยซ้อนทับกันจึงต้องมีการตัดสินกันว่าเมืองเหล่านั้นเป็นของใครกันแน่
บทที่ 4 อำนาจอธิปัตย์ า 57
บทที่ 5
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHG
ชายขอบ
บกกัzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
5
ชายขอบ
ข้อพิพาทระหว่างสยาม - ฝรั่งเศสเหนือดินแดนลาวในช่วงต่อระหว่างศตวรรษที่ 19
และ 20ได้รับการศึกษาอย่างกว้างขวางโดยนักวิชาการอุษาคเนย์โดยทั่วไปจัดแบ่ง
ได้เป็น 3 แนวทาง แนวทางแรกคือจากมุมมองแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
คือตูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสยาม ฝรั่งเศส อังกฤษ และมหาอำนาจยุโรป
บางประเทศ เช่น รัสเชีย และเยอรมนี การศึกษาแนวนี้มุ่งตูนโยบายและการกระทำ
ของเจ้าอาณานิคม การเจรจา สนธิสัญญา นโยบายต่างประเทศของสยาม และผล
กระทบจากสนธิสัญญา แนวทางที่สองศึกษาการเมืองภายในของประเทศที่เกี่ยวข้อง
คือพิจารณาความขัดแย้งระหว่างฝักฝ่ายภายในราชสำนักสยามหรือรัฐบาลต่างๆ
และชีวประวัติของผู้ที่มีบทบาทสำคัญ หรือความสามารถของสยามในการรับมือ
กับจักรวรรดินิยมในแง่ที่เกี่ยวกับกิจการต่างๆภายในประเทศ กองทัพ การบริหาร
ราชการ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญเพื่อรับมือกับภัยคุกคามของจักร-
วรรดินิยม แนวทางที่สามเป็นการอธิบายตัวเหตุการณ์ เช่น การปะทะ ข้อพิพาท
วีรกรรมสำคัญ ๆ และเหตุการณ์ปิดแม่นํ้าเจ้าพระยาบริเวณพระบรมมหาราชรังโดย
เรือฝรั่งเศสในปี 2436 ( ค.ศ. 1 893) หรือที่รู้จักกันในนามวิกฤติการณ์ ร.ศ. 1 1 2
ถึงแม้ว่าจะมีแง่มุมต่างๆ กัน แต่งานศึกษาข้อพิพาทระหว่างสยาม - ฝรั่งเศส
ส่วนใหญ่มีสาระสำคัญ (11า6๓6) เดียวกัน นั่นคือการรุกรานของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส
ชนชั้นนำสยามไต้รับการยกย่องเชิดชูในแง่อัจฉริยภาพทางการทูต ทักษะและสายตา
อันยาวไกลในการรับมือกับสถานการณ์ และความเป็นผู้นำอย่างยากจะมีใครเทียบ
บทที่ 5 ชายขอบ 16 ใ
เคียงได้ต่อกิจการภายในประเทศ งานศึกษาเหล่านี้ตอกยํ้าจนดูเหมือนปราศจาก
ข้อสงสัยแล้วว่า เหตุการณ์ร.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHG
ศ. 1 12 เป็นผลมาจากการรุกรานของจักรวรรดินิยม
ฝรั่งเศส ถึงแม้ว่าข้อพิพาทจะเป็นเรื่องของดินแดน แด่ปัจจัยที่สำคัญที่สุตกลับไต้รับ
ความสนใจน้อยมาก นั่นคือ ธรรมชาติของตัวพี้นที่นั้นเอง
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะธรรมชาติของหลักฐานซึ่งโดยมากเป็นเอกสารโต้ตอบ
ระหว่างกรุงเทพฯ ปารีส และลอนดอน ดังนั้น ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้
จึงสนใจคันหาว่าดินแดนเหล่านี้ถูกแบ่งสรรอย่างไรในเชิงการเมือง มากกว่าจะตูที่
ธรรมชาติของพื้นที่ซึ่งกำลังเปลี่ยนโฉม การทูตและการสงครามจึงเป็นประเด็น
ใหญ่ที่ครอบงำคำบรรยายโตยมาก อย่างไรก็ดี เหตุผลที่ลึกลงไปกว่านั้นก็คือ
นักวิชาการเหล่านั้นปักใจไว้ก่อนแล้วว่าไม มีความแตกต่างใดๆ เกี่ยวกับความรู้
,
และเทคโนโลยีของพื้นที่ทางการเมือง แนวคีตสมัยใหม่ในเรื่องอำนาจอธิปไตย
บูรณภาพแห่งรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ได้ครอบงำการคิดของเราเสีย
จนทำให้เรามองข้ามการดำรงอยู่ของมโนภาพและแบบแผนการปฏิบัติที่แตกต่าง
จากแบบของเราหรือถึงขนาดปฏิเสธไว้ล่วงหน้าด้วยซํ้าไป ในเมื่อเชื่อหัวปักหัว
ป้าเช่นนี้ นักวิชาการจึงมักพยายามสะสางความยุ่งเหยิง คันหาว่าอำนาจอธิปัตย์
ควรเป็นของใครเพียงหนึ่งเดียวเหนือดินแตนที่เป็นข้อพิพาท ด้วยการประเมินจาก
ประวัติศาสตร์ว่าคู่กรณีฝ่ายไหนมีสิทธึ๋ชอบธรรมมากกว่ากัน จิตสำนึกสมัยใหม่
เป็นตัวคัดกรองที่ทำให้ระบบการเมืองและภูมิศาสตร์ที่มีอยู่เดิมซึ่งเราไม คันเคย
,
กลับฟังดูคุ้นเคยมากขึ้นโดยแปลเป็นวาทกรรมสมัยใหม่เสียเลย นักวิชาการเหล่า
นั้นมองไม่เห็นบทบาทที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีพื้นที่แบบใหม่ ผลก็คือ
งานเหล่านี้นำเราไปผิตทาง มองเห็นแด่ทัศนะของรัฐซึ่งต่อมาเป็นรัฐชาติสมัยใหม่
เท่านั้น เมื่อกล่าวถึงกรณีนี้ครั้งใต เราได้ยินแต่การอำงสิทธิ้ของชาติสำคัญๆเท่านั้น
แทบไม่มีใครรู้จักชะตากรรมของประเทศราชเล็กๆ ที่ตกเป็นข้อพิพาทเลย น้อยคน
ที่จะสนใจฟังพวกเขา ทำราวกับว่าพวกเขาครอบครองพื้นที่ที่ตายสนิทไปแล้ว หรือ
ไม่เคยมีชีวิต ไม่มีทัศนะ ไม่มีสิทธิ้เสียง และไม่มีประวํเติศาสตร์เป็นของตนเอง
สภาพการณ์อธิปไตยซ้อนหับกันเป็นเรื่องปกติของอาณาจักรที่เล็กกว่าและ
หัวเมืองน้อยๆตลอดชายแดนสยาม ( ยกเว้นด้านพม่า ) รวมทั้งดินแดนลาวตลอด
แม่นี้าโขงและเลยออกไป ที่น่าสนใจคือ คำคุณศัพท์ที่ใข้เรียกเมืองเหล่านี้ในภาษา
จึงหมายถึงบรรณาการที่ส่งให้อธิราชสองหรือสามแห่งนั่นเอง 2
สถานะและภาวะของหัวเมืองที่ขึ้นกับอธิราชหลายรายนี้เป็นเรื่องปกติและ
เป็นที่รับรู้เข้าใจกันในหมู่อธิราช เชียงแสนซึ่งเป็นเมืองโบราณที่ขึ้นกับเชียงใหม่
เชียงตุง และหลวงพระบางมาโดยตลอด ถูกทอดทั้งไม่มีเจ้าปกครองในช่วงปลาย
ศตวรรษที่ 18 เพราะผู้คนถูกกวาดต้อนหรือพากันอพยพหนีหายไปในช่วงสงคราม
พม่า - สยาม และไม่มีการฟืนฟูจนถึงทศวรรษ 1 880 ( พ.ศ . 2423- 2432 ) ถึงตอนนั้น
ได้มีพวกฉานเข้าไปอยู่และทำมาหากินรอบๆ กำแพงเมืองที่ถูกทอดทั้ง ที่น่าสนใจzyx
* ข้ 0ความดอนนี้แปลตามด้นฉบับซึ่งผิดพลาด เชียงตุงเป็นเมืองอำนาจสูงสุดในหมู่หัวเมืองในแว่น
แคว้นรัฐฉานสิบสองปันนาอยู่เหนือขึ้นไปอีกโดยมีเชียงรุ้งเป็นหัวเมืองใหญ่สุด หัวเมืองเล็กๆ ระหว่าง
ล้านนาและแว่นแคว้นรัฐฉาน มีอาทิเช่น เชียงแขง เชียงแลน เชียงของ เมืองสิง เมืองยอง เป็นต้น -
หมายเหตุเพิ่มเติมฉบับแปล
บริเวณเลียบแม่นํ้าสาละรินทางด้านตะวันดกของล้านนาเป็นดินแดนของพวก
คะยา ( บางทีเรียกว่ากะเหรี่ยงแตงหรือยาง ) รอนัลด์ เรนาร์ต ( ค ก3เ0เ ค6ก3 0เ ) ชี้ว่า
0 โ
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZY
รัฐคะยาเล็ก ๆ เหล่านี้เป็นชายแดนกั้นกลางระหว่างพม่าและล้านนาที่มีพลวัตผันแปร
ไปมา เพราะนับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 17 รัฐคะยาสวามิภักตี้กับทั้งสองฝ่ายและ
บ่อยครั้งก็ขัดขืนต่ออำนาจของสองฝ่าย บางครั้งพวกคะยายังถึงกับสั่งให้เมืองเล็ก ๆ
ที่อยู่ใต้อำนาจเชียงใหม่ส่งบรรณาการให้กับตน 5
ดินแตนของชาวลาวตลอดสองฝังแม่นํ้าโขงก็เต็มไปด้วยหัวเมืองที่อยู่ในภาวะ
ทำนองเดียวกัน ล้านช้างเป็นอาณาจักรหนึ่งที่ทรงอิทธิพลในภูมิภาคคล้ายกัมพูชา
และล้านนา แต่ตกเป็นเมืองประเทศราชของสยามและพม่านับแต่ปลายศตวรรษ
ที่ 1 6 เป็นด้นมา ในทศวรรษ 1 680 ( พ.ศ. 2223- 2232 ) ล้านช้างแตกออกเป็น
สองอาณาจักร คือหลวงพระบางและเวียงจันทน์ และในศตวรรษที่ 18 เวียดนาม
( อันนัม ) ก็เริ่มเช้ามามีบทบาทเป็นเจ้าเหนือหัวอีกราย นับแต่ปลายศตวรรษที่ 18
,
อาณาจักรลาวทั้งสองส่งบรรณาการให้กับสยามและเวียดนามโดยสมํ่าเสมอ ในปี
2369 ( ค.ศ. 1826 ) เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์นำการลุกฮือของประเทศราชต่อต้าน
สยามผู้กดขี่ การพ่ายแพ้ของเวียงจันทน์เปิดโอกาสให้เวียดนามเช้ามามีบทบาท
โดยตรง เพราะเจ้าอนุวงศ์ขอความคุ้มครองจากอันนัม ทั้วทั้งภูมิภาคตลอดแนว
ลำนำโขงดกเป็นเป้าการแย่งชิงกันนับแด่นั้นมา
อาณาบริเวณระหว่างหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และศูนย์อำนาจของเวียดนาม
ในดังเกี๋ยและอันนัม เต็มไปด้วยหัวเมืองเล็กๆ จำนวนมากทำนองเดียวกับทาง
เหนือของล้านนา ส่วนบนของบริเวณนั้นที่ดิตกับตอนใต้ของจีนเรียกว่าสิบสอง-
จุไท เป็นกลุ่มหัวเมืองเล็กๆที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเมืองไลไลเป็นถิ่นที่อยู่ของพวก
ผู้ไทมาแด่โบราณ ไลส่งบรรณาการให้กับหลวงพระบาง ดังเกี๋ย ( ฮานอย ) และจีน
ความเดือดร้อนจากพวกโจรจีนซึ่งเรียกกันว่าฮ่อ ที่อพยพมาจากทางใต้ของจีนหลัง
พ่ายแพ้จากกบฏไต้เผ็ง ( พ.ศ. 2393- 2407 / ค.ศ. 1850- 1864 ) กองทัพของดังเกี๋ย
ให้ความตุ้มครองไลและขับไล่พวกฮ่อออกไป ในขณะที่ไลร้องขอความตุ้มครองจาก
หลวงพระบางด้วยแต่ถูกเพิกเฉย ไลจึงหยุดส่งบรรณาการให้หลวงพระบาง ดังนั้น
ในระยะก่อนหน้าเกิดข้อพิพาทระหว่างสยาม- ฝรั่งเศสนั้น ไลจึงอยู่ภายใต้อิทธิพล
'
ของเวียดนามทงทางวัฒนธรรมและการทหาร
8 8
สยามกับเวียดนาม เวียดนามสถาปนาเจ้าพวนขึ้นปกครองในฐานะประเทศราชของ
ตนโดยพวนต้องส่งบรรณาการให้กับตนเป็นประจำทุกปี อย่างไรก็ตาม พวนตกเป็น
ของสยามอีกครั้งในปี 2428 ( ค.ศ. 1885) ด้วย!เมือของกองทัพเดียวกันกับที่ปราบ
แกง ไล และหัวพันฯ12
บริเวณตลอดแนวสองฝังแม่นั้าโขงเต็มไปด้วยรัฐประเทศราชเล็กๆ ถึงแม้ว่า
เจ้าผู้ครองหัวเมืองเหล่านี้จะถือว่าตนมีอธิปไตยและอำนาจในการปกครองตนเอง
แต่พวกเขาอยู่ชายขอบอำนาจของอธิราชหลายราย กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ใน
สายตาของอธิราชเจ้าเหนือหัว เมืองเหล่านี้เป็นเมืองชายแดนของตนหรือไม่ก็ของ
ศัตรู ในฐานะเมืองชายแดน พวกเขาจึงถูกปล่อยปละทั้งใหัมีอิสระและทั้งถูกละเลย
ตราบเท่าที่ไม่มีสงครามระหว่างเจ้าเหนือหัวในภูมิภาคเกิดขึ้น แต่ในภาวะสงคราม
ประเทศราชใดที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางทัพของสองฝ่ายมักตกเป็นเหยื่อก่อนเสมอ
ในสถานการณ์ที่ผ่อนคลายมากขึ้น เจ้าห้องถิ่นอาจถูกบังคับใหํขึ้นต่ออำนาจของเจ้า
เหนือหัว มิฉะนั้นอาจถูกปลดและแทนที่ด้วยผู้ที่สวามิภักดี้กับเจ้าเหนือหัว ในกรณี
ที่เลวร้ายที่สุด หากพวกเขาไม่ถูกบังคับให้ส่งอาหารและกำลัง ก็อาจเจอกับการ
ปล้นสะดมเผาทำลายและกวาดต้อนผู้คน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายศัตรูใช้ประโยชน์
ดังที่แม่ทัพของสยามกล่าวถึงกรณีของพวนในปี 2376 ( ค.ศ. 1 833):
ระวังระไวอย่าให้พวนซึ่งกวาดมาแล้วหนีกลับไปบ้านเมืองได้ เข้าฤดูแล้งก็ให้
คิดเกลี้ยกล่อมเอาพวนซึ่งตกค้างอยู่นั้นต่อไป ถ้าจะเอามาโดยดีก็ให้เกลี้ย -
กล่อมเอามา ถ้าเห็นว่าจะเอามาโดยตีไม่สิ้นพวนยังตกค้างอยู่ จึงจะโปรดให้
กองทัพไปดีกวาตเอามาให้สิ้น อย่าให้เป็นเชื้อสายทางเสบียงอาหารกับข้าศึก
ต่อไปได้13
อำนาจอธิปไตยช้อน
ในระบบการเมืองที่ดำรงอยู่แด่เดิม ขอบข่ายอำนาจของราชาธิราชแผ่รัศมีออก
ไปในลักษณะเหมือนแสงเทียน เมืองประเทศราชเล็กๆเหล่านี้มักตั้งอยู่บนส่วนท
ขอบข่ายอำนาจของอธิราชหลายรายช้อนทับกัน' 4 ในขณะที่พรมแดนสยามต้าน
พม่าแยกสองฝ่ายออกจากกันนั้น พรมแดนสยามด้านอื่นๆ ล้วนมีอีกอาณาจักรเป็น
เจ้าของร่วม ชายแดนของรัฐเหล่านี้ช้อนหับกัน ในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐแบบจารีต
ชายขอบอำนาจที่ช้อนหับกันอยู่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาถ้าหากมิได้ถูกใช้เป็นเส้นทาง
รุกรานของฝ่ายศัตรู อำนาจอธิปไตยช้อนถือเป็นภาวะปกติที่ได้รับการยอมรับจาก
ฝ่ายต่างๆ แม้แดพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และพม่าก็ยินดีให้เชียงแสนอยู่ภายใต
'
เจ้าเหนือหัวสองฝ่าย 15 ฉะนั้นอธิปไตยที่คลุมเครือเหนือดินแดนประเทศราชจึงม
ประโยชน์และเป็นสิ่งที่อธิราชเองก็ปรารถนา คือแทนที่จะต้องตั้งรัฐอิสระขึ้นมาเป็น
กันชน องค์อธิราชหลายรายกลับมีอำนาจร่วมกันเหนือรัฐในแถบกันชนตราบเท่า
ที่เจ้าประเทศราชชายราชอาณาจักรเหล่านั้นคงความจงรักภักดีต่ออธิราชทุกราย
สยามจึงไม่ใช่เพียงแค่ปราศจากเส้นเขตแดนแบบสมัยใหม่ล้อมรอบตน แต่สยามบัง
ถูกล้อมรอบด้วยชายแดน “ ร่วม ” คือชายแดนที่ใซัร่วมกับรัฐอื่นอีกด้วย
แด่รัฐแบบสมัยใหม่ไม่ยอมใหัมีชายแดนช้อนทับ อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน
ระหว่างรัฐต่าง ๆ ต้องแบ่งแยกจากกันอย่างกระจ่างชัดจนถึงจุดที่อำนาจของสอง
ฝ่ายมาบรรจบกันพอดี ต้องไม่ช้อนทับกันและต้องไม่มีช่องว่างคั่นกลาง ดังนั้นการ
เปลี่ยนสภาพของชายขอบรัฐแบบก่อนสมัยใหม่ให้เป็นดินแดนแบบสมัยใหม่ท
บรรจบกันพอดี หรือสร้างขอบของรัฐแบบสมัยใหม่ขึ้นบนพื้นที่ที่รัฐก่อนสมัยใหม่
เคยถือครองร่วมกัน ย่อมหมายความว่า สามารถมีเส้นเขตแดนได้มากกว่าหนึ่งเส้น
และทุกเส้นย่อมถูกต้องพอๆ กัน เพราะเส้นเขตแดนสามารถจะเป็นตรงไหนก็ไต้บน
หลายคนเริ่มคุ้นเคยกับแนวคิดภูมิศาสตร์การเมืองแบบตะวันตกเซ่นกัน ในระยะที่
ระบอบอาณานิคมซึ่งมาพร้อมกับพลังอำนาจของเส้นเขตแดนและระบบการเมือง
สมัยใหม่กำลังคืบคลานมา สยามจำต้องรักษาสถานะเจ้าเหนือหัวเหนือประเทศราช
ของตนไว่โดยด่วน ด้านหนึ่งผู้ปกครองของสยามตระหนักดีถึงอำนาจอธิปัตย์เหนือ
ดินแดนประเทศราชเหล่านั้นที่ไม่ชัดเจนและรู้ว่าประเทศราชเหล่านั้นยังไม่ได้เป็น
ของสยามแด ผู้เดียว แดในอีกต้าน สยามปรารถนาจะขยายอำนาจเข้ายึดครอง
, ,
ประเทศราชเหล่านั้นไว่ในกำมือตนให้มั่นคงยิ่งขึ้น สิ่งที่แตกด่างจากการคุ้มครอง
ของอธิราชแบบเดิมก็คือ คราวนี้สยามมาพร้อมเครื่องมือกลไกของมหาอำนาจแบบ
ใหม่ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ ระบบการปกครองบริหาร จนถึงการปักปันเขตแดนและทำ
แผนที่ สยามเข้าชิงชัยกับมหาอำนาจยุโรปเพื่อพิชิตและผนวกรัฐชายขอบเหล่านี้
เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนใต้อำนาจอธิปไตยเด็ดขาดเพียงหนึ่งเดียวของตน
ความปรารถนาที่จะแผ่ขยายดินแดนนี้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งตรงไปตรงมา
การก่อร่างพื้นที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
“ของเรา ”
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 นั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่าหลวงพระบางเป็นเมืองสอง
ฝ่ายฟ้าของเวียดนามและสยาม และความจงรักภักดีที่หลวงพระบางมีต่อสยามก็
คลอนแคลนได้ ในช่วงที่พวกฮ่อก่อความเดือดร้อนนั้น กองทัพจากกรุงเทพฯไม่ได้
ให้การคุ้มครองแก่หลวงพระบางเพียงพอ ในปี 2430 ( ค.ศ. 1887 ) หลวงพระบาง
ถูกโจมดีและพระเจ้าล้านช้างหนีเอาชีวิตรอดไปได้ด้วยความช่วยเหลือของกอง
ทหารฝรั่งเศส แม่ว่ากองทัพจากกรุงเทพฯ จะเอาหลวงพระบางคืนมาไดในปีกัดมา
'
แด่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ก็กลับวิตกเกี่ยวกับความจงรักภักดีของหลวงพระบาง
ว่าอาจโน้มเอียงไปทางฝรั่งเศส ในจดหมายราชการลับที่มีไปถึงข้าหลวงไทยประจำ
หลวงพระบางที่กรุงเทพฯ เพิ่งแต่งตั้งไป พระเจ้าอยู่หัวได้บอกถึงกลวิธีผูกใจเจ้าลาว
วิธียุใหัเจ้าลาวระแวงฝรั่งเศส และวิธีโต้แย้งฝรั่งเศส ทั้งนี้ข้อความที่น่าสนใจที่สุด
ลูจะเป็นยุทธศาสตร์ในการเปลี่ยนประเทศราชที่กำกวมให้เป็นประโยชน์กับสยาม:
...ต้องอาไศรยด้วยการโอบอ้อมเอาใจ ชี้แจงให้เห็นการเท็จแลจริงใน
การที่ชาติไทยกับลาวเปนชาติเดียวภาษาเดียวกัน เปนแผ่นดินอันเดียวกัน
...ฝ่ายฝรั่งเศสเปนแต่ผู้อื่น มีความหมิ่นประมาทชาติวงษ์ของพวกลาว
ว่าฝนชาวป่าชาวตง ถือว่าคนฝรั่งเศสผู้หนึ่งผูใตจะมาทำการอย่างใดให้ฟน
ที่ชอบใจเปนคุณแก่เจ้านายในเมืองหลวงพระบางอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ฝนแต่
เหยื่อที่จะมาเกี่ยวเบตล่อให้ติดทันอย่างเดียว
... ถึงแม้ว่านํ้าใจลาวจะถือว่าลาวฝนเราไทยฝนเขาในเวลาที่มีอยู่ด้วย
กันแต่สองพวกเท่านั้นก็ตี แต่เมื่อเอาไทยกับฝรั่งเศสเทียบกันแล้วก็คงเห็น
ไทยฝนเรา ฝรั่งเศสฝนเขา อยู่ฝนธรรมดา 17
นี้คึอจุดประสงค์หลักของความพยายามสำคัญสองประการคือ การปฏิรูปการ
ปกครองท้องถิ่นและการยกทัพปราบฮ่อ ซึ่งน้กประวัติศาสตร์เห็นว่าเป็นมาตรการ
ป้องกันตนเองของสยามจากภัยคุกคามมหาอำนาจยุโรป แด่แท้จริงแล้วปฏิบตการ
ทั้งสองเป็นความพยายามจัดการความกำกวมของพื้นที่ชายขอบที่ซ้อนหับกันอยู่
การปฏิรูปการปกครองท้องถิ่นในทศวรรษ 1 880 และ 1 890 ( พ.ศ . 2423-
2442 ) เป็นประเด็นยอดนิยมหัวข้อหนึ่งสำหรับผู้สนใจเรื่องการทำสยามให้ทันสมัย
อินเดียว่า “ ทั้งข้าพเจ้าและคณะมนตรีเชื่อว่าไม่มีประเทศใดในภูมิภาคดะวันออกนี้
ที่จะเข้าถึงศาสตร์แห่งการปกครองและการดำรงชีพของประชาชนจะได้รับการดูแล
เอาใจใส่ได้ดีเท่า [ อินเดีย ] ” ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ระบบเทศาภิบาลมีความ
19
คล้ายคลึงกับระบบที่เจ้าอาณานิคมคิดด้นมาใช้กับคนพื้นเมือง ในงานนิพนธ์เรื่อง
ชวา สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ผู้ปลุกปันระบบใหม่นี้ เรียกข้าหลวงดัชท์ว่า “ เรสิ -
เดนด์ ( สมุหเทศาภิบาล ) ” 20 ในที่นี้ กรมพระยาดำรงฯ เปรียบข้าหลวงอาณานิคมเข้า
กับเจ้าเมืองในระบบเทศาภิบาล โดยเอาคำว่าสมุหเทศาภิบาลใส่ไว้ในเครื่องหมาย
วงเล็บ เพื่อให้ความหมายแก่คำว่า โ6ธฬธก1 เราคงไม่พลาดที่จะอ่านความหมาย
ความซับซ้อนขึ้นเมื่อเกิดการต่อสู้ใน,หมู่เจ้าผู้ปกครองหัวเมืองเล็ก ๆ กันเอง
1 1
'
มีหลายครั้งที่พวกฮ่อเป็นแคทหารรับจ้างที่ช่วยเจ้าเมืองหนึ่งโจมตีอีกเมือง
'
หนึ่ง บางครั้งพวกฮ่อก็ร่วมมือกับเจ้าเมืองหนึ่งต่อสู้กับเจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งซึ่งเป็น
พันธมิตรกับฮ่ออีกกลุ่มหนึ่ง กองทัพของหัวเมืองกับพวกฮ่อเริ่มผสมปนเปกัน ผู้นำ
ฮ่อหลายคนกลายเป็นเจ้าเมืองและขุนนางของหัวเมืองบางแห่ง จนทำให้สยามถือ
ว่าเจ้าเมืองบางคนเป็นหัวหน้าโจรฮ่อ ความเข้าใจที่ว่าความวุ่นวายเกิดจากกองโจร
ภายนอกภูมิภาคนั้น นับว่ามีส่วนถูกอยู่ แด่การโยนความผิดทั้งหมดไปให้พวกฮ่อ
เป็นความเข้าใจผิดแน่นอน ตัวอย่างเช่น การบุกทำลายหลวงพระบางในปี 2430
( ค.ศ. 1887 ) แท้ที่จริงคือการแก้แค้นของเจ้าเมืองไลด่อการที่กองทัพสยามจับกุม
บุตรชายทั้งสามของตนไปในปี 2429 ( ค.ศ. 1 886 ) แด่ก็เป็นความจริงที่กองทัพ
22
1 887 ) เจ้าพระยาสุรศักดี๋มนตรีตั้งคำถามว่าควรจะผนวกสิบสองจุไทเข้ามาใน
แนะอย่างชัดเจนให้ดำเนินนโยบายฉวยโอกาสต่อเมืองแฝดนี้ กล่าวคือ:
แต่ทางเมืองคำเกิดคำมวนนี้ อยู่ข้างจะเสียเปรียบหลวมตัวมากกว่าทางเมือง
เชียงแสนและเมืองขุนยวม ด้วยฝ่ายญวนตั้งเจ้าบ้านผ่านเมืองเป็นหลักฐาน
ยังมีเคลมของเราที่ว่าเป็นขึ้นสองฝ่ายอยู่ เห็นว่าเวลานี้ฝรั่งเศสเข้าปกครอง
เมืองญวนไม่เต็มมือ คงยังไม่ออกจัดการหัวเมือง ถ้าจะให้เมืองคำเกิดคำมวน
มาคงขึ้นเราได้ด้วยอุบายประการใตก็ให้คิดจัดการไป ถ้าเห็นว่าเป็นการเหลือ
กำลังฤๅจะก่อวิวาทกันขึ้นกับฝรั่งเศส ก็ละวางเสีย ไม่ได้เสียประโยชน์อันใด
นอกจากที่เขตแดนจะไม่ได้แนวเขา... 20
174
I กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวดศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
1 880 ( พ.ศ . 2423- 2432 ) สยามใหักองทัพของ
การยกทัพปราบหัวเมืองในทศวรรษzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFE
ตนตั้งมั่นอยู่ที่หัวเมืองที่พิชิตมาไต้อย่างถาวร “ การคุ้มครอง” จากอธิราชสยามมิได้
อยู่ห่างไกลอีกต่อไป กองทัพสยามเข้าเปลี่ยนแปลงระบบปกครองของรัฐเล็กๆ ที่
ตนพิชิต บางกรณีก็ถอดถอนเจ้าผู้ปกครองเดิมแล้วแต่งตั้งผู้ที่จงรักภักดีต่อสยาม
ขึ้นปกครองแทน ในหลายกรณีก็แต่งตั้งข้าราชการไทยไปปกครองโดยตรง ในกรณี
ที่เจ้าเมืองประเทศราชได้รับอนุญาตให้ปกครองต่อไปก็จะมีข้าราชการสยามคอย
กำกับอีกชั้นหนึ่ง ระบบปกครองใหม่นี้ขึ้นตรงต่อแม่ทัพจากกรุงเทพฯ พื้นที่กำกวมใน
ดินแดนลุ่มนํ้าโขงอันห่างไกลจึงถูกตัดสินด้วยวิธีการทางทหาร กล่าวอีกอย่างหนึ่งได้
ว่า กำลังทางทหารไต้ทำให้ภูมิกายาส่วนนี้ของสยามเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ระบบการบริหารแบบใหม่นี้เป็นกลไกที่สถาปนาความสัมพันธ์แบบใหม่
ระหว่างกรุงเทพฯ กับอดีตประเทศราช จึงเป็นอำนาจอธิปไตยแบบใหม่ของรัฐแบบ
ใหม่ ปฏิบัติการทางทหารไม่ใช่อะไรอื่นแด่ดือการแย่งชิงแล้วผนวกดินแตนนั่นเอง
ทั้งปฏิบัติการทางทหารและระบบบริหารใหม่ได้สถาปนาภูมิศาสตร์การเมืองชนิด
ใหม่ ซึ่งไม่อนุญาตใหัมีชายขอบที่ช้อนหับกันหรืออำนาจอธิปไตยหับซ้อน พื้นผิว
ของโลกไต้ถูกลิขิตขึ้นในแบบใหม่ ภารกิจทางภูมิศาสตร์ที่แฝงมากับการชูธงปราบ
ฮ่อมิความสำคัญต่อซนชั้นนำของสยามในขณะนั้นมากน้อยขนาดไหน สามารถตูได้
จากราชทินนามที่กรุงเทพฯ ตั้งให้เจ้าเมืองท้องถิ่นต่าง ๆ ที่ยอมสวามิภักตี้ แทนที่จะ
ประกอบด้วยคำแสดงอำนาจ บุญบารมีอิทธิฤทธี้และคำมงคลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ
สิ่งศักดิ" สิทธี้ทั้งหลายดังที่นิยมกัน กลับมีราชทินนามพิลึกๆที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
เช่น พระสวามิภักตึ้สยามเขต เพื้ยพันธุระอาณาเขตโกไสย พระพิทักษ์อาณาเขต
พระยาคุมพลพิทักษ์บูรณเขต พระรัตนอาณาเขต และพระยาขัณฑเสมา เป็นต้น 30
เจ้าเมืองท้องถิ่นคงไม่เห่นว่าการเสียเมืองหนนี้มีความแตกต่างไปจากความ
สัมพันธ์ประเทศราชที่พวกเขาเคยรู้จัก พวกเขาคงไม่นึกว่าคราวนี้ดือการควบคุม
ทางการเมืองแบบใหม่ ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติตามสำนึกทางภูมิศาสตร์สมัยใหม่ ปฏิบัติ -
การทั้งหลายไต้ผลิตรหัสที่สื่อถึงความสัมพันธ์สองประเภทพร้อม ๆ กัน ต้านหนึ่งสื่อ
ถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศราชกับราชาธิราชแบบจารีตก่อนสมัยใหม่ ในอีก
ต้านหนึ่งสื่อแทนการเมืองแบบใหม่และภูมิศาสตร์การเมืองชุดใหม่ การขยับเคลื่อน
( ธเาเ II ) เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในทุกขณะที่ดัวแทนของวาทกรรมชุตใหม่มีชัย
เหนือวาทกรรมแบบจารีต กล่าวดือ ในปฏิบัติการที่เหมือนกับการแสดงอำนาจของ
พื้นที่ถูกขจัดไปแล้ว
แน่นอนว่าผู้ปกครองสยามย่อมไม่คิดว่าตนเป็นเหมือนจักรวรรดินิยมตะวันตก
ความแดกด่างสำคัญที่สุดในทัศนะของพวกเขาก็คือ ฝรั่งเศสและมหาอำนาจยุโรป
อื่นๆ เป็นคนต่างด้าวหรือคนด่างชาติ หรือเป็น “ เขา ” (7ก6^ ) แด่สยามเป็น “ เรา”
(พ6 ) สำหรับคนพื้นถิ่นในภูมิภาค หากคำว่า “ ล่าอาณานิคม” ฟังตูรุนแรงเกินไป ก
อาจพูดใหม่ได้ว่าการพิชิตยึดครองมีไต้สองแบบ คือโดย “ พวกเรา ” กับโดย “ พวก
เขา ” ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นความแดกด่างอันทรงพลังที่ทำให้การพิชิตโดย “ พวก
เรา” ตูเหมือนจะมีความชอบธรรมและควรค่าแก่การเฉลิมฉลองมากกว่า ขณะที่การ
พิชิตอีกแบบหนึ่งสมควรถูกประณาม แด่แน่นอนว่าผู้คนของเมืองไล แถง หรือแม
กระทั้งหลวงพระบางคงไม่ได้เห็นว่าสยามเป็น “ พวกเรา” มากเท่ากับเป็น “ พวกเขา”
ชายขอบใหม่: สยามและอังกฤษ
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
สยามมิได้เป็นฝ่ายเดียวที่จัดการกับปัญหาดินแตนกำกวมในช่วงเวลาเดียวกันกับท
สยามกำลังดำเนินการปฏิรูป และยาดรากองทัพของตนไปทั่วลุ่มนํ้าโขง มหาอำนาจ
ยุโรปก็เข้ามาร่วมจัดสรรดินแดนที่กำกวมนี้ด้วยเช่นกัน ในแง่หนึ่งเท่ากับว่าทุกฝ่าย
ร่วมไม้ร่วมมือกันเปลี่ยนถ่ายแทนที่พื้นที่ทางการเมืองแบบจารีตของพื้นถิ่น ดังนั้น
การปะทะขัดแย้งมิได้เกิดขึ้นระหว่างกองกำลังทหารของฝ่ายต่างๆ เท่านั้น แด ยัง '
เกิดขึ้นระหว่างกรอบความรู้ภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันอีกด้วย
อังวะได้อ้างสิทธิ้ของตนกับรัฐบาลอังกฤษที่อินเดียว่าเจ้าเมืองคะยาหลายเมืองได้
ส่ง “ สาวพรหมจารีให้กับกษัตริย์พม่าเป็นบรรณาการแสดงความสวามิภักดื่ ” และ
ประเพณีนี้ได้ดำเนินมา “ ตั้งแต่กำเนิดของโลก ” ทูตพม่าอ้างว่าชาวคะยา “ ไต้ถือ
คำสาบานแสดงความจงรักภักดีต่อพม่าตลอตมานับแต่โบราณกาลจนถึงไม่กี่เดือน
ที่ผ่านมา ” ดังนั้นอังกฤษจึงสนับสนุนเจ้าเมืองคะยาที่ปฏิเสธการอำงสิทธิ้ของ
33
ดินแดนระหว่างเชียงตุงกับเชียงใหม่เต็มไปด้วยกรณีที่อาจกลายเป็นข้อ
พิพาท สยามและอังกฤษตกลงแก้ปัญหาด้วยการแต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่เพื่อสอบ
ถามคนท้องถิ่นและสำรวจพื้นที่ จุดที่เป็นปัญหามากที่สุดคือเมืองสิง ซึ่งไม่รู้ว่าขึ้น
กับเชียงตุงที่กลายมาเป็นของอังกฤษ หรือขึ้นกับน่านที่เป็นของสยามกันแน่ ทั้งนี้
เจ้าเมืองสิงเป็นญาติกับเจ้าเมืองเชียงตุง แต่สวามิภักดิ้กับน่านและส่งด้นไม้เงิน
ต้นไม้ทองให้กับกรุงเทพฯ ด้วย เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้น เจ้าเมืองสิงถึงกับเสนอว่าจะ
ส่งบรรณาการแบบเดียวกันนี้ให้กับอังกฤษด้วยเพื่อแสดงความจำนงที่จะอยู่ใต้
อำนาจของอังกฤษ35
การสืบถามและเจรจาต่อรองดำเนินไปดลอดปี 2434- 2435 ( ค.ศ . 1891 -
1892 ) ในที่สุดทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อดกลงในปี 2435 โดยยกเมืองสิงให้กับสยามและ
ยกเมืองคะยาทั้งห้าพร้อมป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ให้กับอังกฤษ การสำรวจ การ
36
ดูเหมือนว่าทัศนคติของผู้นำสยามที่มีต่ออังกฤษในขณะนั้นผสมปนเปกันระหว่าง
ความกลัวกับความนับถือยกย่อง และความปรารถนาจะสร้างไมตรีและเป็นพันธมิตร
กับอังกฤษด้วย ซึ่งแดกด่างจากทัศนคติที่พวกเขามีต่อฝรั่งเศสซึ่งค่อนไปทางเป็น
ศัตรูเสียมากกว่า
อังกฤษมีอิทธิพลมากพอควรในหมู่ชนชั้นปกครองของสยาม เหตุการณ์หนึ่ง
ที่แสดงถึงอิทธิพลดังกล่าวก็คือบทบาทของอังกฤษในวิกฤติการณ์วังหน้าปี 2417
( ค.ศ. 1 874 ) ที่ความขัดแย้งในราชสำนักสยามเกือบจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง
อังกฤษเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทดังกล่าว อีกกรณีหนึ่งที่แสดงถึง
38
ส้มพันธภาพพิเศษระหว่างอังกฤษกับสยาม ก็คือกรณีความขัดแย้งกับฝรั่งเศส
สยามตั้งความหวังไว้สูงมากว่าอังกฤษจะช่วยเหลือตน ผู้ปกครองสยามรายงานให้
อังกฤษรับรู้ถึงความขัดแย้งกับฝรั่งเศสอย่างละเอียด รวมทั้งขอคำปรึกษาจาก
อังกฤษในทุกชั้นตอน สยามถึงกับขออยู่ใต้ “ การอารักขาแบบผ่อนปรน” ของ
39
อังกฤษ แด่อังกฤษปฏิเสธที่จะทำการใดๆที่เป็นปฏิปักษ์กับฝรั่งเศสเพื่อหลีกเลี่ยง
การยั่วยุฝรั่งเศส ในทางดรงกันข้าม อังกฤษกลับแนะนำให้สยามยอมแพ้และยอม
ปล่อยดินแดนฝ่งซ้ายของแม่นํ้าโขงตามที่ฝรั่งเศสเรียกร้อง 40
คุกคามอังกฤษ ปรากฏการณ์เหล่านี้อาจชวนให้หวนนึกถึงความส้มพันธ์ระหว่าง
41
เคดะห์กับอังกฤษที่ปีนัง และการเมืองแบบจารีตที่แสวงหาความคุ้มครองผ่านการ
สร้างพันธมิตรกับมหาอำนาจที่เหนือกว่าฝ่ายหนึ่งเพื่อสู้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ฉะนั้นจึง
ในขณะนั้นสยามมีความหวังว่าสนธิสัญญานี้จะช่วยชักนำให้อังกฤษเข้าแทรกแซง
ในความชัดแย้งระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ทั้งยังหวังว่าความดกลงดังกล่าวจะเป็น
หลักประกันว่าสยามจะไต้รับความช่วยเหลือจากอังกฤษ และอังกฤษจะไม่ห้ามการ
ส่งอาวุธผ่านชายแดนระหว่างทั้งสองประเทศ ความหวังดังกล่าวช่างไม่ด่างกับ
42
ของสุลต่านเคดะห์คือเป็นเพียงความหลงละเมอเพ้อพกครั้งใหญ่
การอุบัติบองรอยต่อระหว่างทรแแตนด้วยกำลังทหาร
ผิดกับกรณีสยาม - อังกฤษ ความข้ตแยังระหว่างสยามและฝรั่งเศสเพื่อตัดสินพื้นที่
กำกวมตลอดแม่นั้าโขงกลับเต็มไปด้วยความรุนแรง ฝรั่งเศสเริ่มยุทธการยึดครอง
บริเวณนั้นช้ากว่าสยามสองปี ดังที่นักประวิดศาสตร์คนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ฝรั่งเศสพบ
ว่า “ มีด่านเล็กๆของสยามปรากฏอยู่ตลอดแนวลันปันนา... กองทหารไทยยึดครอง
ดันเขาดลอดแนวที่มองลงมายังที่ราบอันนัม ” ดังนั้นฝรั่งเศสจึงอ้างสีทธึ๋ของตน
43
ตอบโต้สยามและประท้วงการตั้งกองทหารของไทยในภูมิภาคนั้น
บันทึกและแผนที่ทั้งหลายซึ่งทำโดยชาวยุโรปในศตวรรษที่ 19 ล้วนแด่ระบุว่า
ดินแดนที่อย่นอกเหนือลุ่มนั้าเจ้าพระยาล้วนเป็นประเทศที่แยกด่างหากจากสยาม
ดังเช่นที่ ออกุสต์ ปาวี ( ^ มฐปธ๒ โ,3ห่6) กงสุลฝรั่งเศสประจำหลวงพระบางและ
กรุงเทพฯ ในช่วงที่เกิตข้อพิพาทเคยกล่าวไว้ ปาวีซึ่งเป็นนักสำรวจและนักบุกเบิก
อีกด้วย มีความเห็นว่าขอบเขตดินแดนของสยามจำกัดอยู่ในบริเวณลุ่มนั้าเจ้าพระ-
ยา แด่ก็ไม่ชัดเจนว่าอำนาจอธิปัตย์ของสยามเหนือดินแตนลาวนั้นมีมากน้อยเพียง
ใดและบรรจบกับอำนาจของเวียดนามตรงไหน ด้วยเหตุที่สยามรุกคืบก่อนและไต
44
ยึดครองดินแดนที่พิพาทกันเกือบทั้งหมดก่อนหน้าฝรั่งเศส ทำให้สยามอยู่ในฐานะ
เป็นต่อฝรั่งเศสเล็กน้อยในแง่การครอบครองพื้นที่ ฝรั่งเศสจึงต้องประท้วงอย่าง
หนักต่อการดำรงอย่ของกองทัพสยามและสิทธึ้ในการครอบครองดินแตนเหล่านั้น
ปาวีโต้แย้งว่าจารีตการเมืองท้องถิ่นที่มีการสวามีภักตึ๋ตออธิราชหลายรายนี้มิได
หมายความว่าประเทศราชสูญเสียอำนาจอธิปไตยของตนเองไป ซึ่งหมายความว่า
สยามมิไต้มีสิทธี้มากไปกว่าจีน อันน้ม หรอพม่า เขายังอ้างพงศาวดารของหลวง-
พระบางที่แทบไม่ได้เอ่ยถึงสยามในประวิดศาสตร์ลาวดักเท่าไร ที่กลับตาลปัตรก
45
บอกกับเขาว่าหลวงพระบางไม่ได้ถูกสยามพิชิตยึดครอง แต่หลวงพระบางสมัครใจ
ที่จะส่งบรรณาการให้กับสยามเพราะหวังจะไต้รับการคุ้มครองหากถูกโจมดี (จาก
คนอื่น) และเห็นได้ชัดว่ากษัตริย์หลวงพระบางไม่พอใจกับผลที่เกิตขึ้น ปาวีรายงาน
ถึงคำที่กษัตริย์หลวงพระบางกล่าวอ้างตามวาทกรรมแบบจารีตพื้นถิ่นว่า “ เราไม่
ต้องการเกี่ยวข้องกับพวกเขา ( สยาม ) อีกต่อไป หากลูกชายของเราเห็นด้วย เราจะ
ขอมอบตัวเราเป็นของขวัญให้แก่ฝรั่งเศส ภายใต้เงื่อนไขว่าฝรั่งเศสจะต้องป้องกัน
เราจากหายนภัยในอนาคต” อย่างไรก็ตาม ไม มีราชาธิราชใตที่สามารถป้องกัน
,
47
ไม่ให้เกิดหายนภัยดังกล่าวขึ้นได้เพราะราชาธิราชเองคือที่มาของหายนภัยดังกล่าว
ยิ่งไปกว่านั้นกษัตริย์ลาวมิได้ตระหนักว่า ภายใต้วาทกรรมภูมิศาสตร์แบบใหม่ซึ่ง
ทั้งสยามและฝรั่งเศสเป็นตัวแทนอยู่นั้น วาทกรรมการมอบของขวัญเพื่อแสดงความ
สวามิภักดี๋โดยไม่ต้องถูกยึดครองไม่สามารถตำรงอยู่ได้อีกต่อไป
หลักฐานที่แสดงสวามิภักดิ้ อันเป็นวิธีการที่แต่ละฝ่ายใช้เพื่อสนับสนุนข้ออ้าง
ของตนและปฏิเสธความชอบธรรมของอีกฝ่ายไม่อาจเป็นข้อพิสูจน์อะไรไต้เลย ข้อ
โต้แย้งที่ใชัก็ถูกและผิดได้เท่าๆกัน ชายแดนที่กำกวมนี้ต้องถูกตัดสินลงไปสักทาง
ไม่ว่าจะด้วยวิถีทางสันติหรือรุนแรง เพราะเหตุว่าในตัวของมันไม่สามารถจะนำเอา
เหตุผลใดๆหรือเอาประว่ติศาสตร์มาตัดสินได้ ปาวีกล่าวได้ถูกต้องว่าสยามจำต้อง
ใช่วิถีทางทหารเพราะหลักฐานทางภูมิศาสตร์และชาติพันธุไม่เพียงพอจะสนับสนุน
การอ้างสิทธึ้ของตน และเขาถูกต้องอีกเช่นกันที่กล่าวว่าการปราบฮ่อเป็นเพียง
ข้ออ้างของสยามเพื่อเข้าแทรกแซงประเทศราช อย่างไรก็ตาม ความเห็นของปาวี
48
ก็ใช่โต้กับฝรั่งเศสได้ไม่ด่างกัน กลายเป็นว่าความพยายามที่จะขจัดความกำกวม
ของชายแดนในภูมิภาคนี้ กระทำด้วยการใช้กำลังจากทั้งสองฝ่าย
กองทหารของทั้งสยามและฝรั่งเศสยาดราเข้าสู่ดินแดนลุ่มนํ้าโขง ชักธงของ
และเจ้าเมืองมาเป็นตัวดินแดนจริงๆ สำหรับสยามในเวลานั้นผืนดินทุกกระเบียดนิ้ว
เป็นสิ่งพึงปรารถนา มิใช่เพราะมูลค่าเชิงเศรษฐกิจ แด่เพราะความสำคัญของผืนดิน
ที่แสดงถึงอำนาจอธิปไตย ศักดี๋ศรีของพระมหากษัตริย์ และความเป็นชาติ นับแต่
การเผชิญหน้ากันครั้งแรกในปี 2431 ( ค.ศ. 1888) จนถึงวิกฤติการณ์ปี 2436 (ค.ศ.
1 893) หรือที่รู้จักกันดีในนามวิกฤติการณ์ร.ศ. 1 1 2 สยามได้ทุ่มเทความพยายาม
อย่างเต็มที่เพื่อทำให้พื้นที่ชายแดนอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของตนอย่างมั่นคง สิ่งที่
บทที่ 5 ชายขอบ 1 81
0 ย่างหลีกเลี่ยงไมไต้ก็คือ การจัดการกับบริเวณชายแตนตามแบบจารีต
ดามมาzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
,
ธรรมเนียมแต่โบราณจะต้องเปลี่ยนไป การสอดส่องตรวจตราชายแดนต้องเข้มงวด
กวดข้นมากขึ้น มีการส่งกำลังเข้าไปเสริมดามจุดด่างๆ ดลอดชายแตน ไพร่ราบถูก
เกณฑ์แรงงาน จับฉลากผลัดกันเข้าไปตั้งค่ายชั่วคราวอยู่ในบริเวณซึ่งไม่เคยมีคน
อาศัยอยู่ 50
แน่นอนว่าปฏิบัติการและความใส่ใจในเรื่องเหล่านี้คงเป็นสิ่งแปลกปลอม
สำหรับบรรพชนของพวกเขา สนามรบได้เปลี่ยนจากการปกป้องกำแพงเมืองไปลู่
จุดปะทะอื่นๆ รวมถึงพื้นที่รกร้างปราศจากผู้คนอยู่อาศัยหรือทรัพย์สินใดๆ เหตุ-
การณ์หลายอย่างที่น่าไปสู่วิกฤติการณ์ปากนํ้าและการปิดปากนํ้าเจ้าพระยาเกิดขึ้น
ในพื้นที่ซึ่งคงถูกมองข้ามไปหากความคิดภูมิศาสตร์แบบจารีดก, อนสมัยใหม่ยัง
ครอบงำอยู่ การปะทะครั้งสำคัญเกิดขึ้นในเตือนเมษายน 2436 ( ค.ศ . 1893) เหนือ
สันดอนกลางแม่นํ้าโขงที่ไม่มีคนอยู่อาศัย เหตุการณ์นี้นำไปสู่วิกฤติการณ์ไน
51
ภูมิภาคและเขยิบเป็นระต้บระหว่างประเทศเมื่อฝรั่งเศสส่งเรือป็นสองลำเข้าปิดปาก
นี้าเจ้าพระยา นี่เป็นเพียงการรุกคืบทางยุทธศาสตร์อีกครั้งเพื่อตัดสินความกำกวม
'
ของพื้นที่
กรณีพิพาทระหว่างฝรั่งเศส- สยามได้รับการพิจารณามาเป็นเวลานานว่าเป็น
ความขัดแย้งระหว่างสองชาติ แด่หากพิจารณาในแง่การผลักไสแทนที่ภูมิศาสตร์
การเมืองแบบประเทศราชอย่างเติมด้วยภูมิกายาแบบใหม่แล้ว คู่กรณีทั้งสองฝ่าย
กลับยืนอยู่ข้างเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายด่างใช้พลังของความรู้สมัยใหม่เข้าปะทะและ
สยบความรู้แบบจารีตของพื้นถิ่น ปริมณฑลของอำนาจแบบที่ช้อนกับกันถูกตัดสิน
และแบ่งสรรกันไป แนวบรรจบกันที่อุปดขึ้นคือปลายสุดของดินแดนของแด่ละฝ่าย
ทำหน้าที่เป็นเส้นเขตแดนอันบางเฉียบและชัดเจนที่แบ่งแยกดินแดนของสองฝ่าย
ยิ่งไปกว่านั้น อาณาจักรที่ถูกกำหนดด้วยเส้นแบ่งเขตชนิดใหม่นี้ยังถูกกลไกการ
ควบคุมชนิดใหม่เปลี่ยนสภาพจนกลายเป็นบูรณภาพของดินแดนที่เป็นอันหนึ่ง
อันเดียวกัน การกระทำและเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้เป็นช่วงขณะต่างๆ ของการ
เปลี่ยนเคลื่อน ( ๓0๓6ก13 01 รเาเ115 ) และการแทนที่กันของวาทกรรมทางภูมิศาสตร์
ได้อุบดิขึ้น เราสามารถมองการปะทะต่างๆ และวิกฤติการณ์ร.ศ. 1 12 ได้ว่าเป็นช่วง
ขณะที่นำไปสู่การอุบดิขึ้นของอธิปไตยเหนือดินแดนและระเบียบโลกแบบสมัยใหม่
และความหมายใหม่ของผืนดิน
แผนที่: เกคโน!ลยึไหม่ของพื้นที่/ภูมิ
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
นับแต่ยุคเริ่มแรกที่ชาวยุโรปออกเดินทางจนกระทั่งถึงยุคอาณานิคมในศตวรรษที่ 1 9
ภูมิศาสตร์เป็นศาสตร์อันทรงพลังซึ่งแยกไม่ออกจากความรู้เกี่ยวกับโลกตะวันออก
สำหรับคาบสมุทรมลายูนั้น ชาวจีนเดินทางแวะเวียนมาเป็นประจำและได้ทำแผนที่
ชายฝังแถบนี้ไวัเป็นจำนวนมาก แผนที่เหล่านี้บางชิ้นเป็นแหล่งความรู้มีค่าสำหรับ
ซาวยุโรป เช่น มาร้โค โปโล ( โเ/!31-๐๐ เ^ เถ) ซึ่งทำแผนที่ออกมาในช่วงปี ค.ศ. 1 292-
1294 ( พ.ศ . 1835 1837 ) นับแต่นั้นมาดินแดนแถบนี้ก็ปรากฎบนแผนที่ทั่งยุค
-
1
บนแผนที่ของชาวยุโรปหลังจากนี้มาก ในแผนที่การค้นพบโลกใหม่ของโปรตุเกส
ไม่มีสยามปรากฎจนกระทั่งครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 นับจากนั้นมาสยามจึงค่อย
เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักทำแผนที่คนสำคัญ ๆ 3
สยามในแผนที่ของชาวตะวันตก
ในศตวรรษที่ 1 7 ฝรั่งเศสและดัทช์เป็นผู้นำด้านเทคนิคการทำแผนที่ ผู้นำหลาย
รุ่นของสมาคมวิทยาศาสตร์ที่ราชสำนักฝรั่งเศสจัดตั้งชิ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญแผนที่ 4
ประเทศทั่งสองยังเป็นผู้นำของบรรดามหาอำนาจยุโรปในการสำรวจโลกตะวันออก
สมัยนั้น ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในทศวรรษ 1680 ( พ.ศ.
2223- 2232 ) มีผลต่อความก้าวหน้าของความรู้ภูมิศาสตร์และการทำแผนที่ของ
เจมส์โลว์ ผู้ผลิตแผนที่ของภูมิภาคที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเพื่อเป็นทางไต่เด้าในหน้าที่
การงานของตน โลว์ตระหนักว่าภาคพื้นอุษาคเนย์เป็นดินแตนที่มีคนรู้จักน้อย
10
สถานะของความรู้เกี่ยวกับภูมิศาสตร์สยามในหมู่ชาวยุโรปในขณะนั้น โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งพัฒนาการในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 1 9
ดินแตนตอนในบนแผนที่ในช่วงเวลานั้นยังเป็นแตนปริศนา (๒โโส เก009ก!๒)
ตัวอย่างเช่นในหนังสือชื่อดังของเซอร์จอห์น เบาว์ริง ซึ่งดีพิมพ์ในปี 2400 ( ค.ศ .
1 857 ) เขาเชื่อว่าระหว่างที่ราบลุ่มภาคกลางกับล้านนามีทะเลทรายคั่นกลางอยู่
12
อีกทั้งเข้าใจว่าลำนั้าโขงนั้นไหลตรงจากต้นนั้าลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนหน้า
ที่งานสำรวจของฟรองซีส์ การ์นิเยร์ ( เนิ สก0เ5 ดสโกเ6โ ) จะตีพิมพ์ออกมาในปี 2407
'
เฉียงเหนือของไทยในปัจจุบันแทบไม่มีอยู่บนแผนที่เลย ปรากฎเป็นแค่แถบพื้นที่
แคบๆ ระหว่างแม่นั้าโขงกับเทือกเขาตลอดแนวตะวันออกของสยามเท่านั้น สยาม
ในความรับรู้ของชาวยุโรปที่มีมาจนถึงทศวรรษ 1850 (พ.ศ. 2393- 2402) จึงดูไม่
เหมือน “ ขวานโบราณ” เลยสักนิด เอกสารของด้นศตวรรษที่ 1 8 ชี้นหนึ่งกล่าวว่า
สยามมีรูปทรงคล้ายเสี้ยวดวงจันทร์ด้วยซํ้าไป เห็นได้ชัดว่าแผนที่เหล่านี้อาศัย
14
พวกเขาเข้าใจผิดว่ารัฐที่เข้มแข็งหนึ่ง ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเข้ายึดครองรัฐที่อ่อนแอกว่า
มิใช่มีอธิราชหลายรายในเวลาเดียวกันโดยไม่มีเส้นเขดแดนตรงชายขอบ การกล่าว
เช่นนี้มิใช่เพื่อพิสูจน์หรือลบล้างการอ้างสิทธึ๋ ทางประวิดศาสตร์แต่อย่างใด แต่เพื่อ
'
ชี้ว่าชาวยุโรปในขณะนั้นรับรู้เกี่ยวกับสยามในเชิงภูมิศาสตร์อย่างไร และอะไรคือ
สิ่งที่คนท้องถิ่นที่เป็นแหล่งข้อมูลมองว่าเป็นสยามและไม่ใช่สยาม แผนที่และข้อมูล
เหล่านี้อาจแสดงให้เห็นว่าในมโนภาพของชาวสยามในขณะนั้น พวกเขาเองก็ไม่ไต้
เห็นว่าล้านนา ลาว และกัมพูชา เป็นส่วนหนึ่งของสยามแด่อย่างใด
การทำแผนที่แบบตะวันตกในสยาม
ไม่มีหลักฐานว่าการทำแผนที่ของชาวฝรั่งเศสและดัทช์น้บตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 7 มีผล
กระทบต่อการทำแผนที่ของสยามหรือไม่อย่างไร ก่อนหน้ารัชสมัยของพระจอม -
เกล้าฯ ราชสำนักยังมิได้สนใจหรือเสียเวลากับการสำรวจดินแดนยกเว้นในกรณีการ
สำรวจเส้นทางรบเข้าสู่พระนคร เช่น แผนที่ร่องนั้าแม่นี้าเจ้าพระยาของครอว์เฟิร์ด
ที่ถูกประท้วงจากราชสำนัก ครั่งหนึ่งคนส่งสาส์นของอังกฤษซึ่งต้องการเดินทาง
16
แนวคิดดะวันตกและอุปกรณ์วีทยาศาสตร์มากกว่า ลูกโลกและแผนที่เป็นหนึ่งใน
อุปกรณ์ที่พวกเขาชื่นชอบ สำคัญขนาดไหนเห็นได้จากของขวัญที่คณะทูตตะวันดก
มุ่งหมายแอบแฝงบางอย่าง หรือเพราะผู้รับเองปรารถนาจะได้และเป็นเจ้าของ
แผนที่พวกนี้ แต่กล่าวได้ว่าแผนที่เป็นของขวัญพิเศษพอที่จะมอบให้กับzyxwvutsr
“ ค6 X
813๓6กธเบ๓” ซึ่งเป็นนามที่พระเจ้าอยู่หัวเองนิยมใช้ในจดหมายโต้ตอบกับชาวด่าง
ชาติ สำหรับชนชั้นนำสยามแล้ว การได้พบกับคณะทูตจากนานาประเทศที่ห่างไกล
และเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขามาพอสมควร โตยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เห็น ประเทศ
เหล่านั้นบนแผนที่ * พวกเขาจะห้ามใจไม นึกจินตนาการหรือปรารถนาที่จะเห็น
,
สยามปรากฏีอยู่บนแผนที่เช่นเดียวกับอารยประเทศเหล่านั้นได้หรือ ? สยามอยู่ตรง
นั้นและกำลังจะถูกรวมไว้บนลูกโลกด้วย แด่ว่าบนแผนที่ขณะนั้นสยามยังเป็นแดน
ปริศนาที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักแม้กระทงต่อชนชั้นนำสยามเอง สยามอยู่ตรงนั้นแหละ
แด่ยังตกสำรวจและไม่เป็นที่รู้จักนัก
ผู้นำสยามในยุครัชกาลที่ 4 ให้ความร่วมมือและพร้อมที่จะทำงานร่วมกับชาว
ด่างชาติมากขึ้นแม้ว่าจะมีแค่แผนที่ตามแบบเก่าๆ ก็ดาม อันที่จริงต้องนับว่ามาก
กว่าให้ความร่วมมือเสียอีก กล่าวคือพวกเขาช่วยขยายบทบาทของแผนที่เข้าไป
ในกิจการต่างๆของรัฐอย่างเอาการเอางานและสร้างสรรค์ ในช่วงห้าปีสุตท้ายของ
รัชกาลที่ 4 ทางราชสำนักได้ออกจดหมายและคำสั่งจำนวนมากเพื่อสอบถามเจ้า -
หน้าที่ท้องถิ่นเกี่ยวกับชายแดนด้านพม่าและกัมพูชา มีการติดต่อสื่อสารกันเกี่ยว
กับการสำรวจทำแผนที่ท้องถิ่นต่างๆ ของสยามขณะนั้น เช่น พิษณุโลก พึมาย และ
ปราจีน เอกสารติดต่อบางขึ้นมีเนี้อหาเกี่ยวกับการสำรวจร่วมกับฝรั่งเศสในศรีโส-
ภณ (ขณะนั้นอยู่ตรงชายแดนไทย - กัมพูชา มิใช่ภายในกัมพูชาดังปัจจุบัน) , นี่นำ 9
จะเป็นสัญญาณแรก ๆ ของมโนภาพชุดใหม่เกี่ยวกับการปกครองบริหารดินแดน
ราวช่วงเวลาเดียวกัน การเจรจากับอังกฤษและฝรั่งเศสเกี่ยวกับชายแดน
หลายจุดทั้งด้านตะวันดกและตะวันออกก็กำลังตำเนินอยู่ แต่ไม่มีหลักฐานว่าสยาม
ได้พยายามสร้างแผนที่ภูมิกายาของตนขึ้นมา จนกระทั้งถึงปี พ.ศ . 2409 ( ค . ศ .
1866 )เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทราบว่าคณะสำรวจของฝรั่งเศสกำลังสำรวจ
บริเวณดามลำนั้าโขง จึงได้ตระหนักว่าสยามจะต้องทำอย่างเดียวกัน ราชสำนักได้
* เน้นตามต้นฉบับ
พระวิภาคภูวดล จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้น์าทีมสำรวจให้กับรัฐบาลสยาม
' 23
การวางโครงข่ายสามเหลี่ยมจากอินเดียเสร็จสิ้นลงและกลายเป็นฐานให้กับ
การสำรวจเพื่อทำแผนที่ของสยาม แต่ว่าหลังเสร็จภารกิจนี้แมคคาร์ธีและคณะ
24
ของเขาได้กลับมาทำโครงการปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย ผลงานบางส่วนของพวก
เขาได้แก่:
ของพม่า
ปี 2425 ( ค.ศ . 1882 ) : ทำแผนที่ย่านสำเพ็งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บ
ภาษีรายหัวชาวจีน
ปี 2425- 2426 ( ค.ศ . 1882 - 1 883) : ทำแผนที่เส้นเขตแตนระหว่างระแหง
กับเชียงใหม่เพื่อแกไขข้อพิพาทเรื่องจัดเก็บภาษีตัดไม้
ปี 2426 ( ค.ศ . 1 883) : ทำแผนที่เส้นเขตแตนระหว่างปัตตานีของสยามกับ
ฟรักของอังกฤษ 25
กระนั้นก็ตาม เทคโนโลยีของชาวยุโรปนี้ก็มิได้เป็นที่ต้อนรับนักสำหรับคน
พื้นเมือง พระยามหาอำมาตยาธิบตี ( เส็ง ) นักสำรวจและทำแผนที่คนสำคัญของ
สยามที!่ เกฝนวิชาจากแมคคาร์ธี กล่าวว่างานของพวกเขาต้องพบอุปสรรคมากมาย
แม้กระทั่งจากพวกเจ้าและขุนนางด้วยกันเอง เนื่องจากกลัวว่าทรัพย์สินของตน
อาจถูกรัฐยึดเอา การทำงานของพวกเขาถูกจับตามองแทบทุก!) ก้าว ในบันทึกของ
แมคคาร์ธิ เขาบ่นบ่อยครั้งถึงอุปสรรคจากขุนนางท้องถิ่นที่ทำให้งานของเขายาก
ลำบากกว่าที่ควรน้องชายของพระยามหาอำมาดยาฯ ถูกฆ่าตายขณะทำการสำรวจ
ในสิบสองปันนาเพราะชาวบ้านไม่ต้องการให้สำรวจ อย่างไรก็ตามความเปลี่ยน-
26
สำหรับผู้ปกครองในกรุงเทพฯ การทำแผนที่มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นอย่าง
รวดเร็ว กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสยามพอๆ กับถนนหนทาง ไฟฟ้า โทรเลข และ
ทางรถไฟ พนักงานทำแผนที่ขุดแรกแต่งตั้งขึ้นในปี 2418 ( ค.ศ. 1 875 ) โตยคัตเลือก
ทหาร 50 นายจากกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ตั้งเป็น “ [ฒแย่สโX [ะก9เก66โร
0เ ย่า6 ค0X 31 80๘X 9 บ31X1” ภายใต้การบังคับบัญชาของอลาบาสเตอร์ นับเป็น
28
ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อแกหัดเจ้าหน้าที่มาเป็นผู้ช่วยแก่ช่างเทคนิคชาวยุโรป โรงเรียน
นี้รับน้กศึกษาจำกัดจำนวนตามความต้องการของรัฐ ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานขุนนาง
ผู้ใหญ่ ส่วนหนึ่งของวิชาที่สอนคือคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์แบบตะวันตกและ
การใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่ซับช้อน นักศึกษายังได้เรียนการคำนวณหาพิกัด
และการวัตภูมิประเทศด้วย โรงเรียนแผนที่เป็นหนึ่งในโรงเรียนแบบตะวันตกซึ่ง
29
มีอยู่ไม่กี่แห่งในขณะนั้น และเป็นโรงเรียนเดียวของรัฐบาลสยามที่มีการสอนภาษา
อังกฤษและวิทยาศาสตร์ตะวันตกอย่างเข้มข้นเนื่องจากเป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับ
การทำแผนที่ ทว่าด้วยความที่เป็นโรงเรียนฟิกสอนเฉพาะด้าน มิใช่การศึกษาแบบ
'
สามัญ งานวิจัยที่เกี่ยวกับการศึกษาสมัยใหม่ในประเทศไทยจึงแทบไม่ได้เอ่ยถึง
สถาบันแห่งนี้เลย 30
การทำแผนที่มิได้เป็นเทคโนโลยีต่างด้าวในสยามอีกต่อไป
การปฏิรูปแสดงให้เห็นการเปลี่ยนผ่านมหาศาลของมโนภาพเกี่ยวกับแผ่นดิน
ของสยาม เป็นครั้งแรกที่ชนชั้นปกครองสยามพยายามที่จะรู้จักหน่วยต่างๆ ที่
กระบวนทัศน์ในการรับรู้เข้าใจโลกและเป็นเครื่องมือสำหรับการปกครองแบบใหม่
แผนที่บงการให้เกิดการจัดสรรและจัดการพื้นที่การเมืองใหม่ เพื่อให้สอดรับกับการ
ใช้อำนาจปกครองรูปแบบใหม่บนพื้นฐานของดินแดน ซื่อ “ เทคาภิบาล” ( แปลตรง
ตัวว่า การปกครองดูแลพื้นที่ ) สะท้อนการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างตรงไปตรงมา แต่การ
จัดสรรดินแดนใหม่เริ่มกระทำในช่วงเวลาเดียวกับที่สยามกำลังแข่งขันกับฝรั่งเศส
เพื่อแย่งชิงดินแดนลุ่มนํ้าโขง ในกรณีนี้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้แสดงความ
ประสงค์อย่างชัดแจ้งที่จะใหัมีการทำแผนที่และจัดการพื้นที่บริเวณชายแดนเสีย
ใหม่ เพื่อใช้เป็นมาดรการดอบโต้ฝรั่งเศส แม้ว่าการปฏิรูปอย่างเป็นทางการใน
35
และเจ้าพนักงานแผนที่ขึ้นไปทำแผนที่ดินแตนลุ่มแม่นี้าโขงส่วนที่ติตกับดังเกี๋ยและ
อ้นนัม แมคคาร์ธีเตือนว่าปัญหาชายแดนในดินแดนเหล่านั้นกำลังคุกรุ่น การทำ
แผนที่จึงมีความจำเป็นเร่งด่วน แน่นอนว่าการทำแผนที่มิได้เกี่ยวข้องกับการ
36
ปราบฮ่อ แต่ผู้ปกครองสยามตระหนักดีว่ามันเป็นเครื่องมือทรงพลังในการรับมือกับ
ปัญหาเขตแดน
ระหว่างเดือนมกราคม- กรกฎาคม 2427 เป็นครั้งแรกในประวีดศาสตร์ที่คณะ
พนักงานแผนที่ซึ่งนำโดยแมคคาร์ธี เดินทางร่วมกับกองทัพสยามเพื่อไปสำรวจ
ดินแตนรอบหลวงพระบางและเวียงจันทน์ 37 นับจากนั้นมาจนถึงกลางปี 2436 ( ค.ศ.
1 893) กองทัพสยามที่ส่งไปปราบฮ่อจะมีคณะนักสำรวจและทำแผนที่เดินทางร่วม
ด้วยเสมอ การทำแผนที่เป็นภารกิจสำคัญของทุกยุทธการโดยแท้ พระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 มีรับสั่งอย่างดรงไปตรงมาต่อกองทัพสยามในปี 2428 ( ค.ศ. 1885)
ว่า “ มีพระราชประสงค์ที่จะทรงทราบถิ่นฐานทั้งปวงอ้นเป็นพระราชอาณาเขด....
จึงโปรดฯ ใหัมีกองแผนที่ขึ้นมาตรวจสอบถิ่นฐานทั้งปวงให้ใต้ความชัดแจ้ง ให้
แม่ทัพนายกองทั้งปวงช่วยกันอุดหนุนเจ้าพนักงานทำแผนที่ให้ไต้ทำการตลอด
นั่นเอง รายงานการเดินทัพปราบฮ่อของเจ้าพระยาสุรศักดี้มนตรีจึงเต็มไปด้วยราย -
ละเอียดเกี่ยวกับธรรมชาติของสถานที่ต่าง ๆ ชาวบ้าน และการพยายามระบุที่ตั้ง
แน่ชัดของแต่ละแห่งด้วยวิธีการอ้างอิงต่างๆ แน่นอนว่าแผนที่ถูกวาดขึ้นในทุกๆ ที่
ที่กองทัพยาตราไปถึงและทยอยจัดส่งกลับมายังกรุงเทพฯ เป็นระยะๆ 39
ดูเหมือนสยามคาดหวังว่าแผนที่จะเป็นเครื่องมือที่สามารถตัดสินเขตแดน
ทุกด้านของดินแดนสยามให้สำเร็จเสร็จสิ้นไป กล่าวคือแผนที่จะขจัดความกำกวม
บริเวณชายขอบให้หมดไปและขอบเขตที่ชัดเจนของอาณาจักรสยามจะปรากฎ
ชัดเจน เทคโนโลยีการทำแผนที่มิใซ่สิ่งแปลกประหลาดหรือน่าหวาดระแวงสำหรับ
ผู้น์าสยามอีกต่อไป พวกเขาดระหนักดีว่า หากจะโต้แย้งการอ้างสิทธี้ของฝรั่งเศส
ให้ไต ผล ภูมิศาสตร์สมัยใหม่เป็นภาษาทางภูมิศาสตร์ชนิดเดียวที่ตะวันดกยินดี
'
พร้อมที่จะใช้แผนที่เพื่อยืนยันข้ออ้างของตนทั้งในสนามรบและบนโต๊ะเจรจา แด่กลับ
ปรากฏว่าไม่มีแผนที่ชายแดนที่ทำเสร็จสมบูรณ์ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ร.ศ. 1 1 2 เลย
การสำรวจปี 2427 ( ค.ศ. 1 884) เป็นโครงการทำแผนที่ชายแดนโครงการแรก
ที่ดำเนินการโดยสยาม (หากไม่นับการสำรวจของ “ โดยซก” ซึ่งเราไม่รู้ว่าผลสำรวจ
เป็นเช่นไร) และเป็นหนึ่งในโครงการแรกๆที่ดำเนินการโดยชาวยุโรป ถึงแม้ว่าจะ
มีนักสำรวจชาวฝรั่งเศสจำนวนมากไต้เคยเดินทางเข้ามายังดินแดนแถบนี้ตั้งแต่
ทศวรรษ 1860 ( พ.ศ . 2403- 2412 ) แต่ผลการสำรวจยังไม่เป็นที่น่าพอใจ มิพัก
ต้องพูดถึงแผนที่ที่ตรงดามหลักวิชา อย่างไรก็ดี การสำรวจปี 2427 ประสบความ
ลึกแผนที่: เมื่ออาวุธร้ายแรงแผลงฤทธึ๋
สยามมิไดัทำแผนที่ฝ่ายเดียว นักสำรวจฝรั่งเศสเข้ามาในภูมิภาคนี้เป็นเวลาหลาย
ทศวรรษแล้ว พวกเขาเชื่อว่าแม่นํ้าโขงเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ตอนใต้ของจีนอันลึกลับ
และมั่งคั่ง อองรี มูโอต์ ( แอกก่ เท่ บเา เ ) เป็นซาวฝรั่งเศสคนแรกที่เดินทางจาก
0 0
ความพยายามของมูโอต์และเป็นซาวยุโรปสองคนแรกที่ทำแผนที่แว่นแคว้นต่างๆ
ดลอดแม่นั้าโขงจากการสำรวจพื้นที่จริง ๆ ตัวแทนผลประโยชน์คนสำคัญของ
43
ครั้งเล่าให้ฝรั่งเศสยอมรับสิทธึ๋ของสยามเหนือหลวงพระบางก่อนที่ปาวีจะทำการ
สำรวจใด ๆ นอกจากนี้สยามยังส่งเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งคอยเสาดูความเคลื่อนไหว
ของปาวีตลอดการเดินทางของเขา และมีมาดรการอีกหลายอย่างที่ปาวีเชื่อว่าราช-
สำนักมอบหมายให้ทำเพื่อหน่วงรั้งการสำรวจของเขา อุปสรรคแต่ละครั้งทำให้งาน
ของเขาต้องล่าช้าไปหลายวัน ปาวีบ่นว่าตนถูกรังควานโดยเจ้าหน้าที่สยามดลอด
45
เวลา คนเหล่านี้ไม่เช้าใจงานของเขาและระแวงว่าทำไมเขาจึงสนใจนักกับการเก็บ
ตัวอย่างแมลง ตอกไม้ และจารึกโบราณ เจ้าหน้าที่สยามยังไม่ไว่ใจที่เห็นปาวีสนใจ
วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นและถ่ายรูปไว้ ปาวีบันทึกว่าครั้งหนึ่งเขาถึงกับระเบิด
โพล่งออกไปว่า “ ผมหงุตหงิตจริงๆ ที่พวกคุณก่อความลำบากให้ผม...ทั้งๆที่ฝ่าย
คุณก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา...ผมแค่ขอให้คุณช่วยชี้เส้นเขตแดนที่ [ชื่อเมือง] ของเราใช้
ร่วมกันอยู่แค่นั้นเอง” อย่างไรก็ดาม ในปีแรกๆที่ยังไม่ปรากฏกองทหารฝรั่งเศส
46
หรือไม่ก็ตามแด่นนคือสิ่งที่แมคคาร์ธีกำลังกระทำอยู่ เขาตระหนักดีถึงพลังอำนาจ
ของแผนที่ ครั้งหนึ่งแมคคาร์ธีบอกกับบรรดาเจ้าเมืองและหัวหน้าชุมนุมท้องถิ่น
ว่า พระเจ้าแผ่นดินส่งเขามาทำการสำรวจดินแดนแถบนี้ “ เพื่อผู้คนตามหัวเมือง
ห่างไกลจะได้รู้แน่ชัดว่าดินแตนของไทยครอบคลุมถึงตรงไหน” 48
ในที่สุดกองทหารฝรั่งเศสก็เดินทางมาถึง การเผชิญหน้ากันที่เมืองแถงในปี
2431 ( ค.ศ . 1888) นั้นด่างฝ่ายไม่เพียงเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งถอนกำลังออกไป
แด ทั้งคู่ด่างแสดงความจำนงจะส่งคณะสำรวจของตนเข้าไปในดินแดนที่อีกฝ่าย
,
จุไทของเขาดีพอที่จะใช้กำหนดเส้นเขตแดนและไม่มีความจำเป็นที่พนักงานสำรวจ
ของสยามจะต้องเดินทางเข้าไปในบริเวณดังกล่าว49 ส่วนปาวีรายงานว่าเจ้าพระยา
สุรศักดื่มนดรีพยายามเกลี้ยกล่อมตนอยู่สองครั้งในปี 2430 และ 2431 ( ค.ศ . 1887
และ 1888 ) ให้ใช้แผนที่ที่สยามทำขึ้นซึ่งแสดงดินแตนของสยามครอบคลุมเลยลุ่ม
แม่นํ้าโขงดอนบนขึ้นไปอีก แม้ว่าทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธี้เหนือดินแดนและเสนอให้
50
ใช้แผนที่ของตนสำหรับการเจรจา แด่ทั้งสองฝ่ายกลับยอมรับโดยนัยว่าแผนที่ของ
ตนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องสำรวจต่อ ในที่สุดแม้ว่าการประจันหน้าทาง
ทหารยังคงอยู่ พวกเขายอมรับว่าแผนที่ของตนเป็นเพียงฉบับสำรวจเบื้องด้น ดังนั้น
พวกเขาจึงยินยอมให้คณะสำรวจของอีกฝ่ายเข้าไปทำงานในพื้นที่ที่ฝ่ายตนยึดครอง
อยู่ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการเจรจาที่คาดว่าจะมีขึ้นที่กรุงเทพฯ
การแข่งกันสำรวจและทำแผนที่ระหว่างสยามและฝรั่งเศสตำเนินควบคู่ไปกับ
ความผันผวนทางการเมืองในดินแตนแถบแม่นั้าโขง การสำรวจทำแผนที่เขตแตน
ของฝ่ายสยามนับจากปี 2427 (ค.ศ. 1 884) สรุปได้ดังนี:้
ปี 2427 ( ค.ศ . 1884) : สำรวจภูมิประเทศชายแดนด้านตะวันออกเฉียงเหนือ
แถบหลวงพระบาง สิบสองจุไท หัวพันห้าทั้งหก และพวน
ปี 2427- 2428 ( ค.ศ. 1884-1885): เดินทางสู่หลวงพระบางด้วยเส้นทางใหม่
ผ่านทางน่านและสำรวจภูมิประเทศรอบหลวงพระบาง
ปี 2428- 2429 ( ค.ศ . 1885- 1886 ): เดินทางสู่หลวงพระบาง แต่ไม่สามารถ
กระทำการใด ๆ ได้เพราะกองทัพมาถึงล่าข้ากว่ากำหนด
แถง และทำการสำรวจเพื่อจุดประสงค์ทางการทหารและการปกครอง
ปี 2430- 2432 ( ค.ศ. 1887- 1889 ) : สำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟสายกรุง -
เทพฯ- เชียงใหม่
ปี 2433- 2434 (ค.ศ. 1890- 1891 ) : ทำแผนที่เส้นเขตแดนดามแนวชายแตน
ระหว่างสยามและพม่า
ปี 2434 ( ค.ศ. 1891 ): วางโครงข่ายลามเหลี่ยมชายแตนด้านเหนือเพื่อเชื่อม
เข้ากับระบบโครงข่ายสามเหลี่ยมของบริติชอินเดียต้านชายแดนตะวันออก สำรวจ
ชายแดนดะวันดกเฉียงเหนือและทำแผนที่เส้นเขตแตนต้านนี้เสร็จ
ปี 2435 - 2436 ( ค.ศ . 1892 - 1893) : ทำโครงข่ายสามเหลี่ยมต่อจากทาง
ตะวันตกเฉียงเหนือและทางเหนือของล้านนาไปทางทิศตะวันออก พาดผ่านหลวง-
,
พระบางไปถึงบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือและตอนใต้ของหลวงพระบาง5
แผนที่ฉบับที่เป็นหลักฐานสำคัญในการสนับสนุนข้ออ้างลิทธิ้ของสยามทั้ง
ในขณะนั้นและในภายหลังเมื่อนักประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปวิเคราะห์เหตุการณ์
ครั้งกระนั้นคือชิ้นที่เรียกกันว่า แผนที่แมคคาร์ธีปี 2430 ( ค .ศ. 1887 ) แผนที่นี้
52
โดยที่ไม่เคยเห็นฉบับจริง ลอร์ตเคอร์ซอนเป็นนักอาณานิคมคนสำคัญในการเมือง
ของอังกฤษ เป็นนักภูมิศาสตร์ และต่อมาเป็นอุปราช ( พ่นธเ- ว / ) ของอังกฤษประจำ
(
ปักปันยังไม่เสร็จสิ้น
แม้ผู้ปกครองสยามจะมั่นใจในการอ้างสิทธี้ของตน ไม่ว่าจะเป็นเพราะมีความ
เชื่อในสิทชี้ตามประว้ติศาสตร์ หรือความเชื่อมั่นที่เกินจริงในสมรรถนะทางทหาร
และแผนที่ของตน หรือทั้งสองอย่างก็ดาม แต่พวกเขาก็ต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 มักยํ้าเสมอว่าข้อพิพาทใดๆ ที่อาจนำไปสู่การปะทะทาง
ทหารควรนำขึ้นสู่โต๊ะเจรจาที่กรุงเทพฯ วิธีการปัองกันการปะทะที่ไม่พึงปรารถนา
'
แบบหนึ่งก็คือการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อทำการสำรวจและปักปันเขตแตน
ตั้งแต่ปี 2430 ( ค.ศ. 1887 ) แด่คณะกรรมการนี้ทำงานไม่เป็นผลเพราะต่างฝ่าย
56
ด่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่าข้ตขวางการทำงานและการเจรจาด้วยวิธีการด่าง ๆ ในขณะ
เดียวกันก็ประกาศว่าตนมีเจตจำนงแน่วแน่ที่จะแก็ไขปัญหาด้วยตันติวิธี 57
ความสัมพันธ์ระหว่างแผนที่กับกำลังทหารเป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ความ
ปรารถนาของกำลังทหารคือการยึดครองให้ดินแตนเป็นของตนแต่ผู้เดียวแล้วทำ
เป็นแผนที่ให้เสร็จสิ้น แด่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คึอปฏิบัติการทางทหารถูกกำหนดแผน
และชี้นำโดยแผนที่สำรวจเบื้องด้นของอาณาบริเวณนั้นๆ ดังกรณีที่แมคคาร์ธี
58
ต้องการทำแผนที่ไปล่วงหน้าก่อนกองทัพ ปฏิบัติการทางทหารเป็นฝ่ายตามเพื่อ
ทำให้ข้อเสนอโดยแผนที่เป็นความจริ
,
งขึ้นมา แผนที่ทะลุทะลวงนำร่องการยึตครอง
ดินแดน อย่างไรก็ดาม ด้วยเหตุทีปริมณฑลอำนาจของประเทศคู่กรณีไม่มีการระบุ
อย่างชัดเจนมาก่อนและที่จริงกำกวมช้อนทับกันอยู่ เส้นเขตแดนสมัยใหม่จึงอาจ
อยู่ตรงไหนก็ไต่ในพื้นที่ชายขอบนั้น เส้นเขตแดนที่แผนที่ต่างๆ เสนอขึ้นมาจึงเป็น
การคาดเตาที่ขึ้นอยู่กับมุมมองของแด่ละฝ่ายซึ่งถูกกว่าและผิดกว่าข้อเสนอของอีก
ฝ่ายหนึ่งได้พอๆกัน ในทางปฏิบัติ การสำรวจดินแดนของฝ่ายหนึ่งจึงกระทำควบคู่
ไปกับการรุกคืบทางทหาร เพื่อให้กองทัพเป็นผู้ตัดสินว่าอธิปไตยเหนือดินแดน
ครอบคลุมถึงไหน และเป็นผู้แผ่อำนาจปกป้องการทำแผนที่ ไมใช่ในทางกลับกัน
,
จะสามารถคุมที่ราบสูงพวนและหัวพันห้าทั้งหกได้อย่างชะจัด ถ้าหากกองทัพสยาม
ทุ่มกำลังไปที่พวนและรื้อพื้นเชียงขวาง เมืองหลวงของพวนขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้เป็น
ศูนย์บัญชาการของตน ชัยชนะของปฏิบัติการทางทหารในปี 2428- 2431 ( ค.ศ .
1885- 1888 ) ถือกันว่าเป็นผลมาจากข้อแนะนำของแมคคาร์ธี ดลอดปฏิบัติการ
ดังกล่าว ข้อมูลการสำรวจของเขามีบทบาทสำคัญทั้งในสนามรบและในกรุงเทพฯ
ภูมิศาสตร์ให้อำนาจแก่เขาในการเสนอว่าควรจะยึดเมืองใด ภูมิศาสตร์ให้ความรู้แก่ 1
กองทัพสยามว่าจะตั้งจุดควบคุมชายแดนตรงไหนและปักปันเส้นเขตแดนที่ไหน
แมคคาร์ธีนั้นเองคีอผู้ที่ร่างแผนที่ปฏิบัติการทางทหารและแผนที่ชายแดนสยามใน
ปี 2430 ( ค.ศ . 1887 ) เพื่อสนับสนุนการอ้างสิทธเหนือดินแดนและหนุนปฏิบัติการ
ทางทหารของสยาม59
เมื่อถึงปี 2436 ( ค.ศ . 1 893) ความขัดแย้งดึงเครียดมากขึ้น เกิดการปะทะย่อย ๆ
ตลอดแนวชายแดน ขณะที่พนักงานแผนที่ของทั้งสองฝ่ายก็เดินหน้ากับภารกิจ
ของตนอย่างไม่หยุดยั้ง นับจากปี 2433 ถึง 2436 ( ค.ศ . 1890- 1893) แมคคาร์ธี
นำคณะสำรวจเพื่อวางโครงข่ายสามเหลี่ยมจากด้านตะวันดกและเหนือของล้านนา
มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปทางดะวันออกพาดผ่านดินแดนลาว เขาเร่งทำงานโดยมิได้
เดินทางกลับกรุงเทพฯ อย่างเคย จนกระทั้งเกิดวิกฤติการณ์ร.ศ . 1 12 การทำงาน
ต่อเนื่องนี้เพื่อหวังทำแผนที่เส้นเขตแดนระหว่างสยามกับพม่าของอังกฤษ แล้ววาง
โครงข่ายสามเหลี่ยมจากจุดดังกล่าวไปทางตะวันออก ผ่านน่าน หลวงพระบาง
กู กายา
บกกิ 7 zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ภูมิกายา
แผนที่สยามที่มีขอบเขตชัดเจนปรากฎโฉมเป็นครั้งแรกหลังวิกฤติการณ์ปากนา
ปี 2436 ( ค.ศ . 1893) หรือที่รู้จักกันว่าวิกฤติการณ์ร.ศ. 112 ที่ตลกร้ายก็คือมันเป็น
ผลพวงของความร่วมมือระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และสยามจวบจนกระทั่งปี 2436
นั้น มีแต่เส้นเขตแดนและแผนที่ชายแดนระหว่างสยามและพม่าเท่านั้นที่ทำเสร็จ
แล้ว หากไม่นับเส้นเขตแดนสั้นๆ ตรงพระตะบองและอีกเส้นระหว่างเคดะห์กับ
ฝรักแล้ว ชายแดนด้านอื่นๆทำไปได้แค่สำรวจภูมิประเทศและร่างคร่าวๆ เท่านั้น
ฉะนั้นจึงต้องใช้วิธีรวบรวมข้อมูลจากฝ่ายสยามและฝรั่งเศสเข้าด้วยกันโดยความ
ร่วมมือจากอังกฤษ ในปี 2440 ( ค.ศ . 1 897 ) สยามทำแผนที่ออกมาสองฉบับ ฉบับ
แรกพิมพ์ในอังกฤษ1 อีกฉบับพิมพ์ที่กัลกัดตาชื่อว่า แผนที่พระราชอาณาเขตสยาม
.ศ. 116 เขียนโดยเจ้าพนักงานไทยสองคนคือนายสอนกับนายแบบ แผนที่ทั่งสอง
รzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA 2
ฉบับระบุอย่างชัดเจนว่า ตรงไหนที่ข้อมูลการสำรวจของสยามยังขาดโหว่อยู่ก็ได้
คัดลอกแผนที่ของอังกฤษและฝรั่งเศสมาเติมแล้ว ภูมิกายาเริ่มแรกของสยามและ
ภาพแทนของมันทั้งในความเป็นจริงและในเชิงสัญลักษณ์มาจากมหาอำนาจดะวันตก
เข้ามาช่วยสร้างเสริมเติมแต่งและก่อรูปก่อร่างให้
ออกุสด์ปาวี พิมพ์แผนที่ละเอียดของดินแดนแถบนี้ในปี 2445 ( ค.ศ. 1902 )
ซึ่งถือกันว่าเป็นแผนที่ที่มีข้อมูลมากและน่าเชื่อถีอที่สุดในขณะนั้น เป็นแผนที่
ภูมิประเทศที่แสดงลักษณะธรรมชาติของพื้นที่อย่างละเอียด แด่ไม่มีเส้นเขตแตน
ยกเว้นส่วนที่แยกสยามจากพม่าของอังกฤษ ซึ่งคงลอกมาจากงานของแมคคาร์ธี
บริเวณลุ่มนํ้าโขงแต่อย่างใด
ภูมิกายาของสยามถูกปรับเปลี่ยนรูปทรงหลายครั้ง ด้วยเทคนิคการทำแผนที่
และด้วยสนธิสัญญาต่างๆที่ทำกับอังกฤษและฝรั่งเศสในปี 2436 ( ค.ศ . 1893) ปี
2442 ( ค.ศ . 1 899 ) ปี 2445 ( ค.ศ . 1 902 ) ปี 2447 ( ค.ศ. 1 904 ) และ ปี 2450 ( ค.ศ .
1907 ) สยามและมหาอำนาจทั้งสองจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหลายชุตเพื่อด้ตสิน
เส้นเขตแดนและทำข้อตกลงเพิ่มเติมหลายฉบับเกี่ยวกับชายแดนเป็นส่วนๆโตยทำ
แผนที่เฉพาะส่วนนั้นขึ้นมาด้วย จึงเป็นเรื่องตลกร้ายที่แผนที่ของปาวีกลายเป็น
3
ด้นแบบที่สยามยึดถือในการทำแผนที่ฉบับต่อๆมาของตนอยู่นานทีเดียว แม้กระทั้ง
ในยุคชาตินิยมของรัชกาลที่ 6 ( ครองราชย์พ.ศ . 2453- 2468/ ค.ศ 1910- 1925).
ชัยชฬะฃองแผนที่
กำเนิดภูมิกายา:zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
หากจะตัดสินว่าการแข่งขันระหว่างสยามกับฝรั่งเศสเหนือดินแดนแม่นํ้าโขงตอน
บนและลาวทั้งหมตนั้น เป็นการไต้หรือสูญเสียดินแดนของสยาม ก็คงขึ้นอยู่กับ
มุมมองของแด ละคน แต่ที่แน่ๆ ก็คือการแข่งขันนี้เป็นจุดกำเนิดภูมิกายาของ
,
หัวเมืองเลีก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ตลอดเส้นทางการเดินทัพของสยามและฝรั่งเศสต่างหาก
พวกเขาไม เพียงแด ถูกพิชิตราบคาบ ซึ่งเป็นชะตากรรมที่ไม่แปลกเลยสำหรับ
, ,
พวกเขา แด่พวกเขายังถูกทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่การเมืองชนิดใหม่
ที่นิยามด้วยอธิปไตยและเส้นเขตแดนในแบบใหม่ นอกจากนี้ผู้แพ้อย่างถึงที่สุดอีก
อย่างหนึ่ง ก็คือความรู้แบบพื้นถิ่นเกี่ยวกับพื้นที่การเมือง ความรู้ภูมิศาสตร์สมัย
ใหม่ได้เข้ามาแทนที่ความรู้แบบพื้นถิ่น และระบอบของแผนที่กลายเป็นอำนาจนำ
ชัยชนะของความรู้ภูมิศาสตร์สมัยใหม่นี้เองที่ขจัดความเป็นไปได้ ( มิพักต้อง
กล่าวถึงโอกาส) ที่หัวเมืองเล็ก ๆ เหล่านี้จะดำรงอยู่แบบที่เคยเป็นมาหลายศตวรรษ
กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ วาทกรรมแผนที่สมัยใหม่คือผู้กำชัยอย่างถึงที่สุด โดยใช้
อำนาจของมันผ่านปฏิบัติการสารพัดของบรรดาตัวแสดงสำคัญ ๆ ที่กระทำในนาม
ของรัฐต่างๆซึ่งแย่งชิงแตนกัน ความรู้ภูมิศาสตร์แบบใหม่เป็นพลังเบื้องหลังทุก
ขั้นดอนตั้งแต่เริ่มคิด คาดหมายเล็งผล และสร้างตัวตนชนิดใหม่ขึ้นมา
210
“ ภาษา ” ใหม่ของภูมิศาสตร์ ที่
นับแต่จุตเริ่มต้น มันคือความรู้ชนิดใหม่หรือzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTS
ผลิตข้อมูลและให้กำเนิดความรับรู้เ,หม่เกี่ยวกับดินแตนของสยาม มันกลายเปีนกรอบ
สำหรับการดิต จินตนาการ และคาตหมายเล็งผลถึงดินแตนที่ปรารถนา มันกลาย
เป็นภาษาสำหรับการถกเถียงพูตถึงสยาม แต่เนื่องจากยังไม่มีสยามแบบนั้นตำรง
อยู่จริง ภูมิศาสตร์ใหม่จึงเป็นวิสัยทัศน์สำหรับภูมิกายาของสยามที่ต้องถูกสร้างขึ้น
องค์ประกอบที่ขาตมิไต้ของภูมิกายา ทั้งเส้นเขตแดน อธิปไตยเหนือดินแตน และ
ชายขอบชนิดใหม่ก็ต้องก่อตัวขึ้นมาณช่วงขณะกาละและเทศะต่างๆ และในวิถีทาง
ต่างๆกันไป ในเมื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด่างโตนครอบด้วยมโนภาพชนิดใหม่ของรัฐ
พวกเขาจึงสร้างแบบจำลองและโครงร่างของขอบเขตอาณาจักรสยามขึ้นมาก่อนที่
จะมีการสำรวจจริงๆเสียอีก ภูมิกายาของสยามเป็นสิ่งที่ถูกคาตหมายและปรารถนา
โตยทุกฝ่าย หากแด่ขนาดของตัวตนตามคาดหมายที่แด ละฝ่ายต้องการสร้างขึ้น
,
กลับแตกด่างกัน ความคืตจักรวรรดินิยมของมหาอำนาจยุโรปทั้งสองจึงขัดแย้งกับ
ความมุ่งมั่นอยากเป็นใหญ่ของเจ้าสยาม
เมื่อถึงจุดนี้ แผนที่มิได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือทางความคิดเพื่อถ่ายทอดพื้นที่
อีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นเครื่องมืออานุภาพร้ายแรงเพื่อแปรความปรารถนา
ให้กลายเป็นรูปธรรมบนผิวโลก แผนที่มิไต้เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับ
การปกครองแบบใหม่และเพื่อการทหารอันเป็นประโยชน์ใช้สอยตามปกติชอง
เครื่องมือชนิดหนึ่ง แด่วาทกรรมแผนที่ได้กลายเป็นกระบวนทัศน์ซึ่งทั้งการปกครอง
และการทหารขึ้นต่อและรับใช้ กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือแผนที่เปลี่ยนการปฏิบัติทั้ง
สองด้านนั้นให้กลายเป็นเพียงกลไกของมันเพื่อทำให้สิ่งที่มันคาดหมายเป็น.ความ
จริงขึ้นมา ทำ “ วาทะ” ของมันให้เป็นตัวเป็นตน แผนที่เปลี่ยนมนุษย์ทุกชาติและ
ปฏิบัติการของพวกเขา ไม่ว่าจะกล้าหาญหรือป่าเถื่อน ทรงเกียรติหรือสามานย์ ให้
กลายเป็นพนักงาน ( ล90กI ) ของมันเพื่อทำให้เทศะแบบแผนที่ปรากฎตัวขึ้น สยามมี
.
ใหม่ที่มีภูมิกายาซึ่งไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน
ไม่ว่าทฤษฏีการสื่อสารหรือสามัญสำนึก ล้วนชวนให้เราคีตว่าแผนที่เป็นการ
แปรความเป็นจริงให้เป็นนามธรรมตามหลักวิทยาศาสตร์ แผนที่เพียงแค่ถ่ายทอด
ความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ก่อนแล้วตามภววิลัย แด่ตามประวัติศาสตร์ของภูมิกายา
ความสัมพันธ์ดังกล่าวกลับหัวกลับหางกัน นั้นคือแผนที่เล็งและส่งผลให้เกิดเทศะ
ขึ้นมาในความเป็นจริง มิใช่กลับกัน หรือกล่าวอีกอย่างได้ว่าแผนที่เป็นตัวแบบ
ทางการเมืองที่ตามปกติเป็นตัวของตัวเองให้กลายมาเป็นของสยาม เกิดขึ้นอย่าง
ทะเยอทะยานและก้าวร้าวทั้งด้วยกลไกทางปกครองและกำลังทางทหาร แต่ทั้งการ
ปฏิรูปฯ และการทหารรวมกันยังนับว่าเป็นเพียงต้านหนึ่งของความพยายามบันทึก
ภูมิกายาของสยามลงบนผิวโลก คือเป็นการสร้างยัดลักษณ์ในทางตรง (|ว๐3เ ปV © '
สยาม การดีความว่าสยามเสียดินแดนให้จักรวรรดินิยมหรือสยามเป็นผู้แพ้ในการ
แข่งข้นแย่งชิงดินแดนจึงขี้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แดข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธ
,
ไม่ได้ก็คือ เจ้าอาณานิคมมีส่วนสำคัญในการช่วยสถาปนาภูมิกายาของสยามอย่าง
ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ภูมิกายาของสยาม มิได้เกิดจากวิวัฒนาการที่ค่อยเป็นค่อยไปของพื้นที่
การเมืองแบบพื้นถิ่นมาสู่พื้นที่การเมืองแบบสมัยใหม่ แต่เป็นผลของการที่แบบใหม่
เข้าผลักไสแทนที่แบบเดิม ณช่วงขณะต่างๆ ทั้งโตยมหาอำนาจตะวันตกและโตย
สยามเอง กล่าวในทางยุทธศาสตร์ก็คือวาทกรรมชุตใหม่ได้คุกคาม สั่นคลอน หรือ
ทำให้วาทกรรมที่ดำรงอยู่ก่อนกำกวมแล้วเข้าผลักไสแทนที่ในที่สุด การปรากฎ
ขี้นของภูมิกายาของสยามเป็นผลจากอำนาจนำของภูมิศาสตร์สมัยใหม่และแผนที่
นั่นเอง มันคือปรากฏการณ์ที่เทศะของมนุษย์ถูกบันทึกในแบบหนึ่งแทนที่จะเป็น
อีกแบบหนึ่ง ปรากฎการณ์นี้จะดำรงอยู่ตราบเท่าที่ความรู้ที่ใช้บันทึกผิวโลกยังคง
อำนาจนำอยู่ ภูมิกายาเป็นสิ่งประดิษฐ์ยุคใหม่ แต่หากเรามองประวัติศาสตร์ใน
กรอบเวลายาวนานของพื้นผิวโลกและมนุษยชาติ ภูมิกายาของชาดิก็มิใช่สิ่งยั่งยืน
ถาวรแต่อย่างใด ยังมีความรู้เกี่ยวกับเทศะ/ พื้นที่แบบอื่นๆ ที่เผชิญหน้ากับภูมิกายา
อยู่ ไม่ว่าจะเป็นแบบเก่าที่ตกค้างอยู่หรือเป็นความรู้ใหม่ การดำรงอยู่ของภูมิกายา
ต้องประสบกับการท้าทายอยู่เสมอ
สังกัตต่ออัตลักษณ์หนึ่งร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติเกิดชี้นตามไปด้วย นึ่คือที่มาของ
ความคักตั้สึทธี๋และกรงเล็บอันแข็งแกร่งของความเป็นชาติ 6
กำเนิดของชาติต่างๆในยุโรปยุคแรกๆ อยู่บนรากฐานของลักษณะร่วมกันท
มีมานาน เช่น ภาษา ชาติพันธ์ หรือแม้กระทั้งความเลื่อมใสทางการเมือง ถือกันว่า
ลักษณะเหล่านี้คือส่วนสำคัญที่เกือบจะเป็นเนื้อแท้ของอัตลักษณ์ เส้นพรมแดนของ
ชุมชนชาติจึงถูกมองว่าเป็นไปตามธรรมชาติด้วยเช่นกัน แต่ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม
ได้ก็ศึอทุกเส้นพรมแดนเป็นสิ่งประดิษฐ์ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มนุษย์บัญญัติขึ้น มิใช่ม
อยู่แล้วในธรรมชาติ ถึงแม้ว่าบางเส้นจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเส้นอื่นก็ตาม 7
การทำภูมิกายาให้กลายเป็นสิ่งธรรมชาติสามารถกระทำได้อย่างง่ายตาย
เพราะฐานทางกายภาพของมันคือพื้นผิวโลก อีกทั้งคำที่ใช์ถ่ายแทนภูมิกายาอย่าง
“ ภูมิศาสตร์ ” และ “ ประเทศ ” ล้วนคงรากศัพท์และการอ้างอิงถึงโลกหรือผืนดินไว้
วัฒนธรรมอุษาคเนย์โดยมากถือกันว่าผืนดินคือส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของกำเนิด
มนุษยชาติและอารยธรรม นาคหรือไม ก็พระแม่ธรณีคือมารดาของมนุษยชาติ
,
อย่างไรก็ตาม ความเป็นธรรมชาติมิได้เป็นวาทกรรมเชิงยุทธศาลตร์อย่าง
เดียวที่ภูมิกายาใช้สร้างสำนึกของการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเดียวกัน ความสำคัญ
ของผืนดินหรือโลกอาจแตกด่างกันไปในแด่ละวัฒนธรรมและอาจมีสิ่อสร้างชนิด
อื่นสำหรับนิยามเอกลักษณ์ร่วมกัน ภูมิกายาลามารถเป็นสัญลักษณ์ทรงพลังของ
เผ่าพันธุชาติด้วยการสมคบเชื่อมตัวเข้ากับตัวนิยามเอกลักษณ์ชุมชนชนิดอื่นๆ
พลังความน่าหลงใหลบูชาของภูมิกายามิได้ขึ้นอยู่กับ “ ความเป็นธรรมชาติ ” อย่าง
เดียว แด่ยังมาจากการเชื่อมประสานเข้ากับสัญลักษณ์อื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ที่เป็นของพื้นถิ่นหรือจารีตประเพณี ตัวอย่างที่ตีเยี่ยมในกรณีของสยามก็คือความ
สัมพันธ์ระหว่างภูมิกายากับความเป็นกษัตริย์
ในดังคมก่อนสมัยใหม่หลายแห่งในอุษาคเนย์ เชื่อกันว่าดินแดนหรือราช -
อาณาจักรหรือบ้านเมืองเป็นส่วนขยายของเรือนกายของกษัตริย์ซึ่งเป็นบุคลา-
ธิษฐานของอำนาจคักติ้ลิทธิ้อีกต่อหนึ่ง แต่ อาณาจักรไม่มี เขตแดนล้อมรอบเพราะ
ไม่ใช่รัฐเชิงดินแดน ดังที่ เชลลีย์ เออร์ริงดัน ( 51า6แ 6 6เ- โเก9เ0ก ) ชี้ว่าในสังคม
^
ของชาวมูกิส ( ธม9เร) เรือนกายของกษัตริย์มิได้หมายถึงเพียงแค ร่างกายในทาง
,
ชีววิทยาเท่านั้น แด่ยังหมายถึงข้าราชบริพารทั้งหมดรวมถึงขุนนางใหญ่น้อยและ
เจ้าผู้ปกครองระดับรองภายในอาณาจักร อีกกรณีเปรียบเทียบ คือความคิดของ
11
อันพระนครทั้งหลาย
ก็เหมือนกับกายสังขาร
กษัตริย์คือจิตวิญญาณ
เป็นประธานแก่ร่างอินทรีย12
์
แต่ทว่าการแลกเปลี่ยนความหมายเชิงสัญวิทยาย่อมเกิดขึ้นในสองทิศทางเสมอ ใน
เมื่อเขตแตนถูกเปรียบเป็นเรือนกาย พระราชอาณาจักรก็ปรากฎในรูปกายชนิดใหม่
กายาที่ขยายไต้ของกษัตริย์ คือส่วนเสี้ยวของผืนแผ่นที่ปะติดปะต่ออยู่บนตาว
พระเคราะห์สีฟ้าใบนิ้ และมิได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลหรือชมพูทวีปตามจักร-
วาลวิทยาของฮินดู - พุทธอีกต่อไป แต่ในการขยับเคลื่อนเชิงสัญวิทยานี้ ( 56๓10 -
เ09เ03เ รเาเน่) ความศักดิ้สิทขึ้ของกษัตริย์ก็ถ่ายเทย้ายไปอยู่กับภูมิกายาเช่นกัน
]ยท0{ นโ 6 ) ทางลัญวีทยาและเคลื่อนความหมายที่
การเชื่อมประสาน ( ะอกzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCB
(
การเกิต หรือเป็นสมุหนามหมายถึงเกิดมาจากต้นกำเนิดเดียวกันซึ่งอาจจะเป็น
ในเชิงเชื้อชาติ เวลา หรือสังคมก็ไต้ ความหมายดังกล่าวของชาติ ยังคงอยู่ใน
พจนานุกรมภาษาไทยฉบับบรัตเล ปี 2416 ( ค.ศ. 1873) ตัวอย่างที่เขาใช้ประกอบ
คือ ชาติหน้า ชาติไทย ชาติไพร่ ชาติกษัตริย์ และชาติหมา ซึ่งเป็นคำดำที่ยังนิยม
ใช้กันอยู่ถึงทุกวันนี้ คำว่า 0 เากเอในภาษาไทยคือคำว่า ชาติพันธุ และชาตะ ยังคง
{
หมายถึงพื้นที่ใดโดยเฉพาะหรือชัดเจนแต่อย่างใด มันเป็นคำทั่วไปที่หมายถึงหน่วย
การเมืองหนึ่งหรือดินแดนของกษัตริย์ คำว่า ชาติ ตามความหมายเก่ามิได้เกี่ยวกับ
พื้นที่เลย แต่หมายถึงลักษณะร่วมกันโดยกำเนิด หลังจากความหมายของ ชาต
เริ่มเคลื่อนไปจากเดิมในปลายศตวรรษที่ 19 ชาติได้กลายมาหมายถึงชุมชนของ
ประชาชนที่มีลักษณะร่วมทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นช้าแผ่นดิน
ของกษัตริย์คนเดียวกัน จากนั้นดำว่า ชาติ และ บ้านเมือง จึงสื่อถึงชุมชนเดียวกัน
ทั่งทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมที่นิยามโดยอำนาจของกษัตริย์ ภูมิกายาจึงให
นิยามเชิงพื้นที่อย่างใหม่แก่ชุมชนหรือปริมณฑลใต้อำนาจกษัตริย์เช่นว่านี้ นิยาม
ใหม่นี้เกิดขึ้นได้เพราะภูมิศาสตร์สมัยใหม่โดยผ่านคำว่า “ ประเทศ ” ซึ่งเคยหมายถึง
พื้นที่บริเวณหนึ่งอย่างไม่ได้เฉพาะเจาะจงด้วยซํ้าไป การเชื่อมประสานทางดัญ -
วิทยาเกิดขึ้นเมื่ออำนาจและคุณคำที่อัดแน่นอยู่ในคำว่า บ้านเมือง และ ชาติ อัน
หมายถึงกำเนิดร่วม ลักษณะร่วมทางวัฒนธรรม ผืนดิน และกษัตริย์ศักดึ้สิทธ
มาประจวบกับอำนาจและคุณค่าที่มีอยู่ในภูมิกายา แล้วถ่ายทอดอำนาจและคุณค่า
ให้แก กันและกัน การเชื่อมประสานทางลัญริทยานี้เกิดขึ้นกับคำว่า ชาติ และ
,
ประติษเขึ้นอย่างพิถีพิกันโดยเอาคุณค่าดามจารีต ผสมผสานเช้ากับกายภาพรูป-
ธรรมของยุคสมัยใหม่
การเชื่อมประสานมโนภาพภูมิกายาเช้ากับตัวนิยามอัตลักษณ์ชุมชนแบบ
อื่นๆ ทำให้ภูมิกายามีความหมายกว้างขวางและซับช้อนมาก คุณค่าที่มีพลังหลายๆ
อย่างผนวกเช้าไปในความหมายของภูมิกายาจนเลยพ้นดินแตนออกไป แผ่ขยาย
คลุมไปถึงความหมายของผืนดิน ชาติ และปริมณฑลของอำนาจกษัตริย์ เป็นต้น
ภูมิกายาจึงมิใช่เป็นแค่ภาพแทนดินแดนอีกต่อไป แด่รวมถึงชุมชนที่เกาะเกี่ยวขึ้น
เลยพ้นดินแดนและภูมิศาสตร์
อย่างไรก็ดาม การแลกเปลี่ยนความหมายและคุณค่าเกิดขึ้นในสองทิศทาง ในขณะ
ที่ภูมิกายามีความหมายและคุณค่าเพิ่มพูนขึ้น ภูมิกายาก็เป็นพลังผลักดันให้ความ- zyxw
ความสัมพันธ์แบบเป็นลำดับชั้นของบรรดาเจ้าเหนือหัวมากกว่าจะหมายถึงอาณา -
นิคม สำหรับคำว่า “ เกป© ฤ© กป© ก© © ” นั้นสมิธไม่สามารถหาคำไทยที่เหมาะเจาะได้
จึงอธิบายว่าหมายถึง “ ระหว่างมิได้พึ่งอาไศรยใคร; พันอำนาจผู้อื่น; เลี้ยงตัวเอง
มิไต้พึ่งผู้อื่นให้เลี้ยง; ทำตามอำเภอใจของตัวเอง มิได้ให้คนอื่นชักชวน” 20
พงศาวดารทุกฉษับที่เขียนขึ้นก่อนกลางศตวรรษที่ 19 ล้วนมิเรื่องราวเมื่อครั้งกรุง
ศรีอยุธยาเสียแก่พม่าและตกเป็นประเทศราชของพม่าในปลายศตวรรษที่ 16 ต่อมา
กษัตริย์พม่าระแวงว่าพระนเรศวรจะเป็นกบฏ จึงวางแผนสังหารพระนเรศวร ตรงนี้
พระราชพงศาวดารทุกฉบับกล่าวว่าเพื่อบรรลุ “ อิสรภาพที่ยิ่งใหญ่กว่ากรุงอื่นๆ”
อิสรภาพ จึงหมายถึงความยิ่งใหญ่สูงสุด มิใช่ความเป็นอิสระ พม่าเป็นฝ่ายที่แสวงหา
อิสรภาพเหนือ สยาม ไม่ใช่สยามแสวงหา อิสรภาพจาก พม่า 22 ในความสัมพันธ์
เป็นลำดับชั้นระหว่างกษัตริย์ จะกล่าวว่าเจ้าประเทศราชพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้
อิสรภาพ คงไม่สมเหตุสมผล เพราะต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าเจ้ารายนั้นจะ
บรรลุความยิ่งใหญ่สูงสุตไต้
แต่เมื่อบริบทเปลี่ยนเคลื่อนจากความสัมพันธ์แบบลำดับชั้นของกษัตริย์
กลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และหน่วยของความสัมพันธ์กลายเป็น
รัฐที่มีดินแตนเป็นของตนเองแน่ชัด ความหมายของ เอกราช จึงต้องเปลี่ยนจาก
ความยิ่งใหญ่สูงสุดของกษัตริย์กลายเป็นสถานะของรัฐสมัยใหม่ที่สัมพันธ์กับรัฐ
อื่นๆ เมื่อไม่มีระบบอธิราชเป็นลำดับชั้นแล้ว ความหมายเก่าย่อมไม่สมเหตุสมผล
อีกต่อไป การเปลี่ยนเคลื่อนนี้ได้ลบล้างความหมายเดิมในแง่ความสูงสุดตามลำดับ
ในฐานะสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ แผนที่สยามกลายเป็นเครื่องหมายยอด
นิยมอย่างหนึ่งล้าหรับสถาบัน องค์กร พรรคการเมือง บริษัทธุรกิจ และเครื่องหมาย
การค้า การใช้แผนที่จะเคร่งขรึมจริงจ้งหากมันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ไต้สำหรับสื่อความ -
หมายให้กับสัญลักษณ์เฉพาะอันหนึ่ง หรือถูกออกแบบมาให้กระตุ้นอารมณ์ความรู้สึก
ภาพที่ 12 เป็นสัญลักษณ์ของมูลนิธิสายใจไทย มูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ที่ตั้งขึ้น
เพื่อทหาร ตำรวจ และครอบครัวของตำรวจตระเวนชายแดนที่บาดเจ็บหรือทุพพล-
ภาพจากการต่อสู้กับ “ เหล่าอริราชศัตรู” เพื่อปกป้องชาติ สัญลักษณ์ของมูลนิธิ
ประกอบด้วยแผนที่ประเทศไทย เจดีย์ เครื่องหมายอุณาโลม และหัวใจที่มีเลือด
ไหลริน สัญลักษณ์นี้ทรงพลังอย่างยิ่ง อัดแน่นไปด้วยความหมายดรงๆชัดๆเป็น
การผสมกันอย่างจงใจ แผนที่ในรูปทำหน้าที่ควบคุมความหมายที่ถูกต้องควรจะเป็น
สัญลักษณ์อีกอย่างที่มีความหมายอัดแน่นคล้ายๆ กัน คือสัญลักษณ์ของลูกเสือ
ชาวบ้านซึ่งมีบทบาทแข็งชันทางการเมืองในปลายทศวรรษ 1 970 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เลยก็ได้มันอาจเป็นภาพล้อแผนที่ประเทศหรือใช้อย่างเล่นๆ ลองจินตนาการตูว่า
จะเกิดอะไรขึ้นหากเอาแผนที่ซึ่งดูเล่นๆ หรือบิดเบี้ยวไปแทนแผนที่ซึ่งดูขึงขังใน
สัญลักษณ์ของมูลนิธิสายใจไทยและบนผ้าพันคอของลูกเสือชาวบ้าน ความหมาย
ที่ต้องการจะถูกสื่อออกมาหรือไม่ ? ภาพล้อเลียนแผนที่จะสามารถเร้าความรู้สึก
ชาตินิยม ราชานิยม หรือความรู้สึกขึงขังจริงจังได้หรือไม่ ?
แผนที่มักถูกตึงออกจากบริบทแรกเริ่มของมันซึ่งก็คือพี้นผิวของโลก ในหลาย
กรณีมักไม่มีดัญลักษณ์ที่แสดงพิกัดหรือประเทศเพื่อนบ้านที่ล้อมรอบดังในตำรา
ภูมิศาสตร์แผนที่อาจอยู่ลอยๆ ยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งอาจไม มีสัญลักษณ์หรือข้อ
,
ภูมิกายาและประวัติศาสตร์
บกกี่ 8
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ภูมิกายาและประวัติคาสตร์
เก็บรวบรวมขึ้นมาใหม่ ) อดีตดำรงอยู่โตยสัมพันธ์กับองค์ความรู้ที่เรารวบรวม
ประกอบขึ้น ฉะนั้น อดีตที่เรารู้จักจึงสื่อความหมายแทนอดีตที่สร้างขึ้นจากมโน-
ภาพของเราเองแต่เชื่อว่าเป็นอดีตที่แท้จริง ประว้ติศาสตร์ในฐานะวิชาความรู้แขนง
หนึ่งจึงเป็นวาทกรรมเกี่ยวกับอดีต เป็นภาษาที่ทำให้เรื่องราวที่เราระลึกถึงมีความ-
หมายและชัดเจนเข้าใจได้ ประวัติศาสตร์มิได้เป็นการค้นพบข้อเท็จจริงที่ขาด ๆ
หายๆ มากไปกว่าเป็นการประกอบจัดเรียงเข้าเป็นเรื่อง ( เ-6 - ๓6๓เวอเ- ) ว่าจะจดจำ
อย่างไร
. ส . 112 กับอต่ตที่ไม่ต่อเนื่อง
บาตแผลบองวิกฤติการณ์รzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDC
รณีฝรั่งเศสนำเรือปีนเข้าปิดปากแม่นี้าเจำพระยาและจ่อปืนไปยังพระบรมมหา -
าชวังอยู่หลายวัน เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความตระหนกตกใจให้แก่ชนชั้นนำของ
สยามอย่างยิ่ง พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าสยามจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ อีกทั้ง
นชั้นนำสยามหลงเชื่อใจว่าอังกฤษจะให้ความช่วยเหลือหากสยามเกิดพิพาทกับ
รั่งเศส เหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำลายความเชื่อมั่นในตนเอง และอังกฤษก็กลาย
ป็นพันธมิตรที่พึ่งพิงไม่ได้ อังกฤษไม่ต้องการมิความขัดแย้งขั้นรุนแรงกับฝรั่งเศส
ทนสยาม และได้ชี้แจงกับสยามมากกว่าหนึ่งครั้งว่าตนจะไม่เข้าไป “ ผสมโรง ” กับ
หตุการณ์ดังกล่าว ในวันที่ฝรั่งเศสปิดปากแม่นี้าเจ้าพระยา ราชสำนักสยามไต้
องขอความช่วยเหลือจากอังกฤษ ในคำตอบที่ส่งแก่ราชสำนักสยาม อังกฤษแจ้ง
อสยามว่าให้ “ ขจัดความศิดที่ว่าเรากำลังใคร่ครวญปฏิบัติการร่วมเพื่อปกป้อง
รุงเทพฯ” ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น อังกฤษบอกให้สยามทำตามความต้องการของ
รั่งเศสเรื่องดินแดนฝ็งซ้ายแม่นี้าโขง และเมื่อสยามลังเล อังกฤษกล่าวหาสยามว่า
ม่ให้ความร่วมมือ1
ในที่สุดสยามต้องยอมแพ้ ความเชื่อมั่นใน!] มือทางการทูต การทหาร และสิทธิ
ามธรรมชาติของดนที่มีเหนือดินแตนที่เป็นข้อพิพาทถูกสั่นคลอนและถดถอยลง
28 กำเนิดสยามจากแผนที่ : ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
อย่างมาก นักประวัติศาสตร์รายหนึ่งกล่าวว่า วิกฤติการณ์ ร.zyxwvutsrqponmlkjihgfedc
ศ . 1 1 2 ในปี 2436
( ค.ศ . 1893) นีทำให้เกิต “ วิกฤติขวัญกำลังใจ ” ในหมู่ชนชั้นปกครองสยาม :
ต้องยกความดีความชอบให้กับบทกลอนที่มีเนื้อหาตำหนิพร้อมกับให้กำลังใจของ
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้เป็นน้อง4 ไม่เพียงแด่ผ่านพันวิกฤติการณ์
มาได้ ท่านยังสามารถหื่เนสุขภาพไต้อย่างน่าทึ่งเพื่อเป็นกัปตันนำนาวาสยามต่อไป
อย่างที่กรมพระยาดำรงฯ กล่าว พระเจ้าอยู่หัวได้ผนึกจิดใจของบรรดาชนชั้นน่าให้
เข้มแข็งเพื่อรับมือกับภารกิจภายภาคหน้า
อย่างไรก็ตาม ใครจะสามารถปฏิเสธคำกล่าวที่ว่า “ วิกฤติการณ์ร.ศ. 1 1 2 ได้
ฝากแผลเป็น” ให้กับพระจุลจอมเกล้าฯ และผู้นำคนอื่นๆ พวกเขารู้สึกว่าเอกราช
5
ความพลิกผันหักเหในอดีตกับการสร้างความรู้ประวัติศาสตร์ที่เน้นความต่อเนื่อง
ของชีวิตปกติที่คุ้นเคย หรือการฟืนฟูยุคทองในอดีต เพื่อสร้างความนั้นใจให้กับ
ผู้คน อย่างเช่น ตอนเริ่มยุครัตนโกสินทร์ในปลายศตวรรษที่ 18 ราชวงศ์ใหม่ใน
พระราชวังใหม่ ณราชธานีใหม่ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นจุลจักรภพแห่งใหม่ ได
พยายามฟืนฟูระบบระเบียบของบ้านเมืองชิ้นมาหลังการล่มสลายของศูนย์กลาง
อำนาจเก่า ความดึงเครียดระหว่างความต่อเนื่องกับการแตกหักของสายธารประวิต -
ศาสตร์ได้รับการบรรเทาเบาบางลงด้วยการตอกยํ้าเรื่องราวทางศาสนาว่าด้วยโลก
ที่ได้รับการจัดระเบียบชิ้นมาใหม่ ผนวกกับการเขียนประวิดศาสตร์ราชสำนักใหม่
ให้เป็นผู้สีบทอดลานต่อระเบียบโลกเก่า เมื่อพิจารณาการบิดเบือนและเรื่องราวที่
7
ผิดฝาผิดตัว งานเขียนดังกล่าวอาจไม่ไต้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้างความ
ชอบธรรมให้กับระบอบใหม่มากเท่ากับที่เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์ที่ช่วยให้พวก
เขาเองเข้าใจและทำใจได้กับอดีตเจ็บปวดที่เพิ่งผ่านพันไป
การแตกหักอีกครั้งดือการปฏิวิต 2475 ( ค.ศ. 1932) ซึ่งเป็นจุดจบของระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์และจุดเริ่มด้นของสยามใหม่ใต้อำนาจทหาร คราวนี้รอย
การต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อปลดปล่อยประเทศจากการปกครองของต่างชาติ หรือ
เพื่อปกป้องเอกราชของชาติ นี่คือเรื่องของการต่อต้านลัทธิอาณานิคมที่คุ้นเคยกันดี
ซํ้าร้ายไปกว่านั้น สยามหลังการปฏิวติ 2475 ถูกสร้างให้กลายเป็นการฟินฟูยุคทอง
ของสุโขทัยซึ่งถือกันว่าคืออาณาจักรแห่งแรกของสยาม ตามกรอบการเล่าเรื่อง
8
และอธิบายในแนวที่ทำให้ความแตกหักสามารถเข้ากันได้กับอดีตอันมนคงยืนยาว
ถ้าเช่นนั้น รอยแตกร้าวของวิกฤติการณ์ ร.ศ. 1 1 2 ได้ก่อผลกระทบกับเรื่องเล่า
สมัยใหม่เกี่ยวกับอดีตของสยามมากเพียงใด ? เป็นไปได้หรือไม่ว่ากำเนิดของภูม-
กายาและบทบาทของแผนที่จะต้องถูกกลบเกลื่อนเพื่อลบล้างความไม่ต่อเนื่อง?
สยามหลังวิกฤติการณ์ร.ศ . 1 12 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรากฎตัวของภูมิกายา มี
ความสัมพันธ์กับการเกิดขี้นของการเขียนประวัติศาสตร์แบบใหม่ในสยามหรือไม่
อย่างไร? เราลองมาดูว่าเรื่องราวจุดพลิกผันของวิกฤติการณ์ร.ศ . 1 1 2 ได้ถูกอธิบาย
ไวัอย่างไร ยุทธศาสตร์ที่ประวัติศาสตร์นิพนธ์ดังกล่าวใช้อาจชี้ใหัเห่นว่าอดีตของ
สยามทั้งหมดถูกประกอบสร้างขี้นมาอย่างไร
ภูมิกายากำมะลอในอดีตของไทย
ผลผลิตแรกของการเชื่อมต่อระหว่างภูมิกายากับประวัติศาสตร์ที่เราจะพิจารณา
กันคือประวัติศาสตร์นิพนธ์ของช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อดังกล่าวนั้นเอง นักประวิติศาสตร์
ไทยมิไต้มองว่าช่วงสองทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 เป็นกำเนิดของภูมิกายา
หรือตัวตนทางกายภาพของสยามหรือเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร ยุคสมัยและ
เหตุการณ์นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นการสูญเสียดินแดนและการปฏิรูปการปกครอง
เข้าสู่ศูนย์กลาง ทั้งสองส่วนนี้สัมพันธ์กันแด่เป็นคนละกระบวนการ นักวิชาการ
ตะวันตกก็ยอมวับทัศนะดังกล่าวของไทยโดยไม่ตั้งคำถาม ประวัติศาสตร์นิพนธ์
บทที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUT
8 ภูมิกายาและประวตศาสตร์ 231
ตามแบบแผนนี้ถูกผลิตออกมาด้วยวิธีการเซ่นไรzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTS
? แน่นอนเหลือเกินว่าประวัติ -
ศาสตร์ดังว่านี้ส่งผลอย่างยิ่งต่อความทรงจำเกี่ยวกับช่วงขณะแห่งความผันผวน
ปันป่วนครั้งนั้น
เรื่องเล่าแบบฉบับมักเริ่มด้นด้วยความกระสันของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสที่จะ
ยึดครองอุษาคเนย์ เพื่อต้านทานการขยายอิทธิพลของจักรภพอังกฤษในภูมิภาค
และเพื่อแสวงหาเส้นทางไปสู่จีนตอนใต้ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นโครงการที่จะสร้างกำไร
ทางเศรษฐกิจให้กับฝรั่งเศส ปัญหาเกิตขึ้นเมื่อฝรั่งเศสครอบครองเวียดนามไต้และ
อ้างสิทขึ้ของตนเหนือฝังซ้าย ( ตะวันออก ) ของแม่นั้าโขง รอง ศยามานนท์ กล่าว
ไวีในตำราภาษาอังกฤษเกี่ยวกับประเทศไทยว่า ฝรั่งเศสไต้ยึดเอาสิบสองจุไทและ
หัวพันห้าทั้งหกไปจากไทยในปี 2430 ( ค.ศ. 1887 ) แด่ฝรั่งเศสก็บังไม่ยอมรามือ
รองเสนอภาพของฝรั่งเศสว่าเป็นพวกไร้เหตุผลที่ต้องการยึดครองลาวไว้ทั้งหมด
ทั้ง ๆ ที่แผนที่ของฝรั่งเศสเองก็แสดงว่าลาวเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ฝรั่งเศสได้
กระทำการก้าวร้าวในข้อพิพาทหลายกรณีตลอดชายแดนเพราะพวกเขาถูกความ
โลภครอบงำ 9
รองและขจรมิได้เขียนงานประวัติศาสตร์ที่ลงรายละเอียด แต่ความที่ทั้งสอง
ทำหน้าที่คุมวิทยานิพนธ์นักศึกษาปริญญาโทประวัติศาสตร์ พวกเขามีส่วนผลักตัน
ผลงานแนวนี้ออกมาจำนวนมาก ในเบื้องด้นคนเหล่านี้จะศึกษาข้อมูลรายละเอียด
ต่างๆของเหตุการณ์มารองรับคำอธิบาย ครั้นทัศนะดังกล่าวกลายเป็นกระแสหลัก
มันก็สามารถผลิตชํ้าดัวเองได้โดยไม่ต้องสนใจว่าใครเป็นคนเสนอคนแรก งาน
หลายขึ้นเห็นพ้องต้องกันว่าฝรั่งเศสใช้กลวิธีอันชั่วร้าย โป้ปดมดเท็จและฉ้อฉล เพื่อ
บรรลุความมักใหญ่ใฝ่ละโมบของพวกตน ขณะที่สยามได้พยายามทุกวิถีทางที่จะ
แน่นอนว่างานทุกชิ้นล้วนเสนอว่าฝังซ้ายของแม่นั้าโขงทั้งหมดเป็นของสยาม
อย่างปราศจากข้อสงสัย งานของเตวิด ไวแอตตํ (|ว3พ่ 1 พ7311) ซึ่งปัจจุบันเป็น
’
(
ดำรามาตรฐานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยในภาษาอังกฤษ ก็รับเอาทัศนะดังกล่าว
มาเช่นกัน ด้วยความเห็นใจต่อสยาม เขาแก้ต่างย้อนหลังว่าฝรั่งเศสมิได้มีหลักฐาน
แม้แด่ชิ้นเดียวที่สนับสนุนการอ้างสิทธิ้ของตน นอกจากสิทธึ๋ไนฐานะผู้คุ้มครองที่
ตกทอดมาจากเวียดนาม และเป็นเรื่องเศร้าที่สยามไวัใจอังกฤษมากเกินไปทั้งยัง
หลงเชื่อว่า “ ฝรั่งเศสคงไม่มีทางยืนยันสิทธี้อันน่าหัวร่อของตนต่อโลกอารยะ” ' 2
ข้อความข้างล่างนี้เป็นการสรุปอย่างชาญฉลาดของไวแอดด์ ซึ่งงานเขียนแบบ
จารีตทั้งหลายต้องเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์อย่างแน่นอน:
ในความเป็นจริง สยามถูก มํงคํบใหัยอมรับข้อเรียกร้องที่ น่าทุเรศ เพียงเพราะ
สยามได้ ปกปีองดินแดนของดน จาก การรุกรานของล่างชาติ เสมือนประหนึ่ง
ว่ารัฐบาลใหม่ที่เพิ่งขึ้นสู่อำนาจในอังกฤษได้อ้างสิทธึ้ดั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ที่
อังกฤษมีเหนือสหรัฐอเมริกา แล้วลงโทษรัฐบาลอเมริกันที่ข้ตขืนการรุกราน
ของอังกฤษ' 3
ขณะที่ไวแอดดํใข้เรื่องสมมติจากประวัติศาสตร์ของอังกฤษ- อเมริกามาจับ
ใจความสำคัญของวิกฤติการณ์ร.ศ. 112 ทั้งหมดขจรเลือกใช้นิทานอีสปเรื่องหนึ่ง
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีมาเปรียบเปรย “ เราก็ไต้เห็นชัดว่า ฝรั่งเศสหันมาดำเนินกโลบาย
ของหมาป่า ซึ่งกล่าวหาปรักปรำลูกแกะก่อน แล้วจึงกระโจนเข้าขบกัดต่อไป ” ' 4
การอุปมาอุปไมยเช่นนี้มาจากตัวเหตุการณ์เอง หรือว่าเป็นไปในทางกลับกัน?
กล่าวคือ หรือว่านิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะนี้ได้กลายเป็นกรอบความคิดที่ช่วยจัด
องค์ประกอบของเหตุการณ์ในอดีตที่สับสนใหัเป็นระเบียบ มีโครงสร้าง เข้าใจได้
ง่าย และตคุ้นเคยสำหรับผู้อ่าน? อุปมาอุปไมยนั้นเองไต้กลายเป็นกรอบทางความ
คิดเพื่อทำความเข้าใจอดีตดอนดังกล่าวลักแค่ไหน?
บทที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVU
8 ภูมิกายาและประว้ติศาสตร์ 233
ในทัศนะของสยาม ประวัติศาสตร์ของช่วงเวลาตังกล่าวเป็นโศกนาฎกรรม
ไม่ใช่เพราะความใฝ่ฝันของตัวเอกไม่บรรลุผลดังที่มักปรากฏในโศกนาฎกรรมของ
ตะวันตก แต่เพราะว่าในประวัติศาสตร์ฉากนี้ ฝ่ายอธรรมมีชัยเหนือฝ่ายธรรมะซึ่ง
ผิตทำนองคลองธรรมตามหลักพุทธศาสนา ในแง่นี้ประวัติศาสตร์นิพนธ์เกี่ยวกับ
การปฏิรูปการปกครองจึงน่าจะช่วยบรรเทาความรู้สึกพ่ายแพ้สูญเสียและความไม่
ถูกทำนองคลองธรรมไต้
ความทรงจำเพื่อบรรเทาทุกข์ดังกล่าวปรากฎดัวครั้งแรกในรูปบันทึกความ
ทรงจำของกรมพระยาตำรงฯ ผู้ทำหน้าที่ดูแลการปฏิรูปการปกครองระหว่างปีzyx
2435- 2458 ( ค.ศ. 1892 - 1915 ) ใน เทศาภิบาล ที่เขียนขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ] และระบบเทศาภิบาลได้ช่วยรักษา
[ สมเด็จฯ
ราชอาณาจักรไทยให้คงอยู่เป็นประเทศเอกราชไว*ได้เพียงประเทศเดียวใน
แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคสมัยของการแสวงหาอาณานิคมของชาว
ยุโรป... ระหว่างช่วงเวลานั้น [ พ.ศ . 2435- 2458/ค.ศ. 1892- 1915 ภายใต้
การบริหารงานของกรมพระยาตำรงฯ] สยามได้เปลี่ยนจากการรวมรัฐและ
หัวเมืองด่าง ๆ ขึ้นเป็นประเทศโตยไม่มีเส้นแบ่งเขตแตน ไปเป็นประเทศที่เป็น
ปีกแผ่นซึ่งมีการกำหนตพรมแดนแน่นอนชัดเจน มีการวางรากฐานการปก-
ครองส่วนกลางแบบสมัยใหม่และรวมศูนย์อำนาจการปกครองเข้าสู่ส่วน
กลาง มีการเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจ ราษฎรต่างไต้รับการปลดปล่อยให้พ้นจาก
ภูมิกายากำมะลอที่ทึกทักเอาเองช่วยกำกับแนวลิดเรื่องภายใน/ ภายนอกและการ
ป้องกันตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ยุทธศาสตร์นี้ยังนำไปสู่ทัศนะที่ยอมรับกันทั่วไปใน
ปัจจุบันว่าเป็นเรื่องปกติ ได้แก่ ทัศนะที่มองปัญหาทั้งหมดจากสายดาของกรุงเทพฯ
ซึ่งเป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะกล่าวถึงต่อไป ทัศนะดังว่านี้จึงเท่ากับเป็นการกตทับ
ปิดกั้นมุมมองของรัฐเล็กๆในภูมิภาค การทึกทักว่าภูมิกายามีมาแด่เก่าก่อนแม้
จะเป็นเพียงในทาง “ ทฤษฎี ” ก็ตาม ย่อมขัดขวางมิใหัมีความทรงจำว่าภูมิกายา
กำดังถูกสร้างขึ้นในกระบวนการช่วงขณะนั้นนั้นเอง บทบาทของการท่าแผนที่ซึ่ง
เป็นที่มาของภูมิกายาจึงถูกปิดบัง แถมยังท่าให้เราเข้าใจช่วงขณะแห่งความพลิก -
ผันนั้นผิดเพี้ยนไปโดยสิ้นเชิง กลายเป็นว่าช่วงขณะเหล่านั้นมิไต้มีอะไรเกี่ยวข้อง
กับการต่อสู้แช่งขันเพื่อขจัดความคลุมเครือของพื้นที่ ช่วงขณะเหล่านั้นกลายมา
มีความสำคัญเพียงแค่เพื่อรักษาบูรณภาพที่ดำรงอยู่แล้วและผลักดันภูมิกายาที่เป็น
เอกภาพกับอธิปไตยหนึ่งเดียวให้เป็นจริง
บทที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUT
8 ภูมิกายาและประวตศาสตร์ 239
ฟิตชzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLK
'
นผู้ที่เชื่อถีอไต้อย่างยิ่ง 24 อัน
รอย แมคคาร์ธีก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ขจรนับว่าเป็JIHGFEDCBA
ที่จริงเคอร์ชอนได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในบทความของเขาว่า เขาไม่ต้องการเห็น
ฝรั่งเศสขยายไปทางตะวันตกมากยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้พม่าและมลายาของอังกฤษ
ตกอยู่ในภาวะอันตราย แต่เขาก็คัตด้านหัวซนฝาหากอังกฤษจะเข้าไปเกี่ยวข้อง
นข้อพิพาทระหว่างฝรั่งเศสกับสยาม ไม่มีตรงไหนสักแห่งเดียวที่เขาสนับสนุนการ
อ้างสิทธี,้ของสยาม ยอร์จ แนธาเนียล เคอร์ชอน เป็นนักล่าอาณานิคมผู้มีชื่อเสียง
ด่งดัง ซึ่งต่อมาได้เป็นอุปราชประจำอินเดีย แด่เขาอาจไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับ
สยามก็เป็นได้ ดังที่ เอ็ดวาร์ต ซาอิด บรรยายเกี่ยวกับเคอร์ชอน’ไว้-ว่า:
ลอร์ดเคอร์ซอน... พูตภาษาจักรวรรดิเสมอ และในลักษณะที่โอ้อวดยิ่งกว่า
โครเมอร์เขาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างจักรภพอังกฤษกับโลกตะวันออก
ในแง่ของการครอบครองเป็นเจ้าของ ในแง่ของพึ้นที่ภูมิศาสตร์ขนาดใหญ่ที่
ตกเป็นของเจ้าอาณานิคมผู้เก่งกาจ สำหรับเขา... จักรวรรดิมิใช่ “ เป้าของ
ความทะเยอทะยาน” ทว่า “ ก่อนอื่นและที่สำกัญที่สุดก็คือมันเป็นข้อเท็จจริง
ทางประวํเดิศาสตร์ การเมือง และสังคมวิทยา” 25
ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดแห่งชาติถูกตอกยาต่อๆ มาโดยนักประวัติศาสตร์
นั่นเอง ถึงขนาดที่ทำให้พวกเขาปฏิเสธฝรั่งเศสในอดีตอย่างมีดบอต บรรทัดฐาน 26
ง่ายๆ ที่พวกเขาใช้บอกว่าใครน่าเชื่อถือหรือไม่อยู่ตรงที่ว่าใครเข้าข้างฝ่ายไหน
นแง่นี้แม้ว่าเหตุการณ์ที่สยามต้องผิดหวังที่ไว้ใจพันธมิตรอังกฤษมากไปจะล่วงเลย
มามากกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว แต่ลูเหมือนว่านักประวัติศาสตร์ยังคงเล่นเกมเดิมด้วย
วิธีการเดิม คือหวังจะใช้อำนาจของเจ้าอาณานิคมอังกฤษเพื่อสู้กับฝรั่งเศส
กล่าวโดยสรุปคือ งานประวัติศาสตร์ทั่ว ๆ ไปที่ว่าด้วยการสูญเสียดินแตนและ
การปกครองแบบเทคาภิบาลสามารถดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อความเข้าใจเกี่ยวกับรัฐ
แบบลำดับชั้นก่อนสมัยใหม่และอาณาจักรที่ไม่มีพรมแดนถูกละเลยหรือกดหับไว้
ท่านั่น แล้วอ่านเหตุการณ์ทั่งหมดด้วยมโนภาพสมัยใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่าง
ประเทศและรัฐสมัยใหม่ที่มีเลันเขตแดนชัดเจน มีอำนาจอธิปไตยอันสมบูรณ์เป็น
ของรัฐหนึ่งๆ แด ผู้เดียว ความเจ็บปวดก็ชัดเจนเป็นรูปธรรมถึงกับนิยามได้ด้วย
,
40 กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประว้ดิศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ประวิดศาสตร์การต่อต้านลัทธิอาณานิคมหรือประวัติศาสตร์ชาตินิยมของประเทศ
เพื่อนบ้าน สยามรอดพ้นมาได้อย่างสง่างามและการปฏิรูปที่ประสบความสำเร็จ
ยกให้เป็นผลของความปรีชาสามารถและความชาญฉลาดของกษัตริย์และเจ้านาย
ผู้ปกครองทั้งหลาย พวกเขาได้กลายเป็นผู้กู้ชาติzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSR
27
ประวัติศาสตร์ชนิดนี้สามารถที่
จะเปลี่ยนรอยแดกหักให้เป็นความต่อเนื่องและความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของ
กษัตริย์ อันเป็นโครงเรื่องที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีในสำนึกทางประวิดศาสตร์ของไทย
แผนที่ประวัติสาสตร์
หากความเจ็บปวดจากการพ่ายแพ้มหาอำนาจยุโรปได้กลายเป็นบาตแผลในความ
ทรงจำของคนไทยจวบจนถึงปัจจุบัน ก็ย่อมไม่มีข้อสงสัยว่าครึ่งศตวรรษหลังจาก
ช่วงขณะแห่งความปันป่วนโกลาหล ความทรงจำดังกล่าวยังคงตราติดฝังแน่นอยู่
ในความคิตของชนชั้นนำสยามในรุ่นนั้น แม้กระทั้งหลังการปฏิวัติ 2475 ที่ล้มเลิก
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ บาดแผลนั้นก็ยังคงอยู่ ทว่ามิได้เป็นแค่บาดแผล
ต่อเกียรติยศของกษัตริย์ แต่ได้ส่งผ่านให้กลายเป็นบาดแผลของชาติ อนุสาวรีย์
ของความเจ็บปวดดังกล่าวคือดินแตนที่ “ สูญเสียไป ” เหล่านั้นนั้นเอง ประเด็น
การเสียตินแดนถูกกล่าวถึงในงานหลายชิ้น จนกระทั้งกลายเป็นประเด็นแห่งชาติ
อีกครั้งในปลายทศวรรษ 1930 (ราวๆหลัง พ.ศ. 2 480) ในภาวะที่สยามไม่มี
28
แนวคิดชาตินิยมและแบบแผนปฏิบัติจำนวนมากถูกเผยแพร่ภายใต้แนวทางที่
รัฐบาลกำหนด ซึ่งสร้างบรรทัดฐานพฤติกรรมทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจตั้งแต่
ระดับสังคม ครอบครัว จนถึงปัจเจกบุคคล 30
ในทางการเมือง รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อเรื่องความยิ่งใหญ่ของเชื้อชาติไทย
และความเป็นพี่น้องระหว่างคนเผ่าไทในภาคพื้นอุษาคเนย์ ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อระดม
แรงสนับสนุนจากประชาชน พวกเขาผลักตันให้เกิดขบวนการเรียกร้องดินแตนคืน
เจตจำนงของพวกเขาที่จะเอาตินแดนที่สูญเลียไป “ กลับคืนมา ” โดยเฉพาะฝังขวา
บทที่ 8 ภูมิกายาและประวดศาสตร์ 24 ใ
ของแม่นํ้าโขงที่ยกให้กับฝรั่งเศสตามสนธิสัญญาในปีz2447 ( ค.ศ . 1 904 ) และ 2450
yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTS
ที่มึเส้นเขตแดนชัดเจนก่อนจะเสียดินแตนใดๆ คืออาณาเขตที่ถูกต้องชอบธรรม
ทั้งหมดของสยาม แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าอาณาเขตคันถูกต้องชอบธรรมนี้มาจากไหน
ประวัติศาสตร์เส้นเขตแดนคือเรื่องราวของดินแดนสยามที่สูญเสียไป จนลดขนาด
อาณาเขตลงเป็นลำดับ จนกระทั้งเขตแดนปัจจุบันของสยามถือกำเนิดขึ้น แต่ทว่า
เรื่องราวการเสียดินแดนก็มีหลายสำนวนเหลือเกิน สำนวนที่รู้จักกันดีและปรากฏ
ในที่นี้ มีดินแตนที่เสียไปแด่ละส่วนถูกระบายด้วยลีด่างกันไปพร้อมด้วยเลข 1 ถึง 8
ดังนี:้
1. เกาะปีนังกับเวลส์เลยถูกยกให้อังกฤษในระหว่างปี 2329- 2343 ( ค.ศ .
1786 - 1800 )
ตะวันตกที่กลายมาเป็นมณฑลบูรพาของสยามจนกระทั้งเลียไปในข้อ 7
4. แคว้นลีบสองจุไทถูกยึดครองโดยฝรั่งเศสในปี 2431 ( ค.ศ . 1888)
6. ลาวทางฝังขวาของแม่นํ้าโขง ฝังตรงข้ามหลวงพระบางและจำปาคักติ้ ตก
เป็นที่เข้าใจได้ว่าแผนที่ชนิดนี้คือการนำเสนอดินแตนของสยามก่อนและหลัง
การเสียดินแดน แด่ดังที่เราได้เห็นแล้วว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะระบุให้ชัดแจ้งลงไป
ว่าสยามก่อนการเสียดินแดนมีแค่ไหนแน่ หรือแม้แด่จะบอกว่ามีการเสียดินแตนจริง
หรือไม่ หากยึดตามหลักภูมิศาสตร์สมัยใหม่แล้ว นักประวัติศาสตร์ใช่วิธีการอะไร
มาบอกว่าอาณาเขตอันชอบธรรมของสยามก่อนช่วงปลายศตวรรษที่ 1 9 มีอยู่แค่ไหน
สยามดังที่เห็นในปัจจุบันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แผนที่นี้มิไต้ลังเลที่จะบอกเล่า
ประวัติศาสตร์ของตน แด่เล่าอย่างฉลาดเพื่อปฏิเสธลัทธิขยายอำนาจของสยาม
แถมยังปฏิเสธประวัติศาสตร์ที่ว่าสยามถูกกำหนดเส้นเขตแดนเป็นครั้งแรกโดย
มหาอำนาจตะวันดก ถ้าหากว่าสยามที่ยิ่งใหญ่กว่าและมีเส้นเขดแดนที่ติดต่อกันนี้
ดำรงอยู่ก่อนมาเป็นเวลานานแล้วอย่างที่แผนที่นี้พยายามบอก เหตุการณ์หลาย
ครั้งที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่า ศัตรูผ[ู้ หดร้ายและไร้เหตุผลได้บีบบังคับให้สยามต้อง
สียสละร่างกายของตนครั้งแล้วครั้งเล่า บางครั้งความสูญเสียสามารถคำนวณออก
มาเป็นตารางกิโลเมตรได้ ราวกับวัดความเจ็บปวดเป็นปริมาณได้ คือเกือบครึ่งหนึ่ง
ของร่างกายอันชอบธรรม อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าความเจ็บปวดจะมีมากมายเพียงไร
แผนที่คงอยากจะบอกว่าลิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การธำรงเอกราชไว้และสยามเอาชีวิต
รอดมาได้
44 กำเนิดสยามจากแผนที่z: yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประวตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
2483 ( ค.ศ . 1940 ) แผนที่นี้ถูกแจกจ่ายไปตามโรงเรียนและสถานที่
ในปืzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ราชการทั่วประเทศ กงสุลอังกฤษถือว่านี่เป็นพฤติกรรมของ “ จักรวรรดินิยม” สยาม
ที่หวังจะผนวกฝังซ้ายแม่นํ้าโขง พม่าตอนล่าง และรัฐมลายูทั้งสี่ กงสุลอังกฤษ
กับฝรั่งเศสจึงประท้วง กระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นผู้ดีพิมพ์แผนที่อธิบายเลี่ยงว่า
36
แผนที่นี้ใช้สำหรับศึกษาประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ต่อมาแผนที่นี้ก็ถูกใช้ในขบวนการ
เรียกร้องดินแตนคืนจากฝรั่งเศส ฝ่ายอังกฤษเองวิดกว่าขบวนการดังกล่าวอาจ
เรียกร้องดินแตนคืนจากอังกฤษด้วย จอมพลป. รับปากกับกงสุลอังกฤษว่าจะไม่
37
เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นและจะระงับการแจกจ่ายแผนที่นี้ แต่ที่ปรึกษาคนสนิทคนหนึ่ง
ของจอมพล ป. ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นิยมญี่ปุนอย่างมาก ไต้นำแผนที่นี้ออกมาตีพิมพ์
อีกและขายเพียงฉบับละสิบสตางค์ รัฐบาลไทยปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวช้องด้วย
38
และหนังสือแผนที่ของไทยเช่นเดียวกันกับแผนที่เขตแดนของประเทศไทย
ชื่อของแผนที่ชุดนี้แดกด่างกันเล็กน้อยในการพิมพ์แต่ละครั้ง หนังสือแผนที่
ของทองใบ แดงน้อย ซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดนับแต่ปี 2506 ( ค.ศ. 1963) ยาคำว่า
“ ไทย ” ในชื่อของแผนที่ทุกฉบับ ขณะที่ด้นฉบับปี 2478- 2479 ไม่ได้ระบุไว้ แผนที่
ชื่อแผนที่ที่ปรากฎในแผนที่ของทองใบ:
ถึงปัจจุบัน
ภาพที่ 15: แผนที่ประวัติศาสตร์ไทยแสดงอาณาจักรน่านเจ้า 42
ภาพที่ 1 7: แผนที่ประวัติศาสตร์ไทยแสดงอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
ยุคสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พ.ศ. 2133- 2148
( ค.ศ. 1590- 1605 )
ภาพที่ 18: แผนที่ประวัติศาสตร์ไทยแสดงอาณาจักรกรุงธนบุรียุคสมเด็จ
พระเจ้าตาก ( สิน) พ.ศ. 2310- 2325 ( ค.ศ. 1767- 1782)
ภาพที่19: แผนที่ประวัติศาสตร์ไทยแสดงอาณาจักรกรุงรัตนโกสินทร์
ยุคพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ พ.ศ. 2325- 2352
( ค.ศ. 1782 - 1809 )
สเติร์นสไตน์เห็นว่าหนังสือแผนที่นี้เป็น“ ข้อมูลที่ครอบคลุมและถูกต้องแม่นยำ
ที่สุดในแง่ของตัวเลข สถานที่ตั้ง และสถานะของศูนย์กลางอำนาจต่างๆที่ดำรงอย
ในยุคสำคัญๆก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19” อย่างไรก็ตี เขาซี้ให้เห็นความคลาดเคลื่อน
และข้อบกพร่องหลายจุด เขาบังระบุว่าแผนที่มิได้แสดงความซับช้อนของความ
44
สัมพันธ์แบบลำดับชั้นของศูนย์กลางอำนาจต่างๆภายในอาณาจักร แด่แผนที่สมัย
ใหม่จะทำเช่นนั้นไต้อย่างไร? หน้าที่ของแผนที่สมัยใหม่ในการกดทับพื้นที่ของคน
พื้นถิ่นไม่เคยเป็นประเด็นที่ใครสนใจ ในทางตรงข้าม ความสามารถของเทคโนโลย
ทางภูมิศาสตร์สมัยใหม่ในการประดิษฐ์ ควบคุมพื้นที่ของอดีต ดลอดจนจับมันใส่ลง
บนแผ่นกระดาษ กลับได้รับการยกย่องสรรเสริญ แม้แต่สเติร์นสไตน์มังเข้าร่วมใน
ความพยายามที่จะระบุเส้นเขตแดนของอาณาจักรไทยเหล่านี้
คำถามก็คือ แผนที่เหล่านี้สํงผลต่ออารมณ์ความรู้สึกและก่อรูปความทรงจำ
ของเราได้อย่างไร? ประการแรกสุด จะต้องมีองค์ประกอบพื้นฐานอย่างน้อยสอง
ประการเพื่อทำให้แผนที่เหล่านี้มีความชัดเจนเข้าใจไต้ นั้นคือ ความรู้ทางประวัติ -
ศาสตร์ที่ทำให้เราเข้าใจว่าแผนที่เหล่านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรและความรู้สำหรับ
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVU
8 ภูมิกายาและประว้ตศาสตร์ 247
ภูมิกายาของสยามในอดีตที่ปรากฎในแผนที่ประวัติศาสตร์เหล่านี้ทำหน้าที่
เดียวกันกับคำว่า ประเทศไทย ตังกล่าวข้างต้น การนำเอาปัจจุบันไปใส่ให้กับอดีต
ทำให้อดีตเป็นสิ่งที่เรารู้สึกคุ้นเคย จากนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่จะส่งผ่านค่านิยม
อารมณ์ และความหมายอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกชาตินิยมและคลั่งชาติจาก
ปัจจุบันย้อนกลับไปให้อดีต และจึงเข้าสู่ความทรงจำของเรา หากไม่มีกลวิธีเอา
ปัจจุบันไปใส่ให้กับอดีต บทละครและแผนที่ประวัติศาสตร์จะต้องล้มเหลวอย่าง
แน่นอน ภูมิกายาในแผนที ่ประวัติศาสตร์ก็มีหน้าที่แบบเดียวกัน มันเป็นช่องทาง
1
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
สามารถทำให้ชีวประวัติของสยามโดดเด่นขึ้นมาได้ ด้วยการแสดงให้เห็นถึงการ
เคลื่อนไหวและเติบโดของร่างกาย นั้นคือความเป็นชาติของสยามนับแด่ยุคเริ่มแรก
จนถึงปัจจุบันด้วยภาพ 7 ภาพ ( แผนที่ประวัติศาสตร์ 6 ภาพและแผนที่ประวัติ -
ศาสตร์เขตแตนไทย ) แผนที่บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่จุดเริ่มด้นของชาตินับแต่บัง
เป็นเด็กน้อยว่า คนไทยถูกด่างชาติ ในที่นี้ก็คือคนจีน บีบบังคับให้ต้องอพยพลงมา
ทางใต้ อันเป็นดินแดนที่พวกเขาเชื่อว่าอนาคตอันรุ่งโรจน์รอคอยพวกตนอยู่ การ
อพยพโยกย้ายแสดงถึงความทุกข์ยากและความรักอิสรภาพที่มีมาแต่โบราณกาล
ในที่สุตคนไทยได้เคลื่อนย้ายลงมาถึงดินแดนสุวรรณภูมิที่เขมรครอบครองอยู่
เกือบทั้งหมด แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากภายใต้การปกครองของด่างชาติ
อีกก็ตาม แด่อิสรภาพกิบังดำรงอยู่ในหัวใจของคนไทย พวกเขาจึงต่อสู้เพื่อสถาปนา
เลียเอกราชให้กับพม่า ? หากมีใครทำออกมาในแบบเดียวกันกับแผนที่ประวัติ -
ศาสตร์อื่นๆ สยามย่อมมีลีเดียวกับพม่าโตยอยุธยาถูกผนวกเข้าไว้โนอาณาจักรพม่า
จะมีประโยชน์อะไรที่จะผลิตแผนที่ของศตวรรษที่ 1 5 ขณะล้านนายังเป็นเอกราชและ
ต่อสู้กับอยุธยาเพื่อแย่งชิงอำนาจเหนือสุโขทัย ? แผนที่ “ สมมติ ” ทั่งสองย่อมสร้าง
ความสับสนหรือทำลายอุดมการณ์ที่แผนที่ประวัติศาสตร์ทั้งชุตถูกออกแบบมาให้
นำเสนอ
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVU
8 ภูมิกายาและประว้ตศาสตร์ 249
.รี่องบังคับ ( อดีตโตนวางยา ) *
อดีตโตนโครง!zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ทธศาสตร์ทางแนวคิดและกลวิธีทางวรรณกรรมที่สร้างขึ้นโดยอาศัยภูมิกายา มี
ศ. 112 และต่อแผนที่
ความสำคัญทั้งต่อประวิติศาสตร์นิพนธ์ว่าด้วยวิกฤติการณ์ร.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZ
ประวัติศาสตร์ ยุทธศาสตร์และกลวิธีเหล่านี้ทำหน้าที่กำกับควบคุมสมมติฐานและ
มุมมอง ตลอดจนสร้างผลทางอารมณ์Iนแบบที่ต้องการ เพื่อทำให้ช่วงขณะแห่งการ
ปะทะแตกหักในชีวิตของความเป็นชาติตูรุนแรงน้อยลง และในทางกลับกันได้ผลิต
ชีวประวิดการต่อต้านระบอบอาณานิคมที่น่าภาคภูมิใจขึ้นมา
ตังที่น้กคิดหลายท่านไต้เสนอไว้ว่า อดีต เรื่องราวในประวัติศาสตร์ และงาน
รรณกรรม มิได้เป็นปริมณฑลแยกขาดจากกัน ไม่เพียงแด่การจงใจผิดยุคผิดสมัย
และการเน้นยาอย่างเลือกสรรเท่านั้นที่ทำให้เกิดผลทางอารมณ์ตามที่ต้องการ แต่
การจัดวางองค์ประกอบของเรื่องในประวิติศาสตร์นิพนธ์และแผนที่ยังก่อให้เกิดการ
ำลึกถึงอดีตในลักษณะจำเพาะเจาะจงด้วย นับเป็นเรื่องน่าประหลาดอย่างยิ่งว่า
มื่อพิจารณาการจัดวางองค์ประกอบหรือโครงเรื่องของประวิติศาสตร์วิกฤติการณ์
.ศ . 112 และแผนที่ประวัติศาสตร์จะพบว่าคล้ายคลึงกับโครงเรื่องแบบฉบับของ
นิยายและบทละครอิงประวิติศาสตร์ที่สาธารณชนนิยมกันมาก
หลวงวิจิตรวาทการ ( พ.ศ. 2441 - 2505/ ค.ศ . 1898- 1962 ) เป็นผู้ผลิตงาน
ซิงวัฒนธรรมชาตินิยมออกมามากที่สุดและทรงอิทธิพลมากที่สุตในประเทศไทย
ป็นตัวแทนของประวัติศาสตร์นิพนธ์ชาตินิยมที่ทรงพลัง เป็นผู้เขียนนิยายประวิติ -
ศาสตร์จำนวนมาก เป็นนักเขียนบทละครอิงประวัติศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง และเป็นนัก
แต่งเพลงปลุกใจอันโด่งตังมากมาย 47 การพิจารณาบทละครของหลวงวิจิตรฯ อย่าง
ย่อๆอาจเป็นวิธีที่ตีที่สุดที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างกลวิธีทางวรรณศิลป๋กับ
ประวิติศาสตร์ไทย แกนเรื่องหลักๆในบทละครของหลวงวิจิตรฯ มีค่อนข้างจำกัด
กล่าวคือมักเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของคนไทย การสถาปนาอาณาจักรไทยยุคต่างๆ
การต่อสู้เพื่อเอกราช สงครามต่อต้านศัตรูด่างชาติ และการรวมชาติไทย มีเพียง
ม่กี่ชิ้นที่เกี่ยวกับความไม่จีรังของชีวิต ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงตกตํ่าของชีวิตราชการ
องเขาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ภายใต้แกนเรื่องเหล่านี้ แม้เนื้อเรื่องจะซับซ้อน
ห ก33( 810116๙’ ผู้เซียนจงใจใหัมีความหมายสองนัยไปด้วยกัน กล่าวคือ
“X 0
ผู้เขียน นี่เป็นเรื่องแนวประโลมโลกย์ของไทยที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ตัวอย่างที่เป็นแบบฉบับของโครงเรื่องดังกล่าวจะทำให้เราเห็นภาพชัดขี้น
ละครประวัติศาสตร์เรื่องแรกของหลวงวิจิตรฯ “ พระนเรศวรประกาศอิสรภาพ” เปิด
แสดงครั้งแรกในปี 2477 ( ค.ศ. 1934) เป็นเรื่องราวของวีรกษัตริย์ในปลายศตวรรษ
ที่ 16 ที่เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องและบทสนทนาเปิดเรื่องระหว่างสมเด็จพระนเรศวร
กับขุนนางผู้หนึ่งถึงความทุกข์ทรมานที่คนไทยต้องประสบนับแต่อยุธยาพ่ายแพ้
แก่พม่าเมื่อ 1 5 ปีก่อนหน้านั้น เพื่อเป็นการแก้แค้น พวกเขากำลังมองหาโอกาสที่
จะฟืนพ่อิสรภาพของประเทศและเรียกร้องดินแตนคืน “ เราต้องกู้อิสรภาพของเรา
พะย่ะค่ะ อิสรภาพคือชีวิตจิตดีใจ ประเทศใดไร้อิสรภาพ พลเมืองของประเทศนั้นก็
เหมือนไม่ใช่มนุษย์พะย่ะค่ะ” 48
โอกาสมาถึงเมื่อพระเจ้านัแทบุเรงของพม่าสั่งให้อยุธยาส่งกองทัพไปช่วย
พม่ารบกับกบฏที่เมืองอังวะในปี 2127 (ค.ศ. 1584) แต่เมื่อกองทัพสยามบุกไปถึง
เมืองแครงของมอญ แม่ทัพมอญสองนายที่ไต้รับคำสั่งจากพระเจ้านัแทบุเรงให้ชุ่ม
โจมดีพระนเรศวรเกิตเปลี่ยนใจและหันไปเข้ากับฝ่ายไทย พระนเรศวรประณาม
กษัตริย์พม่าที่ไรัสัตย์และวางแผนลอบลังหาร จากนั้นจึงประกอบพิธีกรรมประกาศ
อิสรภาพของอยุธยา หลังจากนั้นพวกมอญก็อาสาเข้าร่วมกับกองทัพสยามบุกโจมดี
หงสาวดี เมืองหลวงของพม่า ฉากสุดท้ายของละครอันเป็นหนึ่งในบรรดาเรื่อง
49
น่ามหัศจรรย์ที่สุตในประวัติศาสตร์ไทยคือ ฉากที่ชาวไทยและมอญภายใต้การนำ
ของพระนเรศวรกำลังข้ามแม่นั้ากลับมายังฝังไทยหลังจากบุกโจมตีเมืองหงสาวดี
โตยไม่มีใครเสียชีวิตแม้แต่ผู้เดียว ทว่ากองทัพพม่าติดตามมาอย่างกระชั้นชิต พระ-
นเรศวรจึงยิงปีนข้ามแม่นั้ากว้างใหญ่ไปหนึ่งนัดถูกแม่ทัพพม่าเสียชีวิตทันทีราว
ปาฏิหาริย์ ในที่สุดพระนเรศวรทำนายว่าดวงวิญญาณของตนจะปกป้องดูแล
50
หรือแสดงความสมเหตุสมผลของเหตุการณ์ แด่เป็นการแสดงอารมณ์สะเทือนใจที่
แทนที่คำอธิบายหรือเหตุผลใดๆ ทั้งมวล ในหลายกรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราว
ระหว่างคนรัก หลวงวิจิตรฯ ฉลาดในการใช้บทสนทนาเพื่อคลี่คลายปมขัดแย้งด้วย
เหตุผลโดยไม่ขาดอารมณ์สะเทือนใจตัวอย่างเช่นเขาเล่นกับคำว่า “ รัก” ซึ่งเป็นส่วน
หนึ่งของคำว่ารักชาติ ผู้ชมของเขาถูกกระตุ้นให้คิดและรู้สึกถึงความรักชาติโดย
52
ผ่านการเสียสละความรักส่วนตน
หลวงวิจิตรฯ เคยยอมรับว่า บทละครประวิดศาสตร์มิใช่ประวิดศาสตร์ ถึงแม้
เนี้อเรื่องจะอาศัยข้อมูลจากประวิดศาสตร์ แต่มันถูกแต่งแต้มสีสัน ต่อเติมเสริมแต่ง
หรือกระทั้งปันแต่งขึ้นมาเพื่อให้เกิดผลบางประการ ละครบางเรื่องไม่สมควรถูก
53
เรียกว่าละครประวิดศาสตร์ด้วยซํ้า เพราะมันเกี่ยวพันกับประวิดศาสตร์เพียงในแง่
ของชื่อหรือเหตุการณ์ที่เป็นฉากหลังของเรื่องเท่านั้น ตัวละครมักแบน มีด้านเดียว
ไม่ขาวก็ดำ และคาดเดาได้ บทสนทนาก็ขาดความเป็นธรรมชาติ บ่อยครั้งเหมือน
ภาษาเขียน แด สิ่งที่ถูกถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ในบทละครเหล่านี้มิใช่เนี้อเรื่อง
'
หรือตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมา แด่เป็นสารที่ถูกสื่อออกมาโดยแนวเรื่องและโครงเรื่อง
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTS
8 ภูมิกายาและประว้ติศาสตร์ 253
พนธ์ แผนที่ และบทละครของหลวงวิจิตรฯ มีความคล้ายคลึงกันอย่างชัดเจน
รื่องราวมักมีสาเหตุมาจากความชัดแย้งระหว่างสยามกับศัตรูด่างชาติ อันนำไป
สู่การกระทำด่าง ๆ อาจมีความชัดแย้งอื่นเพิ่มเข้ามาแตกเป็นรองเรื่องหลัก และการ
ระทำต่างๆ ก็ถูกกักทอล้อมรอบแกนกลางความชัดแย้งหลัก สำหรับเรื่องว่าด้วย
ารปฏิรูปการปกครองระบอบเทศาภิบาลนั้น จุดสุดยอดของเรื่องอยู่ที่การนำระบบ
หม่ไปใช้กับประเทศราช เรื่องลงเอยด้วยความสุขสมอารมณ์หมาย เราได้เห็นการ
ยายตัวของระบบใหม่ไปทั่วประเทศ และการสรรเสริญชื่นชมความสำเร็จของ
บรรดาเจ้านายผู้บริหารประเทศ สำหรับเรื่องการเสียดินแดน แน่นอนว่าจุดสุดยอด
ศ. 112 เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องราวค่อนข้างโศกสลด
องเรื่องย่อมอยู่ที่วิกฤติการณ์ร.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFED
ด่ดังที่หลวงวิจิตรฯ ตระหนักเป็นอย่างดีว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา ตราบเท่าที่
วามอยู่รอดและเอกราชของประเทศชาติเป็นที่รับรู้กัน เราย่อมไม่คิดว่าการเสีย
สละเป็นโศกนาฏกรรมหรือการงอมืองอเท้า เรื่องราวการเสียดินแดนทำให้เรา
ำลึกถึงความยากลำบาก การเสียสละ และความรักชาติและสามัคคี อันจำเป็นยิ่ง
ละคุณค่าเหล่านี้จะส่งทอดมาถึงเราในลักษณะที่ปลุกเร้าและสะเทือนอารมณ์
สำหรับแผนที่ประวัติศาสตร์ แม้ว่าจะประกอบด้วยประวัติศาสตร์หลายดอนแด่
ครงเรื่องที่ใช้ก็คล้ายคลึงกันและคุณค่าที่นำเสนอก็เป็นอย่างเดียวกัน แต่มันก็มิ'ใช่
ผนที่ชุดหนึ่งซึ่งไม มีอะไรสัมพันธ์กันเพราะแผนที่ทั่งชุดคือประวัติศาสตร์สยาม
,
ทั่งหมดอย่างย่อที่สรุปรวบยอดว่า ปัญหาใหญ่ที่สุตตลอดชีวิตของชาติไทยคือ
นตรายจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นข้าศึกด่างชาติ กัยคุกคามจากภายนอก จีน
ขมร พม่า ฝรั่งเศส หมาป่า หรืออะไรก็ตามแต่ ศัตรูภายนอกอุบัติขึ้นอีกได้และ
มรออยู่ นึ่คือประเด็นที่ถูกตอกยาครั้งแล้วครั้งเล่านับจากฉากแรกจนถึงปัจจุบัน
ารลำดับเหตุการณ์ที่ตอกยํ้าความคิดนี้ซํ้าแล้วซํ้าอีกได้กลายมาเป็น “ โครงเรื่อง
ม่บท ” ( กา3ร16โ 0๒1) สำหรับชีวประวัติของชาตินับแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน
โครงเรื่องแม่บทนี้ประกอบด้วยสองโครงเรื่องรองที่ชัดแย้งกันเอง ด้านหนึ่ง
สดงถึงพัฒนาการ การเปลี่ยนแปลง หรือความก้าวหน้าในช่วงชีวิตของชาติ อีก
านหนึ่ง ความคิดว่าด้วยภัยคุกคามภายนอกและการต่อสู้เพื่ออิสรภาพก็ได้รับการ
อกยํ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ประว่ติศาสตร์ที่ดูเหมือนมีพลวัดจึงเป็นเพียงปรากฏการณ์
า ๆ ยํ่าอยู่กับที่ เรื่องราวที่ยิ่าแล้วยํ้าอีกอาจดูซึ่าซาก ทว่าความชํ้าซากกลับมีความ
1 1
54 ยามจากแผนที่ : ประวิดศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
กำเนิดล:zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
กับปกรณัมการสร้างโลกว่าzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
:
ในความคิตของผู้ที่ศรัทธา... ความชาซากของปกรณัมกลับทำให้ข้อเท็จจริง
น่าเชื่อจนสนิทใจ ปกรณัมใดที่แยกออกมาอยู่เป็นเอกเทศก็เหมือนกับสาร
ใส่รหัสที่เต็มไปต้วยคลื่นรบกวน แม้แต่สาวกที่มีความเชื่อมั่นมากที่สุดก็ยัง
ไม่แน่ใจนักว่าสารนั้นหมายถึงอะไรกันแน่ ขณะที่ความชํ้าซากของปกรณัม
สามารถทำให้ผู้มืจิตศรัทธารู้สึกได้ว่า ปกรณัมด่างสำนวนแม้-ว่าจะมีราย -
ล ะเอียตที่แดกต่างกัน แด ก็ยีนยันถึงความเข้าใจของเขาและช่วยตอกยํ้า
,
สารัตถะหลักของปกรณัมทุกฉบับ 54
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTS
8 ภูมิกายาและประวตศาสตร์ 255
นแตนและการปฏิรูปการปกครอง โครงเรื่องแม่บทก็เป็นที่มาของความเชื่อล่วง
น้าและโครงเรื่องย่อยๆ อันจำเป็นต่อความเข้าใจว่าวิกฤติการณ์โนช่วงปลายศต- zyxwv
ดีตผลิตใหม่
ญหาที่กล่าวมาข้างบนนี้นำเราไปสู่ชุตคำถามที่สำคัญยิ่งกว่า นับแด่ปลายศตวรรษ
1 9 ถึงต้นศตวรรษที่ 2 0 เป็นระยะที่ประวัติศาสตร์นิพนธ์สมัยใหม่เริ่มถือกำเนิด
นในสยาม ปัญญาชนรุ่นบุกเบิกในสาขานี้ไต้เสนอวิธีการศึกษาและมโนภาพใหม่
ำหรับประกอบสร้างอดีต เช่นเดียวกับภูมิศาสตร์และความรู้แขนงอื่นๆ อดีตชนิด
หม่นี้สะท้อนความหักเหพลิกผันแตกหักจากความคิดเติมของคนพื้นเมืองที่มีต่อ
ดีต แม้ว่าดูผิวเผินจะอิงกับตำราจารีตก็ตาม การปะทะแตกหักในปลายศตวรรษ
1 9 ส่งผลต่อการสร้างอดีตชนิดใหม่นี้หรือไม่ ? ถ้าหากประสบการณ์I นช่วง 2 - 3
ศวรรษก่อนสิ้นสุดศตวรรษที่ 1 9 เป็นบาดแผลทางจิตใจสำหรับผู้ปกครองสยาม
วงเวลาอันเลวร้ายนั้นจะส่งผลต่อสมมติฐานของพวกเขาที่มีต่อชะตากรรมของ
ระเทศทั้งในอดีตและปัจจุบันหรือไม, ? วิธีคิดแนวใหม่และอารมณ์ความรู้สึก
นิดใหม่ที่เกิดขึ้นจากช่วงเวลาดังกล่าว มีส่วนในการเขียน กำหนดทิศทาง และวาง
ครงเรื่องอดีตอันใหม่มากน้อยเพียงใด เป็นไปไต้หรือไม, ที่โครงเรื่องแม่บทของ
ระวัตศาสตร์สยามที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ที่จริงแล้วเป็นผลผลิตของความทรงจำ
าดแผลหลังวิกฤติการณ์ร.ศ . 1 1 2 ?
จนถึงตรงนี้ ผู้เขียนเสนอว่า กำเนิดของภูมิกายาเรียกร้องต้องการประวัติศาสตร์
หม่เพื่อปิดรอยร้าวแตกหักในชีวิตของชาติ ประวัติศาสตร์นิพนธ์เกี่ยวกับวิกฤต-
ารณ์ดังกล่าวได้ทำหน้าที่นี้เป็นอย่างดี แม้ว่างานเขียนเกี่ยวกับการเสียดินแตน
ละการปฏิรูปการปกครองแบบเทศาภิบาลถูกสร้างขึ้นภายหลังเหตุการณ์ไปมาก
ด่เป็นไปได้อย่างมากว่าวิกฤติการณ์โดยตัวมันเองและความทรงจำต่อเหตุการณ์
นได้ช่วยผลิตอดีตชนิดใหม่ของสยามขึ้นมา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็ศึอ ผลกระทบจาก
56 กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
กำเนิดของภูมิกายานั้นมีมากเสียจนอดีตของสยามจักต้องถูกเขียนขึ้นใหม่ด้วย
มุมมองใหม่ ประวัติศาสตร์ใหม่ถูกสร้างขึ้นจากวาทกรรมหลงยุคผิดสมัยที่อาศัย
ภูมิกายากำมะลอ รวมถึงมโนภาพและปฏิบ้ติการที่เกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้
สมมติฐานแบบผิดยุคผิดสมัยเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของตัวตนทางกายภาพของ
สยามและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การใช้บริบทของการเมืองระหว่างประเทศ
ผิตที่ผิดเวลาอย่างจงใจ มโนภาพเรื่องอำนาจอธิปัตย์ที่เป็นเอกภาพหนึ่งเดียวของ
รัฐก่อนสมัยใหม่ และที่ผิตเหลือเชื่อคือการใช้แผนที่ ประวัติศาสตร์แบบzyxwvutsrqpo
“ เช้าใจ
ผิดๆ” ว่าด้วยการเสียดินแตนและการปฏิรูปการปกครอง ตลอดจนแผนที่ที่ผิดยุค
ผิดสมัยไต้มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและดอกยํ้าวาทกรรมใหม่ว่าด้วยอดีตของ
ไทย ที่มาพร้อมโครงเรื่องใหม่ สมมติฐานใหม่ คุณค่าใหม่ และเทคนิคใหม่ๆ วาทกรรม
ใหม่นี้ได้ถูกผลิตซาโดยสื่อสารมวลชน โรงเรียน และสถาบันทางอุดมการณ์อื่นๆ อีก
มากมายกลายเป็นวาทกรรมที่ครองความเป็นใหญ่
ในเมื่อภูมิกายามีบทบาทสำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่สยาม
วาทกรรมภูมิกายาก็น่าจะผลิตหรือปรับเปลี่ยนแง่มุมอื่นๆ ของประวัติศาสตร์ใหม่
ด้วย ตัวอย่างที่ผู้เขียนต้องการพิจารณาในที่นี้คือ ขอบเขตของอดีตแบบใหม่ ในที่นี้
คือ อดีตแบบใหม่ครอบคลุมพื้นที่แค่’ไหน? หรือพื้นที่ใดเป็นหัวข้อประวัติศาสตร์ใต้?
'
บทที่zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTS
8 ภูมิกายาและประว้ตศาสตร์ 257
เห็นได้ชัตว่าภูมิกายาที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นเป็นตัวกำหนดพื้นที่ของประวัติศาสตร์
ใหม่ ภูมิกายาเป็นคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลอย่างเดียวว่าทำไมเมืองเหล่านั้นจึง
ควรนับรวมเป็นประเทศสยามด้วยในทัศนะนี้ อีกทั้งประวัติศาสตร์ไม่ควรถูกจำกัด
อยู่เฉพาะช่วงเวลาที่ปรากฎในพงศาวดารเท่านั้น พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่z5yxwvutsrqpon
ยังแนะ
ด้วยว่าขอบเขตเวลาของประกัติศาสตร์ใหม่ควรกินเวลาเป็นพันปี
ด้วยกรอบการมองอดีตที่มีศูนย์กลางหลายแห่งนี้ จึงมีการเขียนและรวบรวม
ประว้ติศาสตร์เกี่ยวกับศูนย์อำนาจในภูมิภาคต่างๆ ออกมามากมาย แด่นักประวัติ -
ศาสตร์รุ่นต่อมา โดยเฉพาะพระมงกุฎเกล้าฯ และกรมพระยาดำรงฯ ได้ปรับเปลี่ยน
กรอบทางเวลาและพื้นที่ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เคยเสนอไว้ แนวการศึกษา
ใหม่นี้มุ่งความสนใจไปที่ประวัติศาสตร์ของศูนย์กลางใหญ่ๆไต้แก่ สุโขทัย อยุธยา
และกรุงเทพฯ อันเป็นวิธีการที่ไร้การทัดทานจวบจนถึงทศวรรษ 1980 ( พ.ศ.
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของวาทกรรมว่าด้วยภูมิกายายังคงมือยู
,
2523- 2532 )
ตระหนักในภูมิกายาที่เป็นปีกแผ่น สุโขทัยถูกถือว่าเป็นราชธานีแห่งแรกของสยาม
เพราะเชื่อกันว่ามีอำนาจปกครองครอบคลุมดินแดนเกือบทั้งหมดที่เป็นสยามใน
ปัจจุบันและไกลไปกว่านั้น ขณะที่ศูนย์กลางใหญ่อื่นๆ ใหญ่ไม่เท่า ดังที่กรมพระยา
ดำรงฯ กล่าวไว้เมื่อปี 2472 ( ค.ศ. 1 929) ว่า:
ไทยพวกที่ตั้งเป็นอิสระในแขวงลานนาได้อาณาเขตเพียงแต่ในมณฑลพายัพ
เดี๋ยวนี้แล้วเสื่อมอำนาจ แด่ไทยพวกที่ตั้งเป็นอิสระ ณ เมืองสุโขทัยสามารถ
แผ่อาณาเขตไต้กว้างใหญ่ไพศาลไปจดประเทศอื่น และได้ปกครองเป็นเจ้า -
ของประเทศสยามสืบมาจนกาลบัดนี้จึงนับว่าเมืองสุโขทัยเป็นปฐมราชธานีแห่ง
ประเทศสยามตั้งแต่เป็นสืทธึ้แก่ชนชาติไทยในราวเมื่อ พ.ศ. 1 800 เป็นต้นมา 56
บางทีเหตุผลหนึ่งที่ท่าให้ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงโด่งดัง ได้รับการยกย่อง
สรรเสริญเกินพอดี อาจมาจากความเชื่อว่ามันเป็นหนึ่งในหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่ซี้
ว่าอาณาจักรสุโขทัยเกือบจะยิ่งใหญ่เท่ากับภูมิกายาของสยามในปัจจุบัน 57
และการเมืองในไทยที่เปลี่ยนไปในทศวรรษตังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโต
ของระบบทุนนิยมที่รัฐให้การสนับสนุน และการเติบโตของเมืองใหญ่ในภูมิภาค
ต่างๆ อาจมีความสัมพันธ์กัน
แน่นอนว่าวาทกรรมว่าด้วยภูมิกายาส่งผลกระทบมหาศาลต่อความรู้เกี่ยวกับ
อดีตของสยามในหลายระดับและหลายลักษณะด้วยกัน แม้แด เรื่องราวเกี่ยวกับ
,
กลายมาเป็นภาระที่กำหนดให้เราอ่านอดีตในแบบเดียว ประรัตศาสตร์จึงกลายเป็น
หนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สุตในการนิยามความเป็นชาติไทย
ในทำนองเดียวกันกับกรณีภูมิศาสตร์สมัยใหม่เข้าแทนที่ภูมิศาสตร์พื้นถิ่น
เป็นไปได้มากว่าเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างวาทกรรมว่าด้วยอดีตที่แตกด่างกัน
เป็นการเผชิญหน้าซึ่งอดีตแบบใหม่ยังไม่สามารถยึตครองผลักไสอดีตแบบเก่าได้
หมด ดังนั้นจึงยังปรากฏความลักลั่นไม่ลงรอย ความคลุมเครือ และร่องรอยที่แสดง
ให้เห็นว่าอดีตแบบใหม่กำลังถูกสร้างขึ้น อย่างไรก็ดาม ขอบข่ายเรื่องที่ว่ามานี้อยู่
60
นอกเหนือขอบเขตของหนังสือเล่มนี้* zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFE
^^ ^
! V 6 แเกฎ / / ! 6 /ฬ///!ร: /ะรรล/ร เก เ-เ0ก0บ ! อ / ธล/ อ/!๘ ปสก 7 ©กฬ่อ/ ( ธลกฐ ๐ :
45/3/1 /-//ร/อก์อฮ/ล/ว/!/ ปกzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
'
^
'
^^
โ 8๐๐^5, 2 0 1 1 ) - หมายเหตุเพิ่มเติมฉบับแปล
บทที่ 8 ภูมิกายาและประวิดศาสตร์ I 259
บทสรุป
ภูมิกายา ประวัติศาสตร์ และความเป็นชาติ
บกสรุป
ภูมิกายา ปร:วัติศาสตร์ และความเป็นชาติ
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ภูมิกายาและประวัติศาสตร์ใต้กลายมาเป็นเทคโนโลยีทรงพลังของความเป็นชาติ
อานุภาพทรงพลังที่สุตของมัน คือปฏิบ้ติการนิยามความเป็นไทยหรือตัวตนของเรา
(ผ6-ร6แ) ที่ตรงข้ามกับความเป็นอื่น ( 01เา6โก6รร) ดังที่เอ็ดมุนต์ ลีซ ไต้กล่าวไว้
นานแล้วว่า ความวุ่นวายทางการเมืองในที่ต่างๆทั่วโลกแสดงให้เราเห็นว่า เส้นเขตแดน
แบ่งแยกผู้คนชาติพันธุ ( 61หกเ0 0600162) มากมายออกเป็นคนชาติ ( กลใ!อกลเร) ต่าง ๆ
กันอย่างรุนแรงและตามอำเภอใจ ตลอดชายแดนสยาม มีคนชาติพันธุต่างๆจำนวน
1
การสร้างตัวดฬของเรากับความเป็นอื่น
ตามจารีตพี้นถิ่นของอุษาคเนย์ คนๆ หนึ่งสังกัดมูลนายเป็นอันดับแรกก่อนสังกัดรัฐ
และคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่หนึ่งไม่จำเป็นต้องสังกัดกับผู้ปกครองในพื้นที่นั้นเสมอไป
แม้ว่าพวกเขาคงต้องจ่ายภาษีหรือค่าเช่าแก่เจ้านายของบริเวณนั้น ดังที่ เจมส์แมค-
ดาร์ธี ตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยความฉงนว่า นี่เป็นธรรมเนียมแปลกประหลาดที่อำนาจเหนือ
ปัจเจกบุคคลกับเหนือพื้นที่แยกจากกัน ชาวตะวันตกสมัยใหม่อย่างเขาไม่ตระหนัก
2
ว่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นสิ่งปกติในภูมิภาคนี้และหลายแห่งในเอเชีย
การเมืองของข้อโต้แย้งซึ่งกินเวลาหนึ่งทศวรรษนี้คิอการชิงกันควบคุมประชากร
หรือหมายถึงกำลังคนนั่นเอง เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าภูมิภาคนี้มีประชากรเบาบาง ทั้ง
จ้าหน้าที่ของสยามและฝรั่งเศสพยายามทำให้ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นคนในสังกัดของตน
ด้วยมาตรการสารพัด ทั้งยกเลิกภาษี แจกเงินทองเสื้อผ้า และข่มขู่คุกคาม อย่างไร
4
ก็ตาม ข้อเสนอของทั้งสองฝ่ายล้วนแด่ผลักให้อัดลักษณ์ของผู้คนและพันธะดังภัต
หรือความจงรักภักดีของผู้คนเคลื่อนจากความผูกพันกับบุคคลแบบจารีตเติมไปสู่
ความผูกพันกับภูมิกายาใหม่ในแง่ถิ่นกำเนิดหรือไม่ก็ถิ่นที่อยู่อาศัย ข้อเสนอของสยาม
สะท้อนว่าสยามตระหนักดีถึงการเบนออกจากการปฎิบ้ดีแด่เติม
ผลกระทบมีสองด้านด้วยกัน ในด้านหนึ่ง ระบบสังกัดเพื่อควบคุมกำลังคน
แบบจารีตหมดประสิทธิภาพลง นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งที่นำ
ปสู่การยกเลิกระบบไพร่ทาสในที่สุต ในอีกด้านหนึ่ง สยามจำต้องเร่งคิดหาระบบ
การนิยามอัดลักษณ์อย่างใหม่เพื่อทำให้ผู้คนเป็น “ ชาวสยาม” ผลก็คือมีการจัดทำ
ทะเบียนสำมะโนครัวทั้วประเทศและเปลี่ยนการขึ้นต่อมูลนายแบบจารีตไปสู่การ
ปกครองท้องถิ่นที่มีตินแดนเป็นตัวกำหนด นอกจากนี้ยังมีกรณีที่เจ้าฟ้าคนไทย
5
ซึ่งปกครองหัวเมืองลาวฝังขวาของแม่นี้าโขงคนหนึ่งออกคำตั้งให้เจ้าพนักงานท้องถิ่น
ลิกธรรมเนียมระบุชาติพันธุของราษฎรในสำมะโนครัวและในการสำรวจสำมะโน
ประชากร แต่ให้ระบุแบบเดียวกันทั้งหมดว่าเป็น “ คนในบังคับสยาม” แม้นิยามใหม่
6
นี้ไม่ทันได้ดำเนินการอย่างทั้วถึงในช่วงระยะเวลาอันสั้น แต่ภูมิกายาได้เริ่มวาง
ทิศทางและรากฐานวิธีการจัดจำแนกประชาชนอย่างใหม่แล้ว ในปี 2484 ( ค.ศ.
941 ) หนึ่งในรัฐนิยมคลั่งชาติของรัฐบาลจอมพล ป. คือการบังคับให้เรียกประชาชน
64 กำเนิดสยามจากแผนที่z: yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ทยทั้งหมด ไม่ว่าจะมาจากภูมิภาคหรือเชื้อชาติอะไร ว่าเป็น “ คนไทย ” โดยไม่ระบุ
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZY
ายส์ ระบุว่าคนทางฝังขวาของแม่นาโขงยังคงเรียกตนเองว่าเป็นลาวอยู่แม้ว่าพวก
ขาจะค่อยๆ กลายมาเป็น “ อีสาน” มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ดาม เขายังให้ข้อสังเกตด้วย
าอีสานนิยมซึ่งเคยทำท่าจะมีปัญหาการแบ่งแยกดินแตนในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.
นั้น ในช่วงที่เขาทำการศึกษามิได้เป็นปัญหาอีกต่อไปแล้ว ชุมชนระดับภูมิภาคได้
กลายมาเป็นอัดลักษณ์หนึ่ง ภาย!นปริมณฑลของชาติไทย แต่ไม่มีขบวนการเรียก -
องการแบ่งแยกรัฐอีสานอีกแล้ว “ คนลาว” ได้กลายมาเป็น “ คนอีสาน” อันเป็นการ
8
นิยามอัดลักษณ์ทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมด้วยพึ้นที่ภายใต้กรอบความเป็นชาติที่
พิ่งถูกสร้างชื้นมา
9
ทุกวันนี้ดามพื้นที่ชายขอบบางแห่งของประเทศไทย การนิยามประซาซนด้วย
ดินแดนยังเพิ่งถูกนำไปใช้ ในปี 2529 ( ค.ศ. 1 986) รัฐบาลไทยทำการสำรวจทาง
อากาศเพื่อทำแผนที่ชายแดนไทยส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับพม่าและลาว พวกเขาพบ
ว่ายังมีซนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวโดยไม่เคยมีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยมา
นานแล้วและโยกย้ายข้ามไปมาระหว่างสามประเทศด้วย ฉะนั้นนอกเหนือจากการ
ทำแผนที่แล้ว พวกเขาจึงลงมือทำสำมะโนประชากรและจดทะเบียนสำมะโนครัวโดย
อ้างเหตุผลทางความมั่นคง
หากกล่าวถึงภารกิจของประวัติศาสตร์ในการก่อร่างสร้างความเป็นไทย จะ
พบว่าอดีตได้ถูกสร้างชื้นบนฐานของคู่ตรงข้ามว่าอะไรคือไทยและอะไรคือความ
เป็นอื่น ในเรื่องนี้ภูมิกายาได้เสนอตัวตนของความเป็นอื่นให้แก ประวัติศาสตร์
,
ในการนี้ชาติที่ถูกจัดให้เป็นอื่นนั้นส่วนใหญ่เป็นรัฐสมัยใหม่ ไม่ใช่อาณาจักรเล็กๆ
น้อยๆหรือหัวเมืองใหญ่ๆดังที่เคยเป็นในระบอบการเมืองยุคก่อนสมัยใหม่ ยิ่งไป
กว่านั้น ความแตกต่างระหว่างอะไรเป็นไทยกับอะไรเป็นคนอื่น มิได้จำกัดอยู่แค่
ตัวตนทางการเมืองเท่านั้น ในทัศนะของประวัติศาสตร์ไทย พม่าเป็นพวกก้าวร้าว
ชอบรุกราน และชอบหาเรื่องทะเลาะวิวาท ขณะที่คนเขมรเป็นพวกชื้ขลาดตาขาว
แต่ชอบฉวยโอกาสโจมดีสยามในยามที่สยามกำลังเดือดร้อน ฉะนั้นจึงไม่ยากที่จะ
เห็นได้ว่าบุคลิกลักษณะของคนไทยตามวาทกรรมประวัติศาสตร์ก็คือภาพดักษณ์ที่
ตรงกันข้ามกับลักษณะของคนอื่นเหล่านี้ “ ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” อีกทั้ง
กล้าหาญและรักอิสระอย่างที่เพลงชาติบอกกับเราตลอดมานั้นเอง
ดาสตร์มิไต้จำกัตอยู่แต่เฉพาะในหมู่คนไทยเท่านั้น 11
หน้าที่ของศัตรู
แนวเรื่องว่าด้วยการต่อสู้เพื่อเอกราชหรือภัยคุกคามของศัตรูต่างชาติไต้กลายเป็น
มนต์วิเศษสำหรับผลิตวาทกรรมว่าด้วยความมั่นคงของชาติทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ตัวอย่างทางประว้ตศาสตร์ที่เด่นชัดอาจลูไต้จากการที่นักประว้ตศาสตร์ไทยคนสำคัญ
รายหนึ่งได้สร้างความชอบธรรมให้กับระบบไพร่ของไทย ขจร สุขพานิช เขียน
งานคลาสสิคชิ้นหนึ่งโต้ตอบกับทัศนะแบบมาร์กซิสต์ที่เห็นว่าระบบไพร่คือหลักฐาน
แสดงการกดซี่ขูตรีดทางชนชั้นในอดีตของไทย ขจรโต้ว่าความทุกข์และความ
12
กันนี้ใซัอธิบายหน้าที่ของทหารไทยเสมอ ลองตูตัวอย่างจากโอวาทครั้งหนึ่งของ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งมีขึ้นเพียงสองเตือนหลังการสังหารหมู่นักศึกษาเมื่อ 6
ตุลา 2519 (ค.ศ. 1976):
บ้านเมืองเราในปัจจุบันกำลังถูกฝ่ายปัจจามิตรบุกรุกคุกคามอยู่ตลอดเวลา จน
อาจพูดไต้ว่าถ้าหากคนไทยขาตความสำนึกในชาติและความพร้อมเพรียงใน
กาย ใจที่จะต่อสู้ศัตรูของแผ่นดิน อิสรภาพและความเป็นไทยของเราอาจย่อยยับ
ไปแล้วก็เป็นไต้ ทหาร'ใทยนั่นเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุด'ในการปัองกันบ้าน
,
เมืองมาทุกยุคทุกสมัย พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ 6
เหตุผลที่ชัดเจนให้ เพราะหน้าที่ของความเป็นอื่นไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายที่เป็น
ภววีลัย หน้าที่ของความเป็นศัตรูเพียงแด่ต้องเป็นรูปธรรม สมจริง และระบุได้ว่า
เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับตัวตนเราเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าพวกเขาเป็นใครหรืออะไรจริง ๆ
ข้อเท็จจริงที่ว่าภูมิกายาและประวัติศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการผลิตความ
เป็นไทยและสร้างศัตรูของความเป็นไทยนั้น สามารถสาธิตให้เห็นอย่างชัดเจน
ด้วยโปสเตอร์แผ่นหนึ่งซึ่งอาจจะไม่เป็นที่เผยแพร่มากนัก แด่นับว่าเป็นแบบฉบับ
อันโดดเด่นของภาพทำนองเดียวกัน ภาพที่ 20 แสตงภาพแผนที่ที่ลอยอยู่โตตๆโตย
ปราศจากการอ้างอิงพิกัดใดๆของผิวโลกเป็นพี้นหลัง แด่เราตูออกได้ง่ายว่าเป็น
แผนที่ประเทศไทย ตรงชายแดนด้านตะวันออกมีรูปทหารที่คาดเข็มขัดกระสุนปีน
เต็มพิกัด ตาของเขาเขม้นมองไปยังแผนที่ประเทศไทยและอ้าปากกว้างราวกับ
กำลังข่มขู่หรือว่ากำลังจะกลึนกินแผนที่ประเทศไทย ตูจากเครื่องแบบ ดาวบนหมวก
และค้อนกับเคียวที่เสียบอยู่ตรงเข็มขัด เห็นได้ชัดว่าเขาคือคอมมิวนิสต์ ลักษณะที่
โดดเด่นที่สุดของทหารผู้นี้ก็คือรูปร่างของเขาที่วาดจากเค้าโครงของแผนที่เวียด -
ชายแคนของความเป็น ใทย 1
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
การแบ่งขั้วภายใน/ ภายนอกเป็นยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุตอย่างหนึ่ง
ในการแยกแยะตัวตนของเรากับความเป็นอื่น กระนั้นก็ตามเส้นแบ่งระหว่างภายใน
กับภายนอก ตัวตนของเรากับคนอื่น( หรือศัตรู) บางครั้งก็พร่าเลือน แม้กระทั่ง
ภูมิกายาซึ่งควรเป็นตัวนิยามที่เป็นรูปเป็นร่างและเด่นชัดที่สุดของความเป็นชาติไทย
ก็มีข้อจำกัดณหลายๆจุดที่เส้นเขตแดนของมันมิไต้ตรงกันพอตีกับเส้นเขตแดนของ
ความเป็นไทย ปริมณฑลของความเป็นไทยนั้นค่อนข้างคลุมเครือ มันอาจกว้างขวาง
มหาศาลหรือจำกัดคับแคบก็ได้ในปี 2531 ( ค.ศ. 1988) ประเทศไทยทั้งประเทศโดย
มีคนไทยในสหรัฐอเมริกาเป็นแนวหน้า เดินขบวนเรียกร้องให้สถาบันศิลปะแห่งเมือง
ชิคาโกคืนหับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ ศิลปะเขมรในศตวรรษที่ 11 กลับสู่สถานที่
ประดิษฐานเติมของมันณปราสาทหินพนมรุ้งซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศไทย อัน
ที่จริงหับหลังฯ เป็นงานศิลปะของเขมรในยุคสมัยก่อนที่คนไทยจะขยายอำนาจชิ้นมา
ในอุษาคเนย์ และอาจมิใช่ศิลปะชิ้นสำคัญที่สุดด้วยซํ้าไป แต่เมื่อสำนึกเรื่องอัตลักษณ์
แห่งชาติในหมู่คนไทยทุกวันนี้สูงชิ้นอย่างน่าประหลาดใจ หับหลังฯ จึงถูกถือว่าเป็น
สมบัติลํ้าค่าของอัดลักษณ์แห่งชาติไทย คนไทยทั้งชาติด่างโกรธแค้นที่ชาวอเมริกัน
ขโมยสมบัติของชาติไปจากแผ่นดินไทย ในที่สุดคนไทยทั้งชาติรู้สึกปลาบปลื้มใจ
อย่างที่สุดเมื่ออัดลักษณ์แห่งชาติชิ้นดังกล่าวหวนคืนกลับสู่มาตุภูมิของมันหมายถึง
ประเทศไทย ไม่ใช่กัมพูชา ความเป็นไทยในที่นี้จึงเป็นการยื่นขยายในเชิงวัฒนธรรม
19
ข้ามพ้นประเทศไทยไปจนจรดธรณีประตูของอาณาจักรนครวัด เขตปฏิบัติการของ
ความเป็นไทยไปไกลถึงชิคาโก ช่างเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งที่ชิ้นส่วนของเขมรสามารถ
และเวียดนามเหนือ แต่การมีคอมมิวนิสต์ที่เป็นคนไทยย่อมชัดแย้งกับนิยามดังกล่าว
โดยเฉพาะในช่วงปลายทศวรรษ 1970 (ช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 )
เมื่อแนวคิดสังคมนิยมแพร่กระจายกว้างขวาง และนักศึกษาชนขั้นกลางนับพันคน
เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ กระนั้นก็ตามยุทธศาสตร์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่อยู่
ยงคงกระพันมากที่สุตอย่างหนึ่งก็คือการโยงนักสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ และฝ่ายซ้าย
เข้ากับภัยจากภายนอก ผลก็คีอนักศึกษาเหล่านี้ถูกเรียกว่าเป็น “ ผู้หลงผิด ” หรือ
“ ลูกหลานของเราที่หลงผิด” (โดยคอมมิวนิสต์? หรือโดยความเป็นอื่น?) ซึ่งเป็นการ
จัดประเภทที่สร้างขึ้นมาให้อยู่ตรงกลางระหว่างความเป็นไทยกับความเป็นอื่น “ ผู้
หลงผิด” นี้ต่อมาถูกนำไปใช้กับคอมมิวนิสต์ไทยทั่งหมด บรรดาคณะกรรมการกรม
การเมืองสูงสุดของพรรคก็เป็น “ ผู้หลงผิด ” ด้วย หลังจากพวกเขาตัดสินใจวางอาวุธ
และทิ้งอุดมการณ์ ส่วนใหญ่ได้รับนิรโทษกรรมและกลายมาเป็น “ ผู้ร่วมพัฒนาชาติ
ไทย ” พวกเขากลายเป็น “ หนึ่งในพวกเรา” ของชาติไทย
กองกำลังหนึ่งในการปราบปรามการก่อการร้ายคือตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่ง
มีภารกิจหลักในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ไทยในชนบท คำว่า “ ชายแตน” ในที่นี้เป็น
ลัญญะสื่อถึงเส้นแบ่งระหว่างความเป็นอื่นกับความเป็นไทย มากกว่าที่จะหมายถึง
นิยามทางภูมิศาสตร์ วาทกรรมว่าด้วยภูมิกายาสร้างจินตภาพที่ทรงประสิทธิภาพ
ในการทำให้กลุ่มต่อต้านในสังคมไทยเท่ากับภัยคุกคามจากภายนอก ดังนั้นตำรวจ
ตระเวนชายแดนจึงเป็นกองกำลังที่พิทักษ์ชายแตนของความเป็นไทยต่อต้านศัตรูที่
อยู่ภายนอกชายแตนนี้แหง ๆ ไม่ว่าในความเป็นจริงพวกเขาอาศัยอยู่ตรงไหนก็เถอะ
ดังนั้นเราจึงพบตำรวจตระเวนชายแดนปฏิปัตการที่ไหนก็ได้ตั้งแต่บริเวณชายแตน
ในหมู่ชนกลุ่มน้อย ( เพื่อสอนภาษาไทยและแนะนำให้พวกเขารู้จักธงไตรรงค์ พระ-
พลังอำนาปีชองสัญลักษณ์
รหัสหรือสัญลักษณ์เช่นคำว่า “ ชายแดน” หรือแผนที่ของชาติ ไม่จำเป็นต้องสื่อถึง
ความหมายตั้งเดิมแรกเริ่ม มันอาจผลิดอกออกผลผลิตความหมายที่เกี่ยวโยงกัน
ออกมาไต้อีกมากมาย กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือสัญลักษณ์แต่ละอันมีศักยภาพในตัว
มันเองที่จะสื่อความหมายหลากหลาย การต่อสู้เพื่อควบคุมความหมายของสัญลักษณ์
จึงเป็นสงครามที่เข้มข้น เป็นการแช่งชันที่มุ่งบ่อนเซาะและขจัดความหมายบางอย่าง
ออกไป พร้อมกับเสนอความหมายอีกอันหนึ่งแทนที่ ฉะนั้นการยึดมั่นหรือการต่อต้าน
ความหมายหลักของสัญลักษณ์หนึ่ง ๆ จึงอาจแสดงถึงการยอมขึ้นต่อหรือแสดงถึงการ
แข็งขืนต่ออำนาจครองความเป็นใหญ่ของวาทกรรม...และอำนาจ
โดยปกติสัญลักษณ์ของความเป็นชาติเป็นการผสมผสานของวาทกรรมหลาย
ชุด แด ละชุตมีประสิทธิภาพโดยตัวมันเอง นั้นทำให้สัญลักษณ์ของความเป็นชาติ
,
ร่องรอยการก่อรูปของวาทกรรมอัตลักษณ์ความเป็นชาติได้ อะไรคือความหมาย
ของการที่พระจอมเกล้าฯ คิดค้นธงชาติ “ สยาม” ขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ที่แยกด่างหาก
จากสัญลักษณ์ของกษัตริย์? การที่พระเจ้าอยู่หัวคนเดียวกันนี้เสีอกช้างเผือกเป็น
สัญลักษณ์บนธงชาติ ขณะที่ธงของกษัตริย์ใช้ตราพระราชลัญจกรประจำตัวเป็น
สัญลักษณ์นั้นบ่งชี้ถึงอะไร? ก้าวสำคัญในการนำเสนอธงไตรรงค์เป็นธงชาติมีความ-
หมายอย่างไร? กล่าวกันว่าการตัดสินใจของพระมงกุฎเกล้าฯ ในการถอดช้างเผือก
ออกจากธงชาติ มีเหตุจากการชักธงชาติกลับหัวโตยษังเอิญ 21 ต่อให้เป็นเรื่องจริงแล้ว
ธงไตรรงค์กลายมาเป็นสัญลักษณ์ไต้อย่างไร? อำนาจเช้ามามีส่วนในการสร้างสิ่งนี้
อย่างไร?
ธงไตรรงค์ได้ผ่านพ้นวิกฤติการณ์หลายคเงโดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลง ขณะที่
สัญลักษณ์ของชาติหลายอย่างจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ถูกท้าทาย การปฏิวัติ
2475 ซึ่งล้มเลิกระบอบสมมูรณาญาสิทธิราชย์ได้พยายามผลักดันให้รัฐธรรมนูญ
เป็นสัญลักษณ์สูงสุดเพื่อให้คนเคารพ ผู้มีอำนาจในระบอบใหม่มอบหมายให้มีการ
22
สรรเสริญพระบารมีก็ถูกดัดให้สั้นลงและมีการสร้างสัญลักษณ์!หม่ ๆ ขึ้นมาแข่งขัน 24
ท่ามกลางการต่อสู้เหล่านี้ธงไตรรงค์ยังคงอยู่รอดมาได้อย่างไม่ถูกแตะต้อง ทำไมธง
ไตรรงค์จึงทรงพลังนัก? หรือว่าเพราะมันอ่อนกำลังกำกวม และดังนั้นจึงยืดหยุ่นมาก?
หากเป็นเช่นนั้นจริง มีการเคลื่อนความหมายหลัก การดีความ หรือหน้าที่ในกฎเกณฑ์
และพิธีกรรมที่เกี่ยวช้องกับธงไตรรงค์หรือไม่ ? 25
เมื่อธงชาติถูกสร้างและไต้รับการสนับสนุนด้วยอำนาจและวาทกรรมของรัฐไทย
ความหมายและอัตลักษณ์ของมันจึงถูกกำกับด้วยวาทกรรมความเป็นไทย ซึ่งไม่
นับรวมฝ่ายต่อต้านและคงไม่ไต้รับการยอมรับจากพวกเขา นับจากปี 2525 ( ค.ศ.
1 982 ) เมื่อกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้ามอบตัวกับรัฐบาล พวกเขามอบอาวุธปีนและธง
แตงให้กับทางการ แล้วรับธงไตรรงค์และรูปภาพของกษัตริย์และราชินีกลับมา จาก
นั้นจึงร่วมกันร้องเพลงชาติไทยในตอนท้าย พิธีกรรมเปลี่ยนสถานะทางการเมือง
ด้วยธงไตรรงค์และสัญลักษณ์อื่นๆ นื้ใต้แปลงโฉมคอมมิวนิสต์ไทยภายใต้ธงแตงให้
กลายเป็นสมาชิกของสังคมกระแสหลักภายใต้ธงไตรรงค์ นี่หมายความว่าพวกเขา
มิได้เป็นไทยเต็มที่จนกว่าจะเข้าร่วมในพิธีกรรมดังกล่าวกระนั้นหรือ?zyxwvutsrqponmlkji
รัฐบาลทหารในขณะนั้นกล่าวหาว่าขบวนการนักศึกษาเป็นคอมมิวนิสต์และ
25 1 6
ลงท้ายผู้นำนักศึกษาเห็นว่าควรยกเลิกธงวีรชนเสียเพราะอาจถูกดีความได้ว่าเป็นการ
จงใจท้าทายธงชาติซึ่งอาจนำไปสู่หายนะทางการเมืองที่คาดไม่ถึง การถกเถียงตุเดือดใน
หมู่ผู้จัดงานดำเนินไปดลอดคืนก่อนที่จะมีการเก็บธงวีรชนจนหมด แล้วต้องกว้านชื้อธง
ไตรรงค์ขนาดเล็กนับพันทั้วกรุงเทพฯ ตอนรุ่งสางแทน พวกเขากลัวหงอเกินไปไหม?
หรือสุขุมรอบคอบดีแล้ว ? หรือว่าพวกเขาไม่ควรทำธงใหม่นี้ขึ้นมาแด่แรก แทนที่จะต้อง
มายกเลิกมันในนาทีสุดท้าย ?
คำส่งท้าย
อัดลักษณ์ของความเป็นชาติเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งชองการจำแนกหมู่พวก
(๒๒๓ เธ๓) โดยมีฐานอยู่บนตู่ตรงข้ามระหว่างตัวตนของเรากับความเป็นคนอื่น
แน่นอนว่าอัตลักษณ์มีหลายชนิดและหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นรุ่น โรงเรียน ภูมิภาค
อาชีพ ความเป็นชาติ และอันหนึ่งอาจข้ดแย้งกับอีกอันหนึ่งก็ได้ แต่อำนาจของมัน
แดกด่างกันไปขึ้นอยู่กับลำดับชั้นของอัดลักษณ์ ตัวอย่างเช่น คอมมิวนิสต์เสนอว่า
บ53ณานุก5ม
ดัชนี
หมายเหตุเกี่ยวกับการอัางอิง
-
8มโท6/ ?30615 ( เอกสารเฮนรี เบอร์นีย์ ) อยู่ในรูปของ 88 ( เล่ม ) / ( ภาค ).
การอ้างถึงzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
7/76zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ตัวอย่างเช่น 884/ 1 หมายถึง เล่ม 4 ภาค 1 หมายเลขชองเล่มที่ในที่นี้หมายถึงการนับเล่ม
ดามตัวเอกสารชั้นต้น ไม่ว่าจะปรากฏอยู่ในฉบับตีพิมพ์เล่มใดก็ตาม เพราะหมายเลขของเล่ม
เอกสารชั้นต้นไม่ดรงภับการนับเล่มพิมพ์ ตัวอย่างเช่น เล่มที่ 2 ของเอกสารชั้นต้นดีพิมพ์เป็น
สองเล่ม นอกจากนี้วิธีนับเรียงหน้าหนังสือของเอกสารทั้งชุดนี้ก็ไม่คงเสนคงวา ในเล่ม 1 และ
เล่ม 3 ของเอกสารชั้นด้นนับหน้าเรียงกันจากต้นจนจบไปดลอด 4 ภาค และ 2 ภาคดามลำดับ
แด่ในเล่ม 2 และเล่ม 4 เริ่มด้นนับหน้าหนึ่งใหม่ทุกครั้งที่ขึ้นภาคใหม่ เล่มที่ 5 มีเพียงภาคเดียว
เพราะฉะนั้น การอ้างถึงหมายเลขภาคจึงจำเป็นเฉพาะกับเล่ม 2 และเล่ม 4 เท่านั้น แต่จะไม่
อ้างถึงหมายเลขภาคในเล่มอื่นๆ เพื่อป้องกันความดับสน
ประชุมพงศาวดาร สิ่งพิมพ์ชุดนี้รวมเอกสารประกัดิศาสตร์และบทความสารพัดชนิด มี 80
ภาคด้วยกัน ฉบับพิมพ์โดยคุรุสภาที่ใช่ในหนังสือเล่มนี้แบ่งเอกสารออกเป็น 50 เล่ม เพื่อให้
มีแต่ละเล่มพิมพ์ความหนาพอ ๆ กัน โดยไม่สนใจว่าแด่ละภาคจะเริ่มด้นและจบในเล่มพิมพ์
เดียวกันหรือไม่ ดังนั้นการอ้างจะอยู่ในรูปของ ประชุมพงศาวดาร ( เล่ม) / ( ภาค). ตัวอย่าง
เช่น ประชุมพงศาวดาร 34 / 62 และ 35 / 62 หมายถึงเล่ม 34 และ 35 ในภาค 62, ประชุม
พงศาวดาร 13 และ หมายถึงทั้งภาค และ อยู่ในเล่ม ขณะที่ชื่อของ
11 / 14 13 14 11
11 /zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDC
เอกสารจะปรากฏอยู่ในเกือบทุกกรณีในรูปเดียวกับชื่อบทความในหนังสือ
การอ้างอิงเอกสารในเชิงอรรถจะอยู่ในรูปย่อ ส่วนเอกสารที่อ้างถึงบ่อยครั้งและชื่อยาวจะอ้างอิง
เต็มรูปเฉพาะในการอ้างอิงถึงครั้งแรกเท่านั้น หลังจากนั้นจะเป็นชื่อย่อ ล้าหรบรายละเอียดที่
สมบูรณ์สามารถดูได้จากบรรณานุกรมท้ายเล่ม
บทนำ การดำรงอยู่ฆองความเ!เฬชาติzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLK
1. ร/๘ก ห 1^ -ก กฎ กเ -ล/๘, 9 ปบกอ 1986.
6 0โ ! 6โ
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
21 - 41.
7. ๖ นอกจากนี้ ลูคำประกาศด่าง ๆ ของรัฐบาลช่วงนั้นใน กรมโคสนาการ, ประมวนวักน -
\ \6 .
ธมแห่งชาติ.
8. คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ , รายงานการสัมมนาเรื่องเอกลักษณ์ของชาติกับการ
พัฒนา , หน้า 1 .
9. คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ , เอกลักษณ์ของชาติ .
10. จากสุนทรพจน์ของ ม.ร.ว. คึกฤทธ ปราโมช ดู เพิ่งอ้าง , หน้า 9.
1 1. เะ0เ๓บก๘ เ-6สอเา, ก*0แไเ0ลเ 8 ธ16กา5 0เกแฎกเลก๘ 8บโ-กาล, เวเว. 285- 286, 290- 292.
^
เชิงอรรถ 279
รสร = ค
!© /'ก 1 00ก(วกา!อ 6ฟ6IV, 18 ปบก© 1987, 9 53.
12.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
83? -
1 3. 8โบ ห! I , เก
๘ 33ก ปบกา วลเล “ 6 โ681 ลกป รโ©3© บโ© 6โ0น|ว8,” [ว. 1 30
! .
^
/\ร/ล, ก. 7.
'
1 7. 8© ก© ปเอ! กป© โรอก, “ 31บปเ68 อ! 1เา© ๆ ห31 ร!©!© : 7เา © ร!ล!© อ! าโหล1 ร!บปเ © ร,” [ว. 1 96.
^
"
18. 7!าอก9๐หฌ่ พเกเอเาลเฒเ , “ รเลฌ [เ/เลกก© ป: & แเร1อโ/ อ! 1!า © (3© 0-!ว0ป / 0! รเ3กา ,”
( 3โ!เอเ6 ) เวเว. 1 55- 156 ประเดนนี้ถูกกล่าวถึงในคำวิจารณ์หลังการประชุมโดยผู้ดำเนิน
รายการ ดู “ คอร^อโเก!” ๖V 6©!า©ก พเ]© V ©ผลโป© ก© เก \^0เ. 3, [ว!. 2, กก. 650- 652.
1 9. จากบทนำของ ^๓ลโล คอก9รลก!อ!ไ ใน 7โลอ/!/ /อกล/ 3กป 0[ า3ก9เกฎ 7กํ3เ IVอ/ /อ/ \/ เ6 พ,
'
’
ก. 8.
20. สิทธ บุตรอินทร์ , โลกทัศน์ชาวไทยลานนา; สังคมศาสตร์ ฉบับโลกทัศน์ชาวลานนา ;
จำเริญ แสงดวงแข, โลกทัศน์ชาวไทยภาคใดที่ปรากฏในเพลงกล่อมเด็ก , สุธิวงศ์ พงศ์-
'
นั้นเกือบจะเป็นการคัดลอกข้อความจากหลักฐานแบบคำต่อคำ .
22. ลูบทรายการวิทยุไดํใน เพื่อแผ่นดินไทย.
23. มีรายการวิทยุและโทรทัศน์อื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันนี้อยู่อีก แมัว่าไม่ใช่ทุกรายการจะเป็นที่
นิยมของประชาชน และบางรายการภิมีคนลูหรือฟังน้อยมากเพราะมีวิช้การนำเสนอที่น่าเบื่อ
แต่รายการเหล่านี้เป็นส่วนหนี้วของความพยายามสร้างมาดรฐานให้กับความเป็นไทย ดู อยู่
อย่างไทย สิ่งพิมพ์รายปีของบทรายการวิทยุและโทรทัศน์ของรายการที่มีชื่อเดียวกัน.
24. เสกสรรค์ ประเสริฐกุล , “ บทวิจารณ์หน้งสิอ 7!?ล/ /ลกอ/: รออ/©!/ 3ก6 7อ/!
'
/ /อร, ” หน้า 406.
'
25. ทัศนะดังกล่าวนี้ลูจะปรากฏชัดเจนที่สุดในงานของน้กวิจารณ์สังคมชื่อดังและมีผลงาน
มากที่สุด คือ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และลูกศิษย์ของเขา ในภาษาอังกฤษดู เช่น รเสกา เก
0 7ร ร; ร©© อ/ร อ! ค©ลอ©: 7\ 8บอ/อ// ร! V เรเอก I อ/ 86ก6 พเกฎ รออ/ ©!/ และ ค© / /ฐ อก
'
'
/ / ?/ ’ /
หนัา 104.
29. สง่า ลือชาพ้ฒนพร และอาทร เตชะธาดา, บ.ก., วิกฤตการณ์ทางเอกลักษณ์.
30. พระประชา ปสนฺนธมฺโม, “ ท่านพุทธทาสกับการปฎิรัติ วัฒนธรรม , ” หนัา 76.
' ' '
(วเา3โ!©ร 1 I . ©765, “ ค0แ!เ 031 0โเรเร 3กป [ฒเ!3ก! ธบ๘0แาเรกๆ เก อ0ก!©๓[ว0โ3เ7 7/131-
^
เ 3กป” และ อ© V!ป เ^อโ© II 3กป อเาฟ-3ก3ก 83๓บป373ก1]3, ค0////๘3/ 00/1/IIอ! เก 7/13/-
'
ลเฯV 0* 7เา3แ3กป,,’ [ว[ว. 205- 209 และ 212 - 215; และ 03ผเก อเาบ!!๓3, 7/16 7/56
อก๘7อ!! 01 ปา& 0อกากาบกเร! 7อโ!V 0เ 7/13//3/1๘ (1973-1987 ) , บทที 1 และหน้า 44- 60
เป็นการยากที่จะวัตออกมาว่า “ ปัจจัยจีน” นี้เป็นสาเหตุมากน้อยแค่ไหนของความแตกแยก
ระหว่าง พคท. กับปัญญาชนหนุ่มสาว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเหตุผลหนึ่งทีบรรดาผู้ที่หัน
1
หลังให้กับ พคท. กล่าวถึงมากที่สุด ( ตู V บ3ก9โ3! พ© ๘©!, 7/16 7/13/ 73๘/๘3/5 3/1๘ ป16
0อกากาบกเร! 73๘/).
34. ตูตัวอย่างเช่น “ รัฐไทยกับจักรวรรดินิยม,” หน้า 15- 35 โดย ตันติสุข โสภณสิร.ิ
35. สำหรับบริบททางประวิดศาสตร์ของมาร์กซิสต์ไทยในช่วงทศวรรษ 1 950 รวมทั้งการหยิบ
ยกไปใช้และผลกระทบของมาร์กซิสด์ในทศวรรษ 1970 ตู 0โ3เ9 ป. ค© V ก0เปร 3กป เ-V ร3
แ0ก9, “ ^ © / X เร๓ เก 7เา3เ เ-แร!0โเ03เ 3!บป165,” [ว;ว. 77-104.
36. สมเกียรติ วันทะนะ, “ รัฐสมมูรณาญาสิทธึ๋ในสยาม 2435- 2475” นอกจากนี้ ตูการ
วิวาทะของนักวิชาการรุ่นใหม่ในประเด็นเดียวกันนี้ใน ปาจารยสาร 8, ฉบับที่ 3 (มิถุนายน-
กรกฎาคม 2524): 14- 57.
37. แอก๘: เ เ5 เ อ0ก///๘!.
กปโ©ผ 7บเ10ก 6! 3เ ., 7/13 (~ 00 0
เชิงอรรถ 281
๘
38. 4ก © โรอก , “ ร!บ๘เ6ธ 0* ๒© 7๘ลเ 81316, ” เวเว. 211 - 215 ไต้ถกเถียงเกี่ยวกับชนชาติ
กลุ่มน้อย บทความนี้โดยรวมยังวิพากษ์มายาคติเกี่ยวกับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของ
รัฐไทยในต้านอื่นๆ ด้วย.
39. 01าลโเ © ร ค. [(© ห©ร, 7/1ส/ /ลก๘: 81๔๘/1/51 /(/ทฐ๘อ๓ 55 0๘©โ-ท /V©1/00-5/31© นอกจาก
' /
ของ อลVI๘ ผเลโโ ลก๘ 4.0. [พเก© โ, ©๘ร., 3001/16551 45/5 เก 1/16 91/1 10 741/1 0©ท1บโห.
41 . ออกล[ ๘ X . [ะกากา© โร0ก, ‘“ รอบ๒©ลร! 4รเ5’ : ผเาล!’ร เก ล ผล๓© ?,” [ว[ว. 5- 14.
42. ธ©ก©๘เอ! 4ก๘© โร0ก, เกา5ฐ//?©๘ 00๓โทบ/?/!/©ร: 8©1/601/0/75 0/7 1/16 0๘ฐ/ท 5ท๘ ร/วโ-©ล๘
01 ผล!/0ทล//ร๓.
43. ดูตัวอย่างเช่นงานคลาสสิคเกี่ยวกับการนิยามตัวตนของพวกคะฉิ่นและฉาน (ไทใหญ่ -
ผู้แปล ) ใน บ ล [ไ , /-//ฐ/1/ลท๘ 8บโ๓ลและดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนิยามตัวดนเชิงเชี้อชาติ
© ©
ในบทนำของ คโ© ๘โ^ 8ลโ๒, ๘., 81/1ท/© รโ0บ/วร ลท๘80มท๘ลท่©ร: 7/16 รออ/ส/ วโฐลท/-
© ( ' ( •
2510ท 01 0บ/!มโ-ล/ อ!
/ / ! โ-©ท©© และ 0หลโเ ร 7. X © ห© ร, ๘., 81/10 0 4๘ล/ว!ล!/0ท ลท๘
© © © /
45. 80๘© โ! 0. รลอ^ , 1-1บกา3ก 7©โท!อโ/ล//!ห: /!5 71?60โห ลท๘ 8/510/ห คำจำกัดความที่ใหใน
' '
บททีz่ yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
1 ภูมิฃองคนพื้นถิ่นและแผนที่โบราณ
1. ล้าหรับงานแปลไตรภูมิพระร่วงและการถกเถียงเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาของไตรภูมิใน
โลกภาษาอังกฤษ ดู คโลก^ 8. ค หก0เ๘ร ลก๘ !\/เลกเ 8. ค หก0[๘ร, 7/7โ-©© I^0โ-/๘ร
© ©
3. 8. ป. 7© โพเ6เ , “ เห!บลก9 1หลเ ลก๘ !เา © พอโ!๘: 0หลกฐเกฮ ค© โร[ว©อ!IV © ร อบโเก9 ๒© 7!าเโ๘
"
ค©!9ก.”
9. ตูตัวอย่างเช่น นวโโ©เก© 0©3เ0เ^ , © ๘., 0© โใ /© โร, ร/โท๘0เร, อกอ! /-//©โ© โ©/ไ/©ร: รรรฝ็/ร อก
( เาอ 01อรธเออ! ร/© /©ร อ( ร© บ //?©© ร/ /\ธเอ และ รเา©
IIV เะโโเก9๒ก , 1\/เออกเกก อกอ! ค© IV©โ
เก ร© บ//ใ©©ร/ 4รเอก ค©© /โท.
คโลก 8. ค© V ก0๒ร, “ 8บ๘๘๘!ร๓ © 3 บก!V © โร©! ค© แ9เ0ก © ก๘ 33 017๒ ค©!!910ก, ’ 00.
,
1 0.
^
1 94 - 203 สำหรับรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวความคิดพุทธศาสนาที่แบ่งเป็นสามระดับ
ตู ค© V ก0๒ร ©ก๘ ค© V ก0๒3, 7 /าโ©© พ© /๘ร, 00. 11 - 22.
"
00. 71 - 89.
12 ภาพที 1 นำมาจาก “ เ\เ0!โ ๘© โก 7!าล! เ\4ลกบ30โ!0!: 8บ๘๘๘!ร! /ตํ© กบล! , ” ใน ร/าลก /
ผ0โ!๘© โก 7๘ล! / ^๘๓© โ /VI © กบ30โ!0! 00แ60ช0ก, ก0.288 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ป0/าก /VI.
80/1013 00 แ60ช0ก, 00โก6แ บก!V © โร!! V บทสรุปเขียนว่า “ รวมเอกสารแผ่นพับเกี่ยวคับ
คัมภีร์พุทธศาสนาที่สำคัญและเรื่องจิปาถะ ประกอบด้วย ‘ สร้างเจดีย์อย่างไร,, ‘ ตั้งฉายา
ให้พระภิกษุใหม่อย่างไร,,...ซึ่งเชื่อมต่อนครรัฐของพุทธที่สำคัญในอินเดียเข้ากับองค์เจดีย์
ที่ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของจักรวาลในจักรวาลวิทยาแบบพุทธ ส่วนสุดท้ายคือส่วน
ที่เป็นสีตำและแดงและมีแผนที่ของสถานที่สำหรับการจาริกแสวงบุญของพุทธศาสนาใน
อินเดีย” น่าที่งที่ ป03© 0๘ รด/าพลโ!2๘© โ9 สามารถถอดรห้สเอกสารออกมาจนได้บันทึก
ภูมิศาสตร์ของการจาริกแสวงบุญ อย่างน้อยก็เป็นการถอดรห้สที่นำคล้อยตาม ตู 0ลV !๘
พ00๘พลโ๘, ©๘., เ-เ7ร. /©0เ อ! 0ออ(อกออก\ใ/, 70เ . 2, 0!. 2 ขอขอบคุณศาสตราจารย์
ป0360/า รด๘พ©!โ 2๘© โ9 ที่กรุณาแนะนำเอกสารนี้และถกเถียงสิ่งที่ท่านคันพบกับผู้เขียน
นอกจากนี้ ตูงานศึกษาอีกขึ้นเกี่ยวกับพื้นที่ของการจาริกแสวงบุญในภาคดะรันออก-
เฉียงเหนึอของไทยใน ป©๓©ร 8. คโบ© รร, “ /VI © โ!! - ร© © ๒ก9 เก คบ๘!!ด,,, 00. 169- 206.
13. แ. 8. ร๘0๘0, “ 7๘6 32 /ตํV 05 ^ ©ย่เ © V ©! ^0ก ^เก9๘0๓,” 00. 572- 591 และ
“ 7๘© 0©พล!© บ ร0!©0©ก ” 00 127- 141.
5.
14. ชอร้โดถึงกับเสนอว่าสูตรของตัวเลข ซึ่งรวมตั้งพระธาตุที่มีสถานะสูงที่สุด คือ 2ก + 1 ตู
“ 7๘6 32 /ตํ7035” 00. 581 - 582.
ค เ
15. 0©7ฬ . 0๘©ก๘!© โ, “ /เ/1©03 0โ !๘ © /\ กด© ร!0โร, 00. 170- 187.
,,
เชิงอรรถ 283
ดู ป63ก 6อเ5ร6แ © โ, 7เา3zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
เ ?3เก เกฎ. {
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
8. สมุดภาพไตรภูมิฉป้บกรุงธนบุรี มีอยู่อย่างน้อยสองฉบับที่ยังคงเหลืออยู่มาถึงปัจจุบันโดย
,
มีรายละเอียดปลีกย่อยที่แดกต่างกันอยู่หลายจุด ฉบับหนึ่งอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเบอร์ลิน
ซึ่งบางส่วนของฉบับนี้ได้รับการดีพิมพ์พร้อมคำอธิบายโดยย่ออยู่ในงานของ เง3บร พ©ก^,
7/73แ3กบ130เา6 {ศเกเ3 ม ’ กา316โ 616ก ก30เ7 61ก6 83กบ50/7ก่# ๘6โ เก๘1ร0เา& ก เ( มกธไ3เว -
{ ! ' ?
{0 ฎโ ฎเา} , เวเ. อ! V .
3 โ
2.
^! แร, “ อ!าเก©ร© 0อ3ร!3เ IV!ลเวร,” ค- 151.
3. คลน! พ!- ©ล!!© V , 7/ ดอ/บ©ก X เ161รอก©ร©, บทที 1 .
ไ 76 '
84 I กำเนิดสยามจากแผนที่ : ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
34. กรมแผนที่ทหาร, วิวัฒนาการทางแผนที่ในประเทศไทยzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUT
, หน้า 5.zyxwvutsrqponmlkjih
35. V /อโเอ ^ กก ๘ , ก เก๘เ9© กอนร ธสโ1 ^แก©/©©ก/ เา ร6ก/นเ7 [^ส[ว ๐1 รอก/ โส! สก๘
^ ©
บทที่ 2 ภูมิศาสต!แบบ,ใหม่กำลังมา
1. [
"
เกก9’1 7/ใ3/7สก๘ เก //ใ© /ง/ก© /©©ก//ใ ร©ก/บโ)'.
2. ธโเกอ© อเาสกเกเ ส/ V , “7เา© เกรอกํ[ว/เอกร อ! พส/ ธเาโส ป© / น6อก ” เก รอ//©อ /©๘ 4ก/อ/©ร
, /
'
วก
[ นางนพมาศ หรือตำวับท้าวศรีจุพาลักษณ์ , หน้า 1 - 3 จารึกวัดพระเชดุพน
. 21 - 22 ;
สร้าง'ในปี พ.ศ. 2379 ( ค.ศ. 1 836) แด่ปืที่เขียนนางนพมาศบังไม่ปรากฎชัดเจน ดูบทนำ
ของหนังสือ และดู นิธิ เอียวศรีวงศ์, ปากไก่และใบเรือ, หน้า 337 - 344 ขณะที่ในพระ-
อภัยมณีวรรณคดีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในยุคนั้น มีดัวเอกของเรื่องคนหนึ่งเป็น
ฝรั่งที่มาจากเมืองลังกา ( ศรีลังกาหรือเกาะชีลอน).
3. ธ ป 7© โพเ© เ , “ 1\4นสก9 7เาสเ สกก /เา© พอโ!๘ , ” [ว[ว 1 7 1 8
. . . - .
4. แวเ๘., [ว[ว. 20- 21 ; เวสก ธ. ธ ส๘!© V , ร/ สอ/ อ/ //ใ© ปอบ กส/ อ/ ธ©^©โ©ก๘ รสก 8©สอ/ใ
/ / •
/
[ว. 38.
8. ธสกฐ/ อ/* ธ©ออ/ ๘© โ, V อ!. 1 , กอร. 21 - 22, ปสก 1866.
( '
9. พระบาทสมเด็จพระจอมเกลัาเจาอยู่หัว, พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกลัา -
เจาอยู่หัว , หน้า 6 ( ด้นฉบับของจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ).
10. พ. ธโส๘!© V , ร/ส/ท 7/ใ©ก; 7/ใ© ธ๐โ© /ฐก รอ/อก/ เก ธสกฐ/ อ/* ธ© /๐โ© สก๘ 4//©โ 4กกส, (
[ ว. 102.
11. ร! โ ปอหก ธอพก่ก9, 7/ใ /{ /กฐ๘๐โท สก๘ ธ อ/ว/ อ/ ร/สโท, ๐!. 2, [ว. 144.
© © © V
1 2. ดูจดหมายโต้ตอบที่มีไปถึงสหายชาวอเมริกันที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างยืดยาว
เซิงอรรถ 285
ใน พระราชหดถเลขาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXW
, หน้าzyxwvutsrqponmlkjihgfedcb
6 - 18.
13. หม่อมราโชทัย , นิราศลอนดอน, หน้า 89.
14. อโลเ9 น่. ค6X 001๘3, “ ธบ๘๘ก่!81 0อ5กาอ9โ80เาV เก ๆ หลเ แ!81๐17 , ” เว . 217- 219.
"
^
1 5. ดู 0โลเ9 น่. 86X ๐01๘3, “ 71า6 ธบ๘๘เาเ 51 ๐ก ห๐๐ป เก ผเก©!©© ก!เา 0© ก1บโX 7เาลแลก๘ , ” บทที
^ ^
3- 4 , โดยเฉพาะหน้า 79- 96 สำหรับเรื่องราวของขบวนการเคลื่อนไหวของพระเจ้า -
อยู่หัวรัชกาลที่ 4 นอกจากนี้ลู ศรีสุพร ช่วงสกุล, “ การเปลี่ยนแปลงของคณะสงฆ์: ศึกษา
กรณีธรรมยุติกนิกาย ( พ.ศ . 2368- 2464) ” .
1 6. ค©©© โ๘© , ^0\. 2, ก03. 2, 9, 1 2 ( 1 7 /ด ล โ. , 27 ปบก© และ 1 1 9- 1 866).
/'
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
เชิงอรรถ 287
(ป. พ. V สก 0/1*6) เป็นมิชชันนารีนิกายเพรสไบที
สาธุคุณวันไดกzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJI เรียนที่ฟ้ามาในสยาม
HGFEDCBA
ระหว่างปี 2412- 2429 ( ค.ศ . 1869 - 1886) ดู สถาบันไทยคดีศึกษา, “ หมอบรัดเลย์กับ
สังคมไทย ,” หน้า 4 ไม่มีหลักฐานว่าวันไดกี้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาไทยหรือว่าเป็น
การแปลจากดันฉบับภาษาอังกฤษ.
52. วารุณีโอสถารมย์, “ การศึกษาในสังคมไทย พ.ศ. 241 1 - 2475,” หน้า 67-85.
53. เพิ่งอำง, หน้า 84.
54. ดับเบิลยู. จี. ยอนสัน, ภูมิศาลตร์ลยาม มีความสับสนเกี่ยวกับปีที่หนังสือเล่มนี้ดีพิมพ์ครั้ง
แรก ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ปี พ.ศ. 2457 ( ค.ศ. 1914) ระบุว่ายอนดันเขียนหนังสือเล่มนี้เป็น
ภาษาอังกฤษเมื่อปี 2443 ( ค.ศ. 1900) แต่ไม่สามารถแปลเสรีจไดํในปีเดียวกันนี้น ( ดู
คำนำโดยพระยาเมธาธิบดีในฉบับปี 2457) คำนำที่เขียนโดยยอนลันเองดามที่ปรากฎอยู่
ในฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 ในปี 2450 ( ค.ศ. 1907) ระบุว่าเขียนในปี 2445 ( ค.ศ. 1902) แต่
ผู้เขียนได้พบฉบับปี 2443 ที่ซื่อหนังสือ คำ และตัวสะกดหลายคำ แตกด่างจากฉบับที่
พิมพ์หลังจากนี้ แด่เนื้อหาภายในเหมือนกันเกือบหมด ยกเวันสถิติบางรายการที่มีการ
ปรับปรุงใหม่ในการดีพิมพ์แด่ละครั้ง การอัางอิงในที่นี้ใซัฉบับพิมพ์ปี 2443.
55. พระยาเทพศาสตร์สถิต, หนังสืออ่านภูมิศาสตร์ เล่มzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQ
1 , หน้า 58- 59.
56. เพิ่งอำง, หน้า 34.
57.
^ 0เ0II อกล/ /ย/ท แกฎมสฎ6 771313^6 ร/ลกไอกร7/ เ /รเก!6/]วฎแรเา
0. ป. 0. 0สแ©90 ,zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFE /ล//อก6 /-ส //กส ,
/ ลDCBA
'
' '
ต้น) และ รส๓บ© ! ป. ร๓!๒, 4 0ว/ท/ว/ © /?©/?ร/V© /\กฎเอ - 8(3กา656 0(0\(0กลก', ก- 671.
/
'
ปรากฏข้อมูลข้ตเจน.
67. มาจาก พระยาเทพศาสตร์สถิต ( ขุนธราภาคพาที) , หนังสืออ่านภูมิศาสตร์ เล่ม 2 , ร.ศ .
123 ( ค.ศ . 1904 ) , หน้า 50 - 58 (ในต้นฉบับภาษาองกฤษ สรุปย่อบทสนทนาสั้นกว่านี้
มาก ฉบับแปลภาษาไทยนี้อางเป็นส่วนๆ จากฉบับพิมพ์ร.ศ . 123 โดยตรง คงตัวสะกด
ตามต้นฉบับ - หมายเหตุเพิ่มเดิมฉบับแปล).
68. ตู /V ^๐เลอก^ “ อลโปวฐโล(ว6 0 เก๒โ๓ลปอก,” [ว(ว. 47 - 49 และ & เ1เาบเ’ แ. ค06เกรอก ลก6
)
69. ตูรายละเอียตใน คอเวเกรอก ลก6 8©เอเา6กเ ^, 7/76 /ล/บ/ 6 อ/ /\4ล/วร, บทที่ 3 โดยเฉพาะ
'
หน้า 30- 32 และรูป 2.4 - 2.6 หรือตู อเลอก , “ ดลโเอฐโล(วเาเอ เกเอโ๓ลปอก,’ , (ว. 48 และ
^ ^
ป. ร. © ล!© ร, ปกปอ! ร/ล/ๆปเกอ 1\/เล/วร, (ว. 72.
^ '
70. วิธีการทั้งสามที่นำมาเสนอในที่นี้ใซัเพื่อการถกเถียงในเล่มนี้เท่านั้น.
71. เช่น 8อ6เกรอก ลก๘ 8©!อเา© กเ ^ , 7/76 ปอ! ม 6 อ/ /\4ล/วร, [ว(ว. 61 - 66.
!’
72.
^6ล 65, ปกปอ ร/ลกปIกฎ /ฬลภร, ว. 72.
{ !' (
บททึz่ 3yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
เสันเขตแตน
1. ลันที่จริง คำว่า “ เสนเขตแดน” ( เวอบกปอโV ) ที่ใช์ในบทนี้ ใช่ไต้กับเส้นเขตแดนสมัยใหม่
แต่สื่อความไดใม่ดรงน้กกับการระบุขอบเขตหรือปลายสุตของอาณาจ้กรแบบพื้นถิ่น
อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะตวกในที่นี้ คำดังกล่าวจะใช่ในน้ยยะทั้งสองอย่างตลอดทั้งบท
ความแตกด่างจะชัตเจนขึ้นในการอภิปรายที่จะมีต่อไปและโดยเฉพาะในดอนสุตทัายของ
เนี้อหาในบทนี.้
2. ข้อความส่วนนี้และข้างต้นลัางจาก 7/76 & บ กอ^ 8ลภ6 ร1 ( หลังจากนี้เป็น88) , (ว. 54.
!' /'
3. 0. 0. 8. แลII , ปอก }' 8บ ท©)'; 7\ 8อ// //อล/ 8อฐ ลภ/7) , (ว. 73.
! / / / /
เชิงอรรถ 289
5. ธ/ะ’ 1 , 00. 154-155.
6. เอก ^ ธน! ก©/, 0. 73.
ธ/ะ, 1 , 00. 122, 161; แลแ, เ-zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHG
! ’
7. 88 1 , 0. 122 .
8. 88 1 , 00. 304 - 309.
9. ดู 88 1 , 0. 313, /\ โ!เอ!© 4 และ 0. 377, /\ โ!เอ!© 3 ลำหรับข้อเสนอของเบอร์นี ดู 88
1 , 00. 251 - 252.
10. 88 2 / 6 , 00. 288- 289.
11. ใน 7กอ รบโท©/ 83(3615 ใช้คำเรียกชื่อแม่นี้าหลากหลายกันไป คือ (ว!าลก , 8ล^ 0หลก ,
'
คล^อเาลก และใช้สดับกันไปมา เช่นใน 88 4 / 1 , 00. 102 - 103, 139- 142, 161 เป็น
ตัวอย่าง ส่วนเอกสารของไทยเรียกว่ากระหรือปากจั่น ชื่อที่ต่างกันอาจหมายถึงส่วน
ต่างๆ ของแม่นํ้าหรือสายนี้าที่แตกแขนงออกไป ผู้เขียนจะใช้ “ ปากจั่น” เพียงชื่อเดียว
เพื่อความละตวก ( ลำนาสายนี้ในปัจจุบันรู้จักในชื่อคลองกระหรือแม่นํ้ากระ โดยเฉพาะ
ตอนใกลัปากนี้า แต่ยังมีบางส่วนและบางสายตอนในลึกเช้าไปที่เรียกว่า คลองปากจั่นและ
แม่นํ้าปากจั่นอยู่จนทุกจันนี้ - หมายเหตุเพิ่มเติมฉบับแปล )
12. 88 4 / 1 , 00. 82- 85, 110.
13. 88 4 / 1 , 00. 89, 94.
14. 88 4 / 1 , 00. 86, 96.
15. 88 4 / 1 , 00. 102- 103, 109.
16. 88 4 / 1 , 00. 118- 119.
17. 88 4 / 1 , 00. 131 - 132.
18. ข้อความส่วนนี้และก่อนหน้านี้อ้างจาก 884 1 , 00. 131 - 132.
/
46.
'
/ /
47. แว!๙., บทที่ 7; IVเนเโ, /\4ด๙©โก ค0//7/ 0ล/ 360^โ38กV , บทที่ 6 และ ม่ 1^0กเ๙า0บร© ,
( *
เซิงอรรถ 291
48. ขุนประเสริฐอักษรนิด และคณะ, พจนานุกรมลำดับและแปลศัพท์ที่ใชในหนังสือไทยzyxwvuts
, หน้า
557 และดูหน้า 386, 429.
49. 010!10ก3/7นกา แก9ย3ฎ6 7/73 , ก. 16. '
/
336.
54. ข้อลังเกดนี้เป็นของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, ประชุมพระนิพนธ์เป็ดเดลด ,
หน้า 26- 29 แต่กรมพระยาดำรงฯ มิได้คิดว่านึ่เป็นเครื่องหมายเขตแตน เพราะมันอยู่
“ ข้างใน” สยาม นี่เป็นประเด็นที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงต่อไป.
55. ค6ก3โง่, “ อ6!เก6ล1เ0ก 0! ^ล ล^ 5/3/6,” กก. 81 , 85.
56.
^
นคร พันธุณรงค์, “ การเจรจาและข้อดกลงระหว่างรัฐบาลสยามกับรัฐบาลอังกฤษ,” หน้า
335.
57. “ ทูตฝรั่งสมัยกรุงรัดนโกสินทร์,” ใน ประชุมพงศาวดาร 35 62, หน้า 113, 148 ส่วน /
61 . การดำรงอยู่ร่วมกันของเส้นเขดแดนพื้นถิ่นสองชนิดนี้ได้รับความสนใจน้อยมากจากงาน
ประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ ยกเวันงานของ เ^06!โ ๐กอ เกี่ยวกับประว่ดศาสตร์ชวา แต่เขา
กลับเอาทั้งสองสิ่งผสมปนเปกันแทนที่จะแยกออกมาให้เห็นความแดกด่าง ดู ร06๓3โ-
83เง่ !
^ อก0 ,
06 โ! 513/6 3/7๘ /3/ออ/3// ร
เก 0/๘ ปลVล, กก. 114 - 11 5.
62. คอก6ภ I . ร0เ0๓อก, “ รอมกง่3โ7 อ0ก06ก!5 3กง่ 1วโ3ด/1063 เก รวน/ก635/ /\5เ3,” ก. 1 5.
บทที่ 4 อำนาขิอธิปัตย์
1. \
^0๒โ น ก โกา3ก, 8บ กา 4๘กาเก Iธ#ล/ / 0/๙65, กก. 33- 38.
6 6 !' 656 / \?6
2. 0. พ พ0! เ โ5, เ-เ ร/อ /, รน//ม 6 3 7๘ 069เ0ก เก รอน//763ร/ /\ เลก 06 ร/ว6๙ 65, กก.
. 6 / / '
/ , / 5 /' /1/
เชิงอำนาจภายใต้อาณาจ้กรและระหว่างอาณาจ้กรต่างๆในภูมิภาคนี้มีหลากหลาย หนึ่ง
ในคำอธิบายที่เป็นที่รู้จ้กกันดีคือ 03เ301เ0 ค0แ!/ ของแทมไบยาห์โปรดดู 5. ป. 73๓กเ3ก,
“ 7ก 63เ30!!0 คอแนุ : 7ก ร!โมอ!บโ 0! 7โ3ง่เ!เอก3เ เก9ง่0๓ เก รอบ!ก635! /\5เ 3” หรือ
6 / 6
^ 6
0อกฤบ©กว - สก๘ 14^0๘๘ ค©กอบกอ© / นอกจากนี้ลู รบกลเ! อกบแก!3โลกอกป , “ (วส โสV สชก:
/ '
III , บทที่ 7.
. ดู “ พงศาวดารเขมร,” ใน ประฒุพงศาวดาร 1 / 1 , หน้า 295 และ “ พงศาวดารเมือง
พระดะบอง,” ในประชุมพงศาวดาร 12 / 16, หน้า 127 ในขณะนั้น กษัตริย์เขมรพำน้กอยู่
ที่อุดงมีชัย ซึ่งอยู่ทางดอนเหนือของพนมเปญ ส่วนกองทัพสยามประจำอยู่ที่พระตะบอง
และกองทัพเวียดนามอยู่ที่พนมเปญ.
7. อกสกป!© โ, ค/ร!อ// อ! 03๓60๘/3, [ว. 116. '
คอ!เชอส! เป©อ!อ9V ©ก๘ ชร 6015 บ[วอก 7กส!-^ ล!ลV ค© เสชอกร 1767- 1851,” [ว[ว.
95- 106.
16. เ-อโโสเก© อ© รเอ!* , รกเ[ว สกป คอ!เชอส! เก!©9^ชอก เก 7โสปเชอกส! รเส๓ 1767-
“ !0ก9
1 824, ” [ว[ว. 1 54- 1 64 และบทนำของสมเด็จฯ กรมพระยาด่ารงฯ ใน จดหมายหลวงอุดม -
ลมบด, หน้า 1 2.
'
17. ดู ^อกเ* บส, “ อกอกกบกิ - ธสก9ช0ช คอ!เชอล! ฬ60เ09^.’ * [ว[ว. 103- 104 และ 8อกก© V ,
^©๘36, 1771 - 1821.
18. เ-. /\ . แเแร, 8๘!/รก /^ส/ส/ส, 1824 - 67 , [ว[ว. 150- 153 นอกจากนี้ลู จดหมายหลวงอุดม -
ลมบด , จดหมายฉบับที่ 9- 15.
19. อ. 0. 8. คล!!, ค©ก/)' ธบ/ ก©/: /\ คอ//!/อส/ 8/0ฮ ส[วก/, [ว[ว. 13- 28.
' /
20. ดูเรื่องราววิกฤติการณ์ปี ค
2417 ( .ศ . 1 874 ) ของราชสำนักสยาม ใน โงอ©! ธส!IV © , ‘ๆ ก©"
เชิงอรรถ 293
เศสตั้งกองท้พฝรั่งเศสขึ้นมาเพื่อคุ้มครองบัลสังก์ของตนจากฝ่ายคู่แข่ง ดู นิธิ เฮียzyxwvutsrqpo
วศรีวงศ์, ' '
21 . เ^สก:©! ^ ลบรร, 7/70 0เ!!: 7อโกา5 สก๘ รบก© /๖กร ! 8x0๘5000 เก /\ อ เอ 500 0//05.
/ 0 ?' }! 3 /
8เ3กา6ธ6 7/ ล๘© 1652 - 1853 และ รบ© 5รส©ก9 รเา /0กา๘บก, “ รเก0- ร! สกา©ร© 7โแวบ!ลโV
,
เมืองขึ้นดามการเมืองก่อนสมัยใหม่ของสยามอย่างแน่นอน แด่เมื่อมีการใช้คำเหล่านี้
แทนกัน ประกอบกับการสิ้นสุดของระบบการเมืองแบบก่อนสมัยใหม่ ความหมายของ
อาณานิคมจึงเช้ามาแทนที่ความหมายดามเดิมของประเทศราช.
0ลVI ๘ . พV ส!!, 4 ร/70ท /-/เร!อโ อ! 7/7ส //สก๘, [ว[ว. 158- 161.
26.
^ ^
27. นิเป็นสมมติฐานในงานของ I ©] 8บกกส9, 7โอ กอ!31 4๘/77เกเธ!โ3! เอก อ! 8เ3โก VI 1892 -
1915 ผู้เขียนจะอภิปรายประเด็นนี้เพิ่มเติมในบทที่ 8.
31. ดู ปสกา©ร ย0พ, “ แ©!โ0ร[ว©©! 0! 8ก่!เร!า 7อ\\อV เก !!า© ร!/ ส!! 0! เ^สเส©© ส,” ใน 87 5, •
เรื่องเคดะห์และสัญญาเช่าปีน้งและเวลส์เลยไดยเฉพาะและบังเอ่ยถึงเจ้าหน้าที่อังกฤษ
หลายคนที่เกี่ยวช้องกับประเด็นนี้ นอกจากนี้ ดู เพแร, ร/ ///ร/? /\43เ3}โ3, [ว. 36. '
32. 87 1 , [ว[ว. 201 , 215- 216, 245- 247, 257- 258, 261 , 299- 301.
33. เพแร, รzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
-/ //ร/? / ส/ส) ล, [ว. 156; แลแ , เ-เ©ก รบ ?© , [ว. 155.
/
^ / / / /• /'/
34. แลแ, แ©ก X รบ ? /, [ว[ว. 282- 283, 298 และ 494- 512 เบอร์นีย์ได้อธิบายการดีความ
? /'/ ©
สัญญาตามที่เขาคิดซึ่งโด้แยังกับเจ้าหน้าที่อังกฤษที่ปีน้งไว้ด้วย.
บทที่ 5 ชายขอบ
1. ดู เจ้าพระยาสุรศ์กดี๋มนตรี, ประวดการของจอมพลเจ้าพระยาสุรหักดมนดรี, เล่ม 2, หน้า
62.
2. ปล๓6ธ
^วอลเชา/, 8บ^ พ่ก& สก๙ 5x0/วกํกฎ เก 81ล ท, [ว. 1 02 เรียกจารี
6 / ดนีว่า “ 8ล 6-
เชิงอรรถ 295
ดูตัวอย่างเช่น “ พงศาวดารเชียงรุ้ง’, และ “ พงศาวดารเชียงแขง ,” ใน ประชุมพงศาวดาร
9 / 9.
ดูจดหมายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีไปถึงพระเจาบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ใน ณฐวุฒิ สุทธิสงคราม และบรรเจิด อินทุจันทร์ยงศ์,
,
255- 276.
2. “ ดำนานเมืองพวน, ” ใน ประชุมพงศาวดาร 44/ 70, หน้า 114-130 ดูรายละเอียดเกี่ยว
กับโศกนาฎกรรมของชาวพวนใน X © กกวก ธโ©ล2©ล!© ลกห รลกII รลกาบ๗^ลโก , 4 0๗-
( บโ 6 เก ร© ลโว/ไ ว/ 5บก//V ล/: 7/76 ค/ไง3ก ว/ ภ/ไ31เ3ก๘ 3ก๘ 1 305 หลังจากนีจะอ้างอิง
'
’ '
-
ว่า ค/ใบ3ก.
3. “ จตหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ 3,” ใน ประชุมพงศาวดาร 41 67, หน้า /
^
7. อ้างจาก จิราภรณ์ สกาปนะวรรธนะ, วิกฤติการณ์สยามร.ศ . 1 1 2 , หน้า 411 - 412 ดู
พระราชหัดถเลขาฉบับเต็มในหน้า 405- 421.
8. สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ , ความทรงจำ , หน้า 246 - 247 , 264.
9. ธลนV © “ เแ1ล 7, อเ0ห© โก๓© ก!, ลกห 3ว0เ © เก 31ลกไ , ” [ว. 121.
^ **
6 I กำเนิดลยามจากแผนที่ : ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
เ ค , [ว[ว. 47- 52 และตลอดทั้งตอนที่ นอกจากนี้
คโ©zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA า ดู /\ก6โ ©พ
ล263 6 ลกง่ 8ลกเใ, /ใบลกzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
อ. พ. คอโ๖6 ร, “ 7!า6 8ใโบ99 © เ ใอโ เ-เ69© ๓อกV เก ใ! © แเก©ใ©© กใ!า 0© กใบโV 1-308,”
ไ
'
ว ว.
[ [
81 - 88.
22. ดูการวิเคราะห์เรื่องการบุกทำลายหลวงพระบางใน 8โ63263เ6 3กง่ 8ลก!ใ, ค/ไบลก , [ว. zyxwvutsrqp
บทที่ 10 เป็นงานที่ใช้เอกสารภาษาอ้งกฤษเป็นหลัก.
32. © อ© แก©3ใเอก ใ ^ล7ล!ไ รใลใ©ร,” [ว. 90; 830 8ล!๓อก9 !^3ก9โล! , ร/ไล รใลใ©ร,
ค กลโง่z“yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPO
, 0 /ไ
. สำหรับประวิตศาสตร์วิชาการทำแผนที่ ซึ่งเป็นการทำแผนที่ของชาวยุโรปเป็นหอัก ดู
1-60 8ล9โ0ผ, 1-115101? 0( 0ลโ(อกโลก!า?.
. ค© แ, 9ลโ!V 1\/เลก อ 8อม !า - 9ลร /\ร/ล, กก. 72- 75.
5 ( ( (
อังกฤษที่ปีน้งเกี่ยวกับแผนที่ร่องนี้าเจำพระยาเพราะสยามถือว่าแผนที่นี้เป็นภัยต่อ
ความปลอดภัยของพระบรมมหาราชวัง ดู “ ทูตฝรั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์,,, ใน ประขุม -
พงศาวดาร 34 / 62, หน้า 254 - 256.
. 89 1 , . 58. ก
. ปอ!ไก (วโลผเบโ ๖, ปอมโกล! 0( ลก 9กายลรร )โ (โอโก ๒© 0อ^อโก0โ - 06กอโล! อ( เกย/ล (0 ๒©
0อมโ(ร อ( 81ลโก ลกย 0ออเาเก 0/7เกล, ^0เ. 2, ก. 199.
\
98 I กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
10. เ-สโโV ร © โกร๒เก, “ ‘1.0๙ เ^ สเวร 0เ รเส๓,” {ว{ว. 132-156 และ “ 1.0๙ร อ©รอก่[ว!เ0ก 0เ
{
{ ไ © รเส๓© ร© 8
{ กาเวเโ6 เก 1824 , ” {วเว. 9- 34.
11. 3 © โทร © เก “ ‘ 1.0๙ ฉีเวร 0! รเฉีกา,” เวเว. 138 - 144 ข้อความที่อ้างมาจากหน้า 138.
{ { ,
^
12. ดูแผนทีใน ร!โ ป0{ไก 80พก่ก9 , 7710zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
X เกฎอ/0กา สกอ/ ?60?เ6 อ/ 31สโท, V 0I . 1.
13. 8โลกอเร 6สโก! © โ, 1.3 000/7 เกอเาเกอ / สก อก 1864.
/' 3186
^ ซึ่งเขียนขึ้นราว
ปี 1724 ( พ.ศ. 2267 ) แผนที่ของอุษาคเนย็ในหนังสือเล่มนี้ทำขึ้นโดย เฮอร์แมน โมลล์
นักทำแผนที่ชื่อดัง นอกจากนี้ลูดัวอย่างแผนที่สยามที่ทำโดยชาวยุโรปก่อนที่การ์นิเยร์
จะ “ ดันพบ” จุดหักดังใหญ่ของแม่นี้าโขง เช่น 81๓0ก ป© เ-ฉี 1-0น{ว โ6, 7770 X เกฎอ/อก! 6
อ/ ร/สกา : / //ร/อ )' อ/ /ก่อ /กอ/เสก & โอ!/ /วอ/สฮอ ( 1820) และ 4 /วอรอก)ว/ Vอ 01อ//อกส /
' /' / / / ! /'
อ/ // 6 เกปเสก เ3เ3กป8 สกป ลออก! รอบก/ก่อร ( 1856) ของ ปอ{ไก ดโสพ{ นโป; ป. เ-เ.
!
นอกจากนี้สเติร์นสไตน์ยังได้ศึกษาอย่างดีเยี่ยมเกี่ยวกับความพยายามของร้อยเอกโลร์
ในปี 1824 และ 1830 ( พ.ศ. 2367 และ 2373) ในการศึกษาภูมิศาสตร์ของภูมิภาคนี้
และทำแผนที่ขึ้นมา ดูร่างแผนที่ไดในงานของเขา “ ‘10๙ ลเวร 0{ รเส๓” และ “ 10๙ร
0© รอโเ{ว เอก 0{ 16© รเส๓© ร© 8๓[วI โ© เก 1824.”
{
15. เช่นงานของ อโล๙บโป , ปอบก!ส / อ/ สก /ะก!6สรร/, โ0เ. 2 , [วเว. 214- 215 และ 00พโเกฐ, \
19.
11.
^^
136- 137 , 140.
1 9 9-
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ , พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่
รเสกา , ก่อนเริ่มบทที่ 1 .
25. ดูรายละเอียดเพิ่มเดิมของโครงการนี้ไต้จาก !^0รสโ ไV , รบก © กํกฮสก๘ /ว/อกํกฐเก ร/สก!.
{{ / )
เชิงอรรถ 299
/ โ/กฎ เก ร/สก , คำนำ และหนำ 1 - 3 117.
ก สก๔zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
V6 I
27. [ [
^ ] , 5/เกXIวรกฐ
^อดลโแา 0 7 ,
เล่มนี้มิไดให้ชื่อผู้แต่ง เพียงแด่ระบุไวในหนำแรกว่าหนํงลือนี้เป็นฉบับพิมพ์ซาแบบไม่
ดัดต่อของหนังสือชื่อ ค6ก โ! อ! รมก 6^ เก 813๓ ซึ่งดีพิมพ์และเผยแพร่ในลอนดอน
0 3 /
ในที่นี้จึงคงชื่อของฉบับพิมพ์ซาไว้เซ่นเดิมเพื่อสะดวกแก่การอ้างอิงแด่จะระบุชื่อผู้แต่งว่า
คือแมคคาร์ธ.ี
28. ดู ‘ๆๆๅ6 คอ ! รบก/© V 0© ก3โ!กา © ก! รเลโก: & ค©!โอรก© อ!,” ก. 19 ( ขณะที่ใน “ ประวิด
กรมแผนที่ท^หาร,” ที่ระลึกครบรอบวันสถาปนา 100 ปีกรมแผนที่ทหาร, 3 กนยายน
2528 , หนำ 2 ให้รายละเอียดต่างออกไป คือ ดัดเลือกทหาร 30 นาย และระบุว่า
แมคคาร์ธีเป็นครูใหญ่ของโรงเรียน นอกจากนี้ยังไม่ได้ระบุชื่อโรงเรียนนี้ในภาษาไทย จึง
ขอไม่แปลชื่อเป็นไทยในที่นี้ - หมายเหตุเพิ่มเดิมฉบับแปล) .
29. แวเ6., ก. 20; มหาอำมาดยาธิบดี ( เส็ง ) , กำเนิดแผนที่, หนำ 5, 8 และ “ พีฒนาการด้าน
การศึกษาในโรงเรียนแผนที่” ซึ่งเป็นบทความหนึ่งใน กรมแผนที่ทหาร, ที่ระลึกครบรอบ
วันสถาปนา 100 ปีกรมแผนที่ทหาร, หนำ 293 กระนั้นก็ดาม งานเหล่านี้ให้รายละเอียด
เกี่ยวกับหลักสูดรการเรียนการสอนน้อยมาก.
30. 0371๘ พV ส!!, รอ//!/อร 01 1^610^๓ เก ร/7ส//สก๔, กก. 110 - 115, เชิงอรรถที่ 356 มี
โรงเรียนชื่อ “ ร0เา00เ 0! คอV 3I รบโ 06ก3โ!๓© ก!” ปรากฎอยู่โดยไม่มีรายละเอียดใด ๆ;
^
วารุณี โอสถารมย์, “ การศึกษาในดังคมไทย พ.ศ . 241 1 - 2475” เป็นหนึ่งในงานที่ดีที่สุด
เกี่ยวกับประวิดการศึกษาสมัยใหม่ในประเทศไทยแด่มิได้เอ่ยถึงโรงเรียนนี้เลย.
31. ดูประวิดย่อของกรมแผนที่ทหารใน “ ค !โอรก อ!” ( ดูเชิงอรรถที่ 28 ข้างบน) ผู้แต่ง
© ©
ในหลักการและต้องการไต้รับการปฏิบดอย่างเท่าเทียมกับชาวดะวันตกและไม่ยอมเป็น
ฝ่ายถูกข่มขู่คุกคาม พวกเขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่าดินแดนดังกล่าวเป็นของสยามเพราะ
สยามคือผู้ยึดครองล่าสุด ดังนั้นสยามจึงพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องหลักการและดินแดน
ของตน แม้ว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จะตระหนักถึงความกำกวมของชายแดน แต่ก็ยัง
แน่วแน่ที่จะยืนยันเกียรติยศของดนทุกวิถีทาง รวมกระทั่งด้วยกำลังทหาร อย่างไรก็ดาม
เจดจำนงอ้นแน่วแน่ของคนหนุ่มผู้ยึดในอุดมคติแต่ไฟแรงในการพยายามปฏิรูประบบ
สถาบันแบบจารีดทั่งหลายอย่างเร่งด่วนพร้อมกับการเชิดชูความยิ่งใหญ่ของสยามใน
เวทีการเมืองระหว่างประเทศนั้น กลับมิได้มีกำลังทหารที่จำเป็นรองรับอยู่ สยามมิได้มี
ความพร้อมไม่ว่าจะทางการทหารหรือการเมือง กองทัพสยามปวกเปียกเกินไปสำหรับ
การสู้รบ กองทหารราบของสยามซึ่งส่วนใหญ่ประจำอยู่ในพระนครและมีกระจัดกระจาย
อยู่ดามจังหวัดรอบนอกบ้างนั้นยังอยู่ในสภาพแบเบาะ กองทหารปืนใหญ่และทหารม้ามี
ไร้ประดับงานพระราชพิธีเท่านั้นมิใช่สำหรับทำการสู้รบ กองทัพเรือซึ่งมีนายทหารส่วน
ใหญ่เป็นชาวเดนมาร์กก็ไม่ไต้เตรียมไว้สำหรับการรบแด่อย่างใด กองทัพสยามยังอยู่ใน
ระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากกำลังไพร่เกณฑ์ไปสู่กองทหารอาชีพ และการสร้างกองทัพ
อาชีพในขณะนั้นส่วนมากเป็นไปเพื่อใช่ในงานพระราชพิธีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลัง
หน่วยรบเกือบทั่งหมดประกอบด้วยพวกเชลยศึกและชนกลุ่มน้อยที่ครั้งหนึ่งเคยรบกับ
กองทัพสยามแต่พ่ายแพ้ มวลชนชาวนาเหล่านี้รู้จักแด่การทำสงครามและอาวุธแบบ
โบราณเท่านั้น ทั่งยังไม่มีความรู้สึกรักชาติหรือรับรู้ว่าเป็นสงครามต่อด้านเจ้าอาณานิคม
แด่อย่างใด ข้อพิพาทกับฝรั่งเศสก็เป็นเรื่องการรักษาดินแตนที่คนเหล่านี้ไม่เคยไดํยนมา
ก่อน ธส{{ V © กล่าวว่า “ กองทัพสยามเต็มไปด้วยความล้าหลังผิดยุคผิดสมัย ตั้งแต่หัว
จรดเท้า” (หน้า 340).
^ |เา^ , 3บก/อ/!กฎ อกป กิX /ว/0?เกฎ เก ร/zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONM
41 . 1 © 0สโ{ 3/77, [ว[ว. 72 - 73.
42. [-[ © กโ! \4อนเา0{ , 7โส © /ร เก #70 รอก& 31 กิ3๘5 อเ เก๘อ- รเาเกอ ( 31อกา ) , 03/77๖0๘เอ, อก๘
^
๖305.
43. ดูเรื่องราวการเดินทางที่จบลงด้วยโศกนาฏกรรมนี้ใน ฒ © ก 05๖0โก© , กิ/Vอ กิ03๘ {0
{ !'
เ
0 7/กอ:7๖0 /ฟ©/ ๖0/7ฐ กิ/V©/ กิXฎอ๘/ แ0ก 1866 - 1873.
( '
เชิงอรรถ 301
101 ; \ 0 . 6 ,
^ เ ถ. 113 และจิราภรณ์สถาปนะวรรธนะ, วิกฤติการณ์สยามร.ศ. 112, หน้า
zyxwvutsrqponm
28- 29.
46. คลVI © , /^ รร/อก คลฟ©, V 0I . 6, ถ. 37.
'
/
53. 6© 0 โ9© อบโ20ก , “ 71า© 813๓03© คอนกปลโ/ บ©ร!เอก,” ถถ. 34- 55.
54. ในระหว่างที่กำลังเขียนวิทยานิพนธ์อยู่ ผู้เขียนก็ย้งมิได้เห็นต้นฉบับแผนที่ของแมคคาร์ธี
เช่นกันผู้เขียนจึงอภิปรายแจกแจงว่าทำไมแผนที่ฉบับพิมพ์ใหม่ปี 2528 ( ค.ศ. 1985) จึง
มิใช่แผนที่ฉบับปี 2430 (ค.ศ 1 887) อย่างแน่นอน แด่ต้องเป็นฉบับปี 2442 (ค.ศ. 1 899 )
.
บริดิชมิวเชียมในเล่มนี.้
55. แผนที่และบทปาฐกถาของเขาดีพิมพ์อยู่ใน โ* 1ออ©©๘เกฎ /ก คอ/ล/ รออฮโล]อก/อ
3 0( © (
หน้า 188.
56. จิราภรณ์ สถาปนะวรรธนะ, วิกฤติการณ์สยามร.ศ . 112, หน้า 47- 49; คลฟ©, ฬ/รร/อก *
โดยเฉพาะระหว่างปี 2433- 2436 ( ค.ศ. 1890- 1893) ตูหน้า 146 - 147 ของเล่มนี้หรือตู
หน้า 175 ของ (V I๐ ห/ , รบ/V©//กฐลก๘ คX]ว/อกํกฎเก ร/ลก? สำหรับคำดังจากกรุงเทพฯ
บทที่z7yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ฎมิกายา
1. “ค©I โ080601,” 0. 23 แผนที่ชิ้นตีพิมพ์ในอังกฤษนี้นำจะเป็นต้นฉบับของชิ้นที่ดีพิมพ์ใหม่
โดยกรมแผนที่ทหารในปี 2528 (ค.ศ . 1985) ซึ่งอัางว่าเป็นแผนที่ของแมคคาร์ธีปื 2430
( ค.ศ . 1887 ).
ดูแผนทีรายการที
่ ่ 8ซี่งแนบมากับจุลสารวิวัฒนาการแผนที?นประเทศไทยหรือรูปที่ 6.1 8
,
2. '
ในวิทยานิพนธ์ของผู้เขียน.
3. ดูรายละเอียดข้อตกลงเส้นเขตแดนหลายแห่งระหว่างสยามกับพม่า สยามกับอินโดจีนของ
ฝรั่งเศส และสยามกับมลายูของอังกฤษในป. ค. V . คโ© ร©011,zyxwvutsrqponmlkjihgfedcba
^ส/ว 0เ เตํ31กเลก๘ 4ร/3
๖V 7เโ63 , ก[ว. 382- 408, 418- 446 และ ค/001/©/ร 0 เ /\ธเ3 30๘ 301/1/76331 /\รเ3, [ว[ว.
'
54 - 59 .
^
4. วิวฒนาการแผนที่ในประเทศไทย, หน้า 8- 9.
5. ค01ว© โ! 830^ , เ-เมกาลก 76 ก้10ก้ล/!/, [ว. 74.
/ /
แ^
1 1 . 81า6 6 [ะโโเก910ก , “ กา© ค1ส06 01 ค©9ส1 ส เก เ-บผม,’’ [ว. 228.
‘
|
^
80 - 96; X บแส๘ส X © รเว00ก0เา00, “ (ว!!! © เส1 แส!10กสแรโก บก๘6โ X เก9 01ไมเ 3เ 0ก9 0โก
,,
^
และ “ 011เ0เ3เ แส!!0กสแรกา บก๘© โ X เก9 V ©]เโ©V บ๘!ไ ,” [วเว. 107- 120 สำหรับมโนภาพ
เรืองชาตินิยมทางการ ดู ^ก๘6โร0ก, เกา3ฐ/ /76๘ 00/77กามก/!/6ร, บทที 7.
' ' '
“ ชาติประเทศ ” ในสุนทรพจน์หลายครั้ง.
I ลแ© ฐ0 , 0/๘1/0ก3๘0/77, [ว[ว. 129 , 175- 1 76 และดู คสแ© 90 , ร/3/77636 ค/6ก0/7 คกฐ//รก้
1 6.
^ ^
3 ' '
เชิงอรรถ 303
579, 584.
19. รสกาบ6เ ป. รกไเชา , /\ 00๓0โ© /ไ©กร V© /\กฎเด-ร/สกา©50 010แอกส^, [ว. 1028.
/ zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
20. ๒!6zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
., [ว. 90.
21. สมเด็จพระวันรัดน้, สังคีติยวงศ์, หน้า 370, 381 .
บทที่ 8 ภูมิกายาและประวัติศาสตร์
1. 0๖สกปโลก ป ร๖บโบก , ‘ ๆาา /\ก91๐-1= ก๐ห
© © 1'© 0© 0เลโล!๒ก 0! ปสกบล! V 1896 ลกป
'
๒©
ร
\ ก6 © [ว© กป© ก©© 0! ! สกา , ” [ว[ว. 108 - 111 .
แ06เ /\. 8ล!! 6, “ 7เา© [ฒ!!ลโV , ก!, ลกป ร0016 !ก ร!สกา, [ว.
,,
2. (3076โกกา© 369.
3.
^
๖]6 ., เว. 376.
{
^
4. ลูบทกลอนฉบับเต็มพรัอมคำแปลเป็นอังกฤษในปส๓©ร ผ. ^0ร6เ, “ /V ค0©!!0 7โลกร!ล!!0ก
( โ0๓ ๒© ร!ล๓©ร© : คโ!กด© ล๓โ0ก9’ ร ค©[วเ V เก V © โร© ๒ คล๓ล V ,” [ว[ว. 103- 111.
8ล! 6, “ 7๖6 !!!!ลโV. 607© โก ๓© ก!, สกป ร00!©! เก ร!ล๓,” [ว. 396.
5.
^ ^ ^
6. สำหรับงานประวัติศาสตร์ใทย ลูการวีเคราะห์แนวนี้ในงานของ นิธิ เฮียวศรีวงศ์ , ประวิด -
ศาสตร์รัดนโกสินทรีในพระราชพงศาวดารอยุธยา.
7. ตูประเด็นความต่อเนื่อง / แตกห์กของช่วงเวลาดังกล่าวใน 0ส / ]6 พVล!!, “ 7๖6 ‘ รบ๖!เ ©
\
204.
13. 1๖1๖., [ว[ว. 203- 204 ส่วนที่เน้นเป็นของผู้เขียนในช่วงหลังของบทนี้ ผู้เขียนจะถกเกี่ยว
กับว่า คำต่าง ๆ สามารถกำหนดทัศนะของเราและสร้างผลสะเทือนทางอารมณ์ได้อย่างไร
1 4. ขจร สุขพานิช , ขอมูลประวิตศาสตร์สมัยบางกอก , หน้า 244.
15. สมเด็จฯกรมพระยาตำรงราชานุภาพ และพระยาราชเสนา, เทศาภิบาล , หน้า 7.
16. 76] ธนกกลฐ , ?โ © ฟก© /3เ 7\๘'กาเก!ร!! 311อก 0เ 513111 1892 - 1915, [ว. V .
' ! ’
31. ธ. 7๖ลป© บร ค©©ป, “ 7๖6 1940 ธโลก©© -7๖ล! ธ© โป© โ อ!3[วน/© ลกป ธ๖!๖บบก ร©กฐ -
เชิงอรรถ 305
๓ ออกา ๓11๓6กI 10 น่สกสก ,” [ว[ว. 304- 325.
เแาโลล ’zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
3
36. รเโม่0รเสเา อโ0รIวV , ร/ลกา: 7116 005รโอ3๘5, กก. 113- 114 ขณะที่งานของ 0เ00๙
“ 7เา© 1940 0โสก00-71าสเ 00โป© โ อเรกบ!© สก6 เ หแวบบก ร0ก9เปาโลส๓’ ร 00๓๓!
3
เ ๓ ก!
©
พิบูลสงคราม ดู ค006 , “ 7เา© 1 940 0โสก00-71าสเ 00โ0เ©โ อเรกบ!© สกง่ กเาแวบบก ร0ก9 ~
^เาโลล๓’ ร อ0๓๓11๓©ก! 10 น่สกสก, กก. 312 -313, 317 และ 322- 324 และ 71าส๓-
,,
ร00เ^ แบ๓กอกปส, 7ก่ส//ส, ก6 สก๘ ปส/วสก©5© 7 656กอ© 1 941 - 1945 , กก. 115- 116 และ
^
หลายแห่งดลอดบทที่ 1 และ 3 สำหรับข้อมูลภาษาญี่ปุ่นเกี่ยวกับชายผู้นี้ ดู 8©ก]ล๓เก
ธส!ร0ก ลกป รเาI ๓เ2บ แส] เ๓© , ©กํร., 7ก่© 7โสฐ©ปุ/ อ! VI!สก/!.
39. กรมแผนที่ทหาร, วิวัฒนาการทางแผนที่ในประเทศไทย, หน้า 13-14 ภาพประกอบมา
จาก ทองใบ แดงน้อย, แผนที่ภูมิศาสตร์ , หน้า 27, 29, 31 , 33, 35, 37 ตามสำดับ ซึ่งแทบ
จะเหมือนกับฉบับปี พ.ศ . 2478- 2479 ทั้งหมด.
40. เ-สโโV 816๓ร!© เก, “ 4ก แเร!อกํ0ล! 41เลร 01 7เาสแสก๙” ก. 7 แม้จะใช้คำว่า “ สก ในชื่อ
,,
การเมืองในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งทำให้เขาใส่ชื่อแผนที่แต่ละฉบับในรูป
พหูพจน์ เช่น เก9๘0๓3 ลก6zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
0เ1เ63 31 11า6 11๓6 01...”
42. กรมแผนที่ทหาร, วิว้ฒนาการทางแผนที่ในประเทศไทย, หน้า า 3 ชี้ว่าในด้นฉบับปี 2478
( ค.ศ. า 935) แผนที่นี้ชื่อว่า “ อาณาจักรหนองแส” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเมืองหลวงของน่าน-
เจัา อย่างไรก็ตามในบทความของสเดิร์นสไดน์แผนที่นี้ถูกเรียกว่าอาณาจักรของวัชสมัย
โก๊ะล่อฝง กษัตริย์ของน่านเจ้า, พ.ศ. 1291 (ค.ศ. 748).
43. ในแผนที่ในหนังสือ แผนทีภูมิศาลตร์ของทอง1' บ ฉบับพิมพ์พ.ศ. 2529 ( ค.ศ. 1986 ) ,
หน้า 31 ยุคของพ่อชุนรามคำแหงถูกเปลี่ยนเป็นพ.ศ . 1822 - 1843 ( ค.ศ. 1279- 1300 )
ดามความรู้ประวัติศาสตร์ล่าสุด แต่เขาไม่ได้แก็ใขเนื้อหาในหน้า 30 ที่อยู่ตรงข้ามกับ
แผนที.่
44. 316๓ร16เก, “ ^ก แเร10โเ03เ ^1เ33 01 7เา31เ3ก6 ,” ฤ. 20.
45. 30๓เปล! พลก!เาลกล, “ 71า6 ?0แ1เ03 01 [40016๓ 7!าล1 แเร10ก่0ฐโลฤเาV ,” ฤ. 341.
เพลงหลายเพลงถูกใช้ในกิจกรรมทางการทหารทั้งในช่วงเวลาปกติและยามรัฐประหาร.
48. หลวงวิจิตรวาทการ, “ พระนเรศวรประกาศอิสรภาพ ,” ใน วิจิตรสาร, เล่ม า , หน้า า 24.
49. ไม่มีพงศาวดารไทยฉบับไหนเอ่ยถึงการโจมดีครั้งนี้ มีแด่พงศาวดารพม่าที่บันทึกไวั แด่
กล่าวไวัว่าการโจมดีไม่สำเร็จ ส่วนบทละครของหลวงวิจิตรฯไม่กล่าวถึงรายละเอียดและ
ผลของการโจมดี.
50. เนื่องจากประอรรัตน์ บูรณมาตร์ ถือว่าฉากนี้เป็นจุดสุดยอดของละครเรื่องนี้ จึงตำหนิ
หลวงวิจิตรฯ ที่ไม่ใช้การประกาศอิสรภาพเป็นฉากจุดสุดยอดของละคร ( ดู หลวงวิจิตร -
เชิงอรรถ 307
68 ) ในความเห็นของผู้เขียน ฉากนี้เป็นเพียง
' แ. าzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
วาทการกับบทละครประว้ติศาสตร์z, yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGF
ปาฏิหาริย์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาเท่านั้น แท้จริงแล้วจุดสุดยอดของละครเรื่องนี้อยู่ที่ช่วงขณะอัน
มหัศจรรย์ของการประกาศอิสรภาพนั้นเอง.
51. ประอรร้ดน์ บูรณมาดร์ , หลวงวิจิตรวาทการกับบทละครประวัติศาสตร์ , หนา 171 - 178.
52. เพิ่งอัาง, หน้า 207- 212.
53. เพิ่งอาง, หน้า 79- 80.
54. 5๙กบก0เ 1.080๙ 06ก65เ5 35 /[ /เ/ เก ล/?๘ 0เก6 - 5553/5, เว. 9.
(
พูดถึงการเดินทางเข้าสู่ปริมณฑลในอดีตของท้องถิ่นที่ประวัติศาสตร์ชาติอย่างที่เป็น
วีทยาศาสตร์ไม่สามารถกดปราบได้สำเร็จ ผู้เขียนเองก็ได้เสนอประเด็นพึงด้นควัา เพื่อ
ศึกษาบทบาทของมันต่อการสร้างอดีตขึ้นใหม่ในทำนองเดียวกับบทบาทของภูมิ -
ศาสตร์ในหน้งลือเล่มนี้ลู 7^า0ก90เาสเผเกเดแล^ฟ, “ รเลโก IVเลถถ©๙’ ( 0เ88©กล!เอก) , ถถ.
333- 338.
2. [ เ เ0อลโ1เาV ] , /\ก 5/7ฐ/ /5/ไ /ทล/ไ’5 ร/ล/ท656 ป001ก3เ 1890 - 1893, ถถ. 185- 186 และ
^ ’
18. ภาพที่ 20 มาจาก เกร/๘© ^ร/ล 7 ( 76เว.- เ^ ลโ. 1986 ) , [ว. 15 ถ่ายภาพโดย ออกโสป
7ล .
อโ
^
19. อกลโ !637 .
^©^63, ‘ๆ ก อล© อ!!ก© คบโเอ!ก© ป นก!©! ,” [ว[ว. 261 - 292.
"
© ©
เซิงอรรถ 309
23. ครูเงิน ( นามแฝง ) , เพลงไทยดามนัยประวดzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLK
, หน้า 1 - 22.
แหล่งอ้างอิงภาษาไทย
สำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ , สำนัก
กนก วงษ์ตระหง่าน.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ข้อคิดจากกรุงศรีอยุธยา.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLK
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี. กรุงเทพฯ, 2527.
กนต์ธีร์ ศุภมงคล. การวิเทโศบายของไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
2527.
กรมโคสนาการ. คู่มือพลเมือง. พระนคร: อักษรนิต, 2479.
. เขตต์แดนของรัฐ. พระนคร: โรงพิมพ์พานิชศุภผล, 2483.
. ประมวนวธนธมแห่งชาติ. พระนคร: กรมโคสนาการ, 2486.
กรมแผนที่ทหาร. วิรัฒนาการทางแผนที่ในประเทศไทย. ดีพิมพ์ในโอกาสแสตงนิทรรศการ
ทางทหารสมโภชกรุงร้ตนโกสินทร์ 200 ปี. กรุงเทพฯ, 2525.
. วารสารแผนทzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
: ฉบบพิเศษครบรอบ 200 ปี 24- 25 ( กรกภาคม 2524 - มิถุนายน
2526 ) .
. ที่ระลึกครบรอบรันสถาปนา ปี กรมแผนที่ททาร 2528. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
^^
—
กรมแผนที่ทหาร , 2528.
100
บรรณานุกรม 31 1
2พร้อมคำนำใหม่. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2519.
พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์,
. ข้อมูลประวติศาสตร์สมัยบางกอก.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFE
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, 2524.
ข่มุกต์ มิสินทะเลข และคณะ. ห ,แงสือประชุมพงศาวตาร: บรรณนิทรรศนัและดรรชนีค้นเรื่อง.
พิมพ์เป็นอนุสรณ์โนงานประชุมเพสิงนางเทพภูษิต ( เมี้ยน มิสินทะเลข ). กรุงเทพฯ: กรม-
ดีลปากร, 2520.
ณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ. รายงานการสัมมนาเรื่องเอกลักษณ์ของชาติกับการพฒนา.
กรุงเทพฯ: บริษัทวิคดอรีเพาเวอร์พอยท์ จำกัด, 2528.
. เอกลักษณ์ของชาติ. กรุงเทพฯ: กราฟฟิคอาร์ต, 2526.
รูเงิน นามแฝง ). เพลงไทยตามนัยประวิด. กรุงเทพฯ: บรรณกิจ, 2524.
^
(
ริยาวรรณ อาภรณ์รัตน์. “ ปัญหาของรัฐบาลไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า-
เจ้าอยู่หัวที่เกี่ยวกับคนเอเชียในบังคับอังกฤษและฝรั้งเศส.” วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร
มหาบณฑิด ภาควิชาประวิดศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , 2525.
อมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเต็จพระ. ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4. 4 เล่ม. พระนคร:
คุรุสภา, 2503- 2504.
. พระบรมราชาธิบายอธิกมาศอธิกวารและปักขคณนาวิธ.ี พระนศร : มูลนิธิมหามกุฎ-
ราชวิทยาลัย , 251 1 .
ประชุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่4 และนิพนธ์ ของพระอมราภรักขิต ( เกิด ).พิมพ์เป็น
.
'
12 กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
( เลือนณนคร) , พระ. จดหมายเหตุร.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONM
ณรงค์วิชิตzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ศ . 17 2. พิมพ์เป็นอนุสรณ์!นงานพระราชทาน
เพลิงศพ เสวกตรี พระอภิรักษ์อัมพรสถาน ( ถึก เสมรสุนทร). พระนคร: โรงพิมพ์ไทย -
เขษม, 2483.
ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม. สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ อัครมหาเสนาบดีผู้สำเร็จราชการ
แผ่นดินในรัชกาลที่ 5. 2 เล่ม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: แพร่พิทยา, 2516.
. พระประวิตและงานสำอัญของพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น 2 กรมหลวงวงษาธิราชสนิท
ตนราชสกุลวงศ์ “ สนิทวงศ์.” พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: รุ่งเรืองสาส์นการพิมพ์, 2524.
ณ์ฐวุฒิ สุทธิสงคราม และบรรเจิด อินทุจันทร์ยงค์. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ -
ศิลปาคม ( ผู้ถวายชีวิดรักษาแผ่นดินอีสาน ). กรุงเทพฯ: รัชรินทร์การพิมพ์, 2523.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. ประชุมพระนิพนธ์เป็ดเตล็ต. พระนคร: คุรุสภา, 2504.
. นิทานโบราณคดี. พิมพ์ครั้งที่ 13. กรุงเทพฯ: บรรณาคาร, 2509.
^
. ความทรงจำ . กรุงเทพฯ: คลังวิทยา, 2517.
. “ ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ. ” ใน ประวิดิศาสตร์และการเมอง.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2518.
^
^^
. แสดงบรรยายพงศาวดารสยาม. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา และ ราชเสนา, พระยา. เทศาภิบาล. พิมพ์เป็นอนุสรณ์
ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระยาอรรถกระวีสุนทร ( สงวน ศตะรัต). กรุงเทพฯ: กรม
ศิลปากร, 2503.
เตช บุนนาค. “ การปกครองแบบเทศาภิบาลเป็นระบบปฎิวิตหรือวิจัฒนาการ.” อังคมศาสตร์
ปริทศน์ 4, ฉบับที่ 3 ( 2509).
. ขบถ ร.ศ. 121. กรงเทพฯ: มลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนษยศาสตร์.
บรรณานุกรม 313
ธำรงศกดี้ เพชรเลิศอน้นต์.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
“ การเรียกร้องดินแดนคืน พ.ศ . 2483.” สมุดสังคมศาสตร์ 12,
ฉบบที่ 3- 4 (กุมภาพันธ์-กรกฎาคม 2533): 28- 65.
นคร พันธุณรงค์. “ การเจรจาและข้อตกลงระหว่างร้ฐบาลสยามกับรัฐบาลอังกฤษเกี่ยวกับ
หัวเมืองชายแดนลานนาไทยและพม่า สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระยะ
พ.ศ. 2428- 2438.” ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต วิทยาลัยวิชาการศึกษา ( ประ-
สานมิดร) , 2516.
นราธิปพงศ์ประพันธ์, พลตรีพระเจ้าวรวงค์เธอ กรมหมื่น. วิทยาวรรณกรรม.zyxwvutsrqponmlkjihgfe
พระนคร: แพร-
พิทยา, 2514.
นริศรานุวัตติวงศ์ , สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา. บันทึกความรูเรื่องต่างๆ. 5 เล่ม. พระนคร:
สมาคมลังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย , 2506.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. การเมืองไทยสมัยพระนารายณ์. กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหา -
วิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2523.
. ประวิเตศาสตร์ร์ดนโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา. กรุงเทพฯ: บรรณกิจ, 2527.
. ปากไก่และใบเรือ. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2527.
. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุร.ี กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม , 2529.
^
2450.
ระวี ภาวิไล. “ สุริยุปราคา 18 สิงหาคม 2411.” สังคมศาสตร์ปริทัศน์ 6 , ฉบับที่ 2 (กันยายน-
พฤศจิกายน 2511 ) : 26- 34.
ราโชหัย , หม่อม. นิราศลอนดอน. พิมพ์เป็นอนุสรณ์!นงานฌาปนากิจศพนางจำนวนจิปิภพ.
พระนคร, 2505.
รามเกียรด. 2 เล่ม. พระนคร: คลังวิทยา, 2507.
ละออทอง อัมรินทร์รตน์. “ การส่งนักเรียนไปศึกษาต่อด่างประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ. 2411 - 2475.”
วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวิตศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ,
2522.
ลิไทย , พญา. ไตรภูมิพระร่วง. ฉบับตรวจสอบชำระใหม่. กรุงเทพฯ: กรมคิลปากร, 2526.
โลกบัญญ้ต. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2528.
วชิรญาณวโรรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา. เทศนาพระราชประวัติพระบาทสมเด็จ
พระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจัาอยู่หัว. หนังสือแจกในงานบำเพ็ญกุศลถวาย
บรรณานุกรม 315
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ และ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวิตzyxw
.
พระนคร, 2500.
โบราณคดี. พระนคร: คณะรัฐมนตรี, 2514.
. ประมวลพระนิพนธ์ฯzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
: ประวัดศาสตร์z-yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJI
รันไดกี,้ ย. ว. ( \^ก อ ป. พ. ). ภูมะนิเทศ . เพชรบุรี
^
วันรัตน์ , ^ ©, .
, 2417
สมเด็จพระ. สังคีติยวงศ์. แปลโดย พระยาปริย้ตธรรมธาดา ( แพ ดาละลักษมณ์ . )
อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรุมขุนเพชรบูรณ์อิน-
ทราชัย. พระนคร: 2466.
วารุณี โอสถารมย์. “ การศึกษาในดังคมไทย พ.ศ. 241 1 - 2475.” วิทยานิพนธ์อักษรศาสดร
มหาบัณฑิต ภาควิชาประวิดศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , 2524.
วิจิตรวาทการ, หลวง. วิจิตรสาร. 5 เล่ม. พระนคร: มงคลการพิมพ์, 2508- 2509.
วินัย พงศ์ศรีเพียร, บ.ก. ปัญหาในประวิดศาสตร์ไทย: จุลสารคณะกรรมการชำระประวิดศาสตร์
ไทย สำนักนายกรัฐมนตรี 1 , เล่ม 1 ( ธันวาคม 2528-สิงหาคม 2529 ).
วุฒิชัย มูลศึลป๋ และสมโชติ ย์องสกุล, บ.ก. มณฑลเทศาภิบาล: วิเคราะห์เปรียบเทียบ. กรุงเทพฯ:
สมาคมดังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2524.
ศรีสุพร ช่วงสกุล. “ ความเปลี่ยนแปลงของคณะสงฆ์: ศึกษากรณีธรรมยุติกนิกาย ( พ.ศ. 2368 -
2464 ) .” วิทยานิพนธ์อักษรศาสดรมหาบัณฑิต ภาควิชาประวิดศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหา -
วิทยาลัย , 2530.
ศ์ลวิธานนิเทศ ( แอบ รักตประจิต ) , ว่าที่นายพันตรี หลวง. ตำราพิชิกะ- ภูมิศาสตร์. พระนคร:
กระทรวงกลาโหม, 2461 .
สงวน อั้นคง. สิ่งแรกในเมืองไทย. 3 เล่ม. ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม. พระนคร: แพร่พิทยา, 2514.
สง่า ลือชาพัฒนพร และอาทร เตชะธาดา, บ.ก. วิกฤตการณ์ทางเอกสักษณ์: บันทึกของคนรุ่น
ใหม่. กรุงเทพฯ: ปาจารยสาร, 2524.
สถาบันไทยคดีศึกษา. หมอบรัดเสย์กับสังคมไทย: รวมบทความเสนอในงานสัมมนาเรื่องหมอ
บร์ดเลย. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2528.
ลมเกียรติ วันทะนะ. “ รัฐสมบูรณาญาสิทธี้ในสยาม 2435- 2475.” เอกสารประกอบการปาฐก -
ถาสมาคมดังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, กรุงเทพฯ, 2525.
สวรรค์ สุวรรณโชติ. ประเทศไทยกับปัญหาเมืองจนทบุรีและตราดที่ฝรั่งเศสยึดครองระหว่างปี
พ.ศ. 2436 - 2449. กรุงเทพฯ: กรมการฟิกหัตครู, 2520.
1
บรรณานุกรม 317
แหล่งอ้างอิงภาษาอังกลุษzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
\!ไ ๓ส!, ร!ไสโ0โก. © ปล!ไ - รเส๓ ค© เส!!0กร, 1821 - 1905.” 01 11าอ /สกา 80061/ ร
ปอบ/'กส/zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSR
บ
59, 0 1 (ปสก. 1971 ): 97 1 17. -
\ แก ค3๙0! 0เสกส. 7/76 0โ0สก 2ล! I ก 01 7/าส 500 6I/ เก 1116 คสโเ/ 8ลกฎ! 0^ คเ6ก0๘,
ไส
'
/ 0
'
/ / (
'
1782 - 1873. รอบ!!ไ© สร! /\ รเส คโอ9โส๓. อส!3 คส0© โ 74. เ!เาส0ส: ออโก© II บกเV © โร!!V ,
1969.
เส
\ !)สร!© โ, - 6กโV . 7/76 เ^0๘6 ก คบ๘๙ /ร/; 86 00 1176 V'6^5 01 ล 5/3กา©ร© /^/ก ร/© 01
เเ /' ไ /
'
/
' '
/ /'
5/ส /© 0ก ค/ร ก สก๘ 01เา6โ- 86เ ฐ 0กร. นวกป0ก: 7โม6ก© โ & 00., 1870. '
1 /
\ แปโ© ผแแส๓ เ-เ “ 0อกอ© 0!ร 0! 0โป © โ เก ร0บ!เา © สร! /\ รเส สกข /แ ๐ โ๐ก ©รเส ” 00๓0สโส / V ©
, .
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
^ . /
. “ ร!น๙©ร 0!!เา© 7เาสเ ร!ส!© : 7เา© ร!ส!© 0! 7!าสเ ร!บ๙© ร.” เก 7/า© ร/บ๘/ 01 7/7ส - '
/
’ /' / /' /
8เร10 โ/, ค0000๓/05, 8เร! 0 โ/ สก๘ คอ// / 03/ 50 6006 6 1 8แ 26 โ 8 7 1 ค306โร เก เก!© โ
^^
'
/ / , ( . . -
กส!เอกส! ร!บป! © ร, รอบ!!า© สร! /\รเสก ร© โ © ร, กอ 54. /\!!ไ © กร: 0!าเ๐ บกเ V © โรเ!V , 1978.
!
^^^^^
. I กาลฎเก ป 00๓๓บก/ //©ร: ค© //©© / กร 00 1176 000 0 สก๘ ร0โ636 01 8ส / 003/75๓.
6
' '
/0 /
'
/
8ส9 โอผ, บ© อ . ค/ร/อโ/ 01 03๘00 โ-ส0/7/. ค© V! ร©ป เวV คอ!)© โ! /บ ร © )!อก. บอกปอก : 0.
^
'
8ล!รอก, 8© ก]ล๓เก, สกป ร!าเฌเ 2บ แส]!๓© , ©ปร. 7/า© 7โ-ส / อ/ เ4/สก/ /; 4 ปล?สก656 06๘ /
4000บก/ อ/ 14/3โ//๓© 7/าส/ คอ/ / //©ร. ร060เส1 คนปแอส!! อก ร© โ!© ร, กอ. 1 . รเก9300โ© :
'
'
/
^ 9 9 ^อกฮ
อก : แอก บกเ © โรเ
! 7 คโ © ธร , 1968. V
8อ! รร© แ © โ, ป สก. 7/7ส/ คส /ก//ก0. 7โสกรเส!© ป ๘7 ป©อ©! 5© แ9๓สก. 7อ 7อ อปสกร!า3 เก!© โ-
^ ^
' '
©
318
I กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประว้ติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
^!บสเส, ปบ๓เวนโ-: 0? xzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPON
๒โป บก! โร!IV คโ รร, 1 969. V© ©
8 โสป!© / ผ! II !สกา I “ คก่กอ© IVเอกฐ บ? สกป ป©รร© 0สรพ© II .” ปอบ กส / อ/ // © ร/สก ร©© ©?/
, .
^
54 , [ว!. 1 ( ป© ก 1966 ) : 29 - 41 .
!' ? ] /
. ร/สก] 7/า©ก: 7?]© คอ © /9ก /' อ/อก/ เก คสกฐ/ ๐^ 86101-6 สก๘ 4( 16โ ^ กกส. คลรส-
( /
กอ. เ
4 ( /เสโ. 1974) : 439 - 469.
8โ © ล26 ลเ6, ^©กกอก, สกป รสก!? รส๓บอเ^ลโก. 4 ๗?บ © เก ร©สโอ/ อ/ รอโพVส/; 7/ © ค/?อสก / / ] ]
บโฐ!า© !โ , คแอ?ไสโป. “ 7!า© คอโ๓ส?เอก อ? ?!า© ดอกอ© [ว? อ? แล?เอก - ร!ส?© เก แ © [วส! .” ปอบโ -กส / อ/
7/ © รอ ก©/ คสฐ© ร 5 70เร เก 6 8ลกฐเ : V ส]! โสกสกส แล?เอกส! ม!วโสโ/ 1910 - 1914
ดเาส !/ สก แส]อ!าล900เ. “ 7!า© รออเส! สกป ^
] /' / . . . , .
0!าสกป! © โ, สV เป 8. “ IVเส[วร ?0โ ?เา© /\ กอ©ร?0โร: รสอโสแ26ป 7อ[ว๐9 โส[ว!า/ ©กป รอ! ©ร อ? ไอ
'
/\ ก9 อโ เก 7พอ ดสฌปอป!สก 76X?ร.” ปออ กส/ อ/ //7© ร/ส ท รออ/© ?/ 64, [ว?. 2 ( ปบ! /
^
•
/ /
ด!าสกปโสก ป©ร!าบโสก. “ 7!า6 กฐเอ- คโ© กอ?ไ อ©อเสโส?เอก อ? ปสกมลโ/ 1896 สกป ?!า© เกป© -
[ว© กป© กอ© อ? ร!ล๓.” ปออ/ กส / อ/ ?/]© ร/สกา รออ/© ?/ 28, [ว?. 2 ( ปบ! / 1970 ) : 105- 126.
'
. 7/7© อก?©ร? /อ/ ร/สก? 1889 - 1902: /\ ร?อป/ /ก //ว/อ/ทส?/อ ค/Vส ///. ^บสเส
'
เก ค©/อ©/ว?/๐กร อ/ //]© คลร? /ก รออ?/?©สร? 4ร/ล, ©ปร. ก??ไอก/ ค© เป สกป 03V เป IVเลโโ. /
ร!สก ร?บป! © ร รรออเส?เอก อ? /V บร?โสแส , รอบ?ก่© สร! รเส คบ!วแอล?เอก ร© ก่© ร, กอ. 4.
รเก9ส9๐โอ: แ©เก© ๓สกก คปบอล?!อกล! 8๐๐เ(ร ( /\รเส) , 1979.
ด0๐ป, แ© โ!ปส. \ 7ส!© อ? 7พ0 ด!?/ 8!แสโร: IVเอกฐ^บ? สกป 7!าล! ร?โอเอฐ/ อก ?1า6 ^ V © อ?
เ^อป© โกเ 2ล!!อก.” เก คส??© /กร สก๘ I แบรเอกร : 7/7ล/ ค/ร?อ// สก๘ 7/]ออฐ/??, ©ปร. 0©!ไสก
•
พ!]© / ©พลโป©ก© สกป 8. ด. ด!ไส[ว๓สก. ดสก!ว© โโส: !เา© คเอ!ไสโป อสV เร คบกป สกป
อ©[วลโ?๓© ก? อ? /\ก?!ไโอ[วอเอฐ/ , ^บร!โส!!สก แล?เอกล! บก!V© โร!?/ ; ร!กฐล[ว0โ© : เกร?!! บ?© อ?
รอบ?เา©สร? ร!สก ร?บปเ ©ร, 1992.
ดโลพ?บโป, ปอ?ไก. ค/ร?อ// อ/ //?© เก๙สก /\โอ/?//ว© /สฐอ. 3 Vอ!ร. คป! ก!วบโฐ!ไ , 1820.
' •
บรรณานุกรม 319
. ป01 โ กส / 01 สก 0กา63รร/ /โ0กา /๘© 00\เอกาอโ -ร© ก© โส / อ / เก๘เ3 /อ /๘© 00บ [15
/zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
'
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA ' ' '
อ / 8เ3กา สก๘ รออ๘/ก 0เาเก3. 2 V 0I 3. 2กย ©ย. เ-0กยอก , 1830. 0x๒ โย เก /\ ร!ล แเร๒ท่อสเ
^^^^
ยอก, 1856. 0x๒๒ เก /\ร! ล ค!ร/อโ!อลเ ค©เวโเก๒. X บลเล เ-ม๓กบโ: 0x๒๒ บก!V © โร!//
^^^^
^
ร!/ / ค! 03ร ,
^^^^
'
1989.
ค© แ , ค. 7. คส // 1\4ส อร อ/ รอบ/๘-คสร/ ^ร/ส. 1๓ส9©ร อ/ /๒!ล ร© โ!©ร. รเก93๘อโ6: 0x๒๒
/' ]
2525.
คเออย, ค. 7ท่ลย© บร. “ 7๘6 1 940 คโลกออ-7ท่ลเ 8อ๒© โ อเรกบ/© ลกย ค/ไ!๘บบก รอก9เ๒โลล๓’ 5
0อ๓๓! ๓© ก/ ๒ ปลกลก.” ปอบโกส / อ/ รอบ/๘©สร/ ๒/สก ค/ร/อโ/ 10 ( 1969): 304 - 325.
{ /
คอโเว© ร, กยโ©พ อ. พ. “ 7เา© 8 โบ99๒ ๒โ ค©9© ๓อก/ เก ผเก© ©© ก๒ 0© ก มโ/ เ-ล03: 7๘6
^ ©
{
7๘เโย ร!ล๓ ร© /VII แ /ลโ/ คX ก©ย! เอก ๐ ๘© ผอโ ๘©ลร/ ( 1885-1887).” เก คโออ© ๘เกฎ5
{ { { {
{ {
อ/ /๘© /ก/© กส //อกส / รอก/© โ © กอ© อก 7๘ส/ ร/บ๘/©ร, ^บร/โส //สก คร//อกส / บก V โร///,
โ
' ' • '
/ ©
รลโก!© โ, คโลกอเร. เ-3 00อ๘เก0๘เก6 /โสก ส /ร© ©ก 1864. คลท่ร: 0๘ลแล๓©! ล ก บ 1864. ! (
0ลพเก 0๘บ/!๓ล. 7๘6 ค/ร© สก๘ คส// อ/ /๘© รอกใกใบก/ร/ คส๘)' อ/ 7๘ส //สก๘ ( 1973- 1987 ).
0© ก โ© อ/ รอม ๘ - คลร/ /\รเลก ร/ บย!© ร, 0ออลร!อกลเ คลก© โ กอ. 12. รลก © ท่วมโ/ : บก! -
{ { {
0© © โ/ 2, 01เ ๒โย. “ 7๘6 เก/© 9โล/! V © ค© V 0I บ/!อก: คโ!๓0๒!ล! ร© ก/! ๓© ก/ร ลกย 0 แ คอแ /! อร เก
^ ^
320
I กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประวตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
© ผ©พ 813 65.” เก 0/๘zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
300161168 ลท๘ /V6\IV ร?ล*©ร, © ๘. 0แสอโ๘ 0©6โ 2. ผ6พ V ๐โ :
๒zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
*
คโ©© คโ©รร, 1963.
* ^
©ร ๒๒ บวโโล!ก© . “ X เก9ร!า!!ว 3ก๘
'
คอแ*เอลเ เก* ©9โ3* เ0ก เก 7โ3๘!*!0ก3เ รเ3โก 1767-1824.”
ค!า.0. ๘!รร© โใ3*! วก, รอโก© II บก*V © โร!* V , 1976.
(
, © ๘. ร©ท?© โร, ร)'โท๘อ/ร, ลโ?๘ ค//© โล/ อ/?/©ร: ครรล)'ร อโ? ?/?© ร/ล5ร/อล/ ร?ล?©ร อ?
'
'
รอ๙??©ลร? 45/3. รอบ*!า©3ร* 4รเล ร* บ๘!©ร, ^อก๐9โล[ว!า ร© โ!©ร, กอ. 26. ผ©พ เ-เ© V ©ก:
V 3เ6 บก!V © โร! V , 1983.
*
. “ ค© 3๘เก9 ค3ก๘รอล[ว© : คอ*!©อ* เอกร อก ล ร3อโ©๘ ร!* © เก รอบ*!า 7!า3แ3ก๘.” ๘๐บโกล/
อ? ???© ร/ลโท รออ/©?)' 73, 9* ร. 1 - 2 ( 1985): 157- 162.
. เก ?/า© /-ลท๘ อ? /-ล๘)' ห???/ ?© ธ/อ๐๘: รอบ???© โ ท 7??ล /ลโ?๘ ลก๘ ?/า© / ©ลท/ทฐ อ?
^
•
/
'
6 เก9 เก 4ร!ล- 4 ร)'กา[วอร! บกา.” ๘๐บโ ทล/ อ? 4ร/ลท ร?บ๘/©ร 46 ( 1987): 305- 379.
^
'
0อเ๘๓ลก , เพก* อก ค. “ คโลกออ- รก่* เร!ไ ค! V ลเโV 0\/ © โ ร!ล๓ , 1896- 1904.” ๘อบโกล/ อ? '
ลลร, เ^ลโ)' ค. 7??ล -คทฐ//ร?? ร?บ๘©ก?,ร ร/อ?/อทลโ)'. บวก๘อก: 0x๒^ บก!V © โร!* V คโ©รร, 1 964.
'
/
'
ล9©ร* ©!]ก, ค©ก ©. ร/โอ/©5 อ? XI กฎร: คอ//?/อล/ ธ/กลโท/อร เก ธล /)' รอก?/ท©ท?ล/ รอบ???©ลร?
?
'
/'
. ค?©ทโ)' ธบโท©)': 4 คอ//?/อล/ ธ/อฐ/ ล/ว??/. เ-อก๘อก: 0x ๒โ๘ บก! V © โร!* ) คโ© รร, 1974.
' '
'
'
/
'
. 4 ค?/ร?อโ)' อ? รอบ??? คลร? 4ร/ล. 4*!า © ๘. | \ ©พ 7อโ๒ ร . 1 ลเ1! ก’ ร คโ© รร, 1981 .
^^^^1
'
/ / |
* ^
ลแ , ^©กก©* ?ไ ค., ลก๘ พ!ไ!*๓อโ© , ป๐หก ^., ©๘ร. 5X/ว/อโล?/อทร /ท คลโ/)' รอบ???©ลร? -4ร/ลท
^^
ค//ร?0โ)': 7??© 0ทํฐ/ทร อ? รอบ???©ลร? -4ร/ลก ร?ล?©อโล??. 4กก 4โ?วอโ: 0©ก* © โ ๒โ รอบ*!ไ ©ลร*
'
1982.
แ©! ก© -0© เ๘© โก, คอ๘© โ* . รอกอ©/ว?/อกร อ? ร?ล?© ลก๘ Xเกฐร??//ว เก รอบ?/?©ลร? 45/3. อ3*3
คล[ว© โ 18, รอบ*!16ลร* 4ร!ล คโอ9โ3๓. เ*!า303: 0อโก© II บก! V © โร!*)', 1956.
แอ!วลโ* , เ^ลโ๒ ลก๘ 7ล)'เอโ, คอ!ว© โ* , © ๘ร. รอก?©X ?, /V๒ลท/ทฐ ลท๘ คอ^©โ /ก รอบ?/?©ลร? 45/3. '
** * * * * *
6ล 6ร, ป. ร. (๘ท๘©โร?ลท๘/ทฐ / ลฐร. ผ©พ V ๐โ๒ พ!!© ) , 1982.
^ * ^ '
บรรณานุกรม 321
^©ฝ นโ!© ,, VIรแ6. ผส
© //อกล//รกใ. 3โฝ ©ฝ. เ-๐ก เ๐ก: [ เม อเาเกร ก , 1966. 0 { 0
^©กก ฝ!V 7๘ ๐1๐โ. .“ 4ก เกฝเฐ6ก นร รสโ!V ผเก©!© ก!๘ 0 คลุ ก!บโV สฐ อ! ออก!โล! ลกฝ ผ โ!๘ -
© สร
©
^©
© : ค©ฐ/อกส//รกใ เกzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFE
เ /๘633 โก 7๘ส /สก๘. 0๐โก© II 7เาสแสกฝ รโ ]©©!
เ^© V ร, 0หสโเ©ร ร.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDC
3 [\ 0โ (6 '
/ ©
เก!©กํ๓ ค ฐ© โ! ร© โเ , ก . .© !
© ร © รสฐ
10 ร© บ!เา©สร! 4ร ล คโ©9โล๓, อส!ส ©โ 65. ! เ เาส©ส:
0๐โก© แ บกเ V © โร!!V , 1967.
. รแ9โล๓ส9© 0©ก!© โร สกฝ !เา© 7พ©!V © -'/© สโ 0x01© : ผ© !โ ห© โก ไ หส
. “ รมฝฝ!าเร! "
)
'
30 /
/- ©ฐ/ / กาล / อก อ/ คอIV © โ เก 7 /ใส//สก๘ /-สอร สก๘ ธมโกใส, ©ฝ. รสโฝพ© II I . ร๓!
สก๘zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
' '
/
'
/ เ!., ไ
, 7/ใส /สก๘; ธม๘๘/ใ/ร/ Xเกฐ๘๐กา 35 /\๘๐๘ โก /Vส / อก-ร/ส /©. พ©ร! ©พ คโ !แ ©ร.
' '
, / © / VI ©
. “ 7เา© อสร© ๐! !เา © รบโ! เก©ฝ นก!©!: 7เา© ร© แ!เ 08 ๐! ล ๘๓© โ รเาโเก© สร ล 7เาลเ
ผล!!©กลเ ค© โ!!ส96.” เก ผล//อกส/ /๘©ก// /V สก๘ / /ร อ© /©กร© ; 7/าส^ //สก๘ 1939 1984 , ©ฝ.
^^ ^
©
อโลเ9 ฝ. ค© V ก0เฝร. อกสร!ไ รสฐ© โร © ก ร© ม!! ©สร! 4ร!ล, ก© . 25. 6แว© บโก© : 4โเร!©©
^ ^ ไ
7เาลเ - สเสV ค© เส!เ © กร 1767-1851.” เก รโออ© ©๘/กฐรอ/ //ใ© /ก/© โกส //อกส/ ออก/© โ©กอ©
^
'
อก ท๘ส/ ร/ม๘/©ร, 4มร/โส//สก ผล//อกส/ อก/V©โร//)โ, อลก๘©โโส, 1987. V ©เ. 3 ฐ!. 1 . อสก!ว© โโล,
'
1987.
^ ^
(
© โ©
^ ©
/ © โร )โ
16
©
©โ
เ-ลกฝ©ร, ชลV!ฝ. ค© Vอ/ม//อก เก 7 กา©; อ/ออ/ ร สก๘ /๘© /เ๘ส/ก่กฐ อ/ /๘© /\๘๐๘©โก พอโ/๘.
'
/ (
เ-©กฝ©ก ร©๘© ©! 0! ร©©ก©๓เ©ร ^/10ก09โสฐ๘ร 01ก ร©ติลเ 4ก!๘ โ© ฐ©!©9V , ก0. 44. [.© กฝ© ก ,
1954. ค© ฐโเก!. นวกฝ© ก, 1970.
/ ,
า 960 ) : 49 - 68.
^^^
กอ. 1 ( !.
. 0©0©ร/ร ลร /\4/!!ใ สกป 0!!) ©โ 5รรล/ร. บวกฝ่อก: ปอกล!!าลก ดล/)© , 1969.
-66 V อกฐ เ-© กฐ. 7!?© คล20โ’ร 5๘ฐ©; ธอขท๘ลโ/©ร สกป 8๐00๘ลโ/ อ/ร/วข!©ร เก รอข!!)©ลร! 4ร/ล.
^^^^
' '
/
ค©ร© ลโ๐ห แอ{ ©ร ลกฝ่ อเรอมรรเอก คล/ว© โร, กอ. 1 5. รเก9ล/วอโ© : เกร!!! บ!© อ! รอบ!!า©ลร!
^รเลก 3!นฝ่เ ©ร, า 980.
/ดอก9ข©ร!, อ. 1580 - 1760.
น6เว© โ๓ลก, V เอ!อโ. 8ขโ-โท©ร© 4๘ท)/ท/ร!โล!/V© ร/อ/©ร. 4กลโ อ/ใ/ สกะ!zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVU '
/
น^!าเ! เวก่เโล7©9เก. “ แล!เอกลแร๓ ลกฝ่ !!ไ © ร!ล!© เก 7!าลแลกฝ่.” คล/ว© โ !อโ !!16 ค©9เอกล!
พอโ ร!ไอ/ว อก เกอกํ!เ ©ร เก ธมฝ่ฝ!่ ไเร! 8อแ!เอร, 7!าลเ ร!บฝ่เ © ร คโอ9โล๓, ด!าบเลเอก9บวโก
^ ^
บกเ © โร!!/ , ปบก© า 985.
V
/วอโ©: เกร!!!บ!© อ! รอบ!!า© ลร! /V รเลก ร!บฝ่เ ©ร; รลก!ว© โโล: ค© ร© ลโอ{ ไ รอ!ใออเ อ! คลอ!I เอ
ร!นฝ่เ ©ร, /Vบร!โลแลก แล!!อกลเ บกเV © โร!!/ , 1986.
[VI ลบรร, ลโอ©!. 7! © 01(1: คอโท ร สกะ! คขทอ!/อทร อ! 5x๙7309© เก 4โอ! ล/อ รออ/©!/©ร. แ©พ '/อโ :
^ ) )
^ / )
[ [Vเอดลโ!!ไ/ , /
ธลก ^ ^ ร ^
ค© /วโ!ก!. 9 อ : !3๓ ©ฝ่เล เก!© โกล!เอกลเ ธออ ร, ก.ฝ่.
^
[ปเอคลโเลกฝ่, 060โ9© ธ. 7 เาลเ ^ ร ร
- ก0แร/ไ ร/อ!/003โ/. !ลก!0โฝ่: !ลก!อโฝ่ บกเV © โรเ!/ คโ©รร, า 944.
[VI อคลโเลกฝ่ , ร . 0. /\ก คทฐ//ร/) -ร/ลโท©ร© ร/อ!/003โ/. ค© V เร©ฝ่ ลกฝ่ © ก!ลโ9©ฝ่ {ว/ ธ *
ค โ/๐๘, 1616 !อ 79!! ด©ท!ขโ/. เ^อกอ9โส/ !ไ ร© โ! ©ร, กอ. 43. เ^อฝ่ โก เกฝ่อก รเล คโอ]©อ!
© ) ) © ©
! ออโ, ป. แ. แอ!/อ©รอ!!! © เกะ! เสก 4โอ/ใ//ว /ล9อ 30๘ 4๘/ลอ ท! ดอขท!โ/©ร. รเก9ส[วอโ© , 1837 .
^ ) / © / ©
[VI อโ© II , ล เฝ่ , ลกฝ่ ด!ไล! - ลกลก รล๓บฝ่ล ลกเ] ล. คอ//!/อล/ ดอท!/ /อ! /ท 7/ใล//ลท๘; ค !อโทใ,
V V ©
ค©ลอ!/อก, ค อ/ข!/อก. ดล๓!วก่ฝ่9© , [VI ลรร.: 0 เ9 6ร0!าเล 0บกก & คเสเก, 1981 .
©V ©
V © โ86 !อ คส๓ล V .” ปอขโกล/ อ!!! © ร/ลท รออ/©!/ 47, [ว!. 1 ( ปลก. 1959) : 103- 1 า 1 .
) )
บรรณานุกรม 323
ฟอม ?าอ?, 013โ/: 7 โล V © /ร เก ?๘© ด©ก?โล/ คลโ?ร อ? เก๘0 - ด?zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZ
แ© กโ!.zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLK าเกล (ร/ลโท ), ดลโท๘๐๘1ล ,
ลก๘1-305 ๘อโ/กฐ 1858 - 1861. 2 V 0I 3. บวก60ก, 1864.
ฟม! โ, ค! อ?าลโ6 . /ฟอ๘©โก คอ//?/อล/ 060ฎโ3ฎเาV - บวก๘๐ก: 80๓( แลก, 1975.
^
ฟมโลร?ไ!๓ล, 8เ]1. “ 7เา© (วก่9เก อ? (ฟ๐๘© โก 0??เอ!ล1 31ล1© 1๘60 เอ9 เก ฑาลแลก67 ปออโกล/ อ?
'
4 ( 1947 ) : 3- 22.
แ©ล! © , คโ©๘© โ!อ^ /\. /Vลโโล?/V © อ? 3 ค©ร ๘©ก06 ล? ?๘© ดล/ว/?ล/ 0? ?๘© XI กฎปอกา อ? ร/ลโท.
'
/
อ? ดลกา!วอฝเลก แ!ร?อโV.” ค ลกอ© - 4ร/© 22, กอ. 193 ( 1968): 189- 197.
/’ /
7?าลแลก๘.” [ฟลร?© โ อ? 0©76เ 00๓© ก? ร?ม๘!© ร ๘!รร© โ?ล?!อก , เกร?!?บ?© อ? รออ!ล! ร?บ๘! © ร,
7เา © แล9 ม© , 1982.
โ©รออ??, ป. ค. V . /ฟล0 อ? /ฟล/ก/ลก๘ 4ร/ล ๘/ 7โ©ล?) . ดลโ!?อก: (ฟ© แวอมโก© บก! V © โร!?V คโ© รร,
/ โ
1975.
^^
. คโอก?/©โรอ? /4ร/ลลก๘ รออ?/ ©ลร? 4ร/ล. ดลโ!?อก:
ไ / (ฟ©!6๐บโก© บก!V © โร!?V คโ© รร,
1977
รอบก๘ลโ/©ร ลก๘ คโอก?/©โร. บวก๘อก: ดโอ๐๓ แ©!๓, 1978.
.
โออ© © ๘/กฐร อ? ?/า© /ก?©โกล?/อกล/ ดอก?©โ©กอ© อก 7?ใล/ ร?อ๘/©ร, 4อร?โล//ลก แล?/อกล/
^^^^
บก V© โร/?/, ดลก๘©โโล, 1987. 3 V ๐Iร. ดลกเว© โโล: /\ มร?โล!!ลก แล?!อกล! บก!V © โร!?V , 1987.
/
โบ๘?า!รลก ปม๓เวล!ล. “ เก?© โ©ร? ลก๘ คโ© รรมโ© ดโอม0ร.” เก 00 ©โกกา©ก? ลก๘ คอ//?/อร อ?
V
7?ใล/เลก๘, © ๘. รอ๓รล ๘! X ม?อ. มล!ล เ-ม๓0มโ: 0x1๐โ๘ บก! V © โร!?V คโ©รร, 1 987.
^ ^
โบ©รร, ปล๓©ร 8. “ (ฟ© โ!?-ร©©!ปํก9 !ก คม!ว!!อ: 8ม๘๘?าเร? ค!!9โ!โก39© เก แอโ??า©ลร?© โก 7?ไลแลก๘.”
ปออโกล/ อ? ?๘© ร/ล/ท รออ/© ?/ 64 , 0?. 1 ( ปลก. 1976 ): 169- 206.
ค©!๘, ^ก?เาอกV , ลก๘ (ฟลโโ, ลV!๘ , ©๘ร. ค©โอ©ค?/อก5 อ? ?๘© คลร? เก รออ?๘©ลร? 4ร/ล. /
24 I กำเนิดสยามจากแผนที่ : ประว้ตศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
ก©zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
กลโง่ , ก วกลเง่ ช. ‘ ๆ ก่© ช แก© ล!เอก อ! 1ห© ล/ ลก่ ร!ล!© ร กโอก ๒โร พ! ก่ 71าลแลกง่:
(
"
^ © { {
. “ 8บง่ง[่ าเร! ออร๓๐9โล[ว[า V เก โหล! แเร!๐โV พเ![ ร[ว©อ!ล! ก©!© โ©กอ© !อ แเก©!© © ก![ -
'
ไ ไ
. “ ก© แฎเอบร แเร!๐ก่อล! ผก่!เก9 ลกง่ ก่© บ©9!เ !๓ล!เอก อ!![ © กเโร! รลก9 ๐ ก©!9ก- ”
^^ { ไ
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDC
! 1า กลร! เก รอม! / ©3ร! 4ร ล, ©ง่ร. 4ก ก่อก/ ก© เง่ ลกง่ ชลV เง่ [VI ลโโ.
[ ก ก© โอ© /ว!อกร อ! zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
^^^^^
'
/ 6 ? / {
. “ 7!า© ก!อ! อ! โ[ไลเ แเร!0โ/ : 7[า©อโ/ ลกง่ กโลอ!เอ©.” เก กล!!©โโ ร 3ก๙ III มร/อโ?ร; ?
แล!เอกล! บกเV © โรเ!/ ; รเก9ลเวอโ©: เกร!!เ บ!© อ! รอบ![ ©ลร! 4ร!ลก ร!บง่เ ©ร, 1 992. ไ
ก / กอ!ง่ร, อโลเ9 ป., ลกง่ หอก9, บ/รล. สก เรโก เก โก่ลเ แเร!๐ก่อล! ร!บง่!©ร.” ปอบโกล/ อ!
© (
ก© / กอ!ง่ร, กโลก^ ก. “ รบง่ง่ห!รทา ลร บกเ V © โรล! ก แ9เอก ลกง่ ลร อ!V เอ ก© แ9เอก: รอกา© ©
ร© //ฎเอก ลก๘ บ©ฐ //กาล!!อก อ! กอพ© โ เก โ/ ล//ลก๘, 1.305 ลโ?๙ รม กาล ©ง่. รลโง่พ©!! บ.
/
'
? !' ,
4 โ/ไล/ รม๘๘เาเ5 ! 005 กอเอฐ/. รลก่* 6เ6/ : บก!V © โร!/ อ! อลแ! โกเล กโ©รร, 1982.
! ! 0
กอ!วเกรอก, 4โ ก่บโ แ., ลกง่ ก©!อก่© กแ* , 8ลโเวลโล 8. โ/ © แล/บโ© อ! /\4ล/วร. อ!าเอล9อะ
{ ไ
รล!ง่, กง่พลโง่. 0โ/ โไ/ล//รโท. บอกง่อก: กอบ!!©ง่9 & ^ 9ลก กลบ! , 1978.
© © ©
รล!พเง่[าลกกเง่ก่ ร, บ!. ออก. ก!าโล/ล. “ ร!บง่/ อ! กลโ! / อลโ!๐9 โล วห/ เก โเาล! เลกง่.” ปอมโทลเ
© {
รลอ รลเ๓๐ก9 [VIลก9โลเ. รเาลก ร/ล/ ร ลโ ๘ // © รกํแร/ ,4กก ล//อท. รอบ! า©ลร! 4ร!ล กโอ9โล๓,
© ? ? ? ©X [
บรรณานุกรม 325
8ห๐โ10, 1-1. I . ‘ 7\zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDC
I /เอก 0© ก© ลเอฐ / 0* เกฐร: 0เวร© กโล !อก อก แเปลกล โสณเวห3เ0 ไล.” เก
^ * **
ค ร/อโ/ลกร อ/ รอ๙๘ คลร/ 4ร/ล, ©ป. 0. 0. ค. แลแ. 0x๒โป: 0x๒^ บก © โร!*/ คโ© รร,
/
'
/
' '
!V
1961 .
. “ 7*า© 32 /เV ๐2 เก * ๘© ©ป! © V ลเ อก เกฐปอ๓.” คน//อแก อ/ /๘อ ร๙)ออ/ ๙
^ ^ ^ ^
- /โ/อลก ร/น๘/อร 26 ( 1963): 572- 591 .
อกอก/ล/zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
^^
3ก6 /\
'
'
3กา!!ห , 8ลโปพ© III-., © ป. คอ//ฎเอก สก๘ /.อฐ/ //โทล//อก อ/ คอพอโ- เก 7/73แสก๘, /-ลอร สก๘ 8บ [ กาส .
'' ' '
'
** * * *
รอ๓๒ล* ผลก* * เลกล. “ 7*16 คอ!!*!อร อ* ^เอป© โก 7*าล! แเร*0ก่อ9โลเว*1V - ” ค*า.อ. ป!รร© โ*ล*!อก,
เ^อกลร*-ไ บก!V © โร!* / , 1 986.
รอ๓รล๒! X น*๐, ©ป. อ0 โอโกโทอก/ ลก๘ คอ////อร อ/ 7๘ล//สก๘. ๒บลเล เ-น๓เวนโ: 0x๒โป
\
ร*© โกร* ©!ก, เ-ลโโ/. “ /\ก แเร*0ก่อลเ ^*เลร อ* 7*าล!1ลกป.” ๘ออโกล/ อ/ //?อ ร/ลกา รออ/อ// 52,
'
*
. คอโ/โล// อ/ 8สกฐ/(อ/(. 8ลก9๒ว๒ รลกฐ๒ * 6* โ0ฐ0แ* ลก /\ป๓!ก!ร* โล*! อก , 1982.
^ ^
. “ ‘ เ-0พ’ ลฐร อ รเล๓.” ๘ออโกล/ อ/ /๘อ ร/ลกา รออ/อ// 73, ฐ . 1 ( 1 985 ): 1 32 - 1 56.
^ * *
. “ เ-อพ* ร อ©รอโ!ฐ* เอก อ* * *า6 ร!ล๓©ร© ค๓ฐ! โ© เก 1 824.” ๘ออโกล/ อ/ //)อ ร/ลกา
^^
^^
ร*© โกร* ©เก, เ-ลโโ/ , ลกป 8เลอ๒ ปอ*ไก. \ แอ*© อก 7*าโ66 คอเอ เ^ลฐร.” เก คอ//อ/ /ล//อก V'อ/อโทอร ' '
^
1987.
รน© เวรล ก9 ค*ไโอ๓เวนก “ ร!กอ-ร!ล๓©ร© 7โแวน*ลโ/ ค©!ล*!อกร, 1282- 1853.” คเา.อ. ป!รร© โ-
©
รนเล^ ร! ลโล^รล. คอ//ฐ/อก ลก๘ ออV'อ/อ/วโทอก/. 8ลก9๒ ๒ 7เาล! เก* ©โ-ค©!!ฐ!อบร อ0๓๓!รร!อก
V )
^^
- ร/ลโท เก อโ/ร/ร. 2กป ©ป
. ธลก9เ^อ๒ 7เาล! เก* © โ- ค© แฐ!อมร 0อ ๓๓!รร!อก *0โ
© .
^
รบกล!! 06บ1!ก!ลโลก© กป. “ ^ ลI^โล ล!!ก: 76© เป©๐!©9/ 0! 7โ3ป!1!๐กล! พลโ!ลโ© เก รเ3๓ ลกป
V
. ( , .
รบโ๓3, 1548- 1605.” ร[า.0. ปเรร© โ!311อก, 00โก6แ บก! © โร! ! / , 1990. V
รพ โ © ป รบ ล^ ร โ ^ ร รบปปเา ร ร อโ
© 3 © โ อ กล !
, “ ! ! V © 53
.’ ! { V ! ! © ก 1 ค© ก3©พ ! ก9 ร© © !©!V - ” รโอรรโอล๘ร
6 ก© 2 ( 1991 ) : 17 - 57 .
, .
73๓6530 ร. ป. “70© 031301!© ค©!!!V : 70© ร!โบ©!บโ© 01 7โลป!!!© กล! X ! ก9ป© ๓ร !ก ร© บ!เา© 3ร!
,
พอโ/ป รอก9บ6 โอโ ลท๘ I 4/๐๘๘ ค©ทอบทอ© โ 03๓6 โ!ป9© : 03๓6 โ ! ป96 บก!V © โร!!/
.
1 .
คโ ©รร , 1976 .
7©] รบกก39- คโอฟทอ/ล/ 4๘โท/ท/ร!โล!/อก อ! /ลโท 1892 - 1915. X ง3 3 เ- บ เวบโ : 0x1© โป
/ ร เ ๓
บก
!V © โร!!/ คโ©รร , 1977 .
7©] รบกก39 ลกป ร๓ ^๐
! 6!©ร, 1 1เ ห3© 1, © ปร. เก / ©โท0โ/ลโท ค/ไ/ล ทบกาลท /ล๙? ท. 0สก9 *0*:
!
^ ^ คล ๐ เ เ
ร!ล๓ ร©©!©!/ , 1970.
7© โพ!©!, ธ. ป. “ ^๒ลก9 763! 3กป 16© พ© โ!ป: 063ก9!ก9 ค6โร[ว©©!!V©ร อบโ!ก9 16© 76!โป ค©!9ก.”
ค3[ว© โ เวโ656ก!©ป 3116© ร© ๓!ก3โ ©ก /\รเล: /V ร© กร© 01 ค๒ © , 03ก6© โโ3, /\บธ!โล!!3ก ©
76ล๓ร©© แบ๓ก© กปล. “ แ© 9011ล1!0กร ค©9ลโปเก9 166 0©รร!0ก 01 ร!3๓© ร© 1ล!ล/ ร!ล!© ร
^ ^
1907- 1909.” บอบโทล/ อ/ / / © ร/ลโท รออ/ !/ 55, [ว!. 2 (ปบ! / 1967 ) : 227- 235.
ไ ©
บก V ©โร!/ /, รลท6©โโล, 1987 \7จ\ 1 , 0ลก6© โโล: /\ บร1โ3เ!3ก แล!!©กล! บก!V © โร!! / , 1987.
/ . .
คโล๙! อทล/ ลท๘ ร/าลทฐ กฐ ค6ล/ พอโ/๘ V//©พ. ร© บ!66351 /\ร!ลก ร!บป!© ร คโ©9โ3๓ ( ร!ก93[ว© โ© )
/
'
/
! / . ร3ก9 0 , 1985.
ลกป ร© ©!ล! ค ร© ลโ©6 เกร!!!บ!© , 06บเ 3เ0ก9เ*© โก บก!V © โร!
©
^^
คบโ!© ก , กปโ©พ, ©1 3เ. ค/ไล/ /ลท๘ คออ!ร อ/ รอก///อ!. แอ!!!ก963๓: ร[ว© © ๓3ก , 1978.
^. ! ;
^
“ น๓!ร 01 เป© 0เ๐9!©ล! 0© ๓!กล!!© ก ลกป 16© ค© โ๓ล!!© ก ๐1 ร© !ล! รอกร©!© บรก© รร.” ©
' '
/ /
ร6!9©6ลโบ 7ลกล6©. ร© กโ! ร16ก0เ09!©ล1 ร!บป!©ร, ก©. 13. 0รลเ0: แล!!©กล! [/!บร© บ๓ 01
ร16ก0เ09/ , 1984.
V © แล, ผล!!© โ ค ร/ลโท บท๘© โ คลโทล I I I 1824 - 1851 . แ ©พ V © โ : รร© © !ล!! ©ก 1อโ /\ร! ลก
.
^^
ร!บป!©ร, 1957.
บรรณานุกรม 327
. อ/ไล//อ/zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPON
/ V 1/ ลเ คลใ/อกล//รทไ. แอกอเบเบ:
X เกฎ V'ลุ/ โส บก่ก่ ลก๘ ไก่ 6 0© © /อ/วทา© กใ อ! 7ก่MLKJIHGFEDCBA
บกเ V © โร!IV 0เ แสพล!! คโ©รร, 1978.
^^^^
V !© [ © โ/ , /แ๐หล© เ . \ ผอใ© อก ใ!า© ลใ© อ! ใ!า© 7โส!!ว!าบ๓!! ลใ!ไส. ” ปอบ กล! อ! ไ!16 ร ล ท
(
^ ( I' / /
. “ 7!า© นอก คโ!กอ© สก๘ ค©!สใ©ป ค© ๓ลโ! ร อก โง๐โ!ห© โก แ!รใอโV .” ปออ ทล/ อ! ใ/ไ©
( /
รอนใ/ไ©ลรใ 4ร/ลก รใน๘/©ร คโ© ร©กใ©๘ ไอ เ-แ5 เ-แฎ!าก6รร คโ/ทอ© 0ก่ลกเกเ ลไ Xโอกาลทไบก
/ V
^^^^
. 7!16 ค©รใอโลใ/อก อใ 7/าล//ลก๘ (ปก๘©โ คลท?ล I , 1782 - 1809. 7บอรอก: บก! V © โร!ใ/
อใ \ โ120กล คโ© รร, 1968.
^
พ!า©ลใ!© / , คสบ!. 7!ไ© รอ/๘©ก XII 6โรอก©ร©; รใน๘/©ร เก ไ! 6 ไ-แรไอก่อล! ร©อฐโลอ/ไ/ อ! ไ! 6
( ! ( ] !
/ ล/ล/ ค©ก/กรน/ล ร© /อโอ 4.0. 7500. บสเส 1บกา[วบโ: บก! V © โร!ใ/ อใ ลเล/ ล คโ©รธ, 1961.
^ /
^ ^
พ!า!ใ© , แส/๘©ก. /14© ใล/ไ/รใอโ/; 7!ไ© ไ-แรไอก่อล! เกาลฎเกลไเอก เก ^ เก6ไ6อกไก่ อ©กในโ/ รนโอ/ว©.
8ลเใ!๓0 โ© : ปอ!ากร แอ[ว!ปกร บก! V © โร!ใ/ คโ©รร, 1973.
. 7โอ/ว/อร ๙ อ/รออนโร©. 8ลเใ! กาอโ©: ปอ!ากร แอ[ว!ปกร บก!V © โร!ใ/ คโ©รร, 1978.
พ กล คอก9รโ![ว!ลก. “ 7โล๘!ใ!อกส! 7ใาส! แ!รใอก่อ9โสเว!า/ ลก๘ เใร ผ! ก©ใ© ©กใ!า 0© กใบโ/ 0©อเ เก©.”
^^
! ! '
V บสก9โลใ พ©๘© ! . 7ก่อ 7!ไล/ เ ลอ! เอล!ร ลก๘ ใ/ไ© ออกไทไนก/รใ คลโใ/; เกใ© โลอใ/อก อ! /๘©อ/อฐ/
^^
^
ลก๘ คลใ/อกล//รท? เก ไก่อ คอโ©รใ, 1975 - 1980. ร! ก93[ว© โ© : สโบ2© ก /\ ร!ล, 1983.zyxwv
^
กัมพูชา: ความเป็นชาติ :
กับความเป็นอื่นของไทย 265, 266 , 268; การนิยามความเป็นชาติ -
4 9, 212 - 213;
“ แขก” 7
คำเกิตและคำมวน 174
^ร
คายส์ , ชาร์ลส์ ( อง่ลโเ68 1 6 ) 32- 33, 265
ดัชนี 329
หรือไทรบุรี): ชาติ (ตามมโนภาพยุคก่อนสมัยใหม่ในสยาม )
เคดะห์z(yxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
กับการทำสัญญาให้เช่าปี,แงและเวลส์เลย์ 217 - 218, 303 เชิงอรรถที่ 15
146- 147, 150; ชาตินิยม ดู ความเป็นชาติ; ป. พิบูลสงคราม,
ความสัมพันธ์กับสยาม 145- 153; รัฐบาลจอมพล; มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6,
ความสัมพันธ์กับอังกฤษ 149- 153; พระบาทสมเด็จพระ; ริจิดรวาทการ, หลวง
ภายใต้ระบบปกครองแบบใหม่ -
156 157; ชายขอบ, พี้นที่ 163- 169 และดูชายแดน;
เลันเขตแดนที่ติดกับเวลส์เลย์ 97-98. พรมแดน; เมืองชายแดน
และดู คุ้มครอง; บุหงามาศ ; ประเทศราช ชายแดน ( เโ0กแ6โ) 104 ;
เคนเนติ , วิคเดอร์ ( \ก่0เ0โ * © กก©ก่V ) 42 - 43 ชายแดนที่ซ้อนท้บกัน -
168 169
เคอร์ชอน, ยอร์จ ( (360โฐ6 ดบโ20ก) 202 , 240, เชียงขวาง 205
305, เซิงอรรถที่ 23 เชียงแขง 164 , 203 และดู เมืองสิง
เชียงตุง 103.164 - 165, 177
จอมเกลัาเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4, พระบาทลมเต็จพระ: เชียงรุ่ง 164
กับการทำแผนที่ 101-102, 191-192; เชียงแสน 107, 164 - 165 168 ,
กับการปฏิรูปพุทธศาลนา 56- 57; เชียงใหม่ 94, 96, 103, 177, 194, 202;
กับการปะทะกับโหร 60- 61 , 62- 66; กับเขตแดน 97- 99;
กับธงสยาม 272 ; กับประเทศราช 164- 165
กับศาลดร์แบบตะวันดก 54 - 58; และดู ล้านนา
กับสุริยุปราคาที่หวัากอ พ.ศ. 241 1 63- 65; แชนด์เลอร์, เดวิด ( ลVษ โ,. อก่สกก่เ6โ) 33- 34 ,
บิดาแห่งริทยาศาสตร์และโหราศาสตร์ไทย 39, 145
79- 80;
สวรรคด 66. ชาอิด, เอ็ดวาร์ต (ผพ13โ6 รลฬ ) ( 18) , 10, 240
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFE
และดู หว้ากอ กับการสังเกตสุริยุปราคา พ.ศ. แช็ค, โรเบิร์ด ( ค0ก่6โใ รลอเป 33, 214
2411 ; โหราศาสตร์แบบไทย
จ้กรพรรติราช 143
'
ด่านเจดีย์ลามองค์ 106
จักรวาลทีปนี 30, 82 ด่านสิงขร 106
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5, พระบาทสมเดจ ดาราศาสตร์ ดูวิทยาศาสตร์แบบตะวันดกในสยาม
พระ 5, 67, 102, 229, 258; ดาวดึงส์ 33, 59
กับการทำแผนที่ของสยาม -
183, 192 193, ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม
197- 198, 200, 204; พระยา 6, 64 , 67 , 171 - 172 , 195, 229 ,
ในตำราเรียนภูมิศาสตร์ยุคแรกๆ 68;
ดัชนี 331
แผนที่ประวัติศาสตร์ของไทย 242 - 249, 306
พุทธศาสนาและสถาบันกษัตริย์ในzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
18 - 19;
ปืน้ง 146, 150, 1 51, 153, 178 และดู เคดะห์; การทำแผนที่ของสยาม 190-195;
เวลส์เลย, จังหวัต ฉบับของปาวี 209- 210;
เปรัก 146-147, 151-152 และดู บุหงามาศ; ฉบับของสยาม 209;
ประเทศราช ไม่รวมประเทศราช 189- 190;
โปโล, มาร์โค ( เ^ ลโ00 ?0เ 0 ) 187 รูปร่างของสยามใน 189-190.
และดู ทำแผนที่; ทำแผนที่ในสยาม; แผนที่
ผลักไสแทนที่ของความรู,้ แบบวิถีของการ 82- 85 ฉบับแมคคาร์ธี
แผนที่การจาริกแสวงบุญ 33, 283 เชิงอรรถที่ 12;
ภูมิลักษณ์ของการจาริกแสวงบุญ 32 - 33 “ฝรั่ง,, 7, 9, 285 เซิงอรรถที่ 2
แผนที่ฉบับแมคคาร์ธี พ.ศ. 2431 ( ค.ศ. 1888) ฝรั่งเศส - สขาม, ความขัดแย้งระหว่าง 179 - 182 ;
สัจธรรมใน 32 พม่า:
แผนที่ท้องถิ่น 39 - 40 กับการทำแผนที่ในสยาม 192-194 , 202 , 205;
-
103, 106 109, 177; อำนาจของ 216- 221 , 263- 273.
พรมแดน ( เว0โ0เ @โ ) 104 - 106; และดู ทำแผนที่; แผนที่ยุคก่อนสมัยใหม่;
ความสัมพันธ์ทางชายแดน 108- 110. แผนที่สมัยใหม่; แผนที่สยาม; ภูมิศาสตร์
และดู ชายแตน; เส้นเขตแตน ภูมิศาสตร์:
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ( พคท.) 13- 14. กับการผลักไสแทนที่ทางความรู้ 25, 48- 49,
16, 270, 281 เชิงอรรถที่ 33 82- 85, 176, 179 - 182;
พระคสัง, เจ้าพระยา 90- 91 กับจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิ 45 48. 82 - 83;
-
พระยอด ( เมืองขวาง ) 174 กับชาติ 69 - 71.215- 216;
พวน 167, 174, 199, 203, 205 กับตำราเรียนของสยาม 67- 71 , 82, 214 - 215;
พิชิตปรีชากร, กรมหลวง 102 กับระบบการตั้งชื่อและแบ่งหมวดหมู่ 82- 84 ;
พี้นที่ / ภูมิ , เทคโนโลยีการจัดการ (16ฌ่ใ0กิลแ!V )
1
กับราชทินนามของเจ้าเมืองท้องถิ่นใต้อาณ์ติ
22- 23 สยาม 175;
พุทธยอตฟัาจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 , พระบาท คำและความหมายเกี่ยวกับ, ในภาษาไทย 81 ,
สมเด็จพระ 29, 42, 216 82- 83, 212, 215- 218;
พุทธศาสนา ; ลัทธิอาณานิคมกับชัยชนะของวาทกรรมทาง
กับชาวพุทธที่ราดิกัล 15; ภูมิศาสตร์ 175- 176, 187- 189, 210 - 213
กับเทศะแบบพุทธวิทยา 32 - 33; และดู ไตรภูมิ; ทำแผนที่; แผนที่ยุคก่อนสมัย
กับเอกสักษณ์ไทย 6 , 14- 15, 270; ใหม่; แผนที่สมัยใหม่; พุทธศาสนา; ภูมิกายา;
ปะทะกับความรู้แบบวิทยาศาสตร์ 57 - 60. วิทยาศาสตร์แบบตะวันดก; เสันเขตแตน
และดู จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4, พระบาท ภูมิศาสตร์ตำนาน 32, 38-39 และดู แผนที่ตำนาน
สมเด็จพระ; ไตรภูมิ ภูมิศาสตร์สยาม ดู ยอนสัน, ดับเบิลยู. จี.
ภูมิ 36, 82 และดู ไตรภูมิ มอญ 33- 34, 89, 243, 251
ภูมิกายา ((360-เว XIV )ะ
( มัณฑลา (๓3กย่ลเล) 141
กษตรียภาพกับ 216- 217; มะละแหม่ง 94 , 100
ดัชนี 333
( คำที่ใซัตามความหมายเติม ) 69, 140, 218; ไรท์, ไมเคิล ( เพ0เา3© 1 พท่ฮใาใ)
มืองzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA ( 15) , 37, 41
เมือง “ ร่วม” 149
มืองขึ๋น ( ดามมโนภาพยุคก่อนสมัยใหม่ในสยาม ) ละครประวิติศาสตร์ 251 - 253
220 และดู ประเทศราช; อาณานิคม ล้านช้าง 165, 170, 188 และดู ลาว ; เวียงจันทน์;
มืองชายแดน 167- 168, 195 หลวงพระบาง
มืองสิง 103, 177 และดู เชียงแขง ล้านนา 102- 103, 140, 163, 164-165, 171 ,
มคคาร์ธ,ี เจมสิ เอฟ. (ปลกา©8 0. [พ;ดลโใเาX ) 177, 178, 188, 196, 249
193, 194 , 196 , 197, 200- 206 ลาว 179, 199, 264 - 265, 268 และดู ล้านช้าง;
ม่น์าโขง: เวียงจันทน์; หลวงพระบาง
กับการได้คึนตินแดนที่เสียไป 241 - 245; ลีช , เอ็ดมุนด์ ( ^๘โทนก๘ 163๙1) 7, 24, 254- 255,
กับชายแดนในความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศส- 263
สยาม 162 -167, 171 , 172, 178-182, 228; ลีเบอร์แมน, วิคเดอร์ ( VI ๐ใ๐! น6๖6โ๓ลก) 139- 140
'
การทำแผนที่บริเวณ 191 - 192, 197- 205, โลก 57- 59, 68- 69 และดู วิทยาศาสตร์แบบ
2 1 0; ดะวันดก
ในความรับรูของชาวดะวันดก 189- 190; โลกทัศน์ของคนไทย: การศึกษาเกี่ยวกับ 11 - 12
ในประวิดศาสตร์นิพนธ์ไทย 237, 242; โลว์ , กัปตัน เจมสิ ( ดลเวใล)ก ปลโท©ร เ-อพ) 97,
ในแผนที่ชายฝ็งทะเล 40; 1 52, 1 89 และดู สเติร์นสไดน์, แลร์รี
34 กำเนิดสยามจากแผนที:่ ประวิดศาสตร์ภูมิกายาของชาติ
37 - 38, 285 เชิงอรรถที่ 2 หลักหมายบอกเขตแดน
ศรีลังกาzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA 99, 106 - 107
, เขียนโดย เจ้าพระยา
สุโขทัย 227, 231, 246, 248, 249, 250, 258, 259 หนงสึอแสดงกิจจานุกิจzyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYX
สุรศักดี้มนตรี, จอมพล เจ้าพระยา 172-173, 174 , ทิพากรวงศ์ 58 - 60, 67, 83, 85
198, 201 หลวงพระบาง 164- 167, 170, 173, 179, 189 ;
สุริยุปราคา พ.ศ . 2411 63- 66 , 287 เชิงอรรถ การทำแผนที่เมือง 192, 197, 200- 203, 205;
มโนภาพที่แดกด่างกันต่อ -
99- 101 , 102 103, โหราศาสตร์ไทย 60- 66
1 1 1 - 1 1 2;
ดัชนี 335
193, 194 ในมุมมองของกองทัพ 13, 15;
คำในภาษาไทยเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยช้อน ๙ 0๐/71กาบก!zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVU
/กาลฐ/ก© 1163 20- 22
162 - 163;
คำเรียกอำนาจอธิปไตยในภาษาไทย 34- 35; ฮ่อ 166, 170, 172 - 174, 175, 180, 181 , 197-
อำนาจอธิปไตยช้อน 144- 149, 154, 162-169 198
อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน ดู อำนาจอธิปไตย ฮอลล์, ดี. จี. อี. ( อ. 0. ธ. แ& แ ) 90- 91 , 92
อิสรภาพ 219- 221 ไฮน์- เกลเด็น, โรเบิร์ต ( คอบ© !โ ค©!ก© - (36เ0เ6โก) 31
อีสาน 265
อกราช 219 - 221
8
๐ V ๐* ๖0า 0^ -8๐0
& ( !'
^ ^
:*
'
ดก เ ผํ ^เก ๗๗น^
โ
V
0
&
'
1
0
) ๆ )]
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
/
ปก 510/7114(1116 1 ฉบับพิมพ์ครั้งแรก
) ) (
?โ688
51
* •
^ .
โ') * )' 0* โ*!I 0.101)0'* 01 *
•
ป๋
-
0
'.
1 -- *1 '
ปก 510/ท ^0 1 ฉบับพิมพ์ซาสำหรับ
6(
0
^
เผยแพร่ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย
4
* -
V
เ
**
'
1 -เ ว '®
8 า4
7
9 ^ว
'
*ะ
V zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
**1
2zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ทั่
เ^ I เ^^^
’ *
ร--9
-,- - '&ป &
ี
ธ
ไ ^
บั. วิ* ^- ^- .ดั V‘*^ .^
^* . 5๐^
# ” ’ .- ? \
V ย้ “
.. ^ ^ !.
'
V
^ zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
.
.
1
เ *.' *
เฉี !
วิ011 V,ร์
^ -
แ '*
^ ** ‘ ^ -
.
& ฬ* • ,
2 โ-* วิ' ^' ^''*.** ^ * 11 * ,
^เแ
วิ
’'"' '’ โ
’ ^
ะ*®
วิ * **
*** * *
ร^^::
า
'
สุ* * ธด
.บับั
X ) ?
.•ห่^.7 ';,
zyxwvutsrqponmlkjihgfedcbaZYXWVUTSRQPONMLKJIHGFEDCBA
ว * ^.• #- ^
'
( V
ร่ ษํเ^ฬ .
^ : 0
(
• ^^
อ 0
5
0 จ*
'
.
\ *** 1
|
^ - . ๗,-
จ้ะ
- 1 /*
/
*
7
.
ส*^.^
เทั่®&
4. ****
*
* &' ** }*
* *
/
XV
/
ไ'” เ-ะ
VI V ,7 ;.' ค เ *4
*
'
'
1
^
**.
**’**-*
๔
**** *
*V
^เ ^'** *
3 โ ''
* ใ I* .-
I
๘
จ้ 3
วิ& / .'
** ฟ้ ๛***'วิ
อ่* •"วิ* **
- เ^ๆ"
,
ฟ้*'
-
-'
I
ต*
;
จ
ส*ฒเ* ษ่*!ชิ^;'*'*'*^
^ๆะ^^: ^
ะฒ • *ซี?:
• 0
^
ที่ให้กำเนิดสยามประเทศ หวังว่าอย่างน้อยๆ ผู้อ่านจะไดอิ่มเอมกับประวัติศาสตร์
ของภูมิศาสตร์ นอกเหนือจากนั้นถือเป็นของกำนัลซึ่งขอฝากไว่ให้ตามแต่ผู้อ่านจะ
ค้นพบหรือสร้างความหมายมากน้อยขึ้นมา
ความปรารถนามูลฐานของผู้เขียนมีอยู่เพียงว่าอยากเล่าเรื่องดีๆ (101:611 อฐ๐๐ ว่ (
ค.ศ. 1909
ปกหลัง ภาพจาก สมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงศรีอยุธยา-กรุงรนบุรี เล่ม 2