Professional Documents
Culture Documents
การฟ้ องคดีล้มละลาย
คดี ลม้ ละลายเป็ นคดี ที่มีผลกระทบต่อสถานะและชี วิตความเป็ นอยู่ของลู กหนี้ มากกว่าคดี ทางแพ่ง
เพราะมิ เพี ย งแต่ ลู ก หนี้ จะต้องถู ก ฟ้ องร้ อง บังคับ คดี เพื่ อนาทรั พ ย์สิ นออกขายและช าระหนี้ ให้ แก่ เจ้าหนี้
ทั้งหลายแล้ว ลูกหนี้ ยงั ได้ชื่อว่าเป็ น “บุคคลล้มละลาย” ซึ่ งแม้วา่ จะหลุดพ้นจากกระบวนการล้มละลายมาแล้ว
แต่อาจไม่ได้รับโอกาสที่เริ่ มต้นใหม่ในสังคมเฉกเช่ นบุคคลปกติทวั่ ไป เช่ น การเป็ นบุคคลล้มละลายทาให้
ขาดคุ ณ สมบัติ ใ นการท างานหรื อ สมัค รงานในหน่ วยงานบางแห่ ง หรื อ การก่ อ นิ ติ สั ม พัน ธ์ ข้ ึ น ใหม่ ก ับ
บุคคลภายนอกก็อาจไม่ได้รับความไว้วางใจในทางการเงิน สิ่ งเหล่านี้ ยอ่ มเป็ นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่
เคยถูกดาเนิ นคดีลม้ ละลาย ดังนั้นการฟ้ องคดีลม้ ละลายซึ่ งเป็ นจุดแรกของกระบวนการจึงจาเป็ นต้องกาหนด
หลัก เกณฑ์ให้เกิ ดความเป็ นธรรม สร้ างความสงบสุ ข ให้เกิ ดขึ้ นในสั งคมโดยพิ จารณาจากประโยชน์ของ
เจ้าหนี้ ลูกหนี้ และสังคมโดยส่ วนรวม อาทิ หากหลักเกณฑ์ในการฟ้องคดีลม้ ละลายมีความหละหลวมมากก็
อาจเปิ ดโอกาสให้เจ้าหนี้ บ างรายใช้เป็ นเครื่ องมื อในการข่ม ขู่ลู กหนี้ ให้บ งั คับ ชาระหนี้ นอกกระบวนการ
ยุติธรรม และหากหลักเกณฑ์มีความยากลาบากมากก็จะไม่คุม้ ครองสถานะความเป็ นเจ้าหนี้ ตามกฎหมายที่
ควรได้รับชาระหนี้โดยชอบธรรม สุ ดท้ายสังคมส่ วนรวมก็คงไม่สงบสุ ข
ลูกหนีป้ ระกอบธุรกิจในราชอาณาจักร
หรื อ ภายใน 1 ปี ก่ อนมีการขอให้ ลูกหนีล้ ้ มละลาย
ไม่ ว่าด้ วยตนเอง หรื อโดยตัวแทน
FACULTY OF LAW, CHIANG MAI UNIVERSITY: Bankruptcy Law
3
บทที่ 2 การฟ้องคดีล้มละลาย
เงื่อนไขในมาตรา 7 ประการหนึ่ งคื อ เจ้าหนี้ ผูเ้ ป็ นโจทก์ตอ้ งแสดงข้อเท็จจริ งต่อศาลว่า “ลู กหนี้ มี
หนี้ สินล้นพ้นตัว” แม้กฎหมายจะได้มีการอธิ บายกันว่า คือ “การที่ ลูกหนี้ มีหนี้ สินมากกว่าทรัพย์สินจนไม่
อาจชาระหนี้ ได้” แต่การพิสูจน์ให้ได้ขอ้ ความจริ งเช่นนั้นอาจเป็ นเรื่ องยากในการวินิจฉัย และหากพิสูจน์ให้
เห็นไม่ได้ก็จะไม่ครบเงื่อนไขเกี่ยวกับตัวลูกหนี้เป็ นเหตุให้เจ้าหนี้ ไม่มีอานาจฟ้ องลูกหนี้ เป็ นคดีลม้ ละลายใน
ที่ สุ ด สภาพเช่ น นี้ ย่อมเป็ นอุ ป สรรคอย่างไม่ เป็ นธรรมต่ อเจ้าหนี้ พระราชบัญ ญัติล้ม ละลายจึ ง ได้บ ญั ญัติ
มาตรา 8 ว่าด้วย ข้ อสั นนิษฐานการมีหนี้ สินล้นพ้นตัวของลูกหนี้ ข้ ึนเพื่อเจ้าหนี้ จะสามารถนาข้อเท็จจริ งที่ตรง
กับ ข้อ สั น นิ ษ ฐานมาแสดงประกอบค าฟ้ อ งว่า “ลู ก หนี้ มี ห นี้ สิ น ล้น พ้น ตัว ” และท าให้ ส ามารถฟ้ อ งคดี
ล้มละลายในขั้นต้นได้ แต่อย่างไรก็ตามกรณี ผลของมาตรา 8 มี เพียงให้เจ้าหนี้ ฟ้องคดี นาไปสู่ การพิจารณา
ค้นหาความจริ งต่อไปเท่านั้น มิได้หมายความว่าลูกหนี้ตกเป็ นบุคคลล้มละลายแล้วแต่อย่างใด
พฤติ ก ารณ์ ที่สั น นิ ษ ฐานว่ า “หนี้ สิ น ล้ น พ้ น ตั ว ” ที่ บั ญ ญั ติ ขึ้น ภายใต้ ม าตรา 8 นี้ ก าหนดขึ้น จาก
พฤติการณ์ทถี่ ือว่าผิดวิสัยของบุคคลทีม่ ีสถานะทางการเงินปกติจะจัดการทรัพย์สินทรัพย์สินเช่ นนี้
มาตรา 8 ถ้ ามีเหตุอย่ างหนึ่งอย่ างใดดังต่ อไปนีเ้ กิดขึน้ ให้ สันนิษฐานไว้ ก่อนว่ าลูกหนีม้ ีหนีส้ ิ นล้ นพ้ นตัว
พิชยั นิลทองคา ผูพ้ พิ ากษา การฟ้องคดีลม้ ละลาย วิธีปฏิบตั ิในศาลล้มละลายกลาง กรุ งเทพมหานคร อาทตยา มิเล็นเนียม,
1
2544 หน้า 78
2
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา 237 เจ้าหนี้ยอ่ มที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสี ยได้ซ่ ึงนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้
กระทาลงโดยรู ้อยูว่ า่ จะเป็ นการให้เจ้าหนี้เสี ยเปรี ยบ
3
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา 155 การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็ นโมฆียะ
ข้ อสั งเกต
o มาตรา 8 (4) ทั้งข้อ ก – ง ต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ “เพื่อประวิงการชาระหนี้ หรื อมิให้ เจ้ าหนี้
ได้ รั บ ช าระหนี้ ” เพราะบางกรณี พ ฤติ ก รรมลู ก หนี้ อาจเข้าเงื่ อ นไขแต่ ข าดเจตนาพิ เศษก็ ไ ม่ ถื อ ว่า เข้า ข้อ
สันนิ ษฐานได้ เช่น ลู กหนี้ ไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ แต่ไปเพราะมีเหตุจาเป็ นเร่ งด่วนทางครอบครัว หรื อไป
ติดต่อธุ รกิจที่ต่างประเทศ ซึ่ งอาจต้องปิ ดเป็ นความลับเพราะเป็ นกรณี ทางการค้าการแข่งขัน
o ข้ อ 4. ค. ค าว่า “ยัก ย้ ายทรั พ ย์ ไปให้ พ้ น อ านาจศาล” มี ค วามเห็ น ของนัก กฎหมายและแนวค า
พิพากษาแบ่งเป็ น 2 แนวทาง คือ
ความเห็ น แรก เมื่ อ คดี ล้ม ละลายอยู่ภ ายใต้อ านาจศาลล้ม ละลายกลางซึ่ งมี เขตอ านาจ
ครอบคลุ มทัว่ ราชอาณาจักร นั้นหมายความว่า การ ยักย้ายต้องทาถึงขนาดให้พน้ ออกไปนอกราชอาณาจักร
จึงถือว่าเป็ นกรณี ยกั ย้ายทรัพย์ไปให้พน้ อานาจศาล
ความเห็นทีส่ อง การยักย้ายทรั พ ย์ออกไปเสี ยจากที่ ที่ท รัพ ย์น้ ันเคยอยู่จะอยู่ในเขตอานาจ
ศาลนั้น หรื อออกไปนอกเขตศาลที่ลูกหนี้ มีภูมิลาเนานั้นก็ตาม ความประสงค์ของการยักย้ายเพียงเพื่อถ่ายเท
เปลี่ยนแปลงทรัพย์เพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชาระหนี้ หรื อเพื่อประวิงการชาระหนี้ของเจ้าหนี้
ง. ยอมตนให้ ต้องคาพิพากษาซึ่งบังคับให้ ชาระเงินซึ่งตนไม่ ควรต้ องชาระ
คาพิพ ากษาฎีกาที่ 429/2542 ข้อสันนิ ษ ฐานตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (4) ข้อ ข. บัญญัติ
เพื่อให้คาดคะเนไว้ก่อนว่า หากจาเลยมีพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังที่บญั ญัติไว้ แสดงว่าจาเลยน่าจะไม่สามารถชาระ
หนี้ ของตนได้และตกเป็ น ผูม้ ี หนี้ สินล้นพ้นตัวซึ่ งโจทก์จะต้องนาสื บ ข้อเท็จจริ งให้เข้ากับ ข้อสั นนิ ษฐาน
ดังกล่าวว่าจาเลยกระทาการโดยเจตนาที่จะประวิงการชาระหนี้ หรื อไม่ให้เจ้าหนี้ ได้รับการชาระหนี้ การที่
ผูร้ ั บ มอบอานาจโจทก์ เบิ ก ความว่า ไปรษณี ย ์ต อบรั บ แจ้ง ว่าย้ายไม่ ท ราบที่ อยู่ใ หม่ และทราบความจาก
น้องชายจาเลยว่า จาเลยเป็ นหนี้ บุคคลอื่นอีกหลายรายไม่สามารถชาระหนี้ ได้ ยังไม่พอฟั งตามข้อสันนิ ษฐาน
ดังกล่าวข้างต้นว่าจาเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
5. ถ้ าลูกหนี้ถูกยึดทรั พย์ ตามหมายบังคับคดี หรื อไม่ มีทรั พย์ สินอย่ างหนึ่งอย่ างใดที่จะพึง ยึดมาชาระ
หนีไ้ ด้
ข้ อสั งเกต ประเด็นเรื่ องไม่ มี ทรั พ ย์ สินอย่ างหนึ่ งอย่ างใดที่พึงจะยึดมาชาระหนี้ได้ น้ั น ปั ญหาคือ
ลูกหนี้ ตอ้ งถึงขนาดแพ้คดีแพ่งเป็ นลูกหนี้ ตามคาพิพากษาแล้วไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่ งอย่างใดที่จะพึงยึดมา
ชาระหนี้ ได้ หรื อเพียงแค่ตกเป็ นลู กหนี้ ของเจ้าหนี้ ธรรมดาไม่ถึงขั้นเจ้าหนี้ ตามคาพิ พ ากษาแนวทางตารา
กฎหมายและคาพิพากษาพิจารณาได้ดงั นี้
o ข้อสันนิษฐาน มาตรา 8 (5) ตีความไปในลักษณะว่า ลูกหนีน้ ่ าจะเป็ นลูกหนีต้ ามคาพิพากษาแล้ ว
กล่ าวคื อ ลู กหนี้ เป็ นลู ก หนี้ ตามคาพิ พ ากษาที่ ถูกยึดทรัพ ย์ตามหมายบังคับคดี หรื อ ลู กหนี้ เป็ นลู ก หนี้ ตาม
คาพิพากษาที่ไม่มีทรัพย์สินที่จะพึงยึดมาชาระหนี้ได้
9. ถ้ า ลู ก หนี้ ไ ด้ รั บ หนั ง สื อ ทวงถามจากเจ้ า หนี้ ให้ ช าระหนี้ แ ล้ ว ไม่ น้ อ ยกว่ า สองครั้ ง ซึ่ ง มี
ระยะเวลาห่ างกันไม่ น้อยกว่ า 30 วัน และลูกหนี้ไม่ ชาระหนี้ การทวงถามให้ชาระหนี้ ตอ้ งกระทาโดย “เป็ น
หนังสื อ” เท่านั้น ระบุขอ้ ความให้ชดั แจ้งว่าเป็ นการทวงถามให้ชาระหนี้ และต้องอย่างน้อยสองครั้ง ในการ
ทวงถามต้องดู ว่าลู ก หนี้ ได้รับ หนังสื อเมื่ อใดเป็ นส าคัญ ระยะห่ างระหว่างฉบับ แรก กับ ฉบับ ที่ ส อง เช่ น
พิจารณาจากการลงชื่อในไปรษณี ยต์ อบรับแบบลงทะเบียน หรื อปั จจุบนั การส่ งข้อความทางระบบเครื อข่าย
Email / Homepage ก็ถือเป็ นการบอกกล่าวทวงถามได้ท้ งั สิ้ น ถ้าพิสูจน์ได้ว่าวิธีการส่ งหนังสื อทวงถามที่ มี
เทคโนโลยีท นั สมัยทาให้พิสูจน์ได้ว่าข้อความดังกล่ าวไปถึ งลู กหนี้ ครบถ้วนแล้วอย่างน้อยสองครั้งถ้าใน
หนังสื อทวงถามมีการกาหนดเวลาให้ชาระหนี้ ดว้ ย เช่น หนังสื อฉบับแรกทวงถามให้ลูกหนี้ ชาระหนี้ ภายใน
15 วัน นับ แต่วนั รั บ หนังสื อ ดังนี้ จะต้องเริ่ ม นับ ระยะเวลา 30 วัน เมื่ อพ้นก าหนด 15 วันที่ เจ้าหนี้ ให้เวลา
ลูกหนี้ ชาระหนี้ดว้ ยต้องได้ขอ้ เท็จจริ งว่า มีการทวงถามให้ชาระหนี้ครบถ้วน 2 ครั้งแล้วลูกหนี้ตอ้ งไม่ได้ชาระ
หนี้ ให้ตามที่ทวงถามด้วย หากมีการชาระหนี้ ในครั้งแรก หรื อครั้งที่สอง ไม่วา่ การชาระหนี้ จะมีจานวนมาก
น้อยเพียงใด คาพิพากษาฎีกาที่ 253/2545 หลังจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จาเลยทั้งสามชาระหนี้ แก่โจทก์
แล้ว จาเลยทั้งสามไม่ชาระ และโจทก์มีหนังสื อทวงถามให้จาเลยทั้งสามชาระหนี้ ไม่นอ้ ยกว่า 2 ครั้ง ซึ่ งมี
ระยะเวลาห่ างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จาเลยทั้งสามได้รับหนังสื อดังกล่ าวแล้วและไม่ชาระหนี้ จึงเข้าข้อ
สันนิ ษฐานว่าจาเลยทั้งสามมีหนี้ สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติลม้ ละลายฯ มาตรา 8(9) แม้โจทก์จะยัง
มิได้นายึดทรัพย์จาเลยทั้งสามตามหมายบังคับคดี แต่โจทก์ก็นาสื บว่าจาเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินให้บงั คับ
ชาระหนี้ได้จาเลยทั้งสามมีหน้าที่ตอ้ งนาสื บหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว...
สรุป มาตรา 8 เป็ นเพี ย งข้ อ สั น นิ ษ ฐานว่ า ถ้ า ลู ก หนี้ กระท าการอย่ า งหนึ่ งอย่ า งใดตามมาตรา 8
ให้สันนิ ษฐานไว้ก่อนว่า “ลูกหนี้มีหนี้ สินล้นพ้นตัว” เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ที่ไม่สามารถนาสื บได้วา่ ลูกหนี้
มีหนี้ สินล้นพ้นตัว โดยโจทก์ไม่จาต้องบรรยายมาในฟ้ องว่าจาเลยได้กระทาการอย่างหนึ่ งอย่างใดตามมาตรา
8 โจทก์ก็นาสื บว่าลูกหนี้ ได้กระทาการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 8 เพื่อให้สันนิษฐานว่าลูกหนี้ มีหนี้สินล้น
พ้นตัวได้ แต่จาเลยก็สามารถนาสื บหักล้างข้อสันนิษฐานนั้นได้
คาพิพากษาฎีกาที่ 780/2542 ตามพระราชบัญญัติลม้ ละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5) เป็ นเพียงข้อสันนิษฐานถึง
พฤติ การณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ งหรื อเป็ น เพียงเหตุ หนึ่งที่กฎหมายให้ อานาจโจทก์ ฟ้ องจาเลยให้ ล้มละลายได้
เท่ านั้น ส่ วนการพิจารณาคดีลม้ ละลายตามคาฟ้ องของโจทก์น้ นั ศาลต้องพิจารณาเอาความจริ งด้วยว่าจาเลย
ตกอยู่ในฐานะเป็ นผูม้ ี หนี้ สิ นล้นพ้น ตัวเพี ยงใด ดังที่ บญ
ั ญัติไว้ในมาตรา 9 มาตรา 10 และมาตรา 14 โดย
คานึงถึงเหตุอื่นประกอบที่พอแสดงให้เห็นว่าจาเลย ตกอยูใ่ นภาวะดังกล่าวจริ ง...
o เจ้า หนี้ ของลู ก หนี้ ที่ ไ ม่ ไ ด้ ยื่ น ฟ้ อ งคดี ล้ ม ละลายก็ ส ามารถยื่ น ค าขอรั บ ช าระหนี้ ได้ ต าม
กระบวนการในภายหลัง เจ้าหนี้ ของลูกหนี้สามารถรวมตัวกันให้ได้จานวนหนี้ ตามที่กฎหมายกาหนดยืน่ ฟ้อง
คดีลม้ ละลายได้ โดยไม่จาเป็ นต้องเป็ นมีมูลหนี้ หรื อลักษณะหนี้ เดียวกันเท่านั้น เช่น เจ้าหนี้ เงินกู้ เจ้าหนี้ ซ้ื อ
ขาย เจ้าหนี้ เช็คที่ข้ ึนเงินไม่ได้ ที่กฎหมายกาหนดเช่นนี้ก็เพื่อเปิ ดโอกาสให้เจ้าหนี้รายย่อยทั้งหลายสามารถใช้
สิ ทธิ ตามกฎหมายล้มละลายได้ และหากจะบัญญัติให้เจ้าหนี้ ที่จะฟ้ องลูกหนี้ ได้ตอ้ งมีหนี้ ต้ งั แต่หนึ่ งล้านบาท
ขึ้นไป โดยไม่อนุ ญาตให้รวมเจ้าหนี้ มาฟ้องได้ ก็จะเป็ นช่องว่างให้ลูกหนี้ พยายามก่อหนี้ รายย่อย ๆ ไม่ให้เกิน
กว่าจานวนที่กฎหมายล้มละลายกาหนด เช่น ยืมเงินเจ้าหนี้ 10 ราย ๆ ละ 800,000 บาท เป็ นต้น
ข้ อสั งเกต
1. หนีค้ ่ าเสี ยหายจากมูลละเมิดอาจกลายสภาพเป็ นหนี้ทอี่ าจกาหนดจานวนได้ แน่ นอน หาก
ได้ มีการดาเนินการอย่ างใดอย่ างหนึ่งตามกฎหมาย เช่ น ประนี ประนอมยอมความ (นอกศาล/ในศาล) และ
ศาลได้มีคาพิพากษาในคดีที่มีการฟ้องละเมิดแล้ว
2. การละเมิ ด ในบางกรณี เป็ นที่ เห็ น ได้ ชั ด เจนว่ า ค่ า เสี ยหายอาจกาหนดจ านวนได้ ไม่ น้ อ ยกว่ า
1,000,000 หรื อ 2,000,000 บาทแน่ นอนโดยมิต้องรอให้ ศาลพิพากษาเสี ยก่ อน เช่น ลูกหนี้ ทาให้ไฟไหม้บา้ น
ผูเ้ สี ยหายทั้งหลัง หรื อลูกหนี้ทาให้รถคู่กรณี ทาให้เสี ยหายหมดทั้งคันซึ่ งโดยสภาพของบ้าน หรื อรถ (แพง ๆ )
เป็ นที่เห็นได้ชดั ว่าราคาเกินกว่าจานวนที่กฎหมายกาหนดแน่นอน ก็ยอ่ มถือได้วา่ หนี้ น้ นั มีจานวนแน่นอนไม่
น้อยกว่า 1,000,000 หรื อ 2,000,000 บาทได้
หนีค้ ่ าเสี ยหายกรณีผดิ สั ญญา
หนี้ ค่าเสี ยหายกรณี ผิดสัญญาเป็ นหนี้ ที่ไม่อาจกาหนดจานวนได้แน่ นอน เพราะถือเป็ นหนี้ ที่เจ้าหนี้
กาหนดเอาเองฝ่ ายเดียว ลูกหนี้ ไม่ได้ตกลงด้วย การจะได้รับชดใช้ค่าเสี ยหายต้องฟ้ องร้องดาเนิ นคดี และศาล
จะเป็ นผูพ้ ิจารณาให้ตามพฤติการณ์แห่งคดี (ลักษณะเช่นเดียวกับหนี้ในมูลละเมิด)
ข้ อสั งเกต ค่ าเสี ยหายกรณี ผิดสัญญาอาจเปลี่ ยนเป็ นหนี้ ที่อาจกาหนดจานวนได้แน่ นอน หากมี
พฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมาย เช่น
- กาหนดค่าเสี ยหายกรณี ผดิ สัญญาไว้โดยชัดแจ้ง (ตกลงเป็ นสัญญา)
- ตกลงประนีประนอมยอมความกัน (ภายหลังผิดสัญญาไม่วา่ ในศาล หรื อนอกศาล)
- กรณี ฟ้องร้องและศาลมีคาพิพากษาแล้ว
หนีต้ ามคาพิพากษาในคดีแพ่ง
หนี้ ตามคาพิพากษาในคดีแพ่ง แม้จะยังไม่ถึงที่สุดก็เป็ นหนี้ ที่อาจกาหนดจานวนได้แน่นอนสามารถ
นาจานวนหนี้ ตามคาพิพากษานั้นมาใช้เป็ นฐานในการฟ้ องร้องคดีลม้ ละลายได้ เพราะแม้คู่ความอาจอุทธรณ์
หรื อฎี ก าต่อไปได้ แต่ ตราบใดที่ ศ าลสู งยังไม่ ได้พิ พ ากษากลับ หรื อแก้ไขคู่ ความต้องผูกพันในผลแห่ งค า
พิพากษาของศาลจนกว่าจะได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
คาพิพ ากษาฎีกาที่ 177/2531 หนี้ ตามคาพิ พากษาซึ่ งยังไม่ถึงที่ สุดย่อมผูกพันคู่ความถื อได้ว่าเป็ นหนี้ อาจ
กาหนดจานวนได้แน่นอน อันอาจนามาฟ้ องให้จาเลยล้มละลายได้ แต่หนี้ ดงั กล่าวอาจถูกกลับหรื อแก้ไขโดย
ศาลอุทธรณ์ หรื อศาลฎีกาได้ ข้อเท็จจริ งไม่อาจฟั งยุติได้วา่ จาเลยเป็ นหนี้ โจทก์ตามฟ้ องหรื อไม่ จึงไม่สมควร
ให้จาเลยล้มละลายตามพระราชบัญญัติลม้ ละลายฯ มาตรา 14
ผูเ้ ขียนเห็ นว่า แม้หนี้ ดงั กล่าวเจ้าหนี้ จะยังไม่ได้นาไปฟ้ อง หรื อฟ้ องคดี ต่อศาลแล้ว แต่ศาลยังไม่ได้
พิพากษาให้ก็ตาม โดยสภาพของหนี้ ดงั กล่าวถือว่าอาจกาหนดจานวนได้แน่นอนอยูแ่ ล้ว (โดยตัวเอง) ดังนั้น
แม้วา่ ศาลจะยังไม่ได้พิพากษาให้ก็หาทาให้กลายสภาพเป็ นหนี้ที่ไม่อาจกาหนดจานวนได้แน่นอนไปไม่
หนีภ้ าษีอากร
หนี้ ภาษี อากรมี ล ักษณะพิ เศษเพราะอาจเป็ นได้ท้ งั หนี้ ก าหนดจานวนได้แน่ นอน หรื อหนี้ ไม่ อาจ
กาหนดจานวนได้แน่นอน ขึ้นอยูก่ บั ข้อเท็จจริ งของหนี้ภาษีอากรนั้น ๆ หลักในการพิจารณา ดังนี้
1. ถ้ าเป็ นหนี้ภาษีอากรที่เจ้ าพนักงานประเมินได้ ทาการประเมินแล้ ว ยังไม่ ได้ แจ้ งการประเมินให้ ลูกหนี้
ทราบ ถือว่ าเป็ นหนี้ที่ไม่ อาจกาหนดจานวนได้ โดยแน่ นอน เพราะยังไม่ เสร็ จสิ้ นขั้นตอนการประเมิน (ลูกหนี้
ยังมีสิทธิอุทธรณ์ การประเมินต่ อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ได้ อกี )
2. ลู ก หนี้ อาจจะหลบหนี ห นี้ ไปไม่ ว่า ในหรื อ นอกราชอาณาจัก ร หรื อ ไปก่ อ หนี้ โดยการ
หลอกลวงเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ได้อีก และในที่สุดสังคมโดยส่ วนรวมก็ยอ่ มต้องเสี ยหายมากขึ้น หากจะรอให้หนี้
นั้น ๆ ต้องถึงกาหนดชาระเสี ยก่อน หลายฝ่ ายอาจได้รับผลกระทบมาก
3. แนวคิ ดในการฟ้ องคดี ล้ม ละลายมิ ใช่ ก ารฟ้ องเพื่ อบังคับ ช าระหนี้ แก่ เฉพาะเจ้าหนี้ ผูเ้ ป็ น
โจทก์เท่านั้น แต่เป็ นการฟ้ องเพื่อให้ มีการชาระบัญชี และจัดการทรั พย์ สินของลูกหนี้นามาแบ่ งปั นแก่ บรรดา
เจ้ าหนีข้ องลูกหนีท้ ุกรายโดยเสมอภาค ดังนั้นกาหนดเวลาชาระหนี้จึงไม่ใช่ขอ้ สาคัญ เหมือนเช่นในคดีแพ่ง
เงื่อนไขเกีย่ วกับเจ้ าหนีม้ ปี ระกัน (มาตรา
ภายใต้บังคับ มาตรา 9 เจ้าหนี้มีประกันจะฟ้อง 10)
ลู ก หนี้ ใ ห้ ล้ ม ละลายได้ ก็ ต่ อ เมื่ อ มิ ไ ด้ เ ป็ น ผู้
ต้องห้ามมิให้บังคับการชาระหนี้เอาแก่ทรัพย์สิน เจ้ าหนีม้ ีประกันต้ องมีลกั ษณะดังนี้
ของลูก หนี้ เกิน กว่าตั วทรัพ ย์ที่ เป็น หลัก ประกั น o มี ลั ก ษ ณ ะ เป็ น เจ้ า ห นี้ มี ป ร ะ กั น ต าม
และกล่าวในฟ้องว่า ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้วจะ ความหมายของมาตรา 6 บทนิยาม
ยอมสละหลั ก ประกั น เพื่ อ ประโยชน์ แ ก่ เจ้ า หนี้ o มิได้เป็ นผูต้ อ้ งห้ามมิ ให้บงั คับการชาระหนี้
ทั้งหลาย หรือ ตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่ง เอาแก่ ท รั พ ย์สิ น ของลู ก หนี้ เกิ น กว่าตัวทรั พ ย์ที่
เมื่อหักกับจานวนหนี้ของตนแล้วเงินยังขาดอยู่ เป็ นหลักประกัน
สาหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจานวน
o เจ้าหนี้ตอ้ งมีเงื่อนไขครบตามมาตรา 9
ไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท หรือลูกหนี้ที่เป็นนิติ
o และกล่าวในฟ้ องว่าจะยอมสละหลักประกัน
บุคคลเป็นจานวนไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท
ฯ หรื อ ตีราคาทรัพย์สินฯ
o อสั งหาริ ม ทรั พ ย์ หรื อ สั งหาริ ม ทรั พ ย์ ช นิ ด พิเศษ เช่ น เรื อ ที่ มี ระวางตั้ง แต่ ห้ า ตัน ขึ้ น ไป
แพ (อาศัย) และสัตว์พาหนะตามความในพระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พ.ศ. 2482 หมวด 2
ว่าด้วยการโอนกรรมสิ ทธิ์ และจานอง
o พระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่ องจักร พ.ศ. 2514
ผู้รับจานา คือ เจ้ าหนีซ้ ึ่งได้ รับมอบสั งหาริมทรัพย์ ของลูกหนีไ้ ว้เป็ นประกันการชาระหนีข้ องตน
ข้ อ พิ จ ารณา การจ าน ายัง รวมถึ ง “การจ าน าสิ ท ธิ ซึ่ ง มี ต ราสาร” ได้ ด้ ว ย (มาตรา 750
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ) ซึ่งมีอยู่ในหลาย ๆ ลักษณะ เช่ น
o การจานาสิ ทธิ ตามใบตราส่ งสิ นค้า (มาตรา 613 ป.พ.พ)
o การจานาสิ ทธิ ตามใบประทวนสิ นค้า (มาตรา 775 ป.พ.พ.)
o การจานาสิ ทธิ ตามตัว๋ สัญญาใช้เงิน (มาตรา 983 ป.พ.พ)
o การจานาสิ ทธิ ตามใบหุน้ (มาตรา 1128 ป.พ.พ)
คาพิพากษาฎีกาที่ 3293/2545 เงินฝากของลูกหนี้ ที่ฝากไว้กบั ธนาคารผูร้ ้องย่อมตกเป็ นกรรมสิ ทธิ์ ของผูร้ ้อง
ตั้งแต่ที่ มี การฝากเงิ น ลู ก หนี้ มี สิ ท ธิ ที่ จะถอนเงิ น ที่ ฝ ากไปได้ ผูร้ ้ องคงมี หน้าที่ ตอ้ งคื นเงิ น ให้ครบจานวน
เท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย์ มาตรา 672 การส่ งมอบสมุดเงินฝากจึงมิใช่ เป็ นการส่ งมอบเงิน
ฝากซึ่งเป็ นสั งหาริมทรัพย์ สมุดเงินฝากเป็ นเพียงหลักฐานการรั บฝากและถอนเงินที่ผ้ ูรับฝากออกให้ แก่ ผ้ ูฝาก
ยึดถือไว้ เพื่อสะดวกในการฝากและถอนเงินในบัญชี ของผู้ฝาก สมุดเงินฝากจึงไม่ อยู่ในลักษณะของสิ ทธิซึ่งมี
ตราสารข้ อตกลงที่ลูกหนี้มอบสมุดเงินฝากให้ ผ้ ูร้องยึดถื อไว้ เป็ นประกันหนี้ต่อผู้ร้องจึงไม่ ใช่ เป็ นการจานา
สิ ทธิซึ่งมีตราสารตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา 750 ผูร้ ้องจึงมิใช่เจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา
6 แห่งพระราชบัญญัติลม้ ละลายฯ
สั ญญาจานอง
สรุ ป สาหรับเจ้าหนี้ จานอง กรณี จะถื อว่า มิได้เป็ น ผูต้ อ้ งห้ามมิให้บงั คับการชาระหนี้ เอาแก่ทรัพย์สิน
ของลูกหนี้เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็ นหลักประกัน นั้น สัญญาจานองจะต้องมีเงื่อนไขตกลงยกเว้นมาตรา 733
สั ญญาจานา
สรุ ป สาหรั บเจ้าหนี้ จานา กรณี จะถื อว่า มิได้เป็ นผูต้ อ้ งห้ามมิ ให้บงั คับการชาระหนี้ เอาแก่ทรัพย์สินของ
ลูกหนี้เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็ นหลักประกัน นั้น สัญญาจานาต้องสามารถบังคับจานาตามมาตรา 767
ข้ อสาคัญ การพิจารณาหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 7-10 นั้ นเพียงเพื่อให้ ทราบว่ า เจ้ าหนี้จะฟ้ องลูกหนี้
เป็ นคดีล้มละลายได้ น้ ันต้ องมีคุณสมบัติหรื อปฏิบัติตามเงื่อนไขดังที่กล่ าวมา (แล้ วแต่ กรณี) แต่ เมื่อฟ้ องแล้ ว
ลูกหนีจ้ ะสมควรล้ มละลายหรื อไม่ ต้องพิจารณาตามหลักมาตรา 14 ต่ อไป
4
โดยทั่วไปเจ้าหนี้จะไม่ยอมเลือกวิธีการสละหลักประกันเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้ทั้งหลาย และขอรับชาระหนี้อย่าง
เจ้าหนี้ธรรมดา ซึ่งเจ้าหนี้ธรรมดานัน้ จะได้รับชาระหนี้หลังจากเจ้าหนี้บุ ริมสิทธิอ่ืน ๆ และมักได้รับชาระหนี้คืนในอัตรา
ค่อนข้างต่ามาก เช่น ได้รับคืนเพียงร้อยละ 20 หรือ ร้อยละ 30 ของหนีเ้ ต็มจานวนเท่านัน้
ตัวอย่ าง 1 ลู กหนี้ เป็ นหนี้ จานองที่ ดินแก่ เจ้าหนี้ อยูแ่ ปลงหนึ่ งเป็ นจานวน 3,000,000
บาท และหนี้ จานองรายนี้ มิได้ตอ้ งห้ามมิให้เจ้าหนี้ บงั คับการชาระหนี้ เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ เกินกว่าตัว
ทรัพย์ที่เป็ นหลักประกัน โดยกล่ าวในฟ้ องว่า “ ถ้ าลูกหนี้ล้มละลายแล้ วจะยอมสละสิ ทธิจานองนั้นให้ เจ้ า
พนั กงานพิทัก ษ์ ท รั พ ย์ น าเข้ าเป็ นกองทรั พ ย์ สิ นของลู กหนี้แล้ วยอมเฉลี่ยอย่ างเจ้ าหนี้สามั ญ ทั่วไปในหนี้
3,000,000 บาท”
ตัวอย่าง 2 นาย ก. รับจานารถยนต์ 1 คันไว้จาก นาย ข. 500,000 บาท การสละคือ การ
สละรถยนต์คนั ดังกล่าวนั้นให้เจ้าพนักงานพิทกั ษ์ทรัพย์นาเข้ามาเป็ นทรัพย์สินของ นาย ข. (ลูกหนี้) โดย นาย
ก. ยอมรับชาระหนี้ เฉลี่ยกับเจ้าหนี้ รายอื่นอย่างเจ้าหนี้ สามัญทัว่ ไปในหนี้ จานวน 500,000 บาท โดย นาย ก.
(เจ้าหนี้ ผเู ้ ป็ นโจทก์) ก็กล่าวในฟ้ องว่า “ขอยอมสละหลักประกันในรถยนต์ คันดังกล่ าวให้ เจ้ าพนัก งานพิทักษ์
ทรัพย์ นาเข้ าเป็ นกองทรัพย์ สินของลูกหนี้ แล้ วยอมเฉลีย่ อย่ างเจ้ าหนีส้ ามัญทัว่ ไปในหนี้ 500,000 บาท”
การตี ร าคาหลัก ประกัน คื อ การก าหนด หรื อ ประเมิ น ราคาทรั พ ย์อ ัน เป็ น
หลักประกันขึ้ นแล้วนาไปหักกับ จานวนหนี้ ที่ ลูก หนี้ เป็ นหนี้ เจ้าหนี้ ผูเ้ ป็ นโจทก์ เมื่ อหักกันแล้วต้องเหลื อ
จานวนหนี้ไม่นอ้ ยกว่าที่กฎหมายกาหนด
ตัวอย่าง 1 นาย ก. รับจานารถยนต์ไว้ 1 คันจาก นาย ข. ราคา 1,900,000 บาท ต่อมา
ปรากฏว่ารถยนต์รุ่น ดัง กล่ าวมี ราคาลดลง นาย ก. ตี ราคารถยนต์น้ ัน เพี ย ง 900,000 บาท คงเหลื อหนี้ อี ก
1,000,000 บาท นาย ก. ก็ฟ้องลูกหนี้ ให้ลม้ ละลายได้ เพราะเมื่อหักแล้วเหลือหนี้ ไม่นอ้ ยกว่า 1,000,000 บาท
โดยต้องกล่าวในฟ้ องว่า “ขอตีราคารถยนต์ อันเป็ นหลักประกันเป็ นเงิน 900,000 บาท เมื่อหักกับจานวนหนี้
ทีล่ ูกหนีม้ ีอยู่แล้ วคงเหลือหนีอ้ ยู่จานวน 1,000,000 บาท”
ข้ อสั งเกต ปั ญหาในการตีราคาหลักประกั นคือ มาตรฐานในการตีราคาหลักประกัน
อาจไม่ เหมือนกันซึ่งส่ งผลกระทบต่ อสิ ทธิในการฟ้ องคดีล้มละลาย หากตีราคาหลักประกันต่าไป เพื่อให้ยอด
หนี้ คงเหลื อเมื่อหักกับหลักประกันแล้วเป็ นไปตามเกณฑ์ฟ้องคดี ลม้ ละลายได้ หรื อลูกหนี้ ก็อาจคัดค้านว่าตี
ราคาหลักประกันต่าไป จริ ง ๆ มีมูลค่ามากกว่านั้น เมื่อเอามูลค่าตามที่ลูกหนี้ตีราคามาหักกับหนี้ อาจเหลือไม่
พอจะฟ้องคดีลม้ ละลายได้ เป็ นต้น
ค าพิ พ ากษาฎีก าที่ 1637/2511 เมื่ อ จาเลยถู ก ศาลสั่ ง พิ ท ัก ษ์ท รั พ ย์เด็ ดขาด แม้โจทก์ จะเป็ นเจ้า หนี้ ตามค า
พิพากษาก็ตอ้ งยื่นคาขอรับชาระหนี้ ต่อเจ้าพนักงานพิทกั ษ์ทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกาหนดหากไม่
ยืน่ ย่อมหมดสิ ทธิ ได้รับชาระหนี้ การที่จาเลยนาโฉนดทีด่ ินมาวางเป็ นประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีน้ ัน
ไม่ก่อให้เกิดบุริมสิ ทธิ แก่โจทก์ และถือไม่ได้วา่ โจทก์เจ้าหนี้ ตามคาพิพากษาเป็ นเจ้าหนี้ มีประกัน ตาม มาตรา
6 แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลายฯ