Professional Documents
Culture Documents
ข้อสอบ กว วิชาเฉพาะทางโยธา
ข้อสอบ กว วิชาเฉพาะทางโยธา
1 :ไม่มเี สถียรภาพ
2 : มีเสถียรภาพ, เป็ นโครงสร ้างแบบ determinate
3 : มีเสถียรภาพ, เป็ นโครงสร ้างแบบ indeterminate มี degree of indeterminancy = 1
4 : มีเสถียรภาพ, เป็ นโครงสร ้างแบบ indeterminate มี degree of indeterminancy = 2
5 : มีเสถียรภาพ, เป็ นโครงสร ้างแบบ indeterminate มี degree of indeterminancy = 3
1 : ไม่มเี สถียรภาพ
2 : มีเสถียรภาพ, เป็ นโครงสร ้างแบบ determinate
3 : มีเสถียรภาพ, เป็ นโครงสร ้างแบบ indeterminate มี degree of indeterminancy = 1
4 : มีเสถียรภาพ, เป็ นโครงสร ้างแบบ indeterminate มี degree of indeterminancy = 2
5 : มีเสถียรภาพ, เป็ นโครงสร ้างแบบ indeterminate มี degree of indeterminancy = 3
ข ้อที่ 4 : Specify the number of degrees of indeterminacy of the frame shown below.
1:3
2:6
3:9
4 : 12
ข ้อที่ 5 : Specify the number of degrees of indeterminacy of the frame shown below.
1:9
2 : 10
3 : 11
4 : 12
ข ้อที่ 6 : Specify the number of degrees of indeterminacy of the frame shown below.
1:8
2:9
3 : 10
4 : 11
้ ส่วน AC
ข ้อที่ 7 : จากโครง truss รับแรงกระทำ ดังรูป จงหาแรงภายในชิน
1 : 3P/8 แรงอัด
2 : 3P/8 แรงดึง
3 : P/2 แรงดึง
4 : 3P/2 แรงดึง
ิ้ สว่ น BD
ข ้อที่ 8 : จากโครง truss รับแรงกระทำ ดังรูป จงหาแรงภายในชน
1 : 5P/8 แรงอัด
2 : 3P/2 แรงดึง
3 : 3P/8 แรงอัด
4 : 3P/8 แรงดึง
ิ้ สว่ น BC
ข ้อที่ 9 : จากโครง truss รับแรงกระทำ ดังรูป จงหาแรงภายในชน
1 : 3P/8 แรงอัด
2 : 5P/8 แรงดึง
3 : 15P/8 แรงอัด
4 : 15P/4 แรงดึง
้ ส่วน AC
ข ้อที่ 10 : จากโครง truss รับแรงกระทำ ดังรูป จงหาแรงภายในชิน
1 : 3P/8 แรงอัด
2 : 3P/8 แรงดึง
3 : P/2 แรงดึง
4 : 3P/2 แรงดึง
ิ้ สว่ น BD
ข ้อที่ 11 : จากโครง truss รับแรงกระทำ ดังรูป จงหาแรงภายในชน
1 : 3P/8 แรงอัด
2 : 3P/8 แรงดึง
3 : 5P/8 แรงอัด
4 : 3P/2 แรงอัด
ิ้ สว่ น AD
ข ้อที่ 12 : จากโครง truss รับแรงกระทำ ดังรูป จงหาแรงภายในชน
1 : 3P/8 แรงอัด
2 : 5P/8 แรงดึง
3 : 15P/8 แรงดึง
4 : 15P/4 แรงดึง
1 : 2P แรงดึง
2 : 3P แรงดึง
3 : 4P แรงดึง
4 : 3P แรงอัด
1 : 2P แรงอัด
2 : 3P แรงอัด
3 : 4P แรงอัด
4 : 3P แรงดึง
1:
2:
3:
4 : 2P
1:
2 : P/2
3:P
4:0
1:
2 : P/2
3:P
4:0
1:5
2:7
3:8
4 : 1,2,3 เป็ นคำตอบทีผ
่ ด
ิ ทุกคำตอบ
1 : unstable
2 : stable+determinate
3 : stable+indeterminate ภายนอกดีกรี 1
4 : stable+indeterminate ภายในดีกรี 1
2:
3:
4:
ข ้อที่ 22 : โครงข ้อหมุนใดไม่มเี สถียรภาพ (unstable)
1:
2:
3:
4:
1 : AE รับแรงดึงสูงสุด EF รับแรงอัดสูงสุด
2 : AB รับแรงดึงสูงสุด AE รับแรงอัดสูงสุด
3 : BC รับแรงดึงสูงสุด EF รับแรงอัดสูงสุด
4 : CD รับแรงดึงสูงสุด GD รับแรงอัดสูงสุด
ข ้อที่ 25 : จงคำนวณหาโมเมนต์ทฐ
ี่ านรองรับแบบยึดแน่น (Fixed Support) ของคานยืน
่ (Cantilever Be
1 : 30 kN-m ตามเข็ม
2 : 60 kN-m ตามเข็ม
3 : 90 kN-m ตามเข็ม
4 : 120 kN-m ตามเข็ม
1 : 240 kg
2 : 320 kg
3 : 300 kg
4 : 400 kg
1 : 400 kg-m
2 : 600 kg-m
3 : 800 kg-m
4 : 1000 kg-m
ข ้อที่ 28 : จงหา Axial Force ใน member BC ทีจ
่ ด
ุ B และ C ตามลำดับ
ข ้อที่ 30 : จงคำนวณหาโมเมนต์ดด
ั ทีก
่ ระทำต่อคานของภาคตัดทีผ
่ า่ นจุด C ดังแสดงในรูป
1 : 166.7 kg-m
2 : 333.3 kg-m
3 : 533.3 kg-m
4 : 666.7 kg-m
ข ้อที่ 31 : จงคำนวณหาแรงเฉือนภายในของภาคตัดทีผ
่ า่ นระหว่างจุด B และ C ของคานทีม
่ แ
ี รงกระทำอ
1:0
2 : 1T
3 : 2T
4 : 3T
5 : 4T
ข ้อที่ 32 : จงคำนวณหาโมเมนต์ดด
ั ทีม
่ ากทีส
่ ด
ุ ของคานทีม
่ แ
ี รงกระทำอยูด
่ งั แสดงในรูป
1 : 491 kg-m
2 : 572 kg-m
3 : 693 kg-m
4 : 792 kg-m
ข ้อที่ 34 : จงคำนวณหาโมเมนต์ดด
ั (Bending Moment) MCL ทีฝ ้
่ ั่ งซายของจุ
ด C และ MCR ทีฝ
่ ั่ งขวาข
1 : MCL=420 ตัน.เมตร และ MCR=240 ตัน.เมตร
2 : MCL=140 ตัน.เมตร และ MCR=320 ตัน.เมตร
3 : MCL=320 ตัน.เมตร และ MCR=140 ตัน.เมตร
4 : MCL=220 ตัน.เมตร และ MCR=40 ตัน.เมตร
้ ส่วน BE และชิน
ข ้อที่ 36 : จงคำนวณหาขนาดและประเภทของแรงตามแนวแกน (Axial forces) ในชิน ้ ส
1 : VD=0 ตัน
2 : VD=1 ตัน
3 : VD=6 ตัน
4 : VD=3 ตัน
ข ้อที่ 40 : จงคำนวณหาโมเมนต์ดด
ั (Bending Moment) MD ทีจ
่ ด
ุ D ของโครงข ้อแข็ง (Frame) ดังแส
1 : MD=5 ตัน.เมตร
2 : MD=7.5 ตัน.เมตร
3 : MD=10 ตัน.เมตร
4 : MD=15 ตัน.เมตร
ข ้อที่ 41 : แรงเฉือนทีจ
่ ด
ุ E ของโครงสร ้างดังรูปมีคา่ เท่าไร
1:0T
2:3T
3:6T
4 : 12 T
ข ้อที่ 42 : ค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ ซงึ่ แรง 10 T กระทำบนโครงสร ้างดังรูปมีคา่ เท่าไร
่ ด
1 : - 1 T-m
2 : - 2 T-m
3 : 5 T-m
4 : 10 T-m
ข ้อที่ 43 : ค่าโมเมนต์ดด
ั สูงสุดบนโครงสร ้างดังรูปเป็ นอย่างไร
1 : 3 T-m ทีจ
่ ด
ุ กึง่ กลางโครงสร ้าง
2 : 27 T-m ทีจ
่ ด
ุ กึง่ กลางโครงสร ้าง
3 : -24 T-m ทีจ
่ ด
ุ B และ C
4 : -27 T-m ทีจ
่ ด
ุ B และ C
1 : 9.3 T ทีจ
่ ด
ุ A
2 : 10 T ทีจ
่ ด
ุ G
3 : 18 T ทีจ
่ ด
ุ B
4 : 29 T ทีจ
่ ด
ุ B
ข ้อที่ 45 : แรงปฏิกริ ย
ิ าในแนวราบทีจ
่ ด
ุ A ของโครงสร ้างดังรูปมีคา่ เท่าไร รูปภาพประกอบคำถาม
1:1T
2:4T
3:7T
4 : 18 T
ข ้อที่ 46 : แรงปฏิกริ ย
ิ าในแนวดิง่ ทีจ
่ ด
ุ E ของโครงสร ้างดังรูปมีคา่ เท่าไร
1:3T
2:6T
3 : 12 T
4 : 16 T
ข ้อที่ 47 : ค่าโมเมนต์ดด
ั สูงสุดบนโครงสร ้างดังรูปเป็ นอย่างไร
1 : -6 T-m ทีจ
่ ด
ุ C
2 : 6 T-m ระหว่างจุด B และ C
3 : 6 T-m ทีจ
่ ด
ุ B
4 : 10 T-m ทีจ
่ ด
ุ B
1:
2:
3:
4:
รวมคะแนน 0
2:
3:
4:
ข ้อที่ 52 : จงคำนวณหาแรงปฏิกริ ย
ิ าทีฐ
่ านรองรับของคานทีก
่ ำหนด
1 : R1 = (M1-M2)/L , R2 = (M2-M1)/L
2 : R1 = (M2-M1)/L , R2 = (M1-M2)/L
3 : R1 = M2/L-M1 , R2 = M1/L-M2
4 : R1 = M2-M1/L , R2 = M1-M2/L
้
1 : กราฟเสนตรงมี ั เป็ นบวก
ความชน
2 : กราฟเส ้นตรงมีความชันเป็ นลบ
3 : กราฟเส ้นตรงนอนความชันเป็ นศูนย์
้
4 : กราฟเสนโค ้งกำลังสอง
ข ้อที่ 54 : จงเขียนสมการของ Bending moment diagram ของคานในรูป กำหนดให ้ x เป็ นระยะใดๆวัด
1 : M = (M1)(1-x)-(M2)x
2 : M = (M2)(1-x)+(M1)x
3 : M = -(M1)(1-x)-(M2)x
4 : M = -(M1)(1-x)+(M2)x
้
1 : เสนโค ้งหงายกำลังสอง
้
2 : เสนตรงนอนความช ั เป็ นศูนย์
น
3 : เส ้นตรงเอียงความชันเป็ นบวก
4 : เส ้นตรงเอียงความชันเป็ นลบ
ข ้อที่ 56 : จากรูปทีแ
่ สดง แรงดึงในลวดเหล็ก มีคา่ เท่ากับ
1 : 90 กก.
2 : 104 กก.
3 : 156 กก.
4 : 180 กก.
ข ้อที่ 57 : จากรูปทีแ
่ สดง คานรับโมเมนต์มากทีส
่ ด
ุ เท่ากับ
1 : 90 กก.-ม.
2 : 180 กก.-ม.
3 : 208 กก.-ม.
4 : 312 กก.-ม.
ข ้อที่ 58 : จากรูปทีแ
่ สดง คานรับแรงเฉือนมากทีส
่ ด
ุ เท่ากับ
1 : 90 กก.
2 : 104 กก.
3 : 156 กก.
4 : 180 กก.
ข ้อที่ 59 : จากรูปทีแ
่ สดง ภาพของโมเมนต์ดด
ั บนคาน มีรป
ู เป็ น
1 : วงกลม
2 : สเี่ หลีย
่ มผืนผ ้า
3 : สามเหลีย
่ ม
4 : พาราโบลา
ข ้อที่ 60 : จากรูปทีแ
่ สดง แรงในลวดเหล็กมีคา่ เท่ากับ
1 : 6000 กก.
2 : 3000 กก.
3 : 1500 กก.
4 : 750 กก.
ข ้อที่ 61 : จากรูปทีแ
่ สดง แรงปฎิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ A เท่ากับ
1 : 10,000 กก.
2 : 6000 กก.
3 : 4000 กก.
4 : 2000 กก.
ข ้อที่ 62 :จากรูปทีแ
่ สดง โมเมนต์มากทีส
่ ด
ุ ในคานเท่ากับ
1 : 4000 กก.-ม.
2 : 8000 กก.-ม.
3 : 12000 กก.-ม.
4 : 20000 กก.-ม.
ิ้ ใดทีส
ข ้อที่ 63 : อุปกรณ์ชน ่ ามารถทำหน ้าทีเ่ ป็ นได ้ทัง้ Input และ Output
1 : 32000 กก.
2 : 16000 กก.
3 : 8000 กก.
4 : 4000 กก.
1 : สีเ่ หลีย
่ มผืนผ ้า
2 : สามเหลีย
่ ม
3 : พาราโบลากำลังสอง
4 : พาราโบลากำลัง n
1 : 40 กก.
2 : 53 กก.
3 : 67 กก.
4 : 75 กก.
1 : 17 กก.
2 : 37 กก.
3 : 53 กก.
4 : 74 กก.
1 : 10 กก.
2 : 20 กก.
3 : 30 กก.
4 : 40 กก.
1:0
2 : 0.7 ตัน (แรงอัด)
3 : 0.7 ตัน (แรงดึง)
4 : 2.8 ตัน (แรงอัด)
1 : 3.5 T
2 : 3.0 T
3 : 2.5 T
4 : 2.0 T
ข ้อที่ 71 : จากโครงเฟรมทีแ
่ สดง แรงภายในตามแนวแกนของ CD เท่ากับ
1:0
2 : 2.5 ตัน (แรงอัด)
3 : 2.5 ตัน (แรงดึง)
4 : 5 ตัน (แรงอัด)
ข ้อที่ 72 : จากโครงเฟรมทีแ
่ สดง แรงเฉือนมากทีส
่ ด
ุ ใน BC เท่ากับ
1 : 3.5 T
2 : 5.5 T
3 : 6.8 T
4 : 7.8 T
ข ้อที่ 73 : จากโครงเฟรมทีแ
่ สดง โมเมนต์ดด
ั ชนิดบวก (positive moment) ทีม
่ ากทีส
่ ด
ุ ใน BC มีคา่ เท่าก
1 : 5 ตัน-ม.
2 : 7.5 ตัน-ม.
3 : 12.5 ตัน-ม.
4 : 15.0 ตัน-ม.
ข ้อที่ 74 : Determine the reactions at support e of the frame loaded as shown in figure below
1:
2:
3:
ิ้ สว่ น BC ของโครงถักดังรูป
ข ้อที่ 75 : จงหาแรงภายในชน
1 : BC = 4.33 kN (comp.)
2 : BC = 4.33 kN (tens.)
3 : BC = 0
4 : BC = 3 kN (tens.)
ข ้อที่ 76 : คานช่วงเดีย
่ วปลายยืน
่ รับน้ำหนักบรรทุก ดังรูป ตำแหน่งทีโ่ มเมนต์ดด
ั มีคา่ มากทีส
่ ด
ุ จะอยูห
่ า่ ง
1 : 1.50 เมตร
2 : 2.00 เมตร
3 : 2.50 เมตร
4 : 3.00 เมตร
1 : 16.80 ตัน-เมตร
2 : 17.50 ตัน-เมตร
3 : 19.50 ตัน-เมตร
4 : 21.00 ตัน-เมตร
1 : 0.15 ตัน
2 : 5.30 ตัน
3 : 5.70 ตัน
4 : 7.80 ตัน
ข ้อที่ 80 : จงหาคำตอบของ 2 + 3 * 4 - 1
1 : อยูพ
่ อดีทจ
ี่ ด
ุ C
2 : อยูใ่ นชว่ ง AC
3 : อยูใ่ นชว่ ง CB
4 : ไม่มข
ี ้อใดถูก
1 : จุด D จุดเดียว
2 : จุด E จุดเดียว
3 : จุด D และจุด E
4 : จุด B และจุด C
ข ้อที่ 82 :
1 : แรงอัดตามแนวแกน แรงเฉือนและโมเมนต์ดด
ั
2 : แรงเฉือนอย่างเดียว
3 : โมเมนต์ดด
ั อย่างเดียว
4 : แรงอัดตามแนวแกนอย่างเดียว
1 : แรงอัดตามแนวแกน แรงเฉือนและโมเมนต์ดด
ั
2 : แรงเฉือนอย่างเดียว
3 : โมเมนต์ดด
ั อย่างเดียว
4 : แรงอัดตามแนวแกนอย่างเดียว
่ ว่ ยในการลดขนาดของแฟ้ มข ้อมูล
ข ้อที่ 84 : Tool ตัวใดทีช
1 : จุด B จุดเดียว
2 : จุด D จุดเดียว
3 : จุด E จุดเดียว
4 : จุด B และจุด E
1 : PL
2 : 4PL/3
3 : 5PL/3
4 : 2PL
1 : แรงอัดตามแนวแกน แรงเฉือนและโมเมนต์ดด
ั
2 : แรงเฉือนอย่างเดียว
3 : โมเมนต์ดด
ั อย่างเดียว
4 : แรงอัดตามแนวแกนอย่างเดียว
1 : 5wL/6
2 : 5wL/4
3 : 5wL/3
4 : 5wL/2
1:
2:
3:
4:
1 : 5wL/6
2 : 5wL/4
3 : 5wL/3
4 : 5wL/2
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 93 : แรงทีก
่ ระทำต่อ Internal roller ทีจ
่ ด
ุ B มีคา่ เท่าใด ?
1 : 2,000 kg.
2 : 4,000 kg.
3 : 6,000 kg.
4 : 8,000 kg.
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 95 : โมเมนต์ดด
ั สูงสุด มีคา่ เท่าใด ?
1 : 0.67 kN-m
2 : 1.69 kN-m
3 : 2.31 kN-m
4 : 3.08 kN-m
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 99 : จงคำนวณหาแรงเฉือนภายในของภาคตัดทีผ
่ า่ นระหว่างจุด B และ C ของคานทีม
่ แ
ี รงกระทำด
1:0T
2:1T
3:2T
4:3T
1:0T
2:1T
3:2T
4:3T
รวมคะแนน 0
1:5T
2:7T
3:9T
4 : 10 T
1: 5T
2: 7T
3: 9T
4 : 10 T
2:
3:
4:
้ ทธิพลของแรงปฏิกริ ย
ข ้อที่ 105 : ข ้อใดแสดงแนวเสนอิ ิ าในแนวดิง่ ทีจ
่ ด
ุ A ของคานดังแสดงในรูป
1:
2:
3:
4:
้ ทธิพลของโมเมนต์ดด
ข ้อที่ 106 : ข ้อใดแสดงแนวเสนอิ ั ทีจ
่ ด
ุ B ของคานดังแสดงในรูป
1:
2:
3:
4:
1 : 12 T-m
2 : 18 T-m
3 : 36 T-m
4 : 30 T-m
1 : -18 T-m
2 : -36 T-m
3 : -66 T-m
4 : -12 T-m
้ กการของอินฟลูเอนซไ์ ลน์ในการคำนวณหาแรงเฉือนบวกทีม
ข ้อที่ 109 : จงใชหลั ่ ากทีส
่ ด
ุ ทีจ
่ ด
ุ C ของคา
เมือ
่ มีน้ำหนักบรรทุกแบบจุดเท่ากับ 9 ตัน น้ำหนักบรรทุกแบบตายตัว (Dead Load) และแบบจร (Live Lo
กระจายอย่างสม่ำเสมอมีขนาดเท่ากับ 2 ตัน/เมตร และ 4 ตัน/เมตร ตามลำดับ โดยน้ำหนักบรรทุกจร 4 ต
1:4T
2:6T
3 : 10 T
4 : 20 T
้ กการของอินฟลูเอนซไ์ ลน์ในการคำนวณหาแรงเฉือนลบทีม
ข ้อที่ 110 : จงใชหลั ่ ากทีส
่ ด
ุ ทีจ
่ ด
ุ C ของคาน
น้ำหนักบรรทุกแบบตายตัว (Dead Load) และแบบจร (Live Load) กระจายอย่างสม่ำเสมอมีขนาดเท่ากับ
โดยน้ำหนักบรรทุกจร 4 ตัน/เมตร จะกระจายเฉพาะชว่ งทีท
่ ำให ้แรงเฉือนลบทีจ
่ ด
ุ C มีคา่ มากทีส
่ ด
ุ
1 : -1 T
2 : -2 T
3 : -3 T
4 : -4 T
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
้ ทธิพลของแรงปฏิกริ ย
ข ้อที่ 113 : ข ้อใดแสดงรูปของเสนอิ ิ าทีจ
่ ด
ุ รองรับ C
1:
2:
3:
4:
้ ทธิพลของแรงเฉือนทีจ
ข ้อที่ 114 : ข ้อใดแสดงรูปของเสนอิ ่ ด
ุ A
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
้ ทธิพลของโมเมนต์ทจ
ข ้อที่ 117 : ข ้อใดแสดงรูปของเสนอิ ี่ ด
ุ A
1:
2:
3:
4:
้ ทธิพลของแรงปฏิกริ ย
ข ้อที่ 118 : ข ้อใดแสดงแนวเสนอิ ิ าในแนวดิง่ ทีจ
่ ด
ุ G ของคานดังแสดงในรูป
1:
2:
3:
4:
1 : 4 T ทิศขึน
้
2 : 4 T ทิศลง
3 : 8 T ทิศขึน
้
4 : 8 T ทิศลง
1 : 5.6 T
2 : 7.2 T
3 : 14 T-m
4 : 28 T-m
1 : แรงดึง 5 T
2 : แรงอัด 5 T
3 : แรงดึง 10 T
4 : แรงอัด 10 T
ี้ น
1 : RA=0, ทิศทางชข ึ้
ี้ น
2 : RA=0.5, ทิศทางชข ึ้
้ ง
3 : RA=0.5, ทิศทางชีล
ี้ น
4 : RA=1.0, ทิศทางชข ึ้
ิ
1 : MA=3, ทิศทางตามเข็มนาฬกา
2 : MA=3, ทิศทางทวนเข็มนาฬกาิ
ิ
3 : MA=4, ทิศทางตามเข็มนาฬกา
4 : MA=4, ทิศทางทวนเข็มนาฬกาิ
1 : MB=-4
2 : MB=-5
3 : MB=-6
4 : MB=-7
1 : RA=1.0 ทิศทางขึน
้
2 : RA=0.75 ทิศทางขึน
้
3 : RA=0.50 ทิศทางลง
4 : RA=0.25 ทิศทางลง
ิ้ สว่ น GB เมือ
ข ้อที่ 131 : จงคำนวณหาขนาดและประเภทของแรงตามแนวแกน (Axial force) ของชน ่ น้ำ
1 : FGB=0
2 : FGB=0.354 เป็ นแรงอัด
3 : FGB=0.707 เป็ นแรงอัด
4 : FGB=0.354 เป็ นแรงดึง
ิ้ สว่ น CG เมือ
ข ้อที่ 132 : จงคำนวณหาขนาดและประเภทของแรงตามแนวแกน (Axial force) ของชน ่ น้ำ
1 : ้ ทธิพลทัง้ สองเสนไม่
เสนอิ ้ ถกู ต ้อง
2 : เสนอิ้ ทธิพลทัง้ สองเสนถู
้ กต ้อง
3 : เส ้นอิทธิพลของแรงเฉือนทีด ่ ้านขวาของฐาน C เท่านัน ้ ทีถ ่ ก
ู ต ้อง
4 : ้
เสนอิทธิพลของโมเมนต์ดด ั ในคานทีจ ่ ด
ุ C เท่านัน
้ ทีถ
่ กู ต ้อง
1:
2:
3:
4:
้ ทธิพล (Influence line) ของโมเมนต์ดด
ข ้อที่ 135 : ข ้อใดเป็ นเสนอิ ั ทีจ
่ ด
ุ C ของโครงสร ้างดังในรูป
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 136 : พิจารณาโครงสร ้างและเส ้นอิทธิพล (Influence line) ในรูปที่ 1 และ 2 แล ้วหาว่าคำตอบข ้อ
ข ้อที่ 137 : รถบรรทุกหกล ้อคันหนึง่ มีน้ำหนักลงล ้อหน ้า 20 kN และล ้อหลัง 80 kN ดังในรูป วิง่ ผ่านคาน
ให ้คำนวณหาค่าโมเมนต์ทม
ี่ ากทีส
่ ด
ุ ทีจ
่ ะเกิดขึน
้ ได ้ทีจ
่ ด
ุ B
่ ำแหน่งใดก็ได ้บนสะพาน และหันหน ้ารถไปทางซ ้ายหรือขวาก็ได ้)
(*** รถจะอยูต
1 : 295 kN-m
2 : 355 kN-m
3 : 460 kN-m
4 : 500 kN-m
้ ทธิพลของแรงในชน
ข ้อที่ 138 : คำตอบข ้อใดคือเสนอิ ิ้ สว่ น CD (แสดงเป็ นชน
ิ้ สว่ นสแ
ี ดง) ของโครงข ้อห
1:
2:
3:
4:
้ ทธิพลของแรงในชน
ข ้อที่ 139 : คำตอบข ้อใดคือเสนอิ ิ้ สว่ น DK (แสดงเป็ นชน
ิ้ สว่ นสแ
ี ดง) ของโครงข ้อห
1:
2:
3:
4:
1 : I.L.(RA) = x/L - 1
2 : I.L.(RA) = 1
3 : I.L.(RA) = x/L
4 : I.L.(RA) = 1 - x/L
5 : I.L.(RA) = L - 1/x
1 : I.L.(Vc) = -x/L
2 : I.L.(Vc) = 1 - x/L
3 : I.L.(Vc) = x/L
4 : I.L.(Vc) = x/L - 1
1 : I.L.(Mc) = (1-x/L)b
2 : I.L.(Mc) = (x/L)b
3 : I.L.(Mc) = (1-x/L)a
4 : I.L.(Mc) = (-x/L)b
1 : 10 kip-ft
2 : 20 kip-ft
3 : 30 kip-ft
4 : 40 kip-ft
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
2:
3:
4:
1 : A
2 : B
3 : C
4 : D
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 151 : คานทีม
่ น
ี ้ำหนักหนึง่ หน่วยเคลือ
่ นทีด
่ งั รูป ความยาวคานมีหน่วยเป็ นเมตร
1 : 1.25 ตัน.เมตร
2 : 25 ตัน.เมตร
3 : -1 ตัน.เมตร
4 : -20 ตัน.เมตร
1 : A ถึง B
2 : B ถึง D
3 : D ถึง E
4 : A ถึง E
1 : -5 ตัน
2 : 12 ตัน
3 : 24 ตัน
4 : 28 ตัน
ข ้อที่ 155 : จากภาพ influence line ของ reaction ทีจ
่ ด
ุ B ของคานทีก
่ ำหนดให ้ หากมี น้ำหนักบรรทุก
1:
2:
3:
4:
1 : 0.2 cm
2 : 0.8 cm
3 : 1.0 cm
4 : 1.6 cm
1 : 200/EI m.
2 : 400/EI m.
3 : 800/EI m.
4 : 1600/EI m.
ข ้อที่ 159 : ข ้อใดเป็ นคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องของค่าการหมุนทีจ
่ ด
ุ A
พิจารณางานเนือ
่ งจากแรงดัดเท่านัน
้ (ทิศทางทวนเข็มเป็ นบวก และตามเข็มเป็ นลบ)
1 : 800/3EI
2 : 1000/3EI
3 : 1400/3EI
4 : 1600/3EI
1 : 0 m.
2 : 50/EI m.
3 : 100/EI m.
4 : 150/EI m.
ข ้อที่ 163 :
1 : 125/EI
2 : 127.5/EI
3 : 120/EI
4 : 100/EI
1 : 125/EI-clockwise
2 : 125/EI-couterclockwise
3 : 50/EI-clockwise
4 : 50/EI-counterclockwise
1 : 640/3EIไปทางขวา
2 : 620/3EIไปทางขวา
3 : 610/3EIไปทางขวา
4 : 320/3EIไปทางขวา
ข ้อที่ 170 :
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 172 : Determine the vertical displacement at point C of the truss in figure below.
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1 : 2PL^2/9EI
2 : 5PL^2/16EI
3 : PL^2/2EI
4 : PL^2/EI
1 : 3PL^3/16EI
2 : 14PL^3/81EI
3 : PL^3/EI
4 : PL^3/6EI
1 : PL^2/4EI
2 : PL^2/3EI
3 : PL^2/2EI
4 : PL^2/EI
1 : PL^3/EI
2 : PL^3/3EI
3 : PL^3/4EI
4 : PL^3/6EI
1 : ML/EI
2 : ML/2EI
3 : 2ML/EI
4 : ML/2EI
1 : ML^2/EI
2 : ML^2/2EI
3 : ML^2/4EI
4 : 3ML^2/4EI
้ ส่วนไม่ยด
ข ้อที่ 181 : โครงข ้อแข็งรับน้ำหนัก ดังรูป ถ ้าสมมติวา่ ชิน ื หรือหดตัว(No axial deformation) ใ
ิ้ สว่ นไม่ยด
ข ้อที่ 182 : โครงข ้อแข็งรับน้ำหนัก ดังรูป ถ ้าสมมติวา่ ชน ื หรือหดตัว ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องท
1 : จุด B และจุด C มีระยะเคลือ
่ นทีใ่ นแนวระดับเท่ากัน
2 : จุด A ไม่มก
ี ารหมุนและเลือ
่ นตัวในแนวดิง่
3 : จุด A ไม่มก
ี ารทรุดตัวและไม่เคลือ
่ นทีใ่ นแนวระดับ ส่วนจุด D ไม่มก
ี ารทรุดตัวแต่เคลือ
่ นทีใ่ นแนวระดับ
4 : จุด D ไม่มก
ี ารเลือ
่ นตัวในแนวดิง่ และไม่มก
ี ารหมุน
ิ้ สว่ นไม่ยด
ข ้อที่ 183 : โครงข ้อแข็งรับน้ำหนัก ดังรูป ถ ้าสมมติวา่ ชน ื หรือหดตัว ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องท
้ ส่วนไม่ยด
ข ้อที่ 184 : โครงข ้อแข็งรับน้ำหนัก ดังรูป ถ ้าสมมติวา่ ชิน ื หรือหดตัว ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องท
ิ้ สว่ นไม่ยด
ข ้อที่ 185 : โครงข ้อแข็งรับน้ำหนัก ดังรูป ถ ้าสมมติวา่ ชน ื หรือหดตัว ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องท
1 : จุด B และจุด C มีการเคลือ
่ นทีใ่ นแนวระดับเท่ากัน
2 : จุด A ไม่มก
ี ารทรุดตัวและไม่เคลือ
่ นทีใ่ นแนวระดับและไม่มก
ี ารหมุน
3 : จุด B และ C มีการเคลือ
่ นตัวในแนวระดับทีไ่ ม่เท่ากัน
4 : จุด B มีการทรุดตัวในแนวดิง่
ิ้ สว่ นไม่ยด
ข ้อที่ 186 : โครงข ้อแข็งรับน้ำหนัก ดังรูป ถ ้าสมมติวา่ ชน ื หรือหดตัว ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องท
ั (slope) ทีจ
ข ้อที่ 191 : โครงสร ้างดังรูป มีคา่ ความชน ่ ด
ุ A เท่ากับเท่าใด?
1:0
2:
3:
4:
1:0
2:
3:
4:
1 : 4PL^3/3EI
2 : 3PL^3/4EI
3 : 9PL^3/5EI
4 : 5PL^3/9EI
1 : 5ML^2/8EI
2 : 5ML^2/4EI
3 : 2ML^2/2EI
4 : 2ML^2/EI
1 : 5ML^2/8EI
2 : 5ML^2/4EI
3 : 2ML^2/2EI
4 : 2ML^2/EI
1 : 5PL^3/6EI
2 : 11PL^3/6EI
3 : 13PL^3/12EI
4 : 19PL^3/12EI
1 : 25PL^3/18EI
2 : 25PL^3/36EI
3 : 25PL^3/72EI
4 : 25PL^3/144EI
รวมคะแนน 0
1 : 11PL^3/18EI
2 : 11PL^3/9EI
3 : 11PL^3/6EI
4 : 11PL^3/3EI
1 : 7ML^2/8EI
2 : 7ML^2/4EI
3 : 7ML^2/2EI
4 : 7ML^2/EI
1 : 5ML^2/8EI
2 : 5ML^2/4EI
3 : 5ML^2/3EI
4 : 5ML^2/EI
1 : 7PL^2/24EI
2 : 7PL^2/12EI
3 : 7PL^2/6EI
4 : 7PL^2/4EI
1 : 11PL^3/18EI
2 : 21PL^3/18EI
3 : 31PL^3/18EI
4 : 41PL^3/18EI
1 : 3PL^3/4EI
2 : 11PL^3/6EI
3 : 11PL^3/9EI
4 : 25PL^3/6EI
1 : (1/4)wL
2 : (3/4)wL
3 : (3/8)wL
4 : (5/8)wL
1 : 28.5 kN
2 : -28.5 kN
3 : 87.5 kN
4 : -87.5 kN
1 : Rb = 3F/5
2 : Rb = 4F/5
3 : Rb = F/5
4 : Rb = 2F/5
1 : 10.5/EI
2 : 12.5/EI
3 : 14.5/EI
4 : 15.5/EI
1 : 3.0 ตัน
2 : 4.0 ตัน
3 : 5.0 ตัน
4 : 6.0 ตัน
ิ
1 : 6 ตัน-ม. (หมุนตามเข็มนาฬกา)
ิ
2 : 6 ตัน-ม. (หมุนทวนเข็มนาฬกา)
ิ
3 : 4.5 ตัน-ม. (หมุนตามเข็มนาฬกา)
ิ
4 : 4.5 ตัน-ม. (หมุนทวนเข็มนาฬกา)
1 : 2 ตัน (ทิศขึน
้ )
2 : 2 ตัน (ทิศลง)
3 : 1.25 ตัน (ทิศขึน
้ )
4 : 2.75 ตัน (ทิศขึน
้ )
1 : อยูท
่ จ
ี่ ด
ุ A
2 : อยูท
่ จ
ี่ ด
ุ B
3 : อยูท
่ จ
ี่ ด
ุ C
4 : อยูร่ ะหว่างจุด A กับจุด C
1 : อยูท
่ จ
ี่ ด
ุ A
2 : อยูท
่ ก
ี่ งึ่ กลางคาน AB
3 : อยูร่ ะหว่างจุด A กับจุด B โดยค่อนไปทางจุด B
4 : อยูร่ ะหว่างจุด A กับจุด B โดยค่อนไปทางจุด A
1 : 5wL/8
2 : 11wL/16
3 : wL
4 : 21wL/16
1 : 7wL^2/32
2 : 5wL^2/32
3 : wL^2/16
4 : 3wL^2/8
ข ้อที่ 232 : Determine the reaction at B of a continuous beam loaded as shown in figure belo
EI is constant.
1:
2:
3:
4:
1 : unstable
2 : stable และ determinate
3 : stable และ externally indeterminate 1st degree
4 : stable และ externally indeterminate 2nd degree
1 : unstable
2 : stable และ determinate
3 : table และ externally indeterminate 1st degree
4 : stable และ externally indeterminate 2nd degree
1 : unstable
2 : stable และ determinate
3 : stable และ externally indeterminate 1st degree
4 : stable และ externally indeterminate 2nd degree
1 : unstable
2 : stable และ determinate
3 : stable และ externally indeterminate 1st degree
4 : stable และ externally indeterminate 2nd degree
1 : unstable
2 : stable และ determinate
3 : stable และ externally indeterminate 1st degree
4 : stable และ externally indeterminate 2nd degree
1 : unstable
2 : stable และ determinate
3 : stable และ externally indeterminate 1st degree
4 : stable และ externally indeterminate 2nd degree
1 : externally determinate
2 : externally indeterminate 1st degree
3 : externally indeterminate 2nd degree
4 : externally indeterminate 3rd degree
1 : externally determinate
2 : externally indeterminate 1st degree
3 : externally indeterminate 2nd degree
4 : externally indeterminate 3rd degree
1 : externally determinate
2 : externally indeterminate 1st degree
3 : externally indeterminate 2nd degree
4 : externally indeterminate 3rd degree
1 : determinate
2 : indeterminate 1st degree
3 : indeterminate 2nd degree
4 : indeterminate 3rd degree
1 : 3 ดีกรี
2 : 6 ดีกรี
3 : 9 ดีกรี
4 : 12 ดีกรี
1 : 6 ดีกรี
2 : 12 ดีกรี
3 : 18 ดีกรี
4 : 24 ดีกรี
รวมคะแนน 0
1 : 3 ดีกรี
2 : 6 ดีกรี
3 : 9 ดีกรี
4 : 12 ดีกรี
1 : 6 ดีกรี
2 : 9 ดีกรี
3 : 15 ดีกรี
4 : 18 ดีกรี
1 : 1 ดีกรี
2 : 2 ดีกรี
3 : 3 ดีกรี
4 : 5 ดีกรี
1 : 3 ดีกรี
2 : 6 ดีกรี
3 : 9 ดีกรี
4 : 12 ดีกรี
ข ้อที่ 255 : โครงสร ้างระนาบทีแ
่ สดงมีดก
ี รีอน
ิ ดีเทอร์มเิ นททัง้ หมด เท่ากับ
1: 1 ดีกรี
2 : 2 ดีกรี
3 : 3 ดีกรี
4 : 5 ดีกรี
1 : 3 ดีกรี
2 : 6 ดีกรี
3 : 9 ดีกรี
4 : 12 ดีกรี
1 : (1/4)wL
2 : (3/4)wL
3 : (3/8)wL
4 : (5/8)wL
รวมคะแนน 0
ภาพ (Stable) หรือไม่ เป็ นโครงสร ้างแบบ determinate หรือ indeterminate ถ ้าเป็ นโครงสร ้างแบบ indeterminate โครงสร ้างนีม
้ ี degree
minancy = 1
minancy = 2
minancy = 3
ภาพ (Stable) หรือไม่ เป็ นโครงสร ้างแบบ determinate หรือ indeterminate ถ ้าเป็ นโครงสร ้างแบบ indeterminate โครงสร ้างนีม
้ ี degree
minancy = 1
minancy = 2
minancy = 3
e shown below.
e shown below.
e shown below.
ิ้ สว่ น lower chord
ชน
้ ส่วนทแยง
ดในชิน
้ ส่วน AB หรือ BC
ดในชิน
้ ส่วน AE หรือ ED
ดในชิน
FC ทีม
่ ากทีส
่ ด
ุ
isplacements อยูก
่ ป
ี่ ริมาณ
ของคานยืน
่ (Cantilever Beam) ดังแสดงในรูป
ดังแสดงในรูป
C ของคานทีม
่ แ
ี รงกระทำอยูด
่ งั แสดงในรูป
ละ VBR ทีฝ
่ ั่ งขวาของจุด B ของคาน (Beam) ABCDE ดังแสดงในรูป
5 kg.ทิศทางขึน
้
75 kg. ทิศทางลง
375 kg. ทิศทางขึน
้
375 kg. ทิศทางขึน
้
้ ส่วน BE และชิน
s) ในชิน ้ ส่วน DE ของโครงข ้อหมุน (Truss) ABCDE ดังแสดงในรูป
งไปทางขวา
้
งไปทางซาย
รูป จงประมาณค่าแรงเฉือนทีจ
่ ด
ุ C ในช่วง CB
สุดบนคาน BC อยูท
่ ี่
รับแรงต่างๆ คือ
กทีส
่ ด
ุ บนคาน BC เท่ากับ
รับแรงต่างๆ คือ
ดยมีทอ
่ นเหล็กยึดไว ้ตรงจุด B ดังรูป เพือ
่ ให ้คาน AB อยูใ่ นแนวนอน ถ ้าไม่คด
ิ น้ำหนักของคานและไม่คด
ิ การยืดหดตัวของท่อนเหล็ก จงหาค
ดยมีทอ
่ นเหล็กยึดไว ้ตรงจุด B ดังรูป เพือ
่ ให ้คาน AB อยูใ่ นแนวนอน ถ ้าไม่คด
ิ น้ำหนักของคานและไม่คด
ิ การยืดหดตัวของท่อนเหล็ก จงหาค
มยาวคาน โดยมีทอ
่ นเหล็กยึดไว ้ตรงจุด B ดังรูป เพือ
่ ให ้คาน AB อยูใ่ นแนวนอน ถ ้าไม่คด
ิ น้ำหนักของคานและไม่คด
ิ การยืดหดตัวของท่อนเ
มยาวคาน โดยมีทอ
่ นเหล็กยึดไว ้ตรงจุด B ดังรูป เพือ
่ ให ้คาน AB อยูใ่ นแนวนอน ถ ้าไม่คด
ิ น้ำหนักของคานและไม่คด
ิ การยืดหดตัวของท่อนเ
มยาวคาน โดยมีทอ
่ นเหล็กยึดไว ้ตรงจุด B ดังรูป เพือ
่ ให ้คาน AB อยูใ่ นแนวนอน ถ ้าไม่คด
ิ น้ำหนักของคานและไม่คด
ิ การยืดหดตัวของท่อนเ
m) เป็ นไปตามตัวเลือกข ้อใด กำหนดให ้ เมือ
่ ตัดรูปตัดใด ๆ ทิศทางของแรงเฉือนทีเ่ ป็ นบวก มีทศ ิ ทิศทางของโมเมนต์ทเี่ ป็ น
ิ ตามเข็มนาฬ กา
t Diagram) เป็ นไปตามตัวเลือกข ้อใด กำหนดให ้ เมือ
่ ตัดรูปตัดใดๆ ทิศทางของแรงเฉือนทีเ่ ป็ นบวก มีทศ ิ ทิศทางของโมเม
ิ ตามเข็มนาฬ กา
C ของคานทีม
่ แ
ี รงกระทำดังรูป
ะ C ของคานทีม
่ แ
ี รงกระทำดังรูป
ะ C ของคานทีม
่ แ
ี รงกระทำดังรูป
C ของโครงสร ้างดังในรูป
องคานดังแสดงในรูป
งในรูป เมือ
่ มีน้ำหนักบรรทุกแบบจุดเท่ากับ 9 ตัน
จายอย่างสม่ำเสมอมีขนาดเท่ากับ 2 ตัน/เมตร
ในรูป เมือ
่ มีน้ำหนักบรรทุกแบบจุดเท่ากับ 9 ตัน
ย่างสม่ำเสมอมีขนาดเท่ากับ 2 ตัน/เมตร และ 4 ตัน/เมตร ตามลำดับ
ทีจ
่ ด
ุ C มีคา่ มากทีส
่ ด
ุ )
กทีม
่ ากทีส
่ ด
ุ ทีจ
่ ด
ุ C ของคานดังแสดงในรูป
Load) และแบบจร (Live Load) C มีคา่ มากทีส
่ ด
ุ
บ โดยน้ำหนักบรรทุกจร 4 ตัน/เมตร จะกระจายเฉพาะชว่ งทีท
่ ำให ้แรงเฉือนบวกทีจ
่ ด
ุ
ทีม
่ ากทีส
่ ด
ุ ทีจ
่ ด
ุ C ของคานดังแสดงในรูป เมือ
่ มีน้ำหนักบรรทุกแบบจุดเท่ากับ 9 ตัน
ย่างสม่ำเสมอมีขนาดเท่ากับ 2 ตัน/เมตร และ 4 ตัน/เมตร ตามลำดับ
ทีจ
่ ด
ุ C มีคา่ มากทีส
่ ด
ุ
องคานดังแสดงในรูป
ย่างไรภายใต ้การเคลือ
่ นทีข
่ องแรงกระทำแบบจุด 2 ค่าทีก
่ ำหนดบนโครงสร ้าง
กระทำต่อคานทีก
่ ำหนดให ้ จงหาว่าแรงกระทำคูน ี้ ้องกระทำอยูใ่ นช่วงใดของคาน ซึง่ ทำให ้ค่าแรงปฏิกริ ย
่ ต ิ าในแนวดิง่ ทีจ
่ ด
ุ A มีคา่ เป็ นศูนย์
แรงกระทำแบบจุด 2 ค่าทีก
่ ำหนดบนโครงสร ้าง สามารถมีคา่ เป็ นศูนย์หรือไม่
การเคลือ
่ นทีข
่ องแรงกระทำแบบจุด 8 T บนโครงสร ้าง มีคา่ สูงสุดเท่าไร
น้ำหนักหนึง่ หน่วยเคลือ
่ นทีอ
่ ยูท
่ จ
ี่ ด
ุ C ของคานยืน
่ (Cantilever beam) ABC ดังแสดงในรูป
น้ำหนักหนึง่ หน่วยเคลือ
่ นทีอ
่ ยูท
่ จ
ี่ ด
ุ C ของคานยืน
่ (Cantilever beam) ABC ดังแสดงในรูป
e) RA ของฐานรองรับ A เมือ
่ น้ำหนักหนึง่ หน่วยเคลือ
่ นทีอ
่ ยูท
่ จ
ี่ ด
ุ B ของโครงข ้อหมุน (Truss) ดังแสดงในรูป
e) RE ของฐานรองรับ E เมือ
่ น้ำหนักหนึง่ หน่วยเคลือ
่ นทีอ
่ ยูท
่ จ
ี่ ด
ุ C ของโครงข ้อหมุน (Truss) ดังแสดงในรูป
ิ้ สว่ น GB เมือ
ce) ของชน ่ น้ำหนักหนึง่ หน่วยเคลือ
่ นทีอ
่ ยูท
่ จ
ี่ ด
ุ B ของโครงข ้อหมุน (Truss) ดังแสดงในรูป
ิ้ สว่ น CG เมือ
ce) ของชน ่ น้ำหนักหนึง่ หน่วยเคลือ
่ นทีอ
่ ยูท
่ จ
ี่ ด
ุ C ของโครงข ้อหมุน (Truss) ดังแสดงในรูป
ำตอบข ้อใดเป็ นจริง
E ของโครงสร ้างดังในรูป
ของโครงสร ้างดังในรูป
นสว่ นสแ
ี ดง) ของโครงข ้อหมุนดังในรูป
หนักบรรทุกจรเคลือ ่ ยูใ่ นชว่ งAC
่ นทีอ
หนักบรรทุกจรเคลือ
่ นทีอ
่ ยูใ่ นช่วงCB
องจุดBของโครงข ้อแข็งทีก
่ ำหนด
นวราบทีจ
่ ด
ุ A
นสว่ นเมือ ี ้ำเงิน) มากระทำ]
่ มีแรงลักษณะต่างๆ (สน
นวดิง่ ทีจ
่ ด
ุ D
s in figure below.
(No axial deformation) ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องทีส
่ ด
ุ
ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องทีส
่ ด
ุ
ดตัวแต่เคลือ
่ นทีใ่ นแนวระดับได ้
ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องทีส
่ ด
ุ
ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องทีส
่ ด
ุ
ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องทีส
่ ด
ุ
ให ้เลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องทีส
่ ด
ุ
มุนของจุด A
โมเมนต์ดด
ั M ทีจ ุ รองรับทัง้ สอง ดังรูป ซงึ่ ทำให ้คานโก่งทางเดียว กำหนดให ้ ระยะ Li = L, I1 = I, I2 = 3I และค่า E คงที่
่ ด
โมเมนต์ดด
ั M ทีจ ุ รองรับทัง้ สอง ดังรูป ซงึ่ ทำให ้คานโก่งทางเดียว กำหนดให ้ ระยะ Li = L, I1 = I, I2 = 2I และค่า E คงที่
่ ด
โมเมนต์ดด
ั M ทีจ ุ รองรับทัง้ สอง ดังรูป ซึง่ ทำให ้คานโก่งทางเดียว กำหนดให ้ ระยะ Li = L, I1 = I, I2 = 3I และค่า E คงที่
่ ด
ทีจ
่ ด
ุ a ของคานในรูป เมือ
่ กำหนดให ้ F = wL/2
ำหนดให ้ F = wL/2
ะโก่งตัวทีจ
่ ด ่ ว่ ยยึด)
ุ D เป็ นศูนย์ ให ้หาค่าแรงดึงโดยประมาณในท่อนเหล็ก BD (โดยคำนึงถึงการยืดตัวของท่อนเหล็กทีช
ิ
มเข็มนาฬกามี
คา่ เป็ นบวก จงคำนวณหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีป ิ้ สว่ น AB: MAB มีคา่ เท่ากับ
่ ลาย A ของชน
อยูท
่ จ
ี่ ด
ุ ไหน
ิ
มเข็มนาฬกามี
คา่ เป็ นบวก จงคำนวณหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีป ิ้ สว่ น AB: MAB มีคา่ เท่ากับเท่าใด
่ ลาย A ของชน
คาน AB จะอยูท
่ จ
ี่ ด
ุ ไหน
ะรับน้ำหนักบรรทุกทีม
่ ข
ี นาดสุทธิเท่ากัน จงกำหนดว่าข ้อความใดถูกต ้อง
ต์ดด
ั ยึดแน่นทีป
่ ลาย A ของรูป (ข) (FEMAB)
ดัดยึดแน่นทีป
่ ลาย A ของรูป (ข) (FEMAB)
ดัดยึดแน่นทีป
่ ลาย A ของรูป (ข) (FEMAB)
าวมีความสมมาตรทีก
่ งึ่ กลางของคาน BC หากต ้องการวิเคราะห์โครงสร ้างให ้รวดเร็วขึน ั ความสมมาตรเข ้าชว่ ย ดังนัน
้ โดยอาศย ้ ต ้องพิจารณา
หนักแบบปฎิสมมาตรทีก
่ งึ่ กลางของคาน BC หากต ้องการวิเคราะห์โครงสร ้างให ้รวดเร็วขึน
้ โดยอาศัยความสมมาตรเข ้าช่วย จะต ้องพิจารณาใ
as shown in figure below.
ort) จะเห็นว่าโครงสร ้างระนาบทีแ
่ สดงเป็ นแบบ
ห็นว่าโครงสร ้างระนาบทีแ
่ สดงเป็ นแบบ
ate โครงสร ้างนีม
้ ี degree of indeterminancy เท่าไร
ดตัวของท่อนเหล็ก จงหาค่าแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ A
คิดการยืดหดตัวของท่อนเหล็ก จงหาค่าแรงดึงในท่อนเหล็กนี้
คิดการยืดหดตัวของท่อนเหล็ก จงหาค่าแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ A
คิดการยืดหดตัวของท่อนเหล็ก โมเมนต์ดด
ั ทีก
่ งึ่ กลางคาน AB มีคา่ เท่ากับ
ทิศทางของโมเมนต์ทเี่ ป็ นบวก ดัดให ้คานโก่งหงาย
ิ ทิศทางของโมเมนต์ทเี่ ป็ นบวก ดัดให ้คานโก่งหงาย
นาฬ กา
วดิง่ ทีจ
่ ด
ุ A มีคา่ เป็ นศูนย์
ดังแสดงในรูป
หน่งทีน
่ ้ำหนักบรรทุกนีก
้ ระทำ
หน่งทีน
่ ้ำหนักบรรทุกนีก
้ ระทำ
และค่าโมดูลัสของการยืดหยุน
่ เป็ น 2000 ตันต่อตารางเซนติเมตร
I และค่า E คงที่
และค่า E คงที่
และค่า E คงที่
และค่า E คงที่
้าชว่ ย ดังนัน
้ ต ้องพิจารณาใชค่้ า stiffness factor สำหรับชน
ิ้ สว่ น AB (หรือ CD) และสำหรับชน
ิ้ สว่ น BC ดังนี้
ข ้อที่ 2 : จากคานต่อเนือ
่ งรับน้ำหนักตามรูป จงวิเคราะห์หาแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ รองรับ C
1 : 7.62 ตัน
2 : 10 ตัน
3 : 15.61 ตัน
4 : 2 ตัน
5 : 5.61 ตัน
ถูกต้อง 1
ข ้อที่ 3 : จงหาดีกรีอน
ิ ดีเทอร์มเิ นทของโครงสร ้างดังรูป
1:1
2:3
3:6
4:9
5 : 12
ถูกต้อง 3
ข ้อที่ 4 : ให ้หาแรงปฎิกริ ย
ิ าทีฐ
่ านรองรับของโครงข ้อหมุนทีจ
่ ด
ุ B เมือ
่ กำหนดให ้พืน
้ ทีห ้ ส่วน
่ น ้าตัดของชิน
1 : 0.33P ( Down)
2 : 0.42P ( Down)
3 : 0.17P ( Down )
4 : 0.26P ( Down )
5 : 0.55P (Down)
ถูกต้อง 3
1 : Stable, Determinate
2 : Unstable, Indeterminate, Degree of indeterminacy = 1
3 : Stable, Indeterminate, Degree of indeterminacy = 2
4 : Unstable, Indeterminate, Degree of indeterminacy = 2
5 : Stable, Indeterminate, Degree of indeterminacy = 1
ถูกต้อง 5
1 : -11.24-56X1
2 : 3.55-0.32X1
3 : 0.707+3.12X1
4 : -2.12+3.15X1
5 : 11.24-0.56X1
ถูกต้อง 5
้ ส่วน BD เมือ
ข ้อที่ 8 : ให ้คำนวณหาแรงเกิน X1 ของโครงข ้อหมุนในชิน ่ กำหนดให ้ตัวเลขทีป
่ รากฎในวงเล
1 : 0.51 ตัน( ดึง )
2 : 0.33 ตัน( ดึง )
3 : 0.43 ตัน( ดึง )
4 : 0.25 ตัน( ดึง )
5 : 0.707 ตัน( ดึง )
ถูกต้อง 4
1:
2:
3:
4:
5:
ถูกต้อง 3
ข ้อที่ 10 : ในการวิเคราะห์คานต่อเนือ
่ งโดยวิธม
ี ม ้
ุ ลาด-ความแอ่นของคานดังรูปมีความจำเป็ นต ้องใชสมก
1 : 5 สมการ
2 : 4 สมการ
3 : 3 สมการ
4 : 2 สมการ
5 : 1 สมการ
ถูกต้อง 4
1 : 2.58 T-m
2 : 3.28 T-m
3 : 4.58 T-m
4 : 5.28 T-m
5 : 6.78 T-m
ถูกต้อง 1
ข ้อที่ 12 : จงวิเคราะห์หาโมเมนต์ดด
ั ทีเ่ กิดทีจ
่ ด
ุ ต่อ C ของโครงข ้อแข็งดังรูป
1 : 10.88 T-m
2 : 13.88 T-m
3 : 16.88 T-m
4 : 17.22 T-m
5 : 24.22 T-m
ถูกต้อง 2
ข ้อที่ 13 : จงวิเคราะห์หาแรงปฏิกริ ย
ิ าในแนวนอนทีเ่ กิดทีฐ
่ านรองรับ B ของโครงข ้อแข็งดังรูป
1 : 2.72 T
2 : 3.47 T
3 : 4.22 T
4 : 4.31 T
5 : 6.54 T
ถูกต้อง 2
ข ้อที่ 14 : คานต่อเนือ
่ งดังแสดงในรูป ถ ้าวิเคราะห์โดยวิธก
ี ารกระจายโมเมนต์คา่ ตัวกระจาย CD มีคา่ เป็ น
1:0
2 : 1/2
3 : 2/5
4 : 3/5
5 : 4/5
ถูกต้อง 1
ั ประสท
ข ้อที่ 15 : โครงข ้อแข็งดังรูปถ ้าทำโดยวิธ ี การกระจายโมเมนต์ ค่าสม ิ ธิต
์ วั กระจายของปลาย DB ม
1:1
2 : 1/2
3 : 1/3
4 : 1/6
ถูกต้อง 3
ข ้อที่ 16 : ค่าโมเมนต์ดด
ั ทีป
่ ลาย AD มีคา่ เท่าใด
1 : PL/16
2 : PL/24
3 : PL/48
4 : PL/96
ถูกต้อง 4
1 : 750 Kg.
2 : 1500 Kg.
3 : 1750 Kg.
4 : 2250 Kg.
ถูกต้อง 2
1 : 8 และ 4 T-m.
2 : 10 และ 5 T-m.
3 : 12 และ 6 T-m.
4 : 14 และ 7 T-m.
ถูกต้อง 2
2:
3:
4:
ถูกต้อง 3
1:
2:
3:
4:
ถูกต้อง 4
ข ้อที่ 23 :
1:0
2 : ML/3EI
3 : ML/4EI
4 : ML/6EI
ถูกต้อง 3
ข ้อที่ 24 :
1 : เท่ากัน และเท่ากับศูนย์
2 : เท่ากัน แต่ไม่เท่ากับศูนย์
3:
4:
ถูกต้อง 2
1:0
2 : 0.75 T.m
3 : 1.5 T.m
4 : 3.75 T.m
ถูกต้อง 2
2:
3:
4:
ถูกต้อง 1
1:
2:
3:
4:
ถูกต้อง 1
2:
3:
4:
ถูกต้อง 2
1:
2:
3:
4:
ถูกต้อง 4
2:
3:
4:
ถูกต้อง 1
1:
2:
3:
4:
ถูกต้อง 1
ข ้อที่ 33 : โมเมนต์ลบทีม
่ ากทีส
่ ด
ุ ในโครงสร ้างมีคา่ เท่าใด
1:0
2:
3:
4:
ถูกต้อง 3
1 : 3.375 T
2 : 6.39 T
3 : 7.5 T
4 : 11.39 T
ถูกต้อง 4
ข ้อที่ 35 : โมเมนต์ภายในทีจ
่ ด
ุ รองรับ B มีคา่ เท่าใด
1:0
2 : 3 T.m
3 : 4.5 T.m
4 : 6 T.m
ถูกต้อง 4
1:
2:
3:
4:
ถูกต้อง 1
2:
3:
4:
ถูกต้อง 2
1 : 2 จุด
2 : 3 จุด
3 : 4 จุด
4 : 5 จุด
ถูกต้อง 2
ข ้อที่ 42 :
1 : 20 kN-m
2 : 40 kN-m
3 : 60 kN-m
4 : 80 kN-m
ถูกต้อง 1
ข ้อที่ 43 :
1 : 0.546/EI
2 : 27.21/EI
3 : -0.546/EI
4 : -27.21/EI
ถูกต้อง 3
ข ้อที่ 44 : ให ้หา แรงภายใน ของ member ทุกตัว (a, b, c , d และ e) ในโครงสร ้างต่อไปนี้
1 : 0, 28.28, 28.28, 20, -20 kN
2 : 20, 28.28, 28.28, 20, -20 kN
3 : -20, 28.28, 0, 20, -20, 56.56 kN
4 : 56.56, 28.28, -28.28, 0, -20 kN
ถูกต้อง 4
1:
2:
3:
4:
ถูกต้อง 3
ข ้อที่ 46 : คานดังรูป ถ ้าวิเคราะห์โดย Method of Slope and Deflection ค่า Boundary Condition ข ้อ
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีผ
่ ด
ิ
ถูกต้อง 2
่ ำหนดให ้ ซงึ่ ค่า EI คงทีต
ข ้อที่ 47 : จากโครงสร ้างทีก ่ ลอด แรงเฉือนมากทีส
่ ด
ุ มีคา่ เท่ากับ
1 : 2P/3
2:P
3 : 4P/3
4 : 2P
ถูกต้อง 3
1 : 2.25 ตัน-เมตร
2 : 4.50 ตัน-เมตร
3 : 6.75 ตัน-เมตร
4 : 7.50 ตัน-เมตร
ถูกต้อง 3
1 : จุดรองรับ A หรือ C
2 : จุดรองรับ B
3 : จุดใดจุดหนึง่ ระหว่างช่วง AB และ BC
4 : ไม่มข
ี ้อใดถูก
ถูกต้อง 2
ข ้อที่ 50 : คานต่อเนือ
่ ง 2 ช่วง มีหน ้าตัดคงที่ รับน้ำหนัก ดังรูป โมเมนต์ดด
ั ชนิดบวกทีม
่ ากทีส
่ ด
ุ จะอยู่
รวมคะแนน 50
ข ้อที่ 51 : คานต่อเนือ
่ ง 2 ช่วง มีหน ้าตัดคงที่ รับน้ำหนัก ดังรูป จงหาค่าแรงเฉือนมากทีส
่ ด
ุ
1 : 3wL/8
2 : wL/2
3 : 5wL/8
4 : 5wL/4
ถูกต้อง 3
1 : 6.8 ตัน-เมตร
2 : 11.2 ตัน-เมตร
3 : 15.4 ตัน-เมตร
4 : 18.0 ตัน-เมตร
ถูกต้อง 2
1 : มุมหมุนทีจ
่ ด
ุ B เท่ากับมุมหมุนทีจ
่ ด
ุ C และหมุนในทิศทางเดียวกัน
2 : มุมหมุนทีจ
่ ด
ุ B เท่ากับมุมหมุนทีจ
่ ด
ุ C แต่หมุนในทิศทางตรงกันข ้าม
3 : โครงเฟรมไม่มก
ี ารเซ และมุมหมุนทีจ
่ ด
ุ B เท่ากับทีจ
่ ด
ุ C และมีทศ
ิ ทางเดียวกัน
4 : โครงเฟรมไม่มก
ี ารเซ และมุมหมุนทีจ
่ ด
ุ B เท่ากับทีจ
่ ด
ุ C และมีทศ
ิ ทางตรงกันข ้าม
ถูกต้อง 4
ข ้อที่ 54 : มีโครงข ้อแข็ง ABCD 2 โครง คือ โครง (ก) และ (ข) ซึง่ มีขนาดและความยาวของเสาเท่ากัน
1 : 4.00 ตัน-เมตร
2 : 3.00 ตัน-เมตร
3 : 2.00 ตัน-เมตร
4 : 1.00 ตัน-เมตร
ถูกต้อง 2
ข ้อที่ 58 :
1:
2:
3:
4:
ถูกต้อง 4
ข ้อที่ 59 :
1:
2:
3:
4:
ถูกต้อง 2
ข ้อที่ 60 :
1:
2:
3:
4:
ถูกต้อง 3
1 : P/2
2 : P/3
3 : P/4
4 : P/6
1 : 2.00 ตัน
2 : 1.50 ตัน
3 : 1.00 ตัน
4 : 0.75 ตัน
1 : 1420 กก.
2 : 710 กก.
3 : 500 กก.
4 : 250 กก.
1 : 500 กก.
2 : 1000 กก.
3 : 1500 กก.
4 : 2000 กก.
ข ้อที่ 65 : โครงโค ้งครึง่ วงกลมมีหน ้าตัดคงที่ รัศมีเท่ากับ 6 เมตร รับน้ำหนัก ดังรูป จงหาแรงยันในแนวร
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 66 : ถ ้าต ้องการวิเคราะห์โครงสร ้างทีเ่ ซได ้ ดังรูป โดยวิธ ี moment distribution ในขัน
้ ตอนของกา
1 : 24 ตัน
2 : 30 ตัน
3 : 12 ตัน
4 : 18 ตัน
ข ้อที่ 68 : การวิเคราะห์โครงสร ้าง statically indeterminate แบบ force method เราอาจจะใช ้ตัวแปรใด
1 : แรงภายใน
2 : โมเมนต์ภายใน
3 : แรงปฏิกริ ย
ิ า
4 : ถูกทุกข ้
1 :1
2:2
3:3
4:4
1 : 2.0/EI
2 : 4.0/EI
3 : 6.0/EI
4 : 8.0/EI
1 : 2 kN-m
2 : 3 kN-m
3 : 4 kN-m
4 : 5 kN-m
ข ้อที่ 73 : จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ E ของคาน AB ซงึ่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ รับน้ำหนักแบบจุด P ดังรูป กำห
่ ด
1 : PL/3
2 : PL/6
3 : PL/9
4 : PL/12
ข ้อที่ 74 : จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ A ของคาน AB ซึง่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ รับน้ำหนักแบบจุด P ดังรูป กำห
่ ด
1 : 13PL/6
2 : 13PL/8
3 : 13PL/10
4 : 13PL/12
ข ้อที่ 75 : จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ B ของคาน AB ซงึ่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ รับน้ำหนักแบบจุด P ดังรูป กำห
่ ด
1 : 13PL/18
2 : 13PL/24
3 : 13PL/30
4 : 13PL/36
ข ้อที่ 76 : จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ E ของคาน AB ซึง่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ รับน้ำหนักแบบจุด P ดังรูป กำห
่ ด
1 : PL/3
2 : PL/6
3 : PL/12
4 : PL/24
ข ้อที่ 77 : จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ A ของคาน AB ซึง่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ รับน้ำหนักแบบจุด P ดังรูป กำห
่ ด
1 : 7PL/48
2 : 7PL/36
3 : 7PL/14
4 : 7PL/12
ข ้อที่ 78 : จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ E ของคาน AB ซงึ่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ รับน้ำหนักแบบจุด P ดังรูป กำห
่ ด
1 : 7PL/48
2 : 7PL/36
3 : 7PL/14
4 : 7PL/12
ข ้อที่ 79 : จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ A ของคาน AB ซงึ่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ ถ ้าปลาย A ถูกทำให ้เคลือ
่ ด ่ นลงม
1 : 16EID/11L^2
2 : 20EID/11L^2
3 : 24EID/11L^2
4 : 28EID/11L^2
ข ้อที่ 80 : จงหาค่า stiffness factor ทีจ ุ A ของคาน AB ซึง่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ กำหนดให ้ ระยะ L1 = L,
่ ด
1 : 34EI/37L
2 : 42EI/37L
3 : 56EI/37L
4 : 92EI/37L
ข ้อที่ 81 : จงหาค่า carry-over factor จากจุด B ไปยังจุด A ของคาน AB ซงึ่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ กำหนดใ
1 : 17/46
2 : 17/35
3 : 17/28
4 : 17/24
ข ้อที่ 82 : จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ A ของคาน AB ซงึ่ มีหน ้าตัดไม่คงที่ ถ ้าปลาย A ถูกทำให ้เคลือ
่ ด ่ นลงม
1 : 48EID/37L^2
2 : 42EID/37L^2
3 : 36EID/37L^2
4 : 30EID/37L^2
ข ้อที่ 83 : โครงข ้อแข็ง ABC ทำด ้วยวัสดุชนิดเดียวกัน รับน้ำหนัก ดังรูป จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ
่ ด
ุ A กำห
1 : wL^2/24
2 : wL^2/30
3 : wL^2/36
4 : wL^2/48
1 : wL^2/24
2 : wL^2/30
3 : wL^2/36
4 : wL^2/48
ข ้อที่ 85 : โครงข ้อแข็ง ABC ทำด ้วยวัสดุชนิดเดียวกัน รับน้ำหนัก ดังรูป จงหาค่า horizontal reaction ท
1 : wL/16
2 : wL/20
3 : wL/24
4 : wL/28
1 : wL^2/36
2 : wL^2/42
3 : wL^2/24
4 : wL^2/30
ข ้อที่ 87 : โครงข ้อแข็ง ABCD ทำด ้วยวัสดุชนิดเดียวกัน รับน้ำหนัก P ตรงกึง่ กลางช่วงคาน ดังรูป จงหาค
1 : PL/12
2 : PL/14
3 : PL/16
4 : PL/18
ข ้อที่ 88 : โครงข ้อแข็ง ABCD ทำด ้วยวัสดุชนิดเดียวกัน รับน้ำหนัก P ตรงกึง่ กลางชว่ งคาน ดังรูป จงหาค
1 : PL/12
2 : PL/14
3 : PL/16
4 : PL/18
ข ้อที่ 89 : โครงข ้อแข็ง ABCD ทำด ้วยวัสดุชนิดเดียวกัน รับน้ำหนัก P ตรงกึง่ กลางช่วงคาน ดังรูป จงหาค
1 : PL/12
2 : PL/18
3 : PL/24
4 : PL/36
1:
2:
3:
4:
1 : -3L/8
2 : -3L/16
3 : -3L/32
4 : -3L/48
1 : 0.124
2 : 0.248
3 : 0.496
4 : 0.744
1:0
2 : 0.02
3 : 0.14
4 : 0.06
1 : -0.15
2 : -0.30
3 : -0.60
4 : -1.20
ข ้อที่ 96 :
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 97 :
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 98 :
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 99 :
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 100 :
1:
2:
3:
4:
รวมคะแนน 10
ข ้อที่ 101 :
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 102 :
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 103 :
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1 : 31.25 kN
2 : 33.33 kN
3 : 50.00 kN
4 : 68.75 kN
1 : 15/16 kN
2 : 110/16 kN
3 : 150/16 kN
4 : 650/16 kN
1:
2:
3:
4:
5:
ข ้อที่ 113 : ภาพใดเป็ นอินฟลูเอนซ์ไลน์ของแรงปฏิกริยา A
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1:
2:
3:
4:
5:
1:
2:
3:
4:
5:
ข ้อที่ 116 : ตามหลักการ Muller-Breslau แผนภาพ Influence line ของคาน statically indeterminate
1 : shear diagram
2 : moment diagram
3 : normal force diagram
4 : deflection diagram
1 : 0.68 kN
2 : -0.68 kN
3 : 0.94 kN
4 : -0.94 kN
1 : 3.8 kN
2 : 3.9 kN
3 : 4.0 kN
4 : 4.1 kN
1 : 1.9L kN-m
2 : 2.0L kN-m
3 : 2.1L kN-m
4 : 2.2L kN-m
1:
2:
3:
4:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1 : 40.6 kN
2 : 20.3 kN
3 : 50 kN
4 : 60.9 kN
1 : -11/6
2 : 5/8
3 : 1/2
4 : 11/16
1:
2:
3:
4:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 130 :
ถ ้าพบว่าค่าขนาดของพิกด
ั ทีจ
่ ด
ุ F ของแผนภาพ influence line ของโมเมนต์ทจ
ี่ ด
ุ E มีคา่ เท่ากับ 0.052
1 : -52 kN
2 : 52 kN
3 : 104 kN
4 : -104 kN
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
1:
2:
3:
4:
่ สดงซงึ่ รับน้ำหนักแบบจุดทีก
ข ้อที่ 136 : จงวิเคราะห์หาน้ำหนักบรรทุกประลัยของคานทีแ ่ งึ่ กลางชว่ งคาน
1 : 2Mp/L
2 : 3Mp/L
3 : 4Mp/L
4 : 6Mp/L
5 : 9Mp/L
ข ้อที่ 137 : คานชว่ งเดียวธรรมดา ABC ซงึ่ มีรป
ู ตัดสเี่ หลีย
่ มผืนผ ้าขนาด b x h คงทีต
่ ลอดความยาวดังแส
1 : 4My/L
2 : 8My/L
3 : 4Mp/L
4 : 8Mp/L
5 : 8Mp/27
1 : MP/L
2 : 2MP/L
3 : 3MP/L
4 : 4MP/L
1 : A และ C
2 : A ,C และ D
3 : A , B, C และ D
4 : เฉพาะ A และ B
ข ้อที่ 141 : โครงสร ้างดังรูป ต ้องการจำนวนของ plastic hinge เท่าไรจึงทำให ้โครงสร ้างไม่เสถียรภาพ
1:2
2:3
3:4
4:5
ข ้อที่ 143 :
1:
2:
3:
4:
1:A
2:B
3:C
4 : A และ C
1:1
2:2
3:3
4:4
1:1
2:2
3:3
4:4
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 150 : ข ้อใดกล่าวไม่ถก
ู ต ้อง เกีย
่ วกับค่าตัวประกอบรูปทรง (Shape Factor)
1 : Shape Factor = Z / S
2:
รวมคะแนน 0
1 : 1 จุด
2 : 2 จุด
3 : 3 จุด
4 : 4 จุด
1:
2:
3:
4:
ู ตัดตันสีเ่ หลีย
ข ้อที่ 153 : คานเหล็กมีรป ่ มผืนผ ้าดังแสดง ถ ้าคานนีม
้ ก
ี ำลังจุดครากเท่ากับ fy กก./ซม.2 จ
1 : Mp = fybh^2/6, shape factor = 1.50
2 : Mp = fybh^2/4, shape factor = 1.70
3 : Mp = fybh^2/6, shape factor = 1.70
4 : Mp = fybh^2/4, shape factor = 1.50
ู ตัดตันสีเ่ หลีย
ข ้อที่ 154 : คานเหล็กมีรป ่ มขนมเปี ยกปูนดังแสดง คานนีม
้ โี มดูลัสพลาสติก
ข ้อที่ 155 : คานเหล็กรูปพรรณมีปลายสองข ้างเป็ นแบบยึดแน่น (fixed end) ยาวทัง้ หมดเท่ากับ L รับน้ำ
1 : B --> A --> C
2 : B --> C --> A
3 : A --> B --> C
4 : A --> C --> B
1 : 1 จุด
2 : 2 จุด
3 : 3 จุด
4 : 4 จุด
1 : 1 แบบ
2 : 2 แบบ
3 : 3 แบบ
4 : 4 แบบ
1 : 1 จุด
2 : 2 จุด
3 : 3 จุด
4 : 4 จุด
1 : 1 แบบ
2 : 2 แบบ
3 : 3 แบบ
4 : 4 แบบ
1 : 1 จุด
2 : 2 จุด
3 : 3 จุด
4 : 4 จุด
1 : 1 แบบ
2 : 2 แบบ
3 : 3 แบบ
4 : 4 แบบ
1 : 1 จุด
2 : 2 จุด
3 : 3 จุด
4 : 4 จุด
1 : 1 แบบ
2 : 2 แบบ
3 : 3 แบบ
4 : 4 แบบ
1 : 3MP/4L
2 : 18MP/5L
3 : 3MP/2L
4 : 7MP/4L
1:a
2:b
3 : a และ b
4 : พร ้อมกันทุกจุด
1 : จุดเดียวคือจุด a
2 : จุดเดียวคือจุด b
3 : สองจุด โดยเริม
่ จาก a ก่อนและตามด ้วย b
4 : สองจุด โดยเริม
่ จาก b ก่อนและตามด ้วย
ข ้อที่ 169 : คานช่วงเดีย
่ ว AC ทีม
่ ป
ี ลายยึดแผ่นทัง้ สองข ้าง กำหนดให ้คานมีกำลังดัดเท่ากับ Mp และมีแ
1 : 5 MP/L
2 : 6 MP/L
3 : 9 MP/L
4 : 8 MP/L
1 : MP /L
2 : 2MP /L
3 : 3MP /L
4 : 5MP /L
1:3
2:2
3:1
4:4
ข ้อที่ 172 : โครงข ้อแข็งดังรูป มีแรง P กระทำทีจ
่ ด
ุ B และ 0.5Pกระทำทีจ
่ ด
ุ C กำหนดหน ้าตัดคานมีกำล
1 : 3 Mp/L
2 : Mp/L
3 : 1.5 Mp/L
4 : 2 Mp/L
ิ้ สว่ นทีม
ข ้อที่ 173 : ชน ่ ห ้ แ
ี น ้าตัดดังแสดงในรูป ต ้องรับ pure bending โดย X-X คือแนวเสนที ่ บ่ง tensio
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีใ่ ห ้ค่าทีถ
่ ก
ู ต ้อง
1 : 1.5 เท่า
2 : 2 เท่า
3 : 3 เท่า
4 : 4 เท่า
1 : 1.5 เท่า
2 : 2 เท่า
3 : 3 เท่า
4 : 4 เท่า
1 : 1.5 เท่า
2 : 2 เท่า
3 : 3 เท่า
4 : 4 เท่า
1 : 1.5 เท่า
2 : 2 เท่า
3 : 3 เท่า
4 : 4 เท่า
1:0
2 : P/2
3:P
4 : 2P
1:0
2 : P/2
3:P
4 : 2P
ข ้อที่ 188 : จากรูป ถ ้าใช ้ portal method วิเคราะห์โครงข ้อแข็ง ซึง่ มีคา่ EI คงทีท
่ ก ้ ส่วน โมเมนต์สงู
ุ ชิน
1 : Ph
2 : Ph/2
3 : Ph/3
4 : Ph/4
ข ้อที่ 189 : จากรูป ถ ้าใช ้ approximate analysis วิเคราะห์โครงข ้อแข็ง ซงึ่ มีคา่ EI คงทีท
่ ก ิ้ สว่ น สมก
ุ ชน
1 : Ph
2 : Ph/2
3 : Ph/3
4 : Ph/4
ข ้อที่ 190 : จากรูป จงใช ้วิธ ี portal วิเคราะห์โครงข ้อแข็ง ซึง่ มีคา่ EI คงทีท
่ ก ้ ส่วน ในการหาค่าแรงปฏ
ุ ชิน
1 : 5 kN
2 : 10 kN
3 : 5 kN, 2.25 kN-m
4 : 10 kN, 2.25 kN-m
ข ้อที่ 191 : จากรูป จงใชวิ้ ธ ี portal วิเคราะห์โครงข ้อแข็ง ซงึ่ มีคา่ EI คงทีท
่ ก ิ้ สว่ น ในการหาค่าแรงปฏ
ุ ชน
1 : 5 kN
2 : 10 kN
3 : 5 kN, 2.25 kN-m
4 : 10 kN, 2.25 kN-m
1:6
2:9
3 : 10
4 : 12
ข ้อที่ 194 : จากรูป ถ ้าใช ้ approximate analysis วิเคราะห์โครงข ้อแข็ง ซงึ่ มีคา่ EI คงทีท
่ ก ิ้ สว่ น โมเ
ุ ชน
1 : จุด A และ D
2 : จุด B และ C
3 : จุด A
4 : จุด A B C และ D
ข ้อที่ 195 : จากรูป ถ ้าใช ้ approximate analysis วิเคราะห์โครงข ้อแข็ง ซึง่ มีคา่ EI คงทีท
่ ก ้ ส่วน โมเ
ุ ชิน
1 : Ph/2 ทีจ
่ ด
ุ B
2 : Ph/2 ทีจ
่ ด
ุ B และจุด C
3 : Ph/4 ทีจ
่ ด
ุ B
4 : Ph/4 ทีจ
่ ด
ุ B และจุด C
5 : Ph/3 ทีจ
่ ด
ุ B
ข ้อที่ 196 : จากรูป จงใช ้วิธ ี portal วิเคราะห์โครงข ้อแข็ง ซึง่ มีคา่ EI คงทีท
่ ก ้ ส่วน จากนัน
ุ ชิน ้ จงหาอัตรา
1 : 1.5
2 : 2.0
3 : 2.5
4 : 3.0
ข ้อที่ 197 : จากรูป จงใชวิ้ ธ ี portal วิเคราะห์โครงข ้อแข็ง ซงึ่ มีคา่ EI คงทีท
่ ก ิ้ สว่ น จงหาอัตราสว่ นขอ
ุ ชน
1 : 0.5
2 : 0.75
3 : 1.25
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้อง
1:6
2:9
3 : 10
4 : 12
ข ้อที่ 199 : จากการวิเคราะห์โครงสร ้างทีแ
่ สดงในรูปโดยวิธ ี portal method, เสาทีม
่ ค
ี า่ โมเมนต์ดด
ั สูงสุด
1 : เสา ED รับโมเมนต์ดด
ั สูงสุดเท่ากับ 18 kN-m
2 : เสา EF รับโมเมนต์ดด
ั สูงสุดเท่ากับ 24 kN-m
3 : เสา AB รับโมเมนต์ดด
ั สูงสุดเท่ากับ 28 kN-m
4 : เสา HJ รับโมเมนต์ดด
ั สูงสุดเท่ากับ 24 kN-m
1 : คาน BE รับโมเมนต์ดด
ั สูงสุดเท่ากับ 16 kN-m
2 : คาน FJ รับโมเมนต์ดด
ั สูงสุดเท่ากับ 18 kN-m
3 : คาน EH รับโมเมนต์ดด
ั สูงสุดเท่ากับ 24 kN-m
4 : คาน BE รับโมเมนต์ดด
ั สูงสุดเท่ากับ 20 kN-m
รวมคะแนน 0
1 : 0.25P
2 : 0.5P
3:P
4 : 2P
1:0
2 : 0.2P
3 : 0.4P
4 : 0.5P
1:8
2 : 10
3 : 12
4 : 14
ข ้อที่ 206 : ในวิชา Structural Analysis โครงข ้อแข็ง (rigid frame) ทีอ
่ ยูใ่ น 3 มิต ิ แต่ละ node ของโค
1:2
2:3
3:4
4:5
5:6
ข ้อที่ 208 : ข ้อใดต่อไปนีถ ู นำมาใช ้ในการหา member global stiffness matrix [k] ในวิธ ี matrix dis
้ ก
1 : equilibrium equation, compatibility condition, และ consistent deformation
2 : equilibrium equation, compatibility condition, และ force-displacement relationship
3 : equilibrium equation, consistent deformation, และ force-displacement relationship
4 : compatibility condition, force-displacement relationship, และ consistent deformation
1 : 4x4
2 : 6x6
3 : 8x8
4 : 10x10
ข ้อที่ 210 : จากรูป ในการวิเคราะห์โครงข ้อหมุนโดยวิธ ี matrix displacement method นัน
้ เราจะต ้องท
1 : 2x2
2 : 3x3
3 : 4x4
4 : 5x5
1 : 3x3
2 : 4x4
3 : 6x6
4 : 9x9
1 : 4x4
2 : 6x6
3 : 8x8
4 : 10x10
1 : Statically Determinate
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1:2
2:4
3:8
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1:8
2 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
3:2
4:4
ข ้อที่ 217 :
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1 : [-2 2 -2 0 0 0]
2 : [6 -3 3 -1.5 1.5 0]
3 : [56.2 72.4 -72.4 -64.0 64.0 0]
4 : [-39.6 -20.4 20.4 30.0 30.0 0]
ข ้อที่ 220 :
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1:2
2:3
3 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
4:1
ข ้อที่ 222 :
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
ข ้อที่ 224 :
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1:1
2:2
3:3
4 : ไม่มข
ี ้อใดถูกต ้อง
ข ้อที่ 226 :
1:
2:
3:
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
ข ้อที่ 227 : ในวิชา Structural Analysis โครงข ้อแข็ง (rigid frame) ทีอ ิ้ สว่ นโครงข ้อ
่ ยูใ่ น 3 มิต ิ หนึง่ ชน
1:3
2:6
3:9
4 : 12
1:2
2:3
3:4
4:5
1 : 2x2
2 : 6x6
3 : 8x8
4 : 10x10
1 : 3x3
2 : 4x4
3 : 5x5
4 : 6x6
1 : 3x3
2 : 4x4
3 : 6x6
4 : 9x9
1 : 2x2
2 : 3x3
3 : 4x4
4 : 6x6
5 : 9x9
ข ้อที่ 234 : จงหา DOF ของโครงข ้อแข็งในกรณีทวี่ เิ คราะห์ตามวิธ ี matrix stiffness method
1 : 10
2:8
3:3
4:6
1 : 3284.32
2 : 4284.32
3 : 1284.32
4 : 9548.32
1 : 954.24
2 : -954.24
3 : 1954.24
4 : -1954.24
1 : 3.333EI
2 : 4.333EI
3 : 5.333EI
4 : 6.333EI
1 : EI/2
2 : EI
3 : 2EI
4:0
ข ้อที่ 242 : ข ้อความใดถูกต ้องสำหรับการใชวิ้ ธ ี Matrix Displacement Method กับ Matrix Force Meth
1 : ไม่จำเป็ นต ้อง inverse metrix สำหรับการวิเคราะห์ด ้วย Matrix Force Method
2 : ต ้อง inverse matrix ขนาด 3x3 ถ ้าใช ้วิธ ี Matrix Displacement Method
3 : ต ้อง inverse matrix ขนาด 3x3 ถ ้าใช ้วิธ ี Matrix ขนาด 3x3 ถ ้าใช ้วิธ ี Matrix Force Method
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้อ
1 : 6x6
2 : 4x4
3 : 5x5
4 : 3x3
1:1
2:2
3:3
4:4
1 : 2707
2 : 4707
3 : 1707
4 : 3707
EA = 8000
L=4
1:0
2 : -2000
3 : -4000
4 : 4000
รวมคะแนน 0
รวมคะแนน 0
ตำแหน่ง(Displacment Method)
ให ้พืน
้ ทีห ้ ส่วนมีขนาดเท่ากับ a และทำจากวัสดุเดียวกันทุกชิน
่ น ้าตัดของชิน ้ ส่วน
นดให ้ตัวเลขทีป
่ รากฎในวงเล็บคือพืน
้ ทีห ้ ส่วน
่ น ้าตัดของชิน
้
ปมีความจำเป็ นต ้องใชสมการสมดู
ลทีจ
่ ด
ุ ต่อทัง้ หมดกีส
่ มการ
ห์หาโมเมนต์ดด
ั ทีเ่ กิดขึน
้ ทีฐ
่ านรองรับ D
ครงข ้อแข็งดังรูป
ดแน่นทีฐ
่ านรองรับ A
ะห์โครงสร ้างแบบ Moment Distribution
ทีจ
่ ด
ุ A กำหนดให ้ w = 1.0 ตัน/เมตร P = 2 ตัน L = 6 เมตร
ดชนิดลบทีม
่ ากทีส
่ ด
ุ จะอยูท
่ ี่
นิดบวกทีม
่ ากทีส
่ ด
ุ จะอยู่
ฉือนมากทีส
่ ด
ุ
จงหาค่าโมเมนต์ดด
ั ชนิดบวกทีม
่ ากทีส ุ ในชว่ ง AB
่ ด
มาตรและรับน้ำหนักทีส
่ มมาตรด ้วย ดังนัน
้ จงเลือกคำตอบทีถ
่ ก
ู ต ้องทีส
่ ด
ุ
้
ction ต ้องใชสมการสมดุ
ลทัง้ หมด คือ
คงที่ จะพบว่าจุด B เคลือ
่ นทีไ่ ปทางขวามือในแนวระดับเป็ นระยะเท่ากับ 25PL/24AE จงหาค่าแรงยันในแนวระดับเพือ
่ มิให ้จุด B เคลือ
่ นที่
นแนวระดับทีจ
่ ด ิ้ สว่ นมีคา่ L/AE คงที่
ุ B สมมติให ้ทุกชน
640 กก. ทีจ
่ ด
ุ E ดังรูป เมือ ้ ส่วนมีคา่ L/AE คงที่ (หน่วยเป็ น ซม./กก
่ พิจารณาให ้แรงดึงในท่อนเหล็กเป็ นตัว redundant และสมมติให ้ทุกชิน
ดังรูป จงหาแรงยันในแนวระดับทีจ
่ ด
ุ A หรือทีจ
่ ด
ุ B
ribution ในขัน
้ ตอนของการบังคับมิให ้จุดต่อเคลือ
่ นที่ จะพิจารณาว่าโครงสร ้างนีถ
้ ก
ู ยันด ้วยแรงในแนวนอนตรงจุด C ดังนัน
้ ให ้หาค่าแรงยันน
้
ธี slope-deflection จะต ้องใชสมการสมดุ
ล ดังนี้
thod เราอาจจะใช ้ตัวแปรใดต่อไปนีเ้ ป็ นตัวแปรทีไ่ ม่ทราบค่าหรือแรงเกินจำเป็ น (redundant)?
นทีป
่ ลายทัง้ สองด ้านและถูกกระทำโดยแรงกระจายสม่ำเสมอตลอดความยาวคาน จงหาสมการทีแ
่ สดงขนาดของโมเมนต์ดด
ั ทีเ่ กิดขึน
้ ทีป
่ ลา
รงกระจายแบบสม่ำเสมอขนาด 6 kN/m ในชว่ ง BC และมีแผนภาพ moment diagram ดังแสดง จงหา rotation ทีเ่ กิดขึน
้ ทีจ
่ ด
ุ B
moment distribution เมือ
่ โครงข ้อแข็งมี EI คงทีแ ิ้ สว่ นและถูกกระทำโดยโมเมนต์ 6 kN-m ทีจ
่ ละค่าความยาว L เท่ากันทุกชน ่ ด
ุ D
าค่าโมเมนต์ดด
ั ทีจ
่ ด
ุ B กำหนดให ้ I1 = 2I2 และให ้ L1 = L2 = L
น่วยคงทีก
่ ระทำทีร่ ะยะ x = 2.00 m. (ห่างจาก A)
ทำทีร่ ะยะ x = 2.00 m. (ห่างจาก A )
ทุกจรทีม
่ ก
ี ารกระจายคงที่ (uniformly distributed live load) ทีท
่ ำให ้เกิดค่าสูงสุดของแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ E
ทุกจรทีม
่ ก
ี ารกระจายคงที่ (uniformly distributed live load) ทีท
่ ำให ้เกิดค่าสูงสุดของโมเมนต์ดด
ั ทีจ
่ ด
ุ C
ทุกจรทีม
่ ก
ี ารกระจายคงที่ (uniformly distributed live load) ทีท
่ ำให ้เกิดค่าสูงสุดของโมเมนต์ดด
ั ทีจ ุ กึง่ กลางของชว่ งคาน DE
่ ด
าน statically indeterminate เพือ
่ หาค่าสูงสุดของแรงและโมเมนต์ตา่ งๆ ทีจ
่ ด
ุ ใดจุดหนึง่ บนคาน
าทีจ
่ ด
ุ B ของคานดังทีแ
่ สดงในรูปมีคา่ 11/16 แล ้ว จงหาค่าแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ B เนือ
่ งจากแรงกระทำขนาด 100 kN ทีจ
่ ด
ุ D
าทีจ
่ ด
ุ B ของคานดังทีแ
่ สดงในรูปมีคา่ 11/16 แล ้ว จงหาค่าแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ A เนือ
่ งจากแรงกระทำขนาด 100 kN ทีจ
่ ด
ุ D
าทีจ
่ ด
ุ B ของคานดังทีแ
่ สดงในรูปมีคา่ 11/16 แล ้ว จงหาค่าแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ C เนือ
่ งจากแรงกระทำขนาด 100 kN ทีจ
่ ด
ุ D
จุด C เมือ
่ คานต่อเนือ
่ งรับน้ำหนักหนึง่ หน่วยเคลือ
่ นจากจุด A ไป E ดังแสดงในรู
พือ
่ ให ้เกิดโมเมนต์ลบสูงสุดในคานทีต
่ ำแหน่งฐานรองรับ B พิจารณาโครงสร ้างตามรูปประกอบ
งคานแล ้ว เราจะหาค่าแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ A เนือ
่ งจากแรงกระทำแบบกระจายสม่ำเสมอ w kN/m ตลอดความยาวของคานได ้จากข ้อใด
ด C ของคานแล ้ว ค่าแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ C เนือ
่ งจากแรง 10 kN กระทำทีจ ุ D มีคา่ เท่าใด (คำตอบใช ้เลขนัยสำคัญ 2 หลัก)
่ ด
ด C ของคานแล ้ว ค่าแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ A เนือ
่ งจากแรง 10 kN กระทำทีจ
่ ด ้
ุ D มีคา่ เท่าใด (คำตอบใชเลขนั ยสำคัญ 2 หลัก)
ด C ของคานแล ้ว ค่าโมเมนต์ทจ
ี่ ด
ุ D เนือ
่ งจากแรง 10 kN กระทำทีจ ุ D มีคา่ เท่าใด (คำตอบใช ้เลขนัยสำคัญ 2 หลัก)
่ ด
+) มีคา่ สูงสุด
าทีจ
่ ด
ุ A ของคานดังแสดงในรูปมีคา่ 0.406 แล ้ว จงหาค่าแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ A เนือ
่ งจากแรงกระทำขนาด 50 kN ทีจ
่ ด
ุ D
ห ้โครงสร ้างไม่เสถียรภาพ
P มีคา่ เพิม
่ ขึน
้ อย่างต่อเนือ
่ งจนทำให ้เกิด plastic hinge
ถ ้ากำลังดัดขององค์อาคารเท่ากับ Mp
าจำนวนรูปแบบการวิบต
ั แ
ิ บบพลาสติกของโครงสร ้างนี้
C กำหนดหน ้าตัดคานมีกำลังดัด Mp จงหาแรง P ทีท
่ ำให ้โครงสร ้างวิบต
ั แ
ิ บบพลาสติก
้ แ
X คือแนวเสนที ่ บ่ง tension-compression zone ของหน ้าตัดขณะยังอยูใ่ นชว่ ง linear elastic ถ ้าเพิม
่ โมเมนต์ดด
ั ให ้มากขึน
้ จนหน ้าตัดอยูใ่
นต์พลาสติกของคานจะมีคา่ เพิม
่ ขึน
้ กีเ่ ท่า หากวัสดุมก
ี ำลัง fy เพิม
่ ขึน
้ 2 เท่า
กบรรทุกประลัยของคาน Pc ตามวิธพ
ี ลาสติกจะมีคา่ เพิม
่ ขึน
้ กีเ่ ท่า หากคานมีความกว ้างเพิม
่ ขึน
้ เป็ น 2 เท่า (2b)
กบรรทุกประลัยของคาน Pc ตามวิธพ
ี ลาสติกจะมีคา่ เพิม
่ ขึน
้ กีเ่ ท่า หากคานมีความลึกเพิม
่ ขึน
้ เป็ น 2 เท่า (2h)
กบรรทุกประลัยของคาน Pc ตามวิธพ
ี ลาสติกจะมีคา่ ลดลงกีเ่ ท่า หากคานมีความยาวเพิม
่ ขึน
้ เป็ น 2 เท่า (2L)
ดสีเ่ หลีย
่ มผืนผ ้า
โมเมนต์ดด
ั ทีก
่ งึ่ กลางความสูงของเสา AB และ CD เท่าใด
ฉือนทีก
่ งึ่ กลางความสูงของเสา AB และ CD มีคา่ เท่าใด
นต์ดด
ั ทีเ่ กิดทีจ
่ ด
ุ ต่อ B และ C มีคา่ เท่าใด
าณโดยวิธ ี Portal
คงทีท
่ ก ้ ส่วน โมเมนต์สงู สุดทีเ่ กิดขึน
ุ ชิน ้ บนโครงข ้อแข็งอยูใ่ นรูปใด
ค่า EI คงทีท
่ ก ิ้ สว่ น สมการโมเมนต์สงู สุดทีเ่ กิดขึน
ุ ชน ้ บนโครงข ้อแข็งอยูใ่ นรูปใด
้ ส่วน ในการหาค่าแรงปฏิกริ ย
กชิน ิ าทีจ
่ ด
ุ รองรับ C
ิ้ สว่ น ในการหาค่าแรงปฏิกริ ย
กชน ิ าทีจ
่ ด
ุ รองรับ A
ิ้ สว่ น ดังรูป เราจะต ้องสมมติเงือ
ทุกชน ่ นไขชว่ ยในการวิเคราะห์เพือ
่ ทำโครงข ้อแข็งให ้เป็ นโครงสร ้าง statically determinate กีข
่ ้อ
ค่า EI คงทีท
่ ก ้ ส่วน โมเมนต์สงู สุดจะเกิดขึน
ุ ชิน ้ บนโครงข ้อแข็งทีจ
่ ด
ุ ใด และอยูใ่ นรูปใด
้ ส่วน จากนัน
กชิน ้ จงหาอัตราส่วนแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ รองรับ C ต่อแรงปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ รองรับ
ิ้ สว่ น จงหาอัตราสว่ นของโมเมนต์ปฏิกริ ย
กชน ิ าทีจ
่ ด
ุ รองรับ C ต่อโมเมนต์ปฏิกริ ย
ิ าทีจ
่ ด
ุ รองรับ A
, คานทีม
่ ค
ี า่ โมเมนต์ดด
ั สูงสุด คือ
) โดยวิธพ
ี อร์ทอลของโครงข ้อแข็งดังแสดงในรูป จะได ้ค่าแรงเฉือนทีก ิ้ สว่ น CE และ DF เท่ากับ
่ งึ่ กลางช น
แรงตามแนวแกนในเสา CD เท่าใด
แรงตามแนวแกนในเสาเหนือฐานรองรับ C เท่าใด
นอกหลายจุด
roperty ใดทีแ ิ้ สว่ น (Element Stiffness)
่ ปรผกผันกับความแข็งแรงของชน
ment relationship
ment relationship
sistent deformation
nt method นัน
้ global structure stiffness matrix [K] ของโครงข ้อหมุนจะมีขนาดเท่าใด
nt method นัน
้ เราจะต ้องทำการ inverse matrix ขนาดเท่าใด เพือ
่ ให ้ได ้ค่าการเปลีย
่ นตำแหน่งที่ node ของโครงข ้อหมุน
t method นัน
้ global structure stiffness matrix ของโครงข ้อแข็งจะมีขนาดเท่าใด
t method นัน
้ เราจะต ้องทำการ inverse matrix ขนาดเท่าใด เพือ
่ ให ้ได ้ค่าการเปลีย
่ นตำแหน่งที่ node ของโครงข ้อแข็งทีไ่ ม่ทราบค่า
งระบบเท่าใด
displacement degree of freedom ของระบบมีคา่ เท่าใด
ement ในโครงสร ้างต่อไปนี้ ให ้ตอบอยูใ่ นรูป
มีจำนวน displacement degree of freedom ของระบบมีคา่ เท่าใด
มีจำนวน displacement degree of freedom ของระบบมีคา่ เท่าใด
ิ้ สว่ นโครงข ้อแข็งจะมีจำนวน degree of freedoms ได ้มากทีส
3 มิต ิ หนึง่ ชน ่ ด
ุ กีค
่ า่
od นัน
้ global structure stiffness matrix [K] ของคานจะมีขนาดเท่าใด
nt method นัน
้ เราจะต ้องทำการ inverse matrix ขนาดเท่าใด เพือ
่ ให ้ได ้ค่าการเปลีย
่ นตำแหน่งที่ node ของโครงข ้อหมุน
t method นัน
้ global structure stiffness matrix ของโครงข ้อแข็งจะมีขนาดเท่าใด
t method นัน
้ เราจะต ้องทำการ inverse matrix ขนาดเท่าใด เพือ
่ ให ้ได ้ค่าการเปลีย
่ นตำแหน่งที่ node ของโครงข ้อแข็งทีไ่ ม่ทราบค่า
iffness method
A = 800 cm1
I = 105 cm4
E = 2x106 kg/cm2
oefficient Kij
coefficient Fij
ลักการดังกล่าว
มีโมเมนต์อน
ิ เนอร์เชียน ้อยกว่าคานในโครง (ข) ดังนัน
้ จะพบว่า
บเพือ
่ มิให ้จุด B เคลือ
่ นที่
คงที่ (หน่วยเป็ น ซม./กก.) จะพบว่าระยะเคลือ
่ นทีส ั พัทธ์ของท่อนเหล็กมีคา่ เท่ากับ 45500L/9AE ซม. จงหาค่าแรงดึงในท่อนเหล็กนีเ้ พือ
่ ม ่
C ดังนัน
้ ให ้หาค่าแรงยันนี้
โมเมนต์ดด
ั ทีเ่ กิดขึน
้ ทีป
่ ลายคานโดยวิธ ี Slope-deflection ว่าอยูใ่ นรูปใด
ทีเ่ กิดขึน
้ ทีจ
่ ด
ุ B
6 kN-m ทีจ
่ ด
ุ D
2 = L, I1 = I, I2 = 2I และค่า E คงที่
2 = 2L, I1 = I, I2 = 2I และค่า E คงที่
องชว่ งคาน DE
องคานได ้จากข ้อใด
น้ำหนักบรรทุกประลัยแบบจุด
hape factor โดยที่ My หมายถึงกำลังต ้านทานโมเมนต์ดด
ั ทีจ
่ ด
ุ คราก
บ Mp จงลำดับการเกิด plastic hinge ของคานทีก
่ อ
่ ให ้เกิดกลไกวิบต
ั ิ (mechanism) ของคาน
หน่งทีน
่ ้ำหนักบรรทุกนีก
้ ระทำ
ติแบบพลาสติก
ดให ้มากขึน ้ แ
้ จนหน ้าตัดอยูใ่ นสภาวะ fully plastic ตำแหน่งของแนวเสนที ่ บ่ง tension-compression zone ของหน ้าตัด จะเป็ นดังนี้
es จะเกิดขึน
้ ที่ B, D, A ตามลำดับ จงหาขนาดของแรงปฏิกริ ย
ิ าแนวดิง่ ที่ B ขณะที่ plastic hinge ได ้เริม
่ เกิดขึน
้ ที่ D (Fig.b)
erminate กีข
่ ้อ
้
ข ้อที่ 3 : เหล็กข ้ออ ้อย ทีใ่ ชในประเทศไทย จะมีคณ
ุ สมบัตด
ิ ก
ี ว่าเหล็กกลมอย่างไร
1 : รับแรงดึงได ้มากกว่า
2 : มีแรงยึดเกาะดีกว่า
3 : ทัง้ รับแรงดึงและมีแรงยึดเกาะได ้ดีกว่า
4 : ราคาถูกกว่า
ข ้อที่ 4 : คานยืน
่ cantilever beam เหล็กเสริมทีอ ่ ำคัญทีส
่ ยูใ่ นคาน เหล็กใดเป็ นเหล็กเสริมทีส ่ ด
ุ
1 : เหล็กเสริมด ้านล่างสุดของคาน
2 : เหล็กเสริมด ้านกลางของคาน
3 : เหล็กเสริมด ้านบนคาน
4 : เหล็กคอม ้า
ข ้อที่ 9 : พืน
้ คสล. กว ้าง 3.00 ม. ยาว 5.00 ม. รับน้ำหนักจร 350 กก./ตร.ม. หนา 0.15 ม
1 : 710 กก./ม.
2 : 937.2 กก./ม.
3 : 1420 กก./ม.
4 : 1775 กก./ม.
ข ้อที่ 10 : พืน
้ คสล. กว ้าง 3.00 ม. ยาว 5.00 ม. รับน้ำหนักจร 350 กก./ตร.ม. หนา 0.15
1 : 1450 กก./ม.
2 : 1775 กก./ม.
3 : 1099 กก./ม.
4 : 1237.2 กก./ม.
ข ้อที่ 16 : ฐานรากเดีย
่ ว (Isolated Footing) มีความลึกประสิทธิผลเท่ากับ d จะเกิดการวิบต
ั เิ นือ
่ งจากแร
1 : บริเวณขอบเสาตอม่อ
2 : ทีร่ ะยะ d/4 จากขอบเสาตอม่อ
3 : ทีร่ ะยะ d/2 จากขอบเสาตอม่อ
4 : ทีร่ ะยะ d จากขอบเสาตอม่อ
ข ้อที่ 18 : การจัดน้ำหนักบรรทุกจรในคานต่อเนือ
่ ง 3 ช่วงเท่าๆกัน และมีน้ำหนักบรรทุกคงทีข
่ องคานเท่าก
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 19 : การจัดน้ำหนักบรรทุกจรในคานต่อเนือ
่ งทีม
่ ค
ี วามยาวช่วงเท่ากัน และมีน้ำหนักบรรทุกจรคงทีเ่ ท
1:
2:
3:
4:
ี น่วยแรงใชง้
ข ้อที่ 20 : คอนกรีตของคานขนาด 0.20 x 0.50 เมตร สามารถรับแรงเฉือนได ้เท่าใดตามวิธห
1 : 2043 kg
2 : 4043 kg
3 : 11084 kg
4 : 18404 kg
ู ตัดสีเ่ หลีย
ข ้อที่ 47 : คานช่วงเดียว มีรป ่ มผืนผ ้าขนาด 0.40x0.60 ม. เสริมเหล็กรับแรงดึงทีร่ ะยะ
1 : 6 มม. @ 7.00 ซม.
2 : 6 มม. @ 10.0 ซม.
3 : 12 มม. @ 20.0 ซม.
4 : 12 มม. @ 27.5 ซม.
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 51 : คานยืน
่ ตัวหนึง่ ต ้องเสริมเหล็ก RB 25 มม. (As = 4.91 ซม.^2) จำนวนหนึง่ เพือ
่ รับโมเมนต์ดด
ั
1 : 70 ซม.
2 : 80 ซม.
3 : 90 ซม.
4 : 100 ซม.
ข ้อที่ 57 : คานกลวงมีขนาดกว ้าง 30 ซม. ลึก 40 ซม. ผนังด ้านข ้างหนา 10 ซม. ผนังด ้านบนและด ้านล่า
1 : 150 กก.-เมตร
2 : 300 กก.-เมตร
3 : 360 กก.-เมตร
4 : 660 กก.-เมตร
ข ้อที่ 58 : คานกลวงมีขนาดกว ้าง 30 ซม. ลึก 40 ซม. ผนังด ้านข ้างหนา 10 ซม. ผนังด ้านบนและด ้านล่า
1 : 1460 กก.-เมตร
2 : 1560 กก.-เมตร
3 : 1660 กก.-เมตร
4 : 1760 กก.-เมตร
ข ้อที่ 59 : คานกลวงมีขนาดกว ้าง 30 ซม. ลึก 40 ซม. ผนังด ้านข ้างหนา 10 ซม. ผนังด ้านบนและด ้านล่า
1 : 660 กก.-เมตร
2 : 780 กก.-เมตร
3 : 930 กก.-เมตร
4 : 1080 กก.-เมตร
่ วรูปตัดตันสีเ่ หลีย
ข ้อที่ 61 : คานช่วงเดีย ่ มผืนผ ้า ขนาด 0.25 x 0.60 เมตร ระยะ d = 50 ซม
1 : น ้อยกว่าหน่วยแรงเฉือนทีย ่ อมให ้ของคอนกรีต
2 : เท่ากับหน่วยแรงเฉือนทีย ่ อมให ้ของคอนกรีต
3 : มากกว่าหน่วยแรงเฉือนทีย ่ อมให ้ของคอนกรีต แต่ไม่เกินกว่าค่าสูงสุดทีย่ อมให ้
4 : มากกว่าหน่วยแรงเฉือนทีย ่ อมให ้ของคอนกรีต และเกินกว่าค่าสูงสุดทีย่ อมให ้
้ ทางเดียวชว่ งเดีย
ข ้อที่ 65 :แผ่นพืน ้ กเสริมกำลังจุดคราก 4000 กก./
่ ว หนา 12 ซม. ใชเหล็
1 : 45 ซม.
2 : 40 ซม.
3 : 35 ซม.
4 : 30 ซม.
ข ้อที่ 72 : คานยืน
่ จากหน ้าเสา ยาว 1.50 เมตร เสริมหล็กรับแรงดึง 4 - RB 15 มม. ทีร่ ะระยะ
1 : u = 8.40 กก./ซม. 2
2 : u = 10.60 กก./ซม. 2
3 : u = 11.25 กก./ซม. 2
4 : u = 11.40 กก./ซม. 2
ข ้อที่ 73 : คานยืน
่ จากขอบรองรับ ยาว 1.50 เมตร เสริมหล็กรับแรงดึง RB 15 มม. จากหน ้าตัดวิกฤตเข ้าไ
1 : u = 8.40 กก./ซม. 2
2 : u = 10.60 กก./ซม. 2
3 : u = 11.25 กก./ซม. 2
4 : u = 15.00 กก./ซม. 2
ข ้อที่ 75 : คาน คสล. ช่วงเดียว เสริมเหล็กรับแรงดึง RB 25 มม. จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห
ี น่วยแรง
1 : 80 ซม.
2 : 100 ซม.
3 : 120 ซม.
4 : 150 ซม.
ข ้อที่ 76 : คาน คสล. ช่วงเดียว เสริมเหล็กรับแรงดึง DB 25 มม. จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห
ี น่วยแร
1 : 75 ซม.
2 : 90 ซม.
3 : 120 ซม.
4 : 125 ซม.
ข ้อที่ 77 : เมือ
่ จะไม่ตรวจสอบหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการเปลีย
่ นแปลงโมเมนต์ดด
ั (flexural bond
1 : f12 มม.
2 : f15 มม.
3 : f19 มม.
4 : f25 มม.
ข ้อที่ 78 : เมือ
่ จะไม่ตรวจสอบหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการเปลีย
่ นแปลงโมเมนต์ดด
ั (flexural bond
1 : f16 มม.
2 : f20 มม.
3 : f25 มม.
4 : f28 มม.
ข ้อที่ 79 : เมือ
่ จะไม่ตรวจสอบหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการเปลีย
่ นแปลงโมเมนต์ดด
ั (flexural bond
1 : f32 มม.
2 : f28 มม.
3 : f25 มม.
4 : f20 มม.
ข ้อที่ 80 : เมือ
่ จะไม่ตรวจสอบหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการเปลีย
่ นแปลงโมเมนต์ดด
ั (flexural bond
1 : f32 มม.
2 : f28 มม.
3 : f25 มม.
4 : f20 มม.
ข ้อที่ 81 : เมือ
่ จะไม่ตรวจสอบหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการเปลีย
่ นแปลงโมเมนต์ดด
ั (flexural bond
1 : f12 มม.
2 : f15 มม.
3 : f19 มม.
4 : f25 มม.
้ าศูนย์กลางภายในวง
ข ้อที่ 82 : หากดัดปลายเหล็กเสริมเอกให ้เป็ น “ของอครึง่ วงกลม” โดยมีขนาดเส นผ่
1 : 780 กก./ซม.2
2 : 950 กก./ซม.2
3 : 980 กก./ซม.2
4 : 1090 กก./ซม.2
้ าศูนย์กลางภายในวง
ข ้อที่ 83 : หากดัดปลายเหล็กเสริมเอกให ้เป็ น “ของอครึง่ วงกลม” โดยมีขนาดเส นผ่
1 : 695 กก./ซม.2
2 : 780 กก./ซม.2
3 : 810 กก./ซม.2
4 : 980 กก./ซม.2
้ าศูนย์กลางภายในวงโค ้ง
ข ้อที่ 84 : หากดัดปลายเหล็กเสริมเอกให ้เป็ น “ของอมุมฉาก” โดยมีขนาดเส นผ่
1 : 695 กก./ซม.2
2 : 780 กก./ซม.2
3 : 810 กก./ซม.2
4 : 995 กก./ซม.2
ข ้อที่ 89 : คาน คสล. ชว่ งเดีย่ วยาว 5.50 เมตร เสริมเหล็ก 6-RB 15 มม. ทีก
่ งึ่ กลางคาน พอดีเพือ
่ รับโมเ
ทีภ ้
่ าพด ้านข ้างปรากฏเป็ นเสนความยาวจริ ้
ง เสนตรงเส ้ จ
นนี ้ ะปรากฏบนภาพด ้านบนในลักษณะใด
1 : 40 ซม.
2 : 50 ซม.
3 : 60 ซม.
4 : 70 ซม.
ข ้อที่ 90 : คานยืน
่ คสล. ยาว 1.50 เมตร เสริมเหล็ก 4-RB 12 มม. พอดีเพือ
่ รับโมเมนต์ดด
ั ชนิดลบอันเนือ
่
1 : 35 ซม.
2 : 45 ซม.
3 : 65 ซม.
4 : 75 ซม.
ข ้อที่ 91 : คานยืน
่ คสล. ยาว 2.00 เมตร เสริมเหล็ก 6-DB 16 มม. พอดีเพือ
่ รับโมเมนต์ดด
ั ชนิดลบอันเนือ
่
1 : 55 ซม.
2 : 70 ซม.
3 : 85 ซม.
4 : 100 ซม.
ข ้อที่ 92 : จงประมาณค่าโมเมนต์บด
ิ ตรงหน ้าตัดวิกฤตของคานรองรับบันไดพับผ ้าแบบยืน
่ ดังแสดง ถ ้าบัน
1 : 550 กก.-เมตร
2 : 640 กก.-เมตร
3 : 820 กก.-เมตร
4 : 910 กก.-เมตร
1 : 640 กก.-เมตร
2 : 730 กก.-เมตร
3 : 910 กก.-เมตร
4 : 550 กก.-เมตร
ข ้อที่ 94 : จงประมาณค่าโมเมนต์บด
ิ ตรงหน ้าตัดวิกฤตของคานรองรับบันไดพับผ ้าแบบยืน
่ ดังแสดง ถ ้าบัน
1 : 550 กก.-เมตร
2 : 640 กก.-เมตร
3 : 730 กก.-เมตร
4 : 910 กก.-เมตร
ข ้อที่ 95 : จงประมาณค่าโมเมนต์บด
ิ ตรงหน ้าตัดวิกฤตของคานรองรับบันไดพับผ ้าแบบยืน
่ ดังแสดง ถ ้าบัน
1 : 380 กก.-เมตร
2 : 445 กก.-เมตร
3 : 510 กก.-เมตร
4 : 570 กก.-เมตร
ข ้อที่ 96 : จงประมาณค่าโมเมนต์บด
ิ ตรงหน ้าตัดวิกฤตของคานรองรับบันไดพับผ ้าแบบยืน
่ ดังแสดง ถ ้าบัน
1 : 380 กก.-เมตร
2 : 250 กก.-เมตร
3 : 570 กก.-เมตร
4 : 445 กก.-เมตร
ข ้อที่ 97 : จงประมาณค่าโมเมนต์บด
ิ ตรงหน ้าตัดวิกฤตของคานรองรับบันไดพับผ ้าแบบยืน
่ ดังแสดง ถ ้าบัน
1 : 730 กก.-เมตร
2 : 840 กก.-เมตร
3 : 960 กก.-เมตร
4 : 1080 กก.-เมตร
ข ้อที่ 98 : จงประมาณค่าโมเมนต์บด
ิ ตรงหน ้าตัดวิกฤตของคานรองรับบันไดพับผ ้าแบบยืน
่ ดังแสดง ถ ้าบัน
ภาพในคำตอบข ้อใดไม่สามารถเป็ นภาพด ้านหน ้า(front view)ของมุมมองภาพด ้านบนนีไ ้ ด้
1 : 730 กก.-เมตร
2 : 840 กก.-เมตร
3 : 960 กก.-เมตร
4 : 1080 กก.-เมตร
1 : 0.29 กก./ตร. ซม
1 : 800 กก.-เมตร
2 : 900 กก.-เมตร
3 : 1100 กก.-เมตร
4 : 1300 กก.-เมตร
1 : 1900 กก.-เมตร
2 : 1600 กก.-เมตร
3 : 1300 กก.-เมตร
4 : 1000 กก.-เมตร
้
ข ้อที่ 103 : จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณกำลังรับแรงเฉือนประลัยทีไ่ ด ้จากคอนกรีต
1 : 1400 กก.
2 : 1550 กก.
3 : 1850 กก.
4 : 2000 กก.
้
ข ้อที่ 104 : จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณกำลังรับแรงเฉือนประลัยทีไ่ ด ้จากคอนกรีต
1 : 2500 กก.
2 : 2800 กก.
3 : 3200 กก.
4 : 3800 กก.
1 : 5000 กก.-เมตร
2 : 6500 กก.-เมตร
3 : 8000 กก.-เมตร
4 : 9500 กก.-เมตร
่ คานรูปตัดตันสีเ่ หลีย
ข ้อที่ 106 : เมือ ่ มผืนผ ้า ต ้องรับทัง้ โมเมนต์ดด
ั M แรงเฉือน V และโมเมนต์บด
ิ
1 : f 9 มม. @ 12.5 ซม.
2 : f 9 มม. @ 15 ซม.
3 : f 12 มม. @ 15 ซม.
4 : f 12 มม. @ 17.5 ซม.
1 : 8300 กก./ซม.
2 : 9300 กก./ซม.
3 : 11200 กก./ซม.
4 : 12500 กก./ซม.
1 : 55500 ซม.4
2 : 56200 ซม.4
3 : 57000 ซม.4
4 : 57800 ซม.4
ข ้อที่ 115 : คานชว่ งเดียว มีขนาด 0.25 x 0.35 เมตร เสริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียว ถ ้าคานนีน
้ ้ำหนักบร
1 : 45500 ซม.4
2 : 54500 ซม.4
3 : 55000 ซม.4
4 : ไม่มข
ี ้อใดถูก
1 : 55950 ซม.4
2 : 56050 ซม.4
3 : 56500 ซม.4
4 : 56800 ซม.4
1 : 5170 ซม.4
2 : 5870 ซม.4
3 : 6200 ซม.4
4 : 6570 ซม.4
ข ้อที่ 122 : คานยืน่ ยาว 1.50 เมตร มีขนาด 0.20 x 0.40 เมตร เสริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียวชนิด
1 : 0.46 ซม.
2 : 0.55 ซม.
3 : 0.65 ซม.
4 : ไม่มข ี ้อใดถูก
1 : 56000 ซม.4
2 : 56250 ซม.4
3 : 56500 ซม.4
4 : 56800 ซม.4
1 : 9000 ซม.4/ม.
2 : 9500 ซม.4/ม.
3 : 9900 ซม.4/ม.
4 : 10200 ซม.4/ม.
่ รูปตัดตันสเี่ หลีย
ข ้อที่ 136 : คานยืน ่ มผืนผ ้าขนาด 0.25 x 0.50 เมตร ระยะ d = 0.45 เมตร
1 : 7.50 ซม.
2 : 8.75 ซม.
3 : 10.00 ซม.
4 : 15.00 ซม.
้
ข ้อที่ 138 : ค่ากำลังอัดประลัยของคอนกรีตทีใ่ ชในการออกแบบโครงสร ้างคอนกรีตเสริมเหล็กตามมาตรา
1: ผลการทดสอบตัวอย่างรูปทรงกระบอกที่ 7 วัน
2 : ผลการทดสอบตัวอย่างรูปทรงกระบอกที่ 28 วัน
3 : ผลการทดสอบตัวอย่างรูปลูกบาศก์ท ี่ 7 วัน
4 : ผลการทดสอบตัวอย่างรูปลูกบาศก์ท ี่ 28 วัน
้
ข ้อที่ 141 : เหล็กกลมรับแรงดึงในคานคอนกรีตเสริมเหล็กตามทฤษฎีหน่วยแรงใช งานสามารถรั บแรงดึงไ
1 : 0.375 fy
2 : 0.40 fy
3 : 0.45 fy
4 : 0.50 fy
ั ้ คอนกรีตเสริมเหล็กตามทฤษฎีหน่วยแรงใชงานสามารถรั
ข ้อที่ 142 : เหล็กในเสาสน ้ บหน่วยแรงอัดปลอด
1 : 0.375 fy
2 : 0.40 fy
3 : 0.45 fy
4 : 0.50 fy
่ มการทีใ่ ชในทฤษฎี
ข ้อที่ 143 : ข ้อใดไม่ใชส ้ ้
หน่วยแรงใชงาน
1 :
2 :
3 :
4 :
ข ้อที่ 144 : จงใช ้ทฤษฎีหน่วยแรงใช ้งานหาค่า k สำหรับการออกแบบ เมือ
่ กำหนดให ้ fc=65ksc. fs=120
1 : 0.245
2 : 0.302
3 : 0.351
4 : 0.368
รวมคะแนน 0
ั ้ ปลอกเกลียวขนาดเสนผ่
ข ้อที่ 150 : จงหาว่าเสาสน ้ านศูนย์กลาง 30 ซม. มีเหล็กเสริมยืน 6-DB 20
1 : 105 ตัน
2 : 114 ตัน
3 : 150 ตัน
4 : 190 ตัน
ข ้อที่ 151 : จงหาคำนวนกำลังรับน้ำหนักทีส ั ้ ปลอกเดีย
่ ถาวะประลัยของเสาสน ่ วขนาด 40x40
1 : 190 ตัน
2 : 201 ตัน
3 : 203 ตัน
4 : 216 ตัน
1 :
2 :
3 :
4 :
1 : 2.0 m.
2 : 3.0 m.
3 : 3.2 m.
4 : 4.2 m.
้ นเหล็ก
ข ้อที่ 165 : ปริมาณเหล็กเสริมยืนในเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก 20 x 120 ตร.ซม. ควรพิจารณาใชเป็
1 : 4 DB 12
2 : 6 DB 10
3 : 6 DB 12
4 : 8 DB 20
1 : 2.83 cm.2/m.
2 : 3.71 cm.2/m.
3 : 4.66 cm.2/m.
4 : 8.15 cm.2/m.
ข ้อที่ 168 : ฐานรากเสาเข็มหน ้าตัดรูปสีเ่ หลีย
่ มจัตรุ ัส ใช ้เสาเข็มขนาด 0.20 x 0.20 x 9.00 m.
1 : 1.00 x 1.00 m.
2 : 1.20 x 1.20 m.
3 : 1.30 x 1.30 m.
4 : 1.50 x 1.50 m.
้
ข ้อที่ 179 : มาตรฐาน ว.ส.ท. กำหนดหน่วยแรงใชงานส ำหรับคอนกรีต ดังต่อไปนี้ ข ้อใดไม่ถก
ู ต ้อง
1 : fc เมือ
่ รับแรงอัดหรือแรงดัด = 0.45fc’ กก./ตร.ซม.
2 : fv เมือ่ คานไม่มเี หล็กรับแรงเฉือน = 0.29 fc’ 1/2 กก./ตร.ซม.
3 : fv เมือ ่ คานมีเหล็กรับแรงเฉือน = 1.36 fc’ 1/2 กก./ตร.ซม.
4 : fv เมือ ่ แผ่นพืน
้ หรือฐานรากรับแรงเฉือนทะลุ = 0.53 fc’ 1/2 กก./ตร.ซม.
1 : ถ ้า = b แสดงว่า Ms = Mc
2 : ถ ้า < b แสดงว่า Ms < Mc
3 : ถ ้า < b แสดงว่า Ms > Mc
4 : ถ ้า > b แสดงว่า Mc < Ms
1 :
2 :
3 :
4 :
ข ้อที่ 186 : คาน คสล. รูปตัดขนาด 20x45 ซม. (d = 40 ซม., d’ = 5 ซม.) ต ้องรับโมเมนต์ดด
ั ทัง้ หมด
1 : 15.25 ตร.ซม.
2 : 14.25 ตร.ซม.
3 : 13.93 ตร.ซม.
4 : 12.90 ตร.ซม.
ข ้อที่ 187 : คานรูปตัวทีโดดๆ เสริมเหล็กรับแรงดึง (As = 14.73 ตร.ซม.) ดังรูป ถ ้าหน่วยแรงใช ้งานทีย
่ อ
1 : 6000 กก.-เมตร
2 : 6360 กก.-เมตร
3 : 7000 กก.-เมตร
4 : 7240 กก.-เมตร
1 : 4 ซม.
2 : 6 ซม.
3 : 8 ซม.
4 : 12 ซม.
ั ้ สเี่ หลีย
ข ้อที่ 189 : เสาสน ้
่ มจตุรัสขนาด 30x30 ซม. ต ้องรับแรงอัดใชงานตามแนวแกน = 54
1 : R1
2 : R2
3 : R3
4 : R4
ข ้อที่ 199 : เพือ ั เิ ป็ นแบบ yielding failure มาตรฐาน วสท. กำหนดให ้ใช ้อัตราส่วนของเหล็กเ
่ ให ้การวิบต
1 :
2 :
3 :
4 :
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 200 : คาน คสล. ชว่ งเดีย
่ วธรรมดา รับน้ำหนักบรรทุกแบบแผ่ทเี่ พิม
่ ค่าแล ้ว wu = 9.5
1 : 8 ซม.
2 : 9 ซม.
3 : 15 ซม.
4 : 18 ซม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 201 : ถ ้าเสาสน ้
่ วต ้องรับ Pu = 131.25 ตัน และ Mu = 22.3 ตัน-เมตร หากพิจารณาใชเส
1 : 20 ตร.ซม.
2 : 22 ตร.ซม.
3 : 25 ตร.ซม.
4 : 28 ตร.ซม.
ิ้ สว่ นรับแรงอัดตามแนวแกนและโมเมนต์ดด
ข ้อที่ 202 : ชน ั มีรป
ู แสดงการกระจายของหน่วยการยืด
1 : รูป (ก)
2 : รูป (ข)
3 : รูป (ค)
4 : รูป (ง)
1 :
2 :
3 :
4 :
1 :
2 :
3 :
4 :
ข ้อที่ 216 : ตามวิธท ี ี่ 2 ของมาตรฐาน ว.ส.ท. สำหรับแผ่นพืน ้ คสล. 2 ทาง ทีไ่ ม่ตอ
่ เนือ ี่ ้าน จะพ
่ งกันทัง้ สด
1 : มีแต่โมเมนต์ดด ั ชนิดบวกอย่างเดียวทีข ่ นานกับด ้านสน ั้
2 : มีแต่โมเมนต์ดด ั ชนิดบวกอย่างเดียวทีข ่ นานกับด ้านสน ั ้ และด ้านยาว
3 : มีทงั ้ โมเมนต์ดด
ั ชนิดบวกและชนิดลบทีข ่ นานกับด ้านสน ั ้ เพียงอย่างเดียว
4 : มีทงั ้ โมเมนต์ดดั ชนิดบวกและชนิดลบทีข ่ นานกับด ้านสน ั ้ และด ้านยาว
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 220 : เสาสัน ่ ว เสริมเหล็กยืน As = As‘ รับแรงอัดใช ้งานตามแนวแกนเนือ
่ งจากน้ำหนักบร
1 : 1170 ตร.ซม.
2 : 1250 ตร.ซม.
3 : 1360 ตร.ซม.
4 : 1500 ตร.ซม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 221 : เสาสน ้
่ ว เสริมเหล็กยืน As = As‘ รับแรงอัดใชงานตามแนวแกนเนื
อ ่ งจากน้ำหนักบร
1 : 2700 ตร.ซม.
2 : 3000 ตร.ซม.
3 : 3130 ตร.ซม.
4 : 3250 ตร.ซม.
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 222 : เสาสัน ่ ว เสริมเหล็กยืน As = As‘ รับแรงอัดใช ้งานตามแนวแกนเนือ
่ งจากน้ำหนักบร
1 : 1500 ตร.ซม.
2 : 1600 ตร.ซม.
3 : 2100 ตร.ซม.
4 : 2250 ตร.ซม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 223 : เสาสน ้
่ ว เสริมเหล็กยืน As = As‘ รับแรงอัดใชงานตามแนวแกนเนื
อ ่ งจากน้ำหนักบร
1 : 1800 ตร.ซม.
2 : 1900 ตร.ซม.
3 : 2000 ตร.ซม.
4 : 2100 ตร.ซม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 224 : เสาสน ้
่ ว เสริมเหล็กยืน As = As‘ รับแรงอัดใชงานตามแนวแกนเนื
อ ่ งจากน้ำหนักบร
1 : 1650 ตร.ซม.
2 : 1750 ตร.ซม.
3 : 1800 ตร.ซม.
4 : 1850 ตร.ซม.
ั ้ ปลอกเกลียว รับแรงอัดใชงานตามแนวแกนเนื
ข ้อที่ 225 : เสาสน ้ อ ่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบร
1 : 35 ซม.
2 : 45 ซม.
3 : 50 ซม.
4 : 60 ซม.
ั ้ ปลอกเกลียว รับแรงอัดใชงานตามแนวแกนเนื
ข ้อที่ 226 : เสาสน ้ อ ่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบร
1 : 35 ซม.
2 : 45 ซม.
3 : 50 ซม.
4 : 60 ซม.
ั ้ ปลอกเกลียว รับแรงอัดใชงานตามแนวแกนเนื
ข ้อที่ 227 : เสาสน ้ อ ่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบร
1 : 55 ซม.
2 : 60 ซม.
3 : 65 ซม.
4 : 70 ซม.
ั ้ ปลอกเกลียว รับแรงอัดใชงานตามแนวแกนเนื
ข ้อที่ 228 : เสาสน ้ อ ่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบร
1 : 45 ซม.
2 : 50 ซม.
3 : 55 ซม.
4 : 60 ซม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 229 : เสาสน ้
่ ว รับแรงอัดใชงานตามแนวแกนเนื
อ ่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรร
1 : 10 ตร.ซม.
2 : 20 ตร.ซม.
3 : 25 ตร.ซม.
4 : 30 ตร.ซม.
ั ้ ปลอกเกลียว รับแรงอัดใชงานตามแนวแกนเนื
ข ้อที่ 230 : เสาสน ้ อ ่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบร
1 : 20 ตร.ซม.
2 : 40 ตร.ซม.
3 : 50 ตร.ซม.
4 : 60 ตร.ซม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 231 : ถ ้าเสาสน ่ วสเี่ หลีย
่ มจัตรุ ัสขนาดเท่ากับ h x h ซม. สามารถรับแรงอัดตามแนวแกนไ
1 : 0.0005hP ตัน-เมตร
2 : 0.001hP ตัน-เมตร
3 : 0.01hP ตัน-เมตร
4 : 0.05hP ตัน-เมตร
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 237 : เสาสัน ่ วขนาดเท่ากับ 50 x 50 ซม. เสริมเหล็กยืนทัง้ หมด 6เส ้น เส ้นละ
1 : 0.0015 มม./มม.
2 : 0.0020 มม./มม.
3 : 0.0025 มม./มม.
4 : 0.0030 มม./มม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 238 : เสาสน ่ วขนาดเท่ากับ 25 x 45 ซม. เสริมเหล็กยืนทัง้ หมด 6 เสน้ เสนละ
้
1 : 0.0015 มม./มม.
2 : 0.0020 มม./มม.
3 : 0.0025 มม./มม.
4 : 0.0030 มม./มม.
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 239 : เสาสัน ่ วขนาดเท่ากับ 50 x 50 ซม. เสริมเหล็กยืนขนาด 25 มม. โดยที่
1 : 9 มม. @ 0.40 ม.
2 : 6 มม. @ 0.40 ม.
3 : 9 มม. @ 0.45 ม.
4 : 6 มม. @ 0.30 ม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 240 : เสาสน ่ วขนาดเท่ากับ 45 x 45 ซม. เสริมเหล็กยืนขนาด 28 มม. โดยที่
1 : 9 มม. @ 0.40 ม.
2 : 9 มม. @ 0.45 ม.
3 : 6 มม. @ 0.30 ม.
4 : 6 มม. @ 0.45 ม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 241 : เสาสน ่ วขนาดเท่ากับ 30 x 40 ซม. เสริมเหล็กยืนขนาด 20 มม. โดยที่
1 : 9 มม. @ 0.30 ม.
2 : 6 มม. @ 0.30 ม.
3 : 9 มม. @ 0.40 ม.
4 : 6 มม. @ 0.25 ม.
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 242 : เสาสัน ่ วขนาดเท่ากับ 30 x 30 ซม. เสริมเหล็กยืนขนาด 15 มม. โดยที่
1 : 9 มม. @ 0.25 ม.
2 : 6 มม. @ 0.20 ม.
3 : 9 มม. @ 0.30 ม.
4 : 6 มม. @ 0.30 ม.
ั ้ ปลอกเกลียวขนาดเสน
ข ้อที่ 243 : เสาสน ั ผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 40 ซม. ระยะคอนกรีตหุ ้มเท่ากับ
1 : 9 มม. @ 0.03 ม.
2 : 6 มม. @ 0.025 ม.
3 : 9 มม. @ 0.05 ม.
4 : 6 มม. @ 0.05 ม.
ข ้อที่ 244 : เสาปลอกเดีย
่ วขนาดเท่ากับ 30 x 30 ซม. อยูใ่ นโครงเฟรมทีเ่ ซไม่ได ้ จากผลของแรงอัดและ
1 : 0.90
2 : 0.92
3 : 0.94
4 : 0.96
่ วสเี่ หลีย
ข ้อที่ 246 : เสาปลอกเดีย ่ มจัตรุ ัสอยูใ่ นโครงเฟรมทีเ่ ซไม่ได ้ จากผลของแรงอัดและโมเมนต์ดด
ั เ
1 : 45 x 45 ซม.
2 : 50 x 50 ซม.
3 : 55 x 55 ซม.
4 : 60 x 60 ซม.
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 250 : ฐานรากแผ่ขนาด 3x3 เมตร รองรับแรงอัดตามแนวแกนจากเสาตอม่อขนาด 0.30x0.30
1 : 7500 ตร.ซม.
2 : 9000 ตร.ซม.
3 : 10000 ตร.ซม.
4 : 12000 ตร.ซม.
้
ข ้อที่ 252 : ฐานรากเสาเข็มขนาด 2.70 x 3.60 ม. รองรับแรงอัดใชงาน P = 120 ตันอย่างเดียวจากเสาต
1 : 125000 กก.
2 : 100000 กก.
3 : 115000 กก.
4 : 120000 กก.
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 253 : เสาสัน ่ วขนาดเท่ากับ 25 x 25 ซม. เสริมเหล็กยืนทัง้ หมด 6-DB20 มม
1 : 33 ตัน
2 : 47 ตัน
3 : 60 ตัน
4 : 75 ตัน
ข ้อที่ 264 : พืน ่ ง 2 ชว่ ง โดยมีระยะศูนย์ถงึ ศูนย์ของทีร่ องรับชว่ งละ 3.00 เมตร รับน้ำหนักบ
้ คสล. ต่อเนือ
1 : As = 2.50 ซม.2/เมตร.
2 : As = 4.10 ซม.2/เมตร
3 : As = 5.55 ซม.2/เมตร
4 : As = 6.35 ซม.2/เมตร
ข ้อที่ 265 : พืน ่ ง 2 ชว่ ง โดยมีระยะศูนย์ถงึ ศูนย์ของทีร่ องรับชว่ งละ 3.00 เมตร รับน้ำหนักบ
้ คสล. ต่อเนือ
1 : As = 4.10 ซม.2/เมตร
2 : As = 5.55 ซม.2/เมตร
3 : As = 6.35 ซม.2/เมตร
4 : As = 2.50 ซม.2/เมตร
ข ้อที่ 266 : พืน ่ ง 2 ชว่ ง โดยมีระยะศูนย์ถงึ ศูนย์ของทีร่ องรับชว่ งละ 3.00 เมตร รับน้ำหนักบ
้ คสล. ต่อเนือ
1 : As = 2.50 ซม.2/เมตร
2 : As = 4.10 ซม.2/เมตร
3 : As = 5.55 ซม.2/เมตร
4 : As = 6.35 ซม.2/เมตร
ข ้อที่ 271 : คาน คสล. ขนาด ั ใช ้งาน = 21505 กก.-เมตร จงใช ้มาตรฐ
0.25x0.60 ม. ต ้องรับโมเมนต์ดด
1 : As‘ = 12.00 ซม.2 As = 29.30 ซม.2
2 : As‘ = 11.50 ซม.2 As = 32.50 ซม.2
3 : As‘ = 11.40 ซม.2 As = 32.40 ซม.2
4 : As‘ = 10.25 ซม.2 As = 30.40 ซม.2
ข ้อที่ 281 : คานรูปตัดตัวทีโดดๆ มีปีกคานกว ้าง = 75 ซม. หนา = 12 ซม. ตัวคานกว ้าง = 25
1 : As = 26.50 ซม.2
2 : As = 21.20 ซม.2
3 : As = 18.00 ซม.2
4 : As = 17.60 ซม.2
ข ้อที่ 285 : คานกว ้าง 25 ซม. เสริมเหล็กรับแรงดึงทีร่ ะยะ d = 50 ซม. ถ ้าเหล็กลูกตัง้ (SD30)
1 : 14100 กก.
2 : 15900 กก.
3 : 16100 กก.
4 : 16900 กก.
ข ้อที่ 286 : คานกว ้าง 20 ซม. เสริมเหล็กรับแรงดึงทีร่ ะยะ d = 35 ซม. ถ ้าเหล็กลูกตัง้ (SR24)
1 : 4175 กก.
2 : 4500 กก.
3 : 5150 กก.
4 : 3825 กก.
ข ้อที่ 287 : คาน คสล. ช่วงเดียวธรรมดา ยาว 5.00 เมตร เสริมเหล็กรับแรงดึงทีร่ ะยะ d = 40
1 : 1.00 เมตร
2 : 1.25 เมตร
3 : 1.50 เมตร
4 : 2.00 เมตร
ข ้อที่ 289 : คาน คสล. ชว่ งเดียวธรรมดา ยาว 6.00 เมตร เสริมเหล็กรับแรงดึงทีร่ ะยะ d = 55
1 : 1.20 เมตร
2 : 1.80 เมตร
3 : 2.40 เมตร
4 : 3.00 เมตร
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 290 : เสาสัน ่ วขนาดเท่ากับ 50 x 50 ซม. เสริมเหล็กยืนทัง้ หมด 6 f25 มม
1 : 100 กก./ตร.ซม.
2 : 125 กก./ตร.ซม.
3 : 150 กก./ตร.ซม.
4 : 200 กก./ตร.ซม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 291 : เสาสน ่ วขนาดเท่ากับ 50 x 50 ซม. เสริมเหล็กยืนทัง้ หมด 6 f25 มม
1 : 100 กก./ตร.ซม.
2 : 115 กก./ตร.ซม.
3 : 130 กก./ตร.ซม.
4 : 150 กก./ตร.ซม.
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 292 : เสาสัน ่ วขนาดเท่ากับ 50 x 50 ซม. เสริมเหล็กยืนทัง้ หมด 6 f25 มม
1 : 10000 กก.-ม.
2 : 9000 กก.-ม.
3 : 8000 กก.-ม.
4 : 7000 กก.-ม.
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 293 : เสาสัน ่ วขนาด 50 x 50 ซม. เสริมเหล็กยืนทัง้ หมด 6 f25 มม. (Ast = 29.45
1 : 170 ตัน
2 : 190 ตัน
3 : 210 ตัน
4 : 230 ตัน
ั ้ ปลอกเกลียวรูปตัดกลม ขนาดเสนผ่
ข ้อที่ 294 : เสาสน ้ าศูนย์กลาง 50 ซม. จงใชวิ้ ธ ี WSD
1 : 85 ตัน
2 : 95 ตัน
3 : 100 ตัน
4 : 105 ตัน
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 295 : เสาสน ่ วขนาด 30 x 30 ซม. เสริมเหล็กยืนทัง้ หมด 6 f25 มม. (Ast = 29.45
1 : 18 ตัน
2 : 22 ตัน
3 : 26 ตัน
4 : 30 ตัน
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 296 : เสาสน ้
่ วขนาด 25 x 25 ซม. เสริมเหล็กยืนโดยที่ As = As‘ รับแรงอัดใชงาน
1 : 2.00 ตัน-ม.
2 : 2.55 ตัน-ม.
3 : 3.00 ตัน-ม.
4 : 1.65 ตัน-ม.
้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 297 : เสาสัน ่ วขนาด 25 x 25 ซม. เสริมเหล็กยืนโดยที่ As = As‘ รับแรงอัดใช ้งาน
1 : 1.65 ตัน-ม.
2 : 2.00 ตัน-ม.
3 : 2.55 ตัน-ม.
4 : 3.00 ตัน-ม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 298 : เสาสน ่ วขนาด 25 x 25 ซม. เสริมเหล็กยืนโดยที่ As = As‘ จงใชวิ้ ธ ี
1 : 2.0 ตัน-ม.
2 : 2.4 ตัน-ม.
3 : 2.8 ตัน-ม.
4 : 3.0 ตัน-ม.
ั ้ ปลอกเดีย
ข ้อที่ 299 : เสาสน ่ วขนาดเท่ากับ 50 x 50 ซม. เสริมเหล็กยืนทัง้ หมด 6 f25 มม
1 : 20 ตัน-ม.
2 : 22 ตัน-ม.
3 : 25 ตัน-ม.
4 : 30 ตัน-ม.
รวมคะแนน 0
ั ้ ปลอกเกลียวรูปตัดกลม ขนาดเสนผ่
ข ้อที่ 300 : เสาสน ้ าศูนย์กลาง 50 ซม. รับโมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน
1 : 75 ตัน
2 : 90 ตัน
3 : 100 ตัน
4 : 105 ตัน
ั ้ ปลอกเกลียวรูปตัดกลม ขนาดเสนผ่
ข ้อที่ 301 : เสาสน ้ าศูนย์กลาง 50 ซม. รับโมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน
1 : 75 ตัน
2 : 60 ตัน
3 : 55 ตัน
4 : 40 ตัน
ั ้ ปลอกเกลียวรูปตัดกลม ขนาดเสนผ่
ข ้อที่ 302 : เสาสน ้ าศูนย์กลาง 50 ซม. รับแรงอัดใชงาน
้
1 : MX = 8.25 ตัน-เมตร
2 : MX = 7.30 ตัน-เมตร
3 : MX = 6.30 ตัน-เมตร
4 : MX = 6.10 ตัน-เมตร
ั ้ ปลอกเกลียวขนาดเสน
ข ้อที่ 303 : เสาสน ั ผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 25 ซม. ระยะคอนกรีตหุ ้มเท่ากับ
1 : f9 มม. @ 0.03 ม.
2 : f6 มม. @ 0.03 ม.
3 : f9 มม. @ 0.04 ม.
4 : f6 มม. @ 0.025 ม.
ั ้ ปลอกเกลียวขนาดเสน
ข ้อที่ 305 : เสาสน ั ผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 40 ซม. ระยะคอนกรีตหุ ้มเท่ากับ
1 : f9 มม. @ 0.03 ม.
2 : f6 มม. @ 0.025 ม.
3 : f9 มม. @ 0.05 ม.
4 : f6 มม. @ 0.05 ม.
1 : 4-DB 16 มม.
2 : 4-DB 20 มม.
3 : 4-DB 25 มม.
4 : 4-DB 28 มม.
1 : 6-DB 20 มม.
2 : 6-DB 25 มม.
3 : 4-DB 28 มม.
4 : 4-DB 32 มม.
1 : 36.5 ตัน-เมตร
2 : 42.5 ตัน-เมตร
3 : 52.5 ตัน-เมตร
4 : 60.5 ตัน-เมตร
1 : 54.5 ตัน
2 : 58.5 ตัน
3 : 64.5 ตัน
4 : 68.5 ตัน
1 : 15.5 ตัน-เมตร
2 : 17.5 ตัน-เมตร
3 : 12.5 ตัน-เมตร
4 : 14.0 ตัน-เมตร
1 : รูป (ก)
2 : รูป (ข)
3 : รูป (ค)
4 : รูป (ง)
1 : รูป (ง)
2 : รูป (ค)
3 : รูป (ข)
4 : รูป (ก)
ข ้อที่ 338 : ฐานรากแผ่ขนาด 1.80x1.80 เมตร รองรับเสาตอม่อขนาด 0.30x0.30 เมตร ตรงกึง่ กลางฐาน
1 : max. qnet = 5880 กก./ตารางเมตร
2 : max. qnet = 6440 กก./ตารางเมตร
3 : max. qnet = 6880 กก./ตารางเมตร
4 : max. qnet = 7440 กก./ตารางเมตร
้
ข ้อที่ 344 : ฐานรากเสาเข็มขนาด 2.70x3.60 ม. หนา = 70 ซม. รองรับแรงอัดใชงาน P = 120
1 : 10.00 ตัน
2 : 11.50 ตัน
3 : 13.00 ตัน
4 : 14.50 ตัน
รวมคะแนน 0
่ วรองรับเสาตอม่อขนาด 0.30x0.30 เมตร ตรงกึง่ กลางฐานราก ซงึ่ ถ่ายแรงอัดใชง
ข ้อที่ 350 : ฐานรากเดีย
1 : 100000 กก.
2 : 115000 กก.
3 : 120000 กก.
4 : 125000 กก.
ข ้อที่ 352 : ฐานรากแผ่ขนาด 2.0x2.0 เมตร รองรับเสาตอม่อ ขนาด 0.30x0.30 ม. ตรงกึง่ กลางฐาน ถ ้าเ
1 : 11.0 ซม.
2 : 11.5 ซม.
3 : 12.5 ซม.
4 : 13.5 ซม.
ข ้อที่ 353 : ฐานรากแผ่ขนาด 2.0x2.0 เมตร รองรับเสาตอม่อ ขนาด 0.30x0.30 ม. ตรงกึง่ กลางฐาน ถ ้าเ
1 : 11.0 ซม.
2 : 11.5 ซม.
3 : 12.5 ซม.
4 : 13.5 ซม.
ข ้อที่ 354 : ฐานรากแผ่ขนาด 2.0x2.0 เมตร รองรับเสาตอม่อ ขนาด 0.30x0.30 ม. ตรงกึง่ กลางฐาน ถ ้าเ
1 : 11.0 ซม.
2 : 11.5 ซม.
3 : 12.5 ซม.
4 : 13.5 ซม.
ข ้อที่ 355 : ฐานรากแผ่ขนาด 2.0x2.0 เมตร รองรับเสาตอม่อ ขนาด 0.30x0.30 ม. ตรงกึง่ กลางฐาน ถ ้าเ
1 : 26 ตร. ซม.
2 : 28 ตร. ซม.
3 : 30 ตร. ซม.
4 : 24 ตร. ซม.
ข ้อที่ 368 : คานรูปตัด 0.30x0.55 ม. เสริมเหล็กรับแรงดึง AS = 36.96 ตร.ซม. ทีร่ ะยะ d = 0.45
1 : 53.5 ตัน-เมตร
2 : 55.0 ตัน-เมตร
3 : 49.0 ตัน-เมตร
4 : 51.0 ตัน-เมตร
ข ้อที่ 369 : คานรูปตัด 0.25x0.60 ม. เสริมเหล็กรับแรงดึง AS = 24.42 ตร.ซม. ทีร่ ะยะ d = 0.50
1 : 30.0 ตัน-เมตร
2 : 35.5 ตัน-เมตร
3 : 38.5 ตัน-เมตร
4 : 45.0 ตัน-เมตร
ข ้อที่ 370 : คานรูปตัด 0.20x0.50 ม. เสริมเหล็กรับแรงดึง AS = 21.70 ตร.ซม. ทีร่ ะยะ d = 0.42
1 : 18.5 ตัน-เมตร
2 : 22.0 ตัน-เมตร
3 : 25.5 ตัน-เมตร
4 : 30.0 ตัน-เมตร
้ าศูนย์กลาง
ข ้อที่ 376 : ฐานรากตีนเป็ ดแบบแผ่ ขนาด 1.50x1.50 เมตร รองรับเสาตอม่อขนาดเสนผ่
1 : d = 7.5 ซม.
2 : d = 8.6 ซม.
3 : d = 9.7 ซม.
4 : d = 10.8 ซม.
รวมคะแนน 0
รวมคะแนนทงหมด
ั้ 0
ั ผัสกับดินตลอดเวลา ให ้มีระยะหุ ้มต่ำสุดสำหรับเหล็กเสริม เท่ากับกี่ ซม.
ดินและผิวคอนกรีตสม
ด มีน้ำหนักมากทีส
่ ด
ุ
่ ำคัญทีส
เสริมทีส ่ ด
ุ
้
. หนา 0.15 ม. จะมีน้ำหนักลงคานด ้านยาวเท่าไร และใชเกณฑ์
มาตรฐานของ ว.ส.ท.ในการออกแบบ (วิธ ี SDM)
กปลอดภัยของเสาเข็มเท่าไร เมือ ้
่ คำนวนโดยใชความฝื ดของดินทีย
่ อมให ้ตามข ้อบัญญัต ิ กทม. ข ้อ 67 กำหนดให ้ fc’ของคอนกรีต เสาเข็ม
็ ของความเค ้นสูงสุดทีค
อนกรีตถูกกำหนดให ้รับความเค ้นสูงสุดไม่เกินกีเ่ ปอร์เซน ่ อนกรีตรับได ้ สำหรับการออกแบบด ้วยวิธก
ี ำลัง
ดตัวประลัยของคอนกรีตมีคา่ เท่ากับเท่าใด
จะเกิดการวิบต
ั เิ นือ
่ งจากโมเมนต์ดด
ั ทีบ
่ ริเวณใด
จะเกิดการวิบต
ั เิ นือ
่ งจากแรงเฉือนทางเดียว(ฺBeam Shear) ทีบ
่ ริเวณใด
จะมีการวิบต
ั เิ นือ
่ งจากแรงเฉือนทะลุ(Punching Shear) ทีบ
่ ริเวณใด
นกบรรทุกคงทีข
่ องคานเท่ากันตลอด ข ้อใดให ้แรงดัดลบมากทีส
่ ด
ุ
อย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.40 ม. โดยใช ้ As = 5.30 ซม.2 fc‘ = 200 กก./ซม.2 และ fy = 2400 กก./ซม.2 จงประมาณค่าโมเมนต์ดด
ั ทีท
่ ำใ
อย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.45 ม. โดยใช ้ As = 5.30 ซม.2 fc‘ = 100 กก./ซม.2 และ fy = 2400 กก./ซม.2 จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณกำลังรับ
อย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.45 ม. โดยใช ้ As = 7.07 ซม.2 fc‘ = 100 กก./ซม.2 และ fy = 2400 กก./ซม.2 จงใช ้วิธ ี WSD ประมาณกำลังรับ
อย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.39 ม. โดยใช ้ As = 9.36 ซม.2 fc‘ = 200 กก./ซม.2 และ fy = 3000 กก./ซม.2 จงใชวิ้ ธ ี USD ประมาณกำลังรับ
อย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.50 ม. โดยใช ้ As = 12.5 ซม.2 fc‘ = 250 กก./ซม.2 และ fy = 4000 กก./ซม.2 จงใช ้วิธ ี USD ประมาณกำลังรับ
อย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.45 ม. โดยใช ้ As = 36 ซม.2 fc‘ = 200 กก./ซม.2 และ fy = 2400 กก./ซม.2 ตามวิธ ี USD พบว่า คานนีเ้ ป็ นแบ
อย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.30 ม. โดยใช ้ As = 6.75 ซม.2 fc‘ = 150 กก./ซม.2 และ fy = 2400 กก./ซม.2 ตามวิธ ี WSD เมือ
่ ให ้
นพืน
้ นัน ้ หนา = 10 ซม. ตัวคานกว ้าง = 15 ซม. ระยะห่างจากศูนย์ถงึ ศูนย์ของคานข ้างเคียงแต่ละข ้าง = 4 เมตร และชว่ งคานยาว
้ ถ ้าพืน
คานกว ้าง = 25 ซม. เสริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียว As = 11.30 ซม.2 ทีค ิ ธิผล d = 40 ซม. ถ ้าใช ้ fc = 45 กก
่ วามลึกประสท
ยะ d = 15 ซม. โดยใช ้ เหล็ก9 มม. @12 ซม. (As = 5.30 ซม.2/เมตร) fc‘ = 150 กก./ซม.2 และ fy = 2400 กก./ซม.2 จงประมาณค่าโม
นวนหนึง่ เพือ
่ รับโมเมนต์ดด
ั จงประมาณค่าระยะฝั งทีต
่ ้องฝั งยึดท่อนเหล็กตรงจากหน ้าตัดวิกฤตเข ้าไปในส่วนโครงสร ้างทีร่ องรับนี้ ตามวิธ ี
่ ทำเป็ น “ของอมาตรฐาน“ สำหรับเหล็กเสริม DB 25 มม. (As = 4.91 ซม.2) ทีร่ ับแรงดึง ซงึ่ วิธ ี WSD กำหนดว่า “ของอมาตรฐ
หล็กเสริมเพือ
่ ทำเป็ น “ของอมาตรฐาน“ สำหรับเหล็ก RB 25 มม. (As = 4.91 ซม.^2) ทีร่ ับแรงดึง กำหนดให ้ fc‘ = 150
งอเหล็กเสริมเมือ
ซม. ผนังด ้านบนและด ้านล่างหนา 12.5 ซม. ถ ้าคานนีร้ ับโมเมนต์บด ี น่วยแรงใช ้งาน
ิ เพียงอย่างเดียว (pure torsion) มาตรฐาน ว.ส.ท. (วิธห
ยะ d = 50 ซม. ใช ้ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม. เพือ ่ ลางชว่ งคาน และ V = 1875 กก. กับ T ทีห
่ ต ้านทาน M ทีก ่ น ้าตัดวิกฤต อันเนือ
่ งมาจากน้ำห
ยะ d = 45 ซม. ใช ้ fc' = 155 กก./ตร.ซม. fy = 3000 กก./ตร.ซม. (สำหรับเหล็กตามยาว) fy = 2400 กก./ซม. (สำหรับเหล็กปลอกทางข
ั ้ เดียว และใชเหล็
ง 3-DB 28 มม. ชน ้ กลูกตัง้ RB 9 มม. จงหาจำนวนเหล็กเสริมทีเ่ ทียบเท่า (equivalent no. of bars) n
ั ้ ชน
งสองชน ั ้ ล่างสุดใช ้ 2-DB 25 มม. ชน
ั ้ บนถัดขึน
้ มาใช ้ 2-DB 25 มม. โดยมีระยะชอ
่ งว่างระหว่างชน
ั ้ = 5 ซม. ถ ้าใชเหล็
้ กลูกตัง้
ริมเหล็กรับแรงดึง 3-25 มม. (As = 14.73 ซม.2) ทีค ิ ธิผลเท่ากับ 30 ซม. เพือ
่ วามลึกประสท ้
่ รับน้ำหนักบรรทุกแผ่ใชงาน wD = 1240
ถ ้าความหนาของพืน ้ บันไดกว ้าง = 27.5 ซม. สว่ นยก = 17.5 ซม. น้ำหนักบรรทุกจรใชงาน
้ บันได = 12 ซม. ขัน ้ = 400 กก./
้ บันไดหนา 12 ซม. ลูกนอนกว ้าง = 25 ซม. ลูกตัง้ สูง = 15 ซม. น้ำหนักบรรทุกจรใช ้งาน = 300 กก./ ม.2 จงประมาณค่าน้ำหนักบร
ต่ละขัน
้ บันไดหนา 10 ซม. ลูกนอนกว ้าง = 27.5 ซม. ลูกตัง้ สูง = 15 ซม. น้ำหนักบรรทุกจรใช ้งาน = 200 กก./ ม.2 จงประมาณค่าน้ำหนักบ
ต่ละขัน
มม. จากหน ้าตัดวิกฤตเข ้าไปในทีร่ องรับเป็ นระยะ = 0.40 เมตร จงใช ้มาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห
ี น่วยแรงใช ้งาน หาหน่วยแรงยึดเหนีย
่ ว
ต ้องตรวจสอบหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการเปลีย
่ นแปลงโมเมนต์ดด
ั (flexural bond stress) หากหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดขึน
้ จากการ
มเมนต์ดด
ั (flexural bond stress) ดังนัน ้
้ หากพบว่าระยะฝั งยึดของเหล็กเสริมรับแรงดึง (ทีเ่ ป็ นเหล็กบน) เท่ากับ 1.75 ม. จงใชมาตรฐาน
มเมนต์ดด
ั (flexural bond stress) ดังนัน ้
้ หากพบว่าระยะฝั งยึดของเหล็กเสริมรับแรงดึง (ทีเ่ ป็ นเหล็กบน) เท่ากับ 0.85 ม. จงใชมาตรฐาน
งกลางคาน พอดีเพือ
่ รับโมเมนต์ดด ่ งมาจากน้ำหนักบรรทุกแผ่สม่ำเสมอ ให ้หาตำแหน่ง (ทางทฤษฎี) ซึง่ ห่างมาจากจุดรองรับ
ั ชนิดบวกอันเนือ
งกลางคาน พอดีเพือ
่ รับโมเมนต์ดด ่ งมาจากน้ำหนักบรรทุกแผ่สม่ำเสมอ ให ้หาตำแหน่ง (ทางทฤษฎี) ซงึ่ ห่างมาจากจุดรองรับ
ั ชนิดบวกอันเนือ
นบนในลักษณะใด
บผ ้าแบบยืน
่ ดังแสดง ถ ้าบันไดกว ้าง = 1.50 เมตร ระยะช่วงว่างระหว่างเสา (ตามแนวราบ) = 2.50 เมตร คานเสริมเหล็กทีร่ ะยะ d = 45 ซม
่ ดังแสดง ถ ้าบันไดกว ้าง = 1.25 เมตร ระยะชว่ งว่างระหว่างเสา (ตามแนวราบ) = 2.50 เมตร คานเสริมเหล็กทีร่ ะยะ
บผ ้าแบบยืน
่ ดังแสดง ถ ้าบันไดกว ้าง = 1.50 เมตร ระยะชว่ งว่างระหว่างเสา (ตามแนวราบ) = 2.50 เมตร คานเสริมเหล็กทีร่ ะยะ
บผ ้าแบบยืน
่ ดังแสดง ถ ้าบันไดกว ้าง = 1.50 เมตร ระยะชว่ งว่างระหว่างเสา (ตามแนวราบ) = 3.00 เมตร คานเสริมเหล็กทีร่ ะยะ
บผ ้าแบบยืน
บผ ้าแบบยืน่ ดังแสดง ถ ้าบันไดกว ้าง = 1.50 เมตร ระยะชว่ งว่างระหว่างเสา (ตามแนวราบ) = 3.00 เมตร คานเสริมเหล็กทีร่ ะยะ
พด ้านบนนีไ
้ ด้
น่วยแรงเฉือนทีเ่ กิดจากโมเมนต์ดด
ั และโมเมนต์บด
ิ ของคานทีเ่ สริมเหล็กทางขวาง ต ้องไม่เกินกว่าค่าต่อไปนี้ มิฉะนัน
้ ต ้องเปลีย
่ นขนาดรูปตัด
มเมนต์ดด
ั MU แรงเฉือน VU และโมเมนต์บด
ิ TU ถ ้ากำลังรับโมเมนต์บด
ิ ประลัยของคอนกรีต = fTC ค่าโมเมนต์บด
ิ ประลัยทีก
่ ระทำ
ู ตัดตันสเี่ หลีย
ประลัยทีไ่ ด ้จากคอนกรีต (fTC) ถ ้าคานมีรป ่ มผืนผ ้า ขนาด 0.25 x 0.60 เมตร ต ้องรับทัง้ โมเมนต์ดด
ั MU แรงเฉือน
ู ตัดตันสีเ่ หลีย
ประลัยทีไ่ ด ้จากคอนกรีต (fTC) ถ ้าคานมีรป ่ มผืนผ ้า ขนาด 0.30 x 0.60 เมตร ต ้องรับทัง้ โมเมนต์ดด
ั MU แรงเฉือน
ู ตัดตันสเี่ หลีย
ระลัยทีไ่ ด ้จากคอนกรีต (fVC) ถ ้าคานมีรป ่ มผืนผ ้า ขนาด 0.25 x 0.60 เมตร ระยะ d = 50 ซม. ต ้องรับทัง้ โมเมนต์ดด
ั
ู ตัดตันสเี่ หลีย
ระลัยทีไ่ ด ้จากคอนกรีต (fVC) ถ ้าคานมีรป ่ มผืนผ ้า ขนาด 0.30 x 0.60 เมตร ระยะ d = 50 ซม. ต ้องรับทัง้ โมเมนต์ดด
ั
ประลัยสูงสุด (fTn) ของคานรูปตัดตันสีเ่ หลีย
่ มผืนผ ้า ขนาด 0.30 x 0.60 เมตร (ซึง่ ต ้องรับทัง้ โมเมนต์ดด
ั MU แรงเฉือน VU และโมเมนต์บ
กำลังจุดคราก 4000 กก./ซม.2 ระยะ clear covering เท่ากับ 3 ซม. หากกำหนดให ้ ดัชนีความกว ้างของรอยร ้าว (index of crack width)
้ กระยะ 1 เมตร ถ ้าระยะ clear covering เท่ากับ 2.5 ซม. และสมมติให ้ fs = 0.6fy ดังนัน
นทุ ้ ดัชนีความกว ้างของรอยร ้าว (index of crack
รับแรงดึงอย่างเดียว จงประมาณค่าโมเมนต์ดด
ั ทีท
่ ำให ้คานเริม
่ ร ้าว (Mcr) กำหนดให ้ modulus of rupture fr = 2.0 กก./
้ ้ำหนักบรรทุกแผ่ใช ้งานทัง้ หมด = 6000 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท
แรงดึงอย่างเดียว ถ ้าคานนีน
f 25 มม. (As = 14.73 ซม.2) ทีค ่ รับน้ำหนักบรรทุกแผ่ใช ้งาน wD = 5000 กก./ม. (รวมน้ำหนักของ
่ วามลึกประสิทธิผลเท่ากับ 30 ซม. เพือ
สริมเหล็กรับแรงดึง 3-f 25 มม. (As = 14.73 ซม.2) ทีค ิ ธิผลเท่ากับ 30 ซม. เมือ
่ วามลึกประสท ้
่ คานรับน้ำหนักบรรทุกแผ่ใชงาน
่ วามลึกประสิทธิผลเท่ากับ 30 ซม. จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
สริมเหล็กรับแรงดึง 3-f 25 มม. (As = 14.73 ซม.2) ทีค ี ำลัง ประมาณค
สริมเหล็กรับแรงดึง 3-f 25 มม. (As = 14.73 ซม.2) ทีค ิ ธิผลเท่ากับ 30 ซม. เพือ
่ วามลึกประสท ้
่ รับน้ำหนักบรรทุกแผ่ใชงาน wD = 1240
สริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียว 3-f 25 มม. (As = 14.73 ซม.2) ทีค ิ ธิผลเท่ากับ 34 ซม. เพือ
่ วามลึกประสท ้
่ รับน้ำหนักบรรทุกแผ่ใชงาน
้
ชงานทั ้
ง้ หมด w = 1860 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าการโก่งตัวทัง้ หมดทีก
่ งึ่ กลางค
้
ชงานทั
ง้ หมด w = 1860 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) จงประมาณค่าการโก่งตัวทันทีทก
ี่ งึ่ กลางคาน สมมติให ้ EC = 2.5x105
จงประมาณค่าการโก่งตัวทันทีทป
ี่ ลายยืน
่ อันเนือ ้
่ งมาจากน้ำหนักบรรทุกจรใชงานแบบแผ่ = 150 กก./ม.2 กำหนดให ้ EC = 15100
น ้าก่อนการวิบต
ั ิ
้
รงใช งานสามารถรั บแรงดึงได ้เท่าใด
มารถรับหน่วยแรงอัดปลอดภัยได ้เท่าใด
หนดให ้ fc=65ksc. fs=1200ksc. และ n=10
ม 12sq.cm. เหล็กอยูห
่ า่ งจากผิวด ้านแรงดึง 5 cm. ถ ้า fc=65ksc. fs=1200ksc. และ n=10 จงหาโมเมนต์ดด
ั สูงสุดทีค ้
่ านจะรับได ้โดยใชท
้
ห ้ fc’ = 225 ksc; fy = 2400 ksc และใชเกณฑ์
มาตรฐานของ ว.ส.ท.ในการออกแบบ จงหาโมเมนต์ต ้านทานของคอนกรีต (Mc)(
ล็กปลอก RB 6 @ 0.25 จะรับน้ำหนักได ้เท่าไร ถ ้า fc’ = 240 ksc; fy = 3000 ksc (วิธ ี WSD)
ล็กเสริมยืน 6-DB 20 มม. fc’ = 210 ksc; fy = 3000 ksc รับน้ำหนักประลัยตามแนวแกนได ้เท่าไร เมือ
่ คำนวนตามข ้อกำหนดของวสท
วขนาด 40x40 ซม. มีเหล็กเสริมยืน 6-DB 20 มม. เมือ
่ กำหนด fc’ = 210 ksc; fy = 3000 ksc คำนวนตามมาตราฐาน วสท. กรณีการก่อสร
าตัดทัง้ หมดของคอนกรีต
ิ ธิผลเท่ากับ 40 cmเมือ
24)แบบลูกตัง้ ของคานคอนกรีต กว ้าง 20 cm ความลึกประสท ่ มีแรงเฉือนกระทำ Vu=1600 kg ความต ้านทานแรงเฉ
นต่างๆในโรงเรียนแห่งหนึง่
่ ใชต้ ้านทานโมเมนต์ดด
cm.) กำหนดให ้ f’c = 210 ksc , fy = 3000 ksc ควรมีการเสริมเหล็กตามข ้อใด เพือ ั ประลัย Mu = 22,000 kg.m
ควรมีปริมาณเหล็กเสริมน ้อยทีส
่ ด
ุ ไม่น ้อยกว่าข ้อใดต่อไปนี้ เมือ
่ กำหนดให ้ f’c = 210 ksc และ fy = 3000 ksc
นทีม ี น ้าตัดขนาด 20 cm. x 50 cm. เหล็กเสริมบน 2-DB20 เหล็กเสริมล่าง 2-DB16 ใช ้เหล็กปลอก RB-6 @ 0.15 m. (กำหนดให ้ใช ้
่ ห
้ นเหล็กน ้อยสุด
. ควรพิจารณาใชเป็
งตามแนวแกนประกอบด ้วยน้ำหนักบรรทุกคงที่ (Dead Load) = 60 ตัน น้ำหนักบรรทุกจร (Live Load) = 40 ตัน โดยฐานรากมีน้ำหนักของ
ามหนาแผ่นพืน
้ 0.08 m. รับน้ำหนักบรรทุกจร 300kg/m2.ตามข ้อกำหนดมาตราฐานว.ส.ท.โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน(WSD)ใช ้ กเสริมชนิด
เหล็
0.20 x 9.00 m. จำนวน 4 ต ้น ซึง่ เสาเข็มแต่ละต ้นกำหนดให ้อยูใ่ นตำแหน่งทีส
่ มมาตรเมือ
่ พิจารณาจากหน ้าตัดฐานราก จงคำนวณหาขนาด
อนกรีตเสริมเหล็กทางเดียว (one-way slab) ชว่ งยาว 2 ม. หนา 10 ซม. รับน้ำหนักบรรทุกจร 200 กก./ตร.ม. กำหนด fc’=200 ksc, fy = 2
ใด โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน (WSD) กำหนด fc’=240 ksc, fy = 3000 ksc
ไปนี้ ข ้อใดไม่ถก
ู ต ้อง
อไปนี้ ข ้อใดไม่ถก
ู ต ้อง
00 กก./ตร.ซม.
700 กก./ตร.ซม.
ั สว่ นโดยตรง
ล็กเสริม เป็ นสด
องขนาดโตสุดของหิน
วามหนาของแผ่นพืน้ หรือ 45 ซม.
ศูนย์กลางของเหล็กเสริม หรือ 1.34 เท่าของขนาดโตสุดของหิน หรือ 2.5 ซม.
ค) การกระจายของหน่วยแรงและแรงภายในบนหน ้าตัด
ค) การกระจายของหน่วยแรงและแรงภายในบนหน ้าตัด
ช ้งานทีย
่ อมให ้ fc = 65 กก./ตร.ซม., fs = 1200 กก./ตร.ซม. และ n = 11 ถ ้าใช ้แผ่นพืน
้ หนา 10 ซม. ความลึกประสิทธิผล d = 7.5
ต ้องรับโมเมนต์ดด ้
ั ทัง้ หมด M = 5850 กก.-เมตร หน่วยแรงใชงานที
ย ่ อมให ้ fc = 90 กก./ตร.ซม., fs = 1200 กก./ตร.ซม. และ
5 ซม. เพือ ้
่ รับน้ำหนักใชงาน P = 40 ตัน, M = 2 ตัน-เมตร โดยพิจารณาจากกราฟออกแบบทีแ
่ สดง กำหนดให ้ fc’ = 250 กก./
อเสายาวซงึ่ มีอต
ั ราสว่ นความชะลูดค่าหนึง่ และ R เป็ นตัวคูณลดกำลังของเสาตามมาตรฐาน วสท. กำหนดในวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ดังนัน
้ แรง
วยแรงสูงสุดของคอนกรีตและเหล็กเสริมสำหรับการออกแบบโดยวิธก
ี ำลังดังต่อไปนี้ ข ้อใดไม่ถก
ู ต ้อง
รือไม่เกิน 40 ซม.
ยแรงอัดในคอนกรีตทีส
่ ภาวะวิบต ิ ระจายเป็ นรูปสีเ่ หลีย
ั ก ่ มผืนผ ้าเทียบเท่าดังแสดง โดยให ้หน่วยแรงอัดสูงสุดในคอนกรีตมีคา่ เท่ากับ
้
ตัน-เมตร หากพิจารณาใชเสารู
ปตัด b = 25 ซม., h = 50 ซม., d = 45 ซม. โดยที่ fc’ = 300 กก./ตร.ซม., fy = 3000 กก./
จายของหน่วยการยืด -หดตัว (strain distribution) ทีส
่ ภาวะต่างๆ ดังทีแ
่ สดง รูปใดแสดงถึงสภาวะสมดุล (balanced condition)
้
ดัดทีใ่ ช ออกแบบ (design strength) เมือ
่ คานวิบต
ั ท
ิ ด
ี่ ้านรับแรงดึง (yielding failure) คือ
้
ใชตามข ้อกำหนดในวิธก
ี ำลัง
งอย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.30 ม. ถ ้าใช ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 และ fy = 3000 กก./ซม.2 จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณอัตราสว่ นของเหล็กเสริมท
้
งรับน้ำหนักบรรทุกจรแบบแผ่สม่ำเสมอใชงานเท่ ั ได ้เท่ากับ wL2/24 จงใชวิ้ ธ ี
ากับ 500 กก./ม.2 ถ ้าทีร่ องรับสามารถรับโมเมนต์ดด
้
งรับน้ำหนักบรรทุกจรแบบแผ่สม่ำเสมอใชงานเท่ ั ได ้เท่ากับ wL2/24 จงใชวิ้ ธ ี
ากับ 500 กก./ม.2 ถ ้าทีร่ องรับสามารถรับโมเมนต์ดด
งอย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.40 ม. โดยใช ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 และ fy = 2400 กก./ซม.2 ซงึ่ จากวิธ ี WSD พบว่า ค่า k = 0.43
งอย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.45 ม. โดยใช ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 และ fy = 3000 กก./ซม.2 ซงึ่ จากวิธ ี WSD พบว่า ค่า k = 0.38
งอย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 0.45 ม. โดยใช ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 และ fy = 3000 กก./ซม.2 ซึง่ จากวิธ ี WSD พบว่า ค่า k = 0.38
ามวิธท
ี ี่ 2 ของมาตรฐาน ว.ส.ท.
ย์ถงึ ศูนย์ของทีร่ องรับ = 5.00x5.00 เมตร ถ ้าความกว ้างของคานรองรับแต่ละด ้านเท่ากับ 20 ซม. และแผ่นพืน
้ หนาเท่ากับ 12 ซม
ย์ถงึ ศูนย์ของทีร่ องรับ = 3.00x4.50 เมตร ถ ้าความกว ้างของคานรองรับแต่ละด ้านเท่ากับ 15 ซม. และแผ่นพืน
้ หนาเท่ากับ 10 ซม
ไม่ตอ
่ เนือ ี่ ้าน จะพบว่า
่ งกันทัง้ สด
กึง่ กลางช่วงของแผ่นพืน
้ คสล. 2 ทาง แบบใด ทีม
่ ค
ึ า่ มากทีส
่ ด
ุ
านซึง่ ต่อเนือ
่ งของแผ่นพืน
้ คสล. 2 ทาง แบบใด ทีม
่ ค
ึ า่ มากทีส
่ ด
ุ
พืน
้ คสล. 2 ทาง มีคา่ เท่ากับ
นวแกนเนือ
่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 130 ตัน และ PL = 98.5 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 280
นวแกนเนือ
่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 130 ตัน และ PL = 98.5 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 280
นวแกนเนือ
่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 130 ตัน และ PL = 98.5 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 280
นวแกนเนือ
่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 130 ตัน และ PL = 98.5 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 280
นวแกนเนือ
่ งจากน้ำหนักบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 130 ตัน และ PL = 98.5 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 280
กบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 150 ตัน และ PL = 100 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ซม. ^2 และ
กบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 150 ตัน และ PL = 100 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ซม. ^2 และ
กบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 150 ตัน และ PL = 100 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ซม. ^2 และ
กบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 150 ตัน และ PL = 100 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ซม.^ 2 และ
บรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 130 ตัน และ PL = 98.5 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 280 กก./ซม. 2 และ
กบรรทุกคงทีแ
่ ละน้ำหนักบรรทุกจร ตามลำดับ ดังนี้ PD = 150 ตัน และ PL = 100 ตัน กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ซม. ^2 และ
ั สว่ นกัน
ละเป็ นส ด
กขึน
้ กว่าเดิม
ม่เป็ นสัดส่วนกัน
ต่ไม่เป็ นสัดส่วนโดยตรง
กขึน
้ กว่าเดิม
สัดส่วนโดยตรง
เป็ นสัดส่วนโดยตรง
มด 6เส ้น เส ้นละ25 มม. (Ast = 29.45 ตร.ซม.) โดยที่ As = As‘ และระยะคอนกรีตหุ ้ม = 5 ซม. เสานีต
้ ้องรับแรงอัดตามแนวแกน และโมเม
มด 6 เสน้ เสนละ25
้ มม. (Ast = 29.45 ตร.ซม.) โดยที่ As = As‘ และระยะคอนกรีตหุ ้ม = 3 ซม. เสานีต
้ ้องรับแรงอัดตามแนวแกน และโมเ
้ ต ้องใช ้เหล็กปลอกเดีย
25 มม. โดยที่ As = As‘ ดังนัน ่ วสำหรับเสานีค
้ อ
ื
้ ต ้องใช ้เหล็กปลอกเดีย
15 มม. โดยที่ As = As‘ ดังนัน ่ วสำหรับเสานีค
้ อ
ื
อนกรีตหุ ้มเท่ากับ 3 ซม. กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 2400 กก./ซม.2 ดังนัน ้ กปลอกเกลียวสำหรับเสานีค
้ ต ้องใชเหล็ ้ อ
ื
ม่ได ้ จากผลของแรงอัดและโมเมนต์ดด ้ ะโก่งสองทาง และอยูใ่ นช ว่ งแรงอัดเป็ นหลัก ถ ้าชว่ งความยาวของเสาต ้นนีท
ั เสานีจ ้ ป
ี่ ราศจากค้ำยันเท
มตร ถ ้าความหนาของฐานรากเท่ากับ 40 ซม. โดยมีความลึกสุทธิ d = 30 ซม. และให ้หน่วยแรงกดใต ้ฐาน เท่ากับ 10 ตัน/เมตร
้
อม่อขนาด 0.30x0.30 เมตร ถ ้าใชความหนาของฐานรากเท่
ากับ 40 ซม. โดยมีความลึกสุทธิ d = 30 ซม. จงหาเนือ ่ องหน ้าตัดวิกฤตสำห
้ ทีข
อม่อขนาด 0.30x0.30 เมตร ถ ้าใช ้ความหนาของฐานรากเท่ากับ 40 ซม. โดยมีความลึกสุทธิ d = 30 ซม. จงหาเนือ
้ ทีข
่ องหน ้าตัดวิกฤตสำห
120 ตันอย่างเดียวจากเสาตอม่อขนาด 0.30 x 0.30 เมตร โดยใช ้ เสาเข็มขนาด 0.30 ม. จำนวน 12 ต ้น เรียงเป็ น 3 แถว ขนานกับด ้านยา
มด 6-DB20 มม. ( Ast = 18.84 ตร.ซม.) โดยที่ As = As' และระยะคอนกรีตหุ ้ม = 4 ซม. ให ้ใช ้วิธ ี WSD ประมาณกำลังต ้านแรงอัดใช ้งาน
งอย่างเดียว AS = 9.36 ซม.2 ทีร่ ะยะ d = 0.39 ม. จงใช ้มาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าโมเมนต์ดด
ั ประลัย (MU)
้
งอย่างเดียว AS = 12.50 ซม.2 ทีร่ ะยะ d = 0.50 ม. จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าโมเมนต์ดด
ั ประลัย
งอย่างเดียว AS = 0.01bd ซม.2 ทีร่ ะยะ d = 0.35 ม. จงใช ้มาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห
ี น่วยแรงใช ้งาน ประมาณค่าโมเมนต์ดด
ั ใช ้งาน
้
ซม.2/เมตร ทีร่ ะยะ d = 6 ซม. จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ประมาณค่าโมเมนต์ดด
ั M ของพืน
้ นี้ สมมติให ้
้
ซม.2/เมตร ทีร่ ะยะ d = 6 ซม. จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าโมเมนต์ดด
ั MU ของพืน
้ นี้ สมมติให ้ fy = 3000
้
= 2.83 ซม.2/เมตร ทีร่ ะยะ d = 6 ซม. ถ ้าระยะศูนย์ถงึ ศูนย์ของทีร่ องรับเท่ากับ 1.75 เมตร จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห
ี น่วยแรงใชง
้
งละ 3.00 เมตร รับน้ำหนักบรรทุกแบบแผ่สม่ำเสมอใชงานทั
ง้ หมดเท่ากับ 500 กก./ม.2 (รวมน้ำหนักพืน
้ แลัว) ถ ้าโมเมนต์ดด
ั ชนิดลบตรงทีร่ อ
้
งละ 3.00 เมตร รับน้ำหนักบรรทุกแบบแผ่สม่ำเสมอใชงานทั
ง้ หมดเท่ากับ 500 กก./ม.2 (รวมน้ำหนักพืน
้ แลัว) ถ ้าโมเมนต์ดด
ั ชนิดลบตรงทีร่ อ
้
งละ 3.00 เมตร รับน้ำหนักบรรทุกแบบแผ่สม่ำเสมอใชงานทั
ง้ หมดเท่ากับ 500 กก./ม.2 (รวมน้ำหนักพืน
้ แลัว) ถ ้าโมเมนต์ดด
ั ชนิดบวกตรงกล
้
บบแผ่สม่ำเสมอใชงาน ้
= 150 กก./ม.2 จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ่ ้องใช ้ สมมติให ้พืน
หาปริมาณเหล็กเสริมทีต ้ หนา
หล็กรับแรงดึงอย่างเดียว As = 5.65 ซม.2/เมตร ทีร่ ะยะ d = 12 ซม. จงใช ้มาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณน้ำหนักบรรทุกจรแบ
้
00 กก.-เมตร จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน หาปริมาณของเหล็กเสริมรับแรงดึง (As) และรับแรงอัด (As‘)
ทีห ้
่ น ้าตัดวิกฤต = 3500 กก.-เมตร จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง หาปริมาณของเหล็กเสริมรับแรงดึง (As) และรับแรงอัด
่ น ้าตัดวิกฤต = 6000 กก.-เมตร จงใช ้มาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ทีห ี ำลัง หาปริมาณของเหล็กเสริมรับแรงดึง (As) และรับแรงอัด
ทีห ้
่ น ้าตัดวิกฤต = 15000 กก.-เมตร จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง หาปริมาณของเหล็กเสริมรับแรงดึง (As) และรับแรงอัด
ผ่นพืน
้ นัน
้ ถ ้าพืน
้ หนา = 12 ซม. ตัวคานกว ้าง = 20 ซม. ระยะห่างจากศูนย์ถงึ ศูนย์ของคานข ้างเคียงแต่ละข ้าง = 4.50 เมตร และช่วงคานยา
ผ่นพืน
้ นัน ้ หนา = 15 ซม. ตัวคานกว ้าง = 20 ซม. ระยะห่างจากศูนย์ถงึ ศูนย์ของคานข ้างเคียงแต่ละข ้าง = 5 เมตร และชว่ งคานยาว
้ ถ ้าพืน
นนัน
้ ถ ้าพืน ิ ธิผลของปี กคานรูปตัดตัวที ตามมาตรฐานของ ว.ส
้ หนา = 12 ซม. ตัวคานกว ้าง = 20 ซม. จงหาความกว ้างประสท
นนัน
้ ถ ้าพืน
้ หนา = 10 ซม. ตัวคานกว ้าง = 15 ซม. จงหาความกว ้างประสิทธิผลของปี กคานรูปตัดตัวที ตามมาตรฐานของ ว.ส
้
หนา = 8 ซม. ตัวคานกว ้าง = 25 ซม. เสริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียว As = 48.24 ซม.2 ทีร่ ะยะ d = 40 ซม. จงใชมาตรฐานของ ว
้
วคานกว ้าง = 25 ซม. เสริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียว As = 9.82 ซม.2 ทีร่ ะยะ d = 40 ซม. จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห
ี น่วยแรงใ
้
วคานกว ้าง = 25 ซม. เสริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียว ทีร่ ะยะ d = 30 ซม. จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน หาปริมาณเห
้
รับน้ำหนักบรรทุกคงทีใ่ ชงานเท่ ้
ากับ 350 กก./ ม.2 และน้ำหนักบรรทุกจรใชงานเท่ ้
ากับ 250 กก./ ม.2 ให ้ใชมาตรฐาน ว.ส.ท.
งเฉือนประลัยทีห ้
่ น ้าตัดวิกฤต = 14150 กก. จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง หาระยะเรียงห่างมากทีส
่ ด
ุ ของเหล็กลูกตัง้
้
ล็กลูกตัง้ (SD30) ขนาด f10 มม. (สองขา) มีระยะเรียงห่าง = 20 ซม. จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง หาความต ้านทานแรงเฉือน
้
ล็กลูกตัง้ (SR24) ขนาด f6 มม. (สองขา) มีระยะเรียงห่าง = 14 ซม. จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน หาความต ้านทาน
้ ้องรับน้ำหนักบรรทุกใช ้งานแบบแผ่สม่ำเสมอทัง้ หมด w = 2000 กก./เมตร (รวมน้ำหนักคานแล ้ว
ทีร่ ะยะ d = 40 ซม. ถ ้าคานนีต
มด 6 f25 มม. (Ast = 29.45 ตร.ซม.) โดยที่ As = As‘ และระยะคอนกรีตหุ ้ม = 5 ซม. เสานีต
้ ้องรับแรงอัดตามแนวแกน และโมเมนต์ดด
ั รอบ
มด 6 f25 มม. (Ast = 29.45 ตร.ซม.) โดยที่ As = As‘ และระยะคอนกรีตหุ ้ม = 5 ซม. เสานีต
้ ้องรับแรงอัดตามแนวแกน และโมเมนต์ดด
ั รอบ
มด 6 f25 มม. (Ast = 29.45 ตร.ซม.) โดยที่ As = As‘ และระยะคอนกรีตหุ ้ม = 5 ซม. ให ้ใช ้วิธ ี WSD ประมาณค่าโมเมนต์ดด
ั
5 มม. (Ast = 29.45 ตร.ซม.) โดยที่ As = As‘ และระยะคอนกรีตหุ ้ม = 5 ซม. จงใช ้วิธ ี WSD ประมาณค่าแรงอัดใช ้งานทีส
่ ภาวะสมดุล
้
As‘ รับแรงอัดใชงาน = 50 ตัน จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าโมเมนต์ดด ้ เ่ สาสามารถรับได ้ในชว่ งแรงอัดเป็ นหลัก กำหนดให ้ หน่วยแร
ั ใชงานที
มด 6 f25 มม. (Ast = 29.45 ตร.ซม.) โดยที่ As = As‘ และระยะคอนกรีตหุ ้ม = 5 ซม. จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าโมเมนต์ดด ้
ั ใชงานที
ส ่ ภาว
โมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน MX = 6.3 ตัน-เมตร MY = 3.15 ตัน-เมตร จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าแรงอัดใชงานที
้ เ่ สาสามารถรับได ้ในชว่ งแรงอัดเป็
โมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน MX = 8.5 ตัน-เมตร MY = 4.25 ตัน-เมตร จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าแรงอัดใชงานที
้ เ่ สาสามารถรับได ้ในชว่ งแรงอัดเป็
้
แรงอัดใชงาน = 80 ตัน จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าโมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน MX ทีเ่ สาสามารถรับได ้ในชว่ งแรงอัดเป็ นหลัก กำหนดให ้ หน่วยแรงอ
อนกรีตหุ ้มเท่ากับ 3 ซม. กำหนดให ้ fc‘ = 100 กก./ซม.2 fsy = 2400 กก./ซม.2 ดังนัน ้ กปลอกเกลียวสำหรับเสานีค
้ ต ้องใชเหล็ ้ อ
ื
้ ต ้องใช ้เหล็กปลอกเกลียวสำหรับเสานีค
อนกรีตหุ ้มเท่ากับ 3 ซม. กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fsy = 2400 กก./ซม.2 ดังนัน ้ อ
ื
อนกรีตหุ ้มเท่ากับ 3 ซม. กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fsy = 2400 กก./ซม.2 ดังนัน ้ กปลอกเกลียวสำหรับเสานีค
้ ต ้องใชเหล็ ้ อ
ื
ชว่ งเดียวและชน
ั ้ เดียวซงึ่ เซได ้ โดยทีป ่ ัวเสายึดติดกับคานซงึ่ มีคา่ I/L = 200 ซม.3 ถ ้าเสาต ้นนีโ้ ก่ง
่ ลายเสาเป็ นแบบยึดแน่น (fixed) และทีห
ำขนานกับด ้านทีย
่ าวเท่ากับ 50 ซม. ถ ้าเสานีอ ้ ชว่ งความย
้ ยูใ่ นโครงเฟรมทีเ่ ซได ้ และพบว่าค่า effective length factor เท่ากับ 1.50 ดังนัน
ำขนานกับด ้านทีย
่ าวเท่ากับ 50 ซม. ถ ้าเสานีอ
้ ยูใ่ นโครงเฟรมทีเ่ ซได ้ และพบว่าค่า effective length factor เท่ากับ 1.70 ดังนัน
้ ช่วงความย
้
รับแรงอัดใชงาน P = 39 ตัน และโมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน M = 1.95 ตัน-เมตร ถ ้าให ้อัตราสว่ น d/h = 0.9 จงหาเหล็กยืนทัง้ หมดทีต ้
่ ้องใชตามวิ
ธ
้
รับแรงอัดใชงาน P = 78 ตัน และโมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน M = 4.0 ตัน-เมตร ถ ้าให ้อัตราสว่ น d/h = 0.9 จงหาเหล็กยืนทัง้ หมดทีต ้
่ ้องใชตามวิ
ธี
รับแรงอัดใช ้งาน P = 50 ตัน และโมเมนต์ดด
ั ใช ้งาน M = 8.0 ตัน-เมตร ถ ้าให ้อัตราส่วน d/h = 0.9 จงหาเหล็กยืนทัง้ หมดทีต
่ ้องใช ้ตามวิธ ี
.42 ตร. ซม. ถ ้าเสารับแรงอัดประลัย PU = 105 ตัน จงใชวิ้ ธ ี USD หาว่า เสารับโมเมนต์ดด
ั ประลัย MU ได ้เท่าใด ทัง้ นีใ้ ห ้พิจารณาจากกราฟ
้ งศูนย์ e จากแกนศูนย์ถว่ งพลาสติกเท่ากับ 35 ซม. จงใชวิ้ ธ ี USD หาว่า เสารับโมเมนต
3.39 ตร. ซม. ถ ้าเสารับแรงอัดประลัย โดยมีระยะเยือ
้
15 ซม. ถ่ายน้ำหนักปรรทุกใชงานทั
ง้ หมด = 4.25 ตัน/เมตร ให ้ฐานรากแผ่นี้ และฐานรากกว ้าง 1.50 เมตร จงหาความลึกสุทธิ
้
15 ซม. ถ่ายน้ำหนักปรรทุกใชงานทั
ง้ หมด = 5.4 ตัน/เมตร ให ้ฐานรากแผ่นี้ และฐานรากกว ้าง 1.80 เมตร จงหาความลึกสุทธิ d
อซึง่ อยูต
่ รงกึง่ กลางฐานราก ถ ้าเนือ ่ น ้าตัดวิกฤตของแรงเฉือนแบบทะลุเท่ากับ 7000 ตร.ซม. จงใช ้วิธ ี WSD ประมาณค่าแรงอัด
้ ทีห
้
ดใชงาน P = 120 ตันอย่างเดียวจากเสาตอม่อขนาด 0.30x0.30 เมตร ซงึ่ อยูต
่ รงกึง่ กลางฐานราก ถ ้าใช ้ เสาเข็มขนาด f 0.30
0 เมตร อยูต ้
่ รงกึง่ กลางฐานราก ใชเสาเข็ มขนาด f 0.30 ม. จำนวน 12 ต ้น เรียงเป็ น 3 แถวๆละ 4 ต ้น ทีข
่ นานกับด ้านยาวของฐานราก โดยใ
งฐานราก ซึง่ ถ่ายแรงอัดและโมเมนต์ดด ่ ี้ พิจารณาใช ้ เสาเข็มขนาด f 0.30
ั ประลัย PU = 128 ตัน MU = 24.05 ตัน-เมตร ในทีน
้
r = 0.5rb ทีร่ ะยะ d = 0.40 ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโมเมนต์ดด
ั ประลัยของคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 250
้
r = 0.5rb ทีร่ ะยะ d = 0.50 ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโมเมนต์ดด
ั ประลัยของคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 300
้
r = 0.5rb ทีร่ ะยะ d = 0.50 ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโมเมนต์ดด
ั ประลัยของคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 200
้
r = 0.75rb ทีร่ ะยะ d = 0.45 ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโมเมนต์ดด
ั ประลัยของคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 300
= 0.40 ม. รับโมเมนต์ดด ้
ั ประลัย MU = 10800 กก.- เมตร จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก ่ ้องใช ้ กำหน
ี ำลัง ประมาณปริมาณเหล็กเสริมทีต
= 0.45 ม. รับโมเมนต์ดด ้
ั ประลัย MU = 22750 กก.- เมตร จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก ่ ้องใช ้ กำหน
ี ำลัง ประมาณปริมาณเหล็กเสริมทีต
ั ประลัย MU = 27000 กก.- เมตร จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
= 0.50 ม. รับโมเมนต์ดด ่ ้องใช ้ กำหน
ี ำลัง ประมาณปริมาณเหล็กเสริมทีต
ม. ทีร่ ะยะ d = 0.45 ม. และเสริมเหล็กรับแรงอัด AS‘ = 9.82 ตร.ซม. ทีร่ ะยะ d’ = 4.5 ซม. จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโ
้
ม. ทีร่ ะยะ d = 0.50 ม. และเสริมเหล็กรับแรงอัด AS‘ = 9.42 ตร.ซม. ทีร่ ะยะ d’ = 5.0 ซม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโ
ม. ทีร่ ะยะ d = 0.42 ม. และเสริมเหล็กรับแรงอัด AS‘ = 8.25 ตร.ซม. ทีร่ ะยะ d’ = 4.5 ซม. จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโ
้
ซม.2 และ As‘ = 6.28 ซม.2 และมีระยะคอนกรีตหุ ้มถึง c.g. ของเหล็ก = 5 ซม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณตำแหน่ง
ซม.2 และ As‘ = 6.28 ซม.2 และมีระยะคอนกรีตหุ ้มถึง c.g. ของเหล็ก = 5 ซม. จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณตำแหน่ง
้ fc’ของคอนกรีต เสาเข็ม = 210 ksc; fc’ของคอนกรีต ฐานราก = 180 ksc วิธ ี WSD
ด ้วยวิธก
ี ำลัง
กก./ตร.ซม. (สูตรคำนวณ L = dbfs/4u)
ยใช ้ค่าทีม
่ ากกว่า
้
หนักบรรทุกจรใชงาน ้
= 500 กก./ ม.2 จงประมาณค่าน้ำหนักบรรทุกใชงานทั
ง้ หมดในทางราบ
้
หนักบรรทุกจรใชงาน ้
= 400 กก./ ม.2 จงประมาณค่าน้ำหนักบรรทุกใชงานทั
ง้ หมดในทางราบ
้
หนักบรรทุกจรใชงาน = 400 กก./ม.2 จงประมาณค่าน้ำหนักบรรทุกประลัยทัง้ หมดในทางราบ กำหนดให ้ Factored Load = 1.4D + 1.7L
้
หนักบรรทุกจรใชงาน = 500 กก./ ม.2 จงประมาณค่าน้ำหนักบรรทุกประลัยทัง้ หมดในทางราบ กำหนดให ้ Factored load = 1.4D + 1.7L
ะมาณค่าโมเมนต์ดด
ั ทีท ิ ผลของเหล็กเสริมทีใ่ ช ้
่ ำให ้คานร ้าว (cracking moment) สมมติไม่คด
ะมาณค่าโมเมนต์ดด
ั ทีท ิ ผลของเหล็กเสริมทีใ่ ช ้
่ ำให ้คานร ้าว (cracking moment) สมมติไม่คด
ธี WSD เมือ
่ ให ้ n = 11 พบว่า คานนีเ้ ป็ นแบบ
เมตร และชว่ งคานยาว = 5 เมตร จงหาความกว ้างประสท
ิ ธิผลของปี กคานรูปตัดตัวที
่ ้องใช ้ตามมาตรฐานกำหนด
./ซม.2 และ fy = 4000 กก./ซม.2 จงประมาณค่า min As ทีต
ก./ซม.2 จงประมาณค่าโมเมนต์ดด
ั ต ้านทานปลอดภัย สมมติให ้ตำแหน่งแนวแกนสะเทิน kd = 5 ซม.
หน่งแกนสะเทินทีห
่ า่ งจากด ้านรับแรงอัด มีคา่
หล็ก RB 6 มม. (สองขา) จงหาระยะเรียงห่างมากทีส
่ ด
ุ ตามมาตรฐานกำหนด
800 กก. จงหาระยะเรียงห่างมากทีส ุ ของเหล็กลูกตัง้ 9 มม. (สองขา) ซึง่ มีคา่ fy = 2400 กก./ซม.2 สมมติวา่ คอนกรีตมีคา่ fc ‘ = 200
่ ด
กก. จงหาระยะเรียงห่างมากทีส ุ ของเหล็กลูกตัง้ 9 มม. (สองขา) ซงึ่ มีคา่ fy = 3000 กก./ซม.2 สมมติวา่ คอนกรีตมีคา่ fc ‘ = 200
่ ด
= 12000 กก. จงหาขนาดและระยะเรียงห่างมากทีส ุ ของเหล็กลูกตัง้ (สองขา) ซงึ่ มีคา่ fy = 2400 กก./ซม.^2 สมมติวา่ คอนกรีตมีคา่
่ ด
กก. จงหาขนาดและระยะเรียงห่างมากทีส ุ ของเหล็กลูกตัง้ (สองขา) ซึง่ มีคา่ fy = 3000 กก./ซม.^2 สมมติวา่ คอนกรีตมีคา่ fc ‘ = 200
่ ด
ยใชค่้ าทีม
่ ากกว่า
สร ้างทีร่ องรับนี้ ตามวิธ ี WSD กำหนดให ้ fc‘ = 150 กก./ซม. ^2 fy = 2400 กก./ซม.2 และหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีย
่ อมให ้ของเหล็กเสริม
D กำหนดว่า “ของอมาตรฐาน“ มีกำลังรับแรงดึงได ้เท่ากับ 700 กก./ซม.2 กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม. ^2 fy = 3000 กก./
D ประมาณกำลังรับโมเมนต์บด
ิ ประลัยทีไ่ ด ้จากคอนกรีตเพียงอย่างเดียว กำหนดให ้ fc‘ = 150 กก./ตร.ซม.
ดวิกฤต อันเนือ ้
่ งมาจากน้ำหนักบรรทุกใชงาน จะพบว่าหน่วยแรงเฉือนทีเ่ กิดขึน
้ เนือ
่ งจากโมเมนต์ดด
ั มีคา่
(สำหรับเหล็กปลอกทางขวาง) เพือ ่ ลางชว่ งคาน และ V = 4940 กก. กับ T = 1450 กก.-เมตร ทีห
่ ต ้านทาน M ทีก ่ น ้าตัดวิกฤต อันเนือ
่ งมา
้ กลูกตัง้ RB 9 มม. และระยะคอนกรีตหุ ้มจากผิวล่างของคานถึงผิวของเหล็กลูกตัง้ = 4.0 ซม. ดังนัน
ใชเหล็ ้ ตำแหน่ง c.g. ของเหล็กรับแรง
้
ผ่ใชงาน wD = 1240 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) และ wL = 620 กก./ม. จงประมาณค่าการโก่งตัวทันทีของคาน สมมติให ้
้
แผ่ใชงาน wD = 1240 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) และ wL = 620 กก./ม. จงประมาณค่าการโก่งตัวทัง้ หมดในระยะยาว ซงึ่ มากกว
้
00 กก./ ม.2 จงประมาณค่าน้ำหนักบรรทุกใชงานทั
ง้ หมดในทางราบ
้
= 400 กก./ ม.2 จงประมาณค่าน้ำหนักบรรทุกใชงานทั
ง้ หมดในทางราบ
2 จงประมาณค่าน้ำหนักบรรทุกใช ้งานทัง้ หมดในทางราบ
้
ล ้ว) จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน หาหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการเปลีย
่ นแปลงโมเมนต์ดด
ั (flexural bond stre
าน หาหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการฝั งยึดเหล็กเสริม (anchorage bond stress : u) สมมติวา่ fS = 1200 กก./ซม.2
ยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดขึน
้ จากการฝั งยึดเหล็กเสริมนัน
้ มีคา่ ไม่เกินเท่าใดของหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วทีย
่ อมให ้
ยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการเปลีย
่ นแปลงโมเมนต์ดด
ั (flexural bond stress) กำหนดให ้ fc‘ = 150 กก./ซม.2
ยึดเหนีย
่ วทีเ่ กิดจากการเปลีย
่ นแปลงโมเมนต์ดด
ั (flexural bond stress) กำหนดให ้ fc‘ = 150 กก./ซม..2 fy = 3000 กก./ซม
้
กับ 1.00 ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ่ ามารถนำมาใช ้ กำหนดให ้
ประมาณขนาดโตสุดของเหล็กกลมเรียบทีส
้
กับ 65 ซม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ่ ามารถนำมาใช ้ กำหนดให ้
หาขนาดโตสุดของเหล็กข ้ออ ้อย (SD 30) ทีส
้
บ 1.75 ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ่ ามารถนำมาใช ้ กำหนดให ้
หาขนาดโตสุดของเหล็กข ้ออ ้อย (SD 30) ทีส
้
บ 0.85 ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ่ ามารถนำมาใช ้ กำหนดให ้
ประมาณขนาดโตสุดของเหล็กกลมเรียบทีส
้ าศูนย์กลางของเหล็กเสริม จงใชมาตรฐาน
เป็ นระยะไม่น ้อยกว่า 12 เท่าของขนาดเสนผ่ ้ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ประมาณกำลังรับแร
เป็ นระยะไม่น ้อยกว่า 12 เท่าของขนาดเส ้นผ่าศูนย์กลางของเหล็กเสริม จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห
ี น่วยแรงใช ้งาน ประมาณกำลังรับแร
อบรองรับ ทีจ ้
่ ะหยุด ดัด หรือตัดเหล็กเสริม 2 เสนแรกออกไป
้
มเหล็กทีร่ ะยะ d = 45 ซม. สมมติน้ำหนักบรรทุกจรใชงาน = 500 กก./ตร. เมตร
้
มเหล็กทีร่ ะยะ d = 45 ซม. สมมติน้ำหนักบรรทุกจรใชงาน = 200 กก./ตร. เมตร
้
มเหล็กทีร่ ะยะ d = 45 ซม. สมมติน้ำหนักบรรทุกจรใชงาน = 300 กก./ตร. เมตร
้
มเหล็กทีร่ ะยะ d = 45 ซม. สมมติน้ำหนักบรรทุกจรใชงาน = 400 กก./ตร. เมตร
นัน
้ ต ้องเปลีย
่ นขนาดรูปตัดคาน
MU แรงเฉือน VU และโมเมนต์บด
ิ TU กำหนดให ้ fc‘ = 300 กก./ตร.ซม. อัตราส่วนของ TU/VU = 0.5 เมตร และค่า 1/Ct = 36
บทัง้ โมเมนต์ดด ิ TU กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม. อัตราสว่ นของ TU/VU = 0.6 เมตร และค่า
ั MU แรงเฉือน VU และโมเมนต์บด
บทัง้ โมเมนต์ดด ิ TU กำหนดให ้ fc‘ = 300 กก./ตร.ซม. อัตราสว่ นของ TU/VU = 0.5 เมตร และค่า
ั MU แรงเฉือน VU และโมเมนต์บด
รงเฉือน VU และโมเมนต์บด
ิ TU) ทีเ่ สริมเหล็กปลอกเกลียวแบบวงปิ ดและเหล็กเสริมตามยาว กำหนดให ้ fc‘ = 300 กก./ตร.ซม
โมเมนต์บด
ิ (At/s) และแรงเฉือน (AV/s) มีคา่ เท่ากับ 0.059 ซม. ดังนัน ่ ้องใช ้
้ จงหาขนาดเหล็กปลอกและระยะเรียงทีต
้
ชงาน กำหนดให ้ fc‘ = 300 กก./ตร.ซม. fy = 4000 กก./ตร.ซม. n = 8
ด
ั แปลงร ้าว (Icr) กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม. fy = 3000 กก./ตร.ซม. n = 10 และ k = 0.375
ดแปลงร ้าว (Icr) กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม. fy = 3000 กก./ตร.ซม. n = 10 และ k = 0.375
านเริม
่ คราก (My) กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม. fy = 3000 กก./ตร.ซม. n = 10 และ j = 7/8
ดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าโมเมนต์อน ี ประสท
ิ เนอร์เชย ิ ธิผลของคาน (Ie) เพือ
่ นำไปคำนวณหาค่าการโก่งตัวต่อไป สมมติให ้ Icr = 55900
0 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) และ wL = 1250 กก./ม. จงใช ้มาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าการโก่งตัวทันทีทป
ี่ ลายคาน
กของพืน ้
้ แล ้ว) และ wL = 100 กก./ตร.ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าของโมเมนต์อน ี ประสท
ิ เนอร์เชย ิ ธิผลของพืน
้ ยืน
่
้
0 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) และ wL = 1250 กก./ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าการโก่งตัวทัง้ หมดทีป
่ ลายค
้
หน ้าตัดวิกฤต = 4875 กก.-ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ประมาณค่าการโก่งตัวทันทีทป
ี่ ลายคานยืน
่ นี้ สมมติให ้
้
หน ้าตัดวิกฤต = 5850 กก.-ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ประมาณค่าการโก่งตัวทัง้ หมดทีป
่ ลายคานยืน
่ นี้ เมือ
่ รับน้ำหนัก
้
รทุกแผ่ใชงาน wD = 1240 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) และ wL = 620 กก./ม. จงประมาณค่าของ (Mcr/Ma)3 กำหนดให ้
ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าของโมเมนต์อน
ิ เนอร์เชียประสิทธิผลของคานนี้ (Ie) ถ ้าสมมติคา่ (Mcr/Ma)3 = 0.0048 และ Icr = 55900
้
กแผ่ใชงาน ้
wD = 1240 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) และ wL = 310 กก./ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณค่าการโก
กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) และ wL = 3900 กก./ม. จงประมาณค่าการโก่งตัวทันที สมมติให ้ EC = 2.0x105 กก./ตร
้
หนักบรรทุกแผ่ใชงาน ้
wD = 3000 กก./ม. (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) และ wL = 3900 กก./ม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธห
ี น่วยแรงใช
รโก่งตัวทัง้ หมดทีก
่ งึ่ กลางคาน เมือ
่ เวลาผ่านไป 5 ปี สมมติให ้ EC = 2.5x105 กก./ตร.ซม. และโมเมนต์อน ี ประสท
ิ เนอร์เชย ิ ธิผล
บ 7.5 ซม. จงประมาณค่าโมเมนต์อน ี ของหน ้าคัดแปลงร ้าว (Icr) กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม. fy = 2400 กก./
ิ เนอร์เชย
และ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม.
่ องตัวมันเองและน้ำหนักบรรทุกจรใช ้งานแบบแผ่ = 150 กก./ม.2 สมมติให ้ (Mcr/Ma)3 = 1.25 และ Icr = 1960
บน้ำหนักบรรทุกคงทีข
้ กเสริม
ural moment หรือ ideal strength) ของหน ้าตัดนี้ ถ ้ากำหนดให ้คอนกรีตมีกำลังอัดประลัย 180 กก./ซม2 และใชเหล็
สุดทีค ้
่ านจะรับได ้โดยใชทฤษฎี ้
หน่วยแรงใชงาน
งคอนกรีต (Mc)(วิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน) กำหนดให ้ n = 9
มกับน้ำหนักทีก
่ ระทำตามแนวแกนเท่ากับ 25,000 kg. จงคำนวณหาค่าหน่วยแรงเฉือนทางเดียวทางยาวทีห
่ น ้าตัดวิกฤติ กำหนดความลึกประ
นต์ต ้านทานโดยปลอดภัยของคานนี้
ล็กปลอก (SR24) ขนาด 9 มม. จงหาระยะเรียงของเหล็กปลอก
่ ้องใช ้ โดยพิจารณาจากกราฟออกแบบเสา
= 3000 กก./ตร.ซม. จงประมาณหาปริมาณเหล็กยืนทัง้ หมด (Ast) ทีต
ed condition) ตามวิธก
ี ำลัง
อัตราสว่ นของเหล็กเสริมทีส
่ ภาวะสมดุล สมมติให ้ตำแหน่งแนวแกนสะเทิน kd = 11.25 ซม.
า ค่า k = 0.38 และโมเมนต์ต ้านทานโดยคอนกรีต = 6025 กก.-เมตร ถ ้าคานนีต ั ใช ้งาน = 8025 กก.-เมตร จงหาปริมาณข
้ ้องรับโมเมนต์ดด
้ มาณเหล็กยืนเท่ากับ 4% จงหาเนือ
ำหนดให ้ fc‘ = 280 กก./ซม.2 และ fy = 4000 กก./ซม.2 ถ ้าใชปริ ้ ทีข
่ องหน ้าตัดเสา โดยวิธ ี
้ มาณเหล็กยืนเท่ากับ 3% จงหาเนือ
ำหนดให ้ fc‘ = 280 กก./ซม. ^2 และ fy = 4000 กก./ซม. ^2 ถ ้าใชปริ ้ ทีข
่ องหน ้าตัดเสา โดยวิธี
้ มาณเหล็กยืนเท่ากับ 4% จงหาขนาดเสนผ่
/ซม.^ 2 และ fy = 3000 กก./ซม. ^2 ถ ้าใชปริ ้ าศูนย์กลางของหน ้าตัดเสา โดยวิธ ี
ต์ดด ้
ั ใชงาน (M) มากทีส
่ ด ้ ามารถรับได ้ ซงึ่ เสมือนว่าเสานีร้ ับแต่แรงอัดตามแนวแกนเพียงอย่างเดียว
ุ ทีเ่ สานีส
วสำหรับเสานีค
้ อ
ื
สาต ้นนีท ี่ ราศจากค้ำยันเท่ากับ 6.00 ม. ให ้ใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าตัวคูณลดค่า R
้ ป
I/L = 200 ซม.^3 จากผลของแรงอัดและโมเมนต์ดด ้ ะโก่งสองทาง และอยูใ่ นชว่ งแรงอัดเป็ นหลัก ถ ้าชว่ งความยาวของเสาต ้นนีท
ั เสาต ้นนีจ ้
I/L = 200 ซม.^3 จากผลของแรงอัดและโมเมนต์ดด ้ ะโก่งสองทาง และอยูใ่ นชว่ งแรงอัดเป็ นหลัก ถ ้าชว่ งความยาวของเสาต ้นนีท
ั เสาต ้นนีจ ้
้
ป็ น 3 แถว ขนานกับด ้านยาวของฐาน แต่ละแถวใชเสาเข็ ม 4 ต ้น โดยให ้ระยะห่างระหว่างศูนย์กลางของเสาเข็มเท่ากับ 90 ซม.
ต์ดด
ั ประลัย (MU) ทีค
่ านสามารถรับได ้ กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ซม.2 fy = 4000 กก./ซม.2 และ jUd = 45 ซม.
ั ใช ้งาน (M) ของคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 และ n = 10
าณค่าโมเมนต์ดด
วิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 และ kd = 11.25 ซม.
ต์ดด
ั ประลัย (MU)ทีค
่ านสามารถรับได ้ กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 และ fy = 2400 กก./ซม.2
องพืน
้ นี้ สมมติให ้ fy = 2400 กก./ซม.2 และ ตำแหน่งแนวแกนสะเทิน kd = 2.58 ซม.
ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ้
ประมาณค่าน้ำหนักบรรทุกจรแบบแผ่สม่ำเสมอใชงานสู
งสุด กำหนดให ้ fc‘ = 150 กก./ซม.2 fy = 2400
้
ก./ม.2 จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ประมาณระยะห่างระหว่างศูนย์ถงึ ศูนย์ของทีร่ องรับ กำหนดให ้ fc‘ = 200
้
ก./ม.2 จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณระยะห่างระหว่างศูนย์ถงึ ศูนย์ของทีร่ องรับ กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./
มเมนต์ดด ้
ั ชนิดลบตรงทีร่ องรับตัวในมีคา่ เท่ากับ wL2/9 จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน หาปริมาณเหล็กเสริมทีต
่ ้องใช
มเมนต์ดด ้
ั ชนิดลบตรงทีร่ องรับตัวนอกมีคา่ เท่ากับ wL2/24 จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน หาปริมาณเหล็กเสริมทีต
่ ้อง
ั ชนิดบวกตรงกลางชว่ งพืน
มเมนต์ดด ้
้ มีคา่ เท่ากับ wL2/14 จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน หาปริมาณเหล็กเสริมทีต
่ ้องใช
ะมาณน้ำหนักบรรทุกจรแบบแผ่สม่ำเสมอใช ้งานสำหรับพืน
้ นี้ กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 และค่า jUd = 11.50
้
น่วยแรงใชงาน ้
ประมาณน้ำหนักบรรทุกจรแบบแผ่สม่ำเสมอใชงานส ำหรับคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก
บแรงอัด (As‘) กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 2400 กก./ซม.2 ระยะ d = 40 ซม. d’ = 5 ซม. ค่า k = 0.43 และโมเมนต์ต ้านทานโด
รับแรงอัด (As‘) กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 ระยะ d = 54 ซม. d’ = 6 ซม. ค่า j = 0.866 และโมเมนต์ต ้านทาน
(As) และรับแรงอัด (As‘) กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 ระยะ d = 25 ซม. d’ = 5 ซม. และกำลังต ้านทานโมเมน
(As) และรับแรงอัด (As‘) กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 4000 กก./ซม.2 ระยะ d = 30 ซม. d’ = 3 ซม. และกำลังต ้านทานโมเมน
(As) และรับแรงอัด (As‘) กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 ระยะ d = 40 ซม. d’ = 3 ซม. และกำลังต ้านทานโมเมน
รฐานของ ว.ส.ท. ถ ้าระยะห่างจากศูนย์ถงึ ศูนย์ของคานข ้างเคียง = 4.50 เมตร และชว่ งคานยาว = 6 เมตร
้
ใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณกำลังรับโมเมนต์ดด
ั ประลัย (MU) กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 และ fy = 3000
ว.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ประมาณโมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน (M) ของคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./
้
วยแรงใชงาน หาปริมาณเหล็กเสริม กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 และ n = 10
หาความต ้านทานแรงเฉือนประลัยทีห
่ น ้าตัดวิกฤต สมมติให ้ fc ‘ = 200 กก./ซม.2
้
งใชงาน ้
หาความต ้านทานแรงเฉือนใชงานที
ห ่ น ้าตัดวิกฤต สมมติให ้ fc ‘ = 150 กก./ซม.2
้ำหนักคานแล ้ว) โดยคอนกรีตมีกำลังต ้านทานแรงเฉือนปลอดภัย = 3300 กก. จงใช ้มาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธห
ี น่วยแรงใช ้งาน ประมาณ
้
น้ำหนักคานแล ้ว) โดยคอนกรีตมีกำลังต ้านทานแรงเฉือนประลัย = 14 ตัน จงใชมาตรฐานของ ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณระยะ
าโมเมนต์ดด
ั M0 ทีย
่ อมให ้ของเสาเมือ
่ ไม่มแ
ี รงอัดตามแนวแกน กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 และ ES = 2x106
ดใช ้งานทีส
่ ภาวะสมดุล (Pb) สมมติให ้ หน่วยแรงอัดทีย
่ อมให ้ของคอนกรีต = 100 กก./ ซม.2 หน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้ของคอนกรีต
าโมเมนต์ดด ้
ั ใชงานที
ส ่ ภาวะสมดุล (Mb) กำหนดให ้ หน่วยแรงอัดทีย
่ อมให ้ของคอนกรีต = 100 กก./ ซม.2 หน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้ของคอนก
ยวสำหรับเสานีค
้ อ
ื
ยวสำหรับเสานีค
้ อ
ื
ยวสำหรับเสานีค
้ อ
ื
200 ซม.3 ถ ้าเสาต ้นนีโ้ ก่งสองทาง และสมมติวา่ อยูใ่ นชว่ งแรงอัดเป็ นหลัก หากชว่ งความยาวของเสาต ้นนีท
้ ป
ี่ ราศจากค้ำยันเท่ากับ
I/L = 75 ซม.3 ถ ้าเสาต ้นนีโ้ ก่งสองทาง และสมมติวา่ อยูใ่ นช่วงแรงอัดเป็ นหลัก ถ ้าช่วงความยาวของเสาต ้นนีท
้ ป
ี่ ราศจากค้ำยันเท่ากับ
ั้
ยันควรมีคา่ เท่าใดตามวิธ ี USD จึงจะถือว่าเป็ นเสาสน
ลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 10 ตัน-ม. ML = 6 ตัน-ม. และอีกปลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 5 ตัน-ม. ML = 3 ตัน-ม. ซึง่ ทำให ้เสาโก่งสองทา
ลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 10 ตัน-ม. ML = 6 ตัน-ม. และอีกปลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 5 ตัน-ม. ML = 3 ตัน-ม. ซงึ่ ทำให ้เสาโก่งสองทา
d โดยทีป
่ ลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 4.70 ตัน-ม. ML = 2.35 ตัน-ม. และอีกปลายหนึง่ ไม่มโี มเมนต์กระทำ ถ ้าให ้ effective length factor
่ ลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 4.70 ตัน-ม. ML = 2.35 ตัน-ม. และอีกปลายหนึง่ ไม่มโี มเมนต์กระทำ จงใช ้วิธ ี USD หาค่า
d โดยทีป
id โดยทีป
่ ลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 10 ตัน-ม. ML = 6 ตัน-ม. และอีกปลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 5 ตัน-ม. ML = 3 ตัน-ม
id โดยทีป
่ ลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 10 ตัน-ม. ML = 6 ตัน-ม. และอีกปลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 5 ตัน-ม. ML = 3 ตัน-ม
ทีป
่ ลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 4.70 ตัน-ม. ML = 2.35 ตัน-ม. และอีกปลายหนึง่ ไม่มโี มเมนต์กระทำ ถ ้าให ้ effective length factor kb
่ ลายหนึง่ รับโมเมนต์ MD = 4.70 ตัน-ม. ML = 2.35 ตัน-ม. และอีกปลายหนึง่ ไม่มโี มเมนต์กระทำ จงใชวิ้ ธ ี USD หาค่า moment magni
ทีป
ยืนทัง้ หมดทีต ้
่ ้องใชตามวิ
ธี WSD โดยพิจารณาจากกราฟออกแบบทีแ
่ สดง กำหนดให ้ fC‘ = 250 กก./ตร.ซม. fY = 3000 กก./
นทัง้ หมดทีต ้
่ ้องใชตามวิ
ธ ี WSD โดยพิจารณาจากกราฟออกแบบทีแ
่ สดง กำหนดให ้ fC‘ = 250 กก./ตร.ซม. fY = 3000 กก./
่ ้องใช ้ตามวิธ ี WSD โดยพิจารณาจากกราฟออกแบบทีแ
นทัง้ หมดทีต ่ สดง กำหนดให ้ fC‘ = 250 กก./ตร.ซม. fY = 3000 กก./
่ สดง กำหนดให ้ fC‘ = 200 กก./ตร.ซม. fY = 3000 กก./ตร.ซม. อัตราสว่ น d/h = 0.9
ทัง้ นีใ้ ห ้พิจารณาจากกราฟออกแบบทีแ
USD หาว่า เสารับโมเมนต์ดด
ั ประลัย MU ได ้เท่าใด ทัง้ นีใ้ ห ้พิจารณาจากกราฟออกแบบทีแ
่ สดง กำหนดให ้ fC‘ = 350 กก./ตร
โมเมนต์ดด
ั ประลัย MU ได ้เท่าใด ทัง้ นีใ้ ห ้พิจารณาจากกราฟออกแบบทีแ
่ สดง กำหนดให ้ fC‘ = 300 กก./ตร.ซม. fY = 3000 กก
่ สดง กำหนดให ้ fC‘ = 250 กก./ตร.ซม. fY = 4000 กก./ตร.ซม. อัตราสว่ น d/D = 0.8
SD โดยพิจารณาจากกราฟออกแบบทีแ
่ สดง กำหนดให ้ fC‘ = 350 กก./ตร.ซม. fY = 4000 กก./ตร.ซม. อัตราสว่ น
MU ได ้เท่าใด ทัง้ นีใ้ ห ้พิจารณาจากกราฟออกแบบทีแ
าน plastic centroid
ed condition)
ะยะเยือ
้ งศูนย์มค
ี า่ น ้อย
ะยะเยือ
้ งศูนย์มค
ี า่ มากๆ
กสุทธิ d = 60 ซม. จงใชวิ้ ธ ี USD หากำลังรับแรงเฉือนประลัยแบบคานกว ้าง (fVc) ตรงหน ้าตัดวิกฤต ถ ้าให ้ฐานรากมีคา่ fc‘ = 150
ะมาณค่าแรงอัด P ทีก
่ ระทำ กำหนดให ้ฐานรากมีคา่ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม.
นี้ จงใช ้วิธW ่ วรใช ้ สมมติให ้ ความลึกสุทธิ d = 15 ซม. fc‘ = 150 กก./ตร.ซม. fy = 2400
ี SD ประมาณปริมาณเหล็กเสริมอย่างน ้อยทีค
่ ้องใช ้ กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม. fy = 3000 กก./ตร.ซม. และ ES = 2.04x106 กก./ตร.ซม.
ณเหล็กเสริมทีต
่ ้องใช ้ กำหนดให ้ fc‘ = 300 กก./ตร.ซม. fy = 4000 กก./ตร.ซม. และ ES = 2.04x106 กก./ตร.ซม.
ณเหล็กเสริมทีต
่ ้องใช ้ กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ตร.ซม. fy = 3000 กก./ตร.ซม. และ ES = 2.04x106 กก./ตร.ซม.
ณเหล็กเสริมทีต
ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโมเมนต์ดด
ั ประลัย MU ของคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 300 กก./ตร.ซม. fy = 4000 กก./ตร.ซม. และ ES = 2.04x1
ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโมเมนต์ดด
ั ประลัย MU ของคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม. fy = 4000 กก./ตร.ซม. และ ES = 2.04x1
ท. โดยวิธก
ี ำลัง ประมาณโมเมนต์ดด
ั ประลัย MU ของคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ตร.ซม. fy = 3000 กก./ตร.ซม. และ ES = 2.04x1
้
ทีร่ ะยะ d’ = 4.5 ซม. จงใชมาตรฐาน ี ำลัง ประมาณปริมาณเหล็กเสริม AS และ AS‘ สำหรับคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 300
ว.ส.ท. โดยวิธก
้
ดทีร่ ะยะ d’ = 4.5 ซม. จงใชมาตรฐาน ี ำลัง ประมาณปริมาณเหล็กเสริม AS และ AS‘ สำหรับคานนี้ กำหนดให ้
ว.ส.ท. โดยวิธก
้
ทีร่ ะยะ d’ = 5 ซม. จงใชมาตรฐาน ี ำลัง ประมาณปริมาณเหล็กเสริม AS และ AS‘ สำหรับคานนี้ กำหนดให ้ fc‘ = 300
ว.ส.ท. โดยวิธก
้
งอัดใชงาน = 9 ตัน และโมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน = 4.725 ตัน-เมตร จงหาแรงต ้านสุทธิของดินใต ้ฐานราก
้
งอัดใชงาน = 9 ตัน และโมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน = 4.725 ตัน-เมตร จงใชวิ้ ธ ี WSD หาความลึกประสท
ิ ธิผลอย่างน ้อย (d) เพือ
่ ให ้ฐานรากนีป
้ ลอด
ำลัง ประมาณตำแหน่ง plastic centroid ของเสาต ้นนี้ ว่าห่างจาก c.g. ของเหล็กทีร่ ับแรงดึงเท่าไร กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./
ำลัง ประมาณตำแหน่ง plastic centroid ของเสาต ้นนี้ ว่าห่างจาก c.g. ของเหล็กทีร่ ับแรงดึงเท่าไร กำหนดให ้ fc‘ = 300 กก./
ed Load = 1.4D + 1.7L
ทีห
่ น ้าตัดวิกฤต อันเนือ ้
่ งมาจากน้ำหนักบรรทุกใชงาน ถ ้าให ้ระยะ x1 = 24 ซม. y1 = 42 ซม. ดังนัน
้ ต ้องการปริมาณเหล็กปลอก
หน่ง c.g. ของเหล็กรับแรงดึงจะอยูห
่ า่ งจากผิวล่างของคาน ประมาณ
3000 กก./ซม.2
.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ประมาณกำลังรับแรงดึงตรงตำแหน่งทีจ ่ ดัดงอเหล็กเสริม ขนาด DB 25 มม. (ทีไ่ ม่ใชเ่ หล็กบน
่ ะเริม
.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ประมาณกำลังรับแรงดึงตรงตำแหน่งทีจ
่ ะเริม
่ ดัดงอเหล็กเสริม ขนาด DB 28 มม. (ทีเ่ ป็ นเหล็กบน
้
ชงาน ประมาณกำลังรับแรงดึงตรงตำแหน่งทีจ
่ ะเริม
่ ดัดงอเหล็กเสริม ขนาด DB 28 มม. (ทีเ่ ป็ นเหล็กบน) กำหนดให ้ fc‘ = 200
ช ้งาน ประมาณกำลังรับแรงดึงตรงตำแหน่งทีจ
่ ะเริม
่ ดัดงอเหล็กเสริม ขนาด DB 32 มม. (ทีไ่ ม่ใช่เหล็กบน) กำหนดให ้ fc‘ = 150
fy = 3000 กก./ซม.2
y = 3000 กก./ซม.2
ยเข ้าไปในจุดรองรับนัน
้
ยเข ้าไปในจุดรองรับนัน
้
ละค่า 1/Ct = 30 ซม.
ารโก่งตัวทันทีทป
ี่ ลายคานยืน
่ สมมติให ้ Ie = 56050 ซม.4 และ EC = 2.5x105 กก./ตร.ซม. [สูตรคำนวณ Di = wL4/(8EcIe) ]
ี ประสท
ชย ิ ธิผลของพืน
้ ยืน
่ (Ie) สมมติให ้ Mcr = 470 กก.-เมตร/เมตร
ารโก่งตัวทัง้ หมดทีป
่ ลายคานยืน
่ นี้ เมือ
่ รับน้ำหนักมากกว่า 5 ปี ขน
ึ้ ไป สมมติให ้ Ie = 55950 ซม.4 และ EC = 2.5x105 กก./ตร
ยคานยืน
่ นี้ สมมติให ้ ICR = 60150 ซม.4 และ EC = 2.0x105 กก./ตร.ซม. [สูตรคำนวณ Di = ML2/(4EcIe) ]
ลายคานยืน
่ นี้ เมือ
่ รับน้ำหนักมากกว่า 1 ปี ขน
ึ้ ไป สมมติให ้ ICR = 60150 ซม.4 และ EC = 2.0x105 กก./ตร.ซม. [สูตรคำนวณ
ธิ ก
ี ำลัง ประมาณค่าการโก่งตัวทันที สมมติให ้ EC = 2.5x105 กก./ตร.ซม. และโมเมนต์อน ี ประสท
ิ เนอร์เชย ิ ธิผล (Ie) = 56040
.ส.ท. โดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน ประมาณค่าการโก่งตัวทัง้ หมด เมือ
่ เวลาผ่านไป 1 ปี สมมติให ้ EC = 2.0x105 กก./ตร.ซม. และ
ี ประสท
ชย ิ ธิผล (Ie) = 56000 ซม.4
วงปิ ดเพือ
่ ต ้านแรงเฉือนและโมเมนต์บด
ิ กำหนดให ้ fc‘ = 150 กก./ตร.ซม.
้านแรงเฉือนและโมเมนต์บด
ิ กำหนดให ้ fc‘ = 200 กก./ตร.ซม. Ct = 0.036 ซม.-1 at = 1.36
้ กเสริม SD30
ชเหล็
คอนกรีตมีกำลังประลัย 240 ksc.
้
รรทุกใชงานได ้เท่ากับ 30 ตัน/ต ้น
้ กเสริมไม่น ้อยกว่า
cm. จะต ้องใชเหล็
องฐานรากเป็ นระยะเท่ากับขนาดเส ้นผ่าศูนย์กลางของเสาเข็ม
้
งใช งาน(WSD)ตามมาตราฐานว.ส.ท. ิ ธิผล
กำหนดความหนาฐานรากสามารถรับแรงเฉือนแบบคานกว ้างและแบบทะลุได ้ ความลึกประสท
ซม. เสริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 15 ซม. fc' = 150 กก./ซม.2 และ fy = 3000 กก./ซม.2 ตำแหน่งแนวแกนสะเทิน
า 20 ซม. เสริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียวทีร่ ะยะ d = 15 ซม. fc‘ = 150 กก./ซม.2 และ fy = 3000 กก./ซม.2 ตำแหน่งแนวแกนสะเทิน
กก.-เมตร จงหาปริมาณของเหล็กเสริมรับแรงดึง (As) และรับแรงอัด (As‘) ทีต ้
่ ้องใชตามทฤษฏี สมมติระยะ d’ = 3 ซม.
มรับแรงอัด ณ สภาวะสมดุล (Balanced Condition) กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 และ ES = 2x10^6
ชว่ งความยาวของเสาต ้นนีท ี่ ราศจากค้ำยันเท่ากับ 6.00 เมตร จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าตัวคูณลดค่า R ของเสาต ้นนี้
้ ป
ชว่ งความยาวของเสาต ้นนีท ี่ ราศจากค้ำยันเท่ากับ 8.00 เมตร จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าตัวคูณลดค่า R ของเสาต ้นนี้
้ ป
้
หน่วยแรงใช งาน กำหนดค่า j = 0.88, fs = 1500 กก/ซม^2
ากับ 90 ซม. และระยะขอบของฐานรากทีห
่ า่ งจากศูนย์กลางของเสาเข็มเท่ากับ 45 ซม. ถ ้าให ้ความหนาของฐานรากเท่ากับ 70
และกำลังต ้านทานโมเมนต์ดด ่ ใชอั้ ตราสว่ นเหล็กเสริม r - r‘ = 0.01 มีคา่ เท่ากับ 2300 กก.-เมตร
ั ประลัยเมือ
และกำลังต ้านทานโมเมนต์ดด ่ ใช ้อัตราส่วนเหล็กเสริม r - r‘ = 0.006 มีคา่ เท่ากับ 3610 กก.-เมตร
ั ประลัยเมือ
. และกำลังต ้านทานโมเมนต์ดด ่ ใชอั้ ตราสว่ นเหล็กเสริม r - r‘ = 0.016 มีคา่ เท่ากับ 11800 กก.-เมตร
ั ประลัยเมือ
เสมอเทียบเท่าจากแผ่นพืน
้ นีเ้ ท่าใด
แรงดัดทีย ้
่ อมให ้ของคอนกรีต = 115 กก./ ซม.2 แรงอัดใชงานที
ส ่ ภาวะสมดุล (Pb) = 170 ตัน และค่า n = 9
ม. ซงึ่ ทำให ้เสาโก่งสองทาง จงใชวิ้ ธ ี USD หาค่า creep factor bd ของเสาต ้นนีเ้ พือ
่ นำไปหาค่า moment magnifier factor
L = 3 ตัน-ม. ซงึ่ ทำให ้เสาโก่งสองทาง ถ ้าให ้ effective length factor kb มีคา่ เท่ากับ 0.9 ค่า creep factor bd เท่ากับ 0.58
L = 3 ตัน-ม. ซงึ่ ทำให ้เสาโก่งสองทาง จงใชวิ้ ธ ี USD หาค่า moment magnification factor db สำหรับใชออกแบบเสาต
้ ้นนี้ สมมติให ้ แรง
tive length factor kb มีคา่ เท่ากับ 1.0 ค่า creep factor bd เท่ากับ 0.6 และให ้ Ec เท่ากับ 2.4x105 กก./ซม.2 จงใชวิ้ ธ ี USD
= 3000 กก./ตร.ซม.
= 3000 กก./ตร.ซม.
= 3000 กก./ตร.ซม.
น d/h = 0.9
350 กก./ตร.ซม. fY = 5000 กก./ตร.ซม. อัตราสว่ น d/h = 0.9
น d/D = 0.8
ร.ซม. อัตราสว่ น d/D = 0.8
ณค่าแรงอัดประลัยตามแนวแกน (PU) ทีเ่ สาตอม่อถ่ายให ้กับฐานราก สมมติให ้ fc‘ ของฐานราก = 150 กก./ตร.ซม.
แรงอัดประลัยตามแนวแกน (PU) ทีเ่ สาตอม่อถ่ายให ้กับฐานราก สมมติให ้ fc‘ ของฐานราก = 150 กก./ตร.ซม.
้
างจากศูนย์กลางของเสาเข็มเท่ากับ 45 ซม. ถ ้าเสาตอม่อถ่ายแรงอัดใชงาน PD = 55 ตัน PL = 30 ตัน และโมเมนต์ดด ้
ั ใชงาน
งฐานรากถึงศูนย์กลางของเสาเข็มเท่ากับ 45 ซม. ดังนัน
้ จะได ้ฐานรากขนาด 2.70x3.60 ม. หากให ้ระยะ d ของฐานราก = 45
ด ้ฐานรากขนาด 1.00x1.00 ม. หากให ้ความลึกสุทธิ d ของฐานราก = 15 ซม. จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าแรงเฉือนแบบคานกว ้าง ทีห
่ น ้าตัด
ซึง่ จะได ้ฐานรากขนาด 1.20x1.20 ม. จงใช ้วิธ ี WSD หาความลึกสุทธิอย่างน ้อย d ทีต
่ ้องการเพือ
่ ให ้ฐานรากนีป
้ ลอดภัยจากโมเมนต์ดด
ั กำหน
ซงึ่ จะได ้ฐานรากขนาด 1.20x1.20 ม. หากให ้ความลึกสุทธิ d ของฐานราก = 15 ซม. จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณค่าแรงเฉือนแบบคานกว ้าง ทีห
่
งของเสาเข็มเท่ากับ 20 ซม. จงใชวิ้ ธ ี WSD ประมาณปริมาณเหล็กเสริมอย่างน ้อยทีค
่ วรใช ้ สมมติให ้ความลึกสุทธิ d = 15 ซม
ร.ซม. และ ES = 2.04x106 กก./ตร.ซม.
นี้ กำหนดให ้ fc‘ = 250 กก./ตร.ซม. fy = 3000 กก./ตร.ซม. และ ES = 2.04x106 กก./ตร.ซม.
ิ ธิผล d ของฐานราก
c to c ของเสาเข็มห่างกัน = 60 ซม. และระยะขอบของฐานรากห่างจากศูนย์เสาเข็ม = 30 ซม. ถ ้าความลึกประสท
ิ ธิผล d ของฐานราก
c to c ของเสาเข็มห่างกัน = 60 ซม. และระยะขอบของฐานรากห่างจากศูนย์เสาเข็ม = 30 ซม. ถ ้าความลึกประสท
ิ ธิผล d ของฐานราก
c to c ของเสาเข็มห่างกัน = 60 ซม. และระยะขอบของฐานรากห่างจากศูนย์เสาเข็ม = 30 ซม. ถ ้าความลึกประสท
= 250 กก./ซม.2 และ fy = 3000 กก./ซม.2
รับ ทีจ
่ ะหยุด ตัด หรือดัดเหล็กเสริมรับโมเมนต์ดด
ั ลบ คือ
าณเหล็กปลอก (ขาเดียว) สำหรับโมเมนต์บด
ิ At/s เท่ากับ
ล (Ie) = 56000 ซม.4
ทีไ่ ม่ใชเ่ หล็กบน) กำหนดให ้ fc‘ = 150 กก./ซม. 2 fy = 3000 กก./ซม.2
สูตรคำนวณ Di = ML2/(4EcIe) ]
ำแหน่งแนวแกนสะเทิน kd = 5 ซม.
ES = 2x10^6 กก./ซม.2
ES = 2x10^6 กก./ซม.2
รากเท่ากับ 70 ซม. โดยมีระยะ d = 45 ซม. ดังนัน
้ ถ ้าต ้องออกแบบตามวิธ ี WSD จงประมาณค่าแรงเฉือนแบบทะลุ ทีห
่ น ้าตัดวิกฤต
มเมนต์อน
ิ เนอร์เชียของหน ้าตัด = 55700 ซม.4
0 กก./ซม.2 fy = 2400 กก./ซม.2 และค่า j = 7/8
เท่ากับ 0.58 และให ้ Ec เท่ากับ 2.5x105 กก./ซม.2 จงใชวิ้ ธ ี USD หาค่าแรงอัดวิกฤต (critical load : PC) ของเสาต ้นนี้
แบบเสาต ้นนี้ สมมติให ้ แรงอัดวิกฤต (critical load : PC) = 380 ตัน
นต์ดด ้
ั ใชงาน MD = 10.5 ตัน-เมตร ML = 5.5 ตัน-เมตร จงหาว่าเสาเข็มต ้องต ้านแรงสุทธิทม
ี่ ากทีส
่ ด
ุ เท่าใด เมือ
่ จะออกแบบฐานรากตามวิธ
านราก = 45 ซม. จงประมาณค่าแรงเฉือนประลัยแบบคานกว ้าง (one-way shear) ทีห
่ น ้าตัดวิกฤต
ค่าแรงเฉือนแบบทะลุทห
ี่ น ้าตัดวิกฤต
ค่าโมเมนต์ดด
ั ทีห
่ น ้าตัดวิกฤต
นแบบคานกว ้าง ทีห
่ น ้าตัดวิกฤต
ดภัยจากโมเมนต์ดด
ั กำหนดให ้ fc‘ = 150 กก./ตร.ซม. fy = 2400 กก./ตร.ซม. และ R = 11.25 กก./ตร.ซม.
ดภัยจากโมเมนต์ดด
ั กำหนดให ้ fc‘ = 150 กก./ตร.ซม. fy = 2400 กก./ตร.ซม. และ R = 11.25 กก./ตร.ซม.
้
ทธิผล d ของฐานราก = 35 ซม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ตรวจสอบความปลอดภัยของฐานรากทัง้ จากแรงเฉือนแบบคานกว ้าง
้
ทธิผล d ของฐานราก = 40 ซม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก
ี ำลัง ตรวจสอบความปลอดภัยของฐานรากทัง้ จากแรงเฉือนแบบคานกว ้าง
้
ทธิผล d ของฐานราก = 45 ซม. จงใชมาตรฐาน ว.ส.ท. โดยวิธก ั ้ ของฐานราก กำหนดให ้
ี ำลัง หาปริมาณเหล็กเสริมทีเ่ รียงขนานกับด ้านสน
ลุ ทีห
่ น ้าตัดวิกฤต
จะออกแบบฐานรากตามวิธ ี USD
กแรงเฉือนแบบคานกว ้าง (beam shear) และจากแรงเฉือนแบบทะลุ (punching shear) กำหนดให ้ fc‘ ของฐานราก = 200 กก
กแรงเฉือนแบบคานกว ้าง (beam shear) และจากแรงเฉือนแบบทะลุ (punching shear) กำหนดให ้ fc‘ ของฐานราก = 400 กก
กแรงเฉือนแบบคานกว ้าง (beam shear) และจากแรงเฉือนแบบทะลุ (punching shear) กำหนดให ้ fc‘ ของฐานราก = 250 กก
าวของฐานราก กำหนดให ้ fc‘ ของฐานราก = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 และประมาณค่า ju = 0.85
นของฐานราก กำหนดให ้ fc‘ ของฐานราก = 200 กก./ซม.2 fy = 3000 กก./ซม.2 และประมาณค่า ju = 0.85
ราก = 200 กก./ซม.2
ข ้อที่ 2 : ในการคำนวณองค์อาคารรับแรงดึงตรงบริเวณทีม
่ ไิ ด ้ทำรอยต่อ ค่า Maximum Allowable Tensi
1 : 0.40Fy
2 : 0.50Fy
3 : 0.60Fy
4 : 0.75Fy
ข ้อที่ 6 : การวิบต
ั แ
ิ บบ Block Shear ของโครงสร ้างเหล็กเกิดจากสาเหตุใด
1 : เกิดจากแรงเฉือนและแรงดัด
2 : เกิดจากแรงอัดและแรงดัด
3 : เกิดจากแรงดึงและแรงเฉือน
4 : เกิดจากแรงดึงและแรงดัด
1 : 9,000 kg
2 : 11,500 kg
3 : 13,000 kg
4 : 15,000 kg
ข ้อที่ 11 : สำหรับเหล็กทีม
่ ก
ี ำลังจุดคราก (Yield strength) สูงมาก ตำแหน่งจุดครากไม่ปรากฏชัดเจน ม
1 : 0.02 …
2 : 0.05 …
3 : 0.002 …
4 : 0.005 …
ข ้อที่ 18 : หน่วยแรงดึงทีย
่ อมให ้สำหรับท่อนเหล็กหรือเคเบิล
้ มีคา่ เท่ากับข ้อใด
1 : 0.30 Fu
2 : 0.33 Fu
3 : 0.50 Fu
4 : 0.75 Fu
1 : ไม ้ ก.
2 : ไม ้ ข.
3 : ไม ้ ค.
ิ้
4 : ไม ้ทุกชน
ข ้อที่ 22 : ในการออกแบบโดยวิธห ้
ี น่วยแรงใชงาน (Allowable Stress Design) หากต ้องพิจารณาถึงแรง
โดยไม่เพิม ่ ค่าหน่วยแรงทีย ้
่ อมให ้ จะคำนวณหาน้ำหนักบรรทุกใชงานสู งสุดจาก
เมือ่ D = Dead Load, L = Live Load และ W = Wind Load
1 : D+L+W
2 : 0.75 (D + L + W)
3 : 1.2 D + 0.8 W
4 : 7 แรง
1 : 532.50 บาท
2 : 679 บาท
3 : 3,195 บาท
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1 : 110 ตัน
2 : 120 ตัน
3 : 130 ตัน
4 : ไม่มข
ี ้อใดถูก
ข ้อที่ 29 : จงประมาณความยาวสูงสุดทีย
่ อมให ้ได ้ตามข ้อกำหนดของ AISC สำหรับองค์อาคารรับแรงดึงซ
1 : 2.15 m
2 : 2.25 m
3 : 2.35 m
4 : 2.45 m
ข ้อที่ 32 : เสาทีม ่ ค
ี า่ E, I และ L เหมือนกันทุกต ้น เสาแบบใดมีกำลังรับแรงอัดตามแนวแกนได ้สูงสุด
1 : เสาทีม ่ ป ี ลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุน
2 : เสาทีม ่ ป ี ลายข ้างหนึง่ เป็ นแบบยึดหมุน และปลายอีกข ้างหนึง่ เป็ นแบบยึดแน่น
3 : เสาทีม ่ ป ี ลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดแน่น และเซได ้
4 : เสาทีม ่ ป ี ลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดแน่น แต่ไม่เซ
2:
3:
4:
ข ้อที่ 34 : เสาเหล็ก W344x115 (Ag = 146 ซม.2 rmin = 8.78 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล
มีปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุน ยาว 5.0 เมตร จงประมาณกำลังรับแรงอัดทีใ่ ช ้ออกแบบ
้
กำหนดสูตรทีใ่ ชคำนวณ เมื อ
่ : หน่วยแรงวิกฤต
เมือ
่ : หน่วยแรงวิกฤต
ในทีน่ ี้ = slenderness parameter =
1 : 200 ตัน
2 : 240 ตัน
3 : 280 ตัน
4 : 330 ตัน
ข ้อที่ 35 : เสาเหล็ก W390x107 (Ag = 136 ซม.2 rmin = 7.28 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล
E=2x106 ksc) มีปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดแน่นและไม่เซ ยาว 5.0 เมตร จงประมาณกำลังรับแรงอัดท
กำหนดสูตรทีใ่ ชคำนวณ้
เมือ
่ : หน่วยแรงวิกฤต
เมือ่ : หน่วยแรงวิกฤต
ในทีน ่ ี้ = slenderness parameter =
1 : 270 ตัน
2 : 280 ตัน
3 : 315 ตัน
4 : 325 ตัน
ข ้อที่ 36 : เสาเหล็กมีรป ู ตัดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 (Fy=2500 ksc, E=2x106 ksc)
กำหนดสูตรทีใ่ ช ้คำนวณ
เมือ
่ : หน่วยแรงวิกฤต
เมือ่ : หน่วยแรงวิกฤต
ในทีน ่ ี้ = slenderness parameter =
ข ้อที่ 37 : เสาเหล็ก W350x136 (Ag = 174 ซม.2 rmin = 8.84 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล
1 : 200 ตัน
2 : 210 ตัน
3 : 220 ตัน
4 : 230 ตัน
ข ้อที่ 38 : เสาเหล็ก W350x136 (Ag = 174 ซม.2 rx = 15.2 ซม. ry = 8.84 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค
1 : 165 ตัน
2 : 175 ตัน
3 : 185 ตัน
4 : 200 ตัน
ข ้อที่ 39 : เสาไม ้ตันขนาด 12.5x12.5 ซม. ยาว 2.50 เมตร ปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุน จงประมาณ
1 : 6.8 ตัน
2 : 8.5 ตัน
3 : 10.5 ตัน
4 : 14.0 ตัน
1 : 15x15 ซม.
2 : 20x20 ซม.
3 : 10x10 ซม.
4 : 12.5x12.5 ซม.
ข ้อที่ 43 : เมือ
่ นำไม ้แปรรูปมาอาบหรืออัดน้ำยา จะพบว่า
1 : ไม ้มีกลสมบัตต ิ ้านแรงอัดได ้มากขึน ้
2 : ไม ้มีกลสมบัตต ิ ้านแรงดัดได ้มากขึน ้
3 : ไม ้มีกลสมบัตต ิ ้านแรงอัดได ้มากขึน ้ แต่ต ้านแรงดัดได ้เท่าเดิม
4 : ไม ้มีกลสมบัตต ิ ้านแรงกระทำต่างๆได ้ใกล ้เคียงกับไม ้ทีไ่ ม่อาบหรืออัดน้ำยา เพียงแต่มค
ี วามคงทนดีขน
ึ้
ข ้อที่ 47 : เสาไม ้ตันรูปตัด bxd (b>d) ปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุน หากมีค้ำยันข ้างเสาตรงกึง่ กลา
1 : เสานีม ้ ก ี ำลังรับแรงอัดปลอดภัยเท่าเดิม
2 : เสานีม ้ ก ี ำลังรับแรงอัดปลอดภัยมากขึน ้ กว่าเดิม
3 : เสานีม ้ ก ี ำลังรับแรงอัดปลอดภัยน ้อยลงกว่าเดิม
4 : ยังไม่สามารถตอบได ้ เพราะต ้องทราบชนิดของไม ้ หรือค่า E ของไม ้ ก่อน
ข ้อที่ 48 : เสาไม ้ตันรูปตัด bxd (โดยที่ b=2d) ยาวเท่ากับ L มีปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุน รับแรงอ
1 : 0.3E/ (L/d)^2
2 : 0.75E/ (L/d)^2
3 : 1.20E/ (L/d)^2
4 : 1.50E/ (L/d)^2
ข ้อที่ 49 : ให ้ออกแบบเสาประกับพุก (spaced column) โดยใช ้ไม ้หนา 1½" (ไม่ไส) ปลายทัง้ สองด ้าน
เมตร เพือ ้ นทีย
่ รับแรงอัดตามแนวแกนเท่ากับ 2.5 ตัน กำหนดให ้ หน่วยแรงอัดขนานเสีย ่ อมให ้
สูตรคำนวณ เมือ ่ L/d > : ค่า
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 51 : จงหาค่าอัตราส่วนความชะลูดของเสาเหล็กรูปพรรณ เมือ
่ หน่วยแรงอัดวิกฤต (critical stress)
1:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 52 : เสาซึง่ ได ้จากท่อเหล็กขนาด 90x90 มม. (Ag = 10.85 ซม.2 r = 3.51 ซม.)
กำหนดสูตรทีใ่ ชคำนวณ้
เมือ ่ :
เมือ
่ :
ในทีน
่ ี้
1 : 16.50 ตัน
2 : 14.20 ตัน
3 : 13.25 ตัน
4 : 11.60 ตัน
เมือ
่ :
ในทีน
่ ี้
1 : 120 ตัน
2 : 140 ตัน
3 : 160 ตัน
4 : 180 ตัน
เมือ
่ KL/r >Cc : Fa =
ในทีน
่ ี้ Cc =
1 : 185 ตัน
2 : 170 ตัน
3 : 150 ตัน
4 : 140 ตัน
เมือ
่ :
1 : 150 ตัน
2 : 135 ตัน
3 : 120 ตัน
4 : 100 ตัน
ข ้อที่ 56 : เสาเหล็ก W344x115 (Ag = 146 ซม.2 rmin = 8.78 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล
กำหนดสูตรทีใ่ ชคำนวณ้
เมือ
่ : หน่วยแรงวิกฤต
เมือ่ : หน่วยแรงวิกฤต
ในที่น้ ี = slenderness parameter =
1 : 340 ตัน
2 : 290 ตัน
3 : 240 ตัน
4 : 200 ตัน
ข ้อที่ 57 : เสาเหล็กมีรป ู ตัดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 มีปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุน จง
กำหนดสูตรทีใ่ ช ้คำนวณ
เมือ
่ : หน่วยแรงวิกฤต
เมือ่ : หน่วยแรงวิกฤต
ในทีน ่ ี้ = slenderness parameter =
1 : 2.00 เมตร
2 : 2.30 เมตร
3 : 2.70 เมตร
4 : 3.20 เมตร
ข ้อที่ 61 : เนือ
้ ทีห
่ น ้าตัดสุทธิ (Net Cross-Sectional Areas : An คำนวณได ้จากข ้อใด ?
1 : Agross - Ahole
2 : U (An)
3 : U (Ag)
4 : U (Ae)
ข ้อที่ 62 : เนือ
้ ทีห
่ น ้าตัดสุทธิประสิทธิผล (Effective Net Cross Sectional Area : Ae) ของรอยต่อแบบส
1 : Agross - Ahole
2 : U (An)
3 : U (Ag)
4 : U (Ae)
5 : คำตอบข ้อ 1-4 ไม่มค ี ำตอบทีถ่ ก
ู
ข ้อที่ 67 : จงหา Effective Length Factor : K สำหรับเสา AB ซงึ่ อยูใ่ นโครงเฟรมทีเ่ ซได ้ โดยพิจารณาจ
กำหนดให ้ เสาทุกต ้น ยาว 4.00 เมตร มีคา่ Ix = 40300 ซม.4 และคานทุกตัว ยาว 10.00 เมตร มีคา่ Ix =
รูป A B
1 : K = 1.50
2 : K = 1.60
3 : K = 1.70
4 : K = 1.80
ข ้อที่ 68 : จงหา Effective Length Factor : K สำหรับเสา AB ซึง่ อยูใ่ นโครงเฟรมทีเ่ ซได ้ โดยพิจารณาจ
กำหนดให ้ คานยาว 8.00 เมตร มีคา่ Ix = 21700 ซม.4 เสายาว 5.00 เมตร มีคา่ Ix = 20400 ซม.4 และฐ
รูป A B
1 : K = 1.35
2 : K = 1.55
3 : K = 1.95
4 : K = 2.05
ข ้อที่ 69 : จงหา Effective Length Factor : K สำหรับเสา AB ซึง่ อยูใ่ นโครงเฟรมทีเ่ ซได ้ โดยพิจารณาจ
กำหนดให ้ คานยาว 6.00 เมตร มีคา่ Ix = 23700 ซม.4 เสายาว 4.00 เมตร มีคา่ Ix = 20400 ซม.4 และฐ
รูป A B
1 : K = 1.35
2 : K = 1.55
3 : K = 1.95
4 : K = 2.05
ข ้อที่ 73 : ถ ้าพบว่าการโก่งของคานไม ้ในแนวด ้านข ้าง (Lateral Deflection) มีคา่ มากจนทำให ้ไม่สามาร
1 : ลดความลึกของไม ้ให ้มีความลึกลดลง
2 : เสริมค้ำยันทางข ้างเป็ นระยะๆ
3 : เพิม่ ความลึกของไม ้ให ้มีความลึกมากขึน
้
4 : ลดความกว ้างของหน ้าไม ้
ข ้อที่ 78 : พฤติกรรมของแม่บน
ั ไดไม ้รับลูกตัง้ และลูกนอนไม ้ ต ้องตรวจสอบอะไร
1 : แรงดัดรอบแกนหลัก, แรงเฉือน, ระยะโก่ง
2 : แรงดัดรอบแกนรอง, แรงเฉือน, ระยะโก่ง
3 : แรงดัดรอบแกนหลักและแกนรอง, แรงเฉือน, ระยะโก่ง
4 : แรงดัดร่วมกับแรงอัด, แรงเฉือน, ระยะโก่ง
1 :
2 :
3 :
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
ข ้อที่ 80 : จงประมาณค่าโมเมนต์ทค
ี่ านต ้องรับโดยวิธ ี AISC-LRFD ตามมาตรฐาน วสท.
1 : 1700 kg.m
2 : 4860 kg.m
3 : 7630 kg.m
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1 : 1700 kg.m
2 : 4860 kg.m
3 : 7630 kg.m
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
1 : 1,440 kg.m
2 : 1,650 kg.m
3 : 3,030 kg.m
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
ข ้อที่ 83 : ข ้อใดมีผลต่อค่าหน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้ในการออกแบบคานเหล็ก
1 : ระยะค้ำยันด ้านข ้าง
2 : ระยะห่างระหว่างคาน
3 : น้ำหนักบรรทุกทีก ่ ระทำ
4 : ไม่มข ี ้อไดถูก
ข ้อที่ 85 : ให ้หาตำแหน่งทีห
่ น่วยแรงกด (bearing stress) ในฐานราก มีคา่ เป็ นศูนย์
ข ้อที่ 86 : เสาไม ้ตันขนาด 10x10 ซม.(ไม่ไส) มีปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุน และรับแรงอัดตามแน
1 : 2.50 เมตร
2 : 2.75 เมตร
3 : 3.00 เมตร
4 : 3.25 เมตร
ข ้อที่ 87 : โมดูลัสยืดหยุน
่ ของไม ้เนือ้ แข็งมีคา่
1 : น ้อยกว่าโมดูลัสยืดหยุน ่ ของเหล็กโครงสร ้างประมาณ 30 เท่า
2 : น ้อยกว่าโมดูลัสยืดหยุน ่ ของเหล็กโครงสร ้างประมาณ 15 เท่า
3 : น ้อยกว่าโมดูลัสยืดหยุน ่ ของเหล็กโครงสร ้างประมาณ 10 เท่า
4 : ใกล ้เคียวกับโมดูลัสยืดหยุน ่ ของเหล็กโครงสร ้าง
ข ้อที่ 88 : เมือ
่ บากหรือหยักปลายคานไม ้ทางด ้านรับแรงดึง มีผลให ้
1 : คานไม ้มีกำลังต ้านทานแรงดัดน ้อยลง
2 : คานไม ้มีกำลังต ้านทานแรงเฉือนน ้อยลง
3 : คานไม ้โก่งตัวมากขึน ้
4 : ไม่มข ี ้อใดถูกต ้อง
ข ้อที่ 89 : คานชว่ งเดียวธรรมดายาว 4.00 เมตร มีค้ำยันทางข ้างเฉพาะทีป
่ ลายคานเท่านัน
้ จงเปรียบเทียบ
สูตรคำนวณเกีย ่ วกับ lateral stability คือ
คานสั น้ ( เมื่อ 0 < RB ≤ 10 ) : Fb' = Fb
คานยาวปานกลาง (เมื่อ 10 < RB ≤ KB) : Fb' = Fb
คานยาว (เมื่อ KB < RB ≤ 50) : Fb' =
ข ้อที่ 90 :
1 : 0.23 ซม.
2 : 0.46 ซม.
3 : 0.52 ซม.
4 : 0.60 ซม.
ข ้อที่ 91 : ลักษณะวิบต
ั ข
ิ องคานเหล็กรูปพรรณต่อไปนี้ ข ้อใดไม่ถก ู ต ้อง
1 : หน ้าตัดแบบคอมแพค จะเกิดการคราก เมือ ่ ระยะค้ำยันทางข ้างพอเพียง
2 : หน ้าตัดแบบคอมแพค จะเกิดการบิดและโก่งออกทางข ้าง เมือ ่ ระยะค้ำยันทางข ้างไม่พอเพียง
3 : หน ้าตัดแบบคอมแพค จะเกิดการบิดและโก่งออกทางข ้าง เมือ ่ ระยะค้ำยันทางข ้างพอเพียง
4 : หน ้าตัดแบบไม่คอมแพค จะเกิดการโก่งเดาะเฉพาะที่ และเกิดการบิดและโก่งออกทางข ้าง
ข ้อที่ 92 : ถ ้าให ้ Sx เป็ น elastic section modulus และให ้ Zx เป็ น plastic section modulus
1 : มีคา่ Sxมากกว่าค่า Zx โดยขึน ้ กับประเภทของหน ้าตัดคาน และระยะค้ำยันทางข ้าง
2 : มีคา่ Sx มากกว่าค่า Zx โดยขึน ้ กับประเภทของหน ้าตัดคาน แต่ไม่ขนึ้ กับระยะค้ำยันทางข ้าง
3 : มีคา่ Sx น ้อยกว่าค่า Zxโดยขึน ้ กับประเภทของหน ้าตัดคาน และระยะค้ำยันทางข ้าง
4 : มีคา่ Sx น ้อยกว่าค่า Zx โดยขึน ้ กับประเภทของหน ้าตัดคาน แต่ไม่ขน ึ้ กับระยะค้ำยันทางข ้าง
ข ้อที่ 93 : คานเหล็กรูปพรรณทีม
่ ห
ี น ้าต ้ดแบบคอมแพค แต่มรี ะยะค้ำยันทีป
่ ี กรับแรงอัดไม่พอเพียง ถ ้าคาน
1 : 0.75Fy
2 : 0.66Fy
3 : 0.60Fy
4 : 0.40Fy
ข ้อที่ 94 : คานเหล็กรูปพรรณทีม
่ ห
ี น ้าต ้ดแบบคอมแพคบางส่วน และมีระยะค้ำยันทีป
่ ี กรับแรงอัดพอเพียง
1 : 0.75Fy
2 : 0.66Fy
3 : 0.60Fy
4 : 0.40Fy
ข ้อที่ 95 : คานเหล็กรูปพรรณทีม
่ ห
ี น ้าต ้ดแบบคอมแพคบางส่วน และมีระยะค้ำยันทีป
่ ี กรับแรงอัดพอเพียง
1 : 0.75Fy
2 : 0.66Fy
3 : 0.60Fy
4 : ไม่มข ี ้อใดถูกต ้อง
ข ้อที่ 97 : คานเหล็กรูปพรรณทีม
่ ห
ี น ้าต ้ดแบบคอมแพค และมีระยะค้ำยันทีป
่ ี กรับแรงอัดอย่างพอเพียง ถ ้า
1 : 0.85ZxFy
2 : 0.90ZxFy
3 : ZxFy
4 : ZyFy
ข ้อที่ 98 : คานเหล็กรูปพรรณทีม
่ ห
ี น ้าต ้ดแบบคอมแพค และมีระยะค้ำยันทีป
่ ี กรับแรงอัดไม่พอเพียง ถ ้าคา
1 : 0.85ZyFy
2 : 0.90ZyFy
3 : ZxFy
4 : ZyFy
1 : ใช ้ข ้างละ 5 ตัว
2 : ใชข้ ้างละ 4 ตัว
3 : ใชข้ ้างละ 3 ตัว
4 : ใช ้ข ้างละ 2 ตัว
่ วธรรมดา ยาว L เซนติเมตร รับน้ำหนักบรรทุกใช ้งานแบบแผ่สม่ำเสมอเท่าก
ข ้อที่ 100 : คานเหล็กช่วงเดีย
1 : d/L = 22.5Fy/E
2 : d/L = 30Fy/E
3 : d/L = 37.5Fy/E
4 : d/L = 45Fy/E
รวมคะแนน 0
่ วธรรมดา ยาว L เซนติเมตร รับน้ำหนักบรรทุกใช ้งานแบบแผ่สม่ำเสมอเท่าก
ข ้อที่ 101 : คานเหล็กช่วงเดีย
1 : d/L = 22.5Fy/E
2 : d/L = 30Fy/E
3 : d/L = 37.5Fy/E
4 : d/L = 45Fy/E
ข ้อที่ 106 : คานเหล็กรูปพรรณทำด ้วยเหล็กชนิด A36 ยาว 5.00 เมตร ปลายคานทัง้ สองเป็ นแบบยึดแน่น
1 : wu = 12.0(Zx) กก./เมตร
2 : wu = 10.8(Zx) กก./เมตร
3 : wu = 8.0(Zx) กก./เมตร
4 : wu = 7.2(Zx) กก./เมตร
ข ้อที่ 107 : คานเหล็กรูปพรรณรูปตัด W ช่วงเดียว ยาวเท่ากับ L เมตร รับน้ำหนักบรรทุกแบบแผ่ใช ้งาน
1 : L = 2.75 เมตร
2 : L = 3.00 เมตร
3 : L = 3.25 เมตร
4 : L = 3.50 เมตร
ข ้อที่ 116 : หน ้าตัดคาน W350 x 49.6 เกณฑ์ของแผ่นตัง้ (web) มีคา่ เท่าใด ผ่านเกณฑ์
1 : 2 (ผ่าน)
2 : 25 (ผ่าน)
3 : 50 (ผ่าน)
4 : 150 (ผ่าน)
ข ้อที่ 119 : คานเหล็กโครงสร ้างชนิด A36 เป็ นหน ้าตัดอัดแน่น ปี กรับแรงอัดมีคำยันเพียงพอ หน ้าตัดคาน
1 : 23545 kg-m
2 : 25050 kg-m
3 : 27555 kg-m
4 : 28835 kg-m
ข ้อที่ 123 : คานเหล็กรูปพรรณชนิด A36 ขนาด W600x106 (tf = 1.7 ซม., r = 2.2 ซม
1 : 10 มม.
2 : 20 มม.
3 : 25 มม.
4 : 30 มม.
1 : 30 ซม.2
2 : 35ซม.2
3 : 40ซม.2
4 : 45ซม.2
1 : 30 ซม.2
2 : 35 ซม.2
3 : 40 ซม.2
4 : 45 ซม.2
ข ้อที่ 126 : ถ ้าวางตงเหล็กขนาด W250x72.4 (tw = 0.9 ซม., tf = 1.4 ซม., r = 1.6 ซม
1 : R = 30 ตัน
2 : R = 34 ตัน
3 : R = 38 ตัน
4 : R = 40 ตัน
ข ้อที่ 127 : ถ ้าวางตงเหล็กขนาด W250x72.4 (tw = 0.9 ซม., tf = 1.4 ซม., r = 1.6 ซม
1 : Ru = 34 ตัน
2 : Ru = 38 ตัน
3 : Ru = 40 ตัน
4 : Ru = 50 ตัน
1 : Cb = 1.14
2 : Cb = 1.30
3 : Cb = 1.52
4 : Cb = 1.67
1 : Cb = 1.14
2 : Cb = 1.30
3 : Cb = 1.52
4 : Cb = 1.67
ข ้อที่ 137 : เสาประกอบ แบบ Solid core ดังรูป เสาแกน 4 นิว้ x 4 นิว้ (ไม่ไส)
ไมป ้ ิ ดรอบขนาด 2 นิ้ ว x 6 นิ้ ว (ไมไ่ ส) ถา้ เสานี้ มีปลายทังสองเป็
้ นแบบยึดหมุนยาวเทา่ กับ 3.0 ม.
ใหห ้ าก ำ ลั ง รั บแรงอั ดปลอดภั ยของเสาประกอบต น
้ ้
นี
สมมติหน่วยแรงอัดขนานเสี้ยนที่ยอมให้ = 90 ksc
และให้ตัวคูณประกอบส ำหรับเสาประกอบตน ้ นี้ เทา่ กับ 0.71
1 : 12 ตัน
2 : 22 ตัน
3 : 32 ตัน
4 : ไม่มค
ี ำตอบทีถ
่ ก
ู
ข ้อที่ 138 : จงคำนวณหาความกว ้างของแผ่นเหล็กซงึ่ หนา 10 มม.ทีใ่ ชเช
้ อ
ื่ มเสริมปี กคาน
1 : 30 cm.
2 : 32.5 cm.
3 : 35 cm.
4 : 37.5 cm.
2:
3:
4:
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 151 : ในการต่อแผ่นเหล็กปี กคานกับเหล็กฉากปี กคาน ถ ้าแต่ละข ้างของปี กคานใช ตั้ วยึด
1 : 2RI/VQ
2 : RI/VQ
3 : RI/2VQ
4 : 4RI/VQ
1:
2:
3:
4:
1 : P = 850 กก.
2 : P = 825 กก.
3 : P = 800 กก.
4 : P = 785 กก.
1 : M = 1265 กก.-เมตร
2 : M = 1300 กก.-เมตร
3 : M = 1355 กก.-เมตร
4 : M = 1400 กก.-เมตร
ข ้อที่ 156 :
1 : 575 กก./เมตร
2 : 675 กก./เมตร
3 : 775 กก./เมตร
4 : 875 กก./เมตร
ข ้อที่ 157 :
1 : 1150 กก.
2 : 1240 กก.
3 : 1300 กก.
4 : 1375 กก.
ข ้อที่ 158 :
1 : 5.00 ซม.
2 : 7.50 ซม.
3 : 10.00 ซม.
4 : 12.50 ซม.
ข ้อที่ 159 :
1 : 5.00 ซม.
2 : 7.50 ซม.
3 : 10.00 ซม.
4 : 12.50 ซม.
ิ้ ทีด
ข ้อที่ 160 : ถ ้าคานประกอบกลวง ประกอบด ้วยไม ้แปรรูปขนาด 5x10 ซม. จำนวน 2 ชน ่ ้านบนและด ้าน
1 : 24 มม.
2 : 20 มม.
3 : 12 มม.
4 : 10 มม.
้ ม
ข ้อที่ 161 : การนำเหล็กเสริมข ้างคานแบบไม่รับแรงกด (intermediate stiffeners) มาใชเพิ ่ ในคานเหล
1 : รับโมเมนต์ดด ั ได ้มากขึน
้
2 : รับแรงเฉือนได ้มากขึน ้
3 : โก่งตัวน ้อยลง
4 : รับโมเมนต์ดด ั และโมเนต์บด
ิ ได ้มากขึน
้
่ ำมาใช ้ในคานเหล็กประก
ข ้อที่ 162 : เหล็กเสริมข ้างคานแบบไม่รับแรงกด (intermediate stiffeners) ทีน
1 : ลดลง
2 : เท่าเดิม
3 : มากขึน ้
4 : ไม่มข ี ้อใดถูกต ้อง
ข ้อที่ 164 : เมือ ่ นำเหล็กเสริมข ้างคานแบบรับแรงกด (bearing stiffeners) 1 คู่ มาใช ้ในคานเหล็กประกอ
ถ ้าให ้ Ast เป็ นเนือ
้ ทีห
่ น ้าตัดของ bearing stiffener 1 ข ้าง และให ้ tw เป็ นความหนาของเหล็กแผ่นตัง้ ดัง
1 : 12 tw^2 + 2 Ast
2 : 25 tw^2 + 2Ast
3 : 15 tw^2 + 2Ast
4 : 12.5 tw^2 + Ast
1 : 30 ตัน
2 : 33 ตัน
3 : 38 ตัน
4 : 40 ตัน
1 : 20.0 ตัน
2 : 18.5 ตัน
3 : 16.5 ตัน
4 : 15.0 ตัน
1 : 150 ซม.
2 : 140 ซม.
3 : 130 ซม.
4 : 120 ซม.
ข ้อที่ 170 : ถ ้าต ้องการให ้ plate girder ซึง่ ประกอบด ้วยแผ่นเหล็กปี กคานแต่ละด ้านขนาด
1 : 125 ซม.
2 : 120 ซม.
3 : 110 ซม.
4 : 105 ซม.
1 : ใช ้ทุกระยะ 3 เมตร
2 : ใช ้ทุกระยะ 2 เมตร
3 : ใชทุ้ กระยะ 1.5 เมตร
4 : ไม่ต ้องใช ้เลย เพราะเหล็กแผ่นตัง้ มีกำลังต ้านแรงเฉือนพอเพียง
ข ้อที่ 172 : Plate Girder ประกอบด ้วยแผ่นเหล็กปี กคานแต่ละด ้านขนาด 40x400 มม. และเหล็กแผ่นตัง้
1 : 22.0 ซม.2
2 : 18.5 ซม.2
3 : 25.0 ซม.2
4 : 22.5 ซม.2
ข ้อที่ 173 : Plate Girder ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 ประกอบด ้วยแผ่นเหล็กปี กคานแต่ละด ้านขนาด
1 : 17
2 : 19
3 : 21
4 : 25
่ ว่ งในๆของคานทีม
ข ้อที่ 177 : การเกิดพฤติกรรมของ Tension Field Action ทีช ่ ี a/h ratio
1 : ไม่ให ้เหล็กแผ่นตัง้ รับแรงอัดในแนวทแยงเลย
2 : ให ้เหล็กแผ่นตัง้ รับแรงดึงในแนวทแยงเฉพาะช่วงอิลาสติก
3 : ให ้เหล็กแผ่นตัง้ รับแรงอัดในแนวทแยงเฉพาะช่วงอิลาสติก หลังจากนัน้ ให ้เหล็กแผ่นตัง้ ทำหน ้าทีร่ ับแ
4 : ไม่มขี ้อใดถูกต ้อง
ข ้อที่ 186 : คานประกอบกลวง ประกอบด ้วยไม ้แปรรูป (ไม่ไส) ขนาด 5x10 ซม. จำนวน 2
1 : 8 มม.
2 : 10 มม.
3 : 12 มม.
4 : 15 มม.
ข ้อที่ 187 : คานประกอบกลวง ประกอบด ้วยไม ้แปรรูป (ไม่ไส) ขนาด 5x10 ซม. จำนวน 2
1 : 1400 กก.-เมตร
2 : 1450 กก.-เมตร
3 : 1500 กก.-เมตร
4 : 1600 กก.-เมตร
1 : 15.0 ตัน
2 : 16.5 ตัน
3 : 18.5 ตัน
4 : 20.0 ตัน
ข ้อที่ 191 : ถ ้า Plate Girder ประกอบด ้วยแผ่นเหล็กปี กคานแต่ละด ้านขนาด 40x400 มม
1 : 410 ตัน-เมตร
2 : 450 ตัน-เมตร
3 : 520 ตัน-เมตร
4 : 550 ตัน-เมตร
ข ้อที่ 192 : คานเหล็กประกอบขนาดใหญ่ (plate girders) ชว่ งเดียว ยาว 12 เมตร ประกอบด ้วยแผ่นเหล
หน่วยแรงเฉือนประลัย (fVVn /Aw) ในเหล็กแผ่นตัง้ ของคานเหล็กประกอบ (กก./ตร. ซม.)
(ไม่รวมผลของ Tension Field Action)
H/tw Aspect Ratios a/h : Stiffener S
0.5 0.6 0.7 0.8 0.9 1
160 1313 1141 975 822 716 641
170 1235 1073 864 728 635 568
180 1167 957 770 649 566 507
1 : 42 ตัน
2 : 45 ตัน
3 : 48 ตัน
4 : 50 ตัน
ข ้อที่ 193 : คานเหล็กประกอบขนาดใหญ่ (plate girders) ช่วงเดียว ยาว 12 เมตร ประกอบด ้วยแผ่นเหล
หน่วยแรงเฉือนประลัย (fVVn /Aw) ในเหล็กแผ่นตัง้ ของคานเหล็กประกอบ (กก./ตร. ซม.)
(ไม่รวมผลของ Tension Field Action)
H/tw Aspect Ratios a/h : Stiffener S
0.5 0.6 0.7 0.8 0.9 1
160 1313 1141 975 822 716 641
170 1235 1073 864 728 635 568
180 1167 957 770 649 566 507
1 : 90 ซม.
2 : 100 ซม.
3 : 120 ซม.
4 : 135 ซม.
ข ้อที่ 195 : หากนำแผ่นเหล็กปี กคาน 2 แผ่นขนาด 300x25 มม. และเหล็กแผ่นตัง้ หนึง่ แผ่นขนาด
1 : rolled beam
2 : built-up beam
3 : plate girder
4 : composite beam
่ มในทางปฏิบต
ข ้อที่ 199 : ขนาดการเชือ ั ไิ ม่เล็กกว่ากี่ mm
1 : 3 mm
2 : 6 mm
3 : 9 mm
4 : 12 mm
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 201 : จะต ้องใช ้ขาเชือ
่ มขนาดเท่าใด เพือ ่ มแบบฟิ ลเลทยาวด ้านล
่ ให ้รับแรงดึง 26,000 kg โดยเชือ
1 : 5 mm
2 : 6 mm
3 : 7 mm
4 : 8 mm
1 : 3 mm
2 : 4 mm
3 : 5 mm
4 : 6 mm
1 : 20.40 cm2
2 : 22.80 cm2
3 : 24.08 cm2
4 : 25.40 cm2
่ อมให ้สำหรับรอยเชอ
ข ้อที่ 214 : ตามมาตรฐาน AISC(1963) กำหนดหน่วยแรงเฉือนทีย ื่ มแบบพอก
1 : 1140 ksc
2 : 1260 ksc
3 : 1470 ksc
4 : 1520 ksc
1 : 3.53 cm
2 : 4.83 cm
3 : 5.43 cm
4 : 6.63 cm
่ มดังรูป หมายถึง
ข ้อที่ 218 : สัญลักษณ์ของการเชือ
1 : 12,450 kg
2 : 17,870 kg
3 : 24,380 kg
4 : 26,130 kg
1 : 8830 กก./ซม.2
2 : 4420 กก./ซม.2
3 : 2210 กก./ซม.2
4 : 1105 กก./ซม.2
1 : 1303 กก./ซม.2
2 : 2605 กก./ซม.2
3 : 3780 กก./ซม.2
4 : 4135 กก./ซม.2
1 : 3780 กก./ซม.2
2 : 3450 กก./ซม.2
3 : 2605 กก./ซม.2
4 : 1303 กก./ซม.2
1 : 18600 กก.
2 : 37200 กก.
3 : 62200 กก.
4 : 74600 กก.
1 : 21200 กก.
2 : 56200 กก.
3 : 75000 กก.
4 : ไม่มข
ี ้อใดถูกต ้อง
1 : 5 มม.
2 : 6 มม.
3 : 7 มม.
4 : 8 มม.
1 : 5 มม.
2 : 6 มม.
3 : 7 มม.
4 : 8 มม.
2 : 395 N
3 : 102.5 N
4 : 205 N
ื่ มเพือ
ข ้อที่ 232 : จงหาความยาวทัง้ หมดของรอยเชอ ้
่ รับแรงดึงใชงาน ้ กชนิด
= 30 ตัน สมมติใชเหล็
1 : 18 ซม.
2 : 40 ซม.
3 : 36 ซม.
4 : 20 ซม.
่ มเพือ
ข ้อที่ 233 : จงหาความยาวทัง้ หมดของรอยเชือ ่ รับแรงดึงประลัย = 45 ตัน สมมติใช ้เหล็กชนิด
1 : 40 ซม.
2 : 36 ซม.
3 : 20 ซม.
4 : 18 ซม.
1 : 1690 ซม.3
2 : 43310 ซม.3
3 : 45000 ซม.3
4 : 46690 ซม.3
1 : 7 มม.
2 : 8 มม.
3 : 9 มม.
4 : 10 มม.
ื่ มบ่าเสา เพือ
ข ้อที่ 236 : ในการทำรอยต่อเชอ ้
่ ถ่ายแรงใชงาน 13 ตัน ซงึ่ กระทำห่างจากหน ้าเสา
1 : fr = 433.5 กก./ตร.ซม.
2 : fr = 511.5 กก./ตร.ซม.
3 : fr = 670.5 กก./ตร.ซม.
4 : ไม่มข
ี ้อใดถูก
่ มบ่าเสา เพือ
ข ้อที่ 237 : ในการทำรอยต่อเชือ ่ ถ่ายแรงใช ้งาน 13 ตัน ซึง่ กระทำห่างจากหน ้าเสา
1 : 7 มม.
2 : 8 มม.
3 : 9 มม.
4 : 10 มม.
้ เพือ
ข ้อที่ 238 : ในการต่อทาบไม ้ขนาด 1½" x 3" (ไม่ไส) สองชิน ่ ถ่ายแรงดึง 1000 กก
้
1 : ใช 3 แถวๆละ 5 ตัว
2 : ใช ้ 2 แถวๆละ 6 ตัว
3 : ใช ้ 3 แถวๆละ 6 ตัว
4 : ใช ้ 2 แถวๆละ 8 ตัว
้ แบบต่อชนโดยอาศัยแผ่นเหล็กประกับ เพือ
ข ้อที่ 239 : ในการต่อไม ้ขนาด 1½" x 3" (ไม่ไส) สองชึน ่ ถ่าย
้
1 : ใช 2 แถวๆละ 4 ตัว
2 : ใช ้ 2 แถวๆละ 3 ตัว
3 : ใช ้ 2 แถวๆละ 2 ตัว
4 : ใช ้ 2 แถวๆละ 5 ตัว
่ ้องใช ้ ในการทำรอยต่อแบบร
ข ้อที่ 242 : จงหาจำนวนของสลักเกลียวขนาด 16 มม. (Ab = 2 ซม.2) ทีต
1 : 1 ตัว
2 : 2 ตัว
3 : 3 ตัว
4 : 4 ตัว
1 : 3 มม.
2 : 6 มม.
3 : 8 มม.
4 : 12 มม.
1 : 9 มม.
2 : 10 มม.
3 : 12 มม.
4 : ไม่มข
ี ้อใดถูก
1 : P/ab
2 : 0.707P/ab
3 : 1.414P/ab
4 : P/2ab
1 : 0.707P/ab
2 : 0.707P/2ab
3 : 1.414P/ab
4 : P/2ab
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 251 : ระยะทาบของแผ่นเหล็กทีน
่ ำมาต่อ อย่างน ้อยเท่ากับ 5 เท่าของความหนาของแผ่นเหล็กทีบ
่ า
1 : 20 มม.
2 : 25 มม.
3 : 30 มม.
4 : 40 มม.
1 : 5.04 cm^2
2 : 9.54 cm^2
3 : 13.86 cm^2
4 : 14.04 cm^2
ข ้อที่ 254 : จากรูป ถ ้าสลักเกลียวและแผ่นเหล็ก เป็ นเหล็กโครงสร ้างชนิด A36 (Fy = 2500 ksc
1 : 40500 kg
2 : 44550 kg
3 : 33750 kg
4 : 50625 kg
ข ้อที่ 255 : จากรูป ถ ้าสลักเกลียวและแผ่นเหล็กเป็ นเหล็กโครงสร ้างชนิด A36 (Fy = 2500 ksc
1 : 40500 kg
2 : 44550 kg
3 : 45612 kg
4 : 50625 kg
1 : 40022 kg
2 : 50131 kg
3 : 55000 kg
4 : 55065 kg
่ สลักเกลียวมีเส ้นผ่าศูนย์กล
ข ้อที่ 257 : จากรูป ความกว ้างสุทธิ (Wn) ตามแนว ABECD มีคา่ เท่าไหร่ เมือ
1 : 25.00 cm
2 : 26.26 cm
3 : 27.06 cm
4 : 29.60 cm
่ สลักเกลียวมีเส ้นผ่าศูนย์กล
ข ้อที่ 258 : จากรูป ความกว ้างสุทธิ (Wn) ตามแนว ABEFG มีคา่ เท่าไหร่ เมือ
1 : 25.00 cm
2 : 26.26 cm
3 : 27.06 cm
4 : 29.60 cm
่ ้องใช ้ ในการทำรอยต่อแบบ
ข ้อที่ 260 : จงหาจำนวนของสลักเกลียวขนาด f 16 มม. (Ab = 2 ซม.2) ทีต
1 : 1 ตัว
2 : 2 ตัว
3 : 3 ตัว
4 : 4 ตัว
รวมคะแนน 0
Maximum Allowable Tensile Stress บนหน ้าตัดทัง้ หมดของเหล็กรูปพรรณคือ
้ เกินกว่า
รณรับแรงดึง ค่า Slenderness ratio ใชไม่
of gyration ทีน
่ ้อยทีส
่ ด
ุ
ระนาบวิกฤต ผู ้ออกแบบควรทำเช่นไร
ได ้ประมาณเท่าไร
กน ้อยไปมาก
น ความยาวเสาใดสามารถรับแรงได ้สูงทีส
่ ด
ุ โดยมีการยึดปลายเสาเหมือนกัน
และไม่มก
ี ารเซ หากมีการค้ำยันตรงกลางไม่ให ้โก่งได ้ (โก่งไม่ได ้ทุกทิศทาง, หมุนได ้) เสาจะสามารถรับน้ำหนักเพิม
่ ขึน
้ กีเ่ ท่า
น และไม่มก
ี ารเซ หากมีการค้ำยันตรงกลางไม่ให ้โก่งได ้ (โก่งไม่ได ้ทุกทิศทาง, หมุนได ้) เสาจะสามารถรับน้ำหนักเพิม
่ ขึน
้ กีเ่ ท่า
ององค์อาคารเหล็กรับแรงดึงทีม
่ รี เู จาะมีคา่ ไม่เกินกีเ่ ปอร์เซนต์ของเนือ
้ ทีห
่ น ้าตัดทัง้ หมด
gn) หากต ้องพิจารณาถึงแรงลมทีก
่ ระทำต่อโครงสร ้าง
Shear ข ้อใดไม่ถก
ู ต ้อง
ดตามแนวแกนได ้สูงสุด
0 ksc, E=2x106 ksc) มีปลายข ้างหนึง่ เป็ นแบบยึดแน่นและปลายอีกข ้างหนึง่ เป็ นแบบยึดหมุน ไม่เซ ยาว 6.0 เมตร จงหาค่า rmin
ดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 (Fy=2500 ksc, E=2x106 ksc) มีปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุน ยาว 6.0 เมตร จงหากำลังรับแ
84 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 (Fy=2500 ksc, E=2x106 ksc) มีปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุนและมีค้ำยันทีก
่ งึ่ ก
้ นทีย
งเป็ นแบบยึดหมุน จงประมาณกำลังรับแรงอัดปลอดภัยของเสา กำหนดให ้หน่วยแรงอัดขนานเสีย ่ อมให ้ Fc = 90 กก./ตร.
ระเทศไทย จะคิดจาก
า เพียงแต่มค
ี วามคงทนดีขน
ึ้
ยงกับค่า 90.5 ตัน ถ ้าต ้องทำรอยต่อทีป ิ้ สว่ นตรงแผ่นปี ก (flange) แต่ละข ้างโดยใชสลั
่ ลายชน ้ กเกลียว 2 แถวๆ ละ 3 ตัว สมมติหน ้าตัดวิกฤต
3.51 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 มีปลายข ้างหนึง่ เป็ นแบบยึดหมุนและปลายอีกข ้างหนึง่ เป็ นแบบยึดแน่นยาว
aced frame) ถ ้าใช ้เสาเหล็ก W300x94 (Ag = 120 ซม.2 rx = 13.1 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค ยาว 5.00 เมตร ทำด ้วยเหล็กชนิด
้
aced frame) ถ ้าใชเสาเหล็ ก W600x106 (Ag = 134.4 ซม.2 rx = 24.0 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค ยาว 4.00 เมตร ทำด ้วยเหล็กชนิด
aced frame) ถ ้าใช ้เสาเหล็ก W600x106 (Ag = 134.4 ซม.2 rmin = 4.12 ซม.) รูปตัดแบบคอมแพค ยาว 4.50 เมตร ทำด ้วยเหล็กชนิด
้
ดแบบคอมแพค ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 มีปลายทัง้ สองข ้างเป็ นแบบยึดแน่น ยาว 6.0 เมตร จงประมาณกำลังรับแรงอัดทีใ่ ชออกแบบ
สองข ้างเป็ นแบบยึดหมุน จงประมาณค่าความยาวของเสาเมือ
่ หน่วยแรงอัดวิกฤต Fcr = Fy/2 สมมติให ้เสามี rmin = 2.06 ซม
้
300 มม.) รับแรงอัดตามแนวแกนทีเ่ กิดจากน้ำหนักบรรทุกคงทีใ่ ชงาน ้
35 ตัน และจากน้ำหนักบรรทุกจรใชงาน 70 ตัน จงประมาณขนาดแผ่น
มเนือ
้ ที)่ : Fp = 0.35
ลุมเต็มเนือ้ ที)่ : Fp = 0.35 < 0.7
0.95d - 0.8bf )
้
350 มม.) รับแรงอัดตามแนวแกนทีเ่ กิดจากน้ำหนักบรรทุกคงทีใ่ ชงาน ้
100 ตัน และจากน้ำหนักบรรทุกจรใชงาน 60 ตัน จงออกแบบแผ่นเห
rea : Ae) ของรอยต่อแบบสลักเกลียว คำนวณได ้จากข ้อใด ?
าไม ้ประกอบพุกจากไม ้ขนาด 1.5 นิว้ x 5 นิว้ และพุกปลายห่างจากปลายเสา 15 ซ.ม. เสาความยาว 3 ม. กำหนดให ้ กำลังรับแรงอัดของไม
้
งานสู
งสุดได ้ประมาณเท่าใด เมือ
่ หน ้าตัดนีม
้ ี bf = 200 mm, tf = 16 mm, Sx = 1910 cm3, Fy = 2500 ksc, E = 2x106 ksc
ทางข ้างไม่พอเพียง
ทางข ้างพอเพียง
โก่งออกทางข ้าง
ะยะค้ำยันทางข ้าง
ะยะค้ำยันทางข ้าง
้
รับแรงอัดไม่พอเพียง ถ ้าคานนีร้ ับน้ำหนักบรรทุกใชงาน ค่าหน่วยแรงดัดสูงสุดรอบแกนหลักทีย
่ อมให ้ คือ
้
ใชงานแบบแผ่ ่ งึ่ กลางคานเกินกว่า 1/360 ของชว่ งความยาว จงประมาณ
สม่ำเสมอเท่ากับ w กก./เซนติเมตร ถ ้าต ้องการไม่ให ้คานโก่งตัวทีก
กับ W กก.ทีป
่ ลายคาน ถ ้าต ้องการไม่ให ้ปลายคานโก่งตัวเกินกว่า1/200 ของช่วงความยาว จงประมาณค่าอย่างน ้อยของอัตราส่วนระหว่างค
กก. ทีป
่ ลายคาน ถ ้าต ้องการไม่ให ้ปลายคานโก่งตัวเกินกว่า 1/300 ของช่วงความยาว จงประมาณค่าอย่างน ้อยของอัตราส่วนระหว่างความล
่ ลายคาน ถ ้าต ้องการไม่ให ้ปลายคานโก่งตัวเกินกว่า 1/240 ของชว่ งความยาว จงประมาณค่าอย่างน ้อยของอัตราสว่ นระหว่างความล
กก. ทีป
้ ้าตัดแบบคอมแพคและระยะค้ำยัน Lb นัน
คานทัง้ สองเป็ นแบบยึดแน่น และมีค้ำยันทางข ้างตรงกึง่ กลางคาน ถ ้าเลือกใชหน ้ พอดีเท่ากับระยะ
หนักบรรทุกแบบแผ่ใช ้งาน w กก./เมตร (รวมน้ำหนักคานแล ้ว) ตลอดความยาวคาน และรับโมเมนต์ดด
ั ใช ้งานชนิดลบ M = wL2 /18
้างถูกบิดและโก่งทางข ้าง
องรับทัง้ สองข ้างเป็ นแบบ fixed เหมือนกัน ถ ้าโครงเฟรม “ก” มีแรงอัดบนหัวเสาแต่ละข ้างซงึ่ มีคา่ เท่ากัน และมีน้ำหนักบรรทุกแบบแผ่สม่ำเส
และโมเมนต์ดด
ั รอบแกนหลัก ถ ้าพบว่าค่า fa/Fa = 0.12 จงประมาณค่าหน่วยแรงดัดสูงสุดทีช ิ้ ส่วนนีส
่ น ้ ามารถรับได ้ กำหนดให ้
และโมเมนต์ดด
ั รอบแกนหลัก ถ ้าพบว่าค่า fa/Fa = 0.50 และตัวประกอบขยายค่าโมเมนต์ดด
ั รอบแกนหลัก = 1.20 จงประมาณค่าหน่วยแรง
และโมเมนต์ดด
ั รอบแกนหลักและแกนรอง พบว่าค่า fbx/Fbx = 0.60 และค่า fby/Fby = 0.20 โดยทีต
่ วั ประกอบขยายค่าโมเมนต์ดด
ั รอบแก
ละมีแนวเอียงกับแกนหลักของคาน ฉะนัน
้
้ ้าตัดขนาดเท่าไหร่จงึ จะปลอ
พบว่าเป็ นหน ้าตัดอัดแน่นและมีค้ำยันด ้านข ้างเพียงพอ ต ้องรับโมเมนต์กระทำเท่ากับ 18000 kg-m ท่านจะใชหน
ม., r = 1.6 ซม.) พาดระหว่างชว่ งของคานเหล็กขนาด W300x94 (tw = 1.0 ซม., tf = 1.5 ซม., r = 1.8 ซม.)
ม. เพือ ้ และน้ำหนักบรรทุกจรใช ้งานเท่ากับ 200 กก./ม.2 (รวมน้ำหนักตงแล ้ว) จงหาขนาดตงไม ้ (ไม่ไส) ทีป
่ รองรับพืน ่ ระหยัด กำหนดให ้ ห
งห่างกันทุกระยะ 50 ซม. เพือ
่ รองรับพืน ้
้ และน้ำหนักบรรทุกจรใชงานเท่
ากับ 200 กก./ม.2 (รวมน้ำหนักตงแล ้ว) จะบากปลายตงได ้มากทีส
่ ด
ุ
น ถ ้าคานนีท
้ ำค้ำยันทางข ้างทีป
่ ี กรับแรงอัดทีป ่ งึ่ กลางคาน จงใช ้วิธ ี LRFD หาค่าสัมประสิทธิข
่ ลายคานทัง้ สองและทีก ์ องโมเมนต์ดด
ั
06 กก./ตร.ซม.) ชว่ งเดียวธรรมดา ยาว 5.00 เมตร รูปตัด W 300x36.7 (compact section d = 30 ซม. bf = 15 ซม. tf = 0.9
ตร.ซม.) ช่วงเดียวธรรมดา ยาว 5.00 เมตร รูปตัด W 350x49.6 (compact section d = 35 ซม. bf = 17.5 ซม. tf = 1.1 ซม
iate stiffeners) ในคานเหล็กประกอบคือ
เสริมปี กคาน W 300x87 ทัง้ สองด ้าน เพือ
่ ให ้สามารถรับกำลังดัดได ้เท่ากับคาน W350x131 และเหล็กทัง้ สองชนิดเป็ นเหล็ก ASTM A36
อต ้านทานแรงกดแบบจุดทีก
่ ระทำ จะต ้องทำอย่างไร
ะต ้องทำอย่างไร
บขนาดใหญ่ เมือ
่ เป็ นอย่างไร
กับเหล็กแผ่นตัง้
ายหลังการโก่งงอ เรียกว่า
กอบขนาดใหญ่ เมือ
่ เป็ นอย่างไร
พือ
่ รับโมเมนต์ดด
ั M อาจประมาณเนือ
้ ทีห
่ น ้าตัดของแผ่นเหล็กปี กคาน (A f) แต่ละด ้าน ตามวิธ ี ASD โดยพิจารณาจาก (ให ้ Fb
งปี กคานใช ตั้ วยึด 2 ตัว ให ้ R เป็ นกำลังรับแรงเฉือนของตัวยึดหนึง่ ตัว หากหน่วยแรงเฉือนในแนวนอน = VQ/I กก./ซม. ดังนัน
้ ระยะห่างขอ
ด 5x10 ซม. และมีแผ่นไม ้อัด B ขนาด 1.2x25 ซม. ประกบติดทัง้ สองข ้างของคานไม ้แปรรูปดังแสดง จงหากำลังต ้านโมเมนต์ดด
ั ปลอดภัย
้ ม
eners) มาใชเพิ ่ ในคานเหล็กรูปพรรณ หรือในคานเหล็กประกอบ (plate girders) ซงึ่ มีเหล็กเสริมข ้างคานแบบรับแรงกดอยูแ
่ ล ้ว โดยมีขนา
่ ำมาใช ้ในคานเหล็กประกอบ (plate girders) ช่วงในๆ โดยมีขนาดตามมาตรฐานกำหนด หากนำพฤติกรรมของ Tension Field Action
ทีน
่ ต่ละด ้าน และเหล็กแผ่นตัง้ ขนาด 10x1700 มม. ซงึ่ ทำด ้วยเหล็กชนิด A36
ะกอบด ้วยแผ่นเหล็กปี กคานขนาด 15x450 มม. ทีแ
่ ม ถ ้าโมเมนต์ดด
40x400 มม. และเหล็กแผ่นตัง้ 1 แผ่นขนาดความลึกเท่ากับ 1440 มม. ต่อกันโดยการเชือ ั ใช ้งานสูงสุดที่ plate girder
่ ต่ละด ้าน และเหล็กแผ่นตัง้ ขนาด 10x1700 มม. ซึง่ ทำด ้วยเหล็กชนิด A36
ะกอบด ้วยแผ่นเหล็กปี กคานขนาด 15x450 มม. ทีแ
่ ม รับแรงเฉือนใช ้งานทีป
ต่ละด ้านขนาด 40x400 มม. และเหล็กแผ่นตัง้ 1 แผ่นขนาด 8x1440 มม. ต่อกันโดยการเชือ ่ ลายคานเท่ากับ
บแผ่สม่ำเสมอเท่ากับ 3 ตัน/เมตร (รวมน้ำหนักคานแล ้ว) และรับน้ำหนักบรรทุกใช ้งานแบบจุดเท่ากับ 20 ตัน ห่างจากจุดรองรับแต่ละข ้างเป
และเหล็กแผ่นตัง้ 1 แผ่นขนาด 8x1440 มม. ต่อกันโดยการเชอ ื่ ม และมี bearing stiffener ตรงจุดทีร่ ับน้ำหนักแบบจุด จงใชตารางข
้ ้างล่าง
่ ม จงประมาณค่าเนือ
x400 มม. และเหล็กแผ่นตัง้ 1 แผ่นขนาด 8x1440 มม. ต่อกันโดยการเชือ ้ ทีห
่ น ้าตัดอย่างน ้อย (min Apb)
ื่ ม และมี bearing stiffener
คานแต่ละด ้านขนาด 50x350 มม. และเหล็กแผ่นตัง้ 1 แผ่นขนาด 10x1700 มม. ต่อกันโดยการเชอ
ล็กปี กคาน 2 แผ่นขนาด 300x25 มม. และเหล็กแผ่นตัง้ หนึง่ แผ่นขนาด 1450x15 มม. มาใช ้รับน้ำหนักบรรทุก ในการคำนวณออกแบบจะพิจ
ทีม
่ ี a/h ratio ไม่เกินกว่าทีก
่ ำหนด ได ้มาจากการพิจารณาว่า
้ กรับแรงเฉือนเลย ในทางทฤษฏีถอ
วางทับเหนือคานเหล็กแต่ไม่ใชสลั ื ว่า คานนีเ้ ป็ นแบบ
นอน และขนาด 2” x 8” สองแผ่น วางตัง้ ทำเป็ นรูปกล่องกลวง มีขนาดหน ้าตัดเท่ากับ 8” x 10” ถ ้าคานประกอบนีเ้ ป็ นคานชว่ งเดีย
่ วธรรมดาย
ิ้ ทีด
ซม. จำนวน 2 ชน ่ ้านบนและด ้านล่างของคาน และแผ่นไม ้อัดกว ้าง 30 ซม. 2 แผ่น ประกบด ้านข ้างของไม ้แปรรูป ซงึ่ จะได ้ชอ
่ งกลวงขนา
ิ้ ทีด
ซม. จำนวน 2 ชน ่ ้านบนและด ้านล่างของคาน และแผ่นไม ้อัดขนาด 1.2x25 ซม. 2 แผ่น ประกบด ้านข ้างของไม ้แปรรูป ซงึ่ จะได ้ชอ
่ งกลวง
นตัง้ = tW เสริมเหล็กข ้างคานแบบรับแรงกด (bearing stiffeners) 1 คู่ ซึง่ เหล็กเสริมข ้างคานแต่ละด ้านของเหล็กแผ่นตัง้ มีเนือ
้ ทีห
่ น ้าตัด
่ ต่ละด ้าน และเหล็กแผ่นตัง้ ขนาด 10x1700 มม. ซงึ่ ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 และยึดต่อกันโ
กอบด ้วยแผ่นเหล็กปี กคานขนาด 15x450 มม. ทีแ
้ อ
คู่ ขนาดแผ่นละ 14x150 มม. ชนิด A36 (Fy = 2500 กก./ตร. ซม.) มาใชเพื ่ รับน้ำหนักประลัยแบบจุด แต่บากตรงมุมออกไป
ผ่นตัง้ หนึง่ แผ่นขนาด 1450x15 มม. ซงึ่ เป็ นเหล็กชนิด A36 (Fy = 2500 กก./ตร. ซม.) มาประกอบเป็ นคานเหล็กรูปตัด W เพือ
่ ใชรั้ บน้ำหน
ถ ้าหน่วยแรงเฉือนทีย
่ อมให ้เท่ากับ 1,470 kg/cm2
เกลียวในการรับแรงด ้านใดมากทีส
่ ด
ุ
ress Concentration) ได ้
ขได ้โดยเพิม
่ จำนวนสลักเกลียว
นดังแสดงในรูป เพือ ้
่ รับแรงปฏิกริยา 5 ตัน สมมุตวิ า่ ฐานรองรับคานมีความแข็งแรงพอ ใชลวดเช ื่ มชนิด E70 และการเชอ
อ ื่ มแบบพอก
ื่ มแบบพอก(Fillet weld)ของลวดเชอ
หรับรอยเชอ ื่ ม AWS A5.1E60xx เท่ากับเท่าใด
งเฉือนทีเ่ กิดขึน
้ ในสลักเกลียว ตามวิธ ี ASD
เฉือนทีเ่ กิดขึน
้ ในสลักเกลียว ตามวิธ ี LRFD
วยแรงกดทีเ่ กิดขึน
้ ในสลักเกลียว ตามวิธ ี ASD
วยแรงกดทีเ่ กิดขึน
้ ในสลักเกลียว ตามวิธ ี LRFD
โดยใช ้สลักเกลียวกำลังสูงชนิด A325-N ขนาด 22 มม. (Ab = 3.80 ซม.2) ข ้างละ 4 ตัว จงประมาณค่าแรงดึงปลอดภัย P สูงสุด
ทุกคงทีใ่ ช ้งาน 20 ตัน และจากน้ำหนักบรรทุกจรใช ้งาน 15 ตันโดยใช ้สลักเกลียวชนิด A325 ขนาด 22 มม. (Ab = 3.80 ซม.2)
ทุกคงทีใ่ ช ้งาน 20 ตัน และจากน้ำหนักบรรทุกจรใช ้งาน 15 ตันโดยใช ้สลักเกลียวชนิด A325 ขนาด 22 มม. (Ab = 3.80 ซม.2)
ื่ มต ้องรับ
ทำห่างจากหน ้าเสา 3 ซม. ดังรูป จงหาหน่วยแรงลัพธ์สงู สุดทีร่ อยเชอ
ทำห่างจากหน ้าเสา 3 ซม. ดังรูป ถ ้าใช ้ลวดเชือ
่ มชนิด E70 (FEXX = 4900 กก./ ซม.2) จงประมาณขนาดของขาเชือ
่ ม
ใช ้แผ่นเหล็ก ชนิดA36 ขนาด 20x300 มม. รับแรงดึงเท่ากับ 70 ตัน กับแผ่นเหล็กประกับ 2 แผ่นชนิด A36 โดยทีแ
่ ต่ละแผ่นมีขนาด
องใช ้ ในการทำรอยต่อแบบรับแรงกดระหว่างชน
ิ้ สว่ นรับแรงดึงของโครงหลังคาซงึ่ ใชเหล็
้ กฉากขนาด 50x50x4 มม. จำนวน 2
นาด 50x50x4 มม. จำนวน 2 ท่อน กับแผ่นเหล็กประกับ โดยใช ้สลักเกลียวขนาด 16 มม. ยึดขาข ้างหนึง่ ของเหล็กฉากกับแผ่นเหล็กประกับโ
กับ 26 ตัน โดยใช ้เหล็กฉาก 1 คูย ึ ติดกับแผ่น web ของคานและกับแผ่น flange ของเสา ถ ้าใช ้เหล็กฉากยาว 22.5 ซม. จงหาความหนาข
่ ด
้
ชงานจากคานเท่ ้ กฉากขนาด 150x100 มม. ยาว 25 ซม. รองใต ้คาน (seated beam connection) โดยยึดขาเหล็ก
ากับ 13 ตัน โดยใชเหล็
ความหนาของแผ่นเหล็กทีบ
่ างกว่า แต่ต ้องไม่น ้อยกว่ากีม
่ ล
ิ ลิเมตร
ยต่อเกิดการวิบต
ั แ
ิ บบ Block Shear ตามแนว ABCDE
รอยต่อเกิดการวิบต
ั แ
ิ บบ Block Shear ตามแนว ABCDE
36 (Fy = 2500 ksc และ Fu = 4200 ksc) ถามว่า กำลังรับแรงดึงบนหน ้าตัดทัง้ หมดมีคา่ เท่าไหร่ (สมมติวา่ ไม่เกิดการวิบต
ั ท
ิ ส
ี่ ลักเกลียว หร
6 (Fy = 2500 ksc และ Fu = 4200 ksc) ถามว่า กำลังรับแรงดึงบนหน ้าตัดประสิทธิผลมีคา่ เท่ากับเท่าไหร่ (สมมติวา่ ไม่เกิดการวิบต
ั ท
ิ ส
ี่ ลัก
Block Shear ตามแนว ABCDE กำหนดให ้ Fy = 2500 ksc และ Fu = 4050 ksc
ต ้องใช ้ ในการทำรอยต่อแบบรับแรงกดระหว่างชน
ิ้ สว่ นรับแรงดึงของโครงหลังคาซงึ่ ใชเหล็
้ กฉากขนาด 50x50x4 มม. จำนวน 2
90 กก./ตร.ซม.
ให ้ Fc = 90 กก./ตร.ซม.
หนาอย่างน ้อยของไม ้ประกับข ้าง คือ
ค่าหน่วยแรงอัดปลอดภัยของเสาตามสมการของออยเลอร์
ร ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 สมมติวา่ มีค้ำยันทางข ้างกันการโก่งรอบแกน y ให ้ Kx = 1.8 และให ้ E = 2x106 กก./ซม.2
มตร ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 สมมติวา่ มีค้ำยันทางข ้างกันการโก่งรอบแกน y ให ้ Kx = 1.8 และให ้ E = 2x106 กก./ซม.2
0 เมตร ทำด ้วยเหล็กชนิด A36 สมมติวา่ มีค้ำยันทางข ้างกันการโก่งรอบแกน y ให ้ K = 0.80 และให ้ E = 2x106 กก./ซม.2
้
รงอัดทีใ่ ชออกแบบ (design strength) กำหนดให ้ E = 2x106 กก./ซม.2
n = 2.06 ซม. และให ้ E = 2x106 กก./ซม.2
6 กก./ซม.2
เมือ
่ Ix = 1840 cm4 Iy = 134 cm4 rx = 8.24 cm ry = 2.22 cm และจุดยึดรัง้ เป็ น Pinned
ลังจุดครากเท่ากับ 2520 ksc)มีหน ้าตัด W200x200x8x12mm รับน้ำหนัก 75 ตัน กำหนดให ้หน่วยแรงกด(bearing stress)บนฐานราก ค
หนดให ้โมดูลัสยืดหยุน
่ E = 120,000 กก./ตร.ซม.
ด 4"x4" หนึง่ ท่อน โดยพิจารณาจากสูตรคำนวณเกีย
่ วกับ lateral stability ตามมาตรฐานกำหนด ทัง้ นี้ คาน "ก" และคาน "ข"
ช่วงความยาว จงประมาณค่าอย่างน ้อยของอัตราส่วนระหว่างความลึกต่อของช่วงความยาว กำหนดให ้ E เป็ นโมดูลัสยืดหยุน
่ หน่วยเป็ น กก
น Lb นัน
้ พอดีเท่ากับระยะ Lp ทีท
่ ำให ้คานสามารถต ้านโมเมนต์ได ้ถึงโมเมนต์ดด
ั พลาสติก (Mp) จงหาน้ำหนักบรรทุกประลัย wu
ดลบ M = wL2 /18 กก.-เมตร ตรงปลายคานทีเ่ คลือ
่ นทีไ่ ม่ได ้ ถ ้าคานนีม
้ พ
ี น
ื้ ทีห
่ น ้าตัดของแผ่น Web เท่ากับ Aw ซม.2 และมีคา่
ขยายค่าโมเมนต์ดด
ั รอบแกนหลักและแกนรอง = 1.00 จงประมาณค่าหน่วยแรงอัดสูงสุดทีช ิ้ ส่วนนีส
่ น ้ ามารถรับได ้ กำหนดให ้ Fa = 1000
Fy = 2500 ksc E = 2000000 ksc
ตัดขนาดเท่าไหร่จงึ จะปลอดภัยและประหยัดทีส
่ ด
ุ ตามวิธ ี ASD
บนีย
้ ังมีหน ้าตัดแบบคอมแพค
) ทีป
่ ระหยัด กำหนดให ้ หน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้เท่ากับ 150 กก./ซม.2
ะบากปลายตงได ้มากทีส
่ ด
ุ เท่าใดเพือ
่ ลดระดับพืน
้ ห ้อง กำหนดให ้ หน่วยแรงเฉือนทีย
่ อมให ้เท่ากับ 10 กก./ซม.2
ธิข
์ องโมเมนต์ดด
ั : Cb
15 ซม. tf = 0.9 ซม. SX = 481 ซม.3 ระยะ LC = 1.88 เมตร) มีค้ำยันทางข ้างด ้านรับแรงอัดทีป ้ จงใชวิ้ ธ ี ASD
่ ลายคานเท่านัน
tf = 1.1 ซม. SX = 775 ซม.3 ระยะ LC = 2.00 เมตร) มีค้ำยันทางข ้างด ้านรับแรงอัดทีป ่ งึ่ กลางคาน จงใช ้วิธ ี
่ ลายคาน และทีก
ดเป็ นเหล็ก ASTM A36
จาก (ให ้ Fb เป็ นหน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้)
ก./ซม. ดังนัน
้ ระยะห่างของตัวยึดตลอดความยาว คือ
่ ลอดภัยซงึ่ กระทำทีก
ม. จงหาแรงแบบจุด P ทีป ่ งึ่ กลางชว่ งคาน (ไม่คด
ิ น้ำหนักของคาน)
ั ปลอดภัย กำหนดให ้หน่วยแรงใช ้งานปลอดภัยของไม ้ A = 120 กก./ตร.ซม. EA= 8x104 กก./ตร.ซม. และหน่วยแรงใช ้งา
ต ้านโมเมนต์ดด
่ งว่าง = 2" (จะได ้ความกว ้างทัง้ หมด = 6") แล ้วปิ ดด ้านบนและด ้านล่างด ้วยไม ้แผ่นทีเ่ หลือ (จะได ้ความลึกทัง้ หมด = 10")
นให ้มีชอ
ว ซงึ่ จะได ้รูปตัดกลวงขนาด 10x15 ซม. ถ ้าคานประกอบกลวงนีต ่ ยึดกันด ้วยกาวสงั เคราะห์อย่างดี สมมติวา่ คานประกอบนีต
้ อ ้ ้องรับโมเมนต์ด
บแรงกดอยูแ
่ ล ้ว โดยมีขนาดตามมาตรฐานกำหนด มีจด
ุ ประสงค์เพือ
่ ให ้คานนัน
้
ค์เพือ
่ ให ้คานนัน
้
นด สำหรับการตรวจสอบกำลังรับแรงกดตามข ้อกำหนดมาตรฐาน จะพิจารณาว่าเนือ ่ ว่ นหนึง่ ของแผ่นปี กคานรวมกับเนือ
้ ทีส ้ ทีข
่ อง
ื่ ม จงประมาณค่าโมเมนต์ดด
ล็กชนิด A36 และยึดต่อกันโดยการเชอ ้
ั ใชงานสู
งสุดของคานนี้ สมมติให ้ ค่า Rpg = 1 และ Fb = 1400
ื่ ม ถ ้าคานเหล็กประกอบนีร้ ับน้ำหนักแผ่ใชงานสม่ำเสมอและไม่
ด ้วยเหล็กชนิด A36 และยึดต่อกันโดยการเชอ ้ ใช ้ intermediate stiffener
่ ามารถรับได ้โดยใช ้จากตารางข ้างล่างนี้ เมือ
คานของ plate girder ทีส ่ ใช ้ bearing stiffener เฉพาะตรงจุดทีร่ ับน้ำหนักแบบจุดเท่านัน
้
่ ม
ล็กชนิด A36 และยึดต่อกันโดยการเชือ
การคำนวณออกแบบจะพิจารณาว่าคานนีเ้ ป็ น
ยว หากคานนีม
้ ค
ี ้ำยันทางข ้างทีป
่ ลายทัง้ สองเท่านัน
้ และรับน้ำหนักบรรทุกแบบแผ่สม่ำเสมอ (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) = 400
นประกอบนีเ้ ป็ นคานช่วงเดีย
่ วธรรมดายาว 4.50 เมตร รับน้ำหนักบรรทุกแบบแผ่สม่ำเสมอ (รวมน้ำหนักของคานแล ้ว) = 600 กก
ื่ ม รับน้ำหนักบรรทุกใชงานแบบแผ่
อกันโดยการเชอ ้ ้
สม่ำเสมอและน้ำหนักบรรทุกใชงานแบบจุ
ดกระทำห่างจากจุดรองรับแต่ละด ้านเป็ นระยะเท
นต์ดด
ั ประลัย สมมติให ้ ค่า Re = RPG = 1 Fcr = Fy = 2500 กก./ตร. ซม.
เฉือนทีย
่ อมให ้เท่ากับ 1225 ksc และหน่วยแรงดึงประลัย(Fu) เท่ากับ 4070 ksc.
= 3.80 ซม.2) และเหล็กฉากชนิด A36 แต่ละข ้าง ยาว 30 ซม. ให ้หาความหนาของเหล็กฉาก ตามวิธ ี LRFD
่ สลักเกลียว จงประมาณค่าความหนาของเหล็ก
nection) โดยยึดขาเหล็กฉากด ้านยาว 150 มม. ติดกับแผ่น flange ของเสาด ้วยตัวยึด เชน
แรงปฏิกริ ย
ิ าทีป
่ ลายคานอันเนือ ้
่ งมาจากจากน้ำหนักบรรทุกใชงานมี
คา่ เท่ากับ 80 ตัน และค่าโมเมนต์อน ี ของคานประกอบ
ิ เนอร์เชย
ดการวิบต
ั ท
ิ ส
ี่ ลักเกลียว หรือการวิบต
ั แ
ิ บบ Block Shear)
มติวา่ ไม่เกิดการวิบต
ั ท
ิ ส
ี่ ลักเกลียว หรือการวิบต
ั แ
ิ บบ Block Shear)
แ ่ ้องใช ้ สมมติวา่ หน่วยแรงเฉือนใช ้งานทีย
ี่ ต่ละแผ่นมีขนาด 10x300 มม. จงหาจำนวนของสลักเกลียวขนาด f 16 มม. (Ab = 2 ซม.2) ทีต ่ อ
รงปฏิกริ ย
ิ าทีป ่ งมาจากจากน้ำหนักบรรทุกใช ้งานมีคา่ เท่ากับ 80 ตัน และค่าโมเมนต์อน
่ ลายคานอันเนือ ิ เนอร์เชียของคานประกอบ
รับแรงอัดปลอดภัย
อยเลอร์ กำหนดให ้โมดูลัสยืดหยุน
่ ของไม ้เท่ากับ E
้ กชนิด A36
มม. และใชเหล็
คอมกรีตขนาด 90x90 ตาราง ซม. สมมติคอนกรีตมีหน่วยแรงอัดประลัยเท่ากับ 200 กก./ตร.ซม.
ลัสยืดหยุน
่ หน่วยเป็ น กก./ ซม.2 และ 0.6Fy เป็ นหน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้หน่วยเป็ น กก./ ซม.2
ลัสยืดหยุน
่ หน่วยเป็ น กก./ ซม.2 และ 0.6 Fy เป็ นหน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้หน่วยเป็ น กก./ ซม.2
0.6Fyเป็ นหน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้หน่วยเป็ น กก./ซม.2และไม่คด
ิ น้ำหนักของคาน(ค่าการโก่งตัวทีป
่ ลายคาน = WL3/3EI)
Fy เป็ นหน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้หน่วยเป็ น กก./ซม.2 และไม่คด
ิ น้ำหนักของคาน (ค่าการโก่งตัวทีป
่ ลายคาน = WL3/3EI
Fy เป็ นหน่วยแรงดัดทีย
่ อมให ้หน่วยเป็ น กก./ซม.2 และไม่คด
ิ น้ำหนักของคาน (ค่าการโก่งตัวทีป
่ ลายคาน = WL3/3EI)
แต่มน
ี ้ำหนักบรรทุกแบบจุดกระทำเยือ
้ งจากกึง่ กลางคาน ดังนัน
้ จะพบว่า
้
termediate stiffener เลย จงประมาณค่าแรงเฉือนใชงานสู ั ค่าหน่วยแรงเฉือนใชงานที
งสุดที่ plate girder สามารถรับได ้ โดยอาศย ้ ก ่ ำหนด
หนักแบบจุดเท่านัน
้
างจากปลายคานได ้มากทีส
่ ด
ุ เท่าไร
และเหล็กชนิด A36
ตรวจสอบกำลังรับแรงกดตรงบริเวณนีโ้ ดยพิจารณาว่าเนือ ่ ว่ นหนึง่ ของแผ่นปี กคานรวมกับเนือ
้ ทีส ้ ทีข
่ อง bearing stiffener เสมือนเป็ นเนือ
้ ทีห
่
นแล ้ว) = 500 กก./ม. จงหาว่ากาวสงั เคราะห์ทน
ี่ ำมาใชต้ ้องมีหน่วยแรงยึดเหนีย
่ วปลอดภัยอย่างน ้อยเท่าใด
สมอทีค
่ านประกอบสามารถรับได ้ สมมติวา่ หน่วยแรงดัดสูงสุด = 100 กก./ซม.2 ค่า Form Factor Cf = 1
มเมนต์ดด ้
ั ใชงานของคานประกอบนี ้ กำหนดให ้ ไม ้แปรรูปมีหน่วยแรงดัด Fb = 125 กก./ซม.2 และค่า E = 1x105 กก./ซม.2
ทีม
่ เี นือ
้ ทีห
่ น ้าตัดเท่ากับ
หน่วยแรงเฉือนใช ้งานทีย
่ อมให ้ของสลักเกลียว = 2100 กก./ ซม.2 ต่อระนาบ และหน่วยแรงกดใช ้งานทีย
่ อมให ้ = 4860 กก./
้
มให ้ของสลักเกลียว = 2100 กก./ซม.2 ต่อระนาบ และหน่วยแรงกดใชงานที
ย ่ อมให ้ = 4860 กก./ซม.2
้
อมให ้ของสลักเกลียว = 2100 กก./ซม.2 ต่อระนาบ และหน่วยแรงกดใชงานที
ย ่ อมให ้ = 4860 กก./ซม.2
0 กก./ซม.2 และค่า E = 8x104 กก./ซม.2 สว่ นแผ่นไม ้อัดมีหน่วยแรงดัด Fb = 150 กก./ซม.2 และค่า E = 1x105 กก./ซม.2
5 กก./ซม.2 สว่ นแผ่นไม ้อัดมีหน่วยแรงดัด Fb = 150 กก./ซม.2 และค่า E = 1.2x105 กก./ซม.2 สมมติคา่ Form Factor Cf = 1
ดเท่านัน ้
้ จงประมาณค่าแรงเฉือนใชงานสู
งสุดที่ plate girder สามารถรับได ้โดยพิจารณาจากตารางข ้างล่างนี้
ะอยูห
่ า่ งจากปลายคานได ้มากทีส
่ ด
ุ เท่าไร
= 4860 กก./ซม.2
ต ้องรับโมเมนต์ดด
ั ทีห
่ น ้าตัดวิกฤตเท่ากับ 100 กก.-ม
หล็กปี กคาน
= 4860 กก./ซม.2
แรงดัดทีย
่ อมให ้ และหน่วยแรงเฉือนทีเ่ กิดขึน
้ มีคา่ พอดีเท่ากับหนึง่ ในแปดของหน่วยแรงเฉือนทีย
่ อมให ้
ำหนดให ้ตะปูมแ
ี รงต ้านทางข ้างตัวละ 150 กก.
04 กก./ซม.2 สว่ นแผ่นไม ้อัดมีหน่วยแรงดัดใชงาน
้ = 140 กก./ซม.2 และค่า E = 1x105 กก./ซม.2
าค่า KL/r สำหรับกรณีนี้
05 กก./ซม.2
m Factor Cf = 1
Construction
ข ้อที่ 1 : นายขาว ตกลงรับงานขุดดินอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยทำสญ ั ญาแบบ unit-price
1 : นายขาวจะได ้รับเงินค่าจ ้าง 10% ของค่าจ ้างทัง้ หมด
2 : นายขาวจะได ้รับเงินค่าจ ้าง 9.8% โดยหักค่าประกันผลงาน 0.2% ของค่าก่อสร ้างทัง้ หมด
3 : นายขาวจะได ้รับเงินค่าจ ้างโดยคิดตามปริมาณงานทีท ่ ำได ้หลังผ่านการตรวจสอบจากผู ้ว่าจ ้างแล ้ว
4 : นายขาวจะได ้รับเงินค่าจ ้างเมือ
่ ทำงานครบถ ้วนทุกรายการตามทีร่ ะบุในงวดที่ 1
้
ข ้อที่ 5 : นายสมบูรณ์ เป็ นเจ ้าของโครงการให ้บริการสถานออกกำลังกายและสระว่ายน้ำ โดยใชงบประมา
1 : ต ้องได ้รับอนุมัตจ ิ ากผู ้ออกแบบ
2 : ต ้องได ้รับอนุมัตจ ิ ากผู ้ออกแบบและเจ ้าของโครงการ
3 : ต ้องได ้รับอนุมัตจ ิ ากผู ้ออกแบบและนายกเทศมนตรี
4 : ผู ้รับจ ้างเห็นว่าดีกว่าสามารถดำเนินการได ้โดยไม่ต ้องขออนุมัตผ
ิ ู ้ใด
่ ใด
ข ้อที่ 7 : การจัดองค์กรแบบ Functional Organization มีลักษณะเชน
1 : จัดกลุม ่ ตามสายการผลิต
2 : จัดกลุม ่ วามชำนาญเฉพาะทาง
่ ตามหน ้าทีค
3 : จัดกลุม ่ ตามสถานการณ์ ตลอดระยะเวลาของโครงการ
4 : จัดกลุม
่ ตามความชำนาญและหน ้าทีใ่ นโครงการ
ข ้อที่ 11 : สัญญารูปแบบใดทีม
่ ก ่ งร่วมกันระหว่างเจ ้าของโครงการ และ ผู ้รับเหมาใกล
ี ารแบ่งปั นความเสีย
1 : Lump Sum Contract
2 : Unit Price Contract
3 : Cost Plus Fixed Fee Contract
4 : Cost Plus Variable Fee Contract
ั ญาในลักษณะทีผ
ข ้อที่ 12 : สญ ี่ งสูงทีส
่ ู ้รับเหมาก่อสร ้างต ้องแบกรับความเสย ่ ด
ุ
1 : Lump Sum Contract
2 : Unit Price Contract
3 : Cost Plus Fixed Fee Contract
4 : Cost Plus Variable Fee Contract
ข ้อที่ 13 : รูปแบบองค์กรแบบใดมีรป
ู แบบของการประสานงาน (Coordination) ในแนวราบ
1 : Functional Organization
2 : Project Organization
3 : Matrix Organization
4 : Hybrid Organization
่ น ้าทีห
ข ้อที่ 18 : ข ้อใดไม่ใชห ่ ลักของผู ้จัดการงานก่อสร ้าง(Construction Manager)
1 : จัดทำแผนงานก่อสร ้างหลัก
2 : ประสานแหล่งเงินทุน และจัดทำแผนการใช ้เงิน (Cash Flow)
3 : คัดเลือกผู ้รับเหมาและประเมินผลการก่อสร ้าง
4 : ตัดสน ิ ใจคัดเลือกผู ้ออกแบบ
ข ้อที่ 23 : จงเรียงลำดับขัน
้ ตอนในการจัดการโครงการก่อสร ้างต่อไปนี้ ตัง้ แต่เริม ิ้ สุดโครงการ
่ ต ้นจนสน
ก) การวางแผนกิจกรรมในโครงการ ข) การติดตามความก ้าวหน ้า
ค) การกำหนดขอบเขตของโครงการ ง) การคำนวณระยะเวลาโครงการ
จ) การประเมินงบประมาณของโครงการ ฉ) การปิ ดโครงการ
1 : ค, ก, ง, จ, ข, ฉ
2 : ค, จ, ก, ง, ข, ฉ
3 : ก, ค, จ, ง, ข, ฉ
4 : ค, ง, จ, ก, ข, ฉ
ข ้อที่ 24 : ข ้อใดไม่เกีย
่ วข ้องกับการจัดองค์กรเพือ
่ ดำเนินโครงการ
1 : กำหนดงบประมาณทีจ ่ ะใช ้ในการดำเนินโครงการ
2 : กำหนดหน ้าทีค ่ วามรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน
3 : กำหนดตำแหน่งต่างๆ ตามหน ้าทีค ่ วามรับผิดชอบ
4 : จัดบุคลากรเข ้ารับผิดชอบงานในตำแหน่งต่างๆ
่ น ้าทีข
ข ้อที่ 26 : ข ้อใดไม่ใชห ่ องวิศวกรโครงการ
1 : กำหนดแผนการทำงานและควบคุมการทำงานให ้เป็ นไปตามแผนการทำงานทีก ่ ำหนด
2 : ตรวจสอบและประเมินผลการทำงาน
3 : จัดทำรายงานประจำวัน ประจำสป ั ดาห์
4 : ประสานงานระหว่างเจ ้าของโครงการ สถาปนิก/วิศวกรผู ้ออกแบบ และหน่วยงานผู ้รับจ ้างก่อสร ้าง
ิ ใจขัน
ข ้อที่ 28 : ใครเป็ นผู ้ตัดสน ิ้ สุดของโครงการ
้ สุดท ้ายในการกำหนดวันสน
1 : ผู ้รับเหมาก่อสร ้าง
2 : เจ ้าของโครงการ
3 : สถาปนิกหรือวิศวกรผู ้ออกแบบ
4 : ผู ้บริหารโครงการ
ข ้อที่ 29 : ถ ้าพบว่ามีปัญหาการตอกเสาเข็มหนีศน
ู ย์ ใครควรจะเป็ นผู ้ให ้ความเห็นในการแก ้ไขปั ญหานี้
1 : เจ ้าของโครงการ
2 : วิศวกรโครงการ
3 : วิศวกรผู ้ออกแบบ
4 : ผู ้รับเหมาก่อสร ้าง
่ ลักการทีด
ข ้อที่ 34 : ข ้อใดมิใชห ่ ใี นการเลือกบุคลากรเพือ ่ จัดองค์การโครงการก่อสร ้าง
1 : ต ้องรวมรวมผู ้มีความสามารถทีเ่ หมาะสมมารวมกันทำงานเพือ ่ ให ้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์ทตี่ งั ้ ไว ้
2 : บุคลากรทีใ่ ช ้ในองค์การไม่จำเป็ นต ้องใช ้ผู ้เชีย
่ วชาญหรือผู ้มีความชำนาญในสาขานัน ้ ๆ เพราะสามารถ
3 : ทีมบริหารโครงการอาจมาจากบุคลากร หรือผู ้เชีย ่ วชาญภายนอก หรือจากสายงานในองค์กรหลัก
4 : ทีมบริหารโครงการอาจทำงานในลักษณะเต็มเวลาหรือไม่เต็มเวลาก็ได ้
ข ้อที่ 44 : ข ้อใดไม่ใช่คณ
ุ ลักษณะของสัญญาแบบ cost-plus contract
1 : เป็ นประเภทของสญ ั ญาก่อสร ้างทีใ่ ชโดยทั
้ ่วไปในงานราชการของไทย
2 : เจ ้าของโครงการอาจควบคุมราคาของโครงการโดยใชเทคนิ ้ ค guarantee maximum price (GMP)
3 : ค่าตอบแทน (fee) สำหรับผู ้รับเหมาอาจคำนวณได ้หลายวิธ ี ขึน ้ กับข ้อตกลงระหว่างเจ ้าของโครงการแ
4 : เป็ นสญั ญาก่อสร ้างทีเ่ จ ้าของโครงการต ้องแบกรับความเสยี่ งในการก่อสร ้างสูงกว่าผู ้รับเหมา เพราะไม
1 : ง.-ข.-ค.-ก.
2 : ง.-ค.-ข -ก.
3 : ค.-ง.-ข.-ก.
4 : ค.-ข.-ง.-ก.
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 51 : Joint Venture ต่างกับ Consortium อย่างไร
1 : J.V. สามารถรวบรวมบริษัททีเ่ กีย่ วข ้องได ้มากกว่า
2 : ความรับผิดชอบในผลงานมีความแตกต่างกัน
3 : J.V. สามารถระดมเงินทุนได ้มากกว่า
4 : Consortium มีระบบการทำงานทีด ่ ก
ี ว่า
ข ้อที่ 54 : ข ้อใดทีก
่ ฎหมายเรือ
่ งความปลอดภัยในงานก่อสร ้างยังไม่ครอบคลุม
1 : อุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคล
2 : ลิฟท์ชวั่ คราว
3 : นั่งร ้าน
4 : การทำงานคอนกรีต
ข ้อที่ 62 :
ข ้อที่ 67 : นาย ก. ต ้องการก่อสร ้างโรงงาน จึงไปหานาย ข. ให ้ชว่ ยก่อสร ้างให ้ นาย ข. รับจะดำเนินการก
1 : นาย ก. ตกลงกับนาย ข. ให ้ชว่ ยออกแบบและก่อสร ้าง และตกลงให ้นาย ง. เป็ นทีป ่ รึกษา และจัดหาผ
2 : นาย ก. ตกลงให ้นาย ข. และ นาย ง. แบบ Design-Build
3 : นาย ง. ตรวจสอบความไม่ถก ู ต ้องของแบบก่อสร ้าง จึงแจ ้งให ้นาย ก. ทราบเพือ ่ ให ้นาย ข
4 : นาย ง. สามารถสงั่ ให ้ นาย ค. และทีมได ้ เพือ
่ แก ้ไขออกแบบให ้ตรงตามความต ้องการ ของนาย ก
ข ้อที่ 68 : นาย ก. ต ้องการก่อสร ้างโรงงาน จึงไปหานาย ข. ให ้ชว่ ยก่อสร ้างให ้ นาย ข. รับ จะดำเนินการ
1 : หากการออกแบบมีข ้อผิดพลาด จะเป็ นความบกพร่องของนาย ค. ต่อนาย ก. สำหรับ นาย ข
2 : นาย ง. ทำหน ้าทีเ่ ป็ นตัวแทนเจ ้าของตามทีน่ าย ก. มอบหมายหน ้าทีไ่ ว ้
3 : นาย ง. จะต ้องทำหน ้าทีโ่ ดยซอตรงต่อนาย ก. สว่ นนาย ค. จะต ้องทำหน ้าทีต
่ ื ่ ามทีต
่ กลงกับ นาย ข
4 : นาย ก. จ ้างให ้นาย ข. ทำงานแบบ Design-Build โดยการเสนอราคาแบบ Lump-Sum Contract
่ ั ญหาอุปสรรคสำคัญทีม
ข ้อที่ 70 : ข ้อใดไม่ใชป ่ ักพบในโครงการก่อสร ้างประเภทออกแบบ ประกวดราคา
1 : ผู ้ออกแบบและผู ้รับจ ้างก่อสร ้างเป็ นคนกลุม่ เดียวกัน ทำให ้ขาดการตรวจสอบและถ่วงดุลซงึ่ กันและกัน
2 : การดำเนินโครงการมักจะมีปัญหาเรือ ่ งการประสานงานระหว่างผู ้ออกแบบและผู ้รับจ ้างก่อสร ้าง
3 : ในโครงการก่อสร ้างทีม ี วามสลับซับซ ้อน ผู ้รับจ ้างก่อสร ้างอาจไม่สามารถเข ้าใจแบบก่อสร ้างได ้อย่าง
่ ค
4 : การพัฒนาโครงการใช ้เวลายาวนานเพราะการออกแบบและการก่อสร ้างไม่สามารถทำควบคูก ่ น
ั ไปได
ข ้อที่ 72 : สำหรับผู ้ว่าจ ้าง ข ้อใดเป็ นความเสยี่ งทีส่ ำคัญในโครงการก่อสร ้างประเภทออกแบบและก่อสร ้าง
้
1 : การพัฒนาโครงการใชเวลายาวนานเพราะการออกแบบและการก่ อสร ้างไม่สามารถทำควบคูก ่ น
ั ไปได
2 : ในโครงการก่อสร ้างทีม ่ ค ั ซอน
ี วามสลับซบ ้ ผู ้รับจ ้างก่อสร ้างอาจไม่สามารถเข ้าใจแบบก่อสร ้างได ้อย่าง
3 : การประสานงานระหว่างผู ้ออกแบบและผู ้รับจ ้างก่อสร ้าง
4 : ผู ้ออกแบบและผู ้รับจ ้างก่อสร ้างเป็ นคนกลุม ่ เดียวกัน ทำให ้ขาดการตรวจสอบและถ่วงดุลซงึ่ กันและกัน
ข ้อที่ 76 : ข ้อใดแสดงประเภทต่าง ๆ ของสัญญาจ ้างก่อสร ้างซึง่ แบ่งโดยจำนวนของผู ้รับจ ้างทีผ ่ ู ้ว่าจ ้างท
1 : สญ ั ญาแบบผู ้รับจ ้างหลักเจ ้าเดียว (single contract) และสญ
ั ญาแบบผู ้รับจ ้างหลักหลายเจ ้า
2 : สัญญาจ ้างหลัก (prime contract) และสัญญาจ ้างช่วง (subcontract)
3 : สัญญาแบบราคาเหมารวม (lump-sum) สัญญาแบบราคาต่อหน่วย (unit-price) และสัญญาแบบต ้นท
4 : สญ ั ญาแบบประกวดราคา (competitively bid contract) และสญ ั ญาแบบเจรจาต่อรอง
ั ญาก่อสร ้างทีม
ข ้อที่ 83 : ข ้อใดเรียงลำดับสญ ่ ก ี่ ง (risk allocation) แก่ผู ้รับเหมาก่อสร
ี ารจัดสรรความเสย
1 : สัญญาราคาเหมารวม สัญญาราคาต่อหน่วย สัญญาต ้นทุนบวกค่าดำเนินการ
2 : สัญญาราคาต่อหน่วย สัญญาราคาเหมารวม สัญญาต ้นทุนบวกค่าดำเนินการ
3 : สญ ั ญาต ้นทุนบวกค่าดำเนินการ สญั ญาราคาต่อหน่วย สญ ั ญาราคาเหมารวม
4 : สัญญาราคาต่อหน่วย สัญญาต ้นทุนบวกค่าดำเนินการ สัญญาราคาเหมารวม
่ งทีส
ข ้อที่ 88 : ข ้อใดเป็ นความเสีย ่ ำคัญสำหรับผู ้ว่าจ ้างในการเลือกใช ้สัญญาประเภทผู ้รับจ ้างหลักหลายเ
1 : คุณภาพงาน
2 : การประสานงานระหว่างผู ้รับจ ้างหลัก
3 : ต ้นทุนโครงการ
4 : ระยะเวลาของโครงการ
้
ข ้อที่ 90 : การจัดทำแผนงานทีใ่ ชเวลาของกิ
จกรรมทีก
่ ำหนดเอาไว ้และการทำกิจกรรมก่อนหลัง เป็ นหลัก
1 : Critical Path Method
2 : PERT – Program Evaluation and Review Techniques
3 : Line of Balance
4 : Resource Allocation
้
ข ้อที่ 91 : การจัดทำแผนงานทีใ่ ชเวลาของกิ
จกรรมทีก
่ ำหนดเอาไว ้แบบไม่แน่นอนและการทำกิจกรรมก่อ
1 : Critical Path Method
2 : PERT – Program Evaluation and Review Techniques
3 : Line of Balance
4 : Resource Allocation
ข ้อที่ 92 : การจัดทำแผนงานทีใ่ ช ้ทรัพยากรของแต่ละชนิด เป็ นหลักในการกำหนดการทำงานต่อเนือ
่ งขอ
1 : Critical Path Method
2 : PERT – Program Evaluation and Review Techniques
3 : Line of Balance
4 : Resource Allocation
ข ้อที่ 93 : จากแผนงานข ้างต ้น หากเริม ่ งาน 15 มีนาคม 2556 โดยทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ หยุดเสาร์และ
1 : โครงการสน ิ้ สุดวันที่ 5 เมษายน 2556 กิจกรรม F เริม ่ วันที่ 22 มีนาคม 2556
้ ้ ิ ้ ิ
2 : โครงการใชเวลาทัง้ สน 24 วัน โครงการสนสุดวันที่ 4 เมษายน 2556
3 : โครงการใชเวลาทั ้ ง้ สน ิ้ 16 วัน โครงการสน ิ้ สุดวันที่ 31 มีนาคม 2556
4 : โครงการสน ิ้ สุดวันที่ 5 เมษายน 2556 กิจกรรม F เริม ่ วันที่ 25 มีนาคม 2556
ข ้อที่ 94 : จากแผนงานข ้างต ้น หากเริม ่ งาน 15 มีนาคม 2556 โดยทำงาน 5 วันต่อสป ั ดาห์ หยุดเสาร์และ
1 : โครงการวิกฤตมีทก ุ วันตัง้ แต่วันที่ 15 มีนาคม 2556 ถึง 4 เมษายน 2556
2 : ถ ้าจะให ้ระยะเวลาของโครงการน ้อยลง คือ เสร็จสน ิ้ เร็วขึน
้ จะต ้องทำงานเสารอาทิตย์ด ้วย จะทำให ้งา
3 : กิจกรรม E จะเสร็จในวันที่ 22 มีนาคม 2556 และเริม ่ กิจกรรม F ในวันที่ 23 มีนาคม
4 : กิจกรรม E จะเสร็จในวันที่ 20 มีนาคม 2556 และกิจกรรม F จะเริม ่ ในวันที่ 21 มีนาคม
ข ้อที่ 99 : จากแผนภูม ิ Bar Chart ข ้างต ้น กิจกรรม A, D และ E มี Total Float กีว่ ัน
1 : B, D, E, F
2 : A, D, E, F
3 : อาจจะไม่ใชท่ งั ้ 1&2
4 : ทุกกิจกรรมเป็ น Critical Path
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 101 : จากแผนภูม ิ Bar Chart ข ้างต ้น ข ้อใดถูกต ้องมากทีส
่ ด
ุ
1:
2:
3:
4:
2:
3:
4:
ข ้อที่ 110 : การขออนุมัตวิ ัสดุ Shop Drawings ต่างๆ ของผู ้รับเหมาต่อผู ้ควบคุมงาน มีประโยชน์อย่างไ
1 : ทำให ้ผู ้รับเหมาได ้เตรียมงานตัง้ แต่เริม
่ ต ้น จะได ้ไม่พบปั ญหาในภายหลัง
2 : เพือ ่ ตรวจสอบความถูกต ้องก่อนผู ้รับเหมาจะเริม ่ ดำเนินการทำงาน
3 : เพือ ้ นแนวทางในการตรวจสอบงาน เมือ
่ ใชเป็ ่ ผู ้รับเหมาดำเนินการ
4 : ถูกทุกข ้อ
1 : ให ้ผ่านโดยหาค่าเฉลีย
่ ของผลการทดสอบ
2 : ให ้ผ่านโดยหาค่าเฉลีย่ ของผลการทดสอบ
3 : ต ้องทำการทุบและทำลายเพือ ่ เทคอนกรีตใหม่
4 : ผลการพิจารณาขึน ้ อยูก ่ บ
ั วิจารณญาณของผู ้ควบคุมงาน
1 : กข
2 : ข
3 : ก
4 : ค
ข ้อที่ 126 : เมือ
่ ท่านเป็ นผู ้ควบคุมงาน ข ้อใด ไม่ถก
ู ต ้อง เมือ
่ พบว่าคุณภาพของงานไม่ผา่ นตามเกณฑ์ทก
ี่
1 : ปรับลดเกณฑ์เพือ ่ ให ้เป็ นไปตามข ้อกำหนด
2 : แก ้ไขแต่ไม่จำเป็ นต ้องผ่านเกณฑ์ทก ี่ ำหนด
3 : แก ้ไขงานให ้ผ่านเกณฑ์ทก ี่ ำหนดอย่างเคร่งครัด
4 : ไม่จำเป็ นต ้องแก ้ไขงานดังกล่าว แต่จะต ้องแก ้ไขในครัง้ ถัดไป
1 : 1,767.5 N
2 : 883.75 N
3 : 17,675 N
4 : 8,837.5 N
ื กต ้องสามารถรับน้ำหนักประมาณเท่าไร ห
ข ้อที่ 129 :ลอดยกน้ำหนักวัสดุ 20T จงหาแรงดึง (P) และเชอ
1 : P=350N, ื กรับน้ำหนัก
เชอ 350N
2 : P=100N, เชอื กรับน้ำหนัก 150N
3 : P=200N, เชอ ื กรับน้ำหนัก 200N
4 : P=200N, เชอ ื กรับน้ำหนัก 350N
ี่ งทีก
ข ้อที่ 131 : ข ้อใดต่อไปนีเ้ ป็ นเหตุการณ์เสย ่ อ
่ ให ้เกิดอุบต
ั เิ หตุ
1 : การสวมหมวกนิรภัยขณะทำงานกลางแจ ้งในขณะทีฝ ่ นตก
2 : การไม่สวมแว่นตาขณะเชือ ่ มเหล็ก
3 : การไม่ใสเ่ ครือ่ งครอบหูเมือ ่ ทำงานตอกเสาเข็ม
4 : การไม่ใสหน ้ากากกันฝุ่ นในขณะทาส ี
่
ี่ งทีก
ข ้อที่ 132 : ข ้อใดต่อไปนีเ้ ป็ นเหตุการณ์เสย ่ อ
่ ให ้เกิดอุบต
ั เิ หตุ
ก. การสวมหมวกนิรภัยขณะทำงานกลางแจ ้งในขณะทีฝ ่ นตก
ข. การไม่สวมถุงมือขณะเชอ ื่ มโลหะ
ค. การไม่สวมหน ้ากากกันฝุ่ นในขณะทาส ี
1 : กค
2 : กข
3 : ขค
4 : กขค
1 : กค
2 : ขค
3 : กค
4 : กขค
รวมคะแนน 0
่ ำคัญทีส
ข ้อที่ 2 : ปั ญหาทีส ่ ดุ ของประเทศทีก ่ ำลังพัฒนาในการแก ้ปั ญหาสงิ่ แวดล ้อมคืออะไร
1 : ขาดแคลนผู ้เชย ี่ วชาญ
2 : ขาดแคลนเทคนิค
3 : ขาดแคลนข ้อมูลทีจ ่ ำเป็ นทางสงิ่ แวดล ้อม
4 : ขาดความตระหนักในสงิ่ แวดล ้อม
1 : DO=(Qw*DOw+Qr*DOr)/(Qw+Qr)
2 : D = DOS – [(Qw*DOw+Qr*DOr)/(Qw+Qr)]
3 : DOS = DO+D
4 : ไม่มข
ี ้อถูก
่ ้อจำกัดในการกำจัดขยะ
ข ้อที่ 10 : ข ้อใดไม่ใชข
1 : สภาพทางเศรษฐกิจสงั คม
2 : ข ้อจำกัดทางกายภาพของเมือง
3 : ความพร ้อมทางด ้านองค์กรและบุคลากร
4 : ไม่มข ี ้อถูก
ั พันธ์ระหว่าง BOD กับการใชออกซ
ข ้อที่ 11 : จากสมการแสดงความสม ้ เิ จนจะเป็ นสด
ั สว่ นโดยตรงกับควา
1 : Lt = L0*ln(-k*t)
2 : Lt = L0*e(-k*t)
3 : ln(Lt}/{L0}) = -k*t
4 : ง. ถูกทัง้ ข ้อ ข. และ ค.
ั้ บ
ข ้อที่ 14 : ข ้อใดเป็ นผลกระทบของสาร CFC (คลอโรฟลูออโรคาร์บอน) จากการไปทำลายโอโซนในชน
1 : ทำให ้คนเกิดมะเร็งผิวหนัง และอาจทำให ้ตาบอดได ้
2 : ทำให ้น้ำทะเลสูงขึน ้ เกิดความแห ้งแล ้ง
3 : ทำให ้เกิดหิมะขัว้ โลกละลาย เกิดมรสุม เกิดน้ำเซาะดินพังทลาย
4 : ไม่มข ี ้อถูก
ข ้อที่ 20 : ข ้อใดไม่ใชว่ ธิ ก
ี ำจัดขยะมูลฝอย
1 : วิธน ี ำขยะสดไปเลีย ้ งสต ั ว์ หรือ วิธถ
ี มบนทีล
่ ม
ุ่
2 : วิธฝ ี ั งกลบขยะมูลฝอยในหลุม หรือฝั งกลบตามหลักการสุขาภิบาล
3 : การจัดตัง้ ธนาคารขยะ
4 : วิธห ี มักทำปุ๋ย
ข ้อที่ 23 : สารอาหารทีจ
่ ำเป็ นต่อการเติบโตของสาหร่ายมีอะไรบ ้าง
1 : คาร์บอน และไนโตรเจน
2 : คาร์บอน และฟอสฟอรัส
3 : ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส
4 : คาร์บอน ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส
ข ้อที่ 27 : ข ้อใดคือก๊าซทีก
่ อ
่ ให ้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
1 : ก๊าซคลอโรฟลูออโรคาร์บอน
2 : ก๊าซโอโซน
3 : ก๊าซมีเทน
4 : ถูกทุกข ้อ
ข ้อที่ 28 : น้ำเสียทีถ ่ ก
ู ปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรมมักมีอณ ิ งู กว่าปกติ จะส่งผลทำให ้สิง่ แ
ุ หภูมส
1 : น้ำในแม่น้ำลำคลองนีจ ้ ะมีปริมาณออกซิเจนน ้อยลงกว่าปกติ เพราะค่าอิม ่ ตัวของออกซิเจนในน้ำจะลด
2 : เมือ่ มีอณุ หภูมส
ิ งู ขึน้ ปฏิกริ ย
ิ าของจุลน
ิ ทรียก
์ ็จะสูงขึน
้ ตามไปด ้วย
3 : ถูกทัง้ ข ้อ 1และข ้อ 2
4 : ไม่มข ี ้อถูก
ข ้อที่ 29 : ปั จจัยทีม
่ ผ
ี ลต่อการเกิดขยะมูลฝอยคือข ้อใด
1 : ฤดูกาล
2 : สภาวะทางเศรษฐกิจของชุมชน
3 : ความหนาแน่นของประชากร
4 : ถูกทุกข ้อ
่ ารบำบัดน้ำเสย
ข ้อที่ 30 : ข ้อใดไม่ใชก ี ด ้วยกระบวนการทางกายภาพ
1 : การกำจัดตะกอนหนัก (Grit Removal)
2 : การทำให ้เกิดการตกตะกอน (Precipitation)
3 : การตกตะกอน (Sedimentation)
4 : การดักด ้วยตะแกรง (Screening)
1 : โรงงาน 1
2 : โรงงาน 2
3 : ทัง้ โรงงาน 1 และ 2
4 : ไม่สามารถสรุปได ้ว่าเกิดจากโรงงานใด
ข ้อที่ 34 : หน ้าทีห
่ ลักของระบบคืออะไร
1 : เป็ นตัวควบคุม
2 : เป็ นทางผ่าน
3 : เป็ นตัวประสาน
4 : เป็ นตัวชนี้ ำ
้
ข ้อที่ 35 : ในการกำหนดขนาดของระบบใชอะไรเป็ นตัวกำหนด
1 : ความต ้องการ
2 : ปริมาณงาน
3 : ระยะทาง
4 : ประสบการณ์
ี่ ำคัญทีส
ข ้อที่ 38 : ข ้อใดเป็ นสาเหตุทส ่ ด
ุ ของการเกิดปั ญหาขยะมูลฝอย
ำ
1 : ความมักง่ายและขาดความส นึกถึงผลเสย ี ทีจ
่ ะเกิดขึน
้
2 : การผลิตหรือใชส้ งิ่ ของมากเกินความจำเป็ น
3 : การเก็บและทำลายไม่ถก ู วิธ ี
4 : การนำขยะไปใชประโยชน์้ ไม่มป ี ระสท ิ ธิภาพ
่ ั ญหาทีม
ข ้อที่ 44 : ข ้อใดไม่ใชป ่ ักจะพบและเป็ นสาเหตุทำให ้ระบบบำบัดน้ำเสย ี ทำงานไม่มป ิ ธิภาพ
ี ระสท
1 : ปั ญหาไขมัน(Grease)จากครัวทีไ่ ม่ได ้ถูกแยกออกไปก่อน
2 : ปั ญหาน้ำทิง้ จากห ้องซก ั ผ ้า ซงึ่ มีสารซก ั ฟอกปนมา
3 : สถาปนิกกำหนดให ้บ่อบำบัดน้ำเสย ี อยูใ่ นสถานทีซ
่ งึ่ ดูแลรักษาได ้ยาก
4 : ปั ญหาเรือ่ งกลิน
่ โดยเฉพาะบริเวณถังเกรอะ (Septic tank)
์ องกระบวนการบำบัดแบบไม่ใช ้อากาศ
ข ้อที่ 46 : ข ้อใดเป็ นสมการของการย่อยสารอินทรียข
1 : CHONSP + O2 เซลล์ใหม่ +CO2 +H2O
2 : CHONPS+Anaerobic Bacteria Bacteria ใหม่+CO2+CH4+พลังงาน+NH3+H2S+
3 : Organic-nitrogen NH3 NO-3
4 : ไม่มข ี ้อถูก
ี ของกระบวนการบำบัดแบบใชอากาศ
ข ้อที่ 48 : ข ้อใดคือข ้อเสย ้
1 : ค่าก่อสร ้างและการเดินระบบต ้องใช ้ค่าใช ้จ่ายสูง
2 : ไม่ได ้พลังงาน(CH4)มาใชเหมื ้ อนกับระบบไม่ใชอากาศ้
3 : มีตะกอนสว่ นเกินค่อนข ้างมาก ทำให ้ต ้องเสย ี ค่าใชจ่้ ายในการจัดการตะกอนสูงมาก
4 : ถูกทุกข ้อ
้
ข ้อที่ 50 : ข ้อใดคือข ้อดีของกระบวนการบำบัดแบบใชอากาศ
1 : ระบบสามารถบำบัดน้ำให ้มีคา่ BOD ต่ำกว่า 20 mg/ L ได ้
2 : ระบบบางชนิดสามารถกำจัดสารอาหาร ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ได ้
3 : ไม่มก
ี ลิน
่ เหม็น
4 : ถูกทุกข ้อ
้
ข ้อที่ 51 : ข ้อใดคือข ้อดีของกระบวนการบำบัดแบบไม่ใชอากาศ
1 : ใชได ้ ้ดีกบ ี ทีม
ั น้ำเสย ่ ี BOD สูง
2 : ไม่ต ้องใช ้พลังงานมาก และต ้องการ N, P น ้อย
3 : มีตะกอนสว่ นเกินน ้อย
4 : ถูกทุกข ้อ
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 52 : ข ้อใดไม่ใช่วธิ ก
ี ารวัดคุณภาพน้ำทีแ ่ สดงถึงปริมาณออกซิเจนทีล
่ ะลายในน้ำ
1 : การวัดค่า COD
2 : การวัดค่า BOD
3 : การวัดปริมาณสารอินทรียค ์ าร์บอนทัง้ หมดในน้ำ
4 : ไม่มข ี ้อถูก
ข ้อที่ 59 : ปั จจุบน ้
ั ประเทศไทยใชพระราชบั ิ ง่ เสริมและรักษาคุณภาพสงิ่ แวดล ้อมแห่งชาติ ฉบับปี
ญญัตส
1 : พ.ศ. 2518
2 : พ.ศ. 2535
3 : พ.ศ. 2537
4 : พ.ศ. 2539
ข ้อที่ 65 : ข ้อใดต่อไปนีถ ้ ก ู
1 : อาคารสำนักงานทีม ่ ผ ้
ี ู ้ใชอาคารมากกว่ า 2500 คนจะอยูใ่ นอาคารประเภท ก. ซงึ่ จะมีคา่ มาตรฐานน้ำท
2 : อาคารสำนักงานทีม ่ ผ ้
ี ู ้ใชอาคารมากกว่ า 2500 คนจะอยูใ่ นอาคารประเภท ข. ซงึ่ จะมีคา่ มาตรฐานน้ำท
3 : อาคารสำนักงานทีม ่ ผ ี ู ้ใช ้อาคารมากกว่า 2500 คนจะอยูใ่ นอาคารประเภท ข. ซึง่ จะมีคา่ มาตรฐานน้ำท
4 : อาคารสำนักงานทีม ่ ผ ้
ี ู ้ใชอาคารมากกว่า 2500 คนจะอยูใ่ นอาคารประเภท ง. ซงึ่ จะมีคา่ มาตรฐานน้ำทง
ข ้อที่ 68 : หน ้าทีห
่ ลักของกรมควบคุมมลพิษคืออะไร
1 : กำหนดนโยบายและแผนการสง่ เสริม และรักษาคุณภาพสงิ่ แวดล ้อม
2 : สง่ เสริมคุณภาพสงิ่ แวดล ้อมโดยการวิจัย พัฒนา และสร ้างจิตสำนึก
3 : เป็ นแหล่งข ้อมูลทางสงิ่ แวดล ้อมทีท ื่ ถือได ้
่ ันสมัย และเชอ
4 : กำกับ ดูแล อำนวยการ ประสานงาน ติดตาม และประเมินผลเกีย ่ วกับการฟื้ นฟู คุ ้มครอง และรักษาคุณ
่ ำคัญของอนุสญ
ข ้อที่ 74 : ข ้อใดเป็ นหลักการทีส ั ญาสหประชาชาติวา่ ด ้วยการเปลีน
่ แปลงสภาพภูมอ
ิ ากาศ
1 : หลักการป้ องกันไว ้ก่อน
2 : หลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับทีแ ่ ตกต่าง
3 : หลักการให ้ความช่วยเหลือกลุม ่ ผู ้ด ้อยกว่า
4 : ถูกทุกข ้อ
ั ยาบ
ข ้อที่ 76 : จำนวนประเทศทีเ่ ข ้าร่วมประชุม APEC ในเดือน กันยายน ปี พ.ศ. 2007 และได ้ร่วมให ้สต
1 : 11 ประเทศ
2 : 10 ประเทศ
3 : 21 ประเทศ
4 : 31 ประเทศ
1 : 3-1-4-2
2 : 3-1-2-4
3 : 3-2-1-4
4 : 1-3-4-2
ข ้อที่ 85 : ข ้อใดไม่ใชว่ ธิ ก
ี ารจัดการปั ญหาด ้านสงิ่ แวดล ้อม
1 : Clean Technology (CT)
2 : Cleaner Production (CP)
3 : Pollution Protection (P2)
4 : Waste Minimization
่ วามสำเร็จในการทำเทคโนโลยีสะอาด
ข ้อที่ 86 : ข ้อใดไม่ใช่ปัจจัยสำคัญสูค
1 : การมีสว่ นร่วมของพนักงานทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ
2 : มีแหล่งข ้อมูลสารสนเทศทีท ่ ันสมัย
3 : ความมุง่ มั่นของผู ้บริหาร
4 : รักษาความลับขององค์กรโดยไม่เปิ ดเผยข ้อมูลเกีย ่ วกับการทำเทคโนโลยีสะอาด
ข ้อที่ 87 : ข ้อใดต่อไปนีถ
้ ก
ู
1 : ระบบการจัดการสงิ่ แวดล ้อม (EMS) คือโปรแกรมการปรับปรุงสงิ่ แวดล ้อมอย่างต่อเนือ
่ งตามขัน ้ ตอนท
2 : การควบคุมมลพิษ (Pollotion Control) คือ การป้ องกันไม่ให ้มลพิษเกิดขึน
้
3 : ISO 14000 Series คือ อนุกรมมาตรฐานทีจ ่ ัดทำขึน
้ โดยองค์กรมาตรฐานสากล (International Orga
4 : Pollution Prevention (P2) คือการลดมลพิษทีแ ่ หล่งกำเนิด หรือการลดของเสย ี ในทีท่ เี่ กิด โดยการใ
1 : 1-2-3-4-5
2 : 2-1-3-5-4
3 : 2-1-3-4-5
4 : 1-2-3-5-4
่ ง (Risk Management)
ข ้อที่ 93 : ข ้อใดคือกระบวนการหลักในการจัดการความเสีย
1 : การวางแผนความเสย ี่ ง
2 : การบ่งชค ี้ วามเสย
ี่ ง
3 : การประเมินความเสย ี่ ง
4 : การหาค่าความเสย ี่ ง
ข ้อที่ 97 : ข ้อใดต่อไปนีถ
้ กู
1 : ท่อน้ำโสโครก เป็ นท่อทีต ่ อ ้
่ จากโถสวมและโถปั สสาวะ
ี
2 : ท่อน้ำเสย เป็ นท่อทีต่ อ ่ งระบายน้ำทีพ
่ จากอ่างล ้างหน ้า อ่างอาบน้ำ อ่างล ้างชาม ชอ ่ น
ื้
3 : ท่อระบายน้ำแนวระดับ เป็ นท่อทีร่ ับน้ำจากท่อน้ำทิง้ ทุกชนิดในอาคาร และส่งไปยังระบบบำบัดน้ำเสียห
4 : ถูกทุกข ้อ
รวมคะแนน 0
ข ้อที่ 102 : ข ้อใดเป็ นแนวทางการตรวจสอบท่อและข ้อต่อของระบบท่อ
1 : ต ้องไม่มรี อยรั่วซมึ
2 : ท่อต ้องได ้รับการติดตัง้ และรองรับหรือยึดท่ออย่างเหมาะสม
้
3 : ท่อแต่ละชนิด ทุกเสนควรทำส ั ลักษณ์ เชน
ญ ่ CW W S V RL และลูกศรแสดงทิศทางการไหลของขอ
4 : ถูกทุกข ้อ
ั พันธ์ซงึ่ กันและกัน
ข ้อที่ 113 : ข ้อใดไม่สม
1 : ท่ออากาศ กับ น้ำในทีด ่ ก
ั กลิน ่
2 : ท่ออากาศ กับ ท่อระบายน้ำเสย ี
3 : ท่ออากาศ กับ ท่อน้ำประปา
4 : ทีด
่ ก
ั กลิน
่ กับ ท่อระบายน้ำเสีย
ข ้อที่ 120 : ในชว่ งปี พ.ศ. 2542-2543 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได ้มอบหมายให ้สถาบันสงิ่ แวดล ้อมอุตส
แห่งประเทศไทย (สอ.ส.อ.ท.) ดำเนินการจัดทำโครงการ เทคโนโลยีสะอาดชว่ ยเพิม ่ ขีดความสามารถใน
ข ้อใดไม่ใชเ่ ป้ าหมายหลักของโครงการนี้
1 : อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร
2 : อุตสาหกรรมสงิ่ ทอ
3 : อุตสาหกรรมกระดาษ และเยือ ่ กระดาษ
4 : อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ี ) ทีจ
ข ้อที่ 122 : ปั ญหาโครงการวางท่อก๊าซเจดีเอ (ไทย-มาเลเซย ่ ังหวัดสงขลา ยังไม่สามารถดำเนินกา
1 : ความไม่มั่นใจในผลประโยชน์ทไี่ ด ้รับจากโครงการ
2 : ความไม่ยอมรับในโครงการของชุมชน
3 : ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในชว่ งทีผ ่ า่ น
้ งงานในสว่ นนี้
4 : ยังไม่จำเป็ นต ้องใชพลั
รวมคะแนน 0
ั ญา 300 วัน เมือ
บบ unit-price การจ่ายค่าจ ้างทุกๆ 30 วัน ระยะเวลาทำงานตามสญ ่ ทำการขุดดินได ้ครบ 30 วันแล ้ว นายขาวจะได ้รับค่าจ ้า
นุมัตจ
ิ ากผู ้ใด
นุมัตจ
ิ ากผู ้ใด
วราบ (Vertical)
on) ในแนวราบ
นการทำงาน
าก ‘เจ ้าของงานแบบภาครัฐ’
ปลีย่ นแปลงไม่ได ้
ถ ้าเป็ นประโยชน์ตอ่ เจ ้าของงาน
าก ‘เจ ้าของงานแบบภาคเอกชน’
ธรรมได ้ตามขัน
้ ตอนของรัฐ
านร่วมกัน และเสนอราคาก่อสร ้างรวมค่าออกแบบต่อเจ ้าของงาน โดยผู ้ออกแบบและก่อสร ้างจะเป็ นผู ้ลงทุนให ้ก่อน” ลักษณะการว่าจ ้างงานท
นักงานภาคสนาม
ั ญาทีท
ญาในรูปแบบใด “สญ ่ ำให ้คูส ั ญาต่างเป็ นทัง้ เจ ้าหนีแ
่ ญ ้ งึ่ กันและกัน หรือกล่าวได ้ว่า คูส
้ ละลูกหนีซ ั ญาต่างมีหนีห
่ ญ ่ ะต ้องชำ
้ รือมีหน ้าทีจ
งานทีก
่ ำหนด
(Infrastructure Project)
ผลประโยชน์กบ ั ภาครัฐ
งธุรกิจการค ้าเป็ นหลัก
ม่ต ้องมีผู ้รับเหมาหลัก
ท่านัน้ เพือ
่ ความคุ ้มค่าการลงทุน
มต ้องการของบุคคลกลุม
่ ใดเป็ นหลัก
รบรรลุวัตถุประสงค์ทตี่ งั ้ ไว ้
ญในสาขานัน ้ ๆ เพราะสามารถฝึ กหัดอบรมเมือ
่ เริม
่ ทำงานได ้
ากสายงานในองค์กรหลัก
งตอบต่อจุดมุง่ หมายหรือวัตถุประสงค์ทก
ี่ ำหนดไว ้ โดยงานก่อสร ้างจำแนกเป็ นสายงานได ้ 2 สายงาน คือ สายงานหลัก (Line Agency)
มาะสม ซงึ่ การจัดองค์การแต่ละรูปแบบก็จะมีลักษณะต่างกัน ข ้อใดกล่าวถึงรูปแบบการจัดองค์กรไม่ถกู ต ้อง
นโครงการเป็ นส่วนๆ หรือกลุม
่ งานแล ้วมอบหมายให ้บุคลากรในแผนกต่างๆ ในผังบริหารโครงการแม่รับผิดชอบไป โดยการประสานงานจะท
จของโครงการเป็ นหลัก ในการบริหารงานผู ้จัดการแผนกขององค์การแม่จะมีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสน ิ ใจทุกอย่างในโครงการโดยมีผู ้จัดกา
นลักษณะการผสมผสานอำนาจ และหน ้าทีค ่ วามรับผิดชอบระหว่าง การจัดองค์การตามหน ้าทีก
่ ารงาน และ การจัดองค์การแบบโครงการ
จัดองค์กรสำหรับบริษัทก่อสร ้างทีม
่ ข
ี นาดใหญ่
ump-sum contract)
nkey มากทีส
่ ด
ุ
จัดเป็ นสัญญาประเภทใด
ี่ งในงานก่อสร ้าง
บผู ้รับเหมาถือเป็ นความเส ย
ี่ งทัง้ หมดอยูภ
ามเสย ่ ายใต ้การควบคุมของผู ้รับเหมา
องโครงการกับผู ้รับเหมาในงานก่อสร ้าง
มเหมาะสมในกรณีใดมากทีส
่ ด
ุ
มอบงาน ในกรณีทผ
ี่ ู ้ว่าจ ้างเป็ นผู ้จัดหาสัมภาระ และเหตุแห่งความวินาศไม่ได ้เกิดจากผู ้ว่าจ ้างหรือผู ้รับจ ้าง เป็ นดังนี้ (ข ้อใดถูก)
esign-Build
บ Design-Bid-Build
or, ตกลงแบบ Turn-Key
งแบบ Design-Bid-Build
on & Maintenance
งการก่อสร ้าง
วามสำคัญทีส่ ด
ุ ทีจ ่ ะมีผลกระทบต่อโครงการมากทีส ่ ด
ุ
โดยสว่ นใหญ่สามารถทำให ้คุ ้มทุนหรือไม่ก็ได ้
การสมบูรณ์ทส ุ ต่อการใช ้ Facility ในอนาคต รวมทัง้ การบริหารจัดการบุคคลากรของโครงการ
ี่ ด
เคราะห์ Need Analysis หลังจาก การทำ Design Development เพือ ่ ให ้การก่อสร ้างง่ายขึน
้
การก่อสร ้าง
ให ้ นาย ข. รับจะดำเนินการก่อสร ้างให ้โดยเสนอราคารวมทัง้ หมดกับการบริหารทีใ่ ห ้โดย ก. อย่างไรก็ตาม นาย ข. ได ้ติดต่อให ้นาย ค
ย ง. เป็ นทีป
่ รึกษา และจัดหาผู ้รับเหมาก่อสร ้าง
ราบเพือ
่ ให ้นาย ข. แก ้ไขให ้ถูกต ้อง
มความต ้องการ ของนาย ก. โดยเสมือนเป็ นตัวแทนของนาย ข.
ให ้ นาย ข. รับ จะดำเนินการก่อสร ้างให ้โดยเสนอราคารวมทัง้ หมดกับการบริหารทีใ่ ห ้โดย ก. อย่างไรก็ตาม นาย ข. ได ้ติดต่อให ้นาย ค
ย ก. สำหรับ นาย ข. ไม่ต ้องรับผิดชอบ เพราะไม่ใช่ผู ้ออกแบบ
น ้าทีต
่ ามทีต
่ กลงกับ นาย ข.
บบ Lump-Sum Contract
สอบและถ่วงดุลซงึ่ กันและกัน
คคลทีเ่ ป็ นคูส ั ญา
่ ญ
รับจ ้างหลักหลายเจ ้า (multiple contract)
าครัฐ ราคาต่อหน่วยสามารถปรับเปลีย
่ นได ้ในกรณีใด
ั ญามาก ๆ
ไว ้ในสญ
โดยวิธป
ี ระกวดราคาแข่งขันได ้
ต ้องและเหมาะสมในเรือ
่ งต่าง ๆ อย่างละเอียดถีถ
่ ้วน
งค์กรประสบความสำเร็จในทีส
่ ด
ุ
อมกับอำนาจในการดำเนินงาน (authority) ด ้วย
การไม่ลา่ ชา้
ผลกระทบต่อกิจกรรมอะไรบ ้าง
รทำกิจกรรมมากทีส
่ ด
ุ
บต่อกิจกรรมต่อมา
หล็กมากทีส
่ ด
ุ
บคุมงานในขณะการดำเนินงาน หากมี Foreman ทีม ่ ค
ี วามสามารถอยูท
่ ดแทนแล ้ว
ะเอียดตัง้ แต่กอ
่ นก่อสร ้าง ระหว่างการก่อสร ้าง และหลังการก่อสร ้าง
มสามารถของผู ้รับเหมา แต่เป็ นเรือ ่ งของการควบคุมงานทีด ่ ี
รวจสอบมาตรฐานการวัด จะทำให ้ไม่ต ้องคำนึงถึงคุณภาพของผู ้ตรวจสอบงานมากนัก
p Drawings
ฉบับมาไว ้เป็ นหลักฐาน
งขออนุมัตใิ หม่
วบคุมงาน มีประโยชน์อย่างไร
หักระหว่างการดำเนินการตอกเสาเข็ม
มากกว่ามาปูพนื้ ห ้องน้ำ
้าวกลางวันมาให ้ทีห่ น่วยงานก่อสร ้าง
ยในงานก่อสร ้าง
ป็ นความรับผิดชอบของฝ่ ายใด
วยงานก่อสร ้าง
ามีผู ้ควบคุมงานไม่เพียงพอ
านเป็ นหลัก สว่ นเรือ
่ งความปลอดภัยเป็ นเรือ
่ งทีม ี วามสำคัญรองลงมา
่ ค
องเปิ ดทีพ
่ น
ื้ ในหน่วยงานก่อสร ้าง
นเหล็กหนา
คุณสมบัตอ
ิ ย่างไร
นว่าเป็ นเรือ ่ งไม่ส ำคัญและเป็ นการสน ิ้ เปลืองค่าใชจ่้ าย ซงึ่ เป็ นความเข ้าใจทีผ
่ ด
ิ
กันอุบต ั เิ หตุในสถานทีก ่ อ
่ สร ้าง
ย่างน ้อยทีส ่ ด
ุ คือตามกฎหมายทีก ่ ำหนด
ผู ้รับผิดชอบด ้านความปลอดภัยเท่านัน ้
ออก เนือ ั ญาเชา่ มานานแล ้ว โดยท่านได ้ทำความสะอาดพืน
่ งจากเลยสญ ้ ทีใ่ ห ้เรียบร ้อยในสภาพเดิม
แวดล ้อมคืออะไร
้
ยะแบบไม่ใช ออกซ เิ จน
ั สว่ นโดยตรงกับความเข ้มข ้นของสารอินทรีย ์ โดยจัดเป็ นสมการลำดับที่ 1 จงหา Lt (dLt /dt) = -k*Lt
จะเป็ นสด
ั ้ บรรยากาศ
กการไปทำลายโอโซนในชน
อดี จะพบผลอย่างไร
้ทีไ่ ม่สมบูรณ์
กาศของโลกเปลีย
่ นแปลง
ทบต่อสิง่ มีชวี ต
ิ
มีชวี ต
ิ ในแหล่งน้ำ
องควบคุมอะไร
บบไม่ใช ้อากาศ
น+NH3+H2S+อืน
่ ๆ
้
บบใชอากาศ
น+NH3+H2S+อืน
่ ๆ
าเกณฑ์ทจ
ี่ ะทิง้ ลงแหล่งน้ำได ้
ดำเนินการได ้
ร ลดอุบต
ั เิ หตุตา่ งๆ และลดผลเสียอันเกิดต่อมนุษย์
ารสามารถทำได ้โดย
2538) เรือ
่ งกำหนดมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป กำหนดว่าการวัดค่าเฉลีย
่ ของตะกัว่ และฝุ่ นละอองในบรรยากาศโดยท
รพัฒนาเศรษฐกิจทีย
่ ั่งยืน
ารเปลีน
่ แปลงสภาพภูมอ
ิ ากาศ
ั ยาบันปฏิญญาซด
2007 และได ้ร่วมให ้สต ิ นีย ์ ว่าด ้วยการเปลีน
่ แปลงสภาพภูมอ
ิ ากาศของโลกมีกป
ี่ ระเทศ
ลเสียต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ี หรือก่อนปล่อยออกสูแ
บบำบัดน้ำเสย ่ หล่งน้ำธรรมชาติ
สำคัญกับขัน
้ ตอนใดเป็ นลำดับแรก
มอย่างต่อเนือ ้ ตอนทีร่ ะบุไว ้ ซงึ่ เป็ นสว่ นหนึง่ ของระบบการจัดการทัง้ หมดขององค์กร
่ งตามขัน
บบสุขาภิบาลในอาคาร
้
ใช อาคาร เจ ้าของอาคาร และสงิ่ แวดล ้อม
ะบายน้ำทีพ
่ น
ื้
ละส่งไปยังระบบบำบัดน้ำเสียหรือทางระบายน้ำสาธารณะ
รบประเทศไทย
พนักงานทำความสะอาดขนไปทิง้ ได ้ทุกวัน
ดยใช ้ถุงขยะหรือถังขยะ
แสดงทิศทางการไหลของของไหลกำกับด ้วยเสมอ
งมีระบบระบายอากาศ ตลอดระยะเวลาทีม
่ ก ้
ี ารใช สอยห ้องนัน
้ ๆ
นสภาพทีด ้
่ ี และสามารถใชงานได ้เป็ นปกติ
ออกมาต่างหาก และต ้องมีบอ ี เพือ
่ ดักไขมันก่อนระบบบำบัดน้ำเสย ่ ตักไขมันออก
ะบายน้ำสาธารณะ
้
ถังสวมชนิ ึ ไม่ได ้
ดน้ำซม
ิ ธิภาพ
านไม่ได ้อย่างมีประสท
ี วิศวกรรมควบคุมตัง้ แต่สามัญวิศวกรขึน
ษ ต ้องดำเนินการโดยผู ้ได ้รับใบอนุญาตเป็ นผู ้ประกอบวิชาชพ ้ ไป
งรับน้ำทิง้ โดยตรงก็ได ้
มของส่วนกลางก็ได ้
วิธข
ี นลำเลียง หรือทิง้ ลงปล่องทิง้ มูลฝอย
2.4 ลิตรต่อคนต่อวัน
ยกว่า 0.4 ลิตรต่อตารางเมตรต่อวัน
ากสถานทีป
่ ระกอบอาหารและเก็บอาหารไม่น ้อยกว่า 10 เมตร และสามารถขนย ้ายมูลฝอยได ้สะดวก
% และไม่ควรน ้อยกว่า 1 %
ี ก่อน
ไม่จำเป็ นต ้องบำบัดน้ำเสย
ิ ธิภาพ
ทำงานไม่ได ้อย่างมีประสท
บวนการย่อยสลายของจุลชีพ และมีผลกับอุปกรณ์ในระบบ
ความสกปรกเลอะเทอะ
แล ้ว นายขาวจะได ้รับค่าจ ้างอย่างไร
ติจากผู ้ใดหรือไม่
ลน(Soft clay) ลึก 1.00 ม. ผู ้ควบคุมงานจึงกำหนดให ้ผู ้รับจ ้างขุดดินเลนออกให ้หมดและนำทรายขีเ้ ป็ ดมาถมกลับให ้เต็ม จำเป็ นต ้องได ้รับอ
ยดแบบก่อสร ้าง
นี้ (ข ้อใดถูก)
. ได ้ติดต่อให ้นาย ค. และทีมชว่ ยออกแบบความสวยงาม และความแข็งแรงรวมทัง้ งานระบบต่างๆ นาย ข. นำผลการออกแบบเสนอนาย ก
การซ่อมแซม
่ งานถนน งานถมดิน เป็ นต ้น” ท่านคิดว่าข ้อความข ้างต ้นสอดคล ้องกับส ญ
ลงไว ้ งานในลักษณะดังกล่าวมีอาทิเช น ั ญาก่อสร ้างรุปแบบใดมากท
การออกแบบเสนอนาย ก. เพือ ี วามรู ้ ไม่มั่นใจ จึงจ ้างนาย ง. มาชว่ ยตรวจจสอบงานทัง้ หมด จากกรณีข ้างต
่ ดำเนินการก่อสร ้าง นาย ก. ไม่มค
การออกแบบเสนอนาย ก. เพือ ี วามรู ้ ไม่มั่นใจ จึงจ ้างนาย ง. มาชว่ ยตรวจจสอบงานทัง้ หมด จากกรณีศก
่ ดำเนินการก่อสร ้าง นาย ก. ไม่มค ึ ษ
อนำมาหาค่าออกซเิ จนละลายในวันที่ 5 มีออกซเิ จนละลายเหลืออยู่ 5.0 และ 3.0 มก./ลิตร ตามลำดับ
ญาก่อสร ้างรุปแบบใดมากทีส
่ ด
ุ
านทัง้ หมด จากกรณีข ้างต ้น ข ้อความใดถูกต ้อง
ึ ษาดังกล่าว ข ้อใดไม่ถก
งานทัง้ หมด จากกรณีศก ู ต ้อง