You are on page 1of 8

1.

ลักษณะการผุดขึ้นมายาวรี ขนาด1-2 นิ้ว ขึ้นตามขาหนีบ ต้นขา ในที่ลับทั้งสองข้าง ตามรักแร้ หลัง อก ทาพิษให้สลบ ถ้าไม่รู้โรค สาคัญว่าลมจับ ถ้า
สงสัยให้เอาเทียนส่องดู=กาฬแม่ตะงาว

2.ในคัมภีร์มรณญาณสูตร ถ้าคนไข้เห็นเป็นโค้งดังคลื่นน้า จะตายใน 5 วัน แสดงว่าธาตุใดขาด=ปถวีธาตุ (ธาตุดิน)

3.ไข้พิษไข้กาฬชนิดหนึ่ง มีลักษณะการผุดขึ้นมาเหมือนมดกัด เป็นแผ่นทั่วตัว มียอดแหลมขาวๆ อาการจับให้เจ็บเนื้อในกระดูก ให้ลิ้นกระด้างคางแข็ง


ทาพิษแรง=ไข้ข้าวไหม้ใหญ่

4.ไข้ใดไม่มีอาการผุด แต่ให้จับเชื่อมมัว ไม่มีสติสมปฤดี ถึงจะเอารังมดแดงมาเคาะให้กัดทั่วตัวก็ไม่รสู้ ึกตัว=ไข้กระโดงน้า

5.ลักษณะไข้มีอาการเป็นหวัด เจ็บปาก น้าลายมาก กระหายน้าบ่อยๆ เท้าเย็นมือเย็น เจ็บข้อมือข้อเท้า ต้องวางยาร้อน คือไข้ใดในคัมภีร์ตักศิลา=ไข้ 3


ฤดู

6.ลักษณะการผุดขึ้นมาที่ต้นขาทั้งสองข้าง เป็นวงเขียวก็มี เป็นสีผลหว้า สีคราม สีผลตาลึงสุกหรือสีหมึก ให้รักษาแต่เมื่อเป็นใหม่ๆ ถ้าเปื่อยออกมาแล้ว


รักษาไม่หาย=ไข้ดานหิน

7.ในคัมภีร์ตักศิลา กล่าวถึงไข้ 3 ฤดู ที่เกิดในเหมันตฤดูไว้โดยสรุปอย่างไร=ไข้เดือน 1-2-3-4เป็นไข้เพื่อกาเดาและดี เป็นใหญ่กว่าเสมหะและลมทั้งปวง


8.คัมภีรม์ รณะญาณสูตรกล่าวถึง ลักษณะชีพจรที่มีลักษณะเป็นอาการตายไว้อย่างไร=ชีพจรที่มือหยุดไม่เดิน หรือเดินลึกและเบา

9.ในคัมภีร์ตักศิลา กล่าวถึงฝีกาฬแทรกในไข้พิษ 10 จาพวก ที่มีลักษณะการผุดให้บวมตามขากรรไกรทั้งสองข้าง บางทีก็บวมแต่ข้างเดียว คือกาฬ


อะไร=ไข้กาฬทูม

10.ตามคัมภีร์ตักศิลากล่าวถึงไข้ใด ถ้าไม่รักษาให้หายภายใน 7 วัน 9 วัน 11 วัน จะกลายเป็นสันนิบาตสาประชวร=ไข้กาเดาใหญ่

11.ไข้พิษไข้กาฬชนิดหนึ่ง ไม่มีอาการผุด แต่ให้เกรียมไปทั่วตัว อาการจับตัวแข็งเหมือนท่อนไม้ จับไม่เป็นเวลา=ไข้หงส์ระทด

12.ลักษณะการผุดขึ้นมาตามราวข้างโตขนาดผลมะตูมขึ้นตามบั้นเอว คอต่อหัวไหล่ทั้งสองข้าง ข้อศอกสองข้าง ข้อมือสองข้าง ตามเท้า-ขา โคนขาสอง


ข้าง เข่าสองข้าง บวมลิ้นขึ้นมา ทาพิษมาก เคลื่อนไหวตัวไม่ได้=กาฬตะบองกาฬ(ไข้ตะบองกาฬ)

13.ในคัมภีร์ตักศิลา กล่าวถึงไข้กาฬ 10 จาพวก ที่มีลักษณะการผุด ผุดขึ้นมาหัวเดียว ทาพิษมาก คือไข้อะไร=ไข้กาแพงทลาย

14.ในคัมภีร์ตักศิลา กล่าวถึงไข้ 3 ฤดู ที่เกิดในคิมหันตฤดูไว้โดยสรุปอย่างไร=ไข้ใน (เดือน 5-6-7-8) เป็นไข้เพื่อโลหิต เป็นใหญ่กว่าลมและเสมหะทั้งปวง

15.เมื่อจะพิจารณาระบายยา ให้ดตู าแหน่งชีพจร หากชีพจรนั้นประจาอยู่ที่ลิ้น ตรงกับวันใด=ขึ้นห้าค่า

16.ตาแหน่งชีพจร นั้นประจาอยู่ทขี่ า อันโรคาไม่ระแวง ทั้งโรคร้ายก็หน่ายแหนง อย่างควรแคลงเร่งวางยา ตรงกับวันใด=ขึ้นสิบสามค่า

17.ในคัมภีร์ตักศิลา กล่าวถึงไข้ 3 ฤดู ที่เกิดในวสันตฤดูไว้โดยสรุปอย่างไร=ไข้ใน (เดือน 9-10-11-12) เป็นไข้เพื่อลม เป็นใหญ่กว่าโลหิตและเสมหะทั้ง


ปวง

18.ถ้าแพทย์แก้ไข้นั้นไม่หายภายใน 3 วัน 5 วัน จะเกิดกาฬ 5 จาพวกแทรกขึ้นมา ซึ่งจะทาให้ตายได้คัมภีร์กล่าวถึงไข้ใดในคัมภีร์ตักศิลา=ไข้กาเดาใหญ่

19. “ยาแปรไข้” เป็นยาขนานที่เท่าไหร่ในคัมภีรต์ ักศิลา=5

20.เมื่อจะพิจารณาระบายยา ให้ดตู าแหน่งชีพจร หากชีพจรนั้นประจาอยู่ที่สะดือ ตรงกับวันใด=แรมสามค่า

21.ให้ปวดศีรษะ ตาแดง ตัวร้อนเป็นเปลว ไอ สะบัดร้อน สะท้านหนาว ให้ปากขม ปากเปรี้ยว กินข้าวไม่ได้ อาเจียน นอนไม่หลับ หมายถึงไข้ใดใน
คัมภีรต์ ักศิลา=ไข้กาเดาน้อย

22.ข้อใดคือ ฝีกาฬเกิดขึ้นท่ามกลางไข้พิษ เกิด เท่าผลผักปลังก็มี เท่าเม็ดถั่วดา ถั่วเขียว จิงจ้อก็มี เป็นเงาหนองก็มี=กาฬไข้ละลอกแก้ว


23.ในคัมภีร์มรณญาณสูตร ถ้าคนไข้ไม่ทางานแต่เหงื่อออก เคยใจดี กลายเป็นคนขีโ้ กรธ ท่านว่าาธาตุใดขาด=อาโปธาตุ (ธาตุน้า)

24.ไข้ใดในคัมภีร์ตักศิลาให้สะบัดร้อนสะบัดหนาว ปวดศีรษะมาก ไอ น้ามูกตก เพราะเหตุฤดู 3 ประการ คือต้องร้อนในคิมหันตฤดู ต้องละอองฝนในว


สันตฤดู ต้องน้าค้างในเหมันตฤดู ต้องรักษาให้ดี มิฉะนั้นอาจตายได้=ไข้หวัดน้อย

25.ในคัมภีร์มรณญาณสูตร ถ้าคนไข้เห็นเป็นแสงพรายเหลืองแดง กลิง้ ออกจากตน แสดงว่าธาตุใดขาด และจะตายใน 3 วัน=เตโชธาตุ (ธาตุไฟ)

26.ข้อใดเป็นชื่อตารับยาในคัมภีรต์ ักศิลาที่มสี ่วนผสมของ ใบย่านาง ใบมะขาม เถาวัลย์เปรียง เอาส่วนเสมอภาค แทรกดินประสิวพอควร ละลายน้า


ซาวข้าว=ยาประสะผิวภายนอก

27.ตาแหน่งชีพจร นั้นประจาอยู่ทคี่ อ จงรั้งรอตามวิธี กินยาว่ามิดี ห้ามทั้งนี้ตามตารา ตรงกับวันใด=แรมสิบห้าค่า

28.ไข้ประดงใด มีลักษณะการผุด ขึ้นมาเหมือนผลมะยมสุก ทาพิษให้ปวดแสบปวดร้อน=ไข้ประดงวัว

29.ลักษณะการผุดขึ้นมาเหมือนเม็ดทรายทั่วตัว ให้คันเป็นกาลังแม้จะเกาให้ทั่วตัวก็ไม่หายคัน ถึงจะเอาไม้ขูดให้โลหิตออกไปก็ไม่หายคัน=ไข้กระโดง


แกลบ

30.ผุดขึ้นมาเท่าหัวแม่มือ ผลจิงจ้อ ถ้าฐานขาว หัวดาทาพิษหนัก บางทีผุดขึ้นที่ตัว แขน ขา ให้ยาไม่หาย แตกออกแล้ว ถ้าไม่ตายกลายเป็นมะเร็ง=ไข้


มะเร็งตะมอย

31.เกิดขึ้นทั่วแม่มือทั้งสองข้าง ข้างเดียวก็มี เท่าเม็ดถั่วเขียว ถั่วดา เท่าผลผักปลัง เลื่อมเป็นหลังเบี้ย เท่าผลเอ็น เท่าเม็ดหินก็มี ผุดขึ้นมาทาพิษเหมือน


ถูกไฟให้มือดาเหมือนดินหม้อ ถ้ารักษาไม่หายมือดา แขนดา (ตาย)=กาฬมะเร็งนาคราช

32.ไข้พิษไข้กาฬชนิดหนึ่ง ถ้าผุดขึ้นมาในเนื้อยังขึ้นไม่หมด มีสันฐานเท่าผลจิงจ้อสุก เป็นเงาอยู่ในเนื้อ บางทีผุดทั้งตัว ให้ถ่ายปัสสาวะอุจจาระไม่


รู้สึกตัว=ไข้มหาเมฆ
33.ไข้ใดที่มีลักษณะการผุดขึ้นมาเป็นหมู่เป็นริ้ว เหมือนตัวปลิงโต ขนาด 1-2-3 นิ้ว ดาเหมือนดินหม้อไปทั่วทั้งตัว=ไข้รากสาดพนันเมือง

34.ในไข้กาฬ 9 จาพวกใด มีลักษณะผุดขึ้นมาเป็นเมล็ดถั่วเล็กๆ เป็นหมู่ ขนาด 1-2 นิ้ว ทั้งตัว ตาแดงเป็นโลหิต บางทีให้กระทาพิษภายใน=ไข้รากสาด
ปานแดง

35.ข้อใดไม่ใช่เครื่องยาที่อยู่ในตารับยาครอบไข้ตักศิลา=เถาวัลย์เปรียง ขมิ้นอ้อย หญ้าแพรก

36.ในคัมภีร์มรณญาณสูตร ถ้าคนไข้เห็นเป็นสีเขียว ดังลูกปลังลูกม่วง กลิ้งออกจากตน ท่านว่าาธาตุใดขาดสูญ=อาโปธาตุ (ธาตุนา้ )

37.ในคัมภีร์ตักศิลา กล่าวถึงฝีกาฬแทรกในไข้พิษ 10 จาพวก ที่มีลักษณะการผุด บังเกิดแต่ต้นกรามทั้งสองข้าง มีสัณฐานยาวเหมือนตัวปลิง คือกาฬ


อะไร=กาฬทามควาย

38.ในคัมภีร์มรณญาณสูตร ถ้าคนไข้เห็นเป็นดวงสว่างกลมดังดวงจันทร์ กลแสงพรายเหลืองแดง กลิ้งออกจากตน จะตายใน 3 วัน แสดงว่าธาตุใดขาด=


เตโชธาตุ (ธาตุไฟ)

39.ขึ้นมาเท่าเมล็ดงา เมล็ดถั่ว เมล็ดผักปลังสุก เมล็ดถั่วดานูนสูงขึ้นมา เป็นหลังเบี้ยก้มี เกิดขึ้นในปาก ในลิ้น ทาพิษให้กินข้าว กินน้าไม่ได้ คือโรคใด=
กาฬฟองสมุทร

40.ไข้ใดที่มีลักษณะการผุดขึ้นมาเท่าวงสะบ้ามอญ เท่าใบพุทราขนาด1-2นิ้ว ผุดขึ้นมาทั้งตัวอาจตายได้=ไข้ปานดา

41.ในคัมภีร์ตักศิลา ไข้พิษไข้กาฬชนิดหนึ่งกล่าวถึงไข้ใด มีลักษณะการผุดขึ้นเป็นริ้วลงมาตามตัว ผุดทัง้ หน้า-หลังขนาด1-2นิ้ว สีแดงดังผลตาลึงสุก เขียว


ดังสีครามก็มี สีดังผลว่าสุกก็มี สีดงั ดินหม้อก็มี=ไข้สายฟ้าฟาด
42.ฝีกาฬแทรกไข้พิษใดขึ้นมาเท่าวงสะบ้า เขียว ทาพิษเหมือนถูกไฟไหม้ ให้สลบ แพทย์ต้องแก้ให้ดีถ้าแหวะออกไปได้ตาย=ไข้มะเร็งเปลวไฟ
43.ไข้กาฬ 9 จาพวก มีอยู่ชนิดหนึ่ง ผุดขึ้นเท่างบน้าอ้อย ดังนิล ลิ้นดา ผุดทั่วตัว ตรงกับชื่อไข้ใดในคัมภีร์ตักศิลา=ไข้รากสาดปานดา

44.ข้อสาคัญที่ระบุไว้ในคัมภีรต์ ักศิลากล่าวถึงกลุม่ อาการของไข้ชนิดใด “ไข้นี้มีอายุเพียงวันเดียว ให้ตรวจดูโดยกดที่เนื้อแขนขาถ้าพองขึ้นไม่ตาย หรือ


เอามือล้วงคอ ทวารหนัก ถ้ายังอุ่นุ อยู่ อาการพอทุเลารักษาได้”=ไข้คด-ไข้แหงน 2 จาพวก

45.ฝีกาฬ 6 จาพวกใด ที่มีลักษณะการผุดขึ้นมาตามช่องอก ตามราวนม เท่าวงสะบ้ามอญ เขียว ดาก็มีขนาด 2-3นิ้ว ยาวรี=กาฬฟองสมุทร

46.จากกลุ่มโรคไข้ประดง ไข้ประดงที่ร้ายแรงที่สุด เพราะหากแม้แก้พิษได้แล้วปีหนึ่ง แต่เม็ดยอดไม่หายไป กลายไปทาพิษให้คัน ผิวหนังหนา คลายลง


อยู่ปีหนึ่งแล้วตกโลหิตกินตับกินปอดขาดออกมาตาย=ประดงแรด

47.ข้อสาคัญที่ระบุไว้ในคัมภีรต์ ักศิลากล่าวถึงกลุม่ อาการของไข้ชนิดใด “ให้วางยาดับพิษ กระทุ้งพิษ อย่าให้กลับเข้าไปในข้อในกระดูกได้ ถ้ากระทุ้งไม่


ออกจะกลับทาพิษคุดในข้อในกระดูกกลายเป็นโรคเรื้อน ลมจะโป่ง(จับโป่ง) ลมประโคมหิน บวมทุกข้อทุกลา ไหวตัวไม่ได้ ร้อนทั้งกลางวันกลางคืน”=ไข้
ประดงทั้ง 8 จาพวก

48.ในคัมภีร์ตักศิลา ไข้พิษไข้กาฬชนิดหนึ่งกล่าวถึงไข้ใด มีลักษณะการผุดขึ้นที่อก ดาก็มี แดงก็มี สีดังเปลวไฟ=ไข้ไฟเดือนห้า

49.ในคัมภีร์ตักศิลา ไข้พิษไข้กาฬชนิดหนึ่ง มีลักษณะการผุดขึ้นมาทั้งตัวเหมือนลมพิษ แดงดังผลตาลึงสุก เป็นเม็ดเหมือนผด แล้วกลับดาลงติดเนื้อให้


คัน คือไข้อะไร=ไข้กระดานหิน

50.คัมภีร์ตักศิลา จาแนกโรคไข้พษิ ไข้กาฬดังนี้=1.ไข้พิษไข้กาฬ21 /2.ไข้รากสาด(ไข้กาฬ)9 /3.ไข้ประดง(ไข้กาฬแทรกไข้พิษ)8 /4.ไข้กาฬ10 /5.ฝีกาฬ


(เกิดในไข้พิษ)10 /6.ไข้กระโดง(ไข้กาฬ)4 /7.ฝีกาฬ6 /8.ไข้คดไข้แหงน2 /9.ไข้หวัด2 /10.ไข้กาเดา2 /11.ไข้3ฤดู3

51.ลักษณะอาการของไข้พิษไข้กาฬ=ผุดเป็นแผ่นเป็นเม็ดสีแดง สีดา สีเขียว ผุด1วัน 2วัน 3วัน จึงล้มไข้ ผุดขึ้นเป็นแผ่นเป็นวง เม็ดทรายขึ้นมาเป็นสีแดง


สีดา สีเขียว สีคราม(เริ่มเป็นหนัก) กระทุ้งพิษไม่หมดกลับลงไปกินตับกินปอด ให้จับนอนกรนครอกๆบางทีกระทาให้ปิดตะสมุฎฐานกาเริบ

52.การพิจารณาการรักษาไข้พิษไข้กาฬ=ห้าม 1.วางยารสร้อน /2.วางยารสเผ็ด /3.วางยารสเปรี้ยว /4.ประคบ /5.ทานส้ม กะทิ /6.ปล่อยปลิง /7.ถูก


น้ามัน /8.ถูกเหล้า /9.กิน อาบน้าร้อน /10.นวด

53.ยารักษาไข้พิษไข้กาฬ= 1.ยากระทุ้งพิษ (แก้ว5ดวง,ยา5ราก,เพชรสว่าง,เบญจโลกวิเชียร) คนชุมพรถือไม้เท้าไปชิงนางคนทา555 /2.ยาประสะผิว


ภายนอก นางขามเปรียงประสะผิว บดแทรกดินประสิว ละลายน้าซาวข้าว /3.ยาพ่นภายนอก ข้าวนางแดง บดแทรกดินประสิว ละลายน้าซาวข้าว /4.
ยาพ่นและยากิน ข้าวสารหนองมน บดแทรกดินประสิว /5.ยาแปรไข้(มี11ชนิด)ใบ5มะ,ใบ2หมาก,2หญ้า ใบคนทีสอ, ขมิ้นอ้อย บดละลายน้าซาวข้าว
/6.ยาพ่นแปรผิวภายนอก หมาร่าหญ้าแพรกควายเฟือง บดปั้นเม็ด น้าซาวข้าวเป็นกระสาย /7.ครอบไข้(มี14ชนิด) 2จันทน์,3ราก,3ใบ,3หอม,3ไม่เข้า
พวก บดแทรกพิมเสน ใช้น้าซาวข้าวเป็นกระสาย

54.ไข้อีดา/ไข้อีแดง=อีดาอีแดง ขายเทียนขายพุทธาแผ่นตอนเย็น จนตาแดงปวดศีรษะ ตั้งแต่ย่ารุ่ง-เทีย่ ง

55.ไข้ปานดา/ไข้ปานแดง= ปานดาปานแดงเป็นลูกครึ่งมอญ พูดไม่ชดั เพราะลิ้นกระดางคางแข็ง

56.ไข้ดานหิน=ต้นขาเป็นดานอาการตัวเย็นดังหิน(หรือเอาขาพาดหิน)

57.ไข้มหาเมฆ(สีดาเมฆ)/ไข้มหานิล(สีดานิล)= มหาเมฆมหานิล กินเนื้อไม่หมด เหลือเท่าผลจิงจ้อ ก็เลยถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่รสู้ ึกตัว


58.ไข้ระบุชาด= ชาดของเราเป็นเหล่าๆกัน

59.ไข้สายฟ้าฟาด= ฟาดทั้งข้างหน้าทั้งข้างหลัง จนปากแห้งลิ้นแห้งไม่ได้สติ


60.ไข้ไฟเดือน5= ไฟในอก

61.ไข้เปลวไฟฟ้า= ไฟฟ้าแรงสูงสุดช็อตจนสลบ อก จมูก หน้าดา

62.ไข้ข้าวไหม้น้อย/ไข้ข้าวไหม้ใหญ่= มดกัดข้าวไหม้ (น้อย=ร้อนเป็นเปลวไฟ , ใหญ่=สะบัดร้อนสะท้านหนาว)

63.ไข้กระดานหิน= นอนบนกระดานหินจนเป็นลมพิษ นอนต่อสามเดือนตาย

64.ไข้สังวาลย์พระอินทร์= พระอินทร์หอบเพราะห้อยสังวาลย์เป็นแถวๆ

65.ไข้ข้าวไหม้ใบเกรียม= ข้าวไหมในกระดูกดาเหมือนหนังแรด หกเดือนตาย

66.ไข้ดาวเรือง= ดาวครึ่งดวงมองแล้วปวดหัวจนตาจะแตก

67.ไข้หงษ์ระทด= อีหงส์ตัวแข็งเหมือนท่อนไม้ แถมหน้าดาเกรียมก็เลยไม่ผดุ ออกมา

68.ไข้จันทรสูตร= ไม่ผุด พระจันทร์ขึ้นทาพิษสลบ


69.ไข้สุริยสูตร= ไม่ผดุ พระอาทิตย์ขึ้นทาพิษมากขึ้น

70.ไข้เมฆสูตร= ไม่ผดุ เวลาเกิดพายุฟ้าฝนเมฆทาพิษให้สลบ

71.ไข้รากสาดปานขาว=สีดังน้าข้าวเช็ด
72.ไข้รากสาดปานแดง= เม็ดถั่วแดง

73.ไข้รากสาดปานเหลือง= ผิว ลิน้ เหลือง

74.ไข้รากสาดปานดา= งบน้าอ้อย ลิ้นดา

75.ไข้รากสาดปานเขียว= ลิ้นเขียว
76.ไข้รากสาดปานม่วง= ผลผักปลังสุกตาย

77.ไข้รากสาดนางแย้ม= เหมือนดอกนางแย้ม

78.ไข้รากสาดพนันเมือง= ปลิงชอบเล่นการพนันเดิมพันหม้อ

79.ไข้รากสาดสามสหาย= เท้าสุนขั สามสหายเล็กๆ


80.ไข้ประดงมด= มดกินยุง

81.ไข้ประดงช้าง= ผิวช้างเหมือนผิวมะกรูด

82.ไข้ประดงควาย= ควายลงเงาหนอง
83.ไข้ประดงวัว= วัวกินมะยมสุก

84.ไข้ประดงลิง= ลิงนั่งคั่วข้าวสาร

85.ไข้ประดงแมว= แมวกินตาปลา

86.ไข้ประดงแรด= แรดแล้วแรดอีก แรดอยู่1ปีตาย

87.ไข้ประดงไฟ= เหมือนระบุชาด เป็นเหล่าๆ


88.ไข้ประดงทั้ง8 ให้วางยาดับพิษกาฬและยากระทุ้งพิษกาฬ วางยากระทุ้งพิษไม่ออกสิ้นกลับกลายเป็น=1.โรคเรื้อน /2.พยาธิ /3.ลมจับโปง /4.ลม
ประโคมหิน /5.บวมไปทุกข้อทุกลา

89.ไข้ประกายดาษ= เหมือนฝีดาษ

90.ไข้ประกายเพลิง= เหมือนฝีดาษแต่เม็ดใหญ่กว่า

91.ไข้ออกหัด= หาดทรายยอดแหลม เข้าลงท้อง เที่ยวอยู่วันสองวันค่อยผุด

92.ไข้เหือด= ออกเหือดเหมือนออกหัด แต่ยอดไม่แหลม


93.ไข้งูสวัด(ตวัด)= งูตัวพองๆ ข้ามหลังไปตาย

94.ไข้เริมน้าค้าง= เม็ดใส

95.ไข้เริมน้าข้าว= เม็ดขุ่น

96.ไข้ลาลาบเพลิง= แผ่นวางยาไม่ดี น้าเหลืองแตกตาย

97.ไข้ไฟลามทุ่ง= รวดเร็วมากกว่าลาลาบเพลิง
98.ไข้กาแพงทลาย= ทลายกาแพงคนเดียวจนฟกบวม
99.กาฬฟองสมุทร= ฟองเบียร์ในปาก ลิ้น เพดาน

100.กาฬเลี่ยมสมุทร= เลี่ยมริมฝีปาก
101.กาฬทามสมุทร= กาฬทามตามข้างลิ้น

102.กาฬทามควาย= ควายบ้ากรามขมขืนปลิง
103.กาฬไข้ละลอกแก้ว= แก้วอาบยาพิษ เกิดท่ามกลางไข้พิษ จนเป็นเงาหนอง

104.ไข้กาฬทูม= บวมตามขากรรไกรทั้งสองข้าง หรือข้างเดียว

105.ไข้กาฬทาม= เหมือนกาฬทูม มาถึงคอ

106.ไข้มะเร็งตะมอย= เท่าหัวแม่มือสีขาว ตัวแขน ขา ไม่ตายกลายเป็นมะเร็ง


107.ไข้มะเร็งปากทูม= มะเร็งปากทูม(ปากหมู) เกิดขึ้นที่หลัง

108.ไข้มะเร็งเปลวไฟ= ทาพิษเหมือนถูกไฟไหม้ให้สลบ
109.ไข้กระโดงไฟ= ร้อนในกระหายน้า

110.ไข้กระโดงน้า= โดดลงน้าเพราะโดนมดแดงกัด

111.ไข้กระโดงแกลบ= เม็ดทรายให้คัน

112.ไข้กระโดงหิน= ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ แทบขาดใจตาย


113.กาฬมะเร็งนาคราช= หัวแม่มอื นาคราชสีดาตาย

114.กาฬฟองสมุทร(ไข้ฟองสมุทร)= ช่องอก ตามราวนม


115.กาฬตะบองพะลา= ขาหนีบเป็นลาๆ

116.กาฬแม่ตะงาว(ไข้แม่ตะงาว)= แม่ตะงาวเอาเทียนส่องดู ตามรักแร้ หลัง อก

117.กาฬตะบองชนวน(ใช้ตะบองกาฬ)= บึงกาฬขายมะตูมลงตามข้อ

118.ไข้คด/ไข้แหงน= มีอายุได้เพียงวันเดียว เอามือกดเนื้อ ถ้าพองขึ้นไม่ตาย ล้วงคอ ทวารหนัก ยังอุ่นอยู่รักษาได้

119.ไข้หวัดน้อย= น้ามูกตก

120.ไข้หวัดใหญ่= น้ามูกตกมาก

121.ไข้กาเดาน้อย=ปวดศีรษะ สะบัดร้อนสะบัดหนาว

122.ไข้กาเดาใหญ่=ปวดศีรษะมาก สะบัดร้อนสะท้านหนาว ปาก คอ เพดาน ฟันแห้ง ถ้าแพทย์แก้ไม่หายภายใน3วัน5วัน เป็นไข้เพื่อลมอัมฟฤกษ์และ


ไข้สันนิบาต ไม่รู้วิธีแก้กาฬ5จาพวกแทรก 1.กาฬพิพิธ(ขั้วตับ) /2.กาฬพิพัธ(ขั้วหัวใจ+ตับ) /3.กาฬคูถ(ลาไส้ใหญ่) /4.กาฬมูตร(ปัสสาวะ) /5.กาฬสิงคลี
(ขั้วดี) ถ้าไม่ตายภายใน7วัน9วัน11วัน กลายเป็นสันนิบาตสาปะชวร(ไข้แสดงออกที่ดวงตา)

123.ไข้3ฤดู= ไข้ในคิมหันตฤดูเดือน5 6 7 8เป็นไข้เพื่อโลหิตเป็นใหญ่กว่าลมเสมหะทั้งปวง/ ไข้ในวสันตฤดูเดือน9 10 11 12 เป็นไข้เพื่อลมเป็นใหญ่กว่า


เลือดเสมหะทั้งปวง/ ไข้ในเหมันตฤดูเดือน1 2 3 4เป็นไข้เพื่อกาเดาและดีเป็นใหญ่กว่าลมเสมหะทั้งปวง อาการให้นอนละเมอเฟ้อฝันไป แพทย์ต้อง
วางยาร้อน

ชีพจรระบายยา

124.ขึ้น-ค่าหนึ่ง ประจาอยูที่บาทา เรื่องรีบให้กินยา ตามตาราสะดวกดี


125.ขึ้น- สองค่า ประจาอยู่หลังบาทา อาจสามารถแก่โรคกินยาสะดวกดี ตามคัมภีร์ที่มีมา

126.ขึ้น- สามค่า ประจาอยูที่ศรี ษะ ชัยชนะแก่โรคา เร่งถ่ายเร่งผายยา ดีหนักหนาอย่าสงสัย


127.ขึ้น- สี่ค่า ประจาแขน ตามแบบแผนอันพึงใจ ผายยามิเป็นไร โรคใดๆ อันตรธาน

128.ขึ้น- ห้าค่า ประจาลิ้น ยาที่กนิ แล่นฉิวฉาน วาโยย่อมกล้าหาญ ขึ้นตามแขน รากอาเจียน


129.ขึ้น- หกค่า ประจาอยู่เรียงรายทั่วทั้งร่างกาย ให้คลื่นเหียนป่วนปั่น ให้วิงเวียน ยอมติเตียนตารายา

130.ขึ้น- เจ็ดค่า ประจาแข้ง ตามตาแหน่งให้ผายยา ระงับด้วยวาตาในอุรา ไม่แตกดับ


131.ขึ้น-แปดค่า ประจาอยูท่ ้องน้อย ระยะย่อยห้ามกอดขัน กาเริบทุกข์สารพัด ตารานี้ว่าไม่ดี

132.ขึ้น- เก้าค่า ประจามือ เร่งนับถือเป็นสุขี ระงับดังโรคีจาเริญศรีอายุนา

133.ขึ้น- สิบค่า ประจาก้น ดีล้นพ้นต้องตารา ชนะแก้โรคา ดับวาตาถอยลงไป

134.ขึ้น- สิบเอ็ดค่า ประจาฟัน ซึ่งห้ามนั้นอย่าสงสัย มักมากลาบากใจ โรคภายในกาเริบมา


135.ขึ้น- สิบสองค่า ประจาคาง อย่าระวางในตารา กาเริบรายโรคา อย่าวางยาจะถอยแรง

136.ขึ้น- สิบสามค่า ประจาขา อันโรคาไม่ระแวง ทั้งโรคร้ายก็หน่ายแหนง อย่าควรแคลงเร่งวางยา


137.ขึ้น- สิบสี่ค่า ประจาหลัง อย่าพลาดพลั้งเร่งศึกษา ห้ามไว้ในตาราทุเลายา ลาบากกาย
138.ขึ้น - สิบห้าค่า ประจาใจ ท่านกล่าวไว้สาหรับชาย อย่าประจุยาลุถ่าย อย่ามักง่ายวาตามมี

139.แรม-ค่าหนึ่งจาใส่ใจ ประจาใต้ป่ าตีนด

140.แรม- สองค่าประจาที่หลัง ตีนมีวายุพา

141.แรม- สามค่าอยูส่ ะดือ อย่านับถือมักรากรา

142.แรม- สี่ค่าอยู่ทันตา จะมรณาม้อยบรรลัย

143.แรม- ห้าค่าประจาลิ้น ห้ามอยากินรากพ้นไป

144.แรม- หกค่าอยู่เศียรไซร้ ดับโรคร้ายสิ้นทั้งปวง

145.แรม- เจ็ดค่าประจาเท้า ยอมเกรงกลัวปะทะทรวง

146.แรม-แปดค่าว่าหนักหน่วง อยู่ในทรวงย่อมจะตาย
147.แรม- เก้าค่าประจาคาง เป็นปานกลางคลื่นลงสาย

148.แรม- สิบค่าแขนสะบาย ลงง่ายดายเร็วหนักหนา

149.แรม- สิบเอ็ดค่าประจามือ เร่งนับถือตามตารา


150.แรม- สิบสองค่าอยู่นาสา หายโรคาอยาสงสัย

151.แรม- สิบสามคา่ อยู่กรรณ์ พยาธินั้นสิ้นสูญไป

152.แรม- สิบสี่ค่าอยู่ปากไซร้ ห้ามมากไว้สิ้นชีวี

153.แรม-สิบห้าค่าอยู่คอ จงรั้งรอตามวิธี กินยาวามิดี

มรณญาณสูตร

154.อาการไข้หนัก หรือถึงระยะตรีทูต (อาการหนักใกล้จะตาย)= 1. อาการเจ็บป่วย ที่ดูรุนแรงแต่ก่อน ดูค่อยยังชั่วขึ้น /2. ชีพจรเต้นอ่อน /3.ลิ้ นแห้ง
และเป็นสีน้าตาล /4.ริมฝีปากและฟันมีเมือกเกรอะ /5.กล้ามเนื้อหมดกาลังอ่อนปวกเปียก /6.มีอาการไม่ค่อยได้สติ /7.นัยน์ตาเป็นเกล็ดกระดี่หรือมัว
ลืมตาแจ๋วแต่มองไม่เห็น /8.หยิบและดึงผ้าปูนอน หรือยกมือขวักไขว่ หรือเพ้อ /9.นอนตัวจมที่นอน และเลื่อนตา่ ลงทุกที /10. ใบหน้า นิ้ว และเล็บ
เป็นเขม่า หรือสีดา

155.เห็นก้อนรัศมีโชติช่วงดังแสงปริมณฑลแห่งพระจันทร์=พลธาตุ(กาลังธาตุ) ขาด
156.เห็นเป็นรูปสตรีถือดวงไฟลอยออกไปทางหน้าต่าง หรือประตู=เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) ขาด

157.เห็นเป็นรูปสตรีหรือบุรุษหนุ่มนุ่งห่มผ้าแดงเข้ามา ร้องเรียกหาแล้วค่อยๆ หายวับไป=ท่านว่าคนไข้ต้องสิ้นชีพโดยแน่ แท้

158.คนไข้มีอาการดวงตาแข็ง เป็นฝ้าขาวไม่แลเห็นอะไร แม้จะเอายาที่แสบร้อนมาทาก็ปราศจากน้าตา คิ้วและหน้าผากตึงเครียด หูออื้ ไม่ได้ยินเสียง


อย่างใด จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นกระด้าง คางแข็ง พูดไม่ได้ ซึมแน่นิ่งมิรสู้ กึ ตัว ปลายเท้าปลายมือชัก กระตุกมือกาชีพจรที่มือหยุดไม่เดิน หรือเดินลึกและเบา
ระยะห่างถ้าเป็นชายลาลึงค์หด ถ้าเป็นหญิงช่องสังวาสเปิด กลิ่นตัวเหม็นสาบสาง ถ้ามีอุจจาระๆจะเป็นสีเทาดา ตัวสั่นหอบ ขนและผมตัง้ ชัน เหงื่อตก
เป็นเม็ดโต เสลดพันคอ=อาการนี้เป็นอาการตาย
159.คนไข้มีอาการเกลียดทารก พูดจาหวานกว่าที่เคยพูด เวลาไอตัวไม่กระเทือน ลิ้นแห้ง ถอนใจและจามบ่อยๆ=ท่านว่าต้องตายภายใน 2 วัน

160.คนไข้เห็นเป็นลูกเพลิงสีแดงสีเหลือง กลิ้งออกไปจากตน=ว่าเป็นเพราะธาตุเตโชขาด(ธาตุไฟ) ต้องตายภายใน 3วัน

161.คนไข้เห็นเป็นสีขาว กลมกลิ้งออกจากตน=ท่านว่าธาตุวาโย(ธาตุลม) ขาดต้องตายภายใน 4วัน

162.คนไข้เห็นเป็นลูกกลมสีม่วงเขียว หรือม่วงแดงกลิ้งออกจากตน=ท่านว่าอาโปธาตุ(ธาตุน้า)ขาด ต้องตายภายใน 5 วัน

163.คนไข้เห็นลูกกลมๆ คล้ายลักษณะโคลนตมกลิ้งออกจากตัวไป=ท่านว่าปถวีธาตุ(ธาตุดิน)ขาด ต้องตายภายใน 5วัน

164.บุคคลใดดูเงาของตนในยามเที่ยงวัน เห็นเงาของตน กระจัดกระจายหายสูญไป=ท่านว่าจะสิ้นอายุภายใน กาหนด 1 ปี

165.บุคคลผู้ใดไม่มเี งา ไอ จาม หาว เรอ ในคราวเดียวกัน จมูกที่ตนได้เคยเห็นก็ดไู ม่เห็น -บุคคลผู้ใดขาดความสัมผัส ตามผิวกายจมูกไม่ได้กลิ่น ไม่รู้จักรู้
ร้อนเย็น -ให้เอามือขวามาปิดตาซ้าย แต่ตาไม่เห็น -ยกมือขึ้นหว่างคิ้ว ให้มองดูข้อมือทั้งสองถ้าเห็นขาดหรือโตโดยผิดธรรมดา -เวลาถ่ายอุจจาระ เมื่อ
เอามือปิดหูเข้าทั้งสองข้างจะไม่ได้ยินเสียงอย่างหนึ่งอย่างใด -เห็นรูปเงาภายในกระจกของตนเปลีย่ นเป็นรูปวิกลยาวรี บูดเบีย้ ว -ลิ้นขาดรสสัมผัส ไม่
รู้จักรสเป็นรสอะไร=คนๆ นั้นถ้าไม่มีอาการ เปลี่ยนแปลงคงปกติคงเดิม ภายใน 1 ปี ไซร้ จะอยู่ได้อีก 15 วัน เท่านั้นก็ตาย

166.บุคคลผู้ใดแลเห็นเงาของตนไม่ปรากฏต่อพระอาทิตย์ หรือคงมีแต่ร่างส่วนศีรษะขาดหาย=ต้องตายภายในกาหนด 2 เดือน

167.บุคคลผู้ใดเมื่อเดินไปตามทางรู้สึกคล้ายว่า มีคนถืออาวุธแกว่งไกวเข้ามาจะฆ่าฟันหรือ เห็นเป็นงู เสือ หมี ช้าง หรือ อาวุธ ตกลงมา หรือปรากฏอยู่
ข้างๆ แล้วหายไป=บุคคลนั้นจะต้องตายด้วยอาวุธ หรือเขี้ยวงา ถ้ามิตายหรือมิถูกต้องภัย อันนั้น จะต้องเจ็บป่วยเกือบเสียชีวิต

168.บุคคลผู้ใดลาลึงค์แข็งแรงอยากทางกามประเวณี ไม่มีเวลาหดหายได้เลยแต่อย่างเดียว=ท่านว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 7 เดือน

169.ลาลึงค์ของผู้ใด เคยมีความกาหนัดและแข็งในเมื่อถึงคราวจะสร้องเสพประเวณี แต่กลับมีอาการหดเหี่ยวแม้น แต่มีใจกาหนัดหาทรงตัวได้ไม่=ท่าน


ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีชีวิตอยูไ่ ด้ประมาณอีก 7 ปี
170.บุคคลผู้ใดมิได้ประกอบการใดๆเลย และมิได้รับความกระทบกระเทือนจากอากาศร้อนแต่มเี หงื่อออกวันยันค่าและมากๆ=ท่านว่าธาตุน้าขาด

171.บุคคลผู้ใดเคยเป็นคนใจดีมสี ขุ ุม แต่กลับเปลี่ยนนิสัยเป็น คนดุรา้ ย หรือเคยดุร้าย ยิ่งกาเริบขึ้นกว่าเก่า=ท่านว่าจะสิ้นอายุภายใน 1 ปี


172.บุคคลผู้ใดเจ็บปวดกระดูกแขนข้างขวาดังหนึ่งจะแตกทะลาย=ท่านว่าบุคคลผู้นั้น จะต้องตายภายใน 17ปี

You might also like