Professional Documents
Culture Documents
เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
Electrical Instruments and Measurements
าขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิก ์
คณะเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2555
คานา
ารบัญ
หน้า
คานา [1]
ารบัญ [2]
ารบัญรูป [8]
ารบัญตาราง [15]
รายละเอียดของรายวิชา 1
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 1 9
บทที่ 1 มาตรวิทยาเบื้องต้น 11
1.1 บทนา 11
1.2 ประเภทของมาตรวิทยา 12
1.3 หน่วยงานกากับดูแลมาตรวิทยาของประเทศไทย 12
1.4 หน่วยงานกากับดูแลมาตรวิทยาระหว่างประเทศ 13
1.5 ระบบหน่วยวัดเอ ไอ 14
1.6 ลาดับชั้นของมาตรฐานการวัด 17
1.7 มาตรฐานการวัดแห่งชาติของประเทศไทย 18
1.8 การ อบเทียบและการ อบกลับได้ 27
1.9 วิธีการของการวัด 24
1.9.1 วิธีการวัดโดยตรง 28
1.9.2 วิธีการวัดโดยอ้อม 29
1.10 ่วนประกอบเครื่องมือวัดทางไฟฟ้า 29
1.11 ศัพท์บัญญัติมาตรวิทยา 31
คาถามท้ายบท 36
เอก ารอ้างอิง 36
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 2 37
บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น 39
2.1 บทนา 39
2.2 ความต้านทาน 39
2.2.1 ตัวต้านทาน 43
2.2.2 การต่อตัวต้านทาน 43
2.2.2.1 แบบอนุกรม 43
[3]
2.2.2.2 แบบขนาน 45
2.2.2.3 แบบผ ม 48
2.2.3 การต่อแหล่งจ่ายแรงดันเข้ากับชุดตัวต้านทาน 49
2.2.3.1 ชุดตัวต้านทานแบบอนุกรม 49
2.2.3.2 ชุดตัวต้านทานแบบขนาน 49
2.2.3.3 ชุดตัวต้านทานแบบผ ม 50
2.3 กฎของโอห์ม 50
2.4 กฎของเคอร์ชอฟฟ์ 57
2.4.1 กฎกระแ ของเคอร์ชอฟฟ์ 57
2.4.2 กฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์ 58
2.4.3 การแก้ปัญหาวงจรด้วยกฎของเคอร์ชอฟฟ์ 60
2.5 ทฤษฎีบทของเทเวนิน 65
คาถามท้ายบท 69
เอก ารอ้างอิง 70
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 3 71
บทที่ 3 เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี 73
3.1 บทนา 73
3.2 การเกิดแรงบนลวดตัวนาใน นามแม่เหล็ก 76
3.3 แกลแวนอมิเตอร์ของดาร์ ันวาล 77
3.4 เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี 78
3.4.1 โครง ร้างพื้นฐาน 79
3.4.2 แรงทางกล 80
3.4.2.1 แรงเบี่ยงเบน 80
3.4.2.2 แรงควบคุม 83
3.4.2.3 แรงหน่วง 84
3.4.3 ความไวกระแ 85
3.4.4 ข้อดี 86
3.4.5 ข้อเ ีย 87
3.4.6 ัญลักษณ์ 87
3.4.7 การหาความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ 88
3.4.8 การหากระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล 89
คาถามท้ายบท 91
เอก ารอ้างอิง 92
[4]
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 4 93
บทที่ 4 แอมมิเตอร์กระแ ตรง 95
4.1 บทนา 95
4.2 การขยายพิ ัยการวัดแอมมิเตอร์ 95
4.2.1 แบบพิ ัยการวัดเดียว 95
4.2.2 แบบหลายพิ ัยการวัด 100
4.2.2.1 ชนิดตัวต้านทานชันต์เฉพาะพิ ัย 100
4.2.2.2 ชนิดอาร์ตันชันต์หรือยูนิเวอร์แซลชันต์ 103
4.3 การต่อแอมมิเตอร์เข้ากับวงจร 107
4.4 ความต้านทานภายในของแอมมิเตอร์ 107
4.4.1 ชนิดตัวต้านทานชันต์เฉพาะพิ ัย 107
4.4.2 ชนิดอาร์ตันชันต์ 108
4.5 ผลการโหลดของแอมมิเตอร์ 110
คาถามท้ายบท 113
เอก ารอ้างอิง 114
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 5 115
บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง 117
5.1 บทนา 117
5.2 การขยายพิ ัยการวัดโวลต์มิเตอร์ 117
5.2.1 แบบพิ ัยการวัดเดียว 117
5.2.2 แบบหลายพิ ัยการวัด 122
5.2.2.1 ชนิดตัวต้านทานอนุกรมเฉพาะพิ ัย 122
5.2.2.2 ชนิดยูนิเวอร์แซล 123
5.3 การต่อโวลต์มิเตอร์เข้ากับวงจร 128
5.4 ความต้านทานภายในของโวลต์มิเตอร์ 129
5.4.1 แบบหลายพิ ัยการวัดชนิดตัวต้านทานอนุกรมเฉพาะพิ ัย 129
5.4.2 แบบหลายพิ ัยการวัดชนิดยูนิเวอร์แซล 130
5.4.3 การหาความต้านทานภายในโดยวิธีอ้อม 130
5.5 ผลการโหลดของโวลต์มิเตอร์ 132
คาถามท้ายบท 137
เอก ารอ้างอิง 138
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 6 139
บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์ 140
[5]
ารบัญรูป
รูปที่ หน้า
รูปที่ 1.1 ตราชั่งและน้าหนักถ่วงที่ค้นพบในอารยธรรมลุ่มแม่น้า ินธุ 11
รูปที่ 1.2 กิโลกรัมต้นแบบระหว่างประเทศ 14
รูปที่ 1.3 ตุ้มน้าหนัก 1 กิโลกรัมต้นแบบ หมายเลข 80 19
รูปที่ 1.4 เครื่องวัดความดันมาตรฐานแบบเพร เชอร์บาลานซ์ 19
รูปที่ 1.5 เครื่องวัด ุญญากาศมาตรฐานแบบแคแพซิแทนซ์ไดอะแฟรมเกจ ปินนิงโรเตอร์เกจ
และไอออไนเซชันเกจ 20
รูปที่ 1.6 เครื่องกลมาตรฐานวัดแรงแบบน้าหนักตายตัว 20
รูปที่ 1.7 เครื่องวัดความแข็งร็อกเวลล์ระดับปฐมภูมิ 21
รูปที่ 1.8 เครื่องวัดความแข็งวิกเกอร ์ระดับปฐมภูมิ 21
รูปที่ 1.9 เครื่องกลวัดแรงบิดแบบน้าหนักตายตัวระดับปฐมภูมิ 22
รูปที่ 1.10 เครื่องมือวัดอัตราการไหลของน้าแบบลูก ูบ 22
รูปที่ 1.11 ชุดวัดอัตราการไหลของแก๊ แบบโซนิกนอซเซิลและแบบแลมินาร์ 23
รูปที่ 1.12 ชุดมาตรฐานความต่างศักย์ไฟฟ้าแบบรอยต่อโจเซฟ ัน 23
รูปที่ 1.13 กลุ่มตัวต้านทานไฟฟ้ามาตรฐาน 1 โอห์ม 24
รูปที่ 1.14 นาฬิกาซีเซียม 24
รูปที่ 1.15 ชุดเซลล์กาเนิดอุณหภูมิ ณ จุดคงที่ 25
รูปที่ 1.16 อุปกรณ์กาเนิดแ งเลเซอร์จากแก๊ ฮีเลียมนีออน และควบคุมเ ถียรภาพ
ของความยาวคลื่นด้วยแก๊ ไอโอดีน 25
รูปที่ 1.17 เครื่องมือวัดค่าความไวของไมโครโฟนมาตรฐาน 26
รูปที่ 1.18 เครื่องมือวัดค่าความไวของหัววัดการ ั่น ะเทือนมาตรฐาน 26
รูปที่ 1.19 ระบบเตรียม ารละลายมาตรฐานความเป็นกรด-ด่าง 27
รูปที่ 1.20 ลาดับชั้นของการ อบเทียบและ ายโซ่การ อบกลับได้ 28
รูปที่ 1.21 แผนภาพกรอบของ ่วนประกอบเครื่องมือวัดทางไฟฟ้า 29
รูปที่ 1.22 แผนภาพกรอบ ่วนประกอบแอมมิเตอร์ที่ ร้างจากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี 31
รูปที่ 2.1 ัญลักษณ์ของตัวต้านทาน (ก) ค่าคงที่ (ข) ปรับค่าได้ 43
รูปที่ 2.2 ตัวต้านทานค่าคงที่แบบมีขา 43
รูปที่ 2.3 การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมจานวน N ตัว 44
รูปที่ 2.4 การต่อตัวต้านทาน าหรับตัวอย่างที่ 2.4 44
รูปที่ 2.5 การต่อตัวต้านทานแบบขนานจานวน N ตัว 45
[9]
ารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
ตารางที่ 1.1 ปริมาณฐานและหน่วยฐานของหน่วยวัดเอ ไอ 16
ตารางที่ 1.2 ตัวอย่างปริมาณอนุพันธ์และหน่วยอนุพันธ์ 16
ตารางที่ 2.1 ตัวอย่างค่าความต้านทานจาเพาะวั ดุตัวนาชนิดต่าง ๆ 40
รายละเอียดของรายวิชา
หมวดที่ 1 ข้อมูลทั่วไป
1. รหั และชื่อรายวิชา
5582120 เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. จานวนหน่วยกิต
3(3-0-6)
3. หลัก ูตรและประเภทของรายวิชา
วิศวกรรมศา ตรบัณฑิต าขาวิชาวิศวกรรมอิเล็กทรอนิก ์ วิชาเฉพาะกลุ่มพื้นฐานทาง
วิศวกรรม
4. อาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชาและผู้ อน
นายอภิฌาน กาญจนวาป ถิตย์
5. ภาคการศึกษา/ชั้นปีที่เรียน
ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2555 ชั้นปีที่ 3
6. รายวิชาที่ต้องเรียนมาก่อน
ไม่มี
7. รายวิชาที่ต้องเรียนพร้อมกัน
ไม่มี
8. ถานที่เรียน
อาคาร TB5 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ศูนย์การศึกษา ามพร้าว
9. วันที่จัดทาหรือปรับปรุงรายละเอียดของรายวิชาครั้งล่า ุด
1 พฤษภาคม 2555
2. วัตถุประ งค์ในการพัฒนา/ปรับปรุงรายวิชา
-
หมวดที่ 3 ลักษณะและการดาเนินการ
1. คาอธิบายรายวิชา
ศึกษาเกี่ยวกับมาตรวิทยาเบื้องต้น การวิเคราะห์ คานวณวงจรด้วย กฎของโอห์ม กฎของ
เคอร์ชอฟฟ์ ทฤษฎีบทของเทเวนิน โครง ร้างและการทางานของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี การ
ออกแบบและคานวณแอมมิเตอร์กระแ ตรง การออกแบบและคานวณโวลต์มิเตอร์กระแ ตรง การ
ออกแบบและคานวณโอห์มมิเตอร์ การออกแบบและคานวณบริดจ์กระแ ตรง คานวณพารามิเตอร์
ไฟฟ้ากระแ ลับ การทางานของไดโอดและคานวณวงจรประยุกต์ใช้ในตัวเรียงกระแ ออกแบบและ
คานวณโวลต์มิเตอร์กระแ ลับ
รายละเอียดของรายวิชา 3
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. จานวนชั่วโมงที่ใช้ต่อภาคการศึกษา
บรรยาย ฝึกปฏิบัติ ศึกษาด้วยตนเอง
อนเ ริม
(ชั่วโมง) (ชั่วโมง) (ชั่วโมง)
45 0 90 ตามความต้องการของ
นักศึกษาเฉพาะราย
3.จานวนชั่วโมงต่อ ัปดาห์ที่อาจารย์ให้คาปรึกษาและแนะนาทางวิชาการแก่นักศึกษาเป็น
รายบุคคล
- อาจารย์ประจารายวิชาแจ้งให้นักศึกษาทราบเกี่ยวกับห้องทางาน ตาราง อน เวลาว่าง
ในแต่ละ ัปดาห์
- อาจารย์ประจาวิชาจัดเวลาให้คาปรึกษาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อ ัปดาห์
หมวดที่ 4 การพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักศึกษา
1. คุณธรรมจริยธรรม
1.1 คุณธรรมจริยธรรมที่ต้องพัฒนา
1) ความอดทนและความรับผิดชอบ
2) ความมี ัมมาคาระวะ
3) ความมีวินัยและการตรงต่อเวลา
4) การแต่งกายและบุคลิกภาพ
1.2 วิธี อน
1) เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
1.3 วิธีการประเมินผล
1) ังเกตพฤติกรรมการแ ดงออกในชั้นเรียน
2) ังเกตพฤติกรรมการเข้าเรียน การ ่งงาน
3) ประเมินผลการนาเ นองานที่มอบหมาย
2. ความรู้
2.1 ความรู้ที่ต้องได้รับ
1) มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทางานของเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2) มีความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ คานวณ ออกแบบ วงจรของเครื่องมือวัดทาง
ไฟฟ้า
4 รายละเอียดของรายวิชา
2.2 วิธี อน
บรรยาย การเรียนรู้แบบมี ่วนร่วมภาคทฤษฎี
2.3 วิธีการประเมินผล
1) ทด อบความรู้ความเข้าใจ
3 ทักษะทางปัญญา
3.1 ทักษะทางปัญญาที่ต้องพัฒนา
พัฒนาความ ามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีการนาความรู้ใน ่วนของทฤษฎีมา
ังเคราะห์
3.2 วิธี อน
1) วิธีการ อนแบบต่างๆ ในภาคทฤษฎี
2) มอบหมายงานให้ศึกษาด้วยตนเองจากเว็บไซต์
3.3 วิธีการประเมินผล
1) ทด อบความรู้ความเข้าใจ
2) ตรวจผลงาน
5) ทักษะในการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีในการนาเ นอผลงาน
5.2 วิธี อน
1) มอบหมายงานให้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองจากเว็บไซต์
2) นาเ นอผลงานโดยใช้รูปแบบและเทคโนโลยีที่เหมาะ ม
5.3 วิธีการประเมินผล
1) ังเกตพฤติกรรมในการ ื่อ าร
2) ตรวจ อบความเหมาะ มในการเลือกใช้ ื่อเทคโนโลยี
3) ตรวจผลงาน
7 อบกลางภาค 3
8 การขยายพิ ัยการวัดแอมมิเตอร์ การต่อแอมมิเตอร์เข้า 3 ทาแบบฝึกหัดและ
กับวงจร ความต้านทานภายในของแอมมิเตอร์ ผลการ ทาการบ้าน
โหลดของแอมมิเตอร์
9 การขยายพิ ัย การวัดโวลต์มิเตอร์กระแ ตรง การต่อ 3 ทาแบบฝึกหัดและ
โวลต์ มิ เ ตอร์ ก ระแ ตรงเข้ า กั บ วงจร ความต้ า นทาน ทาการบ้าน
ภายในของโวลต์มิเตอร์กระแ ตรง ผลการโหลดของ
โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
10 โอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรมแบบพื้นฐาน, แบบตัวต้านทาน 3 ทาแบบฝึกหัดและ
ปรับศูนย์ ต่ออนุกรม, แบบตัวต้านทานปรับศูนย์ต่อ ทาการบ้าน
ขนาน และโอห์มมิเตอร์ชนิดขนาน
11 วีต โตนบริดจ์ใน ภาวะ มดุล วีต โตนบริดจ์ใน ภาวะ 3 ทาแบบฝึกหัดและ
ไม่ มดุล วีต โตนบริดจ์ ภาวะไม่ มดุลเพียงเล็กน้อย ทาการบ้าน
ข้ อ จ ากั ด ของวี ต โตนบริ ด จ์ เคลวิ น บริ ด จ์ การ
ประยุกต์ใช้งานบริดจ์กระแ ตรง
12 การค้นพบแรงเคลื่อนไฟฟ้า เหนี่ยวนา หลักการเครื่อง 3 ทาแบบฝึกหัดและ
กาเนิดไฟฟ้ากระแ ลับ คาบและความถี่ ัญญาณคลื่น ทาการบ้าน
ไซน์ พารามิเตอร์ต่าง ๆของ ัญญาณคลื่นไซน์
13 ่วนประกอบของไดโอด รอยต่อพีเอ็นและบริเวณปลอด 3 ทาแบบฝึกหัดและ
พาหะ การไบแอ ไดโอด คุ ณ ลั ก ษณะกระแ และ ทาการบ้าน
แรงดันของไดโอด
14 การหากระแ และแรงดันไดโอดด้วยวิธีวาดเ ้นโหลด 3 ทาแบบฝึกหัดและ
แบบจาลองเชิงเ ้นเป็นช่วงของไดโอด การประยุกต์ใช้ ทาการบ้าน
ไดโอดในตัวเรียงกระแ
15 การขยายพิ ัยการวัดโวลต์มิเตอร์กระแ ลับแบบตัว 3 ทาแบบฝึกหัดและ
เรียงกระแ ครึ่งคลื่นและตัว เรียงกระแ เต็มเคลื่นชนิด ทาการบ้าน
บริ ด จ์ คว ามต้ า นทานภายในของโว ลต์ มิ เ ตอร์
กระแ ลับ ความไวกระแ ลับ
16 ทบทวนเนื้อหาตั้งแต่ ัปดาห์ที่ 8 ถึง ัปดาห์ที่ 15 เพื่อ 3 ทาแบบฝึกหัด
เตรียมตัว อบปลายภาค
17 อบปลายภาค 3
รายละเอียดของรายวิชา 7
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. แผนการประเมินผลการเรียนรู้
3. อบกลางภาค ปั ดาห์ที่ 7 30
4. อบปลายภาค ัปดาห์ที่ 17 30
หมวดที่ 6 ทรัพยากรประกอบการเรียนการ อน
1. ตาราและเอก ารหลัก
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. เอก ารและข้อมูลแนะนา
U.A. Bakshi, A. V. Bakshi and K.A. Bakshi. (2009). Electrical Measurements
and Instrumentation. Technical Publications Pune.
ประยูร เชี่ยววัฒนา. (2537). เครื่องวัดและการวัดทางไฟฟ้า. มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี
(ไทย-ญี่ปุ่น).
มงคล ทอง งคราม. (2534). ทฤษฎีเครื่องวัดไฟฟ้า. รามาการพิมพ์.
ศักรินทร์ โ นันทะ. (2553). เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
เอก ไชย วั ดิ์. (2547). การวัดและเครื่องวัดไฟฟ้า. มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-
ญี่ปุ่น).
3. แหล่งเรียนรู้
- เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรายวิชา
8 รายละเอียดของรายวิชา
หมวดที่ 7 การประเมินและปรับปรุงการดาเนินการของรายวิชา
1. กลยุทธ์การประเมินประ ิทธิผลของรายวิชาโดยนักศึกษา
1) การประเมินประ ิทธิผลรายวิชาโดยนักศึกษาใช้วิธีตอบแบบ อบถามเพื่อประเมินผู้ อน
และประเมินความพึงพอใจต่อรายวิชา
2. กลยุทธ์การประเมินการ อน
การเก็บข้อมูลเพื่อประเมินการ อนมีกลยุทธ์ดังนี้
1) ระดับผลการเรียนของนักศึกษา
3. การปรับปรุงการ อน
เมื่อได้ผลประเมินการ อน นาข้อมูลมาวิเคราะห์หาแนวทางพัฒนาปรับปรุงการเรียนการ
อนให้ดีขึ้น
5. การดาเนินการทบทวนและวางแผนปรับปรุงประ ิทธิผลของรายวิชา
ผลจากการประเมินโดยนักศึกษาและการประเมินจากระดับผลการเรียนของนักศึกษา จะใช้
ในการวางแผนปรับปรุงการ อนและรายละเอียดวิชา เพื่อให้เกิดคุณภาพมากขึ้นดังนี้
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 1
มาตรวิทยาเบื้องต้น
หัวข้อเนื้อหา
1.1 บทนา
1.2 ประเภทของมาตรวิทยา
1.3 หน่วยงานกากับดูแลมาตรวิทยาของประเทศไทย
1.4 หน่วยงานกากับดูแลมาตรวิทยาระหว่างประเทศ
1.5 ระบบหน่วยวัดเอ ไอ
1.6 ลาดับชั้นของมาตรฐานการวัด
1.7 มาตรฐานการวัดแห่งชาติของประเทศไทย
1.8 การ อบเทียบและการ อบกลับได้
1.9 วิธีการของการวัด
1.9.1 วิธีการวัดโดยตรง
1.9.2 วิธีการวัดโดยอ้อม
1.10 ่วนประกอบของเครื่องมือวัดทางไฟฟ้า
1.11 ศัพท์บัญญัติมาตรวิทยา
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรวิทยาเบื้องต้น เช่น การแบ่งประเภทของมาตร
วิทยา หน่วยงานกากับดูแลมาตรวิทยา ระบบหน่วยวัดเอ ไอ ลาดับชั้นของมาตรฐานการวัด
และมาตรฐานการวัดแห่งชาติของประเทศ
2. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของคาว่าการ อบเทียบและการ อบกลับได้
3. เพื่อให้ผู้เรียนรู้ประเภทของการวัดทั้งวิธีวัดโดยตรงและวิธีวัดโดยอ้อม
4. เพื่ อให้ ผู้ เ รี ย นรู้ ่ ว นประกอบของเครื่อ งมือ วัด และ ามารถแยะแยะ ่ ว นประกอบของ
เครื่องมือวัดจริงได้
5. เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักคาศัพท์ที่ใช้ในวงการมาตรวิทยา
6. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาค่าความคลาดเคลื่อนแบบต่าง ๆ ได้
3. ผู้ อน รุปเนื้อหา
4. ทาแบบฝึกหัดเพื่อทบทวนบทเรียน
5. ผู้เรียนถามข้อ ง ัย
6. ผู้ อนทาการซักถาม
7. ผู้เรียนศึกษาความรู้เพิ่มเติมด้วยการทารายงาน
ื่อการเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 1
มาตรวิทยาเบื้องต้น
(Introduction to Metrology)
1.1 บทนา
การวัด (Measurement) คือ ปฏิบัติการด้วยการใช้เครื่องมือที่มีจุดประ งค์เพื่อการตัด ิน
ค่าออกมาเป็นตัวเลขของปริมาณที่ต้องการวัด เช่น การชั่งน้้าหนักด้วยเครื่องชั่งน้้าหนัก การอ่าน
ระดับอุณหภูมิของอากาศด้วยเทอร์โมมิเตอร์ การวัดมีความ ้าคัญต่อการด้าเนินชีวิตของมนุษย์มา
ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ดังจะเห็นได้จากหลักฐานระบบการชั่งตวงวัดทีไ่ ด้ปรากฏในอารยธรรมลุ่มแม่น้า
ินธุ (Indus Valley Civilization) เมื่อประมาณ ามพันปีก่อนคริ ตกาลดังแ ดงในรูปที่ 1.1
ปัจจุบันการวัดก็ยังด้ารงอยู่ในหลาย ๆ กิจกรรมประจ้าวันของมนุษย์ การวัดนอกจากจะมีประโยชน์
กับมนุษย์แล้วยังมีความ ้าคัญต่อความรู้ทางวิชาการในหลากหลาย าขา เช่น าขาวิทยาศา ตร์
าขาวิศวกรรมศา ตร์ าขาแพทย์ศา ตร์ าขาเศรษฐศา ตร์ ฯลฯ
1.3 หน่วยงานกากับดูแลมาตรวิทยาของประเทศไทย
ประเทศไทยมี ถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (National Institute of Metrology) ังกัด
กระทรวงวิทยาศา ตร์ และเทคโนโลยี เป็นหน่ว ยงานของรัฐ ที่บริห ารงานเป็นอิ ระ จัดตั้ง ตาม
พระราชบัญญัติพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ พ.ศ. 2540 ปัจจุบัน ถานที่ตั้งอยู่ที่เทคโนธานี
ต้าบลคลองห้า อ้าเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ เป็น ถานที่เก็บ
รักษามาตรฐานการวัดแห่ งชาติ นอกจากนั้น ยังมีห น้าที่ นับ นุนการถ่ายทอดความถูกต้องของ
มาตรฐานการวัดไป ู่ผู้ใช้งานภายในประเทศ และการวิจัยพัฒนาด้านมาตรวิทยา ถาบันมาตรวิทยา
แห่งชาติจึงเกี่ยวข้องกับมาตรวิทยาเชิงวิทยาศา ตร์และเชิงอุต าหกรรม ่วนด้านมาตรวิทยาเชิง
กฎหมาย ประเทศไทยได้มีการก้าหนดพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 มี ้านักงานกลาง
บทที่ 1 มาตรวิทยาเบื้องต้น 13
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
1.4 หน่วยงานกากับดูแลมาตรวิทยาระหว่างประเทศ
เพื่อให้การซื้อขายแลกเปลี่ยน ินค้าระหว่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ในปี ค.ศ. 1875
นานาประเทศจึงได้มีข้อตกลงระหว่างประเทศว่ าด้วย มาตรวัดปริมาณทางกายภาพเพื่อให้ประเทศ
มาชิ ก ใช้ ร ะบบของหน่ ว ยวั ด แบบเดี ย วกั น ข้ อ ตกลงนี้ เ รี ย กว่ า นธิ ั ญ ญาเมตริ ก (Metre
Convention or Treaty of the Metre) เบื้องต้นมีประเทศทั้งหมด 17 ประเทศร่วมลงนามใน
นธิ ัญญาที่ประเทศฝรั่งเศ ปัจจุบันประเทศ มาชิกที่ลงนามใน นธิ ัญญาเมตริกมีทั้งหมด 55
ประเทศ ประเทศไทยได้ลงนามในปี ค.ศ. 1912 นธิ ัญญาเมตริก ่งผลให้มีการพัฒนากลไกซึ่งท้า
ให้เกิดความเชื่อมั่นในความเท่าเทียมกันของมาตรฐานการวัดปริมาณทางกายภาพระหว่างประเทศ
โดยได้ก้าหนดให้มีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศและการด้าเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประ งค์ที่
ก้าหนดไว้ องค์กรระหว่างประเทศที่ นธิ ัญญาเมตริกก้าหนดให้จัดตั้งขึ้น ได้แก่
1) การประชุมทั่วไปว่าด้วยการชั่งตวงวัด (General Conference of Weights and
Measures: CGPM) มีชื่อย่อว่า ซีจีพีเอ็ม เป็นการประชุมที่จัดขึ้นทุก ๆ 4 ถึง 6 ปี มี
ผู้แทนจากประเทศ มาชิกเข้าร่วมการประชุม การประชุมครั้งที่ 11 ที่จัดขึ้นในปี ค.ศ.
1960 ได้มีการจัดตั้งระบบหน่วยวัดระหว่างประเทศ (International System of
Units: SI Units) หรือ ระบบหน่วยวัดเอ ไอ
2) คณะกรรมการชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ (International Committee for Weights
and Measures: CIPM) มีชื่อย่อว่า ซีไอพีเอ็ม เป็นองค์กรที่ท้าหน้าที่ให้ค้าปรึกษาแก่
การประชุมทั่วไปว่าด้วยการชั่งตวงวัด ปัจจุบันประกอบด้วย มาชิกทั้งหมด 18 คนจาก
ประเทศ มาชิก นอกจากนั้นต่อมาภายหลัง คณะกรรมการชั่งตวงวัดระหว่างประเทศได้
จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาหลายคณะเพื่อท้าหน้าที่ให้ ค้าปรึกษาทางวิช าการต่อ
คณะกรรมการชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมการที่ปรึ กษาด้านไฟฟ้าและ
แม่เหล็ก (Consultative Committee for Electricity and Magnetism: CCE)
คณะกรรมการที่ปรึ กษาด้านการวัดความร้อน (Consultative Committee for
Thermometry: CCT) คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านความยาว (Consultative
Committee for Length: CCL)
14 บทที่ 1 มาตรวิทยาเบื้องต้น
ก้ า หนดค่ า ให้ กั บ มาตรฐานอื่ น ๆ ที่ เ กี่ ย วข้ อ ง องค์ ก รที่ ใ ช้ ม าตรฐานการวั ด นี้ คื อ
้านักงานชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ
2) มาตรฐานการวัดปฐมภูมิ (Primary Measurement Standard) เป็นมาตรฐานที่
ก้าหนดไว้ หรือได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีคุณภาพทางมาตรวิทยา ูง ุด และ
ค่าที่ได้จากมาตรฐานปฐมภูมิได้รับการยอมรับโดยไม่มีการอ้างอิงถึงมาตรฐานอื่นที่เป็น
ปริ ม าณเดี ย วกั น องค์ก รที่ใ ช้ ม าตรฐานการวั ดนี้ คื อ ถาบั น มาตรวิ ท ยาของแต่ ล ะ
ประเทศ
3) มาตรฐานการวัดแห่งชาติ (National Measurement Standard) เป็นมาตรฐานที่
ได้รับการยอมรับจากทางการในระดับประเทศ เพื่อใช้เป็นฐานในการก้าหนดค่า ของ
ปริมาณที่เกี่ยวข้องไปยังมาตรฐานอื่น ๆ มาตรฐานการวัดแห่งชาติบ่อยครั้งจะเป็น
มาตรฐานการวัดปฐมภูมิ
4) มาตรฐานการวัดทุติยภูมิ (Secondary Measurement Standard) เป็นมาตรฐานที่ค่า
ของปริมาณได้มาจากการเปรียบเทียบกับมาตรฐานการวัดปฐมภูมิของปริมาณที่เป็น
ประเภทเดียวกัน การ อบเทียบมาตรฐานการวัดทุติยภูมิจะอ้างอิงกับมาตรฐานการวัด
ปฐมภูมิ องค์กรที่ใช้มาตรฐานการวัดทุติยภูมิ คือ ห้องปฏิบัติ การ อบเทียบของภาครัฐ
และเอกชน
5) มาตรฐานการวัดใช้งาน (Working Measurement Standard) เป็นมาตรฐานที่ใช้เป็น
ประจ้า ้าหรั บการ อบเทียบหรือทวน อบเครื่องมือวัดหรือระบบการวัด การ อบ
เทียบมาตรฐานการวัดจะอ้างอิงกับมาตรฐานทุติยภูมิ องค์กรที่ใช้มาตรฐานการวัดใช้
งาน คือ ห้องปฏิบัติการ อบเทียบในโรงงานอุต าหกรรมต่าง ๆ
1.7 มาตรฐานการวัดแห่งชาติของประเทศไทย
ถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติได้เก็บรักษามาตรฐานแห่งชาติของประเทศไทย ประกอบด้วย
1) มาตรฐานการวั ด แห่ ง ชาติ ด้ า นมวล คื อ ตุ้ ม น้้ า หนั ก 1 กิ โ ลกรั ม ต้ น แบบ หมายเลข 80
(National Prototype No. 80) ดังแ ดงในรูปที่ 1.3
บทที่ 1 มาตรวิทยาเบื้องต้น 19
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
9) มาตรฐานการวัดแห่งชาติด้านความต้านทานไฟฟ้า ก้าหนดจากกลุ่มตัวต้านทานไฟฟ้า
มาตรฐาน 1 โอห์ม ดังแ ดงในรูปที่ 1.13
24 บทที่ 1 มาตรวิทยาเบื้องต้น
Measurement Instrumentation
วิธีการเปรียบเทียบ เป็นวิธีการที่น้าปริมาณที่ต้องการวัดไปเปรียบเทียบกับปริมาณ
อ้างอิงจากนั้นน้าไปแ ดงผลการวัด ตัวอย่างของเครื่องมือวัดที่ใช้วิธีก ารวัดแบบนี้
เช่น โพเทนชิโอมิเตอร์ที่แรงดันที่ต้องการวัดได้รับการเปรียบเทียบกับแรงดันอ้างอิง
ที่ทราบค่า บริดจ์กระแ ตรงที่ตัวต้านทานที่ต้องการวัดได้รับการเปรียบเทียบกับตัว
ต้านทานอ้างอิงที่ทราบค่า วิธีการเปรียบเทียบยัง ามารถแบ่งเป็นชนิดย่อย คือ
o วิธีการเทียบศูนย์ (Null Methods) เป็นวิธีการวัดที่เมื่อท้าการปรับค่า
ปริมาณที่ต้องการวัดให้เท่ากับปริมาณอ้างอิงแล้ว ่วนแ ดงผลจะให้ค่าที่
เท่ากับศูนย์ ตัวอย่างเครื่องมือวัดที่ใช้วิธีการเทียบศูนย์ เช่น บริดจ์กระแ
ตรงที่ใช้หาค่าตัวต้านทานที่ต้องการทราบค่า จะใช้กัลวานอมิเตอร์เป็นตัว
แ ดงผล เมื่อเข็มชี้ของกัลวานอมิเตอร์ชี้ที่ต้าแหน่งศูนย์กระแ ที่ไหลผ่าน
กิ่งของตัวต้านทานแต่ละกิ่งจะมีค่าเท่ากัน
o วีธีการหาความแตกต่าง (Differential Methods) เป็นวิธีการวัดที่หา
ความแตกต่ า งที่ มี ข นาดเล็ ก มาก ๆ ระหว่ า งปริ ม าณที่ ต้ อ งการวั ด กั บ
ปริมาณอ้างอิง
Magnets and
Current Mechanical Pointer and
Moving Coil other Observer
Linkages Scale
components
Primary Data Data Data
Sensing Conditioning Transmission Presentation
X Xm Xr (1.1)
X
r (1.2)
Xr
% r r 100 (1.3)
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 1.1 โวลต์มิเตอร์เครื่องหนึ่งวัดแรงดันได้ 220.11 V และค่าปริมาณอ้างอิงแรงดันนั้น
เท่ากับ 220.42 V จงค้านวณหา ความคลาดเคลื่อนการวัด , ความคลาดเคลื่อน ัมพัทธ์ และ
เปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อน ัมพัทธ์
บทที่ 1 มาตรวิทยาเบื้องต้น 33
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
% r = (0.0014).100 = -0.14%
____________________________________________________________________
X r X n Xl (1.4)
Xl
rl (1.5)
Xn
% rl rl 100 (1.6)
Xr 40 0.5 mA
0.5
% rl 100 = ±1.25%
40
Xr 10 0.5 mA
0.5
% rl 100 = ±5%
10
____________________________________________________________________
36 บทที่ 1 มาตรวิทยาเบื้องต้น
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบายประเภทของมาตรวิทยา
2. จงอธิบายหน่วยฐานของระบบหน่วยวัดเอ ไอ
3. จงอธิบายล้าดับชั้นของมาตรฐานการวัด
4. จงอธิบายความหมายของการ อบเทียบและการ อบกลับได้
5. จงอธิบายความหมายของวิธีการวัดโดยตรงและวิธีการวัดโดยอ้อม
6. จงอธิบาย ่วนประกอบของเครื่องมือวัดทางไฟฟ้า
7. โวลต์มิเตอร์เครื่องหนึ่งวัดแรงดันได้ 19.2 V และค่าปริมาณอ้างอิงแรงดันนั้นเท่ากับ 19.5 V
จงค้านวณหา ความคลาดเคลื่อนการวัด , ความคลาดเคลื่อน ัมพัทธ์ และเปอร์เซ็นต์ความ
คลาดเคลื่อน ัมพัทธ์
8. แอมมิเตอร์เครื่องหนึ่งที่พิ ัยการวัด ูง ุด 100 mA ระบุความคลาดเคลื่อนการวัดจ้ากัดว่ามี
ค่าเท่ากับ ±1% ของค่าที่ต้าแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล จงค้านวณหา
a. ความคลาดเคลื่อนการวัดจ้ากัดในหน่วยมิลลิแอมป์
b. เมื่อค่าที่อ่านจากแอมมิเตอร์เท่ากับ 90 mA จงค้านวณหาช่วงของปริมาณกระแ
อ้างอิงและเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนการวัดจ้ากัด ัมพัทธ์
c. เมื่อค่าที่อ่านจากแอมมิเตอร์เท่ากับ 10 mA จงค้านวณหาช่วงของปริมาณกระแ
อ้างอิงและเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนการวัดจ้ากัด ัมพัทธ์
เอก ารอ้างอิง
U.A. Bakshi, A. V. Bakshi and K.A. Bakshi. (2009). Electrical Measurements and
Instrumentation. Technical Publications Pune.
ชัยบูรณ์ กัง เจียรณ์. (2550). การวัดและเครื่องมือวัด. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร.
ศักรินทร์ โ นันทะ. (2553). เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
ถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ. (2548). มาตรวิทยาเบื้องต้น. ถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?page=main&book=35
http://www.nimt.or.th/nimt/upload/contentfile/attach-lab_news-125-466.doc
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 2
การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น
หัวข้อเนื้อหา
2.1 บทนา
2.2 ความต้านทาน
2.2.1 ตัวต้านทาน
2.2.2 การต่อตัวต้านทาน
2.2.2.1 แบบอนุกรม
2.2.2.2 แบบขนาน
2.2.2.3 แบบผ ม
2.2.3 การต่อแหล่งจ่ายแรงดันเข้ากับชุดตัวต้านทาน
2.2.3.1 ชุดตัวต้านทานแบบอนุกรม
2.2.3.2 ชุดตัวต้านทานแบบขนาน
2.2.3.3 ชุดตัวต้านทานแบบผ ม
2.3 กฎของโอห์ม
2.4 กฎของเคอร์ชอฟฟ์
2.4.1 กฎกระแ ของเคอร์ชอฟฟ์
2.4.2 กฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์
2.4.3 การแก้ปัญหาวงจรด้วยกฎของเคอร์ชอฟฟ์
2.5 ทฤษฎีบทเทเวนิน
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับ ความต้านทาน การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม แบบ
ขนาน และแบบผ ม การค านวณความต้ า นทานรวมของการต่ อ ตั ว ต้ า นทาน การต่ อ
แหล่งจ่ายแรงดันเข้ากับชุดตัวต้านทาน
2. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจกฎของโอห์ม ามารถใช้กฎของโอห์มในการคานวณหากระแ แรงดัน
และความต้านทานได้
3. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจกฎกระแ และแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์ ามารถตั้ง มการจากกฎกระแ
และกฎแรงดัน ของเคอร์ชอฟฟ์ และ ามารถคานวณเพื่อแก้ปัญหาวงจรด้วยกฎของเคอร์
ชอฟฟ์
38 แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 2
4. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจทฤษฎีบทเทเวนิน ามารถใช้ทฤษฎีบทเทเวนินคานวณเพื่อหาค่าแรงดัน
หรือกระแ ในวงจรที่มีการเปลี่ยนแปลงโหลด
ื่อการเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 2
การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น
(Introduction to DC Circuits Analysis)
2.1 บทนา
การออกแบบเครื่องมือวัดทางไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องมือวัดชนิดแอนะลอก จาเป็นที่
จะต้องมีความรู้ด้านการวิเคราะห์วงจรกระแ ตรง เนื่องจาก ่วนประกอบที่ าคัญของเครื่องมือวัด
ทางไฟฟ้าก็คือ วงจรซึง่ ประกอบด้วยอุปกรณ์พื้นฐานต่าง ๆ เช่น แหล่งจ่ายแรงดัน ตัวต้านทาน บทนี้
จึงจะอธิบายเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นที่จาเป็นในการวิเคราะห์วงจร ประกอบด้วย ความต้านทาน ตัว
ต้านทาน การต่อตัวต้านทานแบบต่าง ๆ การต่อแหล่งจ่ายแรงดันเข้ากับชุดตัวต้านทานแบบต่าง ๆ
กฎของโอห์ม กฎของเคอร์ชอฟฟ์ และทฤษฎีบทของเทเวนิน
l
R (2.1)
A
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 2.1 จงคานวณหาค่าความต้านทาน R ของลวดตัวนาที่ทาด้วยวั ดุทองแดงมีความยาว l
เท่ากับ 1 m, 10 m และ 100 m มีพื้นที่หน้าตัดรูปวงกลม A ขนาดเ ้นผ่านศูนย์กลาง D เท่ากับ 1
mm และความต้านทานจาเพาะของทองแดงเท่ากับ 1.68×10−8 .m
A r2 (2.2)
D
r (2.3)
2
1 103
r = 0.5 mm
2
ที่ความยาว 1 m
1
R 1.68 108 = 21.4 m
0.785 106
ที่ความยาว 10 m
10
R 1.68 108 = 214 m
0.785 106
ที่ความยาว 100 m
42 บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น
100
R 1.68 108 = 2.14
0.785 106
l
A (2.4)
R
AR
l (2.5)
แทนค่า = 1.68×10−8 .m, A = 0.1 mm2 และ R = 1 k ลงใน มการที่ (2.5) จะได้
(ก) (ข)
รูปที่ 2.1 ญ
ั ลักษณ์ของตัวต้านทาน (ก) ค่าคงที่ (ข) ปรับค่าได้
2.2.2 การต่อตัวต้านทาน
2.2.2.1 แบบอนุกรม (Series Resistor)
การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม คือ การนาตัวต้านทาน องตัวขึ้นไปมาต่อเรียงลาดับกันไป
อย่างต่อเนื่อง ดังแ ดงในรูปที่ 2.3 มีตัวต้านทานจานวน N ตัว ต่ออนุกรมกัน เริ่มตั้งแต่ตัวต้านทาน
R1, R2, R3 ไปจนถึงตัวต้านทานลาดับ ุดท้าย RN
44 บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น
R1 R2 R3 RN
RT R1 R2 R3 ... RN (2.6)
N
RT Ri (2.7)
i 1
R1 R2 R3 R4
1 k 2 k 0.5 k 0.5 k
รูปที่ 2.4 การต่อตัวต้านทาน าหรับตัวอย่างที่ 2.4
4
RT Ri R1 R2 R3 R4
i 1
RT = 1 k+2 k+0.5 k+0.5 k = 4 k
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น 45
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
R1
R2
R3
RN
1 1 1 1 1
... (2.8)
RT R1 R2 R3 RN
1 N1
(2.9)
RT i 1 Ri
R1 1 k
R2 2 k
R3 0.5 k
R4 0.5 k
1 41 1 1 1 1
RT i 1 Ri R1 R2 R3 R4
1 1 1 1 1
RT 1 103 2 103 0.5 103 0.5 103
1
0.0055
RT
เพราะฉะนั้นจะได้
1
RT 181.81
0.0055
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
R1
R2
1 1 1
RT R1 R2
1 R R
2 1
RT R1 R2 R1 R2
1 R1 R2
RT R1 R2
R1 R2
RT (2.10)
R1 R2
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 2.6 ตัวต้านทานทั้งหมด 2 ตัว ประกอบด้วยตัวต้านทาน R1 มีค่า 1 k และตัว
ต้านทาน R2 มีค่า 2 k ต่อขนานกันตามรูปที่ 2.8 จงคานวณหาค่าความต้านทานรวม
R1 1 k
R2 2 k
1 103 2 103
RT = 666.66
1 103 2 103
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
48 บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น
R1
R2
R5 R6 R7
R3
R4
จากรูปที่ 2.9 ตัวต้านทาน R1, R2, R3 และ R4 ต่อขนานกัน ่วนตัวต้านทาน R5, R6 และ R7
ต่ออนุกรมกัน ความต้านทานรวมของการต่อผ มนี้ จะเท่ากับ
1
RT R5 R6 R7 (2.11)
1 / R1 1 / R2 1 / R3 1 / R
4
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 2.7 ตัวต้านทาน R1 ค่า 1 k, R2 ค่า 0.5 k, R3 ค่า 0.5 k และ R4 ค่า 200
ต่อขนานกัน และตัวต้านทาน R5 ค่า 1 k, R6 ค่า 200 และ R7 ค่า 200 ต่ออนุกรมกันตาม
รูปที่ 2.10 จงคานวณหาค่าความต้านทานรวม
R1 1 k
R2 0.5 k
R5 1 k R6 200 R7 200
R3 0.5 k
R4 200
1 3
RT 1 10 200 200
1 / 1 10 1 / 0.5 10 1 / 0.5 10 1 / 200
3 3 3
RT = 1.5 k
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.2.3 การต่อแหล่งจ่ายแรงดันเข้ากับชุดตัวต้านทาน
2.2.3.1 ชุดตัวต้านทานแบบอนุกรม
การต่อแหล่งจ่ายแรงดันเข้ากับชุดตัวต้านทานที่ต่ออนุกรมกันดังแ ดงในรูปที่ 2.11 จะพบว่า
ค่าของแหล่งจ่ายแรงดันจะเท่ากับผลรวมของแรงดันตกคร่อมตัวต้านทานแต่ละตัว ดัง มการต่อไปนี้
R1 R2 R3
2.2.3.2 ชุดตัวต้านทานแบบขนาน
การต่อแหล่งจ่ายแรงดันเข้ากับชุดตัวต้านทานที่ต่อขนานกันดังแ ดงในรูปที่ 2.12 จะพบว่า
แรงดันตกคร่อมตัวต้านทานแต่ละตัวจะมีค่าเท่ากับค่าของแหล่งจ่ายแรงดัน ดัง มการต่อไปนี้
V VR1 VR 2 VR 3 (2.13)
50 บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น
2.2.3.3 ชุดตัวต้านทานแบบผ ม
การต่อแหล่งจ่ายแรงดันเข้ากับชุดตัวต้านทานแบบผ ม ดังแ ดงรูปที่ 2.13 จะพบว่าแรงดัน
ตกคร่อมตัวต้านทานที่ต่อขนานกันจะเท่ากัน และเมื่อนาแรงดันตกคร่อมชุดตัวต้านทานแบบขนานไป
รวมกับแรงดันตกคร่อมชุดตัวต้านทานที่ต่ออนุกรมกันแต่ละตัว ผลรวมทั้งหมดจะมีเท่ากับค่าของ
แหล่งจ่ายแรงดัน ดัง มการต่อไปนี้
VR 2 VR 3 (2.14)
V VR1 VR 2 (2.15)
R1
VR1
V VR2 R2 VR3 R3
1
ระหว่างจุด องจุดนั้น I ดังนั้น จึง ามารถเขียนเป็น มการที่เรียกว่า กฎของโอห์ม ได้ดังนี้
R
บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น 51
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
V
I (2.16)
R
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 2.8 จงคานวณหากระแ ที่ไหลในวงจรที่อยู่ในรูปที่ 2.14 เมื่อตัวต้านทานมีขนาด 10
k และแหล่งจ่ายแรงดันมีขนาด 5 V
10 k
5V
5
I = 0.5 mA
10 103
10 mA
10 V
V
R (2.17)
I
10
R = 1 k
10 103
1.5 k
5 mA
V
V I R (2.18)
I R
รูปที่ 2.17 ามเหลี่ยมความ ัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในกฎของโอห์ม
บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น 53
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
I VR
R
รูปที่ 2.18 การกาหนดเครื่องหมายบวกลบให้กับตัวต้านทาน
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 2.11 จงคานวณหาค่าแรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน R1 และ R2 ที่อยู่ในรูปที่ 2.19 เมื่อตัว
ต้านทาน R1 มีขนาด 1.5 k และ R2 มีขนาด 3 k และแหล่งจ่ายแรงดันมีค่าเท่ากับ 5 V
R1
1.5 k
5V 3 k R2
I VR1
R1 1.5 k
R2
5V VR2
3 k
2
RT Ri R1 R2
i 1
RT 1.5k 3k = 4.5 k
5
I = 1.11 mA
4.5 103
และเนื่องจากผลรวมแรงดันตกคร่อมตัวต้านแต่ละตัวที่ต่ออนุกรมกันจะเท่ากับแรงดันของ
แหล่งจ่าย ดังนั้น จะได้
V = VR1+VR2 (2.19)
R1 3 k
R2 R3
5V 1 k 1 k
I VR1
R1 3 k
R2 R3
5V 1 k VR2 VR3 1 k
5
I = 1.428 mA
3.5 103
5 = 4.284+VR2 (2.20)
N
Ik 0 (2.23)
k 1
I2
I3
I1
I4
I2 I4 I1 I3 (2.24)
4
Ik 0
k 1
I1 I2 I3 I4 0 (2.25)
N
Vk 0 (2.26)
k 1
บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น 59
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
D
รูปที่ 2.24 วงจรตัวอย่าง าหรับอธิบายกฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์
V VR1 VR 2 0 (2.27)
VR 2 VR 3 VR 4 0 (2.28)
VR1 I1 I3 VR3
A B C
R1 I2 R3
D
รูปที่ 2.25 การกาหนดทิศทางกระแ และเครื่องหมายบวกลบให้กับตัวต้านทาน
2.4.3 การแก้ปัญหาวงจรด้วยกฎของเคอร์ชอฟฟ์
การแก้ปัญหาวงจรด้วยกฎของเคอร์ชอฟฟ์ จะเริ่มจากการกาหนดกระแ พร้อมกับ มมติทิศ
ทางการไหลผ่ านกิ่ ง ต่ า ง ๆ ในวงจรขึ้ นมาก่ อ น จากนั้น จึ ง ก าหนดเครื่อ งหมายบวกลบให้ กั บ ตั ว
ต้านทานที่กระแ ไหลผ่าน ตาแหน่งที่กระแ ไหลเข้า ตัวต้านทานให้มีเครื่องหมายบวก ตาแหน่งที่
กระแ ไหลออกจากตัวต้านทานให้มีเครื่องหมายลบ เครื่องหมายบวกลบแ ดงถึงแรงดันตกคร่อมตัว
ต้านทาน ดังแ ดงตัวอย่างในรูป 2.25 จากรูปจะพบว่ากิ่งของแหล่งจ่ายแรงดัน V และกิ่งของตัว
ต้านทาน R4 ไม่ได้กาหนดกระแ ขึ้นมา เนื่องจากโนด A มีจานวนกิ่งที่มาบรรจบเพียงแค่ 2 กิ่ง คือ
กิ่งของแหล่งจ่ายแรงดัน V และกิ่งของตัวต้านทาน R1 ดังนั้น กระแ ที่ไหลเข้าและออกจากโนด A จึง
เป็นกระแ เดียวกัน ไม่มีความจาเป็นในการกาหนดกระแ ไหลผ่านกิ่งของแหล่งจ่ายแรงดัน V ขึ้นมา
ให้ซ้าซ้อนกับการกาหนดกระแ ที่ไหลผ่านกิ่งของตัวต้านทาน R1 ด้วยเหตุผลที่อธิบายนี้จึงไม่ต้อง
กาหนดกระแ ให้ไหลผ่านกิ่งของตัวต้านทาน R4 เนื่องจากเป็นกระแ เดียวกับที่ไหลผ่านกิ่งของตัว
ต้านทาน R3 เมื่อได้กระแ และเครื่องหมายบวกลบคร่อมตัวต้านทานจะ ามารถตั้ง มการกระแ ที่
ไหลเข้าออกโนด B ได้ดังนี้
I1 I2 I3 0 (2.29)
V I1R1 I2 R2 0 (2.34)
I1R1 I2 R2 V (2.35)
และแทน มการที่ (2.31), (2.32) และ (2.33) ลงใน มการที่ (2.28) จะได้
I2 R2 I3 R3 I3 R4 0 (2.36)
I3 I1 I2 (2.37)
I2 R2 I1 I2 R3 I1 I2 R4 0
I2 R2 I1R3 I2R3 I1R4 I2R4 0
R3 R4 I1 R2 R3 R4 I2 0 (2.38)
ดังนั้น จะได้ มการที่ ามารถนาไปหาคาตอบ ซึ่งมาจาก มการที่ (2.35) และ (2.38) ดังนี้
R1I1 R2 I2 V (2.39)
R3 R4 I1 R2 R3 R4 I2 0 (2.40)
62 บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น
R1 R2 I1 V
R R
R2 R3 R4 I2 0
(2.41)
3 4
V R2
det
0 R2 R3 R4
I1
R1 R2 R3 R4 R2 R3 R4
V R2 R3 R4
I1 (2.43)
R1 R2 R3 R4 R2 R3 R4
R1 V
det
R3 R4 0
I2
R1 R2 R3 R4 R2 R3 R4
V R3 R4
I2 (2.44)
R1 R2 R3 R4 R2 R3 R4
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 2.13 จงคานวณหาค่ากระแ I1, I2 และ I3 ที่ไหลในวงจรในรูปที่ 2.26 โดยใช้การคานวณ
ด้วยวิธีกฎของโอห์มเปรียบเทียบกับวิธีกฎของเคอร์ชอฟฟ์ เมื่อกาหนดแหล่งจ่ายแรงดัน V เท่ากับ 5
V ค่าตัวต้านทาน R1, R2, R3 และ R4 เท่ากับ 2 k, 1 k, 2 k และ 1 k ตามลาดับ
VR1 I1 I3 VR3
R1 2 k I2 R3 2 k
R2 R4
5V VR2 1 k VR4 1 k
1
RT 1 1 R1 (2.45)
R3 R4 R2
1
RT 1 1 1 2k = 2.75 k
2k 1k 1k
การหากระแ รวมที่ไหลในวงจร ซึ่งก็คือกระแ I1 จากกฎของโอห์ม จะใช้ มการที่ (2.16)
แทนค่า V = 5 V และ R = RT1 = 2.75 k ใน มการจะได้
5
I = 1.81 mA
2.75 103
64 บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น
1
RT 2 1 1 = 750
2k 1k 1k
1.357
I2 = 1.357 mA
1 103
1.357
I3 = 0.452 mA
3 103
I1
5 1k 2k 1k
= 1.81 mA
2k1k 2k 1k 1k 2k 1k
บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น 65
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
I2
5 2k 1k = 1.363 mA
2k 1k 2k 1k 1k 2k 1k
แทนค่า I1 = 1.81 mA และ I2 = 1.363 mA ลงใน มการที่ (2.37) จะได้
Rth
A A
Vth
B B
Black box
รูปที่ 2.27 การแทนวงจรที่ซับซ้อนด้วยวงจร มมูลเทเวนิน
66 บทที่ 2 การวิเคราะห์วงจรกระแ ตรงเบื้องต้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 2.14 จงคานวณหาค่ากระแ ที่ไหลผ่านตัวต้านทาน R5 และแรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน
R5 ในวงจรที่อยู่ในรูปที่ 2.28 โดยใช้ทฤษฎีบทของเทเวนิน
R1 R4
2 k 1 k
R2 1 k
15 V R5 1 k
R3 1 k
R1 R4
A
2 k 1 k
R2 1 k
15 V
R3 1 k
B
รูปที่ 2.29 การเปิดวงจรที่ตาแหน่งตัวต้านทาน R5
-15+VR1+VR2+VR3 = 0
VR1+VR2+VR3 = 15 (2.46)
VR1 R4
A
2 k 1 k
VR2 1 k
15 V
I
VR3 1 k
B
รูปที่ 2.30 การ มมติการไหลของกระแ ในวงรอบปิด
I R1 I R2 I R3 15
I R1 R2 R3 15 (2.47)
I(2 k+1k+1k) = 15
I(4 k) = 15 (2.48)
15
I = 3.75 mA (2.49)
4 103
Vth I R2 R3 (2.50)
R1 R4
A
2 k 1 k
R2 1 k
R3 1 k
B
รูปที่ 2.31 การลัดวงจรแหล่งจ่ายแรงดันเพื่อหาความต้านทาน มมูลเทเวนิน
1
Rth R4 (2.52)
1
1 / R 1 / R2 R
3
1 3
Rth 3 1 10 = 2 k (2.53)
1 / 2 10 1 / 1 10 1 10
3 3
2 k A
7.5 V
R5 1 k
B
รูปที่ 2.32 การต่อโหลดเข้ากับวงจร มมูลเทเวนินที่ได้
7.5
I 3 = 2.5 mA (2.54)
2 10 3
1 10
และ ามารถหาแรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน R5 ได้จากกฎของโอห์ม ดังนี้
R1 1 k R3 1 k
R2 R4
7V 1 k 1 k
R1 R4
3 k 1 k
R2 2 k
12 V R5 2 k
R3 1 k
เอก ารอ้างอิง
J. David Irwin and Robert M. Nelms. (2011). Basic Engineering Circuit Analysis.
Wiley.
ชัด อินทะ ี. (2553). วงจรไฟฟ้ากระแ ตรง. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
บรรณญั ติ บริ บู ร ณ์. (2555). เอก ารประกอบการ อนวิ ชาวงจรไฟฟ้า . มหาวิท ยาลั ย ราชภั ฏ
อุดรธานี.
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 3
เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
หัวข้อเนื้อหา
3.1 บทนา
3.2 การเกิดแรงบนลวดตัวนาใน นามแม่เหล็ก
3.3 แกลแวนอมิเตอร์ของดาร์ ันวาล
3.4 เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
3.4.1 โครง ร้างพื้นฐานของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
3.4.2 แรงทางกลของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
3.4.2.1 แรงเบี่ยงเบน
3.4.2.2 แรงควบคุม
3.4.2.3 แรงหน่วง
3.4.3 ความไวกระแ ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
3.4.4 ข้อดีของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
3.4.5 ข้อเ ียของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
3.4.6 ัญญลักษณ์ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
3.4.7 การหาความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่
3.4.8 การหากระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกลของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ ผู้ เรี ย นมีความเข้าใจการเกิดแรงบนลวดตัว นาที่ว างอยู่ใน นามแม่เหล็ ก อันเป็น
พื้นฐาน าคัญของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
2. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจ ่วนประกอบและการทางานของแกลแวนอมิเตอร์ของดาร์ ันวาล ซึ่ง
เป็นเครื่องมือวัดกระแ ขนาดเล็ก ๆ และเป็นเครื่องมือวัดแบบพื้นฐานของเครื่องมือวัดแบบ
พีเอ็มเอ็มซี
3. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจเกี่ยวกับโครง ร้างของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
4. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาแรงเบี่ยงเบน แรงบิดเบี่ยงเบน และแรงบิดควบคุมที่เกิดขึ้น
ในเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
5. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาความไวกระแ ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
6. เพื่ อ ให้ ผู้ เ รี ย น ามารถอธิ บ ายข้ อ ดี แ ละข้ อ เ ี ย ของเครื่ อ งมื อ วั ด แบบพี เ อ็ ม เอ็ ม ซี และ
ัญลักษณ์เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีในวงจร
72 แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 3
ื่อการเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 3
เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
(Permanent Magnet Moving Coil Instrument)
3.1 บทนา
ในปีค.ศ. 1820 นักฟิ ิก ์และนักเคมีชาวเดนมาร์ก ชื่อ ฮาน ์ คริ เตียน เออร์เ ตด (Hans
Christian Orsted) ค้นพบโดยบังเอิญว่าเมื่อนาเข็มทิศไปวางใกล้ ๆ กับลวดตัวนาที่มีกระแ ไฟฟ้า
ไหลผ่านจะทาให้เข็มทิศเกิดการเบี่ยงเบน ดังแ ดงในรูปที่ 3.1 จึง รุปได้ว่ากระแ ที่ไหลผ่านลวด
ตัวนาทาให้เกิด นามแม่เหล็กล้อมรอบลวดตัวนา ปรากฏการณ์ที่ค้นพบนี้นามาซึ่งการศึกษาค้นคว้า
เครื่องมือวัดกระแ ไฟฟ้าที่มีขนาดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า แกลแวนอมิเตอร์ (Galvanometer)
ต่อมาในปีค.ศ. 1882 นักฟิ ิก ์ชาวฝรั่งเศ ชื่อ ดาร์ ันวาล (Jacques-Arsene D’Arsonval) (รูปที่
3.3) ได้ประดิษฐ์แกลแวนอมิเตอร์ที่ ใช้ขดลวดที่ ามารถหมุน ได้ภายใต้ นามแม่เหล็กหรือขดลวด
เคลื่อนที่ (Moving Coil) ต่อมานักเคมีชาวอเมริกันชื่อว่า เอ็ดเวิร์ด เว ตัน (Edward Weston) (รูปที่
บทที่ 3 เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี 75
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
I
N S
I
Top View
Force
N S
Force
Field flux
Front View
รูปที่ 3.6 การเกิดแรงเบี่ยงเบนของขดลวดที่มีกระแ ไฟฟ้าไหลผ่าน
Mirror
Moving Coil
Permanent Magnet
Iron Core
Pointer Pivot
Moving Coil
Jewel Bearing
F = NBil (3.1)
Breadth of coil: b
Pivot
Length or
depth of
coil: l
Td = NBilb (3.2)
เนื่องจากพื้นที่หน้าตัดของขดลวด A ซึ่งมีค่าเท่ากับผลคูณระหว่างความกว้างของขดลวด b
และความยาวของขดลวด l จะทาให้ได้ มการต่อไปนี้
A bl (3.3)
Td = NBiA (3.4)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 3.1 ขดลวดเคลื่อนที่ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีมีจานวนรอบของขดลวดเท่ากับ
200 รอบ ขดลวดมีความยาวและความกว้างเท่ากับ 3 cm และ 2 cm ตามลาดับ จงคานวณหาแรง
เบี่ยงเบน F และแรงบิดเบี่ยงเบน Td ที่เกิดขึ้น เมื่อกาหนดให้ความหนาแน่นของฟลักซ์แม่เหล็กมีค่า
เท่ากับ 0.5 เท ลา และปริมาณกระแ ที่ไหลผ่านขดลวดเท่ากับ 100 uA
วิธีทา ใช้ มการที่ (3.1) คานวณแรงเบี่ยงเบน F แทนค่า N = 200, B = 0.5 T, i = 100 uA, l = 3
cm ใน มการ จะได้
Scale
Pointer
Deflecting Force
Controlling Force
Spring
Moving Coil
รูปที่ 3.12 เข็มชี้หยุดนิ่งเมื่อแรงเบี่ยงเบนเท่ากับแรงควบคุมจาก ปริง
Tc k (3.5)
Tc Td
k NBilb
NBilb
(3.6)
k
84 บทที่ 3 เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 3.3 จากการคานวณหาค่าแรงบิดเบี่ยงเบนในตัวอย่างที่ 3.1 และ 3.2 จงคานวณหามุม
ที่เข็มชี้หยุดนิ่ง เมื่อกาหนดให้ค่าคงที่ของ ปริงเท่ากับ 2 uN.m/degree
วิธีทา ใช้ มการที่ (3.6) คานวณหามุมที่เข็มชี้หยุดนิ่งที่ แทนค่า Td = NBilb = 6 106 N.m จาก
ตัวอย่างที่ 3.1 และ k = 2 uN.m/degree ลงไปจะได้
6 106
3 องศา
2 106
4.8 106
2.4 องศา
2 106
____________________________________________________________________
Si (3.7)
i
NBlb
(3.8)
i k
NBA
(3.9)
i k
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 3.4 เมื่อกาหนดปริมาณกระแ i ที่ไหลเข้าขดลวดเคลื่อนที่ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็ม
เอ็มซีเท่ากับ 80 uA และมุม ที่เข็มชี้เบี่ยงเบนเท่ากับ 2.4 องศา จงคานวณหาความไว
กระแ ไฟฟ้า
วิธีทา ใช้ มการที่ (3.7) หาความไวกระแ ไฟฟ้า แทน i = 80 uA และ = 2.4 องศา ลงไปจะได้
2.4
Si = 0.03 องศา/uA
80 106
k
N (3.10)
i BA
k
N Si (3.11)
BA
0.03 4 106
N = 80 รอบ
1 106 1.5 10 104
____________________________________________________________________
Rm
Im
รูปที่ 3.14 ัญลักษณ์ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
Standard Ammeter
Rs
A
Standard Voltmeter
Rm Rm
Fixed Power
W Im V
Supply
(ก) (ข)
รูปที่ 3.15 การหาความต้านทานของขดลวดเคลื่อนที่ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
(ก) โดยการใช้โอห์มมิเตอร์ และ (ข) โดยการใช้แอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอร์
V
Rm (3.11)
Im
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 3.6 รูปที่ 3.16 เป็นวิธีการหาความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm โดยการป้อนแรงดันจาก
แหล่งจ่ายขนาด 5 V ต่อตัวต้านทานจากัดกระแ ขนาด 10 kW ใช้แอมมิเตอร์วัดกระแ Im ได้
เท่ากับ 416 uA และใช้โวลต์มิเตอร์วัดแรงดันตกคร่อมเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีได้เท่ากับ 0.83 V
จงคานวณหาความต้านทาน Rm
บทที่ 3 เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี 89
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
RS=10k
A
Rm
V=0.83 V
Power Supply
Im = 416uA V
5V
0.83
Rm
1995.19 W
416 106
____________________________________________________________________
(ก) (ข)
รูปที่ 3.17 การหากระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกลของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
(ก) โดยการใช้แหล่งจ่ายแรงดันปรับค่าได้ และ (ข) โดยการใช้ตัวต้านทานปรับค่าได้
90 บทที่ 3 เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 3.7 รูปที่ 3.18 เป็นวิธีการหากระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกลโดยการป้อนแรงดันจาก
แหล่งจ่ายแรงดันปรับค่าได้ พบว่าแอมมิเตอร์อ่านค่ากระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล Ifs ได้เท่ากับ 96 uA
และความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm มีค่าเท่ากับ 2 kW จงคานวณหาค่าของแหล่งจ่ายแรงดัน
96 uA
A
2k
Variable Power
Supply
V Im Rm (3.12)
V I fs VR I fs Rm (3.13)
V I fs Rm
VR (3.14)
I fs
แทนค่า Ifs = 120 uA, V = 3 V และ Rm = 1.5 kW ลงใน มการที่ (3.14) จะได้
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบายโครง ร้างพื้นฐานของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
2. ขดลวดเคลื่อนที่ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีมีจานวนรอบของขดลวดเท่ากับ 150 รอบ
ขดลวดมีความยาวและความกว้างเท่ากับ 1 cm และ 2 cm ตามลาดับ จงคานวณหาแรง
เบี่ยงเบน F และแรงบิดเบี่ยงเบน Td ที่เกิดขึ้น เมื่อกาหนดให้ความหนาแน่นของฟลักซ์
แม่เหล็กมีค่าเท่ากับ 1.5 เท ลา และปริมาณกระแ ที่ไหลผ่านขดลวดเท่ากับ 120 uA
3. จากการคานวณหาค่าแรงบิดเบี่ยงเบนในคาถามท้ายบทข้อที่ 2 จงคานวณหามุมที่เข็มชี้หยุด
นิ่ง เมื่อกาหนดให้ค่าคงที่ของ ปริงเท่ากับ 1 uN.m/degree
4. เมื่อกาหนดปริมาณกระแ i ที่ไหลเข้าขดลวดเคลื่อนที่ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
เท่ากับ 120 uA และมุม ที่เข็มชี้เบี่ยงเบนเท่ากับ 2.2 องศา จงคานวณหาความไว
กระแ ไฟฟ้า
5. จงอธิบายข้อดีและข้อเ ียของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีมาอย่างละ 3 ข้อ
6. ในการหาความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm โดยการป้อนแรงดันจากแหล่งจ่ายขนาด 12 V
ต่อตัวต้านทานจากัดกระแ ขนาด 20 kW ใช้แอมมิเตอร์วัดกระแ Im ได้เท่ากับ 500 uA
และใช้โวลต์มิเตอร์วัดแรงดันตกคร่อมเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีได้เท่ากับ 1 V จง
คานวณหาความต้านทาน Rm
92 บทที่ 3 เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี
เอก ารอ้างอิง
A. K. Sawhney. (1985). A Course in Electrical and Electronic Measurements and
Instrumentation. Dhanpat Rai&Sons.
Albert D. Helfric and Willian D. Cooper. (1990). Modern Electronic Instrumentation
and Measurement Techniques. Prentice-Hall.
U.A. Bakshi, A. V. Bakshi and K.A. Bakshi. (2009). Electrical Measurements and
Instrumentation. Technical Publications Pune.
ชัยบูรณ์ กัง เจียรณ์. (2550). การวัดและเครื่องมือวัด. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร.
ประยูร เชี่ยววัฒนา. (2537). เครื่องวัดและการวัดทางไฟฟ้า . มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-
ญี่ปุ่น).
มงคล ทอง งคราม. (2534). ทฤษฎีเครื่องวัดไฟฟ้า. รามาการพิมพ์.
ศักรินทร์ โ นันทะ. (2553). เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
เอก ไชย วั ดิ์. (2547). การวัดและเครื่องวัดไฟฟ้า. มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น).
http://en.wikipedia.org/wiki/Galvanometer
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 4
แอมมิเตอร์กระแ ตรง
หัวข้อเนื้อหา
4.1 บทนา
4.2 การขยายพิ ัยการวัดแอมมิเตอร์
4.2.1 แบบพิ ัยการวัดเดียว
4.2.2 แบบหลายพิ ัยการวัด
4.2.2.1 ชนิดตัวต้านทานชันต์เฉพาะพิ ัย
4.2.2.2 ชนิดอาร์ตันชันต์หรือยูนิเวอร์แซลชันต์
4.3 การต่อแอมมิเตอร์เข้ากับวงจร
4.4 ความต้านทานภายในของแอมมิเตอร์
4.4.1 ชนิดตัวต้านทานชันต์เฉพาะพิ ัย
4.4.2 ชนิดอาร์ตันชันต์
4.5 ผลการโหลดของแอมมิเตอร์
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจวิธีการขยายการวัดแอมมิเตอร์ทั้งแบบพิ ัยการวัดเดียว และแบบ
หลายพิ ัยการวัดชนิดตัวต้านทานชันต์เฉพาะพิ ัยและชนิดอาร์ตันชันต์
2. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาความต้านทานชันต์ที่ต่อเข้าไปในเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็ม
ซี เพื่อ ร้างเป็นแอมมิเตอร์แบบพิ ัยการวัดเดียวและหลายพิ ัยการวัด
3. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจวิธีการต่อแอมมิเตอร์เข้ากับวงจรเพื่อวัดกระแ ที่ไหลในวงจร
4. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาค่าความต้านทานภายในของแอมมิเตอร์
5. เพื่ อ ให้ ผู้ เ รี ย นมี ค วามเข้ า ใจผลการต่ อ แอมมิ เ ตอร์ เ ข้ า ไปในวงจรหรื อ ผลการโหลดของ
แอมมิเตอร์ และ ามารถคานวณหาค่าความคลาดเคลื่อนของกระแ ที่วัดได้
6. ผู้ อนทาการซักถาม
7. ผูเ้ รียนศึกษาความรู้เพิ่มเติมด้วยการมอบหมายการบ้าน
อ่ื การเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 4
แอมมิเตอร์กระแ ตรง
(DC Ammeter)
4.1 บทนา
เครื่องมือวัดกระแ หรือแอมมิเตอร์เป็นเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าพื้นฐานที่ใช้วัดกระแ ที่ไหลใน
วงจร แอมมิเตอร์ชนิดแอนะลอก ามารถ ร้างจากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี แต่เนื่องจากเครื่องมือ
วัดแบบพีเอ็มเอ็มซีไม่ ามารถรับกระแ ที่มีค่า ูง ๆ ได้ จึงต้องนาตัวต้านทานชันต์ ไปต่อขนานกับ
เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีเพื่อแบ่งกระแ ที่จะไหลเข้าไปในขดลวดเคลื่อนที่ การขยายพิ ัยการวัด
กระแ ให้ ูงขึ้นจึงทาได้ด้วยการต่อตัวต้านทานชันต์ ในบทนี้จะได้อธิบายถึงการขยายพิ ัยการวัด
แอมมิเตอร์แบบพิ ัยการวัดเดียว และแอมมิเตอร์แบบหลายพิ ัยการวัดทั้งชนิดตัวต้านทานชันต์
เฉพาะพิ ั ยและชนิ ด อาร์ ตัน ชัน ต์ห รือยูนิเวอร์แซลชันต์ นอกจากนั้นจะได้อธิบายถึงวิธีการต่อ
แอมมิ เตอร์ เข้ า ไปในวงจร การหาความต้ า นทานภายในของแอมมิ เ ตอร์ และผลการโหลดของ
แอมมิเตอร์เมื่อต่อเข้าไปในวงจร
Rm
I Im I
Ish Rsh
รูปที่ 4.1 วงจรแอมมิเตอร์แบบพิ ัยการวัดเดียว
VRsh = VRm
96 บทที่ 4 แอมมิเตอร์กระแ ตรง
IshRsh = IfsRm
I
Rsh = fs Rm (4.1)
I sh
I fs
Rsh = Rm (4.2)
I I fs
Rm
I = Ifs + Ifs
R sh
R
I = Ifs 1 m (4.3)
Rsh
R
ID = D.Ifs 1 m (4.4)
Rsh
1000
Rsh
รูปที่ 4.3 วงจรแอมมิเตอร์ าหรับตัวอย่างที่ 4.1
วิธีทา การคานวณหาตัวต้านทานชันต์ Rsh จะใช้ มการที่ (4.2) เมื่อแทนค่า Ifs = 0.1 mA, Rm =
1 k และ I = 100 mA ลงไปใน มการจะได้
0.1 103
Rsh = 1000 = 1.001
100 103 0.1 103
1500
I Ifs = 90 uA
2.7
รูปที่ 4.4 วงจรแอมมิเตอร์ในตัวอย่างที่ 4.2
วิธีทา ใช้ มการที่ (4.3) ในการหาค่ากระแ ูง ุด เมื่อแทนค่า Ifs = 90 uA, Rm = 1500 และ
Rsh = 2.7 ลงไปใน มการจะได้
I = 90 106 1
1500
2.7
= 50 mA
แต่ เนื่ องจากกระแ รวมมีค่าเท่ากั บ กระแ ที่ไ หลผ่ านตัว ต้ านทานชันต์ รวมกับกระแ ที่ไหลผ่ า น
เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี ดังนั้น
1000
I100% = 1 0.1 103 1 = 0.1 A หรือ 100 mA
1.001
และแรงดันตกคร่อมความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm จะมีค่าเท่ากับ
1000
I50% = 0.5 0.1 103 1 = 0.05 A หรือ 50 mA
1.001
100 บทที่ 4 แอมมิเตอร์กระแ ตรง
และแรงดันตกคร่อมความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm มีค่าเท่ากับ
1000
I25% = 0.25 0.1 103 1 = 0.025 A หรือ 25 mA
1.001
____________________________________________________________________
I
Rm
Rsh1 Rsh2 Rsh3
Selector Switch
รูปที่ 4.5 วงจรแอมมิเตอร์แบบหลายพิ ัยการวัดชนิดตัวต้านทานชันต์เฉพาะพิ ัย
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 4.4 จากรูปที่ 4.7 จงคานวณหาค่าตัวต้านทานชันต์ Rsh1, Rsh2 และ Rsh3 เพื่อให้ ามารถ
วัดกระแ ได้ ูง ุด 1 mA, 10 mA และ 100 mA ตามลาดับ เมื่อกาหนดให้เครื่องมือวัดแบบพีเอ็ม
เอ็มซีมีกระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล Ifs เท่ากับ 50 uA และมีความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm เท่ากับ
2000
I
2000
Rsh1 Rsh2 Rsh3
1mA 10mA
100mA
50 106
Rsh1 = 2000 = 105.26
1 103 50 106
50 106
Rsh2 = 2000 = 10.05
10 103 50 106
50 106
Rsh3 = 2000 = 1
100 103 50 106
บทที่ 4 แอมมิเตอร์กระแ ตรง 103
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
____________________________________________________________________
4.2.2.2 ชนิดอาร์ตันชันต์หรือยูนิเวอร์แซลชันต์ (Ayrton Shunt or Universal Shunt)
แอมมิเตอร์แบบหลายพิ ัยการวัดชนิด อาร์ตันชันต์หรือยูนิเวอร์แซลชันต์ จะมีตัวต้านทาน
ชันต์ต่อขนานกับขดลวดเคลื่อนที่ตลอดเวลาดังแ ดงในรูปที่ 4.8 จากรูปพิ ัยการวัด ูง ุดคือ I3 และ
พิ ั ย การวัดต่า ุ ดคือ I1 ค่าตัว ต้ านทานชันต์ พิ ั ยการวัด ู งจะน าไปรวมเป็น ่ ว นหนึ่ งของค่าตั ว
ต้านทานชันต์พิ ัยการวัดที่ต่ากว่าลงไปตามลาดับ ข้อดีของแอมมิเตอร์แบบนี้ คือ ไม่ต้องปลด ายวัด
ของแอมมิเตอร์ออกจากวงจรเมื่อต้องการเปลี่ยนพิ ัยการวัด เนื่องจากขณะที่กาลังเปลี่ยนพิ ัยการ
วัดแต่ วิตช์ยังต่อไปไม่ถึงพิ ัยการวัดใหม่ ก็จะยังไม่มีกระแ ไหลเข้าไปในวงจร ทาให้ไม่เกิดความ
เ ียหายต่อขดลวดเคลื่อนที่ อย่างไรก็ตามข้อเ ียของแอมมิเตอร์แบบนี้ คือ เมื่อตัวต้านทานตัวหนึ่งตัว
ใดในวงจรเ ียหายจะทาให้ไม่ ามารถใช้งานแอมมิเตอร์ชนิดนี้ได้เลย
I1 Im
R1 Rsh1 Rm
I2
R2 Rsh2
I3
R3 Rsh3
(I1-Ifs)Rsh1= IfsRm
I fs
Rsh1= R (4.5)
I1 I fs m
และจากรูปที่ 4.8 จะได้ มการ Rsh1 ดังนี้
104 บทที่ 4 แอมมิเตอร์กระแ ตรง
R1 = Rsh1-Rsh2 (4.9)
VRsh2 = VRm+R1
(I2-Ifs)Rsh2 = Ifs(Rm+R1) (4.10)
I fs Rm Rsh1
Rsh2 = (4.12)
I2
VRsh3 = VRm+R1+R2
(I3-Ifs)Rsh3 = Ifs(Rm+R1+R2) (4.13)
I fs Rm Rsh1
Rsh3 = (4.17)
I3
R1 = Rsh1-Rsh2 (4.18)
R2 = Rsh2-Rsh3 (4.19)
R3 = Rsh3 (4.20)
และใช้ มการที่ (4.6), (4.8) และ (4.17) ในการหาค่าของ Rsh1, Rsh2 และ Rsh3 ตามลาดับ
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 4.5 กาหนดพิ ัยการวัด I1, I2 และ I3 เท่ากับ 1 mA, 10 mA และ 100 mA ตามลาดับ
จงหาค่าของความต้านทาน R1, R2 และ R3 ในวงจรแอมมิเตอร์ชนิดอาร์ตันชันต์ที่แ ดงในรูปที่ 4.9
106 บทที่ 4 แอมมิเตอร์กระแ ตรง
Ifs = 90 uA
1 mA
R1 Rm = 4k
10 mA
R2
100 mA
R3
R3 = 3.97
____________________________________________________________________
4.3 การต่อแอมมิเตอร์เข้ากับวงจร
ัญญลักษณ์ของแอมมิเตอร์แทนแอมมิเตอร์ด้วยภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ A อยู่ในวงกลม
ดังแ ดงในรู ป ที่ 4.10 ่ ว นการต่อ ใช้งานแอมมิเตอร์เพื่ อวัด กระแ ที่ไ หลในวงจรจะต้ องต่ อ
แอมมิเตอร์อนุกรมกับวงจรหรือกิ่งของวงจรที่ต้องการวัด ดังตัวอย่างในรูปที่ 4.11 เป็นลักษณะการ
ต่อแอมมิเตอร์อนุกรมกับวงจรเพื่อวัดกระแ ที่ไหลในวงจร อย่างไรก็ตามการต่อแอมมิเตอร์อนุกรม
กับวงจรที่ต้องการวัดกระแ จะเ มือนกับการต่อตัวต้านทานหรือโหลดเพิ่มเข้าไปในวงจรที่กาลัง วัด
ทาให้กระแ ไหลได้น้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้น ความต้านทานภายในของแอมมิเตอร์จะมีผลต่อ
ความถูกต้องของการวัดกระแ การหาความต้านทานภายในของแอมมิเตอร์ และผลการโหลดของ
แอมมิเตอร์จะได้กล่าวต่อไป
A
รูปที่ 4.10 ัญญลักษณ์ของแอมมิเตอร์
R
V A
ต้านทานรวมของการต่อขนานกันระหว่างความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm กับความต้านทานชันต์
พิ ั ย การวัดนั้ น จึ ง ามารถ รุ ป มการเพื่อหาความต้านทานภายในแต่ล ะพิ ั ยการวัดของวงจร
แอมมิเตอร์หลายพิ ัยการวัดแบบตัวต้านทานชันต์เฉพาะพิ ัย ได้ดังต่อไปนี้
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด I1
Rm Rsh1
Rin1 = (4.21)
Rm Rsh1
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด I2
Rm Rsh2
Rin2 = (4.22)
Rm Rsh2
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด I3
Rm Rsh3
Rin3 = (4.23)
Rm Rsh3
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด I1
Rm R1 R2 R3
Rin1 = (4.24)
Rm R1 R2 R3
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด I2
Rin2 =
Rm R1 R2 R3 (4.25)
Rm R1 R2 R3
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด I3
R3 Rm R1 R2
Rin3 = (4.26)
Rm R1 R2 R3
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 4.6 จงหาความต้านทานภายในแต่ละพิ ัยการวัด I1, I2 และ I3 ของแอมมิเตอร์หลาย
พิ ัยการวัดแบบตัวต้านทานชันต์เฉพาะพิ ัยที่ออกแบบในตัวอย่างที่ 4.4
2000 105.26
Rin1 = = 99.997 100
2000 105.26
2000 10.05
Rin2 = = 9.99 10
2000 10.05
2000 1
Rin3 = = 0.99 1
2000 1
R R
Iwo Iwm
V V Rin A
(ก) (ข)
รูปที่ 4.12 (ก) กระแ ในวงจรที่ยังไม่ได้ต่อแอมมิเตอร์ และ (ข) กระแ ในวงจรขณะทีม่ ีการต่อ
แอมมิเตอร์
Iwm Iwo
r (4.27)
Iwo
% r r 100 (4.28)
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 4.8 วงจรไฟฟ้าวงจรหนึ่งประกอบด้วยตัวต้านทานขนาด 2 K ต่ออยู่กับแหล่งจ่าย
ไฟฟ้ากระแ ตรง 5 V เมื่อนาแอมมิเตอร์ทไี่ ด้ออกแบบจากตัวอย่างที่ 4.5 และมีความต้านทานภายใน
ที่คานวณได้จากตัวอย่างที่ 4.7 มาต่อเพื่อวัดกระแ ในวงจรนี้ จงคานวณหา
ก) ค่ากระแ จริงที่ไหลในวงจรเมื่อไม่มีการต่อแอมมิเตอร์
ข) ค่ากระแ ที่วัดจากแอมมิเตอร์เมื่อตั้งพิ ัยการวัด 10 mA
ค) ค่ากระแ ที่วัดจากแอมมิเตอร์เมื่อตั้งพิ ัยการวัด 100 mA
ง) เปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อน ัมพัทธ์จากการตั้งพิ ัยการวัด 10 mA
จ) เปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อน ัมพัทธ์จากการตั้งพิ ัยการวัด 100 mA
ฉ) เปอร์เซ็นต์ ความคลาดเคลื่อนจากัด ัมพัทธ์จากการตั้งพิ ัยการวัด 10 mA เมื่อ
ความคลาดเคลื่อนจากัดของแอมมิเตอร์ที่พิ ัยการวัดนี้มีค่าเท่ากับ ±3% ของค่าพิ ัย
การวัด ูง ุด
112 บทที่ 4 แอมมิเตอร์กระแ ตรง
วิธีทา
ก) หากระแ จริงจากกฎของโอห์ม
% r = -1.92%
% r = -0.2%
±(3/100)10 mA = ±0.3 mA
และเมื่อคิดเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนจากัด ัมพัทธ์จะเท่ากับ
±(0.3/2.452)100 = ±12.234%
±(3/100)100 mA = ±3 mA
และเมื่อคิดเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนจากัด ัมพัทธ์จะเท่ากับ
±(3/2.495)100 = ±120.24%
____________________________________________________________________
คาถามท้ายบท
1. ในการออกแบบแอมมิเตอร์จากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีพิ ัยการวัดเดียว ที่มีกระแ
เบี่ยงเบนเต็ม เกล Ifs เท่ากับ 120 uA และมีความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm เท่ากับ 1
k จงคานวณหาค่าตัวต้านทานชันต์ Rsh เพื่อให้ ามารถวัดกระแ ได้ ูง ุด 120 mA
2. วงจรแอมมิเตอร์พิ ัยการวัดเดียวที่ ร้างจากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี มีความต้านทาน
ขดลวดเคลื่อนที่ Rm เท่ากับ 1200 กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล Ifs เท่ากับ 50 uA และมี
114 บทที่ 4 แอมมิเตอร์กระแ ตรง
เอก ารอ้างอิง
A. K. Sawhney. (1985). A Course in Electrical and Electronic Measurements and
Instrumentation. Dhanpat Rai&Sons.
Albert D. Helfric and Willian D. Cooper. (1990). Modern Electronic Instrumentation
and Measurement Techniques. Prentice-Hall.
U.A. Bakshi, A. V. Bakshi and K.A. Bakshi. (2009). Electrical Measurements and
Instrumentation. Technical Publications Pune.
มงคล ทอง งคราม. (2534). ทฤษฎีเครื่องวัดไฟฟ้า. รามาการพิมพ์.
ศักรินทร์ โ นันทะ. (2553). เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
เอก ไชย วั ดิ์. (2547). การวัดและเครื่องวัดไฟฟ้า. มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น).
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 5
โวลต์มเิ ตอร์กระแ ตรง
หัวข้อเนื้อหา
5.1 บทนา
5.2 การขยายพิ ัยการวัดโวลต์มิเตอร์
5.2.1 แบบพิ ัยการวัดเดียว
5.2.1 แบบหลายพิ ัยการวัด
5.2.1.2 ชนิดตัวต้านทานอนุกรมเฉพาะพิ ัย
5.2.1.3 ชนิดยูนิเวอร์แซล
5.3 การต่อโวลต์มิเตอร์เข้ากับวงจรไฟฟ้า
5.4 ความต้านทานภายในของโวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
5.4.1 แบบหลายพิ ัยการวัดชนิดตัวต้านทานอนุกรมเฉพาะพิ ัย
5.4.2 แบบหลายพิ ัยการวัดชนิดยูนิเวอร์แซล
5.4.3 การหาความต้านทานภายในโดยวิธีอ้อม
5.5 ผลการโหลดของโวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการขยายการวัดโวลต์มิเตอร์กระแ ตรงทั้งแบบพิ ัยการวัดเดียว
และแบบหลายพิ ัยการวัดชนิดตัวต้านทานอนุกรมเฉพาะพิ ัยและชนิดยูนิเวอร์แซล
2. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาค่าตัวต้านทานอนุกรมที่ต่อเข้าไปในเครื่องมือวัดแบบพีเอ็ม
เอ็มซีเพื่อ ร้างโวลต์มิเตอร์กระแ ตรงแบบพิ ัยการวัดเดียวและแบบหลายพิ ัยการวัด
3. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการต่อโวลต์มิเตอร์เข้ากับวงจรเพื่อวัดกระแ ที่ไหลในวงจร
4. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาค่าความต้านทานภายในของโวลต์มิเตอร์แบบต่าง ๆ
5. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจผลการต่อโวลต์มิเตอร์เข้าไปในวงจรหรือผลการโหลดของโวลต์
มิเตอร์ และ ามารถคานวณหาค่าความคลาดเคลื่อนของแรงดันที่วัดได้
5. ผู้เรียนถามข้อ ง ัย
6. ผู้ อนทาการซักถาม
7. ผูเ้ รียนศึกษาความรู้เพิ่มเติมด้วยการมอบหมายการบ้าน
ื่อการเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 5
โวลต์มเิ ตอร์กระแ ตรง
(DC Voltmeter)
5.1 บทนา
โวลต์มิเตอร์กระแ ตรงชนิดแอนะลอกเป็นเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าที่ ใช้วัดค่าแรงดันในวงจร
ามารถ ร้ า งจากเครื่ อ งมือ วั ดแบบพี เ อ็ม เอ็ม ซี แต่เ นื่ องจากขดลวดเคลื่ อ นที่ ไ ม่ ามารถวัด ค่ า
แรงดันไฟฟ้าค่า ูง ๆ ได้ เพราะที่แรงดันค่า ูงจะทาให้ปริมาณกระแ จานวนมากไหลเข้าไปในขดลวด
เคลื่อนที่ อาจทาให้ขดลวดเคลื่อนที่เ ียหาย การขยายพิ ัยการวัดแรงดันไฟฟ้าจึงต้องต่อตัวต้านทาน
อนุกรมกับเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี เพื่อลดปริมาณกระแ ไฟฟ้า ที่จะไหลเข้าไป บทนี้จึงจะได้
อธิบายการขยายพิ ัยการวัดแรงดันไฟฟ้าแบบพิ ัยการวัดเดียว และแบบหลายพิ ัยการวัด หรือแบบ
ยูนิเวอร์แซล รวมทั้งอธิบายผลการโหลดของโวลต์มิเตอร์เมื่อต่อเข้าไปในวงจร
Rs Im=Ifs
Rm
V
V I fs Rs I fs Rm
V I fs Rs Rm (5.1)
118 บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
V
Rs Rm (5.2)
I fs
V D I fs Rs Rm (5.3)
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 5.1 จากวงจรโวลต์มิเตอร์ในรูปที่ 5.3 จงหาพิ ัยการวัดแรงดัน ูง ุด เมื่อความต้านทาน
Rs, กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล และความต้านทานภายในของขดลวดเคลื่อนที่เท่ากับ 199 k, 120
uA และ 1 k ตามลาดับ
บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง 119
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
วิธีทา ใช้ มการที่ (5.1) หาพิ ัยการวัดแรงดัน ูง ุด V และแทนค่า Rs = 199 k, Ifs = 120 uA
และ Rm = 1 k จะได้
ข) หาค่าแรงดันที่ตาแหน่ง 0.5FSD
ใช้ มการที่ (5.3) หาค่าแรงดันที่ตาแหน่ง 0.5FSD แทนที่ D = 0.5, Ifs = 120 uA, Rm = 1
k และ Rs = 199 k จะได้
ค) หาค่าแรงดันที่ตาแหน่งที่ 0.25FSD
120 บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
ใช้ มการที่ (5.3) หาค่าแรงดันที่ตาแหน่ง 0.75FSD แทนที่ D = 0.75, Ifs = 120 uA, Rm =
1 k และ Rs = 199 k จะได้
Rs Ifs = 100 uA
Rm = 2 k
20VDC
20 3
Rs 6 2 10 = 198 k
100 10
V 5 5
Im = 25 uA
Rs Rm 198 103 2 103 200 103
____________________________________________________________________
1
S (5.4)
I fs
Rs S V Rm (5.5)
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 5.4 จากวงจรโวลต์มิเตอร์ในรูปที่ 5.5 จงหาค่าของตัวต้านทานอนุกรม Rs ที่พิ ัยการวัด
50 V และกาหนดให้ความไวกระแ ของเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีมีค่าเท่ากับ 10 k/V และ
ความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm มีค่าเท่ากับ 1 k
Rs
Rm = 1 k
50VDC
S = 10 k/V
รูปที่ 5.5 วงจรโวลต์มิเตอร์ าหรับตัวอย่างที่ 5.4
122 บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
Rs 10 10 3 50 1 103 = 499 k
____________________________________________________________________
V1 Rs1
V2 Rs2
V3 Rs3 Rm
5V Rs1
10V Rs2 Ifs = 50 uA
50V Rs3 2k
5 3
R s1 6 2 10 = 98 k
50 10
10 3
Rs 2 6 2 10 = 198 k
50 10
50 3
Rs 3
6 2 10 = 998 k
50 10
____________________________________________________________________
Rs3
Rs2
Rs1
R3 R2 R1
V3 V2 Rm
V1
Ifs
รูปที่ 5.8 วงจรโวลต์มิเตอร์แบบหลายพิ ัยการวัดชนิดยูนิเวอร์แซล
V1
Rs1 R1 Rm (5.6)
I fs
Rs1 R1 S V1 Rm (5.7)
Rs 2 R1 R2 (5.8)
บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง 125
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
V2
Rs 2 Rm (5.9)
I fs
V2
R1 R2 Rm (5.10)
I fs
V2
R2 Rm R1 (5.11)
I fs
R2 S V2 Rm R1 (5.12)
Rs 3 R1 R2 R3 (5.13)
V3
Rs 3 Rm (5.14)
I fs
126 บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
V3
R1 R2 R3 Rm (5.15)
I fs
V2
R3 Rm R1 R2 (5.16)
I fs
R3 S V3 Rm R1 R2 (5.17)
R3 R2 R1
100
250V 50V
10V
Ifs=1mA
รูปที่ 5.9 วงจรโวลต์มิเตอร์ าหรับตัวอย่างที่ 5.6
วิธีทา ใช้ มการที่ (5.6) หาค่า R1 และแทนค่า Ifs = 1 mA, V1 = 10 V และ Rm = 100 จะได้
บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง 127
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
10
R1 100 = 9.9 k
1 103
50
3 100 9.9 10 = 40 k
3
R2
1 10
250
3 100 9.9 10 40 10 = 200 k
3 3
R3
1 10
R3 R2 R1
2k
50V 10V
5V
S=20k/V
รูปที่ 5.10 วงจรโวลต์มิเตอร์ าหรับตัวอย่างที่ 5.7
R1 20 103 5 2 103 = 98 k
128 บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
5.3 การต่อโวลต์มิเตอร์เข้ากับวงจร
ั ญลักษณ์ของโวลต์มิเตอร์แทนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ V อยู่ในวงกลม ดัง
ญ
แ ดงในรูปที่ 5.11 ่วนการต่อใช้งานโวลต์มิเตอร์เพื่อวัดแรงดันระหว่างจุด องจุด ในวงจรไฟฟ้า
จะต้องต่อขั้วบวกของโวลต์มิเตอร์เข้ากับจุดแรกและขั้วลบเข้ากับจุดที่ อง ดังตัวอย่างในรูปที่ 5.12
ต้องการวัดแรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน R2 จึงต่อขั้วบวกของโวลต์มิเตอร์ที่โนด 1 และขั้วลบของโวลต์
มิเตอร์เข้าที่โนด 2 เนื่องจากแรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน R2 จะเกิดจากแรงดันที่โนด 1 ลบด้วย
แรงดันที่โ นด 2 ลักษณะการต่อโวลต์มิเตอร์เข้าไปที่ตัว ต้านทาน R2 จึงเป็นการต่อ แบบขนาน
อย่างไรก็ตามการต่อโวลต์มิเตอร์ขนานกับตัวต้านทานในวงจรที่ต้องการวัดแรงดันตกคร่อม จะเ มือน
กับการต่อตัวต้านทานหรือโหลดเพิ่มเข้าไปในวงจร และหากค่าของตัวต้านทานที่ต้องการวัด มีค่า
มากกว่าความต้านทานภายในของโวลต์มิเตอร์ จะทาให้ แรงดันที่วัดได้ต่ากว่าความเป็นจริง เพราะ
การต่อขนานกันของตัวต้านทานจะทาให้ความต้านทานรวมลดลงใกล้เคียงกับค่าของตัวต้านทานที่
น้อยกว่า แม้ปริมาณกระแ ที่ไหลในวงจรจะเพิ่มขึ้น แต่ผลจากความต้านทานรวมที่ลดลงจะมีผล
มากกว่าทาให้แรงดันที่วัดได้ลดลงตามไปด้วย ดังนั้น ความต้านทานภายในของโวลต์มิเตอร์จึงมีผลต่อ
ความถูกต้องของการวัดแรงดัน การหาความต้านทานภายในของโวลต์มิเตอร์และผลการโหลดของ
โวลต์มิเตอร์จะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป
V
รูปที่ 5.11 ัญญลักษณ์ของโวลต์มิเตอร์
บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง 129
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
R1 1
V R2 V
2
รูปที่ 5.12 การต่อโวลต์มิเตอร์ขนานกับตัวต้านทานในวงจร
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด V1
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด V2
Rin2 = Rm Rs 2 (5.19)
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด V3
Rin3 = Rm Rs 3 (5.20)
130 บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด V1
Rin1 = Rm R1 (5.21)
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด V2
Rin2 = Rm R1 R2 (5.22)
ความต้านทานภายในของพิ ัยการวัด V3
Rin3 = Rm R1 R2 R3 (5.23)
5.4.3 การหาความต้านทานภายในโดยวิธีอ้อม
จากวงจรโวลต์มิเตอร์แต่ละแบบในรูปที่ 5.1, 5.6 และ 5.8 จะเห็นว่า ามารถใช้กฎของ
โอห์มช่วยในการหาความต้านทานภายใน Rin ของแต่ละพิ ัยการวัดของโวลต์มิเตอร์ ดังนี้
V I fs Rin (5.24)
V
Rin (5.25)
I fs
Rin S V (5.26)
บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง 131
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 5.8 จงหาค่าความต้านทานภายในของแต่ละพิ ัยการวัดของวงจรโวลต์มิเตอร์หลาย
พิ ัยการวัดชนิดยูนิเวอร์แซลที่ได้ออกแบบในตัวอย่างที่ 5.7
R1 R1
Iwo Iwm Rin
V R2 Vwo V R2 V Vwm
(ก) (ข)
รูปที่ 5.13 (ก) กระแ ในวงจรที่ยังไม่ได้ต่อแอมมิเตอร์ และ (ข) กระแ ในวงจรขณะทีม่ ีการต่อ
แอมมิเตอร์
V
Iwo (5.27)
R1 R2
V R2
Vwo (5.29)
R1 R2
Rin R2
RT (5.30)
Rin R2
และกระแ ที่ไหลในวงจรจะเท่ากับ Iwm ซึ่ง ามารถหาค่าได้ดังนี้
V
Iwm (5.31)
R1 RT
และแรงดันที่ตกคร่อมตัวต้านทาน R2 หรือ Vwm จะเท่ากับ
V RT
Vwm (5.33)
R1 RT
Vwm Vwo
r (5.34)
Vwo
% r r 100 (5.35)
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 5.10 นาโวลต์มิเตอร์ที่ได้ออกแบบในตัวอย่างที่ 5.7 และมีความต้านทานภายในที่
คานวณได้ในตัวอย่างที่ 5.8 ไปวัดหาแรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน R2 ดังแ ดงในรูปที่ 5.14 จง
คานวณหา
ก) กระแ ที่ไหลในวงจรก่อนการวัดด้วยโวลต์มิเตอร์
ข) แรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน R2 ก่อนการวัดด้วยโวลต์มิเตอร์
ค) กระแ ที่ไหลในวงจรขณะใช้โวลต์มิเตอร์วัด เมื่อตั้งพิ ัยการวัดที่ 5 V
ง) กระแ ที่ไหลในวงจรขณะใช้โวลต์มิเตอร์วัด เมื่อตั้งพิ ัยการวัดที่ 10 V
จ) แรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน R2 ขณะใช้โวลต์มิเตอร์วัด เมื่อตั้งพิ ัยการวัดที่ 5 V
ฉ) แรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน R2 ขณะใช้โวลต์มิเตอร์วัด เมื่อตั้งพิ ัยการวัดที่ 10 V
ช) เปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อน ัมพัทธ์ เมื่อตั้งพิ ัยการวัดที่ 5 V
ซ) เปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อน ัมพัทธ์เมื่อตั้งพิ ัยการวัดที่ 10 V
ฌ)เปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนจากัด ัมพัทธ์ที่พิ ัยการวัด 5 V เมื่อความคลาดเคลื่อน
จากัดของโวลต์มิเตอร์ที่พิ ัยการวัดนี้มีค่าเท่ากับ ±4% ของค่าพิ ัยการวัด ูง ุด
ฎ) เปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนจากัด ัมพัทธ์ที่พิ ัยการวัด 10 V เมื่อความคลาดเคลื่อน
ของโวลต์มิเตอร์ที่พิ ัยการวัดนี้มีค่าเท่ากับ ±4% ของค่าพิ ัยการวัด ูง ุด
R1 = 10k
7V R2 = 20k
7
Iwo = 0.23 mA
10 103 20 103
ข) หาแรงดัน Vwo ตกคร่อมตัวต้านทาน R2 ก่อนการวัดด้วยโวลต์มิเตอร์
ใช้ มการที่ (5.28) เพื่อหาแรงดัน Vwo แทนค่า Iwo = 0.23 mA และ R2 = 20 k จะได้
7
Iwm 3 = 0.26 mA
10 10 16.66 10
3
7
Iwm 3 = 0.24 mA
10 10 18.18 10
3
% r = -5.8%
% r = -5.2%
±(4/100)5 V = ±0.2 V
และเมื่อคิดเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนจากัด ัมพัทธ์จะเท่ากับ
±(0.2/4.33)100 = ±4.618%
±(4/100)10 V = ±0.4 V
และเมื่อคิดเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนจากัด ัมพัทธ์จะเท่ากับ
±(0.4/4.36)100 = ±9.174%
____________________________________________________________________
คาถามท้ายบท
1. จงหาพิ ัยการวัดแรงดัน ูง ุดของโวลต์มิเตอร์พิ ัยการวัดเดียว เมื่อความต้านทาน Rs,
กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล และความต้านทานภายในของขดลวดเคลื่อนที่เท่ากับ 150 k,
100 uA และ 2 k ตามลาดับ
2. จากวงจรโวลต์มิเตอร์ในคาถามท้ายบทข้อที่ 1 จงหาคานวณหาค่าแรงดันที่
ก) ตาแหน่งที่เจ็ด ิบห้าเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.75FSD)
138 บทที่ 5 โวลต์มิเตอร์กระแ ตรง
เอก ารอ้างอิง
A. K. Sawhney. (1985). A Course in Electrical and Electronic Measurements and
Instrumentation. Dhanpat Rai&Sons.
Albert D. Helfric and Willian D. Cooper. (1990). Modern Electronic Instrumentation
and Measurement Techniques. Prentice-Hall.
U.A. Bakshi, A. V. Bakshi and K.A. Bakshi. (2009). Electrical Measurements and
Instrumentation. Technical Publications Pune.
ชัยบูรณ์ กัง เจียรณ์. (2550). การวัดและเครื่องมือวัด. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร.
ประยูร เชี่ยววัฒนา. (2537). เครื่องวัดและการวัดทางไฟฟ้า . มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-
ญี่ปุ่น).
มงคล ทอง งคราม. (2534). ทฤษฎีเครื่องวัดไฟฟ้า. รามาการพิมพ์.
ศักรินทร์ โ นันทะ. (2553). เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
เอก ไชย วั ดิ์. (2547). การวัดและเครื่องวัดไฟฟ้า. มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น).
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 6
โอห์มมิเตอร์
หัวข้อเนื้อหา
6.1 บทนา
6.2 โอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรม
6.2.1 แบบพื้นฐาน
6.2.2 แบบปรับตัวต้านทานปรับศูนย์ต่ออนุกรม
6.2.3 แบบตัวต้านทานปรับศูนย์ต่อขนาน
6.3 โอห์มมิเตอร์ชนิดขนาน
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจวิธีการออกแบบโอห์มมิเตอร์ชนิดต่าง ๆ
2. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาค่าตัวต้านทานที่ต่อเข้าไปในวงจรโอห์มมิเตอร์ชนิดต่าง ๆ
ื่อการเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 6
โอห์มมิเตอร์
(Ohmmeter)
6.1 บทนา
นอกจากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีจะ ามารถนามา ร้างเป็นแอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอร์
แล้ว ยัง ามารถนามา ร้างเครื่องมือวัดความต้านทานทางไฟฟ้าหรือโอห์มมิเตอร์ได้อีกด้วย การ
ร้างโอห์มมิเตอร์โดยใช้เครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี จะแตกต่างจากการ ร้างแอมมิเตอร์และโวลต์
มิเตอร์ตรงที่ การ ร้างโอห์มมิเตอร์ต้องอาศัยแหล่งจ่ายแรงดันหรือแบตเตอรี่ภายในวงจรของตัวเอง
แต่แอมมิเตอร์จะรับกระแ จากวงจรภายนอกเช่นเดียวกับโวลต์มิเตอร์ที่รับแรงดันจากวงจรภายนอก
อย่างไรก็ตามค่าความต้านทานที่วัดได้จากโอห์มมิเตอร์ที่ ร้างจากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีจะมี
ความถูกต้องการวัดต่า โอห์มมิเตอร์ชนิด ที่ ร้างจากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี จึงเหมาะกับการ
นามาใช้ประมาณค่าความต้านทานทางไฟฟ้าเท่านั้น
การแบ่งชนิดโอห์มมิเตอร์ ามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1) โอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรม
หมายถึงโอห์มมิเตอร์ที่วงจรภายในมีลักษณะการต่อเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีกับความต้านทานที่
ต้องการทราบค่าแบบอนุกรม และ 2) โอห์มมิเตอร์ชนิดขนาน หมายถึงโอห์มมิเตอร์ที่วงจรภายในมี
ลักษณะการต่อเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีกับความต้านทานที่ต้องการทราบค่าแบบขนาน บทนี้จะ
ได้อธิบายโอห์มมิเตอร์ทั้ง องชนิด
V
A B
Rx
รูปที่ 6.1 วงจรโอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรมแบบพื้นฐาน
บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์ 141
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
การก าหนด เกลของโอห์ ม มิเ ตอร์จ ะก าหนดด้ ว ยกระแ ที่ ไหลผ่ า นขดลวดเคลื่ อ นที่ Im
ามารถพิจารณาได้ดังต่อไปนี้
1. เมื่อความต้านทานภายนอกเท่ากับศูนย์โอห์ม (Rx = 0) จากการต่อ ายวัดของขั้ว A
และ B เข้าหากัน กระแ ที่ไหลเข้าไปในขดลวดเคลื่อนที่จะเป็นกระแ เบี่ยงเบนเต็ม
เกล เข็มชี้จะเบี่ยงเบนมาที่ตาแหน่งขวา ุด ดังนั้นตาแหน่งขวา ุดจะเป็นตาแหน่งศูนย์
โอห์ม และ ามารถหาค่าตัวต้านทาน R1 ได้จาก มการกระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล ดังนี้
V
I fs (6.1)
Rm R1
V
R1 Rm (6.2)
I fs
V
Im (6.3)
Rm R1 R x
V
Rx Rm R1 (6.4)
Im
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 6.1 ต้องการออกแบบโอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรมแบบพื้นฐานจากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็ม
เอ็มซีที่มีความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm เท่ากับ 1 k กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล Ifs เท่ากับ 100
uA ดังแ ดงในรูปที่ 6.2 จงคานวณหาตัวต้านทานจากัดกระแ R1 เมื่อกาหนดให้แบตเตอรี่ภายใน
มีค่า 1.5 V
1000 R1
Ifs = 100 uA
1.5 V
A B
Rx
รูปที่ 6.2 วงจรโอห์มมิเตอร์ าหรับตัวอย่างที่ 6.1
1.5 3
R1 1 10 = 14,000 = 14 k
100 106
1.5
6 1 10 14 10 = 45,000 = 45 k
3 3
Rx
25 10
1.5
6 1 10 14 10 = 15,000 = 15 k
3 3
Rx
50 10
1.5
6 1 10 14 10 = 5,000 = 5 k
3 3
Rx
75 10
____________________________________________________________________
45k 15k
5k
50uA 75uA
25uA 0
0uA 100uA
รูปที่ 6.3 เกลของโอห์มมิเตอร์ที่ออกแบบในตัวอย่างที่ 6.2
144 บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์
Rin = R1 + Rm (6.5)
Rm 0.9R1 0.1R1
V
A B
Rx
รูปที่ 6.4 วงจรโอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรมแบบตัวต้านทานปรับศูนย์ต่ออนุกรม
บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์ 145
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 6.3 จงคานวณหา ่วนคงที่และ ่วนปรับค่าได้ของตัวต้านทาน R1 ที่คานวณได้จาก
ตัวอย่างที่ 6.1
ที่ ่วนปรับค่าได้ 0 k
13.6 k + 1 k = 14.6 k
13.1 k + 1 k = 14.1 k
12.6 k + 1 k = 13.6 k
14.6 15
% r 100 = -2.66%
15
บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์ 147
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
14.1 15
% r 100 = -6%
15
13.6 15
% r 100 = -9.33%
15
____________________________________________________________________
V I fs Rm R1 (6.6)
1.46 1.5
% r 100 = -2.66%
1.5
1.41 1.5
% r 100 = -6%
1.5
1.36 1.5
% r 100 = -9.33%
1.5
____________________________________________________________________
Rx
R1
A B
V Rm
R2
Rx Im
R1
A B
I1 I2
V Rm
R2
การกาหนด เกลของตัวต้านทานที่ต่อเข้าไปจะเริ่มจากการกาหนดค่าความต้านทานกึ่งกลาง
เกล Rh ซึ่งจะมีค่าเท่ากับความต้านทานภายในของโอห์มมิเตอร์ ดังนั้น ค่า ของ Rh จะได้จากความ
ต้านทานรวมของการต่อขนานกันระหว่าง R2 และ ความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm บวกกับการต่อ
อนุกรมกับ R1 ดังนี้
R2 Rm
Rh R1 (6.7)
R2 Rm
V
Ih (6.8)
2 Rh
V
I1 2Ih (6.9)
Rh
I2 I1 I fs (6.10)
I2 R2 I fs Rm (6.11)
I fs
R2 Rm (6.12)
I2
I fs
R2 Rm (6.13)
I1 I fs
I fs RmRh
R2 (6.14)
V I fs Rh
R2 Rm
R1 Rh (6.15)
R2 Rm
I fs RmRh
R1 Rh (6.16)
V
VR2
Rh (6.17)
I fs R2 Rm
152 บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์
500000V
Rh (6.18)
I fs 500000 Rm
Im I1 I2 (6.20)
VRm
I2
R2
I R (6.21)
I2 m m
R2
บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์ 153
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
R2
Im I1 (6.22)
R2 Rm
แต่เนื่องจาก
V
I1 (6.23)
Rh R x
VR2
Im (6.24)
Rh Rx R2 Rm
VR2
I fs (6.25)
Rh R2 Rm
ดังนั้น เมื่อนา มการที่ (6.25) ไปหาร มการที่ (6.24) จะได้ ัด ่วนของกระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล s
เมื่อต่อตัวต้านทานภายนอก Rx ค่าใด ๆ ดังนี้
Im R
s h (6.26)
I fs R x Rh
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 6.6 ในการออกแบบโอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรมแบบตัวต้านทานปรับศูนย์ต่อขนาน ดัง
แ ดงในรูปที่ 6.7 เมื่อกาหนดค่าความต้านทานภายในของขดลวดเคลื่อนที่ Rm เท่ากับ 50 ,
154 บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์
Rx
R1
A B
3V Rm = 50
R2
Ifs = 0.5 mA
รูปที่ 6.7 วงจรโอห์มมิเตอร์ าหรับตัวอย่างที่ 6.6
0.9V 0.9 3
Rh = 5.4 k
I fs 0.5 103
3000
0.25 (6.27)
R x 3000
3000
Rx 3000 = 12 k
0.25
3000
0.5 (6.28)
R x 3000
3000
Rx 3000 = 3 k
0.5
156 บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์
3000
0.75 (6.29)
R x 3000
3000
Rx
3000 = 1 k
0.75
____________________________________________________________________
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 6.8 ในการออกแบบโอห์มมิเตอร์ชนิด อนุกรมแบบตัวต้านทานปรับศูนย์ต่อขนานหลาย
พิ ัยการวัด ดังแ ดงในรูปที่ 6.9 เมื่อกาหนดค่าความต้านทานภายในของขดลวดเคลื่อนที่ Rm เท่ากับ
50 , กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล I fs เท่ากับ 0.5 mA, แรงดันแบตเตอรี่ภายใน V เท่ากับ 3 V และ
กาหนดความต้านทานกึ่งกลาง เกล Rh ของพิ ัยการวัด x1, x10 และ x100 เท่ากับ 10 , 100
และ 1 k ตามลาดับ จงคานวณหา
ก) ค่าตัวต้านทาน R11 และ R2 ของพิ ัยการวัด x1
ข) ค่าตัวต้านทาน R12 และ R2 ของพิ ัยการวัด x10
ค) ค่าตัวต้านทาน R13 และ R2 ของพิ ัยการวัด x100
x1 R11
Rx
x10 R12
A B
x100 R13
Rm = 50
3V R2
Ifs = 0.5 mA
รูปที่ 6.9 วงจรโอห์มมิเตอร์ าหรับตัวอย่างที่ 6.8
0.5 103 50 10
R11 10 = 9.916
3
0.5 103 50 10
R2 = 0.083
3 0.5 103 10
158 บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์
V Rm
Rx
B
Switch
รูปที่ 6.10 วงจรโอห์มมิเตอร์ชนิดขนาน
V
I fs (6.30)
R1 Rm
V
R1 Rm (6.31)
I fs
160 บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์
V Rm
Rx
B
Switch
รูปที่ 6.11 การกาหนดกระแ ไหลในวงจรโอห์มมิเตอร์ชนิดขนาน
Im I1 I x (6.32)
Vm VRx
ImRm I x R x (6.33)
Rx
Im I1 (6.35)
R x Rm
V
I1 R R (6.36)
R1 m x
Rm R x
V Rx
Im (6.37)
R1Rm R x R1 Rm
นา มการที่ (6.30) ไปหาร มการที่ (6.37) เพื่อหา ัด ่วนของกระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล s เมื่อต่อตัว
ต้านทานภายนอก Rx ค่าใด ๆ จะได้
Im R x R1 Rm
s (6.38)
I fs R1Rm R x R1 Rm
s R1Rm
Rx (6.39)
R1 Rm 1 s
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 6.9 ในการออกแบบโอห์มมิเตอร์ชนิด ขนาน ดังแ ดงในรูปที่ 6.12 เมื่อกาหนดค่าความ
ต้านทานภายในของขดลวดเคลื่อนที่ Rm เท่ากับ 50 , กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล I fs เท่ากับ 0.5
mA, แรงดันแบตเตอรี่ภายใน V เท่ากับ 3 V จงคานวณหาค่าตัวต้านทานปรับศูนย์ R1
162 บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์
R1
A
3V Rm = 50
Rx
B
Switch
Ifs = 0.5 mA
รูปที่ 6.12 วงจรโอห์มมิเตอร์ าหรับตัวอย่างที่ 6.9
3
R1 3 50 = 5.95 k
0.5 10
ตัวอย่างที่ 6.10 จากการออกแบบโอห์มมิเตอร์ในตัวอย่างที่ 6.9 จงคานวณหาค่าความต้านทาน
ภายนอก Rx ที่ตาแหน่งกระแ เบี่ยงเบนต่าง ๆ ต่อไปนี้
ก) ยี่ ิบห้าเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.25FSD)
ข) ห้า ิบเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.5FSD)
ค) เจ็ด ิบห้าเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.75FSD)
คาถามท้ายบท
1. ต้องการออกแบบโอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรมแบบพื้นฐานจากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีที่มี
ความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่ Rm เท่ากับ 2 k กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล Ifs เท่ากับ 50
uA จงคานวณหาตัวต้านทานจากัดกระแ R1 เมื่อกาหนดให้แบตเตอรี่ภายในมีค่า 3 V
2. จากวงจรโอห์มมิเตอร์ที่ได้ออกแบบในคาถามท้ายบทข้อที่ 1 จงหา
ก) ตาแหน่ ง เกลของค่าความต้านทานที่ ตาแหน่งที่ยี่ ิบห้าเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่ง
เบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.25FSD)
ข) ตาแหน่งที่ห้า ิบเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.5FSD) และ
ค) ตาแหน่งที่เจ็ด ิบห้า ิบเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.75FSD)
3. ในวงจรโอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรมแบบตัวต้านทานปรับศูนย์ต่ออนุกรม จงคานวณหา ่วนคงที่
และ ่วนปรับค่าได้ของตัวต้านทาน R1 ที่คานวณได้จากคาถามท้ายบทข้อที่ 1
4. มมติว่าแรงดันแบตเตอรี่ในวงจรโอห์มมิเตอร์ชนิดอนุกรมแบบตัวต้านทานปรับศูนย์ต่อ
อนุกรมลดลง และผู้ใช้ได้ปรับตัวต้านทาน ่วนปรับค่าได้ของ R1 ที่คานวณได้จากคาถามท้าย
บทข้อที่ 3 จนเหลือค่าความต้านทาน ่วนปรับค่าได้ 0 k จงคานวณหาเปอร์เซ็นต์ความ
คลาดเคลื่อน ัมพัทธ์ที่ตาแหน่งค่าความต้านทานกึ่งกลาง เกลที่ได้จากคาถามท้ายบทข้อที่ 2
5. ในการออกแบบโอห์มมิเตอร์ชนิด ขนาน เมื่อกาหนดค่าความต้านทานภายในของขดลวด
เคลื่อนที่ Rm เท่ากับ 100 , กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล I fs เท่ากับ 0.1 mA, แรงดัน
แบตเตอรี่ภายใน V เท่ากับ 3 V จงคานวณหาค่าตัวต้านทานปรับศูนย์ R1
6. จากการออกแบบโอห์มมิเตอร์ในคาถามท้ายบทข้อที่ 5 จงคานวณหาค่าความต้านทาน
ภายนอก Rx ที่ตาแหน่งกระแ เบี่ยงเบนต่าง ๆ ต่อไปนี้
a. ยี่ ิบห้าเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.25FSD)
b. ห้า ิบเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.5FSD)
c. เจ็ด ิบห้าเปอร์เซ็นต์ของตาแหน่งเบี่ยงเบนเต็ม เกล (0.75FSD)
164 บทที่ 6 โอห์มมิเตอร์
เอก ารอ้างอิง
A. K. Sawhney. (1985). A Course in Electrical and Electronic Measurements and
Instrumentation. Dhanpat Rai&Sons.
Albert D. Helfric and Willian D. Cooper. (1990). Modern Electronic Instrumentation
and Measurement Techniques. Prentice-Hall.
U.A. Bakshi, A. V. Bakshi and K.A. Bakshi. (2009). Electrical Measurements and
Instrumentation. Technical Publications Pune.
ชัยบูรณ์ กัง เจียรณ์. (2550). การวัดและเครื่องมือวัด. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร.
ประยูร เชี่ยววัฒนา. (2537). เครื่องวัดและการวัดทางไฟฟ้า . มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-
ญี่ปุ่น).
มงคล ทอง งคราม. (2534). ทฤษฎีเครื่องวัดไฟฟ้า. รามาการพิมพ์.
ศักรินทร์ โ นันทะ. (2553). เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
เอก ไชย วั ดิ์. (2547). การวัดและเครื่องวัดไฟฟ้า. มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น).
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 7
บริดจ์กระแ ตรง
หัวข้อเนื้อหา
7.1 บทนา
7.2 วีต โตนบริดจ์
7.2.1 วีต โตนบริดจ์ ภาวะ มดุล
7.2.2 วีต โตนบริดจ์ ภาวะไม่ มดุล
7.2.3 วีต โตนบริดจ์ ภาวะไม่ มดุลเพียงเล็กน้อย
7.2.4 ข้อจากัดของวีต โตนบริดจ์
7.3 เคลวินบริดจ์
7.4 การประยุกต์ใช้งานบริดจ์กระแ ตรง
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการวิเคราะห์วีต โตนบริจด์ใน ภาวะ มดุล ใน ภาวะไม่ มดุล
และใน ภาวะไม่ มดุลเพียงเล็กน้อย
2. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาค่าความต้านทานที่ต้องการทราบค่า ของวงจรวีต โตน
บริดจ์ใน ภาวะ มดุล
3. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาค่ากระแ ที่ไหลผ่านวีต โตนบริดจ์ใน ภาวะไม่ มดุล
4. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจข้อจากัดของวีต โตนบริดจ์
5. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการวิเคราะห์เคลวินบริดจ์ว่าช่วยแก้ปัญหาความต้านทานขั้วและ
ายวัดของวีตโตนบริดจ์ได้อย่างไร
6. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการประยุกต์ใช้งานบริดจ์กระแ ตรง
ื่อการเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 7
บริดจ์กระแ ตรง
(DC Bridge)
7.1 บทนา
การวัดความต้านทานโดยใช้โอห์มมิเตอร์ ชนิดแอนะลอกจะมีความคลาดเคลื่อนการวัด ูง
เนื่องจากความไม่เป็นเชิงเ ้นของ เกล ดังที่ได้อธิบายในบทที่ 6 แม้จะ ามารถหาความต้านทานด้วย
วิธีโดยอ้อม ด้วยการวัดแรงดันตกคร่อมตัวต้านทานที่ต้องการทราบค่าด้วยโวลต์มิเตอร์ และวัด
กระแ ที่ไหลผ่านตัวต้านทานนั้นด้วยแอมมิเตอร์ แล้วใช้กฎของโอห์มช่วยคานวณหาค่าความ
ต้านทาน แต่วิธีนี้ก็ยังมีความคลาดเคลื่อนการวัด เนื่องจากผลการโหลดของแอมมิเตอร์และโวลต์
มิเตอร์ดังที่ได้อธิบายในบทที่ 4 และบทที่ 5 ตามลาดับ วิธีการวัดรูปแบบที่มีความคลาดเคลื่อนการ
วัดต่า คือ การวัดแบบเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน บริดจ์กระแ ตรงเป็นเครื่องมือวัดความต้านทาน
แบบหนึ่งที่ใช้วิธีการเปรียบเทียบความต้านทานที่ต้องการทราบค่ากับความต้านทานมาตรฐาน จึงมี
ความคลาดเคลื่อนการวัดต่า บทนี้จะได้อธิบายการวิเคราะห์บริดจ์กระแ ตรงที่มีอยู่ องชนิด คือ
วีต โตนบริดจ์ (Wheatstone Bridge) และเคลวินบริดจ์ (Kelvin Bridge)
R1 R2
V a G b
R3 Rx
รูปที่ 7.1 วงจรวีต โตนบริดจ์
R2 I
I1 R1 2
V a G b
R3 Rx
I3 Ix
รูปที่ 7.2 วงจรวีต โตนบริดจ์ที่ใช้วิเคราะห์บริดจ์ ภาวะ มดุล
V a = Vb
I3R3 = IxRx (7.1)
I1R1 I2 R2
I1R3 I2 R x
R1 R2
(7.4)
R3 R x
R2 R3
Rx (7.5)
R1
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 7.1 จงหาค่าความต้านทาน Rx ของวงจรวีต โตนบริดจ์ในรูปที่ 7.4 เมื่อวีต โตนบริดจ์
อยู่ใน ภาวะ มดุล กาหนดให้ตัวต้านทาน R1, R2 และ R3 มีค่าเท่ากับ 10 k, 15 k และ 34
k ตามลาดับ
R1 R2
10 k 15 k
V a G b
R3 Rx
34 k
รูปที่ 7.4 วงจรวีต โตนบริดจ์ าหรับตัวอย่างที่ 7.1
Rx
15 103 34 103
= 51 k
10 103
I = I1+I2 (7.6)
R1 R2
V a b
R3 Rx
รูปที่ 7.6 วงจรวีต โตนบริดจ์ที่ปลดแกลแวนอมิเตอร์ออก
R
Va V 3 (7.11)
R1 R3
R
Vb V x (7.12)
R2 R x
R R
VTh V 3 x (7.13)
R1 R3 R2 R x
R1 R2
a b
R3 Rx
รูปที่ 7.7 ความต้านทานที่เกิดขึ้นระหว่างโนด a และโนด b
R1R3 RR
RTh 2 x (7.14)
R1 R3 R2 R x
RTh a
Ig
VTh G Rg
VTh
Ig (7.15)
RTh Rg
D
S (7.16)
i
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 7.3 จงหากระแ Ig ที่ไหลผ่านแกลแวนอมิเตอร์เมื่อวีต โตนบริดจ์อยู่ใน ภาวะไม่ มดุล
ดังแ ดงในรูปที่ 7.9 กาหนดให้ตัวต้านทาน R1, R2, R3 และ Rx ในวงจรวีต โตนบริดจ์มีค่าเท่ากับ 4
k, 2 k, 20 k และ 7 k ตามลาดับ แหล่งจ่ายแรงดันมีค่าเท่ากับ 8 V และความต้านทาน
174 บทที่ 7 บริดจ์กระแ ตรง
R1 R2
4k Ig 2k
8V a G b
R3 Rg = 300
Rx
20 k 7k
20k 7k
VTh 8 = 0.444 V
4k 20k 2k 7k
4k 20k 2k 7k
RTh = 4.889 k
4k 20k 2k 7k
และใช้ มการที่ (7.15) หากระแ ที่ไหลผ่านแกลแวนอมิเตอร์ แทนค่า VTH = 0.444 V, RTH = 4.889
k และ Rg = 300 ลงไป จะได้
0.444
Ig = 85.56 uA
4.889k 300
S
D (7.17)
i
1mm
D 85.56uA = 85.56 mm
1uA
____________________________________________________________________
R R
V a G b
R R+DR
R R
V a
R R+DR
Va V
R
RR 2
V
(7.18)
R DR R DR
Vb V V (7.19)
R R DR 2R DR
R DR 1
VTh V
2R DR 2
2R 2DR 2R DR
V
4 R 2DR
DR
V (7.20)
4R 2DR
DR
VTH V (7.21)
4R
R R
a b
R R+DR
รูปที่ 7.12 ความต้านทานที่เกิดขึ้นระหว่างโนด a และโนด b
บทที่ 7 บริดจ์กระแ ตรง 177
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
R R R DR
RTh (7.22)
2 R R DR
R R
RTh
2 2
RTh R (7.23)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 7.4 จากวงจรในรูปที่ 7.13 จงหาค่ากระแ Ig ที่ไหลผ่านแกลแวนอมิเตอร์ เมื่อกาหนดให้
ค่าความต้านทานของ R1, R2 และ R3 มีค่าเท่ากันที่ 400 , ความต้านทาน Rx มีค่า 450 ,
แหล่งจ่ายแรงดันมีค่าเท่ากับ 5 V และความต้านทานภายในแกลแวนอมิเตอร์มีค่าเท่ากับ 150
R1 R2
400 Ig 400
5V a G b
R3 Rg = 150
Rx
400 450
R1 R2
ทาให้มี
วิธีทา วงจรวีต โตนบริดจ์ที่อยู่ในรูปที่ 7.12 อยู่ใน ภาวะที่ไม่ มดุล เนื่องจาก
R3 R x
กระแ Ig ไหลผ่านแกลแวนอมิเตอร์ แต่เนื่องจาก R1, R2 และ R3 มีค่าเท่ากันที่ 400 ่วนความ
ต้านทาน Rx มีค่า 420 คานวณหาเปอร์เซ็นต์ความแตกต่างระหว่างค่า R1 และ Rx จะได้
20
VTH 5 = 0.625 V
160
RTh 400
0.625
Ig = 1.136 mA
400 150
R1 R2
10 k 10 k
5V
10 k
R3 Rv Error Signal
10k 10k
Rv = 10 k
10k
9 10 100 = -10%
(7.25)
10
10k 9k
VTh 5 = 0.131 V
10k 10k 10k 9k
R2
R1
Ra
V a G b Ry
Rb
R3
Rx
รูปที่ 7.16 วงจรเคลวินบริดจ์
c I
R2
R1 d
Ra
V a G b Ry
Rb
R3 e
Rx
รูปที่ 7.18 วงจรเคลวินบริดจ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์
R
Vca V 1 (7.26)
R1 R3
R R R
จากรูป V I R2 R x y a b จากนั้นแทนค่า V ลงใน มการที่ (7.26) จะได้
R y Ra Rb
R1 R y Ra Rb
Vca I R2 R x R R R (7.27)
R R
1 3 y a b
c R2 d Ra b Rb e
I
Ry
รูปที่ 7.19 กิ่งของวงจรฝั่งขวามือของแกลแวนอมิเตอร์จากโนด c ถึงโนด e
บทที่ 7 บริดจ์กระแ ตรง 183
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
R R R
Vde I y a b (7.28)
R y Ra Rb
Ra R y Ra Rb
Vcb IR2 I R R R
R R
a b y a b
Ra R y
Vcb I R2 (7.29)
R y R a Rb
R1 R y Ra Rb Ra R y
R R R
R R 2 x R R R 2 R R R
1 3 y a b y a b
R y Ra Rb R1 R3 Ra R y
R2 R x R
2
R y Ra Rb R1 R y Ra Rb
R y Ra Rb R3 Ra R y
R2 R x 1 R2
R y Ra Rb R1 R y Ra Rb
R R R RR R3 Ra R y Ra R y
R2 R x y a b R2 2 3 (7.30)
R y Ra Rb R1 R1 R y Ra Rb R y Ra Rb
R2 R3 R3 Ra R y Ra R y R R R
Rx y a b
R1 R1 R y Ra Rb R y Ra Rb R y Ra Rb
RR R3 Ra R y Rb R y
Rx 2 3
R1 R1 R y Ra Rb R y Ra Rb
R2 R3 Ra R y R3 Rb
Rx (7.31)
R1 R y Ra Rb R1 Ra
R2 R3 R R
จาก มการที่ (7.31) R x เมื่อ 3 b ดังนั้น เคลวินบริดจ์จะ ามารถกาจัด ปัญหา
R1 R1 Ra
ความต้านทานของ ายวัดและหน้า ัมผั ของขั้วต่อ ายได้
R
Thermistor
V
R R
Error
Heater Signal
Q Amplifier
V
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบายลักษณะของวีต โตนบริดจ์
2. จงหาค่าความต้านทาน Rx ของวงจรวีต โตนบริดจ์ ใน ภาวะ มดุล กาหนดให้ตัวต้านทาน
R1, R2 และ R3 มีค่าเท่ากับ 20 k, 15 k และ 24 k ตามลาดับ
3. จากค่าความต้านทาน Rx ของวงจรวีต โตนบริดจ์ที่คานวณได้ในคาถามท้ายบทข้อที่ 2 จง
คานวณหากระแ I ที่ไหลออกจากแหล่งจ่ายแรงดัน เมื่อกาหนดให้แหล่งจ่ายมีแรงดัน 3 V
4. จงหากระแ Ig ที่ ไ หลผ่ า นแกลแวนอมิ เ ตอร์ เ มื่ อ วี ต โตนบริ ด จ์ อ ยู่ ใ น ภาวะไม่ มดุ ล
กาหนดให้ตัวต้านทาน R1, R2, R3 และ Rx ในวงจรวีต โตนบริดจ์มีค่าเท่ากับ 1 k, 2 k,
3 k และ 4 k ตามลาดับ แหล่งจ่ายแรงดันมีค่าเท่ากับ 5 V และความต้านทานภายใน
ของแกลแวนอมิเตอร์มีค่าเท่ากับ 200
5. จงอธิบายข้อจากัดของวีต โตนบริดจ์มาจานวน 3 ข้อ
เอก ารอ้างอิง
A. K. Sawhney. (1985). A Course in Electrical and Electronic Measurements and
Instrumentation. Dhanpat Rai&Sons.
Albert D. Helfric and Willian D. Cooper. (1990). Modern Electronic Instrumentation
and Measurement Techniques. Prentice-Hall.
U.A. Bakshi, A. V. Bakshi and K.A. Bakshi. (2009). Electrical Measurements and
Instrumentation. Technical Publications Pune.
ชัยบูรณ์ กัง เจียรณ์. (2550). การวัดและเครื่องมือวัด. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร.
ประยูร เชี่ยววัฒนา. (2537). เครื่องวัดและการวัดทางไฟฟ้า . มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-
ญี่ปุ่น).
มงคล ทอง งคราม. (2534). ทฤษฎีเครื่องวัดไฟฟ้า. รามาการพิมพ์.
ศักรินทร์ โ นันทะ. (2553). เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
เอก ไชย วั ดิ์. (2547). การวัดและเครื่องวัดไฟฟ้า. มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น).
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 8
ไฟฟ้ากระแ ลับ
หัวข้อเนื้อหา
8.1 บทนา
8.2 การค้นพบแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนา
8.3 หลักการของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแ ลับ
8.4 พารามิเตอร์ของ ัญญาณคลื่นไซน์
8.4.1 คาบและความถี่
8.4.2 ความถี่เชิงมุมหรือความเร็วเชิงมุม
8.4.3 แรงดัน ูง ุดหรือแรงดันค่ายอด
8.4.4 แรงดันชั่วขณะ
8.4.5 แรงดันค่ายอดถึงยอด
8.4.6 แรงดันค่าเฉลี่ย
8.4.7 แรงดันประ ิทธิผล และแรงดันค่ารากกาลัง องเฉลี่ย
8.4.8 ฟอร์มแฟกเตอร์
8.4.9 เคร ต์แฟกเตอร์
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการค้นพบแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนา ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานนามา
ซึ่งการประดิษฐ์เครื่องกาเนิดไฟฟ้า
2. เพื่อให้ ผู้ เ รี ย นมีความเข้าใจหลั กการท างานของเครื่องก าเนิดไฟฟ้ าในการผลิ ต ั ญญาณ
กระแ ลับรูปคลื่นไซน์
3. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของ ัญญาณรูปคลื่นไซน์ และ ามารถ
คานวณหาพารามิเตอร์ของ ัญญาณรูปคลื่นไซน์จากรูป ัญญาณได้
6. ผู้ อนทาการซักถาม
7. ผูเ้ รียนศึกษาความรู้เพิ่มเติมด้วยการมอบหมายการบ้าน
ื่อการเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 8
ไฟฟ้ากระแ ลับ
(Alternating Current)
8.1 บทนา
หลังการค้นพบของ ฮาน ์ คริ เตียน เออร์เ ตด ที่พบปรากฏการณ์กระแ ที่ไหลผ่านลวด
ตัวนาทาให้เกิด นามแม่เหล็กล้อมรอบลวดตัวนา ต่อมาไม่นานในปีค.ศ. 1831 ไมเคิล ฟาราเดย์
(Michael Faraday) (รูปที่ 8.1) นักวิทยาศา ตร์ชาวอังกฤษก็ได้ค้นพบว่า เมื่อนาลวดตัวนาตัดผ่าน
นามแม่เหล็กจะทาให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนา (Electromotive Force: emf) ขึ้นในลวด
ตัวนา และหากต่อปลาย องข้างของลวดตัวนาเข้าหากันก็จะเกิดกระแ ไฟฟ้าเหนี่ยวนาไหลผ่านลวด
ตัวนา การค้นพบนี้นามาซึ่งการประดิษฐ์เครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแ ลับ หรือเจนเนอเรอเตอร์ และ
มอเตอร์ไฟฟ้าในเวลาต่อมา
เครื่ อ งก าเนิ ด ไฟฟ้ า กระแ ลั บ จากนั้ น จะได้ อ ธิ บ ายหลั ก การท างานของเครื่ อ งก าเนิ ด ไฟฟ้ า
กระแ ลับ และต่อจากนั้นจะเป็นการอธิบายพารามิเตอร์ที่ าคัญต่าง ๆ ของ ัญญาณคลื่นไซน์
S
N
Motion of conductor
รูปที่ 8.2 การเคลื่อนที่ของลวดตัวนาภายใน นามแม่เหล็ก
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่า งที่ 8.1 จงคานวณหาแรงเคลื่ อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาบนลวดตัว นาที่เคลื่ อนที่ตัดผ่ าน
นามแม่เหล็กที่มีความหนาแน่นฟลักซ์แม่เหล็กเท่ากับ 1 Wb/m2 กาหนดให้ความยาวลวดตัวนา
190 บทที่ 8 ไฟฟ้ากระแ ลับ
A
N S
D
Slip Rings
C Armature
Brushes Load
Galvanometer
รูปที่ 8.3 ่วนประกอบของเครื่องกาเนิดไฟฟ้าเบื้องต้น
เหนี่ยวนาที่เกิดขึ้นจะขึ้นอยู่กับความหนาแน่นฟลักซ์แม่เหล็ก และมุมที่ขดลวดเคลื่อนที่ตัดผ่านฟลักซ์
แม่เหล็ก จึง ามารถแบ่งการทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟ้าออกได้เป็น 5 ช่วง ดังนี้
Electromotive force
B
+
A
N S 0 90 180
270 360
Degree
D
-
C
Electromotive force
B D +
N A C S 0 90 180
270 360
Degree
-
D Electromotive force
+
C
N S 0 90 180
270 360
B Degree
-
A
Electromotive force
D B +
N C A
S 0 90 180
270 360
Degree
-
Electromotive force
B +
A 270 360
0 90 180 Degree
N S
D -
Magnitude
time
Period
T = 1/f (8.2)
เมื่อ T คือ คาบของ ัญญาณ มีหน่วยเป็นวินาที และ f คือ ความถี่ของ ัญญาณ มีหน่วยเป็นรอบต่อ
วินาที (Cycles/s) หรือเฮิรตซ์ (Hertz)
rection
g di 90°
atin
Rot
135° 45°
225° 315°
270° y=-sinx, x?[0,2π]
= 2/T=2f (8.3)
Voltage
Vp
Vrms
Vav
v (t ) VP sin( t) (8.4)
v( ) VP sin( ) (8.5)
N
Vi
Vav i 1 (8.7)
N
1 T /2
Vav v (t )dt (8.9)
T /2 0
1 2 /2
Vav Vp sintdt
2 / 2 0
Vp /
sintdt
0
V
p cost 0 /
V
p cos 1
ดังนั้นจะได้
2Vp
Vav (8.10)
1 T V 2 (t )
P dt (8.11)
T0 R
Veff2
P (8.12)
R
จากนั้ น ให้ ก าลั ง จากแหล่ ง จ่ า ยแรงดั น ทั้ ง องมี ค่ า เท่ า กั น จะ ามารถหาแรงดั น ประ ิ ท ธิ ผ ลได้
ดังต่อไปนี้
Veff2 1 T V 2 (t )
dt
R T0 R
1T 2
Veff V (t )dt
2
T0
1T 2
Veff V (t )dt (8.13)
T0
1T 2
Veff Vrms V (t )dt (8.14)
T0
การหาแรงดัน ค่า รากกาลั ง องเฉลี่ ยของ ั ญญาณคลื่ นไซน์ จะเริ่มพิจ ารณาจาก มการ
ความ ัมพันธ์ระหว่างฟังก์ชันไซน์กาลัง องและฟังก์ชันโคไซน์ ดังต่อไปนี้
1
v 2 (t ) Vp 2 1 cos2t (8.16)
2
2 / 2 1
Vrms Vp 1 cos2t dt
2 0 2
Vp 2 2 /
1 cos2t d 2t
8 0
Vp 2
2t sin2t 20 /
8
Vp 2
4 sin4
8
Vp 2
4
8
Vp 2
2
Vp
Vrms (8.17)
2
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 8.2 ัญญาณคลื่นไซน์จานวน 4 ลูกคลื่นดังรูปที่ 8.1 มีระยะเวลาทั้งหมด 0.25 วินาที
จงหาคานวณหา
ก) แรงดันค่ายอด
ข) แรงดันค่ายอดถึงยอด
ค) แรงดันค่าเฉลี่ย
ง) แรงดันค่ารากกาลัง องเฉลี่ย
จ) คาบ
ฉ) ความถี่
ช) แรงดันชั่วขณะที่เวลา 0.1 วินาที และ
ซ) แรงดันชั่วขณะที่มุม 25 องศา
Voltage
5
Time (sec)
y=-sinx, x∊[0,2π]
0.25
รูปที่ 8.12 ัญญาณคลื่นไซน์ าหรับตัวอย่างที่ 8.1
Vp = 5 V
Vp-p = 2Vp = 10 V
202 บทที่ 8 ไฟฟ้ากระแ ลับ
T = 62.5 ms
f = 1/T (8.19)
f = 1/0.0625 = 16 Hz
2 16 = 100.53 rad/s
FF = Vrms/Vav (8.20)
FF = 0.707Vp/0.636Vp
FF = 1.11 (8.21)
CF = Vp/Vrms (8.22)
CF = Vp/0.707Vp
CF = 1.414 (8.23)
คาถามท้ายบท
1. จงคานวณหาแรงเคลื่อนไฟฟ้าเหนี่ยวนาบนลวดตัวนาที่เคลื่อนที่ตัดผ่าน นามแม่เหล็กที่มี
ความหนาแน่นฟลักซ์แม่เหล็กเท่ากับ 2 Wb/m2 กาหนดให้ความยาวลวดตัวนาเท่ากับ 30
cm เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่ากับ 0.1 m/s และมุมระหว่างทิศทางของ นามแม่เหล็กกับทิศ
ทางการเคลื่อนที่ของลวดตัวนาเท่ากับ 30 องศา
2. จงอธิบายหลักการทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแ ลับ
3. จงอธิบายความหมายของฟอร์มแฟกเตอร์
4. จงอธิบายความหมายของเคร ต์แฟกเตอร์
5. ัญญาณคลื่นไซน์จานวน 10 ลูกคลื่น มีระยะเวลาทั้งหมด 5 วินาที จงหาคานวณหา
ก) แรงดันค่ายอด
ข) แรงดันค่ายอดถึงยอด
ค) แรงดันค่าเฉลี่ย
ง) แรงดันค่ารากกาลัง องเฉลี่ย
จ) คาบ
ฉ) ความถี่
ช) แรงดันชั่วขณะที่เวลา 0.5 วินาที และ
ซ) แรงดันชั่วขณะที่มุม 45 องศา
บทที่ 8 ไฟฟ้ากระแ ลับ 205
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
เอก ารอ้างอิง
ศักรินทร์ โ นันทะ. (2553). เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
บรรจง จันทมาศ. (2554). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้ากระแ ลับ. มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น).
http://en.wikipedia.org/wiki/Crest_factor
http://en.wikipedia.org/wiki/Form_factor_%28electronics%29
http://www.ep2000.com/templates/white%20papers/CrestFactorEP.pdf
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 9
ไดโอดและการประยุกต์ใช้ในตัวเรียงกระแ
หัวข้อเนื้อหา
9.1 บทนา
9.2 ่วนประกอบของไดโอด
9.3 รอยต่อพีเอ็นและบริเวณปลอดพาหะ
9.4 การไบแอ ไดโอด
9.5 คุณลักษณะกระแ และแรงดันของไดโอด
9.6 การหากระแ และแรงดันของวงจรไดโอดด้วยวิธีวาดเ ้นโหลด
9.7 แบบจาลองเชิงเ ้นเป็นช่วงของไดโอด
9.7.1 การหาค่าความชันของกราฟเ ้นตรงและการหาตาแหน่งจุดแยก
9.8 การประยุกต์ใช้ไดโอดในตัวเรียงกระแ
9.8.1 การประยุกต์ใช้ไดโอดในตัวเรียงกระแ แบบครึ่งคลื่น
9.8.2 ค่าเฉลี่ยของแรงดันเอาต์พุตของตัวเรียงกระแ แบบครึ่งคลื่น
9.8.3 ค่าเฉลี่ยของกระแ เอาต์พุตของตัวเรียงกระแ แบบครึ่งคลื่น
9.8.4 การประยุกต์ใช้ไดโอดในตัวเรียงกระแ แบบเต็มคลื่นชนิดบริดจ์
9.8.5 ค่าเฉลี่ยของแรงดันเอาต์พุตของตัวเรียงกระแ แบบเต็มคลื่นชนิดบริดจ์
9.8.6 ค่าเฉลี่ยของกระแ เอาต์พุตของตัวเรียงกระแ แบบเต็มคลื่นชนิดบริดจ์
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ ่วนประกอบของไดโอด รอยต่อพีเอ็น และบริเวณปลอดพาหะ
2. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจชนิดของการไบแอ ไดโอด
3. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจกราฟคุณลักษณะกระแ และแรงดันของไดโอด และ ามารถ
คานวณหาค่ากระแ อิ่มตัว
4. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการหากระแ และแรงดันของวงจรไดโอดด้วยวิธีวาดเ ้นโหลด
5. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจแบบจาลองเชิงเ ้นเป็นช่วงของไดโอด การหาค่าความชันของ
กราฟ และการหาตาแหน่งจุดแยก
6. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการประยุกต์ใช้ไดโอดในตัวเรียงกระแ แบบต่าง ๆ และการ
วิเคราะห์ทางคณิตศา ตร์
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 9 207
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
ื่อการเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 9
ไดโอดและการประยุกต์ใช้ในตัวเรียงกระแ
(Diode and Its Application in Rectifiers)
9.1 บทนา
เนื่องจากเครื่องมือวัดพีเอ็มเอ็มซีได้รับการออกแบบมา าหรับวัดไฟฟ้ากระแ ตรง การนามา
วัดไฟฟ้ากระแ ลับโดยตรงจะทาไม่ได้ จึงต้องอาศัยตัวเรียงกระแ (Rectifier) ซึ่งบังคับกระแ ให้
ไหลได้ในทิศทางเดียว ตัวเรียงกระแ จึงทาหน้าที่เปลี่ยนไฟฟ้ากระแ ลับให้เป็นไฟฟ้ากระแ ตรง
ไดโอดเป็น ่วนประกอบที่ าคัญของวงจรของตัวเรียงกระแ และเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก ์แบบไม่
เป็นเชิงเ ้นที่มีความ าคัญอย่างมากในวงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิก ์ประเภทอื่น ๆ หัวข้อนี้จึงจะได้
อธิบาย ่วนประกอบของไดโอด รอยต่อพีเอ็นและบริเวณปลอดพาหะ การไบแอ ไดโอด คุณลักษณะ
กระแ และแรงดันของไดโอด การหากระแ และแรงดันของไดโอดด้วยวิธีวาดเ ้นโหลด แบบจาลอง
เชิงเ ้นเป็นช่วงของไดโอด จากนั้นจึงจะได้อธิบายการประยุกต์ไดโอดในตัวเรียงกระแ แบบต่าง ๆ
Depletion
Region
P-type N-type
Cathode Anode
PN Junction
รูปที่ 9.1 รอยต่อพีเอ็นและบริเวณปลอดพาหะ
P-type N-type
Cathode Anode
R PN Junction
I
V
รูปที่ 9.2 การไบแอ ไปหน้า
Depletion Region
P-type N-type
Cathode Anode
PN Junction
V
v
VT
i IS (e 1) (9.1)
i
v VT ln 1 (9.2)
IS
0.9
0.8
0.7
0.6
i (Ampere) 0.5
0.4
0.3
0.2
0.1
00 0.1 0.2 0.3 0.4 0.5 0.6 0.7 0.8 0.9
v (volts)
รูปที่ 9.4 ตัวอย่างกราฟคุณลักษณะกระแ และแรงดันของไดโอดเมื่อกาหนดให้
VT = 0.0259 V, 2 และ I S 60 10 9 A
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 9.1 จากกราฟคุณลักษณะกระแ และแรงดันของไดโอดเรียงกระแ เบอร์ 1N400X ใน
รูปที่ 9.5 จงคานวณหาค่ากระแ อิ่มตัว
VT = 0.0257 V
0.8
0.25 IS (e 2 0.0257
1) (9.3)
แก้ มการที่ (9.3) เพื่อหาค่าของ Is จะได้
0.8
I S 0.25 / ( e 1) 43.5 10 9 A
2 0.0257
____________________________________________________________________
214 บทที่ 9 ไดโอดและการประยุกต์
v
VT
i IS (e ) (9.4)
v2 v1
i2 VT
e (9.5)
i1
i2
v v2 v1 VT ln (9.6)
i1
i (Ampere)
RS ID
VS/RS
VS VD Q-point
ID
Load line
0 VD VS v (volts)
(ก) (ข)
รูปที่ 9.6 (ก) วงจรไดโอด (ข) เ ้นโหลดที่วาดลงบนกราฟคุณลักษณะกระแ และแรงดันของไดโอด
VS ID RS VD (9.7)
VS VD
ID (9.8)
RS
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 9.2 จากรูปที่ 9.6 (ก) กาหนดให้ VS = 5 V ตัวต้านทาน RS = 100 แรงดันเชิงความ
ร้อน VT = 0.0257 V กระแ อิ่มตัว IS = 43.5 nA และ ัมประ ิทธิ์การปล่อย ≅ 2 จงหาค่า
แรงดันตกคร่อมและกระแ ไหลผ่านไดโอด ด้วยวิธีการวาดเ ้นโหลดลงบนกราฟคุณลักษณะกระแ
และแรงดันของไดโอด และใช้วิธีการคานวณซ้าเพื่อหาค่าที่ถูกต้อง
ID = (5-0.7)/100 = 0.043 A
0.043
VD 2 0.0257ln 9
1 0.7095 V
43.5 10
ID = (5-0.7095)/100 = 0.043 A
0.1
0.09
0.08
0.07
0.06
ID (Ampere)
0.05
0.04
0.03
0.02
0.01
00 0.5 1 1.5 2 2.5 3 3.5 4 4.5 5 5.5
VD (volts)
รูปที่ 9.7 เ ้นโหลดบนกราฟคุณลักษณะกระแ และแรงดันของไดโอดในตัวอย่างที่ 9.2
____________________________________________________________________
0 v (volts)
i i (Ampere)
i (v VD 0 ) / RD (9.9)
i (Ampere)
i2
v2 v1
RD
i2 i1
i1
0
0
VD0
v1 v2 v (volts)
รูปที่ 9.10 การกาหนดจุดบนกราฟเ ้นโค้งเพื่อหาความชันของกราฟเ ้นตรงและตาแหน่งของจุดแยก
0.014
0.012
0.01
i (Ampere) 0.008
0.006
0.004
0.002
0.1
v 2 0.0257ln 0.2011 V
0.002
RD = 0.2011/(0.1-0.002) = 2.052
0.1
v2 2 0.0257 ln 9
1 0.7529 V
43.5 10
(ก) (ข)
รูปที่ 9.12 (ก) ตัวเรียงกระแ แบบครึ่งคลื่น และ (ข) การใช้แบบจาลองเชิงเ ้นแบบเป็นช่วงของ
ไดโอดในวงจรตัวเรียงกระแ แบบครึ่งคลื่น
RL
VO (t ) VD 0 (9.11)
RL RD
RL
VO (t ) VS (t ) (9.12)
RL RD
RL
VO (t ) (VS (t ) VD 0 ) (9.13)
RL RD
RL
โดยปกติแล้ว RL>> RD ดังนั้น 1 ดังนั้น ามารถ รุปได้ว่า
RL RD
Vo (t ) Vs (t ) VD 0 (9.14)
Amplitude Vs(t)
Vo(t) VD0
time
1T
Vav Vdc Vo t dt (9.15)
T0
1 2 /
Vav Vp sint VD 0 dt
2 / 0
1 2 /
Vp sint VD 0 dt
2 0
1 2 / 2 /
Vp sintdt VD 0 dt
2 0 0
1 / 2 / / 2 /
Vp sintdt 0dt VD 0 dt 0dt
2 0 / 0 /
1 / /
Vp sintdt VD 0 dt
2 0 0
1
Vp cost 0 / VD 0 t 0 /
2
1
Vp cos 1 VD 0
2
1
2Vp VD 0
2
V V
p D0
2
ดังนั้นจะได้
12
10
Percent of relative error
VP sin( t ) VD 0
Io (t ) (9.17)
RL
ดังนั้น จะได้
บทที่ 9 ไดโอดและการประยุกต์ใช้ในตัวเรียงกระแ 225
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
0.318Vp 0.5VD 0
Idc (9.18)
RL
0.5VD 0
Idc 0.318I p (9.19)
RL
D1 D2
Vo(t)
Vs(t)
RL
D3 D4
D1 D2
Ide
0
VD
al
RD
RD
Vo(t)
al
V D0
Ide
Vs(t)
RL
Ide
0
VD
al
D3
RD
D4
RD
al
Ide
V D0
รูปที่ 9.16 การใช้แบบจาลองเชิงเ ้นเป็นช่วงของไดโอดในตัวเรียงกระแ แบบเต็มคลื่นชนิดบริดจ์
RL
VO (t ) 2 VD 0 (9.20)
RL 2 RD
RL
VO (t ) VS (t ) (9.21)
RL 2 RD
RL
VO (t ) (VS (t ) 2 VD 0 ) (9.22)
RL 2 RD
RL
โดยปกติแล้ว RL>> RD ดังนั้น 1 ดังนั้น ามารถ รุปได้ว่า
RL 2 RD
Vo (t ) Vs (t ) 2 VD 0 (9.23)
บทที่ 9 ไดโอดและการประยุกต์ใช้ในตัวเรียงกระแ 227
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
Amplitude
Vs(t)
2VD0 Vo(t)
time
1 2 /
Vav Vp sint 2 VD 0 dt
2 / 0
1 2 /
Vp sint 2 VD 0 dt
2 0
1 2 /
Vp sintdt 2 VD 0 dt
2 /
2 0 0
228 บทที่ 9 ไดโอดและการประยุกต์
2 0
1 /
pV sin td t
2 /
p
/
V sin td t /
0
2 VD0
d t
2 /
/
2 VD 0 dt
1
Vp cost 0 / Vp cost 2// 2 VD 0 t 0 2 VD 0 t /
/ 2 /
2
1
Vp cos 1 Vp cos2 cos 2 VD 0 2 VD 0 2
2
1
2 Vp 2 Vp 2 VD 0 2 VD 0
2
1
4 Vp 4 VD 0
2
2 V
p 2 VD 0
ดังนั้นจะได้
VP sin( t ) 2VD 0
Io (t ) (9.25)
RL
ดังนั้น จะได้
0.636Vp 2VD 0
Idc (9.26)
RL
2VD 0
Idc 0.636I p (9.27)
RL
บทที่ 9 ไดโอดและการประยุกต์ใช้ในตัวเรียงกระแ 229
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
100
95
Percent of difference
90
85
80
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบาย ่วนประกอบของไดโอด
2. จงอธิบายวิธีการไบแอ ไดโอด
3. กาหนดให้ VS = 5 V ตัวต้านทาน RS = 500 แรงดันเชิงความร้อน VT = 0.0257 V
กระแ อิ่มตัว IS = 50 nA และ ัมประ ิทธิ์การปล่อย ≅ 2 จงหาค่าแรงดันตกคร่อมและ
230 บทที่ 9 ไดโอดและการประยุกต์
เอก ารอ้างอิง
ระวี พรหมหลวงศรี . (2555). เอก ารประกอบการ อนวิ ช าวิ ศ วกรรมอิ เ ล็ ก ทรอนิ ก ์ 1.
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
http://en.wikipedia.org/wiki/Diode
http://whites.sdsmt.edu/classes/ee320/
แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 10
โวลต์มเิ ตอร์กระแ ลับ
หัวข้อเนื้อหา
10.1 บทนา
10.2 การขยายพิ ัยการวัดโวลต์มิเตอร์กระแ ลับ
10.2.1 แบบตัวเรียงกระแ ครึ่งคลื่นพิ ัยการวัดเดียว
10.2.2 แบบตัวเรียงกระแ ครึ่งคลื่นหลายพิ ัยการวัด
10.2.3 แบบตัวเรียงกระแ เต็มคลื่นชนิดบริดจ์พิ ัยการวัดเดียว
10.2.4 แบบตัวเรียงกระแ เต็มคลื่นชนิดบริดจ์หลายพิ ัยการวัด
10.3 ความต้านทานภายในและความไวกระแ ลับของโวลต์มิเตอร์กระแ ลับ
10.3.1 แบบตัวเรียงกระแ ครึ่งคลื่น
10.3.2 แบบตัวเรียงกระแ เต็มคลื่นชนิดบริดจ์
วัตถุประ งค์เชิงพฤติกรรม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจการขยายพิ ัยการวัดโวลต์มิเตอร์กระแ ลับแบบต่าง ๆ
2. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาค่าตัวต้านทานอนุกรมที่ต่อเข้ากับเครื่องมือวัดแบบพีเอ็ม
เอ็มซีเพื่อ ร้างโวลต์มิเตอร์กระแ ลับแบบต่าง ๆ
3. เพื่อให้ผู้เรียน ามารถคานวณหาค่าความต้านทานภายในและความไวกระแ ลับของโวลต์
มิเตอร์กระแ ลับแบบต่าง ๆ
ื่อการเรียนการ อน
1. เอก ารประกอบการ อนวิชาเครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
232 แผนบริหารการ อนประจาบทที่ 10
2. ภาพเลื่อน
การวัดและการประเมินผล
1. ประเมินจากการซักถามในชั้นเรียน
2. ประเมินจากความร่วมมือและความรับผิดชอบต่อการเรียน
3. ประเมินจากการทาแบบฝึกหัดทบทวนท้ายบทเรียน
บทที่ 10
โวลต์มเิ ตอร์กระแ ลับ
(AC Voltmeter)
10.1 บทนา
เครื่องมือวัดแรงดันกระแ ลับหรือโวลต์มิเตอร์กระแ ลับเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดแรงดันของ
ัญญาณคลื่นไซน์ โวลต์มิเตอร์กระแ ลับ ามารถออกแบบด้วยเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซี แต่
เนื่องจากเครื่องมือวัดแบบพีเอ็มเอ็มซีได้รับการออกแบบให้วัดแรงดันกระแ ตรง การนาเครื่องมือวัด
แบบพีเอ็มเอ็มซีไปวัดแรงดันกระแ ลับโดยตรงจึงไม่ ามารถทาได้ จึงต้องอาศัยตัวเรียงกระแ เพื่อ
เปลี่ยนแรงดันกระแ ลับให้เป็นแรงดันกระแ ตรง ดังนั้น โวลต์มิเตอร์กระแ ลับจะแบ่งตามชนิด
ของตัวเรียงกระแ ได้แก่ โวลต์มิเตอร์กระแ ลับชนิดตัวเรียงกระแ ครึ่งคลื่น และโวลต์มิเตอร์
กระแ ลับชนิดตัวเรียงกระแ เต็มคลื่นชนิดบริดจ์ ในบทนี้จะได้อธิบายวิธีการขยายพิ ัยการวัดโวลต์
มิเตอร์กระแ ลับ ของโวลต์มิเตอร์ทั้ง องชนิด ทั้งแบบขยายพิ ัยการวัดเดียวและแบบหลายพิ ัย
การวัดหรือแบบยูนิเวอร์แซล รวมถึงอธิบายการหาความต้านทานภายในโวลต์มิเตอร์กระแ ลับที่จะ
มีผลถึงการคานวณค่าความไวกระแ
Rs Ifs=Idc
Rm
Vrms
0.5VD 0
Idc 0.318I p (10.1)
RL
0.5VD 0
Idc I fs 0.318I p (10.3)
Rs Rm
แก้ มการที่ (10.3) เพื่อหาค่าของ Ip จะได้
I fs Rs Rm 0.5VD 0
Ip (10.4)
0.318 Rs Rm
0.707
Vrms I fs Rs Rm 0.5VD 0
0.318
2.22I fs Rs Rm 0.5VD 0 (10.6)
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 10.1 จงหาค่าของตัวต้านทานอนุกรม Rs ในวงจรพื้นฐานโวลต์มิเตอร์กระแ ลับ แบบตัว
เรียงกระแ ครึ่งคลื่นพิ ัยการวัดเดียวที่ แ ดงในรูปที่ 10.3 เมื่อต้องการวัดแรงดันค่ารากกาลัง อง
เฉลี่ยของไฟฟ้ากระแ ลับได้ ูง ุด 20 V กาหนดให้แรงดัน VD0 ของไดโอดมีค่าเท่ากับ 0.6 V
กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกลเท่ากับ 0.1 mA และความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่เท่ากับ 1000
Rs Ifs=0.1 mA
1000
20 V
วิธีทา ใช้ มการที่ (10.7) หาค่าตัวต้านทานอนุกรม Rs แทนค่า Vrms = 20 V, VD0 = 0.6 V, Ifs =
0.1 mA และ Rm = 1000 จะได้
ในช่ว งไบแอ ไปหน้ าและจะน ากระแ แต่กระแ จะไม่ไหลผ่ านตั ว ต้านทาน Rsh และ Rm ตั ว
ต้านทานชันต์ Rsh ที่ต่อเพิ่มเข้าไปจะกาหนดให้มีค่าเท่ากับ Rm เนื่องจากการต่อตัวต้านทานที่มีค่า
เท่ากันขนานกันจะทาให้ความต้านทานรวมมีค่าลดลงครึ่งหนึ่งจากความต้านทานของแต่ละตั ว การที่
ความต้านทานรวมลดลงครึ่งหนึ่งจะ ่งผลให้กระแ ที่ไหลผ่านไดโอด D1 มีค่าเพิ่มขึ้น องเท่า และทา
ให้จุดทางานของไดโอดในช่วงไบแอ ไปหน้า อยู่ในช่วงการทางานที่เป็นเชิงเ ้นในกราฟคุณลักษณะ
กระแ และแรงดันของไดโอด ่งผลให้ รูปร่างของกระแ ที่ไหลผ่านไดโอดไปเป็นตามรูปร่างของ
แรงดันที่ตกคร่อมไดโอด จึงไม่ทาให้เกิดความผิดเพี้ยนมากเหมือนกันช่วงการทางานที่ไม่เป็นเชิงเ ้น
Rs
D1 Rm
Vrms D2 Rsh
0.45Vrms 0.5VD 0
Rs 0.5Rm (10.8)
2 I fs
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 10.2 จงคานวณหาค่าของตัวต้านทานอนุกรม Rs จากวงจรที่อยู่ในรูปที่ 10.5 เมื่อ
ต้องการวัดแรงดันค่ารากกาลัง องเฉลี่ยของไฟฟ้ากระแ ลับได้ ูง ุดที่ 20 V กาหนดให้แรงดัน VD0
ของไดโอดมีค่าเท่ากับ 0.6 V กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกลเท่ากับ 0.1 mA และความต้านทานของ
ขดลวดเคลื่อนที่เท่ากับ 1000
238 บทที่ 10 โวลต์มเิ ตอร์กระแ ลับ
Rs D1
1000
20 V D2 1000
Ra = Rs1 (10.9)
Rb = Rs2-Rs1 (10.10)
Rc = Rs3-Rs2 (10.11)
Rc Rb Ra D1
Rm
V2 D2 Rsh
V3 V1
Vrms
รูปที่ 10.6 วงจรโวลต์มิเตอร์กระแ ลับแบบตัวเรียงกระแ ครึ่งคลื่นหลายพิ ัยการวัด
____________________________________________________________________
บทที่ 10 โวลต์มเิ ตอร์กระแ ลับ 239
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
Rc Rb Ra D1 Ifs=100 uA
Rm 200
50 V D2 Rsh
30 V 200
70 V
Vrms
รูปที่ 10.7 วงจรโวลต์มิเตอร์กระแ ลับ าหรับตัวอย่างที่ 10.3
วิธีทา ใช้ มการที่ (10.8) หาค่า Rs1 แทนค่า Vrms = 30 V, VD0 = 0.6 V, Rm = 200 และ Ifs =
100 uA จะได้
ใช้ มการที่ (10.8) หาค่า Rs2 แทนค่า Vrms = 50 V, VD0 = 0.6 V, Rm = 200 และ Ifs
= 100 uA ใน มการ จะได้
ใช้ มการที่ (10.8) หาค่า Rs3 แทนค่า Vrms = 70 V, VD0 = 0.6 V, Rm = 200 และ Ifs
= 100 uA ใน มการ จะได้
Ra = 66.725 k
ใช้ มการที่ (10.10) ในการหาค่า Rb แทนค่า Rs2 = 111.725 k และ Rs1 = 66.725
k จะได้
Rb = 111.725 k - 66.725 k = 45 k
ใช้ มการที่ (10.11) ในการหาค่า Rc แทนค่า Rs3 = 156.725 k และ Rs2 = 111.725
k จะได้
Rc = 156.725 k - 111.725 k = 45 k
____________________________________________________________________
2VD 0
Idc 0.636I p (10.12)
RL
2VD 0
Idc I fs 0.636I p (10.14)
Rs Rm
แก้ มการที่ (10.14) เพื่อหาค่าของ Ip จะได้
I fs Rs Rm 2VD 0
Ip (10.15)
0.636 Rs Rm
0.707
Vrms I fs Rs Rm 2VD 0
0.636
1.11I fs Rs Rm 2VD 0 (10.17)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัวอย่างที่ 10.4 จงหาค่าของตัวต้านทานอนุกรม Rs ในวงจรโวลต์มิเตอร์กระแ ลับแบบตัวเรียง
กระแ เต็มคลื่นชนิดบริดจ์พิ ัยการวัดเดียวที่แ ดงในรูปที่ 10.9 เมื่อต้องการวัดแรงดันค่ารากกาลัง
องเฉลี่ยของไฟฟ้ากระแ ลับได้ ูง ุด 20 V กาหนดให้แรงดัน VD0 ของไดโอดมีค่าเท่ากับ 0.6 V
กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกลเท่ากับ 0.1 mA และความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่เท่ากับ 1000
Rs
D1 D2
20 V Ifs=0.1 mA
Rm 1000
D3 D4
วิธีทา ใช้ มการที่ (10.18) หาค่าตัวต้านทานอนุกรม Rs แทนค่า Vrms = 20 V, VD0 = 0.6 V, Ifs =
0.1 mA และ Rm = 1000 จะได้
0.9 20 2 0.6
Rs 1000 = 168.2 k
0.1 103
____________________________________________________________________
Ra = Rs1 (10.19)
Rb = Rs2-Rs1 (10.20)
Rc = Rs3-Rs2 (10.21)
Rc Rb Ra
D1 D2
V2
V3 V1 Rm
D3 D4
Vrms
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 10.5 จงหาค่าของ Ra, Rb และ Rc ในวงจรโวลต์มิเตอร์กระแ ลับชนิดตัวเรียงกระแ เต็ม
คลื่นชนิดบริดจ์หลายพิ ัยการวัด ดังแ ดงในรูปที่ 10.11 กาหนดให้ V1, V2 และ V3 เท่ากับ 30 V,
50 V และ 70 V ตามลาดับ และแรงดัน VD0 ของไดโอดมีค่าเท่ากับ 0.6 V กระแ เบี่ยงเบนเต็ม เกล
เท่ากับ 100 uA และความต้านทานของขดลวดเคลื่อนที่เท่ากับ 200
Rc Rb Ra
D1 D2
Ifs=100 uA
50 V
70 V 30 V Rm 200
D3 D4
Vrms
วิธีทา ใช้ มการที่ (10.18) หาค่า Rs1 แทนค่า Vrms = 30 V, VD0 = 0.6 V, Rm = 200 และ Ifs =
100 uA จะได้
0.9 30 2 0.6
Rs 1 200 = 259 k
100 106
ใช้ มการที่ (10.18) หาค่า Rs2 แทนค่า Vrms = 50 V, VD0 = 0.6 V, Rm = 200 และ Ifs
= 100 uA ใน มการ จะได้
0.9 50 2 0.6
Rs 2 200 = 439 k
100 106
ใช้ มการที่ (10.18) หาค่า Rs3 แทนค่า Vrms = 70 V, VD0 = 0.6 V, Rm = 200 และ Ifs
= 100 uA ใน มการ จะได้
0.9 70 2 0.6
Rs 3 200 = 619 k
100 106
Ra = 259 k
ใช้ มการที่ (10.20) ในการหาค่า Rb แทนค่า Rs2 = 439 k และ Rs1 = 259 k จะได้
ใช้ มการที่ (10.21) ในการหาค่า Rc แทนค่า Rs3 = 619 k และ Rs2 = 439 k จะได้
Rin
Sac (10.25)
Vrms
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 10.6 จงหาความต้านทานภายในและความไวกระแ ลับแต่ละพิ ัยการวัด V1, V2 และ
V3 ของโวลต์มิเตอร์กระแ ลับชนิดตัวเรียงกระแ ครึ่งคลื่นที่ออกแบบในตัวอย่างที่ 10.4
246 บทที่ 10 โวลต์มเิ ตอร์กระแ ลับ
Rin1 Rm Ra (10.26)
Rin2 Rm Ra Rb (10.27)
Rin3 Rm Ra Rb Rc (10.28)
____________________________________________________________________
ตัวอย่างที่ 10.7 จงหาความต้านทานภายในและความไวกระแ ลับแต่ละพิ ัยการวัด V1, V2 และ
V3 ของโวลต์มิเตอร์กระแ ลับชนิดตัวเรียงกระแ เต็มคลื่นชนิดบริดจ์ที่ออกแบบในตัวอย่างที่ 10.5
ใช้ มการที่ (10.25) หาความไวกระแ ลับพิ ัยการวัด V1 แทนค่า Rin1 = 259.2 k และ
Vrms = 30 V จะได้
ใช้ มการที่ (10.25) หาความไวกระแ ลับพิ ัยการวัด V2 แทนค่า Rin2 = 439.2 k และ
Vrms = 50 V จะได้
ใช้ มการที่ (10.25) หาความไวกระแ ลับพิ ัยการวัด V3 แทนค่า Rin3 = 619.2 k และ
Vrms = 70 V จะได้
คาถามท้ายบท
1. จงหาค่าของตัวต้านทานอนุกรม Rs ในวงจรพื้นฐานโวลต์มิเตอร์กระแ ลับแบบตัวเรียง
กระแ ครึ่งคลื่นพิ ัยการวัดเดียว เมื่อต้องการวัดแรงดันค่ารากกาลัง องเฉลี่ยของไฟฟ้า
กระแ ลับได้ ูง ุด 30 V กาหนดให้แรงดัน VD0 ของไดโอดมีค่าเท่ากับ 0.65 V กระแ
เบี่ยงเบนเต็ม เกลเท่ากับ 0.1 mA และความต้านทานขดลวดเคลื่อนที่เท่ากับ 1200
บทที่ 10 โวลต์มเิ ตอร์กระแ ลับ 249
เอก ารประกอบการ อนวิชาเครือ่ งมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า
เอก ารอ้างอิง
A. K. Sawhney. (1985). A Course in Electrical and Electronic Measurements and
Instrumentation. Dhanpat Rai&Sons.
Albert D. Helfric and Willian D. Cooper. (1990). Modern Electronic Instrumentation
and Measurement Techniques. Prentice-Hall.
U.A. Bakshi, A. V. Bakshi and K.A. Bakshi. (2009). Electrical Measurements and
Instrumentation. Technical Publications Pune.
ชัยบูรณ์ กัง เจียรณ์. (2550). การวัดและเครื่องมือวัด. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร.
ประยูร เชี่ยววัฒนา. (2537). เครื่องวัดและการวัดทางไฟฟ้า . มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-
ญี่ปุ่น).
มงคล ทอง งคราม. (2534). ทฤษฎีเครื่องวัดไฟฟ้า. รามาการพิมพ์.
ศักรินทร์ โ นันทะ. (2553). เครื่องมือวัดและการวัดทางไฟฟ้า. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
เอก ไชย วั ดิ์. (2547). การวัดและเครื่องวัดไฟฟ้า. มาคม ่งเ ริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น).
บรรณานุกรม