Professional Documents
Culture Documents
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนากร น้าหอมจันทร์
สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและพลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
วงจรไฟฟ้า 1
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนากร น้าหอมจันทร์
สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและพลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
วงจรไฟฟ้า 1
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธนากร น้าหอมจันทร์
สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและพลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558
การน้าส่วนหนึ่งส่วนใด เพื่อตีพิมพ์ ท้าซ้า ดัดแปลงหรือประโยชน์
อันหนึ่งอันใดเป็นพิเศษ ต้องได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
ข้อมูลทางบรรณานุกรมของส้านักหอสมุดแห่งชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
ธนากร น้าหอมจันทร์.
วงจรไฟฟ้า 1.-- ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย, 2561.
342 หน้า.
1. วงจรไฟฟ้า. I. ชื่อเรื่อง.
621.3192
ISBN 978-974-398-134-0
ผู้รับผิดชอบการจัดพิมพ์
มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
200 หมู่ 1 ถนนรังสิต-นครนายก ต้าบลรังสิต อ้าเภอธัญบุรี ปทุมธานี 12110
โทรศัพท์ 0-2277-1028 โทรสาร 0-2577-1023
จัดพิมพ์โดย
ศูนย์ผลิตเอกสารทางวิชาการ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
200 หมู่ 1 ถนนรังสิต-นครนายก ต้าบลรังสิต อ้าเภอธัญบุรี ปทุมธานี 12110
โทรศัพท์ 0-2277-1028 โทรสาร 0-2577-1023
คำนำ
วงจรไฟฟ้า 1 เล่มนี้ เรียบเรียงขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตรวิศวกรรมไฟฟ้าและ
พลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ซึ่งเป็นรายวิชาพื้นฐานที่สาคัญสาหรับศึกษาใน
สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า และรายวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรมที่กาหนดโดย สภาวิศวกร
หนังสือเล่มนี้ได้เรียบเรียงขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์
วงจรไฟฟ้า ซึ่งกล่าวถึง ความต้านทาน ความเหนี่ยวนาไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า และองค์ประกอบของวงจรไฟฟ้า
การวิเคราะห์วงจรด้วยระเบียบวิธีแรงดัน โนด และกระแสเมซ ทฤษฎีวงจร ได้แก่ ทฤษฎีการทับซ้อน ทฤษฎี
ของเทวินิน ทฤษฎีของนอร์ตัน และการส่งผ่านกาลังไฟฟ้าสูงสุด รวมถึง ออปแอมป์ และวงจรขยายแบบต่าง ๆ
ตัวเก็บ ประจุและตัวเหนี่ยวน า พร้อมทั้งเพิ่มเติมด้วยสารสนเทศและเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้
ผู้เขียนได้สอดแทรกการนาโปรแกรม PSpice Student Version มาใช้จาลองเหตุการณ์ขอวงจร เพื่อเป็นการ
ยืนยันและตรวจสอบผลการคานวณ โดยมีการอธิบายการใช้งานโปรแกรมเบื้องต้นในภาคผนวก และมีการ
อธิบายการใช้งานเพิ่มเติมในแต่ละหัวข้อที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
วงจรไฟฟ้า 1 แบ่งออกเป็น 6 บท เนื้อหาโดยรวมมี ดังนี้
บทที่ 1 แนวคิดเบื้ องต้น และคาจ ากัดความ เป็ น การน าความรู้ท างคณิ ต ศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ โดยอธิบายถึง ระบบหน่วย ประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า กาลังไฟฟ้า
และพลังงานไฟฟ้า องค์ป ระกอบของวงจรไฟฟ้า การคานวณค่าใช้จ่ายพลั งงานไฟฟ้า และการประยุกต์ใช้
แนวคิดเบื้องต้น คือ หลอดภาพลาอิเล็กตรอน
บทที่ 2 กฎพื้นฐาน เป็นการอธิบายถึง กฎพื้นฐานที่สาคัญสาหรับวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า โดยอธิบายถึง
กฎของโอห์ ม กิ่ ง โนด ลู ป เมซ กฎของเคอร์ ช อฟฟ์ ตั ว ต้ า นทานต่ อ อนุ ก รมและการแบ่ ง แรงดั น ไฟฟ้ า
ตัว ต้ านทานต่ อขนานและการแบ่ งกระแสไฟฟ้ า การแปลงรูป วงจรระหว่างแบบวายกั บ แบบเดลตา การ
วิเคราะห์วงจรไฟฟ้า โดยใช้ PSpice Student Version และการประยุกต์ใช้กฎพื้นฐาน ได้แก่ การออกแบบ
ระบบส่ องสว่าง การออกแบบมาตรวัดไฟฟ้ากระแสตรง การออกแบบระบบวัดไฟฟ้าแรงดันสูงกระแสตรง
สาหรับห้องปฏิบัติการวิศวกรรมไฟฟ้าแรงสูง และระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ตามลาดับ
บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิเคราะห์วงจร เป็นการอธิบายถึง การประยุกต์ใช้กฎพื้นฐานสาหรับการวิเคราะห์
วงจรไฟฟ้า คือ ระเบียบวิธีแรงดันโนด และระเบียบวิธีกระแสเมซ โดยอธิบายถึง การวิเคราะห์วงจร ระเบียบวิธี
แรงดันโนด ระเบียบวิธีแรงดันโนดในวงจรแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า ระเบียบวิธีกระแสเมซ ระเบียบวิธีกระแสเมซ
ในวงจรแหล่ งจ่ ายกระแสไฟฟ้ า การวิเคราะห์ วงจรไฟฟ้า โดยใช้ PSpice Student Version การวิเคราะห์
วงจรไฟฟ้า โดยใช้ MATLAB และการประยุกต์ใช้ ระเบี ยบวิธีการวิเคราะห์ วงจร ได้แก่ การวิเคราะห์ วงจร
ทรานซิส เตอร์ และเครื่ องจั กกลไฟฟ้ ากระแสตรง คื อ เครื่อ งกาเนิ ดไฟฟ้ ากระแสตรง และ มอเตอร์ไฟฟ้ า
กระแสตรง ตามลาดับ
ข
(ผศ.ธนากร น้าหอมจันทร์)
สารบัญ
หน้า
บทที่ 1 แนวคิดเบื้องต้นและคาจากัดความ 1
1.1 บทนา 1
1.2 ระบบหน่วย 3
1.3 ประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า 8
1.4 แรงดันไฟฟ้า 14
1.5 กาลังไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้า 16
1.6 องค์ประกอบของวงจรไฟฟ้า 19
1.7 การคานวณค่าใช้จ่ายพลังงานไฟฟ้า 22
1.8 การประยุกต์ใช้แนวคิดเบื้องต้น 27
1.9 บทสรุป 28
1.10 แบบฝึกหัดท้ายบท 29
รายการเอกสารอ้างอิง 31
บทที่ 2 กฎพื้นฐาน 33
2.1 บทนา 33
2.2 กฎของโอห์ม 33
2.3 กิ่ง โนด ลูป เมซ 43
2.4 กฎของเคอร์ชอฟฟ์ 45
2.5 ตัวต้านทานต่ออนุกรมและการแบ่งแรงดันไฟฟ้า 52
2.6 ตัวต้านทานต่อขนานและการแบ่งกระแสไฟฟ้า 54
2.7 การแปลงรูปวงจรระหว่างแบบวายกับแบบเดลตา 63
2.8 การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า โดยใช้ PSpice Student Version 69
2.9 การประยุกต์ใช้กฎพื้นฐาน 72
2.10 บทสรุป 85
2.11 แบบฝึกหัดท้ายบท 88
รายการเอกสารอ้างอิง 94
ง
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิเคราะห์วงจร 95
3.1 บทนา 95
3.2 การวิเคราะห์วงจร 95
3.3 ระเบียบวิธีแรงดันโนด 97
3.4 ระเบียบวิธีแรงดันโนดในวงจรแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า 106
3.5 ระเบียบวิธีกระแสเมซ 112
3.6 ระเบียบวิธีกระแสเมซในวงจรแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า 118
3.7 การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า โดยใช้ PSpice Student Version 120
3.8 การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า โดยใช้ MATLAB 123
3.9 การประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีการวิเคราะห์วงจร 125
3.10 บทสรุป 128
3.11 แบบฝึกหัดท้ายบท 130
รายการเอกสารอ้างอิง 134
บทที่ 4 ทฤษฎีวงจร 135
4.1 บทนา 135
4.2 คุณสมบัติวงจรเชิงเส้น 135
4.3 ทฤษฎีการทับซ้อน 138
4.4 การแปลงแหล่งจ่าย 145
4.5 ทฤษฎีของเทวินิน 149
4.6 ทฤษฎีของนอร์ตัน 156
4.7 การส่งผ่านกาลังไฟฟ้าสูงสุด 161
4.8 ตรวจสอบทฤษฎีวงจรด้วย PSpice Student Version 163
4.9 การประยุกต์ใช้ทฤษฎีวงจร 167
4.10 บทสรุป 171
4.11 แบบฝึกหัดท้ายบท 172
รายการเอกสารอ้างอิง 176
จ
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
บทที่ 5 โอเปอเรชันนอล แอมพลิไฟเออร์ 177
5.1 บทนา 177
5.2 ตัวขยายในทางอุดมคติ 177
5.3 โอเปอเรชันนอล แอมพลิไฟเออร์ 179
5.4 ออปแอมป์ในอุดมคติ 184
5.5 วงจรขยายแบบกลับเฟส 186
5.6 วงจรขยายแบบไม่กลับเฟส 189
5.7 วงจรขยายผลบวก 192
5.8 วงจรขยายผลต่าง 193
5.9 วงจรขยายเครื่องมือวัด 197
5.10 การต่อคาสเคดวงจรออปแอมป์ 198
5.11 การวิเคราะห์วงจรออปแอมป์ โดยใช้ PSpice Student Version 202
5.12 การประยุกต์ใช้โอเปอเรชันนอล แอมพลิไฟเออร์ 204
5.13 บทสรุป 207
5.14 แบบฝึกหัดท้ายบท 209
รายการเอกสารอ้างอิง 214
บทที่ 6 ตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนา 215
6.1 บทนา 215
6.2 ตัวเก็บประจุ 215
6.3 ตัวเก็บประจุอนุกรมและขนาน 225
6.4 ตัวเหนี่ยวนา 229
6.5 ตัวเหนี่ยวนาอนุกรมและขนาน 236
6.6 การวิเคราะห์วงจรตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนา โดยใช้ PSpice Student Version 240
6.7 การประยุกต์ใช้ตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนา 241
6.8 บทสรุป 248
6.9 แบบฝึกหัดท้ายบท 250
รายการเอกสารอ้างอิง 254
ฉ
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
ภาคผนวก ก สมการเชิงเส้นและเมทริกซ์ผกผัน 255
ภาคผนวก ข จานวนเชิงซ้อน 265
ภาคผนวก ค สูตรทางคณิตศาสตร์ 269
ภาคผนวก ง PSpice Student Version 275
ภาคผนวก จ MATLAB 303
อภิธานศัพท์ 325
ดัชนีคาค้น 335
บทที่ 1
แนวคิดเบื้องต้นและคำจำกัดควำม
1.1 บทนำ
ไฟฟ้าเป็นปัจจัยสาคัญยิ่งประการหนึ่งต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่แรกเกิดในโรงพยาบาล การใช้
ชี วิ ต ประจ าวั น ในบ้ า นเรื อ น การเรี ย นการสอนในสถานศึ ก ษา การสั ญ จรไปมาในเส้ น ทางต่ า ง ๆ
การรักษาพยาบาล จวบจนเสียชีวิต ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าโดยตรง คือ วิศวกรไฟฟ้า ซึ่งดูแลรับผิดชอบ
ตั้งแต่ระบบผลิตพลังงานไฟฟ้า ระบบส่งจ่ายพลังงานไฟฟ้า และระบบจาหน่ายพลังงานไฟฟ้าด้วยไฟฟ้าระดับ
แรงดั น สู งมากกว่ า 1,000 โวลต์ การออกแบบติ ด ตั้ งอุ ป กรณ์ ไฟฟ้ า ในอาคาร บ้ านพั ก อาศั ย และสถาน
ประกอบการ ด้วยไฟฟ้าระดับแรงดันต่ากว่า 1,000 โวลต์ ตลอดจนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
วงจรไฟฟ้า เป็น วิช าทฤษฎีพื้นฐานที่สาคัญในการศึกษาทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า มาตรฐานคุณ วุฒิ
ระดับ ปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ พ.ศ. 2553 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553) ได้อธิบายลักษณะของ
สาขาวิ ช าวิ ศ วกรรมศาสตร์ ไว้ ดั งนี้ “สาขาวิศ วกรรมศาสตร์ เป็ น สาขาวิ ช าที่ เกี่ ย วกั บ การน าความรู้ ท าง
คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ มีหลายสาขาย่อยทาให้เกิดความหลากหลายในด้านองค์
ความรู้และสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้พื้นฐานความรู้ของสาขาวิศวกรรมศาสตร์ประกอบด้วยความรู้ทางด้าน
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์พื้นฐานและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เพื่อนาไปสู่การต่อยอดองค์ความรู้ด้วยศาสตร์และ
เทคโนโลยี ที่ เกี่ ย วข้ อ งกั บ สาขาวิ ช าชี พ ” โดยสาขาวิ ช าที่ เกี่ ย วข้ อ งกั บ วิ ศ วกรรมไฟฟ้ าที่ ร ะบุ ใน มคอ.1
ประกอบด้วย 5 สาขาวิชา ดังนี้
1. วิศวกรรมไฟฟ้า
2. วิศวกรรมไฟฟ้า (สาขาย่อยไฟฟ้ากาลัง)
3. วิ ศ วกรรมไฟฟ้ า (สาขาย่ อ ยไฟฟ้ า สื่ อ สาร/โทรคมนาคม) หรื อ วิ ศ วกรรมโทรคมนาคม หรื อ
วิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสาร
4. วิศวกรรมไฟฟ้า (สาขาย่อยอิเล็กทรอนิกส์) หรือ วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์
5. วิศวกรรมไฟฟ้า (สาขาย่อยระบบวัดคุม) หรือ วิศวกรรมระบบวัดคุม หรือ วิศวกรรมอัตโนมัติ
ผู้ศึกษาทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าทั้ง 5 สาขาวิชา จะต้องศึกษาวิชาวงจรไฟฟ้า ซึ่งเป็นรายวิชาพื้นฐานที่
สาคัญต่อการศึกษารายวิชาอื่น ๆ ในกลุ่มความรู้ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ทั้งในด้านการผลิต การส่ง และการจ่าย
กาลังไฟฟ้า เครื่องจักรกลไฟฟ้ากระแสตรงและกระแสสลับ ระบบควบคุมแบบต่าง ๆ วงจรอิเล็กทรอนิกส์และ
อิเล็ กทรอนิ กส์กาลัง การวัดและเครื่องมือวัด และระบบสื่อสาร เป็นต้น สอดคล้องกับ ระเบียบสภาวิศวกร
ว่าด้วย วิช าพื้น ฐานทางวิทยาศาสตร์ วิช าพื้นฐานทางด้านวิศวกรรม และวิชาเฉพาะทางวิศวกรรม ที่ส ภา
วิศวกรจะให้ การรับ รองปริ ญ ญา ประกาศนี ยบัตร และวุฒิ บั ตร ในการประกอบวิช าชีพวิศวกรรมควบคุ ม
2
สายตัวนาไฟฟ้า L1
BF324 18 k
1.2 V
680nF BC550C
สายตัวนาไฟฟ้า 0.2 V
4 .7 pF BC550C
1k 0.73V 4 . 7 F AF
18 k
BC560C
220 100 pF 47 k
สวิตช์ แบตเตอรี่ 4.7nF
L2
1.2k
0.66V
L1 : 10 turn/0.5mm SWG25d 3mm
BF324 BF324 L2 : 12 turn/0.5mm SWG25 d 5mm
L3 : 4 turn/1.2mm SWG18 d 5mm
L3 14pF
ข้อสังเกต 1.1
สัญลักษณ์ของหน่วยอนุพันธ์จะเชื่อมด้วยจุดกลาง (dot) (·) ไม่ใช่จุดล่าง (มหัพภาค) (.) เช่น ประจุ
ไฟฟ้ า มี ห น่ ว ยเป็ น คู ล อมบ์ (Coulomb: C) หรื อ s·A งาน มี ห น่ ว ยเป็ น จู ล (Joule: J) หรื อ N·m หรื อ
kg·m2·s−2 ความสว่าง มีหน่วยเป็น ลักซ์ (Lux: Lx) หรือ lm/m2 หรือ m−2·cd เป็นต้น
การเขียนหน่วยโดยใช้สัญลักษณ์ภาษาอังกฤษ จะเขียนด้วยจานวนเอกพจน์เสมอ และไม่ลงท้ายด้วย
เครื่องหมายมหัพภาค (.) เนื่องจากเป็นหน่วยไม่ใช่ตัวย่อ ยกเว้นเป็นคาลงท้ายประโยคในภาษาอังกฤษ เช่น
15 cm ไม่ใช่ 15 cms และ 220 V ไม่ใช่ 220 V. เป็นต้น
นอกจากระบบหน่ วยแล้ ว ยังมีคาอุปสรรคในหน่ว ยเอสไอ (SI prefix) คือ คานาหน้าหน่วยเอสไอ
ใช้เพื่อแสดงปริมาณหรือจานวนให้มีความกะทัดรัด โดยสร้างพหุคูณของหน่วยเอสไอเดิม พหุคูณของหน่วยเอส
ไอจะเป็นสิบยกกาลังด้วยจานวนเต็มเท่าต่าง ๆ และนอกเหนือจากสิบเท่า ร้อยเท่า ส่วนสิบเท่า และส่วนร้อย
เท่าแล้ว จะเป็นพหุคูณของพันเท่าและส่วนพันเท่าทั้งหมด คานาหน้าที่ใช้ในหน่วยเอสไอ แสดงดังตาราง 1.4
ตัวอย่างการเติมคานาหน้าหน่วยเอสไอ เพื่อแสดงถึงหน่วยที่มีปริมาณมากกว่าหรือน้อยกว่า เช่น
1 kg = 1 kilogram = 1103 gram = 1,000 gram
3 M = 3 megaohm = 3106 ohm = 3,000,000 ohm
5 Gbyte = 5 gigabyte = 5109 byte = 5,000,000,000 byte
1 H = 1 microhenry = 110-6 henry = 0.000 001 henry
22 nC = 22 nanocoulomb = 2210-9 coulomb = 0.000 000 022 coulomb
1 kV = 1,000 V = 1,000,000 mV
5 mA = 0.005 A = 0.000 005 kA
4 F = 0.004 mF = 0.000 004 F = 0.000 000 004 kF
ข้อสังเกต 1.2
สัญลักษณ์ของคานาหน้าที่ใช้ตัวอักษร Y Z P M มีทั้งตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ สัญลักษณ์ของคา
นาหน้าหน่วยทุกคาที่มากกว่า กิโล (kilo) หรือ 103 จะเป็นสัญลักษณ์อักษรภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด
และมีสัญลักษณ์ของคานาหน้า ไมโคร (micro) หรือ 10-6 เพียงคาเดียวที่เป็นอักษรกรีกพิมพ์เล็ก ( ) ในทาง
วิศ วกรรมนิ ย มแสดงตั ว เลขแบบ engineering units โดยจะแสดงจ านวนด้ ว ยตั ว เลขระหว่ าง 1 ถึ ง 999
ร่วมกับคานาหน้าหน่วยที่เลขยกกาลังหารด้วย 3 ลงตัว เช่น 5 mA, 4 F, 22 nC, 1 kV, 3 M เป็นต้น
7
1.3 ประจุไฟฟ้ำและกระแสไฟฟ้ำ
การค้นพบเกี่ยวกับไฟฟ้ามีมากว่า 2,600 ปี ต้นกาเนิดของคาว่า ไฟฟ้า (electricity) มีที่มาจากคาว่า
อิเล็กตรอน (elektron) ในภาษากรีก ซึ่งหมายถึง แท่งอาพัน โดย เธลีส แห่ง มิเลทัส (Thales of Miletus)
นักคณิตศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ได้ค้นพบว่า เมื่อนาแท่งอาพันไปถูกับผ้าขนสัตว์จะเกิดการสะสมของประจุ
ไฟฟ้า (charge) บนแท่งอาพัน นั้ น ซึ่งสามารถดึงดูดวัตถุที่มีน้าหนักเบา ๆ อย่างเช่นเส้ นผมได้ และถ้าหาก
ถูแท่งอาพันกับผ้าขนสัตว์นานมากพอก็จะทาให้เกิดประกายไฟได้ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า การเกิด
ประจุไฟฟ้าสถิตจากการสัมผัสของวัตถุ (Triboelectric effect) (Electric charge, 2016)
วัตถุต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราล้วนเป็นสสารทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ใ นสถานะของแข็ง ของเหลว ก๊าซ หรือ
พลาสมา สสารประกอบด้วยด้วยอะตอม แต่ละอะตอมประกอบด้วยอนุภาค ได้แก่ โปรตอน (proton) และ
นิวตรอน (neutron) รวมกันอยู่ในนิวเคลียสของอะตอม และมี อิเล็กตรอน (electron) เคลื่อนที่ตามวงโคจร
รอบ ๆ นิวเคลียส โดยปกติอะตอมจะอยู่ในสภาวะเป็นกลางทางไฟฟ้า คือ มีความสมดุลระหว่างประจุบวกของ
โปรตอนและประจุลบของอิเล็กตรอน ในกรณีที่อะตอมได้รับอิเล็กตรอนเพิ่มขึ้นจะแสดงตัวเป็นประจุลบ และ
ในทางตรงกันข้ามถ้าอะตอมสูญเสียอิเล็กตรอนจะแสดงตัวเป็นประจุบวก การได้รับหรือการสูญเสียอิเล็กตรอน
มีโอกาสมากกว่าโปรตอน เนื่องจากอิเล็กตรอนเคลื่อนที่ในวงโคจรรอบนิวเคลียส อิเล็กตรอนที่อยู่ในวงโคจร
ชั้น นอกสุ ดของอะตอม (valence electron) มี โอกาสหลุ ดออกจากวงโคจรได้มากกว่า ตัวอย่างโครงสร้าง
อะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน นิว ตรอนที่รวมตัวกันเป็นนิวเคลียสและมีอิเล็กตรอนโคจรโดยรอบ แสดงดัง
ภาพ 1.3 และสัญลักษณ์ มวล คุณสมบัติทางไฟฟ้าและขนาดของอนุภาคมูลฐานในอะตอม แสดงดังตาราง 1.5
ข้อสังเกต 1.3
จานวนอิเล็กตรอนสูงสุดในแต่ละชั้นวงโคจรรอบนิวเคลียส (shell) จะมีค่าเท่ากับ 2n2 โดยที่ n คือ
ลาดับที่ของชั้นวงโคจรที่อยู่ห่างออกไปจากนิวเคลียส และมีข้อกาหนดของจานวนอิเล็กตรอนในชั้นวงโคจร
ดังนี้
1. ชั้นวงโคจรวงนอกสุดของอะตอมนั้น ๆ จะมีอิเล็กตรอนไม่เกิน 8 ตัว
2. ชั้นวงโคจรชั้นถัดจากชั้นนอกสุดของอะตอมนั้น ๆ จะมีอิเล็กตรอนได้ไม่เกิน 18 ตัว
วาเลนซ์อิเล็กตรอนหรืออิเล็กตรอนวงนอกสุดจะเป็นตัวบ่งบอกถึงคุณสมบัติทางไฟฟ้าของสสารต่าง ๆ
ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ ตัวนาไฟฟ้า สารกึ่งตัวนา และฉนวนไฟฟ้า ดังภาพ 1.3 ดังนี้
1. ตัวนาไฟฟ้า จะมีวาเลนซ์อิเล็กตรอน จานวน 1 - 3 ตัว เช่น He, H และ Al
2. สารกึ่งตัวนา จะมีวาเลนซ์อิเล็กตรอน จานวน 4 ตัว เช่น C และ Si
3. ฉนวนไฟฟ้า จะมีวาเลนซ์อิเล็กตรอน จานวน 5 - 8 ตัว เช่น Ne และ A
9
Photons Neutrons
2 Atomic Number = Number of Photons = Number of Electrons
e-
p + n0 He Chemical Symbol
n0 p + Helium Chemical Name
e-
4 Atomic Weight = Number of Photons + Number of Neutrons
Nucleus Electrons
Helium Atom
13 Valence electron
1 Al
Aluminum
H 27
Hydrogen
1
K Shell (n=1)
p=1 L Shell (n=2) p=13
n=0 n=14
M Shell (n=3)
Hydrogen Atom Aluminum Atom
6 14
C Si
Carbon Silicon
12 28
p=6 p=14
n=6 n=14
Carbon Atom Silicon Atom
10 18
Ne
Neon
A
Argon
20 40 p=18
n=22
p=10
n=10
Neon Atom Argon Atom
Area; A
+ Battery -
I i
0 t
0 t
(ก) (ข)
ภำพ 1.5 รูปคลื่นกระแสไฟฟ้า (ก) กระแสตรง (dc) (ข) กระแสสลับ (ac)
การไหลของกระแสไฟฟ้าเกิดจากการเคลื่ อนที่ของประจุไฟฟ้า โดยจะกาหนดให้ ไหลไปในทิศทาง
เดียวกับการเคลื่อนที่ของประจุบวก การนิยามกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้านอกจากจะต้องระบุทิศทางแล้วยัง
ต้องระบุขนาดหรือปริมาณของกระแสด้วย โดยทั่วไปนิยมใช้ลูกศรเพื่อแสดงทิศทางการไหลของกระแสและมี
ตัวเลขกากับเพื่อแสดงปริมาณของกระแสที่ไหล ดัง ภาพ 1.6 พิจารณาภาพ 1.6 (ก) มีการระบุทิศทางจากซ้าย
ไปขวาที่ค่ากระแส i = 2 A การนิยามกระแสตามนี้หมายความว่า มีกระแสไฟฟ้าขนาด 2 A ไหลจากจุด a ไป
ยั งจุ ด b เช่ น เดี ย วกั บ ภาพ 1.6 (ข) ระบุ ว่ า i = -2 A ในทิ ศ ทางเดี ย วกั น กั บ ภาพ 1.6 (ก) หมายความว่ า
มีกระแสไฟฟ้าขนาด -2 A ไหลจากจุด a ไปยังจุด b หรือมีกระแสไฟฟ้าขนาด 2 A ไหลจากจุด b ไปยังจุด a
และภาพ 1.6 (ค) ระบุว่า i = 2 A ไหลจากจุด b ไปยังจุด a การระบุแบบนี้มีความหมายเช่นเดียวกับภาพ 1.6
(ข) คือ มีกระแสไฟฟ้าขนาด 2 A ไหลจากจุด b ไปยังจุด a
i=2A i = -2 A i=2A
a b a b a b
= (ประจุของอิเล็กตรอน) × (จานวนอิเล็กตรอน)
ช่วงเวลา (วินาที)
2
3 t2 5
t 5 (8 10) 1 14.5 C
2
1
2
1.4 แรงดันไฟฟ้ำ
การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในตัวนาไฟฟ้าจะส่งผลให้เกิดการถ่ายโอนประจุจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
ในระบบได้ ดังนั้ น ถ้าต้อ งการส่ งผ่ านพลั งงาน (energy) หรืองาน (work) ไปยั งที่ เจาะจงนั้น จะต้องทาให้
อิเล็กตรอนในตัวนาไฟฟ้านั้นเคลื่อนที่ไปยังที่นั้นด้วยเช่นกัน งานที่ว่านี้กระทาได้โดยอาศัย แรงเคลื่อนไฟฟ้า
(electromotive force, emf) จากภายนอก โดยทั่วไปมักจะแทนแรงเคลื่อนไฟฟ้านี้ด้วยแบตเตอรี่ (battery)
หรือแหล่งกาเนิดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง ดัง ภาพ 1.4 แรงเคลื่อนไฟฟ้าหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า แรงดันไฟฟ้า
(voltage) หรือ ความต่างศักย์ไฟฟ้า (potential difference)
การนิยามแรงดันไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าจะต้องนิยามจุดสองจุดที่ต้องการให้ประจุเคลื่อนที่ไป โดยทั่วไป
นิ ย ามโดยใช้ ดั ช นี ล่ าง 2 ตั ว ตั ว อย่ างเช่ น แรงดั น vab ระหว่ างจุ ด a และ b ในวงจรไฟฟ้ า คื อ พลั งงาน
(หรืองาน) ทีต่ ้องการให้ประจุเคลื่อนที่ จากจุด a ไป b นั่นคือ
dw
v ab (1.3)
dq
20
ดังนั้น v ab 18 19
12 V
(10.4 10 )(1.602 10 )
การนิยามแรงดันไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้านอกจากจะต้องนิยามจุดสองจุดที่ต้องการให้ประจุเคลื่อนที่ไป
แล้ ว ยั ง จะต้ อ งระบุ ค่ า หรื อ ปริ ม าณของแรงดั น และจะต้ อ งก าหนดขั้ ว บวก (+) และขั้ ว ลบ (-) ให้ กั บ
องค์ประกอบด้วย ตัวอย่างดังภาพ 1.8
v = 12 V v = -12 V v = 12 V
+ - + - - +
a b a b a b
1.5 กำลังไฟฟ้ำและพลังงำนไฟฟ้ำ
จากตัวแปรพื้นฐานในวงจรไฟฟ้า ทั้งกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้า ซึ่งไม่เพียงพอที่จะเข้าใจพฤติกรรม
ของวงจรไฟฟ้าได้ เช่น ในกรณีที่ต้องการจะทราบถึงพิกัดกาลังงาน (power) ของอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานได้
รวมไปถึงค่าพลังงานไฟฟ้าที่ถูกเรียกเก็บจากปริมาณการใช้พลังงาน (energy) ไฟฟ้าตลอดช่วงเวลา ฉะนั้น การ
คานวณค่ากาลังไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้ามีความจาเป็นต่อการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าเป็นอย่างมาก
กาลังไฟฟ้า คือ อัตราการทางาน หรืออัตราการดูดกลืนพลังงาน หรือปริมาณงานที่ทาต่อหน่วยเวลา
ความสัมพันธ์ของกาลังไฟฟ้าและพลังงานไฟฟ้า แสดงดังสมการ (1.4)
dw
p (1.4)
dt
โดยที่ w คือ พลังงานไฟฟ้า มีหน่วยเป็น จูล (Joules; J)
t คือ เวลา มีหน่วยเป็น วินาที (second; s)
p คือ กาลั งไฟฟ้ า มีห น่ ว ยเป็ น วัต ต์ (Watt; W) เพื่อเป็ นเกียรติแก่ เจมส์ วัตต์ (James Watt)
วิศวกรและนักประดิษฐ์ ชาวสกอตแลนด์ ผู้ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้าประสิทธิภาพสูง
ก าลั ง ไฟฟ้ า p ที่ เกิ ด ขึ้ น กั บ องค์ ป ระกอบทางไฟฟ้ า ในวงจรไฟฟ้ า มี ค วามสั ม พั น ธ์ กั บ อั ต ราการ
เปลี่ยนแปลงของประจุต่อระยะเวลา และงานที่ใช้ในการเคลื่อนที่ประจุที่องค์ประกอบทางไฟฟ้านั้น จากนิยาม
ของกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้า จะได้
dw dw dq
p (1.5)
dt dq dt
หรือ p vi (1.6)
ค่ากาลังไฟฟ้าในสมการ (1.6) เป็นปริมาณที่เปลี่ยนแปลงค่าตามเวลา เรียกว่า ค่ากาลังไฟฟ้าชั่วขณะ
(instantaneous power) ฉะนั้น กาลังไฟฟ้าที่จ่ายหรือที่ดูดกลืน ณ องค์ประกอบใด ๆ จะได้จากผลคูณของ
แรงดันที่ตกคร่อมและกระแสที่ไหลผ่านองค์ประกอบนั้น ๆ
ถ้าค่ าก าลั งไฟฟ้ าที่ อ งค์ ป ระกอบเป็ น บวก (มี เครื่อ งหมาย +) หมายถึ ง องค์ ป ระกอบนั้ น ดู ด กลื น
กาลั งไฟฟ้า และถ้าค่ ากาลั งไฟฟ้าที่องค์ป ระกอบเป็นลบ (มีเครื่องหมาย -) หมายถึง องค์ประกอบนั้นจ่าย
กาลังไฟฟ้า
ค่ากาลังไฟฟ้าเป็นบวกหรือลบ พิจารณาจากทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าและขั้วของแรงดันไฟฟ้า
ที่ตกคร่อมองค์ประกอบนั้น ดังภาพ 1.10
17
i i
a
+ +
v v
- -
b
p = +vi p = -vi
(ก) (ข)
ภำพ 1.10 ค่ากาลังไฟฟ้าจากข้อกาหนดเครื่องหมายแบบพาสซีฟ
(ก) ดูดกลืนกาลังไฟฟ้า (absorbing power) (ข) จ่ายกาลังไฟฟ้า (supplying power)
จากภาพ 1.10 (ก) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างแรงดัน v และกระแส i โดยค่ากาลังไฟฟ้า p จะมีค่า
เป็ น บวก ซึ่งจะเรีย กว่า ข้อ กาหนดเครื่ องหมายแบบพาสซีฟ (passive sign convention) จากข้อ กาหนด
ถ้ากระแสไฟฟ้าไหลเข้าที่ขั้วบวกของแรงดัน ไฟฟ้าตกคร่อมองค์ประกอบใด ๆ จะได้ p = +vi หรือ vi > 0
หมายความว่า องค์ประกอบนั้นได้รับ (ดูดกลืน) กาลังไฟฟ้า และในทางตรงกันข้ามถ้ากระแสไฟฟ้าไหลออก
จากขั้ ว บวกของแรงดั น ไฟฟ้ า ตกคร่ อ มองค์ ป ระกอบใด ๆ จะได้ p = -vi หรื อ vi < 0 ดั ง ภาพ 1.8 (ข)
หมายความว่า องค์ประกอบนั้นจ่ายกาลังไฟฟ้า ตามข้อกาหนดเครื่องหมายแบบพาสซีฟ
ในวงจรไฟฟ้าใด ๆ จะได้ Power absorbed - Power supplied (1.7)
2A 2A 2A 2A
+ - + -
12 V 12 V 12 V 12 V
- + - +
(ก) (ข) (ค) (ง)
ภำพ 1.11 องค์ประกอบดูดกลืนและจ่ายกาลังไฟฟ้า 24 W ใน 4 กรณี
(ก) p = 12 × 2 = 24 W (ข) p = 12 × 2 = 24 W
(ค) p = 12 × (-2) = -24 W (ง) p = 12 × (-2) = -24 W
18
p 0 (1.8)
โดยที่ 1 Wh 3,600 J
w 5 103 J
แรงดันตกคร่อมเครื่องทาความร้อน จะได้ v 220 V
q 22.72 C
d
ข) v = 5 di/dt ดังนั้น v 5 (2 sin 4 t ) 10(4 ) cos 4 t
dt
40 cos 4 t V
กาลังไฟฟ้าจะหาได้จาก p vi 80 sin4 t cos 4 t W
ที่เวลา t = 10 ms จะได้ p 80 sin 0.04 cos 0.04 W
31.25 W
19
1.6 องค์ประกอบของวงจรไฟฟ้ำ
วงจรไฟฟ้าประกอบด้วยองค์ประกอบทางไฟฟ้าต่าง ๆ ซึ่งการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าจะเป็นการวิเคราะห์
หาค่าแรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อมหรือกระแสที่ไหลผ่านองค์ประกอบในวงจร รวมถึงค่ากาลังไฟฟ้าและพลังงาน
ไฟฟ้าที่องค์ประกอบนั้น ๆ
องค์ประกอบในวงจรไฟฟ้ามีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ องค์ประกอบแบบพาสซีฟ หรือองค์ประกอบ
แบบเฉื่ อ ยงาน (Passive element) และองค์ ป ระกอบแบบแอคที ฟ หรื อ องค์ ป ระกอบแบบไวงาน
(Active element) โดยองค์ป ระกอบแบบแอคทีฟจะเป็นองค์ประกอบที่ สามารถสร้างพลังงานได้ ตัวอย่าง
องค์ประกอบแบบพาสซีฟ เช่น ตัวต้านทาน (Resistor) ตัวเหนี่ยวนาแม่เหล็ก (Inductor) และตัวเก็บประจุ
ไฟฟ้า (Capacitor) องค์ประกอบแบบแอคทีฟ เช่น เครื่องกาเนิดไฟฟ้า (Generator) แบตเตอรี่ วงจรขยาย
สัญญาณ (Amplifier) และออปแอมป์ (Op-Amp)
องค์ป ระกอบแบบแอคทีฟ ที่สาคัญในวงจรไฟฟ้า ได้แก่ แหล่ง จ่ายแรงดันไฟฟ้า (Voltage source)
และแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า (Current source) ซึ่งเป็นแหล่งจ่ายกาลังไฟฟ้าให้กับวงจร โดยมี 2 ประเภท คือ
แหล่งจ่ายอิสระ (Independent source) และแหล่งจ่ายไม่อิสระ (พึ่งพิง) (Dependent source) แหล่งจ่าย
อิสระ หมายถึง แหล่งจ่ายไฟฟ้าที่ให้ค่าแรงดันไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าคงที่ตามที่กาหนดโดยตัวแหล่งจ่ายเอง
แหล่ งจ่ ายไม่ อิ ส ระ หมายถึ ง แหล่ งจ่ า ยที่ ค่ าแรงดั น ไฟฟ้ าหรือ กระแสไฟฟ้ าถู ก ก ากั บ หรื อ ควบคุ ม ด้ ว ยค่ า
แรงดันไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าขององค์ประกอบอื่นในวงจรไฟฟ้า แหล่งจ่ายไม่อิสระสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งได้
ว่า แหล่งจ่ายควบคุม (Controlled source) กล่าวคือ ค่าแรงดันไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าของแหล่งจ่ายนี้ถูก
ควบคุมโดยค่าแรงดันไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าจากองค์ประกอบอื่น
สัญลักษณ์ของแหล่งจ่ายอิสระใช้สัญลักษณ์วงกลม โดยแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าจะมีเครื่องหมายกากับ
ขั้วบวกและขั้วลบ (+ และ -) ดังภาพ 1.12 (ก) แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าจะมีลูกศร ( ) กากับทิศทางการไหล
ของกระแสไฟฟ้า ดังภาพ 1.12 (ค) และภาพ 1.12 (ข) แสดงสัญลักษณ์ของแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง
แบบคงที่ โดยมากหมายถึงแบตเตอรี่ สัญลักษณ์ของแหล่งจ่ายอิสระแสดงดังภาพ 1.12
20
v V i
v i
(ก) (ข)
ภำพ 1.13 สัญลักษณ์ของ (ก) แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าแบบไม่อิสระ (ข) แหล่งจ่ายกระแสแบบไม่อิสระ
แหล่ ง จ่ า ยแบบไม่ อิ ส ระใช้ ส าหรั บ จ าลองพฤติ ก รรมของอุ ป กรณ์ แ บบแอคที ฟ ในวงจร เช่ น
ทรานซิ ส เตอร์ (Transistor) ออปแอมป์ วงจรรวม (Integrated circuit: IC) แหล่ ง จ่ า ยแบบไม่ อิ ส ระมี
4 ประเภท ดังนี้
1. แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยแรงดันไฟฟ้า (Voltage Controlled Voltage Source: VCVS)
2. แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยกระแสไฟฟ้า (Current Controlled Voltage Source: CCVS)
3. แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยแรงดันไฟฟ้า (Voltage Controlled Current Source: VCCS)
4. แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยกระแสไฟฟ้า (Current Controlled Current Source: CCCS)
21
V1 V1 I1 I1
V1 V1 I1 I1
2 V 5.5 A
12 V p1 p3 10 V p4 0 .1I
ตำรำง 1.8 อัตราตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff: TOU Tariff ) (แบบที่ 1.3)
อัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าปกติ 454.4 หน่วย เกินกว่า 150 หน่วยต่อเดือน คานวณได้จาก ตาราง 1.7 ดังนี้
ค่าใช้จ่ายพลังงานไฟฟ้ารวม จะได้จาก
ค่าพลังงานไฟฟ้า 1,783.25 บาท
ค่าบริการรายเดือน 38.22 บาท
ค่า Ft -0.048 บาท/หน่วย -21.81 บาท
รวมเป็นเงิน 1,799.66 บาท
27
1.8 กำรประยุกต์ใช้แนวคิดเบื้องต้น
การประยุกต์ใช้การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนที่สาคัญ คือ หลอดภาพลาอิเล็กตรอน (Cathode-Ray
Tube: CRT) ที่อยู่ในเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ ดัง ภาพ 1.17 ลาอิเล็กตรอนใน CRT จะมีสัญญาณที่เข้ามา
เป็นตัวกาหนดความเข้ม ปืนลาอิเล็กตรอนได้รับไฟฟ้าแรงดันสูงค่าหนึ่งและจะยิงลาอิเล็กตรอนออกมาผ่านชุด
เบี่ ย งเบนล าอิ เล็ ก ตรอนทั้ งแนวตั้ ง (Vertical deflection plate) และแนวนอน (Horizontal deflection
plate) เพื่อกาหนดตาแหน่งจุดกระทบที่หน้าจอ โดยกาหนดให้สามารถเคลื่อนที่ได้ทั้งทางซ้าย ทางขวา ขึ้นบน
หรือลงล่างได้ เมื่อลาอิเล็กตรอนมากระทบกับหน้าจอที่ถูกเคลือบด้วยสารเรืองแสง จะส่งผลให้หน้าจอสว่างขึ้น
ได้ ดังนั้น ลาอิเล็กตรอนที่กล่าวมาแล้ว จะสามารถกวาดภาพบนหน้าจอโทรทัศน์ได้
Horizontal
Electron gun
deflection plates
Bright spot on
Vertical fluorescent screen
Electron trajectory
deflection plates
i
q
Vo
1.10 แบบฝึกหัดท้ำยบท
1.1 หาปริมาณประจุไฟฟ้า q จากโปรตอนจานวน 2,000,000 อิเล็กตรอน
13
ตอบ q 3.204 10 C
1.2 ประจุไฟฟ้าที่ขั้วรวม q = ( 10-10e-2t ) mC หากระแสไฟฟ้า i ที่เวลา t = 0.5 s
ตอบ i 7.357 mA
30
3A
p2
5V p1 p3 0 .6 I p4 3V
รำยกำรเอกสำรอ้ำงอิง
Alexander, C. K. and Sadiku, N.O. M. (2009 ). Fundamental of Electric Circuit. (4th ed). New
York, NY: McGraw-Hill.
Hayt, W. H. Jr. and Kimmerly, J. E. (1993). Engineering Circuit Analysis. (5th ed). Singapore:
McGraw-Hill.
International System of Units. (2016). Retrieved February 27, 2016, from https://en.wikipedia.
org/wiki/International_System_of_Units
Electric charge. (2 0 1 6 ). Retrieved February 2 8 , 2 0 16, from https://en.wikipedia.org/wiki/
Electric_charge
Marian, P. (2010, January 12). Simple FM Receiver Circuit [online forums & discussion groups].
Retrieved from http://www.electroschematics.com/4663/small-fm-receiver/#comment-
6676
Peebles, Z. P. Jr. and Giuma A. T. (1991). Principles of Electrical Engineering. Singapore:
McGraw-Hill.
Rizzoni, G. (2003). Principles and Applications of Electrical Engineering. (4th ed). New York, NY:
McGRAW-Hill.
Steven, S. E. and William, O. G. (1993). Electrical Engineering : An Introduction. (2nd ed).
Philadelphia, PA: Saunders College Publishing.
Structure of an atom. (n.d.). Retrieved February 28, 2016, from http://www.tutorvista.com/
content/science/science-i/structure-atom/arrangement-electrons-atom.php
การไฟฟ้ า นครหลวง. (2558). เกี่ ย วกั บ ค่ า ไฟฟ้ า . เข้ า ถึ งเมื่ อ 4 มี น าคม 2559, จาก http://www.mea.
or.th/profile/index.php?tid=3&mid=111&pid=109
กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรีสาขา
วิศวกรรมศาสตร์ พ.ศ. 2553.
ชัญ ชนา ตั้งวงศ์ศานต์, อาภรณ์ ธีร มงคลรัศ มี, ชาญชัย ปลื้ มปิติวิริยะเวช, ลั ญ ฉกร วุฒิ สิ ท ธิกุล กิจ, มานะ
ศรียุ ทธศักดิ์, ชุมพล อัน ตรเสน, . . . เทียนชัย ประดิส ถายน. (2556). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า ภาควงจร
กระแสตรง. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
โซลาร์ (ไทยแลนด์). (2559). อัตราการใช้ไฟฟ้า ของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน. เข้าถึงเมื่อ 4 มีนาคม 2559,
จาก http://www.solar-thailand.com/TH/electrical-usage.asp
32
ธนากร น้าหอมจันทร์ , อติกร เสรีพัฒ นานนท์ , พงสวัส ดิ์ คชภูมิ และมินเรศน์ เตชะวงศ์. (2549). อุปกรณ์
ควบคุมการเปิด - ปิด เครื่องปรับอากาศ 3 เฟส. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย , 1, 72-
77.
ธนากร น้าหอมจันทร์. (2554). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย.
ธนากร น้าหอมจันทร์ และอติกร เสรีพัฒ นานนท์. (2557). ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ใน
โรงเรือนเพาะปลูกพืชไร้ดิน แบบทาความเย็นด้วยวิธีการระเหยของน้าร่วมกับสเปรย์ละอองน้าแบบ
อัตโนมัติ โดยใช้ระบบควบคุมเชิงตรรกะแบบโปรแกรมได้. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย,
8, 98-111.
ธนากร น้าหอมจันทร์ , ธีรพงศ์ บริรักษ์ , ธัชกร อ่อนบุญเอื้อ และกุลวดี เถนว้อง. (2558). ต้นแบบโรงเรือน
เพาะปลูกพืชไร้ดินแบบอัตโนมัติสาหรับบ้านพักอาศัย. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย , 9,
162-170.
บัณฑิต บัวบูชา. (2541). ทฤษฎีและการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า 1. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ฟิสิกส์เซ็นเตอร์.
สภาวิศวกร. (2558). ระเบียบสภาวิศวกรว่าด้วย วิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ วิชาพื้นฐานทางด้านวิศวกรรม
และวิชาเฉพาะทางวิศวกรรม ที่สภาวิศวกรจะให้การรับรองปริญญา ประกาศนียบัตร และวุฒิบัตร ใน
การประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม พ.ศ. 2558.
อภินันท์ อุรโสภณ. (2554). วงจรไฟฟ้า. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ดวงกมลพับลิชชิ่ง.
บทที่ 2
กฎพื้นฐาน
2.1 บทนา
จากบทที่ 1 ได้ อ ธิ บ ายถึ ง แนวคิ ด เบื้ อ งต้ น และค าจ ากั ด ความในวงจรไฟฟ้ า เช่ น กระแสไฟฟ้ า
แรงดันไฟฟ้า และกาลังไฟฟ้าในวงจร การที่จะวิเคราะห์ค่าเหล่านั้นในวงจรไฟฟ้าที่กาหนดให้ได้ จาเป็นต้อง
เข้าใจกฎพื้นฐานสาหรับการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าเสียก่อน เช่น กฎของโอห์ม และกฎของเคอร์ชอฟฟ์ ซึ่งเป็นกฎ
พื้นฐานที่นาไปสู่ทฤษฎีการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าต่าง ๆ ได้
ในบทนี้ จะเป็ น การอธิบ ายถึง กฎของโอห์ ม กฎของเคอร์ชอฟฟ์ รวมถึงการวิเคราะห์ วงจรพื้นฐาน
เช่น การหาค่าความต้านทานรวมในวงจรตัวต้านทานที่ต่ออนุกรม ขนาน และผสม การแบ่งแรงดันไฟฟ้ า
การแบ่งกระแสไฟฟ้า การแปลงรูปวงจรระหว่างแบบวายกับแบบเดลตา การใช้โปรแกรม PSpice Student
version สาหรับการวิเคราะห์วงจรตัวต้านทาน และการประยุกต์ใช้กฎพื้นฐาน ตามลาดับ
2.2 กฎของโอห์ม
วัสดุโดยทั่วไปจะมีคุณลักษณะการต้านทานการไหลของประจุไฟฟ้า คุณสมบัติการต้านทานการไหล
ของประจุ ไฟฟ้ าหรื อ กระแสไฟฟ้ า จะเรี ย กว่ า ความต้ า นทาน (resistance) โดยจะแทนด้ ว ยสั ญ ลั ก ษณ์ R
ความต้านทานของวัสดุใด ๆ ดังภาพ 2.1 (ก) จะได้จากความสัมพันธ์ของพื้นที่หน้าตัด (A) และความยาว (l)
ดังสมการ (2.1)
l
R (2.1)
A
th :
l
i
ng
Le
v R
Material with resistivit y :
Cross sectional area : A
(ก) (ข)
ภาพ 2.1 (ก) ตัวต้านทาน (ข) สัญลักษณ์ของตัวต้านทาน
จากสมการ (2.1) คือ ค่าสภาพความต้านทาน (resistivity) ของวัส ดุ มีห น่ว ยเป็ น โอห์ ม -เมตร
(ohm-meter; -m) โดยตัว น าไฟฟ้ าที่ ดี ได้แก่ ทองแดง และอลู มิ เนี ยม ซึ่งมี ค่าสภาพความต้านทานต่ า
ขณะที่ฉนวน เช่น ไมก้า และ กระดาษ จะมีค่า สภาพความต้านทานสูง โดยตาราง 2.1 แสดงค่า ของวัสดุ
34
i i 0
v 0 R 0 v R
(ก) (ข)
ภาพ 2.2 (ก) วงจรปิด หรือลัดวงจร (R = 0) (ข) วงจรเปิด (R = )
(ก) (ข)
ภาพ 2.3 ตัวต้านทาน (ก) แบบค่าคงที่ (ข) แบบปรับค่าได้
(ก) (ข)
ภาพ 2.4 สัญลักษณ์ของ (ก) ตัวต้านทานปรับค่าได้ทั่วไป (ข) โพเทนชิโอมิเตอร์ (potentiometer)
ตั ว ต้ านทานแบบค่ าคงที่ จะมี แ ถบสี ร ะบุ ค่ า ความต้ า นทาน (พิ ม พ์ อ ยู่ บ นตั ว ถั ง ของตั ว ต้ า นทาน)
ตั ว ต้ า นทานโดยทั่ ว ไปจะมี 4-5 แถบสี และอาจจะมี แ ถบสี ที่ 6 เป็ น ตั ว ระบุ สั ม ประสิ ท ธิ์ ข องอุ ณ หภู มิ
(temperature coefficient: Temp. coeff; ppm) ของตัวต้านทานนั้น แสดงดังภาพ 2.5 และค่ารหัสแถบสี
แต่ละตาแหน่ง แสดงดังตาราง 2.2
R = 470103 = 470 k 5%
ค) แถบสี แดง ม่วง น้าเงิน ดา ทอง น้าตาล
ค่าความต้านทานจะเป็น b1 = 2, b2 = 7, b3 = 6, n = 0 (100), 5%, 100 ppm
R = 276 5% 100 ppm
ข้อสังเกต 2.1
แถบสี 3-4 แถบแรก หรือแถบสีกาหนดตัวเลขตัวตั้งและตัวคูณ จะมีตาแหน่งบนตัวถังของตัวต้านทาน
อยู่ด้านหนึ่ ง (อยู่ใกล้ขาของตัวต้านทานขาหนึ่ง) และแถบสี ที่บอกขอบเขตความเบี่ยงเบนและสัมประสิทธิ์
อุณหภูมิจะอยู่อีกด้านหนึ่งของตัวถัง (อยู่ใกล้อีกขาหนึ่งของตัวต้านทานนั้น) ดังภาพ 2.5
A
A com V/
(ก)
A A A
A com V/ A com V/ A com V/
b b
a c a c
(ข) (ค)
ภาพ 2.6 วิธีการวัดค่าความต้านทานของตัวต้าน (ก) แบบค่าคงที่ (ข) และ (ค) แบบปรับค่าได้
39
12.0
V
V
vs R v
A
_ A com V/
(ก) การวัดแรงดันไฟฟ้าตกคร่อมตัวต้านทาน
i
i 0.05 A
R V
vs A
A
com V/
(ข) การวัดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวต้านทาน
ภาพ 2.7 การวัดค่ากระแสไฟฟ้าไหลผ่าน และแรงดันไฟฟ้าตกคร่อมตัวต้านทาน
40
ข้อสังเกต 2.2
1) การวัดค่าความต้านทาน และแรงดันไฟฟ้า จะวัดโดยต่อมิเตอร์ขนานกับส่วนที่ต้องการจะวัดค่า
แต่การวัดกระแสไฟฟ้าจะต่ออนุกรม
2) การวั ด แรงดั น ไฟฟ้ า และกระแสไฟฟ้ า จะต้ อ งมี แ หล่ ง จ่ า ยพลั ง งานอยู่ ในวงจร แต่ ก ารวั ด
ค่าความต้านทานต้องไม่มีแหล่งจ่ายพลังงาน
3) ขั้วต่อสายโพรบ (ขั้วบวก หรือขั้วที่มีศัก ย์สูงกว่า) ของมิเตอร์ สาหรับการวัดค่าความต้านทานและ
แรงดันไฟฟ้าจะใช้ขั้วเดียวกัน แต่การวัดกระแสไฟฟ้าจะใช้อีกขั้วหนึ่ง ส่วนขั้ว คอมมอนหรือขั้วลบจะใช้ร่วมกัน
ทั้ง 3 ประเภทการวัด
ตัวต้านทานที่มีคุณสมบัติสอดคล้องตามกฎของโอห์ม เรียกว่า ตัวต้านทานเชิงเส้น (linear resistor)
ซึ่งมีค่าความต้านทานคงที่ โดยค่าความต้านทานจะเป็นเส้นตรงผ่านจุด กาเนิดและเพิ่มขึ้นอย่างคงที่ ตามกราฟ
คุณลักษณะของกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้า (i-v graph) แสดงดังภาพ 2.8 (ก)
ตัวต้านทานไม่เชิงเส้น (nonlinear resistor) จะมีกราฟคุณลักษณะของกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้า
ไม่ส อดคล้ องกับ กฎของโอห์ ม แสดงดังภาพ 2.8 (ข) ตั วอย่าง เช่น หลอดไฟ และไดโอด (Diode) เป็ นต้ น
ในทางปฏิบั ติตัวต้านทานอาจแสดงพฤติกรรมไม่เชิงเส้น ในบางเงื่อนไข แต่ในหนังสื อเล่ มนี้จะสมมติให้ ตัว
ต้านทานเป็นเชิงเส้นทั้งหมด กราฟคุณลักษณะของกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้า ที่ค่าความต้านทาน 2 ดัง
ภาพ 2.9
v v
=R =R
i i
(ก) (ข)
ภาพ 2.8 กราฟคุณลักษณะของกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าของตัวต้านทาน (ก) เชิงเส้น (ข) ไม่เชิงเส้น
V (volt)
6
5
4
3 y
2 Slope R
1 x
1 2 I (amp)
ปริมาณทางไฟฟ้ าที่ส าคัญ ส าหรับ การวิเคราะห์ วงจรไฟฟ้ าอีกประเภทหนึ่ง คือ ค่าความน าไฟฟ้ า
(Conductance; G) ซึ่งเป็นสัดส่วนกับค่าความต้านทาน R ดังสมการ (2.8)
1 i
G (2.8)
R v
ค่าความนาไฟฟ้าใช้สาหรับวัดความสามารถในการนากระแสไฟฟ้า โดยมีหน่วยเป็น โมห์ (mho; ℧ )
หรือซีเมนส์ (siemens; S) โดยที่
1 S = 1 ℧ = 1 A/V (2.9)
ตัวต้านทานสามารถเขียนในหน่วยโอห์ม หรือซีเมนส์ได้ ตัวอย่างเช่น ตัวต้านทานขนาด 10 หรือ
0.1 S จากสมการ (2.8) จะได้ ดังนี้
i Gv (2.10)
ค่าความน าไฟฟ้า G มีค่าอยู่ในช่วง 0 < G < เช่นเดียวกับ R โดย G = 0 จะนิยามว่า วงจรเปิด
และ G = จะนิยามว่า วงจรปิด หรือลัดวงจร ดังภาพ 2.10
a a a a
v v v 0 v0
i 0 i 0 i i
R
R0
b b G0 b b G
(ก) (ข)
ภาพ 2.10 ความต้านทานไฟฟ้าและความนาไฟฟ้า (ก) เปิดวงจร (ข) ลัดวงจร
W)
Cu
t :
at
rre
r (W
nt
e V2 V
(Am
w P
Po
pe
I2R R R
re:
V
A)
VI P I P/R
V R V
PR
P 2 I
P V
)
IR 2 P
Vo
m:
I
lt a
Oh
I
ge
e(
(
Vo
tac
lt:
sis
V)
Re
i
24 V 4 k v
วิ ธี ท า จากภาพ 2.12 แรงดั น ไฟฟ้ า ที่ ต กคร่ อ มตั ว ต้ านทาน 4 k จะเท่ า กั บ แรงดั น ไฟฟ้ า ที่ แ หล่ งจ่ า ย
แรงดันไฟฟ้า 24 V เนื่องจาก ตัวต้านทานต่อขนานหรือต่อเข้ากับแหล่งจ่ายที่ขั้วเดียวกัน ดังนั้น
v 24
i 6 mA
R 4 103
1 1
ค่าความนาไฟฟ้า จะได้ G 0.25 mS
R 4 103
และค่ากาลังไฟฟ้าจะได้ p vi 24(6 103 ) 144 mW
หรือ p i 2R (6 103 ) 2 (4 103 ) 144 mW
หรือ p v 2 G 242 (0.25 103 ) 144 mW
b1 l1 / m 1 b3 l2 / m 2 b5
l3
n4
10
6V 5 3 1.5 A
6V 5 3 1.5 A
m1 m2 m3
n3
2.4 กฎของเคอร์ชอฟฟ์
การวิเคราะห์วงจรโดยใช้กฎของโอห์มเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอสาหรับวงจรที่ประกอบไปด้วย
หลาย ๆ องค์ ป ระกอบ ซึ่ ง เชื่ อ มต่ อ ถึ ง กั น ในหลากหลายรู ป แบบ แต่ ถ้ า ใช้ ก ฎของโอห์ ม ร่ ว มกั บ
กฎของเคอร์ชอฟฟ์ (Kirchhoff’s law) จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์วงจรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กฎของเคอร์ช อฟฟ์น าเสนอในปี ค.ศ. 1847 โดยกุส ทาฟ โรแบร์ท คีร์ช ฮอฟฟ์ หรือ กุส ตาฟ เคอร์
ชอฟฟ์ (Gustav Robert Kirchhoff) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน โดยกฎที่นาเสนอ มี 2 กฎ ดังนี้ กฎกระแสไฟฟ้า
ของเคอร์ ช อฟฟ์ (Kirchhoff’s current law ; KCL) และกฎแรงดั น ไฟฟ้ า ของเคอร์ ช อฟฟ์ (Kirchhoff’s
voltage law; KVL)
กฎข้อที่ 1 ของเคอร์ชอฟฟ์ เป็นกฎที่ใช้พื้นฐานจากกฎการอนุรักษ์ของประจุไฟฟ้า (law of conservation of
charge) ซึ่งกล่าวว่า “ผลรวมของประจุไฟฟ้ าในระบบจะไม่ ส ามารถเปลี่ ยนแปลงได้ โดยที่ป ระจุในระบบ
สามารถถ่ า ยโอนหรื อ ส่ ง ผ่ า นจากที่ ห นึ่ ง ไปยั ง อี ก ที่ ห นึ่ ง ได้ แต่ จ ะไม่ ส ามารถสร้ า งขึ้ น หรื อ ท าลายลงได้ ”
กฎกระแสไฟฟ้ า ของเคอร์ ช อฟฟ์ (Kirchhoff’s current law ; KCL) กล่ า วว่ า ผลรวมทางพี ช คณิ ต ของ
46
i3 i5
x i4
i2 i1
การประยุ กต์ ใช้ KCL อย่ างง่าย คื อ การรวมค่า แหล่ งจ่ายกระแสไฟฟ้ า หลายแหล่ งที่ ต่อขนานกั น
ค่า กระแสไฟฟ้ า รวมที่ ได้ คื อ ผลรวมทางพี ช คณิ ต ของกระแสที่ จ่ายจากแต่ล ะแหล่ งจ่าย ตั ว อย่างดั งภาพ
2.18 (ก) กระแสไฟฟ้ารวมจะได้ดังภาพ 2.18 (ข)
กระแสไฟฟ้ารวมหรือแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าสมมูลจะหาได้โดยใช้ KCL ที่โนด a ดังนี้
IT I2 I1 I3
หรือ IT I1 I2 I3 (2.19)
ในกรณีที่ แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า I1 และ I2 อนุกรมกัน จะไม่เป็นไปตาม KCL ยกเว้นกรณีที่ I1 = I2
IT IT
a a
I1 I2 I3
I T I1 I 2 I 3
b b
(ก) (ข)
ภาพ 2.18 แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าต่อขนานกัน (ก) วงจรที่ใช้ในการพิจารณา (ข) วงจรสมมูล
law ; KVL) กล่ า วว่ า ผลรวมทางพี ช คณิ ต ของแรงดั น ไฟฟ้ า ตกคร่ อ มรอบบริเวณปิ ด (หรือ ลู ป หรือ เมซ)
มีค่าเป็นศูนย์ ดังสมการ (2.20)
M
vm 0 (2.20)
m 1
V1 V4
V5
Vab V2
a
V3
V ab
Vab V1 V2 V3
b b
(ก) (ข)
ภาพ 2.20 แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าต่ออนุกรมกัน (ก) วงจรที่ใช้ในการพิจารณา (ข) วงจรสมมูล
จากภาพ 2.20 (ก) แรงดันไฟฟ้ารวมหรือแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าสมมูลจะหาได้โดยใช้ KVL ที่ขั้ว a-b
ดังนี้
Vab V1 V2 V3 0
หรือ Vab V1 V2 V3 (2.24)
ในกรณี ที่ แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า V1 และ V2 ต่อขนานกัน จะไม่เป็นไปตาม KVL ยกเว้น ในกรณี ที่
ขนาดของแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า V1 = V2
12 V 4V
6
vo
12 V 4V
6 i
vo
24 6i2
หรือ i1 (2.9.4)
4
ใช้ KVL ทีเ่ มซ i2; v2 v3 0 v3 v2 (2.9.5)
i2
หรือ 12i3 6i2 i3 (2.9.6)
2
แทน (2.9.4), (2.9.6) ใน (2.9.2) จะได้
24 6i2 i
i2 2 0 i2 2 A (2.9.7)
4 2
จาก (2.9.7) จะได้ i1 3 A, i3 1 A
v1 12 V, v2 12 V, v 3 12 V
2.5 ตัวต้านทานต่ออนุกรมและการแบ่งแรงดันไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้าโดยทั่วไป จะพบว่า ประกอบไปด้วยตัวต้านทานเป็นจานวนมาก การรวมค่าความต้านทาน
ให้เหลือเพียงค่าความต้านทานสมมูล หรือให้ เหลือตัวต้านทานจานวนน้อยตัวลง จะช่วยให้ สะดวกในการ
วิเคราะห์ ว งจรมากยิ่ งขึ้น ในหั วข้อนี้ จะเริ่มจากการอธิบายการรวมค่าความต้านทานของตัวต้านทานที่ต่อ
อนุกรมกันเป็นอันดับแรก และจะอธิบายการรวมค่าความต้านทานของตัวต้านทานที่ต่อขนานกันในหัวข้อถัดไป
วิธีการหาค่าความต้านทานรวมของตัวต้านทานที่ต่ออนุกรมกัน จะเริ่มจากการพิจารณาตัวต้านทานที่
ต่อ อนุ กรมกั น 2 ตั ว ก่ อน โดยจะใช้ ว งจรดั ง ภาพ 2.27 ช่ ว ยพิ จารณา ซึ่ งตั ว ต้ านทานที่ ต่ อ อนุ ก รมกั น จะมี
กระแสไฟฟ้า i ไหลผ่านเท่ากัน
i a R1 R2
v1 v2
v
b
v
หรือ i (2.28)
R1 R2
จากสมการ (2.27) จะเขียนได้ดังนี้ v iReq (2.29)
ตัวต้านทานทั้ง 2 สามารถแทนด้วยตัวต้านทานสมมูล Req โดยที่
Req R1 R2 (2.30)
ดั งนั้ น วงจรดั ง ภาพ 2.27 สามารถแทนด้ ว ยวงจรสมมู ล ดั ง ภาพ 2.28 ได้ โดยภาพทั้ ง 2 จะมี
แรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่ขั้ว a-b เท่ากัน ซึ่งวงจรสมมูลจะช่วยให้วิเคราะห์วงจรได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
i a R eq
v
v
b
Rn
vn v (2.33)
R1 R2 .... RN
ข้อสังเกต 2.4
1) ตัวต้านทาน n ตัวต่ออนุกรมกัน ค่าความต้านทานรวมจะมีค่ามากกว่าตัวต้านทานที่มีค่ามากที่สุดที่
อนุกรมกัน
2) แรงดั น ตกคร่ อ มตั ว ต้ า นทาน n ตั ว ที่ ต่ อ อนุ ก รมกั บ แหล่ ง จ่ า ยแรงดั น ไฟฟ้ า จะแปรผั น ตาม
ค่าความต้านทานของตัวต้านทานตัวนั้น ๆ
2.6 ตัวต้านทานต่อขนานและการแบ่งกระแสไฟฟ้า
ในกรณีที่จาเป็นจะต้องรวมค่าความต้านทานของตัวต้านทานที่ต่อขนานกัน เพื่อความสะดวกในการ
วิเคราะห์วงจร จะใช้วงจรดังภาพ 2.29 ช่วยพิจารณา ดังนี้
i Node a
i1 i2
v R1 R2
Node b
v v 1 1 v
แทนสมการ (2.34) ใน (2.35) จะได้ i v (2.36)
R1 R2 R1 R2 Req
โดยที่ Req คือ ค่าความต้านทานสมมูลของตัวต้านทานที่ต่อขนาน ดังนั้น
1 1 1
(2.37)
Req R1 R2
55
1 R R
หรือ 1 2
Req R1R2
R1R2
หรือ Req (2.38)
R1 R2
ในกรณีที่ R1 = R2 จากสมการ (2.37) จะได้ Req = R1 / 2
สาหรับตัวต้านทาน N ตัวที่ต่อขนานกัน จากสมการ (2.37) จะได้ค่าความต้านทานสมมูล ดัง สมการ
(2.39)
1 1 1 1
.... (2.39)
Req R1 R2 RN
โดยทั่วไป Req จะมีปริมาณน้อยกว่า ค่าความต้านทานของตัวต้านทานตัวที่น้อยที่สุดที่ต่อขนานกัน
ถ้า R1 = R2 = ... = RN = R ฉะนั้น
R
Req (2.40)
N
ในบางครั้งการหาค่าความต้านทานสมมูลของตัวต้านทานที่ต่อขนานกันอาจใช้ค่าความนาไฟฟ้า G
แทนเพื่อความสะดวก โดยค่าความนาไฟฟ้าสมมูลของตัวต้านทาน N ตัวทีต่ ่อขนานกัน คือ
Geq G1 G2 ... GN (2.41)
1 1 1 1
โดยที่ Geq , G1 , G2 ,.....,GN
Req R1 R2 RN
การหาค่าความต้านทานสมมูลของตัวต้านทานต่อขนานทั้ง 2 วิธี มีวัตถุประสงค์เพื่อลดรูปวงจรให้อยู่
ในรูปวงจรอย่างง่าย เพื่อความสะดวกในการวิเคราะห์วงจร ดังแสดงในภาพ 2.30
i a
v v R eq or G eq
b
1 1 1 1
.... (2.42)
Geq G1 G2 GN
จากภาพ 2.29 จะสามารถหากระแสไฟฟ้า i1 และ i2 ได้จาก
R1R2
v iR eq i (2.43)
R1 R2
แทนสมการ (2.43) ใน (2.34) จะได้
R2 R1
i1 i, i2 i (2.44)
R1 R2 R1 R2
จากสมการ (2.35) และ (2.44) จะพบว่ากระแสไฟฟ้า i ถูกแบ่งโดยตัวต้านทานทั้ง 2 ซึ่งจะแปรผกผัน
ตามขนาดของตัวต้านทาน โดยกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวต้านทานที่มีค่ามากจะน้อยกว่า กระแสไฟฟ้าที่ไหล
ผ่านตัวต้านทานที่มีค่าน้อย ซึ่งจะเรียกว่า หลักการแบ่งกระแสไฟฟ้า (principle of current division) และ
วงจรในภาพ 2.29 จะเรียกว่า วงจรแบ่งกระแสไฟฟ้า (current divider)
i i
i1 0 i2 i i1 i i2 0
R1 R2 0 R1 R2
(ก) (ข)
ภาพ 2.31 (ก) ลัดวงจร (ข) เปิดวงจร
ในกรณีที่ตัวต้านทาน R1 และ R2 ต่อขนานกัน ถ้า R2 = 0 หรือเรียกว่า วงจรปิด หรือ ลัดวงจร จาก
สมการ (2.44) ฉะนั้น i1 = 0, i2 = i, Req = 0 และกระแสไฟฟ้า i จะไหลผ่าน R2 เท่านั้น ดังภาพ 2.31 (ก)
และในกรณีที่ตัวต้านทาน R1 และ R2 ต่อขนานกัน ถ้า R2 = หรือเรียกว่า วงจรเปิด จากสมการ
(2.44) ฉะนั้น กระแสไฟฟ้า i จะไหลผ่าน R1 เท่านั้น และ Req = R1 ดังภาพ 2.31 (ข)
ถ้าหารสมการ (2.44) ด้วย R1R2 ทั้งเศษและส่วน จะได้
G1 G2
i1 i, i2 i (2.45)
G1 G2 G1 G2
ส าหรั บ กระแสไฟฟ้ า ที่ ถู ก แบ่ งด้ ว ยตั ว น าไฟฟ้ า N ตั ว (G1, G2, . . . , GN) ต่ อ ขนานกั บ แหล่ ง จ่ า ย
กระแสไฟฟ้า i ที่ตัวนาไฟฟ้าตัวที่ n (Gn) จะได้
57
Gn
in i (2.46)
G1 G2 ... GN
ข้อสังเกต 2.5
1) ตัวต้านทาน n ตัวต่อขนานกัน ค่าความต้านทานรวมจะมีค่าน้อยกว่าตัวต้านทานที่มีค่าน้อยที่สุดที่
ขนานกัน
2) กระแสที่ ไหลผ่ า นตั ว ต้ านทาน n ตั ว ที่ ต่ อ ขนานกั บ แหล่ งจ่ า ยกระแสไฟฟ้ า จะแปรผกผั น กั บ
ค่าความต้านทานของตัวต้านทานตัวนั้น ๆ
4 1
2
Req 3
6 3
8
4
2
Req 4
2
8
จากภาพ 2.33
R 2 ต่ออนุกรมกับ R 2 จะได้ 2 2 4
44
และ R 4 ต่อขนานกับ R 4 จะได้ 4 // 4 2
44
จะได้วงจรดังภาพ 2.34
4
Req 2
8
Req 12 3 4
6 1
b
b b
ภาพ 2.35 สาหรับตัวอย่าง 2.11
วิธีทา จากภาพ 2.35 R 1 ต่ออนุกรมกับ R 4 และ R 1 จะได้
1 4 1 6
12 4
R 12 ต่อขนานกับ R 4 ที่โนด c และ b จะได้ 12 // 4 3
12 4
36
และ R 3 ต่อขนานกับ R 6 ที่โนด d และ b จะได้ 3 // 6 2
36
จะได้วงจรดังภาพ 2.36
59
10 c 1 d
a
Req 6
3 2
b
b b
ภาพ 2.36 วงจรสมมูลของภาพ 2.35
Req 3 2 .5
b
b
ภาพ 2.37 วงจรสมมูลของภาพ 2.36
G eq 5S 9S 12 S
21 S
G eq 5S 21 S
21 S
Req 1/ 5 1/ 9 1 / 12
1 / 21
1 1 1 1 1
จากภาพ 2.40 จะได้ Req // //
5 21 21 9 12
1 1 1 1
//
5 21 21 21
1 1
//
5 7
1
12
1
และ Geq 12 S
Req
61
i1
vo
12 mA 6 k
12 k
2.7 การแปลงรูปวงจรระหว่างแบบวายกับแบบเดลตา
ในการวิเคราะห์วงจรตัวต้านทาน บางครั้งอาจไม่ได้ต่อกันในลักษณะของการอนุกรมหรือขนาน การ
แปลงรูป วงจรระหว่างแบบวายกับ แบบเดลตา (Wye-Delta Transformation) จะมีบทบาทในการรวมค่า
ความต้ า นทานในวงจร เพื่ อ ให้ ได้ ว งจรสมมู ล ซึ่ ง จะช่ ว ยให้ ก ารวิ เคราะห์ ว งจรมี ป ระสิ ท ธิ ภ าพมากยิ่ ง ขึ้ น
ตัวอย่างเช่น วงจรบริดจ์ แสดงดังภาพ 2.45
R1
R2 R3
R4
VS
R5 R6
2 4 2 4
(ก) (ข)
ภาพ 2.46 ลักษณะการต่อโครงข่าย (ก) Y (ข) T
Rc Rc
1 3 1 3
Rb Ra Rb Ra
2 4 2 4
(ก) (ข)
ภาพ 2.47 ลักษณะการต่อโครงข่าย (ก) (ข)
64
Rc Ra
R2 (2.51)
R a Rb R c
R a Rb
R3 (2.52)
R a Rb R c
ซึง่ สมการ (2.50) – (2.52) ใช้สาหรับการแปลงโครงข่ายจากโครงข่ายแบบ ไปเป็นโครงข่ายแบบ Y
และจะเพิ่มโนด n ในโครงข่ายดังภาพ 2.48
a Rc b
R1 R2
n
Rb Ra
R3
c
ภาพ 2.48 การทับซ้อนของโครงข่ายแบบ Y และ สาหรับการแปลงรูปโครงข่ายทั้งสองลักษณะ
2.7.2 การแปลงรูปโครงข่ายแบบวายไปเป็นแบบเดลตา
จากสมการสาหรับแปลงรูปโครงข่ายแบบเดลตาไปเป็นโครงข่ายสมมูลแบบวาย ตามสมการ (2.50) ถึง
(2.52) จะได้
Ra Rb Rc ( Ra Rb Rc )
R1R2 R2 R3 R3 R1 (2.53)
( Ra Rb Rc ) 2
R a Rb R c
R a Rb R c
หารสมการ (2.53) ด้วยสมการ (2.50) – (2.52) จะได้
R1R2 R2 R3 R3 R1
Ra (2.54)
R1
R1R2 R2 R3 R3 R1
Rb (2.55)
R2
66
R1R2 R2 R3 R3 R1
Rc (2.56)
R3
สมการ (2.54) – (2.56) ใช้ ส าหรั บ การแปลงรู ป โครงข่ า ยจากแบบ Y ไปเป็ น โครงข่ า ยแบบ
โครงข่ายแบบ Y และโครงข่ายแบบ จะเรียกว่าเป็น โครงข่ายสมดุล (balance) ก็ต่อเมื่อ
R1 R2 R3 RY , Ra Rb Rc R (2.57)
จากสมการ (2.57) ฉะนั้นสมการการแปลงวาย-เดลตา จะได้
R
RY , R 3RY (2.58)
3
ตัวอย่าง 2.15 แปลงโครงข่ายแบบเดลตาไปเป็นโครงข่ายแบบวาย จากโครงข่ายดังภาพ 2.49
วิธีทา จากภาพ 2.49 ใช้สมการ (2.50) – (2.52) จะได้
Rb Rc 10 15 150
R1 5
Ra Rb Rc 5 10 15 30
Rc Ra 15 5
R2 2.5
Ra Rb Rc 30
Ra Rb 5 10
R3 1.67
Ra Rb Rc 30
10 5
Rb Ra
R3 1.67
3 k 10 k
5 k
12 V c n 20 k
3 k 15 k
b b
R1R2 R2 R3 R3 R1 275,000k
Rc 55 k
R3 5k
จาก Ra, Rb, Rc จะได้โครงข่ายสมมูล ดังภาพ 2.52
a
a
5 k
1 8.33 k
3 k
c 55 k 20 k
3 k
2 7.5 k b
b
ภาพ 2.52 โครงข่ายสมมูลของภาพ 2.51
55k 20k
จากภาพ 2.51 จะได้ 55k // 20k 14.66 k
55k 20k
3k 18.33k
3k // 18.33k 2.57 k
3k 18.33k
3k 27.5k
3k // 27.5k 2.71 k
3k 27.5k
ซึ่งจะได้วงจรสมมูล ดังภาพ 2.53
a
5 k
2 .57 k
1 4.66 k
2 .71 k
b
ภาพ 2.53 โครงข่ายสมมูลของภาพ 2.52
ฉะนั้น Req 5k [ (2.57k 2.71k ) // 14.66k 8.88 k
vs 12
i 1.35 mA
R eq 8.88k
69
IPROBE
vs 12 V
R eq 8.88 k
i 1.351mA
72
2.9 การประยุกต์ใช้กฎพื้นฐาน
ตัวต้านทานมักถูกนามาใช้แทนแบบจาลองอุปกรณ์การแปลงผันพลังงานทางไฟฟ้าไปเป็นพลังงาน
ความร้อน หรือพลังงานรูปแบบอื่น ๆ เช่น หลอดไฟฟ้าแสงสว่าง สายตัวนาไฟฟ้า อุปกรณ์ทาความร้อนต่าง ๆ
เป็นต้น ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้จะอธิบายถึงการประยุกต์ใช้ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจาวัน คื อ การออกแบบระบบ
ส่องสว่าง และการออกแบบมาตรวัดไฟฟ้ากระแสตรง รวมถึงการออกแบบระบบวัดไฟฟ้าแรงดันสูงกระแสตรง
สาหรับห้องปฏิบัติการวิศวกรรมไฟฟ้าแรงสูง ตามลาดับ
การประยุกต์ใช้กฎของเคอร์ช อฟฟ์ที่พบเห็ นได้ในชีวิตประจาวัน และมีแนวโน้มการใช้งานมากขึ้น
ตามลาดับ คือ ระบบผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์
2.9.1 ระบบส่องสว่าง
ระบบส่องสว่าง เช่น หลอดไฟส่องสว่างภายในบ้าน หลอดไฟประดับศาลพระภูมิ มักประกอบไปด้วย
หลอดไฟฟ้า จานวน N หลอด ที่ต่อกันทั้งแบบขนานสาหรับหลอดส่องสว่างในบ้าน และต่อแบบอนุกรมสาหรับ
หลอดไฟประดับศาลพระภูมิ แสดงการต่ อดังภาพ 2.58 หลอดไฟแต่ละหลอดสามารถแทนได้ด้วยตัวต้านทาน
หนึ่งตัว สมมติให้หลอดไฟทุกหลอดมีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ และกาหนดให้ Vo คือ สายส่งกาลังไฟฟ้า
แรงดันไฟฟ้าที่ตกคร่อมหลอดไฟแต่ละหลอดจะเท่ากับ Vo ในกรณีที่หลอดไฟต่อแบบขนาน ดัง ภาพ 2.58 (ก)
และเท่ากับ Vo/N ในกรณีที่ต่อแบบอนุกรม ดังภาพ 2.58 (ข)
การต่อหลอดไฟแบบอนุกรมจะประหยัดสายตัวนาไฟฟ้ามากกว่าการต่อแบบขนานในกรณีที่ระยะ
การติดตั้งหลอดไฟเท่ากัน แต่ทางปฏิบัติไม่นิยมทาการต่ออนุกรมเนื่องจากในกรณีที่หลอดใดหลอดหนึ่งขาด จะ
ส่งผลให้หลอดไฟดับทั้งระบบ ซึ่งยุ่งยากต่อการตรวจสอบว่าหลอดใดขาดและใช้เวลาในการบารุงรักษานานกว่า
แบบขนาน
1
2
1 2 3 N Vo
Vo ...
N 3
...
ภาพ 2.58 (ก) การต่อหลอดไฟแบบขนาน (ข) การต่อหลอดไฟแบบอนุกรม
(potential) และ มิ เตอร์ (meter) หมายถึ ง ศั ก ย์ ไฟฟ้ าที่ ส ามารถวั ด ค่ าได้ โพเทนชิ โอมิ เตอร์ หรื อ พ็ อ ต
เป็ นอุปกรณ์ ไฟฟ้าแบบสามขั้ว (three-terminal device) มีห ลักการทางานตามหลักการแบ่งแรงดันไฟฟ้า
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ปรับค่าแรงดันไฟฟ้าในวงจร หรือตัวควบคุมค่าแรงดันไฟฟ้า ใช้สาหรับการปรับระดับเสียง
ในเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เป็นต้น การแบ่งแรงดันไฟฟ้าโดยใช้โพเทนชิโอมิเตอร์ แสดงดังภาพ 2.59
a
Max
b
Vin
Vout
Min
c
ภาพ 2.59 การใช้โพเทนชิโอมิเตอร์ควบคุมระดับแรงดันไฟฟ้า Vout
Rbc
จากภาพ 2.59 Vout Vbc Vin (2.59)
Vab Vbc
เมื่อ Rac = Rab + Rbc ดังนั้น Vout จะเพิ่มขึ้น หรือลดลงจะเป็นไปตามการเลื่อนหน้าสัมผัสของตัวพ็อต
ที่เคลื่อนที่เข้าหา a หรือ c ตามลาดับ
การประยุกต์ใช้อีกอย่างหนึ่งที่มีการใช้อย่างกว้างขวาง คือ การควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้าใน
แอมมิเตอร์ (ammeter) โวลต์มิเตอร์ (voltmeter) และมิเตอร์สาหรับวัดค่าความต้านทานหรือโอห์มมิเตอร์
(ohmmeter) แบบแอนะล็อกในวงจรไฟฟ้า กระแสตรง ซึ่งใช้สาหรับวัดค่ากระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า และ
ความต้ า นทาน ตามล าดั บ โดยมิ เตอร์ ดั ง กล่ า วประยุ ก ต์ จ ากมิ เตอร์ แ บบเข็ ม เคลื่ อ นที่ ข องดาร์ สั น วาล์
(D'Arsonval Movement Meter) ดังภาพ 2.60
N S
พิ จ ารณ าภาพ 2.61 ซึ่ ง แสดงการต่ อ แอมมิ เ ตอร์ แ ละโวลต์ มิ เ ตอร์ เ ข้ า กั บ อุ ป กรณ์ ตั ว หนึ่ ง
โดยโวลต์มิเตอร์จะวัดแรงดัน ไฟฟ้ าตกคร่อมอุป กรณ์ ซึ่งต่อขนานกับอุปกรณ์ นั้น ดังแสดงในภาพ 2.62 (ก)
โวลต์มิเตอร์สร้างขึ้นจากมิเตอร์แบบเข็มเคลื่อนที่ของดาร์สันวาล์ ต่ออนุกรมกับตัวต้านทานที่ค่าความต้านทาน
Rm ซึ่งมีค่าสูงมาก (ในทางทฤษฎีมีค่าเป็นอนันต์) เพื่อจากัดกระแสที่ดึงออกมาจากวงจรให้น้อยที่สุด ในการ
ขยายย่านการวัดแรงดันไฟฟ้าของโวลต์มิเตอร์จะทาได้โดยต่ออนุกรมค่าความต้านทานที่เป็นตัวคูณหลาย ๆ ค่า
เข้ า ไปในโวลต์ มิ เตอร์ ดั ง ภาพ 2.62 (ข) โวลต์ มิ เตอร์ แ บบหลายย่ านการวัด จากภาพ 2.62 (ข) สามารถ
วัดแรงดันไฟฟ้าได้จาก 0 ถึง 1 V, 0 ถึง 10 V หรือ 0 ถึง 100 V ซึ่งจะเป็นไปตามการต่อสวิตซ์ สาหรับเลือก
ย่านการวัด R1 , R2 หรือ R3 ตามลาดับ
ตัวอย่างการคานวณหาขนาดตัวต้านทานที่เป็นตัวคูณ Rn สาหรับโวลต์มิเตอร์แบบย่านเดียว ดัง ภาพ
2.62 (ก) หรือ Rn = R1 , R2 หรือ R3 สาหรับโวลต์มิเตอร์แบบหลายย่านการวัด ดัง ภาพ 2.62 (ข) การคานวณ
ค่า Rn สาหรับต่ออนุกรมกับค่าความต้านทานภายใน Rm ของโวลต์มิเตอร์ ในการออกแบบจะพิจารณาเงื่อนไข
ที่แย่ที่สุดที่มีโอกาสเกิดได้ คือ เมื่อกระแสเต็มสเกล Ifs = Im ไหลผ่านมิเตอร์ ซึ่งจะส่งผลให้อ่านค่าแรงดันไฟฟ้า
สู ง สุ ด ได้ หรื อ เรี ย กว่ า ค่ า แรงดั น ไฟฟ้ า เต็ ม สเกล Vfs เนื่ อ งจากตั ว ต้ า นทานตั ว คู ณ Rn ต่ อ อนุ ก รมกั บ
ค่าความต้านทานภายในมิเตอร์ Rm ดังนั้น
V fs I fs ( Rn Rm ) (2.60)
V fs
จากสมการ (2.60) จะได้ Rn Rm (2.61)
I fs
75
Meter
Rm
Im Rm
Probe V
(ก)
R1
1V Meter
R2 10 V Swtich
Im Rm
R3
Probe V 100V
(ข)
ภาพ 2.62 โวลต์มิเตอร์ (ก) แบบย่านการวัดเดียว (ข) แบบหลายย่านการวัด
เช่นเดียวกับแอมมิเตอร์จะวัดกระแสไฟฟ้าไหลผ่านอุปกรณ์ซึ่งต่ออนุกรมกับอุปกรณ์นั้น ดังแสดงใน
ภาพ 2.63 (ก) แอมมิเตอร์ส ร้างขึ้นจากมิเตอร์แบบเข็มเคลื่อนที่ของดาร์สั นวาล์ ต่อขนานกับตัวต้านทานที่
ค่าความต้านทาน Rm ซึ่งมีค่าต่ามาก (ในทางทฤษฎีมีค่าเป็น ศูนย์) เพื่อจากัดแรงดันตกคร่อมจากวงจรให้น้อย
ที่สุด ในการขยายย่านการวัด กระแสไฟฟ้าของแอมมิเตอร์จะทาได้โดยต่อขนานค่าความต้านทานที่เป็นตัวคูณ
หลาย ๆ ค่า เข้าไปในแอมมิเตอร์ ดังภาพ 2.63 (ข) แอมมิเตอร์แบบหลายย่านการวัดจากภาพ 2.63 (ข)
สามารถวัดกระแสไฟฟ้าได้จาก 0 ถึง 10 mA, 0 ถึง 100 mA หรือ 0 ถึง 1 A ซึ่งจะเป็นไปตามการต่อสวิตซ์
สาหรับเลือกย่านการวัด R1 , R2 หรือ R3 ตามลาดับ
ตัวอย่างการคานวณหาขนาดตัวต้านทานตัวคูณ Rn สาหรับแอมมิเตอร์แบบย่านเดียว ดัง ภาพ 2.63
(ก) หรือ Rn = R1 , R2 หรือ R3 สาหรับแอมมิเตอร์แบบหลายย่านการวัด ดัง ภาพ 2.63 (ข) จากภาพ 2.63 (ข)
Rn ต่อขนานกับ ค่าความต้านทานภายใน Rm ของแอมมิเตอร์ ฉะนั้น กระแสเต็มสเกลจะมีค่า Ifs = Im + In
เมื่อ In คือ กระแสที่ไหลผ่านตัวต้านทานขนาน Rn จากหลักการแบ่งกระแสไฟฟ้า ดังนั้น
Rn
Im I fs (2.62)
Rn Rm
Im
จากสมการ (2.62) จะได้ Rn Rm (2.63)
I fs I m
76
R1
1A
R2
10 mA Swtich
In Rn R3
100 mA
Meter Meter
Im Im
Rm Rm
I I
Probe Probe
(ก) (ข)
ภาพ 2.63 แอมมิเตอร์ (ก) แบบย่านการวัดเดียว (ข) แบบหลายย่านการวัด
ค่าความต้านทานของตัวต้านทานเชิงเส้น Rx สามารถวัดได้ 2 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 การวัดโดยทางอ้อม เป็นการวัดค่ากระแสไฟฟ้า I ที่ไหลผ่าน ซึ่งต่อแอมมิเตอร์อนุกรมกับตัว
ต้านทานนั้น และวัดแรงดันตกคร่อม V ซึ่งต่อโวลต์มิเตอร์ขนานกับตัวต้านทานนั้น ดังภาพ 2.65 (ก) ดังนั้น
V
Rx (2.64)
I
R
A Ohmmeter
E Im
Rm
R
Rx V V E Rx
(ก) (ข)
ภาพ 2.64 การวัดค่าความต้านทาน Rx (ก) วัดโดยทางอ้อม (ข) วัดโดยตรง
วิธีที่ 2 เป็นการวัดโดยตรง คือ การใช้โอห์มมิเตอร์ ซึ่งประกอบไปด้วยมิเตอร์แบบเข็มเคลื่อนที่ของ
ดาร์ สั น วาล์ ตัว ต้านทานแบบปรับ ค่าได้ หรือ โพเทนชิโอมิเตอร์ และแบตเตอรี่ ดังแสดงในภาพ 2.65 (ข)
ใช้ KVL กับวงจรดังภาพ 2.65 (ข) จะได้
77
E (R Rm R x ) I m
E
หรือ Rx (R Rm ) (2.65)
Im
ตัวต้านทาน R จะเลือกให้มีค่าซึ่งทาให้มิเตอร์เบนเข็มไปเต็มสเกล นั่นคือ Im = Ifs เมื่อ Rx = 0 ซึ่งจะได้
E ( R Rm ) I m (2.66)
แทนสมการ (2.66) ลงในสมการ (2.65) จะได้
I
R x fs 1 ( R R m ) (2.67)
Im
2.9.3 การออกแบบระบบวัดไฟฟ้าแรงดันสูงกระแสตรงสาหรับห้องปฏิบัติการ
การออกแบบระบบวั ด ไฟฟ้ าแรงดั น สู งกระแสตรงส าหรับ ห้ อ งปฏิ บั ติ ก ารวิศ วกรรมไฟฟ้ าแรงสู ง
โดยมากใช้โวลเตจดิไวเดอร์แบบความต้านทาน โดยมีหลักการตามหลักการแบ่งแรงดัน กล่าวคือ ระบบวัดจะ
ประกอบไปด้วยตัวต้านทาน 2 ตัว คือ ตัวต้านทานภาคแรงสูง RHV และตัวต้านทานภาคแรงต่า RLV ซึ่ง RHV
จะมีค่าความต้านทานสูงเพื่อให้แรงดันสูงที่ต้องการจะวัดตกคร่อมตัวมันเป็นจานวนมาก และเป็นการจากัด
กระแสที่จะเข้าสู่เครื่องมือวัด เช่น ออสซิลโลสโคป (oscilloscope) หรือโวลต์มิเตอร์ เป็นต้น และ RLV จะมี
ค่ า ความต้ า นทานต่ า โดยมากจะออกแบบ RLV ที่ ท าให้ แ รงดั น ตกคร่ อ มตั ว มั น ไม่ เกิ น พิ กั ด แรงดั น ของ
เครื่องมือวัด และมีอัตราส่วนแรงดันระหว่างภาคแรงสูงและแรงต่าเป็นตัวเลขที่แปรค่ากลับไปหาค่าแรงดันสูง
ได้ ส ะดวก เช่ น 1,000 : 1 ตั ว อย่ างการออกแบบโวลเตจดิ ไวเดอร์แ รงดั น สู งแบบความต้ า นทานส าหรั บ
วัดแรงดันสูงกระแสตรง (ธนากร น้าหอมจันทร์, 2554) มีดังนี้
โวลเตจดิไวเดอร์แบบตัวต้านทาน สาหรับวัดไฟฟ้าแรงดันสูงกระแสตรง พิกัด 28 kVdc
พิกัดแรงดัน (Rated Voltage) : 28 kV
แรงดันทดสอบสูงสุด (110% of Rated Voltage) : 30.8 kV
แรงดันที่ใช้ในการออกแบบ (125% of Rated Voltage) : 35 kV
กระแสที่ไหลผ่านโวลเตจดิไวเดอร์ : 0.5 mA
พิกัดแรงดันตัวต้านทานย่อย : 1,000 V
อัตราส่วนแรงดัน : 1,000 : 1
78
Design Voltage 35 10 3 6
ดังนั้น R HV 3
70 10 70M
IR 0.5 10
ขนาดของตัวต้านทานย่อย จะได้
R HV 70 10 6
Rn 2 10 6 2M
n 35
เลือกใช้ ตัวต้านทานย่อย พิกัด 2 M, 1,000 V, 1 W, 1% (Metal film) จานวน 35 ตัว ต่ออนุกรมกัน
จะได้ RHV Rn n (2 106 ) 35 70 106 70M
2.9.4 การออกแบบระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์เบื้องต้น
ระบบผลิ ต พลั งงานไฟฟ้ า ด้ ว ยเซลล์ แ สงอาทิ ต ย์ (photovoltaic system หรื อ solar PV power
system หรือ PV system) เป็นระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์
(PV module หรือ PV panel) แปลงรูปพลังงานจากแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าที่สร้างขึ้นสามารถ
นาไปใช้ได้โดยตรงหรือสะสมพลังงานโดยใช้แบตเตอรี่ก็ได้ ระบบ PV เป็นพลังงานสะอาด มีความน่าเชื่อถือสูง
ถูกใช้กันอย่างกว้างขวางทั้งในบ้านพักอาศัย และภาคอุตสาหกรรม เป็นต้น
PV module/ Battery
PV array
(ก)
+
PV module/
PV panel
PV1n
PV11 PV12
PV cell +
VPV module
_
PV21 PV22 PV2n VPV array
PV symbol
_
PVm1 PVm2 PVmn
string
(ข)
ภาพ 2.65 (ก) ส่วนประกอบของระบบ PV เบื้องต้น (ข) ตัวอย่างลักษณะการต่อ PV array
80
2. ขนาดของ PV modules
กาลังไฟฟ้าที่ PV module ผลิตได้สัมพันธ์กับขนาดของ PV module การหาขนาดของ PV module
หาได้จากค่าผลรวมกาลังไฟฟ้าสูงสุด (peak watt: Wp) ที่ต้องการจะผลิต และค่าตัวประกอบการผลิตของแผง
(panel generation factor) ซึ่ งจะมี ค่าแตกต่ างกั น ขึ้ น อยู่ กับ ภู มิ ป ระเทศ ส าหรับ ประเทศไทย ค่ า panel
generation factor คือ 3.43 ขั้นตอนการคานวณหาขนาดของ PV modules มีดังนี้
2.1 คานวณหาค่าพิกัดผลรวมกาลังไฟฟ้าสูงสุดที่ต้องการสาหรับ PV modules
หาได้โดยหารค่าพลังงานไฟฟ้าที่ต้องการจากระบบ PV (จากหัวข้อที่ 1.2) ด้วยค่าคงที่ 3.43
ซึ่งจะได้ ค่าพิกัดผลรวมกาลังไฟฟ้าสูงสุดที่ต้องการสาหรับ PV modules เพื่อจ่ายสู่โหลด
2.2 คานวณหาจานวนแผงของ PV modules ของระบบ
หาได้จากการนาค่าพิกัดผลรวมกาลังไฟฟ้าสูงสุดที่ต้องการสาหรับ PV modules (จากหัวข้อ
ที่ 2.1) หารด้วยพิกัดกาลังไฟฟ้า (Wp) ของแผง PV modules ที่มีจาหน่ายในท้องตลาด ในกรณีที่ได้ผลลัพธ์
เป็นจุดทศนิยมให้เพิ่มค่าขึ้นเป็นจานวนเต็ม
การเพิ่มจานวนแผงขึ้นจะช่วยให้สมรรถนะของระบบจะสูงขึ้น อายุการใช้งานของแบตเตอรี่
นานขึน้ ในทางตรงกันข้ามถ้าลดจานวนแผงลงสมรรถนะของระบบจะต่าลง อายุการใช้งานของแบตเตอรี่จะสั้น
ลง และระบบจะไม่ทางานในกรณีที่มีการบังเงาของก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวผ่านระบบ ซึ่งส่งผลให้อายุการใช้งาน
ของแบตเตอรี่สั้นลงอีก
3. ขนาดของอินเวอร์เตอร์
อินเวอร์เตอร์จะใช้เมื่อระบบต้องการกาลังไฟฟ้ากระแสสลับ ไปจ่ายให้แก่โหลดกระแสสลับ พิกัดกาลัง
อิน พุ ต ของอิน เวอร์ เตอร์ จ ะต้ องสู งกว่าผลรวมก าลั งไฟฟ้ าของเครื่อ งใช้ ไฟฟ้ า (โหลด) อิน เวอร์เตอร์รับ ค่ า
แรงดันไฟฟ้าอินพุตค่าเดียวกับค่าแรงดันของแบตเตอรี่
อินเวอร์เตอร์สาหรับระบบ PV แบบอิสระ (stand-alone systems) จะต้องจ่ายกาลังฟ้าได้มากกว่า
กาลังไฟฟ้าที่เครื่องใช้ไฟฟ้าต้องการ พิกัดกาลังของอินเวอร์เตอร์จะสูงกว่าผลรวมค่ากาลังไฟฟ้าที่เครื่องใช้ไฟฟ้า
25 – 30 % ในกรณี ที่ เครื่ อ งใช้ ไฟฟ้ า หรื อ โหลดเป็ น มอเตอร์ ห รื อ คอมเพรสเซอร์ พิ กั ด ก าลั ง ขั้ น ต่ าของ
อินเวอร์เตอร์จะต้องไม่ต่ากว่า 3 เท่าที่โหลดต้องการเนื่องจากกระแสเสิร์จขณะมอเตอร์เริ่มหมุน
4. ขนาดของแบตเตอรี่
แบตเตอรี่ ที่ แ นะน าส าหรั บ ระบบ PV คื อ แบบดี พ ไซเคิ ล (deep cycle battery) แบตเตอรี่ แบบ
ดีพไซเคิล มีคุณสมบัติพิเศษ คือ มีประสิทธิภาพในการประจุไฟฟ้า และสามารถคายประจุที่ระดับพลังงานต่าได้
อย่ างต่อ เนื่ อ ง ขนาดของแบตเตอรี่ จ ะต้ องเพี ยงพอต่ อการใช้ งานอุ ป กรณ์ ไฟฟ้ า (appliances) ทั้ งในเวลา
กลางคืน และขณะที่มีการบังเงาของก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวผ่านระบบ ขั้นตอนการหาขนาดของแบตเตอรี่ มีดังนี้
4.1 คานวณผลรวมพลังงานไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่อวัน (Wh/day)
82
ตัวอย่าง 2.20 หาขนาดของระบบ PV โดยใช้ PV module พิกัด 24 Vdc 250 Wp จ่ายให้ กับการใช้งาน
อุปกรณ์ไฟฟ้าและระยะเวลาการใช้งานในหนึ่งวัน ดังนี้
1. หลอดฟลูออเรสเซนต์ 36 W ใช้บัลลาสต์แกนเหล็กจานวน 2 หลอด ใช้งาน 4 h/day
2. ตู้เย็นขนาด 100 W จานวน 1 เครื่อง ใช้งานตลอด 24 h ซึ่งคอมเพรสเซอร์ทางาน 12 h/day
3. โทรทัศน์ 100 W จานวน 1 เครื่อง ใช้งาน 2 h/day
4. เครื่องปรับอากาศ 1,000 W จานวน 1 เครื่อง ใช้งาน 8 h ซึ่งคอมเพรสเซอร์ทางาน 4 h/day
83
วิธีทา
1. หาความต้องการพลังงานไฟฟ้าสาหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า
กาลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้า
= (46W x 2 x 4h) + (100W x 24 x 0.5h) + (100W x 2h) + (1,000W x 8 x 0.5h)
= 5,768 Wh/day
ค่าพลังงานไฟฟ้าที่ต้องการจากระบบ = 5,768 x 1.3
= 7,498.4 Wh/day
2. หาขนาดของ PV module หรือ PV panel
2.1 ผลรวม Wp ของพิกัด PV panel = 7,498.4 / 3.43
= 2,186.12 Wp
2.2 จานวนของแผง PV panels = 2,186.12 / 250
= 8.74 modules
ดังนั้นเลือกใช้จานวน = 9 modules
จัดวางแผง PV แบบ Series-Parallel จานวน 3 modules/string ทั้งสิ้น 3 string
จากลักษณะจัดวางแผงแบบ Series-Parallel 5 modules/string จานวน 4 string พิจารณา ภาพ 2.65 (ก)
ใช้ KVL จะได้ VPV array 3VPV module 3(24) 72 V
ใช้ KCL จะได้ IPV array 3IPV module
3. หาขนาดของอินเวอร์เตอร์
ผลรวมกาลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้า = 92 + 100 + 100 + 1,000 = 1292 W
เพื่อความปลอดภัยควรเลือกพิกัดที่สูงกว่า 25-30% ดังนั้น เลือกอินเวอร์เตอร์ ขนาด 1615 W ขึ้นไป
ในที่นี้เลือกขนาด 1.8 kW 24 V
4. หาขนาดของแบตเตอรี่
กาลังไฟฟ้าของอุปกรณ์ไฟฟ้า = 5,768 Wh/day
แรงดันแบตเตอรี่ = 24 V (ได้จากใช้แบตเตอรี่ 12 V 2 ก้อน อนุกรมกัน)
จานวน autonomy = 3 days
84
พิกัดแบตเตอรี่
5,768 3
Battery Capacity(A h) 1,413.72 Ah
(0.85 0.6 24)
ดังนั้น เลือกแบตเตอรี่พิกัด 24 V 1,600 Ah สาหรับ 3 วัน autonomy
จากพิกัดแบตเตอรี่ของระบบ PV เลือกใช้แบตเตอรี่แบบดีพไซเคิล 12 V 200 Ah จานวน 16 ก้อนต่อ
กัน ดังภาพ 2.66
I batt
1 2 3 ... 8 +
a
12 V 200 Ah
Vbatt
12 V 200 Ah
_
b
2.10 บทสรุป
1. ตัวต้านทานเป็นองค์ประกอบแบบพาสซีฟ โอห์มได้นิยามว่า แรงดันไฟฟ้า (v) และกระแสไฟฟ้า (R)
แปรผันกันเป็นค่าคงที่ ซึ่งค่าคงที่นั้นคือ ค่าความต้านทาน R ดังนั้น
v iR
ความต้านทานไฟฟ้า R มีหน่วยเป็น Ohm,
85
n1 n2 n3
b2 b4
b1 m1 b3 m2 b5
n4
5. กฎของเคอร์ ช อฟฟ์ มี 2 กฎ คือ กฎกระแสไฟฟ้ าของเคอร์ช อฟฟ์ (KCL) กล่ าวว่ า ผลรวมทาง
พีชคณิตของประจุไฟฟ้าในระบบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือ ผลรวมทางพีชคณิตของกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าสู่
โนดใด ๆ (หรือในขอบเขตปิด) มีค่าเป็นศูนย์ ดังสมการ
in 0
และกฎแรงดันไฟฟ้าของเคอร์ชอฟฟ์ (KVL) กล่าวว่า ผลรวมทางพีชคณิตของแรงดันไฟฟ้าตกคร่อม
รอบบริเวณปิด (หรือลูป หรือเมซ) มีค่าเป็นศูนย์ ดังสมการ
vm 0
ส าหรั บ วงจรที่ มี ตั ว ต้ า นทาน N ตั ว (R1, R2, ...., RN) ต่ อ อนุ ก รมกั บ แหล่ งจ่ า ยแรงดั น ไฟฟ้ า v จะ
สามารถหาแรงดันไฟฟ้าทีต่ กคร่อมตัวต้านทานลาดับที่ n (Rn) จะได้ดังสมการ
Rn
vn v
R1 R2 .... RN
10. สูตรการแปลงรูปโครงข่ายแบบเดลตาไปเป็นแบบวาย
Rb R c Rc Ra R a Rb
R1 R2 R3
R a Rb R c R a Rb R c R a Rb R c
11. สูตรการแปลงรูปโครงข่ายแบบวายไปเป็นแบบเดลตา
R1R2 R2 R3 R3 R1 R R R R R R R1R2 R2 R3 R3 R1
Ra Rb 1 2 2 3 3 1 Rc
R1 R2 R3
a Rc b
R1 R2
n
Rb Ra
R3
c
ภาพ 2.68 โครงข่ายแบบ Y และ สาหรับการแปลงรูปโครงข่ายทั้งสองลักษณะ
โครงข่ายแบบ Y และโครงข่ายแบบโครงข่ายแบบ จะเรียกว่าเป็น โครงข่ายสมดุล ก็ต่อเมื่อ
R1 R2 R3 RY , Ra Rb Rc R
สมการการแปลงวาย-เดลตาสาหรับโครงข่ายสมดุล จะได้
R
RY , R 3RY
3
12. การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าด้วยโปรแกรม PSpice Student Version สาหรับเนื้อหาในบทนี้จะใช้
การวิ เคราะห์ ไฟฟ้ า กระแสตรง ในกรณี ที่ ว งจรไม่ มี ก ารเปลี่ ย นค่ า แหล่ งจ่ ายไฟฟ้ าหรื อ โหลด สามารถใช้
VIEWPOINT ส าหรั บ แสดงค่ า แรงดั น ที่ โ นด และ IPROBE ส าหรั บ แสดงค่ า กระแสที่ กิ่ ง ได้ ส่ ว นวงจรที่ มี
การเปลี่ยนค่าสามารถกาหนดการจาลองให้เป็น DC sweep
13. กฎพื้นฐานที่ครอบคลุมเนื้อหาในบทนี้สามารถนาไปประยุกต์ใช้กับ ระบบส่องสว่าง การออกแบบ
มิเตอร์วัดไฟฟ้ากระแสตรง การออกแบบระบบวัดไฟฟ้าแรงดันสูงกระแสตรงสาหรับห้องปฏิบัติการสาหรับ
กฎของโอห์ ม หลั กการแบ่ งแรงดัน และแบ่ งกระแส และการออกแบบระบบผลิ ต พลั งงานไฟฟ้าด้ว ยเซลล์
แสงอาทิตย์เบื้องต้นสาหรับประยุกต์ใช้กฎของเคอร์ชอฟฟ์
88
2.11 แบบฝึกหัดท้ายบท
2.1 ขดลวดความร้อน คือ ส่วนประกอบที่สาคัญของเครื่องปิ้งขนมปัง ขดลวดความร้อนหรือขดลวดความ
ต้านทานเป็นองค์ประกอบทางไฟฟ้าที่เปลี่ยนพลังงานทางไฟฟ้าเป็นพลังงานความร้อน คานวณหากระแสไฟฟ้า
ที่เกิดขึ้นในเครื่องปิ้งขนมปัง ถ้าขดลวดความร้อนมีค่าความต้านทาน 12 โดยมีแรงดันไฟฟ้าตกคร่อม 110 V
ตอบ i 9.167 A
2 mA 10 k v
1 2 10 V 4
v1
10 V 8V
v2
2
vx
35 V 2v x
5
vo
v1 i2 v3
5V v2 8 3V
Req 6 4 5
1 3
8 5
a
R ab 18 20 1
9
b
2
8S 4S
G eq
2S 6S
12 S
i2
6
15 V 10 v2 40
3 k v1 10 mA 5 k v2 20 k
24 10
20
100 V
30 50
b
Req 3 4 5
12
b
b b
ภาพ 2.83 สาหรับแบบฝึกหัดท้ายบท ข้อที่ 2.16
93
ตอบ
รายการเอกสารอ้างอิง
Alexander, C. K. and Sadiku, N.O. M. (2009 ). Fundamental of Electric Circuit. (4th ed). New
York, NY: McGraw-Hill.
Hayt, W. H. Jr. and Kimmerly, J. E. (1993). Engineering Circuit Analysis. (5th ed). Singapore:
McGraw-Hill.
How to Design Solar PV System. (n.d). Retrieved March 15, 2 016, from http://www.leonics.
com/support/article2_12j/articles2_12j_en.php
Peebles, Z. P. Jr. and Giuma A. T. (1991). Principles of Electrical Engineering. Singapore:
McGraw-Hill.
Rizzoni, G. (2003). Principles and Applications of Electrical Engineering. (4th ed). New York, NY:
McGRAW-Hill.
Steven, S. E. and William, O. G. (1993). Electrical Engineering : An Introduction. (2nd ed).
Philadelphia, PA: Saunders College Publishing.
ชัญ ชนา ตั้งวงศ์ศานต์, อาภรณ์ ธีร มงคลรัศ มี, ชาญชัย ปลื้ มปิติวิริยะเวช, ลั ญ ฉกร วุฒิ สิ ท ธิกุล กิจ, มานะ
ศรียุ ทธศักดิ์, ชุมพล อัน ตรเสน, . . . เทียนชัย ประดิส ถายน. (2556). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า ภาควงจร
กระแสไฟฟ้าตรง. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธนากร น้าหอมจันทร์. (2554). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย.
ธนากร น้าหอมจันทร์. (2554). ระบบวัดไฟฟ้าแรงดันสูง พิกัด 20 kVac 28 kVdc โดยใช้วิธีโวลเตจดิไวเดอร์และ
วิธีชับแอนด์โพเทสคิวเพื่อการเรียนการสอนและการวิจัย . รายงานการวิจัยมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
งานวิจัยลาดับที่ 42 – 2554.
บัณฑิต บัวบูชา. (2541). ทฤษฎีและการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า1. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ฟิสิกส์เซ็นเตอร์.
อภินันท์ อุรโสภณ. (2554). วงจรไฟฟ้า. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ดวงกมลพับลิชชิ่ง.
บทที่ 3
ระเบียบวิธีการวิเคราะห์วงจร
3.1 บทนา
จากกฎของโอห์ม และกฎของเคอร์ชอฟฟ์ ซึ่งเป็น กฎพื้นฐานสาหรับการวิเคราะห์ วงจรไฟฟ้าในบทที่
ผ่านมา ในบทนี้จะอธิบายถึงการประยุกต์ใช้กฎพื้นฐานสาหรับการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า 2 วิธี ที่มีอิทธิพลต่อ
การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าเป็นอย่างมาก คือ ระเบียบวิธีแรงดันโนด ซึ่งประยุกต์จากกฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์
และระเบี ย บวิธี กระแสเมซ ซึ่งประยุ กต์จ ากกฎแรงดันของเคอร์ช อฟฟ์ ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ เป็นวิธีการวิเคราะห์
วงจรไฟฟ้าทีม่ ีความสาคัญและใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในด้านวิศวกรรมไฟฟ้า
ระเบี ย บวิธีที่กล่ าวมานี้ จะทาให้ สามารถวิเคราะห์ วงจรไฟฟ้าแบบเชิงเส้นได้ โดยการสร้างชุดของ
สมการต่าง ๆ ขึ้นมา โดยจานวนสมการ และตัวแปรที่ไม่ทราบค่าจะสัมพันธ์กับจานวนโนดสาหรับระเบียบวิธี
แรงดันโนด และจานวนเท่ากับ จานวนเมซสาหรับระเบียบวิธีกระแสเมซ ซึ่งสามารถนามาวิเคราะห์หาค่าของ
กระแสหรือแรงดันไฟฟ้าในวงจรได้ วิธีที่ใช้ในการแก้ปัญหาจากชุดสมการที่ได้ คือ กฎของเครเมอร์ ซึ่งเป็นกฎที่
ใช้สาหรับการแก้ปัญหาสมการเชิงเส้นในรูปของเมทริกซ์ ดีเทอร์มิแนนต์ ดังแสดงในภาคผนวก ก และวิธีการใช้
โปรแกรม MATLAB สาหรับแก้สมการแสดงดังภาคผนวก จ
เนื้อหาในบทนี้ประกอบด้วย การวิเคราะห์วงจร ระเบียบวิธีแรงดันโนด ระเบียบวิธีแรงดันโนดในวงจร
แหล่ งจ่ ายแรงดัน ไฟฟ้ า ระเบี ยบวิธีกระแสเมซ ระเบียบวิธีก ระแสเมซในวงจรแหล่ ง จ่ายกระแสไฟฟ้า การ
วิเคราะห์วงจรไฟฟ้าด้วยโปรแกรม PSpice Student Version และการประยุกต์ใช้ ระเบียบวิธีการวิเคราะห์
วงจร ตามลาดับ
3.2 การวิเคราะห์วงจร
การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าประกอบด้วยตัวแปรไม่ทราบค่า ได้แก่ แรงดันที่โนดแต่ละโนด กระแสที่ไหล
ผ่านองค์ประกอบแต่ละตัว ดังนั้น ก่อนเริ่มการวิเคราะห์วงจรจะต้องนิยามตัวแปรที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและเป็น
ระบบเสียก่อน เพื่อนามาสร้างชุดสมการสาหรับการวิเคราะห์วงจรนั้น ๆ วงจรตัวอย่างการกาหนดตัวแปร
แรงดันไฟฟ้าในวงจรซึ่งสัมพันธ์กับโนด และกิ่งในวงจร แสดงดังภาพ 3.1 และตาราง 3.1 ตามลาดับ
v R1 vR3
a b c
R1 R3
vs R2 vR2 vR4 R4
d
Ivs IR 1 IR 2
IR 3
IR 4
vs R2 vR2 R4
ia ib
3.3 ระเบียบวิธีแรงดันโนด
ระเบี ย บวิธี แรงดัน โนด (Node Voltage Method) หรือการวิเคราะห์ โนด (Nodal Analysis) เป็ น
ระเบี ยบวิธีพื้นฐานสาหรับการวิเคราะห์ ทางไฟฟ้า เช่น การวิเคราะห์ วงจรไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และ
เครื่องจักรกลไฟฟ้า เป็นต้น ระเบียบวิธีนี้จะนิยามแรงดันโนดเป็นตัวแปรอิสระและต้องกาหนดโนดใดโนดหนึ่ง
ในวงจรให้เป็นโนดอ้างอิงที่ทราบค่าศักย์ไฟฟ้าหรือแรงดันไฟฟ้า ซึ่งค่าแรงดันที่โนดอ้างอิงสามารถกาหนดให้มี
ค่าเท่ากับค่าใดก็ได้ แต่โดยทั่วไปมักกาหนดให้เป็นโนดกราวนด์ ซึ่งมีศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์ (0 V) ดังนั้น ตัวแปร
ค่ าแรงดั น ที่ โนดอื่ น ๆ ในวงจรจะมี ค่ าแรงดั น เที ย บกั บ โนดอ้ างอิ ง (Reference Node) หรือ โนดกราวนด์
ทีม่ ีศักย์เป็นดิน (Ground) นี้เสมอ จากนั้นพิจารณาความสัมพันธ์ของกระแสไฟฟ้าที่โนด โดยใช้กฎกระแสของ
เคอร์ชอฟฟ์ และใช้กฎของโอห์มเพื่อแสดงความสัมพันธ์ของแรงดันระหว่างโนด แล้วทาการแก้สมการเพื่อหา
ค่าแรงดันในตาแหน่งโนดที่สนใจ เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบวิธีแรงดันโนด ในหัวข้อนี้จะอธิบายถึงการ
ประยุ กต์ร ะเบี ย บวิธี แ รงดัน โนดในวงจรที่ ไม่มี แหล่ งจ่ายแรงดั น ระหว่างโนด ส าหรับ วงจรที่ ป ระกอบด้ ว ย
แหล่งจ่ายแรงดันระหว่างโนดจะอธิบายในหัวข้อถัดไป
กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านองค์ประกอบ หรืออุปกรณ์ สามารถเขียนให้อยู่ในรูปสมการแรงดันโนดจาก
กฎของโอห์มได้ดังภาพ 3.3 และเมื่อประยุกต์ใช้กฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์สาหรับวิเคราะห์แรงดันที่โนดจะ
แสดงดังภาพ 3.4
R va vb
a b i
R
i
ภาพ 3.3 สมการกระแสที่ไหลผ่าน R
R1 vb R3
va vd
i1 i3
i2 KCL vb : i1 i2 i3 0
R2
v a vb vb v c vb v d
0
vc R1 R2 R3
ภาพ 3.4 การประยุกต์ใช้กฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์สาหรับวิเคราะห์แรงดันที่โนด
(ก) (ข)
ภาพ 3.6 ตัวอย่างการวิเคราะห์วงจรโดยใช้ระเบียบวิธีแรงดันโนด
2. ใช้ KCL ในทุก ๆ โนดอิสระ แล้วใช้กฎของโอห์มแสดงค่ากระแสไฟฟ้าทุก กิ่ง ในเทอมของแรงดัน
โนด จากภาพ 3.6 (ข) จะได้
KCL ที่โนด v1 ; I1 I2 i1 i2 (3.1)
KCL ที่โนด v2 ; I2 i 2 i 3 (3.2)
จากนั้น ใช้กฎของโอห์ม แสดงกระแสที่ไม่ทราบค่า i1, i2, i3 ในเทอมของแรงดันโนด โดยกาหนดให้
กระแสไหลจากโนดแรงดันสูงไปยังโนดแรงดันต่า
โดยทิศทางการไหลของกระแส แสดงดังสมการ (3.3)
v higher v lower
i (3.3)
R
v1 0
จากภาพ 3.6 (ข) จะได้ i1 or i1 G1v1 (3.4a)
R1
99
v1 v 2
i2 or i2 G2 (v1 v 2 ) (3.4b)
R2
v2 0
i3 or i3 G3v2 (3.4c)
R3
แทนสมการ (3.4) ในสมการ (3.1) และ (3.2) จะได้
v1 v 1 v 2
I 1 I2 (3.5)
R1 R2
v1 v 2 v
และ I2 2 (3.6)
R2 R3
ซึง่ สามารถแสดงค่าความต้านทานในเทอมของค่าความนาไฟฟ้าได้ ดังสมการ (3.7) และ (3.8)
I 1 I2 G1v1 G2 (v1 v2 ) (3.7)
I2 G2 (v1 v2 ) G3v2 (3.8)
3. หาผลลัพธ์จากการแก้สมการได้จากแรงดันโนดอิสระ ซึ่งจะได้ n-1 สมการ จากจานวน n-1 โนดที่
พิจารณา เช่น สมการ (3.5) และ (3.6) หรือสมการ (3.7) และ (3.8) จากวงจรดังภาพ 3.6 การแก้สมการเพื่อ
หาค่าแรงดันโนด v1 และ v2 สามารถทาได้ 2 วิธี คือ 1) แทนค่าสมการ หรือ 2) ใช้กฎของเครเมอร์ หรือใช้การ
อินเวิร์สเมทริกซ์วิธีใดวิธีหนึ่งก็ได้
จากสมการ (3.5) – (3.6) จะได้เมทริกซ์ ดังสมการ (3.9a) และสมการ (3.7) – (3.8) จะได้ เมทริกซ์
ดังสมการ (3.9b)
1 1 1
R R
R2 v1 I I
1 12 1 2 (3.9a)
1 1 v 2 I2
R2 R2 R3
G1 G2 G2 v1 I I
1 2 (3.9b)
G2 G2 G3 v2 I2
ผลการแก้ปัญหาสมการ (3.9a) และ (3.9b) จะได้ค่าแรงดันโนดของโนดอิสระที่กาหนดตัวแปรไว้ใน
ตอนต้น สาหรับค่ากระแสกิ่งในวงจรจะหาได้จากการแทนค่าแรงดันโนดลงในสมการ (3.4)
100
ข้อสังเกต 3.1
จากสมการ 3.9b ซึ่งเขียนอยู่ในรูปเมทริกซ์ GV = I ดังนี้
G11 G12 v1
1
I
(3.10)
G21 G22 v 2 I2
จากสมการ (3.10) ค่าความนาไฟฟ้าในตาแหน่ง G11 จะพบว่า มีค่าเท่ากับค่าความนาไฟฟ้ารวมที่ต่อ
โดยตรงเข้าที่โนด v1 และค่าความนาไฟฟ้าในตาแหน่ง G12 จะพบว่า มีค่าเท่ากับค่าความนาไฟฟ้าที่เชื่อมโยง
จากโนด v1 ไปยั งโนด v2 และมีค่ าเป็ น ลบ (-) ในท านองเดี ยวกั น ค่ าความน าไฟฟ้ าในตาแหน่ ง G22 จะมี
ค่าเท่ากับค่าความนาไฟฟ้ารวมที่ต่อโดยตรงเข้าที่โนด v2 และค่าความนาไฟฟ้าในตาแหน่ง G21 จะมีค่าเท่ากับ
ค่าความนาไฟฟ้าที่เชื่อมโยงจากโนด v2 ไปยังโนด v1 และมีค่าเป็นลบ
สรุปได้ดังนี้ ในวงจรไฟฟ้าที่ไม่มีแหล่งจ่ายไม่อิสระ ประกอบไปด้วย n โนดที่พิจารณา (ไม่รวมโนด
อ้างอิง) ค่าความนาไฟฟ้าในเมทริกซ์ GV = I ในตาแหน่งแนวทแยง (ตาแหน่งเลขแถวเท่ากับ เลขหลัก เช่น
G11 G22 G33 เป็นต้น) จะมีค่าความนาไฟฟ้าเท่ากับค่าความนาไฟฟ้ารวมที่ต่อโดยตรงเข้ากับโนดนั้น ๆ และ
ค่าความนาไฟฟ้าในตาแหน่งอื่นจะมีค่าเท่ากับค่าความนาไฟฟ้าที่เชื่อมโยงไปโนดข้างเคียงและมีค่าเป็นลบ เช่น
G12 คือ ค่าความนาไฟฟ้าเชื่อมโยงจากโนด v1 ไปยังโนด v2 และ G21 คือ ค่าความนาไฟฟ้าเชื่อมโยงจากโนด
v2 ไปยังโนด v1 เป็นต้น
4
2 6 10 A
v1 v 2 v1 0
ใช้กฎของโอห์ม จะได้ 5
4 2
1 1 1
หรือ 5 v 1 v 2 (3.1.1)
4 2 4
จะได้ 20 v1 v 2 2v1
ดังนั้น 3v1 v 2 20 (3.1.2)
5A
i1 5 A i1 5 A
4 v2 i 4 10 A
v1
i2 i2
i3 i5
2 6 10 A
0
20 v 2
3 5v 2 60
3
20 v2 5v2 60
5v2 v2 60 20
จะได้ 4v 2 80
หรือ v2 20 V
แทนค่า v2 ในสมการ (3.1.2) จะได้ 3v1 20 20
40
หรือ v1 13.33 V
3
วิธีที่ 2 ใช้กฎของเครเมอร์จากสมการ (3.1.2) และ (3.1.4) จะได้
3 1 v1 20
3 5 v 2 60
v 2 33 20
60 180 ( 60) 240
v1 160
ฉะนั้น v1 13.33 V
12
v 2 240
v2 20 V
12
ค่ากระแสไฟฟ้าที่กิ่งจะหาได้ ดังนี้
i1 I s 5 A 5 A
v1 v 2
i2 1.6667 A
4
103
v1
i3 6.666 A
2
i4 I s10 A 10 A
v2
i5 3.333 A
6
จากค่ากระแสกิ่ง i2 ที่มีขนาดเป็นลบ นั่นหมายความว่า กระแส i2 ตามพฤติกรรมของวงจรจะไหลจาก
โนด v2 ไปยังโนด v1 ซึง่ มีทิศทางการไหลตรงข้ามกับที่กาหนดไว้
3 ix 12
2
1 3
6A 6 4i x
i1 i1
3 v2 12
v1 v3
i2 i2 ix ix
6A
6A i3
6
4i x
0
KCL ที่โนด 1; 6 i1 i2
v1 v 3 v1 v 2
ใช้กฎของโอห์ม จะได้ 6
6 3
หรือ 3v1 2v2 v3 36 (3.2.1)
KCL ที่โนด 2; i2 i3 i x
v1 v 2 v 0 v2 v3
ใช้กฎของโอห์ม จะได้ 2
3 6 12
หรือ 4v1 7v2 v3 0 (3.2.2)
KCL ที่โนด 3; i1 i x 4i x i1 3i x 0
v1 v 3 3 ( v 2 v 3 )
ใช้กฎของโอห์ม จะได้ 0
6 12
หรือ 2v1 3v2 v 3 0 (3.2.3)
วิธีที่ 1 วิธีการแทนค่า ทาได้โดยแทนค่าสมการ (3.2.1) ลงในสมการ (3.2.3) ดังนี้
จากสมการ (3.2.1) จะได้ 3v1 2v2 36 v3 (3.2.4)
แทนสมการ (3.2.4) ลงในสมการ (3.2.3) จะได้
2v1 3v2 3v1 2v 2 36 0
หรือ 5v1 5v2 36 (3.2.5)
และแทนค่าสมการ (3.2.2) ลงในสมการ (3.2.3) ดังนี้
จากสมการ (3.2.2) จะได้ 4v1 7v2 v3 (3.2.6)
แทนสมการ (3.2.6) ลงในสมการ (3.2.3) จะได้
2v1 3v2 4v1 7v2 0
หรือ 2v1 4v 2 0
จะได้ v 1 2v 2 (3.2.7)
จากนั้นแทนค่าสมการ (3.2.7) ลงในสมการ (3.2.5) จะได้
5(2v2 ) 5v2 36
105
หรือ 5v2 36
36
ดังนั้น v2 7.2 V (3.2.8)
5
ซึ่งจะได้ค่าแรงดันโนด v1 โดยแทน v2 ลงในสมการ (3.2.7) จะได้
v1 2 7.2 14.4 V
หาค่าแรงดันโนด v3 โดยแทน v1 และ v2 ลงในสมการ (3.2.6) จะได้
4(14.4) 7(7.2) 7.2 V
3 2 1 v1 36
4 7 1 v 2 0
2 3 1 v 3 0
3 2 1 3 2
โดยที่ 4 7 1 4 7 [ 21 4 12] [14 9 8]
2 3 1 2 3
13 3 10
36 2 1 36 2
v1 0 7 1 0 7 [ 252 0 0] [ 0 108 0]
0 3 1 0 3
252 108 144
3 36 1 3 36
v 2 4 0 1 4 0 [ 0 72 0] [ 0 0 144]
2 0 1 2 0
72 144 72
3 2 36 3 2
v 3 4 7 0 4 7 [ 0 0 432] [ 504 0 0]
2 3 0 2 3
432 504 72
v1 144
ดังนั้น จะได้แรงดันโนด v1 14.4 V
10
106
v 2 72
v2 7.2 V
10
v 3 72
v3 7.2 V
10
v1 v 3 14.4 ( 7.2)
กระแสกิ่ง จะหาได้จาก i1 3.6 A
6 6
v1 v 2 14.4 7.2
i2 2.4 A
3 3
v2 7.2
i3 1.2 A
6 6
v2 v3 7.2 ( 7.2)
ix 1.2 A
12 12
กาลังไฟฟ้า จะหาได้จาก Pi s 6 A i s 6 A v1 6 14.4 86.4 W
3.4 ระเบียบวิธีแรงดันโนดในวงจรแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า
สาหรับวงจรที่ประกอบด้วย แหล่งจ่ายแรงดันระหว่างโนด 2 โนด จะมีขั้นตอนในการวิเคราะห์วงจร
ด้วยระเบียบวิธีแรงดันโนดในวงจรแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า (Node Voltage Method with Voltage Source)
ดังแสดงตัวอย่างวงจรดังภาพ 3.11
107
12V 9 12
กรณี ที่ 2 แหล่ งจ่ ายแรงดัน ไฟฟ้า (ทั้งแบบอิสระและไม่อิส ระ) อยู่ระหว่างแรงดัน โนด 2 โนด (v2 และ v3)
เรียกว่า โนดทั่วไป (Generalized node) หรือ ซูเปอร์โนด (Supernode) ซึ่งจะใช้ทั้ง KCL และ KVL ในการ
พิจารณาค่าแรงดันทีโ่ นดดังกล่าว ดังนี้
จากภาพ 3.11 โนด v2 และ v3 อยู่ในลักษณะซูเปอร์โนดใช้ KCL ทีซ่ ูเปอร์โนด จะได้
i1 i4 i2 i3 (3.12a)
v1 v 2 v1 v 3 v 0 v3 0
หรือ 2 (3.12b)
3 6 9 12
และใช้ KVL ทีซ่ ูเปอร์โนด จากภาพ 3.11 ได้ ดังภาพ 3.12
6V
v2 v3
v2 6 v3 0 v2 v3 6 (3.13)
5V
v1 v2
2A 10 20 4A
v1 v2
2A 4A
i1 i2
2A 10 20 4A
5V
v1 v2
ภาพ 3.15 สาหรับตัวอย่าง 3.3
vx
10 V 2 20
3
2v x
1 4
5 5A 2A 10
i1 vx i1
v2 20 v3
v1 v4
i3 i4
i2
5 5A 2A 10
i3
v1 v2 v3 mesh 2 v4
mesh 1
KVL เมซ 1; v1 10 v2 0
ดังนั้น v1 v2 10 (3.4.3)
KVL เมซ 2; v 3 2v x v 4 0
ซึง่ vx = v1 – v4 ดังนั้น 2v1 v3 v4 0 (3.4.4)
KVL เมซ 3; v x 2v x 20i3 10 0
ซึง่ 20i3 = v3 - v2 และ vx = v1 - v4
ดังนั้น v1 v 2 v 3 v 4 10 (3.4.5)
แทนสมการ (3.4.3) ลงในสมการ (3.4.1) และ (3.4.2) จะได้
111
2 1 1 v1 0
19 3 4 v 3 330
7 3 10 v 4 90
2 1 1
เมื่อ 19 3 4 ( 60 28 57) ( 21 24 190)
7 3 10
( 145) ( 235) 90
0 1 1
v 1 330 3 4 (0 360 990) (270 0 3300)
90 3 10
( 630) ( 3030) 2400
2 0 1
v 3 19 330 4 (6600 0 1710) (2310 720 0)
7 90 10
(4890) (1590) 3300
2 1 0
v 4 19 3 330 (-540 2310 0) - (0 1980 - 1710)
7 3 90
(1770) (270) 1500
v1 2400
ดังนั้น v1 26.67 V
90
v 3 3300
v3 36.67 V
90
v 4 1500
v4 16.67 V
90
v 2 v1 10 16.67 V
112
ข้อสังเกต 3.2
ระเบียบวิธีแรงดันโนด เหมาะสาหรับวงจรที่มีลักษณะ ดังนี้
1. มีแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าหลายแหล่งจ่ายในวงจร
2. มีจานวนโนดมากกว่าจานวนเมซ
3. มีซูเปอร์โนดต่อขนานกันเป็นจานวนมาก
4. เป็นวงจรที่ต้องการทราบค่าแรงดันที่โนด
3.5 ระเบียบวิธีกระแสเมซ
ระเบี ย บวิธี ก ระแสเมซ (Mesh Current Method) หรื อ การวิ เคราะห์ เมซ (mesh analysis) เป็ น
ระเบี ยบวิธีพื้นฐานสาหรับการวิเคราะห์ ทางไฟฟ้า เช่น การวิเคราะห์ วงจรไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และ
เครื่องจักรกลไฟฟ้า เช่นเดียวกับระเบียบวิธีแรงดันโนด
ระเบียบวิธีกระแสเมซจะใช้ KVL เพื่อหาค่ากระแสเมซที่ไม่ทราบค่า ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้เฉพาะ
วงจรระนาบ (planar circuit) เท่านั้น กล่าวคือ วงจรที่จะวิเคราะห์ด้วยระเบียบวิธีกระแสเมซ ควรเป็นวงจรที่
ไม่มกี ิ่งหนึ่งกิ่งใดพาดผ่านกัน ตัวอย่างเช่นวงจร ดังภาพ 3.19
1A 1A
2 2
1 3
1 5 6
3 4
5 6
4
8 7
8 7
(ก) (ข)
ภาพ 3.19 ตัวอย่างวงจรที่สามารถใช้วิธีการวิเคราะห์กระแสเมซได้
(ก) วงจรระนาบที่มีกิ่งพาดผ่าน (ข) วงจรจากภาพ (ก) ที่จัดรูปใหม่โดยไม่มีกิ่งพาดผ่านกัน
1
5
7 2
4
6
3
13
5A 12
9
11 8
10
V1 i1 i2 V2
R3
f
e
d
ข้อสังเกต 3.3
จากสมการ 3.16 ซึ่งเขียนอยู่ในรูปเมทริกซ์ RI = V ดังนี้
R11 R12 i1
1
V
(3.18)
R21 R22 i 2 V2
จากสมการ (3.18) ค่าความต้านทานไฟฟ้าในตาแหน่ง R11 จะพบว่า มีค่าเท่ากับค่าความต้านทานรวม
ที่ต่ออยู่ภายในเมซ i1 และค่าความต้านทานไฟฟ้าในตาแหน่ง R12 จะพบว่า มีค่าเท่ากับค่าความต้านทานไฟฟ้า
ที่เชื่อมโยงระหว่างเมซ i1 และเมซ i2 และมีค่าเป็นลบ (-) ในทานองเดียวกัน ค่าความต้านทานไฟฟ้าในตาแหน่ง
R22 จะมีค่าเท่ากับค่าความต้านทานไฟฟ้ารวมที่ต่ออยู่ภายในเมซ i2 และค่าความต้านทานไฟฟ้าในตาแหน่ง R21
จะมีค่าเท่ากับค่าความต้านทานไฟฟ้าที่เชื่อมโยงระหว่างเมซ i2 และเมซ i1 และมีค่าเป็นลบ
สรุ ป ได้ ดั งนี้ ในวงจรไฟฟ้ าที่ ไม่ มี แ หล่ งจ่ ายไม่ อิส ระ ประกอบไปด้ ว ย n เมซที่ พิ จารณา ค่ า ความ
ต้านทานไฟฟ้า ในเมทริกซ์ RI = V ในตาแหน่ งแนวทแยง (ตาแหน่งเลขแถวเท่ากับหลั ก เช่น R11 R22 R33
เป็นต้น) จะมี ค่าความต้านทานไฟฟ้าเท่ากับความต้านทานไฟฟ้ารวมที่ต่ออยู่ภายในเมซนั้น ๆ และค่าความ
ต้านทานไฟฟ้าในตาแหน่งอื่นจะมีค่าเท่ากับค่า ความต้านทานไฟฟ้าที่เชื่อมโยงระหว่างเมซข้างเคียงและมีค่า
เป็ น ลบ เช่ น R12 คื อ ค่ า ความต้ า นทานไฟฟ้ า ที่ เ ชื่ อ มโยงระหว่ า งเมซ i1 และเมซ i2 และ R21 คื อ
ค่าความต้านทานไฟฟ้าที่เชื่อมโยงระหว่างเมซ i2 และเมซ i1 เป็นต้น
115
I3
10
10 V i1 i2 15
5V
i1 400
ดังนั้น i1 1.14 A
350
i 2 75
i2 0.21 A
350
i2 10
5
12 V 5
i1
io
i3 5io
15
i1 i3
A
ภาพ 3.23 สาหรับตัวอย่าง 3.6
KVL ทีเ่ มซ 1; 12 5( i1 i 2 ) 15( i1 i 3 ) 0
หรือ 20i1 5i 2 15i 3 12 (3.6.1)
KVL ทีเ่ มซ 2; 10i 2 5( i 2 i 3 ) 5( i 2 i1 ) 0
หรือ 5i1 20i 2 5i 3 0 (3.6.2)
KVL ทีเ่ มซ 3; 5i o 15( i 3 i1 ) 5( i 3 i 2 ) 0
ซึง่ io = i1 – i3 ที่โนด A จะได้ 5( i1 i 3 ) 15( i 3 i1 ) 5( i 3 i 2 ) 0
หรือ 10i1 5i 2 15i 3 0 (3.6.3)
117
20 5 15 i1 12
5 20 5 i 2 0
10 5 15 i 3 0
เมื่อ
20 5 15 20 5
5 20 5 5 20
10 5 15 10 5
12 5 15 12 5
i1 0 20 5 0 20 3600 300 3300
0 5 15 0 5
20 12 15 20 12
i 2 5 0 5 5 0 600 ( 900) 1500
10 0 15 10 0
20 5 12 20 5
i 3 5 20 0 5 20 300 ( 2400) 2700
10 5 0 10 5
ซึ่งจะได้กระแสเมซ
i1 3300
i1 2.2 A
1500
i 2 1500
i2 1A
1500
i 3 2700
i3 1.8 A
1500
และ i o i1 i 3 0.4 A
118
3.6 ระเบียบวิธีกระแสเมซในวงจรแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า
การใช้ ร ะเบี ย บวิ ธี ก ระแสเมซในวงจรที่ ป ระกอบด้ ว ยแหล่ งจ่ า ยกระแส (ทั้ ง อิ ส ระ และไม่ อิ ส ระ)
(Mesh Current Method with Current Source) สามารถวิเคราะห์ได้ง่ายกว่าวงจรที่ไม่มี แหล่งจ่ายกระแส
เพราะจะช่วยลดจานวนตัวแปรที่ไม่ทราบค่าได้ โดยจะเป็นไปได้ 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 แหล่งจ่ายกระแสอยู่ในเมซใดเมซหนึ่ง จะสามารถกาหนดให้กระแสในเมซนั้นมีค่าเท่ากับกระแสจาก
แหล่งจ่ายกระแส ดังภาพ 3.24
3 9
12 V i1 6 i2 2.5 A
2
4 4
i1 i2
20 V i1 i2 20 V
6A
i1 x i 2 Exclude these
element
(ก) (ข)
ภาพ 3.25 (ก) วงจร 2 เมซ ที่ต่อร่วมแหล่งจ่ายกระแส
(ข) ซูเปอร์เมซ เมื่อปลดแหล่งจ่ายกระแส
กรณีที่ 2 แหล่งจ่ายกระแสอยู่ระหว่างเมซ 2 เมซ ดังภาพ 3.25 จะเรียกว่า ซูเปอร์เมซ (Supermesh) ซึ่งจะ
สามารถวิเคราะห์วงจร ได้ดังนี้
จากภาพ 3.25 (ก) กาหนดให้แหล่งจ่ายกระแส 6 A ,R 2 เป็นซูเปอร์เมซ ดังภาพ 3.25 (ข)
ใช้ KVL ในภาพ 3.25 (ข) จะได้ 20 6i1 10i2 4i2 0
119
4
i1 i1
8 12
P
i2 io
6A
6 i2 i3 10 i 4
12 V
2io
i2 Q i3
ข้อสังเกต 3.4
ระเบียบวิธีกระแสเมซ เหมาะสาหรับวงจรที่มีลักษณะ ดังนี้
1. มีแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าหลายแหล่งจ่ายในวงจร
2. มีจานวนเมซมากกว่าจานวนโนด
3. มีซูเปอร์เมซต่ออนุกรมกันเป็นจานวนมาก
4. เป็นวงจรที่ต้องการทราบค่ากระแสที่เมซ
4
1 2
2 6 10 A
GAIN=4
จากภาพ 3.30 ค่าแรงดันไฟฟ้าที่โนด v1 และ v2 มีค่าเท่ากับ 41.67 V และ 36.67 V ตามลาดับ ซึ่งมี
ค่าเท่ากับผลการคานวณในตัวอย่าง 3.3 แต่การจาลองเหตุการณ์ในวงจรที่มีแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าระหว่างโนด
ที่พิจารณา หรือซูเปอร์โนดโดยใช้ PSpice ทาได้โดยง่าย ซึ่งไม่ต้องทาการหาความสัมพันธ์ของกระแสไฟฟ้าที่
ซูเปอร์โนด และหาความสัมพันธ์ของแรงดันไฟฟ้าที่ซูเปอร์โนด เช่นเดียวกับการคานวณดังตัวอย่าง 3.3
4 2 3Vo
i1 i2 i3
24 V 2 8 4 Vo
GAIN=3
3 1 2 v 1 0
6 1 2 v 3 80
6 5 16 v 4 40
124
3 1 2 v 1 0
วิธีทา จากเมทริกซ์ 6 1 2 v 3 80
6 5 16 v 4 40
หรือ GV = I หาเวกเตอร์ V โดยใช้กฎของเครเมอร์บน MATLAB ได้ ดังนี้
>> A=[3 -1 -2; 6 -1 -2; 6 -5 -16]; %A=G
>> B=[0; 80; 40]; %B=I
>> V1=det([B A(:,2) A(:,3)])/det(A);
>> V2=det([A(:,1) B A(:,3)])/det(A);
>> V3=det([A(:,1) A(:,2) B])/det(A);
>> V=[V1; V2; V3]
125
V=
26.6667
173.3333
-46.6667
ดังนั้น จะได้ V1 = 26.67 V, V2 = 173.33 V และ V3 = -46.67 V
3.9 การประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีการวิเคราะห์วงจร
เนื้อหาในส่วนนี้จะอธิบ ายถึง ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ ระเบียบวิธีวิเคราะห์ วงจรที่พบได้บ่อยในด้าน
วิศวกรรมไฟฟ้า คือ การวิเคราะห์วงจรทรานซิสเตอร์ และเครื่องจักกลไฟฟ้ากระแสตรง คือ เครื่องกาเนิดไฟฟ้า
กระแสตรง และ มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง ตามลาดับ
3.9.1 วงจรทรานซิสเตอร์กระแสตรง (DC Transistor Circuit)
ทรานซิ ส เตอร์ พื้ น ฐานมี อ ยู่ 2 แบบ คื อ ทรานซิ ส เตอร์ แ บบมี ผ ลจากสนามไฟฟ้ า (Field Effect
Transistor: FET) และทรานซิสเตอร์แบบรอยต่อสองขั้ว (Bipolar Junction Transistor: BJT) ทรานซิสเตอร์
แบบ BJT มี 2 ชนิด คือ npn และ pnp มีสัญลักษณ์ดังภาพ 3.33 แต่ละชนิดมีขั้วต่อ 3 ขั้ว ดังนี้ อิมิตเตอร์
(Emitter: E) เบส (Base: B) และ คอลเลคเตอร์ (Collector: C) ซึ่ ง ในหั ว ข้ อ นี้ จ ะน าเสนอตั ว อย่ า งการ
ประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีแรงดันโนด และระเบียบวิธีกระแสเมซในวงจรทรานซิสเตอร์กระแสตรงของแบบ BJT
ชนิด npn เท่านั้น
Collector Collector
C C
n p
p B Base n B
n p
E E
Emitter Emitter
(ก) (ข)
ภาพ 3.33 ทรานซิสเตอร์แบบ BJT และสัญลักษณ์ (ก) npn และ (ข) pnp
VCE
Emitter - + Collector
- +
IE IC
V BE + - VBC
Base
IB
Re VEE Rc V CC
(ก) (ข)
ภาพ 3.35 วงจรสมมูลของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรง (Sen, P. C.; 1997) แบบ (ก) ชันท์ และ (ข) ซีรีส์
จากภาพ 3.35 (ก) วงจรสมมูลของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรงแบบชันท์
ใช้ KCL ที่โนด A จะได้ It I a I f (3.25)
เมื่อ It , Ia และ If คือ กระแสไฟฟ้าที่ขั้วของเครื่องกาเนิดไฟฟ้า (กระแสไฟฟ้าที่จ่ายสู่โหลด) กระแสไฟฟ้าที่
อาร์เมเจอร์ และกระแสไฟฟ้าที่ขดลวดฟิลด์ (ขดลวดสร้างสนามแม่เหล็ก) ตามลาดับ
แรงดันไฟฟ้าที่ขั้วโหลด (Vt) หาได้โดยใช้ KVL ที่ขั้วโหลด
จะได้ Vt Ea Ia Ra 0
หรือ Vt Ea Ia Ra (3.26)
เมื่อ Ea คือ แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนาจากเครื่องกาเนิดไฟฟ้า
Ra คือ ค่าความต้านทานของขดลวดอาร์เมเจอร์
จากภาพ 3.35 (ข) วงจรสมมูลของเครื่องกาเนิดไฟฟ้ากระแสตรงแบบซีรีส์ แรงดันไฟฟ้าที่ขั้วโหลด
(Vt) หาได้โดยใช้ KVL ที่ขั้วโหลด
จะได้ Ea Ia Ra It RSE Vt 0
เมื่อ It = Ia ดังนั้น Vt Ea Ia ( Ra RSE ) (3.27)
เมื่อ RSE คือ ค่าความต้านทานของขดลวดซีรีส์ (ขดลวดสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า)
3.9.3 มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Motor)
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง คือ เครื่องจักรกลไฟฟ้ากระแสตรงประเภทหนึ่ง ซึ่งแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็น
พลังงานกล มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบ่งตามลักษณะการต่อขดลวดออกเป็น 2 แบบ คือ แบบชันท์ (shunt)
และแบบซีรีส์ (series) วงจรสมมูลของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง แสดงดังภาพ 3.36
128
If A It It
Ia +
Ia RSE +
R fc Ra Ra
+ +
Vt Vt
Ea Ea
- - -
R fw -
(ก) (ข)
ภาพ 3.36 วงจรสมมูลของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (Sen, P. C.; 1997) (ก) แบบชันท์ และ (ข) แบบซีรีส์
จากภาพ 3.36 (ก) วงจรสมมูลของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบชันท์
ใช้ KCL ที่โนด A จะได้ It I a I f (3.28)
เมื่อ It , Ia และ If คือ กระแสไฟฟ้าที่ขั้วของมอเตอร์ไฟฟ้า (กระแสไฟฟ้าที่จ่ายให้กับมอเตอร์) กระแสไฟฟ้าที่
อาร์เมเจอร์ และกระแสไฟฟ้าที่ขดลวดฟิลด์ (ขดลวดสร้างสนามแม่เหล็ก) ตามลาดับ
แรงดันไฟฟ้าที่ขั้วมอเตอร์ (Vt) หาได้โดยใช้ KVL ที่ขั้วมอเตอร์
จะได้ Vt Ea Ia Ra 0
หรือ Vt Ea Ia Ra (3.29)
เมื่อ Ea คือ แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนาที่อาร์เมเจอร์
Ra คือ ค่าความต้านทานของขดลวดอาร์เมเจอร์
จากภาพ 3.36 (ข) วงจรสมมูลของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงแบบซีรีส์ แรงดันไฟฟ้าที่ขั้วมอเตอร์ (Vt)
หาได้โดยใช้ KVL ที่ขั้วมอเตอร์
จะได้ Vt It RSE Ia Ra Ea 0
เมื่อ It = Ia ดังนั้น Vt Ea Ia ( Ra RSE ) (3.30)
โดยที่ RSE คือ ค่าความต้านทานของขดลวดซีรีส์ (ขดลวดสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้า)
3.10 บทสรุป
1. การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าประกอบด้วยตัวแปรไม่ทราบค่า ได้แก่ แรงดันที่โนดแต่ละโนด กระแสที่
ไหลผ่านองค์ประกอบแต่ละตัว ก่อนเริ่มการวิเคราะห์วงจรจะต้องนิยามตัวแปรที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและเป็น
ระบบเสียก่อน เพื่อนามาสร้างชุดสมการสาหรับการวิเคราะห์วงจรนั้น ๆ ระเบียบวิธีสาหรับการวิเคราะห์วงจร
129
3.11 แบบฝึกหัดท้ายบท
3.1 หาแรงดันที่โนด v1 , v2 ในวงจร โดยใช้ Nodal analysis จากวงจรดังภาพ 3.37
v1 6
v2
1A 2 7 4A
2
3
4i x
V2
V1 V3
ix
10 A 4 6
10 V 5i
v2
v1 v3
i
2 4 3
12 V i1
12
i2 8V
4 3
io i3
4 8
20 V i1 2 i2 10 i o
2 i3 2
6V i1
4
3A
i2 8
1
GAIN=10
รายการเอกสารอ้างอิง
Alexander, C. K. and Sadiku, N.O. M. (2009 ). Fundamental of Electric Circuit. (4th ed). New
York, NY: McGraw-Hill.
Hayt, W. H. Jr. and Kimmerly, J. E. (1993). Engineering Circuit Analysis. (5th ed). Singapore:
McGraw-Hill.
Peebles, Z. P. Jr. and Giuma A. T. (1991). Principles of Electrical Engineering. Singapore:
McGraw-Hill.
Rizzoni, G. (2003). Principles and Applications of Electrical Engineering. (4th ed). New York, NY:
McGRAW-Hill.
Schilling, L. D. and Belove, C. (1989). Electronic Circuits, Discrete and Integrated. (3rd ed).
Singapore: McGraw-Hill.
Sen, P. C. (1997). Principles of Electric Machines and Power Electronics. (2nd ed). CANADA:
John Wiley & Sons, Inc.
Steven, S. E. and William, O. G. (1993). Electrical Engineering : An Introduction. (2nd ed).
Philadelphia, PA: Saunders College Publishing.
ชัญ ชนา ตั้งวงศ์ศานต์, อาภรณ์ ธีร มงคลรัศ มี, ชาญชัย ปลื้ มปิติวิริยะเวช, ลั ญ ฉกร วุฒิ สิ ท ธิกุล กิจ, มานะ
ศรียุ ทธศักดิ์, ชุมพล อัน ตรเสน, . . . เทียนชัย ประดิส ถายน. (2556). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า ภาควงจร
กระแสไฟฟ้าตรง. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธนากร น้าหอมจันทร์. (2554). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย.
บัณฑิต บัวบูชา. (2541). ทฤษฎีและการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า1. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ฟิสิกส์เซ็นเตอร์.
อภินันท์ อุรโสภณ. (2554). วงจรไฟฟ้า. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ดวงกมลพับลิชชิ่ง.
บทที่ 4
ทฤษฎีวงจร
4.1 บทนำ
ระเบียบวิธีวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าซึ่งประยุกต์จากกฎของเคอร์ชอฟฟ์ร่วมกับกฎของโอห์ม ได้แก่ ระเบียบ
วิธีแรงดันโนด ซึ่งใช้กฎกระแสของเคอร์ชอฟฟ์ และระเบียบวิธีกระแสเมซ ซึ่งใช้กฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์ ที่
อธิบายในบทที่ผ่านมา ระเบียบวิธีดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์วงจรโดยไม่เปลี่ยนแปลงรูปวงจร แต่ ทั้งนี้ระเบียบ
วิธีดังกล่าวไม่เหมาะสมกับวงจรขนาดใหญ่ หรือวงจรที่มีความซับซ้อน รวมถึงวงจรที่มีการเปลี่ยนแปลงค่า
องค์ประกอบภายในวงจร เช่น ตัวต้านทานโหลด เป็นต้น
สาหรับวงจรที่มีความซับซ้อน ยุ่งยาก สามารถวิเคราะห์วงจรได้โดยการแปลงรูปวงจรให้เป็นวงจร
สมมูลอย่างง่าย เพื่อความสะดวกในการวิเคราะห์วงจร โดยใช้ทฤษฎี วงจร เช่น ทฤษฎีของเทวินิน และทฤษฎี
ของนอร์ตัน เป็นต้น ซึง่ สามารถประยุกต์ใช้ได้กับวงจรที่มีคุณสมบัติความเป็นเชิงเส้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบทนี้จะอธิบายถึงคุณสมบัติความเป็นเชิงเส้นของวงจร ทฤษฎีการทับซ้อน การแปลงแหล่งจ่าย
ทฤษฎีของเทวินิน ทฤษฎีของนอร์ตัน การส่งผ่านกาลังไฟฟ้าสูงสุด ตรวจสอบทฤษฎีวงจรด้วย PSpice และการ
ประยุกต์ใช้ทฤษฎีวงจร ตามลาดับ
4.2 คุณสมบัติวงจรเชิงเส้น
วงจรที่มีคุณสมบัติความเป็นเชิงเส้น คือ วงจรที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งกระตุ้นและผลที่เกิดขึ้น
เป็ น เชิ งเส้ น โดยในหั ว ข้ อ นี้ จ ะเป็ น การอธิบ ายถึ งคุ ณ สมบั ติ ค วามเป็ น เชิ งเส้ น ของวงจรตั ว ต้ า นทาน ซึ่ งมี
คุณ สมบั ติต่าง ๆ ดังนี้ คุณ สมบั ติความเป็ นหนึ่ งเดียว (Homogeneity property) หรือมี ความเป็ นสั ดส่ ว น
(scaling) และมีคุณสมบัติสภาพรวมกันได้ (Additivity)
องค์ประกอบจะมีคุณสมบัติความเป็นหนึ่งเดียวหรือคุณสมบัติความเป็นสัดส่วนก็ต่อเมื่อ ถ้าอินพุตหรือ
สิ่งกระตุ้นถูกคูณด้วยค่าคงที่แล้ว ส่งผลให้เอาท์พุตหรือผลตอบสนองที่เกิดขึ้นถูกคูณด้วยค่าคงที่เดียวกับอินพุต
เช่นกัน
ตัวอย่างความสัมพันธ์ระหว่างอินพุตและเอาท์พุตของตัวต้านทาน ความสัมพันธ์ของอินพุต i และ
เอาท์พุต v จากกฎของโอห์ม
จะได้ iR v (4.1)
ถ้ากระแส i เพิ่มขึ้นด้วยค่าคงที่ k ฉะนั้น แรงดัน v จะเพิ่มขึ้นด้วยค่าคงที่ k เช่นเดียวกัน ดังนี้
kiR kv (4.2)
ความสัมพันธ์ระหว่างอินพุตและเอาท์พุตของ R จากสมการ (4.1) และ (4.2) แสดงดังภาพ 4.1
136
i i
is v ki s kv
R R
i
Vs Linear Circuit R
io
2
4
4 VX
i1 i2
Vs 2V X
12
เมื่อ vs เท่ากับ 12 V จะได้ i o i2 A
74
24
เมื่อ vs เท่ากับ 24 V จะได้ i o i2 A
74
ซึ่งจะพบว่า เมื่อแหล่งจ่ายแรงดันอินพุต vs เพิ่มขึ้น 2 เท่ากระแสเอาท์พุต io ก็จะเพิ่มขึ้น 2 เท่า เช่นกัน
I3 I1 Io
Is
5 5 6
24 A
4.3 ทฤษฎีกำรทับซ้อน
วงจรเชิงเส้น ที่ป ระกอบไปด้วยแหล่ งจ่ายอิส ระตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไป ในการวิเคราะห์ วงจรเพื่อหาค่า
ตัวแปรแรงดันหรือกระแสในวงจรอาจใช้ ระเบียบวิธีแรงดันโนดหรือกระแสเมซตามที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ผ่านมา
หรือจะใช้ทฤษฎีการทับซ้อน (Superposition Theorem) เพื่อหาตัวแปรที่สนใจ โดยจะคานวณจากผลรวม
139
ของผลตอบสนอง (เอาท์ พุ ต ) ที่ เกิ ด จากแต่ ล ะแหล่ งจ่ าย (สิ่ งกระตุ้ น หรือ อิ น พุ ต ) ในวงจร ซึ่ งเป็ น ไปตาม
คุณสมบัติสภาพรวมกันได้ของวงจรเชิงเส้น
การวิเคราะห์วงจรด้วยทฤษฎีการทับซ้อน ดังภาพ 4.6 ในวงจรที่มีคุณสมบัติเป็นเชิงเส้น มีขั้นตอน
ดังนี้
1. หาค่าตัวแปรที่สนใจทีละแหล่งจ่าย โดยปิดแหล่งจ่ายอื่น ในกรณีเป็นแหล่งจ่ายแรงดันให้ลัดวงจร
ส่วนแหล่งจ่ายกระแสให้เปิดวงจร ดังภาพ 4.7 สาหรับแหล่งจ่ายไม่อิสระให้คงค่าไว้ ณ ตาแหน่งเดิม
2. ทาซ้าในขั้นตอนที่ 1 สาหรับแหล่งจ่ายที่เหลือ โดยพิจารณาเฉพาะแหล่งจ่ายอิสระเท่านั้น
3. หาผลรวมทางพีชคณิตของผลตอบสนองจากแหล่งจ่ายทั้งหมดของตัวแปรที่สนใจ
vs1 i
i1 vs2 i2
R v vs1 R v1 R v2
vs2
vs is R2
(ก)
R1 R1
vs is R 2 vs is R2
(ข) (ค)
ภำพ 4.7 (ก) วงจรเชิงเส้น (ข) การปิดแหล่งจ่ายแรงดัน และ (ค) การปิดแหล่งจ่ายกระแสจากวงจรภาพ (ก)
140
12 V 6 v 4A
ภำพ 4.8 สาหรับตัวอย่าง 4.3
วิธีทำ จากวงจรดังภาพ 4.8 ประกอบด้วย 2 แหล่งจ่าย
ดังนั้น v v1 v2
เมื่อ v1 และ v2 เป็นผลตอบสนองจากแหล่งจ่ายแรงดัน 12 V และแหล่งจ่ายกระแส 4 A ตามลาดับ
หา v1 โดยเปิดวงจรแหล่งจ่ายกระแส แสดงดังภาพ 4.9
18
12 V 6 v1
i3
6 v2 4A
18
ใช้วิธีการแบ่งกระแส จะได้ i3 (4 ) 3 A
6 18
ฉะนั้น v 2 6i 3 18 V
ดังนั้น จะได้ v v1 v 2 3 18 21 V
io
3
2
6io
4A
5 3
12 V
5 i3 3
ใช้ระเบียบวิธีกระแสเมซ จะได้
KVL เมซ i1 ; i1 4 A (4.4.2)
KVL เมซ i2 ; 3i1 6i 2 2i 3 6i o' 0 (4.4.3)
3
i o'' i4
2 6 i o''
5
i5 3
12 V
4 4
24 V i
3 5A
i1 i1
3
3
24 V 24 V
12 V 8
ia
4 4
i2
ib
3
4 V1 4
V2
i3
3 5A
v1
และ i3 1.67 A
3
ฉะนั้น i i1 i2 i3 4 0.5 1.67 5.17 A
ข้อสังเกต 4.2
ค่ากาลั งไฟฟ้ า p ไม่ส ามารถหาได้จากทฤษฎีการทับ ซ้อนโดยตรงได้ เนื่องจากกาลังไฟฟ้า p เป็ น
ฟังก์ชันยกกาลัง 2 แต่จะสามารถหาโดยอ้อมได้จากผลของกระแสหรือแรงดันที่ตัวต้านทานนั้น ๆ ด้วยทฤษฎี
การทับซ้อนเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถคานวณหาค่ากาลังไฟฟ้าได้
4.4 กำรแปลงแหล่งจ่ำย
จากการแปลงรูปวงจรที่มีความซับซ้อนยุ่งยากโดยการรวมองค์ประกอบแบบอนุกรม-ขนาน และการ
แปลงวาย-เดลตา เพื่อให้เป็นวงจรสมมูลอย่างง่าย ซึ่งจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์วงจรได้สะดวกขึ้น
การแปลงแหล่งจ่าย (Source transformation) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยแปลงรูปวงจรให้เป็นวงจร
อย่างง่าย โดยใช้หลักการของวงจรสมมูล ซึ่งวงจรจะยั งคงมีคุณลักษณะของแรงดันและกระแสคงเดิมจากวงจร
เดิม
การแปลงแหล่งจ่ายจะช่วยให้การวิเคราะห์วงจรสะดวกขึ้น โดยมีวิธีการ ดังนี้ การแปลงแหล่งจ่าย
แรงดันที่ต่ออนุกรมกับตัวต้านทาน เป็นแหล่งจ่ายกระแสที่ต่อขนานกับตัวต้านทาน หรือในทางตรงกันข้าม ดัง
ภาพ 4.18
R
a a
VS
IS R
b b
ภำพ 4.18 การแปลงแหล่งจ่ายอิสระ
การแปลงแหล่งจ่ายทาได้โดยใช้ความสัมพันธ์ ดังนี้
vs
v s isR or is (4.6)
R
การแปลงแหล่งจ่ายใช้ได้กับแหล่งจ่ายไม่อิสระได้เช่นกัน ดังภาพ 4.19
R
a a
VS
IS R
b b
ภำพ 4.19 การแปลงแหล่งจ่ายไม่อิสระ
6V 8 Vo 4
6A
1A 6 8 Vo 4
6A
2 0 .5 v x
6V 2 12 V
vx
4 2v x
3A 2 2 vx 12 V
ข้อสังเกต 4.3
ข้อควรระวัง คือ ขั้วบวกของแหล่งจ่ายแรงดันและทิศทางของลูกศรของแหล่งจ่ายกระแสที่ทาการ
แปลงรูป กล่าวคือ ขั้วบวกของแหล่งจ่ายแรงดันเมื่อถูกแปลงมาจากแหล่งจ่ายกระแสจะอยู่ที่ขั้วเดียวกันกับ
ทิศทางลูกศรของแหล่งจ่ายกระแส และในทางตรงกันข้าม ดูตัวอย่าง 4.6 ประกอบ
149
4.5 ทฤษฎีของเทวินิน
บ่อยครั้งที่จะพบว่า มีเพียงองค์ป ระกอบเดียวในวงจรที่ มีการเปลี่ยนแปลงค่า (หรือเรียกว่า โหลด)
ในขณะที่องค์ประกอบอื่นมีค่าคงที่ เช่น เต้ารับภายในบ้านที่ถูกต่อเข้ากับภาระโหลดต่าง ๆ ที่มีค่าแตกต่างกัน
เพื่ อความสะดวกในการวิเคราะห์ ว งจรจะใช้ท ฤษฎี ข องเทวินิ น (Thevenin’s theorem) ซึ่ งเป็ น วิธีที่แ ทน
องค์ประกอบคงที่ในวงจรด้วยวงจรสมมูล
ลีออง ชารลส์ เทวินิ น (Leon Charles Thevenin) วิศวกรทางโทรเลข ชาวฝรั่งเศส ได้คิดค้นวงจร
สมมูลของเทวินิน ขึ้นในปี ค.ศ. 1833 ทฤษฎีของเทวินิน กล่าวว่า วงจรเชิงเส้น 2 ขั้วต่อใด ๆ สามารถแทนด้วย
วงจรสมมูลที่ประกอบไปด้วยแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า VTh ต่ออนุกรมกับตัวต้านทาน RTh ได้ ดังภาพ 4.27 (ก)
สามารถแทนด้วยภาพ 4.27 (ข) ได้ โดยโหลดในภาพอาจจะเป็นตัวต้านทานเดี่ยวหรือวงจรอื่นก็ได้ และวงจร
ทางด้านซ้ายมือของขั้ว a-b ในภาพ 4.27 (ข) เรียกว่า วงจรสมมูลของเทวินิน
I a R Th I a
Linear
two - terminal V Load VTh V Load
Circuit
b b
(ก) วงจรที่ใช้ในการพิจารณา (ข) วงจรสมมูลของเทวินิน
ภำพ 4.27 การแทนวงจรเชิงเส้น 2 ขั้ว ด้วยวงจรสมมูลของเทวินิน
(ก) (ข)
ภำพ 4.28 วิธีการหา VTh และ RTh
150
a R Th a
IL IL
Linear
RL V RL
Circuit VTh
b b
(ก) วงจรที่ใช้ในการพิจารณา (ข) วงจรสมมูลของเทวินิน
ภำพ 4.30 วงจรที่มีโหลด
จากภาพ 4.30 (ข) จะได้
VTh
IL (4.8a)
RTh RL
RL
และ VL ILRL VTh (4.8b)
RTh RL
24 V 3A 12 RL
b
12 Rin
b
ภำพ 4.32 สาหรับตัวอย่าง 4.8
152
4 12
จากภาพ 4.32 ดังนั้น RTh (4 // 12) 1 1 4
4 12
หา VTh โดยเปิดวงจรที่ขั้ว a-b (ปลดโหลดออก) จะได้วงจรดังภาพ 4.33
4 VTh 1
a
i1 i2
24 V 3A 12 VTh
b
ภำพ 4.33 สาหรับตัวอย่าง 4.8
ใช้ระเบียบวิธีแรงดันโนดจากวงจรดังภาพ 4.33 จะได้
24 VTh V
KCL โนด VTh ; 3 Th 0
4 12
72 3VTh 36 VTh 0 VTh 27 V
หรือใช้ระเบียบวิธีกระแสเมซจากวงจรดังภาพ 4.33 จะได้
KVL ซูเปอร์เมซ; 24 4i1 12i2 0
เมื่อ i1 = i2-3 ดังนั้น 16i2 36
จะได้ i2 2.25 A VTh 12i2 27 V
จาก VTh และ RTh จะได้วงจรสมมูลของเทวินิน ดังภาพ 4.34
4 a
IL
27 V RL
b
ภำพ 4.34 สาหรับตัวอย่าง 4.8
VTh 27
กระแสที่ไหลผ่าน RL จะได้ จาก IL
RTh RL 4 RL
153
27
เมื่อ RL = 5 IL 3A
9
27
เมื่อ RL = 15 IL 1.42 A
19
27
เมื่อ RL = 25 IL 0.93 A
29
2 2
a
5A 4 vx 6
b
ภำพ 4.35 สาหรับตัวอย่าง 4.9
วิธีทำ จากภาพ 4.35 วงจรประกอบด้วยแหล่งจ่ายไม่อิสระ หา RTh ได้โดยปิดแหล่งจ่ายอิสระและคงสถานะ
ของแหล่งจ่ายไม่อิสระ แล้วต่อแหล่งจ่ายแรงดัน vo ที่ขั้ว a-b ดังภาพ 4.36 โดยกาหนดให้ vo = 1 V แล้วหา
กระแส io ที่ไหลผ่านขั้ว a-b ดังนั้น RTh = 1/io (หรือจะต่อแหล่งจ่ายกระแส io = 1 A แล้วหาแรงดันตกคร่อม
ขั้ว a-b ซึง่ RTh = vo/1)
2v X
i1
2 2 a
io
4 vx i2 6 i3 vo 1V
b
ใช้ระเบียบวิธีกระแสเมซ
KVL เมซ i1 ; 2v x 2( i1 i2 ) 0 v x i1 i2
โดยที่ -4i2 = vx = i1- i2 ฉะนั้น i1 3i2 (4.9.1)
KVL เมซ i2 ; 4i2 2( i2 i1 ) 6( i2 i3 ) 0 (4.9.2)
KVL เมซ i3 ; 6( i 3 i 2 ) 2i 3 1 0 (4.9.3)
จาก (4.9.1), (4.9.2) และ (4.9.3) จะได้
1
i3 A
6
จากภาพ 4.36 io = -i3 = 1/6 A
1V
ดังนั้น RTh 6
io
หา VTh โดยหา voc จากภาพ 4.37 ใช้ระเบียบวิธีกระแสเมซได้ดังนี้
2v X
i3
2 2 a
5A 4 vx i2 6 voc
i1
b
ภำพ 4.37 สาหรับตัวอย่าง 4.9
KVL เมซ i1 ; i1 5 A (4.9.4)
KVL เมซ i2 ; 4( i2 i1 ) 2( i2 i3 ) 6i2 0
หรือ 12i2 4i1 2i3 0 (4.9.5)
KVL เมซ i3 ; 2v x 2( i3 i2 ) 0 v x i3 i2 (4.9.6)
10
จาก (4.9.4), (4.9.5) และ (4.9.6) จะได้ i2 A
3
155
20 V
b
ภำพ 4.38 สาหรับตัวอย่าง 4.9
ix
2 4
2 .5 i x io
b
4.6 ทฤษฎีของนอร์ตัน
เอ็ดเวิร์ด ลอว์รี่ นอร์ตัน (Edward Lawry Norton) วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันจาก Bell
Telephone Laboratories ได้นาเสนอทฤษฎีของนอร์ตัน (Norton’s Theorem) ในปี ค.ศ. 1926 หรือราว
43 ปี หลังจากลีออง ชารลส์ เทวินิน นาเสนอทฤษฎีของเทวินิน ซึ่งทฤษฎีทั้ง 2 ที่มีความคล้ายคลึงกัน ดังนี้
วงจรเชิงเส้น 2 ขั้ว ในภาพ 4.41 (ก) จะสามารถแทนด้วยวงจรดังภาพ 4.41 (ข) ได้
a a
Linear
two - terminal IN RN
Circuit
b b
สาหรับวงจรที่ประกอบด้วยแหล่งจ่ายอิสระและแหล่งจ่ายไม่อิสระจะสามารถหาค่ากระแสนอร์ตันได้
โดยใช้วิธีเช่นเดียวกับทฤษฎีของเทวินิน
a
Linear
two - terminal i sc I N
Circuit
b
ภำพ 4.42 วิธีการหากระแสนอร์ตัน IN
ความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีของนอร์ตันและทฤษฎีของเทวินิน เมื่อ RN = RTh จากสมการ (4.9) จะได้
VTh
IN (4.11)
RTh
จาก VTh, IN และ RTh ดังสมการ (4.11) ซึ่งจะสามารถหาวงจรสมมูลของเทวินินหรือนอร์ตัน ได้ แสดง
ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้โดยใช้กฎของโอห์ม จะได้ดังสมการ (4.12)
VTh v oc (4.12a)
I N i sc (4.12b)
v oc
RTh RN (4.12c)
i sc
24 V
b
ภำพ 4.43 สาหรับตัวอย่าง 4.11
วิธีทำ หา RN ได้เช่นเดียวกับการหาค่า RTh ในวงจรสมมูลของเทวินิน โดยปิดแหล่งจ่าย (ลัดวงจรแหล่งจ่าย
แรงดัน เปิดวงจรแหล่งจ่ายกระแส) ดังนั้นจากภาพ 4.43 จะได้ดังภาพ 4.44
158
a
8
8
RN
4
b
ภำพ 4.44 สาหรับตัวอย่าง 4.11
4 16
จากภาพ 4.44 ดังนั้น RN 4 //( 8 8) 3.2
4 16
หากระแสนอร์ตัน IN ได้โดยลัดวงจรที่ขั้ว a-b ดังภาพ 4.45 ซึ่งจะละทิ้งตัวต้านทาน 4 เนื่องจากถูก
ลัดวงจร
8 a
8
i1 i2 i sc I N
4A
4
24 V
b
3.5 A 3.2
b
ภำพ 4.47 สาหรับตัวอย่าง 4.11
ix 8
a
4 12 V
b
ภำพ 4.48 สาหรับตัวอย่าง 4.12
วิธีทำ จากภาพ 4.48 ประกอบด้วยแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าอิสระ 12 V และแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าไม่อิสระ
2ix จะหาค่า RN ได้ โดยกาหนดให้ แหล่งจ่ายแรงดันอิส ระในวงจรมีค่าเท่ากับ 0 V (ปิดแหล่ งจ่าย) และต่อ
แหล่งจ่ายแรงดัน vo = 1 V ที่ขั้ว a-b ดังภาพ 4.49
160
2i x
ix 8 a
io
4
vo 1 V
b
ix 8 a
i sc I N
4 12 V
b
4.7 กำรส่งผ่ำนกำลังไฟฟ้ำสูงสุด
ในภาคปฏิบั ติ บ่ อยครั้งที่จะต้องออกแบบวงจรสาหรับส่งผ่านกาลัง ไฟฟ้าให้ แก่โหลด โดยจะต้องมี
กาลังไฟฟ้าสูญเสียน้ อยที่สุด เช่น ในการส่งจ่ายกาลังไฟฟ้า รวมไปถึงการใช้งานในระบบสื่อสาร ซึ่งจะต้อง
พิจารณาทั้งทางด้านประสิทธิภาพและด้านเศรษฐศาสตร์ โดยระบบจะต้องส่งผ่านกาลังไฟฟ้าสู่โหลดได้สูงสุด
จากการพิ จ ารณากาลั งไฟฟ้ าที่โหลดได้รับ และกาลั งสู ญ เสี ยภายใน พบว่า ปั จจัย ของการส่ งผ่ าน
กาลังไฟฟ้าสูงสุดให้แก่โหลด คือ ค่าความสูญเสียภายใน ซึ่งบ่อยครั้งพบว่า ค่าความสูญเสียภายในจะมากกว่า
หรือเท่ากับกาลังไฟฟ้าที่จ่ายให้แก่โหลด
การใช้วงจรสมมูลของเทวินิน เพื่อพิจารณาหาค่าการส่งผ่านกาลังไฟฟ้าสูงสุด (Maximum Power
Transfer) จากวงจรเชิงเส้นแก่โหลด โดยจะกาหนดให้ค่าความต้านทานโหลด RL ปรับค่าได้ ดังภาพ 4.51
R Th a
i
VTh RL
b
0 R Th RL
2 ( RTh RL ) 2 RL ( RTh RL )
2
dp
VTh
dR L ( RTh RL ) 4
( R R 2R )
VTh 2 Th L 3 L 0
( RTh RL )
ฉะนั้น 0 ( RTh RL 2RL ) ( RTh RL ) (4.14)
ซึ่งจะได้ RL RTh (4.15)
จากสมการ 4.15 จะพบว่า การส่งผ่านกาลังไฟฟ้าสูงสุดจะเกิดขึ้นเมื่อ RL = RTh และค่ากาลังไฟฟ้า
สูงสุด จะหาได้โดยอนุพันธ์กาลัง 2 ของกาลังไฟฟ้า d2p/dR2L < 0 หรือ
VTh 2
pmax (4.16)
4 RTh
ตัวอย่ำง 4.13 หา RL เพื่อการส่งผ่านกาลังไฟฟ้าสูงสุด และค่ากาลังไฟฟ้าสูงสุด จากวงจรดังภาพ 4.53
12 3 1 a
24 V 12 1A RL
b
12 RTh
b
ภำพ 4.54 สาหรับตัวอย่าง 4.13
12 12
จากภาพ 4.54 จะได้ RTh (12 // 12) 3 1 4 10
12 12
163
GAIN=2
(ก) (ข)
ภำพ 4.56 สาหรับตัวอย่าง 4.14 (ก) แผนภาพวงจรและ(ข) พล็อตหาค่า RTh และ VTh
(ข) หาค่าความต้านทานนอร์ตัน RN และกระแสไฟฟ้านอร์ตัน IN ทีข่ วั้ a-b จากวงจรดังภาพ 4.56 (ก)
เปลี่ ย นแหล่ งจ่ ายกระแสไฟฟ้ าอิ ส ระที่ ขั้ ว โหลดเป็ น แหล่ งจ่ ายแรงดั น ไฟฟ้ าอิ ส ระ Vp ก าหนดการจาลอง
165
เหตุการณ์ ดังนี้ คลิก Analysis/Setup เลือก DC Sweep เลือก Sweep Type เป็น Linear กาหนดตัวแปร
Sweep Ver. Type เป็ น Voltage Source (แหล่ งจ่ า ยแรงดั น ) ใส่ Vp ลงในช่ อ ง Name ค่ าเริ่ ม ต้ น Start
Value เป็น 0 ค่าสุดท้าย End Value เป็น 1 และ 0.1 ที่ช่อง Increment หลังจากจาลองเหตุการณ์ในวงจร
แล้ว เพิ่มเส้นกราฟ (trace) I(Vp) บนหน้าต่างของ PSpice A/D ผลการพล๊อตแสดงดังภาพ 4.57 (ข) จะได้
IN = จุดตัดที่แกนศูนย์ = 3.335 A GN = ความชัน = (3.335-3.165)/1 = 0.17 S
และ RN = 1/GN = 1/0.17 6
GAIN=2
(ก) (ข)
ภำพ 4.57 สาหรับตัวอย่าง 4.14 (ก) แผนภาพวงจรและ(ข) พล็อตหาค่า GN และ IN
ส าหรั บ การก าหนดการจ าลองเหตุ ก ารณ์ ดั ง นี้ คลิ ก Analysis/Setup เลื อ ก DC Sweep เลื อ ก
Sweep Type เป็ น Linear กาหนดตัวแปร Sweep Ver. Type เป็น Global Parameter ใส่ RL ลงในช่อง
Name ค่ า เริ่ ม ต้ น Start Value เป็ น 100 ค่ า สุ ด ท้ า ย End Value เป็ น 5k และ 100 ที่ ช่ อ ง Increment
หลั ง จากจ าลองเหตุ ก ารณ์ ใน วงจรแล้ ว เพิ่ ม เส้ น กราฟ (add trace) โดยพิ ม พ์ V(R2:1)*I(R2) หรื อ
V(R2:1)*V(R2:1)/RL ในช่อง Trace Expression ผลการพล๊อตแสดงดังภาพ 4.60
1V
ข้อสังเกต 4.4
การเลือกแสดงผลการพล๊อต (add trace) จะเป็นขา 1 หรือ 2 ของอุปกรณ์ ขึ้นกับการวางอุปกรณ์
การก าหนดการพล๊ อ ตไม่ ถู ก ต้ อ งจะส่ งผลต่ อ การประมวลของ OrCAD PSpice ซึ่ งเป็ น ไปตามข้ อ ก าหนด
เครื่องหมายพาสซีฟ ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก ข้อสังเกต จ.4 ในภาคผนวก จ
167
4.9 กำรประยุกต์ใช้ทฤษฎีวงจร
หัวข้อนี้เป็นการอธิบายตัวอย่างการประยุกต์ใช้ทฤษฎีวงจรตามที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ แบบจาลองของ
แหล่งจ่าย การวัดค่าความต้านทาน และระบบควบคุมเบื้องต้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
4.9.1 แบบจำลองของแหล่งจ่ำย
แบบจ าลองของแหล่ ง จ่ า ย (Source Modeling) เป็ น ตั ว อย่ า งใช้ ส าหรั บ อธิ บ ายตั ว อย่ า งการใช้
ประโยชน์ของวงจรสมมูลของเทวินินหรือนอร์ตัน แหล่งจ่ายที่จ่ายพลังงานอยู่ เช่น แบตเตอรี่ มักแสดงลักษณะ
สมบั ติเป็ น วงจรสมมูล ตามทฤษฎี ของเทวินิ น หรือนอร์ตัน กล่ าวคือ แหล่ งจ่ายแรงดั นไฟฟ้ าในอุดมคติ จะ
สามารถจ่ายแรงดัน สู่โหลดได้อย่างคงที่โดยไม่คานึงถึงกระแสที่ไหลสู่โหลด และแหล่ งจ่ายกระแสไฟฟ้าใน
อุดมคติจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าสู่โหลดได้คงที่โดยไม่คานึงถึงแรงดันตกคร่อมโหลด แหล่งจ่ายไฟฟ้าที่ใช้
งานจริง แสดงดังภาพ 4.61
Rs
vs is Rp
(ก) (ข)
ภำพ 4.61 (ก) แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ใช้งานจริง (ข) แหล่งจ่ายกระแสที่ใช้งานจริง
แรงดันไฟฟ้าที่แหล่งจ่าย หรือแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ใช้งานจริงจะมีพฤติกรรมเข้าใกล้แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า
ในอุดมคติ
2. แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ใช้งานจริง ค่ากระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านโหลดจะสัมพันธ์กับค่าความต้านทาน
ภายใน Rp คื อ ถ้ า Rp มี ค่ า มาก ๆ หรื อ Rp >> RL จะส่ งผลให้ ก ระแสไฟฟ้ า ที่ ไหลผ่ านโหลดมี ค่ า เข้ า ใกล้
กระแสไฟฟ้าที่แหล่งจ่าย หรือแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ใช้งานจริงจะมีพฤติกรรมเข้าใกล้แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า
ในอุดมคติ
4.9.2 กำรวัดค่ำควำมต้ำนทำน
การวัดค่าความต้านทาน (Resistance Measurement) โดยใช้วงจรบริดจ์แบบวีตสโตน (Wheat-
stone bridge) ถูกใช้งานอย่างกว้างขว้างสาหรับการวัดค่าความต้านทานที่ไม่ทราบค่า โดยตัวต้านทานที่ไม่
ทราบค่า Rx นั้ นจะต่ออยู่ในบริดจ์ดังแสดงในภาพ 4.62 แล้วปรับค่า ตัวต้านทานที่ปรับค่าได้จนกระทั่ งไม่มี
กระแสไฟไหลผ่ า นกั ล วานอมิ เตอร์ ซึ่ ง เป็ น มิ เ ตอร์ ใ นกลุ่ ม เข็ ม เคลื่ อ นที่ ข องดาร์ สั น วาล์ (D'Arsonval
Movement Meter) ทางานโดยเป็นอุปกรณ์ชี้วัดกระแสไฟฟ้าในย่านไมโครแอมป์ ในกรณีที่ไม่มีกระแสไหล
ผ่านกัลวานอมิเตอร์จะแสดงว่า R1 และ R2 ต่อกันแบบอนุกรม เช่นเดียวกับ R3 และ Rx เมื่อไม่มีกระแสไหล
ผ่านกัลวานอมิเตอร์จะหมายถึง v1 = v2 เมื่อใช้หลักการแบ่งแรงดันไฟฟ้า จะได้
R2 Rx
v1 v v2 v (4.18)
R1 R2 R3 R x
R1 R3
Galvanometer
v
R2 v1 v2 Rx
ดังนั้น กระแสจะไม่ไหลผ่านกัลป์วานอมิเตอร์เมื่อ
R2 Rx
R2 R3 R1 R x
R1 R2 R3 R x
169
R3
หรือ Rx R2 (4.19)
R1
ถ้า R1 = R3 และปรับ R2 จนกระทั้งไม่มีกระแสไหลในกัลวานอมิเตอร์แล้ว Rx = R2
และจะสามารถหาค่ า กระแสที่ ไหลผ่ า นกั ล วานอมิ เตอร์ ใ นกรณี บ ริ ด จ์ แ บบวี ต สโตนไม่ ส มดุ ล
(unbalanced) โดยหาวงจรสมมูล ของเทวินิน (VTh และ RTh) ของกัล วานอมิเตอร์ ถ้าให้ Rm เป็นค่าความ
ต้านทานของกัลวานอมิเตอร์ กระแสที่ไหลผ่านภายในสภาวะไม่สมดุล คือ
VTh
I (4.20)
RTh R m
4.9.3 ระบบควบคุมเบื้องต้น
จากคุณสมบัติความเป็นเชิงเส้นของวงจร ตามที่ได้อธิบายในหัวข้อที่ 4.2 คุณสมบัติวงจรเชิงเส้น ซึ่ง
หมายถึง ถ้าป้อนสัญญาณอินพุต x(t) ผ่านวงจรเชิงเส้น h(t) จะได้เอาท์พุต y(t) ซึ่งอัตราส่วนระหว่างเอาท์พุต
ต่ออินพุต y(t)/x(t) คือ ฟังก์ชันถ่ายโอน [Transfer function; H(t)] ดังสมการ (4.21)
y (t )
H (t ) (4.21)
x (t )
ฟังก์ชันถ่ายโอน จะพบมากในรายวิชาระบบควบคุมเชิงเส้น ซึ่งในหัวข้อนี้จะอธิบายถึงพื้นฐานระบบ
ควบคุมและการรวมบล็อกไดอะแกรมของฟังก์ชันถ่ายโอนเบื้องต้น โดยระบบควบคุมเชิงเส้นที่พบได้ทั่วไป คือ
ระบ บ ค วบ คุ ม แบ บ พี ไอดี (PID controller) ห รื อ ระบ บ ค วบ คุ ม แบ บ สั ด ส่ วน -ป ริ พั น ธ์ -อ นุ พั น ธ์
ซึ่ง P (proportional) หมายถึง การปรับสัดส่วนสัญญาณ I (integral) หมายถึง การอินทิเกรตสัญญาณ และ
D (derivative) หมายถึง การอนุพันธ์สัญญาณ โดยวงจรปรับสัดส่วนหรือวงจรขยายจะอธิบายในบทที่ 5 วงจร
ทาอินทิเกรตและวงจรทาอนุพันธ์จะอธิบายในบทที่ 6
จากสมการ (4.21) แสดงดังภาพ 4.63
x (t ) y (t )
h(t )
(ก)
h1 (t )
x (t ) y (t )
A
h2 (t)
(ข)
x (t ) A y (t )
e (t )
h1 (t )
b (t )
h2 (t)
(ค)
ภำพ 4.64 ตัวอย่างการต่อบล็อกไดอะแกรม
จากภาพ 4.64 (ก) เป็นบล็อกไดอะแกรมต่ออนุกรม ที่โนด A เป็นเอาท์พุตของบล็อก h1(t) และเป็น
อินพุตให้กับ บล็อก h2(t) สามารถหาฟังก์ชันถ่ายโอนได้ ดังนี้ ที่โนด A เอาท์พุตบล็อก h1(t) จะได้ x(t)h1(t)
และที่เอาท์พุตบล็อก h2(t) จะได้ y(t) = x(t)h1(t)h2(t) ซึ่งจะได้
y (t )
H (t ) h1 (t ) h2 (t ) (4.22)
x (t )
จากภาพ 4.64 (ข) เป็นบล็อกไดอะแกรมต่อขนาน ที่โนด A เป็นเอาท์พุตของบล็อก h1(t) และ h2(t)
สามารถหาฟังก์ชัน ถ่ายโอนได้ ดังนี้ เอาท์พุตบล็อก h1(t) จะได้ x(t)h1(t) และที่เอาท์พุตบล็ อก h2(t) จะได้
x(t)h2(t) เอาท์พุตรวมของทั้ง 2 บล็อก จะได้ y(t) = x(t)h1(t) + x(t)h2(t) ซึ่งจะได้
y (t )
H (t ) h1 (t ) h2 (t ) (4.23)
x (t )
จากภาพ 4.64 (ค) เป็นบล็อกไดอะแกรมแบบป้อนกลับ สามารถหาฟังก์ชันถ่ายโอนได้ ดังนี้
171
y (t ) h1 (t ) e(t ) (4.24)
e( t ) x ( t ) b ( t ) (4.25)
b(t ) h2 (t ) y (t ) (4.26)
แทนสมการ (4.25) และ (4.26) ใน (4.24) จะได้
y (t ) h1 (t )[ x (t ) h2 (t ) y (t )]
y (t ) h1 (t )
ดังนั้น H (t ) (4.27)
x (t ) 1 h1 (t ) h2 (t )
สาหรับการต่อบล็อกไดอะแกรมรูปแบบอื่น ๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ใน (Ogata, 1990)
4.10 บทสรุป
1. วงจรจะเป็นเชิงเส้นก็ต่อเมื่อ วงจรนั้นมีคุณสมบัติความเป็นหนึ่งเดียวและคุณสมบัติสภาพรวมกันได้
วงจรเชิงเส้นจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบเชิงเส้น แหล่งจ่ายอิสระ และแหล่งจ่ายไม่อิสระเชิงเส้น
2. ทฤษฎีวงจร เป็นทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์วงจร โดยจะลดรูปวงจรให้เป็นวงจรสมมูลหรือวงจรไฟฟ้า
อย่างง่าย
3. ทฤษฎีการทับซ้อน กล่าวว่า แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมหรือกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านองค์ประกอบใด ๆ
ในวงจรซึ่งประกอบไปด้วยแหล่งจ่ายอิสระหลาย ๆ แหล่งจ่าย จะเท่ากับผลรวมทางพีชคณิตจากผลตอบสนอง
ของทุกแหล่งจ่ายในวงจร
4. การแปลงแหล่งจ่าย ใช้สาหรับแปลงรูปแหล่งจ่ายแรงดันที่ต่ออนุกรมกับตัวต้านทาน เป็นแหล่งจ่าย
กระแสที่ขนานกับตัวต้านทาน และในทางตรงกันข้าม
5. ทฤษฎีของเทวินิน กล่าวว่า วงจรเชิงเส้นสามารถแปลงเป็นวงจรสมมูลของเทวินินได้ ซึ่งประกอบไป
ด้วยแหล่งจ่ายแรงดันเทวินิน VTh และตัวต้านทานเทวินิน RTh ต่ออนุกรมกัน ทฤษฎีของนอร์ตัน กล่าวว่า วงจร
เชิงเส้นสามารถแปลงเป็นวงจรสมมูลของนอร์ตันได้ ซึ่งประกอบไปด้วยแหล่งจ่ายกระแสนอร์ตัน IN และตัว
ต้านทานนอร์ตัน RN ต่อขนานกัน วงจรสมมูลของเทวินินและนอร์ตัน สัมพันธ์กันตามหลักการแปลงแหล่งจ่าย
6. การส่งจ่ายกาลังไฟฟ้าสูงสุดเกิดขึ้นเมื่อ RL = RTh
7. PSpice สามารถใช้ตรวจสอบทฤษฎีวงจรได้ครอบคลุมเนื้อหาในบทนี้ ซึ่งใช้การกวาดกระแสตรง
(DC Sweep) ในการวิเคราะห์
8. แบบจาลองของแหล่งจ่าย และการวัดค่าความต้านทานโดยใช้วี ตสโตนบริดจ์ เป็นตัวอย่างการ
ประยุกต์ใช้ทฤษฎีของเทวินิน
172
4.11 แบบฝึกหัดท้ำยบท
4.1 หา vo เมื่อ is เท่ากับ 15 A และ 30 A จากวงจรดังภาพ 4.65
6
io
is 2 4 vo
10 V 2A 4 0 .1V x
16 V 4A 12 V
io
6 5A 3 7 3A 4
ix 5
4A 10 2i x
6 6 a
12 V 2A 4 1
b
6V 1 .5 I x 4
b
ภำพ 4.73 สาหรับแบบฝึกหัดท้ายบทข้อที่ 4.9
ตอบ RTh 0.444 VTh 5.333 V
4.10 หาวงจรสมมูลของเทวินิน จากวงจรดังภาพ 4.74
10 4Vx
a
Vx 5 15
b
ภำพ 4.74 สาหรับแบบฝึกหัดท้ายบทข้อที่ 4.10
1
ตอบ VTh 0 V RTh 7.5
i
4.11 หาวงจรสมมูลของนอร์ตัน จากวงจรดังภาพ 4.75
3 3 a
15 V 4A 6
b
ภำพ 4.75 สาหรับแบบฝึกหัดท้ายบทข้อที่ 4.11
ตอบ RN 3 I N 4.5 A
175
9V RL
3V X
b
ภำพ 4.77 สาหรับแบบฝึกหัดท้ายบทข้อที่ 4.13
ตอบ RTh 4.222 pmax 2.901 W
4.14 ทาซ้าแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4.12 โดยใช้ PSpice หาวงจรสมมูลของนอร์ตันหา GN และ IN ที่ขั้ว a-b
จากวงจรดังภาพ 4.74
ตอบ GN 1 S I N 10 A
4.15 ทาซ้าแบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4.13 โดยใช้ PSpice หาค่าของ RL เพื่อการส่งผ่านกาลังไฟฟ้าสูงสุด และ
ค่ากาลังไฟฟ้าสูงสุด จากวงจรดังภาพ 4.75
ตอบ RTh 4.222 pmax 2.901 W
176
รำยกำรเอกสำรอ้ำงอิง
Alexander, C. K. and Sadiku, N.O. M. (2009 ). Fundamental of Electric Circuit. (4th ed). New
York, NY: McGraw-Hill.
Hayt, W. H. Jr. and Kimmerly, J. E. (1993). Engineering Circuit Analysis. (5th ed). Singapore:
McGraw-Hill.
Ogata, K. (1990). Modern Control Engineering. (2nd ed). Singapore: McGraw-Hill.
Peebles, Z. P. Jr. and Giuma A. T. (1991). Principles of Electrical Engineering. Singapore:
McGraw-Hill.
Rizzoni, G. (2003). Principles and Applications of Electrical Engineering. (4th ed). New York, NY:
McGRAW-Hill.
Steven, S. E. and William, O. G. (1993). Electrical Engineering : An Introduction. (2nd ed).
Philadelphia, PA: Saunders College Publishing.
ชัญ ชนา ตั้งวงศ์ศานต์, อาภรณ์ ธีร มงคลรัศ มี, ชาญชัย ปลื้ มปิติวิริยะเวช, ลั ญ ฉกร วุฒิ สิ ท ธิกุล กิจ, มานะ
ศรียุ ทธศักดิ์, ชุมพล อัน ตรเสน, . . . เทียนชัย ประดิส ถายน. (2556). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า ภาควงจร
กระแสไฟฟ้าตรง. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธนากร น้าหอมจันทร์. (2554). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย.
บัณฑิต บัวบูชา. (2541). ทฤษฎีและการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า1. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ฟิสิกส์เซ็นเตอร์.
อภินันท์ อุรโสภณ. (2554). วงจรไฟฟ้า. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ดวงกมลพับลิชชิ่ง.
บทที่ 5
โอเปอเรชันนอล แอมพลิไฟเออร์
5.1 บทนำ
จากกฎพื้นฐาน ระเบียบวิธีวิเคราะห์วงจรและทฤษฎีวงจรในบทที่ผ่านมา ซึ่งอธิบายถึงองค์ประกอบ
แบบพาสซี ฟ ที่ ส าคั ญ ส าหรั บ การศึ ก ษาวิ ช าวงจรไฟฟ้ า นั่ น คื อ วงจรตั ว ต้ า นทาน ในบทนี้ จ ะอธิ บ ายถึ ง
องค์ประกอบแบบแอคทีฟที่สาคัญ ชนิดหนึ่ง คือ โอเปอเรชันนอล แอมพลิไฟเออร์ หรือเรียกว่า ออปแอมป์
(Op-Amp) ซึง่ ถูกใช้ในวงจรขยายสัญญาณทางไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย
ออปแอมป์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จัดเป็นวงจรรวมประเภทหนึ่ง โดยทั่วไปประพฤติตัวเหมือนกับ
แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยแรงดันไฟฟ้า (VCVS) ซึ่งสามารถประยุกต์ให้เป็นแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าที่
ควบคุมด้วยกระแสหรือแรงดัน ไฟฟ้า (CCCS หรือ VCCS) ได้เช่นกัน ออปแอมป์สามารถบวก ลบ อนุพันธ์
ปริพั น ธ์ รวมถึงเปรียบเทียบสั ญ ญาณได้ จากความสามารถในการดาเนินการฟังก์ชันทางคณิ ตศาสตร์ของ
สัญญาณ ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อว่า โอเปอเรชันนอล แอมพลิไฟเออร์ (Operational Amplifier) หรือ วงจรขยาย
แบบดาเนินการสัญญาณ
บทนี้จะอธิบายถึง ตัวขยายในทางอุดมคติ ออปแอมป์ในทางอุดมคติและไม่ใช่ทางอุดมคติ ออปแอมป์
ในการดาเนินการทางคณิตศาสตร์ของสัญญาณ ได้แก่ วงจรขยายกลับเฟสและไม่กลับเฟส วงจรขยายผลบวก
และผลต่าง วงจรขยายสัญญาณเครื่องมือวัด การต่อคาสเคดวงจรออปแอมป์ การวิเคราะห์วงจรออปแอมป์โดย
ใช้ PSpice และการประยุกต์ใช้ โอเปอเรชันนอล แอมพลิไฟเออร์ เป็นตัวแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นแอนะล็อก
วงจรชาร์จแบตเตอรี่ และวงจรป้องกันหม้อแปลงไฟฟ้าแรงดันสูงสาหรับห้องปฏิบัติการวิศวกรรมไฟฟ้าแรงสูง
ตามลาดับ
5.2 ตัวขยำยในทำงอุดมคติ
หน้าที่สาคัญประการหนึ่งของเครื่องมือวัดทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ ความสามารถในการขยายสัญญาณ
การขยายสัญญาณที่มีขนาดเล็กที่พบเห็นได้ทั่วไป ได้แก่ การขยายสัญญาณเครื่องรับวิทยุ หรือเครื่องเล่นซีดี
เพื่อขับลาโพง เป็นต้น ดังแสดงในภาพ 5.1
( )
( ) ( )
Rs
Gain RL vL (t )
vs (t) A
Rs Rout
vs (t) v in Rin RL vL (t )
Avin
และถ้าต้องการให้แรงดันเอาท์พุตมีค่าเท่ากับอัตราการขยาย A คูณกับสัญญาณที่เข้ามาทางอินพุต
นั่นคือ จะต้องให้ Rout จากสมการ (5.3) เป็นศูนย์ จะได้
v L Av in (5.7)
เมื่อรวมเงื่อนไขตามสมการ (5.6) และ (5.7) เข้าด้วยกัน จะได้ ตัวขยายที่มีค่าความต้านทานอินพุตสูง
มาก ๆ หรือมีค่าเป็ น อนั น ต์ (Rin ) และมีความต้านทานเอาท์พุ ตเป็นศูนย์ (Rout = 0) จะได้วงจรขยาย
ในทางอุดมคติ ดังนี้
v L Av s (5.8)
7 V
Balance 1 8 No connection
Inverting input 2
Inverting input 2 7 V 6 Output
Noninverting input 3
Noninverting input 3 6 Output
V 4 5 Balance
415
V Offset Null
(ก) (ข)
ภำพ 5.5 ออปแอมป์ (ก) การจัดเรียงตาแหน่งของขา IC และ (ข) สัญลักษณ์
i
i1 V CC
2 7 io
6
3 4
i2 i V CC
v1
Ro vo
vd Ri
Avd
v2
feedback) จะเกิด ขึ้น เมื่อน าสั ญ ญาณขาออก (vo) ของออปแอมป์ ป้อ นให้ กับ ขั้ว อินพุ ต กลั บ เฟส (vi-) ของ
ออปแอมป์ ดังแสดงในตัวอย่าง 5.1 โดยอัตราการขยายจากการป้อนกลับดังกล่าวจะเรียกว่า อัตราขยายลูปปิด
(closed-loop gain) ซึ่งเกิดจากการป้อนกลับแบบลบ โดยแสดงให้เห็นว่า อัตราการขยายลูปปิดนั้นแทบไม่
ขึ้น กั บ ค่ าอัต ราการขยายลู ป เปิ ด A ของออปแอมป์ ด้ ว ยเหตุ นี้ ว งจรออปแอมป์ มัก จะมี การป้ อ นกลั บ ของ
สัญญาณอยู่เสมอ
ข้อจากัดในภาคปฏิบัติของออปแอมป์ จะพบว่า ขนาดของแรงดันเอาท์พุตจะมีขนาดไม่เกิน |VCC| หรือ
แรงดั น เอาท์ พุ ต จะถู ก จ ากั ด ด้ ว ยแรงดั น ไฟเลี้ ย งที่ ป้ อ นให้ กั บ ออปแอมป์ ภาพ 5.8 แสดงการท างานของ
ออปแอมป์ ใน 3 โหมดการทางาน ซึ่งสัมพันธ์กับผลต่างของแรงดันอินพุต vd
1. โหมดการอิ่มตัวซีกบวก (Positive saturation), vo = VCC
2. โหมดบริเวณเชิงเส้น (Linear region), -VCC vo = Avd VCC
3. โหมดการอิ่มตัวซีกลบ (Negative saturation), vo = -VCC
vo
V CC Positive saturation
0 vd
VCC
Negative saturation
ภำพ 5.8 แรงดันเอาท์พุต vo ของออปแอมป์ในฟังก์ชั่นของผลต่างแรงดัน vd
ข้อสังเกต 5.1
การพิจารณาเลือกขนาดแหล่งจ่ายไฟเลี้ยงที่ป้อนให้แก่ออปแอมป์ ควรพิจารณาอัตราขยายและแรงดัน
เอาท์พุตเสียก่อน รวมถึงแรงดันไฟเลี้ยงอุปกรณ์ต่าง ๆ ในวงจร เพื่อไม่ให้มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับแหล่งจ่ายแรงดัน
ไฟเลี้ยงมากเกินไป ทั้งนี้ขนาดแรงดันไฟเลี้ยงของวงจรออปแอมป์จะเป็นไปตามสมการ (5.12)
183
ตัวอย่ำ ง 5.1 วงจร Op-Amp 741 ดังภาพ 5.9 มีอัตราขยายแรงดันลู ปเปิด A = 2 × 105 ความต้านทาน
อินพุต Ri = 2 M และความต้านทานเอาท์พุต Ro = 50 หาอัตราขยายลูปปิด (closed-loop gain) vo/vs
และกระแสไฟฟ้า i เมื่อ vs = 2 V
20 k
10 k 1 i
741
O
vs
vo
10 k R o 50 vo
i
v1
1 O
vs vd R i 2 M Av d
5.4 ออปแอมป์ในทำงอุดมคติ
เพื่อให้เข้าใจการทางานของออปแอมป์ได้ง่ายขึ้น ในหัวข้อนี้จะกาหนดให้เป็นออปแอมป์ในทางอุดมคติ
ซึ่งมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. อัตราขยายลูปเปิดมีค่าเป็นอนันต์, A
2. ค่าความต้านทานอินพุตมีค่าเป็นอนันต์, Ri
3. ค่าความต้านทานเอาท์พุตมีค่าเป็นศูนย์, Ro 0
การกาหนดให้เป็นออปแอมป์ในทางอุดมคติ จะใช้สาหรับการวิเคราะห์โดยการประมาณค่า เนื่องจาก
วงจรขยายส่วนมากจะมีอัตราขยาย A และค่าความต้านทานอินพุต Ri สูง ซึ่งจะสามารถใช้วิธีการวิเคราะห์
วงจรออปแอมป์ ได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ในหัวข้อนี้จะแสดงการวิเคราะห์วงจรออปแอมป์ โดยกาหนดให้
เป็นออปแอมป์ในทางอุดมคติ
วงจรออปแอมป์ในทางอุดมคติ แสดงดังภาพ 5.11
185
i1 0
i2 0
vd
v1
v 2 v1 vo
20 k
vs vo
4 k 10 k
v2 i2 0
v1 io
i1 0
20 k O
vs
4 k 10 k vo
5.5 วงจรขยำยแบบกลับเฟส
จากที่ได้เข้าใจพฤติกรรมของวงจรออปแอมป์ทั้งในทางอุดมคติและไม่ใช่ในทางอุดมคติ ลาดับต่อจากนี้
จะอธิบายการประยุกต์ใช้ออปแอมป์ โดยออปแอมป์มักจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งในวงจรขนาดใหญ่ที่มีความ
187
Rf
R1 vi vo
vi R1
20 k
vi
vo
vo R 25k
วิธีทำ จากสมการ (5.17) f 1.25
vi R1 20k
v o 1.25v i 1.25(2.5) 3.125 V
vi 0 2.5 0
และกระแสที่ไหลผ่าน R 20 k จะได้ i 125 A
R1 20 103
ตัวอย่ำง 5.4 หา vo จากวงจรดังภาพ 5.17
20 k
10 k a
b
4V vo
5V
va vo 4 va
วิธีทำ KCL โนด a;
20k 10k
v a v o 8 2v a v o 3v a 8
189
สาหรับออปแอมป์ในทางอุดมคติ va = vb = 5 V เนื่องจากแรงดันตกคร่อมขั้วอินพุตของออปแอมป์
เท่ากับศูนย์ ดังนั้น
v o 15 8 7 V
ข้อสังเกต 5.3
วงจรขยายแบบกลับเฟส สัญญาณอินพุตและสัญญาณป้อนกลับจากเอาท์พุตจะป้อนเข้าสู่ขาอินพุต
กลับเฟสของออปแอมป์ ส่วนขาอินพุตไม่กลับเฟสจะต่อลงกราวด์
5.6 วงจรขยำยแบบไม่กลับเฟส
ลั ก ษณะการใช้ ง านที่ ส าคั ญ ของออปแอมป์ คื อ วงจรขยายแบบไม่ ก ลั บ เฟส (Noninverting
Amplifier) ดังภาพ 5.18
i2 Rf
R1 i1 v1
v2
vi vo
R
หรือ v o 1 f v i (5.19)
R1
อัตราขยายแรงดัน คือ Av = vo/vi = 1+(Rf / R1) เมื่อไม่มีเครื่องหมายลบ ดังนั้น แรงดันเอาท์พุตจะมี
ขั้วเดียวกับแรงดันอินพุต และอัตราขยายแรงดันจะสัมพันธ์กับองค์ประกอบภายนอกตัวออปแอมป์เท่านั้น
ในกรณี ที่ ตั ว ต้ า นทานป้ อ นกลั บ Rf = 0 (ลั ด วงจร) หรื อ R1 = (เปิ ด วงจร) หรื อ ทั้ ง 2 กรณี
อัตราขยายแรงดันจะเท่ากับ 1 จากกรณีทั้ง 2 (Rf = 0 และ R1 = ) วงจรขยายแบบไม่กลับเฟสจะแสดงได้ดัง
ภาพ 5.19
vi vo vi
1 st stage vo 2 nd stage
vi
ข้อสังเกต 5.4
วงจรขยายแบบไม่กลับเฟส สัญญาณอินพุตจะป้อนเข้าสู่ขาอินพุตไม่กลับเฟส ส่วนสัญญาณป้อนกลับ
จากเอาท์พุตจะป้อนเข้าสู่ขาอินพุตกลับเฟสของออปแอมป์
191
4 k a
b
9V vo
3V
5.7 วงจรขยำยผลบวก
นอกจากนั้นออปแอมป์ยังสามารถใช้ดาเนินการทางคณิตศาสตร์ในการบวกและลบได้อีกด้วย ซึ่งการ
บวกจะใช้ ว งจรขยายผลบวก (Summing Amplifier) และการลบจะใช้ ว งจรขยายผลต่ า ง (Difference
Amplifier) ซึ่งจะแสดงในหัวข้อถัดไป
วงจรขยายผลบวก แสดงดังภาพ 5.22 ซึ่งประกอบไปด้วยวงจรขยายกลับเฟสหลายวงจร
R1 i1
v1 Rf i
v2
R2 i2 i 0A
a
R3 i3 b
v3 0A
vo
a io
2 k
5V
b
2V 10 k vo
5.8 วงจรขยำยผลต่ำง
วงจรขยายผลต่าง (Difference or Differential Amplifiers) ใช้สาหรับขยายผลต่างระหว่างอินพุต
ทั้ง 2 ที่นามาเปรียบเทียบกัน เช่น ในวงจรขยายของเครื่องมือวัดทางไฟฟ้า
194
R2
R1 va 0A
R3 0A
v1
vb
vo
v2 R4
R R
หรือ v o 2 1 v a 2 v1 (5.25)
R1 R1
v2 vb v 0
KCL โนด b; b
R3 R4
R4
หรือ vb v2 (5.26)
R3 R4
เมื่อ va = vb แทนสมการ (5.26) ใน (5.25) จะได้
R R R
v o 2 1 4 v 2 2 v1
R1 R3 R4 R1
R2 [1 ( R1 / R2 )] R
หรือ vo v 2 2 v1 (5.27)
R1 [1 ( R3 / R4 )] R1
วงจรขยายผลต่างจะละทิ้งสัญญาณที่มีขนาดเท่ากันของทั้ง 2 อินพุต วงจรขยายจะมีคุณสมบัติ ดังนี้
vo = 0 เมื่อ v1 = v2 คุณสมบัตินี้จะเกิดขึ้น ในกรณีที่
195
R1 R
ถ้า 3 (5.28)
R2 R4
R2
สมการ (5.27) จะเปลี่ยนเป็น vo (v 2 v1 ) (5.29)
R1
และในกรณีที่ R2 = R1 และ R3 = R4 วงจรขยายผลต่าง จะเรียกว่า วงจรลบ (Subtractor) ซึ่งจะได้
แรงดันเอาท์พุต ดังนี้
v o v 2 v1 (5.30)
2R2
4 R1
R2
v2 4 R1
va vo
R1
v1
i A3 vo
R4
0A vb
R3
R1
A2
v o2
v2 R2
Inverting input V1 R R
Gain set 1
R
3 Vo
RG
R V1
RG Vo
V2
R
Gain set 2
Noninverting input V2
R (ข)
(ก)
ภำพ 5.27 (ก) วงจรขยายเครื่องมือวัดที่มีตัวต้านทานภายนอกเพื่อกาหนดค่าอัตราขยาย (ข) สัญลักษณ์วงจร
วงจรขยายเครื่องมือวัดนั้นจะขยายสัญญาณผลต่างแรงดันไฟฟ้าขนาดเล็กที่ซ้อนอยู่บนแรงดันไฟฟ้า
ขนาดใหญ่ที่ใช้ร่วมกัน (common mode) เนื่องจากแรงดันไฟฟ้าที่ใช้ร่วมกันนี้มีค่าเท่ากัน ดังนั้น จึงทาการ
หักล้างกันไปหมด
IA มีคุณสมบัติหลัก 3 ข้อด้วยกัน คือ
1. อัตราขยายแรงดันไฟฟ้าปรับค่าได้จากตัวต้านทานภายนอก (RG)
2. อิมพิแดนซ์ขาเข้าที่ขั้วต่อทั้งสองมีค่าสูงมากและไม่เปลี่ยนแปลงเมื่ออัตราขยายถูกปรับเปลี่ยนไป
3. สั ญ ญาณขาออก Vo ขึ้ น อยู่ กั บ ผลต่ า งระหว่ า งสั ญ ญาณขาเข้ า V1 และ V2 แต่ จ ะไม่ แ ปรตาม
แรงดันไฟฟ้าที่มันใช้ร่วมกัน (common mode)
เนื่ องจากวงจรขยายเครื่อ งมือวัดนั้ น มีการใช้กัน อย่างแพร่ห ลาย ดังนั้ น บริษั ทผู้ ผ ลิ ตจึงได้พั ฒ นา
วงจรขยายนี้ ใ ห้ อ ยู่ ใ นหน่ ว ยวงจรรวมเดี ย วกั น ตั ว อย่ า งทั่ ว ไป คื อ LH0036 ที่ พั ฒ นาโดย National
Semiconductor อัตราขยายนั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้จาก 1 ถึง 1,000 ด้วยตัวต้านทานภายนอกที่อาจจะมี
ค่าหลากหลายตั้งแต่ 100 ถึง 10 k
5.10 กำรต่อคำสเคดวงจรออปแอมป์
จากหัวข้อที่ผ่านมาจะพบว่า วงจรออปแอมป์จะมีลักษณะเป็นโมดูลหรือเป็นบล็อก ซึ่งในภาคปฏิบัติ
บ่อยครั้งที่จะต้องต่อออปแอมป์คาสเคด (Cascade) กัน เพื่อให้ได้อัตราขยายเป็นไปตามที่ออกแบบ โดยทั่วไป
วงจร 2 วงจรจะคาสเคดกัน เมื่อ วงจรทั้ง 2 ต่อกันในลักษณะเรียงล าดับ กัน [เอาท์พุตวงจรที่ 1 ต่อเข้ากับ
อินพุตของวงจรที่ 2 (head to tail)]
199
Stage 1 Stage 2 Stage 3
v1 v 2 A1 v 1 v 3 A2 v 2 v o A3 v 3
A1 A2 A3
io
2V b
15 k 12 k
vo
3 k 4 k
R
v o1 v o 1 (12) 48 V
12k
จาก v a 2 1 f
R1 4k
เมื่อ io คือ กระแสที่ไหลผ่านตัวต้านทาน 12 k และคุณสมบัติออปแอมป์ในทางอุดมคติ vb = va = 12 V
vo vb 48V 12V
ดังนั้น io io 3 mA
12k 12k
200
3 k
v1 10 k C
a
20 k
B 18k vo
2 k
v2 40 k
b
R1 R2
v1
วงจรขยายผลต่าง (Difference amplifier)
vo R2
vo (v 2 v1 )
R1 R2 R1
v2
R
R R วงจรขยายเครื่องมือวัด (Instrumentation amplifier)
v1
v o Av (v 2 v1 )
RG
R vo
2R
R R Av 1
RG
v2
202
VSRC
VDC = 2
vo 3.998
Av - 1.99915
vi 2
จากภาพ 5.34 แรงดัน เอาท์พุต vo ที่ VIEWPOINT มีค่าเท่ากับ -4.00 V และกระแสเอาท์พุต io ที่
IPROBE มีค่าเท่ากับ 200 A จะสามารถหาอัตราการขยายลูปปิดได้ ดังนี้
204
vo 4
Av -2
vi 2
และ i = 0.2 mA ซึ่ งมี ค่ าใกล้ เคี ย งกั บ การวิ เคราะห์ ว งจรตามตั ว อย่ า ง 5.1 และเป็ น ไปตามการ
วิเคราะห์โดยใช้ออปแอมป์ในทางอุดมคติ ดังนี้
Rf 20k
จากวงจรขยายแบบกลับเฟส vo vi (2) - 4
R1 10k
vo 4
และ Av -2
vi 2
ข้อสังเกต 5.7
ออปแอมป์แต่ละตัวในการจาลองเหตุการณ์บน PSpice ต้องการแหล่งจ่ายไฟฟ้าเลี้ยง dc ตามการใช้
งานจริง ถ้าไม่ต่อแหล่งจ่ายไฟเลี้ยงให้กับออปแอมป์แล้ว ออปแอมป์ก็จะไม่ทางาน แหล่งจ่ายไฟฟ้าเลี้ยง dc
จะต้องต่อตามภาพ 5.6 (ดูตัวอย่าง 5.11 ประกอบ) และอัตราการขยายตามฟังก์ชันของแรงดันที่ แหล่งจ่าย
ไฟเลี้ยงจะเป็นไปตามภาพ 5.8 (ดูตัวอย่าง 5.11 ประกอบ) กรณีที่ vo มากกว่า Vcc ออปแอมป์ จะเกิดการ
อิ่มตัว อัตราขยายจะไม่เป็นไปตามความสัมพันธ์ระหว่างเอาท์พุตและอินพุต
(ก)
MSB LSB Vo
(ข)
ภำพ 5.35 วงจรแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นแอนะล็อก (DAC) 4 บิต
(ก) แผนผังวงจร (ข) วงจรแบบโครงข่ายขั้นบันไดถ่วงน้าหนักของเลขฐานสอง
5.12.2 วงจรชำร์จแบตเตอรี่
ในกรณีที่ต้องการเก็บสะสมพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ลงในแบตเตอรี่ จะต้องใช้วงจรชาร์จแบตเตอรี่หรือ
วงจรประจุไฟฟ้าให้แก่แบตเตอรี่ ตัวอย่างวงจรชาร์จแบตเตอรี่ 12 V อย่างง่าย แสดงดังภาพ 5.36
จากภาพ 5.36 แรงดันไฟฟ้าจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ Vpv จะชาร์จให้กับแบตเตอรี่ Vbatt ที่ระดับ
แรงดันประมาณ 13.8-14.4 V ในสภาวะการชาร์จแบตเตอรี่จะเปรียบเสมือนโหลด ส่งผลให้แรงดันในวงจรต่า
กว่าค่าแรงดันที่กาหนดไว้ ซึ่งแรงดันที่เปรียบเทียบที่ ขา 2 (ขาบวก) มีค่าน้อยกว่าขา 3 (ขาลบ) ของ LM111
สัญญาณขาออกของ LM111 จะมีค่าเป็นลบ และเมื่อแบตเตอรี่ถูกชาร์จจนเต็มแรงดันไฟฟ้าในวงจรจะมีค่า
ตามที่กาหนดไว้ ทาให้แรงดันที่เปรียบเทียบที่ ขา 2 มีค่ามากกว่าขา 3 (ขาลบ) ของ LM111 สัญญาณขาออก
ของ LM111 จะมีค่าเป็นบวก ส่งผลให้ทรานซิสเตอร์ Q1 และรีเลย์ K1 ทางาน เมื่อรีเลย์ K1 ทางานจะส่งผลให้
หน้าสัมผัสปกติปิด K1 ที่ต่ออนุกรมกับขั้วบวกของแบตเตอรี่เปิดวงจรออก เป็นการหยุดการชาร์จแบตเตอรี่โดย
อัตโนมัติ
206
5.12.3 วงจรป้องกันหม้อแปลงไฟฟ้ำแรงดันสูงสำหรับห้องปฏิบัติกำรวิศวกรรมไฟฟ้ำแรงสูง
ในวงจรการทดสอบหาค่าแรงดันไฟฟ้าเบรกดาวน์ในฉนวนเหลว หลังจากเกิดการเบรกดาวน์ระหว่าง
อิเล็กโตรดไฟฟ้าแรงสูงแล้ว จะต้องทาการปิดแหล่งจ่ายไฟฟ้าแรงดันสูงที่ทาการทดสอบโดยทันที ในหัวข้อนี้จะ
อธิบายการใช้ออปแอมป์ตัวเปรียบเทียบแรงดันสาหรับออกแบบสร้างวงจรป้องกันแหล่งจ่ายไฟฟ้าแรงดันสูงใน
ห้องปฏิบัติการ
วงจรจะทางานเมื่อเกิดการเบรกดาวน์ซง่ึ ตรวจจับกระแสไฟฟ้าเบรกดาวน์ของฉนวนน้ามันหม้อแปลงที่
ใช้ในการทดสอบ และในวงจรด้านปฐมภูมิของหม้อแปลงไฟฟ้าแรงสูงจะมีเซอร์กิตเบรกเกอร์สาหรับเปิดวงจร
ด้วยมือได้ในกรณีที่เกิดการสปาร์คข้ามระหว่างอิเล็ กโตรด โดยมีแผนภูมิแบบสคีมาติกเชิงเส้น (Schematic
Diagram) ของวงจรป้องกันในวงจรการทดสอบดังภาพ 5.37 และ Schematics วงจรแสดงดังภาพ 5.38
220/20,000 V
0-250 V K1
Input
220 Vac Ri
Vi
Circuit Breaker Variac High Voltage Transformer Test cell
To Switching System Circuit
5.13 บทสรุป
1. วงจรขยายในทางอุดมคติ มีค่าความต้านทานอินพุตสูงมาก ๆ หรือมีค่าเป็นอนันต์และมีความ
ต้านทานเอาท์พุตเป็นศูนย์จะได้ vo = Avi
2. วงจรออปแอมป์เป็นวงจรขยายที่อัตราขยายมีค่าสูงมาก ซึ่งมีค่าความต้านทานขาเข้าสูงและค่า
ความต้านทานขาออกต่า
208
3. ตาราง 5.2 บทสรุป วงจรออปแอมป์ ที่ อธิบ ายในบทนี้ ความสั มพั นธ์ของอัต ราขยายของแต่ล ะ
วงจรขยายจะมีค่าไม่ขึ้นกับลักษณะสัญญาณ ไม่ว่าสัญญาณขาเข้านั้นจะเป็นแบบ dc แบบ ac หรือแบบทั่วไปที่
แปรตามเวลาก็ตาม แต่จะขึ้นกับองค์ประกอบภายนอกเท่านั้น
4. ออปแอมป์ในทางอุดมคติมีความต้านทานขาเข้าเป็นอนันต์ ค่าความต้านทานขาออกเป็นศูนย์ และ
อัตราขยายลูปเปิดมีค่าเป็นอนันต์
5. ออปแอมป์ ใ นทางอุ ด มคติ นั้ น กระแสที่ ไ หลผ่ า นเข้ า ขั้ ว ต่ อ ขาเข้ า ทั้ ง สองมี ค่ า เป็ น ศู น ย์ แ ละ
แรงดันไฟฟ้าคร่อมขั้วต่อขาเข้าทั้งสองมีค่าเท่ากับศูนย์
6. ในวงจรขยายแบบกลับเฟส (Inverting Amplifier) สัญญาณขาออกนั้นเป็นค่าลบคูณกับสัญญาณ
ขาเข้า
7. ในวงจรขยายแบบไม่กลับเฟส (Non-inverting Amplifier) สัญญาณขาออกนั้นเป็นค่าบวกคูณกับ
สัญญาณขาเข้า
8. วงจรตามแรงดัน (Voltage Follower) นั้น สัญญาณขาออกเป็นไปตามสัญญาณขาเข้า
9. วงจรขยายผลบวก (Summing Amplifier) นั้น สัญญาณขาออกเป็นค่าผลบวกของสัญญาณขาเข้า
ที่มีการถ่วงน้าหนัก
10. วงจรขยายผลต่าง (Differential Amplifier) นั้น สัญญาณขาออกแปรตามผลต่างของสัญญาณ
ขาเข้าทั้งสอง
11. วงจรออปแอมป์ ส ามารถต่ อ กั น แบบคาสเคค (Cascade) ได้ โดยไม่ มี ก ารเปลี่ ย นแปลง
ความสัมพันธ์ของสัญญาณขาออกกับสัญญาณขาเข้า
12. โปรแกรม PSpice นั้ น สามารถใช้วิเคราะห์วงจรออปแอมป์ได้ ซึ่งจัดเตรียมออปแอมป์ที่ไม่ใช่
ในทางอุดมคติไว้ ดังนี้ LF411, LM111, LM324 และ uA714
13. การประยุกต์ใช้โดยทั่วไปของออปแอมป์ในบทนี้นั้นได้รวมถึงเรื่องการแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็น
แอนะล็อก วงจรชาร์จแบตเตอรี่ และวงจรป้องกันหม้อแปลงไฟฟ้าแรงดันสูงสาหรับห้องปฏิบัติการวิศวกรรม
ไฟฟ้าแรงสูง
209
5.14 แบบฝึกหัดท้ำยบท
5.1 ออปแอมป์ 741 ที่มีอัตราขยายลูปเปิด A = 2105, Ri = 2 M, Ro = 50 หา close-loop gain
vo/vs และ io เมื่อ vs = 1 V จากวงจรดังภาพ 5.39
741
io
vs 40 k
5 k 20 k vo
v2 v2
is vo is vo
(ก) (ข)
ภำพ 5.42 สาหรับแบบฝึกหัดท้ายบทข้อที่ 5.4
vo
ก) Transresistance Amp (vo/is) จากภาพ (ก) R
is
vo R R
ข) Transresistance Amp (vo/is) จากภาพ (ข) R1 1 3 3
is R1 R2
ตอบ proof
5 k
3V 8 k
vo
2 k
10 k
io
1.5 V 2V 6 k
4 k vo
1.2 V
v o1 20 k io
v o2 20 k
Op Amp3
40 k 10 k
8.01 V
Op Amp2
6 k
4V Vx
vo
4 k io
v o1 2 0 k
Vo
Op Amp1
Op Amp3
V1
30 k
50 k
10 k
v o2
V2 Op Amp2
VSRC VSRC
VDC = 8.00 VDC = 8.01
รำยกำรเอกสำรอ้ำงอิง
Alexander, C. K. and Sadiku, N.O. M. (2009 ). Fundamental of Electric Circuit. (4th ed). New
York, NY: McGraw-Hill.
Hayt, W. H. Jr. and Kimmerly, J. E. (1993). Engineering Circuit Analysis. (5th ed). Singapore:
McGraw-Hill.
Peebles, Z. P. Jr. and Giuma A. T. (1991). Principles of Electrical Engineering. Singapore:
McGraw-Hill.
Rizzoni, G. (2003). Principles and Applications of Electrical Engineering. (4th ed). New York, NY:
McGRAW-Hill.
Steven, S. E. and William, O. G. (1993). Electrical Engineering : An Introduction. (2nd ed).
Philadelphia, PA: Saunders College Publishing.
ชัญ ชนา ตั้งวงศ์ศานต์, อาภรณ์ ธีร มงคลรัศ มี, ชาญชัย ปลื้ มปิติวิริยะเวช, ลั ญ ฉกร วุฒิ สิ ท ธิกุล กิจ, มานะ
ศรียุ ทธศักดิ์, ชุมพล อัน ตรเสน, . . . เที ยนชัย ประดิส ถายน. (2556). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า ภาควงจร
กระแสไฟฟ้าตรง. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธนากร น้าหอมจันทร์, อติกร เสรีพัฒนานนท์ และพงษ์สวัสดิ์ คชภูมิ. (2551). การสร้างชุดทดสอบแรงดันเบรก
ดาวน์ฉนวนน้ามันหม้อแปลงที่ความถี่ไฟฟ้า 50 เฮิร์ตซ. รายงานการวิจัยมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
งานวิจัยลาดับที่ 05 – 2552.
ธนากร น้าหอมจันทร์. (2554). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย.
บัณฑิต บัวบูชา. (2541). ทฤษฎีและการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า1. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ฟิสิกส์เซ็นเตอร์.
อภินันท์ อุรโสภณ. (2554). วงจรไฟฟ้า. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ดวงกมลพับลิชชิ่ง.
บทที่ 6
ตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนำ
6.1 บทนำ
จากที่ ได้ ศึก ษาเกี่ย วกั บ วงจรองค์ป ระกอบแบบพาสซีฟ เชิ งเส้ น คื อ วงจรตัว ต้ านทาน ในบทนี้ จ ะ
นาเสนอองค์ประกอบของวงจรแบบพาสซีฟเชิงเส้นที่สาคัญอีก 2 องค์ประกอบ คือ ตัวเก็บประจุ (Capacitor)
และตัวเหนี่ ยวน า (Inductor) ซึ่งเป็ น องค์ป ระกอบประเภทสะสมพลั งงาน (Storage elements) กล่าวคือ
ตัวเก็บประจุสามารถเก็บสะสมพลังงานในรูปแบบสนามไฟฟ้า และตัวเหนี่ยวนาสามารถเก็บสะสมพลังงานใน
รูปสนามแม่เหล็กไว้ในตัวมันได้ ซึ่งแตกต่างจากตัวต้านทาน ที่มีคุณสมบัติดูดกลืนหรือเผาผลาญพลังงาน และ
อธิบายถึง วงจรตัวเก็บประจุอนุกรมและขนาน วงจรตัวเหนี่ยวนาอนุกรมและขนาน การวิเคราะห์วงจรตัวเก็บ
ประจุและตัวเหนี่ยวนาโดยใช้ PSpice และตัวอย่างการประยุกต์ใช้ตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนา ตามลาดับ
6.2 ตัวเก็บประจุ
ตัวเก็ บ ประจุ เป็ น องค์ป ระกอบทางไฟฟ้ าแบบพาสซีฟ เชิงเส้ น ที่ส ามารถสะสมพลั งงานในรูปของ
สนามไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า ซึ่งถูกใช้งานในด้านอิเล็กทรอนิกส์ สื่อสาร คอมพิวเตอร์ ระบบไฟฟ้ากาลัง และด้าน
วิศวกรรมไฟฟ้าแรงสูงอย่างแพร่หลาย
ตั ว เก็ บ ประจุ ไฟฟ้ าโดยทั่ ว ไป ประกอบด้ ว ยแผ่ น ตั ว น า 2 แผ่ น คั่ น ด้ ว ยวัส ดุ ฉ นวน (Insulator or
Dielectric) แผ่นตัวนามักทามาจาก อลูมิเนียมฟอยล์ และฉนวนมักทามาจาก อากาศ เซรามิก กระดาษ หรือ
ไมก้า ตัวอย่างตัวเก็บประจุไฟฟ้าโดยทั่วไป แสดงดังภาพ 6.1
Dielectric with permittivity;
Metal plate,
each with area; A
d
ภำพ 6.1 ตัวอย่างตัวเก็บประจุไฟฟ้าโดยทั่วไป
เมื่อจ่ายแรงดันไฟฟ้า (v) ให้กับตัวเก็บประจุดังภาพ 6.2 จะมีประจุบวก (+q) บนแผ่นตัวนาหนึ่ง และ
มีประจุลบ (–q) บนอีกแผ่นตัวนาหนึ่ง ซึ่งตัวเก็บประจุจะเก็บสะสมประจุไฟฟ้า โดยประจุที่เก็บสะสมไว้ (q)
จะแปรผันตรงกับแรงดันไฟฟ้า (v) ทีจ่ ่ายให้ ดังสมการ (6.1)
216
q q
v
ภำพ 6.2 ตัวเก็บประจุเมื่อได้รับแรงดันไฟฟ้า v จากแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า
q Cv (6.1)
เมื่อ C เป็นค่าคงที่ของการแปรผัน เรียกว่า ค่าความจุไฟฟ้า (Capacitance) ของตัวเก็บประจุ มีหน่วยเป็น
ฟารัด (Farad; F) เพื่อเป็นเกียรติแก่ ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
จากสมการ (6.1) พบว่า 1 farad = 1 coulomb/volt
ถึงแม้ว่าความจุไฟฟ้า (C) ของตัวเก็บประจุจะเป็นอัตราส่วนของประจุไฟฟ้า (q) บนแผ่นตัวนาไฟฟ้า
ต่อแรงดันไฟฟ้า (v) ที่จ่ายให้ นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับรูปลักษณะทางกายภาพของตัวเก็บประจุด้วย กรณีตัว
เก็บประจุแบบแผ่นตัวนาขนานกัน ดังภาพ 6.1 ค่าความจุไฟฟ้าจะหาได้ตามสมการ (6.2)
A
C (6.2)
d
เมื่อ A คือ พื้นที่หน้าตัดของตัวนาไฟฟ้า
D คือ ระยะห่างของตัวนาไฟฟ้า
คือ ค่าเปอร์มิตติวิตี้ของฉนวนที่คั่นอยู่ระหว่างตัวนา
สมการ (6.2) ใช้ได้กับตัวเก็บประจุแบบแผ่นตัวนาขนานเท่านั้น จากสมการ พบว่า ค่าความจุไฟฟ้า
ของตัวเก็บประจุสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
1. พื้นที่ผิวของแผ่นตัวนาไฟฟ้า A : พื้นที่มาก ค่าความจุไฟฟ้าสูง
2. ระยะห่างระหว่างตัวนาไฟฟ้า d : ระยะห่างน้อย ค่าความจุไฟฟ้าสูง
3. ค่าเปอร์มิตติวิตี้ของวัสดุฉนวน : ค่าเปอร์มิตติวิตี้สูง ค่าความจุไฟฟ้าสูง
นอกจากตัวเก็บประจุแบบแผ่นตัวนาขนานแล้ว ยังมีตัวเก็บประจุแบบที่พบมากในระบบไฟฟ้ากาลัง
คือ ตัวเก็บ ประจุ แบบตัวน าทรงกระบอกซ้อนแกนร่ว ม แสดงดัง ภาพ 6.3 ซึ่งใช้ในสายเคเบิ้ล ไฟฟ้ าแรงสู ง
ตัวนาไฟฟ้าแรงสูง และระบบวัดไฟฟ้าแรงดันสูง เป็นต้น
217
r2
l
r1
(ก)
C2 r3
C1
r2
2 1 l
r1
(ข)
ภำพ 6.3 ตัวเก็บประจุไฟฟ้าทรงกระบอกซ้อนแกนร่วม (ก) ตัวนา 2 ชั้น (ข) ตัวนา 3 ชั้น
จากภาพ 6.3 (ก) ตัวเก็บประจุไฟฟ้าทรงกระบอกซ้อนแกนร่วม ตัวนา 2 ชั้น ค่าความจุไฟฟ้า จะหาได้
2 l
จาก C (6.3)
r2
ln
r1
สาหรับภาพ 6.3 (ข) ตัวเก็บประจุไฟฟ้าทรงกระบอกซ้อนแกนร่วม ตัวนา 3 ชั้น ค่าความจุไฟฟ้า จะหา
21 2 l
ได้จาก C (6.4)
r3 r2
1 ln 2 ln
r2 r1
ข้อสังเกต 6.1
จากสมการ (6.1) และ (6.2) ในกรณี ที่ ต้ อ งการให้ ค่ าความจุ ไฟฟ้ า มากขึ้ น จะท าได้ โดยการเพิ่ ม
แรงดันไฟฟ้า (v) ให้มากขึ้น หรือลดระยะห่างระหว่างตัวนาไฟฟ้า (d) ให้แคบลง ทั้งนี้วิธีการดังกล่าวอาจทาให้
เกิดประกายไฟระหว่างแผ่นตัวนาทั้ง 2 หรือเกิดการเบรกดาวน์ของวัสดุฉนวนที่คั่นอยู่ระหว่างแผ่นตัวนาไฟฟ้า
ได้ ซึ่ ง สามารถแก้ ไขได้ โ ดยการเลื อ กใช้ วั ส ดุ ฉ นวนที่ มี ค่ า เปอร์ มิ ต ติ วิ ตี้ (r) สู ง หรื อ ค่ า ความคงทนต่ อ
แรงดันไฟฟ้าเบรกดาวน์ (Eb) สูง แทนการใช้วัสดุฉนวนเดิม ตัวอย่างคุณสมบัติของวัสดุฉนวน แสดงดังตาราง
6.1
218
ตัวเก็บประจุที่จาหน่ายในท้องตลาดมีหลากหลายชนิด โดยแต่ละชนิดมีชื่อตามวัสดุฉนวนที่นามาใช้
และมีขนาดที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปมีค่าอยู่ในช่วง พิโคฟารัด (pF) ถึงไมโครฟารัด (F) มีทั้งแบบค่าคงที่และ
ปรับค่าได้ สัญลักษณ์ของตัวเก็บประจุแสดงดัง ภาพ 6.4 จากข้อกาหนดเครื่องหมายแบบพาสซีฟ ถ้า v > 0
และ i > 0 หรือถ้า v < 0 และ i < 0 ตัวเก็บประจุจะถูกชาร์จ (Charge) หรืออัดประจุ และถ้า v i < 0 ตัว
เก็บประจุจะคายประจุ (Discharge)
C C
i i
v v
(ก) ค่าคงที่ (ข) ปรับค่าได้
ภำพ 6.4 สัญลักษณ์ของตัวเก็บประจุ
slope C
0 dv/ dt
ภำพ 6.6 ความสัมพันธ์ของแรงดันและกระแสไฟฟ้าของตัวเก็บประจุ
ความสัมพันธ์ของแรงดันและกระแสไฟฟ้าของตัวเก็บประจุ หาได้จากการอินทิกรัลสมการ (6.6) จะ
ได้
1 t
C
v i dt (6.7)
1t
หรือ v i dt v (t 0 ) (6.8)
C t0
221
t t
3. ตัวเก็ บ ประจุ ในทางอุดมคติ (ideal capacitor) จะไม่ดูด กลื น หรือเผาผลาญพลั งงาน กล่ าวคื อ
มีการสะสมพลังงานในรูปแบบสนามไฟฟ้าเมื่ออยู่ในสภาวะการชาร์จ และคายพลังงานที่ชาร์จไว้ กลับคืนสู่วงจร
ในสภาวะคายประจุ
4. ในความเป็ น จริ ง ตั ว เก็ บ ประจุ จ ะมี ค่ า ความต้ า นทานรั่ ว ไหล (parallel-model leakage
resistance) ดังภาพ 6.8 ซึ่งอาจจะมีค่าสูงถึง 100 M โดยสามารถละทิ้งค่าความต้านทานดังกล่าวได้ใน
ภาคปฏิบัติ ซึ่งในหนังสือนี้จะกาหนดให้ตัวเก็บประจุเป็นแบบในทางอุดมคติตลอดทั้งเล่ม
Leakage resistance
Capacitanc e
ภำพ 6.8 วงจรสมมูลของตัวเก็บประจุที่ไม่ใช่ในทางอุดมคติ
ตัวอย่ำง 6.1 ก) หาค่าความจุไฟฟ้า q ของตัวเก็บประจุขนาด 4 pF เมื่อมีแรงดันไฟฟ้าตกคร่อม 12 V
ข) พลังงาน w ที่สะสมในตัวเก็บประจุนี้
วิธีทำ ก) จากสมการ (6.1) q Cv
ดังนั้น q 4 1012 12 48 pC
1 2
ข) จากสมการ (6.11) w Cv
2
1
ดังนั้น w 4 1012 (12) 2 288 pJ
2
ตัวอย่ำง 6.2 หาค่ากระแสไฟฟ้า i(t) ของตัวเก็บประจุขนาด 6 F เมื่อมีแรงดันตกคร่อมตัวเก็บประจุเท่ากับ
v (t ) 5 cos 3000t V
dv
วิธีทำ จากสมการ (6.6) i C
dt
d
ดังนั้น i 6 106 (5 cos 3000t )
dt
และ i 6 106 3000 5 sin 3000t
90 sin 3000t mA
223
1 ax
e dx
ax
และ e C
a
1 t 5000t
ดังนั้น v 6
15e 103 A dt
3 10 0
t
15 103
6
e 5000t
(3 10 )( 5000) 0
(1 e5000t ) V
0 t
1 2 3 4
100
100; 0 t 1
100; 1 t 3
i (t ) 50 10 6
100; 3t4
0; otherwise
5 mA; 0 t 1
5 mA; 1 t 3
หรือ i (t ) ดังแสดงในภาพ 6.10
5 mA; 3t4
0; otherwise
i (mA)
5
0 t
1 2 3 4
5
4 k
3 k
12 mA 5 k 6 k
2 mF
v1
4 k
i 3 k
12 mA 5 k 6 k
v2
i1 i2 i3 iN
i C1 C2 C3 CN v i C eq v
(ก) (ข)
ภำพ 6.13 (ก) ตัวเก็บประจุ N ตัว ต่อขนานกัน (ข) วงจรสมมูลของตัวเก็บประจุขนาน
ตัวเก็บประจุสมมูล (Ceq) ของตัวเก็บประจุ N ตัว ในการต่อขนาน ดังภาพ 6.13 (ก) จะได้วงจรสมมูล
ดังภาพ 6.13 (ข) จากคุณลักษณะของวงจรขนาน ตัวเก็บประจุทุกตัวจะมีแรงดันตกคร่อม (v) เท่ากัน
226
(ก) (ข)
ภำพ 6.14 (ก) ตัวเก็บประจุ N ตัว ต่ออนุกรมกัน (ข) วงจรสมมูลของตัวเก็บประจุอนุกรม
KVL วงจรในภาพ 6.14 (ก) จะได้ v v1 v2 v3 .... v N (6.16)
1 t
C k t0
เมื่อ v k i dt v k (t0 ) จะได้
1 t 1 t 1 t
C1 t0
v i dt v1 (t0 ) i dt v2 (t0 ) i dt v3 (t0 )
C 2 t0 C 3 t0
1 t
i dt v N (t0 )
C N t0
1 1 1 1 t
i dt v1 (t0 ) v2 (t0 ) v3 (t0 ) v N (t0 )
C1 C2 C3 C N t0
227
1 t
C eq t0
v i dt v (t0 ) (6.17)
1 1 1 1 1
โดยที่ (6.18)
C eq C1 C2 C3 CN
แรงดันเริ่มต้น v(t0) ตกคร่อม Ceq จาก KVL จะได้
v (t0 ) v1 (t0 ) v2 (t0 ) v3 (t0 ) v N (t0 )
ในกรณีตัวเก็บประจุที่ต่ออนุกรมกัน สามารถคานวณหาค่าความจุไฟฟ้ารวมได้เช่นเดียวกับตัวต้านทาน
ที่ต่อขนานกัน ตัวอย่างเช่นตัวเก็บประจุ 2 ตัวอนุกรมกัน จะได้
1 1 1
C eq C1 C2
C1 C2
หรือ C eq (6.19)
C1 C2
b
ภำพ 6.15 สาหรับตัวอย่าง 6.6
วิธีทำ จากภาพจะได้ Ceq = [(C1 + C2) // C3 // C4] + C5
(6 10 6 ) (3 10 6 )
C1 C 2 6 6
2 10 6 F
(6 10 ) (3 10 )
( C1 C 2 ) // C 3 // C 4 (2 10 6 ) (4 10 6 ) (6 10 6 ) 12 10 6 F
(12 10 6 ) (60 10 6 )
[( C1 C 2 ) // C 3 // C 4 ] C 5 6 6
10 10 6 F
(12 10 ) (60 10 )
228
C eq
24 V qt
8.89mF
6.4 ตัวเหนี่ยวนำ
ตัวเหนี่ ย วน า เป็ นองค์ป ระกอบทางไฟฟ้าแบบพาสซี ฟเชิงเส้น ที่ส ามารถสะสมพลั งงานในรูปของ
สนามแม่ เหล็ ก ในวงจรไฟฟ้ า ซึ่ งถู ก ใช้ อ ย่ างกว้างขวางในด้ านอิ เล็ ก ทรอนิ ก ส์ และระบบไฟฟ้ าก าลั ง เช่ น
ในแหล่งจ่ายกาลัง หม้อแปลงไฟฟ้า วิทยุ โทรทัศน์ มอเตอร์ไฟฟ้า และเรดาห์
ตัวนาไฟฟ้าโดยทั่วไปที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจะมีคุณสมบัติของความเหนี่ยวนาไฟฟ้าอยู่ภายในตัวเอง
จึงพิจารณาได้ว่าเป็น ตัวเหนี่ ยวน าตัวหนึ่ ง สาหรับตัวเหนี่ยวนาไฟฟ้าในที่นี้ จะเน้นถึงความสามารถในการ
เหนี่ยวนาสนามแม่เหล็ก ได้แก่ ขดลวดทรงกระบอกที่พันอยู่รอบแกนตัวนาแม่เหล็ก ดังภาพ 6.18
Length; l
เมื่อ มี ก ระแสไฟฟ้ าไหลผ่ านตั ว เหนี่ ยวน า จะเกิ ดแรงดั น ไฟฟ้ า ตกคร่อมที่ ตัว เหนี่ ยวน านั้น ซึ่งมี ค่ า
แปรผันตรงกับอัตราการเปลี่ยนแปลงทางเวลาของกระแส จากข้อกาหนดเครื่องหมายแบบพาสซีฟ จะได้ดัง
สมการ (6.20)
di
v L (6.20)
dt
เมื่อ L คือ ค่าคงที่ของการแปรผันตาม ซึ่งเรียกว่า ค่าความเหนี่ยวนาไฟฟ้า (Inductance) ของตัวเหนี่ยวนา
แม่เหล็ก มีหน่วยเป็น เฮนรี่ (Henry; H) เพื่อเป็นเกียรติแก่ โจเซฟ เฮนรี่ (Joseph Henry) นักวิทยาศาสตร์
ชาวอเมริกัน
จากสมการ (6.20) พบว่า 1 Henry = 1 volt-sec/ampare
ค่าความเหนี่ ย วน าของตัวเหนี่ ยวน าตามมิติทางกายภาพของโครงสร้าง สามารถคานวณได้โดยใช้
ทฤษฎีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ตัวอย่างการคานวณค่าความเหนี่ยวนาของตัวเหนี่ยวนาแกนอากาศ (toroidal
inductor) ดังสมการ (6.21)
N 2 A
L (6.21)
l
โดยที่ N คือ จานวนรอบของขดลวด
l คือ ความยาวของขดลวด
230
A คือ พื้นที่หน้าตัดของแกนตัวนาแม่เหล็ก
คือ ค่าความซึมซาบของวัสดุแกนตัวนาแม่เหล็ก
ข้อสังเกต 6.2
จากสมการ (6.21) ในกรณีที่ต้องการให้ค่าความเหนี่ยวนาไฟฟ้ามากขึ้น ทาได้โดยการเพิ่มจานวนรอบ
ของขดลวด และใช้วัสดุตัวนาแม่เหล็กที่มีค่า ความซึมซาบสูง รวมถึงการเพิ่มขนาดแกนตัวนาแม่เหล็ก หรือลด
ความยาวของขดลวดลงก็ได้
r 2N 2
L (6.23)
8r 11d
เมื่อ r คือ รัศมีเฉลี่ยของขดลวด หน่วยเป็น นิ้ว (inch)
d คือ ความลึกของขดลวด (รัศมีด้านนอกลบด้วยรัศมีด้านในของขดลวด) หน่วยเป็น นิ้ว (inch)
ตั ว เหนี่ ย วน าที่ มี จ าหน่ า ยในท้ อ งตลาดมั ก มี ค่ า ในย่ า น microhenrys (H) ในการใช้ ง านด้ า น
ระบบสื่อสารและระบบไฟฟ้ากาลังจะใช้ในย่าน Henry (H) ตัวเหนี่ยวนามีทั้งแบบค่าคงที่และแบบปรับค่าได้
แกนตัวนาที่ใช้มีทั้ง เหล็กกล้า เหล็กเหนียว พลาสติก และ อากาศ สัญลักษณ์ของตัวเหนี่ยวนาตามข้อกาหนด
เครื่องหมายแบบพาสซีฟ แสดงดังภาพ 6.19 ตัวเหนี่ยวนาแบบค่าคงทีท่ ี่มีจาหน่ายทั่วไป แสดงดังภาพ 6.20
231
i i i
v L v L v L
slope L
0 di/ dt
ภำพ 6.21 ความสัมพันธ์ของแรงดันและกระแสไฟฟ้าของตัวเหนี่ยวนา
จากความสัมพันธ์ของกระแสและแรงดันไฟฟ้า ตามสมการ (6.20) จาก v = L di/dt
1
อินทิกรัลสมการข้างต้น จะได้ di v dt
L
1 t
i v (t ) dt (6.24)
L
1t
หรือ i v (t ) dt i (t0 ) (6.25)
Lt
0
โดยที่ i(t0) คือ กระแสรวมที่เวลา – < t < t0 ซึง่ i(-) = 0 เนื่องจากที่เวลา t = - ไม่มีกระแสไหลผ่าน L
เนื่ องจากตัว เหนี่ ย วน าถูกออกแบบให้ ส ามารถสะสมพลั งงานในรูปแบบสนามแม่เหล็ ก กาลั งงาน
ที่สะสมสามารถคานวณได้ จาก
di
p vi L i (6.26)
dt
233
t t
di
พลังงานที่สะสม คือ w p dt L dt i dt
t
1 2 1
w L i dt Li (t ) Li 2 ( ) (6.27)
2 2
1 2
เมื่อ i(-) = 0 จะได้ w Li (6.28)
2
คุณสมบัติที่สาคัญของตัวเหนี่ยวนา มีดังนี้
1. จากสมการ (6.20) แรงดันตกคร่อมตัวเหนี่ยวนาจะเป็นศูนย์เมื่อกระแสที่ไหลผ่านมีค่าคงที่ (ตัว
เหนี่ยวนาจะมีลักษณะเป็นการลัดวงจรในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง)
2. ตัวเหนี่ยวนาจะต้านทานการเปลี่ยนแปลงกระแสที่ไหลผ่านอย่างทันทีทันใด จากสมการ (6.20)
ถ้ากระแสที่ไหลผ่านตัวเหนี่ยวนามีลักษณะไม่ต่อเนื่อง ตัวเหนี่ยวนาจะมีแรงดันตกคร่อมเป็นอนันต์ ซึ่งเป็นไป
ไม่ได้ในภาคปฏิบัติ ตัวอย่างกระแสที่ไหลผ่านตัวเหนี่ยวนา แสดงดังภาพ 6.22
i i
t t
(ก) สามารถทาได้ (ข) ไม่สามารถทาได้ (การเปลี่ยนแปลงกระแสอย่างทันทีทันใดเป็นไปไม่ได้)
ภำพ 6.22 กระแสที่ไหลผ่านตัวเหนี่ยวนา
3. ตั ว เหนี่ ย วน าในทางอุ ด มคติ จะไม่ ดู ด กลื น พลั ง งานและสามารถน าพลั ง งานที่ ส ะสมใน
ตัวเหนี่ยวนามาใช้ภายหลังได้
4. ตัวเหนี่ยวนาในภาคปฏิบัติเป็น ตัวเหนี่ยวนาไม่เป็นเชิงเส้น โดยจะมีลักษณะของความต้านทาน
ประกอบอยู่ด้วย ดังภาพ 6.23 ซึ่งเป็นผลมาจากลวดตัวนา เช่น ทองแดง ที่นามาทาเป็นตัวเหนี่ยวนานั้นมีค่า
ความต้านทาน ซึ่งเรียกว่า ความต้านทานของลวดตัวนา (winding resistance; Rw) โดยจะมีลักษณะอนุกรม
กับค่าความเหนี่ยวนาของตัวเหนี่ยวนา ซึ่ง Rw จะทาหน้าที่ทั้งสะสมพลังงานและดูดกลืนพลังงาน แต่มีค่าน้อย
มากซึ่งสามารถละทิ้งได้ ตัวเหนี่ ย วน าในภาคปฏิบัติจะมี ค่าความจุไฟฟ้ า ของขดลวด (Cw) ปรากฏอยู่ และ
สามารถละทิ้งได้เช่นกันเพราะมีค่าน้อยมาก
234
L Rw
Cw
ตั ว อย่ ำ ง 6.8 ถ้ า กระแสไฟฟ้ า i(t) = 5te-100t A ไหลผ่ านตั ว เหนี่ ย วน าขนาด 0.2 H หาแรงดั น ตกคร่ อ ม
ตัวเหนี่ยวนา และพลังงานที่สะสมในตัวเหนี่ยวนา
di
วิธีทำ จากสมการ (6.20) v L
dt
d
จะได้ v 0.2 (5te 100t )
dt
d
จาก UV U dV V dU
dx dx dx
ดังนั้น v e 100t t ( 100) e 100t
(1 100t ) e 100t V
1 2
จากสมการ (6.27) w Li
2
1
ดังนั้น w (0.2)25t 2 e 200t
2
2.5t 2 e 200t J
1t
วิธีทำ จากสมการ (6.24) i v (t ) dt i (t0 )
Lt
0
235
1t
ดังนั้น i 150t 2 dt 0
10 0
t3
15 5t 3 A
3
กาลังไฟฟ้า จาก p = vi = (150t2)(5t3) = 750t5 W
3 3
t6
w p dt 750t dt 750
5
91.125 kJ
0 6 0
3 1 2 1 1
หรือ w0 Li (2) Li (0) (10)(5 3 3 ) 2 0 91.125 kJ
2 2 2
iL
2
15 V 4
vC 0.25F
iL
2
15 V 4
vC
15
จากภาพ 6.25 ดังนั้น i iL 3A
1 4
vC เท่ากับ แรงดันตกคร่อม R 4 จะได้ v C 4i 12 V
1 2 1
พลังงานสะสมในตัวเก็บประจุ wC Cv C (0.25) (12) 2 18 J
2 2
1 2 1
พลังงานสะสมในตัวเหนี่ยวนา wL LiL (0.5)(3) 2 2.25 J
2 2
6.5 ตัวเหนี่ยวนำอนุกรมและขนำน
การรวมค่าความเหนี่ยวนาไฟฟ้ารวมในวงจรทั้งการต่อแบบอนุกรมและแบบขนานทาได้เช่นเดียวกับ
การรวมค่าความต้านทาน ลาดับแรกจะเริ่มต้นจากการรวมค่าความเหนี่ยวนาที่ต่อแบบอนุกรม โดยพิจารณา
ภาพ 6.26 ตัวเหนี่ยวนา N ตัวต่ออนุกรมกัน ดังภาพ 6.26 (ก) ซึ่งตัวเหนี่ยวนาสมมูลแสดงดังภาพ 6.26 (ข)
ตัวเหนี่ยวนาอนุกรมกันจะมีกระแสไหลผ่านเท่ากัน KVL จากภาพ 6.26 (ก) จะได้
v v1 v2 v3 v N (6.29)
i L1 L2 L3 LN i
v1 v2 v3 vN
v v Leq
(ก) (ข)
ภำพ 6.26 (ก) ตัวเหนี่ยวนา N ตัว ต่ออนุกรมกัน (ข) วงจรสมมูลของตัวเหนี่ยวนาอนุกรม
แทนค่า vk = Lk di/dt ในสมการ (6.29) จะได้
di di di di
v L1 L2 L3 LN
dt dt dt dt
di
v ( L1 L2 L3 LN )
dt
N di di
v Lk Leq (6.30)
k 1 dt dt
โดยที่ Leq L1 L2 L3 LN (6.31)
237
i
i
i1 i2 i3 iN
v L1 L2 L3 LN v Leq
(ก) (ข)
ภำพ 6.27 (ก) ตัวเหนี่ยวนา N ตัว ต่อขนานกัน, (ข) วงจรสมมูลของตัวเหนี่ยวนาขนาน
1 t
โดยที่ i k v (t ) dt i k (t0 )
Lk t0
1t 1 t 1 t
จะได้ i v (t ) dt i1 (t0 ) v (t ) dt i2 (t0 ) v (t ) dt i3 (t0 )
L1 t0 L2 t0 L3 t0
1 t
v (t ) dt i N (t0 )
LN t0
1 1 1 1 t
ดังนั้น i v (t ) dt i1 (t 0 ) i 2 (t 0 ) i 3 (t 0 ) i N (t 0 )
L1 L2 L3 LN t0
N 1 t N 1 t
i v (t ) dt i k (t0 ) v (t ) dt i (t0 ) (6.33)
L
k 1 k t0 k 1 Leq t0
1 1 1 1 1
โดยที่ (6.34)
Leq L1 L2 L3 LN
กระแสเริ่ ม ต้ น i(t0) ที่ ไหลผ่ าน Leq ที่ เวลา t = t0 ใช้ KCL จะได้ ผ ลรวมของกระแสที่ ไหลผ่ านตั ว
เหนี่ยวนาที่เวลา t0 จากสมการ (6.32) ฉะนั้น
i (t0 ) i1 (t0 ) i2 (t0 ) iN (t0 )
238
การรวมค่าความเหนี่ยวนาของตัวเหนี่ยวนาขนานกันสามารถหาได้เช่นเดียวกับตัวต้านทานขนานกัน
สาหรับตัวเหนี่ยวนา 2 ตัวขนานกัน (N = 2) สมการ (6.34) จะได้
1 1 1 L1L2
or Leq (6.35)
Leq L1 L2 L1 L2
เป็นไปตามข้อกาหนดเครื่องหมายแบบพาสซีฟ
239
Leq 30 H 10 H
3H 15 H
ภำพ 6.28 สาหรับตัวอย่าง 6.11
วิธีทำ จากภาพ 6.28 ตัวเหนี่ยวนาขนาด 5 H, 10 H และ 15 H ต่ออนุกรมกัน จะได้ค่าความเหนี่ยวนาสมมูล
เท่ากับ 30 H และต่อขนานกับ 30 H จะได้
30 30
Leq1 15 H
30 30
ซึง่ ตัวเหนี่ยวนา 15 H นี้ ต่ออนุกรมกับ 2 H และ 3 H ซึ่งจะได้ค่าความเหนี่ยวนาสมมูลจากวงจรดังภาพ 6.28
เท่ากับ 20 H
ตั ว อย่ ำ ง 6.12 ถ้ า i(t) = 5(2-e-10t) mA และ i2(0) = -1 mA หาค่ า (ก) i1(0) ; (ข) v(t), v1(0), v2(t) ;
(ค) i1(t), i2(t) จากวงจรดังภาพ 6.29
i 1H
v1
i1 i2
v 6H v2
12H
di
และ v1 ( t ) 1 1( 5)( 10) e 10t mV
dt
50e 10t mV
จาก v = v1 + v2 จะได้
v 2 (t ) v (t ) v1 (t ) 200e 10t mV
1t
(ค) จาก i v (t ) dt i (t0 )
L t0
1t 200 t 10t
i1 v 2 dt i1 (0)
6 t0
e dt 6 mA
6 t0
t
i1 3.33e 10t 6 mA 3.33e 10t 3.33 6
0
9.33 3.33e10t mA
1 t 200 t 10t
i2 v 2 dt i2 (0)
12 t0
และ e dt 1 mA
12 t0
t
i2 16.67e 10t 1 mA 16.67e 10t 1 1 16.67e 10t mA
0
iL
vC
12V
6.7 กำรประยุกต์ใช้ตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนำ
ตัว เก็ บ ประจุ ไฟฟ้ าและตั ว เหนี่ ย วน าไฟฟ้ า มี คุณ สมบั ติ ที่ ส าคั ญ 3 ประการ จึ งถูก น ามาใช้ งานใน
วงจรไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย คุณสมบัติดังกล่าว ได้แก่
1. มีความสามารถเก็บสะสมพลังงาน จึงสามารถใช้เป็นแหล่งจ่ายแรงดันหรือกระแสไฟฟ้าสารองได้
ดังนั้น จึงถูกใช้สาหรับสร้างกระแสหรือแรงดันไฟฟ้าค่าสูงมากสาหรับช่วงเวลาสั้น ๆ ได้
2. ตัวเก็บประจุต้านทานการเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีทันใดของแรงดันไฟฟ้า ในขณะที่ตัวเหนี่ยวนา
ต้านทานการเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีทันใดของกระแส ด้วยคุณสมบัตินี้ทาให้ตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนา
ไฟฟ้าถูกนามาใช้สาหรับลดการเกิดประกายไฟ (spark หรือ arc) และใช้ในการเปลี่ยนสัญญาณแรงดันไฟฟ้า
พัลส์ dc ให้เป็นสัญญาณไฟฟ้ากระแสตรง dc ที่สัมพันธ์กัน
3. ตัวเก็บ ประจุและตัว เหนี่ ย วน าไฟฟ้านั้ นตอบสนองต่อความถี่ จึงใช้คุณ สมบัตินี้ในการแยกแยะ
ความถี่ได้
242
(ก)
iC C
iR
R
a
vi
vo
(ข)
ภำพ 6.31 การแทนตัวต้านทานป้อนกลับในวงจรขยายแบบกลับเฟสภาพ (ก)
ทาเป็นวงจรทาอินทิเกรตภาพ (ข)
243
a
vi
vo
= 79.577 pF
จากค่าความจุ ไฟฟ้าของตัวเก็บประจุภ าคแรงสู งข้างต้น จะสามารถหาค่าความจุไฟฟ้าของตัวเก็บ
ประจุไฟฟ้าย่อยได้ ดังนี้
C n C HV n
0.493 10 3 A
= 0.493 mA
ความจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุภาคแรงต่า คานวณได้จาก
U
C LV HV C HV C HV
U LV
[1,000 (78.571 10 12 )] (78.571 10 12 )
78.491 10 9 F
= 78.491 nF
เลือกใช้ ตัวเก็บประจุย่อย พิกัด 0.015 F จานวน 5 ตัว และ 3,300 pF จานวน 1 ตัว ต่อขนานกัน
จะได้ C LV [ 5 (0.015 10 6 )] (3,300 10 12 )
78.3 10 9 F
= 78.3 nF
ซึ่งจะได้ อัตราส่วนแรงดัน เท่ากับ
U HV C C LV
HV
U LV C HV
r1l1 r2 l2 r3 l3 rn ln (6.42)
จากขนาดของอิเล็กโตรด r1, r2, r3 และสมการ (6.42) จะได้ l1 = 350 mm, l2 = 180 mm, และ l3
= 120 mm ซึ่งสามารถคานวณค่าความจุไฟฟ้าของทรงกระบอกซ้อนแกนร่วม 3 ชั้นได้ดังนี้
21 2 l
จากสมการ (6.4) C
r r
1 ln 3 2 ln 2
r2 r1
เมื่อใช้วัสดุฉนวนชนิดเดียวกัน ดังนั้น ค่าเปอร์มิตติวิตี้ของวัสดุฉนวน 1 = 2 สมการ (6.4) จะได้ดังสมการ
(6.43)
2l
C (6.43)
r
ln 3
r1
เมื่อ = 0r โดยที่ 0 = 8.854 x 10-12 F/m และ r ของฉนวนน้ ามั น หม้ อแปลงจากตาราง 6.1
เท่ากับ 2.5 ดังนั้น จะได้ค่าความจุไฟฟ้าของตัวเก็บประจุภาคแรงสูง
2 (8.854 10 12 F / m)(2)(0.12m)
C HV 15.54 pF
36
ln
12.3
3. ตัวอย่างการออกแบบขดลวดเหนี่ยวนาสาหรับหม้อแปลงเทสลา
หม้อแปลงเทสลา คือ หม้อแปลงแรงดันสูงความถี่สูง ประกอบไปด้วยขดลวดเหนี่ยวนาและตัวเก็บ
ประจุต่อขนานกัน จานวน 2 ชุด คือ ภาคแรงสูงและภาคแรงต่า ความถี่สูงที่สร้างขึ้นเกิดจากคุณสมบัติของ
ขดลวดเหนี่ยวนาและตัวเก็บประจุ ซึ่งทาให้เกิดการแกว่ง (oscillate) ของสัญญาณ สามารถกาหนดความถี่ได้
จากค่าความเหนี่ยวนาและค่าความจุไฟฟ้าของหม้อแปลงเทสลา
ตัวอย่างการออกแบบขดลวดเหนี่ยวนาแกนอากาศสาหรับ ภาคแรงต่า (สมเกียรติ ทองแก้ว , ศุภวุฒิ
เนตรโพธิ์แก้ว, บุญยัง ปลั่งกลาง และธนากร น้าหอมจันทร์, 2550) แสดงดังนี้
ขดลวดแบบทรงกระบอก ออกแบบโดยใช้ท่อทองแดงขนาด 1/4 นิ้ว มาประยุกต์เป็นตัวนาไฟฟ้า ซึ่งมี
ความหนาของส่วนที่เป็นทองแดง 0.03 นิ้ว ทาการพันเป็นขดโดยมีระยะ r เท่ากับ 7.25 นิ้ว ระยะ l เท่ากับ
4.5 นิ้ว จานวนทั้งหมด 10 รอบ จากสมการ (6.22) จะได้ค่าความเหนี่ยวนา ดังนี้
(7.25) 2 (10) 2
L
(9 7.25) (10 4.5)
47.67 H
248
4. กระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านตัวเก็บประจุจะมีค่าแปรผันตรงกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของแรงดันไฟฟ้า
dv
ตกคร่อมต่อหน่วยเวลา คือ i C
dt
กระแสที่ ไ หลผ่ า นตั ว เก็ บ ประจุ จ ะมี ค่ า เป็ น ศู น ย์ เมื่ อ แรงดั น ไฟฟ้ า ตกคร่ อ มมี ค่ า คงที่ ห รื อ ไม่ มี
การเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ตัวเก็บประจุจึงเปรียบเสมือนเป็นการเปิดวงจรเมื่ออยู่ในวงจร dc
5. แรงดังไฟฟ้าตกคร่อมตัวเก็บประจุจะแปรผันกับการอินทิกรัลตามเวลาของกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน
1 t 1t
v
C
i dt i dt v (t 0 )
C t0
249
แรงดั น ไฟฟ้ าที่ ต กคร่ อมตั ว เก็ บ ประจุจึ งไม่ ส ามารถเปลี่ ย นแปลงทั น ที ทั น ใดได้ หรือ ตั ว เก็บ ประจุ
ต้านทานการเปลี่ยนแปลงแรงดันไฟฟ้าอย่างทันทีทันใด
6. ตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่ต่อเข้าด้วยกันทั้งแบบอนุกรมและแบบขนาน สามารถหาค่าความจุไฟฟ้ารวมได้
เช่นเดียวกับวิธีการรวมค่าความนาไฟฟ้า
7. ขดลวดเหนี่ยวนาแกนอากาศ หาค่าความเหนี่ยวนาได้จาก
N 2 A
L
l
8. ขดลวดเหนี่ยวนาแกนอากาศทรงกระบอก หาค่าความเหนี่ยวนาได้จาก
r 2N2
L
9r 10l
9. ขดลวดเหนี่ยวนาแกนอากาศแบบระนาบ หาค่าความเหนี่ยวนาได้จาก
r 2N 2
L
8r 11d
10. แรงดัน ไฟฟ้าตกคร่อมตัวเหนี่ยวนาไฟฟ้าจะแปรผันตรงกับอัตราการเปลี่ยนแปลงกระแสไฟฟ้า
ที่ไหลผ่านต่อหน่วยเวลา คือ
di
v L
dt
แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมตัวเหนี่ยวนาไฟฟ้าจะมีค่าเป็นศูนย์เมื่อกระแสที่ไหลผ่านมีค่าคงที่หรือไม่มีการ
เปลี่ยนแปลง ดังนั้น ตัวเหนี่ยวนาไฟฟ้าจึงเปรียบเสมือนการลัดวงจรเมื่ออยู่ในวงจร dc
11. กระแสที่ไหลผ่านตัวเหนี่ยวนาไฟฟ้าจะแปรผันตรงกับการอินทิเกรตตามเวลาของแรงดันไฟฟ้า
ทีต่ กคร่อมตัวมัน
1 t 1t
i v (t ) dt v (t ) dt i (t 0 )
L L t0
กระแสที่ ไหลผ่ านตั ว เหนี่ ย วน าไฟฟ้ า จึ งไม่ ส ามารถเปลี่ ย นแปลงทั น ที ทั น ใดได้ หรื อตั ว เหนี่ ย วน า
ต้านทานการเปลี่ยนแปลงกระแสอย่างทันทีทันใด
12. ตัวเหนี่ยวนาไฟฟ้าที่ต่อเข้าด้วยกันทั้งแบบอนุกรมหรือขนาน สามารถหาค่าความเหนี่ยวนารวมได้
เช่นเดียวกับวิธีการรวมค่าความต้านทาน
250
1 2
13. พลังงานที่เก็บสะสมในตัวเก็บประจุ คือ wC Cv
2
1 2
พลังงานที่เก็บสะสมในตัวเหนี่ยวนาไฟฟ้า คือ wL Li
2
14. การวิเคราะห์วงจรตัวเก็บประจุและตัวเหนี่ยวนาโดยใช้ PSpice ในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงสามารถ
ท าได้ เช่ น เดี ย วกั บ วงจรตั ว ต้ า นทาน ข้ อ พึ ง ระวั ง คื อ ตั ว เก็ บ ประจุ ไม่ ส ามารถต่ อ อนุ ก รมใน PSpice ได้
แต่ส ามารถแก้ไขได้โดยการต่อตัวต้านทานที่มีค่าความต้านทานสูง ๆ ขนานกับตัวเก็บประจุแต่ละตัวที่ต่อ
อนุกรมกัน
15. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ งาน คือ วงจรทาอินทิเกรต วงจรทาอนุพันธ์ และการประยุกต์ใช้ทาง
วิศวกรรมไฟฟ้าแรงสูง
6.9 แบบฝึกหัดท้ำยบท
6.1 หาแรงดั น ตกคร่ อ มตั ว เก็ บ ประจุ C 3 F ถ้ า มี ป ระจุ ไฟฟ้ า q 0.12 mC ที่ แ ผ่ น ตั ว น า และหาค่ า
พลังงานที่สะสมในตัวเก็บประจุ
ตอบ v 40 V w 2.4 mJ
0 t (ms)
2 4 6
ภำพ 6.33 สาหรับแบบฝึกหัดท้ายบทข้อที่ 6.4
ตอบ v (2ms) 100 V v (5ms) 500 mV
251
1 k
2 0 F
10 V 10 F 6 k
70 F
C eq 2 0 F 120 F
6.9 แรงดั น ที่ ขั้ว L 2 H มี ค่า v(t) = 10(1-t) V หากระแสไฟฟ้ า i(t) ที่ ไหลผ่ าน L ที่ เวลา t = 4 s และ
พลังงานที่สะสมใน L ที่เวลา 0 < t < 4 ms โดยที่ i(0) = 2 A
ตอบ i 18 A w 320 J
6.10 หา iL , vC , wL , wC ภายใต้ dc condition จากวงจรดังภาพ 6.37
0.25 H
iL
4A 3 1 vC 2F
Leq 50 mH 40 mH 30 mH 20 mH
4A vC
รำยกำรเอกสำรอ้ำงอิง
Alexander, C. K. and Sadiku, N.O. M. (2009 ). Fundamental of Electric Circuit. (4th ed). New
York, NY: McGraw-Hill.
Hayt, W. H. Jr. and Kimmerly, J. E. (1993). Engineering Circuit Analysis. (5th ed). Singapore:
McGraw-Hill.
Peebles, Z. P. Jr. and Giuma A. T. (1991). Principles of Electrical Engineering. Singapore:
McGraw-Hill.
Rizzoni, G. (2003). Principles and Applications of Electrical Engineering. (4th ed). New York, NY:
McGRAW-Hill.
Steven, S. E. and William, O. G. (1993). Electrical Engineering : An Introduction. (2nd ed).
Philadelphia, PA: Saunders College Publishing.
ธนากร น้ าหอมจัน ทร์ , อติกร เสรีพัฒ นานนท์ , พงษ์ส วัสดิ์ คชภูมิ และสุพิศ บุญ รัตน์ . (2552). คาปาซิทีฟ
โวลเตจดิไวเดอร์ พิกัดแรงดัน 20 กิโลโวลท์ 50 เฮิรตซ์ โดยใช้อิเล็คโตรดทรงกระบอกซ้อนแกนร่วม 3
ชั้น ร่วมกับฉนวนน้ามันหม้อแปลง. การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 47:
สาขาสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมศาสตร์, หน้า 293-300.
ธนากร น้าหอมจันทร์. (2554). ทฤษฎีวงจรไฟฟ้า. ปทุมธานี: มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย.
ธนากร น้าหอมจันทร์. (2554). ระบบวัดไฟฟ้าแรงดันสูง พิกัด 20 kVac 28 kVdc โดยใช้วิธีโวลเตจดิไวเดอร์และ
วิธีชับแอนด์โพเทสคิวเพื่อการเรียนการสอนและการวิจัย . รายงานการวิจัยมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย
งานวิจัยลาดับที่ 42 – 2554.
บัณฑิต บัวบูชา. (2541). ทฤษฎีและการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า1. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ฟิสิกส์เซ็นเตอร์.
สมเกียรติ ทองแก้ว, ศุภวุฒิ เนตรโพธิ์แก้ว, บุญยัง ปลั่งกลาง และธนากร น้าหอมจันทร์. (2550). การวิเคราะห์
ค่ า ความเครี ย ดสนามไฟฟ้ า แรงสู ง ในขดลวด LP และ Ls ของหม้ อ แปลงเทสลา เพื่ อ ศึ ก ษาหา
ประสิทธิภาพของการออกแบบสร้าง. การประชุมวิชาการทางวิศวกรรมไฟฟ้า ครั้งที่ 30, หน้า 301 -
304.
ส ารวย สั งขสะอาด. (2549). วิ ศ วกรรมไฟฟ้ า แรงสู ง . กรุ งเทพฯ: ภาควิ ช าวิ ศ วกรรมไฟฟ้ า จุ ฬ าลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
อภินันท์ อุรโสภณ. (2554). วงจรไฟฟ้า. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ ดวงกมลพับลิชชิ่ง.
ภาคผนวก ก
สมการเชิงเส้นและเมทริกซ์ผกผัน
ก.1 บทนา
ในการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าบ่อยครั้งที่จะพบตัวแปรที่ไม่ทราบค่าอยู่ในรูปของสมการเชิงเส้น ดัง สมการ
(ก.1)
a11 x1 a12 x 2 a1n x n b1
a21 x1 a22 x 2 a2 n x n b2
(ก.1)
an1 x1 an2 x 2 ann x n bn
โดยที่ตัวแปรที่ไม่ทราบค่า จานวน n ตัว x1 , x2 , … , xn ที่พิจารณา จากสมการ (ก.1) สามารถเขียน
ให้อยู่ในรูปแบบเมทริกซ์ได้ ดังนี้
a11 a12 a1n x1 b1
a21 a22 a2 n x 2 b2
(ก.2)
a ann x n b
n1 an2 n
หรือ AX B (ก.3)
a11 a12 a1n x1 b1
a a a2 n x b
เมื่อ A 21 22 , X 2 , B 2 (ก.4)
a ann x b
n1 an2 n n
โดยที่ A เป็นเมทริกซ์จัตุรัสขนาด nn, X และ B เป็นเมทริกซ์หลัก
การแก้ปัญหาสมการ (ก.1) หรือ (ก.3) มีหลายระเบียบวิธีด้วยกัน ในหัวข้อนี้จะอธิบายเฉพาะกฎของ
เครเมอร์ และเมทริกซ์ผกผัน เท่านั้น
ก.2 กฎของเครเมอร์
กฎของเครเมอร์ (Cramer’s rule) สามารถใช้แก้ปัญหาสมการเชิงเส้น เพื่อหาค่าตัวแปรที่ไม่ทราบค่า
ในการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าได้ในหลายกรณี กฎของเครเมอร์การแก้ปัญหาสมการ (ก.1) หรือ (ก.3) ได้ ดังนี้
1
x1 , x 2 2 , , xn n (ก.5)
โดยที่ , 1, 2, , n คือ ดีเทอร์มิแนนท์ ซึ่งหาได้จาก
256
กฎของเครเมอร์จะใช้ได้เฉพาะกรณีที่ 0
การหาค่า ของเมทริกซ์จัตุรัสขนาด 2 2 และ 3 3 ทาได้ ดังนี้
_
a11 a12
a11a22 a12 a21 (ก.7)
a21 a22
+
_ _ _
a11 a12 a13 a11 a12
a21 a22 a23 a21 a22
a31 a32 a33 a31 a32
+ + +
(ก.8)
( a11a22 a33 a12 a23 a31 a13 a21a32 ) ( a31a22 a13 a32 a23 a11 a33 a21a12 )
สาหรับเมทริกซ์จัตุรัสที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 3 จะทาได้โดยการกระจายโคแฟคเตอร์ ดังนี้
ถ้ากาหนดให้ A เป็นเมทริกซ์ ขนาด [A]ij
det( A ) A ai 1C i 1 ai 2 C i 2 ..... ainC in
n
aij C ij เมื่อใช้แถวที่ i ในการคานวณ (ก.9)
j1
ซึ่ง Mij เป็นเมทริกซ์จัตุรัสขนาด (n-1) x (n-1) ได้จากการตัดแถวที่ i และหลักที่ j ของ A ออก และ
| Mij | คือ ไมเนอร์ของ aij
1 22
จะได้ x1 2
11
2 33
x2 3
11
25 5 20 x1 50
5 10 4 x 2 0
5 4 9 x 3 0
258
หาค่าดีเทอร์มิแนนท์ได้ ดังนี้
_ _ _
25 5 20 25 5 20 25 5
5 10 4 5 10 4 5 10
5 4 9 5 4 9 5 4
+ + +
[( 25)(10)(9) ( 5)( 4 )( 5) ( 20)( 5)( 4 )]
[( 5)(10)( 20) ( 4 )( 4 )(25) (9)( 5)( 5)]
125
_ _ _
50 5 20 50 5 20 50 5
1 0 10 4 0 10 4 0 10
0 4 9 0 4 9 0 4
+ + +
[( 50)(10)(9) ( 5)( 4 )(0) ( 20)(0)( 4 )]
[( 0)(10)( 20) ( 4 )( 4 )(50) (9)(0)( 5)]
3700
_ _ _
25 50 20 25 50 20 25 50
2 5 0 4 5 0 4 5 0
5 0 9 5 0 9 5 0
+ + +
[( 25)(0)(9) (50)( 4 )( 5) ( 20)( 5)(0)]
[( 5)(0)( 20) (0)( 4 )(25) (9)( 5)(50)]
3250
_ _ _
25 5 50 25 5 50 25 5
3 5 10 0 5 10 0 5 10
5 4 0 5 4 0 5 4
+ + +
[( 25)(10)(0) ( 5)(0)( 5) (50)( 5)( 4 )]
[( 5)(10)(50) ( 4 )(0)(25) (0)( 5)( 5)]
3500
259
1 3700
จะได้ x1 29.6
125
2 3250
x2 26
125
3 3500
x3 28
125
1 2 0 3
1 1
A 4
5 2
3 0 1
2 1 4 1
1 2 0 3
1 1
A 4
5 2
3 0 1
2 1 4 1
ก.3 เมทิรกซ์ผกผัน
สมการเชิงเส้นตามสมการ (ก.3) สามารถแก้ปัญหาเพื่อหาค่าตัวแปรที่ไม่ทราบค่าได้โดยใช้เมทริกซ์
ผกผัน (matrix inversion) จากสมการเมทริกซ์ AX = B จะสามารถหาค่า X ได้โดยทาเมทริกซ์ผกผันของ A
ดังนี้
X A 1B (ก.11)
เมื่อ A-1 คือ เมทริกซ์ผกผันของ A
ซึง่ A 1A AA 1 I (ก.12)
เมื่อ I คือ เมทริกซ์เอกลักษณ์ (identity matrix) ของ A
adj A
A-1 หาได้ ดังนี้ A 1 เมื่อ det(A) 0 (ก.13)
det A
เมื่อ adjA คือ เมทริกซ์ผูกพัน (adjoint matrix) ของเมทริกซ์ A และ detA คือ |A|
adjA หาได้จากเมทริกซ์สลับเปลี่ยน (transpose matrix) ของโคแฟคเตอร์ A
ถ้า A เป็นเมทริกซ์ขนาด n n จะหาเมทริกซ์ผูกพันได้ ดังนี้
a11 a12 a1n
a a a2 n
A 21 22 (ก.14)
a ann
n1 an2
โคแฟคเตอร์ของ A คือ
c11 c12 c1n
c c c2 n
C cof ( A ) 21 22 (ก.15)
c c nn
n1 c n2
1CT
ดังนั้น A (ก.18)
|A|
261
1 2 3 5 x 1 5
2 3 1 2 x 2 0
1 0 4 1 x 3 0
0 1 0 2 x 4 0
หรือ AX B X A 1B
1 2 3 5 x1 5
A 2 3 1 2 , X x 2 , B 0
โดยที่ x
1 0 4 1 3 0
0 1 0 2 0
x4
หา det(A) ด้วยวิธีการกระจายโคแฟคเตอร์ โดยเลือกแถวที่ 4 เพื่อกระจายโคแฟคเตอร์
1 2 3 5
1 2
A 1 0
2 3
4 1
0 1 0 2
det( A ) (1)(Co. a42 ) (2)(Co. a44 )
(1)(C42 ) (2)(C44 )
2 1 2
3
c12 ( 1) 1 4 1
0 0 2
2 3 2
4
c13 ( 1) 1 0 1
0 1 2
2 3 1
5
c14 ( 1) 1 0 4
0 1 0
2 3 5
c 21 ( 1) 3 0 4 1
1 0 2
1 3 5
c 22 ( 1) 4 1 4 1
0 0 2
1 2 5
c 23 ( 1) 5 1 0 1
0 1 2
1 2 3
c 24 ( 1) 6 1 0 4
0 1 0
2 3 5
c 31 ( 1) 4 3 1 2
1 0 2
263
1 3 5
5
c 32 ( 1) 2 1 2
0 0 2
1 2 5
6
c 33 ( 1) 2 3 2
0 1 2
1 2 3
c 34 ( 1) 7 2 3 1
0 1 0
2 3 5
c 41 ( 1) 5 3 1 2
0 4 1
1 3 5
c 42 ( 1) 6 2 1 2
1 4 1
1 2 5
c 43 ( 1) 7 2 3 2
1 0 1
1 2 3
c 44 ( 1) 8 2 3 1
1 0 4
33 14 10 7
14 8 7
cof (A ) 15 14 26
39
7
51 56 4 35
33 39 15 51
14 14 14 56
ดังนั้น adj ( A ) cof ( A ) T 10 8 26
4
7 7 7 35
264
33 39 15 51
1 1 14 14 14 56
จะได้ A 1 adj ( A )
det ( A ) 126 10 8 26 4
7 7 7 35
1.3095
0.5556
X 0.3968
0.2278
ดังนั้น จะได้ X1 = 1.3095, X2 = -0.5556, X3 = -0.3968 และ X4 = 0.2278
265
ภาคผนวก ข
จานวนเชิงซ้อน
ข.1 บทนา
ในการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ได้แก่ การหาค่ากระแสไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า และกาลังไฟฟ้า
โดยมากจะพบว่ า ขนาดขององค์ ป ระกอบต่ า ง ๆ ในวงจรจะเขี ย นอยู่ ในรู ป จ านวนเชิ งซ้ อ น (complex
numbers) ดังนั้น การคานวณจานวนเชิงซ้อนจะมีความสาคัญสาหรับการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสสลับเป็น
อย่างมาก หัวข้อนี้เป็นการอธิบายพื้นฐานของจานวนเชิงซ้อน การคานวณจานวนเชิงซ้อน และกฎพื้นฐานที่
จาเป็นสาหรับจานวนเชิงซ้อน
ข.2 การแสดงจานวนเชิงซ้อน
จานวนเชิงซ้อน z สามารถเขียนให้อยู่ในระบบพิกัดฉาก (rectangular form) ได้ ดังนี้
z x jy (ข.1)
โดยที่ j 1 , x คือ ส่วนจริง (real part) และ y คือ ส่วนจินตภาพ (imaginary part) ของ z ดังนี้
x Re(z) และ y Im(z) (ข.2)
จานวนเชิงซ้อน z บนระนาบเชิงซ้อน แสดงดังภาพ ข.1
Im
jy z
r
Re
x
ภาพ ข.1 กราฟแสดงจานวนเชิงซ้อน
1/ j j
j2 1
j3 j j2 j
เมื่อ j 1 ดังนั้น j4 j2 j2 1 (ข.3)
j5 j j4 j
j n 4 jn
266
จ านวนเชิ งซ้ อ น z สามารถเขี ย นให้ อ ยู่ ในระบบพิ กั ด เชิ ง ขั้ ว (polar form) ได้ โดย r คื อ ขนาด
(magnitude) และ คือ มุม (angle) ดังนี้
z | z | r (ข.4)
y
เมื่อ r x2 y2 , tan1 (ข.5.1)
x
หรือ x r cos , y r sin (ข.5.2)
ดังนั้น z x j y r r cos j r sin (ข.6)
ข.3 การดาเนินการทางคณิตศาสตร์
จานวนเชิงซ้อน z1 x 1 j y1 และ z 2 x 2 j y 2 จะเท่ากันก็ต่อเมื่อขนาดของจานวน
จริง และจานวนจินตภาพของจานวนเชิงซ้อนทั้ง 2 เท่ากัน ดังนี้
x1 x 2 , y1 y 2 (ข.10)
ค่าสังยุคเชิงซ้อน (complex conjugate) ของจานวนเชิงซ้อน z x j y กาหนดได้โดย แทน j
ด้วย -j ดังนี้
z x jy r re j (ข.11)
ก าหนดให้ z1 x1 j y1 r11 และ z 2 x 2 j y 2 r2 2 การบวก และ
การลบค่าจานวนเชิงซ้อน มีวิธีการคานวณ ดังนี้
z1 z2 ( x1 x 2 ) j ( y1 y 2 ) (ข.12)
และ z1 z2 ( x1 x 2 ) j ( y1 y 2 ) (ข.13)
การบวกและลบจานวนเชิงซ้อนเมื่ออยู่ในระบบพิกัดฉากจะทาได้โดยสะดวกกว่าระบบพิกัดเชิงขั้ว
สาหรับการคูณและหารจานวนเชิงซ้อนจะทาได้โดยง่ายเมื่ออยู่ในระบบพิกัดเชิงขั้ว ดังนี้
z1 z2 r1r2(1 2 ) (ข.14)
z1 r
และ 1 (1 2 ) (ข.15)
z2 r2
สาหรับการคูณและการหารเมื่อจานวนเชิงซ้อนอยู่ในระบบพิกัดฉาก มีวิธีการคานวณ ดังนี้
z1 z2 ( x1 j y1 )( x 2 j y 2 )
(ข.16)
( x1 x 2 y1 y 2 ) j ( x1 y 2 )( x 2 y1 )
z1 ( x j y1 )( x 2 j y 2 ) x x y y x y x y
และ 1 1 22 1 2 2 j 2 21 1 2 2 (ข.17)
z2 ( x 2 j y 2 )( x 2 j y 2 ) x2 y2 x2 y2
ข.4 สูตรของออยเลอร์
สูตรของออยเลอร์ (Euler’s formula) มีความสาคัญต่อการหาผลลัพธ์ตัวแปรเชิงซ้อนเป็นอย่างมาก
สูตรของออยเลอร์ได้จากการกระจายอนุกรมของ ex, cos และ sin ดังนี้
268
x x2 x3 x4
e 1 x (ข.18)
2! 3! 4 !
แทน x ด้วย j จะได้
j 2 3 4
e 1 j j (ข.19)
2! 3! 4!
สาหรับ cos และ sin แสดงดังนี้
2 4 6
cos 1 (ข.20)
2! 4! 6!
3 5 7
sin (ข.21)
3! 5! 7!
จากสมการ (ข.20) และ (ข.21) จะได้
2 3 4 5
และ cos j sin 1 j j j (ข.22)
2! 3! 4! 5!
จากสมการ (ข.19) และ (ข.22) จะพบว่า
e j cos j sin (ข.23)
สมการ (ข.22) เรียกว่า สูตรของออยเลอร์ ซึ่งจานวนเชิงซ้อนที่อยู่ในระบบพิกัดชี้กาลัง ดัง สมการ
(ข.8) เขียนในสูตรของออยเลอร์ได้ ดังนี้
cos Re( e j ), sin Im(e j ) (ข.24)
ภาคผนวก ค
สูตรทางคณิตศาสตร์
ค.1 บทนา
ถึงแม่ว่าฟังก์ชันในเครื่องคานวณ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปจะสามารถคานวณค่าสาหรับ
การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว แต่สูตรที่เตรียมไว้เหล่านี้มีไว้เพื่ออานวยความสะดวกสาหรับคานวณ
ด้วยมือ ในภาคผนวกนี้นาเสนอสูตรทางคณิตศาสตร์ที่จาเป็นต่อการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าในหนังสือเล่มนี้
b b2 4 ac
x1 , x 2
2a
ค.3 เอกลักษณ์ ตรีโกณมิติ (Trigonometric Identities)
sin(-x) sin x
cos(-x) cosx
1 1
sec x , csc x
cosx sinx
sin x 1
tan x , cot x
cosx tanx
sin(x 90) cos x
cos(x 90) sin x
sin(x 180) sinx
cos(x 180) cos x
cos 2 x sin2 x 1
a b c
(law of sines)
sin A sin B sin C
a 2 b2 c 2 2bc cos A (law of cosines)
tan(1 / 2)( A B ) ab
(law of tangents)
tan(1 / 2)( A B ) ab
270
1
coth x
tanh x
1
csc hx
sinh x
1
sec hx
cosh x
sinh( x y ) sinh x cosh y cosh x sinh y
cosh( x y ) cosh x cosh y sinh x sinh y
a dx ax c
U dV UV V dU (integration by parts)
U n 1
U dU n 1 C , n 1
n
dU
U ln U C
aU
a dU ln a C , a 0, a 1
U
1 ax
ax
e dx e C
a
e ax
xe dx a2 ( ax 1) C
ax
e ax 2 2
x e dx a3 ( a x 2ax 2) C
2 ax
ln x dx x ln x x C
1
sin ax dx
a
cos ax C
1
cos ax dx
a
sin ax C
x sin 2ax
2
sin ax dx C
2 4a
x sin 2ax
cos ax dx 2 4 a C
2
1
x sin ax dx a2 (sin ax ax cos ax ) C
1
x cos ax dx
a2
(cos ax ax sin ax ) C
1
x sin ax dx a3 (2ax sin ax 2 cos ax a x cos ax ) C
2 2 2
1
x cos ax dx a3 (2ax cos ax 2 sin ax a x sin ax ) C
2 2 2
273
e ax
e
ax
sin bx dx ( a sin bx b cos bx ) C
a2 b2
e ax
e
ax
cos bx dx ( a cos bx b sin bx ) C
a2 b2
sin( a b ) x sin( a b ) x
sin ax sin bx dx
2( a b)
2( a b)
C, a2 b2
cos( a b ) x cos( a b ) x
sin ax cos bx dx
2( a b)
2( a b)
C, a2 b2
sin( a b ) x sin( a b ) x
cos ax cos bx dx
2( a b)
2( a b)
C, a2 b2
dx 1 1 x
a2 x 2 a
tan
a
C
x 2 dx x
a2 x 2 x a tan1 C
a
dx 1 x 1 1 x
(a2 x 2 )2
2a2 x 2 a 2 a
tan C
a
0
2
sin mx sin nx dx
sin mx sin nx dx
0, m n
mn
sin ax / 2, a0
0 x dx 0, a0
/ 2, a 0
274
โดยที่ f’(x) และ h’(x) คือ อนุพันธ์ของ f (x) และ h (x) ตามลาดับ
275
ภาคผนวก ง
PSpice Student Version
ง.1 บทนา
โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จ ภาพใช้สาหรับการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้าที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง คือ
PSpice ซึ่งโปรแกรมสาหรับจาลองเหตุการณ์ในวงจรไฟฟ้ารวมทั้งวงจรรวม (IC) โปรแกรม PSpice พัฒนาขึ้น
โดย ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในปี 1970 บนคอมพิวเตอร์
เมนเฟรม และได้ถูกพัฒนาให้ทางานบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลโดยบริษัท microSIM และเริ่มใช้งานในปี ค.ศ.
1984 ปั จ จุบั น โปรแกรม PSpice ได้รับ การพัฒ นาโดยบริษั ท OrCAD and cadence ซึ่งสามารถใช้งานได้
หลากหลายระบบปฏิบัติการมากยิ่งขึ้น และเป็นที่รู้จักในชื่อ OrCAD PSpice
สถานศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ทั่วโลก มีการใช้งาน PSpice ในด้านต่าง ๆ ดังนี้ การ
เรียนการสอนในชั้นเรียน โครงงานปฏิบัติการ และการวิ จัยพัฒนา ซึ่ง PSpice จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมการ
ทางานของอุปกรณ์ โครงข่าย และวงจรไฟฟ้าที่พิจารณาได้ เนื่องจาก PSpice มีองค์ประกอบทางไฟฟ้าและ
วงจรรวม รวมถึ ง เงื่ อ นไขการจ าลองเหตุ ก ารณ์ ที่ ค รอบคลุ ม การวิ จั ย และพั ฒ นาทางด้ า นวงจรไฟฟ้ า
อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ แต่สาหรับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้สนใจที่จะจาลองเหตุการณ์ในวงจรไฟฟ้า
ที่ประกอบไปด้วยองค์ประกอบทางไฟฟ้าจานวนไม่มาก บริษัท OrCAD ได้ให้การสนับสนุนโดยมีบริการดาวน์
โหลดฟรีในชื่อโปรแกรมว่า PSpice student version ปัจจุบันเป็นเวอร์ชัน 9.1
ง.2 เริ่มต้นใช้งาน PSpice
หลังจากดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม PSpice ลงบนคอมพิวเตอร์แล้วเสร็จ การใช้งานโปรแกรม
PSpice มี 3 ขั้นตอนหลัก ๆ คือ 1) วาดภาพวงจร 2) จาลองเหตุการณ์ของวงจร และ 3) แสดงผลการจาลอง
เหตุการณ์ของวงจร โดยเนื้อหาในส่วนนี้จะนาเสนอการใช้งานโปรแกรม Schematics ของ PSpice เป็นอันดับ
แรก หน้าต่างโปรแกรม Schematics แสดงดังภาพ ง.1
ก่อ นที่ จ ะเริ่ ม ต้ น วิเคราะห์ ว งจรโดยใช้ Schematics ควรเข้ าใจความหมายของค าสั่ งการใช้ เมาส์
สาหรับดาเนินการบนหน้าต่างของโปรแกรม Schematics เสียก่อน โดยหนังสือเล่มนี้จะใช้คาสั่งเหล่านี้ตลอด
ทั้งเล่ม สาสั่งการใช้เมาส์ดาเนินการต่าง ๆ มีความหมาย ดังนี้
CLICKL : คลิกซ้ายเพื่อเลือกองค์ประกอบ
CLICKR : คลิกขวาเพื่อยกเลิกรูปแบบการทางาน
DCLICKL : ดับเบิล้ คลิกซ้ายเพือ่ แก้ไของค์ประกอบทีเ่ ลือก หรือจบการดาเนินการ
DCLICKR : ดับเบิล้ คลิกขวาเพือ่ ทาซ้าการดาเนินการก่อนหน้านี้
276
AGND
R
X
5MEG
(ก) (ข)
ภาพ ง.5 (ก) เปลี่ยนชื่อจาก R2 เป็น RX (ข) เปลี่ยนขนาดจาก 1k เป็น 5M
ข้อสังเกต ง.2
สัญลักษณ์ของคาอุปสรรค์ตามระบบ SI ของ mega (106) คือ M แต่ตัวอย่างได้ใช้ MEG แทน ทั้งนี้
เนื่องจากโปรแกรม PSpice จะไม่พิจารณาตัวอักษรพิมพ์เล็กหรือพิมพ์ใหญ่ ทั้งนี้ตัวอักษร M หรือ m จะแทน
สัญลักษณ์ของคาอุปสรรค์ milli (10-3) และ u หรือ U แทน micro (10-6)
3. คลิก OK
4. DRAG AGND ไปวางในตาแหน่งที่ต้องการ
5. CLICKL เพื่อวาง AGND และ CLICKR สิ้นสุดการทางาน จะได้ดังภาพ ง.7 (ข)
การกาหนดขนาดของแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า V1 เป็น 12 V ทาได้โดย
1. DCLICKL บนสัญลักษณ์ของ V1 เพื่อเปิดหน้าต่าง PartName
2. CLICKL ที่ DC =
3. พิมพ์ +12 (หรือ 12) ในช่อง Value
4. คลิก Save Attr
5. คลิก OK
การกาหนดขนาดของตัวต้านทาน R1 เป็น 5k ทาได้โดย
1. DCLICKL ที่ขนาดของ R1 โดยปกติโปรแกรมจะกาหนดค่าเริ่มต้นเป็น 1k เพื่อเปิดหน้าต่าง Set
Attribute Value
2. พิมพ์ 5k ลงในช่อง Value
3. คลิก OK
การกาหนดขนาดของ R2 ทาเช่นเดียวกันกับ R1 จะได้ดังภาพ ง.7 (ค)
1. การวิเคราะห์โนดกระแสตรง
คือ การวิเคราะห์ ห าค่ าแรงดั น ไฟฟ้ าที่โนด และกระแสไฟฟ้ าที่ กิ่งในวงจร การดูห รือพิ จารณาค่ า
แรงดั น ไฟฟ้ าที่ โนด จะใช้ VIEWPOINT เชื่ อ มต่ อ เข้ ากั บ โนดที่ ส นใจ และกระแสไฟฟ้ า ที่ กิ่ งในวงจร จะใช้
IPROBE เชื่อมต่อเข้าไปในกิ่งที่สนใจ สัญลักษณ์ของ voltage VIEWPOINT และ current IPROBE แสดงดัง
ภาพ ง.8 การวางอุปกรณ์ VIEWPOINT และ IPROBE ทาได้เช่นเดียวกับการวางตัวต้านทาน หรือแหล่งจ่าย
แรงดันไฟฟ้า ตัวอย่างการวางอุปกรณ์ในวงจรแสดงดังภาพ ง.9
(ก) (ข)
ภาพ ง.8 สัญลักษณ์ของ (ก) voltage VIEWPOINT และ (ข) current IPROBE
2. การกวาดกระแสตรง
จากการวิเคราะห์โนดกระแสตรง เป็นการวิเคราะห์วงจรที่แหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงมีค่าคงที่ แต่การ
การกวาดกระแสจะเป็นการวิเคราะห์ที่ยอมให้แหล่งจ่ายไฟฟ้าในวงจรสามารถกวาดค่าได้ตามช่วงที่กาหนด ซึ่งใน
การวิเคราะห์ แ บบการกวาดกระแสตรงตั ว เก็บ ประจุจะเปิ ดวงจร ตัว เหนี่ย วนาจะลั ดวงจรเช่น เดี ยวกั บการ
วิเคราะห์โนดกระแสตรง
ตัวอย่างการกาหนดการกวาดแรงดันของแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าตามภาพ ง.9 ถ้ากาหนดให้แหล่งจ่าย
แรงดันกวาดค่าได้จาก 0 ถึง 20 โวลต์ โดยการเพิ่มขึ้นครั้งละ 1 ทาได้ดังนี้
1. คลิก Analysis/Setup
2. CLICKL ปุ่ม DC Sweep
3. พิมพ์ V1 ลงในช่อง Name
4. พิมพ์ 0 ลงในช่อง Start Value
5. พิมพ์ 20 ลงในช่อง End Value
6. พิมพ์ 1 ลงในช่อง Increment
7. คลิก OK เพื่อปิดหน้าต่าง DC Sweep และบันทึกค่าที่กาหนด
8. คลิก Close เพื่อสิ้นสุดการตั้งค่า Analysis Setup
ภาพ ง.11 แสดงหน้าต่าง DC Sweep ซึ่งกาหนดการกวาดแรงดันแบบเชิงเส้น ของแหล่งจ่ายแรงดัน V1
กวาดค่าแรงดันได้จาก 0 ถึง 20 โวลต์ โดยการเพิ่มขึ้นครั้งละ 1 โวลต์
284
1 12 k 2 1 k 3
io
28 V 4 k 3 k
7 mA
Vx
I1 I2 6k
4 k
2 10V
I2
I1
ง.3 การวิเคราะห์ทรานเชี้ยนท์
การวิเคราะห์ทรานเชี้ยนท์ (Transient Analysis) เป็นการทดสอบผลตอบสนองต่อรูปคลื่นแรงดัน
หรือกระแสไฟฟ้าชั่วขณะในวงจรเปรียบเทียบกับเวลา ใช้สาหรับการแก้ปัญหาสมการเชิงอนุพันธ์ (differential
equations) ของวงจรซึ่งเป็นผลตอบสนองของแรงดันหรือกระแสไฟฟ้าเปรียบเทียบกับเวลา โดยทั่วไปหาได้
จากวิเคราะห์ฟูเรียร์ การวิเคราะห์ทรานเชี้ยนท์โดยใช้ PSpice มี 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) วาดภาพวงจร 2) กาหนด
เงื่อนไขการจาลองเหตุการณ์ และ 3) จาลองเหตุการณ์ของวงจร
288
ขั้นตอนที่ 1 วาดภาพวงจร
การวิเคราะห์ทรานเซี้ยนท์ในวงจร ขั้นตอนแรก คือ การวาดภาพวงจรลงใน Schematics และกาหนด
คุณลักษณะของแหล่งจ่ายไฟฟ้าในวงจร โปรแกรม PSpice รองรับฟังก์ชันทางเวลารูปแบบต่าง ๆ ที่คอบคลุม
การวิเคราะห์ทรานเซี้ยนท์ แหล่งจ่ายไฟฟ้าที่ใช้ในการวิเคราะห์ทรานเซี้ยน เช่น
VSIN, ISIN สาหรับการวิเคราะห์ผลตอบสนองจากการหน่วงเวลา (damped) แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า
หรือแรงดันไฟฟ้ารูปคลื่นไซน์ที่ถูกหน่วงเวลา ตัวอย่างเช่น v (t ) 10e0.2t sin(120 t 60)
VPULSE, IPULSE สาหรับการวิเคราะห์ผลตอบสนองจากพัลส์ (pulse) แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าหรือ
แรงดันไฟฟ้า
VEXP, IEXP: สาหรับการวิเคราะห์ผลตอบสนองจากแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าหรือแรงดันไฟฟ้าแบบ
เอกซ์โพเนนเชียล (exponential)
VPWL, IPWL: สาหรับการวิเคราะห์ผลตอบสนองจากแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าหรือแรงดันไฟฟ้าเชิงเส้น
แบบต่อเนื่องเป็นช่วง (piecewise)
ตัวอย่างการกาหนดคุณลักษณะแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า แสดงดังนี้
VSIN ของฟั งก์ ชั น v (t ) V0 Vme ( t t d ) sin[ 2 f (t td ) ) ก าหนดคุ ณ ลั ก ษณะ
ของแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า VSIN โดย DCLICKL สัญลักษณ์ของ VSIN บนหน้าต่าง Schematics แล้วกาหนด
คุณลักษณะในหน้าต่าง PartName ดังนี้
VAMPL
TD
1/FREQ
VOFF
TR PW TF
TD PER V2
V1
TC1
V2 TC2
TD2
TD1
V1
ขั้นตอนที่ 2 กาหนดเงื่อนไขการจาลองเหตุการณ์
หลังจากวาดภาพวงจรและกาหนดคุณลักษณะของแหล่งจ่ายทางไฟฟ้าในวงจรเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัด
มา คือ การกาหนดเงื่อนไขในการจาลองเหตุการณ์สาหรับการวิเคราะห์ทรานเซี้ยนท์ของวงจร
ตัวอย่ างเช่น ต้องการจ าลองเหตุการณ์ ของวงจรในช่วงเวลา 0 ถึง 10 ms และแสดงผลทุก ๆ 2 ns
สามารถกาหนดเงื่อนไขได้ดังนี้
1. คลิก Analysis/Setup/Transient เพื่อเปิดหน้าต่าง Transient Analysis
2. CLICKL ช่องว่าง Print Step และพิมพ์ 2 ns
3. CLICKL ช่องว่าง Final Time และพิมพ์ 10 ms
4. CLICKL ช่องว่าง Step Ceiling และพิมพ์ 5 s
5. CLICKL OK/Close เพื่อปิดหน้าต่าง Transient Analysis ดังภาพ ง.27
0 .5 H 2
3i
1
10 k 2 30 mH 3 vs (t)(V)
12
50 F
vs 20k vo
0 t (s)
1 2 3
(ก) (ข)
vs
vo
และพิมพ์ dB(V(4)) ในช่อง Trace Command ซึ่ง dB(V(4)) จะเท่ากับ 20log(V(4)) แต่ในที่นี้ขนาดของ V1
หรือ V(R1:1) เท่ากับ 1 ฉะนั้น dB(V(4)) จะได้จาก dB(V(4)/V(R1:1)) ซึ่งคือ gain หรืออัตราขยาย การเพิ่ม
trace dB(V(4)) จะได้ผลลัพธ์ของ Bode magnitude/gain plot โดยที่แกน Y จะแสดงในหน่วย dB
การแสดงผลลัพธ์อีกวิธีหนึ่งทาได้โดยใช้ Pseudocomponents ซึ่งจะแสดงผลลัพธ์ไปที่ output file
(ไฟล์นามสกุล .out) Pseudocomponents คืออุปกรณ์ที่อยู่ในหน้าต่าง Schematics มีหน้าที่เช่นเดียวกับ
VIEWPOINT และ IPROBE ในการวิเคราะห์การกวาดกระแสตรง อุปกรณ์ Pseudocomponents ที่ส าคัญ
แสดงดั ง ภาพ ง.34 และค าอธิ บ ายของ Pseudocomponents แต่ ล ะตั ว แสดงดั ง ตาราง ง.1 การวาง
Pseudocomponents ท า ไ ด้ โ ด ย ค ลิ ก Draw/Get New Parts บ น ห น้ า ต่ า ง Schematics เลื อ ก
pseudocomponent และวางในตาแหน่งที่ต้องการ จากนั้นทาการกาหนดเงื่อนไขการจาลองเหตุการณ์ ถ้าไม่
มี error แรงดัน และ/หรือ กระแสไฟฟ้าที่กาหนดใน pseudocomponents จะถูกบันทึกลงใน output file
ซึ่งจะสามารถดูผลลัพธ์ได้โดยคลิก Analysis/Examine Output ในหน้าต่างของ Schematics
1
2 2 0 .5 H 3
i
0.25F 4
20sin2t V 2i
ACMAG = 5
ACPHASE = 0
AC = yes
MAG = yes
PHASE = ok
ACMAG = 20 GAIN = 2
ACPHASE = -90
v i (t ) 4F vo (t)
ACMAG = 1
ACPHASE = 0
(ก)
(ข)
ภาพ ง.39 (ก) linear plot และ (ข) Bode plot
303
ภาคผนวก จ
MATLAB
จ.1 บทนา
MATLAB มี ที่ มาจาก ค าว่ า MATrix LABoratory เป็ น โปรแกรมคอมพิ วเตอร์ ส าเร็ จ รู ป มี
ความสามารถในการวิเคราะห์เมทริกซ์ และเวกเตอร์ รวมถึงงานทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมแขนงอื่น ๆ
อย่างกว้างขวาง ในภาคผนวกนี้นาเสนอการใช้ MATLAB ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ หนังสือเล่มนี้เท่านั้น สาหรับ
การใช้ MATLAB ในงานด้านต่าง ๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากคู่มือการใช้งานของ MATLAB หรือหาข้อมูล
เพิ่มเติมได้ทางออนไลน์จาก http://www.mathworks.com/help/matlab/
จ.2 MATLAB มูลฐาน
Command Window เป็ นพื้น ที่ส าหรับ ป้อนชุดคาสั่ง ต่าง ๆ เพื่อให้ MATLAB คานวณหรือทางาน
ตามคาสั่งนั้น และจะแสดงผลการคานวณออกมาบนหน้าต่างนี้ MATLAB มีฟังก์ชันสาหรับการคานวณ และ
การพล๊อตกราฟหรือการแสดงผลบนหน้าต่าง Command Window เป็นจานวนมาก ในกรณี ที่ต้องการให้
MATLAB ทางานนอกเหนือจากฟังก์ชันที่ได้เตรียมไว้ ก็สามารถเขียนคาสั่งขึ้นมาได้ โดยใช้ text editor เพื่อ
สร้าง M-files สาหรับการคานวณค่าที่ต้องการได้ การใช้งาน MATLAB ในเบื้องต้นนี้ นาเสนอในส่วนของการ
คานวณทางคณิตศาสตร์ เป็นอันดับแรก
การใช้งาน MATLAB เป็นเครื่องคานวณ
ตัวดาเนินการทางพีชคณิตที่ใช้ใน MATLAB แสดงดังนี้
+ Addition
- Subtraction
* Multiplication
^ Exponentiation
/ Right division (a/b means a ÷ b)
\ Left division (a\b means b ÷ a)
การเริ่มต้นใช้งาน MATLAB สาหรับการดาเนินการทางพีชคณิตดังข้างต้น ทาได้โดยพิมพ์คาสั่งหลัง
“>>” ในหน้าต่าง Command window ตัวอย่างการใช้ MATLAB เป็นเครื่องคานวณ แสดงดังนี้
>> a = 2; b = 4; c = -6;
>> dat = b^2 - 4*a*c
304
dat =
64
>> e = sqrt(dat) / 10
e=
0.8000
คาสั่งในบรรทัดแรกเป็นการกาหนดค่า 2, 4 และ -6 ให้กับตัวแปร a, b และ c ตามลาดับ MATLAB
จะยังไม่ตอบสนองหรือประมวลผลเนื่องจากมีการใส่ทวิภาค (colon ;) ที่ท้ายบรรทัดคาสั่ง
คาสั่ งในบรรทั ด ที่ 2 กาหนด dat ซึ่งมีค่ าเท่ ากับ b2 – 4ac MATLAB ท าการประมวลผลและได้
คาตอบเท่ากับ 64
คาสั่งในบรรทัดสุดท้าย กาหนดให้ e เท่ากับรากที่สองของ dat และหารด้วย 10 MATLAB ทาการ
ประมวลผลและได้คาตอบเท่ากับ 0.8000
ตัวอย่างฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ใน MATLAB แสดงดังตาราง จ.1 สาหรับคาสั่งเพิ่มเติมสามารถค้นหา
ได้โดย พิมพ์ help หลัง “>>” ในหน้ า Command Window ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการค้าหาคาสั่งและการ
พิมพ์คาสั่ง determinant ทาได้โดยพิมพ์ help det MATLAB จะแสดงผลการค้นหา ดังนี้
Function Remark
abs(x) Absolute value or complex magnitude of x
acos, acosh(x) Inverse cosine and inverse hyperbolic cosine of x in radians
acot, acoth(x) Inverse cotangent and inverse hyperbolic cotangent of x in radians
angle(x) Phase angle (in radian) of a complex number x
asin, asinh(x) Inverse sine and inverse hyperbolic sine of x in radians
atan, atanh(x) Inverse tangent and inverse hyperbolic tangent of x in radians
conj(x) Complex conjugate of x
cos, cosh(x) Cosine and hyperbolic cosine of x in radians
cot, coth(x) Cotangent and hyperbolic cotangent of x in radians
exp(x) Exponential of x
fix Round toward zero
imag(x) Imaginary part of a complex number x
log(x) Natural logarithm of x
log2(x) Logarithm of x to base 2
log10(x) Common logarithms (base 10) of x
real(x) Real part of a complex number x
sin, sinh(x) Sine and hyperbolic sine of x in radians
sqrt(x) Square root of x
tan, tanh Tangent and hyperbolic tangent of x in radians
ตัวอย่างการใช้คาสั่งทางคณิตศาสตร์ มีดังนี้
>> 3^(log10(25.6))
>> y = 2* sin(pi/3)
>> exp(y+4-1)
306
>> e = [1 2; 3 4]
e=
1 2
3 4
>> f = det(e)
f=
-2
>> g = inv(e)
g=
-2.0000 1.0000
1.5000 -0.5000
Operation Remark
A’ Finds the transpose of matrix A
det(A) Evaluates the determinant of matrix A
inv(A) Calculates the inverse of matrix A
eig(A) Determines the eigenvalues of matrix A
diag(A) Finds the diagonal elements of matrix A
>> H = eig(g)
H=
-2.6861
0.1861
เมทริกซ์พิเศษ ตัวแปร และค่าคงที่ แสดงดังตาราง จ.3 ตัวอย่างการใช้ตาสั่ง แสดงดังนี้
>> eye(3)
308
ans =
1 0 0
0 1 0
0 0 1
ซึ่งจะได้เมทริกซ์เอกลักษณ์ขนาด 3 3
การพล๊อต
การพล๊ อ ตกราฟบน MATLAB ท าได้ โ ดยง่า ย เช่ น การพล๊ อ ต 2 มิ ติ ท าได้ โ ดยใช้ ค าสั่ งพล๊ อ ตซึ่ ง
ประกอบไปด้วย 2 อาร์กิวเมนต์ ดังนี้
>> plot(xdata,ydata)
โดยที่ xdata และ ydata เป็นเวคเตอร์ที่มีข้อมูลความยาวเท่ากันซึ่งต้องการจะพล๊อต
ตัวอย่างเช่น ต้องการพล๊อต y = 10*sin(2*pi*x) โดยที่ 0 x 5*pi สามารถทาได้โดยใช้คาสั่ง
ดังนี้
% x is a vector, 0 <= x <= 5*pi, increments of pi/100
% creates a vector y
% creates the plot
>> x = 0:pi/100:5*pi;
309
>> y = 10*sin(2*pi*x);
>> plot(x,y)
จากคาสั่งข้างต้น MATLAB จะพล๊อตกราฟ ดังภาพ จ.1
ตัวอย่างคาสั่ง ดังนี้ >> plot (x1, y1, ‘r’, x2, y2, ‘b’, x3,y3, ‘k’) ซึ่งจะเป็นการพล๊อตกราฟ ข้อมูล
(x1, y1) เป็นสีแดง ข้อมูล (x2, y2) เป็นสีน้าเงิน และข้อมูล (x3, y3) เป็นสีดา
ตัวอย่างคาสั่งกาหนดสีข้อมูลและลักษณะเส้น ดังนี้ >> plot (x1, y1, ‘m*’, x2, y2, ‘c--’, x3,y3,
‘wx’) ซึ่งจะเป็นการพล๊อตกราฟ ข้อมูล (x1, y1) เป็นลักษณะ * สีม่วง ข้อมูล (x2, y2) เป็นลักษณะ – สีฟ้า
และข้อมูล (x3, y3) เป็นลักษณะ x สีขาว
310
การเขียนโปรแกรมบ่อยครั้งที่จะต้องเขียนในลักษณะตัวดาเนินการทางความสัมพันธ์และตรรกะของ
ข้อมูล ตาราง จ.5 แสดงตัวดาเนินการทางความสัมพันธ์และตรรกะสาหรับคาสั่ง for และ if ซึ่งเป็นคาสั่งใน
ลักษณะลูปหรือทาซ้าข้อมูล ซึ่งมีรูปแบบการเขียนคาสั่งโดยทั่วไปดังนี้
for x = array
[commands]
end
คาสั่ง if จะใช้เมื่อมีเงื่อนไขที่แน่นอน และจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขนั้น ก่อนที่จะดาเนินการในส่วนอื่น
ต่อไป ซึ่งมีรูปแบบการเขียนคาสั่งโดยทั่วไปดังนี้
if expression
[commands if expression is True]
else
[commands if expression is False]
end
% example2.m
% This program finds the minimum y value and its corresponding x index
x = [1 2 3 4 5 6 7 8 9 10]; %the nth term in y
y = [3 9 15 8 1 0 -2 4 12 5];
min1 = y(1); for k = 1:10
min2 = y(k);
if(min2 < min1)
min1 = min2;
xo = x(k);
else
min1 = min1;
end
end
diary
min1, xo
diary off
หลังจากบั นทึกโปรแกรมในชื่อ example2.m แล้ว ปิดหน้าต่าง text editor พิมพ์ >>example2
บนหน้าต่าง Command Window จะได้ค่าต่าสุดของ y คือ -2 และ 7 ซึ่งเป็นตาแหน่งของ x ซึ่งสัมพันธ์กับ
ตาแหน่งของ y
>> example2
min1 =
-2
xo =
7
ในกรณีที่ไม่สนใจดัชนีระบุตาแหน่ง จะเขียนคาสั่งได้ ดังนี้
>> min(y)
314
การแก้ปัญหาสมการเชิงเส้น
รูปของสมการเชิงเส้น แสดงดังนี้
a11 x1 a12 x 2 a1n x n b1
a21 x1 a22 x 2 a2 n x n b2
an1 x1 an2 x 2 ann x n bn
เขียนให้อยู่ในรูปแบบเมทริกซ์ได้ ดังนี้
AX B
a11 a12 a1n x1 b1
a a a2 n x b
เมื่อ A 21 22 , X 2 , B 2
a ann x b
n1 an2 n n
โดยที่ A เป็นเมทริกซ์จัสตุรัส หรือเมทริกซ์สัมประสิทธิ์, X และ B เป็นเวกเตอร์ ซึ่ง X คือ เวกกเตอร์
ผลเฉลยของสมการเชิงเส้น การใช้ MATLAB แก้ปัญหาสมการเชิงเส้นดังกล่าว ทาได้ 2 วิธี ดังนี้
1. ใช้ backslash (\) หรือตัวดาเนินการหารซ้าย ดังนี้
X =A\B
2. ใช้เมทริกซ์ผกผัน ดังนี้
X = A-1B
ซึ่งใช้คาสั่งใน MATLAB ดังนี้
X = inv(A)*B
จ.3 การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสตรง
การวิเคราะห์ วงจรความต้านทานในไฟฟ้ากระแสตรงด้วย MATLAB โดยใช้ระเบียบวิธีแรงดันโนด
และกระแสเมซ โดยทั่วไปจะต้องแก้ปัญหาสมการเชิงเส้น ซึ่งสามารถทาได้ตามที่ได้กล่าวไว้แล้วในหัวข้อที่ จ.2
และจะแสดงในตัวอย่าง จ.2 และ จ.3
316
i1 i1
v1 2 v2 8
v3
ix ix i2 i2
3A
i3
3A 4
2i x
0
3 2 1 v1 12
4 7 1 v 2 0
2 3 1 v 3 0
หรือ AV B
V=
4.8000
2.4000
-2.4000
io
i2 24
10
24 V 4
i1
i3 4 io
12
11 5 6 i1 12
5 19 2 i2 0
1 1 2 i3 0
หรือ AI B
I=
2.2500
0.7500
1.5000
ดังนั้น จะได้ I1 = 2.25 A, I2 = 0.75 A และ I3 = 1.5 A โดยที่ io = i1 – i2 = 2.25 – 0.75 = 1.5 A
318
จ.4 การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสสลับ
การวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสตรงด้วย MATLAB โดยใช้ระเบียบวิธีแรงดันโนด และกระแสเมซ การ
แก้ปัญหาสมการสามารถทาได้เช่นเดียวกับในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง แต่เนื่องจากในวงจรไฟฟ้ากระแสสลับซึ่ง
อยู่ในโดเมนความถี่ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเฟสเซอร์ห รือจานวนเชิงซ้อน ในหั วข้อนี้จะอธิบายการใช้ MATLAB
แก้ปัญหาสมการเชิงเส้นที่มีเมทริกซ์สัมประสิทธิ์และเวกเตอร์เป็นจานวนเซิงซ้อน
MATLAB แสดงจ านวนเชิงซ้อนในส่ ว นจิน ตภาพด้ว ย j หรือ i ซึ่งเท่ากับ 1 ดังนั้ น การเขียน
จานวนเชิงซ้อนใน MATLAB สามารถเขียนได้ ดังนี้ 3 - j4, 3 - j*4, 3 - i4 หรือ 3 - I*4 ฟังก์ชันเชิงซ้อนที่มีใน
MATLAB มีดังนี้
abs(A) Absolute value of magnitude of A
angle(A) Angle of A in radians
conj(A) Complex conjugate of A
imag(A) Imaginary part of A
real(A) Real part of A
มุ ม ที่ แ สดงจะมี ห น่ ว ยเป็ น เรเดี ย น ฉะนั้ น จะต้ อ งคู ณ ด้ ว ย 180/ เพื่ อ แปลงเป็ น หน่ ว ยองศา ตั ว
ดาเนิ น การ transpose (‘) ใช้ส าหรับ complex conjugate transpose และ dot-transpose (.‘) จะเป็ น
การสลับเปลี่ยน (transposes) ภายในอาร์เรย์โดยไม่ทาการสังยุค (conjugate)
1
0.1F j 2.5
jC
10 V1 j4 V2
Ix
20 0 V
j 2.5 2I x j2
4 rad/ s
18.9737
>> angle(V(1))*180/pi %converts angle from radians to degrees
ans =
18.4349
>> abs(V(2)) %Phase of Polar form
ans =
13.9140
>> angle(V(2))*180/pi
ans =
-161.5651
>> C=V(1)/-2.5j % C = Ix
C=
-2.4000 + 7.2000i
>> abs(C)
ans =
7.5895
>> angle(C)*180/pi
ans =
108.4349
Ic
หรือ ZI V
>> c2=(120*sqrt(3))*exp(j*pi*(-90/180));
>> V=[c1;c2];
>> I=inv(Z)*V
I=
56.7846 - 0.0000i
38.7846 +18.0000i
>> Ia=I(1);
322
>> Ib=I(2)-I(1);
>> Ic=-1*I(2);
>> abs(Ia)
ans =
56.7846
>> angle(Ia)*180/pi
ans =
-1.0403e-015
>> abs(Ib)
ans =
25.4558
>> angle(Ib)*180/pi
ans =
135
>> abs(Ic)
ans =
42.7580
>> angle(Ic)*180/pi
ans =
-155.1039
จ.5 ผลตอบสนองเชิงความถี่
การวิเคราะห์ ผลตอบสนองเชิงความถี่ เกี่ยวข้องกับการพล๊ อตขนาด และเฟสของฟังก์ชันถ่ายโอน
(transfer function) H(s) = N(s)/D(s) ซึ่งได้จาก Bode magnitude และ phase plots ของ H(s) วิธีการ
พล๊ อ ตวิธีห นึ่ ง คื อ การสร้างชุด ข้อ มูล โดยใช้ฟั งก์ชั น for loop ส าหรับ หาค่ า s = j ตลอดช่ ว งของ ที่
กาหนด แล้วทาการพล๊อตข้อมูลที่ได้ วิธีการพล๊อตแสดงดังหัวข้อที่ จ.2 สาหรับในหัวข้อนี้จะอธิบายการพล๊อต
ผลตอบสนองเชิงความถี่โดยใช้คาสั่ง freqs และ bode ซึ่งเป็นวิธีการพล๊อตที่สะดวกกว่าวิธีการข้างต้น การใช้
ค าสั่ ง freq และ bode จ าเป็ น จะต้ อ งก าหนดค่ า num และ den ของ H(s) เมื่ อ num และ den คื อ
สัมประสิทธิ์ของเวกเตอร์ของ numerator N(s) และ denominator D(s) ซึ่งแสดงในรูป s ยกกาลังเรียงลาดับ
ลง เช่น 5s3+18s2-7s+16 เป็นต้น รูปแบบของฟังก์ชัน bode แสดงดังนี้
โดยที่ range คื อ ช่ ว งความถี่ ที่ ต้ อ งการจะพล๊ อ ต ในกรณี ที่ ไม่ มี ก ารก าหนด range MATLAB จะ
กาหนดช่วงความถี่ให้โดยอัตโนมัติ range เป็นได้ทั้งเชิงเส้นและลอการิทึม ตัวอย่างเช่น 1 < < 1000 rad/s
ที่ 50 จุดการพล๊อต กาหนดให้เป็น linear range ได้ ดังนี้
range = linspace(1,1000,50);
ส าหรั บ logarithmic range เช่ น 10-2 < < 104 rad/s ที่ 100 จุ ด การพล๊ อ ต สามารถก าหนด
range ได้ ดังนี้
range = logspace(-2,4,100);
และเฟสในหน่วยองศา ดังนี้
phase = angle(hs)*180/pi
George Simon Ohm จอร์จ ไซมอน โอห์ ม นักฟิ ก Input resistance; Ri ความต้านทานขาเข้าของออป
สิกส์ชาวเยอรมัน ได้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่าง แอมป์ในทางอุดมคติมีค่าเป็นอนันต์
กระแสไฟฟ้า และแรงดันไฟฟ้าในตัวต้านทาน instantaneous power ค่ากาลังไฟฟ้าชั่วขณะ
giga จิกะ มีค่าเท่ากับ 109 Instrumentation amplifier วงจรขยายเครื่ อ งมื อ
Gray เกรย์ หน่วยของ ปริมาณรังสีดูดกลืน วัด
Ground ดิน หรอจุดต่อลงดินของวงจร มีศักย์ไฟฟ้า Insulator วัสดุฉนวน
เป็นศูนย์ Integrated circuit: IC วงจรรวม
Gustav Robert Kirchhoff กุ ส ทาฟ โรแบร์ ท คี ร์ ช Integrator วงจรทาอินทิเกรต
ฮอฟฟ์ หรือ กุส ตาฟ เคอร์ช อฟฟ์ นั กฟิ สิกส์ ชาว International System of Units: SI Unit ร ะ บ บ
เยอรมั น ผู้ น าเสนอกฎกระแสไฟฟ้ า ของเคอร์ หน่วยวัดระหว่างประเทศ หรือ ระบบเอสไอ
ชอฟฟ์ และกฎแรงดันไฟฟ้าของเคอร์ชอฟฟ์
inverse matrix วิธีเมทริกซ์ผกผัน ดูภาคผนวก ก.
H
Inverter เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า มีหน้าที่ แปลงรูป
Heat ความร้อน พลั ง งานไฟฟ้ า กระแสตรงที่ ไ ด้ จ ากแผลเซลล์
hector เฮกโต มีค่าเท่ากับ 102 แสงอาทิ ต ย์ หรือจากแบตเตอรี่ไปเป็ น พลั งงาน
Henry เฮนรี่ หน่วยของ ความเหนี่ยวนา ไฟฟ้ากระแสสลั บ ส าหรับจ่ายให้ กับโหลด หรื อ
Hertz เฮิรตซ์ หน่วยของ ความถี่ ป้อนเข้าสู่กริด
Homogeneity property, scaling คุณ สมบัติความ Inverting Amplifier วงจรขยายแบบกลับเฟส
เป็นหนึ่งเดียวหรือมีความเป็นสัดส่วนเป็นหนึ่งใน inverting input ขั้วอินพุตกลับเฟสของออปแอมป์
สองของคุณสมบัติความเป็นเชิงเส้นของวงจร J
Horizontal deflection plates ชุ ด เบี่ ย งเบ น ล า James Watt เจมส์ วัตต์ ผู้ปรับปรุงเครื่องจักรไอน้า
อิเล็กตรอนแนวนอน ประสิทธิภาพสูง
I Joseph Henry โจเซฟ เฮนรี่ นั ก วิท ยาศาสตร์ช าว
ideal capacitor ตัวเก็บประจุในทางอุดมคติ อเมริกัน
Illuminance ความสว่าง Joule จูล หน่วยของ พลังงาน งาน ความร้อน
Impedance อิมพีแดนซ์ K
Independent source แหล่งจ่ายอิสระ katal คาทัล หน่วยของ ความสามารถเร่งปฏิกิริยา
Inductance ค่ าค ว าม เห นี่ ย ว น าไฟ ฟ้ าข อ งตั ว เคมี
เหนี่ยวนาแม่เหล็ก มีหน่วยเป็น เฮนรี่ (Henry; H) Kelvin เคลวิน หน่วยของ อุณหภูมิ
Inductor ตัวเหนี่ยวนาแม่เหล็ก kilo กิโล มีค่าเท่ากับ 103
329
Triboelectric effect การเกิ ดประจุ ไฟฟ้ าสถิ ตจาก Voltage source แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า
การสัมผัสของวัตถุ Voltage ศักย์ไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า
U Volume ปริมาตร
Usage การใช้ประโยชน์ W
V Watt วัตต์ หน่วยของ กาลังงาน ฟลักซ์การแผ่รังสี
Valence electron วาเลนซ์อิเล็กตรอน อิเล็กตรอน Weber เวเบอร์ หน่วยของ ฟลักซ์แม่เหล็ก
ที่อยู่ในวงโคจรชั้นนอกสุดของอะตอม Weight น้าหนัก
Velocity ความเร็ว Wheatstone bridge วงจรบริดจ์แบบวีตสโตน
Vertical deflection plates ชุ ด เบี่ ย ง เ บ น ล า winding resistance ความต้านทานของลวดตัวนา
อิเล็กตรอนแนวตั้ง
Work งาน
Volt โวลต์ หน่วยของ ศักย์ไฟฟ้า แรงดันไฟฟ้า ความ
Wye-Delta Transformation การแปลงรู ป วงจร
ต่างศักย์ไฟฟ้า แรงเคลื่อนไฟฟ้า
ระหว่างแบบวายกับแบบเดลตา
Voltage Controlled Current Source: VCCS
Y
แหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยแรงดันไฟฟ้า
yocto ยอกโต มีค่าเท่ากับ 10-24
Voltage Controlled Voltage Source: VCVS
yotta ยอตตะ มีค่าเท่ากับ 1024
แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยแรงดันไฟฟ้า
Z
voltage divider วงจรแบ่งแรงดันไฟฟ้า
zepto เซปโต มีค่าเท่ากับ 10-21
voltage follower, unity gain amplifier ว ง จ ร
ตามแรงดัน วงจรขยายที่มีเอาท์พุตเท่ากับอินพุต zetta เซตตะ มีค่าเท่ากับ 1021
ดัชนีคำค้น
A closed-loop gain 182
absorbing power 17 common 197, 198
ac voltage 15 Conductance 41
Active element 19 Conductor 34
Additivity property 135 continuous voltage 221
Alessandro Giuseppe Antonio Anastasio Controlled source 19
Volta 14 Current Controlled Current Source 20
alternating current: ac 11 Current Controlled Voltage Source 20
Ampere 11 Voltage Controlled Current Source 20
Amplifier 177 (ดู Op-Amp) Voltage Controlled Voltage Source 20
Andre-Marie Ampere 11 Coulomb 10, 216
appliances 81 Cramer’s rule 124, 255
atom 9, 10 current divider 56
Auxiliary energy sources 80 Current source 19
B D
Battery 14, 79, 81, 82, 204 D'Arsonval Movement Meter 73, 168
binary weighted ladder 204 Days of autonomy 82
Bipolar Junction Transistor: BJT 125 DC Generator 126
Branch 43, 96 DC Motor 127
C DC Transistor Circuit 125
Capacitance 5, 216 dc voltage 15, 221
Capacitor 19, 215 deep cycle battery 81
cascade 198 Dependent source 19
Cathode-Ray Tube: CRT 27 depth of discharge: DOD 82
Charge 45 Dielectric 215
Charles-Augustin de Coulomb 10 Difference or differential amplifiers 193
Circuit Theorem 135 digital-to-analog converter 204
close boundary 47 Diode 40
336
direct current: dc 11 H
Discharge 219 Henry 229, 230
E Hertz 4
Edward Lawry Norton 156 Homogeneity property 135
Electric Capacitance 5 Horizontal deflection plate 127
Electric charge 8 I
Electric circuit 2 ideal capacitor 222
Electric current 3 Impedance 5
Electric Resistance 5 Independent source 19
Electrical Conductance 5 Inductance 229
Electrical Potential Difference 5 Inductor 19, 215, 229
Electricity 8 Input resistance; Ri 181 (ดู Op-Amp)
Electromotive Force 14 instantaneous power 16
electron 8 Instrumentation amplifier 197, 201
elektron 8 Insulator 34, 215
Energy Adjustment charge 23 Integrated circuit: IC 20, 179
Energy Conservation 18 Integrator 242
Energy 4, 14, 16 International System of Units 3, 4, 5, 6
equivalent capacitor; Ceq 225 Inverter 80
F Inverting Amplifier 187, 201
Farad 216 inverting input 180 (ดู Op-Amp)
feedback 181 J
Field Effect Transistor: FET 125 James Watt 16
G Joseph Henry 229
Generator 19, 126 (ดู DC Generator) Joule 4, 14, 16
George Simon Ohm 34 K
Ground 97 Kirchhoff’s current law ; KCL 45
Gustav Robert Kirchhoff 45 Kirchhoff’s voltage law ; KVL 45, 47
337