Professional Documents
Culture Documents
2.1 เหล็ก
ข้อมูลนี้จดั ทาขึ้นโดยบมจ. จี สตีล เพื่อสร้างความรู ้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่สาธารณชนหรื อผู ้
ที่สนใจโดยนาเสนอเนื้ อหาที่เข้าใจได้ง่ายในเวลาอันสั้นจึงไม่เหมาะสมนาการใช้อา้ งอิงในทางวิชาการ
บมจ. จี สตีลขอสงวนสิ ทธิ์ ไม่รับผิดชอบต่อความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรื อข้อบกพร่ องการเผยแพร่ เนื้ อหา
สาระที่ปรากฏนี้ แต่อย่างใด"เหล็ก"เป็ นคาที่คนไทยทัว่ ไปนิ ยมใช้เรี ยกเหมารวมกันหมายถึงเหล็ก (iron)
และเหล็กกล้า (steel) ซึ่ งในความเป็ นจริ งนั้น วัสดุ ท้ งั 2 อย่างนี้ ไม่เหมือนกันหลายประการ อย่างไรก็ดี
เหล็กเป็ นวัสดุพ้ืนฐานที่สาคัญยิ่งในการพัฒนาสังคมและความเป็ นอยูข่ องมนุ ษย์ต้ งั แต่อดีตจนถึงปั จจุบนั
และต่อไปในอนาคตอีกนานแสนนาน
เหล็ก (iron) สัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ Feคือแร่ ธาตุโลหะชนิดหนึ่งที่มีอยูใ่ นธรรมชาติ ส่ วน
ใหญ่มีสีแดงอมน้ าตาลโดยปกติสามารถดูดติดแม่เหล็กได้ พบมากในชั้นหิ นใต้ดินบริ เวณที่ราบสู งและ
ภูเขาอยูใ่ นรู ปก้อนสิ นแร่ เหล็ก (iron ore) ปะปนกับโลหะชนิดอื่นๆ และหิ นเมื่อนามาใช้ประโยชน์จะต้อง
ผ่านการทาให้บริ สุทธิ์ ดว้ ยกรรมวิธีการ "ถลุง" (ใช้ความร้อนสู งเผาให้สินแร่ เหล็กกลายเป็ นของเหลวใน
ขณะที่กาจัดแร่ อื่นที่ไม่ตอ้ งการออกไป) นอกจากนี้ธาตุเหล็กยังเป็ นสารอาหารที่ร่างกายคนเราต้องการ
เนื่องจากเป็ นองค์ประกอบสาคัญในเม็ดเลือดแดงของเราอีกด้วย กล่าวคือคนที่ขาดธาตุเหล็กจะเป็ นโรค
โลหิ ตจางได้ง่าย ดังรู ปที่ 2.1
5
เช่น พับเป็ นเหล็กฉากม้วนแล้วเชื่อมเป็ นท่อ กดและขึ้นรู ปเป็ นชิ้นส่ วนรถยนต์ เป็ นต้น
5. เหล็กกล้ามีช้ นั คุณภาพ (เกรด) หลายหลากมากมาย ตามมาตรฐานของแต่ละประเทศ
และตามข้อกาหนดเฉพาะของลูกค้าแต่ละราย ในขณะที่เหล็กมีจานวนชั้นคุณภาพน้อยกว่ามาก หมายถึง
การนาไปใช้งานที่มีจากัดด้วย
2.2 สปริง
ชิ้นส่ วนชนิดหนึ่งที่เมื่อเราใส่ ภาระโหลด ไม่วา่ จะเป็ นการดึง การกด การบิด เมื่อเราเอาโหลด
ออกสปริ งจะกลับคืนตัวกลับสู่ ตาแหน่งเดิมได้อย่างรวดเร็ ว ดังรู ปที่ 2.8
10
2.2.2 ประเภทของสปริ ง
1.สปริ งขดแบบกด (Compression springs) สปริ งประเภทนี้ ใช้สาหรั บรองรั บการกดยุบตัว ซึ ง
เพื่อน ๆ สามารถพบเห็นได้ทวั่ ไปในชี วิตประจาวันนั้นก็คือ สปริ งกดในปากกา จริ ง ๆ แล้วสปริ งรู ปแบบ
กดมีรูปแบบปลายของสปริ ง
ให้เลือกใช้งานถึง 4 รู ปแบบดังนี้
รู ปที่ 2.13 สปริ งขดแบบดึง รู ปแบบตะขอ รู ปที่ 2.14 สปริ งขดแบบดึง รู ปแบบห่วง
มุมของตะขอและห่วงที่สามารถเลือกใช้งานได้
12
รู ปที่ 2.16 สปริ งขดแบบบิดที่มีจาหน่ายตามท้องตลาด ได้แก่ มุม 90° 135° และ 180°
2.3 ระบบไฮดรอลิค
ระบบไฮดรอลิค (Hydraulic) เป็ นระบบที่มีการส่ งถ่ายพลังงานของของไหลที่เป็ นตัวขับเคลื่ อน
ในการทางานในรู ป ของอัตราการไหลและความดันเปลี่ ย นเป็ นพลังงานกล โดยผ่า นตัวกระท า เช่ น
กระบอกสู บ มอเตอร์ ไ ฮดรอลิ ค ในอุ ต สาหกรรมและงานก่ อ สร้ า งต่ า งๆ นิ ย มใช้ น้ า มัน ไฮดรอลิ ค
(Hydraulic Oil) เป็ นตัวกลางในการส่ งถ่ายพลังงาน เพราะว่าน้ ามันไฮดรอลิคมีคุณสมบัติที่สาคัญ คือ ไม่
สามารถยุบตัวได้ทาให้การส่ งถ่ายพลังงานมีประสิ ทธิ ภาพ
ระบบไฮดรอลิค เบื้องต้น ประกอบไปด้วย 3 ส่ วน ดังนี้
แหล่งจ่ายพลังงานทาหน้าที่ส่งถ่ายพลังงานน้ ามันเข้าสู่ ระบบ โดยมีมอเตอร์ ไฟฟ้ า หรื อเครื่ องยนต์เป็ นตัว
ขับ (Drive) ปั๊ มไฮดรอลิ คให้หมุน เพื่อที่จะดู ดน้ ามันจากถังพักเข้ามาในตัวเสื้ อของปั๊ ม แล้วส่ งออกไปสู่
ระบบไฮดรอลิค ซึ่ งจะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ดังนี้
ปั๊ มไฮดรอลิค (Hydraulic pump)
มอเตอร์ไฟฟ้า หรื อ เครื่ องยนต์ขบั (Electric motor or driving engine)
ถังพักน้ ามัน (Oil Tank)
13
o วาล์วควบคุมลาดับการทางาน
o วาล์วลัดวงจร
อุปกรณ์ทางาน
ทาหน้าที่เปลี่ยนแปลงพลังงานจากพลังงานไฮดรอลิคเป็ นพลังงานกล เพื่อกระทาต่อภาวะโหลด ส่ วน
ใหญ่อุปกรณ์ทางานจะมีสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
กระบอกสู บ จะส่ งถ่ายพลังงานในแนวเชิงเส้น
มอเตอร์ ไฮดรอลิค จะส่ งถ่ายพลังงานในแนวรัศมี
จะเห็ นได้ว่าในปั จจุ บนั นี้ ระบบไฮดรอลิ คเป็ นระบบที่ ใช้งานกันอยู่อย่างกว้างขวาง และสิ่ งที่ ตอ้ งการ
นาไปใช้ ก็คือ งาน หรื อแรง ที่เกิดจากระบบไฮดรอลิค เช่น การเอาแรงจากกระบอกไฮดรอลิคไปกด อัด
หรื อตัดชิ้นงานและการขับ ดังนั้นหากท่านมีความรู ้พ้ืนฐานเกี่ยวกับส่ วนประกอบของระบบไฮดรอลิ คก็
ท าให้ส ามารถเข้า ใจการท างานของระบบไฮดรอลิ ค ได้ และใช้ง านจากระบบไฮดรอลิ ค ได้อ ย่า งมี
ประสิ ทธิภาพ
วาล์วไฮดรอลิค คืออะไร
เป็ นอุปกรณ์ ที่ใช้ควบคุ มทิศทางของน้ ามัน เพื่อนาไปควบคุ ม Actuator เช่ น กระบอกสู บ หรื อ
มอเตอร์ ไฮดรอลิ กให้หยุดหรื อเคลื่ อนที่ ไปในทิ ศทางที่ ตอ้ งการโดยวาล์วควบคุ มทิ ศทางสามารถแบ่ ง
ออกเป็ น 2 ลักษณะตามการควบคุม วาล์วควบคุมทิศทางชนิดใช้ไฟฟ้าควบคุม (Solenoid control valves),
วาล์วควบคุมทิศทางแบบทางกล (Manual operate valves)
โซลิ น อยด์ ว าล์ ว (Solenoid Valve) คื อ อุ ป กรณ์ ป ระเภทวาล์ ว ที่ ท างานด้ว ยไฟฟ้ า โดยมี ท้ ัง
หลากหลายรู ปแบบ เช่ น 2/2, 3/2, 4/2, 5/2 และ 5/3 โดยโซลินอยด์วาล์ว (Solenoid Valve) จะถูกใช้เพื่อ
การควบคุมการเปิ ด-ปิ ดของเหลวและก๊าซ ส่ วนวาล์วชนิ ด 3/2, 4/2, 5/2 และ 5/3 จะใช้กบั ระบบนิ วเมติก
และไฮดรอลิคเป็ นส่ วนใหญ่
วาล์วไฮดรอลิ กควบคุ มทิศทางแบบมือโยกใช้ควบคุ มทิศทางการไหลของน้ ามัน ให้ไหลไปใน
ทิศทางที่ตอ้ งการ โดยใช้การโยกมือโยกเพื่อเปลี่ ยนตาแหน่ งของก้านวาล์วเพื่อกาหนกทิศทางการไหล
ของน้ ามันไฮดรอลิ ก โดยวาล์วไฮดรอลิ กควบคุ มทิ ศทางแบบมื อโยกจะมี ท้ งั แบบล๊อคตาแหน่ ง (Ball
locking) และ แบบดันกลับด้วยสปริ ง (Spring return) โดนวาล์วลักษณะนี้ มกั จะพบในระบบที่เคลื่ อนที่
เช่น ในรถ หรื อเรื อ เนื่องจากมีโครงสร้างไม่ซบั ซ้อน และสะดวกในการควบคุมการทางาน
2.3.4 วาล์วควบคุมอัตราการไหล(Flow Control Valves)
วาล์วไฮดรอลิกควบคุมอัตราการไหล จะใช้ควบคุมความเร็ วของลูกสู บโดยการปรับเปลี่ยนขนานช่องทาง
ของวาล์วที่ให้น้ ามันไหลผ่านเพื่อควบคุมอัตราการไหลของน้ ามันไฮดรอลิกให้มีแรงดันที่เหมาะสมระบบ
วาล์วปรับอัตราการไหลทางเดียว (One way flow control valve) ดังรู ปที่ 2.20
16
2.4 สี
คาจากัดความของสี
1. แสงที่มีความถี่ของคลื่นในขนาดที่ตามนุษย์สามารถรับสัมผัสได้
2. แม่สีที่เป็ นวัตถุ (PIGMENTARY PRIMARY) ประกอบด้วย แดง เหลือง น้ าเงิน
3. สี ที่เกิดจากการผสมของแม่สี
18
คุณลักษณะของสี
สี แท้ (HUE) คือ สี ที่ยงั ไม่ถูกสี อื่นเข้าผสม เป็ นลักษณะของสี แท้ที่มีความสะอาดสดใส เช่น แดง
เหลือง น้ าเงิน สี อ่อนหรื อสี จาง (TINT) ใช้เรี ยกสี แท้ที่ถูกผสมด้วยสี ขาว เช่น สี เทา, สี ชมพู สี แก่
(SHADE) ใช้เรี ยกสี แท้ที่ถูกผสมด้วยสี ดา เช่น สี น้ าตาล
ประวัติความเป็ นมาของสี
มนุ ษย์เริ่ มมีการใช้สีต้ งั แต่สมัยก่ อนประวัติศาสตร์ มีท้ งั การเขียนสี ลงบนผนังถ้ า ผนังหิ น บน
พื้นผิวเครื่ องปั้ นดิ นเผา และที่อื่น ๆภาพเขี ยนสี บนผนังถ้ า(ROCK PAINTING) เริ่ ม ทาตั้งแต่สมัยก่อน
ประวัติศาสตร์ ในทวีปยุโรป โดยคนก่ อนสมัยประวัติศาสตร์ ในสมัยหิ นเก่ าตอนปลาย ภาพเขี ยนสี ที่มี
ชื่ อเสี ย งในยุคนี้ พ บที่ ประเทศฝรั่ งเศษและประเทศสเปนในประเทศ ไทย กรมศิ ล ปากรได้สารวจพบ
ภาพเขียนสี สมัยก่อนประวัติศาสตร์ บนผนังถ้ า และ เพิงหิ นในที่ต่าง ๆ จะมีอายุระหว่าง 1500-4000 ปี เป็ น
สมัยหิ นใหม่และยุคโลหะได้คน้ พบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2465 ครั้งแรกพบบนผนังถ้ าในอ่าวพังงา ต่อมาก็คน้ พบ
อีกซึ่ งมีอยูท่ วั่ ไป เช่น จังหวัดกาญจนบุรี อุทยั ธานี เป็ นต้นสี ที่เขียนบนผนังถ้ าส่ วนใหญ่เป็ นสี แดง นอกนั้น
จะมีสีส้ม สี เลือดหมู สี เหลือง สี น้ าตาล และสี ดาสี บนเครื่ องปั้ นดิ นเผา ได้คน้ พบการเขียนลายครั้งแรกที่
บ้านเชี ยงจังหวัดอุดรธานี เมื่อปี พ.ศ.2510 สี ที่เขียนเป็ นสี แดงเป็ นรู ปลายก้านขดจิตกรรมฝาผนังตามวัด
ต่าง ๆ สมัยสุ โขทัยและอยุธยามีหลักฐานว่า ใช้สีในการเขียนภาพหลายสี แต่ก็อยูใ่ นวงจากัดเพียง 4 สี คือ
สี ดา สี ขาว สี ดินแดง และสี เหลืองในสมัยโบราณนั้น ช่างเขียนจะเอาวัตถุ ต่าง ๆในธรรมชาติมาใช้เป็ นสี
สาหรับเขียนภาพ เช่น ดินหรื อหิ นขาวใช้ทาสี ขาว สี ดาก็เอามาจากเขม่าไฟ หรื อจากตัวหมึกจีน เป็ นชาติ
แรกที่พยายามค้นคว้าเรื่ องสี ธรรมชาติได้มากกว่าชาติอื่น ๆ คือ ใช้หินนามาบดเป็ นสี ต่าง ๆ สี เหลืองนามา
จากยางไม้ รงหรื อรงทอง สี ครามก็นามาจากต้นไม้ส่วนใหญ่แล้วการค้นคว้าเรื่ องสี ก็เพื่อที่จะนามาใช้ ย้อม
ผ้าต่าง ๆ ไม่นิยมเขียนภาพเพราะจีนมีคติในการเขียนภาพเพียงสี เดียว คือ สี ดาโดยใช้หมึกจีนเขียน
สี นา้ มัน (Oil paint) เป็ นสี ชนิดที่แห้งช้าที่ประกอบด้วยรงควัตถุที่ผสมกับน้ ามันระเหย (drying
oil) ที่มกั จะเป็ นน้ ามันเมล็ดฝ้าย ความข้นของสี ก็อาจจะปรับได้โดยการเติมสารละลายเช่น
น้ ามันสน หรื อ น้ ายาละลายสี (white spirit) และก็อาจจะมีการใส่ น้ ามันเคลือบ (varnish) เพื่อให้มีเงามาก
ขึ้นเมื่อสี แห้งการใช้สีน้ ามันใช้กนั มาตั้งแต่คริ สต์ศตวรรษที่ 13 ในอังกฤษสาหรับการตกแต่งอย่าง
ง่ายๆ แต่ก็มิได้มีการใช้อย่างแพร่ หลายในการเป็ นวัสดุที่ใช้ในการเขียนจิตรกรรมมาจนกระทัง่
คริ สต์ศตวรรษที่ 15 การใช้สีน้ ามันในสมัยใหม่มกั จะใช้ในการรักษาเนื้อไม้ในการทาสี บา้ นหรื อในการ
ทาสี สิ่งที่ตอ้ งทนกับสภาวะอากาศเช่นเรื อหรื อสะพาน เพราะคุณสมบัติที่ทนทานและเป็ นเงาทาให้เป็ นที่
นิยมใช้กนั ทั้งในการตกแต่งภายในและภายนอกทั้งที่ใช้บนไม้และบนโลหะเพราะเป็ นสี ที่แห้งช้าจึงได้มี
การใช้ในงานงานเขียนแอนิเมชันบนแก้ว (paint-on-glass animation) การแห้งช้าหรื อเร็ วก็ข้ ึนอยูก่ บั ความ
หนาของสี ที่ทา ดังรู ปที่ 2.32
19
ไฟฟ้ า ในขณะรอเปลี่ ยน ชิ้ นงานจากปั ญหาดังกล่ า วทางผูว้ ิจยั จึ งได้มี แนวคิ ดที่ จะทาการศึ กษาการใช้
พลังงานของเครื่ องอัดไฮ ดรอลิก เพื่อศึก ษาปั จจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการสู ญเสี ยพลังงานในเครื่ องอัดไฮดรอ
ลิกและเพื่อเป็ น แนวทางในการตัดสิ นใจเลือกใช้อินเวอร์ เตอร์ ควบคุมมอเตอร์ ไฟฟ้าขับปั๊ มไฮดรอลิก
นางสาววรดา สุ วรรณศิริ (2558 บทคัดย่อ) ปริ ญญานิ พนธ์ฉบับนี้ ทาการพัฒนาและปรับปรุ ง
เครื่ องอัดถ่านแห่งระบบไฮโดรลิกต้นแบบ ของชัยบดินทร์ พิตะวัฒนะกุล และพีรศักดิ์ หยกศิลา ที่ใช้ใน
การอัด ถานแห่ ง จ านวน 16 ก้อ นต่ อ ครั้ ง ถ่ า นแห่ ง ที่ ไ ด้เ ป็ นรู ป ทรงกระบอกกลวงที่ มี ข นาดเส้ นผ่า น
ศูนย์กลางภายนอก 6.5 เซนติเมตร เส้นผ่าน ศูนย์กลางภายใน 2.5 เซนติเมตรและยาว 6.5 เซนติเมตร มีค่า
ความหนาแน่ น ประมาณ 1.5 กรั ม ต่ อ ลู ก บาศก์ เ ซนติ เ มตร เนื่ อ งจากอุ ป กรณ์ เ ดิ ม มี ปั ญ หาในส่ ว น
กระบวนการอัดถ่านแท่งใช้เวลาในการอัดต่อ ครั้งนาน คือ ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 13.5 นาที โดยไม่รวม
เวลาการอัดแช่ 5 นาทีต่อหนึ่งครั้ง ดังนั้น ทางผูจ้ ดั ทาโครงงานจึงได้พฒั นาเครื่ องอัดถ่านแห่ งระบบไฮโดร
ลิก โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อช่วยลด ระยะเวลาในการอัด อุปกรณ์มีการใช้งานง่ายและสะดวกรวดเร็ ว ทาให้
ได้ถ่านอัดแห่งที่มีขนาดเท่ากัน ทั้งหมด
ธี รพล บุญถีง (2554 บทคัดย่อ) เป็ นอุปกรณ์ยกและเคลื่อนย้ายพาเลท ที่ใช้ระบบไฮดรอลิ กส์ ใน
การควบคุ มการยกโดยไม่ตอ้ งใช้แรงคนโยกในการ Operator สามารถยกน้ าหนักได้ประมาณ 1000 kg.
เหมาะกับการยก และลากของเข้าพื้นที่แคบและรถเข้าไม่ถึง ช่วยให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น ทาให้การ
ทางานมีความรวดเร็ ว ฉับไว เป็ นอีกเครื่ องมือหนึ่ งที่คลังสิ นค้าและสถานที่เก็บสิ นค้าไว้จานวนมากต้องมี
เครื่ องยกไฟฟ้ า (Hand lift) มาใช้เพื่ออานวยความสะดวก นอกจากจะใช้เครื่ องยกไฟฟ้ า (Hand lift) ใน
คลังสิ นค้าแล้ว เครื่ องยก ไฟฟ้ า (Hand lift) ยังสามารถใช้ได้กบั การทางานที่จาเป็ นต้องมีการยกขนหรื อ
เคลื่ อนย้ายวัสดุ ที่มีน้ าหนักมากอีก ด้วย แต่ เครื่ องยกไฟฟ้ า (Hand lift) ยังใช้แรงงานคนในการโยก เมื่อ
ลองเปรี ยบเทียบเวลาดูแล้ว ยัง พบว่ามีการสู ญเสี ยเวลาในการทางานค่อนข้างมาก