Professional Documents
Culture Documents
Full มาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
Full มาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
ISBN 978-616-7754-62-8
พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2564
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
โดย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
พิมพ์ที่ :
บริษัท ไฮสปีด เลเซอร์ปริ้นต์ จากัด (สานักงานใหญ่)
เลขที่ 2101/27 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
โทร. 0 2579 6718
คณะทำงำนเพื่อพิจำรณำมำตรฐำนกำรปฏิบัติงำนบนทำงพิเศษ (ข้อมูล ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2563)
สารบัญ
เรื่อง หน้า
บทที่ 1 หลักการและเหตุผล 10
1.1 ความเป็นมา 10
1.2 วัตถุประสงค์ 10
1.3 ขอบเขตของงาน 10
1.4 คาจากัดความ 11
1.5 หลักการของพื้นที่ควบคุมการจราจรชั่วคราว 14
บทที่ 2 การจัดการพื้นที่ควบคุมการจราจร งานก่อสร้าง และบารุงรักษา 16
2.1 หน้าที่และลักษณะการปฏิบัติงาน 16
2.2 ประเภทการปฏิบัติงานบนทางพิเศษสาหรับงานก่อสร้าง และบารุงรักษา 17
2.2.1 การปฏิบัติงานบนทางพิเศษที่ใช้ระยะเวลาในการทางานนาน 17
2.2.2 การปฏิบัติงานบนทางพิเศษที่ใช้ระยะเวลาในการทางานน้อย หรือกรณีฉุกเฉิน เร่งด่วน 36
2.2.3 การปฏิบัติงานบนทางพิเศษ กรณีเคลื่อนที่ปฏิบัติงานต่อเนื่อง 49
2.2.4 การปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ 53
2.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในการขึ้นปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 60
2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 62
2.5 เอกสารอ้างอิง 63
บทที่ 3 การจัดการพื้นที่ควบคุมการจราจร งานกู้ภัย 65
3.1 หน้าที่และลักษณะการปฏิบัติงาน 65
3.2 ประเภทการปฏิบัติงานบนทางพิเศษสาหรับการกู้ภัย 65
3.2.1 การปฏิบัติงานที่ใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง 65
3.2.2 การปฏิบัติงานที่ใช้เวลาตั้งแต่ 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง 82
3.2.3 การปฏิบัตงิ านที่ใช้เวลาน้อยกว่า 30 นาที 95
3.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 103
3.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องในการขึ้นปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 104
3.5 เอกสารอ้างอิง 112
บทที่ 4 การจัดการพื้นที่ควบคุมการจราจร งานจัดการจราจร 113
4.1 หน้าที่และลักษณะการปฏิบัติงาน 113
4.2 ขั้นตอนการปฏิบัติงาน 113
4.3 รูปแบบการจัดการจราจร 117
4.4 อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 120
4.5 เอกสารอ้างอิง 121
มาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
สารบัญ (ต่อ)
เรื่อง หน้า
สารบัญรูปภาพ
เรื่อง หน้า
บทที่ 1
รูปที่ 1 - 1 แสดงพื้นที่ควบคุมการจราจรชั่วคราว 13
บทที่ 2
รูปที่ 2 - 1 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน กรณีหน่วยงานภายใน ฝกท. หรือ ฝบร. เป็นผู้ปฏิบัติงาน
กรณีใช้ระยะเวลาในการทางานนาน 18
รูปที่ 2 - 2 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน กรณีบริษัทฯ ผู้รับจ้าง เป็นผู้ปฏิบัติงาน 19
รูปที่ 2 - 3 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณไหล่ทาง กรณีมีรถคุ้มกัน และกรณีไม่มีรถคุ้มกัน 22
รูปที่ 2 - 4 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณช่องทางซ้าย กรณีมีรถคุ้มกัน และกรณีไม่มีรถคุ้มกัน 23
รูปที่ 2 - 5 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณช่องทางซ้าย กรณีพื้นที่ปฏิบัติงานอยู่บริเวณทางโค้ง 24
รูปที่ 2 - 6 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณช่องทางขวา กรณีมีรถคุ้มกัน และกรณีไม่มีรถคุ้มกัน 25
รูปที่ 2 - 7 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณช่องทางขวา กรณีพื้นที่ปฏิบัติงานอยู่บริเวณทางโค้ง 26
รูปที่ 2 - 8 แสดงการปฏิบัติงานปิดช่องจราจร 2 ช่อง กรณีมีรถคุ้มกัน และกรณีไม่มีรถคุ้มกัน 27
รูปที่ 2 - 9 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นทางพิเศษ 28
รูปที่ 2 - 10 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงทางพิเศษ 29
รูปที่ 2 - 11 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางแยก 30
รูปที่ 2 - 12 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางแยก 31
รูปที่ 2 - 13 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน 32
รูปที่ 2 - 14 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน 33
รูปที่ 2 - 15 แสดงการเข้าพื้นที่ปฏิบัติงาน 34
รูปที่ 2 - 16 แสดงการออกจากพื้นที่ปฏิบัติงาน 35
รูปที่ 2 - 17 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน กรณีใช้ระยะเวลาปฏิบัติงานน้อยหรือ
กรณีฉุกเฉิน เร่งด่วน 36
รูปที่ 2 - 18 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน กรณีเกิดอุบัติเหตุขณะปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 37
รูปที่ 2 - 19 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณไหล่ทาง กรณีมีรถคุ้มกัน และกรณีไม่มีรถคุ้มกัน 39
รูปที่ 2 - 20 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณช่องจราจรซ้ายกรณีมีรถคุ้มกันและกรณีไม่มีรถคุ้มกัน 40
รูปที่ 2 - 21 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณช่องทางซ้าย กรณีพื้นที่ปฏิบัติงานอยู่บริเวณทางโค้ง 41
รูปที่ 2 - 22 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณช่องจราจรขวากรณีมีรถคุ้มกันและกรณีไม่มีรถคุ้มกัน42
รูปที่ 2 - 23 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณช่องทางขวา กรณีอยู่บริเวณทางโค้ง 43
รูปที่ 2 - 24 แสดงการปฏิบัติงานปิดช่องจราจร 2 ช่องกรณีไม่มีรถคุ้มกันและกรณีมีรถคุ้มกัน 44
รูปที่ 2 - 25 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางแยก 45
รูปที่ 2 - 26 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางแยก 46
รูปที่ 2 - 27 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน 47
รูปที่ 2 - 28 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน 48
มาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
สารบัญรูปภาพ (ต่อ)
เรื่อง หน้า
บทที่ 2
รูปที่ 2 - 29 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงาน กรณีเคลื่อนที่ปฏิบัติงานต่อเนื่อง 49
รูปที่ 2 - 30 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณไหล่ทาง 51
รูปที่ 2 - 31 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณช่องจราจรซ้าย หรือช่องจราจรขวา 52
รูปที่ 2 - 32 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ 53
รูปที่ 2 - 33 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ 55
รูปที่ 2 - 34 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ 56
รูปที่ 2 - 35 แสดงตัวอย่างการปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
กรณีพื้นที่ปฏิบัติงานอยู่นอกหลังคาด่านฯ หรืออยู่ใต้หลังคาเพียงบางส่วน 57
รูปที่ 2 - 36 แสดงตัวอย่างการปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
กรณีพื้นที่ปฏิบัติงานอยู่ใต้หลังคาด่านเก็บค่าผ่านทาง 58
รูปที่ 2 - 37 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณหลังอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ 59
รูปที่ 2 - 38 แสดงเอกสารอ้างอิง 64
บทที่ 3
รูปที่ 3 - 1 แสดงขั้นตอนการรับแจ้ง และเข้าถึงจุดเกิดเหตุกรณีเวลาปฏิบัติงานมากกว่า 2 ชั่วโมง 68
รูปที่ 3 - 2 แสดงขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือ กรณีใช้เวลาปฏิบัติงานมากกว่า 2 ชั่วโมง 69
รูปที่ 3 - 3 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณไหล่ทาง กรณีเกิดอุบัติเหตุ 72
รูปที่ 3 - 4 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรปิด 1 ช่องจราจร กรณีเกิดอุบัติเหตุ 73
รูปที่ 3 - 5 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณช่องทางซ้าย
กรณีพื้นที่ปฏิบัติงานอยู่บริเวณทางโค้ง 74
รูปที่ 3 - 6 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรปิด 1 ช่องจราจร กรณีเกิดอุบัติเหตุ 75
รูปที่ 3 - 7 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณช่องทางขวา กรณีพื้นที่ปฏิบัติงาน
อยู่บริเวณทางโค้ง 76
รูปที่ 3 - 8 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรปิด 2 ช่องจราจร กรณีเกิดอุบัติเหตุ 77
รูปที่ 3 - 9 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรปิดทางพิเศษ กรณีเกิดอุบัติเหตุ 78
รูปที่ 3 - 10 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน 79
รูปที่ 3 - 11 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน 80
รูปที่ 3 - 12 แสดงการเข้าพื้นที่เกิดเหตุ 81
รูปที่ 3 - 13 แสดงตัวอย่างอุบัติเหตุที่ใช้เวลาในการปฏิบัติงานตั้งแต่ 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง 82
รูปที่ 3 - 14 แสดงขั้นตอนการรับแจ้งและเข้าจุดเกิดเหตุ กรณีปฏิบัติงานตั้งแต่
30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง 83
รูปที่ 3 - 15 แสดงขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือ กรณีใช้เวลาปฏิบัติงานตั้งแต่
30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง 84
มาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
สารบัญรูปภาพ (ต่อ)
เรื่อง หน้า
บทที่ 3
รูปที่ 3 - 16 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณไหล่ทาง กรณีเกิดอุบัติเหตุ 87
รูปที่ 3 - 17 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณช่องจราจรซ้าย 88
รูปที่ 3 - 18 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณช่องจราจรซ้าย กรณีพื้นที่ปฏิบัติงาน
อยู่บริเวณทางโค้ง 89
รูปที่ 3 - 19 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณช่องจราจรขวา กรณีเกิดอุบัติเหตุ 90
รูปที่ 3 - 20 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณช่องจราจรขวา กรณีพื้นที่ปฏิบัติงาน
อยู่บริเวณทางโค้ง 91
รูปที่ 3 - 21 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรปิด 2 ช่องจราจร กรณีเกิดอุบัติเหตุ 92
รูปที่ 3 - 22 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน 93
รูปที่ 3 - 23 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน 94
รูปที่ 3 - 24 แสดงตัวอย่างอุบัติเหตุที่ใช้เวลาในการปฏิบัติงานน้อยกว่า 30 นาที 95
รูปที่ 3 - 25 แสดงขั้นตอนการรับแจ้ง และเข้าถึงจุดเกิดเหตุ กรณีเวลาปฏิบัติงาน
น้อยกว่า 30 นาที 96
รูปที่ 3 - 26 แสดงขั้นตอนการให้ความช่วยเหลือ กรณีใช้เวลาปฏิบัติงานน้อยกว่า 30 นาที 97
รูปที่ 3 - 27 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณไหล่ทาง กรณีเกิดอุบัติเหตุ 100
รูปที่ 3 - 28 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณช่องจราจรซ้าย และช่องจราจรขวา 101
รูปที่ 3 - 29 แสดงการเข้าพื้นที่เกิดเหตุ 102
รูปที่ 3 - 30 แสดงเอกสารอ้างอิง 112
บทที่ 4
รูปที่ 4 - 1 แสดงขั้นตอนการรับแจ้งและการเข้าถึงจุดเกิดเหตุ งานจัดการจราจร 114
รูปที่ 4 - 2 แสดงขั้นตอนการจัดการจราจร กรณีมีภารกิจพิเศษ 116
รูปที่ 4 - 3 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงานกรณีตรวจพบรถขัดข้องบนทางพิเศษ 118
รูปที่ 4 - 4 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงานกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ 119
รูปที่ 4 - 5 แสดงเอกสารอ้างอิง 121
บทที่ 5
รูปที่ 5 - 1 แสดงตัวอย่างเสื้อสะท้อนแสง Class 1 122
รูปที่ 5 - 2 แสดงตัวอย่างเสื้อสะท้อนแสง Class 2 และเสื้อสะท้อนแสง Class 3 123
รูปที่ 5 - 3 แสดงตัวอย่างเสื้อสะท้อนแสง Class 2 และเสื้อสะท้อนแสง Class 3 124
รูปที่ 5 - 4 แสดงเสื้อสะท้อนแสงที่หมดสภาพการใช้งาน และฉลากกากับประเภท
ของเสื้อสะท้อนแสง 125
รูปที่ 5 - 5 แสดงกรวยจราจร 126
รูปที่ 5 - 6 แสดงประเภทของแถบสะท้อนแสง 127
มาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
สารบัญรูปภาพ (ต่อ)
เรื่อง หน้า
บทที่ 5
รูปที่ 5 - 7 แสดงตัวอย่างวิธีการทดสอบการสะท้อนแสง 128
รูปที่ 5 - 8 แสดงการวัดค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงด้วยเครื่องมือวัด 128
รูปที่ 5 - 9 แสดงหมวกนิรภัยชนิดปีกหน้า (Short Front Brim) และเต็มใบ (Full Brim) 129
รูปที่ 5 - 10 แสดงข้อความกากับในหมวกนิรภัย 130
รูปที่ 5 - 11 แสดงหมวกนิรภัยชนิดสายเลื่อน 130
รูปที่ 5 - 12 แสดงหมวกนิรภัยชนิดแกนหมุน 130
รูปที่ 5 - 13 แสดงสัญญาณไฟวับวาบ 131
รูปที่ 5 - 14 แสดงลักษณะป้ายสัญญาณไฟลูกศร 133
รูปที่ 5 - 15 แสดงรถคุ้มกัน 134
รูปที่ 5 - 16 แสดงตัวอย่างอุปกรณ์ลดความรุนแรงชนิดติดตั้งบนพื้นที่ปฏิบัติการ 139
รูปที่ 5 - 17 แสดงตัวอย่างอุปกรณ์ลดความรุนแรงชนิดติดตั้งกับยานพาหนะ 140
รูปที่ 5 - 18 ระยะทางที่สาคัญในการคานวณขนาดตัวอักษรบนป้ายเตือน 141
รูปที่ 5 – 19 แสดงอุปกรณ์กันตก 144
รูปที่ 5 - 20 แสดงชุดอุปกรณ์แบบ Full Body Harness 145
รูปที่ 5 - 21 แสดงตัวอย่างหน้ากากอนามัยชนิดใยสังเคราะห์ 146
รูปที่ 5 - 22 แสดงตัวอย่างหน้ากากอนามัยชนิดผ้าฝ้าย 147
รูปที่ 5 - 23 แสดงตัวอย่างหน้ากากกรองไอระเหยและแก๊สชนิดปิดครึ่งใบหน้าและเต็มใบหน้า 147
รูปที่ 5 - 24 แสดงขั้นตอนการสวมใส่หน้ากากอนามัย 148
รูปที่ 5 - 25 แสดงขั้นตอนการตรวจสอบหน้ากากอนามัย 148
รูปที่ 5 - 26 แสดงสัญลักษณ์ของมาตรฐานหน้ากากอนามัยที่ได้รับการยอมรับระดับสากล 148
รูปที่ 5 - 27 แสดงตัวอย่างถุงมือผ้า 150
รูปที่ 5 - 28 แสดงตัวอย่างถุงมือยาง 151
รูปที่ 5 - 29 แสดงตัวอย่างถุงมือหนัง 151
รูปที่ 5 - 30 แสดงตัวอย่างถุงมือเสริมโลหะ 151
รูปที่ 5 - 31 แสดงระดับความยาวของถุงมือกับระดับการป้องกันมือและแขน 152
รูปที่ 5 - 32 แสดงการเลือกขนาดถุงมือให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน 152
รูปที่ 5 - 33 แสดงสัญลักษณ์และประเภทของถุงมือชนิดป้องกันสารเคมี 153
รูปที่ 5 - 34 แสดงตัวอย่างถุงมือชนิดป้องกันสารเคมี 154
รูปที่ 5 - 35 แสดงสัญลักษณ์ความเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ติดอยู่บนถุงมือ 155
รูปที่ 5 - 36 แสดงสัญลักษณ์บนผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน EN388 156
รูปที่ 5 - 37 แสดงตัวอย่างสัญลักษณ์บนผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน EN388 157
รูปที่ 5 - 38 แสดงส่วนประกอบของรองเท้านิรภัย 158
รูปที่ 5 - 39 แสดงชนิดของรองเท้านิรภัย 160
มาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
สารบัญตาราง
เรื่อง หน้า
บทที่ 1
ตารางที่ 1 - 1 แสดงระยะวางป้ายเตือนก่อนเข้าพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร 14
ตารางที่ 1 - 2 แสดงระยะเบี่ยงต่อความเร็วและความกว้างช่องจราจรที่ปิด 14
ตารางที่ 1 - 3 แสดงระยะกันชนต่อความเร็ว 15
บทที่ 2
ตารางที่ 2 - 1 แสดงจานวนลูกจ้างที่ทางาน และระดับของเจ้าหน้าที่ จป. ที่เป็นผู้ควบคุมงาน 17
ตารางที่ 2 - 2 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงในรูปแบบจัดการจราจร 21
ตารางที่ 2 - 3 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงในรูปแบบจัดการจราจร 38
ตารางที่ 2 - 4 ความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงในรูปแบบจัดการจราจร 50
ตารางที่ 2 - 5 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร 54
ตารางที่ 2 - 6 แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 60
บทที่ 3
ตารางที่ 3 - 1 แสดงอุปกรณ์ประจารถกู้ภัย 66
ตารางที่ 3 - 2 แสดงกรณีการเกิดอุบัติเหตุที่ใช้ระยะเวลาการกู้ภัยมากกว่า 2 ชั่วโมง 70
ตารางที่ 3 - 3 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร 71
ตารางที่ 3 - 4 แสดงกรณีอุบัติเหตุที่ใช้ระยะเวลาการกู้ภัยตั้งแต่ 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง 85
ตารางที่ 3 - 5 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร 86
ตารางที่ 3 - 6 แสดงกรณีอุบัติเหตุที่ใช้ระยะเวลาการกู้ภัยน้อยกว่า 30 นาที 98
ตารางที่ 3 - 7 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร 99
ตารางที่ 3 - 8 แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 103
บทที่ 4
ตารางที่ 4 - 1 เครื่องมือและอุปกรณ์ประจารถปฏิบัติการ 113
ตารางที่ 4 - 2 กรณีการปฏิบัติงานของพนักงานจัดการจราจร 115
ตารางที่ 4 - 3 กรณีการปฏิบัติงานของพนักงานจัดการจราจร 115
ตารางที่ 4 - 4 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร 117
ตารางที่ 4 - 5 แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 120
บทที่ 5
ตารางที่ 5 - 1 แสดงประเภทของชุดสะท้อนแสงและประเภทงาน 124
ตารางที่ 5 - 2 แสดงสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงของแผ่นสะท้อนแสงแบบที่ 6 127
ตารางที่ 5 - 3 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างชนิดสายทาง และป้ายสัญญาณไฟลูกศร 132
ตารางที่ 5 - 4 แสดงระยะกันชนแนะนาสาหรับอุปกรณ์ติดตั้งบนพื้นที่และติดตั้งยานพาหนะ 135
ตารางที่ 5 - 5 มาตรฐานการทดสอบการชนของ NCHRP 350 และ EN 1317 136
มาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
สารบัญตาราง (ต่อ)
เรื่อง หน้า
บทที่ 5
ตารางที่ 5 - 6 ลักษณะของป้ายเตือนในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ 142
ตารางที่ 5 - 7 แสดงข้อแนะนาในการเลือกใช้ถุงมือกับประเภทงานต่าง ๆ 150
ตารางที่ 5 - 8 แสดงความหมายของตัวอักษรที่แสดงถึงความทนทานต่อสารเคมีชนิดนั้น ๆ
ของถุงมือ 154
ตารางที่ 5 - 9 แสดง Class ของถุงมือชนิดฉนวนไฟฟ้า 155
ตารางที่ 5 - 10 แสดงเกณฑ์คุณภาพของถุงมือชนิดป้องกันการบาด เฉือน และเจาะทะลุ 156
ตารางที่ 5 - 11 แสดงชนิดของรองเท้านิรภัยกับลักษณะการใช้งาน 159
Executive Summary
บทสรุปสำหรับผู้บริหำร
ตำรำงสรุประยะปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับพื้นที่กำรจัดกำรจรำจร
ข้อมูล ระยะปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับพื้นที่กำรจัดกำรจรำจร
พื้นที่แจ้งเตือน พื้นที่เบี่ยง พื้นที่ พื้นที่สิ้นสุดกำร
ล่วงหน้ำ กำรจรำจร ปฏิบัติงำน ปฏิบัติงำน
ช่องจรำจรที่ ควำมเร็ว
ระยะแจ้งเตือน ระยะเบี่ยง ระยะกันชน, ระยะสิ้นสุด
ปฏิบัติงำน (กม./ชม.)
ล่วงหน้ำ (เมตร) กำรจรำจร มีรถคุ้มกัน กำรปฏิบติงำน
ป้ำยที่1 ป้ำยที่2 (เมตร) (เมตร) (เมตร)
ปิดไหล่ทาง 120 500 300 75 90-100 15
ปิดไหล่ทางจนถึง 120 500 300 225 90-100 15
ช่องจราจรซ้าย
ปิดไหล่ทางจนถึง 120 500 300 450 90-100 30
ช่องจราจรกลาง
ปิดไหล่ทางจนถึง 120 500 300 675 90-100 50
ช่องจราจรขวา
นอกจากนี้ เพื่อให้ สามารถทาความเข้าใจได้ง่าย มีความชัดเจนในการนาไปปฏิบัติ จึงได้มีการกาหนด
มาตรฐานของอุ ป กรณ์ โดยอ้ า งอิ ง จากมาตรฐานภายในประเทศและระดั บ สากล เช่ น มาตรฐาน
ผลิ ตภั ณ ฑ์ อุ ตสาห กรรม (มอก.), American National Standards Institute (ANSI) และ European
Standards (EN) เป็นต้น และระบุคุณสมบัติที่สาคัญของอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการจราจรและอุปกรณ์ป้องกัน
อันตรายส่วนบุ คล เช่น กรวยจราจร, รถคุ้มกัน, ป้ายสั ญญาณไฟลู กศร, เสื้ อสะท้อนแสง, หมวกนิรภัย และ
รองเท้านิรภัย เป็นต้น ให้เหมาะสมตามลักษณะการปฏิบัติงานบนทางพิเศษที่มีความหนาแน่นของการจราจร
และความเร็วจากัดของสายทางสูงกว่าทางปกติทั่วไป และเพื่อให้สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีสมรรถนะ สามารถ
คุ้มครองผู้ปฏิบัติงานให้มีความปลอดภัยในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
รูปอุปกรณ์คุ้มครองอันตรำยส่วนบุคคล
มาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
บทที่ 1
หลักการและเหตุผล
1.1 ความเป็นมา
การทางพิเศษแห่ งประเทศไทย (กทพ.) เป็นรัฐ วิส าหกิจสั งกั ดกระทรวงคมนาคม จัดตั้งขึ้นโดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อสร้างหรือจัดให้มีทางพิเศษด้วยวิธีใด ๆ บารุงและรักษาทางพิเศษ ตลอดจนดาเนินงาน
ธุรกิจเกี่ยวกับทางพิเศษ และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับทางพิเศษหรือที่ เป็นประโยชน์แก่การทางพิเศษแห่ ง
ประเทศไทย ด้ว ยภารกิจ วิสั ย ทัศน์ และความรับผิ ดชอบที่มีต่อสั งคมและสิ่ งแวดล้ อม กทพ. มุ่งมั่นให้
พนักงาน ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องที่ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ สามารถปฏิบัติงานและอานวยการได้อย่างเป็น
ระบบด้วยความปลอดภัย รวมไปถึงผู้ใช้ทางพิเศษสามารถใช้บริการทางพิเศษได้อย่างสะดวก รวดเร็วและมี
ความปลอดภัยในการเดินทาง
จากภารกิจ ของ กทพ. ที่กล่ าวมา กทพ. มีความจาเป็นต้องปฏิบัติงานบนทางพิเศษเพื่อก่ อสร้ า ง
ซ่อมบารุง อานวยความสะดวกด้านการจราจร และการกู้ภัย จึงจาเป็นต้องมีมาตรฐานการปฏิบัติงานที่
ชัดเจนเพื่อเป็นการกาหนดแนวทาง วิธีการและขั้นตอนปฏิบัติที่ถูกต้องและปลอดภัยแก่ผู้ปฏิบัติงานและ
ผู้ใช้ทางพิเศษ
1.2 วัตถุประสงค์
1) เพื่อให้ มีมาตรฐานการปฏิบั ติงานบนทางพิเศษที่ครบถ้วน และครอบคลุ มการปฏิบัติงานของทุก
หน่วยงาน
2) เพื่อใช้พัฒนา ปรับปรุงแนวทางการดาเนินงาน และสามารถถ่ายทอดให้กับผู้ปฏิบัติงานใหม่ได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ
3) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
1.3 ขอบเขตของงาน
1) ศึกษาทบทวนมาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษของหน่วยงานในสังกัด กทพ.
2) ศึกษาทบทวนมาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ จากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ทั้งภายในประเทศ
และต่างประเทศ
3) จัดทารายงานมาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
1.4 คาจากัดความ
1) การปฏิบัติงานบนทางพิเศษ หมายถึง การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของ กทพ. หรือของบริษัทฯ
ผู้รับจ้าง ที่ปฏิบัติงานตรวจสอบ ก่อสร้าง บารุงรักษา โครงสร้างหรือส่วนประกอบของทางพิเศษ และ
งานระบบต่าง ๆ รวมไปถึงการจัดการจราจรบนทางพิเศษที่เปิดใช้บริการแล้ว
2) ศูนย์ควบคุมทางพิเศษ หมายถึง ศูนย์ประสานงานในการติดต่อสื่อสารด้านการจราจร และการ
รับแจ้งเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ รวมทั้งการให้ข้อมูล ข่าวสารด้านการจราจร และเหตุฉุกเฉินให้กับพนักงานที่
ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ เจ้าหน้าที่ตารวจทางด่วน ผู้ใช้ทางพิเศษ สถานีวิทยุกระจายเสียง และประสานงาน
กับหน่วยงานภายนอกเพื่อขอความช่วยเหลือการกู้ภัยบนทางพิเศษ ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางพิเศษ (ที่มา : คู่มือปฏิบัติงานพนักงานสื่อสาร สอ.1 - 01, ม.ป.ป.)
3) หน่วยงานภายนอก หมายถึง หน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานเอกชนที่ให้การสนับสนุน และ
ช่วยเหลือด้านการกู้ภัย ในกรณีที่มีอุบัติเหตุขนาดใหญ่ หรืออุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นบนทางพิเศษ เช่น
ศูนย์ปลอดภัยคมนาคม ศูนย์น เรนทร มูลนิธิ กองบังคับการตารวจดับเพลิง กรมควบคุมมลพิษ เป็นต้น
(ที่มา : คู่มือปฏิบัติงานพนักงานสื่อสาร สอ.1 - 01, ม.ป.ป.)
4) เจ้าหน้าที่ตารวจทางด่วน หมายถึง เจ้าหน้าที่ตารวจที่ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ อยู่ในสังกัดกอง
กากับการ 2 กองกาบังคับการตารวจจราจร และให้รวมถึงเจ้าหน้าตารวจประจาท้องที่ทที่ างพิเศษพาดผ่าน
5) คู่กรณี หมายถึง ผู้ใช้ทางที่เกิดอุบัติเหตุบนทางพิเศษ (ที่มา : คู่มือปฏิบัติงานพนักงานสื่อสาร สอ.
1 - 01, ม.ป.ป.)
6) ผู้ใช้ทางพิเศษ หมายถึง ผู้ใช้บริการบนทางพิเศษ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนทางพิเศษด้วย
7) รถขัดข้อง/รถเสีย หมายถึง รถของผู้ใช้ทางที่เกิดเหตุขัดข้องบนทางพิเศษ เช่น รถน้ามันหมด
รถยางแตก รถขัดข้องเนื่องจากระบบไฟฟ้า ระบบเครื่องยนต์ เป็นต้น (ที่มา : คู่มือปฏิบัติงานพนักงานกู้ภัย
และพนักงานขับเครื่องจักร กภ/1, 2554)
8) ผู้ควบคุมงาน หมายถึง ผู้ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการอานวยการ หรือควบคุมดูแลงานก่อสร้าง
หรืองานบารุงรักษา หรือควบคุมให้มีการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ก่อสร้าง ที่ได้รับอนุญาตให้
เป็นไปตามแบบแปลน และรายการประกอบแบบแปลน ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่พึงกระทาตามวิชาชีพ
เช่น หัวหน้างาน เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทางาน (จป.) เป็นต้น (กฎกระทรวง กาหนดหน้าที่และ
ความรับผิดชอบของผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงาน ผู้ดาเนินการ ผู้ครอบครองอาคาร และเจ้าของอาคาร พ.ศ.
2561, ออกตามความในมาตรา 5 (3) แห่ง พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.
ควบคุมอาคาร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2543)
รูปที่ 1 - 1 แสดงพื้นที่ควบคุมการจราจรชั่วคราว
ที่มา : Manual on uniform traffic control device, USA (2009)
1.5 หลักการของพื้นที่ควบคุมการจราจรชั่วคราว
1) พื้นที่แจ้งเตือนล่วงหน้า (Advance Warning Area) คือ พื้นที่ติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนาต่าง ๆ
เพื่อเตรียมเบี่ยงการจราจร
ตารางที่ 1 - 1 แสดงระยะวางป้ายเตือนก่อนเข้าพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร (ที่มา : MUTCD, 2009)
ระยะห่างระหว่างป้าย, เมตร
ประเภทสายทาง
A B C
ทางในเขตเมือง มีความเร็วประมาณ 60 กม./ชม. 100 100 100
ทางนอกเขตเมือง มีความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. 150 150 150
ทางพิเศษ มีความเร็วประมาณ 100 – 120 กม./ชม. 300 450 800
ระยะวางป้ายเตือน จะขึ้นอยู่กับความเร็ว จากัดของสายทาง สาหรับทางพิเศษที่เป็นสายทางที่
มี ค วามเร็ ว ในการจราจรสู ง ค่ า แนะน าในการวางป้า ยเตื อ นจะแสดงดั ง ตารางที่ 1 - 1 แต่ ห ากมี ก าร
ปฏิบัติงานที่ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 1 วันสามารถลดป้ายเตือนเหลือเพียง 2 ป้าย (ระยะ A และ B) สาหรับ
ทางพิเ ศษที่มีการติ ด ตั้ งป้า ยปรั บเปลี่ยนข้อความได้ (VMS) และป้า ยสัญญาณจราจรปรั บได้ (MS)
ติดตั้งอยู่เป็นระยะ สามารถใช้แทนการติดตั้งป้ายแจ้งเตือนล่วงหน้าได้
2) พื้นที่เบี่ยงช่องจราจร (Transition Area) คือ พื้นที่เบี่ยงทิศทางการจราจรให้ออกจากบริเวณพื้นที่
ปฏิบัติงาน
ตารางที่ 1 - 2 แสดงระยะเบี่ยงต่อความเร็วและความกว้างช่องจราจรที่ปิด (ที่มา : MUTCD, 2009)
ความเร็วจากัด หรือที่ความเร็ว 85th เปอร์เซ็นไทล์,
สมการหาระยะเบี่ยง (L), เมตร
กิโลเมตร/ชั่วโมง
ต่ากว่า 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง L = WS2/155----------(1)
มากกว่า 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง L = WS/1.6----------(2)
ระยะเบี่ยง (L) ,เมตร (ขั้นต่า)
ความเร็วจากัด (S) ,
ความกว้างช่องจราจรที่ปิด (W) ,เมตร
กิโลเมตร/ชั่วโมง
1.5 2.0 3.0 3.5 6.0 7.0
90* 85 115 170 200 340 400
100* 95 125 190 220 375 440
110* 105 140 205 240 415 480
120* 115 150 225 265 450 525
หมายเหตุ * การคานวณใช้สมการที่ 2
จากตารางที่ 1 - 2 แสดงระยะเบี่ยง ที่จะต้องพิจารณาจากความเร็วจากัดและความกว้างของ
ช่องจราจรที่ต้องการปิด เช่น ที่ความเร็วจากัดเท่ากับ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และขนาดช่องจราจรที่ปิด
กว้าง 3.0 เมตร จะต้องกาหนดระยะเบี่ยง (L) ขั้นต่าเท่ากับ 225 เมตร เป็นอย่างน้อย
บทที่ 2
การจัดการพื้นที่ควบคุมการจราจร งานก่อสร้าง และบารุงรักษา
2.1 หน้าที่และลักษณะการปฏิบัติงาน
1) ฝ่ ายก่อสร้ างทางพิเ ศษ (ฝกท.) มีภ ารกิจบริห ารงานวิ ศวกรรมทางด่ว น ในด้านการออกแบบ
รายละเอีย ด และควบคุม งานก่ อสร้ า งทางพิเ ศษ รวมทั้ งอาคาร และงานระบบ วางแผน ประเมิ น ผล
แก้ปัญหาในการปฏิบัติงาน และอื่น ๆ โดยฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษมีหน่วยงานที่รับผิดชอบดังนี้
• กองวิศวกรรมทางพิเศษ 1 (กวว.1) มีหน้าที่ ดาเนินงานด้านการออกแบบรายละเอียด และ
ควบคุมงานก่อสร้าง ทั้งด้านเทคนิคและสัญญา ตลอดจนประสานงานสาธารณูปโภค และงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน
และจัดทาทางเข้า – ทางออกในระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน
• กองวิศวกรรมทางพิเศษ 2 (กวว.2) มีหน้าที่เดียวกับกองวิศวกรรมทางพิเศษ 1
• กองออกแบบและก่อสร้าง (กอก.) มีหน้าที่ดาเนินการเกี่ยวกับงานออกแบบ และควบคุมการ
ก่อสร้าง ทั้งทางด้านวิ ศวกรรม และสถาปัตยกรรมอาคารต่าง ๆ และงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมตาม
อาคารต่าง ๆ รวมทั้งในเขตทางพิเศษทั้งหมด
• กองบริหารงานกลาง (กบก.) มีหน้าที่บริหารงานโครงการด้านเอกสาร และการประสานงาน
กับ หน่ ว ยงานภายใน และภายนอกที่เกี่ยวข้องกับงานออกแบบ ควบคุมงานก่อสร้าง และงานรื้ อย้ า ย
สาธารณูปโภค รวมทั้งการประสานงานแก้ไขความเดือดร้อนอันเนื่องมาจากการก่อสร้าง ปฏิบัติหน้าที่
เลขานุ ก ารโครงการอาวุ โ ส ประสานงานเรื่ อ งการจั ด ท างบประมาณ แผนบริ ห ารความเสี่ ย ง งาน
ประชาสัมพันธ์โครงการ และมาตรการควบคุมภายในของฝ่ายก่อสร้างทางพิเศษ
2) ฝ่ายบารุงรักษา (ฝบร.) มีภารกิจในการบริหารงาน ควบคุมการตรวจสอบ บารุงรักษาโครงสร้าง
หรือส่วนประกอบของทางพิเศษ โดยฝ่ายบารุงรักษามีหน่วยงานที่รับผิดชอบดังนี้
• กองบารุงรักษาทาง (กบท.) มีหน้าที่ดาเนินการวางแผน ตรวจสอบ บารุงรักษา และซ่อมแซม
ทางพิเศษ สะพาน และไหล่ทาง
• กองบารุงรักษาอาคาร และความสะอาด (กบอ.) มีหน้าที่ดาเนินการดูแลบารุงรักษา และ
ซ่อมแซมอาคารสถานที่ เรื่องความสะอาด การรักษาความปลอดภัย บารุงรักษาต้นไม้ และสนามหญ้าใน
เขตทางพิเศษ บริเวณอาคารต่าง ๆ และไหล่ทาง
• กองไฟฟ้า เครื่องกล และยานพาหนะ (กฟย.) มีหน้าที่ดาเนินงานบารุงรักษาระบบไฟฟ้าในทาง
พิเศษ ในอาคารและด่านเก็บค่าผ่านทาง เครื่องกล และยานพาหนะ
• กองบารุงรักษาอุปกรณ์ (กบร.) มีหน้าที่ดาเนินการวางแผน ตรวจสอบ และซ่อมบารุงอุปกรณ์
อิเล็กทรอนิกส์ในระบบทางพิเศษทั้งหมด ได้แก่ อุปกรณ์เก็บค่าผ่านทาง และอุปกรณ์ควบคุมการจราจร
ทิศทางการจราจร รถคุ้มกัน
ผู้ให้สัญญาณธง
• การปฏิบัติงานบริเวณไหล่ทาง
• การปฏิบัติงานบริเวณช่องทางซ้าย หรือช่องจราจรขวา
• การปฏิบัติงานกรณีปิด 2 ช่องจราจร
• การปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นทางพิเศษ
รูปที่ 2 - 9 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นทางพิเศษ
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นทางพิเศษ จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดง
การเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามลาดับ หรือเปิดใช้ป้าย
MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงไหล่ทาง 70 - 75 เมตร ระยะเบี่ยงช่องจราจร
205 - 225 เมตร บริเวณทางขึ้นที่เชื่อมต่อต้องมีป้ายเตือนการก่อสร้าง ป้ายเตือนป้ายคาสั่ง และป้ายคาสั่ง
ให้ ทางห่ างกัน 150 เมตร ตามล าดับ และมีระยะป้ายเตือ นสิ้ นสุดการก่อสร้างที่ 100 เมตร หลั งพื้นที่
ปฏิบัติงาน ดังรูปที่ 2 - 9
• การปฏิบัติงานบริเวณทางลงทางพิเศษ
รูปที่ 2 - 10 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงทางพิเศษ
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางลงทางพิเศษ จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง และป้าย
แสดงการเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามลาดับ หรือเปิดใช้
ป้าย MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงไหล่ทาง 70 - 75 เมตร ระยะเบี่ยงช่อง
จราจร 205 - 225 เมตร มี ช่องทางออกกว้ างอย่ างน้ อย 30 เมตร พร้อมป้ายเตือ นทางออก มีระยะ
เบี่ยงคืนการจราจร 15 เมตร และมีระยะป้ายเตือนสิ้นสุดการก่อสร้างที่ 100 เมตร หลังพื้นที่ปฏิบัติงาน ดัง
รูปที่ 2 - 10
• การปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางแยก
รูปที่ 2 - 11 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางแยกทางพิเศษ
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางแยกทางพิเศษ จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้าย
แสดงการเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามลาดับ หรือเปิดใช้ป้าย
MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงไหล่ทาง 70 - 75 เมตร ระยะเบี่ยงช่องจราจร
205 - 225 เมตร และมีพื้นที่กันชน 90 - 100 เมตร ให้รถคุ้มกันปิดท้าย ระยะกันชนระหว่างรถคุ้มกันถึง
รถปฏิบัติงาน 55 - 60 เมตร และมีระยะป้ายเตือนสิ้นสุดการก่อสร้างที่ 100 เมตร หลังพื้นที่ปฏิบัติงาน
ดังรูปที่ 2 - 11
รูปที่ 2 - 12 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางพิเศษ
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางพิเศษ จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้าย
แสดงการเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามลาดับ หรือเปิดใช้ป้าย
MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงไหล่ทาง 70 - 75 เมตร ระยะเบี่ยงช่องจราจร
205 - 225 เมตร และมีพื้นที่กันชน 90 - 100 เมตร ให้รถคุ้มกันปิดท้าย ระยะกันชนระหว่างรถคุ้มกันถึง
รถปฏิบัติงาน 55 - 60 เมตร และมีระยะป้ายเตือนสิ้นสุดการก่อสร้างที่ 100 เมตร หลังพื้นที่ ปฏิบัติงาน
ดังรูปที่ 2 – 12
• การปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้น – ทางลงสะพาน
รูปที่ 2 - 13 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดง
การเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามลาดับ หรือเปิดใช้ป้าย
MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงช่องจราจร 205 - 225 เมตร ก่อนเนินทางขึ้น
สะพานมีพื้นที่กันชนอย่างน้อย 90 - 100 เมตร และให้รถคุ้มกันจอดอยู่บริเวณก่อนเนินทางขึ้นสะพาน และ
มีระยะป้ายเตือนสิ้นสุดการก่อสร้างที่ 100 เมตร หลังพื้นที่ปฏิบัติงาน ดังรูปที่ 2 – 13
รูปที่ 2- 14 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดงการ
เบี่ ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้น ที่ เบี่ ย งช่ องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามล าดับ หรือเปิดใช้ ป้ า ย
MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงช่องจราจร 205 - 225 เมตรก่อนเนินทางลง
สะพาน มีพื้นที่กันชนอย่างน้อย 90 - 100 เมตร และให้รถคุ้มกันจอดอยู่บริเวณก่อนเนินทางลงสะพาน และ
มีระยะป้ายเตือนสิ้นสุดการก่อสร้างที่ 100 เมตร หลังพื้นที่ปฏิบัติงาน ดังรูปที่ 2 – 14
3) การเข้าพื้นที่ปฏิบัติงาน และการออกจากพื้นที่ปฏิบัติงาน
ขั้นตอนการเข้า และออกจากพื้นที่ปฏิบัติงานในทุ กรูปแบบจะต้องมีขั้นตอนดังแสดงดัง
รูปที่ 2 - 15 และ รูปที่ 2 - 16
2) รูปแบบการจัดการจราจร
การจัดการจราจรมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตาแหน่งของพื้นที่ที่ต้องปฏิบัติงาน โดยสามารถแบ่ง
ตาแหน่งการปฏิบัติงานออกเป็น 5 ตาแหน่ง คือ 1) บริเวณไหล่ทาง 2) บริเวณช่องจราจรซ้าย หรือช่องจราจร
ขวา 3) กรณีปิด 2 ช่องจราจร 4) บริเวณทางร่วมทางแยก และ 5) บริเวณทางขึ้น – ทางลงสะพาน
โดยในแต่ล ะรู ป แบบมีการจัดพื้นที่ควบคุมการจราจรแบ่งออกเป็น 3 ส่ ว น คือ 1) พื้นที่
แจ้งเตือนล่วงหน้า 2) พื้นที่เบี่ยงช่องจราจร และ 3) พื้นที่ปฏิบัติงาน โดยจะใช้สัญลักษณ์ในตารางที่ 2 - 3
อธิบายตาแหน่งต่าง ๆ ของรูปแบบการจัดการจราจรในรูปที่ 2 - 19 ถึงรูปที่ 2 - 28
ตารางที่ 2 - 3 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงในรูปแบบจัดการจราจร
สัญลักษณ์ อุปกรณ์ สัญลักษณ์ อุปกรณ์
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร รถคุ้มกัน
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร
ป้ายเตือน
(มุมมองด้านบน)
อุปกรณ์ลดความรุนแรง
ป้าย VMS/MS
ติดยานพาหนะ
กรวยจราจร ไฟวับวาบ
อุปกรณ์ลดความรุนแรง
พื้นที่ปฏิบัติงาน
ติดตั้งพื้นที่ทางาน
ทิศทางการเบี่ยงการจราจร รถปฏิบัติงาน
ทิศทางการจราจร รถคุ้มกัน
ผู้ให้สัญญาณธง
• การปฏิบัติงานบริเวณไหล่ทาง
• การปฏิบัติงานบริเวณช่องจราจรซ้าย หรือช่องจราจรขวา
• การปฏิบัติงานกรณีปิด 2 ช่องจราจร
• การปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางแยก
รูปที่ 2 - 25 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางแยกทางพิเศษ
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางแยกทางพิเศษ จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดง
การเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามลาดับ หรือเปิดใช้ป้าย
MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงไหล่ทาง 70 - 75 เมตร ระยะเบี่ยงช่องจราจร
205 - 225 เมตร และมีพื้นที่กันชน 90 - 100 เมตร มีระยะกันชนระหว่างรถคุ้มกันถึงรถปฏิบัติงาน 55 - 60
เมตร ดังรูปที่ 2 - 25
รูปที่ 2 - 26 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางพิเศษ
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางร่วมทางพิเศษ จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดง
การเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามลาดับ หรือเปิดใช้ป้าย
MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงไหล่ทาง 70 - 75 เมตร ระยะเบี่ยงช่องจราจร
205 - 225 เมตร และมีพื้นที่กันชน 90 - 100 เมตร มีระยะกันชนระหว่างรถคุ้มกันถึงรถปฏิบัติงาน 55 - 60
เมตร ดังรูปที่ 2 – 26
• การปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้น – ทางลงสะพาน
รูปที่ 2 - 27 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดง
การเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามลาดับ หรือเปิดใช้ป้าย
MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงช่องจราจร 205 - 225 เมตรก่อนเนินทางขึ้น
สะพาน มีพื้นที่กันชนอย่างน้อย 90 - 100 เมตร และให้รถคุ้มกันจอดอยู่บริเวณก่อนเนินทางขึ้นสะพาน
ดังรูปที่ 2 – 27
รูปที่ 2 - 28 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดงการ
เบี่ ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้น ที่ เบี่ ย งช่ องจราจร ที่ระยะ 300 และ 500 เมตร ตามล าดับ หรือเปิดใช้ ป้ า ย
MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงช่องจราจร 205 - 225 เมตรก่อนเนินทางลง
สะพาน มีพื้นที่กันชนอย่างน้อย 90 - 100 เมตร และให้รถคุ้มกันจอดอยู่บริเวณก่อนเนินทางลงสะพาน
ดังรูปที่ 2 – 28
ทิศทางการจราจร รถคุ้มกัน
ผู้ให้สัญญาณธง
• การปฏิบัติงานบริเวณไหล่ทาง
รูปที่ 2 - 30 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณไหล่ทาง
ในการปฏิบัติงานบริเวณไหล่ทาง ให้เปิดใช้ป้าย MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือน
ผู้ใช้ทางก่อนถึงจุดปฏิบัติงาน รถปฏิบัติงานจะต้องเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน และจะต้องมีรถคุ้มกันด้านหลังรถ
ปฏิบัติงานเสมอ เบี่ยงทิศทางจราจรด้วยป้ายไฟสัญญาณลู กศรที่ติดตั้งไว้ท้ายรถคุ้มกัน มีระยะระหว่าง
รถคุ้มกันกับรถปฏิบัติงานประมาณ 70 - 75 เมตร และห้ามผู้ขับขี่รถคุ้มกันลงจากรถโดยเด็ดขาด ดังรูปที่
2 – 30
แต่ในกรณีที่รถปฎิบัติงานมีน้าหนักมากกว่า 4.5 ตัน ไม่ต้องใช้รถคุ้มกันปิดท้าย แต่ต้อง
วางกรวยจราจร ไฟวับวาบเบี่ยงทิศทางจราจรเป็นระยะประมาณ 70 - 75 เมตร หลังรถปฏิบัติงาน
และให้รถปฏิบัติงานเปิดไฟสัญญาณกระพริบ และป้ายสัญญาณไฟลูกศรร่วมด้วย
• การปฏิบัติงานบริเวณช่องจราจรซ้าย หรือช่องจราจรขวา
2.2.4 การปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
การปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ หมายถึง การก่อสร้าง หรือซ่อมบารุงบริเวณ
อาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
1) ขั้นตอนการปฏิบัติงาน แสดงดังรูปที่ 2 - 32
รูปที่ 2 - 32 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
• งานซ่อมตู้จ่ายไฟฟ้าภายในอาคารและตู้เก็บค่าผ่านทาง งานซ่อมม่านอากาศ งานซ่อม
เครื่องปรับอากาศ และงานซ่อมไฟ Canopy ต้องมีผู้ปฏิบัติงาน 2 - 3 คน และก่อนขึ้นปฏิบัติงานทุกครั้ง
ผู้ปฏิบัติงานต้องวางแผนเตรียมเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล และอุปกรณ์
จัดการจราจรแสดงดังตาราง 2 - 6 ให้เหมาะสมกับลักษณะงานที่ปฏิบัติ ตรวจสอบรถยนต์และสัญญาณไฟ
กระพริบฉุกเฉิน ให้พร้อมในการทางาน และผู้ปฏิบัติงานต้องมีร่างกายสมบูรณ์พร้อมในการปฏิบัติงาน
• ตัดกระแสวงจรไฟฟ้าบริเวณที่จะซ่อมทุกครั้งเพื่อป้องกันไฟดูด และตรวจสอบด้วยไขควง
วัดไฟฟ้าก่อนดาเนินการทุกครั้ง ผู้ปฏิบัติงานจะต้องสวมใส่อุปกรณ์ให้เหมาะกับชนิดของงาน
• หลั งจากการปฏิบั ติงาน ผู้ ปฏิบัติงานจะต้องจัดเก็บเครื่องมือ เครื่องใช้ และทาความ
สะอาดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment, PPE) ทุกครั้ง
2) รูปแบบการจัดการจราจร
การจัดการจราจรมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตาแหน่งของพื้นที่ที่ต้องปฏิบัติงาน โดยสามารถ
แบ่งตาแหน่งการปฏิบัติงานออกเป็น 3 ตาแหน่ง คือ 1) บริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ 2) บริเวณ
ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ และ 3) บริเวณหลังด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
โดยในแต่ละรูปแบบมีการจัดพื้นที่ควบคุมการจราจรแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ 1) พื้นที่แจ้ง
เตือนล่วงหน้า 2) พื้นที่เบี่ยงช่ องจราจร 3) พื้นที่ปฏิบัติงาน และ 4) พื้นที่สิ้นสุดการปฏิบัติงาน โดยจะใช้
สัญลักษณ์ในตารางที่ 2 - 5 ในการอธิบายตาแหน่งต่าง ๆ ของรูปแบบการจัดการจราจรในรูปที่ 2 – 33 ถึง
รูปที่ 2 - 37
ตารางที่ 2 - 5 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร
สัญลักษณ์ อุปกรณ์ สัญลักษณ์ อุปกรณ์
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร รถคุ้มกัน
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร
ป้ายเตือน
(มุมมองด้านบน)
อุปกรณ์ลดความรุนแรง
ป้าย VMS/MS
ติดยานพาหนะ
กรวยจราจร ไฟวับวาบ
อุปกรณ์ลดความรุนแรง
พื้นที่ปฏิบัติงาน
ติดตั้งพื้นที่ทางาน
ทิศทางการเบี่ยงการจราจร รถปฏิบัติงาน
ทิศทางการจราจร รถคุ้มกัน
Overhead Traffic Light,
ผู้ให้สัญญาณธง
OTL
• กรณีปฏิบัติงานบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
รูปที่ 2 - 33 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
การปฏิบัติงานบริเวณหน้าอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ หมายถึง พื้นที่ปฏิบัติงานอยู่นอก
พื้นที่ใต้หลังคาด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ห่างจากตัวด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษไม่เกิน 100 เมตร ติดตั้ง
ป้ายเตือนล่วงหน้าเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทางทราบที่ระยะ 300 และ 500 เมตร หรือเปิดใช้ป้าย MS/VMS แจ้งเตือน
ก่อนถึงบริ เวณด่านเก็บค่ าผ่ านทางพิเศษ วางกรวยจราจรเบี่ยงช่ องจราจร 70 เมตร มีรถคุ้มกันปิ ด ท้ า ย
เปิดสัญญาณไฟกระพริบ และป้ายสัญญาณไฟลูกศรเพื่อเบี่ยงทิศทางจราจร มีระยะห่างระหว่างรถคุ้มกันจนถึง
พื้นที่ปฏิบัติงาน 40 เมตร และมีระยะเบี่ยงสิ้นสุดการปฏิบัติงาน 15 เมตร ดังแสดงในรูปที่ 2 - 33
• กรณีปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
รูปที่ 2 - 34 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
การปฏิบัติงานบริเวณอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ หมายถึง พื้นที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่
ใต้หลังคาด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ติดตั้งป้ายเตือนล่วงหน้าเพื่อแจ้งให้ผู้ใช้ทางทราบที่ระยะ 300 และ
500 เมตร หรือเปิดใช้ป้าย MS/VMS แจ้งเตือนก่อนถึงบริเวณด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ และปิดไม้กั้นช่อง
เก็บค่าผ่านทางพิเศษที่ต้องซ่อมบารุงตามวัน เวลาในกาหนดการ ดังแสดงในรูปที่ 2 - 34
กรณีพื้นที่ปฏิบัติงานอยู่ใต้หลังคาเพียงบางส่วน ตัวอย่างดังรูปที่ 2 – 35 ให้วางกรวยเบี่ยง
ช่องจราจร 20 - 25 เมตร มีรถคุ้มกันปิดท้าย เปิดสัญญาณไฟกระพริบ และป้ายสัญญาณไฟลูกศรเพื่อ
เบี่ยงทิศทางจราจร และมีระยะเบี่ยงสิ้นสุดการปฏิบัติงาน 15 เมตร
กรณีพื้นที่ปฏิบัติงานอยู่ใต้หลังคาด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ตัวอย่างดังรูปที่ 2 – 36 ให้วาง
กรวยเบี่ยงช่องจราจร 20 - 25 เมตร และวางป้ายสัญญาณไฟลูกศรเพื่อเบี่ยงทิศทางจราจร และมีระยะเบี่ยง
สิ้นสุดการปฏิบัติงาน 15 เมตร
• กรณีปฏิบัติงานบริเวณหลังอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
รูปที่ 2 - 37 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณหลังอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ
การปฏิบัติงานบริเวณหลังอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ หมายถึง พื้นที่ปฏิบัติงานอยู่
นอกพื้นที่ใต้หลังคาอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ห่างจากตัวอาคารด่าน ฯ ไม่เกิน 100 เมตร ทาการ
ปิดไม้กั้นช่องเก็บค่าผ่านทางพิเศษตามวันและเวลาในกาหนดการ มีรถคุ้มกันปิดท้าย เปิดสัญญาณไฟกระพริบ
และป้ายสัญญาณไฟลูกศรเพื่อเบี่ยงทิศทางจราจร มีระยะห่างระหว่างรถคุ้มกันจนถึงพื้นที่ปฏิบัติงาน 40 เมตร
วางกรวยเบี่ยงช่องจราจร 70 เมตร
ตัวอย่างกรณีซ่อมโคมไฟห่างจากอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางระยะประมาณ 15 เมตร ใช้รถ
เครนที่กินพื้นที่ช่องจราจรมากกว่า 1 ช่องจราจร ให้ใช้กรวยจราจรวางจนพ้นแนวหลังคาอาคารด่านเก็บค่า
ผ่านทางพิเศษ มีระยะเบี่ยงการจราจรประมาณ 20 – 25 เมตร และวางแนวกรวยจนพ้นระยะที่ปฏิบัติงาน
เพื่อป้องกันอันตรายจากการปฏิบัติงานไม่ให้กระทบผู้ใช้ทาง ดังแสดงในรูปที่ 2 - 37
2.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในการขึ้นปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
อุปกรณ์ที่ใช้ สาหรับกรณีก่อสร้าง หรือบารุง รักษาทางพิเศษแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อุปกรณ์
คุ้มครองอันตรายส่วนบุคคล และอุปกรณ์จัดการจราจร ดังแสดงในตารางที่ 2 – 6 โดยมีรายละเอียด
อุปกรณ์แสดงในบทที่ 5
ตารางที่ 2 - 6 แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
หมาย
ลาดับ ภาพ อุปกรณ์ การใช้งาน
เหตุ
เครื่องแบบ สวมใส่ขณะปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
1 ตามที่ กทพ. ให้ ถู ก ต้ อ งตามระเบี ย บ กระชั บ
กาหนด คล่องตัว
สวมใส่เพื่อเพิ่มความสามารถในการ
เ สื้ อ ส ะ ท้ อ น
2 ถูกมองเห็น เพื่อความปลอดภัยของ
แสง
พนักงานที่ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
สวมใส่ เ พื่ อ ป้ อ งกั น อั น ตรายตาม
ลั ก ษณะงานต่ า ง ๆ เช่ น ประเภท
ป้ อ งกั น อั น ตรายจากกระแสไฟฟ้ า
3 รองเท้านิรภัย ประเภทหัวเหล็กป้องกันการกระแทก
เท้ า หรื อ การเหยี ย บของมี ค ม และ
อุปกรณ์คุ้มครองอันตราย
ประเภทป้องกันอันตรายจากสารเคมี
เป็นต้น
ส่วนบุคคล
สวมใส่เพื่อป้องกันอันตรายจากสาร
หน้ากาก
4 ระเหย ฝุ่นละออง หรือมลพิษ เข้าสู่
อนามัย
ระบบทางเดินหายใจ
สวมใส่เพื่อป้องกันอันตรายจากการ
สัมผัสอุปกรณ์ตามลักษณะงานต่าง ๆ
5 ถุงมือนิรภัย
เช่ น อุ ป กรณ์ ที่ มี ค วามแหลมคม มี
ความร้อน หรือนาไฟฟ้า เป็นต้น
สวมใส่เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดกับ
ศีรษะจากการตกหล่ น ของอุ ป กรณ์
6 หมวกนิรภัย
ห รื อ ก ร ะ แ ท ก กั บ สิ่ ง ข อ ง ต่ า ง ๆ
ระหว่างปฏิบัติงาน
หมาย
ลาดับ ภาพ อุปกรณ์ การใช้งาน
เหตุ
ป้ ายเตื อน ป้ าย
เปลี่ ยนข้ อความ
ใ ช้ เ พื่ อ เ ตื อ น ผู้ ใ ช้ ท า ง พิ เ ศ ษ ใ ห้
ไ ด้ อั ต โ น มั ติ
ระมัดระวังพื้นที่ปฏิบัติงาน หรือใช้
8 (VMS) และป้ าย
เพื่ อ บอกทิ ศ ทางการจั ด การจราจร
สั ญญาณจราจร
ข้างหน้า
ปรั บเปลี่ ยนได้
(MS)
ใช้ แ สดงจุ ด ที่ ก าลั ง ปฏิ บั ติ ง านหรื อ
บารุงรักษาทางพิเศษ เพื่อให้ผู้ใช้ทาง
9 ไฟวับวาบ
พิเศษทราบและระมัดระวังในการขับ
ขี่
อุปกรณ์จัดการจราจร
ใช้วางแนวปิดกั้น หรือแบ่งช่องทาง
10 กรวยจราจร การจราจร เพื่ อ ให้ ผู้ ใ ช้ ท างพิ เ ศษ
ทราบและระมัดระวังในการขับขี่
ใช้ บ รรทุ ก อุ ป กรณ์ และโดยสาร
เจ้าหน้าที่ เข้าพื้นที่ปฏิบัติงานตาม
11 รถคุ้มกัน
ภารกิจงาน หรือใช้ในการคุ้มกันพื้นที่
ปฏิบัติงาน
อุปกรณ์ลด ใช้เพื่อลดความรุนแรงที่เกิดจากการ
12
ความรุนแรง ชนท้ายรถคุ้มกัน
2.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
1) เอกสารแบบฟอร์มที่ FM – 446 – 06 – 01
2) บันทึกแจ้งกองสื่อสาร
3) ใบสั่งการใช้รถ
2.5 เอกสารอ้างอิง
1) คู่มือการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ ฝ่ายบารุงรักษา การทางพิเศษแห่งประเทศไทย
2) ISO 14001 เอกสารสิ่งแวดล้อมเลขที่ PR – 446 - 06 ขั้นตอนการปฏิบัติงาน การวางกรวยยาง
ป้าย สัญญาณไฟวับวาบในการทางานบนทางพิเศษ
3) Manual on Uniform Traffic Control Devices for Streets and Highways 2009 Edition.
4) Toll Plaza Traffic Control Standard, FDOT (State of Florida Department of
Transportation) Design Standard, 2013
5) Roadway Traffic Control and Communications Manuals, The Illinois State Toll
Highway Authority, 2018
รูปที่ 2 - 38 แสดงเอกสารอ้างอิง
บทที่ 3
การจัดการพื้นที่ควบคุมการจราจร งานกู้ภัย
3.1 หน้าที่และลักษณะการปฏิบัติงาน
กองกู้ภัย มีภารกิจในด้านการจัดบริการด้านการกู้ภัยบนทางพิเศษ ให้ความช่วยเหลือผู้ใช้ทาง บริการ
ลากหรือยกรถเสีย รถเกิดอุบัติเหตุลงจากทางพิเศษ งานด้านการสื่อสารจราจร และแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
บนทางพิ เ ศษได้ อ ย่ า งรวดเร็ ว และถู ก ต้ อ ง (ที่ ม า : คู่ มื อ การปฏิ บั ติ ง านพนั ก งานกู้ ภั ย และพนั ก งานขั บ
เครื่องจักร เอกสารเลขที่ กภ/๑, 2554)
1 โซ่ลากรถ สาหรับลากจูงรถขัดข้อง/เสีย
4 ถังดับเพลิง สาหรับการดับเพลิงเมื่อเกิดเพลิงไหม้
อุปกรณ์หลัก
5 ถังลม สาหรับการเติมลมยางรถยนต์ที่รั่ว
หมาย
ลาดับ ภาพ อุปกรณ์ การใช้งาน
เหตุ
9 น้ามันเบนซิน สาหรับเติมรถยนต์ที่น้ามันหมด
10 น้ามันดีเซล สาหรับเติมรถยนต์ที่น้ามันหมด
อุปกรณ์เสริม
ใช้ ว างแนวปิ ด กั้ น หรื อ แบ่ ง ช่ อ งทาง
11 กรวยจราจร การจราจร เพื่ อ ให้ ผู้ ใ ช้ ท างพิ เ ศษ
ทราบและระมัดระวังในการขับขี่
12 แกลลอนใส่น้า สาหรับเติมน้าหม้อน้ารถยนต์
1.2) การรับแจ้งและการเข้าถึงจุดเกิดเหตุแสดงดังรูปที่ 3 - 1
แสดงถึงขั้นตอนการรับแจ้ง และการเข้าถึงจุดเกิดเหตุกรณีสภาพการจราจรปกติ
1.3) การให้ความช่วยเหลืออุบัติเหตุบนทางพิเศษแสดงดังรูปที่ 3 - 2
2) รูปแบบการจัดการจราจร
การจัดการจราจรมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตาแหน่งของพื้นที่ที่ต้องปฏิบัติงาน โดยสามารถ
แบ่งตาแหน่งการปฏิบัติงานออกเป็น 5 ตาแหน่ง คือ 1) บริเวณไหล่ทาง 2) บริเวณช่องจราจรซ้าย หรือ
ช่องจราจรขวา 3) กรณีปิด 2 ช่องจราจร 4) กรณีปิดทางพิเศษ และ 5) บริเวณทางขึ้น – ทางลงสะพาน
โดยในแต่ละรูปแบบมีการจัดพื้นที่ควบคุมการจราจรแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ 1) พื้นที่แจ้ง
เตือนล่วงหน้า 2) พื้นที่เบี่ยงช่ องจราจร 3) พื้นที่ปฏิบัติงาน และ 4) พื้นที่สิ้นสุดการปฏิบัติงาน โดยจะใช้
สัญลักษณ์ในตารางที่ 3 - 3 ในการอธิบายตาแหน่งต่าง ๆ ของรูปแบบการจัดการจราจรในรูปที่ 3 - 3 ถึง
รูปที่ 3 - 11
ตารางที่ 3 - 3 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร
สัญลักษณ์ อุปกรณ์ สัญลักษณ์ อุปกรณ์
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร ป้ายเตือน
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร อุปกรณ์ลดความรุนแรง
(มุมมองด้านบน) ติดยานพาหนะ
ป้าย VMS/MS ไฟวับวาบ
กรวยจราจร พื้นที่ปฏิบัติงาน
อุปกรณ์ลดความรุนแรง
รถปฏิบัติงานจัดการจราจร
ติดตั้งพื้นที่ทางาน
ทิศทางการเบี่ยงการจราจร รถกู้ภัย
ทิศทางการจราจร พนักงานจัดการจราจร
ผู้ให้สัญญาณธง
• บริเวณไหล่ทาง
• บริเวณช่องจราจรซ้าย หรือช่องจราจรขวา
• กรณีปิด 2 ช่องจราจร
• ปิดทางพิเศษ
• การปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้น – ทางลงสะพาน
รูปที่ 3 - 10 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดง
การเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 เมตร หรือเปิดใช้ป้าย MS/VMS จานวน 2 – 3
ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงช่องจราจร 205 - 225 เมตรก่อนเนินทางขึ้นสะพาน มีพื้นที่กันชนอย่าง
น้ อย 220 - 250 เมตร และให้ รถจั ดการจราจรจอดอยู่ บริ เวณก่ อนเนิ นทางขึ้ นสะพาน เปิ ดสั ญญาณ
ไฟกระพริ บฉุ กเฉิ น เปิ ดไฟและสั ญญาณไซเรน และให้ พนั กงานจั ดการจราจรให้ สั ญญาณเพื่ อเบี่ ยง
การจราจรแก่ผู้ใช้ทาง และมีระยะเบี่ยงคืนการจราจร 15 เมตร ดังรูปที่ 3 - 10
รูปที่ 3 - 11 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดงการ
เบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 เมตร หรือเปิดใช้ป้าย MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย
แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงช่องจราจร 205 - 225 เมตรก่อนเนินทางลงสะพาน มีพื้นที่กันชนอย่างน้อย
220 - 250 เมตร และให้รถจัดการจราจรจอดอยู่บริเวณก่อนเนินทางลงสะพาน เปิดสัญญาณไฟกระพริบ
ฉุกเฉิน เปิดไฟและสัญญาณไซเรน และให้พนักงานจัดการจราจรให้สัญญาณเพื่อเบี่ ยงการจราจรแก่
ผู้ใช้ทาง และมีระยะเบี่ยงคืนการจราจร 15 เมตร ดังรูปที่ 3 - 11
3) การเข้าพื้นที่เกิดเหตุ
ขั้นตอนการเข้าพื้นที่ปฏิบัติงานที่ใช้เวลามากกว่า 2 ชั่วโมงจะมีขั้นตอนดังรูปที่ 3 - 12
รูปที่ 3 - 12 แสดงการเข้าพื้นที่เกิดเหตุ
1.2) การรับแจ้งและการเข้าถึงจุดเกิดเหตุแสดงดังรูปที่ 3 - 14
แสดงถึงขั้นตอนการรับแจ้ง และการเข้าถึงจุดเกิดเหตุกรณีสภาพการจราจรปกติ
1.3) การให้ความช่วยเหลืออุบัติเหตุบนทางพิเศษแสดงดังรูปที่ 3 - 15
แสดงถึงขั้นตอนการให้ความช่วยเหลืออุบัติเหตุบนทางพิเศษ กรณีปกติ
ตารางที่ 3 - 5 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร
สัญลักษณ์ อุปกรณ์ สัญลักษณ์ อุปกรณ์
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร ป้ายเตือน
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร
ไฟวับวาบ
(มุมมองด้านบน)
ป้าย VMS/MS พื้นที่ปฏิบัติงาน
กรวยจราจร รถปฏิบัติงานจัดการจราจร
อุปกรณ์ลดความรุนแรง
รถกู้ภัย
ติดตั้งพื้นที่ทางาน
ทิศทางการเบี่ยงการจราจร พนักงานจัดการจราจร
ทิศทางการจราจร
ผู้ให้สัญญาณธง
• บริเวณไหล่ทาง
• บริเวณช่องจราจรซ้าย หรือช่องจราจรขวา
รูปที่ 3 - 17 แสดงรูปแบบการจัดการจราจรบริเวณช่องจราจรซ้าย
ในการปฏิบัติงานบริเวณช่องจราจรซ้ายจะต้องมีการวางป้ายเตือนอุบัติเหตุ ที่ระยะ 300
เมตรก่อนพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร หรือเปิดใช้ป้าย MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีพนักงาน
จัดการจราจรยืนจัดการจราจรอยู่บริเวณช่วงเบี่ยงช่องจราจร มีระยะเบี่ยงไหล่ทาง 70 – 75 เมตร และ
มีระยะเบี่ยงช่องจราจร 205 - 225 เมตร มีระยะกันชน 220 - 250 เมตร พนักงานจัดการจราจรจอดรถ
ปิดท้าย เปิดสัญญาณไฟกระพริบ เปิดไฟและสัญญาณไซเรน และให้พนักงานจัดการจราจรให้สัญญาณเพื่อ
เบี่ยงการจราจรแก่ผู้ใช้ทาง ดังรูปที่ 3 - 17
• กรณีปิด 2 ช่องจราจร
• การปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้น – ทางลงสะพาน
รูปที่ 3 - 22 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางขึ้นสะพาน จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดง
การเบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 เมตร หรือเปิดใช้ป้าย MS/VMS จานวน 2 – 3
ป้าย แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงช่องจราจร 205 - 225 เมตรก่อนเนินทางขึ้นสะพาน มีพื้นที่กันชนอย่าง
น้ อย 220 - 250 เมตร และให้ รถจั ดการจราจรจอดอยู่ บริ เวณก่ อนเนิ นทางขึ้ นสะพาน เปิ ดสั ญญาณ
ไฟกระพริ บฉุ กเฉิ น เปิ ดไฟและสั ญญาณไซเรน และให้ พนั กงานจั ดการจราจรให้ สั ญญาณเพื่ อเบี่ ยง
การจราจรแก่ผู้ใช้ทาง ดังรูปที่ 3 - 22
รูปที่ 3 - 23 แสดงการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน
ในการปฏิบัติงานบริเวณทางลงสะพาน จะต้องมีการวางป้ายเตือนงานก่อสร้าง ป้ายแสดงการ
เบี่ยงทิศทาง ก่อนถึงพื้นที่เบี่ยงช่องจราจร ที่ระยะ 300 เมตร หรือเปิดใช้ป้าย MS/VMS จานวน 2 – 3 ป้าย
แจ้งเตือนแทนได้ มีระยะเบี่ยงช่องจราจร 205 - 225 เมตรก่อนเนินทางลงสะพาน มีพื้นที่กันชนอย่างน้อย
220 - 250 เมตร และให้รถจัดการจราจรจอดอยู่บริเวณก่อนเนินทางลงสะพาน เปิดสัญญาณไฟกระพริบ
ฉุกเฉิน เปิดไฟและสัญญาณไซเรน และให้พนักงานจัดการจราจรให้สัญญาณเพื่อเบี่ยงการจราจรแก่
ผู้ใช้ทาง ดังรูปที่ 3 - 23
1.2) การรับแจ้งและการเข้าถึงจุดเกิดเหตุแสดงดังรูปที่ 3 - 25
1.3) การให้ความช่วยเหลืออุบัติเหตุบนทางพิเศษแสดงดังรูปที่ 3 - 26
แสดงถึงขั้นตอนการให้ความช่วยเหลืออุบัติเหตุบนทางพิเศษ กรณีปกติ
ตารางที่ 3 - 7 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร
สัญลักษณ์ อุปกรณ์ สัญลักษณ์ อุปกรณ์
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร ป้ายเตือน
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร
ไฟวับวาบ
(มุมมองด้านบน)
ป้าย VMS/MS พื้นที่ปฏิบัติงาน
กรวยจราจร รถกู้ภัย
อุปกรณ์ลดความรุนแรง
พนักงานกู้ภัย
ติดตั้งพื้นที่ทางาน
ทิศทางการเบี่ยงการจราจร
ทิศทางการจราจร
ผู้ให้สัญญาณธง
• บริเวณไหล่ทาง
• บริเวณช่องจราจรซ้าย หรือช่องจราจรขวา
3) การเข้าพื้นที่เกิดเหตุ
ขั้นตอนการเข้าพื้นที่ปฏิบัติงานของพนักงานกู้ภัยในเบื้องต้น ต้องมีขั้นตอนดังแสดงในรูปที่
3 – 29 จากนั้ น เมื่ อ พนั ก งานกู้ ภั ย พิ จ ารณาสถานการณ์ แ ล้ ว หากเห็ น ว่ า สามารถใช้เ วลาในการแก้ไข
สถานการณ์น้อยกว่า 30 นาที ให้วางอุปกรณ์อานวยความปลอดภัย และปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง
รูปที่ 3 - 29 แสดงการเข้าพื้นที่เกิดเหตุ
3.3 อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
อุปกรณ์ที่ใช้สาหรับกรณีก่อสร้าง หรือบารุงรัก ษาทางพิเศษแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อุปกรณ์
คุ้มครองอันตรายส่วนบุคคล และอุปกรณ์จัดการจราจร ดังแสดงในตารางที่ 3 – 8 โดยมีรายละเอียด
อุปกรณ์แสดงในบทที่ 5
ตารางที่ 3 - 8 แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
หมาย
ลาดับ ภาพ อุปกรณ์ การใช้งาน
เหตุ
เครื่องแบบ สวมใส่ ขณะปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
1 ตามที่ กทพ. ให้ ถู ก ต้ อ งตามระเบี ย บ กระชั บ
กาหนด คล่องตัว
สวมใส่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการ
2 เสื้อสะท้อนแสง ถูกมองเห็ น เพื่อความปลอดภัยของ
อุปกรณ์คุ้มครองอันตราย
พนักงานที่ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
สวมใส่ เ พื่ อ ป้ อ งกั น อั น ตรายตาม
ส่วนบุคคล
ลั ก ษณะงานต่ า ง ๆ เช่ น ประเภท
ป้ อ งกั น อั น ตรายจากกระแสไฟฟ้ า
3 รองเท้านิรภัย ประเภทหัวเหล็กป้องกันการกระแทก
เท้ า หรื อ การเหยี ย บของมี ค ม และ
ประเภทป้องกันอันตรายจากสารเคมี
เป็นต้น
สวมใส่ เพื่อป้องกัน อัน ตรายจากสาร
4 หน้ากากอนามัย ระเหย ฝุ่ นละออง หรือมลพิษ เข้าสู่
ระบบทางเดินหายใจ
ป้ายเตือน ใ ช้ เ พื่ อ เ ตื อ น ผู้ ใ ช้ ท า ง พิ เ ศ ษ ใ ห้
5
อุบัติเหตุ ระมัดระวังอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นข้างหน้า
ใช้ ว างแนวปิ ด กั้ น หรื อ แบ่ ง ช่ อ งทาง
อุปกรณ์จัดการจราจร
จอดด้านหน้า หรือด้านหลังเพื่อยกรถ
8 รถยก
ที่จอดเสียให้พ้นการกีดขวางบนทาง
3.4 เอกสารที่เกี่ยวข้องในการขึ้นปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
1) บันทึกการนาส่งรถที่เกิดอุบัติเหตุบนทางพิเศษ (FM – 820 – 01 - 02)
2) ใบสั่งการใช้รถ
6) รายงานอุบัติเหตุตามแบบฟอร์ม 8301
3.5 เอกสารอ้างอิง
1) คู่มือการจัดการจราจรกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางพิเศษ กองวางแผนปฏิบัติการ กทพ. ฉบับแก้ไข
(ครั้งที่ 1) พ.ศ. 2560
2) คู่มือความปลอดภัยในงานควบคุมจราจร ฝ่ายควบคุมจราจร กทพ. จากหน่วยงาน กวป. และ ฝคจ.
3) Manual on Uniform Traffic Control Devices for Streets and Highways 2009 Edition.
4) มาตรฐาน ISO 14001 เอกสารสิ่ ง แวดล้ อ มเลขที่ PR – 820 – 01 ขั้ น ตอนการปฏิ บั ติ ง าน
การป้องกันและให้ความช่วยเหลืออุบัติเหตุบนทางพิเศษ
5) มาตรฐาน ISO 14001 เอกสารสิ่ ง แวดล้ อ มเลขที่ WI – 810 – 15 วิ ธี ป ฏิ บั ติ ง านการให้ ค วาม
ช่วยเหลือรถขัดข้องบนทางพิเศษ
รูปที่ 3 - 30 แสดงเอกสารอ้างอิง
บทที่ 4
การจัดการพื้นที่ควบคุมการจราจร งานจัดการจราจร
4.1 หน้าที่และลักษณะการปฏิบัติงาน
กองจัดการจราจร มีภารกิจในด้านอานวยความสะดวก ปลอดภัย อันเกี่ยวกับการจราจรในทางพิเศษ
ตรวจสอบ ควบคุมการใช้ทางพิเศษให้ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งปรับปรุง และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อันเกิด
จากการให้บริการทางพิเศษ (ที่มา : คู่มือการปฏิบัติงานของพนักงานจราจร, 2554)
4.2 ขั้นตอนการปฏิบัตงิ าน
1) ขั้นตอนในการปฏิบัติงาน
การปฏิบัติงานจัดการจราจรแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ การเตรียมความพร้อม การรับแจ้งและ
การเข้าถึงจุดเกิดเหตุ และการปฏิบัติงานการจัดการจราจร
1.1) การเตรี ย มความพร้ อ ม (ที่ ม า : ISO 14001 เอกสารสิ่ ง แวดล้ อ มเลขที่ WI – 810 - 07
วิธีปฏิบัติงาน การจัดการจราจรและการตรวจสอบรถก่อนใช้ทางพิเศษ)
• พนักงานจราจรมาปฏิบัติงานเข้ากะตามเวลาที่กาหนด
• หัวหน้ากะพนักงานจัดการจราจรจะต้องตรวจสอบจานวนพนักงานในกะนั้น และมอบหมาย
หน้าที่ให้แต่ละคนไปประจาจุดที่ได้รับมอบหมาย
• ตรวจเช็ครถปฏิบัติการที่จะใช้งานให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานทุกครั้ง
• ตรวจสอบอุปกรณ์ตามตารางที่ 4 - 1 หากพบสิ่งใดบกพร่อง หรือไม่ครบถ้วนให้รีบดาเนินการ
แก้ไข หรือแจ้งให้หัวหน้ากะทราบโดยทันที
ตารางที่ 4 - 1 เครื่องมือและอุปกรณ์ประจารถปฏิบัติการ
ลาดับ ภาพ อุปกรณ์ การใช้งาน
1 โซ่ลากรถ สาหรับลากจูงรถขัดข้อง/เสีย
ไ ฟ แ ล ะ สั ญ ญ า ณ
2 สาหรับแจ้งเตือนผู้ใช้ทาง
ไซเรน
ส าหรั บ รั บ แจ้ ง และรายงาน
3 วิทยุสื่อสารประจารถ
เหตุการณ์ต่าง ๆ
สาหรับการดับเพลิงเมื่อเกิดเพลิงไหม้
5 ถังดับเพลิง
ขนาด 15 ปอนด์จานวน 1 ถัง
ใช้วางแนวปิดกั้นหรือแบ่งช่องทาง
6 กรวยจราจร
การจราจรจานวน 20 ตัว
1.2) การรับแจ้งและการเข้าถึงจุดเกิดเหตุแสดงดังรูปที่ 4 - 1
ตารางที่ 4 - 2 กรณีการปฏิบัติงานของพนักงานจัดการจราจร
กรณีที่มีการจราจรติดขัดในทางพิเศษ กระบวนการปฏิบัติ
1) กรณีการจราจรติดขัดบริวณทางขึ้นทาง
ตามรายละเอียดหน้า 11 - 12 ของเอกสาร WI – 810 - 07
ลง ทางร่วมทางแยกในเขตทางพิเศษ
2) กรณีการจราจรติดขัดเนื่องจากเหตุ
ตามรายละเอียดหน้า 13 - 14 ของเอกสาร WI – 810 - 07
ร้ายแรงในพื้นที่ด้านล่าง
3) กรณีตรวจสอบพบรถจอดขัดข้องกีด
ตามรายละเอียดหน้า 15 - 17 ของเอกสาร WI – 810 - 07
ขวางการจราจรในทางพิเศษ
4) กรณีเกิดอุบัติเหตุ ตามรายละเอียดหน้า 18 - 20 ของเอกสาร WI – 810 - 07
1.4) กรณี ที่ ไ ด้ รั บ แจ้ ง เหตุ ข บวนเสด็ จฯ ให้ ป ฏิ บั ติ ต ามกระบวนการ ตามเอกสารสิ่ ง แวดล้ อม
WI – 810 - 08 การเตรียมความพร้อมรับขบวนเสด็จพระราชดาเนินในทางพิเศษ แก้ไขครั้งที่ 2 ประกาศใช้
เมื่อ 20 ส.ค. 2561 ดังตารางที่ 4 - 3 โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติดังรูปที่ 4 - 2
ตารางที่ 4 - 3 กรณีการปฏิบัติงานของพนักงานจัดการจราจร
กรณีที่มีภารกิจพิเศษในทางพิเศษ กระบวนการปฏิบัติ
1) กรณีเตรียมความพร้อมรับขบวนเสด็จ
ตามรายละเอียดหน้า 9 - 10 ของเอกสาร WI – 810 - 08
พระราชดาเนินในทางพิเศษ
4.3 รูปแบบการจัดการจราจร
การจั ด การจราจรมี ห ลายรู ป แบบขึ้ น อยู่ กั บ ลั ก ษณะการเกิ ด เหตุ โดยสามารถแบ่ ง ลั ก ษณะการ
ปฏิบัติงานออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีตรวจพบรถขัดข้องกีดขวางการจราจร และกรณีมีรถเกิดอุบัติเหตุ ใน
แต่ละรูปแบบมีการจัดพื้นที่ควบคุมการจราจรออกเป็น 4 ส่วน คือ 1) พื้นที่แจ้งเตือนล่วงหน้า 2) พื้นที่เบี่ยง
ช่องจราจร 3) พื้นที่ปฏิบัติงาน และ 4) พื้นที่สิ้นสุดการปฏิบัติงาน โดยจะใช้สัญลักษณ์ในตารางที่ 4 - 4 ใน
การอธิบายตาแหน่งต่าง ๆ ของรูปแบบการจัดการจราจรในรูปที่ 4 - 3 ถึง รูปที่ 4 – 4
ตารางที่ 4 - 4 แสดงความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ในรูปแบบจัดการจราจร
สัญลักษณ์ อุปกรณ์ สัญลักษณ์ อุปกรณ์
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร ป้ายเตือน
ป้ายสัญญาณไฟลูกศร
ไฟวับวาบ
(มุมมองด้านบน)
ป้าย VMS/MS พื้นที่ปฏิบัติงาน
กรวยจราจร รถปฏิบัติงานจัดการจราจร
อุปกรณ์ลดความรุนแรง
รถกู้ภัย
ติดตั้งพื้นที่ทางาน
ทิศทางการเบี่ยงการจราจร พนักงานจัดการจราจร
ทิศทางการจราจร
ผู้ให้สัญญาณธง
• กรณีตรวจสอบพบรถขัดข้องกีดขวางการจราจรในทางพิเศษ
รูปที่ 4 - 3 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงานกรณีตรวจพบรถขัดข้องบนทางพิเศษ
• กรณีเข้าสนับสนุนพนักงานกู้ภัยกรณีเกิดอุบัติเหตุ
รูปที่ 4 - 4 แสดงขั้นตอนการปฏิบัติงานกรณีรถเกิดอุบัติเหตุ
4.4 อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
อุปกรณ์ที่ใช้ สาหรับกรณีก่อสร้าง หรือบารุง รักษาทางพิเศษแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อุปกรณ์
คุ้มครองอันตรายส่วนบุคคล และอุปกรณ์จัดการจราจร ดังแสดงในตารางที่ 4 – 5 โดยมีรายละเอียด
อุปกรณ์แสดงในบทที่ 5
ตารางที่ 4 - 5 แสดงอุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
หมาย
ลาดับ ภาพ อุปกรณ์ การใช้งาน
เหตุ
เครื่องแบบ สวมใส่ขณะปฏิบัติงานบนทางพิเ ศษ
1 ตามที่ กทพ. ให้ ถู ก ต้ อ งตามระเบี ย บ กระชั บ
กาหนด คล่องตัว
สวมใส่เพื่อเพิ่มความสามารถในการ
2 เสื้อสะท้อนแสง ถูกมองเห็ น เพื่อความปลอดภัย ของ
พนักงานที่ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
อุปกรณ์คุ้มครองอันตราย
สวมใส่ เ พื่ อ ป้ อ งกั น อั น ตรายตาม
ส่วนบุคคล
ลั ก ษณะงานต่ า ง ๆ เช่ น ประเภท
ป้ อ งกั น อั น ตรายจากกระแสไฟฟ้ า
3 รองเท้านิรภัย ประเภทหัวเหล็กป้องกันการกระแทก
เท้ า หรื อ การเหยี ย บของมี ค ม และ
ประเภทป้องกันอันตรายจากสารเคมี
เป็นต้น
สวมใส่ เพื่อป้องกันอันตรายจากสาร
4 หน้ากากอนามัย ระเหย ฝุ่นละออง หรือมลพิษ เข้าสู่
ระบบทางเดินหายใจ
ร ถ ป ฏิ บั ติ ง า น จอดคุ้มกันด้านหลัง เพื่อแจ้งเตือนผู้ใช้
6
จัดการจราจร ทางถึงเหตุการณ์ไม่ปกติข้างหน้า
4.5 เอกสารอ้างอิง
1) คู่มือความปลอดภัยในงานควบคุมการจราจร ฝ่ายควบคุมการจราจร กทพ.
2) มาตรฐาน ISO 14001 เอกสารสิ่งแวดล้อมเลขที่ WI – 810 – 07 วิธีปฏิบัติงาน การจัดการจราจร
และตรวจสอบรถก่อนใช้ทางพิเศษ
3) มาตรฐาน ISO 14001 เอกสารสิ่งแวดล้อมเลขที่ WI – 810 – 08 วิธีปฏิบัติงาน การเตรียมความ
พร้อมรับขบวนเสด็จพระราชดาเนินในทางพิเศษ
รูปที่ 4 - 5 แสดงเอกสารอ้างอิง
บทที่ 5
อุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
5.1 เสื้อสะท้อนแสง
เสื้อสะท้อนแสง เป็นชุดสวมใส่ที่เพิ่มความสามารถในการมองเห็น (High Visibility Safety Apparel,
HVSA) เพื่อความปลอดภัย ของพนั กงานที่ปฏิบัติงานบนทางพิเศษ อ้างอิงลั กษณะชุดสะท้อนแสงตาม
มาตรฐาน American Nation Standard for High Visibility Safety Apparel and Accessories, ANSI
/ ISEA 107 และ ANSI / ISEA 207 ประเภทของชุดสะท้อนแสงจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะงาน
และความเสี่ยงในการปฏิบัติงานเป็นหลัก
1) ประเภทของเสื้อสะท้อนแสง
ข้อกาหนดความปลอดภัยในการทางานตามมาตรฐาน ANSI / ISEA 107 และ ANSI / ISEA 207
กาหนดให้แบ่งประเภทของเสื้อสะท้อนแสงไว้ 3 ประเภท คือ ประเภท O ประเภท R และประเภท P และ
มีการแบ่ง Class ความสะท้อนแสงออกเป็น 3 Class คือ
Class 1 คือ แถบสะท้อนแสงกว้างอย่างน้อย 1 นิ้ว และต้องมีพื้นที่แถบสะท้อนแสงอย่างน้อย 155
ตารางนิ้ว
Class 2 คือ มีแถบสะท้อนแสงกว้างอย่างน้อย 1.38 นิ้ว และต้องมีพื้นที่แถบสะท้อนแสงอย่างน้อย
201 ตารางนิ้ว (สาหรับ Type R) และมีแถบสะท้อนแสงกว้างอย่างน้อย 2 นิ้ว และต้องมีพื้นที่แถบสะท้อน
แสงอย่างน้อย 201 ตารางนิ้ว (สาหรับ Type P)
Class 3 คือ มีแถบสะท้อนแสงกว้างอย่างน้อย 2 นิ้ว และต้องมีพื้นที่แถบสะท้อนแสงอย่างน้อย
310 ตารางนิ้ว
1.1) Type O (Off Road) ใช้สาหรับงานนอกเขตทาง ภายในอาคาร ในโรงงาน หรือในสถานที่
ก่อสร้างที่ไม่ได้มียานพาหนะเคลื่อนที่เป็นจานวนมาก เป็นต้น เป็นเสื้อสะท้อนแสง Class 1
1.2) Type R (Roadway) ใช้ส าหรับการท างานบนทาง งานก่อสร้า งต่ าง ๆ ที่อยู่ในพื้ น ที่ ที่ มี
ยานพาหนะเคลื่อนที่เป็นจานวนมาก เหมาะกับผู้ปฏิบัติงานก่อสร้างบนทางทั่วไป โดยใช้เสื้อสะท้อนแสง
Class 2 แต่สาหรับผู้ให้สัญญาณธงที่ยืนให้สัญญาณอยู่นอกพื้นที่คุ้มกัน หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีแสง
สว่างน้อยให้ใช้เสื้อสะท้อนแสง Class 3
Class 2
Class 3
รูปที่ 5 - 2 แสดงตัวอย่างเสื้อสะท้อนแสง Class 2 และเสื้อสะท้อนแสง Class 3
Class 2 Class 3
รูปที่ 5 - 3 แสดงตัวอย่างเสื้อสะท้อนแสง Class 2 และเสื้อสะท้อนแสง Class 3
ดังนั้นจากการแบ่งประเภทที่กล่าวมาข้างต้น สามารถเขียนสรุปได้ดังตารางที่ 5 - 1 แสดงประเภท
ของเสื้อสะท้อนแสง และลักษณะการใช้งาน โดยกาหนดพื้นที่ของพื้นหลังของเสื้อสะท้อนแสง รวมถึงพื้นที่
ของแถบสะท้อนแสง และความกว้างขั้นต่าของแถบสะท้อนแสง
ตารางที่ 5 - 1 แสดงประเภทของชุดสะท้อนแสงและประเภทการใช้งาน
5.2 กรวยจราจร
เป็นกรวยสีส้มเด่นชัด และทาจากวัสดุที่สามารถรับแรงกระแทกจากการจราจรได้ สาหรับทางพิเศษ
ต้องใช้กรวยที่มีความสูงไม่น้อยกว่า 70 เซนติเมตร มีแถบสะท้อนแสง 2 แถบ แถบแรกมีความกว้าง 15
เซนติเมตร ติดอยู่ที่ระยะ 7 - 10 เซนติเมตร จากยอดกรวยจราจร แถบที่สองมีความกว้าง 10 เซนติเมตร
ติดถัดลงมาจากแถบแรก 5 เซนติเมตร มีฐานแผ่กว้าง และมีน้าหนักเพียงพอเพื่อให้ตั้งอยู่ได้เมื่อโดนแรงลม
ขณะรถวิ่ ง ผ่ า น โดยสามารถท าการวางกรวยซ้ อ น เพื่ อ เพิ่ ม น้ าหนั ก กรวยไม่ ใ ห้ ล้ ม ในขณะปฏิ บั ติ ง าน
(MUTCD, 2009) หรือใช้แผ่นฐานเพิ่มน้าหนัก (Cone Base) ก็ได้
รูปที่ 5 - 5 แสดงกรวยจราจร
ข้อกาหนดอื่น ๆ ของกรวยจราจรให้เป็นไปตาม มอก. 2899 - 25XX มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
กรวยพลาสติกกั้นจราจร ดังนี้
1) รูปทรง ต้องเป็นรูปทรงกรวยกลม หรือกรวยพีระมิด มีฐานรูปสี่เหลี่ยม ไม่มีส่วนแหลมคมที่อาจเป็น
อันตรายต่อผู้ใช้
2) ความกว้างของฐานสี่เหลี่ยมสาหรับกรวยสูง 70 เซนติเมตร คือ 34 เซนติเมตร หรือ 36 เซนติเมตร
และยอมให้ มี ค วามคลาดเคลื่ อ น ±7 มิ ล ลิ เ มตร ส าหรั บ กรวยสู ง 80 เซนติ เ มตร คื อ 42 44 หรื อ 45
เซนติเมตร และยอมให้มีความคลาดเคลื่อน ±7 มิลลิเมตร
3) ตัวกรวยต้องมีสีส้มเรืองแสงสม่าเสมอตลอดทั้งชิ้น มองเห็นได้ชัดเจนในระยะไกล
4) ต้องสามารถซ้อนเก็บโดยการสวมครอบกันได้พอดี และดึงแยกจากกันได้ง่าย
5) การสะท้อนแสงของแถบสะท้อนแสงสีขาว ต้องมีค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงตาม มอก.606
แบบที่ 6 ใช้กับเสาพลาสติก สาหรับงานจราจร โดยมีข้อกาหนดดังนี้
มุมที่แสงตกกระทบ
แหล่งกาเนิดแสง
มุมของการวัด
รูปที่ 5 - 7 แสดงตัวอย่างวิธีการทดสอบการสะท้อนแสง
จากตารางที่ 5 – 2 และรูปที่ 5 – 7 แสดงว่ากรวยจราจรที่มีคุณภาพจะต้องมีค่าสัมประสิทธิ์การ
สะท้อนแสงไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ตามเกณฑ์มาตรฐานที่ระบุไว้
การวัดค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงสามารถทาได้โดยการใช้เครื่องมือวัดดังรูปที่ 5 – 8 โดยค่าที่
อ่านได้จะอยู่ในหน่วย แคนเดลาต่อลักซ์ต่อตารางเมตร
รูปที่ 5 - 8 แสดงการวัดค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงด้วยเครื่องมือวัด
6) ความทนแรงกระแทก จากการทดสอบโดยใช้แท่งโลหะทรงกระบอกน้าหนัก 5 กิโลกรัม เส้นผ่าน
ศูนย์กลาง 65 มิลลิเมตร ปล่อยที่ความสูง 80 เซนติเมตร หลังตกกระแทกชิ้นทดสอบ ตัวอย่างต้องไม่
แตกร้าว เป็นต้น
5.3 หมวกนิรภัย
หมวกนิรภัยเป็นอุปกรณ์ป้องกันศีรษะ ที่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติต้านทานแรงกระแทก และการ
เจาะทะลุ จ ากด้านบน และต้านทานเปลวไฟ อ้างอิงลั กษณะชุดสะท้อนแสงตามมาตรฐาน American
Nation Standard Institute, ANSI Z89.1 - 2009 หรือตามข้อกาหนดใน มอก. 368 - 2554 มาตรฐาน
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หมวกนิรภัยสาหรับงานอุตสาหกรรม ประเภทของหมวกนิรภั ยจะต้องเลือกให้
เหมาะสมกับลักษณะงานและความเสี่ยงเป็นหลัก
รูปที่ 5 - 10 แสดงข้อความกากับในหมวกนิรภัย
• รองในหมวก (Hard Hat Suspension) เป็นส่วนประกอบสาคัญเทีย บเท่ากับเปลื อกหมวก
ทาหน้าที่รองรับแรงสั่นสะเทือนจากการกระแทก การฟาด หรือการเจาะทะลุที่กระทาต่อหมวกนิรภัย ทาให้
ลดความรุนแรงลงได้ มีลักษณะเป็นสายครอบศีรษะอยู่ห่างจากเปลือกหมวก ทาให้ศีรษะของผู้สวมใส่ไม่ติด
กับเปลือกหมวกโดยตรง และสามารถปรับความกระชับได้ โดยรองในหมวกแบ่งได้ 2 ประเภท คือรองใน
หมวกชนิดสายเลื่อน และรองในหมวกชนิดแกนหมุน
รองในหมวกชนิดสายเลื่อน (Pin-Lock Suspension)
เป็นสายยึดติดกับเปลือกด้านใน ปรับความกระชับด้วยการเลื่อนเข็มขัดบังคับสายแสดงดังรูปที่
5 - 11
รูปที่ 5 - 11 แสดงหมวกนิรภัยชนิดสายเลื่อน
รองในหมวกชนิดแกนหมุน (Ratchet suspension)
เป็นสายยึดติดกับเปลือกหมวกด้านใน 4 จุดหรือ 6 จุด โดยมีกลไกโยงมาที่แกนบังคับสาหรับ
ปรับความกระชับ ซึ่งผู้สวมใส่สามารถปรับด้วยการหมุนปุ่มด้านท้ายหมวกขณะสวมใส่อยู่ได้โดยไม่ต้อง
ถอดหมวกออกมาปรับแสดงดังรูปที่ 5 - 12
รูปที่ 5 - 12 แสดงหมวกนิรภัยชนิดแกนหมุน
รูปที่ 5 - 13 แสดงสัญญาณไฟวับวาบ
5.5 ป้ายสัญญาณไฟลูกศร
ป้ายสัญญาณไฟลูกศรเป็นป้ายเตือนและบอกทิศทางการจัดการจราจรข้างหน้า โดยมีสัญลักษณ์อยู่ใน
รูปเมตริกสีเหลืองอาพัน การติดตั้งป้ายสัญญาณไฟลูกศรให้ติดตั้งฐานของป้ายสูงจากระดับผิวจราจรไม่
น้อยกว่า 2.10 เมตร ยกเว้นป้ายสัญญาณไฟลูกศรที่ติดตั้งกับพาหนะเคลื่อนที่ ให้ติดตั้งให้สูงที่สุดเท่าที่จะ
ติดตั้งได้มั่นคงแข็งแรง
ระดับความสว่างของป้ายสั ญญาณไฟลู กศร ในเวลากลางวันจะต้องเปิดระดับความสว่างให้สู งสุ ด
แต่ในเวลากลางคืนจะต้องลดความสว่างลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความสว่างสูงสุด เพื่อป้องกันแสงสว่าง
จากป้ายสัญญาณลูกศรรบกวนผู้ใช้ทางพิเศษ และอัตราการกระพริบไฟสัญญาณต้องไม่น้อยกว่า 25 ครั้งต่อ
นาที แต่ไม่เกิน 40 ครั้งต่อนาที
ทั้งนี้การกาหนดขนาดของป้ายสัญญาณไฟลูกศรจะขึ้นอยู่กับประเภทของสายทาง ซึ่งทางพิเศษเป็น
สายทางที่ใช้ความเร็วสูง และมีปริมาณจราจรมาก จัดอยู่ในประเภท C ดังตารางที่ 5 - 3 ดังนั้นขนาดขั้นต่า
ของป้ายสัญญาณไฟลูกศรที่ควรใช้ในทางพิเศษคือ 96 x 48 นิ้ว (2.40 x 1.20 เมตร) ดังรูปที่ 5 - 14
96 inch.
48 inch.
รูปที่ 5 - 14 แสดงลักษณะป้ายสัญญาณไฟลูกศร
คุณสมบัติของป้ายสัญญาณไฟลูกศรมีดังนี้
• ป้ายมีขนาด 96 x 48 นิ้ว เป็นอย่างน้อย
• ติดตั้งสูงกว่าระดับผิวจราจรอย่างน้อย 2.10 เมตร
• อัตราการกระพริบไฟสัญญาณต้องไม่น้อยกว่า 25 ครั้งต่อนาที แต่ไม่เกิน 40 ครั้งต่อนาที
5.6 รถคุ้มกัน
รถคุ้มกันเป็นรถบรรทุกที่มีน้าหนักมากกว่า 4.5 ตันขึ้นไป ติดตั้งสัญญาณไฟกระพริบ และป้ายสัญญาณ
ไฟลูกศรดังรูปที่ 5 - 15 จอดอยู่ด้านหลังสุดของพื้นที่ปฏิบัติงานเพื่อป้องกันความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่
ผู้ปฏิบัติงานกันกรณีมีรถฝ่าฝืนเข้ามาในพื้นที่ปฏิบัติงาน โดยตาแหน่งของรถคุ้มกันต้องจอดด้านหลังของ
พื้นที่ปฏิบัติงาน โดยระยะห่างระว่างรถคุ้มกันกับพื้นที่ปฏิบัติงานขึ้นอยู่กับ
1) น้าหนักรถคุ้มกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ รถคุ้มกัน ที่มีน้าหนักมากกว่า 10 ตัน และรถคุ้มกัน
ที่มีน้าหนักระหว่าง 4.5 ตัน ถึง 10 ตัน
2) ความเร็ ว จ ากั ด ของพื้ น ที่ แบ่ ง ออกเป็ น 3 ระดั บ คื อ ความเร็ ว ต่ ากว่า 70 กิ โ ลเมตรต่ อชั่ว โมง
ความเร็วระหว่าง 70 ถึง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเร็วสูงกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
3) รูปแบบการปฏิบัติงาน แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ เคลื่อนที่ปฏิบัติงาน (Moving Operation)
และไม่เคลื่อนที่ (Stationary Operation)
รูปที่ 5 - 15 แสดงรถคุ้มกัน
การพิจารณาระยะห่างระหว่างการจอดรถคุ้มกันกับพื้นที่ปฏิบัติงานนั้น ต้องพิจารณาน้าหนักของ
รถคุ้มกัน ความเร็วของการจราจร และรูปแบบการปฏิบัติงานว่าอยู่กับที่หรือเคลื่อนที่ปฏิบัติงาน
ตัวอย่างเช่น งานซ่อมบารุง ดาเนินงานนานกว่า 2 ชั่วโมง อยู่กับที่ มีรถคุ้มกันขนาด 6 ตันคุ้มกัน
ด้านหลัง สายทางมีความเร็วจากัดที่ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้น รถคุ้มกันต้องเว้นระยะห่างจากพื้นที่
ปฏิบัติงานอย่างน้อย 52.5 เมตร หรือ 53 เมตร เป็นต้น ดังแสดงในตารางที่ 5 - 4
ตารางที่ 5 - 4 แสดงระยะกันชนแนะนาสาหรับอุปกรณ์ติดตั้งบนพื้นที่และติดตั้งกับยานพาหนะ
5.7 อุปกรณ์ลดความรุนแรง
อุปกรณ์ลดความรุนแรง (Crash Cushion หรือ Impact Attenuator) เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้เพื่อลดความ
รุนแรงของรถพุ่งเข้าชนรถคุ้มกัน โดยจะทาหน้าที่ลดความเร็วของรถลงให้เหลือความเร็วที่ปลอดภัย หรือทาหน้าที่
สะท้อนรถไม่ให้ พุ่งเข้าชนวัตถุข้างทางโดยตรง ทั้งนี้อุปกรณ์ลดความรุนแรงนี้ทาหน้าที่ลดความรุนแรงของ
อุบัติเหตุเท่านั้น ไม่ได้ทาหน้าที่เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุแต่อย่างใด
การทดสอบการชน (Crash Test) เป็นกระบวนการสาคัญเพื่อประเมินถึงประสิทธิภาพความปลอดภัย
ของอุปกรณ์ลดความรุนแรง และเพื่อให้ผลการทดสอบการชนมีความเหมาะสม โดยจะต้องกาหนดปัจจัย
และตัวแปรต่าง ๆ ที่ใช้ในการทดสอบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้กาหนดให้อุปกรณ์ลดความรุนแรงต้อง
ผ่ า นการทดสอบการชนตามมาตรฐาน NCHRP 350 “Recommended Procedures for Safety
Performance Evaluation of Highway Features หรือ EN 1317-3 “Road Restraint Systems : Part3
Performance Classes, Impact test Acceptance Criteria and Test Methods for Crash Cushions”
ซึ่งเป็นมาตรฐานทดสอบที่สมบูรณ์ที่สุดในขณะนี้
Cushion C 900 80 0
(ด้านหน้า)
C 1300 80 0
(ด้านหน้า)
0 (1/4
C 900 80
80 offset)
C 1300 80 15
(ด้านหน้า)
TL-2 C 1300 80 15
(ด้านหน้า)
C 1300 80 165
C 820 70 0
C 700 70 0
P 2000 70 0
C 820 70 15
C 700 70 15
P 2000 70 15
P 2000 70 20
Nonredirective C 1300 80 0
Crash Cushion (ด้านหน้า)
80/1 0 (1/4
C 900 80
offset)
C 900 80 0
(ด้านหน้า)
C 1300 80 0
(ด้านหน้า)
80
C 900 80 0 (1/4
offset)
C 1300 80 15
(ด้านหน้า)
C 1500 110 0
(ด้านหน้า)
Redirective 0 (1/4
C 900 110
Crash 110 offset)
C 1500 110 15
(ด้านข้าง)
C 1500 110 165
C 900 110 0
(ด้านหน้า)
C 1500 110 15
(ด้านหน้า)
หมายเหตุ C = รถเก๋ง (Car) / P = รถกระบะ (Pickup)
TL = Test Level
ที่มา : คู่มือแนะนาการติดตั้งอุปกรณ์กั้นและสิ่งอานวยความปลอดภัย กรมทางหลวง, ม.ป.ป.
รูปที่ 5 - 16 แสดงตัวอย่างอุปกรณ์ลดความรุนแรงชนิดติดตั้งบนพื้นที่ปฏิบัติการ
รูปที่ 5 - 17 แสดงตัวอย่างอุปกรณ์ลดความรุนแรงชนิดติดตั้งกับยานพาหนะ
5.8 ป้ายเตือน
ป้ายเตือนสาหรับงานก่อสร้างบนทางพิเศษ มีไว้เพื่อเตือนผู้ใช้ทางพิเศษทราบถึงลักษณะสภาพที่มีการ
เปลี่ยนแปลงหรืออาจเกิดอันตรายขึ้นไว้ล่วงหน้า การติดตั้งป้ายเตือนที่ถูกต้องและเพียงพอ จะช่วยเตือนผู้ใช้
ทางพิเศษเกิดความระมัดระวังมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จัดการ
จราจร
แบบตัวอักษรและตัวเลขของป้ายเตือนในโครงการก่อสร้างหรือซ่อมบารุงต่าง ๆ จะต้องพิจารณาถึง
ปัจจัยในการคานวณขนาดของตัวอักษร เช่น ระยะทางในการอ่านป้าย ระยะทางที่ไม่สามารถอ่านป้ายได้
และความเร็วออกแบบ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลต่อมุมมองที่มองเห็นป้ายเตือนได้ชัดเจนของผู้ใช้ทางพิเศษดังแสดง
ในรูปที่ 5 - 18
ระยะทางในแนวราบ
ระยะในแนวดิ่ง
รูปที่ 5 – 18 ระยะทางที่สาคัญในการคานวณขนาดตัวอักษรบนป้ายเตือน
ตารางที่ 5 – 6 ลักษณะของป้ายเตือนในการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ
ป้ายเตือน ลักษณะป้ายเตือน คุณสมบัติ
1) ป้ายเตือนอุบัติเหตุ ป้ายขนาด 90 x 90 เซนติเมตร มี
มีลั กษณะเป็ น ป้ ายสี่ เ หลี่ ย ม สัญลักษณ์ลูกศร (สนข., 2547)
จตุรัสตั้งมุมขึ้น พื้นหลังของป้าย ตัวอักษรแถวบนขนาด 15 ซม.
ต้ อ งมี สี ที่ แ ตกต่ า งจากป้ า ย ตัวอักษรแถวล่างขนาด 10 ซม.
เตื อ นทั่ ว ไป ตามมาตรฐาน
MUTCD แนะนาให้ใช้พื้นหลังสี
ชมพู ตัวอักษรและขอบป้ายใช้สี
ดา
2) ป้ายเตือนงานก่อสร้าง สามารถแบ่งประเภทป้ายเตือนออกเป็น 3 แบบ คือ ป้ายเตือนพื้นที่ก่อสร้าง
มีลักษณะเป็นป้ายสัญลักษณ์ ป้ายเตือนทางเบี่ยง และป้ายข้อความ หรือป้ายคาสั่งอื่น ๆ
หรือข้อความสะท้อนแสงพื้นหลัง
สีส้ม ตัวอักษรและขอบป้ายสีดา
2.1 ป้ายเตือนพื้นที่ก่อสร้าง ตัวอักษรแถวบนขนาด 20 ซม.
เป็นป้ายเตือนให้ผู้ ขับ ขี่ ตัวอักษรแถวกลาง 15 ซม.
ระวั ง เขตงานก่ อ สร้ า ง ที่ ตัวอักษรแถวล่างขนาด 7.5 ซม. (ถ้ามี)
ดาเนินการอยู่ข้างหน้าว่าอยู่
บริเวณใด เช่น ไหล่ทาง ช่อง
ป้ายขนาด 90 x 90 เซนติเมตร มี
จราจรขวา เป็นต้น
สัญลักษณ์การทางานก่อสร้างหรือใช้
เครื่องจักรทางาน
2.2 ป้ายเตือนทางเบี่ยง ตัวอักษรแถวบนขนาด 20 ซม.
ป้ า ยเตื อ นที่ เ ตื อ นให้ ผู้ ตัวอักษรแถวล่างขนาด 15 ซม.
ขับขี่เปลี่ยนช่องจราจร ลูกศรหนา 10 ซม.
ไปตามแนวเส้ น ทางที่ ตัวอักษรแถวบนขนาด 20 ซม.
ก าหนด เนื่ อ งจากเส้ น ทาง ตัวอักษรแถวล่างขนาด 15 ซม.
ข้างหน้ามีการปรับปรุง หรือ ขนาดใหญ่ อย่างน้อย 120 x 300 ซม.
ขนาดเล็ก อย่างน้อย 60 x 120 ซม.
คุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ทาป้ายนั้นจะต้องเป็นแผ่นโลหะน้าหนักเบา สามารถสะท้อนแสงได้ดีในเวลา
กลางคืน มีคุณสมบัติที่กาหนดตาม มอก. 606 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ปี พ.ศ. 2549 ดังนี้
ผ่านการทดสอบโดยวิธีเร่งภาวะ โดยที่สัมประสิทธิ์การสะท้อนแสงของแผ่นสะท้อนแสงทั้งหมด 10
แบบ ต้องมีค่าไม่น้อยกว่าเกณฑ์ที่กาหนด คือ แบบที่ 1 ต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 แบบที่ 2 ต้องได้ไม่น้อย
กว่าร้อยละ 65 และแบบที่ 3/4/5/7/8/9/10 ต้องได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
ผ่านการทดสอบการหดตัว โดยต้องหดตัวได้ไม่เกิน 1 มิลลิเมตร ในเวลา 10 นาที และต้องหดตัวได้
ไม่เกิน 3 มิลลิเมตร ในเวลา 24 ชั่วโมง
ผ่านการทดสอบความทนทานต่อการดัดโค้ง โดยต้องไม่ร้าว แตก หลุดร่อน แยกเป็นชิ้น หรือแยก
เป็นชั้นที่ผิวหน้าของแผ่นสะท้อนแสง
ผ่านการทดสอบการติดแน่น โดยต้องหลุดลอกได้ไม่เกิน 50 มิลลิเมตร
ผ่านการทดสอบความทนทานต่อการกระแทก โดยต้องไม่เกิดการแตกร้าว หรือหลุดร่อน
5.9 อุปกรณ์กันตก
ชุดอุปกรณ์นิรภัยเป็นส่วนหนึ่งของระบบป้องกันการตกจากที่สูง ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถทางานใน
สถานที่ เ สี่ ย งอั น ตรายในการพลั ด ตกลงมา โดยเฉพาะในการปฏิ บั ติ ง านบนที่ สู ง เกิ น 4 เมตร โดยมี
ส่วนประกอบหลัก 4 ส่วนคือ จุดยึด อุปกรณ์เชื่อมต่อ อุปกรณ์กู้ภัย และส่วนพยุงร่างกาย ดังแสดงในรูปที่
5 - 19
1) ส่วนประกอบของอุปกรณ์
1.1) จุดยึด (Anchor Point)
จุดยึด คือ จุดที่เอาไว้สาหรับยึดกับอุปกรณ์กันตกอื่น ๆ รวมไปถึงอุปกรณ์กู้ภัย อุปกรณ์ต้อง
มีความแข็งแรงสามารถรับแรงได้อย่างน้อย 22 KN (5000 lb) การใช้งานควรอยู่ในตาแหน่งเหนือหัว
ขึ้นไปและอยู่ในแนวเดียวกับผู้ใช้ เพื่อป้องกันการลดระยะการตกและลดการเหวี่ยงตัวเพื่อป้องกันอันตราย
จากการกระแทกกับโครงสร้าง
1.2) อุปกรณ์เชื่อมต่อ (Connecting Device)
อุปกรณ์เชื่อมต่อ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่าง 1) จุดที่เชื่อมต่อกับจุดยึด (Anchor Point
Connector) และ 2) จุดที่ยึดกับส่วนพยุงร่างกาย (Body Support) ซึ่งอุปกรณ์ทั้ง 2 ตัวจะต้องทนต่อการ
กัดกร่อน ผิวจะต้องเรียบ ไม่มีรอยเชื่อม และทาจากเหล็กที่ผ่านการหล่อขึ้นรูปหรือปั๊มขึ้นรูป
5.10 หน้ากากอนามัย
เป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายที่ออกแบบมาสาหรับป้องกันอันตรายที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจของ
ผู้ที่ทางานในภาวะการทางานที่มีมลพิษแพร่กระจายอยู่ ในอากาศ (ที่มา : จุลสารพิษวิทยา โรงพยาบาล
รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, 2546)
1) ประเภทของหน้ากากอนามัย
สามารถแบ่งออกได้หลายแบบตามลักษณะงานที่ผู้สวมใส่ปฏิบัตไิ ด้ 2 ลักษณะงาน คือ
1.1) หน้ า กากกรองอนุ ภ าค (Aerosol-Removing Respiratory) สวมใส่ ป ระมาณ 1/4 ของ
ใบหน้าประกอบด้วยวาล์วระบายอากาศ หรือตัวกรอง (Filter) เช่น กระดาษกรอง หรือชั้นคาร์บอนโดยแบ่ง
ออกเป็น 2 ประเภท คือ
• หน้ากากอนามัยแบบใยสังเคราะห์ มีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่นได้ดี สามารถป้องกัน
ของเหลวซึมผ่านได้ สามารถป้องกันผู้สวมใส่จากเชื้อโรคจาพวก แบคทีเรีย หรือเชื้อราได้ ไม่ควรนามาใช้ซ้า
รูปที่ 5 - 21 แสดงตัวอย่างหน้ากากอนามัยชนิดใยสังเคราะห์
รูปที่ 5 - 22 แสดงตัวอย่างหน้ากากอนามัยชนิดผ้าฝ้าย
1.2) หน้ า กากกรองไอระเหยและแก๊ ส (Vapor and Gas Removing Respirator) สวมใส่
ประมาณ 1/2 ของใบหน้ า หรื อ เต็ ม ใบหน้ า ท าหน้ า ที่ ก รองแก๊ ส และไอระเหยจากสารเคมี ต่ า ง ๆ
ประกอบด้วยวาล์วระบายอากาศ และตลับกรอง (Oartridge หรือ Oanister) โดยต้องใช้กับก๊าซ หรือสาร
ระเหยที่ตลับกรองระบุไว้เท่านั้น เช่น ตลับกรองที่ใช้กรองแก๊สแอมโมเนีย จะสามารถป้องกันได้เฉพาะแก๊ส
แอมโมเนียเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันแก๊สชนิดอื่นได้
รูปที่ 5 - 24 แสดงขั้นตอนการสวมใส่หน้ากากอนามัย
2.2) ขั้นตอนการตรวจสอบ
ใช้มือทั้งสองข้างโอบรอบหน้ากาก หายใจออกให้ แรงกว่าปกติดังแสดงในรู ปที่ 5 – 25
หากสวมใส่หน้ากากแนบสนิทดีจะไม่มีหน้ากากรั่วไหลออกทางขอบหน้า กาก ถ้ามีหน้ากากรั่วไหลออกทาง
ขอบหน้ากากให้รีดแถบอลูมิเนียม ปรับตาแหน่งของหน้ากากใหม่ หรือดึงสายรัดไปด้านหลังมากขึ้น จากนั้น
ดาเนินการตรวจสอบใหม่อีกครั้ง (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, ม.ป.ป.)
• มาตรฐาน National Institute for Occupational Safety and Health และ Mine Safety
and Health Administration (NIOSH/MSHA) ของประเทศสหัรฐฯ
• มาตรฐาน European Standard (EN) ของประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป
รูปที่ 5 - 26 แสดงสัญลักษณ์ของมาตรฐานหน้ากากอนามัยที่ได้รับการยอมรับระดับสากล
มาตรฐานของแต่ละประเทศไม่สามารถนามาเปรียบเทียบกันได้เนื่องจากเงื่อนไขการทดสอบมีความ
แตกต่างกัน
4) คาอธิบายมาตรฐาน
4.1) มาตรฐานของประเทศสหรัฐฯ ใช้สัญลักษณ์ตัวอักษร 3 ตัว (N, R และ P) แทนชนิดของ
อนุภาค และตามด้วยประสิทธิภาพการกรองมีตัวเลขตั้งแต่ 95 99 และ 100
5.11 อุปกรณ์ป้องกันมือและแขน
เป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับมือและแขนจากการปฏิบัติงาน เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ
ร้ายแรง เช่น นิ้วขาด ไฟฟ้าดูด สะเก็ดไฟลวก เป็นต้น
1) การเลือกใช้ถุงมือกับประเภทงาน ในการเลือกชนิดของถุงมือต้องคานึงถึงผู้สวมใส่ ว่าเผชิญกับ
ความเสี่ยงด้านใดบ้างจากการปฏิบัติงาน เพื่อการป้องกันที่ถูกต้อง และต้องอบรมถึงวิธีการใช้งาน การ
บารุงรักษา ที่ถูกวิธีให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อความมีประสิทธิภาพในการป้องกันอันตราย โดยวิธีการเลือกชนิด
ของถุงมือตามประเภทงานแสดงดังตารางที่ 5 – 7
ตารางที่ 5 - 7 แสดงข้อแนะนาในการเลือกใช้ถุงมือกับประเภทงานต่าง ๆ
ประเภทของงาน ประเภทของถุงมือที่แนะนา
1) งานขัด ที่เกิดการครูด และมีความ
ถุงมือยาง หรือถุงมือหนัง หรือถุงมือผ้า
ลื่นยากต่อการจับ
2) งานของมี ค ม ที่ มี ก ารตั ด เฉื อ น ถุงมือเสริมโลหะ หรือถุงมือตาข่ายลวด หรือถุงมือหนัง หรือถุง
หรือเจาะ มือผ้าชนิดหนาไม่มีตะเข็บ
3) งานสารเคมีของเหลว วัสดุขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมี เช่น ยาง หรือพีวีซี เป็นต้น
ถุงมือยางที่ผ่านการทดสอบสภาพความเป็นฉนวน และสวมถุง
4) งานไฟฟ้า มือหนังทับเพื่อป้องกันการฉีกขาดและยืดอายุการใช้งานถุงมือ
ยาง
5) งานความร้อน ที่ทาให้เกิดประกาย
ถุงมือหนังที่มีฉนวนกันความร้อน
ไฟ หรือสะเก็ดไฟจากงานเชื่อม
6) งานทั่ ว ไปที่ ไ ม่ ไ ด้ สั ม ผั ส กั บ วั ต ถุ
หยาบ ขรุ ขระ หรื อแหลมคม เช่น
ถุงมือผ้า หรือถุงมือยาง (ชนิดใช้แล้วทิ้ง หรือชนิดใช้ซ้าได้)
งานที่ มี ฝุ่ น งานท าความสะอาด
เป็นต้น
2) ชนิดของถุงมือ
2.1) ถุงมือผ้า เป็นถุงมือที่ทอด้วยฝ้าย หรือใยผ้าอื่น ๆ (ไนลอน, คอตตอน หรือเคฟล่า เป็นต้น)
ซึ่งจะให้ระดับของการป้ องกัน แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ ชนิด และความหนาของชั้นผ้า โดยถุงมือผ้าห้าม
น าไปใช้กับ เครื่ องจั กรที่มีการหมุน หรื อสายพาน เพราะอาจมีเศษด้ายหลุ ดลุ่ ยออกมาแล้ ว ไปเกี่ยวกับ
เครื่องจักรจนดึงมือผู้ปฏิบัติงานเข้าไปได้ รูปที่ 5 – 27 แสดงถุงมือผ้าชนิดธรรมดา (สีขาว) และถุงมือผ้าใย
สังเคราะห์เคฟล่าชนิดกันบาด (สีเหลือง)
รูปที่ 5 - 27 แสดงตัวอย่างถุงมือผ้า
2.2) ถุงมือยาง เป็นถุงมือที่ทาจากยางธรรมชาติ พีวีซี เป็นต้น สามารถป้องกันอันตรายจาก
สารเคมีประเภทต่าง ๆ (ได้การรับรองตามมาตรฐาน EN 347) และมีความเป็นฉนวนไฟฟ้า (ได้การรับรอง
ตามมาตรฐาน EN 60903) แต่จ ะไม่ทนต่อการขีดข่ว น ถ้ามีการขีดข่ว นที่ถุงมือจะทาให้ความสามารถ
ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้า หรือสารเคมีลดลง รูปที่ 5 – 28 แสดงถุงมือยางชนิดใช้แล้วทิ้ง (ซ้าย) ถุงมือยาง
ชนิดใช้ซ้าได้ (กลาง) และถุงมือยางชนิดฉนวนไฟฟ้า (ขวา)
รูปที่ 5 – 28 แสดงตัวอย่างถุงมือยาง
2.3) ถุงมือหนั ง เป็ น ถุงมือหนั งสั ตว์ห รือหนังฟอก สามารถป้องกันอันตรายจากประกายไฟ
สะเก็ดไฟ การขูดขีด หรือบาด และป้องกันความร้อนระดับปานกลาง เช่น งานเชื่อม งานเจีย เป็นต้น (ไม่ใช้
สาหรับอุตสาหกรรมหลอมเหลว หรือมีการเกิดรังสีความร้อน) ตัวอย่างถุงมือหนังแสดงดังรูปที่ 5 – 29
รูปที่ 5 - 29 แสดงตัวอย่างถุงมือหนัง
2.4) ถุงมือเสริมโลหะ เป็นถุงมือสาหรับงานที่สัมผัสกับของมีคม แหลมคมโดยเฉพาะ เช่น งาน
ตัด หรื องานเฉือน เป็ น ต้น ทาจากลวด หรือเหล็ กไร้ส นิมถักทอเป็นรูปถุงมือ และผ่ านการรับรองตาม
มาตรฐาน EN388: 2016 ตัวอย่างถุงมือเสริมโลหะแสดงดังรูปที่ 5 - 30
รูปที่ 5 - 30 แสดงตัวอย่างถุงมือเสริมโลหะ
3) การเลือกถุงมือ
วิธีการเลือกถุงมือให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน นอกจากการพิจารณาประเภทของงานเพื่อเลือก
ชนิดของถุงมือให้เหมาะสมแล้ว การพิจารณาถึงความเสี่ยงของลักษณะงานที่ปฏิบัติ ก็เป็นข้อสาคัญที่ไม่
สามารถละเลยได้ โดยต้องพิจารณาจาก 2 ปัจจัยดังนี้
3.1) ความยาวของถุงมือ ให้พิจารณาจากความเสี่ยงของงานที่ปฏิบัติ โดยต้องให้ถุงมือมีความ
ยาวครอบคลุมป้องกันเพียงพอ โดยแบ่งระดับการป้องกันออกเป็น 3 ระดับ ดังแสดงในรูปที่ 5 – 31
รูปที่ 5 - 31 แสดงระดับความยาวของถุงมือกับระดับการป้องกันมือและแขน
3.2) ขนาดของถุงมือ ให้พิจารณาจากความสบายในการสวมใส่ได้พอดี ไม่คับไปจนเกิดเหงื่อ
ออกมาก รู้สึกไม่สบายมือ จนอาจทาให้เกิดการปริแตกได้ หรือหลวมจนเกินไปจนสามารถลื่นหลุดจากมือได้
โดยให้พิจารณาจากขนาดของมือผู้ปฏิบัติงาน โดยให้ใช้สายวัดระยะเส้นรอบวงฝ่ามือดังแสดงในรูปที่ 5-32
ตัวอย่างเช่น ถ้าวัดได้ 9 นิ้ว ให้เลือกใช้ถุงมือที่มีขนาด Medium (M) เป็นต้น
4) คาอธิบายมาตรฐาน
4.1) EN374 : 2016 Chemical & Micro - Organism Protection เป็ น มาตรฐานก าหนด
คุณสมบัติของถุงมือชนิ ดป้ องกันสารเคมีหรือ สารจุลิ นทรีย์ สั มผัส กับผิวหนังโดยตรง โดยแบ่งมาตรฐาน
ออกเป็นถุงมือสาหรับป้องกันสารเคมี EN374 - 1 มีสัญลักษณ์เป็นรูปขวดแก้วพร้อมสารระเหยดังรูปที่ 5 – 33
และถุงมือป้องกันสารจุลินทรีย์ EN374 - 5 มีสัญลักษณ์เป็นรูปสารชีวภาพอันตราย โดยการปฏิบัติงาน
ในทางพิเศษจะสัมผัสกับสารประเภทเคมีเท่านั้น โดยถุงมือตามมาตรฐาน EN374 – 1 สามารถแบ่งประเภท
ออกเป็น 3 ประเภท (A B และ C) ซึ่งแบ่งประเภทจากความสามารถในการต้านทานสารเคมี และจานวน
สารเคมีที่ต้านทานได้ดังนี้
• ประเภท A สามารถต้านทานสารเคมีได้ 6 ชนิด ได้นานมากกว่า 30 นาที
• ประเภท B สามารถต้านทานสารเคมีได้ 3 ชนิด ได้นานมากกว่า 30 นาที
• ประเภท C สามารถต้านทานสารเคมีได้ 1 ชนิด ได้นานมากกว่า 10 นาที
รูปที่ 5 - 33 แสดงสัญลักษณ์และประเภทของถุงมือชนิดป้องกันสารเคมี
ประเภทของสารเคมีที่ถุงมือสามารถทนได้จะเขียนอยู่ในหมวดตัวอักษรภาษาอังกฤษ โดยมี
รายละเอียดดังแสดงในตารางที่ 5 – 8
รูปที่ 5 - 34 แสดงตัวอย่างถุงมือชนิดป้องกันสารเคมี
รูปที่ 5 - 35 แสดงสัญลักษณ์ความเป็นฉนวนไฟฟ้าที่ติดอยู่บนถุงมือ
5.12 รองเท้านิรภัย
รองเท้านิรภัย หมายถึง รองเท้าที่มีส่วนป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเท้า หรือขา ที่เหมาะกับ
ลั ก ษณะงานต่ า ง ๆ ที่ ผู้ ส วมใส่ ป ฎิ บั ติ โดยรวมถึ ง รองเท้ า บู้ ต ยาง หรื อ รองเท้ า หุ้ ม ส้ น ด้ ว ย ส าหรับ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 523 – 2554 ได้นิยามความหมายของรองเท้านิรภัย คือ รองเท้าที่มี พื้น
รองภายใน หรือวัสดุหุ้มภายในที่แยกระหว่างตัวรองเท้ากับพื้นรองเท้า มี บัวหัวสาหรับป้องกันอุบัติเหตุที่จะ
เกิดขึ้นกับนิ้วเท้าของผู้สวมใส่ และอาจมีแผ่นป้องกันการแทงทะลุด้วย (มอก. 523 - 2554)
1) ส่วนประกอบของรองเท้านิรภัยตาม มอก. 523 - 2554 ที่สาคัญประกอบไปด้วย 4 ส่วนดังแสดงใน
รูปที่ 5 - 38 คือ
1.1) หนังส่วนบน สามารถแบ่งเป็นประเภทหนังแท้ หรือหนังเทียม มีความหนาไม่น้อยกว่า 1.8
มิลลิเมตร สาหรับชนิดหนังแท้ และมีความหนาไม่น้อยกว่า 1.0 มิลลิเมตร สาหรับชนิดหนังเทียม
1.2) บัวหัว คือส่วนประกอบสาหรับป้องกันอุบัติเหตุจากการทางานที่จะเกิดกับนิ้วเท้าของผู้สวมใส่
โดยออกแบบให้ป้องกันอันตรายที่เกิดจากแรงกระแทก และแรงกดทับ โดยสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
ประเภทบัวหัวชนิดเหล็กกล้าไร้สนิม และบัวหัวชนิดไม่ใช่โลหะ
• บัวหัวชนิดเหล็กกล้าไร้สนิม วัสดุทาด้วยเหล็กกล้าชุบเคลือบกันสนิม หรือโลหะอื่น ที่ไม่เป็น
สนิม สามารถต้านทานแรงกระแทกได้ไม่น้อยกว่า 200 จู ลโดยไม่เกิดรอยแตก ทนแรงกดทับได้ไม่น้อยกว่า
15 กิโ ลนิ ว ตัน โดยไม่เกิดรอยแตก มีความยาวไม่น้อยกว่า 34 มิล ลิ เมตร และทนต่อการกัดกร่อนจาก
สารละลายโซเดียมคลอไรด์ โดยห้ามเกิดการกัดกร่อนเกิน 5 ตาแหน่ง และแต่ละตาแหน่งต้องมีขนาดไม่เกิน
2.5 ตารางมิลลิเมตร (ทดสอบตามข้อ 10.12 ตาม มอก. 523 - 2554)
• บัวหัวชนิดไม่ใช่โลหะ วัสดุทาด้วยอโลหะ สามารถต้านทานแรงกระแทกได้ไม่น้อยกว่า 200
จูลโดยไม่เกิดรอยแตก ทนแรงกดทับได้ไม่น้อยกว่า 15 กิโลนิวตันโดยไม่เกิดรอยแตก และมีความยาวไม่
น้อยกว่า 34 มิลลิเมตร
รูปที่ 5 - 39 แสดงชนิดของรองเท้านิรภัย
2.3) หลังจากการใช้งานเสร็จในแต่ละวัน ให้นาไปผึ่งลม หรือสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
จากนั้นแนะนาให้ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ขยาเป็นก้อนแล้วใส่ไปในรองเท้า เพราะกระดาษหนังสื อพิมพ์
จะช่วยดูดซับกลิ่น และความอับชื้นในรองเท้าได้
2.4) การทาความสะอาดรองเท้าควรทาอย่างน้อยสัปดาห์ล ะครั้ง โดยการซักทาความสะอาด
แผ่นรอง และตากแสงแดดให้แห้ง และใช้ผ้าชุบน้าหมาด ๆ หรือน้ายาทาความสะอาดสาหรับหนังเช็ดทา
ความสะอาดหนังด้านนอกเพื่อยืดอายุการใช้งานของหนัง
ข้อเสนอแนะ
เนื่องจากการจัดทามาตรฐานการปฏิบัติงานบนทางพิเศษฉบับนี้มีความแตกต่างในด้านอุปกรณ์คุ้มกัน
และกาลังคนที่เพิ่มขึ้น ฝ่ายเลขาฯ จึงได้มีข้อเสนอแนะเพื่อให้การปฏิบัติงานบนทางพิเศษเป็นไปด้วยความ
ปลอดภัย และเป็นไปตามมาตรฐานตามที่กาหนด ดังนี้
1. ขอกาลังคนที่ปฏิบัติหน้าที่จัดการอุปกรณ์คุ้มกันเพิ่มเติม
2. ขออุ ป กรณ์ คุ้ ม กั น เพิ่ ม เติ ม ให้ ส ามารถปฏิ บั ติ ต ามมาตรฐานได้ เช่ น กรวยจราจร ไฟวั บ วาบ
รถคุ้มกัน เป็นต้น
3. ขอเปลี่ยนแปลงลักษณะรถคุ้มกัน ให้มีขนาดน้าหนัก และอุปกรณ์คุ้มกันเป็นไปตามมาตรฐาน
4. ขอจัดตั้งแผนกคุ้มกันความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน เพื่อการปฏิบัติงานด้านการจัดการอุปกรณ์
คุ้มกันโดยเฉพาะ
บรรณานุกรม
1) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย“คู่มือการปฏิบัติงานบนทางพิเศษ ฝ่ายบารุงรักษา”, กันยายน 2553
2) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย “คู่มือความปลอดภัยในการทางาน ฝ่ายบารุงรักษา”, ม.ป.ป.
3) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย “มาตรฐาน ISO 14001 เอกสารสิ่งแวดล้อมเลขที่ PR-446-06 ขั้นตอน
การปฏิบัติงาน การวางกรวยยาง ป้าย สัญญาณไฟวับวาบบนทางพิเศษ”, มีนาคม 2553
4) การทางพิเศษแห่ งประเทศไทย “มาตรฐาน ISO 14001 เอกสารสิ่ งแวดล้ อมเลขที่ WI-810-07 วิธี
ปฏิบัติงานการจัดการจรจร และการตรวจสอบรถก่อนใช้ทางพิเศษ”, มีนาคม 2553
5) การทางพิเศษแห่ งประเทศไทย “มาตรฐาน ISO 14001 เอกสารสิ่ งแวดล้ อมเลขที่ WI-810-08 วิธี
ปฏิบัติงานการเตรียมความพร้อมรับขบวนเสด็จพระราชดาเนินในทางพิเศษ”, มีนาคม 2553
6) การทางพิเศษแห่ งประเทศไทย “มาตรฐาน ISO 14001 เอกสารสิ่ งแวดล้ อมเลขที่ WI-810-14 วิธี
ปฏิบัติงานการวางกรวย ป้าย สัญญาณไฟวับวาบในการทางานบนทางพิเศษ”, กันยายน 2561
7) การทางพิเศษแห่ งประเทศไทย “มาตรฐาน ISO 14001 เอกสารสิ่ งแวดล้ อมเลขที่ WI-810-15 วิธี
ปฏิบัติงานการให้ความช่วยเหลือรถขัดข้องบนทางพิเศษ”, มีนาคม 2553
8) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย“คู่มือความปลอดภัยในงานควบคุมการจราจร ฝ่ายควบคุมการจราจร”,
ม.ป.ป.
9) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย “คู่มือการจัดการจราจรกรณีเหตุฉุกเฉินบนทางพิเศษ กองวางแผน
ปฏิบัติการ ฉบับแก้ไขครั้งที่ 1”, ตุลาคม 2560
10) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย “คู่มือการปฏิบัติงานพนักงานกู้ภัย และพนักงานขับเครื่องจักร แก้ไข
ครั้งที่ 1 เอกสารเลขที่ กภ/๑”, มีนาคม 2554
11) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย “คู่มือการปฏิบัติงานของพนักงานจัดการจราจร แก้ไขครั้งที่ 1 เอกสาร
เลขที่ กจจ/๑”, พฤษภาคม 2554
12) การทางพิเศษแห่งประเทศไทย “คู่มือการปฏิบัติงานพนักงานสื่อสาร เอกสารเลขที่ สอ.๑ – ๐๑”,
ม.ป.ป.
13) กรมทางหลวง “คู่มือเครื่องหมายควบคุมการจราจรในงานก่อสร้าง งานบูรณะ และงานบารุงรักษาทาง
หลวงแผ่นดิน”, มีนาคม 2561
14) กรมทางหลวง “คู่มือแนะนาการติดตั้งอุปกรณ์กั้น และสิ่งอานวยความปลอดภัย ”, สานักอานวยความ
ปลอดภัย, ม.ป.ป.
15) Federal Highway Administration “Manual on Uniform Traffic Control Devices for Streets
and Highways”, U.S. Department of Transportation, 2009
16) Toll Plaza Traffic Control Standard, FDOT (State of Florida Department of
Transportation) Design Standard, 2013
17) Roadway Traffic Control and Communications Manuals, The Illinois State Toll Highway
Authority, 2018
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก
หลักวิศวกรรมจราจร
วิศวกรรมการจรราจรเป็ นวิศวกรรมแขนงหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน การออกแบบ การ
ควบคุมระบบการจราจรของถนนต่าง ๆ ตลอดจนการใช้บริเวณที่ดินใกล้เคียงและศึกษาความสัมพันธ์กับ
ระบบขนส่งชนิดอื่น หรือหมายถึงการนาเอาหลักการ เครื่องมือ วิธีการ เทคนิค ตลอดจนการค้นคว้าทาง
วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เพื่อให้ได้มาซึ่งความสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย และประหยัดในการเคลื่อนย้าย ขน
ถ่ า ยผู้ โ ดยสาร และสิ่ ง ของ (ที่ ม า : คู่ มื อ การปฏิ บั ติ ง านของพนั ก งานจั ด การจราจร กทพ., 2554)
องค์ประกอบของการจราจรมี 3 ประการคือ คน รถ และถนน
1) คน (Driver)
ผู้ขับขี่เป็นปัจจัยหลักที่ทาให้เกิดปัญหาการจราจร โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจราจรดังนี้
• สมรรถนะในการขับรถ
ปัจจัยทางกายภาพ (Physical Factors) ได้แก่ ความสามารถทางการมองเห็น การได้ยิน และการมี
ปฏิกิริยาโต้ตอบ
รูปที่ ก - 1 แสดงปัจจัยทางกายภาพ
ปัจจัยทางด้านจิตใจ (Psychological Factors) ได้แก่ อารมณ์ ความสนใจ และการตอบสนองของสิ่งเร้า
รูปที่ ก - 2 แสดงปัจจัยทางด้านจิตใจ
ปัจจัยทางด้านสภาวะแวดล้อม (Environmental Factors) ได้แก่ สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และ
สภาพการจราจร
รูปที่ ก - 3 แสดงปัจจัยทางสภาวะแวดล้อม
รูปที่ ก - 5 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วและมุมที่มองเห็น
(ที่มา : คูม่ ือการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาการเกิดอุบัติเหตุบนทางหลวง, กรมทางหลวง พ.ศ.2549)
100 kmh
70 kmh
40 kmh
รูปที่ ก - 6 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วและมุมที่มองเห็น
(ที่มา : FHWA-HEP-15-029, U.S. Department of Transportation Federal Highway Administration,
Chapter 6 Page. 6-6, 2558)
จากความสัมพันธ์ระหว่างความเร็ว และระยะมองเห็นข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในเขตถนนที่มีการใช้
ความเร็วมากกว่า ทาให้ระยะเวลาการตัดสินใจมีค่าน้อยกว่าเขตถนนในเมือง และขอบเขตการมองเห็นมีค่า
ลดลงทาให้ต้องติดตั้งป้ายเตือนห่างกันไกลกว่า โดยมีตัวอย่างการคานวณเวลาการตัดสินใจดัง ตารางที่
ก-3
ตารางที่ ก - 3 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเวลาที่ใช้ตัดสินใจกับระยะมองเห็นตัดสินใจได้ทัน
(ที่มา : H.W. McGee et al.,“Decision Sight Distance for Highway Design and Traffic Control
Requirements”, After AASHTO 2001.)
ดังนั้นค่า Avoidance Manuever หมวด C, D และ E ในตารางที่ ก - 2 จะมีความสัมพันธ์กับการ
คานวณระยะเวลา และระยะมองเห็นตัดสินใจได้ทันดังนี้
Avoidance Manuever A: 3.0 วินาที*
Avoidance Manuever B: 9.1 วินาที*
*ค่ามาตรฐานทั่วไป อ้างอิง AASHTO, 2011 Page. 117 และ FHWA-SA-10-005, 2009 Page. 4
ตามตารางที่ ก - 4
ตารางที่ ก - 4 แสดงตัวแปรการตอบสนองของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ
ภาคผนวก ข
อุปกรณ์สาหรับงานปฏิบัติงานที่เกิดความร้อนและประกายไฟ (Hot Work) และอุปกรณ์
สาหรับงานซ่อมธรรมดาทั่วไป (Cold Work)
1) อุปกรณ์สาหรับการทางานที่เกิดความร้อนและประกายไฟ (Hot Work)
การปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ หรือมีความอันตรายสูง ก่อนเริ่มปฏิบัติงานในแต่ละวัน
ต้องขออนุญาตปฏิบัติงาน (Work Permit) ก่อนเริ่มงาน เว้นแต่โครงการที่มีระยะเวลาดาเนินงานมากกว่า
30 วัน ให้ต่ออายุการขออนุญาตปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงทุก ๆ 30 วัน และมีบันทึกผลตรวจความปลอดภัย
ประจาวันแสดงไว้บริเวณหน้างาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ควบคุมงานของ กทพ. ได้ตรวจสอบความปลอดภัยก่อน
เริ่มงาน และต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติใน “ข้อบังคับ และคู่มือว่าด้วยความปลอดภัยในการทางาน
สาหรับผู้รับเหมา กทพ. แผนกความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน (ปอ.)” ซึง่
การปฏิบัติงานที่เกิดความร้อนและประกายไฟจะต้องมีอุปกรณ์ป้องกันดังนี้
1.1) ถังดับเพลิง
ประเภทของเพลิงแบ่งออกป็น 5 ประเภทตามมาตรฐานการดับเพลิงของหน่วยงาน National Fire
Protection Association (NFPA) ดังนี้
• ประเภท A สาหรับเพลิงที่เกิดจากวัสดุติดไฟปกติ เช่น ไม้, ผ้า, กระดาษ, ยาง และพลาสติก เป็นต้น
• ประเภท B สาหรับเพลิงที่เกิดขึ้นจากของเหลวติดไฟ เช่น น้ามัน, จารบี และน้ามันผสมสี เป็น
ต้น
• ประเภท C สาหรับเพลิงที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร เป็นต้น
• ประเภท D สาหรับเพลิงที่เกิดจากโลหะติดไฟได้ เช่น แม็กนีเซี่ยม, ซินโครเมี่ยม, โซเดี่ยม,
ลิเซี่ยม และโปแทสเซี่ยม เป็นต้น
• ประเภท K สาหรับเพลิงที่เกิดจากเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในการทาอาหารที่มีการใช้ไขมัน
จากพืช หรือสัตว์เป็นส่วนประกอบ
สาหรับงาน Hot Work บนทางพิเศษ เป็นต้นเพลิงประเภท A B และ C ดังนั้นจึงเลือกถังดับเพลิง
ประเภทผงเคมีแห้ง ที่มีความสามารถในการดับเพลิงประเภท A B และ C ได้
รูปที่ ข - 2 แสดงถังดับเพลิง
วิธีใช้ถังดับเพลิง มี 5 ขั้นตอนดังแสดงในรูปที่ ข - 3
• ดึงสายฉีดจากที่เก็บ เข้าไปทางเหนือลมห่างจากต้นเพลิง 2 - 4 เมตร
• ปลดสลัก เพื่อปลดล็อกวาล์วที่หัวถัง
• กดก้านฉีดปากกรวยไปที่ฐานของไฟ ทามุมประมาณ 45 องศา เพื่อทาการฉีด สารเคมีออกมา
พร้อมจับปลายสายให้แน่น
• ส่ายสายฉีดไปมา ด้านซ้าย - ด้านขวาช้า ๆ จนเปลวไฟดับสนิท
รูปที่ ข - 3 แสดงวิธีการใช้ถังดับเพลิง
• ในกรณีที่เกิดเพลิงไหม้วางอยู่ในระดับต่างกัน ให้ฉีดจากข้างล่างไปหาข้างบน และถ้าน้ามันรั่วไหล
ให้ฉีดจากปลายทางที่รั่วไหลไปยังจุดที่รั่วไหล และเหตุเพลิงไหม้ที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่มีกระแสไฟฟ้า
ไหลอยู่ ต้องรีบตัดกระแสไฟฟ้าก่อน เพื่อป้องกันมิให้เกิดการลุกไหม้ขึ้นมาอีกได้
ข้อแนะนาการใช้เครื่องดับเพลิง
•ถ้าเข็มชี้ที่พื้นที่ Recharge หรือบริเวณพื้นที่สีแดงทางซ้ายมือ แสดงว่าความดันต่ากว่า
มาตรฐาน ให้ติดต่อหน่วยงานที่ดูแลหรือรับผิดชอบ เพื่อนาถังไปเติมผงเคมีและอัดความดันใหม่
รูปที่ ข - 4 แสดงวิธีตรวจสอบแรงดันถังดับเพลิง
1.2) ผ้ากันไฟ
ผ้ากันไฟสาหรับงานเชื่อม ตัด เจียร ต้องอยู่ในสภาพดีไม่มีวัตถุไวไฟ / สารเคมี ไม่มีวัสดุที่เป็น
พลาสติก หรือไม่มีวัสดุที่ทาจากแร่ใยหิน (Asbestos) โดยต้องเก็บใบรับรองไว้ให้สามารถตรวจสอบได้
รูปที่ ข - 5 แสดงผ้ากันไฟ
1.3) โซ่คล้องถังก๊าซ
โซ่คล้องสาหรับป้องกันถังก๊าซล้มมีทั้งแบบยึดติดกับกาแพง และแบบฐานยึดล้อลากดังรูปที่ ข - 6
3
4
รูปที่ ข - 8 แสดงถังดับเพลิง
2.2) ป้ายเตือน
สาหรับการปิดกั้น หรือแยกอุปกรณ์ออกจากส่วนอื่น ๆ หรือการตัดระบบไฟฟ้าที่อุปกรณ์ หรือปิด
กั้นระบบท่อ วาวล์ต่าง ๆ ควรมีการติดป้ายเตือนให้เรียบร้อย
รูปที่ ข - 9 แสดงป้ายเตือน
ภาคผนวก ค
อุปกรณ์ที่ใช้ในการขึ้นปฏิบัติงานบนทางพิเศษ ณ ปีงบประมาณ 2562
1) กองบารุงรักษาทาง (กบท.)
กบท.
อุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานบนทาง จานวน
1) กรวยจราจร 200 ตัว
2) ไฟวับวาบ 15 ตัว
3) รถกระบะปฏิบัติงาน 2 คันต่องาน
4) รถบรรทุกดีเซล 1 ตัน 1 คัน
5) รถโดยสาร 12 ที่นั่ง 1 คัน
6) อุปกรณ์ลดความรุนแรง ไม่มี
บส.
อุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานบนทาง จานวน
1) รถกระบะ 6 คัน
บท.1
อุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานบนทาง จานวน
1) รถบรรทุกดีเซล 1 ตัน 7 คัน
บท.2
อุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานบนทาง จานวน
1) รถกระบะ 4 คัน
2) รถบรรทุกดีเซล 1 ตัน 3 คัน (ยืม บท.1)
วท.
อุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานบนทาง จานวน
1) รถบรรทุกดีเซล 1 ตัน 5 คัน
ภาคผนวก ง
สื่อประชาสัมพันธ์
รูปที่ ง – 1 แสดงองค์ประกอบสื่อประชาสัมพันธ์แบบอิเล็กทรอนิกส์
รูปที่ ง – 2 แสดงตัวอย่างสื่อประชาสัมพันธ์แบบอิเล็กทรอนิกส์
2) สื่อประชาสัมพันธ์แบบสิ่งพิมพ์
เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ที่มีลักษณะเป็น จดหมายข่าว (News Letter) ป้ายประกาศ โปสเตอร์ หรือแผ่น
ปลิว (Leaflet) เป็นสื่อที่ต้องดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย จัดทาด้วยสีสัน และมีตัวอักษรที่อ่านเข้าใจ
ง่าย และหัวข้อเรื่องมองเห็นได้ชัดเจนแม้อยู่ไกล บรรจุข่าวสาร หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องการประชาสัมพันธ์
ให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง ใช้ปิดประกาศตามบอร์ด หรือบริเวณพื้นที่ประชาสัมพันธ์
ต่าง ๆ มีขนาดเป็นกระดาษ A3 A4 หรือ A5 หรือใช้กระดาษต่อกันเป็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่ก็ได้ องค์ประกอบ
ของสื่อประชาสัมพันธ์แบบสิ่งพิมพ์ คือ
1.1) ผู้รับผิดชอบ (Publishers) เป็นส่วนที่ระบุหน่วยงานที่เป็นเจ้าของ หรื อบุคคลที่เป็นผู้รับผิดชอบ
เนื้อหาในสื่อประชาสัมพันธ์นั้น
1.2) หัวข้อเรื่อง (Headine) และหัวข้อรอง (Subheadline) เป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดในประเภทของ
ข้อความ มีไว้เพื่อให้สะดุดตาชวนให้ติดตามอ่านเรื่องราวต่อไป เช่น บริเวณที่ปิดหรือเบี่ยงเพื่อปฏิบัติงาน
ลักษณะหัวข้อเรื่องที่ดีควรมีขนาดตัวอักษรที่โดดเด่น กระทัดรัด เข้าใจได้ง่าย และลักษณะหัวข้อรองที่ดีต้อง
มีขนาดและความสาคัญรองมาจากหัวข้อเรื่อง หรืออาจตัดทอนหัวข้อเรื่องโดยลดขนาดตัวอักษรให้มีขนาด
เล็กลงมา ทาหน้าที่ขยายความจากหัวข้อเรื่องให้ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น
1.3) ข้ อ ความบอกรายละเอี ย ด (Body Text) เป็ น ข้ อ ความที่ ใ ช้ อ ธิ บ ายรายละเอี ย ดต่า ง ๆ ในสิ่ ง ที่
ต้องการสื่อสารประกอบไปด้วยเนื้อหาดังนี้ ความจาเป็น, วันและเวลา และบริเวณที่จะปิดหรือเบี่ยงเพื่อ
ปฏิบัติงาน เป็นต้น ลักษณะข้อความบอกรายละเอียดที่ดีควรมีข้อความกระชับไม่ทาให้สื่อประชาสัมพันธ์รก
ไปด้วยข้อความ เพื่อให้พื้นที่มีความโปร่ง ดูสบายตา เน้นข้อความด้วยสีเข้มและสีอ่อนใช้เพื่ออธิ บาย
สาระสาคัญของรูปภาพและเรื่องที่ต้องการสื่อสาร เพื่อสร้างจุดสนใจและเข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้เวลานานมี
ข้อความบอกรายละเอียดช่องทางการเข้าถึงข้อมูลหรือเว็บไซต์เพื่อการศึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติม
1.4) รูปภาพ (Pictures) เป็นภาพที่ใช้เพื่อดึงดูดสายตา หรือใช้ประกอบหัว ข้อเรื่อง หรือคาอธิบ าย
ข้อความบอกรายละเอียด ลักษณะรูปภาพที่ดีต้องไม่บดบังข้อความบอกรายละเอียด และมีขนาดที่ชัดเจน
เพียงพอให้เข้าใจได้
1.5) ข้ อ ความลงท้ า ย (Closing) เป็ น ส่ ว นที่ ท าให้ ผู้ อ่ า นรู้ สึ ก ประทั บ ใจ หรื อ การน าเสนอสิ่ ง ที่ เ ป็ น
ประโยชน์ต่อผู้ อ่าน เช่น การขออภัย โปรดระมัดระวัง หรือช่องทางติ ดต่อเพื่อขอรายละเอียดเพิ่ มเติม
เป็นต้น
สื่อประชาสัมพันธ์แบบสิ่งพิมพ์ อาจมีองค์ประกอบข้างต้นครบทั้ง 5 องค์ประกอบ หรือไม่ครบก็ได้ขึ้นอยู่
กับข้อมูลที่ผู้ทาต้องการจะสื่อสาร
รูปที่ ง – 3 แสดงองค์ประกอบสื่อประชาสัมพันธ์แบบโปสเตอร์
รูปที่ ง – 4 แสดงตัวอย่างสื่อประชาสัมพันธ์แบบโปสเตอร์
สื่ อประชาสั มพัน ธ์แบบป้ ายประชาสั มพันธ์จะมีรูปแบบแตกต่างจากสิ่ งพิมพ์ช นิดอื่น ๆ เนื่องจากมี
ลั กษณะการติดตั้งบริ เวณแกนท์ทรี่ หรื อป้ ายโฆษณาต่าง ๆ บริเวณทางพิเศษ เพื่อให้ ผู้ ใช้ทางทราบถึง
ช่วงเวลา และสถานที่ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ดังนั้นเพื่อให้ผู้ใช้ทางเข้าใจได้ง่าย หัวข้อเรื่อง และ
ข้อความบอกรายละเอียดต้องมีขนาดตัวอักษรที่ใหญ่ ชัดเจน ข้อความกระชับสั้น
รูปที่ ง – 5 แสดงองค์ประกอบสื่อประชาสัมพันธ์แบบป้ายประชาสัมพันธ์
รูปที่ ง – 6 แสดงตัวอย่างสื่อประชาสัมพันธ์แบบป้ายประชาสัมพันธ์