You are on page 1of 449

พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 1 / 1

พระไตรปิฎฺกภาษาลาว
้ (ปฺกสีฟ้า)
แปและฮຽบฮຽงจาก สะบับมหาจุฬาลฺงกอนราชวิทยาลัย ๔๕ เหลัม


พระไตรปิฎฺกเหลัมที ๐๑ วินัยปิฎฺกที ๐๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ เวรัญชกัณฑ์
พระวินัยปิฎฺก
มหาวิภังค์ ภาค ๑
๧ ๧ ๧ ๧

ขํนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจฺาพระอฺ ั้
งค์นน

เวรัญชกัณฑ์
เรื้องเวรัญชพรามณ์

[๑] ้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
สมัยนัน ้ ้
บญู่ ณะ ควงตฺนกะเดฺ า อันเปันที่ญูข
่ องนเฬ
รุยักษ์ เขตเมืองเวรัญชา พ้อมกับภิกษุสฺงฆ์หมู่ใหย่ปะมาน ๕๐๐ ฮูบ เวรัญชพรามณ์
ได้ฟังข่าวว่า ท่านพระสมณะโคดฺม เปันศากยบุตร สเดัจออกผนวช จากศากยตะกูน ปะ

ทับญู่ ณะ ควงตฺนกะเดฺ า อันเปันที่ญูข
่ องนเฬรุยักษ์ เขตเมือง เวรัญชา พ้อมกับ
ภิกษุสฺงฆ์หมู่ใหย่ปะมาน ๕๐๐ ฮูบ ท่านพระโคดฺมผู้จะเรีนนัน ้ มีกิตติศัพท์อันงามแผ่
ไปญ่างนี้ แม่นเพาะเหตุว่า พระผู้มีพระภาค พระอฺงค์นน
ั ้ เปันพระอรหันต์ ตรัสฮูด
้ ้วย
พระอฺงค์เองโดยชอบ พຽบพ้อมด้วยวิชชาและจรณะ สเดัจไปดี ฮูแ ้ จ้งโลก เปันสารถี
ฝึกผู้ท่ ควรฝึ
ี กได้ญ่างยอดย้ຽม เปันศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทังหลาย เปันพระพุทธ
้ จ้งโลกนี้พ้อมทังเทวโลก มารโลก พรฺมโลก
เจฺา้ เปันพระผู้มีพระภาค พระอฺงค์ชฺงฮูแ
และหมู่สัตว์ พ้อมทังสมณะพรามณ์ เทวดาและมนุษย์ ด้วยพระอฺงค์เอง แล้วจึ่งชฺงปะ
กาดให้ผู้อ่ นฮู
ื ้นํา ชฺงสะแดงธัมมีความงามในเบื้องตฺน
้ มีความงามในท่ามกางและมี
ความงามในที่สุด ชฺงปะกาดพรฺมจันย์ พ้อมทังอันถะและพยันชนะ บํริสด ุ ธ์บํริบูรณ์คฺบ
ถ้วน การได้พฺบพระอรหันต์ทังหลายเชั่นนี้ เปันความดีญ่างแท้จง

เวรัญชพรามณ์ก่าวตําหนิพระผู้มีพระภาค

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 2 / 2 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๒] ตํ่มา เวรัญชพรามณ์เดีนทางไปเฝฺาพระผู


้ ี ระภาคเถิงที่ปะทับ ได้สฺนทนาปาสัย
้มพ
กับพระผู้มีพระภาคพํเปันที่บันเทิงใจ พํเปันที่ระนึกเถิงกันและกัน แล้วนั่ง ณะ
ที่สฺมควร ขาบทูลว่า “ท่านพระโคดฺม ข้าพะเจฺาได้้ ชาบมาว่า พระสมณะโคดฺมบํ่ยอม
ํ ้อเชีนให้น่ ง
ไหว้ บํ่ลุกฮับพวก พรามณ์ผู้แก่ ผูเ้ ถฺา้ ผู้ใหย่ ผู้ล่วงกาลผ่านวัย หลืบ่ เชื ั
เรื้องที่ข้าพะเจฺาได้
้ ้ นจิงแท้ การที่ท่านพระโคดฺม เฮัดแบบนันบํ
ชาบมานันเปั ้ ่ สฺมควร
เลีย” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “พรามณ์ เฮฺายังบํ่เหันใผบํ่ว่าในโลกใดๆ ในบํริสัด
ใดๆ ที่เฮฺาควรจะไหว้ ลุกฮับหลืเชื้อเชีนให้น่ ง
ั เพาะว่าตถาคฺตไหว้ ลุกฮับหลืเชื้อ
เชีนผู้ใดให้น่ ง ั้
ั สีษะของผู้นนจะต้ องขาด ตฺกไป”

[๓] พรามณ์ขาบทูลตํ่ไปว่า “ท่านพระโคดฺม เปันคฺนบํ่มีรฺส” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ


้ มูลญู่ เพาะตถาคฺต ละรฺส คื ฮูบ สຽง กิ่น รฺส
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
ว่า “พรามณ์ ขํที
โผฏฐัพพะได้หมฺดสิน ้ ตัดฮากเหงฺา้ คืกับตฺนตานที
้ ่ ถืกตัดฮากเหงฺาไปแล้
้ ื ่
วเหลือแต่พ้นที
เฮัดให้บ่ มี
ํ เกีดขึนตํ ้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
้ ่ ไปบํ่ได้ ขํที ํ นที่ท่านก่าวเถิง”
้ มูลญู่ แต่บ่ แม่
[๔] พรามณ์ขาบทูลตํ่ไปว่า “ท่านพระโคดฺม เปันคฺนบํ่มีสฺมบัต” พระผู้มพ ี ระภาคตรัส
ตอบว่า “พรามณ์ ขํที ้ มูลญู่ เพาะตถาคฺต ละสฺมบัตคื ฮูบ สຽง กิ่น รฺส
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
โผฏ ฐัพพะ ได้หมฺดสิน ้ ตัดฮากเหงฺา้ คืกับตฺนตานที้ ่ ถืกตัดฮากเหงฺาไปแล้
้ วเหลือแต่
พื้นที่ เฮัดให้บ่ มี ้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
้ ่ ไปบํ่ได้ ขํที
ํ เกีดขึนตํ ํ นที่ท่านก่าว
้ มูลญู่ แต่บ่ แม่
เถิง”
[๕] พรามณ์ขาบทูลตํ่ไปว่า “ท่านพระโคดฺม สอนบํ่ให้กะทํา” พระผู้มีพระภาคตรัส
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
ตอบว่า “พรามณ์ ขํที ้ มูลญู่ เพาะเฮฺาสอนบํ่ให้กะทํากายทุจริต วจี
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานัน
ทุจริต มโนทุจริต ตลอดเถิงการบํ่ให้กะทําบาบ อกุศฺลธัมต่างๆ ขํที ้
ํ นที่ท่านก่าวเถิง”
มีมูลญู่ แต่บ่ แม่
[๖] พรามณ์ขาบทูลตํ่ไปว่า “ท่านพระโคดฺม สอนให้ทําลาย” พระผู้มีพระภาคตรัส
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
ตอบว่า “พรามณ์ ขํที ้ มูลญู่ เพาะเฮฺาสอนให้ทําลายราคะ โทสะ
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
โมหะ ตลอดเถิงให้ทําลายบาบอกุศฺลธัมต่างๆ ขํที ํ นที่
้ มูลญู่ แต่บ่ แม่
ท่านก่าวเถิง”
[๗] พรามณ์ขาบทูลตํ่ไปว่า “ท่านพระโคดฺม เปันคฺนช่างก฽ดชัง” พระผู้มีพระภาคตรัส
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
ตอบว่า “พรามณ์ ขํที ้ มูลญู่ เพาะเฮฺาช่างก฽ดชังกายทุจริต วจีทุจริต

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 3 / 3

้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
มโนทุจริต และบาบอกุศฺลธัมต่างๆ ขํที ํ นที่ท่านก่าว
้ มูลญู่ แต่บ่ แม่
เถิง”
[๘] พรามณ์ขาบทูลตํ่ไปว่า “ท่านพระโคดฺม เปันคฺนช่างกําจัด” พระผู้มีพระภาคตรัส
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
ตอบว่า “พรามณ์ ขํที ้ มูลญู่ เพาะเฮฺาสะแดงธัมเพื่อกําจัดราคะ โทสะ
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
โมหะ และบาบอกุศฺลธัมต่างๆ ขํที ํ นที่ท่านก่าวเถิง”
้ มูลญู่ แต่บ่ แม่
[๙] พรามณ์ขาบทูลตํ่ไปว่า “ท่านพระโคดฺม เปันคฺนช่างเผฺาผาน” พระผูม ้ ีพระภาคตรัส
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
ตอบว่า “พรามณ์ ขํที ้ มูลญู่ เพาะเฮฺาก่าวเถิงบาบอกุศฺลธัมทังหลาย คื
กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่าเปันสิ่งที่ควรเผฺาผาน พรามณ์ เฮฺาฮ฽กคฺน ที่ละ
บาบ อกุศฺลธัมทังหลายที่ควรเผฺาผาน ตัดฮากเหงฺาคื ้ กับตฺนตานที
้ ่ ถืกตัดฮากเหงฺาไป

ื ่ เฮัดให้บ่ มี
แล้วเหลือแต่พ้นที ้ ่ ไปบํ่ได้ ว่าเปันคฺนช่างเผฺาผาน ตถาคฺตละบาบอ
ํ เกีดขึนตํ
กุศฺลธัมต่างๆ ที่ควรเผฺาผานได้หมฺดสิน ้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
้ ขํที ํ นที่
้ มูลญู่ แต่บ่ แม่
ท่านก่าวเถิง”
[๑๐] พรามณ์ขาบทูลตํ่ไปว่า “ท่านพระโคดฺม เปันคฺนบํ่ผุดบํ่เกีด” พระผู้มีพระภาคตรัส
้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
ตอบว่า “พรามณ์ ขํที ้ มูลญู่ เพาะเฮฺาฮ฽กคฺนที่ละการญูใ
่ นคันภ์และการ
เกีดใหม่ได้หมฺด ตัดฮากเหงฺาคื ้ กับตฺนตานที
้ ่ ถืกตัดฮากเหงฺาไปแล้
้ ื ่ เฮัด
วเหลือแต่พ้นที
ให้บ่ มี ้ ่ ไปบํ่ได้ว่า เปันคฺนบํ่ผุดบํ่เกีด ตถาคฺตละการญูใ
ํ เกีดขึนตํ ่ นคันภ์และการเกีดใหม่

ได้หมฺดสินแล้ ้ ่ เขฺาก่าวหาเฮฺานันมี
ว ขํที ํ นที่ท่านก่าวเถิง”
้ มูลญู่ แต่บ่ แม่
ชฺงอุปมาด้วยลูกไก่
[๑๑] “พรามณ์ ไข่ ๘ หน่วย ๑๐ หน่วย หลื ๑๒ หน่วย ที่แม่ไก่ฟักดีแล้ว ลูก
ไก่ตฺวที่ใช้เลับหลืปายสฺบทําลายปํ ้ไข่ออกมาได้ก่อน ควรฮ฽กมันว่า เปันตฺวอ้าย
หลืตฺวน้อง” “ควรฮ฽กว่า อ้าย เพาะมันแก่กว่าเขฺา” “เชั่นด฽วกันนันแหละพรามณ์

ในขณะที่หมู่สัตว์ ถืกปํ ้ไข่คือวิชชาหํ่หุ้มญู่ เฮฺาได้ทําลายปํ ้ไข่คือวิชชาผู้ด฽วเทฺ่านัน
้ สํา
เรัจอนุตตรสัมมาสัมโพ ธิญาณ อันยอดย้ຽม จึ่งเปันอ้ายใหย่ผู้ปะเสีดที่สุดของโลก
ฌาน ๔
ั้
พรามณ์ เฮฺาปารฺภความพ฽ນ บํ่ย่อนยาน มีสติตงหมั ้ บํ่หลฺงลืม มีกายสงฺบ บํ่ฮ้อนฮฺน

มีจิตแน่วแน่เปันสมาธิ
ปฐฺมฌาน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 4 / 4 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เฮฺาสงัดจากกามและอกุศฺลธัมทังหลายแล้ว บันลุปฐฺมฌานที่มีวิตฺก วิจารปีติ และสุข


อันเกีดจากวิเวกญู่

ทุติยฌาน
เพาะวิตฺก วิจารสงฺบระงับไปแล้ว เฮฺาบันลุทุติยฌาน มีความผ่องใสพายใน มีภาวะที่
จิตเปันนึ่งผุดขึน
้ บํ่มีวิตฺกบํ่มีวิจาร มีแต่ปต
ี ิและสุขอันเกีดจากสมาธิเทฺ่านันญู
้ ่

ตติยฌาน
เพาะปีติจางหายไปแล้ว เฮฺามีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ สเวียสุขด้วยนามกาย ได้บันลุ
ตติยฌานที่พระอริยะทังหลายสัรเสีนว่า ผู้มอ
ี ุเบกขา มีสติ ญูเ่ ปันสุข

จตุตถฌาน
เพาะละสุขและทุกข์ได้แล้ว เพาะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว เฮฺาได้บันลุจตุตถ
ฌานที่บํ่มีทุกข์ บํ่มีสุข มีสติบํริสุดธ์เพาะอุเบกขาญู”่

วิชชา ๓
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ

[๑๒] “เมื่อจิตเปันสมาธิ บํริสุดธ์ผุดผ่อง บํ่มีกิเลสพຽงดั่งเนีน ปาสจากความเสฺาหมอง




อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตังหมั น ้ ได้น้อมจิตไปเพื่อปุพเพ
้ บํ่หวั่นไหวญ่างนี้ เฮฺานัน
นิวาสานุสติญาณ ระนึกชาติก่อนได้หลายชาติ คื ๑ ชาติแด่ ๒ ชาติแด่ ๓ ชาติแด่ ๔
ชาติแด่ ๕ ชาติแด่ ๑๐ ชาติแด่ ๒๐ ชาติแด่ ๓๐ ชาติแด่ ๔๐ ชาติแด่ ๕๐ ชาติแด่
๑๐๐ ชาติแด่ ๑,๐๐๐ ชาติแด่ ๑๐,๐๐๐ ชาติแด่ ตลอดสังวัฏฏกัปแด่ ตลอดวิวัฏฏกัป
แด่ ตลอดสังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัปแด่ หลายกัปว่า ในภฺพพุ้น เฮฺามีช่ ญ่ ้ มีตะกูน มี
ื างนัน

วันณะ มีอาหารสเวียสุขทุกข์ และมีอายุญ่างนันๆ ้ ไปเกีดในภฺพพุ้น มีช่ ื
จุติจากภฺพนันกํ

มีตะกูน มีวันณะ มีอาหาร สเวียสุขทุกข์ และมีอายุญ่างนันๆ จุตจ ้ ่ งมาเกีด
ิ ากภฺพนันจึ
ในภฺพนี้ เฮฺาระนึกชาติก่อนได้หลายชาติ พ้อมทังลักษณะทฺ่วไป และชีวปวัตติญ่างนี้
พรามณ์ เฮฺาได้บันลุวช
ิ ชาที ๑ ในยามแรกแห่งราตรี ความมืดมิดคื อวิชชา เฮฺากําจัด
ได้แล้ว แสงสว่างคืวช ้
ิ ชาได้เกีดขึนแก่ ้
เฮฺา ป฽บเหมือนแสงสว่างเกีดขึนแก่ บุคคฺลผู้บ่ ํ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 5 / 5

ปมาด มีความพ฽ນ อุทิศกายและใจ พรามณ์ นี้คืการเจาะปํ ้ไข่คือวิชชาออกมาคังที


้ ๑
ของเฮฺา เหมือนการเจาะออกจากปํ ้ไข่ของลูกไก่”

จุตูปปาตญาณ

[๑๓] “เมื่อจิตเปันสมาธิ บํริสุดธ์ผุดผ่อง บํ่มีกิเลสพຽงดั่งเนีน ปาสจากความเสฺาหมอง




อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตังหมั ้ ่ หวั่นไหวญ่างนี้ เฮฺานันได้
นบํ ้ น้อมจิตไปเพื่อ
จุตูปปาตญาณ เหันหมูส ้ ่ าและชันสู
่ ัตว์ผู้กําลังจุติ กําลังอุบัติ ทังชันตํ ้ ง งามและบํ่งามเกีด
ดีและบํ่ดี ด้วยตาทิพย์อันบํริสุดธ์เหนือมนุษย์ เฮฺาฮู้แจ้งเถิงหมู่สต ั ว์ผู้เปันไปตามกัมว่า
สัตว์ท่ ปะกอบกายทุ
ี จริต วจีทุจริต มโนทุจริต ก่าวฮ้ายพระอริยะ มีความเหันผิด
และชักชวนผู้อ่ นให้
ื ทํากัมตามความเหันผิด พวกเขฺาหลังจากตาย แล้วจะไปบังเกีดใน
อบาย ทุคติ วินิบาต นรฺก แต่หมู่สัตว์ท่ ปะกอบกายสุ
ี จริต วจีสุจริต มโนสุจริต บํ่ก่าว
ฮ้ายพระอริยะ มีความเหันชอบ ชักชวนผู้อ่ นให้
ื ทํากัมตามความเหันชอบ พวกเขฺา
หลังจากตายแล้ว จะไปบังเกีดในสุคติโลกสวันค์ พรามณ์ เฮฺาได้บันลุวิชชาที ๒ ใน
ยามที ๒ แห่งราตรี ความมืดมิดคื อวิชชา เฮฺากําจัดได้แล้ว แสงสว่างคืวิชชาได้เกีด
้ เฮฺา ป฽บเหมือนแสงสว่าง เกีดแก่บุคคฺลผู้บ่ ปมาด
ขึนแก่ ํ มีความพ฽ນ อุทิศกายและใจ
พรามณ์ นี้คืการเจาะปํ ้ไข่คอ ้
ื วิชชาออกมาคังที ๒ ของเฮฺา เหมือนการเจาะออกจากปํ ้
ไข่ของลูกไก่”

อาสวักขยญาณ

[๑๔] “เมื่อจิตเปันสมาธิ บํริสุดธ์ผุดผ่อง บํ่มีกิเลสพຽงดั่งเนีน ปาสจากความเสฺาหมอง




อ่อน เหมาะแก่การใช้งาน ตังหมั ้ บํ่หวั่นไหวญ่างนี้ เฮฺานันได้
น ้ น้อมจิตไปเพื่ออาส
วักขยญาณ ได้ฮู้แจ้งตามความเปันจิงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิ
โรธคามินีปฏิปทา นี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา
เมื่อเฮฺาฮูเ้ หันญู่ ญ่างนี้ จิตได้หลุดพฺนจากกามาสวะ
้ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เมื่อจิต

หลุดพฺนแล้ ว กํฮว ้
ู้ ่า หลุด พฺนแล้ ิ้
ว ฮู้แจ้งว่า ชาติสนแล้ ่ ฺบพรฺมจันย์แล้ว ทํากิจที่
ว ญูจ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 6 / 6 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ควรทําสําเรัดแล้ว บํ่มีกิจอื่นเพื่อความเปันญ่างนี้อีกตํ่ไป พรามณ์ เฮฺาได้บันลุวิชชาที ๓


ในยามที ๓ แห่งราตรี ความมืดมิดคื อวิชชาเฮฺากําจัดได้แล้ว แสงสว่างคืวิชชาได้

เกีดขึนแก่ ้
เฮฺา ป฽บเหมือนแสงสว่างเกีดขึนแก่ บุคคฺลผู้บ่ ปมาด
ํ มีความพ฽ນ อุทิศกาย
และใจ พรามณ์ นี้คืการเจาะปํ ้ไข่คือวิชชาออกมาคังที
้ ๓ ของเฮฺา เหมือนการเจาะออก
จากปํ ้ไข่ของลูกไก่”

เวรัญชพรามณ์สะแดงตฺนเปันอุบาสฺก

[๑๕] เมื่อตรัสญ่างนี้ เวรัญชพรามณ์ได้ขาบทูลพระผู้มีพระภาคดั่งนี้ว่า “ท่านพระโคดฺม


เปันอ้ายใหย่ ผู้ปะเสีดที่สุด ท่านพระโคดฺม ภาษิตของพระอฺงค์ ชัดแจ้งม่วนยิ่งนัก
พระอฺงค์
ชฺงปะกาดธัมแจ่มแจ้ง โดยปะการต่างๆ ป฽บเหมือนบุคคฺลหงายของที่ควํา้ เปีดของที่
ปิด บอกทางแก่ผู้หลฺงทาง หลืตามปะทีปในที่มืด ด้วยตังใจว่
้ า คฺนมีตาดีจักเหันฮูบ
ข้าพระ อฺงค์น้ี ขํเถิงท่านพระโคดฺมพ้อมทังพระธัมและพระสฺงฆ์เปันสรณะ ขํท่านพระ
โคดฺมจฺ่งชฺง จําข้าพระอฺงค์ว่าเปันอุบาสฺกผู้เถิงสรณะ ตังแต่
้ วันนี้เปันตฺนไปจฺ
้ นตลอดชีวิต
่ ําพันษาที่เมือง
และขํท่านพระโคดฺมพ้อมกับภิกษุสฺงฆ์ชฺงฮับคํานิมฺนต์ของข้าพระอฺงค์ ญูจ
เวรัญชาด้วยเถีด”
พระผู้มีพระภาคชฺงฮับคํานิมฺนต์โดยดุษณีภาพ คันเวรัญชพรามณ์ชาบว่าพระผู้มีพระภาคชฺง
ฮับนิมฺนต์แล้วจึ่งลุกขึนจากอาสนะ
้ ถวายบังคฺมพระผู้มีพระภาคกะทําประทักษิณ(วຽนไป
ทางขวา)แล้วจากไป


เมืองเวรัญชาเกีดเขฺายากหมากแพง

้ เมืองเวรัญชาเกีดเขฺายากหมากแพง
[๑๖] สมัยนัน ้ ปะชาชฺนมีความเปันญูย
่ ากแค้นใช้
สลากปันส่วนชื้อาหาร ลฺมตายกั
้ นกะดูกขาวเกื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้
ตํ่มา พวกพํ่ค้าม้าชาวเมืองอุตตราบฺถ มีม้าญูป ้ กแฮมยามระดูฝน
่ ะมาน ๕๐๐ ตฺว เขฺาพั ฺ ใน

เมืองเวรัญชา พวกเขฺากะก฽มเขฺาหนึ ง้ เพื่อถวายพระภิกษุฮูปละปะมาน ๑ ทะนาน ไว้ท่ ี
คอกม้า ฮุ่งเชฺา้ ภิกษุทังหลายคองอันตรวาสก ถืบาตรและจีวอนไปบิณฑบาตในเมือง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 7 / 7

เวรัญชา บิณ ฑบาตบํ่ได้เลีย จึ่งไปที่คอกม้า ฮับเขฺาหนึ


้ ้ ปละปะมาน ๑ ทะนาน นําไป
งฮู

ตําให้ละอ฽ดแล้วฉัน ส่วนพระอานฺนท์บฺดเขฺาหนึ ้
งปะมาน ๑ ทะนาน เทิงหีน บฺดแล้ว

น้อมเขฺาไปถวายพระผู ้ น
้มีพระภาค พระอฺงค์สเวียเขฺานั ้

พุทธปะเพณี

้ งหลายชฺงชาบเรื้อง ตรัสถามกํมี บํ่


พระผู้มีพระภาคได้ชฺงสดับสຽงคฺก พระตถาคฺตเจฺาทั
ตรัสถามกํมี ชฺงชาบกาลอันควร ตรัสถามกํมี บํ่ตรัสถามกํมี ตรัสถามเรื้องที่เปันปโยด
บํ่ตรัสถามเรื้องที่บํ่เปันปโยด เพาะพระตถาคฺตเจฺาทั
้ งหลาย ชฺงขจัดเรื้องที่บํ่เปันปโยด
เสั฽ ด้วยอริยมัคแล้ว พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาทั้ งหลายสอบถามภิกษุทังหลายด้วย
เหตุ ๒ ปะการ คื จะชฺงสะแดงธัมญ่างนึ่ง จะชฺงบันญัตสิกขาบฺทแก่พระสาวฺกญ่างนึ่ง
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กพระอานฺนท์มาฮับสั่งถามว่า “นันสຽงคฺ
ลําดับนัน ้ กแม่นบํ่
อานฺนท์” พระอานฺนท์จ่ งขาบทู
ึ ลเรื้องนันให้
้ ชฺงชาบ “อานฺนท์ ดีแล้วๆ พวกท่านเปัน

สัตบุรุษ ชนะได้เด็ดขาดแล้ว เขฺาสาลี เจือด้วยเนื้อเพื่อนพรฺมจารีในพายหลังจะพากันดู
หมิ่น”

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ เวรัญชกัณฑ์


พระมหาโมคคัลลานะเปั่งสีหนาท

้ น
[๑๗] คังนั ้ ท่านพระมหาโมคคัลลานะเขฺาไปเฝฺ
้ ้
าพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ คันเถิง
แล้วได้ถวายบังคฺมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ
ั ่ ณะ ที่สฺมควรแล้วได้ขาบทูลพระผู้มีพระภาค ดั่งนี้ว่า “เวลานี้เมืองเวรัญชาเกีด
ผู้น่ งญู

เขฺายากหมากแพง ่ ากแค้น ใช้สลากปันส่วนชื้อาหาร ลฺมตายกั
ปะชาชฺนมีความเปันญูย ้ น
กะดูกขาวเกื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ พระพุทธเจฺาข้ ้ า พื้นดินใต้มหา
ปฐพีน้มี ้
้ งหวี
ี โอชะ มีรฺสแชบ เหมือนนําเผิ ่ ที่บํ่มีตฺวอ่อน ขํปะทานพระวโรกาส ข้าพระ

พุทธเจฺาจะพิ กแผ่นดิน เพื่อให้ภิกษุทังหลายได้ฉันง้วนดิน” “ในแผ่นดินมีสัตว์อาศัยญู่
ท่านจะเฮัดญ่างใดกับสัตว์เหลฺ่านัน
้ โมคคัลลานะ” “ข้าพระพุทธเจฺาจะเนรมิ
้ ตฝ่ ามืข้างนึ่ง
ให้เปันเชั่นแผ่นดินใหย่ ย้ายเหลฺ่าสัตว์ท่ อาศั
ี ยแผ่น ดินญู่ ไปฮวมกันที่ฝ่ ามืนน
ั ้ แล้ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 8 / 8 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ใช้มือีกข้างนึ่งพิกแผ่นดิน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ญ่าเลีย โมคคัลลานะ ท่านญ่าพํใจที่จะพิก

แผ่นดินเลีย หมู่สัตว์จะเขฺาใจผิ ดได้” “ขํปะทานพระวโรกาสให้ภก ิ ษุสฺงฆ์ทุกฮูปไป
บิณฑบาตในอุตตรกุรุทวีปเถีด พระพุทธเจฺาข้ ้ า” “ท่านจะเฮัดญ่างใดกับภิกษุท่ ีบํ่มีฤทธิ์”
้ กเฮัดให้ภิกษุสฺงฆ์ทุกฮูปไปได้ พระพุทธเจฺาข้
“ข้าพระพุทธเจฺาจั ้ า”
“ญ่าเลีย โมคคัลลานะ ท่านญ่าพํใจการที่จะพาภิกษุสฺงฆ์ทุกฮูปไปบิณฑบาตที่อุตตรกุรุ
ทวีปเลีย”

พระสารีบุตรทูลถามเถิงเหตุท่ เฮั ่ ฺนและบํ่ดฺน


ี ดให้พรฺมจันย์ดํารฺงญูด

้ น
[๑๘] คังนั ้ ท่านพระสารีบุตรหลีกหลฺบญูใ ่ นที่สงัด ฮําเพิงขึนมาญ่
้ างนี้ว่า “พรฺมจันย์

ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาพระอฺ ่ ่ ดฺ
งค์ใดดํารฺงญูบ ี ระภาคพุทธเจฺา้
ํ น ของพระผู้มพ
พระอฺงค์ใดดํารฺงญู่ดฺน” คันฮอดยามแลงจึ่งออกจากที่พัก เขฺาไปเฝฺ
้ ้
าพระผู ้มีพระภาคเถิง
ที่ปะทับ คันเถิงแล้วได้ถวายบังคฺมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร ท่านพระ
ั ่ ณะ ที่สฺมควรแล้ว ได้ขาบทูลพระผู้มีพระภาคดั่งนี้ว่า “พระพุทธเจฺาข้
สารีบุตรผู้น่ งญู ้ า
เมื่อข้าพระอฺงค์หลีก หลฺบญู่ในที่สงัด ได้เกีดความฮําเพิงขึนมาญ่
้ างนี้ว่า ‘พรฺมจันย์ของ

พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาพระอฺ ่ ่ ดฺ
งค์ใดดํารฺงญูบ ้
ํ น ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาพระอฺ งค์
ใดดํารฺงญูด ้ า” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “สารีบุตร พรฺมจันย์ของ
่ ฺน พระพุทธเจฺาข้
พระพุทธเจฺาวิ้ ปส ้ ขี พระพุทธเจฺาเวสสภู
ั สี พระพุทธเจฺาสิ ้ ่ ่ ดฺ
ดํารฺงญูบ ํ น พรฺมจันย์ของ

พระพุทธเจฺากกุ ้
สันธะ พระพุทธเจฺาโกนาคมนะ ้ สสปะ ดํารฺงญู่ดฺน”
และพระพุทธเจฺากั
้ ปส
[๑๙] “แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยเฮัดให้พรฺมจันย์ของพระพุทธเจฺาวิ ั สี พระพุทธ
้ ขี และพระพุทธเจฺาเวสสภู
เจฺาสิ ้ ่ ่ ดฺ
ดํารฺงญูบ ้ า”
ํ น พระพุทธเจฺาข้
้ ปส
“สารีบุตร พระพุทธเจฺาวิ ั สี พระพุทธเจฺาสิ ้ ขี พระพุทธเจฺาเวสสภู
้ ชฺงผ่อนคายที่จะ
สะแดงธัมโดยพิสดารแก่สาวฺก สุตตะ เคียยะ เวยยากรณ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ
้ ง ๓ พระอฺงค์จ่ งมี
ชาดฺก อัพภูตธัม เวทัลละ ของพระพุทธเจฺาทั ึ หน้อย บํ่ได้ชฺงบันญัต
สิกขาบฺทไว้แก่สาวฺก บํ่มีการสะแดงปาติโมกข์ เมื่อหมฺดพระพุทธเจฺาและสาวฺ
้ กผู้ตรัสฮู้

ตามแล้ว สาวฺกชันหลั งๆ ต่างชื่ ต่างโคตร ต่างชาติวันณะ ได้เขฺามาบวชจากต่
้ างตะกูน
ท่านเหลฺ่านันพาให้
้ ้
พรฺมจันย์สูนสินไปไวพลั น เหมือนดอกไม้นานาพัณกองญู่เทิงแผ่นกะ
ดาน ยังบํ่ฮ้อยด้วยด้าย ย่อมถืกลฺมพัดกะแจกกะจายไป เพาะเหตุใด เพาะบํ่ได้เอฺาด้าย

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 9 / 9

ฮ้อยไว้ ขํนี้ ้แนวใด เมื่อหมฺดพระพุทธเจฺาและสาวฺ


้ กผู้ตรัสฮูต ้
้ ามแล้ว สาวฺกชันหลั งๆ
ต่างชื่ ต่างโคตร ต่างชาติวันณะ ได้เขฺามาบวชจากต่
้ างตะกูน ท่านเหลฺ่านันพาให้
้ พรฺม

จันย์สูนสินไปไวพลั ้ อีกญ่างนึ่ง พระพุทธเจฺาเหลฺ
นแนวนัน ้ ้ ่ ชฺงผ่อนคายที่จะ
่ านันบํ
กําหนฺดจิตของสาวฺกด้วยพระทัยแล้วชฺงสั่งสอน สารีบุตร เรื้องเคียเกีดขึนแล้้ ว พระ

พุทธเจฺาเวสสภู ชฺงกําหนฺดจิตภิกษุสฺงฆ์แล้วชฺงสั่งสอนภิกษุสฺงฆ์ ๑,๐๐๐ ฮูบ ในฮาว
ป่ าหน้าญ้านกฺวแห่งนึ่งว่า “ท่านทังหลายจฺ่งพิจารณาเชั่นนี้ ญ่าพิจารณาญ่างนัน ้ จฺ่งตังใจ

ญ่างนี้ ญ่าตังใจญ่
้ ้ จฺ่งละสิ่งนี้ จฺ่งเขฺาเถิ
างนัน ้ งสิ่งนี้ญู่เถีด” จิตของภิกษุ ๑,๐๐๐ ฮูบ ที่

พระพุทธเจฺาเวสสภู ชฺงสั่งสอน หลุดพฺนจากอาสวะ
้ เพาะบํ่มีความถืหมัน ้ สารีบุตร
เพาะฮาวป่ าหน้าญ้านกฺว หน้าสะท้านญ้านกฺว จึ่งมีเรื้องดั่งนี้ คื ภิกษุผู้บ่ ํปาสจากราคะ เขฺา้
ไปฮาวป่ า ส่วนหลายเกีดความญ้านขฺนลุกขฺนพอง สารีบุตร นี้คืเหตุปจ ั จัยที่เฮัด
้ ปส
ให้พรฺมจันย์ของพระพุทธเจฺาวิ ้ ขี พระพุทธเจฺาเวสสภู
ั สี พระพุทธเจฺาสิ ้
่ ่ ดฺ
ดํารฺงญูบ ํ น”

[๒๐] “แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยเฮัดให้พรฺมจันย์ของพระพุทธเจฺากกุ สันธะ พระ

พุทธเจฺาโกนาคมนะ ้ สสปะ ดํารฺงญู่ดฺน พระพุทธเจฺาข้
และพระพุทธเจฺากั ้ า” “สารีบุตร

พระพุทธเจฺากกุ ้
สันธะ พระพุทธเจฺาโกนาคมนะ ้ สสปะ บํ่ชฺง ผ่อน
และพระพุทธเจฺากั
คายที่จะชฺงสะแดงธัมโดยพิสดารแก่สาวฺก สุตตะ เคยยะเวยยากรณ คาถา อุทาน อิ
ติวุตตกะ ชาดฺก อัพภูตธัม เวทัลละของพระพุทธเจฺา้ ๓ พระอฺงค์จ่ งมี
ึ มาก ชฺงบันญัต
สิกขา บฺทไว้แก่สาวฺก มีการสะแดงปาติโมกข์ เมื่อหมฺดพระพุทธเจฺาและสาวฺ
้ กผู้ตรัสฮู้

ตามแล้ว สาวฺกชันหลั งๆ ต่างชื่ ต่างโคตร ต่างชาติวันณะ ได้เขฺามาบวชจากต่
้ างตะกูน
ท่านเหลฺ่านันพาให้
้ พรฺมจันย์ดํารฺงญู่ดฺน เหมือนดอกไม้นานาพัณกองญู่เทิงแผ่นกะดาน
เอฺาด้ายฮ้อยไว้ ย่อมบํ่ถืกลฺมพัดกะแจกกะจายไป เพาะเหตุใด เพาะเอฺาด้ายฮ้อยไว้ ขํนี ้ ้
แนวใด เมื่อหมฺดพระพุทธเจฺาและสาวฺ
้ กผู้ตรัสฮูต ้
้ ามแล้ว สาวฺกชันหลั งๆ ต่างชื่ ต่าง

โคตร ต่างชาติวันณะ ได้เขฺามาบวชจากต่ างตะกูน ท่านเหลฺ่านันพาให้
้ พรฺมจันย์
ดํารฺงญู่ดฺนแนวนัน ั จัยที่เฮัดให้พรฺมจันย์ของพระพุทธเจฺากกุ
้ สารีบุตร นี้คืเหตุปจ ้

สันธะ พระพุทธเจฺาโกนาคมนะ ้ สสปะ ดํารฺงญู่ดฺน”
และพระพุทธเจฺากั

ชฺงปารฺภเหตุท่ จะบั
ี นญัตสิกขาบฺท

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 10 / 10 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๒๑] ลําดับนัน ้ ่ มผ้าบ่฽งบ่าปะนฺมมืไปทางพระผู้มีพระภาค ขาบ


้ ท่านพระสารีบุตรลุกขึนหฺ
้ า ที่พระผู้มีพระภาคจะชฺงบันญัตสิกขาบฺท ชฺงยฺก
ทูลว่า “เถิงเวลาแล้วพระพุทธเจฺาข้
ึ้
ปาติโมกข์ขนสะแดงแก่ พระสาวฺกอันจะเปันเหตุให้พรฺมจันย์ดํารฺงญูไ ่ ด้ยืนนาน” “จฺ่งถ้า
ไปก่อนเถีดสารีบุตร ตถาคฺตฮูเ้ วลาในเรื้องที่จะบันญัตสิกขาบฺทนัน
้ ศาสดาจะยังบํ่บันญัต
ึ้
สิกขาบฺทแก่สาวฺก บํ่ยฺกปาติโมกข์ขนสะแดง ตลอดเวลาที่ยังบํ่เกีดอาสวัฏฐานิยธัม
บางญ่างในสฺงฆ์ เมื่อเกีดอาสวัฏฐานิยธัมบางญ่างในสฺงฆ์ ตถาคฺตจึ่งจะบันญัตสิกขาบฺท
ึ้
จะยฺกปาติโมกข์ขนสะแดงแก่ สาวฺก เพื่อขจัดธัมเหลฺ่านัน ้ สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธัม
บางญ่างยังบํ่เกีดในสฺงฆ์ ตราบเทฺ่าที่สฺงฆ์ยังบํ่เปันหมู่ใหย่เพาะมีภิกษุบวชดฺนนาน
เมื่อสฺงฆ์เปันหมู่ใหย่เพาะมีภิกษุบวชดฺนนาน และมีอาสวัฏฐานิยธัมบางญ่างเกีดในสฺงฆ์
ึ้
ตถาคฺตจะบันญัตสิกขาบฺท จะยฺกปาติโมกข์ขนสะแดงแก่ สาวฺก เพื่อขจัดธัมเหลฺ่านัน
้ สา
รีบุตร อาสวัฏฐานิยธัมบางญ่างยังบํ่เกีดในสฺงฆ์ ตราบเทฺ่าที่สฺงฆ์ยังบํ่เปันหมู่ใหย่
เพาะแพ่หลาย เมื่อสฺงฆ์เปันหมู่ใหย่เพาะแพ่หลาย และมีอาสวัฏฐานิยธัมบางญ่างเกีด
ึ้
ในสฺงฆ์ ตถาคฺตจะบันญัตสิกขาบฺท จะยฺกปาติโมกข์ขนสะแดงแก่ สาวฺก เพื่อขจัดธัม
้ สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธัมบางญ่างยังบํ่เกีดในสฺงฆ์ ตราบเทฺ่าที่สฺงฆ์ยังบํ่เปัน
เหลฺ่านัน
หมู่ใหย่เพาะมีลาภสักการะมาก เมื่อสฺงฆ์เปันหมู่ใหย่เพาะมีลาภสักการะมาก และมี
ึ้
อาสวัฏฐานิยธัมบางญ่างเกีดในสฺงฆ์ ตถาคฺตจะบันญัตสิกขาบฺท จะยฺกปาติโมกข์ขนสะ
แดงแก่สาวฺก เพื่อขจัดธัมเหลฺ่านัน ้ สารีบุตร อาสวัฏฐานิยธัมบางญ่างยังบํ่เกีดในสฺงฆ์
ตราบเทฺ่าที่สฺงฆ์ยังบํ่เปันหมู่ใหย่เพาะความเปันพหูสูต เมื่อสฺงฆ์เปันหมู่ใหย่เพาะความ
เปันพหูสูต และมีอาสวัฏฐานิยธัมบางญ่างเกีดในสฺงฆ์ ตถาคฺตจะบันญัต สิก ขาบฺท
ึ้
จะยฺกปาติ โมกข์ขนสะแดงแก่ สาวฺก เพื่อขจัดธัมเหลฺ่านัน
้ สารีบต
ุ ร กํภิกษุสฺงฆ์ยังบํ่มี
สน฽ด บํ่มีโทษ บํ่มีส่ งมฺ
ิ วหมอง บํริสุดธ์ผุดผ่อง ดํารฺงญูใ ่ นสารคุณ แท้จิงในภิกษุ
๕๐๐ ฮูบนี้ ผู้มีคุณธัม ญ่างตํ่ากํชนโสดาบั
ั้ น บํ่มีทางตฺกตํ่า มีความแน่นอนที่จะสําเรัจ
สัมโพธิในวันข้างหน้า”

สเดัจนิเวศน์เวรัญชพรามณ์

[๒๒] ตํ่มา พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กท่านพระอานฺนท์มาฮับสั่งว่า “อานฺนท์ พระตถาคฺต


ทังหลายยังบํ่ได้บอกลาผู้ท่ ีนิมฺนต์ให้ญจ
ู่ ําพันษา จะบํ่จากไป เรื้องนี้เปันปะเพณีของ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 11 / 11

พระตถาคฺตทังหลาย เฮฺาจะไปาเวรัญชพรามณ์” พระอานฺนท์ทูลสนองพระพุทธดํารัส


แล้ว คันแล้วพระผู้มีพระภาคชฺงคองอันตรวาสก ถืบาตรและจีวอน มีพระอานฺนท์ตามส
เดัจ สเดัจพระพุทธดําเนีนไปเถิงนิเวศน์ของเวรัญชพรามณ์ คันเถิงแล้วจึ่งปะทับ
นั่งเทิงอาสนะที่ เขฺาจัดถวาย ชฺงบอกเวรัญชพรามณ์ผู้มาเฝฺาว่
้ า “ท่านนิมฺนต์เฮฺาญูจ
่ ํา
พันษา เฮฺาขํลาท่าน ต้องการจะจาริกไปในชฺนบฺท” เวรัญชพรามณ์ขาบทูลว่า “เปันความ
้ มฺนต์ท่านพระโคดฺม ญูจ
แม่นแท้ข้าพระพุทธเจฺานิ ้ งบํ่ได้
่ ําพันษา แต่ข้าพระพุทธเจฺายั
ถวายไทยธัมที่ได้ตงใจเอฺ
ั้ าไว้ สิ่งนันบํ
้ ่ แม่นจะบํ่มี และบํ่แม่นว่าข้าพระพุทธเจฺาจะบํ
้ ่
เต็มใจถวาย ไตรมาสที่ผ่านมา พระอฺงค์ยง ั บํ่ได้ฮับไทย ธัมนัน้ เพาะผู้คองเฮือนมีกิจ
หลาย มีธุระหลาย ขํท่านพระโคดฺมพ้อมกับภิกษุสฺงฆ์จ่ งฮั ฺ บอาหารของข้าพระพุทธเจฺา้
เพื่อจะเรีนกุศฺลในมื้อื่นนี้เถีด” พระผู้มีพระภาคชฺงฮับคํานิมฺนต์โดยดุษณีภาพ ชฺงชี้แจง
ให้เวรัญชพรามณ์เหันแจ้ง ชวนให้ ญากฮับเอฺาไปปะติบัด ปุกใจให้อาจหานเกั่งก้า
ปอบปะโลมใจให้สฺดชื่นเบีกบานด้วยธัมมีกถา แล้วสเดัจลุกจากอาสนะหลีกไป เมื่อ
ั้
ผ่านราตรีนนไป เวรัญชพรามณ์ส่ งให้
ั ตຽมของค้฽วของฉันอันปาณีตไว้ในบ้าน แล้ว
ให้คน
ฺ ไปขาบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า “ท่านพระโคดฺมเถิงเวลาแล้ว ภัตตาหาร
แล้วๆ”
[๒๓] คันเวลาเชฺา้ พระผู้มีพระภาคชฺงคองอันตรวาสก ถืบาตรและจีวอนสเดัจพระ
พุทธดําเนีนไปยังนิเวศน์ของเวรัญชพรามณ์ ปะทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์พ้อม
ภิกษุสฺงฆ์ คันแล้วเวรัญช พรามณ์ ปะเคฺนของค้฽วของฉันอันปาณีตด้วยตฺวเอง เมื่อ
พระผู้มีพระภาคสเวียเสัดแล้วละพระหัตถ์จากบาตร จึ่งทูลถวายไตรจีวอนให้ชฺงคอง
และถวายผ้าคู่ให้ภิกษุคองฮูปละชุ ด พระผู้มีพระภาคชฺงชี้แจงให้เวรัญชพรามณ์เหัน
แจ้ง ชวนให้ญากฮับเอฺาไปปะติบัด ปุกใจให้อาจหานเกั่งก้า ปอบปะโลมใจให้สฺดชื่น
เบีกบานด้วยธัมมีกถาแล้วสเดัจจากไป พระพุทธอฺงค์ปะทับญู่ ณะ เมืองเวรัญชาตาม
พระอัธยาศัยแล้วได้สเดัจพระพุทธดําเนีนไปยังเมืองท่าปยาคะ บํ่ชฺงแวะเมืองโสเรย
ํ ้ งคาที่เมืองท่าปยาคะ สเดัจพระพุทธ
ยะ เมืองสังกัสสะ เมืองกัณณกุชชะ ชฺงข้ามแม่นาคฺ
ดําเนีนเถิงกุงพาราณสี คันปะทับที่กุงพาราณสีตามพระอัธยาศัยแล้ว สเดัจจาริกไปโดย
ลําดับ จฺนเถิงกุงเวสาลี ชาบว่าพระอฺงค์ปะทับญู่ ณะ กูฏาคารศาลา ป่ ามหาวัน เขตกุง
เวสาลีนนั้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 12 / 12 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เวรัญชภาณวาร จฺบ

๪๪๪๪๪๪๪๪๪๪ ໟ ๪๪๪๪๪๪๪๪๪๪

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๑ สุทินนภาณวาร


๑. ปาราชิกกัณฑ์
ปาราชิกสิกขาบฺทที ๑
ว่าด้วยการเสพเมถุ นธัม
สุทินภาณวาร

[๒๔] สมัยนัน ้ ที่หมู่บ้านกลันทคามบํ่ห่างจากกุงเวสาลี มีบุตรชายเสดถีชาวกลันทคาม


ชื่สุทิน มื้นึ่ง เขฺามีธุระบางญ่างจึ่งเดีนทางไปในกุงเวสาลีกับหมู่เพื่อน ขณะนัน
้ พระผู้มี
พระภาคกําลังปะทับนั่งสะแดงธัมห้อมล้อมด้วยบํริสัดจํานวนหลาย เขฺาได้เหันแล้ว มี
ความคิดว่า “เฮัดญ่างใดนํ เฮฺาจึ่งจะได้ฟังธัมนําเพิ่น” จึ่งเขฺาไปยั
้ งบํริสัดแล้วนั่ง ณะ
ที่สฺมควร ได้มีความคิดดั่งนี้ว่า “ธัมตามที่พระผู้มีพระภาคชฺงสะแดงนัน ้ เฮฺาเขฺาใจว่
้ า
ู่ องเฮือนจะปะพึดพรฺมจันย์ให้บํริสุดธ์ บํริบูรณ์ญ่างยิ่งเหมือนสังข์ท่ ขั
‘การที่ผู้ญค ี ดแล้ว

บํ่แม่นกะทําได้ง่าย’ ญ่ากะนันเลี ย เฮฺาควรจะปฺงผฺม โกนหนวด นุง ่ หฺ่มผ้ากาสายะออก
จากเฮือนไปบวชเปันอนาคาริก” ตํ่จากนัน ้ เมื่อพระผู้มีพระภาคชฺงชี้แจงให้เหันแจ้ง
ชวนให้ญากฮับเอฺาไปปะติบัด ปุกใจให้อาจหานเกั่งก้า ปอบปะโลมใจให้สฺดชื่นเบีก

บานด้วยธัมมีกถาแล้ว บํริสัดกํลุกขึนถวายบั งคฺมพระผู้มีพระภาค ทําประทักษิณ(วຽนไป
ทางขวา)แล้วจากไป
[๒๕] หลังจากบํริสัดจากไปบํ่ดฺน สุทินกลันทบุตรเขฺาไปเฝฺ
้ ้
าพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะ
ทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร สุทินกลันทบุตรผู้น่ ง
ั ณะ ที่สฺมควรแล้วได้
้ า ธัมตามที่พระผูม
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคดั่งนี้ว่า “พระพุทธเจฺาข้ ้ ีพระภาคชฺงสะแดงนัน ้
้ าใจว่
ข้าพระพุทธเจฺาเขฺ ้ า ‘การที่ผู้ญค
ู่ องเฮือนจะปะพึดพรฺมจันย์ให้บํริสุดธ์บํริบูรณ์ญ่า
งยิ่งเหมือนสังข์ท่ ขั
ี ดแล้ว บํ่แม่นกะทําได้ง่าย’ ข้าพระพุทธเจฺาปราถนาจะปฺ
้ งผฺม โกน
หนวด นุ่งหฺ่มผ้ากาสายะ ออกจากเฮือนมาบวช เปันอนาคาริก ขํพระผู้มีพระภาคชฺงพระ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 13 / 13


กรุณาให้ข้าพระพุทธเจฺาบวชด้ วยเถีด”
“สุทิน มารดาบิดาอนุยาตให้ท่านออกจากเฮือนบวชเปันอนาคาริกแล้วหลื”
“ยังบํ่ได้อนุยาต พระพุทธเจฺาข้
้ า”
“สุทิน พระตถาคฺตทังหลายย่อมบํ่บวชให้กุลบุตรที่มารดาบิดายังบํ่อนุยาต”
“ข้าพระพุทธเจฺา้ จักหาวิทีให้มารดาบิดาอนุยาตให้ข้าพระพุทธเจฺาออกจากเฮื
้ อนมา
้ า”
บวชเปันอนาคาริก พระพุทธเจฺาข้

ขํอนุยาตออกบวช

[๒๖] ตํ่มา สุทินกลันทบุตรทําธุระในกุงเวสาลีสําเรัดแล้ว กับไปหามารดาบิดาที่


กลันทคาม คันเถิงแล้วจึ่งก่าวกับมารดาบิดาดั่งนี้ว่า “ยาพํ่ยาแม่ ธัมตามที่พระผู้มีพระ
ภาคชฺงสะแดงนัน ้ ลูกเขฺาใจว่
้ า ‘การที่ผู้ญค
ู่ องเฮือนจะปะพึดพรฺมจันย์ให้บํริสุดธ์บํริ
บูรณ์ญ่างยิ่งเหมือนสังข์ท่ ขั
ี ดแล้วนี้บํ่แม่นกะทําได้ง่าย’ ลูกปราถนาจะปฺงผฺม โกนหนวด
นุ่งหฺ่มผ้ากาสายะ ออกจากเฮือนไปบวชเปันอนาคาริก ยาพํ่ยาแม่โปดอนุยาตให้ลูก
ออกไปบวชเปันอนาคาริกเถีด” เมื่อสุทินกลันทบุตรก่าวญ่างนี้ มารดาบิดาตอบว่า “ลูกสุ
้ นลูกคฺนด฽ว เปันที่ฮักที่ชอบใจของพํ่แม่ จะเรีนเตีบใหย่มาด้วยความสุข
ทิน เจฺาเปั
สะบาย ได้ฮับการล้฽งดูมาญ่างดี ความทุกข์ยากจักหน้อยนึ่งลูกกํยังบํ่ฮูจ
้ ัก เถิงลูกจะ
ตายไป พํ่แม่กํบ่ ํปราถนาจะจาก แล้วเหตุใด พํ่แม่จะยอมให้ลูกผู้ยังมีชีวิตญู่ ออกจาก
เฮือนไปบวชเปันอนาคาริกละ” สุทินกลันทบุตรได้ก่าวกับมารดาบิดาดั่งนี้เปันคังที ้ ๒

และคังที ั้
๓ แม่นแต่คงที ้ นลูกคฺนด฽ว ฯลฯ
๓ มารดาบิดากํตอบว่า “ลูกสุทิน เจฺาเปั
เหตุใดพํ่แม่จะยอมให้ลูกผู้ยังมีชีวิตญูอ
่ อกจากเฮือนไปบวชเปันอนาคาริกละ”
้ สุทินกลันทบุตรวิตฺกว่า มารดาบิดาบํ่อนุยาตให้เฮฺาบวชแน่ จึ่ง
[๒๗] ลําดับนัน
นอนเทิงพื้นที่บํ่มีเคื่องปูลาด ณะ ที่นันเอง
้ ตัดสินใจว่า เฮฺาจักตาย หลืจักได้บวช กํท่ ี
บ่อนนี้แหละ และแล้วเขฺากํอด ฺ อาหารไปเลื้อยๆ ตังแต่
้ ๑ มื้ ๒ มื้ ๓ มื้ ๔ มื้ ๕ มื้ ๖
มื้ จฺนเถิง ๗ มื้

มารดาบิดาบํ่อนุยาต

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 14 / 14 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ นลูกคฺนด฽ว เปันที่
้ มารดาบิดาของเขฺากํคฺงยืนยันว่า “ลูกสุทิน เจฺาเปั
[๒๘] เถิงปานนัน
ฮักที่ชอบใจของพํ่แม่ จะเรีนเตีบใหย่มาด้วยความสุขสะบาย ได้ฮับการล้฽งดูมาญ่างดี
ความทุกข์ยากจักหน้อยนึ่ง ลูกกํยังบํ่ฮูจ
้ ัก เถิงลูกจะตายไป พํ่แม่กํบ่ ปราถนาจะจาก

แล้วเหตุใดพํ่แม่จะยอมให้ลูกผู้ยังมีชีวิตญูอ่ อกจากเฮือนไปบวชเปันอนาคาริกได้ละ

ลุกขึนเถี ด ลูกสุทิน จฺ่งกิน จฺ่งดื่ม จฺ่งม่วนชื่น จฺ่งพํใจกินดื่ม ม่วนชื่นใช้สอยโภคชัพย์
เฮัดบุนเถีด เถิงญ่างใด พํ่แม่กํจะบํ่อนุยาตให้ลูกบวชแน่นอน” เมื่อมารดาบิดาก่าวญ่างนี้
สุทินกลันทบุตรได้น่ งเสี
ิ ้
ยเสั฽ มารดาบิดาได้ยืนยันกับสุทินกลันทบุตร แม่นว่าคังที ๒

และคังที ้ นลูกคฺนด฽ว เปันที่ฮัก เปันที่ชอบใจของพํ่แม่ ฯลฯ
๓ ว่า “ลูกสุทิน เจฺาเปั
ลูกสุทิน จฺ่งกิน จฺ่งดื่ม จฺ่งม่วนชื่น จฺ่งพํใจกินดื่ม ม่วนชื่นใช้สอยโภคชัพย์เฮัดบุนเถีด
เถิงญ่างใด พํ่แม่กํจะบํ่อนุยาตให้ลูกบวชแน่” สุทินกลันทบุตรกํได้น่ งเปัิ ้
นคังที ๓

พวกเพื่อนช่วยเจรจา

ตํ่มา พวกเพื่อนของสุทินกลันทบุตร พากันเขฺาไปหาเถิ


้ งที่ญู่ คันเถิงแล้วได้ปอบใจว่า
“สุทินเพื่อนฮัก เพื่อนเปันลูกคฺนด฽ว เปันที่ฮักที่ชอบใจของพํ่แม่ จะเรีนเตีบใหย่มา
ด้วยความสุขสะบาย ได้ฮับการล้฽งดูมาญ่างดี ความทุกข์ยากจักหน้อยนึ่ง เพื่อนกํยังบํ่ฮู้
จัก เถิงเพื่อนจะตายไป พํ่แม่กํบ่ ํปราถนาจะจาก แล้วเหตุใดพํ่แม่จะยอมให้เพื่อนผู้ยัง
มีชีวิตญูอ ้
่ อกจากเฮือนไปบวชเปันอนาคาริกได้ละ ลุกขึนเถี ดเพื่อนฮัก เพื่อนจฺ่งกิน จฺ่
งดื่ม จฺ่งม่วนชื่น พํใจกิน ดื่ม ม่วนชื่น ใช้สอยโภคชัพย์เฮัดบุนเถีด เถิงจะญ่างใด พํ่
ํ ยาตให้เพื่อนบวชแน่” เมื่อพวกเพื่อนก่าวญ่างนี้ สุทินกลันทบุตรกํได้แต่น่ ง
แม่กํบ่ อนุ ิ
เสีย พวกเพื่อนได้ปอบใจสุทินกลันทบุตรเปันคังที ้ ้
๒ ฯลฯ เปันคังที ๓ ว่า “สุทิน
เพื่อนฮัก เพื่อนเปันลูกคฺนด฽ว เปันที่ฮักที่ชอบใจของพํ่แม่ ฯลฯ พํ่แม่กํบ่ อนุ
ํ ยาตให้
เพื่อนบวชแน่นอน” สุทินกลันทบุตรกํได้น่ งเสี
ิ ้
ยเปันคังที ๓
[๒๙] ตํ่มา พวกสะหายพากันเขฺาไปหามารดาบิ
้ ดาของสุทินกลันทบุตรเถิงที่ญู่ ก่าวว่า
“ยาพํ่ยาแม่ขะน้อย สุทินนอนเทิงพื้นที่บํ่มีเคื่องปูลาด ตัดสินใจว่าเฮฺาจักตาย หลืจักได้
บวช กํท่ บ่
ี อนนี้แหละ ถ้ายาพํ่ยาแม่บ่ ยอมให้
ํ เขฺาบวช เขฺาจักตาย ณะ ที่บ่อนนันแน่
้ นอน
แต่ถ้ายอมให้เขฺาออกบวช ยาพํ่ยาแม่ กํยังจะได้พฺบเหันเขฺา แม่นบวชแล้ว ถ้าบํ่ยินดี
่ ่ ไป
จะบวชญูต ํ เขฺาจะมีทางไปที่ใดอื่นละ จะต้องกับมาที่นี้แหละ อนุยาตให้เขฺาบวช

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 15 / 15

เถีดขะน้อย” มารดาบิดาของสุทินจึ่งก่าวว่า “ลูกทังหลาย พํ่และแม่อนุยาตให้เขฺาบวช


ได้”

สุทินกลันทบุตรออกบวช

ตํ่มา พวกเพื่อนพากันเขฺาไปหาเขฺ
้ าเถิงที่ญู่ คันเถิงแล้วได้ก่าวกับสุทินกลันทบุตรดั่งนี้

ว่า “ลุกขึนเถี ดสุทินเพื่อนฮัก มารดาบิดาอนุยาตให้เพื่อนบวชแล้ว”
้ พํสุทินกลันทบุตรได้ชาบว่า มารดาบิดาอนุยาตให้บวช กํเบีกบานดีใจ
[๓๐] ทันใดนัน

หลาย ลุกขึนมาใช้ ฝ่ามืเช็ดตฺว บํารุงกําลังญู่ ๒-๓ มื้ แล้วไปเฝฺาพระผู
้ ้มีพระภาคเถิงที่
ปะทับ คันเถิงแล้วได้ถวายบังคฺมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร สุทินกลันท
ั ณะ ที่สฺมควรแล้วได้ขาบทูลพระผู้มีพระภาค ดั่งนี้ว่า “มารดาบิดาอนุยาตให้
บุตรผู้น่ ง

ข้าพระพุทธเจฺาออกจากเฮื อนมาบวชเปันอนาคาริกแล้ว ขํพระผู้มีพระภาคได้โปดบวช
้ วยเถีด พระพุทธเจฺาข้
ให้ข้าพระพุทธเจฺาด้ ้ า” สุทินกลันทบุตรได้ฮับการบันพะชาอุปสฺ
มบฺทในสํานักของพระพุทธเจฺา้ เมื่อบวชได้บ่ ดฺ
ํ น ท่านพระสุทินได้ถืธุดฺงควัตรดั่งนี้ คื
ญูป
่ ่ าเปันวัตร ๑ ท฽วบิณฑบาตเปันวัตร ๑ ใช้ผ้าบังสุกุลเปันวัตร ๑ ท฽วบิณฑบาตไป
ตามลําดับเฮือนเปันวัตร ๑ พักอาศัยญูใ่ ก้หมู่บ้านชาววัชชีตาแสงนึ่ง

พระสุทินกลันทบุตรไปย้ຽมบ้าน

สมัยนัน้ แคว้นวัชชีเกีดเขฺายากหมากแพง
้ ปะชาชฺนมีความเปันญูย
่ ากแค้น ใช้สลากปัน
ส่วนชื้อา หาร ลฺมตายกั
้ นกะดูกขาวเกื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ ท่าน
พระสุทินได้มีความคิดดั่งนี้ว่า บัดนี้ แคว้นวัชชีเกีดเขฺายากหมากแพง
้ ปะชาชฺนมีความ
่ าก แค้น ใช้สลากปันส่วน ชื้อาหาร ลฺมตายกั
เปันญูย ้ นกะดูกขาวเกื่อน ยากที่พระอริยะ
จะบิณฑบาตยังชีพได้ แต่ในกุงเวสาลี เฮฺามียาตญูจ ่ ํานวนหลาย ชึ่งล้วนแต่เปันคอบคฺว
มั่งคั่งมีชัพย์มาก มีโภคะมาก มีเงินมีทองมาก มีเคื่องปะดับมาก มีชัพย์และเขฺาเปื
้ อก
มาก ดั่งนัน ้ เฮฺาควรจะไปอาศัยพวกยาตญู่ พ้อมกันนัน้ พวกยาตกํจะอาศัยเฮฺาเฮัดบุน
ํ อดฮ้อนเรื้องบิณฑบาต คังนั
ถวายทาน ภิกษุทังหลายจักมีลาภและเฮฺากํบ่ เดื ้ น ้ ท่านพระ
สุทินจึ่งเกับเสนาสนะถืบาตรและจีวอนแล้วจาริกไปทางกุงเวสาลี ท฽วจาริกไปโดยลํา
ดับ จฺนเถิงกุงเวสาลี จึ่งได้พักญู่ ณะ กูฏาคารศาลา ป่ ามหาวัน เขตกุงเวสาลีนน
ั ้ บันดา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 16 / 16 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ยาตของท่าน พํชาบข่าวว่าพระสุทินกลันทบุตรกับมากุงเวสาลี จึ่งนําอาหาร ๖๐ ชุ ด


ไปถวาย ท่านสละอาหารทังหมฺดถวายภิกษุทังหลายแล้วคองอันตรวาสกถืบาตรและจี

วอนเขฺาไปบิ ณฑบาต ที่หมู่ บ้านกลันทคามในตอนเชฺา้ ท฽วบิณฑบาตไปในหมู่บ้าน
กลันทคามตามลําดับเฮือน ย่างตรฺงไปทางบ้านโยมบิดา
[๓๑] พํดข ี ณะนัน ้
้ ทาสยิงของยาตกําลังจะถิมขนฺ มกุมมาสค้างคืน ท่านบอกทาสยิงว่า
้ ่ งนัน
“ถ้าจะถิมสิ ้ กํจ่ งใส่
ฺ บาตรของอาตมาเถีด” ขณะที่ทาสยิงกําลังเคั่฽ขนฺมกุมมาสค้าง
คืนลฺงบาตร นางจื่เคฺามื
้ ตีน และนําสຽงของพระสุ
้ ทินได้ จึ่งฮีบเขฺาไปหามารดาของ

ท่านแล้วก่าวว่า “ยานายขะน้อย โปดชาบเถีดว่า พระสุทินบุตรยานายกับมาแล้ว ขะ

น้อย” มารดาของพระสุทินก่าวว่า “ถ้าท่านเวฺาแม่ นแท้ เฮฺาจะปฺดป่ อยท่านให้เปันไท”
[๓๒] ขณะที่ท่านพระสุทินกําลังนั่งพิงฝาเฮือนแห่งนึ่งฉันขนฺมกุมมาสค้างคืนญู่ พํดโ
ี ยม
บิดาของท่านย่างกับมาจากว฽ก ได้เหันท่านกําลังนั่งฉันขนฺมกุมมาสค้างคืนญู่ คันเหัน
แล้วจึ่งตรฺงเขฺาไปหาเถิ
้ งบ่อน คันเถิงแล้วได้ก่าวกับท่านพระสุทิน ดั่งนี้ว่า “แม่นหยัง
กันลูกสุทิน ลูกฉันขนฺมกุมมาสค้างคืนบํ ลูกควรไปบ้านของลูกบํ่แม่นบํ” ท่านพระสุทิน
ตอบว่า “อาตมาไปที่บ้านของโยมมาแล้ว ขนฺมกุมมาสค้างคืนนี้กํได้มาจากที่บ้านนัน”

้ บิดาจับแขนท่านพระสุทินก่าวว่า “มาเถีดลูกสุทินไปบ้านด้วยกัน” ท่านพระสุ
ทันใดนัน
ทินจึ่งย่างตรฺงไปบ้านของโยมบิดา คันเถิงแล้ว ได้น่ งเทิ
ั งอาสนะที่เขฺาจัดถวาย บิดา
ของท่านสุทินก่าวว่า “นิมฺนต์ท่านฉันเถีด” “บํ่ละโยม วันนี้อาตมาฉันอิ่มแล้ว” “ขํ
นิมฺนต์ฮับฉันภัตตาหารในมื้อื่นนี้เถีด” ท่านพระสุทินฮับนิมฺนต์โดยดุษณีภาพ แล้วกํลุก
จากอาสนะหลีกไป

บิดาวิงวอนให้ลาสิกขา

้ มารดาของพระสุทินสั่งให้เอฺามูลโคสฺดมาทาบทาพื้นดินแล้ว แบ่งชัพย์
[๓๓] ในคืนนัน
ออกเปัน ๒ กอง คื เงินกองนึ่ง คํากองนึ่ง เปันกองใหย่ท่ ๆกั
ํ น สูงท้วมสีษะ คฺนญืนญู่
ฟากพี้จะเบิ่งบํ่เหันคฺน ญืนญู่ฟากพุ้น คฺนญืนญู่ฟากพุ้นจะเบิ่งบํ่เหันคฺนญืนญู่ฟากพี้ ใช้เสื่อ
ลําแพนปิดกองชัพย์ไว้ ทางกางจัดอาสนะใช้ม่านล้อมเปันวฺง แล้วฮ฽กอดีตภัรยาของ
ท่านพระสุทินมาสั่งว่า “ลูกยิง ท่านจฺ่งแต่งกายด้วยอาภอนที่ลูกสุทินเคียฮักใค่ชอบใจ”
ลูกใพ้ฮับคําสั่งแม่ย่าโดยดี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 17 / 17

[๓๔] พํฮุ่งเชฺา้ ท่านพระสุทินคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปเถิ


้ งเฮือนโยมบิดา
คันเถิงแล้ว ได้น่ งเทิ
ั งอาสนะที่เขฺาจัดถวาย ลําดับนัน
้ โยมบิดาของท่านเขฺาไปหาแล้
้ ว
ให้ คฺน เปีดกองชัพย์ออก ก่าวว่า “ลูกสุทิน นี้คืชัพย์ฝ่ายมารดาเปันสฺมบัตฝ่ ายยิงที่ได้
ฮับมาทางฝ่ ายมารดา ของพํ่มีอีกต่าง หาก ส่วนของปู่ อีกต่างหาก ลูกสุทินจฺ่งกับมา
เปันครืหัสถ์เถีด จะได้ใช้สอยชัพย์สฺมบัตและเฮัดบุน” ท่านพระสุทินตอบว่า “โยม
อาตมาบํ่อาจบํ่สามาด อาตมายังพํใจปะพึดพรฺมจันย์ญ”ู่ โยมบิดาของพระสุทินวิงวอน

เปันคังที ้
๒ และเปันคังที ๓ ว่า “ลูกสุทิน นี้คืชัพย์ฝ่ายมารดาเปัน สฺมบัตฝ่ ายยิงที่ได้
ฮับมาทางฝ่ ายมารดา ของพํ่มีอีกต่าง หาก ส่วนของปู่ อีกต่างหาก ลูกสุทินจฺ่งกับมา
เปันครืหัสถ์เถีด จะได้ใช้สอยชัพย์สฺมบัตและ เฮัดบุน” ท่านพระสุทิน ตอบว่า
้ าแด่ ถ้าโยมบํ่ขัดข้อง” บิดาของท่านตอบว่า “นิมฺนต์เวฺาเถี
“อาตมาขํเวฺานํ ้ ด ลูกสุทิน”
้ โยมพํ่จฺ่งสั่งให้เฮัดไถ่ป่านน่วยใหย่ๆ บันจุเงินคําให้
ท่านพระสุทินก่าวว่า “ถ้าญ่างนัน
เต็ม บันทุกกว฽นไป แล้วโยนลฺงกางแม่นาคฺ ํ ้ งคา เพาะหยัง กํเพาะว่าโยมพํ่จะบํ่
ต้องญ้าน บํ่ต้องหวาดระแวง บํ่ต้องขฺนหฺวลุก บํ่ต้องมีการเบิ่งแยงฮักษา ชึ่งมีสาเหตุมา
ั้
จากชัพย์นนเลี ย” เมื่อท่านพระสุทินก่าวญ่างนี้ โยมบิดาของท่านเสั฽ใจด้วยคิดว่า ลูกสุ
ทินก่าวญ่างนี้ได้ญ่างใด

้ นที่ฮักใค่พํ
[๓๕] ตํ่มา บิดาของพระสุทินฮ฽กอดีตภัรยาของท่านมาสั่งว่า “ลูกยิง เจฺาเปั
ใจ บางทีลูกสุทินจะเชื่อเจฺาแด่
้ ้ นางจึ่งจับตีนทัง ๒ ของพระสุทิน พ้อมกับ
” ทันใดนัน

ถามว่า “ม่อมอ้าย นางอัปสอนพวกใดเดนํ ผู้เปันตฺนเหตุ ให้ม่อมอ้ายปะพึดพรฺมจันย์”
ท่านพระสุทินตอบว่า “น้องยิง อาตมาบํ่ได้ปะพึดพรฺมจันย์เพาะนางอัปสอนเปันเหตุ”
นางเสั฽ใจด้วยคิดว่า วันนี้ เปันมื้ทําอิดที่ม่อมอ้ายสุทินฮ฽กเฮฺาว่า ‘น้องยิง’ จึ่งลฺมสลฺ


บลฺงบ่อนนันเอง ท่านพระสุทินบอกโยมบิดาว่า “โยมพํ่ ถ้าโยมจะถวายโภชนะกํจ่ ง ฺ
ถวาย ญ่าเฮัดให้อาตมาลําบากใจเลีย” บิดาของท่านจึ่งนิมฺนต์ให้ฉัน จากนันมารดาบิ
้ ดา
ของท่านปะเคฺนของ ค้฽วของฉันอันปาณีต จฺนอิ่มหนํา จากนันมารดาบอกพระสุ
้ ทินผู้ฉัน
แล้ว ว่า “ลูกสุทิน ตะกูนเฮฺานี้มั่งคั่งมีชัพย์หลาย มีโภคะหลาย มีเงินมีคําหลาย มี
เคื่องปะดับหลาย มีชพ ้ อกหลาย ท่านควรกับมาเปันครืหัสถ์ จะได้ใช้สอย
ั ย์และเขฺาเปื
ชัพย์สฺมบัตและ เฮัดบุน มาเถีดลูกสุทิน กับมาเปันครืหัสถ์เถีด จะได้ใช้สอยชัพย์

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 18 / 18 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สฺมบัตและเฮัดบุน” ท่านพระสุทินตอบว่า “โยมแม่ อาตมาบํ่อาจบํ่สามาด อาตมายังพํ



ใจปะพึดพรฺมจันย์ญ”ู่ มารดาพระสุทินวิง วอนแม่นคังที ้
๒ คังที ๓ นางก่าวว่า “ลูกสุ
ทิน ตะกูนเฮฺานี้มั่งคั่งมีชัพย์หลาย มีโภคะหลาย มีเงินมีทองหลาย มีเคื่องปะดับหลาย
้ อกหลาย ลูกจฺ่งให้ผู้สืบเชื้อสายไว้ เจฺาลิ
มีชัพย์และเขฺาเปื ้ จฉวีจะได้บ่ ํฮิบเอฺามํรดฺกของ
เฮฺาที่ขาดผู้สืบสกุล” “ท่านโยม เรื้องนี้อาตมาพํจะเฮัดได้”
“เวลานี้ ลูกพักญูท่ ่ ใด”
ี ่ ่ ป่ี ามหาวัน” พระสุทินตอบแล้วลุกจากอาสนะหลีก
“อาตมาพักญูท
ไป

พระสุทินเสพเมถุ นธัม

[๓๖] หลังจากนัน ้ มารดาของท่านพระสุทินฮ฽กอดีตภัรยาพระสุทินมาสั่งว่า "ลูกยิง


เมื่อเถิงเวลาที่เจฺามี ้ องบอกแม่” นางฮับคํา ตํ่มาเมื่อ
้ ระดู ต่อมโลหิตเกีดมีแก่เจฺา้ เจฺาต้
้ ่ งบอกแม่ย่าว่า “ขะน้อยมีระดู ต่อมโลหิตเกีดแล้ว”
นางมีระดู ต่อมโลหิตเกีดขึนจึ
้ ่ งแต่งกายด้วยอาภอนที่ลูกสุทินเคียฮักใค่ชอบใจ
้ เจฺาจฺ
มารดาก่าวว่า “ลูกยิง ถ้าญ่างนัน
เถีด” นางกํปะติบัดตามคําของแม่ย่า ตํ่มา มารดาพาลูกใพ้ไปหาท่านพระสุทินที่ป่ ามหา
วัน ก่าวว่า “ลูกสุทิน ตะกูนเฮฺามั่งคั่งมีชัพย์หลาย มีโภคะหลาย มีเงินมีทองหลาย มี
เคื่องปะดับหลาย มีชพ ้ อกหลาย ลูกควรกับมาเปัน ครืหัสถ์ จะได้ใช้สอย
ั ย์และเขฺาเปื
ชัพย์สฺมบัตและเฮัดบุน” พระสุทินตอบว่า “อาตมาบํ่อาจ บํ่สามาด อาตมายังพํใจ

ปะพึดพรฺมจันย์ญ”ู่ มารดาพระสุทินวิงวอนเปันคังที ๒ และที ๓ ว่า “ลูกสุทิน ตะกูน
เฮฺานี้มั่งคั่ง ฯลฯ มีชัพย์และเขฺาเปื
้ อกหลาย ลูกจฺ่งให้ผู้สืบเชื้อสายไว้ เจฺาลิ
้ จฉวีจะ
ํ บเอฺามํรดฺกของเฮฺาที่ขาดผู้สืบสกุล” พระสุทินตอบว่า “โยม เรื้องนี้อาตมาพํ
ได้บ่ ฮิ
จะเฮัดได้” แล้วจับแขนอดีตภัรยา พาเขฺาป่ ้ ามหาวัน เพาะยังบํ่ได้บันญัตสิกขาบฺทจึ่ง
้ นภ์เพาะเหตุน้ี
เหันว่าบํ่มีโทษ ได้เสพเมถุ นธัมกับอดีตภัรยา เถิง ๓ คัง้ นางตังคั

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๑ สุทินนภาณวาร


ทวยเทพกะจายข่าว

้ มมะ กะจายข่าวว่า ท่านผู้จะเรีน ภิกษุสฺงฆ์บ่ เคี


ทวยเทพชันภุ ํ ยมีสน฽ดบํ่เคียมี

โทษ พระสุทินกลันทบุตร กํ่สน฽ด กํ่โทษขึนแล้ ้
ว ทวยเทพชันจาตุ มมหาราชสดับสຽง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 19 / 19

้ มมะแล้ว ได้กะจายข่าวตํ่ไป ฯลฯ ทวยเทพชันดาวดึ


ของทวยเทพชันภุ ้ งษ์ ฯลฯ ทวย

เทพชันยามา ้ สิต ฯลฯ ทวยเทพชันนิ
ฯลฯ ทวยเทพชันดุ ้ มมานรดี ฯลฯ ทวยเทพ

ชันปรนิ มมิตวสวัตดี ฯลฯ ทวยเทพที่นับเนื่องในหมู่พรฺมสดับสຽง แล้วกํกะจายข่าว
กันตํ่ไปว่า ท่านผู้จะเรีน ภิกษุสฺงฆ์บ่ ํเคียมีสน฽ด บํ่เคียมีโทษ พระสุทินกลันทบุตรกํ่

สน฽ด กํ่โทษขึนแล้ ว พຽงบึด ด฽วเทฺ่านัน ้
้ สຽงป่ าวปะกาดได้กะจายขึนไปเถิ งพรฺมโลก
ด้วยปะการดั่งนี้
ตํ่มา อดีตภัรยาของพระสุทินคันภ์แก่จ่ งคอดบุ
ึ ตร พวกเพื่อนของพระสุทินตังชื
้ ่
้ า เด็กชายพีชกะ ฮ฽กอดีตภัรยาของพระสุทินว่า พีชกมารดา ฮ฽กพระสุ
เด็ก คฺนนันว่
ทินว่าพีชกบิดา ตํ่มาทังมารดาทังบุตรได้ออกจากเฮือนไปบวชเปันอนาคาริก ได้สํา
เรัจเปันพระอรหันต์

พระสุทินเกีดความเดือดฮ้อนใจ

[๓๗] ตํ่มา พระสุทินเกีดความกุ้มใจเดือดฮ้อนใจว่า “บํ่แม่นลาภของเฮฺานํ เฮฺาบํ่มี


ลาภนํ เฮฺาได้ช่ วแล้
ฺ วนํ เฮฺาบํ่ได้ดีแล้วนํ เถิงจะเขฺามาบวชในพระธั
้ มวินัยที่พระผู้มีพระ
ภาคตรัสไว้ดีแล้ว กํยังบํ่สามาดปะพึดพรฺมจันย์ให้บํริสุดธ์บํริบูรณ์ได้ตลอดชีวิต” เพาะ
ความกุ้มใจ เดือดฮ้อนใจนัน ้ ท่านจึ่งจ่อยผอม หมองเสฺา้ หล่าเหลือง เสันเอ็
้ ้
นขึน
เตัมไปหมฺด มีเรื้องในใจ ใจหฺดหู่ เปันทุกข์ เสั฽ใจ เดือดฮ้อนใจ เสฺาชึ
้ ม

[๓๘] ฝ่ ายภิกษุผู้เปันเพื่อนของพระสุทิน ก่าวกับท่านสุทินว่า “ท่านสุทิน เมื่อก่อนท่าน


มีผิวพัณ เคั่งตึง ชุ ่มชื่น หน้าตาสฺดใส มีนามี
ํ ้ นวล แต่บัดนี้ เหันท่านจ่อยผอม หมอง

เสฺา้ หล่าเหลือง เสันเอ็ ้
นขึนเตั มไปหมฺด มีเรื้องในใจ ใจหฺดหู่ เปันทุกข์ เสั฽ใจ
้ ม ท่านบํ่ยินดีจะปะพึดพรฺมจันย์แล้วติบ”ํ พระสุทินตอบว่า “ท่านทัง
เดือดฮ้อนใจ เสฺาชึ
หลาย ความจิงบํ่แม่นผู้ข้าจะบํ่ยินดีปะพึด พรฺมจันย์ ผู้ข้ามีบาปกัมที่ทําไว้ คื ได้เสพ
เมถุ นธัมกับอดีตภัรยา ผู้ข้าจึ่งเกีดความกุ้มใจเดือดฮ้อนใจว่า บํ่แม่นลาภของเฮฺานํ
เฮฺาบํ่มีลาภนํ เฮฺาได้ช่ วแล้
ฺ วนํ เฮฺาบํ่ได้ดีนํ เถิงจะเขฺามาบวชในพระธั
้ มวินัยที่พระผู้มี
พระภาคตรัสไว้ดีแล้ว กํยังบํ่สามาดจะปะพึดพรฺมจันย์ ให้บํริสุดธ์บํริบูรณ์ได้ตลอด
ชีวิต” ภิกษุผู้เปันเพื่อนก่าวว่า “เปันจิงแท้ท่านสุทิน การที่ท่านเขฺามาบวชในพระธั
้ ม

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 20 / 20 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

วินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว แต่บ่ สามาดจะปะพึ


ํ ดพรฺมจันย์ให้บํริสุดธ์บํริบูรณ์
ได้ตลอดชีวิต กํพท ํ ่ จะเฮั
ี ดให้กุ้มใจ เดือดฮ้อนใจได้ พระผู้มีพระภาคชฺงสะแดงธัมไว้
โดยปะการต่างๆ เพื่อคายความกําหนัด บํ่แม่นเพื่อความกําหนัด เพื่อความพากไป บํ่
แม่นเพื่อความปะกอบไว้ เพื่อความบํ่ ถืหมัน
้ บํ่แม่นเพื่อความถืหมัน
้ บํ่แม่นบํ? เมื่อ
พระผู้มีพระภาคชฺงสะแดงธัมเพื่อคายความกําหนัด ท่านกํยังจะคิดเพื่อความกําหนัด ชฺง
สะแดงธัมเพื่อความพากไป ท่านกํยังจะคิดเพื่อความปะกอบไว้ ชฺงสะแดงธัมเพื่อ
้ ท่านกํยังจะคิดเพื่อมีความถืหมัน
ความบํ่ถืหมัน ้ พระผู้มีพระภาคชฺงสะแดง ธัมโดยปะ
การต่างๆ เพื่อคายถิมราคะ
้ เพื่อสว่างความเมฺา เพื่อดับความหิว เพื่อถอนความอาลัย
เพื่อตัดวัฏฏะ เพื่อความสินตั
้ ณหา เพื่อคายความกําหนัด เพื่อดับทุกข์ เพื่อนิพพาน บํ่
แม่นบํ พระผู้มีพระภาคตรัสบอกการละกาม การกําหนฺดฮูค
้ วามสําคันในกาม การกําจัด

ความหิวในกาม การเพีกถอนความสินไปในกาม การระงับความกัดกุ้มเพาะกามไว้
โดยปะการต่างๆ บํ่แม่นบํ การกะทําของท่านนัน ้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้
่ ล้วให้เหลื้อมใสยิ่งขึนได้
เหลื้อมใส หลืเฮัดให้คฺนที่เหลื้อมใสญูแ ้ เลีย ตามความเปัน
จิงแล้ว มันกับจะเฮัดให้คฺนที่บํ่เหลื้อมใสกํบ่ เหลื
ํ ้อมใสตํ่ไปเลีย คฺนที่เหลื้อมใสญู่
แล้วบางพวกกํจะกายเปันอื่นไป”

[๓๙] คันภิกษุผู้เปันเพื่อนเหลฺ่านันตํ
้ าหนิพระสุทินโดยปะการต่างๆ แล้วนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺง
สอบถามท่านพระสุทินว่า “สุทิน ชาบว่า ท่านเสพเมถุ นธัมกับอดีตภัรยาแม่นแท้บํ”
้ า” พระผู้มีพระภาคชฺงตําหนิว่า “โมฆบุรุษ
พระสุทินทูลฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้
การกะทําของท่านบํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้
ํ บํ่
ควรกะทําเลีย ท่านบวชในธัมวินัยที่เฮฺาก่าวดีแล้ว จั่งใดจึ่งบํ่สามาดปะพึดพรฺมจันย์
ให้บํริสุดธ์บํริบูรณ์ได้ตลอดชีวิตละ เฮฺาสะแดงธัมโดยปะการต่างๆ เพื่อคายความ
กําหนัด บํ่แม่นเพื่อความกําหนัด เพื่อความพาก บํ่แม่นเพื่อความปะกอบไว้ เพื่อ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 21 / 21

้ บํ่แม่นเพื่อความถืหมัน
ความบํ่ถืหมัน ้ บํ่แม่นบํ เมื่อเฮฺาสะแดงธัมเพื่อคายความกําหนัด
ท่านกํยังจะคิดเพื่อความกําหนัด เฮฺาสะแดงธัมเพื่อความพาก ท่านกํยังจะคิดเพื่อความ
ปะกอบไว้ เฮฺาสะแดงธัมเพื่อความบํ่ถืหมัน
้ ท่านกํยังจะคิดเพื่อมีความถืหมัน
้ เฮฺาสะ
แดงธัมโดยปะการต่างๆ เพื่อคายถิมราคะ
้ เพื่อสว่างความเมฺา เพื่อดับความหิว เพื่อ
ถอนความอาลัย เพื่อตัดวัฏฏะ เพื่อความสินตั ้ ณหา เพื่อคายความกําหนัด
เพื่อดับทุกข์ เพื่อนิพพาน บํ่แม่นบํ เฮฺาบอกการละกาม การกําหนฺดฮูค
้ วามสําคันในกาม

การกําจัดความหิวในกาม การเพีกถอนความสินไปในกาม การระงับความกัดกุ้มเพาะ
กามไว้โดยปะการต่างๆ บํ่แม่นบํ โมฆบุรุษ ท่านสอดอฺงคชาตเขฺาปากอสํ
้ รพิษฮ้ายเสั฽ยัง
้ งค์กําเนีดสตรี สอดอฺงคชาตเขฺาปากง
ดีกว่าสอดอฺงคชาตเขฺาอฺ ้ เู หฺ่าเสั฽ยังดีกว่า
สอดอฺงคชาตเขฺา้ อฺงค์กําเนีดสตรี สอดอฺงคชาตเขฺาหลุ
้ มถ่านไฟเสั฽ยังดีกว่า
สอดอฺงคชาตเขฺาอฺ้ งค์กําเนีดสตรี เพาะหยังละ เพาะผู้สอดอฺงคชาตเขฺาปากอสํ
้ รพิษฮ้าย
เปันตฺน ้
้ เพิงเถิงความตายหลืทุกข์ปางตายเพาะการกะทํานันเปั นเหตุ หลังจากตาย
แล้วกํบ่ ต้
ํ องไปบังเกีดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรฺก ส่วนผู้สอดอฺงคชาตเขฺา้ อฺงค์กําเนีด
สตรี หลังจากตายแล้วต้องไปบังเกีดในอบายทุคติ วินิบาต นรฺก โมฆบุรุษ ในการที่
ท่านเสพอสัทธัม ชึ่งเปันปะเวณีของชาวบ้าน มารยาทของคฺนชันตํ ้ ่ า กิริยาชฺ่วหยาบ มี
้ นที่สุด เปันกิจที่จะต้องกะทําในที่ลับ ต้องทํากันสองตํ่สองนี้มีโทษหลาย ท่าน
นําเปั
เปันคฺนทําอิดที่กํ่อกุศฺลธัมก่อนใผหมฺด การกะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้ คฺนที่ยังบํ่เหลื้อม
ใสให้เหลื้อมใส หลืเฮัดให้คฺนที่เหลื้อมใสญูแ ่ ล้วให้เหลื้อมใสยิ่งขึนได้
้ เลีย ที่จิง
แล้ว มันกับจะเฮัดให้คฺนที่บํ่เหลื้อมใสกํบ่ เหลื
ํ ้อมใสไปเลีย คฺนที่เหลื้อมใสญูแ
่ ล้วบาง
พวกกํจะกายเปันอื่นไป”
คันพระผู้มีพระภาคชฺงตําหนิพระสุทินโดยปะการต่างๆแล้ว ได้ตรัสโทษแห่ง
ความเปันคฺน ล้฽งยาก บํารุงยาก มักมาก บํ่สันโดษ ความเกือกกฺว
้ ความก฽ดค้าน
ตรัสคุณแห่งความเปันคฺน ล้฽งง่าย บํารุงง่าย มักน้อย สันโดษ ความขัดเกฺา ความ
กําจัดกิเลส อาการหน้าเหลื้อมใส การบํ่สะสฺม การปารฺภความพ฽ນโดยปะการต่างๆ
ชฺงสะแดงธัมมีกถาให้เหมาะสฺม ให้ค้อยตามกับเรื้องนัน ้ แล้วฮับสั่งกับภิกษุทังหลาย
ว่า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 22 / 22 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ั ้ เฮฺาจะบันญัตสิกขาบฺทแก่ภิกษุทังหลาย โดยอาศัยอํานาจ
“ภิกษุทังหลาย เพาะเหตุนน
ปโยด ๑๐ ปะการ คื
๑. เพื่อความฮับว่าดีแห่งสฺงฆ์
๒. เพื่อความผาสุกแห่งสฺงฆ์
๓. เพื่อขฺ่มบุคคฺลผู้เกื้อกูนยาก
๔. เพื่อความญูผ่ าสุกแห่งเหลฺ่าภิกษุผู้มีศีลดีงาม
๕. เพื่อปิดกันอาสวะทั
้ งหลายอันจะบังเกีดในปัจจุบัน
๖. เพื่อกําจัดอาสวะทังหลายอันจะบังเกีดในอนาคต
๗. เพื่อความเหลื้อมใสของคฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใส
๘. เพื่อความเหลื้อมใสยิ่งขึนไปของคฺ
้ นที่เหลื้อมใสแล้ว
๙. เพื่อความตังหมั
้ ้
นแห่ งสัทธัม
๑๐. เพื่อเอื้อเฟื้ อวินัย”
แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลาย ยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
้ ่ งนี้

พระบันญัต

ั้
กํ ภิกษุใดเสพเมถุ นธัม ภิกษุนนเปันปาราชิก หาสังวาสบํ่ได้ สิกขาบฺทนี้ พระผู้มีพระ
ภาคชฺงบันญัตไว้แก่ภิกษุทังหลายญ่างนี้

สุทินภาณวาร จฺบ

๪๪๪๪๪๪๪๪๪๪ ໟ ๪๪๪๪๪๪๪๪๪๪

เรื้องลิงโตแม่

[๔๐] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งให้อาหารล้฽งลิงโตแม่ในป่ ามหาวัน กุงเวสาลี แล้วเสพ


้ คันเวลาเชฺา้ ท่านคองอันตรวาสก ถืบาตรและจีวอนไป
เมถุ น ธัมกับนางลิงนัน
บิณฑบาตในกุงเวสาลี ตํ่มาภิกษุหลายฮูบจาริกไปตามเสนาสนะ ย่างผ่านไปทางที่ญูข
่ อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 23 / 23

ภิกษุนน ้ าลังย่างมาแต่ไกจึ่ง ย่างเขฺาไปหาแล้


ั ้ นางลิงเหันภิกษุเหลฺ่านันกํ ้ วส่ายแอว
้ น
แกว่งหาง โก่งกฺนขึ ้ ทําท่าทางต่างๆ ตํ่หน้าภิกษุเหลฺ่านัน ้ จึ่งพากัน
้ ภิกษุเหลฺ่านัน
้ ่ นคฺงจะเสพเมถุ นธัมกับนางลิงตฺวนี้แน่นอน แล้วจอบญู่ ณะ ที่
สันนิษฐานว่า ภิกษุเจฺาถิ
กําบังแห่งนึ่งจฺนเมื่อภิกษุเจฺาถิ
้ ่ นท฽วบิณฑบาตในกุงเวสาลี แล้วถือาหารบิณ ฑบาตกับ
มา

[๔๑] ขณะนัน้ นางลิงได้เขฺาไปหาภิ


้ ้ ่ นนัน
กษุเจฺาถิ ้ ่ นฉันบิณฑบาตนันส่
้ คันภิกษุเจฺาถิ ้ วนนึ่ง
แล้ว ได้แบ่งอีกส่วนนึ่งให้แก่นางลิง เมื่อมันกินอาหารแล้วได้โก่งกฺนให้ ้ ้ ่น
ภิกษุเจฺาถิ
จึ่งเสพเมถุ นธัมกับมัน ทันใดนัน
้ ภิกษุเหลฺ่านันออกจากที
้ ้ ่ นว่า
่ ลี้ญู่ ก่าวกับภิกษุเจฺาถิ
“ท่าน พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้วบํ่แม่นบํ เหตุใด ท่านจึ่งเสพเมถุ นธัม
กับนางลิงนี้ละ” ท่านก่าวแย้งว่า “แม่นแท้ท่านทังหลาย พระผู้มีพระภาคได้ชฺงบันญัต
สิกขาบฺทไว้แล้ว แต่สิกขาบฺทนัน ้ ใช้สะเพาะกับยิงมนุษย์ บํ่ใช้ในสัตว์เดั฽ระสาน โต
แม่” ภิกษุเหลฺ่านันก่
้ าวว่า “พระบันญัตนันใช้
้ ได้เหมือนกันทังในยิงมนุษย์และในสัตว์
เดั฽ระสานโตแม่บ่ แม่
ํ นบํ การกะทําของท่านบํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะ สฺม บํ่แม่น
กิจของสมณะ ใช้บ่ ได้ ํ บํ่ควรทําเลีย ท่านบวชในพระธัมวินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้
ดีแล้ว จั่งใดจึ่งบํ่สามาดปะพึดพรฺมจันย์ให้บํริสุดธ์บํริบูรณ์ได้ตลอดชีวิตละ พระผู้มี
พระภาค ชฺงสะแดงธัมโดยปะการต่างๆ เพื่อคายความกําหนัด บํ่แม่นเพื่อความกําหนัด
ฯลฯ ตรัสบอกการระงับความกัดกุ้มเพาะกามไว้โดยปะการต่างๆ บํ่แม่นบํ การเฮัดญ่าง
นี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส หลืเฮัดให้คฺนที่เหลื้อมใสญูแ ่ ล้วให้
เหลื้อมใสยิ่งขึนได้
้ เลีย ที่แม่นแท้กับจะเฮัดให้คฺนที่บํ่เหลื้อมใสกํบ่ เหลื
ํ ้อมใสไปเลีย
คฺนที่เหลื้อมใสญูแ
่ ล้วบางพวกกํจะกายเปันอื่นไป” คันภิกษุเหลฺ่านันตํ
้ าหนิภิกษุนนโดย
ั้
ปะการต่างๆ แล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตอนุบันญัต

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
[๔๒] ลําดับนัน ้ ชฺง
ั ้ า “ภิกษุ ชาบว่า ท่านเสพเมถุ นธัมกับนางลิง แม่นแท้บ”ํ ท่าน ทูลฮับ
สอบถามภิกษุนนว่
ว่า “แม่นแท้ พระพุทธเจฺาข้้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษ การ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 24 / 24 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

กะทําของท่านบํ่สฺม ควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้


ํ บํ่ควร
ทํา ท่านบวชในธัมวินัยที่เฮฺาก่าวดีแล้ว จั่งใดจึ่งบํ่สามาดปะพึดพรฺมจันย์ให้บํริสุดธ์บํ
ริบูรณ์ได้ตลอดชีวิตละ เฮฺาสะแดงธัมโดยปะการต่างๆ เพื่อคายความกําหนัด ฯลฯ เฮฺา
บอกการระงับความกัดกุ้มเพาะกามไว้โดยปะการต่างๆ บํ่แม่นบํ?

โมฆบุรุษ ท่านสอดอฺงคชาตเขฺาปากอสํ ้ งค์
รพิษฮ้ายเสั฽ยังดีกว่าสอดอฺงคชาตเขฺาอฺ

กําเนีดนางลิง สอดอฺงคชาตเขฺาปากง เู หฺ่าเสั฽ยังดีกว่าสอดอฺงคชาตเขฺาอฺ
้ งค์กําเนีดนางลิง

สอด อฺงคชาตเขฺาหลุ ้ งค์กําเนีดนางลิง เพาะหยัง
มถ่านไฟเสั฽ยังดีกว่าสอดอฺงคชาตเขฺาอฺ

ละ เพาะผู้สอดอฺงค ชาต เขฺาปากอสํ ้ อาดเถิงความตายหลืทุกข์ปางตาย
รพิษฮ้ายเปันตฺน

เพาะการกะทํานันเปันเหตุ หลังจากตายแล้วกํบ่ ต้
ํ องไปบังเกีดในอบาย ทุคติ วินิบาต
้ งค์กําเนีดนางลิง หลังจากตายแล้วต้องไปบังเกีดใน
นรฺก ส่วนผู้สอดอฺงคชาตเขฺาอฺ
อบาย ทุคติ วินิบาต นรฺก
โมฆบุรุษ ในการที่ท่านเสพอสัทธัมชึ่งเปันปะเวณีของชาวบ้าน มารยาทของคฺน
ํ ้ นที่สุด เปันกิจที่จะต้องกะทําในที่ลับ ต้องทํากันสองตํ่
้ ่ า กิริ ยาชฺ่วหยาบ มีนาเปั
ชันตํ
สองนี้มีโทษหลาย
โมฆบุรุษ การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส หลื
เฮัดให้คฺนที่เหลื้อมใสญูแ ่ ล้วให้เหลื้อมใสยิ่งขึนได้
้ เลีย ที่แม่นแท้กับจะเฮัดให้คฺน
ที่บํ่เหลื้อมใสกํบ่ เหลื
ํ ้อมใสไปเลีย คฺนที่เหลื้อมใสญู่แล้วบางพวกกํจะกายเปันอื่นไป”
แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
้ ่ งนี้

พระอนุบันญัต

อีกญ่างนึ่ง ภิกษุใดเสพเมถุ นธัม โดยที่สุดแม่นแต่กับสัตว์เดั฽ระสานโตแม่ ภิกษุ


้ นปาราชิก หาสังวาสบํ่ได้
นันเปั
สิกขาบฺทนี้ พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตไว้แก่ภิกษุทังหลายญ่างนี้

เรื้องลิงโตแม่ จฺบ

๧๧๧๧๧๧ ໟ ๧๧๧๧๧๧

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 25 / 25

สันถตภาณวาร
เรื้องพวกภิกษุวัชชีบุตร

้ พวกภิกษุวัชชีบุตรชาวกุงเวสาลีหลายฮูบฉันอาหาร จําวัดและสฺงนําพํ
[๔๓] สมัยนัน ้

แก่ความต้องการ มีความตังใจโดยบํ ่ เขฺาท่
้ า บํ่บอกคืนสิกขา บํ่เปีดเผียความทํแท้
้ พา
กันเสพเมถุ นธัม ตํ่มา พวกท่านถืกความเสื่อมยาต ความเสื่อมโภคะและโรคหุ้มล้อม
จึ่งเขฺาไปหาท่
้ านพระอานฺนท์ ฮ฽นว่า “ท่านพระอานฺนท์ พวกผู้ข้าบํ่ติต฽นพระพุทธ บํ่ติ
ต฽นพระธัม บํ่ติต฽นพระสฺงฆ์ พวกผู้ข้าติต฽นตฺนเอง บํ่ติต฽นผู้อ่ น ื พวกผู้ข้าบํ่มีวาสนา
มีบุนหน้อย บวชในพระ ธัมวินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว บํ่สามาดจะปะพึดพรฺม
จันย์ให้บํริสุดธ์บํริบูรณ์ได้ตลอดชีวิต บัดนี้ ถ้าพวกผู้ข้าได้บันพะชา อุปสฺมบฺทในสํานัก
พระผู้มีพระภาคอีก พวกผู้ข้าเพิงเหันแจ้งกุศฺลธัม หมั่นปะกอบความ พ฽ນในการ
จะเรีนโพธิปก ้
ั ขิยธัมตังแต่ หฺวคํ่าจฺนฮุ่งแจ้ง พวกผู้ขา้ ขํโอกาส ท่านพระอานฺนท์ ได้
โปดขาบทูลเรื้องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเถีด” พระอานฺนท์ฮับคําแล้วเขฺาไปเฝฺ
้ ้
าพระผู ้มีพระ
ภาคเถิงที่ปะทับ คันเถิงแล้วได้ขาบทูลเรื้องนี้ให้ชฺงชาบ พระผู้มพ
ี ระภาคตรัสว่า
“อานฺนท์ บํ่แม่นฐานะ บํ่แม่นโอกาสที่ตถาคฺตจะถอนปาราชิกสิก ขาบฺท ที่บันญัตแก่สาวฺก
้ พระผูม
ทังหลาย เพาะพวกวัชชีหลืวัชชีบุตรเปันเหตุ” ลําดับนัน ้ ีพระภาคชฺงสะแดงธัม
มีกถาเพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
้ แล้ว ฮับสั่งกับภิกษุทังหลายว่า “ภิกษุทังหลาย ผู้ใดเปัน
ภิกษุ บํ่บอกคืนสิกขา บํ่เปีดเผียความทํแท้้ เสพเมถุ นธัมทังที่ยังเปันภิกษุ ผู้นนมาแล้
ั้ ว
สฺงฆ์บ่ เพิ
ํ งให้อุปสฺมบฺท แต่ผู้ใดเปันภิกษุ บอกคืนสิกขา เปีดเผียความทํแท้ ้ แล้วเสพ
ั้
เมถุ นธัม ผู้นนมาแล้ ว สฺงฆ์เพิงให้อุปสฺมบฺท” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิก

ขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
่ งนี้

พระอนุบันญัต

[๔๔] อีกญ่างนึ่ง ภิกษุใดเถิงพ้อมด้วยสิกขาและสาชีพของภิกษุทังหลาย บํ่บอกคืน


้ เสพเมถุ นธัมโดยที่สุด แม่นแต่กับสัตว์เดั฽ระสานโตแม่
สิกขา บํ่เปีดเผียความทํแท้
ั้ นปาราชิก หาสังวาสบํ่ได้
ภิกษุนนเปั

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 26 / 26 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เรื้องพวกภิกษุวัชชีบุตร จฺบ

๧๧๧๧๧๧ ໟ ๧๧๧๧๧๧

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๑ สิกขาบฺทวิภังค์


สิกขาบฺทวิภังค์

[๔๕] คําว่า อีกญ่างนึ่ง...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด มีการงาน มีชาติวันณะ มีช่ ื มีตะกูน มี


ลักษณนิสัย มีคุณธัมมีอารฺมณ์ญ่างใด เปันเถระ นวกะหลืมัชฌิมะนี้ ที่พระผู้มีพระภาค
ตรัสว่า อีกญ่างนึ่ง...ใด
คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ชื่ว่า ภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ชื่ว่า ภิกษุ เพาะอาศัยการท฽วขํ
ชื่ว่า ภิกษุ เพาะใช้ผืนผ้าที่ถืกเฮัดให้เสั฽ราคา ชื่ว่า ภิกษุ เพาะฮ฽กกันโดยโวหาร ชื่
ว่า ภิกษุ เพาะการปะติยานตฺน ชื่ว่าภิกษุ เพาะพระพุทธเจฺาชฺ ้ งบวชให้ ชื่ว่าภิกษุ เพาะ
เปันผู้อุปสฺมบฺทด้วยไตรสรณคฺมน์ ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้จะเรีน ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้มี
สาระ ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ยังต้องศึกษา ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้บ่ ต้
ํ องศึกษา ชื่ว่าภิกษุ
เพาะเปันผู้ท่ สฺ
ี งฆ์ พ้อมพ฽งกันอุปสฺมบฺทให้ ด้วยญัตติจตุตถกัมที่ถืกต้อง สฺมควรแก่
เหตุ ในภิกษุท่ ีก่าวมานัน
้ ภิกษุ ผู้ท่ สฺ
ี งฆ์พ้อมพ฽งกัน อุปสฺมบฺทให้ด้วยญัตติจตุตถกัม
ที่ถืกต้องสฺมควรแก่เหตุน้ที
ี ่ พระผู้มีพระภาคชฺงปะสฺงค์เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
คําว่า สิกขา ได้แก่ สิกขา ๓ ญ่าง คื อธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปญ ั ญา
สิกขา ในสิกขา ๓ นัน ้ อธิสีลสิกขานี้ที่ชฺงปะสฺงค์เอฺาในความหมายนี้ที่ชื่ว่า สาชีพ
หมายเถิง สิกขาบฺทที่พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตไว้ ภิกษุศึกษาสาชีพนัน
้ เหตุนน ั ้ พระผู้มี
พระภาคจึ่งตรัสว่า ผูเ้ ถิงพ้อมด้วยสาชีพ
คําว่า บํ่บอกคืนสิกขา บํ่เปีดเผียความทํแท้
้ มีพุทธาธิบายว่า ภิกษุทังหลาย การ
เปีดเผียความทํแท้้ แต่บ่ เปั ้ และเปันการ
ํ นการบอกคืนสิกขากํมี การเปีดเผียความทํแท้
บอกคืนสิกขากํมี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 27 / 27

๨๨๨๨๨๨๨๨๨๨๨๨๨๨๨๨๨๨

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๑


บฺทภาชนีย์ สันถตภาณวาร

บฺทภาชนีย์
ลักษณะที่บํ่เปันอันบอกคืนสิกขา

ภิกษุทังหลาย ญ่างใด ชื่ว่าการเปีดเผียความทํแท้


้ แต่บ่ เปั
ํ นการบอกคืนสิกขา

๑. การบอกคืนสิกขาด้วยการใช้คําฮําเพิง ๑๔ บฺท

(๑) ภิกษุทังหลาย ภิกษุในธัมวินัยนี้ กะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย


ก฽ดชังเพศภิกษุ ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ปราถนาจะเปันอุบาสฺก ปราถนาจะเปันคฺนวัด
ปราถนาจะเปันสามเณร ปราถนาจะเปันเดั฽ระถีย์ ปราถนาจะเปันสาวฺกเดั฽ระถีย์
ปราถนาจะบํ่เปันสมณะ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร บอกให้ผู้อ่ นฮูื ว ้ ่า “จั่ง
้ งบอกคืนพระพุทธเจฺา”
ใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ ้ ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ ที่ชื่ว่าเปันการ
้ แต่บ่ เปั
เปีดเผียความทํแท้ ํ นการบอกคืนสิกขา
(๒) อีกปะการนึ่ง ภิกษุในธัมวินัย กะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย
ก฽ดชังเพศภิกษุ ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร
บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ งบอกคืนพระธัม (๓) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู
้ ่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ ื ว้ ่า จั่ง
้ งบอกคืนพระสฺงฆ์ (๔) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู
ใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ ้ ่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ
ื ว ้ งบอก
คืนสิกขา (๕) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ
้ งบอกคืนพระวินัย (๖) ...บอกให้
ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ งบอกคืนพระปาติโมกข์ (๗) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู
้ ่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ ื ้ว่า จั่งใดนํ
ข้าพะเจฺาเพิ้ งบอกคืนอุทเทส (๘) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ้ว่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ
้ งบอกคืนพระ
ั ฌาย์ (๙) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู
อุปช ื ว้ ่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ
้ งบอกคืนพระอาจารย์ (๑๐) ...
บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ งบอกคืนสัทธิวิหาริก (๑๑) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู
้ ่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ ื ว ้ ่า
้ งบอกคืนอันเตวาสิก (๑๒) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู
จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ ื ว ้ ่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 28 / 28 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เพิงบอกคืนภิกษุผฮ ั ฌาย์ (๑๓) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู


ู้ ่วมอุปช ื ว้ ่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ
้ งบอกคืน
ภิกษุผู้ฮ่วมอาจารย์ (๑๔) ...บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ งบอกคืนเพื่อนพรฺม
้ ่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ
จารี
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื า เปันการเปีดเผียความทํแท้ แต่บ่ เปั
ํ นการบอก
คืนสิกขา

๒. การบอกคืนสิกขาด้วยการใช้คําฮําเพิงกําหนฺดภาวะ ๘ บฺท

(๑) ภิกษุในธัมวินัยนี้ กะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ดชังเพศภิกษุ


ปราถนา จะเปันครืหส ั ถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร บอกให้ผู้อ่ นฮู ื ้
ว่า จั่งใดนํ ข้าพะเจฺาเพิ
้ งเปันครืหัสถ์ (๒) ...เพิงเปันอุบาสฺก (๓) ...เพิงเปันคฺนวัด (๔)
...เพิงเปันสามเณร (๕) ...เพิงเปันเดั฽ระถีย์ (๖) ...เพิงเปันสาวฺกเดั฽ระถีย์ (๗) ...เพิง
เปันผู้บ่ แม่ ํ นเชื้อสายพระศากยบุตร
ํ นสมณะ (๘) ...เพิงเปันผู้บ่ แม่
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ แต่บ่ เปั
ํ นการบอกคืน
สิกขา

๓.-๑๐. การบอกคืนสิกขาด้วยการใช้คําปริกัป ๑๔ บฺทและ ๘ บฺท

[๔๖] (๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุในธัมวินัยนี้ กะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อ


หน่าย ก฽ดชังเพศภิกษุ ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระ
ศากยบุตร บอกให้ผอ ู้ ่ นฮู
ื ว ้ งบอกคืนพระพุทธเจฺา...
้ ่า กํถ้าว่า ข้าพะเจฺาเพิ ้ (๘) ภิกษุบอก
ให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า กํถ้าว่า ข้าพะเจฺาเพิ ํ นเชื้อสายพระศากยบุตร... (๑) ภิกษุบอก
้ งเปันผู้บ่ แม่
ให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า กํถ้าว่า ข้าพะเจฺาเพิ ้ (๘) ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ งบอกคืนพระพุทธเจฺา... ื ว ้ ่า กํ
ถ้าว่า ข้าพะเจฺาเพิ ํ นเชื้อสายพระศากยบุตร...(๑) ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ งเปันผู้บ่ แม่ ื ้ว่า เอฺา
เถาะ ข้าพะเจฺาเพิ ้ (๘) ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ งบอกคืนพระพุทธเจฺา... ื ว ้ ่า เอฺาเถาะเถาะ ข้า
พะเจฺาเพิ ํ นเชื้อสายพระศากยบุตร... (๑) ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ งเปันผู้บ่ แม่ ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺามี
้ งบอกคืนพระพุทธเจฺา...
ความดําริว่า ข้าพะเจฺาเพิ ้ (๘) ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺามี
ํ นเชื้อสายพระศากยบุตร
้ งเปันผู้บ่ แม่
ความดําริว่า ข้าพะเจฺาเพิ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 29 / 29

ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้


ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ แต่บ่ เปั
ํ นการบอก
คืนสิกขา

๑๑. การบอกคืนสิกขาด้วยการใช้คําอ้างวัตถุ ท่ ีระนึก ๑๗ บฺท

[๔๗] (๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุกะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ดชัง


เพศภิกษุ ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร บอก
ให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงมารดา (๒) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮูื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ ก
เถิงบิดา (๓) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงอ้าย น้องชาย (๔) ...ภิกษุบอก
ให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงเอื้อย น้องสาว (๕) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า ข้า

พะเจฺาระนึ กเถิงบุตร (๖) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงธิดา (๗) ...ภิกษุ
บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงภัรยา (๘) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ ก
เถิงหมู่ยาต (๙) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮูื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงหมูม
่ ิตร (๑๐) ...ภิกษุบอก
ให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงบ้าน (๑๑) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิง
ฺ (๑๒) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
นิคม ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงนา (๑๓) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า

ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงสวน (๑๔) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ้
ื ้ว่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงเงิน (๑๕) ...
ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงคํา (๑๖) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระ
นึกเถิงศิลปะ (๑๗) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮูื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาระนึ กเถิงการหฺวยิม ้ การเจรจา

การหลินในคั ้ อน
งก่
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ แต่บ่ เปั
ํ นการบอก
คืนสิกขา

๑๒. การบอกคืนสิกขาด้วยการใช้คําสะแดงความห่วงใย ๙ บฺท

[๔๘] (๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุกะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ดชัง


เพศภิกษุ ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร บอก
ให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ มารดาที่ต้องล้฽งดู (๒) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ ่า ข้าพะเจฺามี ื ว ้ บิดา
้ ่า ข้าพะเจฺามี
ที่ต้องล้฽งดู (๓) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮูื ว ้ อ้าย น้องชายที่ต้องล้฽งดู (๔) ...
้ ่า ข้าพะเจฺามี
ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ื ว ้ เอื้อยน้อง สาวที่ต้องล้฽งดู (๕) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ ่า ข้าพะเจฺามี ื ้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 30 / 30 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ บุตรที่ต้องล้฽งดู (๖) ...ภิกษุบอกให้ผู้ อื่น ฮูว


ว่า ข้าพะเจฺามี ้ ธิดาที่ต้องล้฽ง
้ ่าข้าพะเจฺามี
ดู (๗) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ้ว่า ข้าพะเจฺามี้ ภัรยาที่ต้องล้฽งดู
(๘) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ หมู่ยาตที่ต้องล้฽งดู (๙) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ ่า ข้าพะเจฺามี ื ้
ิ รที่ต้องล้฽งดู
ว่า ข้าพะ เจฺา้ มีหมู่มต
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ แต่บ่ เปั
ํ นการบอก
คืนสิกขา

๑๓. การบอกคืนสิกขาด้วยการใช้คําอ้างที่ญูอ
่ าศัย ๑๖ บฺท

[๔๙] (๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุกะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ดชัง


เพศภิกษุ ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร บอก
ให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ มารดา ท่านจักล้฽งดูข้าพะเจฺา้ (๒) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ ่า ข้าพะเจฺามี ื ว
้ ่า ข้า
้ บิดา ท่านจักล้฽งดูข้าพะ เจฺา้ (๓) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
พะเจฺามี ื ว ้ อ้าย
้ ่า ข้าพะเจฺามี
น้องชาย เขฺาจักล้฽งดูข้าพะเจฺา้ (๔) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ื ว ้ เอื้อย น้องสาว
้ ่า ข้าพะเจฺามี
เขฺาจักล้฽งดูข้าพะเจฺา้ (๕) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ บุตร เขฺาจักล้฽งดูข้า
้ ่า ข้าพะ เจฺามี
พะเจฺา้ (๖) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ธิดา เขฺาจักล้฽งดูข้าพะ เจฺา้ (๗) ...ภิกษุ
้ ่า ข้าพะเจฺามี
บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ภัรยา นางจักล้฽งดูข้าพะเจฺา้ (๘) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ ่า ข้าพะเจฺามี ื ว ้ ่า
้ หมู่ยาต พวกเขฺาจักล้฽งดูข้าพะเจฺา้ (๙) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ข้าพะเจฺามี ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺามี
หมู่มิตร พวกเขฺาจักล้฽งดูข้าพะเจฺา้ (๑๐) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ บ้าน ข้า
้ ่า ข้าพะเจฺามี
พะเจฺาจั ้ (๑๑) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ กล้฽งชีพด้วยบ้านนัน ื ว ้ นิคฺม ข้าพะเจฺา้
้ ่า ข้าพะเจฺามี
้ (๑๒) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
จักล้฽งชีพด้วยนิคฺมนัน ื ว ้ นา ข้าพะเจฺาจั
้ ่า ข้าพะเจฺามี ้ กล้฽งชีพ
ด้วยนานัน้ (๑๓) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ื ว ้ สวน ข้าพะเจฺาจั
้ ่า ข้าพะเจฺามี ้ กล้฽งชีพด้วยสวน
้ (๑๔)
นัน ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ื ว ้ เงิน ข้าพะเจฺาจั
้ ่า ข้าพะ เจฺามี ้
้ กล้฽งชีพด้วยเงินนัน
(๑๕) ...ภิกษุบอกให้ผอ ู้ ่ นฮู
ื ว ้ คํา ข้าพะเจฺาจั
้ ่า ข้าพะเจฺามี ้ (๑๖) ...ภิกษุ
้ กล้฽งชีพด้วยคํานัน
บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ศิลปะ ข้าพะเจฺาจั
้ ่า ข้าพะเจฺามี ้
้ กล้฽งชีพด้วยศิลปะนัน
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ แต่บ่ เปั
ํ นการบอก
คืนสิกขา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 31 / 31

๑๔. การบอกคืนสิกขาด้วยการอ้างว่าพรฺมจันย์เฮัดได้ยาก ๘ บฺท

[๕๐] (๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุกะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ดชัง


เพศภิกษุ ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร บอก
ให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า พรฺมจันย์เฮัดได้ยาก (๒) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า พรฺมจันย์กะทําบํ่ได้ง่าย
(๓) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ้ว่า พรฺมจันย์ปะพึดได้ยาก (๔) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮูื ว
้ ่า พรฺม
จันย์ปะพึดบํ่ได้ง่าย (๕) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า เฮฺาบํ่อาจ (๖) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว้ ่า
เฮฺาบํ่สามาด (๗) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า เฮฺาบํ่ยินดี (๘) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า เฮฺาบํ่
ม่วนชื่น
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ แต่บ่ เปั
ํ นการบอก
คืนสิกขา

ลักษณะที่จัดว่าเปันการบอกคืนสิกขา

[๕๑] ภิกษุทังหลาย อันใด ชื่ว่าการเปีดเผียความทํแท้


้ และเปันการบอกคืนสิกขา

๑. การบอกคืนสิกขาด้วยคําเปันปัจจุบัน ๑๔ บฺท

(๑) ภิกษุทังหลาย ภิกษุในธัมวินัยนี้ กะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย


ก฽ดชังเพศภิกษุ ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร
บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาบอกคื นพระพุทธเจฺา้
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ และเปันการบอกคืน
สิกขา
(๒) อีกปะการนึ่ง ภิกษุกะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ดชังเพศภิกษุ
ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร บอกให้ผู้อ่ นฮูื ว้ ่า

ข้าพะเจฺาบอกคื นพระธัม (๓) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ้
ื ้ว่า ข้าพะเจฺาบอกคื นพระสฺงฆ์ (๔) ...
ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาบอกคื นสิกขา (๕) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า ข้าพะเจฺา้
บอกคืนพระวินัย (๖) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮูื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาบอกคื นพระปาติโมกข์ (๗) ...
ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาบอกคื นอุทเทส (๘) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า ข้าพะเจฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 32 / 32 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

บอกคืนพระอุปช ั ฌาย์ (๙) ...ภิกษุบอกให้ผอ ู้ ่ นฮู


ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาบอกคื นพระอาจารย์ (๑๐)
...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาบอกคื นสัทธิวิหาริก (๑๑) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า

ข้าพะเจฺาบอกคื นอันเตวาสิก (๑๒) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮูื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาบอกคื นภิกษุผู้ฮ่วม
ั ฌาย์ (๑๓) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
อุปช ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาบอกคื นภิกษุผู้ฮ่วมอาจารย์ (๑๔) ...
ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาบอกคื นเพื่อนพรฺมจารี
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ และเปันการบอกคืน
สิกขา

๒. การบอกคืนสิกขาโดยการสะแดงภาวะ ๘ บฺท

(๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุกะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ดชังเพศภิกษุ


ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร บอกให้ผู้อ่ นฮูื ว้ ่า
้ าเปันครืหัสถ์ (๒) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ท่านจฺ่งจําข้าพะ เจฺาว่ ื ว ้ ่า ท่านจฺ่งจําข้าพะเจฺาว่
้ า
เปันอุบาสฺก (๓) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า ท่านจฺ่งจําข้าพะเจฺาว่
้ าเปันคฺนวัด (๔) ...ภิกษุ
บอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ าเปันสามเณร (๕) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
้ ่า ท่านจฺ่งจําข้าพะ เจฺาว่ ื ว้ ่า
้ าเปันเดั฽ระถีย์ (๖) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ท่านจฺ่งจําข้าพะเจฺาว่ ื ว ้ ่า ท่านจฺ่งจําข้าพะเจฺาว่
้ า
เปันสาวฺกเดั฽ระถีย์ (๗) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ้ ่า ท่านจฺ่งจําข้าพะเจฺาว่
ื ว ้ าเปันผู้บ่ แม่
ํ นสมณะ
(๘) ...ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่า ท่านจฺ่งจําข้าพะเจฺาว่ ํ นเชื้อสายพระศากยบุตร
้ าเปันผู้บ่ แม่
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ และเปันการบอกคืน
สิกขา

๓. การบอกคืนสิกขาโดยใช้คําเปันปัจจุบันว่าบํ่ก่฽วข้อง ๑๔ บฺท

[๕๒] (๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุกะสัน บํ่ยินดี ปราถนาจะสิก อึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ดชัง


เพศภิกษุ ปราถนาจะเปันครืหัสถ์ ฯลฯ ปราถนาจะบํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร บอก
ให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ กก่฽วข้องกับพระพุทธเจฺา้ ฯลฯ
้ ่า ข้าพะเจฺาเลี
(๑๔) ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ื ว ้ กก่฽วข้องกับเพื่อนพรฺมจารี
้ ่า ข้าพะเจฺาเลี
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ และเปันการบอกคืน
สิกขา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 33 / 33

๔. การบอกคืนสิกขาโดยใช้คําว่าจะมีหยัง ๑๔ บฺท

(๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุในธัมวินัยนี้ บอกให้ผู้อ่ นฮูื ว ้ มีหยังกับพระพุทธ


้ ่า ข้าพะเจฺาชิ
เจฺา้ ฯลฯ (๑๔) ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ มีหยังกับเพื่อนพรฺมจารี
้ ่า ข้าพะเจฺาชิ
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ ้ และเปันการบอกคืน
สิกขา

๕. การบอกคืนสิกขาโดยใช้คําว่าบํ่ต้องการ ๑๔ บฺท

(๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ื ว ้ ่ ต้องการพระพุทธเจฺา้ ฯลฯ (๑๔)


้ ่า ข้าพะเจฺาบํ
ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ว ้ ่ ต้องการเพื่อนพรฺมจารี
้ ่า ข้าพะเจฺาบํ
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ และเปันการบอกคืน
สิกขา


๖. การบอกคืนสิกขาโดยใช้คําว่าพฺนขาดแล้ ว ๑๔ บฺท

(๑) อีกปะการนึ่ง ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู


ื ว ้ นขาดแล้
้ ่า ข้าพะเจฺาพฺ ้ วจากพระพุทธเจฺา้ ฯลฯ
(๑๔) ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู ้ นขาดแล้
ื ้ว่า ข้าพะเจฺาพฺ ้ วจากเพื่อนพรฺมจารี
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ ้ และเปันการบอกคืน
สิกขา

บอกคืนสิกขาโดยการใช้คําไวพฺจน์

[๕๓] อีกปะการนึ่ง คําที่เปันไวพฺจน์ ของพระพุทธ คําที่เปันไวพฺจน์ของพระธัม คําที่


เปันไวพฺจน์ ของพระสฺงฆ์ คําที่เปันไวพฺจน์ของสิกขา คําที่เปันไวพฺจน์ของพระวินัย
คําที่เปันไวพฺจน์ของพระปาติโมกข์ คําที่เปันไวพฺจน์ของอุทเทส คําที่เปันไวพฺจน์ของ
พระอุปช ั ฌาย์ คําที่เปันไวพฺจน์ของพระอาจารย์ คําที่เปันไวพฺจน์ของสัทธิวิหาริก คําที่
เปันไวพฺจน์ของอันเตวาสิก คําที่เปันไวพฺจน์ของภิกษุผู้ฮ่วมพระอุปช
ั ฌาย์ คําที่เปัน
ไวพฺจน์ของภิกษุผู้ฮ่วมพระอาจารย์ คําที่เปันไวพฺจน์ของเพื่อนพรฺมจารี คําที่เปัน
ไวพฺจน์ของครืหัสถ์ คําที่เปันไวพฺจน์ของอุบาสฺก คําที่เปันไวพฺจน์ของคนวัด คําที่เปัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 34 / 34 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ไวพฺจน์ของสามเณร คําที่เปันไวพฺจน์ของเดั฽ระถีย์ คําที่เปันไวพฺจน์ของสาวฺกของเดั฽


ระถีย์ คําที่เปันไวพฺจน์ของผู้บ่ แม่
ํ นสมณะ คําที่เปันไวพฺจน์ของผู้บ่ แม่
ํ นเชื้อสายพระ
ศากยบุตร แม่นแต่อ่ ืนใดที่มีญู่ ภิกษุบอกให้ผู้อ่ นฮู
ื ด ้ ้วยคําที่เปันไวพฺจน์เหลฺ่านัน

อันเปันอาการ เปันลักษณะ เปันสันยาลักษณ์
ภิกษุทังหลาย แม่นญ่างนี้ กํช่ ว่ ้
ื าเปันการเปีดเผียความทํแท้ และเปันการบอกคืน
สิกขา

ลักษณะที่บอกคืนสิกขาแล้วบํ่เปันอันบอกคืน

[๕๔] ภิกษุทังหลาย ญ่างใด ชื่ว่าบํ่เปันการบอกคืนสิกขา คื ภิกษุผู้วิกฺลจิต บอกคืน


สิกขาด้วยคําที่เปันอาการ เปันลักษณะ เปันสันยาลักษณ์ ตามที่ภิกษุในธัมวินัยนี้บอกคืน
สิกขากัน ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา ภิกษุปก ฺ ติบอกคืนสิกขาตํ่หน้าภิกษุผู้วิกฺลจิต
ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา ภิกษุมีจิตปั่นป่ วงบอกคืนสิกขา ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุบอกคืนสิกขาตํ่หน้าภิกษุมีจิตปั่นป่ วง ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุกะวฺนกะวายเพาะเวทนาบอกคืนสิกขา ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุบอกคืนสิกขาตํ่หน้าภิกษุผู้กะวฺนกะวายเพาะเวทนา ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุบอกคืนสิกขาตํ่หน้าเทวดา ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุบอกคืนสิกขาตํ่หน้าสัตว์เดั฽ระสาน ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุบอกคืนสิกขาตํ่หน้าชาวมิลักขะ ด้วยภาษาชาวอริยกะ ถ้าเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ย่อมบํ่เปันอัน
บอกคืนสิกขา
ภิกษุบอกคืนสิกขาตํ่หน้าชาวอริยกะ ด้วยภาษาชาวมิลักขะ ถ้าเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ย่อมบํ่เปันอัน
บอกคืนสิกขา
ภิกษุบอกคืนสิกขาตํ่หน้าชาวอริยกะ ด้วยภาษาชาวอริยกะ ถ้าเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ย่อมบํ่เปันอัน
บอกคืนสิกขา
ภิกษุบอกคืนสิกขาตํ่หน้าชาวมิลักขะ ด้วยภาษาชาวมิลักขะ ถ้าเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ย่อมบํ่เปันอัน
บอกคืนสิกขา

ภิกษุบอกคืนสิกขา โดยเวฺาหลิ ้ ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา

ภิกษุบอกคืนสิกขา โดยเวฺาพั ้
้ งพาดพั ้
งพาด ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 35 / 35

ภิกษุบ่ ปะสฺ
ํ งค์จะปะกาด แต่ปะกาดให้ได้ยิน ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุปะสฺงค์จะปะกาด แต่บ่ ปะกาดให้
ํ ได้ยิน ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุปะกาดแก่ผู้บ่ เขฺ ้
ํ าใจความหมาย ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุบ่ ปะกาดแก่
ํ ้
ผู้เขฺาใจความหมาย ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุบ่ ปะกาดโดยปะการทั
ํ งปวง ย่อมบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา
ภิกษุทังหลาย ญ่างนี้ ชื่ว่าบํ่เปันอันบอกคืนสิกขา

สิกขาบฺทวิภังค์

[๕๕] ที่ชื่ว่า เมถุ นธัม ได้แก่ อสัทธัม ชึ่งเปันปะเวณีของชาวบ้าน มารยาทของคฺนชัน ้


ํ ้ นที่สุด เปันกิจที่จะต้องกะทําในที่ลับ ต้องกะทํากันสองตํ่
ตํ่า กิริยาชฺ่วหยาบ มีนาเปั
สอง นี้ชื่ว่าเมถุ นธัม
ที่ชื่ว่า เสพ ได้แก่ ภิกษุใด สอดเคื่องหมายเพศเขฺาไปทางเคื
้ ่ องหมายเพศ

สอดอฺงคชาตเขฺาไปทางอฺ งค์กําเนีด โดยที่สุดเขฺาไปแม่
้ นแต่พຽงเมัดงา ภิกษุน้ีชื่ว่า เสพ
คําว่า โดยที่สุดแม่นแต่กับสัตว์เดั฽ระสานโตแม่ ความว่า ภิกษุเสพเมถุ นธัมแม่นแต่กับ
สัตว์เดั฽ระสานโตแม่ กํบ่ ํเปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายพระศากยบุตร จะก่าวไปหยังฮอด
การเสพกับยิงมนุษย์ละ ดั่งนันพระผู
้ ้มีพระภาคจึ่งตรัสว่า โดยที่สุดแม่นกับสัตว์เดั฽ระ
สานโตแม่
คําว่า เปันปาราชิก ความว่า ภิกษุเสพเมถุ นธัม ย่อมบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสาย
พระศากยบุตร ป฽บเหมือนคฺนถืกตัดสีษะ บํ่อาจมีชีวิตญูไ
่ ด้ โดยการตํ่ศรีษะเขฺากั
้ บฮ่าง
้ ด้วยเหตุนน
กายนัน ั ้ พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสว่า เปันปาราชิก
คําว่า หาสังวาสบํ่ได้ อธิบายว่า ที่ชื่ว่า สังวาส ได้แก่ กัมที่ทําฮ่วมกัน อุทเทส
ที่สวดฮ่วมกัน ความมีสิกขาสเมีกัน นี้ชื่ว่า สังวาส สังวาสนันบํ
้ ่ มีกับภิกษุฮูบนัน
้ ด้วย
ั ้ พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสว่า หาสังวาสบํ่ได้
เหตุนน

บฺทภาชนีย์
มัคภาณวาร

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 36 / 36 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๕๖] ยิง ๓ จําพวก คื ยิงมนุษย์ ยิงอมนุษย์ สัตว์เดั฽ระสานโตแม่ อุภโตพยัญชนก ๓


จําพวก คื อุภโตพยัญชนกที่เปันมนุษย์ อุภโตพยัญชนกที่เปันอมนุษย์ และอุภโตพยัญ
ชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสาน
บัณเฑาะก์ (ชายที่ถู กตอน หลื กะเทีย) ๓ จําพวก คื กะเทียที่เปันมนุษย์
กะเทียที่เปันอมนุษย์ กะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระสาน
ชาย ๓ จําพวก คื ชายที่เปันมนุษย์ ชายที่เปันอมนุษย์ สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้

ยิง ๓ จําพวก มีพวกละ ๓ ทวาร


ภิกษุเสพเมถุ นธัมกับยิงมนุษย์ ๓ ทาง คื ทวารหนัก ทวารเบฺา ปาก ต้องอาบัติ
ปาราชิก
ภิกษุเสพเมถุ นธัมกับยิงอมนุษย์ ...กับสัตว์เดั฽ระสานโตแม่ ๓ ทาง คื ทวารหนัก
ทวารเบฺา ปาก ต้องอาบัติปาราชิก

อุภโตพยัญชนก (คฺนมี ๒ เพศ) ๓ จําพวก มีพวกละ ๓ ทวาร

ภิกษุเสพเมถุ นธัมกับอุภโตพยัญชนกที่เปันมนุษย์ ...กับอุภโตพยัญชนกที่เปันอมนุษย์ ...


กับอุภ โตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสาน ๓ ทาง คื ทวารหนัก ทวารเบฺา ปาก ต้อง
อาบัติปาราชิก

กะเทีย ๓ จําพวก มีพวกละ ๒ ทวาร


ภิกษุเสพเมถุ นธัมกับกะเทียที่เปันมนุษย์ ...กับกะเทียที่เปันอมนุษย์...กับกะเทียที่เปัน
สัตว์เดั฽ระสาน ๒ ทาง คื ทวารหนัก ปาก ต้องอาบัติปาราชิก

ชาย ๓ จําพวก มีพวกละ ๒ ทวาร


ภิกษุเสพเมถุ นธัมกับชายที่เปันมนุษย์ ...กับชายที่เปันอมนุษย์ ...กับสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้
๒ ทาง คื ทวารหนัก ปาก ต้องอาบัติปาราชิก

ต้องอาบัติปาราชิกทัง ๓ ทวาร

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 37 / 37

[๕๗] เมื่อภิกษุเกีดความคิดจะเสพเมถุ นธัม สอดอฺงคชาตเขฺาทางทวารหนั


้ กของยิง
มนุษย์ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อภิกษุเกีดความคิดจะเสพเมถุ นธัม สอดอฺงคชาตเขฺาทาง

ทวารเบฺา ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อภิกษุเกีดความคิดจะเสพเมถุ นธัม สอดอฺงคชาตเขฺา้
ทางปากของยิงมนุษย์ ต้องอาบัติปาราชิก
เมื่อภิกษุเกีดความคิดจะเสพเมถุ นธัม สอดอฺงคชาตเขฺาทางทวารหนั
้ ก ...ทวารเบฺา ...
ทางปากของยิงอมนุษย์... ของสัตว์เดั฽ระสานโตแม่... ของอุภโตพยัญชนกที่เปันมนุษย์
... ของอุภโตพยัญชนกที่เปันอมนุษย์... ของอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสาน ต้อง
อาบัติปาราชิก
เมื่อภิกษุเกีดความคิดจะเสพเมถุ นธัม สอดอฺงคชาตเขฺาทางทวารหนั
้ ก ...ทางปากของ
กะเทียที่เปันมนุษย์... ของกะเทียที่เปันอมนุษย์... ของกะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระสาน...
ของมนุษย์ผู้ชาย...ของอมนุษย์ผู้ชาย... ของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ ต้องอาบัติปาราชิก

ว่าด้วยเรื้องบํ่มีเคื่องหุ้ม

[๕๘] พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์มาหาภิกษุแล้ว ใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต



ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอน
ออก ต้องอาบัติปาราชิก
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์มาหาภิกษุแล้ว ใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต
ถ้าภิกษุบ่ ยิ ้
ํ นดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
แต่ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะ
ถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์มาหาภิกษุแล้ว ใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต
ถ้าภิกษุบ่ ยิ ้
ํ นดีขณะกําลังสอดเขฺาไป บํ่ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้
้ ว แต่ยินดีขณะญุดญู่ ยินดี
ขณะถอนออก ต้องอาบัตป
ิ าราชิก
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์มาหาภิกษุแล้ว ใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต
ถ้าภิกษุบ่ ยิ ้
ํ นดีขณะกําลังสอดเขฺาไป บํ่ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้
้ ว บํ่ยินดีขณะญุดญู่ แต่ยินดี
ขณะถอนออก ต้องอาบัตป
ิ าราชิก
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์มาหาภิกษุแล้ว ใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต
ถ้าภิกษุบ่ ยิ ้
ํ นดีขณะกําลังสอดเขฺาไป บํ่ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้
้ ว บํ่ยินดีขณะญุดญู่ บํ่ยินดี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 38 / 38 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ขณะถอนออก บํ่ต้องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์มาหาภิกษุแล้ว ใช้ทวารเบฺานั่งทับองคชาต...

ใช้ปาก อฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดีบ่ ต้
ํ องอาบัติ

[๕๙] พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์ต่ น...


ื ยิงมนุษย์หลับ... ยิงมนุษย์เมฺา... ยิง
มนุษย์วิกฺลจิต... ยิงมนุษย์เผีสติ... ยิงมนุษย์ท่ ตายแล้
ี ํ กสัตว์กัดกิน... ยิงมนุษย์ท่ ี
วแต่บ่ ถื
ํ กสัตว์กัดกินโดยมาก มา แล้วใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้ทวาร
ตายแล้วแต่บ่ ถื
เบฺานั่งทับอฺงคชาต... ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุยินดี ต้องอาบัติปาราชิก
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์ท่ ตายแล้
ี วชึ่งถืกสัตว์กัดกินโดยมาก มาหา
ภิกษุแล้วใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้ทวารเบฺานั่งทับอฺงคชาต ใช้

ปากอฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดีบ่ ต้
ํ องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงอมนุษย์... สัตว์เดั฽ระสานโตแม่... อุภโตพยัญชนก
ที่เปันมนุษย์... อุภโตพยัญชนกที่เปันอมนุษย์... อุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสาน มา
หาภิกษุ แล้วใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้ทวารเบฺานั่งทับอฺงคชาต... ใช้

ปากอฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดีบ่ ต้
ํ องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พาอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานตื่น... อุภโตพยัญ
ชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานหลับ... อุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานเมฺา... อุภโตพยัญ
ชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานวิกฺลจิต... อุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานเผีสติ... อุ
ภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานที่ตายแล้วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน... อุภโตพยัญชนกที่
เปันสัตว์เดั฽ระสานตายแล้วแต่บ่ ถื
ํ กสัตว์กัดกินโดยมาก มา ฯลฯ ถ้าภิกษุยินดี... ต้อง
อาบัติปาราชิก ฯลฯ อุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานตายแล้วถืกสัตว์กัดกิน
โดยมากมาหาภิกษุแล้ว ใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้ทวารเบฺานั่งทับอฺงคชาต...

ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดีบ่ ต้
ํ องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 39 / 39

พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พากะเทียที่เปันมนุษย์... กะเทียที่เปันอมนุษย์... กะเทีย


ที่เปันสัตว์เดั฽ระสาน มาหาภิกษุแล้วใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้ทวารเบฺานั่ง
ทับอฺงคชาต... ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป้ ยินดีขณะสอดเขฺา้
ไปแล้ว ยินดีขณะญุดญู่ ยิน ดีขณะถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้อง
อาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พากะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระสานตื่น... กะเทียที่เปันสัตว์
เดั฽ระสานหลับ... กะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระสานเมฺา... กะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระสานวิกฺล
จิต... กะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระสานเผีสติ... กะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระสานที่ตายแล้วแต่
ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน... กะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระสานที่ตายแล้ว แต่บ่ ถื
ํ กสัตว์กัดกิน
โดยมากมา... ถ้าภิกษุยินดี... ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ พากะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระสานที่
ตายแล้วถืกสัตว์กัดกินโดยมาก มาหาภิกษุแล้วใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้

ปากอฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ

[๖๐] พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พามนุษย์ผู้ชาย ฯลฯ อมนุษย์ผู้ชาย ฯลฯ สัตว์เดั฽ระ


สานตฺวผู้มาหาภิกษุแล้วใช้ทวารหนัก นั่งทับอฺงคชาต... ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุ

ยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก
ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พาสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ต่ น...
ื สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้หลับ...
สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้เมฺา... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้วิกฺลจิต... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้เผีสติ...
สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ท่ ตายแล้
ี วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ท่ ตายแล้
ี ว
แต่บ่ ถื
ํ กสัตว์กัดกินโดยมากมา ฯลฯ ถ้าภิกษุยินดี... ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ
พาสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ท่ ตายแล้
ี วถืกสัตว์กัดกินโดยมาก มาหาภิกษุแล้วใช้ทวาร
หนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป
้ ยินดีขณะ

สอดเขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่
ต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 40 / 40 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ว่าด้วยเรื้องมีเคื่องหุม

[๖๑] พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์มาหาภิกษุแล้วใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต...


ใช้ทวารเบฺานั่งทับอฺงคชาต... ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ของยิงมีเคื่องหุ้มของภิกษุบ่ มี ํ ... ของ
ยิงบํ่มีเคื่องหุ้ม ของภิกษุมี... ของยิงมีเคื่องหุ้ม ของภิกษุกํม.ี .. ของยิงบํ่มีเคื่องหุ้ม
ของภิกษุกํบ่ มี ้
ํ ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พายิงมนุษย์ต่ น...
ื ยิงมนุษย์หลับ... ยิงมนุษย์เมฺา... ยิง
มนุษย์วิกฺลจิต... ยิงมนุษย์เผีสติ... ยิงมนุษย์ท่ ตายแล้
ี ํ กสัตว์กัดกิน... ยิงมนุษย์ท่ ี
วแต่บ่ ถื
ตายแล้วแต่บ่ ถื
ํ กสัตว์กัดกินโดยมาก มา ฯลฯ ถ้าภิกษุยินดี ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ พา
ยิงมนุษย์ท่ ตายแล้
ี วถืกสัตว์กัดกินโดยมาก มาหาภิกษุแล้วใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต
... ใช้ทวารเบฺานั่งทับอฺงคชาต... ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ของยิงมีเคื่องหุ้ม ของภิกษุบ่ มี
ํ ...
ของยิงบํ่มีเคื่องหุ้ม ของภิกษุมี... ของยิงมีเคื่องหุ้ม ของภิกษุกํม.ี .. ของยิงบํ่มีเคื่อ
งหุ้ม ของภิกษุกํบ่ ํมี ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป
้ ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พาอมนุษย์ผู้ยิง... สัตว์เดั฽ระสานโตแม่... อุภโตพยัญ
ชนกที่เปันมนุษย์... อุภโตพยัญชนกที่เปันอมนุษย์... อุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระ
สาน มาหาภิกษุแล้วให้ใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้ทวารเบฺานั่งทับอฺงคชาต...
ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ของอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานมีเคื่องหุ้ม ของภิกษุบ่ มี
ํ ...
ของอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสาน บํ่มีเคื่องหุ้ม ของภิกษุมี... ของอุภโตพยัญ
ชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานมีเคื่องหุ้ม ของภิกษุกํม.ี .. ของอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽
ระสานบํ่มีเคื่องหุ้ม ของภิกษุกํบ่ มี ั ้ นดีขณะกําลังสอดเขฺาไป
ํ ถ้าภิกษุนนยิ ้ ยินดีขณะสอด

เขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้อง
อาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พาอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานตื่น... อุภโตพยัญ
ชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานหลับ... อุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานเมฺา... อุภโตพยัญ
ชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานวิกฺลจิต... อุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานเผีสติ... อุ
ภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานตายแล้วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน... อุภโตพยัญชนกที่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 41 / 41

เปันสัตว์เดั฽ระสานตายแล้วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกินโดยมาก มา ฯลฯ ถ้าภิกษุยินดี ต้อง


อาบัติปาราชิก ฯลฯ
พาอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานตายแล้วถืกสัตว์กินโดยมาก มาหาภิกษุ
แล้วใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้ทวารเบฺานั่งทับอฺงคชาต... ใช้ปากอฺมอฺงคชาต
ของอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานมีเคื่องหุ้ม ของภิกษุบ่ มี
ํ ... ของอุภโตพยัญ
ชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานบํ่มีเคื่องหุ้มของภิกษุมี... ของอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽
ระสาน มีเคื่องหุ้ม ของภิกษุกํม.ี .. ของอุภโตพยัญชนกที่เปันสัตว์เดั฽ระสานบํ่มีเคื่อ
ั ้ นดีขณะกําลังสอดเขฺาไป
งหุ้ม ของภิกษุกํบ่ ํมี ถ้าภิกษุนนยิ ้ ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว
ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ

[๖๒] พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พากะเทียที่เปันมนุษย์... กะเทียที่เปันอมนุษย์... กะเทีย


ที่เปันสัตว์เดั฽ระสาน... มนุษย์ผู้ชาย... อมนุษย์ผู้ชาย... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ มาหาภิกษุ
แล้วใช้ทวารหนักนั่งทับอฺงคชาต... ใช้ปากอฺมอฺงคชาตของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้มีเคื่อ
งหุ้ม ของภิกษุบ่ มี ํ เคื่องหุ้ม ของภิกษุม.ี .. ของสัตว์เดั฽ระ
ํ ... ของสัตวเดั฽ระสานตฺวผู้บ่ มี
สานตฺวผู้มีเคื่องหุ้ม ของภิกษุกํม.ี .. ของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้บ่ มี
ํ เคื่องหุ้ม ของภิกษุกํบ่ มี

ั ้ นดีขณะกําลังสอดเขฺาไป
ถ้าภิกษุนนยิ ้ ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ขณะถอน
ออก ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรู พาสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ต่ น...
ื สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้หลับ...
สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้เมฺา... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้วิกฺลจิต... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้เผีสติ...
สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ ตายแล้วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ตายแล้วบํ่ถืก
สัตว์กัดกินโดยมากมา ฯลฯ ถ้าภิกษุยินดี ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บางพวกพาสัตว์เดั฽
ระสานตฺวผู้ท่ ตายแล้
ี วถืกสัตว์กัดกินโดย มาก มาหาภิกษุแล้วใช้ทวารหนักนั่ง

ทับอฺงคชาต... ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ยินดีขณะสอดเขฺา้
ไปแล้ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้อง
อาบัติ

ว่าด้วยเรื้องบํ่มีเคื่องหุ้ม

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 42 / 42 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


[๖๓] พวกภิกษุผู้เปันศัตรู พาภิกษุไปหายิงแล้ว ให้ใช้อฺงคชาตสอดเขฺาทางทวาร

หนัก ทางทวารเบฺา ทางปาก ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไป
แล้ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พาภิกษุไปหายิงตื่น... ยิงหลับ... ยิงเมฺา... ยิงวิกฺลจิต...
ยิงเผีสติ... ยิงที่ตายแล้วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน... ยิงที่ตายแล้วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน
โดยมาก ฯลฯ ถ้าภิกษุยินดี... ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ
พาภิกษุไปหายิงที่ตายแล้ว ถืกสัตว์กัดกินโดยมากแล้วใช้อฺงคชาตสอดเขฺาทาง


ทวารหนัก... ทางทวารเบฺา... ทางปาก ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ยินดีขณะสอด

เขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้อง
อาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พาภิกษุไปหาอมนุษย์ผู้ยิง... สัตว์เดั฽ระสานตฺวแม่... อุ
ภโตพยัญ ชนกที่เปันมนุษย์... อุภโตพยัญชนกที่เปันอมนุษย์... อุภโตพยัญชนกที่เปัน
สัตว์เดั฽ระสาน... กะเทียที่เปันมนุษย์... กะเทียที่เปันอมนุษย์... กะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระ
สาน... มนุษย์ผู้ชาย... อมนุษย์ผู้ชาย... พาไปหาสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้แล้วใช้อฺงคชาตสอด

เขฺาทางทวารหนั ้
ก... ทางปาก... ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไป
แล้ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออกต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พาภิกษุไปหาสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ต่ น
ื ...สัตว์เดั฽ระ
สานตฺวผู้หลับ ...สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้เมฺา...สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้วิกฺลจิต...สัตว์เดั฽ระ
สานตฺวผู้เผีสติ...สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ท่ ตายแล้
ี วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน...พาไปหาสัตว์เดั฽
ระสานตฺวผู้ท่ ตายแล้
ี วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกินโดยมาก ถ้าภิกษุยินดี...ต้องอาบัติปาราชิก
ฯลฯ
บางพวกพาภิกษุไปหาสัตว์เดั฽ระสานที่ตายแล้วถืกสัตว์กัดกินโดยมาก แล้ว

ใช้อฺงค ชาต สอดเขฺาทางทวารหนั ้
ก ...ทางปาก ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป

ยินดีขณะสอด เขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ
บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ

ว่าด้วยเรื้องมีเคื่องหุม

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 43 / 43


[๖๔] พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกันพาภิกษุไปหายิงแล้วให้ใช้อฺงคชาตสอดเขฺาทางทวาร
หนัก... ทางทวารเบฺา... ทางปาก ของภิกษุมีเคื่องหุ้ม ของยิงบํ่มี... ของภิกษุบ่ มี
ํ เคื่อ
งหุ้ม ของยิงมี... ของภิกษุมีเคื่องหุ้ม ของยิงกํม.ี .. ของภิกษุบ่ มี
ํ เคื่องหุ้ม ของยิงกํบ่ มี


ถ้าภิกษุยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอน
ออก ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดีบ่ ํต้องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พาภิกษุไปหายิงตื่น... ยิงหลับ... ยิงเมฺา... ยิงวิกฺลจิต...
ยิงเผีสติ... ยิงที่ตายแล้วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน... ยิงที่ตายแล้วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน

โดยมากแล้วใช้อฺงค ชาตสอดเขฺาทางทวารหนั ก... ทางทวารเบฺา... ทางปาก ฯลฯ ถ้า
ภิกษุยินดี ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ บางพวกพาภิกษุไปหายิงที่ตายแล้วถืกสัตว์กัดกิน

โดยมากแล้วให้ใช้อฺงคชาตสอดเขฺาทางทวารหนั ก... ทางทวารเบฺา... ทางปาก ถ้าภิกษุ

ยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก
ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ
พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกัน พาภิกษุไปหาอมนุษย์ผู้ยิง... สัตว์เดั฽ระสานโตแม่... อุ
ภโตพยัญชนกที่เปันมนุษย์... อุภโตพยัญชนกที่เปันอมนุษย์... อุภโตพยัญชนกที่เปัน
สัตว์เดั฽ระสาน...กะ เทียที่เปันมนุษย์... กะเทียที่เปันอมนุษย์... กะเทียที่เปันสัตว์เดั฽ระ
สาน... มนุษย์ผู้ชาย...อมนุษย์ผู้ชาย... พาไปหาสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้แล้วใช้อฺงคชาตสอด

เขฺาทางทวารหนั ก... ทางปาก ของภิกษุมีเคื่องหุ้ม ของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้บ่ มี
ํ ... ของ
ํ เคื่องหุ้ม ของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้มี... ของภิกษุมีเคื่องหุ้ม ของสัตว์เดั฽ระ
ภิกษุบ่ มี
ํ เคื่องหุ้ม ของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้กํบ่ มี
สานตฺวผู้กํม.ี .. ของภิกษุบ่ มี ํ ถ้าภิกษุยินดีขณะ
กําลังสอดเขฺาไป้ ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญูย
่ ินดีขณะถอนออก ต้องอาบัติ
ปาราชิก ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ

[๖๕] พวกภิกษุผู้เปันศัตรูกันพาภิกษุไปหาสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ต่ น...


ื สัตว์เดั฽ระสานตฺว
ผู้หลับ... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้เมฺา... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้วิกฺลจิต... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้
เผีสติ... สัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ท่ ตายแล้
ี วแต่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน... พาไปหาสัตว์เดั฽ระ
สานตฺวผู้ท่ ตายแล้
ี วแต่บ่ ถื
ํ กสัตว์กัดกินโดยมาก ฯลฯ ถ้าภิกษุยินดี ต้องอาบัติปาราชิก
ฯลฯ พาภิกษุไปหาสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้ท่ ตายแล้
ี วถืกสัตว์กัดกินโดยมากแล้ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 44 / 44 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


ใช้อฺงคชาตสอดเขฺาทางทวารหนั ก... ทางปาก ของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้มีเคื่องหุ้ม ของ
ภิกษุบ่ มี ํ เคื่องหุ้ม ของภิกษุมี... ของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้มี
ํ ... ของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้บ่ มี
เคื่องหุ้ม ของภิกษุกํม.ี .. ของสัตว์เดั฽ระสานตฺวผู้บ่ มี
ํ เคื่องหุ้ม ของภิกษุกํบ่ มี
ํ ถ้าภิกษุ

ยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก
ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ บํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ
พวกพระราชาผู้เปันศัตรู พวกโจรผู้เปันศัตรู พวกนักเลงผู้เปันศัตรู พวก
ควักหฺวใจที่เปันศัตรู กํเพิงขยายให้พิสดารเหมือนพวกภิกษุผู้เปันศัตรูท่ ให้
ี พิสดาร

มาแล้ว สันนัน

้ คทางมัค ต้องอาบัตป
[๖๖] ภิกษุสอดอฺงคชาตเขฺามั ้
ิ าราชิก ภิกษุสอดอฺงคชาตเขฺาอมั ค
้ คทางอมัค ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุ
ทางมัค ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุสอดอฺงคชาตเขฺามั
สอดอฺงคชาตเขฺา้ อมัคทางอมัค ต้องอาบัตถ ิ ุ ลลัจจัย ภิกษุลักหลับภิกษุท่ กํี าลังหลับ
ท่านตื่นขึนยิ ิ เสั฽ทังสองฮูบ หากท่านตื่นขึนแต่
้ นดี เพิงให้สก ้ บ่ ํยินดี ให้สิกสะเพาะภิกษุ
ฮูบที่ทําผิด
ภิกษุลักหลับสามเณรที่กําลังหลับ สามเณรตื่นขึนยิ้ นดี เพิงให้สก
ิ เสั฽ทังสองฮูบ
หากสามเณรตื่นขึนแต่
้ ํ นดี เพิงให้สิกสะเพาะภิกษุฮูบที่ทําผิด
บ่ ยิ
สามเณรลักหลับภิกษุท่ กํ ี าลังหลับ ท่านตื่นขึนยิ
้ นดี เพิงให้สิกเสั฽ทังสองฮูบ
หากท่านตื่นขึนแต่
้ ํ นดี เพิงให้สิกสะเพาะสามเณรฮูบที่ทําผิด
บ่ ยิ
สามเณรลักหลับสามเณรที่กําลังหลับ ท่านตื่นขึนยิ้ นดี เพิงให้สก
ิ เสั฽ทังสองฮูบ
หากท่านตื่นขึนแต่
้ ํ นดี เพิงให้สิกสะเพาะสามเณรฮูบที่ทําผิด
บ่ ยิ

อนาปัตติวาร

ภิกษุต่ ไปนี
ํ ้บํ่ต้องอาบัติ คื
๑. ภิกษุบ่ ฮู
ํ ส้ ึกตฺว
๒. ภิกษุบ่ ยิ
ํ นดี
๓. ภิกษุวิกฺลจิต
๔. ภิกษุมีจิตปั่นป่ วง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 45 / 45

๕. ภิกษุผู้กะวฺนกะวายเพาะเวทนา
ฺ้ นญัต
๖. ภิกษุตนบั

สันถตภาณวาร จฺบ

คาถาฮวมวินีตวัตถุ
เรื้องที่ชฺงวินิจฉัยแล้ว

เรื้องลิงโตแม่ ๑ เรื้อง, เรื้องพวกภิกษุวัชชีบุตร ๑ เรื้อง, เรื้องปอมเปันครื


หัสถ์ ๑ เรื้อง, เรื้องเปือยกาย ๑ เรื้อง, เรื้องปอมเปันเดั฽ระถีย์ ๗ เรื้อง, เรื้องเด็ก
ยิง ๑ เรื้อง, เรื้องภิกษุณีอุบฺลวรรณา ๑ เรื้อง, เรื้องเพศกับ ๒ เรื้อง, เรื้องมารดา
๑ เรื้อง, เรื้องธิดา ๑ เรื้อง, เรื้องน้องสาว ๑ เรื้อง, เรื้องอดีตภัรยา ๑ เรื้อง,
เรื้องภิกษุหลังอ่อน ๑ เรื้อง, เรื้องภิกษุ อฺงคชาตยาว ๑ เรื้อง, เรื้องบาดแผ ๒
เรื้อง, เรื้องฮูบปัน
้ ๑ เรื้อง, เรื้องตุ๊กตาไม้ ๑ เรื้อง, เรื้องพระสุนทอน ๑ เรื้อง,
เรื้องยิง ๔ เรื้อง, เรื้องป่ าช้า ๕ เรื้อง, เรื้องกะดูก ๑ เรื้อง, เรื้องนางนาค ๑ เรื้อง,
เรื้องนางยักษิณี ๑ เรื้อง, เรื้องนางเผดเผด ๑ เรื้อง, เรื้องกะเทีย ๑ เรื้อง, เรื้อง
ภิกษุผู้มีกายปะสาทพิการ ๑ เรื้อง, เรื้องจับต้อง ๑ เรื้อง, เรื้องพระอรหันต์ชาวเมือง
ภัททิยะหลับ ๑ เรื้อง, เรื้องภิกษุชาวกุงสาวัตถี ๔ เรื้อง, เรื้องภิกษุชาวมัลละกุงเวสา
ลี ๓ เรื้อง, เรื้องภิกษุเปีดปะตูจําวัด ๑ เรื้อง, เรื้องภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะฝัน ๑
เรื้อง, เรื้องอุบาสิกาชื่สุปพ
ั พา ๙ เรื้อง, เรื้องอุบาสิกาชื่สัทธา ๙ เรื้อง, เรื้องภิกษุณี
๑ เรื้อง, เรื้องสิกขมานา ๑ เรื้อง, เรื้องสามเณรี ๑ เรื้อง, เรื้องยิงแพศยา ๑ เรื้อง,
เรื้องภิกษุกะเทีย ๑ เรื้อง, เรื้องยิงครืหัสถ์ ๑ เรื้อง, เรื้องให้ภิกษุผัดกัน ๑ เรื้อง,
เรื้องพระขรฺวตา ๑ เรื้อง, เรื้องลูกเนื้อ ๑ เรื้อง.

วินีตวัตถุ
เรื้องลิงโตแม่ ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 46 / 46 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๖๗] สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งเสพเมถุ นธัมกับนางลิง เกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระ


ภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑)

เรื้องพวกภิกษุวัชชีบุตร ๑ เรื้อง

้ พวกภิกษุวัชชีบุตรชาวกุงเวสาลีหลายฮูบ ยังบํ่บอกคืนสิกขา บํ่เปีดเผีย


สมัยนัน
้ พากันเสพเมถุ นธัม เกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺท
ความทํแท้
ไว้แล้ว พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒)

เรื้องปอมเปันครืหัสถ์ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่ง ปอมเปันครืหัสถ์ไปเสพเมถุ นธัมด้วยคิดว่า ญ่างนี้ เฮฺาจะบํ่


สมัยนัน
ต้องอาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺา
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๓)

เรื้องเปือยกาย ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่ง เปือยกายไปเสพเมถุ นธัมด้วยคิดว่า ญ่างนี้ เฮฺาจะบํ่ต้อง


สมัยนัน
อาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้อง
อาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
ิ าราชิก” (เรื้องที ๔)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

เรื้องปอมเปันเดั฽ระถีย์ ๗ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่ง นุ่งคากรองไปเสพเมถุ นธัม ด้วยคิดว่า ญ่างนี้ เฮฺาจะบํ่ต้อง


สมัยนัน
อาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้อง
อาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 47 / 47

“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตปิ าราชิก” (เรื้องที ๕)


้ ภิกษุฮูบนึ่ง นุ่งเปือกไม้กรองไปเสพเมถุ นธัมด้วยคิดว่า ญ่างนี้เฮฺาจะบํ่
สมัยนัน
ต้องอาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺา
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๖)
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่ง นุ่งผ้าแผ่นกะดานกรอง ไปเสพเมถุ นธัมด้วยคิดว่า ญ่างนี้
เฮฺาจะบํ่ต้องอาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗)
้ ภิกษุฮูบนึ่ง นุ่งผ้าถักด้วยผฺมคฺนไปเสพเมถุ นธัมด้วยคิดว่า ญ่างนี้ เฮฺา
สมัยนัน
จะบํ่ต้องอาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๘)
้ ภิกษุฮูบนึ่ง นุ่งผ้าถักด้วยขฺนจามรีไปเสพเมถุ นธัมด้วยคิดว่า ญ่างนี้ เฮฺา
สมัยนัน
จะบํ่ต้องอาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๙)
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่ง นุ่งผ้าถักด้วยขฺนปีกนฺกเคฺาไปเสพเมถุ
้ นธัมด้วยคิดว่า ญ่างนี้
เฮฺาจะบํ่ต้องอาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๐)
้ ภิกษุฮูบนึ่ง นุ่งหนังเสือไปเสพเมถุ นธัมด้วยคิดว่า ญ่างนี้ เฮฺาจะบํ่ต้อง
สมัยนัน
อาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้อง
อาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๑)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

เรื้องเด็กยิง ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 48 / 48 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งท฽วบิณฑบาต เหันเด็กยิงนอนเทิงตั่ง เกีดความกําหนัดจึ่ง


สมัยนัน

สอดนิวโป้ ้
เขฺาในอฺ ้
งค์กําเนีดเด็กยิง เด็กยิงนันตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มี
พระภาค ชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๑๒)

เรื้องภิกษุณีอุบล
ฺ วรรณา ๑ เรื้อง

้ ชายหนุ่มคฺนนึ่งมีความฮักใค่ภิกษุณีอุบฺลวรรณา มื้นึ่ง เมื่อภิกษุณีไป


[๖๘] สมัยนัน
บิณฑบาตในหมู่บ้าน จึ่งเขฺาไปลี
้ ้ญูใ
่ นกุฏิ ภิกษุณอ
ี ุบฺลวรรณากับจากบิณฑบาต หลังจาก
้ ฏิ นั่งเทิงต฽ง ทันใดนันเขฺ
ฉันอาหาร ล้างตีนแล้วเขฺากุ ้ าจึ่งออกมาขฺ่มขืนภิกษุณี ภิกษุณี
ไปบอกภิกษุณีทังหลาย ภิกษุณีทังหลายจึ่งบอกเรื้องนันแก่
้ ภิกษุทังหลาย ภิกษุทัง
หลายจึ่งนําเรื้องนันไปขาบทู
้ ลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทัง
หลาย ภิกษุณอ ้ ่ ยินดี บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๓)
ี ุบฺลวรรณานันบํ

เรื้องเพศกับ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่ง เพศกับกายเปันยิง ภิกษุทังหลายจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล


[๖๙] สมัยนัน
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ มีพระพุทธานุญาตว่า “ภิกษุทังหลาย เฮฺาอนุยาตให้ถื
อุปชั ฌาย์เดีม ให้ถือุปสฺมบฺทเดีม นับพันษาเดีม และให้ญฮ ู่ ่วมกับภิกษุณีทังหลายได้
เฮฺาอนุยาตให้ปง ฺ อาบัติของภิกษุทังหลายที่ทฺ่วไปกับภิกษุณีทังหลายในสํานักภิกษุณี
ท่านบํ่ต้องอาบัติของภิกษุทังหลายที่บํ่ทฺ่วไปกับภิกษุณีทังหลาย” (เรื้องที ๑๔)
ี ูบนึ่ง เพศกับกายเปันชาย ภิกษุทังหลาย จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
้ ภิกษุณฮ
สมัยนัน
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ มีพระพุทธานุญาตว่า “เฮฺาอนุยาตให้ถือุปช
ั ฌาย์เดีม
ให้ถือุปสฺมบฺทเดีม นับพันษาเดีมและให้ญฮ ู่ ่วมกับภิกษุทังหลายได้ เฮฺาอนุยาตให้ปงฺ
ี ังหลายที่ทฺ่วไปกับภิกษุในสํานักภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติของภิกษุณีทัง
อาบัติของภิกษุณท
หลายที่บํ่ทฺ่วไปกับภิกษุทังหลาย” (เรื้องที ๑๕)

เรื้องมารดา ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 49 / 49

้ ภิกษุฮูบนึ่ง เสพเมถุ นธัมกับมารดา ด้วยคิดว่า ญ่างนี้เฮฺาจะบํ่ต้องอาบัติ


[๗๐] สมัยนัน
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านต้องอา บัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๖)

เรื้องธิดา ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่ง เสพเมถุ นธัมกับธิดา ด้วยคิดว่า ญ่างนี้ เฮฺาจะบํ่ต้องอาบัติ


สมัยนัน
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๗)

เรื้องน้องสาว ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่ง เสพเมถุ นธัมกับน้องสาวด้วยคิดว่า ญ่างนี้ เฮฺาจะบํ่ต้อง


สมัยนัน
อาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้อง
อาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๘)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

เรื้องอดีตภัรยา ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่ง เสพเมถุ นธัมกับอดีตภัรยา ด้วยคิดว่า ญ่างนี้ เฮฺาจะบํ่ต้อง


สมัยนัน
อาบัติ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้อง
อาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๙)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

เรื้องภิกษุหลังอ่อน ๑ เรื้อง

้ ภิกษุหลังอ่อนฮูบนึ่ง มีความกําหนัดมาก ใช้ปากอฺมอฺงคชาตของตฺน


[๗๑] สมัยนัน
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 50 / 50 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ


ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๐)

เรื้องภิกษุอฺงคชาตยาว ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีอฺงคชาตยาว มีความกําหนัดมาก สอดอฺงคชาตเขฺาทาง


สมัยนัน ้
ทวารหนักของตฺนแล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
เฮฺาต้องอาบัติปารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๑)

เรื้องบาดแผ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบศฺพมีบาดแผญูใ
สมัยนัน ่ ก้อฺงค์กําเนีด จึ่งสอดอฺงคชาตเขฺาในอฺ
้ งค์
กําเนีดศฺพแล้วถอนออกทางบาดแผด้วยคิดว่า ญ่างนี้เฮฺาจะบํ่ต้องอาบัติ แล้วเกีดความ
กังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๒๒)
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบศฺพมีบาดแผญูใ
สมัยนัน ่ ก้อฺงค์กําเนีด จึ่งสอดอฺงคชาตเขฺาในบาด

แผแล้วถอนออกทางอฺงค์กําเนีดศฺพด้วยคิดว่า ญ่างนี้เฮฺาจะบํ่ต้องอาบัติ แล้วเกีดความ
ความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้อง
อาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๓)

เรื้องฮูบปัน
้ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ใช้อฺงคชาตส฽ดสีเคื่องหมายเพศฮูบปัน
สมัยนัน ้ แล้ว
เกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๒๔)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 51 / 51

เรื้องตุ๊กตาไม้ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ใช้อฺงคชาตส฽ดสีเคื่องหมายเพศตุ๊กตาไม้
สมัยนัน
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๒๕)

เรื้องพระสุนทอน ๑ เรื้อง

้ พระสุนทอนเปันชาวกุงราชคึห์ บวชด้วยสัดทา ย่างไปตามถนฺน ยิงคฺ


[๗๒] สมัยนัน
นนึ่งแนมเหัน ได้ก่าวกับท่านว่า “ท่านนิมฺนต์ถ้าจักบึด ขะน้อยจะไหว้” นางไหว้พ้อม
ทังเลีกอันตรวาสกขึน้ ใช้ปากอฺมอฺงคชาต ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระ
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
ภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัตป
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุ ท่านยินดีหลื”
“บํ่ยินดี พระพุทธเจฺาข้
้ า”
ํ องอาบัติ” (เรื้องที ๒๖)
“ภิกษุ ท่านบํ่ยินดีบ่ ต้

เรื้องยิง ๔ เรื้อง

้ ยิงคฺนนึ่งพฺบภิกษุแล้วก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีด ขะน้อย”


สมัยนัน
“ญ่าเลียน้องยิง เรื้องนี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย ขะน้อยจะทําเอง ท่านบํ่ต้องทํา
ถ้าเฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่านได้เฮัดญ่างนัน
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มี
พระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
ิ าราชิก” (เรื้องที
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป
๒๗)
้ ยิงคฺนนึ่งพฺบภิกษุ แล้วก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย”
สมัยนัน
“ญ่าเลียน้องยิง เรื้องนี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ท่านทํา ขะน้อยบํ่ต้องทํา
ถ้าเฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่านได้เฮัดญ่างนัน
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 52 / 52 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล


พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป ิ าราชิก” (เรื้องที
๒๘)
้ ยิงคฺนนึ่งพฺบภิกษุ แล้วก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย”
สมัยนัน
“ญ่าเลียน้องยิง เรื้องนี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์พยายามพายในแล้วหลั่ง
พายนอก ถ้าเฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้องอาบัต”ิ ท่านได้เฮัดญ่างนัน
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า
พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขา บฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๒๙)
้ ยิงคฺนนึ่ง พฺบภิกษุแล้วก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย”
สมัยนัน
“ญ่าเลียน้องยิง เรื้องนี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์พยายามพายนอกแล้วหลั่ง
พายใน ถ้าเฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้องอาบัต”ิ ท่านได้เฮัดญ่างนัน
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า
พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขา บฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๓๐)

เรื้องป่ าช้า ๕ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งไปป่ าช้า เบิ่งเหันศฺพที่ยังบํ่ถืกสัตว์กัดกิน ได้เสพเมถุ นธัม


[๗๓] สมัยนัน
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺา
ในศฺพนัน
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๓๑)
้ ภิกษุฮูบนึ่งไปป่ าช้า เบิ่งเหันศฺพยังบํ่ถืกสัตว์กัดกินโดยมาก ได้เสพ
สมัยนัน
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้
เมถุ นธัมใน ศฺพนัน
แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปารา ชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๓๒)
้ ภิกษุฮูบนึ่งไปป่ าช้า เบิ่งเหันศฺพถืกสัตว์กัดกินโดยมาก ได้เสพเมถุ นธัม
สมัยนัน
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺา
ในศฺพนัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 53 / 53

ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์


ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๓๓)
้ ภิกษุฮูบนึ่งไปป่ าช้า เบิ่งเหันศฺพที่สีษะขาดจึ่งสอดอฺงคชาตเขฺาไปตํ
สมัยนัน ้ าพาย
ในปากที่อ้า แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺา
ต้องอาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๓๔)
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งไปป่ าช้า เบิ่งเหันศฺพที่สีษะขาดจึ่งสอดอฺงคชาตเขฺาพายใน

ปากที่อ้าบํ่ให้ตําหยัง แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้
แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๓๕)

เรื้องกะดูก ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งหลฺงฮักสตรีคฺนนึ่ง ตํ่มานางเสั฽ชีวิต ถืกนําไปถิมไว้


สมัยนัน ้ ในป่ าช้า
กะดูกกะแจกกะจาย มื้นึ่งภิกษุฮูบนันไปป่
้ าช้า เกับกะดูกฮวมเปันฮ่าง จําอฺ้ งคชาตลฺงที่
เคื่องหมายเพศ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๓๖)

เรื้องนางนาค ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งเสพเมถุ นธัมกับนางนาค แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าพระผู้มี


สมัยนัน
พระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
ิ าราชิก” (เรื้องที
พระผู้พระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป
๓๗)

เรื้องนางยักษิณี ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 54 / 54 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งเสพเมถุ นธัมกับนางยักษิณี แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าพระผู้มี


สมัยนัน
พระภาค ชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที
๓๘)

เรื้องนางเผด ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งเสพเมถุ นธัมกับนางเผด แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าพระผู้มี


สมัยนัน
พระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
ิ าราชิก” (เรื้องที
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป
๓๙)

เรื้องกะเทีย ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งเสพเมถุ นธัมกับกะเทีย แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าพระผู้มี


สมัยนัน
พระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที
๔๐)

เรื้องภิกษุผู้มีกายปะสาทพิการ ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุผู้มีกายปะสาทพิการฮูบนึ่งคิดว่า “เฮฺาบํ่ฮูส


้ ึกสุขหลืทุกข์จ่ งบํ
ึ ่ ต้อง
อาบัติ” จึ่งเสพเมถุ นธัม แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺท
ไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งบอกเรื้องนี้ให้ภิกษุทังหลายชาบ พวกภิกษุจ่ ง ึ
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลให้พระผู้มีพระภาคชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย โมฆ

บุรุษนันจะฮู ้ ึกหลืบ่ ฮู
ส ํ ส้ ึกกํตาม กํต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๔๑)

เรื้องจับต้อง ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 55 / 55

้ ภิกษุฮูบนึ่งคิดจะเสพเมถุ นธัมกับยิง แต่คันพํจับต้องเทฺ่านันกํ


สมัยนัน ้ เกีดความ
เดือดฮ้อนใจ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
เฮฺาต้องอาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๔๒)

เรื้องพระอรหันต์ชาวเมืองภัททิยะหลับ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งจําวัดกางเวันในป่ าชาติยาวัน เขตเมืองภัททิยะ ขณะที่จําวัด


[๗๔] สมัยนัน
หลับ อวัยวะทุกส่วนของท่านถืกลฺมพัดเพีนให้แขงตฺว ยิงคฺนนึ่งพฺบเขฺาจึ
้ ่ งนั่ง
เตังอฺงคชาต กะทําการจฺน พํใจแล้วจากไป ภิกษุทังหลายเหันอฺงคชาตเปิเปื้อนจึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย อฺงคชาต
แขงตฺวได้ด้วยเหตุ ๕ ญ่าง คื กําหนัด ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ถืกลฺมโพยพัด
้ ่ อฺงคชาตของภิกษุ
้ น อฺงคชาตจะแขงตฺวเพาะเหตุ ๕ ญ่างนี้ ภิกษุทังหลาย ขํที
ถืกบฺงขฺ

นันจะแขงตฺ วเพาะความกําหนัดนันเปั ้ ั้
นไปบํ่ได้ เพาะภิกษุนนเปั
นพระอรหันต์ ภิกษุทัง
ั ้ ่ ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๔๓)
หลาย ภิกษุนนบํ

เรื้องภิกษุชาวกุงสาวัตถี ๔ เรื้อง

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่ง จําวัดกางเวันในป่ าอันธวัน เขตกุงสาวัตถี ยิงล้฽งงฺวคฺน


นึ่งพฺบเขฺาจึ
้ ่ งนั่งเตังอฺงคชาต ท่านยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป
้ ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว
ยินดีขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัต
สิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๔๔)
้ ภิกษุฮูบนึ่งจําวัดกางเวันในป่ าอันธวัน เขตกุงสาวัตถี ยิงล้฽งแพะคฺนนึ่ง
สมัยนัน
้ ่ งนั่งเตังอฺงคชาต ท่านยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป
พฺบเขฺาจึ ้ ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าพระผู้มีพระภาคชฺงบันญัต
สิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๔๕)
้ ภิกษุฮูบนึ่งจําวัดกางเวันในป่ าอันธวัน เขตกุงสาวัตถี ยิงหาฟื นคฺนนึ่ง
สมัยนัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 56 / 56 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ่ งนั่งเตังอฺงคชาต ท่านยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป
พฺบเขฺาจึ ้ ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าพระผู้มีพระภาคชฺงบันญัต
สิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๔๖)
้ ภิกษุฮูบนึ่งจําวัดกางเวันในป่ าอันธวัน เขตกุงสาวัตถี ยิงขฺนขี้งฺวคฺนนึ่ง
สมัยนัน
้ ่ งนั่งเตังอฺงคชาต ท่านยินดีขณะกําลังสอดเขฺาไป
พฺบเขฺาจึ ้ ้
ยินดีขณะสอดเขฺาไปแล้ ว ยินดี
ขณะญุดญู่ ยินดีขณะถอนออก แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าพระผู้มีพระภาคชฺงบันญัต
สิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๔๗)

เรื้องภิกษุชาวมัลละกุงเวสาลี ๓ เรื้อง

[๗๕] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งจําวัดกางเวันในป่ ามหาวัน เขตกุงเวสาลี ยิงคฺนนึ่งพฺบเขฺาจึ


้ ่ง
นั่งเตัง อฺงคชาต ทําการจฺนพํใจแล้วยืนหฺวยิมญู ้ ใ ้ ่ นขึนมา
่ ก้ๆ ภิกษุนันตื ้ ้ า
ก่าวกับยิงนันว่
“นี้เปันการกะทําของท่านหลื” “แม่นแล้ว นี้เปันการกะทําของขะน้อย” ท่านเกีดความ
กังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านฮูห
้ ลื”
้ า” “ภิกษุท่านบํ่ฮู้ บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๔๘)
“บํ่ฮู้ พระพุทธเจฺาข้

[๗๖] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งจําวัดกางเวันในป่ ามหาวัน เขตกุงเวสาลี ขณะที่จําวัดหลับ



อิงตฺนไม้ ยิงคฺนนึ่งพฺบเขฺาจึ
้ ่ งนั่งเตังอฺงคชาต ท่านฮีบลุกขึนทั
้ นทีแล้วเกีดความกังวฺลใจ
ว่า พระผู้มีพระภาค ชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้อง
นี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านยินดีหลื” “บํ่
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๔๙)
ยินดี พระพุทธเจฺาข้
้ ภิกษุฮูบนึ่งจําวัดกางเวันในป่ ามหาวัน เขตกุงเวสาลี ขณะที่จําวัดหลับ
สมัยนัน

อิงตฺนไม้ ยิงคฺนนึ่งพฺบเขฺาจึ
้ ่ งนั่งเตังอฺงคชาต ท่านยูน ้
้ างกิงไป แล้วเกีดความกังวฺลใจ
ว่า เฮฺาต้องอาบัติปารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 57 / 57

พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านยินดีหลื” “บํ่ยินดีพระพุทธเจฺาข้


้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ยินดี บํ่
ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๕๐)

เรื้องภิกษุเปีดปะตูจําวัด ๑ เรื้อง

[๗๗] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งจําวัดกางเวันในกูฏาคารศาลาป่ ามหาวัน เขตกุงเวสาลี ขณะ


ที่เปีดปะตูจําวัดหลับ อวัยวะทุกส่วนของท่านถืกลฺมเพียพัดให้แขงตฺว คังนั ้ นมี
้ ยิง
หลายคฺนถืของหอมและดอกไม้พากันไปอาฮาม เบิ่งไปที่วิหาร เหันภิกษุนน ั ้ จึ่งไปนั่ง
ั ้ า “เปันผู้ชายยอดย้ຽมแท้ๆ คฺน
เตังอฺงคชาต ทําการจฺนพํใจแล้ว ก่าวชฺมเชียภิกษุนนว่
นี้” จากนันได้
้ ยก
ฺ ของหอมและดอกไม้พากันจากไป ภิกษุทังหลายเหันอฺงคชาต (ของ
ภิกษุผู้หลับ) เปิเปื้อน จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ว่า “ภิกษุทังหลาย อฺงคชาตแขงตฺวได้ด้วยเหตุ ๕ ญ่าง คื กําหนัด ปวดอุจจาระ ปวด
้ น อฺงคชาตจะแขงตฺว เพาะเหตุ ๕ ญ่างนี้ ภิกษุทัง
ปัสสาวะ ถืกลฺมเพียพัด ถืกบฺงขฺ
้ ่ อฺงคชาตของภิกษุนนจะแขงตฺ
หลาย ขํที ั้ วเพาะความกําหนัดนัน ้ เปันไปบํ่ได้ เพาะภิกษุ
้ เปันพระอรหันต์ ภิกษุทังหลาย ภิกษุนนบํ
นัน ั ้ ่ ต้องอาบัติ ภิกษุทังหลาย เฮฺาอนุยาตให้
ภิกษุผู้จะหลีกหลฺบพักผ่อนกางเวันปิดปะตูแล้วจึ่งหลีกหลฺบพักผ่อน” (เรื้องที ๕๑)

เรื้องภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะฝัน ๑ เรื้อง

[๗๘] สมัยนัน ้ ภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะฮูบนึ่ง ฝันว่าได้เสพเมถุ นธัมกับอดีตภัรยา จึ่ง


คิดว่า เฮฺา บํ่แม่นสมณะ จักสิก ขณะย่างไปเมืองภารุกัจฉะ ในระหว่างทางพฺบพระอุ
บาลี จึ่งฮ฽นให้ทา่ นชาบ พระอุบาลีช้แจงว่
ี า “ท่าน พຽงความฝัน บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที
๕๒)

เรื้องอุบาสิกาชื่สุปพ
ั พา ๙ เรื้อง

้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สุปพ
สมัยนัน ั พา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย
มีความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 58 / 58 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

บนึ่งจึ่ง ก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง


นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ระหว่
ี างขาอ่อนเฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้อง
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัต
อาบัติ” ท่านได้เฮัดญ่างนัน
สิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสัง ฆาทิเสส”
(เรื้องที ๕๓)
สมัยนัน้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สุปพ
ั พา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย
มีความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ีสายบื เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่าน
ได้เฮัดญ่างนัน้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๕๔)
สมัยนัน้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สุปพ
ั พา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย
มีความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่ง ก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีทีฮ่องท้อง เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัติ”
ท่านได้เฮัดญ่างนัน ้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
แล้ว เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปารา ชิก แต่ต้องอาบัตส ิ ังฆาทิ เสส” (เรื้องที
๕๕)
สมัยนัน้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สุปพ
ั พา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย
มีความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ีฮ่องขี้แฮ้ เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัติ”
ท่านได้เฮัดญ่างนัน ้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้
ิ ารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
แล้ว เฮฺาต้องอาบัตป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 59 / 59

พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที


๕๖)
สมัยนัน้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สุปพ
ั พา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย
มีความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ คํ
ี เฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่านได้
เฮัดญ่างนัน้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺา
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๕๗)
สมัยนัน้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สุปพ
ั พา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย
มีความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ช่
ี องหู เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่าน
ได้เฮัดญ่างนัน้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๕๘)
สมัยนัน้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สุปพ
ั พา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย
มีความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ มวยผฺ
ี ม เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่าน
ได้เฮัดญ่างนัน้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
ิ ารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที
๕๙)

้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สุปพ
สมัยนัน ั พา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย
มีความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 60 / 60 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง


นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ีง่ามมื เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่าน
ได้เฮัดญ่างนัน้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๐)
สมัยนัน้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สุปพ
ั พา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย
มีความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย ขะน้อยจะใช้มพ
ื ยายามป่ อยอสุจิให้ เฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่
ต้องอาบัติ” ท่านได้เฮัดญ่างนัน ้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผูม
้ ีพระภาคชฺงบันญัต
สิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๖๑)

เรื้องอุบาสิกาชื่สัทธา ๙ เรื้อง

้ ในกุงสาวัตถี มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สัทธา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย มี


[๗๙] สมัยนัน
ความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮูบนึ่ง
จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลีย น้องยิง เรื้องนี้บํ่สฺมควร”
“นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ระหว่
ี างขาอ่อน เฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้องอาบัต”ิ ท่านได้

เฮัดญ่างนันแล้ วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺา
ต้องอาบัติปารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๒)

้ ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สัทธา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย มี


สมัยนัน
ความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮูบนึ่ง
จึ่ง ก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้องนี้บํ่สฺมควร”
“นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ สายบื
ี เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัต”ิ ท่านได้เฮัดญ่างนัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 61 / 61

แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติ


ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปารา ชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๓)
สมัยนึ่ง ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สัทธา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย มี
ความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮูบนึ่ง
จึ่ง ก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้องนี้บํ่สฺมควร”
“นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีทฮ่องท้อง เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัต”ิ ท่านได้เฮัดญ่าง
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติ
นัน
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๔)
สมัยนึ่ง ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สัทธา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย มี
ความเหันญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮูบนึ่ง
จึ่ง ก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้องนี้บํ่สฺมควร”
“นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ฮ่
ี องขี้แฮ้ เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัต”ิ ท่านได้เฮัดญ่าง
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติ
นัน
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิ เสส” (เรื้องที ๖๕)
สมัยนึ่ง ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สัทธา มีความเสื่อมใสแบบงฺมงาย มี
ความเหัน ญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ คํ
ี เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัต”ิ ท่านได้
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺา
เฮัดญ่างนัน
ต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๖)
สมัยนึ่ง ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สัทธา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย มี
ความเหัน ญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 62 / 62 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ช่


ี องหู เฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่าน
ได้เฮัดญ่างนัน้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๗)
สมัยนึ่ง ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สัทธา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย มี
ความเหัน ญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ีมวยผฺมเฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่าน
ได้เฮัดญ่างนัน้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๘)
สมัยนึ่ง ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สัทธา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย มี
ความเหัน ญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศ เมื่อนางพฺบภิกษุฮู
บนึ่ง จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลียน้องยิง เรื้อง
นี้บํ่สฺมควร” “นิมฺนต์เถีดขะน้อย นิมฺนต์ส฽ดสีท่ ีง่ามมื เฮัดญ่างนี้ท่านบํ่ต้องอาบัติ” ท่าน
ได้เฮัดญ่างนัน้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาค ชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ
เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที
๖๙)
สมัยนึ่ง ในกุงราชคึห์ มีอุบาสิกาคฺนนึ่งชื่สัทธา มีความเหลื้อมใสแบบงฺมงาย มี
ความเหัน ญ่างนี้ว่า ยิงผู้ถวายเมถุ นธัม ชื่ว่าได้ถวายทานอันเลิศเมื่อนางพฺบภิกษุฮูบนึ่ง
จึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์มาเสพเมถุ นธัมกันเถีดขะน้อย” “ญ่าเลีย น้องยิง เรื้องนี้บํ่สฺมควร”
“นิมฺนต์เถีดขะน้อย ขะน้อยจะใช้มพ ื ยายามป่ อยอสุจิให้ เฮัดญ่างนี้ ท่านบํ่ต้องอาบัติ”
ท่านได้เฮัดญ่างนัน ้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าพระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว
เฮฺาต้องอา บัติ ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิ เสส” (เรื้องที
๗๐)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 63 / 63

เรื้องภิกษุณี ๑ เรื้อง

้ ในกุงเวสาลี เจฺาชายลิ
[๘๐] สมัยนัน ้ จฉวีทังหลายจับภิกษุให้เสพเมถุ นธัมกับภิกษุณี
ํ องอาบัติ (เรื้องที ๗๑)
ท่านทังสองยินดี เพิงให้สิกเสั฽ทังคู่ ทังสองบํ่ยินดีบ่ ต้

เรื้องสิกขมานา ๑ เรื้อง

้ ในกุงเวสาลี เจฺาชายลิ
สมัยนัน ้ จฉวีทังหลายจับภิกษุให้เสพเมถุ นธัมกับ
ํ องอาบัติ (เรื้องที
สิกขมานา ท่านทังสองยินดี เพิงให้สิกเสั฽ทังคู่ ทังสองบํ่ยินดีบ่ ต้
๗๒)

เรื้องสามเณรี ๑ เรื้อง

้ ในกุงเวสาลี เจฺาชายลิ
สมัยนัน ้ จฉวีทังหลาย จับภิกษุให้เสพเมถุ นธัมกับ
สามเณรี ท่านทังสองยินดี เพิงให้สิกเสั฽ทังคู่ ทังสองบํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ (เรื้องที
๗๓)

เรื้องยิงแพศยา ๑ เรื้อง

้ ในกุงเวสาลี เจฺาชายลิ
[๘๑] สมัยนัน ้ จฉวีทังหลายจับภิกษุให้เสพเมถุ นธัมกับยิง
แพศยา ภิกษุยินดี เพิงให้สิกเสั฽ ถ้าบํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ (เรื้องที ๗๔)

เรื้องกะเทีย ๑ เรื้อง

้ ในกุงเวสาลี เจฺาชายลิ
สมัยนัน ้ จฉวีทังหลายจับภิกษุให้เสพเมถุ นธัมกับกะเทีย
ภิกษุยินดี เพิงให้สิกเสั฽ ถ้าบํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ (เรื้องที ๗๕)

เรื้องยิงครืหัสถ์ ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ในกุงเวสาลี เจฺาชายลิ


้ จฉวีทังหลายจับภิกษุให้เสพเมถุ นธัมกับยิงครื
หัสถ์ ภิกษุยินดี เพิงให้สิกเสั฽ ถ้าบํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ (เรื้องที ๗๖)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 64 / 64 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เรื้องให้ภิกษุผัดกัน ๑ เรื้อง

้ ในกุงเวสาลี เจฺาชายลิ
สมัยนัน ้ จฉวีทังหลายจับภิกษุให้เสพเมถุ นธัมกับกันและ
กัน ท่านทังสองยินดี เพิงให้สิกเสั฽ทังคู่ ถ้าบํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัติ (เรื้องที ๗๗)

เรื้องพระขรัวตา ๑ เรื้อง

[๘๒] สมัยนัน้ พระขรัวตาฮูบนึ่งไปย้ຽมอดีตภัรยา ถืกบังคับให้สิก ท่านถอยหนีจฺนลฺม




หงาย นางขึนเตั งอฺงคชาต ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัต
สิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านยินดีหลื” “บํ่ยินดี พระพุทธเจฺาข้ ้ า” “ภิกษุ
ํ องอาบัติ” (เรื้องที ๗๘)
ท่านบํ่ยินดีบ่ ต้

เรื้องลูกเนื้อ ๑ เรื้อง

[๘๓] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งญู่ในป่ า ลูกเนื้อมาที่ถ่ายปัสสาวะของท่านแล้วอฺมอฺงคชาต


พ้อมทังดื่มนําปั
้ สสาวะ ท่านยินดี เกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัต
สิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า ภิกษุท่านต้องอาบัติปาราชิก (เรื้องที ๗๙)

ปาราชิกสิกขาบฺทที ๑ จฺบ

๧๧๧๧๧๧ ໟ ๧๧๧๧๧๧

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๒ เรื้องพระธนิย


กุมภการบุตร
ปาราชิกสิกขาบฺทที ๒
ว่าด้วยการถืเอฺาสิ่งของที่เจฺาของบํ
้ ่ ได้ให้
เรื้องพระธนิยกุมภการบุตร

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 65 / 65

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๘๔] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ ภูเขฺาคิชฌกูฏ เขตกุงราชคึห์ ภิกษุ
หลายฮูบเปันเพื่อน เหันเพื่อนคฺบกัน ช่วยกันเฮัดกุติมุงหย้า ญูจ
่ าํ พันษาที่เนีนพูเขฺาอิสค
ิ ิ
ลิ ท่านพระธนิยกุมภการบุตรกํเฮัดมุงหย้าญูจ ่ ําพันษาในที่นัน
้ ตํ่เมื่อล่วงไตรมาสไป
้ ้กุติมุงหย้า เกับหย้าและท่อนไม้ไว้แล้วพากันหลีกจาริกไปในชฺ
แล้ว ภิกษุเหลฺ่านันฮื
นบฺท ส่วนพระ ธนิยกุมภการบุตร ยังพักญูท ่ ่ นั ้
ี นตลอดระดู ฝน
ฺ ระดูหนาวและระดูฮ้อน
มื้นึ่งเมื่อท่านไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน คฺนหาบหย้า คฺนหาฟื น ฮื้กุตห
ิ ย้าของท่าน แล้วขฺน

เอฺาหย้าและไม้ไป ท่านพระธนิยกุมภการบุตรได้หาหย้าและไม้มาเฮัดกุติหย้าเปันคังที
ั้
๒ และแม่นแต่คงที ๓ เมื่อท่านไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน คฺนหาบหย้า คฺนหาฟื น กํยังฮื้
ิ ย้าของท่าน แล้วขฺนหย้าและไม้ไป เปันเถิง ๓ คัง้ ท่านคิดว่า เมื่อเฮฺาไป
เอฺากุตห
บิณฑบาตในบ้าน คฺนหาบหย้า คฺนหาฟื น ฮื้กุติหย้าแล้วขฺนหย้าและไม้ไปเถิง ๓ คัง้
เฮฺามีการ ศึกษาดี บํ่บฺกพ่อง สําเรัจศิลปะช่างหมํ ้ ทຽบเทฺ่าอาจารย์ ญ่ากะนันเลี
้ ย เฮฺา
้ มเฮัดกุติดินล้วนด้วยตฺวเอง ดั่งนัน
เพิงคันตฺ ้ ท่านจึ่งคันตฺ
้ มกํ่กุตด
ิ ินล้วน และฮวบ
ฮวมหย้า ไม้และขี้งฺวแห้งมาสุมไฟเผฺากุตน ั ้ นสุก กุตน
ิ นจฺ ั ้ ดงาม หน้าเบิ่งหน้าชฺม มีสี
ิ นงฺ
แดงเหมือนสีแมงค่อมคํา (เวลาลฺมพัด)สฺ่งสຽงเหมือนสຽงกะดิง

[๘๕] ตํ่มา พระผู้มีพระภาคสเดัจลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏพ้อมกับภิกษุจํานวนหลาย


ทอดพระเนตรเหันกุตอ ิ ันงฺดงามหน้าเบิ่งหน้าชฺม ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลายนันแม่
้ น
หยังหน้าเบิ่งหน้าชฺม สีเหมือนแมงค่อมคํา” คันภิกษุทังหลายขาบทูลเรื้องนันให้
้ ชฺ
้ งตําหนิว่า “ภิกษุทังหลาย การกะทําของโมฆบุรุษ
งชาบแล้ว พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
้ ่ สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้
นันบํ ํ บํ่ควรทําเลีย จั่งใด
โมฆบุรุษจึ่งคันตฺ ้ ่ ว่าบํ่ได้มีความเอ็นดู ความอนุเคราะห์
้ มกํ่กุติดินล้วนละ โมฆบุรุษนันชื
ความบํ่บ฽ดบ฽นสัตว์ทังหลาย พวกท่านจฺ่งไปทําลายกุตน ั้ ฽ ญ่าให้เพื่อนพรฺมจารีใน
ิ นเสั
พายหลังได้บ฽ดบ฽นหมู่สัตว์เลีย ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ เพิ
ํ งเฮัดกุตดิ ินล้วน ภิกษุใดทํา
้ บพระพุทธฎีกาแล้วพากันไปที่กุติ ช่วยกันทําลายกุติ
ต้องอาบัติทุกกฏ” ภิกษุเหลฺ่านันฮั
้ ในขณะนัน
นัน ้ ท่านพระธนิยกุมภการบุตรมาถามภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “เปันหยังพวกท่าน
จึ่งทําลายกุตข
ิ องผู้ข้า” “ท่าน พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ทําลาย” “ถ้าพระผู้มีพระภาคผู้
เปันธัมสามีฮับสั่งให้ทําลาย กํทําลายเถีด”

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 66 / 66 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๘๖] ตํ่มา ท่านพระธนิยกุมภการบุตรคิดว่า เมื่อเฮฺาไปบิณฑบาตในหมูบ ่ ้าน คฺนหาบ


หย้า คฺนหาฟื นมาฮื้กุตห
ิ ย้า ขฺนหย้าและท่อนไม้ไปเถิง ๓ คัง้ แม่นแต่กุตดิ ินล้วนที่ทํา
้ ักพนักงานป่ าไม้ท่ ีฮักแพงกัน ญ่ากะนันเลี
ไว้พระผู้มีพระภาคกํฮับสั่งให้ทําลาย เฮฺาฮูจ ้ ย

เฮฺาควรขํไม้มาเฮัดกุติไม้ แล้วไปหาเจฺาพนั กงานป่ าไม้ ก่าวว่า “จะเรีนพอน เมื่อ
อาตมาไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน คฺนหาบหย้า คฺนหาฟื นไปฮื้กุตห ิ ย้า ขฺนหย้าและไม้ไป
ิ ินล้วนที่ทําไว้ พระผู้มีพระภาคกํฮับสั่งให้ทําลาย ท่านจฺ่งให้ไม้
เถิง ๓ คัง้ แม่นกุตด

แก่อาตมา อาตมาต้องการจะเฮัดกุติไม้” เจฺาพนั กงานป่ าไม้ตอบว่า “ผู้ขา้ บํ่มีไม้จะถวาย

พระคุณเจฺาได้ ํ ต่ไม้ของหลวงที่เกับไว้ส้อมแปงเมืองในคาวจําเปัน ถ้า
ขน้อย จะมีกแ

พระเจฺาแผ่ นดินมีฮับสั่งให้พระราชทาน พระคุณเจฺากํ
้ ให้คฺนไปขฺนเอฺาเถีด” ท่าน
พระธนิยกุมภการบุตรก่าวว่า “จะเรีนพอน พระเจฺาแผ่้ นดินได้พระราชทานไม้นนแล้ั้ ว”
้ เจฺาพนั
ลําดับนัน ้ กงานป่ าไม้คิดว่า “พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหลฺ่านี้ปะพึดธัม
ปะพึดสงฺบ ปะพึดพรฺมจันย์ เวฺาแม่้ ้
นแท้มีศีล มีกัลยาณธัม แม่นแต่พระเจฺาแผ่ นดินยังชฺง
้ ่ งที่พระเจฺาแผ่
เหลื้อมใสมาก พระธนิยะคฺงบํ่กล้าเวฺาสิ ้ นดินยังบํ่ได้พระราชทานว่า ได้
้ เจฺาพนั
พระราชทานแล้ว” ลําดับนัน ้ กงานป่ าไม้จ่ งก่
ึ าวกับท่านพระธนิยะดั่งนี้ว่า “นิมฺนต์
ท่านให้คฺนขนไปเถีด ขน้อย” ท่านพระธนิยะสั่งให้ตัดไม้เหลฺ่านันเปั
้ นท่อนน้อยท่อน
ใหย่บันทุกกว฽นไปเฮัดกุติไม้

วัสสการพรามณ์ตรวจราชการ

[๘๗] เวลานัน้ วัสสการพรามณ์มหาอมาตย์มคธรัฐ ไปตรวจราชการ เขฺาไปหาเจฺ ้ า้


พนักงานป่ าไม้เถิงที่พัก คันเถิงแล้วได้ก่าวกับเจฺาพนั
้ กงานป่ าไม้ด่ งนี
ั ้ว่า “นี้ท่าน ไม้ของ
หลวงที่เกับไว้ส้อมแปงเมืองในคาวจําเปันญูท ่ ่ ใด”
ี ้
เจฺาหน้ าที่ป่ าไม้ตอบว่า “ข้าแต่ท่าน

พระเจฺาแผ่ นดินได้พระราช ทาน ไม้แก่พระธนิยกุมภการบุตรไปแล้ว” วัสสการพ
รามณ์บ่ พํ ้
ํ ใจ ก่าวว่า “เปันหยังพระเจฺาแผ่ นดินจึ่งได้พระราชทานไม้ของหลวงที่เกับไว้
ส้อมแปงเมืองในคาวจําเปันแก่พระธนิยกุมภการบุตรไปละ” จึ่งเขฺาไปเฝฺ
้ ้
าพระเจฺ ้ ม
าพิ
พิสารจอมทัพมคธเถิงที่ปะทับ คันเถิงแล้วได้ขาบทูลพระเจฺาพิ
้ มพิสารจอมทัพมคธ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 67 / 67

ดั่งนี้ว่า “ได้ชาบกะม่อมว่า พระอฺงค์ได้พระราชทานไม้ของหลวง ที่เกับไว้ส้อมแปง


เมืองในคาวจําเปันแก่พระธนิยกุมภการบุตรไปแล้ว แม่นแท้บพ ้ า”
ํ ระพุทธเจฺาข้
“ใผก่าวญ่างนัน” ้

“เจฺาหน้ าที่ป่ าไม้ พระพุทธเจฺาข้
้ า”
“ถ้าเชั่นนี้ จฺ่งไปฮ฽กเจฺาหน้
้ าที่ป่ าไม้มา”
วัสสการพรามณ์ส่ งให้ั ้ าที่คุมตฺวเจฺาหน้
เจฺาหน้ ้ าที่ป่ าไม้มาทันที พระธนิยภุมภการบุตร

เหันเจฺาหน้ า ที่ป่ าไม้ถืกควบคุมตฺวไปจึ่งก่าวว่า “จะเรีนพอน ท่านถืกเจฺาหน้้ าที่ควบคุม
ตฺวด้วยเรื้องหยัง”
“เรื้องไม้นนแหละ
ั้ ขน้อย”
“ท่านจฺ่งไปก่อนเถีด อาตมาจะตามไป” เจฺาหน้้ าที่ป่ าไม้ก่าวว่า

“พระคุณเจฺาควรไปก่ อนที่ผู้ข้าจะเดือดฮ้อนเดี้ ขน้อย”


[๘๘] พระธนิยกุมภการบุตร เขฺาไปพระราชนิ ้ มพิสาร แล้วนั่งเทิง
เวศน์ของพระเจฺาพิ
้ พระเจฺาพิ
อาสนะ ขณะนัน ้ มพิสารสเดัจเขฺาไปหาพระธนิ
้ ยกุมภการบุตร ชฺงไหว้แล้วปะ
ทับนั่ง ณะ ที่สฺม ควร ตรัสถามว่า “พระคุณเจฺา้ ชาบว่าไม้ของหลวงที่เกับไว้ส้อมแปง
เมืองในคาวจําเปัน โยมถวายแก่พระคุณเจฺา้ แม่นแท้บํ” “แม่นแท้มหาบพิตร” “พระคุณ
เจฺา้ โยมเปันพระเจฺาแผ่
้ นดิน มีกํรณียกิจมากมาย เถิงจะถวายไปแล้วกํจําบํ่ได้ พระคุณ

เจฺาโปดเตื อนความจําให้โยมด้วย” พระธนิยกุมภการบุตร ทูลว่า “ขํถวายพระพอน
้ ่ พระอฺงค์สเดัจถเลิงถวัลยราชย์ใหม่ๆ ชฺงเปั่งพระวาจาว่า ข้า
พระอฺงค์จําได้บ่ ํ คังที

พะเจฺาถวายหย้ ้
า ไม้และนําแก่ สมณะพรามณ์ ขํสมณะพรามณ์โปดใช้สอยเถีด” “พระคุณ
เจฺา้ โยมจําได้ ที่โยมเวฺานั ้
้ นหมายเถิ
งสมณะพรามณ์ผู้มีความละอาย มีความระมัด ระวัง
้ น
ใฝ่ การศึกษา มีความก฽ดชังแม่นแต่โทษเล็กๆน้อยๆ หย้า ไม้และนํานั ้ ยังบํ่ได้มีใผ
่ นป่ า ท่านจฺงใจอ้างจะขฺนไม้ท่ บํ
จับจอง ญูใ ี ่ ให้ไป พระเจฺาแผ่
้ นดินเชั่นโยมจะข้า ข้า
จองจํา หลืเนรเทศสมณะพรามณ์ญ่างใดได้ นิมฺนต์กับไปเถีด ท่านลอดตฺวได้เพาะขฺน
(เคื่องนุ่งของสมณะ) แต่ญ่าได้เฮัดญ่างนี้อีก”

ปะชาชฺนตําหนิ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 68 / 68 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ปะชาชฺนพากันตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหลฺ่านี้บํ่


มีความละอาย ทุศีล ชอบเวฺาเท็ ้ จ แต่กํปะติยานว่า ปะพึดธัม ปะพึดสงฺบ ปะพึดพรฺม

จันย์ เวฺาแม่ นแท้มีศีล มีกัลยาณธัม พวกท่านบํ่มีความเปันสมณะ บํ่มีความเปันพรามณ์
ความเปันสมณะ ความเปัน พรามณ์ของพวกท่านเสื่อมสินไปแล้
้ ว พวกท่านจะเปันสมณะ
เปันพรามณ์ได้ญ่างใด พวกท่านปาสจากความเปันสมณะ ปาสจากความเปันพรามณ์ แม่น

แต่พระเจฺาแผ่ ้ หลอกลวงได้ จั่งใดคฺนอื่นจักบํ่ถืกหลอก
นดินกํยังถืกสมณะเหลฺ่านัน
ลวงละ”
ภิกษุทังหลายได้ยินปะชาชฺนตําหนิ ปะนาม โพนทะนา บันดาภิกษุผู้มักน้อยสันโดษ มี
ความละอาย มีความระมัดระวัง ใฝ่ การศึกษา จึ่งตําหนิ ปะนามโพนทะนาว่า “จั่งใด
ท่านพระ ธนิยกุมภการบุตรจึ่งลักไม้ของหลวงที่เขฺาบํ่ได้ให้ไปละ” คันภิกษุทังหลาย
ตําหนิท่านพระ ธนิยกุมภการบุตรโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ น
คังนั ้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
้ ชฺงสอบถามท่าน
พระธนิยกุมภการบุตรว่า “ธนิยะ ชาบว่าท่านลักไม้หลวงแม่นแท้บ”ํ ท่านทูลฮับว่า
“แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้ ้ า” พระผูม
้ ีพระภาคชฺงตําหนิวา่ “โมฆบุรุษ การกะทําญ่าง
นี้บํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้
ํ บํ่ควรทํา โมฆบุรุษ
การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใส ให้เหลื้อมใส หลืเฮัดให้คฺนที่
่ ล้วให้เหลื้อมใสยิ่งขึนได้
เหลื้อมใสญูแ ้ เลีย ที่แม่นแท้กับจะเฮัดให้คฺนที่บํ่เหลื้อม
ใสกํบ่ เหลื
ํ ้อมใสไปเลีย คฺนที่เหลื้อมใสแล้วบางพวกกํจะกายเปันอื่นไป”
สมัยนัน ้ มีมหาอมาตย์เคียเปันผู้พิพากษาคฺนนึ่งบวชญู่ในหมู่ภิกษุ นั่งญูบ
่ ่ ไกพระผู
ํ ้มีพระ
ภาค พระ อฺงค์จ่ งฮั
ึ บสั่งถามภิกษุฮูบนันว่
้ า “พระเจฺาพิ
้ มพิสาร จอมทัพมคธ จับโจรได้
แล้วปะหารแด่ จองจําแด่ เนรเทศแด่ ด้วยอัตราโทษตามมูลค่าชัพย์ท่ โจรกั
ี มมาเทฺ่า

ใด” ภิกษุฮูบนันขาบทู ลว่า “ด้วยมูลค่า ๑ บาทแด่ ควรแก่ ๑ บาทแด่ เกีนกว่า ๑
้ า”
บาทแด่ พระพุทธเจฺาข้
้ ในกุงราชคึห์ ชัพย์ ๑ บาท เทฺ่ากับ ๕ มาสก)
(สมัยนัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 69 / 69

พระผู้มีพระภาคชฺงตําหนิท่านพระธนิยกุมภการบุตร โดยปะการต่างๆ แล้วได้ตรัสโทษ


แห่งความเปันคฺนล้฽งยาก ฯลฯ คุณแห่งการปารฺภความพ฽ນ แล้วชฺงสะแดงธัมมีกถา
้ แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้
แก่ภิกษุทังหลายให้เหมาะสฺมกับเรื้องนัน
้ ่ งนี้
ขึนสะแดงดั

พระบันญัต

[๘๙] กํ ภิกษุใด ถืเอฺาชัพย์ท่ เจฺ ้ ่ ได้ให้โดยส่วนแห่งจิตคิดจะลัก มีมูลค่าเทฺ่ากับ


ี าของบํ
อัตราโทษที่พระราชาทังหลายจับโจรได้แล้วปะหารแด่ จองจําแด่ เนรเทศแด่ บํริ
้ นโจร เจฺาเปั
ภาษว่า “เจฺาเปั ้ นคฺนพาล เจฺาเปั ้ นคฺนลัก” ดั่งนี้ เพาะถืเอฺา
้ นคฺนหลฺง เจฺาเปั
ชัพย์ท่ เจฺ ้
ี าของบํ ่ ได้ให้เชั่นใด ภิกษุผู้ถเื อฺาชัพย์ท่ เจฺ ้ ่ ได้ให้เชั่นนัน
ี าของบํ ้ แม่นว่าภิกษุน้ี
เปันปาราชิก หาสังวาสบํ่ได้ สิกขาบฺทนี้พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตไว้แก่ภิกษุทัง
หลายญ่างนี้

เรื้องพระธนิยกุมภการบุตร จฺบ

เรื้องพวกภิกษุฉัพพัคคีย์

[๙๐] คันตํ่มา พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ไปลานตากผ้าของช่างย้อมผ้า แล้วพากันลักหํ่ผ้ากับมา


วัด แบ่งกัน ภิกษุทังหลายก่าวญ่างนี้ว่า “พวกท่านมีบุนมาก จีวอนจึ่งเกีดขึนแก่
้ พวก
ท่านมาก” พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ตอบว่า “พวกเฮฺาจะมีบุนมาจากใดกัน พวกเฮฺาไปลาน
ตากผ้าของช่างย้อมแล้ว ได้ลักหํ่ผ้าของช่างย้อมมาด฽วนี้เอง” ภิกษุทังหลายจึ่งท้วงติง
ว่า “ท่าน พระผู้มีพระภาคได้ชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้วบํ่แม่นบํ เหตุใด พวกท่านจึ่ง
ลักหํ่ผ้าของช่างย้อมมาละ” พวกภิกษุฉัพพัคคียก์ ่าว แย้งว่า “แม่นแท้ท่านทังหลาย

พระผู้มีพระภาคได้ชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว แต่สิกขาบฺทนันใช้ สะเพาะในบ้าน บํ่แม่น
ในป่ า” ภิกษุเหลฺ่านันก่
้ าวว่า “พระบันญัตนันใช้
้ ได้เหมือนกันทังในบ้านและในป่ าบํ่แม่นบํ
การกะทําของท่านบํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้
ํ บํ่
ควรทําเลีย จั่งใด พวกท่านจึ่งลักหํ่ผ้าของช่างย้อมมาละ การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัด

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 70 / 70 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส หลืเฮัดให้คฺนที่เหลื้อมใสญูแ ่ ล้วให้เหลื้อมใส


ยิ่งขึนได้
้ เลีย ที่แม่นแท้มันกับจะเฮัดให้คฺนที่บํ่เหลื้อมใสกํบ่ เหลื
ํ ้อมใสไปเลีย คฺนที่
่ ล้วบางพวกกํจะกายเปันอื่นไป”
เหลื้อมใสญูแ
้ าหนิพวกภิกษุฉัพพัคคีย์โดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
คันภิกษุเหลฺ่านันตํ
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ ลําดับนัน้ พระผูม้ ีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้

เปันตฺนเหตุ ชฺงสอบถามพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ว่า “ภิกษุทังหลาย ชาบว่า พวกท่านลักหํ่
้ า”
ผ้าของช่างย้อม แม่นแท้บํ” พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ทูลฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้
้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษทังหลาย การกะทําของพวก
พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
ท่านบํ่สฺมควร ฯลฯ บํ่ควรทําเลีย โมฆบุรุษทังหลาย จั่งใดพวกท่านจึ่งลักหํ่ผ้าของ
ุ ทังหลาย การกะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้
ช่างย้อมมาละ โมฆบุรษ
เหลื้อมใส ฯลฯ”
คันตําหนิพวกภิกษุฉัพพัคคีย์โดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งตรัสโทษแห่งความเปันผู้ล้฽งยาก
ฯลฯ คุณแห่งการปารฺภความพ฽ນ แล้วชฺงสะแดงธัมมีกถาแก่ภิกษุทังหลายให้
เหมาะสฺมกับเรื้องนันแล้
้ วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
้ ่ งนี้

พระอนุบันญัต

[๙๑] อีกญ่างนึ่ง ภิกษุใดถืเอฺาชัพย์ท่ เจฺ ้


ี าของบํ ่ ได้ให้โดยส่วนแห่งจิตคิดจะลัก จาก
หมู่บ้านกํตาม จากป่ ากํตาม มีมูลค่าเทฺ่ากับอัตราโทษที่พระราชาทังหลายจับโจรได้
แล้ว ปะหารแด่ จองจําแด่ เนรเทศแด่ บํริภาษว่า “เจฺาเปั ้ นโจร เจฺาเปั
้ นคฺนพาล เจฺา้
้ นคฺนลัก” ดั่งนี้ เพาะ ถืเอฺาชัพย์ท่ ีเจฺาของบํ
เปันคฺนหลฺง เจฺาเปั ้ ่ ได้ให้เชั่นใด ภิกษุผู้ถื
เอฺาชัพย์ท่ เจฺ ้ ่ ได้ให้เชั่นนัน
ี าของบํ ้ แม่นว่าภิกษุน้ี กํเปันปาราชิก หาสังวาสบํ่ได้

เรื้องพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๙๒] คําว่า อีกผู้น่ ง...


ึ ผู้ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อีกผู้
นึ่ง... ผู้ใด

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 71 / 71

คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ชื่ว่า ภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผู้มพ


ี ระภาคชฺงปะสฺงค์เอฺา
ว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
ที่ชื่ว่า หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านมีกะตูบ ๑ หลังแด่ หมู่บ้านมีกะตูบ ๒ หลังแด่ หมู่บ้าน
มีกะตูบ ๓ หลังแด่ หมู่บ้านมีกะตูบ ๔ หลังแด่ หมู่บ้านมีคฺนญูแ ่ ด่ หมู่บ้านบํ่มีคฺนญูแ
่ ด่
หมู่บ้านที่มีฮวล้ ฺ้ อมแด่ หมู่บ้านที่มีโฮงเฮือนคืโฮงพักงฺวควายแด่
ฺ้ อมแด่ หมู่บ้านบํ่มีฮวล้
แม่นว่าสถานที่ที่มีหมู่กว฽นหลื งฺวควายพักแฮมเกีนกว่า ๔ เดือน กํตรัสฮ฽กว่า เปัน
หมู่บ้าน
ที่ชื่ว่า อุปจารหมู่บ้าน ได้แก่ เขตที่ชายมีกาํ ลังปานกางญืนญู่ท่ เสฺ
ี าเขื่อนของหมู่บ้านที่มี
้ อม ดึกก้อนดินไปตฺกลฺง หลื เขตที่ชายมีกําลังปานกางญืนญูท
ฮฺวล้ ่ ่ อุ
ี ปจารเฮือนของ
หมู่บ้านที่บํ่มีฮวล้
ฺ้ อม ดึกก้อนดินไปตฺกลฺง
ที่ชื่ว่า ป่ า ได้แก่ สถานที่ที่เวันจากหมู
้ ่บ้านและอุปจารหมู่บ้าน นอกนันชื ้ ่ ว่า ป่ า
ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ีเจฺาของบํ
้ ่ ได้ให้ ได้แก่ ชัพย์ท่ เจฺ ้
ี าของบํ ่ ให้ บํ่สละ บํ่บริจาค ยังฮักษาคุม

คองญู่ ถืกัมสิทธิ์ญู่ เปันชัพย์ท่ ีคฺนอื่นหวงแหน นันชื ้ ่ ว่าชัพย์ท่ เจฺ ้
ี าของบํ ่ ได้ให้
คําว่า โดยส่วนแห่งจิตคิดจะลัก คื มีไถยจิต ได้แก่ คิดจะลัก

คําว่า ถืเอฺา ได้แก่ ตู่ ชิง สํโกง เคื่อนไหวอิริยาบฺถ เฮัดให้ชพ
ั ย์เคื่อนที่ ให้ล่วง
เขตที่หมาย
ที่ชื่ว่า เชั่นใด คื ๑ บาทแด่ ควรแก่ ๑ บาทแด่ เกีนกว่า ๑ บาทแด่
ที่ชื่ว่า พระราชาทังหลาย ได้แก่ พระเจฺาแผ่ ้ ้ ้ปก
นดิน เจฺาผู ฺ คองประเทศ ท่านผู้ปก

คองมฺณฑฺล ท่านผู้ปก ฺ คองหมู่บ้านที่ญูใ
่ นระหว่าง ท่านผู้ตัดสินคดี มหาอมาตย์ หลืเจฺา้
หน้าที่ที่มีอํานาจสั่งปะหารและจองจําได้ ท่านเหลฺ่านี้ชื่ว่า พระราชาทังหลาย
ที่ชื่ว่า โจร ได้แก่ ผูท้ ่ ลั
ี กชัพย์ท่ เจฺ ้ ่ ได้ให้มีราคา ๕ มาสก(มาสะกะ)แด่ เกีนกว่า
ี าของบํ
๕ มาสกแด่ โดยส่วนแห่งจิตคิดจะลัก นี้ชื่ว่า โจร
คําว่า ปะหารแด่ ได้แก่ ปะหารด้วยมืแด่ ด้วยตีนแด่ ด้วยแส้แด่ ด้วยหวายแด่ ด้วย
กะบองแด่ ด้วยการตัดแด่
คําว่า จองจําแด่ ได้แก่ จองจําด้วยเคื่องจองจําคืเชือกแด่ ขื่คาแด่ โส้ล่ามแด่ ด้วย
การกักขังในเฮือนจําแด่ กักบํริเวณในเมืองแด่ ในหมู่บ้านแด่ ในตาแสงแด่ ให้คน


เฝฺาคอยควบคุมแด่คําว่า เนรเทศแด่ ได้แก่ ขับไล่ออกไปจากหมู่บ้านแด่ จากตาแสง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 72 / 72 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

แด่ จากเมืองแด่ จากชฺนบฺทแด่ จากประเทศแด่


้ นโจร เจฺาเปั
คําว่า เจฺาเปั ้ นคฺนพาล เจฺาเปั ้ นคฺนลัก นี้เปันคําบํริภาษ
้ นคฺนหลฺง เจฺาเปั
ที่ชื่ว่า เชั่นนัน
้ คื ๑ บาทแด่ ควรแก่ ๑ บาทแด่ เกีนกว่า ๑ บาทแด่

คําว่า ผู้ถืเอฺา ได้แก่ ผู้ตู่ ชิง สํโกง เคื่อนไหวอิริยาบฺถ เฮัดให้ชัพย์เคื่อนที่ ให้ล่วง
เขตที่หมาย
คําว่า แม่นว่าภิกษุน้ี พระผู้มีพระภาคตรัสทຽบค฽งภิกษุฮูบก่อน
คําว่า เปันปาราชิก อธิบายว่า ภิกษุถืเอฺาชัพย์ท่ เจฺ ้ ่ ได้ให้ ๑ บาทแด่ ควรแก่ ๑
ี าของบํ
บาทแด่ เกีนกว่า ๑ บาทแด่ โดยส่วนแห่งจิตคิดจะลัก ย่อมบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อ
สายศากยบุตร ป฽บเหมือนใบไม้แห่วห่฽วเหลืองหลุดจากขัวนนแล้ ้ ว บํ่อาจเปัน
ั ้ พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสฮ฽กว่า เปันปาราชิก
ของข฽วสฺดตํ่ไปได้ ด้วยเหตุนน
คําว่า หาสังวาสบํ่ได้ อธิบายว่า ที่ชื่ว่า สังวาส ได้แก่ กัมที่ทําฮ่วมกัน อุทเทสที่สวด
ฮ่วมกัน ความมีสิกขาสเมีกัน นี้ชื่ว่า สังวาส สังวาสนันบํ
้ ่ มีกับภิกษุฮูบนัน
้ ด้วยเหตุนน
ั้
พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสว่า หาสังวาสบํ่ได้

บฺทภาชนีย์
มาติกา

[๙๓] ชัพย์ท่ ญู ่ นแผ่นดิน ชัพย์ท่ ญู


ี ใ ี ่เทิงบฺก ชัพย์ท่ ญูี ใ่ นอากาศ ชัพย์ท่ ญู ่ นที่แจ้ง ชัพย์
ี ใ
ที่ญู่ในนํา้ ชัพย์ท่ ีญูใ
่ นเฮือ ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นยาน ชัพย์ท่ นํ ี าติดตฺวไปได้ ชัพย์ท่ ญู
ี ใ
่ นสวน
ชัพย์ท่ ญู
ี ใ ่ นวัด ชัพย์ท่ ีญูใ
่ นนา ชัพย์ท่ ญู ่ นพื้นที่ ชัพย์ท่ ญู
ี ใ ี ใ่ นหมู่บ้าน ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นป่ า นํา้

ไม้ชําฮะแข้ว ตฺนไม้ ้ า ชัพย์ท่ มี
เจฺาป่ ี ผู้นําไป ชัพย์ท่ เขฺ
ี าฝากไว้ ด่านภาษี สัตว์มีชีวิต
สัตว์บ่ มี
ํ ตีน สัตว์ ๒ ตีน สัตว์ ๔ ตีน สัตว์มต ี ีนหลาย ภิกษุผู้ส่ ง
ั ภิกษุผู้ฮับของฝาก
การชักชวนกันไปลัก การนัดหมาย การทํานิมิต

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๒ บฺทภาชนีย์


ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นแผ่นดิน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 73 / 73

[๙๔] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู


ี ใ่ นแผ่นดิน ได้แก่ ชัพย์ท่ ฝั
ี งถฺมไว้ในแผ่นดิน ภิกษุมีไถยจิตคิด
จะลักชัพย์ท่ ญู ่ นแผ่นดิน แล้วหาเพื่อนไปด้วย หาจฺก หากะต่า หลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้อง
ี ใ
อาบัติทุกกฏ ตัดไม้ หลืเคือไม้ท่ ขึ ้ ท
ี นญู ่ ่ นั
ี น้ ต้องอาบัติทุกกฏ ขุดกฺ่นหลืกอบโกยฮ่อน
ดิน ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้องหมํชั้ พย์ ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยจิต ญ่อนภาชนะของตฺนลฺงไปถืกต้องชัพย์มีราคา ๕ มาสกหลืเกีนกว่า ๕

มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้ชัพย์เขฺาไปญู
ใ ่ น
ภาชนะของตฺน หลืหยิบขาดจากกันขึนมานึ้ ่ งกํามื ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถยจิต จับ
ต้องชัพย์ท่ เขฺ
ี าฮ้อยด้วยด้ายสัง วาล ส้อยคํ เข็มขัด ผ้าสาฎฺก ผ้าโพก ต้องอาบัติทุกกฏ
เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ จับปาย ยฺกขึน้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ดึงฮูดออกไป ต้อง
ฺ้
อาบัติถุลลัจจัย ให้พนปากหมํ ้ นพຽงปายผฺม ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถยจิต
แม่
ดื่มเนียใส นํามั ้ ง้ นําอ้
้ น นําเผิ ้ อย มีราคา ๕ มาสก หลืเกีน
กว่า ๕ มาสก ด้วยการดื่มคังด฽ว
้ ้ หลื
ต้องอาบัติปาราชิก ทําลาย เฮัดให้เฮั่ຽ เผฺาถิม
เฮัดให้บํริโภคบํ่ได้ ต้องอาบัติทุกกฏ

ชัพย์ท่ ีญูเ่ ทิงบฺก

[๙๕] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู


ี เ่ ทิงบฺก ได้แก่ ชัพย์ท่ ีเขฺาวางไว้เทิงบฺก ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลัก
ชัพย์ท่ ญู
ี เ่ ทิงบฺก หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัติ
ทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นอากาศ

[๙๖] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู


ี ใ่ นอากาศ ได้แก่ ชัพย์ท่ ไปในอากาศ
ี คืนฺกยูง นฺกคับแค นฺกกะ
ทา นฺกกะจาบ ผ้าสาฎฺก ผ้าโพก หลืเงินทองที่ขาดหลุดตฺกลฺง ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลัก
ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นอากาศ หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ ญุดการไปของ
ชัพย์ ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย
เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 74 / 74 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นที่แจ้ง

[๙๗] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู


ี ใ่ นที่แจ้ง ได้แก่ ชัพย์ท่ แขวนไว้
ี ในที่แจ้ง เชั่น ชัพย์ท่ ีค้องไว้
เทิงต฽งหลืต่ ง ั ห้อยไว้เทิงฮาวจีวอน สายระด฽ง ที่เดือยฝา ที่เคื่องแขวนฮูบ
งาช้างหลืท่ ตฺ ้
ี นไม้ โดยที่สุดแม่นเทิงเชิงฮองบาตร ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักชัพย์ท่ ญู ี ใ
่ น
ที่แจ้ง หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ
เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นนํา้

[๙๘] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู


ี ใ่ นนํา้ ได้แก่ ชัพย์ท่ เขฺ
ี าเกับไว้ในนํา้ ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักชัพย์
ที่ญู่ในนํา้ หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ ดําลฺงหลืผุดขึนในนํ ้ า้ ต้อง
อาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อน
ที่ ต้องอาบัติปาราชิก
้ ว ปาหลืเตฺ่าที่เกีดใน
ภิกษุมีไถยจิต จับต้องดอกอุบฺล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก เหงฺาบฺ
้ น
นํานั ้ มีราคา ๕ มาสก หลืเกีนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นเฮือ

[๙๙] ที่ชื่ว่า เฮือ ได้แก่ พาหนะสําลับใช้ขา้ มนํา้ ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ีญูใ


่ นเฮือ ได้แก่ชัพย์ท่ ี
เขฺาเกับไว้ในเฮือ ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักชัพย์ท่ ญู ่ นเฮือ หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่
ี ใ
ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัตท ิ ุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย
เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักเฮือ หาเพื่อนไปด้วยหลืไป
แต่ผู้ด฽วต้องทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย
แก้เคื่องผูก ต้องอาบัติทุกกฏ แก้เคื่องผูกแล้วจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว
ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เฮือลอยทวนนํา้ ลอยตามนําหลื
้ ลอยไปขวางลํานํา้ ให้
เคื่อนไปแม่นพຽงปายผฺม ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นยาน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 75 / 75

[๑๐๐] ที่ชื่ว่า ยาน ได้แก่ วํ รฺถ กว฽น คานหาม ที่ชื่ว่าชัพย์ท่ ีญูใ


่ นยาน ได้แก่ ชัพย์
ที่เขฺาเกับไว้ในยาน ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักชัพย์ท่ ีญูใ
่ นยาน หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่
ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย
เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักยาน หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง
ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ นํ
ี าติดตฺวไปได้

[๑๐๑] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ นํ


ี าติดตฺวไปได้ ได้แก่ ชัพย์ท่ ทู ้
ี นไป แบกไป คอนไป หิวไป
ภิกษุมีไถยจิต จับต้องชัพย์ท่ ีญู่เทิงสีษะ ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติ
ฺ มาที่ไหล่ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถยจิตจับต้องชัพย์ท่ ญู
ถุ ลลัจจัย ลฺดชัพย์ลง ี ร่ ะดับ
ไหล่ ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย ลฺดชัพย์ลฺงมาเถิงระดับแอว ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถยจิต จับต้อง
ชัพย์ช่ งญู
ึ ท ่ ่ แอว
ี ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ใช้มถื ืไป ต้อง
อาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถยจิต วางชัพย์ในมืลฺงเทิงพื้น ต้องอาบัตป ิ าราชิก ถืเอฺาจากพื้น
ไป ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นสวน

[๑๐๒] ที่ชื่ว่า สวน ได้แก่ สวนไม้ดอก สวนผฺลไม้ ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู ี ใ


่ นสวน ได้แก่
ชัพย์ท่ เขฺ
ี าเกับไว้ในสวนโดยฐานะ ๔ คื ฝังญูใ ่ นแผ่นดิน ตังญู ้ ่เทิงพื้นดิน ลอยญูใ
่ น
อากาศ แขวนญูใ ่ นที่แจ้ง ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักชัพย์ท่ ีญูใ
่ นสวน หาเพื่อนไปด้วยหลื
ไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุมีไถยจิต จับต้องฮาก เปือก ใบ
ดอกหลืหมากผฺลในสวนนัน ้ มีราคา ๕ มาสกหลืเกีนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ
เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุก่าวตูเ่ อฺาที่สวน ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เจฺาของเกี
้ ดความสฺงสัย ต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 76 / 76 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


ถุ ลลัจจัย หากเจฺาของทอดธุ ระว่าจะบํ่เปันของเฮฺา ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุเมื่อดําเนีน

คดีชนะความเจฺาของ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อดําเนีนคดีเสัຽความ ต้องอาบัติถุลลัจจัย

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นวัด

[๑๐๓] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู


ี ใ่ นวัด ได้แก่ ชัพย์ท่ เขฺ
ี าเกับไว้ในวัดโดยฐานะ ๔ คื ฝังญูใ ่ น
้ ่เทิงพื้นดิน ลอยญูใ
แผ่นดิน ตังญู ่ นอากาศ แขวนญูใ ่ นที่แจ้ง ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลัก
ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นวัด หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัติ
ทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจ จัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุก่าวตูเ่ อฺาที่วัด ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เจฺาของเกี
้ ดความสฺงสัย ต้องอาบัติ

ถุ ลลัจจัย หากเจฺาของทอดธุ ระว่า จะบํ่เปันของเฮฺา ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุเมื่อดํา

เนีนคดี ชนะความเจฺาของ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อดําเนีนคดีเสัຽความ ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นนา

[๑๐๔] ที่ชื่ว่า นา ได้แก่ ที่ชึ่งมีบุพพัณชาติหลือปรัณชาติเกีด


ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นนา ได้แก่ ชัพย์ท่ เขฺ
ี าเกับไว้ในนาโดยฐานะ ๔ คื ฝังญูใ ่ นแผ่นดิน
้ ่เทิงพื้นดิน ลอยญูใ
ตังญู ่ นอากาศ แขวนญูใ ่ นที่แจ้ง ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ น
นา หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัด
ให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยจิตจับต้องบุพพัณชาติหลือปรัณชาติท่ เกี ้ มีราคา ๕ มาสก หลืเกีน
ี ดในนานัน
กว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่
ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุก่าวตูเ่ อฺาที่นา ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เจฺาของเกี
้ ดความสฺงสัย ต้องอาบัติ

ถุ ลลัจจัย หากเจฺาของทอดธุ ระว่า จะบํ่เปันของเฮฺา ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุเมื่อดําเนีนคดี ชนะความเจฺาของ
้ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อดําเนีนคดีเสัຽความ ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย
ภิกษุปก
ั หลัก ขึงเชือก ล้อมฮฺว ้ ่ นา ต้องอาบัติทุกกฏ เมื่อความ
้ หลืถฺมคันนาให้รุกลําที

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 77 / 77

้ ่ นาอีกคังด฽วจะสํ
พยายามรุกลําที ้ าเรัจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อความพยายามคังสุ
้ ดท้าย
สําเรัจ ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นพื้นที่

[๑๐๕] ที่ชื่ว่า พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่สวน พื้นที่วัด ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู


ี ใ่ นพื้นที่ ได้แก่ ชัพย์
ที่เขฺาเกับไว้ในพื้นที่ โดยฐานะ ๔ คื ฝังญูใ ่ นแผ่นดิน ตังญู ้ ่เทิงพื้นดิน ลอยญูใ ่ นอากาศ
่ นที่แจ้ง
แขวนญูใ
ภิกษุมีไถยจิตคิดจะลักชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นพื้นที่ หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุก
กฏ จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้อง
อาบัติปาราชิก
ภิกษุก่าวตูเ่ อฺาพื้นที่ ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เจฺาของเกี
้ ดความสฺงสัย ต้องอาบัติ

ถุ ลลัจจัย หากเจฺาของทอดธุ ระว่า จะบํ่เปันของเฮฺา ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุเมื่อดําเนีนคดี ชนะความเจฺาของ
้ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อดําเนีนคดีเสัຽความ ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย
ภิกษุปก ้
ั หลัก ขึงเชือก ล้อมฮฺวหลื ้ ้นที่ ต้องอาบัติทุกกฏ เมื่อความ
ถฺมคันนาให้รุกลําพื
้ ้นที่อีกคังด฽วจะสํ
พยายามรุกลําพื ้ าเรัจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อความพยายามคัง้
สุดท้ายสําเรัจ ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นหมู่บ้าน

[๑๐๖] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ญู


ี ใ่ นหมู่บ้าน ได้แก่ ชัพย์ท่ เขฺ
ี าเกับไว้ในหมู่บ้าน โดยฐานะ ๔ คื
ฝังญูใ ้ ่เทิงพื้นดิน ลอยญูใ
่ นแผ่นดิน ตังญู ่ นอากาศ แขวนญูใ ่ นที่แจ้ง ภิกษุมีไถยจิตจิต
คิดจะลักชัพย์ท่ ีเกับไว้ในหมู่บ้าน หาเพื่อนไปด้วยหลืไปแต่ผู้ด฽ว ต้องอาบัติทุกกฏ
จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัยเฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติ
ปาราชิก

ชัพย์ท่ ญู
ี ใ่ นป่ า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 78 / 78 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๑๐๗] ที่ชื่ว่า ป่ า ได้แก่ ป่ าที่มนุษย์คอบคอง ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ีญูใ


่ นป่ า ได้แก่ ชัพย์ท่ เขฺ
ี า
เกับไว้ในป่ า โดยฐานะ ๔ คื ฝังญูใ ้ ่เทิงพื้นดิน ลอยญูใ
่ นแผ่นดิน ตังญู ่ นอากาศ
แขวนญูใ ่ นที่แจ้ง ต้องอาบัติทุกกฏ จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยจิต จับต้องไม้ เคือไม้ หย้าที่เกีดในป่ านัน
้ มีราคา ๕ มาสกหลืเกีนกว่า ๕
มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติ
ปาราชิก

นํา้

[๑๐๘] ที่ชื่ว่า นํา้ ได้แก่ นําที


้ ่ ญูใ
่ นภาชนะ ขังญูใ
่ นสระโบกขรณี หลืในส้าง ภิกษุมีไถย
จิต จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้อง
อาบัติปาราชิก
ภิกษุมีไถยจิต ญ่อนภาชนะของตฺนลฺงไปถืกต้องนํา้ มีราคา ๕ มาสกหลืเกีนกว่า ๕
ํ้
มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้นาไหลเขฺ ้
าไปใน
ภาชนะของตฺน ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุทําลายคันนา ต้องอาบัติทุกกฏ ทําลายคันนาทํานําให้ ไหลออกไป มีราคา ๕
ํ้
มาสกหลืเกีนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติปาราชิก เฮัดให้นาไหลออกไปมี ราคาเกีนกว่า
๑ มาสก หลืน้อยกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัตถ ํ้
ิ ุ ลลัจจัย เฮัดให้นาไหลออกไป มีราคา ๑
มาสกหลืญ่อนกว่า ๑ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ

ไม้ชําฮะแข้ว

[๑๐๙] ที่ชื่ว่า ไม้ชําฮะแข้ว ได้แก่ ไม้ชําฮะแข้วที่ตัดแล้วหลืยังบํ่ได้ตัด ภิกษุมีไถย


จิต จับต้องไม้ชําฮะแข้ว มีราคา ๕ มาสก หลืเกีนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ
เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก


ตฺนไม้ ้ า
เจฺาป่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 79 / 79

[๑๑๐] ที่ชื่ว่า ตฺนไม้


้ ้ า ได้แก่ ตฺนไม้
เจฺาป่ ้ ท่ คฺ
ี นทังหลายคอบคอง เปันตฺนไม้ ้ ใช้สอยได้
ภิกษุมีไถยจิต ตัด ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คังที ้ ่ ฟั นตฺนไม้
้ เมื่อฟั นอีกคังด฽ว
้ ้
ตฺนไม้ จะ
ขาด ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อฟั นตฺนไม้
้ ขาด ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ มี
ี ผู้นําไป

ี ผู้นําไป ได้แก่ สิ่งของที่ผู้อ่ นนํ


[๑๑๑] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ มี ื าไป ภิกษุมีไถยจิต จับต้อง ต้อง
อาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุคิดว่า จะนําชัพย์พ้อมกับผู้ถืชัพย์ย่างไป ให้ย่างขาที ๑ ไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ให้ย่างขาที ๒ ไป ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุเฮัดให้ชัพย์ตฺกด้วยคิดว่า จะเกับชัพย์ท่ ตฺ
ี ก ต้องอาบัติทุกกฏ มีไถยจิตจับต้อง
ชัพย์ท่ ตฺ
ี ก มีราคา ๕ มาสกหลืเกีนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก

ชัพย์ท่ เขฺ
ี าฝากไว้

[๑๑๒] ที่ชื่ว่า ชัพย์ท่ ีเขฺาฝากไว้ ได้แก่ สิ่งของที่ผู้อ่ นให้


ื เกับไว้ ภิกษุฮับฝากของ
เมื่อเจฺาของทวงว่
้ า “จฺ่งคืนชัพย์ให้แก่ข้าพะเจฺา”
้ ปฏิเสธว่า “อาตมาบํ่ได้ฮับไว้” ต้อง

อาบัติทุกกฏ เฮัดให้เจฺาของเกี ้
ดความสฺงสัย ต้องอาบัติถุลลัจจัย หากเจฺาของทอด
ธุระว่า จะบํ่คืนให้เฮฺา ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุเมื่อดําเนีนคดี ชนะความเจฺาของ
้ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อดําเนีนคดีเสัຽความ ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย

ด่านภาษี

[๑๑๓] ที่ชื่ว่า ด่านภาษี ได้แก่ ที่ชึ่งพระเจฺาแผ่


้ นดินชฺงกําหนฺดเขต ที่ภูเขฺาขาดกํดี ท่า

้ ดี ปะตูเขฺาหมู
นํากํ ่บ้านกํดี ด้วยฮับสั่งว่า “จฺ่งเกับภาษีผผ ้ ่ นัน”
ู้ ่านเขฺาไปที ้ ่
้ ภิกษุเขฺาไปที
ั ้ มีไถยจิตจับต้องชัพย์ท่ ควรเสั
ด่านภาษีนน ี ฽ภาษีมีราคา ๕ มาสกหลืเกีนกว่า ๕ มาสก
ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย ย่างขาที ๑ ผ่านด่านภาษีไป ต้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 80 / 80 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

อาบัติถุลลัจจัย ย่างขาที ๒ ผ่านด่านภาษีไป ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุญน


ื ญู่พายในด่าน
ภาษี โยนชัพย์ให้ตฺกนอกด่านภาษี ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุหลีกด่านภาษี ต้องอาบัติทก

กฏ

สัตว์มีชีวิต

[๑๑๔] ที่ชื่ว่า สัตว์มีชีวิต หมายเอฺามนุษย์ท่ มี


ี ชีวิต ภิกษุมีไถยจิต จับต้อง ต้องอาบัติ
ทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุคิด
จะพาย่างไป ให้ย่างบาดก้าวที ๑ ไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้ย่างบาดก้าวที ๒ ไป
ต้องอาบัติปาราชิก

สัตว์บ่ มี
ํ ตีน

ที่ชื่ว่า สัตว์บ่ มี
ํ ตีน ได้แก่ งู ปา ภิกษุมีไถยจิต จับต้องสัตว์บ่ มี
ํ ตีน มีราคา ๕ มาสกหลื
เกีนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่
ต้องอาบัติปาราชิก

สัตว์ ๒ ตีน

[๑๑๕] ที่ชื่ว่า สัตว์ ๒ ตีน ได้แก่ มนุษย์ นฺก ภิกษุมีไถยจิต จับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ
เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุคิดจะพาย่าง
ไป ให้ยา่ งบาดก้าวที ๑ ไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย ให้ย่างบาดก้าวที ๒ ไป ต้องอาบัติ
ปาราชิก

สัตว์ ๔ ตีน

[๑๑๖] ที่ชื่ว่า สัตว์ ๔ ตีน ได้แก่ ช้าง ม้า อูฐ โค ลา สัตว์ล้฽ง ภิกษุมีไถยจิต จับ
ต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติ
ปาราชิก ภิกษุคิดจะพาย่างไป ให้ย่างบาดก้าวที ๑ ไป ต้องอาบัตถ
ิ ุ ลลัจจัย ให้ย่าง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 81 / 81

บาดก้าวที ๒ ไป ต้องอาบัติถุลลัจ จัย ให้ย่างบาดก้าวที ๓ ไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย


ให้ย่างบาดก้าวที ๔ ไป ต้องอาบัติปาราชิก

สัตว์มต
ี ีนมาก

[๑๑๗] ที่ชื่ว่า สัตว์มต


ี ีนมาก ได้แก่ สัตว์จําพวกแมงป่ อง ขี้เขับ บฺงขฺ
้ น ภิกษุมีไถยจิต
จับต้องสัตว์มต ี ีนมาก ที่มีราคา ๕ มาสก หลืเกีนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัด
ให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุคิดจะพาย่างไป
ให้ย่างก้าวไป ต้องอาบัติถุล ลัจจัย ทุกๆก้าว ให้ย่างตีนหลังสุดก้าวไป ต้องอาบัติ
ปาราชิก

ภิกษุผู้ส่ ง

[๑๑๘] ที่ชื่ว่า ภิกษุผส


ู้ ่ ง
ั ได้แก่ ภิกษุส่ งกํ
ั าหนฺดลักชัพย์ว่า ท่านจฺ่งลักชัพย์อันนี้ ต้อง
อาบัติทุกกฏ ภิกษุฮับคําสั่งลักชัพย์นนมาได้
ั้ ต้องอาบัติปาราชิก ทัง ๒ ฮูบ

ภิกษุผู้ฮับของฝาก

ที่ชื่ว่า ภิกษุผู้ฮับของฝาก ได้แก่ ภิกษุผู้ฮักษาชัพย์ท่ เขฺ


ี านํามาฝากไว้ ภิกษุมีไถยจิต จับ
ต้องชัพย์มีราคา ๕ มาสก หลืเกีนกว่า ๕ มาสก ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่ ต้องอาบัติปาราชิก

การชักชวนกันไปลัก

ที่ชื่ว่า การชักชวนกันไปลัก ได้แก่ ภิกษุหลายฮูบชักชวนกันแล้ว ฮูบนึ่งลักชัพย์มาได้


ต้องอาบัติปาราชิกทุกฮูป

การนัดหมาย

[๑๑๙] ที่ชื่ว่า การนัดหมาย อธิบายว่า ภิกษุทําการนัดหมายว่า จฺ่งลักชัพย์ตามเวลา


นัดหมายนัน้ คื ในเวลาก่อนฉันอาหาร หลืในเวลาหลังหลังอาหาร ในเวลากางคืน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 82 / 82 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

หลืในเวลากางเวัน ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลัก ลักชัพย์ได้มาตามเวลานัดหมายนัน ้


ต้องอาบัติปาราชิกทัง ๒ ฮูบ ภิกษุผู้ลัก ลักชัพย์ได้มาก่อนหลืหลังเวลานัดหมายนัน ้
ภิกษุผู้นัดหมายบํ่ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลัก ต้องอา บัติปาราชิก

การทํานิมิต

[๑๒๐] ที่ชื่ว่า การทํานิมิต อธิบายว่า ภิกษุทํานิมิตว่า เฮฺาจักขยิบตา ยักคิว ้ หลืงึกสีษะ


ั ้ ตามที่เฮฺาทํานิมิตนัน
ท่านจฺ่งลักชัพย์นน ้ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผล
ู้ ัก ลักชัพย์ได้มาตาม
้ ต้องอาบัติปาราชิกทัง ๒ ฮูบ ภิกษุผู้ลักลักชัพย์มาได้ก่อนหลืหลังการ
การทํานิมิตนัน
้ ภิกษุผู้ทํานิมิตบํ่ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลักต้องอาบัติปาราชิก
ทํานิมิตนัน

การสั่ง

[๑๒๑] ภิกษุส่ งภิ


ั กษุว่า “ท่านจฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งสําคัน
ั ้ าเปันชัพย์นัน
ชัพย์นนว่ ้ ลักชัพย์นนมาได้
ั้ ต้องอาบัติปาราชิก ทัง ๒ ฮูบ ภิกษุส่ งภิ
ั กษุว่า
“ท่านจฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งสําคันชัพย์นนว่
ั ้ าเปันชัพย์นนั ้ ลัก
ชัพย์อ่ นมา
ื ภิกษุผู้ส่ งบํ
ั ่ ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลักต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุส่ งภิ
ั กษุว่า “ท่านจฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งสําคันชัพย์นนว่
ั้ า
เปันชัพย์อ่ น ั้
ื แต่ลักชัพย์นนมาได้ ต้องอาบัติปาราชิกทัง ๒ ฮูบ
ภิกษุส่ งภิ
ั กษุว่า “ท่านจฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งสําคันชัพย์นนว่
ั้ า
เปันชัพย์อ่ น
ื ลักชัพย์อ่ นมาได้
ื ภิกษุผู้ส่ งบํ
ั ่ ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลักต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุ (ผู้เปันอาจารย์) สั่งภิกษุ (ชื่ว่าพุทธรักขิต) ว่า “ท่านจฺ่งบอกภิกษุช่ (ธั ื มมรักขิต)นี้
ว่า จฺ่ง บอก ภิกษุช่ (สั
ื งฆรักขิต)นี้ว่า ‘จฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่ง
ไปบอกภิกษุอีก ฮูบนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักฮับคําสั่งภิกษุผู้ส่ ง ้ าอิดต้อง
ั คังทํ
ั้
อาบัติถุลลัจจัย ภิกษุผู้ลัก ลัก ชัพย์นนมาได้ ต้องอาบัติปาราชิกทุกฮูป
ภิกษุ (ผู้เปันอาจารย์) สั่งภิกษุ (ชื่ว่าพุทธรักขิต) ว่า “ท่านจฺ่งบอกภิกษุช่ (ธั
ื มมรักขิต)นี้
ว่า จฺ่ง บอกภิกษุช่ (สั
ื งฆรักขิต)นี้ว่า ‘จฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ดั่งนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับ
คําสั่งไปบอกภิกษุฮูบอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ลักฮับคําสั่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้
ั้
ลัก ลักชัพย์นนมาได้ ภิกษุผู้ส่ งคั ้ าอิด บํ่ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ส่ งตํ
ั งทํ ั ่ และภิกษุผู้ลัก ต้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 83 / 83

อาบัติปาราชิก
ภิกษุส่ งภิ
ั กษุว่า “จฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งไปแล้ว กับมาบอก
ั้
ว่า “ผู้ข้าบํ่สามาดลักชัพย์นนได้ ั ่ งสั่งอีกว่า “จฺ่งลักชัพย์นนในเวลาที
” ผู้ส่ งจึ ั้ ่ ท่านสามาด
จะลักได้” ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งลักชัพย์นนมาได้
ั้ ต้องอาบัติปาราชิกทัง ๒
ฮูบ
ภิกษุส่ งภิ
ั กษุว่า “จฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ต้องอาบัติทุกกฏ ท่านสั่งแล้วเกีดความเดือดฮ้อนใจ
แต่บ่ ได้
ํ ก่าวให้ผู้ฮับคําสั่งได้ยินว่า “ญ่าลัก” ภิกษุผู้ฮับคําสั่งลักชัพย์นนมาได้
ั้ ต้องอาบัติ
ปาราชิกทัง ๒ ฮูบ
ภิกษุส่ งภิ
ั กษุว่า “จฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ต้องอาบัติทุกกฏ ท่านสั่งแล้วเกีดความเดือดฮ้อนใจ
จึ่งก่าวให้ได้ยินว่า “ญ่าลัก” แต่ภิกษุผู้ฮับคําสั่งก่าวว่า “ท่านสั่งขะน้อยแล้ว” ลักชัพย์นัน

มาได้ ภิกษุผู้ส่ งบํ
ั ่ ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ลัก ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุส่ งภิ
ั กษุว่า “จฺ่งลักชัพย์น้มา”
ี ต้องอาบัติทุกกฏ ท่านสั่งแล้วเกีดความเดือดฮ้อนใจ
จึ่งก่าวให้ผู้ฮับคําสั่งได้ยินว่า “ญ่าลัก” ภิกษุผู้ฮับคําสั่งนันฮั
้ บว่า “ดีละ” จึ่งงฺดเวัน
้ บํ่ต้อง
อาบัตท
ิ ัง ๒ ฮูบ

อฺงค์แห่งปาราชิกสิกขาบฺทที ๒

[๑๒๒] ภิกษุผู้ถืเอฺาของที่เขฺาบํ่ได้ให้ ต้องอาบัติปาราชิก ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื


๑. ชัพย์มีผู้คอบคอง
๒. สําคันว่าเปันชัพย์ท่ มี
ี ผู้คอบคอง
๓. ชัพย์มีค่ามาก ราคา ๕ มาสก หลืเกีนกว่า ๕ มาสก
๔. มีไถยจิตปากฺด
๕. ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่
ต้องอาบัติปาราชิก

[๑๒๓] ภิกษุผู้ถืเอฺาของที่เขฺาบํ่ได้ให้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื


๑. ชัพย์มีผู้คอบคอง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 84 / 84 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

๒. สําคันว่าเปันชัพย์ท่ มี
ี ผู้คอบคอง
๓. ชัพย์มีค่าน้อย ราคาเกีน ๑ มาสก หลืน้อยกว่า ๕ มาสก
๔. มีไถยจิตปากฺด
๕. ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฎ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เคื่อนที่ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย

[๑๒๔] ภิกษุผู้ถืเอฺาของที่เขฺาบํ่ได้ให้ ต้องอาบัติทุกกฏ ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื


๑. ชัพย์มีผู้คอบคอง
๒. สําคันว่าเปันชัพย์ท่ มี
ี ผู้คอบคอง
๓. ชัพย์มีค่าน้อย ราคา ๑ มาสก หลืน้อยกว่า ๑ มาสก
๔. มีไถยจิตปากฺด
๕. ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เคื่อนที่ต้อง
อาบัติทุกกฏ

[๑๒๕] ภิกษุผู้ถืเอฺาของที่เขฺาบํ่ได้ให้ ต้องอาบัติปาราชิก ด้วยอาการ ๖ ญ่าง คื


๑. สําคันว่าบํ่แม่นของของตฺน
๒. บํ่แม่นถืเอฺาด้วยวิสาสะ
๓. บํ่แม่นเปันของขํยืม
๔. ชัพย์มีค่ามาก ราคา ๕ มาสก หลืเกีนกว่า ๕ มาสก
๕. มีไถยจิตปากฺด
๖. ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติถุลลัจจัย เฮัดให้เคื่อนที่
ต้องอาบัติปาราชิก

[๑๒๖] ภิกษุผู้ถืเอฺาของที่เขฺาบํ่ได้ให้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ด้วยอาการ ๖ ญ่าง คื


๑. สําคันว่าบํ่แม่นของของตฺน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 85 / 85

๒. บํ่แม่นถืเอฺาด้วยวิสาสะ
๓. บํ่แม่นเปันของขํยืม
๔. ชัพย์มีค่าน้อย ราคาเกีน ๑ มาสก หลืน้อยกว่า ๕ มาสก
๕. มีไถยจิตปากฺด
๖. ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เคื่อนที่ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย

[๑๒๗] ภิกษุผู้ถืเอฺาของที่เขฺาบํ่ได้ให้ ต้องอาบัติทุกกฏ ด้วยอาการ ๖ ญ่าง คื


๑. สําคันว่าบํ่แม่นของของตฺน
๒. บํ่แม่นถืเอฺาด้วยวิสาสะ
๓. บํ่แม่นเปันของขํยืม
๔. ชัพย์มีค่าน้อย ราคา ๑ มาสก หลืน้อยกว่า ๑ มาสก
๕. มีไถยจิตปากฺด
๖. ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เคื่อนที่ต้อง
อาบัติทุกกฏ

[๑๒๘] ภิกษุผู้ถืเอฺาของที่เขฺาบํ่ได้ให้ ต้องอาบัติทุกกฏ ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื


๑. บํ่แม่นชัพย์ท่ มี
ี ผู้คอบคอง
๒. สําคันว่าเปันชัพย์ท่ มี
ี ผู้คอบคอง
๓. ชัพย์มีค่ามาก ราคา ๕ มาสก หลืเกีนกว่า ๕ มาสก
๔. มีไถยจิตปากฺด
๕. ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เคื่อนที่ต้อง
อาบัติทุกกฏ

[๑๒๙] ภิกษุผู้ถืเอฺาของที่เขฺาบํ่ได้ให้ ต้องอาบัติทุกกฏ ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื


๑. บํ่แม่นชัพย์ท่ มี
ี ผู้คอบคอง
๒. สําคันว่าเปันชัพย์ท่ มี
ี ผู้คอบคอง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 86 / 86 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

๓. ชัพย์มีค่าน้อย ราคาเกีน ๑ มาสก หลืน้อยกว่า ๕ มาสก


๔. มีไถยจิตปากฺด
๕. ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เคื่อนที่ต้อง
อาบัติทุกกฏ

[๑๓๐] ภิกษุผู้ถืเอฺาของที่เขฺาบํ่ได้ให้ ต้องอาบัติทุกกฏ ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื


๑. บํ่แม่นชัพย์ท่ มี
ี ผู้คอบคอง
๒. สําคันว่าเปันชัพย์ท่ มี
ี ผู้คอบคอง
๓. ชัพย์มีค่าน้อย ราคา ๑ มาสก หลืน้อยกว่า ๑ มาสก
๔. มีไถยจิตปากฺด
๕. ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้ไหว ต้องอาบัติทุกกฏ เฮัดให้เคื่อนที่ต้อง
อาบัติทุกกฏ

อนาปัตติวาร
้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๑๓๑] ๑. ภิกษุสําคันว่าเปันของของตฺน
๒. ภิกษุถืเอฺาด้วยวิสาสะ
๓. ภิกษุถืเอฺาเปันของขํยืม
๔. ภิกษุถืเอฺาชัพย์ท่ เผดคอบคอง

๕. ภิกษุถืเอฺาชัพย์ท่ สั
ี ตว์เดั฽ระสานคอบคอง
๖. ภิกษุสําคันว่าเปันของบังสุกุล
๗. ภิกษุวิกฺลจิต
๘. ภิกษุมีจิตปั่นป่ วง
๙. ภิกษุกะวฺนกะวายเพาะเวทนา
ฺ้ นญัต
๑๐. ภิกษุตนบั

ปฐฺมภาณวาร ในอทินนาทานสิกขาบฺท จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 87 / 87

๧๧๧๧๧๧ ໟ ๧๧๧๧๧๧

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๒ คาถาฮวมวินีต


วัตถุ
คาถาฮวมวินีตวัตถุ
เรื้องที่ชฺงวินิจฉัยแล้ว

เรื้องช่างย้อม ๕ เรื้อง ๧เรื้องผ้าปูต฽ง ๔ เรื้อง ๧เรื้องกางคืน ๕ เรื้อง ๧เรื้องชัพย์


ที่ภิกษุนําไปแต่ผด
ู้ ฽ว ๑๑ เรื้อง ๧เรื้องตอบตามคําถามนํา ๕ เรื้อง ๧เรื้องลฺม ๒
เรื้อง ๧เรื้องศฺพที่ยังสฺด ๑ เรื้อง ๧เรื้องสับป่ ฽นสลาก ๑ เรื้อง ๧เรื้องเฮือนไฟ ๑
เรื้อง ๧เรื้องเนื้อเดนสัตว์ ๕ เรื้อง
๧เรื้องบํ่มีมูล ๕ เรื้อง ๧ในสมัยเขฺายากหมากแพง
้ มี ๕ เรื้อง คื เรื้องเขฺาสุ
้ ก ๑
เรื้อง ๧เรื้องเนื้อ ๑ เรื้อง ๧เรื้องขนฺม ๑ เรื้อง ๧เรื้องนําตาลก้
้ อน ๑ เรื้อง ๧
เรื้องขนฺมตฺม้ ๑ เรื้อง ๧เรื้องบํริขาร ๕ เรื้อง ๧เรื้องถฺง ๑ เรื้อง ๧เรื้องเสื่อ ๑
เรื้อง ๧เรื้องฮาวจีวอน ๑ เรื้อง ๧เรื้องบํ่ออกไป ๑ เรื้อง ๧เรื้องถืวิสาสะฉัน
ของค้฽ว ๑ เรื้อง ๧เรื้องสําคันว่าเปันของของตฺน ๒ เรื้อง ๧เรื้องบํ่ได้ลัก ๗ เรื้อง
๧เรื้องลัก ๗ เรื้อง ๧เรื้องลักของสฺงฆ์ ๗ เรื้อง ๧เรื้องลักดอกไม้ ๒ เรื้อง ๧เรื้อง

เวฺาตามคํ าบอก ๓ เรื้อง ๧เรื้องนําแก้วมณีผ่านด่านภาษี ๓ เรื้อง ๧เรื้องป่ อยหมู ๒
้ พย์ในยาน ๑
เรื้อง ๧เรื้องป่ อยเนื้อ ๒ เรื้อง ๧เรื้องป่ อยปา ๒ เรื้อง ๧เรื้องกิงชั

เรื้อง ๧เรื้องชินเนื
้อ ๒ เรื้อง ๧เรื้องไม้ ๒ เรื้อง ๧เรื้องผ้าบังสุกุล ๑ เรื้อง ๧เรื้อง
ข้ามนํา้ ๒ เรื้อง ๧เรื้องฉันทีละน้อย ๑ เรื้อง ๧เรื้องชักชวนกันไปลัก ๒ เรื้อง ๧
เรื้องกํามืท่ ีกุงสาวัตถี ๔ เรื้อง ๧เรื้องเนื้อเปันเดน ๒ เรื้อง ๧เรื้องหย้า ๒ เรื้อง ๧
เรื้องให้แบ่งของสฺงฆ์ ๗ เรื้อง ๧เรื้องบํ่แม่นเจฺาของ้ ๗ เรื้อง ๧เรื้องยืมไม้ของสฺงฆ์
๑ เรื้อง ๧เรื้องลักนําของสฺ
้ งฆ์ ๑ เรื้อง ๧เรื้องลักดินของสฺงฆ์ ๑ เรื้อง ๧เรื้อง
ลักหย้าของสฺงฆ์ ๒ เรื้อง ๧เรื้องลักเสนาสนะของสฺงฆ์ ๗ เรื้อง ๧เรื้องของมีเจฺา้
ของบํ่ควรนําไปใช้ ๑ เรื้อง ๧เรื้องของมีเจฺาของควรขํ
้ ยืม ๑ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุณี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 88 / 88 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ชาวกุงจัมปา ๑ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุณีชาวกุงราชคึห์ ๑ เรื้อง ๧เรื้องพระอัชชุ กะชาวกุง


เวสาลี ๑ เรื้อง ๧เรื้องทารฺกชาวกุงพาราณสี ๑ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุชาวกุงโกสัมพี ๑
เรื้อง ๧เรื้องสัทธิวิหาริกของพระทัฬหิกะกุงสาคละ ๑ เรื้อง

วินีตวัตถุ
เรื้องช่างย้อม ๕ เรื้อง

้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ไปที่ลานตากผ้าของช่างย้อม ได้ลักหํ่ผ้าของช่าง
[๑๓๒] สมัยนัน
ย้อม แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว พวกเฮฺา
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑)
้ ภิกษุฮูบนึ่งไปที่ลานตากผ้าของช่างย้อม พฺบผ้ามีราคามาก เกีดไถยจิตขึนมา
สมัยนัน ้
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ พຽงแต่คิด บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๒)
้ ภิกษุฮูบนึ่งไปที่ลานตากผ้าของช่างย้อม พฺบผ้ามีราคามาก มีไถยจิตจับผ้าผืน
สมัยนัน
นัน ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระ
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติ
ทุกกฏ” (เรื้องที ๓)
้ ภิกษุฮูบนึ่งไปที่ลานตากผ้าของช่างย้อม พฺบผ้ามีราคามาก มีไถยจิต เฮัดให้ผ้า
สมัยนัน
ไหว แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๔)
้ ภิกษุฮูบนึ่งไปที่ลานตากผ้าของช่างย้อม พฺบผ้ามีราคามาก มีไถยจิตเฮัดให้ผ้า
สมัยนัน
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
เคื่อนที่ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป ิ าราชิก” (เรื้องที ๕)

เรื้องผ้าปูต฽ง ๔ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 89 / 89

ู้ ฽วบิณฑบาตเปันวัตรฮูบนึ่งพฺบผ้าปูต฽งมีราคามาก เกีดไถยจิต
้ ภิกษุผท
[๑๓๓] สมัยนัน

ขึนมา ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ พຽงแต่คิดบํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๖)
ู้ ฽วบิณฑบาตเปันวัตรฮูบนึ่งพฺบผ้าปูต฽งมีราคามาก มีไถยจิตจับต้อง
้ ภิกษุผท
สมัยนัน
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุก
กฏ” (เรื้องที ๗)
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบผ้าปูต฽งมีราคามาก มีไถยจิต เฮัดให้ผ้าไหว แล้วเกีดความ
สมัยนัน
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้อง
ที ๘)
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบผ้าปูต฽งมีราคามาก มีไถยจิต เฮัดให้ผ้าเคื่อนที่แล้วเกีดความ
สมัยนัน
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๙)

เรื้องกางคืน ๕ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบสิ่งของตอนกางเวัน ได้ทําเคื่องหมายไว้ด้วยตังใจว่
[๑๓๔] สมัยนัน ้ า
จะลักตอนกางคืน ท่านสําคันสิ่งของนันว่
้ าเปันสิ่งของนัน
้ จึ่งได้ลก ้
ั ของนันมา แล้วเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๐)

้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบสิ่งของตอนกางเวัน ได้ทําเคื่องหมายไว้ ด้วยตังใจว่


สมัยนัน ้ า จะลัก
ตอนกางคืน ท่านสําคันสิ่งของนันว่
้ าเปันสิ่งของนัน
้ แต่ได้ลักสิ่งของอื่นมา แล้วเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๑)
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบสิ่งของตอนกางเวัน ได้ทําเคื่องหมายไว้ ด้วยตังใจว่
สมัยนัน ้ าจะลัก
ตอนกางคืน ท่านสําคันสิ่งของนันว่
้ าเปันสิ่งของอื่น แต่ได้ลักสิ่งของนันมา
้ แล้วเกีด

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 90 / 90 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค


ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๒)
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบสิ่งของตอนกางเวัน ได้ทําเคื่องหมายไว้ด้วยตังใจว่
สมัยนัน ้ า จะลัก
ตอนกางคืน ท่านสําคันสิ่งของนันว่
้ าเปันสิ่งของอื่น ได้ลักสิ่งของอื่นมา แล้วเกีดความ
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
งชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๓ )
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบสิ่งของตอนกางเวัน ได้ทําเคื่องหมายไว้ด้วยตังใจว่
สมัยนัน ้ า จะลัก
ตอนกางคืน ท่านสําคันสิ่งของนันว่
้ าเปันสิ่งของนัน
้ แต่ได้ลักสิ่งของของตฺนเอง แล้ว
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ”
(เรื้องที ๑๔)

เรื้องชัพย์ท่ ภิ
ี กษุนําไปแต่ผู้ด฽ว ๑๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
สมัยนัน ื มีไถยจิต จับต้องสิ่งของที่ญู่เทิงสีษะตฺนเอง
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุก
กฏ” (เรื้องที ๑๕)

้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
สมัยนัน ื มีไถยจิต ทําสิ่งของที่ญู่เทิงสีษะตฺนเองให้
ไหว แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๖)
้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
สมัยนัน ื มีไถยจิต ลฺดสิ่งของที่ญู่เทิงสีษะตฺนเองลฺงมา
ที่ไหล่ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
ิ าราชิก” (เรื้องที
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป
๑๗)
้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
สมัยนัน ื มีไถยจิต จับต้องสิ่งของที่ญู่เทิงไหล่ แล้ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 91 / 91

ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ”
(เรื้องที ๑๘)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
ื มีไถยจิต ทําสิ่งของที่ญูท
่ ่ ไหล่
ี ตฺนเองให้
ไหว แล้วเกีดความความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ
้ ง
อาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๙)
้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
สมัยนัน ื มีไถยจิต ลฺดสิ่งของที่ญูท
่ ่ ไหล่
ี ลฺงมาเถิง
ระดับแอว แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที
๒๐)
้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
สมัยนัน ื มีไถยจิต จับต้องสิ่งของที่ญูท ่ ่ ีแอว แล้ว
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ”
(เรื้องที ๒๑)
้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
สมัยนัน ื มีไถยจิต ทําสิ่งของชึ่งญูท ่ ่ ีแอวให้ไหว
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย” (เรื้องที ๒๒)
้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
สมัยนัน ื มีไถยจิต เอฺามืหยิบสิ่งของชึ่งญู่ท่ แอวหิ
ี ้

ไป แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระ
ผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๓)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งนําสิ่งของของผู้อ่ นไป
ื มีไถยจิต เอฺาสิ่งของที่มืวางลฺงที่พื้น แล้ว
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๔)
้ ภิกษุฮูบนึ่ง นําสิ่งของของผู้อ่ นไป
สมัยนัน ื มีไถยจิตหยิบสิ่งของขึนจากพื
้ ้นดิน แล้ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 92 / 92 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ


ภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๕)

เรื้องตอบตามคําถามนํา ๕ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งผื่งจีวอนไว้กางแจ้งแล้วเขฺาไปวิ
[๑๓๕] สมัยนัน ้ หาร ภิกษุอีกฮูบนึ่งเกับจี
้ วยหวังว่า จะบํ่ให้จีวอนหาย ภิกษุเจฺาของจี
วอนนันด้ ้ วอนออกมา ถามภิกษุฮูบที่เกับ
้ า “ท่าน จีวอนของขะน้อยใยูไ
ไปนันว่ ้
้ ป” ภิกษุฮูบนันตอบว่ า “ขะน้อยลักไป” ภิกษุเจฺา้
ของจีวอนจับเอฺาภิกษุฮูบที่นําจีวอนไปก่าวว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบที่นําจีวอนไป
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิด ญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาตอบไป ้
้ า” “ภิกษุ บํ่ต้องอาบัติ เพาะตอบ ตามคําถามนํา” (เรื้องที
ตามคําถามนํา พระพุทธเจฺาข้
๒๖)

้ ภิกษุฮูบนึ่งพาดจีวอนไว้เทิงตั่งแล้วเขฺาไปวิ
สมัยนัน ้ หาร ภิกษุอีกฮูบนึ่งเกับจีวอนนัน

ด้วยหวังว่าจะบํ่ให้จว ้
ี อนหาย ภิกษุเจฺาของจี วอนออกมา ถามภิกษุฮูบที่เกับไปนันว่ ้ า

“ท่าน จีวอนของขะน้อย ใยู้ไป” ภิกษุฮูบนันตอบว่ ้
า “ขะน้อยลักไป” ภิกษุเจฺาของจี
วอนจับเอฺาภิกษุฮูบที่นําจีวอนไปก่าวว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบที่นําจีวอนไปเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค

ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาตอบไปตาม
้ า” “ภิกษุ บํ่ต้องอาบัติ เพาะตอบตาม
คําถามนํา พระพุทธเจฺาข้
คําถามนํา” (เรื้องที ๒๗)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งพาดผ้าปูน่ งไว้
ั เทิงตั่ง ภิกษุอีกฮูบนึ่งเกับผ้าปูน่ งนั ้ วยหวังว่า จะบํ่
ั นด้
ให้ผา้ ปูน่ งหาย
ั ้
ภิกษุเจฺาของผ้ าปูน่ งออกมา
ั ถามภิกษุฮูบที่เกับไปนันว่ ้ า “ท่าน ผ้าปูน่ ง

ของขะน้อย ใยูไ ้
้ ป” ภิกษุฮูบนันตอบว่ ้
า “ขะน้อยลักไป” ภิกษุเจฺาของผ้ าปูน่ งจั
ั บเอฺาภิกษุ
ฮูบที่นําผ้าปูน่ งไปก่
ั าวว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบที่นําผ้าปูน่ งไปเกี
ั ดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 93 / 93


พระพุทธเจฺาตอบไปตามคํ ้ า” “ภิกษุ บํ่ต้องอาบัติ เพาะตอบตาม
าถามนํา พระพุทธเจฺาข้
คําถามนํา” (เรื้องที ๒๘)
้ ภิกษุฮูบนึ่งวางบาตรไว้ใต้ต่ งแล้
สมัยนัน ั ้
วเขฺาไปวิ หาร ภิกษุอีกฮูบนึ่งได้เกับบาตรนัน

ด้วยหวังว่า จะบํ่ให้บาตรหาย ภิกษุเจฺาของบาตรออกมาถามภิ
้ กษุฮูบที่เกับไปนันว่
้ า
“ท่าน บาตรของขะน้อย ใยูไ ้
้ ป” ภิกษุฮูบนันตอบว่ ้
า “ขะน้อยลักไป” ภิกษุเจฺาของบาตร
จับเอฺาภิกษุฮูบที่นําบาตรไปก่าวว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮบ ู ที่นําบาตรไปเกีดความ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด”

“ข้าพระพุทธเจฺาตอบไปตามคํ ้ า” “ภิกษุ บํ่ต้องอาบัตเิ พาะตอบ
าถามนํา พระพุทธเจฺาข้
ตามคําถามนํา” (เรื้องที ๒๙)
สมัยนัน ี ูบนึ่งผื่งจีวอนไว้ท่ ฮฺ
้ ภิกษุณฮ ้
ี วแล้ ้
วเขฺาไปยั งวิหาร ภิกษุณีอีกฮูบนึ่งเกับจีวอน
้ วยหวังว่า จะบํ่ให้จีวอนหาย ภิกษุณีเจฺาของจี
นันด้ ้ วอนออกมาถามภิกษุณีรูปที่เกับไป
้ า “ท่าน จีวอนของขะน้อย ใยูไ
นันว่ ้ ป” ภิกษุณฮ ้
ี ูบนันตอบว่ า “ขะน้อยลักไป” ภิกษุณเี จฺา้
ของจีวอนจับเอฺาภิกษุณีรูปที่นําจีวอนไปก่าวว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุณีรูปที่นําจีวอน
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งบอกเรื้องนี้แก่ภิกษุณีทังหลาย
ไปเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ี ังหลายจึ่งบอกแก่ภิกษุทังหลาย ภิกษุทังหลายจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
ภิกษุณท
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย บํ่ต้องอาบัตเิ พาะตอบตามคําถามนํา”
(เรื้องที ๓๐)

เรื้องลฺม ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบผ้าสาฎฺกถืกลฺมบ้าหมูพัดมา จึ่งเกับไว้ด้วยตังใจจะนํ
[๑๓๖] สมัยนัน ้ าคืน

เจฺาของ ้
แต่พวกเจฺาของผ้ าก่าวหาท่านว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ ารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่ มีไถยจิต พระพุทธเจฺา้
ข้า” “ภิกษุ บํ่มีไถยจิต บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๓๑)
้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ถืเอฺาผ้าโพกชึ่งถืกลฺมบ้าหมูพัดมา ด้วยเกงว่า เจฺาของผ้
สมัยนัน ้ า

จะเหันเสั฽ก่อน พวกเจฺาของผ้ าก่าวหาท่านว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ท่านเกีดความกังวฺลใจ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 94 / 94 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
ว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ ไถยจิต พระพุทธเจฺาข้
้ า”
ิ าราชิก” (เรื้องที ๓๒)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

เรื้องศฺพที่ยังสฺด ๑ เรื้อง

[๑๓๗] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งไปป่ าช้า ถืเอฺาผ้าบังสุกุลที่ซากศฺพยังสฺดชึ่งมีเผดสิงญูใ


่ นฮ่าง

เผดนันเวฺ ั ้ า “ญ่าเอฺาผ้าของเฮฺาไป” ภิกษุบ่ ํใส่ใจถืเอฺาไป ทันใดนัน
้ บภิกษุนนว่
ากั ้ ฮ่างนัน

้ ดตามภิกษุไป ภิกษุฮูบนันเขฺ
ลุกขึนติ ้ ้
าไปวิ หารแล้วปิดปะตูเสั฽ ฮ่างนันได้้ ฺ้ งที่ปะตู
ลมลฺ

นันเอง ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก อีกญ่างนึ่ง
ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ เพิ
ํ งถืเอฺา
ผ้าบังสุกุลในซากศฺพที่ยังสฺด ภิกษุใดถืเอฺา ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๓๓)

[๑๓๘] สมัยนัน้ เมื่อภิกษุเจฺาหน้


้ าที่กําลังแจกจีวอนแก่สฺงฆ์ ภิกษุฮูบนึ่ง มีไถยจิตได้
สับป่ ฽นสลากฮับจีวอนไป ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๓๔)

เรื้องเฮือนไฟ ๑ เรื้อง

[๑๓๙] สมัยนัน ้ พระอานฺนท์สําคันว่าผ้าอันตรวาสกของภิกษุฮูบนึ่งในเฮือนไฟเปัน


ของตฺนจึ่งนุ่ง ภิกษุฮบ
ู ที่เปันเจฺาของผ้
้ าอันตรวาสกก่าวกับท่านพระอานฺนท์ว่า “เปันหยัง
ท่านจึ่งเอฺาผ้าอันตราสกของขะน้อยไปนุ่ง” “ท่าน ขะน้อยสําคันว่าเปันของขะน้อย” ภิกษุ
ทังหลายจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทัง
หลาย ภิกษุสําคันว่าเปันของตฺน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๓๕)

เรื้องเนื้อเดนสัตว์ ๕ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 95 / 95

้ ภิกษุหลายฮูบลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ พฺบเนื้อเปันเดนของราชสีห์ จึ่งใช้


[๑๔๐] สมัยนัน
ให้อนุปสัม บันเฮัดให้สุกแล้วฉัน พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย ภิกษุฉันเนื้อเปันเดนราชสีห์ บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๓๖)
้ ภิกษุหลายฮูบลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ พฺบเนื้อเปันเดนเสือโค่ง จึ่งใช้ให้
สมัยนัน
อนุปสัมบันเฮัดให้สุกแล้วฉัน พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย ภิกษุฉันเนื้อเปันเดนเสือโค่ง บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๓๗)
้ ภิกษุหลายฮูบลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ พฺบเนื้อเปันเดนเสือเหลือง จึ่งใช้ให้
สมัยนัน
อนุปสัมบันเฮัดให้สุกแล้วฉัน พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย ภิกษุฉันเนื้อเปันเดนเสือเหลือง บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๓๘)

้ ภิกษุหลายฮูบลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ พฺบเนื้อเปันเดนหมาใน จึ่งใช้ให้


สมัยนัน
อนุปสัมบันเฮัดให้สุกแล้วฉัน พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย ภิกษุฉันเนื้อที่เปันเดนหมาใน บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๓๙)
้ ภิกษุหลายฮูบลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ พฺบเนื้อเปันเดนหมาป่ า จึ่งใช้ให้
สมัยนัน
อนุปสัมบันเฮัดให้สุกแล้วฉัน พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย ภิกษุฉันเนื้อที่สัตว์เดั฽ระสานคอบคอง บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้อง
ที ๔๐)

เรื้องบํ่มีมูล ๕ เรื้อง

[๑๔๑] สมัยนัน ้ เมื่อภิกษุเจฺาหน้


้ าที่กําลังแจกอาหารแก่สฺงฆ์ ภิกษุฮูบนึ่งก่าวคําบํ่มีมูลว่า
ื กส่วนนึ่ง” แล้วฮับไป ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
“จฺ่งให้เพื่อภิกษุอ่ นอี
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 96 / 96 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวเท็จทังที่ฮู”้ (เรื้องที ๔๑)


สมัยนัน้ เมื่อภิกษุเจฺาหน้
้ าที่กําลังแจกของค้฽วแก่สฺงฆ์ ภิกษุฮูบนึ่งก่าวคําบํ่มีมูลว่า “จฺ่ง
ื กส่วนนึ่ง” แล้วฮับไป ท่านเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้องอาบัติ
ให้เพื่อภิกษุอ่ นอี
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวเท็จทังที่ฮู”้ (เรื้องที ๔๒)
สมัยนัน้ เมื่อภิกษุเจฺาหน้
้ าที่กําลังแจกขนฺมแก่สฺงฆ์ ภิกษุฮูบนึ่งก่าวคําบํ่มีมูลว่า “จฺ่งให้
ื กส่วนนึ่ง” แล้วฮับไป ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
เพื่อภิกษุอ่ นอี
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวเท็จทังที่ฮู”้ (เรื้องที ๔๓)
สมัยนัน้ เมื่อภิกษุเจฺาหน้
้ ้ อยแก่สฺงฆ์ ภิกษุฮูบนึ่งก่าวคําบํ่มีมูลว่า “จฺ่ง
าที่กําลังแจกนําอ้
ื กส่วนนึ่ง” แล้วฮับไป ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ให้เพื่อภิกษุอ่ นอี
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวเท็จทังที่ฮู”้ (เรื้องที ๔๔)
สมัยนัน้ เมื่อภิกษุเจฺาหน้
้ าที่กําลังแจกผฺลหมากพลับแก่สฺงฆ์ ภิกษุฮูบนึ่งก่าวคําบํ่มีมูลว่า
ื กส่วนนึ่ง” แล้วฮับไป ท่านเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้องอาบัติ
“จฺ่งให้เพื่อภิกษุอ่ นอี
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวเท็จทังที่ฮู”้ (เรื้องที ๔๕)


ในสมัยเขฺายากหมากแพงมี ๕ เรื้อง คื
เรื้องเขฺาสุ
้ ก ๑ เรื้อง

[๑๔๒] สมัยนัน้ เมื่อเกีดเขฺายากหมากแพง


้ ภิกษุฮูบนึ่งเขฺาไปฮ้
้ ้ ก มีไถยจิต
านขายเขฺาสุ
้ กไปเต็มบาตร แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ได้ลักเขฺาสุ ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๔๖)

เรื้องเนื้อ ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 97 / 97

้ เมื่อเกีดเขฺายากหมากแพง
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งเขฺาไปฮ้
้ านขายเนื้อสุก มีไถยจิตได้ลัก
เนื้อไปเต็มบาตร แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้อง ๔๗)

เรื้องขนฺม ๑ เรื้อง

้ เมื่อเกีดเขฺายากหมากแพง
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งเขฺาไปฮ้
้ านขายขนฺม มีไถยจิตได้ลัก
ขนฺมไปเต็มบาตร แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๔๘ )

เรื้องนําตาลก้
้ อน ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ เมื่อเกีดเขฺายากหมากแพง
้ ภิกษุฮูบนึ่งเขฺาไปฮ้
้ ้
านขายนําตาลก้ อน มีไถยจิตได้

ลักนําตาลก้ อนไปเต็มบาตร แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า“ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก”(เรื้องที ๔๙)

เรื้องขนฺมต้ม ๑ เรื้อง

้ เมื่อเกีดเขฺายากหมากแพง
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งเขฺาไปฮ้
้ ้ มีไถยจิตได้
านขายขนฺมตฺม

ลักขนฺมตฺมไปเต็ มบาตร แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๕๐)

เรื้องบํริขาร ๕ เรื้อง

[๑๔๓] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบเคื่องใช้สอยตอนกางเวัน ได้ทําเคื่องหมายไว้ด้วย



ตังใจว่ าจะลักตอนกางคืน ท่านสําคันเคื่องใช้สอยนันว่
้ าเปันเคื่องใช้สอยนัน้ จึ่งได้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 98 / 98 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ลักเคื่องใช้สอยนันมา
้ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๕๑)
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบเคื่องใช้สอยตอนกางเวัน ได้ทาํ เคื่องหมายไว้ด้วยตังใจว่
สมัยนัน ้ า จะ
ลักตอนกางคืน ท่านสําคันเคื่องใช้สอยนันว่
้ าเปันเคื่องใช้สอยนัน้ แต่ได้ลักเคื่องใช้
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
สอยอื่นมา แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๕๒)
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบเคื่องใช้สอยตอนกางเวัน ได้ทาํ เคื่องหมายไว้ด้วยตังใจว่
สมัยนัน ้ า จะ
ลักตอนกางคืน ท่านสําคันเคื่องใช้สอยนันว่
้ าเปันเคื่องใช้สอยอื่น แต่ได้ลักเคื่องใช้

สอยนันมา ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๕๓)
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบเคื่องใช้สอยตอนกางเวัน ได้ทาํ เคื่องหมายไว้ด้วยตังใจว่
สมัยนัน ้ า จะ
ลักตอนกางคืน ท่านสําคันเคื่องใช้สอยนันว่
้ าเปันเคื่องใช้สอยอื่น แต่ได้ลักเคื่องใช้
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
สอยอื่นมา แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๕๔)
้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบเคื่องใช้สอยตอนกางเวัน ได้ทาํ เคื่องหมายไว้ด้วยตังใจว่
สมัยนัน ้ า จะ
ลักตอนกางคืน ท่านสําคันเคื่องใช้สอยนันว่
้ าเปันเคื่องใช้สอยนัน้ แต่ลักเคื่องใช้สอย
ของตฺนเอง แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ ้ ง
อาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๕๕)

เรื้องถฺง ๑ เรื้อง

[๑๔๔] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบถฺงวางไว้เทิงตั่ง คิดว่าหากหยิบไปจากตั่งจะเปัน


ปาราชิก จึ่งยฺกเอฺาไปพ้อมทังตั่ง แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 99 / 99

จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้อง


อาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๕๖)

เรื้องเสื่อ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิตได้ลักเสื่อของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง


สมัยนัน
ิ า ราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
อาบัตป
ิ าราชิก” (เรื้องที ๕๗)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

เรื้องฮาวจีวอน ๑ เรื้อง

[๑๔๕] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิตได้ลักจีวอนที่ฮาวจีวอน แล้วเกีดความกังวฺลใจ


ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
ว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๕๘)

เรื้องบํ่ออกไป ๑ เรื้อง

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งลักจีวอนในวิหาร คิดว่าหากตฺนออกไปจากวิหารจะเปันปาราชิก


จึ่งบํ่ยอมออกไปจากวิหาร ภิกษุทังหลายจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ

งชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย โมฆบุรุษนันจะออกจากวิ หารหลืบ่ ออกกํ
ํ ตาม กํ
ต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๕๙)

เรื้องถืวิสาสะฉันของค้฽ว ๑ เรื้อง

[๑๔๖] สมัยนัน ้ ภิกษุ ๒ ฮูบเปันเพื่อนกัน ภิกษุฮูบนึ่งเขฺาไปบิ


้ ณฑบาตยังหมู่บ้าน เมื่อ

ภิกษุเจฺาหน้ าที่กําลังแจกของขฺบค้฽วแก่สฺงฆ์ ภิกษุฮูบที่เปันเพื่อนฮับเอฺาส่วนแบ่งของ
เพื่อนไปแล้วถืวิสาสะฉันส่วนแบ่งของภิกษุนน ้ ่ งก่าวหาภิกษุนนว่
ั ้ ท่านฮูเ้ รื้องเขฺาจึ ั้ า
ั้
“ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุนนเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้อง
นี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 100 / 100 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ เอฺาด้วยวิสาสะ พระพุท ธขน้อย” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ เพาะถืเอฺา


พระพุทธเจฺาถื
ด้วยวิสาสะ” (เรื้องที ๖๐)

เรื้องสําคันว่าเปันของของตฺน ๒ เรื้อง

้ ภิกษุหลายฮูบกําลังตัดยิบจีวอน เมื่อภิกษุเจฺาหน้
[๑๔๗] สมัยนัน ้ าที่กําลังแจก
ของขฺบค้฽วแก่สฺงฆ์ ภิกษุทุกฮูบต่างนําส่วนแบ่งของตฺนไปเกับไว้ ภิกษุฮูบนึ่งสําคันส่วน
แบ่งของภิกษุอีกฮูบนึ่งว่าเปันส่วนแบ่งของตฺนจึ่งฉันเสั฽ ภิกษุเจฺาของส่
้ วนแบ่งฮูเ้ รื้อง
เขฺา้ จึ่งก่าวหาภิกษุนนว่
ั ้ า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบที่ถืกก่าวหาเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้
้ า” “ภิกษุ ท่านสําคันว่าเปันของของตฺน บํ่ต้อง
สําคันว่าเปันของของตฺน พระพุทธเจฺาข้
อาบัติ” (เรื้องที ๖๑)
้ ภิกษุหลายฮูบกําลังตัดยิบจีวอน เมื่อภิกษุเจฺาหน้
สมัยนัน ้ าที่กําลังแจกของขฺบค้฽ว
แก่สฺงฆ์ ภิกษุฮูบนึ่งเอฺาบาตรของภิกษุอีกฮูบนึ่งนําส่วนแบ่งของภิกษุอีกฮูบนึ่งมาเกับไว้

ภิกษุเจฺาของบาตรสํ าคันว่าเปันส่วนแบ่งของตฺนจึ่งฉันเสั฽ ภิกษุฮูบที่นําบาตรไปฮูเ้ รื้อง
เขฺา้ จึ่งก่าวหาภิกษุนนว่
ั ้ า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบที่ถืกก่าวหาเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านสําคันว่าเปันของของตฺน บํ่ต้อง อาบัติ” (เรื้องที ๖๒)

เรื้องบํ่ได้ลัก ๗ เรื้อง

้ พวกลัก ลักหมากม่วง เฮัดให้ผฺลหมากม่วงหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺา้


[๑๔๘] สมัยนัน

ของพากันติดตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ่ งโยนหํ่ผฺลหมากม่วงถิมแล้
้ วหนีไป พวก
ภิกษุสําคันว่าเปันของบังสุกุล จึ่งให้อนุปสัมบันเกับหมากม่วงหํ่นันไปแล้
้ วฉัน พวกเจฺา้
ของก่าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า พวก
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาสํ ้ าคันว่าเปันของ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านสําคัน ว่าเปันของบังสุกุล บํ่ต้อง
บังสุกุล พระพุทธเจฺาข้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 101 / 101

อาบัต”ิ (เรื้องที ๖๓)


สมัยนัน้ พวกลักลักหมากหว้า เฮัดให้ผฺลหมากหว้าหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของพา


กันติดตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ่ งโยนหํ่หมากหว้าถิมแล้
้ วหนีไป พวกภิกษุสําคัน
ว่าเปันของบังสุกุล จึ่งให้อนุปสัมบันเกับหํ่หมากหว้านันไปแล้
้ ้
วฉัน พวกเจฺาของก่ า
วหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่าพวกเฮฺาต้อง
อาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถาม
ว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาสํ ้ าคันว่าเปันของบังสุกุล
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านสําคันว่าเปัน
พระพุทธเจฺาข้
ของบังสุกุล บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๖๔)
้ พวกลักลักหมากมี้หมากมี้สําปะลํ เฮัดให้ผฺลหมากมี้สําปะลํหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป
สมัยนัน

พวกเจฺาของพากั ้
นติดตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ ่ งโยนหํ่หมากมี้สําปะลํถมแล้
ิ้ วหนี
ไป พวกภิกษุสําคันว่าเปันของบังสุกุล จึ่งให้อนุปสัมบันเกับหํ่ผฺลหมากมี้สําปะลํนนไป
ั้

แล้วฉัน พวกเจฺาของก่ าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความ
กังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธ
้ าคันว่าเปันของบังสุกุล พระพุทธเจฺาข้
เจฺาสํ ้ า” “ภิกษุ
ทังหลาย พวกท่านสําคันว่าเปันของบังสุกุล บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๖๕)
้ พวกลักลักหมากมี้ เฮัดให้ผฺลหมากมี้หลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของพากั
สมัยนัน ้ น

ติดตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ ่ งโยนหํ่หมากมี้ถิมแล้
้ วหนีไป พวกภิกษุสําคันว่า
เปันของบังสุกุล จึ่งให้อนุปสัมบันเกับหํ่หมากมี้นันไปแล้
้ ้
วฉัน พวกเจฺาของก่ าวหา
ภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่าพวกเฮฺาต้อง
อาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถาม
ว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาสํ ้ าคันว่าเปันของบังสุกุล
พระพุทธเจฺาข้้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านสําคันว่าเปันของบังสุกุล บํ่ต้องอาบัติ”
(เรื้องที ๖๖)
สมัยนัน้ พวกลักลักหมากตาลสุก เฮัดให้หมากตาลสุกหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของ


พากันติด ตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ่ งโยนหํ่หมากตาลสุกถิมแล้
้ วหนีไป พวก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 102 / 102 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุสําคันว่าเปันของบังสุกุล จึ่งให้อนุปสัมบันเกับหํ่หมากตาลสุกนันไปแล้
้ วฉัน พวก

เจฺาของก่ าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พวกเฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาสํ ้ าคันว่า
เปันของบังสุกุล พระพุทธเจฺาข้้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านสําคัน ว่าเปันของบังสุกุล
บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๖๗)
้ พวกลักลักอ้อย ตัดอ้อยแล้วมัดถืไป พวกเจฺาของพากั
สมัยนัน ้ นติดตามพวกลักเหัน
้ ่ งโยนมัดอ้อยถิมแล้
พวกเจฺาของจึ ้ วหนีไป พวกภิกษุสําคันว่าเปันของบังสุกุล จึ่งให้

อนุปสัมบันเกับมัดอ้อยนันไปแล้ ้
วฉัน พวกเจฺาของก่ าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่
เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่าน
้ าคันว่าเปันของบังสุกุล
คิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาสํ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านสําคันว่าเปันของบังสุกุล บํ่ต้องอาบัติ”
พระพุทธเจฺาข้
(เรื้องที ๖๘)
้ พวกลักลักผฺลหมากพลับ เฮัดให้ผฺลหมากพลับหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของ
สมัยนัน ้

พากันติด ตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ่ งโยนหํ่ผฺลหมากพลับถิมแล้
้ วหนีไป พวก
ภิกษุสําคันว่าเปันของบังสุกุล จึ่งให้อนุปสัมบันเกับหํ่ผฺลหมากพลับนันไปแล้
้ วฉัน พวก

เจฺาของก่ าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พวกเฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาสํ ้ าคันว่า
เปันของบังสุกุล พระพุทธเจฺาข้้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านสําคัน ว่าเปันของบังสุกุล
บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๖๙)

เรื้องลัก ๗ เรื้อง

้ พวกลักลักหมากม่วง เฮัดให้ผฺลหมากม่วงหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของพา


สมัยนัน ้
้ ่ งโยนหํ่ผฺลหมากม่วงถิมแล้
กันติดตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ ้ วหนีไป พวกภิกษุมี

ไถยจิต คิดว่าพวกเจฺาของจะเหั น จึ่งฉันหมากม่วง พวกเจฺาของก่
้ าวหาภิกษุเหลฺ่านัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 103 / 103

ว่า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ


ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗๐)
้ พวกลักลักหมากหว้า เฮัดให้หมากหว้าหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของพากั
สมัยนัน ้ น

ติดตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ่ งโยนหํ่ผฺลหว้าถิมแล้
้ วหนีไป พวกภิกษุมีไถยจิต

คิดว่าพวกเจฺาของจะเหั น จึ่งฉันหมากหว้า พวกเจฺาของก่
้ าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวก
ท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า“ภิกษุทังหลาย พวกท่าน
ต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗๑)

้ พวกลักลักหมากมี้สําปะลํ เฮัดให้หมากมี้สําปะลํหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของ


สมัยนัน ้

พากันติด ตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ ่ งโยนหํ่หมากมี้สําปะลํถมแล้
ิ้ วหนีไป พวก

ภิกษุมีไถยจิตคิดว่า พวกเจฺาของจะเหั น จึ่งฉันหมากมี้สําปะลํ พวกเจฺาของก่
้ าวหาภิกษุ
เหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗๒)
้ พวกลักลักหมากมี้ เฮัดให้ผฺลหมากมี้หลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของพากั
สมัยนัน ้ น

ติดตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ ่ งโยนหํ่หมากมี้ถิมแล้
้ วหนีไป พวกภิกษุมีไถยจิต

คิดว่า พวกเจฺาของจะ เหัน จึ่งฉันหมากมี้ พวกเจฺาของก่
้ าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวก
ท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวก
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗๓)
้ พวกลักลักหมากตาลสุก เฮัดให้หมากตาลสุกหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของ
สมัยนัน ้

พากันติด ตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ ่ งโยนหํ่หมากตาลสุกถิมแล้
้ วหนีไป พวก

ภิกษุมีไถยจิตคิดว่า พวกเจฺาของจะเหั น จึ่งฉันหมากตาลสุก พวกเจฺาของก่
้ าวหาภิกษุ
เหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 104 / 104 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗๔)


้ พวกลักลักอ้อย ตัดอ้อยแล้วมัดถืไป พวกเจฺาของพากั
สมัยนัน ้ นติดตาม พวกลักเหัน
้ ่ งโยนมัดอ้อยถิมแล้
พวกเจฺาของจึ ้ ้
วหนีไป พวกภิกษุมีไถยจิตคิดว่าพวกเจฺาของจะเหั น
จึ่งฉันอ้อย พวกเจฺาของก่
้ าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีด
ความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที
๗๕)
้ พวกลักลักผฺลหมากพลับ เฮัดให้ผฺลหมากพลับหลฺ่นแล้วหํ่ถืไป พวกเจฺาของ
สมัยนัน ้

พากันติด ตาม พวกลักเหันพวกเจฺาของจึ่ งโยนหํ่ผฺลหมากพลับถิมแล้
้ วหนีไป พวก

ภิกษุมีไถยจิตคิดว่า พวกเจฺาของจะเหั น จึ่งฉันผฺลหมากพลับ พวกเจฺาของก่
้ าวหาภิกษุ
เหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗๖)

เรื้องลักของสฺงฆ์ ๗ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักหมากม่วงของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา


สมัยนัน
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗๗)
้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักหมากหว้าของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺา
สมัยนัน
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗๘)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักหมากมี้สําปะลํของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๗๙)
้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักหมากมี้ของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺา
สมัยนัน
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๘๐)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 105 / 105

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักหมากตาลสุกของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า


ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๘๑)
้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักอ้อยของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้อง
สมัยนัน
ิ ารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
อาบัตป
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป ิ าราชิก” (เรื้องที ๘๒)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักหมากพลับของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๘๓)

เรื้องลักดอกไม้ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งไปสวนดอกไม้ มีไถยจิต ได้ลักดอกไม้ท่ ีเขฺาเกับไว้แล้ว


[๑๔๙] สมัยนัน
มีราคา ๕ มาสก แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๘๔)
้ ภิกษุฮูบนึ่งไปสวนดอกไม้ มีไถยจิต ได้ลักเกับดอกไม้ มีราคา ๕ มาสก
สมัยนัน
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๘๕)

เรื้องเวฺาตามคํ
้ าบอก ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังเขฺาไปหมู
[๑๕๐] สมัยนัน ้ บ ่ ้าน ได้บอกภิกษุอีกฮูบนึ่งว่า “ท่าน ขะน้อย
จะไปบอกตะกูนอุปฏั ฐากให้ ตามที่ท่านสั่ง” คันท่านไปเถิงจึ่งให้เขฺานําผ้ามา ๑ ผืน
แล้วใช้เสั฽เอง ภิกษุผู้ส่ งฮู ้ ่ งก่าวหาภิกษุนนว่
ั เ้ ขฺาจึ ั ้ า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบนันเกี
้ ด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก อีกญ่างนึ่ง ภิกษุทังหลาย
ํ งก่าวว่า ขะน้อยจะบอกตามที่ท่านสั่ง ภิกษุใดเพิงก่าว ต้องอาบัติทุกกฏ”
ภิกษุบ่ เพิ
(เรื้องที ๘๖)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 106 / 106 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งจะเขฺาไปหมู
สมัยนัน ้ ่บา้ น ภิกษุอีกฮูบนึ่งได้ส่ งท่
ั านว่า “ท่านช่วยบอกตะกูน
ั ฐากของขะน้อยตามที่ขะน้อยสั่งด้วย” ภิกษุนนคั
อุปฏ ั ้ นไปแล้วจึ่งให้ตะกูนอุปฏ ั ฐากนําผ้า
มา ๑ คู่ ตฺนเองใช้ ๑ ผืน ถวายภิกษุผู้ส่ งนั
ั น้ ๑ ผืน ภิกษุผู้ส่ งฮู ้ ่ งก่าวหาภิกษุนน
ั เ้ ขฺาจึ ั้

ว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบนันเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
ปาราชิก อีกญ่างนึ่ง ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ ํเพิงก่าวว่า ท่านจฺ่งบอกตามที่สั่ง ภิกษุใด
เพิงก่าว ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๘๗)
้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังไปหมู่บ้าน ได้บอกภิกษุอีกฮูบนึ่งว่า “ท่าน ขะน้อยจะไปบอก
สมัยนัน
ั ฐากของท่าน ตามที่ท่านสั่ง” ภิกษุแม่นฮูบนันก่
ตะกูนอุปฏ ้ าวญ่างนี้ว่า “ท่านช่วยบอก
ตามที่ขะน้อยสั่ง” ภิกษุนนั ้ คันไปเถิงจึ่งให้ตะกูนอุปฏ
ั ฐากนําเนียใส ๑ อาฬหกะ นํา้

อ้อยงฺบ ๑ ตุละ เขฺาสาร ๑ โทณะ มาแล้วฉันเสั฽เอง ภิกษุผู้ส่ งฮู ้ ่ งก่าวหาภิกษุนน
ั เ้ ขฺาจึ ั้
ว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ท่านเกีดความเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติปาราชิก อีกญ่างนึ่ง ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ ํเพิงก่าว ว่า ขะน้อยจะบอกตามที่สั่ง
และบํ่เพิงก่าวว่า ท่านจฺ่งบอกตามที่สั่ง ภิกษุใดเพิงก่าว ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที
๘๘)

เรื้องนําแก้วมณีผ่านด่านภาษี ๓ เรื้อง

[๑๕๑] สมัยนัน ้ บุรุษคฺนนึ่งนําแก้วมณีราคาแพง เดีนทางไกไปกับภิกษุฮูบนึ่ง คันเหัน


ด่านภาษี จึ่งใส่แก้วมณีลฺงในย่ามของภิกษุนนผู ้ านภาษีจ่ งถื
ั ้ ้บ่ ํฮู้ เมื่อเดีนพฺนด่ ึ ไปแต่ผู้ด฽ว
ั้
ภิกษุนนเกี ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ฮู้ บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๘๙)
ฮู้ พระพุทธเจฺาข้
้ บุรุษคฺนนึ่งนําแก้วมณีราคาแพงเดีนทางไกไปกับภิกษุฮูบนึ่ง คันเหันด่านภาษี
สมัยนัน
ทําลวงว่าเปันไข้แล้วมอบหํ่ของของตฺนให้ภิกษุถืไป เมื่อย่างพฺนด่ ้ านภาษีไป จึ่งก่าว
ั ้ า “ท่านเอีย กรุณาสฺ่หํ่ของให้ขะน้อยเถีด ขะน้อยบํ่ได้เปันไข้” “โยม ท่าน
กับภิกษุนนว่
้ ่ งบอกความนันให้
ได้เฮัดญ่างนี้เพื่อหยัง” บุรุษนันจึ ้ ั้
ภิกษุนนชาบ ท่านเกีดความกังวฺลใจ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 107 / 107

ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
ว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด”
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ฮู้ บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๙๐)
้ ่ ฮู้ พระพุทธเจฺาข้
“ข้าพระพุทธเจฺาบํ
้ ภิกษุฮูบนึ่งเดีนทางไกลไปกับหมู่กว฽น ชายคฺนนึ่งเกั฽ก่
[๑๕๒] สมัยนัน ้ อมท่านด้วย
อามิส เหันด่านภาษีจ่ งมอบแก้
ึ ั ้ วยก่าวว่า “ขํท่านกรุณาช่วยนํา
วมณีราคาแพงให้ภิกษุนนด้
แก้วมณีน้ผ่ ั้
ี านด่านภาษีไปด้วยขน้อย” ภิกษุนนได้ ั ้ านด่านภาษีไปแล้ว เกีด
นําแก้วมณีนนผ่
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๙๑)

เรื้องป่ อยหมู ๒ เรื้อง

[๑๕๓] สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งป่ อยหมูท่ ติ


ี ดบ้วงไปด้วยความสฺงสาร แล้วเกีดความกังวฺล
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
ใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
้ ความปะสฺงค์จะ
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี
้ า” “ภิกษุ ท่านมีความปะสฺงค์จะช่วยเหลือ บํ่ต้องอาบัติ”
ช่วยเหลือ พระพุทธเจฺาข้
(เรื้องที ๙๒)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิตคิดว่า เจฺาของจะเหั
้ น จึ่งป่ อยหมูท่ ติ
ี ดบ้วงไป แล้วเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที่ ๙๓)

เรื้องป่ อยเนื้อ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งป่ อยสัดถืกบ้วงไปด้วยความสฺงสารแล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา


สมัยนัน
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ต้องอาบัตป
้ ความปะสฺงค์จะช่วยเหลือ พระ
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี
้ า” “ภิกษุ ท่านมีความปะสฺงค์จะช่วยเหลือ บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๙๔)
พุทธเจฺาข้
้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิตคิดว่า เจฺาของจะเหั
สมัยนัน ้ น จึ่งป่ อยสัดที่ติดบ้วงไปแล้วเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที่ ๙๕)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 108 / 108 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เรื้องป่ อยปา ๒ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งป่ อยฝูงปาที่ติดลอบไปด้วยความสฺงสารแล้วเกีดความกังวฺลใจว่า


ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะช่วยเหลือ พระ
้ า” “ภิกษุ ท่านมีความปะสฺงค์จะช่วยเหลือ บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๙๖)
พุทธเจฺาข้
้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิตคิดว่า เจฺาของจะเหั
สมัยนัน ้ น จึ่งป่ อยฝูงปาที่ติดลอบไปแล้วเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้อง ที ๙๗)

้ พย์ในยาน ๑ เรื้อง
เรื้องกิงชั

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งเหันชัพย์ในยานคิดว่า เมื่อเฮฺาหยิบไปจากยานนี้จักเปันปาราชิก


จึ่งเขั่฽ให้กงแล้
ิ้ วถืเอฺา ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๙๘)


เรื้องชินเนื
้อ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืเอฺาชินสั
สมัยนัน ้ ดที่แหลวจับได้ เอฺามาด้วยตังใจว่
้ ้
าจะคืนให้เจฺาของ แต่

พวกเจฺาของสั ดก่าวหาภิกษุนนว่ ั ้ า “ท่านบํ่เปันพระ” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่มีไถยจิต บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๙๙)
้ ภิกษุฮูบนึ่ง มีไถยจิตคิดว่า เจฺาของจะเหั
สมัยนัน ้ ้ ดที่แหลวจับได้เอฺา
น ได้ถืเอฺาชินสั

มา พวกเจฺาของสั ั ้ า “ท่านบํ่เปันพระ” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
ดก่าวหาภิกษุนนว่
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๐๐)

เรื้องไม้ ๒ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 109 / 109

้ พวกชาวบ้านผูกแพแล้วแก่ลฺงแม่นาอจิ
[๑๕๔] สมัยนัน ํ้ รวดี เมื่อเชือกขาด ไม้ทัง
หลายได้กะจายไป พวกภิกษุสําคันว่าเปันของบังสุกุล จึ่งช่วยกันขฺนไม้ขนฝั
ึ ้ ่ ง พวกเจฺา้
ของก่าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า พวก
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านสําคันว่าเปันของบังสุกุล บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๐๑)
้ พวกชาวบ้านผูกแพแล้วแก่ลฺงแม่นําอจิ
สมัยนัน ้ รวดี เมื่อเชือกขาด ไม้ทังหลายได้กะ

จายไป พวกภิกษุมีไถยจิต คิดว่า พวกเจฺาของจะเหั น จึ่งช่วยกันขฺนไม้ขนฝั
ึ ้ ่ ง พวก

เจฺาของก่ าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความกังวฺลใจว่า
พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๐๒)

เรื้องผ้าบังสุกุล ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ คฺนล้฽งโคคฺนนึ่งพาดผ้าไว้ท่ ีตฺนไม้


้ แล้วไปถ่ายอุจจาระ ภิกษุฮูบนึ่งสําคันว่าเปัน
ผ้าบังสุกุล จึ่งถืเอฺาไป คฺนล้฽งโคก่าวหาภิกษุนนว่ั ้ า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบนันเกี
้ ด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านสําคันว่าเปันผ้าบังสุกุล บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที
๑๐๓)

เรื้องข้ามนํา้ ๒ เรื้อง

้ ผ้าผืนนึ่งหลุดจากมืพวกช่างย้อมไปค้องญู่ท่ ตี
สมัยนัน ี นของภิกษุฮูบนึ่งผู้กําลังข้ามนํา้

ท่านเกับไว้ด้วยตังใจว่ ้
าจะนําไปคืนให้เจฺาของ ้
พวกเจฺาของก่ าวหาภิกษุนนว่ ั ้ า “ท่านบํ่

เปันพระ” ภิกษุฮูบนันเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีไถยจิต บํ่ต้อง
อาบัต”ิ (เรื้องที ๑๐๔)
สมัยนัน้ ผ้าผืนนึ่งหลุดจากมืพวกช่างย้อมไปค้องญู่ท่ ตี
ี นของภิกษุฮูบนึ่งผู้กําลังข้ามนํา้

ท่านมีไถยจิตคิดว่า พวกเจฺาของจะเหั ้
น ได้ถืเอฺาผ้านันไป ้
พวกเจฺาของก่ าวหาภิกษุนน ั้

ว่า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบนันเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 110 / 110 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ


ปาราชิก” (เรื้องที ๑๐๕)

เรื้องฉันทีละน้อย ๑ เรื้อง

[๑๕๕] สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบหมํเนี


้ ยใสจึ่งฉันเนียใสเทื่อละหน้อย แล้วเกีดความ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” ๑ (เรื้อง
ที ๑๐๖)

เรื้องชักชวนกันไปลัก ๒ เรื้อง

้ ภิกษุหลายฮูบชักชวนกันไปด้วยคิดจะลักชัพย์ ภิกษุฮูบนึ่งลักชัพย์มาได้ ภิกษุ


สมัยนัน
้ ก่าวญ่างนี้ว่า “พวกเฮฺาบํ่เปันปาราชิก ภิกษุฮูบใดลักชัพย์ ภิกษุฮูบนันเปั
เหลฺ่านัน ้ น
ปาราชิก” แล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปารา ชิก” (เรื้องที ๑๐๗)
้ ภิกษุหลายฮูบชักชวนกันไปแล้ว ได้ลักชัพย์มา แล้วแบ่งกัน เมื่อกําลังแบ่ง
สมัยนัน
้ ่ งบอกว่า “พวกเฮฺาบํ่
ชัพย์กัน ภิกษุแต่ละฮูบได้ส่วนแบ่งบํ่คฺบ ๕ มาสก ภิกษุเหลฺ่านันจึ
เปันปาราชิก” แล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๐๘)

เรื้องกํามืท่ กุ
ี งสาวัตถี ๔ เรื้อง

้ กุงสาวัตถีเกีดเขฺายากหมากแพง
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักเขฺาสารของชาว

ฮ้านตลาดไป ๑ กํามื แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๑๐๙)
้ กุงสาวัตถีเกีดเขฺายากหมากแพง
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักถฺ่วข฽วของชาว
ฮ้านตลาดไป ๑ กํามื แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 111 / 111

ปาราชิก” (เรื้องที ๑๑๐)


้ กุงสาวัตถีเกีดเขฺายากหมากแพง
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักถฺ่วราชมาสของ
ชาวฮ้านตลาดไป ๑ กํามื แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๑๑๑)
้ กุงสาวัตถีเกีดเขฺายากหมากแพง
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักงาของชาวฮ้าน
ตลาดไป ๑ กํามื แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๑๑๒)

เรื้องชี้นเปันเดน ๒ เรื้อง

้ พวกโจรข้าโค กินชี้นแล้ว ลี้ส่วนที่เหลือไว้ในป่ าอันธวัน เขตกุงสาวัตถี


สมัยนัน
แล้วพากันไป พวกภิกษุสําคันว่าเปันของบังสุกุล จึ่งให้อนุปสัมบันถืเอฺาไปเฮัดให้สุก
แล้วฉัน พวกโจรก่าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความ
กังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปารา ชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านสําคันว่าเปันของบังสุกุล บํ่ต้อง
อาบัต”ิ (เรื้องที ๑๑๓)
้ พวกโจรข้าหมู กินชี้นแล้ว ลี้ส่วนที่เหลือไว้ในป่ าอันธวัน เขตกุงสาวัตถี
สมัยนัน
แล้วพากันไป พวกภิกษุสําคันว่าเปันของบังสุกุล จึ่งให้อนุปสัมบันถืเอฺาไปเฮัดให้สุก
แล้วฉัน พวกโจรก่าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุเกีดความ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านสําคันว่าเปันของบังสุกุล บํ่ต้องอาบัต”ิ
(เรื้องที ๑๑๔)

เรื้องหย้า ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งไปที่ทฺ่งหย้า มีไถยจิต ได้ลักหย้าที่เขฺาก่฽วไว้แล้ว มีราคา ๕


สมัยนัน
มาสก แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 112 / 112 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ิ าราชิก” (เรื้องที
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป
๑๑๕)
้ ภิกษุฮูบนึ่งไปที่ทฺ่งหย้า มีไถยจิต ได้ลักก่฽วหย้า มีราคา ๕ มาสก ไปแล้ว
สมัยนัน
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๑๖)

เรื้องให้แบ่งของสฺงฆ์ ๗ เรื้อง

[๑๕๖] สมัยนัน ้ พวกภิกษุอาคันตุกะให้แบ่งผฺลหมากม่วงของสฺงฆ์แล้วขฺบฉัน พวก


้ ่ น ก่าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
ภิกษุเจฺาถิ ้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุอาคันตุกะเกีดความ
กังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธ
้ องการจะฉัน พระพุทธเจฺาข้
เจฺาต้ ้ า” “ภิกษุทง
ั หลายพวกท่านต้องการจะฉัน บํ่ต้อง
อาบัติ” (เรื้องที ๑๑๗)
สมัยนัน้ พวกภิกษุอาคันตุกะให้แบ่งผฺลหมากหว้าของสฺงฆ์แล้วขฺบฉัน พวกภิกษุเจฺา้
ถิ่นก่าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุอาคันตุกะเกีดความกังวฺลใจ
ว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องการจะฉัน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๑๘)
สมัยนัน้ พวกภิกษุอาคันตุกะให้แบ่งผฺลหมากมี้สําปะลํของสฺงฆ์แล้วขฺบฉัน พวกภิกษุเจฺา้
ถิ่นก่าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุอาคันตุกะเกีดความกังวฺลใจ
ว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องการจะฉัน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๑๙)
้ ่ นก่า
้ พวกภิกษุอาคันตุกะให้แบ่งผฺลหมากมี้ของสฺงฆ์แล้วขฺบฉัน พวกภิกษุเจฺาถิ
สมัยนัน
วหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุอาคันตุกะเกีดความกังวฺล ใจว่า
พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องการจะฉัน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๒๐)
สมัยนัน้ พวกภิกษุอาคันตุกะให้แบ่งผฺลหมากตาลสุกของสฺงฆ์แล้วขฺบฉัน พวกภิกษุเจฺา้
ถิ่นก่าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุอาคันตุกะเกีดความกังวฺลใจ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 113 / 113

ว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ


พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องการจะฉันบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๑๒๑)
้ พวกภิกษุอาคันตุกะให้แบ่งตฺนอ้
สมัยนัน ้ ่ นก่า
้ อยของสฺงฆ์แล้วขฺบฉัน พวกภิกษุเจฺาถิ
วหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุอาคันตุกะเกีดความกังวฺลใจว่า
พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องการจะฉันบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๑๒๒)

สมัยนัน้ พวกภิกษุอาคันตุกะให้แบ่งผฺลหมากพลับของสฺงฆ์แล้วขฺบฉัน พวกภิกษุเจฺา้


ถิ่นก่าวหาภิกษุเหลฺ่านันว่
้ า “พวกท่านบํ่เปันพระ” พวกภิกษุอาคันตุกะเกีดความกังวฺลใจ
ว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องการจะฉัน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๒๓)

เรื้องบํ่แม่นเจฺาของ
้ ๗ เรื้อง

้ พวกคฺนเฝฺาสวนหมากม่
สมัยนัน ้ วงได้ถวายผฺลหมากม่วงแก่ภิกษุทังหลาย พวกภิกษุมี
ความก฽ดชังว่า ชฺนเหลฺ่านี้มีหน้าที่เฝฺา้ บํ่มีสิทธิ์จะถวาย จึ่งบํ่ยอมฮับแล้วนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลายบํ่ต้องอาบัติ เพาะคฺน

เฝฺาถวาย” (เรื้องที ๑๒๔)
สมัยนัน้ พวกคฺนเฝฺาสวนหว้
้ าได้ถวายผฺลหว้าแก่ภิกษุทังหลาย พวกภิกษุมีความก฽ด
ชังว่า ชฺนเหลฺ่านี้มีหน้าที่เฝฺา้ บํ่มีสิทธิ์จะถวาย จึ่งบํ่ยอมฮับแล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาค ให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย บํ่ต้องอาบัติ เพาะคฺนเฝฺา้
ถวาย” (เรื้องที ๑๒๕)
้ พวกคฺนเฝฺาสวนหมากมี
สมัยนัน ้ ้สําปะลํได้ถวายผฺลหมากมี้สําปะลํแก่ภิกษุทังหลาย
พวกภิกษุมีความก฽ดชังว่า ชฺนเหลฺ่านี้มีหน้าที่เฝฺา้ บํ่มีสิทธิ์จะถวาย จึ่งบํ่ยอมฮับแล้วนํา
เรื้องไปขาบทูลพระผูม
้ ีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย บํ่ต้อง

อาบัติ เพาะคฺนเฝฺาถวาย” (เรื้องที ๑๒๖)
สมัยนัน้ พวกคฺนเฝฺาสวนหมากมี
้ ้ได้ถวายผฺลหมากมี้แก่ภิกษุทังหลาย พวกภิกษุมีความ
ก฽ดชังว่า ชฺนเหลฺ่านี้มีหน้าที่เฝฺา้ บํ่มีสิทธิ์จะถวาย จึ่งบํ่ยอมฮับแล้วนําเรื้องนี้ไปขาบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 114 / 114 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ทูลพระผู้มีพระภาค ให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย บํ่ต้องอาบัติ เพาะคฺน



เฝฺาถวาย” (เรื้องที ๑๒๗)
้ พวกคฺนเฝฺาสวนตาลสุ
สมัยนัน ้ กได้ถวายผฺลตาลสุกแก่ภิกษุทังหลาย พวกภิกษุมีความ
ก฽ดชังว่า ชฺนเหลฺ่านี้มีหน้าที่เฝฺา้ บํ่มีสิทธิ์จะถวาย จึ่งบํ่ยอมฮับแล้วนําเรื้องนี้ไปขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาค ให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลายบํ่ต้องอาบัติ เพาะคฺน

เฝฺาถวาย” (เรื้องที ๑๒๘)

สมัยนัน้ พวกคฺนเฝฺาไฮ่้ อ้อยได้ถวายลําอ้อยแก่ภิกษุทังหลาย พวกภิกษุมีความก฽ดชัง


ว่า ชฺนเหลฺ่านี้มีหน้าที่เฝฺา้ บํ่มีสิทธิ์จะถวาย จึ่งบํ่ยอมฮับแล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาค ให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย บํ่ต้องอาบัติ เพาะคฺนเฝฺาถวาย”

(เรื้องที ๑๒๙)
้ พวกคฺนเฝฺาสวนหมากพลั
สมัยนัน ้ บได้ถวายผฺลหมากพลับแก่ภิกษุทังหลาย พวกภิกษุ
มีความก฽ดชังว่า ชฺนเหลฺ่านี้มีหน้าที่เฝฺา้ บํ่มีสิทธิ์จะถวาย จึ่งบํ่ยอมฮับแล้วนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย บํ่ต้องอาบัติ

เพาะคฺนเฝฺาถวาย” (เรื้องที ๑๓๐)

เรื้องยืมไม้ของสฺงฆ์ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งได้ยืมไม้ของสฺงฆ์ไปคําฝาวิ
สมัยนัน ้ หาร ภิกษุทังหลายก่าวหาภิกษุนนว่ ั้ า

“ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุฮูบนันเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด”
“ข้าพระพุทธเจฺา้ ต้องการจะขํยืม พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุท่านบํ่ต้องอาบัติ เพาะขํยืม”
(เรื้องที ๑๓๑)

เรื้องลักนําของสฺ
้ งฆ์ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักนําของสฺ
สมัยนัน ้ งฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้อง
อาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๓๒)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 115 / 115

เรื้องลักดินของสฺงฆ์ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักดินของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้อง


สมัยนัน
ิ าราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
อาบัตป
ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๓๓)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

เรื้องลักหย้าของสฺงฆ์ ๒ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักหย้ามุงกะต่ายของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า


ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๓๔)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้เผฺาหย้ามุงกะต่ายของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑๓๕)

เรื้องลักเสนาสนะของสฺงฆ์ ๗ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักต฽งของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้อง


สมัยนัน
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
อาบัตป
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๓๖)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักตั่งของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้อง
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
อาบัตป
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๓๗)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักเสื่อของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้อง
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
อาบัตป
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๓๘)
สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักหมอนของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้อง
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
อาบัตป
ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๓๙)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 116 / 116 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักบานปะตูของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา


สมัยนัน
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๔๐)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักบานหน้าต่างของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า


ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๔๑)
้ ภิกษุฮูบนึ่งมีไถยจิต ได้ลักไม้กอนของสฺงฆ์ แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
สมัยนัน
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๔๒)

เรื้องของมีเจฺาของบํ
้ ่ ควรนําไปใช้ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุทังหลายได้นาํ เสนาสนะเคื่องใช้สอยปะจําในวิหารของอุบาสฺกคฺน
[๑๕๗] สมัยนัน
นึ่งไปใช้สอยที่อื่น อุบาสฺกนันตํ
้ าหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดพระคุณเจฺาทั
้ งหลาย
จึ่งนําเคื่องใช้สอยปะจําในที่แห่งนึ่ง ไปใช้ในที่อีกแห่งนึ่งงละ” ภิกษุทังหลาย จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย เคื่องใช้
สอยในที่แห่งนึ่ง บํ่เพิงนําไปใช้สอยในที่อีกแห่งนึ่ง ภิกษุใดเพิงใช้สอย ต้องอาบัติ
ทุกกฏ” (เรื้องที ๑๔๓)

เรื้องของมีเจฺาของควรขํ
้ ยืม ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุทังหลายก฽ดชังการนําเสนาสนะเคื่องใช้สอยไปโฮงอุโบสฺถแด่ ที่ปะชุ ม


แด่ จึ่งนั่งเทิงพื้นดิน เนื้อตฺวและจีวอนจึ่งเปื้อนฝุ่ น ภิกษุทังหลาย จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย เฮฺาอนุยาตให้นําไปใช้
ได้ช่ วคาว”
ฺ (เรื้องที ๑๔๔)

เรื้องภิกษุณีชาวกุงจําปา ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 117 / 117

สมัยนัน้ ภิกษุณีผเู้ ปันอันเตวาสินีของภิกษุณีถุลลนันทา ไปยังตะกูนอุปฏ


ั ฐากของภิกษุณี
ถุ ลลนันทา ในกุงจัมปา บอกคฺนในตะกูนว่า “ภิกษุณีถุลลนันทาปะสฺงค์จะดื่มญาคูปุงด้วย
ของ ๓ ญ่าง” เมื่อเขฺาหุงหาให้แล้วท่านกับนําไปฉันเสั฽เอง ภิกษุณีถุลลนันทาฮูเ้ ขฺา้
จึ่งก่าวหาภิกษุณีนนว่
ั ้ า “ท่านบํ่เป็ พระ” ภิกษุณีนนเกี
ั้ ดความกังวฺลใจจึ่งบอกความนันแก่

ี ังหลาย พวกภิกษุณีจ่ งบอกแก่
ภิกษุณท ึ ภิกษุ
ทังหลาย พวกภิกษุได้นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
ั ้ ่ ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวเท็จทังที่
“ภิกษุทังหลาย ภิกษุณีนนบํ
ฮู”้ (เรื้องที ๑๔๕)

เรื้องภิกษุณีชาวกุงราชคึห์ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุณีผเู้ ปันอันเตวาสินีของภิกษุณีถุลลนันทา ไปยังตะกูนอุปฏ


สมัยนัน ั ฐากของภิกษุณี
ถุ ลลนันทาในกุงราชคึห์ บอกคฺนในตะกูนว่า “ภิกษุณีถุลลนันทาปะสฺงค์จะฉันขนฺมรวง
้ ่ งก่าวหา
้ เมื่อสั่งให้เขฺาทอดแล้วท่านกับนําไปฉันเสั฽เองภิกษุณีถุลลนันทาฮูเ้ ขฺาจึ
เผิง”
ั ้ า “ท่านบํ่เปันพระ” ภิกษุณีนนเกี
ภิกษุณีนนว่ ั้ ดความกังวฺลใจจึ่งบอกความนันแก่
้ ภิกษุณีทัง
หลาย พวกภิกษุณจ ี ่ งบอกแก่
ึ ภิกษุทังหลาย พวกภิกษุได้นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย ภิกษุณีนนบํ ั ้ ่ ต้องอาบัติปาราชิก แต่
ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวเท็จทังที่ฮู”้ (เรื้องที ๑๔๖)

เรื้องพระอัชชุ กะชาวกุงเวสาลี ๑ เรื้อง

[๑๕๘] คหบํดีผู้เปันอุปฏ ั ฐากของพระอัชชุ กะ ในกุงเวสาลี มีบุตร ๑ คฺน หลาน ๑ คฺน


ตํ่มา เขฺาสั่งเสั฽ท่านพระอัชชุ กะว่า “ท่านเพิงบอกที่ฝังชัพย์แก่เด็กผู้มีสัดทาเหลื้อมใส
ในจํานวนเด็ก ๒ คฺนนี้” แล้วเถิงแก่กัม เวลานันปากฺ
้ ดว่าหลานชายของคหบํดีเปันผู้มี
สัดทาเหลื้อมใส ท่านพระอัชชุ กะจึ่งบอกที่ฝังชัพย์แก่ท่าน ท่านนําชัพย์สฺมบัตมาตังเปั
้ น
กองทุนและเลี้มให้ทาน ตํ่มาบุตรของคหบํดีนนั ้ ได้ฮ฽นถามท่านพระอานฺนท์ว่า “พระ

คุณเจฺาอานฺ นท์ ใผเปันทาญาทของพํ่ ลูกหลืหลาน” “ธัมดาลูกต้องเปันทาญาทของพํ่”
“ท่านขน้อย พระคุณเจฺาอั้ ชชุ กะบอกชัพย์สฺมบัตของผู้ข้าแก่คู่แข่งของผู้ข้าไปแล้ว” “โยม
ท่านพระอัชชุ กะบํ่เปันพระ”

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 118 / 118 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ท่านพระอัชชุ กะก่าวกับท่านพระอานฺนท์ว่า “ท่านอานฺนท์ ท่านโปดให้การ


ลําดับนัน
วินิจฉัยแก่ผู้ข้าเถีด ขน้อย” ท่านพระอุบาลีญฝ
ู่ ่ ายพระอัชชุ กะ ถามพระอานฺนท์ว่า “ท่าน
อานฺนท์ ภิกษุฮุบใดบอกขุมชัพย์แก่บุคคฺลตามที่เจฺาของสั
้ ่ งให้บอก ภิกษุฮูบนันจะต้
้ อง
อาบัติหยัง”
ท่านพระอานฺนท์ตอบว่า “ภิกษุนนจะบํ ั้ ิ ยังเลีย โดยที่สุดแม่นแต่อาบัติทุกกฏ”
่ ต้องอาบัตห
ท่านพระอุบาลีจ่ งก่ึ าวว่า “พระอัชชุ กะนี้อันเจฺาของชั ้ พย์ส่ งไว้
ั ว่า ท่านโปดบอกที่ฝังชัพย์
นี้แก่บุคคฺลชื่นี้ จึ่งได้บอกแก่ผู้นน ั ้ ดั่งนันพระอั
้ ชชุ กะจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๑๔๗)

เรื้องทารฺกชาวกุงพาราณสี ๑ เรื้อง

[๑๕๙] ตะกูนอุปฏ ั ฐากของท่านพระปิลินทวัจฉะในกุงพาราณสี ถืกโจรปุ้นและพาเด็กไป


๒ คฺน ตํ่มา ท่านพระปิลินทวัจฉะช่วยนําเด็กหนีออกมาไว้ท่ ปราสาทด้
ี วยอิทธิฤทธิ์
ชาวบ้านเหลื้อมใสว่า นี้เปันอิทธานุภาพของท่านพระปิลินทวัจฉะโดยแท้ ภิกษุทัง
หลายจึ่งตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดท่านปิลินทวัจฉะจึ่งนําเด็กที่พวกโจรพาตฺว
ไปมาละ” แล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย ภิกษุผู้มีฤทธิ์บํ่ต้องอาบัติเพาะวิสัย
แห่งฤทธิ์” (เรื้องที ๑๔๘)

เรื้องภิกษุชาวกุงโกสัมพี ๑ เรื้อง

[๑๖๐] สมัยนัน ้ พระปัณฑุกะและพระกปิละเปันเพื่อนกัน ฮูบนึ่งญูใ ่ นอาวาสใก้หมู่บ้าน


อีกฮูบนึ่งญูใ
่ นกุงโกสัมพี ตํ่มาเพื่อนภิกษุผู้ญใ
ู่ นหมู่บ้านเดีนทางจากหมู่บ้านไปกุงโกสัมพี
้ ่ หลุดจากมืของพวกคฺนข้าหมูลอยมาติดที่ตีน ท่าน
ระหว่างทาง ข้ามแม่นาํ ้ แปวมันขฺนที
จึ่งเกับไว้ด้วยตังใจว่
้ ้
าจะให้คืนแก่เจฺาของ ้
พวกเจฺาของก่ ั ้ า “ท่านบํ่เปัน
าวหาภิกษุนนว่
พระ” ยิงล้฽งโคคฺนนึ่งพฺบท่านข้ามนําจึ
้ ่ งได้ก่าวกับท่านดั่งนี้ว่า “ท่าน นิมฺนต์มาเสพ
เมถุ นธัมกันเถีด ขะน้อย” ท่านคิดว่า แม่นตามปฺกติ เฮฺากํบ่ เปัํ นพระญูแ ่ ล้ว จึ่งเสพ
เมถุ นธัมกับยิงล้฽งโค แล้วเดีนทางเถิงกุงโกสัมพี ละเรื้องนันให้
้ ภิกษุทังหลายฟั ง
พวกภิกษุจ่ งนํ
ึ าเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทัง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 119 / 119

ั ้ ่ ต้องอาบัติ ปาราชิกเพาะถืเอฺาสิ่งของที่เจฺาของบํ
หลาย ภิกษุนนบํ ้ ่ ได้ให้ แต่ต้องอาบัติ
ปาราชิกเพาะเสพเมถุ นธัม” (เรื้องที ๑๔๙)

เรื้องสัทธิวิหาริกของพระทัฬหิกะกุงสาคละ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุสัทธิวิหาริกของท่านพระทัฬหิกะ กุงสาคละ ญากจะสิกจึ่งไปลัก


[๑๖๑] สมัยนัน
ผ้าโพกของชาวฮ้านตลาดมาแล้ว ได้ก่าวกับท่านพระทัฬหิกะดั่งนี้ว่า “ผู้ข้าบํ่เปันพระเสั฽
แล้วจักสิกล่ะ ขน้อย” “ท่านทําผิดหยังละ” “ผู้ข้าลักผ้าโพกของชาวฮ้านตลาด” ท่านพระ

ทัฬหิกะให้นําผ้านันมาตี ราคา ราคาผ้าบํ่เถิง ๕ มาสก ท่านพระทัฬหิกะก่าวว่า “ท่านบํ่
ต้องอาบัติปาราชิก” แล้วได้สะแดงธัมมีกถาให้ฟัง ภิกษุนนยิั ้ นดีย่ ิง (เรื้องที ๑๕๐)

ปาราชิกสิกขาบฺทที ๒ จฺบ

ปาราชิกสิกขาบฺทที ๓
ว่าด้วยการพากกายมนุษย์
เรื้องหมู่ภิกษุผู้จะเรีนอสุภกัมมัฏฐานกับตาเถนมิคลัณฑิกะ

[๑๖๒] สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั


้ บญู่ ณะ กูฏาคารศาลา ในป่ ามหาวัน เขต
้ น
กุงเวสาลี คังนั ้ พระผู้มีพระภาคตรัสสอนอสุภกัมมัฏฐาน ชฺงพัณนาคุณอสุภกัมมัฏฐาน
ตรัสสัรเสีนการจะเรีนอสุภกัมมัฏฐาน ตรัสพัณนาคุณอสุภสมาบัติเนืองๆ แก่ภิกษุทัง
หลาย โดยปะการต่างๆ
ตํ่มา พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทง ั หลาย เฮฺาปราถนาจะ
หลีกหลฺบญูผ ่ ู้ด฽วจักเคิ่งเดือน ใผๆญ่าเขฺาไปหาเฮฺ
้ ้ กษุผู้นําภัตตาหารเขฺาไป
า ยฺกเวันภิ ้
ให้ฮูบด฽ว”
้ า” บํ่มีใผเขฺาไปเฝฺ
ภิกษุทังหลายฮับสนองพระพุทธดํารัสว่า “ได้พระพุทธเจฺาข้ ้ ้
าพระผู ้มี

พระภาค นอกจากภิกษุผู้นําภัตตาหารเขฺาไปทู ลถวายฮูบด฽ว ภิกษุทังหลายสฺนทนากัน
ว่า “พระผู้มีพระภาคตรัสสอนอสุภกัมมัฏฐาน ชฺงพัณนาคุณอสุภกัมมัฏฐาน ตรัสสัรเสีน
การจะเรีนอสุภกัมมัฏฐาน ตรัสพัณนาคุณอสุภสมาบัติเนืองๆ แก่ภิกษุทังหลายโดยปะ
การต่างๆ” แล้วพากันปะกอบความพ฽ນในการจะเรีนอสุภกัมมัฏฐานหลายปะการ จฺน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 120 / 120 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เมื่อเกีดความฮูส
้ ึกอึดอัดเบื่อหน่าย ก฽ดชังฮ่างกายของตฺน เหมือนชายหลืยิงที่เปัน
หนุ่มเปันสาวมักแต่งตฺว อาบนํา้ สระกะม่อม มีซากศฺพงู ซากศฺพ สุนักหลืซากศฺพมนุ
่ ่ คํ
ษย์มาติดญูท ้ ่ งข้าตฺวตายเอง
้ ึกอึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ดชัง ภิกษุเหลฺ่านันจึ
ี เกีดความฮูส

แด่ ใช้กันและกันให้ข้าแด่ ภิกษุบางกุ่มพากันเขฺาไปหาตาเถนมิ คลัณฑิกะ บอกว่า “ขํ
โอกาสแด่ท้อน ท่านช่วยข้าพวกอาตมาเถีด บาตรและจีวอนนี้จักเปันของท่าน” ตาเถน
มิคลัณฑิกะฮับจ้างเอฺาบาตรและจีวอนจึ่งข้าภิกษุมากมาย ถืดาบเปื้อนเลือดย่างไปเถิง
ํ ้ คคุมุทา
แม่นาวั
[๑๖๓] เมื่อตาเถนมิลัณฑิกะกําลังล้างดาบเปื้อนเลือดญู่ ได้มีความกังวฺลใจเดือดฮ้อนใจ
ว่า บํ่แม่นลาภของเฮฺานํ เฮฺาบํ่มีลาภนํ เฮฺาได้ช่ วแล้
ฺ วนํ เฮฺาได้บ่ ํดีนํ เฮฺาได้ส้างบาปไว้
มากที่ได้ข้าภิกษุผู้มีศีลมีกัลยาณธัม ขณะนันเทวดาผู
้ ้นับเนื่องในหมู่มารตฺนนึ่ง ย่าง
มาเทิงผิวนําบํ ้
้ ่ แตกเตันชะ ก่าวว่า “ดีแล้ว ๆ ท่านสัตบุรุษ เปันลาภเปันโชคของท่าน
ท่านได้ส้างสฺมบุนไว้หลายที่ได้ช่วยสฺ่งคฺนที่ยังบํ่ พฺนทุ
้ กข์ให้ข้ามพฺนทุ
้ กข์ได้” คันตา
เถนมิคลัณฑิกะได้ชาบว่า เปันลาภเปันโชคของเฮฺา เฮฺาได้ส้างสฺมบุนไว้หลายที่ได้
ช่วยสฺ่ง คฺนที่ยังบํ่พฺนทุ ้ กข์ได้ จึ่งถืดาบคฺมเขฺาไปบํ
้ กข์ให้ข้ามพฺนทุ ้ ริเวณวิหารก่าวว่า
“ใผที่ยังบํ่พฺนทุ
้ กข์ ข้าพะเจฺาจะช่
้ ้ กข์ได้แด่” ในภิกษุเหลฺ่านัน
วยให้ใผพฺนทุ ้ พวกภิกษุผู้
ยังมีราคะ เกีดความหวาดญ้านขฺนหฺวลุก ส่วนพวกภิกษุผู้ท่ ีบํ่มีราคะ ย่อมบํ่หวาดญ้าน
้ เขฺาข้าภิกษุวันละ ๑ ฮูบแด่ ๒ ฮูบแด่ ๓ ฮูบแด่ ๔ ฮูบแด่ ๕ ฮูบ
บํ่ขฺนหฺวลุก เวลานัน
แด่ ๖ ฮูบแด่ ๗ ฮูบแด่ ๘ ฮูบแด่ ๙ ฮูบแด่ ๑๐ ฮูบแด่ ๒๐ ฮูบแด่ ๓๐ ฮูบแด่ ๔๐
ฮูบแด่ ๕๐ ฮูบแด่ ๖๐ ฮูบแด่

ฮับสั่งให้ผด฽ง(ฮ฽กปะชุ ม)สฺงฆ์

[๑๖๔] เมื่อเคิ่งเดือนผ่านไป พระผู้มีพระภาคสเดัจออกจากที่หลีกหลฺบ ตรัสฮ฽กท่าน


พระอานฺนท์มาตรัสถามว่า “อานฺนท์ เปันหยัง ภิกษุสฺงฆ์จ่ งเบิ
ึ ่ งคืหน้อยลฺง” ท่านพระ
้ า พระผู้มีพระภาคตรัสสอนอสุภกัมมัฏฐาน ชฺงพัณ
อานฺนท์ขาบทูลว่า “จิงพระพุทธเจฺาข้
นาคุณอสุภกัมมัฏฐาน ตรัสสัรเสีนการจะเรีนอสุภกัมมัฏฐาน ตรัสพัณนาคุณอสุภสมาบัติ
เนืองๆ แก่ภิกษุทังหลายโดยปะการต่างๆ และภิกษุเหลฺ่านันก่
้ าวว่า ‘พระผู้มีพระภาค
ตรัสสอนอสุภกัมมัฏฐาน ชฺงพัณนาคุณอสุภกัมมัฏฐาน ตรัสสัรเสีนการจะเรีนอสุภ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 121 / 121

กัมมัฏฐาน ตรัสพัณนาอสุภสมาบัติเนือง ๆ โดยปะการต่างๆ’ จึ่งพากันปะกอบความพ฽ນ


ในการจะเรีนอสุภกัมมัฏฐานหลายปะการ จฺนเมื่อเกีดความฮูส้ ึกอึดอัด เบื่อหน่าย ก฽ด
ชังฮ่างกายของตฺน เหมือนชายหลืยิงที่เปันหนุ่มเปันสาวมักแต่งตฺวอาบนําสระกะม่
้ อม
่ ่ คํ
มีซากศฺพงู ซากศฺพสุนักหลืซากศฺพมนุษย์ มาติดญูท ้ ึกอึดอัด เบื่อหน่าย
ี เกีดความฮูส
้ ่ งข้าตฺวตายเองแด่ ใช้กันและกันให้ข้าแด่ ภิกษุบางกุ่มพากันไป
ก฽ดชัง ภิกษุเหลฺ่านันจึ
หาตาเถนมิคลัณฑิกะบอกว่า ‘ขํโอกาสแด่เถีด ท่านช่วยข้าพวกอาตมาเถีด บาตรและจี
วอนนี้จักเปันของท่าน’ ตาเถนมิคลัณฑิกะ ฮับจ้างเอฺาบาตรและจีวอน จึ่งข้าภิกษุวันละ
๑ ฮูบแด่ ฯลฯ วันละ ๖๐ ฮูบแด่ ขํปะทานพระวโรกาส ขํพระอฺงค์โปดตรัสบอกวิทีอ่ ืน
ที่ภิกษุสฺงฆ์จะเพิงดํารฺงญูใ ้ า” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
่ นอรหัตตผฺลเถีดพระพุทธเจฺาข้
้ านจฺ่งผด฽ง(ฮ฽กปะชุ ม) ภิกษุเทฺ่าที่อาศัยกุงเวสาลีญท
“อานฺนท์ ถ้าเชั่นนันท่ ู่ ังหมฺดให้ปะ
ชุ มกันที่โฮงอาหาร” ท่านพระอานฺนท์ทูลฮับสนองพระพุทธดํารัส แล้วผด฽ง(ฮ฽กปะ
ชุ ม) ภิกษุสฺงฆ์ท่ อาศั
ี ู่ ังหมฺดให้มาปะชุ มที่โฮงอาหาร แล้วเขฺาไปเฝฺ
ยกุงเวสาลีญท ้ ้
าพระผู ้
มีพระภาคเถิงที่ปะทับ คันเถิงแล้วได้ขาบทูลพระผู้มีพระภาคดั่งนี้ว่า “พระพุทธเจฺาข้ ้ า
ภิกษุสฺงฆ์ปะชุ มพ้อมกันแล้ว ขํพระอฺงค์ชฺงพระกรุณาโปดชาบเวลาอันสฺมควรในบัดนี้”

ชฺงสะแดงอานาปานสติสมาธิกถา

้ พระผู้มีพระภาคสเดัจไปที่โฮงอาหาร ปะทับนั่งเทิงพุทธอาสน์ท่ จั
[๑๖๕] ลําดับนัน ี ด
ถวาย ตรัส ฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย อานาปานสติสมาธิ แม่นว่านี้
ที่จะเรีนแล้วเฮัดให้มากแล้ว ย่อมเปันสภาพสงฺบปาณีต สฺดชื่น เปันธัมเคื่องญูเ่ ปันสุข
และทําอกุศฺลธัมชฺ่วฮ้ายที่เกีดขึนแล้
้ ว ๆ ให้อันตรธานไป สงฺบไปโดยไว ป฽บ
เหมือนฝุ่ นละอองที่ฟุ้ งขึนท้
้ ายระดูฮ้อน ถืกฝฺนใหย่นอกระดูกาลให้อันตรธานไป สงฺบ
ไปโดยไว อานาปานสติสมาธิท่ ีจะเรีนแล้วญ่างใด เฮัดให้มากแล้วญ่างใด จึ่งเปัน
สภาพสงฺบปาณีต สฺดชื่น เปันธัมเคื่องญูเ่ ปันสุขและทําอกุศฺลธัมชฺ่วฮ้ายที่เกีดขึนแล้
้ ว ๆ
ให้อันตรธานไป สงฺบไปโดยไว ภิกษุทังหลาย ภิกษุในธัมวินัยนี้ ไปสู่ป่ากํดี ไปสู่

เหงฺาไม้ กํดี ไปสูเ่ ฮือนว่างกํดี นั่งคู่บัลลังก์ตงกายตรฺ
ั้ ง ดํารฺงสติไว้สะเพาะหน้า มีสติ
หันใจออก มีสติหันใจเขฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 122 / 122 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


อานาปานสติ ๑๖ ขัน

(๑) เมื่อหันใจออกยาว กํฮู้แจ้งว่าหันใจออกยาว เมื่อหันใจเขฺายาว


้ กํฮู้แจ้งว่าหัน

ใจเขฺายาว
(๒) เมื่อหันใจออกสัน ้ เมื่อหันใจเขฺาสั
้ กํฮู้แจ้งว่าหันใจออกสัน ้ น ้ กํฮู้แจ้งว่าหันใจ
้ น
เขฺาสั ้
(๓) สํานึกว่า จะฮู้แจ้งกองลฺมทังปวง หันใจออก สํานึกว่า จะฮู้แจ้งกองลฺมทังปวง
หันใจเขฺา้
(๔) สํานึกว่า จะระงับกายสังขาร หันใจออก สํานึกว่า จะระงับกายสังขาร หันใจเขฺา้
(๕) สํานึกว่า จะฮู้แจ้งปีติ หันใจออก สํานึกว่า จะฮู้แจ้งปีติ หันใจเขฺา้
(๖) สํานึกว่า จะฮู้แจ้งสุข หันใจออก สํานึกว่า จะฮู้แจ้งสุข หันใจเขฺา้
(๗) สํานึกว่า จะฮู้แจ้งจิตตสังขาร หันใจออก สํานึกว่า จะฮู้แจ้งจิตตสังขาร หัน
ใจเขฺา้
(๘) สํานึกว่า จะระงับจิตตสังขาร หันใจออก สํานึกว่า จะระงับจิตตสังขาร หันใจเขฺา้
(๙) สํานึกว่า จะฮู้แจ้งจิต หันใจออก สํานึกว่า จะฮู้แจ้งจิต หันใจเขฺา้
(๑๐) สํานึกว่า จะยังจิตให้บันเทิง หันใจออก สํานึกว่า จะยังจิตให้บันเทิง หัน
ใจเขฺา้
้ ตหมัน
(๑๑) สํานึกว่า จะตังจิ ้ หันใจออก ้ ตหมัน
สํานึกว่า จะตังจิ ้ หันใจเขฺา้
(๑๒) สํานึกว่า จะเปื้องจิต หันใจออก สํานึกว่า จะเปื้องจิต หันใจเขฺา้
(๑๓) สํานึกว่า จะพิจารณาเหันว่าบํ่ท่฽ง หันใจออก สํานึกว่า จะพิจารณาเหันว่าบํ่ท่฽ง
หันใจเขฺา้
(๑๔) สํานึกว่า จะพิจารณาเหันความคายออกได้ หันใจออก สํานึกว่า จะพิจารณาเหัน
ความคายออกได้ หันใจเขฺา้
(๑๕) สํานึกว่า จะพิจารณาเหันความดับไป หันใจออก สํานึกว่า จะพิจารณาเหันความ
ดับไป หันใจเขฺา้
(๑๖) สํานึกว่า จะพิจารณาเหันความสลัดเสั฽ได้ หันใจออก สํานึกว่า จะพิจารณาเหัน

ความสลัดเสั฽ได้ หันใจเขฺา”

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 123 / 123

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
[๑๖๖] ลําดับนัน ้ ชฺง
สอบถามภิกษุทังหลายว่า “ภิกษุทังหลาย ชาบว่า ภิกษุทังหลายข้าตฺวตายเองแด่ ใช้

กันและกันให้ข้าแด่ บางกุ่มพากันเขฺาไปหาตาเถนมิ คลัณฑิกะ บอกว่า ‘ขํโอกาสแด่ท้อน
ท่านช่วยข้าพวกอาตมาแด่เถีด บาตรและจีวอนนี้จักเปันของท่าน’ แม่นแท้บํ” ภิกษุทัง
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
หลายทูลฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้ ้ งตําหนิว่า “ภิกษุ
ทังหลาย การกะทําของภิกษุเหลฺ่านัน ้ บํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของ
สมณะ ใช้บ่ ได้
ํ ้ จึ่งข้าตฺวตาย
บํ่ควรทํา จั่งใดภิกษุเหลฺ่านัน

เองแด่ ใช้กันและให้ข้าแด่ บางกุ่มพากันเขฺาไปหาตาเถนมิ คลัณฑิกะ บอกว่า ‘ขํโอกาส
แด่เถีด ท่านช่วยข้าพวกอาตมาแด่เถีด บาตรและจีวอนนี้จักเปันของท่าน’ แด่ละ ภิกษุ
ทังหลาย การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้ว
จึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลาย ยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
้ ่ งนี้

พระบันญัต

[๑๖๗] กํ ภิกษุใดจฺงใจพากกายมนุษย์จากชีวิต หลืแสวงหาศัสตรา อันจะพากกาย


ั ้ แม่นแต่ภิกษุน้ีกํเปันปาราชิก หาสังวาสบํ่ได้ สิกขาบฺทนี้พระผู้มีพระภาคชฺง
มนุษย์นน
บันญัตไว้แก่ภิกษุทังหลายญ่างนี้

เรื้องหมู่ภิกษุผู้จะเรีนอสุภกัมมัฏฐานกับตาเถนมิคลัณฑิกะ จฺบ

เรื้องพระฉัพพัคคีย์

[๑๖๘] สมัยนัน ้ อุบาสฺกคฺนนึ่งลฺมป่


้ วย เขฺามีภัรยาฮูบงาม หน้าเบิ่งหน้าชฺม พวกภิกษุ
์ ักภัรยาของเขฺาจึ่งปึกสาว่า “ถ้าอุบาสฺกยังมีชีวิต พวกเฮฺาจักบํ่ได้นาง มา
ฉัพพัคคียม
ช่วยกันก่าวพัณนาคุณความตายให้เขฺาฟั งเถีด” จึ่งเขฺาไปหาอุ
้ บาสฺกก่าวว่า “อุบาสฺก ท่าน
ทําคุณงามความดี ทําที่ต้าน ทานความขี้ญ้านไว้แล้ว บํ่ได้ทําชฺ่ว บํ่ได้ทําบาบหยาบช้า
ทารุณหยังไว้ ท่านส้างแต่คุณงามความดี บํ่ส้างกัมชฺ่วเลีย จะมีชีวิตญูญ่ ่างลําบากยากเข็น

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 124 / 124 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ไปเฮัดหยัง ท่านตายเสั฽ดีกว่า หลังจากตายแล้ว


จักไปบังเกีดในสุคติ โลกสวันค์ จักเอิบอิ่มพรั่งพ้อมด้วยกามคุณ ๕ อันเปันทิพย์”
[๑๖๙] อุบาสฺกเหันจิงว่า “ท่านก่าวแม่นแท้เพาะเฮฺาทําคุณงามความดี ทําที่ต้านทาน
ความขี้ญ้านไว้แล้ว บํ่ได้ทําชฺ่ว บํ่ได้ทําบาบหยาบช้าทารุณหยังไว้ เฮฺาส้างแต่คุณงาม
ความดี บํ่ส้างกัมชฺ่วเลีย จะมีชีวิตญูญ
่ ่างลําบากยากเข็นไปเฮัดหยัง เฮฺาตายเสั฽ดีกว่า
หลังจากตายแล้ว จักไปบังเกีดในสุคติ โลกสวันค์ จักเอิบอิ่มพรั่งพ้อมด้วยกามคุณ ๕
อันเปันทิพย์” จึ่งฮับปะทานอาหารแสลง กินของแสลง ชิมของแสลง ดื่มของแสลง
้ งกับเสั฽ชีวิต ภัรยาของ
จฺนอาการเจ็บป่ วยหนักเขฺาเถิ
้ าหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหลฺ่านี้ บํ่มีความ
อุบาสฺกนันตํ
ละอาย ทุศีล ชอบก่าวเท็จ แต่ยังปะติยานตฺนว่า ปะพึดธัม ปะพึดสงฺบ ปะพึดพรฺมจันย์
ก่าวว่าตฺนมีศีล มีกัลยาณธัม พวกท่านบํ่มีความเปันสมณะ ความเปันพรามณ์ ความเปัน
สมณะความเปันพรามณ์ของพวกท่านเสื่อมสินไปแล้
้ ว พวกท่านจะเปันสมณะ
จะเปันพรามณ์ได้ญ่างใด พวกท่านปาสจากความเปันสมณะ ปาสจากความเปันพรามณ์
พวกท่านได้ก่าวพัณนาคุณความตายให้สามีของเฮฺาฟั ง สามีของเฮฺาถืกพวกท่านข้าแล้ว”
แม่นแต่พวกชาวบ้านอื่นๆ กํตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “พระสมณะเชื้อสายศากยบุตร
เหลฺ่านี้บํ่มีความละอาย ฯลฯ พวกท่านก่าวพัณาคุณความตายให้อุบาสฺกฟั ง อุบา สฺกถืก
พวกท่านข้าแล้ว”
ภิกษุทังหลายได้ยินปะชาชฺน ตําหนิ ปะนาม โพนทะนา บันดาภิกษุผู้มักน้อย ฯลฯ จึ่ง
ตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ จึ่งก่าวพัณนาคุณความตายให้อุ
บาสฺกฟั งละ”

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตอนุบันญัต

[๑๗๐] ลําดับนัน้ ภิกษุทังหลายจึ่งนําเรื้องนันไปขาบทู


้ ลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
้ ชฺงสอบถามพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ว่า
“ภิกษุทังหลาย ชาบว่า พวกท่านก่าวพัณนาคุณความตายให้อุบาสฺกฟั งแม่นแท้บํ” ภิกษุ
เหลฺ่านันทู
้ ลฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺา้ ชฺงตําหนิว่า
“โมฆบุรุษทังหลาย การกะทําของพวกท่านบํ่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 125 / 125

สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้


ํ บํ่ควรทํา จั่งใดพวกท่าน
จึ่งก่าว พัณนาคุณความตายให้อุบาสฺกฟั งละ โมฆบุรุษทังหลาย การเฮัดญ่างนี้บํ่ได้เฮัด
ให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิก

ขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั ่ งนี้

พระอนุบันญัต

[๑๗๑] อีกญ่างนึ่ง ภิกษุใดจฺงใจพากกายมนุษย์จากชีวิต หลืแสวงหาศัสตรา อันจะพาก


ั ้ ก่าวพัณนาคุณความตายหลืชักชวนเพื่อให้ตายว่า “ท่านผู้จะเรีน จะมีชีวิต
กายมนุษย์นน
ญ่างลําบากยากเข็นนี้ไปเฮัดหยัง ท่านตายเสั฽ดีกว่าดั่งนี้” ท่านมีจิตใจญ่างนี้ มีดําริใน
ใจญ่างนี้ ก่าวพัณนาคุณความตายหลืชักชวนเพื่อความตายโดยปะการต่างๆ แม่นภิกษุน้กํ ี
เปันปาราชิก หาสังวาสบํ่ได้

เรื้องพระฉัพพัคคีย์ จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๑๗๒] คําว่า อีกญ่างนึ่ง...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า


อีกญ่างนึ่ง...ใด
คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ชื่ว่า ภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผู้มพ
ี ระภาคชฺงปะสฺงค์เอฺา
ว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
คําว่า จฺงใจ ได้แก่ ฮูญ้ ู่ ฮูด ้
้ ีญู่ จฺงใจ ตังใจ ล่วงละเมิด
ที่ชื่ว่า กายมนุษย์ ได้แก่ จิตดวงแฮกเกีด คืวินยานดวงทําอิดปากฺดขึนในคั
้ นภ์มารดา
จฺนเถิงเวลาตาย อัตภาพในระหว่างนี้ชื่ว่ากายมนุษย์
คําว่า พากจากชีวิต ได้แก่ ตัดทําลายชีวิตินทรีย์ ตัดความสืบตํ่
คําว่า แสวงหาศัสตราอันจะพากกายมนุษย์นัน ้ ได้แก่ แสงหาดาบ หอก แหลม หลาว
ค้อน หิน มีด ยาพิษ หลืเชือก
คําว่า ก่าวพัณนาคุณความตาย ได้แก่ สะแดงโทษในความมีชีวิตญู่ พัณนาคุณความตาย

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 126 / 126 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

คําว่า ชักชวนเพื่อให้ตาย คื ชักชวนให้นํามีดมา ให้กินยาพิษหลืให้เอฺาเชือกผูกคํ


ตาย
คําว่า ท่านผู้จะเรีน เปันคําฮ้องฮ฽ก
คําว่า จะมีชีวิตญ่างลําบากยากเข็นนี้ไปเฮัดหยัง ท่านตายเสั฽ดีกว่า นันมี ้ อธิบายว่า ชีวิต
ที่ชื่ว่ายากแค้น คื ทຽบชีวิตของคฺนมั่งคั่ง ชีวิตของคฺนขัดสฺนกํช่ ืว่ายากแค้น ทຽบชีวิต
ของคฺนมีชัพย์ ชีวิตของคฺนบํ่มีชัพย์กํช่ ว่
ื ายากแค้น ทຽบชีวิตของพวกเทวดา ชีวิตของ
มนุษย์ทังหลายกํช่ ืว่ายากแค้น
ที่ชื่ว่า ชีวิตลําบาก ได้แก่ ชีวิตคฺนมืขาด ตีนขาด ทังมืและตีนขาด หูแหว่ง ดังวิ่น ทัง
หูแหว่งและดังวิ่น มีชว ี ิตญู่ญ่างยากเข็นเชั่นนี้ไปเฮัดหยัง ตายเสั฽ดีกว่าญู่
คําว่า มีจิตใจญ่างนี้ ได้แก่ จิตคืใจ ใจคืจิต
คําว่า มีดําริในใจญ่างนี้ คื มีความหมันหมายจะให้
้ ตาย มีเจตจํานฺงจะให้ตาย มีความ
ปะสฺงค์จะให้ตาย
คําว่า โดยปะการต่างๆ คื โดยอาการสูงตํ่า
คําว่า ก่าวพัณนาคุณความตาย ได้แก่ สะแดงโทษของชีวิต พัณนาคุณความตายว่า
หลังจากตายแล้ว ท่านจักไปบังเกีดในสุคติโลกสวันค์ จักเอิบอิ่มพั่งพ้อมด้วยกามคุณ
๕ อันเปันทิพย์ในที่นัน

คําว่า ชักชวนเพื่อความตาย คื ชักชวนให้นํามีดมา ให้กินยาพิษ ให้ใช้เชือกผูกคํตาย
ให้โดด ลฺงบํ่ ลฺงเหว หลืท่ ผาชั
ี น
คําว่า แม่นภิกษุน้ี พระผู้มีพระภาค ตรัสทຽบค฽งกับภิกษุ ๒ ฮูบทําอิด
คําว่า เปันปาราชิก อธิบายว่า ภิกษุผู้จฺงใจพากกายมนุษย์เสั฽จากชีวิต ย่อมบํ่เปัน
สมณะบํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ป฽บเหมือนแผ่นศิลาหนาแตกออกเปัน ๒ ป่ ฽ง จะ
ประสานให้สนิทเปันเนื้อด฽วกันอีกบํ่ได้ ดั่งนันพระผู
้ ้มีพระภาคจึ่งตรัสว่าเปันปาราชิก
คําว่า หาสังวาสบํ่ได้ อธิบายว่า ที่ชื่ว่า สังวาส ได้แก่ กัมที่ทําฮ่วมกัน อุทเทสที่สวด
ฮ่วมกัน ความมีสิกขาสเมีกัน นี้ชื่ว่าสังวาส สังวาสนันบํ
้ ่ มีกับภิกษุฮูบนัน
้ ด้วยเหตุนน
ั้
พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสว่า หาสังวาสบํ่ได้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 127 / 127

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๓ บฺทภาชนีย์


บฺทภาชนีย์
มาติกา

[๑๗๓] ทําเอง ญืนญู่ใก้ สั่งทูต สั่งทูตตํ่ ทูตบํ่สามาด ทูตไปแล้วกับมา ที่บํ่ลับสําคันว่า


ที่ลับ ที่ลับสําคันว่าที่บํ่ลับ ที่บํ่ลับสําคันว่าที่บํ่ลับ ที่ลับสําคันว่าที่ลับ พัณนาด้วยกาย พัณ
นาด้วยวาจา พัณนาด้วยกายและวาจา พัณนาด้วยทูต พัณนาด้วยหนังสื หลุมพาง ที่เพิ่ง

การลอบวาง เภสัช การนําฮูบเขฺาไปใก้ ้
การนําสຽงเขฺาไปใก้ การนํากิ่นเขฺาไปใก้
้ การ

นํารฺสเขฺาไปใก้ ้
การนําโผฏฐัพพะเขฺาไปใก้ ้
การนําธัมมารฺมณ์เขฺาไปใก้ การบอก การ
แนะนํา การนัดหมาย การทํานิมิต

ทําเอง

[๑๗๔] คําว่า ทําเอง คื ลฺงมืข้าเองด้วยกาย ด้วยเคื่องปะหารที่เนื่องด้วยกาย หลื


ด้วยเคื่องปะหารที่ต้องซัดไป

ญืนญู่ใก้

คําว่า ญืนญู่ใก้ คื ยืนสั่งญู่ท่ ใก้


ี ๆ ว่า “จฺ่งแทงญ่างนี้ จฺ่งปะหารญ่างนี้ จฺ่งข้าญ่างนี้”

สั่งทูต

ั กษุว่า “ท่านจฺ่งข้าผู้ช่ นี
ภิกษุส่ งภิ ื ้” ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งสําคันผู้นนว่
ั ้ าเปันผู้นน
ั้
จึ่งข้าผู้นนตาย
ั้ ต้องอาบัติปาราชิกทัง ๒ ฮูบ
ั กษุว่า “ท่านจฺ่งข้าผู้ช่ นี
ภิกษุส่ งภิ ื ้” ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งสําคันผู้นนว่
ั ้ าเปันผู้นน
ั้
แต่ข้าผู้อ่ นตาย
ื ู้ ่ งบํ
ภิกษุผส ั ่ ต้องอาบัติ ภิกษุผขู้ ้าต้องอาบัติปาราชิก
ั กษุว่า “ท่านจฺ่งข้าผู้ช่ นี
ภิกษุส่ งภิ ื ้” ต้องอาบัตท ั ้ าเปันผู้อ่ น
ิ ุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งสําคันผู้นนว่ ื
ั ้ ต้องอาบัตป
แต่ข้าผู้นน ิ าราชิกทัง ๒ ฮูบ
ั กษุว่า “ท่านจฺ่งข้าผู้ช่ นี
ภิกษุส่ งภิ ื ้” ต้องอาบัตท ั ้ าเปันผู้อ่ น
ิ ุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งสําคันผู้นนว่ ื
และข้าผู้อ่ น
ื ภิกษุผู้ส่ งบํ
ั ่ ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ข้าต้องอาบัติปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 128 / 128 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุ (ผู้เปันอาจารย์) สั่งภิกษุ (ชื่ว่าพุทธฮักขิต) ว่า “ท่านจฺ่งบอกภิกษุช่ ื (ธัมมฮักขิต)


นี้ว่า จฺ่ง บอกภิกษุช่ ื (สังฆฮักขิต) นี้ว่า ภิกษุช่ นี
ื ้จฺ่งข้าบุคคฺลนี้” ดั่งนี้ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุผู้ฮับคําสั่งไปบอกภิกษุอีกฮูบนึ่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ข้า ฮับคําสั่ง ภิกษุผู้ส่ งคั
ั ง้
้ าเรัจ ต้องอาบัติปาราชิกทุกฮูบ
ทําอิด ต้องอาบัติถุลลัจจัย ภิกษุผู้ข้าข้าบุคคฺลนันสํ
ภิกษุ(ผู้เปันอาจารย์)สั่งภิกษุ(ชื่พุทธฮักขิต)ว่า “ท่านจฺ่งบอกภิกษุช่ (ธัื มมฮักขิต)นี้ว่า จฺ่งบ
อกภิกษุช่ ื(สังฆฮักขิต)นี้ว่า ‘จฺ่งข้าบุคคฺลนี้” ดั่งนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งไป
บอกภิกษุฮูบอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ ผู้ข้าฮับคําสั่ง ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ข้าข้าบุคคฺลนัน ้
สําเรัจ ภิกษุผู้ส่ งคั ้ าอิดบํ่ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ส่ งตํ
ั งทํ ั ่ และภิกษุผู้ข้า ต้องอาบัติปาราชิก

ทูตบํ่สามาด

ั กษุว่า “จฺ่งข้าบุคคฺลชื่นี้” ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งไปแล้ว กับมาบอก


ภิกษุส่ งภิ
ั้
ว่า “ผู้ข้าบํ่สามาดข้าผู้นนได้ ั ่ งสั่งอีกว่า “จฺ่งข้าผู้นนในเวลาที
” ผู้ส่ งจึ ั้ ่ ท่านสามาดจะข้าได้”
ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุผู้ฮับคําสั่งข้าบุคคฺลนันสํ
้ าเรัจ ต้องอาบัติปาราชิกทัง ๒ ฮูบ

ทูตไปแล้วกับมา

ั กษุว่า “จฺ่งข้าบุคคฺลชื่นี้” ต้องอาบัติทุกกฏ ท่านสั่งแล้วเกีดความเดือดฮ้อนใจ


ภิกษุส่ งภิ
แต่บ่ ได้
ํ ก่าวให้ผู้ฮับคําสั่งได้ยินว่า “ญ่าข้า” ภิกษุผู้ฮับคําสั่งข้าบุคคฺลนันสํ
้ าเรัจ ต้อง
อาบัติปาราชิกทัง ๒ ฮูบ
ั กษุว่า “จฺ่งข้าบุคคฺลชื่นี้” ต้องอาบัติทุกกฏ ท่านสั่งแล้วเกีดความเดือดฮ้อนใจ
ภิกษุส่ งภิ
จึ่งก่าวให้ผู้ฮับคําสั่งได้ยินว่า “ญ่าข้า” แต่ภิกษุผู้ฮับคําสั่งก่าวว่า “ท่านสั่งขะน้อยแล้ว”
ข้าบุคคฺลนัน้ ภิกษุผู้ส่ งบํ
ั ่ ต้องอาบัติ ภิกษุผู้ข้า ต้องอาบัติปาราชิก
ั กษุว่า “จฺ่งข้าบุคคฺลชื่นี้” ต้องอาบัติทุกกฏ ท่านสั่งแล้วเกีดความเดือดฮ้อนใจ
ภิกษุส่ งภิ
จึ่งก่าวให้ผู้ฮับคําสั่งได้ยินว่า “ญ่าข้า” ภิกษุผู้ฮับคําสั่งนันฮั
้ บว่า “ดีละ” จึ่งงฺดเวัน
้ บํ่ต้อง
อาบัติทัง ๒ ฮูบ

ที่บํ่ลับ สําคันว่าที่ลับ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 129 / 129

[๑๗๕] ที่บํ่ลับ ภิกษุสําคันว่าที่ลับ ก่าวขึนว่


้ า “เฮัดญ่างใด บุคคฺลชื่นี้จะถืกข้า” ต้อง
อาบัติทุกกฏ

ที่ลับ สําคันว่าที่บํ่ลับ

ที่ลับ ภิกษุสําคันว่าที่บํ่ลับ ก่าวขึนว่


้ า “เฮัดญ่างใด บุคคฺลชื่นี้จะถืกข้า” ต้องอาบัติทุกกฏ

ที่บํ่ลับ สําคันว่าที่บํ่ลับ

ที่บํ่ลับ ภิกษุสําคันว่าที่บํ่ลับ ก่าวขึนว่


้ า “เฮัดญ่างใด บุคคฺลชื่นี้จะถืกข้า” ต้องอาบัติทุก
กฏ

ที่ลับ สําคันว่าที่ลับ

ที่ลับ ภิกษุสําคันว่าที่ลับ ก่าวขึนว่


้ า “เฮัดญ่างใด บุคคฺลชื่นี้จะถืกข้า” ต้องอาบัติทุกกฏ

พัณนาด้วยกาย

ที่ชื่ว่า พัณนาด้วยกาย ได้แก่ ภิกษุสะแดงอาการต่างๆ ด้วยกายเปันเหตุให้ฮว ู้ ่า “ผู้ใด


ตายญ่างนี้ ผู้นนจะได้
ั้ ฺ หลืได้ไปสวันค์” ต้องอาบัติทุกกฏ มีผู้ใดผู้น่ งคิ
ชัพย์ ได้ยศ ึ ดจะ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้อง
ตายแล้วเฮัดให้เกีดทุกขเวทนาตามการพัณนานัน
อาบัติปาราชิก

พัณนาด้วยวาจา

ที่ชื่ว่า พัณนาด้วยวาจา ได้แก่ ภิกษุก่าวด้วยวาจาว่า “ผู้ใดตายญ่างนี้ ผู้นนจะได้


ั้ ชัพย์
ได้ยศ ฺ หลืได้ไปสวันค์” ต้องอาบัติทุกกฏ มีผู้ใดผู้น่ งคิ
ึ ดจะตาย แล้วเฮัดให้เกีด
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก
ทุกขเวทนาตามการพัณนานัน

พัณนาด้วยกายและวาจา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 130 / 130 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ที่ชื่ว่า พัณนาด้วยกายและวาจา ได้แก่ ภิกษุสะแดงอาการต่างๆ ด้วยกายและก่าวด้วย


วาจาว่า “ผู้ใดตายญ่างนี้ ผู้นนจะได้
ั้ ชัพย์ ได้ยฮศ หลืได้ไปสวันค์” ต้องอาบัติทุกกฏ มี
ผู้ใดผู้น่ งคิ ้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ึ ดจะตายหลืเฮัดให้เกีดทุกขเวทนาตามการพัณนานัน
เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก

พัณนาด้วยทูต

ที่ชื่ว่า พัณนาด้วยทูต ได้แก่ ภิกษุส่ งทู


ั ตว่า “ผู้ใดตายญ่างนี้ ผู้นนจะได้
ั้ ชัพย์ ได้ยฺศ หลื
ได้ไป สวันค์” ต้องอาบัติทุกกฏ มีผู้ใดผู้น่ งฟั
ึ งสาส์นของทูตแล้ว
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตายต้อง
คิดจะตาย เฮัดให้เกีดทุกขเวทนาตามการพัณนานัน
อาบัติปาราชิก

พัณนาด้วยหนังสื

[๑๗๖] ที่ชื่ว่า พัณนาด้วยหนังสื ได้แก่ ภิกษุข฽นหนังสืว่า “ผู้ใดตายญ่างนี้ ผู้นนจะได้


ั้
ชัพย์ ได้ ยฺศ หลืได้ไปสวันค์” ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกตฺวอักษรผู้ใดผู้น่ งเหั
ึ นหนังสืคิด
จะตายแล้วเฮัดให้เกีดทุกขเวทนา ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก

หลุมพาง

ที่ชื่ว่า หลุมพาง ได้แก่ ภิกษุขุดหลุมพางไว้เจาะจฺงมนุษย์ว่า “บุคคฺลชื่นี้ จะตฺกลฺงไป


ตาย” ต้องอาบัติทุกกฏ เมื่อบุคคฺลชื่นันตฺ
้ กลฺงไปได้ฮับทุกขเวทนา ต้องอาบัติถุลลัจจัย
เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุขุดหลุมพางไว้บ่ เจาะจฺ
ํ งด้วยคิดว่า “ใผกํได้จะตฺกลฺงไปตาย” ต้องอาบัติทุกกฏ
มนุษย์ตฺกลฺงไปในหลุมนัน ้ ภิกษุผู้ขุดต้องอาบัติทุกกฏ เมื่อมนุษย์ตฺกลฺง ไปแล้วได้ฮับ
ทุกขเวทนา ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก

ยักษ์ เผด หลืสัตว์เดั฽ระสานมีกายเปันมนุษย์ ตฺกลฺงไปในหลุมนัน ้ ต้องอาบัติทุกกฏ


เมื่อตฺกลฺงไปแล้วได้ฮับทุกขเวทนา ต้องอาบัติทุกกฏ ยักษ์เปันตฺนนั ้
้ นตาย ต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 131 / 131

้ ต้องอาบัติทุกกฏ เมื่อตฺกลฺงไปแล้วได้
ถุ ลลัจจัย สัตว์เดั฽ระสาน ตฺกลฺงไปในหลุมนัน
ฮับทุกขเวทนา ต้องอาบัติทุกกฏ สัตว์เดั฽ระสานตาย ต้องอาบัติปาจิตตีย์

ที่เพิ่ง

[๑๗๗] ที่ชื่ว่า ที่เพิ่ง ได้แก่ ภิกษุวางศัสตราไว้ในที่เพิ่ง หลืทาญาพิษ เฮัดให้เป่ เพ


หลืวางไว้ท่ แคมส้
ี าง เหวหลืท่ ลาดชั
ี นด้วยหมายใจว่า จะมีผู้ตฺกลฺงไปตายด้วยวิทีน้ี
ต้องอาบัติทุกกฏ มีผู้ได้ฮับทุกขเวทนา เพาะต้องศัสตรา ถืกยาพิษหลืตฺกลฺงไป ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก

การลอบวาง

ที่ชื่ว่า การลอบวาง ได้แก่ ภิกษุวางดาบ หอก ฉมวก หลาว ไม้ค้อน หิน มีด ยาพิษ

หลืเชือกไว้ใก้ๆ ด้วยตังใจว่ า จะมีผู้ตายด้วยของสิ่งนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ มีผู้คิดว่า
เฮฺาจะตาย แล้วยังทุกขเวทนาให้เกีดด้วยสิ่งของนัน
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตายต้อง
อาบัติปาราชิก

เภสัช

ที่ชื่ว่า เภสัช ได้แก่ ภิกษุให้เนียใส เนียข้น ้ ง้ หลืนาอ้


้ น นําเผิ
ุ นํามั ้
ํ ้ อย ด้วยตังใจว่ า
เขฺากินเภสัชนี้แล้วจะตาย ต้องอาบัติทุกกฏ เมื่อเขฺากินเภสัชนันแล้
้ วได้ฮับทุกขเวทนา
ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก


การนําฮูบเขฺาไปใก้

[๑๗๘] ที่ชื่ว่า นําฮูบเขฺาไปใก้


้ ได้แก่ ภิกษุนําฮูบที่บํ่หน้าพํใจ หน้าญ้าน หน้าหวาดส฽ว

เขฺาไปใก้ ้
ด้วยตังใจว่ า เขฺาเหันฮูบนี้แล้วจะตฺกใจตาย ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาเหันฮูบนัน ้
แล้วตฺกใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 132 / 132 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุนําฮูบที่หน้าพํใจ หน้าฮัก หน้าจับใจเขฺาไปใก้


้ ้
ด้วยตังใจว่ า เขฺาเหันฮูบนี้แล้วจะ
จ่อยผอมตายไป เพาะบํ่ได้(ฮูบนัน)้ ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาเหันฮูบนันแล้
้ วจ่อยผอม
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก
เพาะบํ่ได้(ฮูบนัน)


การนําสຽงเขฺาไปใก้

ที่ชื่ว่า นําสຽงเขฺาไปใก้
้ ได้แก่ ภิกษุนําสຽงที่บํ่หน้าพํใจ หน้าญ้าน หน้าหวาดส฽วเขฺา้

ไปใก้ ด้วยตังใจว่ า เขฺาฟั งสຽงนี้แล้วจะตฺกใจตาย ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาได้ยินสຽงนัน ้
แล้วตฺกใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุนําสຽงที่หน้าพํใจ ม่วนจับใจ เขฺาไปใก้
้ ้
ด้วยตังใจว่ า เขฺาฟั งสຽงนี้แล้วจะจ่อย
ผอมตายไป เพาะบํ่ได้(สຽงนัน)้ ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาเหันฮูบนันแล้
้ วจ่อยผอมเพาะบํ่ได้
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก
(สຽงนัน)

การนํากิ่นเขฺาไปใก้

ที่ชื่ว่า นํากิ่นเขฺาไปใก้
้ ได้แก่ ภิกษุนํากิ่นที่บํ่หน้าชอบใจ หน้าก฽ดชัง หน้าปุ้นท้อง

เขฺาไปใก้ ้
ด้วยตังใจว่ า เขฺาสูดกิ่นนี้แล้วจะตายไป เพาะก฽ดชัง เพาะปุ้นท้อง ต้องอาบัติ
ทุกกฏ เขฺาสูดกิ่นแล้วเกีดทุกขเวทนาเพาะก฽ดชัง เพาะปุ้นท้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุนํากิ่นที่หน้าพํใจ เขฺาไปใก้
้ ้
ด้วยตังใจว่ า เขฺาสูดกิ่นนี้แล้ว จะจ่อยผอมตายไป
เพาะบํ่ได้(กิ่นนัน)
้ ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาเหันฮูบนันแล้
้ วจ่อยผอมเพาะบํ่ได้(กิ่นนัน)
้ ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก


การนํารฺสเขฺาไปใก้

ที่ชื่ว่า การนํารฺสเขฺาไปใก้
้ ได้แก่ ภิกษุนํารฺสที่บํ่หน้าชอบใจ หน้าก฽ดชัง หน้าสะอิด

สะอ฽น เขฺาไปใก้ ้
ด้วยตังใจว่ ้ สนี้แล้วจะตาย เพาะก฽ดชัง เพาะสะอิดสะอ฽น
า เขฺาลิมรฺ
ต้องอาบัติทุกกฏ เมื่อเขฺาได้ลมรฺ
ิ้ สนันแล้
้ ว ยังทุกขเวทนาให้เกีดเพาะก฽ดชัง เพาะสะ
อิดสะอ฽น ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 133 / 133

ภิกษุนํารฺสที่หน้าชอบใจเขฺาไปใก้
้ ้
ด้วยตังใจว่ ้ สนี้แล้วจะจ่อยผอมตาย
า เขฺาลิมรฺ
้ ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาเหันฮูบนันแล้
เพาะบํ่ได้(รฺสนัน) ้ ้ ต้อง
วจ่อยผอมเพาะบํ่ได้(รฺสนัน)
อาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก


การนําโผฏฐัพพะเขฺาไปใก้

ที่ชื่ว่า การนําโผฏฐัพพะเขฺาไปใก้
้ ได้แก่ ภิกษุนําโผฏฐัพพะที่บํ่หน้าพํใจ มีสัมผัสบํ่

สะบายและแขง กะด้างเขฺาไปใก้ ้
ด้วยตังใจว่ า เขฺาถืกต้องสิ่งนี้แล้วจะตาย ต้องอาบัติ
ทุกกฏ เมื่อเขฺาถืกต้องสิ่งนันแล้
้ วเกีดทุกขเวทนา ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้อง
อาบัติปาราชิก
ภิกษุนําโผฏฐัพพะที่หน้าพํใจ มีสัมผัสสะบาย อ่อนนุ่ม เขฺาไปใก้
้ ้
ด้วยตังใจว่ า เขฺาถื
กต้องสิ่งนี้แล้ว จะจ่อยผอมตายเพาะบํ่ได้(โผฏฐัพพะนัน)
้ ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาถืกสิ่ง

นันแล้ ้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติ
ว จ่อยผอมเพาะบํ่ได้(โผฏฐัพพะนัน)
ปาราชิก


การนําธัมมารฺมณ์เขฺาไปใก้

ที่ชื่ว่า การนําธัมมารฺมณ์เขฺาไปใก้
้ ได้แก่ ภิกษุสะแดงเรื้องนรฺกแก่คฺนผู้ควรจะเกีดใน

นรฺกด้วยตังใจว่ า เขฺาฟั งเรื้องนรฺกนี้แล้ว จะตฺกใจตาย ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาฟั งเรื้อง

นันแล้ ว ตฺกใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก
ภิกษุสะแดงเรื้องสวันค์แก่บุคคฺลผู้กะทําความดี ด้วยตังใจว่
้ า เขฺาฟั งเรื้องนี้แล้ว จะ
สมัครใจตาย ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาฟั งเรื้องนันแล้
้ ว คิดว่า เฮฺาจะยอมตายละ แล้วทํา
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก
ทุกขเวทนาให้เกีดขึน

การบอก

[๑๗๙] ที่ชื่ว่า การบอก ได้แก่ ภิกษุถืกถามแล้วบอกว่า “ท่านจฺ่งตายญ่างนี้ ผู้ตายญ่างนี้


จะได้ชัพย์ ได้ยฺศ หลืได้ไปสวันค์” ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาคิดว่า จะตาย แล้วยัง
ทุกขเวทนาให้เกีดตามการบอกนัน ้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 134 / 134 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

การแนะนํา

ที่ชื่ว่า การแนะนํา ได้แก่ ภิกษุท่ ีเขฺาบํ่ได้ถามแต่แนะนําให้เขฺาตายว่า “ท่านจฺ่งตายญ่างนี้


ผู้ตายญ่างนี้จะได้ชัพย์ ได้ยฺศ หลืได้ไปสวันค์” ต้องอาบัติทุกกฏ เขฺาคิดว่า “จะตาย”
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เขฺาตาย ต้องอาบัติ
แล้วยังทุกขเวทนาให้เกีดตามการแนะนํานัน
ปาราชิก

การนัดหมาย

ที่ชื่ว่า การนัดหมาย ได้แก่ ภิกษุทําการนัดหมายว่า “จฺ่งข้าเขฺา ตามเวลานัดหมายนัน



คื ในเวลาก่อนอาหาร หลืในเวลาหลังอาหาร ในเวลากางคืน หลืในเวลากางเวัน”
ต้องอาบัติทุกกฏ ผู้ฮับคําสั่งข้าเขฺาสําเรัจตามเวลานัดหมายนัน
้ ต้องอาบัติปาราชิกทัง ๒
้ ผู้นัดหมายบํ่ต้องอาบัติ ผู้ข้าต้องอาบัติ
ฮูบ ข้าเขฺาได้ก่อนหลืหลังเวลานัดหมายนัน
ปาราชิก

การทํานิมิต

ที่ชื่ว่า การทํานิมิต ได้แก่ ภิกษุทํานิมิตว่า “เฮฺาจักขยิบตา ยักคิว


้ หลืงึกสีษะ ท่านจฺ่ง
ข้าเขฺาตามที่เฮฺาทํานิมต ้ ต้องอาบัติทุกกฏ ผู้ฮับสัญญาณะ ข้าเขฺาสําเรัจตามนิมิตนัน
ิ นัน” ้
ต้องอาบัติปาราชิกทัง ๒ ฮูบ ข้าเขฺาได้ก่อนหลืหลังการทํานิมิต ผู้ทํานิมิตบํ่ต้องอาบัติ
ผู้ข้าต้องอาบัติปาราชิก

อนาปัตติวาร

ภิกษุต่ ไปนี
ํ ้บํ่ต้องอาบัติ คื
๑. ภิกษุบ่ จฺ
ํ งใจ
๒. ภิกษุบ่ ฮู
ํ ้
๓. ภิกษุบ่ มี
ํ ความปะสฺงค์จะข้า
๔. ภิกษุวิกฺลจิต
๕. ภิกษุมีจิตปั่นป่ วง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 135 / 135

๖. ภิกษุกะวฺนกะวายเพาะเวทนา
ฺ้ นญัต
๗. ภิกษุตนบั
ปฐมภาณวาร ในมนุสสวิคคหปาราชิก จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๓ คาถาฮวมวินีต


วัตถุ
คาถาฮวมวินีตวัตถุ
เรื้องที่ชฺงวินิจฉัยแล้ว

เรื้องพัณนาคุณความตาย ๑ เรื้อง ๧เรื้องนั่ง ๑ เรื้อง ๧เรื้องสาก ๑ เรื้อง ๧เรื้องไม้


สําลับทําคฺก ๑ เรื้อง ๧เรื้องพระขรฺวตา ๓ เรื้อง ๧เรื้องชี้นติดคํ ๓ เรื้อง ๧เรื้องยา
พิษ ๒ เรื้อง ๧เรื้องตຽมพื้นที่ส้างวิหาร ๓ เรื้อง ๧เรื้องอิด ๓ เรื้อง ๧เรื้องมีด ๓
เรื้อง ๧เรื้องไม้กอน ๓ เรื้อง ๧เรื้องนั่งฮ้าน ๓ เรื้อง ๧เรื้องให้ลฺงจากหลังคา ๓
เรื้อง ๧เรื้องโตนหน้าผา ๒ เรื้อง ๧เรื้องอบตฺว ๓ เรื้อง ๧เรื้องนัตถุ ์ยา ๓ เรื้อง ๧
เรื้องนวด ๓ เรื้อง ๧เรื้องให้อาบนํา้ ๓ เรื้อง ๧เรื้องให้ทานํามั
้ น ๓ เรื้อง ๧เรื้อง
้ ๓ เรื้อง ๧เรื้องเฮัดให้ลม
ให้ลุกขึน ฺ้ ๓ เรื้อง ๧เรื้องให้ตายด้วยเขฺา้ ๓ เรื้อง ๧
เรื้องให้ตายด้วยนําฉั
้ น ๓ เรื้อง ๧เรื้องยิงมีคันภ์กับชายชู ้ ๑ เรื้อง ๧เรื้องยิงฮ่วมสา
มี ๒ เรื้อง ๧เรื้องนาบคันภ์ให้ฮ้อน ๑ เรื้อง ๧เรื้องข้ามารดาและบุตรทัง ๒ คฺนตาย
๑ เรื้อง ๧เรื้องข้ามารดาและบุตรทัง ๒ คฺนบํ่ตาย ๑ เรื้อง ๧เรื้องให้รีด ๑ เรื้อง ๧
เรื้องยิงหมัน ๑ เรื้อง ๧เรื้องยิงบํ่เปันหมัน ๑ เรื้อง ๧เรื้องจี้ ๑ เรื้อง ๧เรื้องทับ
๑ เรื้อง ๧เรื้องข้ายักษ์ ๑ เรื้อง ๧เรื้องสฺ่งไปสู่ท่ มี
ี สัตว์ฮ้ายและยักษ์ดุ ๙ เรื้อง ๧
เรื้องสําคันว่าใช่ ๔ เรื้อง ๧เรื้องปะหาร ๓ เรื้อง ๧เรื้องพัณนาสวันค์ ๓ เรื้อง ๧
เรื้องพัณนานรฺก ๓ เรื้อง ๧เรื้องตฺนไม้
้ ท่ เมื
ี องอาฬวี ๓ เรื้อง ๧เรื้องเผฺาป่ า ๓ เรื้อง
๧เรื้องบํ่ให้ลาํ บาก ๑ เรื้อง ๧เรื้องบํ่ทําตามท่าน ๑ เรื้อง ๧เรื้องให้ด่ มปຽง
ื ๑ เรื้อง
๧เรื้องให้ด่ มญาโลณโสวี
ื รกะ ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 136 / 136 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เรื้องพัณนาคุณความตาย ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายได้พัณนาคุณแห่งความตายให้ท่านฟั ง
[๑๘๐] สมัยนัน
ด้วยความสฺงสาร ท่านเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺา
ต้องอาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑)

เรื้องนั่ง ๑ เรื้อง

้ ภิกษุผู้ท฽วบิณฑบาตเปันวัตรฮูบนึ่ง นั่งทับเด็กชายที่เขฺาใช้ผ้าเกฺ่าคุมไว้เทิงตั่ง
สมัยนัน

เฮัดให้เด็กนันตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก
อีกญ่างนึ่ง ภิกษุทังหลาย ภิกษุยังบํ่ได้พิจารณาแล้วบํ่เพิงนั่งเทิงอาสนะ ภิกษุใดนั่ง
ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๒)

เรื้องสาก ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งปูลาดอาสนะที่โฮงอาหารในละแวกบ้าน ได้หยิบสากอันนึ่งในสากที่


เขฺาพิงกันไว้ สากอันที่สองลฺมฟาดสี
้ ษะเด็กชายคฺนนึ่งตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่ จฺงใจ พระพุทธเจฺาข้
้ า”
“ภิกษุ ท่านบํ่จฺงใจ บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๓)

เรื้องไม้สําลับทําคฺก ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งปูลาดอาสนะที่โฮงอาหารในละแวกบ้าน ญຽบขอนไม้ท่ เขฺ


สมัยนัน ี านํามาทําคฺ

กกิงไปทั บเด็กชายคฺนนึ่งเถิงตาย แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่ จฺงใจ พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่จฺงใจ
บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๔)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 137 / 137

เรื้องพระขรฺวตา ๓ เรื้อง

้ บิดาและบุตรบวชในสํานักภิกษุ มื้นึ่งเมื่อเขฺาบอกเวลาอาหารภิกษุผู้เปันบุตร
สมัยนัน
ได้ก่าวกับภิกษุผู้เปันบิดาว่า “นิมฺนต์ไปเถีด พระสฺงฆ์กําลังคอยท่านญู”่ แล้วจับหลังยู้
้ งเถิงแก่มร
ไปจฺนภิกษุผู้เปันบิดา ลฺมลฺ ํ ณภาพ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่ มี
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัติ”
ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
(เรื้องที ๕)

้ บิดาและบุตรบวชในสํานักภิกษุ มื้นึ่งเมื่อเขฺาบอกเวลาอาหารภิกษุผู้เปันบุตร
สมัยนัน
ได้ก่าวกับภิกษุผู้เปันบิดาว่า “นิมฺนต์ไปเถีด พระสฺงฆ์กําลังลํถ้าท่านญู”่ มีความปะสฺงค์จะ
ข้าจึ่งจับหลังยูไ ้ ง เถิงแก่มํรณภาพ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
้ ป ภิกษุผู้เปันบิดาลฺมลฺ
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า
พระพุทธเจฺามี้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๖)

้ บิดาและบุตรบวชในสํานักภิกษุ มื้นึ่งเมื่อเขฺาบอกเวลาอาหาร ภิกษุผเู้ ปันบุตร


สมัยนัน
ได้ก่าวกับภิกษุผู้เปันบิดาว่า “นิมฺนต์ไปเถีด พระสฺงฆ์กําลังลํถ้าท่านญู”่ มีความปะสฺงค์จะ
ข้าจึ่งจับหลังยูไ ้ งแต่บ่ เถิ
้ ป ภิกษุผู้เปันบิดาลฺมลฺ ํ งมํรณภาพ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด”
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
“ข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก
แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๗)

เรื้องชี้นติดคํ ๓ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 138 / 138 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๑๘๑] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังฉันอาหาร ชี้นติดคํ เพื่อนอีกฮูบนึ่งได้ทุบที่คํของภิกษุ


้ ชี้นได้หลุดออกมาพ้อมกับโลหิต ท่านเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ทุบเกีดความ
ฮูบนัน
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่ มีความปะสฺงค์จะ
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะ สฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๘)
ข้า พระพุทธเจฺาข้

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังฉันอาหาร ชี้นติดคํ ภิกษุอีกฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งได้ทุบ


ที่คํ ชี้น หลุดออกมาพ้อมกับโลหิต ท่านเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ทุบเกีดความกังวฺล
ใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
พุทธเจฺาข้
ปาราชิก” (เรื้องที ๙)

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังฉันอาหาร ชี้นติดคํ ภิกษุอีกฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งได้ทุบ


ที่คํ ชี้น หลุดออกมาพ้อมกับโลหิต แต่ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ทุบเกีดความ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี้ ความปะสฺงค์จะข้า
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๐)
พระพุทธเจฺาข้

เรื้องยาพิษ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุผู้ท฽วบิณฑบาตเปันวัตรฮูบนึ่งได้อาหารบิณฑบาตที่เจือปฺนยาพิษมาแล้วนํา
สมัยนัน
กับไปถวายแก่ภิกษุทังหลายให้ฉันก่อน ภิกษุเหลฺ่านันเถิ
้ ้
งแก่มํรณภาพ ภิกษุเจฺาของ
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระ
บิณฑบาตเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระ อฺงค์ ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ
้ ่ ฮู้ พระพุทธเจฺาข้
เจฺาบํ ้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ฮูบ ํ องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๑)
้ ่ ต้

้ ภิกษุฮูบนึ่งต้องการทฺดลองจึ่งให้ยาพิษแก่ภิกษุอีกฮูบนึ่งฉัน ท่านเถิงแก่มํรณ
สมัยนัน
ภาพ ภิกษุผู้ทฺดลองยาพิษเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 139 / 139

นี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุท่านคิดญ่างใด” “ข้า


้ ความปะสฺงค์จะทฺดลอง พระพุทธเจฺาข้
พระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก
แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๒)

เรื้องตຽมพื้นที่ส้างวิหาร ๓ เรื้อง

[๑๘๒] สมัยนัน ้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวี กําลังตຽมพื้นที่ส้างวิหาร ภิกษุฮูบนึ่งญูข ่ ้าง



ลุ่มยฺกศิลาสฺ่งขึนไป ศิลาที่ภิกษุฮูบที่ญูข ํ พิกตฺกลฺง ทับสีษะภิกษุฮูบที่ญู่
่ ้างเทิงฮับไว้บ่ ดี
ข้างลุ่มจฺนเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ญูข่ ้างเทิงเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
้ ่ จฺงใจ พระพุทธเจฺาข้
“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุท่านบํ่จฺงใจ บํ่
ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๓)

สมัยนัน ้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีกําลังตຽมพื้นที่ส้างวิหาร ภิกษุฮูบนึ่งญูข ่ ้างลุ่มยฺก



ศิลาสฺ่งขึนไป ภิกษุฮูบที่ญู่ข้างเทิงมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งป่ อยศิลาลฺงใส่สีษะภิกษุฮูบที่ญู่
ข้างลุ่มจฺนเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ป่ อยศิลาลฺงมาเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
้ ความ
“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๔)
ปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้

สมัยนัน ้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันทําการกํ่ส้างวิหาร ภิกษุฮูบนึ่งญูข ่ ้างลุ่มยฺก



ศิลาสฺ่งขึนไป ่ ้างลุ่ม จึ่งป่ อยศิลาลฺง
ภิกษุฮูบที่ญู่ข้างเทิงมีความปะสฺงค์จะข้าภิกษุฮูบที่ญูข
ใส่สีษะ แต่ท่านบํ่เถิงมํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ญู่ข้างเทิงเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๕)

เรื้องอิด ๓ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 140 / 140 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันทําการกํ่ฝาวิหาร ภิกษุฮูบนึ่งญูข
สมัยนัน ่ ้างลุ่มสฺ่งอิด

ขึนไป อิดที่ภิกษุฮูบที่ญูข ํ พิกตฺกลฺง ทับสีษะภิกษุฮูบที่ญูข
่ ้างเทิงฮับไว้บ่ ดี ่ ้างลุ่มเถิงแก่มํ
รณภาพ ภิกษุฮูบที่ญูข ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
่ ้างเทิงเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่าง
้ า” “ภิกษุท่านบํ่จฺงใจ บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้อง
้ ่ จฺงใจ พระพุทธเจฺาข้
ใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ
ที ๑๖)

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันทําการกํ่ฝาวิหาร ภิกษุฮูบนึ่งญูข
สมัยนัน ่ ้างลุ่มสฺ่งอิด

ขึนไป ่ ้างเทิงมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งป่ อยอิดลฺงเทิงสีษะภิกษุฮูบที่ญูข
ภิกษุฮูบที่ญูข ่ ้างลุ่ม
เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ป่ อยอิดลฺงมาเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๗)

สมัยนัน ้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวี ช่วยกันทําการกํ่ส้างฝาวิหาร ภิกษุฮูบนึ่งญูข ่ ้างลุ่มสฺ่



งอิดขึนไป ่ ้างเทิงมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งป่ อยอิดลฺงเทิงสีษะของภิกษุฮูบ
ภิกษุฮูบที่ญูข
ที่ญู่ข้างลุ่ม แต่ภิกษุฮูบที่ญูข
่ ้างลุ่มบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ป่ อยอิดลฺงมาเกีดความ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่าง ใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๘)
พระพุทธเจฺาข้

เรื้องมีด ๓ เรื้อง

[๑๘๓] สมัยนัน้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันทําการกํ่ส้าง ภิกษุฮูบนึ่งญูข ่ ้างลุ่มสฺ่งมีด



ขึนไป มีดที่ภิกษุฮูบที่ญูข ํ พิกตฺกลฺงใส่สีษะภิกษุฮูบที่ญูข
่ ้างเทิงฮับไว้บ่ ดี ่ ้างลุ่มเถิงแก่มํ
รณภาพ ภิกษุฮูบที่ทําญูข่ ้างเทิงเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่าง
้ ่ จฺงใจ พระพุทธเจฺาข้
ใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่จฺงใจ บํ่ต้องอาบัติ”
(เรื้องที ๑๙)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 141 / 141

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันทําการกํ่ส้าง ภิกษุฮูบนึ่งญูข
สมัยนัน ้
่ ้างลุ่มสฺ่งมีดขึนไป
่ ้างเทิงมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งป่ อยมีดลฺงเทิงสีษะภิกษุฮูบที่ญูข
ภิกษุฮูบที่ญูข ่ ้างลุ่มเถิงแก่มํ
รณภาพ ภิกษุฮูบที่ป่ อยมีดตฺกลฺง มาเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่าน
้ ความปะ สฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
คิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ ท่านต้อง
อาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๐)

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันทําการกํ่ส้าง ภิกษุฮูบนึ่งญูข
สมัยนัน ้
่ ้างลุ่มสฺ่งมีดขึนไป
่ ้างเทิงมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งป่ อยมีดลฺงเทิงสีษะของภิกษุฮูบที่ญูข
ภิกษุฮูบที่ญูข ่ ้างลุ่ม
แต่ภิกษุฮูบที่ญู่ข้างลุ่มบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ป่ อยมีดตฺกลฺง มาเกีดความกังวฺลใจ
ว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิด
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
ญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
ปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๒๑)

เรื้องไม้กอน ๓ เรื้อง

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันทําการกํ่ส้าง ภิกษุฮูบนึ่งญูข
สมัยนัน ่ ้างลุ่ม ยฺกไม้กอน

หลังคาสฺ่งขึนไป ไม้กอนหลังคาที่ภิกษุฮูบที่ญูข
่ ้างเทิงฮับไว้บ่ ดี
ํ พิกตฺกลฺงใส่สีษะภิกษุ
ฮูบที่ญูข
่ ้างลุ่มเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ทําไม้กอนพิกตฺกลฺง มาเกีดความกังวฺลใจว่า
เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
้ ่ จฺงใจ พระพุทธเจฺาข้
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุ
ท่านบํ่จฺงใจ บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๒๒)

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันทําการกํ่ส้าง ภิกษุฮูบนึ่งญูข
สมัยนัน ่ ้างลุ่ม ยฺกไม้กอน

หลังคาสฺ่งขึนไป ่ ้างเทิงมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งป่ อยไม้กอนหลังคาลฺงเทิง
ภิกษุฮูบที่ญูข
สีษะภิกษุฮูบที่ญูข
่ ้างลุ่มเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ป่ อยไม้กอนหลังคาลฺงมาเกีดความ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 142 / 142 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ความปะสฺงค์จะข้า
งชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๓)
พระพุทธเจฺาข้

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันทําการกํ่ส้าง ภิกษุฮูบนึ่งญูข
สมัยนัน ่ ้างลุ่ม ยฺกไม้กอน

หลังคาสฺ่งขึนไป ่ ้างเทิงมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งป่ อยไม้กอนหลังคาลฺงเทิง
ภิกษุฮูบที่ญูข
สีษะภิกษุฮูบที่ญูข ํ งมํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ป่ อยไม้กอนหลังคาลฺงมาเกีดความ
่ ้างลุ่มแต่บ่ เถิ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่าน
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
คิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
้ งอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๒๔)
อาบัติปารา ชิก แต่ตอ

เรื้องนั่งฮ้าน ๓ เรื้อง

สมัยนัน้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันผูกนั่งฮ้านทําการกํ่ส้าง ภิกษุฮูบนึ่งบอกอีกฮู


บนึ่งว่า “ท่านจฺ่งยืนผูกที่บ่อนนี้” ภิกษุนนจึ
ั ้ ่ งยืนผูกที่นัน
้ ได้พิกตฺกลฺงมาเถิงแก่มํรณภาพ
ภิกษุฮูบที่บอกเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ
้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
เจฺาบํ ้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้อง
อาบัติ” (เรื้องที ๒๕)

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันผูกนั่งฮ้านทําการกํ่ส้าง ภิกษุฮูบนึ่งมีความ
สมัยนัน
ปะสฺงค์จะข้าบอกอีกฮูบนึ่งว่า “ท่านจฺ่งยืนผูกที่บ่อนนี้” ภิกษุฮูบนันจึ
้ ่ งยืนผูกที่บ่อนนัน

ได้พิกตฺกลฺงมาเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่บอกเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๖)

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีช่วยกันผูกนั่งฮ้านทําการกํ่ส้าง ภิกษุฮูบนึ่งมีความ
สมัยนัน
ปะสฺงค์จะข้าบอกอีกฮูบนึ่งว่า “ท่านจฺ่งยืนผูกที่บ่อนนี้” ภิกษุฮูบนันจึ
้ ่ งยืนผูกญูท
่ ่ บ่ ้
ี อนนัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 143 / 143

ํ งแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่บอกเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง


ได้พิกตฺกลฺงมา แต่บ่ เถิ
อาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถาม
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
ว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๒๗)

เรื้องให้ลง
ฺ จากหลังคา ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมุงหลังคาวิหารเสัดแล้วจะลฺง อีกฮูบนึ่งบอกท่านว่า “นิมฺนต์ท่านลฺง


สมัยนัน
ั ้ ่ งลฺงทางนัน
มาทางนี้” ภิกษุนนจึ ้ ได้พิกตฺกลฺงมาเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่บอกเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่ มีความ
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที
ปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
๒๘)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมุงหลังคาวิหารเสัดแล้วจะลฺง อีกฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าบอก
สมัยนัน
้ ่ งลฺงทางนันได้
ท่านว่า “นิมฺนต์ท่านลฺงมาทางนี้” ภิกษุฮูบนันจึ ้ พิกตฺกลฺง มาเถิงแก่มํรณ
ภาพ ภิกษุฮูบที่บอกเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
พระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๒๙)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมุงหลังคาวิหารเสัดแล้วจะลฺง อีกฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าบอก
สมัยนัน
้ ่ งลฺงทางนัน
ท่านว่า “นิมฺนต์ท่านลฺงมาทางนี้” ภิกษุฮูบนันจึ ้ ได้พิกตฺกลฺง มาแต่บ่ เถิ
ํ งแก่มํ
รณภาพ ภิกษุฮูบที่บอกเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า
้ ความปะสฺงค์จะข้า
พระพุทธเจฺามี
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๓๐)
พระพุทธเจฺาข้

เรื้องโตนหน้าผา ๒ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 144 / 144 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งเกีดความเบื่อหน่ายจึ่งขึนภู
สมัยนัน ้ เขฺาคิชฌกูฏแล้วโตนลฺงทางหน้าผาทับ
ช่างสานคฺน นึ่งตาย แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
พุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก อีกญ่า
งนึ่ง ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ เพิ
ํ งเฮัดให้ ตฺนเองตฺก ภิกษุใดเฮัดให้ตฺก ต้องอาบัติทุก
กฏ” (เรื้องที ๓๑)

ึ ้ เขฺาคิชฌกูฏ กิงศิ
้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ขนภู
สมัยนัน ้ ศิลาตฺกทับคฺนล้฽งโคคฺนนึ่ง
้ ลาหลิน
ตาย พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้อง
อาบัติปาราชิก อีกญ่างนึ่ง ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ ํเพิงกิงศิ
้ ลาหลิน
้ ภิกษุใดกิง้ ต้องอาบัติ
ทุกกฏ” (เรื้องที ๓๒)

เรื้องอฺบตฺว ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายจึ่งให้ท่านอฺบตฺวจฺนเถิงแก่มํรณภาพ
[๑๘๔] สมัยนัน
พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระ
้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
พุทธเจฺาบํ ้ า” “พวกท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้อง
อาบัติ” (เรื้องที ๓๓)

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งให้ท่านอฺบตฺวจฺนเถิง
สมัยนัน
แก่มํรณภาพ พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวก
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
ท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุทัง
หลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๓๔)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งให้ท่านอฺบตฺว แต่


ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 145 / 145

ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า


“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ
พุทธเจฺาข้ ้ งอาบัติถุลลัจจัย”
(เรื้องที ๓๕)

เรื้องนัตถุ ์ยา(ยัดญาเขฺาทางฮู
้ ดัง) ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งปวดสีษะ ภิกษุทังหลายจึ่งให้ท่านนัตถุ ์ยา ท่านเถิงแก่มํรณภาพ


สมัยนัน
ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่าน
้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
คิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุทังหลาย
พวกท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัต”ิ
(เรื้องที ๓๖)

้ ภิกษุฮูบนึ่งปวดสีษะ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งให้ท่านนัตถุ ์ยาจฺนเถิง


สมัยนัน
แก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวก
้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
ท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุทัง
หลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๓๗)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งปวดสีษะ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งให้ท่านนัตถุ ์ยา แต่


ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ
พุทธเจฺาข้ ้ งอาบัติถุลลัจจัย”
(เรื้องที ๓๘)

เรื้องนวด ๓ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 146 / 146 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายจึ่งช่วยกันนวดคันท่
สมัยนัน ้ าน ท่านเถิงแก่มํรณภาพ
ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
ดกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตป
พระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด”
้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
“พวกข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่
มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๓๙)

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งช่วยกันนวดคันท่
สมัยนัน ้ านจฺน
เถิงแก่มํร ณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย
พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ทังหลายพวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๔๐ )

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งช่วยกันนวดคันท่


สมัยนัน ้ าน
แต่ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ
พุทธเจฺาข้ ้ งอาบัติถุลลัจจัย”
(เรื้อง ๔๑)

เรื้องให้อาบนํา้ ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายจึ่งช่วยกันอาบนําให้
สมัยนัน ้ ท่าน ท่านเถิงแก่มํรณ
ภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่าน
้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
คิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุทังหลาย
พวกท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๔๒ )

้ ภิกษุน่ งรู
สมัยนัน ึ ปอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งช่วยกันอาบนําให้
้ ท่าน
ท่านเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 147 / 147

ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลแก่พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า


“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๔๓)
พุทธเจฺาข้

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งช่วยกันอาบนําให้


สมัยนัน ้ ท่าน
แต่ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย”
พุทธเจฺาข้
(เรื้องที ๔๔)

เรื้องให้ทานํามั
้ น ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายช่วยกันเอฺานํามั
สมัยนัน ้ นมาทาให้ท่าน ท่านเถิงแก่มํ
รณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวก
้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
ท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุทัง
หลาย พวกท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๔๕ )

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งช่วยกันเอฺานํามั
สมัยนัน ้ นมาทา
ให้ท่าน ท่านเถิงแก่มร ํ ณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่าพวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิด ญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๔๖)
พุทธเจฺาข้

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งช่วยกันเอฺานํามั
สมัยนัน ้ นมาทา
ให้ท่าน แต่ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่าพวกเฮฺาต้อง
อาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถาม
ว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาทั ้ งหลายมีความปะสฺงค์จะข้า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 148 / 148 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย”


พระพุทธเจฺาข้
(เรื้องที ๔๗)

้ ๓ เรื้อง
เรื้องให้ลุกขึน

[๑๘๕] สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายจึ่งช่วยกันโจมให้ท่านลุกขึน้ ท่าน


เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ิ าราชิกหลืบ่ ํ
ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตป
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย
พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ทังหลาย พวกท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้าบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที่๔๘)

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งช่วยกันโจมให้ท่านลุก
สมัยนัน
้ ท่านเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
ขึน ้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๔๙)
พุทธเจฺาข้

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งช่วยกันโจมให้ท่านลุก
สมัยนัน
้ แต่ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
ขึน ้ ดความกังวฺลใจว่าพวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ
พุทธเจฺาข้ ้ งอาบัติถุลลัจจัย”
(เรื้องที ๕๐)

เรื้องเฮัดให้ลม
ฺ้ ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายจึ่งช่วยกันเฮัดให้ท่านลฺมลฺ
สมัยนัน ้ ง ท่านเถิงแก่มํรณ
ภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่าน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 149 / 149

้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้าพระพุทธเจฺาข้
คิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุทังหลาย
พวกท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๕๑)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งช่วยกันเฮัดให้


้ ง ท่านเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
ท่านลฺมลฺ ้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๕๒)
พุทธเจฺาข้

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งช่วยกันเฮัดให้


้ ง แต่ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
ท่านลฺมลฺ ้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้อง
อาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถาม
ว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ
พุทธเจฺาข้ ้ งอาบัติถุลลัจจัย”
(เรื้องที ๕๓)

เรื้องให้ตายด้วยเขฺา้ ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายจึ่งช่วยกันให้ท่านฉันเขฺา้ ท่านเถิงแก่มํรณ


สมัยนัน
ภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่าน
้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
คิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุทังหลาย
พวกท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๕๔)

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งช่วยกันให้ท่านฉันเขฺา้
สมัยนัน
ท่านเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๕๕)
พุทธเจฺาข้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 150 / 150 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งช่วยกันให้ท่านฉันเขฺา้


สมัยนัน
แต่ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ
พุทธเจฺาข้ ้ งอาบัติถุลลัจจัย”
(เรื้องที ๕๖)

เรื้องให้ตายด้วยนําฉั
้ น ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายให้ท่านดื่มนํา้ ท่านเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุ


สมัยนัน
เหลฺ่านันเกี
้ ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตป
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลายพวกท่านคิดญ่างใด”
้ ่ มีความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
“พวกข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่
มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๕๗)

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งให้ท่านดื่มนํา้ ท่าน


สมัยนัน
เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุทังหลาย
พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๕๘)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งให้ท่านดื่มนํา้ แต่


ท่านบํ่เถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านคิดญ่างใด” “พวกข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะข้า พระ
้ า” “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ตอ
พุทธเจฺาข้ ้ งอาบัติถุลลัจจัย”
(เรื้องที ๕๙)

เรื้องยิงมีคันภ์กับชายชู ้ ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 151 / 151

[๑๘๖] สมัยนัน้ ยิงคฺนนึ่งเปันแม่ฮ้าง ได้มค


ี ันภ์กับชายชู ้ นางบอกภิกษุท่ นางอุ
ี ปถัมภ์ว่า

“พระคุณเจฺาโปดหายาหลุ ลูกให้ด้วยเถีด” ท่านฮับคําแล้วได้ให้ยาหลุลูกแก่ยิงนัน ้
ทารฺกเถิงแก่ความตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๖๐)

เรื้องยิงฮ่วมสามี ๒ เรื้อง

้ ชายคฺนนึ่งมีภัรยา ๒ คฺน คฺนนึ่งเปันหมัน อีกคฺนนึ่งบํ่เปันหมัน ยิงหมันบอก


สมัยนัน
ภิกษุท่ นางอุ
ี ้
ปถัมภ์ว่า “ถ้านางคฺนนันคอดบุ ตร จักได้คอบคองชัพย์สฺมบัตทังหมฺด พระ

คุณเจฺาโปดหายาหลุ ลูกให้ด้วยเถีด” ท่านฮับคําแล้ว ได้ให้ยาหลุลูกแก่ยิงที่บํ่เปันหมัน
ทารฺกเถิงแก่ความตาย แต่มารดาบํ่ตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๖๑)

้ ชายคฺนนึ่งมีภัรยา ๒ คฺน คฺนนึ่งเปันหมัน อีกคฺนนึ่งบํ่เปันหมัน ยิงหมันบอก


สมัยนัน
ภิกษุท่ นางอุ
ี ้
ปถัมภ์ว่า “ถ้านางคฺนนันคอดบุ ตรจักได้คอบคองชัพย์สฺมบัตทังหมฺด พระคุณ

เจฺาโปดหายาหลุ ั ้ บคําแล้วได้ให้ยาหลุลูกแก่ยิงที่บํ่เปันหมัน
ลูกให้ด้วยเถีด” ภิกษุนนฮั
ั้
มารดาเถิงแก่ความตายแต่ทารฺกบํ่ตาย ภิกษุนนเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๖๒)

เรื้องข้ามารดาและบุตรทัง ๒ คฺนตาย ๑ เรื้อง

้ ชายคฺนนึ่งมีภัรยา ๒ คฺน คฺนนึ่งเปันหมัน อีกคฺนนึ่งบํ่เปันหมัน ยิงหมันบอก


สมัยนัน
ภิกษุท่ นางอุ
ี ้
ปถัมภ์ว่า “ถ้านางคฺนนันคอดบุ ตรจักได้คอบคองชัพย์สฺมบัตทังหมฺด พระคุณ

เจฺาโปดหายาหลุ ั ้ บคําแล้วได้ให้ยาหลุลูกแก่ยิงที่บํ่เปันหมัน
ลูกให้ด้วยเถีด” ภิกษุนนฮั
มารดาและบุตรเถิงแก่ความตายทัง ๒ คฺน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 152 / 152 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ


ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๖๓)

เรื้องข้ามารดาและบุตรทัง ๒ คฺนบํ่ตาย ๑ เรื้อง

้ ชายคฺนนึ่งมีภัรยา ๒ คฺน คฺนนึ่งเปันหมัน อีกคฺนนึ่งบํ่เปันหมัน ยิงหมันบอก


สมัยนัน
ภิกษุท่ นางอุ
ี ้
ปถัมภ์ว่า “ถ้านางคฺนนันคอดบุ ตรจักได้คอบคองชัพย์สฺมบัตทังหมฺด พระคุณ

เจฺาโปดหายาหลุ ั ้ บคําแล้วได้ให้ยาหลุลูกแก่ยิงที่บํ่เปันหมัน
ลูกให้ด้วยเถีด” ภิกษุนนฮั
แต่มารดาและบุตรบํ่ตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
ปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๖๔)

เรื้องให้ฮีด ๑ เรื้อง

[๑๘๗] สมัยนัน้ ยิงมีคันภ์คฺนนึ่งบอกภิกษุท่ ีนางอุปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺาโปดหายาหลุ


้ ลูก
ั้
ให้ด้วยเถีด” ภิกษุนนตอบว่ า “น้องยิง ท่านจฺ่งฮีด” นางฮีดคันภ์เฮัดให้หลุลูก ภิกษุนนั้
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๖๕)

เรื้องนาบคันภ์ให้ฮ้อน ๑ เรื้อง

้ ยิงมีคันภ์บอกภิกษุท่ นางอุ
สมัยนัน ี ้
ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺาโปดหายาหลุ ลูกให้ด้วยเถีด”
ั้
ภิกษุนนตอบว่ า “น้องยิง ท่านจฺ่งนาบคันภ์ให้ฮ้อน” นางนาบคันภ์ให้ฮ้อนจฺนหลุลูก
ั้
ภิกษุนนเกี ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๖๖)

เรื้องยิงหมัน ๑ เรื้อง

้ ยิงหมันคฺนนึ่งบอกภิกษุท่ นางอุ
สมัยนัน ี ้
ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺาโปดหาญาที ่ เฮัดให้ขะ
ั ้ บคําแล้วได้ให้ญาแก่ยิงหมันนัน
น้อยมีลูกได้ด้วยเถีด” ภิกษุนนฮั ้ นางเถิงแก่ความตาย

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 153 / 153

ั้
ภิกษุนนเกี ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ดกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ”
(เรื้องที ๖๗)

เรื้องยิงบํ่เปันหมัน ๑ เรื้อง

้ ยิงบํ่เปันหมันคฺนนึ่งบอกภิกษุท่ นางอุ
สมัยนัน ี ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺา้ โปดหายาที่เฮัด
ั ้ บคําแล้วได้ให้ญาแก่ยิงลูกดฺกนัน
ให้ขะน้อย ญุดมีลูกด้วยเถีด” ภิกษุนนฮั ้ นางเถิงแก่
ั้
ความตาย ภิกษุนนเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่
ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๖๘)

เรื้องจี้ ๑ เรื้อง
้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ใช้นวมื
สมัยนัน ี กษุฮูบนึ่งในกุ่มพวกภิกษุสัตตรสวัคคีย์ให้หฺว
ิ้ จ้ภิ
ท่านเมื่อยหันใจบํ่ทันเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุเหลฺ่านันเกี ้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้อง
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
อาบัตป
“ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๖๙)

เรื้องเตัง ๑ เรื้อง

้ พวกภิกษุสัตตรสวัคคีย์ช่วยกันเตังภิกษุฮูบนึ่งในกุ่มพวกภิกษุฉัพพัคคีย์จฺนเถิง
สมัยนัน

แก่มํรณภาพ ด้วยตังใจว่ าจักลฺงโทษ พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่าพวกเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติปาจิตตีย์” ๑ (เรื้องที ๗๐)

เรื้องข้ายักษ์ ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุหมํผีฮูบนึ่งข้ายักษ์ตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ


ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๗๑)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 154 / 154 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เรื้องสฺ่งไปสู่ท่ มี
ี สัตว์ฮ้ายและยักษ์ฮ้ายขาด ๙ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งสฺ่งภิกษุอีกฮูบนึ่งไปยังวิหารมียักษ์ฮ้ายขาด พวกยักษ์ข้าภิกษุนนมํ
สมัยนัน ั้
รณภาพ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้อง
อาบัติ” (เรื้องที ๗๒)

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้า สฺ่งภิกษุอีกฮูบนึ่งไปยังวิหารมียักษ์ฮ้ายขาด


ั ้ รณภาพ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พวกยักษ์ข้าภิกษุนนมํ ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๗๓)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้า สฺ่งภิกษุอีกฮูบนึ่งไปยังวิหารที่มียักษ์ฮ้ายขาด
สมัยนัน
พวกยักษ์บ่ ข้ ั้
ํ าท่าน ภิกษุนนเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุท่านบํ่ต้องปาราชิก
แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๗๔)

้ ภิกษุฮูบนึ่งสฺ่งภิกษุอีกฮูบนึ่งไปสู่ท่ กั
สมัยนัน ี นดารมีสัตว์ฮ้าย เหลฺ่าสัตว์ฮ้ายข้าท่านมํรณ
ั้
ภาพ ภิกษุนนเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้อง
อาบัติ” (เรื้องที ๗๕)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้า สฺ่งภิกษุอีกฮูบนึ่งไปสู่ท่ กั


ี นดารมีสัตว์ฮ้าย เหลฺ่า
ั ้ รณภาพ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
สัตว์ฮ้ายข้าภิกษุนนมํ ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๗๖)

้ ภิกษุฮูบนึ่งสฺ่งภิกษุอีกฮูบนึ่งไปยังที่กันดารมีสัตว์ฮ้าย เหลฺ่าสัตว์ฮ้ายบํ่ข้าภิกษุ
สมัยนัน
้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
นัน ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 155 / 155

มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องปาราชิก แต่ต้องอาบัติ


ถุ ลลัจจัย” (เรื้องที ๗๗)

้ ภิกษุฮูบนึ่งสฺ่งภิกษุอีกฮูบนึ่งไปสู่ท่ กั
สมัยนัน ี นดารมีโจร พวกโจรข้าท่านมํรณภาพ
ั้
ภิกษุนนเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัติ”
(เรื้องที ๗๘)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้า สฺ่งภิกษุอีกฮูบนึ่งไปสู่ท่ กั
สมัยนัน ี นดารมีโจร พวกโจร
ั ้ รณภาพ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ข้าภิกษุนนมํ
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๗๙)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้า สฺ่งภิกษุอีกฮูบนึ่งไปสู่ท่ กั
สมัยนัน ี นดารมีโจร พวก
ั ้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
โจรบํ่ข้าภิกษุนน
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก
แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๘๐)

เรื้องสําคันว่าแม่น ๔ เรื้อง

[๑๘๘] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าภิกษุท่ จองเวรกั


ี น สําคันภิกษุนนว่ั ้ าเปัน
ั ้ จึ่งข้าภิกษุนน
ภิกษุนน ั ้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๘๑)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าภิกษุท่ จองเวรกั
สมัยนัน ี ั ้ าเปันภิกษุนน
น สําคันภิกษุนนว่ ั้
ื ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
แต่ข้าภิกษุอ่ น
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุท่านต้องอาบัติปาราชิก”
(เรื้องที ๘๒)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 156 / 156 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าภิกษุท่ จองเวรกั
สมัยนัน ี น สําคันภิกษุท่ จองเวรกั
ี นว่า
เปันภิกษุอ่ น ้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ื แต่ข้าภิกษุผู้จองเวรนัน
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๘๓)
้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าภิกษุท่ จองเวรกั
สมัยนัน ี น สําคันภิกษุท่ จองเวรกั
ี นว่า
เปันภิกษุอ่ นและได้
ื ข้าภิกษุอ่ น
ื ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้อง
อาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๘๔)

เรื้องปะหาร ๓ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกผีเขฺา้ ภิกษุอีกฮูบนึ่งทุบตีท่านจฺนเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่ทุบตี



นันเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัติ”
(เรื้องที ๘๕)

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกผีเขฺา้ ภิกษุอีกฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งทุบตีท่านจฺนเถิงแก่มํ
สมัยนัน
รณภาพ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที
๘๖)

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกผีเขฺา้ ภิกษุอีกฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งทุบตีท่าน ภิกษุนนบํ


สมัยนัน ั้ ่
เถิงแก่มํรณภาพ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่
ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๘๗)

เรื้องพัณนาสวันค์ ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งพัณนาเรื้องสวันค์ให้บุคคฺลผู้ทําความดีฟัง เขฺาน้อมใจเชื่อแล้วเถิง
สมัยนัน
แก่ความตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 157 / 157

ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่


ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๘๘)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งพัณนาเรื้องสวันค์ให้บุคคฺลผู้ทําความดีฟัง
เขฺาน้อมใจเชื่อแล้วเถิงแก่ความตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๘๙)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งพัณนาเรื้องสวันค์ให้บุคคฺลผู้ทําความดีฟัง


เขฺาน้อมใจเชื่อแต่บ่ ตาย
ํ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
ปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๙๐)

เรื้องพัณนานรฺก ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งพัณนาเรื้องนรฺกให้ผู้ควรเกีดในนรฺกฟั ง เขฺาตฺกใจเถิงแก่ความตาย
สมัยนัน
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัติ”
(เรื้องที ๙๑)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งพัณนาเรื้องนรฺกให้ผู้ควรเกีดในนรฺกฟั ง
เขฺาตฺกใจเถิงแก่ความตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
ปาราชิก” (เรื้องที ๙๒)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะข้าจึ่งพัณนาเรื้องนรฺกให้ผู้ควรเกีดในนรฺกฟั ง
ํ งตาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
เขฺาตฺกใจแต่บ่ เถิ
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก
แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๙๓)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 158 / 158 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ท่ เมื
เรื้องตฺนไม้ ี องอาฬวี ๓ เรื้อง

[๑๘๙] สมัยนัน้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีจะทําการกํ่ส้างจึ่งช่วยกันตัดตฺนไม้ ้ ภิกษุฮู


บนึ่งบอกภิกษุอีกฮูบนึ่งว่า “ท่านจฺ่งญืนตัดญู่บ่อนนี้” ภิกษุฮูบนัน
้ จึ่งญืนตัดที่บ่อนนัน
้ ตฺน้
ฺ้ บเถิงแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่บอกเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ไม้ลมทั
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๙๔)

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีจะทําการกํ่ส้าง จึ่งช่วยกันตัดตฺนไม้
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมี
ความปะสฺงค์จะข้าจึ่งบอกภิกษุอีกฮูบนึ่งว่า “ท่านจฺ่งญืนตัดญู่บ่อนนี้” ตฺนไม้
้ ฺ้ บท่าน
ลมทั
ผู้ญน ่ ่ นั
ื ตัดญูท ้
ี นเถิ งแก่มํรณภาพ ภิกษุฮูบที่บอกเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๙๕)

้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีจะทําการกํ่ส้าง จึ่งช่วยกันตัดตฺนไม้
สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมี
ความปะสฺงค์จะข้าจึ่งบอกภิกษุอีกฮูบนึ่งว่า “ท่านจฺ่งญืนตัดญู่บ่อนนี้” ตฺนไม้
้ ฺ้ บท่าน
ลมทั
ผู้ญน ่ ่ นั
ื ตัดญูท ้
ี นแต่ ํ งมํรณภาพ ภิกษุฮูบที่บอกเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้องอาบัติ
บ่ เถิ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๙๖)

เรื้องเผฺาป่ า ๓ เรื้อง

[๑๙๐] สมัยนัน้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์เผฺาป่ า พวกชาวบ้านถืกไฟคอกตาย ภิกษุเหลฺ่านัน ้


เกีดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะข้า บํ่
ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๙๗)

้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์มีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งเผฺาป่ า พวกชาวบ้านถืกไฟคอกตาย


สมัยนัน
ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 159 / 159

ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านต้องอาบัติ


ปาราชิก” (เรื้องที ๙๘)

สมัยนัน ้ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์มีความปะสฺงค์จะข้า จึ่งเผฺาป่ า พวกชาวบ้านถืกไฟคอก


แต่บ่ ตาย
ํ ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวก
ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๙๙)

เรื้องบํ่ให้ลําบาก ๑ เรื้อง

[๑๙๑] สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งไปที่ทางสี่แยก(บ่อนปะหานนักโทด) บอกนายเพัชคาดว่า


“ท่านญ่าทํรมานนักโทษคฺนนี้เลีย จฺ่งปะหารชีวิตด้วยการฟั นคังด฽ว”
้ เพัชคาดฮับคําแล้ว
ปะหารชีวิตด้วยการฟั นคังด฽ว ้ ั้
ภิกษุนนเกี ดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๐๐)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

เรื้องบํ่ทําตามท่าน ๑ เรื้อง

้ ภิกษุรุปนึ่งไปที่ทางสี่แยก(บ่อนปะหานนักโทด) บอกนายเพัชคาดว่า “ท่านญ่าทํ


สมัยนัน
รมานนักโทษคฺนนี้เลีย จฺ่งปะหารชีวิตด้วยการฟั นคังด฽ว”
้ เพัชคาดก่าวว่า “ข้าพะเจฺา้
จะบํ่ทําตามคําของท่าน” แล้วปะหารชีวิตนักโทษนัน ้ ภิกษุนนเกี
ั้ ดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
ต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑๐๑)

เรื้องให้ด่ มปຽง
ื ๑ เรื้อง

[๑๙๒] สมัยนัน้ บุรุษมืตีนกุ้นคฺนนึ่ง พวกหมู่ยาตช่วยกันเบิ่งแยงญูใ


่ นเฮือน ภิกษุฮูบนึ่ง
ได้ก่าวกับพวกยาตของบุรุษนันว่้ า “ท่านทังหลาย พวกท่านญากให้บุรุษคฺนนี้ตายบํ่”
้ ่ งให้บุรุษ
้ จฺ่งให้เขฺาดื่มปຽง” หมู่ยาตนันจึ
“พวกเฮฺาญากให้เขฺาตาย ขน้อย” “ถ้าเชั่นนัน
้ ่ มปຽงจฺนบุรุษนันเถิ
นันดื ้ งแก่ความตาย ภิกษุฮูบที่บอกวิทีข้าเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 160 / 160 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์


ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๐๒)

เรื้องให้ด่ มญาโลณโสวี
ื รกะ ๑ เรื้อง

้ บุรุษมืตีนกุ้นคฺนนึ่ง พวกหมู่ยาตช่วยกันเบิ่งแยงญูใ
สมัยนัน ี ูบนึ่ง
่ นเฮือน ภิกษุณฮ
ได้ก่าวกับหมู่ ยาตของบุรุษนันว่้ า “ท่านทังหลาย พวกท่านญากให้บุรุษคฺนนี้ตายบํ่”
้ จฺ่งให้เขฺาดื่มญาโลณโสวีรกะ” หมู่ยาตจึ่ง
“พวกเฮฺาญากให้เขฺาตาย ขน้อย” “ถ้าเชั่นนัน
้ ่ มญาโลณโสวีรกะจฺนบุรุษนันเถิ
ให้บุรุษนันดื ้ ั้
งแก่ความตาย ภิกษุณีนนเกี ดความกังวฺลใจ
จึ่งละเรื้องนันให้
้ ภิกษุณีทังหลายชาบ พวกภิกษุณีแจ้งเรื้องนันให้
้ ภิกษุทังหลายชาบ
ภิกษุทังหลายจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ั ้ องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๑๐๓)
ทังหลาย ภิกษุณีนนต้

ปาราชิกสิกขาบฺทที ๓ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔


เรื้องภิกษุชาวฝั่งแม่นาวั
ํ ้ ดคุมุทา
ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔
ว่าด้วยการก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม
เรื้องภิกษุชาวฝั่งแม่นาวั
ํ ้ คคุมุทา

[๑๙๓] สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั


้ บญู่ ณะ กูฏาคารศาลา ป่ ามหาวัน เขตกุง
้ น
เวสาลี คังนั ้ ภิกษุจาํ นวนหลาย เปันเพื่อนเคียเหันเคียคฺบกันมา จําพันษาญูใ
่ ก้ฝ่ ง

้ วัชชีชฺนบฺทเกีดเขฺายากหมากแพง
ํ ้ คคุมุทา คาวนัน
แม่นาวั ้ ปะชาชฺนมีความเปันญู่
ยากแค้น ใช้สลากปันส่วนชื้อาหาร ลฺมตายกั
้ นกะดูกขาวเกื่อน ยากที่พระอริยะจะ
บิณฑบาตยังชีพได้ ภิกษุเหลฺ่านันได้
้ มีความคิดว่า “บัดนี้ วัชชีชฺนบฺทเกีดเขฺายากหมาก

แพง ปะชาชฺนมีความเปันญูย่ ากแค้น ใช้สลากปันส่วนชื้อาหาร ลฺมตายกั้ นกะดูกขาว
เกื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ เฮัดญ่างใดนํ พวกเฮฺาจึ่งจะพ้อมพ฽งกัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 161 / 161

ฮ่วมใจกัน บํ่ผิดถ฽งกัน ญูจ


่ ําพันษาญ่างผาสุก และบิณฑบาตบํ่ลําบาก” ภิกษุบางพวกส
้ พวกเฮฺามาช่วยกันทํางานของพวกครืหัสถ์ เมื่อช่วย
เนีว่า “ท่านทังหลาย ถ้าเชั่นนัน
ทํางาน พวกเขฺากํคฺงจะพํใจถวายบิณฑบาตแก่พวกเฮฺา โดยวิทีน้แหละี พวกเฮฺากํจะ
พ้อมพ฽งกัน ฮ่วมใจกัน บํ่ผิดถ฽งกันญูจ
่ ําพันษาญ่างผาสุก และบิณฑบาตบํ่ลําบาก” ภิกษุ
อีกพวกสเนีว่า “ญ่าเลีย ท่านทังหลาย เปันหยังพวกเฮฺาจะต้องไปช่วยกันทํางานของ
พวกครืหัสถ์ ขํให้พวกเฮฺามาช่วยกันทําหน้าที่ทูตนําข่าวสารให้พวกครืหัสถ์จะดีกว่า
เมื่อเฮัดญ่างนี้ พวก ครืหัสถ์กํคฺงจะพํใจถวายบิณฑบาตแก่พวกเฮฺา โดยวิทีน้แหละ

พวกเฮฺากํจะพ้อมพ฽งกัน ฮ่วมใจกัน บํ่ผิดถ฽งกันญู่จําพันษาญ่างผาสุกและบิณฑบาตบํ่
ลําบาก” ภิกษุอีกพวกสเนีว่า “ญ่าเลีย ท่านทังหลาย เปันหยังพวกเฮฺาจะต้องไปช่วยกัน
ทํางานหลืทําหน้าที่ทูตนําข่าวสารให้พวกครืหัสถ์ ทางที่ดีพวกเฮฺามาก่าวอวดอุตตริม
นุสสธัมของกันและกันให้พวกครืหัสถ์ฟังว่า ‘ภิกษุฮูบพุ้นได้ปฐฺมฌาน ฮูบพุ้นได้ทุติย
ฌาน ฮูบพุ้นได้ตติยฌาน ฮูบพุ้นได้จตุตถฌาน ฮูบพุ้นเปันพระโสดาบัน ฮูบพุ้นเปันพระ
สกทาคามี ฮูบพุ้นเปันพระอนาคามี ฮูบพุ้นเปัน พระอรหันต์ ฮูบพุ้นได้วิชชา ๓ ฮูบพุ้น
ได้อภิญญา ๖’ เมื่อเวฺาญ่
้ างนี้ พวกครืหัสถ์กํคฺงจะพํใจถวายบิณฑบาตแก่พวกเฮฺา โดยวิ
ทีน้พวกเฮฺ
ี าจะพ้อมพ฽งกัน ฮ่วมใจกัน บํ่ผิดถ฽งกัน ญูจ ่ ําพันษาญ่างผาสุกและบิณฑบาตบํ่
ลําบาก” ในที่สุด ภิกษุเหลฺ่านันทั
้ งหมฺดตฺกลฺง กันว่า “ท่านทังหลาย วิทีท่ พวกเฮฺ
ี าพา
กันก่าวอวดอุตตริมนุสสธัมของกันและกันให้พวกครืหัสถ์ฟังเปันวิทีท่ ดี
ี กว่าวิทีอ่ น”

[๑๙๔] ตํ่มาภิกษุเหลฺ่านันได้
้ พากันก่าวอวดอุตตริมนุสสธัมของกันและกันให้พวกครื
หัสถ์ฟังว่า “ภิกษุฮูบพุ้นได้ปฐฺมฌาน ฯลฯ ฮูบพุ้นได้จตุตถฌาน ฮูบพุ้นเปันพระโสดาบัน
ฯลฯ ฮูบพุ้นได้อภิญญา ๖” คังนั้ นแล
้ ปะชาชฺนกํพากันยินดีว่า “เปันลาภของพวกเฮฺานํ
พวกเฮฺาได้ดีแล้วนํท่ ีมีภิกษุทังหลายเชั่นนี้มาญูจ
่ ําพันษา เพาะแต่ก่อนนี้พวกเฮฺาบํ่มีภิกษุ
ทังหลายที่มีคุณสฺมบัต เหมือนญ่างภิกษุผู้มีศล ี มีกัลยาณธัมเหลฺ่านี้มาญูจ
่ ําพันษาเลีย”
โภชนะ (อาหาร) ...ขาทนียะ (ของขฺบค้฽ว) ...สายนียะ (ของลิม)้ ...ปานะ (เคื่องดื่ม)
ชนิดที่พวกเขฺาจะถวายแก่ภิกษุเหลฺ่านัน ้ บํ่ดื่ม
้ พวกเขฺาบํ่ฮับปะทาน บํ่ขฺบค้฽ว บํ่ลิม
ด้วยตฺนเอง ทังบํ่ให้แก่มารดาบิดา บุตร ภัรยา คฺนฮับใช้ กัมกอน มิตร อมาตย์ ยาต
้ จึ่งเปันผู้มีนามี
สาโลหิต ภิกษุเหลฺ่านัน ํ ้ นวล มีอินทรีย์ผ่องใส มีใบหน้าเอิบอิ่ม มี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 162 / 162 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ผิวพัณผุดผ่อง มีปะเพณีญวู่ ่า เมื่อภิกษุทังหลายออกพันษาแล้วจะไปเขฺาเฝฺ


้ าพระผู
้ ้มีพระ
้ าพันษาคฺบ ๓ เดือนแล้วจึ่งเกับเสนาสนะ ถืบาตรและจีวอนออก
ภาค คันภิกษุเหลฺ่านันจํ
เดีนทางมุ่งไปสู่กุงเวสาลี จาริกไปโดยลําดับ เถิงกุงเวสาลี ผ่านป่ ามหาวัน ไปเถิงกูฏา
้ าพระผู
คารศาลา แล้วเขฺาเฝฺ ้ ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ คันเถิงแล้วจึ่งถวายบังคฺม แล้ว
นั่งลฺงญู่ ณะ ที่สฺมควร

้ า้
ภิกษุต่างทิศมาเขฺาเฝฺ

้ ภิกษุทังหลายที่จําพันษาญูใ
สมัยนัน ่ นทิศต่างๆ ดูจ่อยผอม ซอมซ่อ มีผิวพัณหมองเสฺา้

ซีด เหลือง เสันเอ็ ้
นขึนเตั มไปหมฺด ส่วนภิกษุชาวฝั่งแม่นาวั
ํ ้ คคุมุทากับมีนามี
ํ ้ นวล มี
อินทรีย์ผ่องใส มีใบหน้าเอิบอิ่ม มีผิวพัณผุดผ่อง อีกญ่างนึ่ง การที่พระผู้มีพระภาค
้ งหลายชฺงปาสัยกับพระอาคันตุกะทังหลายนันกํ
พุทธเจฺาทั ้ เปันพุทธปะเพณี ลําดับนัน ้
พระผู้มีพระภาคตรัสถามพวกภิกษุชาวฝั่งแม่นาวั
ํ ้ คคุมุทาว่า “ภิกษุทังหลาย ท่านทัง
่ ด้หลื พวกท่านเปันผู้พ้อมพ฽งกัน ฮ่วมใจกัน บํ่
หลายยังสะบายดีหลื ยังพํเปันญูไ
ผิดถ฽งกัน ญูจ ่ ําพันษาเปันผาสุกหลื และบิณฑบาตบํ่ลําบากหลื”
ภิกษุเหลฺ่านันขาบทู
้ ้ า ยังพํเปันญูไ
ลว่า “ยังสะบายดีพระพุทธเจฺาข้ ้ า
่ ด้พระพุทธเจฺาข้
อีกญ่างนึ่ง พวกข้าพระพุทธเจฺาเปั
้ นผู้พ้อมพ฽งกัน ฮ่วมใจกัน บํ่ผิดถ฽งกัน ญูจ
่ ําพันษา
เปันผาสุก และบิณฑบาตบํ่ลําบาก พระพุทธเจฺาข้
้ า”

พุทธปะเพณี

้ งหลายชฺงชาบเรื้อง ตรัสถามกํมี บํ่ตรัสถามกํมี ชฺงชาบกาลอันควร


พระตถาคฺตเจฺาทั
ตรัสถามกํมี บํ่ตรัสถามกํมี ตรัสถามเรื้องที่เปันปโยด บํ่ตรัสถามเรื้องที่บํ่เปันปโยด
้ งหลายชฺงขจัดเรื้องที่บํ่เปันปโยดเสั฽ด้วยอริยมัคแล้ว พระผู้มี
เพาะพระตถาคฺตเจฺาทั
้ งหลาย สอบ ถามภิกษุทังหลายด้วยเหตุ ๒ ปะการ คื จะชฺงสะ
พระภาคพุทธเจฺาทั
แดงธัมญ่างนึ่ง จะชฺงบันญัตสิกขาบฺทแก่พระสาวฺกญ่างนึ่ง ลําดับนัน
้ พระผู้มีพระภาคจึ่ง
ํ ้ คคุมุทาว่า “เฮัดญ่างใด ท่านทังหลายจึ่งพ้อมพ฽งกัน
ได้ตรัสถามภิกษุชาวฝั่งแม่นาวั
ฮ่วมใจกัน บํ่ผิดถ฽งกัน ญูจ ้ ภิกษุเหลฺ่านัน
่ ําพันษาผาสุกและบิณฑบาตบํ่ลําบาก” ลําดับนัน ้
จึ่งได้ขาบทูลเรื้องนันให้
้ พระผู้มีพระภาคชฺงชาบ พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า “ภิกษุทัง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 163 / 163


หลาย พวกท่านมีคุณวิเศษนันแม่ นแท้บ”ํ ภิกษุเหลฺ่านันขาบทู
้ ลว่า “บํ่มีแม่นแท้พระ
้ า”
พุทธเจฺาข้

ชฺงตําหนิ

้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษทังหลาย การกะทําของพวก


พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
ท่านบํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้
ํ บํ่ควรทํา จั่งใด
พวกท่านจึ่งพากันก่าวอวดอุตตริมนุสสธัมของกันและกันให้พวกครืหัสถ์ฟัง เพาะเหัน
แก่ปากแก่ท้องละ พวกท่านใช้มีดปาดเถือโคอันคฺม ปาดควัดท้องยังดีกว่าการก่าวอวด
อุตตริมนุสสธัมของกันและกันให้พวกครืหัสถ์ฟัง เพาะหยังละ เพาะผู้ใช้มีดปาดเถือ

โคอันคฺม ปาดควัดควัดท้องกํจะเพิงเถิงความตายหลืทุกข์ปางตายเพาะการกะทํานันเปั น
เหตุ หลังจากตายแล้วกํบ่ ํต้องไปบังเกีดในอบาย ทุคติ วินิ บาต นรฺก ส่วนผู้ก่าวอวด
อุตริมนุสสธัมของกันและกันให้พวกครืหัสถ์ฟัง หลังจากตายแล้วกํจะต้องไปบังเกีด
ในอบาย ทุคติ วินิบาต นรฺก โมฆบุรุษทังหลาย การเฮัดญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่
เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส หลืเฮัดให้คฺนที่เหลื้อมใสญูแ ่ ล้วให้เหลื้อมใสยิ่งขึนได้
้ เลีย
ที่แม่นแท้กับจะเฮัดให้คฺนที่บํ่เหลื้อมใสกํบ่ เหลื
ํ ้อมใสไปเลีย คฺนที่เหลื้อมใสญูแ่ ล้ว
บางพวกกํจะกายเปันอื่นไป” ฯลฯ คันชฺงตําหนิแล้ว ได้ชฺงกะทําธัมมีกถาตรัสฮ฽กภิกษุ
ทังหลายมาฮับสั่งว่า

มหาโจร ๕ จําพวก

[๑๙๕] ภิกษุทังหลาย มหาโจร ๕ จําพวกนี้ มีปากฺดญูใ่ นโลก คื


๑. มหาโจรบางคฺนในโลกนี้ ปราถนาว่า เมื่อใดนํ เฮฺาจึ่งจักมีบํริวารเปันฮ้อยหลืเปัน
พันห้อมล้อมแล้วท่องท฽วไปในคาม นิคฺม และราชธานี ทําการข้าเอง สั่งให้ผู้อ่ นข้ ื า
ตัด(มืตีนผู้อ่ น)เอง
ื สั่งให้ผู้อ่ นตั
ื ด เผฺา(บ้าน)เอง สั่งให้ผู้อ่ นเผฺ
ื ้ กํได้
า ตํ่มามหาโจรนัน
มีบํริวารเปันฮ้อยหลืเปันพันห้อมล้อมแล้วท่องท฽วไปในคาม นิคฺมและราชธานี ทํา
การข้าเอง สั่งให้ผู้อ่ นข้ ู้ ่ นตั
ื า ตัดเอง สั่งให้ผอ ื ด เผฺาเอง สั่งให้ผู้อ่ นเผฺ
ื า แนวใด
ภิกษุช่ วบางฮู
ฺ ้
บในธัมวินัยกํแนวนันเหมื อนกัน ปราถนาว่า เมื่อใดนํ เฮฺาจักมีภิกษุบํริ
วารเปันฮ้อยหลืเปันพันห้อมล้อมแล้วท่องท฽วไปในคาม นิคฺม และราชธานีอันครื

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 164 / 164 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

หัสถ์และบัพชิตสักการะ เคฺารฺพ นับถื บูชา นอบน้อม ได้จีวอน บิณฑบาต เสนาสนะ


ั ้ ได้มีภิกษุบํริวารเปันฮ้อยหลืเปันพันห้อมล้อม
และคิลานปัจจัยเภสัช ตํ่มา ภิกษุนนกํ
แล้วท่องท฽วไปในคาม นิคฺมและราชธานี อันครืหัสถ์และบัพชิตสักการะ เคฺารฺพ นับถื
บูชา ยําเกง ได้จีวอน บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบํริขาร ภิกษุทังหลาย
นี้คืมหาโจรจําพวกที ๑ ที่มีปากฺดญูใ
่ นโลก

๒. ภิกษุทังหลาย ยังมีภิกษุช่ วบางฮู


ฺ บในธัมวินัยนี้ ฮํ่าฮ฽นธัมวินัยที่ตถาคฺตปะกาดแล้ว
อวดอ้างว่าเปันของตฺน ภิกษุทังหลาย นี้คืมหาโจรจําพวกที ๒ ที่มีปากฺดญูใ ่ นโลก
๓. ภิกษุทังหลาย ยังมีภิกษุช่ วบางฮู
ฺ บในธัมวินัยนี้ โจทเพื่อนภิกษุผู้บํริสุดธ์ ผู้
ปะพึดพรฺมจันย์อันบํริสุดธ์ด้วยเรื้องที่ทําลายพรฺมจันย์อันบํ่มีมูล ภิกษุทังหลาย นี้คื
มหาโจรจําพวกที ๓
๔. ภิกษุทังหลาย ยังมีภิกษุช่ วบางฮู
ฺ บในธัมวินัยนี้ สฺงเคาะปะจฺบครืหัสถ์ด้วยครุภัณฑ์
ของสฺงฆ์คือาฮาม พื้นที่อาฮาม วิหาร พื้นที่วิหาร ต฽ง ตั่ง เสื่อ หมอน หมํ ้ โลหะ
อ่างโลหะ กะถางโลหะ กะทะโลหะ มีด ขวาน ผื่ง จอบ สว่าน เคือไม้ ไม้ไผ่ หย้า
มุงกะต่าย หย้าแฝก หย้าสามัน ดินหน฽ว เคื่องไม้ เคื่องดิน ภิกษุทังหลาย นี้คืมหา
โจรจําพวกที ๔
๕. ภิกษุทังหลาย ภิกษุผู้ก่าวอวดอุตตริมนุสสธัมอันบํ่มีญู่ บํ่เปันจิง จัดเปันยอดมหา
โจรในโลกพ้อมทังเทวโลก มารโลก พรฺมโลก ในหมู่สัตว์พ้อมทังสมณะพรามณ์

้ นเพาะเหตุ
เทวดาและมนุษย์ ขํนั ั ้ ฉันอาหารของชาวบ้านด้วยไถยจิต
ใด เพาะภิกษุนน

นิคฺมคาถา

ภิกษุผู้ปะกาดตฺนชึ่งมีภาวะเปันญ่างนึ่ง ให้คฺนเขฺาใจว่
้ าเปันญ่างอื่น ฉันอาหารด้วยไถย
จิตเหมือน พานนฺกลํจั ้ บนฺกมากินสะนัน ฺ านวนหลายมีผ้ากาสายะพันที่คํ
้ ภิกษุช่ วจํ
มีธัมชฺ่วชาม บํ่สําฮวม พวกท่านย่อมตฺกนรฺก เพาะบาปกัมทังหลายที่ชฺ่วชาม ภิกษุทุศีล
บํ่สําฮวม กินก้อนเหล็กที่ฮ้อนเหมือนแปวไฟยังดีกว่า บํริโภคอาหารของชาวบ้าน บํ่ดี
เลีย

ชฺงบันญัตสิกขาบฺท

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 165 / 165

คันพระผู้มีพระภาคชฺงตําหนิพวกภิกษุชาวฝั่งแม่นาวั
ํ ้ คคุมุทาโดยปะการต่างๆแล้ว ได้
ตรัสโทษแห่งความเปันคฺนล้฽งยากบํารุงยาก ฯลฯ แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺ

กสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
่ งนี้

พระบันญัต

้ ่ง
[๑๙๖] กํ ภิกษุใด บํ่ฮูย ิ ก่าวอวดอุตริมนุสสธัมอันเปันญาณทัสสนะที่ปะเสีดอันสามาด

ให้น้อมเขฺามาในตฺ ้ ญ
นว่า “ข้าพะเจฺาฮู ้ อันผู้ใดผู้น่ ง
้ ่างนี้ เหันญ่างนี้” คันสมัยตํ่จากนัน ึ
โจทกํตามบํ่โจทกํตาม ท่านผู้ต้องอาบัติแล้วหวังความบํริสุดธ์ เพิงก่าวญ่างนี้ว่า “ท่าน
้ ่ ฮูญ
ทังหลาย ข้าพะเจฺาบํ ้ ได้ก่าวว่าฮู้ ข้าพะเจฺาบํ
้ ่างนัน ้ ได้ก่าวว่าเหัน ข้า
้ ่ เหันญ่างนัน
้ าวคําไฮ้ปโยด เปันคําเท็จ” แม่นภิกษุน้เปั
พะเจฺาก่ ี นปาราชิก หาสังวาสบํ่ได้ สิกขาบฺทนี้
พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตไว้แก่ภิกษุทังหลายญ่างนี้
เรื้องภิกษุชาวฝั่งแม่นนําวั
้ คคุมุทา จฺบ

เรื้องภิกษุสําคันว่าได้บันลุ

[๑๙๗] สมัยนัน ้ ภิกษุจํานวนหลาย เขฺาใจมั ้ คผฺลที่ยังบํ่ได้เหันว่าได้เหัน บํ่ได้เถิงว่า


ได้เถิง บํ่ได้บันลุว่าได้บันลุ บํ่ได้เฮัดให้แจ้งว่าได้เฮัดให้แจ้ง พากันพยากอนมัคผฺล
ด้วยสําคันว่าได้บันลุ คันตํ่มา จิตของภิกษุเหลฺ่านันเอนอ฽งไปทางความกํ
้ าหนัดแด่
ทางความขัดเคืองแด่ ทางความ หลฺงแด่ เกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺง

บันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว แต่พวกเฮฺาเขฺาใจ มัค ผฺลที่ยังบํ่ได้เหันว่าได้เหัน บํ่ได้เถิงว่า
ได้เถิง บํ่ได้บันลุว่าได้บันลุ บํ่ได้เฮัดให้แจ้งว่าได้เฮัดให้แจ้ง จึ่งอวดอ้างมัคผฺลตามที่
สําคันว่าได้บันลุ พวกเฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งแจ้งเรื้องนันให้
้ พระอานฺนท์ชาบ
พระอานฺนท์จ่ งขาบทู
ึ ลเรื้องนันให้
้ พระผู้มีพระภาคชฺงชาบ พระผู้มพ ี ระภาคตรัสว่า “มีญู่
เหมือนกัน อานฺนท์ ที่ภิกษุทังหลายเขฺาใจมั
้ คผฺลที่ยังบํ่ได้เหันว่าได้เหัน บํ่ได้เถิงว่า
ได้เถิง บํ่ได้บันลุว่าได้บันลุ บํ่ได้เฮัดให้แจ้งว่าได้เฮัดให้แจ้ง จึ่งอวดอ้างมัคผฺลตามที่
สําคันว่าได้บันลุ แต่กรํ ณีน้ีบํ่ควรก่าวว่ามี” ลําดับนัน
้ พระผู้มีพระภาคชฺงสะแดงธัมมีกถา
เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
้ แล้วตรัสฮ฽กภิกษุทังหลาย ฯลฯ ฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺ

กสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั ่ งนี้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 166 / 166 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พระอนุบันญัต

อีกญ่างนึ่ง ภิกษุใดบํ่ฮูย
้ ่ง
ิ ก่าวอวดอุตตริมนุสสธัมอันเปันญาณทัสสนะที่ปะเสีดอันสามาด

ให้น้อมเขฺามาในตฺ ้ ญ
นว่า “ข้าพะเจฺาฮู ้ อันผู้ใดผู้น่ ง
้ ่างนี้ เหันญ่างนี้” คันสมัยตํ่จากนัน ึ
โจทกํตาม บํ่โจทกํตาม ท่านผู้ต้องอาบัติแล้วหวังความบํริสุดธ์ เพิงก่าวญ่างนี้ว่า “ท่าน
้ ่ ฮูญ
ทังหลาย ข้าพะเจฺาบํ ้ ได้ก่าวว่าฮู้ ข้าพะเจฺาบํ
้ ่างนัน ้ ได้ก่าวว่าเหัน ข้า
้ ่ เหันญ่างนัน
้ าวคําไฮ้ปโยดเปันคําเท็จ” เวันไว้
พะเจฺาก่ ้ แต่สําคันว่าได้บันลุ แม่นภิกษุน้กํ
ี เปันปาราชิก
หาสังวาสบํ่ได้

เรื้องภิกษุสําคันว่าได้บันลุ จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๑๙๘] คําว่า อีกญ่างนึ่ง...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มพ


ี ระภาคตรัสว่า
อีกญ่างนึ่ง...ใด
คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ชื่ว่า ภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผู้มพ
ี ระ ภาคชฺงปะสฺงค์
เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
้ ่ง
คําว่า บํ่ฮูย ิ คื ภิกษุบ่ ฮู
ํ บ ํ นกุศฺลธัมในตฺนชึ่งบํ่มีญู่ บํ่เปันแม่นแท้หาบํ่ได้ ก่าวว่า เฮฺา
้ ่ เหั
มีกุศฺลธัม
ที่ชื่ว่า อุตตริมนุสสธัม ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ มัคภาวนา
การทําผฺลให้แจ้ง การละกิเลส ภาวะที่จิตปอดจากกิเลส ความยินดีในเฮือนว่าง
้ น ได้แก่ น้อมกุศฺลธัมเหลฺ่านันเขฺ
คําว่า น้อมเขฺามาในตฺ ้ ้
าในตฺ ้
น หลืน้อมตฺนเขฺาใน
กุศฺลธัมเหลฺ่านัน

คําว่า ญาณะ ได้แก่ วิชชา ๓
คําว่า ทัสสนะ ได้แก่ ญาณกํคืทัสสนะ ทัสสนะกํคืญาณ
คําว่า ก่าวอวด คื บอกแก่ชายหลืแก่ยิง แก่บัพชิตหลืแก่ครืหัสถ์
้ ญ
คําว่า ข้าพะเจฺาฮู ้ ่างนี้ เหันญ่างนี้ ความว่า “ข้าพะเจฺาฮู
้ ธ ้ ัมเหลฺ่านัน
้ เหันธัมเหลฺ่านัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 167 / 167

ธัมเหลฺ่านันมี
้ ญใ ้ อมเหันแจ้งธัมเหลฺ่านัน”
ู่ นข้าพะเจฺา้ และข้าพะเจฺาย่ ้
้ คื ล่วงขณะ ไลยะ บึด ที่ก่าวอวดนัน
คําว่า คันสมัยตํ่จากนัน ้
คําว่า อันผู้ใดผู้น่ งโจทกํ
ึ ู้ จทก์ในเรื้องที่ท่านก่าวอ้างว่า “ท่านบันลุหยัง บัน
ตาม คื มีผโ
ลุญ่างใด บันลุเมื่อใดบันลุท่ ใด
ี ละกิเลสเหลฺ่าใดได้ ได้ธัมหยัง”
คําว่า บํ่โจท คื บํ่มีใผ ๆ ก่าว
คําว่า ผู้ต้องอาบัติแล้ว ความว่า ภิกษุมีความปราถนาชฺ่ว ถืกความญากคอบงํา ก่าวอวด
อุตตริ มนุสสธัมที่บํ่มีจิงบํ่เปันแม่นแท้ ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
คําว่า หวังความบํริสด
ุ ธ์ คื ปะสฺงค์จะเปันครืหัสถ์ อุบาสฺก อารามิก (คฺนวัด) หลื
สามเณร
้ ่ ฮูญ
คําว่า ท่านทังหลาย ข้าพะเจฺาบํ ้ ่างนัน ้ ได้ก่าวว่าฮู้ ข้าพะเจฺาบํ ้ ได้ก่าวว่า
้ ่ เหันญ่างนัน
เหัน ความว่า ภิกษุกา่ วว่า “ข้าพะเจฺาบํ ้ ัมเหลฺ่านัน
้ ่ ฮูธ ้ บํ่เหันธัมเหลฺ่านัน้ ธัมเหลฺ่านันบํ
้ ่
ํ นแจ้งธัมเหลฺ่านัน”
้ บ่ เหั
มี และข้าพะเจฺากํ ้
้ าวคําไฮ้ปโยด ก่าวเท็จ ก่าวบํ่
คําว่า ก่าวคําไฮ้ปโยด เปันคําเท็จ ความว่า ข้าพะเจฺาก่
แม่นแท้ก่าว สิ่งที่บํ่มี ข้าพะเจฺาบํ
้ ่ ฮูก
้ ่าวไปแล้ว

คําว่า เวันไว้ ้
แต่สําคันว่าได้บันลุ คื ยฺกเวันการสํ าคันว่าได้บันลุ
คําว่า แม่นภิกษุน้ี คื ภิกษุท่ พระผู
ี ้มีพระภาคตรัสทຽบกับภิกษุฮูบก่อน ๆ
คําว่า เปันปาราชิก ความว่า ภิกษุมีความปราถนาชฺ่ว ถืกความญากคอบงํา ก่าวอวดอุตต
ริมนุส สธัมที่บํ่มีญบ ํ นแม่นแท้ย่อมบํ่เปันสมณะบํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ป฽บเหมือน
ู่ ่ เปั

ตฺนตาลยอดกุ ้นที่บํ่อาจงอกได้ต่ ไป
ํ ้ พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสว่า “เปันปาราชิก”
ดั่งนัน
คําว่า หาสังวาสบํ่ได้ อธิบายว่า ที่ชื่ว่า สังวาส ได้แก่กัมที่ทําฮ่วมกัน อุทเทศที่สวด
ฮ่วมกัน ความมีสิกขาสเมีกัน นี้ชื่ว่า สังวาส สังวาสนันบํ
้ ่ มีกับภิกษุฮูบนัน
้ ด้วยเหตุนน
ั้
พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสว่า “หาสังวาสบํ่ได้”

บฺทภาชนีย์

[๑๙๙] ที่ชื่ว่า อุตตริมนุสสธัม ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ฌาณทัสสนะ มัค
ภาวนา การทําผฺลให้แจ้ง การละกิเลส ภาวะที่จิตปอดจากกิเลส ความยินดีในเฮือน
ว่าง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 168 / 168 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

คําว่า ฌาน ได้แก่ ปฐฺมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน


คําว่า วิโมกข์ ได้แก่ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์
คําว่า สมาธิ ได้แก่ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ
คําว่า สมาบัติ ได้แก่ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ
คําว่า ญาณะ ได้แก่ วิชชา ๓
คําว่า มัคภาวนา ได้แก่ สติปฏ
ั ฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ
๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมัคมีอฺงค์ ๘
คําว่า การทําผฺลให้แจ้ง ได้แก่ การทําโสดาปัตติผลให้แจ้ง การทําสกทาคามิผฺลให้
แจ้ง การทําอนาคามิผล
ฺ ให้แจ้ง การทําอรหัตตผฺลให้แจ้ง
คําว่า การละกิเลส ได้แก่ การละราคะ การละโทสะ การละโมหะ
คําว่า ภาวะที่จิตปอดจากกิเลส ได้แก่ ภาวะที่จิตปอดจากราคะ ภาวะที่จิตปอดจาก
โทสะ ภาวะที่จิตปอดจากโมหะ
คําว่า ความยินดีในเฮือนว่าง ได้แก่ ความยินดีในเฮือนว่างด้วยปฐฺมฌาน ความยินดี
ในเฮือนว่างด้วยทุติยฌาน ความยินดีในเฮือนว่างด้วยตติยฌาน ความยินดีในเฮือนว่าง
ด้วยจตุตถฌาน

สุทธิกวารกถา
สุทธิกฌาน
ปฐฺมฌาน

[๒๐๐] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮู้ว่า “ข้าพะเจฺาเขฺ


้ าปฐฺ
้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง คื (๑)
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๔ ญ่าง คื (๑) เบื้อง
้ านฮูว
ตฺนท่ ้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน ต้องอาบัติปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 169 / 169

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื (๑) เบื้อง
้ านฮูว
ตฺนท่ ้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๖ ญ่าง คื (๑) เบื้อง
้ านฮูว
ตฺนท่ ้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑) เบื้อง
้ านฮูว
ตฺนท่ ้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
(๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

[๒๐๑] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ


้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานญู”่ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง คื (๑)
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮวู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานญู”่ ด้วยอาการ ๔ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺน

ท่านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าว
เท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน ต้องอาบัตป
ิ าราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานญู”่ ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺน

ท่านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าว
เท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานญู”่ ด้วยอาการ ๖ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺน

ท่านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 170 / 170 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ ต้อง


อาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานญู”่ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺน

ท่านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้ว่าก่าว
เท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ (๗)
อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

[๒๐๒] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮู้ว่า “ข้าพะเจฺาเปั


้ นผู้เขฺาปฐฺ
้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง คื
(๑) เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว
กํฮู้ว่าก่าวเท็จแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้เขฺาปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั ้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๔ ญ่าง คื (๑)
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้เขฺาปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั ้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื (๑)
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้เขฺาปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั ้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๖ ญ่าง คื (๑)
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้เขฺาปฐฺ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั ้ มฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑)
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
(๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 171 / 171

[๒๐๓] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ได้ปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง คื (๑)


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮวู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ได้ปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๔ ญ่าง คื (๑) เบื้อง


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
้ านฮูว
ตฺนท่ ้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ได้ปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื (๑) เบื้อง


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
้ านฮูว
ตฺนท่ ้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ได้ปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๖ ญ่าง คื (๑) เบื้อง


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
้ านฮูว
ตฺนท่ ้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ได้ปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑) เบื้อง


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
้ านฮูว
ตฺนท่ ้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
(๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

[๒๐๔] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ชํานานในปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
คื (๑) เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าว
แล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ชํานานในปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๔ ญ่าง คื (๑)


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮวู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน ต้องอาบัติปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 172 / 172 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ชํานานในปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื (๑)


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮวู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ชํานานในปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๖ ญ่าง คื (๑)


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮวู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ นผู้ชํานานในปฐฺมฌาน” ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑)


้ ่า “ข้าพะเจฺาเปั
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮวู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
(๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

[๒๐๕] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮู้ว่า “ข้าพะเจฺาทํ


้ าปฐฺมฌานให้แจ้งแล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
คื (๑) เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าว
แล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺมฌานให้แจ้งแล้ว” ด้วยอาการ ๔ ญ่าง คื (๑)


้ ่า “ข้าพะเจฺาทํ
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺมฌานให้แจ้งแล้ว” ด้วยอาการ ๕ ญ่าง คื (๑)


้ ่า “ข้าพะเจฺาทํ
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คัน ก่าวแล้ว กํ
ฮูว
้ ่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺมฌานให้แจ้งแล้ว” ด้วยอาการ ๖ ญ่าง คื (๑)


้ ่า “ข้าพะเจฺาทํ
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
ต้องอาบัติปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 173 / 173

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺมฌานให้แจ้งแล้ว” ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑)


้ ่า “ข้าพะเจฺาทํ
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
(๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

[ปฐฺมฌานนี้นักปราชญ์ให้พิสดารแล้ว แนวใด แม่นฌานทังมวลกํเพิงให้พิสดารแนว



นัน]

ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌาน

[๒๐๖] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าทุ


้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ
้ าตติ
ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ยฌาน ฯลฯ จตุตถฌานแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ าญู
้ ่ ... ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ว
้ นผู้ได้จตุตถฌาน ...ข้าพะเจฺาเปั
...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
้ าจตุตถฌานให้แจ้ง
แล้ว ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่า
กําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพาง
ความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ (๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ บฺทภาชนีย์

สุทธิกวิโมกข์
สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์และอัปปณิหิตวิโมกข์

[๒๐๗] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าสุ


้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ญญตวิโมกข์แล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
้ าอนิ
ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มิตตวิโมกข์ ฯลฯ อัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ าญู
้ ่ ...ข้า
้ นผู้เขฺาแล้
พะเจฺาเปั ้ ้ นผู้ได้อัปปณิหิตวิโมกข์ ...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้า
้ าอัปปณิหิตวิโมกข์ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ
พะเจฺาทํ

สุทธิกสมาธิ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 174 / 174 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิและอัปปณิหิตสมาธิ
ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าสุ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ญญตสมาธิแล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ข้า
้ าอนิ
พะเจฺาเขฺ ้ มิตตสมาธิ ฯลฯ อัปปณิหิตสมาธิแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ้ าญู
้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผูเ้ ขฺา้
้ นผู้ได้อัปปณิหิตสมาธิ ...ข้าพะเจฺาเปั
แล้ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
้ าอัปปณิ
หิตสมาธิให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

สุทธิกสมาบัติ

สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติและอัปปณิหิตสมาบัติ
ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าสุ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ญญตสมาบัติแล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ข้า
้ าอนิ
พะเจฺาเขฺ ้ ้ าญู
มิตตสมาบัติ ฯลฯ อัปปณิหิตสมาบัติแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้

เขฺาแล้ ้ นผู้ได้อัปปณิหิตสมาบัติ ...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
้ า
อัปปณิหิตสมาบัติให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

สุทธิกญาณทัสสนะ
วิชชา ๓

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าวิ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ชชา ๓ แล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺา้
้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
เขฺาญู ้ นผูเ้ ขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้วิชชา ๓ ...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...
้ าวิชชา ๓ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ
ข้าพะเจฺาทํ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ บฺทภาชนีย์

สุทธิกมัคคภาวนา
สติปฏ
ั ฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ และอิทธิบาท ๔

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าสติ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ปฏ
ั ฐาน ๔ แล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ข้า
้ าสั
พะเจฺาเขฺ ้ มมัปธาน ๔ ฯลฯ อิทธิบาท ๔ แล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ าญู
้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 175 / 175

้ นผู้ได้อิทธิบาท ๔ ...ข้าพะเจฺาเปั
แล้ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
้ าอิทธิบาท
๔ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

อินทรีย์ ๕ และพละ ๕

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าอิ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ นทรีย์ ๕ แล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ข้า
้ าพละ
พะเจฺาเขฺ ้ ๕ แล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ้ าญู้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผูเ้ ขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
พละ ๕ ...ข้าพะเจฺาเปั ้ าพละ ๕ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก
ฯลฯ

โพชฌงค์ ๗

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าโพชฌงค์
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ๗ แล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺา้
้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
เขฺาญู ้ นผูเ้ ขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้โพชฌงค์ ๗ ...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน
้ าโพชฌงค์ ๗ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ
...ข้าพะเจฺาทํ

อริยมัคมีอฺงค์ ๘

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าอริ
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ยมัคมีอฺงค์ ๘ แล้ว” ด้วยอาการ ๓
้ าญู
ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้อริยมัคมีอฺงค์ ๘
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชาํ นาน ...ข้าพะเจฺาทํ
...ข้าพะเจฺาเปั ้ าอริยมัคมีอฺงค์ ๘ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติ
ปาราชิก ฯลฯ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ บฺทภาชนีย์


สุทธิกอริยผฺล
โสดาปัตติผฺล สกทาคามิผฺล อนาคามิผฺล และอรหัตตผฺล

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าโสดาปั
้ ่า “ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ตติผฺลแล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ข้า
้ าสกทาคามิ
พะเจฺาเขฺ ้ ผล ้ าญู
ฺ ฯลฯ อนาคามิผฺล ฯลฯ อรหัตตผฺลแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 176 / 176 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ นผู้เขฺาแล้
พะเจฺาเปั ้ ้ นผู้ได้อรหัตตผฺล ...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺา้
ทําอรหัตตผฺลให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

สุทธิกกิเลสปหาน
สละราคะ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า “ข้าพะเจฺาสละราคะแล้ ้
ว ข้าพะเจฺาคายราคะแล้ ้ นรา
ว ข้าพะเจฺาพฺ ้

คะแล้ว ข้าพะเจฺาละราคะแล้ ้
ว ข้าพะเจฺาสลั ้ กราคะแล้ว ข้าพะเจฺา้
ดราคะแล้ว ข้าพะเจฺาเพิ

ถอนราคะขึนแล้ ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง คื ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

สละโทสะ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาสละโทสะแล้ ้
ว ฯลฯ ถอนโทสะขึนแล้ ว ด้วยอาการ ๓
ญ่าง คื ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

สละโมหะ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาสละ ้
้ ละ สลัด เพิก ถอนโมหะขึนแล้
คาย พฺน ว ด้วย
อาการ ๓ ญ่าง คื ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

สุทธิกจิตตวินีวรณะ
จิตปอดจากราคะ โทสะและโมหะ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากราคะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง คื ...ต้อง
อาบัติปาราชิก ฯลฯ
ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโทสะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
คื ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ
ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วย
อาการ ๗ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺนท่้ านฮูว้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 177 / 177

เท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหัน


ชอบ (๖) อําพางความพํใจ (๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

สุทธิกะ จฺบ
ขัณฑจักร
ปฐฺมฌานและทุติยฌาน

[๒๐๘] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ


้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและทุติยฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓
้ าญู
ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌานและทุติยฌาน
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
...ข้าพะเจฺาเปั ้ าปฐฺมฌานและทุติยฌานให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติ
ปาราชิก ฯลฯ

ปฐฺมฌานและตติยฌาน

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและตติยฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้า
้ าญู
พะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌานและตติยฌาน ...ข้า
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
พะเจฺาเปั ้ าปฐฺมฌานและตติยฌานให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก
ฯลฯ ปฐฺมฌานและจตุตถฌาน

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและจตุตถฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...
้ าญู
ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผูเ้ ขฺาแล้
้ ้ นผูไ
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ ด้ปฐฺมฌานและจตุตถฌาน ...ข้า
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
พะเจฺาเปั ้ าปฐฺมฌานและจตุตถฌานให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติ
ปาราชิก ฯลฯ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ บฺทภาชนีย์


ปฐฺมฌานกับสุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์และอัปปณิหิตวิโมกข์

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและสุญญตวิโมกข์แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
้ าปฐฺ
ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและอนิมิตตวิโมกข์ ฯลฯ ปฐฺมฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์แล้ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 178 / 178 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ าญู
...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌานและอัปปณิหิต
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
วิโมกข์ ...ข้าพะเจฺาเปั้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
้ าปฐฺมฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์ให้แจ้ง
แล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

ปฐฺมฌานกับสุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิและอัปปณิหิตสมาธิ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและสุญญตสมาธิแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
้ าปฐฺ
ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและอนิมิตสมาธิ ฯลฯ ปฐฺมฌานและอัปปณิหิตสมาธิแล้ว ...ข้า
้ าญู
พะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌานและอัปปณิหิตสมาธิ
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
...ข้าพะเจฺาเปั ้ าปฐฺมฌานและอัปปณิหิตสมาธิให้แจ้งแล้ว ...ต้อง
อาบัติปาราชิก ฯลฯ

ปฐฺมฌานกับสุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติและอัปปณิหิตสมาบัติ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและสุญญตสมาบัติแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
้ าปฐฺ
ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและอนิมิตตสมาบัติ ฯลฯ ปฐฺมฌานและอัปปณิหิตสมาบัติแล้ว
้ าญู
...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌานและอัปปณิหิต
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
สมาบัติ ...ข้าพะเจฺาเปั ้ าปฐฺมฌานและอัปปณิหิตสมาบัติให้แจ้งแล้ว
...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

ปฐฺมฌานและวิชชา ๓

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและวิชชา ๓ แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...
้ าญู
ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผูเ้ ขฺาแล้
้ ้ นผูไ
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ ด้ปฐฺมฌานและวิชชา ๓ ...ข้า
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
พะเจฺาเปั ้ าปฐฺมฌานและวิชชา ๓ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติ
ปาราชิก ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 179 / 179

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ บฺทภาชนีย์


ปฐฺมฌานกับสติปฏ
ั ฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ และอิทธิบาท ๔

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและสติปฏ ั ฐาน ๔ แล้ว ด้วยอาการ ๓
้ าปฐฺ
ญ่าง ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและสัมมัปปธาน ๔ ฯลฯ ปฐฺมฌานและอิทธิบาท ๔
้ าญู
แล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌานและอิทธิ
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
บาท ๔ ...ข้าพะเจฺาเปั ้ าปฐฺมฌานและอิทธิบาท ๔ ให้แจ้งแล้ว ...
ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

ปฐฺมฌานกับอินทรีย์ ๕ และพละ ๕

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและอินทรีย์ ๕ แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
้ าปฐฺ
ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ้ าญู
มฌานและพละ ๕ แล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ว
้ นผู้ได้ปฐฺมฌานและพละ ๕ ...ข้าพะเจฺาเปั
...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
้ าปฐฺมฌาน
และพละ ๕ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

ปฐฺมฌานกับโพชฌงค์ ๗

[๒๐๙] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ


้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและโพชฌงค์ ๗ แล้ว ด้วยอาการ
้ าญู
๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌานและ
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
โพชฌงค์ ๗ ...ข้าพะเจฺาเปั ้ าปฐฺมฌานและโพชฌงค์ ๗ ให้แจ้ง
แล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

ปฐฺมฌานกับอริยมัคมีอฺงค์ ๘

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ้ าญู
มฌานและอริยมัคมีอฺงค์ ๘ ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้า
้ นผู้เขฺาแล้
พะเจฺาเปั ้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌานและอริยมัคมีอฺงค์ ๘ ...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้
้ าปฐฺมฌานและอริยมัคมีอฺงค์ ๘ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก
ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 180 / 180 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ปฐฺมฌานกับโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลและอรหัตตผฺล

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและโสดาปัตติผลแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
้ าปฐฺ
ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและสกทาคามิผฺล ฯลฯ ปฐฺมฌานและอนาคามิผฺล ฯลฯ ปฐฺม
้ าญู
ฌานและอรหัตตผฺลแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชาํ นาน ...ข้าพะเจฺาทํ
ปฐฺมฌานและอรหัตตผฺล ...ข้าพะเจฺาเปั ้ าปฐฺมฌานและอรหัตตผฺล
ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

ปฐฺมฌานกับการสละราคะ โทสะและโมหะ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ้ าญู
มฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่
้ นผู้เขฺาแล้
...ข้าพะเจฺาเปั ้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌาน ...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้า
้ าปฐฺมฌานให้แจ้งแล้ว ...และข้าพะเจฺาสละราคะแล้
พะเจฺาทํ ้ ้ าปฐฺ
ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌาน

แล้ว ฯลฯ และข้าพะเจฺาสละโทสะแล้ ้ าปฐฺ
ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว ฯลฯ และข้า

พะเจฺาสละ คาย พฺน ้
้ ละ สลัด เพิก ถอนโมหะขึนแล้ ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

ปฐฺมฌานกับภาวะที่จิตปอดจากราคะ โทสะและโมหะ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ้ าญู
มฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่
้ นผู้เขฺาแล้
...ข้าพะเจฺาเปั ้ ้ นผู้ได้ปฐฺมฌาน ...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้า
้ าปฐฺมฌานให้แจ้งแล้ว ...และจิตของข้าพะเจฺาปอดจากราคะ
พะเจฺาทํ ้ ...จิตของข้าพะเจฺา้

ปอดจากโทสะ ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ
๗ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓)
คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖)
อําพางความพํใจ (๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

ขัณฑจักร จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 181 / 181

พัทธจักร

[๒๑๐] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าทุ


้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานและตติยฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓
้ าญู
ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้ทุติยฌานและตติยฌาน
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
...ข้าพะเจฺาเปั ้ าทุติยฌานและตติยฌานให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติ
ปาราชิก ฯลฯ
ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าทุ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานและจตุตถฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...
้ าญู
ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผูเ้ ขฺาแล้
้ ้ นผูไ
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ ด้ทุติยฌานและจตุตถฌาน ...
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
ข้าพะเจฺาเปั ้ าทุติยฌานและจตุตถฌานให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติ
ปาราชิก ฯลฯ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าทุ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานและสุญญตวิโมกข์แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
้ าทุ
ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานและอนิมิตตวิโมกข์ ฯลฯ ทุติยฌานและอัปปณิหิตวิโมกข์
ฯลฯ ทุติยฌานและสุญญตสมาธิ ฯลฯ ทุติยฌานและอนิมิตตสมาธิ ฯลฯ ทุติยฌาน
และอัปปณิหิตสมาธิ ฯลฯ ทุติยฌานและสุญญตสมาบัติ ฯลฯ ทุติยฌานและอนิมิตตสมาบัติ
ฯลฯ ทุติยฌานและอัปปณิหิตสมาบัติ ฯลฯ ทุติยฌานและวิชชา ๓ ฯลฯ ทุติยฌานและสติ
ปัฏฐาน ๔ ฯลฯ ทุติยฌานและสัมมัปปธาน ๔ ฯลฯ ทุติยฌานและอิทธิบาท ๔ ฯลฯ
ทุติยฌานและอินทรีย์ ๕ ฯลฯ ทุติยฌานและพละ ๕ ฯลฯ ทุติยฌานและโพชฌงค์ ๗
ฯลฯ ทุติยฌานและอริยมัคมีอฺงค์ ๘ ฯลฯ ทุติยฌานและโสดาปัตติผล ฯลฯ ทุติยฌาน
และสกทาคามิผล ฯลฯ ทุติยฌานและอนาคามิผฺล ฯลฯ ทุติยฌานและอรหัตตผฺลแล้ว ...
้ าญู
ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผูเ้ ขฺาแล้
้ ้ นผูไ
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ ด้ทุติยฌานและอรหัตตผฺล ...
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
ข้าพะเจฺาเปั ้ าทุติยฌานและอรหัตตผฺลให้แจ้งแล้ว...ต้องอาบัติ
ปาราชิก ฯลฯ
ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าทุ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ
้ าญู
้ ่
้ นผู้เขฺาแล้
...ข้าพะเจฺาเปั ้ ้ นผู้ได้ทุติยฌาน...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺา้

ทําทุติยฌานให้แจ้งแล้ว ...ข้าพะเจฺาสละราคะแล้ ้
ว ...ข้าพะเจฺาสละโทสะแล้ ว ...ข้าพะเจฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 182 / 182 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สละ คาย พฺน ้


้ ละ สลัด เพิก ถอนโมหะขึนแล้ ้ าทุ
ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานแล้ว ฯลฯ

จิตของข้าพะเจฺาปอดจากราคะ ้ าทุ
ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานแล้ว ฯลฯ จิตของข้าพะเจฺา้
้ าทุ
ปอดจากโทสะ ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานแล้ว ฯลฯ จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ
้ ...
ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าทุ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานและปฐฺมฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง
ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ าญู
้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้ นผู้ได้
ว ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
ทุติยฌานและปฐฺมฌาน ...ข้าพะเจฺาเปั ้ าทุติยฌานและปฐฺมฌานให้
แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื ...(๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก.

พัทธจักร จฺบ

้ กญ่างนึ่งๆ หมุนวຽนไปจฺนครบด้วยวิทีน้ี คําที่จะก่าวตํ่ไปนี้


้ ตตริมนุสสธัมขํอี
เพิงตังอุ
เปันคําที่ท่านหยํไว้

พัทธจักร เอกมูลกนัย

[๒๑๑] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮู้ว่า ข้าพะเจฺาเขฺ


้ าตติ
้ ยฌานและจตุตถฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓
้ าตติ
ญ่าง ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ้ าญู
ยฌานและอรหัตตผฺลแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้

เขฺาแล้ ้ นผู้ได้ตติยฌานและอรหัตตผฺล ...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้า
้ าตติยฌานและอรหัตตผฺลให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ
พะเจฺาทํ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าตติ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ้ าญู
ยฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่
้ นผู้เขฺาแล้
...ข้าพะเจฺาเปั ้ ้ นผู้ได้ตติยฌาน...ข้าพะเจฺาเปั
ว ...ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺา้

ทําตติยฌานให้แจ้งแล้ว ...ข้าพะเจฺาสละราคะแล้ ้
ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละโทสะแล้ ว ฯลฯ

ข้าพะเจฺาสละ ้ ละ สลัด เพิก ถอนโมหะขึนแล้
คาย พฺน ้ ้
ว ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจาก

ราคะ ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโทสะ ้
...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ...ต้องอาบัติ
ปาราชิก ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 183 / 183

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าตติ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ยฌานและปฐฺมฌาน ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้า
้ าตติ
พะเจฺาเขฺ ้ ้ าญู
ยฌานและทุติยฌานแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ว ...ข้า
้ นผู้ได้ตติยฌานและทุติยฌาน ...ข้าพะเจฺาเปั
พะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...ข้าพะเจฺาทํ
้ าตติยฌานและ
ทุติยฌานให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้ าปฐฺ
และข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว
ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ าทุ
้ ติยฌาน ฯลฯ ตติยฌาน ฯลฯ และจตุตถ ...ข้า
้ าญู
พะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้
ว ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้ นผู้
...ข้าพะเจฺาเปั
ได้จตุตถฌาน ...ข้าพะเจฺาเปั้ นผู้ชํานาน ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ
้ ้ า
และข้าพะเจฺาทํ
จตุตถฌานให้แจ้งแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก

[๒๑๒] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะและข้ ้ าสุ
าพะเจฺาเขฺ ้ ญญต
้ าอนิ
วิโมกข์แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มิตตวิโมกข์ ...อัปปณิหิตวิโมกข์
้ าญู
แล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้
ว ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ข้า
้ นผู้ได้อัปปณิหิตวิโมกข์ ...ข้าพะเจฺาเปั
พะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจาก

้ าอัปปณิหิตวิโมกข์ให้แจ้งแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ
โมหะ และข้าพะเจฺาทํ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะและข้ ้ าสุ
าพะเจฺาเขฺ ้ ญญตสมาธิแล้ว
้ าอนิ
ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ้ าญู
มิตตสมาธิ ...อัปปณิหิตสมาธิแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่
้ นผู้เขฺาแล้
...ข้าพะเจฺาเปั ้ ้
ว ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะข้ ้ นผู้ได้อัปปณิหิต
าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ
สมาธิ ...ข้าพะเจฺาเปั ้ ้ าอัปปณิ
และข้าพะเจฺาทํ
หิตสมาธิให้แจ้งแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ ่า จิตของข้า

พะเจฺาปอดจากโมหะและข้ ้ าสุ
าพะเจฺาเขฺ ้ ญญตสมาบัติแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺา้

เขฺาอนิ ้ าญู
มิตตสมาบัติ ...อัปปณิหิตสมาบัติแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ว ...

จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้ นผู้ได้อัปปณิหิตสมาบัติ ...ข้าพะเจฺาเปั
ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํา

นาน...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้ าอัปปณิหิตสมาบัติให้แจ้งแล้ว
และข้าพะเจฺาทํ
ต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 184 / 184 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะและข้ ้ าวิ
าพะเจฺาเขฺ ้ ชชา ๓ แล้ว
้ าญู
ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผูเ้ ขฺาแล้
้ ้
ว ...จิตของข้าพะเจฺาปอด
้ นผู้ได้วิชชา ๓ ...ข้าพะเจฺาเปั
จากโมหะ และข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...จิตของข้าพะเจฺา้
้ าวิชชา ๓ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก
ปอดจากโมหะและข้าพะเจฺาทํ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะและข้ ้ าสติ
าพะเจฺาเขฺ ้ ปฏ
ั ฐาน ๔
้ าสั
แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มมัปปธาน ๔ ...อิทธิบาท ๔ แล้ว ...ข้า
้ าญู
พะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้
ว ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะและข้ ้ น
าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชาํ นาน ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะและข้
ผู้ได้อิทธิบาท ๔ ...ข้าพะเจฺาเปั ้ าพะเจฺา้
ทําอิทธิบาท ๔ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก

[๒๑๓] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮู้ว่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ


้ ้ าอิ
และข้าพะเจฺาเขฺ ้ นทรีย์
๕ แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ข้าพะเจฺาเขฺ ้ าพละ
้ ้ าญู
๕ แล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้า
้ นผู้เขฺาแล้
พะเจฺาเปั ้ ้
ว ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้ นผู้ได้พละ ๕ ...
และข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้ชํานาน ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะและข้
ข้าพะเจฺาเปั ้ ้ าพละ ๕ ให้แจ้ง
าพะเจฺาทํ
แล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้ าโพชฌงค์
และข้าพะเจฺาเขฺ ้ ๗
้ าญู
แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ว จิตของข้าพะเจฺา้
้ นผูไ
ปอดจากโมหะ และข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...จิตของข้า
้ ด้โพชฌงค์ ๗ ...ข้าพะเจฺาเปั

พะเจฺาปอดจากโมหะ ้ าโพชฌงค์ ๗ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก
และข้าพะเจฺาทํ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้ าอริ
และข้าพะเจฺาเขฺ ้ ยมัคมีอฺงค์
๘ แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ้ าญู
้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ว จิตของข้าพะเจฺา้
้ นผู้ได้อริยมัคมีอฺงค์ ๘ ...ข้าพะเจฺาเปั
ปอดจากโมหะ ข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน ...จิตของข้า

พะเจฺาปอดจากโมหะ ้ าอริยมัคมีอฺงค์ ๘ ให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติ
และข้าพะเจฺาทํ
ปาราชิก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 185 / 185

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้ าโสดาปั
และข้าพะเจฺาเขฺ ้ ตติผล
้ าสกทาคามิ
แล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ผล ฯลฯ อนาคามิผฺล ฯลฯ อรหัต
้ าญู
ตผฺลแล้ว ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺาแล้
้ ้
ว ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ
้ นผู้ได้อรหัตตผฺล ...ข้าพะเจฺาเปั
และข้าพะเจฺาเปั ้ นผู้ชํานาน...จิตของข้าพะเจฺาปอดจาก

้ าอรหัตตผฺลให้แจ้งแล้ว ...ต้องอาบัติปาราชิก
โมหะ และข้าพะเจฺาทํ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้
และข้าพะเจฺาสละราคะแล้ ว

ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละโทสะแล้ ้
ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละ ้ ละ สลัด
คายพฺน

เพิก ถอนโมหะขึนแล้ ว ...ต้องอาบัติปาราชิก

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้
ฯลฯ จิตของข้าพะเจฺาปอดจาก

ราคะ ฯลฯ จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโทสะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๗
ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓)
คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖)
อําพางความพํใจ (๗) อําพาง
ความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

พัทธจักรเอกมูลกนัย จฺบ

ิ ดารเหมือนพัทธจักรเอกมูลกนัยที่ให้
้ เพิงให้พส
แม่นพัทธจักรทุมูลกนัยเปันตฺนกํ
พิสดารแล้ว
คําที่จะก่าวตํ่ไปนี้เปันพัทธจักรสัพพมูลกนัย

พัทธจักร สัพพมูลกนัย

[๒๑๔] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ


้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิ
หิตสมาธิ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ วิชชา ๓ สติปฏ
ั ฐาน ๔

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 186 / 186 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมัคมีอฺงค์ ๘ โสดา


้ าญู
ปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลและอรหัตตผฺล ...ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ่ ...ข้าพะเจฺาเปั
้ นผู้เขฺา้

แล้ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละราคะแล้ ้
ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละโทสะแล้ ้
ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละ
คาย พฺน ้
้ ละ สลัด เพิก ถอนโมหะขึนแล้ ้
ว ...จิตของข้าพะเจฺาปอดจากราคะ จิตของข้า

พะเจฺาปอดจากโทสะ ้
จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วย
อาการ ๗ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺนท่
้ านฮูว้ ่าจักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ
(๓) คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ
(๖) อําพางความพํใจ (๗) อําพางความปะสฺงค์ ต้องอาบัติปาราชิก

สัพพมูลกนัย จฺบ

สุทธิกวารกถา จฺบ

วัตตุกามวารกถา
ขัณฑจักรแห่งเอกมูลกนัย
วัตถุ วิสารกะ

้ าปฐฺ
[๒๑๕] ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ ่า “ข้า
้ าทุ
พะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานแล้ว” ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อ
เขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย

้ าปฐฺ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าตติ
้ ่าข้าพะเจฺาเขฺ ้ ย
ฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิกเมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ

ต้องอาบัติถุลลัจจัย

้ าปฐฺ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ า้
้ ่าข้าพะเจฺาเขฺ
จตุตถฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺา้
ใจ ต้องอาบัติถุล ลัจจัย

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 187 / 187

้ าปฐฺ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ า้
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ
สุญญตวิโมกข์ ฯลฯ อนิมิตตวิโมกข์ ฯลฯ อัปปณิหิตวิโมกข์ ฯลฯ สุญญตสมาธิ ฯลฯ
อนิมิตตสมาธิ ฯลฯ อัปปณิหิตสมาธิ ฯลฯ สุญญตสมาบัติ ฯลฯ อนิมิตตสมาบัติ ฯลฯ
อัปปณิหิตสมาบัติ ฯลฯ วิชชา ๓ ฯลฯ สติปฏ
ั ฐาน ๔ ฯลฯ สัมมัปปธาน ๔ ฯลฯ อิทธิ
บาท ๔ ฯลฯ อินทรีย์ ๕ ฯลฯ พละ ๕ ฯลฯ โพชฌงค์ ๗ ฯลฯ อริยมัคมีอฺงค์ ๘ ฯลฯ
โสดาปัตติผล ฯลฯ สกทาคามิผล ฯลฯ อนาคามิผล ฯลฯ อรหัตตผฺลแล้ว ด้วยอาการ
๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

้ าปฐฺ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า ข้าพะเจฺาสละ

ราคะแล้ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละโทสะแล้ ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละ้ ้
คาย พฺนละ สลัด เพิก

ถอนโมหะขึนแล้ ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่

เขฺาใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

้ าปฐฺ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว
้ ่า จิตของข้า

พะเจฺาปอดจากราคะ ้
ฯลฯ จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโทสะ ฯลฯ จิตของข้าพะเจฺาปอด้
จากโมหะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺน
้ ท่านฮูว
้ ่าจักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าวญู่
กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อํา
พางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ (๗) อําพางความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ ื ้
าใจ
ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย

ขัณฑจักรแห่งเอกมูลกนัย วัตถุ วิสารกะ จฺบ

พัทธจักร เอกมูลกนัย แห่งวัตถุ วิสารกะ

้ าทุ
[๒๑๖] ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ ่าข้าพะเจฺา้

เขฺาตติ ยฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่

เขฺาใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 188 / 188 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ าทุ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ า้
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ

จตุตถฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื า้
ใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

้ าทุ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ า้
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ
ปฐฺมฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื ฯลฯ (๗) อําพางความ
ปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

พัทธจักร เอกมูลกนัยแห่งวัตถุ วิสารกะ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ บฺทภาชนีย์


้ งพัทธจักรที่ท่านหยํไว้
หฺวขํแห่ ้


[๒๑๗] ภิกษุต้องการก่าวว่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ แต่ก่าวเท็จทังที่ฮู้ว่า ข้า
้ าปฐฺ
พะเจฺาเขฺ ้ มฌาน ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่

เขฺาใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ


ภิกษุต้องการจะก่าวว่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว
้ ่า จิตของข้า

พะเจฺาปอดจากโทสะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง คื ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง ฯลฯ (๗) อําพาง
ความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย

พัทธจักร เอกมูลกนัย แห่งวัตถุ วิสารกะ ที่ท่านหยํไว้


้ จฺบ

ขัณฑจักรทุมูลกนัย แห่งวัตถุ วิสารกะ

้ าปฐฺ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและทุติยฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ ่า ข้า
้ าตติ
พะเจฺาเขฺ ้ ยฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อ
เขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 189 / 189

้ าปฐฺ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานและทุติยฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว
้ ่า

จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื ฯลฯ
(๗) อําพางความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย

ขัณฑจักร ทุมูลกนัยแห่งวัตถุ วิสารกะ จฺบ

พัทธจักร ทุมูลกนัยแห่งวัตถุ วิสารกะ

้ าทุ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานและตติยฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว้ ่า ข้า
้ าจตุ
พะเจฺาเขฺ ้ ตถฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก
เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

้ าทุ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานและตติยฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ ่า

จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติ
ปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

้ าทุ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌานและตติยฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว
้ ่า ข้า
้ าปฐฺ
พะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื ฯลฯ (๗) อํา
พางความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย

พัทธจักร ทุมูลกนัยแห่งวัตถุ วิสารกะ จฺบ

พัทธจักร ทุมูลกนัยแห่งวัตถุ วิสารกะ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 190 / 190 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


ภิกษุต้องการจะก่าวว่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโทสะ ้
และจิตของข้าพะเจฺาปอดจาก
โมหะ แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ น


เขฺาใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ


ภิกษุต้องการจะก่าวว่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโทสะ ้
และจิตของข้าพะเจฺาปอดจาก
โมหะ แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้
้ ่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากราคะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ
ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื ฯลฯ (๗) อําพางความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติ
ปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย

พัทธจักร ทุมูลกนัย แห่งวัตถุ วิสารกะที่ท่านຫยํไว้


้ จฺบ

พัทธจักร ติมูลกนัยกํดี จตุมูลกนัยกํดี ปัญจมูลกนัยกํดี ฉมูลกนัยกํดี สัตตมูลกนัยกํดี



อัฏฐมูลกนัยกํดี นวมูลกนัยกํดี ทสมูลกนัยกํดี แห่งวัตถุ วิสารกะบัณฑิตเพิงตังขยายให้
เหมือน พัทธจักรแม่นที่เปันเอกมูลกนัยแห่งนิกเขปบทที่ขยายไว้แล้ว เพิงขยายให้
พิสดารเหมือนพัทธจักรเอกมูลกนัยที่ท่านขยายให้พิสดารไว้แล้วเถีด คําที่จะก่าวตํ่
ไปนี้เปันพัทธจักร สัพพมูลกนัย

้ าปฐฺ
[๒๑๘] ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิ
หิตสมาธิ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ วิชชา ๓ สติปฏ
ั ฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมัคมีอฺงค์ ๘ โสดา

ปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลและอรหัตตผฺลแล้ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละราคะแล้ ว

ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละโทสะแล้ ้
ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาสละ คายพฺน ้ ละ สลัด เพิก ถอนโมหะขึน ้

แล้ว จิตของข้าพะเจฺาปอดจากราคะและจิ ้
ตของข้าพะเจฺาปอดจากโทสะ แต่ก่าวเท็จทัง
ที่ฮู้ว่า จิตข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ
้ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง ...เมื่อ
ผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 191 / 191

้ าทุ
[๒๑๙] ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน สุญญต
วิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิต
สมาธิ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ วิชชา ๓ สติปฏ
ั ฐาน ๔
สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมัคมีอฺงค์ ๘ โสดา

ปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลและอรหัตตผฺล ข้าพะเจฺาสละราคะแล้ ว ...ข้าพะเจฺา้

สละโทสะแล้ว ...ข้าพะเจฺาสละ คาย พฺน ้
้ ละ สลัด เพิกถอนโมหะขึนแล้ ว ...จิตของข้า

พะเจฺาปอดจากราคะ ้
จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโทสะ ้
จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ
แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าปฐฺ
้ ่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ
ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

้ าตติ
ภิกษุต้องการจะก่าวว่า ข้าพะเจฺาเขฺ ้ ยฌานและจตุตถฌาน ฯลฯ และจิตของข้าพะเจฺา้
ปอดจากโมหะ และข้าพะเจฺาเขฺ้ าปฐฺ
้ มฌานแล้ว แต่ก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ าทุ
้ ่าข้าพะเจฺาเขฺ ้ ติย
ฌานแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ

ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ


ภิกษุต้องการจะก่าวว่า จิตของข้าพะเจฺาปอดจากโมหะ ้ าปฐฺ
ข้าพะเจฺาเขฺ ้ มฌาน ทุติยฌาน

ตติยฌาน จตุตถฌาน ฯลฯ จิตของข้าพะเจฺาปอดจากราคะ แต่ก่าวเท็จทังที่ฮู้ว่า จิตของ

ข้าพะเจฺาปอดจากโทสะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺน

ท่านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าว
เท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ (๗)
อําพางความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติปาราชิก เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย

พัทธจักร สัพพมูลกนัยแห่งวัตถุ วิสารกะ จฺบ

จักรเปยยาลแห่งวัตถุ วิสารกะ จฺบ

วัตตุกามวารกถา จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 192 / 192 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ปัจจยปฏิสังยุตตวารกถา
เปยยาล ๑๕ หมวด

[๒๒๐] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮู้ว่า ภิกษุฮูบใดญูใ ่ นวิหารของท่าน ภิกษุฮูบนันเขฺ้ ้


าปฐฺ มฌาน
้ ่ ...เปันผู้เขฺาแล้
แล้ว ...เขฺาญู ้ ้
ว ...ภิกษุฮูบนันเปันผู้ได้ปฐฺมฌาน ...เปันผู้ชํานาน ...ภิกษุฮูบ
้ าปฐฺมฌานให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺนท่
นันทํ ้ านฮูว้ ่า จักก่าวเท็จ
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้ว่าก่าวเท็จแล้ว เมื่อผู้อ่ นเขฺ
(๒) กําลังก่าวกํฮว ื ้
าใจ
ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติทุกกฏ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว ้ ่า ภิกษุฮูบใดญูใ ่ นวิหารของท่าน ภิกษุฮูบนันเขฺ้ ้


าปฐฺ มฌานแล้ว ...
้ ่ ...เปันผู้เขฺาแล้
เขฺาญู ้ ้
ว ...ภิกษุฮูบนันเปั ้ า
นผู้ได้ปฐฺมฌาน ...เปันผู้ชํานาน ...ภิกษุฮูบนันทํ
ปฐฺมฌานให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๔ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๕ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ
๖ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว
กํฮู้ว่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อํา
พางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ (๗) อําพางความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ ื ้
าใจ
ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติทุกกฏ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว
้ ่า ภิกษุฮูบใดญูใ ้
่ นวิหารของท่าน ภิกษุฮูบนันเขฺ า้ ทุติยฌาน ตติย
ฌาน จตุตถฌาน สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์ สุญญตสมาธิ
อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ วิชชา
๓ สติปฏ ั ฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗
อริยมัคมีอฺงค์ ๘ โสดาปัตติผฺล สกทาคามิผฺล อนาคามิผฺลและอรหัตตผฺล ...เขฺาญู ้ ่ ...

เปันผู้เขฺาแล้ ้
ว ...ภิกษุฮูบนันเปั ้ าอรหัต
นผู้ได้อรหัตตผฺล ...เปันผู้ชํานาน ...ภิกษุฮูบนันทํ
ตผฺลให้แจ้งแล้ว ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อเขฺาบํ่

เขฺาใจ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 193 / 193

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว
้ ่า ภิกษุฮูบใดญูใ ้
่ นวิหารของท่าน ภิกษุฮูบนันสละราคะแล้ ว ฯลฯ
สละโมหะแล้ว ฯลฯ สละ คาย พฺน ้
้ ละ สลัด เพิก ถอนโมหะขึนแล้ ว ด้วยอาการ ๓
ญ่าง ...เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว
้ ่า ภิกษุฮูบใดญูใ ้
่ นวิหารของท่าน จิตของภิกษุฮูบนันปอดจากราคะ
...จากโทสะ ...จิตปอดจากโมหะ ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ ญ่าง คื (๑)
เบื้องตฺนท่
้ านฮูว
้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮู้
ว่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ
(๗) อําพางความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้อง
อาบัติทุกกฏ

ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว
้ ่า ภิกษุฮูบใดญูใ
่ นวิหารของท่าน ภิกษุฮูบนันเขฺ้ า้ ปฐฺมฌาน ทุติย
ฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ในเฮือนว่างแล้ว ...เขฺาญู ้ ่ ...เปันผู้เขฺาแล้
้ ้
ว ...ภิกษุฮูบนันเปั น
้ าจตุตถฌานให้แจ้งแล้ว
ผู้ได้จตุตถฌานในเฮือนว่าง ...เปันผู้ชํานาน ...ภิกษุฮูบนันทํ
ด้วยอาการ ๓ ญ่าง ฯลฯ ด้วยอาการ ๗ คื (๑) เบื้องตฺน ้ ท่านฮูว
้ า่ จักก่าวเท็จ (๒)
กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่ากําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าว
แล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพางความเหันชอบ (๖) อําพาง
ความพํใจ (๗) อําพางความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย เมื่อเขฺาบํ่เขฺา้
ใจ ต้องอาบัติทุกกฏ
แม่นที่เหลือกํเพิงขยายให้พิสดารเหมือนกับที่ได้ขยายมานี้

[๒๒๑] ภิกษุก่าวเท็จทังที่ฮูว
้ ่า ภิกษุฮูบใดใช้สอยจีวอนของท่าน ภิกษุฮูบใดฉัน
บิณฑบาตของท่าน ภิกษุฮูบใดใช้สอยเสนาสนะของท่าน ภิกษุฮูบใดบํริโภคคิลานปัจจัย
เภสัชบํริขารของท่าน วิหารของท่านภิกษุฮูบใดใช้สอยแล้ว จีวอนของท่านภิกษุฮูบ
ใดใช้สอยแล้ว บิณฑบาตของท่านภิกษุฮูบใดฉันแล้ว เสนาสนะของท่านภิกษุฮูบใดใช้
สอยแล้ว คิลานปัจจัยเภสัชบํริขารของท่านภิกษุฮูบใดบํริโภคแล้ว ท่านอาศัยภิกษุฮูบ
ใดแล้วได้ถวายวิหาร ได้ถวายจีวอน ได้ถวายบิณฑบาต ได้ถวายเสนาสนะ ได้
้ เขฺาปฐฺ
ถวายคิลานปัจจัยเภสัชบํริขาร ภิกษุฮูบนัน ้ มฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 194 / 194 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ฌาน ในเฮือนว่าง ...เขฺาญู ้ ่ ...เปันผู้เขฺาแล้


้ ้
ว ...ภิกษุฮูบนันเปันผู้ได้ จตุตถฌาน ในเฮือน
้ าจตุตถฌานให้แจ้งแล้วในเฮือนว่าง ฯลฯ ด้วย
ว่าง ...เปันผู้ชํานาน ...ภิกษุฮูบนันทํ
อาการ ๓ ญ่าง ...๗ ญ่าง คื (๑) เบื้องตฺนท่ ้ านฮูว ้ ่า จักก่าวเท็จ (๒) กําลังก่าว กํฮว
ู้ ่า
กําลังก่าวเท็จ (๓) คันก่าวแล้ว กํฮว
ู้ ่าก่าวเท็จแล้ว (๔) อําพางความเหัน (๕) อําพาง
ความเหันชอบ (๖) อําพางความพํใจ (๗) อําพางความปะสฺงค์ เมื่อผู้อ่ นเขฺ
ื ้
าใจ ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย เมื่อเขฺาบํ่เขฺาใจ
้ ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏ

เปยยาล ๑๕ หมวด จฺบ


ปัจจัยปฏิสังยุตตวารกถา จฺบ
อุตตริมนุสสธัมจักรเปยยาล จฺบ

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๒๒๒] ๑. ภิกษุผู้สําคันว่าได้บันลุ
๒. ภิกษุผู้บ่ มี
ํ ความปะสฺงค์จะก่าวอวด
๓. ภิกษุวิกฺลจิต
๔. ภิกษุผู้มีจิตปั่นป่ วง
๕. ภิกษุกะวฺนกะวายเพาะเวทนา
้ นญัต
๖. ภิกษุผู้เปันตฺนบั

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ คาถาฮวมวินีต


วัตถุ
คาถาฮวมวินีตวัตถุ
เรื้องที่ชฺงวินิจฉัยแล้ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 195 / 195

เรื้องภิกษุสําคันว่าได้บันลุ ๑ เรื้อง ๧เรื้องญู่ป่า ๑ เรื้อง ๧เรื้องท฽วบิณฑบาต ๑


เรื้อง ๧เรื้องพระอุปช ั ฌาย์ ๒ เรื้อง ๧เรื้องอิริยาบฺถ ๔ เรื้อง ๧เรื้องละสังโยชน์ ๑
เรื้อง ๧เรื้องธัมในที่ลับ ๒ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุผู้ญู่ในวิหาร ๑ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุผู้ได้
ฮับการบํารุง ๑ เรื้อง ๧เรื้องทําบํ่ยาก ๑ เรื้อง ๧เรื้องความพ฽ນ ๑ เรื้อง ๧เรื้อง
บํ่ญ้านความตาย ๑ เรื้อง ๧เรื้องความฮ้อนใจ ๑ เรื้อง ๧เรื้องความปะกอบถืกต้อง ๑
เรื้อง ๧เรื้องปารฺภความพ฽ນ ๑ เรื้อง ๧เรื้องปะกอบความพ฽ນ ๑ เรื้อง ๧เรื้องอฺด

กันเวทนา ๒ เรื้อง ๧เรื้องพรามณ์ ๕ เรื้อง ๧เรื้องพยากอนมัคผฺล ๓ เรื้อง ๧เรื้องญู่
คองเฮือน ๑ เรื้อง ๧เรื้องห้ามกาม ๑ เรื้อง ๧เรื้องความยินดี ๑ เรื้อง ๧เรื้องหลีก
ไป ๑ เรื้อง ๧เรื้องอัฏฐิกสังขลิกเผด ๑ เรื้อง ๧เรื้องมังสเปสิเผด ๑ เรื้อง ๧เรื้อง
มังสปิณฑเผด ๑ เรื้อง ๧เรื้องนิจฉวิเผดเพศชาย ๑ เรื้อง ๧เรื้องอสิโลมเผดเพศชาย
๑ เรื้อง ๧เรื้องสัตติโลมเผดเพศชาย ๑ เรื้อง ๧เรื้องอุสุโลมเผดเพศชาย ๑ เรื้อง
๧เรื้องสูจิโลมเผดเพศชาย ๑ เรื้อง ๧เรื้องกุมภัณฑเผด ๑ เรื้อง ๧เรื้องสูจกเผด
เพศชาย ๑ เรื้อง ๧เรื้องเผดจมหลุมคูถเพศชาย ๑ เรื้อง ๧เรื้องเผดกินคูถเพศชาย
๑ เรื้อง ๧เรื้องนิจฉวิเผดเพศยิง ๑ เรื้อง ๧เรื้องมังคุลิเผดเพศยิง ๑ เรื้อง ๧เรื้อง
โอกิรินีเผดเพศยิง ๑ เรื้อง ๧เรื้องกพันธเผด ๑ เรื้อง ๧เรื้องนักบวชทํากัมชฺ่วใน
ศาสนาของพระพุทธเจฺากั ้ สสปะ ๕ เรื้อง คื ๧เรื้องเผดมีฮูบเปันภิกษุ ๑ เรื้อง ๧เรื้อง
เผดมีฮูบเปันภิกษุณี ๑ เรื้อง ๧เรื้องเผดมีฮบ
ู เปันสิกขมานา ๑ เรื้อง ๧เรื้องเผดมีฮูบ
เปันสามเณร ๑ เรื้อง ๧เรื้องเผดมีฮูบเปันสามเณรี ๑ เรื้อง ๧เรื้องแม่นาตโปทา
ํ้ ๑
เรื้อง ๧เรื้องการสู้รฺบในกุงราชคึห์ ๑ เรื้อง ๧เรื้องได้ยินสຽงช้างลฺงนํา้ ๑ เรื้อง ๧
เรื้องพระอรหันต์โสภิตะระนึกชาติได้ ๕๐๐ กัป ๑ เรื้อง

วินีตวัตถุ
เรื้องภิกษุสําคันว่าได้บันลุ ๑ เรื้อง

[๒๒๓] สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งปะกาดว่าได้อรหัตตผฺลเพาะสําคันว่าได้บันลุ ท่านเกีดความ


กังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่ง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 196 / 196 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ


เพาะสําคันว่าได้บันลุ” (เรื้องที ๑)

เรื้องญูป
่ ่ า ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งปราถนาว่า ปะชาชฺนจักยฺกย้องเฮฺาญ่างนี้จึ่งญูป
สมัยนัน ่ ่ า ปะชาชฺนกํยฺกย้อง
ท่าน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้แล้ว เฮฺาต้อง
อาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก อีกญ่างนึ่ง ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ เพิ
ํ งญูป
่ ่ าด้วยปราถนา
ว่าจะได้ฮับคํายฺกย้อง ภิกษุใดญูป ้ ภิกษุนนต้
่ ่ าด้วยปราถนาญ่างนัน ั ้ องอาบัติทุกกฏ”
(เรื้องที ๒)

เรื้องท฽วบิณฑบาต ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งปราถนาว่า ปะชาชฺนจักยฺกย้องเฮฺาญ่างนี้จึ่งท฽วบิณฑบาต ปะ
สมัยนัน
ชาชฺนกํยฺกย้องท่าน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตสิกขาบฺทไว้
ิ าราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
แล้ว เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก อีกญ่างนึ่ง ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ ํ
เพิงท฽วบิณฑบาตด้วยปราถนาว่าจะได้ฮับคํายฺกย้อง ภิกษุใดท฽วบิณฑบาตด้วยปราถนา
ั ้ องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๓)
้ ภิกษุนนต้
ญ่างนัน

เรื้องพระอุปช
ั ฌาย์ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งบอกภิกษุอีกฮูบนึ่งว่า “พวกภิกษุสัทธิวิหาริกของพระอุปช
สมัยนัน ั ฌาย์ของ
พวกเฮฺา ล้วนเปันพระอรหันต์” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่าน
้ ความปะสฺงค์จะก่าวอวดพระพุทธเจฺาข้
คิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่
ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๔)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 197 / 197

้ ภิกษุฮูบนึ่งบอกภิกษุอีกฮูบนึ่งว่า “พวกภิกษุอันเตวาสิกของพระอุปช
สมัยนัน ั ฌาย์ของ
พวกเฮฺาล้วนมีฤทธานุภาพมาก” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่าน
้ ความปะสฺงค์จะก่าวอวด พระพุทธเจฺาข้
คิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่
ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจ จัย” (เรื้องที ๕)

เรื้องอิริยาบฺถ ๔ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งปราถนาว่า ปะชาชฺนจักยฺกย้องเฮฺาญ่างนี้จึ่งเดีนจฺงกฺม ปะชาชฺนกํยฺ


สมัยนัน
กย้องท่าน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืนํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก อีกญ่า
งนึ่ง ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ เพิ ้ ภิกษุใดเดีนจฺงกฺม ด้วย
ํ งเดีนจฺงกฺม ด้วยปราถนาญ่างนัน
ั ้ องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๖)
้ ภิกษุนนต้
ปราถนาญ่างนัน

้ ภิกษุฮูบนึ่งปราถนาว่า ปะชาชฺนจักยฺกย้องเฮฺาญ่างนี้จึ่งญืน ปะชาชฺนกํยฺกย้อง


สมัยนัน
ท่าน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตปิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระ
ผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก อีกญ่างนึ่ง
ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ เพิ
ํ งยืนด้วยปราถนาญ่างนัน้ ภิกษุใดยืนด้วยปราถนาญ่างนัน ้ ภิกษุ
้ องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๗)
นันต้

้ ภิกษุฮูบนึ่งปราถนาว่า ปะชาชฺนจักยฺกย้องเฮฺาญ่างนี้จึ่งนั่ง ปะชาชฺนกํยฺกย้องท่าน


สมัยนัน
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก อีกญ่างนึ่ง ภิกษุ
ํ งนั่งด้วยปราถนาญ่างนัน
ทังหลาย ภิกษุบ่ เพิ ้ ภิกษุใดนั่งด้วยปราถนาญ่างนัน
้ ภิกษุนน ั้
ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๘)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งปราถนาว่า ปะชาชฺนจักยฺกย้องเฮฺาญ่างนี้ จึ่งนอน ปะชาชฺนกํยฺกย้อง


ท่าน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระ
ผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก อีกญ่างนึ่ง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 198 / 198 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุทังหลาย ภิกษุบ่ เพิ ้ ภิกษุใดนอนด้วยปราถนาญ่างนัน


ํ งนอนด้วยปราถนาญ่างนัน ้
ั ้ องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๙)
ภิกษุนนต้

เรื้องละสังโยชน์ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งก่าวอวดอุตตริมนุสสธัมแก่ภิกษุอีกฮูบนึ่ง แม่นภิกษุฮูบนันกํ
สมัยนัน ้ ก่า
วอวดว่า “แม่นผู้ข้ากํละสังโยชน์ได้” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลแด่พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
ิ าราชิก” (เรื้องที ๑๐)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตป

เรื้องธัมในที่ลับ ๒ เรื้อง

[๒๒๔] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งญูใ


่ นที่สงัด ก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม ภิกษุผู้ฮค ู้ วามคิดของ
ื บนึ่งตักเตือนท่านว่า “ท่านญ่าก่าวญ่างนัน
ผู้อ่ นฮู ้ เพาะท่านบํ่มีธัมเชั่นนัน”
้ ภิกษุฮูบนันเกี
้ ด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ”
(เรื้องที ๑๑)

้ ภิกษุอีกฮูบนึ่งญูใ
สมัยนัน ่ นที่สงัด ก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม เทพดาตักเตือนท่านว่า
“พระคุณเจฺา้ พระคุณเจฺาญ่ ้ เพาะพระคุณเจฺาบํ
้ าก่าวญ่างนัน ้ ภิกษุฮูบนันเกี
้ ่ มีธัมญ่างนัน” ้ ด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ”
(เรื้องที ๑๒)

เรื้องภิกษุผู้ญใ
ู่ นวิหาร ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งบอกอุบาสฺกคฺนนึ่งว่า “อุบาสฺก ภิกษุฮูบที่ญูใ


สมัยนัน ่ นวิหารของท่านเปัน
พระอรหันต์” และตฺวท่านกํญใ ู่ นวิหารของอุบาสฺกนัน ้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความปะสฺงค์จะก่าวอวด พระ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 199 / 199

้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้อง


พุทธเจฺาข้
อาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๓)

เรื้องภิกษุผู้ได้ฮับการบํารุง ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งบอกอุบาสฺกคฺนนึ่งว่า “อุบาสฺก ภิกษุฮูบที่ท่านบํารุงด้วยจีวอน


บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบํริขารนัน ้ เปันพระอรหันต์” และอุบาสฺก กํ
ั้ ด
บํารุงภิกษุนนญู ่ ้วยจีวอน บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัช บํริขาร ภิกษุนน ั้
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้ ความ
ปะสฺงค์จะก่าวอวด พระพุทธเจฺาข้้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๔)

เรื้องทําบํ่ยาก ๑ เรื้อง

[๒๒๕] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายถามท่านว่า “ท่านมีอุตตริม


่ ลื” ท่านตอบว่า “การบันลุอรหัตตผฺลเฮัดได้บ่ ํยาก” ท่านเกีดความกังวฺลใจ
นุสสธัมญูห
้ ่ ควรก่าวญ่างนัน
ว่า สะเพาะพระอริยสาวฺกของพระผู้มีพระภาคเทฺ่านันที ้ แต่เฮฺาบํ่ได้เปัน
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
สาวฺกของพระผู้มีพระภาค๑ เฮฺาต้องอาบัตป
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มี
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่
ความปะสฺงค์จะก่าวอวด พระพุทธเจฺาข้
ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๕)

เรื้องความพ฽ນ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายถามท่านว่า “ท่านมีอุตตริมนุสสธัมหลื” ท่าน


สมัยนัน
ตอบว่า “ท่านทังหลาย ท่านผู้บําเพ็นพ฽ນแล้วสามาดจะมีธัมได้” ท่านเกีดความกังวฺล
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
ใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๖)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 200 / 200 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เรื้องบํ่ญ้านความตาย ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายก่าวกับท่านว่า “ท่านญ่าญ้านเลีย” ท่านตอบว่า


สมัยนัน
“ท่านทังหลาย ผู้ข้าบํ่ญ้านตาย” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
ิ าราชิกหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความ
ปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่ต้องอา บัต”ิ (เรื้องที ๑๗)

เรื้องความฮ้อนใจ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายก่าวกับท่านว่า “ท่านญ่าญ้านเลีย” ท่านตอบว่า


สมัยนัน
“ท่านทังหลาย ผู้มีความฮ้อนใจจะต้องญ้านแน่” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าว อวด บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๘)

เรื้องความปะกอบถืกต้อง ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายถามท่านว่า “ท่านมีอุตตริมนุสสธัมหลื” ท่าน


สมัยนัน
ตอบว่า “ท่านทังหลาย ผู้ปะกอบถืกต้อง สามาดจะมีธัมได้” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๑๙)

เรื้องปารฺภความพ฽ນ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายถามท่านว่า “ท่านมีอุตตริมนุสสธัมหลื” ท่าน


สมัยนัน
ตอบว่า “ท่านทังหลาย ผู้ปารฺภความพ฽ນแล้ว สามาดจะมีธัมได้” ท่านเกีดความกังวฺล
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
ใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๒๐)

เรื้องปะกอบความพ฽ນ ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 201 / 201

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายถามท่านว่า “ท่านมีอุตตริมนุสสธัมหลื” ท่าน


สมัยนัน
ตอบว่า “ท่านทังหลาย ผู้ปะกอบความพ฽ນแล้ว สามาดจะมีธัมได้” ท่านเกีดความ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบพระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที
๒๑)

เรื้องอฺดกันเวทนา
้ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายถามท่านว่า “ท่านยังสะบายดีหลื ยังพํเปันญู่


สมัยนัน
ได้หลื” ท่านตอบว่า “คนทฺ่วไปบํ่สามาดอฺดกันได้
้ ” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
ิ าราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
อาบัตป
“ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๒๒)

้ ภิกษุฮูบนึ่งอาพาธ ภิกษุทังหลายถามท่านว่า “ท่านยังสะบายดีหลืยัง พํเปันญู่


สมัยนัน

ได้หลื” ท่านตอบว่า ปุถุชฺนบํ่สามาดอฺดกันได้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า
“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่ มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด พระพุทธเจฺาข้
้ า”
“ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๒๓)

เรื้องพรามณ์ ๕ เรื้อง

้ พรามณ์คฺนนึ่งนิมฺนต์ภิกษุทังหลายมาก่าวว่า “นิมฺนต์พระอรหันต์ทัง
[๒๒๖] สมัยนัน
หลายมาเถีดขน้อย” ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาบํ่แม่นพระอรหันต์
แต่พรามณ์น้ฮ฽กพวกเฮฺ
ี าว่า พระอรหันต์ พวกเฮฺาเพิงปะติบัดญ่างใดดี จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้อง
อาบัติ เพาะเขฺาฮ฽กด้วยความเหลื้อมใส” (เรื้องที ๒๔)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 202 / 202 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ พรามณ์คฺนนึ่งนิมฺนต์ภิกษุทังหลายมาก่าวว่า “นิมฺนต์พระอรหันต์ทังหลายนั่ง
สมัยนัน
เถีดขน้อย” ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาบํ่แม่นพระอรหันต์ แต่พ
รามณ์ฮ฽กพวกเฮฺาว่าพระอรหันต์ พวกเฮฺาเพิงปะติบัดญ่างใดดี จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติ เพาะ
เขฺาฮ฽กด้วยความเหลื้อมใส” (เรื้องที ๒๕)

้ พรามณ์คฺนนึ่งนิมฺนต์ภิกษุทังหลายมาก่าวว่า “นิมฺนต์พระอรหันต์ทังหลาย
สมัยนัน
ฉันเถีดขน้อย” ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาบํ่แม่นพระอรหันต์แต่พ
รามณ์ฮ฽กพวกเฮฺาว่าพระอรหันต์ พวกเฮฺาเพิงปะติบัดญ่างใดดี จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติ เพาะ
เขฺาฮ฽กด้วยความเหลื้อมใส” (เรื้องที ๒๖)

สมัยนัน ้ พรามณ์คฺนนึ่งนิมฺนต์ภิกษุทังหลายมาก่าวว่า “นิมฺนต์พระอรหันต์ทังหลายฉัน


ให้อ่ มหนํ
ิ าเถีดขน้อย” ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่าพวกเฮฺาบํ่แม่นพระอรหันต์
แต่พรามณ์ฮ฽กพวกเฮฺาว่าพระอรหันต์ พวกเฮฺาเพิงปะติบัดญ่างใดดี จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติ
เพาะเขฺาฮ฽กด้วยความเหลื้อมใส” (เรื้องที ๒๗)

้ พรามณ์คฺนนึ่งนิมฺนต์ภิกษุทังหลายมาก่าวว่า “นิมฺนต์พระอรหันต์ทังหลาย
สมัยนัน
กับเถีดขน้อย” ภิกษุเหลฺ่านันเกี
้ ดความกังวฺลใจว่า พวกเฮฺาบํ่แม่นพระอรหันต์ แต่พ
รามณ์ฮ฽กพวกเฮฺาว่าพระอรหันต์ พวกเฮฺาเพิงปะติบัดญ่างใดดี จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย พวกท่านบํ่ต้องอาบัติ เพาะ
เขฺาฮ฽กด้วยความเหลื้อมใส” (เรื้องที ๒๘)

เรื้องพยากอนมัคผฺล ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งก่าวอวดอุตตริมนุสสธัมแก่ภิกษุอีกฮูบนึ่ง แม่นภิกษุฮูบนันกํ
สมัยนัน ้ ก่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ
วอวดว่า “ผู้ข้ากํละอาสวะได้” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 203 / 203

จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้อง


อาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๒๙)

้ ภิกษุฮูบนึ่งก่าวอวดอุตตริมนุสสธัมแก่ภิกษุอีกฮูบนึ่ง แม่นภิกษุฮูบนันกํ
สมัยนัน ้ ก่า
วอวดว่า “ธัมเหลฺ่านี้แม่นนแต่ผู้ข้ากํม”ี ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๓๐)

้ ภิกษุฮูบนึ่งก่าวอวดอุตตริมนุสสธัมแก่ภิกษุอีกฮูบนึ่ง แม่นภิกษุฮูบนันกํ
สมัยนัน ้ ก่า
วอวดว่า “ผู้ข้ากํปากฺดในธัมเหลฺ่านัน”
้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
ปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๓๑)

เรื้องญู่คองเฮือน ๑ เรื้อง

้ พวกยาตบอกภิกษุฮูบนึ่งว่า “นิมฺนต์ท่านมาญูค
สมัยนัน ้
่ องเฮือนเถีด ขน้อย” ภิกษุฮูบนัน
ตอบว่า “ท่านทังหลาย คฺนญ่างอาตมาบํ่ควรจะญูค ่ องเฮือน” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
ิ าราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
เฮฺาต้องอาบัตป
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ่ มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด พระ
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๓๒)
พุทธเจฺาข้

เรื้องห้ามกาม ๑ เรื้อง

้ พวกยาตบอกภิกษุฮูบนึ่งว่า “นิมฺนต์ท่านมาบํริโภคกามเถีด” ภิกษุนน


[๒๒๗] สมัยนัน ั้
ตอบว่า “ท่านทังหลาย เฮฺาปฏิเสธกามทังหลายแล้ว” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
ิ าราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ต้องอาบัตป
้ ่ มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด พระ
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด “ข้าพระพุทธเจฺาบํ
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๓๓)
พุทธเจฺาข้

เรื้องความยินดี ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 204 / 204 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สมัยนัน้ พวกยาตถามภิกษุฮูบนึ่งว่า “ท่านยังยินดีญห ั้


ู่ ลื” ภิกษุนนตอบว่ า “อาตมายังยินดี
่ ้วยความยินดีเปันญ่างยิ่ง”๑ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่าสะเพาะพระสาวฺกของพระผู้มี
ญูด
้ ่ ควรก่าวญ่างนัน
พระภาคเทฺ่านันที ้ แต่เฮฺาบํ่ได้เปันพระสาวฺกของพระผู้มีพระภาค เฮฺา
ต้องอาบัติปาราชิกหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
้ ่ มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด พระ
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด “ข้าพระพุทธเจฺาบํ
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะก่าวอวด บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๓๔)
พุทธเจฺาข้

เรื้องหลีกไป ๑ เรื้อง

้ ภิกษุจํานวนหลายจําพันษาในอาวาสแห่งนึ่ง ตังกติ
สมัยนัน ้ กากันว่า “ขํให้พวกเฮฺาฮู้
นพระอรหันต์” ภิกษุฮูบนึ่งหลีก
กัน ภิกษุฮูบใดหลีกไปจากอาวาสนี้ก่อน ภิกษุฮูบนันเปั


จากอาวาสนันไปก่ อนด้วยต้องการให้ผู้อ่ นฮู ื ว ้ ่าตฺนเปันพระอรหันต์ ท่านเกีดความกังวฺล
ิ าราชิก หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
ใจว่า เฮฺาต้องอาบัตป
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติปาราชิก” (เรื้องที ๓๕)

เรื้องอัฏฐิกสังขลิกเผด ๑ เรื้อง
(เผดมีแต่ฮ่างกะดูก)

[๒๒๘] สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุง


้ น
ราชคึห์ คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับท่านพระมหาโมคคัลลานะพักญู่ท่ ภู
ี เขฺาคิชฌกูฏ คัน
เวลาเชฺา้ พระมหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสก ถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
้ กขณะ
จฺนเถิงที่ญู่ เชีนชวนว่า “ท่านลักขณะมาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์
ด้วยกัน” พระลักขณะฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ
เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่น
หยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม”
พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลาตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้
มีพระภาค ค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจาก

บิณฑบาตหลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ ้
าพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้ว
นั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 205 / 205

ท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม


แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม”
พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ขา้ ลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหันอัฏฐิสังขลิก
เผด ลอยขึนสู ้ ่กางอากาศ ฝูงแฮ้ง นฺกกา นฺกแหลวพากันบินแช่วญูข ้ ้
่ วักไขว่ จิกทึงยื
แย่งชี้นที่ติดญูต
่ ามระหว่างกะดูกข้างแกว่งไปมาจฺนมันฮ้องควนคาง ขะน้อยมีความฮูส ้ ึก
ํ ยปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพ
ว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
เชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะ ก่า
วอวดอุตตริมนุสสธัม”
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทัง
ลําดับนัน
หลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันอัฏฐิ

สังขลิกเผดนันแต่ บ่ พยากอน
ํ ้
เพาะการพยากอนนันจะบํ ่ เปันปโยดเกื้อกูล ซําจะเปั
้ นทุกข์
ยาวนาน แก่ผู้ท่ บํ
ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันคฺนข้าโคในกุงราชคึห์
้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญห
เพาะผฺลกัมนัน ู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้มี
อัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าว จิง จึ่งบํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที
๓๖)

เรื้องมังสเปสิเผด ๑ เรื้อง
้ ้อ)
(เผดมีแต่ฮ่างชินเนื

[๒๒๙] สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุง


้ น
ราชคึห์ คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้

พระมหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั กขณะจฺนเถิงที่ญู่
เชีนชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระ
ลักขณะฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่
แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุ
เปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่
เถิงเวลาตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด”

คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 206 / 206 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


เฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระ
้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์
ลักขณะได้ก่าวขึนว่
นี้ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดง
อาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ขา้ ลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ได้
้ ่กางอากาศ ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลวพากันบินแช่วญูข
เหันมังสเปสิเผด ลอยขึนสู ่ วักไขว่
้ ้แย่งเผดนันแกว่
จิกทึงยื ้ งไปมาจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
้ ึกว่า หน้าอัสจันแม่น
ํ ยปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้
แท้บ่ เคี
อัตภาพเชั่นนี้ญู่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลา
นะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม”
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทัง
ลําดับนัน
หลายที่มีจักษุญาณ(ตาทิบ)กํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํ

เหันมังสเปสิเผดนันแต่ บ่ พยากอน
ํ ้
เพาะการพยากอนนันจะบํ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั
้ น
ทุกข์ยาวนาน แก่ผู้ท่ ีบํ่เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันคฺนข้าโคญูใ
่ นกุงราชคึห์
้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญู่
เพาะผฺลกัมนัน
หลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ
โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๓๗)

เรื้องมังสปิณฑเผด ๑ เรื้อง
(เผดฮ่างก้อนชี้น)

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแตเขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ ีเขฺาคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 207 / 207

บิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ้ ้


าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า
“ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่ง
นึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุ เปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระ
มหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหันมังสปิณฑเผด ลอย
ในอากาศ ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลวพากันบินแช่วญูข ้ ้แย่งเผดนันแกว่
่ วักไขว่จิกทึงยื ้ งไป
มาจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส ํ ยปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มี
้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
ยักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่
ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริม
นุสสธัม”
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทัง
ลําดับนัน
หลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํ
้ แต่บ่ ํ พยากอน เพาะการพยากอนนันจะบํ
เหันมังสปิณฑเผดนัน ้ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซํา้
จะเปันทุกข์ยาวนาน แก่ผู้ท่ ีบํ่เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันคฺนข้านฺกในกุง
ราชคึห์ เพาะผฺลกัมนัน ้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญหู่ ลาย
ฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัล
ลานะก่าว จิง จึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๓๘)

เรื้องนิจฉวิเผดเพศชาย ๑ เรื้อง
(เผดฮ่างบํ่มีผิวหนังเพศชาย)

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 208 / 208 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽ว
บิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ ้ ้
าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า
“ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่ง
นึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระ
มหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านเมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหันนิจฉวิเผดเพศชาย
ลอยในอากาศ ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลวพากันบินแช่วญู่ขวักไขว่จิกทึงยื ้ ้แย่งเผดนันแกว่
้ ง
ํ ยปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้
้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
ไปมาจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม
โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม” ลําดับนัน ้ พระผู้มีพระภาค
ตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทง ั หลาย สาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่
เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ ีเหันนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันนิจฉวิเผดเพศชายนัน้
แต่บ่ พยากอน
ํ ้
เพาะการพยากอนนันจะบํ ้ นทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั ี ่
เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันคฺนข้าแกะในกุงราชคึห์ เพาะผฺลกัมนัน ้ จึ่งตฺก
นรฺกหมฺกไหม้ญห ู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะ
เศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิง จึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๓๙)

เรื้องอสิโลมเผดเพศชาย ๑ เรื้อง
(เผดฮ่างมีขน
ฺ เปันดาบเพศชาย)

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ ีเขฺาคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด”

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 209 / 209

คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไป ้



เฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระ
้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์
ลักขณะได้ก่าวขึนว่
นี้ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดง
อาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านเมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหันอสิ
โลมเผดเพศชาย ลอยในอากาศ (ขฺน) ดาบเหลฺ่านันของมั้ ้
นหลุดลอยขึนไปแล้ วกับตฺ
กลฺงที่ฮ่างของมันเองจฺนมันฮ้องควนคาง ผูข ้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ ํเคียปากฺด
้ ้ามีความฮูส
ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากัน
ตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุส สธัม” ลําดับนัน ้
พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทังหลายที่มี
จักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ ีเหันนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันอสิโลมเผดเพศ

ชายนันแต่ บ่ พยากอน
ํ ้
เพาะการพยากอนนันจะบํ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั
้ นทุกข์ยาวดฺน
แก่ผู้ท่ บํ
ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันคฺนข้าหมูในกุงราชคึห์ เพาะผฺลกัมนัน้
จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญหู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้
เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๔๐)

เรื้องสัตติโลมเผดเพศชาย ๑ เรื้อง
(เผดฮ่างมีขน
ฺ เปันหอกเพศชาย)

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด”

คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 210 / 210 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


เฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระ
้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์
ลักขณะได้ก่าวขึนว่
นี้ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดง
อาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ขา้ ลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหัน
สัตติโลมเผดเพศชายลอยในอากาศ (ขฺน)หอกเหลฺ่านันของมั ้ ้
นหลุดลอยขึนไปแล้ ว
กับตฺกลฺงที่ฮ่างของมันเองจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
ํ ย
ปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพ
เชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะ ก่า
วอวดอุตตริ มนุสสธัม” ลําดับนัน ้ พระผู้มพ ี ระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า
“ภิกษุทังหลาย สาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้
เมื่อก่อนเฮฺากํเหันสัตติโลมเผดเพศชายนันแต่
้ บ่ ํพยากอน เพาะการพยากอนนันจะบํ ้ ่ เปัน
้ นทุกข์ยาวนาน แก่ผู้ท่ ีบํ่เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
ปโยดเกื้อกูลซําจะเปั ้ ยเปัน
้ จึ่งตฺกนรฺก หมฺกไหม้ญห
พานล่าเนื้อในกุงราชคึห์ เพาะผฺลกัมนัน ู่ ลายฮ้อยปี หลายพัน
ปี หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ
โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๔๑)

เรื้องอุสุโลมเผดเพศชาย ๑ เรื้อง
(เผดฮ่างมีขน
ฺ เปันลูกสอนเพศชาย)

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ ีเขฺาคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด”

คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 211 / 211


เฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระ
้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์
ลักขณะได้ก่าวขึนว่
นี้ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดง
อาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ขา้ ลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหัน
อุสุโลมเผดเพศชาย ลอยในอากาศ (ขน)ลูกสอนเหลฺ่านันของมั ้ ้
นหลุดลอยขึนไปแล้ ว
กับตฺกลฺงที่ฮ่างของมันเองจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามี ความฮูส
้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
ํ ย
ปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลาย
พากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริ มนุสสธัม”
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทัง
ลําดับนัน
หลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันอุสุ

โลมเผดเพศชายนันแต่ บ่ ํพยากอน เพาะการพยากอนนันจะบํ ้ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั
้ น
ทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันเพัชคาดญูใ
่ นกุงราชคึห์
้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญห
เพาะผฺลกัมนัน ู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้มี
อัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๔๒)

เรื้องสูจิโลมเผดเพศชาย ๑ เรื้อง
(เผดฮ่างมีขน
ฺ เปันเข็มเพศชาย)

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด”
คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไป ้

เฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 212 / 212 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์


ลักขณะได้ก่าวขึนว่
นี้ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดง
อาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ขา้ ลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหัน
สูจิโลมเผดเพศชาย ลอยในอากาศ (ขฺน)เข็มเหลฺ่านันของมั
้ ้
นหลุดลอยขึนไปแล้ วกับตฺ
กลฺงที่ฮ่างของมันเองจฺนมันฮ้องควนคาง ผูข ้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
้ ้ามีความฮูส ํ ยปากฺด
ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากัน
ตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะ ก่าวอวดอุตตริมนุส สธัม” ลําดับ
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทังหลาย
นัน
ที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันสูจโ
ิ ลมเผด

เพศชายนันแต่ บ่ พยากอน
ํ เพาะการพยากอนนันจะบํ ้ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั
้ นทุกข์
ยาวดฺนแก่ผู้ท่ ีบํ่เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันนายสารถีญใ
ู่ นกุงราชคึห์
้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญห
เพาะผฺลกัมนัน ู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้มี
อัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๔๓)

เรื้องสูจกเผดเพศชาย ๑ เรื้อง
(เผดมีฮ่างถืกเข็มหมุดทิ่มแทงเพศชาย)

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ ีเขฺาคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด”
คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไป ้

เฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระ
้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์
ลักขณะได้ก่าวขึนว่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 213 / 213

นี้ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดง


อาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ขา้ ลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหันสู
จกเผดเพศชาย ลอยในอากาศ เข็มหมุดเหลฺ่านันแทงเขฺ
้ ้
าในสี ษะของมันชอดออกทาง

ปาก แทงเขฺาไปในปากชอดออกทางเอิ ้
ก แทงเขฺาในเอิ กชอดออกทางท้อง แทงเขฺา้

ในท้องชอดออกทางขาอ่อนทัง ๒ แทงเขฺาในขาอ่ อนชอดออกทางแค่งทัง ๒ แทงเขฺา้
้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ ํ
ในแค่งชอดออกทางตีนทัง ๒ จฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
เคียปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู่”
ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริม
นุสสธัม”
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทัง
ลําดับนัน
หลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันสูจก
เผดเพศชายนันแต่ ้ บ่ พยากอน
ํ ้
เพาะการพยากอนนันจะบํ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั
้ นทุกข์
ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ้ ่ ส฽ดญูใ
ยเปันคฺนเวฺาสํ ่ นกุงราชคึห์
้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญู่
เพาะผฺลกัมนัน
หลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ
โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๔๔)

เรื้องกุมภัณฑเผด ๑ เรื้อง
(เผดมีอัณฑะโตเทฺ่าหมํ)้

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 214 / 214 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

บิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ้ ้


าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า
“ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่ง
นึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระ
มหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหันกุมภัณฑเผดเพศ
ชาย ลอยในอากาศ เมื่อเผดนันย่
้ างกํยฺกอัณฑะเหลฺ่านันขึ ้
้ นพาดไว้ เทิงบ่าไป เมื่อนั่งกํ
นั่งทับอัณฑะเหลฺ่านัน
้ ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลวพากันบินแช่วญูข ้ ้แย่งเผด
่ วักไขว่จิกทึงยื

นันแกว่ ํ ยปากฺด ที่มี
้ ึกว่าหน้าอัสจันแท้บ่ เคี
งไปมาจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
สัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากัน
ตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม”
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทัง
ลําดับนัน
หลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันกุม
ภัณฑเผดเพศชายนันแต่ ้ บ่ พยากอน
ํ ้
เพาะการพยากอนนันจะบํ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั
้ น
ทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันผู้พิพากษาโกงชาวบ้านญูใ ่ น
กุงราชคึห์ เพาะผฺลกัมนัน ้ จึ่งตฺก นรฺกหมฺกไหม้ญหู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสน
ปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ”
(เรื้องที ๔๕)

เรื้องเผดจฺมหลุมคูถเพศชาย ๑ เรื้อง

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ ีเขฺาคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 215 / 215

บิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ้ ้


าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า
“ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่ง
นึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระ
มหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ได้เหันเผดจมหลุมคูถจน
มิดสีษะ เพศชาย ลอยในอากาศ ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลวพากันบินแช่วญูข ้ ้
่ วักไขว่จิกทึงยื

แย่งเผดนันแกว่ งไปมาจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส ้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
ํ ย
ปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลาย
พากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะ ก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม”
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลายสาวฺกทัง
ลําดับนัน
หลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันเผ
ดจมหลุมคูถเพศชายนันแต่้ บ่ พยากอน
ํ เพาะการพยากอนนันจะบํ้ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซํา้
จะเปันทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ ีบํ่เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันชู ้กับภัรยาของชาย
อื่นญูใ
่ นกุงราชคึห์ เพาะ ผฺลกัมนัน ้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญหู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี
หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่
ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๔๖)

เรื้องเผดกินคูถเพศชาย ๑ เรื้อง

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้

ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระมหาโมค

คัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีนชวนว่า
“ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะฮับคํา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 216 / 216 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

แล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะ


แดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้
ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลาตอบ
บันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาต
ในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ ้ ้
าพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะ
ทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า “ท่านมหา
โมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะ
แดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมค
คัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ได้เหันเผดผู้จฺมหลุมคูถท้วมสีษะ
กําลังใช้มทื ัง ๒ กอบคูถกินเพศชาย ลอยในอากาศ ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลวพากันบิน
แช่วญูข ้ ้แย่งเผดนันแกว่
่ วักไขว่จิกทึงยื ้ งไปมาจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
้ ึกว่า
หน้าอัสจันแท้บ่ เคีํ ยปากฺด ที่มีสัตว์ เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพ
เชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวด
อุตตริมนุสสธัม” ลําดับนัน ้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทง ั
หลาย สาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อน

เฮฺากํเหันเผดกินคูถเพศชายนันแต่ บ่ พยากอน
ํ เพาะการพยา กอนนัน ้ จะบํ่เปันปโยด
้ นทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
เกื้อกูลซําจะเปั ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันพรามณ์ช่ ว ฺ
ฮ้ายญูใ ้
่ นกุงราชคึห์ คังศาสนาพระกั สสปสัมมาสัมพุทธเจฺา้ พรามณ์นนนิ ั ้ มฺนต์ภิกษุสฺงฆ์
ฉันภัตตาหารแล้วเทคูถลฺงใส่ฮางจฺนเต็ม สั่งให้บอกเวลาอาหารว่า ขํท่านผู้จะเรีนทัง
้ ่ งตฺ
หลายจฺ่งฉันอาหารและนําไปให้พํแก่ความต้องการจากที่นี้ เพาะผฺลกัมนันจึ
กนรฺกหมฺกไหม้ญหู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี แล้วได้ฮับอัตภาพเชั่นนี้เพาะ
้ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๔๗)
เศษกัมนัน

เรื้องนิจฉวิเผดเพศยิง ๑ เรื้อง
(เผดฮ่างบํ่มีผิวหนังเพศยิง)

[๒๓๐] สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุง


้ น
ราชคึห์ คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 217 / 217


พระมหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั กขณะจฺนเถิงที่ญู่
เชีนชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระ
ลักขณะฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่
แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุ
เปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะ ตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่
เถิงเวลาตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด”
คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไป ้

เฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระ
้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์
ลักขณะได้ก่าวขึนว่
นี้ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดง
อาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านเมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหัน
นิจฉวิเผดเพศยิง ลอยในอากาศ ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลวพากันบินแช่วญูข ่ วักไขว่จิก
้ ้แย่งเผดนันแกว่
ทึงยื ้ ้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
งไปมาจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส ํ ย
ปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลาย
พากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม”
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทัง
ลําดับนัน
หลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันนิจฉ

วิเผดเพศยิงนันแต่ บ่ พยากอน
ํ เพาะการพยากอนนันจะบํ ้ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั
้ นทุกข์
ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดยิงตฺนนันเคี
้ ยปะพึดนอกใจสามีญู่ในกุง
ราชคึห์ เพาะผฺลกัมนัน ้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺก ไหม้ญห
ู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี
แล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ”
(เรื้องที ๔๘)

เรื้องมังคุลิเผดเพศยิง ๑ เรื้อง
(เผดฮูบฮ่างหน้ากຽดเพศยิง)

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 218 / 218 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด”
คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไป ้

เฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระ
้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์
ลักขณะได้ก่าวขึนว่
นี้ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดง
อาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ขา้ ลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้
เหันมังคุลิเผด กิ่นเหม็น เพศยิง ลอยในอากาศ ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลว พากันบิน
แช่วญูข ้ ้แย่งเผดนันแกว่
่ วักไขว่จิกทึงยื ้ งไปมาจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
้ ึกว่า
ํ ยปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่น
หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
นี้ญู่” ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะ
้ ีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า
้ พระผูม
ก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม” ลําดับนัน
“ภิกษุทังหลายสาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้
เมื่อก่อนเฮฺากํเหันมังคุลเิ ผดเพศยิงนันแต่
้ บ่ พยากอน
ํ ้
เพาะการพยากอนนันจะบํ ่ เปัน
ปโยดเกื้อกูลซําจะเปั
้ นทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดยิงตฺนนันเคี
้ ย
เปันแม่มด
ฺ ญูใ ้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญห
่ นกุงราชคึห์ เพาะผฺลกัมนัน ู่ ลายฮ้อยปี หลายพัน
ปี หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่
ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๔๙)

เรื้องโอกิรินีเผดเพศยิง ๑ เรื้อง
(เผดฮ่างถืกไฟลวกเพศยิง)

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ ีเขฺาคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 219 / 219

้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะ ตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽ว
บิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ ้ ้
าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า
“ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่ง
นึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระ
มหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านเมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ได้เหันโอกิรินีเผดเพศยิง
ถืกถ่านเพิงเผฺาฮอบตฺวจฺนสุกเยี้ม หยาดนําไหลญฺ
้ ดลฺง ลอยในอากาศ มันฮ้องควนคาง
ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลวพากันบิน แช่วญูข ้ ้แย่งเผดนันแกว่
่ วักไขว่จิกทึงยื ้ งไปมาจฺนมัน
ฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส ้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้ บํ่เคียปากฺดที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้
มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า
“พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม” ลําดับนัน ้ พระผูม ้ ีพระภาคตรัสฮ฽ก
ภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะ
สาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันโอกิรินีเผดเพศยิงนันแต่
้ บ่ ํพยากอน
เพาะการพยากอนนันจะบํ ้ ้ นทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุ

ทังหลาย เผดยิงตฺนนันเคี ้
ยเปันพระอัครมเหสีของพระเจฺากาลิ งคะ นางขี้หึงเอฺากะทะมี
้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญห
ถ่านไฟคอกยิงคู่แข่ง เพาะผฺลกัมนัน ู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี
หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่
ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๕๐)

เรื้องกพันธเผด ๑ เรื้อง
(เผดสีษะขาด)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 220 / 220 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ ีเขฺาคิชฌกูฏคันเวลาเชฺา้ พระมหา

โมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีนชวน
ว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ดว ้ ยกัน” พระลักขณะฮับ
คําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะ
แดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้
ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลาตอบ
บันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาต
ในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ ้ ้
าพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะ
ทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า “ท่านมหา
โมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะ
แดง อาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหา
โมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ขา้ ลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหันกพันธเผดลอยใน
อากาศ ตาและปากของมันญู่ท่ เอิ
ี ก ฝูงแฮ้ง นฺกกา แหลวพากันบินแช่วญูข ่ วักไขว่จิก
้ ้แย่งเผดนันแกว่
ทึงยื ้ ้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
งไปมาจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส ํ ย
ปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลาย
พากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะ ก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม”
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทัง
ลําดับนัน
หลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันกพันธ

เผดนันแต่ บ่ ํพยากอน เพาะการพยากอนนันจะบํ ้ ่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั
้ นทุกข์ยาวดฺน
แก่ผู้ท่ ีบํ่เชื่อเฮฺา ภิกษุทังหลาย เผดนันเคี
้ ยเปันเพัชคาดข้าโจรชื่อทามริกะญูใ
่ นกุง
ราชคึห์ เพาะผฺลกัมนัน ้ จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญหู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปี
แล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้ เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ”
(เรื้องที ๕๑)

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ วินีตวัตถุ


เรื้องนักบวชทํากัมชฺ่วในศาสนาของพระพุทธเจฺากั ้ สสปะ ๕ เรื้อง คื

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 221 / 221

เรื้องเผดมีฮูบเปันภิกษุ ๑ เรื้อง

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด”
คันท่านทัง ๒ ท฽วบิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไป ้

เฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระ
้ า “ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์
ลักขณะได้ก่าวขึนว่
นี้ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดง
อาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ขา้ ลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ได้เหัน
ภิกษุเผดลอยในอากาศ สังฆาฏิ บาตร ประคตแอว และฮ่างกายของมันถืกไฟติดลุก
โชนจฺนมันฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส ํ ยปากฺด ที่มีสัตว์เชั่นนี้ มี
้ ึกว่า หน้าอัสจันแท้บ่ เคี
ยักษ์เชั่นนี้ มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม
โพนทนาว่า “พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม” ลําดับนัน ้ พระผู้มีพระภาค
ั หลาย สาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่
ตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทง
เพาะสาวฺกที่ฮูท
้ ่ ีเหันนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันภิกษุเผดนันแต่
้ บ่ พยากอน
ํ เพาะ
การ พยากอนนันจะบํ ้ ้ นทุกข์ยาวนาน แก่ผู้ท่ ีบํ่เชื่อเฮฺา ภิกษุทัง
่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั

หลาย เผดนันเคี ยเปันภิกษุช่ วในศาสนาพระกั
ฺ ้
สสปสัมมาสัมพุทธเจฺา้ เพาะผฺลกัมนัน
จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญู่ หลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้มีอัตภาพเชั่นนี้
เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๕๒)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 222 / 222 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เรื้องเผดมีฮูบเปันภิกษุณี ๑ เรื้อง

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ ีเขฺาคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽ว
บิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ ้ ้
าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า
“ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่ง
นึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระ
มหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ได้เหันภิกษุณเี ผดลอยใน
อากาศ สังฆาฏิ บาตร ประคตแอว และฮ่างกายของมันถืกไฟติดลุกโชน จฺนมันฮ้อง
ํ ยปากฺดที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มี
้ ึกว่า หน้า อัสจันแท้บ่ เคี
ควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
เผดเชั่นนี้ มีการได้อต
ั ภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า
“พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม” ลําดับนัน ้ พระผูม้ ีพระภาคตรัสฮ฽ก
ภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะ
สาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันภิกษุณีเผดนันแต่
้ บ่ ํพยากอน เพาะ
การพยากอนนันจะบํ ้ ้ นทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทัง

หลาย เผดนันเคี ยเปันภิกษุณีช่ วในศาสนาพระกั
ฺ ้
สสปสัมมาสัมพุทธเจฺา้ เพาะผฺลกัมนัน
จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญหู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้ฮับอัตภาพเชั่นนี้
เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๕๓)

เรื้องเผดมีฮูบเปันสิกขมานา ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 223 / 223

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽ว
บิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ ้ ้
าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า
“ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่ง
นึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระ
มหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ได้เหันสิกขมานาเผด
ลอยในอากาศ สังฆาฏิ บาตร ประคตแอว และฮ่างกายของมันถืกไฟติดลุกโชน จฺนมัน
้ ึกว่า หน้า อัสจันแท้บ่ ํเคียปากฺดที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้
ฮ้องควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
มีเผดเชั่นนี้ มีการได้อัตภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า
“พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม” ลําดับนัน ้ พระผูม ้ ีพระภาคตรัสฮ฽ก
ภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะ
สาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันสิกขมานาเผดนันแต่
้ บ่ พยากอน
ํ เพาะ

การพยากอนนันจะบํ ้ นทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทัง

หลาย เผดนันเคี ยเปันสิกขมานาชฺ่วในศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจฺา้ เพาะผฺลกัม
้ ่ งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ ญูห
นันจึ ่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้ฮับอัตภาพเชั่น
นี้เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๕๔)

เรื้องเผดมีฮูบเปันสามเณร ๑ เรื้อง

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ เขฺ
ี าคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 224 / 224 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ
ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้
สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽ว
บิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ ้ ้
าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า
“ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่ง
นึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระ
มหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหันสามเณรเผด ลอย
ในอากาศ สังฆาฏิ บาตร ประคตแอว และฮ่างกายของมันถืกไฟติดลุกโชน จฺนมันฮ้อง
ํ ยปากฺดที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มี
้ ึกว่า หน้า อัสจันแท้บ่ เคี
ควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
เผดเชั่นนี้ มีการได้อต
ั ภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า
“พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม” ลําดับนัน ้ พระผูม้ ีพระภาคตรัสฮ฽ก
ภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะ
สาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันสามเณรเผดนันแต่
้ บ่ พยากอน
ํ เพาะ

การพยากอนนันจะบํ ้ นทุกข์ยาวดฺนแก่ผู้ท่ บํ
่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั ี ่ เชื่อเฮฺา ภิกษุทัง

หลาย เผดนันเคี ยเปันสามเณรชฺ่วในศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจฺา้ เพาะผฺลกัมนัน ้
จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญหู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้ฮับอัตภาพเชั่นนี้
เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๕๕)

เรื้องเผดมีฮูบเปันสามเณรี ๑ เรื้อง

สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคปะทับ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกะแต เขตกุงราชคึห์


้ น
คังนั ้ ท่านพระลักขณะกับพระมหาโมคคัลลานะพักญูท ่ ่ ีเขฺาคิชฌกูฏ คันเวลาเชฺา้ พระ
้ กขณะจฺนเถิงที่ญู่ เชีน
มหาโมคคัลลานะคองอันตรวาสกถืบาตรและจีวอนเขฺาไปหาพระลั
ชวนว่า “ท่านลักขณะ มาเถีด พวกเฮฺาจะไปบิณฑบาตในกุงราชคึห์ด้วยกัน” พระลักขณะ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 225 / 225

ฮับคําแล้ว ขณะที่พระมหาโมคคัลลานะกําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ เถิงสถานที่แห่งนึ่งได้


สะแดงอาการแย้ม พระลักขณะถามว่า “ท่านโมคคัลลานะ แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัย
ให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่านลักขณะ ยังบํ่เถิงเวลา
ตอบบันหานี้ เมื่อเขฺาเฝฺ
้ าพระผู
้ ้มีพระภาคค่อยถามบันหานี้เถีด” คันท่านทัง ๒ ท฽ว
บิณฑบาตในกุงราชคึห์ กับจากบิณฑบาต หลังจากฉันอาหาร เขฺาไปเฝฺ ้ ้
าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ ถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วพระลักขณะได้ก่าวขึนว่
้ า
“ท่านมหาโมคคัลลานะ เมื่อท่านลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ ในกุงราชคึห์น้ี เถิงสถานที่แห่ง
นึ่งได้สะแดงอาการแย้ม แม่นหยังเปันเหตุเปันปัจจัยให้ท่านสะแดงอาการแย้ม” พระ
มหาโมคคัลลานะตอบว่า “ท่าน เมื่อผู้ข้าลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏได้เหันสามเณรีเผด ลอย
ในอากาศ สังฆาฏิ บาตร ประคตแอว และฮ่างกายของมันถืกไฟติดลุกโชน จฺนมันฮ้อง
ํ ยปากฺดที่มีสัตว์เชั่นนี้ มียักษ์เชั่นนี้ มี
้ ึกว่า หน้า อัสจันแท้บ่ เคี
ควนคาง ผู้ข้ามีความฮูส
เผดเชั่นนี้ มีการได้อต
ั ภาพเชั่นนี้ญู”่ ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า
“พระมหาโมคคัลลานะก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม” ลําดับนัน ้ พระผูม้ ีพระภาคตรัสฮ฽ก
ภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย สาวฺกทังหลายที่มีจักษุญาณกํยังมีญู่ เพาะ
สาวฺกที่ฮูท
้ ่ เหั
ี นนี้เปันพยานได้ เมื่อก่อนเฮฺากํเหันสามเณรีเผดนันแต่
้ บ่ พยากอน
ํ เพาะ

การพยากอนนันจะบํ ้ นทุกข์ยาวนาน แก่ผู้ท่ ีบํ่เชื่อเฮฺา ภิกษุทัง
่ เปันปโยดเกื้อกูลซําจะเปั

หลาย เผดนันเคี ยเปันสามเณรีช่ วในศาสนาพระกั
ฺ สสปสัมมาสัมพุทธเจฺา้ เพาะผฺลกัมนัน ้
จึ่งตฺกนรฺกหมฺกไหม้ญหู่ ลายฮ้อยปี หลายพันปี หลายแสนปีแล้วได้ฮับอัตภาพเชั่นนี้
เพาะเศษกัมที่ยังเหลือ โมคคัลลานะก่าวจิงจึ่งบํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๕๖)

เรื้องแม่นาตโปทา
ํ้ ๑ เรื้อง

้ พระมหาโมคคัลลานะฮ฽กภิกษุทังหลายมาบอกว่า “ท่านทังหลาย
[๒๓๑] สมัยนัน
ํ้
แม่นาตโปทานี ้ ่ ใสเญันจืดสนิทสะอาดมีท่าฮຽบ หน้ารื่นรฺมย์ มีฝงู ปา
้ไหลมาจากสะนําที
และเตฺ่าอาศัยญูม
่ าก มีดอก บฺวขนาดเทฺ่ากฺงลํบานญู
้ ้ แม่นาตโปทากํ
่ แต่ปานนัน ํ้ ยังคฺงฮ้อน
เดือดพ่านไหลไป” ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “จั่งใดพระมหาโมค

้ างนันละ
คัลลานะเวฺาญ่ ท่านก่าวอวดอุตตริมนุส สธัม” แล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
ํ้
พระภาคให้ชฺงชาบ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย แม่นาตโปทาไหลผ่ านมา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 226 / 226 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ่ งคฺงเดือดพ่านไหลไป โมคคัลลานะก่าว แม่นแท้บ่ ํ


ระหว่างมหานรฺก ๒ ขุม ดั่งนันจึ
ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๕๗)

เรื้องการสู้รบ
ฺ ในกุงราชคึห์ ๑ เรื้อง

้ พระเจฺาพิ
สมัยนัน ้ มพิสารจอมทัพมคธรัฐ ทําสฺงคามกับพวกเจฺาลิ
้ จฉวีแล้วพ่ายแพ้
พายหลังท้าวท่านชฺงระดฺมพฺลยฺกไปรฺบจฺนได้ชัยชนะ ให้ตีกองปะกาดชัยชนะในการสฺ
งคามว่า “พระราชาชฺงชนะพวกเจฺาลิ ้
้ จฉวี” ลําดับนันพระมหาโมคคัลลานะฮ฽กภิกษุทัง

หลายมาบอกว่า “ท่านทังหลาย พระเจฺาแผ่ ้ จฉวี แต่เขฺาตีกอง
นดินชฺงพ่ายแพ้พวกเจฺาลิ
้ จฉวี” ภิกษุพากันตําหนิ ปะ
ปะกาดชัยชนะในการสฺงคามว่า ‘พระราชาชฺงชนะพวกเจฺาลิ
นาม โพนทนาว่า “จั่งใดพระมหาโมคคัลลานะก่าวญ่างนันละ ้ ท่านก่าวอวดอุตตริม
นุสสธัม” แล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
้ าอิดพระเจฺาแผ่
“ภิกษุทังหลาย คังทํ ้ ้ จฉวี พายหลังท้าวท่านชฺง
นดินชฺงพ่ายแพ้พวกเจฺาลิ
ํ องอาบัติ” (เรื้องที ๕๘)
ระดฺมพฺลยฺกไปรฺบจฺนได้ชัยชนะ โมคคัลลานะก่าวแม่นแท้บ่ ต้

เรื้องได้ยินสຽงช้างลฺงนํา้ ๑ เรื้อง

้ พระมหาโมคคัลลานะฮ฽กภิกษุทังหลายมาบอกว่า “ท่านทังหลาย ผูข


[๒๓๒] สมัยนัน ้ ้า

เขฺาอาเนญชสมาธิ ท่ ฝั
ี ่ งแม่นาสั
ํ ้ ปปินิกาในตาแสงนี้ ได้ยินสຽงฝูงช้างลฺงนําแล้
้ ้
วขึนจากนํ า้
สฺ่งสຽงดั่งเหมือนนฺกกะร฽น” ภิกษุทังหลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “จั่งใด
พระมหาโมคคัลลานะ

ก่าวญ่างนันละ ท่านก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม” แล้วนําเรื้องนี้ขาบทูลพระผู้มีพระภาค
ให้ชฺงชาบ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย สมาธินนมี ั ้ ญแ
ู่ ม่นแท้แต่ยังบํ่บํริสุดธ์ โมคคัลลา
นะก่าว แม่นแท้จ่ งบํ
ึ ่ ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๕๙)

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๑. ปาราชิกกัณฑ์] ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ บฺทสรุป


เรื้องพระอรหันต์โสภิตะระนึกชาติได้ ๕๐๐ กัป ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 227 / 227

้ น
คังนั ้ พระโสภิตะบอกฮ฽กภิกษุทังหลายมาว่า “ผู้ข้าระนึกชาติได้ ๕๐๐ กัป” ภิกษุทัง
หลายพากันตําหนิ ปะนาม โพนทนาว่า “จั่งใดพระโสภิตะก่าวญ่างนันละ ้ ท่านก่าวอวด
อุตตริมนุสสธัม” แล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระผู้มีพระภาค
ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย ชาติในอดีตของโสภิตภิกษุนนมี ี ຽงชาติด฽วเทฺ่านัน
ั ้ ญู่ แต่มพ ้
โสภิตะก่าวแม่นแท้จ่ งบํ
ึ ่ ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๖๐)

ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ จฺบ

บฺทสรุป

[๒๓๓] ท่านทังหลาย ธัม คืปาราชิก ๔ สิกขาบฺทข้าพะเจฺายฺ ้


้ กขึนสะแดงแล้ ว แต่ละขํๆ้
ชึ่งภิกษุต้องเขฺาแล้
้ ่ ่วมกับภิกษุทังหลายบํ่ได้ เปันปาราชิก หาสังวาสบํ่ได้
ว ย่อมญูฮ
เหมือนก่อนบวช
้ า “ท่านทังหลายบํริ
้ ถามท่านทังหลายในธัม คื ปาราชิก ๔ สิกขาบฺทนันว่
ข้าพะเจฺาขํ
สุดธ์แล้วหลื”
ข้าพะเจฺาขํ ้
้ ถามเปันคังที ้
้ ถามเปันคังที
๒ ว่า “ท่านทังหลายบํริสุดธ์แล้วหลื” ข้าพะเจฺาขํ
๓ ว่า “ท่านทังหลายบํริสุดธ์แล้วหลื”

ฮวมสิกขาบฺทที่มีในปาราชิกกัณฑ์

้ ่ งนิ่ง ข้า
ท่านทังหลายบํริสุดธ์แล้วในธัม คืปาราชิก ๔ สิกขาบฺทนี้ เพาะสะนันจึ
้ ถืความนิ่งนันเปั
พะเจฺาขํ ้ นมติญ่างนี้

ปาราชิก จฺบ

ฮวมสิกขาบฺทที่มีในปาราชิกกัณฑ์

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 228 / 228 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ปาราชิกกัณฑ์มี ๔ สิกขาบฺท คื
๑. ปาราชิกสิกขาบฺทที ๑ ว่าด้วยการเสพเมถุ นธัม
๒. ปาราชิกสิกขาบฺทที ๒ ว่าด้วยการถืเอฺาสิ่งของที่เจฺาของบํ
้ ่ ได้ให้
๓. ปาราชิกสิกขาบฺทที ๓ ว่าด้วยการพากกายมนุษย์
๔. ปาราชิกสิกขาบฺทที ๔ ว่าด้วยการก่าวอวดอุตตริมนุสสธัม
สิกขาบฺทเหลฺ่านี้เปันที่ตังแห่
้ งการตัดฮากเหงฺา้ ญ่างบํ่ต้องสฺงสัย

ปาราชิกกัณฑ์ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท นิทานวัตถุ


๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์

ท่านทังหลาย ธัมคืสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบฺทเหลฺ่านี้ มาเถิงวาระที่จะยฺกขึนสะแดง



้ ตามลําดับ
เปันขํๆ

๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท

ว่าด้วยการจฺงใจทํานําอสุ จิให้เคื่อน
เรื้องพระเสยยสกะ

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๒๓๔] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเชตวัน อาฮามของอนาถบิณ
้ น
ฑิกเสดถี เขตกุงสาวัตถี คังนั ้ ท่านพระเสยยสกะบํ่ยินดีท่ จะปะพึ
ี ดพรฺมจันย์ เพาะ
ั ้ ท่านจึ่งจ่อยผอม หมองเสฺา้ หล่าเหลืองเสันเอ็
ความบํ่ยินดีนน ้ ้
นขึนเตั มไปหมฺด ท่าน
พระอุทายีเหันท่านพระเสยยสกะจ่อยผอม หมองเสฺา้ หล่าเหลือง เสันเอ็ ้ ้
นขึนเตั มไป
หมฺด จึ่งได้ก่าวกับท่านว่า “คุณเสยยสกะ เปันหยัง คุณจึ่งจ่อยผอม หมองเสฺาหล่ ้ า

เหลือง เสันเอ็ ้
นขึนเตั มไปหมฺดละ คฺงบํ่ยินดีท่ จะปะพึ
ี ด พรฺมจันย์แล้วติบ”ํ ท่านพระ
้ ท่านจฺ่งฉันอาหาร
้ ท่านพระอุทายีแนะนําว่า “ถ้าเปันญ่างนัน
เสยยสกะฮับว่าเปันญ่างนัน

ตามต้องการ จําวัด สฺงนําตามต้ องการเถีด เสัดแล้ว เมื่อท่านเกีดความกะสัน ถืกรา

คะรฺบกวนจิตขึนมา กํจ่ งใช้
ฺ ้
มืพยายามทํานําอสุ จิให้เคื่อน” “ทําเชั่นนี้จะควรหลื ขน้อย”

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 229 / 229

“ท่านทําเชั่นนี้ควร ขะน้อยเองกํทําเชั่นนี้” คันเมื่อท่านพระเสยยสกะฉันอาหาร จําวัด



สฺงนําตามต้ องการแล้ว เมื่อเกีดความกะสันถืกราคะรฺบกวนจิตขึนมากํ้ ื ยายามทํานํา้
ใช้มพ
อสุจิให้เคื่อน เวลาตํ่มา ท่านมีผิวพัณผ่องใส แลดูอ่ มเอิ
ิ บ เพื่อนภิกษุถามท่านว่า “ท่าน
เสยยสกะ เมื่อก่อน ท่านจ่อยผอม หมองเสฺา้ หล่าเหลือง เสันเอ็ ้ ้
นขึนเตั มไปหมฺด
แต่เวลานี้ กับมีผิวพัณผ่องใส แลดูอ่ มเอิ
ิ บ ท่านใช้ยาแม่นหยังหลื” พระเสยยสกะตอบ
ว่า “บํ่ได้ใช้ยาหยัง แต่ขะน้อยฉันอาหารตามต้องการ จําวัด สฺงนําตามต้
้ องการ เมื่อ
เกีดความกะสันถืกราคะรฺบกวนจิตขึนมา ้ กํใช้มพ ้
ื ยายามทํานําอสุ จิให้เคื่อน” “ท่านใช้มื
ที่ป้ อนเขฺาที
้ ่ เขฺาถวายด้วยสัดทา พยายามทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนออกมาปานนันหลื
้ ” พระ
เสยยสกะฮับว่า “แม่นแล้ว ขน้อย” บันดาภิกษุผู้มักน้อย ฯลฯ พากันตําหนิ ปะนาม
โพนทะนาว่า “จั่งใดท่านพระเสยยสกะจึ่งใช้มืพยายามทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนละ” คันภิกษุ
ทังหลายตําหนิพระเสยยสกะโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามพระ

เสยยสกะว่า “ท่านใช้มืพยายามทํานําอสุ จิให้เคื่อน แม่นแท้บ”ํ พระเสยยสกะทูลฮับว่า
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
“จิงพระพุทธเจฺาข้ ้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษ การกะทําของ
ท่านบํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะ สฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ํได้ บํ่ควรทําเลีย จั่ง
ใดท่านจึ่งใช้มพ ้
ื ยายามทํานําอสุ จิให้เคื่อนละ เฮฺาสะแดงธัมโดยปะการต่างๆ เพื่อคาย
ความกําหนัด บํ่แม่นเพื่อความกําหนัด เพื่อความพาก บํ่แม่นเพื่อความปะกอบไว้ เพื่อ
้ บํ่แม่นเพื่อความถืหมัน
ความบํ่ถืหมัน ้ บํ่แม่นหลื เมื่อเฮฺาสะแดงธัมเพื่อคายความ
กําหนัด ท่านกํยังจะคิดเพื่อความกําหนัด เฮฺาสะแดงธัมเพื่อความพาก ท่านกํยังคิดเพื่อ
ความปะกอบไว้ เฮฺาสะแดงธัมเพื่อความบํ่ถืหมัน ้ ท่านกํยังจะคิดเพื่อความถืหมัน
้ โมฆ
บุรุษ เฮฺาสะแดงธัมโดยปะการต่างๆ เพื่อคายถิมราคะ
้ เพื่อสว่างความเมฺา เพื่อดับ
ความหิว เพื่อถอนความอาลัย เพื่อตัดวัฏฏะ เพื่อความสินตั้ ณหา เพื่อคายความกําหนัด
เพื่อดับทุกข์ เพื่อนิพพาน บํ่แม่นบํ โมฆบุรษ
ุ เฮฺาบอกการละกาม การกําหนฺดฮูค
้ วามสํา
คันในกาม การกําจัดความหิวในกาม การเพีกถอนความสินไปในกาม้ การระงับความ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 230 / 230 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

กัดกุ้มเพาะกามไว้โดยปะการต่างๆ บํ่แม่นบํ การกะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่


เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส หลืเฮัดให้คฺนที่เหลื้อมใสญูแ่ ล้วให้เหลื้อมใสยิ่งขึนได้้ เลีย
ที่จิงกับจะเฮัดให้คฺนที่บํ่เหลื้อมใสกํบ่ เหลื
ํ ้อมใสไปเลีย คฺนที่เหลื้อมใสญูแ
่ ล้วบาง
พวกกํจะกายเปันอื่นไป” คันพระผู้มีพระภาคชฺงตําหนิพระเสยยสกะโดยปะการต่างๆ
แล้ว ได้ตรัสโทษแห่งความเปันคฺนล้฽ง ยาก บํารุงยาก ฯลฯ ตรัสคุณแห่งความ
เปันคฺนล้฽งง่าย บํารุงง่าย ฯลฯ ชฺงสะแดงธัมมีกถาให้เหมาะสฺมให้ค้อยตามกับเรื้อง
้ แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดง
นัน ้ ดั่งนี้

พระบันญัต

ภิกษุจฺงใจทํานําอสุ จิให้เคื่อน เปันสังฆาทิเสส

สิกขาบฺทนี้พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตไว้แก่ภิกษุทังหลายญ่างนี้

เรื้องพระเสยยสกะ จฺบ

เรื้องภิกษุหลายฮูบ

้ ภิกษุทังหลายฉันอาหารอันปาณีต จําวัดหลับ ขาดสติสัมปชัญญะ นํา้


[๒๓๕] สมัยนัน
อสุจิออกมาเพาะความฝัน พวกท่านเกีดความกังวฺลใจว่า “พระผูม ้ ีพระภาคชฺงบันญัต

สิกขาบฺทไว้ว่า ‘ภิกษุจฺงใจทํานําอสุ จิให้เคื่อน เปันสังฆาทิเสส’ แต่พวกเฮฺามีนาอสุ
ํ้ จิ
ออกมาเพาะความฝัน ในความฝันนันมี ้ เจตนา พวกเฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ” จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
้ ญู่ แต่บ่ ควรก่
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย เจตนานันมี ํ ้ พระผู้มี
าวว่ามี” (ลําดับนัน
พระภาคชฺงสะแดงธัมมีกถาเพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
้ แล้วตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมา)
ฯลฯ ฮับสั่งให้ภิกษุทง ้
ั หลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
่ งนี้

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


พระอนุบันญัต


[๒๓๖] ภิกษุจฺงใจทํานําอสุ จิให้เคื่อน เปันสังฆาทิเสส ยฺกเวันไว้
้ แต่ฝน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 231 / 231

เรื้องภิกษุหลายฮูบ จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๒๓๗] คําว่า จฺงใจ ความว่า ฮูญ ้ ู่ ฮูด


้ ีญู่ จฺงใจ ฝ่ าฝืนล่วงละเมิด

คําว่า นําอสุ ้
จิ อธิบายว่า นําอสุ จิมี ๑๐ ชนิด คื (๑) อสุจิสข ี ฽ว (๒) อสุจิสีเหลือง (๓)
อสุจิสีแดง (๔) อสุจิสีขาว (๕) อสุจิสีเหมือนปຽง (๖) อสุจิสีเหมือนนําท่ ้ า (๗) อสุจิสี
้ (๑๐) อสุจิสี
้ น (๘) อสุจิสีเหมือนนฺมสด (๙) อสุจิสีเหมือนนฺมสฺม
เหมือนนํามั
เหมือนเนียใส
คําว่า เฮัดให้เคื่อน คื กิริยาที่เฮัดให้เคื่อนจากฐาน ตรัสฮ฽กว่า เฮัดให้เคื่อน

คําว่า ยฺกเวันไว้ แต่ฝน ้
ั คื ยฺกเวันความฝั น
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
้ ้
ปริวาส ชักเขฺาหาอาบั ติ

เดีม ให้มานัตและฮ฽กเขฺาหมู ้ ่ งตรัสว่า
่ คณะกํทําบํ่ได้ ภิกษุฮูบด฽วกํทําบํ่ได้ สะนันจึ
“เปันสังฆาทิเสส”
คําว่า “เปันสังฆาทิเสส” นี้ เปันการขนานนาม เปันคําฮ฽กหมวดอาบัตินน
ั ้ นันเองโดย

อ้อม เพาะเหตุนน ั ้ จึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”

บฺทภาชนีย์
อุบาย ๔ ปะการ


(๑) ภิกษุทํานําอสุ จิให้เคื่อนในฮูบพายใน (๒) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนในฮูบพายนอก

(๓) ภิกษุทํานําอสุ จิให้เคื่อนในฮูบพายในและพายนอก (๔) ภิกษุทํานําอสุ ้ จิให้เคื่อน
เมื่อส่ายแอวในอากาศ

กาล ๕

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 232 / 232 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


(๑) ภิกษุทํานําอสุ จิให้เคื่อนเมื่อเกีดความกําหนัด (๒) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนเมื่อ
ปวดอุจจาระ (๓) ภิกษุทํานําอสุ ้ จิให้เคื่อนเมื่อปวดปัสสาวะ (๔) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิให้
เคื่อนเมื่อต้องลฺม (๕) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนเมื่อถืกบฺงขฺ
้ น

เจตนา ๑๐ ปะการ


(๑) ภิกษุทํานําอสุ จิให้เคื่อนเพื่อความหายโรค (๒) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนเพื่อความ

สุข (๓) ภิกษุทํานําอสุ จิให้เคื่อนเพื่อเปันญา (๔) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนเพื่อเปันทาน

(๕) ภิกษุทํานําอสุ จิให้เคื่อนเพื่อเปันบุน (๖) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนเพื่อบูชายัน (๗)

ภิกษุทํานําอสุ จิให้เคื่อนเพื่อจะไปสวันค์ (๘) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนเพื่อสืบพันธุ์ (๙)

ภิกษุทํานําอสุ จิให้เคื่อนเพื่อทฺดลอง (๑๐) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนเพื่อความสนุก

วัตถุ ท่ ปะสฺ
ี งค์ ๑๐ ปะการ


(๑) ภิกษุทํานําอสุ ี ฽วให้เคื่อน (๒) ภิกษุทํานําอสุ
จิสข ้ จิสีเหลืองให้เคื่อน (๓) ภิกษุทํา

นําอสุ จิสีแดงให้เคื่อน (๔) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิสีขาวให้เคื่อน (๕) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิสีเหมือน
ปຽงให้เคื่อน (๖) ภิกษุทํานําอสุ
้ ้ าให้เคื่อน (๗) ภิกษุทํานําอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ้ จิสีเหมือน
้ นให้เคื่อน (๘) ภิกษุทํานําอสุ
นํามั ้ จิสีเหมือนนฺมสฺดให้เคื่อน (๙) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิสี

เหมือนนฺมสฺมให้ เคื่อน (๑๐) ภิกษุทํานําอสุ
้ จิสีเหมือนเนียใสให้เคื่อน

[๒๓๘] คําว่า ในฮูบพายใน ได้แก่ ฮูบที่มีวินยานคองในตฺว


คําว่า ในฮูบพายนอก ได้แก่ ฮูบที่มีวินยานคองหลืท่ ีบํ่มีวินยานคองนอกตฺว
คําว่า ในฮูบพายในและพายนอก ได้แก่ ฮูบทัง ๒ นัน ้
คําว่า เมื่อส่ายแอวในอากาศ หมายความว่า เมื่อภิกษุพยายามในอากาศอฺงคชาตใช้การ
ได้
คําว่า เมื่อเกีดความกําหนัด คื เมื่อถืกความกําหนัดรฺบกวน อฺงคชาตใช้การได้
คําว่า เมื่อปวดอุจจาระ คื เมื่อปวดอุจจาระ อฺงคชาตใช้การได้
คําว่า เมื่อปวดปัสสาวะ คื เมื่อปวดปัสสาวะ อฺงคชาตใช้การได้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 233 / 233

คําว่า เมื่อต้องลฺม คื เมื่อถืกลฺมเพียพัด อฺงคชาตใช้การได้


คําว่า เมื่อถืกบฺงขฺ
้ น คื เมื่อถืกบฺงขฺ
้ นบ฽ดบ฽นแล้ว อฺงคชาตใช้การได้

[๒๓๙] คําว่า เพื่อความหายโรค คื มุ่งว่าจะเปันผู้บ่ มี


ํ โรค
คําว่า เพื่อความสุข คื มุ่งว่าจะให้เกีดสุขเวทนา
คําว่า เพื่อเปันญา คื มุ่งว่าจะเปันยา
คําว่า เพื่อเปันทาน คื มุ่งว่าจะให้ทาน
คําว่า เพื่อเปันบุน คื มุ่งว่าจะเปันบุน
คําว่า เพื่อบูชายัน คื มุ่งว่าจะบูชายัน
คําว่า เพื่อจะไปสวันค์ คื มุ่งว่าจะได้ไปสวันค์
คําว่า เพื่อสืบพันธุ์ คื มุ่งว่าจักสืบพันธุ์
คําว่า เพื่อทฺดลอง คื ทฺดลองว่า นําอสุ ้ จิจก ้
ั เปันสีข฽ว นําอสุ ้
จิจักเปันสีเหลือง นําอสุ จิ

จักเปันสีแดง นําอสุ ้
จิจักเปันสีขาว นําอสุ ้
จิจักเปันสีเหมือนปຽง นําอสุ จิจักเปันสี
้ า นําอสุ
เหมือนนําท่ ้ ้ น นําอสุ
จิจักเปันสีเหมือนนํามั ้ ้
จิจักเปันสีเหมือนนฺมสด นําอสุ จิ
จักเปันสีเหมือนนฺมสฺม ้ หลืนาอสุ
ํ้ จิจักเปันสีเหมือนเนียใส
คําว่า เพื่อความสนุก คื มีความปะสฺงค์จะหลิน

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


สุทธิกสังฆาทิเสส
ํ้
อุบายเฮัดให้นาอสุ จิเคื่อน ๔ ญ่าง


[๒๔๐] (๑) ภิกษุจฺงใจพยายามในฮูบพายใน นําอสุ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

(๒) ภิกษุจฺงใจพยายามในฮูบพายนอก นําอสุ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
(๓) ภิกษุจฺงใจพยายามในฮูบพายในและพายนอก นําอสุ ้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

(๔) ภิกษุจฺงใจพยายามส่ายแอวในอากาศ นําอสุ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


นําอสุ จิเคื่อน ๕ กาล

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 234 / 234 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

(๑) ภิกษุจฺงใจพยายามเมื่อเกีดความกําหนัด นําอสุ


้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
(๒) ภิกษุจฺงใจพยายามเมื่อปวดอุจจาระ นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
(๓) ภิกษุจฺงใจพยายามเมื่อปวดปัสสาวะ นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
(๔) ภิกษุจฺงใจพยายามเมื่อต้องลฺม นําอสุ
้ จเิ คื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
(๕) ภิกษุจฺงใจพยายามเมื่อถืกบฺงขฺ
้ น นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

เจตนา ๑๐ ญ่าง

(๑) ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค นําอสุ ้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส (๒)


ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อความสุข (๓) ...เพื่อเปันญา (๔) ...เพื่อเปันทาน (๕) ...เพื่อเปัน
บุน (๖) ...เพื่อบูชายัน (๗) ...เพื่อจะไปสวันค์ (๘) ...เพื่อสืบพันธุ์ (๙) ...เพื่อทฺดลอง
(๑๐) ...เพื่อความสนุก นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

วัตถุ ปะสฺงค์ ๑๐ ญ่าง


(๑) ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีข฽วเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส (๒) ภิกษุจฺงใจ

พยายาม นําอสุ ้
จิสีเหลือง (๓) ...นําอสุ ้
จิสีแดง (๔) ...นําอสุ ้
จิสีขาว (๕) ...นําอสุ จิสี

เหมือนปຽง (๖) ...นําอสุ ้ า (๗) ...นําอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ้ ้ น (๘) ...นําอสุ
จิสีเหมือนนํามั ้ จิสี

เหมือนนฺมสฺด (๙) ...นําอสุ ้ (๑๐) ...นําอสุ
จิสีเหมือนนฺมสฺม ้ จิสีเหมือนเนียใสเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

สุทธิก จฺบ

ขัณฑจักร
มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อความสุข นําอสุ


้ จิเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อเปันญา ฯลฯ เพื่อความหายโรคและ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 235 / 235

เพื่อเปันทาน ฯลฯ เพื่อความหายโรคและเพื่อเปันบุน ฯลฯ เพื่อความหายโรคและ


เพื่อบูชายัน ฯลฯ เพื่อความหายโรคและเพื่อจะไปสวันค์ ฯลฯ เพื่อความหายโรคและ
เพื่อสืบพันธุ์ ฯลฯ เพื่อความหายโรคและเพื่อทฺดลอง ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อ
ความหายโรคและเพื่อความสนุก นําอสุ้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักรมีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


พัทธจักร
มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๑

[๒๔๑] ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความสุขและเพื่อเปันญา นําอสุ


้ จเิ คื่อนต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความสุขและเพื่อเปันทาน ฯลฯ เพื่อความสุขและเพื่อเปันบุน
ฯลฯ เพื่อความสุขและเพื่อบูชายัน ฯลฯ เพื่อความสุขและเพื่อจะไปสวันค์ ฯลฯ เพื่อ
ความสุขและเพื่อสืบพันธุ์ ฯลฯ เพื่อความสุขและเพื่อทฺดลอง ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม
เพื่อความสุขและเพื่อความสนุก นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อความสุขและเพื่อความหายโรค นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๒

[๒๔๒] ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อเปันญาและเพื่อเปันทาน นําอสุ


้ จิเคื่อนต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อเปันญาและเพื่อเปันบุน ฯลฯ เพื่อเปันญาและเพื่อบูชายัน ฯลฯ
เพื่อเปันญาและเพื่อจะไปสวันค์ ฯลฯ เพื่อเปันญาและเพื่อสืบพันธุ์ ฯลฯ เพื่อเปันญาและ
เพื่อทฺดลอง ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อเปันญาและเพื่อความสนุก นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 236 / 236 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

อาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อเปันญาและเพื่อความหายโรค ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อ
เปันญาและเพื่อความสุข นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๓

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อเปันทานและเพื่อเปันบุน นําอสุ


้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อเปันทานและเพื่อบูชายัน ฯลฯ เพื่อเปันทานและเพื่อจะไปส
วันค์ ฯลฯ เพื่อเปันทานและเพื่อสืบพันธุ์ ฯลฯ เพื่อเปันทานและเพื่อทฺดลอง ฯลฯ
ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อเปันทานและเพื่อความสนุก นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อเปันทานและเพื่อความหายโรค ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อ
เปันทานและเพื่อความสุข ฯลฯ เพื่อเปันทานและเพื่อเปันญา นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๔

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อเปันบุนและเพื่อบูชายัน นําอสุ


้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อเปันบุนและเพื่อจะไปสวันค์ ฯลฯ เพื่อเปันบุนและเพื่อสืบพันธุ์
ฯลฯ เพื่อเปันบุนและเพื่อทฺดลอง ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อเปันบุนและเพื่อความ

สนุก นําอสุ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อเปันบุนและเพื่อความหายโรค ฯลฯ เพื่อเปันบุนและเพื่อ
ความสุข ฯลฯ เพื่อเปันบุนและเพื่อเปันญา ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อเปันบุนและเพื่อ

เปันทาน นําอสุ จเิ คื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๕

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อบูชายันและเพื่อจะไปสวันค์ นําอสุ


้ จิเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อบูชายันและเพื่อสืบพันธุ์ ฯลฯ เพื่อบูชายันและเพื่อทฺดลอง
ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อบูชายันและเพื่อความสนุก นําอสุ
้ จิเคื่อนต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 237 / 237

สังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อบูชายันและเพื่อความหายโรค ฯลฯ เพื่อบูชายันและเพื่อ
ความสุข ฯลฯ เพื่อบูชายันและเพื่อเปันญา ฯลฯ เพื่อบูชายันและเพื่อเปันทาน.. ภิกษุจฺง
ใจพยายามเพื่อบูชายันและเพื่อเปันบุน นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๖

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อจะไปสวันค์และเพื่อสืบพันธุ์ ฯลฯ เพื่อจะไปสวันค์และเพื่อทฺ


ดลอง ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อจะไปสวันค์และเพื่อความสนุก นําอสุ้ จิเคื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อจะไปสวันค์และเพื่อความหายโรค ฯลฯ เพื่อจะไปสวันค์และ
เพื่อความสุข ฯลฯ เพื่อจะไปสวันค์และเพื่อเปันญา ฯลฯ เพื่อจะไปสวันค์และเพื่อเปัน
ทาน ฯลฯ เพื่อจะไปสวันค์และเพื่อเปันบุน ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อจะไปสวันค์
และเพื่อบูชายัน นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๗

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อสืบพันธุ์และเพื่อทฺดลอง ฯลฯ เพื่อสืบพันธุ์และเพื่อความสนุก



นําอสุ จเิ คื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อสืบพันธุ์และเพื่อความหายโรค ฯลฯ เพื่อสืบพันธุ์และเพื่อ
ความสุข ฯลฯ เพื่อสืบพันธุ์และเพื่อเปันญา ฯลฯ เพื่อสืบพันธุ์และเพื่อเปันทาน ฯลฯ
เพื่อสืบพันธุ์และเพื่อเปันบุน ฯลฯ เพื่อสืบพันธุ์และเพื่อบูชายัน ฯลฯ ภิกษุจฺงใจ
พยายามเพื่อสืบพันธุ์และเพื่อจะไปสวันค์ นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๘

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อทฺดลองและเพื่อความสนุก นําอสุ


้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อทฺดลองและเพื่อความหายโรค ฯลฯ เพื่อทฺดลองและเพื่อ
ความสุข ฯลฯ เพื่อทฺดลองและเพื่อเปันญา ฯลฯ เพื่อทฺดลองและเพื่อเปันทาน ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 238 / 238 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เพื่อทฺดลองและเพื่อเปันบุน ฯลฯ เพื่อทฺดลองและเพื่อบูชายัน ฯลฯ เพื่อทฺดลองและ


เพื่อจะไปสวันค์ ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อทฺดลองและเพื่อสืบพันธุ์ นําอสุ
้ จิเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๙

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อความหายโรค นําอสุ


้ จิเคื่อนต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความสนุกและเพื่อความสุข ฯลฯ เพื่อความสนุกและเพื่อ
เปันญา ฯลฯ เพื่อความสนุกและเพื่อเปันทาน ฯลฯ เพื่อความสนุกและเพื่อเปันบุน ฯลฯ
เพื่อความสนุกและเพื่อบูชายัน ฯลฯ เพื่อความสนุกและเพื่อจะไปสวันค์ ฯลฯ เพื่อ
ความสนุกและเพื่อสืบพันธุ์ ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อความสนุกและเพื่อทฺดลอง นํา้
อสุจิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมีเจตนาญ่างด฽วเปันมูล จฺบ

ขัณฑจักร
มีเจตนา ๒ ญ่างเปันมูล

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุขและเพื่อเปันญา นําอสุ


้ จิเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อความหายโรค เพื่อความสุขและ
เพื่อความสนุก นําอสุ
้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักรมีเจตนา ๒ ญ่างเปันมูล จฺบ

พัทธจักร
มีเจตนา ๒ ญ่างเปันมูล หมวดที ๑

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 239 / 239

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความสุข เพื่อเปันญาและเพื่อเปันทาน นําอสุ


้ จิเคื่อนต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความสุข เพื่อเปันญาและเพื่อความสนุก ฯลฯ ภิกษุจฺงใจ
พยายามเพื่อความสุข เพื่อเปันญาและเพื่อความหายโรค นําอสุ
้ จเิ คื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

้ แล้ว
พัทธจักรมีเจตนา ๒ ญ่างเปันมูล หยํไว้

มีเจตนา ๒ ญ่างเปันมูล

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อทฺดลอง เพื่อความสนุกและเพื่อความหายโรค นําอสุ


้ จิเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อทฺดลอง เพื่อความสนุกและเพื่อ

สืบพันธุ์ นําอสุ จเิ คื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมีเจตนา ๒ ญ่างเปันมูล จฺบ

พัทธจักร ติมูลกนัยกํดี จตุมูลกนัยกํดี ปัญจมูลกนัยกํดี ฉมูลกนัยกํดี สัตตมูลกนัยกํดี



อัฏฐมูลกนัยกํดี นวมูลกนัยกํดี บัณฑิตเพิงตังขยายให้ เหมือนกัน คําที่จะก่าวตํ่ไปนี้
เปันพัทธจักรสัพพมูลกนัย

สัพพมูลกนัย

[๒๔๓] ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเปันญาเพื่อเปันทาน


เพื่อเปันบุน เพื่อบูชายัน เพื่อจะไปสวันค์ เพื่อสืบพันธุ์ เพื่อทฺดลองและเพื่อความสนุก

นําอสุ จเิ คื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

สัพพมูลกนัย จฺบ

ขัณฑจักร
มีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 240 / 240 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


[๒๔๔] ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีข฽วและสีเหลืองเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีข฽วและสีแดง ฯลฯ นําอสุ ้
จิสีข฽วและสีขาว ฯลฯ นําอสุ จิ

สีข฽วและสีเหมือนปຽง ฯลฯ นําอสุ ้ า ฯลฯ นําอสุ
จิสีข฽วและสีเหมือนนําท่ ้ จิสีข฽วและสี
้ น ฯลฯ นําอสุ
เหมือนนํามั ้ ้
จิสีข฽วและสีเหมือนนฺมสฺด ฯลฯ นําอสุจิสีข฽วและสีเหมือน
้ ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ
นฺมสฺม ้ จิสีข฽วและสีเหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

ขัณฑจักรมีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


พัทธจักรแห่งเอกมูลกนัย

[๒๔๕] ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ้ จิสีเหลืองและสีแดงเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส



ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีเหลืองและสีขาว ฯลฯ นําอสุ จิสีเหลืองและสีเหมือนปຽง

ฯลฯ นําอสุ ้ า ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหลืองและสีเหมือนนําท่ ้ ้ น ฯลฯ
จิสีเหลืองและสีเหมือนนํามั

นําอสุ ้
จิสีเหลืองและสีเหมือนนฺมสฺด ฯลฯ นําอสุ ้ ฯลฯ
จิสีเหลืองและสีเหมือนนฺมสฺม

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีเหลืองและสีเหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีเหลืองและสีข฽วเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรแห่งเอกมูลกนัย จฺบ

พัทธจักร
มีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๑


[๒๔๖] ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีแดงและสีขาวเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีแดงและสีเหมือนปຽง ฯลฯ นําอสุ จส
ิ ีแดงและสีเหมือน
้ า ฯลฯ นําอสุ
นําท่ ้ ้ น ฯลฯ นําอสุ
จิสีแดงและสีเหมือนนํามั ้ จิสีแดงและสีเหมือนนฺมสฺด

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 241 / 241


ฯลฯ นําอสุ ้ ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ
จิสีแดงและสีเหมือนนฺมสฺม ้ จิสีแดงและสี
เหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีแดงและสีข฽ว ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีแดงและ
สีเหลืองเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๒


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีขาวและสีเหมือนปຽง ฯลฯ นําอสุ จส
ิ ีขาวและสีเหมือน
้ า ฯลฯ นําอสุ
นําท่ ้ ้ น ฯลฯ นําอสุ
จิสีขาวและสีเหมือนนํามั ้ จิสีขาวและสีเหมือนนฺมสฺด

ฯลฯ นําอสุ ้ ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ
จิสีขาวและสีเหมือนนฺมสฺม ้ จิสีขาวและสี
เหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติสังฆา ทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีขาวและสีข฽ว ฯลฯ นําอสุ จิสีขาวและสีเหลือง ฯลฯ

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีขาวและสีแดงเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๓


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้ า ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนปຽงและสีเหมือนนําท่ ้ จิสีเหมือนปຽง
้ น ฯลฯ นําอสุ
และสีเหมือนนํามั ้ ้
จิสีเหมือนปຽงและสีเหมือนนฺมสฺด ฯลฯ นําอสุ จิสี
เหมือนปຽงและสีเหมือนนฺมสฺม ้ ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ
้ จิสีเหมือนปຽงและสี
เหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีเหมือนปຽงและสีข฽ว ฯลฯ นําอสุ จิสีเหมือนปຽงและสี

เหลือง ฯลฯ นําอสุ จิสีเหมือนปຽงและสีแดง ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ้ จิสี
เหมือนปຽงและสีขาวเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๔


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้ าและสีเหมือนนํามั
จิสีเหมือนนําท่ ้ น ฯลฯ นําอสุ
้ จิสีเหมือน
้ าและสีเหมือนนฺมสฺด ฯลฯ นําอสุ
นําท่ ้ ้ ฯลฯ ภิกษุจฺง
้ าและสีเหมือนนฺมสฺม
จิสีเหมือนนําท่

ใจพยายาม นําอสุ ้ าและสีเหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
จิสีเหมือนนําท่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 242 / 242 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ้ ้ าและสีข฽ว ฯลฯ นําอสุ


จิสีเหมือนนําท่ ้ ้ าและสี
จิสีเหมือนนําท่

เหลือง...นําอสุ ้ าและสีแดง ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ้ ้ าและสีขาว ฯลฯ
จิสีเหมือนนําท่

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้ าและสีเหมือนปຽงเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
จิสีเหมือนนําท่

มีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๕


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้ นและสีเหมือนนฺมสฺด ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนนํามั ้ จิสีเหมือน
นํามั ้ ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ
้ นและสีเหมือนนฺมสฺม ้ ้ นและสี
จิสีเหมือนนํามั
เหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ้ ้ นและสีข฽ว ฯลฯ นําอสุ


จิสีเหมือนนํามั ้ ้ นและสี
จิสีเหมือนนํามั

เหลือง...นําอสุ ้ นและสีแดง ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนนํามั ้ ้ นและสีขาว ฯลฯ
จิสีเหมือนนํามั

นําอสุ ้ นและสีเหมือนปຽง ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามนําอสุ
จิสีเหมือนนํามั ้ ้ น
จิสีเหมือนนํามั
และสีเหมือนนําท่้ าเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๖


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้ ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนนฺมสฺดและสีเหมือนนฺมสฺม ้ จิสีเหมือนนฺ
มสฺดและสีเหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺดและสีข฽ว ฯลฯ นําอสุ จิสีเหมือนนฺมสฺดและสี

เหลือง ฯลฯ นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺดและสีแดง ฯลฯ นําอสุ จิสีเหมือนนฺมสฺดและสีขาว

ฯลฯ นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺดและสีเหมือนปຽง ฯลฯ นําอสุ จิสีเหมือนนฺมสฺดและสี
้ า ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ
เหมือนนําท่ ้ ้ นเคื่อน
จิสีเหมือนนฺมสฺดและสีเหมือนนํามั
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๗


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมและสี เหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมและสี ้
ข฽ว ฯลฯ นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมและสี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 243 / 243


เหลือง ฯลฯ นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมและสี ้
แดง ฯลฯ อสุจิสีเหมือนนฺมสฺมและสี ขาว

ฯลฯ นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมและสี ้
เหมือนปຽง ฯลฯ นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมและสี
เหมือนนําท่ ้ า ฯลฯ นําอสุ
้ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมและสี ้ น ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม
เหมือนนํามั

นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมและสี เหมือนนฺมสฺดเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล หมวดที ๘


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีเหมือนเนียใสและสีข฽วเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้
จิสีเหมือนเนียใสและสีเหลือง ฯลฯ นําอสุ จิสีเหมือนเนียใส

และสีแดง ฯลฯ นําอสุ จิสีเหมือนเนียใสและสีขาว ฯลฯ อสุจิสีเหมือนเนียใสและสี

เหมือนปຽง ฯลฯ นําอสุ ้ า ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนเนียใสและสีเหมือนนําท่ ้ จิสี
้ น ฯลฯ นําอสุ
เหมือนเนียใสและสีเหมือนนํามั ้ จิสีเหมือนเนียใสและสีเหมือนนฺมสฺด

ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้ ่ อน ต้องอาบัติ
จิสีเหมือนเนียใสและสีเหมือนนฺมสฺมเคื
สังฆาทิเสส

พัทธจักรมีวัตถุ ปะสฺงค์ญ่างด฽วเปันมูล จฺบ

ขัณฑจักร
มีวัตถุ ปะสฺงค์ ๒ ญ่างเปันมูล


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีข฽ว สีเหลืองและสีแดงเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีข฽ว สีเหลืองและสีขาวเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ
ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ้ จิสีข฽ว สีเหลืองและสีเหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

ขัณฑจักรมีวัตถุ ปะสฺงค์ ๒ ญ่างเปันมูล จฺบ

พัทธจักร
มีวัตถุ ปะสฺงค์ ๒ ญ่างเปันมูล

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 244 / 244 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีเหลือง สีแดงและสีขาวเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ

นําอสุ จิสีเหลือง สีแดง และสีเหมือนเนียใส ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายามนําอสุ ้ จิสีเหลือง
สีแดงและสีข฽วเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

้ แล้ว
พัทธจักรมีวัตถุ ปะสฺงค์ ๒ ญ่างเปันมูล หยํไว้

พัทธจักร
มีวัตถุ ปะสฺงค์ ๒ ญ่างเปันมูล


ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้ สีเหมือนเนียใสและสีข฽วเคื่อน ต้องอาบัติ
จิสีเหมือนนฺมสฺม

สังฆาทิเสส ฯลฯ ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ ้ สีเหมือนเนียใสและสี
จิสีเหมือนนฺมสฺม
เหมือนนฺมสฺดเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมีวัตถุ ปะสฺงค์ ๒ ญ่างเปันมูล จฺบ

พัทธจักร ติมูลกนัยกํดี จตุมูลกนัยกํดี ปัญจมูลกนัยกํดี ฉมูลกนัยกํดี สัตตมูลกนัยกํดี



อัฏฐมูลกนัยกํดี นวมูลกนัยกํดี บัณฑิตเพิงตังขยายให้ เหมือนกัน คําที่จะก่าวตํ่ไปนี้
เปันพัทธจักรสัพพมูลกนัย

สัพพมูลกนัย


[๒๔๗] ภิกษุจฺงใจพยายาม นําอสุ จิสีข฽ว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีเหมือนปຽง สี
้ า สีเหมือนนํามั
เหมือนนําท่ ้
้ น สีเหมือนนฺมสฺด สีเหมือนนฺมสฺมและสี เหมือนเนียใส
เคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

สัพพมูลกนัย จฺบ

อุภโตพัทธมิสสกจักร

[๒๔๘] ภิกษุจฺงใจพยายามเพื่อความหายโรค นําอสุ


้ จิสีข฽วเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 245 / 245

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรคและเพื่อความสุข นําอสุ


้ จิสีข฽วและสีเหลือง
เคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุขและเพื่อเปันญา นําอสุ


้ จิสีข฽ว สี
เหลืองและสีแดงเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเปันญาและเพื่อเปันทาน นํา้


ี ฽ว สีเหลือง สีแดงและสีขาวเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
อสุจิสข

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเปันญา เพื่อเปันทานและเพื่อ



เปันบุน นําอสุ จิสีข฽ว สีเหลือง สีแดงและสีเหมือนปຽงเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเปันญา เพื่อเปันทานเพื่อเปัน


บุน และเพื่อบูชายัน นําอสุ
้ จิสีข฽ว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีเหมือนปຽงและสีเหมือน
้ าเคื่อน ต้องอาบัตส
นําท่ ิ ังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเปันญา เพื่อเปันทาน เพื่อ


เปันบุน เพื่อบูชายัน และเพื่อจะไปสวันค์ นําอสุ
้ จิสีข฽ว สีเหลือง สีแดง สีขาวสี
เหมือนปຽง สีเหมือนนําท่ ้ นเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
้ าและสีเหมือนนํามั

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเปันญา เพื่อเปันทาน เพื่อ


เปันบุน เพื่อบูชายัน เพื่อจะไปสวันค์ และเพื่อสืบพันธุ์ นําอสุ
้ จิสีข฽ว สีเหลืองสีแดง
้ น และสีเหมือนนฺมสฺดเคื่อน ต้อง
้ า สีเหมือนนํามั
สีขาว สีเหมือนปຽง สีเหมือนนําท่
อาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเปันญา เพื่อเปันทาน เพื่อ


เปันบุน เพื่อบูชายัน เพื่อจะไปสวันค์ เพื่อสืบพันธุ์และเพื่อทฺดลอง นําอสุ
้ จิสีข฽วสี
เหลือง สีแดง สีขาว สีเหมือนปຽง สีเหมือนนําท่้ า สีเหมือนนํามั
้ น สีเหมือนนฺมสฺด
้ ่ อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
และสีเหมือนนฺมสฺมเคื

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 246 / 246 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุจฺงใจพยายาม เพื่อความหายโรค เพื่อความสุข เพื่อเปันญา เพื่อเปันทาน เพื่อ


เปันบุน เพื่อบูชายัน เพื่อจะไปสวันค์ เพื่อสืบพันธุ์ เพื่อทฺดลอง และเพื่อความสนุก นํา้
้ า สีเหมือนนํามั
อสุจิสีข฽ว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีเหมือนปຽง สีเหมือนนําท่ ้ น สี
้ และสีเหมือนเนียใสเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
เหมือนนฺมสฺด สีเหมือนนฺมสฺม

อุภโตพัทธมิสสกจักร จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


ขัณฑจักร


[๒๔๙] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหลืองเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีแดงเคื่อนต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีขาวเคื่อนต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือนปຽงเคื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ ้ าเคื่อน ต้อง
จิสีเหมือนนําท่
อาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ ้ นเคื่อน ต้อง
จิสีเหมือนนํามั
อาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือนนฺมสฺดเคื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ ้ ่ อน ต้อง
จิสีเหมือนนฺมสฺมเคื
อาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือนเนียใสเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 247 / 247

ขัณฑจักร จฺบ

พัทธจักร


[๒๕๐] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหลืองให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีแดงเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหลืองให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีขาวเคื่อน ฯลฯ นํา้
อสุจิสีเหมือนปຽงเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
้ ้ าเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ้ จิสีเหมือน
้ นเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
นํามั ้ จิสีเหมือนนฺมสฺดเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
้ ้ ่ อน ฯลฯ
จิสีเหมือนนฺมสฺมเคื

นําอสุ จิสีเหมือนเนียใสเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
้ จสิ ีข฽วเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีแดงให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีขาวเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีแดงให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือนปຽงเคื่อน ฯลฯ

นําอสุ ้ าเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ้ ้ นเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนนํามั ้ จิสีเหมือน
นฺมสฺดเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
้ ้ ่ อน ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนนฺมสฺมเคื ้ จิสีเหมือนเนียใสเคื่อน

ฯลฯ นําอสุ ี ฽วเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
จิสข ้ จิสีเหลืองเคื่อน ต้องอาบัตสิ ังฆาทิเสส


ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีขาวให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือนปຽงเคื่อน ต้อง

อาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ นําอสุ จิสีแดงเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เพิงชาบจักรทัง
หลายญ่างนี้

พัทธจักร จฺบ

กุจฉิจักร
หมุนไปข้างหน้า


[๒๕๑] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนเนียใสให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีข฽
วเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนเนียใสให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหลืองเคื่อน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 248 / 248 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


ฯลฯ นําอสุ จิสีแดงเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
้ จิสีขาวเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
้ จสิ ีเหมือนปຽงเคื่อน

ฯลฯ นําอสุ ้ าเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
จิสีหมือนนําท่ ้ ้ นเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
จิสีเหมือนนํามั ้ จิสี
เหมือนนฺมสฺดเคื่อน ฯลฯ นําอสุ
้ ้ เคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
จิสีเหมือนนฺมสฺม

กุจฉิจักร จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


ปิฏฐิจักร
หมุนไปข้างหลัง


[๒๕๒] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหลืองให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีข฽วเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีแดงให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีข฽วเคื่อนฯลฯ จฺงใจจะ

ทํานําอสุ จิสีขาวให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ ี ฽วเคื่อน ฯลฯ
จิสข

จฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนปຽงให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีข฽วเคื่อน ฯลฯ
้ าให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
จฺงใจจะทําอสุจิสีเหมือนนําท่ ํ้ จิสีข฽วเคื่อน ฯลฯ

จฺงใจจะทํานําอสุ ้ นให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
จิสีเหมือนนํามั ํ้ ี ฽วเคื่อน ฯลฯ
จิสข

จฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนนฺมสฺดให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีข฽วเคื่อน ฯลฯ

จฺงใจจะทํานําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมให้ เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีข฽วเคื่อน ฯลฯ

จฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนเนียใสให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุํ้ จิสีข฽วเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พระบาลีฮอบที ๑ แห่งปิฏฐิจักร จฺบ


[๒๕๓] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีแดงให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหลืองเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ ้
จิสีขาว ฯลฯ นําอสุ จส ้
ิ ีเหมือนปຽง...นําอสุ จิสีเหมือนนําท่ ้ า...นํา้
้ น...นําอสุ
อสุจิสีเหมือนนํามั ้ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺด...นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺม...นํ ้
าอสุ จิสี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 249 / 249


เหมือนเนียใส...ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ ี ฽วให้เคื่อน พยายามญูแ
จิสข ํ้
่ ต่นาอสุ จิสีเหลือง
เคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พระบาลีฮอบที ๒ แห่งปิฏฐิจักร จฺบ


[๒๕๔] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีขาวให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีแดงเคื่อน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนปຽง ฯลฯ นําอสุ ้ ้ า...นําอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ้ จิสีเหมือน
้ น...นําอสุ
นํามั ้ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺด...นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺม...นํ ้
าอสุ จิสีเหมือนเนียใส...นํา้
อสุจิสข ้
ี ฽ว...จฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหลืองให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีแดงเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พระบาลีฮอบที ๓ แห่งปิฏฐิจักร จฺบ


[๒๕๕] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนปຽงให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีขาวเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ้ จิสีเหมือนนําท่ ้ า ฯลฯ นําอสุ
้ ้ น...นําอสุ
จิสีเหมือนนํามั ้ จิสีเหมือน

นฺมสฺด...นําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺม...นํ ้
าอสุ ้
จิสีเหมือนเนียใส...นําอสุ ้
จิสีข฽ว...นําอสุ จิสี

เหลือง...จฺงใจจะทํานําอสุ จิสีแดงให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีขาวเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

พระบาลีฮอบที ๔ แห่งปิฏฐิจักร จฺบ


[๒๕๖] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ ้ าให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ํ้ จิสี
เหมือนปຽงเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ ้ ้ น ฯลฯ นําอสุ


จิสีเหมือนนํามั ้ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺด...นําอสุ จิสีเหมือน

นฺมสฺม...นํ ้
าอสุ ้
จิสีเหมือนเนียใส...นําอสุ จิสข ้
ี ฽ว...นําอสุ ้
จิสีเหลือง...นําอสุ จิสีแดง...จฺงใจ

จะทํานําอสุ จิสีขาวให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือนปຽงเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 250 / 250 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พระบาลีฮอบที ๕ แห่งปิฏฐิจักร จฺบ


[๒๕๗] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ ้ นให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
จิสีเหมือนนํามั ํ้ จิสีเหมือน
้ าเคื่อน ต้องอาบัตส
นําท่ ิ ังฆาทิเสส


ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนนฺมสฺด ฯลฯ นําอสุ้ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺม...นํ ้
าอสุ จิสี

เหมือนเนียใส...นําอสุ ้
จิสีข฽ว...นําอสุ ้
จิสีเหลือง...นําอสุ ้
จิสีแดง...นําอสุ จิสีขาว...จฺงใจจะ

ทํานําอสุ จิสีเหมือนปຽงให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ ้ าเคื่อน ต้องอาบัติ
จิสีเหมือนนําท่
สังฆาทิเสส

พระบาลีฮอบที ๖ แห่งปิฏฐิจักร จฺบ


[๒๕๘] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนนฺมสฺดให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือน
้ นเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
นํามั


ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ ้ ฯลฯ สีเหมือนเนียใส...สีข฽ว...สีเหลือง...สีแดง
จิสีเหมือนนฺมสฺม
้ าให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
...สีขาว สีเหมือนปຽง...สีเหมือนนําท่ ํ้ จิสีเหมือน
้ นเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
นํามั

พระบาลีฮอบที ๗ แห่งปิฏฐิจักร จฺบ


[๒๕๙] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมให้ เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือน
นฺมสฺดเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนเนียใส ฯลฯ นําอสุ้ ้
จิสีข฽ว...นําอสุ ้
จิสีเหลือง...นําอสุ จิสี

แดง...นําอสุ ้
จิสีขาว...นําอสุ ้
จิสีเหมือนปຽง...นําอสุ ้ า...จฺงใจจะทํานําอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ้ จิสี
้ นให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
เหมือนนํามั ํ้ จิสีเหมือนนฺมสฺดเคื่อน ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

พระบาลีฮอบที ๘ แห่งปิฏฐิจักร จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 251 / 251


[๒๖๐] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีเหมือนเนียใสให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสี
้ ่ อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
เหมือนนฺมสฺมเคื


ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ ้
จิสีข฽ว ฯลฯ นําอสุ ้
จิสีเหลือง...นําอสุ ้
จิสีแดง...นําอสุ จิสีขาว...นํา้

อสุจิสีเหมือนปຽง...นําอสุ ้ า...นําอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ้ ้ น...จฺงใจจะทํานําอสุ
จิสีเหมือนนํามั ้ จิสี
เหมือนนฺมสฺดให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ ้ ่ อน ต้องอาบัติ
จิสีเหมือนนฺมสฺมเคื
สังฆาทิเสส

พระบาลีฮอบที ๙ แห่งปิฏฐิจักร จฺบ


[๒๖๑] ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ จิสีข฽วให้เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือนเนียใส
เคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


ภิกษุจฺงใจจะทํานําอสุ ้
จิสีเหลือง ฯลฯ นําอสุ ้
จิสีแดง...นําอสุ ้
จิสีขาว...นําอสุ จิสี

เหมือนปຽง...นําอสุ ้ า...นําอสุ
จิสีเหมือนนําท่ ้ ้ น...นําอสุ
จิสีเหมือนนํามั ้ จิสีเหมือนนฺมสฺด...จฺง

ใจจะทํานําอสุ ้
จิสีเหมือนนฺมสฺมให้ เคื่อน พยายามญู่ แต่นาอสุ
ํ้ จิสีเหมือนเนียใสเคื่อน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ปิฏฐิจักรฮอบที ๑๐ จฺบ
ปิฏฐิจักร จฺบ

[๒๖๒] ภิกษุจฺงใจ พยายาม นําอสุ ้ จิเคื่อน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส



ภิกษุจฺงใจ พยายาม นําอสุ ํ ่ อน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
จิบ่ เคื
ภิกษุจฺงใจ บํ่พยายาม นําอสุ
้ จิเคื่อน บํ่ต้องอาบัติ
ภิกษุจฺงใจ บํ่พยายาม นําอสุ
้ ํ ่ อน บํ่ต้องอาบัติ
จิบ่ เคื
ภิกษุบ่ จฺ
ํ งใจ พยายาม นําอสุ้ จิเคื่อน บํ่ต้องอาบัติ
ภิกษุบ่ จฺ ้
ํ งใจ พยายาม นําอสุ ํ ่ อน บํ่ต้องอาบัติ
จิบ่ เคื
ภิกษุบ่ จฺ
ํ งใจ บํ่พยายาม นําอสุ
้ จิเคื่อน บํ่ต้องอาบัติ
ภิกษุบ่ จฺํ งใจ บํ่พยายาม นําอสุ
้ ํ ่ อน บํ่ต้องอาบัติ
จิบ่ เคื

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 252 / 252 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

อนาปัตติวาร

ภิกษุต่ ไปนี
ํ ้บํ่ต้องอาบัติ คื
๑. ภิกษุท่ มี ํ้
ี นาอสุ จเิ คื่อนเพาะความฝัน
๒. ภิกษุบ่ มี ้
ํ ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน
๓. ภิกษุวิกฺลจิต
๔. ภิกษุมีจิตปั่นป่ วง
๕. ภิกษุกะวฺนกะวายเพาะเวทนา
ฺ้ นญัต
๖. ภิกษุตนบั

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท วินีตวัตถุ


คาถาฮวมวินีตวัตถุ
เรื้องที่ชฺงวินิจฉัยแล้ว

เรื้องภิกษุฝนั ๑ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุถ่ายอุจจาระ ๑ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุถ่ายปัสสาวะ ๑


เรื้อง ๧เรื้องภิกษุตรึกเถิงกาม ๑ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุอาบนําฮ้
้ อน ๓ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุ
ทาญา ๓ เรื้อง
เรื้องภิกษุเกาอัณฑะ ๓ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุเดีนทาง ๓ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุบีบหนังหุ้ม
ปายอฺงคชาต ๓ เรื้อง ๧เรื้องเฮือนไฟ ๖ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุใช้อฺงคชาตส฽ดสีขาอ่อน
๓ เรื้อง ๧เรื้องใช้สามเณร ๑ เรื้อง ๧เรื้องสามเณรนอนหลับ ๑ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุ
ใช้ขาหนีบอฺงคชาต ๒ เรื้อง
๧เรื้องภิกษุใช้มบ
ื ีบอฺงคชาต ๒ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุส่ายแอวในอากาศ ๒ เรื้อง ๧เรื้อง
ภิกษุบิดกาย ๓ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุเพ่งอฺงค์กําเนีด ๑ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุสอดอฺงคชาต
้ กอน ๒ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุส฽ดสีอฺงคชาตกับไม้ ๒ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุอาบนําทวน
เขฺาฮู ้
้ าตฺ
กะแส ๓ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุหลินนํ ้ ม ๓ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุย่างลุยนํา้ ๓ เรื้อง ๧

เรื้องภิกษุหลินตะลู ้ ๓ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุย่างลุยสะบฺว ๓ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุ
ดกฺน

สอดอฺงคชาตเขฺาในชาย ๒ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุสอดอฺงคชาตเขฺาในตม
้ ๒ เรื้อง ๧เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 253 / 253

้ ดอฺงคชาต ๓ เรื้อง ๧เรื้องภิกษุส฽ดสีอฺงคชาตบฺนที่นอน ๒ เรื้อง ๧เรื้อง


ภิกษุตักนําฮฺ

ภิกษุส฽ดสีอฺงคชาตกับนิวโป้ ๒ เรื้อง

วินีตวัตถุ
เรื้องภิกษุฝน
ั ๑ เรื้อง

[๒๖๓] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งนําอสุ


้ จิเคื่อนเพาะความฝัน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
้ จิเคื่อนเพาะความฝัน บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๑)
ตรัสว่า “ภิกษุ นําอสุ

เรื้องภิกษุถ่ายอุจจาระ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังถ่ายอุจจาระ นําอสุ
สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ้ จิให้เคื่อน
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
พระพุทธเจฺาข้ ้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้อง
ที ๒)

เรื้องภิกษุถ่ายปัสสาวะ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังถ่ายปัสสาวะ นําอสุ
สมัยนัน ้ จเิ คื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ้ จิให้เคื่อน
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
พระพุทธเจฺาข้ ้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้อง
ที ๓)

เรื้องภิกษุตรึกตึกตองเถิงกาม ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 254 / 254 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังคุ่นคิดเถิงกามารมณ์ นําอสุ


้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านคุ่นคิดเถิงกามารมณ์ บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๔)

เรื้องภิกษุอาบนําฮ้
้ อน ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังอาบนําฮ้
สมัยนัน ้ อน นําอสุ
้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ ้ จิให้เคื่อน
ข้าน้อย” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๕)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน กําลังอาบนําฮ้
้ อน นําอสุ
้ จิเคื่อน
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺามี ้

ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๖)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะเฮัดให้อสุจเิ คื่อน กําลังอาบนําฮ้


สมัยนัน ้ อน แต่นาอสุํ้ จิบ่ ํ
เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ
เจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๗)

เรื้องภิกษุทาญา ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งเปันแผลที่อฺงคชาต กําลังทาญา นําอสุ


สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺล
ใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มีความปะสฺงค์จะทํานํา้
อสุจิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่
ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๘)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 255 / 255

้ ภิกษุฮูบนึ่งเปันแผลที่อฺงคชาต ท่านมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน กําลัง

ทาญา นําอสุ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่าง
ใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๙)

้ ภิกษุฮูบนึ่งเปันแผลที่อฺงคชาต ท่านมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน กําลัง

ทาญา นําอสุ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนํา
จิบ่ เคื
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่าง
ใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย” (เรื้องที ๑๐)

เรื้องภิกษุเกฺาอัณฑะ ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังเกาลูกอัณฑะ นําอสุ
สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ้ จิให้เคื่อน
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
พระพุทธเจฺาข้ ้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้อง
ที ๑๑)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน กําลังเกฺาลูกอัณฑะ นําอสุ
้ จิ
เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ
เจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๑๒)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน กําลังเกฺาลูกอัณฑะ นําอสุ
้ จิบ่ ํ
เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 256 / 256 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ


้ ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
เจฺามี ้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๓)

เรื้องภิกษุเดีนทาง ๓ เรื้อง

[๒๖๔] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังเดีนทาง นําอสุ


้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ้ จิให้
เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ
(เรื้องที ๑๔)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน กําลังเดีนทางนําอสุ
้ จิเคื่อน
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มี

ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๑๕)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน กําลังเดีนทางนําอสุ
้ ํ ่ อน
จิบ่ เคื
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มี

ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๖)

เรื้องภิกษุบีบหนังหุ้มปายอฺงคชาต ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งกําลังถ่ายปัสสาวะ บีบหนังหุ้มปายอฺงคชาต นําอสุ


สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่านเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มีความ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 257 / 257


ปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิ
ให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๗)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน กําลังถ่ายปัสสาวะ บีบหนังหุม


ปายอฺงค ชาต นําอสุ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่าน
คิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า”
ิ ังฆาทิเสส” (เรื้องที ๑๘)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตส

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน กําลังถ่ายปัสสาวะ บีบหนังหุม


ปายอฺงค ชาต นําอสุ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ
จิบ่ เคื
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่าน
คิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า”
“ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๙)

เรื้องเฮือนไฟ ๖ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งอฺบหน้าท้องญูใ ้
่ นเฮือนไฟ นําอสุ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺาบํ้ ่ มีความปะสฺงค์จะทํานํา้
อสุจิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่
ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๒๐)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน อฺบหน้าท้องญูใ
่ นเฮือนไฟ นํา้
อสุจเิ คื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๒๑)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 258 / 258 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน อฺบหน้าท้องญูใ
่ นเฮือนไฟ นํา้
อสุจิบ่ ํเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๒๒)

้ ภิกษุฮูบนึ่งนวดหลังให้พระอุปช
สมัยนัน ั ฌาย์ในเฮือนไฟ นําอสุ ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความ
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มีความปะสฺงค์จะ

ทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน
บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๒๓)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน นวดหลังให้พระอุปชั ฌาย์ใน

เฮือนไฟ นําอสุ ิ ังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนํา
จเิ คื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตส
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่าง
ใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๒๔)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน นวดหลังให้พระอุปช ั ฌาย์ใน

เฮือนไฟ นําอสุ จบ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่ง
ิ ่ เคื
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่าง
ใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย” (เรื้องที ๒๕)

เรื้องภิกษุใช้อฺงคชาตส฽ดสีขาอ่อน ๓ เรื้อง

[๒๖๕] สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งใช้อฺงคชาตส฽ดสีขาอ่อน นําอสุ ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺล


ใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 259 / 259

พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่มีความปะสฺงค์จะทํานํา้


อสุจิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่
ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๒๖)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งใช้อง
ฺ คชาตส฽ดสีขาอ่อน

นําอสุ จเิ คื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๒๗)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งใช้อง
ฺ คชาตส฽ดสีขาอ่อน

นําอสุ จบ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ิ ่ เคื
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า“ภิกษุ ท่าน คิดญ่างใด” “ข้า
พระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้อง ที ๒๘)

เรื้องใช้สามเณร ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน ได้ก่าวกับสามเณรว่า
“สามเณรมานี้ จฺ่งจับอฺงคชาตของเฮฺา” สามเณรจึ่งจับอฺงคชาตของภิกษุนน ั ้ ท่านนําอสุ
้ จิ
เคื่อนแล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัตส ิ ังฆาทิเสส” (เรื้องที
๒๙)

เรื้องสามเณรนอนหลับ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งจับอฺงคชาตของสามเณรชึ่งนอนหลับ แล้วท่านนําอสุ
สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่าน
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 260 / 260 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติ


ทุกกฏ” (เรื้องที ๓๐)

เรื้องภิกษุใช้ขาหนีบอฺงคชาต ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งใช้ขาหนีบอฺงคชาต นําอสุ
สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ

[๒๖๖] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ


้ จิให้เคื่อน จึ่งใช้ขาหนีบอฺงคชาต

นําอสุ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๓๑)

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งใช้ขาหนีบอฺงคชาตแต่นาํ ้
อสุจิบ่ ํเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืนํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๓๒)

เรื้องภิกษุใช้มบ
ื ีบอฺงคชาต ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งใช้มืบีบอฺงคชาต นําอสุ
[สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ ]

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งใช้มบ ้
ื ีบอฺงคชาต นําอสุ จิ
เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 261 / 261


มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๓๓)

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งใช้มบ ํ้
ื ีบอฺงคชาต แต่นาอสุ จิ
บํ่เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืนํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ
เจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๓๔)

เรื้องภิกษุส่ายแอวในอากาศ ๒ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งแกว่งแอวในอากาศ นํา้
อสุจเิ คื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๓๕)

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งแกว่งแอวในอากาศแต่นาํ ้
ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ิ ่ เคื
อสุจบ
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๓๖)

เรื้องภิกษุบิดกาย ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งบิดกาย นําอสุ
สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
สังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๓๗)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 262 / 262 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน บิดกาย นําอสุ
้ จิเคื่อน ท่านเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความ

ปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส ”
(เรื้องที ๓๘)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน บิดกาย แต่นาอสุ
ํ้ จิบ่ ํเคื่อน
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มี

ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๓๙)

เรื้องภิกษุจ้องเบิ่งอฺงค์กําเนีด ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด จ้องเบิ่งอฺงค์กําเนีดมาตุคาม นําอสุ


สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่านเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส อีกญ่างนึ่ง ภิกษุทัง
ํ งจ้องเบิ่งอฺงค์กําเนีดมาตุคาม ภิกษุใดจ้องเบิ่ง ภิกษุนน
หลาย ภิกษุบ่ เพิ ั ้ ต้องอาบัติทุก
กฏ” (เรื้องที ๔๐)

เรื้องภิกษุสอดอฺงคชาตเขฺาฮู
้ กอน ๒ เรื้อง

[๒๖๗] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ


้ จิให้เคื่อน จึ่งสอดอฺงคชาตเขฺา้

ฮูกอนปะตู นําอสุ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่าง
ใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๔๑)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งสอดอฺงคชาตเขฺาฮู้ กอน แต่

นําอสุ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
จิบ่ เคื

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 263 / 263

ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า


พระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๔๒)

เรื้องภิกษุส฽ดสีอฺงคชาตกับไม้ ๒ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งเอฺาไม้มาส฽ดสีอฺงคชาต นํา้
อสุจเิ คื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๔๓)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งเอฺาไม้มาส฽ดสีอฺงคชาต แต่

นําอสุ จบ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ิ ่ เคื
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า
พระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติ ถุ ลลัจจัย” (เรื้องที ๔๔)

เรื้องภิกษุอาบนําทวนกะแส
้ ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งลฺงอาบนําทวนกะแส
สมัยนัน ้ ้
นําอสุ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๔๕)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งอาบนําทวนกะแส
้ ้
นําอสุ จิ
เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ
เจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๔๖)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 264 / 264 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งอาบนําทวนกะแส
้ แต่นาํ ้
อสุจิบ่ ํเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืนํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๔๗)

้ าตฺ
เรื้องภิกษุหลินนํ ้ ม ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งลฺงหลินนํ
สมัยนัน ้ าตฺ
้ ม นําอสุ
้ จเิ คื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๔๘)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งลฺงหลินนํ
้ าตฺ
้ ม นําอสุ
้ จิเคื่อน
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มี

ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๔๙)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งลฺงหลินนํ
้ าตฺ
้ มแต่นาอสุ
ํ้ จิบ่ ํ
เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้

มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๕๐)

เรื้องภิกษุย่างลุยนํา้ ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งย่างลุยนํา้ นําอสุ
สมัยนัน ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
สังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้องที ๕๑)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 265 / 265

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งย่างลุยนํา้ นําอสุ
้ จิเคื่อน
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มี

ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๕๒)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งย่างลุยนํา้ แต่นาอสุ
ํ้ ํ ่ อน
จิบ่ เคื
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มี

ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๕๓)


เรื้องภิกษุหลินตะลู ้ ๓ เรื้อง
ดกฺน

้ ภิกษุฮูบนึ่งหลินตะลู
สมัยนัน ้ ดกฺน้ นําอสุ
้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิ เสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๕๔)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งหลินตะลู
้ ้ นําอสุ
ดกฺน ้ จิเคื่อน
ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธเจฺา้ มี

ความปะสฺงค์จะทํานําอสุ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๕๕)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งหลินตะลู
้ ้ แต่นาอสุ
ดกฺน ํ้ จิบ่ ํ
เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ
เจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๕๖)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 266 / 266 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เรื้องภิกษุย่างลุยสะบฺว ๓ เรื้อง

[๒๖๘] สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งย่างลุยในสะบฺว นําอสุ ้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า


เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัติ” (เรื้อง
ที ๕๗)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งย่างลุยในสะบฺว นําอสุ
้ จิ
เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืนํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ
เจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๕๘)

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งย่างลุยในสะบฺว แต่นาอสุ
ํ้ จิ
บํ่เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๕๙)

เรื้องภิกษุสอดอฺงคชาตเขฺาในชาย
้ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งสอดอฺงคชาตเขฺาในชาย
้ นํา้
อสุจิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส ” (เรื้องที ๖๐)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งสอดอฺงคชาตเขฺาในชายแต่


นําอสุ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
จิบ่ เคื
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 267 / 267

พระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๖๑)

เรื้องภิกษุสอดอฺงคชาตเขฺาในตฺ
้ ม ๒ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งสอดอฺงคชาตเขฺาในตฺ
้ ม นํา้
อสุจเิ คื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๒)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งสอดอฺงคชาตเขฺาในตฺ
้ ม แต่

นําอสุ จบ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
ิ ่ เคื
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า
พระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๖๓)

เรื้องภิกษุเอฺานําฮฺ
้ ดอฺงคชาต ๓ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งเอฺานําฮฺ
สมัยนัน ้ ดอฺงคชาต นําอสุ
้ จิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ว่า “ภิกษุ ท่านบํ่มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๖๔)

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งเอฺานําฮฺ
้ ดอฺงคชาต นําอสุ
้ จิ
เคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระพุทธ
เจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๕)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 268 / 268 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สมัยนัน ้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งเอฺานําฮฺ
้ ดอฺงคชาต แต่นาํ ้
อสุจิบ่ ํเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืนํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า“ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๖๖)

เรื้องภิกษุส฽ดสีอฺงคชาตบฺนที่นอน ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งส฽ดสีอฺงคชาตบฺนที่นอน นํา้
อสุจิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้าพระ
พุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อนพระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๖๗)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งส฽ดสีอฺงคชาตบฺนที่นอน
ํ้
แต่นาอสุ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้อง
จิบ่ เคื
นี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านคิดญ่างใด” “ข้า
พระพุทธเจฺา้ มีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติ ถุ ลลัจจัย” (เรื้องที ๖๘)


เรื้องภิกษุส฽ดสีองชาตกับนิวโป้ ๒ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
สมัยนัน ้ จิให้เคื่อน จึ่งส฽ดสีอฺงคชาตกับนิวโป้
้ นํา้
อสุจิเคื่อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๖๙)

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความปะสฺงค์จะทํานําอสุ
้ จิให้เคื่อน จึ่งส฽ดสีอฺงคชาตกับนิวโป้
้ แต่

นําอสุ ํ ่ อน ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้
จิบ่ เคื

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 269 / 269

ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติต้องอาบัติ


สังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย” (เรื้องที ๗๐)

สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺทที ๑ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท นิทานวัตถุ


๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท
ว่าด้วยการถืกต้องกายกับมาตุคาม
เรื้องพระอุทายี

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๒๖๙] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเชตวัน อาฮามของอนาถบิณ
้ น
ฑิกเสดถี เขตกุงสาวัตถี คังนั ้ ท่านพระอุทายีญใ
ู่ นป่ า วิหารของท่านสวยงาม หน้า
เบิ่ง หน้าชฺม ห้องกางมีระบຽงฮอบด้าน จัดต฽ง ตั่ง เสื่อ หมอนไว้ฮຽบฮ้อย ตังนํ
้ าฉั
้ น

นําใช้ ไว้พ้อม บํริเวณวิหารต฽นสะอาด ชาวบ้านจํานวนหลายพากันมาชฺม วิหารของ
ท่าน พรามณ์คฺนนึ่งกับภัรยาเขฺาไปหาท่
้ านพระอุทายีเถิงที่ญู่ ขาบฮ฽นว่า “พวกข้า

พะเจฺาญากชฺ มวิหารของพระคุณเจฺา”้ ท่านพระอุทายีตอบว่า
“พรามณ์ ถ้าเชั่นนันเชี
้ นชฺมเถีด” แล้วถืลูกกะแจไขไลยูบ ้
้ านปะตูเขฺาไปยั งวิหาร พรามณ์

เดีนตามหลังท่านพระอุทายีเขฺาไป ้
ส่วนภัรยากํเดีนตามหลังพรามณ์เขฺาไป ้ าน
ขณะนันท่
พระอุทายีย่างไปเปีดปิดหน้าต่างบางตอน วຽนฮอบห้องแล้วย้อนกับมาทางหลัง ได้จบ ั
ต้องอวัยวะน้อยใหย่ ของนางพราหมณี คังนั้ น
้ พรามณ์นนได้
ั้ ช่ นชฺ
ื มยินดีกับท่านพระอุ
ทายีแล้วกับไป เมื่อกับไปแล้ว พรามณ์ได้เปั่งวาจาออกมาด้วยความดีใจว่า “พระ
สมณะเชื้อสายศากยบุตร ที่ญูใ
่ นป่ าเชั่นนี้มีอัธยาศัยกว้างขวาง แม่นพระอุทายีผู้จะเรีน
ที่ญูใ ี ัธยาศัยกว้างขวาง” เมื่อพรามณ์ก่าว ญ่างนี้ นางพราหมณีจ่ งบอก
่ นป่ าเชั่นนี้กํมอ ึ
กับพรามณ์ว่า “พระอุทายีนนจะมี ั้ อัธยาศัยกว้างขวางที่ใดกัน พระสมณะอุทายีจับต้อง
อวัยวะน้อยใหย่ของขะน้อยเหมือนที่ท่านจับนันแหละ”
้ พํได้ชาบเชั่นนัน้ พรามณ์จ่ ง

ตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหลฺ่านี้ บํ่มีญางอาย ทุศีล

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 270 / 270 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว


ชอบก่าวเท็จ แต่กํปะติยานว่าปะพึดธัม ปะพึดสงฺบ ปะพึดพรฺมจันย์ เวฺาแม่ นแท้มีศีล มี
กัลยาณธัม
พวกท่านบํ่มีความเปันสมณะ บํ่มีความเปันพรามณ์ ความเปันสมณะ ความเปันพรามณ์
ของพวกท่านเสื่อมสินไปแล้
้ ว พวกท่านจะเปันสมณะเปันพรามณ์ได้ญ่างใด พวกท่าน
ปาสจากความเปันสมณะ ปาสจากความเปันพรามณ์ จั่งใดพระสมณะอุทายี จับต้อง
อวัยวะน้อยใหย่ของภัรยาเฮฺาละ ตํ่ไปยิงผูม
้ ีตะกูน ลูกสาวผู้มีตะกูน ยิงสาวผู้มีตะกูน
ลูกใพ้ยิงผู้มีตะกูน สาวใช้ปะจําตะกูนจะบํ่ก้าไปอาฮามหลืวห
ิ ารเปันแน่ เพาะถ้าพวกท่าน
ไปกํจะต้องถืกพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรปะทุษฮ้ายเอฺา”
ภิกษุทังหลายได้ยินพรามณ์ตําหนิ ปะนาม โพนทะนา บันดาภิกษุผู้มักน้อยสันโดษ มี
ความละอาย มีความระมัดระวัง ใฝ่ การศึกษา จึ่งตําหนิ ปะนามโพนทะนาว่า “จั่งใด
ท่านพระอุทายีจ่ งถื
ึ กต้องกายกับมาตุคามละ” คันภิกษุทังหลายตําหนิพระอุทายีโดยปะ
การต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ น
คังนั ้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มภิกษุสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
้ แล้วชฺงสอบถาม
ท่านพระอุทายีว่า “อุทายี ชาบว่าท่านถืกต้องกายกับมาตุคามแม่นแท้บ”ํ ท่านพระอุทายี
ขาบทูลว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้้ า” พระผูม
้ ีพระภาคชฺงตําหนิว่า “โมฆบุรุษ การกะทํา
ญ่างนี้บํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้
ํ บํ่ควรทํา จั่งใด
ท่านจึ่งถืกต้องกายกับมาตุคามละ เฮฺาสะแดงธัมโดยปะการต่างๆ เพื่อคายความกําหนัด
บํ่แม่นเพื่อความกําหนัด ฯลฯ เฮฺาบอกการระงับความกัดกุ้มเพาะกามไว้โดยปะการ
ต่างๆ บํ่แม่นบํ การกะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส หลืเฮัด
ให้คฺนที่เหลื้อมใสญูแ ่ ล้วให้เหลื้อมใสยิ่งขึน
้ ได้เลียที่แม่นแท้กับจะเฮัดให้คฺนที่บํ่
เหลื้อมใสกํบ่ ํเหลื้อมใสไปเลีย คฺนที่เหลื้อมใสญูแ ่ ล้วบางพวกกํจะกายเปันอื่นไป”
ตรัสโทษแห่งความเปันผู้ล้฽งยาก ฯลฯ คุณแห่งการปารฺภความพ฽ນ แล้วชฺงสะแดงธัม
มีกถาแก่ภิกษุทังหลายให้เหมาะสฺมกับเรื้องนันแล้
้ วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิก

ขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
่ งนี้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 271 / 271

พระบันญัต

[๒๗๐] กํภิกษุใดถืกราคะคอบงําแล้ว มีจิตคอนแคน ถืกต้องกายกับมาตุคาม คื จับมื


จับช้องผฺมหลืลูบคําอวัยวะส่วนใดส่วนนึ่ง เปันสังฆาทิเสส

เรื้องพระอุทายี จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๒๗๑] คําว่า กํ...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กํ...ใด


คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ที่ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผูม
้ ีพระภาคชฺงปะสฺงค์
เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
ที่ชื่ว่า ถืกราคะคอบงําแล้ว คื มีความยินดี เพ่งเล็ง มีจิตฮักใค่
คําว่า คอนแคน ความว่า จิตกําหนัดแล้วชื่ว่าคอนแคนแด่ จิตโกดแล้ว
ชื่ว่าคอนแคนแด่ จิตหลฺงแล้วชื่ว่าคอนแคนแด่ แต่จิตกําหนัดแล้ว พระผู้มีพระภาคชฺง
ปะสฺงค์ว่า คอนแคน ในความหมายนี้
ที่ชื่ว่า มาตุคาม ได้แก่ ยิงมนุษย์ บํ่แม่นนางยักษ์ บํ่แม่นนางเผด บํ่แม่นสัตว์เดั฽ระสาน
ั้
โตแม่ ยิงมนุษย์นนโดยที ่ สุดฮวมจฺนเถิงเด็กยิงชึ่งเกีดในวันนัน
้ ยิงใหย่กว่านี้บํ่
ต้องก่าวเถิง
คําว่า กับ คื โดยความเปันอันด฽วกัน
คําว่า ถืกต้อง คื ท่านก่าวเถิงความปะพึดล่วงเกีน
ที่ชื่ว่า มื หมายเอฺาตังแต่
้ ้
ขํศอกเถิ งปายเลับ
ที่ชื่ว่า ช้องผฺม ได้แก่ เสันผฺ
้ มล้วนๆ หลืแซมด้าย แซมดอกไม้ แซมเงิน แซมทอง
แซมแก้วมุกดา หลืแซมแก้วมณี
ที่ชื่ว่า อวัยวะ คื ยฺกเวันมื ้ ่ ว่าอวัยวะ
้ และช้องผฺม นอกนันชื

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 272 / 272 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


บทภาชนีย์
มาติกา

้ จับกฺดลฺง จับให้เงียขึน
[๒๗๒] จับต้อง ลูบคํา ลูบลฺง ลูบขึน ้ ดึงมา ยูไ
้ ปนวด บีบ จับ
ต้อง
ที่ชื่ว่า จับต้อง คื กิรยิ าพຽงแต่ลูบคํา
ที่ชื่ว่า ลูบคํา คื ลูบคําไปทางพุ้นทางนี้
ที่ชื่ว่า ลูบลฺง คื ลูบลฺงเบื้องลุ่ม
ที่ชื่ว่า ลูบขึน
้ คื ลูบขึนเบื
้ ้องเทิง
ที่ชื่ว่า จับกดลฺง คื จับโน้มลฺงข้างลุ่ม
ที่ชื่ว่า จับให้เงียขึน
้ คื จับให้เงียขึนข้
้ างเทิง
ที่ชื่ว่า ดึงมา คื ดึงโน้มลฺงมา
ที่ชื่ว่า ยูไ
้ ป คื ยูอ
้ อกไป
ที่ชื่ว่า นวด คื จับอวัยวะแล้วบีบนวด
ที่ชื่ว่า บีบ คื บีบฮัดกับผ้าหลือาภอนบางญ่าง
ที่ชื่ว่า จับ คื ลักษณะพຽงแต่จับ
ที่ชื่ว่า ต้อง คื ลักษณะพຽงสัมผัส
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินนั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
้ ้
ปริวาส ชักเขฺาหาอาบั ติ

เดีม ให้มานัตและฮ฽กเขฺาหมู ่ คณะกํทําบํ่ได้ ภิกษุฮูบด฽วกํทําบํ่ได้ สะนัน ้ จึ่งตรัสว่า
เปันสังฆาทิเสส
คําว่า “เปันสังฆาทิเสส” นี้ เปันการขนานนาม เปันชื่ของหมวดอาบัตินน
ั ้ เพาะเหตุนน
ั้
พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสว่า “เปันสังฆาทิเสส”

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 273 / 273

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


ภิกขุเปยยาล
ยิง

[๒๗๓] (๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับ


้ จับกดลฺง จับให้เงียขึน
ต้อง ลูบคํา ลูบลฺง ลูบขึน ้ ดึงมา ยูไ
้ ปนวด บีบ จับ ต้องกาย
ของยิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส (๑) เปันยิง (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงและมีความ
กําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของยิง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง
ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของยิง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้ กายจับต้อง ลูบ
คํา ฯลฯ จับ ต้องกายของยิง ต้องอาบัติถุลลัจจัย (๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปัน
สัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกาย
ของยิง ต้องอาบัติถุลลัจจัย

กะเทีย

(๑) เปันกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับ


ต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของกะเทีย ต้องอาบัติถุลลัจจัย (๑) เปันกะเทีย (๒)
ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ
ต้องกายของกะเทีย ต้องอาบัติทุกกฏ (๑) เปันกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายและมี
ความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของกะเทีย ต้องอาบัติ
ทุกกฏ (๑) เปันกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓)
ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของกะเทีย ต้องอาบัติทุกกฏ (๑) เปัน
กะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของกะเทีย ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 274 / 274 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


ชาย

(๑) เปันชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบ


คํา ฯลฯ จับ ต้องกายของชาย ต้องอาบัติทก ุ กฏ (๑) เปันชาย (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปัน
ชายและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของชาย
ต้องอาบัติทุกกฏ (๑) เปันชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด
(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของชาย ต้องอาบัติทุกกฏ (๑) เปัน
ชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ
จับ ต้องกายของชาย ต้องอาบัติทุกกฏ (๑) เปันชาย (๒) ภิกษุสาํ คันว่าเปันกะเทียและ
มีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของชาย ต้องอาบัติ
ทุกกฏ

สัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของสัตว์เดั฽ระสาน ต้องอาบัติทุกกฏ (๑)
ํ ใจว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนั์ด (๓)
เปันสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุบ่ แน่
ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของสัตว์เดั฽ระสาน ต้องอาบัติทุกกฏ (๑)
เปันสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับ
ต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของสัตว์เดั฽ระสาน ต้องอาบัติทุกกฏ (๑) เปันสัตว์เดั฽
ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา
ฯลฯ จับ ต้องกายของสัตว์เดั฽ระสาน ต้องอาบัติทุกกฏ (๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน (๒)
ภิกษุสําคันว่าเปันชายและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้อง
กายของสัตว์เดั฽ระสาน ต้องอาบัติทุกกฏ

เอกมูลกนัย จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 275 / 275

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


ยิง ๒ คฺน

[๒๗๔] (๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของยิงทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๒ ตฺว
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของยิงทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตฺว
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺน ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด
(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของยิงทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย ๒ ตฺว

กะเทีย ๒ คฺน

(๑) เปันกะเทีย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของกะเทีย ๒ คฺน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๒ ตฺว
(๑) เปันกะเทีย ๒ คฺน (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺน ฯลฯ
(๑) เปันกะเทีย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ
(๑) เปันกะเทีย ๒ คฺน (๒) สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ คฺน ฯลฯ
(๑) เปันกะเทีย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความ
กําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคําฯลฯ จับ ต้องกายของกะเทียทัง ๒ คฺน
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 276 / 276 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


ชาย ๒ คฺน

(๑) เปันชาย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัดจัด (๓)


ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของชายทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒
ตฺว
(๑) เปันชาย ๒ คฺน (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ
(๑) เปันชาย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ คฺน ฯลฯ
(๑) เปันชาย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺน ฯลฯ
(๑) เปันชาย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความ
กําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของชายทัง ๒ คฺน ต้อง
อาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

สัตว์เดั฽ระสาน ๒ ตฺว

(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน ๒ ตฺว (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ตฺว และมี


ความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของสัตว์เดั฽ระสานทัง
๒ ตฺว ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว
(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน ๒ ตฺว (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน ๒ ตฺว (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน ๒ ตฺว (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน ๒ ตฺว (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ ตฺวและมีความกําหนัด
(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ตฺว ต้อง
อาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


ยิงและกะเทีย

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 277 / 277

[๒๗๕] (๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด


(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับ
อาบัติสังฆาทิเสส
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงและกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความ
กําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติทุก
กฏกับอาบัติถุลลัจจัย
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)
ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตฺว
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)
ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติ
ถุ ลลัจจัย (๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ คฺนและมี
ความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้อง
อาบัติทุกกฏกับอาบัติถุลลัจจัย

ยิงและชาย

(๑) เปันยิงและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺน และมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


ใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติ
สังฆาทิเสส
(๑) เปันยิงและชาย (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงและชายทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด
(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับ
อาบัติถุลลัจจัย

(๑) เปันยิงและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติ
ถุ ลลัจจัย
(๑) เปันยิงและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 278 / 278 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ถุ ลลัจจัย
(๑) เปันยิงและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด
(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับ
อาบัติถุลลัจจัย

ยิงและสัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันยิงและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ และมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติ
สังฆาทิเสส

(๑) เปันยิงและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุบ่ แน่


ํ ใจว่าเปันยิงและสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒
และมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับต้องกายของทัง ๒ ต้อง
อาบัติทุกกฏกับอาบัติถุลลัจจัย

(๑) เปันยิงและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ และมีความกําหนัด


(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติ
ถุ ลลัจจัย

(๑) เปันยิงและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ และมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติ
ถุ ลลัจจัย

(๑) เปันยิงและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ และมีความ


กําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จ้บต้องกายของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ
กับอาบัติถุลลัจจัย

กะเทียและชาย

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 279 / 279

(๑) เปันกะเทียและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติ
ถุ ลลัจจัย

(๑) เปันกะเทียและชาย (๒) ภิกษุบ่ แน่


ํ ใจว่าเปันกะเทียและชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ ต้อง
อาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

(๑) เปันกะเทียและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ


(๑) เปันกะเทียและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ คฺน ฯลฯ
(๑) เปันกะเทียและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)
ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

กะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ และมีความ


กําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ
กับอาบัติถุลลัจจัย
(๑) เปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน
ทัง ๒ ฯลฯ
(๑) เปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ ฯลฯ
(๑) เปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ฯลฯ
(๑) เปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ และมีความกําหนัด
(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของทัง ๒ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๒ ตฺว

ชายและสัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันชายและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ และมีความกําหนัด


(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว
(๑) เปันชายและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุบ่ ํแน่ใจว่าเปันชายและสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 280 / 280 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ฯลฯ
(๑) เปันชายและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ฯลฯ
(๑) เปันชายและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ ฯลฯ
(๑) เปันชายและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ และมีความกําหนัด
(๓) ภิกษุใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

ทุมูลกนัย จฺบ

ของที่เนื่องด้วยกายของยิง

[๒๗๖] (๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้กายจับ


ต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของยิง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้
กายจับต้องลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของยิงทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุก
กฏกับอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

ของที่เนื่องด้วยกายถืกต้องกายของยิง

(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้ของที่เนื่องด้วย


กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของยิง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้
ของที่เนื่องด้วยกายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของยิงทัง ๒ ต้องอาบัติ
ถุ ลลัจจัย ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 281 / 281

ใช้ของที่เนื่องด้วยกายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ


กับอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

ของที่เนื่องด้วยกายถืกต้องของที่เนื่องด้วยกายของยิง

(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้ของที่เนื่องด้วย


กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของยิง ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้
ของที่เนื่องด้วยกายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของยิงทัง ๒
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ใช้ของที่เนื่องด้วยกายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของทัง ๒
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

ของที่โยนไปถืกต้องกายของยิง

(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้ของโยนไปถื


กต้องกายของยิง ต้องอาบัติทุกกฎ ฯลฯ

(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้


ของโยนไปถืกต้องกายของยิงทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


ใช้ของโยนไปถืกต้องกายของคฺนทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

ของที่โยนไปถืกต้องของที่เนื่องด้วยกายของยิง

(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้ของโยนไปถื


กต้องของที่เนื่องด้วยกายของยิง ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 282 / 282 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ของโยนไปถืกต้องของที่เนื่องด้วยกายของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ


(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ใช้ของโยนไปถืกต้องของที่เนื่องด้วยกายของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว
ฯลฯ
(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้ของโยนไปถื
กต้องของที่โยนมาของยิง ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุใช้
ของโยนไปถืกต้องของที่โยนมาของยิงทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ใช้ของโยนไปถืกต้องของที่โยนมาของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

ภิกขุเปยยาล จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


อิตถีเปยยาล
ยิงถืกต้องกายของภิกษุ

[๒๗๗] (๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ยิงใช้กายจับต้อง


้ จับกดลฺง จับให้เงียขึน
ลูบคํา ลูบลฺง ลูบขึน ้ ดึงมา ยูไ
้ ปนวด บีบ จับ ต้องกายของ
ภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ยิงทัง
๒ ใช้กายจับต้อง ลูบคํา ลูบลฺง ลูบขึน้ จับกดลฺง จับให้เงียขึน
้ ดึงมา ยูไ
้ ป นวด บีบ
จับ ต้องกายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกายฮับฮูส
้ ัมผัส ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ทัง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 283 / 283

๒ ใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ


พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ

ยิงถืกต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ

(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ยิงใช้กายจับต้อง ลูบคํา


ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วย
กาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ยิงทัง
๒ ใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ ภิกษุมีความ
ปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ทัง
๒ คฺนใช้กายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ ภิกษุมีความ
ปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับผู้สัมผัส ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


ยิงใช้ของที่เนื่องด้วยกายถืกต้องกายของภิกษุ

(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ยิงใช้ของที่เนื่องด้วยกาย


จับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วย
กาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ยิงทัง
๒ คฺนใช้ของที่เนื่องด้วยกายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของภิกษุ ภิกษุมีความ
ปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ทัง
๒ ใช้ของที่เนื่องด้วยกายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องกายของภิกษุ ภิกษุมีความ
ปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 284 / 284 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๒๗๘] (๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ยิงใช้ของที่เนื่อง


ด้วยกายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ ภิกษุมีความ
ปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ยิงทัง
๒ ใช้ของที่เนื่องด้วยกายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ
ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ทัง
๒ ใช้ของที่เนื่องด้วยกายจับต้อง ลูบคํา ฯลฯ จับ ต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ
ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัสต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


ยิงใช้ของที่โยนถืกต้องกายของภิกษุ

(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ยิงใช้ของโยนมาถืกต้อง


กายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทุก
กฏ ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ยิงทัง
๒ ใช้ของโยนมาถืกต้องกายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพพยายามด้วยกาย ฮับ
ฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทก
ุ กฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ทัง
๒ ใช้ของโยนมาถืกต้องกายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับ
ฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทก
ุ กฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

ยิงใช้ของที่โยนถืกต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ

(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ยิงใช้ของโยนมาถืกต้อง


ของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส ้ ัมผัส
ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ทัง ๒

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 285 / 285

เอฺาของโยนมาถืกต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ
พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทก
ุ กฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ทัง
๒ เอฺาของโยนมาถืกต้องของที่เนื่องด้วยกายของภิกษุ ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ
พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทก
ุ กฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

ยิงใช้ของที่โยนถืกต้องของที่โยนของภิกษุ

(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ยิงใช้ของโยนมาถืกต้อง


ของที่ภิกษุโยนไป ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกายแต่บ่ ํฮับฮูส ้ ัมผัส ต้อง
อาบัติทุกกฏ ฯลฯ

(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ทัง ๒


ใช้ของโยนมาถืกต้องของที่ภิกษุโยนไป ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย
แต่บ่ ฮั
ํ บฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ทัง
๒ ใช้ของโยนมาถืกต้องของที่ภิกษุโยนไป ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วย
กาย แต่บ่ ํฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

อิตถีเปยยาล จฺบ

[๒๗๙] ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส ้ ัมผัส ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ พยายามด้วยกาย แต่บ่ ํฮับฮูส
้ ัมผัส ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุมีความปะสฺงค์จะเสพ แต่บ่ พยายามด้
ํ วยกาย ฮับฮูส ้ ัมผัส บํ่ต้องอาบัติภิกษุมีความ
ปะสฺงค์จะเสพ บํ่พยายามด้วยกาย และบํ่ฮับฮูส
้ ัมผัส บํ่ต้องอาบัติ
ฺ้ พยายามด้วยกาย ฮับฮูส
ภิกษุมีความปะสฺงค์จะให้พน ้ ัมผัส บํ่ต้องอาบัติ
ฺ้ พยายามด้วยกาย แต่บ่ ํฮับฮูส
ภิกษุมีความปะสฺงค์จะให้พน ้ ัมผัส บํ่ต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 286 / 286 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ฺ้ แต่บ่ พยายามด้
ภิกษุมีความปะสฺงค์จะให้พน ํ ้ ัมผัส บํ่ต้องอาบัติ
วยกาย ฮับฮูส
ฺ้ บํ่พยายามด้วยกาย และบํ่ฮับฮูส
ภิกษุมีความปะสฺงค์จะให้พน ้ ัมผัส บํ่ต้องอาบัติ

อนาปัตติวาร

้ บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๒๘๐] ๑. ภิกษุบ่ จฺํ งใจ
๒. ภิกษุถืกต้องเพาะบํ่มีสติ
๓. ภิกษุบ่ ฮู
ํ ้
๔. ภิกษุบ่ ยิ
ํ นดี
๕. ภิกษุวิกฺลจิต
๖. ภิกษุมีจิตปั่นป่ วง
๗. ภิกษุกะวฺนกะวายเพาะเวทนา
ฺ้ นญัต
๘. ภิกษุตนบั

คาถาฮวมวินีตวัตถุ
เรื้องที่ชฺงวินิจฉัยแล้ว

เรื้องมารดา ๑ เรื้อง ๧เรื้องธิดา ๑ เรื้อง ๧เรื้องน้องสาว ๑ เรื้อง ๧เรื้องอดีตภัร


ยา ๑ เรื้อง ๧เรื้องนางยักษ์ ๑ เรื้อง ๧เรื้องกะเทีย ๑ เรื้อง ๧เรื้องยิงนอนหลับ ๑
เรื้อง ๧เรื้องยิงที่ตายแล้ว ๑ เรื้อง ๧เรื้องสัตว์เดั฽ระสานโตแม่ ๑ เรื้อง ๧เรื้อง
ตุ๊กตาไม้ ๑ เรื้อง ๧เรื้องยิงฮ่วมกันฉุด ๑ เรื้อง ๧เรื้องขฺว ๑ เรื้อง ๧เรื้องหฺนทาง
๑ เรื้อง ๧เรื้องตฺนไม้
้ ๑ เรื้อง ๧เรื้องเฮือ ๑ เรื้อง ๧เรื้องเชือก ๑ เรื้อง ๧เรื้อง
ท่อนไม้ ๑ เรื้อง ๧เรื้องใช้บาตรดัน ๑ เรื้อง ๧เรื้องไหว้ ๑ เรื้อง ๧เรื้องพยายาม
ํ จับต้อง ๑ เรื้อง
แต่บ่ ได้

วินีตวัตถุ
เรื้องมารดา ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 287 / 287

[๒๘๑] สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งจับต้องมารดาด้วยความฮักถานแม่ลูก ท่านเกีดความกังวฺล


ใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคเจฺาให้
้ ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้อง
ที ๑)

เรื้องธิดา ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งจับต้องธิดาด้วยความฮักถานพํ่ลูก ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา


สมัยนัน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๒)

เรื้องน้องสาว ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งจับต้องน้องสาวด้วยความฮักถานน้องสาว ท่านเกีดความกังวฺลใจ
สมัยนัน
ว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๓)

เรื้องอดีตภัรยา ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกต้องกายกับอดีตภัรยา ท่านเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้องอาบัติ
สมัยนัน
สังฆาทิเสส หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
ิ ังฆาทิเสส” (เรื้องที ๔)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตส

เรื้องนางยักษ์ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกต้องกายกับนางยักษ์ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ


สมัยนัน
สังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๕)

เรื้องกะเทีย ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 288 / 288 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกต้องกายกับกะเทีย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้องอาบัติ
สมัยนัน
สังฆาทิเสส หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื่งนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๖)

เรื้องยิงนอนหลับ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกต้องกายกับยิงนอนหลับ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้องอาบัติ
สมัยนัน
สังฆาทิ เสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
ิ ังฆาทิเสส” (เรื้องที ๗)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตส

เรื้องยิงที่ตายแล้ว ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกต้องกายกับยิงที่ตายแล้ว ท่านเกีดความกังวฺลใจว่าเฮฺาต้อง
สมัยนัน
อาบัติสังฆาทิ เสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๘)

เรื้องสัตว์เดั฽ระสานโตแม่ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกต้องกายกับสัตว์เดั฽ระสานโตแม่ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา


สมัยนัน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๙)

เรื้องตุ๊กตาไม้ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งถืกต้องกายกับตุ๊กตาไม้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ


สมัยนัน
สังฆาทิ เสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบพระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑๐)

เรื้องยิงฮ่วมกันฉุด ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 289 / 289

[๒๘๒] สมัยนัน้ ยิงจํานวนหลายจับแขนตํ่ๆกันโอบภิกษุฮูบนึ่งพาไป ท่านเกีดความ


กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ ท่านยินดีหลื” “บํ่ยินดี พระพุทธเจฺาข้
้ า” “ภิกษุ
ท่านบํ่ยินดี บํ่ต้องอาบัต”ิ (เรื้องที ๑๑)

เรื้องขฺว ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด จึ่งสั่นขฺวไม้ท่ ียิงย่างขึนไป


สมัยนัน ้ ท่านเกีดความกังวฺลใจ
ว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑๒)

เรื้องหฺนทาง ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบยิงย่างสวนทางมา มีความกําหนัดจึ่งตําบ่าไหล่ ท่านเกีดความ


สมัยนัน
กังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺ
งชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๑๓)

เรื้องตฺนไม้
้ ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด จึ่งสั่นตฺนไม้


้ ท่ ียิงขึนไป
้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑๔)

เรื้องเฮือ ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด จึ่งสั่นเฮือที่ยิงนั่ง ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา


สมัยนัน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑๕)

เรื้องเชือก ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 290 / 290 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด จึ่งดึงเชือกที่ยิงจับไว้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า


เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที
๑๖)

เรื้องท่อนไม้ ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด จึ่งฉุดท่อนไม้ท่ ยิี งถืไว้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า


เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที
๑๗)

เรื้องใช้บาตรดัน ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ใช้บาตรดันยิง ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง


สมัยนัน
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๑๘)

เรื้องไหว้ ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ยฺกตีนถืกยิงผู้กําลังไหว้ ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า


เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส” (เรื้องที ๑๙)

เรื้องพยายามแต่บ่ ได้
ํ จับต้อง ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งพยายามจะจับยิงแต่บ่ ได้
สมัยนัน ํ ถืกตฺว ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๒๐)

กายสังสัคคสิกขาบฺทที ๒ จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 291 / 291

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๓. ทุฎฐุ ลลวาจาสิกขาบฺท นิทานวัตถุ


๓. ทุฏฐุ ลลวาจาสิกขาบฺท
้ ຽวยิง
ว่าด้วยการเวฺาก้
เรื้องพระอุทายี

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๒๘๓] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเชตวัน อาฮามของอนาถบิณ
้ น
ฑิกเสดถี เขตกุงสาวัตถี คังนั ้ ท่านพระอุทายีญใู่ นป่ า วิหารของท่านสวยงาม หน้า
เบิ่ง หน้าชฺม ยิงจํานวนหลายพากันไปที่วัดเพื่อชฺมวิหาร พากันเขฺาไปหาท่
้ านพระอุทา
ยีเถิงที่ญู่ คันเขฺาไปหาแล้
้ ว ก่าวว่า “พวกขะน้อยต้องการชฺมวิหารของพระคุณเจฺา้ ขะ
น้อย” ท่านพระอุทายีพายิงเหลฺ่านันชฺ
้ มวิหาร เวฺาย้
้ องแด่ เวฺาติ
้ แด่ ขํแด่ อ้อนวอนแด่

ถามแด่ ถามซําแด่ บอกแด่ สอนแด่ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนัก ทวารเบฺาของยิงเหลฺ่า
้ พวกยิงที่บํ่ญ้านบาป ใจเถิง บํ่มีญางอาย ต่างกํยมยฺ
นัน ิ้ วะแด่ เวฺายฺ
้ วะแด่ กะซิกกะซี้แด่

เวฺาหยอกกั บท่านพระอุทายีแด่ ส่วนพวกยิงที่มีความละอายใจกํลຽงออกไปแล้วฟ้ อง
ภิกษุทังหลายว่า “ท่านขน้อย คําเชั่นนี้บํ่เหมาะ บํ่ควร สามีเวฺาเชั
้ ่ นนี้พวกเฮฺากํยังบํ่ชอบ
นี้พระคุณเจฺาอุ
้ ทายีมาเวฺาได้
้ ญ่างใด” บันดาภิกษุผู้มักน้อยสันโดษ มีความละอาย มีความ
ระมัดระวัง ใฝ่ การศึกษา จึ่งพากันตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดท่านพระอุทายี
จึ่งเวฺาก้
้ ຽวมาตุคาม ด้วยวาจาชฺ่วหยาบละ” คันภิกษุเหลฺ่านันตํ
้ าหนิท่านพระอุทายีโดยปะ
การต่างๆ
แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ น
คังนั ้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
้ ชฺงสอบถามท่านพระ
้ ຽวมาตุคามด้วยวาจาชฺ่วหยาบแม่นแท้บ”ํ ท่านทูลฮับ
อุทายีว่า “อุทายี ชาบว่า ท่านเวฺาก้
ว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้้ า” พระผู้มีพระภาคชฺงตําหนิว่า “โมฆบุรุษ การกะทําญ่าง
นี้บํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้
ํ บํ่ควรทํา จั่งใดท่าน
จึ่งเวฺาก้
้ ຽวมาตุคามด้วยวาจาชฺ่วหยาบละ โมฆบุรุษ เฮฺาสะแดงธัมโดยปะการต่างๆ เพื่อ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 292 / 292 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

คายความกําหนัด บํ่แม่นเพื่อความกําหนัด ฯลฯ เฮฺาบอกการระงับความกัดกุ้มเพาะกาม


ไว้โดยปะการต่างๆ บํ่แม่นบํ โมฆบุรุษ การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อม
ใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้ว จึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
้ ่ งนี้

พระบันญัต

้ ຽวมาตุคามด้วยวาจาชฺ่วห
[๒๘๔] กํภิกษุใดถืกราคะคอบงําแล้ว มีจิตคอนแคน เวฺาก้
้ ຽวยิงสาว เปันสังฆาทิเสส
ยาบ พาดพิงเมถุ น เหมือนชายหนุ่มเวฺาก้

เรื้องพระอุทายี จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๒๘๕] คําว่า กํ...ใด คืผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กํ...ใด


คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ที่ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผูม
้ ีพระภาคชฺงปะสฺงค์
เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
ที่ชื่ว่า ถืกราคะคอบงําแล้ว คื มีความยินดี เพ่งเล็ง มีจิตฮักใค่
คําว่า คอนแคน ความว่า จิตกําหนัดแล้วชื่ว่าคอนแคนแด่ จิตโกดแล้ว ชื่ว่าคอนแคน
แด่ จิตหลฺงแล้วชื่ว่าคอนแคนแด่ แต่จิตกําหนัดแล้ว พระผู้มีพระภาคชฺงปะสฺงค์ว่า
คอนแคน ในความ หมายนี้
ที่ชื่ว่า มาตุคาม ได้แก่ ยิงมนุษย์ บํ่แม่นนางยักษ์ บํ่แม่นนางเผด บํ่แม่นสัตว์เดั฽ระสาน
โตแม่ แต่เปันยิงที่ฮูด้ ຽงสา สามาดฮับฮูถ ้ ้อยคําสุภาษิต ทุพภาษิต คําหยาบและคําสุภาพ
วาจาที่ชื่ว่า ชฺ่วหยาบ ได้แก่ ถ้อยคําที่พาดพิงเมถุ นธัมทางทวารหนักทวารเบฺา
้ ຽว นี้ ท่านฮ฽กความปะพึดล่วงเกีน
คําว่า เวฺาก้
คําว่า เหมือนชายหนุม ้ ຽวยิงสาว ได้แก่ หนุ่มเวฺาก้
่ เวฺาก้ ้ ຽวสาว ชายวัยรุ้นเวฺาก้
้ ຽวยิง
้ ຽวยิงผู้บํรโ
วัยรุ้น คื ชายผู้บํริโภคกามเวฺาก้ ิ ภคกาม
คําว่า พาดพิงเมถุ น ได้แก่ ถ้อยคําก่฽วกับเมถุ นธัม

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 293 / 293

คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัติน้ี สฺงฆ์เทฺ่านันให้


้ ั้
ปริวาส ฯลฯ เพาะเหตุนน
พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสว่า “เปันสังฆาทิเสส”

บทภาชนีย์
มาติกา

้ มแด่ เวฺาติ
ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ขํแด่ อ้อนวอนแด่ ถามแด่ ถามซําแด่
้ บอกแด่ สอนแด่ ด่าแด่
พาดพิงทวารทังสอง
ที่ชื่ว่า เวฺาชฺ
้ ม คื เวฺาชฺ
้ มเชีย พัณนา เวฺาสั
้ รเสีนทวารทังสอง
ที่ชื่ว่า เวฺาติ ้ ่ ม เวฺาส฽ดสี
้ คื เวฺาขฺ ้ ้ ต฽นทวารทังสอง
เวฺาติ
ที่ชื่ว่า ขํ คื เวฺาว่
้ า “จฺ่งให้แก่เฮฺา ควรให้แก่เฮฺา”
ที่ชื่ว่า อ้อนวอน คื เวฺาว่ ้ า “เมื่อใดมารดาของท่านจักเหลื้อมใส เมื่อใดบิดาของท่าน
จักเหลื้อมใส เมื่อใดเทวดาของท่านจักเหลื้อมใส เมื่อใดท่านจะมีขณะดี มีลยะดี มีคู่
ดี เมื่อใดเฮฺาจะได้เสพเมถุ นธัมกับท่าน”
ที่ชื่ว่า ถาม คื ถามว่า “ท่านให้แก่สามีญ่างใดหลืให้แก่ชายชู ้ญ่างใด”
ที่ชื่ว่า ถามซํา้ คื สอบถามว่า “ชาบว่า ท่านให้แก่สามีญ่างนี้ ให้แก่ชายชู ้ญ่างนี้หลื”
ที่ชื่ว่า บอก คื พํถืกถามจึ่งบอกว่า “ท่านจฺ่งให้ญ่างนี้ เมื่อให้ญ่างนี้จะเปันที่ฮักใค่พํใจ
ของสามี”
ที่ชื่ว่า สอน คื เขฺาบํ่ถามกํสอนว่า “ท่านจฺ่งให้ญ่างนี้ เมื่อให้ญ่างนี้ จะเปันที่ฮักใค่พํใจ
ของสามี”
ที่ชื่ว่า ด่า คื ด่าว่า “ท่านบํ่มีเคื่องหมายเพศ ท่านพຽงแต่ว่ามีเคื่องหมายเพศ ท่านบํ่มีปะ
จําเดือน ท่านมีปะจําเดือนบํ่ญุด ท่านใช้ผ้าซับสเมี ท่านเปันคฺนไหลซึม ท่านมีเดือย
ท่านเปันกะเทียยิง ท่านมีลักษณะค้ายชาย ท่านมีทวารหนักทวารเบฺาติดกัน ท่านมีสอง
เพศ”

ยิง

้ มแด่
[๒๘๖] (๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ
้ แด่ ขํแด่ อ้อนวอนแด่ ถามแด่ ถามซําแด่
เวฺาติ ้ บอกแด่สอนแด่ ด่าแด่ พาดพิงทวาร

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 294 / 294 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

หนักทวารเบฺาของยิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจยิงว่าเปันยิง ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปัน
ชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ้ มแด่ เวฺาติ
้ แด่
ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของยิง ต้องอาบัติถุลลัจจัย

กะเทีย

้ มแด่
(๑) เปันกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ
้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของกะเทีย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
เวฺาติ
(๑) เปันกะเทีย (๒) ภิกษุบ่ ํแน่ใจว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่า
้ มแด่ เวฺาติ
เปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้
แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของกะเทีย ต้องอาบัติทุกกฏ

ชาย

(๑) เปันชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชาย ฯลฯ บํ่แน่ใจว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปัน


สัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓)
้ มแด่ เวฺาติ
ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของชาย ต้องอาบัติ
ทุกกฏ

สัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ บํ่แน่ใจว่าเปันสัตว์


เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปันชายและมี
้ มแด่ เวฺาติ
ความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺา
ของสัตว์เดั฽ระสาน ต้องอาบัติทุกกฏ

ยิง ๒ คฺน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 295 / 295

(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


้ มแด่ เวฺาติ
เวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของยิงทัง ๒ คฺน ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงทัง ๒ คฺน ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย
ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
้ มแด่ เวฺาติ
เวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของยิงทัง ๒ คฺน ต้อง
อาบัติถุลลัจจัย ๒ ตฺว

กะเทีย ๒ คฺน

(๑) เปันกะเทีย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันก์ว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)


้ มแด่ เวฺาติ
ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของกะเทียทัง ๒ คฺน
ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตฺว

(๑) เปันกะเทีย ๒ คฺน (๒) ภิกษุบ่ แน่


ํ ใจว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺน ฯลฯ สําคันว่าเปัน
ชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓)
้ มแด่ เวฺาติ
ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของกะเทียทัง ๒ คฺน
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

ชาย ๒ คฺน

(๑) เปันชาย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ บํ่แน่ใจว่าเปันชาย ฯลฯ


สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทียและมีความ
้ มแด่ เวฺาติ
กําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของชาย
ทัง ๒ คฺน ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏ ๒ ตฺว

สัตว์เดั฽ระสาน ๒ ตฺว

(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน ๒ ตฺว (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ตฺว ฯลฯ บํ่


แน่ใจว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สํา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 296 / 296 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ มแด่ เวฺาติ
คันว่าเปันชายและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิง
ทวารหนักทวารเบฺาของสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ตฺว ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

ยิงและกะเทีย

(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


้ มแด่ เวฺาติ
เวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติ
ทุกกฏกับสังฆาทิเสส
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงและกะเทียทัง ๒ คฺน ฯลฯ ต้อง
อาบัติทุกกฏกับถุ ลลัจจัย ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตฺว
ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ ต้องอาบัติทุกกฏกับถุ ลลัจจัยฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระ
้ มแด่ เวฺาติ
สานและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนัก
ทวารเบฺาของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏกับ
ถุ ลลัจจัย

ยิงและชาย

(๑) เปันยิงและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


้ มแด่ เวฺาติ
เวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติ
ทุกกฏกับสังฆาทิเสส
(๑) เปันยิงและชาย (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงและชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ สําคันว่าเปัน
กะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓)
้ มแด่ เวฺาติ
ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของทัง ๒ คฺน ต้อง
อาบัติทุกกฏกับถุ ลลัจจัย

ยิงและสัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันยิงและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ และมีความกําหนัด (๓)


้ มแด่ เวฺาติ
ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของทัง ๒ คฺน ต้อง
อาบัติทุกกฏกับสังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 297 / 297

(๑) เปันยิงและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุบ่ แน่


ํ ใจว่าเปันยิงและสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒
ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมี
้ มแด่ เวฺาติ
ความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺา
ของทัง ๒ ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏกับถุ ลลัจจัย

กะเทียและชาย

(๑) เปันกะเทียและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)


้ มแด่ เวฺาติ
ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของทัง ๒ คฺน ต้อง
อาบัติทุกกฏกับถุ ลลัจจัย
(๑) เปันกะเทียและชาย (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันกะเทียและชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ สําคัน
ว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด
้ มแด่ เวฺาติ
(๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของทัง ๒ คฺน
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

กะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ และมีความ


้ มแด่ เวฺาติ
กําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของทัง
๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับถุ ลลัจจัย
(๑) เปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน
ทัง ๒ ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง
้ มแด่ เวฺาติ
และมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงทวารหนักทวาร
เบฺาของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

ชายและสัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันชายและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ ฯลฯ บํ่แน่ใจว่าเปัน


ชายและสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 298 / 298 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ มแด่เวฺาติ
ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่
พาดพิงทวารหนักทวารเบฺาของทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

ใต้ฮากขวันและเหนือเขฺ่า

้ มแด่ เวฺาติ
(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่

ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงเถิงอวัยวะเบื้องเทิงใต้ฮากขวันลฺงมา อวัยวะเบื้องตํ่าเหนือเขฺ่าขึน

ไป เวันทวารหนั กและทวารเบฺาของยิง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ
(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิง ฯลฯ ต้องอาบัติทุกกฏ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงเถิงอวัยวะเบื้องเทิงใต้ฮากขวันลฺงมา อวัยวะ
้ มแด่ เวฺาติ
เวฺาชฺ

เบื้องตํ่าเหนือเขฺ่าขึนไป ้
เวันทวารหนั กและทวารเบฺาของยิงทัง ๒ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๒ ตฺว ฯลฯ

(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงเถิงอวัยวะเบื้องเทิงใต้ฮากขวันลฺงมา อวัยวะ
้ มแด่ เวฺาติ
เวฺาชฺ

เบื้องตํ่าเหนือเขฺ่าขึนไป ้
เวันทวารหนั กและทวารเบฺาของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ
กับถุ ลลัจจัย ฯลฯ

เหนือฮากขวันและใต้เขฺ่า

้ มแด่ เวฺาติ
(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่
ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงเถิงอวัยวะเบื้องเทิงเหนือฮากขวันขึนไป้ อวัยวะเบื้องตํ่าใต้เขฺ่าลฺง
มาของยิง ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏ
(๑) เปันกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิง ฯลฯ (๑) เปันชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิง
ฯลฯ (๑) สัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิง ฯลฯ ต้องอาบัติทุกกฏ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
้ มแด่ เวฺาติ
เวฺาชฺ ้
้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงเถิงอวัยวะเบื้องเทิงเหนือฮากขวันขึนไป
อวัยวะเบื้องตํ่าใต้เขฺ่าลฺงมาของยิงทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 299 / 299

(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


้ มแด่ เวฺาติ
เวฺาชฺ ้
้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงเถิงอวัยวะเบื้องเทิงเหนือฮากขวันขึนไป
อวัยวะเบื้องตํ่าใต้เขฺ่าลฺงมาของทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ


เวฺาพาดพิ งเถิงของที่เนื่องด้วยกาย

้ มแด่ เวฺาติ
(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุเวฺาชฺ ้ แด่
ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงเถิงของที่เนื่องด้วยกายของยิง ต้องอาบัติทุกกฏ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๓. ทุฎฐุ ลลวาจาสิกขาบฺท คาถาฮวม


วินีตวัตถุ

(๑) เปันกะเทีย ฯลฯ (๑) เปันชาย ฯลฯ (๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ ต้องอาบัติทุก
กฏ
(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด
้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงเถิงของที่เนื่องด้วยกายของยิงทัง ๒
้ มแด่ เวฺาติ
(๓) ภิกษุเวฺาชฺ
คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
้ แด่ ฯลฯ ด่าแด่ พาดพิงเถิงของที่เนื่องด้วยกายของทัง ๒ ต้องอาบัติ
้ มแด่ เวฺาติ
เวฺาชฺ
ทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๒๘๗] ๑. ภิกษุมุ่งอันถะ
๒. ภิกษุมุ่งธัม
๓. ภิกษุมุ่งพํ่าสอน
๔. ภิกษุวิกฺลจิต
ฺ้ นญัต
๕. ภิกษุตนบั

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 300 / 300 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

คาถาฮวมวินีตวัตถุ
เรื้องที่ชฺงวินิจฉัยแล้ว

เรื้องผ้ากัมพฺลสีแดง ๑ เรื้อง ๧เรื้องผ้ากําพลขฺนแขง ๑ เรื้อง ๧เรื้องผ้ากัมพฺลขฺนห


ยอง ๑ เรื้อง ๧เรื้องผ้ากัมพฺลขนหยาบ ๑ เรื้อง ๧เรื้องผ้าหฺ่มขนยาว ๑ เรื้อง ๧
เรื้องนาหว่าน ๑ เรื้อง ๧เรื้องหฺนทางฮาบพຽง ๑ เรื้อง ๧เรื้องมีสัดทา ๑ เรื้อง ๧
เรื้องให้ทาน ๑ เรื้อง ๧เรื้องทํางาน ๓ เรื้อง

เรื้องผ้ากัมพฺลสีแดง ๑ เรื้อง

[๒๘๘] สมัยนัน้ ยิงคฺนนึ่งหฺ่มผ้ากัมพฺลใหม่สีแดง ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าวกับ


ท่านว่า “น้องยิง ท่านมีสีแดงแท้” แต่นางบํ่เขฺาใจความหมายจึ
้ ่ งก่าวว่า “แม่นแล้วขะ
น้อย พระคุณเจฺา้ ผ้ากัมพฺลใหม่สีแดง” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
สังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑)

เรื้องผ้ากัมพฺลขฺนแขง ๑ เรื้อง

้ ยิงคฺนนึ่งหฺ่มผ้ากัมพฺลขฺนแขง ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าวกับท่านว่า


สมัยนัน
“น้องยิง ท่านมีขฺนแขงแท้” แต่นางบํ่เขฺาใจความหมายจึ
้ ่ งก่าวว่า “แม่นแล้วขะน้อย
พระคุณเจฺา้ ผ้ากัมพฺลขฺนแขง” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๒)

เรื้องผ้ากัมพฺลขฺนหยอง ๑ เรื้อง

้ ยิงคฺนนึ่งหฺ่มผ้ากัมพฺลซักใหม่ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าวกับท่านว่า


สมัยนัน
“น้องยิง ท่านมีขฺนหยอง” แต่นางบํ่เขฺาใจความหมายจึ
้ ่ งก่าวว่า “แม่นแล้วขะน้อย พระ
คุณเจฺา้ ผ้ากัมพฺล ขฺนหยอง” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 301 / 301

จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง


อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๓)

เรื้องผ้ากัมพฺลขนหยาบ ๑ เรื้อง

้ ยิงคฺนนึ่งหฺ่มผ้ากัมพฺลขฺนหยาบ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าวกับท่านว่า


สมัยนัน
“น้องยิง ท่านมีขนฺ หยาบ” แต่นางบํ่เขฺาใจความหมายจึ
้ ่ งก่าวว่า “แม่นแล้วขะน้อย พระ
คุณเจฺา้ ผ้ากัมพฺล ขฺนหยาบ” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๔)

เรื้องผ้าหฺ่มขนยาว ๑ เรื้อง

้ ยิงคฺนนึ่งหฺ่มผ้าหฺ่มขนยาว ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าว


สมัยนัน
กับท่านว่า “น้องยิง ท่านมีขนยาว” แต่นางบํ่เขฺาใจความหมายจึ
้ ่ งก่าวว่า “แม่นแล้วขะ
น้อย
พระคุณเจฺา้ ผ้าหฺ่มขนยาว” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืนํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๕)

เรื้องนาหว่าน ๑ เรื้อง

[๒๘๙] สมัยนัน ้ ยิงคฺนนึ่งหว่านนาแล้วย่างมา ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้กา่ วกับ


ท่านว่า “น้องยิง ท่านหว่านแล้ว แล้วหลื” แต่นางบํ่เขฺาใจความหมายจึ
้ ่ งก่าวว่า “แม่น
แล้วขะน้อย พระคุณเจฺา้ หว่านแล้วแล้ว แต่ยังบํ่ได้ไถถฺม” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๖)

เรื้องหฺนทางฮาบพຽง ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 302 / 302 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ภิกษุฮูบนึ่งพฺบนางปริพาชิกาย่างสวนทางมา มีความกําหนัด ได้ก่าวกับท่านว่า


สมัยนัน
“น้องยิง ทางของท่านฮาบพຽงหลื” แต่นางบํ่เขฺาใจความหมายจึ
้ ่ งก่าวว่า “ขะน้อย นิมฺ
นต์พระคุณเจฺาย่ ้ างไปเถีด” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๗)

เรื้องมีสัดทา ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าวกับยิงคฺนนึ่งว่า “น้องยิง ท่านเปันคฺนมีสัดทา


สมัยนัน
จะถวายสิ่งที่ท่านให้แก่สามี แก่พวกอาตมาแด่บ่ ได้
ํ หลื” “แม่นหยังขะน้อย” ภิกษุนน ั้
ตอบว่า“เมถุ นธัม” แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนํา
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๘)

เรื้องให้ทาน ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าวกับยิงคฺนนึ่งว่า “น้องยิง ท่านเปันคฺนมีสัดทา


สมัยนัน
จะถวายทานอันเลิศแก่พวกอาตมาแด่บ่ ได้ํ หลื” “แม่นหยังขะน้อย” ภิกษุนนตอบว่ั้ า
“เมถุ นธัม” แล้วเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๙)

เรื้องทํางาน ๓ เรื้อง

้ ยิงคฺนนึ่งกําลังทํางานญู่ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าวกับท่านว่า “น้องยิง


สมัยนัน
ญุดเถีด อาตมาจักช่วยทํา” แต่นางบํ่ฮูค ้ วามหมาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑๐)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 303 / 303

สมัยนัน ้ ยิงคฺนนึ่งกําลังทํางานญู่ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าวกับท่านว่า “น้องยิง


นั่งเถีด อาตมาจักช่วยทํา” แต่นางบํ่ฮูค ้ วามหมาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส หลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑๑)

้ ยิงคฺนนึ่งกําลังทํางานญู่ ภิกษุฮูบนึ่งมีความกําหนัด ได้ก่าวกับท่านว่า “น้องยิง


สมัยนัน
นอนพักเถีด อาตมาจักช่วยทํา” แต่นางบํ่ฮูค ้ วามหมาย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺา
ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์
ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑๒)

ทุฏฐุ ลลวาจาสิกขาบฺทที ๓ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๔. อัตตกามปาริจริยสิกขาบฺท นิทาน


วัตถุ
๔. อัตตกามปาริจริยสิกขาบฺท
ว่าด้วยการให้บําเรีความใค่ของตฺน
เรื้องพระอุทายี

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๒๙๐] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเชตวัน อาฮามของอนาถบิณ
้ น
ฑิกเสดถี เขตกุงสาวัตถี คังนั ้ ท่านพระอุทายีเปันพระที่ใก้ชิดตะกูนในกุงสาวัตถี ไป
มาหาสูต ้ มีแม่หม้ายคฺนนึ่งฮูบงาม หน้าเบิ่ง หน้าชฺม คันเวลา
่ ะกูนเปันอันมาก สมัยนัน
เชฺา้ ท่านพระอุทายีคองอันตรวาสก ถืบาตรและจีวอนย่างไปเถิงเฮือนแม่หม้ายนันคั ้ น
เถิงแล้วจึ่งนั่งเทิงอาสนะที่เขฺาจัดไว้ คันแล้วแม่หม้ายจึ่งเขฺาไปหาเถิ
้ งที่ท่านพระอุทายี
นั่ง ขาบแล้วนั่ง ณะ ที่สฺมควร คันแล้วท่านพระอุทายีช้แจงให้
ี แม่หม้ายเหันแจ้ง ชวน
ให้ญากฮับเอฺาไปปะติบัด ปุกใจให้อาจหานเกั่งก้า ปอบปะโลมใจให้สฺดชื่นเบีกบาน
้ น
ด้วยธัมมีกถา คังนั ้ แม่หม้ายได้ก่าวปวารณา ท่านพระอุทายีว่า “พระคุณเจฺา้ โปดบ
อกเถีด ท่านต้องการสิ่งใดที่ขะน้อยสามาดจัดถวายได้ คื จีวอน บิณฑบาต เสนาสนะ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 304 / 304 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

และคิลานปัจจัยเภสัชบํริขาร” “ปัจจัยเหลฺ่านันหาได้
้ บ่ ยาก
ํ ท่านจฺ่งถวายสิ่งที่หาได้ยาก
แก่อาตมาเถีด” “แม่นหยังหลื ขะน้อย” “เมถุ นธัม” “ท่านต้องการหลืขะน้อย” “อาตมา
ต้อง การ” แม่หม้ายจึ่งก่าวว่า “นิมฺนต์ท่านมาเถีดขะน้อย” แล้วเดีนเขฺาห้
้ องเปื้องผ้านุ่ง
แล้วนอนหงายเทิงต฽ง ขณะนัน ้ ท่านพระอุทายีเดีนตามนางเขฺาไปเถิ
้ งต฽งก่าวว่า “ใผ
จักลูบคํายิงถ่อยมีก่ นเหม็
ิ นคฺนนี้ได้” ถฺ่มนําลายแล้
้ วจากไป แม่หม้ายตําหนิ ปะนาม
โพนทะนาว่า “พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหลฺ่านี้ บํ่มีญางอาย ทุศีล ชอบเวฺาเท็
้ จ

แต่กํปะติยานว่า ปะพึดธัม ปะพึดสงฺบ ปะพึด พรฺมจันย์ เวฺาความจิ ง มีศีล มีกล
ั ยาณธัม
พวกท่านบํ่มีความเปันสมณะ บํ่มีความเปันพรามณ์ ความเปันสมณะความเปันพรามณ์ของ
พวกท่านเสื่อมสินไปแล้
้ ว พวกท่านจะเปันสมณะ เปัน พรามณ์ได้ญ่างใด พวกท่านปาส
จากความเปันสมณะ ปาสจากความเปันพรามณ์ จั่งใดพระสมณะอุทายีขํเมถุ นธัมกับเฮฺา
แล้ว กับถฺ่มนําลายก่
้ าวว่า ‘ใผจักลูบคํายิงถ่อยมีก่ นเหม็
ิ นคฺนนี้ได้’ แล้วจากไปละ เฮฺามี
หยังชฺ่วหลายหลื มีหยังที่เปันมีก่ นเหม็
ิ นหลื เฮฺาชฺ่วกว่ายิงคฺนอื่นญ่างใด” แม่นยิงพวก
อื่นกํพากันตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรเหลฺ่านี้ บํ่มีญางอาย
ทุศีล มัก ก่าวเท็จ ฯลฯ แม่หม้ายนี้มีหยังชฺ่วแท้หลื มีหยังที่เปันกิ่นเหม็นหลื นางชฺ่
วกว่ายิงอื่นญ่างใด” ภิกษุทังหลายได้ยินยิงเหลฺ่านันตํ
้ าหนิ ปะนาม โพนทะนา บันดา
ภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความระมัดระวัง ใฝ่ การศึกษา จึ่งพากันตําหนิ
ปะนามโพนทะนาว่า “จั่งใดท่านพระอุทายีจ่ งเวฺ
ึ ้ รเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้า
าสั
มาตุคามละ” คันภิกษุทังหลายตําหนิท่านพระอุทายีโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้
ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามท่าน
พระอุทายีว่า “อุทายี ชาบว่า ท่านก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ามาตุคาม
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺา้ ชฺงตําหนิ
แม่นแท้บํ” ท่านทูลฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้
ว่า “โมฆบุรุษ การกะทําของท่าน บํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของ
สมณะ ใช้บ่ ได้
ํ บํ่ควรทํา โมฆบุรุษ จั่งใดท่านจึ่งได้ก่าวสัรเสีนการให้บําเรีความใค่
ของตฺนตํ่หน้ามาตุคามละ โมฆบุรุษ เฮฺาสะแดงธัมโดยปะการต่างๆ เพื่อคายกําหนัด บํ่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 305 / 305

แม่นเพื่อความกําหนัด ฯลฯ เฮฺาบอกการระงับความกัดกุ้มเพาะกามไว้โดยปะการต่างๆ


บํ่แม่นบํ โมฆบุรุษ การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส
ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั
้ ่ งนี้

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๔. อัตตกามปาริจริยสิกขาบฺท สิกขาบฺ


ทวิภังค์
พระบันญัต

[๒๙๑] กํ ภิกษุใดถืกราคะคอบงําแล้ว มีจิตคอนแคน ก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่


ของตฺนตํ่หน้ามาตุคาม ด้วยคําที่พาดพิงเมถุ นว่า “น้องยิง ยิงใดบําเรีผู้ปะพึดพรฺมจันย์
ผู้มีศีลมีกัลยาณธัมเชั่นเฮฺาด้วยธัมนัน
้ การบําเรีน้ของยิ
ี ้
ง นันเปั ั้
นการบําเรีชนยอด”
เปันสังฆาทิเสส

เรื้องพระอุทายี จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๒๙๒] คําว่า กํ...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กํ...ใด


คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ที่ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผูม
้ ีพระภาคชฺงปะสฺงค์
เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
ที่ชื่ว่า ถืกราคะคอบงําแล้ว คื มีความยินดี เพ่งเล็ง มีจิตฮักใค่
คําว่า คอนแคน ความว่า จิตกําหนัดแล้วชื่ว่าคอนแคนแด่ จิตโกดแล้ว
ชื่ว่าคอนแคนแด่ จิตหลฺงแล้วชื่ว่าคอนแคนแด่ แต่จิตกําหนัดแล้ว พระผู้มีพระภาคชฺง
ปะสฺงค์ว่า คอนแคน ในความหมายนี้
ที่ชื่ว่า มาตุคาม ได้แก่ ยิงมนุษย์ บํ่แม่นนางยักษ์ บํ่แม่นนางเผด บํ่แม่นสัตว์เดั฽ระสาน
โตแม่ แต่เปันยิงที่ฮูด้ ຽงสา สามาดฮับฮูถ ้ ้อยคําสุภาษิต ทุพภาษิต คําหยาบและคําสุภาพ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 306 / 306 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

คําว่า ตํ่หน้ามาตุคาม คื ที่ใก้มาตุคาม บํ่ไกจากมาตุคาม


คําว่า ความใค่ของตฺน ได้แก่ ความใค่ของตฺน เหตุของตฺน ความปะสฺงค์ของตฺน
การบําเรีของ ตฺน
คําว่า นี้...ชันยอด
้ คื นี้เปันยอด นี้ปะเสีดที่สุด นี้เปันชันแนวหน้
้ า นี้สูงสุด นี้เปันสิ่ง
เลิศ
คําว่า ยิงใด ได้แก่ ยิงวันณะกษัตริย์ หลืวันณะพรามณ์ ยิงวันณะแพศย์ หลืยิงวันณะ
ศูทร
คําว่า เชั่นเฮฺา คื เปันกษัตริย์ หลืพรามณ์ แพศย์ หลืศูทร

คําว่า มีศีล คื ผูเ้ วันขาดจากปาณาติ ้
บาต เวันขาดจากอทิ ้
นนาทาน เวันขาดจากมุ สาวาท

คําว่า ผู้ปะพึดพรฺมจันย์ คื ผูเ้ วันขาดจากเมถุ นธัม
ที่ชื่ว่า มีกัลยาณธัม คื ผู้ช่ ว่ ้
ื ามีธัมงามเพาะศีลนันและพรฺ ั้
มจันย์นน
คําว่า ด้วยธัมนัน ้ คื ด้วยเมถุ นธัม
คําว่า บําเรี คื อภิรม ฺ ย์
คําว่า ด้วยคําที่พาดพิงเมถุ น คื ด้วยถ้อยคําที่ก่฽วด้วยเมถุ นธัม
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
้ ปริวาส ฯลฯ
เพาะเหตุนน ั ้ พระผู้มพี ระภาคจึ่งตรัสว่า “เปันสังฆาทิเสส”

บฺทภาชนีย์
ยิง

[๒๙๓] (๑) เปันยิง (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุก่าวสัรเสีน


การบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
(๑) เปันยิง (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิง ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปัน
ชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุก่าวสัรเสีนการบํา
เรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิง ต้องอาบัติถุลลัจจัย

กะเทีย

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 307 / 307

(๑) เปันกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุก่าวสัรเสีน


การบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ากะเทีย ต้องอาบัติถุลลัจจัย (๑) เปันกะเทีย (๒) ภิกษุบ่ ํ
แน่ใจว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สํา
คันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด
(๓) ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ากะเทีย ต้องอาบัติทุกกฏ

ชาย

(๑) เปันชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชาย ฯลฯ บํ่แน่ใจว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปัน


สัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓)
ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้าชายต้องอาบัติทุกกฏ

สัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ บํ่แน่ใจว่าเปันสัตว์


เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปันชายและมี
ความกําหนัด (๓) ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้าสัตว์เดั฽ระสาน ต้อง
อาบัติทุกกฏ

ยิง ๒ คฺน

(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


ก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิงทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว

(๑) เปันยิง ๒ คฺน (๒) ภิกษุบ่ แน่


ํ ใจว่าเปันยิงทัง ๒ คฺน ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย
ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิงทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตฺว

กะเทีย ๒ คฺน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 308 / 308 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

(๑) เปันกะเทีย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ากะเทียทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๒ ตฺว
(๑) เปันกะเทีย ๒ คฺน (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺน ฯลฯ สําคันว่าเปัน
ชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด (๓)
ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ากะเทียทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ ๒
ตฺว

ชาย ๒ คฺน และสัตว์เดั฽ระสาน ๒ ตฺว

(๑) เปันชาย ๒ คฺน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ (๑) สัตว์เดั฽ระสาน๒


ตฺว (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ตฺว ฯลฯ บํ่แน่ใจ ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง
ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปันชายและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้าสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒
ตฺว

ยิงและกะเทีย

(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


ก่าว สัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิงและกะเทียทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ
กับสังฆาทิเสส
(๑) เปันยิงและกะเทีย (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงและกะเทียทัง ๒ คฺน ฯลฯ ต้อง
อาบัติทุกกฏกับถุ ลลัจจัย ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตฺว
ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ
ก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิงและกะเทียทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ
กับถุ ลลัจจัย

(๑) เปันยิงและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุ


ก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิงและชายทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏกับ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 309 / 309

สังฆาทิเสส
(๑) เปันยิงและชาย (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงและชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ สําคันว่าเปัน
กะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสานและมีความกําหนัด (๓)
ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิงและชายทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทุกกฏ
กับถุ ลลัจจัย

ยิงและสัตว์เดั฽ระสาน

(๑) เปันยิงและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันยิงทัง ๒ และมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิงและสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ต้องอาบัติ
ทุกกฏและสังฆาทิเสส
(๑) เปันยิงและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันยิงและสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒
ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทีย ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน และ
มีความกําหนัด (๓) ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ายิงและสัตว์เดั฽ระ
สานทัง ๒ ต้องอาบัตท
ิ ุกกฏกับถุ ลลัจจัย

กะเทียและชาย

(๑) เปันกะเทียและชาย (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ คฺนและมีความกําหนัด (๓)


ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ากะเทียและชายทัง ๒ คฺน ต้องอาบัติทก

กฏกับถุ ลลัจจัย
(๑) เปันกะเทียและชาย (๒) ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจว่าเปันกะเทียและชายทัง ๒ คฺน ฯลฯ สําคัน
ว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิงและมีความกําหนัด
(๓) ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ากะเทียและชายทัง ๒ คฺน ต้อง
อาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

กะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 310 / 310 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

(๑) เปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันกะเทียทัง ๒ และมีความ


กําหนัด (๓) ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ากะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน
ทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏกับถุ ลลัจจัย
(๑) เปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุบ่ ํแน่ใจว่าเปันกะเทียและสัตว์เดั฽ระสาน
ทัง ๒ ฯลฯ สําคันว่าเปันชาย ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง
และมีความกําหนัด (๓) ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่ของตฺนตํ่หน้ากะเทียและสัตว์
เดั฽ระสานทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว
(๑) เปันชายและสัตว์เดั฽ระสาน (๒) ภิกษุสําคันว่าเปันชายทัง ๒ ฯลฯ ภิกษุบ่ ํแน่ใจว่า
เปันชายและสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันสัตว์เดั฽ระสาน ฯลฯ สําคันว่าเปันยิง
ฯลฯ สําคันว่าเปันกะเทียและมีความกําหนัด (๓) ภิกษุก่าวสัรเสีนการบําเรีความใค่
ของตฺนตํ่หน้าชายและสัตว์เดั฽ระสานทัง ๒ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๒๙๔] ๑. ภิกษุผู้ก่าวว่า “จฺ่งบํารุงด้วยจีวอน บิณฑบาต เสนาสนะ และบํริขารคืญา
ฮักษาโรค”
๒. ภิกษุวิกฺลจิต
ฺ้ นญัต
๓. ภิกษุตนบั

คาถาฮวมวินีตวัตถุ
เรื้องที่ชฺงวินิฉัยแล้ว

เรื้องยิงหมันต้องการมีบุตร ๑ เรื้อง
เรื้องยิงผู้มีบุตรถี่บํ่ต้องการมีบุตร ๑ เรื้อง
เรื้องยิงต้องการเปันที่ฮักของสามี ๑ เรื้อง
เรื้องยิงต้องการมีโชค ๑ เรื้อง
เรื้องยิงต้องการถวายทานอันเลิศ ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 311 / 311

ั ฐากด้วยสิ่งที่เลิศ ๑ เรื้อง
เรื้องยิงต้องการอุปฏ
เรื้องยิงต้องการไปสุคติ ๑ เรื้อง

วินีตวัตถุ
เรื้องยิงหมันต้องการมีบุตร ๑ เรื้อง

[๒๙๕] สมัยนัน ้ ยิงหมันคฺนนึ่งถามภิกษุท่ นางอุ


ี ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺา้ เฮัดญ่างใดขะ
น้อยจึ่งจะมีบุตร” ภิกษุตอบว่า “น้องยิง ถ้าเชั่นนันท่
้ านจฺ่งถวายทานอันเลิศ” “พระคุณ
เจฺา้ แม่นหยังที่ชื่ว่าทานอันเลิศ” “เมถุ นธัม” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติ
สังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
ิ ังฆาทิเสส” (เรื้องที ๑)
“ภิกษุ ท่านต้องอาบัตส

เรื้องยิงผู้มีบุตรถี่บํ่ต้องการมีบุตร ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ยิงคฺนนึ่งมีบุตรถี่จึ่งถามภิกษุท่ นางอุ


ี ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺา้ เฮัดญ่างใดขะน้อย
จึ่งจะบํ่มีบุตร” “น้องยิง ถ้าญ่างนันท่
้ านจฺ่งถวายทานอันเลิศ” “พระคุณเจฺา้ แม่นหยังชื่ว่า
ทานอันเลิศ” “เมถุ นธัม” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตสิ ังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๒)

เรื้องยิงต้องการเปันที่ฮักของสามี ๑ เรื้อง

้ ยิงคฺนนึ่งถามภิกษุท่ นางอุ
สมัยนัน ี ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺา้ เฮัดญ่างใดขะน้อยจึ่งจะเปันที่
้ านจฺ่งถวายทานอันเลิศ” “พระคุณเจฺา้ แม่นหยังชื่ว่า
ฮักของสามี” “น้องยิง ถ้าญ่างนันท่
ทานอันเลิศ” “เมถุ นธัม” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตสิ ังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๓)

เรื้องยิงต้องการมีโชค ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 312 / 312 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ยิงคฺนนึ่งถามภิกษุท่ นางอุ
สมัยนัน ี ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺา้ เฮัดญ่างใดขะน้อยจึ่งจะมีโชค”
้ านจฺ่งถวายทานอันเลิศ” “พระคุณเจฺาแม่
“น้องยิง ถ้าญ่างนันท่ ้ นหยังชื่ว่าทานอันเลิศ”
“เมถุ นธัม” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺง ชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๔)

เรื้องยิงต้องการถวายทานอันเลิศ ๑ เรื้อง

้ ยิงคฺนนึ่งถามภิกษุท่ นางอุ
สมัยนัน ี ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺา้ ขะน้อยจะถวายหยังดีแก่
้ านจฺ่งถวายทานอันเลิศ” “พระคุณเจฺา้ แม่นหยังชื่ว่า
้ “น้องยิง ถ้าญ่างนันท่
พระคุณเจฺา”
ทานอันเลิศ” “เมถุ นธัม” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัตสิ ังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่ง
นําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส” (เรื้องที ๕)

ั ฐากด้วยสิ่งที่เลิศ ๑ เรื้อง
เรื้องยิงต้องการอุปฏ

้ ยิงคฺนนึ่งถามภิกษุท่ นางอุ
สมัยนัน ี ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺา้ ขะน้อยจะอุปฏ
ั ฐากพระคุณเจฺา้
ด้วยหยังดี” “น้องยิง ด้วยทานอันเลิศ” “พระคุณเจฺา้ แม่นหยังชื่ว่าทานอันเลิศ” “เมถุ น
ธัม” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูล
พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านต้องอาบัตส ิ ังฆาทิเสส” (เรื้องที
๖)

เรื้องยิงต้องการไปสุคติ ๑ เรื้อง

้ ยิงคฺนนึ่งถามภิกษุท่ นางอุ
สมัยนัน ี ปถัมภ์ว่า “พระคุณเจฺา้ ขะน้อยจะไปสุคติได้ญ่างใด”
้ ท่านจฺ่งถวายทานอันเลิศ” “พระคุณเจฺา้ แม่นหยังชื่ว่าทานอันเลิศ”
“น้องยิง ถ้าญ่างนัน
“เมถุ นธัม” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส”
(เรื้องที ๗)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 313 / 313

อัตตกามปาริจริยสิกขาบฺทที ๔ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๕. สัญจริตตสิกขาบฺท นิทานวัตถุ


๕. สัญจริตตสิกขาบฺท
ว่าด้วยการชักสื่
เรื้องพระอุทายี

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๒๙๖] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเชตวัน อาฮามของอนาถบิณ
้ น
ฑิกเสดถี เขตกุงสาวัตถี คังนั ้ ท่านพระอุทายีเปันพระที่ใก้ชิดตะกูนในกุงสาวัตถี ไป
่ ะกูนเปันอันมากที่ตฺนเหันว่ามีเด็กหนุ่มที่ยังบํ่มีภัรยาหลืเด็กสาวที่ยังบํ่มีสามี ก่า
มาหาสูต
วยฺกย้องคุณสฺมบัตของเด็กสาวให้มารดาบิดาของเด็กหนุ่มฟั งว่า “สาวน้อยของตะ
กูนพุ้น ฮูบงาม หน้าเบิ่ง หน้าชฺม สลาดหลักแหลมไหวพิบดี ดุหมั่นบํ่ก฽ดค้าน สาว

น้อยคฺนนันเหมาะสฺ มกับชายหนุ่มคฺนนี้” มารดาบิดาของเด็กหนุ่มกํก่าวว่า “พระคุณเจฺา้
คฺนเหลฺ่านันบํ
้ ่ ฮูจ ้
้ ักพวกเฮฺาว่า‘เปันใผหลืพักพวกของใผ’ ถ้าพระคุณเจฺาจะเวฺ ้
าทาบทาม

ให้ พวกเฮฺากํจะสู่ขเํ ด็กสาวนันมาให้ เด็กหนุ่มคฺนนี้” พระอุทายีนนไปก่
ั้ าวยฺกย้องคุณ
สฺมบัตของเด็กหนุ่มให้มารดาบิดาของเด็กสาวฟั งว่า “ชายหนุ่มของตะกูนพุ้น ฮูบงาม
หน้าเบิ่ง หน้าชฺม สลาดหลักแหลมไหวพิบดี ดุหมั่นบํ่ก฽ดค้าน ชายหนุ่มคฺนนัน้
เหมาะสฺมกับสาวน้อยคฺนนี้” ข้างมารดาบิดาของเด็กสาวกํก่าวว่า “พระคุณเจฺา้ คฺนเหลฺ่า
นันบํ ้ ักพวกเฮฺาว่า ‘เปันใผหลืพักพวกของใผ’ การที่จะเวฺายํ
้ ่ ฮูจ ้ สาวน้อยให้เขฺากะบํ่
้ วยไปเวฺาให้
คืปานใด ถ้าพระคุณเจฺาช่ ้ ้ จะยฺกสาวน้อยคฺนนี้ให้
เขฺามาสู่ขํ พวกข้าพะเจฺากํ
้ ด้วยวิทีญ่างนี้ พระอุทายีจ่ งให้
ชายหนุ่มคฺนนัน” ึ มารดาบิดาของหนุ่มสาวทําอา

วาหมฺงคฺลแด่ วิวาหมฺงคฺลแด่ หลืชักนําให้สู่ขหมันหมายกั นแด่

้ บุตรสาวของแม่หม้ายผูเ้ คียเปันภัรยาโหรคฺนนึ่ง มีฮูบงาม หน้าเบิ่ง


[๒๙๗] สมัยนัน
หน้าชฺม พวกสาวฺกอาชีวกจากหมู่บ้านอื่นมาบอกภัรยาโหรนันว่
้ า “แม่คุณ ท่านจฺ่งยฺก
เด็กสาวคฺนนี้ ให้ชายหนุ่มของพวกเฮฺาเถีด” ภัรยาโหรตอบว่า “ขะน้อยบํ่ฮู้ว่าพวกท่าน
เปันใผหลืเปันพักพวกของ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 314 / 314 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ใผ อีกปะการนึ่ง เด็กสาวคฺนนี้เปันบุตรสาวคฺนด฽วของขะน้อย นางต้องไปญูบ ่ ้านอื่น ขะ


น้อยยฺกให้บ่ ได้
ํ ” ชาวบ้านก่าวกับพวกสาวฺกอาชีวกว่า “พระคุณเจฺา้ พวกท่านมาธุระ
หยังกัน” พวกสาวฺกอาชีวกตอบว่า “พวกเฮฺามาขอบุตรสาวกะภัรยาโหรชื่อพุ้นในที่นี้
ให้แก่เด็กหนุ่มของพวกเฮฺา แต่นางปฏิเสธว่า ‘ขะน้อยบํ่ฮู้ว่าพวกท่านเปันใผ ฯลฯ ขะ
น้อยยฺกให้บ่ ได้ ้
ํ ” ชาวบ้านแนะนําว่า “พระคุณเจฺาไปขํ ยิงสาวกับภัรยาโหรเฮัดหยังกัน
้ บพระอุทายีบ่ ดี
ไปเวฺากั ํ กว่าหลื พระอุทายีช่วยให้เขฺายินยอมยฺกให้ได้” พวกสาวฺก
อาชีวกไปหาท่านพระอุทายีเถิงที่ญู่ คันเถิงแล้ว ได้ก่าวว่า “พระคุณท่าน พวกผู้ข้ามาขํ
บุตรสาวกับภัรยาโหรในที่นี้ให้แก่ชายหนุ่มของพวกผู้ข้า แต่ถืกนางปฏิเสธว่า ‘ขะ
น้อยบํ่ฮูว
้ ่าพวกท่านเปันใผ ฯลฯ ขะน้อยยฺกให้บ่ ได้
ํ ’ พระคุณท่านช่วยด้วยเถีดขะน้อย

ช่วยเวฺาให้ ภัรยาโหรยอมยฺกบุตรสาวให้แก่ชายหนุ่มของพวกผู้ข้าด้วย” ลําดับนันท่ ้ าน
พระอุทายีจ่ งเขฺ
ึ ้
าไปหาภั รยาโหรเถิงที่ญู่ คันเถิงแล้ว ได้ถามว่า “เปันหยัง ท่านบํ่ยฺก
บุตร สาวให้คฺนเหลฺ่านี้ละ” ภัรยาโหรตอบว่า “ขะน้อยบํ่ฮูว
้ ่าคฺนเหลฺ่านี้เปันใผหลืเปัน
พักพวกของใผ อีกปะการนึ่ง ยิงสาวนี้เปันบุตรสาวคฺนด฽วของขะน้อย นางต้องไปญู่
บ้านอื่น ขะน้อยจึ่งบํ่ยฺกให้ ขะน้อย” “ท่านจฺ่งยฺกให้ไปเถีด อาตมาฮูจ
้ ักคฺนพวกนี้ดี”
้ จ
“ถ้าพระคุณเจฺาฮู ้ ัก ขะน้อยกํจะยฺกให้” ตํ่มา ภัรยาโหรจึ่งยฺกบุตรสาวให้สาวฺกอาชีวก
คันพวกเขฺาพายิงสาวไป ได้ล้฽งดูญ่างลูกใพ้ เดือนด฽วเทฺ่านัน
้ ตํ่จากนันล้
้ ฽งดูญ่างทาส
ยิง

ตํ่มา สาวน้อยสฺ่งข่าวไปเถิงมารดาว่า “ลูกตฺกระกําลําบาก หาความสุขบํ่ได้เลีย พวก


เขฺาล้฽งดูลูกในฐานะลูกใพ้ยิงเดือนด฽วเทฺ่านัน
้ ตํ่จากนันล้
้ ฽งดูญ่างทาสยิง ยาแม่โปดมา
ฮับลูกกับไปเถีด”
คันชาบข่าว ภัรยาโหรจึ่งไปหาพวกสาวฺกอาชีวกเถิงที่ญู่ ก่าวว่า “พวกท่านญ่าล้฽งดู
สาวน้อยญ่างทาสยิง โปดล้฽งดูญ่างลูกใพ้เถีด” พวกสาวฺกอาชีวกตอบว่า “พวกเฮฺาบํ่ได้
ฮับฮองและตฺกลฺงไว้กับท่าน แต่ฮับฮองและตฺกลฺงไว้กับพระต่างหาก หลีกไป พวก
เฮฺาบํ่ฮูจ
้ ักท่าน”
คันภัรยาโหรถืกพวกสาวฺกอาชีวกเวฺาฮุ ้ กฮานจึ่งเดีนทางกับกุงสาวัตถี ฝ่ ายสาวน้อยกํ
ยังสฺ่งข่าวไปเถิงมารดาอีกเปันคังที
้ ๒ ว่า “ลูกตฺกระกําลําบาก หาความสุขบํ่ได้เลีย
ฯลฯ ยาแม่โปดมาฮับลูกกับไปเถีด” ภัรยาโหรจึ่งไปหาพระอุทายีเถิงที่ญูแ
่ ล้วก่าวว่า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 315 / 315

“พระคุณเจฺา้ ชาบมาว่าบุตรสาวของขะน้อยตฺกระกําลําบาก บํ่ได้ความสุข ได้ฮับการล้฽ง


ดูญ่างลูกใพ้ เดือนด฽วเทฺ่านัน
้ จากนัน
้ ถืกล้฽งดูญ่างทาสยิง พระคุณเจฺาควรขํ
้ ฮ้องว่า
ญ่าล้฽งดูสาวน้อยญ่างทาสยิง โปดล้฽งดูญ่างลูกใพ้”
ตํ่มาพระอุทายีได้ไปหาพวกสาวฺกอาชีวกเถิงที่ญูข
่ ํฮ้องว่า “พวกท่านญ่าล้฽งดูสาว
น้อยญ่างทาสยิง โปดล้฽งดูญ่างลูกใพ้เถีด” พวกสาวฺกอาชีวกตอบว่า “พวกเฮฺาบํ่ได้
ฮับฮองและตฺกลฺงไว้กับท่าน แต่ฮับฮองและตฺกลฺงไว้กับภัรยาโหรต่างหาก พระต้องบํ่
วุ่นวาย ต้องเปันพระที่ดี หลีกไป พวกเฮฺาบํ่ฮูจ ้
้ ักท่าน” คันถืกพวกสาวฺกอาชีวกเวฺาฮุ
กฮาน พระอุทายี จึ่งเดีนทางกับกุงสาวัตถี ฝ่ ายสาวน้อยกํยังสฺ่งข่าวไปเถิงมารดาอีก

เปันคังที ๓ ว่า “ลูกตฺกระกําลําบาก หาความสุขบํ่ได้เลีย ฯลฯ ยาแม่โปดมาฮับลูกกับ

ไปเถีด” ฝ่ ายภัรยาโหรกํเขฺาไปหาพระอุ ทายีเถิงที่ญู่ แล้วเวฺาเปั ้
้ นคังที ๒ ว่า “พระคุณ
เจฺา้ ชาบมาว่า บุตรสาวของขะน้อยตกระกําลําบาก ฯลฯ โปดล้฽งดูนางญ่างลูกใพ้” ท่าน
้ ่ งแล้ว ท่านไปเองเถีด
้ กฮานมาคังนึ
พระอุทายีก่าวว่า “อาตมาถืกพวกสาวฺกอาชีวกเวฺาฮุ
อาตมาจะบํ่ไป”

นินทาและสัรเสีนพระอุทายี

้ น
[๒๙๘] คังนั ้ ภัรยาโหรได้ตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “ขํให้พระอุทายีตฺกระกํา
ลําบาก ญ่าได้มีความสุขสะบายเหมือนบุตรสาวของเฮฺาที่ต้องตฺกระกําลําบากบํ่ได้
ความสุขสะบายเพาะมีแม่ย่า พํ่ปู่ และสามีช่ ว”
ฺ ่แม่สาวน้อยกํตําหนิ ปะนาม โพนทะนา
พระอุทายีว่า “ขํให้พระอุทายีตฺกระกําลําบาก ญ่าได้มีความสุข เหมือนเฮฺาที่ต้องตฺกระ
ฺ แม่นแต่ยิงสาวอื่นๆ ที่บํ่
กําลําบาก บํ่ได้ความสุขสะบายเพาะมีแม่ย่า พํ่ปู่ และ สามีช่ ว”
ชอบใจแม่ย่า พํ่ปู่ และสามี ต่างสาบแช่งพระอุทายี ว่า “ขํให้พระอุทายีตฺกระกําลําบาก
ฯลฯ เหมือนเฮฺาที่ตฺกระกําลําบาก เพาะมีแม่ย่า พ่อผัว และสามีช่ ว”
ฺ ฝ่ ายยิงสาวที่ชอบ
้ ทายีจ่ งมี
ใจแม่ย่า พํ่ปู่ และสามี ต่างให้พอนว่า “ขํให้พระคุณเจฺาอุ ฺ ความสุข ความ
จะเรีนเหมือนพวกเฮฺาที่มีความสุขความจะเรีนเพาะมีแม่ย่า พํ่ปู่ และสามีดี” พวกภิกษุ
ได้ยินยิงบางพวกสาบแช่ง บางพวกให้พอน บันดาภิกษุผู้มักน้อยสันโดษ ฯลฯ จึ่งพา
กันตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดท่านพระอุทายีจ่ งชั
ึ กสื่ละ” คันภิกษุเหลฺ่านันตํ
้ าหนิ
ท่านพระอุทายีโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 316 / 316 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามท่าน
พระอุทายีว่า “อุทายี ชาบว่า ท่านชักสื่แม่นแท้บ”ํ ท่านทูลฮับว่า “แม่นแท้ พระพุทธ
้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษ การกะทําญ่างนี้บํ่สฺมควร บํ่
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
เจฺาข้
ค้อยตาม บํ่เหมาะสฺม บํ่แม่นกิจของสมณะ ใช้บ่ ได้
ํ บํ่ควรทํา โมฆบุรุษ จั่งใดท่านจึ่ง
ชักสื่ละ การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่ง

ฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั ่ งนี้

พระบันญัต

[๒๙๙] กํ ภิกษุใดทําหน้าที่ชักสื่ คื บอกความปะสฺงค์ของชายแก่ยิงกํดี บอกความ


ปะสฺงค์ของยิงแก่ชายกํดี เพื่อให้เปันภัรยาหลืเปันชู ้ฮัก เปันสังฆาทิเสส สิกขาบฺทนี้
พระผู้มีพระภาคชฺงบันญัตไว้แก่ภิกษุทังหลายญ่างนี้

เรื้องพระอุทายี จฺบ

เรื้องนักเลงยิง

้ พวกนักเลงจํานวนหลายพากันไปท฽วม่วนชื่นในอุทยาน สฺ่งชายสื่ไป
[๓๐๐] สมัยนัน
สํานักยิงแพศยาคฺนนึ่งด้วยสั่งว่า “เชีนนางมาเถีด พวกเฮฺาจักไปท่฽วม่วนชื่นในอุทยาน
ด้วยกัน” ยิงแพศยาตอบว่า “นายเอีย ขะน้อยบํ่ฮู้ว่าพวกท่านเปันใผหลืเปันพักพวก
ของใผ อีกปะการนึ่ง ขะน้อยมีชัพย์สฺมบัตหลาย มีเคื่องปะดับมากมาย ถ้าจะต้อง
ออกไปนอกเมือง ขะน้อยบํ่ไป” คันแล้วชายสื่แจ้งเรื้องนันให้
้ พวกนักเลงชาบ เมื่อ
ชายสื่เวฺาญ่ ้ ชายอีกคฺนนึ่งบอกพวกนักเลงว่า “พวกท่านไปอ้อนวอนยิงแพศยาเปัน
้ างนัน
หยัง ควรบอกพระอุทายีบ่ ดี ํ กว่าบํ ท่านจะสฺ่งนางมาให้พวกเฮฺาเอง” เมื่อเขฺาเวฺาญ่ ้
้ างนัน
อุบาสฺกคฺนนึ่งเวฺาแย้
้ ้ างนัน
งว่า “ท่านญ่าเวฺาญ่ ้ ่ เหมาะแก่พระสมณะเชื้อ
้ การเฮัดญ่างนันบํ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 317 / 317

สายศากยบุตร พระคุณเจฺาอุ ้ ทายีจะบํ่ทําเชั่นนัน” ้ างนี้ พวกนักเลงจึ่ง


้ เมื่ออุบาสฺกเวฺาญ่
ํ า” นักเลงเหลฺ่านันเขฺ
้ ทายีจะทําหลืบ่ ทํ
พนันกันว่า “พระคุณเจฺาอุ ้ ้
าไปหาพระอุ ทายีเถิงที่ญู่
แล้วขาบฮ฽นท่านว่า “พระคุณเจฺา้ พวกผู้ข้าเขฺาไปท่
้ ฽วม่วนชื่นในอุทยาน สฺ่งชายสื่ไป
หายิงแพศ ยา ชื่พุ้นว่า ‘ขํให้นางมา พวกเฮฺาจะท่฽วม่วนชื่นในอุทยาน’ นางตอบว่า
‘นายเอีย ขะน้อยบํ่ชาบว่าพวกท่านเปันใผหลืเปันพักพวกของใผ อีกปะการนึ่ง ขะน้อย
มีเคื่องปะดับหลาย ถ้าจะต้องออกไปนอกเมือง ขะน้อยบํ่ไป’ ขํพระคุณเจฺาโปดสฺ
้ ่ งยิง

แพศยาคฺนนันมาให้ พวกผู้ข้าด้วยเถีด”
้ พระอุทายีเขฺาไปหายิ
ลําดับนัน ้ งแพศยาเถิงที่ญูถ ้
่ ามว่า “เปันหยังท่านบํ่ไปหาคฺนพวกนัน
ละ”
นางตอบว่า “ขะน้อยบํ่ฮู้ว่า คฺนพวกนี้เปันใผหลืเปันพักพวกของใผ อีกปะการนึ่งขะ
น้อยมีชัพย์สฺม บัตหลาย มีเคื่องปะดับมาก ถ้าจะต้องออกไปนอกเมือง ขะน้อยบํ่ไป ขะ
น้อย” “ท่านไปหาคฺนพวกนี้เถีด อาตมาฮูจ ้ จ
้ ักพวกเขฺาดี” “ถ้าพระคุณเจฺาฮู ้ ัก ขะน้อยกํจะ
้ พวกนักเลงพายิงแพศยาคฺนนันไปท่
ไป ขะน้อย” ลําดับนัน ้ ฽วในอุทยาน ตํ่มา อุบาสฺก
ตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดพระอุทายีจ่ งชั
ึ กสื่ให้ญฮ
ู่ ่วมกันชฺ่วคาวละ” พวกภิกษุ
ได้ยินอุบาสฺกตําหนิ ปะนาม โพน ทะนา บันดาภิกษุผู้มักน้อย ฯลฯ จึ่งพากันตําหนิ ปะ
นาม โพนทะนาว่า “จั่งใดท่านพระอุทายีจ่ งชั
ึ กสื่ให้ญฮ
ู่ ่วมกับชฺ่วคาวละ” คันภิกษุเหลฺ่า
้ าหนิท่านพระอุทายีโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาค
นันตํ
ให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท


ลําดับนันพระผู ้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
้ ชฺงสอบถามท่าน
พระอุทายีว่า “อุทายี ชาบว่า ท่านชักสื่อให้ญฮ ู่ ่วมกันชฺ่วคาว แม่นแท้บํ” พระอุทายีทูล
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
ฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้ ้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษ การ
กะทําญ่างนี้ บํ่สฺมควร ฯลฯ โมฆบุรุษ จั่งใดท่านจึ่งชักสื่ให้ญฮ
ู่ ่วมกันชฺ่วคาวละ โมฆ
บุรุษ การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับ

สั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดงดั ่ งนี้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 318 / 318 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พระอนุบันญัต

[๓๐๑] อีกญ่างนึ่ง ภิกษุใดทําหน้าที่ชักสื่ คื บอกความปะสฺงค์ของชายแก่ยิงกํดี บอก


ความปะสฺงค์ของยิงแก่ชายกํดี เพื่อให้เปันภัรยาหลืเปันชู ้ฮักโดยที่สุด แม่นเพื่อให้ญู่
ฮ่วมกันชฺ่วคาวกํตาม เปันสังฆาทิเสส

เรื้องนักเลงยิง จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๓๐๒] คําว่า อีกญ่างนึ่ง...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อีกญ่าง


นึ่ง...ใด
คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ที่ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผูม
้ ีพระภาคชฺงปะสฺงค์
เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
คําว่า ทําหน้าที่ชักสื่ ความว่า ไปหาฝ่ ายชายตามที่ยิงขํฮ้อง หลืไปหาฝ่ ายยิงตามที่
ชายขํฮ้อง
คําว่า บอกความปะสฺงค์ของชายแก่ยิงกํดี คื แจ้งความปราถนาของชายแก่ยิง
คําว่า บอกความปะสฺงค์ของยิงแก่ชายกํดี คื แจ้งความปราถนาของยิงแก่ชาย
คําว่า เพื่อให้เปันภัรยา คื บอกว่า ท่านจักเปันภัรยา
คําว่า เพื่อให้เปันชู ้ฮก
ั คื บอกว่า ท่านจักเปันชู ้ฮัก
คําว่า โดยที่สุดแม่นเพื่อให้ญฮ ู่ ่วมกันชฺ่วคาว คื บอกว่า ท่านจักเปันภัรยาชฺ่วคาว
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
้ ปริวาส ฯลฯ เพาะเหตุ
้ พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”
นัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 319 / 319

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๕. สัญจริตตสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


บฺทภาชนีย์
มาติกา
ยิง ๑๐ จําพวก

[๓๐๓] ยิง ๑๐ จําพวก คื


๑. ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดา
๒. ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดา
๓. ยิงที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของมารดาบิดา
๔. ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชาย
๕. ยิงที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว
๖. ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต
๗. ยิงที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของตะกูน
๘. ยิงที่มีธัมคุ้มคอง
๙. ยิงที่มีคู่หมัน

๑๐. ยิงที่มีกฺฎหมายคุม
้ คอง

ภัรยา ๑๐ จําพวก

ภัรยา ๑๐ จําพวก คื
๑. ภัรยาสินไถ่
๒. ภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ
๓. ภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต
๔. ภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า
๕. ภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส
๖. ภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด
๗. ภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา
๘. ภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 320 / 320 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

๙. ภัรยาที่เปันชะเลีย

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๕. สัญจริตตสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


๑๐. ภัรยาชฺ่วคาว

[๓๐๔] ที่ชื่ว่า ยิงที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของมารดา ได้แก่ ยิงที่มีมารดาคอยระวัง
ควบคุม ห้ามปาม ให้ญใ ู่ นอํานาจ
ที่ชื่ว่า ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดา ได้แก่ ยิงที่มีบิดาคอยระวัง ควบคุม ห้าม
ปาม ให้ญใ ู่ นอํานาจ
ที่ชื่ว่า ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดา ได้แก่ ยิงที่มีมารดาบิดาคอยระวัง
ควบคุม ห้ามปาม ให้ญใ ู่ นอํานาจ
ที่ชื่ว่า ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชาย ได้แก่ ยิงที่มีพ่ ชายน้
ี องชายคอย
ระวัง ควบคุม ห้ามปาม ให้ญใ ู่ นอํานาจ
ที่ชื่ว่า ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว ได้แก่ ยิงที่มีเอื้อยน้องสาวคอย
ระวัง ควบคุม ห้ามปาม ให้ญใ ู่ นอํานาจ
ที่ชื่ว่า ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต ได้แก่ ยิงที่มียาตคอยระวัง ควบคุม ห้าม
ปาม ให้ญใ ู่ นอํานาจ
ที่ชื่ว่า ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูน ได้แก่ ยิงที่มีบุคคฺลฮ่วมตะกูนคอยระวัง
ควบคุม ห้ามปาม ให้ญใ ู่ นอํานาจ
ที่ชื่ว่า ยิงที่มีธัมคุ้มคอง ได้แก่ ยิงที่มีผู้ปะพึดธัมฮ่วมกันคอยระวัง ควบคุม ห้ามปาม
ให้ญใ ู่ นอํานาจ
ที่ชื่ว่า ยิงที่มีคู่หมัน
้ ได้แก่ ยิงที่ถืกหมันหมายไว้
้ ั้
ตงแต่ ู่ นคันภ์โดยที่สุดจฺนเมื่อยิงที่
ญใ
ชายสวมพวงดอกไม้ให้ด้วยก่าวว่า “ยิงนี้เปันของเฮฺา”
ที่ชื่ว่า ยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคอง ได้แก่ ยิงที่มีพระราชาบางอฺงค์ชง
ฺ กําหนฺดโทษไว้ว่า
“ชายที่ล่วงเกีนยิงคฺนนี้ ต้องได้ฮับโทษเทฺ่านี้”
ที่ชื่ว่า ภัรยาสินไถ่ ได้แก่ ยิงที่ชายเอฺาชัพย์ช้ืมาญูฮ
่ ่วมกัน
่ ้วยความพํใจ ได้แก่ ยิงอันเปันที่ฮักชึ่งชายคู่ฮักฮับให้ญฮ
ที่ชื่ว่า ภัรยาที่ญูด ู่ ่วมกัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 321 / 321

ที่ชื่ว่า ภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ได้แก่ยิงที่ชายยฺกสฺมบัตให้แล้วญูฮ ่ ่วมกัน


ที่ชื่ว่า ภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า ได้แก่ยิงที่ชายมอบผ้าให้แล้วญูฮ ่ ่วมกัน
ที่ชื่ว่า ภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธส ฺ รฺส ได้แก่ ยิงที่ชายจับมืจุ่มลฺงในภาชนะนําด้
ี ม ้ วยกันแล้วญูฮ
่ ่วม
กัน
ที่ชื่ว่า ภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด ได้แก่ ยิงที่ชายถอดมฺงกุดลฺงแล้วญูฮ่ ่วมกัน
ที่ชื่ว่า ภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา ได้แก่ ยิงที่เปันทังทาสเปันทังภัรยา
ที่ชื่ว่า ภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา ได้แก่ ยิงที่เปันทังลูกจ้าง เปันทังภัรยา
ที่ชื่ว่า ภัรยาที่เปันชะเลีย ได้แก่ ยิงที่ถืกนํามาเปันชะเลีย
ที่ชื่ว่า ภัรยาชฺ่วคาว ได้แก่ ยิงที่ญูฮ ้
่ ่วมกันเปันคังคาว

ธนักกีตาจักร
นิกเขปบฺท

[๓๐๕] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาว่า ชาบว่า ขํให้ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้เถีด” ภิกษุฮับคํา ไป
บอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดา
ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดา ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของอ้ายน้องชาย ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ
บอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของ
ตะกูน ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่
มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้เถีด” ภิกษุฮับคําไป
บอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

นิกเขปบฺท จฺบ

ขัณฑจักร
มียิงคฺนนึ่งเปันมูล

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 322 / 322 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๓๐๖] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาและยิงชื่นี้ที่ยังญู่ในความปฺกคองของบิดาว่า “ชาบว่าท่านทังหลายจฺ่งเปันภัร
ยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอกต้องอาบัติสังฆาทิเสสชายขํฮ้อง
ภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้
ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของมารดาบิดา ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้าย
น้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญู่ในความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น
ความปฺกคองของยาต ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น
คองของตะกูน ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺก คองของมารดาและยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง
ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น
ความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่ง
เปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคําไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิ เสส
ขัณฑจักร จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๕. สัญจริตตสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


พัทธจักร
มียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑

[๓๐๗] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดาว่า “ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่ง
เปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของบิดา
และยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญู่ใน
ความปฺกคองของบิดาและยิงชื่นี้ที่ ยังญูใ่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ น
ความปฺกคองของบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูน ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 323 / 323

ความปฺกคองของบิดาและยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของ


บิดาและยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดาและยิงชื่นี้ที่มีกฺฎ
หมายคุ้มคองว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไป
บอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของมารดา
และยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดาว่า “ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของ
ชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑ จฺบ

พัทธจักร มียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๒

[๓๐๘] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น
ความปฺกคองของมารดาบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต
ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นคุ้มคองของตะกูน
ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของมารดาบิดาและยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้
ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดาและยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของมารดาบิดาและยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของมารดาบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของมารดาบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของบิดาว่า ชาบว่า ท่านทัง
หลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๒ จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 324 / 324 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๓

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของอ้าย
น้องชายและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญู่ใน
ความปฺกคองของอ้ายน้องชายและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชายและยิงชื่นี้ที่ยังญู่ในความปฺกคองของตะกูน ฯลฯ
ยังญูใ
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชายและยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่
ยังญูใ่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชายและยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของอ้ายน้องชายและยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของอ้ายน้องชายและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญู่
ในความปฺกคองของอ้ายน้องชายและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้
ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชายและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดา
ว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมา
บอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๓ จฺบ

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๔

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของเอื้อย
น้องสาวและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของเอื้อยน้องสาวและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูน ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น
ความปฺกคองของเอื้อยน้องสาวและยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของเอื้อยน้องสาวและยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
เอื้อยน้องสาวและยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
เอื้อยน้องสาวและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 325 / 325

กคองของเอื้อยน้องสาวและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น
ความปฺกคองของเอื้อยน้องสาวและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดา ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาวและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
อ้ายน้องชายว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไป
บอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๔ จฺบ

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๕

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของยาต
และยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูน ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต
และยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาตและยิงชื่นี้ที่มี
้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญู่ในความปฺกคองของยาตและยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคอง ฯลฯ
คู่หมัน
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาตและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของมารดา ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของยาตและยิงชื่นี้ ที่ยังญูใ ่ นความ ปฺกคองของบิดา ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของยาตและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของมารดาบิดา
ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาตและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้าย
น้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาตและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของเอื้อยน้องสาวว่าชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก
กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๕ จฺบ

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๖

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 326 / 326 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของตะกูน


และยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูนและยิงชื่นี้ที่มี
้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
คู่หมัน ่ นความปฺกคองของตะกูนและยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคอง ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูนและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของมารดา ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของตะกูนและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของบิดา ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูนและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดา
ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของตะกูนและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้าย
น้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญู่ในความปฺกคองของตะกูนและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูนและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น
ความปฺกคองของยาตว่าชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับ
คํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๖ จฺบ

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๗

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่มี


้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้ม
คู่หมัน
คองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่
่ นความปฺกคองของบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
ยังญูใ ่ นความปฺ
กคองของมารดาบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของ
อ้ายน้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อย
น้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ ยิงชื่
นี้ที่มีธัมคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูนว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่ง
เปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๗ จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 327 / 327

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๘

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีคู่หมันและยิ


้ งชื่นี้ที่มีกฺฎหมาย
คุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมันและยิ
้ งชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดา ฯลฯ ยิงชื่นี้
ที่มีคู่หมันและยิ
้ งชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมันและยิ
้ งชื่นี้ที่
ยังญูใ่ นความปฺกคองของมารดาบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมันและยิ
้ งชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของอ้ายน้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมันและยิ
้ งชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
เอื้อยน้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมันและยิ
้ งชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมันและยิ
้ งชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูน ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมันและ

ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคองว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจงเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับ
คํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๘ จฺบ

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๙

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่


่ นความปฺกคองของมารดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
ยังญูใ ่ น
ความปฺกคองของบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของมารดาบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
อ้ายน้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
เอื้อยน้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
ยาต ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของตะกูน ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและ
ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมันว่
้ า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา
ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๙ จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 328 / 328 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ขัณฑจักรและพัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

ขัณฑจักรและพัทธจักรที่มียิง ๒ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๓ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๔ คฺน


เปันมูลกํดี มียิง ๕ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๖ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๗ คฺนเปันมูลกํดี มียิง
๘ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๙ คฺนเปันมูลกํดี กํเพิงขยายตามแบบนี้เหมือนกัน ตํ่ไปนี้
คืขัณฑจักรและพัทธจักรที่มียิง ๑๐ คฺนเปันมูล

ธนักกีตาจักร
พัทธจักรมียิง ๑๐ คฺนเปันมูล

[๓๐๙] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคอง


ของมารดา ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดา ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
มารดาบิดา ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชาย ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคอง
ของเอื้อยน้องสาว ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคอง
ของตะกูน ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ชาบว่า
ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส

ธนักกีตาจักร จฺบ

ฉันทวาสินีจักร - มุหต
ุ ติกาจักร
นิกเขปบฺท

[๓๑๐] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาว่า ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจของชายชื่นี้ ฯลฯ เปันภัรยา
ที่ญู่เพาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส ฯลฯ
เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัร
ยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา ฯลฯ เปัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 329 / 329

ภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก


ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของบิดา
ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของอ้ายน้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่
่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
ยังญูใ ่ นความปฺกคองของตะกูน ฯลฯ ยิงชื่นี้
ที่มีธัมคุ้มคองฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ชาบว่า ท่านทัง
หลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

นิกเขปบท จฺบ

มุหุตติกาจักร
ขัณฑจักรที่มียิงคฺนนึ่งเปันมูล

[๓๑๑] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดาว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัร
ยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอกต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของมารดา
และยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
มารดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญู่ในความปฺ
กคองของมารดาและยิงชื่นี้ ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่
่ นความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
ยังญูใ ่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่
ยังญูใ่ นความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ่ นความปฺกคองของตะกูน ฯลฯ ยิงชื่นี้
ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของมารดาและยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาและ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 330 / 330 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ชาบว่าท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้”
ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักรที่มียิงคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

มุหุตติกาจักร
พัทธจักรที่มียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑

[๓๑๒] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดาว่าชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่ง
เปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของบิดา
และยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชาย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญู่ใน
ความปฺกคองของบิดาและยิงชื่นี้ที่ ยังญูใ่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ น
ความปฺกคองของบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺก คองของตะกูน ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น
ความปฺกคองของบิดาและยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
บิดาและยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดาและยิงชื่นี้ที่มีกฺฎ
หมายคุ้มคองว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไป
บอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของบิดา
และยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาชฺ่ว
คาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรมียิงคฺนนึ่งเปันมูลหมวดที ๒ - ๘ หยํไว้
้ แล้ว

พัทธจักรที่มียิงคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๙

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 331 / 331

[๓๑๓] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและ


ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาว่า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาชฺ่วคาว
ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่


่ นความปฺกคองของบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
ยังญูใ ่ น
ความปฺกคองของมารดาบิดา ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของอ้าย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
เอื้อย ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ
ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูน ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎ
หมายคุ้มคองและยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุม
้ คองและยิงชื่นี้ที่มี
้ า ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก
คู่หมันว่
กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งมุหุตติกาจักรที่มียิงคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งมุหุตติกาจักรที่มียิง ๒ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๓ คฺนเปัน


มูลกํดี มียิง ๔ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๕ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๖ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๗
คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๘ คฺนเปันมูลกํดี มียิง ๙ คฺนเปันมูลกํดี กํเพิงขยายตามแบบนี้
เหมือนกัน ตํ่ไปนี้คืพัทธจักรที่มียิง ๑๐ คฺนเปันมูล

มุหุตติกาจักร
พัทธจักรที่มียิง ๑๐ คฺนเปันมูล

[๓๑๔] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคอง


ของมารดา ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดา ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของ
มารดาบิดา ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของอ้ายน้องชาย ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของเอื้อยน้องสาว ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ น
ความปฺกคองของยาต ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูน ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 332 / 332 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ‘ชาบว่าท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาชฺ่วคาว
ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอกต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มุหุตติกาจักร จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๕. สัญจริตตสิกขาบฺท บฺทภาชนีย์


มาตุฮักขิตาจักร
นิกเขปบฺท

[๓๑๕] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาว่า ‘ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมา
บอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของมารดา
ว่า ‘ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจของชายชื่นี้ฯลฯ เปันภัรยาที่ญู่
เพาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส ฯลฯ
เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัร
ยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาว
ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

นิกเขปบฺท จฺบ

มาตุฮักขิตาจักร
ขัณฑจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล

[๓๑๖] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาว่า “ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้าของชายชื่นี้”
ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 333 / 333

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของมารดา
ว่า ‘ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะ
แผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาที่เขฺาพิ ี ฺมรฺส ฯลฯ เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด ฯลฯ เปันภัรยา
้ ธส
ที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา ฯลฯ
เปันภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมา
บอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักร
พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑

[๓๑๗] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาว่า ‘ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต
ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาชฺ่วคาว ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ
และภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑ จฺบ

พัทธจักร มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูลหมวดที ๒ - ๘ หยํไว้


้ แล้ว

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๙

[๓๑๘] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาว่า ‘ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาชฺ่วคาวและเปันภัรยาสินไถ่ ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่ว
คาวและเปันภัรยาที่ญู่ด้วยความพํใจ ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวและเปันภัรยาที่เปันชะเลีย
ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งมาตุฮักขิตาจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 334 / 334 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งมาตุฮักขิตาจักรที่มีภัรยา ๒ คฺนเปันมูลกํดีมภ
ี ัรยา ๓ คฺน
เปันมูลกํดี มีภัรยา ๔ คฺนเปันมูลกํดี มีภัรยา ๕ คฺนเปันมูลกํดี มีภัรยา ๖ คฺนเปันมูลกํ
ดี มีภัรยา ๗ คฺนเปันมูลกํดี มีภัรยา ๘ คฺนเปันมูลกํดี มีภัรยา ๙ คฺนเปันมูลกํดี กํเพิง
ขยายตามแบบนี้เหมือนกัน
ตํ่ไปนี้คืพัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

พัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

[๓๑๙] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคอง
ของมารดาว่า ‘ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ เปันภัรยา
ที่ญู่เพาะสฺมบัต เปันภัรยาที่ญู่เพาะแผ่นผ้า เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส เปันภัรยาที่ถืกปฺ
งมฺงกุด เปันภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้ เปันทังภัรยา เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปัน
ทังภัรยา เปันภัรยาที่เปันชะเลีย เปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก
กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มาตุฮักขิตาจักร จฺบ

ปิตุฮักขิตาจักร
นิกเขปบฺท

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของบิดา
ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดา ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺ
กคองของอ้ายน้องชาย ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาว ฯลฯ
บอกยิงชื่ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาต ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะ
กูน ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ฯลฯ บอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎ
หมายคุ้มคองว่า ‘ชาบว่า ท่านจฺ่ง เปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับ
มาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 335 / 335

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ‘ชาบว่า


ท่านจฺ่งเปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาที่ญู่
เพาะแผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส ฯลฯ เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด ฯลฯ
เปันภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทัง
ภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ
เปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

นิกเขปบท จฺบ

สปริทัณฑาจักร
ขัณฑจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล

[๓๒๐] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า


“ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่และเปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจของชายชื่นี้” ภิกษุฮับ
คํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

้ านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ‘ชาบว่า
ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺาท่
ท่านจฺ่ง เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญู่
เพาะแผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่
และภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา
ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่
และภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา
ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักร มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

สปริทัณฑาจักร
พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 336 / 336 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ‘ชาบว่า


ท่านจฺ่งเปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วย
ความพํใจและภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาชฺ่วคาว
ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความ
พํใจและภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑ จฺบ

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูลหมวดที ๒-๘ หยํไว้


้ แล้ว

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๙

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ‘ชาบว่า


ท่านจฺ่งเปันภัรยาชฺ่วคาวและภัรยาสินไถ่ ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวและภัรยาที่ญูด ่ ้วย
ความพํใจฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวและภัรยาที่เปันชะเลียของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไป
บอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งสปริทัณฑาจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งสปริทัณฑาจักรที่มีภัรยา ๒ คฺนเปันมูลกํดี มีภัรยา ๓ คฺน


เปันมูลกํดี มีภัรยา ๔ คฺนเปันมูลกํดี มีภัรยา ๕ คฺนเปันมูลกํดี มีภัรยา ๖ คฺนเปันมูลกํ
ดี มีภัรยา ๗ คฺนเปันมูลกํดี มีภัรยา ๘ คฺนเปันมูลกํดี มีภัรยา ๙ คฺนเปันมูลกํดี กํเพิง
ขยายตามแบบนี้ ตํ่ไปนี้คืพัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

พัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

[๓๒๑] ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า


‘ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจเปันภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต
เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธีสฺมรฺส เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด เปันภัรยา
ที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา เปันภัรยาที่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 337 / 337

เปันชะเลีย และภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติ


สังฆาทิเสส

สปริฑัณฑาจักร จฺบ

อุภโตพัทธกจักร
มียิงและภัรยาฮวมกันข้างละ ๑

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของมารดา
ว่า ‘ชาบว่า ท่านจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคําไปบอก กับมาบอก ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส

มียิงและภัรยาฮวมกันข้างละ ๒

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ


่ นความปฺกคองของมารดา
และยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดาว่า ‘ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่
และภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

มียิงและภัรยาฮวมกันข้างละ ๓

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของมารดา


ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดาและยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดาว่า
‘ชาบว่า ท่านทังหลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ และภัรยาที่ญู่
เพาะสฺมบัตของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคําไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
อุภโตพัทธกจักร เพิงขยายตามแบบนี้ ตํ่ไปนี้เปันสัพพมูลกนัย

อุภโตพัทธกจักร
มียิงและภัรยาฮวมกันข้างละ ๑๐

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 338 / 338 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ชายขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้ที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของมารดา


ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดา ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาบิดา ยิงชื่
นี้ที่ยังญูใ
่ นความ ปฺกคองของอ้ายน้องชายยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของเอื้อย
น้องสาว ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺก คองของยาต ยิงชื่นี้ที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูน
ยิงชื่นี้ที่มีธัมคุ้มคอง ยิงชื่นี้ที่มีคู่หมัน
้ ยิงชื่นี้ที่มีกฺฎหมายคุ้มคองว่า ‘ชาบว่า ท่านทัง
หลายจฺ่งเปันภัรยาสินไถ่ เปันภัรยาที่ญูด ่ ้วยความพํใจ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต
เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธีสฺมรฺส เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด เปันภัรยา
ที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา เปันภัรยาที่
เปันชะเลีย เปันภัรยาชฺ่วคาว ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคําไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

อุภโตพัทธกจักร จฺบ

ปุริสเปยยาล

มารดาของชายขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ บิดาของชายขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ มารดาบิดาของชายขํฮ้อง


ภิกษุ ฯลฯ อ้ายน้องชายของชายขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ เอื้อยน้องสาวของชายขํฮ้องภิกษุ
ฯลฯ พวกยาตของชายขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ตะกูนของชายขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ผู้ฮ่วมปะพึดธัม
ของชายขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ปุริสเปยยาลเพิงขยายให้พิสดาร

อุภโตพัทธกจักรเพิงขยายให้พิสดารดุจนัยที่มีมาข้างตฺนนั ้
้ นแล

ปุริสเปยยาล จฺบ

อิตถีเปยยาล
นิกเขปบฺท

[๓๒๒] มารดาของยิงที่ยังญู่ในความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่าน


ช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมา
บอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 339 / 339

มารดาของยิงที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไป


บอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ
เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธีสฺมรฺส ฯลฯ เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด
ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปัน
ทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา
ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

นิกเขปบฺท จฺบ

มาตุฮักขิตาจักร
ขัณฑจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล

[๓๒๓] มารดาของยิงที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่าน


ช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจของชายชื่นี้”
ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มารดาของยิงที่ยังญูใ ่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไป


บอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่
และภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส ฯลฯ เปันภัร
ยาสินไถ่และภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปัน
ทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยา
สินไถ่และภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุ
ฮับคํา ไปบอกกับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 340 / 340 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๓๒๔] มารดาของยิงที่ยังญู่ในความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่าน


ช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต
ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาชฺ่วคาว ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ
และภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑ จฺบ

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูลหมวดที ๒-๘ หยํไว้


้ แล้ว

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๙

[๓๒๕] มารดาของยิงที่ยังญู่ในความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่าน


ช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาชฺ่วคาวและเปันภัรยาสินไถ่ ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่ว
คาวและภัรยาที่เปันชะเลียของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งมาตุฮักขิตาจักรมีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

แม่นขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งมาตุฮักขิตาจักรที่มีภัรยา ๒ คฺนเปันมูล ตลอดเถิง


ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งมาตุฮักขิตาจักรที่มีภัรยา ๙ คฺนเปันมูลกํเพิงขยายตาม
แบบนี้

ตํ่ไปนี้คืพัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

พัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

[๓๒๖] มารดาของยิงที่ยังญู่ในความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่าน


ช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาสินไถ่ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ เปันภัรยา
ที่ญู่เพาะสฺมบัต เปันภัรยาที่ญู่เพาะแผ่นผ้าเปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺง
กุด เปันภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 341 / 341

เปันภัรยาที่เปันชะเลีย และเปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมา


บอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มาตุฮักขิตาจักร จฺบ

ปิตุฮักขิตาจักร - สปริทัณฑาจักร
นิเขปบฺท

บิดาของยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดาขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ มารดาบิดาของยิงที่ยังญูใ
่ น
ความปฺกคองของมารดาบิดาขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ อ้ายน้องชายของยิงที่ยังญูใ่ นความปฺ
กคองของอ้ายน้องชายขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ เอื้อยน้องสาวของยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคอง
ของเอื้อยน้องสาวขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ยาตของยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของยาตขํฮ้อง
ภิกษุ ฯลฯ ตะกูนของยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูนขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ผู้ฮ่วม
ปะพึดธัมของยิงที่มีธัมคุ้มคองขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ คู่หมันของยิ
้ งที่มีคู่หมันขํ
้ ฮ้องภิกษุ
ฯลฯ พระราชาผู้ตรากฺฎหมายสําลับยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้
ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคําไปบอก กับ
มาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

นิกเขปบฺท จฺบ

สปริทัณฑาจักร
นิกเขปบฺท

พระราชาผู้ตรากฺฎหมายสําลับยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่าน


ช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ ฯลฯ เปันภัรยาที่ญู่
เพาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส ฯลฯ
เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัร
ยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาว
ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 342 / 342 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

นิกเขปบท จฺบ

ขัณฑจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล

[๓๒๗] พระราชาผู้ตรากฺฎหมายสําลับยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้


ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ ฯลฯ
เปันภัรยาสินไถ่และ ภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑

[๓๒๘] พระราชาผู้ตรากฺฎหมายสําลับยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้


ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต
ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาชฺ่วคาว ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ
และภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูลหมวดที ๑ จฺบ

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูลหมวดที ๒-๘ หยํไว้


้ แล้ว

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๙

[๓๒๙] พระราชาผู้ตรากฺฎหมายสําลับยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้


ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาชฺ่วคาวและเปันภัรยาสินไถ่ ฯลฯ เปันภัร
ยาชฺ่วคาวและภัรยาที่เปันชะเลียของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยานึ่งคฺนเปันมูล จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 343 / 343

แม่นขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งสปริทัณฑาจักรที่มีภัรยา ๒ คฺนเปันมูล ตลอดเถิง


ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งสปริทัณฑาจักรที่มีภัรยา ๙ คฺนเปันมูลกํเพิงขยายตาม
แบบนี้

ตํ่ไปนี้คืพัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

พัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

[๓๓๐] พระราชาผู้ตรากฺฎหมายสําลับยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้


ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ยิงนันขํ
้ เปันภัรยาสินไถ่ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ
เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส เปันภัรยา
ที่ถืกปฺงมฺงกุด เปันภัรยาที่เปันทัง คฺนฮับใช้เปันทังภัรยา เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้าง
เปันทังภัรยา เปันภัรยาที่เปันชะเลียและเปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไป
บอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ทัณฑฐปิตจักร จฺบ

มาตุฮักขิตาจักร
นิกเขปบฺท

ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้
ว่า ขะน้อยขํเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอกกับมาบอก ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้
ว่า ขะน้อยขํเปันภัรยาที่ญู่ด้วยความพํใจ ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัร
ยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธสี ฺมรฺส ฯลฯ เปันภัรยาถืกปฺงมฺงกุด ฯลฯ
เปันภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 344 / 344 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก


กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

นิกเขปบฺท จฺบ

ขัณฑจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล

[๓๓๑] ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไป
บอกชายชื่นี้ว่า ขะน้อยขํเปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญู่ด้วยความพํใจของชายชื่นี้” ภิกษุ
ฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้
ว่า ขะน้อยขํเปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ ขํเปันภัรยาสินไถ่และภัร
ยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑

[๓๓๒] ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไป
บอกชายชื่นี้ว่า ขะน้อยขํเปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ
เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัรยาชฺ่วคาว ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจและภัร
ยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอกกับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑ จฺบ

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๒-๘ หยํไว้


้ แล้ว

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๙

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 345 / 345

ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้
ว่า ขะน้อยขํเปันภัรยาชฺ่วคาวและเปันภัรยาสินไถ่ ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวและภัรยาที่
เปันชะเลียของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งมาตุฮักขิตาจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งมาตุฮักขิตาจักรที่มีภัรยา ๒ คฺนเปันมูลเปันตฺน
้ เพิงขยาย
ตามแบบนี้
ตํ่ไปนี้คืพัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

พัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺน เปันมูล

[๓๓๓] ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดาขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไป
บอกชายชื่นี้ว่า ขะน้อยขํเปันภัรยาสินไถ่ เปันภัรยาที่ญูด่ ้วยความพํใจ เปันภัรยาที่ญู่
เพาะสฺมบัต เปันภัรยาที่ญู่เพาะแผ่นผ้า เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธส ี ฺมรฺส เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺง
กุด เปันภัรยาที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา
เปันภัรยาที่เปันชะเลีย และภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

มาตุฮักขิตาจักรอีกนัยนึ่ง จฺบ

นิกเขปบฺท

ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของบิดาขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของมารดา
บิดาขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของพี่ชายน้องชายขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ยิงที่
่ นความปฺกคองของเอื้อยน้องสาวขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ยิงที่ยังญูใ
ยังญูใ ่ นความปฺกคองของ
ยาตขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ยิงที่ยังญูใ
่ นความปฺกคองของตะกูนขํฮ้องภิกษุ ฯลฯ ยิงที่มีธัมคุ้ม
คองขํฮ้องภิกษุฯลฯ ยิงที่มีคู่หมันขํ
้ ฮ้องภิกษุ ฯลฯ ยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 346 / 346 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

“พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ขะน้อยขํเปันภัรยาสินไถ่ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับ


คํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า ขะน้อยขํ


เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะ
แผ่นผ้า ฯลฯ เปันภัรยาที่เขฺาพิ ี ฺมรฺส ฯลฯ เปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด ฯลฯ เปันภัรยา
้ ธส
ที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา ฯลฯ เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้าง เปันทังภัรยา ฯลฯ
เปันภัรยาที่เปันชะเลีย ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมา
บอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

สปริทัณฑาจักร
ขัณฑจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล

[๓๓๔] ยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า


ขะน้อยขํเปันภัรยาสินไถ่และภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ ฯลฯ เปันภัรยาสินไถ่และภัร
ยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑

[๓๓๕] ยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า


ขะน้อยขํเปันภัรยาที่ญู่ด้วยความพํใจและภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วย
ความพํใจและภัรยาชฺ่วคาว ฯลฯ เปันภัรยาที่ญูด่ ้วยความพํใจและภัรยาสินไถ่ของ
ชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๑ จฺบ

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๒-๘ หยํไว้


้ แล้ว

พัทธจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล หมวดที ๙

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 347 / 347

[๓๓๖] ยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า


ขะน้อยขํเปันภัรยาชฺ่วคาวและภัรยาสินไถ่ ฯลฯ เปันภัรยาชฺ่วคาวและภัรยาที่เปันชะเลีย
ของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งสปริทัณฑาจักรที่มีภัรยาคฺนนึ่งเปันมูล จฺบ

ขัณฑจักรและพัทธจักรแห่งสปริทัณฑาจักรที่มีภัรยา ๒ คฺนเปันมูลเปันตฺน
้ กํเพิงขยาย
ตามแบบนี้
ตํ่ไปนี้คืพัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

พัทธจักรที่มีภัรยา ๑๐ คฺนเปันมูล

[๓๓๗] ยิงที่มีกฺฎหมายคุ้มคองขํฮ้องภิกษุว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกชายชื่นี้ว่า


ขะน้อยขํเปันภัรยาสินไถ่ เปันภัรยาที่ญูด
่ ้วยความพํใจ เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะสฺมบัต
เปันภัรยาที่ญูเ่ พาะแผ่นผ้า เปันภัรยาที่เขฺาพิ
้ ธีสฺมรฺสเปันภัรยาที่ถืกปฺงมฺงกุด เปันภัรยา
ที่เปันทังคฺนฮับใช้เปันทังภัรยา เปันภัรยาที่เปันทังลูกจ้างเปันทังภัรยา เปันภัรยาที่
เปันชะเลีย และภัรยาชฺ่วคาวของชายชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

สปริทัณฑาจักรอีกนัยนึ่ง จฺบ
จักรเปยยาลทังมวล จฺบ

ภิกษุฮับคํา

[๓๓๘] ภิกษุฮับคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


ภิกษุฮับคํา ไปบอก บํ่กับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ภิกษุฮับคํา บํ่ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ภิกษุฮับคํา บํ่ไปบอก บํ่กับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุบ่ ฮั
ํ บคํา ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติถุลลัจจัย

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 348 / 348 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุบ่ ฮั
ํ บคํา ไปบอก บํ่กับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุบ่ ฮั
ํ บคํา บํ่ไปบอก กับมาบอก ต้องอาบัติทุกกฏ
ภิกษุบ่ ฮัํ บคํา บํ่ไปบอก บํ่กับมาบอก บํ่ต้องอาบัติ

ชายสั่งภิกษุหลายฮูบ

ชายสั่งภิกษุหลายฮูบว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุทุกฮูบฮับคํา ไป


บอก กับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทุกฮูบ
ชายสั่งภิกษุหลายฮูบว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุทุกฮูบฮับคํา ไป
บอก ให้ฮูบ นึ่งกับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทุกฮูบ
ชายสั่งภิกษุหลายฮูบว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุทุกฮูบฮับคํา ให้ฮู
บนึ่งไปบอก แล้วทุกฮูบกับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทุกฮูบ
ชายสั่งภิกษุหลายฮูบว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุทุกฮูบฮับคํา ให้ฮู
บนึ่งไปบอก แล้วให้ฮูบนึ่งกับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทุกฮูบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๕. สัญจริตตสิกขาบฺท อนาปัตติวาร


ชายสั่งภิกษุฮูบด฽ว

ชายสั่งภิกษุฮูบด฽วว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุฮับคําไปบอก กับมา


บอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายสั่งภิกษุฮูบด฽วว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุฮับคําไปบอก แต่ให้


ภิกษุอันเตวาสิกกับมาบอก ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ชายสั่งภิกษุฮูบด฽วว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุฮับคําให้ภิกษุอันเตวา


สิกไปบอก แต่กับมาบอกด้วยตฺนเอง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 349 / 349

ชายสั่งภิกษุฮูบด฽วว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุฮับคํา ให้ภิกษุอันเต


วาสิกไป บอก ภิกษุอันเตวาสิกไปบอกแล้วกับมาบอกนอกเรื้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ทังสองฮูบ

ภิกษุจัดการสําเรัจและบอกคาดเคื่อน

[๓๓๙] ภิกษุไปจัดการสําเรัจ กับมาบอกคาดเคื่อน ต้องอาบัติถุลลัจจัย


ภิกษุไปบอกคาดเคื่อน กับมาบอก จัดการสําเรัจ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ภิกษุไปจัดการสําเรัจ กับมาบอก จัดการสําเรัจ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุไปบอกคาดเคื่อน กับมาบอกคาดเคื่อน บํ่ต้องอาบัติ

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๓๔๐] ๑. ภิกษุผไ
ู้ ปด้วยกิจของสฺงฆ์ ของเจดีย์ หลืของภิกษุอาพาธ
๒. ภิกษุวิกฺลจิต
ฺ้ นญัต
๓. ภิกษุตนบั

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๕. สัญจริตตสิกขาบฺท วินีตวัตถุ


คาถาฮวมวินีตวัตถุ
เรื้องที่ชฺงวินิจฉัยแล้ว

เรื้องยิงหลับ ๑ เรื้อง ๧เรื้องยิงตาย ๑ เรื้อง ๧เรื้องยิงย้ายบ้าน ๑ เรื้อง ๧เรื้องบํ่


แม่นยิง ๑ เรื้อง ๧เรื้องยิงกะเทีย ๑ เรื้อง ๧เรื้องชักจูงสามีภัรยาผู้ผิดถ฽งให้คืนดี
กัน ๑ เรื้อง ๧เรื้องการชักสื่กะเทีย ๑ เรื้อง

วินีตวัตถุ
เรื้องยิงหลับ ๑ เรื้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 350 / 350 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ชายคฺนนึ่งสั่งภิกษุฮูบนึ่งว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุ


[๓๔๑] สมัยนัน
ไปถามพวกชาวบ้านว่า “ยิงคฺนชื่นี้ ญูใ
่ ส” “หลับญู่ ขน้อย” ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า
เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ
พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๑)

เรื้องยิงตาย ๑ เรื้อง

้ ชายคฺนนึ่งสั่งภิกษุฮูบนึ่งว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุนนไป


สมัยนัน ั้
ถามพวกชาวบ้านว่า “ยิงคนชื่นี้ญูใ ่ ส” พวกเขฺาตอบว่า “นางตายแล้ว ขน้อย” ท่านเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุก
กฏ” (เรื้องที ๒)

เรื้องยิงย้ายบ้าน ๑ เรื้อง

้ ชายคฺนนึ่งสั่งภิกษุฮูบนึ่งว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุนนไป


สมัยนัน ั้
ถามพวกชาวบ้านว่า “ยิงคฺนชื่นี้ ญูใ่ ส” พวกเขฺาตอบว่า“นางย้ายไปแล้ว ขน้อย” ท่าน
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืนํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติ
ทุกกฏ” (เรื้องที ๓)

เรื้องบํ่แม่นยิง ๑ เรื้อง

้ ชายคฺนนึ่งสั่งภิกษุฮูบนึ่งว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุนนไป


สมัยนัน ั้
ถามพวกชาวบ้านว่า “ยิงคนชื่นี้ ญูใ ่ ส” พวกเขฺาตอบว่า “บํ่ใช่ผู้ยง
ิ ขน้อย” ท่านเกีด
ความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุก
กฏ” (เรื้องที ๔)

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 351 / 351

เรื้องยิงกะเทีย ๑ เรื้อง

้ ชายคฺนนึ่งสั่งภิกษุฮูบนึ่งว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านช่วยไปบอกยิงชื่นี้” ภิกษุนนไป


สมัยนัน ั้
ถามพวกชาวบ้านว่า “ยิงคนชื่นี้ ญูใ ่ ส” พวกเขฺาตอบว่า “เปันยิงกะเทีย ขน้อย” ท่าน
เกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มี
พระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสว่า
“ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ” (เรื้องที ๕ )

เรื้องชักจูงสามีภัรยาผู้ผิดถ฽งให้คืนดีกัน ๑ เรื้อง

สมัยนัน้ ยิงคฺนนึ่งผิดถ฽งกับสามีย่างไปบ้านมารดา ภิกษุท่ ีใก้ชิดตะกูน เวฺาชั


้ กจูงให้กับ
คืนดีกัน แล้วท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไป
ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัสถามว่า “ภิกษุ เขฺาหย่ากันหลื” “ยังบํ่
้ า” “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติ เพาะเขฺายังบํ่หย่ากัน” (เรื้องที ๖)
หย่ากัน พระพุทธเจฺาข้

เรื้องการชักสื่กะเทีย ๑ เรื้อง

้ ภิกษุฮูบนึ่งทําหน้าที่ชักสื่อให้พวกกะเทีย ท่านเกีดความกังวฺลใจว่า เฮฺาต้อง


สมัยนัน
อาบัติสังฆาทิเสสหลืบ่ ํ จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ พระอฺงค์ตรัส
ว่า “ภิกษุ ท่านบํ่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย” (เรื้องที ๗)

สัญจริตตสิกขาบฺทที ๕ จฺบ

๖. กุฏิการสิกขาบฺท
ว่าด้วยการกํ่ส้างกุติ
เรื้องภิกษุชาวเมืองอาฬวี

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๓๔๒] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อ
้ น
กะแต เขตกุงราชคึห์ คังนั ิ ้วยเคื่องอุปกอนที่ขํมา
้ พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีส้างกุตด
เอง บํ่มีเจฺาของส้
้ างให้ ส้างเปันของส่วนตฺว บํ่จํากัดขนาด กุตส
ิ ้างบํ่แล้ว พวกท่านกํ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 352 / 352 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

เปันผู้มากไปด้วยการขํ มากไปด้วยการออกปากขํ ด้วยก่าวว่า “ท่านทังหลายจฺ่ง


ให้คฺนงาน อุปกอนกํ่ส้างสําเรัจฮูบ โค กว฽น มีด
ขวาน ช้วน จฺก สิ่ว เคือไม้ ไม้ไผ่ หย้ามุงกะต่าย หย้าแฝก หย้าสามัน ดินหน฽ว”
พวกชาวบ้านถืกรฺบกวนด้วยการขํ ด้วยการออกปากขํ พฺบเหันภิกษุทังหลายต่างพา
กันญ้านสะดุ้งแด่ หลฺบหนีไปที่อื่นแด่ ย่างผีกลຽงไปทางอื่นแด่ เมินหน้าหนีแด่ ปิดปะตู
้ แล่นหนีเพาะเขฺาใจว่
บ้านแด่ พฺบเหันแม่โคเขฺากํ ้ ้ น
าแม่นภิกษุแด่ คังนั ้ ท่านพระ
มหากัสสปะจําพันษาในเขตกุงราชคึห์ ออกเดีนทางไปทางเมืองอาฬวี จาริกไปโดย
ลําดับ จฺนเถิงเมืองอาฬวี ข่าวว่าท่านพระมหากัสสปะพัก
ญู่ ณะ อัคคาฬวเจดีย์ เขตเมืองอาฬวีนน ั ้ คันเวลาเชฺา้ ท่านคองอันตรวาสก ถืบาตรและ
จีวอนไปบิณฑบาตในเมืองอาฬวี พวกชาวบ้านพํเหันท่านต่างญ้านสะดุ้งแด่ หลฺบหนีไป
ที่อื่นแด่ เดีนลຽงไปทางอื่นแด่ เมินหน้าหนีแด่ ปิดปะตูบ้านแด่ คันท่านพระมหากัสสปะ
บิณฑบาตในเมืองอาฬวี กับจากบิณฑบาตหลังจากฉันอาหาร ฮ฽กภิกษุทังหลายมาถาม
ว่า “ท่านทังหลาย เมื่อก่อนเมืองอาฬวีมีอาหารบํริบูรณ์ หาอาหารได้ง่าย ภิกษุสฺงฆ์
บิณฑบาตหาล้฽งชีพได้ง่าย แต่บัดนี้ เมืองอาฬวีกับมีเขฺายากหมากแพง
้ อาหารหาได้
ยาก ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ แม่นหยังเปันเหตุ
เปันปัจจัยให้เมืองอาฬวีน้มี ้
ี เขฺายากหมากแพง หาอาหารได้ยาก ยากที่พระอริยะจะ
้ ่ งขาบฮ฽นเรื้องนันให้
บิณฑบาตยังชีพได้” ภิกษุเหลฺ่านันจึ ้ ท่านชาบ

้ น
[๓๔๓] คังนั ้ คันพระผู้มีพระภาคปะทับญู่ ณะ กุงราชคึห์ ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว
ได้สเดัจไปทางเมืองอาฬวี สเดัจจาริกไปโดยลําดับ จฺนเถิงเมืองอาฬวี ข่าวว่าพระผูม
้ ี

พระภาคพุทธเจฺาปะทั ั ้ คังนั
บญู่ ณะ อัคคาฬวเจดีย์ เขตเมืองอาฬวีนน ้ น ้ ท่านพระ

มหากัสสปะได้เขฺาไปเฝฺ ้
าพระผู ้มีพระภาคจฺนเถิงที่ปะทับ คันเถิงแล้วได้ถวายบังคฺมพระ
ผู้มีพระภาคแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร ได้ขาบทูลเรื้องนันให้
้ ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามพวก
ภิกษุชาวเมืองอาฬวีว่า “ภิกษุทังหลาย ชาบว่า พวกท่านส้างกุตด ้ ยเคื่องอุปกอนที่ขํมา
ิ ว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 353 / 353

เอง บํ่มีเจฺาของส้
้ างให้ ส้างเปันของส่วนตฺว บํ่จํากัดขนาด กุตส
ิ ้างบํ่เสัด พวกท่านเปัน
ผู้มากไปด้วยการขอ มากไปด้วยการออกปากขํด้วยก่าวว่า ‘ท่านทังหลายจฺ่งให้คฺนงาน
อุปกอนกํ่ส้างสําเรัจฮูบ โค กว฽น มีด ขวาน ช้วน จฺก สิ่ว เคือไม้ ไม้ไผ่ หย้ามุง
กะต่าย หย้าแฝก หย้าสามัน ดินหน฽ว’
พวกชาวบ้านถืกรฺบกวนด้วยการขํ ด้วยการออกปากขํ พฺบเหันท่านทังหลายต่างพากัน
หวาดสะดุ้งแด่ หลฺบหนีไปที่อื่นแด่ เดีนลຽงไปทางอื่นแด่ เมินหน้าหนีแด่ ปิดปะตูบ้าน
้ แล่นหนีเพาะเขฺาใจว่
แด่ พฺบเหันแม่โคเขฺากํ ้ าเปันภิกษุแด่ แม่นแท้บ”ํ ภิกษุเหลฺ่านันทู
้ ล
้ า” พระผู้มพ
ฮับว่า “แม่นแท้ พระพุทธเจฺาข้ ี ระภาคพุทธเจฺาชฺ้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษทัง
หลาย การกะทําของพวกท่านบํ่สฺมควร ฯลฯ บํ่ควรทํา โมฆบุรุษทังหลาย จั่งใดพวก
ท่านจึ่งส้างกุตด
ิ ้วยเคื่องอุปกอนที่ขํมาเอง บํ่มีเจฺาของส้
้ างให้ส้างเปันของส่วนตฺว บํ่
จํากัดขนาด กุตส ิ ้างบํ่แล้ว พวกท่านเปันผู้มากไปด้วยการขํ มากไปด้วยการออกปากขํ
ด้วยก่าวว่า ‘ท่านทังหลาย จฺ่งให้คฺนงานอุปกอนกํ่ส้างสําเรัจฮูบ โค กว฽น มีด ขวาน
ช้วน จฺก สิ่ว เคือไม้ ไม้ไผ่ หย้ามุงกะต่าย หย้าแฝก หย้าสามัน ดินหน฽ว’ ดั่งนี้
โมฆบุรุษทังหลาย การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส
้ พระผูม
ฯลฯ” ลําดับนัน ้ ีพระภาค คันชฺงตําหนิพวกภิกษุชาวเมืองอาฬวีโดยปะการต่างๆ
แล้ว ฯลฯ ชฺงสะแดงธัมมีกถาแก่ภิกษุทังหลายให้เหมาะสฺม ให้ค้อยตามกับเรื้องนัน้
แล้วจึ่งตรัสฮ฽กภิกษุทังหลาย มาฮับสั่งว่า

เรื้องฤๅษี ๒ พี่น้อง

[๓๔๔] “ภิกษุทังหลาย เรื้องเคียมีมาแล้ว มีฤๅษอี ้ายน้อง ๒ คฺน อาศัยญูใ ํ ้ งคา


่ ก้แม่นาคฺ
้ น
คังนั ้
้ มณีกัณฐนาคราชขึนจากแม่ นาคฺ ้
ํ ้ งคา เขฺาไปหาฤๅ ษีผู้น้องเถิงที่ญู่ คันเถิงแล้วได้
พักวฺงขฺดหางล้อม ฮอบฤๅษี ๗ ฮอบ แผ่พงั พานใหย่ปก ฺ เหนือสีษะฤๅษีผู้น้องกับจ่อยผอม

หมองเสฺา้ หล่าเหลือง เสันเอ็ ้
นขึนเตั มไปหมฺด เพาะความหวาดกฺวนาคราช ฤๅษีผู้อ้าย

เหันฤๅษีผู้น้องจ่อยผอม หมองเสฺา้ หล่าเหลือง เสันเอ็ ้
นขึนเตั มไปหมฺด จึ่งถามว่า
“เพาะเหตุใด ท่านจึ่งจ่อยผอม หมองเสฺา้ หล่าเหลือง เสันเอ็ ้ ้
นขึนเตั มไปหมฺด” ฤๅษีผู้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 354 / 354 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

น้องตอบว่า “ที่นี้มีมณีกัณฐนาคราชขึนจากแม่
้ ํ ้ งคามาหาผู้ข้า แล้วพักวฺงขฺดหางล้อมฮ
นาคฺ
อบผู้ข้า ๗ ฮอบ แผ่พง ั พานใหย่ปก
ฺ เหนือสีษะ เพาะความญ้านนาคราชนัน ้ ผู้ข้าจึ่งจ่อย
ผอม หมองเสฺา้ หล่าเหลือง เสันเอ็้ ้
นขึนเตั มไปหมฺด’ ฤๅษีผู้อ้ายถามว่า “ท่านต้องการบํ่

ให้นาคราชมาหาแม่นบํ่” ฤๅษีผู้น้องตอบว่า “ผู้ข้าต้องการบํ่ให้นาคราชนันมาหา” ฤๅษีผู้
อ้าย ถามว่า “ท่านเหันนาคราชมีหยังแด่” ฤๅษีผู้น้องตอบว่า “ผู้ขา้ เหันแก้วมณีปะดับที่คํ”
ฤๅษีผู้อ้ายก่าวว่า “ถ้าเชั่นนัน
้ ท่านจฺ่งก่าวขํแก้วมณีนาคราชว่า ท่านจฺ่งให้แก้วมณีแก่
อาตมาเถีด อาตมา ญากได้” ภิกษุทังหลาย คันมณีกัณฐนาคราชขึนจากแม่ ้ ้
ํ ้ งคาเขฺาไป
นาคฺ
หาฤๅษีผู้น้องเถิงที่ญู่ พักญู่ ณะ ที่สฺมควร ฤๅษีผู้น้องก่าวว่า “ท่านจฺ่งให้แก้วมณีแก่อาตมา
อาตมาญากได้” นาคราชคิดว่า “ภิกษุขํแก้วมณี ภิกษุญากได้แก้วมณี” แล้วฮีบหลีกหนี

ไปทันที แม่นคังที ้
๒ มณีกัณฐกนาคราชขึนจากแม่ นาคฺ ้
ํ ้ งคา เขฺาไปหาฤๅ ษีผู้น้อง ฯลฯ

แม่นคังที ๓ ฤๅษีผู้น้องก่าวว่า “ท่านจฺ่งให้แก้วมณีแก่อาตมา อาตมาญากได้” ลําดับนัน

มณีกัณฐนาคราชก่าวกับฤๅษีผู้น้องเปันคาถาว่า “เพาะแก้วมณีดวงนี้เปันเหตุ เฮัดให้เขฺานํ
้ า้

เกีดขึนแก่ ้
ข้าพะเจฺามากมาย ้
ข้าพะเจฺาให้ แก้วมณีท่านบํ่ได้ ท่านเปันคฺนขํเกีนไป ข้า
้ ่ มาอาสฺม ท่านอีกแล้ว ท่านขํแก้วมณีจฺนเฮัดให้ข้าพะเจฺาหวาดกฺ
พะเจฺาจะบํ ้ ว เหมือน
ชายหนุ่มถืดาบคฺมที่ฝฺนด้วยหินเฮัดให้ผู้อ่ นสะดุ
ื ้
้งญ้าน ข้าพะเจฺาให้ แก้วมณีท่านบํ่ได้
้ ่ มาอาสฺมท่านอีกแล้ว” ภิกษุทังหลาย คันแล้ว
ท่านเปันคฺนขํเกีนไป ข้าพะเจฺาจะบํ
มณีกัณฐนาคราชจากไปพ้อมกับฮําเพิงว่า “ภิกษุขแ ํ ก้วมณี ภิกษุญากได้แก้วมณี” ไป

แล้วบํ่หวนกับมาอีกเลีย ตํ่มาฤๅษีผู้น้องกับจ่อยผอม หมองเสฺา้ หล่าเหลือง เสันเอ็ น

ขึนเตั มไปหมฺดยิ่งกว่าแต่ก่อนเพาะบํ่ได้พฺบนาคราชฮูบงามหน้าเบิ่ง ฤๅษีผู้อ้ายเหันฤๅษีผู้
น้องจ่อยผอม ฯลฯ ถามว่า “เพาะเหตุใดท่านจึ่งจ่อยผอม หมองเสฺา้ หล่าเหลือง เสัน ้

เอ็นขึนเตั มไปหมฺดยิ่งกว่าแต่ก่อน” ฤๅษีผู้น้องตอบว่า “ผู้ข้าจ่อยผอม ฯลฯ เพาะผู้ข้าบํ่
เหันนาคราชฮูบงาม หน้าเบิ่งนัน”้ ฤๅษีผู้อ้ายก่าวเปันคาถาว่า “บุคคฺลบํ่ควรขํส่ งที
ิ ่ ฮูว
้ ่าเปัน
ที่ฮักของเขฺา อีกญ่างนึ่งเพาะขํเกีนไปย่อมเปันที่กຽดชัง นาคราชถืกฤๅษีขแ
ํ ก้วมณี จึ่งบํ่
หวนกับมาให้ฤๅษีเหันอีกเลีย” ภิกษุทังหลาย การขํ การออกปากขํ ย่อมบํ่เปันที่พํใจ
แม่นของพวกสัตว์เดั฽ระสานเหลฺ่านัน
้ บํ่จําต้องก่าวเถิงพวกมนุษย์เลีย

เรื้องนฺกฝูงใหย่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 355 / 355

[๓๔๕] ภิกษุทังหลาย เรื้องเคียมีมาแล้ว ภิกษุฮูบนึ่งญูใ


่ นฮาวป่ าแห่งนึ่งเนีนพูเขฺาหิม
พานต์ บํ่ไกจากที่นันมี
้ หนองนําใหย่
้ นฺกฝูงใหย่ท฽วหาอาหารที่หนองนําตลอดทั ้ งเวัน

พํฮอดยามแลงกํเขฺาไปอาศั ั ้ าคานสຽงนฺกจึ่งเขฺาไปหาเฮฺ
ยฮาวป่ า ภิกษุนนรํ ้ าเถิงที่ญู่ ขาบ
ไหว้เฮฺาแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺม ควร เฮฺาถามท่านว่า “ภิกษุ ท่านยังสะบายดีหลื ยังพํ
เปันญูไ ั้
่ ด้หลื ท่านเดีนทางมาโดยบํ่ลําบาก หลื ท่านมาจากใส” ภิกษุนนขาบทู ลว่า
้ า พํเปันญูไ
“สะบายดี พระพุทธเจฺาข้ ้ า
่ ด้ พระพุทธเจฺาข้
้ นทางมาโดยบํ่ลําบาก พระพุทธเจฺาข้
ข้าพระพุทธเจฺาเดี ้ า แถบภูเขฺาหิมพานต์มีฮาวป่ า
ใหย่ บํ่ไกจากที่นัน
้ มีหนองนําใหย่
้ นฺกฝูงใหย่ท฽วหาอาหารที่หนองนําตลอดทั
้ งเวัน

พํฮอดยามแลงกํเขฺาไปอาศั ้ าคานสຽงนฺกจึ่งหนีมาจากที่นัน”
ยฮาวป่ า ข้าพระพุทธเจฺารํ ้
“ท่านต้องการบํ่ให้ฝงู นฺกมาแม่นบํ่” “ข้าพระอฺงค์ ต้องการบํ่ให้ฝงู นฺกมา พระพุทธเจฺา้
้ ท่านจฺ่งกับไปยังฮาวป่ า แล้วเวลาปฐฺมยามแห่งราตรี ปะกาดขึน
ข้า” “ถ้าญ่างนัน ้ ๓ คัง้
ว่า ‘นฺกที่อาศัยฮาวป่ านี้มีเทฺ่าใด จฺ่งฟั งเฮฺา เฮฺาต้องการขฺน จฺ่งให้ขฺนแก่เฮฺาตฺวละ ๑
อัน’ เวลามัชฌิมยามปะกาดขึน ้ า ‘นฺกที่อาศัยฮาวป่ านี้มีเทฺ่าใด จฺ่งฟั งเฮฺา เฮฺา
้ ๓ คังว่
ต้องการขฺน จฺ่งให้ขฺนแก่เฮฺาตฺวละ ๑ อัน’ เวลาปัจฉิมยามกํปะกาดขึน ้ ๓ คังว่ ้ า ‘นฺกที่
อาศัยฮาวป่ านี้มีเทฺ่าใด จฺ่งฟั งเฮฺา เฮฺาต้องการขฺน จฺ่งให้ขน ฺ แก่เฮฺาตฺวละ ๑ อัน’ ตํ่มา
ภิกษุนนกั ั ้ บไปยังฮาวป่ า เวลาปฐฺมยามแห่งราตรี ปะกาดขึน ้ า “นฺกที่อาศัยฮาว
้ ๓ คังว่
ป่ านี้มีเทฺ่าใด จฺ่งฟั งเฮฺา เฮฺาต้องการขฺน จฺ่งให้ขน
ฺ แก่เฮฺาตฺวละ ๑ อัน” เวลามัชฌิมยาม
ฯลฯ ปัจฉิมยาม กํปะกาดเชั่นนัน ้ า “นฺกที่อาศัยฮาวป่ านี้มีเทฺ่าใด จฺ่งฟั งข้าพะเจฺา้
้ ๓ คังว่
ฯลฯ จฺ่งให้ขฺนแก่เฮฺาตฺวละ ๑ อัน” คันฝูงนฺกฮูว
้ ่า “ภิกษุขข
ํ ฺน ภิกษุต้องการขฺน” กํพา
กันบินหนีจากไปแล้วบํ่หวนกับมาอีกเลีย ภิกษุทังหลาย การขํ การออกปากขํ ย่อมบํ่
เปันที่พํใจแม่น ของพวกสัตว์เดั฽ระสานเหลฺ่านัน
้ บํ่จําต้องก่าวเถิงพวกมนุษย์เลีย

เรื้องรัฐบาลกุลบุตร

[๓๔๖] ภิกษุทังหลาย เรื้องเคียมีมาแล้ว บิดาของรัฐบาลกุลบุตร ก่าวเปันคาถาว่า


“ลูกรัฐบาล คฺนจํานวนหลายพากันมาขํพ่ ทั ้ ัก จั่งใดลูกจึ่งบํ่ขํพ่ แด่
ํ งที่พํ่กํบ่ ํฮูจ ํ ละ” รัฐบาล
กุลบุตรก่าวตอบบิดาว่า “คฺนขํย่อมบํ่เปันที่ชอบใจของผู้ถืกขํ คฺนถืกขํ เมื่อบํ่ให้ กํบ่ ํ
้ ลูกจึ่งบํ่ขํพ่ ํ ญ่าให้ลูกเปันคฺนน่าชังของพํ่เลีย” ภิกษุ
เปันที่ชอบใจของผู้ขํ เพาะสะนัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 356 / 356 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ทังหลาย รัฐบาลกุลบุตรยังก่าวกับบิดาของตฺน ญ่างนี้ บํ่จําต้องก่าวเถิงคฺนอื่นที่ก่าว


กับคฺนอื่นเลีย

[๓๔๗] ภิกษุทังหลาย ชัพย์สฺมบัตของครืหัสถ์ฮวบฮวมไว้ได้ยาก เมื่อได้มากํเกับฮัก


สาไว้ได้ยาก โมฆบุรุษทังหลาย เมื่อชัพย์สฺมบัตที่พวกครืหัสถ์ฮวบฮวมไว้ได้ยาก ทัง
เมื่อได้มาแล้วกํเกับฮักษาไว้ได้ยากเชั่นนี้ ท่านทังหลายกับเปันผูม
้ ากไปด้วยการขํ เปัน
ผู้มากไปด้วยการออกปากขํด้วยการก่าวว่า ‘ท่านทังหลายจฺ่งให้คน ฺ งาน อุปกอนกํ่ส้าง
สําเรัจฮูบ โค กว฽น มีด ขวาน ช้วน จฺก สิ่ว เคือไม้ ไม้ไผ่ หย้ามุงกะต่าย หย้า
แฝก หย้าสามัน ดินหน฽ว’ การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้
เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดง
้ ดั่งนี้

พระบันญัต

ิ ่ ีบํ่มีเจฺาของส้
[๓๔๘] กํ ภิกษุผู้จะส้างกุตท ้ างถวาย ส้างเปันของส่วนตฺว ด้วยการขํเอฺา
เอง เพิง ส้างให้ได้ขนาด ขนาดในการส้างนัน ้ ดั่งนี้: ยาว ๑๒ คืบ กว้าง ๗ คืบ โดย
คืบพระสุคต๒ ต้องพาภิกษุทังหลายไปสะแดงพื้นที่ให้ ภิกษุเหลฺ่านันเพิ ้ งสะแดงพื้นที่บํ่
มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าภิกษุส้างกุติด้วยการขํเอฺาเอง ในที่ที่มี
อันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่พาภิกษุทังหลายไปเพื่อสะแดงพื้นที่ให้
หลืส้างให้เกีนขนาด เปันสังฆาทิเสส

เรื้องภิกษุชาวเมืองอาฬวี จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๖. กุฎิการสิกขาบฺท สิกขาบฺทวิภังค์


สิกขาบฺทวิภังค์

[๓๔๙] ที่ชื่ว่า การขํเอฺาเอง คื ขํคฺนงานแด่ อุปกอนกํ่ส้างสําเรัจฮูบแด่ โคแด่ กว฽น


แด่ มีดแด่ ขวานแด่ ช้วนแด่ จฺกแด่ สิ่วแด่ เคือไม้แด่ ไม้ไผ่แด่ หย้ามุงกะต่ายแด่
หย้าแฝกแด่ หย้าสามันแด่ ดินหน฽วแด่ ด้วยตฺนเอง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 357 / 357

่ ่ งโบกตาบพายในหลื
ที่ชื่ว่า กุติ ได้แก่ ที่ญูช ึ พายนอกหลืโบกตาบทังพายในพายนอก
คําว่า ส้าง คื ส้างเองหลืใช้คฺนอื่นส้าง
คําว่า ที่บํ่มีเจฺาของส้
้ างถวาย คื บํ่มีใผอื่น บํ่ว่าจะเปันยิงหลืชาย ครืหัสถ์หลืบัพชิต

เปันเจฺาของ ส้างถวาย
คําว่า ส้างเปันของส่วนตฺว คื เพื่อปโยดตฺน
้ ดั่งนี้ : ยาว ๑๒ คืบ โดยคืบพระสุคต
คําว่า เพิงส้างให้ได้ขนาด ขนาดในการส้างนัน
คื วัดด้านนอกกุติ
คําว่า กว้าง ๗ คืบ คื วัดด้านในฝาผนัง
คําว่า ต้องพาภิกษุทังหลายไปสะแดงพื้นที่ให้ อธิบายว่า ภิกษุผจ ู้ ะส้างกุตน ั ้ เพิงให้
ิ น
แผ้วถางพื้นที่ส้างกุติ แล้วเขฺาไปหาสฺ
้ งฆ์ หฺ่มผ้าบ่฽งบ่า ขาบตีนภิกษุผู้แก่พันษากว่า นั่งคุ
เขฺ่า ปะนฺมมืก่าว ญ่างนี้ว่า “ท่านผู้จะเรีน ผูข ิ ่ บํ
้ ้าต้องการส้างกุตท ี ่ มีเจฺาของส้
้ างถวาย ส้าง
เปันของส่วนตฺว ด้วย การขํเอฺาเอง ผู้ข้าขํให้สฺงฆ์กวดเบิ่งพื้นที่ส้างกุติ ขน้อย”
้ ่ ๒ เพิงก่าวขํภิกษุทังหลายดั่งนี้เปันคังที
เพิงก่าวขํภิกษุทังหลายดั่งนี้เปันคังที ้ ๓
ถ้าสฺงฆ์ทังปวงสามาดไปกวดเบิ่งพื้นที่ส้างกุติได้ กํต้องไปกวดเบิ่งด้วยกันทุกฮูบ
ถ้าสฺงฆ์บ่ สามาดจะไปกวดเบิ
ํ ่ งพื้นที่ส้างกุตไ
ิ ด้หมฺดทุกฮูบ กํต้องขํพวกภิกษุท่ ีสลาดสา
มาดฮูจ้ ักพื้นที่ว่า เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ
เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบแล้วแต่งตัง้

วิทีแต่งตัง้ และกัมวาจาแต่งตัง้

้ างนี้ คื ภิกษุผู้สลาดสามาด เพิงปะกาดให้สฺงฆ์ชาบว่า


ภิกษุทังหลาย สฺงฆ์เพิงแต่งตังญ่

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
[๓๕๐] “ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ต้องการจะส้างกุตท ิ ่ บํ
ี ่ มีเจฺาของส้
้ าง
ถวาย ส้างเปันของส่วนตฺว ด้วยการขํเอฺาเอง ภิกษุนนขํ ั ้ ให้สฺงฆ์กวดเบิ่งพื้นที่ส้างกุติ
ถ้าสฺงฆ์พ้อมกันแล้วเพิงแต่งตังภิ ื ้และชื่นี้ให้กวดเบิ่งพื้นที่ส้างกุตใ
้ กษุช่ นี ิ ห้แก่ภิกษุช่ นี
ื ้ นี้
เปันญัตติ

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ต้องการจะส้างกุตทิ ่ ีบํ่มีเจฺาของส้
้ างถวาย
ส้างเปันของส่วนตฺว ด้วยการขํเอฺาเอง ภิกษุนนขํ ั ้ ให้สฺงฆ์กวดเบิ่งพื้นที่ส้างกุติ สฺงฆ์

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 358 / 358 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

แต่งตังภิ ื ้และชื่นี้ให้กวดเบิ่งพื้นที่ส้างกุตใ
้ กษุช่ นี ิ ห้แก่ภิกษุช่ นี
ื ้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับ
การแต่งตังภิ ื ้และชื่นี้ให้กวดเบิ่งพื้นที่ส้างกุตใ
้ กษุช่ นี ิ ห้แก่ภิกษุช่ นี
ื ้ท่านฮูบนันเพิ
้ งนิ่ง
ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ ้ งทักท้วง ภิกษุช่ นี
ื ้และชื่นี้ สฺงฆ์แต่งตังให้
้ กวดเบิ่ง
พื้นที่ส้างกุตใ
ิ ห้แก่ภิกษุช่ นี ้ จึ่งนิ่ง ข้าพะเจฺาขํ
ื ้ สฺงฆ์เหันด้วย เพาะสะนัน ้ ถคื วามนิ่งนัน

เปันมติญ่างนี้”

วิทีสะแดงพื้นที่

[๓๕๑] ภิกษุทังหลายที่ได้ฮับแต่งตังเหลฺ
้ ้ ต้องไปที่นันแล้
่ านัน ้ วเพิงกวดเบิ่งพื้นที่ส้างกุ
ู้ ่า เปันพื้นที่มีอันตรายเปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ เปัน
ติ ให้ฮว
พื้นที่บํ่มีบํริเวณโดย ฮอบ ถ้าเปันพื้นที่มีอันตรายทังบํ่มีบํริเวณโดยฮอบ เพิงบอกภิกษุ
้ า “ญ่าส้างในที่นี้” ถ้าเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายทังมีบํริเวณโดยฮอบเพิงบอกสฺงฆ์ว่า
ฮูบนันว่
“เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย ทังมีบํริเวณโดยฮอบ” ภิกษุผู้จะส้างกุตน ั้
ิ นเพิ ้
งเขฺาไปหาสฺ งฆ์
หฺ่มผ้าบ่฽งบ่า ขาบตีนภิกษุผู้มีพันษาแก่กว่า นั่งคุเขฺ่า ปะนฺมมืก่าวญ่างนี้ว่า “ท่านผู้จะเรีน
ิ ่ บํ
ผู้ข้าต้องการส้างกุตท ี ่ มีเจฺาของส้
้ างถวาย ส้างเปันของส่วนตฺวด้วยการขํเอฺาเอง ผู้ข้าขํ
ให้สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างกุต”ิ เพิงก่าวขํภิกษุทังหลายดั่งนี้เปันคังที
้ ๒ เพิงก่าวขํภิกษุทัง
หลายดั่งนี้เปันคังที
้ ๓

กัมวาจาขํให้สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างกุติ

ภิกษุผู้สลาดสามาดเพิงปะกาดให้สฺงฆ์ชาบ ดั่งนี้

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
[๓๕๒] “ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ต้องการจะส้างกุตทิ ่ บํ
ี ่ มีเจฺาของส้
้ าง
ถวายส้างเปันของส่วนตฺว ด้วยการขํเอฺาเอง ภิกษุนนขํ ั ้ ให้สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างกุติ
ถ้าสฺงฆ์พ้อมกันแล้ว เพิงไปสะแดงพื้นที่ส้างกุตใ
ิ ห้แก่ภิกษุช่ นี
ื ้ นี้เปันญัตติ

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ต้องการจะส้างกุตท ิ ่ บํ
ี ่ มีเจฺาของส้
้ างถวาย
ส้างเปันของส่วนตฺว ด้วยการขํเอฺาเอง ภิกษุนนขํ ั ้ ให้สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างกุติ สฺงฆ์สะ
แดงพื้นที่ส้างกุตใ ิ ห้แก่ภิกษุช่ นี
ื ้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการสะแดงพื้นที่ส้างกุติให้แก่
ภิกษุช่ นี
ื ้ ท่านฮูบนันเพิ
้ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ
้ งทักท้วง พื้นที่ส้างกุติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 359 / 359

สฺงฆ์สะแดงให้แก่ภิกษุช่ นี ้ ่ งนิ่ง ข้าพะเจฺาขํ


ื ้แล้ว สฺงฆ์เหันด้วย เพาะสะนันจึ ้ ถืเอฺาความนิ่ง

นันเปันมติญ่างนี้”

[๓๕๓] ที่ชื่ว่า เปันพื้นที่มีอันตราย คื เปันที่ญูข


่ องมฺด เปันที่ญูข
่ องปวก เปันที่ญูข ่ อง
หนู เปันที่ญูข
่ องงู เปันที่ญูข่ องแมงป่ อง เปันที่ญูข
่ องขี้เขับ เปันที่ญูข
่ องช้าง เปันที่ญู่
ของม้า เปันที่ญูข
่ องราชสีห์ เปันที่ญูข ่ องเสือโค่ง เปันที่ญูข
่ องเสือเหลือง เปันที่ญูข
่ อง
หมี เปันที่ญูข
่ องสุนักป่ า หลืเปันที่ญูข
่ องสัตว์เดั฽ระสานบางเหลฺ่า ญูใ ่ ก้นา ญู่ใก้สวน ญู่
ใก้ทางสี่แยก(บ่อนปะหานนักโทด) ญูใ ่ ก้ท่ ทํ
ี รมานนักโทษ ญูใ ่ ก้สุสาน ญูใ
่ ก้อุทยาน ญู่
ใก้ท่ หลวง
ี ญูใ
่ ก้โฮงช้าง ญูใ
่ ก้โฮงม้า ญูใ
่ ก้เฮือนจํา ญูใ
่ ก้โฮงสุรา ญูใ่ ก้ฮ้านขายชี้น ญู่
ใก้ถนฺน ญูใ ่ ก้ทางสี่แยก(บ่อนปะหานนักโทด) ญูใ ่ ก้ท่ ปะชุ
ี ู่ ก้ทางเดีน นี้ชื่ว่า
ม หลืญใ
พื้นที่มีอันตรายที่ชื่ว่า เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ คื กว฽นที่เขฺาทຽมงฺวตาม ปฺกติบ่ ํ
สามาดวนไปได้ บันไดบํ่สามาดจะทอดวຽนไปได้โดยฮอบ นี้ชื่ว่า พื้นที่บํ่มีบํริเวณ
โดยฮอบ
ที่ชื่ว่า เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย คื บํ่แม่นที่ญูข
่ องมฺด บํ่แม่นที่ญูข
่ องปวก บํ่แม่นที่ญูข
่ อง
หนู บํ่แม่นที่ญูข ่ องงู บํ่แม่นที่ญูข
่ องแมงป่ อง บํ่แม่นที่ญูข
่ องขี้เขับ ฯลฯ บํ่ใก้ทางเดีน
นี้ชื่ว่า พื้นที่บํ่มีอัน ตราย ที่ชื่ว่า เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ คื กว฽นที่เขฺาทຽมงฺว
ตามปฺกติ สามาดวนไปได้ บันไดสามาดทอดวຽนไปได้โดยฮอบ นี้ชื่ว่า พื้นที่มีบํริเวณ
โดยฮอบ

ที่ชื่ว่า การขํเอฺาเอง อธิบายว่า ขํคฺนงาน อุปกอนกํ่ส้างสําเรัจฮูบ ฯลฯ ดินหน฽ว


่ ่ งโบกเคื
ที่ชื่ว่า กุติ ได้แก่ ที่ญูช ึ อบสะเพาะพายในหลืพายนอก หลืโบกตาบทังพายใน
พายนอก
คําว่า ส้าง คื ส้างเองหลืใช้คฺนอื่นส้าง
คําว่า บํ่พาภิกษุทังหลายไปสะแดงพื้นที่ให้ หลืส้างให้เกีนขนาด ความว่า บํ่ขํให้สฺงฆ์
สะแดงพื้นที่ส้างกุตดิ ้วยญัตติทุติยกัมวาจาก่อน ส้างเองหลืใช้คฺนอื่นส้างเกีนกําหนฺดแม่
้ มด฽ว จะยาวหลืกว้าง ต้องอาบัติทุกกฏ เพาะความพยายามแต่ละคัง้ ยัง
นพຽงเสันผฺ
เหลืออิดอีกก้อนนึ่งจึ่งจะเสัด ต้องอาบัติถุลลัจจัย อิดก้อนสุดท้ายเสัดแล้ว ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 360 / 360 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ้ ปริวาส ฯลฯ เพาะเหตุ
้ จึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”
นัน

บฺทภาชนีย์
ํ สะแดงพื้นที่ให้
สฺงฆ์บ่ ได้

ิ ่ สฺ
[๓๕๔] ภิกษุส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณ
ี งฆ์บ่ ได้
โดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว กับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว

ิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้
ภิกษุส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ
ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส

ิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้
ภิกษุส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮ
อบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส

ิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้
ภิกษุส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮ
อบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้

ิ ่ สฺ
[๓๕๕] ภิกษุส้างกุตท ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณ
โดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

ิ ่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ


ภิกษุส้างกุตท
ต้องอาบัติทุกกฏ

ิ ่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ


ภิกษุส้างกุตท
ต้องอาบัติทุกกฏ

ิ ่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่


ภิกษุส้างกุตท
ต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 361 / 361

ส้างเกีนขนาด

ภิกษุส้างกุตเิ กีนขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุก


กฏ ๒ ตฺว กับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว

ภิกษุส้างกุตเิ กีนขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุก


กฏ กับอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุส้างกุตเิ กีนขนาด เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติ


ทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุส้างกุตเิ กีนขนาด เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติ


สังฆาทิเสส

ส้างได้ขนาด

ิ ด้ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุก


ภิกษุส้างกุตไ
กฏ ๒ ตฺว

ิ ด้ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ


ภิกษุส้างกุตไ

ิ ด้ขนาด เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุก


ภิกษุส้างกุตไ
กฏ

ิ ด้ขนาด เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ


ภิกษุส้างกุตไ

ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างเกีนขนาด
สฺงฆ์บ่ ได้

ิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้
ภิกษุส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างเกีนขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่
มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 362 / 362 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้
ภิกษุส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างเกีนขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํ
ริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว

ิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้
ภิกษุส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างเกีนขนาด เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่
มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว

ภิกษุส้างกุตท ิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้


ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างเกีนขนาด เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย
เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว

สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างได้ขนาด

ิ ่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างได้ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริ


ภิกษุส้างกุตท
เวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

ิ ่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างได้ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณ


ภิกษุส้างกุตท
โดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ

ิ ่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างได้ขนาด เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริ


ภิกษุส้างกุตท
เวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ

ิ ่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างได้ขนาด เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริ


ภิกษุส้างกุตท
เวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

ิ ่ สฺ
สั่งส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้
ี งฆ์บ่ ได้

[๓๕๖] ภิกษุส่ งว่ ิ ่ สฺ


ั า “จฺ่งส้างกุติให้เฮฺา” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปัน
ี งฆ์บ่ ได้
พื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับอาบัติ
สังฆาทิเสส ๑ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติ
ทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณ
โดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 363 / 363

ิ ่ สฺ
สั่งส้างกุตท ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้

ภิกษุส่ งว่ ิ ่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้เปันพื้นที่มี


ิ ห้เฮฺา” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท
ั า “จฺ่งส้างกุตใ
อันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มี
อันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย
เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตรายเปันพื้นที่มีบํ
ริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

สั่งส้างกุติ เขฺาส้างเกีนขนาด

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตเิ กีนขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปัน


ั า “จฺ่งส้างกุตใ
พื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว กับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว ฯลฯ
เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส
ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับ
สังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส

สั่งส้างกุติ เขฺาส้างได้ขนาด

ภิกษุส่ งว่ ิ ด้ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปัน


ิ ห้เฮฺา” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตไ
ั า “จฺ่งส้างกุตใ
พื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่
มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณ
โดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่
ต้องอาบัติ

สั่งส้างกุติท่ สฺ ํ สะแดงพื้นที่ให้ เขฺาส้างเกีนขนาด


ี งฆ์บ่ ได้

ภิกษุส่ งว่ ิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้


ิ ห้เฮฺา” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ํ สะแดงพื้นที่ให้ส้างเกีน
ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับ
อาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้อง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 364 / 364 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

อาบัติทุกกฏ ๑ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่


มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่
บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอา บัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว

สั่งส้างกุติท่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เขฺาส้างได้ขนาด

ภิกษุส่ งว่ ิ ่ สฺ
ิ ห้เฮฺา” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างได้ขนาด
เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปัน
พื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี
อันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย
เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

หลีกไปบํ่ได้ส่ ง ํ สะแดงพื้นที่ให้
ั สฺงฆ์บ่ ได้

[๓๕๗] ภิกษุส่ งว่ ํ ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุติให้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่บ่ ได้ ั า “กุตน ั ้ สฺงฆ์ต้องสะ
ิ น
แดงพื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องเปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่ง
ิ ่ สฺ
ส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ี งฆ์บ่ ได้
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่
มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย
เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี
อันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ั สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้
หลีกไปบํ่ได้ส่ ง

ภิกษุส่ งว่
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ํ ส่ งว่
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่บ่ ได้ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องเปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุติ
ที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบต้องอาบัติทุก
กฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ
ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปัน
พื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 365 / 365

หลีกไปบํ่ได้ส่ ง
ั เขฺาส้างเกีนขนาด

ภิกษุส่ งว่
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ํ ส่ งว่
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่บ่ ได้ ั า “กุตน ั ้ องได้ขนาด ต้อง
ิ นต้
เปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องเปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุติให้เกีน
ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับ
อาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้อง
อาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮ
อบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี อันตราย เปันพื้นที่มีบํริ
เวณโดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

หลีกไปบํ่ได้ส่ ง
ั เขฺาส้างได้ขนาด

ภิกษุส่ งว่
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ํ ส่ งว่
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่บ่ ได้ ั า “กุตน ั ้ องส้างได้ขนาด
ิ นต้
ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตไิ ด้ขนาด เปัน
พื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่
มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย
เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่
มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

หลีกไปบํ่ได้ส่ ง ํ สะแดงพื้นที่ให้ เขฺาส้างเกีนขนาด


ั สฺงฆ์บ่ ได้

ภิกษุส่ งว่
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ํ ส่ งว่
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่บ่ ได้ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องส้างให้ได้ขนาด ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับ
ิ ่ สฺ
คําสั่งส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างเกีนขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่
ี งฆ์บ่ ได้
มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่
มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณ โดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส
๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปัน พื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑
ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี อันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮ
อบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 366 / 366 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ั สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เขฺาส้างได้ขนาด
หลีกไปบํ่ได้ส่ ง

ภิกษุส่ งว่
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ํ ส่ งว่
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปแต่บ่ ได้ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องส้างให้ได้ขนาด ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับ
ิ ่ สฺ
คําสั่งส้างกุตท ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างได้ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริ
เวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณ
โดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

ํ สะแดงพื้นที่ให้
ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์บ่ ได้

[๓๕๘] ภิกษุส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุติให้เฮฺา” แล้วหลีกไปแต่ได้ส่ งว่
ั า “กุตน ั ้ สฺงฆ์ต้องสะ
ิ น
แดงพื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุติ
ที่สฺงฆ์บ่ ได้
ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุนน ั้
ชาบข่าวว่า “เขฺาส้างกุติท่ สฺ ํ สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่
ี งฆ์บ่ ได้
มีบํริเวณโดยฮอบ” ภิกษุนนเพิ ั้ งไปเอง หลืส่ งทู ั ้ งฆ์ต้องสะแดง
ฺ ตไปบอกว่า “กุตินนสฺ
พื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ถ้าท่านบํ่ไปเอง
หลืบ่ ํสฺ่งทูตไปบอก ต้องอาบัติทุกกฏ

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปและได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตทิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้

สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุนนชาบข่ ั้ าวว่า
ิ ่ สฺ
“เขฺาส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮ
ี งฆ์บ่ ได้
อบ” ภิกษุนนเพิ ั้ ฺ ตไปบอกว่า “สฺงฆ์ต้องสะแดงพื้นที่ให้และต้องเปัน
งไปเองหลืส่ งทู
พื้นที่บํ่มีอันตราย” ถ้าท่านบํ่ไปเองหลืบ่ สฺ
ํ ่ งทูตไปบอก ต้องอาบัติทุกกฏ

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปแต่ได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตทิ ่ ีสฺงฆ์บ่ ได้

สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบภิกษุนนชาบข่
ั้ าวว่า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 367 / 367

ิ ่ สฺ
‘เขฺาส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณ
ี งฆ์บ่ ได้
โดยฮอบ’ ภิกษุนนเพิ ั้ ฺ ตไปบอกว่า “สฺงฆ์ต้องสะแดงพื้นที่ให้และต้อง
งไปเองหลืส่ งทู
ํ ่ งทูตไปบอก ต้องอาบัติทุกกฏ
มีบํริเวณโดยฮอบ” ถ้าท่านบํ่ไปเองหลืบ่ สฺ

ํ สะแดงพื้นที่ให้
ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์บ่ ได้

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปแต่ได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุติท่ ีสฺงฆ์บ่ ได้

สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุนนชาบข่ ั้ าวว่า
ิ ่ สฺ
“เขฺาส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณ
ี งฆ์บ่ ได้
โดยฮอบ” ภิกษุนนเพิ ั้ ฺ ตไปบอกว่า “สฺงฆ์ต้องสะแดงพื้นที่ให้” ถ้าท่านบํ่
งไปเองหลืส่ งทู
ํ ่ งทูตไปบอก ต้องอาบัติทุกกฏ
ไปเองหลืบ่ สฺ

ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปแต่ได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุติท่ ีสฺงฆ์สะ
แดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุนนชาบข่ ั้ าวว่า
ิ ่ สฺ
“เขฺาส้างกุตท ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮ
ั้
อบ” ภิกษุนนเพิ ฺ ตไปบอกว่า “ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริ
งไปเองหลืส่ งทู
ํ ่ งทูตไปบอก ต้องอาบัติทุกกฏ
เวณโดยฮอบ” ถ้าท่านบํ่ไปเองหลืบ่ สฺ

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปและได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุติท่ ีสฺงฆ์สะ
แดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุนนชาบข่ ั้ าวว่า
ิ ่ สฺ
“เขฺาส้างกุตท ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ”
ั้
ภิกษุนนเพิ ฺ ตไปบอกว่า “ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตราย” ถ้าท่านบํ่ไป
งไปเองหลืส่ งทู
ํ ่ งทูตไปบอก ต้องอาบัติทุกกฏ
เองหลืบ่ สฺ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 368 / 368 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปและได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตทิ ่ ีสฺงฆ์สะ
แดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบภิกษุนนชาบข่ ั้ าวว่า
ิ ่ สฺ
“เขฺาส้างกุตท ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮ
อบ” ภิกษุนนเพิั้ งไปเองหลืส่ งทู
ฺ ตไปบอกว่า “ต้องมีบํริเวณโดยฮอบ”ถ้าท่านบํ่ไป
ํ ่ งทูตไปบอก ต้องอาบัติทุกกฏ
เองหลืบ่ สฺ

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปและได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตทิ ่ ีสฺงฆ์สะ
แดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

สั่งได้ขนาด เขฺาส้างเกีนขนาด

[๓๕๙] ภิกษุส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุติให้เฮฺา” แล้วหลีกไปและได้ส่ งว่
ั า “กุตน ั ้ องได้ขนาด
ิ นต้
ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตใิ ห้เกีนขนาด
เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุนนชาบข่
ั้ าวว่า “เขฺาส้างกุตใ
ิ ห้
เฮฺาเกีนขนาด เปันพื้นที่มีอัน ตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ” ภิกษุนนเพิ
ั้ งไป
ฺ ตไปบอกว่า “ต้องได้ขนาด ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณ
เองหลืส่ งทู
โดยฮอบ” ฯลฯ “ต้องได้ขนาดและต้องเปันพื้นที่บํ่มีอัน ตราย” ฯลฯ “ต้องได้ขนาดและ
ต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ฯลฯ “ต้องได้ขนาด” ถ้าท่านบํ่ไปเอง หลืบ่ ํสฺ่งทูตไปบอก ต้อง
อาบัติทุกกฏ

สั่งได้ขนาด เขฺาส้างได้ขนาด

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป และได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ องได้ขนาด ต้อง
ิ นต้
เปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุติให้ได้ขนาด เปัน
พื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุนนชาบข่
ั้ าวว่า “เขฺาส้างกุติให้เฮฺาได้
ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ” ภิกษุนนเพิ
ั้ งไปเองหลืส่ งทู
ฺ ต

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 369 / 369

ไปบอกว่า “ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ฯลฯ “ต้องเปันพื้นที่


บํ่มีอันตราย” ฯลฯ “ต้องเปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ” ฯลฯ บํ่ต้องอาบัติ

สั่งส้างกุติ สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ได้ขนาด เขฺาบํ่ส้างตามสั่ง

[๓๖๐] ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปและได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ สฺงฆ์ต้องสะ
ิ น
แดงพื้นที่ให้ ต้องได้ขนาด ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับ
ิ ่ สฺ
คําสั่งส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้ เกีนขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริ
ี งฆ์บ่ ได้
เวณโดยฮอบ ภิกษุนนชาบข่ ั้ ิ ่ สฺ
าวว่า “เขฺาส้างกุตท ํ สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เกีนขนาด
ี งฆ์บ่ ได้
เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ” ท่านเพิงไปเองหลืส่ งทู
ฺ ตไปบอกว่า
“สฺงฆ์ต้องสะแดงพื้นที่ให้ ต้องได้ขนาด ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตราย และต้องมีบํริเวณ
โดยฮอบ” ฯลฯ “สฺงฆ์ต้องสะแดงพื้นที่ให้ ต้องได้ขนาดและต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตราย”
ฯลฯ “สฺงฆ์ต้องสะแดงพื้นที่ให้ ต้องได้ขนาดและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ฯลฯ “สฺงฆ์
ต้องสะแดงพื้นที่ให้และต้องได้ขนาด” ถ้าท่านบํ่ไปเองหลืบ่ สฺ
ํ ่ งทูตไปบอก ต้องอาบัติ
ทุกกฏ

สั่งส้างกุติ สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ได้ขนาด เขฺาส้างตามสั่ง

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป และได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องได้ขนาด ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้าง
ิ ่ สฺ
กุตท ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้ได้ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ั้
ภิกษุนนชาบข่ ิ ่ ีสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้เฮฺาได้ขนาดเปันพื้นที่มีอันตราย
าวว่า “เขฺาส้างกุตท
เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ” ท่านเพิงไปเองหลืส่ งทู
ฺ ตไปบอกว่า “ต้องเปันพื้นที่บํ่มี
อันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ฯลฯ “ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตราย” ฯลฯ “ต้องเปัน
พื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ” ฯลฯ บํ่ต้องอาบัติ

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่ได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุติท่ ีสฺงฆ์บ่ ได้

สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 370 / 370 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ทุกกฏ ๓ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้อง


อาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุ
ผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี
อันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ

ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปแต่ได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตทิ ่ ีสฺงฆ์สะ
แดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติ
ทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้อง
อาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้อง
อาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

ส้างผิดคําสั่ง ส้างเกีนขนาด

ภิกษุส่ งว่
ั า “จฺ่งส้างกฎีให้เฮฺา” แล้วหลีกไปแต่ได้ส่ งว่
ั า “กุตน ั ้ องได้ขนาดต้องเปัน
ิ นต้
พื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตใ ิ ห้เกีนขนาด เปันพื้นที่มี
อันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ๓ ตฺว ฯลฯ เปัน
พื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว
ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ

ส้างผิดคําสั่ง ส้างได้ขนาด

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปและได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ องได้ขนาด ต้องเปัน
ิ นต้
พื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตใิ ห้ได้ขนาด เปันพื้นที่มี
อันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปัน
พื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 371 / 371

บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทก


ุ กฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่
มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างเกีนขนาด
ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์บ่ ได้

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปและได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ต้องได้ขนาด ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุ
ติท่ สฺ ํ สะแดงพื้นที่ให้เกีนขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮ
ี งฆ์บ่ ได้
อบ ภิกษุผู้ส้าง ต้องอาบัติทุกกฏ ๔ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณ
โดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ๓ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํ
ริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ๓ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตรายเปันพื้นที่
มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างได้ขนาด

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไปและได้ส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ั า “กุตน ั ้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่
ิ นสฺ
ให้ต้องได้ขนาด ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้างกุ
ติท่ สฺ
ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้ได้ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ุ กฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮ
ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทก
อบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮ
อบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอัน ตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮ
อบ บํ่ต้องอาบัติ

ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างค้าง
สฺงฆ์บ่ ได้

[๓๖๑] ภิกษุส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุตใ ิ ่ สฺ
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท ี งฆ์บ่ ได้
ํ สะแดง
พื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเขฺาส้างค้างไว้ ภิกษุนน ั้
กับมา เพิงให้กุตน ั้
ิ นแก่ ภิกษุอ่ น ื างใหม่ ถ้าบํ่ให้แก่ภิกษุอ่ นหลื
ื หลืฮ้ส้ ื ํ ้ส้างใหม่
บ่ ฮื
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว กับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 372 / 372 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุส่ งว่ ิ ่ สฺ
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ํ สะแดงพื้นที่
ี งฆ์บ่ ได้
ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเขฺาส้างค้างไว้ภิกษุนนกั ั ้ บมา
เพิงให้กุตน ั้
ิ นแก่ ภิกษุอ่ นหลื
ื ื างใหม่ ถ้าบํ่ให้แก่ภิกษุอ่ น
ฮ้ส้ ํ ้ส้างใหม่ ต้องอาบัติ
ื หลืบ่ ฮื
ทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตรายเปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ฯลฯ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิ เสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริ
เวณโดยฮอบ ฯลฯ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างค้าง
สฺงฆ์บ่ ได้

ภิกษุส่ งว่ ิ ่ สฺ
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้
เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเขฺาส้างค้างไว้ ภิกษุนนกัั ้ บมา เพิง
ให้กุตน ั้
ิ นแก่ ภิกษุอ่ นหลื
ื ื างใหม่ ถ้าบํ่ให้ภิกษุอ่ นหลื
ฮ้ส้ ื บ่ ํฮื้ส้างใหม่ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒
ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปัน
พื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี
อันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

ส้างเกีนขนาด ส้างค้าง

[๓๖๒] ภิกษุส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างกุติให้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตใ
ิ ห้เกีนขนาด
เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเขฺาส้างค้างไว้ภิกษุนนกั
ั ้ บมา เพิง
ให้กุตน ั้
ิ นแก่ ภิกษุอ่ นหลื
ื ื างใหม่ ถ้าบํ่ให้ภิกษุอ่ นหลื
ฮ้ส้ ื บ่ ํฮื้ส้างใหม่ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒
ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ
ต้องอาบัติทุกกฎกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณ
โดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่
มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว กับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่
บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ส้างได้ขนาด ส้างค้าง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 373 / 373

ภิกษุส่ งว่ ิ ห้ได้ขนาด เปันพื้นที่มี


ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตใ
ั า “จฺ่งส้างกุตใ
อันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเขฺาส้างค้างไว้ ภิกษุนนกั ั ้ บมาเพิงให้กุตน ั้
ิ น
แก่ภิกษุอ่ นหลื
ื ื างใหม่ ถ้าบํ่ให้ภิกษุอ่ นหลื
ฮ้ส้ ื ํ ้ส้างใหม่ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
บ่ ฮื
เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี
อันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย
เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างเกีนขนาด ส้างค้าง


สฺงฆ์บ่ ได้

ภิกษุส่ งว่ ิ ่ สฺ
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ํ สะแดงพื้นที่
ี งฆ์บ่ ได้
ให้ เกีนขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเขฺาค้างไว้ ภิกษุ
้ บมา เพิงให้กุตน
นันกั ั้
ิ นแก่ ภิกษุอ่ นหลื
ื ื างใหม่ ถ้าบํ่ให้ภิกษุอ่ นหลื
ฮ้ส้ ื ํ ้ส้างใหม่ ต้อง
บ่ ฮื
อาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํ
ริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ตฺวกับอาบัติ สังฆาทิเสส ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี
อันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้อง
อาบัติทุกกฏ ๑ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่
มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตฺว

สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างได้ขนาด ส้างค้าง

ภิกษุส่ งว่ ิ ่ สฺ
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้
ได้ขนาด เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเขฺาส้างค้างไว้ ภิกษุนน ั้
กับมา เพิงให้กุตน ั้
ิ นแก่ ภิกษุอ่ นหลื
ื ื างใหม่ ถ้าบํ่ให้ภิกษุอ่ นหลื
ฮ้ส้ ื ํ ้ส้างใหม่ ต้อง
บ่ ฮื
อาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติ
ทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ

ภิกษุส่ งว่ ิ ่ สฺ
ิ ห้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างกุตท
ั า “จฺ่งส้างกุตใ ี งฆ์สะแดงพื้นที่ให้
ได้ขนาด เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 374 / 374 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ส้างค้าง ส้างตํ่

[๓๖๓] กุตต ิ ฺนส้างค้างไว้ ภิกษุส้างตํ่จนสําเรัจด้วยตฺนเอง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


กุติตฺนส้างค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อ่ นส้
ื างตํ่จฺนสําเรัจ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
กุติผู้อ่ นส้
ื างค้างไว้ ภิกษุส้างตํ่จฺนสําเรัจด้วยตฺนเอง ต้องอาบัติสง ั ฆาทิเสส
กุติผู้อ่ นส้
ื างค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อ่ นส้
ื างตํ่จฺนสําเรัจ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๓๖๔] ๑. ภิกษุส้างเงื้อมผามีปะตู
ฺ แต่งถํา้
๒. ภิกษุตบ
๓. ภิกษุส้างกุตห ิ ย้า
๔. ภิกษุส้างกุตเิ พื่อภิกษุอ่ น

๕. ภิกษุส้างอาคารนอกจากนัน ้ ่ พักของตฺน
้ ยฺกเวันอาคารที
๖. ภิกษุวิกฺลจิต
ฺ้ นญัต
๗. ภิกษุตนบั

กุฏิการสิกขาบฺทที ๖ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๗. วิหารการสิกขาบฺท นิทานวัตถุ


๗. วิหารการสิกขาบฺท
ว่าด้วยการส้างวิหาร
เรื้องพระฉันนะ

[๓๖๕] สมัยนัน ้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั


้ บญู่ ณะ โฆสิตาราม เขตกุงโกสัมพี คัง้
้ เสดถีผู้อุปฏ
นัน ั ฐากท่านพระฉันนะ บอกท่านพระฉันนะว่า “ท่านผู้จะเรีน ท่านโปดกวด
เบิ่งสถานที่ส้างวิหาร ข้าพะเจฺาจั
้ กให้ส้างวิหารถวาย” ตํ่มา ท่านพระฉันนะให้แผ้วถาง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 375 / 375

สถานที่ส้างวิหาร ใช้คฺนตัดตฺนไม้
้ ฺ้ ่ งที่ชาวบ้านชาวนิคฺม ชาวเมือง ชาวชฺ
รุกขเจดีย์ตนนึ
นบฺท ชาวแว่นแคว้นเคฺารฺพบูชา พวกชาว
บ้านจึ่งตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดพระสมณะเชื้อสายศากยบุตรจึ่งใช้คฺนตัดตฺน

ไม้รุกขเจดีย์ท่ ชาวบ้
ี าน ชาวนิคฺม ชาวเมือง ชาวชฺนบฺท ชาวแว่นแคว้นเคฺารฺพบูชาละ
พระสมณะเชื้อสายศากยบุตร บ฽ดบ฽นตฺนไม้ ้ ช่ งมี
ึ อินทรีย์ด฽ว” ภิกษุทังหลายได้ยิน
ชาวบ้านตําหนิ ปะนาม โพนทะ นา บันดาภิกษุผู้มักน้อย ฯลฯ พากันตําหนิ ปะนาม
โพนทะนาว่า “จั่งใด ท่านพระฉันนะจึ่งใช้คฺนตัดตฺนไม้
้ รุกขเจดีย์ท่ ชาวบ้
ี าน ฯลฯ ชาว
แว่นแคว้นเคฺารฺพบูชาละ” คันภิกษุเหลฺ่านันตํ
้ าหนิท่านพระฉันนะโดยปะการต่างๆ แล้ว
จึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มภิกษุสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถาม

ท่านพระฉันนะว่า “ฉันนะ ชาบว่า ท่านใช้คฺนตัดตฺนไม้ รุกขเจดีย์ท่ ีชาวบ้าน ชาวนิคฺม
ชาวเมือง ชาวชฺนบฺท ชาวแว่นแคว้นเคฺารฺพบูชาแม่นแท้บํ” ท่านพระฉันนะทูลฮับว่า
้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษจั่งใดท่านจึ่ง
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
“แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้

ใช้คฺนตัดตฺนไม้รุกขเจดีย์ท่ ชาวบ้
ี าน ชาวนิคฺม ชาวเมือง ชาวชฺนบฺท ชาวแว่นแคว้น
เคฺารฺพบูชาละ โมฆบุรษ ้
ุ เพาะพวกชาวบ้านมีความสําคันว่า ‘ตฺนไม้ มีชีวะ’ โมฆบุรุษ การ
กะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุ

ทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดง ดั่งนี้

พระบันญัต

[๓๖๖] กํ ภิกษุจะส้างวิหารใหย่ ที่มีเจฺาของส้


้ างถวาย ส้างเปันของส่วนตฺว ต้องพา
ภิกษุทังหลายไปสะแดงพื้นที่ให้ ภิกษุเหลฺ่านันเพิ
้ งสะแดงพื้นที่ให้เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย
เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าภิกษุให้ส้างวิหารใหย่เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่
มีบํริเวณโดยฮอบ หลืบ่ พาภิ
ํ กษุทังหลายไปสะแดงพื้นที่ให้ เปันสังฆาทิเสส

เรื้องพระฉันนะ จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 376 / 376 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สิกขาบฺทวิภังค์

[๓๖๗] วิหารที่ชื่ว่า ใหย่ ได้แก่ วิหารมีเจฺาของส้


้ างถวาย
่ ่ งโบกเคื
ชื่ว่า วิหาร ได้แก่ ที่ญูช ึ อบพายในหลืพายนอกหลืโบกเคือบทังพายในพาย
นอก
คําว่า ส้าง คื ส้างเองหลืใช้คฺนอื่นส้าง
คําว่า ที่มีเจฺาของส้
้ างถวาย คื ที่มียิงหลืชาย ครืหัสถ์หลืบัพชิต เปันเจฺาของส้
้ างถวาย
คําว่า ส้างเปันของส่วนตฺว คื เพื่อปโยดตฺน
คําว่า ต้องพาภิกษุทังหลายไปสะแดงพื้นที่ให้ อธิบายว่า ภิกษุผจ ้ เพิง
ู้ ะส้างวิหารนัน
ให้แผ้วถางพื้นที่ส้างวิหารแล้วเขฺาไปหาสฺ
้ งฆ์ หฺ่มผ้าบ่฽งบ่า ขาบตีนภิกษุผู้แก่พันษากว่า
นั่งคุเขฺ่าปะนฺมมื ก่าว ญ่างนี้ว่า “ท่านผู้จะเรีน ผู้ข้าต้องการจะส้างวิหารใหย่ มีเจฺา้
ของส้างถวาย ส้างเปันของส่วนตฺว ผู้ข้าขํให้สฺงฆ์กวดเบิ่งพื้นที่ส้างวิหาร ขน้อย”
เพิงก่าวขํภิกษุทังหลายดั่งนี้เปันคังที
้ ๒ เพิงก่าวขํภิกษุทังหลายดั่งนี้เปันที ๓ ถ้าสฺงฆ์
ทังปวงสามาดไปกวดเบิ่งพื้นที่ส้างวิหารได้ กํต้องไปกวดเบิ่งด้วยกันทุกฮูบ ถ้าสฺงฆ์
ทังปวงบํ่สามาดจะไปกวดเบิ่งพื้นที่ส้างวิหารได้หมฺดทุกฮูบ กํต้องขํพวกภิกษุท่ ีสลาดสา
้ ักพื้นที่ ว่าเปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ
มาดฮูจ
เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ แล้วแต่งตัง้

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๗. วิหารการสิกขาบฺท สิกขาบฺทวิ


ภังค์
วิทีแต่งตัง้ และกัมวาจาแต่งตัง้

้ างนี้ คื ภิกษุผู้สลาดสามาดเพิงปะกาดให้สฺงฆ์ชาบว่า
ภิกษุทังหลาย สฺงฆ์เพิงแต่งตังญ่

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
[๓๖๘] ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ต้องการจะส้างวิหารใหย่ท่ มี
ี เจฺา้
ของส้างถวาย ส้างเปันของส่วนตฺว ภิกษุนันขํ ้ ให้สฺงฆ์กวดเบิ่งพื้นที่ส้างวิหาร ถ้าสฺงฆ์

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 377 / 377

พ้อมกันแล้ว เพิงแต่งตังภิ ื ้และชื่นี้ ให้กวดเบิ่งที่ส้างวิหารให้แก่ภิกษุช่ นี


้ กษุช่ นี ื ้ นี้เปัน
ญัตติ

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ต้องการจะส้างวิหารใหย่ ที่มีเจฺาของส้
้ าง
ถวาย ส้างเปันของส่วนตฺว ภิกษุนนขํ ั ้ ให้สฺงฆ์กวดเบิ่งพื้นที่ส้างวิหารสฺงฆ์แต่งตังภิ
้ กษุช่ ื
นี้และชื่นี้ ให้กวดเบิ่งพื้นที่ส้างวิหารให้แก่ภิกษุช่ นี
ื ้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการแต่งตัง้
ื ้และชื่นี้ ให้กวดเบิ่งพื้นที่ส้างวิหารให้แก่ภิกษุช่ นี
ภิกษุช่ นี ื ้ ท่านฮูบนันเพิ
้ งนิ่ง ท่านฮูบ

ใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ งทักท้วง ภิกษุช่ นี
ื ้และชื่นี้สฺงฆ์แต่งตังให้
้ เปันผู้กวดเบิ่ง
พื้นที่ส้างวิหารให้แก่ภิกษุช่ นี
ื ้ สฺงฆ์เหันด้วย เพาะสะนันจึ ้ ่ งนิ่ง ข้าพะเจฺาขํ
้ ถคื วามนิ่งนัน

เปันมติญ่างนี้

วิทีขํสฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างวิหาร

[๓๖๙] ภิกษุทังหลายที่ได้ฮับแต่งตังเหลฺ
้ ้ ต้องไปที่นันแล้
่ านัน ้ วเพิงกวดเบิ่งพื้นที่ส้าง
ู้ ่า เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ
วิหาร ให้ฮว
เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเปันพื้นที่มีอันตรายทังบํ่มีบํริเวณโดยฮอบ เพิงบอก
้ า “ญ่าส้างในที่นี้” ถ้าเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายทังมีบํริเวณโดยฮอบ เพิง
ภิกษุฮูบนันว่
บอกสฺงฆ์ว่า “เปันพื้นที่บํ่มีอันตรายทังมีบํริเวณโดยฮอบ” ภิกษุผจ ้ งเขฺา้
ู้ ะส้างวิหารนันเพิ
ไปหาสฺงฆ์ หฺ่มผ้าบ่฽งบ่า ขาบตีนภิกษุผู้แก่พันษากว่า นั่งคุเขฺ่าปะนฺมมื ก่าวญ่างนี้ว่า “ท่าน
ผู้จะเรีน ผู้ข้าต้องการส้างวิหารใหย่ ที่มีเจฺาของส้
้ างถวาย ส้างเปันของส่วนตฺว ผู้ข้าขํ
ให้สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างวิหาร” เพิงก่าวขํภก
ิ ษุทังหลายดั่งนี้เปันคังที
้ ๒ เพิงก่าวขํภิกษุ
ทังหลายดั่งนี้เปันคังที
้ ๓

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๗. วิหารการสิกขาบฺท สิกขาบฺทวิ


ภังค์
กัมวาจาขํให้สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างวิหาร

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 378 / 378 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุผู้สลาดสามาดเพิงปะกาดให้สฺงฆ์ชาบ ดั่งนี้

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
[๓๗๐] ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ต้องการจะส้างวิหารใหย่ท่ มี
ี เจฺา้
ของส้างถวาย ส้างเปันของส่วนตฺว ภิกษุนันขํ ้ ให้สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างวิหาร ถ้าสฺงฆ์
พ้อมกันแล้ว เพิงไปสะแดงพื้นที่ส้างวิหารให้แก่ภิกษุช่ นี ื ้ นี้เปันญัตติท่านผู้จะเรีน
ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ต้องการจะ ส้างวิหารใหย่ท่ มี ้
ี เจฺาของส้ างถวาย ส้างเปัน
ของส่วนตฺว ภิกษุนนขํ ั ้ ให้สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างวิหาร
สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างวิหารให้แก่ภิกษุช่ นี
ื ้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการสะแดงพื้นที่ส้าง
วิหารให้แก่ภิกษุช่ นี
ื ้ ท่านฮูบนันเพิ
้ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ
้ งทักท้วง
พื้นที่ส้างวิหารสฺงฆ์สะแดงให้แก่ภิกษุช่ นี ้ ่ งนิ่ง ข้า
ื ้แล้ว สฺงฆ์เหันด้วย เพาะสะนันจึ
้ ถเื อฺาความนิ่งนันเปั
พะเจฺาขํ ้ นมติญ่างนี้

[๓๗๑] ที่ชื่ว่า เปันพื้นที่มีอันตราย คื เปันที่ญูข


่ องมฺด เปันที่ญูข
่ องปวก เปันที่ญูข ่ อง
หนู เปันที่ญูข
่ องงู เปันที่ญูข่ องแมงป่ อง เปันที่ญูข
่ องขี้เขับ เปันที่ญูข
่ องช้าง เปันที่ญู่
ของม้า เปันที่ญูข
่ องราชสีห์ เปันที่ญูข ่ องเสือโค่ง เปันที่ญูข
่ องเสือเหลือง เปันที่ญูข
่ อง
หมี เปันที่ญูข
่ องสุนักป่ า หลืเปันที่ญูข
่ องสัตว์เดั฽ระสานบางเหลฺ่า ญูใ ่ ก้นา ญูใ
่ ก้สวน ญู่
ใก้ทางสี่แยก(บ่อนปะหานนักโทด) ญูใ ่ ก้ท่ ทํ
ี รมานนักโทษ ญูใ ่ ก้สุสาน ญูใ
่ ก้อุทยาน ญู่
ใก้ท่ หลวง
ี ญูใ
่ ก้โฮงช้าง ญู่ใก้โฮงม้า ญูใ
่ ก้เฮือนจํา ญูใ
่ ก้โฮงสุรา ญูใ่ ก้ฮ้านขายชี้น ญู่
ใก้ถนฺน ญูใ ่ ก้ทางสี่แยก(บ่อนปะหานนักโทด) ญูใ
่ ก้ท่ ีปะชุ ม หลืญใ
ู่ ก้ทางเดีน นี้ชื่ว่า
พื้นที่มีอันตราย

ที่ชื่ว่า เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ คื กว฽นที่เขฺาทຽมงฺวตามปฺกติบ่ ํสามาด่วนไปได้



ขันไดบํ ่ สามาดจะทอดวຽนไปได้โดยฮอบ นี้ชื่ว่า พื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ที่ชื่ว่า เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย คื บํ่แม่นที่ญูข
่ องมฺด ฯลฯ บํ่ใก้ทางเดีน นี้ชื่ว่า พื้นที่บํ่มี
อันตราย

ที่ชื่ว่า เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ คื กว฽นที่เขฺาทຽมงฺวตามปฺกติสามาดวนไปได้ ขัน



ไดสามาดทอดวຽนไปได้โดยฮอบ นี้ชื่ว่า พื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ
วิหารที่ชื่ว่า ใหย่ คื วิหารที่มีเจฺาของ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 379 / 379

ที่ชื่ว่า วิหาร ได้แก่ ที่ญู่ช่ งโบกเคื


ึ อบสะเพาะพายในหลืพายนอก หลืโบกเคือบทังพาย
ในพายนอก
คําว่า ส้าง คื ส้างเองหลืใช้คฺนอื่นส้าง
คําว่า บํ่พาภิกษุทังหลายไปสะแดงพื้นที่ให้ คื บํ่ขํให้สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ส้างวิหารด้วย
ญัตติทุติยกัมวาจาก่อน ส้างเองหลืใช้คฺนอื่นส้าง ต้องอาบัติทุกกฏ เพาะความพยายาม
แต่ละคัง้ ยังเหลืออิดอีกก้อนนึ่งจึ่งจะแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย อิดก้อนสุดท้ายเสัด
แล้ว ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ้ ปริวาส ฯลฯ เพาะเหตุ
้ จึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”
นัน

บฺทภาชนีย์
ํ สะแดงพื้นที่ให้
สฺงฆ์บ่ ได้

[๓๗๒] ภิกษุส้างวิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้


ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริ
เวณโดย ฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว

ภิกษุส้างวิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้
ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮ
อบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุส้างวิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้
ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณ
โดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุส้างวิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้
ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณ
โดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้

ภิกษุส้างวิหารที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ


ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 380 / 380 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุส้างวิหารที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ


ต้องอาบัติทุกกฏ

ภิกษุส้างวิหารที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮ


อบ ต้องอาบัติทุกกฏ

ภิกษุส้างวิหารที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ


บํ่ต้องอาบัติ

ํ สะแดงพื้นที่ให้
สั่งส้างวิหาร สฺงฆ์บ่ ได้

[๓๗๓] ภิกษุส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” ผูฮ ้ ับคําสั่งส้างวิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้
ํ สะแดงพื้นที่
ให้ เปันพื้น ที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับ
อาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้อง
อาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮ
อบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริ
เวณโดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

สั่งส้างวิหาร สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้

ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” ผู้ฮับคําสั่งส้างวิหารที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้
ภิกษุส่ งว่
เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ
เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่
มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย
เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

หลีกไป บํ่ได้ส่ ง ํ สะแดงพื้นที่ให้


ั สฺงฆ์บ่ ได้

[๓๗๔] ภิกษุส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่บ่ ได้ํ ส่ งว่ ้ สฺงฆ์
ั า “วิหารนัน
ต้องสะแดงพื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่ง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 381 / 381

ส้างวิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้
ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺวกับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่
มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย
เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับ อาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี
อันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ั สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้
หลีกไป บํ่ได้ส่ ง

ภิกษุส่ งว่ ํ ส่ งไว้


ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” แล้วหลีกไปแต่บ่ ได้ ั ้ งฆ์ต้องสะ
ว่า “วิหารนันสฺ
แดงพื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้าง
วิหารที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบต้อง
อาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติ
ทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ
เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

ํ สะแดงพื้นที่ให้
ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์บ่ ได้

[๓๗๕] ภิกษุส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่ได้ส่ งว่ ้ งฆ์ต้อง
ั า “วิหารนันสฺ
สะแดงพื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้าง
วิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้
ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ั้
ภิกษุนนชาบข่ าวว่า “เขฺาส้างวิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้
ํ สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เปันพื้นที่มีอันตราย
เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ” ภิกษุนนเพิ
ั้ งไปเองหลืส่ งทู ้ งฆ์
ฺ ตไปบอกว่า “วิหารนันสฺ
ต้องสะแดงพื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ถ้าบํ่ไป
้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่ให้และ
ํ ่ งทูตไปบอก ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ วิหารนันสฺ
เองหลืบ่ สฺ
ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตราย ฯลฯ วิหารนันสฺ
้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่ให้และต้องมีบํริเวณ
้ งฆ์ต้องสะแดงพื้นที่ให้ หากบํ่ไปเองหลืบ่ สฺ
โดยฮอบ ฯลฯ วิหารนันสฺ ํ ่ งทูตไปบอก
ต้องอาบัติทุกกฏ

ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 382 / 382 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุส่ งว่
ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” แล้วหลีกไป และได้ส่ งว่ ้ งฆ์ต้องสะแดง
ั า “วิหารนันสฺ
พื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบด้วย ผู้ฮับคําสั่งส้างวิหาร
ที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุนนชาบั้
ข่าวว่า “เขฺาส้างวิหารที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้เฮฺา เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริ
ั้
เวณโดยฮอบ” ภิกษุนนเพิ ้ องเปันพื้นที่บํ่มี
งไปเองหลืเพิงสฺ่งทูตไปบอกว่า “วิหารนันต้
อันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ฯลฯ “ต้องเปันที่บํ่มีอันตราย” ฯลฯ “ต้องมีบํริเวณ
โดยฮอบ” ฯลฯ บํ่ต้องอาบัติ

ํ สะแดงพื้นที่ให้
ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์บ่ ได้

[๓๗๖] ภิกษุส่ งว่


ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่ได้ส่ งว่ ้ งฆ์ต้อง
ั า “วิหารนันสฺ
สะแดงพื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผู้ฮับคําสั่งส้าง
วิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้
ํ สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ
ุ กฏ ๓ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตรายเปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ
ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทก
ุ กฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณ
ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทก
โดยฮอบ ภิกษุผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริ
เวณโดยฮอบ ภิกษุผส
ู้ ้างต้องอาบัติทุกกฏ

ส้างผิดคําสั่ง สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้

ภิกษุส่ งว่
ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” แล้วหลีกไป แต่ได้ส่ งว่ ้ งฆ์ต้องสะแดง
ั า “วิหารนันสฺ
พื้นที่ให้ ต้องเปันพื้นที่บํ่มีอันตรายและต้องมีบํริเวณโดยฮอบ” ผูฮ
้ ับคําสั่งส้างวิหาร
ที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุผู้ส้าง
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุ
ผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ภิกษุ
ผู้ส้างต้องอาบัติทุกกฏ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

ํ สะแดงพื้นที่ให้ ส้างค้าง
สฺงฆ์บ่ ได้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 383 / 383

ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างวิหารที่สฺงฆ์บ่ ได้


[๓๗๗] ภิกษุส่ งว่ ํ
สะแดงพื้นที่ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเขฺาส้างค้างไว้
ั ้ บมา เพิงให้วิหารนันแก่
ภิกษุนนกั ้ ภิกษุอ่ นหลื
ื ื างใหม่ ถ้าบํ่ให้ภิกษุอ่ นหลื
ฮ้ส้ ื ํ ้ส้าง
บ่ ฮื
ใหม่ ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตฺว กับอาบัติสังฆาทิเสส ๑ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย
เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มี
อันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ เปัน
พื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

สฺงฆ์สะแดงพื้นที่ให้ ส้างค้าง

ั า “จฺ่งส้างวิหารให้เฮฺา” แล้วหลีกไป ผู้ฮับคําสั่งส้างวิหารที่สฺงฆ์สะแดงพื้นที่


ภิกษุส่ งว่
ให้ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ถ้าเขฺาส้างค้างไว้ภิกษุนนกั
ั ้ บมา

เพิงให้วิหารนันแก่ ภิกษุอ่ นหลื
ื ื างใหม่ ถ้าบํ่ให้ภิกษุอ่ นหลื
ฮ้ส้ ื ํ ้ส้างใหม่ ต้องอาบัติ
บ่ ฮื
ทุกกฏ ๒ ตฺว ฯลฯ เปันพื้นที่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ
ฯลฯ เปันพื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่บํ่มีบํริเวณโดยฮอบ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ เปัน
พื้นที่บํ่มีอันตราย เปันพื้นที่มีบํริเวณโดยฮอบ บํ่ต้องอาบัติ

ส้างค้าง ส้างตํ่

[๓๗๘] วิหารตฺนส้างค้างไว้ ภิกษุส้างตํ่จฺนสําเรัจด้วยตฺนเอง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


วิหารตฺนส้างค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อ่ นส้
ื างตํ่จฺนสําเรัจ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
วิหารผู้อ่ นส้
ื างค้างไว้ ภิกษุส้างตํ่จฺนสําเรัจด้วยตฺนเอง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
วิหารผู้อ่ นส้
ื างค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อ่ นส้
ื างตํ่จฺนสําเรัจ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๓๗๙] ๑. ภิกษุส้างเงื้อมผามีปะตู
๒. ภิกษุตฺบแต่งถํา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 384 / 384 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

๓. ภิกษุส้างกุตห
ิ ย้า
๔. ภิกษุส้างวิหารเพื่อภิกษุอ่ น

๕. ภิกษุส้างอาคารนอกจากนัน ้ ่ พักของตฺน
้ ยฺกเวันอาคารที
๖. ภิกษุวิกฺลจิต
ฺ้ นญัต
๗. ภิกษุตนบั

วิหารการสิกขาบฺทที ๗ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๘. ปฐมทุฎฐโทสสิกขาบฺท นิทาน


วัตถุ
๘. ปฐมทุฏฐโทสสิกขาบฺท
ว่าด้วยภิกษุขัดเคืองมีโทสะ สิกขาบฺทที ๑
เรื้องพระทัพพมัลลบุตร

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๓๘๐] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อ
้ น
กะแต เขตกุงราชคึห์ คังนั ้ ท่านพระทัพพมัลลบุตร บันลุอรหัตตผฺลเมื่ออายุ ๗ ขวบ
คุณวิเศษญ่างใดญ่างนึ่งที่พระสาวฺกเพิงบันลุ ท่านกํได้บันลุแล้วทังหมฺด บํ่มีกิจอื่นใด ที่
จะเพิงกะทํายิ่งกว่านี้ หลืกิจที่เฮัดเสัดแล้วที่จะกะทําเพิ่มเติมอีกกํบ่ มี
ํ ตํ่มา ท่านพระทัพ
่ นที่สงัด เกีดความคิดคํานึงญ่างนี้ว่า เฮฺาได้บันลุอรหัตผลเมื่อ
พมัลลบุตรหลีกหลฺบญูใ
อายุ ๗ ขวบ คุณวิเศษญ่างใดญ่างนึ่งที่พระ
สาวฺกเพิงบันลุ เฮฺากํได้บันลุแล้วทังหมฺด บํ่มีกิจกัมอื่นใด ที่จะเพิงกะทํายิ่งไปกว่านี้
หลืกิจ
ที่กะทําเสัดแล้วชึ่งจะกะทําเพิ่มเติมอีกกํบ่ มี
ํ เฮฺาควรช่วยหยังสฺงฆ์ได้แด่
้ ท่านตฺกลฺงใจว่า “ถ้าญ่างนัน
ลําดับนัน ้ เฮฺาควรจัดแจงเสนาสนะและแจกภัตตาหาร
แก่สฺงฆ์” คันออกจากที่หลีกหลฺบในเวลาแลงแล้ว ได้เขฺาไปเฝฺ
้ ้
าพระผู ้มีพระภาคเถิงที่
ปะทับ คันเถิงแล้วได้ถวายบังคฺมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควรแล้วได้ขาบ
ทูลพระผู้มีพระภาคดั่งนี้ว่า “พระพุทธเจฺาข้
้ า ข้าพระพุทธเจฺาหลี
้ ่ นที่สงัด มี
กหลฺบญูใ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 385 / 385

ความคิดญ่างนี้ว่า ‘เฮฺาได้บันลุอรหัตตผฺลเมื่ออายุ ๗ ขวบ ฯลฯ หลืกิจที่กะทําเสัด


แล้วชึ่งจะกะทําเพิ่มเติมอีกกํบ่ มี ้ า ถ้าญ่าง
ํ เฮฺาควรช่วยหยังสฺงฆ์ได้แด่’ พระพุทธเจฺาข้
ใด ข้าพระพุทธเจฺา้ เพิงจัดแจงเสนาสนะและแจกภัตตาหารแก่สฺงฆ์ ข้าพระพุทธเจฺา้
ปราถนาจะจัดแจงเสนาสนะและแจกภัตตาหารแก่สฺงฆ์” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดีแล้ว
้ ท่านจฺ่งจัดแจงเสนาสนะและแจกภัตตาหารแก่สฺงฆ์” พระทัพ
ดีแล้ว ทัพพะ ถ้าญ่างนัน
พมัลลบุตรขาบทูลฮับสนองพระพุทธดํารัสแล้ว

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๘. ปฐมทุฎฐโทสสิกขาบฺท นิทาน


วัตถุ

แต่งตังเสนาสนปั
ญญาปกะและภัตตุทเทสกะ๑

้ พระผู้มีพระภาคชฺงสะแดงธัมมีกถาเพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ แล้วฮับสั่งกับภิกษุ
ทังหลายว่า “ภิกษุทังหลาย ถ้าเชั่นนัน
้ สฺงฆ์จงแต่งตังทั
้ พพมัลลบุตรให้เปันเสนาสน
ปัญญาปกะและภัตตุทเทสกะ

วิทีแต่งตัง้ และกัมวาจาแต่งตัง้

้ างนี้ คื เบื้องตฺนเพิ
ภิกษุทังหลาย สฺงฆ์เพิงแต่งตังญ่ ้ งขํให้ทัพพมัลลบุตรฮับ คันแล้ว
ภิกษุผู้สลาดสามาด เพิงปะกาดให้สฺงฆ์ชาบว่า

[๓๘๑] ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ้ านพระทัพ


ฺ งข้าพะเจฺา้ ถ้าสฺงฆ์พ้อมกันแล้ว เพิงแต่งตังท่
พมัลลบุตรให้เปันเสนาสนปัญญาปกะและภัตตุทเทสกะ นี้เปันญัตติ ท่านผู้จะเรีน ขํสง ฺ ฆ์
จฺ่งฟั งข้าพะเจฺา้ สฺงฆ์แต่งตังพระทั
้ พพมัลลบุตรให้เปันเสนาสนปัญญาปกะและภัตตุทเทส
กะ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการแต่งตังพระทั ้ พพมัลลบุตรให้เปันเสนาสนปัญญาปกะและ

ภัตตุทเทสกะ ท่านฮูบนันเพิ งนิ่งญู่ ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ
้ งทักท้วง

พระทัพพมัลลบุตร สฺงฆ์แต่งตังให้้ เปันเสนาสนปัญญาปกะและภัตตุทเทสกะแล้ว สฺงฆ์


้ ่ งนิ่งญู่ ข้าพะเจฺาขํ
เหันด้วย เพาะสะนันจึ ้ ถคื วามนิ่งนันเปั
้ นมติญ่างนี้”

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 386 / 386 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๓๘๒] กํแล ท่านพระทัพพมัลลบุตร ได้ฮับแต่งตังแล้ ้ วย่อมจัดแจงเสนาสนะ สําลับหมู่


ภิกษุผู้มีคุณสฺมบัตสเมีกันฮวมไว้บ่อนด฽วกัน ดั่งนี้ คื จัดแจงเสนาสนะสําลับภิกษุผู้ชฺง
พระสูตรฮวมกันไว้แห่งนึ่ง ด้วยปะสฺงค์ว่า ภิกษุเหลฺ่านันจั
้ กซักซ้อมพระสูตรกัน
จัดแจงเสนาสนะสําลับภิกษุผู้ชฺงพระวินัยฮวมกันไว้แห่งนึ่ง ด้วยปะสฺงค์ว่าภิกษุเหลฺ่านัน

จักวินิจฉัยพระวินัยกัน จัดแจงเสนาสนะสําลับภิกษุผู้ชฺงพระอภิธัมฮวมกันไว้แห่งนึ่ง
ด้วยปะสฺงค์ว่า ภิกษุเหลฺ่านันจั
้ กสฺนทนาพระอภิธัมกัน
จัดแจงเสนาสนะสําลับภิกษุผู้ได้ฌานฮวมกันไว้แห่งนึ่ง ด้วยปะสฺงค์ว่าภิกษุเหลฺ่านัน

จักบํ่รฺบกวนกัน จัดแจงเสนาสนะสําลับภิกษุผู้ชอบก่าวติรัจฉานกถา ผู้มากไปด้วยการ
บํารุงฮ่างกายฮวมกันไว้แห่งนึ่ง ด้วยปะสฺงค์ว่า ภิกษุเหลฺ่านี้จะญูต
่ ามความพํใจ ท่าน

พระทัพพมัลลบุตรนันเขฺ ้
าเตโชกสิ ณะ แล้วจัดแจงเสนาสนะด้วยแสงสว่างนันสํ ้ าลับภิกษุ
ที่มาในเวลาคํ่าคืน ภิกษุทังหลายจฺงใจมาในเวลาคํ่าคืน ด้วยปะสฺงค์ว่า “พวกเฮฺาจะชม

อิทธิปาฏิหาริย์ของท่านพระทัพพมัลลบุตร” กํมี พวกท่านพากันเขฺาไปหาท่ านพระทัพ
พมัลลบุตร ก่าวว่า “ท่านจฺ่งจัดแจงเสนาสนะให้พวกผู้ข้า” ท่านพระทัพพมัลลบุตรก่าว
ว่า “ท่านทังหลายต้องการพักที่ใดละ ข้าพะเจฺาจะจั
้ ดแจงในที่ใด” ภิกษุเหลฺ่านันจฺ
้ งใจ
อ้างที่ไกๆ ว่า “ท่านจฺ่งจัดแจงเสนาสนะให้พวกผู้ข้าที่ภูเขฺาคิชฌกูฏ...ที่เหวสําลับถิม ้
โจร...ที่กาฬสิลาข้างภูเขฺาอิสิคิลิ...ที่ถําสั
้ ตตบรรณคูหาข้างภูเขฺาเวภาระ...ที่เงื้อมเขฺาสัปป
โสณฑิกะใก้สีตวัน...ที่ซอกเขฺาโคตมกะ...ที่ซอกเขฺาตินทุกะ...ที่ซอกเขฺาตโปทกะ...ที่ตโป
ทาราม...ที่ชีวกัมพวัน...ท่านจฺ่งจัดแจงเสนาสนะ ให้พวกผู้ข้าที่มัททกุจฉิมฤคทายวัน”

ท่านพระทัพพมัลลบุตรเขฺาเตโชกสิ ณะ ใช้องคุลีส่องแสงสว่างเดีนนําหน้าภิกษุเหลฺ่านัน

ท่านเหลฺ่านันเดี
้ ้ ท่านได้จัดแจงเสนาสนะ
นตามพระทัพพมัลลบุตรไปด้วยแสงสว่างนัน
้ ชี้แจงว่า “นี้ต฽ง นี้ตั่ง นี้เสื่อ นี้หมอน นี้ที่ถ่ายอุจจาระ นี้ที่ถ่าย
สําลับภิกษุเหลฺ่านัน
ปัสสาวะ นี้นําฉั
้ น นี้นําใช้
้ นี้ไม้ตีน นี้ระบຽบกติกา สฺงฆ์ ควรเขฺาเวลานี้ ้ ควรออกเวลา
นี้” คันจัดแจงเสัดแล้วจึ่งกับมาพระเวฬุวันวิหารตามเดีม

เรื้องพระทัพพมัลลบุตร จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 387 / 387

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๘. ปฐมทุฎฐโทสสิกขาบฺท นิทาน


วัตถุ
เรื้องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ

้ พระเมตติยะและพระภุมมชกะ เปันพระบวชใหม่และมีบุนหน้อย
[๓๘๓] กํสมัยนัน
ั ้ ่ า อาหารกํชนตํ
เสนาสนะของสฺงฆ์ชนตํ ั ้ ่ า ตฺกเถิงท่านทังสอง ชาวกุงราชคึห์ต้องการจะ
้ นแด่ แกงอ่อมแด่ จัดปุง
ถวายบิณฑบาตแก่พระเถระทังหลายกํถวายเนียใสแด่ นํามั
พิเศษ แต่พวกเขฺาถวาย อาหารธัมดาแก่พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ตามแต่จะหาได้
้ กดอง มื้นึ่ง ท่านทังสองกับจากบิณฑบาตหลังจากฉันเสัดแล้ว ท฽ว
้ บนําผั
คืปายเขฺากั
ถามภิกษุเถระว่า “มีอาหารหยังแด่ ในโฮงฉันสําลับพวกท่าน” พระเถระบางพวกตอบ
้ น แกงอ่อม” พระเมตติยะและพระภุมมชกะ ก่าว
ว่า “คุณทังสอง พวกเฮฺามีเนียใส นํามั
ว่า “พวกผู้ข้าบํ่มีหยังเลีย ขน้อย มีแต่อาหารธัมดา ตามแต่จะหาได้ คืปายเขฺากั
้ บนําผั
้ ก
ดอง” สมัยตํ่มา คหบํดีผู้ชอบถวายอาหารญ่างดี ถวายอาหารแก่สฺงฆ์วันละ ๔ ที่ เปัน
่ ก้ๆในโฮงฉัน คฺนอื่นๆ ถามเถิงความ
นิตยภัต คหบํดีพ้อมบุตรภัรยาอังคาส ญูใ
้ ก ถามเถิงความต้องการกับเขฺา้ ถามเถิงความต้องการนํามั
ต้องการเขฺาสุ ้ น ถามเถิง
ความต้องการแกงอ่อม วันตํ่มา ท่านพระทัพพมัลลบุตรผู้เปันภัตตุทเทสก์นิมฺนต์พระ
เมตติยะและพระภุมมชกะไปฉันภัตตา หารของคหบํดีในวันฮุ่งขึน ้ วันด฽วกันนัน
้ คหบํ

ดีเดีนทางไปอาฮามด้วยธุระบางญ่าง ได้เขฺาไปหาท่ านพระทัพพมัลลบุตรเถิงสํานัก คัน
เถิงแล้วได้ไหว้ทา่ นพระทัพพมัลลบุตรแล้ว นั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร ท่านทัพพมัลลบุตร
ชี้แจงคหบํดีผู้ชอบถวายอาหารญ่างดีให้เหันแจ้ง ชวนให้ญากฮับไปปะติบัด ปุกใจให้
อาจหานเกั่งก้า ปอบปะโลมใจให้สฺดชื่นเบีกบานด้วยธัมมีกถา คันแล้ว คหบํดีผู้ชอบ
ถวายอาหารญ่างดีถามว่า “ภัตตาหารที่จะถวายในมื้อื่นนี้ที่เฮือนของข้าพะเจฺา้ ท่าน
นิมฺนต์ภิกษุฮูบใดไปฉันขน้อย” ท่านพระทัพพมัลลบุตรตอบว่า “อาตมาจัดให้พระเมตติ
ยะและพระภุมมชกะ ไปฉัน” เขฺาบํ่พํใจว่า “เปันหยังจึ่งนิมฺนต์ภิกษุช่ วไปฉั
ฺ นภัตตาหาร
ในบ้านเฮฺาละ” กับไปบ้านแล้วสั่งยิงฮับใช้ว่า “แม่สาวใช้ มื้อื่นนี้ เจฺาจฺ
้ ่ งจัดอาสนะไว้ท่ ี
้ บนําผั
ซุ ้มปะตูแล้วเอฺาปายเขฺากั ้ กดองถวายภิกษุผู้มาฉันภัตตาหารเดี” ยิงฮับใช้ฮับคําว่า
“ได้ขะน้อย” มื้ด฽วกันนัน
้ พระเมตติยะและพระภุมมชกะก่าวกันว่า “ท่าน มื้วานนี้เฮฺาได้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 388 / 388 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ฮับนิมฺนต์ไปฉันภัตตาหารในเฮือนคหบํดี มื้อื่นนี้ คหบํดีพ้อมด้วยบุตรภัรยากํจักมายืน


่ ก้ๆ คฺนอื่นถามเถิงความต้องการเขฺาสุ
อังคาสเฮฺาญูใ ้ ก ถามเถิงความต้องการกับเขฺา้ ถาม
้ น ถามเถิงความต้องการแกงอ่อม” เพาะความดีใจนัน
เถิงความต้องการนํามั ้ พํตฺกกาง
คืน ท่านทังสองจึ่งจําวัดหลับบํ่เต็มที่ คันเวลาเชฺา้ คองอันตรวาสก ถืบาตรและจีวอน
ย่างไปเถิงนิเวศน์ของคหบํดี ยิงฮับใช้เบิ่งเหันพระเมตติยะและพระภุมมชกะย่างมาแต่
ไก จึ่งจัดอาสนะไว้ท่ ซุ
ี ้มปะตูนิมฺนต์ว่า “พระคุณเจฺา้ นิมฺนต์น่ งเถี
ั ด ขะน้อย” พระเมตติยะ
และพระภุมมชกะคิดว่า “เขฺาคฺงนิมฺนต์ให้พวกเฮฺานั่งถ้าที่ซุ ้มปะตูจฺนกว่าภัตตาหารจะ
้ งฮับใช้นําปายเขฺากั
แล้วเสัด” ขณะนันยิ ้ บนําผั
้ กดองไปถวาย ก่าวว่า “พระคุณเจฺา้ นิมฺนต์
ฉันเถีด ขะน้อย” ท่านทังสองก่าวว่า “น้องยิง พวกอาตมาฮับนิมฺนต์มาฉันนิตยภัต” ยิง
ฮับใช้ตอบว่า “ชาบขะน้อยว่าท่านเปันพระฮับนิมฺนต์มาฉันนิตยภัต แต่ม้ืวานนี้ คหบํดีส่ ง

ไว้ว่า ‘แม่สาวใช้ มื้อื่นนี้ เจฺาจฺ
้ ่ งจัดอาสนะไว้ท่ ซุ ้ บนําผั
ี ้มปะตู แล้วเอฺาปายเขฺากั ้ กดอง
ถวายภิกษุผู้มาฉันภัตตาหารนะ’ นิมฺนต์ฉันเถีด ขะน้อย” พระเมตติยะและพระภุมมชกะ
ปึกสากันว่า “มื้วานนี้เอง คหบํดีไปหาพระทัพพมัลลบุตรเถิงอาฮาม สฺงสัยพวกเฮฺาคฺ
งถืกพระทัพพมัลลบุตรทําลายตํ่หน้าคหบํดีเปันแน่” เพาะความเสั฽ใจ ท่านทังสองจึ่ง
ฉันภัตตาหารบํ่ได้สม
ฺ ใจ คันกับจากบิณฑบาตหลังจากฉันเสัดแล้ว เถิงอาฮาม เกับ
บาตรและจีวอนแล้วใช้ผ้าสังฆาฏิฮัดเขฺ่า นั่งพายนอกซุ ้มปะตูอาฮาม อัดอัน
้ เกี้เขีน คํตก


กฺมหน้ า ชึมเชฺา บํ่เวฺาจา

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๘. ปฐมทุฎฐโทสสิกขาบฺท นิทาน


วัตถุ
ภิกษุณีเมตติยาใส่ความพระทัพพมัลลบุตร

้ น
คังนั ้ ภิกษุณีเมตติยาเขฺาไปหาพระเมตติ
้ ยะและพระภุมมชกะเถิงที่พัก คันเถิงแล้ว
ได้ก่าวกับพระเมตติยะและพระภุมมชกะ ดั่งนี้ว่า “พระคุณเจฺา้ ขะน้อยไหว้ ขะน้อย”
เมื่อท่านก่าวญ่างนัน
้ พระเมตติยะและภุมมชกะกํบ่ เวฺ ้ วย ท่านจึ่งก่าวว่า “ขะน้อยไหว้
ํ าด้

ขะน้อย” แม่นคังที ้
๒ ฯลฯ แม่นคังที ๓ พระเมตติยะและพระภุมมชกะกํบ่ ยอมเวฺ
ํ ้ า
านํ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 389 / 389

ด้วย ภิกษุณีเมตติยา ก่าวตํ่ไปว่า “ขะน้อยทําผิดญ่างใดตํ่พระคุณเจฺา้ เปันหยังพระคุณ


้ ่ งบํ่ยอมเวฺากั
เจฺาจึ ้
้ บขะน้อย” ภิกษุทังสองตอบว่า “จิงญ่างนันแหละ น้องยิง พวกเฮฺาถื
กพระทัพพมัลลบุตรบ฽ดบ฽น ท่านยังเพิกเสียญูไ่ ด้” ภิกษุณีเมตติยาถามว่า “ขะน้อยจะ
ช่วยได้ญ่างใด ขะน้อย” ภิกษุทังสองตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจช่วย วันนี้แหละพระผู้มี
พระภาคต้องให้พระทัพพมัลลบุตรสิก” ภิกษุณีเมตติยาถามว่า “พระคุณเจฺา้ ขะน้อย
จะเฮัดญ่างใด จะช่วยได้ด้วยวิทีใด” ภิกษุทังสองตอบว่า “มาเถีด น้องยิง ท่านจฺ่งเขฺา้

ไปเฝฺาพระผู ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ คันเถิงแล้ว จฺ่งขาบทูลพระผู้มพ ี ระภาค ญ่างนี้ว่า
้ า เรื้องนี้บํ่สฺมควร บํ่เหมาะสฺม ทิศที่เคียปอดภัยกํกับมีภัย ที่ที่บํ่เคียมี
“พระพุทธเจฺาข้
สน฽ด จังไฮกํกับมีสน฽ดจังไฮ ทิศที่บํ่เคียมีอุปท ั ทวะ ในที่ที่บํ่เคีย
ั ทวะกํกับมีอุปท
มีลม
ฺ กํกับมีลม ้ เบิ่งเปันคืนาฮ้
ฺ แฮง นํากํ ้
ํ ้ อนขึนมา ขะน้อยถืกพระทัพพมัลลบุตรขฺ่มขืน”
ภิกษุณีเมตติยาฮับคําของพระเมตติยะและพระภุมมชกะแล้วจึ่งเขฺาไปเฝฺ
้ ้
าพระผู ้มีพระภาค
เถิงที่ปะทับ คันเถิงแล้ว ได้ถวายบังคฺมพระผู้มีพระภาคแล้วญืนญู่ ณะ ที่สฺมควร ได้
ขาบทูลพระผู้มีพระภาค ดั่งนี้ว่า “เรื้องนี้บํ่สฺมควร ฯลฯ ขะน้อยถืกพระทัพพมัลลบุตรขฺ่
มขืน”

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์สอบถาม

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
[๓๘๔] ลําดับนัน ้ ชฺง
สอบถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า “ทัพพะ ท่านจําได้บ่ ว่ ํ าได้ทําตามที่ภิกษุณีน้ก่
ี าวหา”
้ า พระผู้มีพระภาคย่อมชฺงชาบว่า ข้า
ท่านพระทัพพมัลลบุตรขาบทูลว่า “พระพุทธเจฺาข้
พระพุทธเจฺาเปั ้
้ นญ่างใด” แม่นคังที ๒ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระทัพพมัลล
บุตร ฯลฯ แม่นคังที ้ ๓ ตรัสถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า “ทัพพะ ท่านจําได้บ่ ว่
ํ าได้
ทําตามที่ภิกษุณน
ี ้ก่ ้ า พระผู้มีพระ
ี าวหา” พระทัพพมัลลบุตรกํขาบทูลว่า “พระพุทธเจฺาข้
ภาคย่อมชฺงชาบว่า ข้าพระพุทธเจฺาเปั ้ นญ่างใด” “ทัพพะ บัณฑิตย่อมบํ่แก้คําก่าวหาญ่างนี้
ถ้าท่านทํากํจ่ งบอกว่
ฺ าทํา ถ้าท่านบํ่ได้ทํา กํจ่ งบอกว่
ฺ าบํ่ได้ทํา” “พระพุทธเจฺาข้ ้
้ า ตังแต่
้ ่ ฮูจ
เกีดมา ข้าพระพุทธเจฺาบํ ้ ักการเสพเมถุ นธัมแม่นแต่ในความฝัน บํ่จําเปันต้องก่าว
เถิงเมื่อตอนตื่นญู”่
้ พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กภิกษุทังหลายมาฮับสั่งว่า “ภิกษุทังหลาย ถ้าญ่างนัน
ลําดับนัน ้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 390 / 390 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ท่านทังหลายจฺ่งให้นางภิกษุณีเมตติยาสิก จฺ่งสอบถามภิกษุเหลฺ่านี้” แล้วสเดัจจากที่ปะ



ทับเขฺาพระวิ หาร
้ ภิกษุทังหลายจึ่งให้นางภิกษุณีเมตติยาสิก แต่พระเมตติยะและพระภุมมช
หลังจากนัน
กะได้แจ้งภิกษุทังหลายว่า “ท่านทังหลายญ่าให้นางภิกษุณีเมตติยาสิกเลีย นางบํ่มี
ความผิด พวกผู้ข้าโกด บํ่พํใจ ต้องการให้พระทัพพมัลลบุตรพฺนจากพรฺ
้ มจันย์ จึ่งชัก
จูงนาง” ภิกษุทังหลายก่าวว่า “ท่านทังหลาย พวกท่านใส่ความพระทัพพมัลลบุตรด้วย
อาบัติปาราชิก ที่บํ่มีมูลหลื”

พระเมตติยะและพระภุมมชกะยอมฮับสารภาพ

บันดาภิกษุผู้มักน้อย ฯลฯ พากันตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดพระเมตติยะและ


พระภุมมชกะจึ่งใส่ความท่านพระทัพพมัลลบุตรด้วยอาบัติปาราชิกที่บํ่มีมูลละ” คันภิกษุ
้ าหนิพระเมตติยะและพระภุมมชกะโดยปะการต่างๆแล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบ
เหลฺ่านันตํ
ทูลแด่พระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๘. ปฐมทุฎฐโทสสิกขาบฺท สิกขาบฺ


ทวิภังค์
ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามพระ
เมตติยะและพระภุมมชกะว่า “ภิกษุทังหลาย ชาบว่า ท่านทังสองใส่ความทัพพมัลล
บุตร ด้วยอาบัติปาราชิกที่บํ่มีมูลแม่นแท้บํ” ภิกษุเหลฺ่านันทู
้ ลฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธ
้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษทังหลาย จั่งใดพวกท่าน จึ่ง
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
เจฺาข้
ใส่ความทัพพมัลลบุตรด้วยอาบัติปาราชิกที่บํ่มีมูลละ โมฆบุรุษทังหลาย การกะทําญ่างนี้
บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺ

กสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดง ดั่งนี้

พระบันญัต

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 391 / 391

[๓๘๕] กํ ภิกษุใด ขัดเคือง มีโทสะ บํ่สฺดชื่น ใส่ความภิกษุด้วยอาบัติปาราชิกที่บํ่มีมูล


โดยมุ่งหมายว่า “เฮัดญ่างใดจึ่งจะให้ภิกษุนนพฺ
ั ้ นจากพรฺ
้ มจันย์น้ได้ ้
ี ” คันสมัยตํ่จากนัน
อันผู้ใดผู้น่ งโจท
ึ ้ นเรื้องบํ่มีมูล และ
กํตามบํ่โจทกํตาม อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)นันเปั
ภิกษุยอมฮับผิด เปันสังฆาทิ เสส

เรื้องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๓๘๖] คําว่า กํ...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กํ...ใด


คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ที่ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผูม
้ ีพระภาคชฺงปะสฺงค์
เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
คําว่า ภิกษุ หมายเถิง ภิกษุอ่ น

คําว่า ขัดเคือง มีโทสะ คื โกด บํ่พํใจ บํ่ชอบใจ แค้นใจ เจ็บใจ
คําว่า บํ่สฺดชื่น คื บํ่สฺดชื่นเพาะความโกดนัน
้ เพาะมีโทสะนัน
้ เพาะบํ่พํใจนัน
้ และเพาะบํ่
ชอบใจนัน ้

ชื่ว่า ที่บํ่มีมูล คืบ่ ได้


ํ เหัน บํ่ได้ยิน บํ่ได้นึกสฺงสัย

คําว่า ด้วยอาบัติปาราชิก คื ด้วยอาบัติปาราชิก ๔ ขํใดขํ ้ ่ง
นึ
คําว่า ใส่ความ ได้แก่ โจทเอง หลืส่ งให้
ั ผู้อ่ นโจท

คําว่า เฮัดญ่างใดจึ่งจะให้ภิกษุนนพฺ
ั ้ นจากพรฺ
้ มจันย์น้ได้
ี ฺ้
ความว่า ให้พนจากความเปั


ภิกษุ ให้ พฺนจากสมณะธั ฺ้
ม ให้พนจากศี ฺ้
ลขันธ์ ให้พนจากคุ ณคืตบะ
คําว่า คันสมัยตํ่จากนัน ้ ความว่า ล่วงขณะ ลยะ คู่ท่ ภิ ี กษุถืกใส่ความไปแล้ว
คําว่า อันผู้ใดผู้น่ งโจทกํ
ึ ตาม คื จะมีผู้เชื่อถืตามเรื้องที่เฮัดให้ภก ั ้ กใส่ความกํ
ิ ษุนนถื
ตาม
ั้
คําว่า บํ่โจทกํตาม คื บํ่มีใผๆ ก่าวเถิงภิกษุนน
ชื่ว่า อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์) ได้แก่ อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์) ๔ ญ่าง คื วิวาทาธิ
กรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์
ั้
คําว่า และภิกษุยอมฮับผิด ความว่า ภิกษุนนยอมฮั ้ าคํ
บว่า “ข้าพะเจฺาเวฺ ้ าไฮ้ปโยด เวฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 392 / 392 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ่ แม่นแท้บ่ ฮู
เท็จ เวฺาบํ ํ จ้ ่ งเวฺ
ึ ้
า”
ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ้ ปริวาส ฯลฯ เพาะเหตุ
้ พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”
นัน

บทภาชนีย์
บํ่เหัน โจทว่าได้เหัน

[๓๘๗] ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺาเหั


ํ เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ น
ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ท่านฮ่วมอุโบสฺถ
ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

บํ่ได้ยิน โจทว่าได้ยน

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้


ํ ยินว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ ยิน
ว่าท่าน

ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ท่านฮ่วมอุโบสฺถ


ปวารณา หลื สังฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทุกๆ คําเวฺา้

บํ่นึกสฺงสัย โจทว่านึกสฺงสัย

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺา้


ํ นึกสฺงสัยว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่
นึกสฺงสัยว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ท่าน
ฮ่วมอุโบสฺถ ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทุกๆ คําเวฺา้

บํ่เหัน โจทว่าได้เหันและได้ยิน

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺาเหั


ํ เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ นและได้
ยินว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ท่านฮ่วมอุ
โบสฺถ ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทุกๆ คําเวฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 393 / 393

บํ่เหัน โจทว่าได้เหันและนึกสฺงสัย

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้


ํ เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ เหันและ
นึกสฺงสัยว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ทุกๆ คําเวฺา้

บํ่เหัน โจทว่าได้เหัน ได้ยิน และนึกสฺงสัย

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้


ํ เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ เหัน ได้
ยินและนึกสฺงสัยว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสสทุกๆ คําเวฺา้

บํ่ได้ยิน โจทว่าได้ยน
ิ และนึกสฺงสัย

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้


ํ ยินว่าภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ ยิน
และนึก สฺงสัยว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสสทุกๆ คําเวฺา้

บํ่ได้ยิน โจทว่าได้ยน
ิ และได้เหัน

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้


ํ ยินว่าภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ ยิน
และได้เหัน ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ทุกๆ คําเวฺา้

บํ่ได้ยิน โจทว่าได้ยน
ิ นึกสฺงสัย และได้เหัน

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า“ข้าพะเจฺาได้


ํ ยินว่าภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ ยิน
นึกสฺงสัยและได้เหัน ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสสทุกๆคําเวฺา้

บํ่นึกสฺงสัย โจทว่านึกสฺงสัยและได้เหัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 394 / 394 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺา้


ํ นึกสฺงสัยว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่
นึกสฺงสัยและได้เหัน ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสสทุกๆคําเวฺา้

บํ่นึกสฺงสัย โจทว่านึกสฺงสัยและได้ยิน

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺา้


ํ นึกสฺงสัยว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่
นึกสฺงสัยและได้ยินว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสสทุกๆ คําเวฺา้

บํ่นึกสฺงสัย โจทว่านึกสฺงสัย ได้เหันและได้ยิน

ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺา้


ํ นึกสฺงสัยว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่
นึกสฺงสัยได้เหันและได้ยินว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสสทุกๆ คําเวฺา้

ได้เหัน โจทว่าได้ยิน

ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้
ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ ยินว่า ท่าน
ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

ได้เหัน โจทว่านึกสฺงสัย...ได้ยินและนึกสฺงสัย

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ถ้าโจทภิกษุนนว่ ั ้ า “ข้าพะเจฺานึ


้ กสฺงสัยว่า
ท่านต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ” ถ้าโจทภิกษุนนว่ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้
้ ยินและนึกสฺงสัยว่า ท่าน
ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

ได้ยิน โจทว่านึกสฺงสัย...ได้เหัน...นึกสฺงสัยและได้เหัน

ั ้ า “ข้าพะเจฺา้
ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่
ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้
นึกสฺงสัยว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ เหัน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 395 / 395

ั ้ า “ข้าพะเจฺานึ
ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ถ้าโจทภิกษุนนว่ ้ กสฺงสัยและได้เหัน
ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

นึกสฺงสัย โจทว่าได้เหัน...ได้ยิน...ได้เหันและได้ยิน

ภิกษุผู้โจทก์นึกสฺงสัยว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าโจทภิกษุนนว่ ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้



เหันท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ถ้าโจทภิกษุนนว่ ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้
้ ยินว่าท่านต้อง
อาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ถ้าโจทภิกษุนนว่ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้
้ เหันและได้ยินว่าท่านต้อง
อาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ท่านฮ่วมอุโบสฺถ
ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆาทิ เสส ทุกๆ คําเวฺา้

ได้เหัน บํ่แนใจ

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก บํ่แน่ใจในเรื้องที่ได้เหัน คืกําหนฺดสิ่งที่


ได้เหันบํ่ได้ จําสิ่งที่ได้เหันบํ่ได้ ลืมสิ่งที่ได้เหัน ถ้าโจทภิกษุนนว่
ั ้ า“ข้าพะเจฺาได้
้ เหัน

และได้ยิน ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ ้
เหันและนึกสฺงสัย ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้
เหันได้ยินและ
นึกสฺงสัยว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิก ฯลฯ”

ได้ยิน บํ่แน่ใจ

ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว บํ่แน่ใจในเรื้องที่ได้ยิน คื กําหนฺด


เรื้องที่ได้ยินบํ่ได้ จําเรื้องที่ได้ยินบํ่ได้ ลืมเรื้องที่ได้ยิน ถ้าโจทภิกษุนนว่
ั ้ า “ข้าพะเจฺา้

ได้ยินและนึกสฺงสัย ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ ้
ยินและได้เหัน ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ ยิน นึกสฺงสัย
และได้เหัน ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ”

นึกสฺงสัย บํ่แน่ใจ

ภิกษุผู้โจทก์นึกสฺงสัยว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว บํ่แน่ใจในเรื้องที่นึกสฺงสัย คื


กําหนฺดเรื้องที่นึกสฺงสัยบํ่ได้ จําเรื้องที่นึกสฺงสัยบํ่ได้ ลืมเรื้องที่นึกสฺงสัย ถ้าโจทภิกษุ
้ า “ข้าพะเจฺา้ นึก สฺงสัยและเหัน ฯลฯ ข้าพะเจฺานึ
นันว่ ้ กสฺงสัยและได้ยิน ฯลฯ ข้าพะเจฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 396 / 396 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

นึกสฺงสัย ได้เหันและได้ยินว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อ


สายศากยบุตร ท่านฮ่วมอุโบสฺถ ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ
คําเวฺา้

บํ่เหัน สั่งให้โจทว่าเหัน

ํ เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่
[๓๘๘] ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้า
้ เหันท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร
พะเจฺาได้
ท่านฮ่วมอุโบสฺถ ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

บํ่ได้ยิน สั่งให้โจทว่าได้ยิน

ํ ยินว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่


ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺา้
ได้ยินว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

บํ่ได้นึกสฺงสัย สั่งให้โจทว่าได้สฺงสัย

ํ นึกสฺงสัยว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่


ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้า
้ กสฺงสัยว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัติสง
พะเจฺานึ ั ฆาทิเสสทุกๆ คําเวฺา้

บํ่ได้เหัน สั่งให้โจทว่าได้เหัน...

ํ เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่
ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺา้ ได้

เหัน ได้ยิน ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ ้
เหัน ได้นึกสฺงสัย ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ เหันได้ยิน ได้
นึกสฺงสัยว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

บํ่ได้ยิน สั่งให้โจทว่าได้ยิน...

ํ ยินว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่


ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้าพะเจฺา้

ได้ยิน ได้นึกสฺงสัย ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ ้
ยิน ได้เหัน ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ ยิน ได้นึกสฺงสัย
ได้เหันว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 397 / 397

บํ่นึกสฺงสัย สั่งให้โจทว่าได้นึกสฺงสัย...

ํ นึกสฺงสัยว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่


ภิกษุผู้โจทก์บ่ ได้ ั ้ า “ข้า

พะเจฺาได้ ้
นึกสฺงสัย ได้เหัน ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ ้
นึกสฺงสัย ได้ยิน ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้
นึกสฺงสัย ได้เหันได้ยินว่า ท่านต้องอาบัตป
ิ าราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ทุกๆ คําเวฺา้

ได้เหัน สั่งให้โจทว่าได้ยิน...

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่ ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้


้ ยิน

ว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ นึกสฺงสัยว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิก

แล้ว ฯลฯ ข้าพะเจฺาได้ ยิน ได้นึกสฺงสัยว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้อง
อาบัติสังฆาทิเสส ทุก ๆ คําเวฺา้

ได้ยิน สั่งให้โจทว่านึกสฺงสัย...

ภิกษุผู้โจทก์ได้ยินว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่


ั ้ า “ข้าพะเจฺา้
ได้นึกสฺงสัย ฯลฯ” ถ้าสั่งให้โจทว่า “ข้าพะเจฺาได้
้ เหัน ฯลฯ” ถ้าสั่งให้โจทว่า “ข้า

พะเจฺาได้ นึกสฺงสัย ได้เหัน ท่านต้องอาบัตป
ิ าราชิกแล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ทุกๆ คําเวฺา้

นึกสฺงสัย สั่งให้โจทว่าได้เหัน...

ภิกษุผู้โจทก์นึกสฺงสัยว่า ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่


ั ้ า “ข้า

พะเจฺาได้ เหัน ท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ฯลฯ” ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้

ยิน ฯลฯ” ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่
ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้
้ เหัน ได้ยินว่า ท่านต้องอาบัติปาราชิก
แล้ว ฯลฯ” ต้องอาบัตส ิ ังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

ได้เหัน บํ่แน่ใจ สั่งให้โจท

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 398 / 398 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติปาราชิก บํ่แน่ใจในเรื้องที่ได้เหัน คื กําหนฺดสิ่งที่


ได้เหันบํ่ได้ จําสิ่งที่ได้เหันบํ่ได้ ลืมสิ่งที่ได้เหัน ฯลฯ ได้ยิน บํ่แน่ใจ สั่งให้โจท
ํ ใจในเรื้องที่ได้ยิน คื กําหนฺดเรื้องที่ได้ยินบํ่ได้ จําเรื้องที่ได้ยินบํ่
ภิกษุผู้โจทก์บ่ แน่
ได้ ลืมเรื้องที่ได้ยิน ฯลฯ

บํ่แน่ใจ นึกสฺงสัย สั่งให้โจท

ํ ใจในเรื้องที่นึกสฺงสัย คื กําหนฺดเรื้องที่นึกสฺงสัยบํ่ได้ จําเรื้องที่


ภิกษุผู้โจทก์บ่ แน่
นึกสฺงสัยบํ่ได้ ลืมเรื้องที่นึกสฺงสัย ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่
ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้
้ นึกสฺงสัย ได้
เหัน ฯลฯ” ลืมเรื้องที่นึกสฺงสัย ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่
ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้
้ นึกสฺงสัย ได้ยิน
ฯลฯ” ลืมเรื้องที่นึกสฺงสัย ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนว่
ั ้ า “ข้าพะเจฺาได้
้ นึกสฺงสัย ได้เหัน ได้
ยินว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ท่านฮ่วมอุ
โบสฺถ ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆา ทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

ความเหัน ๔ ญ่าง

[๓๘๙] จําเลียบํ่บํริสุดธ์ โจทก์มีความเหันว่าเปันผู้บํริสุดธ์ ๑ จําเลียบํริสุดธ์ โจทก์


มีความเหันว่าเปันผู้บ่ บํ
ํ ริสุดธ์ ๑ จําเลียบํ่บํริสุดธ์ โจทก์มีความเหันว่าเปันผู้บ่ ํบํริสุดธ์
๑ จําเลียบํริสุดธ์ โจทก์มีความเหันว่าเปันผู้บํริสุดธ์ ๑ ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ้
นึ่งแล้ว ย่อมเปันผู้บ่ ํบํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์มีความเหันว่าเปันผูบ
้ ํริสุดธ์ บํ่ขํโอกาส
ฺ้
ก่อน มีความปะสฺงค์จะให้พนจากพรฺ มจันย์ จึ่งโจทภิกษุนน
ั ้ ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติ
สังฆาทิเสส


ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ งแล้ว ย่อมเปันผู้บ่ บํ
นึ ํ ริสุดธ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์มีความเหัน
ว่าเปันผู้บํริสุดธ์ ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะให้พนจากพรฺ ฺ้ มจันย์จ่ งโจทภิ
ึ ั้
กษุนน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกขํใดขํ้ ้ ่ งแล้ว ย่อมเปันผู้บ่ บํ
นึ ํ ริสุดธ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์มีความเหัน
ว่าเปันผู้บํริสุดธ์ บํ่ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะด่าจึ่งโจทภิกษุนน ั ้ ต้องอาบัติทุกกฏ
กับอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวส฽ดสี

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 399 / 399


ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ งแล้ว ย่อมเปันผู้บ่ ํบํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์มีความเหัน
นึ
ว่าเปันผู้บํริสุดธ์ ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะด่าจึ่งโจทภิกษุนน ั ้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เพาะก่าวส฽ดสี
ภิกษุบ่ ต้ ้
ํ องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ ง ย่อมเปันผู้บํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผโ
นึ ู้ จทก์มีความเหันว่า
เปันผู้บ่ บํ
ํ ริสุดธ์ บํ่ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะให้พนจากพรฺฺ้ มจรรย์จ่ งโจทภิ
ึ ้
กษุนัน
ต้องอาบัติทุกกฏ

ภิกษุบ่ ต้ ้
ํ องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ ง ย่อมเปันผู้บํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผโ
นึ ู้ จทก์มีความเหันว่า
เปันผู้บ่ บํ ฺ้
ํ ริสุดธ์ ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะให้พนจากพรฺ มจรรย์จ่ งโจทภิ
ึ กษุนน ั้
บํ่ต้องอาบัติ

ภิกษุบ่ ต้ ้
ํ องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ ง ย่อมเปันผู้บํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผโ
นึ ู้ จทก์มีความเหันว่า
ํ ริสุดธ์ บํ่ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะด่าจึ่งโจทภิกษุนน
เปันผู้บ่ บํ ั ้ ต้องอาบัติทุกกฏ
กับอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวส฽ดสี

ภิกษุบ่ ต้ ้
ํ องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ ง ย่อมเปันผู้บํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผโ
นึ ู้ จทก์มีความเหันว่า
ํ ริสุดธ์ ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะด่าจึ่งโจทภิกษุนน
เปันผู้บ่ บํ ั ้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เพาะก่าวส฽ดสี

ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ้ ่ งแล้ว ย่อมเปันผู้บ่ ํบํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์มีความเหัน


นึ
ว่าเปันผู้บ่ บํ
ํ ริสุดธ์ บํ่ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะให้พนจากพรฺ ฺ้ มจันย์จ่ งโจทภิ
ึ ั้
กษุนน
ต้องอาบัติทุกกฏ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๘. ปฐมทุฎฐโทสสิกขาบฺท อนาปัตติ


วาร

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 400 / 400 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกขํใดขํ้ ้ ่ งแล้ว ย่อมเปันผู้บ่ บํ


นึ ํ ริสุดธ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์มีความเหัน
ว่าเปันผู้บ่ บํ
ํ ริสุดธ์ ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะให้พนจากพรฺ ฺ้ มจันย์จ่ งโจทภิ
ึ ั้
กษุนน
บํ่ต้องอาบัติ

ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ้ ่ งแล้ว ย่อมเปันผู้บ่ บํ


นึ ํ ริสุดธ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์มีความเหัน
ํ ริสุดธ์ บํ่ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะด่าจึ่งโจทภิกษุนน
ว่าเปันผู้บ่ บํ ั ้ ต้องอาบัติทุกกฏ
กับอาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าวส฽ดสี

ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกขํใดขํ้ ้ ่ งแล้ว ย่อมเปันผู้บ่ บํ


นึ ํ ริสุดธ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์มีความเหัน
ํ ริสุดธ์ ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะด่าจึ่งโจทภิกษุนน
ว่าเปันผู้บ่ บํ ั ้ ต้องอาบัติ
ปาจิตตีย์ เพาะก่าวส฽ดสี

กษุบ่ ต้ ้
ํ องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ ง ย่อมเปันผู้บํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผู้โจทก์มีความเหันว่าเปัน
นึ
ผู้บํริสุดธ์ บํ่ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะให้พนจากพรฺ
ฺ้ มจรรย์จ่ งโจทภิ
ึ ั ้ ต้อง
กษุนน
อาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุบ่ ต้ ้
ํ องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ ง ย่อมเปันผู้บํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผโ
นึ ู้ จทก์มีความเหันว่า
เปันผู้บํริสุดธ์ ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะให้พนจากพรฺ ฺ้ มจรรย์จ่ งโจทภิ
ึ ั้
กษุนน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

ภิกษุบ่ ต้ ้
ํ องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ ง ย่อมเปันผู้บํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผโ
นึ ู้ จทก์มีความเหันว่า
เปันผู้บํริสุดธ์ บํ่ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะด่าจึ่งโจทภิกษุนน ั ้ ต้องอาบัติทุกกฏกับ
อาบัติปาจิตตีย์ เพาะก่าว ส฽ดสี

ภิกษุบ่ ต้ ้
ํ องอาบัติปาราชิกขํใดขํ ้ ่ ง ย่อมเปันผู้บํริสุดธ์ ถ้าภิกษุผโ
นึ ู้ จทก์มีความเหันว่า
เปันผู้บํริสุดธ์ ขํโอกาสก่อน มีความปะสฺงค์จะด่าจึ่งโจทภิกษุนน ั ้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
เพาะก่าวส฽ดสี

อนาปัตติวาร

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 401 / 401

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๓๙๐] ๑. ภิกษุจําเลียเปันผู้บํริสุดธ์ ภิกษุผู้โจทก์มีความเหันว่าเปันผู้บ่ ํบํริสุดธ์
๒. ภิกษุจําเลียเปันผู้บ่ บํ
ํ ริสุดธ์ ภิกษุผู้โจทก์มีความเหันว่าเปันผู้บ่ บํ
ํ ริสุดธ์
๓. ภิกษุวิกฺลจิต
ฺ้ นญัต
๔. ภิกษุตนบั

ปฐมทุฏฐโทสสิกขาบฺทที ๘ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๙. ทุติยทุฎฐโทสสิกขาบฺท นิทาน


วัตถุ
๙. ทุติยทุฏฐโทสสิกขาบฺท
ว่าด้วยภิกษุขัดเคืองมีโทสะ สิกขาบฺทที ๒
เรื้องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๓๙๑] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อ
้ น
กะแต เขตกุงราชคึห์ คังนั ้ พระเมตติยะและพระภุมมชกะ กําลังลฺงจากภูเขฺาคิชฌกูฏ
เบิ่งเหันแพะตฺวผู้กับโตแม่กําลังสืบพันธุ์กัน จึ่งก่าวว่า “เอฺาเถีดพวกเฮฺาจะสฺมมุด
แพะตฺวผู้เปันพระทัพพมัลลบุตร สฺมมุดแพะโตแม่เปันภิกษุณีเมตติยา จักก่าวว่า “คัง้
ก่อนพวกเฮฺาก่าวหาพระทัพพมัลลบุตร ด้วยได้ยินมา แต่บัดนี้พวกเฮฺาได้เหันพระทัพพ
มุลลบุตรเสพเมถุ นกับภิกษุณีเมตติยา ด้วยตฺนเอง” ท่านทังสองได้สฺมมุดพระทัพพมัลล
บุตรเปันแพะตฺวผู้ สฺมมุดภิกษุณีเมตติยาเปันแพะตฺวแม่ แล้วแจ้งให้ภิกษุทังหลายชาบ
้ อน ฯลฯ แต่บัดนี้ พวกเฮฺาได้เหันพระทัพพมัลลบุตรเสพเมถุ นกับภิกษุณีเมตติ
ว่า “คังก่
ยา ด้วยตฺนเอง” ภิกษุทังหลายก่าวญ่างนี้ว่า “ท่านทังหลาย พวกท่านญ่าก่าวญ่างนี้ ท่าน
พระทัพพมัลลบุตรจะบํ่ทํากัมเชั่นนัน”
้ แล้วนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺง
ชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์สอบถาม

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 402 / 402 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามท่าน
พระทัพพมัลลบุตรว่า “ทัพพะ ท่านจําได้บ่ ว่ํ าเคียทําตามที่ภิกษุเหลฺ่านี้ก่าวหา” ท่านพระ
้ า พระผู้มีพระภาคย่อมชฺงชาบว่า ข้าพระพุทธ
ทัพพมัลลบุตรขาบทูลว่า “พระพุทธเจฺาข้
เจฺาเปั ้
้ นญ่างใด” แม่นคังที ๒ พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระทัพพมัลลบุตร ฯลฯ

แม่นคังที ๓ ตรัสถามท่านพระทัพพมัลลบุตรว่า “ทัพพะ ท่านจําได้บ่ ํว่าได้ทําตามที่ภิกษุ
เหลฺ่านี้ก่าวหา” พระทัพพมัลลบุตรขาบทูลว่า “พระพุทธเจฺาข้
้ า พระผู้มีพระภาคย่อมชฺ
้ นญ่างใด” พระผูม
งชาบว่า ข้าพระพุทธเจฺาเปั ้ ีพระภาคตรัสว่า “ทัพพะ บัณฑิตย่อมบํ่แก้
คําก่าวหาญ่างนี้ ถ้าท่านทํากํจ่ งบอกว่
ฺ าทํา ถ้าท่านบํ่ได้ทํา กํจ่ งบอกว่
ฺ าบํ่ได้ทํา” ท่านพระ
ทัพพมัลลบุตรขาบทูลว่า “พระพุทธเจฺาข้ ้
้ า ตังแต่ เกีดมา ข้าพระพุทธเจฺา้ บํ่ฮูจ้ ักการ
เสพเมถุ นแม่นในความฝัน บํ่จําต้องก่าวเถิงเมื่อตอนตื่นญู”่ ลําดับนัน
้ พระผู้มีพระภาค
ฮับสั่งกับภิกษุทังหลายว่า “ภิกษุทังหลาย ถ้าญ่างนัน
้ ท่านทังหลายจฺ่งสอบถามภิกษุ
เหลฺ่านี้” แล้วสเดัจจากที่ปะทับเขฺาพระวิ
้ ้ ภิกษุทง
หารหลังจากนัน ั หลายสอบถามพระ
เมตติยะและพระภุมมชกะ เมื่อถืกสอบถามจึ่งได้ฮับสารภาพเรื้องนัน ้ ภิกษุทังหลายถาม
ว่า “พวกท่านอ้างเอฺาบางส่วนแห่งอธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)เรื้องอื่นเปันเลศ ใส่ความ
พระทัพพมัลลบุตรด้วยอาบัติปาราชิกหลื” ท่านทังสองยอมฮับ บันดาภิกษุผู้มักน้อย
ฯลฯ พากันตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดพระเมตติยะและพระกุมมชกะจึ่งอ้างเอฺา
บางส่วนแห่งอธิกรณ์(บันหาของ สฺงฆ์)เรื้องอื่นเปันเลศนัย ใส่ความพระทัพพมัลลบุตร
้ ตําหนิท่านทังสองโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนํา
ด้วยอาบัติปาราชิกละ” คันภิกษุเหลฺ่านัน
เรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามพระ
เมตติยะและพระภุมมชกะว่า “ภิกษุทังหลาย ชาบว่าพวกท่านอ้างเอฺาบางส่วนแห่ง
อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)เรื้องอื่นเปันเลศใส่ความทัพพมัลลบุตรด้วยอาบัติปาราชิกแม่น
้ า” พระผู้มีพระภาคชฺงตําหนิว่า “โมฆ
แท้บํ” พวกท่านทูลฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้
บุรุษทังหลาย จั่งใดพวกท่านจึ่งอ้างเอฺาบางส่วนแห่งอธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)เรื้องอื่น
เปันเลศใส่ความทัพพมัลลบุตร ด้วยอาบัติปาราชิกละ โมฆบุรุษทังหลาย การกะทําญ่าง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 403 / 403

นี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺ



กสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดง ดั่งนี้

พระบันญัต

[๓๙๒] กํ ภิกษุใด ขัดเคือง มีโทสะ บํ่สฺดชื่น อ้างเอฺาบางส่วนแห่งอธิกรณ์(บันหา


ของสฺงฆ์) เรื้องอื่นเปันเลศใส่ความภิกษุด้วยอาบัติปาราชิก โดยมุ่งหมายว่า “เฮัดญ่าง
ใดจึ่งจะให้ภิกษุนน
ั ้ พฺนจากพรฺ
้ มจันย์น้ได้ ้ อันผู้ใดผู้น่ งโจทกํ
ี ” คันสมัยตํ่จากนัน ึ ตามบํ่
โจทกํตาม อธิกรณ์(บันหาของ สฺงฆ์)นัน ้ เปันอธิกรณ์เรื้องอื่น อ้างเอฺาบางส่วนเปันเลศ
และภิกษุยอมฮับผิด เปันสังฆาทิเสส

เรื้องพระเมตติยะและพระภุมมชกะ จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๓๙๓] คําว่า กํ...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กํ...ใด


คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ที่ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผูม
้ ีพระภาคชฺงปะสฺงค์
เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
คําว่า ภิกษุ หมายเถิง ภิกษุอ่ น

คําว่า ขัดเคือง มีโทสะ คื โกด บํ่พํใจ บํ่ชอบใจ แค้นใจ เจ็บใจ
คําว่า บํ่สฺดชื่น คื บํ่สฺดชื่นเพาะความโกดนัน
้ เพาะมีโทสะนัน
้ เพาะบํ่พํใจนัน
้ และเพาะบํ่
ชอบใจนัน ้
คําว่า แห่งอธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)เรื้องอื่น คื เปันอาบัติส่วนอื่น หลืเปันอธิกรณ์ส่วน
อื่น

อธิกรณ์ (บันหาของสฺงฆ์) ที่ชื่ว่าเปันเรื้องอื่นจากอธิกรณ์

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 404 / 404 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

อธิกรณ์ (บันหาของสฺงฆ์) ชื่ว่าเปันเรื้องอื่นจากอธิกรณ์ญ่างใด


๑. วิวาทาธิกรณ์ เปันเรื้องอื่นจากอนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์และกิจจาธิกรณ์
๒. อนุวาทาธิกรณ์ เปันเรื้องอื่นจากอาปัตตาธิกรณ์ กิจจาธิกรณ์ และวิวาทาธิกรณ์
๓. อาปัตตาธิกรณ์ เปันเรื้องอื่นจากกิจจาธิกรณ์ วิวาทาธิกรณ์ และอนุวาทาธิกรณ์
๔. กิจจาธิกรณ์ เปันเรื้องอื่นจากวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และอาปัตตาธิกรณ์
อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)ชื่ว่าเปันเรื้องอื่นจากอธิกรณ์ ญ่างนี้

อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)ชื่ว่าเปันเรื้องด฽วกับอธิกรณ์

อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)ชื่ว่าเปันเรื้องด฽วกับอธิกรณ์ ญ่างใด
๑. วิวาทาธิกรณ์ เปันเรื้องด฽วกับวิวาทาธิกรณ์
๒. อนุวาทาธิกรณ์ เปันเรื้องด฽วกับอนุวาทาธิกรณ์
๓. อาปัตตาธิกรณ์ เปันเรื้องด฽วกับอาปัตตาธิกรณ์กํมี เปันเรื้องอื่นจากอาปัตตาธิกรณ์
กํมี

อาปัตตาธิกรณ์ช่ ว่
ื าเปันเรื้องอื่นจากอาปัตตาธิกรณ์

อาปัตตาธิกรณ์ช่ ว่
ื าเปันเรื้องอื่นจากอาปัตตาธิกรณ์ญ่างใด
๑. เมถุ นธัมปาราชิกาบัติ เปันเรื้องอื่นจากอทินนาทานปาราชิกาบัติ มนุสสวิคคหปาราชิ
กาบัติ และอุตตริมนุสสธัมปาราชิกาบัติ
๒. อทินนาทานปาราชิกาบัติ เปันเรื้องอื่นจากมนุสสวิคคหปาราชิกาบัติ อุตตริมนุสสธัม
ปาราชิกาบัติ และเมถุ นธัมปาราชิกาบัติ
๓. มนุสสวิคคหปาราชิกาบัติ เปันเรื้องอื่นจากอุตตริมนุสสธัมปาราชิกาบัติ เมถุ นธัมปา
ราชิกาบัติ และอทินนาทานปาราชิกาบัติ
๔. อุตตริมนุสสธัมปาราชิกาบัติ เปันเรื้องอื่นจากเมถุ นธัมปาราชิกาบัติ อทินนาทานปา
ราชิกาบัติ และมนุสสวิคคหปาราชิกาบัติ
อาปัตตาธิกรณ์ช่ ว่
ื าเปันเรื้องอื่นจากอาปัตตาธิกรณ์ ญ่างนี้

อาปัตตาธิกรณ์ช่ ว่
ื าเปันเรื้องด฽วกับอาปัตตาธิกรณ์

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 405 / 405

อาปัตตาธิกรณ์ช่ ว่
ื าเปันเรื้องด฽วกับอาปัตตาธิกรณ์ญ่างใด
๑. เมถุ นธัมปาราชิกาบัติ เปันเรื้องด฽วกับเมถุ นธัมปาราชิกาบัติ
๒. อทินนาทานปาราชิกาบัติ เปันเรื้องด฽วกับอทินนาทานปาราชิกาบัติ
๓. มนุสสวิคคหปาราชิกาบัติ เปันเรื้องด฽วกันกับมนุสสวิคคหปาราชิกาบัติ
๔. อุตตริมนุสสธัมปาราชิกาบัติ เปันเรื้องด฽วกับอุตตริมนุสสธัม ปาราชิกาบัติ
อาบัตตาธิกรณ์ช่ ว่
ื าเปันเรื้องด฽วกับอาปัตตาธิกรณ์ ญ่างนี้
กิจจาธิกรณ์เปันเรื้องด฽วกับกิจจาธิกรณ์
อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)ชื่ว่าเปันเรื้องด฽วกับอธิกรณ์ ญ่างนี้

เลศ ๑๐ ญ่าง

[๓๙๔] ชื่ว่า เลศ ในคําว่า อ้างเอฺาบางส่วน...เปันเลศ อธิบายว่า


เลศมี ๑๐ ญ่างได้แก่ เลศคืชาติกําเนีด ๑ เลศคืช่ ื ๑ เลศคืตะกูน ๑ เลศคืรูปลักษณ์ ๑
เลศคือาบัติ ๑ เลศคืบาตร ๑ เลศคืจีวอน ๑ เลศคืพระอุปช
ั ฌาย์ ๑ เลศคืพระอาจารย์
๑ เลศคืเสนาสนะ ๑

อธิบายเลศ ๑๐ ญ่าง

[๓๙๕] ชื่ว่า เลศคืชาติกําเนีด อธิบายว่า ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุผู้เปันวันณะกษัตริย์


ต้องอาบัติปาราชิก คันเหันภิกษุอีกฮูบนึ่งผูเ้ ปันวันณะกษัตริย์จ่ งโจทว่
ึ ้
า “ข้าพะเจฺาเหั น
ภิกษุผู้เปันวันณะกษัตริย์ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากย
บุตร ท่านฮ่วมอุโบสฺถ ปวารณาหลืสง ั ฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้
ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุผู้เปันวันณะพรามณ์ ฯลฯ เหันภิกษุผเู้ ปันวันณะแพศย์ ฯลฯ
เหันภิกษุผเู้ ปันวันณะศูทรต้องอาบัติปาราชิก คันเหันภิกษุอีกฮูบนึ่ง ผู้เปันวันณะศูทรจึ่ง
้ นภิกษุผู้เปันวันณะศูทรต้องอาบัติปาราชิก ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปัน
โจทว่า “ข้าพะเจฺาเหั
เชื้อสายศากยบุตร ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสสทุกๆ คําเวฺา้

[๓๙๖] ชื่ว่า เลศคืช่ ื อธิบายว่า ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันพระพุทธฮักขิต ฯลฯ ได้เหัน


พระธัมมฮักขิต ฯลฯ ได้เหันพระสังฆฮักขิตต้องอาบัติปาราชิก คันเหันภิกษุอีกฮูบนึ่ง

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 406 / 406 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ื าสังฆฮักขิตจึ่งโจทว่า “ข้าพะเจฺาเหั
ผู้ช่ ว่ ้ นพระสังฆฮักขิตต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่
เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

[๓๙๗] ชื่ว่า เลศคืตะกูน อธิบายว่า ภิกษุผโ


ู้ จทก์ ได้เหันภิกษุในตะกูนโคตมะ ฯลฯ
ได้เหันภิกษุในตะกูนโมคคัลลานะ ฯลฯ ได้เหันภิกษุในตะกูนกัจจายนะ ฯลฯ ได้เหัน
ภิกษุในตะกูนวาสิฏฐะต้องอาบัติปาราชิก คันเหันภิกษุอีกฮูบนึ่งในตะกูนวาสิฏฐะจึ่งโจท

ว่า ข้าพะเจฺาเหั นภิกษุในตะกูนวาสิฏฐะต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปัน
เชื้อสายศากยบุตร ฯลฯ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

[๓๙๘] ชื่ว่า เลศคืรูปลักษณ์ อธิบายว่า ภิกษุผู้โจทก์ ได้เหันภิกษุสูง ฯลฯ ได้เหัน


ภิกษุต่ าํ ฯลฯ ได้เหันภิกษุผิวดํา ฯลฯ ได้เหันภิกษุผิวขาวต้องปาราชิก คันเหันภิกษุอีก
ฮูบนึ่งผู้มีผิวขาวจึ่งโจทว่า “ข้าพะเจฺาเหั
้ นภิกษุผิวขาวต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปัน
สมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ฯลฯ” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆคําเวฺา้

[๓๙๙] ชื่ว่า เลศคือาบัติ อธิบายว่า ภิกษุผโู้ จทก์ เหันภิกษุต้องอาบัตเิ บฺา ถ้าโจทภิกษุ


้ วยอาบัติปาราชิกว่า ข้าพะเจฺาเหั
นันด้ ้ นท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่
เปันเชื้อสายศากยบุตร ฯลฯ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

[๔๐๐] ชื่ว่า เลศคืบาตร อธิบายว่า ภิกษุผโ


ู้ จทก์ได้เหันภิกษุใช้บาตรโลหะ ฯลฯ ได้
เหันภิกษุใช้บาตรดินหน฽ว ฯลฯ ได้เหันภิกษุใช้บาตรเคลือบ ฯลฯ ได้เหันภิกษุใช้
บาตรดินธัมดา ต้องอาบัติปาราชิก คันเหันภิกษุอีกฮูบนึ่งใช้บาตรดินธัมดาจึ่งโจทว่า

ข้าพะเจฺาเหั นภิกษุใช้บาตรดินธัมดาต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อ
สายศากยบุตร ฯลฯ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

[๔๐๑] ชื่ว่า เลศคืจีวอน อธิบายว่า ภิกษุผโ ู้ จทก์ ได้เหันภิกษุผใ


ู้ ช้ผ้าบังสุกุล ฯลฯ
เหันภิกษุผู้ใช้ผ้าคหบํดี ต้องอาบัติปาราชิก คันได้เหันภิกษุอีกฮูบนึ่งผู้ใช้ผา้ คหบํดีจ่ ง


โจทว่า ข้าพะเจฺาได้ เหันภิกษุผู้ใช้ผา้ ของคหบํดีต้องอาบัติปาราชิกแล้วท่านบํ่เปันสมณะ
บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ฯลฯ ต้องอาบัติสง ั ฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 407 / 407

[๔๐๒] ชื่ว่า เลศคืพระอุปช ั ฌาย์ อธิบายว่า ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุผู้เปันสัทธิวิหาริก


ของพระอุปช ื ้ ต้องอาบัติปาราชิก คันเหันภิกษุอีกฮูบนึ่งผูเ้ ปันสัทธิวิหาริกของ
ั ฌาย์ช่ นี
พระอุปช ื ้จึ่งโจทว่า ข้าพะเจฺาเหั
ั ฌาย์ช่ นี ้ ั ฌาย์ช่ นี
นภิกษุผู้เปันสัทธิวิหาริกของพระอุปช ื ้
ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ฯลฯ ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

[๔๐๓] ชื่ว่า เลศคือาจารย์ อธิบายว่า ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุผู้เปันอันเตวาสิกของ


พระอาจารย์ ชื่นี้ต้องอาบัติปาราชิก คันเหันภิกษุอีกฮูบนึ่งผู้เปันอันเตวาสิกของพระ
ื ้ จึ่งโจทว่า ข้าพะเจฺาเหั
อาจารย์ช่ นี ้ นภิกษุผเู้ ปันอันเตวาสิกของพระอาจารย์ช่ นี
ื ้ต้อง
อาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากยบุตร ฯลฯ ต้องอาบัติ
สังฆาทิเสส ทุกๆคําเวฺา้

[๔๐๔] ชื่ว่า เลศคืเสนาสนะ อธิบายว่า ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุญใ ู่ นเสนาสนะชื่นี้


ต้องอาบัติปารา ชิก คันเหันภิกษุอีกฮูบนึ่งญูใ
่ นเสนาสนะชื่นี้จึ่งโจทว่า “ข้าพะเจฺาเหั
้ น
ู่ นเสนาสนะชื่นี้ ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสายศากย
ภิกษุผู้ญใ
บุตร ท่านฮ่วมอุโบสฺถ ปวารณา

หลื สังฆกัมบํ่ได้” ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆคําเวฺา้

สิกขาบฺทวิภังค์


[๔๐๕] คําว่า ด้วยอาบัติปาราชิก คื ด้วยอาบัติปาราชิก ๔ ขํใดขํ ้ ่ง
นึ
คําว่า ใส่ความ ได้แก่ โจทเอง หลืส่ งให้
ั ผู้อ่ นโจท

คําว่า เฮัดญ่างใดจึ่งจะให้ภิกษุนนพฺ
ั ้ นจากพรฺ
้ มจันย์น้ได้
ี ฺ้
ความว่า ให้พนจากความเปั


ภิกษุ ให้ พฺนจากสมณะธั ฺ้
ม ให้พนจากศี ฺ้
ลขันธ์ ให้พนจากคุ ณคืตบะ
คําว่า คันสมัยตํ่จากนัน ้ ความว่า ล่วงขณะ ลยะ คู่ท่ ภิ ี กษุถืกใส่ความไปแล้ว
คําว่า อันผู้ใดผู้น่ งโจทกํ
ึ ตาม คื จะมีผู้เชื่อถืตามเรื้องที่เฮัดให้ภก ั ้ กใส่ความกํ
ิ ษุนนถื
ตาม
ั้
คําว่า บํ่โจทกํตาม คื บํ่มีใผๆ ก่าวเถิงภิกษุนน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 408 / 408 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ชื่ว่า อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์) ได้แก่ อธิกรณ์ ๔ ญ่างคื วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์


อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์
้ ญ่างใดญ่างนึ่ง
คําว่า อ้างเอฺาบางส่วน...เปันเลศ คื ถืเอฺาเลศ ๑๐ ญ่างนัน
ั้
คําว่า และภิกษุยอมฮับผิด ความว่า ภิกษุนนยอมฮั ้ าคํ
บว่า “ข้าพะเจฺาเวฺ ้ าไฮ้ปโยด เวฺา้
้ ่ แม่นแท้บ่ ฮู
เท็จ เวฺาบํ ํ จ้ ่ งเวฺ
ึ ้
า”
ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
คําว่า สังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ้ ั้
ปริวาส ฯลฯ เพาะเหตุนน
พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”

บฺทภาชนีย์
เอเกกมูลจักร
โจทภิกษุผู้ต้องอาบัตส
ิ ังฆาทิเสส

[๔๐๖] ภิกษุผโ ู้ จทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส มีความเหันอาบัติสังฆาทิเสสว่า


ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า “ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปัน
เปันอาบัติสังฆาทิเสส ถ้าท่านโจทภิกษุนนด้
เชื้อสายศากยบุตร ท่านฮ่วมอุโบสฺถ ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บัน
หาของสฺงฆ์)นันย่ ้ ่ น และท่านอ้างเอฺาเปันเลศ ต้องอาบัตส
้ อมเปันขํอื ิ ังฆาทิเสส ทุก ๆ
คําเวฺา้

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่มีความเหันอาบัติสังฆาทิเสสว่าเปัน
ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า “ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ”
อาบัติถุล ลัจจัย ถ้าท่านโจทภิกษุนนด้
้ ย่อมเปันอาบัติข้ออื่นและท่านอ้างเอฺาเปันเลศ
แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์) นัน
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่มีความเหันอาบัติสังฆาทิเสสว่าเปัน
ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า “ท่านบํ่เปันสมณะ” ฯลฯ
อาบัติปาจิต ตีย์ ถ้าท่านโจทภิกษุนนด้
้ อมเปันอาบัติข้ออื่นและท่านอ้างเอฺาเปันเลศ
แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)นันย่
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆคําเวฺา้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 409 / 409

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่มีความเหันอาบัติสังฆาทิเสสว่าเปัน
อาบัติปาฏิเทสนียะ ฯลฯ มีความเหันอาบัติสง ั ฆาทิเสสว่าเปันอาบัตท ิ ุกกฏ ฯลฯ มีความ
ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า
เหันอาบัติสังฆาทิ เสสว่าเปันอาบัติทุพภาสิต ถ้าท่านโจทภิกษุนนด้
้ ย่อมเปันอาบัติข้ออื่น
“ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)นัน
และท่านอ้างเอฺาเปันเลศ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆคําเวฺา้

โจทภิกษุผู้ต้องอาบัตถ
ิ ุ ลลัจจัย

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติถุลลัจจัย มีความเหันอาบัติถุลลัจจัยว่าเปันอาบัติ
ถุ ลลัจจัย ฯลฯ มีความเหันอาบัติถุลลัจจัยว่าเปันอาบัติปาจิตตีย์ ฯลฯ มีความเหันอาบัติ
ถุ ลลัจจัยว่าเปันอาบัติปาฏิเทสนียะ ฯลฯ มีความเหันอาบัติถุลลัจจัย ว่าเปันอาบัติทุกกฏ
ฯลฯ มีความเหันอาบัติถุลลัจจัยว่าเปันอาบัติทุพภาสิต ฯลฯ มีความเหันอาบัติถุลลัจจัย
ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า “ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ”
ว่าเปันอาบัติสงฆาทิเสส ถ้าโจทภิกษุนนด้
้ อมเปันอาบัติข้ออื่นและท่านอ้างเอฺาเปันเลศ
แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)นันย่
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆคําเวฺา้

โจทภิกษุผู้ต้องปาจิตตีย์...ปาฏิเทสนียะ...ทุกกฏ...ทุพภาสิต

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯลฯ ภิกษุผโ


ู้ จทก์ได้เหันภิกษุ ต้องอาบัติ
ปาฏิเทสนียะ ฯลฯ ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ ภิกษุผโ
ู้ จทก์ได้
เหันภิกษุต้องอาบัติทุพภาสิต มีความเหันอาบัติทุพภาสิตว่าเปันอาบัติทุพภาสิต ฯลฯ มี
ความเหันอาบัติทุพภาสิตว่าเปันอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ มีความเหันอาบัติทุพภาสิตว่า
เปันอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ มีความเหันอาบัตท
ิ ุพภาสิตว่าเปันอาบัติปาจิตตีย์ ฯลฯ มีความ
เหันอาบัติทุพภาสิตว่าเปันอาบัติปาฏิเทสนียะ ฯลฯ มีความเหันอาบัติทุพภาสิตว่าเปัน
ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า “ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อสาย
อาบัติทุกกฏ ถ้าโจทภิกษุนนด้
ศากยบุตร ท่านฮ่วมอุโบสฺถ ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บันหา
้ อมเปันอาบัติข้ออื่นและท่านอ้างเอฺาเปันเลศ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ
ของสฺงฆ์)นันย่
คําเวฺา้
เพิงฮวมอาบัติแต่ละญ่างๆ ให้เปันมูลแล้วผูกเปันจักร

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 410 / 410 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

สั่งให้โจทภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

[๔๐๗] ภิกษุผโ ู้ จทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส มีความเหันอาบัติสังฆาทิเสสว่า


เปันอาบัติสังฆาทิเสส ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนด้
ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า “ท่านบํ่เปันสมณะ
้ อมเปันอาบัติข้ออื่นและท่านอ้างเอฺาเปัน
ฯลฯ” แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)นันย่
เลศ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆ คําเวฺา้

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่มีความเหันอาบัติสังฆาทิเสสว่าเปัน
อาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ มีความเหันอาบัติสังฆาทิเสสว่าเปันอาบัติปาจิตตีย์ ฯลฯ มีความ
เหันอาบัติสังฆาทิเสสว่าเปันอาบัติปาฏิเทสนียะ ฯลฯ มีความเหันอาบัติสังฆาทิเสสว่า
เปันอาบัติทุกกฏ ฯลฯ มีความเหันอาบัติสง ิ ุพภาสิต ถ้าสั่งให้
ั ฆาทิเสส ว่าเปันอาบัตท
ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า “ท่านบํ่เปันสมณะ ฯลฯ” แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บันหา
โจทภิกษุนนด้
้ อมเปันอาบัติข้ออื่นและท่านอ้างเอฺาเปันเลศ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุก ๆ
ของสฺงฆ์)นันย่
คําเวฺา้

สั่งให้โจทภิกษุผู้ต้องอาบัติถุลลัจจัย

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติถุลลัจจัย มีความเหันอาบัติถุลลัจจัยว่าเปันอาบัติ
ถุ ลลัจจัย ฯลฯ มีความเหันอาบัติถุลลัจจัยว่าเปันอาบัติปาจิตตีย์ ฯลฯ มีความเหันอาบัติ
ถุ ลลัจจัยว่าเปันอาบัติปาฏิเทสนียะ ฯลฯ มีความเหันอาบัติถุลลัจจัยว่าเปันอาบัติทุกกฏ
ฯลฯ มีความเหันอาบัติถุลลัจจัยว่าเปันอาบัติทุพภาสิต ฯลฯ มีความเหันอาบัติถุลลัจจัย
ว่าเปันอาบัติสังฆาทิเสส ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนด้
ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า “ท่านบํ่เปันสมณะ
ฯลฯ” แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)ย่อมเปันอาบัติข้ออื่นและท่านอ้างเอฺาเปันเลศ
ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ทุกๆคําเวฺา้

สั่งให้โจทภิกษุผู้ต้องอาบัติปาจิตตีย์...ปาฏิเทสนียะ...ทุกกฏ ...ทุพภาสิต

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 411 / 411

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๙. ทุติยทุฎฐโทสสิกขาบฺท อนาปัตติ


วาร

ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ ฯลฯ ภิกษุผโ


ู้ จทก์ได้เหันภิกษุ ต้องอาบัติ
ปาฏิเทสนียะ ฯลฯ ภิกษุผู้โจทก์ได้เหันภิกษุต้องอาบัติทุกกฏ ฯลฯ ภิกษุผโ
ู้ จทก์ได้
เหันภิกษุต้องอาบัติทุพภาสิต มีความเหันอาบัติทุพภาสิตว่าเปันอาบัติ ทุพภาสิต ฯลฯ มี
ความเหันอาบัติทุพภาสิตว่าเปันอาบัติสังฆาทิเสส ฯลฯ มีความเหันอาบัติทุพภาสิตว่า
เปันอาบัติถุลลัจจัย ฯลฯ มีความเหันอาบัตท
ิ ุพภาสิตว่าเปันอาบัติปาจิตตีย์ ฯลฯ มีความ
เหันอาบัติทุพภาสิตว่าเปันอาบัติปาฏิเทสนียะ ฯลฯ มีความเหันอาบัติทุพภาสิตว่าเปัน
อาบัติทุกกฏ ถ้าสั่งให้โจทภิกษุนนด้
ั ้ วยอาบัติปาราชิกว่า “ท่านบํ่เปันสมณะ บํ่เปันเชื้อ
สายศากยบุตร ท่านฮ่วมอุโบสฺถ ปวารณาหลืสังฆกัมบํ่ได้” แม่นญ่างนี้ อธิกรณ์(บันหา
้ อมเปันอาบัติข้ออื่นและท่านอ้างเอฺาเปันเลศ ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ทุกๆ
ของสฺงฆ์)นันย่
คําเวฺา้

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๔๐๘] ๑. ภิกษุผู้สาํ คันว่าเปันญ่างนัน ั ผู้อ่ นโจท
้ โจทเองหลืส่ งให้ ื
๒. ภิกษุวิกฺลจิต
ฺ้ นญัต
๓. ภิกษุตนบั

ทุติยทุฏฐโทสสิกขาบฺทที ๙ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑๐. สังฆเภทสิกขาบฺท นิทานวัตถุ


๑๐. สังฆเภทสิกขาบฺท
ว่าด้วยการทําสฺงฆ์ให้แตกกัน
เรื้องพระเทวทัต

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 412 / 412 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๔๐๙] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อ
้ น
กะแต เขตกุงราชคึห์ คังนั ้ พระเทวทัตเขฺาไปหาพระโกกาลิ
้ กะ พระกฏโมรกติสสกะ
พระขัณฑเทวีบุตร และพระสมุทททัตเถิงที่ญู่ คันเถิงแล้วได้ก่าวกับท่านเหลฺ่านันดั
้ ่ งนี้
ว่า “มาเถีด ท่านทังหลาย พวกเฮฺาจะทําลายสฺงฆ์ ทําลายจักร ของพระสมณะโคดฺม”
เมื่อพระเทวทัตก่าวญ่างนี้ พระโกกาลิกะได้ก่าวกับพระเทวทัตดั่งนี้ว่า “พระสมณะโคดฺม
มีฤทธานุภาพมาก เฮัดญ่างใด พวกเฮฺาจึ่งจะทําลายสฺงฆ์ ทําลายจักรของพระสมณะ
โคดฺมได้ละ”

วัตถุ ๕ ปะการ


พระเทวทัตก่าวว่า “มาเถีดท่านทังหลาย พวกเฮฺาจะเขฺาไปเฝฺ ้
าพระสมณะโคดฺ มแล้ว
ทูลขํวัตถุ ๕ ปะการ ว่า ‘พระอฺงค์ผู้จะเรีน พระผู้มีพระภาคตรัสสัรเสีนความมักน้อย
ความสันโดษ ความขัด เกฺา ความกําจัด อาการหน้าเหลื้อมใส การบํ่สะสฺม การปารฺ
ภความพ฽ນ โดยปะการต่างๆ วัตถุ ๕ ปะการเหลฺ่านี้กํเปันไปเพื่อความมักน้อยความ
สันโดษ ความขัดเกฺา ความกําจัด อาการหน้าเหลื้อมใส การบํ่สะสฺม การปารฺภค
วามพ฽ນ โดยปะการต่างๆ ข้าพระพุทธเจฺาขํ ้ ปะทานวโรกาส ดั่งนี้
๑. ภิกษุทังหลายควรญูป
่ ่ าตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดเขฺาบ้ ้ โทษ
้ าน ภิกษุฮูบนันมี

๒. ภิกษุทังหลายควรท฽วบิณฑบาตตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดยินดีกิจนิมฺนต์ ภิกษุฮูบนันมี
โทษ

๓. ภิกษุทังหลายควรถืผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดยินดีผ้าคหบํดี ภิกษุฮูบนันมี
โทษ

๔. ภิกษุทังหลายควรญูเ่ หงฺาไม้ ตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดอาศัยที่มุงที่บัง ภิกษุฮูบนันมี

โทษ
๕. ภิกษุทังหลายบํ่ควรฉันปาและชี้นตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดฉันปาและชี้น ภิกษุฮูบนันมี

โทษ’

พระสมณะโคดฺมจะบํ่ชฺงอนุยาตวัตถุ ๕ ปะการนี้แน่นอน พวกเฮฺาจักใช้วัตถุ ๕ ปะการนี้


ชักชวนให้ปะชาชฺนเชื่อถื” ท่านเหลฺ่านันปึ
้ กสากันว่า “พวกเฮฺาสามาดที่จะใช้วัตถุ ๕ ปะ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 413 / 413

้ ทําลาย สฺงฆ์ ทําลายจักรของพระสมณะโคดฺมได้ เพาะยังมีพวกมนุษย์ท่ ี


การเหลฺ่านัน
เหลื้อมใสในการปะติบัดปอนๆ” คังนั้ น้ พระเทวทัตพ้อมด้วยบํริสัดได้เขฺาไปเฝฺ
้ ้
าพระผู ้
มีพระภาคเถิงที่ปะทับ คันเถิงแล้วจึ่งถวายบังคฺมแล้วนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร ขาบทูลว่า
“พระอฺงค์ผู้จะเรีน พระผู้มีพระภาคตรัส สัรเสีนความมักน้อย ความสันโดษ ความ
ขัดเกฺา ความกําจัดอาการหน้าเหลื้อมใส การบํ่สะสฺม การปารฺภ ความพ฽ນ โดยปะ
การต่างๆ วัตถุ ๕ ปะการเหลฺ่านี้กํเปันไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกฺา
ความกําจัดอาการหน้าเหลื้อมใส การบํ่สะสฺม การปารฺภความพ฽ນ โดยปะการต่างๆ ข้า
้ ปะทานวโรกาส ดั่งนี้
พระพุทธเจฺาขํ
๑. ภิกษุทังหลายควรญูป
่ ่ าตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดเขฺาบ้ ้ โทษ
้ าน ภิกษุฮูบนันมี

๒. ภิกษุทังหลายควรท฽วบิณฑบาตตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดยินดีกิจนิมฺนต์ ภิกษุฮูบนันมี
โทษ

๓. ภิกษุทังหลายควรถืผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดยินดีผ้าคหบํดี ภิกษุฮูบนันมี
โทษ

๔. ภิกษุทังหลายควรญูเ่ หงฺาไม้ ตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดอาศัยที่มุงที่บัง ภิกษุฮูบนันมี

โทษ
๕. ภิกษุทังหลายบํ่ควรฉันปาและชี้นตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดฉันปาและชี้น ภิกษุฮูบนันมี

โทษ”

พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า “ญ่าเลียเทวทัต ภิกษุฮูบใดปราถนากํจ่ งญู


ฺ ป่ ่ าเถีด ภิกษุฮูบ
ใดปราถนากํจ่ งญู
ฺ ใ ่ นละแวกบ้านเถีด ภิกษุฮูบใดปราถนากํจ่ งท฽วบิ
ฺ ณฑบาตเถีด ภิกษุฮูบ
ใดปราถนากํจ่ งยิ
ฺ นดีกิจนิมฺนต์เถีด ภิกษุฮูบใดปราถนากํจ่ งถื
ฺ ผ้าบังสุกุลเถีด ภิกษุฮูบใด
ปราถนากํจ่ งยิ
ฺ นดีผ้าคหบํดีเถีด เฮฺาอนุยาตถืเสนาสนะตามเหงฺาไม้้ ๘ เดือนเทฺ่านัน
้ เฮฺา
อนุยาตปาและชี้นที่บํริสุดธ์ด้วยอาการ
๓ ญ่าง คื (๑) บํ่ได้เหัน (๒) บํ่ได้ยิน (๓) บํ่ได้นึกสฺงสัย”

้ น
คังนั ้ พระเทวทัตเบีกบานดีใจว่า พระผู้มีพระภาคบํ่ชฺงอนุยาตวัตถุ ๕ ปะการเหลฺ่านี้

พ้อมกับบํริสัด ลุกขึนจากอาสนะ ถวายบังคฺมพระผู้มีพระภาค ทําประทักษิณ(วຽนไป
ทางขวา) แล้วจากไป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 414 / 414 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ พระเทวทัตพ้อมกับบํริสัดเขฺาไปยั
[๔๑๐] สมัยนัน ้ งกุงราชคึห์ ใช้วัตถุ ๕ ปะการ
ชักชวนให้ปะชาชฺนเชื่อถื ด้วยก่าวว่า “พวกเฮฺาเขฺาไปเฝฺ
้ ้
าพระสมณะโคดฺ มทูลขํวัตถุ ๕
ปะการว่า ‘พระอฺงค์ผจ
ู้ ะเรีน พระผู้มีพระภาคตรัสสัรเสีนความมักน้อย ความสันโดษ
ความขัดเกฺา ความกําจัด อาการหน้าเหลื้อมใส การบํ่สะสฺม การปารฺภความพ฽ນ โดย
ปะการต่างๆ วัตถุ ๕ ปะการเหลฺ่านี้กํเปันไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษ ความ
ขัดเกฺา ความกําจัด อาการหน้าเหลื้อมใส การบํ่สะสฺม
การปารฺภความพ฽ນ โดยปะการต่างๆ ข้าพระพุทธเจฺาขํ ้ ปะทานวโรกาส ดั่งนี้
๑. ภิกษุทังหลายควรญูป
่ ่ าตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดเขฺาบ้ ้ โทษ
้ าน ภิกษุฮูบนันมี

๒. ภิกษุทังหลายควรท฽วบิณฑบาตตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดยินดีกิจนิมฺนต์ ภิกษุฮูบนันมี
โทษ

๓. ภิกษุทังหลายควรถืผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดยินดีผ้าคหบํดี ภิกษุฮูบนันมี
โทษ

๔. ภิกษุทังหลายควรญูเ่ หงฺาไม้ ตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดอาศัยที่มุงที่บัง ภิกษุฮูบนันมี

โทษ
๕. ภิกษุทังหลายบํ่ควรฉันปาและชี้นตลอดชีวิต ภิกษุฮูบใดฉันปาและชี้น ภิกษุฮูบนันมี

โทษ’
แต่พระสมณะโคดฺมบํ่ชฺงอนุยาตวัตถุ ๕ ปะการเหลฺ่านัน
้ พวกเฮฺาจฺ่งสมาทานปะพึดตาม
วัตถุ ๕ ปะการเหลฺ่านี้เถีด”
้ พวกที่บํ่สัดทา บํ่เหลื้อมใส มีความฮูบ
บันดาปะชาชฺนเหลฺ่านัน ้ ่ ดี
ํ ก่าวว่า “พระสมณะ
เชื้อสายศากยบุตรเหลฺ่านี้ ปะพึดกําจัดกิเลส ปะพึดเคั่งคัด ส่วนพระสมณะโคดฺมมักมาก
ดําริเพื่อความมักมาก” ส่วนพวกมีสัดทา เหลื้อมใส เปันบัณฑิต สล฽วสลาด มีความฮู้
ดี กํตําหนิปะนาม โพนทะ นา ว่า “จั่งใดพระเทวทัตจึ่งพ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์
เพื่อทําลายจักรของพระผู้มีพระภาคละ” ภิกษุทังหลายได้ยินปะชาชฺนตําหนิ ปะนาม
โพนทะนา บันดาภิกษุผู้มักน้อย ฯลฯ จึ่งพากันตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดพระ
เทวทัตจึ่งพ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ เพื่อทําลายจักรละ” คันภิกษุทังหลายตําหนิพระ
เทวทัตโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 415 / 415

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามพระ
เทวทัตว่า “เทวทัต ชาบว่าท่านพ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ เพื่อทําลายจักร แม่น
้ า” พระผู้มพ
แท้บํ” พระเทวทัตทูลฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้ ้ ง
ี ระภาคพุทธเจฺาชฺ
้ ่ สฺมควร ฯลฯ โมฆบุรุษจั่งใดท่านจึ่งพ฽ນ
ตําหนิว่า “โมฆบุรุษ การกะทําของท่านนันบํ
พยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ เพื่อทําลายจักรละ โมฆบุรุษ การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺน
ที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึน

สะแดง ดั่งนี้

พระบันญัต

[๔๑๑] กํ ภิกษุใดพ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง หลืถย ื ฺกย้องยืนยันอธิกรณ์


ั ้ นภิกษุทังหลายเพิงว่าก่าว
(บันหาของสฺงฆ์)อันเปันเหตุเฮัดให้แตกแยกกัน ภิกษุนนอั
ตักเตือนญ่างนี้ว่า “ท่านญ่าพ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง หลืถืยฺกย้องยืนยัน
อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)อันเปันเหตุเฮัดให้แตกแยกกัน ท่านจฺ่งพ้อมพ฽งกับสฺงฆ์
เพาะสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง ปองดอง บํ่วิวาท มีอุทเทสด฽วกัน ย่อมญูผ ั้ น
่ าสุก” และภิกษุนนอั
ภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนญ่างนี้ ยังยฺกย้องญู่ ญ่างนัน
้ ภิกษุนนอั
ั ้ นภิกษุทังหลายเพิง
สวดสมนุภาสน์จน ้ ่ อให้สละเรื้องนัน
ฺ คฺบ ๓ คังเพื ้ ถ้าท่านกําลังถืกสวดสมนุภาสน์กว่า
จะคฺบ ๓ คัง้ สละเรื้องนันได้
้ ้ นการดี ถ้าท่านบํ่สละ เปันสังฆาทิเสส
นันเปั

เรื้องพระเทวทัต จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๔๑๒] คําว่า กํ...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า กํ...ใด


คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ที่ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผูม
้ ีพระภาคชฺงปะสฺงค์
เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
ชื่ว่า ผู้พ้อมพ฽ง คื สฺงฆ์ผู้มีสังวาสสเมีกัน ญูใ
่ นสีมาด฽วกัน
คําว่า พ฽ນพยายามเพื่อทําลาย คื แสวงหาพวก ฮวมกันเปันหมู่ โดยมุ่งหมายว่า
เฮัดญ่างใด ภิกษุเหลฺ่านี้จะแตกกันแยกกัน แบ่งเปันพวก

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 416 / 416 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

คําว่า หลื...อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)อันเปันเหตุเฮัดให้แตกแยกกัน ได้แก่ เรื้องเฮัด


ให้แตกกัน ๑๘ ญ่าง
คําว่า ถื คื ยึดเอฺา
คําว่า ยฺกย้อง คื สะแดง
คําว่า ยืนยัน คื บํ่กับคํา
ั ้ ได้แก่ ภิกษุผู้ทําลายสฺงฆ์
คําว่า ภิกษุนน
คําว่า อันภิกษุทังหลาย ได้แก่ อันภิกษุเหลฺ่าอื่น
อธิบายว่า ภิกษุผู้ได้เหัน ผู้ได้ยินเพิงว่าก่าวตักเตือนภิกษุผู้พ฽ນพยายามเพื่อ
ั ้ า “ท่านญ่าพ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง หลืญ่าถืยฺกย้องยืนยัน
ทําลายสฺงฆ์นนว่
อธิกรณ์(บันหาของสฺงฆ์)อันเปันเหตุเฮัดให้แตกแยกกัน ท่านจฺ่งพ้อมพ฽งกับสฺงฆ์
เพาะสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง ปองดอง บํ่วิวาท มีอุทเทสด฽วกัน ย่อมญูผ ่ าสุก” เพิงว่าก่าว

ตักเตือนท่านแม่นคังที ้
๒ เพิงว่าก่าวตักเตือนท่านแม่นคังที ้
๓ ถ้าท่านสละได้ นันเปัน
การดี ถ้าท่านบํ่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุทังหลายชาบแล้วบํ่ว่าก่าวตักเตือน ต้อง
ั ้ นภิกษุทังหลายเพิงคุมตฺวมาสู่ท่ามกางสฺงฆ์ ว่าก่าวตักเตือนว่า
อาบัติทุกกฏ ภิกษุนนอั
“ท่านญ่าพ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง หลืญ่าถืยฺกย้องยืนยันอธิกรณ์(บันหา
ของสฺงฆ์)อันเปันเหตุเฮัดให้แตกแยกกัน ท่านจฺ่งพ้อมพ฽งกับสฺงฆ์ เพาะสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง
ปองดอง บํ่วิวาท มีอท ้
ุ เทสด฽วกัน ย่อมญู่ผาสุก” เพิงว่าก่าวตักเตือนท่านแม่นคังที ๒

เพิงว่าก่าวตักเตือนท่านแม่นคังที ้
๓ ถ้าท่านสละได้ นันเปันการดี ถ้าท่านบํ่สละ ต้อง
อาบัติทุกกฏ สฺงฆ์เพิงสวดสมนุภาสน์ท่าน

วิทีสวดสมนุภาสน์ และกัมวาจาสวดสมนุภาสน์

ั ้ างนี้ คื ภิกษุผู้สลาดสามาดเพิงปะกาดให้สง
ภิกษุทังหลายเพิงสวดสมนุภาสน์ภิกษุนนญ่ ฺ ฆ์
ชาบว่า
ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
[๔๑๓] ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้พ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ผู้พ้อม
ั ้ ่ ยอมสละเรื้องนัน
พ฽ง ภิกษุนนบํ ้ มแล้วกํเพิงสวดสมนุภาสน์ภิกษุช่ นี
้ ถ้าสฺงฆ์พอ ื ้เพื่อให้
สละเรื้องนัน
้ นี้เปันญัตติ ท่านผู้จะเรีน ขํสง ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
ฺ ฆ์จ่ งฟั ื ้พ฽ນพยายามเพื่อ
้ สฺงฆ์สวดสมนุภาสน์ท่านเพื่อให้สละเรื้อง
ั ้ ่ สละเรื้องนัน
ทําลายสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง ภิกษุนนบํ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 417 / 417

้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการสวดสมนุภาสน์ภิกษุช่ นี
นัน ื ้ เพื่อให้สละเรื้องนันเสั
้ ฽ ท่าน

ฮูบนันเพิ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ
้ ้
งทักท้วง แม่นคังที ๒ ฯลฯ แม่นคัง้
ที ๓ ข้าพะเจฺากํ ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
้ ก่าวความนี้ว่า ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้พ฽ນพยายาม
เพื่อทําลายสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง ภิกษุนนบํ ้ สฺงฆ์สวดสมนุภาสน์ท่านเพื่อให้สละ
ั ้ ่ สละเรื้องนัน
้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการสวดสมนุภาสน์ภิกษุช่ นี
เรื้องนัน ื ้เพื่อให้สละ
เรื้องนันเสั
้ ้
฽ ท่านฮูบนันเพิ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ
้ งทักท้วง ภิกษุช่ นี
ื ้
สฺงฆ์สวดสมนุภาสน์เพื่อให้สละเรื้องนันแล้
้ ว สฺงฆ์เหันด้วย เพาะสะนันจึ้ ่ งนิ่ง ข้า
้ ถค
พะเจฺาขํ ื วามนิ่งเปันมติญ่างนี้

[๔๑๔] จฺบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จฺบกัมวาจา ๒ คัง้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย จฺบกัมวาจา


้ ดท้าย ต้องอาบัตส
คังสุ ิ ังฆาทิเสส เมื่อท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติทุกกฏ(ที่ต้อง)
เพาะญัตติ อาบัติถุลลัจจัย(ที่ต้อง) เพาะกัมวาจา ๒ คัง้ ย่อมระงับไป
ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ้ ปริวาส ฯลฯ เพาะเหตุ
้ พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”
นัน

บฺทภาชนีย์

[๔๑๕] กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําถืกต้อง บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจ บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําบํ่ถืกต้อง บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําถืกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจ ต้องอาบัติทุกกฏ
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๔๑๖] ๑. ภิกษุผู้ยังบํ่ถืกสวดสมนุภาสน์
๒. ภิกษุผู้ยอมสละ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 418 / 418 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

๓. ภิกษุวิกฺลจิต
๔. ภิกษุผู้มีจิตปั่นป่ วง
๕. ภิกษุผู้กะวฺนกะวายเพาะเวทนา
ฺ้ นญัต
๖. ภิกษุตนบั

สังฆเภทสิกขาบฺทที ๑๐ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑๑. สังฆเภทานุวัตตกสิกขาบฺท


นิทานวัตถุ
๑๑. สังฆเภทานุวัตตกสิกขาบฺท
ว่าด้วยภิกษุผู้ปะพึดตาม ก่าวสนับสนุนภิกษุผู้ทําลายสฺงฆ์
เรื้องพระโกกาลิกะและพวกปะพึดตาม ก่าวสนับสนุนพระเทวทัต

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๔๑๗] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อ
้ น
กะแต เขตกุงราชคึห์ คังนั ้ พระเทวทัตพ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์เพื่อทําลายจักร
ภิกษุทังหลายก่าวกัน ญ่างนี้ว่า “พระเทวทัตก่าวสิ่งที่บํ่เปันธัม ก่าวสิ่งที่บํ่เปันวินัย จั่ง
ใดพระเทวทัตจึ่งพ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ เพื่อทําลายจักรละ” เมื่อภิกษุทัง
หลายก่าวญ่างนี้ พระโกกาลิกะ พระกฏโมรกติสสกะ พระขัณฑเทวีบุตร และ
้ ่ งนี้ว่า “ท่านทังหลาย
พระสมุทททัต ได้ก่าวกับภิกษุเหลฺ่านันดั
้ พระเทวทัตก่าวสิ่งที่เปันธัม ก่าวสิ่งที่เปันวินัย ท่านก่าวตาม
พวกท่านญ่าก่าวญ่างนัน
ความพํใจและความชอบใจของพวกเฮฺา ท่านชาบความพํใจและความชอบใจของพวก
เฮฺาจึ่งก่าว พวกเฮฺาเหันด้วยกับคําของท่าน” บันดาภิกษุผู้มักน้อย ฯลฯ จึ่งพากันตําหนิ
ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใด
ภิกษุทังหลายจึ่งปะพึดตาม ก่าวสนับสนุนพระเทวทัตผู้พ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ละ”
คันภิกษุเหลฺ่านันตํ
้ าหนิภิกษุพวกพระโกกาลิกะเหลฺ่านันโดยปะการต่
้ างๆ แล้วจึ่งนําเรื้อง
นี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 419 / 419

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามภิกษุ
ทังหลายว่า “ภิกษุทังหลาย ชาบว่า มีภิกษุปะพึดตาม ก่าวสนับสนุนเทวทัตผู้พ฽ນ
พยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ แม่นแท้บ”ํ ภิกษุทังหลายขาบทูลว่า“แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้
้ า”
้ งตําหนิว่า “ภิกษุทังหลาย การกะทําของโมฆบุรุษเหลฺ่า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
้ ่ สฺมควร ฯลฯ การกะทําญ่างนี้ บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส
นันบํ
ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดง
้ ดั่งนี้

พระบันญัต

[๔๑๘] กํ ภิกษุมีจํานวน ๑ ฮูบ ๒ ฮูบ หลื ๓ ฮูบปะพึดตาม ก่าวสนับสนุนภิกษุนน ั้


พวกท่านก่าวญ่างนี้ว่า “พวกท่านญ่าว่าก่าวหยังภิกษุนน ั ้ าวสิ่งที่เปันธัม ภิกษุ
ั ้ ภิกษุนนก่
้ าวสิ่งที่เปันวินัย ภิกษุนนก่
นันก่ ั ้ าวตามความพํใจและความชอบใจของพวกเฮฺา ท่าน
ชาบความพํใจและความชอบใจของ
พวกเฮฺาจึ่งก่าว พวกเฮฺาเหันด้วยกับคํานัน”้ ภิกษุเหลฺ่านันอั
้ นภิกษุทังหลายเพิงว่าก่าว
ตักเตือนญ่างนี้ว่า “พวกท่านญ่าเวฺาญ่ ั ้ ่ แม่นผู้ก่าวสิ่งที่เปันธัม ภิกษุนนบํ
้ ภิกษุนนบํ
้ างนัน ั้ ่
แม่นผู้ก่าวสิ่งที่เปันวินัย พวกท่านญ่าชอบใจการทําลายสฺงฆ์ พวกท่านจฺ่งพ้อมพ฽ง
กับสฺงฆ์ เพาะสฺงฆ์ผู้พอ ้ มพ฽ง ปองดอง บํ่วิวาท มีอุทเทสด฽วกัน ย่อมญูผ่ าสุก” ภิกษุ
เหลฺ่านันอั ่ ่างนี้ ยังยฺกย้องญูญ
้ นพวกภิกษุว่าก่าวตักเตือนญูญ ้ ภิกษุเหลฺ่านันอั
่ ่างนัน ้ นภิกษุ
ทังหลายเพิงสวดสมนุภาสน์จนคฺบ ๓ คังเพื ้ ่ อให้สละเรื้องนัน ้ ถ้าพวกท่านกําลังถืกสวด
สมนุภาสน์กว่าจะคฺบ ๓ คัง้ สละเรื้องนันได้
้ ้ นการดี ถ้าพวกท่านบํ่สละ เปัน
นันเปั
สังฆาทิเสส

เรื้องพระโกกาลิกะและพวกปะพึดตาม ก่าวสนับสนุนพระเทวทัต จฺบ


สิกขาบฺทวิภังค์

[๔๑๙] คําว่า กํ...ภิกษุนนั ้ คื ภิกษุผู้ทําลายสฺงฆ์นน


ั้
คําว่า ภิกษุ คื มีภิกษุเหลฺ่าอื่น

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 420 / 420 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

คําว่า ปะพึดตาม ความว่า ภิกษุผู้ทําลายสฺงฆ์เหันญ่างใด พํใจญ่างใดและชอบใจญ่างใด


แม่นภิกษุเหลฺ่านันกํ
้ เหันญ่างนัน
้ พํใจญ่างนันและชอบใจญ่
้ ้
างนัน
คําว่า ก่าวสนับสนุน คื ดํารฺงญูใ ั้
่ นพวก ในฝ่ ายของภิกษุผู้ทําลายสฺงฆ์นน
คําว่า ๑ ฮูบ ๒ ฮูบ หลื ๓ ฮูบ ความว่า มีภิกษุ ๑ ฮูบ ๒ ฮูบ หลื ๓ ฮูบ ภิกษุเหลฺ่า
้ าว ญ่างนี้ว่า “พวกท่านญ่าว่าก่าวหยังภิกษุนน
นันก่ ั ้ าวสิ่งที่เปันธัม ภิกษุนนก่
ั ้ ภิกษุนนก่ ั้ า
วสิ่งที่เปันวินัย ภิกษุนนก่
ั ้ าวตามความพํใจและชอบใจของพวกเฮฺา ท่านชาบความพํใจ
และความชอบใจของพวกเฮฺาจึ่งก่าว พวกเฮฺาเหันด้วยกับคํานัน”

คําว่า ภิกษุเหลฺ่านัน
้ ได้แก่ ภิกษุผู้ปะพึดตามเหลฺ่านัน

คําว่า อันภิกษุทังหลาย ได้แก่ อันภิกษุเหลฺ่าอื่น
อธิบายว่า ภิกษุผู้ได้เหัน ผู้ได้ยินเพิงว่าก่าวตักเตือนภิกษุผู้ปะพึดตามเหลฺ่านันว่ ้ า “พวก
ั ้ ่ แม่นผู้ก่าวสิ่งที่เปันธัม ภิกษุนนบํ
้ ภิกษุนนบํ
ท่านญ่า ก่าวญ่างนัน ั ้ ่ แม่นผู้ก่าวสิ่งที่เปันวินัย
พวกท่านญ่าชอบใจการทําลายสฺงฆ์ พวกท่านจฺ่งพ้อมพ฽งกับสฺงฆ์ เพาะสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง
ปองดอง บํ่วิวาท มีอท
ุ เทสด฽วกัน ย่อมญูผ
่ าสุก” เพิงว่าก่าวตักเตือนพวกท่านแม่น

คังที ๒ เพิงว่าก่าวตักเตือนพวก

ท่านแม่นคังที ๓ ถ้าภิกษุเหลฺ่านันสละได้
้ ้ นการดี ถ้าบํ่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ
นันเปั
ภิกษุทังหลายชาบแล้วบํ่ว่าก่าวตักเตือน ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุเหลฺ่านันอั
้ นภิกษุทัง
หลายเพิงคุมตฺวมาสูท ่ ่ามกางสฺงฆ์ ว่าก่าวตักเตือนว่า “พวกท่านญ่าก่าวญ่างนัน ้ ภิกษุนนบํ
ั้ ่
แม่นผู้ก่าวสิ่งที่เปันธัม ภิกษุนนบํ
ั ้ ่ แม่นผู้ก่าวสิ่งที่เปันวินัย พวกท่านญ่าชอบใจการ
ทําลายสฺงฆ์ พวกท่านจฺ่งพ้อมพ฽งกับสฺงฆ์ เพาะสฺงฆ์ผู้พ้อมพ฽ง ปองดอง บํ่วิวาท มีอุท
เทสด฽วกัน ย่อมญูผ ้
่ าสุก” เพิงว่าก่าวตักเตือนพวกท่านแม่นคังที ๒ เพิงว่าก่าว

ตักเตือนพวกท่านแม่นคังที ๓ ถ้าภิกษุเหลฺ่านันสละได้
้ ั้ นการดี ถ้าบํ่สละ ต้อง
นนเปั
อาบัติทุกกฏ สฺงฆ์เพิงสวดสมนุภาสน์ภิกษุเหลฺ่านัน

วิทีสวดสมนุภาสน์ และกัมวาจาสวดสมนุภาสน์

้ นภิกษุทังหลายเพิงสวดสมนุภาสน์ญ่างนี้ คื ภิกษุผู้สลาด สามาดเพิงปะ


ภิกษุเหลฺ่านันอั
กาดให้สฺงฆ์ชาบว่า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 421 / 421

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุทังหลายชื่นี้และชื่นี้ปะพึดตาม ก่าวส


[๔๒๐] ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั
นับสนุนภิกษุช่ นี
ื ้ผู้พ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ ภิกษุเหลฺ่านันยั
้ งบํ่สละเรื้องนัน้ ถ้าสฺงฆ์
พ้อมกันแล้วเพิง สวดสมนุภาสน์ ภิกษุทังหลายชื่นี้และชื่นี้ เพื่อให้สละเรื้องนัน ้ นี้เปัน
ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุทังหลายชื่นี้และชื่นี้ ปะพึดตามก่าวสนับส
ญัตติ ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั
นุนภิกษุช่ นี
ื ้ผู้พ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ ภิกษุเหลฺ่านันยั
้ งบํ่สละเรื้องนัน ้ สฺงฆ์สวดสมนุ
ภาสน์ภิกษุทังหลายชื่นี้และชื่นี้เพื่อให้สละเรื้องนัน
้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการสวดสม
นุภาสน์ภิกษุทังหลายชื่นี้และชื่นี้เพื่อให้สละเรื้องนัน
้ ท่านฮูบนันเพิ
้ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่

เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ งทักท้วงแม่นคังที้ ๒ ฯลฯ แม่นคังที้ ้ ก่าวความนี้
๓ ข้าพะเจฺากํ
ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุทังหลายชื่นี้และชื่นี้ ปะพึด ตาม ก่าวสนับส
ว่า ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั
นุนภิกษุช่ นี
ื ้ผู้พ฽ນพยายามเพื่อทําลายสฺงฆ์ ภิกษุเหลฺ่านันยั
้ งบํ่สละเรื้องนัน
้ สฺงฆ์สวดสมนุ
ภาสน์ภิกษุทังหลายชื่นี้และชื่นี้เพื่อให้สละเรื้องนัน
้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการสวดสม
นุภาสน์ภิกษุทังหลายชื่นี้และชื่นี้เพื่อให้สละเรื้องนัน
้ ท่านฮูบนันเพิ
้ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่

เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ งทักท้วง ภิกษุทังหลายชื่นี้และชื่นี้ สฺงฆ์สวดสมนุภาสน์เพื่อให้
สละเรื้องนัน
้ สฺงฆ์เหัน
้ ่ งนิ่ง ข้าพะเจฺาขํ
ด้วย เพาะสะนันจึ ้ ถคื วามนิ่งนันเปั
้ นมติญ่างนี้

[๔๒๑] จฺบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จฺบกัมวาจา ๒ คัง้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย จฺบกัมวาจา


้ ดท้าย ต้องอาบัตส
คังสุ ิ ังฆาทิเสส เมื่อพวกท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติทุกกฏ(ที่
ต้อง) เพาะญัตติ อาบัติถุลลัจจัย(ที่ต้อง) เพาะกัมวาจา๒ คัง้ ย่อมระงับไป สฺงฆ์เพิง

สวดสมนุภาสน์ภิกษุ ๒-๓ ฮูบคาว ด฽วกัน บํ่เพิงสวดสมนุภาสน์ ภิกษุมากกว่านัน
คาวด฽วกัน
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินนั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
้ ปริวาส ฯลฯ
เพาะเหตุนน ี ระภาคจึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”
ั ้ พระผู้มพ

บฺทภาชนีย์

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 422 / 422 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๔๒๒] กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําถืกต้อง บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจ บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําบํ่ถืกต้อง บํ่สละ ต้องอาบัติ สังฆาทิเสส
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําถืกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจ ต้องอาบัติทุกกฏ
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๔๒๓] ๑. ภิกษุยังบํ่ถืกสวดสมนุภาสน์
๒. ภิกษุผู้ยอมสละ
๓. ภิกษุวิกฺลจิต
๔. ภิกษุมีจิตปั่นป่ วง
๕. ภิกษุกะวฺนกะวายเพาะเวทนา
ฺ้ นญัต
๖. ภิกษุตนบั

สังฆเภทานุวัตตกสิกขาบฺทที ๑๑ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑๒. ทุพพจสิกขาบฺท นิทานวัตถุ


๑๒. ทุพพจสิกขาบฺท
ว่าด้วยภิกษุเปันคฺนว่ายาก
เรื้องพระฉันนะ


[๔๒๔] สมัยนันพระผู ้
้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั บญู่ ณะ โฆสิตาราม เขตกุง โกสัมพี คัง้
้ ท่านพระฉันนะ ปะพึดบํ่สฺมควร ภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนญ่างนี้ว่า “ท่านฉันนะ
นัน
ท่านญ่าได้กะทําญ่างนี้ การกะทําญ่างนัน้ บํ่สฺมควร” ท่านพระฉันนะก่าวญ่างนี้ว่า “พวก
้ ่ พวกท่
ท่านสําคันว่าเฮฺาเปันผูท ี านควรว่าก่าวตักเตือนหลื เฮฺาต่างหากสฺมควรว่าก่าว
้ นของเฮฺา พระธัมเปันของเฮฺา พระธัมอันพระลูก
ตักเตือนพวกท่าน พระพุทธเจฺาเปั

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 423 / 423


เจฺาของเฮฺ ้ ล้ว พวกท่านต่างชื่ ต่างโคตร ต่างชาติ ต่างตะกูน มาบวชฮวม
าเปันผู้ตรัสฮูแ
ํ้
กัน ดุจลฺมพายุพัดหย้า ไม้และใบไม้แห้งมาฮวมกัน หลืดุจแม่นาไหลจากภู เขฺาพัดจอก
แหนมาฮวมกันไว้” บันดาภิกษุผู้มักน้อยสันโดษ มีความละอาย มีความระมัดระวัง ใฝ่
การศึกษาพากันตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดท่านพระฉันนะ เมื่อภิกษุทังหลาย
ว่าก่าวตักเตือนโดยชอบธัมจึ่งทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้ละ” คันภิกษุทัง
หลายตําหนิท่านพระฉันนะ โดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้มีพระ
ภาคให้ชฺง ชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามท่าน
พระฉันนะว่า “ฉันนะ ชาบว่า ท่านอันภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนโดยชอบธัม กับ
ทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้ แม่นแท้บ”ํ ท่านพระฉันนะทูลฮับว่า “แม่นแท้
พระพุทธเจฺาข้้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
้ งตําหนิวา่ “โมฆบุรุษ การกะทําญ่าง
นี้บํ่สฺมควร ฯลฯ บํ่ควรทํา โมฆบุรุษ จั่งใดท่านอันภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนโดย
ชอบธัม จึ่งทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้ โมฆบุรุษ การกะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัด
ให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลาย ยฺกสิก

ขาบฺทนี้ขึนสะแดง ดั่งนี้

พระบันญัต

[๔๒๕] กํ ภิกษุเปันคฺนว่ายาก อันภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนโดยชอบธัม ใน


สิกขาบฺทที่มาในอุทเทศ กับทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้ โดยก่าวว่า “พวก
ท่านญ่าว่าก่าวหยังเฮฺา บํ่ว่าดีหลืช่ ว
ฺ เถิงเฮฺากํจะบํ่ว่าก่าวหยังพวกท่าน บํ่ว่าดีหลืช่ ว

เหมือนกัน พวกท่านงฺดเวันว่ ้ าก่าวเฮฺาเถีด” ภิกษุนนอั
ั ้ นภิกษุทังหลายเพิงว่าก่าว
ตักเตือนญ่างนี้ว่า “ท่านญ่าทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้ จฺ่งทําตฺวให้เปันคฺนที่
เขฺาว่าก่าวตักเตือนได้ แม่นว่าท่านกํจ่ งว่
ฺ าก่าวตักเตือนภิกษุทังหลายโดยชอบธัม แม่น
ว่าภิกษุทังหลายกํจะว่าก่าวตักเตือนท่านโดยชอบธัม เพาะว่าบํริสัดของพระผู้มีพระภาค
จะเรีนแล้วด้วยอาการญ่างนี้ คืด้วยการว่าก่าวตักเตือนกันและกัน ด้วยการช่วยเหลือ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 424 / 424 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

กันและกันให้ออกจากอาบัติ” ภิกษุนน ่ ่างนี้ กํยัง


ั ้ อันภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนญูญ
ยฺกย้องญูญ ้ ภิกษุนนอั
่ ่างนัน ั ้ นภิกษุทังหลายเพิงสวดสมนุภาสน์จฺนคฺบ ๓ คังเพื้ ่ อให้สละ
เรื้องนัน
้ ถ้าท่านกําลังถืกสวดสมนุภาสน์ก่อนจะคฺบ ๓ คัง้ สละเรื้องนันได้
้ ้
นันเปั
นการ
ดี ถ้าท่านบํ่สละ เปันสังฆาทิเสส

เรื้องพระฉันนะ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑๒. ทุพพจสิกขาบฺท สิกขาบฺทวิภังค์


สิกขาบฺทวิภังค์

[๔๒๖] คําว่า กํ...ภิกษุเปันคฺนว่ายาก ความว่า เปันผู้ว่ายาก ปะกอบด้วยธัมที่เฮัดให้


เปันคฺนว่ายาก บํ่อฺดทฺนฮับคําสอนโดยเคฺารฺพ
คําว่า ในสิกขาบฺทที่มาในอุทเทศ ได้แก่ ในสิกขาบฺทที่มาในพระปาติโมกข์
คําว่า ภิกษุทังหลาย ได้แก่ ภิกษุเหลฺ่าอื่น
ชื่ว่า โดยชอบธัม คื สิกขาบฺทที่พระผู้มีพระภาคชฺงบัญญัตติแล้ว นัน้
ชื่ว่า โดยชอบธัม
ั ้ นภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนญูโ
ภิกษุนนอั ้ กับทําตฺวให้เปันคฺน
่ ดยสิกขาบฺทชอบธัมนัน
ที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้โดยก่าวว่า “พวกท่านญ่าว่าก่าวหยังเฮฺาบํ่ว่าดีหลืช่ ว
ฺ เถิงเฮฺากํ
จะบํ่ว่าก่าวหยังพวกท่าน บํ่ว่าดีหลืเลว พวกท่านจฺ่งเวันว่
้ าก่าวเฮฺาเถีด”
ั ้ ได้แก่ ภิกษุผู้ว่ายากนัน
คําว่า ภิกษุนน ้
อธิบายว่า ภิกษุผู้ได้เหัน ผู้ได้ยินเพิงว่าก่าวตักเตือนภิกษุเปันคฺนว่ายากนันว่้ า “ท่านญ่า
ทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้ จฺ่งทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนได้ แม่นว่า
ท่านจฺ่งว่าก่าวตักเตือนภิกษุทังหลายโดยชอบธัม แม่นว่าภิกษุทังหลายกํจะว่าก่าว
ตักเตือนท่านโดยชอบธัม เพาะว่าบํริสัดของพระผู้มีพระภาคจะเรีนแล้วด้วยอาการญ่าง
นี้ คื ด้วยการว่าก่าวตักเตือนกันและกัน ด้วยการช่วยเหลือกันและกันให้ออกจาก

อาบัติ” ควรว่าก่าวตักเตือนท่านแม่นคังที ้
๒ ควรว่าก่าวตักเตือนท่านแม่นคังที ๓ ถ้า

ท่านสละได้ นันเปั นการดี ถ้าท่านบํ่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 425 / 425

ภิกษุทังหลายได้ยินแล้วบํ่ว่าก่าวตักเตือน ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุนนอั ั ้ นภิกษุทังหลาย


่ ่ามกางสฺงฆ์ ว่าก่าวตักเตือนว่า “ท่านญ่าทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าว
เพิงคุมตฺวมาสูท
ตักเตือนบํ่ได้ จฺ่งทําตฺวให้เปันคฺนที่เขฺาว่าก่าวตักเตือนได้ แม่นว่าท่านจฺ่งว่าก่าว
ตักเตือนภิกษุทังหลายโดยชอบธัม แม่นว่าภิกษุทังหลายกํจะว่าก่าวตักเตือนท่านโดย
ชอบธัม เพาะบํริสัดของพระผู้มีพระภาคจะเรีนแล้วด้วยอาการญ่างนี้ คื ด้วยการว่าก่าว
ตักเตือนกันและกัน ด้วยการช่วยเหลือกันและกันให้ออกจากอาบัติ” ควรว่าก่าว

ตักเตือนท่านแม่นคังที ้
๒ ควรว่าก่าวตักเตือนท่านแม่นคังที ้
๓ ถ้าท่านสละได้ นันเปั

การดี ถ้าท่านบํ่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ สฺงฆ์เพิงสวดสมนุภาสน์ ท่าน

วิทีสวดสมนุภาสน์ และกัมวาจาสวดสมนุภาสน์

ั ้ างนี้ คื ภิกษุผู้สลาดสามาดเพิงปะกาดให้สง
ภิกษุทังหลายเพิงสวดสมนุภาสน์ภิกษุนนญ่ ฺ ฆ์
ชาบว่า
ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
[๔๒๗] ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้อันภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือน
โดยชอบธัม กับทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้ ภิกษุนนบํ ั ้ ่ ยอมสละเรื้องนัน

ถ้าสฺงฆ์พ้อมกันแล้วเพิงสวดสมนุภาสน์ภิกษุช่ นี ื ้เพื่อให้สละเรื้องนัน
้ นี้เปันญัตติ
ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้อันภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนโดย
ชอบธัม กับทําตฺวให้เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้ ภิกษุนนบํ
ั ้ ่ ยอมสละเรื้องนัน
้ สฺงฆ์
สวดสมนุภาสน์ภิกษุช่ ืนี้เพื่อให้สละเรื้องนัน
้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการสวดสมนุภาสน์
ภิกษุช่ นี
ื ้เพื่อให้สละเรื้องนัน
้ ท่านฮูบนันเพิ
้ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ
้ ง
ทักท้วง แม่นคังที ้ ๒ ฯลฯ แม่นคังที้ ้ ก่าวความนี้ว่า ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์
๓ ข้าพะเจฺากํ
จฺ่งฟั งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
ื ้อันภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนโดยชอบธัม กับทําตฺวให้
เปันคฺนที่ว่าก่าวตักเตือนบํ่ได้ ภิกษุนนบํ ้ สฺงฆ์สวดสมนุภาสน์ภิกษุช่ นี
ั ้ ่ ยอมสละเรื้องนัน ื ้
เพื่อให้สละเรื้องนัน ้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการสวดสมนุภาสน์ภิกษุช่ นี ื ้ เพื่อให้สละ
เรื้องนัน
้ ท่านฮูบนันเพิ
้ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ
้ งทักท้วงภิกษุช่ นี
ื ้สฺงฆ์
สวดสมนุภาสน์ เพื่อให้สละเรื้องนัน ้ ่ งนิ่ง ข้าพะเจฺาขํ
้ สฺงฆ์เหันด้วย เพาะสะนันจึ ้ ถคื วาม
นิ่งนันเปั
้ นมติญ่างนี้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 426 / 426 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

[๔๒๘] จฺบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จฺบกัมวาจา ๒ คัง้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย จบกัมวาจา


้ ดท้าย ต้องอาบัตส
คังสุ ิ ังฆาทิเสส เมื่อท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติทุกกฏ(ที่ต้อง)
เพาะญัตติ อาบัติถุลลัจจัย(ที่ต้อง) เพาะกัมวาจา ๒ คัง้ ย่อมระงับไป
ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ้ ปริวาส ฯลฯ เพาะเหตุ
้ พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”
นัน

บฺทภาชนีย์

[๔๒๙] กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําถืกต้อง บํ่สละต้องอาบัติสังฆาทิเสส


กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจ บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําบํ่ถืกต้อง บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําถืกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจ ต้องอาบัติทุกกฏ
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ

อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๔๓๐] ๑. ภิกษุยังบํ่ถืกสวดสมนุภาสน์
๒. ภิกษุผู้ยอมสละ
๓. ภิกษุวิกฺลจิต
ฺ้ นญัต
๔. ภิกษุตนบั

ทุพพจสิกขาบฺทที ๑๒ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑๓. กุลทูสกสิกขาบฺท นิทานวัตถุ


๑๓. กุลทูสกสิกขาบฺท
ว่าด้วยภิกษุผู้ปะทุษฮ้ายตะกูน
เรื้องภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 427 / 427

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๔๓๑] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเชตวัน อาฮามของอนาถบิณ
้ น
ฑิกเสดถี เขตกุงสาวัตถี คังนั ้ ภิกษุช่ ว่ ้ ่ น เปันอลัชชี
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะเปันเจฺาถิ
ชฺ่วชาม ญูใ่ นกีฏาคิรีชฺนบฺท ภิกษุพวกนัน ้ ปะพึดบํ่เหมาะสฺมเหันปานนี้ คื ปูกไม้ดอกเอง
แด่ ใช้ผู้อ่ นปู ้
ื กแด่ ฮฺดนําเองแด่ ใช้ผู้อ่ นฮฺ
ื ดแด่ เกับดอกไม้เองแด่ ใช้ผู้อ่ นเกั
ื บแด่
ฮ้อยดอกไม้เองแด่ ใช้ผู้อ่ นฮ้
ื อยแด่ เฮัดมาลัยตํ่ก้านเองแด่ ใช้ผอ ู้ ่ นเฮั
ื ดแด่ เฮัด
มาลัยฮ฽งก้านเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ จัดดอกไม้ช่ ํเองแด่ ใช้ผู้อ่ นจั
ื ดแด่ เฮัดดอกไม้
พุ่มเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ เฮัดดอกไม้มฺงกุดเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ เฮัดดอกไม้พวง
เองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ เฮัดดอกไม้แผงปะดับเอิกเองแด่ ใช้ให้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ ภิกษุ
พวกนันนํ ื าไปแด่ช่ งมาลั
้ าไปเองแด่ ใช้ผู้อ่ นนํ ึ ยตํ่ก้าน มาลัยฮ฽งก้านดอกไม้ช่ ํ ดอกไม้
พุ่ม ดอกไม้มฺงกุด ดอกไม้พวง ดอกไม้แผงปะดับเอิก เพื่อกุลสตรีเพื่อกุลธิดา เพื่อ
กุลกุมารี เพื่อลูกใพ้ของตะกูน เพื่อทาสยิงในตะกูน ภิกษุพวกนันฉั
้ นอาหารใน
ภาชนะด฽วกันแด่ ดื่มนําในขั
้ นอันด฽วกันแด่
นั่งเทิงอาสนะด฽วกันแด่ นอนเทิงต฽งด฽วกันแด่ นอนฮ่วมเคื่องลาดด฽วกันแด่ นอน
คุมผ้าหฺ่ม ผืนด฽วกันแด่ นอนฮ่วมเคื่องลาดและคุมผ้าหฺ่มฮ่วมกันแด่กับกุลสตรี กุลธิดา
กุลกุมารี ลูกใพ้ของตะกูน ทาสยิงในตะกูน ภิกษุพวกนันฉั้ นอาหารในเวลาวิกาลแด่
ดื่มนําเมฺ
้ าแด่ ทัดชฺงดอกไม้ของหอมและเคื่องลูบไล้แด่ ฟ้ อนลําแด่ ขับฮ้องแด่ ปะสาน
้ าแด่ ฟ้ อนลํากับยิงฟ้ อนลําแด่ ขับฮ้องกับยิงฟ้ อนลําแด่ ปะสานส฽งกับยิง
ส฽งแด่ เตันลํ
้ ากับยิงฟ้ อนลําแด่ ฟ้ อนลํากับยิงขับฮ้องแด่ ขับฮ้องกับยิงขับฮ้องแด่
ฟ้ อนลําแด่ เตันลํ
ปะสานส฽งกับยิงขับฮ้องแด่ เตันลํ ้ ากับยิงขับฮ้องแด่ ฟ้ อนลํากับยิงปะสานส฽งแด่ ขับ
ฮ้องกับยิงปะสานส฽งแด่ ปะสานส฽งกับยิงปะสานส฽งแด่ เตันลํ ้ ากับยิงปะสานส฽งแด่
้ าแด่ ขับฮ้องกับยิงเตันลํ
ฟ้ อนลํากับยิงเตันลํ ้ าแด่ ปะสานส฽งกับยิงเตันลํ
้ าแด่ เตันลํ
้ ากับ
ยิงเตันลํ ้
้ าแด่ หลินหมากรุ ้
กแถวละ ๘ ตาแด่ แถวละ ๑๐ ตาแด่ หลินหมากเกั บแด่
้ งนางแด่ หลินหมากไหวแด่
หลินชิ ้ ้
หลินโยนห่ ้
วงแด่ หลินไม้ ห่ งแด่
ึ ้
หลินฟาดให้

เปันฮูบต่างๆแด่ หลินสกาแด่ ้ ้
่ าใบไม้แด่ หลินไถน้
หลินเปฺ ้ กคะเมนแด่
อยๆแด่ หลินหฺ

หลินไม้ ้
กังหันแด่ หลินตวงชาย ้ ดน้อยๆแด่ หลินธนู
ด้วยใบไม้แด่ หลินรฺ ้ น้อยๆแด่

หลินข฽นทวายแด่ ้
หลินทายใจแด่ ้ ล฽นคฺ
หลินลํ ้ นพิการแด่ หัดขี่ช้างแด่ หัดขี่ม้าแด่
หัดขี่รฺดแด่ หัดยิงธนูแด่ หัดเพงอาวุธแด่ แล่นผัดป่ ฽นช้างแด่ แล่นผัดป่ ฽นม้าแด่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 428 / 428 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

แล่นผัดป่ ฽นรฺดแด่ แล่นขับกันแด่ แล่นบ้฽วแด่ ผิวปากแด่ ปฺบมืแด่ ปํ ้ากันแด่ ตีมวย


้ บยิงฟ้ อนลํา ญ่างนี้ว่า “น้องยิง ท่านจฺ่
้ าแล้วเวฺากั
แด่ ปูลาดผ้าสังฆาฏิท่ามกางเวทีเตันลํ
งฟ้ อนลําในที่นี้” ดั่งนี้แล้ว ให้การคํานับแด่ ปะพึดบํ่เหมาะสฺมต่างๆแด่

[๔๓๒] สมัยนัน้ ภิกษุฮูบนึ่งจําพันษาในแคว้นกาสีแล้ว เดีนทางไปกุงสาวัตถีเพื่อเฝฺา้


พระผู้มีพระภาค เดีนทางไปจฺนเถิงกีฏาคิรชี ฺนบฺท คันเวลาเชฺา้ ท่านคองอันตรวาสก ถื
บาตรและจีวอนไปบิณฑบาตที่กีฏาคิรีชฺนบฺท มีการก้าวไป การถอยกับ การแลดู การ
หล฽วดู การคู้เขฺา้ การญ฽ด ออก ที่หน้าเหลื้อมใส สายตาเบิ่งทอดลฺง สฺมบูนสฺมบูน
ั้
ด้วยอิริยาบฺถ พวกชาวบ้านเหันภิกษุนนแล้ วพากันก่าวญ่างนี้ว่า “ภิกษุน้เปั
ี นใผ ดูค้ายบํ่
้ มหน้
ค่อยมีกําลัง เหมือนคฺนอ่อนแอ เหมือนคฺนขมวดคิวกฺ ้ า เมื่อท่านฮูบนี้เขฺาไป

บิณฑบาต ใผละจะถวายอาหารบิณฑบาต ส่วนพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะของพวกเฮฺา
เปันคฺนอ่อนโยน เวฺาม่ ้
้ วน อ่อนหวาน ยิมแย้ มก่อน มักก่าวว่ามาเถีด
และมาดีแล้ว บํ่กฺมหน้
้ า หน้าตาชื่นบาน ทักทายก่อน ใผๆกํญากจะถวายอาหารท่าน
เหลฺ่านัน”

อุบาสฺกคฺนนึ่งเหันภิกษุนนกํ
ั ้ าลังบิณฑบาตในกีฏาคิรีชฺนบฺท คันแล้วได้เขฺาไปหาภิ
้ ั้
กษุนน

ไหว้ แล้วก่าวกับท่านว่า “พระคุณเจฺาได้ ั้
อาหารบิณฑบาตแด่บ่ ํ ขน้อย” ภิกษุนนตอบว่ า
“อาตมายังบํ่ได้อาหารเลีย” อุบาสฺกก่าวนิมฺนต์ว่า “นิมฺนต์ไปเฮือนผู้ข้าเถีด ขน้อย” แล้ว
ั้
พาภิกษุนนไปเฮื อน นิมฺนต์ให้ฉันแล้วถามว่า “พระคุณเจฺา้ ท่านจะไปที่ใด ขน้อย”
ั้
ภิกษุนนตอบว่ า “จะเรีนพอน อาตมาจะไปกุงสาวัตถี เพื่อเฝฺาพระผู
้ ้มีพระภาค” อุ
บาสฺกก่าวว่า “ถ้าเชั่นนัน
้ ท่านจฺ่งถวายบังคฺมพระบาทของพระผู้มีพระภาคด้วยเกฺากะม่

อม และขํจ่ งขาบทู
ฺ ลตามถ้อยคําของผู้ข้าญ่างนี้ด้วย ว่า
‘พระพุทธเจฺาข้้ า วัดในกีฏาคิรีชฺนบฺทชุ ดโชม ภิกษุช่ ว่ ้ ่น
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะเปันเจฺาถิ
่ นกีฏาคิรีชฺนบฺท เปันภิกษุอลัชชีช่ วชาม
ญูใ ฺ พวกท่านปะพึดบํ่เหมาะสฺม เหันปานนี้ คื ปูก
ไม้ดอกเองแด่ ใช้ผู้อ่ นปู
ื กแด่ ฯลฯ ปะพึดบํ่เหมาะสฺมต่างๆ แม่นพวกชาวบ้านที่เคียสัด
ทาเหลื้อมใสแต่ด฽วนี้บํ่สัดทาบํ่เหลื้อมใส ทานที่เคียถวายปะจําแก่สฺงฆ์ บัดนี้ทายฺก
ทายิกาเชฺาถวายแล้ว ภิกษุผู้มีศีลพากันจากไป ภิกษุผู้ช่ วชามญู
ฺ ค ่ อบคอง ขํปะทาน
้ า ขํพระผู้มีพระภาคโปดสฺ่งภิกษุทังหลายไปกีฏาคิรีชฺนบฺท
วโรกาสเถีดพระพุทธเจฺาข้
เพื่อวัดจะได้ตงหมั
ั้ ้ ส
นญู ่ ืบไปในที่นัน”
้ ภิกษุนนฮั
ั ้ บคําของของอุบาสฺกแล้วเดีนทางไป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 429 / 429

ทางกุงสาวัตถี ไปเถิงกุงสาวัตถี เถิงพระเชตวันอาฮามของอนาถบิณฑิกเสดถีโดยลําดับ


้ าพระผู
เขฺาเฝฺ ้ ้มีพระภาคเถิงที่ปะทับ แล้วถวายบังคฺมพระผู้มีพระภาคนั่งลฺง ณะ ที่สฺมควร

พุทธปะเพณี

อันการที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาทั ้
้ งหลาย ชฺงปาสัยกับพระอาคันตุกะทังหลาย นันเปั น
พุทธปะเพณี ลําดับนัน้ พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุนนว่
ั ้ า “ภิกษุ ท่านยังสะบายดีหลื
ยังพํเปันญูไ ั้
่ ด้หลื ท่านเดีนทางมาโดยบํ่ลําบากหลื ท่านมาจากใສ” ภิกษุนนขาบทู ลว่า
“สะบายดี พระพุทธเจฺาข้ ้ า พํเปันญูไ ้ า ข้าพระพุทธเจฺาเดี
่ ด้ พระพุทธเจฺาข้ ้ นทางมา
โดยบํ่ลําบาก พระพุทธเจฺาข้
้ า ข้าพระพุทธเจฺาจํ้ าพันษาในแคว้นกาสี เมื่อจะมาเฝฺา้
พระอฺงค์ท่ เมื
ี องนี้ เดีนทางผ่านกีฏาคิรีชฺนบฺท เวลาเชฺาคองอั
้ นตรวาสก ถืบาตรและจี

วอนเขฺาไปบิ ณฑบาตในกีฏาคิรีชฺนบฺท อุบาสฺกคฺนนึ่งเหันข้าพระพุทธเจฺากํ
้ าลังท฽ว

บิณฑบาต เขฺามาหา ้
ไหว้แล้วถามว่า ‘พระคุณเจฺาได้ อาหารบิณฑบาตแด่ບໍ ขน้อย’ ฯลฯ
เขฺาก่าวว่า ‘ท่านขน้อย ถ้าเชั่นนัน
้ ขํท่านจฺ่งถวายบังคฺมพระบาทของพระผู้มีพระภาค
ด้วยส฽นกะม่อม และขํจ่ งขาบทู
ฺ ลตามถ้อยคําของผู้ข้าญ่างนี้ว่า ‘พระพุทธเจฺาข้้ า วัด
ี ฺนบฺทชุ ดโชม ภิกษุช่ ว่
ในกีฏาคิรช ้ ่ น ญูใ
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะเปันเจฺาถิ ่ นกีฏาคิรีชฺนบฺท
เปันภิกษุอลัชชีช่ วชาม
ฺ พวกท่านปะพึดบํ่เหมาะสฺมเหันปานนี้ คื ปูกไม้ดอกเองแด่ ใช้
ผู้อ่ นปู
ื กแด่ ฯลฯ ปะพึดบํ่เหมาะสฺมต่างๆ แม่นพวกชาวบ้านที่เคียสัดทาเหลื้อมใส
แต่ด฽วนี้บํ่สัดทา บํ่เหลื้อมใส ทานที่เคียถวายปะจําแก่สฺงฆ์ บัดนี้ทายฺกทายิกาเชฺาถวาย
แล้ว ภิกษุผู้มีศีลพากันจากไป ภิกษุผู้ช่ วชามญู
ฺ ค ่ อบคอง ขํปะทานวโรกาสเถีดพระพุทธ
้ า ขํพระผู้มีพระภาคโปดสฺ่งภิกษุทังหลายไปสู่กีฏาคิรีชฺนบฺทเพื่อวัดจะได้ตงหมั
เจฺาข้ ั้ ้ ่
นญู
สืบไปในที่นัน’
้ ข้าพระพุทธเจฺามาจากกี
้ ฏาคิรช ้ พระพุทธเจฺาข้
ี ฺนบฺทนัน ้ า”

ชฺงสอบถามแล้วตําหนิ

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
[๔๓๓] ลําดับนัน ้ ชฺง
สอบถามภิกษุทังหลายว่า “ภิกษุทังหลาย ชาบว่า ภิกษุช่ ว่ ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะ
้ ่ น เปันภิกษุอลัชชี ชฺ่วชาม ญูใ
เปันเจฺาถิ ่ นกีฏาคิรีชฺนบฺท ปะพึดบํ่เหมาะสฺมเหันปานนี้ คื
ปูกไม้ดอกเองแด่ ใช้ผู้อ่ นปู ้
ื กแด่ ฮฺดนําเองแด่ ให้ผู้อ่ นฮฺ
ื ดแด่ เกับดอกไม้เองแด่ ใช้

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 430 / 430 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ผู้อ่ นเกั
ื บแด่ ฮ้อยดอกไม้เองแด่ ใช้ผู้อ่ นฮ้
ื อยแด่ เฮัดมาลัยตํ่ก้านเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ด
แด่ เฮัดมาลัยฮ฽งก้านเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ จัดดอกไม้ช่ ํเองแด่ ใช้ผู้อ่ นจั
ื ดแด่ เฮัด
ดอกไม้พุ่มเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ู้ ่ นเฮั
ดแด่ เฮัดดอกไม้มฺงกุดเองแด่ ใช้ผอ ื ดแด่ เฮัด
ดอกไม้พวงเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ เฮัดดอกไม้แผงปะดับเอิกเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่
ฯลฯ ปะพึดบํ่เหมาะสฺมต่างๆ แม่นพวกชาวบ้านที่เคียสัดทาเหลื้อมใส แต่ด฽วนี้บํ่สัด
ทาบํ่เหลื้อมใส ทานที่เคียถวายปะจําแก่สฺงฆ์ บัดนี้ ทายฺกทายิกาได้เชฺาถวายแล้ว ภิกษุ
ผู้มีศีลพากันจากไป ภิกษุผู้ช่ วชามญู
ฺ ค ่ อบคอง แม่นแท้บํ” ภิกษุทังหลายขาบทูลว่า
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
“แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้ ้ งตําหนิว่า “ภิกษุทังหลาย การ
กะทําของโมฆบุรุษเหลฺ่านันบํ ้ ่ สฺมควร ฯลฯ บํ่ควรทํา ภิกษุทังหลาย จั่งใดโมฆบุรุษ
้ ่ งปะพึดบํ่เหมาะสฺมญ่างนี้ คื ปูกไม้ดอกเองแด่ ใช้ผู้อ่ นปู
เหลฺ่านันจึ ้
ื กแด่ ฮฺดนําเองแด่
ให้ผู้อ่ นฮฺ
ื ดแด่ เกับดอกไม้เองแด่ ใช้ผู้อ่ นเกัื บแด่ ฮ้อยดอกไม้เองแด่ ใช้ผู้อ่ นฮ้
ื อย
แด่ เฮัดมาลัยตํ่ก้านเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ เฮัดมาลัยฮ฽งก้านเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่
จัดดอกไม้ช่ เองแด่
ํ ใช้ผู้อ่ นจั
ื ดแด่ เฮัดดอกไม้พุ่มเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ เฮัดดอกไม้
มฺงกุดเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ เฮัดดอกไม้พวงเองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ เฮัดดอกไม้แผง
ปะดับเอิก เองแด่ ใช้ผู้อ่ นเฮั
ื ดแด่ ภิกษุพวกนันนํ ื าไปแด่ช่ ง
้ าไปเองแด่ ใช้ผู้อ่ นนํ ึ
มาลัยตํ่ก้าน มาลัยฮ฽งก้าน ดอกไม้ช่ ํ ดอกบํ่พุ่ม ดอกไม้มฺงกุด ดอกไม้พวง ดอกไม้
แผงปะดับเอิก เพื่อกุลสตรี เพื่อกุลธิดา เพื่อกุลกุมารี เพื่อลูกใพ้ของตะกูน เพื่อทาส
้ นอาหารในภาชนะด฽วกันแด่ ดื่มนําในขั
ยิงในตะกูน ภิกษุพวกนันฉั ้ นใบด฽วกันแด่
นั่งเทิงอาสนะด฽วกันแด่ นอนเทิงต฽งด฽วกันแด่ นอนฮ่วมเคื่องลาดด฽วกันแด่นอนคุม
ผ้าหฺ่มผืนด฽วกันแด่ นอนฮ่วมเคื่องลาดและคุมผ้าหฺ่มฮ่วมกันแด่กับกุลสตรี กุลธิดา กุล
กุมารี ลูกใพ้ของตะกูน ทาสยิงในตะกูน ภิกษุพวกนันฉั้ นอาหารในเวลาวิกาลแด่ ดื่ม
้ าแด่ ทัดชฺงดอกไม้ของหอมและเคื่องลูบไล้แด่ ฟ้ อนลําแด่ ขับฮ้องแด่ ปะสาน
นําเมฺ
้ าแด่ ฟ้ อนลํากับยิงฟ้ อนลําแด่ ขับฮ้องกับยิงฟ้ อนลําแด่ ปะสานส฽งกับยิง
ส฽งแด่ เตันลํ
้ ากับยิงฟ้ อนลําแด่ ฟ้ อนลํากับยิงขับฮ้องแด่ ขับฮ้องกับยิงขับฮ้องแด่
ฟ้ อนลําแด่ เตันลํ
ปะสานส฽งกับยิงขับฮ้องแด่ เตันลํ ้ ากับยิงขับฮ้องแด่ ฟ้ อนลํากับยิงปะสานส฽งแด่ ขับ
ฮ้องกับยิงปะสานส฽งแด่ ปะสานส฽งกับยิงปะสานส฽งแด่ เตันลํ ้ ากับยิงปะสานส฽งแด่
้ าแด่ ขับฮ้องกับยิงเตันลํ
ฟ้ อนลํากับยิงเตันลํ ้ าแด่ ปะสานส฽งกับยิงเตันลํ
้ าแด่ เตันลํ
้ ากับ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 431 / 431

ยิงเตันลํ ้
้ าแด่ หลินหมากรุ ้
กแถวละ ๘ ตาแด่ แถวละ ๑๐ ตาแด่ หลินหมากเกั บแด่
้ งนางแด่ หลินหมากไหวแด่
หลินชิ ้ ้
หลินโยนห่ ้
วงแด่ หลินไม้ ห่ งแด่
ึ ้
หลินฟาดให้

เปันฮูบต่างๆ แด่ หลินสกาแด่ ้ ้
่ าใบไม้แด่ หลินไถน้
หลินเปฺ ้ มคะเมน
อยๆ แด่ หลินลฺ ้

แด่ หลินไม้ ้
กังหันแด่ หลินตวงชายด้ ้ ดน้อยๆ แด่ หลินธนู
วยใบไม้แด่ หลินรฺ ้ น้อยๆ

แด่ หลินข฽นทวายแด่ ้
หลินทวายใจแด่ ้ ล฽นคฺ
หลินลํ ้ นพิการแด่ หัดขี่ช้างแด่ หัดขี่ม้า
แด่ หัดขี่รฺดแด่ หัดยิงธนูแด่ หัดเพงอาวุธแด่ แล่นผัดป่ ฽นช้างแด่ แล่นผัดป่ ฽นม้าแด่
แล่นผัดป่ ฽นรฺดแด่ แล่นขับกันแด่ แล่นป้ ฽วแด่ ผิวปากแด่ ตฺบมืแด่ ปํ ้ากันแด่ ตีมวย
แด่ ปูลาดผ้าสังฆาฏิท่ามกางเวทีเตันลํ ้ บยิงฟ้ อนลําญ่างนี้ว่า “น้องยิง ท่านจฺ่
้ าแล้วเวฺากั
งฟ้ อนลําในที่นี้” ดั่งนี้แล้ว ให้การคํานับแด่ ปะพึดบํ่เหมาะสฺมต่างๆแด่ ภิกษุทังหลาย
การกะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ คฺนที่เหลื้อมใสญู่
แล้วบางพวกกํจะกายเปันอื่นไป”

ฮับสั่งให้ทําปัพพาชนียกัม

พระผู้มีพระภาคชฺงตําหนิภิกษุช่ ว่
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะโดยปะการต่างๆ แล้วฮับสั่งฮ฽
กพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมาตรัสว่า “ไปเถีด สารีบุตร โมคคัลลานะ ท่านทัง
สองจฺ่งไปกีฏาคิรชี ฺนบฺท จฺ่งทําปัพพาชนียกัม ภิกษุช่ ว่
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะไปจากกีฏา
คีรช ้
ี ฺนบฺท เพาะภิกษุพวกนันเปั นสัทธิวิหาริกของท่านทังสอง” พระสารีบุตรและพระ
โมคคัลลานะขาบทูลถามว่า “พระพุทธเจฺาข้ ้ า ข้าพระพุทธเจฺาจะทํ
้ าปัพพาชนีย กัมแก่
ภิกษุช่ ว่
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะได้ญ่างใด เพาะพวกท่าน"โหดฮ้าย หยาบคาย” พระผู้มี
พระภาคตรัสว่า “ถ้าญ่างนัน ้ ท่านจฺ่งไปกับภิกษุหลายๆ ฮูบ” พระเถระทังสอง ทูลฮับ
สนองพระพุทธดํารัสแล้ว

วิทีทําปัพพาชนียกัม และกัมวาจาทําปัพพาชนียกัม

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ภิกษุทังหลาย เพิงทําปัพพาชนียกัมญ่างนี้ เลี้มด้วยเพิงโจท


ภิกษุช่ ว่
ื า อัสสชิและปุนัพพสุกะ คันแล้วให้พวกท่านให้การ เมื่อพวกท่านให้การแล้ว
จึ่งปับอาบัติ คันปับอาบัติแล้ว ภิกษุผู้สลาดสามาดเพิงปะกาดให้สฺงฆ์ชาบว่า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 432 / 432 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ ว่
[๔๓๔] ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะ ๒ ฮูบนี้
ปะทุษฮ้ายตะกูน ปะพึดชฺ่วชาม ความปะพึดชฺ่วชามของพวกท่าน เขฺาได้เหันและได้ยิน
กันทฺ่ว และตะกูนทังหลายที่ถืกพวกท่านปะทุษฮ้าย เขฺากํได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว
ถ้าสฺงฆ์พ้อมกันแล้วกํเพิงทําปัพพาชนียกัมภิกษุช่ ว่
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะ ไปจากกีฏา
คิรีชฺนบฺทโดยปะกาดว่า ‘ภิกษุช่ อั ื สสชิและปุนัพพสุกะบํ่เพิงญูใ่ นกีฏาคิรีชฺนบฺท’ นี้เปัน
ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ ว่
ญัตติ ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะประทุษฮ้ายตะ
กูน ปะพึดชฺ่วชาม ความปะพึดของพวกท่าน เขฺาได้เหันและได้ยน ิ กันทฺ่ว และตะกูนทัง
หลายที่ถืกพวกท่านปะทุษฮ้าย เขฺากํได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว สฺงฆ์ทําปัพพาชนียกัมพวก
ท่านไปจากกีฏาคิรช ี ฺนบฺทโดยปะกาดว่า ‘ภิกษุช่ ว่
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะ บํ่เพิงญู่ในกีฏา
คิรีชฺนบฺท’ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการทําปัพพาชนียกัมภิกษุช่ ว่ ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะ
ไปจากกีฏาคิรีชฺนบฺทโดยปะกาดว่า ‘ภิกษุช่ ว่ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะบํ่เพิงญูใ
่ นกีฏาคิรีชฺ

นบฺท’ ท่านฮูบนันเพิ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ
้ ้
งทักท้วง” แม่นคังที ๒

ฯลฯ แม่นคังที ้ ก่าวความนี้ว่า ท่านขน้อย ขํสฺงฆ์จ่ งฟั
๓ ข้าพะเจฺากํ ฺ งข้าพะเจฺา้ ฯลฯ ท่าน

ฮูบนันเพิ งทักท้วงปัพพาชนียกัม ไปจากกีฏาคิรีชฺนบฺท สฺงฆ์ทําแล้วแก่ภิกษุช่ ว่ื าอัสสชิ
และปุนัพพสุกะโดยปะกาดว่า ‘ภิกษุช่ ว่ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะบํ่เพิงญูใ
่ นกีฏาคิรีชฺนบฺท’
้ ่ งนิ่ง ข้าพะเจฺาขํ
สฺงฆ์เหันด้วย เพาะสะนันจึ ้ ถเื อฺาความนิ่งนันเปั
้ นมติญ่างนี้”

[๔๓๕] ลําดับนัน้ ภิกษุสฺงฆ์มีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเปันปะทาน เดีนทาง


ไปกีฏาคิรีชฺนบฺท ได้ทําปัพพาชนียกัมภิกษุช่ ว่
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะไปจากกีฏาคิรีชฺนบฺท
โดยปะกาดว่า “ภิกษุช่ ว่
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะบํ่เพิงญู่ในกีฏาคิรีชฺนบฺท” ภิกษุพวก
้ กสฺงฆ์ทําปัพพาชนียกัมแล้วกํยังบํ่ปะพึดชอบ บํ่เชฺาจองหอง บํ่ปะพึดกับตฺว บํ่ขํขมา
นันถื
ภิกษุทังหลาย ยังด่ายังบํริภาษการกสฺงฆ์ ท฽วใส่ความว่าการกสฺงฆ์ลําอ฽งเพาะความพํ
ใจ ลําอ฽งเพาะความขัดเคือง ลําอ฽ง
เพาะความหลฺง ลําอ฽งเพาะความญ้าน บันดาบํริวารของภิกษุช่ ว่
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะ
บางพวกหลีกไปเสั฽กํมี สิกเสั฽กํมบ ี ันดาภิกษุผู้มักน้อย ฯลฯ พากันตําหนิ ปะนาม
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะถืกสฺงฆ์ทําปัพพาชนียกัมแล้วจึ่งบํ่ยอม
โพนทะนาว่า “จั่งใดภิกษุช่ ว่
ปะพึดชอบ บํ่เชฺาจองหอง บํ่ปะพึดกับตฺว บํ่ขํขมาภิกษุทังหลาย ยังด่ายังบํริภาษ
การกสฺงฆ์ ท฽วใส่ความว่าการกสฺงฆ์ลําอ฽งเพาะความพํใจ ลําอ฽งเพาะความขัดเคืองลํา

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 433 / 433

อ฽งเพาะความหลฺง ลําอ฽งเพาะความญ้าน บันดาบํริวารของภิกษุช่ ืว่าอัสสชิและปุนัพพสุ


ี ะ” คันภิกษุเหลฺ่านัน
กะ บางพวกหลีกไปเสั฽กํมี สิกเสั฽กํมล ้
ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ไปขาบทูลพระผู้
ตําหนิภิกษุช่ ว่
มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามภิกษุ
ทังหลายว่า “ภิกษุทังหลาย ชาบว่าภิกษุช่ ว่ื าอัสสชิและปุนัพพสุกะถืกสฺงฆ์ทําปัพพา
ชนียกัมแล้ว ยังบํ่ปะพึดชอบ ฯลฯ สิกไปกํมี แม่นแท้บํ” ภิกษุเหลฺ่านันทู
้ ลฮับว่า “แม่น
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
แท้พระพุทธเจฺาข้ ้ งตําหนิว่า “ภิกษุทังหลาย การกะทํา
ของโมฆบุรุษเหลฺ่านันบํ ้ ่ สฺมควร ฯลฯ บํ่ควรทํา ภิกษุทังหลาย จั่งใดโมฆบุรุษเหลฺ่า
้ กสฺงฆ์ลฺงปัพพาชนียกัมแล้ว ยังบํ่ปะพึดชอบ ฯลฯ สิกไปกํมล
นันถื ี ะ ภิกษุทังหลาย การ
กะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุ

ทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดง ดั่งนี้

พระบันญัต

[๔๓๖] กํ ภิกษุญอ ู่ าศัยหมู่บ้านหลืนิคฺมแห่งใดแห่งนึ่ง ปะทุษฮ้ายตะกูน มีความ


ปะพึดชฺ่วชาม ความปะพึดชฺ่วชามของท่าน เขฺาได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว ตะกูนทังหลาย
ที่ท่านปะทุษฮ้าย เขฺากํได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว ภิกษุนนอั
ั ้ นภิกษุทังหลายเพิงว่าก่าว
ตักเตือนญ่างนี้ว่า “ท่านปะทุษฮ้ายตะกูน ปะพึดชฺ่วชาม ความปะพึดชฺ่วชามของท่าน เขฺา
ได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว ตะกูนทังหลายที่ท่านปะทุษฮ้าย เขฺากํได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว
่ ่ นี
ท่านจฺ่งออกจากอาวาสนี้ ญ่าญูท ี ้” และภิกษุนนอั ่ ่างนี้
ั ้ นภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนญูญ
กํโต้ตอบภิกษุทังหลายว่า “พวกภิกษุลําอ฽งเพาะความพํใจ ลําอ฽งเพาะความขัดเคือง
ลําอ฽งเพาะความหลฺง และลําอ฽งเพาะความญ้าน ขับภิกษุบางฮูบ บํ่ขับบางฮูบ เพาะ
อาบัตญ ั ้ นภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือนญ่างนี้ว่า “ท่านญ่าเวฺาญ่
ิ ่างด฽วกัน” ภิกษุนนอั ้
้ างนัน
ภิกษุทังหลายบํ่ลําอ฽งเพาะความพํใจ บํ่ลําอ฽งเพาะความขัดเคือง บํ่ลําอ฽งเพาะ
ความหลฺง และ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 434 / 434 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

บํ่ลําอ฽งเพาะความญ้าน ท่านปะทุษฮ้ายตะกูน ปะพึดชฺ่วชาม ความปะพึดชฺ่วชามของท่าน


เขฺาได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว ตะกูนทังหลายที่ท่านปะทุษฮ้าย เขฺากํได้เหันและได้ยิน
กันทฺ่ว ท่านจฺ่งออกจากอาวาสนี้ ญ่าญูท ่ ่ นี
ี ้” ภิกษุนนอั
ั ้ นภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือน
่ ่างนี้ กํยังยฺกย้องญูญ
ญูญ ้ ภิกษุนนอั
่ ่างนัน ั ้ นภิกษุทังหลายเพิงสวดสมนุภาสน์จน ฺ คฺบ ๓ คัง้
เพื่อให้สละเรื้องนัน ้ ถ้าท่านกําลัง ถืกสวดสมนุภาสน์ก่อนจะคฺบ ๓ คัง้ สละเรื้องนันได้ ้
้ นการดี ถ้าท่านบํ่สละ เปันสังฆาทิเสส
นันเปั

เรื้องภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

[๔๓๗] คําว่า กํภิกษุ...หมู่บ้านหลืนิคฺมแห่งใดแห่งนึ่ง ความว่า หมู่บ้านกํดี นิคฺมกํดี


เมืองกํดี ชื่ว่าหมู่บ้านและนิคฺม
่ าศัย คื จีวอน บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบํริขารเนื่องใน
คําว่า ญูอ
หมู่บ้านและนิคฺมนัน้
ชื่ว่า ตะกูน หมายเถิงตะกูน ๔ ได้แก่ ตะกูนกษัตริย์ ตะกูนพรามณ์ตะกูนแพศย์และตะ
กูนศูทร

คําว่า ปะทุษฮ้ายตะกูน คื ปะทุษฮ้ายตะกูนด้วยดอกไม้ ผฺลไม้ แป้ ง ดินหน฽ว ไม้ถู


แข้ว ไม้ไผ่ การแพทย์หลืการสื่สาร
คําว่า มีความปะพึดชฺ่วชาม คื ปูกไม้ดอกเองแด่ ใช้ผู้อ่ นปู ้
ื กแด่ ฮฺดนําเองแด่ ใช้ผู้อ่ น

ฮฺดแด่ เกับดอกไม้เองแด่ ใช้ผู้อ่ นเกั
ื บแด่ ฮ้อยดอกไม้เองแด่ ใช้ผู้อ่ นฮ้ ื อยแด่
คําว่า เขฺาได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว คื กุ่มชฺนที่ญูส
่ ะเพาะหน้าชื่ว่า ได้เหันกุ่มชฺนที่ญูล
่ ับ
หลัง ชื่ว่าได้ยิน
คําว่า ตะกูนทังหลายที่ท่านปะทุษฮ้าย คื เมื่อก่อนชาวบ้านมีสัดทากับกายเปันผู้บ่ มี
ํ สัดทา
เมื่อก่อนเหลื้อมใสกับกายเปันผู้บ่ เหลื
ํ ้อมใส เพาะภิกษุนนั้
คําว่า เขฺาได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว คื กุ่มชฺนที่ญูส
่ ะเพาะหน้าชื่ว่าได้เหัน กุ่มชฺนที่ญูล
่ ับ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 435 / 435

หลังชื่ว่าได้ยิน
ั ้ ได้แก่ ภิกษุผู้ปะทุษฮ้ายตะกูน
คําว่า ภิกษุนน
คําว่า อันภิกษุทังหลาย ได้แก่ อันภิกษุเหลฺ่าอื่น
อธิบายว่า ภิกษุผู้ได้เหัน ผู้ได้ยินเพิงว่าก่าวตักเตือนภิกษุผู้ปะทุษฮ้ายตะกูนว่า “ท่าน
ปะทุษฮ้ายตะกูน ปะพึดชฺ่วชาม ความปะพึดชฺ่วชามของท่าน เขฺาได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว
ตะกูนทังหลายที่ท่านปะทุษฮ้าย เขฺากํได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว ท่านจฺ่งออกจากอาวาสนี้
่ ่ นี
ญ่าญูท ี ้” ภิกษุนนอั
ั ้ นภิกษุทังหลายว่าก่าวตักเตือน กํโต้ตอบภิกษุทังหลายว่า “พวก
ภิกษุลําอ฽งเพาะความพํใจ ลําอ฽งเพาะความขัดเคือง ลําอ฽งเพาะความหลฺงลําอ฽งเพาะ
ความญ้าน ขับภิกษุบางฮูบ บํ่ขับบางฮูบ เพาะอาบัติญ่างด฽วกัน”
ั ้ ได้แก่ ภิกษุผู้ท่ ีถืกลฺงโทษนัน
คําว่า ภิกษุนน ้
คําว่า อันภิกษุทังหลาย ได้แก่ อันภิกษุเหลฺ่าอื่น
อธิบายว่า ภิกษุผู้ได้เหัน ผู้ได้ยินเพิงว่าก่าวตักเตือนภิกษุผู้ปะทุษฮ้ายตะกูนว่า “ท่านญ่า
้ ภิกษุทังหลายบํ่ลําอ฽งเพาะความพํใจ บํ่ลําอ฽งเพาะความขัดเคือง บํ่ลําอ฽ง
เวฺา้ ญ่างนัน
เพาะความหลฺง บํ่ลําอ฽งเพาะความญ้าน ท่านประทุษฮ้ายตะกูน ปะพึดชฺ่วชาม ความ
ปะพึดชฺ่วชามของท่าน เขฺาได้เหันและได้ยน ิ กันทฺ่ว ตะกูนทังหลายที่ท่านปะทุษฮ้าย
่ ่ นี
เขฺากํได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว ท่านจฺ่งออกจากอาวาสนี้ ญ่าญูท ี ้” เพิงว่าก่าวตักเตือน

แม่นคังที ้
๒ เพิงว่าก่าวตักเตือนท่านแม่นคังที ้
๓ ถ้าท่านสละได้ นันเปั นการดี ถ้าบํ่
สละ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุทังหลายได้ยินแล้วบํ่ว่าก่าวตักเตือน ต้องอาบัติทุกกฏ
ั ้ นภิกษุทังหลายเพิงคุมตฺวมาสูท
ภิกษุนนอั ้ าง
่ ่ามกางสฺงฆ์ว่าก่าวตักเตือนว่า “ท่านญ่าเวฺาญ่
้ ภิกษุทังหลายบํ่ลําอ฽งเพาะความพํใจ บํ่ลําอ฽งเพาะความขัดเคือง บํ่ลําอ฽งเพาะ
นัน
ความ หลฺง บํ่ลําอ฽งเพาะความญ้าน ท่านปะทุษฮ้ายตะกูน ปะพึดชฺ่วชามความปะพึดชฺ่ว
ชามของท่าน เขฺาได้เหันและได้ยินกันทฺ่ว ตะกูนทังหลายที่ท่านปะทุษฮ้าย เขฺากํได้
่ ่ นี
เหันและได้ยินกันทฺ่ว ท่านจฺ่งออกจากอาวาสนี้ ญ่าญูท ี ้” เพิงว่าก่าวตักเตือนท่านแม่น

คังที ้
๒ เพิงว่าก่าวตักเตือนท่านแม่นคังที ้ นการดี ถ้าบํ่สละ
๓ ถ้าท่านสละได้ นันเปั
ต้องอาบัติทุกกฏ สฺงฆ์เพิงสวดสมนุภาสน์ท่าน

วิทีสวดสมนุภาสน์ และกัมวาจาสวดสมนุภาสน์

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 436 / 436 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ั ้ างนี้ คื ภิกษุผู้สลาดสามาดเพิงปะกาดให้สฺงฆ์ชาบว่า
สฺงฆ์เพิงสวดสมนุภาสน์ภิกษุนนญ่

ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
[๔๓๘] ท่านผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ ถืกสฺงฆ์ทําปัพพาชนียกัมแล้วใส่
ความภิกษุทังหลายว่ามีความลําอ฽งเพาะความพํใจ มีความลําอ฽งเพาะความขัดเคือง มี
ั ้ ่ ยอมสละเรื้องนัน
ความลําอ฽งเพาะความหลฺง มีความลําอ฽งเพาะความญ้านภิกษุนนบํ ้
ถ้าสฺงฆ์พ้อมกันแล้วกํเพิงสวดสมนุภาสน์ภิกษุช่ นี ื ้ เพื่อให้สละเรื้องนัน
้ นี้เปันญัตติ ท่าน
ฺ งข้าพะเจฺา้ ภิกษุช่ นี
ผู้จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ื ้ถืกสฺงฆ์ทําปัพพาชนียกัมแล้วใส่ความภิกษุทัง
หลายว่า มีความลําอ฽งเพาะความพํใจ มีความลําอ฽งเพาะความขัดเคือง มีความลําอ฽ง
ั ้ ่ ยอมสละเรื้องนัน
เพาะความหลฺง มีความลําอ฽งเพาะความญ้านภิกษุนนบํ ้ สฺงฆ์สวดสมนุ
ภาสน์ท่านเพื่อให้สละเรื้องนัน
้ ท่านฮูบใดเหันด้วยกับการสวดสมนุภาสน์ภิกษุช่ นี ื ้
เพื่อให้สละเรื้องนัน
้ ท่านฮูบนันเพิ
้ งนิ่ง ท่านฮูบใดบํ่เหันด้วย ท่านฮูบนันเพิ
้ งทักท้วง
้ าวความนี้แม่นคังที
ข้าพะเจฺาก่ ้ ้ าวความนี้แม่นคังที
๒ ฯลฯ ข้าพะเจฺาก่ ้ ๓ ว่า ท่านผู้
จะเรีน ขํสฺงฆ์จ่ งฟั ้
ฺ งข้าพะเจฺา้ ฯลฯ ท่านฮูบนันเพิ งทักท้วงภิกษุช่ นี
ื ้สฺงฆ์สวดสมนุภาสน์
แล้วเพื่อ ให้สละเรื้องนัน ้ ่ งนิ่ง ข้าพะเจฺาขํ
้ สฺงฆ์เหันด้วย เพาะสะนันจึ ้ ถเื อฺาความนิ่งนัน

เปันมติญ่างนี้

[๔๓๙] จฺบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จฺบกัมวาจา ๒ คัง้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย จฺบกัมวาจา


ิ ังฆาทิเสส เมื่อท่านต้องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติทุกกฏ(ที่ต้อง)
้ ดท้าย ต้องอาบัตส
คังสุ
เพาะญัตติ อาบัติถุล ลัจจัย(ที่ต้อง) เพาะกัมวาจา ๒ คัง้ ย่อมระงับไป
คําว่า เปันสังฆาทิเสส ความว่า สําลับอาบัตินน ั ้ สฺงฆ์เทฺ่านันให้
้ ้
ปริวาส ชักเขฺาหาอาบั ติ

เดีม ให้มานัตและฮ฽กเขฺาหมู ่ คณะทําบํ่ได้ ภิกษุฮูบด฽วกํทําบํ่ได้ สะนัน้ จึ่งตรัสว่า
“เปันสังฆาทิเสส”
คําว่า เปันสังฆาทิเสส นัน้ เปันการขนานนาม เปันคําฮ฽กหมวดอาบัตินน ั ้ โดยอ้อม

นันเอง เพาะเหตุนนั ้ พระผู้มีพระภาคจึ่งตรัสฮ฽กว่า “เปันสังฆาทิเสส”

บทภาชนีย์

[๔๔๐] กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําถืกต้อง บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจ บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 437 / 437

กัมที่ทําถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําบํ่ถืกต้อง บํ่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําถืกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุบ่ แน่
ํ ใจ ต้องอาบัติทุกกฏ
กัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ภิกษุสําคันว่าเปันกัมที่ทําบํ่ถืกต้อง ต้องอาบัติทุกกฏ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑๓. กุลทูสกสิกขาบฺท บฺทสรุป


อนาปัตติวาร

้บํ่ต้องอาบัติ คื
ภิกษุต่ ไปนี

[๔๔๑] ๑. ภิกษุยังบํ่ถืกสวดสมนุภาสน์
๒. ภิกษุผู้ยอมสละ
๓. ภิกษุวิกฺลจิต
ฺ้ นญัต
๔. ภิกษุตนบั

กุลทูสกสิกขาบฺทที ๑๓ จฺบ

บฺทสรุป

[๔๔๒] ท่านทังหลาย ธัมคืสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบฺท ข้าพะเจฺายฺ ้


้ กขึนสะแดงแล้ ว คื ๙
สิกขาบฺทแรกต้องอาบัติในขณะที่ล่วงละเมิดทีด฽ว ๔ สิกขาบฺทหลังต้องอาบัติเมื่อสวด
สมนุภาสน์คฺบ ๓ คัง้ ภิกษุต้องอาบัติขใดขํ
ํ้ ้ ่ งแล้ว ฮูญ
นึ ้ แ ิ้ านวนวันเทฺ่าใด
ู่ ต่ปกปิดไว้สนจํ
ั้
ภิกษุนนเพิ ้ นเทฺ่านัน
่ ริวาสด้วยความบํ่ปราถนาสินวั
งญูป ้ ภิกษุญป ู่ ริวาสแล้วต้องปะพึ
ดวัตรเพื่อมานัตสําลับภิกษุเพิ่มขึนอี
้ ก ๖

ราตรี ภิกษุผู้ปะพึดมานัตแล้วถืกสฺงฆ์ฮ฽กเขฺาหมู ่ในสีมามีภิกษุสฺงฆ์ ๒๐ ฮูบ ถ้าภิกษุสฺงฆ์
๒๐ ฮูบ ขาดไปแม่นพຽง ๑ ฮูบ ฮ฽กภิกษุนนเขฺ ั้ ้
าหมู ั ้ ่ เปันอันสฺงฆ์ฮ฽กเขฺาหมู
่ ภิกษุนนบํ ้ ่
และภิกษุเหลฺ่านันควรถื
้ กตําหนิ นี้เปันการทําที่สฺมควรในกัมนัน
้ ข้าพะเจฺาขํ
้ ถามท่านทัง
หลายในธัมคืสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบฺทนันว่ ้ า “ท่านทังหลายบํรส ิ ุดธ์แล้วหลื”

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 438 / 438 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

้ ถามเปันคังที
ข้าพะเจฺาขํ ้ ๒ ว่า “ท่านทังหลายบํริสุดธ์แล้วหลื”
้ ถามเปันคังที
ข้าพะเจฺาขํ ้ ๓ ว่า “ท่านทังหลายบํริสุดธ์แล้วหลื”
้ ่ งนิ่ง ข้า
ท่านทังหลายบํริสุดธ์แล้วในธัมคืสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบฺทนี้ เพาะสะนันจึ
้ ถค
พะเจฺาขํ ื วามนิ่งนันเปั
้ นมติญ่างนี้

เตรสกัณฑ์ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๒. สังฆาทิเสสกัณฑ์] ๑๓. กุลทูสกสิกขาบฺท ฮวมสิกขาบฺท


ที่มีในสังฆาทิเสสกัณฑ์
ฮวมสิกขาบฺทที่มีในสังฆาทิเสสกัณฑ์

สังฆาทิเสสกัณฑ์มี ๑๓ สิกขาบฺท คื

๑. สุกกวิสัฏฐิสิกขาบฺท ว่าด้วยการจฺงใจทํานําอสุ จิให้เคื่อน
๒. กายสังสัคคสิกขาบฺท ว่าด้วยการถืกต้องกายกับมาตุคาม
้ ຽวยิง
๓. ทุฏฐุ ลลวาจาสิกขาบฺท ว่าด้วยการเวฺาก้
๔. อัตตกามปาริจริยสิกขาบฺท ว่าด้วยการให้บําเรีความใค่ของตฺน
๕. สัญจริตตสิกขาบฺท ว่าด้วยการชักสื่อ
๖. กุฏิการสิกขาบฺท ว่าด้วยการกํ่ส้างกุติ
๗. วิหารการสิกขาบฺท ว่าด้วยการส้างวิหาร
๘. ปฐมทุฏฐโทสสิกขาบฺท ว่าด้วยภิกษุขัดเคืองมีโทสะ สิกขาบฺทที ๑
๙. ทุติยทุฏฐโทสสิกขาบฺท ว่าด้วยภิกษุขัดเคืองมีโทสะ สิกขาบฺทที ๒
๑๐. สังฆเภทสิกขาบฺท ว่าด้วยการทําสฺงฆ์ให้แตกกัน
๑๑. สังฆเภทานุวัตตกสิกขาบฺท ว่าด้วยภิกษุปะพึดตามและก่าวสนับสนุน
ภิกษุผู้ทําสฺงฆ์ให้แตกกัน
๑๒. ทุพพจสิกขาบฺท ว่าด้วยภิกษุเปันคฺนว่ายาก
๑๓. กุลทูสกสิกขาบฺท ว่าด้วยภิกษุผู้ปะทุษฮ้ายตะกูน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 439 / 439

สังฆาทิเสสกัณฑ์ จฺบ

พระวินัยปิฎฺก มหาวิภังค์ [๓. อนิยตกัณฑ์] ๑. ปฐมอนิยตสิกขาบฺท นิทานวัตถุ


๓. อนิยตกัณฑ์

ท่านทังหลาย ธัมคือนิยต ๒ สิกขาบฺทเหลฺ่านี้ มาเถิงวาระที่จะยฺกขึนสะแดงเปั


้ นขํ ้ ๆ
ตามลําดับ

๑. ปฐมอนิยตสิกขาบฺท
ว่าด้วยการนั่งในที่ลับตากับยิงสองตํ่สอง
เรื้องพระอุทายี

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๔๔๓] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเชตวัน อาฮามของอนาถบิณ
้ น
ฑิกเสดถี เขตกุงสาวัตถี คังนั ้ ท่านพระอุทายีเปันพระปะจําตะกูนในกุงสาวัตถี ไปมา
หาสู่ตะกูนทังหลาย สมัยนัน ้ ยิงสาวตะกูนอุปฏ ั ฐากของท่านพระอุทายีอันมารดาบิดา
ได้ยฺกให้ชายหนุ่มตะกูนนึ่ง เวลาเชฺามื
้ ้นึ่ง ท่านพระอุทายีคองอันตรวาสก ถืบาตรและจี
วอนไปที่ตะกูนนัน
้ คันเถิงแล้วถามชาวบ้านว่า “ยิงสาวชื่นี้ไปใส” ชาวบ้านตอบว่า
้ เปันอุปัฏฐากของท่านพระอุทา
“เขฺายฺกให้ชายหนุ่มตะกูนพุ้นไปแล้ว ขน้อย” ตะกูนนันกํ
ยี ท่านจึ่งไปที่นันถามว่
้ า “ยิงสาวชื่นี้ญูใ
่ ส” ชาวบ้านตอบว่า “นางนั่งญูใ
่ นห้องขน้อย”

ท่านพระอุทายีเขฺาไปหายิ ้ นั่งเทิงอาสนะที่กําบังในที่ลับพํจะทําการได้เจรจา
งสาวนัน
้ ่ สอง
ก่าวธัมเหมาะแก่กาลกับยิงสาวนันสองตํ

นางวิสาขามิคารมารดาตําหนิพระอุทายี

้ นางวิสาขามิคารมารดา มีบุตรหลานมาก มีบุตรหลานล้วนบํ่มีโรค ได้ฮับยฺ


สมัยนัน
กย้องว่าเปันมิ่งมุงคุล พวกชาวบ้านเชีนนางวิสาขาไปบํริโภคเปันคฺนทําอิดในงานบุน งา
นมหํรสฺพ งานสลอง นางวิสาขามิคารมารดาได้ฮับเชีนไปสูต ้ นางได้เหันท่าน
่ ะกูนนัน
พระอุทายีน่ งเทิ
ั งอาสนะที่กําบังในที่ลับพํจะทําการได้กับยิงสาว คันเหันแล้วจึ่งก่าวกับ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 440 / 440 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ท่านพระอุทายีว่า “พระคุณเจฺา้ การที่ท่านนั่งเทิงอาสนะที่กําบังในที่ลับ พํจะทําการได้


กับมาตุคามสองตํ่สองเชั่นนี้ บํ่เหมาะ บํ่สฺมควร ท่านบํ่
้ แม่นแท้เถิงญ่างนัน
ปราถนาด้วยธัมนันกํ ้ ชาวบ้านที่ยังบํ่เหลื้อมใสกํเฮัดให้ เชื่อยาก”
ํ ่ อ นางวิสาขาจึ่งออกไปบอก
ท่านพระอุทายี แม่นถืกนางวิสาขาว่าก่าวตักเตือนกํบ่ เชื
เรื้องนันให้
้ ภิกษุทังหลายชาบ บันดาภิกษุผมู้ ักน้อยสันโดษ ฯลฯ พากันตําหนิ ปะนาม
โพนทะนาว่า “จั่งใดท่านพระอุทายีจ่ งนั
ึ ่ งเทิงอาสนะที่กําบังในที่ลับพํจะทําการได้กับ
มาตุคามสองตํ่สองละ” คันภิกษุทังหลายตําหนิท่านพระอุทายีโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่ง
นําเรื้องนี้ขาบทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามท่าน
พระอุทายีว่า “อุทายี ชาบว่า ท่านนั่งเทิงอาสนะที่กําบังในที่ลับพํจะทําการได้กับ
มาตุคามสองตํ่สอง แม่นแท้บํ” ท่านทูลฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้
้ า” พระผู้มีพระ
้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษ การกะทําของท่านบํ่สฺมควร บํ่ค้อยตาม ฯลฯ โมฆ
ภาคพุทธเจฺาชฺ
บุรุษ จั่งใดท่านจึ่งนั่งเทิงอาสนะที่กําบังในที่ลับพํจะทําการได้กับมาตุคาม สองตํ่สองละ
โมฆบุรุษ การกะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่ง

ฮับสั่งให้ภิกษุทังหลายยฺกสิกขาบฺทนี้ขึนสะแดง ดั่งนี้

พระบันญัต

บันดาอาบัติ ๓ ญ่าง คื ปาราชิก สังฆาทิเสส หลืปาจิตตีย์ อีกญ่างนึ่ง อุบาสิกาผู้มีวาจา


เชื่อถืได้นน
ั ้ ก่าวโทษด้วยอาบัติใด ภิกษุนันเพิ
้ ั ้ อาบัติน้ีชื่ว่า
งถืกปับด้วยอาบัตินน
อนิยต

เรื้องพระอุทายี จฺบ

สิกขาบฺทวิภังค์

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 441 / 441

[๔๔๕] คําว่า กํ...ใด คื ผู้ใด ผู้เชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีภาคตรัสว่า กํ...ใด


คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ที่ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผูม
้ ีพระภาคชฺงปะสฺงค์
เอฺาว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
ที่ชื่ว่า มาตุคาม ได้แก่ ยิงมนุษย์ บํ่แม่นนางยักษ์ บํ่แม่นนางเผด บํ่แม่นสัตว์เดั฽ระสาน
ั้
โตแม่ ยิงมนุษย์นนโดยที ่ สุดจฺนเมื่อเด็กยิงชึ่งเกีดในวันนัน
้ ยิงใหย่กว่านี้บํ่ต้องก่าว
เถิง
คําว่า กับ คื โดยความเปันอันด฽วกัน
คําว่า สองตํ่สอง ได้แก่ ภิกษุกับมาตุคาม
ที่ชื่ว่า ที่ลับ ได้แก่ ที่ลับตาและลับหู ที่ชื่ว่า ที่ลับตา หมายเถิง ที่ชึ่งเมื่อบุคคฺลขยิบ

ตา ยักคิวหลื ้ ใผๆ กํบ่ สามาดแลเหั
งึกสีษะขึน ํ นได้ ที่ชื่ว่า ที่ลับหู หมายเถิง ที่ชึ่งบํ่
มีใผสามาดได้ยินถ้อยคําที่เวฺากั้ นตามปฺกติได้
อาสนะที่ชื่ว่า ที่กําบัง คื อาสนะที่กําบังด้วยฝา บานปะตู เสื่อลําแพน ม่านตฺนไม้
้ เสฺา
หลืพ้อมญ่างใดญ่างนึ่ง
คําว่า พํจะทําการได้ คื อาจจะเสพเมถุ นธัมกันได้
คําว่า นั่ง หมายความว่า เมื่อมาตุคามนั่ง ภิกษุน่ งใก้
ั หลืนอนใก้ เมื่อภิกษุน่ ง
ั มาตุคาม
นั่งใก้หลืนอนใก้ หลืน่ งทั
ั งสองคฺน หลืนอนทังสองคฺน
ที่ชื่ว่า มีวาจาเชื่อถืได้ ถื ยิงผู้บันลุผฺล ผู้ตรัสฮูธ ้
้ ัม ผู้เขฺาใจศาสนาดี
ชื่ว่า อุบาสิกา ได้แก่ ยิงผู้เถิงพระพุทธเปันสรณะ เถิงพระธัมเปันสรณะ เถิงพระสฺงฆ์
เปันสรณะ
คําว่า ได้เหัน คื ได้พฺบ
อุบาสิกามีวาจาเชื่อถืได้ ก่าวโทษด้วยอาบัติญ่างใดญ่างนึ่ง บันดาอาบัติ ๓ ญ่าง คื
ปาราชิก สังฆาทิเสส หลืปาจิตตีย์ ภิกษุยอมฮับการนั่ง เพิงถืกปับ อาบัติญ่างใดญ่างนึ่ง
บันดาอาบัติ ๓ ญ่าง คื ปาราชิก สังฆาทิเสส หลืปาจิตตีย์ อีกปะการนึ่ง อุบาสิกาผู้มี
วาจาเชื่อถืนนก่
ั ้ าวโทษด้วยอาบัติใด ภิกษุนนเพิ
ั้ ั้
งถืกปับด้วยอาบัตินน

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 442 / 442 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

บฺทภาชนีย์
ปะติยานตกรณะ ๒
เหันกําลังนั่งเสพเมถุ น

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
[๔๔๖] ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งเสพเมถุ นกับ
ั ้ ยอมฮับการนั่งนัน
มาตุคาม” และภิกษุนนกํ ้ าวญ่างนี้ว่า
้ เพิงปับตามอาบัติ ถ้าอุบาสิกานันก่
้ าลังนั่งเสพเมถุ นกับมาตุคาม” ถ้าภิกษุนนก่
“ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมา
นั่งแม่นแท้แต่บ่ ได้
ํ เสพเมถุ นธัม” เพิงปับอาบัติเพาะนั่ง
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งเสพเมถุ นกับมาตุคาม” ถ้า
ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมาบํ่ได้น่ ง
ภิกษุนนก่ ั แต่นอน” เพิงปับอาบัติเพาะนอน
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งเสพเมถุ นกับมาตุคาม” ถ้า
ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมาบํ่ได้น่ ง
ภิกษุนนก่ ื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ
ั แต่ญน

เหันกําลังนอนเสพเมถุ น

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
[๔๔๗] ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนอนเสพเมถุ นกับ
ั้
มาตุคาม” และภิกษุนนยอมฮั บการนอนนัน ้ าวญ่างนี้ว่า
้ เพิงปับตามอาบัติ ถ้าอุบาสิกานันก่
ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมา
้ าลังนอนเสพเมถุ นกับมาตุคาม” ถ้าภิกษุนนก่
“ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
นอนแม่นแท้แต่บ่ ได้
ํ เสพเมถุ น” เพิงปับอาบัตเิ พาะนอน
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนอนเสพเมถุ นกับมาตุคาม” ถ้า
ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมาบํ่ได้นอน แต่น่ งญู
ภิกษุนนก่ ั ”่ เพิงปับอาบัติเพาะนั่ง
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนอนเสพเมถุ นกับมาตุคาม” ถ้า
ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมาบํ่ได้นอน แต่ญน
ภิกษุนนก่ ื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ

เหันกําลังนั่งถืกต้องกาย

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
[๔๔๘] ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งถืกต้องกายกับ
ั้
มาตุคาม” และภิกษุนนยอมฮั บการนั่งนัน้ เพิงปับตามอาบัติ
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งถืกต้องกายกับมาตุคาม” ถ้า

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 443 / 443

ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมานั่งแม่นแท้แต่บ่ ํได้ถืกต้องกาย” เพิงปับอาบัติเพาะการนั่ง


ภิกษุนนก่
ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้น่ ง ั แต่นอนญู”่ เพิงปับอาบัตเิ พาะนอน ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้น่ ง ั แต่ญน
ื ญู่”
บํ่เพิงปับอาบัติ

เหันกําลังนอนถืกต้องกาย

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนอนถืกต้องกายกับมาตุคาม”
ั้
และภิกษุนนยอมฮั บการนอนนัน ้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อย
้ เพิงปับตามอาบัติ ถ้าอุบาสิกานันก่
้ าลังนอนถืกต้องกายกับมาตุคาม” ถ้าภิกษุก่าวญ่างนี้ว่า “อาตมานอนแม่น
เหันพระคุณเจฺากํ
ํ ถืกต้องกาย” เพิงปับอาบัติเพาะนอน ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้นอนแต่น่ งญู
แท้แต่บ่ ได้ ั ”่ เพิงปับ
อาบัตเิ พาะนั่ง ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้นอน แต่ญน
ื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ

เหันนั่งในที่ลับ

้ ่ งเทิงอาสนะ ที่กําบังในที่
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺานั
[๔๔๙] ถ้าอุบาสิกานันก่
ั้
ลับพํจะทําการได้กับมาตุคามสองตํ่สอง” และภิกษุนนยอมฮั บการนั่งนัน
้ เพิงปับอาบัติ
เพาะนั่ง ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้น่ ง
ั แต่นอนญู”่ เพิงปับอาบัติ เพาะนอน ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้น่ ง

ื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ
แต่ญน

เหันนอนในที่ลับ

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺานอนเทิ
[๔๕๐] ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ งอาสนะที่กําบังในที่
ั้
ลับพํจะทําการได้กับมาตุคามสองตํ่สอง” และภิกษุนนยอมฮั บการนอนนัน้ เพิงปับอาบัติ
เพาะนอน ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้นอน แต่น่ งญู ั ”่ เพิงปับอาบัติเพาะนั่ง ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้นอน
ื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ คําว่า อนิยต คื บํ่แน่ว่าจะเปันปาราชิก เปันสังฆาทิเสส หลื
แต่ญน
เปันปาจิตตีย์

[๔๕๑] ภิกษุยอมฮับการไป ยอมฮับการนั่ง ยอมฮับอาบัติ เพิงปับตามอาบัติ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 444 / 444 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ภิกษุยอมฮับการไป บํ่ยอมฮับการนั่ง ยอมฮับอาบัติ เพิงปับตามอาบัติ


ภิกษุยอมฮับการไป ยอมฮับการนั่ง บํ่ยอมฮับอาบัติ เพิงปับอาบัตเิ พาะนั่ง
ภิกษุยอมฮับการไป บํ่ยอมฮับการนั่ง บํ่ยอมฮับอาบัติ บํ่เพิงปับอาบัติ
ภิกษุบ่ ยอมฮั
ํ บการไป ยอมฮับการนั่ง ยอมฮับอาบัติ เพิงปับตามอาบัติ
ภิกษุบ่ ยอมฮั
ํ บการไป บํ่ยอมฮับการนั่ง ยอมฮับอาบัติ เพิงปับตามอาบัติ
ภิกษุบ่ ยอมฮั
ํ บการไป ยอมฮับการนั่ง บํ่ยอมฮับอาบัติ เพิงปับอาบัตเิ พาะนั่ง
ภิกษุบ่ ยอมฮั
ํ บการไป บํ่ยอมฮับการนั่ง บํ่ยอมฮับอาบัติ บํ่เพิงปับอาบัติ

ปฐมอนิยตสิกขาบฺท จฺบ

๒. ทุติยอนิยตสิกขาบฺท
ว่าด้วยการนั่งในที่ลับหูกับยิงสองตํ่สอง
เรื้องพระอุทายี

้ พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาปะทั
[๔๕๒] สมัยนัน ้ บญู่ ณะ พระเชตวัน อาฮามของอนาถบิณ
้ น
ฑิกเสดถี เขตกุงสาวัตถี คังนั ้ ท่านพระอุทายีคิดว่า “พระผู้มีพระภาคชฺงห้ามการ
นั่งเทิงอาสนะที่กําบังในที่ลับพํจะทําการได้กับมาตุคามสองตํ่สอง” จึ่งนั่งเจรจา ก่าวธัม
เหมาะแก่กาลกับยิงสาวคฺนเดีม

นางวิสาขามิคารมารดาตําหนิพระอุทายี


แม่นคังที ๒ นางวิสาขามิคารมารดาได้ฮับเชีนไปสูต ้ ได้เหันท่านพระอุทายีน่ ง
่ ะกูนนัน ั
ในที่ลับกับยิงสาวสองตํ่สอง จึ่งก่าวกับท่านพระอุทายีว่า “พระคุณเจฺา้ การที่ท่านนั่งใน
ที่ลับกับยิงสาวเชั่นนี้ บํ่เหมาะ บํ่สฺมควร ท่านบํ่ปราถนาเมถุ นกํจิง เถิงญ่างนัน
้ ชาวบ้าน
ที่ยังบํ่เหลื้อมใสกํจะเฮัดให้เชื่อยาก” ท่านพระอุทายีถืกนางวิสาขาว่าก่าวตักเตือนกํบ่ ํ
เชื่อ นางวิสาขาจึ่งออกไปบอกเรื้องนันให้
้ ภิกษุทังหลายชาบ บันดาภิกษุผู้มักน้อย ฯลฯ
พากันตําหนิ ปะนาม โพนทะนาว่า “จั่งใดท่านพระอุทายีจ่ งนั
ึ ่ งในที่ลับกับยิงสาวสองตํ่

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 445 / 445

สองละ” คันภิกษุทังหลายตําหนิท่านพระอุทายีโดยปะการต่างๆ แล้วจึ่งนําเรื้องนี้ขาบ


ทูลพระผู้มีพระภาคให้ชฺงชาบ

ชฺงปะชุ มสฺงฆ์บันญัตสิกขาบฺท

้ พระผู้มีพระภาคฮับสั่งให้ปะชุ มสฺงฆ์เพาะเรื้องนี้เปันตฺนเหตุ
ลําดับนัน ้ ชฺงสอบถามท่าน
พระอุทายีว่า “อุทายี ชาบว่า ท่านนั่งในที่ลับกับยิงสาวสองตํ่สองแม่นแท้บํ” ท่านทูล
ฮับว่า “แม่นแท้พระพุทธเจฺาข้ ้ งตําหนิว่า “โมฆบุรุษ จั่ง
้ า” พระผู้มีพระภาคพุทธเจฺาชฺ
ใดท่านจึ่งนั่งในที่ลับกับยิงสาวสองตํ่สองละ โมฆบุรุษ การกะทําญ่างนี้บํ่ได้เฮัดให้คฺนที่
ยังบํ่เหลื้อมใสให้เหลื้อมใส ฯลฯ” แล้วจึ่งฮับสั่งให้ภิกษุทังหลาย ยฺกสิกขาบฺทนี้ขึน

สะแดง ดั่งนี้

พระบันญัต

[๔๕๓] กํ สถานที่บํ่แม่นอาสนะที่กําบัง บํ่พํจะทําการได้ แต่เปันสถานที่พํจะเวฺาก้


้ ຽว
มาตุคามด้วยวาจาชฺ่วหยาบได้ กํภิกษุใดนั่งเทิงอาสนะเชั่นนัน ้ ในที่ลับกับมาตุคาม
สองตํ่สอง อุบาสิกามีวาจาเชื่อถืได้ ได้เหันภิกษุน่ งกั ้
ั บมาตุคามนันแล้ วก่าวโทษด้วย
ิ ่างใดญ่างนึ่ง บันดาอาบัติ ๒ ญ่าง
อาบัตญ
คื สังฆาทิเสส หลืปาจิตตีย์ ภิกษุยอมฮับการนั่ง เพิงถืกปับด้วยอาบัตญ ิ ่างใดญ่างนึ่ง
บันดาอาบัติ ๒ ญ่าง คื สังฆาทิเสส หลืปาจิตตีย์ อีกญ่างนึ่ง อุบาสิกาผู้มีวาจาเชื่อถืได้
้ าวโทษด้วยอาบัติใด ภิกษุนนเพิ
นันก่ ั้ ั ้ อาบัติน้ีชื่ว่า อนิยต
งถืกปับด้วยอาบัตินน

เรื้องพระอุทายี จฺบ
สิกขาบฺทวิภังค์

[๔๕๔] คําว่า กํ สถานที่บํ่แม่นอาสนะที่กําบัง อธิบายว่า อาสนะเปีดเผียคืท่ บํ


ี ่ ได้กําบัง
ด้วยฝา บานปะตู เสื่อลําแพน ม่านบัง ตฺนไม้
้ เสฺา หลืพ้อมญ่างใดญ่างนึ่ง
คําว่า บํ่พํจะทําการได้ คื บํ่อาจจะเสพเมถุ นกันได้
คําว่า แต่เปันสถานที่พํจะเวฺาก้
้ ຽวมาตุคามด้วยวาจาชฺ่วหยาบได้ คื อาจเวฺาก้
้ ຽวมาตุคาม

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 446 / 446 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

ด้วยคําชฺ่วหยาบ
คําว่า กํ...ใด คื ผู้ใด ผูเ้ ชั่นใด ฯลฯ นี้ที่พระผู้มีพระภาคตรัสฮ฽กว่า กํ...ใด
คําว่า ภิกษุ มีอธิบายว่า ชื่ว่าภิกษุ เพาะเปันผู้ขํ ฯลฯ นี้ที่พระผู้มพ
ี ระภาคชฺงปะสฺงค์เอฺา
ว่า ภิกษุ ในความหมายนี้
คําว่า เทิงอาสนะเชั่นนัน้ คื เทิงอาสนะเหันปานนัน ้
ที่ชื่ว่า มาตุคาม ได้แก่ ยิงมนุษย์ บํ่แม่นนางยักษ์ บํ่แม่นนางเผด บํ่แม่นสัตว์เดั฽ระสาน
โตแม่ แต่เปันยิงที่ฮูด้ ຽงสา สามาดฮับฮูถ ้ ้อยคําสุภาษิต ทุพภาษิต คําหยาบและคําสุภาพ
คําว่า กับ คื โดยความเปันอันด฽วกัน
คําว่า สองตํ่สอง ได้แก่ ภิกษุกับมาตุคาม
ที่ชื่ว่า ที่ลับ ได้แก่ ที่ลับตาและลับหู ที่ชื่ว่า ที่ลับตา หมายเถิง สถานที่ชึ่งเมื่อบุคคฺล
ขยิบตา ยักคิว ้ หลืงึกสีษะขึนใผๆ
้ กํบ่ สามาดเหั
ํ นได้ ที่ชื่ว่า ที่ลับหู หมายเถิง ที่ชึ่งบํ่
มีใผสามาดได้ยินถ้อยคํา ที่เวฺากั
้ นตามปฺกติได้
คําว่า นั่ง หมายความว่า เมื่อมาตุคามนั่ง ภิกษุน่ งใก้
ั หลืนอนใก้ เมื่อภิกษุน่ ง
ั มาตุคาม
ั งสองคฺน หลืนอนทังสองคฺน อุบาสิกาชื่ว่า มีวาจาเชื่อถืได้
นั่งใก้หลืนอนใก้ หลืน่ งทั
คื ยิงผู้บันลุผฺล ผู้ตรัสฮูธ ้
้ ัม ผู้เขฺาใจศาสนาดี
ที่ชื่ว่า อุบาสิกา ได้แก่ ยิงผูเ้ ถิงพระพุทธเปันสรณะ เถิงพระธัมเปันสรณะเถิงพระสฺงฆ์
เปันสรณะ
คําว่า ได้เหัน คื ได้พฺบ
อุบาสิกามีวาจาเชื่อถืได้ ก่าวโทษด้วยอาบัติญ่างใดญ่างนึ่ง บันดาอาบัติ ๒ ญ่าง คื
สังฆาทิเสส หลืปาจิตตีย์ ภิกษุยอมฮับการนั่ง เพิงถืกปับอาบัติญ่างใดญ่างนึ่ง บันดา
อาบัติ ๒ ญ่าง คื สังฆาทิเสส หลืปาจิตตีย์ อีกปะการนึ่ง อุบาสิกาผู้มีวาจาเชื่อถืได้นน
ั้
ก่าวโทษด้วยอาบัติใด ภิกษุนน ั ้ เพิงถืกปับด้วยอาบัตินน
ั้

บฺทภาชนีย์
ปะติยานตกรณะ
เหันกําลังนั่งถืกต้องกาย

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 447 / 447

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
[๔๕๕] ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งถืกต้องกายกับ
ั ้ ยอมฮับการนั่ง เพิงปับตามอาบัติ
มาตุคาม” และภิกษุนนกํ

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งถืกต้องกายกับมาตุคาม” ถ้า
ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมานั่งแม่นแท้แต่บ่ ํได้ถืกต้องกาย” เพิงปับอาบัติเพาะนั่ง
ภิกษุนนก่
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งถืกต้องกายกับมาตุคาม” ถ้า
ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมาบํ่ได้น่ ง
ภิกษุนนก่ ั แต่นอนญู”่ เพิงปับอาบัติเพาะนอน
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งถืกต้องกายกับมาตุคาม” ถ้า
ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมาบํ่ได้น่ ง
ภิกษุนนก่ ั แต่นอนญู”่ บํ่เพิงปับอาบัติ

เหันกําลังนอนถืกต้องกาย

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนอนถืกต้องกายกับมาตุคาม”
ั้
และภิกษุนนยอมฮั บการนอนนัน ้ เพิงปับตามอาบัติ ฯลฯ “อาตมานอนจิง แต่บ่ ได้
ํ ถืกต้อง
กาย” เพิงปับอาบัติเพาะนอน ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้นอน แต่น่ งญู
ั ”่ เพิงปับอาบัติเพาะนั่ง
ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้นอน แต่ญนื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ

ได้ยินกําลังนั่งเวฺาก้
้ ຽว

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยได้ยินพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งเวฺาก้
้ ຽว มาตุคามด้วย
วาจาชฺ่วหยาบ” และภิกษุนนยอมฮั
ั้ บการนั่ง เพิงปับตามอาบัติ
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยได้ยินพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนั่งเวฺาก้
้ ຽวมาตุคามด้วย
วาจาชฺ่วหยาบ” ถ้าภิกษุนนก่ั ้ าวญ่างนี้ว่า “อาตมานั่งแม่นแท้แต่บ่ ได้ ้ ຽวยิงด้วย
ํ เวฺาก้
วาจาชฺ่วหยาบ” เพิงปับอาบัติเพาะนั่ง ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้น่ ง ั แต่นอนญู”่ เพิงปับอาบัติ
เพาะนอน ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้น่ งั แต่ญนื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ

้ ຽว
ได้ยินกําลังนอนเวฺาก้

้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยได้ยินพระคุณเจฺากํ
ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ าลังนอนเวฺาก้
้ ຽวมาตุคามด้วย
วาจาชฺ่วหยาบ” และภิกษุนันยอมฮั
้ บการนอน เพิงปับตามอาบัติ ฯลฯ “อาตมานอนแม่น

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


หน้า 448 / 448 พระวินัยปิฎฺก พระไตรปิฎฺกภาษาลาว

แท้แต่บ่ ได้ ้ ຽวมาตุคามด้วยวาจาชฺ่วหยาบ” เพิงปับอาบัติเพาะนอน ฯลฯ “อาตมาบํ่


ํ เวฺาก้
ได้นอน แต่น่ งญู
ั ”่ เพิงปับอาบัติเพาะนั่ง ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้นอน แต่ญน
ื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ

เหันนั่งในที่ลับ

้ ่ งในที่ลับกับมาตุคามสองตํ่
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺานั
[๔๕๖] ถ้าอุบาสิกานันก่
ั ้ ยอมฮับการนั่ง เพิงปับอาบัติเพาะนั่ง ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้น่ ง
สอง” และภิกษุนนกํ ั แต่
นอนญู”่ เพิงปับอาบัติเพาะนอน ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้น่ ง ื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ
ั แต่ญน

เหันนอนในที่ลับ

ถ้าอุบาสิกานันก่ ้ ่ ลับกับมาตุคามสองตํ่สอง”
้ าวญ่างนี้ว่า “ขะน้อยเหันพระคุณเจฺานอนในที
ั้
และภิกษุนนยอมฮั บการนอน เพิงปับอาบัติเพาะนอน ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้นอน แต่น่ งญู ั ”่
เพิงปับอาบัตเิ พาะนั่ง ฯลฯ “อาตมาบํ่ได้นอน แต่ญน
ื ญู่” บํ่เพิงปับอาบัติ
คําว่า แม่นนี้ พระผู้มพี ระภาคตรัสทຽบสิกขาบฺทก่อน
คําว่า อนิยต คื บํ่แน่ว่าจะเปันสังฆาทิเสส หลืเปันปาจิตตีย์

[๔๕๗] ภิกษุยอมฮับการไป ยอมฮับการนั่ง ยอมฮับอาบัติ เพิงปับตามอาบัติ


ภิกษุยอมฮับการไป บํ่ยอมฮับการนั่ง ยอมฮับอาบัติ เพิงปับตามอาบัติ
ภิกษุยอมฮับการไป ยอมฮับการนั่ง บํ่ยอมฮับอาบัติ เพิงปับอาบัตเิ พาะการนั่ง
ภิกษุยอมฮับการไป บํ่ยอมฮับการนั่ง บํ่ยอมฮับอาบัติ บํ่เพิงปับอาบัติ
ภิกษุบ่ ยอมฮั
ํ บการไป ยอมฮับการนั่ง ยอมฮับอาบัติ เพิงปับตามอาบัติ
ภิกษุบ่ ยอมฮั
ํ บการไป บํ่ยอมฮับการนั่ง ยอมฮับอาบัติ เพิงปับตามอาบัติ
ภิกษุบ่ ยอมฮั
ํ บการไป ยอมฮับการนั่ง บํ่ยอมฮับอาบัติ เพิงปับอาบัตเิ พาะการนั่ง
ภิกษุบ่ ยอมฮั
ํ บการไป บํ่ยอมฮับการนั่ง บํ่ยอมฮับอาบัติ บํ่เพิงปับอาบัติ

ทุติยอนิยตสิกขาบฺท จฺบ

บฺทสรุป

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด


พระไตรปิฎฺกภาษาลาว พระวินัยปิฎฺก หน้า 449 / 449

[๔๕๘] ท่านทังหลาย ธัมคืนิยต ๒ สิกขาบฺท ข้าพะเจฺายฺ ้


้ กขึนสะแดงแล้ ้
ว ข้าพะเจฺาขํ
้ า “ท่านทังหลายบํริสุดธ์แล้วหลื” ข้า
ถามท่านทังหลายในธัมคือนิยต ๒ สิกขาบฺทนันว่
พะเจฺาขํ ้
้ ถามเปันคังที ้
้ ถามเปันคังที
๒ ว่า “ท่านทังหลายบํริสุดธ์แล้วหลื” ข้าพะเจฺาขํ ๓
ว่า “ท่านทังหลายบํรส ิ ุดธ์แล้วหลื” ท่านทังหลายบํริสุดธ์แล้วในธัมคือนิยต ๒
้ ่ งนิ่ง ข้าพะเจฺาขํ
สิกขาบฺทนี้ เพาะสะนันจึ ้ ถคื วามนิ่งนันเปั
้ นมติญ่างนี้

ฮวมสิกขาบฺทที่มีในอนิยตกัณฑ์

อนิยตกัณฑ์มี ๒ สิกขาบฺท คื
๑. ปฐมอนิยตสิกขาบฺท ว่าด้วยการนั่งในที่ลับตากับยิงสองตํ่สอง
๒. ทุดิยอนิยตสิกขาบฺท ว่าด้วยการนั่งในที่ลับหูกับยิงสองตํ่สอง
้ ้ปะเสีดและผู้มีความคฺงที่ ชฺงบันญัตไว้ดีแล้ว
พระพุทธเจฺาผู

อนิยตกัณฑ์ จฺบ


พระไตรปิฎฺกเหลัมที ๐๑ วินัยปิฎฺกที ๐๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ จฺบ

แปและฮຽบฮຽง โดย สฺมสัก วฺงวานิด

You might also like