You are on page 1of 18

กลับหัวเป็นหาง

วัฒนะ วรรณ

ประชาธิปไตย ต้องไม่มีนักโทษการเมือง
ในหน้ากระดาษของผมที่พอมีเสรีภาพ ในการแสดงความคิดอยู่บ้างในตอนนี้ ผมขอมอบเสรีภาพอันน้อยนิด
นี้ ให้กับสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด หรือ หนูหริ่ง ผู้ซึ่งอุทิศตนเพื่อการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเสรีภาพ
แห่งความคิด มันไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนหรอก ที่มีนักโทษการเมืองอยู่เต็มคุกตารางเช่นนี้ ไม่ว่า
พวกท่านจะกล่าวอ้างมันด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หนูหริ่ง คงหวังว่าข้อความของเขา และการถูกจองจำ� จะได้
รับการเผยแพร่ และช่วยกระตุ้นเตือนให้มีการพูดถึงการปลดปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด…..

@@@

ขอความจากสมบัติ บุญงามอนงค์ ในขณะที่ยังถูกจองจำ�ร่างกาย แต่ในความคิดยังเต็มเปี่ยมด้วย


เสรีภาพ
เบื้องบนมีเพดาน เบื้องล่างมีพื้นปูน เบื้องหน้ามีลวดหนาม เบื้องลึกยังมีความคิดจักยังต่อสู้
ยุงกินเลือดเราแต่น้อยเพื่อมันดำ�รงอยู่ กระสุนกินเลือดเราหมดร่างเพื่ออำ�นาจผู้สั่งการดำ�รงอยู่
ห้ามฉันพูด ฉันก็จะพิมพ์ ห้ามฉันพิมพ์ ฉันก็จะเขียน ห้ามฉันเขียน ฉันก็จะคิด หากห้ามฉันคิด ก็ต้องห้ามลม
หายใจฉัน
ขอบคุณที่อภิสิทธิ์พาฉันมาปรองดองที่ค่ายตำ�รวจตระเวนชายแดน วันหนึ่งคุณคงได้มีโอกาสมานอน
ปรองดองที่นี่บ้าง ฉันจะรอ
ฉันคว้าปากกาสีแดง แล้วเดินไปที่ป้ายที่ติดไว้บนตึกนอน หาพื้นที่ว่างบนป้ายนั้น แล้ววาดรูปพระอาทิตย์หก
แฉกลงไป ข้างๆตัวอักษรเขียนว่าประกาศ
ฉันหยิบเสื้อแดงตัวเก่าที่ยังไม่ได้ซักมาใส่ เพื่อต้อนรับคนเสื้อแดงที่มาเยี่ยม มันคงไม่สกปรกไปกว่ามือที่
เปื้อนเลือดของใครบางคนที่ล้างไม่มีทางออก
นายตำ�รวจยศ พล.ต.ต.ท่านหนึ่งขอนั่งคุยกับผมในฐานะหัวหน้าชุดอะไรสักอย่าง เขาเป็นผู้ฟังที่ดีมากคน
หนึ่งที่ผมเคยคุยด้วย เขาเรียกการสนทนานี้ว่า”การซักถาม”ไม่ใช่การสอบสวน ส่วนผมบอกกับเขาว่า ผม
เรียกสิ่งนี้ว่า”การสนทนา” เพียงแต่ว่าบทสนทนานี้จะถูกเขียนเป็นรายงานให้กับผู้บังคับบัญชา
อย่ามาบอกผมว่า ผมมีสิทธิหรือไม่มีสิทธิอะไร สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่ผมมีมาตั้งแต่เกิด แต่สิ่งที่คุณต้องพูด
คือ คุณละเมิดสิทธิของผมอย่างไรต่างหาก ความคิดและการกระทำ�ในการละเมิดสิทธิของประชาชนต่างหาก
ที่ต้องถูกควบคุม

via;@สมบัติ บุญงามอนงค์
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 2
สังคมใหม่
ลั่นทมขาว

พวกสลิ่มชนชั้นกลาง
ความขัดแย้งในสังคมที่เรามักเห็น มักจะเกี่ยวข้อง
กับความรู้สึกของคนกลุ่มหนึ่งว่ามันมี “ความไม่เป็น
ธรรม” เกิดขึ้น หรือ “ความไม่ถูกต้อง” เกิดขึ้น ซึ่งทุก
ครั้งจะเกี่ยวกับสภาพการดำ�เนินชีวิตในโลกจริง หรือ
ที่ชาวมาร์คซิสต์เรียกว่า “วัตถุนิยม” และที่น่าสนใจคือ
ในการอธิบายว่าทำ�ไมมันเป็นความไม่เป็นธรรมหรือ
ความไม่ถูกต้อง คนเราสามารถใช้ชุดความคิดที่หลาก
หลายในการอธิบายได้ เช่นอาจใช้ศาสนาอิสลาม อาจ
ใช้เรื่องสิทธิมนุษยชน อาจใช้เรื่องชาตินิยม อาจใช้แนว
สังคมนิยม หรืออาจใช้แนวคิดอนุรักษ์นิยม แต่นั้นไม่ได้
หมายความว่าความไม่พอใจไม่ได้เกี่ยวกับชนชั้นและ
ความขัดแย้งและการต่อสู้ในสังคมมนุษย์ทั่วโลก ผลประโยชน์ทางวัตถุแต่อย่างใด
ในทุกยุค ล้วนแต่เป็นการต่อสู้ที่มีรากฐานจากความขัด ในระบบทุนนิยมที่ครอบคลุมทั้งโลกมานานแล้ว
แย้งทางชนชั้น แต่เราต้องเข้าใจว่าความขัดแย้งและผล กลุ่มคนที่แบ่งเป็นชนชั้นต่างๆ จะมีความสัมพันธ์ที่แตก
ประโยชน์ทางชนชั้นมีหลายมิติ และบ่อยครั้งจะไม่เผย ต่างกันกับปัจจัยการเลี้ยงชีพ ซึ่งมีผลกระทบต่ออำ�นาจ
ตัวในลักษณะบริสุทธิ์ ทางการเมือง โดยมีชนชั้นหลักๆ สามกลุ่ม
ทำ�ไมความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก นายทุนมีอำ�นาจในการควบคุมปัจจัยการผลิตและ
ความขัดแย้ง ล้วนแต่มีรากฐานจากความขัดแย้งทาง การควบคุมมูลค่าใหม่ที่กรรมาชีพผลิต ดังนั้นมีอำ�นาจ
ชนชั้น? คำ�ตอบคือ “ชนชั้น” เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง ทางเศรษฐกิจและสังคมสูงมาก เขาเป็นชนชั้นปกครอง
มนุษย์ในสังคม ความสัมพันธ์ทางชนชั้นที่พูดถึงนี้ คือ ที่ควบคุมอำ�นาจรัฐอันประกอบไปด้วย ทหาร ศาล คุก
ความสัมพันธ์ระหว่างคน (ผม คุณ เพื่อนๆ พี่น้อง ผู้ใหญ่ ตำ�รวจ ในไทยทหารระดับนายพลเป็นทั้งนายทุนเอง
ในสังคม ฯลฯ) กับปัจจัยการเลี้ยงชีพหรือปัจจัยการ และเป็นผู้บัญชาการกองกำ�ลังของชนชั้นนายทุน เพื่อ
ผลิต ซึ่งแปลว่ามันเป็นความสัมพันธ์เชิงอำ�นาจ และ ปกป้องผลประโยชน์นายทุนอีกด้วย การแบ่งอำ�นาจ
ความขัดแย้งทั้งปวง ไม่ว่าจะมีหน้าตาแปลกๆ อย่างไร และหน้าที่กันระหว่างทหาร นายทุน ข้าราชการชั้นสูง
(เช่นอาจดูเหมือนเป็นเรื่องการกู้ชาติ เรื่องศาสนา เรื่อง หรือประมุข อาจแตกต่างกันในประเทศต่างๆ แต่รวม
วัฒนธรรม ฯลฯ ) สุดท้ายแล้วมันเป็นเรื่องการแย่งกัน กันแล้วคนกลุ่มนี้คือชนชั้นนายทุนที่เป็นชนชั้นปกครอง
ควบคุมทรัพยากรและผลผลิตที่จำ�เป็นและเกี่ยวข้องกับ ชนชั้นกรรมาชีพเป็นกลุ่มคนที่ทำ�งานรับจ้าง
การดำ�เนินชีวิตมนุษย์
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 3
ควบคุมปัจจัยการผลิตไม่ได้ และเมื่อทำ�งานให้นายทุน บางส่วนของชนชั้นกลางอาจสนับสนุนฝ่ายหนึ่ง ใน
เรียบร้อยแล้ว ผลการทำ�งานตกอยู่ในมือนายทุน ขณะที่อีกส่วนสนับสนุนฝ่ายตรงข้าม
นายทุนจะเป็นผู้นำ�มูลค่านั้นไปลงทุนหรือบริโภคตาม นอกจากนี้ ในยามวิกฤต หรือในยามที่ชนชั้นกลาง
การตัดสินใจของนายทุน แต่กรรมาชีพมีอำ�นาจต่อรอง มองว่ามีวิกฤต อาจมีผู้นำ�เกิดขึ้นที่อาศัยการปลุกปั่น
กับนายทุน เพราะเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม และเป็น ด้วยนิยายการเมือง เพื่อให้ชนชั้นกลางหลายส่วน
ผู้ผลิตที่แท้จริง อำ�นาจของกรรมาชีพมาจากการรวม รวมตัวกันเป็นม็อบฟาสซิสต์ เช่นในกรณีพวกนาซีใน
ตัวกัน อย่างเช่นในสหภาพแรงงาน เยอรมัน หรือพันธมิตรฯ ในไทย ม็อบของคนชั้นกลาง
ระหว่างสองชนชั้นใหญ่ที่กล่าวถึงไปแล้ว มีกลุ่ม แบบนี้จะเกลียดนายทุนใหญ่ที่กดทับตนเองหรือที่เขา
ชนชั้นกลางๆ ที่ไม่ใช่นายทุนและไม่ใช่กรรมาชีพ ใน มองว่าโกงกิน และจะเกลียดกรรมาชีพกับคนจน เพราะ
ประเทศอย่างประเทศไทย กลุ่มหนึ่งคือเกษตรกรราย มองว่าพวกนั้นจะมาแย่งอภิสิทธิ์หรือฐานะความเป็น
ย่อยที่มีที่ดินของตนเอง แต่เลี้ยงชีพด้วยความยาก อยู่ดีๆ ของเขาไป ส่วนใหญ่เขาจะมองว่ากรรมาชีพ
ลำ�บาก เกษตรกรรายย่อยจำ�นวนมากกำ�ลังค่อยๆ ล่ม หรือคนจน “ถูกหลอก” จากผู้ใหญ่ไม่หวังดีให้กลายเป็น
สลายและถูกกลืนโดยนายทุนการเกษตร นักธุรกิจราย มวลชนของเขาไป ในกรณีฮิตเลอร์ในเยอรมัน มีการ
ย่อยก็เช่นกัน ล่มสลายและถูกกดดันจากทุนใหญ่ บาง เสนอว่าพวกนายธนาคารยิวไปจ้างพวกคอมมิวนิสต์ให้
คนล้มเหลว บางคนตั้งกิจการใหม่ เปลี่ยนแปลงตลอด ทำ�ลายชาติ ในกรณีไทย จะมองว่าทักษิณจ้างคนจนมา
เวลา ชนชั้นกลางอีกกลุ่มหนึ่งคือพวกผู้บริหารที่เป็น เป็นฐานสนับสนุนเพื่อให้ทักษิณโกงชาติ แต่ไม่ว่าม็อบ
ลูกจ้างของนายทุน พวกนี้มีฐานะดี เงินเดือนดี และ ชนชั้นกลางจะเกลียดนายทุนใหญ่แค่ไหน ในที่สุดถ้า
มีอำ�นาจให้คุณให้โทษ เพราะถูกจ้างมาเพื่อควบคุม จะมีพลัง เขาจะต้องพึ่งพาคนใหญ่คนโต พึ่งพานายทุน
แรงงานหรือลูกจ้างธรรมดา พึ่งพาอำ�มาตย์ ดังนั้นจำ�ต้องมีชุดความคิดนิยาย
ชนชั้นกลางเป็น “กลุ่มชนชั้น” ไม่ใช่ชนชั้นเดียว การเมืองเข้ามาเพื่อเบี่ยงเบนความโกรธแค้นของเขา
ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน และที่สำ�คัญคือไม่มีความมั่นคง ต่อนายทุนใหญ่ ในกรณีเยอรมันมีการโทษแค่นายทุน
และไม่มีพลังทางเศรษฐกิจ ไม่มีความมั่นคงในกรณี ใหญ่เชื้อสายยิว ในไทยมีการโทษแค่ทักษิณและมีการ
เกษตรกรรายย่อยและนักธุรกิจรายย่อยเพราะกำ �ลัง โบกธงสีเหลืองสนับสนุนเจ้าและนายทุนสีเหลือง มี
ล่มสลายยากลำ�บากตลอดเวลา ไม่มีอำ�นาจต่อรองกับ การด่าการโกงกินของทักษิณ แต่มองข้ามการโกงกิน
นายทุนในกรณีผู้บริหาร เพราะตั้งสหภาพแรงงานที่ อย่างเป็นระบบของทหาร นายทุน และส่วนอื่นๆ ของ
เข้มแข็งไม่ได้ และถูกบีบและกดดันระหว่างนายทุนกับ อำ�มาตย์
กรรมาชีพ เป็นคนที่ค่อนข้างจะโดดเดี่ยวปัจเจก ด้วย นอกจากนี้แล้ว ภาพความขัดแย้งทางชนชั้นถูกทำ�ให้
เหตุนี้ชนชั้นกลางเป็นชนชั้นที่มักคล้อยตามสองชนชั้น ซับซ้อนมากขึ้นจากเรื่องของสิ่งที่คนคิดอยู่ในหัว หรือที่
ใหญ่ในสังคม คือชนชั้นนายทุนที่เป็นชนชั้นปกครอง เรียกว่า “จิตสำ�นึก” เช่นลูกจ้างกรรมาชีพจำ�นวนหนึ่ง
หรือชนชั้นกรรมาชีพ สิ่งที่กำ�หนดว่าชนชั้นกลางจะเอน ที่แต่งตัวดีๆ จบมหาวิทยาลัย ทำ�งานในห้องแอร์ อาจ
ไปทางไหนคืออำ�นาจต่อรองหรือความเข้มแข็งในการ หลงคิดว่าตนเองเป็น “ชนชั้นกลาง” ทั้งๆ ที่เป็นลูกจ้าง
ต่อสู้ของสองชนชั้นใหญ่ พูดง่ายๆ ชนชั้นกลางบางครั้ง ดีๆ นี้เอง และไม่มีอำ�นาจบริหารและอำ�นาจให้คุณให้
เข้าข้างคนยากคนจน บางครั้งเข้าข้างประชาธิปไตย โทษกับลูกจ้างอื่นๆ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยก็ตัวดี ไม่
บางครั้งเข้าข้างอำ�มาตย์ที่เป็นชนชั้นปกครอง บางครั้ง ยอมตั้งสหภาพแรงงานเพราะคิดว่าตนเองสูงกว่าคน
สนับสนุนเผด็จการ และเนื่องจากไม่เป็นเนื้อเดียวกัน งานเป็นต้น หรือคนที่เข้าใจว่าตนเองเป็นกรรมาชีพ
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม53 หน้า 4
หรือเป็นเกษตรกรรายย่อย อาจใช้ระบบคิดของชนชั้น คนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็น “คนจน” หรือกรรมาชีพ
ปกครอง เช่นอาจมองว่าชนชั้นไม่สำ�คัญ ความเป็น ในเมืองกับเกษตรกรรายย่อยในชนบท แต่มีคนชั้น
“คนไทยที่จงรักภักดี” เป็นสิ่งที่สำ�คัญที่สุด สิ่งที่เราต้อง กลางแบบนักธุรกิจรายย่อยเข้าร่วมด้วย และแกนนำ�
เข้าใจคือ ท่ามกลางความขัดแย้งทางชนชั้นหรือการ ระดับชาติมาจากพรรค ไทยรักไทย การที่คนจนไม่
แย่งกันเป็นใหญ่ระหว่างชนชั้น มีการแข่งแนวกันทาง ได้มีแกนนำ�ของตนเองในช่วงแรก เป็นเพราะพรรค
ความคิดตลอด และแต่ละฝ่ายแต่ละกลุ่มมีการเสนอคำ� คอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายในไทยล่มสลายหรืออ่อนแอ
อธิบายสังคมที่เข้าข้างตนเอง และมีการชักชวนให้คน และเป็นเพราะนโยบายทางการเมืองของ ไทยรักไทย
อื่นเชื่อตาม สอดคล้องกับสิ่งที่คนจนต้องการ แต่เรารู้ว่าตอนนี้
วิกฤตการเมืองไทยระเบิดขึ้นจากความขัดแย้ง แกนนำ�รากหญ้าเกิดขึ้นในทุกชุมชนแล้ว เสื้อแดงคือ
ระหว่างทักษิณกับคนอื่นในชนชั้นปกครอง ทักษิณ ตั ว อย่ า งของขบวนการเคลื่ อ นไหวทางสั ง คมที่ ใ หญ่
เป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของชนชั้ น นายทุ น และชนชั้ น ปกครอง ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย มันเป็นขบวนการทางชนชั้น
ไทยที่รักเจ้า แต่ทักษิณมีลักษณะพิเศษคือเขาครองใจ และไม่ใช่ขบวนการประเด็นเดียวอีกด้วย เพราะเรียก
ประชาชนคนยากคนจนจำ�นวนมากด้วยนโยบายที่เป็น ร้องทั้งประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ
ประโยชน์ต่อคนจน เขาจึงมีอำ�นาจทางการเมืองที่มาก สังคม แน่นอนมันไม่ใช่ขบวนการทางชนชั้นในลักษณะ
จากฐานคะแนนเสียงในระบบเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ บริสุทธิ์นามธรรม แต่มันไม่ใช่อะไรอื่นนอกจาก
สำ�หรับชนชั้นปกครองไทย ฝ่ายตรงข้ามที่เราปัจจุบัน ขบวนการของคนชั้นล่าง ที่เรียกตัวเองว่า “ไพร่”
เรียกว่า “อำ�มาตย์” เป็นพวกที่เคยชินกับการกดขี่ขูดรีด แล้วพวกสลิ่มละ? มันเป็นขบวนการชนชั้นเช่น
คนจนโดยไม่สนใจที่จะเอาใจและดึงมาเป็นพวกอย่าง กัน เติบโตจากขบวนการชนชั้นกลางคลั่งเจ้าที่เรียก
จริงจัง พวกนี้แข่งกับทักษิณไม่ได้ในเวทีประชาธิปไตย ตัวเองว่าพันธมิตรฯ มีแกนนำ�เป็นนายทุนใหญ่ มี
จึงทำ�รัฐประหาร แต่นั้นเป็นแค่ครึ่งหนึ่งของคำ�อธิบาย นิยายการเมืองอนุรักษ์นิยม แต่มีอิทธิพลได้ก็ด้วยการ
ไม่ใช่ภาพรวม และวิภาษวิธีสอนเราว่าถ้าไม่ดูภาพรวม ที่ชนชั้นปกครอง(อำ�มาตย์)ถือหางให้ ภายในพวกสลิ่
จะมองไม่เห็นภาพจริง มนี้ ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางประเภทผู้บริหารและนัก
อีกส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง คือประชาชนเป็น ธุรกิจรายย่อย แต่ก็มีกรรมาชีพผสมอยู่บ้าง เช่น พวก
ล้านๆ คน ที่ลงคะแนนเสียงให้ ไทยรักไทย เพราะ รัฐวิสาหกิจบางส่วน อาจมีคนจนหลงเข้ามาด้วย มี
ต้องการฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เขาเหล่านั้นไม่ใช่ นายทุนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และมีเอ็นจีโอ.... หัวหน้า
“เหยื่อโง่” ที่ไม่รู้อะไร อย่างที่นักวิชาการและเอ็นจีโอ เอ็นจีโอทุกวันนี้ทำ�ตัวเหมือนผู้ประกอบการรายย่อย
ฝ่ายอำ�มาตย์มักจะคิด พวกเขาเป็นคนที่ใช้สติปัญญา ขอทุนมาแล้วจ้างลูกน้องมาทำ�งาน ภายในองค์กรไม่มี
และเขาเรียนรู้จากประสบการณ์ของรัฐบาล ไทยรักไทย ประชาธิปไตย แถมยังมีวัฒนาธรรมแบบ “พี่เลี้ยง” ที่
ว่าการมีส่วนร่วมในทรัพยากรและการพัฒนา และ ดูถูกคนยากคนจนอีกด้วย พวกสลิ่มเป็นพวกที่กลัวและ
การมีสวัสดิการ เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ พอพวกอำ�มาตย์ เกลียดคนจน เกรงว่าในยุคแห่งความไม่มั่นคง เขาจะ
ก่อรัฐประหาร เขารู้สึกอีกว่าเขาถูกปล้นสิทธิเสรีภาพ สูญเสียอภิสิทธิ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เขามี เขาเลยตัดสินใจ
ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจไป เลยมีการรวมตัวกัน เข้าข้างอำ�มาตย์
เป็นเสื้อแดง และท่ามกลางการต่อสู้กับอำ�มาตย์โหด สรุปแล้ว ชนชั้นกลางไม่ใช่พลังก้าวหน้าที่ปกป้อง
ร้าย เขาพัฒนาประสบการณ์และความเข้าใจมากขึ้น หรื อ เสริ ม สร้ า งประชาธิ ป ไตยและความเป็ น ธรรมใน
เป็นลำ�ดับ สังคมแต่อย่างใด
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 5
Speak Out
โดย นารี สีแดง

ความสัมพันธ์ของคนในสังคม
ตามปรัชญารัฐแบบไทยๆ
ความสัมพันธ์ของคนภายใต้ระบอบการปกครองโดย รัฐทุนนิยม ในขณะที่งบประมาณพัฒนาด้านการศึกษาให้แก่
พระเจ้าแผ่นดินของรัฐไทยโบราณ ที่สมมติตนเองว่าเป็น คนชั้นล่าง และด้านเกษตรกรรมมีน้อยมาก
เทพเจ้าลงมาให้ความเมตตาต่อผู้อื่น ใช้อำ�นาจอย่างเด็ด กรอบความสัมพันธ์ทางชนชั้นนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ขาด มีการสร้างระบบความสัมพันธ์แบบไพร่/ทาสกับนาย กับความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมตามกรอบประชาธิปไตย ซึ่ง
ที่ไพร่ถูกสอนให้เชื่อในเรื่องผู้ใหญ่ผู้น้อย ยึดมั่นเรื่องความ ค่อยๆ เริ่มมาจากแนวคิดความเป็นมนุษย์ของ อิมมานูเอล
จงรักภักดี ความกตัญญูรู้คุณ ความนอบน้อมสมถะ ส่วนคน คานท์ นักปรัชญาก้องโลก กล่าวคือ เนื่องจากธรรมชาติ
ที่ทำ�หน้าที่เป็นเจ้าเป็นนายก็จะได้รับการอบรมเรื่องการให้ สร้างมนุษย์มาให้มีความสามารถในการคิดหาเหตุผลได้อัน
ความเมตตา ความเที่ยงธรรมและจริยธรรมในการปกครอง ต่างจากสัตว์ มนุษย์ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล จึงต้องมี
ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันจึงอยู่บนฐาน เจตจำ�นงที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพื่อเป็นหนทางให้
แห่งความไม่เสมอภาค มีมาตรฐาน 2 ระดับ โดยมาตรฐาน บรรลุเป้าหมายต่างๆ ที่วางไว้
คุณธรรมระดับเจ้านายคอยควบคุมมาตรฐานระดับไพร่คน แต่ถ้าไม่รู้จักตรวจสอบว่า ตนเองมีความสามารถหรือ
ธรรมดา อิทธิพลของระบอบการปกครองเช่นนี้ส่งผลให้ พรสวรรค์อะไร และไม่มีความเป็นอิสระที่จะพัฒนาความ
ราษฎรยอมรับอำ�นาจของผู้เป็นนาย ถูกทำ�ลายความมั่นใจ สามารถนั้น จะถือว่ายังไม่บรรลุถึงความเป็นมนุษย์ และ
ผ่านกระบวนการทางวัฒนธรรมและการขัดเกลาทางสังคม ความเป็นมนุษย์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ เพราะมีระดับขึ้นไป
โดยสถาบันการศึกษา สถาบันทหาร ระบบราชการ อีกว่า มนุษย์ต้องใช้ความเป็นมนุษย์ของตนเองและของผู้อื่น
ความสัมพันธ์ของคนที่เหลื่อมล้ำ�นี้ได้รับการสถาปนา เป็นเป้าหมายของชีวิต นั่นคือยึดถือคุณค่าแห่งเหตุผลและ
อย่างจริงจังตั้งแต่การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินสมัยรัชกาล เสรีภาพเป็นเป้าหมาย
ที่ 5 ที่ทำ�ให้อำ�นาจรัฐรวมศูนย์อำ�นาจทางการเมืองมาก แต่ไม่ใช่ใช้ตัวเองและผู้อื่นเป็นเครื่องมือแสวงหา
ระจุกที่ส่วนกลางกรุงเทพฯ และก่อนการเปลี่ยนแปลงการ ประโยชน์ หาความสุข กดขี่ข่มเหงซึ่งกันและกัน และใน
ปกครอง 2475 สมัยรัชกาลที่ 7 ถ้ามองในกรอบเศรษฐกิจ ระดับสูงขึ้นคือ มนุษย์ต้องเป็นผู้ตรากฎหมาย (common
การเมือง law) ร่วมกันในชุมชนสังคมของตนและอยู่ภายใต้กฎหมายที่
รูปแบบรัฐใหม่ที่ถูกปฏิวัติในสมัยรัชกาลที่ 5 มีลักษณะ สร้างขึ้นนั้นอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือ การปกครองตนเอง
เป็นรัฐทุนนิยม การมองแบบนี้เพิ่มแง่มุมให้เราเห็นความ และมีศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของ
เป็นจริงและเจตนาที่แฝงเร้นไปด้วยผลประโยชน์ทางชนชั้น ความเป็นมนุษย์ แนวคิดพื้นฐานดังที่กล่าวมานี้คือ แนวคิด
มากกว่าการมองเพียงแค่เป็นรัฐข้าราชการ-อุปถัมภ์เท่านั้น เหตุผลนิยม เสรีนิยม และความเสมอภาค อันประกอบเป็น
ในยุคนี้เริ่มสร้างหน่ออ่อนของระบบทุนนิยมที่สอดคล้อง ความหมายของประชาธิปไตย
กับระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำ�นาจเด็ดขาดเพื่อให้ แต่ก่อนที่จะบรรลุถึงการปกครองตนเองได้นั้น มนุษย์
เกิดระบบทุนนิยมแบบผูกขาดโดยรัฐอย่างเป็นรูปธรรม และ ต้องเชื่อมั่นในตัวเองเป็นพื้นฐาน คือเชื่อว่าตนสามารถ
สร้างระบบกลไกที่เพิ่มศักยภาพในการขูดรีดกลุ่มคนที่ไร้ พัฒนาเหตุผลและมโนสำ�นึกของตัวเองที่จะบังคับพฤติกรรม
อำ�นาจ ตัวอย่างเช่น การกำ�หนดเป้าหมายของระบบการ ของตนได้ โดยไม่ยอมให้ใครมาออกคำ�สั่งบังคับยัดเยียดให้
ศึกษาไทยสมัย ร.5 ให้ผลิตคนออกมารับใช้ระบบราชการ ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ขัดกับหลักความถูกต้องของตน และ
และเป็นแรงงานรับจ้างที่มีประสิทธิภาพในการทำ�งานให้แก่ กำ�หนดอนาคตเองได้โดยไม่หวังพึ่งผู้ใด

เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 6


เยาวชนเลี้ยวซ้าย
ฮิปโป

ตื่นแล้วชาวไทย
ประชาธิปไตยคือการออกเสียงของคนส่วนใหญ่ แต่ตอนนี้ ที่ชนชั้นรากหญ้าได้ต่อสู้และเรียกร้อง เพื่อให้เป็นประเด็น
เสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศไทยนั้นไม่ได้มีอำ�นาจทางการ ทางการเมืองซึ่งจะนำ�ไปสู่จากการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยมีจุด
เมืองแต่อย่างใดเลย ในช่วงการบริหารบ้านเมืองโดยรัฐบาล เริ่มจากการที่ประชาชนนั้นตื่นเต้นกับนโยบายประชานิยมของ
ขี้ข้าอำ�มาตย์ ที่นายอภิสิทธิ์เป็นหน้าฉากสร้างความชอบธรรม อดีตนายกทักษิณ ที่เป็นรูปธรรม เห็นจริง ใช้ได้จริง และ
โดยมีผู้กำ�กับหลังฉากเป็นกองทัพทหารที่คอยชักใยสั่งการอยู่ เป็นประโยชน์ต่อชนชั้นรากหญ้า
เบื้องหลัง และใช้อำ�นาจมืดเผด็จการเหนือประชาธิปไตยที่ใช้ จนทำ�ให้หลายครอบครัวไม่ต้องสูญเสียเสาหลักหรือ
ในการปราบปรามผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง คนที่รักไป เพราะมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หลาย
ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยรัฐไทยก็ยังคงมีกลิ่นอายแห่งเผด็จการ ครอบครั ว ที่ เ ป็ น เกษตรกรได้ ลื ม ตาอ้ า ปากได้ จ ากโครงการ
และการออกมาใช้กำ�ลังปราบปรามกับมวลชนที่เห็นต่างอยู่ พักหนี้เกษตรกร และบางครอบครัวที่ได้รับเงินจากโครงการ
เสมอ และมักจะกล่าวหากลุ่มคนที่เห็นต่างว่าเป็นคอมมิวนิสต์ กองทุนหมู่บ้านนั้น ได้มีเงินก้อนไปต่อยอดพัฒนาการประกอบ
เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นกบฏทรยศชาติ และวาทะศัพท์ต่างๆ อาชีพ เช่น ซื้อแม่หมูมาเลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์ ซื้อเครื่องมือ
นานาที่ เ ป็ น การใส่ ร้ า ยป้ า ยสี ใ ห้ กั บ กลุ่ ม ที่ มี แ นวคิ ด เห็ น ต่ า ง เครื่องใช้ในการประกอบการทำ�มาหากิน
ทางการเมือง สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศเลย และไม่มี
และในทุกรัฐก็จะมีสองชนชั้นคือ ชนชั้นนายทุนและชนชั้น รัฐบาลใดเคยทำ�ได้มาก่อน จึงไม่แปลกใจที่คนรากหญ้าจะรัก
กรรมาชีพ ชนชั้นนายทุนที่เป็นชนชั้นนำ�จะใช้รัฐในการปกป้อง และเทคะแนนเสียงอย่างท้วมท้น ให้กับรัฐบาลที่นำ�ทัพการ
คุมครอง และสนับสนุนผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน ชนชั้น บริหารประเทศโดยทักษิณ
นายทุนได้ใช้รัฐเป็นตัวกลางในการสลายการชุมนุม และ แต่ถ้าจะบอกว่าคนเสื้อแดงรักที่ตัวทักษิณก็คงเป็นการ
บิดเบือนความขัดแย้งทางชนชั้น เพื่อป้องกันการรวมตัวกัน ดูถูกกันมากเกินไป เพราะตอนนี้การเรียกร้องของคนเสื้อแดง
ของชนชั้นกรรมาชีพ และชนชั้นล่างที่จะเป็นอันตรายต่อระบบ ขยับเข้าใกล้เข้าใกล้การปฏิรูปเป็นรัฐสวัสดิการเข้ าไปทุกที
ทุนนิยม แล้ว เพราะประชาชนมีการตื่นตัวต่อคำ�ว่าประชาธิปไตย และ
กระบวนการทำ�งานของรัฐไทย ก็จะใช้สื่อกระแสหลัก ในชุมชนก็มีการจัดตั้งของกลุ่ม นปช ที่ให้ความรู้ที่ตรงข้ามกับ
ในการละลายสันดานการกบฏที่มีติดมนุษย์มาตั้งแต่เกิดโดย กระแสการสร้างภาพของรัฐบาล
ใช้กรอบของศีลธรรมและศาสนา ให้คนไทยนั้นไม่เห็นคุณค่า จากการต่อสู้ของคนเสื้อแดงนี้เอง ที่ทำ�ให้นักเคลื่อนไหว
การต่อสู้ เช่นใช้ศาสนาในการกล่อมเกลาให้คนยอมรับกับ เพื่อสังคมและองค์กรที่รณรงค์เรื่องรัฐสวัสดิการ ต้องกลับมาก
ชะตากรรมที่เป็นอยู่ ใช้วัฒนธรรมสร้างนิสัยให้ประชาชนรู้จัก ระชุ่มกระชวยและใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อหาพื้นที่ที่
ที่ต่ำ�ที่สูง ผู้น้อยไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น จะเสนอแนวคิดที่ไปไกลมากกว่าประชานิยมหรือรัฐสวัสดิการ
วิธีที่ทำ�ให้คนยอมจำ�นนต่อสภาพความเป็นอยู่ จนกลายเป็น แต่มันควรพัฒนาเป็นการเรียกร้องที่สามารถปลดแอกชนชั้น
เหมือนกับทาสของทุนนิยมเชื่องๆ ที่ไม่คิดจะปลดแอกตนเอง กรรมาชีพ
แต่ ณ ประเทศไทยในตอนนี้กระแสการต่อสู้ทางชนชั้น โอกาสนี้เหมาะสมที่สุดที่จะรื้อฟื้นความคิดซ้ายสังคมนิยม
และการพูดถึงปัญหาความเลื่อมล้ำ�ทางสังคมในไทย เป็นเรื่อง ขึ้นมาอีกครั้ง ในขบวนการของกรรมกรและคนเสื้อแดง

เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 7


ประชาธิปไตยแรงงาน
“ ยักษ์บ้า ”


ทำ�ไม พรรค ในมุมมองมาร์คซิสต์ “
ต้องเคลื่อนไหวทั้งในและนอกรัฐสภา

หัวข้อ ทำ�ไมพรรคในมุมมองมาร์คซิสต์ต้อง มาร์คซิสต์ ต้องเคลื่อนไหวทั้งในและนอกรัฐสภา


เคลื่อนไหวทั้งในและนอกรัฐสภานี้ เป็นหัวข้อหนึ่ง บางท่านอาจจะคิดว่า “เคลื่อนไหวนอกรัฐสภาอย่าง
ที่เราควรนำ�มาศึกษา แลกเปลี่ยนถกเถียงกันอย่าง เดียวก็พอแล้ว ไม่เห็นจะต้องทำ�งานในรัฐสภาของ
ยิ่ง เพราะทั้งในอดีตและปัจจุบัน ปัญหาเรื่องจะเข้า พวกชนชั้นนายทุนที่กินไม่รู้จักอิ่มเลย การเข้าร่วม
ร่วมหรือไม่เข้าร่วมรัฐสภา หรือปัญหาจะเข้าทำ�งาน รัฐสภามันเท่ากับเป็นการประนีประนอม ทำ�ให้เรา
ในองค์ ก รหรื อ สโมสรที่ อ ยู่ ฝั่ ง ตรงข้ า มกั บ ชนชั้ น แปดเปื้อนไม่บริสุทธิ์และสูญเสียอิสรภาพ”
กรรมาชีพหรือไม่นั้น เป็นปัญหาที่เป็นข้อถกเถียง แนวคิดแบบนี้แหละครับที่ เลนิน กล่าวว่า
กันมาโดยตลอด ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจใน เป็นพวก “ไร้เดียงสาฝ่ายซ้าย” ที่น่าขัน เหตุเพราะ
การปฏิบัติภารกิจที่เรากำ�ลังดำ�เนินอยู่ ผมเสนอว่า เขาไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริงของการเคลื่อนไหว
เราควรจะยึดหลักแนวคิดและประสบการณ์ การ ปฏิบัติงาน ที่จะต้องรู้จัก “พลิกแพลง ผ่อนปรน
ทำ�งานของบอลเชวิคเป็นหลัก ซึ่ง เลนิน เขาได้นำ� และประนีประนอม” ซึ่งวิธีการดังกล่าวก็ไม่ได้
เอาประสบการณ์จากการเคลื่อนไหวปฏิวัติรัสเซีย หมายความว่าเราจะยุติการต่อสู้ เพื่อคัดค้านทำ�ลาย
มาสรุปไว้ในหนังสือ โรคไร้เดียงสา “ฝ่ายซ้าย” ใน ชนชั้นที่กดขี่ขูดรีด แต่เป็นการ พลิกแพลง ผ่อนปรน
ขบวนการคอมมิวนิสต์ ไว้ให้เราได้ศึกษากัน สำ�หรับ ประนีประนอม เพื่อนำ�ไปสู่ผลที่ดีกว่า ดังนั้นการเข้า
ท่านผู้อ่านที่มีหัวเอียงซ้ายหรือแอบๆซ้าย ถ้ามีเวลา ร่วมทำ�งานในรัฐสภา (หรือแม้แต่องค์กรของพวก
ว่างก็ควรที่จะหามาอ่านบ้าง ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะ ฉวยโอกาส – คลั่งชาติ) ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปดเปื้อนเสีย
กลายเป็นพวก “ไร้เดียงสา” ที่น่าขันไป หายอะไร สำ�หรับเราชาวมาร์คซิสต์ ที่ไหนมีมวลชน
มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ทำ�ไมพรรคในมุมมอง ก็ต้องไปทำ�งานที่นั่น

เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 8


การเข้าทำ�งานในรัฐสภากับการเคลื่อนไหว เคลื่อนไหวทั้งในและนอกรัฐสภา เลนิน ได้กล่าวย้ำ�
นอกรัฐสภาจะต้องประสานกัน เราไม่สามารถแยก ถึงความสำ�คัญของเรื่องนี้ไว้ว่า “การเข้าร่วมรัฐสภา
ทั้งสองอย่างออกจากกันได้ เพราะการเคลื่อนไหว เป็ น สิ่ ง จำ � เป็ น สำ � หรั บ พรรคการเมื อ งของชนชั้ น
แต่ในรัฐสภาอย่างเดียว มันไม่สามารถสร้างสังคม กรรมาชีพ ในการเตรียมการปฏิวัติ” ดังจะเห็นได้ว่า
ใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้ ขณะ ทั้งการเคลื่อนไหวปฏิวัติรัสเซีย ในเดือนกุมภาพันธ์
เดียวกันถ้าเราไม่เข้าร่วมรัฐสภา เราก็ไม่สามารถ และต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1917 ก็มาจาก
พิสูจน์ให้มวลชนที่ล้าหลังได้เห็นว่า เพราะเหตุใด การเตรียมการปฏิวัติจากภายในรัฐสภา พร้อมกัน
รัฐสภาที่มีแต่พวกตัวแทนผลประโยชน์ของชนชั้น กับการเคลื่อนไหวจากนอกรัฐสภาทั้งสิ้น นี่จึงเป็นคำ�
ผู้กดขี่ (พรรคของอำ�มาตย์ นายทุน) ชนิดนี้จึงควร ตอบรูปธรรมชิ้นหนึ่งที่อธิบายให้เห็นชัดได้ว่า ทำ�ไม
ถูกยุบ และหันมาใช้สภาแรงงานที่มีตัวแทนของคน พรรค ในมุมมองมาร์คซิสต์ ต้องทำ�การเคลื่อนไหว
ชนชั้นรากหญ้ามาทำ�หน้าที่แทน อีกทั้งการไม่เข้า ทั้งในและนอกรัฐสภา
ทำ�งานในรัฐสภา ยังเท่ากับเป็นการช่วยเหลือ พวก
อำ�มาตย์นายทุน เพราะปล่อยให้มวลชนที่ไม่ค่อย อ้างอิง
ตื่นตัว ล้าหลัง ตกอยู่ใต้อิทธิพลของพวกอำ�มาตย์ - โรคไร้เดียงสา “ฝ่ายซ้าย” ในขบวนการคอมมิวนิสต์
นายทุนอยู่ต่อไป : วี.ไอ.เลนิน
จุดหมายหลัก ที่เราต้องร่วมการเลือกตั้งเข้า
ทำ�งานในรัฐสภา ไม่ได้ไปเพื่อต่อสู้วาดฝันกับนักการ
เมืองฝ่ายอำ�มาตย์นายทุนอย่างเดียว แต่เราไปเพื่อ
โฆษณา ปลุกเร้า และให้การศึกษาแก่มวลชนที่ยัง
ล้าหลังเพราะถูกปิดหูปิดตา แน่นอนถึงแม้ว่ารัฐสภา
ปัจจุบันจะมีลักษณะที่สกปรก ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ
ผลประโยชน์ของชนชั้นแรงงาน แต่ในระยะยาวเรา
จะต้องเปลี่ยนมันให้เป็น โรงเรียนลัทธิมาร์คซ์ หรือ
โรงเรียนเตรียมของชนชั้นแรงงาน เพื่อหล่อหลอม
มวลชนส่วนข้างมากให้เปลี่ยนทัศนะคติมาสนับสนุน
ลัทธิมาร์คซ์ และหันมากบฏ “ดื้อรั้น” ต่อพวกชนชั้น
ปกครอง อำ�มาตย์ นายทุน ถ้าไม่ทำ�เช่นนี้สังคมใหม่
หรือระบอบประชาธิปไตยสมบรูณ์ ที่เราใฝ่หาก็ไม่มี
ทางเป็นไปได้เลย
หากเราศึกษาจากประวัติศาสตร์การทำ�งาน
ของพรรคบอลเชวิค ในการเคลื่อนไหวปฏิวัติรัสเซีย
เราจะยิ่งเห็นภาพชัดยิ่งขึ้น ว่าทำ�ไมเราต้องทำ�งาน
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 9
จัดตั้ง
สมุดบันทึกสีแดง

เมื่ออำ�มาตย์ “ ปฏิรูป ” มันก็ คือ


การสร้างวงจรอุบาทว์รอบใหม่
การต่อสู้ของคนเสื้อแดงในรอบนี้มันได้กระชากหน้ากาก “นายอานันท์กล่าวต่อว่า สำ�หรับกลไกการทำ�งานใน
ออกมาหลายชนิดจนนึกไม่ถึงเลยทีเดียว เม็ดเงินมหาศาล เบื้องต้นจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดคือ 1. คณะ
ที่ทุ่มเทเพื่อสร้างภาพมาอย่างยาวนานมีค่าเป็น “ศูนย์” กรรมการกำ�กับการปฏิรูปประเทศมีตนเป็นประธาน ทำ�
ทันทีเมื่อพานพบกับขบวนการของคนเสื้อแดง หน้าที่กำ�หนดยุทธศาสตร์และจัดลำ�ดับความสำ�คัญเพื่อ
หน้ากากอันอัปลักษณ์ของบุคคลที่เรียกตัวเองว่า เสนอต่อรัฐบาล ซึ่งตนจะไปหาผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมเป็น
“ผู้ใหญ่” ของบ้านของเมืองนี้ พวกหัวหงอกๆ มีสายสะ กรรมการอีก 15-20 คน โดยไม่มีนักการเมืองเข้ามา
พายเยอะๆ ยิ่งสายสะพายเยอะก็ยิ่งรับประกันความทราม ร่วม ทั้งนี้จะพยายามตั้งคณะกรรมการให้ได้ภายในเดือน
พวกนี้ปั้นหน้าตอแหลว่าเป็นบุคคลที่มากด้วยศีลธรรม แต่ มิถุนายนนี้ และ 2. คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศมี
ท้ายที่สุดพวกเราก็มองเห็นแก่นแท้ของพวกนี้ว่ามันเต็มไป นพ.ประเวศ เป็นประธาน ซึ่งคาดว่าในช่วงปลายสัปดาห์
ด้วยถ้อยคำ�ของการโกหก และ สนับสนุนการฆาตกรรมหมู่ หน้าจะมีระเบียบสำ�นักนายกรัฐมนตรีกำ�หนดกลไกการ
ประชาชน เสร็จสิ้นการกระทำ�อันโหดเหี้ยมพวกนี้ก็ผลิต ทำ�งานต่างๆ ออกมา”
ปรัชญาออกมาให้คุณค่ากับตัวเอง มันเป็นวัฏจักร “วงจร และอีกตอนหนึ่ง นายอานันท์ พูดว่า นักข่าวถาม
อุบาทว์” ของแท้จริงๆ คนประเภทนี้ได้แก่พวก องคมนตรี ว่า เป้าหมายของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศคือการลด
นักธุรกิจชั้นสูง ปัญญาชนอำ�มาตย์ เช่น นายอานันท์ ปัน ความเหลื่อมล้ำ�ทางสังคม คิดว่าจะลดช่องว่างระหว่างคำ�
ยารชุน นายประเวศ วะสี และ อีกมากมาย พวกนี้มีจุดร่วม ว่า “ไพร่” กับ “อำ�มาตย์” ที่ถูกบัญญัติขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
คือ มีตัวสีเหลืองๆ ได้หรือไม่อย่างไร นายอานันท์กล่าวว่า “คณะกรรมการผม
ตอนนี้รัฐบาลเผด็จการมันมีแผนการออกมาเยอะ จะไม่สนใจเรื่องแบบนี้ ถ้ายกคำ�ว่าไพร่หรืออำ�มาตย์ขึ้นมา
มากมาย แต่ละแผนที่ออกมาล้วนแต่เป็นพิษกับระบอบ ผมคิดว่าเป็นศัพท์ที่ไม่มีความหมาย คณะกรรมการทั้ง 2
ประชาธิปไตยทั้งสิ้น เช่น แผนการนิรโทษกรรม ซึ่ง จา ชุดนี้จะไม่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เป็นปัญหาในอดีต แต่แน่นอน
ตุรนต์ ฉายแสง ก็ได้พูดดักทางไว้แล้วว่ามันเป็นความ ความเหลื่อมล้ำ�ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง เรื่อง
พยายามที่จะนิรโทษกรรมให้กับพรรคพวกฝ่ายอำ �มาตย์ สิทธิ เรื่องโอกาส อันนั้นต้องทำ�แน่ แต่เราจะไม่ทำ�ในบริบท
ซึ่งมันไม่ได้มีประโยชน์กับคนเสื้อแดงเลย อนึ่งถ้ามีการ ของสิ่งที่คุณพูด มันคนละเรื่องกัน”
ยอมรับการนิรโทษกรรมมันจะเข้าทางอำ�มาตย์ ก็เท่ากลับ การปฏิรูปนี้จะประกอบไปด้วยคนจำ�นวนหยิบมือ และ
เป็นการยอมรับผิดว่า “เสื้อแดง” ผิด ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง เป็นพวกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คำ�พูดที่ว่า “โดยไม่มี
และเป็นเรื่องที่เรายอมรับไม่ได้ นักการเมืองเข้ามาร่วม” มันเป็นคำ�พูดยาพิษและมีเนื้อแท้
เกี่ยวกับแผนปฏิรูปประเทศ ! ที่นายอานันท์ ออก เป็นเผด็จการสุดๆ เพราะมันเป็นคำ�พูดที่กีดกันไม่ให้คน
มาให้สัมภาษณ์นั้น มันเต็มไปด้วยถอยคำ�ของคนเถื่อนที่ ธรรมดาเข้ามามีส่วนร่วมกับตำ�แหน่งที่มีความสำ�คัญๆ ซึ่ง
จองหอง ขอคัดคำ�พูดมาเลย จะต้องใช้ระบบการเลือกตั้งเท่านั้น เพื่อให้กรรมการเป็น
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 10
ตัวแทนของทุกส่วน ซึ่งมันจะเป็นหลักประกันว่าผู้แทนนั้น ประชาสังคมของนายประเวศ และ อำ�มาตย์ คือพวกภาค
ได้ทำ�หน้าที่แทนประชาชนที่เลือกเขาเข้ามา การที่ไม่นำ� ประชาชนสีเหลืองที่ร่วมทำ�ลายประชาธิปไตย .......ท้าย
ระบบการเลือกตั้งเข้ามามันเป็นการรับประกันความมั่นคง ที่สุดก็นับถอยหลังสู่วงจรอุบาทว์รอบใหม่เท่านั้น
ให้กับอำ�มาตย์ว่า พวกมันคนจำ�นวนหยิบมือเดียวเท่านั้น คนสุดท้ายที่จะพูดถึงคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ที่จะมีอำ�นาจต่อไปในสังคม พวกมันจะมีอำ�นาจในการ ที่อ้างว่านิตยสารนิวสวีคฉบับล่าสุดยังเขียนว่า สิ่งที่
ออกแบบกฎระเบียบ เพื่อมาข่มเหงเหยียบย่ำ�หัวของไพร่ ประเทศไทยผิดพลาดที่สุด คือละเลยการปฏิรูปอย่าง
อีกระรอก จริงจัง ซึ่งเป็นความจริง เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยมีแผนจะ
นายอานันท์ ไม่กล้ายอมรับความจริงของสังคมระหว่าง ปฏิรูปเลย มีเพียงลมปากไปเรื่อยๆ
อำ�มาตย์กับไพร่ คือนายอานันท์หลอกตัวเองได้และคงจะ อันนี้ก็โกหก ไม่มีความกล้าและน้ำ�ยาแม้กระทั่งจะ
หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะอ้างว่าในประเทศไทยไม่มี ปกป้องผลงานของพรรคที่ตัวเองเคยสังกัด ลื่นไหลเหมือน
ปัญหาชนชั้น ทุกคนเท่ากัน ไม่มีปัญหาอะไร แต่วินาที ปลาไหลจริงๆ สงสัยนายสมคิด ไม่เคยมีจุดยืนต่อสิ่งที่ถูก
นี้ไม่มีใครเชื่อหรอก หรือปรากฏการณ์ง่ายๆ ถ้ามันไม่มี ต้องเลยกระมั้งในชีวิต ประเทศไทยพยายามปฏิรูปประเทศ
ความหมายจริงทำ�ไมพวกอำ�มาตย์ถึงเซนเซอร์คำ�ๆ นี้ใน ในสมัยไทยรักไทย มีความพยายามที่จะนำ�นโยบายมา
สื่อนานาชนิด ทำ�ไมคนเป็นจำ�นวนมากลุกขึ้นมาสลัดคำ� ปฏิรูปอย่างเป็นระบบ เช่น เรื่องประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ว่าคนไทยในความหมายของอำ�มาตย์ และหันมาสังกัด 30 บาท กองทุนหมุนเวียน โครงการขนส่งมวลชนขนาด
“ไพร่” แทน การไม่ยอมรับความจริงมันก็เท่ากับเป็นการ ใหญ่ เหล่านี้คือการปฏิรูปประเทศทั้งสิ้น สิ่งที่ทำ�ให้การ
สร้างวงจรอุบาทว์รอบใหม่เท่านั้น ก็ต้องคอยจับตาว่านาย ปฏิรูปเกิดขึ้นไม่ได้ คือ การทำ�รัฐประหารของทหาร การ
อานันท์จะตอแหลเรื่อง การลดช่องว่างอย่างไร ทำ�ลายกลไกประชาธิปไตยของพวกสีเหลืองนั่นเอง
นายประเวศ ราษฎรสติฟั่นเฟือน ได้กล่าวว่า ขอยก อย่างไรก็ตามพวกเราคงไม่สามารถที่จะวิจารณ์
คำ�พูดมา “ด้าน นพ.ประเวศกล่าวว่า นายกฯ ให้อิสระใน พวกนี้ได้อย่างเดียวพวกเราเสื้อแดงคงต้องคิดหา “โมเดล
การคัดเลือกกรรมการมาร่วมงานอย่างเต็มที่ เพราะเรื่อง ประเทศ” ที่เราต้องการอยากให้เป็นเพื่อมาแข่งแนวกับ
นี้ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องของภาคสังคม ภาค ข้อเสนอของพวก “คณะกรรมการปฏิรูปเพื่อความล้า
ประชาชน และภาควิชาการ แต่ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใน หลัง” เพราะถ้าให้พวกนี้เสนออย่างเดียว ประเทศไทยจะ
การรับข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไปปฏิบัติ อยู่ในวงจรอุบาทว์ต่อไปอย่างไม่มีที่สุด อนึ่งถ้าเราไม่คิด
ขอย้ำ�ว่าคณะกรรมการชุดนี้เป็นคณะกรรมการปฏิรูป ซึ่ง หา “โมเดลประเทศ” มาสู้กันทางความคิดกับพวกนี้ พวก
ต้องมองไปข้างหน้า ไม่เกี่ยวกับเรื่องความปรองดองซึ่ง นี้มันก็จะผูกขาดอยู่ฝ่ายเดียวและอ้างว่าไม่มีข้อเสนออื่นๆ
เป็นเรื่องอดีต โดยคณะกรรมการจะเดินหน้าปฏิรูประเทศ .........พวกเราต้องสู้กับพวกอำ�มาตย์ในทุกพื้นที่ ในทุกๆ
เพื่อสร้างความเป็นธรรม และลดความเหลื่อมล้ำ�ของคนใน คำ�พูดของพวกมันเลยทีเดียว
สังคม”
นายประเวศ มาในแนวเดียวกันกับนายอานันท์ คือ
ลดความสำ�คัญของกลไกทางรัฐสภา ลดความสำ�คัญของ
นักการเมื อ งซึ่ ง มั น ก็เท่ากับเป็นการลดความสำ � คั ญ ของ
ประชาชนลงไป ไม่มีการพูดถึงระบบการเลือกตั้ง โกหก
และแต่ ง ตั้ ง คนของตั ว เองขึ้ น มาพยายามสร้ า งภาพว่ า ดี
กว่านักการเมือง อ้างถึงความอิสระในการแต่งตั้ง ซึ่งใน
รูปธรรมหมายถึง อิสระจากการตรวจสอบของประชาชน
คำ�พูดของนายประเวศ นี่แทบจะไม่แตกต่างจากนโยบาย
ของพรรคการเมืองใหม่ (ฟาสซิสต์พันธมิตร) ที่ลดความ
สำ�คัญของการเลือกตั้ง หันมาใช้ระบบแต่งตั้งแทน ภาค

เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 11


พลวัต แปลโดย สหายโต้ง
โดย Viv Smith
ที่มา : http://www.socialistworker.co.uk/art.php?id=21576

แม้ในงาน เทศกาลฟุตบอลโลก
ค่าจ้าง และสิทธิแรงงานก็ยังไม่เว้น ถูกเอาเปรียบ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพนักงาน จัดการแข่งขันครั้งนี้ ที่กำ�ลังทำ�ความเสื่อมเสียให้กับ
บริการของสนามแข่งขันที่ใช้ในงานฟุตบอลโลก ถูก งานแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ ชิงถ้วยรางวัลระดับโลก ในครั้ง
ไล่ออก พวกเจ้านายของบริษัท Stallion รักษาความ นี้ เพียงเพราะความโลภ
ปลอดภัยที่แอฟริกาใต้ ได้ไล่พนักงานที่ออกมา สหพันธ์ฯ ได้ชี้ให้เห็นสาเหตุของปัญหาว่า มา
ประท้วงเรื่องค่าจ้าง ในระหว่างเทศกาลแข่งขันให้ จากการที่ ฟีฟ่า ได้ว่าจ้างแรงงานจากบริษัทนาย
ออกจากงาน พวกคนงานออกมาผละงานประท้วง หน้าตัวแทน แทนที่จะว่าจ้างคนงานโดยตรง ทั้งนี้ก็
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาในเรื่องค่าจ้างแรงงานที่ต่ำ� ที่ เพื่อไม่ต้องการให้สหภาพแรงงานใดๆ มีโอกาสเข้า
สนามที่ใช้แข่งขันฟุตบอลโลก Durban’s Moses มาเกี่ยวข้อง
Mabhida Stadium และต้องพบกับ ระเบิดแก๊สน้ำ�ตา พนักงานรักษาความปลอดภัย กล่าวว่า พวก
และกระสุนยาง จากตำ�รวจ เขาได้รับค่าจ้างเพียง R135 (£12) ต่อ งานหนึ่งคู่ที่
สหพันธ์สหภาพแรงงานแห่งแอฟริกาใต้ Co- แข่งขันกัน และต้องอยู่ทำ�งานเป็นเวลา ระหว่าง ๑๒
satu ออกมาประณามการกระทำ�ต่อพวกคนงาน – ๑๖ ชั่วโมงต่อวัน และพวกเขาต้องยอมรับซื้อชุด
สนามกีฬาเหล่านั้น และรวมถึง ฟีฟ่า ผู้ดำ�เนินการ ทำ�งานในราคา R1,200 (£107)

ภาพประกอบจาก : AP Photo/Karel Prinsloo


เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 12
ผู้คนหลายพันคนได้ออกมาเดินขบวนประท้วง กฎระเบียบ “
เมื่อวันพุธใน Durban เพื่อฉลองครบรอบ ๓๔ ปี • หลายส่วนของพนักงานขับรถโดยสารใน
แห่งการลุกขึ้นต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรม และ เมือง โจฮันเนสเบิก ได้ผละงานประท้วงกันเอง เมื่อ
เข้าร่วมสมานฉันท์กับการประท้วงของลูกจ้างบริษัท ต้นสัปดาห์ เพื่อคัดค้าน การคัดเลือกรายชื่อที่ไม่เป็น
รักษาความปลอดภัย Stallion ในครั้งนี้ ประชาธิปไตย
ผู้เข้าร่วมประท้วงยังได้ชี้ให้เห็นถึงการกีดกัน ไม่
• สหภาพแรงงาน Nehawu ซึ่งดูแลผู้ใช้
ให้ผู้ค้าขายรายย่อยต่างๆ ได้มีโอกาสเข้าร่วมในงาน แรงงานในหลายๆ ส่วนของหน่วยงานภาครัฐ ออก
ยกเว้ น ให้ แ ต่ เ ฉพาะผู้ ค้ า รายใหญ่ ที่ ไ ด้ รั บ อนุ ญ าต
มาประณามการโกหกของรัฐบาลที่ว่า พวกเขาได้
เท่านั้น พวกเขายังได้ประณามรัฐบาลในการนี้ที่ บรรลุ ถึ ง ข้ อ ตกลงที่ ว่ า จะไม่ มี ก ารสไตร๊ ค์ ห ยุ ด งาน
ลงทุนเป็นเจ้าภาพจัดงาน ด้วยงบประมาณ ๓ หมื่น ประท้วงใดๆ ในระหว่างเทศกาลแข่งขันชิงถ้วยบอล
๓ พันล้าน ( ๒.๗ พันล้านปอนด์ ) ว่าเป็นความสูญ โลกครั้งนี้ เรียบร้อยแล้ว ตัวแทนคนงานได้บอกว่า
เสีย ในขณะที่ในประเทศยังมีคนอีกหลายล้าน ที่ต้อง พวกเขาจะไม่ยอมให้รัฐบาลเอาสิ่งที่เรียกว่าบอลโลก
ใช้ชีวิตอยู่อย่างอดอยาก มาข่มขู่ แบล็กเมล ให้พวกเขาล้มเลิกยุติการต่อสู้
เรียกร้องเพื่อปากท้อง เพื่อการมีงานทำ� เพื่อความ
เสียงเรียกร้องว่า “ มาเฟีย ฟีฟ่า ออกไป “ ดัง เป็นธรรม
กระหึ่มทั่วไปบนท้องถนน • นักกิจกรรม องค์กรเพื่อสิทธิของพลเมือง
Trevor Ngwane จากสมัชชาต่อต้านการแปรรูป และมนุษยชน ออกมาประณามการจัดตั้งและใช้ศาล
รัฐวิสาหกิจ ผู้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินขบวนครั้ง พิเศษเพื่อบอลโลก หลังจากเมื่อชาย ๒ คนถูกจับ
นี้ ชี้แจงว่า จุดประสงค์ของเราไม่ใช่เพื่อขัดขวาง ในข้อหาจี้ชิงทรัพย์นักหนังสือพิมพ์ต่างชาติ ๓ คน
ถ้วยรางวัลแชมป์โลก แต่รัฐบาลต้องเลือกทำ�สิ่งที่ พวกเขาถูกตัดสินว่ามีความผิด และต้องโทษจำ�คุก
จำ�เป็นต้องทำ�อย่างถูกต้อง – เพราะเมื่อเราบอกว่า เป็นเวลาคนละ๑๕ ปี และทั้งหมดนี้ดำ�เนินการเสร็จ
เราต้องการมีงานทำ� เราต้องการการศึกษาที่ดีกว่า สิ้นภายใน ๒ วันหลังจากเกิดเหตุการณ์
นี้สำ�หรับประชาชน เราต้องการบ้าน รัฐบาลบอกว่า • ประชาชนหลายร้อยคน เดินขบวนไปยัง
เราไม่มีเงินแต่จู่ๆ ต่อมาก็กลับมีเงินเป็นพันๆ ล้าน สถานกงสุลสหรัฐอเมริกา ประจำ�เมืองโจฮันเนสเบิก
มาสร้างสนามกีฬา เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาเพื่อประท้วงคัดค้าน การ
Pravin Nansook ตัวแทนจากกลุ่มชุมชนผู้ ตัดลดงบประมาณจากนานาชาติ เพื่อป้องกัน ช่วย
ใช้แรงงาน พูดด้วยอารมณ์โกรธว่า “งานชิงถ้วย เหลือผู้ติดเชื้อ เอชไอวี ในแอฟริกา นักกิจกรรม
ฟุตบอลโลกนี้ เป็นงานของพวกชนชั้นสูง “และคน เคลื่อนไหวสวมเสื้อยืดสีเขียวและถือใบปลิวเพื่อแจก
ส่วนมากที่อาศัยอยู่ในเมือง Durban ไม่ได้มีโอกาส ได้เข้าร่วมขบวนหลายๆ องค์กรรวมถึง โครงการ
เข้าไปมีส่วนร่วม แต่ถูกกันออกไป รณรงค์เพื่อการไม่เลือกปฏิบัติ และองค์กรแรงงาน
คนงานอื่นๆ ประท้วงว่า พวกเขาถูกบังคับให้ Cosatu ได้ร่วมเข้าเป็นฝ่ายนำ�ในการประท้วง การ
ออกไปจากบริเวณที่จะใช้ตกปลาตามปกติ ที่อยู่ใกล้ ตัดลดเงินช่วยเหลือเรื่อง เอชไอวี
กันกับโรงแรมหรูๆ และที่ที่ติดทะเลของเมือง Dur-
ban นาย Rajeen Inderjeeth เขียนข้อความบน
แผ่นป้ายด้วยลายมือว่า “เราจะไปหาปลา เราไม่กลัว
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 13
พลวัต
จดหมายเปิดผนึก
ขอให้ปล่อยตัว นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน 2553
ในท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่กำ�ลังจะมุ่งไปสู่ความพยายามปรองดองโดยรัฐบาล ยังคงมีการบังคับใช้พระราช
กำ�หนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ซึ่งเป็นการให้อำ�นาจแก่เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานโดยไม่ต้องรับ
ผิด จับกุมคุมขังโดยไม่มีข้อกล่าวหา ทำ�ให้ความปรองดองที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการปรองดองที่จอมปลอมและหลอกลวง เป็น
เพียงการสร้างภาพไปวันๆของรัฐบาล ในวันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน 53 เวลาประมาณ 18.00 น. ได้มีกิจกรรมรำ�ลึกถึงความสูญ
เสียในการเรียกร้องประชาธิปไตยด้วยการผูกผ้าแดงที่สี่แยกราชประสงค์ โดยมิได้ก่อความไม่สงบ หรือก่อความเดือดร้อนให้
แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นเพียงกิจกรรมตามมโนธรรมสำ�นึกและสิทธิของประชาชน รวมทั้งมิได้มีแกนนำ�แม้แต่ผู้เดียว

ทว่าเมื่อเวลา 18.00 น. ปรากฏว่ามีการจับกุมนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ซึ่งเป็นนักกิจกรรมทางสังคม ที่ทำ�งานด้านศิลป


วัฒนธรรม งานอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิ ประสบภัยน้ำ�ท่วมอุตรดิตถ์ ช่วยเหลือแรงงามข้ามชาติ ผู้ถูกกดขี่
ต่อต้านการค้ามนุษย์ ส่งเสริมประชาธิปไตย มีการทำ�งานกับเด็กไทยภูเขาเพื่อให้เรียนรู้เรื่องสิทธิทางการศึกษา รวมทั้งเป็น
ผู้ริเริ่มในการดำ�เนินกิจกรรมติดตามผู้สูญหายจากการสลายการชุมนุมของรัฐบาล ซึ่งนับเป็นนักกิจกรรมทางสังคมที่มีคุณค่า
ต่อสังคมไทย สมบัติ บุญงามอนงค์ คือ ผู้บุกเบิกงานอาสาสมัครยุคใหม่ในสังคมไทย และเป็นนักกิจกรรมทางสังคมที่ไม่
เพิกเฉยความไม่เป็นธรรม

การจับกุมนายสมบัติ บุญงามอนงค์ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการคุกคามพลเมืองที่มีคุณูปการต่อสังคม และแสดงให้


เห็นถึงรัฐบาลไม่มีความจริงใจดำ�เนินงานตามแผนปรองดองแห่งชาติ

พวกเราตามรายนามดังต่อไปนี้ เป็นนักกิจกรรมทางสังคม เป็นสามัญชน ขอประณามการกระทำ�ของรัฐบาลในครั้งนี้


ขอให้ปล่อยตัวนายสมบัติ บุญงามอนงค์รวมทั้งบุคคลอื่นๆในทันที โดยไม่มีเงื่อนไข และพวกเราขอเรียกร้องให้มีการยกเลิก
พรก.ฉุกเฉิน เพื่อเป็นก้าวแรกในการนำ�ไปสู่การปรองดอง
“ด้วยความหวาดกลัว พรก.ฉุกเฉิน”

นายกิตติชัย งามชัยพิสิฐ, นายประดิษฐ์ ลีลานิมิต, นายบารมี ชัยรัตน์ สถาบันสันติประชาธรรม, นายเขมทัศน์ ปาลเปรม กลุ่มปฏิบัติการเพื่อสิทธิ
คนจน, นางสาวพรพิมล สันทัดอนุวัตร, นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ, นายพันศักดิ์ ศรีเทพ รองเลขาธิการศูนย์อำ�นวยการเยียวยาสถานการณ์
ฉุกเฉิน, นางสาวศิริพร พรมวงศ์, นางสาวจารุวรรณ สาทาลัย, นางสาววลสุดา โพเย็น, นางสาวจิราพร หิรัญบูรณะ, นายรัชพงษ์ โอชาพงศ์, นาย
สันติ โชคชัยชำ�นาญกิจ, นางสาวพัชรี อังกูรทัศนียรัตน์, นางสาววิรพา อังกูรทัศนียรัตน์, นางสาววัชรินทร์ สังขาระ, นางสาววนิดา สุรคาย, นางสาว
อุลัยรัตน์ ชูด้วง, นางสาวพนิดา บุญเทพ, นายญัฐพงษ์ ภูแก้ว, นายอรรถพล บุญไพโรจน์, นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย, นางสาวปาริดา ปะการะโพธิ์,
นางสาวสลิลทิพย์ ณ พัทลุง, นางสาวอรุณวนา สนิกะวาที, นายสุพัดตรา ธานีวรรณ, นายสุวิทย์ นาดี, นายธิติ มีแต้ม, นายวิทยา แสงระวี, นาย
กิตติศักดิ์ จันทร์ใหม่, นายอรรถพร ขำ�มะโน, นายกิตติเดช บัวศรี, นายตะวัน พงศ์แพทธ์, นางสาวสุปราณี คันธะชัย, นางสาวปณิธิตา เกียรติ์สุข
พิมล, นายธิกานต์ ศรีนารา, นายเจษฎา โชติกิจวิภาค, นายปราการ กลิ่นฟุ้ง, นายรอมฎอน ปันจอร, นางสาวอัญญรัตน์ อ่อนสุทธิ, นายชล เจนประภา
พันธ์, Edward Creed, นายชัยวัฒน์ ไชยจารุวณิช, นางภาวิณี ไชยจารุวณิช, นางสาวแก้วตา ธิมอิน, นางสาวสุธารี วรรณศิริ, นายอภิศักดิ์ สุขเกษม,
นางสาวกิ่งกร นรินทรกุล, นางสาวอรชพร นิมิตกุลพร, นางสางสุลักษณ์ หลำ�อุบล, นางสาวขวัญระวี วังอุดม, นายติรัฐสรรพ์ ประมวลศิลป์, นางสาว
นฤมล ทักชุมพล, นางสาวอธิษฐาน์ คงทรัพย์, นางสาวปาริชาด สุวรรณบุปผา, นางสาวแก้วตา เพชรรัตน์, นางสาวพรพิมพ์ แซ่ลิ้ม, นายสันติ ศรีมัน
ตะ, นางสาวประไพ กระจ่างดี
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 14
กวี

อาเศียรวาท: ถ้าพี่ถูกจับ...
คณะ ราษฎรผู้ปฏิวัติประชาชน ใส่เสื้อแดงไปเยี่ยมด้วยนะ
24 มิถุนายน 2475 โดย เพียงคำ� ประดับความ
โดย Homo erectus ถ้าพี่ถูกจับ...ใส่เสื้อแดงไปเยี่ยมด้วยนะ
สิ้นสุดแล้ว... การปกครอง อันกดขี่ แล้ววาระ...นี้ก็เดินทางมาถึง
ทำ�คนไร้ สิทธิ์เสรี เป็นเพียงไพร่ ท่ามกลางกระแสลมอึงคะนึง
ต่อจากนี้ เราเป็น “คน” ใช่เดนใคร เสรีภาพพี่ถูกขึงตรึงโซ่ตรวน
ประชาชน ตระหนักใน ลำ�แข้งตน แม้รู้ว่าจะปวดเจ็บและเหน็บหนาว
กัดกลืนก้อนขื่นคาวร้าวลมหวน
สิ้นสุดแล้ว... การก้ม คลานหมอบกราบ หัวจิตหัวใจพี่มั่นคงไม่เรรวน
ที่เคยซาบ ซึ้งซึมซ่าน เป็นล้นพ้น ดาวแสงนวลไม่ได้เห็นไม่เป็นไร
ณ บัดนี้ เราเป็น ประชาชน ขอหยัดยืนขึ้นท้าท้องฟ้ามืด
มิยินยอม จำ�นน อีกต่อไป จันทร์แสงจืดชืดชาลาลับหาย
อยู่ที่นั่นนอนหลับบ้าง...นะพี่ชาย
24 มิถุนายน 2475 ฟูกแข็งไหมไหนผ้าห่มกันลมแรง
วันที่ฟ้า สีทอง ผ่องไสว บนดินแดนที่แร้นแค้นเสรีภาพ
คณะราษ- ฎรนำ� สังคมไทย คนเปื้อนบาปซ่อนกายในคราบแฝง
สู่ประชา- ธิปไตย อันเท่าเทียม คุกคือที่ขังคนกล้ามิเปลี่ยนแปลง
รู้ว่าพี่เข้มแข็งแกร่งเพียงพอ
สิทธิ เสรี เสมอภาค
แล้วจะใส่เสื้อแดงไปเยี่ยมนะ
ทำ�ลายซาก ศักดินา กุมบังเหียน
เสรีภาพอาจไม่ได้มา...ด้วยร้องขอ
หลักทั้ง 6 ประการ เปรียบดั่งเทียน
แต่อย่างไรผองเราจะเฝ้ารอ
สาดส่องแสง เปลี่ยนยุค สมัยใหม่
ให้ บก. กลับมา... “อาทิตย์สีแดง”
คารวะ แด่คณะ ราษฎร
ปฏิวัติ ถ่ายถอน ความเป็นไพร่
เราคือคน ใช่เศษฝุ่น ใต้ตีนใคร
ประกาศชัด ได้ยินไหม ฟ้าอมร !

เราคือคน ใช่เศษฝุ่น ใต้ตีนใคร


ประกาศชัด ได้ยินไหม ฟ้าอมร !

เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 15


ถามทาง เอกศักดิ์ ยุกตะนันทน์ ปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน มีทัศนะคติ แนวโน้ม นิสัย วิธีที่
จะคิด จนเรียกได้ว่า มีบุคลิกภาพหรือ “สันดาน” เดียวกัน และ
เป็นสันดานที่พวกเขามักไม่ยอมที่จะเพ่งสายตาของตนเอง
การศึกษาที่บริสุทธิ์ ตอนแรก ลงไปตรวจสอบ ว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่บ้างหรือไม่
ตราบใดก็ตามที่ชีวิตของตนไม่เคยถูกอะไรเหล่านั้นทำ�ร้าย
การให้ ก ารศึ ก ษาคื อ ความสั ม พั น ธ์ ข องความรั ก เอาอย่างรุนแรง และเหตุที่เขาไม่อยากตรวจสอบมันเอาเสีย
ระหว่างคนต่างรุ่น ฉะนั้นการให้การศึกษาจึงควรเป็นการ เลยก็เพราะมันทำ�ให้เขารู้สึกว่า ตราบใดที่เขาสามารถยอมรับ
ให้อันบริสุทธิ์ และครูก็ควรจะอ่อนโยนต่อศิษย์เช่นเดียวกับ มันไว้ได้โดยดุษฎี เขาก็ไม่แปลกแยก แต่เป็นหนึ่งเดียวกันกับ
พ่อแม่ผู้รักลูกของตน แต่มนุษย์ก็มักจะไร้สติไปด้วยเหตุ คนอื่นๆ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเบื้องหลังการละเลยเพิกเฉย
นานัปการ จนสิ่งอันควรบริสุทธิ์ก็ด่างพร้อยไป ในสังคมไทย ที่จะตรวจสอบ ก็คือการที่ผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาแต่ละ
เหตุนานัปการดังกล่าวรุนแรงจนส่งผลอันน่าสะท้อนใจ แต่ คนกลมกลืนเข้ากันได้กับผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และ
ผู้คนก็ยังไม่เฉลียวใจเพราะมิจฉาทิฐิอันพาไปสู่ความไร้สติ เพราะเหตุแห่งความขลาดกลัวอันซ่อนลึกอยู่ในจิตวิญญาณ
เป็นความดำ�มืดที่ซ่อนลึกอยู่ใต้กมลสันดานที่พวกเขาไม่เคย ของพวกเขา ที่จะคิดในสิ่งอันผิดแผกแตกต่างไปจากคนอื่นๆ
ส่องสำ�รวจลงไปถึง แม้ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขาจะเรียกตนเอง รอบข้าง
อยู่ตลอดเวลาว่าเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น แต่ปรัชญาสอนให้เรารักในชีวิต และตรวจสอบชีวิตอย่าง
ผู้เบิกบาน ผู้ซึ่งควรจะสำ�รวจจิตใจของตนเองอยู่เสมอ ถึงที่สุด ไม่สะทกสะท้านที่จะคิด ไม่ว่าจะในทิศทางใด มีชีวิต
การศึกษาของไทยไม่ใช่ความสัมพันธ์ของการให้ด้วย ที่มีค่าที่สุดในฐานะผู้รู้ ผู้ตื่น ไม่ใช่ให้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
ความรักที่บริสุทธิ์ แต่ด่างพร้อยไปด้วยความกระหายอำ�นาจ เป็นสำ�คัญ ปรัชญาสอนให้เรารักในสิ่งนามธรรม เช่น ความ
ความเจ้าอารมณ์ ความเอาแต่ใจตนเอง การถือทิฐิของตน จริง ความดี ความงาม และความรักที่บริสุทธิ์ ความกล้าหาญ
เป็นใหญ่ของผู้ให้ เป็นความกระด้างอย่างที่สุดต่อจิตใจของ ในจิตวิญญาณ และชี้ให้เห็นว่า สังคมใดก็ตามไม่อาจก้าวไป
ผู้รับ ซึ่งส่งผลเป็น ความสูญเสียในจิตวิญญาณแห่งการเรียน ข้างหน้าได้ถ้าไม่เห็นค่าในสิ่งนามธรรมเหล่านี้
รู้ของผู้เรียน พวกเขาโง่ลง แล้วก็โง่ลง เพราะเอาแต่ท่องจำ� วัฒนธรรมกำ�หนดจิตสำ�นึกของผู้คนในสังคม ซ่อนเร้น
อย่างแทบไม่เคยเข้าใจจริงๆในสิ่งที่ตนเรียน จนมันย้อนกลับ ไว้ด้วยความหลงตนเองอยู่เสมอ และมีการสอดประสานของ
ไปทำ�ลายจิตวิญญาณแห่งความอยากรู้อยากเห็น แล้วก็ทิ้ง ผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม และความรู้สึกของตัวตนที่
เอาไว้แต่ความกระหายอยากได้แค่เงินทองที่ความรู้จะเป็น พองใหญ่ขึ้นมาด้วยความรู้สึกเป็นกลุ่มก้อน ที่พาไปสู่ความ
สะพานทอดไปสู่ การศึกษาไม่ได้มีความหมายใดๆ ที่แท้จริง กลัวต่อการสูญเสียไร้ซึ่งความมีอยู่ขึ้นมาทันที หากต้องถูก
ในจิตวิญญาณของเด็กไทย พวกเขาแทบไม่รู้จักแม้สักนิด วิพากษ์วิจารณ์จนพ่ายแพ้ นี่เป็นความอ่อนแอของมนุษย์ที่
ว่าสิ่งที่เรียกว่า การเติบโตทางปัญญานั้นคืออะไร เพราะจิต เยียวยาได้ด้วย การเห็นคุณค่าของตัวเองในทางนามธรรม
วิญญาณแห่งการเรียนรู้ของเขาถูกพิฆาตเข่นฆ่าไปจนหมด แบบปรัชญาหรือศาสนา ด้วยกระบวนการตรวจสอบตนเอง
ซึ่ ง ก็ ถู ก ฆ่ า โดยผู้ ที่ อ ยากให้ เ ขามี ก ารศึ ก ษาและผู้ ที่ ใ ห้ ก าร อย่างลึกซึ้งเท่านั้น ฉะนั้นแทนที่จะกลัวต่อการตรวจสอบ
ศึกษานั่นแหละ แต่ก็เพราะด้วยความรักและการให้ของคน วัฒนธรรมจะต้องเห็นการวิพากษ์ตรวจสอบเป็นหนทางแห่ง
เหล่านั้น เป็นความรักและการให้ที่ไม่เคยบริสุทธิ์นั่นเอง แต่ การพัฒนาคุณค่าที่แท้จริงใดๆ ก็ตามที่ตนอาจมีอยู่ และเป็น
เป็นความรักที่เจือไปด้วยความกระหายอำ�นาจและการกระ ทางแห่งการสลัดทิ้งคุณค่าปลอมๆ ที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ ชั่ว
ทำ�ที่ผิดพลาดด้วยเหตุแห่งความที่ไร้สติอยู่ตลอดเวลา ครั้ง ชั่วคราว ทั้งหลาย
กมลสันดานของมนุษย์ถูกหล่อหลอมด้วยสถานการณ์ การศึกษาน่าจะเป็นคุณค่าอันแท้จริงที่ทุกวัฒนธรรม
ของชีวิต และสิ่งที่ถักร้อยขึ้นเป็นโครงสร้างของสังคม คือ พยายามถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นต่อไป วิกฤติใน
วัฒนธรรม ศีลธรรม จารีต ประเพณี ระบบเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาของเราเรียกร้องให้เราตรวจสอบวัฒนธรรมของ
การปกครอง ตัวบทกฎหมาย สิ่งเหล่านี้สร้างให้เกิดสิ่งที่เรียก เราอย่างเอาจริงเอาจังลงไปถึงรากเหง้าแห่งจิตใจของเรา ว่า
ว่าจิตสำ�นึกแห่งสังคมที่ผู้คนยึดถือร่วมกัน อันทำ�ให้ผู้คนคิด กำ�ลังเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของผู้ใหญ่ผู้เป็นผู้ให้ในสังคมไทย
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 16
ความดำ�มืดอะไรได้เข้ามาครอบงำ�จิตใจของพวกเรา เรารู้ตัว เศรษฐกิจไทยจะร่ำ�รวย จนสามารถทุ่มเทเงินทองลงไปในการ
หรือไม่ว่าเราเป็นผู้ให้ที่กำ�ลังทำ�ลายจิตวิญญาณในการเรียนรู้ ศึกษาได้ขนาดไหน IQ เฉลี่ยของเด็กไทยก็มีแต่ต่ำ�ลง และ
ของผู้รับ และทำ�ลายคุณค่าอันแท้จริงของสิ่งที่เรากำ�ลังให้กับ มหาวิทยาลัยไทยก็พ่ายแพ้ต่อเพื่อนบ้านอย่างไม่มีทางเทียบ
ผู้เยาว์ของเรา มีอะไรที่ถักร้อยระบบโครงสร้างความสัมพันธ์ ได้ พร้อมกับความเจ็บปวดของเด็กไทยที่เพิ่มขึ้นทุกทีๆ ต่อ
ทางสังคมของเรา ที่สร้างเราทุกคนให้กลายเป็นเช่นนี้เหมือน ระบบอำ�นาจนิยมอนุรักษ์นิยม และการที่ไม่เคยมีสิทธิที่จะมี
กันไปหมด ปากมีเสียงในเรื่องสำ�คัญๆ อะไรในชีวิตของตนเองได้เลย
ผมเองอยากจะบอกว่า ด้วยเหตุผลของการต่อสู้ทาง ผมอยากจะกล่าวว่า เมื่อเรากล่าวว่า เรารักในหลวงนั้น
เศรษฐกิจการเมืองของไทย มีผู้ถักร้อยสิ่งดังกล่าว และทำ�ให้ ในจิตสำ�นึกของเรานั้น เมื่อท่านสอนท่านสั่งอะไร เราไม่กล้า
ผู้ใหญ่ของไทยทุกคนกลายเป็นผู้มีจิตใจที่ดำ�มืดไปด้วยโมหะ เถียง ไม่กล้าถามอะไรท่านเลยแม้สักคำ�เดียว ท่านถูกตลอด
ความลุแก่โทสะ ความถือตนเป็นถือตั้ง ใช้อำ�นาจเป็นใหญ่ และถูกทั้งหมดราวกับเป็นพระเจ้า และเมื่อเราอยู่ที่บ้านหรือที่
เหนือเหตุผล ไม่สนใจต่อจิตใจของเด็ก ทำ�ให้การศึกษาของ โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยที่เราสอน เราเองก็กำ�ลังคิดอุปมา
เรากลายเป็นสิ่งที่ไร้หัวใจ แต่ที่ชวนให้สมเพชที่สุดก็คือ การก อุปมัยให้เราเป็นในหลวงของลูกเรา ลูกศิษย์ของเรา อยู่ตลอด
ระทำ�ดังว่าทั้งหมดใช้ความรักและความหวังดีเป็นข้ออ้าง โดย เวลานั่นเอง “ดังนั้น จงเชื่อฟังกตัญญูและเคารพบูชาฉันใน
เป็นความรักและความหวังดีที่เด็กไม่เคยมีโอกาสที่จะเอ่ย แบบเดียวกัน” เรามีความปรารถนาแบบนี้ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ปากตั้งคำ�ถามอะไรได้เลย เพราะถูกถือไว้แล้วว่าเด็กดีต้อง จิตสำ�นึกของเรา และนี่แหละคือความกระหายอำ�นาจที่ซ่อน
ไม่มีปากไม่มีเสียง เพราะ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์คือผู้มีพระคุณ อยู่ในกมลสันดานของคนไทยเกือบทุกคนมาเป็นเวลา 40 ปี
คือผู้ให้กำ�เนิด ผู้เลี้ยงดู และให้สิ่งมีค่าต่างๆ ในชีวิต ซึ่งนั่นก็ และทำ�ให้การศึกษาไทยเป็นการให้ที่ด่างพร้อยไปด้วยความ
คือ ความกตัญญูกตเวทีได้กลายเป็นคุณธรรมที่ดำ�มืดที่สุดใน กระหายอำ�นาจ ที่เราไม่เคยยอมสอดสายตาลงไปสำ�รวจ ว่า
สังคมไทย เพราะถูกนำ�มารับใช้ต่อ การถือตนเป็นที่ตั้ง การ มันมีที่มาจากอะไร และมันสร้างให้เกิดผลอะไรบ้าง เราแทบ
เอาแต่ใจตนเอง การใช้อำ�นาจเหนือเหตุผล การไม่สนใจต่อ ไม่ยอมให้ใครมาสัมผัสแตะต้องมันเลย เพราะมันคือความ
จิตใจและความรู้สึกของเด็ก ที่ผู้ใหญ่ไทยทั้งหลายล้วนแต่เป็น ภาคภูมิใจอันเปราะบางอย่างที่สุด
กันไปหมด วัฒนธรรมของสังคมจึงทำ�ให้ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่เดิม
ผมอยากจะบอกว่า ด้วยเหตุการณ์ทางการเมือง และศีล ตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ กลายเป็นความกระด้าง
ธรรมแบบปิตาธิปไตย เราเข่นฆ่าชีวิตของลูกหลานของสังคม ทางจิตใจ ไปได้พร้อมๆ กับการสวมใส่หน้ากากของการปรุง
ไทยไปเสียจำ�นวนหนึ่ง หลังจากนั้นเราก็รื้อฟื้นระบบอนุรักษ์ แต่งด้วยหน้าฉากที่งดงามของพิธีกรรม ตัวอย่างเช่น ในสังคม
นิยมทางศีลธรรม พร้อมกับการขยายระบบทุนนิยมบริโภค ไทย พิธีไหว้ครู เป็นพิธีกรรมเดียวกับการที่ไพร่ต้องหมอบ
นิยม รวมหัวกันผลักดันของสองอย่างนี้ให้เติบโตไปให้ถึงที่ กราน นำ�ดอกไม้ถูกเทียนไปกราบเท้าถวายตัวไว้ใต้อำ�นาจ
สุด ซึ่งของทั้งสองอย่างนี้เพียงพอแล้วที่จะทำ�ลายจิตวิญญาณ เจ้าในระบบชนชั้น อันแสดงออกถึงนัยเชิงอำ�นาจอย่างชัดเจน
ของลูกหลานของเราไม่ให้ได้กลับมาผุดมาเกิดอีกเลย เพราะ โครงสร้างทางสังคมที่วัฒนธรรมเข้าไปร่วมถักร้อยจึงเป็นตัว
ระบบอนุ รั ก ษ์ นิ ย มทางศี ล ธรรมทำ � ลายหลั ก การแห่ ง ความ ทำ�ลายความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ระหว่างมนุษย์ แม้แต่ระหว่าง
สุขอันบริสุทธิ์ที่จะทำ�ให้คนค้นพบคุณค่าของชีวิต และระบบ บุพการีและบุตร หรืออย่างน้อยที่สุดก็สร้างการกระทำ�อันไร้
ทุนนิยมบริโภคนิยมปรนเปรอชีวิตด้วยมายาและสิ่งอันจอม สติได้นานัปการ
ปลอมทั้งหลาย วัฒนธรรมในที่ต่างๆ จึงมีความก้าวหน้าไม่เท่ากัน
แต่จิตวิญญาณของเด็กจะไม่ถูกทำ�ลายหรือถูกทำ�ให้ แล้วแต่ว่าวัฒนธรรมใดจะยอมให้เหตุผลและปัญญาของตน
หลงทางอยู่ในมายาไปได้ ถ้าเขามีปัญญาที่จะใช้สู้กับมัน แต่ เข้าไปตรวจสอบได้เพียงใด ฉะนั้น ขอให้ลองมาดูวัฒนธรรมที่
ปัญญาคืออาวุธที่จะใช้สู้กับศัตรูได้ทุกชนิด ผู้ปกครองที่ชาญ ก้าวหน้ากว่าของเราดูว่า พวกเขาเองเคยเห็นความบกพร่อง
ฉลาดย่อมไม่ให้ปัญญาต่อผู้อยู่ใต้ปกครองของตน ฉะนั้น ด้วย ของตนเองอย่างไร
ความกระหายอำ�นาจของนักปกครองไทย การศึกษาไทย
จึงถูกลดคุณภาพลงด้วยเหตุผลทางการเมืองไปชั่วขณะ แต่ ติดตามอ่านตอนสุดท้าย ได้ใน นสพ.เลี้ยวซ้าย
ความกระหายอำ�นาจก็กลับกระจายตัวไปทั่วทั้งสังคมไทย ฉบับเดือนสิงหาคม 53
อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 40 ปี ควบคู่ไปกับความรุ่งโรจน์
ของระบบสมบูรณาสิทธิราชแบบใหม่ในสังคมไทย และไม่ว่า
เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 17
พลวัต
ที่มา : ประชาไท

สหพันธ์แรงงานธนาคารฯ ประณามการสั่งพนักงาน
สละสิทธิ์หยุดงานในวันหยุดครึ่งปี
1 ก.ค. 2553 - สหพันธ์แรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ด่วนโดยมีมติประณามธนาคาร
พาณิชย์ที่สั่งการให้พนักงานละเมิดประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยการสั่งการให้เปิดสาขาในห้างสรรพสินค้า
และสาขาที่เปิดดำ�เนินการ 7 วัน และกำ�หนดให้พนักงานต้องจำ�ใจให้ความยินยอมโดยการสละสิทธิหยุดงานในวันที่ 1
กรกฎาคม 2553 ซึ่งเป็นวันหยุดภาคครึ่งปีของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ โดยธนาคาร
พาณิชย์ทุกแห่งยึดถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานและต่อเนื่องจนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าและ
ประชาชนทั่วไป ว่าวันดังกล่าวเป็นวันหยุดธนาคาร

โดยรายละเอียดของแถลงการณ์มีดังต่อไปนี้

สหพันธ์แรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทย
แถลงการณ์ ด่วน !
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓

เรื่อง มติประณามธนาคารพาณิชย์ที่สั่งการให้พนักงานละเมิดประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ถึง สมาชิกสหภาพแรงงานทุกแห่ง และพนักงานลูกจ้างสถาบันการเงินทุกคน
สืบเนื่องมาจากสหพันธ์แรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทย(สธง.)ได้มีหนังสือถึงนายกกรรมการธนาคาร
พาณิชย์แห่งหนึ่ง เพื่อขอให้ทบทวนการละเมิดประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ฉบับที่ สนส.12/2553 เรื่อง
วันหยุดทำ�การของสถาบันการเงิน โดยแจ้งว่าฝ่ายจัดการของธนาคารแห่งนั้น ได้สั่งการให้เปิดสาขาในห้างสรรพสินค้า
และสาขาที่เปิดดำ�เนินการ 7 วัน และกำ�หนดให้พนักงานต้องจำ�ใจให้ความยินยอมโดยการสละสิทธิหยุดงานในวันที่ 1
กรกฎาคม 2553 ซึ่งเป็นวันหยุดภาคครึ่งปีของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ โดยธนาคาร
พาณิชย์ทุกแห่งยึดถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานและต่อเนื่องจนเป็นที่ยอมรับของลูกค้าและ
ประชาชนทั่วไป ว่าวันดังกล่าวเป็นวันหยุดธนาคาร ความละเอียดแจ้งอยู่แล้วนั้น
แต่ปรากฏว่าในปี 2553 นี้ ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งกำ�ลังร่วมมือกันสั่งการให้พนักงานสาขาในห้างสรรพสินค้าและ
สาขาที่เปิดดำ�เนินงาน 7 วัน ต้องเปิดทำ�การในวันที่ 1 กรกฏาคม 2553 โดยให้เหตุผลว่า มีความจำ�เป็นต้องเปิดให้บริการ
ลูกค้า เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานการให้บริการอย่างต่อเนื่อง และไม่ทำ�ให้สูญเสียลูกค้าเนื่องจากธนาคารอื่น ๆ ส่วนใหญ่
ได้เปิดให้บริการ ไม่เพียงเท่านั้น ยังกล่าวอ้างว่าพนักงานยินยอมที่จะมาปฏิบัติงาน สำ�หรับพนักงานที่มีความจำ�เป็นและ
ไม่สามารถทำ�งานในวันดังกล่าวได้ สามารถหยุดงานโดยให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาจัดหาพนักงานทดแทน พร้อมกับจ่าย
ผลตอบแทนให้แก่พนักงานตามระเบียบของธนาคาร
การที่ธนาคารพาณิชย์สั่งให้สาขาเปิดดำ�เนินงานดังกล่าว เป็นการจงใจฝ่าฝืน ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารจะอ้างว่าได้รับการยินยอมจากพนักงานผู้ปฏิบัติงาน แต่ธนาคารไม่สามารถแสดงหลักฐานหนังสือยินยอมของ

เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 18


พนักงาน,ไม่พบหนังสือขออนุญาตหรือหนังสืออนุมัติ จากธนาคารแห่งประเทศไทยว่าให้เปิดทำ�การใน วันที่ 1กรกฏาคม
2553 ได้ หากเจ้าหน้าที่ของธปท.ยอมผ่อนให้ธนาคารพาณิชย์ไทยที่ไม่เคารพประกาศดังกล่าว ก็เท่ากับส่งเสริมให้
ธนาคารพาณิชย์เอารัดเอาเปรียบประชาชนและทำ�หน้าที่กำ�กับดูแลธนาคารพาณิชย์ให้แข่งการทำ�ธุรกิจอย่างไม่เท่าเทียม
กันและไม่มีความโปร่งใสในการบริหารทรัพยากรบุคคลซึ่งหลายมาตรฐาน
การกระทำ�ดังกล่าวของธนาคารพาณิชย์ คำ�นึงถึงแต่เหตุผลทางด้านธุรกิจเพียงด้านเดียวอย่างเกินความสมดุลและ
ไม่เป็นไปตามหลักมนุษยธรรมที่ดี ธนาคารไม่เห็นคุณค่าของคน มองพนักงานเป็นเพียงเครื่องจักรที่มีต้นทุนทางธุรกิจ
ทำ�ร้ายจิตใจของพนักงานอย่างร้ายแรง ที่ 1 ปีมีเพียงวันเดียวที่พนักงานทั้งหมดจะมีโอกาสได้พบหน้าค่าตาโดยพร้อม
เพรียงกัน เพราะพนักงานที่ทำ�งานสาขาเดียวกันในห้างสรรพสินค้าและสาขาที่เปิดดำ�เนินการ 7 วัน แต่ละคนมีวันลาหยุด
ประจำ�สัปดาห์ไม่ตรงวันกัน ต้องหยุดสลับกันติดต่อกัน 2 วันเป็นจำ�นวน 2-4 คนในแต่ละครั้ง ในวันทำ�การทุกๆ วันจึงไม่
เคยได้พบหน้าพนักงานทั้งหมดพร้อมกัน เมื่อถึงวันที่ 1 กรกฏาคม ต่างก็คาดหวังกันว่าจะได้มีโอกาสที่ดีที่จะร่วมกัน
สังสรรค์ มีการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวไว้เป็นการล่วงหน้าบ้างแล้ว บางสาขาได้ชำ�ระค่าบริการทัวร์ต่างจังหวัด ไปแล้ว
เป็นบางส่วนหรือชำ�ระไปทั้งหมดก็มี
และมีการนัดหมายบุคคลในครอบครัวและคนใกล้ชิดจัดตารางวันลาวันหยุดให้ตรงกันไว้ เพราะต่างเข้าใจว่าวันที่ 1
กรกฏาคม 2553 เป็นวันหยุดธนาคารเช่นปีก่อน ๆ ที่ถือปฏิบัติกันมา แต่ทว่าปี 2553 ความหวังเหล่านี้ได้พังทลาย มลาย
สิ้นสูญไปอย่างสิ้นเชิงไปพร้อม ๆ กับความรักภักดีและการเคารพนับถือต่อผู้บริหารระดับสูงทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้จากประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำ�หนดวันหยุดประจำ�ปีของธนาคารพาณิชย์ ,บริษัทเงินทุน
และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ไว้เป็นการล่วงหน้า เพื่อให้พนักงานได้มีโอกาสเตรียมตัวเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเป็นการรักษา
ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมและประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมพระชนม์พรรษา
พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ การเข้าฟังธรรมสวนะและการทำ�บุญตักบาตร
ตามประเพณีอันดีงามในวันสำ�คัญทางศาสนา การอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมเพรียงของหน่วยงานด้านสังคมที่เรียกกันว่า
ครอบครัวในวันมหาสงกรานต์ -วันแห่งครอบครัว –วันผู้สูงอายุและกิจกรรมอื่น ๆในวันสำ�คัญต่าง ๆ ที่มีผลทางด้านจิตใจ
ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน เพื่อผนึกเป็นความเข้มแข็งและรวมเป็นชาติเชื้อไทยเดียวกันที่จะสร้างความปรองดอง
ความสมานฉันท์ ความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดินไทยให้คงอยู่และยั่งยืนของชาติไทยตลอดไปอย่างยาวนาน
“วันดี ๆเหล่านี้ต่อไปอาจจะต้องลบเลือนไปจากสังคมไทยหากคนไทยยังจะคิดแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ผล
ประโยชน์ของหน่วยงานทางด้านธุรกิจเป็นหลัก แล้วใครล่ะที่เป็นผู้ทำ�ลาย .....ธนาคารพาณิชย์ผู้ร้องขอ หรือธนาคารแห่ง
ประเทศไทย ผู้อนุญาต”
ฉะนั้น สหพันธ์แรงงานธนาคารและการเงินแห่งประเทศไทย จึงขอความร่วมมือมายังธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งพึง
ละเว้นอย่าได้ใช้วีธีการแบบ“ศรีธนญชัย” หลีกเลี่ยงไม่ถือปฏิบัติตามประกาศวันหยุดประจำ�ปีของธนาคารแห่งประเทศไทย
หรือขออนุญาต ธนาคารแห่งประเทศไทยให้วันหยุดตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย วันใดวันหนึ่งหรือทุกวัน โดย
ให้สามารถเปิดทำ�การได้ และให้ธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคารกำ�ชับและสั่งการให้ทุกหน่วยงานทุกสาขาให้ยึดถือวันหยุด
ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นวันหยุดอย่างเคร่งครัด เพื่อเป็นการธำ�รงไว้ของขนบธรรมเนียม ประเพณีและ
วัฒนธรรมอันดีงามของชนชาติไทย และเพื่อเป็นรากฐานอันเป็นปึกแผ่นมั่นคงของแผ่นดินไทยและของพวกเราชาวไทย
ตลอดจนลูกหลานสืบไป
สธง.จึงแถลงมาเพื่อแจ้งมติการประชุมร่วมกันของสหภาพแรงงานสมาชิกสธง. โดยให้ประณามธนาคารพาณิชย์
ไทยที่ละเมิดประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยโดยสั่งการให้สาขาในห้างสรรพสินค้าและสาขาที่เปิดดำ�เนินงาน 7 วัน
เปิดทำ�งานในวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 และกำ�หนดให้พนักงานต้องสละสิทธิในวันดังกล่าวและในวันหยุดทำ�การตามประ
กาศธปท. และให้ร่วมกันชมเชยธนาคารพาณิชย์ไทยที่เคารพและปฏิบัติตามประกาศของธปท.อย่างเคร่งครัด โปร่งใส
และตรวจสอบได้ ทุกเรื่อง

เลี้ยวซ้าย กรกฎาคม 53 หน้า 19

You might also like