Professional Documents
Culture Documents
บทที่ 7 หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
บทที่ 7 หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
๗
1. การไตร่ตรองทางมานุษยวิทยา
1.1 ปรากฏการณ์แห่งอุตรภาพของมนุษย์ (The Phenomenon of Human Transcen-
dence)
เป็นเวลานานทีเดียวที่นักเทววิทยาคริสตชนมีความมั่นใจว่า ความหมายลึกซึ้งของมนุษย์
คือ ผู้ที่เปิดรับธรรมชาติลึกซึ้งของพระเจ้าได้ นักบุญออกัสตินแสดงความรู้สึกนึกคิดดังกล่าวนี้
ในงานเขียนว่า “พระเจ้าทรงสร้างเรามาเพื่อพระองค์ และหัวใจของเราก็สุดที่จะสงบลงได้ ตราบใด
ที่ยังมิได้พักผ่อนในพระองค์” ความหมายที่นักบุญออกัสตินต้องการบอก ก็คือ ชีวิตทั้งชีวิตของเรามุ่ง
แสวงหาธรรมล้ำลึกของพระเจ้า โดยการแสวงหาความจริง ความดี และความงามของสิ่งสร้างต่างๆ
ในโลกนี้ สิ่งสร้างเหล่านี้มีส่วนร่วมในความเป็นอยู่ล้ำลึกของพระเจ้าโดยจำกัด ความปรารถนาใน
หัวใจของมนุษย์เราจึงไม่อาจเต็มอิ่มได้จากสิ่งเหล่านี้
หัวใจของมนุษย์ไม่ว่าจะเปี่ยมด้วยสิ่งสร้างมากสักเพียงใด ก็ยังมีความกระหายมากกว่า
นั้นอีก มีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) ลักษณะดังกล่าวนี้ จึงกระตุ้นเราให้ข้ามผ่านสิ่งต่างๆ
เพื่อมุ่งสู่พระเจ้า
126
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
นักบุญออกัสตินซึ่งเป็นอาจารย์ชีวิตฝ่ายจิต ได้จำแนกความปรารถนาของมนุษย์เป็น
2 ระดับในบทรำพึงเพลงสดุดีที่ 127 ว่า
1. ความปรารถนาอย่างผิวเผิน (superficial desires) ที่มาจากประสบการณ์ของ
มนุษย์
2. ความปรารถนาจากส่วนลึกของจิตใจ (desires in our deepest hearts) ที่เรา
อาจจะไม่รู้ตัว แต่เป็นแรงบันดาลใจของชีวิต
ให้เราลองจินตนาการตามคำแนะนำของท่านนักบุญออกัสตินดังนี้ สมมุติว่า พระเจ้า
ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างในโลกตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความรื่นรมย์ ชื่อเสียง อำนาจ สุขภาพ
ฯลฯ และทรงอนุญาตให้เราเลือกทำสิ่งใดก็ได้ยกเว้นบาป ยิ่งกว่านั้น สมมติว่า เราได้สิ่งเหล่านี้
ทุกอย่างไม่เพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่ตลอดนิรันดร โดยมีเงื่อนไขประการเดียวคือ “เราจะไม่ได้พบ
พระพักตร์พระเจ้า” ทำไมหัวใจของเราแทบจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำว่า “เราจะไม่ได้พบพระพักตร์
พระเจ้า” คำตอบ ก็คือ พระเจ้าคือยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกคน พระเจ้าทรงสร้างเรามา และ
เราปรารถนาพระองค์ แม้บางคนอาจไม่ได้ตระหนักและยอมรับด้วยความรู้ตัวก็ตาม แต่ส่วนลึกของ
จิตใจ เขาก็ยังมุ่งแสวงหาพระเจ้า
ความปรารถนาในสิ่งสร้างต่างๆ อย่างผิวเผินทำให้เราค้นพบความหมายของชีวิตเพียง
เวลาสั้น ๆ แต่ เราจะค้นพบความหมายของชีวิตระยะยาวได้ในพระเจ้า และเพื่อจะค้นพบ เราจะต้อง
ข้ามผ่านสิ่งสร้างเหล่านั้นเพื่อมุ่งสู่พระเจ้า
นี่คือลักษณะ “อุตรภาพของมนุษย์” (Human Transcendence) ที่เรากำลังกล่าวถึง
อุตรภาพของมนุษย์จึงหมายถึง การข้ามผ่านโลกอันจำกัดของตนและโลกอันจำกัดของสิ่งสร้างต่างๆ
เพื่อบรรลุความหมายสมบูรณ์ของตน อุตรภาพเป็นเงื่อนไขจำเป็นเพื่อแสวงหาความหมายและความ
สมบูรณ์ที่มนุษย์มีความปรารถนาลึกๆ ในจิตใจ
แนวคิดทางเทววิทยาที่ ได้กล่าวมานี้ แสดงถึงความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติมนุษย์ที่นัก
ปรัชญาสมัยปัจจุบันเน้นเป็นพิเศษ แม้ว่าแต่ละคนต่างก็มีมุมมองของตน เช่น
127
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
128
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
ความหวังจึงเป็นรากฐานของเสรีภาพ ชีวิตมนุษย์จึงไม่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าที่
จะต้องจมปลักอยู่กับอิทธิพลของอดีต แต่ชีวิตมนุษย์มีความหวังสำหรับอนาคต ความหวังคือความ
มัน่ ใจว่า ชีวิตในอดีตและในปัจจุบันมีศักยภาพที่จะเป็นอนาคตมากกว่าสิ่งที่เราจะคาดหวัง
เราจึงพอมองเห็นความแตกต่างระหว่างความคิดของซาร์ตร์กับของมาร์เซล
คือ ซาร์ตร์มองดูเสรีภาพในแง่ที่เป็นความปรารถนารุนแรงที่ไร้ประโยชน์ ขณะที่มาร์เซลมองดูเสรี-
ภาพในฐานะที่เปิดเผยความเป็นจริงที่เราไม่อาจกำหนดได้ล่วงหน้าแต่มีความหวังได้
มาร์เซล มุ่งพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ในความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้
เราค้นพบความหมายของความซื่อสัตย์ ความไว้วางใจ และความหวัง คุณธรรมดังกล่าวมุ่งสร้าง
ความสัมพันธ์กับปัจเจกบุคคลอย่างเจาะจง แต่เมื่อคุณธรรมนี้พัฒนาขึ้นก็จะขยายความสัมพันธ์วง
กว้างออกไป เมื่อเรารักคนใดคนหนึ่งเราคิดจะได้อะไรจากความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ ไม่ใช่เรื่องสิทธิ
และผลประโยชน์ ไม่เป็นความหวังที่จะได้อะไรสำหรับตนเอง แต่เหนือสิ่งอื่นใด เป็นบางสิ่งที่ทั้ง
สองคนหวังจะได้รับด้วยกัน มาร์เซลเขียนไว้ว่า ประโยคที่แสดงกิจการของความหวังอย่างเหมาะสม
ที่สุดคือ “ฉันไว้ใจท่านเพื่อเราทั้งสอง” ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจากสองคนที่รักกันไม่เป็นเพียงการอยู่
ใกล้ชิดกันเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์ของความเป็นหนึ่งเดียวกัน (Communion) รวมทั้งการฟื้นฟู
ชีวิต (renewal) มาร์เซลอธิบายว่า จำเป็นที่จะมีความหวังสัมบูรณ์ (absolute hope) เพื่อให้เกิด
การฟื้นฟูชีวิตอย่างแท้จริง ความหวังลักษณะนี้ เป็นความหวังในการค้นหาความหมายของชีวิต เป็น
การตอบรับองค์ภวันต์สูงสุดที่ไม่มีข้อจำกัดใดๆ เลย (infinite Being)
มาร์เซล แยกแยะระหว่างกิจการที่แสดงความหวังอย่างเฉพาะเจาะจง (speci-
fic acts of hope) กับความหวังสัมบูรณ์ (absolute hope) แม้ว่าความหวังของมนุษย์ในตอนแรกจะ
เป็นความหวังในหลายสิ่งหลายอย่างเฉพาะเจาะจง แต่ในที่สุด เราก็ข้ามผ่านสิ่งเหล่านั้นเพื่อมุ่งสู่
ความหวังหนึ่งเดียว คือ ความหวังสัมบูรณ์ ความหวังในพระเจ้าสูงสุด ความหวังสัมบูรณ์เป็นท่าทีที่
เราค้นพบเมื่อวิเคราะห์กิจการต่างๆ ที่แสดงความหวังของเรา แม้ความหวังในสิ่งที่จำกัด ความหวัง
สัมบูรณ์จึงเป็นความหวังที่ทำให้ชีวิตมีความหมายและมุ่งฟื้นฟูให้เป็นชีวิตใหม่ (Renewal) เมื่อเราอ่าน
129
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
พระคัมภีร์เราจะพบว่า ความหวังของอับราฮัมที่จะได้บางสิ่งบางอย่างก็มีพื้นฐานในพระสัญญาของ
พระเจ้า ดังนั้น ความหวังของอับราฮัมมีพื้นฐานในพระเจ้า บ่อเกิดของชีวิตและความดีทุกประการ
ถ้าเราจะเปรียบเทียบแนวความคิดของ ซาร์ตร์ กับ มาร์เซล เราสรุปได้ว่า
ซาร์ตร์ มองชีวิตในแง่ลบเป็นชีวิตที่ ไม่มีความหมาย ส่วนมาร์เซลมองชีวิตในแง่บวกเป็นชีวิตที่มี
ความหมายและเต็มไปด้วยความหวัง ทำไมนักปรัชญาทั้งสองคนนี้จึงมองชีวิตต่างกัน เหตุผลก็คือ
ชีวิตมีทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี และประสบการณ์ของมนุษย์ก็คลุมเครือ ทรรศนะของนักปรัชญาแต่ละ
คนก็มีลักษณะของความเชื่อ ซาร์ตร์เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าและโลกไร้ความหมาย (Atheistic nihilism)
อุตรภาพของมนุษย์จึงเป็นเหมือนการที่ธรรมชาติประชดมนุษย์ (irony) ส่วนมาร์เซลเชื่อว่ามีพระเจ้า
ผู้ทรงค้ำจุนโลกของเรา อุตรภาพของมนุษย์จึงแสดงออกในความหวัง แม้ชีวิตของมนุษย์จะยังคลุม
เครืออยู่ก็ตาม
1.1.3 แอร์นสท บล็อค (Ernst Bloch)
บล็อคเป็นนักปรัชญาร่วมสมัยชาวเยอรมัน ที่มุ่งความสนใจไปที่เรื่องความหวัง
งานของเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดของลัทธิมาร์กซิสต์ (Marxist) ที่มองว่าศาสนาเปรียบ
เหมือน “ฝิ่น หรือยาเสพติดของประชาชน”
บล็อคจึงศึกษาอย่างจริงจังเกี่ยวกับโลกของความฝันและจินตนาการของมนุษย์
ที่เราพบในวรรณคดี ศิลปะ และวัฒนธรรม เขาได้สรุปว่า ธรรมชาติที่ลึกซึ้งของมนุษย์เป็นผู้มีความ
หวัง
มนุษย์เป็นบุคคลทีม่ คี วามฝันเกีย่ วกับอนาคต และพยายามต่อสูด้ นิ้ รนเพือ่ ให้ชวี ติ
บรรลุถึงความฝันนี้ ชีวิตของมนุษย์จึงมีเป้าหมายที่เปิดกว้าง (Open-ended) มุ่งตรงสู่อนาคตที่ยัง
มาไม่ถึง ความหวังแสดงว่ามนุษย์ไม่สมบูรณ์ และเป็นท่าทีของมนุษย์ที่ไม่ยอมให้อดีตและปัจจุบัน
จำกัดชีวิตของตน ความหวังเปิดมนุษย์ให้ออกจากความจำกัดของสภาพปัจจุบันนำไปสู่อนาคต มนุษย์
จึงเป็นสิ่งสร้างที่มีความหวัง
130
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
131
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
132
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
133
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
1.2.1 นักบุญออกัสติน
ปอล ริเคอร์ (Paul Ricoeur) กล่าวว่าความคิดของนักบุญออกัสตินในเรื่องกาล
เวลานั้นเป็นการหยั่งรู้แบบอัจฉริยะอย่างแท้จริง เพราะนักบุญออกัสตินมีจิตสำนึกว่าความเข้าใจถึง
กาลเวลาที่คนทั่วไปคิดนั้นยังไม่เพียงพอ แม้ความคิดของอริสโตเติลที่นิยามว่า เวลาคือหน่วยวัดการ
เคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ยังไม่พอ แน่นอน มีกาลเวลาที่นับได้โดยนาฬิกาและปฏิทิน
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นกาลเวลาทางวัตถุวิสัย แต่กาลเวลาทางวัตถุวิสัยก็อยู่นอกประสบการณ์และนอกจิต
ใจของมนุษย์ ถ้าเรามองกาลเวลาเป็นเพียงการวัดความเคลื่อนไหวของโลกทางวัตถุวิสัย ก็ยังไม่เป็น
ปัญหาทางด้านปรัชญาในด้านการเปลี่ยนแปลงของโลก มีแต่ปัจจุบัน ไม่มีอดีตและไม่มีอนาคต สิ่ง
ที่เป็นความจริงทางวัตถุและทางกายภาพก็เป็นเพียงแต่ปัจจุบัน นี่เป็นเหตุผลที่นักวิมัตินิยม (Skep-
tics) ปฏิเสธประสบการณ์ของกาลเวลาว่าเป็นดังภาพลวงตา
ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อเราหันมามองดูโลกภายในจิตใจของมนุษย์ ดังนั้น เราต้อง
มองกาลเวลาในแง่ที่เป็นคุณภาพของประสบการณ์มนุษย์มากกว่าการวัดความเป็นจริง เพราะเป็น
จิตใจมนุษย์ที่ประสบกระบวนการเคลื่อนไหวของกาลเวลา จากอดีตสู่ปัจจุบันและสู่อนาคต
จริงอยู่ กาลเวลาทางกายภาพมีเพียงปัจจุบัน แต่กาลเวลาทางจิตวิทยาของ
มนุษย์ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเรามีประสบการณ์ว่าเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้วยังคงอยู่ในจิตใจของ
เรา ประสบการณ์ในปัจจุบันขึ้นกับประสบการณ์ในอดีต อดีตยังอยู่กับเราแม้ในเวลานี้ ความเป็นจริง
ทางกายภาพที่เคยเกิดขึ้นในอดีตนั้นกลับเป็นความทรงจำ (Memory) ทางจิตใจ อดีตกลายเป็น
ปัจจุบันสำหรับมนุษย์ที่มีความทรงจำ และในรูปแบบของความทรงจำ ถ้ามองความเป็นจริงทาง
กายภาพ อดีตก็ผ่านไปแล้ว แต่อดีตนั้นกระทบจิตใจของเราที่กำลังมีประสบการณ์ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
จิตใจของเราเหมือนกับยืดออกมาจากประสบการณ์ปัจจุบันทางกายภาพเพื่อไปรับประสบการณ์ที่
เคยมีในอดีต ประสบการณ์ของกาลเวลาที่ผ่านจากอดีตสู่ปัจจุบันนั้นนักบุญออกัสติน เรียกว่า “การ
ยืดตัวของจิตใจ” จิตใจเป็นปัจจุบันในลักษณะที่อดีตยังคงอยู่ในรูปของความทรงจำ
134
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
135
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
ความหมายสำหรับมนุษย์ทุกคน ความเข้าใจถึงกาลเวลาของนักบุญออกัสตินสำคัญมากทั้งในแง่
ปรัชญาและเทววิทยา เพราะมองกาลเวลาเป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์
1.2.2 คาร์ล ราเนอร์
คาร์ล ราเนอร์ มีความคิดเช่นเดียวกับการวิเคราะห์ของนักบุญออกัสติน เขา
คิดว่ามนุษย์เป็นผู้มีความสัมพันธ์กับกาลเวลาอย่างพิเศษ มนุษย์ไม่เพียงอยู่ในกาลเวลา แต่มีจิต
สำนึกถึงการดำรงอยู่ในเวลา งานหลักของชีวิตมนุษย์ คือ ทำให้ประสบการณ์ปัจจุบันของเรามีความ
หมาย เราพบตนเองและมีชีวิตในปัจจุบันอย่างแท้จริงในความหมายนั้น จากการวิเคราะห์ของ
นักบุญออกัสติน ราเนอร์สอนว่า เราไม่อาจเข้าใจประสบการณ์ปัจจุบันอย่างดีถ้าไม่ออกจากกาล
เวลาปัจจุบันในสองทิศทาง คือ ต้องย้อนหลังสำนึกถึงบทบาทของอดีตในปัจจุบัน และการมองไป
ข้างหน้าสู่อนาคต การมองอดีตนั้นราเนอร์เรียกว่า “การระลึกถึง” (anamnesis) ซึ่งเป็นคำกรีก
หมายถึงความทรงจำ และไม่ใช่การระลึกถึงมโนภาพที่เป็นนามธรรมของประสบการณ์ในอดีตเท่านั้น
แต่หมายถึงอดีตที่เป็นรูปธรรมอยู่ในปัจจุบันนี้ด้วย เช่นเดียวกันก็ต้องมีอีกมิติหนึ่งที่มุ่งไปสู่อนาคต
เพราะเราไม่สามารถเข้าใจอดีตและปัจจุบันอย่างสมบูรณ์ถ้าไม่มองศักยภาพที่จะนำความเป็นอยู่
อย่างสมบูรณ์และลึกซึ้งยิ่งกว่า ประสบการณ์มนุษย์ในปัจจุบันสร้างมาจากอดีตและเปิดสู่อนาคต
อย่างแท้จริง มนุษย์สามารถที่จะเป็นอีกบางสิ่งที่ยังไม่ได้เป็น อนาคตจึงมีความสำคัญกับความหมาย
ของปัจจุบัน ราเนอร์เรียกมิติจากปัจจุบันสู่อนาคตนี้ว่า “การคาดคะเน” (prognosis) แม้ว่าไม่เป็น
ความรู้ที่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคต แต่ยังเป็นความรู้ล่วงหน้าถึงความเป็นไปได้ที่อยู่ต่อหน้าเราใน
ปัจจุบัน การคาดคะเนล่วงหน้านี้เป็นพื้นฐานความเข้าใจ เรื่องความหวังและอนันตกาล
1.2.3 กาลเวลาและอิสรภาพ
เราอาจกล่าวว่าอิสรภาพของมนุษย์ปรากฏอยู่ในกาลเวลา เพราะในความสัมพันธ์
กับอดีตและอนาคตเราพบอิสระที่แท้จริงของมนุษย์ เรารับอิทธิพลของอดีตก็จริง แต่ไม่ถูกกำหนด
โดยสิ้นเชิง เพราะเรายังสามารถที่จะตัดสินใจยอมรับหรือไม่ยอมรับอิทธิพลบางอย่างได้ มนุษย์
สามารถมองข้ามความจำกัดของอดีต และเปิดสู่อนาคตที่ยังไม่ถูกกำหนด เรายังเลือกได้ว่าต้องการ
136
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
137
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
138
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
139
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
140
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
141
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
142
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
กลมเกลียวระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าและในหมู่สิ่งสร้างทั้งหลายในโลก พระเจ้าทรงปรารถนาให้สิ่ง
สร้างทั้งหลายมีชีวิตสมบูรณ์ ชีวิตลดลงเพราะมนุษย์เข้าใจตนเองผิดและใช้อิสรภาพในทางที่ผิด
สวนเอเดนเป็นสัญลักษณ์ที่ดีเยี่ยมของชีวิตที่เต็มเปี่ยม ซึ่งพระเจ้าปรารถนาสำหรับสิ่งสร้างทั้งหลาย
ไม่เป็นความบังเอิญที่พระคัมภีร์ของคริสตชนทำให้คำสัญญาถึงสวรรค์ออกมาจากพระโอษฐ์ของ
พระเยซูเจ้าขณะที่กำลังจะสิ้นพระชนม์ (เทียบ ลก 23:43)
2.3 ความจำกัดและหน้าที่ของภาษาอนันตกาล
การไตร่ตรองเกี่ยวกับธรรมชาติของความหมายเชิงอุปมาของภาษาอนันตกาล รวมทั้ง
ข้อสังเกตเบื้องต้นเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษาอนาคต ช่วยชี้หน้าที่บางอย่างและความจำกัดของ
ภาษาอนันตกาล ชัดเจนว่า การรู้ไม่เหมือนกับการหวัง ความรู้โดยปกติหมายความว่ารับรู้ความจริง
ดังที่เป็น ภาษาที่เราแสดงความรู้รวมคำนิยาม การอ้างเหตุผล การอนุมาน การอุปมานและ
ขบวนการการรู้อื่นๆ (เปรียบเทียบ) ทางปัญญา จุดมุ่งหมายของภาษาดังกล่าวเป็นการแสดงความ
เป็นจริงดังที่เรารับรู้ในเวลานี้ และการกระทำสิ่งนั้นหรือความเป็นจริงนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนเท่าที่
เป็นไปได้ ส่วนการหวังหมายถึงการแสดงความมั่นใจว่า ความเป็นจริงในปัจจุบันยังไม่ได้อยู่ในสภาพ
สมบูรณ์ โลกที่เราอยู่เวลานี้ยังเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่าเดิมได้ ดังนั้น ภาษาแห่งความหวังจึงไม่มุ่ง
จำกัดความเป็นจริงละเอียดตามที่เป็นอยู่ แต่ต้องการเปิดรับความหมายของความเป็นจริงให้กว้าง
ขวางไปสู่สิ่งที่ยังไม่เป็นอยู่
จากมุมมองความรู้ ความหวังของอนาคตที่ดีกว่าจึงแตกต่างจากความรู้ความเป็นจริง
ของสภาพปัจจุบันของโลก ในแง่หนึ่งความหวังจึงมุ่งเลยพลังของความรู้อย่างถี่ถ้วน ดังนั้นระดับแรก
ของภาษาความหวังมีลักษณะเป็นภาษาของภาพลักษณ์ วาดภาพ และอุปลักษณ์มากกว่าที่จะเป็น
ภาษาที่นิยามตายตัว ถ้านี่เป็นความจริงของภาษาความหวังของมนุษย์โดยทั่วไป ก็เป็นความจริง
มากยิ่งขึ้นในกรณีที่มีความหวังในศาสนาในอนาคตที่พระเจ้าทรงเสนอแก่มนุษยชาติ ถ้าพระเจ้าเป็น
ธรรมล้ำลึกที่ไม่อาจเข้าใจได้และไม่มีวันที่สติปัญญาของมนุษย์เข้าใจได้ ความสัมพันธ์สุดท้ายระหว่าง
มนุษยชาติกับพระธรรมล้ำลึกที่ไม่อาจเข้าใจได้ของพระเจ้าจึงคงเป็นสิ่งที่โดยหลักการมนุษย์ในโลกนี้
143
อ นั น ต วิ ท ย า
บ ท ที่ ๗ ... หลักปรัชญาที่ใช้ในการไตร่ตรองทางเทววิทยา
144
อ นั น ต วิ ท ย า