Professional Documents
Culture Documents
โสตทัศนูปกรณ์
โสตทัศนูปกรณ์
โสตทัศนูปกรณ์
คำำว่ำ “โสตทัศนูปกรณ์” ( Audio – Visual Aids ) เป็ นคำำ
โสตทัศนูปกรณ์เข้ำมำมีบทบำทในกำรเรียนรู้มำกขึ้น
สำมำรถถ่ำยทอดควำมรู้ให้ผู้รับเกิดควำมเข้ำใจได้อย่ำงชัดเจนซึ่ง
ในสมัยเก่ำผู้ถ่ำยทอดควำมรู้หรือผู้สอนจะใช้คำำพูดเพียงอย่ำงเดียว
ให้ผู้ฟังเห็นภำพพจน์ตำมที่ผู้พูดต้องกำร ในขณะที่ผู้ฟังเป็ นจำำนวน
มำกมีควำมเข้ำใจแตกต่ำงกันไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประสบกำรณ์ของผู้
ฟั งแต่ละคน หำกผู้ฟังคนใดมีประสบกำรณ์เดิมเกี่ยวกับเรื่องหรือ
เนื้ อหำที่ผู้พูดก็สำมำรถเข้ำใจได้ดีกว่ำผู้ฟังคนใดมีประสบกำรณ์
เดิมอยู่แล้วศำสตรำจำรย์ เอดกำร์ เดล (Edgar Dale) นักวิชำกำร
ศึกษำแห่งมหำวิทยำลัยอินเดียนำสหรัฐอเมริกำ ซึ่งได้รับกำร
ยกย่องเป็ นบิดำแห่งโสตทัศนศึกษำได้กล่ำวไว้ว่ำ ในกำรเรียนรู้ท่ี
ได้ผลดีน้ันจำำเป็ นต้องใช้ ประสำทสัมผัสทั้ง 5 เข้ำมำมีส่วน
เกี่ยวข้องดังนี้
ตำ กำรมองเห็น 75%
หู กำรได้ยิน 13%
กำย กำรสัมผัส 6%
จมูก กำรดมกลิ่น 3%
ลิน
้ กำรลิ้มรส 3%
3
จะเห็นได้ว่ำโสตทัศนูปกรณ์ ช่วยให้เกิดกำรรับรู้แลควำม
เข้ำใจอันดี ตำและหูเป็ นประสำทสัมผัสที่ให้กำรรับรู้มำกกว่ำ
ประสำทสัมผัสอื่น
โสตทัศนูปกรณ์มีมำนำนเริ่มตั้งแต่มนุษย์ใช้มือในกำรสื่อสำร
ควำมหมำยและได้วิวัฒนำกำรด้วยใช้สีหน้ำ ท่ำทำง และเลียน
เสียงสิ่งต่ำงๆ เพื่อช่วยให้ส่ ือควำมหมำยสมบูรณ์ย่ิงขึ้น ต่อมำได้ใช้
ภำษำพูดแทนภำษำมือ ใช้สญ ั ญำณควันไฟ เสียงกลอง และภำพ
เขียน ซึ่งเป็ นที่มำของภำษำเขียนในเวลำต่อมำ จำกหลักฐำน
ประวัติศำสตร์พบว่ำภำพเขียนสมัยก่อนประวัติศำสตร์ท่ีมนุษย์ได้
เขียนไว้ตำมผนังถำ้ำ หรือเพิงผำเป็ นหลักฐำนสำำคัญทำงโบรำณคดี
อีกอย่ำงหนึ่ งที่จะช่วยให้เรำเข้ำใจชีวิตควำมเป็ นอยู่ของมนุษย์ใน
สมัยก่อนเพิ่มเติมจำกหลักฐำนอื่น ๆ เท่ำที่ได้ค้นพบแล้วขณะนี้ ใน
ประเทศไทยพบที่ถ้ ำำคน อำำเภอบ้ำนเผือ จังหวัดอุดรธำนี เป็ นภำพ
ของกลุ่มคนออกล่ำสัตว์ และภำพกลุ่มวัว พบที่ถ้ ำำวัว อำำเภอบ้ำน
เผือ จังหวัดอุดรธำนี โดยเขียนด้วยสีแดงเป็ นส่วนใหญ่ ซึ่งนัก
โบรำณคดีได้กำำหนดอำยุของภำพเขียนสีเหล่ำนี้ ว่ำอยู่ในยุคสมัยหิน
ใหม่ถึงสมัยโลหะ หรือประมำณ 4,000 – 15,000 ปี มำแล้ว จำก
ภำพคนและสัตว์ดังกล่ำวได้ วิวัฒนำกำรมำเป็ นตัวอักษรไฮเออร์โร
ไกลฟิ ค (Hieroglyhic) ไฮเออร์รำติค (Hieratic) และโดเมติค
ประวัติของสิ่งพิมพ์
ในปลำยพุทธศตวรรษที่ 20 ชำวยุโรปได้คิดค้นวิธีกำรพิมพ์ขึ้น
กำรพิมพ์ได้วิวัฒนำกำรต่อมำตำมลำำดับ ในประเทศไทยได้มี
หลักฐำนปรำกฏชัดว่ำได้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2205 ในรัชสมัยสมเด็จ
พระนำรำยณ์มหำรำช โดยมิชชันนำรีชำวฝรั่งเคสเข้ำสอนและเผย
แพร่คริสต์ศำสนำ ได้แต่งและพิมพ์หนังสือคำำสอนคริสต์ศำสนำเป็ น
ภำษำไทยขึ้นจำำนวน 26 เล่มเรียกว่ำ “สมุดฝรั่ง” ตัวอักษรที่ใช้
พิมพ์แกะเป็ นตัวอักษรโรมันแต่สะกดออกเสียงเป็ นภำษำไทย
ภำษำไทยและภำษำอังกฤษฉบับปฐมฤกษ์ออกเมื่อ วันที่ 4
สิ่งพิมพ์ในรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัว
(พ.ศ. 2394 - 2411) มีมำกมำยหลำยประเภท ทั้งประเภทวำรสำร
หนังสือพิมพ์ หนังสือจดหมำยเหตุ หนังสือข่ำว ตำำรำเรียน ศำสนำ
กฎหมำย วรรณคดี และประวัติศำสตร์ เนื่ องจำกพระองค์ทรงเห็น
คุณค่ำของกำรพิมพ์ว่ำสำมำรถเป็ นสื่อกลำงในกำรติดต่อกับ
ประชำชนได้ เพื่อให้ประชำชนได้ทรำบข่ำวสำรและรัฐประศำสนโย
บำยทรำบทั่วกัน ประกอบกับในระยะนั้นประเทศไทยเริ่มติดต่อ
ค้ำขำยกับประเทศตะวันตก มีประกำศรำคำสินค้ำและโฆษณำ
สินค้ำก็เริ่มมีแล้วในยุคนั้น
กำรพิมพ์ในรัชสมัยของพระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำ
อยู่หัว (พ.ศ. 2411 - 2453) ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นตำมลำำดับ จำก
วัตถุประสงค์เพื่อศำสนำมำเป็ นเพื่อกำรศึกษำแก่ประชำชนและเพื่อ
ธุรกิจกำรค้ำ จึงมีโรงพิมพ์เกิดขึ้นมำกมำยทั้งภำษำไทย ภำษำ
อังกฤษ และภำษำจีนมีกำรแข่งขันกันมำกขึ้น ทำำให้คุณภำพของ
หนังสือดีขึ้นกว่ำเดิม มีกำรปรับปรุงตัวพิมพ์ให้สวยงำมนอกจำกนั้น
ยังมีกำรพิมพ์จำกพิมพ์หิน คือ กำรเขียนตัวหนังสือลงบนแผ่นหิน
แล้วนำำไปเป็ นแม่พิมพ์และสิ่งพิมพ์ท่ีให้ควำมตื่นเต้น ได้แก่
หนังสือพิมพ์รำยวันฉบับแรกของไทย คือ คอร์ต (Court) เป็ น
หนังสือข่ำวรำชกำรสมเด็จเจ้ำฟ้ ำกรมพระยำภำนุพันธ์วงศ์วรเดช
ทรงเป็ นผู้ริเริ่มและมีเจ้ำนำย อีก 10 พระองค์ช่วยกันแต่ง แต่ออก
มำได้เพียงปี เดียวก็หยุดดำำเนิ นกำรเพรำะไม่มีเวลำพอ
กำรพิมพ์ในรัชสมัยของพระบำทสมเด็จพระมงกุฎเกล้ำเจ้ำอยู่
หัว (พ.ศ. 2453 - 2468) เป็ นยุคที่กำรพิมพ์ได้เจริญก้ำวหน้ำมำก
ทรงเห็นว่ำกำรพิมพ์หนังสือเป็ นกำรให้กำรศึกษำแก่ประชำชน จึงมี
กำรผลิตหนังสือดีออกมำกมำยและมีทก ุ สำขำวิชำ โดยเฉพำะ
หนังสือพระรำชนิ พนธ์ต่ำง ๆ มีกำรพิมพ์และกำรทำำเล่มอย่ำง
ประณีตงดงำม ทำำเป็ นปกแข็งมีหลำยสีมีลวดลำยตัวอักษรบนปก
เป็ นตัวนูนและเดินทอง ภำพประกอบภำยในเล่มมีท้ังภำพวำดลำย
เส้น ภำพถ่ำยในสมัยนี้ เริ่มมีตัวพิมพ์ตัวฝรั่งเศสและตัวจิว
๋ ใช้ใน
9
อิสระแก่หนังสือพิมพ์ในกำรวิพำกษ์วิจำรณ์กำรทำำงำนของรัฐบำล
ได้มำก หำกเสถียรภำพของรัฐบำลไม่สู้ดีนักก็จะมีกำร
บทที่ 3 ประเภทของโสตทัศนูปกรณ์
Type of Audio Visual Equipments
ทรำบกันดีแล้วว่ำนักเทคโนโลยีกำรศึกษำได้จัดแบ่งประเภท
ของ สื่อกำรศึกษำ แบ่งออกเป็ น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. โสตทัศนูปกรณ์ประเภทเครื่องเสียง
2. โสตทัศนูปกรณ์ประเภทเครื่องฉำย
3. โสตทัศนูปกรณ์ประเภทกำรรองรับ กำรบันทึก
กำรจัดแสดง
1. โสตทัศนูปกรณ์ประเภทเครื่องเสียง นับเป็ นสิ่งจำำเป็ นอย่ำง
หนึ่ งในกำรสื่อสำร จำกผู้ถ่ำยทอดสำรไปยังผู้รับสำร หรือจำกสื่อที่
ใช้เสียงในกำรเรียนรู้ ทำำให้ผู้ฟังได้ยินเสียงอย่ำงชัดเจนดีย่ิงขึ้นกว่ำ
กำรพูดธรรมดำ และยังเป็ นสิ่งกระตุ้นควำมสนใจที่ช่วยให้ผู้เรียน
หรือผู้รับสำรเข้ำใจเนื้ อหำได้ดีย่ิงขึ้น
11
ด้ำนบนสุดของเครื่องสะท้อนแสงผ่ำนไปยังเลนส์ฉำย และ
ส่องแสงปรำกฏเป็ นภำพบนจอรับภำพ กำรใส่วัสดุฉำยใน
ระบบฉำยสะท้อนคือ ต้องวำงวัสดุฉำยตำมลักษณะที่เป็ นจริง
ในแนวระนำบบนแท่นวำงของเครื่องฉำย
ประเภทของโสตทัศนูปกรณ์
โสตทัศนูปกรณ์
โสตทัศนูปกรณ์ประเภทแสงที่นิยมใช้ในปั จจุบันมีดังนี้
1. เครื่องฉายสไลด์ (Slide Projector)
เครื่องฉำยสไลด์เป็ นเครื่องฉำยระบบฉำยอ้อม
(Indirect Projector) ที่สร้ำงขึ้นมำสำำหรับฉำยภำพโปร่งใส
ขนำดเล็กที่นิยมมำกในปั จจุบัน เป็ นภำพที่ถ่ำยด้วยฟิ ล์ม 35 มม.
นำำมำใส่กรอบขนำด 2x2 นิ้ ว
ชนิ ดของเครื่องฉายสไลด์ จำาแนกตามลักษณะการ
ทำางานของเครื่องฉายมี 2 ชนิ ด คือ
1. เครื่องฉายสไลด์แบบธรรมดา (Manual
Slide Projector) เป็ นเครื่องฉำยที่ออกแบบมำโดยใช้
คนควบคุมกำรทำำงำนทุกขั้นตอน
2. เครื่องฉายสไลด์แบบอัตโนมัติ
(Automatic Projector) เป็ นเครื่องฉำยที่ออกแบบให้ทำำงำน
อัตโมนัติ
สำมำรถเชื่อมต่อสัญญำณกับเครื่องบันทึกเสียงแบบสัมพันธ์ภำพ
และเสียง (Synchronize Type) หรือเครื่องควบคุมกำรฉำย
(Dissolve Control Unit) ได้
ส่วนประกอบของเครื่องฉายสไลด์ ทีส ่ ำาคัญแบ่งได้
เป็น 2 ส่วน คือ
15
6. อย่ำให้เครื่องตกหรือกระทบกระแทกเด็ดขำด
7. กำรเปลี่ยนหลอดฉำย ห้ำมใช้มือจับหลอด
เครื่องฉำยภำพยนตร์เป็ นเครื่องฉำยในระบบฉำยตรง
แต่มส ี ่วนประกอบอื่น ๆ เพิ่มมำกขึ้น ได้แก่
เฟื องหนำมเตย (Sprocket Wheel) กวัก (Intermittent) ใบพัด
ตัดแสง (Shutter)
คำำว่ำ ภำพยนตร์ หมำยถึง ภำพที่มีกำรเคลื่อนไหวได้
เหมือนเหตุกำรณ์จริง แต่ควำมจริงแล้วภำพดังกล่ำว
มิได้เคลื่อนไหวจริง มันเป็ นภำพที่เกิดจำกอนุกรมของภำพที่ค่อย ๆ
เปลี่ยนจำกภำพนิ่ งภำพหนึ่ งไปสู่ภำพนิ่ งใหม่อย่ำงต่อเนื่ อง
หลักการใช้เครื่องฉายภาพยนตร์
ก่อนฉาย ก่อนใช้เครื่องฉำยควรปฏิบัติดังนี้
1. ทำำควำมสะอำดส่วนต่ำง ๆ เช่น เลนส์
ประตูฟิล์ม ฯลฯ
2. ตรวจสอบระบบไฟ ต่อไฟเข้ำเครื่อง ต่อ
ลำำโพง
3. กำรตั้งจอต้องอยู่ในมุมตั้งฉำกกับเครื่อง
ฉำย
4. ร้อยฟิ ล์มเข้ำเครื่อง ตำมผังกำรร้อย
ฟิ ล์มของเครื่องฉำยแต่ละเครื่อง
ขณะฉาย เมื่อจะเริ่มฉำยควรปฏิบัติดังนี้
1. เปิ ดสวิตซ์มอเตอร์ (Forward)
2. เปิ ดสวิตซ์ฉำย (Lamp)
3. เปิ ดสวิตซ์เสียง (Volume) ปรับระดับ
เสียง (Tone)
- ถ้ำเป็ นฟิ ล์มเงียบ ใช้สวิตซ์ Silent
- ถ้ำเป็ นฟิ ล์มเสียง ใช้สวิตซ์ Sound
4. ปรับควำมคมชัด
5. ปรับกรอบภำพให้สมบูรณ์
6. ถ้ำมีเสียงผิดปกติหรือกลิ่นไหม้ให้หยุด
ฉำยทันที
เลิกฉาย
1. ลดเสียงให้ต่ ำำลง
2. ปิ ดสวิตซ์ฉำย แต่ปล่อยให้ฟิล์มเดินต่อ
ไปจนหมดม้วน
3. กดคลัชต์ให้เฟื องหนำมเตยหยุด แล้วดึง
หำงฟิ ล์มมำร้อยกับล้อส่งฟิ ล์ม เพื่อหมุนฟิ ล์มกลับมำในม้วนเดิม
18
4. เมื่อพัดลมเป่ ำหลอดฉำยเย็นดีแล้วจึง
ปิ ดสวิตซ์พัดลมและเก็บเครื่องได้
การเก็บรักษาเครื่องฉายภาพยนตร์
1. ตรวจดูน้ ำำมันหล่อลื่นตำมจุดที่ต้องกำรให้
หล่อลื่น อย่ำให้แห้ง
2. ทำำควำมสะอำดทำงเดินของฟิ ล์มและเลนส์
อย่ำให้สกปรก
3. ให้พัดลมเป่ ำหลอดฉำยจนกระทั่งเย็นทุก
ครั้ง
การเก็บรักษาฟิ ล์มภาพยนตร์
1. เมื่อไม่ใช้ต้องเก็บฟิ ล์มให้มิดชิด
2. อย่ำใช้มือจับที่ผิวฟิ ล์ม
3. อย่ำร้อยฟิ ล์มในเครื่องฉำยให้หย่อนหรือตึงเกิน
ไป
4. ขณะฉำยอย่ำหยุดฟิ ล์มที่ประตูฟิล์มนำนเกินไป
5. ควรตรวจเครื่องฉำยให้อยู่ในสภำพปกติ
ปรำศจำกฝ่ ุนโดยเฉพำะประตูฟิล์ม
เครื่องฉำยภำพข้ำมศีรษะมีส่วนประกอบที่สำำคัญ 2
ส่วน ดังนี้
1. ส่วนประกอบภายนอก
1.1 ตัวเครื่องฉำย (Body) มีลักษณะเป็ นกล่อง
มักทำำด้วยโลหะ ด้ำนบนเป็ นแท่นกระจกสำำหรับวำงวัสดุฉำย
มุมด้ำนขวำมือมีเสำสำำหรับติดตั้งหัวฉำย ด้ำนข้ำงมีแกนยึดแผ่น
โปร่งใสแบบม้วน ด้ำนหลังมีสำยไฟและสวิตซ์ควบคุมกำรทำำงำน
1.2 แขนเครื่องฉำยและหัวฉำย จะประกอบต่อกับ
เสำเครื่องฉำย สำมำรถปรับเลื่อนขึ้น-ลง ตำมแนวดิ่งได้
1.3 อุปกรณ์กำรฉำยพิเศษ ใช้กับเทคนิ คกำรนำำ
เสนอแผ่นโปร่งใสแบบเคลื่อนไหว (Polarizing Transparency)
อุปกรณ์น้ี เรียกว่ำ จำนหมุน หรือ สกินเนอร์ หรือ โพรำไรซ์ฟิล
เตอร์
2. ส่วนประกอบภายใน
2.1 หลอดฉำย (Projection Lamp) เป็ นแหล่ง
กำำเนิ ดแสง
2.2 แผ่นสะท้อนแสง (Reflector) ทำำหน้ำที่
หักเหและสะท้อนแสงที่ออกทำงด้ำนหลังของหลอดฉำย
ทำำให้แสงมีควำมเข้มมำกขึ้น
2.3 เลนส์เกลี่ยแสง (Fresnel Lamp) ทำำหน้ำที่
เกลี่ยแสงที่มีจำกหลอดฉำยส่องผ่ำนวัสดุฉำย
3. แท่นวำงวัสดุฉำย (Transparency Table) ใช้วำง
แผ่นโปร่งใส เพื่อให้ทำำหน้ำที่ขยำยภำพหรือวัสดุฉำยให้มีขนำด
ใหญ่ไปปรำกฏบนจอ
4. เลนส์ฉำย (Objective Lens) เป็ นเลนส์นน ู ที่อยู่ใน
หัวฉำยทำำหน้ำที่ขยำยภำพ หรือวัสดุฉำยให้มีขนำดใหญ่ไปปรำกฏ
บนจอ
5. กระจกเงำระนำบหรือกระจกเอน (Tilt Mirror) ทำำ
หน้ำที่รับภำพจำกเลนส์ฉำยแล้วหักเหลำำแสงให้ไปปรำกฏบนจอ
6. พัดลม (Fan or Electric Fan) ทำำหน้ำที่ระบำย
ควำมร้อนให้กับหลอดฉำยบำงเครื่องมีสวิตซ์ปิด-เปิ ดโดยเฉพำะ
บำงเครื่อง
มีสวิตซ์อัตโนมัติซึ่งเรียกว่ำ เทอร์โมสตำร์ท
(Themestat)
ขัน
้ ตอนการใช้เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ
1. เตรียมแผ่นโปร่งใสที่จะใช้ให้พร้อม เรียงตำม
20
ลำำดับขั้นตอน
2. ตั้งจอและเครื่องฉำยให้ห่ำงกันประมำณ 1.5-2
เมตร โดยวำงเครื่องฉำยให้ม่ันคงและตำำแหน่ งของเลนส์ฉำยตั้ง
ฉำกกับจอ
3. ทำำควำมสะอำดแท่นวำงแผ่นโปร่งใส เลนส์
ฉำย ตรวจระบบไฟเครื่องฉำยแล้วเสียบปลัก ๊
4. ทดลองฉำย เปิ ดสวิตซ์เครื่องฉำย วำงปำกกำ
หรือวัสดุทึบแสงอื่น ๆ ที่มีขนำดเล็กปรับโฟกัสจนเกิดควำมคมชัด
5. ขณะฉำยควรปิ ดข้อควำมหรือรูปภำพที่ยัง
บรรยำยไม่ถึงด้วยกระดำษทึบแสงและค่อย ๆ เปิ ดเมื่ออธิบำยถึง
เนื้ อหำนั้น
6. เมื่อจะเปลี่ยนหลอดฉำยควรจะเปิ ดฉำยก่อนทุก
ครั้ง
7. เมื่อต้องกำรชี้ข้อควำมหรือรูปภำพควรใช้วัสดุ
ทึบแสงขนำดเล็ก ๆ
8. เมื่อเลิกใช้ให้ปิดหลอดฉำยปล่อยให้พัดลม
ทำำงำนต่อไปจนเครื่องเย็นลง พัดลมจะหยุดโดยอัตโนมัติ
หลักการเลือกเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ
1. กำำลังส่องสว่ำงของเครื่องสูง สำมำรถปรับ
กำำลังส่องสว่ำงและเปลี่ยนหลอดได้สะดวกรวดเร็ว
2. คุณภำพของภำพที่ปรำกฏบนจดชัดเจน ไม่พร่ำ
มัว ขนำดของเลนส์เหมำะกับระยะทำงในกำรฉำยหรือเหมำะกับ
ห้องฉำย
3. สะดวกในกำรซ่อมแซมและบำำรุงรักษำ หำ
อะไหล่ได้ง่ำย รำคำถูก
4. เครื่องเดินเงียบสมำ่ำเสมอ ไม่มีเสียงรบกวนจำก
พัดลม
5. มีควำมแข็งแรงทนทำน นำ้ำหนักเบำ เคลื่อน
ย้ำยง่ำย
ข้อควรระวังในการเก็บรักษาเครื่องฉายภาพข้าม
ศีรษะ
1. ไม่ควรใช้เครื่องฉำยติดต่อกันเป็ นเวลำนำน
ควรปิ ดพักหลอดฉำยสลับกันเป็ นระยะ ๆ ในขณะอภิปรำย
2. เมื่อจะเคลื่อนย้ำยเครื่องฉำยต้องปิ ดหลอดฉำย
ก่อน และรอให้หลอดฉำยเย็นก่อนจึงจะเคลื่อนย้ำยได้อย่ำง
21
ปลอดภัย
3. ถ้ำมีฝุ่นละอองจับเลนส์หรือกระจกเงำสะท้อน
แสง ควรใช้กระดำษเช็ดเลนส์หรือหนังชำมัวร์เช็ด
ทำำควำมสะอำดแต่ไม่ควรทำำบ่อยนัก
4. กำรเปลี่ยนหลอดฉำย ห้ำม!! ใช้มือจับกระเปำะ
หลอดแก้ว (หลอดฉำยใหม่) ควรใช้ผ้ำน่ ุม ๆ สะอำด ๆ พันก่อน
แล้วจึงทำำกำรเปลี่ยนและต้องใส่ข้ัวให้ถก
ู ด้ำนด้วย
5. ไม่ควรใช้สำยไฟฟ้ ำขั้นเสียบของเครื่องฉำยถูก
นำ้ำ เพรำะอำจทำำให้ไฟฟ้ ำลัดวงจรเป็ นอันตรำยต่อผู้ใช้ได้
การบำารุงรักษาเครื่องฉายภาพทึบแสง
22
1. ไม่ควรฉำยติดต่อกันนำนเกินไป
2. อย่ำให้เครื่องสกปรก โดยเฉพำะเลนส์ฉำยและ
หลอดฉำย
3. ศึกษำคู่มือให้เข้ำใจวิธีใช้และบำำรุงรักษำที่ถูกต้อง
ส่วนประกอบโสตทัศนูปกรณ์ประเภทแสง
ส่วนประกอบของโสตทัศนูปกรณ์ประเภทแสงที่สำำคัญ ได้แก่
หลอดฉำยและแผ่นสะท้อนแสง วัสดุฉำย เลนส์ และจอ
1. หลอดฉายและแผ่นสะท้อนแสง (Projector
Lamp and Reflectors)
หลอดฉำยเป็ นแหล่งกำำเนิ ดแสงที่ส่องผ่ำนวัสดุฉำย
และเลนส์ให้ภำพไปปรำกฏบนจอ หลอดฉำยที่ใช้กันอยู่ในปั จจุบันมี
3 ชนิ ด คือ
1. หลอดอินแคนเดสเซนต์ (Incandescent
Lamp) เป็ นหลอดฉำยแบบเก่ำมีขนำดใหญ่ ภำยในบรรจุด้วย
ไนโตรเจนหรืออำร์กอน ไส้หลอดทำำด้วนทังสเตน ให้ควำมร้อนสูง
อำยุกำรใช้งำนต่อเนื่ องเฉลี่ยประมำณ 10 ชั่วโมง หลอดชนิ ดนี้ มีอยู่
ในเครื่องฉำยรุ่นเก่ำ ๆ เท่ำนั้น
2. หลอดฮำโลเจน (Halogen Lamp) มีขนำด
เล็กกว่ำหลอดอินแคนเดสเซนต์ ตัวหลอดทำำด้วยหิน (Quartz) ทน
ควำมร้อนได้ ภำยในบรรจุด้วยสำรฮำโลเจน และไอโอดีน ให้แสง
สว่ำง ขำวนวล สดใส อำยุกำรใช้งำนต่อเนื่ องเฉลี่ยประมำณ 50
ชั่วโมง หลอดชนิ ดนี้ ใช้กับเครื่องฉำยสไลด์ เครื่องฉำยภำพยนตร์
ไฟถ่ำยวิดีโอ เครื่องฉำยภำพข้ำมศรีษะ เป็ นต้น
3. หลอดซีนอนอำร์ด (Zenon Arc Lamp) มีลี
กษณะเป็ นหลอดยำวตรงกลำงโป่ งออกภำยในบรรจุด้วยก๊ำซซีนอน
แสงสว่ำงเกิดจำกอนุภำคของไฟฟ้ ำจำกขั้วหนึ่ งไปยังอีกขั้วหนึ่ งแสง
สีขำวแรงจัดมำก หลอดชนิ ดนี้ ผลิตขึ้นมำเพื่อใช้ทดแทนกำรอำร์ด
หรือแท่งถ่ำน
ข้อพึงปฏิบัติเกีย่ วกับหลอดฉาย
1. เมื่อจะสัมผัสหลอดฉำยต้องใช้วัสดุนุ่ม ๆ หรือ
ผ้ำรองมือในกำรจับหลอดฉำย
2. ตรวจรูปร่ำง ขนำด ฐำนหลอด วัตต์ ให้
เหมือนหลอดเดิม
3. ใส่หลอดฉำยให้แน่ นกระชับ
4. อย่ำให้หลอดฉำยกระเทือน
23
5. ให้พัดลมเป่ ำให้เย็นก่อนถอดปลัก
๊ ไฟทุกครั้ง
แผ่นสะท้อนแสง (Reflectors)
แผ่นสะท้อนส่วนมำกทำำด้วยโลหะฉำยผิวด้วย
วัสดุสะท้อนแสง เช่น เงินหรือปรอท ทำำหน้ำที่สะท้อนแสงจำกด้ำน
หลังของหลอดฉำยไปรวมกับแสงด้ำนหน้ำ ทำำให้ควำมเข้มของแสง
เพิ่มขึ้นเกือบเป็ น 2 เท่ำ ตำำแหน่ งกำรติดตั้งแผ่นสะท้อนมีหลำย
ลักษณะต่ำงกัน
ข้อควรระวัง
1. อย่ำใช้มือจับผิวแผ่นสะท้อนแสง
2. อย่ำให้มีรอยขีดข่วน
3. ต้องใช้ผ้ำน่ ุม ๆ เช็ดฝ่ ุนหรือสิ่งสกปรกเมื่อ
ต้องกำรทำำควำมสะอำด
3. เลนส์ (Lens)
เลนส์เป็ นวัสดุโปร่งใสที่มีอย่ใู นเครื่องฉำยทั่ว ๆ ไป
ทำำด้วยแก้วหรือพลำสติกใสมีคุณสมบัติหักเหแสงที่สะท้อนมำกระ
ทบกับเลนส์ ทำำให้ภำพและขยำยภำพ เลนส์ในเครื่องฉำยจะมี 2
24
4. จอ (Screen)
จอเป็ นอุปกรณ์รองรับภำพจำเครื่องฉำยชนิ ดต่ำง ๆ
จำำแนกได้ 2 พวกใหญ่ ๆ คือ
1. จอทึบแสง (Opaque Type)
เป็ นจอที่รับภำพจำกด้ำนหน้ำ จอชนิ ดนี้ จะฉำบ
ผิวหน้ำด้วยวัสดุท่ีมีคุณสมบัติสะท้อนแสงต่ำง ๆ กัน คือ
1.1 จอแก้ว (Beaded Screen) ผิวหน้ำ
ของจอฉำบด้วยแก้วละเอียด ทำำให้สะท้อนแสงได้ดีมำกและไปได้
ไกลจอชนิ ดนี้ เหมำะสำำหรับฉำยในห้องแคบ ๆ ยำวเป็ นสี่เหลี่ยมผืน
ผ้ำ
1.2 จอผิวเรียบหรือผิวเกลี้ยง (Matte
Screen) ผิวหน้ำของจอมีสีขำวเรียบ แต่ไม่เป็ นมัน ให้แสงสะท้อน
ปำนกลำง จอชนิ ดนี้ เหมำะสำำหรับฉำยในห้องลักษณะที่เป็ น
25
สี่เหลี่ยมจตุรัสหรือห้องเรียนทั่ว ๆ ไป
1.3 จอเงิน (Silver Screen) ทำำด้วย
พลำสติกหรืออลูมิเนี ยม เหมำะสำำหรับฉำยภำพสีและภำพ 3 มิติ
จอชนิ ดนี้ เหมำะสำำหรับโรงภำพยนตร์หรือห้องประชุมขนำดใหญ่ท่ี
ทึบแสง
1.4 จอเลนติคูล่ำ (Lenticular Screen)
ผิวหน้ำทำำด้วยพลำสติก เรียกว่ำ Heavy Plastic หรือผ้ำสีน้ ำำเงิน
ผิวเป็ นสันนูน และร่องลึกสลับกันทั้งแนวตั้งและแนวนอน ให้แสง
สะท้อนดีมำก สำมำรถใช้ในห้องที่ไม่มืดสนิ ทมำกนัก เหมำะกับห้อง
ขนำดกว้ำงใหญ่ เช่น ห้องประชุมใหญ่ ๆ ห้องโถง เป็ นต้น
1.5 จอเอ็ดตำไลท์ (Ekalite Screen) ทำำ
ด้วยโลหะหรือไฟเบอร์กลำส นำ้ำหนักเบำ ผิวโค้งเรียบ สีมุกเป็ นมัน
สะท้อนแสงได้ดีมำก สำมำรถใช้ได้ท้ังภำพยนตร์ สไลด์ ฟิ ล์มสตริป
ในห้องที่มีแสงสว่ำงตำมปกติ แต่ไม่เหมำะกับเครื่องฉำยภำพข้ำม
ศรีษะ เพรำะแสงสะท้อนจ้ำมำก พื้นผิวของจอมีลักษณะโค้งเว้ำเล็ก
น้อย ไม่สำมำรถม้วนเก็บได้เหมือนจออื่น ๆ
การเลือกใช้จอ
26
ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อจอ
1. คุณสมบัติของผิวหน้ำของจอ
2. ขนำดและรูปร่ำงของจอ
3. จำำนวนผู้เรียนหรือผู้ชม
4. ขนำดและรูปร่ำงของห้องฉำย
5. ระยะห่ำงระหว่ำงจอกับเครื่องฉำย
6. กำำลังส่องสว่ำงของหลอดฉำย
7. วัสดุอุปกรณ์ท่ีจะช่วยให้ห้องมืด
8. กำรเคลื่อนย้ำยหรือกำรติดตั้ง
การบำารุงรักษาจอ
1. ทำำควำมสะอำดได้โดยเช็ดด้วยฟองนำ้ำ
2. เมื่อเลิกใช้ควรม้วนเก็บทันที
3. อย่ำให้จอถูกขูด ขีด ข่วน
4. กำงและเก็บด้วยควำมระมัดระวัง หำกเสียหำยต้อง
รีบซ่อมทันที
การรับรู้ (Perception) คืออะไร?
27
กระบวนการรับสัมผัส (Sensation)
เป็ นกำรรับข่ำวสำรในระยะแรกระหว่ำง อินทรียก ์ ับสิ่งเร้ำ
โดยอวัยวะรับสัมผัส (Reception) เช่น อวัยวะในกำรมองเห็น
(Vision) กำรฟั ง (Audition) รับควำมรู้สก ึ ทำงผิวหนัง (Skin
Senses) เป็ นต้น ในระยะแรกนี้ แม้ว่ำสิ่งเร้ำจะยังไม่ถกู ตีควำมหรือ
ให้ควำมหมำยใด ๆ ก็ถือว่ำกลไกกำรรับสัมผัส มีควำมสำำคัญมำก
ในอันที่จะส่งผลถึงกำรรับรู้ (Perception) และกำรเรียนรู้
(Learning) ต่อไป
กระบวนการรับรู้ (Perception)
กำรรับรู้เป็ นกระบวนกำรนำำควำมรู้หรือข้อมูล ข่ำวสำรเข้ำ
สู่สมอง โดยผ่ำนอวัยวะสัมผัส (Sensory Organ) สมองจะเก็บ
รวบรวมและจดจำำสิ่งต่ำง ๆ เหล่ำนั้นไว้เป็ นประสบกำรณ์ เพื่อเป็ น
องค์ประกอบสำำคัญที่ทำำให้เกิดมโนภำพหรือควำมคิดรวบยอด
(Concept) และทัศนคติ (Attitude) ในกำรเปรียบเทียบหรือถ่ำย
โยงควำมหมำยกับสิ่งเร้ำใหม่ท่ีจะรับรู้ต่อ ๆ ไป ดังนั้นกำรรับรู้และ
กำรเรียนรู้จึงมีควำมเกี่ยวข้องกัน ถ้ำไม่มีกำรรับรู้ กำรเรียนรู้ย่อม
เกิดขึ้นไม่ได้
องค์ประกอบของกระบวนการรับรู้
กำรรับรู้ข่ำวสำรของมนุษย์จะมีประสิทธิภำพมำกน้อยเพียงใด
ย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังนี้
1. อำกำรรับสัมผัส หมำยถึง อวัยวะรับสัมผัสต่ำง ๆ ได้รับ
กระต้น ุ จำกสิ่งเร้ำแล้วจะแปลควำมหมำย
โดยอำศัยประสบกำรณ์เข้ำมำช่วย
2. กำรแปลควำมหมำยของอำกำรสัมผัส กำรแปลควำม
หมำยของสิ่งเร้ำที่รับเข้ำมำจะถูกต้องเพียงใด
ขึ้นอยู่กับปั จจัย 2 ประกำร คือ
2.1 ปั จจัยทำงด้ำนสรีระ (Physiologial Factor)
เป็ นขีดจำำกัดควำมสำมำรถของอวัยวะรับสัมผัสที่ตอบสนอง
ต่อสิ่งเร้ำ เช่น ขนำดของสิ่งเร้ำ ควำมสึกหรอของอวัยวะรับสัมผัส
เป็ นต้น
2.2 ปั จจัยทำงจิตวิทยำ (Phycological Factor)
เนื่ องจำกสิ่งเร้ำที่มำกระทบกับอวัยวะรับสัมผัสมีมำก มนุษย์จะ
เลือกรับรู้เฉพำะสิ่งเร้ำที่มีควำมหมำย แต่กำรรับรู้ดังกล่ำวจะเกิด
ขึ้นหรือไม่น้ันย่อมอยู่กับปั จจัยด้ำนจิตวิทยำ เช่น
- ควำมตั้งใจ โดยมีสำเหตุหลำยประกำร เช่น
ควำมเปลี่ยนแปลง ควำมแปลกใหม่ ขนำดและควำมเข้ม กำรกระ
ทำำซำ้ำเคลื่อนไหว เป็ นต้น
- สติปัญญำ ทำำให้บุคคลเข้ำใจเหตุกำรณ์หรือสิ่ง
ต่ำง ๆ ได้ช้ำ หรือรวดเร็วต่ำงกัน
- ควำมระวังระไว เป็ นควำมคล่องแคล่วหรือไว
ต่อกำรรับรู้ส่ิงเร้ำต่ำง ๆ
- คุณภำพของจิตใจ ควำมเหนื่ อยล้ำ หรือควำม
แจ่มใสของจิตใจย่อมมีผลกระทบต่อควำมเข้ำใจสิ่งเร้ำต่ำง ๆ ได้
- บุคลิกภำพ ผู้ท่ีมีบุคลิกภำพเปิ ดเผยชอบสังคม
กับผู้ท่ีมีบุคลิกภำพเก็บตัวมักจะรับรู้ส่ิงในทำงตรงข้ำมเสมอ
3. ประสบกำรณ์เดิม บุคคลจะรับรู้ส่ิงต่ำง ๆ ด้วยกำรคำด
29
อิทธิพลของสิง
่ เร้าทีม
่ ีต่อการรับรู้
1. สิง
่ เร้าภายนอก คุณสมบัติของสิ่งเร้ำภำยนอกจะมีอิทธิพล
ต่อกำรรับรู้มำกน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับคุณลักษณะดังนี้
1.1 ควำมเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้ำ กำรเปลี่ยนแปลงอยู่
เสมอย่อมดึงดูดควำมสนใจและเอำใจใส่ต่อสิ่งเร้ำนั้น
1.2 กำรเคลื่อนไหวของสิ่งเร้ำ กำรเคลื่อนไหวจะช่วย
กระต้นุ เรตินำในนัยน์ตำ ทำำให้เกิดพลังงำนประสำทสมอง
1.3 ขนำดของสิ่งเร้ำ วัตถุท่ีมีขนำดผิดปกติ เช่น ใหญ่
มำก หรือเล็กมำก ย่อมได้รับควำมสนใจมำกกว่ำวัตถุท่ีมีขนำดปกติ
1.4 กำรเกิดซำ้ำซำกของสิ่งเร้ำ กำรเกิดซำ้ำซำก หมำยถึง
กำรตอกยำ้ำด้วยควำมเข้มข้นหรือจังหวะที่แตกต่ำงกัน มิฉะนั้นแล้ว
เกิดกำรซำ้ำซำกบ่อยครั้งจะทำำให้ขำดควำมเอำใจใส่ต่อสิ่งเร้ำนั้นได้
เหมือนกัน
1.5 ควำมเข้มข้นหรือควำมหนักเบำของสิ่งเร้ำ สิ่งเร้ำที่
มีควำมเข้มข้นสูงกว่ำปกติย่อมดึงดูดควำมสนใจได้ดีกว่ำสิ่งเร้ำปกติ
ธรรมดำ
1.6 องค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อกำรรับรู้ เช่น สี
ควำมถี่ของเสียง ควำมแปลกใหม่ เป็ นต้น
2. สิง ่ เร้าภายใน
2.1 ควำมต้องกำร เมื่อมนุษย์เกิดควำมต้องกำรอะไรมัก
จะเอำใจใส่ในสิ่งนั้น ๆ อยู่เสมอและกลำยเป็ นจุดเน้นของกำรรับรู้
2.2 คุณค่ำและควำมสนใจ บุคคลจะสนใจกับสิ่งเร้ำหรือ
เหตุกำรณ์ท่ีมีคณ ุ ค่ำและมีควำมหมำยต่อตนเอง บำงครั้งก่อให้เกิด
ควำมต้องกำรและควำมหวังที่จะรับรู้ในสิ่งนั้น ๆ ด้วยควำมตั้งใจ
และสนใจ
3. คุณลักษณะของสิง ่ เร้า สิ่งเร้ำที่มีอิทธิพลต่อกำรรับรู้มี
คุณลักษณะ 2 อย่ำง คือ
3.1 สิ่งเร้ำที่มีโครงสร้ำงหรือแบบแผน ได้แก่ สิ่งเร้ำที่
ชัดเจนเป็ นรูปธรรม
30
องค์ประกอบของการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรู้ (Theories of Learning)
ทฤษฎีกำรเรียนรู้แบ่งออกเป็ น 2 กลุ่มใหญ่ และแต่ละ
กลุ่มแบ่งเป็ นกลุ่มย่อยอีกดังนี้
1. กลุ่มทฤษฎีการต่อเนื่ อง (Associative
Theories)
เป็ นทฤษฎีท่ีใช้หลักกำรเรียนรู้แบบพฤติกรรมนิ ยม
(Behaviorism) คือ กำรเรียนรู้จำกส่วนย่อยไปสู่ส่วนรวม ทฤษฎีน้ี
จะกล่ำวถึงกำรทำำให้เกิดควำมต่อเนื่ องกันอยู่เสมอ ระหว่ำงสิ่งเร้ำ
กับกำรตอบสนอง และกำรตอบสนองนั้นมักเป็ นพฤติกรรม
ภำยนอกที่สังเกตเห็นได้ชัดและวัดได้ง่ำย (กมลรัตน์ หล้ำสุวงษ์.
2523 : 142)
1.1 ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์ไดค์
หลักการเบื้องต้น คือ กำรเรียนรู้เกิดจำกกำร
เชื่อมโยงระหว่ำงสิ่งเร้ำกับกำรตอบสนองโดยที่ตอบสนองมักออก
มำในรูปแบบต่ำง ๆ หลำยรูปแบบจนกว่ำจะพบรูปแบบที่ดีหรือ
เหมำะสมที่สุด เรำเรียกว่ำ กำรลองผิดลองถูก (Trial and Error)
และจะพยำยำมทำำให้กำรตอบสนองที่เหมำะสมที่สุดนั้นเชื่อมโยง
กับสิ่งเร้ำที่ต้องกำรให้เรียนร้ตู ่อไปเรื่อย ๆ
การประยุกต์ทฤษฎีการเชื่อมโยงมาใช้กับการเรียนการ
31
สอน
ก. กำรนำำหลักกำรเรียนรู้มำใช้ ต้องให้ลองผิด
ลองถูกด้วยตนเองจนกว่ำจะพบวิธีกำรเรียนที่ดีท่ีสุด
ข. กำรนำำทฤษฎีกำรเรียนที่สำำคัญมำใช้
- กฎแห่งควำมพร้อม ผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดี
เมื่อมีควำมพร้อมทั้งทำงร่ำงกำยและจิตใจ
- กฎแห่งกำรฝึ กหัด กำรเรียนถำวรเกิด
จำกควำมเข้ำใจ และฝึ กฝนบ่อย ๆ จนเกิดทักษะ
- กฎแห่งผลที่พอใจ กำรเสริมแรง เช่น
กำรให้รำงวัลเป็ นสิ่งของ คำำชมเชย คำำสรรเสริญที่เหมำะสมกับภูมิ
หลังของแต่ละบุคคลจะทำำให้ประเมินผลสำำเร็จได้โดยง่ำย
1.2 ทฤษฎีการวางเงื่อนไข
1.2.1 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
ของพาฟลอฟและวัตสัน
หลักกำรเรียนรู้ เป็ นกำรใช้ส่ิงเร้ำ 2 สิ่งค่กู ัน
คือ สิ่งเร้ำที่วำงเงื่อนไขคู่กับสิ่งเร้ำที่ไม่วำงเงื่อนไข เพื่อให้เกิดกำร
เรียนรู้
การประยุกต์ทฤษฎีการวางเงื่อนไขมา
ใช้กับการเรียนการสอน
ขั้นตอนกำรวำงเงื่อนไขมี 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 ขั้นก่อนวำงเงื่อนไข เป็ นขั้น
ศึกษำภูมิหลัง เช่น
ก. วิชำคณิตศำสตร์ (UCS)
- - - - - - - - -> เด็กเฉย ๆ (UCR)
ข. ครูสอนไม่ดี สอนดี (UCS) -
- - - - - - - -> เด็กไม่ชอบ (UCR)
ค. ครูสอนดีเป็ นกันเอง (UCS)
- - - - - - - - -> เด็กชอบ (UCR)
ขั้นที่ 2 ขั้นวำงเงื่อนไข
ก. วิชำคณิตศำสตร์ + ครูสอนไม่
ดี + เด็กไม่ชอบ
CS UCS
UCR
ข. วิชำคณิตศำสตร์ + ครูสอนดี
+ เด็กชอบ
32
CS UCS
UCR
ขั้นที่ 3 ขั้นกำรเรียนรู้จำกกำรวำง
เงื่อนไข
ก. วิชำคณิตศำสตร์ - - - - - - - - -
-> เด็กไม่ชอบ
CS
CR
ข. วิชำคณิตศำสตร์ - - - - - - - - -
-> เด็กชอบ
CS
CR
1.2.2 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอาการ
กระทำาของสกินเนอร์
หลักกำรเรียนรู้ เน้นให้เกิดพฤติกรรมหรือ
กำรกระทำำก่อน แล้วจึงเสริมแรงทีหลัง เพรำะสกินเนอร์สรุปกำร
ทดลองว่ำ กำรเรียนรู้ท่ีดีจะต้องมีกำรเสริมแรง
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของ
สกินเนอร์มาใช้กับการเรียนการสอน
1. กำรใช้บทเรียนโปรแกรม หรือบท
เรียนสำำเร็จรูป เป็ นกำรทำำให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีคำำ
ตอบที่ถูกต้องไว
้เป็ นกำรเสริมแรง
2. กำรใช้พฤติกรรมบำำบัด เช่น กำรสอน
ให้เด็กขยันทำำกำรบ้ำน โดยเขียนรำยชื่อผู้ส่งกำรบ้ำนไว้บนบอร์ด
ให้บุคคลอื่น
มองเห็นเพื่อเป็ นกำรยกย่องชมเชย เป็ นต้น
3. กำรใช้กฎกำรเรียนรู้ท้ัง 2 กฎ คือ
กำรเสริมแรงทันทีทน ั ใด และกำรเสริมแรงเป็ นครั้งครำว
หลักกำรเรียนรู้ กำรเรียนรู้ท่ีเน้นส่วนรวม
มำกกว่ำส่วนย่อยนั้นจะต้องเกิดประสบกำรณ์เดิม (Experience)
และกำรเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้น 2 ลักษณะ คือ
1.1 กำรรับรู้ (Perception) หมำยถึง กำร
แปลควำมหมำยจำกกำรสัมผัสด้วยอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 ส่วน คือ
ตำ หู จมูก ลิน ้ และกำย
1.2 กำรหยั่งเห็น (Insight) หมำยถึง กำร
เกิดควำมคิดแวบขึ้นมำทันทีทันใดขณะที่ประสบปั ญหำ โดยมอง
เห็นกำรแก้ปัญหำตั้งแต่เริ่มแรกเป็ นขั้นตอนสำมำรถแก้ปัญหำได้
กฎการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์
1.1 กฎแห่งควำมแน่ นอนหรือชัดเจน
(Law of Pragnanz) กำรเรียนร้ท ู ่ีดีจะต้องเกิดจำกควำมแน่ นอน
หรือควำมชัดเจน เช่น รูป (Figure) เป็ นสิ่งที่ต้องกำรเน้นให้สนใจ
และพื้น (Ground) เป็ นส่วนประกอบหรือฉำกหลัง
1.2 กฎแห่งควำมคล้ำยคลึง (Law of
Similarity) กำรเรียนร้เู กิดจำกกำรรับรู้ส่ิงเร้ำที่มีลักษณะ
คล้ำยคลึงกันและอยู่รวมกันเป็ นชุด ๆ
1.3 กฎแห่งควำมต่อเนื่ อง (Law of
Proximity) กำรเรียนรู้ว่ำสิ่งใด สถำนกำรณ์ใดเป็ นเหตุเป็ นผลกัน
สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้นในเวลำต่อเนื่ องกันในเวลำใกล้เคียงกัน
1.4 กฎแห่งกำรสิ้นสุด (Law of Closure)
สำระสำำคัญ คือ แม้ว่ำสถำนกำรณ์หรือปั ญหำนั้นยังไม่สมบูรณ์
อินทรีย์จะเกิดกำรเรียนรู้ได้จำกประสบกำรณ์เดิมต่อสถำนกำรณ์
นั้น
การประยุกต์ทฤษฎีของกลุ่มเกสตัลท์มาใช้
กับการเรียนการสอน
1. กำรนำำหลักกำรเรียนรู้มำใช้ ถ้ำต้องกำรให้
ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ท่ีดี ต้องจัดสิ่งเร้ำต่ำง ๆ ให้มำรวมกันเพื่อให้
ผู้เรียนเห็นสิ่งเร้ำทั้งหมดเสียก่อนจึงจะเกิดกำรรับรู้ได้ดี
2. กำรนำำกฎของกำรเรียนรู้มำใช้
2.1 กฎแห่งควำมชัดเจนแน่ นอน เมื่อ
ต้องกำรให้ผู้เรียนเรียนร้ส ู ่ิงใด จะต้องเน้นและให้เห็นควำมสำำคัญ
ต่อสิ่งนั้นมำกกว่ำสิ่งอื่น
2.2 กฎแห่งควำมคล้ำยคลึง เมื่อต้องกำร
ให้ผู้เรียนเกิดกำรเรียนรู้ได้ดีในบทเรียนใหม่หรือสิ่งใหม่ ต้องนำำบท
เรียนเก่ำที่คล้ำยคลึงกันมำเปรียบเทียบ เช่น กิน- ->ดิน เกิน- -
34
2. ทฤษฎีการเรียนรู้ของทอลแมน
2.1 ถ้ำต้องกำรให้ผู้เรียน เกิดกำรเรียนรู้แบบ
หยั่งเห็น จะต้องใช้เครื่องหมำยบำงอย่ำงชี้ทำงควบคู่ไปด้วย
2.2 ต้องมีกำรทดสอบบ่อย ๆ จึงจะรู้ว่ำผู้เรียน
เรียนรู้ได้มำกน้อยเพียงใด
2.3 กำรเรียนรู้ไม่จำำเป็ นต้องมีกำรเสริมแรงมำก
เท่ำกับแรงจูงใจ โดยสร้ำงให้เกิดแรงขับ (Drive) มำก ๆ หรือจะ
ตอบสนองพฤติกรรมไปยังจุดหมำยปลำยทำงที่ต้องกำร
สภาพทีเ่ อื้อต่อการเรียนรู้
เทคนิ คการใช้โสตทัศนูปกรณ์ในการนำาเสนอ
1. กำำหนดวัตถุประสงค์
35
ที่สำมำรถพิสูจน์และวัดผลได้ในสิ่งที่เรำได้พูดไปแล้วหรือนำำเสนอ
ไปแล้วว่ำ ผู้ฟังมีปฏิกริยำที่แสดงถึงควำมเข้ำใจหรือไม่ มีทัศนคติ
เป็ นอย่ำงไร เกิดควำมชำำนำญและเป็ นบุคคลที่มีคณ ุ ภำพที่ดี เขำ
ปฏิบัติตำมที่เรำต้องกำรหรือเปล่ำ เป็ นต้น
2. ลักษณะของกำรนำำเสนอ
กำรนำำเสนอมีอยู่ด้วยกันหลำยลักษณะ เช่น
- กำรประชำสัมพันธ์- โฆษณำ
- กำรเรียน กำรสอน
- กำรฝึ กอบรม
- กำรประชุมสัมมนำ
- กำรขำย
- กำรประชุมลูกค้ำ
- กำรอภิปรำย
- กำรรำยงำนต่อผู้บังคับบัญชำ
- กำรรำยงำนกำรประชุมผู้ถือหุ้น
- กำรแถลงข่ำวสื่อมวลชน
- กำรบันเทิง
- กำรนิ ทรรศกำร-แสดงสินค้ำ
3. กำรเลือกใช้ส่ ือและอุปกรณ์
มีโสตทัศนูปกรณ์ชนิ ดต่ำง ๆ มำกมำยที่สำมำรถมำใช้ในกำรนำำ
เสนอ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจใช้ส่ ือหรืออุปกรณ์ใดแล้วควรจะ
36
วิเครำะห์เสียก่อนว่ำสื่อหรืออุปกรณ์ใดจึงจะเหมำะสอดคล้องกับ
เรื่องที่จะนำำเสนอ
- ขนำดและลักษณะของผู้ฟัง
- สถำนที่ในกำรนำำเสนอ
- เวลำในกำรนำำเสนอ
- เวลำสำำหรับในกำรผลิตสื่อ
- งบประมำณ
โสตทันูปกรณ์และสื่อสำำหรับใช้ในกำรนำำเสนอควรจะสอดคล้อง
และเหมำะสมกับเรื่องรำว
- เครื่องเสียงชนิ ดต่ำง ๆ
- ชอล์ก กระดำนดำำ
- ฟลิปชำร์ต-แผนภูมิ-ของจริง
- เครื่องฉำยไมโคร ไมโครฟี ล์ม
- เครื่องฉำยข้ำมศีรษะ
- เครื่องฉำยภำพทึบแสง
- เครื่องฉำยภำพยนตร์
- เครื่องฉำยโปรเจคเตอร์ ทีวี
- เครื่องเล่นวีดีโอเทป
- เครื่องฉำยภำพวิชวล
- เครื่องคอมพิวเตอร์
- เครื่องเล่น ดีวีดี ซีวีดี เอ็มพี 3 และ
เอ็มพี โฟร์
4. กำรวำงโครงเรื่องและภำพที่จะนำำเสนอ
37
กำรจะเป็ นนักพูดที่มก
ี ำรนำำเสนอที่ดีแล้ว ควรจะมีกำรเตรียม
กำรหรือวำงแผนเสียก่อน ดังสุภำษิตจีนบทหนึ่ งได้กล่ำวไว้ว่ำ "
ระยะทำงร้อยลี้จะต้องมีก้ำวแรกเสมอ " นักโสตทัศนศึกษำที่ดีแล้ว
ควรจะนึ กถึงเรื่องและภำพออกมำในเวลำเดียวกันได้ แต่ก่อนจะ
ร่ำงโครงเรื่องใด ๆ ควรจะมีกำรวิเครำะห์กลุ่มผู้ฟังเสียก่อน ซึ่งหลัก
ในกำรวิเครำะห์มีดังนี้
- ขนำดของกลุ่ม
- อำชีพและกำรศึกษำ
- อำยุและเพศ
- ควำมรู้ของผู้ฟังเกี่ยวกับเรื่องที่เรำจะ
นำำเสนอ
- ทัศนคติท่ีมีต่อเรื่องที่จะนำำเสนอ
- ควำมเชื่อถือเก่ำ ๆ
- ควำมกระทบกระทั่งต่อสิ่งแวดล้อม
และสังคมระหว่ำงชุมชน ชนชำติ ศำสนำฯลฯ
กำรวำงโครงเรื่อง
- ตั้งหัวข้อเรื่อง
- ร่ำงโครงเรื่องให้ตรงกับหัวข้อเรื่อง
- คำำนำำเรื่อง เพื่อชักจูงควำมสนใจให้
ติดตำม
- เนื้ อเรื่อง อธิบำยเนื้ อหำสำระ
- สรุป เพื่อย่อและทบทวนเพื่อหำสำระ
ภำพที่จะใช้ประกอบกำรนำำเสนอ
- เลือกภำพให้ตรงกับเนื้ อเรื่อง
- เลือกใช้ภำพที่เหมำะสมกับกำลเวลำ
38
- เลือกใช้ภำพที่ดีมีคณ
ุ ภำพ
- เรียบเรียงภำพตำมขั้นตอนของเนื้ อ
เรื่อง
5. กำำหนดขั้นตอนสำำคัญในกำรนำำเสนอ
ในกำรนำำเสนอแต่ละครั้งควรจะจัดขั้นตอนว่ำอะไรควรเสนอ
ก่อนหลัง เช่นกำรแนะนำำตัว หรือว่ำนำำเสนอก่อน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่ว่ำจะมี
เทคนิ คหรือเคล็ดลับอะไรที่จะทำำให้กำรเสนอนั้น ๆได้รับกำรสนใจ
และเกิดควำมประทับใจจำกผู้ฟัง
6. กำรนำำเสนออย่ำงมีประสิทธิภำพต่อผู้ฟัง
ก่อยนำำเสนอนั้นผู้พูดควรจะต้องคำำนึ งถึงกลุ่มผู้ฟังให้มำก มีนัก
พูดประสบควำมล้มเหลวมำมำกแล้ว ที่ไม่ได้ตำำนึ งถึงกลุ่มผู้ฟัง
โดยเฉพำะอย่ำงยิ่ง ถ้ำมีกำรนำำอุปกรณ์โสตทัศนศึกษำ เข้ำมำ
ประกอบกำรนำำเสนอ ผู้นำำเสนอควรจะระวังหรือคำำนึ งถึงสิ่งต่ำงๆ
ดังนี้
- ผู้ฟังและผู้พูดควรจะเห็นกันได้อย่ำง
ชัดเจนและเหมำะสม
- ผู้ฟังและผู้พูดควรจะได้ยินเสียงอย่ำง
ชัดเจน
- ผู้ฟังและผู้พูดควรจะเห็นภำพที่ปรำฏ
บนจอได้อย่ำงชัดเจน
- ผู้ฟังคือบุคคลสำำคัญ
- ควรคำำนึ งถึงสถำนที่ให้มำก ถ้ำไม่คุ้น
กับสถำนที่ควรไปดูสถำนที่ก่อน
7. ซ้อมกำรนำำเสนอ
ถ้ำเป็ นนักพูดที่เก่งแล้วไม่ควรประมำท ในกรณีท่ีจะต้องใช้
อุปกรณ์โสตทัศนศึกษำ ควรจะต้องมีกำรผึกซ้อมเป็ นอย่ำงยิ่ง
39
- กำำหนดเวลำในกำรพูดและซ้อมให้ด้ใน
เวลำ
- ซ้อมกำรใช้ส่ ืออุปกรณ์ต่ำง ๆที่จะนำำไป
ใช้
- ถ้ำได้ซ้อมในสถำนที่จริงก็จะเป็ น
ประโยชน์มำก
- ควรจะซ้อมกำรนำำเสนอต่อหน้ำผู้ทีจะ
ให้คำำแนะนำำได้
- ควรจะซ้อมด้วยควำมมั่นใจก่อนนำำ
เสนอจริง
8. โฆษณำ / ประชำสัมพันธ์
ในบำงกรณีจะมีกำรนำำเสนอในโอกำสพิเศษ จะต้องมีกำร
ลงทุนทั้งงบประมำณ และกำรเสนอที่แปลกใหม่ เช่นกำรประชุม
ลูกค้ำในกำรขำย ควรประชำสัมพันธ์ให้กลุ่มที่เรำต้องกำร ให้มำ
ชุมนุมให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อจะไดให้คุ้มค่ำกับสิ่งที่เรำลงทุนและให้เขำเล็ง
เห็นประโยชน์ท่ีเขำจะได้รับ
9. เตรียมตัวของท่ำนให้พร้อมอยู่เสมอ
เมื่อท่ำนได้ฝึกซ้อมกำรพูดแล้วมิใช่ว่ำจะสำำเร็จแล้ว สำำหรับท่ำน
ที่จะไม่ค่อยมีโอกำสนำำเสนอบ่อยนัก ผู้นำำเสนอควรจะหำ
ประสบกำรณ์และเตรียมพร้อมเสมอ ที่จะเป็ นผู้นำำเสนอมืออำชีพ
- ท่ำนจะต้องมีควำมมั่นใจในเรื่องที่นำำเสนอ
เต็มที่
- ท่ำนจะต้องมีทัศนคติท่ีดีต่อผู้ฟัง
- ท่ำนจะต้องรู้จักผ่อนคลำยอิริยำบท ไม่
เครียด
- อย่ำกังวล-ประหม่ำ
40
- ควรจะเตรียมตัวในกำรเลือกกำรแต่งกำย
ให้เหมำะสม
10. บทสรุป ทบทวน ตอบข้อซักถำม
ผู้นำำเสนอจะต้องเตรียมพร้อมในเรื่องกำรสรุปเนื้ อเรื่องที่นำำ
เสนอ และในขณะเดียวกันอำจจะมีข้อซักถำม
ผู้นำำเสนอจะต้องมั่นใจ และเตรียมพร้อมด้วยควำมสุขุม สุภำพ ฉ
นั้น ผู้นำำเสนอจะต้องกำำหนดเวลำเพื่อเหตุกำรณ์เหล่ำนี้ ด้วย
11. กำรเตรียมงำน - อุปกรณ์ ก่อนนำำเสนอ
- ตัดสินใจว่ำควรจำำนำำอุปกรณ์อะไรไป
- สำำรองหลอดอะไหล่ เครื่อง สำยต่ำง ๆ
เลนซ์
- นำำอุปกรร์ต่ำงๆ ที่จะใช้งำน ที่อยู่ในสภำพ
ดีไปเท่ำนั้น
- กรณีเดินทำงไกลควรจะสอบถำมแต่ละ
ท้องถิ่นว่ำมีอุปกรณ์อะไรที่ต้องกำรใช้ ว่ำมีหรือเปล่ำ
- ควรจะมีปัญชีรำยกำรสิ่งของบันทึกไว้
อย่ำงละเอียด
12. ที่สถำนที่นำำเสนอ ( ห้องบรรยำย )
- ไปถึงก่อนบรรยำยในกำรนำำเสนอ
- ติดตั้งเครื่อง และอุปกรร์ด้วยควำม
ละเอียด
- ตรวจสอบและทดลองซ้อมกำรใช้ด้วย
ควำมมั่นใจ
- ตรวจสอบระบบเสียงให้ได้ยินอย่ำง
ชัดเจน
41
- ตรวจสอบภำพว่ำสัมพันธ์กับผู้ชมหรือไม่
- ตรวจสอบว่ำผู้ชมเห็นภำพชัดเจนและทั่ว
ถึง
- ควรใช้สูตรระบบ 8 H ทุกครั้ง ในกำร
ฉำยภำพทุคร้ง
- ควรคำำนึ งระบบกำรถ่ำยเทอำกำศไว้ด้วย
ขณะที่เปิ ดกำรนำำเสนอ
- รักษำเวลำในกำรนำำเสนอ ( พูด - แสดง
)
- ใช้ภำพให้ตรงกับกำรพูด
- อย่ำหันหลังให้ผู้ชมมำกนัก
- ผู้พูดควรจะเป็ นผู้ควบคุมกำรฉำยเอง
ถ้ำทำำได้
- อย่ำโยนควำมผิดต่อหน้ำกลุ่มผู้ฟังไปให้
คนอื่น เมื่อเกิดกำรผิดพลำดขั้นตอน
- ใช้หลักกำรพูดในที่ชุมชนมำประยุกต์ใช้
- อย่ำให้มีแสงสว่ำงจ้ำปรำกฏบนจอก่อน
หรือหลังกำรพูด
ข้อบกพร่องที่พบเสมอ
- หลอดฉำยขำดระหว่ำงกำรใช้เครื่อง
- ติดขัดขณะดำำเนิ นรำยกำร
- ห้องมีแสงสว่ำงมำก ทำำให้เห็นภำพไม่
ชัดเจน
- เรียงลำำดับและกลับภำพผิด ๆ ถูก
42
- คำำพูดกับภำพไม่ตรงกัน
- ภำพไม่สัมพันธ์กับผู้ชม
- มีแสงสว่ำงจ้ำปรำกฏบนจอ
- ผู้พูดหันหลังให้ผู้ชมมำกเกินไป
ขอ้แนะนำำ
- ซ้อมกำรนำำเสนอด้วยควำมมั่นใจ
- ใช้ภำพเป็ นแนวทำงในกำรพูด
- ใช้ทักษะในกำรพูดมำประยุกต์ใช้
- วิธีท่ีจะไม่หันหลังให้ผู้ชมมำกเกินไป ให้ใช้
กระจกส่องมองหลังหรือทีวีมอนิ เตอร์ขนำดเล็ก
" บุคคลิกภำพของมนุษย์ คือขุมทรัพย์
มหำศำลแห่งพิภพ "
เอกสำรประกอบกำรอบรมกำรถ่ำยภำพที่มีคุณค่ำที่ได้
รับจำกกำรเข้ำฝึ กอบรม ย้อนไปในอดีตที่ บริษท ั โกดักโด่งดังมำก
ในยุทธจักรของสื่อที่ต้องผลิตด้วยฟี ล์มเป็ นหัวใจสำำคัญ เป็ นกำร
เผยแพร่ให้กับสมำชิกผู้สนใจเพื่อจะได้นำำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ใน
กำรใช้เครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์ท่ีถก ู ต้อง และได้เพิ่มเติมอุปกรณ์
บำงอย่ำงที่เป็ นปั จจุบันเข้ำไปด้วย จึงขออภัยผู้เขียนไว้ด้วย ทั้งนี้
เพื่อให้ทันสมัยนำำไปใช้ในด้ำนกำรเรียน กำรสอน และ กำรประ
ชุมสัมนำ ทั้งภำครัฐ -เอกชน สำำหรับวิทยำกรที่สนใจทุกท่ำน
43
กำรใช้โสตทัศนูปกรณ์ในห้องเรียนของอำจำรย์ และนักศึกษำคณะ
พยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยเชียงใหม่
The use of audio visual equipment in
classroom ampng nursing instructors and
nursing students, Faculty of Nursing, Chiang
Mai University
หัวหน้า นำงสำวโสภำ กรรณสูต
โครงการ
หน่วยงาน สำำนักงำนคณะ
แหล่ง คณะ
สนับสนุน
งานวิจัย
ระยะเวลา 15 กรกฏำคม 2546 - 15
ดำาเนิ นการ กรกฏำคม 2547
กลุ่มวิจัย
กลุ่มวิจัย Others
วัตถุประสงค์โครงการ
เพื่อศึกษำกำรใช้โสตทัศนูปกรณ์ในห้องเรียนของอำจำรย์และนัก
ศึกษำะพยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยเชียงใหม่
ลักษณะโครงการ
กำรใช้โสตทัศนูปกรณ์ในห้องเรียนเป็ นสิ่งที่สำำคัญในกำรเรียนกำร
สอน เพื่อให้กำรเรียนกำรสินเป็ นไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ และบรรลุ
ตำมวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้ กำรศึกษำครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษำ
กำรใช้โสตทัศนูปกรณ์ในห้องเรียนของอำจำรย์และนักศึกษำ
ตลอดจนปั ญหำ และข้อเสนอแนะต่ำงๆ เกี่ยวกับกำรบริกำรโสต
ทัศนูปกรณ์ของหน่ วยโสตทัศนูปกรณ์
ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรศึกษำ ได้แก่ อำจำรย์ ที่
ปฏิบัติกำรสอนในคณะพยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยเชียงใหม่
และนักศึกษำระดับปริญญำตรี ปริญญำโท และปริญญำเอก คณะ
44