Professional Documents
Culture Documents
หน้ า
5. การรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยกระแสไฟฟ้ า
(Electrical treatment of cardiac arrhythmia)
- อ.นพ. ฉัตรกนก ทุมวิภาต
Early CPR
การกดหน้ าอก หรือ Chest compression
คือกำรออกแรงกด เป็ นจังหวะบริ เวณครึ่ งล่ำงของกระดูกหน้ำอก (Lower half of the
sternum) ซึ่งกำรกดในลักษณะนี้จะทำให้เกิดกำรไหลเวียนของเลือดโดยกำรเพิ่มควำมดันในช่องอก และ
กำรกดลงบริ เวณหัวใจโดยตรง ท ำให้มี ออกซิ เจนไปยัง กล้ำมเนื้ อหัวใจและสมอง ของผูป้ ่ วยอย่ำ ง
เพียงพอ ดังนั้นผูป้ ่ วย Cardiac arrest ทุกรำยต้องได้รับกำรกดหน้ำอก และเพื่อให้ได้ประสิ ทธิ ภำพสู งสุ ด
กำรกดหน้ำอก จะต้องกดแรง และกดเร็ ว (push hard and push fast) แนวปฏิบตั ิในปี 2010 แนะนำให้ได้
อย่ำงน้อย 100 ครั้งต่อนำที และกดให้ลึกอย่ำงน้อย 5 เซนติเมตร หรื อ 2 นิ้ว และต้องผ่อนแรงหลังกำรกด
เพื่อให้ทรวงอกคลำยตัวได้อย่ำงเต็มที่ เพื่อรอรับกำรกดในครั้งต่อไป และทั้งนี้ ตอ้ งไม่ลืมว่ำต้องระวัง
ไม่ให้มีกำรหยุดกดหน้ำอกบ่อยๆ หรื อหยุดกดเป็ นเวลำนำนๆ โดยให้มีอตั รำเร็ วในกำรกดต่อกำรช่ วย
หำยใจเป็ น 30:2
หลังจำกที่ เริ่ มทำกำรกดหน้ำอกผูป้ ่ วยแล้ว (30 ครั้ ง) ผูช้ ่ วยเหลื อที่ ผ่ำนกำรฝึ กอบรม
สำมำรถช่ วยหำยใจแก่ ผูป้ ่ วยได้ท้ งั โดยเทคนิ คปำกประกบปำก (mouth-to-mouth) หรื อใช้หน้ำกำก
ช่วยหำยใจ ดังนี้ ช่วยหำยใจ 1 ครั้งไม่นอ้ ยกว่ำ 1 วินำที โดยให้ได้ปริ มำณอำกำศ หรื อ tidal volume ที่
พอเหมำะสังเกตจำกกำรยกตัวขึ้นลงของทรวงอกผูป้ ่ วย และทำกำรช่ วยหำยใจ 2 ครั้ง สลับกับกำร
กดหน้ำอก 30 ครั้ง
สำหรั บ ผูป้ ่ วยที่ มีประวัติหรื อสงสัยว่ำติ ดยำประเภท opioid มี ชีพ จร แต่ ไม่หำยใจหรื อ
หำยใจแบบ gasping ผูช้ ่ วยเหลื อที่ได้รับกำรฝึ กอบรมมำแล้ว สำมำรถฉี ดยำ naloxone เข้ำกล้ำมหรื อ
หยอดจมูกได้ (Class II a, LOE C-LD)
Delayed ventilation
แนวทำงปฏิบตั ิปี 2015 แนะนำกำรให้ passive oxygen insufflation และ airway adjuncts (Class
IIb, LOE C-LD) ในกรณี cardiac arrest นอกโรงพยำบำลที่มีคนเห็นเหตุกำรณ์ และมี shockable rhythm
ได้รับกำรช่วยเหลือโดยกำรกดหน้ำอกถึง 3 cycles ของกำรกดหน้ำอกต่อเนื่อง 200 ครั้ง
Compression-ventilation ratio
แม้วำ่ จะยังไม่มีหลักฐำนข้อมูลใดๆ จะชี้บ่งว่ำ อัตรำส่ วนระหว่ำงกำรกดหน้ำอกต่อกำรช่วย
หำยใจที่ ดีที่สุดควรเป็ นเท่ำ ใด แต่จำกกำรรวบรวมข้อมูลจำกผูป้ ่ วย และข้อสรุ ป ของผูเ้ ชี่ ยวชำญก็ย งั
แนะนำให้ใช้อตั รำส่ วนระหว่ำงกำรกดหน้ำอกต่อกำรช่วยหำยใจที่ 30:2 หำกว่ำผูป้ ่ วยมี advanced airway
แล้ว กำรกดหน้ำอกก็สำมำรถทำได้อย่ำงต่อเนื่ องโดยที่ ไม่ตอ้ งหยุดเพื่อช่ วยหำยใจ แต่จะทำกำรช่ วย
หำยใจทุกๆ 6 ถึง 8 วินำที
Hands-only CPR
ผูป้ ่ วย Cardiac arrest นอกโรงพยำบำล ประมำณ 20%-30% เท่ำนั้นที่ได้รับกำรช่วยเหลือ
และทำ CPR โดยผูป้ ระสบเหตุ กำรช่วยเหลือโดยกำรกดหน้ำอกผูป้ ่ วยเพียงอย่ำงเดียวเพิ่มโอกำสในกำร
รอดชี วิตของผูป้ ่ วยเมื่อเทียบกับกำรที่ไม่มีกำรช่วยเหลือใดๆ หรื อทำ CPR หลังจำกที่เกิดภำวะ Cardiac
arrest และกำรศึกษำที่ผำ่ นมำพบว่ำอัตรำกำรรอดชี วิตของผูป้ ่ วยที่ได้รับ Hands-only CPR เทียบกับกำร
ทำ CPR แบบครบถ้วนสมบูรณ์ตำมปกติ พบว่ำมีอตั รำกำรรอดชี วิตไม่ต่ำงกัน และจำกกลุ่มผูช้ ่วยเหลือ
Rescue Breathing
จำกแนวทำงกำรช่วยชีวิตของ American Heart Association (AHA) ในปี ค.ศ.2010 พบว่ำ
ในกำรช่วยหำยใจนั้นมีควำมใกล้เคียงกับในปี ค.ศ.2005 ดังได้กล่ำวมำแล้วข้ำงต้น
จำกกำรศึกษำพบว่ำค่ำของปริ มำตรอำกำศที่ใช้หำยใจแต่ละครั้ง (Tidal volume) ในผูป้ ่ วย
ที่ ม ำรั บ กำรระงับ ควำมรู ้ สึ ก นั้นอยู่ทื่ 8-10 ml/kg ท ำให้ค่ ำ ของออกซิ เจนในเลื อด และกำรก ำจัด
คำร์ บอนไดออกไซด์อยูใ่ นภำวะปกติ แต่ในกำรทำ CPR ผูป้ ่ วยที่มีภำวะ Cardiac arrest ควำมสำมำรถใน
กำรบีบตัวของหัวใจเพื่อส่ งเลือดไปยังอวัยวะต่ำงๆ ลดลงจำกภำวะปกติประมำณ 25-33% กำรลดลงของ
กำรหำยใจในหนึ่งนำที (Minute ventilation) จำกภำวะปกติก็เพียงพอต่อกำรเพิ่มออกซิ เจนในเลือด และ
กำจัดคำร์ บอนไดออกไซด์ และด้วยเหตุน้ ี ค่ำของปริ มำตรอำกำศที่ใช้หำยใจแต่ละครั้งในระหว่ำงกำรทำ
CPR จะอยูท่ ี่ประมำณ 500-600 ml (6-7 ml/kg) ซึ่ งจะสังเกตุได้จำกทรวงอกของผูป้ ่ วยมีกำรยกตัวขึ้นลง
โครงการจัดตั้งศูนย์ปฏิบตั ิการฝึ กทักษะระบบจาลอง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ขณะที่ทำกำรช่วยหำยใจ และในผูป้ ่ วยที่มีพยำธิ สภำพที่ ปอดอยู่เดิ ม หรื อมี ภำวะทำงเดิ นหำยใจอุดกั้น
(airway obstruction) อำจจะต้องช่วยหำยใจโดยใช้ควำมดันที่สูงกว่ำปกติ ผูใ้ ห้ควำมช่วยเหลือจึงต้อง
มั่น ใจว่ ำ สำมำรถช่ ว ยหำยใจได้ จ นเห็ น ทรวงอกของผู ้ป่ วยยกตัว ขึ้ น ลงขณะที่ ท ำกำรช่ ว ยหำยใจ
(ระมัดระวังในอุปกรณ์ช่วยหำยใจที่ประกอบด้วย Pressure relief valve)
กำรช่วยหำยใจที่มำกเกินไปก็อำจทำให้เกิดผลเสี ยมำกขึ้นนัน่ คือทำให้กระเพำะอำหำรมีกำร
โป่ งพองมำกขึ้นจำกอำกำศที่ช่วยหำยใจเข้ำไป และอำจเกิดอำกำรสู ดสำลักเศษอำหำรเข้ำสู่ ปอดผูป้ ่ วยได้
และที่สำคัญกว่ำนั้นกำรช่วยหำยใจที่มำกเกินอำจทำให้ควำมดันในช่ องอกเพิ่มขึ้น ลดปริ มำณเลือดที่จะ
ไหลกลับเข้ำมำยังหัวใจ ส่ งผลให้เลือดที่จะถูกบีบตัวออกจำกหัวใจไปยังอวัยวะต่ำงๆ ลดลงตำมไปด้วย
Mouth-to-mouth Rescue Breathing
เป็ นเทคนิคที่สำมำรถให้ออกซิ เจนในขณะช่วยหำยใจให้แก่ผปู ้ ่ วยได้ โดยมีวิธีทำดังต่อไปนี้
เปิ ดทำงเดินหำยใจผูป้ ่ วย ใช้มือข้ำงหนึ่งบีบจมูกผูป้ ่ วย ใช้ปำกประกบกับปำกผูป้ ่ วยให้สนิ ท และเป่ ำลม
หำยใจช่วยผูป้ ่ วยไม่นอ้ ยกว่ำ 1 วินำที แล้วถอนปำกออกจำกผูป้ ่ วยเพื่อให้ผปู ้ ่ วยมีกำรหำยใจออก จำกนั้น
จึงค่ อยทำซ้ ำอี กครั้ ง หนึ่ ง และที่ ส ำคัญคื อสัง เกตุ ท รวงอกของผูป้ ่ วยให้มีก ำรยกตัวขึ้ น ระวังกำรช่ วย
หำยใจที่มำกเกิ นไป ส่ วนกรณี ที่ไม่เห็ นกำรยกตัวของทรวงอกผูป้ ่ วยสำเหตุสำคัญคื อกำรเปิ ดทำงเดิ น
หำยใจที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นก่อนที่จะช่วยหำยใจครั้งที่ 2 ผูช้ ่วยเหลือจะต้องเปิ ดทำงเดินหำยใจผูป้ ่ วยเพิ่ม
มำกขึ้นเพื่อให้กำรช่วยหำยใจครั้งที่สองมีประสิ ทธิ ภำพเพิ่มมำกขึ้น
เนื่ องจำกผูท้ ี่จะให้กำรช่ วยเหลื อผูป้ ่ วยส่ วนใจมักเกิ ดควำมกระอักกระอ่วนใจที่ จะช่ วยหำยใจ
ด้วยเทคนิ ค Mouth-to-mouth เนื่ องจำกกลัวกำรแพร่ กระจำยของโรคที่สำมำรถติดต่อได้ พบว่ำกำรใช้
อุปกรณ์ช่วยป้ องกันในกำรช่วยหำยใจสำมำรถลดโอกำสในกำรสัมผัสผูป้ ่ วยโดยตรง และลดโอกำสกำร
ติ ดเชื้ อได้ แต่ ตอ้ งไม่ลื มว่ำ กำรจัดเตรี ย มหรื อติดตั้งอุ ป กรณ์ ดงั กล่ ำวต้องไม่รบกวน หรื อหยุดกำรกด
หน้ำอกผูป้ ่ วย
Cricoid Pressure
จำกแนวทำงกำรช่วยชี วิตของ American Heart Association (AHA) ในปี ค.ศ.2010 กำรทำ
cricoid pressure ไม่แนะนำให้ทำกับผูป้ ่ วยทุกรำยอีกต่อไป ยกเว้นในบำงกรณี เช่น กดเพื่อช่ วยให้กำร
มองเห็นเส้นเสี ยงชัดเจนขึ้นขณะที่ทำกำรสอดท่อช่วยหำยใจเป็ นต้น
AED Defibrillation
ผูท้ ี่ให้กำรช่ วยเหลื อผูป้ ่ วยทุกคนควรต้องมีควำมรู ้ และฝึ กฝนกำรใช้เครื่ อง AED จนเกิ ด
ควำมมัน่ ใจในกำรใช้จริ งกับผูป้ ่ วย เนื่ องจำกผูป้ ่ วย Cardiac arrest ส่ วนใหญ่ เกิ ดจำกคลื่ นไฟฟ้ ำหัวใจ
แบบ VF และใน VF พบว่ำมีกำรตอบสนองต่อกำรรักษำด้วยกำรช็อคไฟฟ้ ำ ทันทีภำยใน 3-5 นำที
หลังจำกเกิด Cardiac arrest ทำให้โอกำสรอดชี วิตของผูป้ ่ วยเพิ่มสู งขึ้น ดังนั้นกำรช็อคไฟฟ้ ำผูป้ ่ วยด้วย
ควำมรวดเร็ วจึงเป็ นกำรรักษำที่เกิ ดประโยชน์อย่ำงมำกสำหรับผูป้ ่ วยในกลุ่มที่มีคลื่นไฟฟ้ ำหัวใจแบบ
VF และแม้ว่ำจะยังมีกำรศึกษำเกี่ ยวกับกำรช็อคไฟฟ้ ำที่ทำได้ช้ำระหว่ำงที่ ทำกำร CPR ในผูป้ ่ วยที่มี
คลื่นไฟฟ้ ำหัวใจแบบ VF หรื อ ventricular tachycardia (VT) ที่ไม่มีชีพจร กำรใช้เครื่ อง AED เพื่อทำ
กำรช็อคไฟฟ้ ำให้เร็ วที่สุดหลังจำกที่เครื่ องมำถึงก็ยงั สำมำรถทำได้
Recovery Position
ท่ำพักฟื้ น หรื อ recovery position มักจะจัดในผูป้ ่ วยที่หมดสติแต่ยงั คงหำยใจและมีกำร
ไหลเวียนที่ปกติ หรื อใกล้เคียงปกติ ท่ำพักฟื้ นมีจุดประสงค์ที่จะจัดเพื่อให้ทำงเดินหำยใจของผูป้ ่ วยเปิ ด
โล่ง ลดควำมเสี่ ยงที่จะเกิดทำงเดินหำยใจอุดกั้น หรื อกำรสำลัก โดยทัว่ ไปจะจัดผูป้ ่ วยนอนตะแคงโดย
ให้มือด้ำนล่ำงงอขึ้นไปทำงด้ำนศีรษะของผูป้ ่ วย กำรจัดท่ำพักฟื้ นนั้นมีควำมหลำกหลำยมำกในแต่ละ
พื้นที่ซ่ ึ งแต่ละท่ำนั้นก็จะมีขอ้ ดี ข้อเด่นที่แตกต่ำงกันออกไป แต่ไม่มีกำรศึกษำใดที่จะบ่งชี้ วำ่ กำรจัดแบบ
ใดจะดีกว่ำกัน ทั้งนี้กำรจัดท่ำต้องพิจำรณำถึงควำมมัน่ คงของผูป้ ่ วย ใกล้เคียงกับท่ำนอนตะแคงของคน
ปกติ ศีรษะสำมำรถขยับได้สะดวก และไม่มีน้ ำหนักหรื อแรงกดทับบนทรวงอกของผูป้ ่ วย
Summary
โดยสรุ ปแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญของกำรทำ BLS ได้แก่ กำรวินิจฉัยผูป้ ่ วย Cardiac arrest
ให้ได้อย่ำงรวดเร็ วถูกต้องและแม่นยำ ตำมทีมช่วยชี วิตขั้นสู งโดยรี บด่วน รี บทำกำร CPR โดยเริ่ มจำก
กำรกดหน้ำอกให้เร็ วที่สุดเท่ำที่จะทำได้ และรี บให้กำรรักษำด้วยกำรช็อคไฟฟ้ ำด้วยควำมรวดเร็ วทันทีที่
เครื่ องมำถึงผูป้ ่ วย ดังตำรำงสรุ ป
ญ ็ก ท รก
อ อ
อ อ
พ คล 10
( คล พ )์
ค ล อ อ ≥2 (5 .) ล ≥ ⅓ AP ล ≥ ⅓ AP
≥2 (5 .) ≥ 1½ (4 .)
ค อ อ อ ค อ
คล พ ์ ล 2
อ 10
: ( ET) 30 : 2 30 : 2 (ค 1ค ) 30 : 2 (ค 1ค )
(ค 1 อ 2) 15 : 2 ( คล 2ค ) 15 : 2 ( คล 2ค )
อ อ
ET 1ค 6 10 ค / )
( คล )
พ ์ อ
1 อ ล
Defibrillation ล AED
ล CPR อ ล ล shock
อ
CPR ล shock ล ค
AP = ์ ล - ล อ อ อ
นับแต่อดี ตถึ งปั จจุบนั เป็ นที่ทราบกันดีวา่ ภาวะหัวใจหยุดเต้น (cardiac arrest) ในผูป้ ่ วย
เด็ ก เป็ นภาวะที่ พ บไม่บ่ อยนัก แต่มี อตั ราการเสี ย ชี วิต และเกิ ดความพิ ก ารทางสมองที่ ค่ อนข้า งสู ง
โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิ ดจากมีภาวะหายใจล้มเหลว (Respiratory failure ) และ ภาวะช็ อค (Shock)
นามาก่อน ดังนั้นการช่วยชีวติ ที่ถูกต้องและรวดเร็ วจะทาให้ผปู ้ ่ วยเด็กรอดชีวติ โดยไม่มีผลแทรกซ้อน
การช่ ว ยชี วิ ต ขั้น พื้ น ฐานเป็ นองค์ป ระกอบที่ ส าคัญ ของการช่ ว ยเหลื อ กู้ชี พ เด็ ก โดยมี ค วาม
เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบอื่นในลักษณะของห่วงโซ่ (Pediatric Chain of Survival) ดังรู ปที่ ในแนวทาง
ปฏิบตั ิฉบับใหม่ปี 2015 กล่าวถึงการทบทวนหลักฐานเชิ งประจักษ์เกี่ยวกับ Pediatric BLS โดยมีจุดเน้น
ดังนี้ -7
1. ลาดับขั้นการกูช้ ีพขั้นพื้นฐาน
ยังคงยืนยันคาแนะนาเดิม ซึ่ งได้เริ่ มไว้ในปี 2010 คือ Circulation, Airway, Breathing (C-A-B)
ซึ่ งการใช้ C-A-B แบบผูใ้ หญ่ ยังคงเป็ นที่ถกเถียงกัน เนื่ องจากสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทาให้เกิ ดภาวะหัวใจ
หยุดเต้นในเด็กมาจากการขาดอากาศ (asphyxia cardiac arrest) ซึ่ งน่ าจะเน้นการช่ วยหายใจด้วย มี
การศึกษาในหุ่ นพบว่า time to first chest compression (TFCC) ในกลุ่ม C-A-B สั้นกว่ากลุ่ม A-B-C
ขณะที่ time to first ventilation ในกลุ่ม C-A-B ยาวกว่ากลุ่ม A-B-C นับเป็ นหลักฐานที่เป็ นระดับ weak
evidence จึงยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงคาแนะนาและยังคงเหมือนกับในผูป้ ่ วยผูใ้ หญ่เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ
โดยเฉพาะคนทัว่ ไปที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์
1. ผูป้ ่ วยที่ตอ้ งการ การทา CPR เช่น หมดสติ ไม่หายใจ หรื อ หายใจสะดุด / เฮือก (gasping)
รู ปที่ 2 Brachial pulse check in infant รู ปที่ 3 Carotid pulse check in child
Recommendations
Component Children Infants
(age 1 year to puberty) (age less than 1 year excluding
newborns)
Scene safety Make sure the environment is safe for rescuers and victim
Recognition Check for responsiveness
No breathing or only gasping
No definite pulse palpated within 10 seconds
CPR sequence C-A-B
Compression-ventilation ratio single rescuer 30:2
two or more rescuers 15:2
Compression rate 100 -120 / min
Compression depth At least 1/3 AP diameter At least 1/3 AP diameter
About 2 inches (5 cm) About 1 ½ inches (4 cm)
Chest wall recoil Allow complete recoil between compression
(rotate compression every 2 minutes)
Compression interruptions Minimize interruptions in chest compressions
Attempt to limit interruptions to < 10 seconds
Airway Head tilt-chin lift (suspected trauma: Jaw thrust)
Ventilations with advanced 1 breath every 6 seconds (10 breaths/min)
airway Asynchronus with chest compressions
About 1 second per breath
Visible chest rise
Defibrillation Attach and use AED as soon as possible. Minimize interruptions in chest
compressions before and after shock; resume CPR beginning with compressions
immediately after each shock
Foreign-Body Airway Subdiaphragmatic abdominal thrusts Back blows and chest thrusts
Obstruction (Heimlich maneuver)
ดัดแปลงมาจาก Summary of High-Quality CPR Components for BLS Providers: Highlights of the 2015 AHA
guidelines update for CPR and ECC8
ประเมินความรุนแรง
ป1อยุ อ ยุ > 1 ป
เปด งเด ห ยใจ
(Infant) (Child)
ถ้ มองเห็ ส่ งแปลกปลอม
ให้ใช้ ้ ล้ งออก
*ห้ มใช้ ้ ก ดล้ งถ้
มองไเห็
ต หลัง (Back blows) กด อ้ ง
& (Subdiaphragmatic
กดห ้ อก (Chest thrusts) Abdominal thrusts)
เป ลมเข้ ปอด
(ถ้ ร งอกไมขยั
ให้จดั ใหม
และลองอกครั้ง)
เร่ ม CPR
วิธีการ
1. จัดท่าผูป้ ่ วยและผูช้ ่วยฟื้ นคืนชี พ จัดผูป้ ่ วยให้อยูใ่ นท่านอนหงาย แขนสองข้างแนบลาตัว ศีรษะต่า
กว่าระดับทรวงอก กรณี ผูป้ ่ วยหมดสติในท่าคว่า การพลิกให้เป็ นท่าหงาย ต้องพลิกส่ วนลาตัวและศีรษะพร้อม
กัน ในรายที่สงสัยกระดูกต้นคอหักควรหลีกเลี่ ยงการบิดของคอซึ่ งอาจทาให้เกิ ดอันตรายต่อไขสันหลังได้ ให้
ผูช้ ่ วยฟื้ นคืนชี พคุ กเข่าหันหน้าเข้าบริ เวณข้างไหล่ของผูป้ ่ วย ซึ่ งในตาแหน่ งนี้ ผชู้ ่ วยฟื้ นคืนชี พจะสามารถช่ วย
หายใจและนวดหัวใจโดยไม่ตอ้ งขยับเข่าไปมา
2. เปิ ดทางหายใจ ทาได้หลายวิธีได้แก่ head-tilt-chin-lift maneuver, jaw-thrust maneuver และ
modified-jaw-thrust maneuver
2.1 Head-tilt-chin-lift maneuver เป็ นวิธีที่ง่ายที่สุดจึงควรใช้เป็ นอันดับแรก โดยใช้มือข้างหนึ่ งกดลง
บนหน้า ผากผูป้ ่ วย พร้ อมกับ ใช้นิ้วชี้ และนิ้ วกลางของมืออีก ข้า งยกกระดู กปลายคางขึ้น ท าให้
ขากรรไกรล่างถูกดันมาด้านหน้าและศีรษะหงายไปด้านหลัง (รู ปที่ 2) ระวังอย่าให้นิ้วดันส่ วนที่เป็ น
Airway adjuncts1,2,
คืออุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ช่วยควบคุมทางหายใจได้แก่ face masks, oral และ nasal airways, ventilating
bag
Ventilation bag สาหรับผูใ้ หญ่ใช้ขนาด 1000 – 2000 มล. สาหรับเด็กและทารกใช้ขนาด 500 มล.
ทารกแรกเกิดใช้ขนาด 300 มล. ขณะช่วยชี วิตควรเลือก ventilation bag ที่มี reservoir bag และ เปิ ด O2 flow
15 – 20 ลิตร/นาที เพื่อให้ผปู้ ่ วยได้รับปริ มาณออกซิเจนให้มากที่สุดเป็ นการชดเชยกับปริ มาณเลือดที่ไปปอดและ
อวัยวะอื่นๆที่ลดลงระหว่างการทา CPR1,2
การใช้ bag - mask ventilation ไม่แนะนาให้ใช้ในกรณี ที่มีผชู ้ ่วยฟื้ นคืนชี พแค่คนเดียว เนื่ องจาก
ด้วยท่าทางและตาแหน่งที่นงั่ หรื อยืนจะทาได้ไม่มีประสิ ทธิ ภาพเท่าการทา mouth-to-mouth หรื อ mouth-to-mask
ventilation จึงแนะนาให้ใช้ในกรณี ที่มีผชู ้ ่วยฟื้ นคืนชีพ 2 คนขึ้นไปและการช่วยหายใจในผูใ้ หญ่ควรบีบประมาณ
600 มล. หรื อพอที่เห็นทรวงอกขยายภายใน 1 วินาที แล้วหยุดให้ลมออกหมดจึง บีบอีกหนึ่ งครั้ง หลังจากนั้นให้
นวดหัวใจ 30 ครั้ง ต่อการช่วยหายใจ 2 ครั้ง1 เป็ นอัตราส่ วน 30:2 Guideline 2015 ให้หลีกเลี่ยงการช่วยหายใจ
มากเกินไป (hyperventilation) ซึ่ งจะมีผลเสี ยมากกว่าผลดีดงั นี้ คือ ทาให้เลือดไหลกลับสู่ หวั ใจได้ลดลง การทา
bag – mask ventilation ยังอาจทาให้ลมเข้ากระเพาะมากจนดันลมและน้ าท้นขึ้นมาจนเกิดการสาลักได้
Laryngeal mask airway (LMA) เป็ นอุปกรณ์ที่สามารถใส่ ได้โดยไม่ตอ้ งอาศัย laryngoscope การ
ใส่ จึงไม่ตอ้ งหยุดการนวดหัวใจ เหมาะสาหรับผูช้ ่ วยฟื้ นคืนชี พที่ไม่ได้รับอนุ ญาตให้ใส่ endotracheal tube
หรื อไม่สามารถใส่ endotracheal tube ได้สาเร็ จ3,4 LMA ออกแบบมาเพื่อให้ส่วนของ mask ครอบบริ เวณทางเปิ ด
ของ glottis มีท่อติดกับ mask ออกมานอกปากเป็ นทางเข้าออกของก๊าซ (รู ปที่ 5) LMA มี 6 ขนาดได้แก่ 1, 1.5, 2,
2.5, 3 และ 4 ระหว่างการทา CPR นั้น LMA เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้แทน face mask หรื อ endotracheal tube ได้ดี แต่
ในการดูแลภายหลังการทา CPR ควรเปลี่ยนเป็ น endotracheal tube เนื่องจาก LMA มีโอกาสเลื่อนหลุดง่ายทาให้
ไม่สามารถควบคุมทางเดินหายใจได้อย่างสมบูรณ์ และไม่สามารถป้ องกันการสาลักเข้าปอดได้
Laryngeal tube -1 เป็ นอุปกรณ์ที่มีลกั ษณะคล้ายกับ LMA และ esophageal - tracheal combitube
สามารถใส่ โดยไม่ต้องอาศัย laryngoscope เมื่ อใส่ เรี ย บร้ อยแล้วปลายท่ อซึ่ งมี ล ัก ษณะตันจะลงไปในหลอด
อาหาร มี 2 บอลลูนปิ ดบนและล่ างจึ งสามารถช่ วยหายใจผ่านทางรู เปิ ดข้างที่ อยู่หน้าต่ อ glottis (รู ปที่ 6)
Laryngeal tube มี 6 ขนาดตั้งแต่เบอร์ 0 ถึงเบอร์ 5 โดยเลือกขนาดตามน้ าหนักตัวและความสู งของผูป้ ่ วย ข้อบ่งชี้
และข้อควรระวังในการใช้เหมือนการใช้ LMA และ esophageal - tracheal combitube
Endotracheal intubation
เป็ นวิธีที่ดีที่สุดของ advance airway management ข้อดีของ endotracheal intubation คือ
1. สามารถแยกหลอดลมจากทางเดินอาหาร ป้ องกันการสาลักเข้าปอด
2. เปิ ดทางหายใจได้ตลอดเวลา
3. ควบคุม tidal volume และอัตราการหายใจได้ดี
4. ควบคุมความเข้มข้นของออกซิเจนได้ตามต้องการ
5. ช่วยในการทา positive pressure ventilation
วิธีการใส่ ท่อหายใจ
จัดให้อยูใ่ นท่า sniffing position คือมีการก้มของข้อต่อระหว่าง cervical spine กับ thoracic spine
และเงยที่ขอ้ atlantooccipital ทาได้โดยให้ผปู้ ่ วยนอนหงายหนุนผ้าหรื อหมอนสู งประมาณ 7 - 10 เซนติเมตร ใต้
ท้ายทอย ในท่านี้จะทาให้แนวของ pharynx และ larynx ตรงกัน และเมื่อร่ วมกับการทา laryngoscopy จะทาให้
แนวของ oral cavity, pharynx และ larynx ตรงกันทาให้มองเห็นทางเข้า glottis ได้ (รู ปที่ 7) สาหรับผูป้ ่ วยเด็กมี
ศีรษะโตเมื่อเทียบกับขนาดตัวอยูแ่ ลัวจึงไม่จาเป็ นต้องนอนหนุนหมอน ส่ วนเด็กเล็กหรื อทารกอาจใช้มว้ นผ้า
หนุนใต้ไหล่แทน
รู ปที่ 3 แสดงรู ปคลื่นไฟฟ้ าหัวใจขณะทางาน ที่เรี ยกว่า P wave , QRS complex และ T wave ตามลาดับ
รู ปที่ 4.2 แสดงการเรี ยกชื่ อรายละเอียดส่ วนประกอบต่าง ๆ ของ QRS complex ซึ่ งไม่
จาเป็ นต้องมีทุกส่ วนประกอบ โดยคลื่ นไฟฟ้ าแรกที่เป็ น negative หรื อหัวกลับ เรี ยกว่า Q wave ,
คลื่นไฟฟ้ าแรกที่เป็ น positive เรี ยกว่า R wave, คลื่นไฟฟ้ าที่ตามหลัง R wave เรี ยกว่า S wave ถ้าไม่มี
R wave มีแต่คลื่นไฟฟ้ าที่เป็ น negative หรื อหัวกลับ จะเรี ยกรวมกันว่า QS wave
ถ้ารู ปร่ างของ QRS complex ไม่เหมือนกัน ตัวแคบบ้าง กว้างบ้าง ใหญ่บา้ ง เล็กบ้าง
จะเรี ยกว่า polymorphic VT
ถ้า polymorphic VT เกิ ดในผูป้ ่ วยที่มีระยะ QT interval ยาว (long QT)จะเรี ยกว่า
Torsades de pointes ซึ่งในบางครั้งในช่วงที่เป็ น polymorphic VT อาจเห็นชัดว่า QRS complex มีการบิด
ตัวเป็ นรู ปเกลียว (helix) ดังรู ปข้างล่าง
8. Atrial flutter
เป็ นจังหวะการเต้นหัวใจ ที่มีจุดกาเนิ ดคลื่นไฟฟ้ าจากหัวใจห้องบน แต่มีการส่ งต่อ
คลื่ นไฟฟ้ าที่ว่ิงวนเป็ นวงอย่างมีระบบ (macro reentry) เนื่ องจากการวิ่งวนของคลื่ นไฟฟ้ าอย่างเป็ น
ระบบ และมีอตั ราเร็ วที่ประมาณ 300 ครั้งต่อนาที ทาให้เห็นคลื่นไฟฟ้ าหัวใจมีลกั ษณะคล้ายฟั นเลื่อย
(saw-tooth appearance) เมื่อมีการส่ งต่อคลื่นไฟฟ้ าจากหัวใจห้องบนมายังห้องล่างผ่านทาง AV node
จะเห็นคลื่นไฟฟ้ า QRS complex ตามมา ระยะระหว่าง QRS complex อาจคงที่หรื อไม่คงที่ก็ได้ ขึ้นกับ
การส่ งต่อผ่านทาง AV node ว่าจะยับยั้งหรื อปิ ดกั้น(AV block) ในอัตราเร็ วเท่าใด
9. Asystole
เป็ นภาวะที่ หัวใจไม่ มีการผลิ ตคลื่ นไฟฟ้ าหัวใจ จึ งไม่มีคลื่ นไฟฟ้ าใด ๆ ทั้งจาก
หัวใจห้องบนและห้องล่ า ง หัวใจจะไม่มี ก ารบี บตัว หรื อ asystole ดั้งนั้นถ้า เซลล์ที่ส ามารถผลิ ต
คลื่นไฟฟ้ าได้เอง (pacemaker cell)เช่น SA node ไม่กลับมาทางาน ผูป้ ่ วยจะเสี ยชีวติ ในที่สุด
fine VF coarse VF
การอ่ า นตามขั้น ตอนที่ 3 และ 4 ท าให้ แ บ่ ง กลุ่ ม หัว ใจเต้น เร็ ว ผิ ด ปกติ แ บบ
tachyarrhythmia ได้เป็ น
4.2 ถ้า QRS complex ตัวแคบ อัตราเร็ วมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที ระยะระหว่าง
QRS complex ไม่สม่าเสมอ เรี ยกว่า irregular narrow QRS complex tachycardia
เช่น AF, multifocal atrial tachycardia หรื อ MAT, atrial flutter with varying degree AV block
AF
4.4 ถ้า QRS complex ตัวกว้าง อัตราเร็ วมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที ระยะระหว่าง QRS
complex ไม่สม่าเสมอ เรี ยกว่า irregular wide QRS complex tachycardia เช่น polymorphic VT , AF
with Wolff-Parkinson-White syndrome
ถ้า SA node ทางานผิดปกติ (sinus node dysfunction หรื อ sick sinus syndrome) มักทา
ให้ไม่มี P wave เกิดขึ้น เช่น sinus pause หรื อ sinus arrest
เอกสารอ้างอิง
1. Khan MG. Rapid ECG interpretation. Third edtion. 2008.
2. 2010 American Heart Association Gudelines for Cardiopulmonary Resuscitation and Emergency
Cardiovascular Care. Circulation 2010;122
ขั้นตอนการใช้เครื่ อง AED
ใช้ในกรณี ผปู้ ่ วยหมดสติ ไม่หายใจ และคลาชีพจรไม่ได้ สงสัยว่าเกิด cardiac arrest ขึ้น โดยมี
ขั้นตอนหลัก (universal step) ในการใช้งานอยู่ 4 ขั้นตอน คือ
1. เปิ ดเครื่ อง
2. ติด pad ที่หน้าอกผูป้ ่ วยตามตาแหน่งอย่างถูกต้อง เสี ยบสายเข้ากับตัวเครื่ อง
3. กดปุ่ มเพื่อ analyze rhythm (บางเครื่ องจะทาการ analyze ทันทีที่ทาขั้นตอนที่ 2 เสร็ จ)
ขั้นตอนที่ 3 นี้ ห้ ำมสั มผัสผู้ป่วย ในขณะวิเคราะห์ เพราะจะรบกวนการอ่าน และเกิดความ
ผิดพลาดในการอ่านได้
4. ฟั ง ค าแนะนาจากเครื่ อง ถ้า เป็ น VF เครื่ องจะท าการ charge พลังงานแบบ biphasic
(impedance adjusted) แล้วแนะนาให้ทาการ shock (shock advised ) ตามด้วยการทา chest
compression และช่วยหายใจต่อในอัตรา 30:2 จานวน 5 cycles (ประมาณ 2 นาที) จึงกลับมา
คลาชี พจรและวิเคราะห์ rhythm ใหม่ แต่ถา้ ไม่ใช่ VF เครื่ องจะแนะนาว่า “ no shock
advised ” ให้ทา CPR แบบข้างต้น และวิเคราะห์ rhythm ทุก ๆ 2 นาที
ข้ อควรจา : อย่าแกะ pad ออกจากผูป้ ่ วยจนกว่าทีม ACLS จะมา เพราะผูป้ ่ วยมีโอกาสเกิด VF ซ้ าได้ทุก
ขณะ
ปิ ด adhesive pad ที่ใช้ในการ shock ห่ างจากเครื่ อง pacemaker หรื อ ICD อย่างน้อย 1 นิ้ว
(2.5 cm)
การช่วยเหลือผูป้ ่ วยในกรณี ผปู ้ ่ วยจมน้ า ควรเช็ดหน้าอกผูป้ ่ วยให้แห้งก่อนติด adhesive pad
แกะ transdermal medication เช่น nitroglycerine ออก ถ้าขวางตาแหน่งที่จะทา defibrillation
4. If “ shock advised ”
Clear 1,2 and 3
then press shock botton.
รู ปแสดงก่อนและหลังกดปุ่ ม sync
(บนและล่างตามลาดับ)
กล่องสี่ เหลี่ยมขนาดเล็กตรง QRS
complex จะแสดงความพร้อม
เตรี ยมปล่อยกระแสไฟฟ้ าให้ตรง
กับ QRS complex เมื่อมีการกดปุ่ ม
shock จึงเรี ยกการใช้กระแสไฟฟ้ า
เพื่อรักษาหัวใจที่เต้นเร็ วผิดจังหวะ
ให้กลับมาเป็ นปกติน้ ีวา่
synchronized cardioversion
Steroid
1) การใช้ steroid อย่างเดียวในภาวะ cardiac arrest ในโรงพยาบาล ไม่พบหลักฐานสนับสนุนว่ามี
หรื อไม่มีประโยชน์ ส่ วนภาวะ cardiac arrest นอกโรงพยาบาล ผลการใช้ก็ยงั ไม่แน่นอน (Class IIb,
LOE C-LD)
2) การใช้ยา vasopressin, epinephrine ร่ วมกับ methylprednisolone ระหว่าง arrest และ post-arrest
hydrocortisone อาจได้ประโยชน์ ควรทาการวิจยั เพิ่มเติม ก่อนใช้เป็ นการรักษามาตรฐาน(Class IIb,
LOE C-LD)
การพยากรณ์ผลระหว่าง CPR
ในผูป้ ่ วยที่ใส่ ท่อช่วยหายใจ การที่ไม่สามารถช่วยให้ end tidal CO2 ได้เกิน 10 mmHg หลังจาก CPR
20 นาที ใช้เป็ นเครื่ องมือหนึ่ งร่ วมกับวิธีอื่นๆ ในการตัดสิ นใจหยุดช่วยชี วิต แต่ไม่ควรใช้เครื่ องมือนี้ อย่าง
เดียวในการตัดสิ นการหยุดการช่วยชีวติ (Class IIb, LOE C-LD)
2) Seizure management
ในผูป้ ่ วย coma หลัง ROSC ที่ชกั ควรติด EEG เพื่อวินิจฉัยและเฝ้ าติดตาม (Class I, LOE C-LD) และ
ควรให้การรักษาเช่นเดียวกับภาวะ status epilepticus (Class IIb, LOE C-LD)
AED (
AED)
1 5-6 (10-12
/ )
Activate emergency response team (
)
2
Check pulse 2
CPR
Emergency response team Check pulse 10 Opioid overdose
naloxone
Emergency response
team AED
CPR
30 2
AED
AED
Check rhythm
Shockable rhythm
Start CPR
Oxygen
Monitor defibrillator
9
2
CPR 2
IV/IO access
Shockable rhythm
5
Shock
10
6
CPR 2
CPR 2
IV/IO access
Epinephrine 3-5
Epinephrine 3-5
Advanced airway,
Advanced airway,
capnography
capnography
Shockable rhythm
Shockable rhythm
7
11
Shock
CPR 2
8 Reversible causes
CPR 2
Amiodarone Shockable rhythm
Reversible causes
12
5 7
Sign ROSC 10 11
ROSC Post cardiac arrest care
CPR quality
กดหน้าอกลึก 2-2.4 นิ้ว (5-6 ซม.) อัตราเร็ ว 100-120 ครั้ง/นาที ให้หน้าอกคืนตัว (fully chest recoil) ทุกครั้งก่อนกด
หน้าอกครั้งถัดไป
รบกวนการกดหน้าอกน้อยที่สุด
หลีกเลี่ยงการช่วยหายใจมากเกินไป (avoid excessive ventilation)
กรณี ไม่มี advanced airway ให้กดหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับการช่วยหายใจ 2 ครั้ง (30:2)
กรณี ติดตามด้วย capnography หากค่า PetCO2 น้อยกว่า 10 มม.ปรอท ให้พยายามปรับปรุ งประสิ ทธิ ภาพในการทา
CPR ให้ได้ high quality CPR
กรณี ที่ใส่ intra-arterial pressure (A-line) อยูแ่ ล้ว หากค่า diastolic blood pressure น้อยกว่า 20 มม.ปรอท ให้พยายาม
ปรับปรุ งประสิ ทธิภาพในการทา CPR ให้ได้ high quality CPR
ขนาดยาทีใ่ ช้
Epinephrine IV/IO dose : 1 mg ทุก 3-5 นาที
Amiodarone IV/IO dose : ครั้งที่ 1 ให้ 300 mg bolus ครั้งที่ 2 ให้ 150 mg bolus
Advanced airway
ให้ใช้ endotracheal intubation หรื อ suproglottic advanced airway
ยืนยันตาแหน่งท่อช่วยหายใจโดยการใช้ waveform ของ capnography
เมื่อท่อช่วยหายใจอยูใ่ นตาแหน่งที่เหมาะสมแล้ว ให้ช่วยหายใจ 10 ครั้งต่อนาที (ช่วยหายใจ 1 ครั้งทุก 6 วินาที) โดย
ไม่ตอ้ งสัมพันธ์กบั การกดหน้าอก
Reversible causes
5H : hypovolemia, hypoxia, hydrogen ion (acidosis), hypo-/hyperkalemia, hypothermia
5T : tension pneumothorax, tamponade (cardiac), toxins, thrombosis (pulmonary), thrombosis (coronary)
รู ปที่ 2.5 แสดง capnograph ซึ่ งเป็ นการวิเคราะห์อากาศในช่วงหายใจออก ค่า end tidal CO2 เป็ นการวัดค่า
CO2 ในช่วงการหายใจออกสุ ด
12 leads EKG
Coronary Perfusion
: STEMI or high suspicion of AMI
Targeted
Temperature Management
Ventilator/ oxygenation
หลีกเลี่ยงการทา hyperventilation
ตั้งเครื่ องช่วยหายใจ RR 10 ครั้ง/นาที ให้ได้เป้ าหมายที่ PetCO2 35-40 มม.ปรอท
ลด FiO2 ให้ได้ oxygen saturation ที่ 94%
IV bolus
ใช้ normal saline หรื อ Ringer’s lactate solution 1-2 ลิตร
Medication
Epinephrine 0.1-0.5 µg/kg/min (ในผูใ้ หญ่หนัก 70 กิโลกรัม ใช้ขนาดยา 7-35 µg/min)
Dopamine 5-10 µg/kg/min
Norepinephrine 0.1-0.5 µg/kg/min (ในผูใ้ หญ่หนัก 70 กิโลกรัม ใช้ขนาดยา 7-35 µg/min)
Reversible causes
5H : hypovolemia, hypoxia, hydrogen ion (acidosis), hypo-/hyperkalemia, hypothermia
5T : tension pneumothorax, tamponade (cardiac), toxins, thrombosis (pulmonary), thrombosis (coronary)
Bradyarrythmia HR < 50 /
Airway (Breathing)
Hypoxemia
Monitor EKG, BP, pulse oximetry
IV
EKG 12 leads
Persistent bradyarrythmia 1
5
Hypotension
Signs of shock
Chest pain
Alteration of conciousness
Heart failure
1. Atropine 0.5 .
3-5 3 .
2. Dopamine 2-20 ug/ in Bpgoi
Atropine
kg/min
Atropine
3. Epinephrine 2-10 ug/
3
min
Transcutaneous pacing
Dopamine
Epinephrine adrenaline
Transvenous pacing
รู ปที่ 4.2 แสดง pacemeaker rhythm ให้สังเกตว่ามี spike เป็ นเส้นตรง นาหน้า QRS complex กว้างกว่าปกติ
Tachyarrythmia HR 150 /
Airway (Breathing)
Hypoxemia
Monitor EKG, BP, pulse oximetry
Persistent tachyarrythmia 1 5
Synchronized cardioversion
Vqninow
Hypotension Sedation ~
ขนาดยา adenosine
Dose แรก 6 มก. ทางหลอดเลือดดาอย่างรวดเร็ ว (rapid IV push) ตามด้วย NSS flush
Dose ที่สอง 12 มก. (ในกรณี ที่จาเป็ น)
ข้ อสั งเกตในเรื่องพลังงานไฟฟ้าทีใ่ ช้
1. พลังงานไฟฟ้ าที่ใช้ ในกรณี ของ wide complex จะมากกว่า narrow complex และพลังงานที่ใช้ใน
กรณี ของ irregular rhythm จะมากกว่า regular rhythm
2. ประเภทของ rhythm ใน tachycardia algorithm
Narrow regular เช่น SVT, atrial flutter
Narrow irregular เช่น atrial fibrillation
Wide irregular เช่ น VT, SVT with abberancy, SVT with by pass tract, SVT with
preexcisting bundle branch block
Wide irregular เช่น Torsade de point, AF with by pass tract (เช่น AF with Wolff-Parkinson-
White syndrome)
รายชื่อยา รายละเอียด
รายชื่อยา รายละเอียด
Bag-mask
10 1 5-6
2
Shockable
Shock 1 CPR Not shockable
2 CPR 2
Check pulse 2 Not
shockable
Fluid resuscitation PEA
Chest compression
1. Cardiac board 1. Head tilt Chin lift
2.
3. ( ) 2. 100% 0xygen Flow 15 /
4. 100-120 / 3. Bag-mask ventilation
5. 5-6 . (2-2.4 ) - Seal mask Mask 2-handed
6. Perishock pause 10 technique
7. - 1 1
8. - 2 30
9. Manual left uterine displacement (LUD) - Tidal volume
Mask
Seal mask
Oral airway
4.
ROSC 4
Emergency C/S
Cardiac arrest
A : Anesthetic complication/ accidents 1. 100% O2 Flow 15 /
B : Bleeding BLS airway strategies
C : Cardiovascular 2. 2 attempt Technique
D : Drugs
E : Embolic - 1
F : Fever - 2
G : General nonostetric causes of cardiac arrest (5H, 5T) - Supraglottic airway 1
H : Hypertension - Supraglottic airway 2
- mask ventilation
- Mask ventilation
cricothyrotomy
3. Airway trauma
4. 10 /
5. Capnography
6.
Advanced airway
7. 6.0 – 7.0 mm (inner diameter)
Ischemia infarction
(< 10 )
Vital signs, oxygen saturation
Oxygen saturation 90% Oxygen
IV
4 LPM Flow
Aspirin 160-325 . ( )
Fibrinolytic checklists
Nitroglycerine sublingual Spray
( 7.3)
Morphine Chest discomfort
Cardiac markers, electrolytes, coagulogram
nitroglycerine
Portable chest X-ray (< 30 )
EKG interpretation
Reperfusion goals
Door to balloon
inflation (PCI) goal : 90
Door to needdle
(fibrinolysis) : 30
2 Fibrinolysis
“ ” fibrinolysis
3
“ ” PCI
ขั้นตอนที่ 1 ประเมินเวลาและความเสี่ ยง
เวลาที่เกิดอาการ
ความเสี่ ยงต่อการเกิด ST elevation MI
ความเสี่ ยงในการรักษาด้วย fibrinolysis
เวลาในการส่งต่อผูป้ ่ วยไปยังสถานที่ที่สามารถทา PCI ได้
CPR
1.
Air hunger CPR
2. CPR
2
AED naloxone
Naloxone
Naloxone
2 . 0.4 .
4
1.
2. CPR
naloxone Naloxone
CPR AED
CPR
ถึงแม้วา่ ruptured plaque จะเป็ นกลไกการเกิด acute coronary syndrome ที่สาคัญที่สุด แต่โรค
กลุ่ ม นี้ โดยเฉพาะ UA และ NSTEMI มี ส าเหตุ ไ ด้ ห ลายอย่ า งเช่ น coronary vasospasm,
การดูแลรักษาผู้ป่วยทีห่ ้ องฉุกเฉินและการประเมินความเสี่ ยง
ผูป้ ่ วยควรจะได้รับการสอบถามประวัติ ตรวจร่ างกาย และตรวจคลื่นไฟฟ้ าหัวใจ (ถ้ายังไม่ได้
ตรวจ) ภายใน 10 นาทีหลังจากมาถึงห้องฉุกเฉิน เพื่อประเมินโอกาสที่จะเป็ น ACS โดยเฉพาะต้องแยก
โรค STEMI ให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ ว ควรซักประวัติที่มีผลต่อการรักษาเช่นเลือดออกผิดปกติซ่ ึ งอาจทา
ให้ไม่สามารถใช้ fibrinolytic therapy ด้วย เป้ าหมายในการรักษา STEMI คือการได้รับ fibrinolytic
therapy (door-to-needle time) ภายใน 30 นาทีหรื อการทา primary PCI (door –to-balloon time) ภายใน
90 นาที พบความล่าช้าในการรักษามาจากแผนกฉุ กเฉิ นถึง 25-35%14 เราแบ่งผูป้ ่ วยที่สงสัย ACS
ออกเป็ น 3 กลุ่มตามลักษณะคลื่นไฟฟ้ าหัวใจ คือ
1. ST segment elevation หรื อ ผูป้ ่ วยที่มี presumed new LBBB
คาว่า ST segment elevation หมายถึง มี ST elevation อย่างน้อย 1 มม. ใน precordial
leads ยกเว้นใน lead V2 และ V3 ซึ่งต้องมี ST elevation อย่างน้อย 2.0 มม. ในผูป้ ่ วยชายอายุต้ งั แต่ 40
ปี ขึ้นไป อย่างน้อย 2.5 มม. ในผูป้ ่ วยชายอายุนอ้ ยกว่า 40 ปี และอย่างน้อย 1.5 mm ในผูป้ ่ วยหญิง ST
elevation นี้จะต้องเห็นที่ lead ติดกันอย่างน้อย 2 leads หรื อใน limb leads ซึ่ง represent ผนังหัวใจด้าน
เดียวกัน เช่น inferior wall (II,III,aVF) อย่างน้อย 2 leads ส่ วน left bundle branch block นั้น ถ้าผูป้ ่ วย
ไม่เคยมี ECG เดิมที่เป็ น LBBB มาก่อนให้ถือว่าเพิ่งเกิดเสมอ
2. Ischemic ST depression > 0.5 mm หรื อ dynamic T wave inversion ขณะที่มีอาการเจ็บ
หน้าอก หรื อกลุ่มที่มี transient ST elevation > 0.5 มม. คาว่า ST depression หมายถึง ST depression
อย่างน้อย 0.5 mm ใน lead V2และ V3 หรื ออย่างน้อย 1 mm ใน ECG lead อื่น
Cardiac biomarkers
สาหรับ cardiac biomarker นั้นพบว่า cardiac troponin มี ความไวกว่า creatine kinase
isoenzyme และยังใช้ในการพยากรณ์โรคได้ดว้ ย 17 ข้อด้อยของ cardiac biomarker คือในระยะชัว่ โมง
แรก ๆ ค่า cardiac biomarker อาจปกติได้ การตัดสิ นการรักษา STEMI จึงไม่ได้ใช้ค่า cardiac markers
ช่วยในการตัดสิ นใจ
การตรวจ biomarkers นอกจากจะใช้ในการวินิจฉัยภาวะ ACS แล้วยังสามารถใช้ในการคัดแยก
ผูป้ ่ วยที่ไม่ได้เป็ น ACS และมีความเสี่ ยงต่อ major adverse cardiac event (MACE) ต่าด้วย อย่างไรก็ตาม
พบว่ากรณี ใช้ค่า biomarkers ที่ปกติเพียงอย่างเดียวมีความผิดพลาดได้ นัน่ คือมีผูป้ ่ วยถึ ง 2.3% ที่มีค่า
biomarkers ปกติและจัดว่ามีความเสี่ ยงต่าเกิ ด MACE ที่ระยะเวลา 30 วัน , คาแนะนาคือกรณี ใช้ค่า
biomarkers เพื่อคัดกรองผูป้ ่ วยความเสี่ ยงต่ า ต้องใช้ร่วมกับวิธีประเมินความเสี่ ยงอื่นเช่ น TIMI risk
score ที่ต่าจึงจะมีความแม่นยา
ปั จจัยที่ตอ้ งพิจารณามีดงั นี้ ระยะเวลานับแต่เริ่ มมีอาการ ความหนักของ STEMI (เช่น anterior wall MI
หรื อ inferior wall MI) ความเสี่ ยงต่อการใช้ fibrinolytic therapy และระยะเวลาที่ใช้ในการส่ งผูป้ ่ วยไป
ทา primary PCI กรณี ผปู้ ่ วยมาภายในระยะเวลา 3 ชัว่ โมงนับจากมีอาการ ให้การรักษาด้วยวิธีใดก็ได้
ผูป้ ่ วยต่อไปนี้น่าจะใช้ fibrinolytic therapy ผูป้ ่ วยดังต่อไปนี้น่าจะรักษาด้วยวิธี primary PCI
1. มาโรงพยาบาลเร็ วภายใน 3 ชัว่ โมง 1. มาช้ากว่า 3 ชัว่ โมง
2. การทา PCI ทาให้รักษาล่าช้า 2. มีทีมทา PCI พร้อม
a. Medical contact to balloon or 3. Medical contact to balloon or door to
door to balloon > 90 นาที balloon < 90 นาที
b. Door to balloon – door to needle 4. Door to balloon – door to needle < 1
> 1 ชัว่ โมง ชัว่ โมง
3. ไม่มีขอ้ ห้ามต่อการรักษาด้วยวิธีน้ ี 5. มีขอ้ ห้ามต่อการให้ fibrinolytic therapy
6. High risk STEMI
7. ไม่แน่ใจการวินิจฉัย
ตารางที่ 1 แนวทางการเลือก reperfusion therapy
TIMI risk score และ GRACE risk score เป็ นการประเมินความเสี่ ยงที่จะเกิด MACE โดย
อาศัยข้อมูลจาก parameter ต่าง ๆ ที่ตรวจพบ สาหรับ TIMI risk score พบว่าปั จจัยที่จะพยากรณ์ความ
เสี่ ยงในผูป้ ่ วย ACS มี 7 ข้อดังตารางที่ 2 ผูป้ ่ วยที่มี TIMI risk score ตั้งแต่ 3 ขึ้นไปมีความ เสี่ ยงสู ง และ
ได้รับประโยชน์จากการรักษาด้วยวิธี invasive ร่ วมกับ heparin และ/หรื อ GP IIb/IIIa inhibitors ส่ วน
GRACE risk score มีการคานวณคะแนนที่ละเอียดกว่าโดยรวมปั จจัยเสี่ ยงเช่นค่าการทางานของไต
ความดันโลหิ ตและอัตราชีพจรแรกรับเข้าไปด้วย แต่ก็คล้ายกันตรงที่ยงิ่ คะแนนสู งการพยากรณ์โรคยิง่
ไม่ดี และยิง่ น่าจะให้การรักษาผูป้ ่ วยด้วยวิธี invasive strategy ระบบคะแนนทั้งสองแบบถูกนาไปใช้
อย่างกว้างขวาง และมีความแม่นยาสู ง
ตารางที่ 2 แสดง TIMI risk score for UA/NSTEMI. ดัดแปลงจาก Antman et al. The TIMI risk score
for unstable angina/non-ST elevation MI: A method for prognostication and therapeutic
decision making. JAMA 2000;284:835-4221
Reperfusion therapy
ผูป้ ่ วยกลุ่ม STEMI ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อัตราตายจะประมาณ 30% ที่ 30 วัน
นับจากมี อาการ26 แต่อตั ราตายอาจจะสู งถึ ง 80% ในผูป้ ่ วยที่มี cardiogenic shock27 ในปั จจุบนั
ความก้าวหน้าในการรักษา โดยเฉพาะเรื่ อง reperfusion therapy และ intensive unit care ทาให้อตั ราตาย
ลดลงมาก Reperfusion therapy คือการทาให้มีเลือดกลับไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมีความสาคัญมาก ต้อง
ทาให้เร็ วที่สุดและภายใน 12 ชัว่ โมงนับจากมีอาการ การรักษาชนิดนี้มี 2 ทางเลือก
1. Fibrinolytic therapy จาก metaanalysis พบว่าการให้ยาละลายลิ่มเลื อดทางหลอดเลื อดดา
สามารถลดอัตราการตายได้เฉลี่ย 18% 28 ยิ่งให้เร็ ว ยิ่งลดอัตราตายได้มาก มีผลข้างเคียง
คือ พบมีภาวะเลือดออกผิดปกติได้ ที่สาคัญคือ เลือดออกในสมองซึ่ งเกิดในผูป้ ่ วยประมาณ 0.25-
2.5% และมักจะเสี ยชีวิต แต่เมื่อพิจารณาผลดีที่ได้แล้วมีความคุม้ ค่า ผูป้ ่ วยที่มีความเสี่ ยงต่อการ
เกิดภาวะเลื อดออกในสมองคือผูป้ ่ วยที่อายุมากกว่า 65 ปี , น้ าหนักน้อยกว่า 70 kg, มีความดัน
โลหิ ตมากกว่า 180/110 mmHg และผูป้ ่ วยที่ได้รับยา tPA ข้อดีของการรักษาด้วยวิธีน้ ี คือใช้ง่าย
โรงพยาบาลทัว่ ไปสามารถทาได้ ผูป้ ่ วยที่สมควรได้รับ fibrinolytic therapy คือผูป้ ่ วย STEMI ซึ่ ง
มาโรงพยาบาลภายใน 12 ชัว่ โมงนับแต่มีอาการ และไม่สามารถทา percutaneous coronary
intervention ได้ภายใน 90 นาที หลังจากให้ยาชนิ ดนี้ ควรสังเกตอาการใน ICU เพราะมีโอกาส
เกิดผลข้างเคียง เช่น hypotension หรื อ arrhythmia ได้ ข้อห้ามใช้ดงั ตารางที่
2. Percutaneous coronary intervention (PCI) คือการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วย balloon สามารถ
เปิ ดเส้นเลือดได้มากกว่า 90% และลดอัตราตายได้มากกว่า thrombolytic therapy29 ทาให้การ
รักษาด้วยวิธีน้ ีถือเป็ นมาตรฐาน และเป็ นวิธีที่ดีที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริ กา โดยมีขอ้ แม้วา่ door
to balloon time ต้องน้อยกว่า 90 นาที และทาโดยผูเ้ ชี่ ยวชาญซึ่ งทาหัตถการนี้ อย่างน้อย 75 รายต่อ
ปี และโรงพยาบาลมีจานวนผูป้ ่ วยที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีน้ ี มากกว่า 200 รายต่อปี จะเห็นได้วา่
การรักษาด้วยวิธีน้ ีจาเป็ นต้องใช้บุคลากร, แพทย์ผเู้ ชี่ยวชาญ และห้องฉีดสี หลอดเลือดหัวใจ ซึ่ งใน
Prehospital fibrinolysis
การให้ fibrinolytic agents ตั้งแต่ก่อนถึงโรงพยาบาลสามารถย่นระยะเวลาที่ผปู ้ ่ วยจะได้รับการ
รักษา และมีขอ้ มูลว่าลดอัตราตายได้เมื่อเปรี ยบเทียบกับการมาให้ยาในโรงพยาบาล30,31 อย่างไรก็ตามถ้า
ระยะเวลาส่ งผูป้ ่ วยสั้นกว่า 30-60 นาทีการให้ prehospital fibrinolysis อาจไม่ได้ประโยชน์นกั อีก
ประเด็นคือเมื่อเปรี ยบเทียบกับการทา primary PCI พบว่าทั้งสองวิธีลดอัตราตายได้ไม่แตกต่างกัน แต่
การใช้ fibrinolysis มีความเสี่ ยงต่อภาวะเลือดออกในสมองเล็กน้อย32 คาแนะนาเกี่ยวกับการรักษาด้วยวิธี
นี้คือ
1. การรักษาด้วย prehospital fibrinolysis ต้องมีระบบประเมินผูป้ ่ วยก่อนให้ยาที่ชดั เจน
ประกอบด้วย protocol ซึ่งมีการใช้ fibrinolytic checklists, การตรวจคลื่นไฟฟ้ าหัวใจ 12 leads
และการแปลผล, การสื่ อสารกับโรงพยาบาลที่จะรับดูแลผูป้ ่ วย, medical director ซึ่งมี
ประสบการณ์ในการรักษา STEMI, และต้องมีระบบประเมินปรับปรุ งคุณภาพการบริ การ
2. แนะนาให้ prehospital fibrinolysis แทนการให้ยาที่หอ้ งฉุ กเฉิ นกรณี ที่การส่ งตัวผูป้ ่ วยใช้
ระยะเวลามากกว่า 30 นาที
3. ถ้าสามารถให้การรักษาได้ท้ งั วิธี primary PCI และ prehospital fibrinolysis แนะนาให้ส่งผูป้ ่ วย
ไปทา primary PCI (ทั้งนี้ ตอ้ งมีระยะเวลาการส่ งต่อที่เหมาะสมด้วย)
Prehospital ACEI
ยากลุ่ม ACEI มีประโยชน์ในผูป้ ่ วย ACS ในระยะยาว แต่ไม่แนะนาให้ใช้ใน prehospital setting
Complicated AMI
Mechanical complication ที่สาคัญของ AMI คือ
1. Cardiogenic shock, LV failure และ congestive heart failure
Cardiogenic shock เกิดเมื่อมีกล้ามเนื้อหัวใจตายมากกว่า 40% ภาวะนี้ มีอตั ราตายสู ง และพบได้
ทั้งใน UA/NSTEMI และ AMI แต่จะพบใน AMI มากกว่า การรักษาภาวะ cardiogenic shock
ควรพิจารณา primary PCI มากกว่า fibrinolysis การทา primary PCI มี indication เมื่อภาวะนี้
เกิดภายใน 36 ชัว่ โมงหลัง onset ของ AMI และ 18 ชัว่ โมงหลัง onset ของภาวะ shock สาหรับ
ในโรงพยาบาลที่ไม่สามารถทา primary PCI ได้ ควรพิจารณา fibrinolysis ก่อนแล้วรี บส่ งไป
โรงพยาบาลที่สามารถทา PCI ได้
2. RV infarction
พบในผูป้ ่ วย inferior wall MI ประมาณ 50% triad ในการ diagnosis คือ inferior wall MI,
hypotension และ clear lung field ผูป้ ่ วยที่มีภาวะ shock จาก RV infarction ควรได้รับการ
รักษาด้วยวิธี PCI จะให้ผลดีกว่า fibrinolysis สาหรับยาที่ให้ในภาวะนี้ ควรหลีกเลี่ยงยา nitrate,
diuretics และ vasodilator เช่น ACEI
References
1. O’Gara PT, Kushner FG, Ascheim DD, Casey DE Jr, Chung MK, de Lemos JA, et al. 2013 ACCF/AHA
guideline for the management of ST-elevation myocardial infarction: a report of the American College of
Cardiology Foundation/American Heart Association Task Force on Practice Guidelines.
Circulation.2013;127:e362–e425.
2. Steg PG, Bonnefoy E, Chabaud S, Lapostolle F, Dubien PY, Cristofini P, et al. Impact of time to treatment
on mortality after prehospital fibrinolysis or primary angioplasty: data from the CAPTIM randomized
clinical trial. Circulation.2003;108:2851–2856.
3. Antman EM, Anbe DT, Armstrong PW, Bates ER, Green LA, Hand M,et al. ACC/AHA guidelines for the
management of patients with ST-elevation myocardial infarction–executive summary: a report of the Am
College of Cardiology/Am Heart Association Task Force on Practice Guidelines
Circulation.2004;110:588–636.
4. Antman EM, Berlin JA. Declining incidence of ventricular fibrillation in myocardial infarction:
implications for the prophylactic use of lidocaine. Circulation. 1992;86:764–773.
5. Freimark D, Matetzky S, Leor J, Boyko V, Barbash IM, Behar S, Hod H. Timing of aspirin administration
as a determinant of survival of patients with acute myocardial infarction treated with thrombolysis. Am J
Cardiol. 2002;89:381–385.
6. Barbash IM, Freimark D, Gottlieb S, Hod H, Hasin Y, Battler A,et al. Outcome of myocardial infarction in
patients treated with aspirin is enhanced by pre-hospital administration. Cardiology.2002;98:141–147.
7. Wijesinghe M, Perrin K, Ranchord A, Simmonds M, Weatherall M, Beasley R. Routine use of oxygen in
the treatment of myocardial infarction: systematic review. Heart. 2009;95:198–202.
8. Verheugt FW, van der Laarse A, Funke-Kupper AJ, Sterkman LG, Galema TW, Roos JP. Effects of early
intervention with low-dose aspirin (100 mg) on infarct size, reinfarction and mortality in anterior wall
acute myocardial infarction. Am J Cardiol. 1990;66:267–270.
9. Bussmann WD, Passek D, Seidel W, Kaltenbach M. Reduction of CK and CK-MB indexes of infarct size
by intravenous nitroglycerin. Circulation. 1981;63:615–622.
32. Bonnefoy E, Lapostolle F, Leizorovicz A, Steg G, McFadden EP, Dubien PY,et al: Comparison of
Angioplasty and Prehospital Thromboysis in Acute Myocardial Infarction study group. Primary
angioplasty versus prehospital fibrinolysis in acute myocardial infarction: a randomised study. Lancet.
2002;360:825–829.
1. Neumar RW, Nolan JP, Adrie C, et al. Post–Cardiac Arrest Syndrome. Epidemiology,
Pathophysiology, Treatment, and Prognostication. A Consensus Statement From the
International Liaison Committee on Resuscitation (American Heart Association, Australian
and New Zealand Council on Resuscitation, European Resuscitation Council, Heart and
Stroke Foundation of Canada, InterAmerican Heart Foundation, Resuscitation Council of
Asia, and the Resuscitation Council of Southern Africa); the American Heart Association
Emergency Cardiovascular Care Committee; the Council on Cardiovascular Surgery and
Anesthesia; the Council on Cardiopulmonary, Perioperative, and Critical Care; the Council
on Clinical Cardiology; and the Stroke Council. Circulation. 2008; 118: 2452-2483.
4. Peberdy MA, Callaway CW, Neumar RW, et al. Part 9: Post–Cardiac Arrest Care. 2010
American Heart Association Guidelines for Cardiopulmonary Resuscitation and Emergency
Cardiovascular Care. Circulation. 2010; 122 [suppl 3]: S768 –S786.
5. Callaway CW, Donnino MW, Fink EL, et al. Part 8: Post-Cardiac Arrest Care. 2015
American Heart Association Guidelines for Cardiopulmonary Resuscitation and Emergency
Cardiovascular Care. Circulation. 2015; 132 [suppl 1]: S465 –S482.
6. Anyfantakis ZA, Baron G, Aubry P, et al. Acute coronary angiographic findings in survivors
of out-of-hospital cardiac arrest. Am Heart J. 2009; 157: 312–318.
7. Spaulding CM, Joly LM, Rosenberg A, et al. Immediate coronary angiography in survivors
of out-ofhospital cardiac arrest. N Engl J Med. 1997; 336: 1629 –1633.
10. Knafelj R, Radsel P, Ploj T, Noc M. Primary percutaneous coronary intervention and mild
induced hypothermia in comatose survivors of ventricular fibrillation with ST-elevation acute
myocardial infarction. Resuscitation. 2007; 74: 227–234.
12. Peberdy MA , Kaye W, Ornato JP, et al. Cardiopulmonary resuscitation of adults in the
hospital: A report of 14,720 cardiac arrests from the National Registry of Cardiopulmonary
Resuscitation. Resuscitation. 2003; 58: 297-308.
13. Tian J, Kaufman DA, Zarich S, et al. Outcomes of critically ill patients who received
cardiopulmonary resuscitation. Am J Respir Crit Care Med. 2010; 182: 501-506.
14. Hypothermia after Cardiac Arrest Study Group. Mild therapeutic hypothermia to improve the
neurologic outcome after cardiac arrest. N Engl J Med. 2002; 346: 549 –556.
15. Bernard SA, Gray TW, Buist MD, Jones BM, Silvester W, Gutteridge G, Smith K. Treatment
of comatose survivors of out-of-hospital cardiac arrest with induced hypothermia. N Engl J
Med. 2002; 346: 557–563.
16. Nielsen N, Wetterslev J, Cronberg T, et al. Targeted temperature management at 33oc versus
36oc after cardiac arrest. N Engl J Med. 2013; 369: 2197-2206.
ผูป้ ่ วยหอบหื ดขั้นรุ นแรงจะมีอาการเหนื่ อยแม้ขณะอยู่เฉยๆ พูดเป็ นคาๆ พูดต่อเนื่ องเป็ นประโยค
ไม่ได้ การตรวจ Peak expiratory flow (PEF)
-
การรักษาในแนวทางปฏิบตั ิสาหรับการช่วยชีวติ ในปี คศ ไม่เปลี่ยนแปลงจาก
การรักษาเบือ้ งต้ น
1. Oxygen: ให้ oxygen แก่ ผู้ป่ วยหอบหื ด ขั้น รุ นแรงทุ ก คน แม้ว่ า จะมี ก ารแลกเปลี่ ย น
oxygen(oxygenation) ปกติก็ตาม ร่ วมกับการให้ 2 - agonist ในช่วงแรกๆ อาจทาให้ค่าความอิ่มตัว
ของออกซิ เจนลดลง เนื่ องจาก 2 - agonist ออกฤทธิ์ ทั้ง ขยายหลอดลม และ vascular
permeability จึงทาให้มี ventilation-perfusion mismatch ได้ในช่วงแรก
2. Inhaled 2–agonists: เป็ นยาที่ใช้รักษาโรคหอบหื ดเฉี ยบพลันที่ดีที่สุด
โดยระยะเวลาการออกฤทธิ์ นั้นรวดเร็ ว ได้แก่ al u r l metered-dose inhaler
แ nebulizer1 ออกฤทธิ์ ใน นาที และฤทธิ์ อยูไ่ ด้นานถึง ชัว่ โมง ใช้ขนาดยา 2.5 – 5 มก. พ่นซ้ า
ได้ทุก – min Lavalbuterol เป็ น R-isomer ของ albuterol ยังไม่พบหลักฐานว่าให้
ผลการรักษาดีกว่า albuterol
3. Corticosteroids: การให้ systemic corticosteroid จัดเป็ นการรักษาที่ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามี
ประสิ ทธิ ภาพดีในการลดการอักเสบของทางเดินหายใจ โดยระยะเวลาที่ออกฤทธิ์ คือ – ชัว่ โมง
หลังการให้ ช่ วยลดอัตราการนอนโรงพยาบาล หลายรายงานแนะนาให้ใช้ corticosteroid ตั้งแต่
แรกเริ่ มมีอาการ โดยนิยมบริ หารทางการฉีดเข้า หลอดเลือดดามากกว่าบริ หารโดยการกิน เนื่องจาก
ผูป้ ่ วยหอบหื ดระยะวิก ฤติ น้ ี อาจมี อาการอาเจี ย น หรื อกลื นยาล าบาก โดยขนาดยาเริ่ ม แรกของ
methypredinisolone คื อ มิ ล ลิ ก รั ม (ขนาดยา คื อ 40-250 มิ ล ลิ ก รั ม ) และขนาดยาของ
dexamethasone คือ 10 มิลลิกรัม
4. Adjunctive therapy
1. Anticholinorgics: การให้ยากลุ่มนี้ จะช่วยขยายหลอดลม การใช้ท้ งั Anticholinergic และ 2
– agonists จะให้ผลเสริ มฤทธิ์ กัน สมรรถภาพของปอดดี ข้ ึ นเมื่ อเทียบกับการให้ 2 – a s s
Assisted ventilation
Noninvasive positive pressure ventilation อาจช่ วยผูป้ ่ วยระบบหายใจวายเฉี ยบพลัน
ในระยะสั้น เพื่อชลอการใส่ ท่อช่วยหายใจ จะใช้ได้เฉพาะผูป้ ่ วยที่ยงั รู ้สึกตัวดี มีแรงในการหายใจอยู่ นิยมใช้
Bi – level positive airway pressure (BiPAP) ซึ่งสามารถควบคุมแรงดันช่วงหายใจเข้าและออกได้1
การใส่ ท่อช่ วยหายใจควรใช้วิธี Rapid sequence ซึ่ งเป็ นวิธีที่ เหมาะสม ควรเลื อกใช้
ท่อขนาดใหญ่เท่าที่ จะสามารถใช้กบั ผูป้ ่ วยได้ เพื่อลด airway resistance หลังการใส่ ท่อช่ วยหายใจแล้ว
รี บตรวจยืนยันตาแหน่งท่อช่วยหายใจ รวมทั้งส่ งตรวจทางรังสี ปอด
แ s u ra
เอกสารอ้างอิง
1. Cates CJ, Crilly JA, Rowe BH. Holding chambers (spacers) versus nebulisers for beta-agonist
treatment of acute asthma. Cochrane Database Syst Rev. 2006; No. 2:CD000052.
2. Vanden Hoek TL, Morrison LJ, Shuster M, Donnino M, Sinz E, Lavonas EJ, Jeejeebhoy FM,
Gabrielli A. Part 12: cardiac arrest in special situations: 2010 American Heart Association
Guidelines for Cardiopulmonary Resuscitation and Emergency Cardiovascular Care. Circulation.
2010;122(suppl 3):S829–S861. doi: 10.1161/CIRCULATIONAHA.110.971069.
3. Lavonas EJ, Drennan IR, Gabrielli A, Heffner AC, Hoyte CO, Orkin AM, Sawyer KN, Donnino
MW. Part 10: Special Circumstances of Resuscitation. 2015 American Heart Association
Guidelines Update for Cardiopulmonary Resuscitation and Emergency Cardiovascular Care.
Circulation. 2015;132[suppl 2]:S501–S518.
4. แ แ Volume แ ..
Anaphylaxis
ผศ.พญ.ขัตติยา มโนมยางกูร
ภาควิชาวิสัญญีวทิ ยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
อาการและอาการแสดง
อาการแสดงแรกเริ่ มของ Anaphylaxis มักไม่จาเพาะเจาะจง เช่น ชีพจรเต้นเร็ ว หน้ามืดเป็ นลม มีผื่น
แดงทัว่ ตัว ผื่นลมพิษ และคันทั้งตัวหรื อเฉพาะที่ร่วมไปด้วย โดยเฉพาะผื่นลมพิษพบบ่อยที่สุด ผูป้ ่ วยอาจ
กระวนกระวาย มีหน้าแดงหรื อหน้าซีดได้
อาการทางระบบหายใจที่พบบ่อยและพบได้ในระยะแรกๆ คือ น้ ามูกไหล สาหรับอาการที่รุนแรง
มากขึ้น ได้แก่ ทางหายใจส่ วนบนโดยเฉพาะกล่องเสี ยงบวม ทาให้มีเสี ยง stridor และ ทางหายใจส่ วนล่าง
บวม ทาให้มีเสี ยง wheeze ซึ่ งควรแยกโรคออกจาก angioedema ทางเดินหายใจส่ วนบนหลังจากได้รับ
การให้สารน้ า
พิจารณาให้ปริ มาณสารน้ าที่มากในอัตราเร็ วเนื่ องจากเกิดภาวะ vasogenic shock
จาก anaphylaxis
ให้สารน้ า isotonic เช่ น normal saline 1000 มล.เพื่อรักษาระดับความดันเลื อด
systolic ให้เกินกว่า 9 มม.ปรอท
ยากระตุน้ หลอดเลือด (vasopressors)
ในรายที่ยงั ไม่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น ให้ epinephrine 0.05-0.1 มิลลิกรัม เข้าทาง
หลอดเลือดดา (ในกรณี ที่มีการเปิ ดหลอดเลือดดาแล้ว ก็สามารถบริ หารทางนี้ แทน
ฉี ดยาเข้ากล้าม) และเฝ้ าระวัง ระบบการไหลเวียนเลื อดต่ อไปอย่า งใกล้ชิ ด ให้
ระมัดระวังการให้ epinephrine ในขนาดที่สูงเกินไปอาจก่อให้เกิดผลเสี ยต่อหัวใจ
ได้ เช่น ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
พิ จ า ร ณ า ใ ห้ e i n e i n e อ อ 5-15 mcg/min
ร ร ะ ร
เอกสารอ้างอิง
Web-based Integrated 2010 & 2015 American Heart Association Guidelines for Cardiopulmonary
Resuscitation and Emergency Cardiovascular Care
หลักการดูแลผูป้ ่ วยที่ได้รับสารพิษเบื้องต้น
- การดู แลเบื้องต้ น เริ่ มจากการเปิ ดทางเดิ นหายใจให้โล่ ง ช่ วยหายใจ และทาให้การไหลเวียน
โลหิตคงที่ จากนั้นจึงประเมินผูป้ ่ วยตามขั้นตอนต่อไป
- ซักประวัติเพิม่ เติม ได้แก่ รายละเอียดเหตุการณ์จากผูเ้ ห็นเหตุการณ์ ประวัติยาที่ได้รับ ลักษณะ
ภาชนะที่ใส่ สารพิษ และประวัติการเจ็บป่ วยในอดีต ผูป้ ่ วยที่มีเจตนาฆ่าตัวตายมีแนวโน้มที่จะ
ได้รับยาหรื อสารพิษมากกว่าหนึ่งชนิด และมักได้รับในปริ มาณมาก
- การส่ งตรวจทางห้ องปฏิบัติการ ใช้เวลานานในการตรวจ และมักทาไม่ได้ตลอด ชัว่ โมงจึง
ไม่มีผลในการตัดสิ นใจให้การรักษาในระยะแรก
- การขจัดสารพิษออกจากร่ างกาย ไม่แนะนาให้ใช้ผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) whole
bowel irrigation หรื อ ยากระตุน้ การอาเจียน ในผูป้ ่ วยทุกคน นอกจากมีขอ้ บ่งชี้ ที่จดั เจน เช่ น
การให้ผงถ่านกัมมันต์ในผูป้ ่ วยที่ ได้รับสารพิษภายใน ชัว่ โมง หรื อ การให้ผงถ่ านกัมมันต์
หลายครั้ง (multiple dose activated charcoal) ในผูป้ ่ วยที่ได้รับยาบางชนิด (carbamazepine,
dapsone, phenobarbital, quinine, or theophylline) เป็ นต้น ในผูป้ ่ วยที่มีภาวะเสี่ ยงต่อการสาลัก
เช่น ผูป้ ่ วยที่ไม่รู้สึกตัว ควรใส่ ท่อช่วยหายใจ และยกศีรษะสู งเพื่อป้ องกันการสาลัก
อาการแสดงทางระบบหัวใจและหลอดเลือด
หัวใจเต้ นเร็ว และ/หรือ หัวใจเต้ นช้ า และ/หรือ การนาไฟฟ้ าหัวใจผิดปกติ
ความดันโลหิตสู ง ความดันโลหิตต่า (QRS กว้าง)
- Amphetamines - Beta blockers - Cocaine
- Anticholinergic drugs - Calcium channel blockers - Cyclic antidepressants
- Antihistamines - Clonidine - Local anesthetics
- Cocaine - Digoxin and related glycosides - Propoxyphene
- Theophylline/caffeine - Organophosphates and - Antiarrhythmics (e.g.
- Withdrawal states carbamates quinidine, flecainide)
อาการแสดงทางระบบประสาท หรือ เมตาบอลิค
ชัก การเปลีย่ นแปลงความรู้ สึกตัว หรือ ภาวะเลือดเป็ นกรด
กดการหายใจ
- Cyclic antidepressants - Antidepressants (several class) - Cyanide
- Isoniazid - Benzodiazepines - Ethylene glycol
- Selective and non-selective - Carbon monoxide - Metformin
norepinephrine reuptake - Ethanol/methanol - Methnol
inhibitors (e.g. bupropion) - Opioids - Salicylates
- Withdrawal states - Oral hypoglycemics
วิธีการให้ naloxone3
ทางหลอดเลือดดา
- ในผูป้ ่ วยที่มีประวัติเสพติด opioid หรื อไม่แน่ใจ เริ่ มด้วย 0.04 มก. ทางหลอดเลือดดา เพื่อป้ องกัน
การเกิดอาการถอน และให้ซ้ าได้อีก 0.4, 2 และ 10 มก.ตามลาดับ ถ้าไม่ตอบสนองภายใน 1 - 2 นาที
- ในผูป้ ่ วยที่ไม่มีประวัติเสพติด opioid แนะนาให้ 0.4 มก. ทางหลอดเลือดดา และให้ซ้ าได้อีก 2 มก.
และ 10 มก.ตามลาดับ ถ้าไม่ตอบสนองภายใน 1 - 2 นาที
1. Hoek TLV, Morrison LJ, Shuster M, Donnino M, Sinz E, Lavanas EJ et al. Part 12: Cardiac arrest
in special situations: 2010 American Heart Association guidelines for cardiopulmonary
resuscitation and emergency cardiovascular care. Circulation 2010;122(18 Suppl 3):S829-61.
2. Lavonas EJ, Drennan IR, Gabrielli A, Heffner AC, Hoyte CO, Orkin AM, et al. Part 10: Special
circumstances of resuscitation: 2015 American Heart Association guidelines update for
cardiopulmonary resuscitation and emergency cardiovascular care. Circulation 2015;132(18
Suppl 2):S501-18.
3. Nelson LS, Olsen D. Opioids. In: Nelson LS, Lewin NA, Howland MA, Hoffman RS, Goldfrank
LR, Flomenbaum NE, editors. Goldfrank’s toxicologic emergencies. 9th ed. n.p.: McGraw-Hill; c
2011
การรักษาโพแทสเซียมในเลือดสู ง
เป้ าหมายในการรักษา คือ การยับยั้งผลของโพแทสเซียมที่เกิดกับกล้ามเนื้ อหัวใจ การทาให้
โพแทสเซียมเคลื่อนเข้าเซลล์มากขึ้น และท้ายที่สุด การขับโพแทสเซี ยมที่เกินออกจากร่ างกาย
การทาให้โพแทสเซี ยมเคลื่อนเข้าเซลล์มากขึ้นได้ผลเร็ วที่สุด แต่ก็ให้ผลแค่เพียงชัว่ คราว
ดังนั้น จึงควรให้การรักษาซ้ าจนกว่าจะขับโพแทสเซียมออกจากร่ างกายได้
การรักษาภาวะโพแทสเซี ยมในเลือดสู ง ได้แก่
1. ยับยั้งผลของภาวะโพแทสเซี ยมสู งที่เกิดกับกล้ามเนื้อหัวใจ
10% Calcium gluconate 15-30 ml ฉีดเข้าหลอดเลือดดาช้าๆภายใน 2-5 นาที หรื อ
10% Calcium chloride 5-10 ml ฉีดเข้าหลอดเลือดดาช้าๆภายใน 2-5 นาที
2. ทาให้โพแทสเซี ยมเคลื่อนเข้าเซลล์เพิ่มมากขึ้น
Sodium bicarbonate 50 mEq ฉีดเข้าหลอดเลือดดาช้าๆภายใน 5 นาที
กลูโคสร่ วมกับอินซู ลิน โดยใช้ 25 กรัมของกลูโคส (50 ml ของ 50% dextrose
solution) ผสมกับ 10 unit ของ Regular insulin ฉี ดเข้าหลอดเลือดดาช้าๆภายใน
15-30 นาที
Salbutamol 10-20 mg พ่น nebulized ภายใน 15 นาที
3. ขับโพแทสเซี ยมที่เกินออกจากร่ างกาย
ยาขับปัสสาวะ Furosemide 40-80 mg ฉีดเข้าหลอดเลือดดา
Kayexalate 15-50 กรัมผสม sorbitol รับประทานหรื อสวนทวาร
การฟอกเลือด (dialysis)
ในผูป้ ่ วยที่สงสัยภาวะโพแทสเซี ยมในเลือดสู งสามารถให้การรักษาดังกล่าวข้างต้นควบคู่
ไปกับการช่วยฟื้ นคืนชีพตามแนวทางการช่วยฟื้ นคืนชีพขั้นสู ง (ACLS) ได้
ที่มา: ECG patterns in hypokalemia[image on the Internet]. 2009 [updated 2009 May; cited 2010 May].
Available from: http://www.merckmanuals.com/professional/sec12/ch156/ch156f.html
การรั ก ษา คื อ ให้ โ พแทสเซี ย มทางหลอดเลื อ ดด าช้ า ๆในเวลาหลายชั่ ว โมง การให้
โพแทสเซี ยมเร็ วเกิ นไปจะทาให้เกิดอันตรายแก่ผปู้ ่ วยและไม่แนะนาให้ทาแม้ผปู ้ ่ วยจะมีภาวะหัวใจหยุด
เต้นแล้วก็ตาม
โซเดียม
โซเดี ย มเป็ นเกลื อแร่ ที่ พ บมากที่ สุ ดในหลอดเลื อด ช่ วยในการควบคุ ม osmolarity การ
เปลี่ ยนแปลงของโซเดียมมักจะไม่ทาให้เกิ ดภาวะหัวใจหยุดเต้น ดังนั้น จึงไม่มีความจาเป็ นต้องตรวจค้น
หรื อรักษาภาวะโซเดียมผิดปกติในช่วงที่ผปู ้ ่ วยหัวใจหยุดเต้น
แมกนีเซียม
แมกนีเซียมเป็ นเกลือแร่ สาคัญที่มีผลต่อการทางานของเอนไซม์หลายชนิด ซึ่งรวมถึงเอนไซม์
ATPase แมกนีเซี ยมมีความสัมพันธ์ต่อการเคลื่อนที่เข้าออกเซลล์ของโซเดียม โพแทสเซียม และแคลเซี ยม
จึงมีผลต่อดุลยภาพและการถูกกระตุน้ ของเซลล์ดว้ ย พบว่า ผูป้ ่ วยหลังการช่วยฟื้ นคืนชีพที่มีแมกนีเซี ยมใน
เลือดต่า จะมีการพยากรณ์โรคเลวกว่ากลุ่มอื่น
แมกนีเซียมในเลือดต่า
หมายถึง ระดับแมกนีเซี ยมในเลือดต่ากว่า 1.3 mEq/L พบได้บ่อยกว่าแมกนีเซี ยมในเลือด
สู ง เกิดจากการดูดซึ มเกลือแร่ ได้ลดลงหรื อถูกขับออกจากร่ างกายมากขึ้น ทั้งจากไตและระบบทางเดิน
อาหาร การเปลี่ยนแปลงของฮอร์ โมนจากไทรอยด์ ยาบางประเภท เช่น pentamidine ยาขับปั สสาวะ และ
เครื่ องดื่มแอลกอฮอล์ลว้ นแล้วแต่มีผลทาให้แมกนีเซี ยมในเลือดต่าได้
การรักษาแมกนีเซียมในเลือดต่า
แมกนี เซี ยมในเลื อดต่ ามี ความสัมพันธ์กบั หัวใจเต้นผิดจังหวะ polymorphic ventricular
tachycardia หรื อ torsades de pointes ดังนั้น ในผูป้ ่ วยที่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะดังกล่าว พิจารณาให้
MgSO4 1-2 gm ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดาทันที
แคลเซียม
แคลเซี ย มในร่ า งกายผิ ด ปกติ ม ัก จะไม่ ท าให้ เ กิ ด ภาวะหัว ใจหยุ ด เต้น ดัง นั้น จึ ง ไม่ มี
การศึกษาที่สนับสนุ น ให้รักษาแคลเซี ยมผิดปกติ ในช่ วงหัวใจหยุดเต้น นอกจาก ใช้แคลเซี ยมในการ
รักษาโพแทสเซียมหรื อแมกนีเซียมในเลือดสู งเท่านั้น
ภาวะหัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest) เป็ นปั ญหาสาธารณสุ ขที่สาคัญทัว่ โลก ถึงแม้ปัจจุบนั ได้มีการ
พัฒนาหลักฐานงานวิจยั ของวิธีการช่ วยชี วิตฉุ กเฉิ น รวมถึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีและปรับปรุ งแนวทางการ
รักษาผูป้ ่ วยภาวะหัวใจหยุดเต้นอย่างต่อเนื่ อง ผลการรักษาผูป้ ่ วยยังมีความแตกต่างกันอย่างมากในระหว่างพื้นที่
หรื อในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ความแตกต่างของระบบการช่วยชี วิตฉุ กเฉิ นและความสามารถของบุคลากรหรื อ
ผูป้ ระสบเหตุในแต่ละพื้นที่เป็ นสาเหตุหลักทาให้เกิดผลการรักษาที่แตกต่างกัน ดังนั้นวัตถุประสงค์การเรี ยนการ
สอนการช่ วยชี วิตฉุ กเฉิ นควรมุ่งเน้นการลดช่ องว่างระหว่างความรู ้ ความสามารถที่กาหนดไว้ในแนวทางการ
รักษาการช่วยชีวติ ฉุ กเฉิ นกับความรู ้ความสามารถของผูป้ ฏิบตั ิงานหรื อผูป้ ระสบเหตุที่มีอยูจ่ ริ งให้นอ้ ยที่สุดและ
ตรงตามหลักฐานงานวิจยั ทางการศึกษาที่มีอยูใ่ นปั จจุบนั
เนื้อหาในบทความฉบับนี้จึงเน้นสรุ ปการวางแผนการจัดการเรี ยนการสอนการช่วยชีวิตฉุ กเฉิ น สรุ ป
หลักฐานงานวิจยั ทางการศึกษาที่สาคัญตามแนวทางการช่วยชีวติ ฉุ กเฉิ นของสมาคมโรคหัวใจแห่ งสหรัฐอเมริ กา
ค.ศ. 5 (2015 American Heart Association Guidelines Update for Cardiopulmonary Resuscitation and
Emergency Cardiovascular Care) รวมถึ งปั ญหาที่สาคัญที่ยงั ขาดหลักฐานงานวิจยั ในการตอบปั ญหาเหล่านั้น
เพื่อให้เป็ นข้อมูลสาหรับผูจ้ ดั การเรี ยนการสอนการช่ วยชี วิตฉุ กเฉิ นนาไปปรับปรุ งพัฒนาการเรี ยนสอนให้มี
ประสิ ทธิ ภาพต่อไป
การปรั บ ปรุ งให้เกิ ดการพัฒนาต่ อไป การประเมิ นผลในการช่ วยชี วิตฉุ ก เฉิ นควรประเมิ นตามวัตถุ ประสงค์
มากกว่าการประเมินความรู้ผา่ นทางข้อสอบ เช่น ควรประเมินทักษะการนาไปประยุกต์ใช้กบั สถานการณ์จริ ง ซึ่ ง
จุดนี้ การสอนแบบสถานการณ์จาลองจะสามารถช่วยให้ผสู ้ อนและผูเ้ รี ยนประสบความสาเร็ จตามเป้ าหมายของ
หลักสู ตรที่วางไว้2
ระดับความเชี่ ยวชาญของผูเ้ รี ยนขึ้นอยู่ประสบการณ์ ของผูส้ อนและกระบวนการ Debriefing การ
ช่วยให้ผเู ้ รี ยนทราบถึงความสาคัญของการฝึ กอบรมโดยเฉพาะการนาไปประยุกต์ใช้ในชี วิตประจาวัน จะช่ วย
กระตุน้ การอยากเรี ยนรู้ของผูเ้ รี ยนได้ การเคารพประสบการณ์ของผูเ้ รี ยนและการระบุถึงประโยชน์ของการเรี ยน
ต่อครอบครัวหรื อคนที่ผเู ้ รี ยนรักมีประโยชน์อย่างยิ่ง ระหว่างการ Debriefing การชี้ ให้เห็นถึงข้อบกพร่ องและ
แนะนาวิธีแก้ไขรวมถึงการสรุ ปบทเรี ยนนั้นจะช่วยเพิ่มการความสัมฤทธิ์ ผลของการเรี ยนรู ้สูงสุ ด หากปราศจาก
ขั้นตอนดังกล่าวผูเ้ รี ยนจะไม่สามารถพัฒนาทักษะ กระบวนการตัดสิ นใจที่ถูกต้อง การเฝ้ าระวังเหตุการณ์ฉุกเฉิ น
รวมถึงการทางานเป็ นทีม การสร้างเกณฑ์มาตรฐานของทักษะความรู้ของการช่วยชี วิตเป็ นสิ่ งสาคัญที่ช่วยผูส้ อน
ในการประเมินผูเ้ รี ยนให้มีประสิ ทธิ ภาพสู งสุ ดหลังฝึ กการอบรม เพื่อเพิ่มผลการรักษาผูป้ ่ วยภาวะหัวใจหยุดเต้น
ต่อไปในอนาคต
ตารางที่ 1 หลักการของ AHA ECC ในการจัดการเรียนการสอน1,2
ทาหลักสู ตรให้ เข้ าใจง่ าย
เนื้ อหาของหลักสู ตรควรทาให้เข้าใจง่าย รวมถึ งเอกสารและอุปกรณ์ ประกอบการสอนเพื่อให้บรรลุ
เป้ าหมายง่ายขึ้น
มีความสอดคล้ องของหลักสู ตร
ควรมีความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาและการฝึ กปฏิบตั ิ โดยใช้สื่อวีดิทศั น์พร้อมกับการศึกษาคู่มือ เป็ น
วิธีที่แนะนาในการฝึ กทักษะ เนื่ องจากจะสามารถลดความผันแปรของผูส้ อน ซึ่ งจะทาให้เบี่ยงเบนไป
จากจุดประสงค์ของหลักสู ตรได้
เนือ้ หาหลักสู ตร
ควรเน้นการใช้ทฤษฎีการเรี ยนรู้แบบผูใ้ หญ่ เน้นการฝึ กปฏิบตั ิผา่ นสถานการณ์จาลองที่สมจริ งที่พบได้
ในชีวติ ประจาวัน
เน้ นการฝึ กปฏิบัติ จนเกิดความชานาญ
ควรเน้นให้มีการฝึ กปฏิบตั ิเพื่อเพิ่มพูนทักษะ รวมถึงมีการประเมินที่มีมาตรฐาน การฝึ กฝนปฏิบตั ิ เน้น
ผูป้ ่ วยเด็กที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นสู งขึ้นได้ ดังนั้นการฝึ กการทางานเป็ นทีมรวมถึงฝึ กภาวะผูน้ าทีมเป็ นสิ่ งที่ควรมี
ในการอบรมการช่วยชีวติ (Class IIa, LOE C-LD)2
ช่ วงเวลาทีเ่ หมาะสมในการกลับมาฝึ กการช่ วยชี วิตขั้นสู งอีกครั้ ง (Retraining Interval for ALS)
มาตรฐานของการกลับมาฝึ กการช่ วยชี วิตขั้นสู งเหมือนกับขั้นพื้นฐานคือระยะเวลา ปี ถึงแม้ว่ามี
หลัก ฐานว่า ความรู้ ท กั ษะต่ า งๆ จะถดถอยหลัง จากผ่า นไป – เดื อน ปั จจุ บ ันยังขาดงานวิจยั ที่ ศึ ก ษาถึ ง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมของการฝึ กอบรม มีงานศึกษาวิจยั ในการฝึ กช่ วยชีวิตขั้นสู งในผูป้ ่ วยเด็กพบว่า การกลับมา
ฝึ กอบรมบ่อยกับสถานการณ์จาลอง ส่ งผลให้เพิ่มคะแนนประสิ ทธิ ภาพทางคลินิค (Clinical performance score)
ไม่แตกต่างกันในคะแนนด้านพฤติกรรม (Behavioral performance score) ใช้เวลารวมในการกลับมาฝึ กอบรม
ใหม่น้อยกว่าเมื่ อเที ยบกับการกลับมาฝึ กอบรมตามมาตรฐาน ปี อีกทั้งบทความทางการศึกษาการช่ วยชี วิต
แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของการเรี ยนรู ้โดยใช้ “ฝึ กน้อย แต่บ่อยๆ (Frequent, low dose)” เทียบกับ “ฝึ กทั้งหมดในครั้ง
เดียว Comprehensive, all-at-once)”
ดังนั้น เมื่ อพิจารณาถึ งการฝึ กน้อย แต่บ่อยๆ ช่ วยประหยัดเวลาการฝึ กอบรมได้ทาให้ประหยัด
งบประมาณ รวมถึงเวลาที่พกั จากงานเพื่อการอบรม AHA 2015 แนะนาสาหรับผูป้ ฏิบตั ิงานที่มีโอกาสพบผูป้ ่ วย
ภาวะหัวใจหยุดเต้นได้บ่อยมาฝึ กอบรมระยะสั้นกับสถานการณ์จาลอง อย่างไรก็ตามยังคงต้องการการศึกษาถึง
ระยะเวลาที่เหมาะสมสาหรับแนวทางฝึ กดังกล่าว2