Professional Documents
Culture Documents
เกรียงศักดิ์ นิรัติพัฒนะศัย
7 พฤศจิกายน 2558
Page 1 of 161
บทนำ 3
นิยาม 11
ทำไมผู้บริหารควรมีโค้ช 25
5 ขั้นตอนของการโค้ชผู้บริหาร 33
2. การประเมินศักยภาพ (Diagnosis) 41
3. การออกแบบการโค้ช (Design) 62
4. การสนทนาการโค้ช (Dialogue) 66
ตัวอย่างการโค้ชในสถานการณ์ต่าง ๆ 133
บทสรุป 153
จากประสบการณ์ของคนมากมาย 155
บรรณานุกรม 160
Page 2 of 161
บทนำ
Page 3 of 161
ทำไมต้องมีหนังสือเล่มนี้
ใครคือผู้อ่าน
กลุ่มผู้อ่านมีสามกลุ่มหลัก ๆ คือ
1. คนที่ต้องการพัฒนาทักษะการโค้ชผู้บริหาร เพื่อประกอบเป็นอาชีพโค้ชผู้บริหาร
2. คนที่เป็นผู้บริหารในองค์กรทั่วไป ซึ่งต้องการพัฒนาทีมงานให้เก่งขึ้นโดยประยุกต์ใช้
ทักษะการโค้ชผู้บริหารไปโค้ชผู้อื่นในองค์กรตน
3. บุคคลทั่วไป ที่สนใจต้องการพัฒนาทักษะนี้เพื่อทำให้คนอื่นได้ใช้ศักยภาพได้มากขึ้น
Page 4 of 161
ประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับคืออะไร
ผมปรารถนาให้คนอ่านได้พัฒนาทักษะการโค้ชแบบมืออาชีพ โดยหวังว่าระหว่างที่ท่านอ่าน
ไปนั้นหากเป็นไปได้ขอให้ทำการฝึกฝนตามไปด้วย และกลับมาฝึกบ่อย ๆ จนในที่สุดเกิด
ความชำนาญเพียงพอที่จะนำไปใช้ในการปลดปล่อยศักยภาพคนอื่น ๆ ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งใน
ท้ายที่สุดก็น่าจะทำโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นตามพันธกิจส่วนตัวของผม
ผมเป็นใคร
Page 5 of 161
ผมชื่อเกรียงศักดิ์ นิรัติพัฒนะศัย
พันธกิจในชีวิต
มุ่งมั่นที่จะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตในการใช้จุดแข็งของตนเองปลดปล่อยศักยภาพของคนดีและ
เก่งจำนวนหนึ่งเพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้น
ค่านิยมส่วนตัว
Integrity ซื่อสัตย์
Informality กันเอง
Involvement ร่วมด้วย
Implementation ช่วยได้
จุดแข็ง
แนวทางการโค้ช
- โค้ชจุดแข็ง ชวนคนที่ดีและเก่งพัฒนาความคิดจากดีสู่เป็นเลิศ
- โค้ชคนที่รู้จักตัวเองน้อยและปรารถนาจะรู้จักตัวเองมากขึ้นด้วยการค้นพบตนเอง
- โค้ชผู้บริหารที่ดีและเก่งที่พร้อมจะใช้ศักยภาพตนเองเพือทำโลกนี้ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
ผลงาน
Page 6 of 161
- หนังสือ Bridging the Gap, Untold Stories of Executive Coaching in Thailand,
สื่อสารอย่างผู้นำ, เล่าเรื่องอย่างผู้นำ (Coaching by Stories Volume 1-5) และนำเสนอ
อย่างมีพลังแบบมืออาชีพ
- โค้ชนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ
ราชการ (ก.พ.ร.)
- รายนามลูกค้าบางส่วน: ธนาคารแห่งประเทศไทย ปตท. ปตทสผ. บ้านปู สสส. Amway
BASF DKSH
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผมสามารถดูได้ที่
www.thecoach.in.th
www.facebook/thecoachinth
www.youTube/coachkriengsak
Page 7 of 161
ผมเป็นคนกันเอง ง่ายๆ ไม่มีพิธีรีตรองอะไรมากนัก ผมมักจะขอให้ลูกค้าเรียกผมว่า “พี่
โค้ช โค้ชเกรียง หรือคุณเกรียง” ผมจะเขินเวลาที่มีคนเรียกผมว่า “อาจารย์” เพราะว่ามัน
ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่า “ผมเหนือกว่า” ซึ่งไม่ค่อยสอดคล้องค่านิยมส่วนตัวเรื่อง
“กันเอง” เท่าไรนัก ดังนั้นในระหว่างการอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมจึงขอความร่วมมือให้แต่ละ
ท่านจินตนาการว่ากำลังคุยกับผมแล้วใช้สรรพนามตามแต่ชอบไม่ว่าจะเป็น “พี่ โค้ช โค้ช
เกรียง หรือคุณเกรียง” เรียกขานผมได้ตามแต่จะสะดวกครับ
จะใช้ประโยชน์สูงสุดจากหนังสือเล่มนี้อย่างไร
หนังสือเล่มนี้ผมจะพยายามเขียนโดยเป็นแนวทางการพูด-คุยกันระหว่างผมและผู้อ่านแต่ละ
คน ดังนั้นวิธีง่าย ๆ คืออย่าคิดว่า “กำลังอ่าน” ให้คิดว่า “กำลังคุย” กับผมอยู่
แล้วจินตนาการตามไป เพื่อให้เกิดอรรถรสก็เรียกสรรพนามตามที่ผมแนะนำไว้ด้วยก็จะเป็น
กันเองมากยิ่งขึ้น
Page 8 of 161
หนังสือเล่มนี้ควรอ่านอย่างไร
Page 9 of 161
หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาครอบคลุมอะไรบ้าง
ผมเริ่มต้นด้วยการเกริ่นถึงบทนำว่าที่มาของหนังสือเล่มนี้คือต้องการสร้างคู่มือที่สามารถ
ทำให้คนเรียนรู้เรื่องโค้ชผู้บริ หารได้ด้วยตนเอง และแนะนำแนวทางการใช้หนังสือเล่มนี้
แล้วผมก็เข้าสู้ขั้นตอนของการโค้ชซึ่งมีทั้งหมดห้าขั้นตอนคือ 1. ตรวจทานศรศิลป์
(Checking- Chemistry) 2. การประเมินศักยภาพ (Diagnosis) 3. การออกแบบการโค้ช
(Design) 4. การสนทนาการโค้ช (Dialogue) 5. บรรลุเป้าหมายของการโค้ช
(Destination)
และแถมท้ายด้วยแนวทางการเตรียมตัวเพื่อรับการสัมภาษณ์โดยคณะกรรมการสรรหา CEO
เนื่องมาจากว่าในระยะหลังผมมีโค้ชชี่ที่มีความต้องการโค้ชแบบนี้มากขึ้น จึงรวบรวมมาเป็น
องค์ความรู้แล้วนำมาเผยแพร่กัน
Page 10 of 161
นิยาม
การโค้ชผู้บริหารคืออะไร
แล้วเราควรจะแปลมันว่าอย่างไรดีครับ
ในที่สุดผมก็ตกผลึกความคิดของการอธิบายคำว่าโค้ชผู้บริหารออกมาจนได้
มันคืออะไร
เพื่อน = เสมอภาค
ชวน = ใช้คำถาม
คิด = ทำให้ความคิดผู้บริหารชัดเจนขึ้น
Page 11 of 161
เราลองมาดูตัวอย่างที่อธิบายคำว่าเพื่อนชวนคิดกันดีกว่าครับ
สถานการณ์
ฉากที่ 1 - "เพื่อนช่วยคิด"
“พี่ครับ ผมหารีโมทไม่เจอครับ”
“โจ้ รูปร่างมันเป็นอย่างไรเดี๋ยวผมจะช่วยหา”
“เหมือนรีโมทเวลานำเสนอกับโน๊ตบุ๊คเลยครับ”
ฉากที่ 2 - "เพื่อนชวนคิด"
สถานการณ์เดียวกัน...
“พี่ครับ ผมหารีโมทไม่เจอครับ”
“โจ้ ครั้งสุดท้ายที่ดูวางรีโมทไว้ตรงไหนละ”
“ที่โต๊ะนี้ครับ แต่ตอนนี้ไม่เห็นแล้วครับ”
“เคยหายแบบนี้ไหม”
Page 12 of 161
“ไ่มเคยพี่ เพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี้เอง”
“แล้วเคยเกิดปัญหาคล้ายๆกันไหม”
ว่าแล้วเขาก็รีบวิ่งเข้าครัว แล้ววิ่งกลับมาพร้อมรีโมทในมือด้วยอาการลิงโลดทันที
Page 13 of 161
ถึงตอนนี้ ผมอยากให้เราลองนึกตัวอย่างว่า ในชีวิตของเราแต่ละคน เคยมีเหตุการณ์ใด
บ้างที่มีใครบางคนพยายามช่วยใครบางคนคิด แล้วหา “คำตอบ” ไม่เจอ แบบกรณีแรก
ของโจ้บ้าง
1. ตัวอย่างในที่ทำงาน
2. ตัวอย่างในครอบครัว
หากท่านสามารถหาตัวอย่างได้ครบสามกรณี ผมเชื่อว่าในอนาคตท่านมีโอกาสที่จะเป็นโค้ช
ที่ดีได้แน่นอน เพราะเกิดความตระหนักรู้หลักการพื้นฐานเบื้องต้นของการโค้ชผู้บริหารที่
สำคัญคือ “เพื่อนชวนคิด” นั่นเองครับ
Page 14 of 161
ตัวอย่างการโค้ชผู้บริหาร
Page 15 of 161
ตัวอย่าง 1: การตระหนักรู้ในตนเองของซีอีโอ
“คุณนัฐครับ อะไรคือเป้าหมายที่คุณคาดหวังว่าจะได้จากการโค้ชกันครั้งแรกในวันนี้ครับ”
“โค้ชขยายความหน่อยซิครับ”
เขาพยักหน้าเป็นสัญญาณของการให้ผมพูดต่อไป
“เขาคงบอกว่าเกร็งและเครียดเวลามาคุยงานกับผมครับ”
“เพราะอะไรครับ”
Page 16 of 161
“เพราะว่าผมเป็นคนมุ่งมั่นและจริงจัง ผมไม่เคยยิ้มเวลาประชุมหรือคุยงานกัน ผมโฟกัสกับ
งานมาก ผมไม่ใช่คนทีจะพูดอะไรเล่น ๆ ทำงานเช้ากลับดึก ผมมันเป็นพวกสมบูรณ์แบบ
ชอบลงรายละเอียดของงาน ทุก ๆ เรื่องผมต้องดูหมด”
“ดูเหมือนคุณจะรู้จักตนเองดีพอสมควรนะครับ”
“คิดว่างั้นครับ”
“แล้วผลของการที่พวกลูกน้องคุณเครียดเป็นอย่างไรครับ”
“หมายความว่าอย่างไรครับโค้ช”
“คุณทำให้เขาเครียด แล้วผลลัพธ์ที่ตามละครับ”
“อะไรนะ”
“คุณเคยคิดถึงนัย หรือผลลัพธ์ทางด้านลบจากพฤติกรรมของคุณบางไหมครับ”
“ไม่เคยครับ”
“คุณนัฐเห็นด้วยกับตรรกที่ว่าเหรียญมีสองด้านไหมครับ”
เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าที่สำนึกผิดเล็ก ๆ
“คิดว่าอะไรที่อาจจะเป็นผลเสียในทางลบได้บ้างครับ”
Page 17 of 161
“มีอะไรอีกครับ”
“คุณนัฐสิ่งที่คุณปรารถนาคืออะไรครับ”
“โค้ช ผมอยากให้คนของผมเข้ามาคุยกับผมอย่างไม่เครียดและเกร็ง”
“คุณคิดว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างครับ”
“ไม่แน่ใจครับ”
“คุณนัฐคุณต้องการให้เกิดผลลัพธ์อย่างไร ช่วยขยายความให้ชัดเจนหน่อยครับ”
“ผมต้องการให้ลูกน้องผมเข้ามาคุยงานกับผมอย่างไม่เกร็งและเครียด ผมอยากให้เขาเข้า
มาแบบปกติ เป็นตัวของเขาเอง”
“ทำไมครับ”
“แล้วคุณต้องทำอย่างไรละเพื่อเปลี่ยนมุมมองของเขาที่มีต่อคุณนะ”
“ผมคิดว่าผมต้องเปิดเผยและชัดเจน ผมจะเริ่มต้นโดยการเรียกคนที่รายงานตรงกับผมทั้ง
เจ็ดคนเข้ามาประชุม ผมจะเริ่มต้นด้วยการขอโทษพวกเขาว่าผมเองทำให้เขาเกร็งและเครียด
ในอดีต ผมต้องการเปลี่ยนแปลง แต่ผมต้องการให้เขามีส่วนร่วม ผมอยากให้เขาบอกผม
ว่าผมต้องทำอย่างไรบ้าง”
Page 18 of 161
“คิดว่าพวกเขาน่าจะมีท่าทีตอบรับอย่างไรครับ”
“ผมว่าพวกเขาคงยอมรับได้กับคำขอโทษจากผม แต่ว่าพวกเขาคงไม่มั่นใจพอที่จะบอกผม
ว่าผมต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง”
“มีทางเลือกอะไรอื่นอีกบ้างครับ”
“ถ้างั้นวันนี้เราหยุดแค่นี้ก่อนละกันครับคุณนัฐ แล้ว เรามาติดตามผลกันในครั้งหน้าละกัน
ครับ”
Page 19 of 161
ตัวอย่าง 2: วางแผนสร้างซีอีโอคนต่อไป
“คุณดอนผมคิดว่าวันนี้จะเลื่อนนัดกันเสียอีกเพราะว่าเห็นสถานการณ์ตอนนี้มันท้าทายมาก
คิดว่าน่าจะยุ่งมาก”
“ทำไมครับ”
“เพราะแต่ละวันผมต้องเจอเรื่องที่ตัดสินใจลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละเรื่องมันจะจบลงตรง
ที่ผมต้องเลือกระหว่างสองทางเลือก เสมือนกับผมต้องเสี่ยงในทุก ๆ เรื่องเพราะว่าผมมี
สัดส่วนของความสำเร็จหรือล้มเหลว 50/50
ดังนั้นการมีโค้ชช่วยทำให้ผมมีมุมมองที่ดีขึ้น บางครั้งโค้ชก็ตั้งคำถามที่ทำให้ผมได้ทาง
เลือกที่สามที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน”
“แล้ววันนี้คุณดอนมีเรื่องอะไรที่ยุ่งยากใจอยู่ละครับ”
“โค้ชเกรียงศักดิ์ วันนี้ผมต้องตัดสินใจเลือกคนที่จะมาสืบทอดตำแหน่งผมแล้ว”
“เส้นตายคือเมื่อไรครับ”
“มีใครในใจบ้างครับ”
Page 20 of 161
“คุณเอ้ครับ แต่ว่า…”
“กังวลใจอะไรครับ”
“คุณบี้อาจจะลาออกหากทราบผลนะ”
“ทำไมครับ”
“เป็นเรื่องการเสียหน้านะครับ”
“จะป้องกันอย่างไรดีครับ”
“ผมไม่ทราบครับ ใครที่น่าจะทราบดีที่สุดครับ”
“อาจจะเป็นคุณเอ้นะ เพราะเขาสองคนสนิทกัน”
“คิดอะไรอยู่ครับ”
“ผมว่าผมจะคุยกับคุณเอ้ก่อนประกาศว่าเธอได้รับการคัดเลือก และอยากขอให้เธอคุยกับ
คุณบี้ก่อนประกาศว่าอยากให้คุณบี้ช่วยสนับสนุนเธอเพราะว่าเป็นเพื่อนกัน”
“โอเคครับคุณดอน คิดว่าแผนการนี้มีอะไรที่น่าห่วงไหมครับ”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง หน้าตาดูกังวล
ผมถาม “คุณดอนมีอะไรในใจครับ”
“วิธีนี้อาจจะทำลายความสัมพันธ์ที่คุณบี้มีต่อผม หากเธอมารู้ภายหลังเธออาจจะคิดว่าผม
พยายามทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ โดยที่ไม่จริงใจกับเธอ ในขณะเดียวกันคุณเอ้อาจจะรู้สึกว่าโดน
ผมหลอกใช้เธอ”
Page 21 of 161
“มีทางเลือกอะไรอีกครับ”
แล้วผมจะแจ้งผลให้ทราบเมื่อเขาคุยกันแล้ว”
“คุณดอน ขอผมท้าทายความคิดมากขึ้นไปอีกนิดได้ไหมครับ”
เขาพยักหน้า
“สมมติว่าหลังจากนั้นสักระยะหนึ่งคุณบี้เขามาลาออกละ”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง
“มีอะไรครับ”
“ผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน โค้ชมีความคิดอย่างไรครับ”
“คุณดอน ผมเคยเห็นตัวอย่างที่ดีเรื่องหนึ่งของผู้นำที่พลาดตำแหน่งสูงสุดและในเวลาต่อ
มากลับพบเส้นทางชีวิตที่แท้จริงของเขา เขาผู้นั้นคือ อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดี
สมัยคลินตัน เขาได้รับการเสนอชื่อจากพรรคเดโมแครตให้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีใน
ปีพ.ศ. 2543 และพลาดไม่ได้รับเลือก
Page 22 of 161
การทำงานเพื่อสังคมของเขา ได้รับความสำเร็จและได้รับการชื่นชมมากมายกว่าบทบาท
ทางการเมืองเสียอีก”
“โค้ชพูดมาทำให้ผมนึกถึงทางออกได้เลย ผมจะให้คุณบี้รับผิดชอบเพิ่มขึ้นในโครงการใหญ่
เกี่ยวกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทีแรกผมตั้งใจว่าจะเป็นเจ้าภาพงานนี้หลังเกษียณ แต่ผม
ว่าจะยกงานนี้ให้เธอเพราะเป็นงานใหญระดับโลกเลย
Page 23 of 161
สรุปท้ายบท
ผมเป็นคนที่กันเองดังนั้นสำนวนในหนังสือจึงออกมาในแนวที่เป็นการคุยกัน ผมได้แนะนำ
วิธีการอ่านไว้ด้วย โดยขอให้ท่านพยายามคิดว่าเรากำลังคุยกันอยู่ จะให้ดีต้องอ่านไปคิดไป
มีสมุดคอยบันทึกความคิดตนเองหรือคอยทำแบบฝึกหัดตามไปด้วย
พร้อมทั้งมีตัวอย่างบทสนทนาการโค้ชผู้บริหารสองเหตุการณ์คือ “การตระหนักรู้ในตนเอง
ของซีอีโอ” และ “วางแผนสร้างซีอีโอคนต่อไป” เพื่อให้ท่านที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเรื่องนี้ได้
มีพื้นความเข้าใจที่ตรงกัน
คำถามชวนคิดท้ายบท
1. โค้ชผู้บริหารคือเพื่อนชวนคิด ท่านคิดว่าแนวคิดแบบนี้เหมาะกับคนไทยเพียงใด
2. หลังจากท่านอ่านจบในบทนี้ ท่านคิดว่าตัวเองได้เปลี่ยนมุมมองไปในเรื่องอะไรบ้าง
หลังจากมีพื้นตรงกันเรื่องนิยามแล้ว ลำดับต่อไปเราจะเรียนรู้กันว่าทำไมผู้บริหารจึงควรจะ
มีโค้ช
Page 24 of 161
ทำไมผู้บริหารควรมีโค้ช
Page 25 of 161
หลังจากเราทราบนิยามและเห็นตัวอย่างการโค้ชผู้บริหารมาแล้ว บทนี้ราจะมาเรียนรู้กันว่า
“ทำไมผู้บริหารควรจะมีโค้ช” โดยเฉพาะหลาย ๆ คนที่เป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จอย่าง
สูงยังต้องมีโค้ชเลย
สิ่งหนึ่งที่คนทำได้ไม่ดีคือการมองตนเองอย่างเช่นคนอื่นมองเขา”
Page 26 of 161
นอกจากนี้ ผมยังมีข้อมูลจากรายงานวิจัยของ Korn Ferry Institute ที่มีชื่อว่า Coaching
for the 21st century ซึ่งได้อ้างถึงประโยชน์ต่าง ๆ จากหลายแหล่ง อาทิเช่น
96% ขององค์กรที่ใช้โค้ชเห็นพัฒนาการของโค้ชชี่
92% เห็นพัฒนาการเรื่องภาวะผู้นำและการจัดการ
60% ประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น
53% ความผูกพันพนักงานเพิ่มขึ้น
a. คนที่เก่งแล้วต้องการเก่งขึ้นไปอีก
b. คนที่ต้องการเตรียมตัวสำหรับระดับที่สูงขึ้น
c. Sounding Board
เราลองมาศึกษากันในรายละเอียดของแต่ละกลุ่มพร้อมทั้งเรียนรู้ตัวอย่างของแต่ละกรณี
ด้วยพร้อมๆกัน
Page 27 of 161
ก่อนจะอ่านตัวอย่าง ผมขอให้ภาพรวมของทั้งสามกรณีดังนี้ครับ
a. คนที่เก่งแล้วต้องการเก่งขึ้นไปอีก
b. คนที่ต้องการเตรียมตัวสำหรับระดับที่สูงขึ้น
ภิญโญผู้บริหารระดับสูงในระดับรองประธานฯ ของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ถูกวางตัวให้เป็น
หนึ่งใน 3 ผู้มีคุณสมบัติพร้อมที่จะเป็นซีอีโอกลุ่มในอนาคต เขาจึงจ้างโค้ชมาเพื่อช่วยเขา
เตรียมตัวให้พร้อมในปีแรก ปีต่อมาเขาขอย้ายไปเป็นซีอีโอบริษัทในเครือพร้อมทั้งจ้างโค้ช
คนเดิมมาโค้ชต่อ ผ่านไป 3 ปีเขาสมัครซีอีโอกลุ่มพร้อมรองประธานฯ ในระดับเดียวกันอีก
2 คน และได้รับการคัดเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์ เพราะความพร้อมส่วนตัวและการมีโค้ชชวน
เขาคิดมาเป็นระยะ ๆ
c. Sounding Board
มิสเตอร์ลีผู้บริหารชาวสิงคโปร์เห็นลูกน้องตัวเองผ่านการโค้ชแล้วเปลี่ยนแปลง เขาจึงสนใจ
จ้างโค้ชให้โค้ชเขา โดยเน้นที่ประเด็นการบริหารคนไทย ภาวะผู้นำ การบริหารนายชาว
อินเดีย และ Career Path ถึงเส้นทางว่าจะกลับไปประจำสิงคโปร์อย่างไรดี สามปีต่อมาเขา
ก็ได้รับการมอบหมายบทบาทสำคัญที่สิงคโปร์
ในหน้าถัดไปจะเป็นการขยายความของตัวอย่างแต่ละเรื่องครับ
Page 28 of 161
a. คนที่เก่งแล้วต้องการเก่งขึ้นไปอีก
เมื่อองค์กรของเธอสื่อสารให้ทราบว่าจะมีโค้ชผู้บริหารให้สำหรับคนสมัครใจเ็นโครงการ
นำร่อง ในผู้บริหารระดับเดียวกับเธอในประเทศไทย 10 คน 1 ใน 3 คนที่สมัครมีเธอด้วย
ในตอนค้นหาความต้องการ เธอแจ้งผมว่าเธอมีผู้จัดการที่ขึ้นตรงกับเธอซึ่งมีอายุมากกว่า
เธอคนหนึ่ง “พี่” คนนั้น ป็นคนที่ทำงานได้ดี รับผิดชอบ ตรงเวลา แต่ว่าไม่ยอมอาสา
ทำงานโครงการพิเศษต่าง ๆ เลย ซึ่งในขณะที่องค์กรของเธอนั้นมีงานโครงการที่ผู้จัดการ
ระดับเดียวกันกับ “พี่” รับผิดชอบอยู่คนละอย่างน้อย 1-2 โครงการ เธอไม่ทราบวิธีที่จะ
บริหาร “พี่” คนนี้
ภิญโญเป็นรองประธานฯ การตลาดของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีบริษัทในเครือ
20 บริษัท เขาได้รับการวางตัวให้เป็น 1 ใน 3 ของคนที่มีศักยภาพสูงระดับรองประธานฯ ที่
มีโอกาสได้เป็นซีอีโอของกลุ่มฯ ในอีก3 ปีข้างหน้า
ภิญโญต้องการมีโค้ชผู้บริหารเพื่อเตรียมตัวเขาให้พร้อมในอนาคต
1 ปีต่อมา ภิญโญขอย้ายไปเป็นซีอีโอบริษัทในเครือแห่งหนึ่งที่เป็นหน่วยธุรกิจที่สำคัญที่มี
ผลต่อยุทธ์ศาสตร์ในอนาคตของกลุ่มบริษัท และเขาเรียกใช้บริการโค้ชผู้บริหารกับผมอีก
ครั้ง เพื่อชวนเขาคิดให้มีความพร้อมในการบริหารในฐานะซีอีโอบริษัทในเครือ ในขณะ
เดียวกันก็เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการลงสมัครซีอีโอกลุ่มบริษัทฯต่อไปด้วย
Page 30 of 161
c. Sounding Board
ผมโค้ชเขาเป็นเวลา 2 ปี เมื่อครบวาระที่เขากำหนดไว้เขาก็ได้ย้ายกลับสิงคโปร์ไปดำรง
ตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบมากขึ้นในระดับภูมิภาค
Page 31 of 161
สรุปท้ายบท
a. คนที่เก่งแล้วต้องการเก่งขึ้นไปอีก
b. คนที่ต้องการเตรียมตัวสำหรับระดับที่สูงขึ้น
c. Sounding Board
คำถามชวนคิดท้ายบท
1. ทำไมคนที่ประสบความสำเร็จจึงมีโค้ช
2. สามเหตุผลจากประสบการณ์โค้ชเกรียงศักดิ์ ที่ผู้บริหารในประเทศไทยมีโค้ชคืออะไร
3. หากคุณเป็นผู้บริหาร คุณคิดว่าคุณควรมีโค้ชเพราะเหตุผลใด
หลังจากเราเข้าใจบริบทและเหตุผลว่าทำไมผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจึงมีโค้ช เราจะเรียน
รู้เรื่องขั้นตอนการโค้ชในบทต่อไป
Page 32 of 161
5 ขั้นตอนของการโค้ชผู้บริหาร
Page 33 of 161
ภาพรวมของการโค้ชผู้บริหารนั้น เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบกันก่อนตั้งแต่ก่อนจะเริ่ม
ทำการโค้ชเลยว่าศรศิลป์ระหว่าง “ว่าที่โค้ชชี่” และโค้ช ไปด้วยกันได้หรือไม่ก่อน ซึ่งเรียกว่า
Checking-Chemistry หลังจากนั้นโค้ชจะทำการประเมินศักยภาพ เรียกว่า Diagnosis
แล้วจึงออกแบบการโค้ช หรือ Design เมื่อออกแบบเสร็จจึงเริ่มขั้นตอนการสนทนาการโค้ช
คือ Dialogue สุดท้ายโค้ชชี่ก็จะจบการโค้ชโดยบรรลุเป้าหมายของการโค้ชหรือ
Destination
ซึ่งภาพรวมของทุกขั้นตอนเป็นดังนี้ครับ
2. การประเมินศักยภาพ (Diagnosis)
3. การออกแบบการโค้ช (Design)
4. การสนทนาการโค้ช (Dialogue)
5. บรรลุเป้าหมายของการโค้ช (Destination)
Page 34 of 161
1. ตรวจทานศรศิลป์ (Checking- Chemistry)
Page 35 of 161
คือการตรวจทานศรศิลป์ว่าไปด้วยกันได้ไหม เป็นการพบกันแบบไม่เป็นทางการระหว่างโค้ช
และ “ว่าที่โค้ชชี่” โดยใช้เวลาประมาณ 45-90 นาที เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายศึกษาซึ่งกันและกันว่า
ถูกจริตกันมากน้อยเพียงใด เพราะการโค้ชนั้นเป็นการพูดคุยของคนสองคนที่ต้องมาเจอ
กันถึง 12 ครั้งใน 6 เดือน หากเข้ากันไม่ได้ก็จะอึดอัดด้วยกันทั้งสองฝ่าย หลังจากการพบ
กันแล้ว “ว่าที่โค้ชชี่” จะบอกกับคนที่ประสานงานเรื่องนี้ภายในองค์กรของเขาว่า “เขารู้สึก
อย่างไรกับโค้ช” หากเขาคิดว่าไม่น่าเวิร์คกันได้ก็อาจจะหาทางนัดคุยกับโค้ชท่านอื่น ๆ ต่อไป
สําหรับเรื่องที่คุยกันอาจจะเป็นเรื่อง ประวัติของทั้งคู่ สิ่งที่โค้ชชี่มองหา การโค้ชทําอย่างไร
บทบาทหน้าที่ของโค้ชและโค้ชชี่ ผลลัพธ์ที่ต้องการ รูปแบบการโค้ชเช่นการใช้คําถามให้โค้ช
ชี่คิดหาคําตอบด้วยตนเอง ฯลฯ
Page 36 of 161
โดยสรุป Checking- Chemistry ขอให้คำนึงถึงจริตของทั้งคู่ประกอบกับสถานการณ์และ
บริบทของ “ว่าที่โค้ชชี่” แต่ละรายครับ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ซึ่งเรื่องไม่มีสูตรฯ นี้เราจะ
ประยุกต์ใช้ตลอดกระบวนการโค้ชเลยครับเพราะเป็นเรื่องการพัฒนารายบุคคลจริง ๆ
สำหรับแนวทางคำถามที่โค้ชใช้ในการพบกันในขั้นตอนนี้เช่น
1. ช่วยเล่าประวัติเรื่องงานคร่าว ๆ ให้ฟังหน่อยครับ
2. ช่วงไหนของชีวิตที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ปัจจัยอะไรบ้างที่มีส่วนทำให้สำเร็จ
3. คาดหวังอะไรจากการมีโค้ช
5. มีค่านิยมอย่างไรในชีวิตครับ
Page 37 of 161
อย่างไรก็ตามในขั้นตอน Checking- Chemistry นั้นแม้ว่าทั้งสองฝ่ายอาจจะไปด้วยกันได้ดี
ในตอนเริ่มต้น แต่ว่าในระหว่างทางก็เป็นไปได้ว่า “เคมีอาจจะเริ่มไม่ตรงกันได้” ดังนั้นโค้ช
ควรทำการตรวจสอบและประเมินตนเองตลอดเวลา หลักการคือทุกครั้งที่จบการสนทนากับ
โค้ชชี่ให้ถามตัวเองว่า “เราคิดว่าระดับของความเข้ากันได้เป็นอย่างไร” มันดีขึ้น แย่ลง หรือ
คงเดิมเมื่อเทียบกับการพบกันครั้งแรก หากโค้ชคิดว่าระดับมันลดลงโค้ชควรหาทางปรับ
ตัวให้ระดับความเข้ากันได้เหมือนเดิมกหรือดีขึ้นดีขึ้นต่อไป
1. ปัญหาในชีวิตของเขานั้นเขามีส่วนนำมันเข้ามาไม่มากก็น้อย หากเขายอมรับตรรกนี้ได้
เขาก็จะเป็นคนที่รับผิดชอบจัดการแก้ไขปัญหาของตัวเองได้สำเร็จ
2. ไม่มีใครเปลี่ยนคนที่ไม่อยากเปลี่ยนได้ แม้ว่าเขาตระหนักว่าปัญหานี้เขานำมันเข้ามาใน
ชีวิตก็ตาม แต่หากเขาไม่อยากเปลี่ยนก็ไม่มีใครจะมาเปลี่ยนเขาได้ ดังนั้นเขาต้องมีความ
ชัดเจนที่สุดว่าแรงจูงใจอะไรที่จะทำให้เขาเปลี่ยนแปลง “อะไรคือผลดีที่ควรค่าจะเปลี่ยน”
หรือ “อะไรคือผลเสียที่มันมีน้ำหนักมากพอที่จะต้องเปลี่ยน” มิฉะนั้นแล้วก็ยากที่เขาจะ
เปลี่ยนแปลงตนเองได้หากแรงจูงใจไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
1. การนัดหมายควรจะเป็นอย่างไร
3. การนัดหมายล่วงหน้าควรจะเป็นอย่างไร
4. หากจำเป็นต้องเลื่อน/ยกเลิก มีค่าใช้จ่ายอย่างไร
5. ปัญหาที่อาจจะเกิดบ่อยๆมีอะไรอีกบ้างที่ควรคำนึงถึง
Page 38 of 161
สรุปท้ายบท
การตรวจทานศรศิลป์ว่าไปด้วยกันได้ไหม เป็นการพบกันแบบไม่เป็นทางการระหว่างโค้ชและ
“ว่าที่โค้ชชี่” โดยใช้เวลาประมาณ 45-90 นาที
a. การประชุมที่สำนักงานของ “ว่าที่โค้ชชี่”
b. เป็นการพบกันนอกสถานที่
c. เป็นการนัดทานข้าวกลางวันกัน
1. ปัญหาในชีวิตของเขานั้นเขามีส่วนนำมันเข้ามาไม่มากก็น้อย หากเขายอมรับตรรกนี้ได้
เขาก็จะเป็นคนที่รับผิดชอบจัดการแก้ไขปัญหาของตัวเองได้สำเร็จ
2. ไม่มีใครเปลี่ยนคนที่ไม่อยากเปลี่ยนได้ แม้ว่าเขาตระหนักว่าปัญหานี้เขานำมันเข้ามาใน
ชีวิตก็ตาม แต่หากเขาไม่อยากเปลี่ยนก็ไม่มีใครจะมาเปลี่ยนเขาได้ ดังนั้นเขาต้องมีความ
ชัดเจนที่สุดว่าแรงจูงใจอะไรที่จะทำให้เขาเปลี่ยนแปลง “อะไรคือผลดีที่ควรค่าจะเปลี่ยน”
หรือ “อะไรคือผลเสียที่มันมีน้ำหนักมากพอที่จะต้องเปลี่ยน” มิฉะนั้นแล้วก็ยากที่เขาจะ
เปลี่ยนแปลงตนเองได้หากแรงจูงใจไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
นอกจากนี้ควรมีการหารือตกลงกันในรายละเอียดเกี่ยวกับการประสานงานและงานธุรการ
ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย เพราะว่าองค์กรและคนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่เข้าใจลักษณะของการโค้ช
ดีเพียงพอ
Page 39 of 161
คำถามชวนคิดท้ายบท
1. เกณฑ์ที่เราควรเลือกใช้วิธีการการตรวจทานศรศิลป์คืออะไรบ้าง
2. หากศรศิลป์ไม่ตรงกันจะดำเนินการอย่างไร
3. หากคุณเป็นผู้บริหาร คุณคิดว่าคุณจะประยุกต์ใช้การตรวจทานศรศิลป์กับลูกน้องคุณ
ได้อย่างไร
หลังจากเราเข้าใจบริบทและเหตุผลว่าทำไมผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจึงมีโค้ช เราจะเรียน
รู้เรื่อง การประเมินศักยภาพ (Diagnosis) ในนบทต่อไปกันครับ
Page 40 of 161
2. การประเมินศักยภาพ (Diagnosis)
Page 41 of 161
ก่อนจะลงมือโค้ช โค้ชและโค้ชชี่ต้องเข้าใจและตระหนักถึงศักยภาพของโค้ชชี่ก่อน ซึ่งมี
เครื่องมือสำคัญสองตัวคือ
Page 42 of 161
แบบประเมินศักยภาพ StrengthsFinder ของ Gallup
คุณสามารถจะทำแบบสอบถามได้ 3 วิธีคือ
SF ทำให้โค้ชชี่ตระหนักในศักยภาพของตนเอง และยังช่วยให้โค้ชเข้าใจจริตของโค้ชชี่มากขึ้น
ด้วย เมื่อโค้ชชี่ทำแบบสอบถามแล้ว โดยปกติโค้ชจะใช้การคุยกันครั้งแรกสนทนาเรื่อง SF
กัน ซึ่งเราจะคุยกันอีกทีเมื่อถึงตอนนั้น
Page 43 of 161
การสัมภาษณ์ 360 องศา
- ผู้บังคับบัญชาสายตรง 1 คน
- ผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงอีก 3 คน
หลังจากจบการสัมภาษณ์ ข้อมูลที่ได้จะถูกนำไปประมวลเป็นรายงานเพื่อนำเสนอต่อว่าที่
โค้ชชี่
โดยมีวัตถุประสงค์ในการสัมภาษณ์เพื่อ
1. ประเมินศักยภาพในปจัจุบันของผู้บริหาร
2. เป็นกรอบกำหนดประเด็นในการโค้ช
1. การวางแผน
2. การสัมภาษณ์
3. การประมวลผล
4. การให้ข้อมูลย้อนกลับ
Page 44 of 161
1. การวางแผน
ในขั้นตอนนี้มีประเด็นสำคัญหลัก ๆ คือ
1.1 สื่อสารให้คนที่เกี่ยวข้องเข้าใจกระบวนการ
Page 45 of 161
ตัวอย่างของ “ใบปะหน้าสำหรับสื่อสารเรื่อง การสัมภาษณ์ 360 องศา”
Page 46 of 161
โดยมีแนวคำถามสำหรับ การสัมภาษณ์ 360 องศา ดังต่อไปนี้
1. คุณรู้สึกอย่างไรในการทำงานร่วมกับคุณ....
* 6. คุณเรียนรู้อะไรบ้างจากการทำงานกับคุณ.... และมีอะไรอีกที่คุณปรารถนาจะเรียนรู้จากเขา
——————————————————————————————————
Page 47 of 161
1.2 แนวทางคัดเลือกผู้ถูกสัมภาษณ์
แล้วใครควรจะเป็นผู้ให้ข้อมูลบ้าง
คนที่ให้ข้อมูลควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ
- ติดต่อปฎิสัมพันธ์กับโค้ชชี่พอสมควร โดยควรทำงานร่วมกับโค้ชชี่ไม่ต่ำกว่าหกเดือน
- มีวุฒิภาวะเหมาะสม
- เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากพฤติกรรมของโค้ชชี่
1.3 งานธุรการต่าง ๆ
a. สื่อสารให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์
Page 48 of 161
c. การประสานงานเรื่อง เวลา สถานที่ ลำดับการนัดหมาย รวมทั้งการสลับสับเปลี่ยน
ระหว่างผู้ให้สัมภาษณ์กันเอง
ควรขอใบลักษณะคำบรรยายงานของโค้ชชี่และผู้ถูกสัมภาษณ์แต่ละคนเพื่อนำมาเตรียมตัว
ทำความเข้าใจในบริบทของงานของโค้ชชี่และผูถูกสัมภาษณ์แต่ละคน
Page 49 of 161
2. การสัมภาษณ์
2.1 Ice-breaking
2.2 การสัมภาษณ์
2.1 Ice-breaking
ในการสัมภาษณ์ 360 องศาฯ นั้น เป็นความท้าทายที่ผู้สัมภาษณ์ซึ่งในกรณีของผมผมจะ
เป็นผู้ทำการสัมภาษณ์เองทุกกรณีโดยมีเลขาฯส่วนตัวผมทำหน้าที่บันทึกข้อมูล และผมเป็น
ผู้ถาม
โดยปกติ วิธีที่ผมช่วยให้เขาผ่อนคลายเช่น
2.1.1 เริ่มตรงเวลา
Page 50 of 161
2.2 การสัมภาษณ์
หากผมเห็นว่าเขาเข้าใจคำถามก็จะปล่อยให้เขาพูดต่อไป ตอนนี้ก็ใช้ทักษะการฟังด้วยความ
ตั้งใจเต็มที่
อย่างไรก็ตามหากผมสังเเกตเห็นว่าเขามีท่าทีไม่แน่ใจในคำถามซึ่งเราต้องสังเกตจากสีหน้า
ท่าทาง ผมอาจจะขยายความว่า “สมมติว่าคุณไปเจอเพื่อนนักเรียนในงานเลี้ยงรุ่น ซึ่งไม่
เคยเจอกันมากว่า 10 ปี แล้วเพื่อนก็ถามคุณว่าเดี๋ยวนี้ทำงานที่ไหน คุณก็ตอบสถานที่
ทำงานไป แล้วเขาก็ถามต่อว่า “หัวหน้า (โค้ชชี่) ที่คุณทำงานด้วยเป็นอย่างไรบ้าง” คุณจะ
ตอบเขาว่าอย่างไร แล้วลองสังเกตปฎิกิริยาเขาดู คนส่วนใหญ่จะตอบได้เมื่อเรามีคำอธิบาย
ทั้งนี้เทคนิคการถามและการฟัง ขอให้ศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องทักษะที่ใช้ในระหว่างการโค้ช
Page 52 of 161
3. การประมวลผล
สำหรับแนวทางในการประมวลข้อมูลคือ
หัวหน้าบอกว่า “ธันวาเป็นคนที่สื่อสารชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร”
เพื่อนร่วมงานบอก “ธันวาพูด Clear เรารู้ว่าเขาต้องการอะไรโดยไม่ต้องถามเพื่อ Clarify”
ลูกน้องบอกว่า “พี่ธันวาสื่อสารดี เรารู้ว่าเราต้องทำอะไร”
ในรายงานสรุป: เป็นคนที่สื่อสารชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร จำนวนความถี่ = 3
โดยที่หน้าตาของรายงานจะมีตัวอย่างให้เห็นในหน้าถัดไป
Page 53 of 161
ตัวอย่างรายงานผลการรวบรวมข้อมูล 360 องศา
คุณธันวา กล้าหาญ
รายงานผลการรวบรวมข้อมูล 360 องศา
จัดเตรียมโดย TheCoach
14 กันยายน 2558
Page 54 of 161
บทสรุปผลสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูล 6 ท่าน ในช่วง 15-31 ส.ค. 2558
1. คุณรู้สึกอย่างไรเวลาที่ทำงานร่วมกับคุณธันวา
รายละเอียด ความถี่
ทำงานด้วยง่าย 3
เป็นคนมีเมตตา ใจดี 2
2. คุณธันวาทำอะไรบ้างที่ทำให้คุณทำงานได้ดีขึ้น
รายละเอียด ความถี่
เป็นคนที่สื่อสารชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร 3
ให้โอกาสในการคิด และทำงานกับคนรอบข้าง 3
ต้องเตรียมตัวให้ดี ต้องศึกษาให้พร้อมก่อนเข้าพบ 2
3. คุณธันวาทำอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคในการทำงานของคุณ
รายละเอียด ความถี่
ไม่กล้าตัดสินใจในกรณีที่มีความคลุมเครือ 4
มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดบ่อย ๆ 2
บางครั้งดูเงียบทำให้คาดเดาไม่ออกว่าต้องการอะไร 2
4. คุณปรารถนาจะได้อะไรจากคุณธันวาแต่ยังไม่ได้รับ
รายละเอียด ความถี่
เปิดรับฟังความเห็นที่แตกต่างมากขึ้น 4
อยากให้บอกว่าต้องการอะไรดีกว่าเงียบ 2
Page 55 of 161
5. คุณธันวาควรจะ ทำต่อ / หยุด / เริ่ม ในเรื่องใดบ้าง ที่จะทำให้คุณทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
รายละเอียด ความถี่
ควรรักษาใว้ – จุดแข็ง
ผลักดันงานให้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง 2
ให้เกียรติ และให้อิสระในการทำงาน 2
สิ่งที่อยากให้เริ่มทำ
วางแผนยุทธ์ศาสตร์ให้มีหลากหลายทางเลือกมากขึ้น 2
สิ่งที่อยากให้หยุดทำ
เงียบแบบที่ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร 2
* 6. คุณเรียนรู้อะไรบ้างจากการทำงานกับคุณธันวา และมีอะไรอีกที่คุณปรารถนาจะเรียนรู้จากเขา
รายละเอียด ความถี่
การเคลื่อนนโยบาย การมองยุทธศาสตร์ภาพรวมในการทำงาน 3
การทำงานกับผู้ใหญ่ และหน่วยงานอื่น ๆ 2
สิ่งที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม
ระบบการคิด กระบวนการในการทำงาน 3
* 7. คุณได้รับการสนับสนุนให้ประสบความสำเร็จและก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดจากคุณธันวา หากมีเขาทำอย่างไร
หากยังไม่มีจะเสนอแนะอะไร
รายละเอียด ความถี่
ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี 4
——————————————————————————————————
Page 56 of 161
4. การให้ข้อมูลย้อนกลับ
4.1 แนะนำหัวข้อและกติกา
4.2 Ice-breaking
4.4 นำเสนอรายงาน
4.5 ตกลงประเด็นการโค้ช
ลองดูตัวอย่างแนวทางการเตรียมตัวในหน้าถัดไปกันครับ
Page 57 of 161
แนวทางการเตรียมตัวนำเสนอรายงานผล 360 องศา
นาที หัวข้อ
5 Ice breaking:
15 นำเสนอรายงาน
25 Discussion
“จาก Career path และ รายงาน 360 องศา คิดว่าอยากใช้การโค้ชกับเรื่องใดบ้าง ระบุ
3-4 เรื่อง”
“จัดลำดับความสำคัญ”
“วางแผนการโค้ช”
Page 58 of 161
เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันในเรื่องที่จะดำเนินการโค้ชได้ ก็ไปว่ากันต่อในขั้นตอนต่อไป
ในกรณีที่ตกลงเรื่องหัวข้อได้ เราทั้งสองคนจะร่วมกันดำเนินการขั้นตอนต่อไปคือการ
ออกแบบการโค้ช หรือ design
Page 59 of 161
สรุปท้ายบท
การประเมินศักยภาพ คือการที่โค้ชและโค้ชชี่ต้องเข้าใจและตระหนักถึงศักยภาพของโค้ชชี่
ก่อนลงมือโค้ช ซึ่งมีเครื่องมือสำคัญสองตัวคือ
ในการสัมภาษณ์เราได้เรียนรู้หลักการและแนวทางในการถามมากพอสมควร
หลังการสัมภาษณ์แล้ว ข้อมูลที่ได้จะถูกนำไปประมวลเป็นรายงานเพื่อนำเสนอต่อว่าที่โค้ชชี่
ซึ่งเราได้เห็นเทคนิคการประมวลผลตลอดจนตัวอย่างรายงานแล้ว
ซึ่งหลังจากนำเสนอรายงานจบแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของโค้ชชี่ว่าเขาเลือกจะทำอย่างไรโดยมี
สามทางเลือกคือ
1. ดำเนินการโค้ชโดยโค้ชคนเดิม
2. ดำเนินการโค้ชโดยขอเปลี่ยนโค้ช
3. ขอกลับไปคิดก่อน
Page 60 of 161
คำถามชวนคิดท้ายบท
1. ทำไมเราต้องประเมินศักยภาพของโค้ชชี่ก่อน
หลังจากเราเข้าใจเรื่องการประเมินศักยภาพก่อนลงมือโค้ชแล้ว เราจะมาเรียนรู้เรื่องการ
ออกแบบการโค้ช (Design) กันในนบทต่อไปกันครับ
Page 61 of 161
3. การออกแบบการโค้ช (Design)
Page 62 of 161
การโค้ชผู้บริหารคือการบริการแบบ “รายบุคคล” เสมือนการตัดเย็บเสื้อผ้าจากร้านเทเลอร์
(Tailor) ดังนั้นการออกแบบจึงมีลักษณะที่พยายามดูให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลไป
โดยปกติการออกแบบการโค้ชในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่องดังต่อไปนี้
1. จำนวนการพบกันควรจะเป็นกี่ครั้งดี
2. ความถี่ในตอนเริ่มต้นควรเป็นอย่างไร
3. ความถี่หลังช่วงเริ่มต้นควรจะเป็นอย่างไร
4. เวลานัดหมายกันควรจะทำอย่างไร
5. กติกาที่ทั้งสองฝ่ายควรตกลงกันมีอะไรบ้าง
ทั้งนี้ปัจจัยในการพิจารณาคือ
- หัวข้อที่ต้องการโค้ช
- เวลาของทั้งสองฝ่าย
- บริบทรอบ ๆ ตัวของโค้ชชี่
Page 63 of 161
เวลานัดหมาย อาจจะตกลงกันว่า จะนัดกันเองโดยตรง นัดผ่านเลขาฯทั้งสองฝ่าย และ
- นัดยาวเลยจนครบ
- นัดล่วงหน้า 3 ครั้ง
- ตามแต่จะตกลงกัน
สำหรับกติกานั้น โดยทั่วไปผมจะมีไว้เริ่มต้นเช่น
- ทุกอย่างที่คุยกันเป็นความลับ
- ผมจะพยายามระวังไม่ตัดสินโค้ชชี่ หากผมทำเมื่อใดให้เขาเตือนผมด้วย
- ความสำเร็จของโค้ชชี่ที่ได้มาส่วนใหญ่แล้วมาจากตัวเขาเอง ในส่วนของปัญหาในงาน/
ปัญหาในชีวิต ของเขา เขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุเช่นกัน หากเขาตกลงในตรรกนี้
การหาทางออกจากปัญหาก็เป็นหน้าที่ของเขาไม่ใช่หน้าที่ของโค้ช
Page 64 of 161
สรุปท้ายบท
คำถามชวนคิดท้ายบท
1. ทำไมเราไม่ใช้แนวทางในการโค้ชแบบเดียวกันกับทุก ๆ คน แทนที่จะมาเสียเวลาออกแบบ
ให้เป็นรายบุคคล
2. การตกลงกติกานั้นเราสามารถนำไปประยุกต์ในการทำงานร่วมกับลูกน้องเราแต่ละคนได้
อย่างไรบ้าง
หลังจากเราเข้าใจเรื่องการออกแบบแล้ว เราจะมาเรียนรู้เรื่องการสนทนาการโค้ช
(Dialogue) กันในนบทต่อไปกันครับ
Page 65 of 161
4. การสนทนาการโค้ช (Dialogue)
Page 66 of 161
ในการสนทนากันนั้นสิ่งที่โค้ชและโค้ชชี่คุยกันนั้นคือเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้าง
ภาวะผู้นำคือกิจกรรมที่ผู้นำใช้เพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปสู่วิสัยทัศน์ผ่านกลุ่มคนในองค์กร
ดังนั้นคำว่าภาวะผู้นำน่าจะครอบคลุมสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
2. การแปลงสิ่งที่กล่าวมาเป็นแผนงาน
3. การขับเคลื่อนแผนงานไปสู่การปฎิบัติ
4. การบริหารการเปลี่ยนแปลง
ในแต่ละเรื่องผู้นำต้องใช้ภาวะผู้นำเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลคือ
2. การแปลงสิ่งที่กล่าวมาเป็นแผนงาน
ผู้นำใช้การเขียน และการพูด
3. การขับเคลื่อนแผนงานไปสู่การปฎิบัติ
ผู้นำใช้การพูด การเขียน การโน้มน้าว การสร้างแรงบันดาลใจ การจูงใจ และการต่อรอง
4. การบริหารการเปลี่ยนแปลง
ผู้นำใช้ การสังเกต การฟัง การพูด การเขียน การโน้มน้าว การสร้างแรงบันดาลใจ การ
จูงใจ การเจรจาต่อรอง และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
Page 67 of 161
บทบาทของโค้ชในการคุยกันนั้น โค้ชมีหน้าที่หลักคือทำให้โค้ชชี่เกิดความตระหนักรู้เกี่ยวกับ
ตัวเขาเองให้มากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้รับผิดชอบในการบริหารจัดการตัวเอง
และเรื่องราวที่คุยกันมันก็มักจะวนเวียนเกี่ยวกับบริบทของภาวะผู้นำที่เราเพิ่งกล่าวกันมา
ครับ
1. การสังเกต
2. การฟัง
3. การถาม
4. การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
5. การให้คำแนะนำ
6. การมอบหมายกิจกรรมให้ฝึกปฎิบัติ
แล้วจึงเรียนทักษะที่โค้ชใช้ในระหว่างการโค้ชในแต่ละเรื่อง
เรามาเริ่มกันที่ตัวอย่างเลยครับ โดยที่ผมขอยกตัวอย่างคุณธันวาละกัน
Page 68 of 161
ตัวอย่างบทสนทนา: การโค้ชครั้งแรก
Page 69 of 161
p.9 “โอเคครับ ถ้างั้นเรามาเริ่มกันที่หน้า 236 วิธีบริหารคนที่แกร่งด้านความสำคัญ
(Significance) ใน Bullet point ประเด็นแรกเขาเขียนว่าอะไรครับ”
p.11 “คุณธันวาคิดว่าคำพูดนี้ตรงกับคุณเพียงใดครับ”
p.12 “ตรงมากเลยโค้ช”
Page 70 of 161
p.16 ผมพูดต่อ “คุณธันวาครับ วันนี้เรายุติกันแค่นี้ก่อนละกันครับ เดี๋ยวผมจะมอบหมาย
กิจกรรมให้ทำในระหว่างสองสัปดาห์ที่เราไม่เจอกัน เป็นกิจกรรมง่าย ๆ ครับ แต่ว่าตอนนี้
ผมอยากขอ Feedback หน่อยครับ พอมีเวลาอีกสองสามนาทีไหมครับ”
p.18 “คุณธันวาช่วยสรุปประเด็นหน่อยครับว่าวันนี้เราคุยอะไรกันไปบ้างครับ”
Page 71 of 161
แบบฝึกหัด: ระบุทักษะที่โค้ชใช้จากกรณีศึกษา
โปรดระบุว่าโค้ชใช้ทักษะอะไรบ้าง และยกตัวอย่างประกอบตามตารางที่ให้
การสรุปการคุยกันครั้งก่อน p.1
Page 72 of 161
เฉลยแบบฝึกหัด: ระบุทักษะที่โค้ชใช้จากกรณีศึกษา
การสรุปการคุยกันครั้งก่อน p.1
ตกลงกติกา p.3
กำหนดประเด็นการสนทนา p.5
การปรับตัวให้เข้ากับคู่สนทนา p.7
หากคุณประเมินออกมาแล้วระบุคำตอบได้ถูกต้องน้อยเกินไป
1. ลองสังเกตดูว่าเป็นทักษะใด
2. ลองกลับไปอ่านตัวอย่างนี้ใหม่
Page 73 of 161
เราได้ลองเห็นตัวอย่างการประยุกต์ใช้ทักษะมาแล้ว คราวนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าในการสนทนา
การโค้ช (Dialogue) นั้น เราใช้ทักษะดังต่อไปนี้คือ
1. การสังเกต
2. การฟัง
3. การถาม
4. การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
5. การให้คำแนะนำ
6. การมอบหมายกิจกรรมให้ฝึกปฎิบัติ
เรามาเริ่มเรียนรู้กันทีละเรื่อง โดยเริ่มที่การสังเกตกันเลยครับ
Page 74 of 161
การสนทนาการโค้ช (Dialogue): การสังเกต
คือ การที่โค้ชใช้สายตาและหูเฝ้าดูและฟังโค้ชชี่ในระหว่างการสนทนา
วิธีการ
2. ระวังอย่าเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐาน
Page 75 of 161
เทคนิคเพิ่มเติมในเรื่องการสังเกตระหว่างการโค้ช
1. สิ่งที่เราทำได้ดีในเรื่องการสังเกตในระหว่างการสนทนาการโค้ชครั้งนี้มีอะไรบ้าง
3. สิ่งที่เราทำพลาดลงไปในเรื่องการสังเกตคืออะไรบ้าง
ทักษะสำคัญสองทักษะซึ่งทำให้โค้ชมืออาชีพแตกต่างจากโค้ชมือสมัครเล่นคือทักษะะการฟัง
และการถาม เราจะมาเริ่มต้นด้วยทักษะการฟังในลำดับถัดไปครับ
Page 76 of 161
การสนทนาการโค้ช (Dialogue): การฟัง
เพื่อ ให้เข้าใจให้ได้มากที่สุดว่าสิ่งที่โค้ชชี่ต้องการสื่อสารออกมาคืออะไรทั้งเนื้อหาและความ
รู้สึก ซึ่งประโยชน์สุดท้ายคือทำให้โค้ชสามารถชวนโค้ชชี่คิดได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
วิธีการ
1. ความเชื่อพื้นฐานก่อนฟัง
2. สิ่งที่ควรเตรียมตัวก่อนการฟัง
3. สิ่งที่ควรทำระหว่างการฟัง
4. สิ่งที่ควรทำหลังการฟัง
Page 77 of 161
1. ความเชื่อพื้นฐานก่อนฟัง
ทักษะการฟังเป็นพฤติกรรม หากเรามุ่งเน้นแต่จะฝึกพฤติกรรมโดยที่เราไม่เข้าใจพื้นฐาน
หรือปรัชญาเบื้องหลังการฟังที่ดีแล้วก็เสมือนเป็นนักร้องเพลงคาราโอเกะที่ร้องและทำท่า
ทางแต่ยังไม่ “In” (“อิน”) ไปกับเพลง
Page 78 of 161
เมื่อมีความเชื่อที่ถูกต้องแล้ว เรามาเรียนรู้ สิ่งที่ควรเตรียมตัวก่อนการฟัง กันครับ
2. สิ่งที่ควรเตรียมตัวก่อนการฟัง
สิ่งที่ควรเตรียมตัวก่อนการฟัง
Page 79 of 161
3. สิ่งที่ควรทำระหว่างการฟัง
Page 80 of 161
3.7 การใ้ช้คำพูดตอบรับสั้น ๆ เช่น “ครับ” “ค่ะ” ช่วยให้เขาพูดต่อเนื่องเพราะรู้ว่าเรากำลัง
ฟังเขาอยู่
อีกลักษณะหนึ่งคือกล่าวทวนในลักษณะสะท้อนความรู้สึก ตัวอย่างเดียวกันของคุณธันวา
นั้น หากโค้ชจะกล่าวทวนสะท้อนความรู้สึกจะพูดว่า “เมื่อวานนี้ในที่ประชุม คุณธันวา
หงุดหงิดกับคุณเล็กมากเลย” และหากว่าโค้ชชี่เกิดทักท้วงมาว่า “ไม่ใช่ครับ ผมไม่ได้
หงุดหงิดเล็ก ผมหงุดหงิดตัวเองว่าไม่น่าจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับเล็กเขาเพราะว่าเป็น
ธรรมชาติของเขาแบบนี้เขาเป็นมานานแล้ว เราเองต่างหากที่เข้าใจเรื่อง Common Sense
ใหม่แล้วรู้สึกหงุดหงิดตนเองขึ้นมานะครับ”
Page 82 of 161
4. สิ่งที่ควรทำหลังการฟัง
แบ่งเป็นสองช่วงคือ
4.2.1 สิ่งที่เราทำได้ดีในการฟังคืออะไรบ้าง
4.2.2 ถ้าให้เลือกหนึ่งเรื่องที่เราทำได้ดีมาพัฒนาจะเป็นเรื่องใด
4.2.4 เรื่องไหนที่เราทำพลาดบ้าง
Page 83 of 161
ถึงจุดนี้ เราน่าจะพัฒนาทักษะการฟังได้ดีระดับหนึ่ง เราจะมาเรียนรู้กันว่า เมื่อเราฟังจบ
แล้ว เราจะทำอย่างไรต่อในขั้นตอนของ 4-I Model
Page 84 of 161
4-I Model
คือ ทางเลือกที่โค้ชจะเลือกใช้ในการโค้ชหลังจากที่โค้ชได้รับฟังข้อมูลจากโค้ชชี่มาพอ
สมควร
เพื่อ หาทางช่วยโค้ชชี่ให้ขยับไปข้างหน้าจากจุดที่เขาติดอยู่
วิธีการ
2. เลือกใช้แต่ละ I ตามสถานการณ์
Page 85 of 161
1. รอจังหวะการโค้ช (Coachable Moment)
เพื่อ ทำให้การโค้ชชี่เดินไปข้างหน้า
โดยการถามตัวเองในใจว่า
1. ในสายตาของโค้ชชี่เขาคิดว่าโค้ชมีความสามรถเพียงใด
2. ในสายตาของโค้ชชี่เขาคิดว่าโค้ชแคร์เขามากเพียงใด
Page 86 of 161
แต่ผมใช้ประสบการณ์นั้น ๆ มาใช้เพื่อหาทางทำให้สัดส่วนมันน้อยลง ทุกวันนี้ผมคิดว่า 1/3
ผมก็ยังพลาดเรื่อง Trust อยู่
ดังนั้นหากคุณพบอุปสรรคเรื่องนี้ในตอนทำงานโค้ชใหม่ ๆ ก็เป็นเรื่องปกติครับ
Page 87 of 161
2. เลือกใช้แต่ละ I ตามสถานการณ์
- Instruct การสอน
- Inspire บันดาลใจ
- Inquire ถาม
เราลองมาดูในแต่ละ I กัน
Page 88 of 161
Instruct
Inspire
Inquire
Page 90 of 161
ตัวอย่าง การประยุกต์ใช้ Instruct, Inspire และ Inquire
ในที่ประชุมสำคัญครั้งหนึ่ง ทีมงานทั้งสองทีมรวมทั้งหัวหน้าทีมเข้าประชุมร่วมกับผู้อำนวย
การฝ่าย (ผอ.)
มุกดาชี้แจงกับผอ.ในที่ประชุมว่ารายงานที่ตนส่งนั้นถูกต้องแต่นารีดูผิดเอง
เนื่องจากนารีเป็นคนที่ไม่ชอบการโต้แย้งในที่ประชุมจึงไม่ได้คัดค้านแม้รู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก
ก็ตาม
วันต่อมา นารีจึงมาหารือกับเล็กหัวหน้าทีม
Page 91 of 161
หากเล็กต้องการโค้ชแบบ Instruct เธอจะบอกว่า
ตกค่ำทั้งสององค์ได้พักค้างแรมในวัดร้างแห่งหนึ่ง พระหนุ่มยังติดใจอยู่จึงโพล่งออกไป
ด้วยท่าทีที่ไม่พอใจอย่างยิ่งว่า “ท่านทำไมทำผิดศีลเมื่อตอนบ่าย”
Page 92 of 161
สรุปท้ายบท
เพื่อ ให้เข้าใจให้ได้มากที่สุดว่าสิ่งที่โค้ชชี่ต้องการสื่อสารออกมาคืออะไรทั้งเนื้อหาและความ
รู้สึก ซึ่งประโยชน์สุดท้ายคือทำให้โค้ชสามารถชวนโค้ชชี่คิดได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
วิธีการ
1. ความเชื่อพื้นฐานก่อนฟังสำคัญมากเพราะมันจะส่งผลต่อพฤติกรรมในการฟังของเราว่า
เราจะฟังแบบ “ผ่าน ๆ” หรือเพื่อให้เข้าใจ ความเชื่อที่เราควรมีคือ เราต้องเชื่อว่าการฟังคือ
การให้เกียรติสูงสุด ฟังเพื่อเข้าใจให้มากที่สุดเพื่อจะได้ช่วยเขาได้ ผู้พูดสื่อออกมาไม่ได้เท่าที่
คิด ฟังเพื่อเรียนรู้ คนเรามีแบบแผนความคิดต่างกัน และคนส่วนใหญ่มีความคิดที่ยังไม่
ชัดเจนในระหว่างการสนทนากับโค้ช ความเชื่อเหล่านี้จะทำให้เรามีพฤติกรรมการฟังที่ดี
4. สิ่งที่ควรทำหลังการฟัง ในระหว่างการสนทนาการโค้ชเมื่อฟังจบให้ตรวจสอบความ
เข้าใจให้ตรงกัน ถามในสิ่งที่เราไม่แน่ใจ เมื่อจบการสนทนาการโค้ชแล้วเราควรประเมิน
ตนเองด้วยว่าเราทำได้ดีเพียงใดและจะพัฒนาต่อยอดครั้งต่อไปอย่างไร
1. ความเชื่อผิด ๆ ที่คนส่วนใหญ่มีในเรื่องของการฟังคืออะไร
2. การเตรียมตัวก่อนการฟังที่เราไม่เคยทราบและมาทราบหลังจากการอ่านมีอะไรบ้าง
3. เรื่องไหนที่ทำได้ยากในระหว่างการฟังบ้าง
4. ท่านคิดว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรในการฟังครั้งต่อไป
5. เราสามารถประยุกต์ใช้บทเรียนในเรื่องการฟังกับชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง
5.1 ในการบริหารคน
5.2 ในครอบครัว
5.3 ในวงสังคม
หลังจากเราเข้าใจเรื่องการฟังมาแล้ว เราจะมาเรียนรู้เรื่องการถามกันในบทต่อไปกันครับ
Page 94 of 161
การสนทนาการโค้ช (Dialogue): การถาม
เพื่อ ให้โค้ชชี่ซึ่งเป็นเจ้าของปัญหาที่เข้าใจบริบทของตัวเขาเองมากกว่าโค้ชค้นหาคำตอบที่
เหมาะสมสำหรับตัวเขาเอง ทำให้เขามีความรับผิดชอบในการนำแนวคิดนั้นไปปฎิบัติได้
มากกว่าคำตอบที่โค้ชช่วยคิดแทนเขา
วิธีการ
1. เข้าใจว่าเรื่องคำถามและสมอง
2. ขออนุญาตตั้งคำถาม
3. ตั้งคำถามเปิด
4. ระวังการมีคำตอบในใจแล้วตั้งธงถาม
5. บันทึกประด็นที่ควรถามระหว่างการฟัง
6. เทคนิคเพิ่มเติมในการถาม
เรามาเรียนรู้รายละเอียดในแต่ละเรื่องกันเลยครับ
Page 95 of 161
1. เข้าใจว่าเรื่องคำถามและสมอง
แนวคิดของเขาก็คือ หน้าที่ของโค้ชหรือหัวหน้างานคือช่วยพัฒนาความคิดของคนอื่นให้
เขาคิดดีขึ้นหรือคิดเก่งขึ้น ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับสมองซึ่งมีหน้าที่สำคัญ
ในการคิดให้พอสมควรเสียก่อน
เดวิดจึงได้ทุ่มเทศึกษางานวิจัยทางสมองจำนวนมาก ข้อสรุปสำคัญก็คือสมองของคนเรา
แต่ละคนนั้นเป็นเอกลักษณ์มาก ไม่มีสมองของคนสองคนที่มีแบบแผนเหมือนกันเลย สมอง
เกิดจากการเชื่อมต่อของเซลสมองจำนวนมากที่ถูกถักทอขึ้นมาโดยไม่มีแบบแผน เสมือน
หนึ่งว่าเราแต่ละคนมีแผนที่ทางความคิดที่แตกต่างกัน ทางแก้ปัญหาที่ต้องใช้ดุลพินิจใน
การแก้ไขซึ่งผมคิดได้ไม่จำเป็นจะเหมาะสำหรับแบบแผนทางสมองของคุณ สมมติว่าคุณมี
ปัญหามาบอกผม ผมรับข้อมูล ประมวลผลในสมองผม แล้วมีคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับ
สมองผม แต่วิธีการนี้อาจจะไม่เหมาะกับสมองคุณก็ได้ เพราะแบบแผนสมองของเราที่แตก
ต่างกันเสมือนกับเราให้แผนที่เชียงใหม่กับคนที่ขับรถในภูเก็ตไปใช้เขาก็คงขับหลงทางไป
ตลอด
แล้วมันเกี่ยวกับการโค้ชอย่างไร
ในการโค้ชนั้น โค้ชก็ทำหน้าที่มาชวนคิดโดยการตั้งคำถามซึ่งอาจจะง่ายขึ้นกว่าการที่โค้ชชี่
จะพยายามถามตัวเอง
เดวิดอุปมาอุปมัยว่าการที่เราตั้งคำถามเพื่อโค้ชโดยที่ยังไม่ขออนุญาตโค้ชชี่ก่อน เสมือน
หนึ่งชายหนุ่มไปลากหญิงสาวออกมาเต้นรำโดยที่ยังไม่โค้งขออนุญาตเธอเสียก่อน
ตัวอย่างของการขออนุญาตจากประสบการณ์ผมเช่น
หรือบางครั้งเราอาจจะต้องการให้ข้อมูลย้อนกลับที่อาจกระทบอัตตาของเขา: เราอาจจะ
ต้องขออนุญาตเขาก่อน เช่น “คุณธันวาครับ สิง่ที่ผมจะบอกนี้เป็น Feedback ที่ผมคิดว่า
คนอื่นอาจจะไม่กล้าบอกคุณเพราะเขาเกรงว่าจะไปกระทบอัตตาคุณ แต่ในฐานะโค้ชผมคิดว่า
ผมจำเป็นต้องพูด แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าคุณธันวาพร้อมเพียงใดในขณะนี้ ขอเช็คหน่อยครับว่า
อยากให้ผม Feedback ในตอนนี้เลย หรือไว้โอกาสอื่นจะเหมาะกว่า”
Page 97 of 161
นอกจากนี้ในหนังสือ Quiet Leaderhsip ได้มีตัวอย่างของการขออนุญาตในสถานการณ์
ต่าง ๆ ในระหว่างการสนทนาการโค้ชไว้มากพอสมควร ผมจึงนำบางส่วนมาเพื่อให้เป็น
แนวทางสำหรับโค้ชมือใหม่ครับ
“ผมสังเกตว่าคุณมีอะไรจะพูดเยอะในประเด็น...ช่วยขยายความเพิ่มในส่วนนั้น
จะได้ไหมครับ”
“ผมอยากคุยให้มันครอบคลุมมากกว่าที่เราคุยกันมา จะเป็นไรไหมครับ
ถ้าหากผมจะถามเจาะลึกลงไปอีก”
“คิดว่าอย่างไรครับถ้าเราจะใช้เวลาในการระดมความคิดในช่วงนี้กันซักหน่อย”
“ผมว่าเรากำลังมาถูกทางแล้ว จะเป็นไรไหมครับถ้าผมจะผลักดันมากขึ้นไปอีก
แม้มันอาจจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดบ้าง”
“จะเป็นไปได้ไหมครับหากผมจะขอท้าทายความคิดของคุณหน่อย”
“สิ่งที่ผมจะถามอาจจะทำให้คุณรู้สึกอึดอัดมากขึ้น ขออนุญาตถามได้ไหมครับ”
“ขออนุญาตถามคำถามที่อาจจะเป็นการท้าทายความคิดของคุณหน่อย ได้ไหมครับ”
“ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างหน่อย ได้ไหมครับ”
“ขออนุญาตขัดใจหน่อยได้ไหมครับ เพราะคำถามที่จะถามอาจสร้างความอึดอัดได้”
Page 98 of 161
3. ตั้งคำถามเปิด
คำถามปิดใช้เพื่อยืนยันความเข้าใจกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหมายถึงทางเลือกของคำตอบมี
เพียง “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” เท่านั้น
ในการโค้ชนั้นมีแบบจำลองหนึ่งซึ่งมีตัวอย่างคำถามที่ใช้ง่ายสำหรับมือใหม่ที่ชื่อ GROW
Model ซึ่งผมนำมาจากหนังสือ Coaching for Performance ของ Sir John Whitmore
Page 99 of 161
The G.R.O.W. model
“แหม่ม อยากให้เอ๋ช่วยอะไร”
“เอ๋เราเห็นเธอไปอบรมการเป็นโค้ชมา ช่วยโค้ชชั้นทีนะ”
“แหม่มเคยลองวิธีไหนมาบ้างละ”
“แล้วเป็นไง”
“เกิดอะไรขึ้น”
“มันยากเกินไป”
“เพราะอะไรหรือ”
“แล้วแหม่มจะมั่นใจอย่างไรว่าจะทำได้จริงๆทุกวัน เป็นเวลาสองเดือนเชียวนะ”
“เยี่ยมเลยเอ๋ ขอบใจมากนะเพื่อน”
การถามเป็นวิธีการที่ทำให้คนค้นหาคำตอบด้วยตนเอง แต่ว่ามีคนจำนวนมากยังเข้าใจผิด
คิดว่าเราควรมีคำตอบในใจแล้วตั้งคำถามให้เขาหาคำตอบให้ตรงกับที่เราถามมา พูดง่าย ๆ
ว่าถามโดยมีธง ลองดูตัวอย่างนี้กัน
หัวหน้าอยากให้ลูกน้องจัดงานเลี้ยงปีใหม่ที่โรงแรมเอ แต่เรียกลูกน้องมาแล้วทำเป็นตั้ง
คำถามให้เขาคิดว่า
ลูกน้องบอกว่าโรงแรมบีครับ”
“โรงแรมซีครับ”
“อืม ซีก็ดีแต่ว่าแล้วทางเลือกอื่นละ”
“โธ่พี่ก็เหลือโรงแรมเอเท่านั้นครับมีสามทางเลือกเองนี่ครับ”
ดังนั้น ในการโค้ชท่านไม่ควรที่จะถามโดยมีธงเพราะว่าเราต้องการให้เขาตอบด้วยความคิด
ที่เขาคิดว่าเหมาะกับเขาที่สุด เพื่อเขาจะได้รับผิดชอบนำเอาความคิดของเขานั้นไปปฎิบัติ
โค้ชมือใหม่มักกลัวว่าไม่รู้จะถามอะไร ที่จริงแล้วเรื่องที่จะถามก็คือ
1. เรื่องที่เรายังได้ข้อมูลไม่ชัดเจน
2. เรื่องที่เราคิดว่าความคิดเขายังไม่ชัดเจน
เทคนิคต่อไปนี้มาจากประสบการณ์ที่เห็นโค้ชมือใหม่ หรือผู้บริหารที่เริ่มจะลองใช้วิธีการตั้ง
คำถามโค้ชลูกน้องมักทำผิดพลาดกันบ่อย ๆ
1. ไม่บอกกล่าวให้เข้าใจกันก่อนจะใช้วิธีนี้
มีบางคนเมื่อได้รับการมอบหมายงานใหม่ กล่าวกับพนักงานที่เพิ่งร่วมงานกันด้วยว่า
“เมื่อมีปัญหาต้องการเข้ามาปรึกษาหัวหน้า ขอให้เตรียมคิดแนวทางแก้ปัญหามาสองสาม
แนวทางด้วย”
วิธีการแบบนี้ที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคย คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเมื่อมีปัญหาให้เข้ามาถาม
ว่าทางแก้คืออะไรจากหัวหน้า
ดังนั้นคำแนะนำสำหรับผู้ที่จะเริ่มใช้การโค้ชด้วยคำถามมีดังนี้
1. แจ้งให้ทราบก่อนว่าจะใช้วิธีการตั้งคำถามเมื่อเขามาปรึกษา
2. บอกให้ทราบว่าประโยชน์คือช่วยให้เขาพัฒนาได้เร็วขึ้น
3. แสดงความเห็นใจว่าอาจจะอึดอัดบ้างเล็กน้อยในช่วงแรก
4. บอกให้เขาสบายใจว่าคำตอบผิดหรือถูกไม่ใช่เรื่องใหญ่
5. เริ่มจากคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงหรือข้อมูลก่อน
6. บางครั้งอาจเริ่มด้วยการถามแบบมีคำตอบให้เลือกตอบ
7. ชมเชยเมื่อเขาตอบถูก
2. การตั้งคำถามตามสถานการณ์
ก่อนให้คำปรึกษา
2.1 กรณีที่เราเห็นพนักงานมีท่าทีกังวลใจแต่เขายังไม่ได้เข้ามาปรึกษากับเรา
“ท่าทางคุณดูมีความกังวลใจ มีอะไรหรือครับ”
“มีอะไรที่กังวลใจหรือครับ”
“ขอโทษที...หนักใจเรื่องอะไรครับ”
2.2 เมื่อพนักงานเริ่มเข้ามาหาเราเพื่อขอคำปรึกษา
“มีอะไรที่ผมช่วยคุณได้”
“คุณมีความกังวลใจอะไร”
“ความยุ่งยากที่คุณเจอคืออะไร”
“คุณกำลังลำบากใจเรื่องอะไรอยู่”
ระหว่างให้คำปรึกษา
2.4 เมื่อรู้คำตอบและไม่ต้องการใช้วิธีบอก
“ผมอาจจะมีข้อมูลที่ช่วยคุณได้ แต่ผมอยากให้คุณฝึกคิด ผมจะตั้งคำถามให้คุณคิด
ได้ไหมครับ”
2.5 เมื่อไม่รู้คำตอบ
“เรื่องนี้ผมไม่สามารถช่วยคุณได้จริงๆ คุณคิดว่ามีใครบ้างที่มี ข้อมูล/
ประสบการณ์/วิจารณญาณ ที่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้”
2.6 เมื่อมีแนวโน้มว่าเขาจะลงรายละเอียดมากเกินไป
“คุณรู้แล้วว่าจะต้องทำอะไรต่อไปเพียงแต่ต้องการคำปรึกษา
หรือว่าไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อดี”
“คุณคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานเพียงใดแล้วครับ”
“คุณคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อยเพียงใดครับ”
“เรื่องนี้ระดับความสำคัญคือ top 3, 5 หรือ 10”
“คุณมีความชัดเจนในเรื่องนี้เพียงใด”
“คุณคิดว่าความคิดของคุณยังมีช่องว่างตรงไหนบ้าง”
“เรามาหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้งานมันเดินไปข้างหน้า
ลองช่วยๆกันคิดดูว่ามีหนทางอะไรบ้าง”
“ผมจะช่วยให้คุณคิดอย่างไรได้ดีที่สุด”
“คุณต้องการบรรลุวัตถุประสงค์อะไร”
“คุณมีทางเลือกอะไรบ้าง”
“จะเกิดอะไรขึ้นครับ ถ้าคุณไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้”
“ที่จริงแล้วคุณต้องการอะไรจาก...”
2. หมั่นกล่าวทวนสิ่งที่เราได้ยินกลับเป็นระยะ วิธีนี้ผมพบว่านอกจากมันจะทำให้โค้ชชี่ได้ยิน
ความคิดของตัวเองชัดเจนขึ้นแล้ว เมื่อเราทวนแล้วเราคิดว่าความคิดเขายังไม่ค่อยชัดเจน
เราจะมองเห็นแนวทางคำถามได้เอง
4. ลองฝึกเขียนกรณีศึกษาโดยจินตนาการว่ากำลังโค้ชใครบางคนที่เราคุ้นเคย เราจะเริ่ม
อย่างไรดี แล้วเมื่อเขาตอบมาเราจะถามอย่างไรดี ผมเองเนื่องจากเขียนบทความในบาง
กอกโพสต์มากว่า 15 ปี และเขียนในแนว Story-Telling หรือเล่าเรื่องและเป็นแนวทางถาม-
ตอบ แบบโค้ชและโค้ชชี่ ดังนั้นก็เลยมีโอกาสฝึกเรื่องนี้อยู่เป็นกิจวัตรครับ
การใช้คำถามเป็นทักษะสำคัญในการโค้ชเพื่อให้โค้ชชี่คิดหาคำตอบด้วยตนเองในระหว่าง
การสนทนาการโค้ช ทำให้ความเป็นเจ้าของการลงมือทำเป็นของโค้ชชี่
วิธีการ
1. เข้าใจว่าเรื่องคำถามและสมองก่อน เนื่องจากว่าเราแต่ละคนมีแบบแผนของสมองที่แตก
ต่างกัน ไม่มีสมองสองชิ้นที่เหมือนกันเลย ดังนั้นวิธีการคิดแก้ปัญหาของพนักงานที่ใช้
ความรู้ในงานที่ต้องใช้ดุลพินิจนั้นแต่ละคนมีวิธีการคิดและวิธีการทำงานที่แตกต่างกัน ดัง
นั้นแทนที่จะไปบอกเขาถึงวิธีการเราน่าจะชวนเขาคิดให้หาวิธีการที่เหมาะสำหรับสมองเขาเอง
น่าจะเหมาะกว่า
4. ระวังการมีคำตอบในใจแล้วตั้งธงถาม หากเราตระหนักเรื่องสมองของคนกับการคิดแล้ว
เราก็จะไม่ตั้งธงในวิธีการแต่เราจะต้องมีความชัดเจนในผลลัพธ์ หากเรามีคำตอบในใจอย่าใช้
การถามเพื่อให้ได้คำตอบเราบอกเขาไปเลยจะดีกว่าเพราะว่าในฐานะโค้ชแล้วเรามีทางเลือกใน
การสื่อสารกับโค้ชชี่ถึงสามทางใน 4-I Model
6. เทคนิคเพิ่มเติมในการถาม และผมมีของแถามสำหรับเทคนิคเพิ่มเติมในการถามหากเราจะ
นำการถามนี้ไปใช้ในการทำงานประจำวันก็ยังได้
1. ทำไมโค้ชจึงควรสนใจการทำงานของสมองด้วย
2. ทำไมเราต้องขออนุญาตถามด้วย
3. หากเรามีคำตอบอยู่ในใจแล้วเราไม่ควรถามเพื่อให้เขาตอบตรง แล้วเราควรทำอย่างไร
4. ท่านคิดว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรในการสื่อสารกับคนอื่น ๆ ในครั้งต่อไป
5. เราสามารถประยุกต์ใช้บทเรียนในเรื่องการถามกับชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง
5.1 ในการบริหารคน
5.2 ในครอบครัว
5.3 ในวงสังคม
หลังจากเราเข้าใจเรื่องการถามมาแล้ว เราจะมาเรียนรู้เรื่องการให้ข้อมูลย้อนกลับ
(Feedback) กันในนบทต่อไปกันครับ
บทบาทสำคัญอีกบทบาทหนึ่งสำหรับโค้ชผู้บริหารคือการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อทำหน้าที่
เป็นกระจกเงาสะท้อนสิ่งที่ผู้บริหารมองไม่เห็นตนเอง
การให้ข้อมูลย้อนกลับในที่นี้คือ การสื่อสารจากโค้ชไปยังผู้บริหารเพื่อให้เขาเกิดความ
ตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเองให้มากขึ้น
เพื่อ ให้เขามีความตระหนักรู้ที่ชัดเจนมากขึ้นว่านัยของพฤติกรรมที่เขาแสดงออกต่อบุคคล
อื่นนั้นมีผลอย่างไร
วิธีการ
1. ระวังตนเองให้มีอคติให้น้อยที่สุด
3. สื่อสารให้ถูกจริตโค้ชชี่แต่ละคน
เรามาดูรายละเอียดกันทีละเรื่องครับ
1. ระวังตนเองให้มีอคติให้น้อยที่สุด
คงเป็นการยากที่จะบอกว่าไม่ให้โค้ชมีอคติเลย แต่สิ่งที่พอทำได้คือโค้ชควรมีสติโดยเฉพาะ
ก่อนการให้ข้อมูลย้อนกลับ เครื่องมือที่จะตรวจสอบว่าเรามีอคติเพียงใดคือคำถาม
1.1 ขณะนี้จิตใจของเรามีความเป็นกลางเพียงใด
1.2 ข้อมูลย้อนกลับของเรามีอคติในระดับไหน
1.3 เราใช้ดุลพินิจด้วยอัตตาที่เหมาะสมเพียงใด
คือ ภาวะที่โค้ชชี่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะรับฟังข้อมูลย้อนกลับได้
เพื่อ ให้การให้ข้อมูลย้อนกลับของเราเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับโค้ชชี่
วิธีการ สังเกตปฎิกิริยาโค้ชชี่ว่า
2.2 ขณะนี้เขามีวุฒิภาวะทางอารมณ์แบบไหน
2.3 ขณะนี้เขาคิดว่าโค้ชมีความปรารถนาดีต่อเขาเพียงใด
เพื่อ ให้เขาเข้าใจสิ่งที่สื่อสารให้มากที่สุดเพื่อนำไปพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น
วิธีการ สังเกตบุคลิกของแต่ละคนโดย
1. เมื่อผู้บริหารมีความคิดริเริ่มที่อาจจะส่งผลกระทบทางลบโดยที่เขาไม่รู้ตัว
2. เมื่อเขาไม่รู้ตัวว่าจุดอ่อนของเขาคืออะไร และผลเสียหายจากจุดอ่อนนั้นเป็นอย่างไร
3. เมื่อเขามีอัตตาสูงโดยที่เขาไม่รู้ตัว
สถานการณ์:
คุณธันวาซีอีโอขอหารือเรื่องแนวทางความคิดริเริ่มสำหรับการจัดการเรื่องวิกฤต ขณะนี้
เกิดวิกฤตเศรษฐกิจและบริษัทจำเป็นต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด เขาจึงอยากทำตัว
ให้เป็นแบบอย่างโดยจะลดเงินเดือนตัวเองครึ่งหนึ่งเป็นเวลาหกเดือน เขาถามโค้ชว่าโค้ชคิด
อย่างไร
“ทำไมหรือครับโค้ช”
“มีความเป็นไปได้ว่า สิ่งที่คุณธันวาจะทำมันอาจจะส่งผลลบได้สองเรื่องคือ
1. แม้ว่าคุณอยากจะลดเงินเดือนโดยลำพัง แต่ว่าคุณได้สร้างแรงกดดันให้ทีมบริหารระดับ
สูงสิบคนที่ขึ้นตรงกับคุณ ถ้าหากเขาไม่ลดเงินเดือนตามคุณพนักงานอาจจะประนามพวก
เขาได้ และถ้าเขาเกิดเลือกที่จะลดตามคุณบ้าง ครอบครัวเขาอาจจะไม่พอใจ หรือบางคนก็
อาจจะไม่สบายใจที่จะทำแต่ก็จำเป็นที่จะต้องทำ
2. พนักงานของคุณอาจจะไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะว่าผลตอบแทนของคุณมันมาก
การลดเงินเดือนครึ่งหนึ่งเป็นเวลาหกเดือนของคุณธันวา ไม่น่าจะทำให้คุณเดือดร้อนอะไร
นัก เพราะว่าเทียบกับพนักงานส่วนใหญ่แล้วเงินเดือนของคุณก็ยังได้เยอะกว่าพวกเขามาก”
หลังจากที่เขาครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้ว คุณธันวาจึงบอกว่า
สถานการณ์:
เมื่อคุณนัฐพูดจบห้วงความคิดและหยุดจิบน้ำ โค้ชจึงบอกว่า
เขาพยักหน้า โค้ชจึงพูดต่อ
“ที่คุณนัฐอาจจะไม่ทราบคือการที่คุณนัฐพูดไม่เข้าประเด้นมันมีผลเสียคือ
1. ผมในฐานะผู้รับสาร สับสนกับข้อมูล
ท่าทางเขาตกใจกับนัยของสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดว่า
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะมีนัยขนาดนั้นเชียวหรือครับโค้ช ภรรยาผมเคยแซวเหมือน
กันว่าผมพูดมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกผมว่าคนอาจจะมองว่าผมไม่เก่ง”
แล้วเราก็หาหนทางร่วมกันว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
บทเรียน:
ซีอีโอหลายคนมีจุดอ่อนที่อาจจะเคยมีบางคนบอกกับเขาบ้างแต่ไม่บอกกันตรง ๆ ว่เขามีจุด
อ่อนอะไร ที่สำคัญในเมื่อไม่มีใครให้ Feedback กับเขาตรง ๆ ดังนั้นก็ยากที่จะมีคนพูดถึง
นัยของ Feedback นั้น จากตัวอย่างเราจะเห็นว่าหากคนรู้ว่าตัวเองมีจุดอ่อนอะไรและมันส่ง
ผลเสียอย่างไรคนก็มักจะมีแรงจูงใจที่อยากที่จะปรับปรุงตัวเอง
สถานการณ์:
หลังจากการโค้ชผ่านไปสามครั้ง โค้ชเริ่มสังเกตว่าเธอมักจะมาเล่าปัญหาในการทำงานและ
มักจะบอกว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากนายของเธอที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ลูกน้องที่ไม่เก่ง และ
การเมืองภายในองค์กร
โค้ชเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากอัตตาที่เธอเองไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของ
ปัญหา โค้ชจึงบอกว่า
“คุณวารีครับ เท่าที่เราคุยกันมาปัญหาที่เกิดขึ้นในฝ่ายงานที่คุณดูแลอยู่มาจากคนอื่น ๆ
รอบ ๆ ตัวคุณทั้งนั้นเลย ผมยังไม่เคยได้ยินเลยสักครั้งที่คุณบอกว่าคุณเองเป็นส่วนหนึ่ง
ของสาเหตุ ผมคิดว่าคุณวารีเป็นคนดีคนหนึ่งแต่อาจจะขาดความตระหนักรู้ในตัวเองใน
เรื่องนี้
แล้วผมก็เงียบ เพื่อดูท่าทีเธอ
บทเรียน:
บทบาทสำคัญอีกบทบาทหนึ่งสำหรับโค้ชผู้บริหารคือการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อทำหน้าที่
เป็นกระจกเงาสะท้อนสิ่งที่ผู้บริหารมองไม่เห็นตนเอง เพื่อให้เขามีความตระหนักรู้ที่ชัดเจน
มากขึ้นว่านัยของพฤติกรรมที่เขาแสดงออกต่อบุคคลอื่นนั้นมีผลอย่างไร
วิธีการ
1. โค้ชต้องระวังตนเองให้มีอคติให้น้อยที่สุด มีแนวคำถามเตือนตัวโค้ชก่อนจะให้ข้อมูลย้อน
กลับว่า เรามีความเป็นกลางเพียงใด อคติมากน้อยขนาดไหน และอัตตาที่เหมาะสมในระดับ
ใด
สุดท้ายเราได้อ่านตัวอย่างการให้ข้อมูลย้อนกลับสำหรับการโค้ชผู้บริหารในสามสถานการณ์
คือ เมื่อผู้บริหารมีความคิดริเริ่มที่อาจจะส่งผลกระทบทางลบโดยที่เขาไม่รู้ตัว เมื่อเขาไม่รู้
ตัวว่าจุดอ่อนของเขาคืออะไร และผลเสียหายจากจุดอ่อนนั้นเป็นอย่างไร และเมื่อเขามีอัตตา
สูงโดยที่เขาไม่รู้ตัว
คำถามชวนคิดท้ายบท
1. ในการโค้ชผู้บริหาร ทำไมการให้ข้อมูลย้อนกลับจึงสำคัญ
2. เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาพร้อมจะรับฟังข้อมูลย้อนกลับแล้ว
ในการโค้ชผู้บริหารนั้น แนวคิดของฝรั่งเขาจะพยายามให้เน้นให้ตั้งคำถามเพื่อให้โค้ชชี่หาคำ
ตอบด้วยตนเอง ผมเองก็เห็นด้วยกับหลักการนี้คือว่าเราควรพยายามถามให้เขาหาคำตอบ
อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ผมบ่อยครั้งที่โค้ชชี่ต้องการคำแนะนำ ดังนั้นการจะให้คำ
แนะนำบ้างในสัดส่วนที่ควรจะน้อยกว่าการถามและการเล่าเรื่องก็น่าจะพอทำได้
ทำไมจึงต้องมี Assignment
ประเภทของกิจกรรมนั้นก็แล้วแต่ว่าประเด็นการโค้ชมุ่งไปในเรื่องใด เท่าที่ผมประมวลมาเช่น
1. กิจกรรมสังเกตตัวเองรายวัน
3. การทำการวิจัยขนาดย่อม
4. การมอบหมายให้อ่านหนังสือ / ดูยูทูป
ตัวอย่าง:
1.2 โค้ชชี่ต้องการควบคุมตัวเองไม่ให้อารมณ์ร้อน
b. ในการพูดคุยนั้น เราโกรธเพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรที่สวนทางกับค่านิยมหรือความ
เชื่ออะไรของเรา (ส่วนใหญ่แล้วค่านิยมหรือความเชื่อที่มักกระตุ้นให้ผู้บริหารโกรธได้ง่ายมัก
จะเป็นเรื่องเหล่านี้คือ: ความรับผิดชอบ ความยุติธรรม ความเตรียมพร้อม ความโปร่งใส
อัตตาสูง การไม่ให้เกียรติ การทำให้เสียหน้า การไม่รู้จักความเกรงใจ ฯลฯ)
c. หากย้อนกลับไปได้ จะทำให้แตกต่างไปจากเดิมอย่างไร
a. สิ่งที่เราคาดหวังว่าเราจะแสดงออกคืออะไร
b. การแสดงออกจริงเป็นอย่างไร
c. สิ่งที่เราทำได้ดีคืออะไร
d. หากย้อนกลับไปได้จะทำอะไรแตกต่างไปจากเดิม
ในบางกรณีโค้ชชี่มีคนต้นแบบเป็นคนในองค์กรอยู่แล้ว เราอาจจะให้เขาทำการวิจัยขนาด
ย่อมก็ได้
ดังนั้นการบ้านคือ
3.1 ระบุคนสิบคนที่คิดว่าทำงานใกล้ตัวซีอีโอมากที่สุด
3.2 ให้สัมภาษณ์คนสิบคนนั้นด้วยคำถามสองข้อคือ
a. “ซีอีโอเป็นผู้ฟังที่ดีมาก โปรดระบุว่าเขามีพฤติกรรมอย่างไรบ้างในขณะที่ฟังเรา”
b. ในกรณีที่เขาไม่เห็นด้วย “เขามีวิธีการรับฟังแบบไหน”
ในบางกรณีที่เราเห็นว่าโค้ชชี่มีความถนัดในการอ่าน การมอบหมายหนังสือให้เขาอ่านก็ช่วย
ได้
ในการทํางานที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง หัวหน้าและผู้ใต้บังคับบัญชาอาจจะมีโอกาสกระทบ
กระทั่งกันได้ แม้ว่าแต่ละคนจะไม่ตั้งใจก็ตาม
เนื่องจากเราแต่ละคนมีความแตกต่างกันมาก ไม่มีทางที่หัวหน้างานคนใดจะเข้าใจธรรมชาติ
ของผู้ใต้ บังคับบัญชาแต่ละคนได้อย่างถ่องแท้
ซึ่งชุดคำถามนี้จะช่วยให้เเขามีโอกาสบอกกับหัวหน้าเขาว่า หัวหน้าจะทําให้เขาทํางานได้อย่าง
มี ประสิทธิภาพ และมีความสนุกในการทํางานได้อย่างไร
โปรดใช้เวลาตอบข้อมูลเหล่านี้ลงในเอกสารก่อน หลังจากนั้นนัดเวลาเพื่อคุยกับหัวหน้า
คุณโดยตรง
1. ในการมอบหมายงานกรณีที่ไม่ปกติควรสื่อสารอย่างไร
2. การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดควรจะสื่อสารอย่างไร
3. การจูงใจที่ตรงกับฉันเป็นพิเศษคืออะไร
4. เมื่อผิดพลาดโดยที่ฉันไม่ทราบหัวหน้าควรจะสื่อสารอย่างไร
5. งานที่มีความถนัดคืออะไรบ้าง ระบุให้เฉพาะเจาะจง
6. งานที่ไม่ถนัดคืออะไรบ้าง
7. หัวหน้าควรมอบหมายงานที่ไม่ถนัดอย่างไร
8. วิธีสอนงานใหม่ควรทําแบบไหนที่เหมาะกับความถนัดในการเรียนรู้ของฉันมากที่สุด
9. วิธีการติดตามงานแบบไหนที่ฉันสบายใจด้วยมากที่สุด
10. มีเรื่องไหนที่ควรรู้เกี่ยวกับฉันอีกเพื่อให้ฉันได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ทำงานอย่างมีความสุข
ประโยชน์ที่โค้ชชี่คาดว่าน่าจะได้รับเมื่อสิ้นสุดการโค้ชนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล จาก
ประสบการณ์ของผมแล้วการโค้ชที่ประสบความสำเร็จมาจากปัจจัยสำคัญเรียงจากมากไป
หาน้อยคือ ตัวโค้ชชี่ นายของโค้ชชี่ และโค้ช
ผลที่ได้รับขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทุกท่านได้รับคล้ายๆกันคือ
1. การตระหนักรู้ตนเองมากขึ้น และทราบว่าผลของพฤติกรรมของตนนั้นมีนัยกับคนอื่น
อย่างไรบ้าง
3. มุมมองใหม่ในการบริหารผลงานของทีมงาน
4. รู้จักจุดแข็งของตนและการใช้จุดแข็งมากขึ้น
5. การโค้ชทีมงานของตนโดยการใช้คำถาม
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากการโค้ช มีหลายกรณีที่โค้ชชี่เองอาจจะไม่ได้รับประโยชน์
จากการโค้ช ซึ่งมาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น
2. อัตตาโค้ชชี่สูงเกินไป ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อคุยกันไประยะหนึ่งแล้วโค้ชชี่มองว่าปัญหาที่เกิด
ขึ้นกับเขานั้นเขาเองไม่มีส่วนเป็นสาเหตุของปัญหา
ซึ่งทั้งสามสาเหตุนี้ หากโค้ชมีประสบการณ์โค้ชอาจจะหาทางป้องกันหรือหาทางจัดการ
ตั้งแต่ตอนต้น
ภาพรวมของการโค้ชผู้บริหารนั้น เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบกันก่อนตั้งแต่ก่อนจะเริ่ม
ทำการโค้ชเลยว่าศรศิลป์ระหว่าง “ว่าที่โค้ชชี่” และโค้ช ไปด้วยกันได้หรือไม่ก่อน ซึ่งเรียกว่า
Checking-Chemistry หลังจากนั้นโค้ชจะทำการประเมินศักยภาพ เรียกว่า Diagnosis
แล้วจึงออกแบบการโค้ช หรือ Design เมื่อออกแบบเสร็จจึงเริ่มขั้นตอนการสนทนาการโค้ช
คือ Dialogue สุดท้ายโค้ชชี่ก็จะจบการโค้ชโดยบรรลุเป้าหมายของการโค้ชหรือ
Destination
ซึ่งภาพรวมของทุกขั้นตอนเป็นดังนี้ครับ
2. การประเมินศักยภาพ (Diagnosis)
3. การออกแบบการโค้ช (Design)
4. การสนทนาการโค้ช (Dialogue)
5. บรรลุเป้าหมายของการโค้ช (Destination)
“โค้ชเกรียงศักดิ์ ผมอยากหารือเรื่องการปลดปล่อยศักยภาพของทีมมงานผมในช่วง
วิกฤต ผมอยากทำวิกฤตให้เป็นโอกาสครับ”
“คุณณรงค์เป็นไอเดียที่ดีครับ วันนี้อยากบรรลุผลสัมฤทธิ์อะไรครับ”
“ผมให้ 7 ครับ”
“อยากเห็นเป็นเท่าไรดีครับ และเมื่อไรด้วยครับ”
“โอเคครับ ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยว่าทีมนี้ทำงานกันอย่างไร”
1. กล้าท้าทายซึ่งกันและกันมากกว่านี้เยอะเลย
2. กล้าแสดงความเห็นนอกพื้นที่ตนเอง”
“คุณณรงค์ แล้วอะไรทำให้ทีมคุณเป็นอย่างที่เป็นในปัจจุบันครับ”
“คุณณรงค์ ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่คุณปรารถนาจะให้ทีมเป็นมันดูเหมือนจะขัดแย้งกับค่านิยมเหล่า
นั้นเลยนะครับ”
เขาพยักหน้า “โค้ชว่าผมควรทำอย่างไรดีครับ”
“คุณณรงค์ ก่อนจะเปลี่ยนพฤติกรรมต้องเปลี่ยนความคิดก่อน”
“เปลี่ยนอย่างไรครับ”
“มันคืออะไรครับ”
“บรรรทัดฐานของทีมคือสิ่งที่ทีมตกลงกันว่าพฤติกรรมและความคิดแบบไหนที่ทีมงานต้อง
มีเพื่อให้ทีมบรรลุเป้าหมาย”
“โอเคครับ ผมควรจะคิดให้เลยหรือให้ทีมคิดกันเองดีครับ”
2. ระดมความคิดหาทางจัดการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ข้ามสายงานกัน
โค้ช ผมคิดว่าวัตถุประสงค์ทั้งสองข้อน่าจะชัดเจนพอที่จะทำให้ทีมงานกำหนดบรรทัดฐานที่
น่าจะครอบคลุมสองแนวคิดที่ผมปรารถนาให้พวกเขามี”
“โอเคครับ แต่ว่าถ้าหากพวกเขาเกิดไม่ระบุออกมาเลยละครับ”
“ผมก็จะบอกสิ่งที่ผมคิด พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลที่มาที่ไปให้กระจ่างด้วยครับ”
“เหตุผลคืออะไรครับ”
“การที่เราท้าทายความคิดซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในขณะนี้ เพราะว่าเราอยู่ในภาวะ
วิกฤต เราอาจจะมองข้ามความเสี่ยงหรือมองโลกสวยเกินไป ในขณะที่คนอื่นที่มี
ประสบการณ์ ดุลพินิจที่ดีกว่า หรือพรสวรรค์ด้านนั้น อาจจะมองเห็นแต่ไม่พูดออกมา”
“ขยายความหน่อยครับ”
“ผมอยากให้พวกเขาตระหนักว่าเมื่อมาถึงฝ่ายจัดการระดับสูงแล้ว เราต้องการปัญญาของ
พวกเขามากกว่าข้อมูล ปัญญาในที่นี้คือดุลพินิจ และการคิดเชิงวิจารณญาณหรือ Critical
Thinking เราไม่ได้ต้องการผู้เชี่ยวชาญในทุกเรื่องในระดับบอร์ด ตัวอย่างเช่น CFO อาจจะ
ไม่รู้ลึกในเรื่อง Digital Marketing แต่ก็สามารถมีส่วนร่วมแสดงความเห็นในเรื่องนั้นได้
เพราะว่าน่าจะพอมองออกว่าแก่นของ Campaign นี้คืออะไร หรืออาจจะพูดในนามของผู้มี
ส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ เช่นลูกค้าหรือผู้ถือหุ้น”
เขาพยักหน้า
1. อะไรคือวัตถุประสงค์ของโครงการนี้
2. นอกจากทางเลือกนี้ มีทางเลือกอะไรอีก
3. คนอื่นเขาทำกันอย่างไรในเรื่องนี้ (คู่แข่ง / เพื่อนเราในต่างประเทศ / อุตสาหกรรมอื่น)
4. มีความเสี่ยงอะไรบ้าง โอกาสเกิดเพียงใด จะป้องกันมันอย่างไร
5. ใครคือคนที่ดีที่สุดสำหรับการทำให้งานนี้เกิด
6. ฉันจะสนับสนุนคุณได้อย่างไร
7. การสื่อสารคือเรื่องที่สำคัญมาก วางแผนการสื่อสารไว้อย่างไรบ้าง”
“เยี่ยมเลยครับ ไว้เรามาติดตามผลกันในโอกาสหน้านะครับ”
“โค้ชเกรียงศักดิ์ วันนี้ผมอยากหารือเรื่องการพัฒนาดุลพินิจภาวะผู้นำของผมหน่อยครับ
เราจะเริ่มอย่างไรดีครับ”
“คุณประธาน ผมมีแนวคำถามดังนี้ครับ
1. คุณอยู่ตรงไหน
2. คุณจะไปไหน
3. คุณจะไปอย่างไร
เริ่มที่คำถามแรกก่อนก็คือ คุณประธานมองตัวเองว่าดุลพินินจภาวะผู้นำเป็นอย่างไร”
“โค้ช ผมจะตอบคำถามนี้อย่างไรดีครับ”
“คุณประธาน ใครที่เป็นแบบอย่างหรือคนต้นแบบของคุณในเรื่องดุลพินิจภาวะผู้นำครับ”
“ท่านประธานกลุ่มบริษัทครับ”
“หากให้ท่านมีคะแนนเรื่องนี้เต็ม 10 คุณประเมินตนเองว่าเป็นเท่าไร”
“ผมว่าผมแค่ 5 ครับ”
“คุณอยากเห็นตัวเองเป็นอย่างไรในตอนสิ้นปีนี้ละครับ”
“ผมอยากเห็นตัวเองเป็น 7 ครับ”
“เยี่ยมเลยครับ แล้วจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ถึงเป้าหมายนี้”
“โค้ช ผมอยากเริ่มที่การทบทวนการตัดสินใจของผมในปีที่แล้วก่อนครับ”
คุณประเมินตนเองในปีที่แล้ว ในแต่ละขอบเขตอย่างไรบ้างครับ”
“อยากคุยเรื่องไหนก่อนครับ”
“โค้ช ผมอยากพัฒนาดุลพินิจภาวะผู้นำเรื่องคนอันดับแรกครับ”
“คุณประธาน อะไรทำให้คุณตัดสินใจไปอย่างนั้นในตอนมกราคมปีก่อนครับ”
“ผมคิดผิดไปเองว่าเขาสามารถจะเปลี่ยนสไตล์การบริหารจัดการได้”
“หากมีโอกาสย้อนกลับไปใหม่ได้ จะทำอะไรแตกต่างไปจากเดิมครับ”
“ผมคงให้เขาลาออกไปตั้งแต่ต้นปีแล้วครับ เพราะว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมันมากกว่าที่ผม
คาดการณ์ไว้เยอะเลยครับ มันจึงเป็นสาเหตุทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังไม่เก่งในเรื่องดุลพินิจ
เรื่องคนในปีก่อนครับ”
เขาพยักหน้า
Page 139 of 161
“คุณประธานจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อทำให้ดุลพินิจภาวะผู้นำเรื่องคนเก่งขึ้นครับ”
“โค้ชครับ ผมพอมีไอเดียว่า
อ่านหนังสือ
หารือกับคนต้นแบบ
หา mentor หรือพี่เลี้ยงเรื่องนี้”
“ดีครับ”
“โค้ชครับ มีหนังสือเล่มไหนแนะนำบ้างครับเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“คุณประธาน ผมแนะนำ
Learning to lead - a workbook on becoming a leader ของ Warren Bennis & Joan
Goldsmith. เล่มนี้เป็น DIY สำหรับคนอ่านเลย เพราะมีแบบฝึกหัดที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วย
ตนเอง
Winning by Jack Welch with Suzy Welch.
The talent masters - by Bill Conaty and Ram Charan.
ผมคิดว่าเริ่มจากสามเล่มนี้ก่อนละกันครับ”
“ขอบคุณครับโค้ช”
“แล้วเรื่องหารือกับคนต้นแบบละครับ”
“อย่างที่ผมบอก คนที่ผมเห็นตัวอย่างที่ดีเรื่องดุลพินิจภาวะผู้นำเกี่ยวกับคนคือท่าน
ประธานกลุ่มบริษัท แต่ผมเกรงใจท่านครับ”
“ทำไมครับ”
“เพราะว่าท่านอาวุโสมาก และยุ่งมากด้วย”
Page 140 of 161
“ถ้าหากคุณขอนัดท่านละครับ”
“ผมคิดว่าท่านคงพอจะเจียดเวลาให้ได้บ้างครับ แต่ว่า...”
“แต่...อะไรหรือครับ”
“ก็ยังเกรงใจอยู่ดีครับ”
“เพราะอะไรครับ”
“ท่านอาจจะมองว่าผมไปรบกวนท่านหรือเปล่า”
“โอเคครับ คุณบอกว่าท่านอาจจะมองว่ารบกวนใช่ไหมครับ”
เขาพยักหน้า
“หมายความว่าท่านก็อาจจะมองเป็นแง่อื่นๆก็ได้ใช่ไหมครับ”
เขาพยักหน้า
“คิดว่าท่านมีโอกาสมองเป็นแง่อื่นอย่างไรได้อีกบ้างครับ”
เขาพยักหน้า
“คุณจะเตรียมตัวอย่างไรดีครับ”
“โค้ช ผมคิดว่าผมต้องศึกษาเกี่ยวกับท่านก่อนว่า
Page 141 of 161
ท่านมีวิธีอย่างไรในการใช้ดุลพินิจภาวะผู้นำเรื่องคน
ท่านเตรียมตัวอย่างไรก่อนตัดสินใจเรื่องของคน
ท่านประเมินการตัดสินใจเรื่องคนของตัวเองอย่างไรหลังจากตัดสินใจไปแล้ว
ท่านมีหลักการหรือปรัชญาอะไรบ้างในเรื่องดุลพินิจภาวะผู้นำเกี่ยวกับคน
“ผมจะขอกรรมการท่านหนึ่งครับ เธอเป็นกรรมการอิสระและเป็นประธานอนุกรรมการเรื่อง
แผนสืบทอดทายาท ท่านมีประสบการณ์หลากหลายมากในเรื่องดุลพินิจภาวะผู้นำเกี่ยวกับ
คนจากองค์กรชั้นนำระดับโลก”
“คุณดิลกวันนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันดีครับ”
“ผมอยากให้โค้ชช่วยพัฒนาจุดแข็งของผมครับ”
“คุณมีจุดแข็งอะไรบ้างครับ”
“ในสามเรื่องนี้ คุณอยากนำเรื่องไหนมาพัฒนาต่อยอดดีละครับ”
1. คุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อพัฒนาจุดแข็งนี้
2. คุณควรจะอ่านหนังสือเล่มใดบ้าง
3. คุณควรจะไปเข้าอบรมวิชาไหนบ้าง
4. มีงานวิจัยอะไรที่ควรจะทำบ้าง
5. ใครที่คุณควรสังเกตการณ์การทำงานเขาซักระยะหนึ่ง
6. ใครบ้างที่คุณควรจะไปคุยด้วย เพื่อให้เขาชี้แนะให้คุณได้พัฒนาจุดแข็งข้อนี้ให้มี
ประสิทธิภาพมากขึ้น (เช่น เพื่อน ครู หัวหน้า พี่เลี้ยง)
เราลองมาใช้แนวคำถามเหล่านี้เพื่อวางแผนการพัฒนาจุดแข็งของคุณกัน เริ่มจากข้อแรก
เลยครับ คุณดิลกจะทำอะไรได้บ้างเพื่อพัฒนาจุดแข็งนี้”
“มีแผนการอ่านอย่างไรครับ”
“อ่านอย่างเดียวอาจจะจำได้ไม่ดีพอนะครับ มีแผนการอะไรเสริมไหมครับ”
“ขอบคุณที่เตือนสติครับโค้ช ผมจะอ่านแล้วทำบันทึกประเด็นหลักๆในแต่ละบทไว้ด้วยละกัน
ครับ”
“คุณดิลกคิดว่าจะไปเข้าอบรมอะไรบ้างเพื่อยกระดับการนำเสนอดีครับ”
“ถ้างั้นไปข้อต่อไปกัน คุณดิลกคิดว่าจะทำการวิจัยอะไรบ้างเกี่ยวกับการนำเสนอนะครับ”
“ใครที่คุณดิลกควรสังเกตการณ์การนำเสนอของเขาซักระยะหนึ่งดีครับ”
“ท่านประธานบริษัทผมที่สำนักงานใหญ่นิวยอร์คนำเสนอเก่งมากครับ ผมจะนำคลิปการ
Roadshow ของท่านมาดูและศึกษาครับ”
Page 144 of 161
“ข้อสุดท้าย ใครบ้างที่คุณดิลกควรจะไปคุยด้วย เพื่อให้เขาชี้แนะจุดแข็งข้อนี้ของคุณให้ดีมี
ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
“ผมจะขอคำแนะนำจากคุณป้อซีอีโอบริษัทโฆษณาที่เราใช้บริการด้วย เธอนำเสนอเก่งมาก
คนหนึ่งทีเดียว เมื่อสองปีก่อนตอนที่เราเลือกบริษัทโฆษณาเธอนำเสนอชนะคู่แข่งเธอแบบ
ขาดลอยเลย ผมจะขอนัดทานข้าวกับเธอซักสองครั้งเพื่อขอให้เธอแนะนำเทคนิคการนำ
เสนอให้ผม”
“เราได้แนวคิดเยอะเลยคุณดิลก ผมเสนอว่าคุณดิลกใช้เวลาสักพักหนึ่งทำเป็นแผนงานให้
เห็นเป็นรูปธรรมจะดีไหมครับ”
ผ่านไปสักครู่ คุณดิลกเสนอร่างแผนงานของเขาในหนึ่งเดือนข้างหน้าดังนี้
“ยอดเยี่ยมมากเลยครับคุณดิลก”
สิ่งที่โค้ชชี่ควรทำ
1. ตระหนักว่าการโค้ชจะประสบความสำเร็จโค้ชชี่ต้องยอมรับหลักการพื้นฐานสองข้อคือ
2. มั่นใจว่าตนเองสามารถจัดการงานประจำวันของตนเองให้อยู่ตัวได้ โดยสามารถจัดสรร
วันเวลาให้กับการโค้ชและการบ้านอย่างเหมาะสม
5. เตรียมประเด็นที่คิดว่ามีโอกาสที่จะนำมาหารือเช่น
จุดแข็งที่เรา หัวหน้า และผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นเหมือนกัน เพื่อนำมาพัฒนาต่อยอด
สิ่งที่เราควรปรับปรุงที่ เรา หัวหน้า และผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นเหมือนกัน
Individual Development Plan / Career Plan
6. นำสิ่งที่คุยกันไปประยุกต์ใช้
7. สอบถามข้อมูลจากคนที่เคยมีประสบการณ์การโค้ชมาก่อนทั้งในและนอกองค์กร
9. ใจเปิดกว้างสำหรับคำถามจากโค้ช
1. เปรียบเทียบวิธีการของตนเองกับเพื่อนๆที่ได้รับการโค้ช เพราะว่าการโค้ชเป็นเรื่องที่
Tailor Made สำหรับแต่ละคนในแต่ละสถานการณ์ ดังนั้นวิธีการและขั้นตอน รวมทั้ง
กิจกรรมที่ได้รับมอบหมายของแต่ละคนจึงอาจจะแตกต่างกัน
2. อย่าพยายามเอาใจโค้ชด้วยการรับปากในสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้
3. อย่าพยายามตอบในสิ่งที่คิดว่าโค้ชอยากฟัง
4. ระวังไม่ควรนำสิ่งที่สนทนาไปพูดคุยต่อ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการพาดพิงถึงบุคคลที่
สาม
ปัจจุบันนี้องค์กรชั้นนำหลายแห่งมีกระบวนการสรรหาซีอีโอโดยผ่านคณะกรรมการสรรหา
เพราะเป็นวิธีการที่โปร่งใสและเพิ่มโอกาสในการคัดเลือกผู้นำที่มีคุณภาพสูง
คณะกรรมการสรรหาส่วนใหญ่มักจะประกอบไปด้วยกรรมการบริษัทบางส่วน และผู้ทรง
คุณวุฒิภายนอกบางส่วน ซึ่งกรรมการทั้งสองส่วนมักจะเคยมีประสบการณ์และดุลพินิจที่ดี
ในการคัดสรรผู้บริหารระดับสูงมาบ้างพอสมควร
ผมได้มีโอกาสโค้ชผู้บริหารที่เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งซีอีโอในหลายๆองค์กร ผมพบว่าผู้
บริหารระดับสูงซึ่งมีศักยภาพและความพร้อมที่จะเป็นซีอีโอนั้นหลายท่านไม่มีประสบการณ์ใน
การถูกสัมภาษณ์ในลักษณะนี้มาก่อน การเตรียมตัวให้พร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้ท่าน
เหล่านั้นได้มีโอกาสแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ตามความเป็นจริง
โดยส่วนใหญ่ผมจะใช้เวลาในการช่วยเตรียมตัวโดยการประชุมกับผู้บริหารก่อนสัมภาษณ์ 3
ครั้งๆละ 2 ชั่วโมง
ผมได้รวบรวมประสบการณ์สำหรับเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ให้กับผู้ที่มีศักยภาพสูงและอาจ
จะถูกสัมภาษณ์โดยคณะกรรมการสรรหาในอนาคตอันใกล้
แนวทางนี้ยังสามารถใช้ได้สำหรับการเตรียมตัวผู้บริหารเพื่อการสัมภาษณ์ตำแหน่งสำคัญ
ในองค์กรใหญ่ๆได้อีกด้วย
ในแต่ละหัวข้อมีข้อแยกย่อยลงไปอีก เรามาศึกษากันดูทีละข้อโดยเริ่มต้นกันที่ข้อแรกก่อน
1. รู้จักตัวเอง
1.1 รู้จักจุดแข็งของตน
1.2 รู้จักจุดอ่อนตน
1.3 รู้จักค่านิยมของตน
2. รู้จักกรรมการ
2.1 ใครคือคนที่มีอำนาจ
2.2 ใครคือคนที่ชี้นำกลุ่ม
2.3 ใครที่จะถามคำถามยากๆ
2.4 แต่ละคนมี จริต ภูมิหลัง และแรงจูงใจ อย่างไร
3. กำหนดกลยุทธ์การนำเสนอ
3.1 นำเสนอแบบไหนถูกใจกรรมการส่วนใหญ่
3.2 เรามีความถนัดในการนำเสนอแบบไหน
3.3 เราจะวางกลยุทธ์นำเสนออย่างไร
3.4 เราจะวางแผนการใช้เวลาอย่างไร
ขั้นตอนต่อไปคุณก็วางกลยุทธ์การนำเสนอให้สอดคล้องกับจริตกรรมการ เช่นหาก
กรรมการมีสไตล์เป็นกันเองส่วนใหญ่การนำเสนอเชิงวิชาการอาจจะทำให้คะแนนคุณตกลง
หากกรรมการชอบสีสัน ชอบการตลาด ชอบนวัตกรรม การนำเสนอของคุณควรมีความ
น่าสนใจพอที่จะทำให้เขาเทคะแนนให้คุณได้มากกว่าคู่แข่งคุณ
4. เตรียมแนวทาง ถาม-ตอบ
4.1 ระบุคำถามเท่าที่จะนึกได้
Page 151 of 161
4.2 วางแผนการตอบ
4.3 ฝึกซ้อม
5. ตัวอย่างคำถาม
1. สภาพแวดล้อมสำหรับองค์กรในอนาคตจะเป็นอย่างไร
2. ยุทธ์ศาสตร์ที่เหมาะสมสำหรับองค์กรคืออะไร
3. องค์กรต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างไร
4. คุณมีคุณสมบัติสอดคล้องเพียงใด
5. คุณสมบัติที่คุณขาดจะจัดการอย่างไร
6. หากคุณไม่ได้รับเลือกคุณจะทำอย่างไร
7. หากคุณเป็นกรรมการ คุณจะเลือกใครลำดับรองจากคุณ
8. หากคุณ (ซึ่งเป็น Candidate ในองค์กร) ไม่ได้รับเลือก จะแนะนำซีอีโอคนนอกว่าอย่างไร
9. คุณเคยมีปัญหา...มาก่อน คุณคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร
10. หากคุณได้รับแรงกดดันจากการเมือง จะจัดการอย่างไร
11. ภาพพจน์คุณเรื่อง...คุณจะจัดการอย่างไร
12. คุณคิดว่าจุดเดือดที่คุณทนไม่ไหวจริงๆคือเรื่องใด
13. คุณวางแผนคนที่จะแทนคุณในปัจจุบันอย่างไร
14. คุณคิดว่า Succession Planning ที่มีอยู่เป็นอย่างไร
15. คุณคิดว่าจะสร้างอะไรเป็นอนุสรณ์เมื่อคุณครบวาระ
16. คุณเตรียมตัวเป็นซีอีโอ มานานแค่ไหน เตรียมอย่างไร
17. พนักงานส่วนใหญ่รู้สึกอย่างไรกับคุณในอดีต
18. พนักงานส่วนใหญ่จะรู้สึกอย่างไรกับคุณในฐานะซีอีโอ
19. Stake holders อื่นๆ มองคุณอย่างไรในปัจจุบัน
20. Stake holders อื่นๆ มองคุณอย่างไรในฐานะซีอีโอ
ผมเริ่มต้นด้วยการเกริ่นถึงบทนำว่าที่มาของหนังสือเล่มนี้คือต้องการสร้างคู่มือที่สามารถ
ทำให้คนเรียนรู้เรื่องโค้ชผู้บริ หารได้ด้วยตนเอง และแนะนำแนวทางการใช้หนังสือเล่มนี้
แล้วผมก็เข้าสู้ขั้นตอนของการโค้ชซึ่งมีทั้งหมดห้าขั้นตอนคือ 1. ตรวจทานศรศิลป์
(Checking- Chemistry) 2. การประเมินศักยภาพ (Diagnosis) 3. การออกแบบการโค้ช
(Design) 4. การสนทนาการโค้ช (Dialogue) 5. บรรลุเป้าหมายของการโค้ช
(Destination)
และแถมท้ายด้วยแนวทางการเตรียมตัวเพื่อรับการสัมภาษณ์โดยคณะกรรมการสรรหา CEO
เนื่องมาจากว่าในระยะหลังผมมีโค้ชชี่ที่มีความต้องการโค้ชแบบนี้มากขึ้น จึงรวบรวมมาเป็น
องค์ความรู้แล้วนำมาเผยแพร่กัน
เมื่อท่านอ่านมาถึงจุดนี้เชื่อว่าท่านจะพอมีความรู้ในระดับหนึ่ง สำหรับบางคนอาจจะ
สามารถนำไปประกอบอาชีพเป็นโค้ชผู้บริหารได้เลย สำหรับบางคนอาจจะนำไปประยุกต์ใช้
กับการโค้ชลูกน้องในทีมของตน และสำหรับบางคนอาจจะต้องการเรียนรู้อบรมเพิ่มเติมอีก
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมแะลศักยภาพของแต่ละบุคคล
ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ
อย่างไรก็ตามมีแหล่งข้อมูลที่สำคัญคือประสบการณ์จากลูกค้าและโค้ชชี่ รวมทั้งคนที่สนใจ
จะเป็นโค้ชมาขอคำแนะนำผมในฐานะ Mentor ซึ่งไม่ได้นำชื่อของท่านเหล่านั้นมาใส่ไว้แต่
อยากใช้โอกาสนี้ขอบบคุณที่ท่านทั้งหลายได้มีส่วนสอนผมอย่างมาก
จัดเตรียมโดย TheCoach
31 สิงหาคม 2558
ข้อเสนอ
2. Coaching
โดยมีรายละเอียดดังนี้
2. Coaching
ค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้โค้ชชี่สามารถจะยุติการโค้ชได้โดยบอกล่วงหน้าสองสัปดาห์ โค้ชชี่ไม่มีข้อผูกพันว่าจะต้องใช้บริการให้ครบ 12
ครั้ง
พันธกิจในชีวิต
มุ่งมั่นที่จะใช้เวลาที่เหลือในชีวิตในการใช้จุดแข็งของตนเองปลดปล่อยศักยภาพของคนดีและเก่งจํานวนหนึ่งเพื่อทําให้
โลกนี้ดีขึ้น
ค่านิยมส่วนตัว
จุดแข็ง
แนวทางการโค้ช
ผลงาน
รายนามองค์กรที่ใช้บริการ TheCoach
xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx xxxx
——————————————————————————————————
เอธ แย้มประทุม แปล. เจาะจุดแข็ง แปลจาก Now, Discover Your Strengths. กรุงเทพฯ
Nation Books, พ.ศ. 2547
Graham Alexander, Tales from the top. Thomas-Nelson Inc, ค.ศ. 2005.
Marcus Buckingham & Curt Coffman, First Break All the Rules. Simon Schuster,
ค.ศ. 1999.
Marcus Buckingham, Go put your strengths to work. FREE PRESS, ค.ศ. 2007
Marilee Adams, Change Your Questions Change Your Life. Berret-Kohler, ค.ศ.
2009.
Michael Hoppe, Active Listening - Improve your ability to listen and lead.
Center for Creative Leadership, ค.ศ. 2006.
Richard Boyatzis & Annie McKee, Resonant Leadership. HBR Press ค.ศ. 2005.
W. Timothy Gallwey, The inner game of work. Random House, ค.ศ. 2001