Professional Documents
Culture Documents
คํานํา
คู่มือเล่มนี้เป็นคู่มือประกอบการฝึกอบรมการพัฒนาบุคลากรภาคปฏิบัติเพื่อ
ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานระบบอากาศอัด จัดทําโดยสํานักพัฒนาทรัพยากร
บุคคลด้านพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
โดยมีเนื้อหามุ่งเน้นสําหรับผู้ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ต้องใช้เครื่องอัดอากาศ
ในกระบวนการผลิตต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือต้องการให้เป็นคู่มือฝึกอบรมที่ทํา
ความเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อนและนําไปสู่การบํารุงรักษาที่ดี การเดินเครื่องที่เหมาะสม
การเลือกซื้อเครื่องอัดอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทําการตรวจวัดสมรรถนะ
เครื่องอัดอากาศ เปรียบเทียบกับสมรรถนะของเครื่องอัดอากาศได้เองตามข้อกําหนด
ของผู้ผลิตเครื่องอัดอากาศ และนําไปสู่การกําหนดมาตรการต่างๆเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้ระบบสร้างอากาศอัด
คู่มือนี้เป็นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากคู่มือต่างๆที่ทางสํานักพัฒนาทรัพยากร
บุคคลด้านพลังงาน ได้จัดทําขึ้นโดยคัดเนื้อหาให้เหมาะสมสําหรับการฝึกอบรมครั้งนี้ อีก
ทั้ง ยั ง ได้ นํ า ข้ อ มู ล ใหม่ ที่ สํ า คั ญ เข้ า มาเพิ่ ม เติ ม เพื่ อ ให้ ต รงวั ต ถุ ป ระสงค์ และมี ค วาม
สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
สํานักพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ปฏิบัติงานด้าน
ระบบอากาศอัดคงได้ประโยชน์ในการเข้าฝึกอบรม และนําความรู้ไปใช้ในการอนุรักษ์
พลังงานของหน่วยงานต่อไป
กุมภาพันธ์ 2559
สํานักพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านพลังงาน
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
กระทรวงพลังงาน
สารบัญ
สารบัญ
สารบัญ
หน้า
บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
ii 1.1 ความรู้พื้นฐานของอากาศอัด 1-2
1.2 หลักการทางานของระบบอากาศอัด 1-3
1.3 การนาอากาศอัดไปใช้ประโยชน 1-3
1.4 การกระจายการสูญเสียพลังงาน 1-7
1.5 ชนิดของเครื่องอัดและสมรรถนะของเครื่อง 1-8
1.6 ส่วนประกอบระบบอากาศอัด 1-15
1.7 เกณฑ์มาตรฐานการปรับตั้งแรงดันของเครื่องอัดอากาศ 1-26
1.8 การบาบัดอากาศ (Air Treatment) 1-27
1.9 การควบคุมและจัดการระบบเดินเครื่อง 1-31
(Control System and Compressor Managements)
1.10 เกณฑ์มาตรฐานการควบคุมการทางานของเครื่องอัดอากาศ 1-33
1.11 ห้องเก็บเครื่องอัดอากาศ (Compressor Room) 1-33
1.12 เกณฑ์มาตรฐานอุณหภูมิของอากาศที่เข้าสู่เครื่องอัดอากาศ 1-42
1.13 การประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี 1-42
1.14 นวัตกรรมระบบอากาศอัด 1-46
บทที่ 2 ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
2.1 อุณหภูมิและความดัน 2-1
2.2 สมการสภาวะ 2-3
2.3 ความหนาแน่น 2-4
2.4 ความสัมพันธ์ระหว่างสองสภาวะ 2-4
2.5 อุณหภูมิก๊าซหลังการอัด 2-4
2.6 พลังงานในการอัดทางทฤษฎี 2-5
2.7 อัตราใช้อากาศอัด 2-7
2.8 การคานวณหาอัตราการรั่ว 2-11
2.9 การคานวณหาการใช้กาลังจาเพาะขณะเครื่องมีภาระ 2-11
2.10 การคานวณหาสัดส่วนภาระ 2-12
2.11 การคานวณหาการใช้กาลังไฟฟ้าเฉลี่ย 2-13
สารบัญ
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
บทที่ 2 ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด (ต่อ)
2.12 การคานวณหาการใช้กาลังจาเพาะเฉลี่ย 2-15
2.13 กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในการอัดอากาศทางทฤษฎี 2-15 iii
2.14 การหาค่าพลังงานที่ประหยัดได้หลังการปรับปรุงการรั่ว 2-17
2.15 การคานวณหาความดันลดในท่อ 2-18
2.16 การประมาณขนาดถังเก็บอากาศอัด 2-19
บทที่ 3 ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกตใช้งาน
บทที่ 4 กรณีศึกษา
1. มาตรการด้าน House Keeping
กรณีศึกษาที่ 1.1 การลดความดันอากาศอัดในระบบอากาศอัด 4-2
กรณีศึกษาที่ 1.2 การลดความดันเครื่องอัดอากาศในโรงงานผลิตยาง 4-7
กรณีศึกษาที่ 1.3 การลดอุณหภูมิก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศ 4-11
ในโรงงานสิ่งทอ
กรณีศึกษาที่ 1.4 การลดอุณหภูมิก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศ 4-15
ในโรงงานผลิตลูกฟุตบอล
กรณีศึกษาที่ 1.5 การลดจานวนการใช้เครื่องอัดอากาศ 4-18
ในระบบอากาศอัด
2. มาตรการด้าน Process Improvement
กรณีศึกษาที่ 2.1 การลดปริมาณการรั่วของอากาศอัด 4-22
กรณีศึกษาที่ 2.2 การลดการรั่วไหลของระบบอากาศอัด 4-27
กรณีศึกษาที่ 2.3 มาตรการการปรับปรุงท่อเมนการส่งจ่ายอากาศอัด 4-33
กรณีศึกษาที่ 2.4 การเปลี่ยนอุปกรณ์ระบายน้าอัตโนมัติ 4-38
ของเครื่องอัดอากาศ
กรณีศึกษาที่ 2.5 การลดการเดินเครื่องที่ไม่จาเป็น 4-41
กรณีศึกษาที่ 2.6 การจัดลาดับการทางานของเครื่องอัดอากาศ 4-45
กรณีศึกษาที่ 2.7 การติดตั้ง VSDs ที่เครื่องอัดอากาศ 4-49
สารบัญ
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
บทที่ 4 กรณีศึกษา (ต่อ)
iv 3. มาตรการด้าน Machine change
กรณีศึกษาที่ 3.1 มาตรการการเปลี่ยนมาใช้เครื่องอัดอากาศ 4-52
ประสิทธิภาพสูง
กรณีศึกษาที่ 3.2 การเปลี่ยนเครื่องอัดอากาศให้เหมาะสม 4-56
กับภาระใช้งาน
กรณีศึกษาที่ 3.3 การเปลี่ยนอุปกรณ์ระบายน้าของเครื่องอัดอากาศ 4-60
บทที่ 5 การบารุงรักษาระบบอัดอากาศเบื้องต้น
5.1 การตรวจเช็คประจาวัน ประจาสัปดาห์ ประจาเดือน 5-3
ประจาปี และการซ่อมบารุงใหญ่
(Dairy Check List, Weekly Check List,
Monthly Check List, Annual Check List and Overhaul)
5.2 ขั้นตอนการเดินเครื่อง 5-8
5.3 การตรวจสอบขณะเดินเครื่องอัดอากาศ 5-11
5.4 สมุดบันทึกข้อมูลการเดินเครื่อง (Log Book) 5-13
5.5 การตรวจสอบข้อบกพร่องของเครื่องอัดอากาศและมอเตอร์ 5-13
(Compressors and Motor Inspection)
5.6 การบารุงรักษาการไหลของลมอัดในระบบ (Flow maintenance) 5-20
5.7 การบารุงรักษากรองอากาศ และจุดกรองอื่นๆของระบบอัดอากาศ 5-21
5.8 การตรวจวินิจฉัย และบารุงรักษาระบบอากาศอัด 5-24
เพื่ออนุรักษ์พลังงาน
5.9 ระยะเวลาการบารุงรักษาระบบอากาศอัดที่เหมาะสม 5-34
ภาคผนวก ก ตารางแปลงหน่วย
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
1.1 ความรู้พื้นฐานของอากาศอัด
อากาศ ประกอบไปด้วยก๊าซผสมหลาย ๆ ชนิดโดยมีองค์ประกอบส่วนใหญ่ คือ
ก๊ า ซไนโตรเจน และยั ง มี ก๊ า ซออกซิ เ จน ก๊ า ซคาร์ บ อนไดออกไซด์ แ ละก๊ า ซอื่ น ๆ เป็ น
องค์ประกอบอีกเล็กน้อย อากาศจึงมีคุณสมบัติเป็นก๊าซ โดยถ้าบีบอัดอากาศให้มีปริมาตร
เล็กลง แรงดันอากาศจะสูงขึ้น และอุณหภูมิจะสูงขึ้ นด้วย คานิยามพื้นฐานที่ควรทราบของ
ระบบอัดอากาศมีดังนี้
2
อากาศมาตรฐาน (Standard Air ใช้โดย ASME และ CAGI ส่วน ANSI ใช้ ISO
1217)
คือ อากาศที่ (68 ๐F) 20 ๐C ความดัน 1 บรรยากาศ = 101.3 kPa หรือ =
1.013 bar หรือ = 760 ม.ม. ปรอท ความชื้นสัมพัทธ์ 65 % มีความหนาแน่น 1.2
kg/m3
1.2 หลักการทางานของระบบอากาศอัด
การทางานของเครื่องอัดอากาศเริ่มจากดูดอากาศเข้าทางท่อลมเข้า (Air Intake)
3
เพื่อส่งเข้าไปยังเครื่องอัดอากาศ (Air Compressor) บริเวณทางเข้าเครื่องอัดอากาศจะ
ติดตั้งเครื่องกรองอากาศ (Filter) กรองสิ่งเจือปนต่างๆ เช่น ฝุ่นละอองเศษใบไม้ที่อาจลอย
มากับอากาศเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับเครื่องอัดอากาศอากาศที่ผ่านเครื่องอัด
อากาศแล้วจะเก็บไว้ในถังเก็บอากาศซึ่งมีความดันสูงและมีอุณหภูมิสูงแต่อุณหภูมิจะลด
ต่าลงด้วยอุปกรณ์ระบายความร้อนหลังจากอัด (After cooler) ก่อนนาไปใช้งานต่อไป
อากาศที่มีความดันสูงจะถูกส่งผ่านจากท่อจ่ายอากาศหลัก(Supply Line) และแยก
ไปใช้งานตามจุดต่างๆผ่านท่อแยก(Branch) แต่ก่อนที่อากาศจะเข้าไปยังเครื่องมือหรือ
อุปกรณ์ต่างๆเช่นกระบอกสูบหรือพู่กันลมต้องมีการดักและกรองสิ่งที่ปนมากับอากาศซึ่ง
ได้แก่ฝุ่นละอองสิ่งสกปรกจากภายในท่อและน้ามันหล่อลื่นเสียก่อนโดยใช้อุ ปกรณ์กรอง
ละอองน้าและฝุ่น(Filter)
1.3 การนาอากาศอัดไปใช้ประโยชน์
การใช้อากาศอัดเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น
อุตสาหกรรมการผลิต อาหาร เครื่อ งอุปโภคบริโภค ระบบควบคุ มอัตโนมัติ ระบบทาง
การแพทย์ แม้กระทั่งระบบเล็กๆอย่างเครื่องเติมลมยางรถยนต์ หากเราศึกษาให้ดี เรา
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
หยิบจับชิ้นงานเพื่อบรรจุกล่อง ถ้าไม่ต้องการให้ชิ้นงานไหลลงตามแรงโน้มถ่วง
เพราะจะแตกหัก
2) ใช้ เ ป็ น ลมเป่ า แรงดั น สู ง เช่ น เป่ า ท าความสะอาดในเครื่ อ งกรองดั ก ฝุ่ น
(Reverse Pulse Jet Cleaning Bag Filter) ใช้เป็นลมเป่าแรงดัน เช่น เป่า
ทาความสะอาด (Air Gun)
3) ใช้แรงดันอากาศอัดเป่าผ่านรูเล็ก ทาให้เกิดแรงดูดเพื่อสร้างสุญญากาศอย่าง
รวดเร็ว ใช้สุญญากาศช่วยเครื่องมือเล็ก ๆ หยิบจับโดยดูดชิ้นงานเล็ก ๆ ติด 5
เครื่องมือแล้วย้ายไปวางในอีกที่หนึ่งในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และ
เครื่องดูดฝุ่น
4) ใช้แรงดันอากาศเป่าของเหลวให้เป็นละอองเล็ก ๆ เช่น เครื่องพ่นสี ของแข็ง
เม็ดทรายในการขัดผิวโลหะทาความสะอาดหรือตบแต่งให้ผิวโลหะสวย
5) ใช้ เ ป็นสั ญญาณในระบบตรวจวั ดและควบคุ ม อัตโนมัติ (Pneumatic
Controller)
6) ใช้ เ ป็ น ตั ว กลางขนส่ ง ล าเลี ย งวั ส ดุ ที่ มี ลั ก ษณะ เช่ น เมล็ ด พื ช หรื อ แคปซู ล
(Pneumatic Conveyor)
7) ใช้กับเครื่องวัดขนาด (Air Gauge) ให้ชิ้นงานที่กลึงได้สวมลงในเครื่องวัด ถ้า
หลวมมาก อากาศอัดจะไหลออกมาก ถ้าแน่นมากอากาศอัดจะไหลน้อย ถ้า
อยู่ในช่วงที่ตั้งไว้ชิ้นงานนั้น ๆ ก็ใช้ได้
และเพื่อให้เข้าใจได้มากขึ้น เกี่ยวกับลักษณะการใช้งานและประโยชน์ของระบบอัด
อากาศ เพื่อสร้างอากาศอัด ภายในโรงงานจึ งได้กล่า วถึง ประโยชน์และลักษณะเฉพาะ
เพิ่มเติมดังนี้
1) เป็นระบบอานวยความสะดวกการผลิตไม่ใช่ตัวทาการผลิต แต่เป็นตัวช่วย
ระบบผลิต
2) เป็นตัวกลางในการขับดันอุปกรณ์ต่าง ๆ จึงใช้กับเครื่องมือกลอย่างกว้างขวาง
แทนเครื่องมือกลที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเช่นสว่านลม หรือไขควงลม
3) เป็นตัวกลางในการควบคุมอุปกรณ์ทั้งระยะใกล้หรือระยะไกล
4) สามารถปรับสภาพ/สถานะได้ง่าย ยืดหยุ่นและคล่องตัวตอบสนองไวในการใช้
งาน
5) มีความปลอดภัยจากไฟฟ้าลัดวงจร (ไฟรั่ว, ไฟช็อต) อาจคร่าชีวิตผู้ปฏิบัติงาน
ได้ ปลอดภัยจากการเป็นต้นเหตุเกิดประกายไฟในการเกิดเพลิงไหม้หรือเป็น
ตัวจุดระเบิดสารเคมีไวไฟในอุตสาหกรรมเคมี พลาสติก โรงงานผลิตอาหาร
หรือโรงกลั่น เป็นต้น
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
อย่างไรก็ตามระบบอากาศอัดก็มีข้อเสียอยู่บ้าง ในกรณีที่เครื่องอัดอากาศความดัน
ต่า ไม่เหมาะสมซึ่งเราจะได้กล่าวให้ทราบเป็นตัวอย่างดังนี้
1) ปริมาตรและแรงดันอากาศอัดมีความสาคัญต่อผลผลิตอย่างมาก หากความ
ดันตก ทาให้เครื่องพ่นสีพ่นละอองสีเม็ดโตกว่าเมื่อแรงดันปกติ
2) ทาให้ ก ระบอกลมเคลื่ อนที่ช้ า หรื อไม่ เคลื่อ นที่ ทาให้จั ง หวะการกระทาไม่
สัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ
6 3) ทาให้แรงกดบนชิ้นงานลดต่าลง ทาให้ผลงานคลาดเคลื่อน ก่อให้เกิดสินค้า
คุณภาพต่ากว่ามาตรฐาน เป็นการสูญเสีย
4) หากความดันและปริมาณอากาศคลาดเคลื่อนอาจทาให้เครื่องควบคุมอัตโนมัติ
ทางานผิดพลาด เมื่อไม่ได้อากาศตามความดันที่กาหนด
ในอุตสาหกรรมมีการใช้อากาศอัดอย่างกว้างขวาง แต่ว่าอากาศอัดนั้นไม่ใช่ของได้
เปล่า เพราะมีค่าใช้จ่ายในการผลิตและบาบัด ซึ่งค่าใช้จ่ายพลังงานไฟฟ้าเฉพาะการผลิต
อากาศอัดเป็นค่าใช้จ่ายในปริมาณที่สูงของแต่ละโรงงาน โดยทั่วไปการดูแลบารุงรักษา
เครื่องอัดอากาศ การจั ดการเลือกเดินเครื่ องจั กรให้เหมาะกับภาระในการใช้ ง าน การ
ปรับตั้งแรงดันให้เหมาะสมในการใช้งาน และการหมั่นตรวจระบบท่อให้ดี การป้องกันการ
รั่ว จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องลาบากอันใด ในการทาความรู้จักให้
ดีขึ้นกับเครื่องอัดอากาศรูปแบบต่าง ๆ อุปกรณ์ต่อเนื่อง และระบบจ่ายอากาศอัด ขนาดท่อ
ที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้มาก
พอสรุปได้ว่าอากาศอัดมีราคาแพงมาก มีความปลอดภัยสูงต่อชีวิตของผู้ปฏิบัติงาน
ในการใช้อากาศอัด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับไฟฟ้า ระบบอากาศอัดตอบสนองการสั่งงานได้
ไว ควบคุมการทางานหนักหรือเบาได้ดีมาก จึงไม่แปลกใจที่พบระบบอากาศอัดในโรงงาน
อุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท ในอนาคตอันใกล้หากการสร้างหุ่นยนต์อุตสาหกรรมพัฒนา
ประสิทธิภาพดีขึ้นและต้นทุนการสร้างต่าลง การใช้หุ่นยนต์แทนคนทางานจะแพร่หลาย
มากขึ้น เพราะไม่เกิดความล้า และทางานค่อนข้างแม่นยาหากมีการใช้หุ่นยนต์มากขึ้น ก็จะ
ทาให้การใช้อากาศอัดมากตามไปด้วย เพราะหุ่นยนต์อุตสาหกรรมใช้อากาศอัดเป็นตัวกลาง
ในการควบคุม
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
1.4 การกระจายการสูญเสียพลังงาน
มีผู้ใช้งานจานวนมากที่ไม่ทราบว่าการผลิตอากาศอัดมาใช้งานนั้น มีความสิ้นเปลือง
ทางพลังงานเป็นอย่างมาก แต่การที่ยังต้องใช้อยู่เพราะมีความจาเป็นเนื่องจากไม่สามารถ
เลือกใช้ระบบอื่นมาทดแทนได้ สัดส่วนของการสูญเสียพลังงาน ในทุกๆ 100 แรงม้าที่ต้อง
จ่ายให้แก่เครื่องอัดอากาศนั้น พลังงานส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับเครื่อง Compressor เครื่อง Air
Dryer ไส้กรอง รูรั่ว และการเสียดทานในท่อรวมทุกอย่างแล้วประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ นั่น 7
หมายถึง ประโยชน์ท้ายสุดได้มาเป็นอากาศอัดที่ความดันใช้งานที่ต้องการ และปริมาณลม
เราได้ประโยชน์แค่เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งน้อยมาก แต่เราก็ไม่มีทางเลือก พลังงาน
ที่สูญเสียไปส่วนใหญ่คือความร้อนที่เครื่องอัดอากาศทิ้งออกมา ซึ่งถ้าหากเราสามารถนา
ความร้อนทิ้ง (Waste Heat) ดังกล่าวกลับมาใช้ในการผลิตส่วนอื่นของโรงงานได้ ก็ จะ
ประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก ตัวอย่างของการนาลมร้อนที่ออกจากเครื่องอัดอากาศ
มาใช้ใหม่คือโรงงานพ่นสีต่างๆ
ค่าใช้จ่ายของเครื่องอัดอากาศโดยทั่วไป มักจะพบว่าหากระยะเวลาทางานในเวลา
10 ปีนั้นค่า ใช้จ่ ายเริ่มแรกตอนจัดซื้อเครื่องอัดอากาศประมาณได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์
สาหรับค่าซ่อมบารุงตลอด 10 ปี ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ในขณะที่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่คือ
75 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าพลังงานเช่น ค่าไฟฟ้า ซึ่งความเข้าใจนี้ทาให้เราพอจะคิดและมั่นใจได้
ว่ า หากเรากล้ า ซื้ อ เครื่ อ งอั ด อากาศที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพสู ง ซึ่ ง อาจมี ร าคาสู ง แต่ ใ นการ
ดาเนินงานจะมีค่าการใช้พลังงาน (ค่าไฟฟ้า) ที่ประหยัดกว่าได้แน่นอน
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
ค่าบารุงรักษา
15 % ค่าไฟฟ้า
ราคาเครื่อง 75 %
10 %
ส่วนประกอบของเครื่องอัดอากาศที่มีใช้แพร่หลายทั่วไปซึ่งเป็นเครื่องอัดอากาศที่
เป็นแบบลูกสูบมีราคาไม่แพงมาก ไม่ซับซ้อน และระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งจะพบ
เห็นทั่วไปตามหน่วยงานตั้งแต่ร้านค้าเล็กๆ ใช้ปริมาณลมไม่มากจนถึงโรงงานทั่วไป โดย
แสดงดัง รูปที่ 1.5 ในขณะที่ส่วนประกอบของเครื่องอัดอากาศที่ใช้งานระดับอุตสาหกรรมมี
ความซับซ้อนมากขึ้น ต้องได้รับการดูแลบารุงรักษาอย่างสม่าเสมอแสดงดัง รูปที่ 1.6
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
ปลั๊กอุดที่เติม กรองอากาศ
กรองอากาศ น้ามัน
ฝาครอบและ ตู้ไฟพร้อมปุ่มกด
สายพาน เปิด - ปิด
10
ลิ้นนิรภัย
เกจวัดความดัน
ที่ตรวจดู ชุดปรับแรงดัน
ระดับน้ามัน
รังผึ้งระบาย
เครื่องกรองแยก ความร้อน
ที่ตรวจดู วาล์วทิ้ง ของน้ามัน
น้า น้า
ระดับ
ออกจากอากาศ อัตโนมัติ
น้ามัน
รูปที่ 1.6 ส่วนประกอบต่ าง ๆ ของเครื่องอัดอากาศ
อัด Rotary Vane แบบต่อตรงไม่มีตู้เก็บเสียง
เครื่องอัดอากาศมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีของผู้ผลิต ซึ่งก็มีข้อดีต่างกัน
ซึ่งสามารถแยกประเภทได้ดังนี้
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
1.5.1 แบ่งตามการทางานของเครื่องอัดอากาศ
1.5.1.1 เครื่ อ งอั ด อากาศแบบหมุ น เหวี่ ย ง (Dynamic or
Centrifugal Compressors) อาศัยใบพัดหมุนด้วยความเร็วสูงทาให้อากาศมีความเร็วสูง
เครื่องอัดอากาศประเภทนี้ไม่สามารถเพิ่มความดันสูงขึ้นถ้า ไม่เพิ่มความเร็วรอบ ถ้าใช้
อากาศอัดมากกว่าความสามารถที่อัดออกมาจากเครื่องได้ความดันก็ตกเหมือนเครื่องอัด
อากาศประเภทอื่น ๆ สาคัญที่สุด เครื่องประเภทนี้ต้องกรองอากาศก่อนเข้าเครื่อง ด้ว ย 11
อุปกรณ์กรองละเอียดต่ากว่า 0.3 ไมครอน
โดยทั่วไปเครื่องอัดอากาศแบบหมุนเหวี่ยง แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
ก. Centrifugal Compressor หรือเครื่องอัดอากาศแบบใช้แรงเหวี่ยง
ข. Axial Flow Compressor หรือเครื่องอัดอากาศแบบไหลตามแกน
Centrifugal Type
ไหลลดลงเนื่องจากปลายทางใช้อากาศอัดลดลง เครื่องจะสร้างความดันสูงขึ้นจนเครื่อง
ขับเคลื่อนขับไม่ไหว จึงต้องมีลิ้นนิรภัยหรือสวิทช์แรงดัน (Safety Valve or Pressure
Switch) ระบายความดันออกหรือตัดหยุดเครื่อง โดยปกติเครื่องอัดอากาศประเภทนี้ จะ
แบ่งได้เป็น
ก. Reciprocating Compressor
12 (1) ชนิด Diaphragm
(2) ชนิดลูกสูบ หรือ Piston โดยมีทั้ง Single
Acting และ Double Acting
14
1.6 ส่วนประกอบระบบอากาศอัด
อากาศทั่วไปที่ความดันต่า จะถูกดูดเข้าเครื่องอัดอากาศทาง Air Filter และอากาศ
ขาออกของเครื่องที่ความดันสูงจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นด้วย อากาศที่ความดันสูงจะไหลเข้าไป
เก็บในถังพัก หรือถังลม (Air Storage Tank) จากนั้นจะทาการลดความชื้นของอากาศ เพื่อ
ป้องกันไม่ให้ไอน้าเข้าไปตามท่อส่งอากาศ (Main Pipe) โดยให้อากาศอัดไหลผ่านเครื่องทา
อากาศให้แห้ง (Air Dryer) หลังจากนั้น อากาศความดันสูง (High Pressure Air) จะถูกส่ง
จ่ายไปตามท่อประธาน (Main Pipe) และท่อแยกสู่อุปกรณ์ที่ใช้ลม (Loads) ต่อไป ทั้งนี้
Air Dryer ถูกจัดให้อยู่ตาแหน่งหลังจากถังพัก แต่มีไม่น้อยที่ Air Dryer ถูกจัดให้อยู่ก่อน
ถังพัก ดังรูปที่ 1.10
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
16
17
18
19
รูปที่ 1.16 ลักษณะการต่อท่อแยกจากท่อประธานโดยใช้ข้อต่อตัวที (Tee) อย่างผิดวิธี
สิ่งกีดขวาง
20
22
8. ถังกลมให้อากาศหมุนภายในถังเพื่อแยกหยดน้าออกจาก
อากาศอัด
9. แผงควบคุมเครื่อง ปุ่มกด เดิน/หยุดเครื่อง
10. สารดูดความชื้นของน้ายา
11. วาล์วลัดผ่าน (By pass valve)
24 12. วาล์วทิ้งน้าอัตโนมัติ
13. สวิ ท ช์ ตั ด หยุ ด เมื่ อ แรงอั ด น้ ายาสู ง หรื อ ต่ าไป (Hi-Low
Switch)
14. สวิทช์อุณหภูมิตัดหยุดเมื่ออุณหภูมิต่าไป
ในอุตสาหกรรมบางชนิดที่ต้องการที่แห้งและไม่ปนเปื้อนน้ามัน เช่น
อุตสาหกรรมประกอบชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ระบบประกอบ HDD (Hard Disc Drive)
อุตสาหกรรมเป่าขวด อุตสาหกรรมอาหารและยา หรือ อุตสาหกรรม Semiconductor มี
ความจาเป็นที่จะต้องป้องกันความชื้นและน้ามันหล่อลื่นเข้าสู่ผลิตภัณฑ์จึงมีการใช้ระบบ
เคมีบาบัดอากาศให้ปราศจากน้ามันโดยใช้ Converter รูปที่ 1.22 แสดงถึงการใช้ระบบ
ทางเคมี ช่ ว ยในก าจั ด น้ ามั น หล่ อ ลื่ น และการลดความชื้ น ของอากาศก่ อ นจ่ า ยเข้ า
กระบวนการผลิต
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
25
ประโยชน์ของถังเก็บอากาศเป็นดังนี้
1) การให้เครื่องเดินและหยุดยาวออกไป เพื่อป้องกันมอเตอร์เดินและหยุดถี่
เกินไปอันอาจทาให้มอเตอร์ไหม้เสียหายได้
2) ใช้สารองอากาศไว้ให้เครื่องจักรที่ใช้อากาศอัดครั้งละมาก ๆ และป้องกันมิ
ให้ความดันในระบบตก เมื่อมีการใช้อากาศปริมาณมาก ๆ ในแต่ละครั้ง
26
28
ความต้องการคุณภาพของอากาศอัดของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมแตกต่าง
กัน คุณภาพอากาศอัดที่ดีต้องปราศจากสิ่งสกปรก น้า น้ามัน ถ้าต้องการคุณภาพอากาศ
อัดสูงเท่าใด ยิ่งต้องใช้พลังงานในการปรับปรุงมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งวิธีการปรับปรุงคุณภาพ
อากาศอัดสามารถทาได้หลายวิธีโดยใช้อุปกรณ์ต่อไปนี้
After Cooler การระบายความร้อนอากาศอัดที่ติดมากับเครื่องก็เป็นวิธี
หนึ่ง ในการปรับปรุงคุณภาพอากาศอัดที่ต้นทุนต่า โดยสามารถแยกน้าออกได้ ประมาณ
ร้อยละ 70
Main Air Filter การกรองสิ่งสกปรกที่ท่อหลักหรือต้นทางก่อนนาอากาศอัดไป
ใช้
Refrigerant Air Dryer เครื่องดูดความชื้นของอากาศอัดโดยใช้ระบบทาความ
เย็น สามารถแยกน้าออกได้ประมาณร้อยละ 96
Desiccant Air Dryer เครื่องดูดความชื้นของอากาศอัด โดยใช้สารดูด ความชื้น
ระบบนี้จะทาคุณภาพอากาศอัดได้ที่คุณภาพสูง ซึ่งข้อเสียของระบบคือทาให้สิ้นเปลือง
พลังงานเพิ่มประมาณร้อยละ 15 - 20 จากระบบปรับปรุงแบบ After Cooler
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
ชุดวาล์วควบคุมสาหรับลดแรงดันน้าให้พอดีกับความต้องการ การใช้อุปกรณ์ปรับความเร็ว
รอบมอเตอร์ต่อเข้าไปในระบบ จะควบคุมการทางานของมอเตอร์ปรับตามการใช้งาน เมื่อ
ความเร็วรอบลดลง ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ก็จะลดลงด้วยการใช้อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบแบ
VSD ในกรณีที่ปริมาณ Load ของการใช้ลมมีค่าไม่คงที่ แต่ถ้าการใช้ลมมีปริมาณที่คงที่
ตลอดเวลาแล้ว การติดตั้งอุปกรณ์ VSD ก็ไม่ช่วยอะไร
32 1.9.4 ระบบควบคุมแบบลาดับ (Sequential Control , Multiple
Compressors)
ระบบควบคุมแบบลาดับ การจัดการเดินเครื่องแบบนี้มีประโยชน์ในกรณีที่เป็น
โรงงานขนาดใหญ่และมีการใช้อากาศไม่พร้อมกันหรือปริมาณของอากาศเปลี่ยนแปลงไป
ตามกระบวนการผลิต
ระบบนี้มีประโยชน์ในการจัดการบริหารการใช้อากาศอัดมาก เพราะสามารถสั่ง
การได้เป็นแบบอัตโนมัติ ทั้งการตั้งเวลาเดินเครื่องของแต่ละเครื่องอัดอากาศ รวมถึงการ
เพิ่มปริมาณลมหากต้องการใช้ลมปริมาณไม่เท่ากันในตาแหน่งเฉพาะที่ของโรงงาน รูปที่
1.25 แสดงถึงตัวอย่างของระบบควบคุมแบบ Sequential Control
1.10 เกณฑ์มาตรฐานการควบคุมการทางานของเครื่องอัดอากาศ
ข้อควรระวังและข้อพึงปฏิบัติในการควบคุมเครื่องอัดอากาศ ซึ่งมีประเด็นหลักๆ
ดังนี้
1.10.1 ไม่ควรให้อุณหภูมิของอากาศทางเข้าสูงกว่า 40 0C
1.10.2 ควรดาเนินการตามข้อแนะนาและเงื่อนไขการเดินเครื่องของผู้ผลิตอย่าง
เคร่งครัด 33
1.11 ห้องเก็บเครื่องอัดอากาศ (Compressor Room)
1.11.1 การติดตั้งเครื่องอัดอากาศ (Compressor Installation)
ข้อแนะนามีดังนี้ ซึ่งใช้ได้กับเครื่องจักรทุกชนิดไม่จากัดที่เครื่องอัดอากาศ
ก. ถ้าเป็นเครื่องอัดอากาศลูกสูบตัวใหญ่ๆ ผู้ผลิตจะมีรายละเอียดการทาแท่น
ติดตั้งมาให้ แต่ถ้าซื้อเครื่องเก่ามาใช้งาน ให้หาน้าหนักรวมของทั้งชุด แล้วหาความกว้าง
ยาว เพื่อคานวณการใช้พื้นที่ ให้ เอาน้าหนักตั้ง หารด้วยพื้นที่ติดตั้ง ถ้าไม่เกิน 500 กก.ต่อ
ตารางเมตร จะปลอด ภัยในการติดตั้งในพื้นนั้น แต่ถ้าเกิน 500 กก.ต่อตารางเมตร ให้ใช้เหล็ก
ตัว H มาทาแท่นให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น (ใช้หลักการฐานแผ่) โดยให้เฉลี่ยน้าหนักไม่เกิน
500 กก.ต่อตารางเมตร และใช้ยางแท่นเครื่องรองรับเครื่องกับแท่นเหล็ก H หายางที่รับ
น้าหนักเครื่องให้เพียงพอ อาจใช้หลายตัวถ้าจาเป็น ทาการยึดแท่นเหล็ก H กับพื้นให้แน่นหนา
ป้องกันเครื่องเคลื่อนที่ เตรียมท่อน้าถ้าเครื่องระบายความร้อนด้วยน้า และอย่าลืมเตรียมท่อ
ระบายน้าที่มีขนาดเพียงพอ ในกรณียกเครื่องออกซ่อมต้องทิ้งน้าจานวนมากออกจากเครื่อง
ไม่ใช่เพียงทิ้งน้าจากการกลั่นตัวของเครื่องเท่านั้น ต้องเตรียมที่แขวนรอกเพื่อยกเครื่องออก
ซ่อมด้วยถ้าเครื่องระบายความร้อนด้วยน้า คุณภาพของน้าต้องมีคุณภาพที่ดีตามมาตรฐาน
ที่แสดงในตารางที่ 1.5
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
ข.สาหรับการวางเครื่องในแนวระดับ (สาหรับเมืองไทยต้องเพิ่มระดับสูงขึ้นกันน้า
ท่วมด้วย ประสบการณ์สอนให้รู้ว่า วันหนึ่งพื้นที่ข้าง ๆ โรงงานที่ว่างเปล่ามานาน มีเพื่อน
โรงงานมาอยู่ด้วย แล้วก็ถมที่ให้สูงกว่าโรงงานเก่าเอาไว้เพื่ อความปลอดภัยของโรงงานใหม่
โรงงานเก่าจึงถูกแปรสภาพอยู่แอ่งกระทะอาจเกิดความเสี่ยงได้)
(1) ถ้าวางในแนวระดับที่เอียงต่านั้น ชิ้นส่วนจะเทไปด้านหนึ่งทาให้เกิด
การเสียดสี สึกหรอโดยไม่จาเป็น
(2) ระดับเอียงที่สูงขึ้น ถ้าน้ามันหล่อลื่นเทพ้นช่องดูดน้ามัน ก็จะขาดการ
หล่อลื่นกะทันหัน เครื่องจะเกิดการเสียหายโดยไม่จาเป็น
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
39
40
41
1.12 เกณฑ์มาตรฐานอุณหภูมิของอากาศที่เข้าสู่เครื่องอัดอากาศ
ในการผลิตเครื่องอัดอากาศนั้น ส่วนใหญ่มักจะทาการออกแบบให้เครื่องอัดอากาศ
รับอากาศที่ทางเข้าให้มีอุณหภูมิอยู่ในช่วง -15 ๐C ถึง +40 ๐C หากอากาศมีอุณหภูมิต่า
เกินไป (ต่ากว่า -15 ๐C) จะทาให้เครื่องอัดอากาศรับอัตราการไหลของกระแสอากาศไม่ดี
ซึ่งอาจจะทาให้เครื่องสั่นหรือมีเสียงดังมาก แต่หากว่าอากาศที่บริเวณทางเข้ามีอุณหภูมิสูง
42 เกินไป คือสูงกว่า 40 ๐C แล้วจะทาให้ปริมาณอากาศอัดที่ได้จะไม่พอ และทาให้เครื่องอัด
อากาศร้อนเกินไป ทาให้เกิดการหยุดทางานกะทันหัน (Knock) ได้ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเครื่อง
อัดอากาศที่ Overheat และทาให้รายการผลิตของโรงงานต้องหยุดทางาน เราพบปัญหาใน
กรณีที่อากาศ Overheat อยู่บ่อยๆ เมื่อเครื่องอัดอากาศตั้งอยู่ในบริเวณที่มีการระบายลม
ไม่ดี
1.13 การประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี
การใช้งานระบบอากาศอัดในส่วนของการสร้างอากาศอัดนั้น ควรเอาใจใส่ใน
ส่วนประกอบและอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบและควรปฏิบัติ ดังนี้
1.13.1 ท่อลมเข้า (Air Intake)
หากอากาศที่ถูกดูดเข้าไปในเครื่องอัดอากาศมีอุณหภูมิสูง ความหนาแน่น
ของมวลอากาศจะลดลง ทาให้ต้องใช้พลังงานในการอัดมากขึ้น หากอุณหภูมิของอากาศที่
จะอัดลดลง จะสามารถลดพลังงานที่ใช้อัดอากาศลงได้ ด้วยเหตุนี้จึงควรติดตั้งช่องสาหรับ
ดูดลมเข้าเครื่องอัดอากาศในบริเวณที่มีอุณหภูมิต่า นอกจากนี้การระบายความร้อนที่ไม่
เพียงพอในอุปกรณ์ระบายความร้อน (Intercooler) จะทาให้เครื่องอัดอากาศทางานหนัก
และต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ซึ่งการระบายความร้อนที่ไม่เพียงพอนี้มีต้ นเหตุจากคราบ
สกปรกที่เกาะสะสม หรือปริมาณน้าที่ใช้ระบายความร้อนมีไม่เพียงพอ จึงต้องทาความ
สะอาดอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนและหมั่นตรวจสอบการทางานของเครื่องอัดอากาศ
เป็นประจา
1.13.2 เครื่องอัดอากาศ (Air Compressor)
ระบบอัดอากาศจะมีเครื่องอัดอากาศเป็นอุปกรณ์หลัก ซึง่ เครื่องอัดอากาศมี
หลายประเภท แต่ละประเภทจะมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่างกัน จึงต้องเลือกให้
เหมาะกับลักษณะการใช้งาน การเลือกขนาดและชนิดของเครื่องอัดอากาศ มีข้อซึ่งควร
พิจารณาดังนี้
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
1. ขนาดของเครื่องอัดอากาศ เพราะประสิทธิภาพการทางานจะแปรผัน
ตามขนาด
2. จานวนขั้น (Stage) การอัดอากาศ เพราะประสิทธิภาพการทางานจะ
แปรผันตามจานวนขั้น
3. ตาแหน่งการทางานที่พิกัดของเครื่องอัดอากาศหรือใกล้เคียง เพราะ
เป็นตาแหน่งที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ดังนั้นการทางานในช่วงวันหยุดที่ใช้งานน้อย ควรติดตั้งเครื่องอัดอากาศ 43
ขนาดเล็กจึงจะมีความเหมาะสมกว่า หากติดตั้งเครื่องอัดอากาศตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปให้
ทางานร่วมกัน จาเป็นต้องควบคุมการใช้งานให้แต่ละเครื่องทางานได้ใกล้เคียงกับพิกัดของ
เครื่องอัดอากาศ กรณีที่การใช้งานมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ควรเลือกเครื่องอัดอากาศ
แบบโรตารี่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานหลัก แล้วใช้เครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบเป็นแหล่งจ่าย
พลังงานเสริมตามโหลดที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะเครื่องอัดอากาศแบบโรตารี่มีประสิทธิภาพ
ดีกว่าเครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบเมื่อสภาวะโหลดคงที่
44
45
1.14 นวัตกรรมระบบอัดอากาศ
การลดการใช้พลังงานในระบบอัดอากาศ นอกจากการปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้
งานแล้ว การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ก็สามารถลดการใช้พลังงานได้ ทางเลือกของการลดการใช้
พลังงานในระบบอัดอากาศโดยการใช้เทคโนโลยีใหม่ มีดังนี้
1.14.1 การใช้เครื่องอัดอากาศประสิทธิภาพสูง (Foil Gas Bearing
Compressor)
46 การใช้ Foil Gas Bearing เข้ามาใช้ในระบบอัดอากาศประสิทธิภาพสูงนั้น มีข้อดี
สามารถสรุปได้ดังนี้
(1) เป็นระบบที่มีเสถียรภาพในการทางานสูง เนื่องจากไม่มีการใช้น้ามันเป็น
สารหล่อลื่นระหว่างการทางาน ฟิล์มอากาศที่เป็นตัวกลางระหว่างเพลากับ
เสื้ อ ลู ก ปื น การสั ม ผั ส ระหว่ า งเพลากั บ เสื้ อ ลู ก ปื น จะมี เ ฉพาะตอนเริ่ ม
เดินเครื่องและหยุดทางานเท่านั้น จึงทาให้เกิดการสึกหรอน้อยที่สุด
(2) เป็ น ระบบที่ มี ก ารบ ารุ ง รั ก ษาต่ า เนื่ อ งจากไม่ ต้ อ งท าการเปลี่ ย น
น้ามันหล่อลื่น (เพราะไม่มีการใช้น้ามันหล่อลื่น)
(3) เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีการใช้น้ามันหล่อลื่น
(4) เป็นระบบที่มีความเสียหายต่า การเสียหายจะเกิดขึ้นแค่บริเวณผิวสัมผัส
ของตัวเพลาและลูกปืนเท่านั้น และสามารถซ่อมแซมได้
(5) เป็นระบบที่ทางานที่ความเร็วรอบสูงมาก ๆ ได้ สามารถทาความเร็วรอบสูง
ถึง 700,000 รอบต่อนาที
(6) เป็นระบบที่สามารถใช้งานได้ทั้งที่อุณหภูมิสูงและที่อุณหภูมิต่า
(7) เป็ น ระบบที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพด้ า นพลั ง งานสู ง เนื่ อ งจากลู ก ปื น ลมมี ค่ า
สัมประสิท ธิ์แรงเสีย ดทานต่ ากว่า น้ามั นหล่อ ลื่น มาก จึ ง ต้ องการแรงขั บ
เคลื่อนที่ต่ากว่า ทั้งในตอนเริ่มเดินเครื่องและการเดินเครื่องไปแล้ว
(8) ต้องการพื้นที่น้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีต่าง ๆ
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
47
1.14.2 การใช้มีดลม
กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมจานวนมากที่มีการใช้อากาศอัดในการ
ทาความสะอาดชิ้นงาน หรือการทาให้แห้ง การเป่าหยดน้าออกจากชิ้นงาน ซึ่งก่อให้เกิดการ
สิ้นเปลืองพลังงาน ซึ่งในการทางานเหล่านี้ สิ่งที่ต้องการคือความเร็วของลม และปริมาณ
ของลมที่นาไปใช้ในการทาความสะอาดหรือทาให้แห้ง ดังนั้น การใช้มีดลมซึ่งอาศัยลมจาก
เครื่องเป่าลม (Air blower) ซึ่งมีประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงกว่ามาก จึงเป็นทางเลือกที่ดี
ของโรงงานในการลดการใช้พลังงานในระบบอัดอากาศ
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
48
รูปที่ 1.35 มีดลมและลักษณะการทางานของมีดลม
ระบบมีดลมเหมาะสาหรับการใช้งานในการเป่าไล่ความชื้น ฟิล์มของเหลวที่เกาะ
อยู่บนผิววัสดุเช่น แผ่นโลหะพลาสติก กระป๋อง แก้ว ผ้า หรืออาหาร โดยมีข้อดีในการ
นาไปใช้งานดังนี้
(1) ทางานทันทีที่เดินเครื่องและทางานได้อย่างรวดเร็ว
(2) สามารถประหยัดพลังงานได้ 30-50% เมื่อเปรียบเทียบกับการเป่าแห้งด้วย
ลมอัด
(3) ค่าลงทุนและการบารุงรักษาต่า
(4) ประหยัดพื้นที่และง่ายต่อการติดตั้ง
(5) มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน
(6) เพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากการลดความชื้นและสิ่งสกปรก
(7) ในบางระบบสามารถนาสารเคลือบที่ถูกเป่าไล่ออกไปกลับมาใช้ใหม่ได้
(8) สามารถใช้กับรูปร่างซับซ้อนได้
49
การแบ่งประเภทของมีดลมนั้น โดยทั่วไปสามารถแบ่งตามความเร็วของลมที่ใช้ได้
กว้างๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
(1) ความเร็วลมต่า (ความเร็ว 5,000 – 18,000 ฟุต/นาที) เหมาะสาหรับ
เป่าฝุ่น หรือเม็ดน้าบนผิวที่เรียบ
เป่าป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิต (Static)
ควบคุมความหนาในการเคลือบผิว (Coating)
กระบวนการผลิตที่เดินอย่างช้า ๆ
(2) ความเร็วลมปานกลาง (ความเร็ว 16,000 – 32,000 ฟุต/นาที) เหมาะ
สาหรับ
ไล่หยดน้าออกจากขวดหรือกระป๋อง
เป่าแห้งของหมึกพิมพ์
ควบคุมความหนาในการเคลือบผิว (Coating)
ไล่น้า 80-90% จากกระบวนการผลิต
(3) ความเร็วลมสูง (ความเร็ว 30,000 – 40,000 ฟุต/นาที) เหมาะสาหรับ
กระบวนการผลิตที่เดินอย่างรวดเร็ว
เป่าชิ้นส่วนที่รูปร่างซับซ้อน (Complex shaped parts)
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
จากการศึกษาพบว่า เทคโนโลยีมีดลมสามารถลดการใช้พลังงานได้ประมาณ 70
เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการใช้อากาศอัด (Air Compressor) ***
*** ที่มา โครงการสาธิตเทคโนโลยีเชิงลึกเพื่อการอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 กรมพัฒนาพลังงานทดแทน
และอนุรักษ์พลังงาน
1.14.3 เครื่องควบคุมอากาศอัด
อีกทางเลือกของการอนุรักษ์พลังงานในระบบอัดอากาศด้วยการติดตั้งเครื่อง
ควบคุมอากาศอัดอัตโนมัติ เทคโนโลยีนี้เหมาะสาหรับโรงงานที่มีการใช้งานอากาศอัดมาก
และไม่สม่าเสมอ มีเครื่องอัดอากาศหลายเครื่อง โดยเครื่องควบคุมอากาศอัดจะทาการ
บันทึกค่าความดัน และอัตราการใช้อากาศอัด แล้วข้อมูลจะถูกนามาประเมินค่าความดันที่
เหมาะสม หลังจากนั้น เครื่องควบคุมอาอากาศอัดจะทาการสั่งงานการทางานของเครื่องอัด
อากาศ เพื่อรักษาความดันของอากาศอัดให้มี เสถียรภาพ ทาให้สามารถตั้งค่าแรงดันให้ต่า
ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ซึ่งจะทาให้เกิดการประหยัดพลังงาน อีกทั้งการที่สามารถสดความดัน
ของอากาศอัดก็จะทาให้ลมรั่วภายในระบบลดลงด้วย จากการศึกษาพบว่า สามารถลดการ
ใช้พลังงานได้ประมาณ 7-25 เปอร์เซ็นต์
51
120 กราฟแสดงการทางานของเครื่องอัดอากาศแบบสกรู
100
80
Percent
60
40
20
53
Power เฉลี่ย 67.17 %
0
10 40 70 100 130 160 190 220 250 280 310 340 370 400 430 460
Time (sec)
Air Demand(full 100 %) power(%) pressure(%)
ความดันที่ต้องการ(%) อัตราการผลิต
100
กราฟแสดงการทางานของเครื่องอัดอากาศแบบสกรู ติดตั้ง VSD
90
80
70
60
Percent
50
54 40
30
20
10 Power เฉลี่ย 54.02
0 %
10 30 50 70 90 110 130 150 170 190 210 230 250 270 290 310 330 350 370 390 410 430 450
Time (sec)
Air Demand(full 100 %) power(%) pressure(%)
ความดันที่ต้องการ(%) อัตราการผลิต
55
รูปที่ 1.41 การอัดอากาศแบบสองขั้นตอนโดยมีการระบายความร้อน
ระหว่างกระบวนการ
n 1
n
n P2
W1st P1 V1 V8 1 (1)
n 1 P1
n 1
n P n
W2nd
n 1
P2 V3 V6 4
P
1 (2)
2
56
n 1 n 1
nmR P2 n P4 n (3)
Wtotal T1 1 T3 1
n 1 P1
P2
ข้อดีของระบบอัดอากาศแบบหลายขัน้
1) กาลังงานที่ใช้ในระบบอัดอากาศน้อยลงทาให้ประหยัดพลังงาน
2) เครื่องอัดอากาศมีขนาดเล็กลง และสมดุลมากขึ้น
3) อัตราส่วนการอัดในแต่ละขั้นตอนต่ากว่าเมื่อเทียบกับเครื่องอัดอากาศที่
ผลิตอากาศอัดที่ความดันช่วงเดียวกัน
4) ความชื้นของอากาศอัดลดลงเนื่องจากมีการระบายความร้อนออกในแต่ละ 57
ขั้นตอน
5) เหมาะสมกับระบบอัดอากาศที่ต้องการความดันสูง
2.1. อุณหภูมิและความดัน
อุณหภูมิสัมบูรณ์ (absolute temperature) อุณหภูมิศูนย์สัมบูรณ์คืออุณหภูมิที่ต่า
ที่สุดของวัสดุใดๆ ซึ่งจะไม่มีทางทาให้อุณหภูมิต่าไปกว่านี้ได้แล้วโดย ณ จุดนี้จะไม่มีความ
ร้อนหลงเหลืออยู่ในวัสดุเลย
ศูนย์สัมบูรณ์เป็นอุณหภูมิตามทฤษฎีที่อนุภาคของสารในธรรมชาติ จะมีการ
สั่นสะเทือนน้อยที่สุด โดยจะหลงเหลือแค่เพียงกลไกทางควอนตัมเท่านั้น ที่เหนี่ยวนาให้
อนุภาคสั่นสะเทือนได้เล็กน้อย
2
จากข้อตกลงของนานาชาติเห็นพ้องต้องกันว่า อุณหภูมิศูนย์สัมบูรณ์คือ 0 เคลวิล
( K ) ซึ่งเป็นอุณหภูมิสัมบูรณ์ทางเทอร์โมไดนามิกส์ และเท่ากับ -273.15 องศาเซลเซียส
ดังนั้น
K C 273.15 (2.1)
เมื่อ
K คือ อุณหภูมิสัมบูรณ์ในหน่วย เคลวิน
C คือ อุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส
หากเรานามาตรวัดความดันไปวัดความดันที่จุดใดจุดหนึ่ง ค่าที่วัดได้นั้นเป็นค่า
ผลต่างระหว่างความดันบรรยากาศกับความดันที่จุดวัด เช่น หากวัดความดันลมในยาง
รถยนต์ได้ 30 psi ค่าที่ได้นี้แสดงให้เห็นถึงผลต่างระหว่างความดันภายในยางรถยนต์กับ
ความดันบรรยากาศ ความดันที่อ่านได้จากมาตรวัดนี้เรียกว่า ความดันเกจ (gauge pressure)
ความดันบรรยากาศมีค่าเป็น 14.7 psi ดังนั้น ค่าความดันจริงของลมในยางรถจึงมีค่า
เท่ากับ 30 14.7 44.7 psi ค่าความดันนี้เรียกว่า ความดันสัมบูรณ์ (absolute pressure)
ดังนั้น
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
Pa Pg Patm (2.2)
เมื่อ
Pa คือ ความดันสัมบูรณ์ (absolute pressure)
P g คือ ความดันเกจ (gauge pressure) หรือ เป็นความดันที่อ่านได้จาก
มาตรวัด อนึ่งหาก พบหน่วยของความดันที่ต่อท้ายด้วยอักษร g ต่อ เช่น psig , barg
หรือ kPag ก็แสดงว่า ความดันนั้นเป็นความดันเกจ 3
Patm คือ ความดันบรรยากาศ ซึ่งมีค่าดังตารางที่ 2.1
2.2. สมการสภาวะ
ความสัมพันธ์ระหว่างความดัน ปริมาตร และอุณหภูมิ ของก๊าซอุดมคติ เป็นดังนี้
PV mRT (2.3)
เมื่อ
P คือ ความดันสัมบูรณ์ของก๊าซ ( Pa)
V คือ ปริมาตรของก๊าซ (m ) 3
เมื่อ
คือ ความหนาแน่นของก๊าซ kg / m3
2.4. ความสัมพันธ์ระหว่างสองสภาวะ
เมื่อก๊าซมีการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะที่ 1 ไปสู่สภาวะที่ 2 แล้ว จะได้
ความสัมพันธ์ดังนี้
PV PV
1 1
2 2 (2.5)
T1 T2
1 1 PV
PV 2 2 (2.6)
2.5. อุณหภูมิก๊าซหลังการอัด
เมื่อพลังงานที่ใช้ในการอัดนั้น นอกจากจะทาให้ก๊าซมีความดันสูงขึ้นแล้ว ยังทา
ให้ก๊าซมีอุณหภูมิสูงขึ้นอีกด้วย สมมุติให้การอัดก๊าซเป็นกระบวนที่ไม่เกิดการสูญเสียทั้งงาน
และความร้อนแล้ว
n 1
P n
T2 T1 2 (2.7)
P1
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
เมื่อ
T1 คือ อุณหภูมิสัมบูรณ์ของก๊าซที่เข้าเครื่องอัด K
T2 คือ อุณหภูมิสัมบูรณ์ของก๊าซที่ออกจากเครื่องอัด K
P1 คือ ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่เข้าเครื่องอัด Pa
P2 คือ ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่ออกจากเครื่องอัด Pa
n คือ อัตราส่วนระหว่างความร้อนจาเพาะเมื่อความดันคงที่และความ
ร้อนจาเพาะเมื่อปริมาตรคงที่ หากเป็นอากาศ n 1.4 5
สาหรับเครื่องอัดอากาศ
0.286
P
T2 T1 2 (2.8)
P1
2.6. พลังงานในการอัดทางทฤษฎี
พลังงานที่ใช้ในการอัดก๊าซทางทฤษฎี เมื่อไม่การสูญเสียความร้อนและงานใน
ระหว่างการอัด สามารถคานวณได้ดังนี้
n 1
nRT1 P2 n
W 1 (2.9)
n 1 P1
เมื่อ
W คือ พลังงานที่ต้องใช้ในการอัดก๊าซ J / kg
T1 คือ อุณหภูมิสัมบูรณ์ของก๊าซที่ออกจากเครื่องอัด K
P1 คือ ความดันสัมบูรณ์ของก๊าซที่เข้าเครื่องอัด Pa
P2 คือ ความดันสัมบูรณ์ของก๊าซที่ออกจากเครื่องอัด Pa
R คือ ค่าคงที่ของก๊าซ มีค่าเท่ากับ 287 J / kgK
n คือ อัตราส่วนระหว่างความร้อนจาเพาะเมื่อความดันคงที่และความ
ร้อนจาเพาะเมื่อปริมาตรคงที่ หากเป็นอากาศ n 1.4
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
สาหรับเครื่องอัดอากาศ
P 0.286
W 1004.5T1 2 1 (2.10)
P1
P 0.286
W W W 1004.5 T1 T1 2
P1
1
(2.11)
หากให้ทั้งอุณหภูมิขาเข้าและความดันขาออกจากเครื่องอัดอากาศมีการเปลี่ยนแปลง
จาก T1 และ P2 ไปเป็น T1 และ P2 ตามลาดับแล้ว อัตราส่วนระหว่างพลังงานที่ใช้อัดใน
สภาวะแรก (W ) และสภาวะหลัง (W ) สามารถหาได้ดังนี้
P
0.286
T1 2 1
W P1
(2.12)
W P 0.286
T1 2 1
P1
P 0.286
2 1
1
W P
(2.13)
W P 0.286
2 1
P1
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
2.7. อัตราใช้อากาศอัด
2.7.1. การส่งอากาศอิสระ (Free Air Delivery, FAD) 7
ปริมาตรของก๊าซขึ้นอยู่กับความดัน และอุณหภูมิ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อที่
2.4 ดังนั้น ในการเปรียบเทียบอัตราการใช้อากาศอัดจึงจาเป็นต้องเปรียบเทียบกันที่ความ
ดันและอุณหภูมิเดียวกัน ในทางปฏิบัติแล้วจะคิดอัตราการไหลของอากาศอัดเทียบเท่ากับ
อัตราการไหลของอากาศที่ความดันบรรยากาศและเรียกมันว่า การส่งอากาศอิสระ (Free Air
Delivery, FAD) หากสมมติให้อุณหภูมิคงที่แล้ว จากสมการที่ (2.6) จะได้ว่า
PV
V2 1 1
(2.15)
P2
หรือหากพิจารณาความสัมพันธ์ของอัตราการไหลระหว่างสองสภาวะแล้วจะสามารถเขียน
สมการที่ (2.15) ได้ดังนี้
PQ
Q2 1 1
(2.16)
P2
P1 ในสมการที่
(2.17) นั้นต้องเป็นความดันสัมบูรณ์ ซึ่งหากอ่านค่าความดันใช้
งานจากมาตรวัดความดัน (pressure gauge) ได้เป็น P แล้ว จากสมการที่ (2.17) จะได้ว่า
g
Q1 Pg Patm
FAD (2.18)
Patm
2.7.2. การวัดการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ
โดยปกติแล้วการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ ( FAD ) นั้น จะถูกระบุ
comp
มากับคู่มือของเครื่องอัดอากาศทุกเครื่อง ซึ่งการส่งอากาศอิสระนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตาม
ความดันเดินเครื่อง อย่างไรก็ตามสมรรถนะของเครื่องอัดอากาศจะถดถอยลงเมื่อเวลาผ่าน
ไป จึงต้องมีการตรวจสอบการส่งอากาศอิสระอยู่เสมอ จากรูปที่ 2.1 การส่งอากาศอิสระ
สามารถทาได้ตามขั้นตอนดังนี้
a) คานวณปริมาตรของระบบท่อที่ต่อระหว่างเครื่องอัดอากาศและถัง
เก็บอากาศอัด จาก a ถึง b บันทึกค่าเป็น V
pipe
f) เริ่มเดินเครื่องและเริ่มจับเวลา
g) รอจนกระทั่งความดันในถังเก็บอากาศอัดมีความดันที่ต้องการ
บันทึกความดันเป็น P และเวลาที่ใช้เป็น t
2g
จากข้อมูลข้างต้น สามารถนามาใช้คานวณหาการส่งอากาศอิสระของเครื่อง
อัดอากาศ ( FAD ) ได้ดังนี้
comp
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
FADcomp
P 2g P1g V pipe Vtank
(2.19)
Patm t
S3 S2
9
b
S1
FADcomp
P V
2g pipe Vtank
(2.20)
Patm t
ในกรณีที่ไม่มีถังเก็บอากาศอัดก็สามารถทาได้ในทานองเดียวกันกับข้างต้น ตาม
ขั้นตอนดังนี้
a) คานวณปริมาตรของระบบท่อในระบบทั้งหมด ทั้งนี้ไม่ต้องรวมสาย
ท่ออากาศอัด บันทึกค่าเป็น V pipe
b) ปิดวาล์วจ่ายก่อนเข้าสายท่ออากาศอัดทุกตัว
c) หยุดการทางานของเครื่องอัดอากาศ
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
d) ระบายอากาศอัดออกจากระบบท่อผ่านวาล์วจ่ายความดันลดลงถึง
ระดับที่ต้องการ ปิดวาล์วจ่ายอ่านค่าความดันที่มาตรวัดความดันที่
ถังเก็บอากาศอัด บันทึกค่าเป็น P1
e) เริ่มเดินเครื่องและเริ่มจับเวลา
f) รอจนกระทั่งความดันในถังเก็บอากาศอัดมีความดันที่ต้องการ
บันทึกความดันเป็น P2 และเวลาที่ใช้เป็น t
10 จากข้อมูลข้างต้น สามารถนามาใช้คานวณหาการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัด
อากาศ ( FAD ) ได้ดังนี้
comp
FADcomp
P 2g P1g V pipe
(2.21)
Patm t
2.7.3. การวัดอัตราการใช้อากาศอัดของอุปกรณ์
โดยปกติแล้วผู้ผลิตจะระบุอัตราการใช้อากาศอัดของอุปกรณ์ที่ผลิตมาให้ อย่างไร
ก็ตามค่าที่ผู้ผลิตกาหนดมาให้นั้นเป็นอัตราการใช้อย่างต่อเนื่อง ในความเป็นจริงนั้นอุปกรณ์
ต่างๆ มีการใช้อากาศอัดเป็นช่วงๆ และไม่พร้อมกัน ซึ่งสามารถหาอัตราการใช้อากาศอัด
เฉลี่ยของอุปกรณ์ได้ตามขั้นตอนดังนี้
a) คานวณหาการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ FAD comp
ตามหัวข้อที่ 2.7.1.
b) ในขณะที่เครื่องกาลังทางาน รอจนกระทั่งเครื่องหยุดทางาน เริ่ม
จับเวลาจากนี้จนกระทั่งเครื่องเริ่มเดินอีกครั้ง บันทึกเวลาเป็น
tunload พร้อมกับจับเวลาต่อนับตั้งแต่เครื่องเริ่มเดินไปจนกระทั่ง
เครื่องหยุดเดิน บันทึกเวลาเป็น tonload
c) ทาหัวข้อ b) ซ้า 3 ครั้ง แล้วหาค่าเฉลี่ยของ tunload และ tonload นา
ค่าที่ได้แทนในสมการที่ (2.22)
จากข้อมูลที่ได้ข้างต้น นามาคานวณหาอัตราการใช้อากาศอัดเฉลี่ยของอุปกรณ์
FADcons ได้ดังนี้
tonload
FADcons FADcomp (2.22)
tonload tunload
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
2.8. การคานวณหาอัตราการรั่ว
การคานวณหาอัตราการรั่วจะต้องทาในระหว่างที่ไม่มีการใช้อากาศอัด อัตราการ
รัว่ ทีเ่ กิดขึน้ ในระบบสามารถคานวณหาได้ตามขัน้ ตอนดังต่อไปนี้
a) คานวณหาการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ FAD comp
ตามหัวข้อที่ 2.7.1.
b) ในขณะที่เครื่องกาลังทางาน รอจนกระทั่งเครื่องหยุดทางาน เริ่ม
จับเวลาจากนี้จนกระทั่งเครื่องเริ่มเดินอีกครั้ง บันทึกเวลาเป็น
11
tunload พร้อมกับจับเวลาต่อนับตั้งแต่เครื่องเริ่มเดินไปจนกระทั่ง
เครื่องหยุดเดิน บันทึกเวลาเป็น tonload
c) ทาหัวข้อ b) ซ้า 3 ครั้ง แล้วหาค่าเฉลี่ยของ tunload
จากข้อมูลที่ได้ข้างต้น นามาคานวณหาอัตราการรั่วของอากาศอัดในระบบ (
FADleak ) ได้ดังนี้
tonload
FADleak FADcomp (2.23)
tonload tunload
2.9. การคานวณหาการใช้กาลังจาเพาะขณะเครื่องมีภาระ
กาลังจาเพาะขณะเครื่องมีภาระ (onload) หมายถึง ค่ากาลังไฟฟ้าที่ใช้ต่อการผลิต
การส่งอากาศอิสระระหว่างที่เครื่องมีภาระ แสดงอยู่ในหน่วย กิโลวัตต์ต่อการส่งอากาศ
อิสระ kW / FAD เช่น kW / lps เป็นต้น เครื่องอัดอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงจะมีค่านี้
comp
ต่า
การหากาลังจาเพาะ ต้องทาพร้อมกับการหาการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัด
อากาศ ( FAD ) ตามหัวข้อ 2.7.1. การหาสามารถทาได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
comp
a) การวัดต้องกระทาในระหว่างเครื่องมีภาระ (load)
b) ในกรณีที่ใช้ไฟฟ้า 3 เฟส ให้วัดกระแสไฟฟ้าในสาย R , S และ T
บันทึกค่าเป็น I R , I S และ IT ตามลาดับ แล้วให้ทาการวัดแรงดันไฟฟ้า
บันทึกค่าที่ได้เป็น E
c) หาค่าเฉลี่ยของกระแส I จาก I I R I S IT / 3
d) ในกรณีที่ใช้ไฟฟ้าเฟสเดียว ให้วัดกระแสและแรงดันไฟฟ้า บันทึกค่า
เป็น I และ E ตามลาดับ
e) คานวณหา FAD ตามหัวข้อ 2.7.1
comp
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
จากข้อมูลที่ได้ข้างต้นสามารถนามาคานวณหาการใช้กาลังจาเพาะของเครื่องอัด
อากาศได้ดังนี้
กรณีใช้ไฟฟ้า 3 เฟส
3EI cos
onload
kWonload
1000 (2.24)
FADcomp FADcomp
12
กรณีใช้ไฟฟ้า 1 เฟส
EI cos onload
kWonload
1000 (2.25)
FADcomp FADcomp
เมื่อ
cos คือ ตัวประกอบกาลัง (Power Factor) ซึ่งโดยทั่วไปมีค่าประมาณ
0.85
2.10. การคานวณหาสัดส่วนภาระ
เครื่องอัดอากาศจะทางานอยู่ในช่วงทั้งมีภาระ (load) และปลดภาระ (unload)
สัดส่วนภาระจะเป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้พลังงานของระบบ การอนุรักษ์
พลังงานในระบบสามารถทาได้โดยการปรับปรุงให้ระบบมีช่วงมีภาระสั้นลง ซึ่งสามารถหา
สัดส่วนภาระของทั้งสองช่วงได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
a) ขณะเครื่องอยู่ในระหว่างมีภาระ (load) รอจนกระทั่งเครื่องอัดอากาศ
ปลดภาระ (unload) เริ่มจับเวลาจนกระทั่งเครื่องมีภาระอีกครั้งบันทึก
เวลาที่ได้เป็น tunload พร้อมกับเริ่มจับเวลาใหม่จนกระทั่งเครื่องปลด
ภาระ (unload) บันทึกเวลาเป็น tload
b) ทาตามขั้นตอนในข้อ a) ซ้า 3 ครั้ง นาค่าที่ได้มาหาเฉลี่ยเพื่อแทนค่าใน
สมการที่ (2.26) และ (2.27)
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
13
เปอร์เซ็นต์ปลดภาระ (Percent Unload, %Unload )
tunload
%Unload 100 (2.27)
tload tunload
2.11. การคานวณหาการใช้กาลังไฟฟ้าเฉลี่ย
เนื่องจากเครื่องอัดอากาศจะทางานอยู่ใน 2 ช่วง คือ มีภาระ (load) และช่วงปลด
ภาระ (unload) ซึ่งทั้งสองช่วงนี้ต้องการกาลังไฟฟ้าที่ต่างกันซึ่งสามารถคานวณได้ตาม
ขั้นตอนดังต่อไปนี้
a) ขณะเครื่องอยู่ในระหว่างมีภาระ (load) รอจนกระทั่งเครื่องอัดอากาศ
ปลดภาระ (unload) เริ่มจับเวลาจนกระทั่งเครื่องมีภาระอีกครั้งบันทึก
เวลาที่ได้เป็น tunload พร้อมกับเริ่มจับเวลาใหม่จนกระทั่งเครื่องปลด
ภาระ (unload) บันทึกเวลาเป็น tload
b) วัดกระแสและแรงดันไฟฟ้าทั้งในสภาวะมีภาระ (load) และปลดภาระ
(unload) ให้ทาพร้อมกันกับข้อ a) โดยวิธีการวัดเป็นไปตามหัวข้อ 2.9.
แล้วบันทึกค่าดังนี้
I onload เป็น กระแสเฉลี่ยในขณะมีภาระ
I unload เป็น กระแสเฉลี่ยในขณะปลดภาระ
E เป็น แรงดันไฟฟ้า
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
ข้อมูลข้างต้นที่ได้สามารถนามาใช้ในการคานวณหากาลังไฟฟ้าได้ดังนี้
กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในขณะมีภาระ ( kWonload )
กรณี 3 เฟส
3I onload E cos
kWonload (2.28)
1000
14 กรณีเฟสเดียว
I onload E cos
kWonload (2.29)
1000
กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในขณะมีภาระ ( kWunload )
กรณี 3 เฟส
3I unload E cos
kWunload (2.30)
1000
กรณีเฟสเดียว
I unload E cos
kWunload (2.31)
1000
เมื่อ
cos คือ ตัวประกอบกาลัง (Power Factor) ซึ่งโดยทั่วไปมีค่าประมาณ 0.85
หรือ
% Load %Unload
kWavg kWonload kWunload (2.33)
100 100
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
2.12. การคานวณหาการใช้กาลังจาเพาะเฉลี่ย
เนื่องจากเครื่องอัดอากาศจะทางานอยู่ใน 2 ช่วง คือ มีภาระ (load) และช่วงปลด
ภาระ (unload) ดังนั้นกาลังจาเพาะเฉลี่ย ( kW / FAD ) จึงหมายถึง ค่ากาลังไฟฟ้าที่ใช้
avg comp
เฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทางานของเครื่องต่อการผลิตการส่งอากาศอิสระหนึ่งหน่วย แสดง
อยู่ในหน่วย กิโลวัตต์ต่อการส่งอากาศอิสระ kW / FAD เช่น kW / lps เป็นต้น เครื่อง
comp
อัดอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงจะมีค่านี้ต่า
การหากาลังจาเพาะเฉลี่ย ต้องทาพร้อมกับการหาการส่งอากาศอิสระของเครื่อง 15
อัดอากาศ ( FAD ) ตามหัวข้อ 2.7.1. การหาสามารถทาได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
comp
tonload tunload
kWonload kWunload
t tonload tunload
onload unload
kWavg t
(2.34)
FADcomp FADcomp
2.13. กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในการอัดอากาศทางทฤษฎี
กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในการอัดอากาศทางทฤษฎี หมายถึง กาลังที่ใช้ในการอัดที่ไม่
คานึงการสูญเสียกาลังในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการอัด ซึ่งสามารถคานวณได้
ดังนี้
a) คานวณหา FAD ตามหัวข้อ 2.7.1 ในหน่วย m3 / s
comp
เมื่อ
kWth คือ กาลังไฟฟ้าที่ต้องใช้ในการอัดอากาศในหน่วย kW
P 0.286
16 kWth 1.2054T1 2 1 FAD comp (2.36)
P1
ในทานองเดียวกันกับพลังงานที่ใช้ในการอัด กาลังที่ใช้ในการอัดอากาศจะเพิ่มขึ้น
เมื่ออุณหภูมิของอากาศขาเข้าหรือความดันขาออกสูงขึ้น หากให้ที่อุณหภูมิขาเข้าลดลงจาก
T1 เป็น T1 แล้ว กาลังที่ใช้ในการอัดจะลดลงจาก kWth เป็น kWth ซึ่งกาลังทาสองสามารถ
หาได้โดยตรงจากสมการที่ (2.36) กาลังที่ลดลง (kWth ) หาได้จาก kWth kWth ดังแสดง
ในบทที่ 3 ในเรื่อง การหาผลของอุณหภูมิขาเข้าที่มีต่อการใช้กาลังไฟฟ้าทางทฤษฎี
สามารถหาได้จากสมการดังต่อไปนี้
P 0.286
kWth kWth kWth 1.2054 T1 T1 2 1 FAD comp (2.37)
P1
อนึ่ ง T1 และ T1 สามารถใช้ ไ ด้ ทั้ ง ในหน่ ว ยของ เคลวิ น K หรื อ เซลเซี ย ส
C
หากให้ ทั้ ง อุ ณ หภู มิ ข าเข้ า และความดั น ขาออกจากเครื่ อ งอั ด อากาศมี ก าร
เปลี่ยนแปลงจาก T1 และ P2 ไปเป็น T1 และ P2 ตามลาดับแล้ว อัตราส่วนระหว่างกาลังที่
ใช้อัดในสภาวะแรก (kWth ) และสภาวะหลัง (kWth ) สามารถหาได้ดังนี้
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
P 0.286
T1 2 1
kWth P1
(2.38)
kWth P 0.286
T1 2 1
P1
2.14. การหาค่าพลังงานที่ประหยัดได้หลังการปรับปรุงการรั่ว
ให้ทาในขณะที่ไม่มีการใช้อากาศอัด การหาค่ากาลังไฟฟ้าที่ประหยัดได้หลังการ
ปรับปรุงการรั่ว สามารถหาได้จากผลต่างของ kW ก่อนการปรับปรุง และ kW หลัง
avg avg
จากข้อมูลข้างต้นสามารถนามาคานวณหาค่ากาลังไฟฟ้าที่ประหยัดได้หลังการ
ปรับปรุงการรั่ว ( kW ) ได้ดังนี้
avg , leak
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
2.15. การคานวณหาความดันลดในท่อ
ความดันลดลงของอากาศอัดในท่อสามารถคานวณหาโดยอาศัยโนโมกราฟ (nomo
graph) ดังรูปที่ 2.2
ขั้นตอนการคานวณเป็นดังนี้
18 a) กาหนดความยาวบนแกน A ในที่นี้ให้เป็นจุด a
b) กาหนด FAD ที่ไหลในท่อบนแกน B ในที่นี้เป็นจุด b
c) ลากเส้นจากจุด a ไปยังจุด b ตัดแกน C ที่จุด c
d) กาหนดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายในท่อที่ใช้บนแกน D ที่นี้เป็นจุด d
e) จากจุด c ลากเส้นผ่านจุด d ตัดแกน F ที่จุด f
f) กาหนดความดันต้นทางบนแกน E เป็นจุด e
g) จากจุด e ลากเส้นผ่านจุด f ไปตัดแกน G ที่จุด g แล้วอ่านค่าความดันลด
ที่เกิดขึ้น
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
g
f
a 19
b d
e
2.16. การประมาณขนาดถังเก็บอากาศอัด
ขนาดของถังเก็บอากาศขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานดังนี้
2.16.1. ลดการกระเพื่อมของความดัน
เพื่อลดการกระเพื่อมความดันของเครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ ความจุของถังเก็บ
อากาศอัดเป็นดังนี้
FADcomp
V (2.42)
10
2.16.2. เพื่อไม่ให้มอเตอร์เกิดความเสียหาย
เพื่อให้มอเตอร์มีจานวนครั้งการทางานตามต้องการ ความจุของถังเก็บอากาศอัด
สามารถประมาณได้ดังนี้
V
60
(2.43)
P Pmin
N max
1
1
20 Patm cons FAD
Q Q Qcons
เมื่อ
V คือ ความจุของถังเก็บอากาศ m3
Pmax คือ ความดันเกจสูงสุดที่เครื่องอัดอากาศตั้งปรับไว้เพื่อหยุดเครื่อง bar
Patm คือ ความดันบรรยากาศสัมบูรณ์ เท่ากับ 1.013bar
QFAD คือ การส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ m3 / min
Qcons คือ อัตราอากาศอิสระที่ต้องการใช้งาน m3 / min
Pmin คือ ความดันเกจต่าสุดที่เครื่องใช้อากาศอัดจะทางานได้ตามปกติ และ
เครื่องอัดอากาศจะเริ่มทางาน bar
N คือ จานวนครั้งที่มอเตอร์หยุด-เดินใน 1 ชั่วโมง
7.5 kW ไม่ควรเกิน 10 ครั้งต่อชั่วโมง
37 kW ไม่ควรเกิน 5 ครั้งต่อชั่วโมง
75 kW ไม่ควรเกิน 2-3 ครั้งต่อชั่วโมง
2.16.3. เพื่อแก้ปัญหาภาระสูงสุดในช่วงสั้นๆ
เพื่อลดปัญหาอากาศอัดไม่พอในช่วงภาระสูงสุด (peak load) ในช่วงระยะเวลา
สั้นๆ สามารถประมาณความจุของถังอัดอากาศได้ดังนี้
Qcons Qsupply t
Patm
V (2.44)
P g , max Pg , min
ทฤษฎีและการคานวณเกี่ยวกับระบบอากาศอัด
เมื่อ
V คือ ความจุของถังเก็บอากาศ m3
Pg , max คือ ความดันเกจสูงสุดที่เครื่องอัดอากาศตั้งปรับไว้เพื่อหยุดเครื่อง bar
t คือ เวลาที่อากาศไหลเข้าถังในขณะใช้อากาศมาก ๆ min
Pg , max คือ ความดันเกจสูงสุดที่เครื่องอัดอากาศตั้งปรับไว้เพื่อหยุดเครื่อง bar
Qcons คือ ปริมาตรอากาศอัดที่เครื่องใช้อากาศอัดต้องการมากในช่วงสั้น ๆ
m 3
/ min 21
Qsupply คือ ปริมาตรอากาศอัดที่ไหลเข้าถังในขณะใช้อากาศอัดมากในช่วงสั้น ๆ
m 3
/ min
Qsupply หามาได้จากการวัดที่หน้างานจริง หากค่านี้ไม่ทราบก็ให้ประมาณค่านี้
เท่ากับศูนย์ ซึ่งจะส่งผลทาให้ได้ถังที่มีปริมาตรใหญ่กว่าความเป็นจริง
2.16.4. การคานวณปริมาตรของถัง
ปริมาตรของถังเก็บอากาศอัดที่มีฝาปิดเป็นแบบทรงรี (ellipsoidal head) นั้น
สามารถคานวณได้ดังนี้
ปริมาตรของถังส่วนทรงกระบอก ( Vc )
Vc R 2 H (2.45)
ปริมาตรรวมของทั้งสองฝาปิด ( Vh )
Vh 2 R 3 (2.46)
3
ปริมาตรรวมของถัง ( VT )
VT Vc Vh (2.47)
เมื่อ
R คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของถัง
H คือ ความยาวหรือความสูงของถังที่วัดระหว่างตะเข็บทั้งสองของฝาถัง
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
บทนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิธีการนาเอาสมการต่างๆ ที่กล่าวไว้ในบทที่ 2 มาประยุกต์ใช้
งาน อนึ่งค่าที่คานวณได้ทางทฤษฎีนั้นจะมีค่าน้อยกว่าค่าที่วัดได้จริงเสมอ ทั้งนี้เนื่องจากมิได้คานึงถึงการ
สูญเสียที่เกิดขึ้น ดังนั้นค่าที่คานวณได้จึงเป็นเพียงตัวเลขที่ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มเท่านั้น
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาความหนาแน่นของอากาศอัด
ความหนาแน่นของอากาศอัดขึ้นอยู่กับความดันสัมบูรณ์และอุณหภูมิสัมบูรณ์
สัญลักษณ์
P = ความดันสัมบูรณ์, Pa สูตร
T = อุณหภูมิสัมบูรณ์, K
R = ค่าคงที่ของก๊าซ มีค่าเท่ากับ 287 J / kgK P
= ความหนาแน่น, kg / m 3 RT
P
RT
801.3 103
9.21kg / m3
287 303.15
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาปริมาตรเมื่อความดันเปลี่ยน
เมื่อก๊าซมีการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะที่ 1 ไปสู่สภาวะที่ 2 แล้ว ปริมาตรและความดันของ
อากาศก็จะเปลี่ยนไป
สัญลักษณ์ สูตร
V1 = ปริมาตรของอากาศที่สภาวะ 1 m 3
เมื่ออุณหภูมิของสองสภาวะเท่ากัน
V2 = ปริมาตรของอากาศที่สภาวะ 2 m3 1 1 PV
PV 2 2
P1 = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่สภาวะ 1 Pa
P1 = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่สภาวะ 2 Pa
อากาศในถังที่มีปริมาตร 1.2m ความดันที่อ่านได้จากมาตรวัดเป็น 700kPa หากต้องการเก็บอากาศนี้
3
V
801.3 10 1.2 3.19m
3
3
2
301.3 10 3
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาความดันเมื่อปริมาตรเปลี่ยน
เมื่อก๊าซมีการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะที่ 1 ไปสู่สภาวะที่ 2 แล้ว ปริมาตรและความดันของ
อากาศก็จะเปลี่ยนไป
สัญลักษณ์ สูตร
V1 = ปริมาตรของอากาศที่สภาวะ 1 m3 เมื่ออุณหภูมิของสองสภาวะเท่ากัน
V2 = ปริมาตรของอากาศที่สภาวะ 2 m3 1 1 PV
PV 2 2
P1 = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่สภาวะ 1 Pa
P1 = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่สภาวะ 2 Pa
อากาศในถังที่มีปริมาตร 1.2m ความดันที่อ่านได้จากมาตรวัดเป็น 700kPa หากต้องการเก็บอากาศ
3
4
P1 700 101.3 801.3kPa 801.3 103 Pa
V1 1.2m3
V2 3.19m3
P2
801.3 10 1.2 301.43 10 Pa
3
3
3.19
ความดันที่อ่านได้จากมาตรวัด 301.4 103 101.3 103 200.1103 Pa 200.1kPa
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาอุณหภูมิอากาศหลังการอัด
การอัดอากาศนั้น นอกจากจะทาให้อากาศมีความดันสูงขึ้นแล้ว ยังทาให้อากาศมีอุณหภูมิ
สูงขึ้นอีกด้วย
สัญลักษณ์ สูตร
T1 = อุณหภูมิสัมบูรณ์ของบรรยากาศ K สมมติให้การอัดก๊าซเป็นกระบวน
T2 = อุณหภูมิสัมบูรณ์ของอากาศขาออกจากเครื่องอัด K ที่ไม่เกิดการสูญเสียทั้งงานและ
P1 = ความดันสัมบูรณ์ของบรรยากาศ Pa
ความร้อนแล้ว
0.286
P
P2 = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศหลังจากการอัด Pa T2 T1 2
P1
ต้องการทราบอุณหภูมิของอากาศ หลังจากที่อากาศถูกดูดจากบรรยากาศที่มีอุณหภูมิ 30 C แล้ว อัด
จนกระทั่งมาตรอ่านความดันได้เป็น 700kPa
5
T1 273.15 30 303.15K
P1 Patm 101.3 103 Pa
P2 700 101.3 801.3kPa 801.3 103 Pa
0.286
801.3 103
T2 303.15 3
547.7 K
101.3 10
547.7 273.13 274.55 C
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาพลังงานในการอัดทางทฤษฎี
พลังงานที่ใช้ในการอัดก๊าซทางทฤษฎี คือ พลังงานที่ต้องการใช้ในการอัดอากาศเมื่อไม่มีการ
สูญเสียความร้อนและงานในระหว่างการอัด
สัญลักษณ์ สูตร
W = พลังงานที่ต้องใช้ในการอัดอากาศ J / kg
T1 = อุณหภูมิสัมบูรณ์ของบรรยากาศ K P 0.286
W 1004.5T 2
1
P1 = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่เข้าเครือ่ งอัด Pa
1
P
1
P2 = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่ออกจากเครื่องอัด Pa
ต้องการทราบพลังงานทางทฤษฎีที่ใช้อัดอากาศจากบรรยากาศที่มีอุณหภูมิ 30 C ให้มีความดันที่อ่าน
ได้จากมาตรวัดเป็น 700kPa
6
T1 273.15 30 303.15K
P1 101.3 103 Pa
P2 700 101.3 801.3kPa 801.3 103 kPa
การหาการส่งอากาศอิสระ
ในการเปรียบเทียบอัตราการใช้อากาศอัดจึงจาเป็นต้องเปรียบเทียบกันที่ความดันและ
อุณหภูมิเดียวกัน ในทางปฏิบัติแล้วจะคิดอัตราการไหลของอากาศอัดเทียบเท่ากับอัตราการไหลของ
อากาศที่ความดันบรรยากาศและเรียกมันว่า การส่งอากาศอิสระ (Free Air Delivery, FAD)
สัญลักษณ์ สูตร
FAD = อัตราการไหลของอากาศ (หน่วยเดียวกับ Q1 )
Q1 = อัตราการไหลของอากาศ (lps) Q1 Pg Patm
Pg = ความดั น สั ม บู ร ณ์ ข องอากาศที เ
่ ข้ า เครื
อ ่ งอั ด Pa FAD
Patm
Patm = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่บรรยากาศ Pa
อากาศอัดมีอัตราการไหล 20lps ที่ความดันที่มาตรวัด 700kPa คิดเป็นการส่งอากาศอิสระ (Free
Air Delivery) เท่าไร
7
Q1 20lps
Pg 700 103 Pa
Patm 101.3 103 Pa
การหาการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ
การส่งอากาศอิสระจะเปลี่ยนแปลงไปตามความดันเดินเครื่อง ค่านี้ทราบได้จากข้อมูลของ
ผู้ผลิต อย่างไรก็ตามสามารถทราบได้โดยการอัดอากาศเข้าในภาชนะที่ทราบปริมาตร จับเวลา วัดความ
ดันแล้วคานวณหาค่า
สัญลักษณ์ สูตร
FADcomp = การส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ
P1g = ความดันเกจเมื่อเริ่มทดสอบ ( kPa )
P2 g = ความดันเกจเมื่อเครื่องหยุดเดินขณะทดสอบ ( kPa ) FAD
2g P P V V
1g pipe tank
comp
P t
V pipe = ปริมาตรอากาศในท่อ (l )
atm
Vtank = ปริมาตรอากาศอัดในถังเก็บ (l )
Patm = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่บรรยากาศ Pa
8
Vtank = ความดันสัมบูรณ์ของอากาศที่ออกจากเครื่องอัด
Pa
t = เวลาที่ใช้ในการอัด ( s)
การทดสอบเพื่อหาการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ ได้ข้อมูลดังนี้ ถังเก็บอากาศอัดมีปริมาตร
1.3m ท่อเชื่อมต่อระหว่างเครื่องอัดอากาศและถังเก็บอากาศมีปริมาตร 0.02m ขณะเริ่มทดสอบมาตร
3 3
การหาอัตราการใช้อากาศอัดเฉลี่ยของอุปกรณ์
ในความเป็นจริงนั้นอุปกรณ์ต่างๆ มีการใช้อากาศอัดเป็นช่วงๆ และไม่พร้อมกัน อัตรา
การใช้อากาศอัดเฉลี่ยสามารถหาได้จากการวัดเท่านั้น
สัญลักษณ์ สูตร
FADcons = อัตราการใช้อากาศอัดของอุปกรณ์
(หน่วยเดียวกับ FADcomp )
FADcomp = การส่งอากาศอิสระของเครื่องอัด tonload
FADcons FADcomp
อากาศ t
onload unload
t
tonload = เวลาที่เครื่องทางาน ( s)
tunload = เวลาที่เครื่องหยุดทางาน ( s)
ในการวัดอัตราการใช้อากาศอัดของอุปกรณ์กลุ่มหนึ่งในระบบการผลิตที่ใช้เครื่องอัดอากาศที่มีการ 9
ส่งอากาศอิสระเป็น 103lps ได้ข้อมูลดังนี้
วัดครั้งที่ tonload ( s) tunload ( s)
1 18 33
2 19 35
3 20 31
เฉลี่ย 19 33
tonload 19s
tunload 33s
FADcomp 103lps
19
FADcons 103
19 33
37.63lps
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาอัตราการรั่ว
การคานวณหาอัตราการรั่วจะต้องทาในระหว่างที่ไม่การใช้อากาศอัด ซึ่งหากไม่เกิดการรั่ว
ในระบบแล้วเครื่องอัดอากาศก็จะหยุดเดินตลอด การรั่วจะทาให้ความดันในระบบลดลงส่งผลทาให้
เครื่องเริ่มเดินขึ้นอีกครั้ง
สัญลักษณ์ สูตร
FADleak = อัตราการรั่วของอากาศอัดในระบบ
(หน่วยเดียวกับ FADcomp ) tonload
FADleak FADcomp
FADcomp = การส่งอากาศอิสระของเครื่องอัด
onload unload
t t
อากาศ
tonload = เวลาที่เครื่องทางาน ( s)
tunload = เวลาที่เครื่องหยุดทางาน ( s)
10
จากการตรวจสอบระบบอากาศอัดระบบหนึ่งที่ใช้เครื่องอัดอากาศที่มีการส่งอากาศอิสระเป็น 120lps
พบว่า ได้ข้อมูลของระยะเวลาที่เครื่องมีภาระ (onload) และปลดภาระ (unload) ดังตาราง ต้องการหา
อัตราการรั่วของระบบ
วัดครั้งที่ tonload ( s) tunload ( s)
1 16 26
2 17 25
3 18 24
เฉลี่ย 17 25
tonload 17 s
tunload 25s
FADcomp 120lps
17
FADleak 120
17 25
48.57lps
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาการใช้กาลังจาเพาะขณะมีภาระ
กาลังจาเพาะเป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงการใช้กาลังต่อการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ การ
หากาลังจาเพาะต้องทาพร้อมกับการหาการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ ( FADcomp )
สัญลักษณ์ สูตร
kWonload / FADcomp = ค่ากาลังไฟฟ้าที่ใช้ต่อ
การส่งอากาศอิสระระหว่างที่เครื่องมีภาระ 3EI cos
I = กระแส ( Ampare) onload
kWonload 1000
E = แรงดัน (Volt )
FADcomp FADcomp
E 380V
I 53 A
cos 0.85
FADcomp 86.87lps
3 380 53 0.85
kWonload 1000
FADcomp 86.87
0.34kW / lps
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาสัดส่วนภาระ
เครื่องอัดอากาศจะทางานอยู่ในช่วงทั้งมีภาระ (load) และปลดภาระ (unload) สัดส่วนภาระ
เป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงสัดส่วนของการทางานของเครื่องอัดอากาศในช่วงมีภาระและปลดภาระ
สัญลักษณ์ สูตร
% Load = เปอร์เซ็นต์ภาระ เปอร์เซ็นต์ภาระ (Percent Load, % Load )
%Unload = เปอร์เซ็นต์ปลดภาระ tload
tonload = เวลาที่เครื่องทางาน ( s) % Load 100
tload tunload
tunload = เวลาที่เครื่องหยุดทางาน ( s) เปอร์เซ็นต์ปลดภาระ (Percent Unload, %Unload )
tunload
%Unload 100
tload tunload
จากการตรวจสอบระบบอากาศอัดระบบหนึ่ง ได้ข้อมูลของระยะเวลาที่เครื่องมีภาระ (onload) และปลด
12 ภาระ (unload) ดังตาราง ต้องการหาสัดส่วนภาระ
วัดครั้งที่ tonload ( s) tunload ( s)
1 16 26
2 17 25
3 18 24
เฉลี่ย 17 25
tonload 17 s
tunload 25s
17
% Load 100 40.48
17 25
25
%Unload 100 59.52
17 25
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาการใช้กาลังไฟฟ้าเฉลี่ย
เนื่องจากเครื่องอัดอากาศจะทางานอยู่ใน 2 ช่วง คือ มีภาระ (load) และช่วงปลดภาระ (unload) ซึ่ง
ทั้งสองช่วงนี้ต้องการกาลังไฟฟ้าทีต่ ่างกัน กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในการอัดอากาศเฉลี่ยจะขึ้นอยู่กับกาลังไฟฟ้าที่ใช้ทั้ง
สองช่วง และสัดส่วนภาระของมัน
สัญลักษณ์
kWavg = กาลังไฟฟ้าที่ใช้เฉลีย่ (kW )
kWonload = กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในขณะมีภาระ (kW )
kWunload = กาลังไฟฟ้าที่ใช้เมื่อไม่มีภาระ (kW )
tonload = เวลาที่เครื่องทางาน ( s)
tunload = เวลาที่เครื่องหยุดทางาน ( s)
cos = ตัวประกอบกาลัง 13
สูตร
กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในขณะมีภาระ
kWonload 3I onload E cos
กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในขณะมีภาระ
kWunload 3Iunload E cos
กาลังไฟฟ้าเฉลี่ย
tonload tunload
kWavg kWonload kWunload
tonload tunload tonload tunload
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาการใช้กาลังไฟฟ้าเฉลี่ย
ข้อมูลที่วัดได้จากเครื่องอัดอากาศขนาด 30kW ทางานที่ความดันเกจ 8bar เป็นดังนี้
ข้อมูลภาระการทางาน กาหนดให้ตัวประกอบกาลังมีค่าเป็น 0.85
ข้อมูลการใช้ไฟฟ้า
ภาระ ปลดภาระ
วัด t (s) I ( A) t (s) I ( A) แรงดันไฟฟ้า
ครั้งที่ Ir Is It Ir Is It E (V )
1 16 46 45 46 26 24 23 23 380
2 17 45 45 45 25 23 23 23 380
14 3 18 47 45 47 24 25 23 23 380
เฉลี่ย 17 45 25 23 380
I onload 45 A
I unload 23 A
E 380V
tonload 17 s
tunload 23s
cos 0.85
3 45 380 0.85
kWonload 25.18
1000
3 23 380 0.85
kWunload 12.87
1000
17 25
kWavg 25.18 12.87 17.85
17 25 17 25
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาการใช้กาลังไฟฟ้าจาเพาะเฉลี่ย
กาลังจาเพาะเฉลี่ย ( kWavg / FADcomp ) หมายถึง ค่ากาลังไฟฟ้าที่ใช้เฉลี่ยตลอด
ระยะเวลาการทางานของเครื่องต่อการผลิตการส่งอากาศอิสระหนึ่งหน่วย การหากาลังจาเพาะเฉลี่ย
ต้องทาพร้อมกับการหาการส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ ( FADcomp )
สัญลักษณ์ สูตร
kWavg
= กาลังจาเพาะเฉลี่ย
FADcomp
tonload
kWonload = กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในขณะมีภาระ kWonload
tonload tunload
(kW )
tunload
kWunload = กาลังไฟฟ้าที่ใช้เมื่อไม่มีภาระ unload
kW 15
kWavg tonload tunload
(kW )
FADcomp FADcomp
tonload = เวลาที่เครื่องทางาน ( s)
tunload = เวลาที่เครื่องหยุดทางาน ( s)
FADcomp 89.2lps
17 25
25.18 12.87
kWavg 17 25 17 25
FADcomp 89.2
0.20kW / lps
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาค่าพลังงานที่ประหยัดได้หลังการปรับปรุง
การหาค่าพลังงานที่ประหยัดได้หลังการปรับปรุงการรั่วสามารถหาได้จากผลต่างของ
kWavg ก่อนการปรับปรุง และ kWavg หลังการปรับปรุงระบบ
สัญลักษณ์
kWavg ,leak = กาลังไฟฟ้าที่สูญเสียเนื่องจากการรั่วเฉลี่ย (kW )
kWavg ,before = กาลังไฟฟ้าที่สูญเสียเนื่องจากการรั่วก่อนปรับปรุง (kW )
kWavg , after = กาลังไฟฟ้าที่สูญเสียเนื่องจากการรั่วหลังปรับปรุง (kW )
kWonload = กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในขณะมีภาระ (kW )
kWunload = กาลังไฟฟ้าที่ใช้เมื่อไม่มีภาระ (kW )
tonload = เวลาที่เครื่องทางาน ( s)
16 tunload = เวลาที่เครื่องหยุดทางาน ( s)
สูตร
tonload tunload
kWavg ,before kWonload kWunload
tonload tunload tonload tunload before
tonload tunload
kWavg , after kWonload kWunload
tonload tunload tonload tunload after
การหาค่าพลังงานที่ประหยัดได้หลังการปรับปรุง
การหาค่าพลังงานที่ประหยัดได้หลังการปรับปรุงการรั่วสามารถหาได้จากผลต่างของ
kWavg ก่อนการปรับปรุง และ kWavg หลังการปรับปรุงระบบ
ข้อมูลที่ได้จากการวัดข้อมูลของระบบอากาศอัดระบบหนึ่งก่อนการปรับปรุงเป็นดังนี้
ก่อนการปรับปรุง หลังการปรับปรุง กาลังไฟฟ้า ( kW )
ช่วงเวลา ( s ) ช่วงเวลา ( s )
ภาระ 25 20 171
ปลดภาระ 129 215 51.3
17
ก่อนการปรับปรุง หลังการปรับปรุง
tonload 25s tonload 20s
tunload 129s tunload 215s
kWonload 171 kWonload 171
kWunload 51.3 kWunload 51.3
25 20
kWavg ,before kWavg ,before 171
25 129 20 215
129 215
171 51.3 51.3
25 129 20 215
70.73 61.49
การหาความดันลดในท่อ
การไหลของอากาศอัดภายในท่อทาให้เกิดความเสียดทานขึ้นระหว่างผิวท่อด้านในกับ
อากาศอัด ความเสียดทานนี้เองส่งผลทาให้เกิดความดันลดขึ้นในขณะไหล ความดันลดเนื่องจากการ
ของอากาศอัดในท่อสามารถคานวณหาโดยอาศัยโนโมกราฟ (nomograph) ดังรูปที่ 2.2
ต้องการทราบความดันลดที่เกิดขึ้นจากการไหลในท่ออากาศอัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
90mm ยาว 300m โดยมีความดันที่อ่านได้จากมาตรวัดต้นทางเป็น 9bar อัตราการไหลของอากาศ
อิสระเป็น 200l / s
g
18
f
a
b d e
การหาขนาดของถังเก็บอากาศอัด
เพื่อลดการกระเพื่อมของความดัน
เพื่อลดการกระเพื่อมความดันของเครื่องอัดอากาศแบบลูกสูบ ความจุของถังเก็บอากาศอัด
เป็นดังนี้
สัญลักษณ์ สูตร
V = ความจุของถังเก็บอากาศ litre
FADcomp = การส่งอากาศอิสระ l / min FADcomp
V
10
ต้องการหาขนาดของถังเก็บอากาศอัดเพื่อลดการกระเพื่อมของความดันที่ออกจากเครื่องอัดอากาศแบบ
ลูกสูบที่มีการส่งอากาศอิสระ 1000lpm
19
FADcomp 1000lpm
10000
V
10
1000l 1m3
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาขนาดของถังเก็บอากาศอัด
เพื่อไม่ให้มอเตอร์เกิดความเสียหาย
เพื่อให้มอเตอร์มีจานวนครั้งการทางานตามต้องการ ความจุของถังเก็บอากาศอัดสามารถ
ประมาณได้ดังนี้
สัญลักษณ์
V = ความจุของถังเก็บอากาศ m3
Pmax = ความดันเกจสูงสุดที่เครื่องอัดอากาศตั้งปรับไว้เพื่อหยุดเครื่อง bar
Patm = ความดันบรรยากาศสัมบูรณ์ เท่ากับ 1.013bar
QFAD = การส่งอากาศอิสระของเครื่องอัดอากาศ m3 / min
Qcons = อัตราอากาศอิสระที่ต้องการใช้งาน m3 / min
20 Pmin = ความดันเกจต่าสุดที่เครื่องใช้อากาศอัดจะทางานได้ตามปกติ และเครื่องอัดอากาศจะเริ่ม
ทางาน bar
N = จานวนครั้งที่มอเตอร์หยุด-เดินใน 1 ชั่วโมง
มอเตอร์ขนาด 7.5 kW ไม่ควรเกิน 10 ครั้งต่อชั่วโมง
มอเตอร์ขนาด 37 kW ไม่ควรเกิน 5 ครั้งต่อชั่วโมง
มอเตอร์ขนาด 75 kW ไม่ควรเกิน 2-3 ครั้งต่อชั่วโมง
สูตร
60
V
Pmax Pmin 1 1
N
Patm Qcons QFAD Qcons
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาขนาดของถังเก็บอากาศอัด
เพื่อไม่ให้มอเตอร์เกิดความเสียหาย
ระบบอากาศอัดระบบหนึ่งทางานที่ความดันเกจสูงสุด 10bar ความดันเกจต่าสุด 8bar การส่งอากาศ
อิสระของเครื่องอัดอากาศเท่ากับ 6.2m / min ใช้มอเตอร์ขนาด 37kW อัตราการใช้อากาศอัด
3
อิสระเท่ากับ ต้องการทราบขนาดถังเก็บอากาศเพื่อไม่ทาให้มอเตอร์เกิดความเสียหาย
Pmax 10bar
Pmin 8bar
Patm 1.013bar
Qcons 6.0m3 / min
QFAD 6.2m3 / min
สาหรับมอเตอร์ขนาด 37kW เลือก N 5 21
60
V
5
10 8 1 1
1.013 6 6.2 6
1.18m3
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาขนาดของถังเก็บอากาศอัด
เพื่อแก้ปัญหาภาระสูงสุดในช่วงสั้นๆ
เพื่อลดปัญหาอากาศอัดไม่พอในช่วงภาระสูงสุด (peak load) ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ สามารถ
ประมาณความจุของถังอัดอากาศได้ดังนี้
สัญลักษณ์
V = ความจุของถังเก็บอากาศ litre
Pg , max = ความดันเกจสูงสุดที่เครื่องอัดอากาศตั้งปรับไว้เพื่อหยุดเครื่อง bar
t = เวลาที่อากาศไหลเข้าถังในขณะใช้อากาศมาก ๆ min
Pg , max = ความดันเกจสูงสุดที่เครื่องอัดอากาศตั้งปรับไว้เพื่อหยุดเครื่อง bar
สูตร
Q Q t
Patm
V
Pmax Pmin cons supply
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาขนาดของถังเก็บอากาศอัด
เพื่อแก้ปัญหาภาระสูงสุดในช่วงสั้นๆ
ระบบอากาศอัดระบบหนึ่งตั้งความดันสูงสุดที่เครื่องอัดอากาศไว้ 8bar ช่วงภาระสูงสุดของระบบ
(peak load) ที่บริเวณหนึ่งของระบบมีต้องการอัตราการส่งอากาศอิสระที่ 6.2m3 / min ที่ความดัน
7bar แต่การสารวจพบว่ามีอัตราการส่งอากาศอิสระเพียง 5.8m / min จึงทาให้อากาศอัดไม่พอจ่าย
3
Q Q t
Patm
V
Pmax Pmin cons supply
1.013
6.2 5.8 0.75
8 7
0.304m3 304l
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาผลของอุณหภูมิขาเข้าที่มีต่อการใช้กาลังไฟฟ้าทางทฤษฎี
กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในการอัดอากาศทางทฤษฎีจะมากขึ้นเมื่ออุณหภูมิขาเข้าสูงขึ้น อนึ่งกาลังที่
คานวณหาได้นี้จะน้อยกว่าค่าความเป็นจริงเสมอเนื่องจากไม่คานึงถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้น
สัญลักษณ์ สูตร
kWth = กาลังไฟฟ้าที่ใช้ทางทฤษฎี kW
FADcomp = การส่งอากาศอิสระ m / s P 0.286
3
ก่อนย้ายที่ติดตั้ง
T1 273.15 32 305.15K P2 0.286
kWth 1.2054T1 1 FAD comp
P1 101.3 103 Pa
P1
P2 700 103 101.3 103
801.3 103 0.286
801.3 10 Pa 3
1.2054 305.15 3
1 0.122
101.3 10
FADcomp 7.3m3 / min
36.20
7.3
0.122m3 / s
60
ย้ายที่ติดตั้ง
T1 273.15 28 301.15K P2 0.286
P1 101.3 10 Pa 3 kWth 1.2054T1 1 FAD comp
P1
P2 700 103 101.3 103
801.3 103 0.286
801.3 103 Pa 1.2054 301.15 3
1 0.122
FADcomp 7.3m3 / min 101.3 10
35.72
7.3
0.122m3 / s
60
36.2 35.72
กาลังไฟฟ้าที่ลดลง = 100 1.32%
36.2
ตัวอย่างการนาทฤษฎีมาประยุกต์ใช้งาน
การหาผลของความดันขาออกที่มีต่อการใช้กาลังไฟฟ้าทางทฤษฎี
กาลังไฟฟ้าที่ใช้ในการอัดอากาศทางทฤษฎีจะมากขึ้นเมื่อความดันขาออกสูงขึ้น อนึ่งกาลังที่
คานวณหาได้นี้จะน้อยกว่าค่าความเป็นจริงเสมอเนื่องจากไม่คานึงถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้น
สัญลักษณ์ สูตร
kWth = กาลังไฟฟ้าที่ใช้ทางทฤษฎี kW
FADcomp = การส่งอากาศอิสระ m / s P 0.286
3
ก่อนปรับลดความดัน
T1 273.15 32 305.15K P2 0.286
kWth 1.2054T1 1 FAD comp
P1 101.3 103 Pa
P1
P2 700 103 101.3 103
801.3 103 0.286
801.3 10 Pa
3
1.2054 305.15 3
1 0.122
101.3 10
FADcomp 7.3m3 / min
36.20
7.3
0.122m3 / s
60
หลังปรับลดความดัน
T1 273.15 32 305.15K P2 0.286
P1 101.3 10 Pa 3 kWth 1.2054T1 1 FAD comp
P1
P2 600 103 101.3 103
701.3 103 0.286
701.3 103 Pa 1.2054 301.15 3
1 0.122
FADcomp 7.3m3 / min 101.3 10
32.77
7.3
0.122m3 / s
60
36.2 32.77
กาลังไฟฟ้าที่ลดลง = 100 9.48%
36.2
กรณีศึกษา
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 1.1
การลดความดันอากาศอัดในระบบอากาศอัด
1.หลักการและเหตุผล
2. สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
P 0.286
W 1004.5T1 2 1
P1
o
อุณหภูมิอากาศขาเข้า (T1) = 34 C
W1 = พลังงานเครื่องอัดอากาศที่ความดัน 9 barg 3
W2 = พลังงานเครื่องอัดอากาศที่ความดัน 8 barg
สัดส่วนการประหยัดพลังงาน
= (พลังงานที่ใช้ก่อนปรับลดความดัน พลังงานที่ใช้หลังปรับลดความดัน)
พลังงานที่ใช้ก่อนปรับลดความดัน 100%
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. ทาการตรวจสอบแรงดันใช้งาน ณ จุดต่าง ๆ และทาการบันทึกค่า
2. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศก่อนปรับปรุง
3. ทาการปรับตั้งแรงดันทางด้านจ่ายอากาศของเครื่องอัด อากาศให้ต่าลงโดยค่อย ๆ ปรับลดลงโดยไม่
กระทบการผลิต
4. ทาการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานหลังปรับปรุงเพื่อคานวณผลประหยัด
จากข้อมูลการทางานของโรงงาน และข้อมูลเครื่องอัดอากาศ พบว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่องอัด
อากาศประมาณ 1,600,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการใช้พลังงานประมาณร้อยละ 10
ของการใช้พลังงานไฟฟ้าในระบบต่าง ๆ โดยหากมีการจัดการ หรือการปรับปรุงระบบอากาศอัดให้มี
ประสิทธิภาพที่ดีแล้ว หรือ การจัดให้มีการใช้งานเหมาะสมกับความต้อ งการ ก็จะสามารถลดการใช้
พลังงานไฟฟ้า ได้พอสมควร เช่น การลดความดันในการผลิตอากาศอัดให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดย
ปัจจุบันโรงงานผลิตอากาศอัดที่ความดัน 9 barg แต่มีการใช้งานจริงสูงสุดที่ประมาณ 7 barg เท่านั้น
ซึ่งเป็นการผลิตอากาศอัดที่ความดันสูงเกินไป ก่อให้เกิดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าโดยไม่จาเป็น
การวิเคราะห์ผล
4
ก. อบรมการอนุรักษ์พลังงานให้พนักงานทุกระดับเข้าใจและมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง
ข. ขอข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าจากการไฟฟ้าเพื่อวิเคราะห์ ค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุด และค่า
พลังงานไฟฟ้า
ค. ตรวจสอบระบบตู้ MDB. และการควบคุมความดัน กระแส และระบบจ่ายไฟ
ง. ศึกษาพฤติกรรมการทางาน กระบวนการผลิต รายละเอียดเครื่องจักร ลักษณะการใช้อากาศอัดเป่า
จ. เก็บข้อมูลการเดินตัวเปล่าของมอเตอร์ต่างๆ การใช้ภาระต่ากว่าพิกัดมาก ๆ
ฉ. เก็บข้อมูลการเปิด ปิด อุปกรณ์ เครื่องจักรและไฟฟ้าแสงสว่า ง สอดคล้องกับเวลาของกระบวนการ
ผลิตหรือไม่
ช. ตรวจสอบระบบการทาความเย็น การควบคุมและการใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ
ซ. ตรวจสถานที่และพื้นที่ที่มีการใช้ไฟฟ้าเกินความจาเป็นและใช้เป็นบางช่วงเวลา
ฌ. วิเคราะห์ข้อมูลการบารุงรักษาเครื่องจักร อุปกรณ์และระบบปรับอากาศเพื่อทราบพฤติกรรมการใช้
งานที่เกิดความสูญเสีย
ญ. ที่ปรึกษา และทีมงานอนุรักษ์พลังงานของโรงงาน ร่วมกันศึกษาและหาแนวทางในการลดค่า
พลังงานที่สูญเสีย
กรณีศึกษา
รูปที่ 1 ภาพมาตรวัดความดันก่อนปรับปรุง
5
4.การวิเคราะห์การลงทุน
ไม่มีการลงทุน
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
การดาเนินการปรับปรุง
โรงงานได้ทาการลดความดันอากาศอัดให้เหมาะสมกับความต้องการการใช้งานจริง เนื่องจากการ
สร้างความดันที่สูงจะทาให้เครื่องอัดอากาศทางานเพิ่ มขึ้นและจะสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จาเป็น
ดังนั้นทางโรงงานทาการสารวจความต้องการใช้งานจริงของแต่ละบริเวณที่มีความต้องการใช้อากาศ
อัด และปรับลดความดันในการผลิตอากาศอัดจาก 9 barg เป็น 8 barg ให้เหมาะสมกับความต้องการ
กรณีศึกษา
การติดตามผลการดาเนินงาน
จากการปรับปรุงตามมาตรการอนุรักษ์พลังงานแล้วนั้น ทางทีมงานได้มีการติดตามการปรับปรุงอย่าง
ต่อเนื่อง โดยกาหนดให้มีผู้รับผิดชอบในพื้นที่ที่ใช้งานอยู่นั้น เป็นผู้ที่ตรวจสอบและหาแนวทางการ
ปรับปรุงเพิ่มในพื้นที่ ซึ่งยังสามารถปรับปรุงได้อีก โดยกาหนดแผนในการดาเนินการโดยขอความ
ร่วมมือในการตรวจสอบกับผู้ที่ควบคุมเครื่องจักร แล้วแจ้งเมื่อพบจุดที่บกพร่อง เพื่อดาเนินการต่อไป
ซึ่ ง การตรวจสอบนี้ จะท าการเก็ บ ข้ อ มู ล ความต้ อ งการการใช้ อ ากาศอั ด ที่ เ หมาะสมในแต่ ล ะ
กระบวนการผลิต เพื่อนามาเป็นฐานข้อมูลการผลิต และวางแผนการอนุรักษ์พลังงานด้วย
รูปที่ 2 ภาพหลังการปรับปรุงความดันอากาศอัด
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 1.2
การลดความดันเครื่องอัดอากาศในโรงงานผลิตยาง
1.หลักการและเหตุผล
2. สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
การใช้กาลังไฟฟ้าเฉลี่ย
tonload tunload 7
kWavg kWonload kWunload
tonload tunload tonload tunload
P 0.286
2 1
kWth P1
kWth P 0.286
2 1
P1
kWth คือ กาลังไฟฟ้าเฉลี่ยหลังปรับลดความดันอากาศอัด (kW)
kWth คือ กาลังไฟฟ้าเฉลี่ยก่อนปรับลดความดันอากาศอัด (kW)
P2 คือ ความดันสัมบูรณ์ของอากาศอัดหลังปรับลดความดัน (bar)
P2 คือ ความดันสัมบูรณ์ของอากาศอัดก่อนปรับลดความดัน (bar)
P1 คือ ความดันสัมบูรณ์ของอากาศเข้าเครื่องอัดอากาศ (bar)
กรณีศึกษา
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. ทาการตรวจสอบแรงดันใช้งาน ณ จุดต่าง ๆ และทาการบันทึกค่า
2. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศก่อนปรับปรุง
3. ทาการปรับตั้งแรงดันทางด้านจ่ายอากาศของเครื่องอัดอากาศให้ต่าลงโดยไม่กระทบการผลิต
4. ทาการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานหลังปรับปรุงเพื่อคานวณผลประหยัด ทาการตรวจสอบ
แรงดันใช้งาน ณ จุดต่าง ๆ และทาการบันทึกค่า
จากการสารวจการใช้อากาศอัดของโรงงาน พบว่าโรงงานปรับตั้งความดันของเครื่องอัดอากาศ
เครื่องที่ 1 ไว้ที่ 100 – 105 psig เครื่องอัดอากาศเครื่องที่ 2 ไว้ที่ 115 – 120 psig ซึ่งเป็นความดันที่
ค่อนข้างสูงสามารถปรับลดลงได้อีก จึงทาการสารวจเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้อากาศอัดโดยละเอียด
พบว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ต้องการความดันอากาศอัดสูงสุดเพียง 90 psig ดังนั้น หากทาการปรับ
ลดความดันอากาศอัดแล้วจะช่วยประหยัดพลังงานได้
แนวคิดการลดความดันทาให้เครื่องอัดอากาศทาให้เครื่องทางานเบาลงจึงลดใช้พลังงาน และ
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
ก. ตรวจสอบการตั้งความดันของเครื่องอัดอากาศ ซึ่งพบว่าปัจจุบันตั้งอยู่ที่ 100 – 105 psig
ข. ตรวจสอบระยะเวลาในการเดิน-หยุดเครื่อง
ค. ตรวจสอบความดันของอากาศที่เครื่องจักรแต่ละเครื่องพบว่าเครื่องจักรต้องการความดัน
สูงสุดที่ 90 psig
ง. ทาการค่ อย ๆ ปรั บ ลดความดั นอากาศอั ด เพื่ อทดสอบหาความดันที่ เ พียงพอต่อ ความ
ต้องการ
จ. วิเคราะห์ผลประหยัดที่ได้
วิธีการคานวณผลการอนุรักษ์พลังงาน
เครื่องอัดอากาศขนาด 75 HP เครื่องที่ 1 tload = 0.9 , tunload = 0.1
เครื่องอัดอากาศขนาด 75 HP เครื่องที่ 2 tload = 0.4 , tunload = 0.6
กรณีศึกษา
ก่อนปรับปรุง
กาลังไฟฟ้าเฉลี่ยของเครื่องอัดอากาศเครื่องที่ 1 (kWavg ,1 ) ก่อนปรับลดความดันอากาศอัด
0.9 0.1
kWavg ,1 55.95 16.785 52.03
(0.9 0.1) (0.9 0.1)
ตารางที่ 1ค่ากาลังไฟฟ้าเฉลี่ยก่อนปรับลดความดันอากาศ
ขนาด ขนาด kWonload kWunload
รายการ tload tunload kWavg
HP kW
เครื่องที่ 1 75 55.95 55.95 16.785 0.9 0.1 52.03
เครื่องที่ 2 75 55.95 55.95 16.785 0.4 0.6 32.45
9
หลังปรับปรุง
P 0.286
2 1
kWth P1
kWth P 0.286
2 1
1
P
10 4.การวิเคราะห์การลงทุน
ไม่มีการลงทุน
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
กรณีศึกษาที่ 1.3
การลดอุณหภูมิก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศในโรงงานสิ่งทอ
1.หลักการและเหตุผล
ทีมงานอนุรักษ์พลังงานของโรงงานได้ใช้วิธีตรวจวัดอุณหภูมิภายในบริเวณห้องเครื่องอัดอากาศ และ
นามาวิเคราะห์หาแนวทางการอนุรักษ์พลังงาน พบว่าอุณหภูมิที่วัดได้มีค่าสูงกว่าอากาศภายนอก และ
ตรวจวัดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ก่อนปรับปรุง จึงมีมาตรการปรับลดอุณหภูมิก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศ ซึ่ง
ปรับปรุงสภาพห้องโดยการต่อท่อนาอากาศร้อนออกนอกห้องเครื่องอัดอากาศ และทาการตรวจวัด
อุณหภูมิ และ กาลังไฟฟ้าหลังการปรับปรุง
การที่อุณหภูมิภายในห้องเครื่องอัดอากาศสูง อันเนื่องจากไม่มีการระบายออกสู่ภายนอก ทาให้เครื่อง
อัดอากาศอัด อากาศร้ อนเข้ าไปผลิ ตอากาศอัดให้เ ป็ นความดั น ส่ ง ผลเสีย ต่อการอนุรัก ษ์ พลั ง งาน
เนื่องจากการอัดอากาศร้อนจะได้อากาศอัดปริมาณน้อย เมื่อเทียบกับการอัดอากาศที่อุณหภูมิอากาศ
เย็น
11
2. สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
kWth T1
kWth T1
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. ท าการตรวจสอบอุ ณ หภู มิ บ ริ เ วณภายในห้ อ ง เครื่ อ งอั ด อากาศ ณ จุ ด ต่ า งๆ และอุ ณ หภู มิ
บรรยากาศ แล้วทาการบันทึกค่า
2. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศก่อนปรับปรุง
3. ทาการปรับปรุงการระบายอากาศภายในห้อง เครื่องอัดอากาศ ให้อุณหภูมิต่าลง
4. ทาการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานหลังปรับปรุงเพื่อคานวณผลประหยัด
จากการสารวจการใช้พลังงานในระบบอากาศอัดของทางโรงงานพบว่า มีการใช้เครื่องอัดอากาศ
ขนาด 37 kW จานวน 1 เครื่อง ซึ่งเป็นเครื่องอัดอากาศส่วนหนึ่งของโรงงานเท่านั้น โดยเครื่องอัด
อากาศดังกล่าวจะจ่ายอากาศอัดเสริมให้แก่โรงปั่นด้าย โดยเปิดใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยในการ
จ่ายอากาศอัดให้กับระบบหลัก คือ เครื่องอัดอากาศ 2 75 kW ขนาด 5 22 kWโดยสัดส่วนการ
ใช้พลังงานในระบบนี้อยู่ประมาณร้อยละ 10 - 15
การสารวจตรวจวัด
จากการลงพื้น ที่สารวจพบว่า อุณ หภูมิภ ายในห้อ งเครื่อ งอัด อากาศมีอุณ หภูมิค่อ นข้า งสูง โดย
12 เฉลี่ย 35๐ C ซึ่งเป็นความร้อนที่เ กิดขึ้นมาจากการระบายความร้อนภายในตัวเครื่องอัดอากาศ
เอง และเกิ ด การไหลวนอยู่ภายในห้องเครื่องอัดอากาศนั้น และจะถูกดูดเข้าไปอัดใหม่ ส่งผลทาให้
อุณหภูมิที่เครื่องอัดอากาศอัดเข้าไปนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามสภาพแวดล้อม ปริมาณอากาศอัดที่ทาได้ก็
น้อย ก็เนื่องจากไม่มีการระบายความร้อนสู่ภายนอกห้องที่ดีพอ
การวิเคราะห์ผล
ภายหลังการเก็บข้อมูลการตรวจวัดด้านอุณหภูมิอากาศก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศได้ 35๐C และ
นามาวิเคราะห์โดยทีมงานอนุรักษ์พลังงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ โดยสามารถนาแนวทางการ การ
ปรับปรุงตามมาตรการอนุรักษ์พลังงาน โดยการลดอุณหภูมิก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศ ซึ่งจากเหตุผล
ก็คือ สภาพห้องยังมีการถ่ายเทอากาศไม่ดีพอ การลดอุณหภูมิก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศจะเป็นการ
ประหยัดพลังงานในการอัดอากาศของเครื่องอัดอากาศ กล่าวคือ การอัดอากาศที่อุณหภูมิสูงจะได้
ปริมาณอากาศอัดน้อยเทียบกับการอัดอากาศที่อุณหภูมิต่า เนื่องจากอากาศร้อนจะเกิดการขยายตั ว
มากกว่าอากาศเย็น ส่งผลให้ปริมาณอากาศอัดที่อัดได้น้อยตามไปด้วย
กรณีศึกษา
รูปที่ 1 สภาพเครื่องอัดอากาศก่อนการปรับปรุง
การวิเคราะห์ผลทางเทคนิค
การลดอุณหภูมิก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศ จะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ โดยสามารถแสดงการ
คานวณผลประหยัดได้ดังนี้
โรงปั่นด้าย 1
๐
T1 เฉลี่ยก่อนปรับปรุง = 35.15 C
๐ 13
T1 เฉลี่ยหลังปรับปรุง = 31.15 C
kWth จากเครื่องอัดอากาศ 1 ชุด ที่วัดได้ = 14.6
kWth T1
kWth T1
14.6 273.15 35.15
kWth 273.15 31.15
kWth 0.99 14.6 14.46
รูปที่ 2 ภาพหลังการปรับปรุงระบบอากาศอัด
14
4.การวิเคราะห์การลงทุน
ไม่มีการลงทุน
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
กรณีศึกษาที่ 1.4
การลดอุณหภูมิก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศในโรงงานผลิตลูกฟุตบอล
1.หลักการและเหตุผล
2. สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์ 15
1. การหาค่าพลังงานที่ประหยัดได้
P 0.286
kWth kWth kWth 1.2054 T1 T1 2 1 FAD comp
P1
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. ท าการตรวจสอบอุ ณ หภู มิ บ ริ เ วณภายในห้ อ ง เครื่ อ งอั ด อากาศ ณ จุ ด ต่ า ง ๆ และอุ ณ หภู มิ
บรรยากาศแล้วทาการบันทึกค่า
2. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศก่อนปรับปรุง
3. ทาการปรับปรุงการระบายอากาศภายในห้อง เครื่องอัดอากาศ ให้อุณหภูมิต่าลง
4. ทาการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานหลังปรับปรุงเพื่อคานวณผลประหยัด
ทางโรงงานได้ดาเนินการปรับปรุงระบบระบายความร้อนในบริเวณสถานที่ผลิตอากาศอัด โดยการ
ติดตั้งท่อระบายเพื่อนาอากาศร้อนที่ออกมาจากเครื่องอัดอากาศไปปล่อยทิ้งภายนอกอาคาร ทาให้
สามารถลดอุณหภูมิของอากาศก่อนเข้าเครื่องอัดอากาศจาก 35 oC ลงเหลือ 30 oC ซึ่งส่งผลทาให้เกิด
การประหยัดพลังงานได้ 15,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี หรือ 54,000 เมกะจูน/ปี หรือคิดเป็นเงิน 45,000
บาท/ปี และมีระยะเวลาคืนทุน 0.25 ปี
การคานวณ
ข้อมูลสาหรับการคานวณ
o
ก. อุณหภูมิก่อนการปรับปรุง (T1) 35 C
16 o
ข. อุณหภูมิหลังการปรับปรุง (T2) 30 C
ค. ความดันอากาศที่ผลิต (abs.) (P2) 8 bar
ง. ความดันอากาศขาเข้า (abs.) (P1) 1 bar
ฌ. สัดส่วนการทางาน(%LDU) 100 %
ญ. อัตราการไหลอากาศอิสระ (FAD) 453 l/s = 0.453 m3/s
ฎ. เงินลงทุนปรับปรุง 12,000 บาท
การหาค่าพลังงานที่ประหยัดได้ kWth
P 0.286
kWth 1.2054 T1 T1 2 1 FAD comp
P1
8 0.286
1.2054 35 30 1 0.453
1
2.28
การหาค่าพลังงานไฟฟ้า = 2.28 กิโลวัตต์ 20 ชั่วโมง/วัน 300 วัน/ปี
= 13,680 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี
ประหยัดค่าไฟฟ้า = 13,680 X 3.2
= 43,776 บาท/ปี
กรณีศึกษา
4.การวิเคราะห์การลงทุน
ระยะเวลาในการคืนทุน 0.25 ปี
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
17
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 1.5
การลดจานวนการใช้เครื่องอัดอากาศในระบบอากาศอัด
1.หลักการและเหตุผล
2. สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
18
tonload tunload
kWavg kWonload kWunload
tonload tunload tonload tunload
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. สารวจปริมาณอากาศอัดที่ต้องการ
2. ตรวจวัดการใช้พลังงาน ก่อนปรับปรุง
3. ตรวจเช็คกาลังการผลิตอากาศของเครื่องอัดอากาศ แต่ละเครื่อง แล้วทาการจดบันทึก
4. ดาเนินการปรับปรุงโดยการยกเลิกการใช้งานเครื่องอัดอากาศที่เกินความจาเป็น
5. ตรวจวัดการใช้พลังงาน หลังปรับปรุง
6. คานวณผลประหยัด
จากข้ อ มู ล การใช้ พ ลั ง งานไฟฟ้ า ของทางโรงงานพบว่ า มี ก ารพลั ง งานไฟฟ้ า เฉลี่ ย ต่ อ เดื อ น
1,453,266.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง/เดือน หรือมีการใช้พลังงานไฟฟ้า 17,439,200 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี โดย
สายการผลิตทางานตลอด 24 ชั่วโมง/วัน 30 วัน/เดือน และ 344 วัน/ปี โดยสาเหตุการใช้พลังงาน
กรณีศึกษา
รูปที่ 1 ภาพก่อนการปรับปรุงระบบอากาศอัด
ซึ่งการทางานของเครื่องอัดอากาศทั้งสองนี้ จะแยกส่วนกันเป็นอิสระแต่ภาระเครื่องอัดอากาศนั้นมี
น้อย ไม่เต็มประสิทธิภาพของเครื่องอัดอากาศทั้งสอง ประกอบกับความดันอากาศอัดที่ใช้ไม่แตกต่าง
กันมาก สามารถนามารวมภาระทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วใช้เครื่องตัวใหญ่เดินเพียงตัวเดียวก็เพียงพอ
กรณีศึกษา
การวิเคราะห์ผลเชิงเทคนิค
ข้อมูลจากการตรวจวัดเครื่องจักรมีการทางานก่อนการปรับปรุง มีการเปิดและตัดการทางานของเครื่อง
อัดอากาศในสัดส่วน 60:40 (เป็นการคิดค่าเฉลี่ย) ถูกใช้งาน 24 ชั่วโมง/วัน หรือ 344 วัน/ปี
สัดส่วนภาระ (onload:unload)
เครื่อง kWonload kWunload
ก่อน หลัง
255 kW 255 153 60:40 75:25
110 kW 110 66 44:56 0
เครื่องอัดอากาศ 255 kW
ก่อนการปรับปรุง
60 40
kWavg 255 153 214.2
60 40 60 40
พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ = 214.2 kW x 24 ชั่วโมง/วัน x 344 วัน/ปี
= 1,768,435.2 kW-hr/ปี
หลังการปรับปรุง
75 25
20 kWavg 255 153 229.5
75 25 75 25
พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ = 229.5 kW x 24 ชั่วโมง/วัน x 344 วัน/ปี
= 1,894,752 kW-hr/ปี
ดังนั้นผลการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของเครื่องอัดอากาศขนาด 255 kW
= 1,894,752 1,768,435.2
= 126,319.8 kW-hr/ปี
เครื่องอัดอากาศ 110 kW
ก่อนการปรับปรุง
44 56
kWavg 110 66 85.36
44 56 44 56
พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ = 85.36 kW x 24 ชั่วโมง/วัน x 344 วัน/ปี
= 704,732.16 kW-hr/ปี
หลังการปรับปรุง
kWavg 0
ผลประหยัดเมื่อหยุดการใช้เครื่องอัดอากาศขนาด 110 kW โดยใช้เครื่องขนาด 255 kW เครื่องเดียว
= 704,732.16 - 126,319.8
= 578,415.36 kW-hr/ปี
ประหยัดค่าไฟฟ้า = 578,415.36 X 3.2
= 1,850,929.15 บาท/ปี
กรณีศึกษา
4.การวิเคราะห์การลงทุน
ไม่มีการลงทุน
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
การดาเนินการปรับปรุง
โรงงานได้ทาการเชื่อมระบบอากาศอัดเข้าด้วยกัน และเดินเครื่องอัดอากาศขนาด 255 kW เพียง
ตัวเดียว แทนการใช้เครื่องอัดอากาศขนาด 110 kW และปรับระดับความดันให้เหมาะสมกับความ
ต้องการในแต่ละจุดการใช้งาน
21
การติดตามผลการดาเนินงาน
จากการปรับปรุงตามมาตรการอนุรักษ์พลังงานแล้วนั้น ทางทีมงานได้มีการติ ดตามการปรับปรุงอย่าง
ต่อเนื่อง โดยการตรวจวัดเปอร์เซ็ นต์การเดินภาระ และค านวณพลัง งานไฟฟ้าที่ใช้เ ทียบก่อนการ
ปรับปรุง พร้อมกาหนดให้มีผู้รับผิดชอบในพื้นที่ที่ใช้งานอยู่นั้น เป็นผู้ที่ตรวจสอบและหาแนวทางการ
ปรับปรุงเพิ่มเติม โดยกาหนดแผนในการดาเนินการโดยขอความร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อนามาเป็น
ฐานข้อมูลการผลิต และวางแผนการอนุรักษ์พลังงานด้วย
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 2.1
การลดปริมาณการรั่วของอากาศอัด
1.ความเป็นมา/สภาพปัญหา
22
รูปที่ 1 การค้นหามาตรการระบบอากาศอัด
2. ปัญหาของอุปกรณ์/ระบบก่อนการปรับปรุง
รูปที่ 2 การค้นหามาตรการระบบอากาศอัด
23
รูปที่ 3 รูปก่อนปรับปรุง
กรณีศึกษา
3.ขั้นตอนการปรับปรุง
การแก้ไขรอยรั่วอากาศอัดที่พบในโรงงาน ถ้ามีการแก้ไขจะทาให้เกิดการประหยัดพลังงานได้เนื่องจาก
จะทาให้เครื่องอัดอากาศทางานน้อยลง โดยทาการอัดอากาศในปริมาณที่นาไปใช้เท่านั้น ไม่ต้องอัด
อากาศเพื่อชดเชยการรั่วไหล
1) ประเมินผลการสูญเสียพลังงาน โดยการทดสอบจับเวลาการเดินเครื่องอัดอากาศที่สภาวะ Load
และ Unload ในช่วงเวลาที่โรงงานหยุดการผลิต ซึ่งถ้าเครื่องอัดอากาศเดินที่สภาวะ Load นานๆ
แสดงว่า มีการรั่วไหลของอากาศอัดในปริมาณมาก หลังจากนั้นจึงประเมินการสูญเสียพลังงานที่เกิดขึ้น
เป็นค่าใช้จ่าย
2) วางแผนการสารวจหาจุดรั่วไหลทั้งหมดของโรงงานและซ่อมแซมจุดรั่ว และกาหนดรูปแบบการ
ตรวจสภาพจุดอากาศอัดรั่วร่วมกับการตรวจสอบการซ่อมบารุงเครื่องจักรต่างๆ เป็นรายเดือน
3) ดาเนินการตรวจสอบผลการสูญเสียพลังงานอีกครั้งหลังจากมีการซ่อมแซมจุดรั่วไหลของอากาศอัด
เรียบร้อยแล้ว การดาเนินการเป็นลักษณะเช่นเดียวกันก่อนปรับปรุงซ่อมแซมจุดรั่ว โดยการทดสอบจับ
เวลาการเดินเครื่องอัดอากาศที่สภาวะ Load และ Unload ในช่วงเวลาที่โรงงานหยุดการผลิตหลัง
จากนั้น จึ ง ประเมิน การสู ญ เสี ย พลัง งานที่ เ กิด ขึ้ น เป็ น ค่ าใช้ จ่า ย ค่ า ใช้ จ่า ยที่ ลดลง คื อ ค่ า ใช้จ่ า ยที่
ประหยัดได้จากการปรับปรุงซ่อมแซมจุดรั่วของอุปกรณ์ใช้งานทั้งหมดของระบบอากาศอัด
24
สภาพหลังการปรับปรุง
โรงงานทาการเปลี่ยนฟิตติ้งท่อลมยางขันอัดฟิตติ้งเข้าไปและถอดชุด Air Service มาล้างบารุงรักษา
อากาศไหลเวียนเต็มที่ทาให้อากาศไม่รั่วไหลออกจากรูเดรนและบางจุดย้ายอุปกรณ์ออกจากไลน์เพราะ
จะมีเครื่องจักรมาทดแทนสามารถลดการรั่วไหลอากาศอัดลงได้ทันที
ระยะเวลาการดาเนินการ 4 สัปดาห์
เงินลงทุนทั้งหมด 200,000 บาท
ความต้องการกาลังไฟฟ้าที่ลดลง - กิโลวัตต์ชั่วโมง
พลังงานที่ประหยัดได้ 727,833.60 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี
คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 2,416,407.55 บาท/ปี
ระยะเวลาคืนทุน 0.08 ปี
การประเมินผลประหยัด
ตารางที่ 1 การเปรียบเทียบการสูญเสียกาลังไฟฟ้ากรณีที่มีการรั่วของอากาศอัด
ตตารางที่ 2 วิธีการคานวณผลการอนุรักษ์พลังงาน
กรณีศึกษา
ขนาดรูรั่ว ความดัน
ลาดับ รายการ l/s kW
(mm) (bar)
โรง Extrude
1 Auto drain ถังเก็บอากาศอัด 4 5 15.2 3.52
2 Auto drain สายยางขาออก Tank 10 5 95.01 22.34
3 Auto drain ของ Fitter 10 5 95.01 22.34
4 Auto drain สายสีฟ้า Tank 10 5 95.01 22.34
โรง 2
5 ข้อต่อปืนลม 1 5 0.95 0.22
6 รั่วจากท่อ supply 1 5 0.95 0.22
7 line single SR05 1 5 0.95 0.22
8 เครื่องตัดยางโรงเก่า 0.6 5 0.34 0.08
โรงใหม่
9 mold pin joint 3 5 8.55 2.01
10 ข้อต่อสามทาง 2 5 3.8 0.88
11 ข้อต่อ H61B Body line 1 5 0.95 0.22
12 ข้อต่อ QW body line 1 5 0.95 0.22 25
13 seal กระบอกสูบ 3 5 8.55 2.01
14 seal กระบอกสูบ 2 5 3.8 0.88
15 seal กระบอกสูบ 8 5 60.8 14.08
16 seal กระบอกสูบ 0.5 5 0.24 0.06
17 seal กระบอกสูบ 1 5 0.95 0.22
18 seal กระบอกสูบ 2 5 3.8 0.88
19 โซลีนอย mold NTV 5 5 23.75 5.58
20 seal กระบอกสูบ sealout 8 5 60.8 14.08
21 ข้อต่อ 4 5 15.2 3.52
22 หัวเป่าเครื่องฉีดExtrude 5 5 23.75 5.58
รวม 121.5
กรณีศึกษา
ตารางที่ 3 วิธีการคานวณผลการอนุรักษ์พลังงาน
factor การใช้งาน 0.80
ชั่วโมงทางาน 24 ชม/วัน
วันทางานต่อปี 312 วัน/ปี
ชั่วโมงทางานต่อปี 7,488 ชม/ปี
พลังไฟฟ้าที่สูญเสีย 727,833.60 KWh/ปี
ค่าไฟเฉลี่ย 3.32 บาท
คิดเป็นเงินที่สูญเสีย 2,416,407.55 บาท/ปี
26
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 2.2
การลดการรั่วไหลของระบบอากาศอัด
1.หลักการและเหตุผล
โรงงานใช้เทคนิคในการตรวจสอบการรั่วไหลของระบบอากาศอัด โดยปิดวาล์วทางเข้าและออกของถัง
เก็บอากาศอัดทั้งหมด มีขนาดพิกัดรวม 7,000 ลิตร จากนั้น ทาการเดินเครื่องอัดอากาศหมายเลข 1-
4 ไปที่ความดัน 7.5 bargตามปกติ แต่ไม่ต้องเดินเครื่องจักรในสายการผลิต พร้อมจับเวลาการทางาน
ของเครื่องอัดอากาศจนกว่าจะ Unload จึงหยุดจับเวลา พร้อมบันทึกเวลาที่ได้ นามาหาเปอร์ เซ็นต์
การเดินภาระ หรือเปอร์เซ็นต์การรั่วไหลโดยจุดที่มีการรั่วไหลของอากาศอัด เช่น ข้อต่อ ข้องอ ทาง
โรงงานได้ซ่อมแซม หากซ่อมแซมไม่ได้ก็จะทาการเปลี่ยน เช่น อุปกรณ์ปรับความดัน เนื่องจากใช้เงิน
ลงทุนไม่มาก สามารถสั่งซื้ออุปกรณ์ได้ง่าย
ดังนั้นจากการตรวจสอบการทางานของเครื่องอัดอากาศพบว่า เครื่องอัดอากาศทางานหนักผิดปกติ ดังนั้น
ทีมงานอนุรักษ์พลังงานของโรงงาน ได้ทาการสารวจการใช้งานอากาศอัดพบว่า เกิดการรั่วไหลหลายจุด จึง
ได้ทดสอบการรั่วไหลของอากาศอัด เพื่อเป็นข้อมูลก่อนการปรับปรุง และ ลดการใช้พลังงาน โดยการลด
การรั่วไหลของอากาศอัดตามจุดต่าง ๆ 27
ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่องอัดอากาศ จะถูกรวบรวมจากทีมงานอนุรักษ์พลังงานของโรงงาน ซึ่ง
โรงงานมีการใช้ระบบอากาศอัด สาหรับการทางานของเครื่องจักร ระบบดังกล่าวประกอบด้วย เครื่องอัดอากาศ
จานวน 5 เครื่อง ซึ่งประกอบด้วยเครื่องอัดอากาศขนาด 47 kW จานวน 2 เครื่อง เครื่องอัดอากาศขนาด 37 kW จานวน
3 เครื่อง
รูปที่ 1แสดงเครื่องอัดอากาศแบบสกรูที่ใช้ในโรงงาน
กรณีศึกษา
การสารวจตรวจวัด
ตรวจสอบสภาพปั จ จุ บั น ของปั ญ หาอากาศอัด รั่ ว ทั้ ง ระบบโดยแยกส่ วนที่ มี ก ารใช้ อ ากาศอั ด ตาม
เครื่องจักรที่ต้องทาการตรวจสอบมีดังนี้
ก. Blow 3 เครื่อง ข. Carding 32 เครื่อง ค. Lap 4 เครื่อง
ง. Comb 12 เครื่อง จ. Winding 12 เครื่อง
ตารางที่ 1 สรุปผลการดาเนินการตรวจสอบจานวนจุดที่รั่วแต่ละเครื่องจักร
เครื่องจักร จานวนเครื่องจักร จานวนจุดที่รวั่ ประเภทเครื่องจักร
Blow 3 12 ผสมเส้นใย
Carding 32 - สางใย
28 สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
tonload tunload
kWavg kWonload kWunload
onload tunload
t onload tunload
t
kWavg ,leak kWavg ,before kWavg , after
2. การวิเคราะห์ผล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
วิธีที่ 1
1. ทาการหยุดเดินเครื่องจักรที่ใช้ลมอัด (โดยปกติมักทาในวันหยุดเพราะเครื่องจักรไม่มีการใช้งาน)
2. ปล่อยลมออกจากระบบพอประมาณ (ประมาณ 10 - 30 วินาที)
3. ปิดวาล์วเมนหลัก (Header)
4. Run เครื่องอัดอากาศขณะเดียวกันก็จับเวลาไปด้วยจนเครื่องอัดอากาศอัดถึงความดันที่ตั้งค่าไว้
เครื่องอัดอากาศก็จะหยุดทางาน ในขณะที่เครื่องอัดอากาศหยุดทางานก็ให้หยุดจับเวลา
5. ข้อมูลที่ได้จะทราบความดันที่เริ่มอัด เวลาที่เริ่มจับปริมาณลมที่อยู่ในถัง
กรณีศึกษา
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
การวิเคราะห์ผล
จากแผนการดาเนินงานปรับปรุงตามมาตรการลดการรั่วไหลอากาศอัด ได้มีการดาเนินการดังกล่าวแล้วใน
เบื้องต้น ซึ่งข้อมูลที่ได้มีการจัดเก็บมานั้นสามารถนามาวิเคราะห์หาการสูญเสียพลังงาน แต่ก่อนที่จะมีการ
วิเคราะห์นั้น การได้มาซึ่งข้อมูลต่าง ๆ มีขั้นตอนในการจัดเก็บ และ ทดสอบดังนี้
ก.ทดสอบใช้ถังเก็บปริมาตร 2500+2500+2000 ลิตร เท่ากับ 7000 ลิตร ให้ทาการปิดวาล์วเข้าและ
ออกของถังอากาศ ปิดวาล์วที่จ่ายอากาศอัดไปยังเครื่องจักร
ข.ทาการตั้งความดันไร้ภาระของเครื่องอัดอากาศ 1 - 4 ไปที่พิกัด (7.5 barg)
ค.เดินเครื่องอัดอากาศที่ต้องการจะทดสอบ และ จับเวลาการทางานจนกว่าเครื่องจะอยู่ในภาวะไร้
ภาระจึงหยุดจับ
ง.ทาการทดสอบซ้า ตามข้อ ข.และ ค.โดยต้องปล่อยอากาศอัดในถังที่ทดสอบทิ้งก่อน เวลาที่ได้นามา
เฉลี่ย
จ.ทาการทดสอบกับเครื่องอัดอากาศตัวอื่นโดยปฏิบัติตามข้อ ข.และ ค.และบันทึกค่า
กรณีศึกษา
การวิเคราะห์ผลเชิงเทคนิค
จากการปรับปรุงแก้ไขเรื่องอากาศอัดรั่ว ทาให้สามารถประหยัดได้ โดยแสดงการคานวณจากผลการ
ตรวจวัดดังนี้
คิดเป็นพลังงานที่ประหยัดได้ = 4,443 – 3,958 กิโลวัตต์ชั่วโมง/วัน
= 485 กิโลวัตต์ชั่วโมง/วัน
= 485 กิโลวัตต์ชั่วโมง/วัน 30 วัน
= 14,550 กิโลวัตต์ชั่วโมง/เดือน
= 14,550 กิโลวัตต์ชั่วโมง/เดือน 12 เดือน
= 174,600 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี
ประหยัดค่าไฟฟ้า = 174,600 X 3.2
= 558,720 บาท/ปี
การดาเนินการปรับปรุง
ปัจจุบันโรงงานได้สารวจจุดที่รั่ว และได้ดาเนินการปรับปรุง แก้ไขส่วนที่รั่ว โดยการเปลี่ยนสายยางลม และ
เปลี่ยนข้อต่อ และได้ซ่อมจุดที่รั่ว จากการเก็บข้อมูลการใช้ไฟฟ้าของระบบอากาศอัด เดือนสิงหาคม ใช้พลังงาน
133,296 กิโลวัตต์ชั่วโมง/เดือน หรือเฉลี่ย 4,443 กิโลวัตต์ชั่วโมง/วัน หลัง จากทาการซ่อมจุดที่รั่ว พบว่าในเดือน
30
กันยายน มีการใช้พลังงาน 118,740 กิโลวัตต์ชั่วโมง/เดือน หรือเฉลี่ย 3,958 กิโลวัตต์ชั่วโมง/วัน
การติดตามผลการดาเนินการ
จากการปรับปรุงตามมาตรการลดการรั่วไหลของระบบอากาศอัดในแผนกต่าง ๆ นั้น ส่งผลให้โรงงานสามารถ
ประหยั ดพลั งงานไฟฟ้ าจากการสู ญเสี ยเนื่ องจากการเกิ ดการรั่ วไหลของอากาศอั ดอย่ างเป็ นรู ปธรรม
นอกจากนี้ทีมงานได้มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และกาหนดให้มีผู้รับผิดชอบตามจุดที่ใช้งานต่าง ๆ และ
แจ้ง หรือรายงานผลอย่างสม่าเสมอ เพื่อที่จะได้ทาการซ่อมบารุงต่อไป
31
รูปที่ 6 อากาศอัดรั่วที่เครื่องกรอด้าย รูปที่ 7 อากาศอัดรั่วที่เครื่องกรอด้าย
4.การวิเคราะห์การลงทุน
ไม่มีการลงทุน
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
32
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 2.3
มาตรการการปรับปรุงท่อเมนส่งจ่ายอากาศอัด
1.หลักการและเหตุผล
33
2.สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
1. ความดันลดเนื่องจากแรงเสียดทานของท่อ
เมื่อ = ความดันที่สูญเสีย
f = ตัวประกอบความเสียดทาน (f = 450 ของท่อเหล็ก)
Q = ปริมาณการไหลของอากาศ (l/s)
L = ความยาวท่อเป็นเมตร (m)
Pm = ความดันสัมบูรณ์เฉลี่ยในท่อ (bar)
D = เส้นผ่าศูนย์กลางภายในท่อ (mm.)
2. การหาขนาดของท่อประธาน (ท่อเมน)
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. สารวจการเดินท่อของระบบอากาศอัด
2. ตรวจวัดการใช้พลังงานก่อนปรับปรุง
3. ออกแบบท่อเมนใหม่
4. ดาเนินการติดตั้งท่ออากาศอัดตามออกแบบ
5. ตรวจวัดความดัน และปรับความดันให้เหมาะสม
6. ตรวจวัดการใช้พลังงานหลังปรับปรุง
7. คานวณผลประหยัด
เนื่องจากท่อส่งอากาศอัดทั้งระบบตั้งแต่ห้องเครื่องอัดอากาศ ไปจนถึงฝ่ายผลิตมีการต่อใช้งานลักษณะ
เป็นแบบ Loop และ Grid ร่วมกันดังรูปที่ 3 -3 ในหัวข้อที่ผ่านมา และใน line ที่เดินท่อแบบ Grid มี
เครื่องจักรขนาดใหญ่มีการใช้ลมปริมาณมากในช่วงสั่นๆ ทาให้เกิดปัญหาแรงดันลมตกทาให้ผลิตภัณฑ์
เสียหายขั้นต่า 8,000 บาท/วัน
34
รูปที่ 1 แสดงระบบท่อเมนส่งจ่ายอากาศอัด
กรณีศึกษา
การวิเคราะห์ผลเชิงเทคนิค
ลำดับ รำยกำร สัญลักษณ์ กำรคำนวณ ก่อนปรับปรุง หลังปรับปรุง ผลประหยัด หน่วย
1 สถานที่ตดิ ตัง้ Audit data อาคาร A อาคาร A
2 ชั่วโมงทางานต่อปี Hy Audit data 5,808 5,808 ชั่วโมง/ปี
3 Factor การใช้งาน F1 Audit data 0.85 0.85 -
4 ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย Ec ข้อมูลค่าไฟฟ้า 3.54 3.54 บาท/kWh
กำรคำนวณขนำดของถังเก็บอำกำศอัด
5 อัตราการจ่ายอากาศสูงสุด(FAD) Q1 Audit data 12.80 12.80 m3/min
6 อัตราการจ่ายอากาศสูงสุด(FAD) Q2 Audit data 213.33 213.33 l/s
7 ขนาดกาลังไฟฟ้าเครื่องอัดอากาศ P Audit data 43.58 43.58 kW
8 ปริมาณอากาศอัดที่ตอ้ งการ QR Audit data 10.88 10.88 m3/min
9 ความดันของบรรยากาศ Po standard air 1.013 1.013 bar
10 ความดันอากาศอัดที่ใช้งาน Pg Audit data 7.00 7.00 barg
11 ขนาดท่อเมนหลักที่เหมาะสม Dmm 3536 xQ1 x Po/Po + Pg 75.64 mm.
12 ขนาดท่อเมนหลักมาตรฐาน D Standard Pipe 52.48 62.68 mm.
13 ตัวประกอบความเสียดทาน(ท่อเหล็ก) f ข้อมูลทั่วไป 450 450 -
14 ความยาวของท่อ L Audit data 420 420 m
15 ความดันลดลงเนื่องจากแรงเสียดทาน DP f x L x Q21.85/D 5x( PO+Pg) 1.21 0.50 bar
16 ความดันทีใ่ ช้งานลดลงเนื่องจากแรงเสียดทาน PLg Pg-DP 5.79 6.50 barg
35
17 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ความดันสูญเสีย %P (Pg-PLg)/Pg x100 17.29 7.14 %
18 เปอร์เซ็ นต์ สู ญเสี ยของกาลั ง ผลิ ตที2่ psiเท่ากั บ1% %Pl ค่าทั่วไป 1 1 %
19 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูญเสียของกาลังผลิต %Po (14.7/2)/ x DP 8.89 3.68 %
20 พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ Es1 (P x Hy xF1) 215,145.74 215,145.74 kWh/ปี
21 คิดเป็นพลังงานไฟฟ้าที่สญ
ู เสีย Eloss (%Po x Es1)/100 19,126.46 7,917.36 11,209.10 kWh/ปี
22 คิดเป็นเงิ นที่สญ
ู เสีย Bloss Ec x Eloss 67,707.67 28,027.45 39,680.22 บาท/ปี
การคานวณระยะคืนทุน
23 เงิ นลงทุนปรับปรุงท่อเมน EqC 30,000.00 บาท
24 ค่าติดตัง้ และอุปกรณ์อนื่ ๆ LbC 10,000.00 บาท
25 รวมเป็นเงิ นลงทุน Inv = EqC + LbC 40,000.00 บาท
26 ระยะเวลาคืนทุน PB=Inv/SE 1.01 ปี
กรณีศึกษา
4.การวิเคราะห์การลงทุน
การวิเคราะห์การลงทุน
ระยะเวลาการดาเนินการ 1 สัปดาห์
เงินลงทุนทั้งหมด 40,000.00 บาท
พลังงานที่ประหยัดได้ 11,209.10 kWh/ปี
คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 2,679,680.22 บาท/ปี
ระยะเวลาคืนทุน 0.015 ปี
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
การดาเนินการปรับปรุง
ปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ โดยเลือกขนาดท่อให้เหมาะสมกับการใช้
งาน และพยายามให้เกิดความดันสูญเสียในท่อให้น้อยที่สุดโดยมีหลักปฏิบัติดังนี้
36 1) ปรับปรุงระบบท่อส่งจ่ายอากาศอัดที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่เพียงพอ
2) เดินท่อจากแบบเดิมที่เป็นลักษณะก้างปลามาเป็นแบบ loop
3) หมั่นตรวจสอบการรั่วไหลของลมอัดภายในท่อ โดยที่ความดันสูญเสียต้องไม่เกิน
5%
4) ระบบท่อต้องมีการจัดวางในลักษณะลาดเอียงตามทิศการไหลของอากาศอัดการ
ออกแบบระบบท่อลมอัดอากาศ โดยทั่วไปจะมี อยู่ 4 แบบ ดังนี้
1. แบบ Loop และ มีเครื่องอัดอากาศเพียงชุดเดียว การออกแบบชนิดนี้ให้
ประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องความดันอากาศอัดเท่ากันสม่าเสมอทุกจุด
2. แบบ Grid หรือแบบก้างปลา การออกแบบชนิดนี้ประหยัดค่าใช้จ่ายใน
การเดินระบบท่อ แต่จะเกิดปัญหาแรงดันตกสาหรับอุปกรณ์ใช้งานที่อยู่
ปลายท่อ
3. แบบ Loop และมีเครื่องอัดอากาศ 2 ชุด แบบนี้สามารถลดแรงดันลมตก
ได้ดี แต่การลงทุนสูงและใช้พลังงานเพิ่มขึ้น
4. แบบ Grid และมีเครื่องอัดอากาศ 2 ชุด แบบนี้ให้ประสิทธิภาพต่าที่สุด
เนื่องจากเครื่องอัดอากาศจะทางานพร้อมกัน การลงทุนมาก และใช้
พลังงานมาก
กรณีศึกษา
37
รูปที่ 2 แสดงการออกแบบระบบท่อเมนส่งจ่ายอากาศอัด
การประเมินผลประหยัด
จากข้อมูลเบื้องต้นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความดันลดในท่อก่อนปรับปรุงอย่าง
น้ อ ยวั น ละ 10,000 บาท หลั ง จากปรั บ ปรุ ง ท่ อ เมนในการผลิ ต ท าให้ ล ดความ
เสียหายลงได้ดังนี้
กรณีศึกษาที่ 2.4
การเปลี่ยนอุปกรณ์ระบายน้าอัตโนมัติของเครื่องอัดอากาศ
1.หลักการและเหตุผล
2.สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
ตารางที่ 1 ปริมาณการสูญเสียอากาศอัดลิตรต่อวินาที
ความดัน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง Orifice (mm)
38 อากาศ
อัด 0.5 1 2 3 4 5 6 8 10 12.5
(barg)
0.5 0.06 0.22 0.92 2.1 3.9 5.7 9.12 15.96 22.8 35.5
2.5 0.14 0.58 2.33 5.5 10.05 14.6 23.4 41 58.6 91.4
4 0.21 0.81 3.28 7.48 13.98 20.48 32.77 57.36 81.94 127.76
5 0.25 0.97 3.92 8.8 16.6 24.4 39.02 68.26 97.5 152
5.5 0.27 1.06 4.24 9.53 18 26.47 42.27 73.85 105.44 164.77
6 0.29 1.14 4.56 10.2 19.33 28.45 45.41 79.33 113.25 177
7 0.33 1.31 5.19 11.6 22.05 32.5 51.8 90.4 129 202
กรณีศึกษา
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. สารวจการทางานของอุปกรณ์ระบายน้า
2. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศ ก่อนปรับปรุง
3. สารวจขนาดของรูรั่ว
4. เปิดตารางเพื่อหาอัตราการรั่วไหล
5. ดาเนินการซ่อมแซมอุปกรณ์ระบายน้าที่ชารุด
6. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศ หลังปรับปรุง
7. คานวณผลประหยัด
ทาการลดการรั่วไหลของอากาศอัด โดยการเปลี่ยนอุปกรณ์ระบายน้าอัตโนมัติของเครื่องอัดอากาศ
39
รูปที่ 1 เครื่องอัดอากาศและอุปกรณ์ระบายน้าของเครื่องอัดอากาศก่อนการปรับปรุง
เพื่อใช้ในขบวนการผลิตแต่เนื่องจากปัจจุบันในระบบมีการรั่วไหลของอากาศอัดจุดใหญ่อยู่ที่ระบบการ
ปล่อยน้าอัตโนมัติมีการสูญเสียเป็นจานวนมากมี ขนาด 3 mm ความดัน 5 barg ซึ่งชั่วโมงการทางาน
ของเครื่องอัดอากาศอยู่ที่ 24 ชั่วโมง ปีละ 350 วัน
ปริมาณอากาศอัดรั่วไหล (l/s) = 8.8 l/s (จากตารางด้านบน)
อัตราการใช้ไฟฟ้าของเครื่องอัดอากาศ = 0.33 kW/l/s
พลังงานไฟฟ้าสูญเสีย = 8.8 0.33
= 2.90 kW
พลังงานไฟฟ้าที่ประหยัดได้ = 2.90 kW 24 ชั่วโมง 350 วัน/ปี
= 24,393.60 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี
ประหยัดค่าไฟฟ้า = 24,393.60 X 3.2
= 78,059.52 บาท/ปี
กรณีศึกษา
4.การวิเคราะห์การลงทุน
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
หลังจากการท าการเปลี่ยนอุป กรณ์ ระบายน้าอัต โนมัติข องเครื่ องอัดอากาศ ทาให้ ลดการสูญ เสี ย
พลังงานโดยเปล่าประโยชน์ลงได้
40
รูปที่ 2 อุปกรณ์ระบายน้าของเครื่องอัดอากาศหลังการปรับปรุง
ข้อเสนอแนะ
ควรทาการทดสอบหาเปอร์เซ็นต์การรั่วไหลของอากาศอัดในช่วงที่มีการหยุดการผลิต และตรวจสอบ
หาจุดรั่วไหลอื่นเพิ่มเติมเพื่อลดการสูญเสียอากาศอัด ซึ่งปกติเปอร์เซ็นต์อากาศอัดรั่วไหลในระบบที่
ยอมรับได้จะอยู่ในช่วงร้อยละ 5 -10
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 2.5
การลดการเดินเครือ่ งที่ไม่จาเป็น
1.ความเป็นมา/สภาพปัญหา
41
รูปที่ 1 การค้นหามาตรการระบบอากาศอัด
กรณีศึกษา
2.ปัญหาของอุปกรณ์/ระบบก่อนการปรับปรุง
42
รูปที่ 2 รูปก่อนปรับปรุง
กรณีศึกษา
3.ขั้นตอนการปรับปรุง
สารวจการใช้ความดันของลมในกระบวนการผลิต วิเคราะห์การทางานของเครื่องประเมินการทางาน
พร้อมวางแผนการเปิด-ปิดเครื่องอัดอากาศ
43
รูปที่ 3 สภาพหลังการปรับปรุง
4.การวิเคราะห์การลงทุน
ระยะเวลาการดาเนินการ 1 สัปดาห์
เงินลงทุนทั้งหมด ไม่มีเงินลงทุน
ความต้องการกาลังไฟฟ้าที่ลดลง
พลังงานที่ประหยัดได้ 406,022.40 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี
คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 1,311,452.35 บาท/ปี
ระยะเวลาคืนทุน (คืนทุนทันทีที่ดาเนินการ)
กรณีศึกษา
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
วิธีการคานวณผลการอนุรักษ์พลังงาน
ลาดับ รายการ สัญลักษณ์ การคานวณ ปริมาณ หน่วย
1 จานวน N Audit data 3 เครื่อง
2 ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย Ec ข้อมูลค่า 3.23 บาท/
ไฟฟ้า กิโลวัตต์
ชั่วโมง
ก่อนปรับปรุง
3 ชั่วโมงทางานต่อวัน Hd1 Audit data 24 ชั่วโมง/วัน
4 วันต่อปี Dy Audit data 350 วัน/ปี
5 กาลังไฟฟ้าเฉลี่ยที่ใช้งาน P Audit data 20.14 กิโลวัตต์
หลังปรับปรุง
44 6 ชั่วโมงทางานที่สามารถ Hd2 Audit data 24 ชั่วโมง/วัน
ปิดเครื่องได้
7 ชั่วโมงทางานที่ลดลงต่อปี Hy Hd2 x Dy 8,400 ชั่วโมง/ปี
8 Factor การทางาน F Audit data 0.80 -
9 คิดเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ Es (P)(F)(Hy)(N) 406,022.40 กิโลวัตต์
ประหยัดได้ ชั่วโมง/ปี
10 คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ Bsave Es x Ec 1,311,452.35 บาท/ปี
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 2.6
การจัดลาดับการทางานของเครื่องอัดอากาศ
1.ความเป็นมา/สภาพปัญหา
45
รูปที่ 1เครื่องอัดอากาศและถังพัก
กรณีศึกษา
2. ปัญหาของอุปกรณ์/ระบบก่อนการปรับปรุง
โรงงานไม่สามารถหยุดระบบเครื่องอัดอากาศทั้งระบบ เพื่อที่จะวัดประสิทธิภาพเครื่องอัดอากาศแบบ
อัดอากาศเข้าถังและจับเวลาการทางานได้ ทางโรงงานจึงเลือกใช้วิธีวัดปริมาณอากาศท่อเข้าเครื่องอัดอากาศ
46
รูปที่ 2 การวัดปริมาณอากาศเข้าเครื่องอัดอากาศและกาลังไฟฟ้า
กรณีศึกษา
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
4.การวิเคราะห์การลงทุน
ไม่มีการลงทุน
กรณีศึกษา
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
ตารางที่ 2 ตารางการเดินเครื่องหลังปรับปรุง
กรณีศึกษาที่ 2.7
การติดตั้ง VSDs ที่เครื่องอัดอากาศ
1.หลักการและเหตุผล
2.สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
tonload tunload
kWavg kWonload kWunload
tonload tunload tonload tunload
กาลังไฟฟ้าที่ประหยัดได้ = กาลังไฟฟ้าก่อนปรับปรุง-กาลังไฟฟ้าหลังปรับปรุง
49
พลังงานไฟฟ้าที่ประหยัดได้ = กาลังไฟฟ้าที่ประหยัดได้ x ชั่วโมงการทางาน
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
การเลือกใช้ VSDs กับเครื่องอัดอากาศ ในการผลิตอากาศเพื่อไม่ให้เครื่องอัดอากาศทางานในสภาวะไร้
โหลด VSDs จะช่วยการควบคุมให้มอเตอร์หมุนและผลิตอากาศออกมาอย่างต่อเนื่อง
1. ตรวจเช็คค่าเปอร์เซ็นของ On Load และ Un Load
2. ตรวจวัดการใช้พลังงาน ก่อนปรับปรุง
3. นาของค่าเปอร์เซ็นของ On Load และ Un Load มาวิเคราะห์ว่า เปอร์เซ็นต์ของ On Load และ
Un Load อยู่ในช่วงมากกว่า 30-75% และค่าเฉลี่ยของการผลิตสะสมผู้ผลิตจะแนะนาอยู่ในช่วงไม่เกิน 15 วินาที
4. ติดตั้ง VSDs ที่เครื่องอัดอากาศ
5. ตรวจวัดการใช้พลังงาน หลังปรับปรุง
6. คานวณผลประหยัด
ข้อมูลจากการตรวจวัดก่อนและหลังการปรับปรุงเป็นดังนี้
ก่อนติดตั้ง VSD
กาลังไฟฟ้า เครื่องอัดอากาศช่วง Load 36.87 kW (35%)
กาลังไฟฟ้า เครื่องอัดอากาศช่วง Un-Load 24.88 kW (65%)
กรณีศึกษา
หลังติดตั้ง VSD
กาลังไฟฟ้า เครื่องอัดอากาศช่วง Load 17.25 kW (70%)
กาลังไฟฟ้า เครื่องอัดอากาศช่วง Un-Load 11.33 kW (30%)
ชั่วโมงการทางาน 7,200 ชั่วโมงต่อปี
การคานวณ
กาลังไฟฟ้าก่อนปรับปรุง
35 65
kWavg 36.87 24.88 28.82
35 65 35 65
กาลังไฟฟ้าหลังการปรับปรุง
70 30
kWavg 17.25 11.33 15.47
70 30 70 30
กาลังไฟฟ้าที่ประหยัดได้ = 28.82-15.47
= 13.35
50 พลังงานไฟฟ้าที่ประหยัดได้ = 13.35 x 7,200
= 96,120 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี
ประหยัดค่าไฟฟ้า = 96,120 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี X 3.20 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง
= 307,584.00 บาท/ปี
รูปที่ 1 ภาพเครื่องอัดอากาศก่อนการปรับปรุง
กรณีศึกษา
โรงงานได้ทาการติดตั้ง VSDs
รูปที่ 2 ภาพเครื่องอัดอากาศหลังการปรับปรุง
51
4.การวิเคราะห์การลงทุน
250,000 บาท
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
ระยะเวลาคืนทุน
= 0.81 ปี
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 3.1
มาตรการการเปลี่ยนมาใช้เครื่องอัดอากาศประสิทธิภาพสูง
1.หลักการและเหตุผล
52 2.สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
tonload tunload
kWavg kWonload kWunload
tonload tunload tonload tunload
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศ ก่อนปรับปรุง
2. คานวณหาประสิทธิภาพของเครื่องอัดอากาศ
3. เปรียบเทียบการใช้พลังงานกับเครื่องอัดอากาศประสิทธิภาพสูง
กรณีศึกษา
4. ดาเนินการเปลี่ยนเครื่องอัดอากาศ เป็นเครื่องอัดอากาศประสิทธิภาพสูง
5. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศ หลังปรับปรุง
6. คานวณผลประหยัด
ภายหลังการเก็บข้อมูลการตรวจวัดด้านประสิทธิภาพของเครื่องอั ดอากาศ เทียบกับเครื่องอัดอากาศ
ประสิทธิภาพสูง มีความแตกต่างกันได้ด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าในการอัดอากาศพอสมควร ซึ่งเครื่อง
อัดอากาศประสิทธิภาพสูงนั้น มีการใช้พลังงานไฟฟ้าน้อยกว่า ในขณะที่ได้อากาศอัดปริมาณเท่ากัน
หากเปลี่ยนมาใช้เครื่องอัดอากาศประสิทธิภาพสูงแล้ว ก็จะสามารถประหยัดพลังงานได้
53
รูปที่ 1 สภาพเครื่องอัดอากาศก่อนการปรับปรุง
การวิเคราะห์ผลเชิงเทคนิค
การเปลี่ยนมาใช้เครื่องอัดอากาศประสิทธิภาพสูง จะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้โดยสามารถ
แสดงการคานวณผลประหยัดได้ดังนี้
ชั่วโมงการทางาน 7,200 ชั่วโมง/ปี
ค่าไฟฟ้า 2.70 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง
ก่อนการปรับปรุง
100 0
kWavg 75 40 75
100 0 100 0
ก่อนการปรับปรุง
50 50
kWavg 68.12 35.54 51.83
50 50 50 50
กาลังไฟฟ้าที่สามารถประหยัดได้ = 75-51.83
= 23.17 กิโลวัตต์
คิดเป็นพลังงาน = 23.17 กิโลวัตต์ x 7,200 ชั่วโมง/ปี
= 166,824 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ปี
คิดเป็นเงิน = 166,824 กิโลวัตต์-ชั่วโมง/ปี x 2.70 บาท/ กิโลวัตต์-ชั่วโมง
= 450,425 บาท/ปี
4.การวิเคราะห์การลงทุน
54
การวิเคราะห์ผลความคุ้มค่าทางการลงทุน
คิดเป็นพลังงานที่ลดลงรวม 450,425 บาท/ปี
คิดเป็นเงินที่ประหยัดที่ได้ 1,000,000 บาท
ระยะเวลาคืนทุน = 1.87 ปี
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
การดาเนินการปรับปรุง
โรงงานทาการเปลี่ยนเครื่องอัดอากาศจากเดิม 50 HP จานวน 2 ตัว ไปเป็นขนาด 100 HP จานวน 1
ตัวแทน เมื่อทาการตรวจสอบพบว่ามีการตัดต่อของช่วง On load และ Off load ที่ร้อยละ 50 เครื่อง
อัดอากาศ 1 ตัว จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าที่ใช้หลายตัวเพราะหลายตัวจะมีการสูญเสียมากขึ้น
กรณีศึกษา
รูปที่ 2 ภาพหลังการปรับปรุงเครื่องอัดอากาศ
การติดตามผลการดาเนินงาน
จากการปรับปรุงตามมาตรการอนุรักษ์พลังงานแล้วนั้น ทางทีมงานได้มีการติดตามการปรับปรุงอย่าง
ต่อเนื่อง โดยทาการตรวจวัดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ และนาไปเทียบกับพลังงานไฟฟ้าของเครื่องอัดอากาศ 55
ก่อนปรับปรุงอยู่เสมอ พร้อมกาหนดให้มีผู้รับผิดชอบในพื้นที่ที่ใช้งานอยู่นั้น เป็นผู้ที่ต รวจสอบและหา
แนวทางการปรับปรุง ในมาตรการอื่น ๆ เพิ่มในพื้นที่ที่ยังสามารถปรับปรุงได้อีก โดยกาหนดแผนใน
การดาเนิ น การโดยขอความร่ ว มมื อ ในการตรวจสอบกั บ ผู้ ที่ ค วบคุ ม เครื่ อ งจั ก รเพื่ อ ดาเนิ น การ
ต่ อ ไป
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 3.2
การเปลี่ยนเครื่องอัดอากาศให้เหมาะสมกับภาระใช้งาน
1.หลักการและเหตุผล
56 2.สมการที่ใช้ในการวิเคราะห์
% Load %Unload
kWavg kWonload kWunload
100 100
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
มีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. สารวจปริมาณอากาศอัดที่ต้องการ
2. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศ ก่อนปรับปรุง
3. คานวณหาขนาดของเครื่องอัดอากาศใหม่
4. เปรียบเทียบการใช้พลังงานกับเครื่องอัดอากาศใหม่
5. ดาเนินการเปลี่ยนเครื่องอัดอากาศ
6. ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศ หลังปรับปรุง
7. คานวณผลประหยัด
ทางทีมงานโรงงาน วางแผนเพื่อดาเนินการเปลี่ยนเครื่องอัดอากาศที่ใช้งานอยู่ให้เหมาะสมกับภาระ
มากที่สุด ซึ่งมีขั้นตอนการดาเนินงานดังนี้
กรณีศึกษา
22.24 77.76
kWavg 122 50.6 66.4793
100 100
คิดเป็นพลังงาน = 66.4793 กิโลวัตต์ x 24 ชั่วโมง/วัน x 350 วัน/ปี
= 558,427 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี
หลังปรับปรุง
เนื่องจากเครื่องอัดอากาศเดิมมีปริมาณอากาศอัดอิสระ 440 CFM และทางานที่สภาวะ Load เท่ากับ
ร้อยละ 22.24 ดังนั้น ปริมาณอากาศอัดที่ต้องการจริงคือ
= 0.2224 440
= 98 CFM
ดังนั้นเครื่องอัดอากาศชุดใหม่ที่นามาใช้แทนนั้นซึ่งมีปริมาณอากาศอัดอิสระ 250 CFM จะทางานที่
สภาวะภาระ
= 98/250
= 39.20 %
กรณีศึกษา
ข้อมูลการใช้กาลังไฟฟ้าเป็นดังนี้
39.2 60.80
kWavg 54 20.7 33.7536
100 100
คิดเป็นพลังงาน = 33.7536 กิโลวัตต์ x 24 ชั่วโมง/วัน x 350 วัน/ปี
= 283,530 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี
58
4.การวิเคราะห์การลงทุน
5.สรุปผลที่ได้จากการวิเคราะห์
สภาพหลังปรับปรุง
ทางโรงงาน สามารถดาเนินการเปลี่ยนเครื่องอัดอากาศใหม่ที่เหมาะสมกับภาระในกระบวนการผลิต
ของโรงงานและประหยัดพลังงานจากการทางานของเครื่องอัดอากาศได้มาก
กรณีศึกษา
รูปที่ 2 ภาพหลังการปรับปรุงโรงงานใช้งานเครื่องอัดอากาศที่มีขนาดเล็กลง
ระยะเวลาดาเนินการ
3 เดือน 59
กรณีศึกษา
กรณีศึกษาที่ 3.3
การเปลี่ยนอุปกรณ์ระบายน้าของเครื่องอัดอากาศ
1.ความเป็นมา/สภาพปัญหา
60
รูปที่ 1 เครื่องอัดอากาศ
2. ปัญหาของอุปกรณ์/ระบบก่อนการปรับปรุง
เนื่อ งจากปัจ จุบัน ในระบบมีการรั่ว ไหลของอากาศอัด จุดใหญ่อ ยู่ที่ร ะบบการปล่อ ยน้าอัต โนมัติมี
การสูญเสียเป็นจานวนมากมีโดยขนาด 5 mm ความดัน 7 bar ซึ่ง ชั่วโมงการทางานของเครื่อง
อัดอากาศอยู่ที่ 20 ชั่วโมงปีละ 352 วัน
กรณีศึกษา
ขั้นตอนการปรับปรุง
- สารวจการทางานของอุปกรณ์ระบายน้า
- ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศก่อนปรับปรุง
- สารวจขนาดของรูรั่ว
- เปิดตารางเพื่อหาอัตราการรั่วไหลตามขนาดรูรั่วที่พบ
- ดาเนินการซ่อมแซมอุปกรณ์ระบายน้าที่ชารุด
- ตรวจวัดการใช้พลังงานของเครื่องอัดอากาศหลังปรับปรุง
- คานวณผลประหยัด
สภาพหลังการปรับปรุง
หลังจากการปรับปรุงตามมาตรการอนุรักษ์พลังงานแล้วทางหน่วยซ่อมบารุงได้มีการติดตามผลหลัง
การดาเนินการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและตรวจสอบหาจุดรั่วไหลอื่นเพิ่มเติมเพื่อลดการสูญเสียอากาศ
อัด
61
รูปที่ 2 การเปลี่ยนอุปกรณ์เดรนน้าอัตโนมัติ
จากการปรับปรุงเปลี่ยนอุปกรณ์เดรนน้าอัตโนมัติ ทางโรงงานสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ดังต่อไปนี้
พลังงานไฟฟ้าที่ประหยัดได้ 53,504.00 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปีผลประหยัด
ไฟฟ้า 169,072.64 บาท/ปี
เงินลงทุนทั้งหมด 36,000.00 บาท
ระยะเวลาคืนทุน 0.21 ปี
62
กรณีศึกษา
เงินลงทุนทั้งหมด
ผลประหยัดไฟฟ้า
เวลาเดินเครื่องอัด
สูญเสียกาลังไฟฟ้า
ระยะเวลา คืนทุน
ราคาค่าไฟฟ้าเฉลี่ย
พลังงานไฟฟ้าที่ประหยัดได้
3.การวิเคราะห์ขอ้ มูล
สมรรถนะของเครื่องอัด(จากการทดสอบ)
ขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงจุดรั่วไหล (mm.)
แรงดันเกจ
1 2 3 5 8
barg l/sec kW kWh/ปี บาท/ปี l/sec kW kWh/ปี บาท/ปี l/sec kW kWh/ปี บาท/ปี l/sec kW kWh/ปี บาท/ปี l/sec kW kWh/ปี บาท/ปี
1 0.32 0.08 563 1,780 1.27 0.31 2,182 6,896 2.86 0.69 4,858 15,350 7.95 1.91 13,446 42,491 20.36 4.89 34,426 108,785
2 0.48 0.11 774 2,447 1.90 0.46 3,238 10,233 4.28 1.03 7,251 22,914 11.90 2.86 20,134 63,625 30.47 7.31 51,462 162,621
3 0.63 0.15 1,056 3,337 2.54 0.61 4,294 13,570 5.71 1.37 9,645 30,478 15.85 3.80 26,752 84,536 40.58 9.74 68,570 216,680
4 0.79 0.19 1,338 4,227 3.17 0.76 5,350 16,907 7.13 1.71 12,038 38,041 19.80 4.75 33,440 105,670 50.69 12.17 85,677 270,739
0.21
3.16
7.60
0.24
7,040
อัตราการสูญเสียลมอัดจากรูรั่ว(ขนาด 5 mm. 7 Bar) = 31.65
5 0.95 0.23 1,619 5,117 3.80 0.91 6,406 20,244 8.55 2.05 14,432 45,605 23.75 5.70 40,128 126,804 60.80 14.59 102,714 324,575
5.5 1.03 0.25 1,760 5,562 4.12 0.99 6,970 22,024 9.26 2.22 15,629 49,387 25.73 6.17 43,437 137,260 65.86 15.81 111,302 351,716
36,000.00
6 1.11 0.27 1,901 6,007 4.43 1.06 7,462 23,581 9.97 2.39 16,826 53,169 27.70 6.65 46,816 147,939 70.92 17.02 119,821 378,634
169,072.64
7.60 x 7,040
6.5 1.19 0.28 1,971 6,229 4.75 1.14 8,026 25,361 10.68 2.56 18,022 56,951 29.68 7.12 50,125 158,394 75.97 18.23 128,339 405,552
7 1.27 0.30 2,112 6,674 5.06 1.22 8,589 27,141 11.39 2.73 19,219 60,733 31.65 7.60 53,504 169,073 81.03 19.45 136,928 432,692
7.5 1.35 0.32 2,253 7,119 5.38 1.29 9,082 28,698 12.11 2.91 20,486 64,737 33.63 8.07 56,813 179,528 86.08 20.66 145,446 459,611
ปี
kW
8 1.42 0.34 2,394 7,564 5.70 1.37 9,645 30,478 12.82 3.08 21,683 68,519 35.60 8.54 60,122 189,984 91.14 21.87 153,965 486,529
บาท
ชม/ปี
l/sec.
8.5 1.50 0.36 2,534 8,009 6.01 1.44 10,138 32,035 13.53 3.25 22,880 72,301 37.58 9.02 63,501 200,663 96.20 23.09 162,554 513,669
บาท/ปี
KWh/ปี
9 1.58 0.38 2,675 8,454 6.33 1.52 10,701 33,815 14.24 3.42 24,077 76,083 39.55 9.49 66,810 211,118 101.25 24.30 171,072 540,588
kW/(l/sec)
10 1.74 0.42 2,957 9,343 6.96 1.67 11,757 37,151 15.66 3.76 26,470 83,646 43.50 10.44 73,498 232,252 111.36 26.73 188,179 594,646
บาท/kW-hr
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
การเดินเครื่องและการซ่อมบารุงเป็นของคู่กัน ถ้าเราเดินเครื่องอัดอากาศ โดยใส่ใจ
และทราบว่าสิ่งใดควรตรวจสอบอย่างสม่าเสมอ จะทาให้เราส่งข้อมูลให้การบารุงรักษา ซึ่ง
โดยทั่วไปคือเจ้าหน้าที่ของผู้จาหน่ายเครื่องทาการบารุงรักษาได้อย่างตรงประเด็น หากการ
บารุงรักษาดี และการเดินเครื่องทาอย่างถูกต้อง ก็จะทาให้เครื่องอัดอากาศทนทาน และใช้
พลังงานได้เหมาะสม
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
3
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
ข้อมูลเครื่อง
5.1.1 ตารางเวลาการตรวจสอบและบารุงรักษาเครื่องอัดอากาศ
ตารางการตรวจสอบรายวันสาหรับเครื่องอัดอากาศแบบชักกลับ (ลูกสูบ)(Piston) และ
แบบก้นหอย (Scroll)
ระยะเวลาในการตรวจเช็ค (ชั่วโมง)
รายการ
200 1,000 2,000 4,000 10,000
ระดับน้ามันหล่อลื่น/ความหนืด X
ถ้าเป็นเครือ่ งที่ฉีดน้ามันหล่อลื่นเข้ากระบอกสูบ ให้เติมน้ามันทุกวันและตั้งปรับหยดต่อนาทีถ้าผิดเพี้ยน
เปลี่ยนน้ามันหล่อลื่น แล้วแต่ยี่หอ้ / ชนิดน้ามัน
เปลี่ยนไส้กรองน้ามันหรือล้างตามกาหนดผูผ้ ลิต บางผู้ผลิตให้ล้างทาความสะอาด
เปลี่ยนไส้กรองอากาศ X
ตรวจสายพานความตึง/สึกหรอ X
สภาพรังผึ้งระบายความร้อนให้ตรวจรายวันโดยใช้มือขวางทางลมเปรียบเทียบความแรงวันต่อวัน
สภาพหินปูนในท่อน้าหล่อเย็น ขึ้นอยู่กับแหล่งน้า
สภาพวาล์วดูด/จ่ายอากาศ X
ตรวจสภาพลูกสูบ/แหวน/เสื้อ X
ตรวจสภาพก้านสูบ/อุปกรณ์กันรั่ว เครือ่ งอัดสองด้านจะสามารถเห็นและสามารถขันบีบปะเก็นให้แน่น
6
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
ระยะเวลาในการตรวจเช็ค (ชั่วโมง)
รายการ
200 1,000 2,000 4,000 10,000
ระดับน้ามันหล่อลื่น / ความหนืด X
เปลี่ยนน้ามันหล่อลื่น แล้วแต่ยี่หอ้ / ชนิดน้ามัน
เปลี่ยนไส้กรองน้ามันหล่อลื่น X
เปลี่ยนไส้กรองอากาศ X
ตรวจสายพานความตึง / สึกหรอ X
สภาพรังผึ้งระบายความร้อนด้วยอากาศหมั่นตรวจบ่อยๆใช้อากาศอัดเป่าฝุ่นในครีบออก
สภาพหินปูนในท่อน้าหล่อเย็น ขึ้นอยู่กับแหล่งน้า
สภาพวาล์วระบายอากาศช่วงปลดภาระถ้ามี ทาความสะอาดทุก 200 ชั่วโมง
ตรวจลูกลอยระบายน้ากลั่นตัวที่อุปกรณ์ผลัดความร้อน อาจอุดตันหรือเปิดตลอด ให้ทาความสะอาดลูกลอย
เปลี่ยนไส้กรองแยกน้ามันออกจากอากาศก่อนจากเครือ่ งถ้าเป็นแบบน้ามันหล่อลื่นท้วมท้น X
ระยะเวลาในการตรวจเช็ค (ชั่วโมง)
รายการ
200 500 1,000 2,000 5,000 10,000
ตรวจทาความสะอาดไส้กรองอากาศ X
เปลี่ยนไส้กรองอากาศ X
เป่าฝุ่นรังผึ้งระบายความร้อน ด้วย
X
อากาศ
เปลี่ยนถ่ายน้ามันหล่อลืน่ แล้วแต่ชนิดของน้ามันหล่อลื่น
เปลี่ยนวาล์วน้ามันไหลกลับจาก ห้อง
X
แยกน้ามัน
เปลี่ยนไส้กรองแยกน้ามันออกจากอากาศก่อนออกจากเครือ่ งอัดอากาศ X
ตรวจล้างลูกลอยระบายน้ากลั่นตัวจากอุปกรณ์ผลัดความร้อนทุก 200 ชั่วโมง
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
5.2 ขั้นตอนการเดินเครื่อง
ข้อควรพึงระวัง การเปิดใช้งานเครื่องอัดอากาศ ถ้าเป็นเครื่องเดียว ควรตั้งปรับให้
เครื่องทางานที่ความดันที่เหมาะกับการใช้งานในโรงงาน โดยห้ามเกินความดันสูงสุด และ
ห้ามต่ากว่าความดันต่าสุดโดยผู้ผลิตกาหนดไว้ที่เครื่อง เพราะเครื่องส่วนใหญ่จะใช้ความดัน
อากาศอัดดันน้ามันหล่อลื่นไหลวนเวียนไปหล่อเย็นและไหลกลับมาหล่อลื่น ถ้าความดันต่า
ไปจะไม่เกิดการไหลเวียนของน้ามันหล่อลื่น เมื่อตั้งปรับความดันแล้วให้ตรวจวัดการกิน
กระแสไฟฟ้าให้อยู่ในพิกัดด้วย
ถ้ามีหลายเครื่องในวงจรเดียวกัน ต้องหาเกจวัดความดันที่เชื่อถือได้หนึ่งตัวเป็น
ตัวกลางที่ทุกเครื่องต้องมาวัดเทียบ เพราะเกจทุกตัวต่างวัดความดันเดียวกั นแต่วัดตัวเลขได้
ไม่ตรงกันจึงต้องมีการตั้งปรับทุกเครื่อง โดยยึดตัวกลางเป็นหลักปรับตั้งทีละเครื่องจนครบ
ทุกเครื่อง ทุกเครื่องจะส่งอากาศอัดออกจากเครื่องเท่าๆ กัน โดยไม่มีเครื่องที่รีบชิงปลด
ภาระก่อน
bar
7.5
แรงดันอากาศอัดในระบบ
7.4 เครืองที 4 หยุด
7.3 เครืองที 3 หยุด
7.2 เครืองที 2 หยุด
8 7.1 เครืองที 1 หยุด
7 แรงดันใช้งานสูง
6.5 แรงดันใช้งานต่า
0
1 2 3 4 5
เวลาการทางาน
รูปที่ 5.3 แสดงการใช้งานเครื่องอัดอากาศหลายเครื่อง
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
ทั้งนี้ทุกเครื่องต้องตั้งความดันให้เครื่องกลับมารับภาระโดยเดินเครื่องอีกที่ความ
ดัน 6.6 บาร์ เพื่อป้องกันความดันใช้งานไม่ให้ต่ากว่า 6.5 บาร์ การตั้งความดันของแต่ละ
เครื่องห้ามตั้งความดันโดยยึดเอาความดันจากอุปกรณ์วัดความดันประจาเครื่องแต่ละ
เครื่อง เพราะอุปกรณ์วัดความดันที่ติดมากับเครื่องนั้นความแม่นยาถูกต้องต่ามาก ร้อยทั้ง
ร้อยจะอ่านค่าความดันเดียวกันไม่เท่ากัน อุปกรณ์วัดความดันที่ถูกต้องนั้นราคาเรือนแสน
บาท ไม่มีผู้ผลิตไหนนามาติดตั้งประจาเครื่อง ฉะนั้น โดยทั่วไป มักจะถือเอาอุปกรณ์วัด
ความดันที่ติดตั้งที่ถังเก็บอากาศ เพราะทุกเครื่องอัดอากาศจะต่อท่อเข้าถังเก็บอากาศ
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
5.2.1 ขั้นตอนการเดินเครื่องอัดอากาศ
การเดินเครื่องระบบสร้างอากาศอัด โดยทั่วๆ ไปเครื่องอัดอากาศประเภทต่างๆ
มีขั้นตอนคล้ายๆ กัน ดังแสดงในตารางที่ 5.4
ตารางที่ 5.4 ขั้นตอนการเดินเครื่องอัดอากาศ
ขั้นตอน รายละเอียด หมายเหตุ
1 ถ้าในระบบมีเครื่องทาอากาศแห้ง ให้ ถ้าเครื่องใหญ่ให้เดินนานกว่าเดิม เพราะระบบ
เดิน เครื่องทาอากาศแห้งก่อนประมาณ ทาความเย็นต้องใช้เวลานานก่อนที่จะทาให้
10-20 นาที ระบบทาความเย็นเย็นได้ที่ ถ้าเครื่องเย็นจัด
ก่อนมีอากาศอัดมาถึง ระบบทาความเย็นจะ
หยุดโดยอัตโนมัติ ถ้าเดินเครื่องอัดอากาศก่อน
แล้วเดินเครื่องทาอากาศแห้งทีหลังอากาศอัด
ที่อัดออกมาช่วงแรกจะไม่แห้ง
2 กดสวิทช์เริ่มเดินเครื่อง - ถ้าเครื่องไม่เริ่มเดิน ให้ตรวจสอบสาเหตุ
เครื่องไม่เดินในหัวข้อการวินิจฉัยความ
บกพร่องและแก้ไข
- ถ้าเครื่องเดินให้จับเวลาหรือนับไปเรื่อย
ๆ จนเครื่องสร้างแรงดันได้เต็มที่ ถ้าหาก
เวลายืดยาวนานกว่าวันก่อน ๆ ให้ตั้ง
10
ข้อสังเกตว่ามีการรั่วเกิดขึ้น
3 ฟังเสียงเครื่อง หาสิ่งผิดปกติ ถ้าทุก
อย่างปกติก็เดินเครื่องต่อไปได้
4 สังเกตความร้อนของเครื่องโดยการใช้ - ถ้าร้อนขึ้นในเวลาที่เหมาะสมทุก ๆ วัน
มือสัมผัสตัวเครื่อง แสดงว่าปกติ
- ถ้าร้อนช้าอาจเป็นที่วาล์วปิดน้ามันไป
ระบายความร้อนที่อุปกรณ์ระบายความ
ร้อนน้ามันเปิดค้างทั้งที่น้ามันยังเย็น
- ถ้าร้อนเร็วแสดงว่าวาล์วปิดตายไม่มีการ
หมุนถ่ายน้ามัน
ทั้งสองกรณีให้หยุดเครื่องถอดวาล์วออกมา
ตรวจซ่อมก่อนเครื่องจะเสียหายหนัก
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
5.2.2 ขั้นตอนการหยุดเดินเครื่องอัดอากาศ
ขั้นตอนการหยุดเดินเครื่องอัดอากาศโดยทั่วไป มีดังนี้
ตารางที่ 5.5 ขั้นตอนการหยุดเดินเครื่องอัดอากาศ
ขั้นตอน รายละเอียด
1 กดสวิทช์หยุดเครื่อง
2 ปิดวาล์วระหว่างเครื่องและถัง ป้องกันอากาศอัดไหลย้อนเข้าเครื่อง
และไหลออกจากเครื่องทางดูดอากาศเข้า
3 ยกสวิทช์ตัดตอนออก
5.3 การตรวจสอบขณะเดินเครื่องอัดอากาศ
ไส้กรองอากาศ
ปกติไส้กรองอากาศใหม่ความดันสูญเสียจะต่ากว่า 10 มิลลิบาร์ (10
mbar) อายุใช้งานประมาณ 2,000 ชั่วโมง และให้ตระหนักว่าทุก ๆ 10 มิลลิบาร์ที่ความ
ดันสูญเสียเพิ่มขึ้น ปริมาณอากาศที่อัดได้จะหายไป 1 % จึงแนะนาให้ติดตั้งเกจวัดความ
ดันสูญญากาศช่วงวัด -25 ถึง -30 มิลลิบาร์ เมื่อเดินผ่านเครื่อง จะเห็นได้ง่าย และจัดการ
ถอดไส้กรองออกมาเป่าทาความสะอาดเพื่อรักษาประสิทธิภาพเครื่องอัดอากาศให้สูง
ตลอดเวลา
11
การระบายความร้อนของเครื่องอัดอากาศ
เครื่องอัดอากาศที่ระบายความร้อนด้วยอากาศหรือน้า อุณหภูมิของผิว
เครื่องอัดอากาศบริเวณอ่างน้ามันควรอยู่ในช่วง 65-90 ๐C
ถ้าอุณหภูมิต่าเกินไป ไอน้าในอากาศที่ถูกอัดให้มีความดัน 7 bar จะ
กลั่นตัวเป็นหยดน้าที่ประมาณ 65๐C แล้วจะเป็นน้าปนเปื้อนในน้ามันหล่อลื่นภายใน
เครื่อ งอัด อากาศ แล้ วท าลายคุ ณ ภาพของน้ ามัน หล่อลื่ น ถ้ า น้ามันอุณ หภูมิ สูง เกินไป
เครื่องจะเสียหายเนื่องจากสูญเสียความสามารถในการหล่ อลื่น เครื่องอัดอากาศจึงต้อง
ติดตั้งเทอร์โมสตัท (Thermostat) เพื่อตัดหยุดเครื่องอัดอากาศเมื่อน้ามันหล่อลื่นใน
เครื่องอัดอากาศมีอุณหภูมิประมาณ 104 ๐C และน้ามันหล่อลื่นถ้ามีอุณหภูมิสูงกว่านี้จะ
ถึงจุดวาบไฟ และจะเผาไหม้ตัวเอง ทาให้เกิดไฟไหม้ภายในเครื่องและเสียหายอย่างหนัก
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
อุปกรณ์แยกหยดน้ามัน
ใช้หลักการแยกหยดน้ามันเชิงกล เช่น เปลี่ยนทิศทาง หรือหมุนเหวี่ยงแยก
หยดน้ามันที่หนักกว่าออกจากอากาศอัด อุปกรณ์นี้ไม่ค่อยมีปัญหา
ไส้กรองแยกละอองน้ามัน
ไส้กรองนี้มักจะติดตั้งเป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์แยกหยดน้ามัน อายุใช้งาน
ประมาณ 1 ปี แต่ถ้ามีฝุ่นละอองเข้าเครื่องมากหรือเครื่องร้อนเกินพิกัดบ่อย ๆ ไส้กรองนี้
อายุใช้งานจะสั้นลงมาก และถ้ามีฝุ่นละอองเข้าเครื่องอัดอากาศมาก ฝุ่นละอองที่เล็กมาก
ๆ จะผ่านไส้กรองอากาศ แล้วไปรวมตัวกับน้ามันหล่อลื่นกลายเป็นโคลนในน้ามันหล่อลื่น
ไปอุดตันในท่อหรือรูเล็ก ๆ ที่ส่งน้ามันที่ดักได้กลับคืนเครื่องอัดอากาศและท่วมในไส้กรอง
ทาให้อากาศอัดผ่านไส้กรองน้อยลง อากาศอัดไม่พอใช้งาน ความดันอากาศอัดตกและ
น้ามันในอ่างน้ามันหล่อลื่นต่า ถ้ามีอุปกรณ์วัดระดับน้ามันอาจตัดหยุดเครื่อง แต่ถ้าไม่มี
อุปกรณ์วัดระดับน้ามันและเครื่อ งทางานต่อไป เครื่องขาดน้ามันหล่อลื่นเครื่องจะเสียหาย
หนัก
อุปกรณ์ระบายความร้อนน้ามันหล่อลื่น
ถ้าเป็นการระบายความร้อนด้วยน้าอุณหภูมิน้าขาออกควรสูงกว่าน้าขาเข้า
๐
ประมาณ 10 C ถ้า อุณ หภูมิต่ากว่า แต่เครื่องร้อนกว่าแสดงว่าท่อน้าหล่อเย็นไม่มี
12 ประสิทธิภาพ เช่น มีตะกรันเกาะมากไป
ถ้าอุณหภูมิน้าขาออกสูงเกินไปอาจเป็นเพราะน้าหล่อเย็นไหลผ่านเครื่อง
น้อยไป
ถ้าเป็นเครื่องระบายความร้อนด้วยอากาศ หมั่นสังเกตช่องว่างระหว่างครีบ
รังผึ้งและท่ออย่าให้มีฝุ่นอุดตัน ให้เป่าฝุ่นออกด้วยอากาศอัดและอย่าให้มีสิ่งกีดขวางทางลม
หลังรังผึ้ง
อุปกรณ์ระบายความร้อนหลังเครื่องอัดอากาศ (After Cooler)
การดูแล เช่นเดียวกับหัวข้อการะบายความร้อนเครื่องอัดอากาศ
ชุดกรองอากาศก่อนเข้าเครื่องทาอากาศแห้ง
มีไว้ดักฝุ่นและน้ามันหล่อลื่นที่เข้าไปเกาะบนผิวท่อระบายความร้อนและ
ทาให้ความสามารถการถ่ายเทความร้อนต่าลง มักจะเลือกชุดกรองละเอียด 0.3 ไมครอน
ถ้าความดันตกมากกว่า 0.1 bar ให้เปลี่ยนไส้กรอง ผู้ผลิตมักทาเป็นแถบสีเขียวแสดงว่าใช้
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
ทราบสถานะอัตราการไหลของลมอัดที่แท้จริงในระบบ ทาให้การกาหนดเป้าหมายในการ
ที่จะทาการลดการใช้พลังงานของลมอัดได้ไม่ชัดเจน หรือไม่มีทิศทางที่ถูกต้อง
การบารุงรักษาควรนาอุปกรณ์วัดค่าอัตราการไหลของลมอัดติดตั้งเข้าไปในระบบ
ทาให้เราสามารถทราบค่าอัตราการไหลของลมอัดจากค่าที่ได้แสดงออกมาจากอุปกรณ์วัด
อัตราการไหล ดังนั้นในการกาหนดค่าเป้าหมายในการทาการลดการใช้พลังงานในระบบ
อากาศอัดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอัตราการไหลของลมอัดในระบบ จะเป็นไปตามทิศทาง
และความถูกต้องอย่างชัดเจน และนาผลที่ได้หลังจากการวัดมาวิเคราะห์เพื่อหาวิธีการ
ปรับปรุงแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบลมอัดต่อไป
5.7 การบารุงรักษากรองอากาศ และจุดกรองอื่นๆของระบบอากาศอัด
ตัวอย่าง การบารุงรักษาระบบอากาศอัดจากรูปที่ 5.4 และรูปที่ 5.5 ระบบ
ต้องการอากาศอัดที่ใช้งานที่ 5 บาร์ รูปที่ 5.4 การบารุงรักษาที่ดีส่งผลให้การไหลของ
อากาศได้สะดวก ความต้านทานในระบบต่า เครื่องกินกาลังในการผลิตอากาศอัดที่ 6.91
บาร์ เป็นต้น สามารถลดการใช้พลังงานลงได้เทียบกับระบบที่ขาดการบารุงรักษาที่ดี 10–
15% ต่างจากระบบที่ขาดการดูแลบารุงรักษาอาจจะต้องผลิตแรงดันที่ 10.79 บาร์
เพราะเครื่องจะต้องออกแรงในการดูดอากาศเข้ามาอัดแล้วส่งผ่านชุดกรองต่างๆ เพื่อให้
ได้แรงดันที่กาหนด
21
23
5.9 ระยะเวลาการบารุงรักษาระบบอากาศอัดที่เหมาะสม
เอกสารเล่มนี้ได้กาหนดระยะเวลาที่เหมาะสมสาหรับการบารุงรักษาอุปกรณ์ระบบ
อากาศอัด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับระบบอากาศอัดดังตารางด้านล่าง
ตารางที่ 5.8 การบารุงรักษาระบบอากาศอัด
รายละเอียดการดาเนินงาน ระยะเวลาที่
เหมาะสม
34
1. ทาความสะอาดชุดกรองอากาศ ทุกสัปดาห์
2. ทาความสะอาดชุดกรองสารแขวนลอยในระบบน้าหล่อเย็น ทุกเดือน
3. ทาความสะอาดครีบระบายความร้อนและตัวเครื่องอัด ทุกเดือน
4. ตรวจสอบสภาพและปริมาตรของน้ามันหล่อลื่น ทุกวัน
5. เปลี่ยนถ่ายน้ามันหล่อลื่น ตลอดอายุการใช้งาน
6. เปลี่ยนไส้กรองน้ามันหล่อลื่น ตลอดอายุการใช้งาน
7. ตรวจสอบระบบระบายน้าอัตโนมัติ ทุกวัน
8. ระบายน้าทิ้งออกจากถังเก็บอากาศ ทุกวัน
9. อัดจารบีหรือสารหล่อลื่น ทุก 3 เดือน
10. ทาความสะอาดหอผึ่งเย็น (Cooling tower) ทุก 3 เดือน
11. ตรวจสอบการทางานของเครื่องวัดต่างๆ ทุก 3 เดือน
12. ตรวจสอบสภาพและปรับตึงสายพานส่งกาลังหรือชุดเกียร์ ทุกเดือน
ส่งกาลัง
13. ตรวจหาและซ่อมจุดรั่วไหลของอากาศอัด ทุกสัปดาห์
การบารุงรักษาระบบอากาศอัดเบื้องต้น
ENERGY
2 Btu
therms
x
x
1.055 = kJ
105.5 = MJ
x
x
0.9478 = Btu/h
0.009478 = therms
also tons of
Btu/ft3 x
3
0.03726 = kJ/l (MJ/m ) x 26.8 = Btu/ft
3
3
Btu/gal x 0.2321 = kJ/l (MJ/m ) x 4.309 = Btu/gal
3
therms/gal x 23.21 = MJ/l (GJ/m ) x 0.04309 = therms/gal
SPECIFIC HEAT
Btu/lb oF x
o
4.187 = kJ/kg C x
o
0.2388 = Btu/lb F
Btu/ft oF x
3 o
67.07 = kJ/m C x
o
0.01491 = Btu/ft F
ตารางแปลงหน่วย
ภาคผนวก ก
THERMAL CONDUCTIVITY
2 o o 2 o
Btu in/ft h F x 0.1442 = W/m C x 6.933 = Btu in/ft h F
Btu/ft2 h oF x
2 o
5.678 = W/m C x
2 o
0.1761 = Btu/ft h F
3
HEAT TRANSFER
3 3 3
lb/ft x 16.02 = kg/m x 0.06243 = lb/ft
kg/l kg/d m3 = relative density (to water at 4 oC) specific gravity (water at 4 oC)
PRESSURE
also : Standard Atmospheres (atm) x 1.013 = bar Standard Atmospheres (atm) x 14.70 = psi
(c) the suffixes-a and -g refer to absolute and gauge pressures respectively.
gauge pressure plus atmospheric pressure (in the same units) = absolute pressure.
MASS
4
oz x 28.35 = g x 0.03528 = oz
lb x 453.6 = g x 0.002205 = lb
lb x 0.4536 = kg x 2.205 = lb
LENGTH
AREA
in2 x 645.2 = mm
2
x 0.001550 = in
2
in2 x 0.0006452 = m
2
x 1550.0 = in
2
ft2 x 0.09290 = m
2
x 10.76 = ft
2
yd2 x 0.8361 = m
2
x 1.96 = yd
2
2 2
also : acres x 43560.0 = ft hectares (hal) x 10000.0 = m
VOLUME
ft3 x 0.02832 = m
3
x 35.31 = ft
3
yd3 x 0.7646 = m
3
x 1.308 = yd
3
(bbl)
FLOW RATE
3
cfm x 0.0004719 = m /s x 2119.0 = cfm
Note : (i) All the factors have been rounded to four significant figures for ease of use.
F may be replaced by R
C may be replaced by k
ตารางแปลงหน่วย