You are on page 1of 56

ข้อควรรู ้เกียวกั
บการฟ้องคดีปกครอง

การฟ้องคดีปกครอง

เนื่ องจากคดีปกครองมีลก ั ษณะพิเศษต่างไปจากคดีแพ่งและคดีอาญา ดังนั้น


จึงต ้องมีวธิ พ ่
ี จิ ารณาทีเหมาะสมกับสภาพของคดีปกครองเอง
่ ้แก่วธิ พ
ซึงได ี จิ ารณาแบบไต่สวน
อันเป็ นวิธก
ี ารทีมี่ หลักสาคัญในการให ้อานาจศาลในการแสวงหาข ้อเท็จจริงได ้
อย่างกว ้างขวาง และเป็ นผูด้ าเนิ นกระบวนพิจารณาเอง

อย่างไรก็ด ี การพิจารณาคดีปกครองยังคงต ้องเคารพหลักทั่วไปของระบบวิธพ ี จิ ารณาคดี


่ ่งเน้นให ้มีการพิจารณาคดีอย่างยุตธิ รรมและมีประสิทธิภาพ เช่น
อันเป็ นหลักการทีมุ
การฟังความสองฝ่ าย การพิจารณาไปตามกรอบของคาฟ้ องและคาขอท ้ายฟ้ อง
การคัดค ้านตุลาการ เป็ นต ้น
จากหลักการของกระบวนพิจารณาคดีปกครองดังกล่าวข ้างต ้น
ได ้นามาสูก
่ ารวางระบบวิธพ ่ วนหนึ่ งอันเป็ นกรอบสาระสาคัญ
ี จิ ารณาคดีปกครองทีส่
ได ้บัญญัตไิ ว ้ในพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพ ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
และอีกส่วนหนึ่ งกาหนดไว ้ในระเบียบของทีประชุ
่ มใหญ่ตล ุ าการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด ้วยวิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543

การเสนอคาฟ้อง
่ องต่อศาล จะต ้องเป็ นไปตามเงือนไข
การยืนฟ้ ่ ดังต่อไปนี ้
่ น
1. เรืองที ่ ามาฟ้ องต ้องเป็ นคดีปกครอง
่ อยู
และต ้องเป็ นเรืองที ่ ใ่ นอานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คือ
เป็ นกรณี ตามมาตรา 9 และมาตรา 11
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และมาตรา
223 ของรัฐธรรมนู ญแห่งราชอาณาจักรไทย
่ องต่อศาลทีมี
2. ต ้องยืนฟ้ ่ อานาจ

อานาจศาลในทีนี ่ หมายถึ
้ ้ านาจและเขตอานาจกล่าวคือ
งทังอ
่ี ใ่ นอานาจของศาลปกครองชันต
คดีทอยู ้ ้น
่ องต่อศาลปกครองชันต
ก็จะต ้องยืนฟ้ ้ ้นจะฟ้ องไปยังศาลปกครอง สูงสุดไม่ได ้
ในทางกลับกันคดีทอยู่ี ใ่ นอานาจของศาลปกครองสูงสุด ก็จะต ้องยืนฟ้
่ องต่อศาล
ปกครองสูงสุดเท่านั้น

อีกทังการยื ่ องคดีจะต ้องยืนฟ้
นฟ้ ่ องต่อศาลปกครองทีมี
่ เขตอานาจเหนื อคดีน้ัน

ซึงในศาลปกครองชั ้ ้นได ้แก่
นต
่ ลคดีเกิดขึนหรื
ศาลทีมู ้ อศาลทีผู่ ฟ
้ ้ องคดีมภ
ี ม ิ าเนาอยูเ่ ขตศาลนั้น
ู ล
้ ของประเทศ
ส่วนศาลปกครองสูงสุดมีเขตอานาจครอบคลุมทุกพืนที ่

่ าหนดไว ้และยืนโดยถู
3. คาฟ้ องต ้องทาเป็ นหนังสือและมีรายการตามทีก ่ กวิธ ี

การฟ้ องคดีปกครองไม่มแี บบของคาฟ้ องกาหนดไว ้เฉพาะ แต่ต ้องทาเป็ นหนังสือ


่ ญญัตไิ ว ้ในมาตรา 45
ฟ้ องด ้วยวาจาไม่ได ้ ใช ้ถ ้อยคาสุภาพ มีรายการตามทีบั
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
กล่าวคือต ้องระบุ ชือ่ ทีอยู
่ ข ่ องผูฟ
้ ้ องคดีและผูถ้ กู ฟ้ องคดี

ข ้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์เกียวกั ่ นเหตุแห่งการฟ้ องคดี
บการกระทาทีเป็
คาขอและลายมือชือผู่ ฟ ่ ยวข
้ ้ องคดี โดยต ้องแนบพยานหลักฐานทีเกี ่ ้องไปพร ้อมคาฟ้ อง
โดยผูฟ
้ ้ องคดีต ้องจัดทาสาเนาคาฟ้ องและสาเนาพยานหลักฐานตามจานวนผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดีด ้
วย

สาหร ับวิธก ่ าฟ้ องนั้นจะยืนด


ี ารยืนค ่ ้วยตนเองหรือมอบอานาจให ้ผูอ้ นยื
่ื นแทนหรื
่ อจะส่งทางไ
ปรษณี ย ์ลงทะเบียนก็ได ้

อนึ่ ง ในกรณี ทมี


ี่ ผูป้ ระสงค ์จะฟ้ องคดีหลายคนในเหตุเดียวกัน บุคคล
่ าฟ้ องร่วมกันเป็ นฉบับเดียว
ดังกล่าวจะยืนค
โดยมอบให ้ผู ้ฟ้ องคดีคนหนึ่ งเป็ นตัวแทนของผูฟ
้ ้ องคดีทุกคนก็ได ้
้ อว่าการกระทาของตัวแทนผู ้ฟ้ องคดีในกระบวนพิจารณาผูกพันผูฟ
ในกรณี นีถื ้ ้ องคดีทุกค
นด ้วย

4. ผูฟ ่ี ความสามารถตามกฎหมาย
้ ้ องคดีต ้องเป็ นผูท้ มี
โดยหลักแล ้วผูฟ ่ี ความสามารถในการทานิ ตก
้ ้ องคดีต ้องเป็ นผูท้ มี ิ รรมตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิ ชย ์
หากผูฟ
้ ้ องคดีมข ่
ี ้อบกพร่องในเรืองความสามารถก็ ่
จะต ้องดาเนิ นการแก ้ไขตามทีประมวลก
ฎหมายแพ่งและพาณิ ชย ์บัญญัตไิ ว ้ อย่างไรก็ด ี สาหร ับในการฟ้ องคดีปกครองนั้น
่ อายุไม่ต่ากว่า 15 ปี บริบูรณ์
มีข ้อยกเว ้นอนุ ญาตให ้ผู ้เยาว ์ทีมี
ฟ้ องคดีด ้วยตนเองได ้ถ ้าศาลอนุ ญาต

5. ผูฟ
้ ้ องคดีต ้องเป็ นผูม้ ส
ี ท ่ ญญัตไิ ว ้ในมาตรา 223
ิ ธิฟ้องคดีตามทีบั
ของรัฐธรรมนู ญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 42
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

กล่าวคือ
่ ้ร ับความเดือดร ้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร ้อนหรือเสียหายโดยมิอา
จะต ้องเป็ นผู ้ทีได

จหลีกเลียงได ้จากการกระทาหรืองดเว ้นการกระทาอย่างหนึ่ งอย่างใดของหน่ วยงานทางปก

ครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ บสัญญาทางปกครอง
ัฐ หรือมีข ้อโต ้แย ้งเกียวกั
่ื
หรือกรณี อนใดที ่ ใ่ นเขตอานาจของศาลปกครองซึงในความเป็
อยู ่ นจริงส่วนใหญ่แล ้วผูเ้ สีย
หายในคดีปกครองก็คอื ประชาชนทั่วไปทีได
่ ้ร ับความเดือดร ้อนหรือเสียหายจากการกระทา
ทางปกครอง

แต่หน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐก็อาจเป็ นผูเ้ สียหายและฟ้ องคดี
ปกครองได ้เช่นกัน

สาหรับกรณี ความร ับผิดทางละเมิดหรือความร ับผิดอย่างอืนของฝ่ ายปกครองหรือสัญญาท
างปกครองนั้น มีความชัดเจนอยูใ่ นตัวว่า “ผูไ้ ด ้รับความเดือดร ้อนหรือเสียหาย
หรืออาจจะเดือดร ้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลียงได ่ ”้ นั้น จะต ้องเป็ นผูท ่ี ก
้ ถู
“โต ้แย ้งสิทธิ” เท่านั้น เพราะเขาต ้องเป็ น “ผูท
้ รงสิทธิ” โดยสภาพ
และสิทธิของเขาถูกโต ้แย ้งด ้วยการกระทาละเมิดหรือการไม่ปฏิบต
ั ต
ิ ามสัญญาของฝ่ ายปก
ครอง หรืออสังหาริมทรัพย ์ของเขาถูกเวนคืน

ในคดีเกียวกั ่ อปฏิบต
บการละเลยต่อหน้าทีหรื ั ห ่ าช ้าเกินสมควร
ิ น้าทีล่
่ บความชอบด ้วยกฎหมายของการกระทาทางปกครอง
คงถือหลักเดียวกับคดีเกียวกั

ส่วนคดี ทีกฎหมายก าหนดให ้อยูใ่ นเขตอานาจของศาลปกครองนั้น

ย่อมขึนอยู ก ่ ้น ๆ
่ บั กฎหมายในเรืองนั
่ี าวมาข ้างต ้นด ้วยว่ามีลก
แต่ก็ต ้องพิจารณาเปรียบเทียบกับกรณี ทกล่ ั ษณะคล ้ายคลึงหรือ
แตกต่างกันเพียงใด
่ี
แต่สาหร ับคดีทกฎหมายก าหนดให ้ฝ่ ายปกครองฟ้ องคดีตอ ่ งคับให ้บุคคลต ้องกระ
่ ศาลเพือบั
ทาหรือละเว ้นกระทาอย่างหนึ่ งอย่างใด ไม่มป
ี ระเด็นต ้องพิจารณาถึงความหมายของคาว่า
“ผูม
้ ส
ี ว่ นได ้เสีย”
เพราะผูฟ ่
้ ้ องคดีก็คอื ฝ่ ายปกครองและเป็ นการฟ้ องคดีตามทีกฎหมายกาหนด
่ องภายในระยะเวลาทีก
6. ต ้องยืนฟ้ ่ าหนด

กรณี ทฟ้่ี องขอให ้ศาลเพิกถอนกฎหรือคาสังทางปกครองต


่ ้องฟ้ องภายใน 90 วัน
ั ทีรู่ ้หรือควรรู ้ถึงเหตุแห่งการฟ้ องคดี เช่น
นับแต่วน

ฟ้ องคดีเพิกถอนคาสังลงโทษทางวิ นัยต ้องฟ้ องภายใน 90
นับแต่วน ่
ั ทีทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์เป็ นต ้น

กรณี ฟ้องเกียวกั ่
บเจ ้าหน้าทีของร ่
ัฐละเลยต่อหน้าทีตามที ่
กฎหมายก าหนดให ้ต ้องปฏิบต
ั ห
ิ รื
อปฏิบตั ห ่ งกล่าวล่าช ้าเกินสมควรต ้องยืนฟ้
ิ น้าทีดั ่ องภายใน 90 วัน นับแต่วน ่ ้นกาหนด
ั ทีพ
90 วัน นับแต่วน ่ ฟ
ั ทีผู ้ ้ องคดีมห ่
ี นังสือร ้องขอต่อหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐ

เพือให ้ปฏิบต
ั ห ่
ิ น้าทีตามที ่
กฎหมายก ้
าหนดและไม่ได ้ร ับหนังสือชีแจงจากหน่ วยงานหรือเจ ้า
่ งกล่าว หรือได ้ร ับแต่เป็ นคาชีแจงที
หน้าทีดั ้ ่ นว่าไม่มเี หตุผล
เห็
หรือมีกฎหมายเฉพาะกาหนดไว ้เป็ นอย่างอืน ่

ถ ้าเป็ นคดีเกียวกั ่
บการกระทาละเมิดหรือความร ับผิดอย่างอืนของหน่ วยงานทางปกครองหรื

อเจ ้าหน้าทีของร ่ องภายใน 1 ปี
ัฐ ให ้ยืนฟ้
และถ ้าเป็ นคดีพพ ่ บสัญญาทางปกครองต ้องฟ้ องภายใน 5 ปี
ิ าทเกียวกั
นับแต่วนั ทีรู่ ้หรือควรรู ้ถึงเหตุแห่งการฟ้ องคดี แต่ไม่เกิน 10 ปี
นับแต่วน ่ เหตุแห่งการฟ้ องคดี
ั ทีมี

อย่างไรก็ตาม ถ ้าเป็ นคดีเกียวกับการคุ ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือ
สถานะของบุคคลจะยืนฟ้ ่ องเมือใดก็
่ ได ้
และในบางกรณี ถ ้าคูก
่ รณี มคี าขอหรือศาลปกครองเห็นเองว่าคดีทยื ่ี นฟ้
่ องเมือพ
่ ้นกาหนดระ
ยะเวลาการฟ้ องคดีแล ้วนั้น จะเป็ นประโยชน์แก่สว่ นรวมหรือมีเหตุ จาเป็ นอืน

ศาลปกครองจะร ับไว ้พิจารณาก็ได ้

7. ก่อนฟ้ องคดีปกครองต ้องดาเนิ นการแก ้ไขความเดือดร ้อน



หรือเสียหายตามขันตอนหรื
อวิธก ่
ี ารทีกฎหมายกาหนดไว ้สาหร ับการนั้นเสียก่อน
่ี กฎหมายกาหนดขันตอนหรื
ในกรณี ทมี ้ อวิธก
ี ารสาหร ับการแก ้ไขความเดือดร ้อนหรือเสียห

ายในเรืองใดไว ้โดยเฉพาะ
่ ้นจะกระทาได ้ต่อเมือมี
การฟ้ องคดีปกครองในเรืองนั ่ การดาเนิ นการตามขันตอนและวิ
้ ธกี าร
ดังกล่าว

และได ้มีการสังการตามกฎหมายนั ้นหรือมิได ้มีการสังการภายในเวลาอั
่ นสมควรหรือภายใ

นเวลาทีกฎหมายนั ้นกาหนด เช่น
่ อนุ ญาตให ้ก่อ
ตามกฎหมายว่าด ้วยการควบคุมอาคารกาหนดให ้ต ้องมีการอุทธรณ์คาสังไม่

สร ้างอาคารต่อเจ ้าพนักงานท ้องถินภายใน 60 วัน หรือตามมาตรา 44
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
่ ญญัตใิ ห ้ต ้องอุทธรณ์คาสังทางปกครองที
ทีบั ่ ่ ได ้ออกโดยร ัฐมนตรีและไม่มก
ไม่ ี ฎหมายกาห

นดขันตอนอุ ทธรณ์ ภายในฝ่ ายปกครองไว ้เป็ นการเฉพาะ ภายใน 15 วัน เป็ นต ้น

ซึงหากยั
งไม่มก
ี ารอุทธรณ์ตามกฎหมายดังกล่าว ก็ไม่อาจนาคดีมาฟ้ องต่อศาลปกครองได ้

หากมีการอุทธรณ์แล ้วและได ้มีการสังการตามการอุทธรณ์นั้นแล ้ว
หรือไม่มก ่
ี ารสังการภายในระยะเวลาอั ่
นสมควรหรือในระยะเวลาทีกฎหมายกาหนดจึงจะสา
มารถนาคดีมาฟ้ องต่อศาลปกครองได ้
ในกรณี ของคดีสญ ่ ้น
ั ญาและละเมิดหรือความร ับผิดอย่างอืนนั
ไม่มบ
ี ทบัญญัตใิ ดบังคับให ้เอกชน
ผูฟ ่
้ ้ องคดีต ้องขอให ้หน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐร ับผิดทางละเมิดหรือตามสั
ญญาเสียก่อน จึงจะสามารถฟ้ องคดีปกครองได ้ คงมีกรณี ตามมาตรา 11
แห่งพระราชบัญญัตคิ วามร ับผิดทางละเมิดของเจ ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 เท่านั้น

ทีวางหลั
กว่าผูเ้ สียหายจะขอให ้หน่ วยงานของร ัฐพิจารณาชดใช ้ค่าสินไหมทดแทนสาหร ับ
ความเสียหายทีเกิ่ ดแก่ตน
อันเนื่ องมาจากการกระทาละเมิดซึงหน่
่ วยงานของร ัฐต ้องร ับผิดก็ได ้
และถ ้าไม่พอใจผลการวินิจฉัยของหน่ วยงานของรัฐ ก็มส
ี ท
ิ ธิฟ้องคดีตอ
่ ศาลปกครองต่อไป
(พระราชบัญญัตค
ิ วามร ับผิดทางละเมิดฯ มาตรา 14)
อย่างไรก็ตามกฎหมายไม่ได ้บังคับว่าต ้องดาเนิ นการทีกล่่ าวมาเสียก่อนจึงจะมีสท
ิ ธิฟ้องคดี
ด ้วยเหตุนี ้ เอกชนผูเ้ สียหายจึงสามารถฟ้ องคดีละเมิดต่อศาลปกครองได ้เลย
่ี ้าข่ายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (3)
ถ ้าเป็ นกรณี ทเข

8. การชาระค่าธรรมเนี ยมศาล

โดยทั่วไปการฟ้ องคดีปกครองไม่ต ้องเสียค่าธรรมเนี ยมศาล



(กรณี การฟ้ องคดีขอให ้ศาลเพิกถอนกฎหรือคาสังทางปกครองที ่ ชอบด ้วยกฎหมายหรือ
ไม่

การฟ้ องคดีเกียวกั ่ อปฏิบต
บการละเลยต่อหน้าทีหรื ั ห ่ าช ้าเกินสมควร)
ิ น้าทีล่
่ ้ใช ้เงินหรือส่งมอบทร ัพย ์สินอันสืบเนื่ องจากคดีพพ
แต่ถ ้าเป็ นการฟ้ องคดีขอให ้ศาลสังให ิ าท

เกียวกั ่
บการทาละเมิดหรือความร ับผิดอย่างอืนของหน่ ่
วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีข
องรัฐ
หรือคดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่ ไว ้ใ
บสัญญาทางปกครองต ้องเสียค่าธรรมเนี ยมศาลในอัตราตามทีระบุ
นตาราง 1 ท ้ายประมวลกฎหมายวิธพ ี จิ ารณาความแพ่ง
่ี
เว ้นแต่ทศาลมี ่ ้ยกเว ้นค่าธรรมเนี ยมศาล
คาสังให

่ ้ องคดีตอ
ตัวอย่างการยืนฟ ่ ศาลปกครองกลาง
่ องคดีปกครองต่อศาลปกครองกลางนั้นมีหลักเกณฑ ์และวิธก
การยืนฟ้ ี ารเช่นเดียวกับการยื่
้ ้นอืน
นฟ้ องต่อศาลปกครองชันต ่ แต่มข ่ มบางประการ ดังนี ้
ี ้อควรสังเกตเพิมเติ
1.
ผูฟ ่ าฟ้ องด ้วยตนเองทีศาลปกครองกลางหรื
้ ้ องคดีจะมายืนค ่ อจะส่งทางไปรษณี ย ์ลงทะเบียน
่ี นฟ้
ก็ได ้ โดยในกรณี ทยื ่ องทางไปรษณี ย ์ลงทะเบียนให ้จ่าหน้าซองดังนี ้

2. ในการเขียนคาฟ้ องนั้น กฎหมายไม่ได ้กาหนดแบบฟอร ์มไว ้ แต่ผูฟ ้ ้ องคดีต ้องใช ้ถ ้อย


่ ภาพ และต ้องระบุรายละเอียดหรือรายการต่าง ๆ ทีกฎหมายก
คาทีสุ ่ าหนดไว ้ เช่น

ชือและที ่ ข
อยู ่ องผูฟ ่ื
้ ้ องคดีชอหน่ ่
วยงานหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ กฟ้ องคดี
ัฐทีถู
การกระทาหรือพฤติการณ์ของหน่ วยงานหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ่ ามาฟ้ อง
ัฐทีน
คาขอของผูฟ ่
้ ้ องคดีและลายมือชือของผู ้ ้ องคดี นอกจากนั้น

ผูฟ
้ ้ องคดีต ้องจัดทาสาเนาคาฟ้ องและสาเนาพยานหลักฐาน (เช่น คาสังที ่ ท ่ าให ้ผูฟ
้ ้ องคดี
่ ฟ
เดือดร ้อนเสียหาย) ทีผู ้ ้ องคดีได ้ร ับรองสาเนาถูกต ้องตามจานวนของผูถ้ กู ฟ้ องคดี

ยืนมาพร ่ านวยความสะดวกแก่ผูฟ
้อมกับ คาฟ้ องด ้วยเพืออ ้ ้ องคดี
สานักงานศาลปกครองกลางได ้จัดทาตัวอย่าง คาฟ้ อง (ค.1) ไว ้ให ้แล ้ว

3. การฟ้ องคดีปกครองนั้น
ผูฟ
้ ้ องคดีสามารถดาเนิ นการด ้วยตนเองได ้โดยไม่จาเป็ นต ้องมีทนายความ
แต่หากผูฟ ่ าเนิ นการใดๆด ้วยตนเองก็อาจมอบอานาจให ้ทนายความห
้ ้ องคดีไม่สะดวกทีจะด
รือบุคคลอืนฟ้่ องคดีหรือดาเนิ นคดีปกครองแทนตนตังแต่
้ ต ้นจนเสร็จคดีก็ได ้ กรณี เช่นนี ้
ผูฟ ้ ดอากรแสตมป์ ราคา 30 บาท
้ ้ องคดีจะต ้องทา ใบมอบอานาจพร ้อมทังติ
ให ้เรียบร ้อยโดยไม่ต ้องใช ้ใบแต่งทนายเหมือนในคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั่วไป
โดยผูฟ ้ ้ องคดีอาจใช ้ตัวอย่างใบมอบอานาจที่ ศาลปกครองกลางได ้จัดทาขึนก็
้ ได ้

4. ในบางกรณี
ผูฟ ่ องคดีหรือดาเนิ นคดี
้ ้ องคดีอาจไม่ประสงค ์จะมอบอานาจให ้ทนายความหรือบุคคลอืนฟ้

ปกครองแทนตนทังหมดดั งเช่นกรณี ตามข ้อ3.
่ื
แต่ต ้องการเพียงให ้ผูอ้ นมายื ่ องแทนหรือยืนเอกสารหรื
นฟ้ ่ อ
้ั
พยานหลักฐานแทนเป็ นครงคราวเท่ านั้น กรณี เช่นนี ้
ผูฟ ่ื
้ ้ องคดีก็อาจมอบฉันทะให ้ผูอ้ นกระทาแทนตนเป็ นคราวๆ
้ ดอากรแสตมป์ ราคา 10
ก็ได ้โดยในแต่ละคราวผู ้ฟ้ องคดีจะต ้องทาใบมอบฉันทะ พร ้อมทังติ

บาท ให ้เรียบร ้อย ซึงกรณี ้
นีศาลปกครองกลางได ้จัดทา ตัวอย่างใบมอบฉันทะ
ไว ้ด ้วยแล ้วเช่นกัน

5. สาหร ับเรืองใดที
มี่ ผูเ้ ดือดร ้อนหรือเสียหายหลายคน
่ ละคนประสงค ์จะฟ้ องคดีด ้วยเหตุเดียวกัน
ซึงแต่
ผูฟ ่ าฟ้ องร่วมกันเป็ นฉบับเดียวได ้โดยลงชือผู
้ ้ องคดีทุกคนอาจยืนค ่ ฟ ้ ้ องคดีทุกคนท ้ายคาฟ้
้ ฟ
องและในกรณี นีผู ้ ้ องคดี
ทุกคนจะมอบหมายให ้ผู ้ฟ้ องคดีคนหนึ่ งเป็ นผูแ้ ทนของผูฟ
้ ้ องคดีทุกคนในการดาเนิ นคดีตอ

ไปก็สามารถกระทาได ้โดยไม่ต ้องทาใบมอบอานาจหรือใบมอบฉันทะ แต่อย่างใด

6.
่ี ฟ
ในกรณี ทผู ่ ้ผูถ้ ก
้ ้ องคดีฟ้องขอให ้ศาลปกครองสังให ู ฟ้ องคดีใช ้เงินหรือส่งมอบทร ัพย ์สินใน
กรณี ละเมิด หรือผิดสัญญา ผูฟ ้ ้ องคดีจะต ้องเสียค่าธรรมเนี ยมศาล อย่างไรก็ตาม
่ี ฟ
ในกรณี ทผู ้ ้ องคดีไม่ทราบว่าจะต ้องเสียค่าธรรมเนี ยมศาลหรือไม่และเท่าใดหากผูฟ ้ ้ องคดี
่ องด ้วยตนเอง
มายืนฟ้
ผูฟ ่
้ ้ องคดีอาจขอร ับคาแนะนาจากเจ ้าหน้าทีศาลปกครองในขณะที
ยื่ นฟ้
่ องก็ได ้
แต่ถ ้าผูฟ
้ ้ องคดีสง่ คาฟ้ องทางไปรษณี ย ์ ลงทะเบียน
ผูฟ
้ ้ องคดีจะต ้องคานวณเงินค่าธรรมเนี ยมศาลเอง หากคานวณได ้ไม่ถก ู ต ้อง
ศาลก็จะมีคาสังแจ ่ ้งให ้ผู ้ฟ้ องคดีชาระค่าธรรมเนี ยมศาลให ้ถูกต ้องในภายหลัง

7. การชาระค่าธรรมเนี ยมศาลนั้น ่
นอกจากจะเลือกชาระเป็ นเงินสดหรือเช็คซึงธนาคาร
ร ับรองแล ้ว ผู ้ฟ้ องคดียงั อาจเลือกชาระด ้วยตั๋วแลกเงินธนาคารหรือดร ๊าฟธนาคารก็ได ้
โดยในช่อง สังจ่ ่ ายให ้สังจ่
่ ายในนาม

"เงินค่าธรรมเนี ยมและเงินค่าปร ับของสานักงานศาลปกครอง"


ี่ ้ องต่อศาลปกครองได้
ตัวอย่างคดีทฟ

1. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่ น
บทีดิ

1.1
คดีทฟ้่ี องขอให ้เพิกถอนคาสังของอธิ
่ ่ นกรณี มค
บดีกรมทีดิ ่ กถอนหนังสือแสดงสิทธิใ
ี าสังเพิ
่ น
นทีดิ

1.2 ่ นจังหวัดละเลยต่อหน้าทีในการพิ
คดีฟ้องว่าสานักงานทีดิ ่ ่ น
จารณาคาขอออกโฉนดทีดิ

1.3 ่
คดีฟ้องขอให ้เพิกถอนคาสังของคณะกรรมการการเช่
านา

1.4 ่ ออกหนังสือแสดงสิทธิในทีดิ
คดีฟ้องขอให ้เพิกถอนคาสังไม่ ่ น

2. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการคมนาคมและขนส่ง

2.1 คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บงานทะเบียนของกรมขนส่งทางบก

2.2
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการกาหนดเส ้นทางการเดินรถโดยสารและการกาหนดอัตราค่าโดยสาร

3. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการควบคุมอาคารและการผังเมือง

3.1
คดีทฟ้่ี องขอให ้เพิกถอนคาสังของเจ
่ ่
้าพนักงานท ้องถินกรณี มค ่ ไม่
ี าสังที ่ ดาเนิ นการเกียวกั
่ บ
อาคารตามกฎหมายควบคุมอาคาร

3.2
คดีทฟ้่ี องว่าเจ ้าพนักงานท ้องถินละเลยไม่
่ ่ อสร ้างผิดกฎหมายควบ
ดาเนิ นการกับอาคารซึงก่
คุมอาคาร

3.3 คดีทฟ้่ี องเกียวกั


่ บการวางผังเมืองตามกฎหมายผังเมือง

4. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่ นและอาคารชุด
บการจัดสรรทีดิ
4.1
คดีทฟ้ี่ องขอให ้เพิกถอนมติของคณะกรรมการจัดสรรทีดิ
่ นหรือฟ้ องว่าคณะกรรมการจัดสร
่ นละเลยไม่ดาเนิ นการตามกฎหมายว่าด ้วยการจัดสรรทีดิ
รทีดิ ่ น

4.2

คดีฟ้องขอให ้เพิกถอนคาสังของเจ ่ นทีร่ ับจดทะเบียนแต่งตังหรื
้าพนักงานทีดิ ้ อเปลียนแปลง

ผูจ้ ด
ั การและกรรมการนิตบ
ิ ุคคลอาคารชุด

5. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการบริหารงานบุคคลและวินัย

คดีพพ
5.1 ่
ิ าทเกียวกั ่ ้ายข ้าราชการ คาสั่งเลือนขั
บคาสังย ่ ้ นเดือน
นเงิ
่ ้ออกจากราชการเนื่ องจากขาดคุณสมบัตห
คาสังให ิ รือหย่อนประสิทธิภาพในการปฏิบต
ั ริ า
่ ้ออกจากราชการเพือร
ชการ หรือคาสังให ่ ับบาเหน็ จบานาญเหตุทดแทน

5.2
่ี ข ้อพิพาทเกียวกั
คดีทมี ่ บคาสังให
่ ้ออกจากราชการเนื่ องจากถูกสอบสวนวินัยแต่ไม่มห ี ลักฐ

านเพียงพอทีจะลงโทษทางวิ ่ อมเสี
นัยแต่การให ้ร ับราชการต่อไปอาจจะเป็ นทีเสื ่ ยทางราชกา
รด ้วย

5.3 คดีทฟ้่ี องขอให ้เพิกถอนคาสังลงโทษทางวิ


่ นัย

5.4

คดีฟ้องขอให ้เพิกถอนประกาศสอบคัดเลือกเพือบรรจุ ้ นข ้าราชการหรือพนักงาน
แต่งตังเป็
ของหน่ วยงานของรัฐ

6. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บบาเหน็ จบานาญ สิทธิประโยชน์และสวัสดิการ

6.1 คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บสิทธิในการร ับเงินบาเหน็ จบานาญ

6.2 ่ี ข ้อพิพาทเกียวกั
คดีทมี ่ บคาสังหรื
่ อการดาเนิ นการเกียวกั
่ บค่าเช่าบ ้านข ้าราชการ
ค่าใช ้จ่ายในการเดินทางไปราชการ การจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบต ั งิ านนอกเวลาราชการ

สวัสดิการเกียวกั ่
บการช่วยเหลือบุตร สวัสดิการเกียวกั
บการศึกษาบุตร

สวัสดิการเกียวกั ่
บการร ักษาพยาบาล หรือการจ่ายเงินค่าตอบแทนหรือสวัสดิการอืนๆ

ของเจ ้าหน้าทีของร ัฐ

7. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน
7.1
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการพิจารณาคาขอสัญชาติไทยและคาขออนุ ญาตอยูใ่ นราชอาณาจักร
ไทยของคนต่างด ้าว

7.2 คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่ ้พ ้นจากตาแหน่ งกานัน ผูใ้ หญ่บ ้าน
บคาสังให

หรือผูบ้ ริหารราชการส่วนท ้องถิน

8. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการประกอบกิจการและเหตุเดือดร ้อนราคาญ

คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการพิจารณาคาขอดาเนิ นการและการควบคุมการประกอบกิจการต่างๆ
ไม่วา่ จะมีสภาพเป็ นโรงงานหรือไม่ รวมถึงการประกอบกิจการอันเป็ นทีร่ ังเกียจ

9. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการพัสดุและสัญญาทางปกครอง

9.1 คดีพพ ่ บการดาเนิ นการจัดทา การซือ้ การจ ้าง การแลกเปลียน


ิ าทเกียวกั ่ การเช่า
การควบคุม การจาหน่ าย
รวมถึงการตัดสิทธิการเข ้าร่วมดาเนิ นการตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี

ว่าด ้วยการพัสดุฯ และระเบียบของหน่ วยงานทางปกครองเกียวกับการพัสดุ

9.2 คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการริบหลักประกันซองของผูเ้ ข ้าร่วมการเสนอราคา

9.3
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บสัญญาทีคู่ ส ั ญาอย่างน้อยฝ่ ายหนึ่ งเป็ นหน่ วยงานทางปกครองหรือบุค
่ ญ

คลซึงกระท าการแทนร ัฐ อันลักษณะเป็ นสัญญาทางปกครอง อาทิเช่น
สัญญารับทุนการศึกษา สัญญาจ ้างก่อสร ้างอาคารสถานพยาบาลของรัฐ
สัญญาปร ับปรุงภูมท
ิ ศ
ั น์ สัญญาก่อสร ้างอาคารเรียน

10. คดีพพ ่ บการเวนคืนอสังหาริมทร ัพย ์และความร ับผิดอย่างอืน


ิ าทเกียวกั ่ (การรอนสิทธิ)

คดีพพ ่
ิ าทเกียวกับการพิจารณากาหนดค่าทดแทนตามกฎหมายว่าด ้วยการเวนคืนอสังหาริ
มทร ัพย ์และคดีพพ ่ บการกาหนดแนวเขตและการพิจารณากาหนดค่าทดแทนควา
ิ าทเกียวกั
มเสียหายอันเกิดจากการทีท ่ าให ้ทีดิ
่ นของเอกชนตกอยูใ่ นสภาพอันไม่สามารถใช ้ประโยช
น์ได ้อย่างเต็มที่ เช่น การอยูใ่ นแนวเขตระบบโครงข่ายไม่ไฟฟ้ า
หรืออยูใ่ นแนวเขตท่อก๊าซธรรมชาติ
11. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการศึกษา

11.1
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บการใช ้อานาจของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐในการคัด
เลือกหรือการรับนักเรียนเข ้าศึกษาในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาหรือการกาหนดหลัก

สูตรหรือเงือนไขเกี ่ บการศึกษา
ยวกั

11.2 คดีพพ ่ บการริบหลักประกันซองของผูเ้ ข ้าร่วมการเสนอราคา


ิ าทเกียวกั

12. คดีพพ ่ บความร ับผิดทางละเมิด


ิ าทเกียวกั

12.1 คดีพพ ่ บการกระทาละเมิดของเจ ้าหน้าทีของร


ิ าทเกียวกั ่ ัฐ

ทังกรณี ่ี ้าหน้าทีของร
ทเจ ่ ัฐกระทาละเมิดต่อเอกชน

หรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐกระทาละเมิดต่อหน่ วยงานทางปกครอง เช่น มีการก่อสร ้างถนน
่ น ตอกเสาเข็ม สร ้างทาง รุกลาที
ถมทีดิ ้ ดิ่ นของเอกชน

12.2
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บคาสังของหน่ ่ ยกให ้เจ ้าหน้าทีของร
วยงานของร ัฐทีเรี ่ ัฐผูก้ ระทาละเมิดชดใ
ช ้ค่าสินไหมทดแทน

13. คดีพพ ่ บข ้อมูลข่าวสารของราชการและงานทะเบียน


ิ าทเกียวกั

13.1
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บการใช ้อานาจของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่
ัฐทีกระทบสิ
ทธิของราษฎรในการเข ้าถึงข ้อมูลข่าวสารของราชการตามกฎหมายว่าด ้วยข ้อมูลข่าวสาร
ของราชการ

13.2
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บการใช ้อานาจของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่
ัฐเกียวกั
บง
านทะเบียนบุคคล เช่น การใช ้อานาจตามกฎหมายว่าด ้วยการทะเบียนราษฎร
กฎหมายว่าด ้วยการทะเบียนต่างด ้าว หรือกฎหมายว่าด ้วยการจดทะเบียนครอบครัว
หรืองานทะเบียนตามกฎหมายว่าด ้วยการจดทะเบียนเครืองจั่ กรหรือกฎหมายว่าด ้วยอาวุธปื

14. คดีพพ ่ บกิจการโทรคมนาคมและวิทยุโทรทัศน์


ิ าทเกียวกั

คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บการใช ้อานาจของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐ

รวมทังการใช ้อานาจของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโททัศน์แห่งชาติ (กสช.)
หรือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เช่น การพิจารณาอนุ ญาต

การจัดสรรคลืนความถี ่
ของวิ ่
ทยุหรือโทรศัพท ์เคลือนที ่

ี่ ้ องต่อศาลปกครองไม่ได้
ตัวอย่างคดีทฟ

ี่
โดยปกติ คดีทเอกชนจะฟ้ องต่อศาลปกครองนั้นได ้แก่
คดีพพ ่
ิ าทระหว่างหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐกับเอกชน
เนื่ องจากการกระทาทางปกครองหรือการใช ้อานาจทางปกครอง

ซึงในระยะแรกที ่
ศาลปกครองกลางเพิ ่ ดทาการ
งเปิ

ประชาชนอาจจะยังไม่ทราบได ้แน่ ชดั ว่าเรืองใดสามารถฟ้ องต่อศาลปกครองได ้

และเรืองใดทีฟ้่ องต่อศาลปกครองไม่ได ้ ดังนั้นจึงมีคดีจานวนหนึ่ งทีศาลปกครองกลาง

ไม่อาจร ับคาฟ้ องไว ้พิจารณาได ้แม้จะเป็ นกรณี ทน่่ี าเห็นใจสักเพียงใดก็ตาม

ซึงอาจสร ้างความสงสัยและความคับข ้องใจแก่ผู ้ฟ้ องคดีอยูบ
่ ้าง
่ี
คดีทศาลปกครองกลางได ่ ร ับคาฟ้ องไว ้พิจารณานั้นได ้แก่
้มีคาสังไม่
่ ผู
1. เรืองที ่ ฟ
้ ้ องคดีและผู ้ถูกฟ้ องคดีเป็ นประชาชนด ้วยกัน ้ ้ เนื่ องจากกรณี
ทังนี
ดังกล่าวไม่ใช่ข ้อพิพาทระหว่างหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ัฐกับเอกชน เช่น
กรณี ทฟ้่ี องว่าเอกชนอีกรายหนึ่ งได ้ละเมิดสิทธิของผูฟ
้ ้ องคดี
โดยการใช ้ประโยชน์ในทางส่วนบุคคล (คดีหมายเลขแดงที่ 76/2544) เป็ นต ้น
่ ผู
2. เรืองที ่ ถ้ ก ่ ้จัดตังขึ
ู ฟ้ องคดีเป็ นร ัฐวิสาหกิจทีได ้ นตามประมวลกฎหมายแพ่
้ งและพาณิ ชย ์
้ เนื
ทังนี ้ ่ องจากกฎหมายไม่ถอื ว่าหน่ วยงานเหล่านี เป็
้ น หน่ วยงานทางปกครอง เช่น
ธนาคารไทยธนาคาร จากัด (มหาชน) (คดีหมายเลขแดงที่ 1/2544)
ั ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จากัด (คดีหมายเลขแดงที่ 25/2544)
บริษท
และธนาคารกรุงไทย จากัด (มหาชน) (คดีหมายเลขแดงที่ 44/2544) เป็ นต ้น
่ ผู
3. เรืองที ่ ถ้ ก ่
ู ฟ้ องคดีเป็ นเจ ้าหน้าทีของร ัฐ
แต่กระทาความเดือดร ้อนหรือเสียหายแก่ผูฟ ้ ้ องคดีโดยการกระทาส่วนตัว

มิใช่เป็ นการกระทาในฐานะเป็ นเจ ้าหน้าทีของร ่ ้อานาจทางปกครอง เช่น
ัฐทีใช
กรณี ทฟ้่ี องว่า พลทหารอาสาสมัครบุกรุกเข ้าไปทาลายทร ัพย ์สินใน
้ ้ องคดี โดยมีสาเหตุเนื่ องจากไม่พอใจกันเป็ นการส่วนตัว
เคหะสถานของผูฟ
(คดีหมายเลขแดงที่ 85/2544) เป็ นต ้น
่ ข
4. เรืองที ่ ้อพิพาทเกิดจากสัญญาทั่วไป มิใช่สญ
ั ญาทางปกครอง อันได ้แก่
สัญญาสัมปทานสัญญาทีให ่ ้จัดทาบริการสาธารณะ หรือจัดให ้มี สิงสาธารณู
่ ปโภค
หรือแสวงหาประโยชน์จากทร ัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นแม้วา่ คูส ่ ญ
ั ญาอีก
ฝ่ ายหนึ่ งเป็ นหน่ วยงานทางปกครอง ก็ไม่อาจฟ้ องคดียงั ศาลปกครองได ้ เช่น
กรณี ทฟ้่ี องว่าการเคหะแห่งชาติในฐานะผูใ้ ห ้เช่าซืออาคารได
้ ์
้โอนกรรมสิทธิการเช่ ้
าซือของ
้ มไปให ้ผูเ้ ช่าซือใหม่
ผูเ้ ช่าซือเดิ ้ โดยไม่สจ
ุ ริต ทาให ้ผูฟ ่ึ นภรรยาของ
้ ้ องคดีซงเป็
้ มได ้ร ับความเสียหาย (คดีหมายเลขแดงที่ 68/2544)
ผูเ้ ช่าซือเดิ
กรณี ทฟ้่ี องว่ากรมป่ าไม้ไม่คน ่ ฟ
ื เงินทีผู ้ ้ องคดีได ้วางไว ้เป็ นหลักประกันการปฏิบต
ั ต
ิ ามสัญญ
่ กสร ้างประจาสถานี วจิ ยั สัตว ์ป่ าคลองแสงทังที
าจ ้าง ก่อสร ้างสิงปลู ้ ผู่ ถ้ ก
ู ฟ้ องคดีได ้
ตรวจร ับมอบงาน และจ่ายเงินค่าก่อสร ้างครบทุกงวดแล ้ว (คดีหมายเลขแดงที่ 69/2544)
กรณี ทฟ้่ี องว่าวิทยาลัยการอาชีพ
ขอนแก่นผิดสัญญากับผูฟ ้ ้ องคดีเพราะยอมให ้บุคคลอืนเข ่ ้ามาทาธุรกิจขายสินค ้าในลักษ
่ ฟ
ณะเช่นเดียวกับร ้านค ้าสวัสดิการ ซึงผู ้ ้ องคดีได ้เช่า ทาการค ้าอยู่ (คดีหมายเลขแดงที่
่ี องว่า
77/2544) หรือกรณี ทฟ้ เทศบาลเมืองหนองคายไม่ยอมชาระหนี ค่ ้ าจ ้างทาอาหารเลียง


ร ับรองในงานเลียงของเทศบาล ้ ้ องคดี (คดีหมายเลขแดงที่ 86/2544) เป็ นต ้น
แก่ผูฟ
่ มี
5. เรืองที ่ กฎหมายกาหนดให ้อยูใ่ นอานาจของศาลแพ่ง ศาลอาญา
หรือศาลชานาญพิเศษอืนแล ่ ่
้ว เรืองเช่ ้
นว่านี จะไม่ อยูใ่ นอานาจของศาลปกครอง เช่น
กรณี ทฟ้่ี องว่า เจ ้าหน้าทีบั
่ งคับคดียด ึ และขายทอดตลาด
่ นตามคาพิพากษาของศาลจังหวัดทุ่งสงโดยมิชอบ กรณี นีศาลปกครองวิ
ทีดิ ้ นิจฉัยว่า
ผูฟ้ ้ องคดีมส
ี ท ่ื าร ้อง คัดค ้านการบังคับคดีดงั กล่าวได ้ทีศาลจั
ิ ธิยนค ่ งหวัดทุง่ สง
(คดีหมายเลขแดงที่ 79/2544) กรณี ทฟ้่ี องว่า ผูฟ
้ ้ องคดีแพ ้คดีในศาลยุตธิ รรม
เนื่ องจากผูฟ
้ ้ องคดีไม่สามารถตรวจดูเอกสารทีเกี่ ยวข
่ ้องกับการพิจารณาคดีซงผูึ่ ฟ
้ ้ องคดี
เห็นว่า
ตนไม่ได ้รับความเป็ นธรรมจากการดาเนิ นกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งของศาลจังหวัดนคร
สวรรค ์ กรณี นี ้ ศาลปกครองวินิจฉัยว่า

กรณี ดงั กล่าวเป็ นปัญหาเกียวกั
บการดาเนิ นกระบวนพิจารณาคดีแพ่งจึงอยูใ่ นอานาจ
พิจารณาพิพากษาของศาลยุตธิ รรม (คดีหมายเลขแดงที่ 82/2544) กรณีทฟ้่ี องว่า
ผูฟ
้ ้ องคดีไม่ได ้ความเป็ นธรรม
เนื่ องจากเจ ้าหน้าทีส
่ านักงานประกันสังคมวินิจฉัยว่าบุตรของผูฟ
้ ้ องคดีไม่ได ้เสียชีวต
ิ จากก
ารปฏิบต ิ น้าที่ การงาน
ั ห
้ ้ องคดีได ้ร ับผลประโยชน์จากการประกันสังคมเพียงค่าปลงศพเท่านั้น
จึงทาให ้ผูฟ

กรณี นีศาลปกครองวิ นิจฉัยว่า เนื่ องจาก พระราชบัญญัตเิ งินทดแทน พ.ศ. 2537
่ พอใจในเรืองเงิ
ได ้บัญญัตใิ ห ้ผู ้ทีไม่ ่ นค่าทดแทนมีสท
ิ ธินาคดีไปสูศ
่ าลแรงงาน
กรณี ดงั กล่าวจึงอยูใ่ นอานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน (คดีหมายเลขแดงที่
111/2544) หรือกรณี ทฟ้ ่ี องว่า กรุงเทพมหานครประเมินภาษีโรงเรือนและทีดิ
่ น ไม่ถก
ู ต ้อง

กรณี นีศาลปกครอง ่
วินิจฉัยว่า กรณี ดงั กล่าวเป็ นเรืองคดี
อทุ ธรณ์คาวินิจฉัยของ

เจ ้าพนักงานตามกฎหมายเกียวกั บภาษีอากรจึงอยูใ่ น อานาจพิจารณาพิพากษาของ
ศาลภาษีอากร (คดีหมายเลขแดงที่ 115/2544) เป็ นต ้น
่ ขาดอายุ
6. เรืองที ่ ความฟ้ องคดีตอ ้ กอ
่ ศาลยุตธิ รรมแล ้วตังแต่ ่ นวันที่ 9 มีนาคม 2544
่ นวันที่ ศาลปกครองเปิ ดทาการ เช่น กรณี ของผูฟ
ซึงเป็ ่ึ น ข ้าราชการตารวจได ้
้ ้ องคดีซงเป็

ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ จึงได ้อุทธรณ์คาสังลงโทษต่ อ
คณะกรรมการข ้าราชการตารวจ จนได ้รับการลดโทษลงเป็ นการปลดออกจากราชการ
แต่ยงั ไม่พอใจผลการพิจารณาอุทธรณ์ ดังกล่าว
้ ฟ
ในกรณี เช่นนี ผู ่ ศาลที่
้ ้ องคดีก็จะต ้องใช ้สิทธิทางศาลฟ้ องคดีตอ
มีอานาจพิจารณาพิพากษา แต่เนื่ องจากในขณะนั้นยังไม่มก ้
ี ารจัดตังศาลปกครอง
ผูฟ ่ ศาลยุตธิ รรม ภายในอายุความหนึ่ งปี
้ ้ องคดีจงึ ต ้องฟ้ องคดีตอ
นับแต่วน ่ ฟ
ั ทีผู ้ ้ องคดีทราบผลการพิจารณาอุทธรณ์ตามทีบั่ ญญัตไิ ว ้ในมาตรา 448
วรรคหนึ่ ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย ์ ดังนั้น เมือผู
่ ฟ ้ ้ องคดีไม่ได ้ฟ้ องคดี
่ มไม่ร ับคาฟ้ องนั้นไว ้พิจารณา
ต่อศาลยุตธิ รรมจนคดีขาดอายุความ ศาลปกครองก็ยอ
(คดีหมายเลขแดงที่ 132/2544)
่ เกี
7. เรืองที ่ ยวข
่ ้องกับการดาเนิ นการใดๆ ของพนักงานสอบสวน
่ อว่าไม่ใช่เป็ นการ
หรือพนักงานอัยการในการดาเนิ นกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญา ซึงถื
ใช ้อานาจทางปกครองหรือดาเนิ นกิจการทางปกครอง เช่น
การออกหมายจับของพนักงานสอบสวน (คดีหมายเลขแดงที่ 67/2544
และคดีหมายเลขแดงที่ 90/2544) การดาเนิ นการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน
(คดีหมายเลขแดงที่ 88/2544)
่ องหรือสังไม่
หรือการดาเนิ นการสังฟ้ ่ ฟ้องผูต้ ้องหาของพนักงานอัยการ (คดีหมายเลขแดงที่
126/2544) เป็ นต ้น

8.
่ ประสงค
เรืองที ่ ่
์จะขอให ้ศาลปกครองลงโทษเจ ้าหน้าทีของร ัฐในทางวินัยหรือทางอาญาเพรา
่ ปฏิบต
ะเจ ้าหน้าทีไม่ ั ต
ิ ามกฎหมาย ทังนี ้ เนื
้ ่ องจากเรืองดั
่ งกล่าว เป็ นอานาจของ
ผูบ้ งั คับบัญชาของผูน้ ้ันหรือของเจ ้าหน้าทีอื
่ น
่ ไม่ใช่อานาจของศาลปกครอง
และการดาเนิ นการลงโทษดังกล่าวก็ไม่มผ
ี ลเป็ นการบรรเทาความเดือดร ้อนหรือความเสียห
ายของผูถ้ ก ู ฟ้ องคดี เช่น
่ี ฟ
กรณี ทผู ้ ้ องคดีขอให ้ศาลปกครองลงโทษทางวินัยหรือทางอาญาแก่เจ ้าพนักงานสรรพสา
มิต จังหวัดแพร่ (คดีหมายเลขแดงที่ 65/2544) หรือแก่เจ ้าหน้าทีการรถไฟ
่ แห่งประเทศไทย
(คดีหมายเลขแดงที่ 72/2544) หรือแก่อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร (คดีหมายเลขแดงที่
81/2544) เป็ นต ้น

9.
่ ความเดื
เรืองที ่ อดร ้อนหรือเสียหายของผูฟ ้
้ ้ องคดีได ้หมดสินไปแล ่
้วในขณะทีมายื ่ าฟ้ อง
นค
หรือมีการได ้แก ้ไขเยียวยาความเดือดร ้อนหรือเสียหายให ้แก่ผูฟ ่
้ ้ องคดีแล ้วก่อนทีศาลจะมี
่ ้ร ับคาฟ้ องไว ้พิจารณา ทังนี
คาสังให ้ ้
เนื่ องจากในขณะนั้นไม่มค ่
ี วามจาเป็ นทีศาลจะพิ
จารณาพิพากษาให ้เสียแล ้ว เช่น
กรณี ทฟ้่ี องการรถไฟแห่งประเทศไทย ให ้จ่ายเงินค่าทดแทนการเวนคืนทีดิ
่ นไว ้แล ้ว
แต่กอ ่
่ นทีศาลปกครองจะพิ จารณา พิพากษาคดี
ผูฟ ่
้ ้ องคดีได ้ร ับเงินค่าทดแทนในส่วนทีมาฟ้ องคดีไปเรียบร ้อยแล ้ว
(คดีหมายเลขแดงที72/2544)่ หรือกรณี ทฟ้่ี องว่า นายอาเภอ
บางไทรละเลยต่อหน้าทีไม่่ ดาเนิ นการกับผูซ ่ึ าการดูดทรายในแม่นา้
้ งท

จนเป็ นเหตุให ้ทีสาธารณะประโยชน์ และทางสาธารณะซึงติ่ ดกับวัด
่ ฟ
ซึงผู ้ ้ องคดีเป็ นเจ ้าอาวาสอยูไ่ ด ้ร ับความเสียหาย
แต่กอ ่
่ นทีศาลปกครองจะพิ จารณาพิพากษาคดี
บุคคลดังกล่าวได ้เลิกประกอบกิจการดูดทราย ไปแล ้ว (คดีหมายเลขแดงที่ 80/2544)
เป็ นต ้น
่ ผู
10. เรืองที ่ ฟ
้ ้ องคดียงั ไม่ได ้ใช ้วิธก ่
ี ารแก ้ไขเยียวยาทีกฎหมายกาหนดไว ้ เช่น

ยังมิได ้อุทธรณ์คาสังทางปกครองที ่
ตนไม่ เห็นด ้วยนั้นต่อเจ ้าหน้าทีผู
่ อ้ อกคาสัง่

หรือต่อเจ ้าหน้าทีตามที ่
กฎหมายบั ้
ญญัต ิ กรณี เช่นนี ศาลปกครองยั งไม่อาจร ับ
้ ้ เนื่ องจากกฎหมายต ้องการให ้ผูฟ
คาฟ้ องไว ้พิจารณาได ้ ทังนี ้ ้ องคดีใช ้วิธก
ี าร
แก ้ไขเยียวยานั้นก่อนทีจะฟ้
่ องคดีตอ ่ ศาล เช่น กรณี ท่ี ผูฟ
้ ้ องคดีไม่ได ้อุทธรณ์หรือ
่ อย่างใดเลย (คดีหมายเลขแดงที่ 105/2544 คดีหมายเลขแดงที่ 110/2544
โต ้แย ้งคาสังแต่
คดีหมายเลขแดงที่ 129/2544 และคดีหมายเลขแดงที่ 133/2544)
่ี ฟ
หรือกรณี ทผู ่
้ ้ องคดีได ้อุทธรณ์คาสังทางปกครองไปแล ้ว
แต่ไม่รอทราบผลการพิจารณาคาอุทธรณ์น้ันเสียก่อน กลับรีบมาฟ้ องยังศาลปกครอง

กรณี เช่นนี ศาลปกครองก็ ไม่อาจ ร ับคาฟ้ องนั้นไว ้พิจารณาได ้เช่นกัน (คดีหมายเลขแดงที่
70/2544 และคดี หมายเลขแดงที่ 71/2544) เป็ นต ้น

่ ฟ้่ องคณะกรรมการเลือกตัง้
11. เรืองที ่ างๆ เช่น ฟ้ องคดี
ในเรืองต่

เกียวกั ่ ้มีการเลือกตังใหม่
บคาสังให ้ (คดีหมายเลขแดงที่ 14/2544) หรือฟ้ องคดี

เกียวกั ่ กถอนสิทธิ เลือกตัง้ (คดีหมายเลขแดงที่ 64/2544) เป็ นต ้น
บคาสังเพิ
่ ฟ้่ องเจ ้าหน้าทีที
12. เรืองที ่ ท่ าละเมิดในการปฏิบต ิ น้าที่
ั ห เช่น

ฟ้ องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรทีออกค ่ อนต
าสังเลื ่ าแหน่ งข ้า
ราชการไม่ถก ู ต ้องตามหลักเกณฑ ์ของกฎหมายเป็ นเหตุ
ให ้ผูฟ ่ึ ารงตาแหน่ งนักวิชาการเกษตร 7 ไม่ได ้ร ับแต่งตังเป็
้ ้ องคดีซงด ้ นเกษตรจังหวัดนั้น
่ องหน่ วยงานของร ัฐ คือ กรมส่งเสริมการเกษตร
กฎหมายให ้สิทธิแก่ผูเ้ สียหายทีจะฟ้
แต่จะฟ้ องเจ ้าหน้าที่ คือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรไม่ได ้(คดีหมายเลขแดงที่ 81/2544)

13.
่ ฟ้่ องหน่ วยงานของร ัฐให ้ทาการร ับผิดชอบชดเชยค่าสินไหมทดแทนจากการกระทาล
เรืองที
่ ดจากการทีข
ะเมิดทีเกิ ่ ้าราชการหรือลูกจ ้างของหน่ วยงานขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนรถ
่ื
ของเอกชนเสียหาย หรือชนผูอ้ นจนได ้ร ับบาดเจ็บ นั้นต ้องฟ้ องคดีตอ
่ ศาล ยุตธิ รรม
ไม่ใช่ศาลปกครองเนื่ องจากศาลปกครองจะมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีละเมิดได ้เฉพาะ
่ ยวกั
ทีเกี ่ ่ ดจากการทีหน่
บการกระทาละเมิดทีเกิ ่ วยงานทางปกครอง
่ ้อานาจตามกฎหมายหรือจากกฎหรือคาสังหรื
หรือเจ ้าหน้าทีใช ่ อละเลยต่อหน้าที่
หรือการปฏิบต
ั ห ่ ้าช ้าของเจ ้าหน้าทีของร
ิ น้าทีล ่ ัฐ เท่านั้น
่ ้กล่าวมาแล ้ว จะเห็นได ้ว่า
จากตัวอย่างทีได
ผูฟ
้ ้ องคดีมก ่
ั จะเข ้าใจผิดว่าหากจะฟ้ องเจ ้าหน้าทีของร ัฐหรือหน่ วยงานทางปกครอง เช่น
กระทรวง ทบวง กรม เทศบาล สุขาภิบาล องค ์การบริหารส่วนตาบล ร ัฐวิสาหกิจ

หรือหน่ วยงานอืนของร ่ องยังศาลปกครอง แต่แท ้ทีจริ
ัฐ จะต ้องมายืนฟ้ ่ งแล ้ว
มิได ้เป็ นเช่นนั้นเสมอไป เรืองบางเรื
่ ่
องอาจต ้องฟ้ องต่อศาลยุตธิ รรมเช่นเดิม
่ ฟ
และบางเรืองผู ้ ้ องคดีจาเป็ นต ้อง
ใช ้วิธก
ี ารแก ้ไขเยียวยาความเดือดร ้อนหรือเสียหายของตนให ้ครบ

ขันตอนที ่
กฎหมายก าหนดเสียก่อนจึงจะมาฟ้ องคดีได ้ อย่างไรก็ตาม
หากศาลปกครองได ้พิจารณา คาฟ้ องใดแล ้ว เห็นว่า ไม่อาจรับไว ้พิจารณาพิพากษาให ้ได ้
่ ร ับ คาฟ้ อง ไว ้พิจารณาให ้ผู ้ฟ้ องคดีทราบ
ก็จะรีบแจ ้งคาสังไม่
่ ผู
พร ้อมแสดงเหตุผลโดยชัดแจ ้ง เพือที ่ ฟ ่ อไป
้ ้ องคดีจะได ้ไปดาเนิ นการในทางอืนต่
ข้อควรระวังในการฟ้องคดี

โดยปกติการฟ้ องคดีปกครองต่อศาลปกครองจะไม่มห ่ ับซ ้อนให ้เป็ น


ี ลักเกณฑ ์ ทีซ
ภาระแก่ประชาชนผูป้ ระสงค ์จะฟ้ องคดี
และการดาเนิ นคดีในศาลปกครองก็คอ ่ นข ้างยืดหยุน


เพือให ้การแสวงหาข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
่ ดแต่อย่างไรก็ตาม
มีความถูกต ้องและครบถ ้วนทีสุ
ในทางปฏิบต ั ม
ิ ป ่ กเกิดขึนและท
ี ัญหาทีมั ้ าให ้การฟ้ องคดีและการดาเนิ นคดีในศาลปกครอง
่ ยหายแก่ผู ้ฟ้ องคดีอยูห
ล่าช ้าเป็ นทีเสี ่ ฟ
่ ลายประการ ซึงผู ้ ้ องคดีควรระมัดระวัง ดังนี ้

1. ข ้อควรระวังในการจัดทาคาฟ้ อง

่ี
ด ้วยเหตุทการฟ้ องคดีปกครอง ผูฟ้ ้ องคดีสามารถจัดทาคาฟ้ องได ้ด ้วยตนเอง โดย
่ี ความรู ้ทางกฎหมายช่วยจัดทาคาฟ้ องให ้ ดังนั้น
ไม่จาเป็ นต ้องให ้ทนายความ หรือผูท้ มี
้ ้ องคดีท่ี
ผูฟ

ไม่ได ้ศึกษาหลักเกณฑ ์และเงือนไขของการฟ้ องคดีปกครองตามพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาล
ปกครอง และวิธพ ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
และระเบียบวิธพ ่ ยวข
ี จิ ารณาคดีปกครองทีเกี ่ ้อง ก็อาจ
จัดทาคาฟ้ องได ้ไม่ถก ่
ู ต ้องตามหลักเกณฑ ์และเงือนไขที ่
กฎหมายกาหนด
และทาให ้ศาลปกครอง กลางไม่อาจร ับคาฟ้ องดังกล่าวไว ้พิจารณาพิพากษาได ้
่ ้อบกพร่องทีพบบ่
ซึงข ่ อยนั้น มีดงั นี ้

1.1 ผูฟ
้ ้ องคดีใช ้ถ ้อยคาไม่สภ
ุ าพ

ศาลปกครองตระหนักดีวา่ ประชาชนผูไ้ ด ้รับความเดือดร ้อนหรือเสียหายอาจมีความ



รู ้สึกคับข ้องใจหรือโกรธเคืองหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ยวข
ัฐทีเกี ่ ้องแต่ศา
่ สภ
ล ย่อมไม่อาจร ับคา ฟ้ องทีไม่ ุ าพไว ้พิจารณาพิพากษาได ้ดังนั้น หากคา ฟ้ องใดมีการใช ้
ถ ้อยคาไม่สภ ่ ้ผู ้ฟ้ องคดีแก ้ไขคาฟ้ องนั้นภายในระยะเวลาทีศาลก
ุ าพ ศาลก็จะสังให ่ าหนด
และหาก
ผูฟ
้ ้ องคดีไม่ยอมดาเนิ นการศาลก็มอ ่ ร ับคาฟ้ องไว ้พิจารณาและสังจ
ี านาจสังไม่ ่ าหน่ ายคดีอ
อกจากสารบบความ

1.2 ผูฟ
้ ้ องคดีมค
ี าขอไม่ช ัดเจน

คาฟ้ องของผูฟ
้ ้ องคดีนอกจากจะต ้องระบุรายละเอียดหรือรายการต่างๆ

ตามทีกฎหมายก าหนดไว ้แล ้ว ยังจะต ้องระบุวา่
ผูฟ
้ ้ องคดีประสงค ์จะขอให ้ศาลบังคับต่อหน่ วยงานทางปกครอง

หรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ยวข
ัฐทีเกี ่ ่
้องเพือแก ้ไขหรือ
บรรเทาความเดือดร ้อนหรือความเสียหายอย่างไร
่ าขอดังกล่าวต ้องสามารถกาหนดคาบังคับได ้ด ้วย
ซึงค
่ ญญัตต
กล่าวคือเป็ นคาขอทีบั ิ ามมาตรา 72
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ได ้แก่
่ ้เพิกถอนกฎหรือคาสังหรื
การขอให ้ศาลสังให ่ อสังห
่ ้ามการกระทาทังหมดหรื
้ อบางส่วน
่ี การฟ้ องหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร
ในกรณี ทมี ่ ัฐกระทาการโดยไม่ชอบด ้วย
กฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (1) การขอให ้ศาลสังให ่ ้หัวหน้าหน่ วยงานทางปกครอง

หรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ยวข
ัฐทีเกี ่ ้องปฏิบต
ั ต ่
ิ ามหน้าทีภายในเวลาที ่
ศาลปกครองก าหนดในกร
่ี การฟ้ องว่าหน่ วยงานทางปกครอง
ณี ทมี

หรือเจ ้าหน้าทีของร ่ อปฏิบต
ัฐละเลยต่อหน้าทีหรื ั ห ่ าช ้าเกินสมควร
ิ น้าทีล่
่ ้ใช ้เงินหรือให ้ส่งมอบทรัพย ์สินหรือให ้กระทาการหรืองดเว ้นกระทาการโ
การขอให ้ศาลสังให

ดยจะกาหนดระยะเวลาและเงือนไขอื ่
นๆไว ้ด ้วยก็ได ้
ในกรณี ทมี ่ี การฟ้ องเกียวกั
่ บการกระทาละเมิดหรือความร ับผิดของหน่ วยงานทางปกครองห

รือเจ ้าหน้าทีของร ่
ัฐหรือการฟ้ องเกียวกั
บสัญญาทางปกครอง
่ ้ถือปฏิบต
การขอให ้ศาลสังให ั ต
ิ อ ่
่ สิทธิหรือหน้าทีของบุ ่ ยวข
คคลทีเกี ่ ้อง
่ี การฟ้ องให ้ศาลมีคาพิพากษาแสดงความเป็ นอยูข
ในกรณี ทมี ่ ้น
่ องสิทธิหรือหน้าทีนั
่ ้บุคคลกระทาหรือละเว ้นกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ งเพือให
และการขอให ้ศาลสังให ่ ้เป็ นไปตาม
่ กถอนคาสังลงโทษทางวิ
กฎหมาย เช่น ขอให ้ศาลสังเพิ ่ นัย
่ กถอนคาสังปฏิ
หรือขอให ้ศาลสังเพิ ่ เสธการออกโฉนดทีดิ ่ น
่ กถอนคาสังไม่
หรือขอให ้ศาลสังเพิ ่ อนุ ญาตให ้ก่อสร ้างอาคาร
่ กถอนหนังสือสาคัญสาหร ับทีหลวง
หรือขอให ้ศาลสังเพิ ่
่ ้กระทรวงคมนาคมจ่ายเงินค่าทดแทน การเวนคืนเพิมเติ
หรือขอให ้ศาลสังให ่ ม เป็ นต ้น
เพราะหากผูฟ ่
้ ้ องคดีมไิ ด ้มีคาขอมาด ้วยหรือมีแต่ไม่ช ัดเจนเพียงพอทีศาลจะเข ้าใจได ้
ศาลก็จะต ้องมีหนังสือกลับไปสอบถามผูฟ ้ ้ องคดีอก ้ั ่ งว่า
ี ครงหนึ
่ นใดหากผูฟ
มีความประสงค ์จะให ้ศาลสังเช่ ้ ้ องคดีชนะคดี
่ อมทาให ้เกิดขันตอนที
ซึงย่ ้ ่ าให ้คดีปกครองคดีน้ันล่าช ้าได ้

1.3 ผูฟ
้ ้ องคดีฟ้องคดีตอ ้
่ ศาลปกครองโดยยังมิได ้ดาเนิ นการตามขันตอนหรื อวิธก
ี าร

สาหร ับการแก ้ไขความเดือดร ้อนหรือเสียหายทีกฎหมายก าหนดเสียก่อนฟ้ องคดี

ในการฟ้ องคดีปกครองนั้น ผูฟ


้ ้ องคดียงั ไม่มส
ี ท ่ี องคดีตอ
ิ ธิทจะฟ้ ่ี ้
่ ศาลปกครองในทันทีทได
รับความเดือดร ้อนหรือเสียหาย แต่ผูฟ้ ้ องคดีจะต ้องพิจารณาเสียก่อนว่า

มีกฎหมายกาหนดขันตอน หรือวิธก
ี ารสาหร ับการแก ้ไขความเดือดร ้อน
่ ้นไว ้แล ้วหรือไม่ หากมีกฎหมาย
หรือเสียหายในเรืองนั

กาหนดขันตอนหรื อวิธก
ี ารใดๆไว ้เป็ นการเฉพาะ
ผูฟ
้ ้ องคดีจะต ้องปฏิบต ั ต ้
ิ ามขันตอนที ่
กฎหมาย เฉพาะนั้นกาหนดไว ้เสียก่อน เช่น
กรณี ผูฟ ่
้ ้ องคดีเป็ นข ้าราชการตารวจและได ้ร ับคาสังลงโทษทางวิ
นัย
จากสานักงานตารวจแห่งชาติ ผูฟ ่ งกล่าวต่อ ก.ตร.
้ ้ องคดีจะต ้องอุทธรณ์คาสังดั

ตามทีกฎหมายว่า
ด ้วยระเบียบข ้าราชการตารวจและกฎหมายว่าด ้วยวินัยตารวจกาหนดไว ้เสียก่อน
ในทานองเดียว

กันหากเป็ นข ้าราชการครูและได ้ร ับคาสังลงโทษทางวิ
นัยจากสานักงานประถมศึกษาจังหวั
่ งกล่าวต่อ อ.ก.ค. จังหวัด ตามทีกฎหมาย
ด ก็จะต ้อง อุทธรณ์คาสังดั ่
ี่ นเรืองของการเวนคื
ว่าด ้วยระเบียบข ้าราชการครูกาหนดไว ้ เป็ นต ้น หรือกรณี ทเป็ ่ ่ น
นทีดิ
หากผูฟ ้ ้ องคดีถก ่ นเพือสร
ู เวนคืนทีดิ ่ ้างทางหลวง แต่ไม่พอใจจานวนเงินทดแทนทีได่ ้ร ับ
ผูฟ
้ ้ องคดีก็จะต ้องอุทธรณ์การกาหนดจานวนเงินค่าทดแทน

ดังกล่าวต่อร ัฐมนตรีวา่ การกระทรวงคมนาคมเสียก่อนตามทีกฎหมายว่าด ้วยการเวนคืน

อสังหาริมทร ัพย ์ได ้กาหนดไว ้และเมือทราบผลการพิ ้ สุ
จารณาอุทธรณ์ในชันที ่ ดแล ้ว
หากผูฟ
้ ้ องคดี ยังไม่เห็นด ้วย จึงจะมีสท ่ งกล่าวมาฟ้ องต่อ ศาลปกครองต่อไป
ิ ธินาเรืองดั
นอกจากนั้น ในปัจจุบน ั
่ี ได ้มีกฎหมายเฉพาะกาหนดขันตอนการอุ
แม้จะเป็ นกรณี ทมิ ้ ทธรณ์ภายในฝ่ ายปกครองไว ้
่ นัยหรือเรืองการเวนคื
ดังเช่น เรืองวิ ่ ่ ้ยกมาแล ้วข ้างต ้น
นดังตัวอย่างทีได
กฎหมายว่าด ้วยวิธป
ี ฏิบต
ั ริ าชการ
่ นกฎหมายกลางได ้กาหนดบังคับไว ้เป็ นการทั่วไปว่า
ทางปกครองซึงเป็

คาสังทางปกครองที ่ มี
ไม่

กฎหมายเฉพาะกาหนดขันตอนการอุ ่ ทธรณ์คาสังทางปกคร
ทธรณ์ไว ้ผู ้ฟ้ องคดีจะต ้องยืนอุ ่
่ ไม่พอใจต่อผูอ้ อกคาสังทางปกครองนั
องทีตน ่ ้นเอง
ภายในสิบห ้าวันนับแต่วน ่
ั ทีตนได ่
้ร ับแจ ้งคาสังทาง ปกครองดังกล่าว

ดังนั้นโดยทั่วไปแล ้วหากผูฟ
้ ้ องคดีได ้รับความเดือดร ้อนหรือเสียหายอันเกิดจากการออก

คาสังทางปกครองของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ัฐก็ยอ
่ มจะต ้องอุทธรณ์คา

สังทาง ปกครองนั้นก่อนเสมอ มิฉะนั้น จะไม่มส
ี ท
ิ ธิ
่ งกล่าวมาฟ้ องคดีตอ
นาเรืองดั ่ ศาลปกครองได ้ และ
่ าฟ้ องนั้นมาศาลก็จะมีคาสังไม่
หากยังจะยืนค ่ ร ับคาฟ้ องนั้นไว ้พิจารณา
และจาหน่ ายคดีน้ันออก จากสารบบความต่อไป


2. ข ้อควรระวังเกียวกั ่ นฟ้
บคาฟ้ องทียื ่ องทางไปรษณี ย ์
่ี ฟ
ในกรณี ทผู ่ องยังศาลปกครองกลางเจ ้าหน้าทีศาลปกครองฝ่
้ ้ องคดีเดินทางมายืนฟ้ ่ าย

รับฟ้ องจะให ้คาแนะนาแก่ ผูฟ ้ ้ องคดีอย่างใกล ้ชิด จึงไม่คอ


่ ยมีข ้อบกพร่องหรือปัญหาใดๆ
มากนัก แต่สาหร ับกรณีทผู ี่ ฟ
้ ้ องคดีได ้ฟ้ องคดีโดยส่งคาฟ้ องทางไปรษณีย ์ลงทะเบียนนั้น
ผูฟ
้ ้ องคดีมก ่
ั จะเสียโอกาสทีจะได ้ร ับการพิจารณาพิพากษาคดีด ้วยเหตุตา่ งๆ ดังต่อไปนี ้

2.1 ผูฟ ่ื ฟ
้ ้ องคดีไม่ได ้ระบุชอผู ้ ้ องคดีในคาฟ้ อง
หรือใช ้นามแฝงหรือฟ้ องในนามตัวแทนของ
กลุม ่ หนึ่ งโดยไม่ได ้ระบุชอตั
่ ใดกลุม ่ื วชือสกุ
่ ลจริง
่ ลก
คาฟ้ องทีมี ั ษณะเช่นนี ย่้ อมมีลก ่ านักงานศาลปกครองไม่อาจเสน
ั ษณะเป็ นบัตรสนเท่ห ์ทีส
่ จารณา พิพากษาให ้ได ้
อ ต่อศาลเพือพิ

เพราะในกรณี เช่นนี จะไม่ มต
ี วั ผูฟ ่ี แจงและให
้ ้ องคดีทจะชี ้ ้ ถ ้อยคาแก่ศาล ดังนั้น
ศาลย่อมไม่อาจจะพิจารณาได ้ว่าความเดือดร ้อนหรือเสียหายทีกล่ ่ าวอ ้างถึงในคาฟ้ องนั้นเ
้ บผู ้ใดหรือไม่และอย่างไร
กิดขึนกั

2.2 ผูฟ ่ื
้ ้ องคดีระบุชอของตนมาในค ่ี ม
าฟ้ อง แต่กลับไม่ได ้ระบุทอยู ่ าด ้วย

แม้วา่ จะมีปัญหาในกรณีเช่นนี ้
่ ับคาฟ้ องเหล่านี ้ ไว ้พิจารณา
ศาลปกครองกลางก็ยงั มีความพยายามทีจะร
โดยให ้สานักงานศาลปกครองขอความอนุ เคราะห ์ไปยังสานักงานทะเบียนราษฎร ์

กระทรวงมหาดไทย เพือให ้ช่วยตรวจสอบว่า ผูฟ ี่ ชอมานั
้ ้ องคดีทระบุ ื่ ้นมีตวั ตนจริงหรือไม่
และมี ภูมลิ าเนาอยูท ่ี
่ ใดและหากได ่
้ร ับข ้อมูลทีพอจะดาเนิ นการต่อไปได ้
ก็จะดาเนิ นการร ับคาฟ้ องนั้นไว ้ ในสารบบความต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม

ขันตอนที ่ มขึ
เพิ ่ นดั
้ งกล่าว นอกจากจะทาให ้คดีปกครองคดี นั้นล่าช ้าแล ้ว

ข ้อมูลเกียวกั บภูมล ่
ิ าเนาทีสอบถามได ้ก็อาจจะเป็ นภูมล ่ อาจใช ้ติดต่อกับผูฟ
ิ าเนาเดิมซึงไม่ ้ ้
องคดีได ้

2.3 ผูฟ
้ ้ องคดีจา่ หน้าซองถึงศาลปกครองได ้ถูกต ้อง

แต่ในคาฟ้ องหรือจดหมายภายในซองกลับมีรายละเอียดอย่างใดอย่างหนึ่ ง ดังต่อไปนี ้

2.3.1 ่ เช่น ผูต้ รวจการแผ่นดินของร ัฐสภา


ระบุวา่ เป็ นจดหมายถึงหน่ วยงานอืน
คณะกรรมการป้ องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือศาลรัฐธรรมนู ญ เป็ นต ้น
2.3.2 ระบุวา่ เป็ นจดหมายถึงหน่ วยงานนั้นหน่ วยงานนี หลายหน่
้ ่
วยงาน ซึงระบุ รวม
ถึงศาลปกครองด ้วย เช่น ระบุวา่ "เรียน ปลัดกระทรวงแรงงานฯ, ประธานศาลปกครอง,
ผูต้ รวจราชการกระทรวงแรงงานฯ" เป็ นต ้น

ในกรณี เช่นนี ส้ านักงานศาลปกครองในฐานะผูร้ ับเรืองไว


่ ้ ้นย่อมไม่สามารถสรุปได ้เอ
้เบืองต
งว่า ผูฟ
้ ้ องคดีมค ่ ศาลปกครอง ดังนั้น
ี วามประสงค ์จะฟ้ องคดีตอ
จึงจาเป็ นต ้องมีหนังสือสอบถาม กลับไปยังผูฟ
้ ้ องคดีอก ้ั ่ ง
ี ครงหนึ
่ นตอนที
ซึงขั ้ ่ มขึ
เพิ ่ นดั
้ งกล่าวย่อมทาให ้คดีปกครองนั้นล่าช ้าได ้

2.4 ผูฟ
้ ้ องคดีมก
ั จะส่งแต่เฉพาะคาฟ้ องและพยานหลักฐานฉบับจริงมาเพียงชุดเดียว
โดยไม่แนบสาเนาคาฟ้ องและพยานหลักฐานมาด ้วยเลย

ตามระเบียบวิธพ
ี จิ ารณาคดีของศาลปกครองผูฟ
้ ้ องคดีมห ่ ้องถ่ายสาเนาคาฟ้ องและ
ี น้าทีต
พยานหลักฐานตามจานวนผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดีแนบมาพร ้อมกับคาฟ้ องด ้วย เช่น
หากผูฟ
้ ้ องคดีประสงค ์จะฟ้ องคดีผูว้ า่ ราชการจังหวัดและกระทรวงมหาดไทย
ผูฟ
้ ้ องคดีจะต ้องจัดทา คาฟ้ องและพยานหลักฐานฉบับจริง 1 ชุด
สาหร ับให ้ศาลใช ้พิจารณา จากนั้นจะต ้องทาสาเนาคาฟ้ อง
และพยานหลักฐานทังหมดนั้ ้นอีก 2 ชุด เพือที
่ ศาลปกครองจะได
่ ้ส่งสาเนาดังกล่าวไปให ้
แก่ผูถ้ ก ้ั
ู ฟ้ องคดีทงสอง คือ ผูว้ า่ ราชการจังหวัดและกระทรวงมหาดไทย ต่อไป

ซึงตามระเบียบแล ้ว ถ ้าผู ้ฟ้ องคดีไม่ได ้จัดทาสาเนาดังกล่าวแนบมาด ้วย
ศาลจะแจ ้งให ้ผูฟ
้ ้ องคดีจด
ั ทาสาเนามาให ้ภายใน ระยะเวลาทีศาลก่ าหนด
และหากผูฟ ่ ร ับคาฟ้ องไว ้
้ ้ องคดีไม่ยอมดาเนิ นการ ศาลก็มี อานาจสังไม่
พิจารณาและสังจ่ าหน่ ายคดีนั้นออกจากสารบบความ

2.5 ผูฟ
้ ้ องคดีไม่สง่ ค่าธรรมเนี ยมศาลมาพร ้อมกับคาฟ้ องหรือส่งมาแต่ไม่ครบถ ้วน

ในกรณี เช่นนี ้ ศาลจะมีคาสังให


่ ้ผูฟ
้ ้ องคดีชาระค่าธรรมเนี ยมศาลให ้ครบถ ้วนภายในระยะ

เวลาทีศาลก าหนด หากผูฟ ้ ้ องคดีไม่ยอมดาเนิ นการ
่ ร ับคาฟ้ องไว ้พิจารณาและสังจ
ศาลจะสังไม่ ่ าหน่ ายคดีน้ันออกจากสารบบความต่อไป


3. ข ้อควรระวังเกียวกั
บการติดต่อกับศาลปกครองระหว่างการดาเนิ นคดีปกครอง

ในการดาเนิ นคดีปกครองของศาลปกครองนั้น
่ นเอกสารเสียเป็ นส่วนใหญ่
เป็ นการแสวงหาข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีเป็
ดังนั้นในระหว่างการดาเนิ นคดีปกครอง

การติดต่อสือสารกั ่ าคัญ ซึงเท่
นทางไปรษณี ย ์จึงเป็ นเรืองส ่ าทีผ่
่ านมา
สานักงานศาลปกครองพบว่ามีปัญหาเกียวกั ่ ่
บการติดต่อสือสารระหว่
างศาลกับคูก
่ รณี หรือ
่ เกี
บุคคลอืนที ่ ยวข
่ ่ ลายประการ ดังนี ้
้องอยูห

3.1 ผูฟ
้ ้ องคดี ผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดี
หรือบุคคลอืนที่ เกี
่ ยวข
่ ้องมีหนังสือติดต่อถึงศาลปกครองหรือส่งเอกสารถึงศาลปกครองโด
ยไม่ได ้แจ ้งหมายเลขคดีมาด ้วย

จึงทาให ้สานักงานศาลปกครองในฐานะผูร้ ับเรืองไม่ ทราบว่าหนังสือหรือเอกสารดังกล่าวนั้
น เป็ นส่วนหนึ่ งของคดีหมายเลขทีเท่
่ าใด
่ าให ้ไม่สามารถเสนอหนังสือหรือเอกสารนั้นให ้แก่ ตุลาการ
ซึงท
่ งการใดๆ
เจ ้าของสานวนเพือสั่ ได ้ในทันที เพราะต ้องใช ้เวลาและบุคลากรในการตรวจ
สอบอีกมาก ดังนั้น จึงเป็ นเหตุให ้คดีปกครองคดีนั้นล่าช ้า

3.2ผูฟ
้ ้ องคดี ผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดี
หรือบุคคลอืนที่ เกี
่ ยวข
่ ่
้องมีหนังสือตอบหมายหรือคาสังของตุ ลาการเจ ้าของสานวน
โดยจ่าหน้าซองถึงชือของตุ่ ลาการเจ ้าของสานวนผูน้ ้ันโดยตรง

ในกรณี นี ้ หากมิได ้วงเล็บมุมซองมาด ้วยว่าเป็ นคดีปกครองหมายเลขทีเท่


่ าใด บางครง้ั
สานักงานศาลปกครองก็อาจเข ้าใจผิดว่า
เป็ นจดหมายส่วนตัวของตุลาการผูน้ ้ันและนาจ่าย
่ ้าเป็ นเช่นนั้นกว่าหนังสือดังกล่าวจะได ้
จดหมายห ้โดยไม่ผ่านสารบบความอย่างถูกต ้องซึงถ
เข ้าสูส
่ ารบบความอย่างถูกต ้องได ้ก็จะต ้องรอจนกว่าตุลาการเจ ้าของสานวนจะเปิ ดดูจดหม
ายพบว่าเป็ นคดีปกครองและส่งกลับมาให ้ฝ่ ายสารบบคดีดาเนิ นการ ดังนั้น
จึงเป็ นเหตุให ้คดีปกครองคดีน้ันล่าช ้าขึนอี
้ กมาก

3.3 ผูฟ
้ ้ องคดี ผูถ้ ก ่ เกี
ู ฟ้ องคดี หรือบุคคลอืนที ่ ยวข
่ ่ ห
้องได ้ย ้ายทีอยู ่ งส
่ รือทีตั ้ านักงาน
แต่ไม่ได ้มีหนังสือแจ ้งให ้สานักงานศาลปกครองทราบ

กรณี เช่นนี ย่้ อมทาให ้สานักงานศาลปกครองไม่อาจดาเนิ นการติดต่อส่งหมายหรือคาสังขอ



งศาลให ้ได ้ จึงอาจทาให ้คดีปกครองคดีนั้นล่าช ้าหรือเสียหายได ้
่ ้กล่าวมาแล ้วข ้างต ้น
จากปัญหาทีได
จะเห็นได ้ว่าหากผูฟ
้ ้ องคดีผูถ้ ก ่ เกี
ู ฟ้ องคดีหรือบุคคลอืนที ่ ยวข
่ ้องมีความเข ้าใจและระมัดระวัง
่ างๆดังทีได
ในเรืองต่ ่ ้กล่าวมาแล ้วศาลปกครองก็จะสามารถอานวยความยุตธิ รรมให ้แก่ผู ้ฟ้ อ
่ี ยวข
งคดีและผูท้ เกี ่ ่ น้
้องได ้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิงขึ
คาแนะนาของสานักงานศาลปกครอง

ที่ 1/2544 เรือง


่ หลักเกณฑ ์การแจ ้งสิทธิในการฟ้ องคดีปกครอง

ด ้วยสานักงานศาลปกครองมีความเห็นว่า

ตามทีพระราชบั ญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
่ ผลใช ้บังคับตังแต่
ซึงมี ้ วน ั ที่ 11 ตุลาคม 2542 บัญญัตไิ ว ้ในมาตรา 50 1
แห่งพระราชบัญญัตด ิ งั กล่าวว่า

ผูอ้ อกคาสังทางปกครองต ้องระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับ
ี ารยืนค
่ าฟ้ องไว ้ในคาสังดั
ยืนค ่ งกล่าว ดังนั้น
่ นการวางแนวทางในการปฏิบต
เพือเป็ ั ริ าชการทางปกครอง

ในเรืองการแจ ่ อ้ อกคาสังทางปกครอง
้งสิทธิในการฟ้ องคดีปกครองของเจ ้าหน้าทีผู ่
สมควรแนะนาให ้เจ ้าหน้าที่ ผูอ้ อกคาสังทางปกครองปฏิ
่ บต
ั ใิ ห ้ครบถ ้วนถูกต ้องตามมาตรา
50แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
และเนื่ องจากมาตรา 40 2 แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ปี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
่ อ้ อกคาสังทางปกครองต
ได ้บัญญัตใิ ห ้เจ ้าหน้าทีผู ่ ้องแจ ้งรายละเอียดและระยะเวลาในการยืน ่

อุทธรณ์หรือโต ้แย ้งคาสังทางปกครองที ่
อาจอุ ่
ทธรณ์หรือโต ้แย ้งต่อไปได ้ให ้ผูร้ ับคาสังทางป
กครองทราบด ้วยเช่นกัน
้ งได ้กาหนดขึนโดยเชื
คาแนะนานี จึ ้ ่
อมโยงกั
บการแจ ้งสิทธิอท
ุ ธรณ์ตามมาตรา 40
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 3 ด ้วย ดังนี ้
ี ฏิบต

1. รายละเอียดในการแจ ้งสิทธิในการฟ้ องคดีปกครอง มี 3 ประการดังนี ้



• คาสังทางปกครองใดที ่
อาจถู
กฟ้ องต่อศาลปกครองได ้

ให ้ผูอ้ อกคาสังทางปกครองระบุ วา่ ผูม้ ส ่ อใ
ี ว่ นได ้เสียอาจฟ้ องต่อศาลปกครองไว ้ท ้ายคาสังหรื
่ งกล่าว
นหนังสือแจ ้งคาสังดั

• ระบุวธ
ิ ก ่ าฟ้ องว่าการยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องอาจทาเป็ นหนังสือไปยืนต่
่ อศาล
่ าฟ้ องทางไปรษณี ย ์ลงทะเบียนและศาลทีจะฟ้
โดยตรงหรือยืนค ่ องได ้แก่ศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองกลาง หรือศาลปกครองจังหวัดใด
่ าฟ้ องตามมาตรา 49 4
• ระบุระยะเวลาสาหร ับการยืนค
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

ตัวอย่างเช่น ใช ้ข ้อความว่า “
่ อคาวินิจฉัยอุทธรณ์) นี ้
ถ ้าหากท่านประสงค ์จะฟ้ องโต ้แย ้งคาสัง(หรื
่ อศาลปกครอง
ให ้ทาคาฟ้ องเป็ นหนังสือยืนต่
หรือส่งทางไปรษณี ย ์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครอง .....................................................
่ื
(ระบุชอศาลปกครองสู งสุด ศาลปกครองกลาง หรือศาลปกครองจังหวัดใด) ภายใน 90 วัน
ั ทีร่ ับแจ ้งหรือทราบคาสัง่ (หรือคาวินิจฉัยอุทธรณ์) ”
นับแต่วน

2. วิธก
ี ารแจ ้งสิทธิในการฟ้ องคดีในกรณี ตา่ ง ่
ๆ ซึงอาจแยกเป็ น 3 กรณี ดังนี ้
่ี าสังทางปกครองนั
(1) กรณี ทค ่ ้นออกโดยผูอ้ อกคาสังทางปกครอง
่ ่ ้องอุทธรณ์
ซึงต
หรือโต ้แย ้งก่อนจึงจะฟ้ องต่อศาลปกครองได ้
้ อ้ อกคาสังทางปกครองต
กรณี นีผู ่ ้องแจ ้งสิทธิอท ่
ุ ธรณ์หรือโต ้แย ้งคาสังทางปกครองตามคาแ
นะนาของคณะกรรมการวิธป ั ริ าชการทางปกครอง ที่ 1/2540 ตามนัยของมาตรา 40
ี ฏิบต
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
้ ้งสิทธิฟ้องคดีปกครอง
พร ้อมทังแจ

ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ.
ี ารแจ ้งสิทธิเป็ น 4 กรณี ดังต่อไปนี ้
2542 ด ้วย โดยอาจแยกวิธก

(1.1) กรณี กฎหมายกาหนดวิธก


ี ารและระยะเวลาในการอุทธรณ์หรือโต ้แย ้ง

คาสังทางปกครองไว ้ และกาหนดระยะเวลาในการฟ้ องคดีตอ
่ ศาลไว ้ด ้วย

ในกรณี นี ้ เจ ้าหน้าทีผู
่ อ้ อกคาสังทางปกครองนอกจากจะต
่ ้องแจ ้งให ้ผูร้ ับคาสัง่ ยืนอุ
่ ทธรณ์

หรือโต ้แย ้งคาสังทางปกครองต่ ่ ้มีอานาจวินิจฉัยอุทธรณ์ภายในระยะเวลาทีกฎ
อเจ ้าหน้าทีผู ่
หมายกาหนดไว ้แล ้ว
่ อ้ อกคาสังทางปกครองจะต
เจ ้าหน้าทีผู ่ ้องแจ ้งวิธก ่ าฟ้ องต่อศาลปกครองและระยะเวล
ี ารยืนค
่ าฟ้ องไว ้ด ้วยว่า
าสาหร ับยืนค

• ถ ้ามีการวินิจฉัยอุทธรณ์แล ้ว

่ สท
ผูร้ ับคาสังมี ิ ธิฟ้องคดีคด ั ค ้านคาวินิจฉัยอุทธรณ์ภายในเวลา 90
วันนับแต่วน ั ทีร่ ับแจ ้งหรือทราบคาวินิจฉัยอุทธรณ์

หรือภายในเวลาทีกฎหมายเฉพาะก ่
าหนดซึงอาจสั ้
นหรือยาวกว่า 90 วันก็ได ้


ี่
ถ ้าในกรณี ทครบกาหนดระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์แล ้วแต่ผู ้มีอานาจยังไม่วน
ิ ิ จฉัย
อุทธรณ์

ผูร้ ับคาสังทางปกครองสามารถยื
นค่ าฟ้ องต่อศาลปกครองในประเด็นการพิจารณาอุทธรณ์
ล่าช ้า

รวมทังสามารถฟ้ ่
องในประเด็นเกียวกั ้
บเนื อหาของค ่
าสังทางปกครองนั ้นว่าชอบด ้วยกฎหม
ายหรือไม่ด ้วยก็ได ้ โดยต ้องใช ้สิทธิฟ้องภายใน 90 วัน
นับแต่วน
ั ครบกาหนดระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์

หรือภายในระยะเวลาทีกฎหมายเฉพาะก ่
าหนดซึงอาจสั ้
นหรือยาวกว่า 90 วันก็ได ้
ตัวอย่างของบทบัญญัตต ิ าม (1.1) นี ้ ได ้แก่ มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัตค ิ วบคุมอาคาร
่ ญญัตวิ า่ “ มาตรา 52 ผู ้ขอร ับใบอนุ ญาต ผูไ้ ด ้รับใบอนุ ญาต
พ.ศ. 2522 ซึงบั
ผูแ้ จ ้งตามมาตรา 39 ทวิ

และผู ้ได ้ร ับคาสังจากเจ ่
้าพนักงานท ้องถินตามพระราชบั
ญญัตน ้ สท
ิ ี มี ิ ธิอท ่ งกล่า
ุ ธรณ์คาสังดั
ั ทราบคาสัง่ ”
วต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได ้ภายในสามสิบวันนับแต่วน

การอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ ง ให ้ทาเป็ นหนังสือและยืนต่


่ อเจ ้าพนักงานท ้องถิน

่ งกล่าว
ผูอ้ อกคาสังดั
่ ดส่งอุทธรณ์และเอกสารหลักฐานทีเกี
และให ้เจ ้าพนักงานท ้องถินจั ่ ยวข
่ ้
้องทังหมดไปยั
งคณะ
กรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วน ่ ้ร ับอุทธรณ์
ั ทีได
ให ้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มค ี าวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ งภายใน
หกสิบวันนับแต่วน ่ ้ร ับอุทธรณ์
ั ทีได
แล ้วแจ ้งคาวินิจฉัยพร ้อมด ้วยเหตุผลเป็ นหนังสือไปยังผูอ้ ท ่
ุ ธรณ์และ เจ ้าพนักงานท ้องถิน
ถ ้าผูอ้ ท
ุ ธรณ์ไม่เห็นด ้วยกับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ ให ้เสนอคดีตอ
่ ศาลภายใน
สามสิบวันนับแต่วน ่ ้ร ับแจ ้งคาวินิจฉัยอุทธรณ์
ั ทีได

มาตรา 25 และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัตวิ า่ ด ้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย ์ พ.ศ.


่ ญญัตวิ า่
2530 ซึงบั

“ มาตรา 25 ผู ้มีสท
ิ ธิได ้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18

ผูใ้ ดไม่พอใจในราคาของอสังหาริมทร ัพย ์หรือจานวนเงินค่าทดแทนทีคณะกรรมการกาหน
ด ตามมาตรา 9 มาตรา 10 ทวิ มาตรา 23 หรือมาตรา 28 วรรคสาม
มีสท
ิ ธิอท
ุ ธรณ์ตอ ่
่ ร ัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามพระราชกฤษฎีกาทีออกตามมาตรา 6
หรือร ัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามพระราชบัญญัตเิ วนคืนอสังหาริมทร ัพย ์ฉบับนั้นภายในหกสิบ
วันนับแต่วน ่ อผูซ
ั ได ้ร ับหนังสือจากเจ ้าหน้าทีหรื ่ึ ้ร ับมอบหมายจากเจ ้าหน้าทีให
้ งได ่ ้มาร ับเงิน
ค่าทดแทนดังกล่าว”
ในการพิจารณาอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ ง ให ้ร ัฐมนตรีแต่งตังคณะกรรมการขึ
้ ้
นคณะหนึ ่ง
ประกอบด ้วยผูท้ รงคุณวุฒท
ิ างกฎหมาย
และผู ้มีความรู ้ความสามารถในการตีราคาอสังหาริมทรัพย ์

มีจานวนทังหมดไม่ นอ้ ยกว่าห ้าคน เป็ นผูพ ้ั ้
้ จิ ารณาเสนอความเห็นต่อร ัฐมนตรีทงนี
ให ้ร ัฐมนตรีวน ้
ิ ิ จฉัยอุทธรณ์ให ้เสร็จสินภายในหกสิ
บวันนับแต่วน ่ ้ร ับคาอุทธรณ์”
ั ทีได

“ มาตรา 26 ในกรณี ผู ้มีสท


ิ ธิได ้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคาวินิจฉัยของ
รัฐมนตรีตามมาตรา 25
หรือในกรณี ทร่ี ัฐมนตรีมไิ ด ้วินิจฉัยอุทธรณ์ให ้เสร็จสินภายในก
้ าหนดเวลาตามมาตรา 25
วรรคสอง
ให ้มีสท
ิ ธิฟ้องคดีตอ่ ศาลได ้ภายในหนึ่ งปี นับแต่วน ่ ้ร ับแจ ้งคาวินิจฉัยของร ัฐมนตรีหรือนั
ั ทีได
บแต่วน ่ ้นกาหนดเวลาดังกล่าว แล ้วแต่กรณี ”
ั ทีพ

(1.2) กรณี กฎหมายเฉพาะกาหนดวิธก


ี ารและระยะเวลาในการอุทธรณ์หรือโต ้แย ้ง

คาสังทางปกครองไว ้และกาหนดให ้คาวินิจฉัยอุทธรณ์น้ันเป็ นทีสุ
่ ด
่ ดแต่มไิ ด ้กาหนดวิธก
หรือมิได ้กาหนดให ้ถึงทีสุ ี ารหรือระยะเวลาในการฟ้ องคดีตอ
่ ศาลไว ้

ในกรณี นีนอกจากเจ ่ อ้ อกคาสังทางปกครองจะต
้าหน้าทีผู ่ ้องแจ ้งให ้ผูร้ ับคาสัง่
่ ทธรณ์หรือโต ้แย ้งคาสังต่
ยืนอุ ่ อเจ ้าหน้าทีผู
่ ม้ อ ่
ี านาจวินิจฉัยอุทธรณ์ภายในระยะเวลาทีกฎห
มายนั้นกาหนดไว ้แล ้ว
่ อ้ อกคาสังทางปกครองจะต
เจ ้าหน้าทีผู ่ ้องแจ ้งวิธก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้
องไว ้ในคาสัง่ ดังกล่าวด ้วยเช่นเดียวกับกรณี ก. และ ข. ของ ข ้อ (1.1) ข ้างต ้น

การทีกฎหมายก ่ ดนั้น
าหนดให ้คาวินิจฉัยอุทธรณ์ เป็ นทีสุ
่ ดทางฝ่ ายบริหารเท่านั้น ไม่ตด
มีผลเป็ นทีสุ ั สิทธิผูม้ ส ่ องคดีตอ
ี ว่ นได ้เสียทีจะฟ้ ่ ศาลปกครอง
ตัวอย่างของบทบัญญัตต ้ 3 มาตรา ได ้แก่ มาตรา 10
ิ าม (1.2) นี มี
แห่งพระราชบัญญัตค
ิ วบคุมแร่ดบ ่ ญญัตวิ า่ “ มาตรา 10
ี ุก พ.ศ. 2514 ซึงบั
ผูร้ ับใบสุทธิแร่รายใดไม่พอใจในจานวนแร่ทาเหมืองของตนให ้อุทธรณ์ตอ ่ ร ัฐมนตรี
โดยยืนค ่ าอุทธรณ์ตอ ่
่ ทร ัพยากรธรณี ประจาท ้องทีภายในกาหนดสิบห ้าวันนับแต่วนั ร ับใบสุ
่ ด”
ทธิแร่ คาวินิจฉัยของร ัฐมนตรีให ้เป็ นทีสุ

มาตรา 19 จัตวา แห่งพระราชบัญญัตน ้ นเชือเพลิ


ิ ามั ้ ่ ญญัตวิ า่
ง พ.ศ. 2521 ซึงบั

“ มาตรา 19 ้ นตามมาตรา 6 ทวิ หรือผูข


จัตวา ผูค้ ้านามั ้ นตามมาตรา 13 ทวิ
้ นส่งนามั
่ กสังพั
ทีถู ่ กใช ้ใบอนุ ญาตหรือเพิกถอนใบอนุ ญาตตามมาตรา 19 ทวิ หรือมาตรา 19 ตรี
แล ้วแต่กรณี
มีสท
ิ ธิอท
ุ ธรณ์ตอ
่ ร ัฐมนตรีได ้ภายในสามสิบวันนับแต่วน ่
ั ทีทราบค ่ กใช ้ใบอนุ ญาตหรือ
าสังพั
่ กถอนใบอนุ ญาต คาสังของร
คาสังเพิ ่ ่ ด”
ัฐมนตรีให ้เป็ นทีสุ

มาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัตก ่ ญญัตวิ า่


ิ ารฌาปนกิจสงเคราะห ์ พ.ศ. 2517 ซึงบั

“ มาตรา 39
่ี
ในกรณี ทนายทะเบี ่ ้เพิกถอนมติของทีประชุ
ยนมีคาสังให ่ มใหญ่กรรมการของสมาคมฌาป
นกิจสงเคราะห ์คนหนึ่ งคนใดมีสท
ิ ธิอท ่ ้นต่อปลัดกระทรวงได ้
ุ ธรณ์คาสังนั
่ อนายทะเบียนภายในสิบหา้ วันนับแต่วน
โดยทาเป็ นหนังสือยืนต่ ่ ้ร ับแจ ้งคาสังค
ั ทีได ่ าวินิจฉัย
่ ด”
ของปลัดกระทรวงให ้เป็ นทีสุ

(1.3)
่ี
กรณี ทกฎหมายมิ
ได ้กาหนดวิธก ่
ี ารและระยะเวลาในการอุทธรณ์หรือโต ้แย ้งคาสังทางปกคร
องไว ้ และไม่ได ้กาหนดวิธก
ี ารและระยะเวลาในการฟ้ องคดีตอ
่ ศาลไว ้ด ้วย

ในกรณี นี ้
นอกจากเจ ้าหน้าทีผู ่ อ้ อกคาสังทางปกครองจะต
่ ่
้องแจ ้งให ้ผูร้ ับคาสังทราบว่ ่ ทธรณ์
าอาจยืนอุ
่ อเจ ้าหน้าทีผู
หรือโต ้แย ้งคาสังต่ ่ อ้ อกคาสังทางปกครองภายใน
่ 15 วัน นับแต่วน ่ ้ร ับแจ ้ง
ั ทีได

คาสังตามที
ก ่ าหนดไว ้ในมาตรา 44 5 แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539 แล ้ว
่ อ้ อกคาสังทางปกครองจะต
เจ ้าหน้าทีผู ่ ้องแจ ้งวิธก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้
่ งกล่าวด ้วยว่า
องไว ้ใน คาสังดั
่ี
ในกรณี ทครบก าหนดระยะเวลาในการพิจารณาของผูม้ อ
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตร
า 44 6 แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ก
ี ารปฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2540)
ออกตามความในพระราชบัญญัตด
ิ งั กล่าวแล ้ว
ไม่วา่ จะมีคาวินิจฉัยของผูม้ อ
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่

ผูร้ ับคาสังทางปกครองสามารถที ่ นค
จะยื ่ าฟ้ องต่อศาลปกครองภายในระยะเวลา 90
ั ทีรู่ ้หรือควรรู ้ถึงเหตุแห่งการฟ้ องคดีตามมาตรา 49
วันนับแต่วน
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
โดยแยกออกเป็ น 2 กรณี เช่นเดียวกับ ก.และ ข. ของข ้อ (1.1) ข ้างต ้น

(1.4)

กรณี คาสังทางปกครองที ่ อยูใ่ นบังคับทีจะต
ไม่ ่ ้องแจ ้งให ้คูก
่ รณี ทราบถึงการอุทธรณ์หรือโต ้แ

ย ้งคาสังทางปกครองตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัตว
ิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539
่ ้วยวาจาโดยสภาพไม่สามารถแจ ้งวิธก
คาสังด ่ ้อ
ี ารและระยะเวลาอุทธรณ์ได ้แต่ถ ้าผูร้ ับคาสังร
งขอโดยมีเหตุอน
ั สมควรภายใน 7 วัน นับแต่วน ่ คาสังดั
ั ทีมี ่ งกล่าว
่ อ้ อกคาสังต
เจ ้าหน้าทีผู ่ ้องยืนยันคาสังนั
่ ้นเป็ นหนังสือตามมาตรา 35 7
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
่ นยันเป็ นหนังสือดังกล่าวเจ ้าหน้าทีจะต
และในคาสังยื ่ ้องแจ ้งรายละเอียดและระยะเวลาในการ
่ ทธรณ์ หรือโต ้แย ้งไว ้ ตลอดจนระบุวธิ ก
ยืนอุ ่ องต่อศาลปกครองไว ้ด ้วย
ี ารและระยะเวลายืนฟ้
่ าหนดไว ้ในข ้อ (1.1) (1.2) หรือ (1.3)
ตามหลักเกณฑ ์ทีก

(2)
่ี าสังทางปกครองนั
กรณี ทค ่ ้นออกโดยผูอ้ อกคาสังทางปกครองที
่ ่ นร ัฐมนตรีคณะร ัฐมนตรี
เป็
คณะกรรมการ หรือคณะกรรมการวินิจฉัยข ้อพิพาท

โดยหลักแล ้วคาสังดั่ งกล่าวไม่ต ้องมีการอุทธรณ์


่ี กฎหมายเฉพาะบัญญัตใิ ห ้ต ้องอุทธรณ์) ดังนั้น
(เว ้นแต่กรณี ทมี
่ งกล่าวจะต ้องระบุวธิ ก
ในการแจ ้งคาสังดั ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับ
ี ารยืนค
่ าฟ้ องให ้ครบถ ้วนตามคาแนะนาในข ้อ 1.
ยืนค
่ี าสังทางปกครองนั
(3) กรณี ทค ่ ้นเป็ นคาสังในชั
่ ้ ทธรณ์โดยผู ้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์
นอุ

(ซึงอาจเป็ ่
นเจ ้าหน้าทีคนเดี
ยวหรือคณะกรรมการ)

ี่
(3.1) กรณี ทกฎหมายกาหนดวิธก
ี ารและระยะเวลาในการฟ้ องคดีไว ้
่ ม้ อ
เจ ้าหน้าทีผู ่
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์ (เจ ้าหน้าทีคนเดี ยวหรือคณะกรรมการ)
จะต ้องระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ทราบ
ว่า
่ าฟ้ องต่อศาลปกครองด ้วยวิธก
ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์สามารถยืนค ี ารอย่างไรและภายในระ

ยะเวลาทีกฎหมายเฉพาะเรื ่ าหนดไว ้ นับแต่วน
องก ่ ้ร ับแจ ้งหรือทราบคาวินิจฉัยอุทธรณ์
ั ทีได
่ี
(3.2) กรณี ทกฎหมายเฉพาะเรื ่ ได ้กาหนดวิธก
องมิ ี ารและระยะเวลาในการฟ้ องคดีไว ้
้ ้าหน้าทีผู
ในกรณี นีเจ ่ ม้ อ
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์จะต ้องแจ ้งวิธก
ี ารและระยะเวลา
ในการฟ้ องคดีตอ
่ ศาลปกครองเช่นเดียวกันโดยแยกเป็ น 2 กรณี คือ
่ี
ก. กรณี ทกฎหมายกาหนดให ้คาวินิจฉัยอุทธรณ์มผ ่ ด
ี ลเป็ นทีสุ
แม้กฎหมายจะบัญญัตใิ ห ้คาวินิจฉัยอุทธรณ์มผ ่ ด แต่เป็ นทีสุ
ี ลเป็ นทีสุ ่ ดใน
ฝ่ ายบริหารเท่านั้น ไม่ตด ่ องต่อศาลปกครองได ้
ั สิทธิผู ้มีสว่ นได ้เสียทีจะฟ้
่ ้าหน้าทีผู
ซึงเจ ่ ม้ อ ่
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์ (เจ ้าหน้าทีคนเดียวหรือคณะกรรมการ)
จะต ้องระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ทราบ
ว่า ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ สามารถยืนค ่ าฟ้ องต่อศาลปกครองภายในระยะเวลา 90
วันนับแต่วน ่ ้ร ับแจ ้งหรือทราบคาวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามมาตรา 49
ั ทีได
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
่ี นการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 45
ข. กรณี ทเป็
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
่ ม้ อ
เจ ้าหน้าทีผู ี านาจพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา 45
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ปี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประกอบกับกฎกระทรวง
ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2540) ออกตามความใน พระราชบัญญัตด ิ งั กล่าว
จะต ้องระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ทราบ
ว่าผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์สามารถยืนค่ าฟ้ องต่อศาลปกครองภายในระยะเวลา 90
วันนับแต่วน ่ ้ร ับแจ ้งหรือทราบคาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามระยะเวลาทีระบุ
ั ทีได ่ ในมาตรา 49
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ั ตัง้ ศาลปกครองและวิธพ ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

3. แนวทางปฏิบต ่ บคาสังทางปกครองที
ั เิ กียวกั ่ ่
ออกตั ้ วน
งแต่ ั ที่ 11 ตุลาคม 2542
่ อ้ อกคาสังทางปกครองมิ
และเจ ้าหน้าทีผู ่ ได ้ระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะ
ี ารยืนค
เวลาสาหร ับยืนค่ าฟ้ องไว ้ในคาสังทางปกครอง


บรรดาคาสังทางปกครองที ่
ออกตั ้ วน
งแต่ ั ที่ 11 ตุลาคม 2542 ซึงเป็
่ นวันที่
พระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ใช ้บังคับเป็ นต ้นมา
่ ได ้ระบุวธิ ก
ถ ้าเจ ้าหน้าทีมิ ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับคาสังทราบผ

ลทางกฎหมาย
่ าฟ้ องซึงมี
จะทาให ้ระยะเวลาสาหร ับยืนค ่ กาหนดน้อยกว่าหนึ่ งปี ขยายไปเป็ นหนึ่ งปี ฉะนั้น

เจ ้าหน้าทีควรพิ
จารณาว่าจะแจ ้งวิธก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับ

คาสังทราบหรื ่
อไม่เพือให ้ระยะเวลายืนค่ าฟ้ องเริมนั
่ บใหม่นับแต่วน ่ ร้ ับคาสังได
ั ทีผู ่ ้ร ับแจ ้งข ้อ

ความดังกล่าวซึงจะสั ้
นกว่ าหนึ่ งปี ทังนี
้ ้
่ ให ้การใช ้สิทธิในการฟ้ องคดีปกครองทุกเรืองต
เพือมิ ่ ้องขยายระยะเวลาออกไปเป็ นหนึ่ งปี

อันจะทาให ้ความไม่แน่ นอนเกียวกั ่
บคาสังทางปกครองขยายออกไป

ซึงจะมี
ผลกระทบต่อการบริหารราชการและไม่ตรงตามเจตนารมณ์ ของกฎหมาย

อนึ่ ง สาหร ับคาสังทางปกครองที


่ ่
ออกก่ อนวันที่ 11 ตุลาคม 2542 ไม่อยูใ่ นบังคับ

ทีจะต ้องแจ ้งวิธก ่ องคดีตอ
ี ารและระยะเวลาการยืนฟ้ ่ ศาลปกครองแต่ประการใด

ข้อปฏิบต
ั ต
ิ นในศาล

• ห ้ามนาอาวุธ ่ ดกฎหมายทุกชนิ ดเข ้ามาในบริเวณศาล


ยาเสพติด และสิงผิ

• เมืออยู
ใ่ นบริเวณศาลจะต ้องประพฤติตนเรียบร ้อย ไม่สง่ เสียงดังหรือทะเลาะวิวาท
ไม่เปิ ดประตูชะโงกดูห ้องพิจารณาคดีถ ้าจะเข ้าไปฟังการพิจารณาคดีก็ให ้เข ้าไปเลย
่ื และรบกวนการพิจารณาคดี
อย่าทาลับ ๆ ล่อ ๆ หรือเดินเข ้าออกให ้ราคาญแก่ผูอ้ น


ประชาชนทั่วไปมีสท ิ ธิเข ้าฟังการพิจารณาคดีได ้โดยแต่งตัวให ้สุภาพเรียบร ้อยต ้องมีความ
สารวม นั่งให ้เรียบร ้อย ไม่สนทนา หรือทาเสียงดัง ไม่สบ ่ ออ่านหนังสือพิมพ ์
ู บุหรีหรื
และไม่บน
ั ทึกเสียงหรือถ่ายภาพโดยไม่ได ้รับอนุ ญาตจากศาล
่ ่ งพิจารณาคดี
• เมือศาลออกนั
่ี ใ่ นห ้องพิจารณาคดีควรลุกขึนยื
ผูท้ อยู ้ นเพือเป็
่ นการแสดงความเคารพ
ถ ้าศาลอ่านคาพิพากษา คาสังหรื่ อ รายงานกระบวนพิจารณา คูค่ วามจะต ้องยืนฟัง

• ควรปิ ดโทรศัพท ์มือถือ ่ื


หรืออุปกรณ์สอสารอย่ ่
างอืน

ทีอาจส่
งเสียงดังรบกวนการพิจารณาคดีของศาล

ลักษณะของคดีปกครอง

ตามพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
แบ่งออกได ้เป็ น 5 ประเภท คือ
ิ าทอันเนื่ องมาจากการกระทาทางปกครองฝ่ ายเดียว
1. คดีพพ

ซึงอาจแยกออกเป็ นการกระทาทางกฎหมาย หรือทีเรี่ ยกว่า “นิ ตก
ิ รรมทางปกครอง”
่ ยกว่า “ปฏิบต
และการกระทาทางกายภาพ หรือทีเรี ั ก
ิ าร”
่ าวมาเป็ นการใช ้อานาจทีหน่
การกระทาทางปกครองทีกล่ ่ วยงานหรือเจ ้าหน้าทีของร
่ ัฐสามา
รถดาเนิ นการได ้เองฝ่ ายเดียวโดยไม่จาต ้องให ้เอกชนยินยอมก่อน ไม่วา่ จะเป็ นการออกกฎ
เช่น การออกพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ข ้อบังคับต่าง ๆ
่ ผลบังคับเป็ นการทั่วไป หรือการออกคาสังทางปกครอง
ทีมี ่ ่
เช่น คาสังลงโทษทางวิ
นัย
่ ญาต อนุ มต
คาสังอนุ ่ งตัง้
ั ิ คาสังแต่
่ นกรณีของนิ ตก
ประกาศผลการสอบแข่งขันเข ้าร ับราชการหรือเข ้าศึกษาต่อซึงเป็ ิ รรมทาง
ิ าทอันเนื่ องมาจากการปฏิบต
ปกครอง ส่วนคดีพพ ั ก ่ เช่น
ิ ารใดๆ ของเจ ้าหน้าทีก็
การก่อสร ้างสะพาน ถนน การขุดลอกคลองสาธารณะหรือท่อระบายนาสาธารณะ ้
่ กคนโดยสาร เป็ นต ้น
การก่อสร ้างห ้องสุขาสาธารณะ หรือการก่อสร ้างทีพั

ลักษณะคดีตาม 1. นี ได้ ้แก่ คดีทบั


่ี ญญัตไิ ว ้ในมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (1)
นั่นเองและคดีดงั กล่าว มาตรา 72 วรรคหนึ่ ง (1)
บัญญัตใิ ห ้ศาลปกครองมีอานาจพิพากษาเพิกถอนกฎหรือคาสัง่
่ ้ามการกระทาทังหมดหรื
หรือสังห ้ อบางส่วน จึงมักเรียกคดีประเภทนี ้
ว่าเป็ นคดีฟ้องขอให ้เพิกถอนกฎหรือคาสัง่ หรือสังห
่ ้ามการกระทา แต่การที่
ศาลปกครองจะเพิกถอนหรือสังห ่ ้ามการกระทาทางปกครองได ้
ก็เพราะเห็นว่าการกระทาดังกล่าวไม่ชอบด ้วยกฎหมาย

ซึงเหตุ
ทที่ าให ้การกระทาทางปกครองไม่ชอบด ้วยกฎหมายนั้นหากจาแนกตามมาตรา 9
วรรคหนึ่ ง (1) แล ้ว มีอยูด
่ ้วยกัน 10 ประการ คือ

(1) เป็ นการกระทาโดยไม่มอ


ี านาจ ี านาจนั้น ได ้แก่
การกระทาโดยไม่มอ
่ี ท้ กระท
กรณี ทผู ่ี ่
าการไม่มฐี านะเป็ นหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐ
โดยถูกต ้องตามกฎหมาย
่ี ก้ ระทาการมีฐานะเป็ นหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร
หรือกรณี ทผู ่ ัฐ
ตามกฎหมาย
่ กฎหมายก
แต่ไม่ใช่หน่ วยงานหรือเจ ้าหน้าทีที ่ าหนดให ้เป็ นผูม้ อ ่ ้น
ี านาจกระทาการในเรืองนั

ๆ เช่น ในเรืองใบอนุ ญาตสถานบริการ พระราชบัญญัตส ิ ถานบริการ พ.ศ.2509
กาหนดให ้อานาจในการออกหรือเพิกถอนใบอนุ ญาตเป็ นของผู ้บัญชาการตารวจนครบาล
่ ในกรณี เช่นนี ้
สาหร ับกรุงเทพมหานคร และผูว้ า่ ราชการจังหวัดในจังหวัดอืนๆ

เจ ้าหน้าทีในต ่
าแหน่ งอืนๆ
่ งกว่าหรือต่ากว่าเจ ้าหน้าทีดั
ไม่วา่ จะอยูใ่ นระดับตาแหน่ งทีสู ่ งกล่าว เช่น
สารวัตรในสถานี ตารวจนครบาลแห่งใดแห่งหนึ่ ง
หรือร ัฐมนตรีวา่ การกระทรวงมหาดไทยจะไม่มอ ี านาจเพิกถอนใบอนุ ญาตสถานบริการได ้
หากปรากฏกรณี ทานองนี ก็ ้ ถอื ว่าเป็ นการกระทาโดยไม่มอี านาจ

(2) เป็ นการกระทานอกเหนื ออานาจหน้าที่ เหตุในกรณี นี ้



ความจริงแล ้วอาจรวมเป็ นเหตุเดียวกับเหตุประการแรกได ้เพราะต่างก็เป็ นเรืองของความบก

พร่องเกียวกั
บอานาจของหน่ วยงานหรือเจ ้าหน้าทีนั่ ้นเอง อย่างไรก็ด ี

เพือความชัดเจนมิ ่ านาจของหน่ วยง
ให ้ต ้องตีความความหมายของความบกพร่องในเรืองอ
านหรือเจ ้าหน้าทีว่่ าจากัดหรือขยายครอบคลุมถึงกรณี ใดบ ้าง
กฎหมายจึงกาหนดให ้มีกรณี การกระทา “นอกเหนื ออานาจหน้าที”่ อีกกรณี หนึ่ ง

ซึงหมายถึ ่ เป็
งว่าหน่ วยงานหรือเจ ้าหน้าทีที ่ นหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร
่ ัฐโด
่ จะด
ยถูกต ้องตามกฎหมายอยูแ่ ล ้ว และมีอานาจหน้าทีที ่ าเนิ นการอย่างใดอย่างหนึ่ งด ้วย
่ ตนมี
เพียงแต่ได ้กระทาการไปนอกเหนื ออานาจหน้าทีที ่ อยู่ เช่น
่ งหลายไม่
กรณี การใช ้อานาจขององค ์กรปกครองส่วนท ้องถินทั ้ วา่ จะเป็ น เทศบาล
องค ์การบริหารส่วนตาบล องค ์การบริหารส่วนจังหวัด ฯลฯ

ซึงโดยหลั ้ การปกครองของตนเท่
กจะมีอานาจจากัดอยูเ่ ฉพาะในเขตพืนที ่ านั้น ดังนั้น
หากเทศบาลหรือองค ์การบริหารส่วนตาบลแห่งหนึ่ งใช ้อานาจไม่วา่ จะเป็ นการออกคาสังหรื

อออกข ้อบัญญัตข ่
ิ องท ้องถินให ้มีผลใช ้บังคับในพืน้

ทีการปกครองของเทศบาลหรื ่
อองค ์การบริหารส่วนตาบลแห่งอืน
ต ้องถือว่าเทศบาลหรือองค ์การบริหารส่วนตาบลแห่งนั้นกระทานอกเหนื ออานาจหน้าที่
่ ถก
(3) เป็ นการกระทาทีไม่ ู ต ้องตามกฎหมาย ่ ถก
การกระทาทีไม่ ู ต ้องตามกฎหมาย
่ี ความหมายกว ้างทีสุ
นับว่าเป็ นเหตุทมี ่ ด
และสอดคล ้องกับอานาจหน้าทีพื่ นฐานของศาลปกครองทเป็
้ นองค ์กรควบคุมตรวจสอบควา
มชอบด ้วยกฎหมายของการกระทาทางปกครอง ดังนั้น
่ นเหตุให ้ศาลปกครองมีอานาจตรวจสอบได ้ย่อมถือว่าเ
การกระทาทางปกครองใดก็ตามทีเป็
่ ไม่
ป็ นเรืองที ่ ชอบด ้วยกฎหมายหรือไม่ถก ้ น้
ู ต ้องตามกฎหมายทังสิ
่ ถก
(4) เป็ นการกระทาทีไม่ ้
ู ต ้องตามรูปแบบขันตอน เหตุแห่งความ
้ เช่น
ไม่ชอบด ้วยกฎหมายกรณี นีก็
กฎหมายกาหนดว่าการกระทาทางปกครองในเรืองนั ่ ้นต ้องกระทาเป็ นหนังสือ ดังนั้น
่ ชอบด ้วยเหตุนี ้
หากไม่ได ้กระทาเป็ นหนังสือก็ถอื ว่าเป็ นการกระทาทีไม่
หรือกฎหมายกาหนดว่าการกระทาทางปกครองนั้นจะต ้องผ่านการพิจารณาของเจ ้าหน้าที่

หรือองค ์กรใดก่อนเพือขอคาปรึกษาหารือ หรือขอความเห็น ดังนั้น
่ อองค ์กรเช่นว่านั้น
หากได ้มีการกระทาไปโดยไม่ผ่านการพิจารณาของเจ ้าหน้าทีหรื
่ ชอบด ้วยเหตุนีเช่
ก็ถอื ว่าเป็ นการกระทาทีไม่ ้ นกัน

(5)
่ ถก
เป็ นการกระทาทีไม่ ู ต ้องตามวิธก ่ าหนดไว ้สาหร ับการกระทานั้น
ี ารอันเป็ นสาระสาคัญทีก
การจะมีการกระทาทางปกครองอย่างใดอย่างหนึ่ ง โดยทั่วไปหน่ วยงานฯ หรือเจ ้าหน้าทีฯ่
จะต ้องปฏิบต
ั ต
ิ ามวิธก
ี ารต่างๆ

ซึงอาจมี ่
รายละเอียดและลักษณะทีหลากหลายแตกต่
างกันตามสภาพของงาน อย่างไรก็ด ี

เพือให ั้ ายปก
้การดาเนิ นงานของฝ่ ายปกครองมีประสิทธิภาพและเกิดความรวดเร็วบางครงฝ่
ครองจะต ้องปร ับวิธก
ี ารต่าง ๆ ให ้เหมาะสมกับสถานการณ์ด ้วย
โดยบางกรณี อาจใช ้วิธก ี ารหนึ่ ง แต่ในบางกรณี อาจใช ้วิธก
ี ารอีกอย่างหนึ่ ง
หรืองดเว ้นไม่ใช ้วิธก
ี ารดังกล่าว

ด ้วยเหตุนี ้ เหตุแห่งความไม่ชอบด ้วยกฎหมายในกรณี นี ้


จึงมุ่งหมายเฉพาะการกระทาทีไม่ ่ ถกู ต ้องตามวิธก
ี ารอันเป็ นสาระสาคัญกาหนดไว ้สาหร ับก
ารกระทานั้นเท่านั้น โดยคานึ งถึงว่า
ี ารทีฝ่่ ายปกครองอาจนามาใช ้มีอยูม
วิธก ่ ากมายหลากหลาย
แต่เฉพาะกรณี วธิ กี ารอันเป็ นสาระสาคัญเท่านั้นทีหากมี
่ การไม่ปฏิบต
ั ต
ิ ามจะกระทบต่อควา
มถูกต ้องสมบูรณ์ของการกรทาทางปกครอง

อย่างไรจึงเรียกว่าเป็ นการกระทา “โดยไม่สจุ ริต” นั้น


(6) เป็ นการกระทาโดยไม่สจ
ุ ริต
โดยหลักจะพิจารณาจากมูลเหตุ (motif) ของเจ ้าหน้าทีฯ่ ในการกระทาทางปกครองนั้น ๆ
เป็ นต ้นว่า

เจ ้าหน้าทีฯได ่
้ดาเนิ นการไปโดยใช ้เหตุผลส่วนตัวหรือโดยกลันแกล ่
้งผูร้ ับคาสังทางปกครอ
่ ้าราชการรายหนึ่ งกับผูบ้ งั คับบัญชามีเรืองขั
งหรือไม่ เช่น การทีข ่ ดใจ
โดยข ้าราชการรายนั้นได ้เคยร ้องเรียนตามกฎหมายกล่าวหาผูบ้ งั คับบัญชาของตน

ซึงในที ่ ดปรากฏว่าข ้อร ้องเรียนไม่มม
สุ ี ูลความจริงแต่อย่างใด

ฝ่ ายผูบ้ งั คับบัญชาไม่พอใจจึงแต่งตังคณะกรรมการสอบสวนทางวิ นัยอย่างร ้ายแรงข ้าราช
การรายนั้น
โดยอ ้างว่าการกระทาดังกล่าวของข ้าราชการรายนั้นก่อให ้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์
่ ยงของหน่ วยงานอันเป็ นมูลความผิดวินัยอย่างร ้ายแรง กรณี นีเห็
และชือเสี ้ นได ้ว่า

เป็ นการแต่งตังกรรมการสอบสวนทางวิ ุ ริตนั่นคือเป็ นการใช ้อานาจโดยมีวต
นัยโดยไม่สจ ั ถุ
ประสงค ์นอกเหนื อจากวัตถุประสงค ์ของกฎหมาย
เป็ นความไม่พอใจส่วนตัวทีถู ่ กผูใ้ ต ้บังคับบัญชาร ้องเรียน ทังๆ


ทีการใช ื้
้สิทธิร ้องเรียนตามกฎหมายเป็ นสิทธิพนฐานประการหนึ ่ งของหลักการปกครองในร
ะบอบประชาธิปไตย
และกฎหมายก็บญ ่ ้องเรียนผูบ้ งั คับบัญชาได ้
ั ญัตริ ับรองสิทธิของข ้าราชการทีจะร
่ ลก
(7) เป็ นการกระทาทีมี ั ษณะเป็ นการเลือกปฏิบต
ั ท ่ี เป็ นธรรม
ิ ไม่
เหตุแห่งความไม่ชอบด ้วยกฎหมายในกรณี นีเป็ ้ นเหตุทสอดคล
่ี ้องกับหลักความเสมอภาคห
้ั นฐานของบุ
รือหลักความเท่าเทียมกัน อันเป็ นสิทธิขนพื ้ คคล
และมีการบัญญัตริ ับรองไว ้ในรัฐธรรมนู ญแห่งราชอาณาจักรไทยมาโดยตลอด
่ ลก
(8) เป็ นการกระทาทีมี ้
ั ษณะเป็ นการสร ้างขันตอนโดยไม่ จาเป็ น
เหตุแห่งความไม่ชอบด ้วยกฎหมายในกรณี นี ้ มีความหมายว่า
การจะมีการกระทาทางปกครองอย่างใดอย่างหนึ่ งนั้น
้ั
หากจะมีขนตอนใดที ่ ้องปฏิบต
ต ั ต ้
ิ ามก็ต ้องเป็ นขันตอนที ่
กฎหมายก าหนดไว ้เท่านั้นถ ้าปรา
กฏว่า ฝ่ ายปกครองได ้ให ้เอกชนปฏิบต ั ต ้
ิ ามขันตอนที ่
กฎหมายไม่ ได ้กาหนดไว ้
้ ฝ่่ ายปกครองกาหนดหรือสร ้างขึนเองโดยไม่
แต่เป็ นขันตอนที ้ จาเป็ นแก่การมีการกระทาทา
งปกครองเช่นนั้นแต่ประการใด ย่อมเป็ นการกระทาทีไม่
่ ชอบด ้วยกฎหมาย

่ ้างภาระให ้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
(9) เป็ นการกระทาทีสร
ความหมายของการกระทาทีสร ่ ้างภาระให ้เกิดกับประชาชนเกินสมควรนั้นมีลก
ั ษณะใกล ้เคี

ยงกับการสร ้างขันตอนโดยไม่ จาเป็ น
้ จารณาในแง่ทว่่ี าเป็ นภาระทีเกิ
เพียงแต่เหตุในกรณี นีจะพิ ่ ดกับประชาชน
่ นสมควรหรือไม่ ภาระในทีนี
และเป็ นภาระทีเกิ ่ อาจเป็
้ น ภาระอย่างใดก็ได ้ เช่น
ภาระทางด ้านค่าใช ้จ่าย
่ ้องกระทาการหรืองดเว ้นกระทาการอย่างใดอย่างหนึ่ งหรือหลายอย่าง
หรือภาระทีต
่ นการใช ้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(10) เป็ นการกระทาทีเป็ ในการใช ้อานาจของหน่ วยงานฯ
หรือเจ ้าหน้าทีฯ่
หากกฎหมายกาหนดให ้เลือกพิจารณาตัดสินใจได ้ว่าจะใช ้อานาจนั้นหรือไม่
หรือเลือกพิจารณาตัดสินใจได ้ว่าจะกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ งตามทีกฎหมายให
่ ้ทางเลือกไว ้
กรณี เช่นนี ้ ถือว่าเป็ นกรณี ทฝ่ี่ ายปกครองมีอานาจพิจารณาเลือกกระทาการ
หรือมักเรียกกันว่า “อานาจดุลพินิจ”
และโดยปกติยอ ่ ศาลไม่
่ มเป็ นเรืองที ่ ควรก ้าวล่วงเข ้าไปควบคุมตรวจสอบการใช ้ดุลพินิจโดย
่ กฎหมายไว
แท ้ดังกล่าว เพราะเป็ นเรืองที ่ ้วางใจให ้หน่ วยงานฯ
่ กฎหมายให
หรือเจ ้าหน้าทีฯที ่ ้อานาจ เป็ นผูเ้ ลือกตัดสินใจ
่ อผู ้บังคับบัญชาของเจ ้าหน้า
การเข ้าไปตรวจสอบจะเท่ากับว่าศาลทาตนเป็ นเจ ้าหน้าทีฯหรื
่ ยเอง
ทีฯเสี

ิ าทอันเนื่ องมาจากการละเลยต่อหน้าทีหรื
2. คดีพพ ่ อปฏิบต
ั ห ่ าช ้าเกินสมควร
ิ น้าทีล่ เช่น
กรมทะเบียนการค ้ามีหน้าทีร่ ับจดทะเบียนห ้างหุ ้นส่วนและบริษท

่ นมีหน้าทีในการร
หรือกรมทีดิ ่ ับจดทะเบียนสิทธิและนิ ตกิ รรมอสังหาริมทร ัพย ์
่ นปฏิเสธไมร ับคาขอหรือร ับคาขอแล ้วไม่พจิ ารณาคาข
หากกรมทะเบียนการค ้าหรือกรมทีดิ

อว่าสมควรจดทะเบียนให ้ตามคาขอหรือไม่ ถือเป็ นการละเลยต่อหน้าทีตามกฎหมาย
แต่ถ ้ารับคาขอมาแล ้วแต่ดาเนิ นการล่าช ้า เช่น

กรณี การจดทะเบียนเรืองใดกฎหมายหรื อระเบียบภายในระบุวา่ ให ้พิจารณาร ับจดทะเบียนห
รือไม่ภายใน 3 วัน หากพ ้นกาหนดก็ถอื ว่าปฏิบต
ั ห ่ าช ้า
ิ น้าทีล่
หากไม่มก
ี ารกาหนดระยะเวลาไว ้
ก็ต ้องพิจารณาจากระยะเวลาตามปกติวส ่ ้นจะต ้องใช ้เวลาเท่าใด
ิ ยั ว่าเรืองนั
หากพ้นระยะเวลาไปแล ้วก็ถอื ว่าเป็ นการปฏิบต ั ห ่ าช ้าเกินสมควร
ิ น้าทีล่

คดีลก ้ ้แก่คดีทกล่
ั ษณะดังกล่าวนี ได ่ี าวในมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (2) ซึงตามมาตรา
่ 72
วรรคหนึ่ ง (2)
บัญญัตใิ ห ้อานาจศาลปกครองมีอานาจพิพากษาสังให ่ ้หัวหน้าหน่ วยงานทางปกครองหรือเ

จ ้าหน้าทีของร ่ ยวข
ัฐทีเกี ่ ้องปฏิบต
ั ห ่
ิ น้าทีภายในเวลาที ่
ศาลปกครองก าหนด

3.
ิ าทอันเนื่ องมาจากการกระทาละเมิดทางปกครองหรือความร ับผิดอย่างอืนของหน่
คดีพพ ่ วย

งานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐอันเกิดจากการใช ้อานาจตามกฎหมาย

หรือความเสียหายเกิดจากการออกกฎ คาสังทางปกครอง ่ น
หรือคาสังอื ่
ี่ วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าทีหรื
หรือเป็ นกรณี ทหน่ ่ อปฏิบตั ห ่ งกล่าวล่าช ้าเกินส
ิ น้าทีดั
้ ้องคานึ งว่าการละเมิดนั้นต ้องเกิดจากการใช ้อานาจตามกฎหมาย
มควร คดีตามลักษณะนีต
เช่น
การใช ้อานาจขององค ์การบริหารส่วนตาบลในการกาหนดแนวเขตเพือขุ ่ ดคลองและทาถน
่ื อดร ้อนหรือเสียหายก็เป็ นคดีละเมิดทีฟ้่ องต่อศาลปกครองได ้
น หากทาให ้ผูอ้ นเดื
่ งสุดที่ 271/2545
(คาสังศาลปกครองสู
(ประชุมใหญ่))แต่ถ ้าเป็ นการปฏิบต
ั ห ่
ิ น้าทีราชการตามปกติ เช่น
พนักงานขับรถของทางราชการขับรถชนคนบาดเจ็บ
หรือนายแพทย ์โรงพยาบาลรัฐบาลผ่าตัดผิดพลาด ทาให ้คนไข ้พิการ
้ ใช่เป็ นละเมิดจากการใช ้อานาจตามกฎหมายต ้องฟ้ องต่อศาลยุตธิ รรม
อย่างนี ไม่
่ นเกิดจากการใช ้อานาจตามกฎหมาย เช่น
สาหร ับกรณี ความร ับผิดอย่างอืนอั
กรณี การฟ้ องคดีเพือเรี่ ยกเงินค่าทดแทนจากการเวนคืนอสังหาริมทร ัพย ์ คดีประเภทที่ (3)
้ ข ้อสังเกตว่าน่ าจะเป็ นกรณี ทประชาชนฟ้
นี มี ่ี องทางราชการได ้ฝ่ ายเดียว
้ ้แก่กรณี ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (3) นั่นเอง ซึงมาตรา
ลักษณะคดีตาม ข ้อ 3 นี ได ่ 72
วรรคหนึ่ ง (3)
บัญญัตใิ ห ้อานาจศาลปกครองพิพากษาให ้ใช ้เงินหรือให ้ส่งมอบทรัพย ์สินหรือให ้กระทากา
่ ยวยาการกระทาละเมิดหรือความร ับผิดอย่างอืนนั
รหรืองดเว ้นกระทาการเพือเยี ่ ้น

ิ าทอันสืบเนื่ องมาจากสัญญาทางปกครอง
4. คดีพพ เช่น สัญญาสัมปทาน
ิ่
สัญญาจัดให ้มีสงสาธารณู ปโภค เช่น คูคลอง ถนน สายส่งไฟฟ้ า
โครงการประปาของเทศบาล เป็ นต ้น
้ ้แก่กรณี ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (4) นั่นเอง และมาตรา
ลักษณะคดีตาม ข ้อ 4 นี ได
72 (3) ได ้บัญญัตใิ ห ้อานาจศาลปกครองในการพิพากษาให ้ใช ้เงิน หรือให ้ส่งมอบทรัพย ์สิน
หรือให ้กระทาการหรืองดเว ้นกระทาการ
่ ยวยาความเสียหายจากการผิดสัญญาหรือเพือปฏิ
เพือเยี ่ บตั ต
ิ ามสัญญา

5. คดีพพ ่
ิ าททางปกครองอืนๆ เช่น
่ี
คดีทกฎหมายก ่
าหนดให ้หน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐฟ้ องคดีตอ
่ ศาลปกคร
่ งคับให ้บุคคลต ้องกระทาหรือละเว ้นการกระทาอย่างหนึ่ งอย่างใด เช่น มาตรา 118
อง เพือบั
ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัตก ้
ิ ารเดินเรือในน่ านนาไทย พระพุทธศักราช 2456
่ ้ไขเพิมเติ
ซึงแก ่ มโดยพระราชบัญญัตฯิ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ทีบั
่ ญญัตใิ ห ้
่ งคับให ้ผูท้ ปลู
กรมเจ ้าท่าฟ้ องศาลเพือบั ่ี กสร ้างสิงก่
่ อสร ้างล่วงลาล
้ านารื
้ อถอนสิ
้ ่ อสร ้างดัง
งก่
กล่าว หรือคดีทมี่ี กฎหมายเฉพาะกาหนดให ้อยูใ่ นอานาจศาลปกครอง เช่น มาตรา 42
แห่งพระราชบัญญัตกิ ารปฏิรป ่ นเพือเกษตรกรรม
ู ทีดิ ่ พ.ศ. 2518 หรือมาตรา 7
แห่งพระราชบัญญัตก ่ ญญัตใิ ห ้ผูท้ ไม่
ิ ารผังเมือง พ.ศ. 2518 ทีบั ี่ พอใจ
คาวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัตด ่ องต่อศาล
ิ งั กล่าวยืนฟ้
ปกครองได ้ภายในกาหนดหนึ่ งเดือน
้ ้แก่คดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (5) และ (6) นั่นเอง และศาล
ลักษณะตาม ข ้อ 5 นี ได
มีอานาจตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ ง (3)
่ ้บุคคลกระทาหรือละเว ้นกระทาอย่างหนึ่ งอย่างใดเพือให
สังให ่ ้เป็ นไปตามกฎหมายหรือตาม
มาตรา 72 วรรคหนึ่ ง (4)
่ ้ถือปฏิบต
สังให ั ต
ิ อ ่
่ สิทธิหรือหน้าทีของบุ ่ ยวข
คคลทีเกี ่ ่ี การฟ้ องให ้ศาลมีคาพิพ
้องในกรณี ทมี
ากษาแสดงความเป็ นอยูข ่ ้น
่ องสิทธิหรือหน้าทีนั

มีคดี 3 ประเภททีกฎหมายบั ญญัตม
ิ ใิ ห ้อยูใ่ นอานาจของศาลปกครองได ้แก่

การดาเนิ นการเกียวกั
บวินัยทหาร
การดาเนิ นการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด ้วยระเบียบข ้าราชการฝ่ ายตุล
่ี ใ่ นอานาจของศาลชานัญพิเศษสังกัดศาลยุตธิ รรม ได ้แก่
าการ และคดีทอยู
ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร
ศาลทรัพย ์สินทางปัญญาและการค ้าระหว่างประเทศ ศาลล ้มละลาย
หรือศาลชานัญพิเศษอืน่

อนึ่ ง การฟ้ องคดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (1) หรือมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (2)


พร ้อมกับเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (3) ไปด ้วย ย่อมทาได ้

ในกรณี เช่นนี ศาลจะมี ้
อานาจพิพากษาทังตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ ง (1) หรือมาตรา 72
วรรคหนึ่ ง (2) และมาตรา 72 วรรคหนึ่ ง (3)
การดาเนิ นกระบวนการพิจารณาคดี
่ ยวกั
ในส่วนทีเกี ่ ี จิ ารณาคดีในศาลปกครองนั้นจะใช ้ ระบบไต่สวนแทนทีจะเป็
บวิธพ ่ น

ระบบกล่าวหาอย่างทีประชาชนทั ่วไปคุ ้นเคย

ก่อนอืนจะต ้
้องเข ้าใจถึงความแตกต่างในพืนฐานระหว่างวิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครองในศาลปก
ครองกับวิธพ ่ กกฎหมายไทยส่วนใหญ่มค
ี จิ ารณาคดีแพ่งในศาลยุตธิ รรมทีนั ี วามเข ้าใจและ
่ านมา
คุ ้นเคยตลอดเวลาทีผ่

กระบวนการพิจารณาแบบไต่สวน

วิธพ
ี จิ ารณาคดีแพ่งในศาลยุตธิ รรมผูพ
้ พ
ิ ากษาจะไม่ได ้มีบทบาทหลัก

ในกระบวนพิจารณา เพราะการดาเนิ นคดีในศาลยุตธิ รรมจะเป็ น เรืองของคู ค
่ วาม
เป็ นสาคัญ

และการวินิจฉัยชีขาดของผู พ ้ พ ้
ิ ากษาก็จะขึนอยู
ก ่ บ ่ ค
ั ข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีคู ่ วาม
ได ้นาเสนอต่อศาล ดังนั้น ถ ้าคาคูค่ วามหรือพยานหลักฐานทีน ่ าเสนอโดยคูค
่ วาม
มีข ้อบกพร่องไม่สมบูรณ์ โดยทั่วไปแล ้ว
ผูพ
้ พ ่
ิ ากษาก็จะไม่ลงไปยุง่ เกียวกั
บข ้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานของคูค
่ วาม
่ วามฝ่ ายหนึ่ งฝ่ ายใดได ้ ทังนี
เพราะคิดว่าจะทาให ้เกิดความไม่เป็ นธรรม เป็ นการเข ้าข ้างคูค ้ ้
เนื่ องจากลักษณะของคดีในศาลยุตธิ รรมจะมีลก ั ษณะเป็ นการต่อสู ้ในคดีระหว่างคูค ่ วาม
่ ดในการดาเนิ นคดีในระบบกล่าวหาจะได ้แก่ การนั่งพิจารณาในศาล
ส่วนสาคัญทีสุ

และด ้วยเหตุนีการพิ
จารณาในศาลยุตธิ รรมจึงมีลก
ั ษณะเป็ นการต่อสู ้โต ้แย ้งกันด ้วยวิธสี บ
ื พ
ยานหักล ้างกันระหว่างคู่ความ (โดยทนายความ) ต่อหน้าผูพ
้ พ
ิ ากษา

(a trial by verbal battle หรือ oral adversary trial)


แต่กระบวนพิจารณาคดีปกครองจะมีหลักการทีส ่ าคัญ คือเป็ นกระบวนการพิจารณา
่ วนใหญ่จะเป็ นลายลักษณ์อก
ทีส่ ั ษรและเป็ นระบบไต่สวน

วิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครองใช ้ระบบไต่สวนจะสามารถเทียบเคียงได ้กับ
วิธพี จิ ารณาคดีอาญาในกลุม ่ ้ระบบ Civil Law
่ ประเทศทีใช

เพราะในประเทศเหล่านี เขามี ่
ความเห็นว่าในขณะทีในคดี ่ นข ้อพิพ
แพ่งในศาลยุตธิ รรมซึงเป็
าทระหว่างเอกชนสองฝ่ ายนักกฎหมายของกลุม ่ ประเทศเหล่านี ้ เห็นว่า
ไม่มค ่ พ
ี วามจาเป็ นทีผู ้ พ
ิ ากษาจะต ้องมีบทบาทในคดีมากไปกว่าการกากับดูแลกระบวนพิจา
รณาระหว่างคูค
่ วามให ้เป็ นไปตามกฎหมายวิธพ
ี จิ ารณาคดี
รัฐไม่มป
ี ระโยชน์ได ้เสียในคดีแพ่งระหว่างเอกชนดังกล่าว
นอกจากหน้าทีที่ กฎหมายก
่ าหนดให ้ผูพ้ พ
ิ ากษาหรือศาลจะต ้องเป็ นกลางไม่ฝักใฝ่ ฝ่ ายใด
แต่ในการดาเนิ นกระบวนวิธพ ี จิ ารณาความอาญา
เนื่ องจากว่าร ัฐมีผลประโยชน์โดยตรงในคดีอาญาทีเกี
่ ยวข
่ ้องกับการต ้องบังคับการให ้เป็ นไ

ปตามกฎหมายเพือความสงบสุ ขของสังคม ดังนั้น ในคดีอาญานักกฎหมายในกลุม ่ ประเทศ

Civil law จึงเห็ นว่าจาเป็ นทีจะต ่ พ
้องใช ้ระบบไต่สวนทีผู ้ พ
ิ ากษาจะต ้องมีบทบาทสาคัญ
(active role) ในการดาเนินคดีทางอาญา
่ นเหตุผลเดียวกันกับเหตุผลทีใช
ซึงเป็ ่ ้ในการดาเนิ นกระบวนวิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง
บทบาทของตุลาการในคดีปกครอง

จะต ้องทาหน้าทีในการแสวงหาทั
งข้ ้อเท็จจริงและข ้อกฎหมาย

ซึงในการแสวงหาข ้อเท็จจริงดังกล่าวจะไม่ถก
ู จากัดอยูแ่ ต่เฉพาะข ้อเท็จจริงหรือพยานหลัก
่ ค
ฐานทีคู ่ วามหรือคูก ื่
่ รณียนหรื อเสนอต่อศาลเท่านั้น

ในทางปฏิบต ้ั
ั ิ การดาเนินคดีปกครองจึงมีขนตอนที ่ ยกว่าการแสวงหาข ้อเท็จจริง
เรี

(ก่อนขันตอนของการนั ่ งพิจารณาคดี) ซึงศาลเป็
่ ่ งกล่าว
นผูท้ าหน้าทีดั
่ หน้าทีร่ ับผิดชอบการดาเนิ นขันตอนของการแสวงหาข
และตุลาการทีมี ้ ้อเท็จจริง เรียกว่า
ตุลาการเจ ้าของสานวน
่ นตุลาการคนหนึ่ งในองค ์คณะทีได
ซึงเป็ ่ ้ร ับมอบหมายให ้ทาหน้าทีนั
่ ้น

บทบาทของตุลาการเจ ้าของสานวนในการทาหน้าทีแสวงหาข ้อเท็จจริงจะกระทาได ้อย่างก

ว ้างขวางตามทีตนเห็ นสมควร

แม้วา่ โดยความเป็ นจริงแล ้วจะต ้องเริมจากข ่ ค
้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีคู ่
่ วามยืนหรื
อเส
นอต่อศาลก็ตาม
และแม้แต่วธิ ก ่ ้ในการเพือให
ี ารทีใช ่ ้ได ้ข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานก็สามารถกระทาได ้อย่

างกว ้างขวาง หน้าทีของตุ ลาการเจ ้าของสานวนในการแสวงหาข ้อเท็จจริง
นั้นย่อมจะต ้องกระทาเพือให
่ ่
้ได ้ข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีครบถ ่
้วนก่อนทีองค ์คณะจะ
พิจารณาวินิจฉัยคดี
่ ลาการเจ ้าของสานวนจะต ้องกระทาเพือประโยชน์
ซึงตุ ่ ้ั
แก่ทงสองฝ่ ายของคูก
่ รณี
และจะต ้องเปิ ดโอกาสให ้หรือคูก
่ รณี แต่ละฝ่ ายได ้ตรวจสอบและโต ้แย ้งหักล ้างข ้อเท็จจริงหรื
อพยานหลักฐานทีตุ ่ ลาการแสวงหาได ้มาด ้วยตนเองก่อนเสมอ

ก่อนทีรวมเป็ นส่วนหนึ่ งในสานวนแห่งคดี ด ้วยเหตุนีในคดี
้ ่
ปกครองโดยทัวไป
จึงไม่บงั คับว่าจะต ้องมีทนายความ
่ี
จะมีททนายความอาจมี ่
ความจาเป็ นในคดีเรืองการเรี
ยกให ้ใช ้เงินหรือในคดีสญ
ั ญาทางปก
ครองทีมี่ ความสลับซ ับซ ้อนเป็ นพิเศษ

ในส่วนทีว่่ าวิธพ
ี จิ ารณาคดีท่วไปเช่
ั ่
นในคดีแพ่งทีเราคุ ้นเคย การตัดสิน

ชีขาดคดีของศาลหมายถึงการตัดสินภายหลังจากทีมี ่ การนั่งพิจารณาสืบพยานหักล ้างกัน
ต่อหน้าผูพ ิ ากษาเท่านั้น
้ พ
โดยมีการโต ้แย ้งหักล ้างกันระหว่างคูค ่ ทนายความเป็ นผูช
่ วามทีมี ้ ว่ ยเหลือและกระทาต่อหน้
าผูพ
้ พ ้
ิ ากษาในศาล อย่างไรก็ตาม กรณี เช่นว่านี จะแตกต่ างกับในคดีปกครอง

แม้วา่ จะกาหนดว่าก่อนทีศาลปกครองจะวิ ้ ได ้นั้น
นิจฉัยชีขาดคดี
จะต ้องมีการนั่งพิจารณาโดยเปิ ดเผยของศาลก่อนเสมอก็ตาม
้ ้นว่าการนั่งพิจารณาของศาลปกครอง นั้น
เพราะจะต ้องเข ้าใจเสียในเบืองต
จะไม่เหมือนกับกระบวนการทีใช ่ ้ในศาลยุตธิ รรม
วิธพ ้
ี จิ ารณาคดีปกครองส่วนใหญ่เกือบทังหมดจะเป็ นลายลักษณ์อก ั ษร

คดีจะได ้ร ับการตัดสินชีขาดจากคาคูค ้ ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีคู
่ วาม รวมทังข ่ ก่ รณี
(คดีปกครองเราเรียกคูค ่ รณี ”) นาเสนอพร ้อมทัง้
่ วามว่า ”คูก
่ ลาการเจ ้าของสานวนดาเนิ นการมาตามกระบวนการแสว
ข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีตุ

งหาข ้อเท็จจริงทีจะอยู ้ั
ใ่ นสานวนคดีทงหมด

ขันตอนที ่ าคัญในการนั่งพิจารณาของศาลปกครองจึงมีลก
ส ่
ั ษณะทีแตกต่
างจากวิธท ี่ ้ใน
ี ใช
ระบบกล่าวหา

นอกจากนั้น ทีส
่ าคัญอย่างยิงอี
่ กประการหนึ่ ง คือ วิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง หรือ

ขันตอนการแสวงหาข ้อเท็จจริง
ระบบวิธพ ี จิ ารณาคดีปกครองยังให ้มีการถ่วงดุลการใช ้อานาจระหว่างตุลาการศาลปกครอ

งด ้วยกัน เพือตรวจสอบความสมบู รณ์ถก ู ต ้องของข ้อเท็จจริง กล่าวคือ โดยหลักแล ้ว
“ตุลาการเจ ้าของสานวน” จะเป็ นผูม
้ บ
ี ทบาทสาคัญในการแสวงหาและรวบรวมข ้อเท็จจริง
แต่จะต ้องเสนอข ้อเท็จจริงนั้นต่อตุลาการอืนที
่ ประกอบกั
่ นเป็ นองค ์คณะ และต่อ “ตุลาการ
่ ใช่ตล
ผูแ้ ถลงคดี” ซึงมิ ุ าการในองค ์คณะนั้นพิจารณาด ้วย

สาหรับในส่วนของการวินิจฉัยชีขาดนั ้น “ตุลาการผูแ้ ถลงคดี ” จะเสนอ “คาแถลงการณ์”
่ นการตรวจสอบข ้อเท็จจริง
ซึงเป็

ข ้อกฎหมายรวมทังการให ้
้ความเห็นในทางชีขาดตั
ดสินคดีตอ ่
่ องค ์คณะก่อนทีองค ์คณะจะ
ลงมติวน
ิ ิ จฉัย
่ ดสินคดีเรืองนั
อันเปรียบเสมือนเป็ นความเห็นของตุลาการนายเดียวว่าหากตนมีหน้าทีตั ่ ้นต
นจะพิพากษาอย่างไร ด ้วยเหตุผลประการใด
่ วา่ คาตัดสินขององค ์คณะเท่านั้นทีจะถื
ซึงแม้ ่ อเป็ นคาพิพากษา แต่การให ้มีระบบการเสนอ
“คาแถลงการณ์” ของตุลาการผูแ้ ถลงคดีตอ ่ องค ์คณะเช่นนี ้
่ น้
จะช่วยทาให ้การใช ้อานาจตัดสินคดีขององค ์คณะมีความรอบคอบและถูกต ้องมากยิงขึ
้ เพราะ
ทังนี ้ หากองค ์คณะไม่เห็นด ้วยกับคาแถลงการณ์
่ กแน่ นและน่ าเชือถื
โดยหลักก็จะต ้องแสดงให ้เห็นถึงเหตุผลทีหนั ่ อมากกว่า
เพราะจะมีการเปรียบเทียบคาวินิจฉัยและเหตุผลของตุลาการผูแ้ ถลงคดีและขององค ์คณะใ
นคดีปกครองเนื่ องจากกฎหมายกาหนดให ้มีการพิมพ ์เผยแพร่คาพิพากษาขององค ์คณะ
และคาแถลงการณ์ของตุลาการผูแ้ ถลงคดีควบคูก
่ น
ั เสมอ

การตรวจคาฟ้อง

การตรวจคาฟ้ องในคดีปกครองมีลก ั ษณะเป็ นการดาเนิ นการ 2 ชัน้ กล่าวคือ


้ ้นเมือมี
ในเบืองต ่ การยืนค
่ าฟ้ องเป็ นหน้าทีของพนั
่ ่
กงานเจ ้าหน้าทีของศาลที ่
จะต ้องตรวจคา
่ นว่
ฟ้ องทียื ่ ามีรายการครบถ ้วนสมบูรณ์หรือไม่
หากคาฟ้ องมีรายการไม่ครบถ ้วนหรือไม่ช ัดเจนหรือไม่อาจเข ้าใจได ้

พนักงานเจ ้าหน้าทีแนะนาให ้ผูฟ
้ ้ องคดีแก ้ไข อย่างไรก็ด ี
หากผูฟ ่ ้องร ับคาฟ้ องนั้นไว ้จะปฏิเสธไม่ได ้
้ ้ องคดีไม่แก ้ไขพนักงานเจ ้าหน้าทีต
่ ับคาฟ้ องไว ้แล ้วต ้องออกใบร ับให ้ผู ้มายืน
และเมือร ่ และลงทะเบียนคดีในสารบบความด ้วย
หลังจากนั้นจึงเสนออธิบดีศาลปกครองชันต
้ ้นเพือจ่
่ ายสานวนคดีน้ันต่อไป

ต่อจากนั้นตุลาการเจ ้าของสานวนจะต ้องตรวจสอบว่าผูฟ


้ ้ องคดีปฏิบต
ั ต ่
ิ ามเงือนไขการฟ้ อง
่ จารณาในเนื อหาสาระของคดี
คดีโดยครบถ ้วนแล ้วหรือไม่ ก่อนทีจะพิ ้ ตอ่ ไป
้ั
กระบวนการพิจารณาคดีชนการแสวงหาข้
อเท็จจริง


สาหร ับกระบวนพิจารณาชันการแสวงหาข ้ ลาการเจ ้าของสานวนจะเป็ นผูม้ บ
้อเท็จจริงนี ตุ ี ท
บาทสาคัญในการรวบรวมข ้อเท็จจริงและเสนอความเห็นต่อองค ์คณะ
โดยอาจแบ่งวิธก
ี ารในการแสวงหาข ้อเท็จจริงออกได ้เป็ น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ

1. การแสวงหาข ้อเท็ จจริงจากเอกสารของคูก


่ รณี (คาฟ้ อง
่ ม)
คาให ้การคาคัดค ้านคาให ้การ และคาให ้การเพิมเติ

เป็ นหน้าทีของตุ
ลาการเจ ้าของสานวนและเป็ นวิธกี ารหลักในการแสวงหาข ้อเท็จจริงของศา
ล กล่าวคือ
่ ลาการเจ ้าของสานวนได ้ตรวจคาฟ้ องและเห็นว่าคาฟ้ องทียื
เมือตุ ่ นเป็
่ นคาฟ้ องทีสมบู
่ รณ์คร
่ ับคาฟ้ องไว ้พิจารณาและสังให
บถ ้วน จะมีคาสังร ่ ้ผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดีทาคาให ้การ
ผูถ้ ก ่ าให ้การและพยานหลักฐานพร ้อมกับจัดทาสาเนาคาให ้การและสาเ
ู ฟ้ องคดีจะต ้องยืนค
นาพยานหลักฐานยืนต่ ่ อศาลภายใน 30 วัน หรือภายในระยะเวลาทีศาลก
่ าหนด
โดยผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดีจะฟ้ องแย ้งมาในคาให ้การก็ได ้
หากผูถ้ ก ่ื าให ้การพร ้อมพยานหลักฐานภายในระยะเวลาทีก
ู ฟ้ องคดีไม่ยนค ่ าหนดกฎหมาย
จะถือว่าผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดียอมรับข ้อเท็จจริงตามข ้อหาของผูฟ
้ ้ องคดี

ซึงศาลมีอานาจพิจารณาพิพากษาต่อไปได ้ตามทีเห็ ่ นเป็ นการยุตธิ รรม

่ ถ้ ก
เมือผู ู ฟ้ องคดียนค่ื าให ้การแล ้วศาลจะส่งสาเนาคาให ้การพร ้อมทังส ้ าเนาพยานหลักฐาน
ไปยังผูฟ ่
้ ้ องคดี เพือให ้ผู ้ฟ้ องคดีทาคาคัดค ้านหรือยอมร ับคาให ้การ ภายใน 30 วัน
หรือภายในระยะเวลาทีศาลก ่ าหนด
่ี ฟ
ในกรณี ทผู ้ ้ องคดีไม่ทาคาคัดค ้านคาให ้การและไม่แจ ้งต่อศาลเป็ นหนังสือว่าประสงค ์จะให ้
ศาลพิจารณาพิพากษาคดีตอ ่ ไปภายในกาหนดระยะเวลาดังกล่าว
่ าหน่ ายคดีออกจาก สารบบความได ้
ศาลอาจสังจ
คาคัดค ้านคาให ้การของผูฟ ่
้ ้ องคดีจะทาได ้เฉพาะในประเด็นทียกขึ ้
นกล่าวแล ้วในคาฟ้ อง

หรือคาให ้การ หรือทีศาลก าหนด
่ การยืนค
และเมือมี ่ าคัดค ้านคาให ้การแล ้วให ้ศาลส่งสาเนาคาคัดค ้านคาให ้การให ้แก่ผูถ้ ก
ู ฟ้
่ าคาให ้การเพิมเติ
องคดีเพือท ่ มภายใน 15 วัน หรือภายในระยะเวลาทีศาลก ่ าหนด
่ ้นกาหนดระยะเวลาดังกล่าวแล ้ว หรือเมือผู
เมือพ ่ ้ถูกฟ้ องคดียนค
ื่ าให ้การเพิมเติ
่ มแล ้ว
ตุลาการเจ ้าของสานวนมีอานาจจัดทาบันทึกของตุลาการเจ ้าของสานวนเสนอองค ์คณะเพื่
อพิจารณา ต่อไป

จากขันตอนดังกล่าวจะเห็นได ้ว่า การแสวงหาข ้อเท็จจริงจากคูก ่ รณี
้ บ
ตังอยู ้
่ นพืนฐานของหลั ่
กเรืองการฟั ้ ซึงสามารถ
งความสองฝ่ ายและการโต ้แย ้งชีแจง ่
สร ้างความเป็ นธรรมให ้แก่คก ้ั
ู่ รณี ได ้เป็ นอย่างดี โดยปกติแล ้วจะมีขนตอน 4

ขันตอนตามที ่ าวมาข ้างต ้น
กล่
แต่ถ ้าศาลเห็นว่าไม่มค ้
ี วามจาเป็ นต ้องดาเนิ นการให ้ครบทุกขันตอนดั
งกล่าว (เช่น
ปรากฏข ้อเท็จจริงอย่างชัดแจ ้งหรือไม่อาจโต ้แย ้งหรือปฏิเสธได ้)

ก็อาจยกเว ้นไม่ดาเนิ นการจนครบทุกขันตอนก็ ได ้

ดังจะได ้กล่าวต่อไปในเรืองการสรุ
ปสานวน
2. การแสวงหาข ้อเท็ จจริงของศาล หลักสาคัญของวิธพ
ี จิ ารณาคดี
่ นระบบไต่สวนนั้น
ปกครองซึงเป็

ตุลาการศาลปกครองมีอานาจทีจะแสวงหาข ้อเท็จจริงได ้อย่างกว ้างขวาง

ไม่วา่ จะเป็ นพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผูเ้ ชียวชาญ ่
หรือพยานหลักฐานอืน
หรือไปทาการตรวจสอบสถานที่ หรือส่งประเด็นไปให ้ศาลอืนแสวงหาข
่ ้อเท็ จจริงแทน
กับมีอานาจเรียกคูก ่
่ รณี หน่ วยงานทางปกครอง เจ ้าหน้าทีของร ัฐ
่ ยวข
หรือบุคคลทีเกี ่ ้ ้มาให ้ถ ้อยคา ทังนี
้องให ้ส่งเอกสาร หรือพยานหลักฐานใด ๆ รวมทังให ้ ้
โดยไม่จากัดเฉพาะแต่พยานหลักฐานของคูก ่ รณี เท่านั้น
่ รณี น้ันโต ้แย ้งคัดค ้านหรือชีแจงข
แต่ศาลจะต ้องเปิ ดโอกาสให ้คูก ้ ้อเท็จจริงดังกล่าวได ้เสมอ
โดยในการไต่สวนศาลจะทาหน้าทีเป็ ่ นผูท้ าการซ ักถามเอง

การแสวงหาข ้อเท็จจริงของศาลตามขันตอนนี ้
โดยปกติ ่ อยู
เป็ นเรืองที ่ ใ่ นขันตอนของตุ
้ ลาก
ารเจ ้าของสานวน อย่างไรก็ด ี
องค ์คณะพิจารณาพิพากษาก็มอ ่
ี านาจทีจะใช ้วิธก
ี ารแสวงหาข ้อเท็จจริงดังกล่าวได ้ด ้วย
่ี ก
3. กรณี ทคู ่ รณี ไม่ให ้ความร่วมมือในการให ้ข ้อเท็จจริงต่อศาล
่ี ก
ในกรณี ทคู ่ รณี ฝ่ายหนึ่ งฝ่ ายใดไม่แสดงพยานหลักฐานของฝ่ ายตนภายในระยะเวลาทีศา

ลกาหนด
กฎหมายให ้ถือว่าคูก ี่ ได ้แสดงพยานหลักฐานนั้นไม่มพ
่ รณีทไม่ ี ยานหลักฐานสนับสนุ นหรือ
ยอมร ับข ้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของคูก ี ฝ่ ายหนึ่ ง
่ รณี อก
่ นเป็ นการยุตธิ รรม
โดยให ้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาต่อไปตามทีเห็

และอาจจะต ้องร ับโทษทางอาญาในความผิดฐานขัดหมายหรือคาสังของศาลตามมาตรา
170 แห่งประมวลกฎหมายอาญาอีกทางหนึ่ งด ้วย

นอกจากนี ้ ในกรณี ทเป็


่ี นการกระทาของหน่ วยงานทางปกครอง
่ าเนิ นการแก ้ไขปร ับปรุงหรือสังการหรื
หรือนายกร ัฐมนตรีเพือด ่ อลงโทษทางวินัยต่อไป

และศาลเองอาจสังลงโทษฐานละเมิ ดอานาจศาลได ้อีกด ้วย
่ี
ในกรณี ทศาลมี ่ ้ผูฟ
คาสังให ้ ้ องคดีมาให ้ถ ้อยคาหรือแสดงพยานหลักฐานต่อศาลแล ้วผูฟ
้ ้ อง
คดีไม่มาหรือปฏิบต
ั ต ่
ิ ามคาสังศาล โดยไม่มเี หตุผลอันสมควร
่ าหน่ ายคดีเสียก็ได ้
ศาลอาจสังจ

การสรุปสานวน
่ี ลาการเจ ้าของสานวนได ้พิจารณาข ้อเท็จจริงจากคาฟ้ อง คาให ้การ
ในกรณี ทตุ

ฯลฯ และการชีแจงของคู ก
่ รณี
้ ้อเท็จจริงทีได
รวมทังข ่ ้มาจากการแสวงหาข ้อเท็จจริงของศาลเองแล ้วไม่วา่ ในขณะใด
เห็นว่าคดีมข ่ จารณาพิพากษาหรือมีคาสังชี
ี ้อเท็จจริงเพียงพอทีจะพิ ่ ขาดคดี
้ ได ้แล ้ว
่ี
หรือในกรณี ทศาลมี ่ ับคาฟ้ องแล ้ว
คาสังร

ตุลาการเจ ้าของสานวนเห็นว่าจากข ้อเท็จจริงทีปรากฏในค ้
าฟ้ องสามารถวินิจฉัยชีขาดคดี
ได ้โดยไม่จาเป็ นต ้องมีการแสวงหาข ้อเท็จจริงในคดีอก
ี (ไม่วา่ จะครบ 4

ขันตอนแล ้วหรือไม่) ตุลาการเจ ้าของสานวนมีอานาจจัดทาบันทึกสรุปข ้อเท็จจริง

ประเด็นทีจะต ้องวินิจฉัย
่ บประเด็นทีจะต
และความเห็นเกียวกั ่ ้องวินิจฉัยพร ้อมสานวนคดีเสนอให ้องค ์คณะพิจารณา
ดาเนิ นการต่อไป

ซึงในการท ้ ลาการเจ ้าของสานวนจะต ้องเสนอความเห็นของตนในการวินิจฉัยค
าบันทึกนี ตุ
ดีด ้วยว่าควรวินิจฉัยในแนวทางใด

่ี
ในกรณี ทองค ์คณะพิจารณาสานวนคดีดงั กล่าวแล ้วเห็นว่าไม่มก
ี รณี ต ้องแสวงหาข ้อเท็จจริ
่ ม ตุลาการหัวหน้าคณะจะมีคาสังก
งเพิมเติ ่ าหนดวันสินสุ้ ดการแสวงหาข ้อเท็จจริง
้ ้นพิจารณา
แล ้วส่งสานวนคดีให ้อธิบดีศาลปกครองชันต
่ งสานวนคดีน้ันให ้ตุลาการผูแ้ ถลงคดีจด
เพือส่ ั ทาคาแถลงการณ์เป็ นหนังสือ
ี่ นเรืองเร่
เว ้นแต่ในคดีทเป็ ่ ่ มี
งด่วน เรืองที ่ ข ้อเท็จจริงหรือข ้อกฎหมายไม่ยงุ่ ยาก
หรือในกรณี คาขอเกียวกั ่ บวิธก ่
ี ารชัวคราวก่ ่
อนการพิพากษาซึงอาจแถลงการณ์ ด ้วยวาจาไ
ด้
่ ลาการผู ้แถลงคดีได ้จัดทาคาแถลงการณ์เป็ นหนังสือหรือสามารถเสนอคาแถลงการ
เมือตุ
ณ์ด ้วยวาจาได ้แล ้ว
องค ์คณะจะกาหนดวันนั่งพิจารณาคดีครงแรกต่
้ั ่ ้หารือกับอธิบดีศาลปกคร
อไปหลังจากทีได
้ ้นแล ้ว
องชันต

จากอานาจหน้าทีของตุ ลาการเจ ้าของสานวนดังกล่าวข ้างต ้น จะเห็นได ้ว่า
่ าคัญในการพิจารณาคดีของศาลปกครอง
ตุลาการเจ ้าของสานวนจะเป็ นผู ้มีหน้าทีส
เพราะจะเป็ นผูร้ วบรวมข ้อเท็จจริงต่างๆ ในคดี
และพิจารณาเสนอความเห็นในเบืองต ้ ้นต่อองค ์คณะก่อนทีองค
่ ์คณะจะร ับฟังคาแถลงการ
ณ์ของตุลาการผูแ้ ถลงคดีและมีคาพิพากษาต่อไป

การนั่งพิจารณาคดีและการแถลงการณ์ของตุลาการผู แ
้ ถลงคดี

1. การนั่งพิจารณาคดี

เป็ นขันตอนส ้
าคัญขันตอนหนึ ่ งของกระบวนพิจารณาคดีปกครอง
้ นตอนการแสวงหาข
หลังจากเสร็จสินขั ้ ้อเท็จจริงและการสรุปสานวนแล ้ว
องค ์คณะจะต ้องจัดให ้มีการนั่งพิจารณาอย่างน้อย 1
้ั อให
ครงเพื ่ ่ รณี มโี อกาสมาแถลงด ้วยวาจาต่อหน้าองค ์คณะ ในการนี ้
้คูก
ศาลจะต ้องส่งสรุปข ้อเท็จจริงของตุลาการเจ ้าของสานวนให ้คูก
่ รณี ทราบล่วงหน้าไม่นอ้ ยก
ว่า 7 วัน
โดยคูก
่ รณี มสี ท ื่ าแถลงและนาพยานหลักฐานมาสืบเพิมเติ
ิ ธิยนค ่ มประกอบคาแถลงดังกล่าว
ในวันนั่งพิจารณาคดี
การนั่งพิจารณาคดีจะต ้องกระทาโดยเปิ ดเผยเว ้นแต่จะเข ้าข ้อยกเว ้นที่
ศาลปกครองจะเห็นสมควรห ้ามเปิ ดเผยข ้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ตา่ ง ๆ
่ ักษาความสงบเรียบร ้อยหรือศีลธรรมอันดี
ในคดีใดเพือร
่ ้มครองประโยชน์สาธารณะ
หรือเพือคุ
่ ้ามประชาชนมิให ้เข ้าฟังการพิจารณาหรือห ้ามมิให ้ออกโฆษ
ศาลปกครองอาจจะมีคาสังห
ณาข ้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ตา่ งๆ ในคดีน้ันได ้ ในวันนั่งพิจารณาคดีครงแรก
้ั
หากคูก ่ าแถลงเป็ นหนังสือจะต ้องยืนต่
่ รณี ประสงค ์จะยืนค ่ อศาลก่อนวันนั่งพิจารณาคดี
่ ดในระหว่างนั่งพิจารณาคดี
หรืออย่างช ้าทีสุ
่ นต่
คาแถลงเป็ นหนังสือทียื ่ อศาลนั้นต ้องเป็ นข ้อเท็จจริงทีเคยยกขึ
่ นอ้ ้างไว ้แล ้วเท่านั้น
่ นประเด็นสาคัญแห่งคดีซงมี
เว ้นแต่เป็ นข ้อเท็จจริงทีเป็ ่ึ เหตุจาเป็ นหรือพฤติการณ์พเิ ศษที่
ทาให ้ไม่อาจเสนอต่อศาลได ้ก่อนหน้านั้น
้ ก
ในการนี คู ่ รณี มส
ี ท ่ นต่
ิ ธินาพยานหลักฐานมาสืบประกอบคาแถลงเป็ นหนังสือทียื ่ อศาลได ้

สาหร ับขันตอนในการนั ่ งพิจารณาคดีครงแรก
้ั
่ ้วยตุลาการเจ ้าของสานวนจะสรุปข ้อเท็จจริงและประเด็นของคดี
เริมด
หลังจากนั้นคูก ่ ้ยืนไว
่ รณี สามารถแถลงด ้วยวาจาประกอบคาแถลงเป็ นหนังสือทีได ่ ้แล ้วโดยใ
ห ้ผูฟ
้ ้ องคดีแถลงก่อน
่ี
และด ้วยเหตุทกระบวนการพิ
จารณาคดีของศาลปกครองมีลก
ั ษณะเป็ นกระบวนพิจารณาท
างเอกสารเป็ นหลัก ดังนั้น คาแถลงด ้วยวาจาของคูก
่ รณี จะต ้องกระชับ อยูใ่ นประเด็น

และไม่อาจแถลงนอกเหนื อไปจากทีปรากฏในค าแถลงเป็ นหนังสือได ้
ในการนั่งพิจารณาคดี หากจาเป็ นจะต ้องซ ักถามคูก
่ รณี และพยาน ศาลจะเป็ นผูด้ าเนิ นการ
และจะต ้องจัดทารายงานกระบวนพิจารณาลงลายมือชือศาล ่
และคูก
่ รณี ไว ้เป็ นหลักฐานด ้วย
่ี ก
ในกรณี ทคู ่ รณี ฝ่ายหนึ่ งฝ่ ายใดฝ่ าฝื นข ้อกาหนดเพือร
่ ักษาความสงบเรียบร ้อยของศาลแล
่ ้ออกไปจากบริเวณศาล ศาลจะพิจารณาคดีลบ
ะศาลสังให ่ รณี ฝ่ายนั้นก็ได ้
ั หลังคูก
2. แถลงการณ์ของตุลาการผูแ้ ถลงคดี


เมือเสร็ ้
จสินการแถลงและการน าพยานหลักฐานมาสืบของคูก่ รณี แล ้ว

ตุลาการผูแ้ ถลงคดีจะชีแจงด ้วยวาจาประกอบคาแถลงการณ์เป็ นหนังสือ หรือเสนอ
คาแถลงการณ์ด ้วยวาจาต่อองค ์คณะ
้ คคลซึงไม่
ในการนี บุ ่ ได ้ร ับอนุ ญาตจากศาลจะอยูใ่ นห ้องพิจารณาไม่ได ้
ในการแถลงการณ์ของตุลาการผูแ้ ถลงคดีน้ัน
ตุลาการผูแ้ ถลงคดีจะเสนอความเห็นในการวินิจฉัยคดีของตนโดยอิสระต่อองค ์คณะว่าเป็ น
่ ถ่
อย่างไร ความเห็นของตุลาการผูแ้ ถลงคดีจะเป็ นสิงที ่ วงดุลความเห็นขององค ์คณะ
เพราะจะทาให ้องค ์คณะต ้องมีความละเอียดรอบคอบ
และมีเหตุผลสนับสนุ นอย่างแน่ นแฟ้ นในการพิจารณาพิพากษาคดีปกครองแต่ละคดี

โดยเฉพาะอย่างยิงหากมี ความเห็นแตกต่างไปจากความเห็นของตุลาการผูแ้ ถลงคดี

การละเมิดอานาจศาล

การละเมิดอานาจของศาลปกครองแบ่งออกเป็ น 2 สาเหตุ
่ าหนดไว ้ในพระราชบัญญัตจิ ด
คือเหตุตามทีก ้
ั ตังศาลปกครองฯ
่ าหนดไว ้ประมวลกฎหมายวิธพ
และเหตุตามทีก ี จิ ารณาความแพ่ง
่ าหนดไว ้ในพระราชบัญญัตจิ ด
1.เหตุตามทีก ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง
พ.ศ. 2542

(1) การไม่แสดงหลักฐานตามกาหนดเวลาหรือประวิงคดี (มาตรา 57)

(2)
การวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยไม่สจุ ริตและไม่ใช่ด ้วย
วิธก
ี ารทางวิชาการ (มาตรา 65)

2. เหตุตามประมวลกฎหมายวิธพ
ี จิ ารณาความแพ่ง
่ ดจากการกระทาการอย่างใดๆ
(1) ละเมิดทีเกิ เช่น
ขัดขืนไม่ปฏิบต ั ต
ิ ามข ้อกาหนดของศาลอันว่าด ้วยการรักษาความเรียบร ้อยหรือประพฤติต
่ จะไม่
นไม่เรียบร ้อยในบริเวณศาล จงใจหรือหลีกเลียงที ่ ร ับคาคูค ่
่ วามหรือเอกสารอืนๆ

หรือขัดขืนไม่มาศาลเมือศาลมี ่ อมีหมายเรียก เป็ นต ้น (มาตรา 31)
คาสังหรื

(2) การละเมิดอานาจศาลโดยการโฆษณา (มาตรา32)


่ เหตุละเมิดอานาจศาลปกครอง
เมือมี
ศาลปกครองสามารถลงโทษผูล้ ะเมิดอานาจศาลได ้โดย
การว่ากล่าวตักเตือนโดยวาจาหรือลายลักษณ์อก
ั ษร ไล่ออกจากบริเวณศาล
้ าทังปรับ
หรือลงโทษจาคุกหรือปร ับหรือทังจ ้

แต่การสังลงโทษผู ่
ล้ ะเมิดอานาจศาลโดยสังลงโทษจ าคุกไม่เกินหนึ่ งเดือนหรือปร ับไม่เกินห ้

าหมืนบาทหรื ้ าทังปร
อทังจ ้ ับ
่ มิ
จะต ้องให ้องค ์คณะอืนที ่ ใช่องค ์คณะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นเป็ นผูพ ่
้ จิ ารณาสังลงโทษ

เพือให ้เกิดความเป็ นธรรมแก่ผู ้ถูกลงโทษ


คาพิพากษาและคาสังของศาล

เมือเสร็ ้
จสินการแถลงการณ์
ของตุลาการผูแ้ ถลงคดี ตุลาการหัวหน้าคณะ
่ พากษาหรือมีคาสัง่ โดยจะกระทาในวันเดียวกับวันที่
จะนัดประชุมปรึกษาเพือพิ
ี้
ตุลาการผูแ้ ถลงคดีชแจงก็ ได ้
นอกจากนั้นอธิบดีศาลปกครองชันต ้ ้นมีอานาจทีจะให
่ ่
้มีการวินิจฉัยปัญหาหรือคดีโดยทีปร
ะชุมใหญ่ตล ้ ้นได ้ หากเห็นว่าเป็ นคดีทมี
ุ าการในศาลปกครองชันต ่ี ความสาคัญ เช่น

เป็ นคดีเกียวกั ่ บประโยชน์สาธารณะทีส่
บประชาชนเป็ นจานวนมากหรือเกียวกั ่ งผลกระทบอ
่ าคัญ เป็ นต ้น
ย่างมาก หรือเป็ นการวางหลักกฎหมายปกครอง ทีส
่ี าพิพากษาหรือคาสังใดจะต
ในกรณี ทค ่ ้องกระทาโดยตุลาการหลายคน
่ ้นจะต ้องบังคับตามความเห็นของฝ่ ายข ้างมาก
คาพิพากษาหรือคาสังนั
่ ้น
หากตุลาการผูใ้ ดมีความเห็นแย ้งจะต ้องทาความเห็นแย ้งไว ้ในคาพิพากษาหรือคาสังนั

ผลของคาพิพากษาหรือคาสัง่

1. ผลต่อคูก
่ รณี

ในกรณี ทค ่ี าพิพากษาศาลปกครองมีการกาหนดคาบังคับ
คูก
่ รณี จะต ้องปฏิบต ั ต ิ ามคาบังคับนับแต่วน ่ าหนดในคาพิพากษาเป็ นต ้นไปจนถึงวันทีค
ั ทีก ่ า
พิพากษานั้นถูกเปลียนแปลงแก
่ ้ไข กลับ หรืองดเสีย อย่างไรก็ด ี
้ ้น
หากเป็ นกรณี คาพิพากษาของศาลปกครองชันต
ต ้องรอการปฏิบตั ต
ิ ามคาบังคับไว ้จนกว่าจะพ ้นระยะเวลาอุทธรณ์หรือถา้ มีการอุทธรณ์
่ ด
ต ้องรอการบังคับคดีไว ้จนกว่าคดีจะถึงทีสุ

2. ผลต่อบุคคลภายนอก


คาพิพากษาหรือคาสังของศาลปกครองนั ้นก็เหมือนกับคาพิพากษาของ ศาลยุตธิ รรม
คือถือหลักว่าผูกพันเฉพาะคูก ่ ไปนี ้
่ รณี แต่อาจมีผลผูกพันบุคคลภายนอกได ้ในกรณี ตอ

(1) การให ้บุคคลใดออกไปจากสถานทีใดจะใช ้บังคับตลอดถึงบริวารของ
่ี ใ่ นสถานทีนั
ผูท้ อยู ่ ้นด ้วย

(2) การใช ้บังคับไปถึงผูเ้ ข ้าเป็ นผูค ้


้ าประกั ่
นในศาลเพือการดาเนิ นการใดๆ
่ ้น โดยไม่ต ้องฟ้ องผู ้คาประกั
ตามคาพิพากษาหรือคาสังนั ้ นใหม่
่ ยวกั
(3) คาพิพากษาหรือคาสังเกี ่ บสถานะหรือความสามารถของบุคคลหรือนิ ตบ
ิ ุคคล
่ เกี
(4) คาพิพากษาหรือคาสังที ่ ยวกั
่ บสิทธิแห่งทร ัพย ์สินใด

การอุทธรณ์
่ี พอใจในคาพิพากษาหรือคาสังของศาลปกครองชั
ผูท้ ไม่ ่ ้ ้นอาจอุทธรณ์
นต
่ งกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุดได ้ ภายใน 30 วัน นับแต่วน
คาพิพากษาหรือคาสังดั ่ ้มี
ั ทีได
คาพิพากษาหรือคาสังนั่ ้น
่ ทธรณ์ตอ
โดยจะต ้องยืนอุ ่ ศาลปกครองชันต้ ้นทีมี
่ คาพิพากษาหรือคาสัง่ ทังนี
้ ้
ตามนัยมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิธพี จิ ารณาคดีปกครอง
พ.ศ. 2542
โดยคาอุทธรณ์น้ันจะต ้องทาเป็ นหนังสือและอย่างน้อยต ้องระบุชอผู
่ื อ้ ท
ุ ธรณ์และคูก
่ รณี ในก
ารอุทธรณ์

ข ้อคัดค ้านคาพิพากษาหรือคาสังของศาลปกครองชั ้ ้น คาขอ และลายมือชือผู
นต ่ ้อุทธรณ์

ซึงพนั ่
กงานเจ ้าหน้าทีของศาลจะตรวจค ้ ้น
าอุทธรณ์ในเบืองต
จากนั้นตุลาการเจ ้าของสานวนจะตรวจคาอุทธรณ์อก
ี ครง้ั
ถ ้าเห็นว่ามีความสมบูรณ์ครบถ ้วน
ก็จะส่งคาอุทธรณ์น้ันให ้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาในลักษณะเดียวกับ

การดาเนิ นกระบวนพิจารณาในศาลปกครองชันต ้ ้นต่อไป


้ั
แต่ขนตอนในการแสวงหาข ้อเท็จจริงจะลดลง กล่าวคือ ไม่จาต ้องดาเนิ นการจนครบ 4

ขันตอน
้ ้นเพียง 2 ขันตอน
ดังเช่นศาลชันต ้ คือ พิจารณาจากคาอุทธรณ์
และคาแก ้อุทธรณ์ก็อาจสรุปสานวนได ้
ถ ้าตุลาการเจ ้าของสานวนเห็นว่าคดีมข ่
ี ้อเท็จจริงเพียงพอทีศาลจะพิ ่ ท
พากษาหรือมีคาสังอุ
ธรณ์ได ้แล ้ว
จากนั้นก็จะไปสูข ั้ ่ งพิจารณาและการแถลงการณ์ของตุลาการผูแ้ ถลงคดีต่
่ นตอนของการนั
อไป

ศาลปกครองสูงสุดมีอานาจพิพากษายกอุทธรณ์ ยืน กลับ หรือ



แก ้คาพิพากษาหรือคาสังศาลปกครองชั ้ ้นได ้ รวมทังมี
นต ้ อานาจสังยกค
่ าพิพากษา

หรือคาสังของศาลปกครองชั ้ ้นแล ้วส่งสานวนคดีคน
นต ่
ื ไปให ้พิพากษาหรือมีคาสังใหม่ หรือ
กาหนดให ้พิจารณาคดีน้ันใหม่ทงหมดหรื
้ั อบางส่วนแล ้วพิพากษา

หรือมีคาสังใหม่

หรือดาเนิ นการตามคาชีขาดของศาลปกครองสู ่
งสุดแล ้วพิพากษาหรือมีคาสังไปตามรู
ปคดี
นอกจากนั้น หากศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า
่ เป็ นสาระอันควรได ้ร ับการวินิจฉัยจะสังไม่
คาอุทธรณ์ใดมีข ้อเท็จจริงหรือข ้อกฎหมายทีไม่ ่ รั
บอุทธรณ์น้ันไว ้พิจารณาก็ได ้

การบังคับคดี

เมือศาลปกครองได ้มีคาพิพากษาในคดีใดแล ้ว
คาพิพากษานั้นมีผลผูกพันคูก ่ี
่ รณี ทจะต ้องปฏิบต
ั ต
ิ ามคาบังคับนับแต่วน ่ าหนดในคาพิพ
ั ทีก
่่ าพิพากษานั้นถูกเปลียนแปลง
ากษาจนถึงวันทีค ่ แก ้ไข กลับ
่ี นคาพิพากษาของศาลปกครองชันต
หรืองดเสียและในกรณี ทเป็ ้ ้น
ให ้รอการปฏิบต
ั ต ่ี การอุท
ิ ามคาบังคับไว ้จนกว่าจะพ ้นระยะเวลาการอุทธรณ์หรือในกรณี ทมี
่ ด ตามมาตรา 70
ธรณ์ให ้รอการบังคับคดีไว ้จนกว่าคดีจะถึงทีสุ
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 และมาตรา
77 (3) แห่งพระราชบัญญัตเิ ดียวกัน
่ าเนิ นการบัง
กาหนดให ้สานักงานศาลปกครองโดยสานักบังคับคดีปกครองมีอานาจหน้าทีด
คับให ้เป็ นไปตามคาบังคับของศาลปกครอง


ในการบังคับคดีสานักบังคับคดีปกครองมีแนวทางในการดาเนิ นการบังคับเพือให ้เป็ นไปตา
้ ้ ตามมาตรา 72
มคาบังคับของศาลปกครอง ทังนี
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
ประกอบกับระเบียบสานักงานศาลปกครองว่าด ้วยการดาเนิ นการบังคับให ้เป็ นไปตามคาบัง
คับของศาลปกครอง พ.ศ.2544 ดังนี ้
่ี
1. กรณี ทศาลปกครองมี ่ ดให ้เพิกถอนกฎ
คาพิพากษาถึงทีสุ
ให ้มีการประกาศผลแห่งคาพิพากษาดังกล่าวในราชกิจจานุ เบกษา
และให ้การประกาศดังกล่าวมีผลเป็ นการเพิกถอนกฎนั้น

2.
่ี
กรณี ทศาลปกครองมี คาบังคับให ้ผูใ้ ดชาระเงินหรือส่งมอบทร ัพย ์สินตามคาพิพากษาหรือใ

ห ้บุคคลกระทาหรือละเว ้นกระทาอย่างใดเพือให ้เป็ นไปตามกฎหมาย
ถ ้าผูน้ ั้นไม่ปฏิบต
ั ต
ิ ามคาบังคับดังกล่าว
ศาลปกครองอาจมีคาสังให ่ ้มีการบังคับคดีแก่ทร ัพย ์สินของบุคคลนั้น ทังนี
้ ้
โดยให ้นาบทบัญญัตวิ า่ ด ้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธพ
ี จิ ารณาความแพ่งมาใ
ช ้บังคับโดยอนุ โลม
่ี
ในกรณี ทศาลปกครองออกหมายบั ้ั ้าพนักงานบังคับคดีดาเนิ นการยึด
งคับคดีตงเจ
ื้
อายัดทร ัพย ์สิน หรือขับไล่รอถอน
่ี
3. กรณี ทศาลปกครองมี ่
คาบังคับอืน ๆ เช่น
่ อสังห
เพิกถอนคาสังหรื ่ ้ามการกระทาทังหมดหรื
้ อบางส่วน

ให ้หัวหน้าหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ยวข
ัฐทีเกี ่ ้องปฏิบต
ั ต ่
ิ ามหน้าทีภายในเ

วลาทีศาลปกครองกาหนด หรือให ้ถือปฏบัตต
ิ อ ่
่ สิทธิหรือหน้าทีของบุ ่ ยวข
คคลทีเกี ่ ้อง
สานักบังคับคดีปกครองจะติดตามและบังคับให ้เป็ นไปตามคาบังคับของศาลปกครอง

ค่าธรรมเนี ยมศาล

1. วิธช
ี าระค่าธรรมเนี ยมศาล

ื่ องต่อศาลปกครองกลาง (คดีฟ้องใหม่ คดีฟ้องแย ้ง


กรณี ยนฟ้
้ั ทธรณ์) ชาระเป็ น
คดีร ับโอนและคดีชนอุ

1. เงินสด


2. เช็คซึงธนาคารร ับรอง ่ วนราชการหรือร ัฐวิสาหกิจเป็ นผูส้ งจ่
หรือเช็คซึงส่ ่ ั าย

้ ้ ให ้ธนาคารสังจ่
ทังนี ่ ายเงินชือบั
่ ญชี

"เงินค่าธรรมเนี ยมและเงินค่าปร ับของสานักงานศาลปกครองกลาง"

3. บัตรเครดิต ่
บัตรเดบิต หรือบัตรอืนในลั
กษณะเดียวกัน

หมายเหตุ

หากมีคา่ ธรรมเนี ยมหรือค่าใช ้จ่ายอย่างอืนในการเรี
ยกเก็บเงินตามวิธก
ี ารดังกล่าวให ้ผูม้ ห

่ ้องชาระค่าธรรมเนี ยมศาลเป็ นผูร้ ับภาระ
น้าทีต

ื่ องตรงต่อศาลปกครองสูงสุด (คดี ฟ.)


กรณี ยนฟ้

ชาระเป็ น

1. เงินสด

่ ่ าย
2. เช็คทีธนาคารสั
งจ่ ได ้แก่

2.1 ตั๋วแลกเงินธนาคาร

2.2 ดราฟต ์

2.3 แคชเชียร ์เช็ค (ใช ้เฉพาะธนาคารในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล


เนื่ องจากแคชเชียร ์เช็คของธนาคารในเขตต่างจังหวัด เมือน
่ ามาเข ้าบัญชีทกรุ
่ี งเทพฯ
จะมีคา่ ธรรมเนี ยมในการเรียกเก็บเงินตามเช็ค

ทาให ้จานวนเงินทีศาลร ับชาระไม่ตรงตามเช็ค
จึงส่งผลให ้ผูฟ
้ ้ องคดีชาระค่าธรรมเนี ยมศาลไม่ครบถ ้วน)
้ ้ ให ้ธนาคารสังจ่
ทังนี ่ ายเงินชือบั
่ ญชี

"เงินค่าธรรมเนี ยมและเงินค่าปร ับของสานักงานศาลปกครองสูงสุด"

2. วิธช
ี าระเงินวางชาระตามคาพิพากษา / เงินบังคับคดี

ี่ นฟ้
กรณี เป็ นคดีทยื ่ องต่อศาลปกครองกลาง

ชาระเป็ น

1. เงินสด

่ ่ าย
2. เช็คทีธนาคารสั
งจ่ ได ้แก่

2.1 ตั๋วแลกเงินธนาคาร

2.2 ดราฟต ์

2.3 แคชเชียร ์เช็ค (ใช ้เฉพาะธนาคารในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล


เนื่ องจากแคชเชียร ์เช็คของธนาคารในเขตต่างจังหวัด
่ ามาเข ้าบัญชีทกรุ
เมือน ่ี งเทพฯจะมีคา่ ธรรมเนี ยมในการเรียกเก็บเงินตามเช็ค

ทาให ้จานวนเงินทีศาลร ับชาระไม่ตรงตามเช็ค
จึงส่งผลให ้ผูฟ
้ ้ องคดีชาระค่าธรรมเนี ยมศาลไม่ครบถ ้วน)
้ ้ ให ้ธนาคารสังจ่
ทังนี ่ ายเงินชือบั
่ ญชี "เงินกลางของสานักงานศาลปกครองกลาง"

่ี นฟ้
กรณี เป็ นคดีทยื ่ องตรงต่อศาลปกครองสูงสุด (คดี ฟ.)

ชาระเป็ น

1. เงินสด

่ ่ าย
2. เช็คทีธนาคารสั
งจ่ ได ้แก่

2.1 ตั๋วแลกเงินธนาคาร

2.2 ดราฟต ์

2.3 แคชเชียร ์เช็ค (ใช ้เฉพาะธนาคารในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล


เนื่ องจากแคชเชียร ์เช็คของธนาคารในเขตต่างจังหวัด
เมือน่ ามาเข ้าบัญชีทกรุ
่ี งเทพฯจะมีคา่ ธรรมเนี ยมในการเรียกเก็บเงินตามเช็ค

ทาให ้จานวนเงินทีศาลร ับชาระไม่ตรงตามเช็ค
จึงส่งผลให ้ผูฟ
้ ้ องคดีชาระค่าธรรมเนี ยมศาลไม่ครบถ ้วน)
้ ้ ให ้ธนาคารสังจ่
ทังนี ่ ายเงินชือบั
่ ญชี "เงินกลางของสานักงานศาลปกครองสูงสุด"

่ ม
หากมีข ้อสงสัย สอบถามได ้ทีกลุ ่ บริหารเงินค่าธรรมเนี ยมและเงินกลาง
สานักบริหารการเงินและต ้นทุน

โทรศัพท ์ 02-141-0276-7 , 02-141-0193

หมายเหตุ
่ี นฟ้
1. คดีทยื ่ องก่อนวันที่ 11 พ.ค. 2551
แต่ยงั ไม่ได ้ชาระค่าธรรมเนี ยมศาลให ้คิดค่าธรรมเนี ยมศาลในอัตราเดิมแม้จะชาระค่าธรรมเ
นี ยมศาล

หลังวันที่ 11 พ.ค. 2551 ก็ตาม


้ ทธรณ์ ให ้ใช ้อัตราเดียวกับค่าธรรมเนี ยมศาลชันต
2. ค่าธรรมเนี ยมศาลในชันอุ ้ ้น
3. การขอคืนค่าธรรมเนี ยมศาลและขอร ับเงินวางชาระตามคาพิพากษา

่ าร ้องตามแบบฟอร ์มของศาลพร ้อมแนบหลักฐาน (เอกสารแนบ)


ยืนค

และรอเจ ้าหน้าทีการเงิ
นติดต่อกลับ

หมายเหตุ

คูก ่ าร ้องขอคืนค่าธรรมเนี ยม
่ รณี สามารถยืนค

และขอร ับเงินวางชาระตามคาพิพากษาคืนได ้ เมือคดี ่ ดแล ้ว
ถงึ ทีสุ

You might also like