Professional Documents
Culture Documents
ข้อควรรู ้เกียวกั
บการฟ้องคดีปกครอง
การฟ้องคดีปกครอง
การเสนอคาฟ้อง
่ องต่อศาล จะต ้องเป็ นไปตามเงือนไข
การยืนฟ้ ่ ดังต่อไปนี ้
่ น
1. เรืองที ่ ามาฟ้ องต ้องเป็ นคดีปกครอง
่ อยู
และต ้องเป็ นเรืองที ่ ใ่ นอานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง คือ
เป็ นกรณี ตามมาตรา 9 และมาตรา 11
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 และมาตรา
223 ของรัฐธรรมนู ญแห่งราชอาณาจักรไทย
่ องต่อศาลทีมี
2. ต ้องยืนฟ้ ่ อานาจ
อานาจศาลในทีนี ่ หมายถึ
้ ้ านาจและเขตอานาจกล่าวคือ
งทังอ
่ี ใ่ นอานาจของศาลปกครองชันต
คดีทอยู ้ ้น
่ องต่อศาลปกครองชันต
ก็จะต ้องยืนฟ้ ้ ้นจะฟ้ องไปยังศาลปกครอง สูงสุดไม่ได ้
ในทางกลับกันคดีทอยู่ี ใ่ นอานาจของศาลปกครองสูงสุด ก็จะต ้องยืนฟ้
่ องต่อศาล
ปกครองสูงสุดเท่านั้น
้
อีกทังการยื ่ องคดีจะต ้องยืนฟ้
นฟ้ ่ องต่อศาลปกครองทีมี
่ เขตอานาจเหนื อคดีน้ัน
่
ซึงในศาลปกครองชั ้ ้นได ้แก่
นต
่ ลคดีเกิดขึนหรื
ศาลทีมู ้ อศาลทีผู่ ฟ
้ ้ องคดีมภ
ี ม ิ าเนาอยูเ่ ขตศาลนั้น
ู ล
้ ของประเทศ
ส่วนศาลปกครองสูงสุดมีเขตอานาจครอบคลุมทุกพืนที ่
่ าหนดไว ้และยืนโดยถู
3. คาฟ้ องต ้องทาเป็ นหนังสือและมีรายการตามทีก ่ กวิธ ี
4. ผูฟ ่ี ความสามารถตามกฎหมาย
้ ้ องคดีต ้องเป็ นผูท้ มี
โดยหลักแล ้วผูฟ ่ี ความสามารถในการทานิ ตก
้ ้ องคดีต ้องเป็ นผูท้ มี ิ รรมตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิ ชย ์
หากผูฟ
้ ้ องคดีมข ่
ี ้อบกพร่องในเรืองความสามารถก็ ่
จะต ้องดาเนิ นการแก ้ไขตามทีประมวลก
ฎหมายแพ่งและพาณิ ชย ์บัญญัตไิ ว ้ อย่างไรก็ด ี สาหร ับในการฟ้ องคดีปกครองนั้น
่ อายุไม่ต่ากว่า 15 ปี บริบูรณ์
มีข ้อยกเว ้นอนุ ญาตให ้ผู ้เยาว ์ทีมี
ฟ้ องคดีด ้วยตนเองได ้ถ ้าศาลอนุ ญาต
5. ผูฟ
้ ้ องคดีต ้องเป็ นผูม้ ส
ี ท ่ ญญัตไิ ว ้ในมาตรา 223
ิ ธิฟ้องคดีตามทีบั
ของรัฐธรรมนู ญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา 42
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
กล่าวคือ
่ ้ร ับความเดือดร ้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร ้อนหรือเสียหายโดยมิอา
จะต ้องเป็ นผู ้ทีได
่
จหลีกเลียงได ้จากการกระทาหรืองดเว ้นการกระทาอย่างหนึ่ งอย่างใดของหน่ วยงานทางปก
่
ครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ บสัญญาทางปกครอง
ัฐ หรือมีข ้อโต ้แย ้งเกียวกั
่ื
หรือกรณี อนใดที ่ ใ่ นเขตอานาจของศาลปกครองซึงในความเป็
อยู ่ นจริงส่วนใหญ่แล ้วผูเ้ สีย
หายในคดีปกครองก็คอื ประชาชนทั่วไปทีได
่ ้ร ับความเดือดร ้อนหรือเสียหายจากการกระทา
ทางปกครอง
่
แต่หน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐก็อาจเป็ นผูเ้ สียหายและฟ้ องคดี
ปกครองได ้เช่นกัน
่
สาหรับกรณี ความร ับผิดทางละเมิดหรือความร ับผิดอย่างอืนของฝ่ ายปกครองหรือสัญญาท
างปกครองนั้น มีความชัดเจนอยูใ่ นตัวว่า “ผูไ้ ด ้รับความเดือดร ้อนหรือเสียหาย
หรืออาจจะเดือดร ้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลียงได ่ ”้ นั้น จะต ้องเป็ นผูท ่ี ก
้ ถู
“โต ้แย ้งสิทธิ” เท่านั้น เพราะเขาต ้องเป็ น “ผูท
้ รงสิทธิ” โดยสภาพ
และสิทธิของเขาถูกโต ้แย ้งด ้วยการกระทาละเมิดหรือการไม่ปฏิบต
ั ต
ิ ามสัญญาของฝ่ ายปก
ครอง หรืออสังหาริมทรัพย ์ของเขาถูกเวนคืน
่
ในคดีเกียวกั ่ อปฏิบต
บการละเลยต่อหน้าทีหรื ั ห ่ าช ้าเกินสมควร
ิ น้าทีล่
่ บความชอบด ้วยกฎหมายของการกระทาทางปกครอง
คงถือหลักเดียวกับคดีเกียวกั
่
ส่วนคดี ทีกฎหมายก าหนดให ้อยูใ่ นเขตอานาจของศาลปกครองนั้น
้
ย่อมขึนอยู ก ่ ้น ๆ
่ บั กฎหมายในเรืองนั
่ี าวมาข ้างต ้นด ้วยว่ามีลก
แต่ก็ต ้องพิจารณาเปรียบเทียบกับกรณี ทกล่ ั ษณะคล ้ายคลึงหรือ
แตกต่างกันเพียงใด
่ี
แต่สาหร ับคดีทกฎหมายก าหนดให ้ฝ่ ายปกครองฟ้ องคดีตอ ่ งคับให ้บุคคลต ้องกระ
่ ศาลเพือบั
ทาหรือละเว ้นกระทาอย่างหนึ่ งอย่างใด ไม่มป
ี ระเด็นต ้องพิจารณาถึงความหมายของคาว่า
“ผูม
้ ส
ี ว่ นได ้เสีย”
เพราะผูฟ ่
้ ้ องคดีก็คอื ฝ่ ายปกครองและเป็ นการฟ้ องคดีตามทีกฎหมายกาหนด
่ องภายในระยะเวลาทีก
6. ต ้องยืนฟ้ ่ าหนด
8. การชาระค่าธรรมเนี ยมศาล
่ ้ องคดีตอ
ตัวอย่างการยืนฟ ่ ศาลปกครองกลาง
่ องคดีปกครองต่อศาลปกครองกลางนั้นมีหลักเกณฑ ์และวิธก
การยืนฟ้ ี ารเช่นเดียวกับการยื่
้ ้นอืน
นฟ้ องต่อศาลปกครองชันต ่ แต่มข ่ มบางประการ ดังนี ้
ี ้อควรสังเกตเพิมเติ
1.
ผูฟ ่ าฟ้ องด ้วยตนเองทีศาลปกครองกลางหรื
้ ้ องคดีจะมายืนค ่ อจะส่งทางไปรษณี ย ์ลงทะเบียน
่ี นฟ้
ก็ได ้ โดยในกรณี ทยื ่ องทางไปรษณี ย ์ลงทะเบียนให ้จ่าหน้าซองดังนี ้
3. การฟ้ องคดีปกครองนั้น
ผูฟ
้ ้ องคดีสามารถดาเนิ นการด ้วยตนเองได ้โดยไม่จาเป็ นต ้องมีทนายความ
แต่หากผูฟ ่ าเนิ นการใดๆด ้วยตนเองก็อาจมอบอานาจให ้ทนายความห
้ ้ องคดีไม่สะดวกทีจะด
รือบุคคลอืนฟ้่ องคดีหรือดาเนิ นคดีปกครองแทนตนตังแต่
้ ต ้นจนเสร็จคดีก็ได ้ กรณี เช่นนี ้
ผูฟ ้ ดอากรแสตมป์ ราคา 30 บาท
้ ้ องคดีจะต ้องทา ใบมอบอานาจพร ้อมทังติ
ให ้เรียบร ้อยโดยไม่ต ้องใช ้ใบแต่งทนายเหมือนในคดีแพ่งหรือคดีอาญาทั่วไป
โดยผูฟ ้ ้ องคดีอาจใช ้ตัวอย่างใบมอบอานาจที่ ศาลปกครองกลางได ้จัดทาขึนก็
้ ได ้
4. ในบางกรณี
ผูฟ ่ องคดีหรือดาเนิ นคดี
้ ้ องคดีอาจไม่ประสงค ์จะมอบอานาจให ้ทนายความหรือบุคคลอืนฟ้
้
ปกครองแทนตนทังหมดดั งเช่นกรณี ตามข ้อ3.
่ื
แต่ต ้องการเพียงให ้ผูอ้ นมายื ่ องแทนหรือยืนเอกสารหรื
นฟ้ ่ อ
้ั
พยานหลักฐานแทนเป็ นครงคราวเท่ านั้น กรณี เช่นนี ้
ผูฟ ่ื
้ ้ องคดีก็อาจมอบฉันทะให ้ผูอ้ นกระทาแทนตนเป็ นคราวๆ
้ ดอากรแสตมป์ ราคา 10
ก็ได ้โดยในแต่ละคราวผู ้ฟ้ องคดีจะต ้องทาใบมอบฉันทะ พร ้อมทังติ
่
บาท ให ้เรียบร ้อย ซึงกรณี ้
นีศาลปกครองกลางได ้จัดทา ตัวอย่างใบมอบฉันทะ
ไว ้ด ้วยแล ้วเช่นกัน
่
5. สาหร ับเรืองใดที
มี่ ผูเ้ ดือดร ้อนหรือเสียหายหลายคน
่ ละคนประสงค ์จะฟ้ องคดีด ้วยเหตุเดียวกัน
ซึงแต่
ผูฟ ่ าฟ้ องร่วมกันเป็ นฉบับเดียวได ้โดยลงชือผู
้ ้ องคดีทุกคนอาจยืนค ่ ฟ ้ ้ องคดีทุกคนท ้ายคาฟ้
้ ฟ
องและในกรณี นีผู ้ ้ องคดี
ทุกคนจะมอบหมายให ้ผู ้ฟ้ องคดีคนหนึ่ งเป็ นผูแ้ ทนของผูฟ
้ ้ องคดีทุกคนในการดาเนิ นคดีตอ
่
ไปก็สามารถกระทาได ้โดยไม่ต ้องทาใบมอบอานาจหรือใบมอบฉันทะ แต่อย่างใด
6.
่ี ฟ
ในกรณี ทผู ่ ้ผูถ้ ก
้ ้ องคดีฟ้องขอให ้ศาลปกครองสังให ู ฟ้ องคดีใช ้เงินหรือส่งมอบทร ัพย ์สินใน
กรณี ละเมิด หรือผิดสัญญา ผูฟ ้ ้ องคดีจะต ้องเสียค่าธรรมเนี ยมศาล อย่างไรก็ตาม
่ี ฟ
ในกรณี ทผู ้ ้ องคดีไม่ทราบว่าจะต ้องเสียค่าธรรมเนี ยมศาลหรือไม่และเท่าใดหากผูฟ ้ ้ องคดี
่ องด ้วยตนเอง
มายืนฟ้
ผูฟ ่
้ ้ องคดีอาจขอร ับคาแนะนาจากเจ ้าหน้าทีศาลปกครองในขณะที
ยื่ นฟ้
่ องก็ได ้
แต่ถ ้าผูฟ
้ ้ องคดีสง่ คาฟ้ องทางไปรษณี ย ์ ลงทะเบียน
ผูฟ
้ ้ องคดีจะต ้องคานวณเงินค่าธรรมเนี ยมศาลเอง หากคานวณได ้ไม่ถก ู ต ้อง
ศาลก็จะมีคาสังแจ ่ ้งให ้ผู ้ฟ้ องคดีชาระค่าธรรมเนี ยมศาลให ้ถูกต ้องในภายหลัง
7. การชาระค่าธรรมเนี ยมศาลนั้น ่
นอกจากจะเลือกชาระเป็ นเงินสดหรือเช็คซึงธนาคาร
ร ับรองแล ้ว ผู ้ฟ้ องคดียงั อาจเลือกชาระด ้วยตั๋วแลกเงินธนาคารหรือดร ๊าฟธนาคารก็ได ้
โดยในช่อง สังจ่ ่ ายให ้สังจ่
่ ายในนาม
1. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่ น
บทีดิ
1.1
คดีทฟ้่ี องขอให ้เพิกถอนคาสังของอธิ
่ ่ นกรณี มค
บดีกรมทีดิ ่ กถอนหนังสือแสดงสิทธิใ
ี าสังเพิ
่ น
นทีดิ
1.2 ่ นจังหวัดละเลยต่อหน้าทีในการพิ
คดีฟ้องว่าสานักงานทีดิ ่ ่ น
จารณาคาขอออกโฉนดทีดิ
1.3 ่
คดีฟ้องขอให ้เพิกถอนคาสังของคณะกรรมการการเช่
านา
1.4 ่ ออกหนังสือแสดงสิทธิในทีดิ
คดีฟ้องขอให ้เพิกถอนคาสังไม่ ่ น
2. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการคมนาคมและขนส่ง
2.1 คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บงานทะเบียนของกรมขนส่งทางบก
2.2
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการกาหนดเส ้นทางการเดินรถโดยสารและการกาหนดอัตราค่าโดยสาร
3. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการควบคุมอาคารและการผังเมือง
3.1
คดีทฟ้่ี องขอให ้เพิกถอนคาสังของเจ
่ ่
้าพนักงานท ้องถินกรณี มค ่ ไม่
ี าสังที ่ ดาเนิ นการเกียวกั
่ บ
อาคารตามกฎหมายควบคุมอาคาร
3.2
คดีทฟ้่ี องว่าเจ ้าพนักงานท ้องถินละเลยไม่
่ ่ อสร ้างผิดกฎหมายควบ
ดาเนิ นการกับอาคารซึงก่
คุมอาคาร
4. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่ นและอาคารชุด
บการจัดสรรทีดิ
4.1
คดีทฟ้ี่ องขอให ้เพิกถอนมติของคณะกรรมการจัดสรรทีดิ
่ นหรือฟ้ องว่าคณะกรรมการจัดสร
่ นละเลยไม่ดาเนิ นการตามกฎหมายว่าด ้วยการจัดสรรทีดิ
รทีดิ ่ น
4.2
่
คดีฟ้องขอให ้เพิกถอนคาสังของเจ ่ นทีร่ ับจดทะเบียนแต่งตังหรื
้าพนักงานทีดิ ้ อเปลียนแปลง
่
ผูจ้ ด
ั การและกรรมการนิตบ
ิ ุคคลอาคารชุด
5. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการบริหารงานบุคคลและวินัย
คดีพพ
5.1 ่
ิ าทเกียวกั ่ ้ายข ้าราชการ คาสั่งเลือนขั
บคาสังย ่ ้ นเดือน
นเงิ
่ ้ออกจากราชการเนื่ องจากขาดคุณสมบัตห
คาสังให ิ รือหย่อนประสิทธิภาพในการปฏิบต
ั ริ า
่ ้ออกจากราชการเพือร
ชการ หรือคาสังให ่ ับบาเหน็ จบานาญเหตุทดแทน
5.2
่ี ข ้อพิพาทเกียวกั
คดีทมี ่ บคาสังให
่ ้ออกจากราชการเนื่ องจากถูกสอบสวนวินัยแต่ไม่มห ี ลักฐ
่
านเพียงพอทีจะลงโทษทางวิ ่ อมเสี
นัยแต่การให ้ร ับราชการต่อไปอาจจะเป็ นทีเสื ่ ยทางราชกา
รด ้วย
5.4
่
คดีฟ้องขอให ้เพิกถอนประกาศสอบคัดเลือกเพือบรรจุ ้ นข ้าราชการหรือพนักงาน
แต่งตังเป็
ของหน่ วยงานของรัฐ
6. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บบาเหน็ จบานาญ สิทธิประโยชน์และสวัสดิการ
6.1 คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บสิทธิในการร ับเงินบาเหน็ จบานาญ
6.2 ่ี ข ้อพิพาทเกียวกั
คดีทมี ่ บคาสังหรื
่ อการดาเนิ นการเกียวกั
่ บค่าเช่าบ ้านข ้าราชการ
ค่าใช ้จ่ายในการเดินทางไปราชการ การจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบต ั งิ านนอกเวลาราชการ
่
สวัสดิการเกียวกั ่
บการช่วยเหลือบุตร สวัสดิการเกียวกั
บการศึกษาบุตร
่
สวัสดิการเกียวกั ่
บการร ักษาพยาบาล หรือการจ่ายเงินค่าตอบแทนหรือสวัสดิการอืนๆ
่
ของเจ ้าหน้าทีของร ัฐ
7. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน
7.1
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการพิจารณาคาขอสัญชาติไทยและคาขออนุ ญาตอยูใ่ นราชอาณาจักร
ไทยของคนต่างด ้าว
7.2 คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่ ้พ ้นจากตาแหน่ งกานัน ผูใ้ หญ่บ ้าน
บคาสังให
่
หรือผูบ้ ริหารราชการส่วนท ้องถิน
8. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการประกอบกิจการและเหตุเดือดร ้อนราคาญ
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการพิจารณาคาขอดาเนิ นการและการควบคุมการประกอบกิจการต่างๆ
ไม่วา่ จะมีสภาพเป็ นโรงงานหรือไม่ รวมถึงการประกอบกิจการอันเป็ นทีร่ ังเกียจ
9. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการพัสดุและสัญญาทางปกครอง
9.2 คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการริบหลักประกันซองของผูเ้ ข ้าร่วมการเสนอราคา
9.3
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บสัญญาทีคู่ ส ั ญาอย่างน้อยฝ่ ายหนึ่ งเป็ นหน่ วยงานทางปกครองหรือบุค
่ ญ
่
คลซึงกระท าการแทนร ัฐ อันลักษณะเป็ นสัญญาทางปกครอง อาทิเช่น
สัญญารับทุนการศึกษา สัญญาจ ้างก่อสร ้างอาคารสถานพยาบาลของรัฐ
สัญญาปร ับปรุงภูมท
ิ ศ
ั น์ สัญญาก่อสร ้างอาคารเรียน
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกับการพิจารณากาหนดค่าทดแทนตามกฎหมายว่าด ้วยการเวนคืนอสังหาริ
มทร ัพย ์และคดีพพ ่ บการกาหนดแนวเขตและการพิจารณากาหนดค่าทดแทนควา
ิ าทเกียวกั
มเสียหายอันเกิดจากการทีท ่ าให ้ทีดิ
่ นของเอกชนตกอยูใ่ นสภาพอันไม่สามารถใช ้ประโยช
น์ได ้อย่างเต็มที่ เช่น การอยูใ่ นแนวเขตระบบโครงข่ายไม่ไฟฟ้ า
หรืออยูใ่ นแนวเขตท่อก๊าซธรรมชาติ
11. คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั
บการศึกษา
11.1
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บการใช ้อานาจของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐในการคัด
เลือกหรือการรับนักเรียนเข ้าศึกษาในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาหรือการกาหนดหลัก
่
สูตรหรือเงือนไขเกี ่ บการศึกษา
ยวกั
12.2
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บคาสังของหน่ ่ ยกให ้เจ ้าหน้าทีของร
วยงานของร ัฐทีเรี ่ ัฐผูก้ ระทาละเมิดชดใ
ช ้ค่าสินไหมทดแทน
13.1
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บการใช ้อานาจของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่
ัฐทีกระทบสิ
ทธิของราษฎรในการเข ้าถึงข ้อมูลข่าวสารของราชการตามกฎหมายว่าด ้วยข ้อมูลข่าวสาร
ของราชการ
13.2
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บการใช ้อานาจของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่
ัฐเกียวกั
บง
านทะเบียนบุคคล เช่น การใช ้อานาจตามกฎหมายว่าด ้วยการทะเบียนราษฎร
กฎหมายว่าด ้วยการทะเบียนต่างด ้าว หรือกฎหมายว่าด ้วยการจดทะเบียนครอบครัว
หรืองานทะเบียนตามกฎหมายว่าด ้วยการจดทะเบียนเครืองจั่ กรหรือกฎหมายว่าด ้วยอาวุธปื
น
คดีพพ ่
ิ าทเกียวกั ่
บการใช ้อานาจของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐ
้
รวมทังการใช ้อานาจของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโททัศน์แห่งชาติ (กสช.)
หรือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เช่น การพิจารณาอนุ ญาต
่
การจัดสรรคลืนความถี ่
ของวิ ่
ทยุหรือโทรศัพท ์เคลือนที ่
ี่ ้ องต่อศาลปกครองไม่ได้
ตัวอย่างคดีทฟ
ี่
โดยปกติ คดีทเอกชนจะฟ้ องต่อศาลปกครองนั้นได ้แก่
คดีพพ ่
ิ าทระหว่างหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐกับเอกชน
เนื่ องจากการกระทาทางปกครองหรือการใช ้อานาจทางปกครอง
่
ซึงในระยะแรกที ่
ศาลปกครองกลางเพิ ่ ดทาการ
งเปิ
่
ประชาชนอาจจะยังไม่ทราบได ้แน่ ชดั ว่าเรืองใดสามารถฟ้ องต่อศาลปกครองได ้
่
และเรืองใดทีฟ้่ องต่อศาลปกครองไม่ได ้ ดังนั้นจึงมีคดีจานวนหนึ่ งทีศาลปกครองกลาง
่
ไม่อาจร ับคาฟ้ องไว ้พิจารณาได ้แม้จะเป็ นกรณี ทน่่ี าเห็นใจสักเพียงใดก็ตาม
่
ซึงอาจสร ้างความสงสัยและความคับข ้องใจแก่ผู ้ฟ้ องคดีอยูบ
่ ้าง
่ี
คดีทศาลปกครองกลางได ่ ร ับคาฟ้ องไว ้พิจารณานั้นได ้แก่
้มีคาสังไม่
่ ผู
1. เรืองที ่ ฟ
้ ้ องคดีและผู ้ถูกฟ้ องคดีเป็ นประชาชนด ้วยกัน ้ ้ เนื่ องจากกรณี
ทังนี
ดังกล่าวไม่ใช่ข ้อพิพาทระหว่างหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ัฐกับเอกชน เช่น
กรณี ทฟ้่ี องว่าเอกชนอีกรายหนึ่ งได ้ละเมิดสิทธิของผูฟ
้ ้ องคดี
โดยการใช ้ประโยชน์ในทางส่วนบุคคล (คดีหมายเลขแดงที่ 76/2544) เป็ นต ้น
่ ผู
2. เรืองที ่ ถ้ ก ่ ้จัดตังขึ
ู ฟ้ องคดีเป็ นร ัฐวิสาหกิจทีได ้ นตามประมวลกฎหมายแพ่
้ งและพาณิ ชย ์
้ เนื
ทังนี ้ ่ องจากกฎหมายไม่ถอื ว่าหน่ วยงานเหล่านี เป็
้ น หน่ วยงานทางปกครอง เช่น
ธนาคารไทยธนาคาร จากัด (มหาชน) (คดีหมายเลขแดงที่ 1/2544)
ั ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จากัด (คดีหมายเลขแดงที่ 25/2544)
บริษท
และธนาคารกรุงไทย จากัด (มหาชน) (คดีหมายเลขแดงที่ 44/2544) เป็ นต ้น
่ ผู
3. เรืองที ่ ถ้ ก ่
ู ฟ้ องคดีเป็ นเจ ้าหน้าทีของร ัฐ
แต่กระทาความเดือดร ้อนหรือเสียหายแก่ผูฟ ้ ้ องคดีโดยการกระทาส่วนตัว
่
มิใช่เป็ นการกระทาในฐานะเป็ นเจ ้าหน้าทีของร ่ ้อานาจทางปกครอง เช่น
ัฐทีใช
กรณี ทฟ้่ี องว่า พลทหารอาสาสมัครบุกรุกเข ้าไปทาลายทร ัพย ์สินใน
้ ้ องคดี โดยมีสาเหตุเนื่ องจากไม่พอใจกันเป็ นการส่วนตัว
เคหะสถานของผูฟ
(คดีหมายเลขแดงที่ 85/2544) เป็ นต ้น
่ ข
4. เรืองที ่ ้อพิพาทเกิดจากสัญญาทั่วไป มิใช่สญ
ั ญาทางปกครอง อันได ้แก่
สัญญาสัมปทานสัญญาทีให ่ ้จัดทาบริการสาธารณะ หรือจัดให ้มี สิงสาธารณู
่ ปโภค
หรือแสวงหาประโยชน์จากทร ัพยากรธรรมชาติ ดังนั้นแม้วา่ คูส ่ ญ
ั ญาอีก
ฝ่ ายหนึ่ งเป็ นหน่ วยงานทางปกครอง ก็ไม่อาจฟ้ องคดียงั ศาลปกครองได ้ เช่น
กรณี ทฟ้่ี องว่าการเคหะแห่งชาติในฐานะผูใ้ ห ้เช่าซืออาคารได
้ ์
้โอนกรรมสิทธิการเช่ ้
าซือของ
้ มไปให ้ผูเ้ ช่าซือใหม่
ผูเ้ ช่าซือเดิ ้ โดยไม่สจ
ุ ริต ทาให ้ผูฟ ่ึ นภรรยาของ
้ ้ องคดีซงเป็
้ มได ้ร ับความเสียหาย (คดีหมายเลขแดงที่ 68/2544)
ผูเ้ ช่าซือเดิ
กรณี ทฟ้่ี องว่ากรมป่ าไม้ไม่คน ่ ฟ
ื เงินทีผู ้ ้ องคดีได ้วางไว ้เป็ นหลักประกันการปฏิบต
ั ต
ิ ามสัญญ
่ กสร ้างประจาสถานี วจิ ยั สัตว ์ป่ าคลองแสงทังที
าจ ้าง ก่อสร ้างสิงปลู ้ ผู่ ถ้ ก
ู ฟ้ องคดีได ้
ตรวจร ับมอบงาน และจ่ายเงินค่าก่อสร ้างครบทุกงวดแล ้ว (คดีหมายเลขแดงที่ 69/2544)
กรณี ทฟ้่ี องว่าวิทยาลัยการอาชีพ
ขอนแก่นผิดสัญญากับผูฟ ้ ้ องคดีเพราะยอมให ้บุคคลอืนเข ่ ้ามาทาธุรกิจขายสินค ้าในลักษ
่ ฟ
ณะเช่นเดียวกับร ้านค ้าสวัสดิการ ซึงผู ้ ้ องคดีได ้เช่า ทาการค ้าอยู่ (คดีหมายเลขแดงที่
่ี องว่า
77/2544) หรือกรณี ทฟ้ เทศบาลเมืองหนองคายไม่ยอมชาระหนี ค่ ้ าจ ้างทาอาหารเลียง
้
้
ร ับรองในงานเลียงของเทศบาล ้ ้ องคดี (คดีหมายเลขแดงที่ 86/2544) เป็ นต ้น
แก่ผูฟ
่ มี
5. เรืองที ่ กฎหมายกาหนดให ้อยูใ่ นอานาจของศาลแพ่ง ศาลอาญา
หรือศาลชานาญพิเศษอืนแล ่ ่
้ว เรืองเช่ ้
นว่านี จะไม่ อยูใ่ นอานาจของศาลปกครอง เช่น
กรณี ทฟ้่ี องว่า เจ ้าหน้าทีบั
่ งคับคดียด ึ และขายทอดตลาด
่ นตามคาพิพากษาของศาลจังหวัดทุ่งสงโดยมิชอบ กรณี นีศาลปกครองวิ
ทีดิ ้ นิจฉัยว่า
ผูฟ้ ้ องคดีมส
ี ท ่ื าร ้อง คัดค ้านการบังคับคดีดงั กล่าวได ้ทีศาลจั
ิ ธิยนค ่ งหวัดทุง่ สง
(คดีหมายเลขแดงที่ 79/2544) กรณี ทฟ้่ี องว่า ผูฟ
้ ้ องคดีแพ ้คดีในศาลยุตธิ รรม
เนื่ องจากผูฟ
้ ้ องคดีไม่สามารถตรวจดูเอกสารทีเกี่ ยวข
่ ้องกับการพิจารณาคดีซงผูึ่ ฟ
้ ้ องคดี
เห็นว่า
ตนไม่ได ้รับความเป็ นธรรมจากการดาเนิ นกระบวนพิจารณาในคดีแพ่งของศาลจังหวัดนคร
สวรรค ์ กรณี นี ้ ศาลปกครองวินิจฉัยว่า
่
กรณี ดงั กล่าวเป็ นปัญหาเกียวกั
บการดาเนิ นกระบวนพิจารณาคดีแพ่งจึงอยูใ่ นอานาจ
พิจารณาพิพากษาของศาลยุตธิ รรม (คดีหมายเลขแดงที่ 82/2544) กรณีทฟ้่ี องว่า
ผูฟ
้ ้ องคดีไม่ได ้ความเป็ นธรรม
เนื่ องจากเจ ้าหน้าทีส
่ านักงานประกันสังคมวินิจฉัยว่าบุตรของผูฟ
้ ้ องคดีไม่ได ้เสียชีวต
ิ จากก
ารปฏิบต ิ น้าที่ การงาน
ั ห
้ ้ องคดีได ้ร ับผลประโยชน์จากการประกันสังคมเพียงค่าปลงศพเท่านั้น
จึงทาให ้ผูฟ
้
กรณี นีศาลปกครองวิ นิจฉัยว่า เนื่ องจาก พระราชบัญญัตเิ งินทดแทน พ.ศ. 2537
่ พอใจในเรืองเงิ
ได ้บัญญัตใิ ห ้ผู ้ทีไม่ ่ นค่าทดแทนมีสท
ิ ธินาคดีไปสูศ
่ าลแรงงาน
กรณี ดงั กล่าวจึงอยูใ่ นอานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน (คดีหมายเลขแดงที่
111/2544) หรือกรณี ทฟ้ ่ี องว่า กรุงเทพมหานครประเมินภาษีโรงเรือนและทีดิ
่ น ไม่ถก
ู ต ้อง
้
กรณี นีศาลปกครอง ่
วินิจฉัยว่า กรณี ดงั กล่าวเป็ นเรืองคดี
อทุ ธรณ์คาวินิจฉัยของ
่
เจ ้าพนักงานตามกฎหมายเกียวกั บภาษีอากรจึงอยูใ่ น อานาจพิจารณาพิพากษาของ
ศาลภาษีอากร (คดีหมายเลขแดงที่ 115/2544) เป็ นต ้น
่ ขาดอายุ
6. เรืองที ่ ความฟ้ องคดีตอ ้ กอ
่ ศาลยุตธิ รรมแล ้วตังแต่ ่ นวันที่ 9 มีนาคม 2544
่ นวันที่ ศาลปกครองเปิ ดทาการ เช่น กรณี ของผูฟ
ซึงเป็ ่ึ น ข ้าราชการตารวจได ้
้ ้ องคดีซงเป็
่
ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ จึงได ้อุทธรณ์คาสังลงโทษต่ อ
คณะกรรมการข ้าราชการตารวจ จนได ้รับการลดโทษลงเป็ นการปลดออกจากราชการ
แต่ยงั ไม่พอใจผลการพิจารณาอุทธรณ์ ดังกล่าว
้ ฟ
ในกรณี เช่นนี ผู ่ ศาลที่
้ ้ องคดีก็จะต ้องใช ้สิทธิทางศาลฟ้ องคดีตอ
มีอานาจพิจารณาพิพากษา แต่เนื่ องจากในขณะนั้นยังไม่มก ้
ี ารจัดตังศาลปกครอง
ผูฟ ่ ศาลยุตธิ รรม ภายในอายุความหนึ่ งปี
้ ้ องคดีจงึ ต ้องฟ้ องคดีตอ
นับแต่วน ่ ฟ
ั ทีผู ้ ้ องคดีทราบผลการพิจารณาอุทธรณ์ตามทีบั่ ญญัตไิ ว ้ในมาตรา 448
วรรคหนึ่ ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิ ชย ์ ดังนั้น เมือผู
่ ฟ ้ ้ องคดีไม่ได ้ฟ้ องคดี
่ มไม่ร ับคาฟ้ องนั้นไว ้พิจารณา
ต่อศาลยุตธิ รรมจนคดีขาดอายุความ ศาลปกครองก็ยอ
(คดีหมายเลขแดงที่ 132/2544)
่ เกี
7. เรืองที ่ ยวข
่ ้องกับการดาเนิ นการใดๆ ของพนักงานสอบสวน
่ อว่าไม่ใช่เป็ นการ
หรือพนักงานอัยการในการดาเนิ นกระบวนการยุตธิ รรมทางอาญา ซึงถื
ใช ้อานาจทางปกครองหรือดาเนิ นกิจการทางปกครอง เช่น
การออกหมายจับของพนักงานสอบสวน (คดีหมายเลขแดงที่ 67/2544
และคดีหมายเลขแดงที่ 90/2544) การดาเนิ นการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน
(คดีหมายเลขแดงที่ 88/2544)
่ องหรือสังไม่
หรือการดาเนิ นการสังฟ้ ่ ฟ้องผูต้ ้องหาของพนักงานอัยการ (คดีหมายเลขแดงที่
126/2544) เป็ นต ้น
8.
่ ประสงค
เรืองที ่ ่
์จะขอให ้ศาลปกครองลงโทษเจ ้าหน้าทีของร ัฐในทางวินัยหรือทางอาญาเพรา
่ ปฏิบต
ะเจ ้าหน้าทีไม่ ั ต
ิ ามกฎหมาย ทังนี ้ เนื
้ ่ องจากเรืองดั
่ งกล่าว เป็ นอานาจของ
ผูบ้ งั คับบัญชาของผูน้ ้ันหรือของเจ ้าหน้าทีอื
่ น
่ ไม่ใช่อานาจของศาลปกครอง
และการดาเนิ นการลงโทษดังกล่าวก็ไม่มผ
ี ลเป็ นการบรรเทาความเดือดร ้อนหรือความเสียห
ายของผูถ้ ก ู ฟ้ องคดี เช่น
่ี ฟ
กรณี ทผู ้ ้ องคดีขอให ้ศาลปกครองลงโทษทางวินัยหรือทางอาญาแก่เจ ้าพนักงานสรรพสา
มิต จังหวัดแพร่ (คดีหมายเลขแดงที่ 65/2544) หรือแก่เจ ้าหน้าทีการรถไฟ
่ แห่งประเทศไทย
(คดีหมายเลขแดงที่ 72/2544) หรือแก่อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร (คดีหมายเลขแดงที่
81/2544) เป็ นต ้น
9.
่ ความเดื
เรืองที ่ อดร ้อนหรือเสียหายของผูฟ ้
้ ้ องคดีได ้หมดสินไปแล ่
้วในขณะทีมายื ่ าฟ้ อง
นค
หรือมีการได ้แก ้ไขเยียวยาความเดือดร ้อนหรือเสียหายให ้แก่ผูฟ ่
้ ้ องคดีแล ้วก่อนทีศาลจะมี
่ ้ร ับคาฟ้ องไว ้พิจารณา ทังนี
คาสังให ้ ้
เนื่ องจากในขณะนั้นไม่มค ่
ี วามจาเป็ นทีศาลจะพิ
จารณาพิพากษาให ้เสียแล ้ว เช่น
กรณี ทฟ้่ี องการรถไฟแห่งประเทศไทย ให ้จ่ายเงินค่าทดแทนการเวนคืนทีดิ
่ นไว ้แล ้ว
แต่กอ ่
่ นทีศาลปกครองจะพิ จารณา พิพากษาคดี
ผูฟ ่
้ ้ องคดีได ้ร ับเงินค่าทดแทนในส่วนทีมาฟ้ องคดีไปเรียบร ้อยแล ้ว
(คดีหมายเลขแดงที72/2544)่ หรือกรณี ทฟ้่ี องว่า นายอาเภอ
บางไทรละเลยต่อหน้าทีไม่่ ดาเนิ นการกับผูซ ่ึ าการดูดทรายในแม่นา้
้ งท
่
จนเป็ นเหตุให ้ทีสาธารณะประโยชน์ และทางสาธารณะซึงติ่ ดกับวัด
่ ฟ
ซึงผู ้ ้ องคดีเป็ นเจ ้าอาวาสอยูไ่ ด ้ร ับความเสียหาย
แต่กอ ่
่ นทีศาลปกครองจะพิ จารณาพิพากษาคดี
บุคคลดังกล่าวได ้เลิกประกอบกิจการดูดทราย ไปแล ้ว (คดีหมายเลขแดงที่ 80/2544)
เป็ นต ้น
่ ผู
10. เรืองที ่ ฟ
้ ้ องคดียงั ไม่ได ้ใช ้วิธก ่
ี ารแก ้ไขเยียวยาทีกฎหมายกาหนดไว ้ เช่น
่
ยังมิได ้อุทธรณ์คาสังทางปกครองที ่
ตนไม่ เห็นด ้วยนั้นต่อเจ ้าหน้าทีผู
่ อ้ อกคาสัง่
่
หรือต่อเจ ้าหน้าทีตามที ่
กฎหมายบั ้
ญญัต ิ กรณี เช่นนี ศาลปกครองยั งไม่อาจร ับ
้ ้ เนื่ องจากกฎหมายต ้องการให ้ผูฟ
คาฟ้ องไว ้พิจารณาได ้ ทังนี ้ ้ องคดีใช ้วิธก
ี าร
แก ้ไขเยียวยานั้นก่อนทีจะฟ้
่ องคดีตอ ่ ศาล เช่น กรณี ท่ี ผูฟ
้ ้ องคดีไม่ได ้อุทธรณ์หรือ
่ อย่างใดเลย (คดีหมายเลขแดงที่ 105/2544 คดีหมายเลขแดงที่ 110/2544
โต ้แย ้งคาสังแต่
คดีหมายเลขแดงที่ 129/2544 และคดีหมายเลขแดงที่ 133/2544)
่ี ฟ
หรือกรณี ทผู ่
้ ้ องคดีได ้อุทธรณ์คาสังทางปกครองไปแล ้ว
แต่ไม่รอทราบผลการพิจารณาคาอุทธรณ์น้ันเสียก่อน กลับรีบมาฟ้ องยังศาลปกครอง
้
กรณี เช่นนี ศาลปกครองก็ ไม่อาจ ร ับคาฟ้ องนั้นไว ้พิจารณาได ้เช่นกัน (คดีหมายเลขแดงที่
70/2544 และคดี หมายเลขแดงที่ 71/2544) เป็ นต ้น
่ ฟ้่ องคณะกรรมการเลือกตัง้
11. เรืองที ่ างๆ เช่น ฟ้ องคดี
ในเรืองต่
่
เกียวกั ่ ้มีการเลือกตังใหม่
บคาสังให ้ (คดีหมายเลขแดงที่ 14/2544) หรือฟ้ องคดี
่
เกียวกั ่ กถอนสิทธิ เลือกตัง้ (คดีหมายเลขแดงที่ 64/2544) เป็ นต ้น
บคาสังเพิ
่ ฟ้่ องเจ ้าหน้าทีที
12. เรืองที ่ ท่ าละเมิดในการปฏิบต ิ น้าที่
ั ห เช่น
่
ฟ้ องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรทีออกค ่ อนต
าสังเลื ่ าแหน่ งข ้า
ราชการไม่ถก ู ต ้องตามหลักเกณฑ ์ของกฎหมายเป็ นเหตุ
ให ้ผูฟ ่ึ ารงตาแหน่ งนักวิชาการเกษตร 7 ไม่ได ้ร ับแต่งตังเป็
้ ้ องคดีซงด ้ นเกษตรจังหวัดนั้น
่ องหน่ วยงานของร ัฐ คือ กรมส่งเสริมการเกษตร
กฎหมายให ้สิทธิแก่ผูเ้ สียหายทีจะฟ้
แต่จะฟ้ องเจ ้าหน้าที่ คือ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรไม่ได ้(คดีหมายเลขแดงที่ 81/2544)
13.
่ ฟ้่ องหน่ วยงานของร ัฐให ้ทาการร ับผิดชอบชดเชยค่าสินไหมทดแทนจากการกระทาล
เรืองที
่ ดจากการทีข
ะเมิดทีเกิ ่ ้าราชการหรือลูกจ ้างของหน่ วยงานขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนรถ
่ื
ของเอกชนเสียหาย หรือชนผูอ้ นจนได ้ร ับบาดเจ็บ นั้นต ้องฟ้ องคดีตอ
่ ศาล ยุตธิ รรม
ไม่ใช่ศาลปกครองเนื่ องจากศาลปกครองจะมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีละเมิดได ้เฉพาะ
่ ยวกั
ทีเกี ่ ่ ดจากการทีหน่
บการกระทาละเมิดทีเกิ ่ วยงานทางปกครอง
่ ้อานาจตามกฎหมายหรือจากกฎหรือคาสังหรื
หรือเจ ้าหน้าทีใช ่ อละเลยต่อหน้าที่
หรือการปฏิบต
ั ห ่ ้าช ้าของเจ ้าหน้าทีของร
ิ น้าทีล ่ ัฐ เท่านั้น
่ ้กล่าวมาแล ้ว จะเห็นได ้ว่า
จากตัวอย่างทีได
ผูฟ
้ ้ องคดีมก ่
ั จะเข ้าใจผิดว่าหากจะฟ้ องเจ ้าหน้าทีของร ัฐหรือหน่ วยงานทางปกครอง เช่น
กระทรวง ทบวง กรม เทศบาล สุขาภิบาล องค ์การบริหารส่วนตาบล ร ัฐวิสาหกิจ
่
หรือหน่ วยงานอืนของร ่ องยังศาลปกครอง แต่แท ้ทีจริ
ัฐ จะต ้องมายืนฟ้ ่ งแล ้ว
มิได ้เป็ นเช่นนั้นเสมอไป เรืองบางเรื
่ ่
องอาจต ้องฟ้ องต่อศาลยุตธิ รรมเช่นเดิม
่ ฟ
และบางเรืองผู ้ ้ องคดีจาเป็ นต ้อง
ใช ้วิธก
ี ารแก ้ไขเยียวยาความเดือดร ้อนหรือเสียหายของตนให ้ครบ
้
ขันตอนที ่
กฎหมายก าหนดเสียก่อนจึงจะมาฟ้ องคดีได ้ อย่างไรก็ตาม
หากศาลปกครองได ้พิจารณา คาฟ้ องใดแล ้ว เห็นว่า ไม่อาจรับไว ้พิจารณาพิพากษาให ้ได ้
่ ร ับ คาฟ้ อง ไว ้พิจารณาให ้ผู ้ฟ้ องคดีทราบ
ก็จะรีบแจ ้งคาสังไม่
่ ผู
พร ้อมแสดงเหตุผลโดยชัดแจ ้ง เพือที ่ ฟ ่ อไป
้ ้ องคดีจะได ้ไปดาเนิ นการในทางอืนต่
ข้อควรระวังในการฟ้องคดี
1. ข ้อควรระวังในการจัดทาคาฟ้ อง
่ี
ด ้วยเหตุทการฟ้ องคดีปกครอง ผูฟ้ ้ องคดีสามารถจัดทาคาฟ้ องได ้ด ้วยตนเอง โดย
่ี ความรู ้ทางกฎหมายช่วยจัดทาคาฟ้ องให ้ ดังนั้น
ไม่จาเป็ นต ้องให ้ทนายความ หรือผูท้ มี
้ ้ องคดีท่ี
ผูฟ
่
ไม่ได ้ศึกษาหลักเกณฑ ์และเงือนไขของการฟ้ องคดีปกครองตามพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาล
ปกครอง และวิธพ ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
และระเบียบวิธพ ่ ยวข
ี จิ ารณาคดีปกครองทีเกี ่ ้อง ก็อาจ
จัดทาคาฟ้ องได ้ไม่ถก ่
ู ต ้องตามหลักเกณฑ ์และเงือนไขที ่
กฎหมายกาหนด
และทาให ้ศาลปกครอง กลางไม่อาจร ับคาฟ้ องดังกล่าวไว ้พิจารณาพิพากษาได ้
่ ้อบกพร่องทีพบบ่
ซึงข ่ อยนั้น มีดงั นี ้
1.1 ผูฟ
้ ้ องคดีใช ้ถ ้อยคาไม่สภ
ุ าพ
1.2 ผูฟ
้ ้ องคดีมค
ี าขอไม่ช ัดเจน
คาฟ้ องของผูฟ
้ ้ องคดีนอกจากจะต ้องระบุรายละเอียดหรือรายการต่างๆ
่
ตามทีกฎหมายก าหนดไว ้แล ้ว ยังจะต ้องระบุวา่
ผูฟ
้ ้ องคดีประสงค ์จะขอให ้ศาลบังคับต่อหน่ วยงานทางปกครอง
่
หรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ยวข
ัฐทีเกี ่ ่
้องเพือแก ้ไขหรือ
บรรเทาความเดือดร ้อนหรือความเสียหายอย่างไร
่ าขอดังกล่าวต ้องสามารถกาหนดคาบังคับได ้ด ้วย
ซึงค
่ ญญัตต
กล่าวคือเป็ นคาขอทีบั ิ ามมาตรา 72
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ได ้แก่
่ ้เพิกถอนกฎหรือคาสังหรื
การขอให ้ศาลสังให ่ อสังห
่ ้ามการกระทาทังหมดหรื
้ อบางส่วน
่ี การฟ้ องหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร
ในกรณี ทมี ่ ัฐกระทาการโดยไม่ชอบด ้วย
กฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (1) การขอให ้ศาลสังให ่ ้หัวหน้าหน่ วยงานทางปกครอง
่
หรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ยวข
ัฐทีเกี ่ ้องปฏิบต
ั ต ่
ิ ามหน้าทีภายในเวลาที ่
ศาลปกครองก าหนดในกร
่ี การฟ้ องว่าหน่ วยงานทางปกครอง
ณี ทมี
่
หรือเจ ้าหน้าทีของร ่ อปฏิบต
ัฐละเลยต่อหน้าทีหรื ั ห ่ าช ้าเกินสมควร
ิ น้าทีล่
่ ้ใช ้เงินหรือให ้ส่งมอบทรัพย ์สินหรือให ้กระทาการหรืองดเว ้นกระทาการโ
การขอให ้ศาลสังให
่
ดยจะกาหนดระยะเวลาและเงือนไขอื ่
นๆไว ้ด ้วยก็ได ้
ในกรณี ทมี ่ี การฟ้ องเกียวกั
่ บการกระทาละเมิดหรือความร ับผิดของหน่ วยงานทางปกครองห
่
รือเจ ้าหน้าทีของร ่
ัฐหรือการฟ้ องเกียวกั
บสัญญาทางปกครอง
่ ้ถือปฏิบต
การขอให ้ศาลสังให ั ต
ิ อ ่
่ สิทธิหรือหน้าทีของบุ ่ ยวข
คคลทีเกี ่ ้อง
่ี การฟ้ องให ้ศาลมีคาพิพากษาแสดงความเป็ นอยูข
ในกรณี ทมี ่ ้น
่ องสิทธิหรือหน้าทีนั
่ ้บุคคลกระทาหรือละเว ้นกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ งเพือให
และการขอให ้ศาลสังให ่ ้เป็ นไปตาม
่ กถอนคาสังลงโทษทางวิ
กฎหมาย เช่น ขอให ้ศาลสังเพิ ่ นัย
่ กถอนคาสังปฏิ
หรือขอให ้ศาลสังเพิ ่ เสธการออกโฉนดทีดิ ่ น
่ กถอนคาสังไม่
หรือขอให ้ศาลสังเพิ ่ อนุ ญาตให ้ก่อสร ้างอาคาร
่ กถอนหนังสือสาคัญสาหร ับทีหลวง
หรือขอให ้ศาลสังเพิ ่
่ ้กระทรวงคมนาคมจ่ายเงินค่าทดแทน การเวนคืนเพิมเติ
หรือขอให ้ศาลสังให ่ ม เป็ นต ้น
เพราะหากผูฟ ่
้ ้ องคดีมไิ ด ้มีคาขอมาด ้วยหรือมีแต่ไม่ช ัดเจนเพียงพอทีศาลจะเข ้าใจได ้
ศาลก็จะต ้องมีหนังสือกลับไปสอบถามผูฟ ้ ้ องคดีอก ้ั ่ งว่า
ี ครงหนึ
่ นใดหากผูฟ
มีความประสงค ์จะให ้ศาลสังเช่ ้ ้ องคดีชนะคดี
่ อมทาให ้เกิดขันตอนที
ซึงย่ ้ ่ าให ้คดีปกครองคดีน้ันล่าช ้าได ้
ท
1.3 ผูฟ
้ ้ องคดีฟ้องคดีตอ ้
่ ศาลปกครองโดยยังมิได ้ดาเนิ นการตามขันตอนหรื อวิธก
ี าร
่
สาหร ับการแก ้ไขความเดือดร ้อนหรือเสียหายทีกฎหมายก าหนดเสียก่อนฟ้ องคดี
ดังนั้นโดยทั่วไปแล ้วหากผูฟ
้ ้ องคดีได ้รับความเดือดร ้อนหรือเสียหายอันเกิดจากการออก
่
คาสังทางปกครองของหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ัฐก็ยอ
่ มจะต ้องอุทธรณ์คา
่
สังทาง ปกครองนั้นก่อนเสมอ มิฉะนั้น จะไม่มส
ี ท
ิ ธิ
่ งกล่าวมาฟ้ องคดีตอ
นาเรืองดั ่ ศาลปกครองได ้ และ
่ าฟ้ องนั้นมาศาลก็จะมีคาสังไม่
หากยังจะยืนค ่ ร ับคาฟ้ องนั้นไว ้พิจารณา
และจาหน่ ายคดีน้ันออก จากสารบบความต่อไป
่
2. ข ้อควรระวังเกียวกั ่ นฟ้
บคาฟ้ องทียื ่ องทางไปรษณี ย ์
่ี ฟ
ในกรณี ทผู ่ องยังศาลปกครองกลางเจ ้าหน้าทีศาลปกครองฝ่
้ ้ องคดีเดินทางมายืนฟ้ ่ าย
2.1 ผูฟ ่ื ฟ
้ ้ องคดีไม่ได ้ระบุชอผู ้ ้ องคดีในคาฟ้ อง
หรือใช ้นามแฝงหรือฟ้ องในนามตัวแทนของ
กลุม ่ หนึ่ งโดยไม่ได ้ระบุชอตั
่ ใดกลุม ่ื วชือสกุ
่ ลจริง
่ ลก
คาฟ้ องทีมี ั ษณะเช่นนี ย่้ อมมีลก ่ านักงานศาลปกครองไม่อาจเสน
ั ษณะเป็ นบัตรสนเท่ห ์ทีส
่ จารณา พิพากษาให ้ได ้
อ ต่อศาลเพือพิ
้
เพราะในกรณี เช่นนี จะไม่ มต
ี วั ผูฟ ่ี แจงและให
้ ้ องคดีทจะชี ้ ้ ถ ้อยคาแก่ศาล ดังนั้น
ศาลย่อมไม่อาจจะพิจารณาได ้ว่าความเดือดร ้อนหรือเสียหายทีกล่ ่ าวอ ้างถึงในคาฟ้ องนั้นเ
้ บผู ้ใดหรือไม่และอย่างไร
กิดขึนกั
2.2 ผูฟ ่ื
้ ้ องคดีระบุชอของตนมาในค ่ี ม
าฟ้ อง แต่กลับไม่ได ้ระบุทอยู ่ าด ้วย
แม้วา่ จะมีปัญหาในกรณีเช่นนี ้
่ ับคาฟ้ องเหล่านี ้ ไว ้พิจารณา
ศาลปกครองกลางก็ยงั มีความพยายามทีจะร
โดยให ้สานักงานศาลปกครองขอความอนุ เคราะห ์ไปยังสานักงานทะเบียนราษฎร ์
่
กระทรวงมหาดไทย เพือให ้ช่วยตรวจสอบว่า ผูฟ ี่ ชอมานั
้ ้ องคดีทระบุ ื่ ้นมีตวั ตนจริงหรือไม่
และมี ภูมลิ าเนาอยูท ่ี
่ ใดและหากได ่
้ร ับข ้อมูลทีพอจะดาเนิ นการต่อไปได ้
ก็จะดาเนิ นการร ับคาฟ้ องนั้นไว ้ ในสารบบความต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม
้
ขันตอนที ่ มขึ
เพิ ่ นดั
้ งกล่าว นอกจากจะทาให ้คดีปกครองคดี นั้นล่าช ้าแล ้ว
่
ข ้อมูลเกียวกั บภูมล ่
ิ าเนาทีสอบถามได ้ก็อาจจะเป็ นภูมล ่ อาจใช ้ติดต่อกับผูฟ
ิ าเนาเดิมซึงไม่ ้ ้
องคดีได ้
2.3 ผูฟ
้ ้ องคดีจา่ หน้าซองถึงศาลปกครองได ้ถูกต ้อง
2.4 ผูฟ
้ ้ องคดีมก
ั จะส่งแต่เฉพาะคาฟ้ องและพยานหลักฐานฉบับจริงมาเพียงชุดเดียว
โดยไม่แนบสาเนาคาฟ้ องและพยานหลักฐานมาด ้วยเลย
ตามระเบียบวิธพ
ี จิ ารณาคดีของศาลปกครองผูฟ
้ ้ องคดีมห ่ ้องถ่ายสาเนาคาฟ้ องและ
ี น้าทีต
พยานหลักฐานตามจานวนผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดีแนบมาพร ้อมกับคาฟ้ องด ้วย เช่น
หากผูฟ
้ ้ องคดีประสงค ์จะฟ้ องคดีผูว้ า่ ราชการจังหวัดและกระทรวงมหาดไทย
ผูฟ
้ ้ องคดีจะต ้องจัดทา คาฟ้ องและพยานหลักฐานฉบับจริง 1 ชุด
สาหร ับให ้ศาลใช ้พิจารณา จากนั้นจะต ้องทาสาเนาคาฟ้ อง
และพยานหลักฐานทังหมดนั้ ้นอีก 2 ชุด เพือที
่ ศาลปกครองจะได
่ ้ส่งสาเนาดังกล่าวไปให ้
แก่ผูถ้ ก ้ั
ู ฟ้ องคดีทงสอง คือ ผูว้ า่ ราชการจังหวัดและกระทรวงมหาดไทย ต่อไป
่
ซึงตามระเบียบแล ้ว ถ ้าผู ้ฟ้ องคดีไม่ได ้จัดทาสาเนาดังกล่าวแนบมาด ้วย
ศาลจะแจ ้งให ้ผูฟ
้ ้ องคดีจด
ั ทาสาเนามาให ้ภายใน ระยะเวลาทีศาลก่ าหนด
และหากผูฟ ่ ร ับคาฟ้ องไว ้
้ ้ องคดีไม่ยอมดาเนิ นการ ศาลก็มี อานาจสังไม่
พิจารณาและสังจ่ าหน่ ายคดีนั้นออกจากสารบบความ
2.5 ผูฟ
้ ้ องคดีไม่สง่ ค่าธรรมเนี ยมศาลมาพร ้อมกับคาฟ้ องหรือส่งมาแต่ไม่ครบถ ้วน
่
3. ข ้อควรระวังเกียวกั
บการติดต่อกับศาลปกครองระหว่างการดาเนิ นคดีปกครอง
ในการดาเนิ นคดีปกครองของศาลปกครองนั้น
่ นเอกสารเสียเป็ นส่วนใหญ่
เป็ นการแสวงหาข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีเป็
ดังนั้นในระหว่างการดาเนิ นคดีปกครอง
่
การติดต่อสือสารกั ่ าคัญ ซึงเท่
นทางไปรษณี ย ์จึงเป็ นเรืองส ่ าทีผ่
่ านมา
สานักงานศาลปกครองพบว่ามีปัญหาเกียวกั ่ ่
บการติดต่อสือสารระหว่
างศาลกับคูก
่ รณี หรือ
่ เกี
บุคคลอืนที ่ ยวข
่ ่ ลายประการ ดังนี ้
้องอยูห
3.1 ผูฟ
้ ้ องคดี ผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดี
หรือบุคคลอืนที่ เกี
่ ยวข
่ ้องมีหนังสือติดต่อถึงศาลปกครองหรือส่งเอกสารถึงศาลปกครองโด
ยไม่ได ้แจ ้งหมายเลขคดีมาด ้วย
่
จึงทาให ้สานักงานศาลปกครองในฐานะผูร้ ับเรืองไม่ ทราบว่าหนังสือหรือเอกสารดังกล่าวนั้
น เป็ นส่วนหนึ่ งของคดีหมายเลขทีเท่
่ าใด
่ าให ้ไม่สามารถเสนอหนังสือหรือเอกสารนั้นให ้แก่ ตุลาการ
ซึงท
่ งการใดๆ
เจ ้าของสานวนเพือสั่ ได ้ในทันที เพราะต ้องใช ้เวลาและบุคลากรในการตรวจ
สอบอีกมาก ดังนั้น จึงเป็ นเหตุให ้คดีปกครองคดีนั้นล่าช ้า
3.2ผูฟ
้ ้ องคดี ผูถ้ ก
ู ฟ้ องคดี
หรือบุคคลอืนที่ เกี
่ ยวข
่ ่
้องมีหนังสือตอบหมายหรือคาสังของตุ ลาการเจ ้าของสานวน
โดยจ่าหน้าซองถึงชือของตุ่ ลาการเจ ้าของสานวนผูน้ ้ันโดยตรง
3.3 ผูฟ
้ ้ องคดี ผูถ้ ก ่ เกี
ู ฟ้ องคดี หรือบุคคลอืนที ่ ยวข
่ ่ ห
้องได ้ย ้ายทีอยู ่ งส
่ รือทีตั ้ านักงาน
แต่ไม่ได ้มีหนังสือแจ ้งให ้สานักงานศาลปกครองทราบ
ด ้วยสานักงานศาลปกครองมีความเห็นว่า
่
ตามทีพระราชบั ญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
่ ผลใช ้บังคับตังแต่
ซึงมี ้ วน ั ที่ 11 ตุลาคม 2542 บัญญัตไิ ว ้ในมาตรา 50 1
แห่งพระราชบัญญัตด ิ งั กล่าวว่า
่
ผูอ้ อกคาสังทางปกครองต ้องระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับ
ี ารยืนค
่ าฟ้ องไว ้ในคาสังดั
ยืนค ่ งกล่าว ดังนั้น
่ นการวางแนวทางในการปฏิบต
เพือเป็ ั ริ าชการทางปกครอง
่
ในเรืองการแจ ่ อ้ อกคาสังทางปกครอง
้งสิทธิในการฟ้ องคดีปกครองของเจ ้าหน้าทีผู ่
สมควรแนะนาให ้เจ ้าหน้าที่ ผูอ้ อกคาสังทางปกครองปฏิ
่ บต
ั ใิ ห ้ครบถ ้วนถูกต ้องตามมาตรา
50แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
และเนื่ องจากมาตรา 40 2 แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ปี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
่ อ้ อกคาสังทางปกครองต
ได ้บัญญัตใิ ห ้เจ ้าหน้าทีผู ่ ้องแจ ้งรายละเอียดและระยะเวลาในการยืน ่
่
อุทธรณ์หรือโต ้แย ้งคาสังทางปกครองที ่
อาจอุ ่
ทธรณ์หรือโต ้แย ้งต่อไปได ้ให ้ผูร้ ับคาสังทางป
กครองทราบด ้วยเช่นกัน
้ งได ้กาหนดขึนโดยเชื
คาแนะนานี จึ ้ ่
อมโยงกั
บการแจ ้งสิทธิอท
ุ ธรณ์ตามมาตรา 40
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 3 ด ้วย ดังนี ้
ี ฏิบต
• ระบุวธ
ิ ก ่ าฟ้ องว่าการยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องอาจทาเป็ นหนังสือไปยืนต่
่ อศาล
่ าฟ้ องทางไปรษณี ย ์ลงทะเบียนและศาลทีจะฟ้
โดยตรงหรือยืนค ่ องได ้แก่ศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองกลาง หรือศาลปกครองจังหวัดใด
่ าฟ้ องตามมาตรา 49 4
• ระบุระยะเวลาสาหร ับการยืนค
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ตัวอย่างเช่น ใช ้ข ้อความว่า “
่ อคาวินิจฉัยอุทธรณ์) นี ้
ถ ้าหากท่านประสงค ์จะฟ้ องโต ้แย ้งคาสัง(หรื
่ อศาลปกครอง
ให ้ทาคาฟ้ องเป็ นหนังสือยืนต่
หรือส่งทางไปรษณี ย ์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครอง .....................................................
่ื
(ระบุชอศาลปกครองสู งสุด ศาลปกครองกลาง หรือศาลปกครองจังหวัดใด) ภายใน 90 วัน
ั ทีร่ ับแจ ้งหรือทราบคาสัง่ (หรือคาวินิจฉัยอุทธรณ์) ”
นับแต่วน
2. วิธก
ี ารแจ ้งสิทธิในการฟ้ องคดีในกรณี ตา่ ง ่
ๆ ซึงอาจแยกเป็ น 3 กรณี ดังนี ้
่ี าสังทางปกครองนั
(1) กรณี ทค ่ ้นออกโดยผูอ้ อกคาสังทางปกครอง
่ ่ ้องอุทธรณ์
ซึงต
หรือโต ้แย ้งก่อนจึงจะฟ้ องต่อศาลปกครองได ้
้ อ้ อกคาสังทางปกครองต
กรณี นีผู ่ ้องแจ ้งสิทธิอท ่
ุ ธรณ์หรือโต ้แย ้งคาสังทางปกครองตามคาแ
นะนาของคณะกรรมการวิธป ั ริ าชการทางปกครอง ที่ 1/2540 ตามนัยของมาตรา 40
ี ฏิบต
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
้ ้งสิทธิฟ้องคดีปกครอง
พร ้อมทังแจ
ตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ.
ี ารแจ ้งสิทธิเป็ น 4 กรณี ดังต่อไปนี ้
2542 ด ้วย โดยอาจแยกวิธก
ในกรณี นี ้ เจ ้าหน้าทีผู
่ อ้ อกคาสังทางปกครองนอกจากจะต
่ ้องแจ ้งให ้ผูร้ ับคาสัง่ ยืนอุ
่ ทธรณ์
่
หรือโต ้แย ้งคาสังทางปกครองต่ ่ ้มีอานาจวินิจฉัยอุทธรณ์ภายในระยะเวลาทีกฎ
อเจ ้าหน้าทีผู ่
หมายกาหนดไว ้แล ้ว
่ อ้ อกคาสังทางปกครองจะต
เจ ้าหน้าทีผู ่ ้องแจ ้งวิธก ่ าฟ้ องต่อศาลปกครองและระยะเวล
ี ารยืนค
่ าฟ้ องไว ้ด ้วยว่า
าสาหร ับยืนค
• ถ ้ามีการวินิจฉัยอุทธรณ์แล ้ว
่ สท
ผูร้ ับคาสังมี ิ ธิฟ้องคดีคด ั ค ้านคาวินิจฉัยอุทธรณ์ภายในเวลา 90
วันนับแต่วน ั ทีร่ ับแจ ้งหรือทราบคาวินิจฉัยอุทธรณ์
่
หรือภายในเวลาทีกฎหมายเฉพาะก ่
าหนดซึงอาจสั ้
นหรือยาวกว่า 90 วันก็ได ้
•
ี่
ถ ้าในกรณี ทครบกาหนดระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์แล ้วแต่ผู ้มีอานาจยังไม่วน
ิ ิ จฉัย
อุทธรณ์
่
ผูร้ ับคาสังทางปกครองสามารถยื
นค่ าฟ้ องต่อศาลปกครองในประเด็นการพิจารณาอุทธรณ์
ล่าช ้า
้
รวมทังสามารถฟ้ ่
องในประเด็นเกียวกั ้
บเนื อหาของค ่
าสังทางปกครองนั ้นว่าชอบด ้วยกฎหม
ายหรือไม่ด ้วยก็ได ้ โดยต ้องใช ้สิทธิฟ้องภายใน 90 วัน
นับแต่วน
ั ครบกาหนดระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์
่
หรือภายในระยะเวลาทีกฎหมายเฉพาะก ่
าหนดซึงอาจสั ้
นหรือยาวกว่า 90 วันก็ได ้
ตัวอย่างของบทบัญญัตต ิ าม (1.1) นี ้ ได ้แก่ มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัตค ิ วบคุมอาคาร
่ ญญัตวิ า่ “ มาตรา 52 ผู ้ขอร ับใบอนุ ญาต ผูไ้ ด ้รับใบอนุ ญาต
พ.ศ. 2522 ซึงบั
ผูแ้ จ ้งตามมาตรา 39 ทวิ
่
และผู ้ได ้ร ับคาสังจากเจ ่
้าพนักงานท ้องถินตามพระราชบั
ญญัตน ้ สท
ิ ี มี ิ ธิอท ่ งกล่า
ุ ธรณ์คาสังดั
ั ทราบคาสัง่ ”
วต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได ้ภายในสามสิบวันนับแต่วน
“ มาตรา 25 ผู ้มีสท
ิ ธิได ้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18
่
ผูใ้ ดไม่พอใจในราคาของอสังหาริมทร ัพย ์หรือจานวนเงินค่าทดแทนทีคณะกรรมการกาหน
ด ตามมาตรา 9 มาตรา 10 ทวิ มาตรา 23 หรือมาตรา 28 วรรคสาม
มีสท
ิ ธิอท
ุ ธรณ์ตอ ่
่ ร ัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามพระราชกฤษฎีกาทีออกตามมาตรา 6
หรือร ัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามพระราชบัญญัตเิ วนคืนอสังหาริมทร ัพย ์ฉบับนั้นภายในหกสิบ
วันนับแต่วน ่ อผูซ
ั ได ้ร ับหนังสือจากเจ ้าหน้าทีหรื ่ึ ้ร ับมอบหมายจากเจ ้าหน้าทีให
้ งได ่ ้มาร ับเงิน
ค่าทดแทนดังกล่าว”
ในการพิจารณาอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ ง ให ้ร ัฐมนตรีแต่งตังคณะกรรมการขึ
้ ้
นคณะหนึ ่ง
ประกอบด ้วยผูท้ รงคุณวุฒท
ิ างกฎหมาย
และผู ้มีความรู ้ความสามารถในการตีราคาอสังหาริมทรัพย ์
้
มีจานวนทังหมดไม่ นอ้ ยกว่าห ้าคน เป็ นผูพ ้ั ้
้ จิ ารณาเสนอความเห็นต่อร ัฐมนตรีทงนี
ให ้ร ัฐมนตรีวน ้
ิ ิ จฉัยอุทธรณ์ให ้เสร็จสินภายในหกสิ
บวันนับแต่วน ่ ้ร ับคาอุทธรณ์”
ั ทีได
“ มาตรา 39
่ี
ในกรณี ทนายทะเบี ่ ้เพิกถอนมติของทีประชุ
ยนมีคาสังให ่ มใหญ่กรรมการของสมาคมฌาป
นกิจสงเคราะห ์คนหนึ่ งคนใดมีสท
ิ ธิอท ่ ้นต่อปลัดกระทรวงได ้
ุ ธรณ์คาสังนั
่ อนายทะเบียนภายในสิบหา้ วันนับแต่วน
โดยทาเป็ นหนังสือยืนต่ ่ ้ร ับแจ ้งคาสังค
ั ทีได ่ าวินิจฉัย
่ ด”
ของปลัดกระทรวงให ้เป็ นทีสุ
(1.3)
่ี
กรณี ทกฎหมายมิ
ได ้กาหนดวิธก ่
ี ารและระยะเวลาในการอุทธรณ์หรือโต ้แย ้งคาสังทางปกคร
องไว ้ และไม่ได ้กาหนดวิธก
ี ารและระยะเวลาในการฟ้ องคดีตอ
่ ศาลไว ้ด ้วย
ในกรณี นี ้
นอกจากเจ ้าหน้าทีผู ่ อ้ อกคาสังทางปกครองจะต
่ ่
้องแจ ้งให ้ผูร้ ับคาสังทราบว่ ่ ทธรณ์
าอาจยืนอุ
่ อเจ ้าหน้าทีผู
หรือโต ้แย ้งคาสังต่ ่ อ้ อกคาสังทางปกครองภายใน
่ 15 วัน นับแต่วน ่ ้ร ับแจ ้ง
ั ทีได
่
คาสังตามที
ก ่ าหนดไว ้ในมาตรา 44 5 แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539 แล ้ว
่ อ้ อกคาสังทางปกครองจะต
เจ ้าหน้าทีผู ่ ้องแจ ้งวิธก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้
่ งกล่าวด ้วยว่า
องไว ้ใน คาสังดั
่ี
ในกรณี ทครบก าหนดระยะเวลาในการพิจารณาของผูม้ อ
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตร
า 44 6 แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ก
ี ารปฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2540)
ออกตามความในพระราชบัญญัตด
ิ งั กล่าวแล ้ว
ไม่วา่ จะมีคาวินิจฉัยของผูม้ อ
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่
่
ผูร้ ับคาสังทางปกครองสามารถที ่ นค
จะยื ่ าฟ้ องต่อศาลปกครองภายในระยะเวลา 90
ั ทีรู่ ้หรือควรรู ้ถึงเหตุแห่งการฟ้ องคดีตามมาตรา 49
วันนับแต่วน
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ ธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
โดยแยกออกเป็ น 2 กรณี เช่นเดียวกับ ก.และ ข. ของข ้อ (1.1) ข ้างต ้น
(1.4)
่
กรณี คาสังทางปกครองที ่ อยูใ่ นบังคับทีจะต
ไม่ ่ ้องแจ ้งให ้คูก
่ รณี ทราบถึงการอุทธรณ์หรือโต ้แ
่
ย ้งคาสังทางปกครองตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัตว
ิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539
่ ้วยวาจาโดยสภาพไม่สามารถแจ ้งวิธก
คาสังด ่ ้อ
ี ารและระยะเวลาอุทธรณ์ได ้แต่ถ ้าผูร้ ับคาสังร
งขอโดยมีเหตุอน
ั สมควรภายใน 7 วัน นับแต่วน ่ คาสังดั
ั ทีมี ่ งกล่าว
่ อ้ อกคาสังต
เจ ้าหน้าทีผู ่ ้องยืนยันคาสังนั
่ ้นเป็ นหนังสือตามมาตรา 35 7
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
่ นยันเป็ นหนังสือดังกล่าวเจ ้าหน้าทีจะต
และในคาสังยื ่ ้องแจ ้งรายละเอียดและระยะเวลาในการ
่ ทธรณ์ หรือโต ้แย ้งไว ้ ตลอดจนระบุวธิ ก
ยืนอุ ่ องต่อศาลปกครองไว ้ด ้วย
ี ารและระยะเวลายืนฟ้
่ าหนดไว ้ในข ้อ (1.1) (1.2) หรือ (1.3)
ตามหลักเกณฑ ์ทีก
(2)
่ี าสังทางปกครองนั
กรณี ทค ่ ้นออกโดยผูอ้ อกคาสังทางปกครองที
่ ่ นร ัฐมนตรีคณะร ัฐมนตรี
เป็
คณะกรรมการ หรือคณะกรรมการวินิจฉัยข ้อพิพาท
ี่
(3.1) กรณี ทกฎหมายกาหนดวิธก
ี ารและระยะเวลาในการฟ้ องคดีไว ้
่ ม้ อ
เจ ้าหน้าทีผู ่
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์ (เจ ้าหน้าทีคนเดี ยวหรือคณะกรรมการ)
จะต ้องระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ทราบ
ว่า
่ าฟ้ องต่อศาลปกครองด ้วยวิธก
ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์สามารถยืนค ี ารอย่างไรและภายในระ
่
ยะเวลาทีกฎหมายเฉพาะเรื ่ าหนดไว ้ นับแต่วน
องก ่ ้ร ับแจ ้งหรือทราบคาวินิจฉัยอุทธรณ์
ั ทีได
่ี
(3.2) กรณี ทกฎหมายเฉพาะเรื ่ ได ้กาหนดวิธก
องมิ ี ารและระยะเวลาในการฟ้ องคดีไว ้
้ ้าหน้าทีผู
ในกรณี นีเจ ่ ม้ อ
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์จะต ้องแจ ้งวิธก
ี ารและระยะเวลา
ในการฟ้ องคดีตอ
่ ศาลปกครองเช่นเดียวกันโดยแยกเป็ น 2 กรณี คือ
่ี
ก. กรณี ทกฎหมายกาหนดให ้คาวินิจฉัยอุทธรณ์มผ ่ ด
ี ลเป็ นทีสุ
แม้กฎหมายจะบัญญัตใิ ห ้คาวินิจฉัยอุทธรณ์มผ ่ ด แต่เป็ นทีสุ
ี ลเป็ นทีสุ ่ ดใน
ฝ่ ายบริหารเท่านั้น ไม่ตด ่ องต่อศาลปกครองได ้
ั สิทธิผู ้มีสว่ นได ้เสียทีจะฟ้
่ ้าหน้าทีผู
ซึงเจ ่ ม้ อ ่
ี านาจพิจารณาอุทธรณ์ (เจ ้าหน้าทีคนเดียวหรือคณะกรรมการ)
จะต ้องระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ทราบ
ว่า ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ สามารถยืนค ่ าฟ้ องต่อศาลปกครองภายในระยะเวลา 90
วันนับแต่วน ่ ้ร ับแจ ้งหรือทราบคาวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามมาตรา 49
ั ทีได
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
่ี นการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 45
ข. กรณี ทเป็
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ป
ี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
่ ม้ อ
เจ ้าหน้าทีผู ี านาจพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา 45
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ปี ฏิบต
ั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประกอบกับกฎกระทรวง
ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2540) ออกตามความใน พระราชบัญญัตด ิ งั กล่าว
จะต ้องระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์ทราบ
ว่าผูร้ ับคาวินิจฉัยอุทธรณ์สามารถยืนค่ าฟ้ องต่อศาลปกครองภายในระยะเวลา 90
วันนับแต่วน ่ ้ร ับแจ ้งหรือทราบคาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามระยะเวลาทีระบุ
ั ทีได ่ ในมาตรา 49
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ั ตัง้ ศาลปกครองและวิธพ ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
3. แนวทางปฏิบต ่ บคาสังทางปกครองที
ั เิ กียวกั ่ ่
ออกตั ้ วน
งแต่ ั ที่ 11 ตุลาคม 2542
่ อ้ อกคาสังทางปกครองมิ
และเจ ้าหน้าทีผู ่ ได ้ระบุวธิ ก ่ าฟ้ องและระยะ
ี ารยืนค
เวลาสาหร ับยืนค่ าฟ้ องไว ้ในคาสังทางปกครอง
่
่
บรรดาคาสังทางปกครองที ่
ออกตั ้ วน
งแต่ ั ที่ 11 ตุลาคม 2542 ซึงเป็
่ นวันที่
พระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ใช ้บังคับเป็ นต ้นมา
่ ได ้ระบุวธิ ก
ถ ้าเจ ้าหน้าทีมิ ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับคาสังทราบผ
่
ลทางกฎหมาย
่ าฟ้ องซึงมี
จะทาให ้ระยะเวลาสาหร ับยืนค ่ กาหนดน้อยกว่าหนึ่ งปี ขยายไปเป็ นหนึ่ งปี ฉะนั้น
่
เจ ้าหน้าทีควรพิ
จารณาว่าจะแจ ้งวิธก ่ าฟ้ องและระยะเวลาสาหร ับยืนค
ี ารยืนค ่ าฟ้ องให ้ผูร้ ับ
่
คาสังทราบหรื ่
อไม่เพือให ้ระยะเวลายืนค่ าฟ้ องเริมนั
่ บใหม่นับแต่วน ่ ร้ ับคาสังได
ั ทีผู ่ ้ร ับแจ ้งข ้อ
่
ความดังกล่าวซึงจะสั ้
นกว่ าหนึ่ งปี ทังนี
้ ้
่ ให ้การใช ้สิทธิในการฟ้ องคดีปกครองทุกเรืองต
เพือมิ ่ ้องขยายระยะเวลาออกไปเป็ นหนึ่ งปี
่
อันจะทาให ้ความไม่แน่ นอนเกียวกั ่
บคาสังทางปกครองขยายออกไป
่
ซึงจะมี
ผลกระทบต่อการบริหารราชการและไม่ตรงตามเจตนารมณ์ ของกฎหมาย
ข้อปฏิบต
ั ต
ิ นในศาล
•
ประชาชนทั่วไปมีสท ิ ธิเข ้าฟังการพิจารณาคดีได ้โดยแต่งตัวให ้สุภาพเรียบร ้อยต ้องมีความ
สารวม นั่งให ้เรียบร ้อย ไม่สนทนา หรือทาเสียงดัง ไม่สบ ่ ออ่านหนังสือพิมพ ์
ู บุหรีหรื
และไม่บน
ั ทึกเสียงหรือถ่ายภาพโดยไม่ได ้รับอนุ ญาตจากศาล
่ ่ งพิจารณาคดี
• เมือศาลออกนั
่ี ใ่ นห ้องพิจารณาคดีควรลุกขึนยื
ผูท้ อยู ้ นเพือเป็
่ นการแสดงความเคารพ
ถ ้าศาลอ่านคาพิพากษา คาสังหรื่ อ รายงานกระบวนพิจารณา คูค่ วามจะต ้องยืนฟัง
ลักษณะของคดีปกครอง
ตามพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
แบ่งออกได ้เป็ น 5 ประเภท คือ
ิ าทอันเนื่ องมาจากการกระทาทางปกครองฝ่ ายเดียว
1. คดีพพ
่
ซึงอาจแยกออกเป็ นการกระทาทางกฎหมาย หรือทีเรี่ ยกว่า “นิ ตก
ิ รรมทางปกครอง”
่ ยกว่า “ปฏิบต
และการกระทาทางกายภาพ หรือทีเรี ั ก
ิ าร”
่ าวมาเป็ นการใช ้อานาจทีหน่
การกระทาทางปกครองทีกล่ ่ วยงานหรือเจ ้าหน้าทีของร
่ ัฐสามา
รถดาเนิ นการได ้เองฝ่ ายเดียวโดยไม่จาต ้องให ้เอกชนยินยอมก่อน ไม่วา่ จะเป็ นการออกกฎ
เช่น การออกพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ข ้อบังคับต่าง ๆ
่ ผลบังคับเป็ นการทั่วไป หรือการออกคาสังทางปกครอง
ทีมี ่ ่
เช่น คาสังลงโทษทางวิ
นัย
่ ญาต อนุ มต
คาสังอนุ ่ งตัง้
ั ิ คาสังแต่
่ นกรณีของนิ ตก
ประกาศผลการสอบแข่งขันเข ้าร ับราชการหรือเข ้าศึกษาต่อซึงเป็ ิ รรมทาง
ิ าทอันเนื่ องมาจากการปฏิบต
ปกครอง ส่วนคดีพพ ั ก ่ เช่น
ิ ารใดๆ ของเจ ้าหน้าทีก็
การก่อสร ้างสะพาน ถนน การขุดลอกคลองสาธารณะหรือท่อระบายนาสาธารณะ ้
่ กคนโดยสาร เป็ นต ้น
การก่อสร ้างห ้องสุขาสาธารณะ หรือการก่อสร ้างทีพั
(5)
่ ถก
เป็ นการกระทาทีไม่ ู ต ้องตามวิธก ่ าหนดไว ้สาหร ับการกระทานั้น
ี ารอันเป็ นสาระสาคัญทีก
การจะมีการกระทาทางปกครองอย่างใดอย่างหนึ่ ง โดยทั่วไปหน่ วยงานฯ หรือเจ ้าหน้าทีฯ่
จะต ้องปฏิบต
ั ต
ิ ามวิธก
ี ารต่างๆ
่
ซึงอาจมี ่
รายละเอียดและลักษณะทีหลากหลายแตกต่
างกันตามสภาพของงาน อย่างไรก็ด ี
่
เพือให ั้ ายปก
้การดาเนิ นงานของฝ่ ายปกครองมีประสิทธิภาพและเกิดความรวดเร็วบางครงฝ่
ครองจะต ้องปร ับวิธก
ี ารต่าง ๆ ให ้เหมาะสมกับสถานการณ์ด ้วย
โดยบางกรณี อาจใช ้วิธก ี ารหนึ่ ง แต่ในบางกรณี อาจใช ้วิธก
ี ารอีกอย่างหนึ่ ง
หรืองดเว ้นไม่ใช ้วิธก
ี ารดังกล่าว
่ ้างภาระให ้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
(9) เป็ นการกระทาทีสร
ความหมายของการกระทาทีสร ่ ้างภาระให ้เกิดกับประชาชนเกินสมควรนั้นมีลก
ั ษณะใกล ้เคี
้
ยงกับการสร ้างขันตอนโดยไม่ จาเป็ น
้ จารณาในแง่ทว่่ี าเป็ นภาระทีเกิ
เพียงแต่เหตุในกรณี นีจะพิ ่ ดกับประชาชน
่ นสมควรหรือไม่ ภาระในทีนี
และเป็ นภาระทีเกิ ่ อาจเป็
้ น ภาระอย่างใดก็ได ้ เช่น
ภาระทางด ้านค่าใช ้จ่าย
่ ้องกระทาการหรืองดเว ้นกระทาการอย่างใดอย่างหนึ่ งหรือหลายอย่าง
หรือภาระทีต
่ นการใช ้ดุลพินิจโดยมิชอบ
(10) เป็ นการกระทาทีเป็ ในการใช ้อานาจของหน่ วยงานฯ
หรือเจ ้าหน้าทีฯ่
หากกฎหมายกาหนดให ้เลือกพิจารณาตัดสินใจได ้ว่าจะใช ้อานาจนั้นหรือไม่
หรือเลือกพิจารณาตัดสินใจได ้ว่าจะกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ งตามทีกฎหมายให
่ ้ทางเลือกไว ้
กรณี เช่นนี ้ ถือว่าเป็ นกรณี ทฝ่ี่ ายปกครองมีอานาจพิจารณาเลือกกระทาการ
หรือมักเรียกกันว่า “อานาจดุลพินิจ”
และโดยปกติยอ ่ ศาลไม่
่ มเป็ นเรืองที ่ ควรก ้าวล่วงเข ้าไปควบคุมตรวจสอบการใช ้ดุลพินิจโดย
่ กฎหมายไว
แท ้ดังกล่าว เพราะเป็ นเรืองที ่ ้วางใจให ้หน่ วยงานฯ
่ กฎหมายให
หรือเจ ้าหน้าทีฯที ่ ้อานาจ เป็ นผูเ้ ลือกตัดสินใจ
่ อผู ้บังคับบัญชาของเจ ้าหน้า
การเข ้าไปตรวจสอบจะเท่ากับว่าศาลทาตนเป็ นเจ ้าหน้าทีฯหรื
่ ยเอง
ทีฯเสี
ิ าทอันเนื่ องมาจากการละเลยต่อหน้าทีหรื
2. คดีพพ ่ อปฏิบต
ั ห ่ าช ้าเกินสมควร
ิ น้าทีล่ เช่น
กรมทะเบียนการค ้ามีหน้าทีร่ ับจดทะเบียนห ้างหุ ้นส่วนและบริษท
ั
่ นมีหน้าทีในการร
หรือกรมทีดิ ่ ับจดทะเบียนสิทธิและนิ ตกิ รรมอสังหาริมทร ัพย ์
่ นปฏิเสธไมร ับคาขอหรือร ับคาขอแล ้วไม่พจิ ารณาคาข
หากกรมทะเบียนการค ้าหรือกรมทีดิ
่
อว่าสมควรจดทะเบียนให ้ตามคาขอหรือไม่ ถือเป็ นการละเลยต่อหน้าทีตามกฎหมาย
แต่ถ ้ารับคาขอมาแล ้วแต่ดาเนิ นการล่าช ้า เช่น
่
กรณี การจดทะเบียนเรืองใดกฎหมายหรื อระเบียบภายในระบุวา่ ให ้พิจารณาร ับจดทะเบียนห
รือไม่ภายใน 3 วัน หากพ ้นกาหนดก็ถอื ว่าปฏิบต
ั ห ่ าช ้า
ิ น้าทีล่
หากไม่มก
ี ารกาหนดระยะเวลาไว ้
ก็ต ้องพิจารณาจากระยะเวลาตามปกติวส ่ ้นจะต ้องใช ้เวลาเท่าใด
ิ ยั ว่าเรืองนั
หากพ้นระยะเวลาไปแล ้วก็ถอื ว่าเป็ นการปฏิบต ั ห ่ าช ้าเกินสมควร
ิ น้าทีล่
คดีลก ้ ้แก่คดีทกล่
ั ษณะดังกล่าวนี ได ่ี าวในมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (2) ซึงตามมาตรา
่ 72
วรรคหนึ่ ง (2)
บัญญัตใิ ห ้อานาจศาลปกครองมีอานาจพิพากษาสังให ่ ้หัวหน้าหน่ วยงานทางปกครองหรือเ
่
จ ้าหน้าทีของร ่ ยวข
ัฐทีเกี ่ ้องปฏิบต
ั ห ่
ิ น้าทีภายในเวลาที ่
ศาลปกครองก าหนด
3.
ิ าทอันเนื่ องมาจากการกระทาละเมิดทางปกครองหรือความร ับผิดอย่างอืนของหน่
คดีพพ ่ วย
่
งานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐอันเกิดจากการใช ้อานาจตามกฎหมาย
่
หรือความเสียหายเกิดจากการออกกฎ คาสังทางปกครอง ่ น
หรือคาสังอื ่
ี่ วยงานทางปกครองละเลยต่อหน้าทีหรื
หรือเป็ นกรณี ทหน่ ่ อปฏิบตั ห ่ งกล่าวล่าช ้าเกินส
ิ น้าทีดั
้ ้องคานึ งว่าการละเมิดนั้นต ้องเกิดจากการใช ้อานาจตามกฎหมาย
มควร คดีตามลักษณะนีต
เช่น
การใช ้อานาจขององค ์การบริหารส่วนตาบลในการกาหนดแนวเขตเพือขุ ่ ดคลองและทาถน
่ื อดร ้อนหรือเสียหายก็เป็ นคดีละเมิดทีฟ้่ องต่อศาลปกครองได ้
น หากทาให ้ผูอ้ นเดื
่ งสุดที่ 271/2545
(คาสังศาลปกครองสู
(ประชุมใหญ่))แต่ถ ้าเป็ นการปฏิบต
ั ห ่
ิ น้าทีราชการตามปกติ เช่น
พนักงานขับรถของทางราชการขับรถชนคนบาดเจ็บ
หรือนายแพทย ์โรงพยาบาลรัฐบาลผ่าตัดผิดพลาด ทาให ้คนไข ้พิการ
้ ใช่เป็ นละเมิดจากการใช ้อานาจตามกฎหมายต ้องฟ้ องต่อศาลยุตธิ รรม
อย่างนี ไม่
่ นเกิดจากการใช ้อานาจตามกฎหมาย เช่น
สาหร ับกรณี ความร ับผิดอย่างอืนอั
กรณี การฟ้ องคดีเพือเรี่ ยกเงินค่าทดแทนจากการเวนคืนอสังหาริมทร ัพย ์ คดีประเภทที่ (3)
้ ข ้อสังเกตว่าน่ าจะเป็ นกรณี ทประชาชนฟ้
นี มี ่ี องทางราชการได ้ฝ่ ายเดียว
้ ้แก่กรณี ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (3) นั่นเอง ซึงมาตรา
ลักษณะคดีตาม ข ้อ 3 นี ได ่ 72
วรรคหนึ่ ง (3)
บัญญัตใิ ห ้อานาจศาลปกครองพิพากษาให ้ใช ้เงินหรือให ้ส่งมอบทรัพย ์สินหรือให ้กระทากา
่ ยวยาการกระทาละเมิดหรือความร ับผิดอย่างอืนนั
รหรืองดเว ้นกระทาการเพือเยี ่ ้น
ิ าทอันสืบเนื่ องมาจากสัญญาทางปกครอง
4. คดีพพ เช่น สัญญาสัมปทาน
ิ่
สัญญาจัดให ้มีสงสาธารณู ปโภค เช่น คูคลอง ถนน สายส่งไฟฟ้ า
โครงการประปาของเทศบาล เป็ นต ้น
้ ้แก่กรณี ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (4) นั่นเอง และมาตรา
ลักษณะคดีตาม ข ้อ 4 นี ได
72 (3) ได ้บัญญัตใิ ห ้อานาจศาลปกครองในการพิพากษาให ้ใช ้เงิน หรือให ้ส่งมอบทรัพย ์สิน
หรือให ้กระทาการหรืองดเว ้นกระทาการ
่ ยวยาความเสียหายจากการผิดสัญญาหรือเพือปฏิ
เพือเยี ่ บตั ต
ิ ามสัญญา
5. คดีพพ ่
ิ าททางปกครองอืนๆ เช่น
่ี
คดีทกฎหมายก ่
าหนดให ้หน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ัฐฟ้ องคดีตอ
่ ศาลปกคร
่ งคับให ้บุคคลต ้องกระทาหรือละเว ้นการกระทาอย่างหนึ่ งอย่างใด เช่น มาตรา 118
อง เพือบั
ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัตก ้
ิ ารเดินเรือในน่ านนาไทย พระพุทธศักราช 2456
่ ้ไขเพิมเติ
ซึงแก ่ มโดยพระราชบัญญัตฯิ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2535 ทีบั
่ ญญัตใิ ห ้
่ งคับให ้ผูท้ ปลู
กรมเจ ้าท่าฟ้ องศาลเพือบั ่ี กสร ้างสิงก่
่ อสร ้างล่วงลาล
้ านารื
้ อถอนสิ
้ ่ อสร ้างดัง
งก่
กล่าว หรือคดีทมี่ี กฎหมายเฉพาะกาหนดให ้อยูใ่ นอานาจศาลปกครอง เช่น มาตรา 42
แห่งพระราชบัญญัตกิ ารปฏิรป ่ นเพือเกษตรกรรม
ู ทีดิ ่ พ.ศ. 2518 หรือมาตรา 7
แห่งพระราชบัญญัตก ่ ญญัตใิ ห ้ผูท้ ไม่
ิ ารผังเมือง พ.ศ. 2518 ทีบั ี่ พอใจ
คาวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัตด ่ องต่อศาล
ิ งั กล่าวยืนฟ้
ปกครองได ้ภายในกาหนดหนึ่ งเดือน
้ ้แก่คดีตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ ง (5) และ (6) นั่นเอง และศาล
ลักษณะตาม ข ้อ 5 นี ได
มีอานาจตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ ง (3)
่ ้บุคคลกระทาหรือละเว ้นกระทาอย่างหนึ่ งอย่างใดเพือให
สังให ่ ้เป็ นไปตามกฎหมายหรือตาม
มาตรา 72 วรรคหนึ่ ง (4)
่ ้ถือปฏิบต
สังให ั ต
ิ อ ่
่ สิทธิหรือหน้าทีของบุ ่ ยวข
คคลทีเกี ่ ่ี การฟ้ องให ้ศาลมีคาพิพ
้องในกรณี ทมี
ากษาแสดงความเป็ นอยูข ่ ้น
่ องสิทธิหรือหน้าทีนั
่
มีคดี 3 ประเภททีกฎหมายบั ญญัตม
ิ ใิ ห ้อยูใ่ นอานาจของศาลปกครองได ้แก่
่
การดาเนิ นการเกียวกั
บวินัยทหาร
การดาเนิ นการของคณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด ้วยระเบียบข ้าราชการฝ่ ายตุล
่ี ใ่ นอานาจของศาลชานัญพิเศษสังกัดศาลยุตธิ รรม ได ้แก่
าการ และคดีทอยู
ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร
ศาลทรัพย ์สินทางปัญญาและการค ้าระหว่างประเทศ ศาลล ้มละลาย
หรือศาลชานัญพิเศษอืน่
กระบวนการพิจารณาแบบไต่สวน
วิธพ
ี จิ ารณาคดีแพ่งในศาลยุตธิ รรมผูพ
้ พ
ิ ากษาจะไม่ได ้มีบทบาทหลัก
่
ในกระบวนพิจารณา เพราะการดาเนิ นคดีในศาลยุตธิ รรมจะเป็ น เรืองของคู ค
่ วาม
เป็ นสาคัญ
้
และการวินิจฉัยชีขาดของผู พ ้ พ ้
ิ ากษาก็จะขึนอยู
ก ่ บ ่ ค
ั ข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีคู ่ วาม
ได ้นาเสนอต่อศาล ดังนั้น ถ ้าคาคูค่ วามหรือพยานหลักฐานทีน ่ าเสนอโดยคูค
่ วาม
มีข ้อบกพร่องไม่สมบูรณ์ โดยทั่วไปแล ้ว
ผูพ
้ พ ่
ิ ากษาก็จะไม่ลงไปยุง่ เกียวกั
บข ้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานของคูค
่ วาม
่ วามฝ่ ายหนึ่ งฝ่ ายใดได ้ ทังนี
เพราะคิดว่าจะทาให ้เกิดความไม่เป็ นธรรม เป็ นการเข ้าข ้างคูค ้ ้
เนื่ องจากลักษณะของคดีในศาลยุตธิ รรมจะมีลก ั ษณะเป็ นการต่อสู ้ในคดีระหว่างคูค ่ วาม
่ ดในการดาเนิ นคดีในระบบกล่าวหาจะได ้แก่ การนั่งพิจารณาในศาล
ส่วนสาคัญทีสุ
้
และด ้วยเหตุนีการพิ
จารณาในศาลยุตธิ รรมจึงมีลก
ั ษณะเป็ นการต่อสู ้โต ้แย ้งกันด ้วยวิธสี บ
ื พ
ยานหักล ้างกันระหว่างคู่ความ (โดยทนายความ) ต่อหน้าผูพ
้ พ
ิ ากษา
วิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครองใช ้ระบบไต่สวนจะสามารถเทียบเคียงได ้กับ
วิธพี จิ ารณาคดีอาญาในกลุม ่ ้ระบบ Civil Law
่ ประเทศทีใช
้
เพราะในประเทศเหล่านี เขามี ่
ความเห็นว่าในขณะทีในคดี ่ นข ้อพิพ
แพ่งในศาลยุตธิ รรมซึงเป็
าทระหว่างเอกชนสองฝ่ ายนักกฎหมายของกลุม ่ ประเทศเหล่านี ้ เห็นว่า
ไม่มค ่ พ
ี วามจาเป็ นทีผู ้ พ
ิ ากษาจะต ้องมีบทบาทในคดีมากไปกว่าการกากับดูแลกระบวนพิจา
รณาระหว่างคูค
่ วามให ้เป็ นไปตามกฎหมายวิธพ
ี จิ ารณาคดี
รัฐไม่มป
ี ระโยชน์ได ้เสียในคดีแพ่งระหว่างเอกชนดังกล่าว
นอกจากหน้าทีที่ กฎหมายก
่ าหนดให ้ผูพ้ พ
ิ ากษาหรือศาลจะต ้องเป็ นกลางไม่ฝักใฝ่ ฝ่ ายใด
แต่ในการดาเนิ นกระบวนวิธพ ี จิ ารณาความอาญา
เนื่ องจากว่าร ัฐมีผลประโยชน์โดยตรงในคดีอาญาทีเกี
่ ยวข
่ ้องกับการต ้องบังคับการให ้เป็ นไ
่
ปตามกฎหมายเพือความสงบสุ ขของสังคม ดังนั้น ในคดีอาญานักกฎหมายในกลุม ่ ประเทศ
่
Civil law จึงเห็ นว่าจาเป็ นทีจะต ่ พ
้องใช ้ระบบไต่สวนทีผู ้ พ
ิ ากษาจะต ้องมีบทบาทสาคัญ
(active role) ในการดาเนินคดีทางอาญา
่ นเหตุผลเดียวกันกับเหตุผลทีใช
ซึงเป็ ่ ้ในการดาเนิ นกระบวนวิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง
บทบาทของตุลาการในคดีปกครอง
่
จะต ้องทาหน้าทีในการแสวงหาทั
งข้ ้อเท็จจริงและข ้อกฎหมาย
่
ซึงในการแสวงหาข ้อเท็จจริงดังกล่าวจะไม่ถก
ู จากัดอยูแ่ ต่เฉพาะข ้อเท็จจริงหรือพยานหลัก
่ ค
ฐานทีคู ่ วามหรือคูก ื่
่ รณียนหรื อเสนอต่อศาลเท่านั้น
ในทางปฏิบต ้ั
ั ิ การดาเนินคดีปกครองจึงมีขนตอนที ่ ยกว่าการแสวงหาข ้อเท็จจริง
เรี
้
(ก่อนขันตอนของการนั ่ งพิจารณาคดี) ซึงศาลเป็
่ ่ งกล่าว
นผูท้ าหน้าทีดั
่ หน้าทีร่ ับผิดชอบการดาเนิ นขันตอนของการแสวงหาข
และตุลาการทีมี ้ ้อเท็จจริง เรียกว่า
ตุลาการเจ ้าของสานวน
่ นตุลาการคนหนึ่ งในองค ์คณะทีได
ซึงเป็ ่ ้ร ับมอบหมายให ้ทาหน้าทีนั
่ ้น
่
บทบาทของตุลาการเจ ้าของสานวนในการทาหน้าทีแสวงหาข ้อเท็จจริงจะกระทาได ้อย่างก
่
ว ้างขวางตามทีตนเห็ นสมควร
่
แม้วา่ โดยความเป็ นจริงแล ้วจะต ้องเริมจากข ่ ค
้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีคู ่
่ วามยืนหรื
อเส
นอต่อศาลก็ตาม
และแม้แต่วธิ ก ่ ้ในการเพือให
ี ารทีใช ่ ้ได ้ข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานก็สามารถกระทาได ้อย่
่
างกว ้างขวาง หน้าทีของตุ ลาการเจ ้าของสานวนในการแสวงหาข ้อเท็จจริง
นั้นย่อมจะต ้องกระทาเพือให
่ ่
้ได ้ข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีครบถ ่
้วนก่อนทีองค ์คณะจะ
พิจารณาวินิจฉัยคดี
่ ลาการเจ ้าของสานวนจะต ้องกระทาเพือประโยชน์
ซึงตุ ่ ้ั
แก่ทงสองฝ่ ายของคูก
่ รณี
และจะต ้องเปิ ดโอกาสให ้หรือคูก
่ รณี แต่ละฝ่ ายได ้ตรวจสอบและโต ้แย ้งหักล ้างข ้อเท็จจริงหรื
อพยานหลักฐานทีตุ ่ ลาการแสวงหาได ้มาด ้วยตนเองก่อนเสมอ
่
ก่อนทีรวมเป็ นส่วนหนึ่ งในสานวนแห่งคดี ด ้วยเหตุนีในคดี
้ ่
ปกครองโดยทัวไป
จึงไม่บงั คับว่าจะต ้องมีทนายความ
่ี
จะมีททนายความอาจมี ่
ความจาเป็ นในคดีเรืองการเรี
ยกให ้ใช ้เงินหรือในคดีสญ
ั ญาทางปก
ครองทีมี่ ความสลับซ ับซ ้อนเป็ นพิเศษ
ในส่วนทีว่่ าวิธพ
ี จิ ารณาคดีท่วไปเช่
ั ่
นในคดีแพ่งทีเราคุ ้นเคย การตัดสิน
้
ชีขาดคดีของศาลหมายถึงการตัดสินภายหลังจากทีมี ่ การนั่งพิจารณาสืบพยานหักล ้างกัน
ต่อหน้าผูพ ิ ากษาเท่านั้น
้ พ
โดยมีการโต ้แย ้งหักล ้างกันระหว่างคูค ่ ทนายความเป็ นผูช
่ วามทีมี ้ ว่ ยเหลือและกระทาต่อหน้
าผูพ
้ พ ้
ิ ากษาในศาล อย่างไรก็ตาม กรณี เช่นว่านี จะแตกต่ างกับในคดีปกครอง
่
แม้วา่ จะกาหนดว่าก่อนทีศาลปกครองจะวิ ้ ได ้นั้น
นิจฉัยชีขาดคดี
จะต ้องมีการนั่งพิจารณาโดยเปิ ดเผยของศาลก่อนเสมอก็ตาม
้ ้นว่าการนั่งพิจารณาของศาลปกครอง นั้น
เพราะจะต ้องเข ้าใจเสียในเบืองต
จะไม่เหมือนกับกระบวนการทีใช ่ ้ในศาลยุตธิ รรม
วิธพ ้
ี จิ ารณาคดีปกครองส่วนใหญ่เกือบทังหมดจะเป็ นลายลักษณ์อก ั ษร
้
คดีจะได ้ร ับการตัดสินชีขาดจากคาคูค ้ ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีคู
่ วาม รวมทังข ่ ก่ รณี
(คดีปกครองเราเรียกคูค ่ รณี ”) นาเสนอพร ้อมทัง้
่ วามว่า ”คูก
่ ลาการเจ ้าของสานวนดาเนิ นการมาตามกระบวนการแสว
ข ้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทีตุ
่
งหาข ้อเท็จจริงทีจะอยู ้ั
ใ่ นสานวนคดีทงหมด
้
ขันตอนที ่ าคัญในการนั่งพิจารณาของศาลปกครองจึงมีลก
ส ่
ั ษณะทีแตกต่
างจากวิธท ี่ ้ใน
ี ใช
ระบบกล่าวหา
นอกจากนั้น ทีส
่ าคัญอย่างยิงอี
่ กประการหนึ่ ง คือ วิธพ
ี จิ ารณาคดีปกครอง หรือ
้
ขันตอนการแสวงหาข ้อเท็จจริง
ระบบวิธพ ี จิ ารณาคดีปกครองยังให ้มีการถ่วงดุลการใช ้อานาจระหว่างตุลาการศาลปกครอ
่
งด ้วยกัน เพือตรวจสอบความสมบู รณ์ถก ู ต ้องของข ้อเท็จจริง กล่าวคือ โดยหลักแล ้ว
“ตุลาการเจ ้าของสานวน” จะเป็ นผูม
้ บ
ี ทบาทสาคัญในการแสวงหาและรวบรวมข ้อเท็จจริง
แต่จะต ้องเสนอข ้อเท็จจริงนั้นต่อตุลาการอืนที
่ ประกอบกั
่ นเป็ นองค ์คณะ และต่อ “ตุลาการ
่ ใช่ตล
ผูแ้ ถลงคดี” ซึงมิ ุ าการในองค ์คณะนั้นพิจารณาด ้วย
้
สาหรับในส่วนของการวินิจฉัยชีขาดนั ้น “ตุลาการผูแ้ ถลงคดี ” จะเสนอ “คาแถลงการณ์”
่ นการตรวจสอบข ้อเท็จจริง
ซึงเป็
้
ข ้อกฎหมายรวมทังการให ้
้ความเห็นในทางชีขาดตั
ดสินคดีตอ ่
่ องค ์คณะก่อนทีองค ์คณะจะ
ลงมติวน
ิ ิ จฉัย
่ ดสินคดีเรืองนั
อันเปรียบเสมือนเป็ นความเห็นของตุลาการนายเดียวว่าหากตนมีหน้าทีตั ่ ้นต
นจะพิพากษาอย่างไร ด ้วยเหตุผลประการใด
่ วา่ คาตัดสินขององค ์คณะเท่านั้นทีจะถื
ซึงแม้ ่ อเป็ นคาพิพากษา แต่การให ้มีระบบการเสนอ
“คาแถลงการณ์” ของตุลาการผูแ้ ถลงคดีตอ ่ องค ์คณะเช่นนี ้
่ น้
จะช่วยทาให ้การใช ้อานาจตัดสินคดีขององค ์คณะมีความรอบคอบและถูกต ้องมากยิงขึ
้ เพราะ
ทังนี ้ หากองค ์คณะไม่เห็นด ้วยกับคาแถลงการณ์
่ กแน่ นและน่ าเชือถื
โดยหลักก็จะต ้องแสดงให ้เห็นถึงเหตุผลทีหนั ่ อมากกว่า
เพราะจะมีการเปรียบเทียบคาวินิจฉัยและเหตุผลของตุลาการผูแ้ ถลงคดีและขององค ์คณะใ
นคดีปกครองเนื่ องจากกฎหมายกาหนดให ้มีการพิมพ ์เผยแพร่คาพิพากษาขององค ์คณะ
และคาแถลงการณ์ของตุลาการผูแ้ ถลงคดีควบคูก
่ น
ั เสมอ
การตรวจคาฟ้อง
้
สาหร ับกระบวนพิจารณาชันการแสวงหาข ้ ลาการเจ ้าของสานวนจะเป็ นผูม้ บ
้อเท็จจริงนี ตุ ี ท
บาทสาคัญในการรวบรวมข ้อเท็จจริงและเสนอความเห็นต่อองค ์คณะ
โดยอาจแบ่งวิธก
ี ารในการแสวงหาข ้อเท็จจริงออกได ้เป็ น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ
่ ถ้ ก
เมือผู ู ฟ้ องคดียนค่ื าให ้การแล ้วศาลจะส่งสาเนาคาให ้การพร ้อมทังส ้ าเนาพยานหลักฐาน
ไปยังผูฟ ่
้ ้ องคดี เพือให ้ผู ้ฟ้ องคดีทาคาคัดค ้านหรือยอมร ับคาให ้การ ภายใน 30 วัน
หรือภายในระยะเวลาทีศาลก ่ าหนด
่ี ฟ
ในกรณี ทผู ้ ้ องคดีไม่ทาคาคัดค ้านคาให ้การและไม่แจ ้งต่อศาลเป็ นหนังสือว่าประสงค ์จะให ้
ศาลพิจารณาพิพากษาคดีตอ ่ ไปภายในกาหนดระยะเวลาดังกล่าว
่ าหน่ ายคดีออกจาก สารบบความได ้
ศาลอาจสังจ
คาคัดค ้านคาให ้การของผูฟ ่
้ ้ องคดีจะทาได ้เฉพาะในประเด็นทียกขึ ้
นกล่าวแล ้วในคาฟ้ อง
่
หรือคาให ้การ หรือทีศาลก าหนด
่ การยืนค
และเมือมี ่ าคัดค ้านคาให ้การแล ้วให ้ศาลส่งสาเนาคาคัดค ้านคาให ้การให ้แก่ผูถ้ ก
ู ฟ้
่ าคาให ้การเพิมเติ
องคดีเพือท ่ มภายใน 15 วัน หรือภายในระยะเวลาทีศาลก ่ าหนด
่ ้นกาหนดระยะเวลาดังกล่าวแล ้ว หรือเมือผู
เมือพ ่ ้ถูกฟ้ องคดียนค
ื่ าให ้การเพิมเติ
่ มแล ้ว
ตุลาการเจ ้าของสานวนมีอานาจจัดทาบันทึกของตุลาการเจ ้าของสานวนเสนอองค ์คณะเพื่
อพิจารณา ต่อไป
้
จากขันตอนดังกล่าวจะเห็นได ้ว่า การแสวงหาข ้อเท็จจริงจากคูก ่ รณี
้ บ
ตังอยู ้
่ นพืนฐานของหลั ่
กเรืองการฟั ้ ซึงสามารถ
งความสองฝ่ ายและการโต ้แย ้งชีแจง ่
สร ้างความเป็ นธรรมให ้แก่คก ้ั
ู่ รณี ได ้เป็ นอย่างดี โดยปกติแล ้วจะมีขนตอน 4
้
ขันตอนตามที ่ าวมาข ้างต ้น
กล่
แต่ถ ้าศาลเห็นว่าไม่มค ้
ี วามจาเป็ นต ้องดาเนิ นการให ้ครบทุกขันตอนดั
งกล่าว (เช่น
ปรากฏข ้อเท็จจริงอย่างชัดแจ ้งหรือไม่อาจโต ้แย ้งหรือปฏิเสธได ้)
้
ก็อาจยกเว ้นไม่ดาเนิ นการจนครบทุกขันตอนก็ ได ้
่
ดังจะได ้กล่าวต่อไปในเรืองการสรุ
ปสานวน
2. การแสวงหาข ้อเท็ จจริงของศาล หลักสาคัญของวิธพ
ี จิ ารณาคดี
่ นระบบไต่สวนนั้น
ปกครองซึงเป็
่
ตุลาการศาลปกครองมีอานาจทีจะแสวงหาข ้อเท็จจริงได ้อย่างกว ้างขวาง
่
ไม่วา่ จะเป็ นพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผูเ้ ชียวชาญ ่
หรือพยานหลักฐานอืน
หรือไปทาการตรวจสอบสถานที่ หรือส่งประเด็นไปให ้ศาลอืนแสวงหาข
่ ้อเท็ จจริงแทน
กับมีอานาจเรียกคูก ่
่ รณี หน่ วยงานทางปกครอง เจ ้าหน้าทีของร ัฐ
่ ยวข
หรือบุคคลทีเกี ่ ้ ้มาให ้ถ ้อยคา ทังนี
้องให ้ส่งเอกสาร หรือพยานหลักฐานใด ๆ รวมทังให ้ ้
โดยไม่จากัดเฉพาะแต่พยานหลักฐานของคูก ่ รณี เท่านั้น
่ รณี น้ันโต ้แย ้งคัดค ้านหรือชีแจงข
แต่ศาลจะต ้องเปิ ดโอกาสให ้คูก ้ ้อเท็จจริงดังกล่าวได ้เสมอ
โดยในการไต่สวนศาลจะทาหน้าทีเป็ ่ นผูท้ าการซ ักถามเอง
้
การแสวงหาข ้อเท็จจริงของศาลตามขันตอนนี ้
โดยปกติ ่ อยู
เป็ นเรืองที ่ ใ่ นขันตอนของตุ
้ ลาก
ารเจ ้าของสานวน อย่างไรก็ด ี
องค ์คณะพิจารณาพิพากษาก็มอ ่
ี านาจทีจะใช ้วิธก
ี ารแสวงหาข ้อเท็จจริงดังกล่าวได ้ด ้วย
่ี ก
3. กรณี ทคู ่ รณี ไม่ให ้ความร่วมมือในการให ้ข ้อเท็จจริงต่อศาล
่ี ก
ในกรณี ทคู ่ รณี ฝ่ายหนึ่ งฝ่ ายใดไม่แสดงพยานหลักฐานของฝ่ ายตนภายในระยะเวลาทีศา
่
ลกาหนด
กฎหมายให ้ถือว่าคูก ี่ ได ้แสดงพยานหลักฐานนั้นไม่มพ
่ รณีทไม่ ี ยานหลักฐานสนับสนุ นหรือ
ยอมร ับข ้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของคูก ี ฝ่ ายหนึ่ ง
่ รณี อก
่ นเป็ นการยุตธิ รรม
โดยให ้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาต่อไปตามทีเห็
่
และอาจจะต ้องร ับโทษทางอาญาในความผิดฐานขัดหมายหรือคาสังของศาลตามมาตรา
170 แห่งประมวลกฎหมายอาญาอีกทางหนึ่ งด ้วย
การสรุปสานวน
่ี ลาการเจ ้าของสานวนได ้พิจารณาข ้อเท็จจริงจากคาฟ้ อง คาให ้การ
ในกรณี ทตุ
้
ฯลฯ และการชีแจงของคู ก
่ รณี
้ ้อเท็จจริงทีได
รวมทังข ่ ้มาจากการแสวงหาข ้อเท็จจริงของศาลเองแล ้วไม่วา่ ในขณะใด
เห็นว่าคดีมข ่ จารณาพิพากษาหรือมีคาสังชี
ี ้อเท็จจริงเพียงพอทีจะพิ ่ ขาดคดี
้ ได ้แล ้ว
่ี
หรือในกรณี ทศาลมี ่ ับคาฟ้ องแล ้ว
คาสังร
่
ตุลาการเจ ้าของสานวนเห็นว่าจากข ้อเท็จจริงทีปรากฏในค ้
าฟ้ องสามารถวินิจฉัยชีขาดคดี
ได ้โดยไม่จาเป็ นต ้องมีการแสวงหาข ้อเท็จจริงในคดีอก
ี (ไม่วา่ จะครบ 4
้
ขันตอนแล ้วหรือไม่) ตุลาการเจ ้าของสานวนมีอานาจจัดทาบันทึกสรุปข ้อเท็จจริง
่
ประเด็นทีจะต ้องวินิจฉัย
่ บประเด็นทีจะต
และความเห็นเกียวกั ่ ้องวินิจฉัยพร ้อมสานวนคดีเสนอให ้องค ์คณะพิจารณา
ดาเนิ นการต่อไป
่
ซึงในการท ้ ลาการเจ ้าของสานวนจะต ้องเสนอความเห็นของตนในการวินิจฉัยค
าบันทึกนี ตุ
ดีด ้วยว่าควรวินิจฉัยในแนวทางใด
่ี
ในกรณี ทองค ์คณะพิจารณาสานวนคดีดงั กล่าวแล ้วเห็นว่าไม่มก
ี รณี ต ้องแสวงหาข ้อเท็จจริ
่ ม ตุลาการหัวหน้าคณะจะมีคาสังก
งเพิมเติ ่ าหนดวันสินสุ้ ดการแสวงหาข ้อเท็จจริง
้ ้นพิจารณา
แล ้วส่งสานวนคดีให ้อธิบดีศาลปกครองชันต
่ งสานวนคดีน้ันให ้ตุลาการผูแ้ ถลงคดีจด
เพือส่ ั ทาคาแถลงการณ์เป็ นหนังสือ
ี่ นเรืองเร่
เว ้นแต่ในคดีทเป็ ่ ่ มี
งด่วน เรืองที ่ ข ้อเท็จจริงหรือข ้อกฎหมายไม่ยงุ่ ยาก
หรือในกรณี คาขอเกียวกั ่ บวิธก ่
ี ารชัวคราวก่ ่
อนการพิพากษาซึงอาจแถลงการณ์ ด ้วยวาจาไ
ด้
่ ลาการผู ้แถลงคดีได ้จัดทาคาแถลงการณ์เป็ นหนังสือหรือสามารถเสนอคาแถลงการ
เมือตุ
ณ์ด ้วยวาจาได ้แล ้ว
องค ์คณะจะกาหนดวันนั่งพิจารณาคดีครงแรกต่
้ั ่ ้หารือกับอธิบดีศาลปกคร
อไปหลังจากทีได
้ ้นแล ้ว
องชันต
่
จากอานาจหน้าทีของตุ ลาการเจ ้าของสานวนดังกล่าวข ้างต ้น จะเห็นได ้ว่า
่ าคัญในการพิจารณาคดีของศาลปกครอง
ตุลาการเจ ้าของสานวนจะเป็ นผู ้มีหน้าทีส
เพราะจะเป็ นผูร้ วบรวมข ้อเท็จจริงต่างๆ ในคดี
และพิจารณาเสนอความเห็นในเบืองต ้ ้นต่อองค ์คณะก่อนทีองค
่ ์คณะจะร ับฟังคาแถลงการ
ณ์ของตุลาการผูแ้ ถลงคดีและมีคาพิพากษาต่อไป
การนั่งพิจารณาคดีและการแถลงการณ์ของตุลาการผู แ
้ ถลงคดี
1. การนั่งพิจารณาคดี
้
เป็ นขันตอนส ้
าคัญขันตอนหนึ ่ งของกระบวนพิจารณาคดีปกครอง
้ นตอนการแสวงหาข
หลังจากเสร็จสินขั ้ ้อเท็จจริงและการสรุปสานวนแล ้ว
องค ์คณะจะต ้องจัดให ้มีการนั่งพิจารณาอย่างน้อย 1
้ั อให
ครงเพื ่ ่ รณี มโี อกาสมาแถลงด ้วยวาจาต่อหน้าองค ์คณะ ในการนี ้
้คูก
ศาลจะต ้องส่งสรุปข ้อเท็จจริงของตุลาการเจ ้าของสานวนให ้คูก
่ รณี ทราบล่วงหน้าไม่นอ้ ยก
ว่า 7 วัน
โดยคูก
่ รณี มสี ท ื่ าแถลงและนาพยานหลักฐานมาสืบเพิมเติ
ิ ธิยนค ่ มประกอบคาแถลงดังกล่าว
ในวันนั่งพิจารณาคดี
การนั่งพิจารณาคดีจะต ้องกระทาโดยเปิ ดเผยเว ้นแต่จะเข ้าข ้อยกเว ้นที่
ศาลปกครองจะเห็นสมควรห ้ามเปิ ดเผยข ้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ตา่ ง ๆ
่ ักษาความสงบเรียบร ้อยหรือศีลธรรมอันดี
ในคดีใดเพือร
่ ้มครองประโยชน์สาธารณะ
หรือเพือคุ
่ ้ามประชาชนมิให ้เข ้าฟังการพิจารณาหรือห ้ามมิให ้ออกโฆษ
ศาลปกครองอาจจะมีคาสังห
ณาข ้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ตา่ งๆ ในคดีน้ันได ้ ในวันนั่งพิจารณาคดีครงแรก
้ั
หากคูก ่ าแถลงเป็ นหนังสือจะต ้องยืนต่
่ รณี ประสงค ์จะยืนค ่ อศาลก่อนวันนั่งพิจารณาคดี
่ ดในระหว่างนั่งพิจารณาคดี
หรืออย่างช ้าทีสุ
่ นต่
คาแถลงเป็ นหนังสือทียื ่ อศาลนั้นต ้องเป็ นข ้อเท็จจริงทีเคยยกขึ
่ นอ้ ้างไว ้แล ้วเท่านั้น
่ นประเด็นสาคัญแห่งคดีซงมี
เว ้นแต่เป็ นข ้อเท็จจริงทีเป็ ่ึ เหตุจาเป็ นหรือพฤติการณ์พเิ ศษที่
ทาให ้ไม่อาจเสนอต่อศาลได ้ก่อนหน้านั้น
้ ก
ในการนี คู ่ รณี มส
ี ท ่ นต่
ิ ธินาพยานหลักฐานมาสืบประกอบคาแถลงเป็ นหนังสือทียื ่ อศาลได ้
้
สาหร ับขันตอนในการนั ่ งพิจารณาคดีครงแรก
้ั
่ ้วยตุลาการเจ ้าของสานวนจะสรุปข ้อเท็จจริงและประเด็นของคดี
เริมด
หลังจากนั้นคูก ่ ้ยืนไว
่ รณี สามารถแถลงด ้วยวาจาประกอบคาแถลงเป็ นหนังสือทีได ่ ้แล ้วโดยใ
ห ้ผูฟ
้ ้ องคดีแถลงก่อน
่ี
และด ้วยเหตุทกระบวนการพิ
จารณาคดีของศาลปกครองมีลก
ั ษณะเป็ นกระบวนพิจารณาท
างเอกสารเป็ นหลัก ดังนั้น คาแถลงด ้วยวาจาของคูก
่ รณี จะต ้องกระชับ อยูใ่ นประเด็น
่
และไม่อาจแถลงนอกเหนื อไปจากทีปรากฏในค าแถลงเป็ นหนังสือได ้
ในการนั่งพิจารณาคดี หากจาเป็ นจะต ้องซ ักถามคูก
่ รณี และพยาน ศาลจะเป็ นผูด้ าเนิ นการ
และจะต ้องจัดทารายงานกระบวนพิจารณาลงลายมือชือศาล ่
และคูก
่ รณี ไว ้เป็ นหลักฐานด ้วย
่ี ก
ในกรณี ทคู ่ รณี ฝ่ายหนึ่ งฝ่ ายใดฝ่ าฝื นข ้อกาหนดเพือร
่ ักษาความสงบเรียบร ้อยของศาลแล
่ ้ออกไปจากบริเวณศาล ศาลจะพิจารณาคดีลบ
ะศาลสังให ่ รณี ฝ่ายนั้นก็ได ้
ั หลังคูก
2. แถลงการณ์ของตุลาการผูแ้ ถลงคดี
่
เมือเสร็ ้
จสินการแถลงและการน าพยานหลักฐานมาสืบของคูก่ รณี แล ้ว
้
ตุลาการผูแ้ ถลงคดีจะชีแจงด ้วยวาจาประกอบคาแถลงการณ์เป็ นหนังสือ หรือเสนอ
คาแถลงการณ์ด ้วยวาจาต่อองค ์คณะ
้ คคลซึงไม่
ในการนี บุ ่ ได ้ร ับอนุ ญาตจากศาลจะอยูใ่ นห ้องพิจารณาไม่ได ้
ในการแถลงการณ์ของตุลาการผูแ้ ถลงคดีน้ัน
ตุลาการผูแ้ ถลงคดีจะเสนอความเห็นในการวินิจฉัยคดีของตนโดยอิสระต่อองค ์คณะว่าเป็ น
่ ถ่
อย่างไร ความเห็นของตุลาการผูแ้ ถลงคดีจะเป็ นสิงที ่ วงดุลความเห็นขององค ์คณะ
เพราะจะทาให ้องค ์คณะต ้องมีความละเอียดรอบคอบ
และมีเหตุผลสนับสนุ นอย่างแน่ นแฟ้ นในการพิจารณาพิพากษาคดีปกครองแต่ละคดี
่
โดยเฉพาะอย่างยิงหากมี ความเห็นแตกต่างไปจากความเห็นของตุลาการผูแ้ ถลงคดี
การละเมิดอานาจศาล
การละเมิดอานาจของศาลปกครองแบ่งออกเป็ น 2 สาเหตุ
่ าหนดไว ้ในพระราชบัญญัตจิ ด
คือเหตุตามทีก ้
ั ตังศาลปกครองฯ
่ าหนดไว ้ประมวลกฎหมายวิธพ
และเหตุตามทีก ี จิ ารณาความแพ่ง
่ าหนดไว ้ในพระราชบัญญัตจิ ด
1.เหตุตามทีก ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง
พ.ศ. 2542
(2)
การวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยไม่สจุ ริตและไม่ใช่ด ้วย
วิธก
ี ารทางวิชาการ (มาตรา 65)
2. เหตุตามประมวลกฎหมายวิธพ
ี จิ ารณาความแพ่ง
่ ดจากการกระทาการอย่างใดๆ
(1) ละเมิดทีเกิ เช่น
ขัดขืนไม่ปฏิบต ั ต
ิ ามข ้อกาหนดของศาลอันว่าด ้วยการรักษาความเรียบร ้อยหรือประพฤติต
่ จะไม่
นไม่เรียบร ้อยในบริเวณศาล จงใจหรือหลีกเลียงที ่ ร ับคาคูค ่
่ วามหรือเอกสารอืนๆ
่
หรือขัดขืนไม่มาศาลเมือศาลมี ่ อมีหมายเรียก เป็ นต ้น (มาตรา 31)
คาสังหรื
่
คาพิพากษาและคาสังของศาล
่
เมือเสร็ ้
จสินการแถลงการณ์
ของตุลาการผูแ้ ถลงคดี ตุลาการหัวหน้าคณะ
่ พากษาหรือมีคาสัง่ โดยจะกระทาในวันเดียวกับวันที่
จะนัดประชุมปรึกษาเพือพิ
ี้
ตุลาการผูแ้ ถลงคดีชแจงก็ ได ้
นอกจากนั้นอธิบดีศาลปกครองชันต ้ ้นมีอานาจทีจะให
่ ่
้มีการวินิจฉัยปัญหาหรือคดีโดยทีปร
ะชุมใหญ่ตล ้ ้นได ้ หากเห็นว่าเป็ นคดีทมี
ุ าการในศาลปกครองชันต ่ี ความสาคัญ เช่น
่
เป็ นคดีเกียวกั ่ บประโยชน์สาธารณะทีส่
บประชาชนเป็ นจานวนมากหรือเกียวกั ่ งผลกระทบอ
่ าคัญ เป็ นต ้น
ย่างมาก หรือเป็ นการวางหลักกฎหมายปกครอง ทีส
่ี าพิพากษาหรือคาสังใดจะต
ในกรณี ทค ่ ้องกระทาโดยตุลาการหลายคน
่ ้นจะต ้องบังคับตามความเห็นของฝ่ ายข ้างมาก
คาพิพากษาหรือคาสังนั
่ ้น
หากตุลาการผูใ้ ดมีความเห็นแย ้งจะต ้องทาความเห็นแย ้งไว ้ในคาพิพากษาหรือคาสังนั
ผลของคาพิพากษาหรือคาสัง่
1. ผลต่อคูก
่ รณี
ในกรณี ทค ่ี าพิพากษาศาลปกครองมีการกาหนดคาบังคับ
คูก
่ รณี จะต ้องปฏิบต ั ต ิ ามคาบังคับนับแต่วน ่ าหนดในคาพิพากษาเป็ นต ้นไปจนถึงวันทีค
ั ทีก ่ า
พิพากษานั้นถูกเปลียนแปลงแก
่ ้ไข กลับ หรืองดเสีย อย่างไรก็ด ี
้ ้น
หากเป็ นกรณี คาพิพากษาของศาลปกครองชันต
ต ้องรอการปฏิบตั ต
ิ ามคาบังคับไว ้จนกว่าจะพ ้นระยะเวลาอุทธรณ์หรือถา้ มีการอุทธรณ์
่ ด
ต ้องรอการบังคับคดีไว ้จนกว่าคดีจะถึงทีสุ
2. ผลต่อบุคคลภายนอก
่
คาพิพากษาหรือคาสังของศาลปกครองนั ้นก็เหมือนกับคาพิพากษาของ ศาลยุตธิ รรม
คือถือหลักว่าผูกพันเฉพาะคูก ่ ไปนี ้
่ รณี แต่อาจมีผลผูกพันบุคคลภายนอกได ้ในกรณี ตอ
่
(1) การให ้บุคคลใดออกไปจากสถานทีใดจะใช ้บังคับตลอดถึงบริวารของ
่ี ใ่ นสถานทีนั
ผูท้ อยู ่ ้นด ้วย
การอุทธรณ์
่ี พอใจในคาพิพากษาหรือคาสังของศาลปกครองชั
ผูท้ ไม่ ่ ้ ้นอาจอุทธรณ์
นต
่ งกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุดได ้ ภายใน 30 วัน นับแต่วน
คาพิพากษาหรือคาสังดั ่ ้มี
ั ทีได
คาพิพากษาหรือคาสังนั่ ้น
่ ทธรณ์ตอ
โดยจะต ้องยืนอุ ่ ศาลปกครองชันต้ ้นทีมี
่ คาพิพากษาหรือคาสัง่ ทังนี
้ ้
ตามนัยมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิธพี จิ ารณาคดีปกครอง
พ.ศ. 2542
โดยคาอุทธรณ์น้ันจะต ้องทาเป็ นหนังสือและอย่างน้อยต ้องระบุชอผู
่ื อ้ ท
ุ ธรณ์และคูก
่ รณี ในก
ารอุทธรณ์
่
ข ้อคัดค ้านคาพิพากษาหรือคาสังของศาลปกครองชั ้ ้น คาขอ และลายมือชือผู
นต ่ ้อุทธรณ์
่
ซึงพนั ่
กงานเจ ้าหน้าทีของศาลจะตรวจค ้ ้น
าอุทธรณ์ในเบืองต
จากนั้นตุลาการเจ ้าของสานวนจะตรวจคาอุทธรณ์อก
ี ครง้ั
ถ ้าเห็นว่ามีความสมบูรณ์ครบถ ้วน
ก็จะส่งคาอุทธรณ์น้ันให ้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาในลักษณะเดียวกับ
การบังคับคดี
่
เมือศาลปกครองได ้มีคาพิพากษาในคดีใดแล ้ว
คาพิพากษานั้นมีผลผูกพันคูก ่ี
่ รณี ทจะต ้องปฏิบต
ั ต
ิ ามคาบังคับนับแต่วน ่ าหนดในคาพิพ
ั ทีก
่่ าพิพากษานั้นถูกเปลียนแปลง
ากษาจนถึงวันทีค ่ แก ้ไข กลับ
่ี นคาพิพากษาของศาลปกครองชันต
หรืองดเสียและในกรณี ทเป็ ้ ้น
ให ้รอการปฏิบต
ั ต ่ี การอุท
ิ ามคาบังคับไว ้จนกว่าจะพ ้นระยะเวลาการอุทธรณ์หรือในกรณี ทมี
่ ด ตามมาตรา 70
ธรณ์ให ้รอการบังคับคดีไว ้จนกว่าคดีจะถึงทีสุ
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 และมาตรา
77 (3) แห่งพระราชบัญญัตเิ ดียวกัน
่ าเนิ นการบัง
กาหนดให ้สานักงานศาลปกครองโดยสานักบังคับคดีปกครองมีอานาจหน้าทีด
คับให ้เป็ นไปตามคาบังคับของศาลปกครอง
่
ในการบังคับคดีสานักบังคับคดีปกครองมีแนวทางในการดาเนิ นการบังคับเพือให ้เป็ นไปตา
้ ้ ตามมาตรา 72
มคาบังคับของศาลปกครอง ทังนี
แห่งพระราชบัญญัตจิ ด ้
ั ตังศาลปกครองและวิ
ธพี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
ประกอบกับระเบียบสานักงานศาลปกครองว่าด ้วยการดาเนิ นการบังคับให ้เป็ นไปตามคาบัง
คับของศาลปกครอง พ.ศ.2544 ดังนี ้
่ี
1. กรณี ทศาลปกครองมี ่ ดให ้เพิกถอนกฎ
คาพิพากษาถึงทีสุ
ให ้มีการประกาศผลแห่งคาพิพากษาดังกล่าวในราชกิจจานุ เบกษา
และให ้การประกาศดังกล่าวมีผลเป็ นการเพิกถอนกฎนั้น
2.
่ี
กรณี ทศาลปกครองมี คาบังคับให ้ผูใ้ ดชาระเงินหรือส่งมอบทร ัพย ์สินตามคาพิพากษาหรือใ
่
ห ้บุคคลกระทาหรือละเว ้นกระทาอย่างใดเพือให ้เป็ นไปตามกฎหมาย
ถ ้าผูน้ ั้นไม่ปฏิบต
ั ต
ิ ามคาบังคับดังกล่าว
ศาลปกครองอาจมีคาสังให ่ ้มีการบังคับคดีแก่ทร ัพย ์สินของบุคคลนั้น ทังนี
้ ้
โดยให ้นาบทบัญญัตวิ า่ ด ้วยการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธพ
ี จิ ารณาความแพ่งมาใ
ช ้บังคับโดยอนุ โลม
่ี
ในกรณี ทศาลปกครองออกหมายบั ้ั ้าพนักงานบังคับคดีดาเนิ นการยึด
งคับคดีตงเจ
ื้
อายัดทร ัพย ์สิน หรือขับไล่รอถอน
่ี
3. กรณี ทศาลปกครองมี ่
คาบังคับอืน ๆ เช่น
่ อสังห
เพิกถอนคาสังหรื ่ ้ามการกระทาทังหมดหรื
้ อบางส่วน
่
ให ้หัวหน้าหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ ้าหน้าทีของร ่ ยวข
ัฐทีเกี ่ ้องปฏิบต
ั ต ่
ิ ามหน้าทีภายในเ
่
วลาทีศาลปกครองกาหนด หรือให ้ถือปฏบัตต
ิ อ ่
่ สิทธิหรือหน้าทีของบุ ่ ยวข
คคลทีเกี ่ ้อง
สานักบังคับคดีปกครองจะติดตามและบังคับให ้เป็ นไปตามคาบังคับของศาลปกครอง
ค่าธรรมเนี ยมศาล
1. วิธช
ี าระค่าธรรมเนี ยมศาล
1. เงินสด
่
2. เช็คซึงธนาคารร ับรอง ่ วนราชการหรือร ัฐวิสาหกิจเป็ นผูส้ งจ่
หรือเช็คซึงส่ ่ ั าย
้ ้ ให ้ธนาคารสังจ่
ทังนี ่ ายเงินชือบั
่ ญชี
3. บัตรเครดิต ่
บัตรเดบิต หรือบัตรอืนในลั
กษณะเดียวกัน
หมายเหตุ
่
หากมีคา่ ธรรมเนี ยมหรือค่าใช ้จ่ายอย่างอืนในการเรี
ยกเก็บเงินตามวิธก
ี ารดังกล่าวให ้ผูม้ ห
ี
่ ้องชาระค่าธรรมเนี ยมศาลเป็ นผูร้ ับภาระ
น้าทีต
ชาระเป็ น
1. เงินสด
่ ่ าย
2. เช็คทีธนาคารสั
งจ่ ได ้แก่
2.1 ตั๋วแลกเงินธนาคาร
2.2 ดราฟต ์
2. วิธช
ี าระเงินวางชาระตามคาพิพากษา / เงินบังคับคดี
ี่ นฟ้
กรณี เป็ นคดีทยื ่ องต่อศาลปกครองกลาง
ชาระเป็ น
1. เงินสด
่ ่ าย
2. เช็คทีธนาคารสั
งจ่ ได ้แก่
2.1 ตั๋วแลกเงินธนาคาร
2.2 ดราฟต ์
่ี นฟ้
กรณี เป็ นคดีทยื ่ องตรงต่อศาลปกครองสูงสุด (คดี ฟ.)
ชาระเป็ น
1. เงินสด
่ ่ าย
2. เช็คทีธนาคารสั
งจ่ ได ้แก่
2.1 ตั๋วแลกเงินธนาคาร
2.2 ดราฟต ์
่ ม
หากมีข ้อสงสัย สอบถามได ้ทีกลุ ่ บริหารเงินค่าธรรมเนี ยมและเงินกลาง
สานักบริหารการเงินและต ้นทุน
หมายเหตุ
่ี นฟ้
1. คดีทยื ่ องก่อนวันที่ 11 พ.ค. 2551
แต่ยงั ไม่ได ้ชาระค่าธรรมเนี ยมศาลให ้คิดค่าธรรมเนี ยมศาลในอัตราเดิมแม้จะชาระค่าธรรมเ
นี ยมศาล
หมายเหตุ
คูก ่ าร ้องขอคืนค่าธรรมเนี ยม
่ รณี สามารถยืนค
่
และขอร ับเงินวางชาระตามคาพิพากษาคืนได ้ เมือคดี ่ ดแล ้ว
ถงึ ทีสุ