You are on page 1of 145

การสิ& นสุดแห่งการสมรส

วิชา กฎหมายลักษณะครอบครัว
รศ.ดร.มาตาลักษณ์ เสรเมธากุล
มาตรา &'&(
คําพิพากษาฎีกาที+ -./012.
การที&สามีภริยาได้ ร้างกันไปช้ านานนั4น ตามกฎหมายไม่ถือ
ว่าขาดจากสามีภริยาและยังคงมีสทิ ธิรับมรดกซึ&งกันและกันอยู่
คําพิพากษาฎีกาที+ 343/012.
สามีภริยายินยอมหย่ากันต่อหน้ าพยานสองคน สามีลงชื&อ
ต่อหน้ าพยานทั4งสองคน พยานสองคนนั4นลงชื&อในหนังสือหย่า
แล้ ว แม้ ภริยาลงชื&อเมื&อพยานคนหนึ&งไปเสียแล้ ว ดังนี4กถ็ ือว่ า
สมบู ร ณ์ เพราะกฎหมายมิ ไ ด้ บั ง คั บ ให้ ลงชื& อ ต่ อ หน้ า พยาน
ความประสงค์มีแต่เพียงว่า ให้ มีพยานลงชื&อในหนังสือนั4นสอง
คนเป็ นพยานในข้ อตกลงที&ทาํ กันนั4น
คําพิพากษาฎีกาที+ 3055/0452
การหย่ากันโดยความยินยอมโดยมิได้ ทาํ เป็ นหนังสือตามที&
กฎหมายบัญญัตไิ ว้ น4ัน ไม่มผี ลทําให้ ขาดจากการสมรส
คําพิพากษาฎีกาที+ -40/0400
การเป็ นสามีภริยากันก่อนใช้ บทบัญญัติบรรพ S และต่อมา
แยกกันอยู่ภายหลังที&ใช้ บังคับบทบัญญัติบรรพ S แล้ ว โดยมิได้
ทําหนังสือหย่าขาดจากกกันตามนัยแห่งมาตรา TUVW, TUVY ที&
ใช้ บั ง คั บ อยู่ ใ นขณะนั4 น ย่ อ มไม่ ท ํา ให้ ขาดจากการเป็ นสามี
ภริยากัน
คําพิพากษาฎีกาที+ 6777-677./0464
โจทก์จาํ เลยเป็ นสามีภริยากัน ต่ อมาโจทก์ได้ ทาํ ร้ ายจําเลย
ทั4งสองฝ่ ายไม่ประสงค์จะเป็ นสามีภริยากันต่อไป จึงไปทําความ
ตกลงกันที&สถานีตํารวจโดยให้ เจ้ าพนักงานตํารวจทําบันทึกว่ า
โจทก์ จํา เลยจะหย่ า ขาดจากกั น และจะแบ่ ง ทรั พ ย์ สิ น กั น ตาม
บันทึกซึ&งมีร้อยตํารวจโท ส. และจ่าสิบตํารวจ จ. เป็ นพยาน เพื&อ
ใช้ เป็ นหลักฐานในการหย่ าและเพื&อให้ จาํ เลยไม่ ติดใจเอาความ
โจทก์ โจทก์จึงยินยอมให้ จาํ เลยได้ รับทรัพย์สนิ จากโจทก์เป็ นการ
ตอบแทน เมื&อมิได้ เป็ นการต้ องห้ ามชัดแจ้ งโดยกฎหมายหรือเป็ น
การขัดต่อความสงบเรียบร้ อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
อันจะเป็ นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา
TT_ ข้ อตกลงนั4นย่อมมีผลใช้ เป็ นหลักฐานแห่ งการหย่าได้ ตาม
มาตรา TSTU วรรคสอง และยั ง ใช้ บั ง คั บ ในเร่ อ งการแบ่ ง
ทรัพย์สนิ ตามบันทึกนั4นได้ ด้วย
มาตรา &'&'
คําพิพากษาฎีกาที+ 30-3/0455
สามีภ ริ ย าทํา หนั ง สือ หย่ า กัน ถู ก ต้ อ งแล้ ว สามีไ ม่ ย อมจด
ทะเบียนการหย่า ภริยาฟ้ องขอให้ สามีจดทะเบียนการหย่าได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 33.7/0452
สามีภริยาที&สมรสกันตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย เมื&อได้ ตก
ลงหย่ า กัน โดยทํา เป็ นหนั ง สือ และมีพ ยานลงลายมือ ชื& อ สองคน
ย่ อ มเป็ นการหย่ า โดยสมบู ร ณ์ ช อบด้ ว ยกฎหมาย (ไม่ ต้ อ งจด
ทะเบียนการหย่า)
คําพิพากษาฎีกาที+ 67-2/0401
หนังสือข้ อตกลงหย่าและการจดทะเบียนหย่า ผู้ร้องกับจําเลย
แสดงเจตนาลวงโดยสมรู้ระหว่ างกันกระทําขึ4น หรือนัยหนึ&งเป็ น
ก า ร ก ร ะ ทํ า ขึ4 น โ ด ย ส ม ย อ ม จึ ง ไ ม่ ผู ก พั น โ จ ท ก์ ซึ& ง เ ป็ น
บุคคลภายนอก ทรัพย์สนิ ที&โจทก์นาํ ยึดจึงเป็ นสินสมรสที&ผ้ ูร้องกับ
จําเลยมีกรรมสิทธิeร่วมกัน ผู้ร้อง (สามีจาํ เลย) ไม่มีอาํ นาจมาร้ อง
ขอให้ ปล่อยทรัพย์ท&ยี ึด
คําพิพากษาฎีกาที+ 02-2/0404
โจทก์จาํ เลยจดทะเบียนหย่ า แต่ ยังคงอยู่ร่วมเรือนเดียวกัน
และร่ ว มกัน สร้ า งเรื อ นพิ พ าทอยู่ ด้ ว ยกัน อีก T หลั ง ปรั บ ปรุง ที&
พิพาททําเป็ นนาขุดบ่อเลี4ยงปลาปลูกต้ นผลอาสินเยี&ยงสามีภริยา
ต่างฝ่ ายไม่มีคู่ครองใหม่ พฤติการณ์ดังนี4แสดงว่าการจดทะเบียน
หย่ า ก็โ ดยเจตนาไม่ ป ระสงค์ จ ะให้ มี ผ ลผู ก พั น กัน จึ ง บั ง คั บ กัน
ไม่ ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์มาตรา TTY ทั4งคู่
ยังคงเป็ นสามีภริยากันตลอดมา โจทก์ (สามี) ฟ้ องขับไล่ จาํ เลย
(ภริยา) ออกจากที&ดนิ และเรือนพิพาทไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 63.6/040.
ผู้ร้องซึ&งเป็ นสามีจาํ เลยทราบว่าจําเลยถูกฟ้ องและศาลชั4นต้ น
พิพากษาให้ จาํ เลยแพ้ คดี หลังจากนั4นประมาณ g เดือน ผู้ร้อง
และจําเลยจดทะเบียนหย่ ากันโดยตกลงให้ ทรั พย์พิพาทซึ&งเป็ น
สินสมรสตกได้ แก่ผ้ ูร้องฝ่ ายเดียว เป็ นพฤติการณ์ท&แี สดงว่าผู้ร้อง
กับจําเลยร่ วมกันทําขึ4นเพื&อหลีกเลี&ยงมิให้ จาํ เลยถูกยึดทรัพย์มา
เพื& อการบั ง คั บ คดี เป็ นการกระทํ า ให้ โจทก์ ซ&ึ ง เป็ นเจ้ าหนี4
เสียเปรียบ โจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทมาดําเนินการบังคับเอา
ชําระหนี4แก่โจทก์ได้ ผู้ร้องไม่มสี ทิ ธิร้องขอให้ ปล่อยทรัพย์พิพาท
คําพิพากษาฎีกาที+ 6262/0402
สามีภริยาทําหนังสือยอมหย่าขาดจากการเป็ นสามีภริยากันไว้
ถูกต้ องครบถ้ วนตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา
TSTU เมื&อสามีไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่าให้ ภริยาก็มีสทิ ธินาํ คดี
มาฟ้ องขอให้ บงั คับสามีไปจดทะเบียนหย่า
คําพิพากษาฎีกาที+ 6752/0463
การหย่ า โดยคํา พิ พ ากษานั4 น พระราชบั ญ ญั ติ จ ดทะเบี ย น
ครอบครัว พ.ศ. hUWY มาตรา Tg บัญญัติให้ ผ้ ูมีส่วนได้ เสียยื&น
สํา เนาคํา พิ พ ากษาอัน ถึง ที&สุด ที&รั บ รองถู ก ต้ อ งต่ อ นายทะเบีย น
และขอให้ น ายทะเบีย นบัน ทึก การหย่ า นั4 น ไว้ ใ นทะเบีย น โดยคู่
สมรสไม่ จํา ต้ อ งไปแสดงเจตนาขอจดทะเบีย นการหย่ า ต่ อ นาย
ทะเบียนอีก ศาลจึงไม่ต้องสั&งให้ ถอื เอาคําพิพากษาแทนการแสดง
เจตนา
คําพิพากษาฎีกาที+ 1347/0460
โจทก์จาํ เลยจดทะเบียนการหย่าและบันทึกเกี&ยวกับทรัพย์สนิ
ยกให้ แก่บุตรด้ วยเจตนาให้ มผี ลผูกพันตามกฎหมาย ไม่เป็ นโมฆะ
เมื&อจําเลยไม่ยอมปฏิบัติตามข้ อตกลงในบันทึกหลังทะเบียนหย่า
โจทก์ในฐานะคู่สญ ั ญาจึงมีอาํ นาจฟ้ องให้ จาํ เลยโอนทรัพย์สนิ นั4น
ให้ แก่บุตรได้ ส่วนบุตรจะยอมรับทรัพย์สนิ หรือไม่เป็ นเรื&องในชั4น
บังคับคดี
คําพิพากษาฎีกาที+ 6777-677./0464
การจดทะเบียนหย่ า โดยคํา พิ พ ากษาตามปะมวลกฎหมาย
แพ่ งและพาณิชย์ มาตรา TS_T วรรคสอง คู่สมรสไม่ จาํ ต้ องไป
แสดงเจตนาขอจดทะเบี ย นหย่ า ต่ อ นายทะเบี ย น ทั4 ง ตาม
พระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. hUWY มาตรา Tg ก็
บัญญัติให้ ผ้ ูมีส่วนได้ เสียเพียงแต่ย& ืนสําเนาคําพิพากษาอันถึงที&สดุ
ที&รับรองถูกต้ องต่ อนายทะเบียน และขอให้ นายทะเบียนบันทึก
การหย่าไว้ ในทะเบียนเท่านั4น ศาลจึงไม่จาํ ต้ องสั&งให้ โจทก์จาํ เลย
ไปจดทะเบียนหย่า หากไม่ไปให้ ถือเอาคําพิพากษาของศาลแทน
การแสดงเจตนาตามคําขอท้ ายฟ้ อง
มาตรา &'&)
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-15/0401
สามีอุปการะเลี4ยงดูหญิงอื&นโดยเปิ ดเผยฉันภริยา ภริยาฟ้ อง
หย่าได้ ตามมาตรา TSTg (T)
คําพิพากษาฎีกาที+ 0652/040.
การที&จาํ เลยจดทะเบียนสมรสกับนางแต๋วซึ&งมีบุตรด้ วยกัน
หลังจากจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ได้ h วัน และยังส่งเสียให้ เงิน
ไปใช้ จ่าย ถือได้ ว่าจําเลยอุปการะเลี4ยงดูหรือยกย่ องหญิงอื&นฉัน
สามี ภ ริ ย า เพราะเชื& อ ว่ า ตนนั บ ถือ ศาสนาอิส ลาม มี สิท ธิท&ีจ ะมี
ภริ ย าได้ U คน ซึ& ง เป็ นเหตุ ใ ห้ โ จทก์ฟ้ องหย่ า ได้ ต ามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา TSTg (T)
คําพิพากษาฎีกาที+ 64-7/0417
การที&จําเลยที& T อุปการะเลี4ยงดูและยกย่ องจําเลยที& h ซึ&ง
เป็ นหญิงอื&นฉันภริยาอันเป็ นเหตุหย่าตาม ป.พ.พ. มาตรา TSTg
(T) และศาลพิพากษาให้ โจทก์และจําเลยที& T หย่ากันด้ วยเหตุดง
กล่าว โจทก์จึงมีสทิ ธิเรียกค่าทดแทนจากจําเลยทั4งสองได้ ตาม ป.
พ.พ. มาตรา TSh_ วรรคแรก
คําพิพากษาฎีกาที+ 3104/0401
โจทก์จาํ เลยทะเลาะทุบตีกนั เพราะจําเลยหึงโจทก์เป็ นเรื&องที&
ต่างทําร้ ายร่ างกายซึ&งกันและกัน หาใช่จาํ เลยทําร้ ายร่ างกายโจทก์
อันเป็ นการร้ ายแรงที&จะเป็ นเหตุหย่าได้ ไม่ จําเลยมีเหตุอันควรที&
จะเชื&อได้ ว่าโจทก์ไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื&น จึงทําให้
เกิดอารมณ์หึงหวงซึ&งโจทก์มีส่วนก่อให้ เกิดขึ4น การที&จาํ เลยระงับ
อารมณ์ไม่ อยู่และเกิดทะเลาะวิวาทกับโจทก์บางครั4งถึงกับมีการ
ทุบตีและทําร้ ายร่ างกายกัน แม้ จาํ เลยจะทะเลาะวิวาทกับโจทก์ใน
สถานที& ท ํ า งานของโจทก์ ต่ อ หน้ าลู ก ค้ าของธนาคารก็ เ ป็ น
พฤติการณ์ท&ยี ังไม่อาจเรียกได้ ว่าจําเลยประพฤติช&ัวอย่างร้ ายแรง
อันจะทําให้ โจทก์มสี ทิ ธิฟ้องหย่าจําเลยได้ ตามมาตรา TSTg (h)
คําพิพากษาฎีกาที+ 3712/0401
โจทก์จาํ เลยทะเลาะทุบตีกนั เพราะจําเลยหึงโจทก์เป็ นเรื&องที&
ต่างทําร้ ายร่ างกายซึ&งกันและกัน หาใช่จาํ เลยทําร้ ายร่ างกายโจทก์
อันเป็ นการร้ ายแรงที&จะเป็ นเหตุหย่าได้ ไม่ จําเลยมีเหตุอันควรที&
จะเชื&อได้ ว่าโจทก์ไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื&น จึงทําให้
เกิดอารมณ์หึงหวงซึ&งโจทก์มีส่วนก่อให้ เกิดขึ4น การที&จาํ เลยระงับ
อารมณ์ไม่ อยู่และเกิดทะเลาะวิวาทกับโจทก์บางครั4งถึงกับมีการ
ทุบตีและทําร้ ายร่ างกายกัน แม้ จาํ เลยจะทะเลาะวิวาทกับโจทก์ใน
สถานที& ท ํ า งานของโจทก์ ต่ อ หน้ าลู ก ค้ าของธนาคารก็ เ ป็ น
พฤติการณ์ท&ยี ังไม่อาจเรียกได้ ว่าจําเลยประพฤติช&ัวอย่างร้ ายแรง
อันจะทําให้ โจทก์มสี ทิ ธิฟ้องหย่าจําเลยได้ ตามมาตรา TSTg (h)
คําพิพากษาฎีกาที+ 40-/0404
โจทก์บรรยายฟ้ องพอสรุปได้ ว่าจําเลยที& h เข้ าไปหลับนอน
ในบ้ านของจําเลยที& T ซึ&งเป็ นภริ ยาโดยชอบด้ วยกฎหมายของ
โจทก์ ถือ ได้ ว่ า จํา เลยที& T ประพฤติช&ั ว เป็ นเหตุใ ห้ โ จทก์ได้ รับ
ความอับอายขายหน้ าอย่างร้ ายแรง จําเลยทั4งสองมีความสัมพันธ์
ฉันชู้สาวเป็ นที&ทราบกันทั&วไป ซึ&งโจทก์จะได้ เสนอหลักฐานในชั4น
พิ จ ารณา ดั ง นี4 เป็ นคํา ฟ้ องที&บ รรยายถึง เหตุ ห ย่ า ตามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา TSTg (h) แล้ ว การที&จาํ เลย
ที& T ซึ&งเป็ นภริยา ให้ จาํ เลยที& h เข้ าไปหลับนอนในร้ านของจําเลย
ที& T เมื& อ โจทก์ ไ ปพบก็มี ก ารไปเจรจากั น ที&ส ถานี ตํา รวจ โดย
จําเลยที& T ตกลงจะไปอยู่กนิ ฉันสามีภริยากับจําเลยที& h แต่ตกลง
กัน เรื& อ งค่ า เสีย หายและการเลี4 ยงดู บุ ต รไม่ ไ ด้ ดั ง นี4 พฤติ ก ารณ์
แสดงว่ าจําเลยทั4งสองมีค วามสัมพั น ธ์กัน ในทางชู้ สาว ถือ ได้ ว่า
จําเลยที& T ประพฤติช&ัว เป็ นเหตุให้ โจทก์อับอายขายหน้ าอย่ าง
ร้ ายแรง ศาลกําหนดค่าทดแทนให้ โจทก์ตามควรแก่พฤติการณ์ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 4../040-
โจทก์ (สามี ) เป็ นคนชอบดื& ม สุร าและเจ้ า ชู้ การที&จํา เลย
(ภริยา) รู้เรื&องราวจากภายนอกแล้ วมาต่อว่าโจทก์เป็ นครั4งคราว
จริงบ้ างไม่จริงบ้ างแล้ วทะเลากันเช่ นนี4 โจทก์เป็ นผู้มีส่วนก่อเหตุ
อยู่บ้าง การที&จาํ เลยต่อว่าถึงเรื&องนี4จึงเป็ นธรรมดาที&ภริยามีความ
รักสามีโจทก์อยู่ในฐานะที&จะป้ องกันเหตุเหล่านี4มิได้ เกิดขึ4นได้ โดย
ละเว้ นความประพฤติดังกล่าว ก็ไม่มีเหตุท&จี าํ เลยจะหึงหวงโจทก์
จนต้ อ งทะเลาะกัน การกระทํา ของจํา เลยยั ง ไม่ ถึง ขั4 น อัน ทํา ให้
โจทก์อบั อายขายหน้ าอย่างรุนแรง หรือได้ รับความดูถูกเกลียดชัง
หรือได้ รับความเดือดร้ อนจนเป็ นเหตุให้ ฟ้องหย่าจําเลยได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 3214/040-
จําเลย (สามี) ปลุกปลํา4 และทําร้ าย ท. ลูกจ้ างโดยส่อเจตนา
ว่าจะใช้ กาํ ลังบังคับข่มขืนใจให้ ท. ยินยอมให้ จาํ เลยร่ วมประเวณี
แม้ จ ะเกิด ขึ4 นภายในบ้ า นไม่ มี บุ ค คลภายนอกรู้ เ ห็น ก็ถือ ได้ ว่ า
จําเลยประพฤติช&ัวเป็ นเหตุให้ โจทก์ซ&ึงเป็ นภริ ยาได้ รับความอับ
อายขายหน้ าอย่างร้ ายแรงต่อ ท. โจทก์จึงฟ้ องหย่าจําเลยได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0313/0463
จํา เลยชอบเล่ น การพนั น มานานโจทก์ห้ า มปรามก็ไ ม่ เ ชื& อ
บางครั4งก็นาํ ทรัพย์สนิ ภายในบ้ านไปจํานําเอาเงินไปเล่นการพนัน
จําเลยเคยถูกจับฐานเล่นการพนันถูกดําเนินคดีจนศาลพิพากษา
ลงโทษก็ยังไม่เลิก โจทก์เป็ นตํารวจต้ องถูกผู้บังคับบัญชาเรียกไป
ตักเตือนว่าหากไม่ห้ามให้ จาํ เลยเลิกเล่ นจะย้ ายโจทก์ โจทก์ต้อง
เลี4ยงดูท4งั ครอบครัว เมื&อจําเลยเล่นการพนันเสียบางครั4งเงินก็ไม่
พอใช้ พฤติการณ์ของจําเลยดังกล่ าวถือว่ าเป็ นการประพฤติช&ัว
เป็ นเหตุ ใ ห้ โ จทก์ผ้ ู เ ป็ นสามี ไ ด้ รั บ ความอับ อายขายหน้ า อย่ า ง
ร้ ายแรงและได้ รับความเสียหายหรือเดือดร้ อนเกินควร ในเมื&อ
เอาสภาพฐานะ และความเป็ นอยู่ ร่วมกันฉันสามีภริ ยามาคํานึง
ประกอบ โจทก์จึงฟ้ องหย่ าจําเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง
และพาณิชย์ มาตรา TSTg (h) (ก) และ (ค)
คําพิพากษาฎีกาที+ 0457/0406
โจทก์ละทิ4งจําเลยไปอยู่ กับภริ ยาใหม่ การที&จาํ เลยด่ าโจทก์
ภายในบ้ านในครอบครัวด้ วยความหึงหวงวู่วามขาดความยั4งคิดหา
ได้ มีเ จตนาหมิ&น ประมาทโจทก์จ ริ ง จัง ไม่ เป็ นการด่ า ว่ า กัน ด้ ว ย
อารมณ์หึงหวงอันเกิดจากความรักความหวงแหนในสามีของตน
นั&นเองคําด่าในลักษณะดังกล่าวหาเป็ นการร้ ายแรงที&โจทก์จะอ้ าง
มาเป็ นเหตุหย่าได้ ไม่
จําเลยด่าโจทก์ โจทก์ลุกขึ4น จําเลยเงื4อมือจะตบ โจทก์เอามือ
ปั ด จําเลยหยิบขวดนํา4 ปลาตีหน้ าโจทก์แตกโลหิตไหล แล้ วโจทก์
ขึ4นไปชั4นบน เป็ นเรื& องทะเลาะวิวาทกันภายในบ้ านระหว่ างสามี
ภริ ย าอั น เนื& อ งมาจากความหึ ง หวง ไม่ ป รากฏว่ า โจทก์ ไ ด้ รั บ
อันตรายร้ ายแรงจากบาดแผลนั4นอย่ างใดไม่เข้ าลักษณะของการ
ทําร้ ายอันเป็ นการร้ ายแรงที&จะถือเป็ นเหตุหย่าได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-16/0401
การที&จําเลยตัดสายห้ ามล้ อรถยนต์เพื& อมิให้ โจทก์ออกจาก
บ้ าน ยังห่ างไกลต่ อการที&จะฟั งว่ าจําเลยได้ ทาํ ร้ ายโจทก์ และแม้
โจทก์จาํ เลยทะเลาะกันเป็ นประจํา ก็ฟังไม่ ได้ ว่าเป็ นการร้ ายแรง
อันเป็ นเหตุหย่าตามมาตรา TSTg (_)
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-24/0404
โจทก์ซ&ึงเป็ นภริยาพาบุตรออกจากบ้ านจําเลยซึ&งเป็ นสามีไป
อยู่กบั บิดามารดา การที&บิดามารดาจําเลยแจ้ งความกล่าวหาโจทก์
ลักทรัพย์มิใช่เหตุท&โี จทก์จะยกขึ4นอ้ างเพื&อฟ้ องขอหย่าได้ แต่การ
กระทําของจําเลยที&พาตํารวจไปจับกุมโจทก์ตามข้ อกล่ าวหาของ
บิดามารดาจําเลย ถือได้ ว่าเป็ นการลบหลู่ดูหมิ&นเกียรติยศและ
ชื& อ เสีย งของโจทก์ อัน เป็ นการหมิ&น ประมาทหรื อ เหยี ย ดหยาม
โจทก์อย่ างร้ ายแรง เป็ นต้ นเหตุให้ โจทก์ฟ้องหย่ าจําเลยได้ ตาม
มาตรา TSTg (_)
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-70/0407
จํา เลย (ภริ ย า) ไปประกอบอาชี พ ในต่ า งประเทศเพื& อ หา
รายได้ มาจุ น เจือ โจทก์ (สามี) และครอบครั วเป็ นเวลาหลายปี
เมื&อกลับมาโจทก์กลับเจรจาถึงเรื&องการหย่ า ซึ&งจําเลยระแวงอยู่
แล้ วว่าโจทก์ต้องการหย่ าเพื&อไปแต่งงานกับหญิงอื&น จึงด่าโจทก์
ขณะพูด โทรศัพ ท์ว่า อ้ ายบ้ าอ้ ายหน้ าตัวเมีย กู จ ะหาเรื& อ งให้ มึง
ออกจากงาน กูจะไปฟ้ องผู้บังคับบัญชา และจะหย่ากันก็ได้ ถ้ าหา
เงินสดมาให้ ดังนี4เป็ นการด่าด้ วยอารมณ์วู่วามขาดความยั4งคิด หา
ได้ มีเ จตนาหมิ&น ประมาทโจทก์จ ริ ง ไม่ และที&จํา เลยว่ า บิด าของ
โจทก์ว่า อ้ างเฒ่ามึงอย่าเสือกเรื&องของกู นั4น ก็เป็ นการต่อว่ากัน
ทางโทรศัพท์ด้วยอารมณ์วู่วาม ฟั งไม่ได้ ว่าจําเลยมีเจตนาดูหมิ&น
หรื อ หมิ& น ประมาทบิ ด าโจทก์ และเป็ นเพี ย งคํา ไม่ สุ ภ าพขาด
สัมมนาคารวะต่อผู้ใหญ่เท่านั4น
คําพิพากษาฎีกาที+ .6-/0402
โจทก์จาํ เลยทะเลาะกันเกือบทุกวัน เพราะจําเลยหึงหวงโจทก์
เข้ าใจว่าโจทก์ซ&ึงเป็ นภริยามีช้ ู เมื&อโจทก์จาํ เลยด่าทอกันเป็ นปกติ
วิสัยตลอดจนสิ&งแวดล้ อม และอุปนิสัยของโจทก์จาํ เลย โจทก์จะ
เอาข้ อความที&จาํ เลยกล่าวในการด่าทอหลังจากกลับจากไปเที&ยวที&
บางแสนโดยมีชายอื&นไปด้ วยว่ า “โคตรแม่ มึงไม่ ส&ังสอน มึงมัน
ดอกทอง” มาเป็ นข้ ออ้ างว่ าจําเลยดูหมิ&นโจทก์และบุพการี ของ
โจทก์อย่างร้ ายแรงเพื&อเป็ นเหตุฟ้องหย่าหาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 0060/0464
การกระทําของโจทก์มีเหตุท&ที าํ ให้ จาํ เลยระแวงสงสัยว่าโจทก์
อุ ป การะเลี4 ยงดู ห ญิ ง อื&น เป็ นเหตุ ใ ห้ จํา เลยไม่ พ อใจและมี ก าร
ทะเลาะกับโจทก์เสมอ ถ้ อยคําที&จําเลยกล่ าวต่ อพลทหารรั บใช้
ขณะที&โจทก์ซ&ึงเป็ นนายทหารไปราชการชายแดนสาปแช่งโจทก์ว่า
ถ้ าพิการก็เลี4ยงดูเอาเอง หากตายจะกลับมาเอาเงิน ทั4งบุพการี
ของโจทก์เป็ นผู้ใหญ่ เป็ นการร้ ายแรง เป็ นเพียงถ้ อยคําที&จาํ เลย
กล่ า วด้ ว ยความน้ อ ยใจที&ท าบว่ า โจทก์อุป การะเลี4 ยงดู ห ญิ ง อื&น
เท่านั4น ไม่เป็ นเหตุให้ โจทก์ฟ้องหย่าได้
โจทก์อปุ การะเลี4ยงดูยกย่องหญิงอื&นฉันภริยาและทําการเป็ น
ปฏิปั ก ษ์ ต่ อ การเป็ นสามี ภ ริ ย าตลอดมา ย่ อ มมี เ หตุ ท&ีจ ะทํา ให้
จําเลยฟ้ องหย่ าได้ ตลอดเวลาที&การกระทํายังไม่ส4 ินสุด ฟ้ องแย้ ง
ของจําเลยจึงไม่ขาดอายุความ
คําพิพากษาฎีกาที+ 43-7/0462
โจทก์กับจําเลยแยกกันอยู่ มากกว่ า _ ปี แต่ การแยกกันอยู่
นั4นมิใช้ ด้วยความสมัครในของจําเลย เป็ นเพียงความสมัครใจของ
โจทก์ฝ่ ายเดี ย ว จึ ง ไม่ ท าํ ให้ โ จทก์เ กิด สิท ธิฟ้ องหย่ า จํา เลยตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา TSTg (U/h)
คําพิพากษาฎีกาที+ 37-3/046-
การที&สามีท4 งิ ร้ างไม่อปุ การะเลี4ยงดูอกี ฝ่ ายหนึ&งนั4นการนับอายุ
ความในกรณี เ ช่ น นี4 จะต้ องตั4 ง ต้ นนั บ เมื& อ การทิ4 งร้ าง และไม่
อุปการะเลี4ยงดูน4ันได้ ยุติลง ถ้ ายังไม่ ยุติ คือยังคงทิ4งร้ างและไม่
อุปการะเลี4ยงดูเรื&อยๆ มา จะเป็ นกี&ปีก็ตามอายุความก็ยังไม่ เริ&ม
นับ ฉะนั4นย่อมฟ้ องหย่าโดยอาศัยเหตุน4 ีได้ เสมอ ไม่ขาดอายุความ
คําพิพากษาฎีกาที+ .25/0450
โจทก์จาํ เลยต่างสมัครใจแยกกันอยู่ โจทก์ (สามี) จะกล่าวหา
ว่าจําเลย (ภริยา) จงใจละทิ4งร้ างโจทก์ไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0316/0406
จําเลยแยกจากโจทก์ไปอยู่ท&ีอ& ืน เพราะไม่ ประสงค์จะอยู่กิน
เป็ นภริยาโจทก์ เป็ นข้ อสําคัญ ถือได้ ว่าจําเลยจงใจละทิ4งร้ างโจทก์
เมื&อ เป็ นเวลาเกิน T ปี โจทก์ฟ้ องขอหย่ า ได้ ต ามมาตรา TSTg
(4)
คําพิพากษาฎีกาที+ 3472/0401
ภริยาออกจากบ้ านที&อยู่กนิ กับสามีไออยู่ท&อี &นื ไม่กลับตามคํา
ขอร้ องของสามี และบอกให้ สามีจัดการเร่องหย่า ภริยาจงใจละทิ4ง
ร้ างไปเกิน T ปี สามีฟ้องหย่าได้ ตามมาตรา TSTg (U)
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-70/0407
โจทก์ (สามี) ยินยอมให้ จาํ เลย (ภริยา) ไปประกอบอาชีพใน
ต่างประเทศเพื&อหารายได้ มาจุนเจือครอบครัวถือไม่ได้ ว่าจําเลยจง
ใจละทิ4งร้ างโจทก์ จึงไม่เป็ นเหตุท&โี จทก์จะอ้ างมาฟ้ องหย่าได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 340/040.
กฎหมายลั ก ษณะผั ว เมี ย และประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิชย์ไม่ได้ บัญญัติว่า เมื&อสามีละทิ4งภริยาเพียงอย่างเดียวเป็ น
เหตุให้ ขาดจากการสมรส ฉะนั4น เมื&อ พ. กับโจทก์เป็ นสามีภริยา
กันก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต่อมา พ. ละทิ4งร้ าง
โจทก์ไปหลายปี แล้ วกลั บมาอยู่ กินฉั นสามีภ ริ ยากันอีก หลั งจาก
ประกาศใช้ ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ S โดยมิได้
จดทะเบียนสมรสกันก็ต าม ก็ต้ อ งถือ ว่ า พ. และโจทก์เป็ นสามี
ภริ ย ากัน โดยชอบด้ ว ยกฎหมายในขณะที& พ. ถึ ง แก่ ก รรมเมื& อ
พ.ศ. hSTU
คําพิพากษาฎีกาที+ 4.1./0463
จําเลยกล่ าวหาว่ าโจทก์ทาํ ให้ จาํ เลยถูกบัตรสนเท่ห์จึงทําร้ าย
โจทก์แล้ วออกจากบ้ านไปอยู่กับภริยาเก่าโดยมิได้ กลับมาอยู่กับ
โจทก์อีกเลย แม้ จาํ เลยเคยช่ วยออกค่ าใช้ จ่ายในบ้ านที&โจทก์อยู่
บ้ าง แต่เมื&อพบโจทก์กไ็ ม่พูดกัน ดังนี4 ถือว่าจําเลยจงใจละทิ4งร้ าง
โจทก์ เ มื& อ ระยะเวลาเกิ น T ปี ย่ อ มเป็ นเหตุ ฟ้ องหย่ า ได้ ต าม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา TSTg (U)
คําพิพากษาฎีกาที+ 71.3/0412
จําเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุท&ีโจทก์จาํ เลย
ไม่ อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้ โดยปกติสุขตลอดมาเกิน _ ปี
โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่ าจําเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิ ช ย์ มาตรา TSTg (U/h) และเมื& อ จํา เลยมี บุ ต รผู้ เ ยาว์
ด้ วยกัน T คนศาลก็มีอาํ นาจวินิจฉัยชี4ขาดให้ โจทก์เป็ นผู้ใช้ อาํ นาจ
ปกครองและให้ จาํ เลยจ่ายค่าอุปการะเลี4ยงดูผ้ ูเยาว์ได้ ตามมาตรา
TShr วรรคสอง และมาตรา TShh วรรคสอง ไม่ เ ป็ นการ
พิพากษาเกินคําขอ
คําพิพากษาฎีกาที+ .7-/0406
จําเลยมิได้ อยู่ กินเป็ นสามีภริยากับโจทก์มาถึงทุกวันนี4เป็ น
เวลากว่า hr ปี แล้ ว โดยจําเลยมีสามีใหม่และอยู่กนิ กับสามีใหม่
ตลอดมาจนขณะโจทก์ฟ้องคดีน4 ีการกระทําของจําเลยดังกล่ าว
นอกจากจะเป็ นเหตุหย่าในเหตุอ&นื เช่นมีช้ ูจงใจละทิ4งอีกฝ่ ายหนึ&ง
ไปเกิน T ปี เป็ นต้ นแล้ ว ยังเป็ นการกระทําที&เป็ นปฏิปักษ์ต่อการ
เป็ นสามีภริยาอย่างร้ ายแรงตามมาตรา TSTg (g) อีกด้ วย และ
เป็ นการกระทําที&ต่อเนื&องตลอดมาทุกวัน คดีจึงไม่ขาดอายุความ
คําพิพากษาฎีกาที+ 3-.7/0401
การที&จาํ เลยร้ องเรียนกล่ าวโทษโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชาเป็ น
การกระทําด้ วยอารมณ์หึงหวง อันเนื&องมาจากถูกโจทก์ทอดทิ4ง
แล้ วโจทก์ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื&นการกระทําของจําเลยยัง
ไม่เพียงพอที&จะถือว่าได้ กระทําการเป็ นปฏิปักษ์ต่อการเป็ นสามี
ภริยากันอย่างร้ ายแรงตามมาตรา TSTg (g)
คําพิพากษาฎีกาที+ 07-0/0401
โจทก์จํา เลยแต่ ง งานจดทะเบี ย นสมรสเป็ นสามี ภ ริ ย ากัน
จําเลย (ภริยา) ออกจากบ้ านโจทก์ (สามี) ไปอยู่กับมารดา ไม่
ยอมอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ เป็ นการไม่ช่วยเหลืออุปการะ
เลี4ยงดูซ&ึงกันและกัน และเป็ นปฏิปักษ์ต่อการเป็ นสามีภริยากัน
อย่างร้ ายแรง ซึ&งเมื&อคํานึงถึงสภาพฐานะความเป็ นอยู่ร่วมกันฉัน
สามีภริยาแล้ ว เป็ นที&เห็นได้ ว่าโจทก์เดือดร้ อนเกินควรเข้ าเหตุ
หย่าตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา TSTg (g)
แล้ ว
คําพิพากษาฎีกาที+ .77/0407
ก า ร ที& จํ า เ ล ย ซึ& ง เ ป็ น ภ ริ ย า ทํ า ห นั ง สื อ ร้ อ ง เ รี ย น ต่ อ
ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ผ้ ูเป็ นสามีว่า จําเลยกําลังประสบความ
เดือดร้ อนเนื&องจากสามีของจําเลยติดพันหญิงอื&นอยู่และขอหย่า
ขาดกับจําเลย ระหว่างที&ขอหย่านี4 สามีของจําเลยได้ ข่มขู่กล่าวคํา
อาฆาต ตลอดจนทําร้ ายร่ างกายจําเลยหลายครั4งหลายคราว ซึ&ง
การทํา ร้ า ยนี4 ถึ ง ขั4 น ทุ บ ตี เ ลื อ ดสาด จํา เลยพยายามอดทนและ
พยายามออมชอมกัน แต่ กไ็ ม่ สามารถทําได้ จึงขอให้ ความเป็ น
ธรรมแก่จาํ เลยด้ วย ดังนี4 ยังถือไม่ได้ ว่าจําเลยทําการเป็ นปฏิปักษ์
ต่อโจทก์อย่างร้ ายแรงอันจะเป็ นเหตุให้ โจทก์หย่าขาดจากจําเลย
คําพิพากษาฎีกาที+ 4../040-
โจทก์จําเลยเป็ นสามีภริ ยากัน โจทก์ (สามี) แยกไปอยู่ กับ
มารดา โดยยกทรั พ ย์ สิน และบ้ า นให้ จํา เลย (ภริ ย า) ทั4ง หมด
ปล่อยให้ จาํ เลยอยู่ท&บี ้ านกับบุตรตามลําพัง ไม่เคยส่งเสียอุปการะ
เลี4 ยงดู เ ยี&ยงสามีภ ริ ยาและบิด ากับ บุ ต ร ที&ดิน ปลู ก บ้ า นเป็ นของ
บุคคลอื&นซึ&งต้ องการที&ดินคืน โจทก์มิได้ ไปมาหาสู่จาํ เลย การที&
จําเลยขายบ้ านไปโดยพลการมิได้ ปรึกษาหารือโจทก์จึงถือไมได้ ว่า
จําเลยกรทําตนเป็ นปฏิปักษ์ต่อการเป็ นสามีภริยากันอย่างร้ ายแรง
โจทก์จะยกเอาเป็ นข้ ออ้ างเป็ นเหตุในการฟ้ องหย่าจําเลยหาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 6752/0463
การที&จาํ เลยไปรับบุตรซึ&งเกิดจากภริยาเดิมมาเลี4ยงดูในบ้ าน
อันเป็ นการผิดถ้ อยคําที&เคยให้ ไว้ แก่โจทก์ว่า จําเลยไม่เคยมีภริยา
และบุตรมาก่อน หลังจากนั4นจําเลย (สามี) ไม่จ่ายเงินค่าอุปการะ
เลี4ยงดูโจทก์และครอบครัวเช่ นเคยปฏิบัติมา ทั4งจําเลยยังติดต่อ
กั บ ภริ ย าเดิ ม และแสดงกิ ริ ย าวาจาเหยี ย ดหยามมารดาโจทก์
จนกระทั&งโจทก์ไม่สามารถอยู่ร่วมกับจําเลยต่อไปได้ เช่นนี4 ถือได้
ว่ าจําเลยไม่ ให้ ความช่ วยเหลืออุปการะเลี4ยงดูโจทก์ตามสมควร
ประกอบด้ วยเหตุอ&นื ๆ ถึงขนาดที&โจทก์เดือดร้ อนเกินสมควรที&จะ
อยู่ กิ น ร่ ว มกั น ฉั น สามี ภ ริ ย ากั บ จํ า เลย อั น เป็ นเหตุ ห ย่ า ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา TSTg (g)
คําพิพากษาฎีกาที+ 1574/0460
การที&จํา เลยร้ อ งเรี ย นต่ อ ผู้ บั ง คั บ บั ญ ชาของโจทก์ข อแบ่ ง
เงินเดือนเนื&องจากโจทก์ไม่ส่งเงินค่าเลี4ยงดูบุตรให้ จาํ เลยบ้ าง การ
กระทําดังกล่ าวก็เพื&อคุ้มครองสิทธิท&จี าํ เลยคิดว่าควรจะได้ จึงไม่
ถือ ว่ า เป็ นการกระทํา ที&เ ป็ นปฏิปั ก ษ์ ต่ อ การเป็ นสามีภ ริ ย าอย่ า ง
ร้ ายแรงอันเป็ นเหตุให้ โจทก์ฟ้องหย่าได้ โจทก์เป็ นฝ่ ายไม่ไปมาหา
สู่จาํ เลยตามหน้ าที&สามีท&ดี ีเป็ นเวลานานหลายปี ทั4งยังได้ หญิงอื&น
เป็ นภริ ยาจนมีบุตรด้ วยกัน จําเลยเองกลับเป็ นฝายไปหาโจทก์
บ่อยๆ จึงฟังไม่ได้ ว่าจําเลยเป็ นฝ่ ายทิ4งร้ างโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสทิ ธิ
ฟ้ องหย่าจําเลย
คําพิพากษาฎีกาที+ 3664/0466
การที& จํ า เลยไม่ ย อมพู ด กั บ โจทก์ หากมี เ รื& องที& จ ะต้ อง
ปรึกษาหารือกันจําเลยจะเขียนจดหมายแทนการพูดกับโจทก์ ก็
เนื&องจากความผิดของโจทก์ท&มี ีความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงอื&น
และเพื&อหลีกเลี&ยงมิให้ บุตรได้ ยินการทะเลาะกันระหว่างโจทก์กบั
จําเลย และมิให้ โจทก์ทาํ ร้ ายร่ างกายจําเลย การกระทําของโจทก์
เป็ นเหตุอันสมควรที&จะทําให้ จาํ เลยแสดงอาการดูถูกเกลียดชัง
โจทก์และไม่พูดคุยกับโจทก์ได้ จึงถือไม่ได้ ว่าจําเลยประพฤติช&ัว
และถือไม่ได้ ว่าจําเลยได้ กระทําการเป็ นปฏิปักษ์ต่อการเป็ นสามี
ภริยากันอย่างร้ ายแรงอันจะเป็ นเหตุหย่า
คําพิพากษาฎีกาที+ 611/01.-
สั ญ ญาทั ณ ฑ์ บ นที& ช ายทํา ให้ ไว้ แก่ ห ญิ ง ว่ า จะยอมเลิ ก กั บ
อนุภริยานั4น เมื&อชายทําผิดทัณฑ์บน หญิงถือเอาเป็ นเหตุฟ้องหย่า
ได้ และสัญญาเช่นนี4ศาลยอมรับบังคับบัญชาให้
คําพิพากษาฎีกาที+ 65-/0126
“ทําทัณฑ์บนให้ กบั ภริยาใหม่ว่า ถ้ าหากไปคืนดีกบั ภริยาเดิม
ยอมให้ สิน สมรสตกได้ แก่ ภ ริ ยาใหม่ ฝ่ายเดียวนั4น ไม่ เป็ นโมฆะ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา TT_ เป็ นแต่ เ พี ยงผิด แผกแตกต่ า งกับ ที&
กฎหมายบัญญัตไิ ว้ ตามมาตรา TTU
กฎหมายลั ก ษณะผั ว เมี ย บทที& gY มิ ใ ช่ เ ป็ นบทที&เ กี&ย วกับ
ความสงบเรี ย บร้ อยหรื อ ศี ล ธรรมอั น ดี ข องประชาชน ฉะนั4 น
บุคคลจึงอาจทําสัญญาผิดแผกแตกต่างกับที&บัญญัติไว้ ได้ ไม่เป็ น
โมฆะ
คําพิพากษาฎีกาที+ 0446/0407
ก่ อนจดทะเบียนสมรสโจทก์กับจําเลยทําสัญญากันว่ าฝ่ าย
ภริ ย าจะไม่ ป ระพฤติ ตั ว ให้ ผิ ด จารี ต ประเพณี และให้ อยู่ กิ น
ปรนนิบตั ใิ นฐานะให้ เป็ นสามีภริยาอยู่กนิ ร่วมกันตลอดไป และจะ
ไม่ ประพฤติปฏิบัตินอกใจสามีอีกต่ อไป เมื&อฝ่ ายหนึ&งฝ่ ายใดได้
กระทํา ผิ ด พลาดเงื& อ นไขดั ง กล่ า วยิ น ยอมให้ ปรั บ จํา นวนเงิ น
Sr,rrr บาท เป็ นสัญญาอย่ างหนึ&งมีลัก ษณะเป็ นทัณ ฑ์บนใน
เรื&องความประพฤติของภริยาดังที&บัญญัติไว้ ในประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา TSTg (Y) ซึ&งเป็ นเหตุให้ สามีฟ้องหย่า
ภริ ย าได้ หากผิ ด ทั ณ ฑ์ บ นที& ท ํา กั น เป็ นหนั ง สื อ ในเรื& อ งความ
ประพฤติ และไม่เป็ นการฝ่ าฝื นศีลธรรมอันดีหรือจํากัดสิทธิ
เสรีภาพในส่วนบุคคล ไม่ มีวัตถุประสงค์เป็ นที&ต้องห้ ามชัดแจ้ ง
โดยกฎหมายใดๆ อีก ทั4ง มิ ไ ด้ เ ป็ นการขั ด ขวางต่ อ ความสงบ
เรียบร้ อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ต่อมาโจทก์และจําเลย
ได้ จ ดทะเบียนสมรส ก็ได้ ยอมรั บสัญญาฉบับนี4ให้ มีผ ลผู ก พั น
บั ง คั บ ระหว่ า งกั น ได้ สั ญ ญาฉบั บ นี4 จึ ง มี ผ ลใช้ บั ง คั บ ได้ ต าม
กฎหมายไม่เป็ นโมฆะ แต่ค่าปรับนั4นสูงเกินส่วน ศาลฎีกาให้ ใช้
ค่าปรับลดลงกึ&งหนึ&ง
คําพิพากษาฎีกาที+ 3336/043-
บรรยายฟ้ องว่ า จํ า เลยเป็ นสามี โ จทก์ ประพฤติ ช&ั ว ติ ด
ยาเสพติด เป็ นนักเลงอันธพาล ไม่ทาํ มาหากินไม่ให้ ภริยาและลูก
ทํา นา ฯลฯ ขอหย่ า และแบ่ ง ทรั พ ย์ ดั ง นี4 ตึ ค วามได้ ว่ า จํา เลย
ประพฤติช&ัวอย่างร้ ายแรง เป็ นการโต้ แย้ งสิทธิของภริยา ควรรับ
ไว้ พิจารณาต่อไป
คําพิพากษาฎีกาที+ 0515/043-
สามีภริยาอยู่กินกันที&ร้านของภริยา สามีกลับไปอยู่บ้านของ
สามี ไม่ไปอยู่ร่วมกับภริยาดังเดิม ไม่เป็ นปฏิปักษ์อย่ างร้ ายแรง
ส่วนที&ภริยาทําทัณฑ์บนว่าจะอยู่ร่วมบ้ านกับสามีน4ันไม่ใช่ทณ
ั ฑ์บน
ในเรื&องความประพฤติ จึงไม่เป็ นเหตุหย่า
คําพิพากษาฎีกาที+ 05-0/043-
คํากล่ าวประชดประชั นไม่ ทาํ ให้ ผ้ ู ใดเข้ าใจผิด ไม่ เป็ นหมิ&น
ประมาทที&จะถือเป็ นเหตุหย่า
บาดแผลชกต่ อ ยเป็ นรอยชํ4า เลื อ ดที&แ ขน W แห่ ง เท่ า ลู ก
มะนาว รั ก ษา W วั น หาย ไม่ ถึง อัน ตรายแกกาย ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา hVS ไม่เป็ นเหตุหย่า
ขู่ว่าจะให้ จuิกโก๋ลากตัวกลับบ้ าน ไม่ ถือเป็ นปฏิปักษ์ต่อการ
เป็ นสามีภริยาอย่างร้ ายแรง
คําพิพากษาฎีกาที+ 3246/043-
สามีทุบตีภริ ยาบาดเจ็บบ่ อยๆ โดยทะเลาะกันและด่ าบิดา
ภริยาว่าชิงหมาเกิดบังคับให้ ภริยาจํานองที&ดิน เป็ นการประพฤติ
ชั&วอย่างร้ ายแรง ภริยาฟ้ องหย่าได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-0./043-
ภริยาแยกจากสามีไปเอง มิใช่เพราะสามีขับไล่ สามีไม่เลี4ยง
ดูในระหว่ างนั4น ไม่ ใช่ ความผิดของสามีท&ีภริ ยาจะอ้ างเป็ นเหตุ
หย่า
คําพิพากษาฎีกาที+ 246/0405
สามีไม่จ่ายเงินให้ ภริยาเหมือนแต่ก่อน แต่ได้ มอบเงินให้ ลูก
หรื อคนใช้ ไว้ ใช้ จ่ายในบ้ าน ภริ ยาได้ ใช้ เงินนั4นไม่ เดือดร้ อน ไม่
เป็ นการไม่ช่วยเหลืออุปการะเลี4ยงดูตามควร ไม่เป็ นเหตุหย่า
คําพิพากษาฎีกาที+ 36-2/0405
สามีทาํ ร้ ายภริยาหลายครั4ง และทําร้ ายอย่างไม่ปรานีแม้ ในที&
สาธารณะ ยักย้ ายถ่ายเททรัพย์สินร่ วมกันไปเป็ นของสามี ภริยา
ฟ้ องหย่าได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 3145/0403
ภริยาแยกไปอยู่ บ้านเดิมได้ hS ปี สามีไม่ ได้ ส่งเสียเลี4ยงดู
เหตุ ท&ีแ ยกไปเพราะสามี บี บ บั ง คั บ เป็ นการที&ส ามี จ งใจทิ4ง ร้ า ง
ภริยาและไม่เลี4ยงดูภริยา ภริยาหย่าได้
มาตรา &'&*
คําพิพากษาฎีกาที+ 6022/040.
ระหว่ างจําเลยอยู่กินเป็ นสามีภริยากับโจทก์ จําเลยมีอาชีพ
ผิดกฎหมายค้ ายาเสพติด โจทก์ร้ ูเห็นและร่ วมกระทําด้ วย โจทก์
ให้ ญาติของโจทก์นาํ เฮโรอีนมาจากภาคเหนือ จนญาติของโจทก์
และจํา เลยถู ก เจ้ า พนั ก งานตํา รวจจับ กุ ม ศาลพิ พ ากษาลงโทษ
จําคุกจําเลย hr ปี ถือได้ ว่าโจทก์ได้ ยินยอมหรือรู้เห็นเป็ นใจใน
การกระทําของจําเลยที&เป็ นเหตุหย่ านั4น โจทก์จะยกขึ4นเป็ นเหตุ
ฟ้ องหย่าจําเลยหาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 605/0465
ประเด็นที&ว่าโจทก์ร้ ูเห็นเป็ นใจให้ จาํ เลยเป็ นชู้กับภริยาโจทก์
ภาระการพิสูจน์ตกแก่จาํ เลย จําเลยและภริยาโจทก์ทาํ งานอยู่ ท&ี
เดียวกันโดยมีสายงานเกี&ยวข้ องกันด้ วย แม้ หากโจทก์จะเคยเห็น
จําเลยและภริยาโจทก์ไปไหนมาไหนด้ วยกันสองต่ อสอง ก็ย่อม
เข้ า ใจว่ า ไปในฐานะเพื& อ นร่ ว มงานอัน เป็ นเรื& อ งปกติ ธ รรมดาที&
บุคคลในภาวะเช่นนั4นย่อมมีกนั ได้ ข้ อเท็จจริงจึงฟั งไม่ได้ ว่าโจทก์
รู้เห็นเป็ นใจให้ ภริยาโจทก์เป็ นชู้กบั จําเลย
คําพิพากษาฎีกาที+ 64-7/0417
แม้ โจทก์จะเคยเห็นภาพถ่ ายพิ ธีมงคลสมรสของจําเลยทั4ง
สองในภายหลั ง และมิ ไ ด้ โ ต้ แ ย้ ง คั ด ค้ า นก็ต าม แต่ ข ณะจั ด พิ ธี
มงคลสมรสของจําเลยทั4งสอง โจทก์ไม่ทราบเรื&อง กรณียังไม่พอ
ฟั งว่ าโจทก์ได้ ร้ ูเห็นเป็ นใจให้ จาํ เลยทั4งสองอยู่กินเป็ นสามีภริยา
กันตาม ป.พ.พ. มาตรา TSTW วรรคหนึ&ง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้อง
หย่าได้
มาตรา &'&+
คําพิพากษาฎีกาที+ 6200/0401
จําเลยใช้ มีดแทงโจทก์ซ&ึงเป็ นสามีต4ังแต่ก่อนโจทก์จาํ เลยจะมี
บุตรด้ วยกัน โจทก์เห็นว่าจําเลยเป็ นภริยาและมีบุตรด้ วยกัน จึงไม่
ร้ องทุกข์กล่าวโทษจําเลยแสดงว่าโจทก์ได้ ให้ อภัยแก่จาํ เลยแต่แรก
แล้ ว ถือได้ ว่าสิทธิฟ้องหย่ าในข้ อนี4ได้ หมดไปตามมาตรา TSTY
แล้ ว
คําพิพากษาฎีกาที+ 63-5/041-
การยิ น ยอมและให้ อ ภั ย ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิชย์ มาตรา TSTY หมายถึง คู่สมรสฝ่ ายที&ยินยอมและให้
อภัยได้ ทราบข้ อเท็จจริงทั4งหมดเกี&ยวกับการกระทําอันเป็ นเหตุ
ให้ เ กิด สิท ธิฟ้ องหย่ า นั4 น และแสดงให้ ป รากฏอย่ า งชั ด แจ้ ง ว่ า
อนุญาตให้ กระทําและจะไม่ใช้ สทิ ธิฟ้องหย่า
โจทก์ไม่ ทราบแน่ ชัด และไม่ คาดคิดว่ าจําเลยจะจริงจังกับ
ส. เพราะขณะนั4นจําเลยยังมีหญิงอื&นอีกหลายคน จนเมื&อปี พ.ศ.
hSUS โจทก์ทราบว่าจําเลยกับ ส. มีบุตรด้ วยกัน จึงได้ นาํ คดีมา
ฟ้ อง อัน เป็ นเหตุผ ลที&โจทก์ไม่ ฟ้ องหย่ า จํา เลยแต่ แรกที&ทราบ
เรื&องความสัมพันธ์
ระหว่างจําเลยกับ ส. จึงถือไม่ได้ ว่าโจทก์เคยยินยอมหรือให้ อภัย
ในเรื& อ งที&จําเลยอุปการะเลี4 ยงดู ห รื อ ยกย่ อ ง ส. ฉั น ภริ ยา เหตุ
ฟ้ องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา TSTg
(T) ก็ยังคงมีอยู่ แม้ โจทก์จะทราบพฤติการณ์ดังกล่าวของจําเลย
มาเกิน T ปี แล้ ว โจทก์กย็ กเป็ นเหตุฟ้องหย่ าได้ สิทธิฟ้องร้ อง
ของโจทก์จึงไม่ระงับไปตามมาตรา TShV
มาตรา &',-
คําพิพากษาฎีกาที+ .01-/0417
โจทก์ ฟ้ องหย่ า จํ า เลยและขอให้ โจทก์ เ ป็ นผู้ ใช้ อํา นาจ
ปกครองบุตรผู้เยาว์ท4งั สอง แต่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล
ชั4นต้ น โจทก์และจําเลยได้ จดทะเบียนหย่ าขาดจากกัน โดยใน
การจดทะเบี ย นหย่ า ไม่ มี ก ารตกลงให้ ฝ่ ายใดเป็ นผู้ ใ ช้ อ าํ นาจ
ปกครองบุตรคนใด และ ป.พ.พ. มาตรา TShr กําหนดให้ ศาล
เป็ นผู้ ช4 ี ขาด ดั ง นั4 น ศาลย่ อ มมี อ าํ นาจชี4 ขาดให้ จํา เลยเป็ นผู้ ใ ช้
อํานาจปกครอง อ. และ พ. บุตรผู้เยาว์ได้ ไม่เป็ นการพิพากษา
เกินคําขอ
หลังจากโจทก์จาํ เลยทะเลาะวิวาทกัน จําเลยพา อ. และ พ.
บุตรผู้เยาว์ท4งั สองซึ&งอายุ TW ปี และ TS ปี ตามลําดับ มาอยู่กบั
น้ า ชาย โดยไม่ ปรากฏว่ า บุ ต รผู้ เยาว์ท4ัง สองประสงค์จ ะอยู่ กับ
โจทก์ บุตรผู้เยาว์ท4งั
สองเบิกความว่ าโจทก์มีพฤติการณ์คบหญิงอื&นในทํานองชู้สาว
ไม่ค่อยช่วยเหลือดูแล จําเลยเป็ นผู้ดูแลโดยตลอดและประสงค์
จะให้ จาํ เลยเป็ นผู้ใช้ อาํ นาจปกครอง เช่ นนี4 เมื&อบุตรผู้เยาว์ท4ัง
สองโตมากแล้ ว ความสมัครใจที&จะอยู่กบั โจทก์หรือจําเลยนับว่า
เป็ นเรื& อ งสํา คั ญ และไม่ ป รากฏว่ า จํา เลยมี ค วามประพฤติ ไ ม่
เหมาะสม จึงไม่ ควรฝ่ าฝื นความประสงค์ของบุตร สมควรให้
จําเลยเป็ นผู้ใช้ อาํ นาจปกครองบุตรผู้เยาว์ท4งั สองแต่เพียงผู้เดียว
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-75/0412
ผู้ เ ยาว์ เ ป็ นบุ ต รของ ว.กับ ผู้ คั ด ค้ า น ต่ อ มา ว. หย่ า กับ ผู้
คัดค้ านโดยมีข้อตกลงเรื&องใช้ อาํ นาจปกครองว่าให้ ผ้ ูเยาว์อยู่ใน
ความปกครองของ ว. ผู้เป็ นบิดา ว. จึงมีสทิ ธิใช้ อาํ นาจปกครอง
บุ ต รผู้ เ ยาว์เ พี ยงผู้ เ ดียวตามข้ อ สัญ ญาดัง กล่ า วซึ& ง ใช้ บัง คับ ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา TShr วรรค
หนึ&ง ประกอบมาตรา TSgg วรรคสอง (g) และมิใช่เป็ นกรณีท&ี
ผู้ คั ด ค้ านถู ก ถอนอํา นาจปกครอง เพราะการถอนอํา นาจ
ปกครองเป็ นอํานาจของศาลและจะต้ องมีเหตุตามมาตรา TSYh
ดังนั4น เมื&อ ว. ถึงแก่ความตาย อํานาจปกครองบุตรผู้เยาว์จึง
กลับมาเป็ นของผู้คัดค้ านซึ&งเป็ นมารดาฝ่ ายเดียวตามมาตรา
TSgg วรรคสอง (T) กรณีจึงถือไม่ได้ ว่าผู้เยาว์ไม่มีบิดามารดา
หรือบิดามารดาถูกถอนอํานาจปกครองอันจะทําให้ ผ้ ูร้องซึ&งเป็ น
ป้ ามีสิทธิย& ืนคําร้ องขอเป็ นผู้ปกครองผู้เยาว์ตามมาตรา TSYS
วรรคหนึ&ง ประกอบมาตรา TSYg วรรคหนึ&ง
มาตรา &',&
คําพิพากษาฎีกาที+ 6564/0466
โจทก์แ ละจํา เลยซึ& ง เป็ นบิ ด าและมารดาของผู้ เ ยาว์ ต่ า ง
สามารถเลี4ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ แต่การให้ บุตรผู้เยาว์อยู่กบั มารดา
จะได้ รับความอบอุ่นมากกว่า ศาลให้ จาํ เลยเป็ นผู้ปกครองบุตร
ผู้เยาว์และแม้ อาํ นาจปกครองบุตรผู้เยาว์จะตกแก่จาํ เลยก็ตาม
โจทก์ มี สิ ท ธิ จ ะติ ด ต่ อ กั บ บุ ต รผู้ เ ยาว์ ไ ด้ ต ามสมควรแล้ วแต่
พฤติการณ์
คดี ก่ อ นถึ ง ที&สุด โดยศาลยั ง มิ ไ ด้ วิ นิ จ ฉั ย ประเด็น เรื& อ งค่ า
อุปการะเลี4ยงดูบุตรผู้เยาว์ จําเลยจึงมีสทิ ธิฟ้องแย้ งโจทก์ในคดี
นี4ให้ โจทก์จ่ายค่ าอุปการะเลี4ยงดูบุตรผู้เยาว์ได้ อีก ไม่ ต้องห้ าม
ตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา TUY
มาตรา &',,
คําพิพากษาฎีกาที+ 376./0405
ศาลพิพากษาให้ หย่ าตามคําฟองของภริยา บุตรหญิงอายุ
TS ปี ควรอยู่ ใ นปกครองมารดา ทั4ง บิ ด าและมารดามี ห น้ า ที&
อุปการะเลี4ยงดูบุตรด้ วยกัน ศาลกําหนดให้ สามีจ่ายเดือนละ hSr
บาท
คําพิพากษาฎีกาที+ 71.3/041.
จําเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์เพราะเหตุท&โี จทก์จาํ เลย
ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้ โดยปกติสุขตลอดมาเกิน _ ปี
โจทก์จึงมีสทิ ธิฟ้องหย่าจําเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิ ช ย์ มาตรา TSTg (U/h) และเมื& อ จํา เลยมี บุ ต รผู้ เ ยาว์
ด้ ว ยกั น T คน ศาลก็มี อ ํา นาจวิ นิ จ ฉั ย ชี4 ขาดให้ โ จทก์ เ ป็ นผู้ ใ ช้
อํานาจปกครองและให้ จาํ เลยจ่ายค่าอุปการะเลี4ยงดูผ้ ูเยาว์ได้ ตาม
มาตรา TShr วรรคสอง และมาตรา TShh วรรคสอง ไม่ เป็ น
การพิพากษาเกินคําขอ
มาตรา &',.
คําพิพากษาฎีกาที+ 66-/045-
สามีจะฟ้ องเรียกค่ าทดแทนจากภริยาและชู้ได้ ต่อเมื&อได้ มี
คําพิพากษาของศาลให้ สามีภริยานั4นหย่ากันเสียก่อน สามีมีสทิ ธิ
เรียกค่าทดแทนจากผู้ท&ลี ่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาวได้ โดยไม่
จํา เป็ นต้ อ งให้ ศ าลพิ พ ากษาให้ ส ามี ภ ริ ย าหย่ า ขาดกัน เสีย ก่ อ น
เพราะเป็ นเรื&องที&ภริยาถูกล่วงเกินโดยไม่สมัครใจ ไม่ใช่เป็ นเรื&อง
ที&ภ ริ ย ามี ช้ ู จํา เลยข่ ม ขื น ชํา เราภริ ย าโจทก์อัน เป็ นการล่ ว งเกิน
ในทางชู้สาว แม้ จะไม่มีคาํ พิพากษาของศาลให้ หย่าขาดเสียก่อน
โจทก์กม็ อี าํ นาจฟ้ องเรียกค่าทดแทนจากจําเลยได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-67/0400
นอนกอดกับภริยาผู้อ&นื ในทางชู้สาว หรือถึงขั4นร่วมประเวณี
กับภริยาผู้อ&นื ก็ล้วนแต่ต้องถือว่าล่วงเกินภริยาของเขาในทํานอง
ชู้สาว สามีเรียกค่าทดแทนได้ ตามมาตรา TSh_ วรรคสอง
คําพิพากษาฎีกาที+ 021./0406
จําเลยทราบว่า ต. เป็ นหญิงมีสามีแต่กย็ งร่วมหลับนอนด้ วย
เมื&อจําเลยล่วงเกิน ต. ภริยาโจทก์ในทํานองชู้สาว จึงถือว่าจําเลย
ละเมิดสิทธิต่อโจทก์ทาํ ให้ โจทก์เสียหายต้ องใช้ ค่าทดแทน
คําพิพากษาฎีกาที+ 17./0404
จําเลยที& T มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจําเลยที& h มาก่อนที&
จะสมรสกับโจทก์ เมื&อจําเลยที& T สมรสกับโจทก์แล้ ว จําเลยที& T
ซึ&งเป็ นสามีโจทก์กย็ ังมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจําเลยที& h และ
ยกย่องเป็ นภริยาอย่างออกหน้ า ดังนี4 โจทก์ฟ้องหย่าได้ และเหตุ
หย่ าในกรณีน4 ีโจทก์ย่อมมีสิทธิท&ีจะได้ รับค่ าทดแทนตามมาตรา
TSh_ วรรคแรก
คําพิพากษาฎีกาที+ 1.1/0404
โจทก์จับได้ ว่าจําเลยกับ ส. ภริยาโจทก์ร่วมประเวณีกนั โดย
จําเลยยอมรับผิดและสาบานต่อหน้ าพระพุทธรูป แต่หลังจากนั4น
ทั4งคู่กย็ ังร่ วมประเวณีกนั อีก แม้ ตามพฤติการณ์ ส. ร่ วมประเวณี
กับจําเลยทุกครั4งโดยสมัครใจ โจทก์สามี ส. ก็เรียกค่ าทดแทน
จากจํา เลยได้ และที&ศ าลกํา หนดค่ า ทดแทนเป็ นเงิ น Ur,rrr
บาท นั4นสมควรแล้ ว
คําพิพากษาฎีกาที+ 6126/0402
จําเลยพา บ. ซึ&งรู้อยู่แล้ วว่าเป็ นภริยาโจทก์ไปร่วมประเวณี
แม้ บ. จะยินยอมสมัครใจก็ถือว่ าจําเลยกระทําล่ วงเกินภริ ยา
โจทก์ไปในทํานองชู้ สาว จําเลยต้ องรับผิดชดใช้ ค่าทดแทนให้
โจทก์ การกํ า หนดค่ าทดแทนให้ เพี ย งใดย่ อมแล้ วแต่
พฤติการณ์ณ์แห่ งคดี (คดีน4 ีศาลกําหนดค่าทดแทนให้ Sr,rrr
บาท)
คําพิพากษาฎีกาที+ 605/0465
การล่ วงเกินในทํานองชู้สาวตามประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิชย์ มาตรา TSh_ วรรคสอง มีความหมายรวมถึงการทําชู้
ด้ ว ย สิ ท ธิ เ รี ย กค่ า ทดแทนตามความในวรรคสองของมาตรา
TSh_ นี4มิได้ มีเงื&อนไขว่า สามีจะต้ องฟ้ องหย่าภริยาเสียก่อนจึงจะ
ฟ้ องเรี ยกค่ าทดแทนจากผู้ล่วงเกินได้ ค่ าทดแทนในกรณีน4 ีเป็ น
ค่าเสียหายอย่างหนึ&งที&กฎหมายกําหนดให้ ชายชู้ต้องรับผิด ศาลมี
อํานาจกําหนดให้ ตามฐานานุรูปแห่งผู้ต้องได้ รับความเสียหาย ซึ&ง
รวมถึง ความเสีย หายแก่ ช&ื อ เสีย งและเกีย รติ คุ ณ ของโจทก์ด้ ว ย
โจทก์ ฟ้ องเรี ย กค่ า ทดแทนจากจํา เลยซึ& ง เป็ นชู้ กั บ ภริ ย าโจทก์
จําเลยให้ การว่าโจทก์ร้ เู ห็นเป็ นใจให้ จาํ เลยเป็ นชู้กบั ผู้ตาย ซึ&งถ้ า
เป็ นจริงโจทก์จะเรียกค่าทดแทนไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิช ย์ มาตรา TSh_ วรรคสาม ประเด็น ข้ อ นี4 ภาระการ
พิสจู น์ตกแก่จาํ เลย (คดีน4 ีข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ ว่าโจทก์ร้ ูเห็นเป็ นใจ
ให้ ผ้ ูตายเป็ นชู้กบั จําเลย จําเลยจึงต้ องรับผิดต่อโจทก์)
คําพิพากษาฎีกาที+ 6305/0465
ค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา
TSh_ วรรคแรก จะมีได้ ต่อเมื&อศาลพิพากษาให้ หย่ ากันเพราะ
เหตุท&สี ามีอปุ การะเลี4ยงดูหรือยกย่องหญิงอื&นฉันภริยา หรือภริยา
มีช้ ูตามมาตรา TSTg (T) เท่านั4น ฉะนั4น เมื&อโจทก์และจําเลย
จดทะเบียนหย่ากันโดยชอบด้ วยกฎหมายแล้ ว โจทก์จึงไม่มีสทิ ธิ
ฟ้ องหย่าและเรียกค่าทดแทนจากจําเลยที&อุปการะเลี4ยงดูและยก
ย่องหญิงอื&นฉันภริยา
คําพิพากษาฎีกาที+ 1531/0465
การที&จาํ เลยมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับสามีโจทก์จนถึงขั4น
สามีโจทก์ใ ห้ โจทก์ยอมรั บ จํา เลยเป็ นภริ ยาน้ อ ย มิฉ ะนั4น จะทิ4ง
โจทก์ และจําเลยตกหน้ าสามีโจทก์ในร้ านอาหารเพราะความหึง
หวงต่ อหน้ าโจทก์ ทั4งสามีโจทก์และจําเยยังได้ ร่วมกันกู้เงินจาก
ธนาคารมาสร้ างหาพั กในที&ดินของจําเลย และมีผ้ ู ร้ ูเห็นว่ าสามี
โจทก์ได้ มาหาและพักนอนอยู่ท&บี ้ านจําเลยหลายครั4ง พฤติการณ์
ดังกล่าวถือได้ ว่าจําเลยได้ แสดงตนโดยเปิ ดเผยว่ามีความสัมพันธ์
ในทํานองชู้สาวกับสามีโจทก์ โจทก์จึงมีสทิ ธิเรียกค่าทดแทนจาก
จําเลยได้ ตามมาตรา TSh_ วรรคสอง แต่คาํ ขอของโจทก์ท&ขี อให้
จําเลยระงับการมีสมั พันธ์ในทํานองชู้สาวกับสามีโจทก์น4ัน สภาพ
คําขอดังกล่าวไม่เปิ ดช่องศาลไม่อาจบังคับได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-15/0462
การเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื&นที&แสดงตนโดยเปิ ดเผยเพื&อ
แสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาวตามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์มาตรา TSh_ วรรคสอง ไม่มีเงื&อนไข
ว่าภริยาต้ องฟ้ องหย่าสามีเสียก่อนจึงจะฟ้ องเรียกค่าทดแทนจาก
หญิงนั4นได้ โจทก์จึงมีอาํ นาจฟ้ อง
คําพิพากษาฎีกาที+ 64-7/0417
การที&จาํ เลยที& T อุปการะเลี4ยงดูและยกย่ องจําเลยที& h ซึ&ง
เป็ นหญิ ง อื&น ฉั น ภาริ ย า อัน เป็ นเหตุ ห ย่ า ตาม ป.พ.พ. มาตรา
TSTg (T) และศาลพิ พ ากษาให้ โจทก์และจําเลยที& T หย่ ากัน
ด้ วยเหตุดังกล่ าว โจทก์จึงมีสิทธิเรี ยกค่ าทดแทนจากจําเลยทั4ง
สองได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา TSh_ วรรคแรก
มาตรา &','
คําพิพากษาฎีกาที+ 0652/040.
ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา TSh_
วรรคแรก โจทก์มีสิทธิได้ รับค่ าทดแทนจากจําเลย กรณีท&ีศ าล
พิพากษาให้ หย่ าขาดกันเพราะเหตุท&ีฟ้อง แม้ โจทก์ไม่ สืบพยาน
ศาลก็ มี อ ํ า นาจกํ า หนดค่ า ทดแทนให้ โจทก์ ไ ด้ ตามควรแก่
พฤติการณ์ตาม มาตรา TShS วรรคแรก
มาตรา &',)
คําพิพากษาฎีกาที+ 3002/0406
เมื&อหนังสือหย่ ามีข้อความเพียงว่ าเรื&องทรัพย์สินทวีตกลง
กันเป็ นที&เรียบร้ อยแล้ ว ส่วนเรื&องอื&นๆ ไม่มี อันมีความหมายอยู่
ในตัวว่าปั ญหาเรื&องสิทธิเรียกร้ องค่าเลี4ยงชีพหลังการหย่าไม่มีจึง
ไม่มีเหตุท&โี จทก์จะมาเรียกร้ องค่าเลี4ยงชีพจากจําเลยหลังการหย่า
อีก ได้ โจทก์ฟ้ องแย้ งเรี ยกค่ าเลี4ยงชี พ จากจําเลยในคดีท&ีจําเลย
ฟ้ องแบ่งทรัพย์สนิ จากโจทก์ กรณีไม่ต้องด้ วยมาตรา TShg สิทธิ
เรียกร้ องของโจทก์เป็ นอันสิ4นสุดไปพร้ อมกับการหย่าแล้ ว
คําพิพากษาฎีกาที+ 0-24/0404
การหย่าทําให้ โจทก์ยากจนลง เพราะไม่มีรายได้ จากการงาน
ที&เคยทําอยู่ ในระหว่ างสมรส ประกอบกันเหตุแห่ งการหย่ าเป็ น
ความผิดของจําเลย จําเลยจึงต้ องรับผิดจ่ายค่าเลี4ยงชีพให้ โจทก์
ตามมาตรา TShg แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คําพิพากษาฎีกาที+ 1724/0415
มาตรา TShg แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็ น
เพี ย งบทบัญ ญั ติท&ีก าํ หนดให้ ศ าลสามารถกํา หนดค่ า เลี4 ยงชี พ
ให้ แก่ คู่ ห ย่ า ในคดีห ย่ า ได้ ใ นกรณีห นึ&งเท่า นั4น เมื&อ การหย่ า นั4น
เป็ นความผิดของคู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ&งแต่ ฝ่ายเดียวและการ
หย่ า นั4 น จะทํา ให้ อีก ฝ่ ายหนึ& ง ยากจนลง มิไ ด้ เ ป็ นบทบัญ ญั ติท&ี
บังคับว่ าจะเรียกค่ าเลี4ยงชีพได้ แต่ เฉพาะมีคดีฟ้องหย่ าเท่านั4น
ดังนั4น เมื&อโจทก์จาํ เลยทําสัญญาประนีประนอมยอมความกันใน
คดีหย่าว่าจําเลยยอมจดทะเบียนหย่าให้ โจทก์ และยอมชําระค่า
เลี4 ยงชี พ ให้ โจทก์ อั ต ราร้ อยละ _S ของเงิ น เดื อ นทุ ก เดื อ น
ตลอดไป ข้ อตกลงดังกล่าวเป็ นการยืดขยายหน้ าที&อปุ การะเลี4ยง
ดูระหว่างสามีภริยาออกไปหลังการสมรสสิ4นสุดลง อันเป็ นการ
ช่วยเหลือจุนเจือกัน ไม่ขัดต่อความเรียบร้ อยและศีลธรรมอันดี
ของประชาชนย่อมใช้ บังคับได้ และในมาตรา TShg วรรคหนึ&ง
ได้ บั ญ ญั ติ ใ ห้ นํา มาตรา TSVY/_V มาตรา TSVY/Ur และ
มาตรา TSVY/UT เกี& ย วกั บ ค่ า อุ ป การะเลี4 ยงดู ม าใช้ บั ง คั บ
เกี&ย วกับ ค่ า เลี4 ยงชี พ โดยอนุ โ ลม เมื& อ ผู้ มี ส่ ว นได้ เ สีย แสดงว่ า
พฤติการณ์ รายได้ หรือฐานะของคู่กรณีได้ เปลี&ยนแปลงไป ศาล
จะสั&งแก้ ไขในเรื& องค่ าเลี4ยงชี พโดยให้ เพิ กถอน ลด เพิ& ม หรื อ
กลับให้ ค่าเลี4ยงชีพอีกก็ได้ ดังนั4น จําเลยซึ&งเป็ นผู้มีส่วนได้ เสีย
ย่ อ มมี สิท ธิย&ื น คํา ร้ อ งต่ อ ศาลชั4 น ต้ น เพื& อ แสดงว่ า พฤติ ก ารณ์
รายได้ หรือฐานะของโจทก์จาํ เลยเปลี&ยนแปลงไป จึงขอให้ ศาล
ชั4นต้ นเพิกถอนคําสั&งที&ให้ จาํ เลยจ่ายค่าเลี4ยงชีพแก่โจทก์ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 470./0465
ในคดีห ย่ า แม้ โจทก์จําเลยตกลงหย่ ากันระหว่ างพิ จารณา
แต่ ก ารที&จํา เลยจะมี สิท ธิเ รี ย กค่ า เลี4 ยงชี พ จากโจทก์ห รื อ ไม่ น4ั น
จะต้ องพิ จารณาว่ ามีเหตุแห่ งการหย่ าหรื อไม่ และเหตุแห่ งการ
หย่ านั4นเป็ นความผิดของโจทก์หรือไม่ เมื&อโจทก์จาํ เลยสมัครใจ
แยกกันอยู่ จึงถือไม่ ได้ ว่าโจทก์จงใจละทิ4งร้ างจําเลยอันจะทําให้
จําเลยมีสทิ ธิเรียกค่าเลี4ยงชีพจากโจทก์
คําพิพากษาฎีกาที+ 33.2/0460
การที&โจทก์ฟ้องขอหย่าโดยอ้ างเหตุว่าจําเลยจงใจละทิ4งโจทก์
ไปเกิน T ปี กระทําการเป็ นปฏิปักษ์ต่อการเป็ นสามีภริยาอย่ าง
ร้ ายแรงและดูหมิ&นเหยียดหยามโจทก์กับบุพการี จําเลยให้ การ
ปฏิเสธว่ามิได้ กระทําการดังโจทก์กล่าวหา ขอให้ ยกฟ้ องและฟ้ อง
แย้ งขอให้ แบ่งสินสมรสนั4น เมื&อจําเลยปฏิเสธว่าไม่มีเหตุหย่า ศาล
จะต้ องวินิจฉัยว่ามีเหตุหย่าตามฟ้ องหรือไม่ถ้าไม่มีเหตุหย่าก็ต้อง
พิ พ ากษายกฟ้ อง โดยไม่ ต้ อ งพิ จ ารณาตามฟ้ องแย้ งของจํา เลย
ฉะนั4น ฟ้ องแย้ งของจําเลยที&ว่า ถ้ าศาลพิพากษาให้ หย่ าก็ให้ แบ่ง
สินสมรสจึงเป็ นฟ้ องแย้ งที&มเี งื&อนไข ศาลชอบที&จะไม่รับฟ้ องแย้ ง
มาตรา &',/
คําพิพากษาฎีกาที+ 3104/01-1
การที&สามีท4 ิงร้ างไม่ อุปการะเลี4ยงดูอีกฝ่ ายหนึ&งนั4นการนับ
อายุ ค วามในกรณีเ ช่ น นี4 จะต้ อ งตั4ง ต้ น นั บ เมื&อ การทิ4ง ร้ า งและไม่
อุ ป การะเลี4 ยงดู น4ั น ยุ ติ ล ง ถ้ า ยั ง ไม่ ยุ ติ คื อ ยั ง คงทิ4 งร้ างและไม่
อุปการะเลี4ยงดูอยู่ เรื&อยๆ มาจะเป็ นกี&ปีก็ตาม อายุ ความก็ยังไม่
เริ&มนับ ฉะนั4นย่ อมฟ้ องหย่ าโดยอาศัยเหตุน4 ีได้ เสมอ ไม่ขาดอายุ
ความ
คําพิพากษาฎีกาที+ .7-/0406
จําเลยมิได้ อยู่ กินเป็ นสามีภริยากับโจทก์มาถึงทุกวันนี4เป็ น
เวลา hr ปี แล้ ว โดยจํา เลยมี ส ามี ใ หม่ แ ละอยู่ กิน กับ สามี ใ หม่
ตลอดมาจนขณะโจทก์ฟ้องคดีน4 ี การกระทําของจําเลยดังกล่ าว
นอกจากจะเป็ นเหตุหย่าในเหตุอ&นื เช่น มีช้ ูจงใจละทิ4งอีกฝ่ ายหนึ&ง
ไปเกิน T ปี เป็ นต้ นแล้ ว ยังเป็ นการกระทําที&เป็ นปฏิปักษ์ต่อการ
เป็ นสามีภริยาอย่างร้ ายแรงอีกด้ วย และเป็ นการกระทําที&ต่อเนื&อง
ตลอดมาทุกวัน คดีจึงไม่ขาดอายุความ
คําพิพากษาฎีกาที+ 341-/0406
คดีระหว่างโจทก์กบั จําเลยที& h เป็ นเรื&องโจทก์ฟ้องเรียกค่า
ทดแทนจากจําเลยที& h ซึ&งโจทก์กล่ าวหาว่ าเป็ นชู้ กับจําเลยที& T
ภริ ย าโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา
TSrS (บรรพ S เดิม) ซึ&งกําหนดอายุความตามมาตรา TSrV
(บรรพ S เดิม) ว่ าสามเดือนนับแต่วันที&โจทก์ร้ ูหรือควรรู้ความ
จริงซึ&งอาจยกขึ4นกล่าวอ้ าง ปรากฏว่าโจทก์ได้ ทราบว่าจําเลยที& h
เป็ นชู้กับจําเลยที& T เมื&อวันที& Th-TU เมษายน hSTV ครบสาม
เดื อ นเมื& อ วั น ที& TU กรกฎาคม hSTV ก่ อ นวั น ที& Tg ตุ ล าคม
hSTV ซึ&งเป็ นวันที&ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ S ที&
ได้ ตรวจชําระใหม่ พ.ศ. hSTV ใช้ บงั คับ จึงยกอายุความที&
บัญญัติไว้ ในกฎหมายฉบับนี4 (บรรพ S ใหม่) มาตรา TShV ซึ&ง
มีกาํ หนด T ปี มาใช้ บังคับไม่ได้ เพราะขัดต่อพระราชบัญญัติให้
ใช้ ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ S ที&ได้ ตรวจชําระ
ใหม่ พ.ศ. hSTV มาตรา V
คําพิพากษาฎีกาที+ 6.13/0407
จําเลยได้ หญิงอื&นและรับเข้ ามาอยู่ในบ้ านอันเป็ นการเลี4ยงดู
หรื อ ยกย่ อ งหญิ ง อื&น ฉั น ภริ ย า ตามประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิช ย์ มาตรา TSTg (T) และจํา เลยหมิ& น ประมาทเหยี ย ด
หยามโจทก์ซ&ึงเป็ นภริยา ตามมาตรา TSTg (_) ทั4งสองกรณีเหตุ
เกิด เมื& อ พ.ศ. hSTV โจทก์ร้ ู ค วามจริ ง ดั ง กล่ า วในปี เดี ย วกัน
โจทก์ฟ้ องคดีเ มื&อ วัน ที& T กรกฎาคม hSh_ คดีโจทก์ขาดอายุ
ความตามมาตรา TShV
คําพิพากษาฎีกาที+ 0205/0402
โจทก์บ รรยายฟ้ องว่ า จํา เลยได้ แ สดงตนโดยเปิ ดเผยเพื& อ
แสดงว่าจําเลยได้ มีความสัมพันธ์กบั สามีโจทก์ในทํานองชู้สาวมา
ตั4งแต่ปี พ.ศ. hSTW ตลอดมาจนถึงวันที&โจทก์ฟ้องคดีน4 ี ลักษณะ
การกระทําของจําเลยได้ ก ระทําต่ อ เนื&อ งกันมายังมิได้ ห ยุ ด การ
กระทํา การกระทําละเมิดของจําเลยได้ เกิดขึ4นและมีอยู่ ในขณะ
ฟ้ อง คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คําพิพากษาฎีกาที+ 3205/046.
สิ ท ธิ ฟ้ องร้ องที& ร ะงั บ สิ4 นไปเมื& อ พ้ นกํา หนดหนึ& ง ปี ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่ ง และพาณิ ช ย์ มาตรา TShV ถื อ สิ ท ธิ
ฟ้ องร้ อ งโดยอาศัยเหตุต ามมาตรา TSTg (T) (h) (_) หรื อ
(g) หรื อ มาตรา TSh_ เป็ นคนละกรณี กับ การฟ้ องขอให้ จ ด
ทะเบียนการหย่าโดยความยินยอมตามมาตรา TSTU วรรคสอง
และมาตรา TSTS ซึ&งมีอายุ ความฟ้ องร้ องภายใน Tr ปี นับแต่
วันที&ท4งั สองฝ่ ายทําบันทึกตกลงการหย่า
มาตรา &'.&
คําพิพากษาฎีกาที+ 213/045-
จําเลยผู้เป็ นสามีกับผู้ร้องขัดทรัพย์ซ&ึงเป็ นภริยาได้ หย่ าขาด
จากสามีภริยากันโดยจดทะเบียนการหย่าโดยชอบด้ วยกฎหมาย
แล้ ว ย่อมมีผลใช้ ยันบุคคลภายนอกได้ ด้วย
คําพิพากษาฎีกาที+ 0313/0463
การจดทะเบี ย นการหย่ า โดยคํ า พิ พ ากษาตามประมวล
กฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา TS_T วรรคสอง คู่สมรสไม่
จําต้ องไปแสดงเจตนาขอจดทะเบียนการหย่าต่อนายทะเบียนอีก
ทั4งตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ. hUWY มาตรา
Tg ก็บัญญัติให้ ผ้ ูมีส่วนได้ เสียเพียงแต่ ย& ืนสําเนาคําพิพากษาอัน
ถึ ง ที&สุ ด ที&รั บ รองถู ก ต้ อ งแล้ ว ต่ อ นายทะเบี ย น แล้ ว ขดให้ นาย
ทะเบียนบันทึกการหย่าไว้ ในทะเบียนเท่านั4น ศาลฎีกาจึงไม่จาํ ต้ อง
สั&งคําขอของโจทก์ในข้ อที&ขอให้ จาํ เลยไปจดทะเบียนหย่า หากไม่
ไปให้ ถอื เอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจําเลย
มาตรา &'.,
คําพิพากษาฎีกาที+ 04-2/0407
โจทก์บ รรยายฟ้ องว่ า โจทก์เ ป็ นสามี จํา เลยโดยชอบด้ ว ย
กฎหมาย ระหว่างอยู่กนิ ด้ วยกันเกิดสินสมรสหลายอย่าง โจทก์ขอ
แบ่ ง จากจํา เลยครึ& ง หนึ& ง เท่ า กับ โจทก์ก ล่ า วอ้ า งว่ า ทรั พ ย์ สิน ที&
เรี ยกว่ าสินสมรสนั4นโจทก์เป็ นเจ้ าของรวมกับจําเลย ฉะนั4น แม้
การสมรสระหว่ างโจทก์จาํ เลยจะเป็ นโมฆะ เพราะขณะจําเลยจด
ทะเบียนสมรสกับโจทก์ โจทก์มีคู่สมรสอยู่กต็ ามแต่ เมื&อฟั งได้ ว่า
โจทก์จํา เลยมีทรั พ ย์สิน เกิด ขึ4น จากการทํา มาหากิน ร่ วมกัน แล้ ว
โจทก์จํา เลยย่ อ มเป็ นเจ้ า ของรวม โจทก์มีสิท ธิฟ้ องขอแบ่ ง จาก
จําเลยในฐานะที&เป็ นเจ้ าของรวมได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 6230/0407
การแบ่ ง ทรั พ ย์ สิ น ของสามี ภ ริ ย าตามที& มี อ ยู่ ใ นเวลาจด
ทะเบียนหย่าย่อมมีผลบังคับผูกพัน ภริยาจะโต้ แย้ งในภายหลังว่า
การแบ่งที&ดินพิพาทให้ แก่สามียังมิได้ จดทะเบียนโอน ที&ดินพิพาท
จึงยังเป็ นของภริยาร่วมกับสามีอยู่หาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 431-/041-
เมื&อโจทก์ซ&ึงจดทะเบียนหย่ ากับจําเลยแล้ ว ได้ ฟ้องขอแบ่ ง
สินสมรส หากมีสนิ สมรสอยู่ท&โี จทก์ จําเลยก็ชอบที&จะฟ้ องแย้ งขอ
แบ่ งสินสมรสกับโจทก์ได้ เช่ นเดียวกัน แม้ สินสมรสที&จาํ เลยฟ้ อง
แย้ งจะเป็ นสินสมรสที&อยู่นอกเขตศาลชั4นต้ นก็ตาม ทั4งนี4โจทก์เป็ น
ฝ่ ายเริ&มต้ นคดีโดยฟ้ องจําเลยต่อศาลชั4นต้ นก่อน จึงเป็ นกรณีท&มี ี
คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลชั4นต้ นแล้ ว จําเลยย่อมมีสิทธิฟ้องแย้ ง
ต่ อ ศาลชั4 น ต้ น เพื& อ ขอแบ่ ง สิ น สมรสกั บ โจทก์ ไ ด้ ต ามประมวล
กฎหมายวิธพี ิจารณาความแพ่ง มาตรา W (T)
คําพิพากษาฎีกาที+ 3671/01-.
การแบ่งทรัพย์เมื&อสามีภริยาตายแบ่งเหมือนการหย่า
คําพิพากษาฎีกาที+ 656/0122
หญิ ง ชายแต่ ง งานอยู่ กิน ด้ ว ยกัน ฉั น สามี ภ ริ ย าโดยมิ ไ ด้ จ ด
ทะเบี ย นสมรส ซึ& ง ถือ ว่ า ไม่ เ ป็ นสามี ภ ริ ย ากัน ตามกฎหมายนั4 น
ตามปกติย่อมแสดงและถือว่าเจตนาเป็ นเจ้ าของทรัพย์ท&ที าํ มาหา
ได้ ร่วมกันไม่ว่าจะได้ มาโดยทุนทรัพย์หรือแรงงานของฝ่ ายใด โดย
ถือว่าต่างมีสทิ ธิเป็ นเจ้ าของคนละครึ&ง
คําพิพากษาฎีกาที+ 33.-/01-0
โจทก์ฟ้องหย่าและขอแบ่งสินสมรสครึ&งหนึ&ง ทางพิจารณาได้
ความว่ า โจทก์ จํา เลยไม่ ใ ช่ ส ามี ภ ริ ย ากั น ตามกฎหมาย ศาลก็
พิพากษาให้ แบ่งทรัพย์ได้
ชายหญิ ง อยู่ ร่วมกัน มาฉั น ผัวเมียและต่ า งช่ วยกัน ทํา มาหา
เลี4ยงชีพตลอดมา ทรัพย์ท&ที าํ มาหาได้ น4ัน เมื&อฝ่ ายใดสบไม่ได้ ว่า
ตนหาได้ มาโดยเฉพาะ โดยอีกฝ่ ายหนึ&งไม่เกี&ยวข้ องด้ วยแล้ วศาล
ย่อมให้ แบ่งคนละครึ&ง
คําพิพากษาฎีกาที+ 434/043-
ทรัพย์พิพาทเป็ นมรดกได้ แก่โจทก์ แม้ โจทก์จะได้ รับมรดก
ในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับจําเลยก็ตาม แต่เมื&อการอยู่กิน
ฉันสามีภริยานั4นไม่ได้ จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย จําเลยก็ไม่
มีส่วนเป็ นเจ้ าของทรัพย์พิพาทกับโจทก์เพราะ การที&โจทก์ได้ รับ
มรดกย่อมไม่ใช่ทรัพย์ท&โี จทก์และจําเลยร่วมหากันมา
คําพิพากษาฎีกาที+ 347./0401
ที&ดินของชายถือกรรมสิทธิeรวมกับมารดาก่อนเป็ นสามีภริยา
กั บ โจทก์ เป็ นสิ น ส่ ว นตั ว ของชาย ต่ อมาชายทํ า สั ญ ญา
ประนีประนอมแบ่งกับมารดาเมื&อโจทก์จาํ เลยจดทะเบียนสมรส
กัน แล้ ว ก็เ ป็ นแต่ แ บ่ ง กรรมสิท ธิeร วมระหว่ า งจํา เลยกับ มารดา
ที&ดนิ ไม่เป็ นสินสมรส
ชายหญิ งอยู่ กินเป็ นสามีภริ ยากันมาก่ อ น แล้ วจดทะเบียน
สมรส ภายหลังทรัพย์ท&ีได้ มาร่ วมกันก่อนจดทะเบียนสมรสเป็ น
กรรมสิทธิeรวม แบ่งคนละครึ&งเมื&อหย่ากัน
คําพิพากษาฎีกาที+ 04-2/0407
โจทก์บ รรยายฟ้ องว่ า โจทก์เ ป็ นสามี จํา เลยโดยชอบด้ ว ย
กฎหมาย ระหว่างอยู่กนิ ด้ วยกันเกิดสินสมรสหลายอย่าง โจทก์ขอ
แข่ ง จากจํา เลยครึ& ง หนึ& ง เท่ า กั บ โจทก์ ก ล่ า วอ้ า งว่ า ทรั พ ย์ สิ น ที&
เรียกว่ าสินสมรสนั4น โจทก์เป็ นเจ้ าของรวมกับจําเลย ฉะนั4น แม้
การสมรสระหว่างโจทก์จาํ เลยจะเป็ นโมฆะ เพราะขณะจดทะเบียน
สมรสกั บ โจทก์ โจทก์ มี คู่ ส มรสอยู่ ก ็ ต าม แต่ เ มื& อฟั ง ได้ ว่ า
โจทก์จํา เลยมีทรั พ ย์สิน เกิด ขึ4น จากการทํา มาหากิน ร่ วมกัน แล้ ว
โจทก์จํา เลยย่ อ มเป็ นเจ้ า ของรวมโจทก์มี สิท ธิฟ้ องขอแบ่ ง จาก
จําเลยในฐานะที&เป็ นเจ้ าของรวมได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 6230/0407
การแบ่ ง ทรั พ ย์ สิ น ของสามี ภ ริ ย าตามที& มี อ ยู่ ใ นเวลาจด
ทะเบียนหย่า ย่อมมีผลยังคับผูกพัน ภริยาจะโต้ แย้ งในภายหลังว่า
การแบ่งที&ดินพิพาทให้ แก่สามียังมิได้ จดทะเบียนโอนที&ดินพิพาท
จึงยังเป็ นของภริยาร่วมกับสามีอยู่หาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 41-7/041-
โจทก์จาํ เลยจดทะเบียนหย่ากันและทําบันทึกไว้ ท้ายทะเบียน
การหย่ า ว่ า ทรั พ ย์ สิ น ทั4ง หมดที&มี อ ยู่ ใ นเขตจั ง หวั ด ชลบุ รี แ ละ
จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้ ตกเป็ นของโจทก์ท4งั หมด ส่วนหนี4สนิ อื&นๆ
กับสถาบันการเงินภายในสองจังหวัด ดังกล่ าวที&เกิด ขึ4นก่ อ นวัน
หย่ า โจทก์ตกลงเป็ นผู้ชําระหนี4ท4ังหมด ข้ อตกลงดังกล่ าวแม้ จะ
เป็ นเรื&องของการจัดการแบ่งทรัพย์สนิ ของสามีภริยาตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา TS_h แต่จาํ เลยต้ องดําเนินการ
จดทะเบียนโอนทรัพย์สนิ ให้ โจทก์ และโจทก์ต้องชําระหนี4แทน
จําเลย ถือได้ ว่ามีการกําหนดหน้ าที&ให้ โจทก์จาํ เลยปฏิบัติต่อกันจึง
เป็ นสัญญาต่างตอบแทน เมื&อมิได้ ระบุเงื&อนไขไว้ ว่า จําเลยจะต้ อง
โอนทรั พ ย์ สิ น ให้ โจทก์ ก่ อ น โจทก์ จํ า เลยจึ ง ต้ องปฏิ บั ติ ต าม
ข้ อตกลงพร้ อมกั น ไป การที& โ จทก์ ยั ง ไม่ ไ ด้ ชํ า ระหนี4 หรื อ ขอ
ปฏิ บั ติ ก ารชํ า ระหนี4 แทนจํา เลย จํา เลยจึ ง มี สิ ท ธิ ไ ม่ ย อมโอน
ทรัพย์สินให้ โจทก์ตามมาตรา _gV โจทก์จะยกข้ อตกลงเฉพาะที&
เป็ นประโยชน์ของตนฝ่ ายเดียวมาบังคับจําเลยไม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ 3671/01-.
การแบ่งทรัพย์สนิ เมื&อสามีภริยาตาย แบ่งเหมือนการหย่า
มาตรา &'..
คําพิพากษาฎีกาที+ 62.4/0404
การแบ่งสินสมรสระหว่างสามีภริยาที&หย่ากันโดยคําพิพากษา
ต้ องแบ่ งตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา TS__
บัญญัติไว้ คือแบ่งสินสมรสให้ ชายหญิงได้ ส่วนเท่ากัน จะแบ่งได้
โดยวิธตี ีราคาสินสมรสทั4งหมดแล้ วคิดคํานวณส่วนที&แต่ละฝ่ ายจะ
ได้ รับแล้ วนํามาหักกลบลบกันหาได้ ไม่
คําพิพากษาฎีกาที+ 6735/0407
ฟ้ องว่าที&ดินพิพาทซึ&งเป็ นสินสมรสมีราคา V ล้ านบาทขอให้
จําเลย (สามี) แบ่งให้ โจทก์ (ภริยา) กึ&งหนึ&ง ระบุจาํ นวนเงินที&ขอ
แบ่งรวมกันมากับสินสมรสรายการอื&นด้ วย เป็ นเรื&องเรียกร้ องให้
แบ่ ง ทรั พ ย์ สิน ที&โ จทก์มี ก รรมสิท ธิeร วมกับ จํา เลย มิ ใ ช่ เ ป็ นเรื& อ ง
เรี ย กร้ อ งค่ า สิน ไหมทดแทนเพื& อ ความเสีย หายอัน เกิด จากการ
ละเมิดหรื อเรี ยกร้ องค่ าสินไหมทดแทนเพื& อการไม่ ชําระหนี4 ซึ&ง
ศาลมีอาํ นาจกําหนดค่าเสียหายให้ ตามควรแก่พฤติการณ์ได้ เมื&อ
ฟั งว่าที&ดินพิพาทเป็ นสินสมรส และจําเลยไม่ได้ โต้ เถียงเรื&องราคา
ที&ดินและจํานวนเงินที&โจทก์เรียกร้ อง เมื&อโจทก์จาํ เลยตกลงหย่ า
ขาดจากกัน ศาลต้ อ งพิ พ ากษาให้ จํา เลยใช้ ราคาที&ดิน พิ พ าทให้
โจทก์ก&งึ หนึ&ง เป็ นเงิน U,Srrr,rrr บาท ตามคําขอของโจทก์
คําพิพากษาฎีกาที+ 4326/0465
การที&โจทก์จาํ เลยยังไม่ได้ หย่ากัน เพียงแต่แยกกันอยู่จึงถือ
ไม่ได้ ว่ามีการแบ่งสินสมรสกันแล้ ว ฉะนั4น เมื&อที&นาแลยุ้งข้ าวเป็ น
สินสมรสจึงต้ องแบ่งให้ โจทก็และจําเลยได้ ส่วนเท่ากันตามมาตรา
1533
คําพิพากษาฎีกาที+ 23/0461
ทรัพย์พิพาทเป็ นสินสมรสระหว่ างผู้ร้องที& T กับจําเลยที& T
เมื&อผู้ร้องที& T และจําเลยที& T จดทะเบียนหย่ากันโดยยังไม่มีการ
แบ่ ง สิน สมรส ทรั พ ย์ พิ พ าทจึ ง เป็ นทรั พ ย์ สิน ที&ผ้ ู ร้ อ งที& T และ
จําเลยที& T เป็ นเจ้ าของร่วมกัน หาใช่ทรัพย์สนิ ของผู้ร้องที& T แต่ผ้ ู
เดียวไม่ผ้ ูร้องที& T จึงไม่มสี ทิ ธิร้องขัดทรัพย์
คําพิพากษาฎีกาที+ 6-73/0464
จําเลยที& T ขารถยนต์ซ&ึงเป็ นสินสมรสให้ แก่จาํ เลยที& h โดย
มิได้ รับความยินยอมจากโจทก์ เมื&อโจทก์และจําเลยที& T ยังเป็ น
สามี ภ ริ ย ากั น อยู่ แ ละไม่ ป รากฏว่ า ได้ ท ํา สั ญ ญากั น ไว้ ใ นเรื& อ ง
ทรัพย์สินเป็ นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา
ของโจทก์และจําเลยที& T ในเรื&องทรัพย์สนิ นั4น จึงต้ องบังคับตาม
ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ บรรพ S หมวด U ว่ าด้ วย
ทรัพย์สินระหว่ างสามีภริยา ซึ&งตามประมวลกฎหมายแพ่ งและ
พาณิชย์ มาตรา TS__ จะมีการบ่งสินสมรสได้ ต่อเมื&อมีการหย่า
กันเท่านั4น และแม้ คู่สมรสฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ&งจะจําหน่ายสินสมรส
ไปเพื&อประโยชน์ของตนฝ่ ายเดียวหรือในกรณีอ& ืนตามที&มาตรา
TS_U บัญญัติไว้ กฎหมายก็ให้ ถอื เสมือนว่าทรัพย์สนิ นั4นยังคงมี
อยู่ เพื&อจัดแบ่ งสินสมรส เมื&อกฎหมายให้ ถือเสมือนว่ ารถยนต์
ยังคงมีอยู่เพื&อจัดแบ่งสินสมรสแล้ วโจทก์กไ็ ม่ได้ รับความเสียหาย
โจทก์จึงไม่ มีอาํ นาจฟ้ องเรี ยกร้ องเงินที&ได้ จากการขายรถยนต์
จากจําเลย
มาตรา &'.'
คําพิพากษาฎีกาที+ 3167/01-6
ภริ ยาขอหย่ าขาดจากสามีเมื&อมีหนี4อันเกี&ยวกับค่ าอุปการะ
เลี4ยงดู เช่ นต้ องไปซื4อเชื&อสิ&งของและกู้ยืมเงินผู้มีช& ือมาใช้ จ่ายใน
สิ&งที&จาํ เป็ นกับการครองชีพของตัวภริยาและบุตรซึ&งสามีมีหน้ าที&
ต้ องรับผิด และเมื&อภริยาเรียกร้ องให้ สามีชาํ ระสามีกไ็ ม่ชาํ ระให้
ดังนี4ย่อมตกเป็ นภาระแก่ภริยา ภริยาย่อมขอให้ ศาลแสดงว่าสามี
มีหน้ าที&จะต้ องรับผิดชําระหนี4ดังกล่ าวได้ และศาลก็พิพากษาให้
สามีมหี ้ าที&ต้องรับผิดในหนี4ตามจํานวนที&ภริยาฟ้ องมานั4นได้
ในกรณีดังกล่าวนี4 ภริยาจะฟ้ องแทนเจ้ าหนี4 โดยเจ้ าหนี4ไม่ได้
มอบอํา นาจให้ ไ ม่ ไ ด้ ห รื อ จะฟ้ องให้ ส ามี ชํา ระหนี4 แก่ ภ ริ ย าเพื& อ
ภริยาจะได้ นาํ ไปชําระแก่เจ้ าหนี4กไ็ ม่ได้
คําพิพากษาฎีกาที+ -31--34/045-
โจทก์จาํ เลยหย่าขาดจากสามีภริยากันแต่มิได้ แบ่งทรัพย์สนิ
กัน เมื&อหย่ากันแล้ วโจทก์กบั สามียังคงอยู่ด้วยกันและมีบุตรอีก h
คน โจทก์ได้ เอาเงินที&มิได้ แบ่งเมื&อตอนหย่ าและเป็ นเงินที&โจทก์
กับสามีทาํ มาหาได้ ด้วยกันมาซื4อที&ดินและปลูกบ้ านเรือนพิพาท
อยู่ กัน กับ สามี เป็ นการแสดงว่ า โจทก์กับ สามีแสดงเจตนาเป็ น
เจ้ าของร่ วมกันในที&ดินและเรือนพิพาทเจ้ าหนี4ตามคําพิพากษา
ของสามีมีสิทธินําเจ้ าพนักงานยึดทรั พ ย์พิพ าทส่วนของสามีได้
โจทก์มีสิทธิเพี ยงแต่ ร้องขอกันส่วนของโจทก์เท่านั4น ไม่ มีสิทธิ
ร้ องขอให้ ปล่อยทรัพย์พิพาท
คําพิพากษาฎีกาที+ 06-7/043.
ที&ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา TSTY (บรรพ
S เดิม) บัญญัตวิ ่า ในระหว่างสามีภริยาให้ แบ่งความรับผิดในหนี4
ที&จ ะต้ อ งรั บ ผิด ด้ ว ยกัน ตามส่ ว นที&จ ะได้ สิน สมรสนั4 น เป็ นเพี ย ง
บทบั ญ ญั ติ ย กเว้ น ของมาตรา hVg ที&ใ ห้ ลู ก หนี4 ร่ ว มแต่ ล ะคน
จะต้ องรับผิดเป็ นส่วนเท่าๆ กัน เว้ นแต่จะกําหนดไว้ เป้ นอย่างอื&น
เท่า นั4 น ส่ ว นการที&จ ะให้ ส ามีภ ริ ย ารั บ ผิด ในหนี4 ร่ ว มต่ อ กัน ตาม
มาตรา TSTY (บรรพ S เดิม ) นั4 น จะต้ อ งรั บ ผิด ต่ อ เมื&อ สามี
ภริยาได้ ชาํ ระหนี4ร่วมให้ แก่เจ้ าหนี4ไปแล้ ว หากฝ่ ายที&ชาํ ระหนี4ให้
เจ้ าหนี4ไปเกินส่วนที&ตนได้ สนิ สมรสไปเท่าใด ก็มสี ทิ ธิเรียกร้ องให้
อีกฝ่ ายหนึ&งชดใช้ ให้ มิใช่ว่าเมื&อมีหนี4ร่วม หากสามีหรือภริยาฟ้ อง
หย่าและขอแบ่งสินสมรส ถ้ ามีเหตุหย่าและต้ องแบ่งสินสมรสแล้ ว
จะต้ องหักหนี4ร่วมออกจากสินสมรสให้ ฝ่ายใดฝ่ ายหนึ&งเก็บรักษา
ไว้ เพื&อชําระหนี4แก่เจ้ าหนี4ก่อนจึงจะแบ่งสินสมรสส่วนที&เหลือกัน
จําเลยจะขอหั กหนี4ดังกล่ าวออกเพื& อจําเลยจะนําไปชําระให้ แก่
เจ้ าหนี4ก่อนแล้ วจึงแบ่งสินสมรสกันไม่ได้

You might also like