Professional Documents
Culture Documents
เดือนรุ่ง สถิตย์ชัยวัฒนา*
คดีป กครอง คือ คดีพิพ าทระหว่างหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับเอกชนหรือ
ประชาชน หรือคดีพิพาทระหว่างหน่ วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ด้ว ยกันเอง อันเกี่ยวกับการ
กระทาของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ ของรัฐซึ่งกระทาการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทาการโดย
ไม่มีอานาจหรือนอกเหนืออานาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือ
วิธีการอันเป็น สาระสาคัญ ที่กาหนดไว้สาหรับการกระทานั้น หรือโดยไม่สุ จริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือก
ปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จาเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกิน
สมควร หรือเป็น การใช้ดุล พินิ จโดยมิชอบ หรือคดีอันเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร หรือคดีเกี่ยวกับ
การกระทาละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้
อานาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คาสั่งทางปกครอง หรือคาสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมาย
กาหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร๑
คู่พิพาทในคดีปกครองเรียกว่า “คู่กรณี” โดยคู่กรณีฝ่ายที่ฟ้องเรียกว่า “ผู้ฟ้องคดี” คู่กรณีฝ่ายที่ถูก
ฟ้องเรียกว่า “ผู้ถูกฟ้องคดี” ไม่ได้เรียกว่าคู่ความหรือโจทก์จาเลยเช่นเดียวกับคดีแพ่ง หรือคดีอาญา และในคดี
ปกครองต้องมีคู่กรณีอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งเป็ นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 3 แห่ง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
“หน่วยงานทางปกครอง”๒ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น
และมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รั ฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือ
พระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อานาจ
ทางปกครอง หรือให้ดาเนินกิจการทางปกครอง
“เจ้าหน้าที่ของรัฐ”๓ หมายความว่า
(๑) ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง คณะบุคคล หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานทางปกครอง
(๒) คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท คณะกรรมการหรือบุคคลซึ่งมีกฎหมายให้อานาจในการออก
กฎ คาสั่ง หรือมติใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อบุคคล และ
๓) บุคคลที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกากับดูแลของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ตาม (๑) หรือ (๒)
ลักษณะสาคัญของคดีปกครอง๔
๑. ใช้หลักวิธีพิจารณาคดีโดยระบบไต่สวน ซึ่งกาหนดไว้ในระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการใน
ศาลปกครองสู งสุ ด ว่าด้วยวิธีพิ จ ารณาคดีป กครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ข้อ ๕ วรรคหนึ่ง ระบบการพิจารณาและ
๕
ศ. (พิเศษ) ดร.วรพจน์ วิศรุตพิชญ์, วิธีพิจารณาคดีปกครองทั่วไป (หน้าที่ 33), มูลนิธิวิจัยและพัฒนากระบวนการยุติธรรมทางปกครอง, 2555
-๓-
๖
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 69 วรรคหก
๗
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 56 และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสานวน การโอนคดี การปฏิบตั ิหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของ
พนักงานคดีปกครอง และการมอบอานาจให้ดาเนินคดีปกครองแทน พ.ศ.2544 ข้อ 8
๘
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 197
-๔-
๙
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง
๑๐
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 วรรคสอง
๑๑
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 10
๑๒
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 11
-๕-
๑๓
ดร.ประสาท พงษ์สุวรรณ, โครงการอบรมหลักสูตรกฎหมายปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ที่ได้รับการรับรองจาก ก.ศป.แล้ว) รุ่นที่ ๙, วันที่ ๙
มิถุนายน ๒๕๖๑ และวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑
-๖-
๑๔
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 150/2545 คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.27/2546
๑๕
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 370/2552 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 45/2555 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 525/2559
๑๖
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 567/2554 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.1/2558 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 728/25559 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่
764/2559
๑๗
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คผ. ๒๑๕/๒๕๖๑
-๗-
๑๘
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 249/2558 (ประชุมใหญ่)
๑๙
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 249/2558 (ประชุมใหญ่) คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คร.232/2562
๒๐ คาแนะนาของสานักงานศาลปกครอง ที่ 1/2544 เรื่อง หลักเกณฑ์การแจ้งสิทธิในการฟ้องคดีปกครอง (สืบค้นจาก
http://admincourt.go.th/admincourt/site/02litigation.html?page=02litigation_901)
๒๑
มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 3/2554 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2554
-๘-
ผู้อยู่ในบังคับของกฎ
กรณี กฎมีการลงพิมพ์ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือประกาศโดยวิธีอื่น
ตามที่กาหนดไว้ในกฎหมาย และกฎนั้นมีผลใช้บังคับแล้ว วันที่รู้หรือควรรู้ ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีปกครองเพื่อ
เพิกถอนกฎดังกล่าว หมายถึง วันที่กฎลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาและกฎมีผลใช้บังคับแล้ว
กรณีกฎมิได้มีการลงพิมพ์ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุ
แห่งการฟ้องคดีปกครองเพื่อเพิกถอนกฎ หมายถึง วันที่รู้ตามความเป็นจริง
ผู้ที่ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในบังคับของกฎ ในวันที่กฎลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
และมีผลใช้บังคับนั้น ยังไม่ ถือเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายจาก
กฎนั้นจึงยังไม่เกิดสิทธิในการฟ้องคดี ดังนั้น วันที่รู้หรือควรรู้ ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีในการฟ้องเพิกถอนกฎ
ในกรณีนี้จึงหมายถึงวันที่บุคคลนั้นอยู่ในบังคับของกฎ และเป็นวันแรกที่มีสิทธิในการฟ้องคดี
(2) ฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับการละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรตามมาตรา
9 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 หากเป็น
หน้าที่ที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐริเริ่มได้เอง ถือเป็นลักษณะหน้าที่ที่กฎหมายกาหนดให้ต้อง
ปฏิบัติโดยไม่จาต้องรอให้มีการร้องขอจากผู้ใด ผู้ฟ้องคดีจะต้องยื่นฟ้องคดีภายในระยะเวลา 90 วันนับแต่วันที่
รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี หรือหากเป็นหน้าที่ที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจริเริ่ม
กระทาการได้เองแต่เป็นหน้าที่ที่จะดาเนินการได้ก็ต่อเมื่อมีประชาชนหรือมีผู้ยื่นคาร้องหรือคาขอให้ดาเนินการ
ผู้ฟ้องคดีจะต้องยื่นฟ้องคดีภายในระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่พ้นกาหนด 90 วันนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มี
หนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนด และ
ไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือได้รับแต่เป็นคาชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเห็น
ว่าไม่มีเหตุผล แล้วแต่กรณี ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ.2542๒๒
(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทาละเมิดและความรับผิดอย่างอื่น หากเป็นกรณีที่ หน่วยงาน
ทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทาละเมิด หรือต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3)
แห่ ง พระราชบั ญ ญั ติ จั ด ตั้ ง ศาลปกครองและวิ ธี พิ จ ารณาคดี ป กครอง พ.ศ.2542 ผู้ เ สี ย หายซึ่ ง เป็ น
บุคคลภายนอกจะต้องยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่นั้นสังกัดอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปข นับแต่วันที่รู้หรือ
ควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกินสิบปขนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี (วันทาละเมิด) ตามมาตรา 51
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ทั้งนี้
ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 หากผู้เสียหาย
เลือกที่จะยื่นคาขอต่อหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้พิจารณาชดใช้ค่าทดแทนตามมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติ
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ผู้เสียหายก็จะต้องยื่นคาขอนั้นภายในกาหนดอายุความฟ้อง
คดีเช่นกัน หากผู้เสียหายได้รับแจ้งผลแล้วไม่พอใจจะต้องฟ้องศาลภายในกาหนด 90 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
หากไม่ได้รั บ แจ้ งผลต้องใช้สิ ท ธิฟ้ องคดีต่อศาลภายใน 90 วัน นับ แต่ วันที่ พ้น กาหนด 180 วันนับ แต่วัน ที่
หน่วยงานของรัฐออกใบรับคาขอ ยกเว้นกรณีที่มีการขยายระยะเวลาซึ่งหน่วยงานต้องมีหนังสือแจ้ง ทั้งนี้กรณีที่
ครบ 180 วันแล้วแต่หน่วยงานของรัฐไม่แจ้งผลให้ถือว่าหน่วยงานของรัฐได้ปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
๒๒
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 249/2558 (ประชุมใหญ่) คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 119/2554 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คส.23/2559 คาสั่งศาล
ปกครองสูงสุดที่ 106/2560 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คส.16/2561
-๙-
๒๓
มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 9/2556 คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.498/2557 (ประชุมใหญ่) คาสั่งศาลปกครอง
สูงสุดที่ 608/2558 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 379/2559
๒๔
แต่เดิมมา มาตรา ๔๔๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติไว้เป็นการทั่วไปในวรรคหนึ่งว่าสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด
นั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปขหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้สินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้ นสิบปขนับแต่วันทา
ละเมิด และในวรรคสองบัญญัติว่าแต่ถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา และมีกาหนดอายุความทางอาญา
ยาวกว่าที่กล่าวมานั้นไซร้ ท่านให้เอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับ แม้ต่อมามาตรา ๑๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ
เจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ จะบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นการเฉพาะในกรณีที่เจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทาละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ แต่บทบัญญัติดังกล่าวซึ่ง
เป็นกฎหมายพิเศษมีข้อความขัด หรือแย้งกับมาตรา ๔๔๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไป จึงมีผลเป็นการยกเว้น
บทบัญญัติมาตรา ๔๔๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็แต่เฉพาะส่วนที่กาหนดให้สิทธิเรียกร้อ งขาดอายุความเมื่อพ้นกาหนดหนึ่งปขนับแต่
วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเท่านั้น หาได้มีข้อความขัดหรือแย้งกับมาตรา ๔๔๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์และมีผลเป็นการยกเว้นมาตรา ๔๔๘ ในส่วนที่กาหนดให้สิทธิเรียกร้องขาดอายุความเมื่อพ้นกาหนดสิบปขนับแต่วันทาละเมิด และในส่วนที่
กาหนดว่าถ้าเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดมีโทษตามกฎหมายลักษณะอาญาและมีกาหนดอายุความทางอาญายาวกว่าท่านให้เอาอายุ
ความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับแต่อย่างใดไม่ และแม้ต่อมามาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ จะ
บัญญัติไว้เป็นการทั่วไปว่า การฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทาละเมิดตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) ให้ยื่นฟ้องภายในหนึ่งปขนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึง
เหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกินสิบปขนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี แต่บทบัญญั ติแห่งกฎหมายดังกล่าวซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปก็มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะ
ให้ยกเลิกมาตรา ๑๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ (คาพิพากษาศาลปกครอง
สูงสุดที่ อ.96/2552 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๐๗/๒๕๖๐, ๖๙๒/๒๕๖, คผ.๑๒๕/๒๕๖๒)
๒๕
หมายถึง วันที่หัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เสียหายได้รับรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดและได้วินิจฉัยสั่งการแล้ว (คาพิพากษาศาล
ปกครองสูงสุดที่ อ.547/2558 อ.701-702/2559 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๖/๒๕๖๑ คผ.๒๐/๒๕๖๑ คผ.๑๒๕/๒๕๖๒)
๒๖
หมายถึง วันที่หน่วยงานได้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง (คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๐๗/๒๕๖๐)
- ๑๐ -
เรียกร้องค่ำสินไหมทดแทนของหน่วยงำนมีกำหนดอำยุควำมสองปีนับแต่วันที่หน่วยงำนได้รับแจ้งควำมเห็นจำก
กระทรวงกำรคลัง๒๗
(4) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองต้องยื่นคาฟ้องภายในระยะเวลา 5 ปข นับแต่วันที่รู้
หรื อ ควรรู้ ถึ งเหตุ แ ห่ งการฟ้ อ งคดี แต่ ไม่ เกิ น สิ บ ปข นั บ แต่ วั น ที่ มี เหตุ แ ห่ งการฟ้ อ งคดี ตามมาตรา 51 แห่ ง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
(5) คดีที่ไม่มีอายุความหรือไม่มีกาหนดระยะเวลาในการฟ้องคดี ได้แก่ คดีปกครองที่เกี่ยวกับ
การคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ หรือสถานะของบุคคล จะยื่นฟ้องคดีเมื่อใดก็ได้ ตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
8. ต้ อ งเป็ น ฟ้ อ งที่ ช าระค่ า ธรรมเนี ย มโดยถู ก ต้ อ ง โดยปกติ ก ารฟ้ อ งคดี ป กครองไม่ ต้ อ งเสี ย
ค่าธรรมเนียมศาล เว้นแต่การฟ้องคดีขอให้สั่งให้ ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินอันสืบเนื่องจากคดีตามมาตรา 9
วรรคหนึ่ง (3) หรือ (4) ให้เสียค่าธรรมเนียมศาลตามทุนทรัพย์ในอัตราตามที่ระบุไว้ในตาราง 1 ท้ายประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สาหรับคดีที่มีคาขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคานวณเป็นราคาเงินได้ ตาม
มาตรา 45 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แต่หาก
คู่กรณีไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลหรือโดยสถานะของผู้ขอถ้าไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม
ศาลจะได้รับ ความเดือดร้อนเกินสมควร อาจยื่นคาร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา 45/1 แห่ ง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ประกอบระเบียบของที่ประชุมใหญ่
ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 41/1 ถึงข้อ 41/6
9. ต้อ งไม่เป็ น การฟ้ อ งซ้อ น หรือ ฟ้ องซ้า หรือด าเนิ น กระบวนพิ จารณาซ้า ตามระเบี ยบของที่
ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 36 (1) ข้อ 97 และ
ข้อ 96
เมื่อคาฟ้องอยู่ในเขตอานาจศาลปกครองและเป็นไปตามเงื่อนไขในการฟ้องคดี และศาลปกครอง
ได้รับคาฟ้องไว้พิจารณาแล้ว กระบวนพิจารณาคดีของศาลปกครองมีขั้นตอนที่สาคัญ พอสรุปได้ดังนี้
1. การแสวงหาข้อเท็จจริง
1.1 การแสวงหาข้อเท็จจริงจากคาฟ้อง คาให้การ คาคัดค้านคาให้การ และคาให้การเพิ่มเติม
1) คาฟ้อง
เมื่อคาฟ้องสมบูรณ์และศาลปกครองได้รับคาฟ้องไว้พิจารณาแล้ว ศาลจะมีคาสั่งให้
ผู้ถูกฟ้องคดีทาคาให้การโดยส่งสาเนาคาฟ้องและสาเนาพยานหลักฐานไปด้วย ในกรณีที่เห็นสมควรศาลอาจจะ
กาหนดประเด็นที่ผู้ถูกฟ้องคดีต้องให้การด้วยก็ได้ ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 42
2) คาให้การ
เมื่อได้รับสาเนาคาฟ้องแล้วผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องยื่นคาให้การภายใน 30 วันนับแต่วันที่
ได้รับสาเนาคาฟ้องหรือภายในระยะเวลาที่ศาลกาหนด ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครอง
สูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 43
๒๗
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.258/2561
- ๑๑ -
3) คาคัดค้านคาให้การ
เมื่ อ ผู้ ถู ก ฟ้ อ งคดี ยื่ น ค าให้ ก ารแล้ ว ศาลจะส่ ง ส าเนาค าให้ ก ารพร้ อ มทั้ ง ส าเนา
พยานหลักฐานไปยังผู้ฟ้องคดี เพื่อให้ผู้ ฟ้องคดีคัดค้านหรือยอมรับคาให้การ ถ้าผู้ฟ้องคดีประสงค์จะคัดค้าน
คาให้การ ให้ ทาคาคัดค้านคาให้การยื่นต่อศาลภายในกาหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับสาเนาคาให้การหรือ
ภายในระยะเวลาที่ศาลกาหนด ถ้าไม่ประสงค์จะทาคาคัดค้านคาให้การแต่ประสงค์จะให้ศาลพิจารณาพิพากษา
คดีต่อไปให้แจ้งเป็นหนังสือให้ศาลทราบ ถ้าผู้ฟ้องคดีไม่ดาเนินการ ศาลจะสั่งจาหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ก็ได้ ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543
ข้อ 47 คาคัดค้านคาให้การของผู้ฟ้องคดีมีได้เฉพาะประเด็นที่ได้ยกขึ้นกล่าวในคาฟ้อง คาให้การ หรือที่ศาล
กาหนด ถ้าผู้ฟ้องคดีทาคาคัดค้านคาให้การโดยมีประเด็นหรือคาขอเพิ่มขึ้นใหม่ต่างจากคาฟ้อง คาให้การ หรือที่
ศาลกาหนด ศาลจะสั่งไม่รับประเด็นหรือคาขอใหม่นั้นไว้พิจารณาตามข้อ 48 ของระเบียบเดียวกัน
4) คาให้การเพิ่มเติม
ให้ ศาลส่งส าเนาคาคัดค้านคาให้ การของผู้ ฟ้องคดีให้ ผู้ ถูกฟ้องคดีเพื่อยื่นคาให้ การ
เพิ่มเติม ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสาเนาคาคัดค้านคาให้การหรือภายในระยะเวลาที่ศาลกาหนด เมื่อ
ได้รับคาให้การเพิ่มเติมแล้ว ให้ศาลส่งสาเนาคาให้การเพิ่มเติ มให้แก่ผู้ฟ้องคดี หากพ้นกาหนดระยะเวลายื่น
คาให้ การเพิ่มเติมหรือเมื่อผู้ ถูกฟ้ องคดียื่นคาให้ การเพิ่มเติมแล้ ว หากศาลเห็ นว่ามีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะ
พิจารณาพิพากษาหรือมีคาสั่งชี้ขาดคดีได้แล้ว ให้ตุลาการเจ้าของสานวนมีอานาจจัดทาบันทึกของตุลาการ
เจ้าของสานวนตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ.2543 ข้อ 49
ทั้งนี้ ระยะเวลาในการยื่นค าให้ การ คาคั ดค้านค าให้ ก าร หรือค าให้ การเพิ่ม เติม เป็ น
ระยะเวลาที่ศาลกาหนดหรือเป็นระยะเวลาตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วย
วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 หากคู่กรณีเกิดเหตุขัดข้องหรือไม่สามารถดาเนินการได้ทันสามารถยื่นคา
ร้องขอขยายระยะเวลาและศาลมีอานาจขยายได้ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 6 ซึ่งกาหนดว่า “ระยะเวลาตามที่กาหนดไว้ในระเบียบนี้หรือ
ตามที่ศาลกาหนด เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่กรณีมีคาขอ ศาลมีอานาจย่นหรือขยายได้ตามความจาเป็น
เพื่อประโยชน์ แห่งความยุติธรรม” ทั้งนี้ การที่ศาลจะสั่งขยายเวลาได้ต้องเห็ นได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นไปเพื่อ
ประโยชน์แห่งความยุติธรรม๒๘ อนึ่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ไม่มี
บทบัญญัติห รือข้อกาหนดเกี่ยวกับการขาดนัดยื่นคาให้การ ดังนั้น แม้ผู้ถูกฟ้องคดีจะไม่ยื่นคาให้การภายใน
กาหนดระยะเวลา ศาลปกครองย่อมมีอานาจสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อประกอบการพิจารณาของ
ศาลได้ หรือกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดียื่นคาให้การเมื่อพ้นกาหนดระยะเวลา ศาลปกครองย่อมสามารถรับไว้พิจารณา
ได้แต่ไม่ถือเป็นการรับไว้ในฐานะที่เป็นคาให้การ เป็นแต่เพียงการรับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับคดี ไว้เท่านั้น อย่างไร
ก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ผู้ถูกฟ้องคดีชี้แจงต่อศาลโดยไม่ได้กล่าวไว้ในคาให้การนั้น จะถือเป็นข้อที่ คู่กรณีไม่ได้ยกขึ้น
อ้างหรื อว่ากล่ าวมาในศาลปกครองชั้ นต้ น หากคดี ขึ้นสู่ ก ระบวนพิ จารณาชั้นอุทธรณ์ คู่กรณี ย่อมไม่ อาจยก
๒๘
มติที่ประชุมใหญ่ของตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ 12/2545 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2545
- ๑๒ -
ข้อเท็จจริงที่ไม่ได้กล่าวไว้ในคาให้การนั้น ขึ้นกล่าวในคาอุทธรณ์หรือในชั้นอุทธรณ์ได้ตามระเบียบของที่ประชุม
ใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ข้อ 101 วรรคสอง๒๙
1.2 การแสวงหาข้อเท็จจริงของศาล ในการพิจารณาคดี ศาลมีอานาจแสวงหาข้อเท็จจริงได้
ตามความเหมาะสม ในการนี้ศาลอาจแสวงหาข้อเท็จจริงจากพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผู้เชี่ยวชาญ
หรื อพยานหลั กฐานอื่ น นอกเหนื อจากพยานหลั ก ฐานของคู่กรณี ที่ ป รากฏในค าฟ้ อ ง ค าให้ การ คาคัด ค้าน
คาให้การ หรือคาให้การเพิ่มเติม๓๐
เมื่อศาลมีคาสั่งรับคาฟ้องตามข้อ 42 ของระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครอง
สูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 แล้ว หากตุลาการเจ้าของสานวนเห็นว่าสามารถจะวินิจฉัย
ชี้ขาดคดีได้จากข้อเท็จจริงในคาฟ้องนั้น โดยไม่ต้องดาเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงอีก หรือเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้
จากคาชี้แจงของคู่กรณีหรือจากการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาลเพียงพอที่จะพิพากษาหรือมีคาสั่งชี้ขาดคดีนั้น
ได้โดยไม่ต้องดาเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงจนครบทุกขั้นตอนตามข้อ 47 ถึงข้อ 49 ของระเบียบ ตุลาการ
เจ้าของส านวนมีอานาจจั ดทาบั น ทึ กของตุล าการเจ้าของส านวนเสนอองค์คณะพิจารณาดาเนิ นการต่อไป
ทั้งนี้ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543
ข้อ 61
1.3 การรับฟังพยานหลักฐาน ศาลปกครองมีดุลพินิจที่จะรับฟังพยานหลักฐานที่ได้มาตาม
กระบวนพิจารณาโดยไม่จากัดเฉพาะที่เสนอโดยคู่กรณี แต่พยานหลักฐานนั้นจะต้องเป็นพยานหลักฐานที่คู่กรณี
ผู้มีส่วนได้เสียมีโอกาสขอตรวจดู ทราบ และแสดงพยานหลักฐานเพื่อยืนยันหรือหักล้าง๓๑
1.4 การจัดทาบันทึกของตุลาการเจ้าของสานวน
เมื่อตุลาการเจ้าของสานวนเห็นว่าคดีมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาหรือมี
คาสั่งชี้ขาดคดีได้แล้ว ให้จัดทาบันทึกของตุลาการเจ้าของสานวน และเสนอองค์คณะพิจารณาดาเนินการต่อไป
ตามระเบี ย บของที่ป ระชุมใหญ่ ตุล าการในศาลปกครองสู งสุ ด ว่าด้ว ยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543
ข้อ ๖๐ โดยบันทึกของตุลาการเจ้าของสานวนประกอบด้วย
(๑) สรุปข้อเท็จจริง และสรุปคาขอของผู้ฟ้องคดี
ก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ศาลต้องส่งข้อเท็จจริงให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าก่อนไม่
น้อยกว่า ๗ วัน ตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ.๒๕๔๒
(๒) ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ซึ่งประกอบด้วยประเด็นเกี่ยวกับอานาจศาล ประเด็นเกี่ยวกับ
เงื่อนไขในการฟ้องคดี และประเด็นที่เป็นเนื้อหาของคดี
(๓) สรุปความเห็นของตุลาการเจ้าของสานวนเกี่ยวกับประเด็นที่ต้องวินิจฉัย และคาขอ
ของผู้ฟ้องคดี
๒๙
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.295/2551
๓๐
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธพี ิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 55 วรรคสาม และมาตรา 61 และระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการ
ในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 50 ถึงข้อ 59
๓๑
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 64 ถึงข้อ 68
- ๑๓ -
๒. การกาหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง
๒.๑ เมื่อได้รับบัน ทึกของตุลาการเจ้าของสานวนแล้ว องค์คณะจะตรวจสานวนและบันทึก
หากเห็นว่าข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอ จะให้มีคาสั่งให้ตุลาการเจ้าของสานวนทาการแสวงข้อเท็จจริงต่อไป ตาม
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 62
วรรคหนึ่ง
๒.๒ หากเห็นว่าข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้วให้มีคาสั่งกาหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง
โดยต้องแจ้งกาหนดวันสิ้นสุด การแสวงหาข้อเท็จจริงให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 10 วัน ตามระเบียบ
ของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 62 วรรคสอง
จากนั้นจึงส่งสานวนให้อธิบดีเพื่อพิจารณาและส่งให้ตุลาการผู้แถลงคดีต่อไปตามระเบียบข้อ 63
ในส่วนของคู่กรณี เมื่อได้รับแจ้งกาหนดวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงตามระเบียบของที่
ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 62 วรรคสอง แล้ว
หากคู่กรณีเห็นว่า ยังมีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่ประสงค์จะส่งเพิ่มเติม สามารถยื่นคาร้องเพื่อขอชี้แจง
ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมหรือส่งพยานหลักฐานเพิ่มเติมดังกล่าวต่อศาลได้ในเวลาก่อนหรืออย่างช้าที่สุดในวันสิ้นสุด
การแสวงหาข้อเท็จ จริง หากศาลรับ ไว้ ศาลจะต้องส่ งส าเนาให้ คู่กรณี ที่เกี่ยวข้องทราบด้ว ย หากคู่กรณี ส่ ง
ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อศาลหลังวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว ศาลจะไม่รับไว้เป็นส่วนหนึ่งของสานวนคดี
ทั้ งนี้ เป็ น ไปตามระเบี ย บของที่ ป ระชุ มใหญ่ ตุ ล าการในศาลปกครองสู งสุ ด ว่าด้ว ยวิธีพิ จารณาคดี ป กครอง
พ.ศ.2543 ข้อ 62 วรรคสาม เว้นแต่เป็นกรณีที่ศาลเรียกให้ส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งศาลใช้ดุลพินิจเรียก
ได้เสมอ๓๒
3. การจัดทาคาแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี
“ตุลาการผู้แถลงคดี” มีหน้าที่เสนอ “คาแถลงการณ์ ” ซึ่งประกอบด้วยสรุปข้อเท็จจริง ข้อ
กฎหมาย และความเห็นของตนในทางชี้ขาดคดีว่า หากตนมีหน้าที่ตัดสินคดีเรื่องนั้นตนจะพิพากษาอย่างไร ด้วย
เหตุผ ลประการใด โดยเสนอคาแถลงการณ์ ดังกล่ าวต่อองค์คณะที่ได้รับมอบหมายให้ รับผิ ด ชอบพิ จารณา
พิพากษาคดีนั้น เพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาขององค์คณะ คาแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีนี้ไม่
ผูกพันองค์คณะให้ต้องตัดสินชี้ขาดคดีตามที่เสนอ องค์คณะจะตัดสินชี้ขาดคดีโดยคล้อยตามคาแถลงการณ์ของ
ตุลาการผู้แถลงคดีหรือไม่เพียงใด ขึ้นอยู่กับเหตุผลที่ตุลาการผู้แถลงคดีแสดงไว้ในคาแถลงการณ์ว่าหนักแน่น
เพียงใด แต่อย่ างไรก็ตาม ตุลาการผู้แถลงคดีก็ เป็นสถาบันที่กฎหมายกาหนดให้มีขึ้นเพื่อคานอานาจตัดสิ น
ชี้ขาดคดีขององค์คณะ ป้ องปรามมิให้ องค์คณะตัดสิ นชี้ขาดคดีตามอาเภอใจหรือปราศจากเหตุผ ลอันควร
ค่าแก่การรับฟัง๓๓
เมื่ อตุ ล าการผู้ แถลงคดี ได้จั ดท าค าแถลงการณ์ เสร็จ แล้ ว องค์ ค ณะจะเป็ น ผู้ กาหนดวัน นั่ ง
พิจารณาคดีครั้งแรก และคืนสานวนให้แก่ตุลาการเจ้าของสานวนเพื่อ แจ้งกาหนดวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก
พร้อมส่งสรุปข้อเท็จจริงให้คู่กรณีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน และปิดประกาศไว้บริเวณศาลตามมาตรา
๕๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ และระเบียบ
ของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ข้อ ๘๓ วรรคสอง
๓๒
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 725/2549
๓๓
อ้างแล้ว (1)
- ๑๔ -
4. การดาเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วน
ในกรณีที่ตุลาการเจ้าของสานวนเห็นว่า คาฟ้องใดเป็นคาฟ้องที่สมบูรณ์ครบถ้วนและเป็นเรื่อง
ที่ศาลจาต้องพิจารณาพิพากษาโดยเร่งด่วน เพราะมีกฎหมายกาหนดเวลาในการพิจารณาพิพากษาไว้เป็นการ
เฉพาะ หรือเพราะเหตุอื่นใด ซึ่งหากจะดาเนินกระบวนพิจารณาในชั้นการแสวงหาข้อเท็จจริง การสรุปสานวน
และการนั่งพิจารณาคดีและการพิพากษาคดีตามขั้นตอนปกติ อาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีที่
ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง อาจเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่บริการสาธารณะ ใน
กรณีเช่นนี้ เมื่อได้รับคาฟ้องไว้พิจารณาแล้ว ให้เสนอองค์คณะโดยด่วนเพื่อหารือกับอธิบดี เพื่อให้อธิบดีมีคาสั่ง
ให้ดาเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วน
การดาเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนให้แจ้งตุลาการผู้แถลงคดีเพื่อเข้าร่วมในการไต่สวน
หรือแสวงหาข้อเท็จจริงโดยวิธีอื่น และให้ถือว่าวันที่เสร็จสิ้นการแสวงหาข้อเท็จจริงเป็นวันสิ้นสุดการแสวงหา
ข้อเท็จจริงตามข้อ ๖๒ โดยไม่ต้องแจ้งคู่กรณีทราบตามข้อ ๖๒ วรรคสอง อีก เมื่อตุลาการผู้แถลงคดีจัดทา
คาแถลงการณ์เสร็จสิ้นแล้ว ให้องค์คณะกาหนดวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ทั้งนี้ต้องไม่เกิน ๗ วันหลังจากวัน
สิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง และแจ้งคู่กรณีทราบ๓๔
๕. การนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก
ให้ศาลจัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพื่อให้คู่กรณีมีโอกาสมาแถลงด้วยวาจา
ต่อหน้าศาล คู่กรณีมีสิทธิมาในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อยื่นคาแถลงเป็นหนังสือโดยต้องยื่นก่อนวันนั่ง
พิจารณาคดี หรืออย่างช้าที่สุดในระหว่างการนั่งพิจารณาคดี และแถลงด้วยวาจาต่อศาล พร้อมทั้งนาพยานมา
สืบ หรือแสดง แต่จะตั้งประเด็น ใหม่น อกจากที่กล่ าวไว้ แล้ วในคาฟ้ อง คาให้ การ คาคัดค้านคาให้ การ หรือ
คาให้ การเพิ่มเติมไม่ได้ ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดี
ปกครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ข้อ ๘๔ ทั้งนี้ ในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกคู่กรณีจะไม่มาศาลก็ได้
เมื่อเริ่มการนั่งพิจารณาคดี ให้ตุลาการเจ้าของสานวนเสนอสรุปข้อเท็จจริงและประเด็นของ
คดีให้ทุกฝ่ายทราบ แล้วให้คู่กรณีแถลง โดยผู้ฟ้องคดีแถลงก่อน ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาล
ปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ข้อ ๘๕ คู่กรณีที่ยื่นคาแถลงเป็นหนังสือมีสิทธิแถลง
ด้วยวาจา แต่หากไม่ยื่นเป็นหนังสือ จะขอแถลงด้วยวาจา เป็นดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่ ตุลาการ
ผู้แถลงคดีแถลงการณ์หลังจากที่คู่กรณีแถลงเสร็จ โดยคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาตจะอยู่ในห้อง
พิ จ ารณาขณะแถลงการณ์ ไม่ได้ ตามระเบี ย บของที่ ป ระชุม ใหญ่ ตุล าการในศาลปกครองสู งสุ ด ว่าด้ ว ยวิ ธี
พิจารณาคดีป กครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ข้อ ๘๘ วรรคหนึ่ง ความเห็น ของตุลาการผู้แถลงคดีเป็นอิสระไม่ผูกพัน
องค์คณะ เมื่อเสร็จสิ้นการแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี ให้ตุลาการหัวหน้าคณะนัดประชุมเพื่อพิพากษา
หรือมีคาสั่งในวันเดียวกันนั้นหรือวันอื่น ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธี
พิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ข้อ ๘๙ สาหรับการพิจารณาโดยเร่งด่วนเป็นไปตามข้อ 49/2 ของระเบียบ
ดังกล่าว
ในการพิจารณาคดีอุทธรณ์คาพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นของศาลปกครองสูงสุด หาก
องค์คณะเห็นว่าคดีนั้นมีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไม่ยุ่งยากซับซ้อน หรือเห็นว่าการไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณา
จะไม่ทาให้เสียความยุติธรรม องค์คณะอาจไม่จัดให้มีการนั่งพิจารณาคดีก็ได้ โดยแจ้งคู่กรณีทราบ หากคู่กรณี
๓๔
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 49/2 เพิ่มเติมโดยระเบียบของที่ประชุมใหญ่
ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562
- ๑๕ -
๓๕
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 69 วรรคหนึ่ง
๓๖
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 136 และข้อ 137 ซึ่งเพิ่มเติมโดยระเบียบ
ของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2562
๓๗ คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.31/2561
- ๑๖ -
คาพิพากษาหรือคาสั่งต้องลงลายมือชื่อของตุลาการศาลปกครองที่นั่งพิจารณาพิพากษาคดี
หรือมีคาสั่งนั้น ถ้าตุลาการศาลปกครองคนใดมีเหตุจาเป็นไม่สามารถลงลายมือชื่อได้ ให้อธิบดีศาลปกครอง
ชั้นต้นหรือประธานศาลปกครองสูงสุดแล้วแต่กรณี จดแจ้งเหตุดังกล่าวไว้ในคาพิพากษาหรือคาสั่งนั้นด้วย
เมื่อศาลปกครองได้อ่านผลแห่งคาพิพากษาหรือคาสั่งชี้ขาดคดีปกครองในศาลปกครองโดย
เปิดเผยในวันใดแล้ว ให้ถือว่าวันที่ได้อ่านนั้นเป็นวันที่ศาลปกครองได้มี คาพิพากษาหรือคาสั่ง ในการนี้ ให้ศาล
ปกครองแจ้งให้คู่กรณีทราบกาหนดวันอ่านผลแห่งคาพิพากษาหรือคาสั่งนั้นเป็นการล่วงหน้าตามสมควร
ถ้าไม่มีคู่กรณีมาศาลในวันนัดอ่านผลแห่งคาพิพากษาหรือคาสั่ง ศาลปกครองจะงดการอ่าน
คาพิพากษาหรือคาสั่ง แล้วบันทึกไว้และให้ถือว่าวันที่บันทึกเป็นวันที่ศาลปกครองได้มีคาพิพากษาหรือคาสั่ง
อานาจของศาลปกครองในการพิพากษาคดี เป็นไปตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ซึ่งบัญญัติว่า
“ในการพิพากษาคดี ศาลปกครองมีอานาจกาหนดคาบังคับอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้
(1) สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคาสั่ง หรือห้ามกระทาทั้งหมดหรือบางส่วน ในกรณีที่มีการฟ้องว่า
หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทาการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1)
(2) สั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติหน้าที่ภายใน
เวลาที่ศาลปกครองกาหนด ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ละเลยต่อหน้าที่
หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร
(3) สั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินหรือให้กระทาการหรืองดเว้นกระทาการ โดยจะกาหนด
ระยะเวลาและเงื่อนไขอื่น ๆ ไว้ด้วยก็ได้ ในกรณีที่ มีการฟ้องเกี่ยวกับการกระทาละเมิดหรือความรับผิดของ
หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการฟ้องเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง
(4) สั่งให้ ถือปฏิ บั ติต่อสิ ทธิห รือหน้าที่ของบุ คคลที่เกี่ยวข้อง ในกรณี ที่มีการฟ้ องให้ ศาลมี
คาพิพากษาแสดงความเป็นอยู่ของสิทธิหรือหน้าที่นั้น
(5) สั่งให้บุคคลกระทาหรือละเว้นกระทาอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย
ในการมี คาบั งคับ ตามวรรคหนึ่ ง (1) ศาลปกครองมีอานาจกาหนดว่าจะให้ มี ผ ลย้ อนหลั ง
หรื อไม่ย้ อนหลั งหรือมีผลไปในอนาคตถึงขณะใดขณะหนึ่งได้ หรือจะกาหนดให้ มีเงื่อนไขอย่างใดก็ได้ ทั้งนี้
ตามความเป็นธรรมแห่งกรณี
ในกรณี ที่ ศ าลปกครองมี ค าพิ พ ากษาถึ ง ที่ สุ ด ให้ เพิ ก ถอนกฎ ให้ มี ก ารประกาศผลแห่ ง
คาพิพากษาดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา และให้การประกาศดังกล่าวมีผลเป็นการเพิกถอนกฎนั้น”
การทาคาพิพากษาหรือคาสั่งของศาลปกครองชั้นต้น อาจให้มีการวินิจฉัยโดยที่ป ระชุมใหญ่
ก็ได้ ในคดีที่มีลักษณะหนึ่งลักษณะใด ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธี
พิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 94 ดังนี้
(1) คดีที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจานวนมากหรือประโยชน์สาธารณะที่สาคัญ
(2) คดีที่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับหลักกฎหมายปกครองที่สาคัญ
(3) คดีที่อาจมีผลเป็นการกลับหรือแก้ไขแนวคาพิพากษาเดิมของศาลปกครองชั้นต้นหรือ
ศาลปกครองสูงสุด
(4) คดีที่มีทุนทรัพย์สูง
- ๑๗ -
๓๘
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คร. 111/2562
- ๑๘ -
ในคดีปกครองนั้นศาลมีอานาจย่นหรือขยายระยะเวลาได้เฉพาะระยะเวลาตามที่กาหนดไว้ใน
ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๓ หรือที่ศาล
กาหนดเท่านั้น ทั้งนี้ เป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดี
ปกครอง พ.ศ.๒๕๔๓ ข้อ ๖ ซึ่งกาหนดว่า “ระยะเวลาตามที่กาหนดไว้ในระเบียบนี้หรือตามที่ศาลกาหนด เมื่อ
ศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่กรณีมีคาขอ ศาลมีอานาจย่นหรือขยายได้ตามความจาเป็น เพื่อประโยชน์แห่งความ
ยุ ติ ธ รรม” เมื่ อ ระยะเวลาอุ ท ธรณ์ ค าพิ พ ากษาเป็ น ระยะเวลาที่ ก าหนดไว้ ในมาตรา 73 วรรคหนี่ ง แห่ ง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ดังนั้น ศาลปกครองจึงไม่มีอานาจ
ขยายระยะเวลาอุทธรณ์คาพิพากษาได้
ค าพิ พ ากษาหรื อ ค าสั่ ง ของศาลปกครองสู งสุ ด ให้ เป็ น ที่ สุ ด ตามมาตรา 73 วรรคสี่ แห่ ง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ ในกรณีที่ไม่มีคู่กรณีฝ่ายใดอุทธรณ์
คาพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น คดีย่อมถึงที่สุดในศาลปกครองชั้นต้นนั้นเอง
การอุทธรณ์คาสั่งไม่รับคาฟ้องไว้พิจารณา
ส าหรั บ การยื่ น ค าร้ องอุท ธรณ์ ค าสั่ งไม่ รับ คาฟ้ องไว้พิจ ารณานั้ นเป็น ไปตามระเบี ยบของที่
ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 49/1 ซึ่งกาหนดว่า
“คาสั่งของศาลปกครองชั้นต้นที่ ไม่รับคาฟ้องไว้พิจารณา คาสั่งจาหน่ายคดีออกจากสารบบ
ความโดยไม่มีการวินิจฉัยชี้ขาดคดี คาสั่งลงโทษฐานละเมิดอานาจศาลตามมาตรา 64 หรือคาสั่งอื่นใดซึ่งไม่
ต้องห้ามอุทธรณ์ระหว่างพิจารณาตามข้อ 100 วรรคสอง ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิยื่นคาร้องอุทธรณ์คาสั่งดังกล่าว
ต่อศาลปกครองสูงสุด ภายในกาหนดระยะเวลาสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคาสั่งของศาลปกครองชั้นต้นนั้น
คาร้องตามวรรคหนึ่งให้ยื่นต่อศาลปกครองชั้นต้นที่มีคาสั่งนั้น และให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของ
ศาลรีบส่งคาร้องพร้อมด้วยคาสั่งของศาลปกครองชั้นต้นและเอกสารหรือสาเนาเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยังศาล
ปกครองสูงสุดโดยพลัน
ให้ประธานศาลปกครองสูงสุดส่งคาร้องให้องค์คณะในศาลปกครองสูงสุด เพื่อพิจารณาคาร้อง
และมีคาสั่งยืนตามคาสั่งศาลปกครองชั้นต้น หรือมีคาสั่งเป็นอย่างอื่น แล้วส่งให้ศาลปกครองชั้นต้นอ่าน
ในการอ่านคาสั่งของศาลปกครองสูงสุด ให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งให้คู่กรณีทราบกาหนดวัน
อ่านคาสั่งเป็น การล่วงหน้ าตามสมควร ถ้าไม่มีคู่กรณีมาศาลในวันนัดอ่านคาสั่งศาล ให้ศาลงดการอ่านและ
บันทึกไว้ และให้ศาลปกครองชั้นต้นแจ้งคาสั่งดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังคู่กรณีทั้งหมดหรือ
บางส่วนที่มิได้มาศาล
ในกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคาสั่งเป็นอย่างอื่ นต่างไปจากคาสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ให้
ศาลปกครองชั้นต้นดาเนินการต่อไปตามขั้นตอนที่กฎหมายหรือระเบียบนี้กาหนดไว้”
ทั้งนี้ การยื่ น คาร้องอุทธรณ์ ตามระเบี ยบของที่ ประชุมใหญ่ ตุล าการในศาลปกครองสู งสุ ด
ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ข้อ 49/1 ต่างกับการอุทธรณ์คาพิพากษาตาม มาตรา 73 แห่ง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.๒๕๔๒ กล่าวคือ ตามระเบียบฯ ข้อ 49/1
นั้น ศาลปกครองชั้นต้นเป็นผู้รับคาร้องอุทธรณ์แล้วต้องรีบส่งไปยังศาลปกครองสูงสุด เพื่อพิจารณาคาร้อง (เป็น
อานาจของศาลปกครองสูงสุดในการสั่งรับหรือไม่รับคาร้องอุทธรณ์) ต่างกับการอุทธรณ์คาพิพากษาตามมาตรา
73 ศาลปกครองชั้นต้น จะเป็น ผู้ ตรวจคาอุทธรณ์ และเป็นผู้สั่ ง รับหรือไม่รับ อุทธรณ์ ก่อนเสนออธิบดีเพื่อส่ ง
คาอุทธรณ์นั้นให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาต่อไป สาหรับระยะเวลาในการยื่นคาร้องอุทธรณ์คาสั่งไม่รับคาฟ้อง
ไว้พิจารณาตามระเบียบฯ ข้อ 49/1 ต้องยื่น ภายในกาหนดระยะเวลา 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคาสั่งของ
- ๑๙ -
ศาลปกครองชั้ น ต้ น ซึ่ ง ระยะเวลา 30 วั น ดั ง กล่ า วเป็ น ระยะเวลาที่ ก าหนดไว้ ในระเบี ย บฯ คู่ ก รณี จึ ง
อาจขอขยายได้ตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ.2543 ข้อ 6 แต่ต้องยื่นก่อนวันสิ้นสุดแห่งระยะเวลา หากพ้นระยะเวลาแล้ว ถือว่าคดีถึงที่สุด ต่างกับการ
อุทธรณ์ คาพิพากษาตามมาตรา 73 ที่ต้องอุทธรณ์ ภายใน 30 วันนับแต่วันมีคาพิพากษาโดยคู่กรณี ไม่อาจ
ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์คาพิพากษาได้ดังที่ได้อธิบายไว้แล้วข้างต้น๓๙
------------------------------------------------------
๓๙
คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 516/2552 คาสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 480/2552