Professional Documents
Culture Documents
(Electrical Machines 1)
แหล่ งกําเนิดพลังงานไฟฟ้ า
1. Nonrenewable ได้แก่ Coal, Natural gas, Petroleum และ Nuclear เป็ นต้น
2
2. Renewable ได้แก่ Biomass, Solar, Wind, Hydropower และ Geothermal เป็ นต้น
3
กระบวนการเบือ้ งต้ นของ Fuel Cell
ในกรณี กลับกันหากนํา ไฮโดรเจน (H2) และ ออกซิ เจน (O2) มาพบกัน ณ สภาวะที่
เหมาะสม อาทิ ในสารละลายกรดฟอสฟอริ ก ก็จะเกิดกระบวนการรวมตัวเป็ นนํ้า และ ปล่อย
อิเล็กตรอนอิสระ ซึ่ งก็คือ ไฟฟ้ ากระแสตรง (DC)
……………………………………………………………...
4
ในการทํางานของเครื่ องจักรกลไฟฟ้ ามีความจําเป็ นต้องอาศัยผลจากสนามแม่เหล็กใน
กระบวนการเปลี่ยนรู ปพลังงาน (Energy-conversion process) ซึ่ งอาจจะเป็ นการเปลี่ยนรู ป
พลังงานไฟฟ้ าเป็ นพลังงานกล หรื อพลังงานกลเป็ นพลังงานไฟฟ้ า
5
6
Magnetic field around a coil
7
Electromagnetic induction
ค.ศ. 1831 โดย Michael Faraday ได้คน้ พบเกี่ยวกับการเหนี่ยวนําไฟฟ้ า โดยศึกษา
จากรู ป
8
Mean corelength, l
Ni (1)
เมื่อ N คือ จํานวนรอบของขดลวด (Turn)
i คือ กระแส (A)
9
ค่า จะเป็ นตัวบ่งบอกคุณสมบัติของสารแม่เหล็กแต่ละชนิดว่ายอมให้เกิดสนาม
แม่เหล็กได้มากหรื อน้อยเพียงใด
ซึ่ ง o r (3)
lc
ถ้า c (4)
Ac
lg
g (5)
o Ag
10
เส้ นแรงแม่ เหล็ก (Magnetic Flux, )
คือ การที่แม่เหล็กส่ งอํานาจแม่เหล็กออกมารอบตัวมันเอง โดยมีทิศทางพุง่ จากขั้ว
เหนือไปยังขั้วใต้ ซึ่ งสามารถหาได้จาก
(6)
11
ความหนาแน่ นของเส้ นแรงแม่ เหล็ก (Magnetic Flux density, B )
B หรือ B H (9)
A
ถ้ าไม่ มีการโกงตัวของฟลั๊ก
Ac Ag
(c g )
lc l (10)
g
A A
c o g
12
จากสมการ (10)
lc lg
A A
o r c o g (11)
lc
lg
o Ac r
lc
นัน่ คือ lg g c
r
lg
ดังนั้น (12)
o Ag
Ag Ac
จากลักษณะของวงจรแม่เหล็กที่มีช่องว่างอากาศ แนวเส้นแรงแม่เหล็กจะมีการเบี่ยงเบน
หรื อการโกงตัวของเส้นแรงแม่เหล็ก ทําให้พ้นื ที่หน้าตัดของช่องว่างอากาศ Ag มีขนาดใหญ่
13
กว่าของแกนเหล็ก Ac ทําให้ B ในช่องว่างอากาศมีค่าลดลง ซึ่ งเรี ยกว่า ปรากฏการณ์
สนามแม่ เหล็กเบี่ยงเบน (Fringing effect) ดังนั้น จึงสามารถหาค่า B ได้จากสมการ
Bc (13)
Ac
และ Bg (14)
Ag
14
เส้ นโค้ งกําเนิดแม่ เหล็ก (Magnetization Curves)
การอิ่มตัวของวัสดุตวั นําแม่เหล็ก คือ สภาพที่วสั ดุตวั นําแม่เหล็กยอมรับสภาพการ
เปลี่ยนแปลงเป็ นแม่เหล็กเต็มที่แล้ว ซึ่ งพฤติกรรมของการเกิดสนามแม่เหล็กของสารแม่เหล็ก
เราจะพิจารณาได้จากกราฟแสดงความสัมพันธ์ของค่า B และ H ที่ได้จากสมการที่ (15)
และ (16) ดังรู ป
15
จากกราฟ Magnetization Curves จะพบว่าค่า B ของสาร Ferromagnetic ชนิดต่าง
ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อค่า H เพิ่มขึ้น ในช่วงแรกจะเกิดค่า B ได้มาก ( r มีค่ามาก)
หลังจากนั้นค่า B จะมีค่าเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ( r มีค่าลดลงอย่างมาก) ซึ่ งจะทําให้เกิด
สภาพที่เรี ยกว่า เกิดการอิม่ ตัวของสนามแม่ เหล็ก (Saturation) หมายความว่า สาร
Ferromagnetic จะเกิดค่ า B ได้ สูงสุ ดทีค่ ่ า ๆ หนึ่ง
16
I
I
E m.m. f .
E R
วงจรขนาน
a b c
be
bafe bcde
f e d
17
ก. วงจรแม่ เหล็ก ข. วงจรไฟฟ้ าเทียบเท่ าวงจรแม่ เหล็ก
ตารางที่ 1 การเปรี ยบเทียบค่าพารามิเตอร์ของวงจรไฟฟ้ าและวงจรแม่เหล็ก
18
ตัวอย่ างที่ 2 วงจรแม่ เหล็กดังแสดงในรู ป มี Ac Ag 12 cm2 , lg 0.05 cm, lc 40 cm
N 400 รอบ และกําหนดให้ แกนเหล็กมีค่าความซึมซาบแม่ เหล็กสั มพัทธ์ ของสาร ( r )
เท่ ากับ 4,000 เมือ่ คิดผลการโกงตัวของเส้ นแรงแม่ เหล็ก (Fringing effect) ซึ่งทําให้
พืน้ ทีห่ น้ าตัดของช่ องว่ างอากาศ Ag มีค่าเพิม่ ขึน้ 5 % จงคํานวณหา
a) The total reluctance of the flux path (iron plus air gap).
b) The current required to produce a flux density of 0.5 T in the air gap.
วิธีทาํ
a) จากสมการ (9) จะได้
19
lc lc 0.4m
c
Ac r o Ac 4000 4 107 0.0012m 2
66,300 A T / Wb
lg 0.0005m
a g
o Ag 4 107 0.00126m 2
316, 000 A T / Wb
c g
66,300 316, 000
382,300 A T / Wb
b) จากสมการ
เมื่อ BA, Ni
20
Ni BA
BA
i
N
0.5 0.00126 382,300
400
0.602 A ans
ความเหนี่ยวนําไฟฟ้ า ( Inductance, L )
คือ เป็ นองค์ประกอบที่ไม่สามารถรับและคายพลังงานได้ตลอดช่วงเวลา โดยพลังงาน
ที่สะสมอยูใ่ นตัวเหนี่ยวนําจะสะสมอยูใ่ นรู ปของสนามแม่เหล็ก และจะอธิ บายอยูใ่ นเทอม
ของกระแสไฟฟ้ า
Michael Faraday and Joseph Henry ได้ทาํ การทดลองเกี่ยวกับตัวเหนี่ยวนําไฟฟ้ า
โดยการจ่ายกระแสไฟฟ้ าเข้าไปในขดลวด ที่มีจาํ นวนรอบ N รอบ ซึ่งจะทําให้เกิดเส้นแรง
แม่เหล็ก (t ) ดังนั้น จํานวนเส้นแรงแม่เหล็กทั้งหมด ของขดลวดจํานวนรอบ N รอบ ก็
คือ N (t )
N
i t
i t
v t
v t
21
จากกฎของ Faraday’s law สรุ ปได้วา่ การเปลี่ยนแปลงของเส้นแรงแม่เหล็กจะทํา
ให้เกิดแรงดันเหนี่ยวนําขึ้น (Induced voltage) ในแต่ละรอบของขดลวด ซึ่ งขดลวดจํานวน
รอบ N รอบ ก็คือ
d (t ) d
e(t ) v(t ) N (17)
dt dt
N Li (18)
ดังนั้น
N
L (19)
i i
Ni
คือ BA , B H , H
l
N N BA N H A N Ni A
L
i i i i il
22
N 2 A N2
L (20)
l
23
วศบ ฟฟ 2 สมทบ
สําหรับระบบที่มีขดลวดหลายขด ค่าของตัวเหนี่ยวนําที่เกิดขึ้นบนขดลวดแต่ละขด
นั้น จะมี 2 ค่า คือ
Self Inductance
1 2
N1 N2
i1 i2
11 22
L11 L22 (22)
i1 i2
24
Mutual Inductance
i1 N1 i2 N2
21 12
12
L12 L21
i2
25
วงจรแม่ เหล็กแบบขดลวด 2 ขด
1
i1 i2
N1 N2
2
ในกรณีนีส้ มมติว่า r
lc
นัน่ คือ lg g c
r
ดังนั้น
total c g
lc lg
o r Ac o Ag
26
และ Flux Linkage 1 2
total N i N 2i2
11
g g
ดังนั้น Total Flux Linkage ของขดลวด 1 (1 )
N12 o Ag N1 N 2 o Ag
1 N1 i1 i2
lg lg
หรือ
1 L11 i1 L12 i2
N12 o Ag N1 N 2 o Ag
L11 L12
lg lg
N1 N 2 o Ag N 22 o Ag
2 N 2 i1 i2
lg lg
หรือ
27
2 L21 i1 L22 i2
N 22 o Ag N1 N 2 o Ag
L22 L21
lg lg
ตัวอย่ างที่ 3 วงจรแม่ เหล็ก มีขนาด Ac 9 cm2 , Ag 9 cm2 , lg 0.05 cm, lc 30 cm
N 500 รอบ และกําหนดให้ แกนเหล็กมีค่าความซึมซาบแม่ เหล็กสั มพัทธ์ ของสาร ( r )
เท่ ากับ 70,000 จงคํานวณหาค่ ากระแสทีท่ าํ ให้ บริเวณช่ องว่ างอากาศของแกนเหล็กมีความ
หนาแน่ นเส้ นแรงแม่ เหล็ก ( Bg ) เท่ ากับ 1.0 Tesla และเส้ นแรงแม่ เหล็ก ( )
วิธีทาํ จากสมการ (14) จะได้
Ni (c g )
l l
c g
A A
c o g
จากโจทย์ Ac Ag
ดังนั้น Bg Ag Bc Ac
แทนค่า Bg Ag ในสมการข้างต้น
28
Ni Bg Ag (c g )
Bg Ag lc
lg
o Ag r
Bg lc
i lg
o N r
1 0.3
5 104
4 107 500 70000
0.8 A
Bg Ag
1 9 104
9 104 Wb ans
ตัวอย่ างที่ 4 จากตัวอย่ างที่ 3 วงจรแม่ เหล็ก มีขนาด Ac 9 cm2 , Ag 9 cm2 , lg 0.05 cm
lc 30 cm, N 500 รอบ และกําหนดให้ แกนเหล็กมีค่าความซึมซาบแม่ เหล็กสั มพัทธ์ ของ
สาร ( r ) เท่ ากับ 70,000 จงคํานวณหาค่ าความเหนี่ยวนําไฟฟ้ า ( L ) เมือ่ บริเวณช่ องว่ าง
อากาศของแกนเหล็กมีความหนาแน่ นเส้ นแรงแม่ เหล็ก ( Bg ) เท่ ากับ 1.0 Tesla
วิธีทาํ
จากตัวอย่างที่ 1 จะได้ 9 104 Wb, i 0.8 A
1 N1 500 9 104 0.45Wb T
N2 N2
2) L
(c g )
29
lc 0.3
c 3,789.4 AT
o r Ac 70000 4 107 9 104
lg 5 104
g 442,097 AT
o Ag 4 107 9 104
แทนค่าจะได้
N2 5002
L 0.56 H
(3,789.4 442,097)
N2 5002
L 0.565 H ans
g 442,097
ขดลวดพันรอบแกนวงแบบแหวนทอรอยด์ (Toroid)
30
i
d
Ni H dl H * 2 R (23)
หรื อ
Ni
H (24)
2 R
เมื่อ l คือ เส้นรอบวงเฉลี่ยของวงแหวน (2 R) (เมตร)
R คือ รัศมีเฉลี่ยของวงแหวน (เมตร)
ดังนั้น จากสมการที่ (6) จะได้
B H Ni (25)
2 R
จาก B
A
ดังนั้น จะได้
31
B Ac
Ni ( r 2 ) (26)
2 R
r 2
Ni
2R
32
I
i
v V R
I rms
i
R
v Vrms
j L
33
คร่ อมความต้านทาน ( R) นั้นจะมีค่าน้ อยกว่ าแรงดันเหนี่ยวนําที่ค่าความต้านทานเสมือน ( j L)
ซึ่ งจะมีค่าประมาณเท่ากับแรงดันที่แหล่งจ่าย
ดังนั้น ในการกระตุน้ วงจรแม่เหล็กด้วยแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้ ากระแสสลับนั้น จะทํา
ให้เกิดแรงดันไฟฟ้ าเหนี่ยวนําเกิดขึ้นในขดลวด ซึ่ งเป็ นไปตามกฎของ Faraday’s law
กล่าวคือ “แรงดันไฟฟ้ าเหนี่ยวนําที่เกิดขึ้นที่ขดลวด ซึ่ งมีสนามแม่เหล็กเกี่ยวคล้องที่มีการ
เปลี่ยนแปลงตามเวลา จะแปรผันตรงกับจํานวนรอบของขดลวด N และอัตราการเปลี่ยน
แปลงของเส้นแรงแม่เหล็ก ( ) หรื อการเปลี่ยนแปลงของเส้นแรงแม่เหล็กจะทําให้เกิดแรงดัน
ไฟฟ้ าเหนี่ยวนําขึ้นในแต่ละรอบของขดลวด ซึ่ งขดลวดจํานวนรอบ N รอบ” ก็คือ
d (t ) d
e(t ) v(t ) N (27)
dt dt
และในทางปฏิบตั ิ เพื่อความสะดวกในการพิจารณา เราจะกําหนดให้ความสัมพันธ์
ระหว่างค่าเส้นแรงแม่เหล็กกับค่ากระแสนั้น มีความสัมพันธ์เป็ นเชิงเส้น ( Error น้อยมาก)
และค่าเส้นแรงแม่เหล็กที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงในลักษณะสัญญาณรู ปไซน์ จะได้ดงั สมการ
m sin t (28)
ดังนั้นจะได้ค่าแรงดันไฟฟ้ าเหนี่ยวนําที่ขดลวดจํานวน N รอบ คือ
d d sin t
e N N m Nm cos t Em cos t (29)
dt dt
เมื่อ Em Nm
ดังนั้น
Em N m
Erms Vrms 4.44 N f m (30)
2 2
34
เมื่อ 2 f
ตัวอย่ างที่ 5 วงจรแม่ เหล็ก มีจาํ นวนรอบขดลวดเท่ ากับ 500 รอบ ถ้ าจ่ ายแรงดันไฟฟ้ าให้ กบั
ขดลวดมีค่าเท่ ากับ v 500 cos 314t V จงคํานวณหาค่ าเส้ นแรงแม่ เหล็กทีเ่ กิดขึน้ ในวงจร
แม่ เหล็กนี้ ( )
วิธีทาํ
Em 500
Erms Vrms 353.55 V
2 2
จากสมการที่ (30)
Erms 4.44 N f m
Erms 353.55
m 3.185 mWb ans
4.44 N f 4.44 500 50
35
Hysteresis and Losses
เป็ นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวัสดุตวั นําแม่เหล็ก อธิ บายได้โดยเส้นโค้งที่เกิดจากผล
ทางแม่เหล็ก หรื อ B H Curve ดังแสดงในรู ป
36
2.หม้ อแปลงไฟฟ้า
(Transformer)
หม้ อแปลงไฟฟ้ า (Transformers) เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้ปรับระดับแรงดันไฟฟ้ า เพือ่ ให้มี
ระดับแรงดันเหมาะสมที่จะใช้ได้กบั อุปกรณ์ไฟฟ้ าชนิดต่าง ๆ หรื อ ทําหน้าที่ส่งผ่านกําลัง
ไฟฟ้ าในระบบไฟฟ้ าจากวงจรหนึ่งไปยังอีกวงจรหนึ่ง ที่ระดับความถี่เดียวกัน โดยวิธีการ
เปลี่ยนทั้งค่าแรงดันและกระแสไฟฟ้ า ซึ่ งใช้หลักการของวงจรแม่เหล็กที่กระตุน้ ด้วยไฟฟ้ า
กระแสสลับ จึงทําให้เกิดแรงดันไฟฟ้ าเหนี่ยวนําขึ้น (Faraday’s law)
Unit transformer
(110+ kV)
Substation transformer
(2.3 – 34.5 kV)
การทํางานของหม้ อแปลงไฟฟ้า
ขณะไม่ มภี าระ (No Load)
i
E1 E2
R1 90
v1 e1 N1 N2 e2 v2
ก) ข)
รู ปที่ 1 หลักการทํางานของหม้อแปลง
จากรู ปที่ 1 ก) เมื่อขดลวด Primary (N1) ได้รับ v1 และขดลวด Secondary (N2) อยูใ่ นสภาพ
เปิ ดวงจร จะทําให้เกิดค่ากระแสปริ มาณหนึ่งไหลในขดลวด (N1) เรี ยกว่า กระแสกระตุน้ i
(Exciting Current) และจะมีผลทําให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนํา (Induced Voltage) ขึ้นที่
ขดลวดทั้งสองดังนี้
34
d
e1 N1 N1 m cos t Em1 cos t (31)
dt
d
e2 N 2 N 2 m cos t Em 2 cos t (32)
dt
เมือ่ m sint
m Maximum magnetic flux
N1 m 2 f
E1 N1 m 4.44 f N1 m (33)
2 2
N 2 m 2 f
E2 N 2 m 4.44 f N 2 m (34)
2 2
เมื่อ m Bm Ac จะได้
E1 4.44 f N1 Bm Ac (35)
E2 4.44 f N 2 Bm Ac (36)
E1 N
1 a (37)
E2 N2
35
i
E1 E2
R1 90
v1 e1 N1 N2 e2 v2
ก) ข)
รู ปที่ 1 หลักการทํางานของหม้อแปลง
v1 R1 i e1 (38)
v2 e2 (39)
ดังนั้น จะได้ ความสั มพันธ์ ของค่าอัตราส่ วนแรงดันไฟฟ้ าจากสมการ (37) ใหม่ ดงั นี้
V1 E N
1 1 a (40)
V2 E2 N2
เมือ่ V1 และ V2 เป็ นค่าประสิ ทธิ ผล (rms) ของแรงดันไฟฟ้ าที่วดั ได้ (Terminal Voltage) ที่
ขดลวด Primary และ Secondary ตามลําดับ
36
ในขณะทีย่ งั ไม่ มภี าระ (No Load) จะมีเพียงกระแสกระตุ้น I เท่ านั้น ซึ่งประกอบด้ วย
1. กระแส I m (Magnetizing Current) เป็ นค่ากระแสที่ใช้สร้างสนามแม่เหล็ก เพื่อทําให้
เกิดการเหนี่ยวนํา e1 และ e2
2. กระแส I c (Core loss Current) เป็ นค่ากระแสที่ทาํ ให้เกิดค่าสู ญเสี ยในแกนเหล็ก ดังรู ป
Ic V1 V2
c
Im
I
รู ปที่ 2 ส่ วนประกอบของค่ากระแสกระตุน้
I I c I m (41)
I c I cos c (42)
I m I sin c (43)
Pc V1 I cos c V1 I c (44)
เมือ่ Sc V1 I
Pc I
Power Factor (cos c ) = c (45)
Sc I
37
ขณะมีภาระ (Transformer Under Load)
2 Ic V1 V2
I1 2 I2 2
1
I2 N2
Im I 2 I 2
V1 N1 N2 V2 ZL N1
I
I1
ก) ข)
รู ปที่ 3 หลักการทํางานของหม้อแปลงขณะมีภาระ
N 2 I 2 N1I 2 (46)
ดังนั้น จะได้ ความสั มพันธ์ ของค่ าอัตราส่ วนกระแสไฟฟ้ า (Current Ratio) ดังนี้
I 2 N 1
2 (47)
I2 N1 a
38
และจะได้
I1 I I 2 (48)
P1 V1 I1 cos1 (51)
P2 V2 I 2 cos 2 (52)
39
ถ้ าหม้ อแปลงในอุดมคติ “the output power of an ideal transformer is equal to its
input power”
V1 E N I
1 1 2 a
V2 E2 N2 I1
V1
ดังนั้น V2 and I 2 aI1 แทนค่าในสมการ (53)
a
V1
POutput (aI1 ) cos 1 2
a
40
การคํานวณค่ าประสิ ทธิภาพของหม้ อแปลงไฟฟ้า
(Calculation of Transformer Efficiency)
หม้อแปลงขณะใช้งานจะเกิดการสูญเสี ย 2 ลักษณะคือ การสู ญเสี ยใน Pc และ Pcu
เนื่องจากมีกระแสไหลผ่านขดลวดทั้งด้าน Pri และ Sec จึงทําให้เกิดค่าสูญเสี ยทางไฟฟ้ าใน
รู ปของความร้อนดังสมการ
41
ตัวอย่ างที่ 6 หม้ อแปลงไฟฟ้ า 20 kVA, 1000/200 V, 50 Hz มีการสู ญเสี ยในแกนเหล็กที่
พิกดั 300 W เมือ่ จ่ ายกําลังไฟฟ้ าเต็มพิกดั ที่ 200 V ให้ กบั ภาระไฟฟ้าที่ 0.9 lagging pf. เกิด
การสู ญเสี ยในลวดทองแดงทั้งหมดทีพ่ กิ ดั 350 W จงคํานวณหาค่ าประสิ ทธิภาพของหม้ อ
แปลงไฟฟ้ านี้
วิธีทาํ กําลังไฟฟ้ าที่จ่ายให้กบั ภาระ
Poutput V2 I 2 cos 2
20,000 0.9
18,000W
Poutput
100%
Poutput Pc Pcu
18000
100%
18000 300 350
96.5% Ans
ตัวอย่ างที่ 7 จากตัวอย่างที่ 6 ถ้ าหม้ อแปลงไฟฟ้ าดังกล่าวจ่ ายกําลังไฟฟ้ าเต็มพิกดั ที่ 200 V
ให้ กบั ภาระไฟฟ้ าที่ 0.7 lagging pf. เกิดการสู ญเสี ยในลวดทองแดงทั้งหมดทีพ่ กิ ดั 350 W
จงคํานวณหาค่ าประสิ ทธิภาพของหม้ อแปลงไฟฟ้ านี้
วิธีทาํ เมื่อจ่ายกําลังไฟฟ้ าเต็มพิกดั เช่นเดิม ค่าการสู ญเสี ยต่าง ๆ ที่พิกดั จะมีค่าเท่าเดิม
Poutput
100%
Poutput Pc Pcu
V2 I 2 cos 2
100%
V2 I 2 cos 2 Pc Pcu
20000 0.7
100%
(20000 0.7) 300 350
95.56% Ans
42
ตัวอย่ างที่ 8 หม้ อแปลงไฟฟ้ า 1kVA, 50/200 V, 50 Hz เมือ่ จ่ ายกําลังไฟฟ้ าเต็มพิกดั ที่ 200 V
ให้ กบั ภาระไฟฟ้ าที่ 0.8 lagging pf. จงคํานวณหาค่ าประสิ ทธิภาพของหม้ อแปลงไฟฟ้ านี้
เมือ่ ไม่ คดิ ค่ าความต้ านทานไฟฟ้ าของขดลวดทั้งสองด้ าน
กําหนดให้ Vinput 500V , Voutput 2000V และทางด้ าน Pri มีค่ากระแส
กระตุ้น I c 0.70 A, I m 2.7 90 A
วิธีทาํ
จากสู ตรกําลังไฟฟ้ าที่จ่ายให้กบั ภาระ P2 Poutput V2 I 2 cos 2
I 2 1
จากสมการที่ (47)
I2 a
I2 5 36.87
I 2 20 36.87 A
a (50 / 200)
43
วิธีที่ 1 มีการสู ญเสี ย Pc เพียงอย่ างเดียว --> Pc V1 I cos c =V1*Ic=35W
Poutput
100%
Poutput Pc Pcu
800
100%
800 35.15 0
95.8% Ans
Poutput
100%
Pinput
800
100%
835
95.8% Ans
44
วศบ ฟฟ 2 (ปกติ)
ค่าอิมพีแดนซ์ของโหลด สามารถหาได้จากสมการ
VL V V
ZL 2 s (60)
IL I2 Is
45
ซึ่ งจะได้ค่าอิมพีแดนซ์ของโหลด ปรากฏทางด้าน Pri. คือ
V1 V
Z L P (61)
I1 IP
จาก Ratio equations
V1
a V1 aV2
V2
I2 I2
a I1
I1 a
V1 aV2 V
Z L a2 2
I1 I2 / a I2
Z L a 2 Z L (62)
46
การวิเคราะห์ วงจรทีป่ ระกอบด้ วยหม้ อแปลงอุดมคติ
(Analysis of Circuits Containing Ideal Transformers)
ในการวิเคราะห์วงจรที่ประกอบด้วยหม้อแปลงอุดมคติ จะทําให้ในการคํานวณหาค่า
แรงดันและกระแสไฟฟ้ านั้น สามารถทําได้โดยง่ายและค่าที่เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าจ่าย (ต้นทาง)
กับค่าที่โหลดรับ (ปลายทาง) มีค่าใกล้เคียงกันมากที่สุด (การสู ญเสี ยน้อย) โดยการเขียนวงจร
ระบบกําลังร่ วมกับหม้อแปลงไฟฟ้ าได้ดว้ ยวงจรไฟฟ้ า หรื อวงจรสมมูล (Equivalent circuit)
47
Example 2-1 (page 73) A single-phase power system consists of a 480V, 60Hz
generator supplying a load Zload 4 j3 though a transmission line of impedance
Z line 0.18 j 0.24 . Answer the following questions about this system.
a) If the power system is exactly as described above (Fig 2-6a), what will the voltage
at the load be? What will the transmission line losses be?
b) Suppose a 1:10 step-up transformer is placed at the generator end of the
transmission line and a 10:1 step-down transformer is placed at the load end of
the line (Fig 2-6b). What will the load voltage be now? What will the transmission
line losses be now?
48
Solution
a) Figure 2-6a shows the power system without transformers. Here I G I line I load .
The line current in this system is given by
V
I line
Z line Z load
4800V
(0.18 j 0.24) (4 j 3)
4800
4.18 j 3.24
4800
5.2937.8
90.8 37.8 A
b) Figure 2-6b shows the power system with the transformers. To analyze this system,
it is necessary to convert it to a common voltage level. This is done in two steps:
1. Eliminate transformer T2 by referring the load over to the transmission
line’s voltage level.
2. Eliminate transformer T1 by referring the transmission line’s elements and
the equivalent load at the transmission line’s voltage over to the source side.
49
The value of the load’s impedance when reflected to the transmission system’s voltage is
a 2 Z load
Z load
2
10
(4 j 3)
1
400 j 300
50
This equivalent circuit is shown in Figure 2-7a. The total impedance at the
transmission line level ( Zline Zload
) is now reflected across T1 to the source’s voltage level.
Z eq a 2 Z eq
)
a 2 ( Z line Z load
2
1
(0.18 j 0.24) (400 j 300)
10
(0.0018 j 0.0024) (4 j 3)
5.00336.88
4800
IG 95.94 36.88 A
5.00336.88
Knowing the current IG , we can now work back and find I line and I load . Working
back through T1 , we get
N P1I G N S 1I line
N P1I G
I line
N S1
1
(95.94 36.88) 9.594 36.88 A
10
51
It is now possible to answer the questions originally asked. The load voltage is given
by
Vload I load Z load
(95.94 36.88)(536.87)
479.7 0.01 V
Ploss I line
2
Rline
9.5942 0.18
16.7 W Ans
52
Exercises 1
1. หม้อแปลงไฟฟ้ า ขนาดแรงดัน 500/100V, 50Hz ทางด้านแรงสู งทนกระแสได้ 15A
จงคํานวณหาขนาดกระแสทางด้านแรงตํ่า และพิกดั กําลังไฟฟ้ าของหม้อแปลงไฟฟ้ านี้
(75A, 7,500VA)
2. จากโจทย์ขอ้ 1 เมื่อออกแบบหม้อแปลงโดยใช้แกนเหล็กชนิด Silicon steel ที่มีค่า
ความหนาแน่นเส้นแรงแม่เหล็กเท่ากับ 1.1 Teslas และมีพ้นื ที่หน้าตัดเท่ากับ 2.73x10-3m2
จงคํานวณหาจํานวนรอบของขดลวดทั้งสองด้าน (750 รอบ, 150 รอบ)
3. หม้อแปลงไฟฟ้ าตัวหนึ่ง ออกแบบโดยใช้แกนเหล็กชนิด Silicon steel ที่มีค่าความ
หนาแน่นเส้นแรงแม่เหล็กเท่ากับ 1 Teslas และมีพ้นื ที่หน้าตัดเท่ากับ 9x10-3m2
ขดลวดทางด้านแรงตํ่ามีจาํ นวนรอบเท่ากับ 250 รอบ ทนกระแสได้ 120A และขดลวด
ทางด้านแรงสู งมีจาํ นวนรอบเท่ากับ 1000 รอบ ทนกระแสได้ 30A จงคํานวณหาขนาด
พิกดั ของแรงดันและกําลังไฟฟ้ าของหม้อแปลงตัวนี้ (2000/500V, 60kVA)
4. จากโจทย์ขอ้ 3 เมื่อออกแบบหม้อแปลงโดยใช้แกนเหล็กชนิด Armco iron ที่มีค่า
ความหนาแน่นเส้นแรงแม่เหล็กเท่ากับ 1.3 Teslas ถ้าขนาดพื้นที่หน้าตัดแกนเหล็ก
และขนาดพิกดั แรงดันไฟฟ้ าและกําลังไฟฟ้ ามีค่าเท่าเดิม จงคํานวณหาจํานวนรอบของ
ขดลวดทั้งสองด้าน (770 รอบ, 192 รอบ)
5. จากโจทย์ขอ้ 3 เมื่อออกแบบหม้อแปลงโดยใช้แกนเหล็กชนิด Armco iron ที่มีค่า
ความหนาแน่นเส้นแรงแม่เหล็กเท่ากับ 1.3 Teslas ถ้าจํานวนรอบของขดลวดทั้งสอง
ด้านและขนาดพิกดั แรงดันไฟฟ้ าและกําลังไฟฟ้ ามีค่าเท่าเดิม จงคํานวณหาขนาดพื้นที่
หน้าตัดของแกนเหล็ก (6.93x10-3m2)
53
วงจรสมมูลของหม้ อแปลงไฟฟ้า
(The Equivalent Circuit of a Transformer)
I1 R1 jXl1 I 2 I2 R2 jXl2
I
Ic Im
V1 Rc jX m E1 E2 V2 ZL
N1 N2
Ideal Transformer
รูปที่ 4 วงจรสมมูลของหม้อแปลงจริ ง
54
วงจรสมมูลของขดลวดปฐมภูมิ
“ ค่าใด ๆ ของขดลวดทางด้านทุติยภูมิ มีค่าเทียบเท่ากันกับค่าของขดลวดทางด้าน
ปฐมภูมิ หรื อ การย้ายค่าต่าง ๆ ทางด้านทุติยภูมิไปไว้ทางด้านปฐมภูมิ (Referred
to the primary side)”
I
Ic Im
V1 Rc jX m E1 E2 V2 Z L
V1 I1 R1 jXl1 E1 (63)
E1 E2 aE2 (64)
E2 I 2 R2 jX l2 V2 (65)
I c I cos c (66)
I m I sin c (67)
55
ซึ่ ง
R2 a 2 R2 X l2 a 2 Xl2
Z L a 2 Z L Z L RL jX L
E1 E1
Rc Xm
Ic Im
I2
V2 aV2 I 2
a
56
วงจรสมมูลโดยประมาณ เมื่อย้ ายค่ าต่ าง ๆ ทางด้ านทุตยิ ภูมิไปไว้ ทางด้ าน
ปฐมภูมิ (Approximate Equivalent Circuit referred to the primary side)
เพื่อทําให้การคํานวณหาค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของวงจรหม้อแปลงง่ายขึ้น จึง
ได้ยา้ ยส่ วนการสู ญเสี ยในแกนเหล็ก (Core loss –> 2-10%) ไปไว้หน้า R1 ดังรู ป
Req1 jX eq1
57
วงจรสมมูลโดยประมาณ เมื่อไม่ คดิ การสู ญเสี ยในแกนเหล็ก ทีย่ ้ ายค่ าต่ าง ๆ
ทางด้ านทุตยิ ภูมิไปไว้ ทางด้ านปฐมภูมิ
เพื่อทําให้การคํานวณหาค่าพารามิเตอร์ ต่าง ๆ ของวงจรหม้อแปลงง่ายและ
สะดวกขึ้นอีก จึงไม่คิดการสู ญเสี ยในแกนเหล็ก (Core loss –> 2-10%) จึงได้วงจร
สมมูลใหม่ ดังแสดงในรู ปที่ 7
Req1 jX eq1
Req1 jX eq1
I1 I 2
58
วงจรสมมูลของขดลวดทุติยภูมิ
“ ค่าใด ๆ ของขดลวดทางด้านปฐมภูมิ มีค่าเทียบเท่ากันกับค่าของขดลวดทางด้าน
ทุติยภูมิ หรื อ การย้ายค่าต่าง ๆ ทางด้านปฐมภูมิไปไว้ทางด้านทุติยภูมิ (Referred
to the secondary side) ”
I
I c I m
V1 Rc jX m E1 E2 V2 ZL
ซึ่ งจะได้
R1 Xl1 Rc Xm
R1 , X l1 , Rc , X m
a2 a2 a2 a2
V1
V1 , I1 aI1
a
I c aI c , I m aI m
E1 N1
E1 เมือ่ a
a N2
59
วงจรสมมูลโดยประมาณ เมื่อย้ ายค่ าต่ าง ๆ ทางด้ านปฐมภูมิไปไว้ ทางด้ าน
ทุตยิ ภูมิ (Approximate Equivalent Circuit referred to the secondary side)
เพื่อทําให้การคํานวณหาค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของวงจรหม้อแปลงง่ายขึ้น จึง
ได้ยา้ ยส่ วนการสู ญเสี ยในแกนเหล็ก (Core loss –> 2-10%) ไปไว้หน้า R1 ดังรู ป
Req 2 jX eq 2
R1
จะได้ Req 2 R1 R2 R2 (74)
a2
Xl
jX eq 2 j X l1 Xl2 j 21 Xl2 (75)
a
V1 I 2 Req 2 jX eq 2 V2
(76)
I 2 Req 2 jX eq 2 V2
V1
a
60
วงจรสมมูลโดยประมาณ เมื่อไม่ คดิ การสู ญเสี ยในแกนเหล็ก ทีย่ ้ ายค่ าต่ าง ๆ
ทางด้ านทุตยิ ภูมิไปไว้ ทางด้ านปฐมภูมิ
เพื่อทําให้การคํานวณหาค่าพารามิเตอร์ ต่าง ๆ ของวงจรหม้อแปลงง่ายและ
สะดวกขึ้นอีก จึงไม่คิดการสู ญเสี ยในแกนเหล็ก (Core loss –> 2-10%) จึงได้วงจร
สมมูลใหม่ ดังแสดงในรู ปที่ 10
Req 2 jX eq 2
Req 2 jX eq 2
I1 I 2
R1
จะได้ Req 2 R1 R2 R2 (77)
a2
Xl
jX eq 2 j X l1 Xl2 j 21 Xl2 (78)
a
V1 I 2 Req 2 jX eq 2 V2 (79)
61
การคํานวณหาค่ าพารามิเตอร์ ของหม้ อแปลง
(Determining the Values of Components in The Transformer Model)
ในการคํานวณหาค่าอิมพีแดนซ์สมมูล (Equivalent Impedance - Z eq ) ของหม้อแปลง
นั้น ไม่สามารถนําเอาค่าอิมพีแดนซ์สมมูลของขดลวดทั้งสองชุดมารวมกันโดยตรงได้ แต่
สามารถใช้วธิ ี การที่เรี ยกว่า ถ่ ายทอด (Transfer) จากขดลวดด้ านหนึ่งไปยังขดลวดอีกด้ าน
หนึ่งได้ ดังหัวข้อที่ผา่ นมา ซึ่ งสามารถหาค่าได้จากการทดสอบหม้อแปลง ดังนี้
การทดสอบแบบวงจรเปิ ด (Open-circuit test)
การทดสอบแบบปิ ดวงจร (Short-circuit test)
การทดสอบแบบวงจรเปิ ด (Open-circuit test) - เป็ นการทดสอบเพื่อ
1. หาค่าการสูญเสี ยในแกนเหล็ก (Core loss) (ประมาณ/ปฏิบตั ิ)
2. หาค่า Rc , X m ของแกนเหล็ก
3. เมื่อทราบค่า Rc , X m ก็สามารถหาค่า I I c I m เพื่อนําไปหาค่ากระแส
ทางด้านปฐมภูมิได้ดงั สมการ I1 I I 2
62
ค่าที่ได้จากการทดสอบหม้อแปลงแบบวงจรเปิ ด สามารถคํานวณหาค่าต่าง ๆ ได้ดงั นี้
POC P
cos OC OC cos 1 OC
I OCVOC I OCVOC
I c I OC cosOC
I m I OC sin OC เมื่อ I OC I
VOC VOC
Rc _ L X m_ L
Ic Im
Ye Gc jBm
1 1
j
Rc Xm
หรือ
I OC I
Ye OC cos 1 PF
VOC VOC
63
การทดสอบแบบวงจรปิ ด (Short-circuit test) - เป็ นการทดสอบเพื่อ
1. หาค่าการสูญเสี ยในขดลวดทองแดง (Copper loss)
2. หาค่า Req , X eq และ Z eq ของหม้อแปลง
3. เมื่อทราบค่า Z eq ก็สามารถหาค่าแรงดันตกคร่ อมหม้อแปลงและ Voltage
Regulation ของหม้อแปลงได้
64
ค่าที่ได้จากการทดสอบหม้อแปลงแบบวงจรปิ ด สามารถคํานวณหาค่าต่าง ๆ ได้ดงั นี้
PSC PSC
cos SC SC cos 1
I SCVSC I SCVSC
VSC PSC
Z SC RSC 2
I SC I SC
X SC 2
Z SC RSC
2
VSC 0
Z SC
I SC sc Req jX eq
VSC
sc
I SC
RSC jX SC
Z eq Req jX eq
65
Example 2-2 (page 92) The equivalent circuit impedances of a 20-kVA, 8000/240V,
60Hz transformer are to be determined. The open-circuit test and the short-circuit test
were performed on the primary side of the transformer, and the following data were
taken:
Open circuit test Short circuit test
(on primary ) (on primary )
VOC 8000V VSC 489V
I OC 0.214 A I SC 2.5 A
POC 400W PSC 240W
Find the impedances of the approximate equivalent circuit referred to the primary side,
and sketch that circuit.
Solution
The power factor during the open-circuit test is
POC
PF cos OC
I OCVOC
400W
8000V 0.214 A
0.234 lagging
66
I OC I
Ye OC cos 1PF
VOC VOC
0.214 A
cos 1 0.234
8000V
0.0000268 76.5
1 1
0.0000063 j 0.0000261 j
Rc Xm
Therefore,
1
Rc _ P 159 k
0.0000063
1
Xm_ P 38.4 k
0.0000261
67
Req _ P 38.4
X eq _ P 192
Req _ S 38.4 / a 2 38.4 /(8000 / 240)2
X eq _ S 192 / a 2 192 /(8000 / 240)2
38.4 j192
159 k j 38.4 k
Figure 2 21
V1 V2
VR 100% referred to primary
V2
V1 V2
VR 100% referred to secondary
V2
68
Req1 jX eq1
V1 I 2 Req 2 jX eq 2 V2
I 2 Req 2 jX eq 2 V2
V1
a
จากสมการข้างต้น (76) จะสามารถเขียนเฟสเซอร์ไดอะแกรมที่ภาระไฟฟ้ าต่าง ๆ ได้ดงั นี้
69
ค) รู ปเฟสเซอร์ ไดอะแกรมของหม้ อแปลง ขณะทีไ่ ด้ รับภาระไฟฟ้ าทีม่ ี Power factor
leading ไปเป็ นมุม
70
71
72
73
74
75
วศบ ฟฟ 2 (ปกติ + สมทบ)
76
Actual
Quantity per unit
Basevalueof quantity
77
78
79
80
ระบบ 3 เฟส (Three-phase system)
81
Exercises 2
1. Single phase Transformer 10 KVA 450/120 V, 50 Hz
วิธีทาํ
ก) Open circuit test
เมือ่ ทําการทดสอบทางด้ าน Secondary ดังนั้น
Poc 80
oc cos 1 cos 1 80.9
I ocVoc 4.2 120
82
Low-side
Voc 120
Rc ,L 182
I c ,L 0.66
,
V 120
X m,L oc 29
I m,L 4.15
High-side
V1 450
a 3.75
V2 120
Rc ,H a 2 Rc ,L 3.752 182 2560
X m ,H a 2 X m ,L 3.752 29 408
Vsc 9.650
Z eq Z sc 0.43456 0.243 j 0.36
I sc 22.2 56
High-side
Low-side
Req , H 0.24
Req , L 0.017
a2 3.752
83
X eq , H 0.36
X eq , L 0.026
a2 3.752
I1 I 2 Req 0.243 jX m j 0.36
I
Ic Im
V1 Rc 2560 jX m j 408 V2 450V
84
I1 I 2 Req jX eq
I
Ic Im
V1
V1 Rc jX m a V2
V2
85
การคํานวณหาค่ าพารามิเตอร์ ของหม้ อแปลง
(Determining the Values of Components in The Transformer Model)
ในการคํานวณหาค่าอิมพีแดนซ์สมมูล (Equivalent Impedance - Z eq ) ของหม้อแปลง
นั้น ไม่สามารถนําเอาค่าอิมพีแดนซ์สมมูลของขดลวดทั้งสองชุดมารวมกันโดยตรงได้ แต่
สามารถใช้วธิ ี การที่เรี ยกว่า ถ่ ายทอด (Transfer) จากขดลวดด้ านหนึ่งไปยังขดลวดอีกด้ าน
หนึ่งได้ ดังหัวข้อที่ผา่ นมา ซึ่ งสามารถหาค่าได้จากการทดสอบหม้อแปลง ดังนี้
การทดสอบแบบวงจรเปิ ด (Open-circuit test)
การทดสอบแบบปิ ดวงจร (Short-circuit test)
การทดสอบแบบวงจรเปิ ด (Open-circuit test) - เป็ นการทดสอบเพื่อ
1. หาค่าการสูญเสี ยในแกนเหล็ก (Core loss)
2. หาค่า Rc , X m ของแกนเหล็ก
3. เมื่อทราบค่า Rc , X m ก็สามารถหาค่า I I c I m เพื่อนําไปหาค่ากระแส
ทางด้านปฐมภูมิได้ดงั สมการ I1 I I 2
62
ค่าที่ได้จากการทดสอบหม้อแปลงแบบวงจรเปิ ด สามารถคํานวณหาค่าต่าง ๆ ได้ดงั นี้
POC P
cos OC OC cos 1 OC
I OCVOC I OCVOC
I c I OC cosOC
I m I OC sinOC เมื่อ I OC I
VOC VOC
Rc Xm
Ic Im
Ye Gc jBm
1 1
j
Rc Xm
หรือ
I OC I OC cos 1 PF
Ye
VOC VOC
63
การทดสอบแบบวงจรปิ ด (Short-circuit test) - เป็ นการทดสอบเพื่อ
1. หาค่าการสูญเสี ยในขดลวดทองแดง (Copper loss)
2. หาค่า Req , X eq และ Z eq ของหม้อแปลง
3. เมื่อทราบค่า Z eq ก็สามารถหาค่าแรงดันตกคร่ อมหม้อแปลงและ Voltage
Regulation ของหม้อแปลงได้
64
ค่าที่ได้จากการทดสอบหม้อแปลงแบบวงจรเปิ ด สามารถคํานวณหาค่าต่าง ๆ ได้ดงั นี้
PSC P
cos SC SC cos 1 SC
I SCVSC I SCVSC
VSC PSC
Z SC RSC 2
I SC I SC
X SC 2
Z SC RSC
2
VSC 0
Z SC
I SC sc Req jX eq
VSC
sc
I SC
RSC jX SC
Z eq Req jX eq
65
Example 2-2 (page 92) The equivalent circuit impedances of a 20-kVA, 8000/240V,
60Hz transformer are to be determined. The open-circuit test and the short-circuit test
were performed on the primary side of the transformer, and the following data were
taken:
Open circuit test Short circuit test
(on primary ) (on primary )
VOC 8000V VSC 489V
I OC 0.214 A I SC 2.5 A
POC 400W PSC 240W
Find the impedances of the approximate equivalent circuit referred to the primary side,
and sketch that circuit.
Solution
The power factor during the open-circuit test is
POC
PF cos OC
I OCVOC
400W
8000V 0.214 A
0.234 lagging
66
I OC I OC cos 1PF
Ye
VOC VOC 0
0.214 A
cos 1 0.234
8000V
0.0000268 76.5
1 1
0.0000063 j 0.0000261 j
Rc Xm
Therefore,
1
Rc 159 k
0.0000063
1
Xm 38.4 k
0.0000261
67
Req1 jX eq1
38.4 j192
159 k j 38.4 k
Figure 2 21
Req 2 jX eq 2
68
รูปวงจรสมมูลโดยประมาณ เมื่อย้ ายค่ าต่ าง ๆ ทางด้ านทุติยภูมิ ไปไว้ ทางด้ านปฐมภูมิ
V1 I 2 Req 2 jX eq 2 V2
I 2 Req 2 jX eq 2 V2
V1
a
จากสมการข้างต้น (76) จะสามารถเขียนเฟสเซอร์ไดอะแกรมที่ภาระไฟฟ้ าต่าง ๆ ได้ดงั นี้
69
70
71
72
73
74
75
ระบบเปอร์ -ยูนิต (Per-Unit System)
ในการคํานวณหาค่าต่าง ๆ ในระบบไฟฟ้ ากําลังที่ประกอบไปด้วยหม้อแปลงไฟฟ้ า
เช่น ค่าอิมพีแดนซ์ แรงดันไฟฟ้ า กระแสไฟฟ้ า หรื อกําลังไฟฟ้ า ฯลฯ ล้วนแต่ตอ้ งใช้ระบบ
เปอร์-ยูนิตเข้ามาช่วยในการคํานวณวิเคราะห์หาค่าต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อความสะดวกรวดเร็ ว
และถูกต้อง ซึ่ งเป็ นปริ มาณที่ไม่มีหน่วย จึงไม่จาํ เป็ นต้องกังวลในเรื่ องหน่วยต่าง ๆ โดยจะ
เลือกค่าฐานอ้างอิง (Base value) ไว้
เปอร์ -ยูนิต (Per-Unit) ก็คอื ปริมาณทีเ่ ป็ นสั ดส่ วนระหว่ างปริมาณจริง (Actual value)
กับปริมาณอ้ างอิง (Base value of quantity)
Actual
Quantity per unit
Basevalueof quantity
76
การกําหนดค่าฐานอ้างอิง (Base value of quantity) จะกําหนดฐานเป็ น Base power
(kVA,MVA) และ Base voltage (kV) ที่จุด ๆ หนึ่งในระบบไฟฟ้ ากําลัง โดยฐาน Base power
จะเป็ นอันเดียวกันทั้งระบบ ส่ วนฐาน Base voltage ในที่อื่น ๆ นอกจากจุดที่ถูกกําหนดจะ
เปลี่ยนไปตามอัตราส่ วนของหม้อแปลง
ระบบ 1 เฟส (Single-phase system)
Pbase , Qbase or Sbase Vbase I base
Sbase
I base
Vbase
(Vbase ) 2 Vbase
Z base
Sbase I base
I base
Ybase
Vbase
77
78
79
ระบบ 3 เฟส (Three-phase system)
80
Exercises 2
1. Single phase Transformer 10 KVA 450/120 V, 50 Hz
วิธีทาํ
ก) คํานวณหาค่ า Parameter
# Open circuit test
81
Low-side
Voc 120
Rc ,L 182
I c ,L 0.66
,
V 120
X m,L oc 29
I m,L 4.15
High-side
V1 450
a 3.75
V2 120
Rc ,H a 2 Rc ,L 3.752 182 2560
X m ,H a 2 X m ,L 3.752 29 408
High-side
Req ,H 0.243 , X eq ,H 0.36 ,
Low-side
Req ,H 0.24
Req ,L 0.017
a2 3.752
X eq ,H 0.36
X eq ,L 0.026
a2 3.752
82
I1 I 2 Req 0.243 jX eq j 0.36
I
Ic Im
V1 Rc 2560 jX m j 408 V2 450V
รูปวงจรสมมูล เมื่อย้ ายค่ าต่ าง ๆ ทางด้ านทุติยภูมิ (Low) ไปไว้ ทางด้ านปฐมภูมิ (High)
รูปวงจรสมมูล เมื่อย้ ายค่ าต่ าง ๆ ทางด้ านปฐมภูมิ (High) ไปไว้ ทางด้ านทุติยภูมิ (Low)
83
ข) เมือ่ นําภาระมาใส่ ทางด้ าน Secondary ทีแ่ รงดันและกระแสพิกดั ที่ 0.8 p.f. leading
ให้ คาํ นวณหา Input voltage, Input current และ Input power factor
- เมื่อทําการย้ ายค่ าต่ าง ๆ จากทางด้ านทุติยภูมิ (Low) ไปไว้ ทางด้ านปฐมภูมิ (High)
V1 V2 I 2 Req jX eq
4500 (17.753 j13.329)(0.243 j 0.36)
449.516 j 9.63 V
449.6191.23 V Ans
84
I I c I m
V1 V
j 1
Rc ,H X m,H
449.6191.23 V 449.6191.23 V1
j
2560 408
0.1992 j1.098 A
1.116 79.72 A
85
V1 V2
%VR 100%
V2
449.619 450
100% Leading
450
0.085% Ans
86
หม้ อแปลงไฟฟ้าสามเฟส (Three Phase Transformers)
เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้เปลี่ยนระดับแรงดันให้สูงขึ้นหรื อตํ่าลงตามต้องการ ภายในประกอบ
ด้วยขดลวด 2 ชุดคือ ขดลวดปฐมภูมิ (Primary winding) และขดลวดทุติยภูมิ (Secondary
winding) แต่สาํ หรับหม้อแปลงกําลัง (Power Transformer) ขนาดใหญ่บางตัวอาจมีขดลวดที่
สามเพิ่มขึ้น คือ ขดลวดตติยภูมิ (Tertiary winding) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าขดปฐมภูมิและทุติย
ภูมิ และแรงดันที่แปลงออกมาจะมีค่าตํ่ากว่าขดทุติยภูมิ
86
# ชนิดของหม้ อแปลง - แบ่งตามหน้าที่หรื อวัตถุประสงค์การใช้งานได้ดงั นี้
1. Power Transformer
2. Distribution Transformer
3. Instrument Transformer
4. Special-Type Transformer
87
การติดตั้งหม้ อแปลงในระบบจําหน่ าย
1. หม้ อแปลงจําหน่ ายทีใ่ ช้ งานทัว่ ไปของ กฟภ. แบ่ งออกเป็ น 2 ระบบ คือ
1.1 ระบบ 1 เฟส 3 สาย 22 kV มีใช้งาน 4 ขนาด คือ 10, 20, 30 และ 50 kVA
1.2 ระบบ 3 เฟส 4 สาย 22 kV และ 33 kV มีหลายขนาดได้แก่ 30, 50, 100, 160,
250, 315, 400, 500, 1000, 1250, 1500, 2500 kVA.
88
3. อุปกรณ์ ป้องกันหม้ อแปลง
3.1 ฟิ วส์ (Fuse) ทําหน้าที่ป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้ าหรื อระบบอันเกิดจากสาเหตุกระแส
เกินพิกดั (Over current) เนื่องจากการลัดวงจร (Short circuit) โดยการติดตั้งฟิ วส์เป็ น
อุปกรณ์ป้องกันทั้งทางด้านแรงสู ง (Primary) และแรงตํ่า (Secondary)
ฟิ วส์ แรงสู ง (Dropout fuse cutout) ฟิ วส์ แรงตํา่ (Fuse switch with H.R.C. Fuse)
-มีขนาด 2-3 เท่ าของกระแสเต็มพิกดั ของหม้ อแปลง -มีขนาด 1.25-1.5 เท่ าของกระแสเต็มพิกดั ของหม้ อแปลง
89
3.3 อาร์ คซิ่งฮอร์ น (Arcing Horn) เป็ นอุปกรณ์ป้องกันหม้อแปลงมิให้ชาํ รุ ดเสี ยหาย
จากภาวะแรงดันเกินที่เกิดจากฟ้ าผ่า สําหรับระยะ Air gap ของ Arcing horn ที่บุชชิ่งแรงสู ง
ของหม้อแปลงตามมาตรฐานของการไฟฟ้ าส่วนภูมิภาคกําหนดดังนี้
3.3.1 ระบบ 11 KV. ระยะห่ าง 8.6 เซนติเมตร
3.3.2 ระบบ 22 KV. ระยะห่ าง 15.5 เซนติเมตร
3.3.3 ระบบ 33 KV. ระยะห่ าง 22.0 เซนติเมตร
4. การต่ อลงดิน
โดยต่อสายลงดิน (Ground lead) ของล่อฟ้ าแรงสู งเข้ากับตัวถังหม้อแปลงก่อน แล้วจึง
ลงดิน เพื่อลดความต่างศักดิ์ไฟฟ้ าระหว่างขดลวดในหม้อแปลงกับตัวถังในขณะล่อฟ้ า ทํางาน
สําหรับค่าความต้านทานดินแต่ละจุด ไม่ควรเกิน 5 โอห์ม หากเกินต้องเพิ่มกราวด์ร็อด
(ห่างอย่างน้อย 2 เท่าของความยาวกราวด์ร็อด) หรื อใช้วธิ ี การฝังตัวนําตามแนวระดับ (Strip
Electrode) หรื ออาจจะใช้สารเคมี (เกลือผสมถ่านป่ น) ฝังรอบ ๆ กราวด์ร็อด เป็ นวิธีที่ไม่
ถาวร ต้องทําทุก ๆ 2-3 ปี
90
6. ซิลกิ ้ าเจล (Silica gel) มีลกั ษณะเป็ นเม็ดเล็ก ๆ สี ฟ้าหรื อนํ้าเงินบรรจุอยูใ่ นกระเปาะ
ข้างถังอะไหล่น้ าํ มันหม้อแปลง ทําหน้าที่ ช่วยดูดความชื้นในหม้อแปลง ถ้ าเสื่ อมคุณภาพจะ
กลายเป็ นสี ชมพู
ระบบ 3 เฟส I
kVA
3 kV
พิกดั กระแสทางด้านแรงสู ง IP
kVA
100kVA
2.6 A
3 kV 3 22kV
พิกดั กระแสทางด้านแรงตํ่า IS
kVA
100kVA
144 A
3 kV 3 0.4kV
การส่ งจ่ ายกําลังไฟฟ้ าในระบบไฟฟ้ากําลัง 3 เฟส นั้น จําเป็ นต้ องใช้ หม้ อแปลงไฟฟ้ า
ชนิด 3 เฟส ซึ่งในการเชื่อมต่ อขดลวดทั้ง 3 ขด นั้น (บางครั้ งเรี ยกว่ า การแบงก์ หม้ อแปลง)
โดยทัว่ ๆ ไปนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบ คือ การต่ อหม้ อแปลงแบบสตาร์ -สตาร์ (Y Y ) , แบบ
สตาร์ -เดลต้ า (Y ) , แบบเดลต้ า-สตาร์ ( Y ) และแบบเดลต้ า-เดลต้ า ( )
91
การต่ อหม้ อแปลงแบบสตาร์ -สตาร์ (Wye-Wye Connection ; Y Y )
VLP 3 V P
a
VLS 3 V S
92
การต่ อหม้ อแปลงแบบสตาร์ -เดลต้ า (Wye-Delta Connection ; Y )
VLP 3 V P V P
3a ; a
VLS V S V S
93
การต่ อหม้ อแปลงแบบเดลต้ า-สตาร์ (Delta-Wye Connection ; Y )
VLP V P a V P
; a
VLS 3 V S 3 V S
94
การต่ อหม้ อแปลงแบบเดลต้ า-เดลต้ า (Delta-Delta Connection ; )
VLP V
P a
VLS V S
95
Example Three-phase Transformer are connected in to step-down a line voltage
of 138kV to 4,160V to supply power to a manufacturing plant. The plant draws 21 MW
at a lagging power factor of 86 percent.
Calculate
a) The apparent power drawn by the plant.
b) The current in the HV lines and LV lines.
c) The current in the primary and secondary winding of each transformer.
d) The load carried by each transformer.
Solution
P 21 MW
a) S 24.4 MVA
Cos 0.86
b) High voltage
S 24.4 MW
I LP 102 A
3 VLP 3 138 kV
Low voltage
S 24.4 MW
I LS 3.386 kA
3 VLS 3 4.16 kV
c)
102 A
I P 58.9 A
3
3.386 kA
I S 1.955 kA
3
d)
24.4 MVA
S 8.13 MVA or
3
S V P I P 138 kV 58.9 A 8.13 MVA Ans
96
Example หม้อแปลงไฟฟ้ า 3 เฟส เมื่อขดลวดปฐมภูมิได้รับแรงดันไฟฟ้ า 2300 V ทําให้
จ่ายโหลดตามพิกดั ของหม้อแปลงไฟฟ้ า 50 kVA และ 230 V จงคํานวณหาค่าต่อไปนี้
ก) กําลังไฟฟ้ าที่พิกดั ของขดลวดแต่ละชุด
ข) กระแสและแรงดันไฟฟ้ าที่เฟสของขดลวดปฐมภูมิ
ค) กระแสและแรงดันไฟฟ้ าที่เฟสของขดลวดทุติยภูมิ
ง) อัตราส่ วนแรงดันไฟฟ้ าของหม้อแปลงไฟฟ้ า
เมือ่ ต่ อหม้ อแปลงไฟฟ้ าเป็ นแบบ และแบบ Y Y
วิธีทาํ
ก) กําลังไฟฟ้ าของขดลวดแต่ละชุด จะมีค่าเป็ น 1/3 เท่าของกําลังที่พิกดั คือ
S 50 kVA
16.667 kVA
3 3
ข) กระแสและแรงดันไฟฟ้ าที่เฟสของขดลวดปฐมภูมิ
# ต่ อหม้ อแปลงแบบ
V P VLP 2.3 kV
S 50 kVA
I LP 12.551 A
3 VLP 3 2.3 kV
I LP 12.551 A
I P 7.246 A
3 3
97
ค) กระแสและแรงดันไฟฟ้ าที่เฟสของขดลวดทุติยภูมิ
V S VLS 230V
S 50 kVA
I LS 125.511A
3 VLS 3 230V
I LS 125.511 A
I S 72.464 A
3 3
98
# ต่ อหม้ อแปลงแบบ Y Y
ข) กระแสและแรงดันไฟฟ้ าที่เฟสของขดลวดปฐมภูมิ
VLP 2.3 kV
V P 1.328 kV
3 3
S 50 kVA
I P I LP 12.551 A
3 VLP 3 2.3 kV
ค) กระแสและแรงดันไฟฟ้ าที่เฟสของขดลวดทุติยภูมิ
VLS 230V
V S 132.791kV
3 3
S 50 kVA
I S I LS 125.511 A
3 VLS 3 230V
VLP V 2300V
P 10
VLS V S 230V
99
ค่ าเปอร์ -ยูนิตในระบบสามเฟส (Per-Unit Value in Three phase System)
- เพื่อความสะดวก
- ลดความซับซ้อนในการคํานวณสําหรับวงจรไฟฟ้ าขนาดใหญ่
- ลดเวลาที่ใช้ในการคํานวณ (เปลี่ยนหน่วย)
- ไม่ตอ้ งคิดผลกระทบของระดับแรงดันทั้งสองของหม้อแปลง
เช่ น
ถ้ าเอา Opera House (35 m.) เป็ นเบส เราจะพูดได้ ว่า Acropolis (27 m.) สู งเป็ น
0.771 เท่ าของ Opera House หรือ 0.771 pu.
Actual
Quantity per unit
Basevalueof quantity
100
ระบบ 1 เฟส (Single-phase system)
Pbase , Qbase or Sbase Vbase I base
Sbase
I base
Vbase
(Vbase ) 2 Vbase
Z base
Sbase I base
I base
Ybase
Vbase
Sbase _ 3
I _ base
3V _ base
101
102
103
การบาลานซ์ โหลดหม้ อแปลง
การบาลานซ์โหลด เป็ นการเฉลี่ยโหลดแต่ละเฟสให้มีค่าเท่ากันหรื อใกล้เคียงกัน ซึ่ ง
ทําให้กระแสในแต่ละเฟสใกล้เคียงกันด้วย ถ้าหากโหลดไม่สมดุล จะเกิดผลเสี ยต่อระบบ
ดังนี้
1) เกิดความสูญเสี ยและแรงดันปลายสายตกมาก
2) Voltage Regulation ไม่ ดี กล่ าวคื อแรงดันไฟฟ้ าในแต่ ละเฟสไม่ เท่ ากัน
3) ความสามารถในการจ่ ายโหลดของหม้ อแปลงลดลง
ข้ อกําหนด
1. หม้อแปลงทัว่ ไป การไฟฟ้ าส่ วนภูมิภาค ยอมให้จ่ายโหลดได้ไม่เกิน 80 % ของกระแส
พิกดั หม้อแปลง
2. การบาลานซ์เฟสหม้อแปลง ไม่ควรแตกต่างกันเกิน 20 % ของแอมป์ เฉลี่ย
104
# การบาลานซ์ โหลดของหม้ อแปลง 1 เฟส 3 สาย
ดังนั้น กระแสเฉลี่ยของแต่ละเฟส
95 A
47.5 A
2
- กระแสแต่ละเฟสต้องต่างกันไม่เกิน 20 % ของแอมป์ เฉลี่ย 0.2 47.5 9.5 A
- แต่เนื่องจากเฟส A จ่ายโหลด 45 A. และเฟส B จ่ายโหลด 50 A. จึงต่างกัน 5 A
ดังนั้น จึงพบว่ ากระแสของเฟสทัง้ สองต่ างกันไม่ เกิน 9.5 A จึงถือว่ าหม้ อแปลงลูกนี้
จ่ ายโหลดได้ สมดุล
105
# การบาลานซ์ โหลดของหม้ อแปลง 3 เฟส 4 สาย
106
การทดสอบหม้ อแปลง แบ่งเป็ น 2 แบบ ใหญ่ ๆ คือ
1. Routine Test
1) Resistance measurement
2) Insulation resistance test
3) Voltage ratio test
4) Polarity & Vector group
5) Dielectric test of insulation
6) Oil test
7) No load test
8) Short circuit test
2. Type Test
1) Impulse test
2) Temperature rise test
107
1.1 Resistance measurement
- เป็ นการทดสอบเพื่อใช้หาค่าการสูญเสี ยในขดลวดทองแดง และหาอุณหภูมิที่
เพิ่มขึ้นสู งสุ ดของนํ้ามันหม้อแปลง ที่นิยมมี 2 วิธี คือ Wheatstone bridge (มากกว่า 1 โอห์ม)
และ Kelvin double bridge (ตํ่ากว่า 1 โอห์ม)
VR1 VR 3
R1 R2 R RX
3
R2 RX
R1 R
3
R2 RX
R3
RX R2
R1
108
# Kelvin double bridge - ใช้วดั หาค่าความต้านทานที่มีค่าตํ่า ๆ ตํ่ากว่า 1 โอห์ม
เมือ่
Q, M , q, m คือ ความต้านทานอัตราส่ วน ที่ไม่จาํ เป็ นต้องรู ้ค่าแน่นอน
S คือ ความต้านทานปรับค่าได้ ที่รู้ค่าแน่นอน
X คือ ความต้านทานที่ตอ้ งการวัด
G คือ กัลวานอมิเตอร์
Q rm Q q
X S
M r q m M m
109
1.2 Insulation resistance test
- เป็ นการทดสอบเพื่อตรวจสอบสภาพความเป็ นฉนวนของนํ้ามันหม้อแปลง ซึ่ ง
ถ้านํ้ามันมีความชื้นหรื ออุณหภูมิสูงขึ้นจะทําให้ค่าความเป็ นฉนวนลดลง เครื่ องมือที่ใช้
เรี ยกว่า Megger เพือ่ ใช้วดั ความเป็ นฉนวนระหว่างขดลวดแรงสูงกับแรงตํ่า (P-S), ขดลวด
แรงสู งกับตัวถังหม้อแปลง (P-E), ขดลวดแรงตํ่ากับตัวถังหม้อแปลง (S-E)
110
# ใช้ ไฟฟ้ ากระแสสลับ วงจรการทดสอบแสดงดังรู ป โดยป้ อนแรงดัน
ประมาณ 400V และสังเกตเข็มโวลท์มิเตอร์ ถ้าวัดแรงดันได้ต่าํ กว่า 400V แสดงว่าเป็ นแบบ
Subtractive polarity และถ้าวัดแรงดันได้สูงกว่า 400V แสดงว่าเป็ นแบบ Additive polarity
111
1.6 Oil test
- เป็ นการทดสอบสภาพความเป็ นฉนวนของหม้อแปลง นํ้ามันหม้อแปลงจะ
ต้องมีค่าความทนของการเป็ นฉนวนที่สูง มีการระบายความร้อนที่ดี ปราศจากสิ่ งเจือปน
มีจุดแข็งตัวช้า มีการระเหยน้อย เป็ นต้น
สาเหตุที่น้ าํ มันเสื่ อมสภาพลง คือ มีการดูดความชื้นในอากาศ หรื อสาร
แปลกปลอมเจือปน ซึ่งส่ วนใหญ่จะเกิดจากการทําปฏิกิริยากับออกซิ เจน (Oxidation) เมื่อมี
การสัมผัสกับอากาศและมากขึ้นเรื่ อย ๆ เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น จะทําให้ผวิ นํ้ายาวานิชที่เคลือบ
ขดลวดหรื อแกนของหม้อแปลงเกิดการละลายได้
2. Type Test
- เป็ นการทดสอบคุณภาพของหม้อแปลง โดยการสุ่ มตัวอย่าง
112
การใช้ หม้ อแปลงไฟฟ้ าอย่ างมีประสิทธิภาพ
3. ปรั บปรุงการใช้ หม้ อแปลงไฟฟ้ าทีม่ ีอยู่เดิมให้ เกิดประโยชน์ สูงสุ ด
3.1. การลดกําลังสู ญเสี ยขณะไม่ มโี หลดของหม้ อแปลงไฟฟ้ า
(การสูญเสี ยในแกนเหล็ก มีค่าคงที่ตลอด) โดยการปลดแรงดันไฟฟ้ าทางด้าน
ปฐมภูมิ (กรณี ที่มีหม้อแปลงมากกว่า 1 ตัว) เช่น ระบบการจ่ายไฟฟ้ าแบบสาย
ประธานสองชุด (Secondary selective) เวลาหยุดทํางานหรื อในวันหยุดสามารถ
ประหยัดพลังงานได้โดยการตัดแรงดันทางด้านปฐมภูมิและทุติยภูมิออก โดยจะต้อง
ติดตั้ง Vacuum CB หรื อ GAS CB ไว้ทางด้านแรงดันสู ง
3.2. การปรับแรงดันไฟฟ้าด้ านทุตยิ ภูมขิ องหม้ อแปลงไฟฟ้ าให้ อยู่ระดับทีเ่ หมาะสม
กรณี ที่ใช้หม้อแปลงไฟฟ้ าที่มีแท็ป (Tap) ซึ่ งจะต้องพิจารณาควบคู่ไปกับความ
ไม่สมดุลของแรงดันไฟฟ้ าในระบบด้วย (Load)
การที่ให้มีการเปลี่ยนแปลงของแรงดันไฟฟ้ าน้อยลง สามารถทําได้โดยการใช้
หม้อแปลงและสายไฟที่มีขนาดใหญ่เพียงพอ หรื อติดตั้ง C Bank ที่ปลายสาย
3.3. การปรับปรุ งค่ าเพาเวอร์ แฟกเตอร์ ในหม้ อแปลงไฟฟ้ า
การปรับปรุ งค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์จะช่วยลดการสูญเสี ยภายในหม้อแปลง ทําให้
หม้อแปลงไฟฟ้ าสามารถจ่ายโหลดได้เพิม่ ขึ้น โดยการติดตั้งตัวเก็บประจุไว้ในตําแหน่ง
ที่ใกล้กบั โหลดที่มีค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ต่าํ
5. การขนานหม้ อแปลงไฟฟ้ า
การขนานหม้อแปลงไฟฟ้ าเข้าด้วนกัน จะช่วยลดการสู ญเสี ยโดยรวมลงได้
113
การบํารุงรักษาหม้ อแปลง
114
อัตราค่ าบริการ
ลําดับที่ ระบบ (เฟส) ขนาด (KVA) ราคาต่ อเครื่อง (บาท)
1 1 ไม่เกิน 50 650.-
2 3 ไม่เกิน 100 950.-
3 3 มากกว่า 100 ถึง 250 1,200.-
4 3 มากกว่า 250 ถึง 500 1,700.-
5 3 มากกว่า 500 ถึง 1,000 2,500.-
6 3 มากกว่า 1,000 ถึง 1,500 3,100.-
7 3 มากกว่า 1,500 ถึง 2,000 4,000.-
8 3 มากกว่า 2,000 ถึง 3,000 5,200.-
9 3 มากกว่า 3,000 ถึง 5,000 7,400.-
** ราคาดังกล่าวไม่รวมค่ากรองนํ้ามัน, สารดูดความชื้นและค่าอะไหล่
ผลดีของการบํารุงรักษาหม้ อแปลง
1. สามารถรับและจ่ายไฟได้อย่างต่อเนื่อง
2. ยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้นและคุม้ ค่า
3. เป็ นการป้ องกันไม่ให้เกิดความเสี ยหายต่อตัวหม้อแปลง
4. ป้ องกันความเสี ยหายต่อกระบวนการผลิต
5. ป้ องกันการเสี ยโอกาสในการผลิต
6. รับทราบสภาพโหลดการใช้งานจริ งของหม้อแปลง
7. ป้ องกันการเกิดอัคคีภยั และอุบตั ิเหตุ
8. ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมหรื อซื้ อใหม่
115
การปรับปรุงค่ าเพาเวอร์ แฟกเตอร์ (Power Factor Correction)
คือ อัตราส่ วนระหว่างกําลังไฟฟ้ าที่ใช้จริ ง (วัตต์) กับ กําลังไฟฟ้ าปรากฏ หรื อ
กําลังไฟฟ้ าเสมือน (VA) ซึ่ ง ค่าที่ดีที่สุด คือ มีอตั ราส่ วนที่เท่ากัน จะมีค่าเป็ นหนึ่ง แต่ในทาง
เป็ นจริ งไม่สามารถทําได้
ตัวอย่ าง 1 โรงงานแห่ งหนึ่ง ระบบแรงดัน 3 เฟส 380 V อ่ านค่ ากระแสจากมิเตอร์ ได้
1,266 A กําลังไฟฟ้ าจริงได้ 500 kW ตัวประกอบกําลังไฟฟ้ าโรงงานแห่ งนีม้ คี ่ าเท่ าใด
3 380 1266
S 833 kVA
1000
P
PF 0.6 (60%)
S
ซึ่ งค่า Power Factor เปลี่ยนแปลงไปตามการใช้ Load ซึ่ ง Load ทางไฟฟ้ ามีอยู่ 3
ลักษณะ คือ
1. Load ประเภท Resistive หรื อ ความต้าน จะมีค่า Power Factor เป็ นหนึ่ง อันได้แก่
หลอดไฟฟ้ าแบบใส้ เตารี ดไฟฟ้ า หม้อหุ งข้าว เครื่ องทํานํ้าอุน่ เป็ นต้น ถ้าหน่วยงานหรื อ
องค์กร มี Load ประเภทนี้เป็ นจํานวนมาก ก็ไม่จาํ เป็ นที่จะต้องปรับปรุ งค่า Power Factor
2. Load ประเภท Inductive หรื อ ความเหนี่ยวนํา จะมีค่า Power Factor ไม่เป็ นหนึ่ง
อันได้แก่ เครื่ องใช้ไฟฟ้ าที่ใช้ขดลวด เช่น มอเตอร์ บาลาสก์ของหลอดฟลูออเรสเซนต์
หลอดแกสดิสชาร์จ เครื่ องปรับอากาศ เป็ นต้น จะเห็นได้วา่ หน่วยงานหรื อองค์กรส่ วนใหญ่
จะหลีกเลี่ยง Load ประเภทนี้ไม่ได้ และมีเป็ นจํานวนมาก ซึ่ งจะทําให้ค่า Power Factor ไม่
เป็ นหนึ่ง และ Load ประเภทนี้จะทําให้ค่า Power Factor ล้าหลัง ( Lagging ) จําเป็ นที่
จะต้องปรับปรุ งค่า Power Factor โดยการนํา Load ประเภทให้ค่า Power Factor นําหน้า (
Leading ) มาต่อเข้าในวงจรไฟฟ้ าของระบบ เช่น การต่อชุด Capacitor Bank เข้าไปในชุด
ควบคุมไฟฟ้ า
116
3. Load ประเภท Capacitive หรื อ Load ที่มีตวั เก็บประจุ (Capacitor) เป็ น
องค์ประกอบ Load ประเภทนี้จะมีใช้นอ้ ยมาก จะมีค่า Power Factor ไม่เป็ นหนึ่ง Load
ประเภทนี้จะทําให้ค่า Power Factor นําหน้า ( Leading ) คือกระแสจะนําหน้าแรงดัน
จึงนิยมนํา Load ประเภทนี้มาปรับปรุ งค่า Power Factor ของระบบที่มีค่า Power Factor
ล้าหลัง เพือ่ ให้ค่า Power Factor มีค่าใกล้เคียงหนึ่ง
2. ประหยัดค่าไฟฟ้ า
3. ลดกําลังงานสู ญเสี ยในสายไฟฟ้ าลง
- 1 เฟส 2I 2 R
- 3 เฟส 3I 2 R
117
ตัวอย่ าง 3 มอเตอร์ 50 HP 3 เฟส 380 V PF 0.72 ใช้ สายขนาด 35 mm2
ยาว 180 m ระยะเวลาทีใ่ ช้ งานรวม 160 ชม/เดือน ถ้ าค่ าไฟหน่ วยละ 2.75 บาท
สามารถประหยัดค่ าไฟฟ้ าหลังจากปรับปรุง PF เป็ น 0.95 ได้ กบี่ าทต่ อปี ความ
ต้ านทานสายเท่ ากับ 0.005 โอห์ มต่ อเมตร
50 746
PF 0.72 I 78.7 A
3 380 0.72
50 746
PF 0.95 I 59.5 A
3 380 0.95
1 1
kVA kW ( Load )
Cos 1 Cos 2
5. ลดแรงดันไฟฟ้ าตก
6. เพิม่ ประสิ ทธิ ภาพระบบไฟฟ้ าทั้งระบบ
118
การปรับปรุงค่ าตัวประกอบกําลังไฟฟ้ า (Power Factor)
ในการปรับปรุ งค่าตัวประกอบกําลังไฟฟ้ าสําหรับระบบที่มีค่าตํ่านั้น สามารถทําได้โดย
จะต้องหาแหล่งกําเนิดกําลังไฟฟ้ ารี แอกทีฟมาช่วยจ่ายชดเชยให้กบั ระบบ ได้แก่ ซิ งโครนัส
มอเตอร์และคาปาซิ เตอร์ ในส่ วนของคาปาซิ เตอร์เป็ นอุปกรณ์ที่จ่ายกําลังไฟฟ้ า รี แอกตีฟ
ชนิดหนึ่งที่ราคาถูก และนิยมใช้กนั มาก
จากสามเหลี่ยมกําลังไฟฟ้ า
kVAr kW tan
kVAr kVA sin
kVAr ก่อนปรับปรุ ง kW tan 1
kVAr ปรับปรุ ง kW tan 2
ดังนั้น kVAr ของคาปาซิเตอร์ kW (tan 1 tan 2 )
119
ตัวอย่ าง 4 จากตัวอย่ างที่ 1 โหลดขนาด 500 kW ตัวประกอบกําลังไฟฟ้ า 0.60 ล้ า
หลัง ถ้ าต้ องการปรับปรุงตัวประกอบกําลังไฟฟ้ าเป็ น 0.95 ล้ าหลัง จะต้ องเลือกขนาดคาปา
ซิเตอร์ เท่ าใด
Cos 1 0.6 ; 1 53.13
Cos 2 0.95 ; 2 18.19
Cos 1 0.6
Cos 2 0.95
ค่าแฟกเตอร์จากตาราง 1.01
120
121
การปรับปรุงคุณภาพไฟฟ้ า โดยการแก้ปัญหาฮาร์ โมนิคส์
พลังงานไฟฟ้ าที่ถูกส่ งมาในรู ปของแรงดันและกระแสที่มีความถี่ 50 Hz แต่ในความ
เป็ นจริ งนั้นระบบไฟฟ้ าจะมีแรงดันและกระแสที่มีความถี่ไม่เท่ากับ 50 Hz ปนมาด้วยเสมอ
โดยอาจจะมีความถี่ 150 Hz หรื อ 250 Hz หรื อมากกว่า โดยค่ าความถีม่ ีค่าเป็ นจํานวนเท่ า
ของ 50 Hz ก็จะเรี ยกว่ าเป็ น ฮาร์ โมนิกส์ เช่ น 150 Hz เรียกว่ าเป็ นฮาร์ โมนิกส์ ทสี่ าม คือ
122
ฮาร์ โมนิคส์ ทสี่ าม
ผลกระทบจากฮาร์ โมนิกส์
ระบบไฟฟ้ าที่มีฮาร์โมนิกส์ปริ มาณมากปะปนมา อุปกรณ์ไฟฟ้ าทุกชนิดจะได้รับ
ส่ งผลกระทบโดยตรงจนอาจทําให้ทาํ งานผิดปกติ เสื่ อมสภาพเร็ วกว่าปกติ หรื ออาจชํารุ ด
เสี ยหายได้
123
สัญญาณเตือนทีบ่ อกว่ าเราจะต้ องพิจารณาปัญหาเรื่ องฮาร์ โมนิกส์ คือ
1. เมือ่ มีอปุ กรณ์ ไฟฟ้ าเป็ นแหล่ งกําเนิดฮาร์ โมนิกส์ ปริมาณมากในระบบ
พิจารณาจากขนาดโดยรวมของอุปกรณ์ที่สามารถสร้างฮาร์โมนิกส์ได้ ในรู ปของ
ค่า kVA ที่มีปริ มาณตั้งแต่ 20% ของขนาดหม้อแปลงของระบบ เช่น ถ้าหม้อแปลงของ
โรงงานมีขนาด 1000 kVA และโรงงานมีอุปกรณ์ที่สามารถสร้างฮาร์โมนิกส์ได้ เช่น AC
Drive หลาย ๆ ตัว ซึ่ งมีขนาดรวมกันแล้วไม่ต่าํ กว่า 200 kVA โรงงานนี้มีโอกาสสู งที่จะมี
ปั ญหาจากฮาร์โมนิกส์ได้
124
หม้ อแปลงออโต (The Autotransformer)
ชนิดของหม้ อแปลงออโต
1. Step-up autotransformer
2. Step-down autotransformer
112
1. Step-up autotransformer
จากรู ปวงจรจะได้
VC NC
VSE N SE
NC IC N SE I SE
แรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั
VL VC
VH VC VSE
กระแสไฟฟ้ า
IL I C I SE
I H I SE
113
เมือ่ พิจารณาในส่ วนของแรงดันไฟฟ้าทีเ่ กิดขึน้
VH VC VSE
N SE
เมือ่ VSE VC and VL VC
NC
N SE
VH VC VC
NC
N SE N SE N C
VH VL VL VL
NC NC
VL NC
VH N SE N C
I L I C I SE
N SE
เมือ่ I C I SE and I H I SE
NC
N SE
IL I SE I SE
NC
N SE N SE N C
IL IH IH IH
NC NC
IL N SE N C
IH NC
114
เมือ่ พิจารณาในส่ วนของกําลังงานปรากฏทีเ่ กิดขึน้ ( Sin , Sout )
Sin VL I L
Sout VH I H
SW VC I C VSE I SE
เมือ่ I L I C I SE , I H I SE และ VL VC
SW VC I C
VL ( I L I H )
VL I L VL I H
NC
จาก IH IL
N SE N C
SW VL I L VL I H
NC
VL I L VL I L
N SE N C
( N SE N C ) N C
VL I L
N SE N C
N SE
S IO
N SE N C
S IO N NC
SE
SW N SE
115
116
117
2. Step-down autotransformer
จากรู ปวงจรจะได้
VC NC
VSE N SE
NC IC N SE I SE
แรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั
VL VC
VH VC VSE
กระแสไฟฟ้ า
IL I C I SE
I H I SE
118
เมือ่ พิจารณาในส่ วนของแรงดันไฟฟ้าทีเ่ กิดขึน้
VH VC VSE
N SE
เมือ่ VSE VC and VL VC
NC
N SE
VH VC VC
NC
N SE N SE N C
VH VL VL VL
NC NC
VH N SE N C
VL NC
I L I C I SE
N SE
เมือ่ I C I SE and I H I SE
NC
N SE
IL I SE I SE
NC
N SE N SE N C
IL IH IH IH
NC NC
IH NC
IL N SE N C
119
เมือ่ พิจารณาในส่ วนของกําลังงานปรากฏทีเ่ กิดขึน้ ( Sin , Sout )
Sin VH I H
Sout VL I L
SW VC I C VSE I SE
เมือ่ I L I C I SE , I H I SE และ VL VC
SW VC I C
VL ( I L I H )
VL I L VL I H
NC
จาก IH IL
N SE N C
SW VL I L VL I H
NC
VL I L VL I L
N SE N C
( N SE N C ) N C
VL I L
N SE N C
N SE
S IO
N SE N C
S IO N NC
SE
SW N SE
120
121
หม้ อแปลงเครื่องมือวัด (Instrument Transformers)
ในการวัดค่าปริ มาณทางไฟฟ้ าต่าง ๆ เช่น แรงดันไฟฟ้ า กระแสไฟฟ้ า ทั้งทางด้าน
แรงดันไฟฟ้ าสู งหรื อแรงดันไฟฟ้ าตํ่านั้น ค่าต่าง ๆ นี้จะมีปริ มาณสูง ซึ่ งยากสําหรับการวัดค่า
โดยตรง จึงจําเป็ นจะต้องลดระดับลงมา เพือ่ ประโยชน์สาํ หรับการวัดและการป้ องกัน ซึ่ ง
เครื่ องอุปกรณ์ที่ใช้ในการลดระดับค่าแรงดันไฟฟ้ าและกระแสไฟฟ้ าให้ต่าํ ลงนี้ เรี ยกว่า หม้ อ
แปลงเครื่องมือวัด (Instrument Transformers) แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท
1. หม้อแปลงกระแส (Current Transformer, CT.)
2. หม้อแปลงแรงดัน (Voltage Transformer, VT.)
122
หม้ อแปลงกระแส แบ่ งออกเป็ น 2 แบบคือ
1. หม้อแปลงกระแสสําหรับการวัด (Measurement Current Transformer) เช่น metering
system ต่าง ๆ
2. หม้อแปลงกระแสสําหรับการป้ องกัน (Protection Current Transformer) เช่น Relay,
Trip coil เป็ นต้น
123
124
ระบบไฟฟ้ าแรงสูง
ระบบไฟฟ้ า 20 kV
125
เครื่ องกลไฟฟ้ ากระแสตรง
DC. Machines
1. โครงสร้ างของเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง
เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าและมอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสตรง มีลกั ษณะโครงสร้างและหลักการ
ทํางานเหมือนกันทุกอย่าง ดังนั้นเครื่ องกลไฟฟ้ ากระแสตรงตัวหนึ่งจึงสามารถใช้งานเป็ นได้
ทั้งเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าและมอเตอร์ ไฟฟ้ า ซึ่ งโครงสร้างจะประกอบด้วย 2 ส่ วนใหญ่ ๆ คือ
ส่ วนที่อยูก่ บั ที่และส่ วนที่เคลื่อนที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
(ก)
(ข) (ค)
รู ปที่ 3 วงจรแม่เหล็ก (ก) ชนิด 2 ขั้ว (ข) ชนิด 6 ขั้ว (ค) ชนิด 4 ขั้ว
4
การตรวจสอบการต่อขดลวดขนานนั้น สามารถตรวจสอบได้โดยการใช้เข็มทิศตรวจ
สอบ โดยการนําเข็มทิศสอดเข้าไปที่ดา้ นหน้าของขั้วแม่เหล็กแต่ละขั้ว ขั้วแม่เหล็กที่เกิดขึ้น
จะต้องสลับกันไป สําหรับขดลวดอนุกรมนั้นก็ตรวจสอบได้ในทํานองเดียวกัน ดังแสดงใน
รู ปที่ 4
รู ปที่ 5 แปรงถ่าน
รู ปที่ 6 แกนเหล็กอาร์เมเจอร์
7
รู ปที่ 7 ขดลวดอาร์เมเจอร์
รู ปที่ 8 คอมมิวเตเตอร์
2. การพันขดลวดอาร์ เมเจอร์
2.1 ขดลวดอาร์ เมเจอร์
ขดลวดอาร์เมเจอร์จะประกอบด้วยชุดขดลวด แต่ละขดจะพันอยูใ่ นร่ องสล็อทของ
แกนเหล็กอาร์เมเจอร์ โดยปกติแล้วขดลวดจะถูกพันขึ้นรู ปมีขนาดเท่ากับความกว้างของแกน
เหล็กอาร์เมเจอร์แล้วหุม้ ทับด้วยฉนวนมาก่อน หลังจากนั้นจึงนําไปบรรจุลงในร่ องสล็อท
เพราะจะทําให้ขดลวดแต่ละขดมีความยาวและมีน้ าํ หนักสมดุลไม่เกิดการแกว่งในขณะหมุน
2.3 ลิม่
ลิ่ม ทํามาจากวัสดุประเภทฉนวนไฟฟ้ า ซึ่ งจะถูกยัดลงไปในร่ องสล็อทเหนือ
ขดลวดอาร์เมเจอร์ เพื่ออัดไม่ให้ขดลวดกระเด็นหลุดออกมา เนื่องจากแรงเหวีย่ งหนีศูนย์
กลางในขณะที่แกนเหล็กอาร์เมเจอร์หมุน
10
รู ปที่ 12 การพันขดลวดแบบแลปชนิดดูเพล็กซ์
12
เมือ่ a จํานวนทางผ่านขดลวดในอาร์เมเจอร์
m จํานวนชุดขดลวดของการพัน
เท่ากับ 1 เมื่อพันขดลวดชนิดซิ มเพล็กซ์
เท่ากับ 2 เมื่อพันขดลวดชนิดดูเพล็กซ์
เท่ากับ 3 เมื่อพันขดลวดชนิดทริ พเพล็กซ์
P จํานวนขั้วแม่เหล็ก
3. แรงเคลือ่ นไฟฟ้าเหนี่ยวนําในเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง
แรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําที่เกิดขึ้นที่ขดลวดตัวนําแต่ละขดมีค่าเท่ากับ
เมือ่ v = ความเร็ ว, m / s
B = ความหนาแน่นเส้นแรงแม่เหล็ก, Wb / m 2
l = ความยาวของตัวนํา, m
ZvBl
Ea Volts
a
ดังนั้น จะได้
Zr Bl
Ea Volts
a
เมือ่ Z = จํานวนตัวนําทั้งหมดในอาร์เมเจอร์
r = รัศมีของแกน
= ความเร็ วเชิงมุม, rad / s
a = จํานวนวงจรขนานในอาร์เมเจอร์
Simplex Lap aP Simplex Wave a2
เมือ่ Duplex Lap a 2P Duplex Wave a4
Triplex Lap a 3P Triplex Wave a6
16
B(2 rl )
จากสมการเส้ นแรงแม่ เหล็กต่ อขั้ว (Flux per pole) BAp
P
ดังนั้น จะได้ สมการแรงเคลือ่ นไฟฟ้ าเหนี่ยวนําทีเ่ กิดขึน้ ทีอ่ าร์ เมเจอร์ ในเครื่องกลไฟฟ้ า
กระแสตรง คือ
Zr Bl
Ea
a
ZP 2 rlB
Volts
2 a P
ZP
2 a
เมือ่ P = จํานวนขั้วแม่เหล็ก
= จํานวนเส้นแรงแม่เหล็กต่อขั้วแม่เหล็ก, เวเบอร์
Ea K Volts
ZP
เมือ่ K = ค่าคงที่ในเครื่ องกลไฟฟ้ า K
2 a
17
และจากสมการ Ea
ZP
สามารถเขียนสมการแรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําได้ คือ
2 a
ZPn
Ea Volts
60 a
2 n
เมือ่ = ความเร็ วเชิงมุม, rad / s
60
n = ความเร็ วรอบของโรเตอร์, รอบ/นาที ( rpm. )
Ea K n Volts
ZP
เมือ่ K = ค่าคงที่ในเครื่ องกลไฟฟ้ า K
60a
ZP
(b) The induced voltage in the machine is Ea K ' n and K '
60a
The number of conductor in this machine is
Z 2CN C
2(72)(12) 1728 conductors
F B
ZrlBI a
ind
a
เมือ่ Z = จํานวนตัวนําทั้งหมดในอาร์เมเจอร์
r = รัสมีของแกน
l = ความยาวของตัวนํา, m
B = ความหนาแน่นเส้นแรงแม่เหล็ก, Wb / m2
Ia = กระแสอาร์เมเจอร์
a = จํานวนวงจรขนานในอาร์เมเจอร์
20
B(2 rl )
จากสมการเส้ นแรงแม่ เหล็กต่ อขั้ว (Flux per pole) BAp
P
ดังนั้น จะได้ สมการแรงบิดทีเ่ กิดขึน้ ทีอ่ าร์ เมเจอร์ ในเครื่องกลไฟฟ้ ากระแสตรง คือ
ZrlBI a
ind
a
ZP 2 rlB
Ia
2 a P
ZP
Ia
2 a
ind K I a Volts
ZP
เมือ่ K = ค่าคงที่ในเครื่ องกลไฟฟ้ า K
2 a
จากสมการแรงบิดที่เกิดขึ้น cond F r N m
ดังนั้น จะได้
Fr 2 n
Power
60
Fr
Joule / sec or Watt
แต่ ind K I a
จะได้
Power
K I a Ea K
Ea I a
กําลังทางกล = กําลังทางไฟฟ้ า
Ea I a
2 n
Ea I a
60
60 Ea I a
2 n
9.55Ea I a
N m
n
23
24
Wh Bmax
1.6
fV Watt
- เหล็กซิลิกอน 191 J / m 2
Pout
100%
Pout Ploss
27
คอมมิวเตชั่นในเครื่องกลไฟฟ้ากระแสตรง
(Commutation in dc machines)
คือ การที่ขดลวดอาร์เมเจอร์ขดหนึ่งได้มีการกลับทิศทางการไหลของกระแส ในขณะที่
ผ่านแนวแกนศูนย์สนามแม่เหล็ก (Magnetic neutral axis) ซึ่ งทําให้เกิดการลัดวงจรผ่านช่วง
ความกว้างของแปรงถ่านที่อยูบ่ นคอมมิวเตเตอร์น้ นั ๆ
31
2. การทํางานของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
จากหลักการเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําในขดลวดตัวนําในหัวข้อ 1 นั้นเป็ นการ
กําเนิดไฟฟ้ ากระแสสลับที่มีรูปคลื่นเป็ นซายน์ (Sin wave) แต่ถา้ ต้องการไฟฟ้ ากระแสตรง
สามารถทําได้โดยใช้ปลอกทองเหลือง 1 วง ผ่าซีกแบ่งออกเป็ น 2 ส่ วน ปลายของขดลวด
ตัวนําทั้งสองจะถูกต่อเข้ากับภายในของวงแหวนผ่าซี กทั้งสองนั้นสลับกันไปมาตลอดเวลาที่
มีการหมุนของตัวนํา ดังแสดงในรู ปที่ 2
รู ปที่ 5 ขดลวดตัวนําในอาร์เมเจอร์หมุนตัดสนามแม่เหล็ก
ดังนั้น จึงสรุ ปได้วา่ แรงเคลือ่ นไฟฟ้ าทีเ่ กิดขึน้ ในตัวนําหนึ่ง ๆ นั้นเป็ นแรงเคลื่อน
ไฟฟ้ ากระแสสลับเสมอ ส่ วนด้ านออกนั้นจะเป็ นไฟฟ้ ากระแสสลับหรื อไฟฟ้ ากระแสตรงก็
ขึน้ อยู่กบั ตัวทีน่ ําไฟออกมาจากตัวนําเหล่ านั้น ถ้ าต้ องการไฟฟ้ ากระแสสลับก็ให้ ใช้ สลิปริง
แต่ ถ้าต้ องการไฟฟ้ ากระแสตรงก็ให้ ใช้ คอมมิวเตเตอร์ (ซี่ ทองแดงหลาย ๆ ซี่ ที่นาํ มาต่อกัน
เป็ นรู ปวงแหวนทองเหลืองทรงกระบอก โดยที่แต่ละซี่ ของคอมมิวเตเตอร์จะมีฉนวนเป็ นตัว
กั้น) และแปรงถ่านมาต่อเข้ากับตัวนําที่ตดั กับสนามแม่เหล็กเหล่านั้น
35
3. ทิศทางของแรงเคลือ่ นไฟฟ้าเหนี่ยวนํา
การหาทิศทางของแรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําที่เกิดจากการเหนี่ยวนํานั้น สามารถหา
ได้โดยใช้กฎมือขวาของเฟลมมิง่ (Fleming’s right hand rule) ซึ่ งกล่าวไว้วา่ “นิ้วชี้แสดง
ทิศทางของเส้นแรงแม่เหล็ก นิ้วหัวแม่มือแสดงทิศทางของการเคลื่อนที่ของขดลวดตัวนําและ
นิ้วกลางแสดงทิศทางของแรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําที่เกิดขึ้นในขดลวดตัวนํา” ดังรู ปที่ 6
รู ปที่ 6 การใช้กฎมือขวาของเฟลมมิ่ง
36
4. แรงเคลือ่ นไฟฟ้าเหนี่ยวนําในเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
สมการแรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําที่ได้ คือ
Eg K Volts
ZP
เมือ่ K = ค่าคงที่ในเครื่ องกลไฟฟ้ า K
2 a
และจากสมการ Eg
ZP
สามารถเขียนสมการแรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําได้ คือ
2 a
ZPn
Eg Volts
60 a
2 n
เมือ่ = ความเร็ วเชิงมุม, rad / s
60
n = ความเร็ วรอบของโรเตอร์, รอบ/นาที ( rpm. )
5. ชนิดและคุณลักษณะของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
5.1 ชนิดของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง (Types of generator)
เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงนั้น สามารถแบ่งตามลักษณะของการกระตุน้ ขดลวด
สนามแม่เหล็ก (Field coil) ได้เป็ น 2 ประเภท
1. เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบกระตุ้นแยก (Separately excited generator)
2. เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบกระตุ้นตัวเอง (Self excited generator)
DC Generators
E g VT I a Ra Volts
คุณลักษณะของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบกระตุ้นแยก
- คุณลักษณะสภาวะไม่ มโี หลด เป็ นความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันกับกระแสไฟฟ้ าที่
ไหลผ่านขดลวดสนามแม่เหล็ก โดยให้เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าหมุนด้วยความเร็ วที่คงค่าหนึ่งแล้ว
ทําการปรับค่ากระแสไฟฟ้ าที่ไหลผ่านขดลวดสนามแม่เหล็ก โดยการปรับที่รีโอสแตตตั้งแต่ 0
แอมแปร์ ไปจนกระทัง่ ถึงค่าสู งสุ ด ดังแสดงในรู ปที่ 8 (ก) ดังนั้นก็จะได้คุณลักษณะสภาวะ
ไม่มีโหลดของเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบกระตุน้ แยก ดังแสดงในรู ปที่ 8 (ข)
(ก)
(ข)
รู ปที่ 8 คุณลักษณะสภาวะไม่มีโหลดของเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบกระตุน้ แยก
40
(ก)
เมือ่ ต่ อโหลดจะทําให้
VT Eg I a Ra Armature Reaction ( )
41
(ข)
รู ปที่ 9 The terminal characteristic of a separately excited dc generatorr
with and without compensating winding
Armature Reaction
เกิดจากกระแสไฟฟ้ าไหลในขดลวดอาร์เมเจอร์ แล้วไปสร้างสนามแม่เหล็กต้านกับ
สนามแม่เหล็กหลัก จึงทําให้ฟลัก๊ แม่เหล็กมีค่าลดลง และทําให้แรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนํา
Eg ลดลง จึงส่ งผลให้แรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั VT ลดลงตามไปด้วย
ดังนั้น จะต้องหาแรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั VT เมื่อเกิดปรากฏการณ์ Armature Reaction
โดยพิจารณาจาก magnetization curve และค่า equivalent field current ดังสมการ
AR EA n
I *f I f และ
Nf E A0 n0
เมื่อ
If = Field current
AR = แรงเคลื่อนแม่เหล็ก เนื่องจาก AR
Nf = จํานวนรอบต่อโพล ของขดลวดสนามแม่เหล็ก
43
44
45
วศ.บ.ฟฟ. ส3 / 3
46
วศ.บ.ฟฟ ส2 / 13 มค 52
วศ.บ.ฟฟ 2 / 14 มค 52
47
Eg VT I a ( Ra Rs ) Volts
คุณลักษณะของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบอนุกรม
- คุณลักษณะสภาวะไม่ มโี หลด สามารถทําได้โดยการต่อแหล่งจ่ายไฟฟ้ ากระแสตรง
เข้าขดลวดซี รีส์ฟิลด์ ดังรู ปที่ 11 (ก) โดยให้เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าหมุนด้วยความเร็ วที่คงที่ค่า
หนึ่ง แล้วทําการเปลี่ยนแปลงค่ากระแสไฟฟ้ าที่ไหลผ่านขดลวดซี รีส์ฟิลด์ โดยการปรับที่รี
โอสแตต โดยเริ่ มต้นที่ 0 แอมแปร์ แล้ววัดแรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั ดังนั้นก็จะได้คุณลักษณะ
สภาวะไม่มีโหลดของเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบอนุกรม ดังแสดงในรู ปที่ 11 (ข)
(ก)
(ข)
รู ปที่ 11 คุณลักษณะสภาวะไม่มีโหลดของเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบอนุกรม
49
(ก)
50
(ข)
รู ปที่ 12 คุณลักษณะสภาวะมีโหลดของเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบอนุกรม
Eg VT I a Ra Volts
52
คุณลักษณะของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบขนาน
- คุณลักษณะสภาวะไม่ มโี หลด สามารถทําได้เช่นเดียวกันกับเครื่ องกําเนิด ไฟฟ้ า
กระแสตรงแบบอนุกรม
- คุณลักษณะสภาวะมีโหลด หรือคุณลักษณะภายนอก โดยพิจารณาจากรู ปวงจร
ที่ 14 (ก) เมื่อให้เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าหมุนด้วยความเร็ วที่คงที่ค่าหนึ่ง จะพบว่าแรงดัน ไฟฟ้ าที่
ขั้วของเครื่ องกําเนิดจะลดลงเรื่ อย ๆ เมื่อกระแสไฟฟ้ าไหลผ่านโหลดมีค่าเพิม่ ขึ้น ดังแสดงใน
รู ปที่ 14 (ข) การลดลงของแรงดันไฟฟ้ านั้นเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุ 3 ประการ คือ
(ก)
53
Vt
volt
240
220
I a R a drop
200 Armature reaction drop
140
IL
0 1 2 3 4 5 6 A
กระแสโหลด
(ข)
Eg VT I a Ra I s Rs Volts
56
Eg VT I a ( Ra Rs ) Volts
58
คุณลักษณะของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบผสม
เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรงแบบผสม เป็ นการรวมเอาคุณลักษณะของเครื่ องกําเนิด
แบบอนุกรมและแบบขนานเข้าด้วยกัน ซึ่งคุณลักษณะของเครื่องกําเนิดไฟฟ้ าแบบอนุกรม
นั้น เมื่อโหลดเพิม่ ขึน้ จะทําให้ แรงดันไฟฟ้ าทีข่ วั้ เพิม่ ขึ้นด้ วย ส่ วนในเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าแบบ
ขนานนั้น เมื่อโหลดเพิม่ ขึน้ แรงดันไฟฟ้ าทีข่ วั้ นั้นจะลดลง ดังนั้นถ้านําเอาคุณลักษณะของ
เครื่ องกลไฟฟ้ าทั้งสองมารวมไว้ในเครื่ องกําเนิดตัวเดียวกัน และ ปรับกระแสที่ไหลผ่านขดลวด
ซี รีส์ฟิลด์ให้เหมาะสม ก็จะสามารถลดปั ญหาของแรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั ลดลงของเครื่ องกําเนิด
แบบขนานได้ โดยใช้ ขดลวดซีรีส์ฟิลด์ เป็ นตัวชดเชย ซึ่งทําให้ ได้ แรงดันไฟฟ้าทีข่ ้วั เกือบคงที่
(แบบราบเรียบตลอดช่ วงทีม่ โี หลด) เมือ่ โหลดเพิม่ ขึน้ ได้ เรี ยกว่า ผสมเสมอระดับ (Flat
compound) แต่ ถ้าเพิม่ จํานวนรอบของขดลวดซีรีส์ฟิลด์ ให้ เพิม่ ขึน้ อีกก็อาจจะทําให้ แรงดัน
ไฟฟ้ าทีข่ ้วั เพิม่ ขึน้ ประมาณ 5% เรี ยกว่า ผสมมากไป (Over compound) แต่ ถ้าลดจํานวนรอบ
ของขดลวดซีรีส์ฟิลด์ ให้ น้อยลงกว่ าปกติ ก็จะทําให้ แรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนํา ทีเ่ กิดขึน้ มีปริมาณ
น้ อยเกินไป ซึ่งไม่ เพียงพอทีจ่ ะชดเชยแรงดันไฟฟ้าทีข่ ้วั ลดลงได้ และในขณะทีไ่ ม่ มโี หลดนั้น
จะได้ แรงดันไฟฟ้าตามปกติ แต่ เมือ่ ไหร่ กต็ ามทีโ่ หลดมีค่าเพิม่ ขึน้ จะทําให้ แรงดันไฟฟ้าทีข่ ้วั
ลดลงไปประมาณ 20% ของแรงดันปกติ เรี ยกว่า ผสมขาด (Under compound)
ส่ วนใหญ่จะนิยมต่อเป็ นแบบซ๊อตชันต์คิวมูเลทีฟคอมปาวด์หรื อลองชันต์คิวมูเลทีฟ
คอมปาวด์ ซึ่ งมักเรี ยกสั้น ๆ ว่า เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าแบบคิวมูเลทีฟคอมปาวด์ (Cumulative
compound generator) เพราะสามารถปรับแรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั ได้ดีกว่าชนิดอื่น
ส่ วนการต่อแบบซ๊อตชันต์ดิฟเฟอเรนเชียลคอมปาวด์หรื อลองชันต์ดิฟเฟอเรนเชียล
คอมปาวด์ ไม่ค่อยนิยมใช้ เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเส้นแรงแม่เหล็กมาก จึงส่ งผลทํา
ให้แรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําที่เกิดขึ้นมีค่าเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย จะใช้ในลักษณะงาน
เฉพาะอย่างเท่านั้น เช่น งานเชื่อมไฟฟ้ า เพราะว่าให้กระแสสูงและไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ถึงแม้วา่ แรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากก็ตาม
59
60
net f se AR
N f I *f N f I f N se I se AR
N se
I *f I f I se AR
Nf Nf
เมื่อ
If = Field current
AR = แรงเคลื่อนแม่เหล็ก เนื่องจาก AR
N se = จํานวนรอบต่อโพล ของขดลวดซี รีส์ฟิลด์
Nf = จํานวนรอบต่อโพล ของขดลวดชันต์ฟิลด์
net f se AR
N f I *f N f I f N se I se AR
N se
I *f I f I se AR
Nf Nf
เมื่อ
If = Field current
AR = แรงเคลื่อนแม่เหล็ก เนื่องจาก AR
N se = จํานวนรอบต่อโพล ของขดลวดซี รีส์ฟิลด์
Nf = จํานวนรอบต่อโพล ของขดลวดชันต์ฟิลด์
61
ประสิ ทธิภาพในเครื่องกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรง
(Efficiency in dc generator, )
ประสิ ทธิ ภาพของเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรง คือ อัตราส่ วนของกําลังไฟฟ้ าที่
เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าจ่ายออกหรื อกําลังเอาต์พตุ ต่อกําลังไฟฟ้ าที่เครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าได้รับหรื อ
กําลังอินพุต นัน่ คือ
Efficiency,
Power output
Power input
100%
Pout
100%
Pout Ploss
63
จาก Power-Flow Diagram ทีไ่ ด้ สามารถหาค่ าประสิ ทธิภาพตามส่ วนต่ าง ๆ ได้ ดงั นี้
ประสิทธิภาพสู งสุ ด
Pout Pout
max
Pin Pout Ploss
VL I L
VL I L Pcopper Pconstant
VL I L
; IL Ia
VL I L I L2 Ra Pconstant
1
I R P
1 L a constant
VL VL I L
d I L Ra Pconstant
1 0
dI L L V VL I L
R P
0 a constant 0
VL VL I L2
I L2 Ra Pconstant
วิธีทาํ
140,175.875
ดังนั้น กําลังม้ าของตัวต้ นกําลัง (H.P.) มีค่าเท่ ากับ 187.903 H .P.
746
หรือ
Pin Pcore friction 140,175.875 5, 000
m 0.96433 96.433%
Pin 140,175.875
67
หรือ
Pout 125, 000
e 0.92472 92.472%
Pout Pcopper 125, 000 10,175.875
หรือ
Pout 125, 000
0.89173 89.173%
Pin 140,175.875
6. การรักษาและควบคุมแรงดันไฟฟ้า
6.1 การรักษาระดับแรงดันไฟฟ้า (Voltage regulation)
เป็ นการรักษาระดับแรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั ของเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรง ในสภาวะไม่
มีโหลด (No-load) จนกระทัง่ ถึงสภาวะมีโหลดเต็มที่ (Full-load) เมื่อเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ าหมุน
ด้วยความเร็ วรอบคงที่ ถ้าการเปลี่ยนแปลงของแรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั ระหว่างไม่มีโหลดจนกระทัง่
มีโหลดเต็มที่มีนอ้ ย แสดงว่าเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ามีเรคกูเลชัน่ ที่ดี แต่ถา้ การเปลี่ยนแปลงของ
แรงดันไฟฟ้ าที่ข้ วั ระหว่างไม่มีโหลดจนกระทัง่ มีโหลดเต็มที่มีค่ามาก แสดงว่าเครื่ องกําเนิด
ไฟฟ้ าตัวนี้มีเรคกูเลชัน่ ไม่ดี โวลต์เตจเรคกูเลชัน่ ของเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรง สามารถ
คํานวณได้จากสมการ คือ
VNL VFL
%Reg 100%
VFL
69
i Motion
i
F B
(ก) (ข)
รู ปที่ 1 การเกิดแรงบนตัวนําและกฎมือซ้ายของเฟลมมิ่ง
2
และขนาดของแรงที่เกิดขึ้นนี้สามารถหาได้จาก
F Bil
Force on armature
conductor
ia ia
Rotation
รู ปที่ 2 หลักการของมอเตอร์
3
ua
eb ia
แรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําต้านกลับที่เกิดขึ้นที่อาร์เมเจอร์สามารถหาได้จาก
ZP
Eb Volts
2 a
Eb K Volts
ZP
เมือ่ K = ค่าคงที่ในมอเตอร์ไฟฟ้ า K
2 a
จาก Eb
ZP
สามารถเขียนสมการแรงเคลื่อนไฟฟ้ าเหนี่ยวนําต้านกลับได้ใหม่ คือ
2 a
ZPn
Eb Volts
60 a
2 n
เมือ่ = ความเร็ วเชิงมุม, rad / s
60
n = ความเร็ วรอบของโรเตอร์, รอบ/นาที ( rpm. )
หรือ
Eb K n Volts
ZP
เมือ่ K = ค่าคงที่ในมอเตอร์ไฟฟ้ า K
60a
a ind K I a
ZP
เมือ่ K = ค่าคงที่ในมอเตอร์ K
2 a
ดังนั้น แรงบิดทีเ่ กิดขึน้ ในมอเตอร์ ไฟฟ้ ากระแสตรง จึงขึน้ อยู่กบั ตัวแปรดังต่ อไปนี้
1. ค่ าคงทีข่ องเครื่องกลไฟฟ้ า, K
2. เส้ นแรงแม่ เหล็กทีเ่ กิดขึน้ ในเครื่องกลไฟฟ้ า,
3. กระแสอาร์ เมเจอร์ , I a
Eb I a
แรงบิดที่เกิดขึ้นที่อาร์เมเจอร์ สามารถคํานวณได้จากสมการ a
2 n
60
TLoss Ta Tsh
หรือ
Pcore Pfriction
TLosses N m
2 n
60
7
วิธีทาํ
cond F r 500 0.05 25 N m
2 n 2 800
Pout 25 2094.395 Watt
60 60
2094.395
Pin 2327.106 Watt
0.9
2327.106
Ia 10.578 A
220
nm Rm nLoad RLoad
1800 Rm 800 0.2
800 0.2
Rm
1800
8.889 cm.
8
Efficiency,
Power output
Power input
100%
nNL nFL
% SR 100%
nFL
4. ชนิดและคุณลักษณะของมอเตอร์ ไฟฟ้ากระแสตรง
มอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสตรงนั้น สามารถแบ่งตามลักษณะของการกระตุน้ ขดลวดสนาม
แม่เหล็ก (Field coil) ได้เป็ น 2 ประเภท เช่นเดียวกับเครื่ องกําเนิดไฟฟ้ ากระแสตรง คือ
1. มอเตอร์ ไฟฟ้ ากระแสตรงแบบกระตุ้นแยก (Separately excited motor)
2. มอเตอร์ ไฟฟ้ ากระแสตรงแบบกระตุ้นตัวเอง (Self excited motor)
2.1 มอเตอร์ ไฟฟ้ ากระแสตรงแบบอนุกรม (Series motor)
2.2 มอเตอร์ ไฟฟ้ ากระแสตรงแบบขนาน (Shunt motor)
2.3 มอเตอร์ ไฟฟ้ ากระแสตรงแบบผสม (Compound motor)
9
Eb Vt I a Ra Volts
Speed Torque
Power
Efficiency
Ia
0 A
Eb Vt I a Ra
ind
K Vt Ra
K
V
t ind 2 Ra
K K
11
Eb Vt I a ( Ra Rs ) Volts
ปกติ ind I a
แต่ Series Ia
ind I a2
ปกติ Eb m
Eb
m
เมือ่
Ia
Eb Vt I a Ra
ind
K Vt Ra
K
V
t ind 2 Ra
K K
Eb Vt I a Ra I s Rs Volts
Eb Vt I a ( Ra Rs ) Volts
รู ปที่ 12 วงจรช่วยหมุนแบบวิธีควบคุมแรงดันอาร์เมเจอร์
29
วิธีการควบคุมความเร็วของมอเตอร์ ไฟฟ้ากระแสตรง
(Speed control methods of dc motor)
มอเตอร์ไฟฟ้ ากระแสตรงนับได้วา่ มีบทบาทและความสําคัญต่องานอุตสาหกรรมใน
ปั จจุบนั ในงานบางอย่างมีความจําเป็ นต้องใช้ความเร็ วรอบของมอเตอร์ที่ต่าง ๆ กัน ซึ่ งเรา
สามารถทําได้โดยการควบคุมความเร็ วของมอเตอร์ได้จากความสัมพันธ์ดงั นี้ คือ
Eb Vt I a Ra
แต่ Eb K
Vt I a Ra
K
Vt Eb
Ia
Ra
d
J Tm TL
dt
Tm K I a
Eb K
32
d
J Tm TL
dt
Eb K
Vt Eb
Ia
Ra
Tm K I a
33
34
Tm
Pm
Ia
0 Base speed Maximum speed
Increasing Re
Tm
37
Shunt motor
Series motor
รู ปที่ 19 การเบรคมอเตอร์แบบขนานแบบไดนามิค
44