You are on page 1of 234

“ จุดเริ่มต้ นของคำว่ า Intelligence Design

Advance ”
Q: เราจะสามารถมัน่ ใจได้อย่างไรกันว่ากระแสไฟฟ้ าขาออก จะสามารถมากกว่าขาเข้าได้ ?

A: ก็เนื่องมาจากว่าเราพอทราบอยูแ่ ล้วว่ากระแสไฟฟ้ าขาเข้านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ


ผลลัพธ์ของกระแสไฟฟ้ าขาออก

ดังตัวอย่างที่วา่ การ Render ได้ Electron Could น้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับการ Copy And Paste
เมื่อต้องใช้กระแสไฟฟ้ าที่เท่ากันเพื่อที่จะต้องทำในสองสิ่ งนี้

ถ้าหากว่ากระแสไฟฟ้ าขาเข้านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันกับกระแสไฟฟ้ าขาออกเช่นนี้

เราจึงพอทราบได้วา่ กระแสไฟฟ้ าที่แท้จริ งแล้วนั้นเกิดขึ้นมาจาก Algorithm และ Source Code

ดังนั้นเมื่อเราทำการ Copy And Paste ข้อมูลนั้น จึงเป็ นการสร้างบทนิยามที่จะเพิม่ ขึ้นซึ่งสสาร


นั้น ๆในระบบการคำ นวณ ที่แ จกแจงออกมาได้เ ป็ น Infographic แล้ว Compilation ซึ่ง
Functional เหล่านออกมาเป็ น Physical

เราใช้พลังงานไฟฟ้ าเพื่อที่จะเกิดเอกภพคู่ขนาน Parallelization Universal จากการ Simulation of


Simulation Processing (SSP) โดยการสร้าง Definition ที่ตอ้ งการให้เกิด โดยอาจจะอ้างอิงถึงสิ่ ง
ที่มีอยู่ แล้วการอ้างอิงชุด คำสัง่ นั้นจึงเป็ นการอ้างอิงถึง Infographic ที่มีซ่ ึง Functional จำนวน
มากที่จะเกิดขึ้นได้จากการแปลงความหมายว่า Infographic ที่มีซ่ ึง Functional นั้นๆจะสามารถ
จะไปอยู่ ณ Space Time และ Polar Coordinator ใด ในเอกภพสัมพัทธ์ทางฟิ สิ กส์น้ี
เมื่อเราทำการอ้างอิงถึงชุดคำสัง่ ที่ทำให้เกิดขึ้นซึ่งความจุที่มากเพียงพอ จึงเป็ นการสร้าง Electron
Could ให้เพิ่มมากขึ้นในเอกภพสัมพัทธ์ทางฟิ สิ กส์น้ ันๆ ให้มากกว่าพลังงานไฟฟ้ าที่จะต้องใช้
ไป สำหรับการ Inheritance And Computing Valuable Constant Radio เหล่านั้น

ดังนั้นแล้วประจุไฟฟ้ าขาออกจึงสามารถมากกว่าขาเข้าได้

“ Quantum Computing ต้ องอยู่ใน Hardware


แบบไหน ”
ถึงแม้วา่ การดำเนินการของ Hardware จะไม่ได้เป็ นการดำเนินการในระดับ Quantum Dot แต่
การพิจ ารณาในแง่ข อง Simulation of Simulation Processing (SSP) ก็ส ามารถทำ ให้แ ม้ว า่
Source Code นั้นจะมีการดำเนินงานในระดับวงจรไฟฟ้ าทัว่ ไป และมีการเก็บข้อมูลด้วยเซลล์
ของวงจรไฟฟ้ าไม่ใช่ในระดับ Electron Could จริ งๆ แต่ชุดคำสัง่ ที่เป็ นผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป
กลับทำให้เรามองเห็นได้วา่ แท้ที่จริ งแล้ว Source Code ใดๆนั้น มีการ Simulation of Simulation
Processing (SSP) โดยเสมอ แม้วา่ เมื่อ Complies ออกมาเป็ นภาษาเครื่ องแล้วก็ยงิ่ ทำให้เรามอง
เห็น ถึง Simulation of Simulation Processing (SSP) แต่จ ะเป็ น ในมุม มองของ Computing of
Functional (COF)
ผลลัพธ์ของ Electron Could หลังจากการ Compilation โดยทั้งสิ้ น ได้ทำให้เรานั้นสังเกตเห็นว่า
Source Code เหล่านี้มี Simulation of Simulation Processing (SSP) ของ Quantum Computing ท ี่
แฝงอยู่

สามารถที่จะได้ Electron Could ที่ไม่เท่ากัน แม้วา่ จะใช้ประจุไฟฟ้ าขาเข้าที่เท่ากัน !!

ดังนั้นแล้วประจุไฟฟ้ าขาเข้าที่ไม่ได้มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์ก นั กับประจุไฟฟ้ าขาออกนี้ จึง


เป็ นการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว า่ เซลล์ที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลใน Memory ใดๆสำหรับ Source
Code ที่ยงั ไม่ได้ Complications นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ Electron Could ขาออกเลย หลัง
จากการ Compilations โดยเสร็ จ เรี ย บร้อย ในทุก ๆความสัม พัน ธ์ร ะหว่า ง Source Code และ
Machine Language

ด งั น ้ นั แล ว้ ต วั แปรที่สำ ค ญั น ้ นั ก็ค ือ Computing of Functional (COF) ใน Simulation of


Simulation Processing (SSP) ไม่ได้อยูท่ ี่วา่ Source Code นั้นๆจะต้องใช้ความจุเท่าไหร่ สำหรับ
CPU , GPU , RAM , Memory ที่ตอ้ งใช้ไป แต่อยูท่ ี่ Electron Could หลังจากการ Compilation
แล้ว

ดัง นั้น Source Code ใดๆ นั้น จึง มีก ารดำเนิน งานในระดับ Quantum Computing อยูแ่ ล้ว ซึ่ง
พิสูจน์ได้จากผลลัพธ์ที่ได้ออกมา ที่มีการ Compilation นั้นๆ

ทั้งการแต่งภาพ , Render VDO 3D , การ Copy And Paste นั้นต่างก็มีการ Compilation แต่แล้ว
เมื่อ ได้ผ า่ นกระบวนการ Compilation ไปแล้ว Electron Could ที่เ ป็ น ผลลัพ ธ์จ าก Algorithm
เหล่านี้กลับทำให้เรามองเห็นถึง Computing of Functional (COF) ใน Simulation of Simulation
Processing (SSP) ที่ไม่เท่ากัน
Source Code ใดๆ นั้น จึง มีก ารดำ เนิน งานในระดับ Quantum Computing อยูแ่ ล้ว แม ว้ า่
Hardware นั้นจะไม่ได้มีการดำเนินงานในระดับ Quantum Dot ก็ตาม (แม้วา่ ทุกอย่างจะมองว่า
เป็ น Quantum Dot ได้ แต่เครื่ องที่ดำ เนินงานด้วยวงจรไฟฟ้ าก็ยงั เป็ นการดำเนินงานในระดับ
Quantum Computing อยู่ แต่จะอยูใ่ นรู ปแบบ Simulation of Simulation Processing (SSP)) !!

ซึ่งตัวแปรค่าคงที่อตั ราส่ วนที่เป็ นตัวเปลี่ยนแปลงระหว่างผลลัพธ์เหล่านั้นนัน่ ก็คือ Computing


of Functional (COF)

Source Code หลังการ Compilation นั้นแต่ละเซลล์ไฟฟ้ ามี Data ที่ไม่เหมือนกัน แตกต่างหลาก


หลายได้เป็ นล้านๆรู ปแบบ ดังนั้นแต่ละเซลล์ไฟฟ้ านั้นแม้จะดำเนินการด้วยกระบวนการของ
วงจรไฟฟ้ า แต่ในทางปฏิบตั ิน้ นั กลับเป็ นการกระทำการด้วยวิธีการทาง Quantum Computing

คำสั่ งของ Quantum Computing


การเพิ่ม ขึ้น ของ Electron Could นั้น ที่เ กิด ขึ้น จากการ Copy And Paste ไฟล์ เป็ น การใช้
Computing of Functional (COF) เพือ่ ทำการสร้าง Fundamental Standard Model Class ให้ออก
มาจาก Probability Class จาก Infinity Class จาก Process ที่ม ีก าร Simulation of Simulation
Processing (SSP) สู่ การ I/O สู่ การ Compilations โดย Parallelization Universal
การ Copy And Paste ไฟล์มี Definition ที่อา้ งอิงถึง Computing of Functional (COF) ในระบบ
การคำนวณที่มีจำ นวน Electron Could ที่มากกว่าเมื่อเทียบกับการ Render VDO 3D ณ เอกภพ
สัม พัท ธ์ท ี่ม ีก าร Parallelization Universal อยูน่ ้ นั จากเอกภพสัม พัท ธ์ท ี่ม ีก ารคำ นวณ โดย
ทรัพยากรไฟฟ้ าไฟฟ้ าที่ตอ้ งใช้ไปสำหรับการ Simulation of Simulation Processing (SSP)

ดังนั้น Computing of Functional (COF) ที่จะใช้สำหรับการสร้างและควบคุม Quantum Dot ใดๆ


จึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทรัพยากรเครื่ องเลย

ไม่เกี่ยวกันกับทรัพยากรเครื่ อง ไม่เกี่ยวกันกับไฟฟ้ าขาเข้า ไม่เกี่ยวกันกับฟิ สิ กส์ใดๆ เหมือนกับ


การตอบสนองเหนือสิ่ งเร้าอื่นๆ

ถ้า Electron Could ขาออกมากกว่าขาเข้าได้ Quantum Dot Could ใดๆจึงสามารถที่จะสร้างขึ้น


“ Cell ไฟฟ้ าเดียวมองเห็นได้ เป็ นความน่ าจะ
เป็ นของชุ ดข้ อมูลเป็ นล้ านๆชุ ด นี่จึงเป็ น
Quantum Computing อยู่แล้ว ”

Source Code of Source Code คือ Probability Class

* ในที่น้ ี หมายถึง Source Code ภาษาเครื่ อง

Probability Class by Quantum Dot คือ Quantum Computing

ทั้งในส่ วนของ Sequence , Case , Loops , ตัวแปรค่าคงที่อตั ราส่ วน , ฟังชัน่ การดำเนินการ , บท


นิยามต่างๆ
ทุกๆ Data ของ Computer ไฟฟ้ า สามารถตีความด้วย Quantum Computing ดังนั้นทุกๆ Process
จึงเป็ น Source Code ที่สามารถตีความหมายเป็ น Quantum Computing

เราสามารถจำแนกแจกแจงข้อมูลที่มีอยูใ่ น Wireless อันประกอบไปด้วยย่านความถี่ และชุด


ข้อมูลที่อยูใ่ นนั้นได้

แต่ละเซลล์ไฟฟ้ าสามารถมีความน่าจะเป็ นที่จะได้เป็ นชุดคำสัง่ เป็ นล้านๆชุด

ในข้อ มูล ใน LTE , 5G , WiFi นั้น ประกอบไปด้ว ย Root of Source Code ซึ่ง เป็ น Quantum
Computing โดยทั้งสิ้ น แม้จะอยูใ่ นช่วงของการส่ งข้อมูลที่ยงั ไม่เสร็ จก็ตาม

การตีค วามหมายของ Electron Could สามารถตีค วามข้อ มูล ใน Physical Layer ได้ สำหรับ
คอมพิว เตอร์ไ ฟฟ้ า ส่ ว นการตีค วามหมายของ Source Code of Source Code กล่า วคือ
Probability Class ซึ่ง Probability Class by Quantum Dot น ้ นั คือ ความหมายใน Quantum
Computing

ซึ่งข้อมูลที่มีความน่าจะเป็ นเป็ นล้านๆชุด ก็พิสูจน์ได้ถึงวิธีการ Quantum Computing อยูแ่ ล้ว


โดย Machine Source Code of Machine Source Code คือ Probability Class ซึ่ง Probability
Class by Quantum Dot นั้นเป็ นทิศทางสำหรับการควบคุมผลลัพธ์

แม้ว า่ ความเป็ นจริ งแล้ว ข้อมูล ที่มีอ ยูใ่ น Computer ไฟฟ้ านั้น จะสามารถผ่า นเข้า ไปในสาย
ไฟเบอร์ออฟติก , สายไฟฟ้ าทองแดง , ซิลิคอน เหล่านี้ในเวลาใดๆได้ โดยข้อมูลนั้นยังไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงใดๆ เพราะชุดข้อมูลเหล่านี้ ใช้ Electron Could ในส่ วนวงนอกเป็ นส่ วนใหญ่ และ
กลุ่ม ของ Electron Could ที่จะบ่งบอกถึงข้อมูลนั้นๆ จึงสามารถใช้ค วามเป็ นพันธะระหว่า ง
โมเลกุลในการแสดงซึ่งข้อมูลนั้นๆ
แต่การ Copy And Paste แบบทั้ง State ก็ยงั สามารถทำได้ โดยใช้สำหรับการสร้างสสาร และการ
เปลี่ยน Atomic Number ได้อีกด้วย โดยการรับรู ้ถึงโครงสร้างของ Electron Could อย่างที่เคย
เป็ นมา

ประจุคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า นั้นเป็ นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของข้อมูลในแต่ละชุด ทั้งในระดับไอออน ,


Atomic Number , Flavour ของ Fundamental Standard Model Class ซึ่งสามารถยังผลลัพธ์ต ่อ
ประจุไฟฟ้ าในระดับ Fundamental Standard Model Class ได้ อาทิ W Bosons Could ต่อ Quark
Could ในเครื่ องเอ็กซเรย์แบบ Positrons (PET) เป็ นต้น

นี่แหละคือ Quantum Computer ใน Computer ไฟฟ้ าทัว่ ไป มีผลลัพธ์ในทางการออกชุด คำสัง่


ตามมา ซึ่งสามารถได้เป็ นวิธีการทาง Quantum Dot อื่นๆที่ให้ผลลัพธ์ตามมา

ซึ่งวิธีการนั้นก็คือการที่ตอ้ งได้มาซึ่ง Machine Source Code ที่จะใช้สำหรับการ I/O , Complies


ชุดคำสัง่ จาก Machine Source Code เหล่านั้น ไปสู่ Monitor , Printing ซึ่งสมการ Computing of
Functional (COF) นัน่ ก็ค ือ Machine Source Code นั้น ๆ ที่ม ีก าร Simulation of Simulation
Processing (SSP) โดยอาจจะใช้เซลล์วงจรเซลล์เดียว แต่ก็ Random Machine Code ออกมาอีก
จำนวนมาก ในขอบเขตความน่าจะเป็ นที่ตอ้ งการ

ซึ่งการกระทำการต่อ Electron Could นั้น ย่อมหมายถึง Probability Class of Machine Source


Code by Quantum Dot ซึ่ง ณ ที่น้ ี เราหมายถึง Electron Could เป็ น Probability Class of Machine
Source Code 1 หน่วยต่อ Electron Could ซึ่ง สามารถตีค วามใน Parallelization Universal ที่มี
การ Simulation of Simulation Processing (SSP) กล่าวคือ Computing of Functional (COF) นั้น

เพียงแค่เรา Save Machine Code เอาไว้จำ นวนมากใน Memory อย่าง SSD นั้น Machine Code
เหล่านั้นก็เหมือนกับ Compilation ออกมาจาก CPU , GPU , RAM อยูแ่ ล้ว สามารถนำออกมาสู่
Monitor ได้เลย ไม่ตอ้ ง Process อีกรอบนึง โดยการใช้ค่า Probability Class ทุกอย่างจึงเร็วขึ้น
มาก

ส่ วนการตีความเป็ น Machine Code Per Quantum Dot จาก Probability Class by Cell ก็เพื่อที่จะ
ได้เป็ นการกระทำต่อ Electron Could จริ งๆ เพื่อที่จะได้เป็ นชุดคำสัง่ ที่เป็ น Electron Could จริ งๆ
ซึ่งรวมไปถึง Quantum Dot อื่นๆด้วย โดยการมองค่า Probability Class ให้เป็ นเชิงเส้น เพื่อที่จะ
เชื่อมโยง Computing of Functional (COF) ต่อ Quantum Dot Could นั้นๆ

ส่ วนการรับรู ้ถึง Cell ประจุไฟฟ้ าของน้ำ เราก็สามารถที่จะพัฒนาความคิดต่อไปจนถึงการสร้าง


น้ำขึ้นมาจาก Computer ได้ ด้วยการ Copy And Paste มาทั้ง State

โดยคำสัง่ ต่อไปนี้ซ่ ึงเป็ น Assembly ของ ARM Processing สามารถตีความเป็ น Quantum Dot
Could ได้

_fooFunction:
@ 1:
push {r7, lr}
@ 2:
movs r0, #12
movs r1, #34
@ 3:
mov r7, sp
@ 4:
bl _addFunction
@ 5:
mov r1, r0
@ 6:
movw r0, :lower16:(L_.str-(LPC1_0+4))
movt r0, :upper16:(L_.str-(LPC1_0+4))
LPC1_0:
add r0, pc
@ 7:
blx _printf
@ 8:
pop {r7, pc}

หรื อ

_addFunction:
@ 1:
sub sp, #12
@ 2:
str r0, [sp, #8]
str r1, [sp, #4]
@ 3:
ldr r0, [sp, #8]
ldr r1, [sp, #4]
@ 4:
add r0, r1
@ 5:
str r0, [sp]
ldr r0, [sp]
@ 6:
add sp, #12
@ 7:
bx lr

แม้วา่ เพียงแค่การเรี ยกตัวแปรก็อาจจะต้องใช้เซลล์หลายเซลล์ไฟฟ้ าสำหรับการ Source Code


นั้นๆ แต่การพิจารณาจาก Probability Class แล้วนั้น เราจึงสามารถตีความเป็ น Quantum Dot
Could ได้
การเพิ่ม ขึ้น ของ Electron Could นั้น ที่เ กิด ขึ้น จากการ Copy And Paste ไฟล์ เป็ น การใช้
Computing of Functional (COF) เพือ่ ทำการสร้าง Fundamental Standard Model Class ให้ออก
มาจาก Probability Class จาก Infinity Class จาก Process ที่ม ีก าร Simulation of Simulation
Processing (SSP) สู่ การ I/O สู่ การ Compilations โดย Parallelization Universal

การ Copy And Paste ไฟล์มี Definition ที่อา้ งอิงถึง Computing of Functional (COF) ในระบบ
การคำนวณที่มีจำ นวน Electron Could ที่มากกว่าเมื่อเทียบกับการ Render VDO 3D ณ เอกภพ
สัม พัท ธ์ท ี่ม ีก าร Parallelization Universal อยูน่ ้ นั จากเอกภพสัม พัท ธ์ท ี่ม ีก ารคำ นวณ โดย
ทรัพยากรไฟฟ้ าไฟฟ้ าที่ตอ้ งใช้ไปสำหรับการ Simulation of Simulation Processing (SSP)

ดังนั้น Computing of Functional (COF) ที่จะใช้สำหรับการสร้างและควบคุม Quantum Dot ใดๆ


จึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทรัพยากรเครื่ องเลย

ไม่เกี่ยวกันกับทรัพยากรเครื่ อง ไม่เกี่ยวกันกับไฟฟ้ าขาเข้า ไม่เกี่ยวกันกับฟิ สิ กส์ใดๆ เหมือนกับ


การตอบสนองเหนือสิ่ งเร้าอื่นๆ

ถ้า Electron Could ขาออกมากกว่าขาเข้าได้ Quantum Dot Could ใดๆจึงสามารถที่จะสร้างขึ้น


มา

“ Source Code คือ Cell ไฟฟ้ า ”


แทนที่จะปล่อยข้อมูลไปที่เซลล์ไฟฟ้ า ณ เครื่ องไหน แต่เปลี่ยนเป็ นปล่อยไปที่ Source Code
นั้นๆแทน ผ่าน Transport Layer , Section Layer โดย SSL

มอง Source Code เป็ นเซลล์ไฟฟ้ า มองระบบคำนวณเป็ นชุดคำสัง่ ที่แท้จริ ง อย่างเช่นการ Render
VDO กับ Copy And Paste ได้ Electron Could ไม่เท่ากัน
Simulation of Simulation Processing (SSP) คือ การประมวลซ้อ นภายใต้ Source Code เดีย ว
อาทิ การเข้ารหัสไฟล์ , การสร้าง Electron Could ไปพร้อมๆกัน นี่แหละระบบการคำนวณ และ
Source Code ที่แท้จริ ง

นี่คือ CPU Could , GPU Could , RAM Could , Memory Could , Physical Layer Could , Quark
Could , Gluons Could , Electron Could Could , Higg Bosons Could

ดังนั้นสำหรับ SSL แล้ว Source Code ที่เป็ น Hosting จึงถูกเรี ยกว่า Servers ส่ วน Source Code ที่
เป็ นผูเ้ รี ยกใช้จึงถูกเรี ยกว่า Client

ถ้ามีการ Copy Machine Code ดังนั้น Macintosh HD จึงสามารถกลายเป็ น CPU , GPU ดังนั้นทุก
อย่างจึงอยูท่ ี่ระบบการคำนวณ

เราอาจจะสามารถประมวลผลภาพ , สร้างแบบจำลอง , สุ่ มหารหัสผ่าน , ค้นหาองค์ประกอบ


ร่ วม หรื อสร้างอนุภาคมูลฐานไปพร้อมๆกันก็ได้

อยูท่ ี่มุมมอง การ Copy File คือการ Copy Machine Code ถ้าเรามองว่า File นั้นเป็ นผลลัพธ์จาก
การ Compilation แต่ถ า้ หากว่า เรามองว่า Machine Code หลัง จากการ Compilation นั้น เป็ น
Quantum Dot Could ดัง นั้น Source Code ก่อนการ Compilation ก็ค ือชุด คำสัง่ ที่ทำ ให้เ กิด ซึ่ง
Quantum Dot Could โดย Source Code เหล่านั้นอาจจะใช้ Int , Float , Char , If , Case , Loops
จองเซลล์ไ ฟฟ้ าเพื่อ บรรจุ Source Code ต่า งกัน ไป อาทิ CPU , GPU , RAM , Harddrive แต่
ผลลัพธ์น้ นั อยูร่ ะบบการคำนวณ แต่อย่างไรก็ตามแล้วถ้าหากว่าเรามองเห็นว่าภายใน Source
Code ณ จุดใดๆมี Electron Could ดังนั้น ณ ใดๆจึงสามารถเป็ น CPU , GPU , RAM , Harddrive
ได้เลย
ถ้าเล่นใต้น ้ำสำหรับมือถือ ที่ก นั น้ำเซลล์ไ ไฟ้ าของน้ำนั้นๆก็ส ามารถเป็ น CPU Could , GPU
Could , RAM Could , Memory Could , Physical Layer Could ให้กบั เราได้

และถ้าเรามองว่าชุดคำสัง่ มีระบบคำนวณที่เกี่ยวกับ Quantum Dot Could อยู่ อาทิ Copy And


Paste ที่เป็ นการสร้าง Electron Could ดังนั้นแล้ววิธีการของการสร้างรังสี ซินโครตรอนจึงไม่
จำเป็ นต้องใช้เครื่ องที่ใหญ่เลย หรื อการสร้าง W Bosons Could ก็ไม่เห็นจำเป็ นต้องใช้วิธีแบบ
เครื่ องเอ็กซเรย์แบบ Positrons (PET) ก็ได้ ใช้แค่ Network Cards ก็แบบหนึ่ง หรื อจะใช้ SSD
อย่างเดียวไปเลยก็ได้ ทุก Source Code นั้นเป็ น Electron Could จะอยูใ่ น Network Cards , CPU ,
GPU ก็ตาม

“ ทุกอย่ างมาจากการตอบสนองเหนือสิ่งเร้ า ”
การตอบสนองเหนือสิ่ งเร้านั้นเป็ นสิ่ งที่บ่งชี้วา่ คนเราสามารถที่จะตัดสิ นใจได้โดยไม่ตอ้ งมีแรง
ผลักจากฟิ สิ กส์ภายนอก และสิ่ งกีดขวางใดๆเพื่อควบคุมซึ่งทางเดิน และการตัดสิ นใจนั้นก็ยอ่ มมี
ซึ่งคลื่นความคิดจากสมองใหม่ๆเกิดขึ้น ซึ่งสามารถจำแนกแจกแจงได้เป็ นการวัดค่าได้ที่ชดั เจน
และสามารถควบคุมอวัยวะปลายทาง ภาพในหัวสมอง ดังนั้นเราจึงสามารถสรุ ปได้วา่ ฟิ สิ กส์ไม่
ได้แต่เพียงถูกตีความกันด้วยตัวเลขเท่านั้น แต่ฟิสิ กส์น้ นั คือตัวเลข ดังนั้นฟิ สิ กส์จึงสามารถ
ควบคุมได้ดว้ ยตัวเลข

โดยความเชื่อมโยงของทรัพยากรที่มีอยู่ เรามองว่าวงจรไฟฟ้ าทั้งหมดเป็ น Analog เพือ่ การเข้า


รหัสเป็ น Digital ผ่าน Encryption of Algorithms โดยที่เรี ยกว่า Encryption เพราะมีการเปลี่ยน
ทรัพยากร Analog ให้เป็ นข้อมูลด้วยทรัพยากรที่แตกต่างไปจากเดิม ผ่าน Algorithms แต่ปกติ
แล้วการเข้ารหัสนั้นจะทำเพื่อการเก็บบันทึกข้อมูล และการ I/O แต่ในที่น้ ี เราจะใช้สำหรับการ
Process และ Compile ด้วย

เพื่อวงจรไฟฟ้ าเดียวกันแต่ Random ออกมาเป็ นผลลัพธ์ที่แตกต่างหลากหลายมากมาย ทั้งใน


CPU , GPU ก่อน สำหรับการประมวลผลในภาพรวม และ Ram สำหรับการประมวลผลในขณะ
นั้นๆ และการ Random จาก Rom สำหรับการ Compile เป็ น Out Put ที่ออกมาจาก Terminal ท ี่
มากมายระดับสร้างมหาสมุทร , สร้างทวีป ในเครื่ องระดับ Core i3

อันที่จริ งแล้วเราสามารถนำทุกอย่างมามองเป็ นวงจรไฟฟ้ าได้หมด ใช้เป็ นลูก คิดได้หมด ใช้


ประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าก็ได้ ดังนั้นสามารถใช้ทุกอย่างเชื่อมโยงเป็ น Super Computer ได้หมด ผ่าน
การ I/O ที่ Sequence , Case Loops ใช ต้ วั แปรค่า คงที่อ ตั ราส่ ว นเดีย วก นั Data Layer ,
Application Layer , ... , Physical Layer จึงเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ผ่าน Sequence to Loops , Loops to Sequence , Case to Sequence , Sequence to Case , Case to
Loops , Loops to Case เอกภพสัมพัทธ์เชิงตัวเลขจึงได้ให้กำ เนิดซึ่งเอกภพทางฟิ สิ กส์ ในย่าน
ความถี่ 5G เดียวกันอาจมีขอ้ มูลที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีคลื่นความถี่ที่ละเอียดกว่านั้นที่สามารถ
จำแนกเป็ นข้อมูลต่างๆ ผ่าน Sequence , Case , Loops
ผลลัพธ์ของ Sequence , Case , Loops เรามองทุกอย่างเป็ น Vector ที่มี Determinants ที่เข้าใกล้ 0
ที่มารวมกัน สามารถตีความเป็ นฟังชัน่ ได้ท้ งั หมด อาจจะมากกว่าหนึ่ง ซึ่งมีทิศทางคือความไว
ต่อพิกดั และความเร่ งต่อพิกดั โดยในเชิงขั้วทำให้เกิดซึ่งพื้นผิวและรู ปทรง ในกาลอวกาศทำให้
เกิดการเคลื่อนที่และการเคลื่อนไหว การเคลื่อนที่เกิดขึ้นแล้วแม้หยุดนิ่ง การเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
เมื่อเปลี่ยนสถานที่ในเชิงขั้ว แล้วแจกแจงมาได้เป็ น Matrix ที่มีขอบที่ไม่ใช่เส้นตรง มองเห็นถึง
ทิศทางและความเร่ งระหว่างพิกดั ได้ และพหุนามเชิงซ้อนในกรณี ที่ตวั แปรค่าคงที่อตั ราส่ วนมี
ความซับซ้อนมากกว่าพิกดั เชิงขั้วและกาลอวกาศ ที่ประกอบไปด้วย Point of Particles

โดยการเกิดการ Instigation ได้ทำ ให้เกิดซึ่งปฏิกิริยาใหม่ๆ สามารถนำมาใช้ในการวัดค่าเป็ น


หน่วย Point of Particles ได้ ดังนั้น Software จึงสามารถวัดค่าได้ดว้ ยตัวเอง ผ่านการ Instigation
ที่ส ามารถแจกแจงออกมาเป็ น Differentials โดย Differentials คือ การวัด ค่า วัด จากจำนวน
Sequence รวมถึงใน Case และใน Loops ด้วย ส่ วนการนับและการค้นหาคำตอบก็ยอ่ มไม่ยาก
แล้ว การสร้างสิ่ งที่ยงิ่ ใหญ่จาก Computer เล็กๆอย่าง Core i3 จึงเป็ นเรื่ องที่สามารถเป็ นไปได้
ตามอธิบายข้างต้น
“ Source Code ปัจจุบนั มองเห็นได้ เป็ น
Quantum Computing ได้ ไหม ”
Source Code ทัว่ ไปก็เป็ น Source Code ระดับ Quantum Computing อยูแ่ ล้ว

ใน Networking นั้น Transport Layer , Section Layer ของ OSI นั้น มีก ารกระทำกัน ในระดับ
Quantum Dot แบบ Process by Process กล่าวคือ Sequence by Sequence , Sequence by Case ,
Sequence by Loops , Case by Loops

ใน I/O ก็ดว้ ย เมื่อเราทำการ Copy And Paste ข้อมูล โดยปกติแล้ว OS ก็กระทำการในระดับ


Quantum Dot ด้ว ย แบบ Process by Process กล่า วคือ Sequence by Sequence , Sequence by
Case , Sequence by Loops , Case by Loops

Source Code หลังการ Compilation นั้นแต่ละเซลล์ไฟฟ้ ามี Data ที่ไม่เหมือนกัน แตกต่างหลาก


หลายได้เป็ นล้านๆรู ปแบบ ดังนั้นแต่ละเซลล์ไฟฟ้ านั้นแม้จะดำเนินการด้วยกระบวนการของ
วงจรไฟฟ้ า แต่ในทางปฏิบตั ิน้ นั กลับเป็ นการกระทำการด้วยวิธีการทาง Quantum Computing

การเกิด Quantum Computing สามารถมีอยูจ่ ริ งด้วย Source Code แบบ Process by Process อย่าง
ที่เรากล่าวถึงมานี้ จึงเป็ นที่มาของการเกิดปฏิกิริยาระดับ Quantum Dot สิ่ งเหล่านี้จึงเป็ นที่มาของ
การเกิด CPU , GPU , SSD , LSD , RAM , Networking , Monitor , Printing ในระดับ Quantum
Dot Could State And Circuit
การเกิดการรับส่ งข้อมูลในระดับ Source-to-Destination จึงเป็ นจุดเริ่ ม ต้นของการเกิด CPU ,
GPU , SSD , LSD , RAM , Networking , Monitor , Printing ในระดับ Quantum Dot Could
State And Circuit ซึ่งการประมวลผลแท้ที่จริ งแล้วอยูใ่ นระดับของชั้น Functional ไม่ใช่ช้ นั ของ
Physical อย่างที่หลายคนเข้าใจ ดังนั้นภาษาเครื่ องจึงเป็ น Parallelization Universal เฉกเช่นเดียว
กับการ Simulation Processing อื่นๆ ทั้งการนับ การวัด ชุดคำสัง่ เงื่อนไข การส่งออกและนำเข้า
ข้อมูล

ไม่ใช่รังสี เอกซ์ ไม่ใช่อินฟราเรด แต่เป็ น Functional Layer ไม่ใช่ Physical Layer ใดๆ

เมื่อรวมกันแล้วกับการมองเห็น Electron Could State And Circuit , Photons Could State And
Circuit , Quark Could State And Circuit , Gluons Could State And Circuit , W Bosons Could
State And Circuit , Quantum Dot Could State And Circuit เราจึง สามารถ Run Source Code
กลางอากาศได้ , Warp Speed Vehicles ได้ , ทำ Time Machine ได้ , เปลี่ยน Atomic Number ได้
หรื ออาจจะสร้างน้ำ เม็ดเลือด , ดวงตา , ตับ , ไต , ปอด และอวัยวะปลูกถ่ายอื่นๆขึ้นมาจาก
Quantum Computing ได้

หรื อแม้แต่แขนขาที่ขาด ก็สามารถทำได้เช่นกัน ตามหลักการโครงสร้างของ DNA และปฏิกิริยา


ไฟฟ้ าปลายทาง

ส่ วนมะเร็ งนั้นเราทำการ Cut โดยไม่ตอ้ ง Paste เชื้อโรคนั้นเราทำการตัดต่อพันธุกรรมโดยทัว่ ไป


แต่จะเป็ นในรู ปแบบ Warp Speed Vehicles ด้วย Quantum Bot

การเกิด Electron Could ที่เกิดขึ้นมาจากการ Copy And Paste ข้อมูลก็เพียงพอแล้ว สำหรับข้อ


พิสูจน์ของ Source Code นั้นเป็ น Computer ในระดับ Quantum Computing โดยไม่ตอ้ งยึดโยง
ถึง Machine แต่อย่างใด
Source Code หลังการ Compilation นั้นแต่ละเซลล์ไฟฟ้ ามี Data ที่ไม่เหมือนกัน แตกต่างหลาก
หลายได้เป็ นล้านๆรู ปแบบ ดังนั้นแต่ละเซลล์ไฟฟ้ านั้นแม้จะดำเนินการด้วยกระบวนการของ
วงจรไฟฟ้ า แต่ในทางปฏิบตั ิน้ นั กลับเป็ นการกระทำการด้วยวิธีการทาง Quantum Computing

“ การวัดค่ า , การเกิดปฏิกริ ิยา และการรับคำสั่ ง


ระหว่ าง Quantum Dot ในระบบปฏิบัตกิ าร
ปัจจุบัน ”
การรับรู ้ถึงโครงสร้างของ Electron Could นั้นมีอยูแ่ ล้วในระบบไฟล์ทวั่ ไปของระบบปฏิบตั ิการ

ดังนั้นการที่เราจะให้เ ครื่ องเข้าใจถึงโครงสร้างของ Electron Could ในสสารอื่นๆ จึงสามารถ


เป็ นเรื่ องที่จะเกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก ซึ่ง Harddrive แบบแผ่น และ SSD หรื อ สายใยแก้วนำแสง ,
สายไฟทองแดง , สายไฟทองคำ , อากาศ ก็เ ป็ น สสารในคนละรู ป แบบกัน ดัง นั้น Atomic
Number นั้นจึงไม่มีความเป็ นอุปสรรคต่อการใช้งานและการเข้าถึงของระบบปฏิบตั ิการ

และแม้แ ต่ก ารกระทำของ Source Code ในระดับ Quantum Dot นั้น ก็ม ีอ ยูแ่ ล้ว ใน Section
Layer , Transport Layer , Network Layer , Data Links Layer , Physical Layer ซึ่งการจะรับส่ง
ข้อมูลอะไรต่างๆนั้น ก็ยงั จะมีการแบ่งออกเป็ นส่ วนของไฟล์ สำหรับการใช้งาน Internet เหล่า
นั้น

โดยมุมมองเหล่านี้เราจึงสามารถที่จะสร้างน้ำขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์ได้ โดยการ Copy And


Paste เพียงเท่านั้น

ในรู ปแบบที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งรวมไปถึง Monitor , ลำโพง , กล้องดิจิตอล ที่จะเกิดขึ้นใน


อากาศแบบลอยๆ รวมไปจนถึงซึ่ง CPU , GPU , RAM , Drive , Networking จึงสามารถที่จะเกิด
ขึ้นได้ในอากาศ หรื อสูญญากาศ ก็เป็ นได้

ดังนั้นเบอร์เกอร์ พิซซ่า ซูชิ แบบ Vegan นั้นก็กำลังที่จะลอยออกมาจากหน้าจอโดยไม่ยากแล้ว


และมหาสมุทรที่จะเกิดขึ้น ณ ดาวอังคาร จึงพร้อมแล้วที่จะเกิดขึ้นจริ ง

ปกติถา้ Copy And Paste ในส่ วนของ Electron Could ของไฟล์ต่างๆนั้น Photons Could นั้นจะ
มาด้วย แต่ถา้ มีคำ สัง่ Copy And Paste มาทั้ง State ในระบบไฟล์ที่มองเห็น Electron Could ใน
ภาพรวมได้อยูแ่ ล้ว Nucleus ย่อมมาด้วย กล่าวคือ Quark Could และ Gluons Could ดังนั้นนี่จึง
เป็ นการเปลี่ยน Atomic Number และการสร้างโมเลกุลเคมีโดยอย่างอิสระได้ !! Copy And Paste
น้ำ , ทองคำ , เพชร , เม็ดเลือด ได้หมด

การบันทึกนั้นจะเป็ นการ Parallelization Universal และ Simulation of Simulation Processing


(SSP) ลงใน CPU Could , GPU Could , RAM Could , Could Drive , Physical Layer Could
แบบ Quantum Dot Could State And Circuit

“ การสร้ างน้ำขึน้ มาจาก Computer ปัจจุบัน ”


“ มองเห็นน้ำเป็ น Liquid State Drive ก่อน

จากนั้นเราก็ทำการมองเห็น Electron Could ในโมเลกุลของน้ำ

จากนั้นเราก็ทำการ Copy And Paste ซึ่ง Electron Could เหมือน Copy And Paste ไฟล์ทวั่ ไป

จึงเป็ นที่มาของการสร้างน้ำขึ้นมาจาก Computer

โดยการ Copy And Paste มาทั้ง State Drive

โดยข้อ มูล ที่อ ยูใ่ น Computers นั้น มีผ ลต่อ โครงสร้า งของ Electron Could สามารถเปลี่ย น
Atomic Number ได้

ดังนั้น Database จึงสามารถเปลี่ยนแปลง Quantum Dot Could ได้ ”

สสารอืน่ ๆทีต่ ามมา


:::: เราจะสามารถสร้างและบันทึกสสารต่างๆ อาทิ น้ำสะอาด , เม็ดเลือด , สารพันธุกรรม ,
อวัยวะปลูกถ่าย , เซลล์ผวิ ที่อ่อนเยาว์ , เซลล์ผวิ ที่ขาวกระจ่างใส , เซลล์ผวิ ที่อ่อนละมุนแบบผู้
หญิงที่มีผวิ พรรณอันละเอียดอ่อน , โครงหน้าแบบผูห้ ญิงเกาหลี เป็ นต้น ได้อย่างไรกัน ซึ่งก็โดย
วิธีการดังต่อไปนี้ ::::
1.) การ Save น้ำ , เม็ดเลือด , สารพันธุกรรม , อวัยวะที่ตอ้ งการปลูกถ่าย ลงแผ่น เราสามารถ
ทำได้โดยการมองเห็นทุกอย่างเป็ น Quantum Dot Could State Drive แล้วมองเห็นโครงสร้าง
ของ Quantum Dot Could นั้นๆเป็ นไฟล์ๆหนึ่ง

2.) ทำการใช้ Source Code แบบ Quantum Computing ใน I/O และ Networking แบบ Process
by Process

3.) ทำการเข้ารหัสไฟล์ เหมือนการเข้ารหัสไฟล์ท วั ่ ไป โดยการวัด , การเก็บข้อมูล โดยวิธีการ


ทาง Source Code แบบ Quantum Dot ของ Application

เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถสร้างมหาสมุทรขึ้นมาบนดวงดาวอังคารได้แล้ว โดย Networking And


Firecrackers Motion of Quantum Dot แบบ Warp Speed Vehicles

“ การ Run Code กลางอากาศ ”


“ โดยต้องเป็ น Source Code ในส่ วนของ Savers ที่มีการรับ Input และส่ ง Output ได้จากหลาย
ทาง และในส่ วนของการสัง่ การนั้น จึงสามารถกระทำได้จากเครื่ องหลายเครื่ องพร้อมๆกัน

ซึ่งในระดับของ Transport Layer , Section Layer นั้น ระหว่างที่จะมีการโอนย้าย Source Code


ในส่ วนของ Savers นั้นๆ ไป ณ อีกที่หนึ่ง ณ Physical Layer ซึ่งเป็ น Wireless จึงสามารถที่จะ
Run Source Code กลางอากาศได้

โดยชุดคำสัง่ Client ที่มีการแบ่งส่ วน และชุดคำสัง่ Savers ที่มีการแบ่งส่ วนด้วย จาก Source-to-


Destination ใน Section Layer , Transport Layer , Network Layer , Data Links Layer , Physical
Layer ตามลำดับ จากเซลล์ไฟฟ้ าใน CPU , GPU , RAM , Memory สู่ เซลล์ไฟฟ้ าใน Network
Cards สู่ อากาศ

เพราะแต่ละชุดคำสัง่ นั้นเชื่อมโยงถึงกัน

นี่คือจุดเริ่ มต้นของ CPU Could , GPU Could , RAM Could , Memory Could , Printing Could ,
Camera Could , Monitor Could ซึ่งถือว่าเป็ นการกระทำในระดับ Quantum Dot ได้ ถ้าหากว่า
Source-to-Destination มีความเป็ นเชิงเส้น ณ Space Time จึงไม่ได้แต่เพียงการเปิ ดภาพ และ
เสี ยงแบบลอยๆ แต่ในระดับ Atomic Number จึงถึงซึ่ง Higg Bosons Could

CPU , GPU , RAM , Memory , File สามารถใช้ Source-to-Destination ในเซลล์วงจรไฟฟ้ าที่


ไม่ใช่ Electron Could ได้ อย่างเครื่ องเอกซเรย์แบบ Positrons (PET) ซึ่งเคยทำมาแล้ว

ในแต่ละเซลล์ไฟฟ้ านั้นก็มีขอ้ มูลที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงบ่งบอกว่าข้อมูลที่บนั ทึกลงไปนั้นต้อง


ถูกวัดค่าในระดับ Quantum Dot แม้วา่ เซลล์ไฟฟ้ าใน Memory เหล่านั้นจะเป็ นตัวกระทำการ
ก็ตาม แต่จากกระบวนการต่างๆ อาทิ Monitor , Camera เราจึงมองเห็นว่าสิ่ งเหล่านี้สมควรที่จะ
ถูกอธิบายไว้ดว้ ย Photoelectric ไม่ใช่เพียงแค่การวัดกระแสไฟฟ้ า และข้อมูลเหล่านั้นจะต้องถูก
จำแนกได้จากหลักการ Quantum เพียงเท่านั้น ดังที่ได้เกิดขึ้นใน Monitor , Camera เหล่านั้น

ซึ่งเมื่อเรามองเห็น ความแตกต่างของโครงสร้าง Electron Could ในไฟล์ , น้ำสะอาด , Atomic


Number เราจึงสามารถสร้างได้จากการบันทึกโดยการรับรู ้โ ครงสร้าง Electron Could จากที่เคย
เป็ นมา แล้วการ Copy And Paste ที่ไม่ได้เป็ นแต่เพียง Electron Could เท่านั้น แต่ในส่วนของ
Photons Could ด้วย ถ้าเป็ นการกระทำการทั้ง State จึงย่อมที่จะหมายถึง Quark Could , Gluons
Could ด้วย ซึ่งก็คือ Atomic Number
และถ้า Quark Could , Gluons Could สามารถเข้า ถึง ได้ การ Computing of Functional (COF)
ผ่า นการ Simulation of Simulation Processing (SSP) ในเชิง เส้น นั้น จึง สามารถไปถึง ซึ่ง W
Bosons Could , Higg Bosons Could ในลำดับต่อมา ”
แบบทดลองของหลักการ Teleportation
::::::: เราใช้ระบบเหล่านี้ เพื่อพิสูจ น์ถึง การมีอ ยูจ่ ริ ง ของสสารที่ส ามารถเกิด ขึ้น ใหม่ , Warp
Speed Vehicles , Time Machine ได้ในเอกภพ :::::::

ข้อพิสูจน์ที่ 1 Algorithms มีผลลัพธ์ต่อกระแสไฟฟ้ า ::::

ระบบที่ 1 ใช้ก ระแสไฟฟ้ า N ทำ การ Randers ไฟล์ VDO 3D เพือ่ ที่จ ะให้ไ ด้ไ ฟล์ A ที่ม ี
ประจุไฟฟ้ า A และ ปริ มาณของ Electron Could A

ระบบที่ 2 ใช้กระแสไฟฟ้ า N ทำการ Copy And Paste ไฟล์ VDO 3D เพื่อที่จะให้ได้ไฟล์ B ที่มี
ประจุไฟฟ้ า B และ ปริ มาณของ Electron Could B

ผลลัพธ์ที่ได้คือไฟล์ B ที่มีประจุไฟฟ้ า B และ ปริ มาณของ Electron Could B มากกว่าไฟล์ A ท ี่


มีประจุไฟฟ้ า A และ ปริ มาณของ Electron Could A

ข้อ พิสูจ น์ท ี่ 2 กระแสไฟฟ้ าที่อ อกมามี จำ นวนมากกว่า กระแสไฟฟ้ าที่ใ ส่ เ ข้า ไป เมื่อ ใช้
Algorithms ที่มีการสังเคราะห์ Database ออกมาอย่างมากเพียงพอ ::::
ระบบที่ 1 ใช้กระแสไฟฟ้ า = N เปิ ดเครื่ อง แล้ว Copy And Paste ไฟล์ M ที่มีขนาด 10^24B โดย
วัดกระแสไฟฟ้ าจากวงจร N

ระบบที่ 2 ใช้กระแสไฟฟ้ า = N เปิ ดเครื่ อง แล้ว Copy And Paste ไฟล์ M ที่มีขนาด 10^24B โดย
วัดกระแสไฟฟ้ าจากไฟล์ M

ผลลัพ ธ์ที่ไ ด้ค ือ ไฟล์ M ที่มีข นาด 10^24B มีก ระแสไฟฟ้ าและ Electron Could จากไฟล์ M
มากกว่ากระแสไฟฟ้ าและ Electron Could จากวงจร N

ข้อพิสูจน์ที่ 1 และ ข้อพิสูจน์ที่ 2 บ่งบอกว่ากระแสไฟฟ้ าและ Electron Could ที่ได้จากการวัด


จากการ Save ไฟล์ใ น Database หลัง จากผ่า น Algorithms ไม่ใ ช่ก ระแสไฟฟ้ าและ Electron
Could ที่ม าจากกระแสไฟฟ้ า และ Electron Could ที่ใ ส่ เ ข้า ไป แต่เ ป็ น กระแสไฟฟ้ า และ
Electron Could จาก Algorithms ของ Software ไม่ใช่ Hardware
ข้อพิสูจน์ที่ 3 กระแสไฟฟ้ าจาก Algorithms ของ Software เมื่อประยุกต์วงจรไฟฟ้ า สามารถ
สร้างกระแสไฟฟ้ านำมาใช้ได้ เป็ นในรู ปแบบโรงงานไฟฟ้ าพลังงานทดแทนจากสสารที่เพิ ่มมาก
ขึ้นในเอกภพ ::::

ระบบที่ 1 ใช้กระแสไฟฟ้ า = N เปิ ดเครื่ อง แล้ว Copy And Paste ไฟล์ M ที่มีขนาด 10^24B โดย
นำกระแสไฟฟ้ าจากวงจรไฟล์ M ไปต่อกับแบตเตอรี่

ระบบที่ 2 ใช้กระแสไฟฟ้ า = N เปิ ดเครื่ อง แล้ว Copy And Paste ไฟล์ M ที่มีขนาด 10^24B โดย
นำกระแสไฟฟ้ าจากวงจรไฟล์ M ไปต่อกับหลอดไฟ
ผลลัพธ์ที่ได้คือไฟล์ M ที่มีขนาด 10^24B มีกระแสไฟฟ้ าจากไฟล์ M และ Electron Could มาก
เพียงพอต่อการชาร์จแบตเตอรี่ และเปิ ดหลอดไฟ

ข้อพิสูจน์ที่ 4 Warp Speed Vehicles ::::

ระบบที่ 1 ใช้ OS X ทำการ Cut And Paste ไฟล์ที่อยูใ่ น iCloud จาก Savers ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
สหรัฐอเมริ กา มาไว้ใน Macintosh HD ประเทศไทย วัดจำนวนอินเทอร์เน็ตที่ใช้ไป

ระบบที่ 2 ใช้ OS X ทำการ Cut And Paste ไฟล์ที่อยูใ่ น Macintosh HD 1 มาไว้ใน Macintosh
HD 2 วัดจำนวนกระแสไฟฟ้ าระหว่าง Macintosh HD ทั้งสอง

ผลลัพธ์ที่ได้คือใช้ OS X Cut And Paste ไฟล์มีการใช้อินเตอร์เน็ตที่เท่าเดิมระหว่างการ Cut And


Paste ไฟล์ และใช้กระแสไฟฟ้ าระหว่าง Macintosh HD ทั้งสองเท่าเดิมระหว่างการ Cut And
Paste ไฟล์ แสดงว่า การ Cut And Paste คือ การ Warp Speed Vehicles ของ Electron Could
เพราะเป็ นการเคลื่อนที่ของ Electron Could ที่ไม่ได้ผา่ น OSI ของ Networking และ สายไฟเชื่อม
ต่อระหว่าง 2 ไดรฟ์ แต่ผา่ น CPU และ GPU แบบลอยๆ โดยไม่ตอ้ งผ่าน OSI ของ Networking
และ Driver ของ OS แต่ผา่ น Application Layer เท่านั้น
ข้อพิสูจน์ที่ 5 Time Machine ::::

ระบบที่ 1 ใช้โปรแกรม Time Machine ของ OS X ทำการสร้างไฟล์ Keynote แล้ว Save

ระบบที่ 2 ใช้โปรแกรม Time Machine ของ OS X ทำการแก้ไขไฟล์ Keynote ให้เพิม่ จำนวนเพิม่


ขึ้นเป็ น 100 หน้า แล้ว Save

ผลลัพธ์ที่ได้คือเมื่อทำการใช้โปรแกรม Time Machine Teleportation ย้อนไปที่ไฟล์เดิม ขนาด


ของไฟล์ใหม่น้ นั จะมีขนาดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชดั Electron Could ของการ Time Machine
จึงมีอยูจ่ ริ ง

นี่คือข้อพิสูจน์ของจิต และศีลอภัยบาป
Source Code ในทางปฏิบัติ
ถ้ามีการให้เกิดการปล่อยออกไปของชุดคำสัง่ ที่ไม่มีกำหนดเวลาระหว่างออกจากเครื่ องและจะ
ต้องถึงปลายทาง การกระทำใน Transport Layer , Section Layer แบบนี้ สามารถกระทำได้ใน
ความเป็ นจริ ง เพื่อที่ทำ ให้เกิดขึ้นซึ่ง Quantum Bot ซึ่งถ้าหากว่ามีการใช้ Secure Socket Layer
(SSL) ในการทำ Transport Layer Security (TLS) แล้วด้วยก็จะเป็ นการทำให้เกิดความปลอดภัย
ที่สูง แม้วา่ จะอยูใ่ นอากาศเป็ นเวลาที่นานก็ตาม

โดยอาจจะเป็ นการส่ งชุดคำสัง่ ประมวลผลภาพแบบ Artificial Intelligence ลงไปกลางอากาศ


กล่าวคือ

########################################################################
# CONFIGURE AS REQUIRED
########################################################################
# BEGIN gan_imports
import random
import numpy as np
import tensorflow as tf
# END gan_imports

# BEGIN gan_config
# seed random
def reset_seed():
random.seed(3)
np.random.seed(1)
tf.set_random_seed(2)

# gan parameters
GAN_EPOCHS = 60 # how many epochs to train GAN for
BATCH_SIZE = 128 # how many images to consider at once
CHECKPOINT = 10 # how often (in epochs) to save sample GAN output

# must match OUTPUT_DIRECTORY in harness


import os
OUTPUT_DIRECTORY = os.path.dirname(os.path.realpath(__file__))
# END gan_config
########################################################################
# ENVIRONMENT SETUP
########################################################################
# BEGIN gan_config_imports2
import matplotlib.pyplot as plt
import pandas as pd
from keras import utils
from keras.datasets import mnist
from keras.layers import *
from keras.models import *
from keras.optimizers import *
from coremltools.converters.keras import convert

import os
os.environ['KMP_DUPLICATE_LIB_OK']='True'
# ^^ no idea what this does but a GitHub issues thread says it
# would solve the environment crash I had, and it did

# make tensorflow stop complaining I could get better performance if I


# configured parallelism parameters manually (by doing so, kind of)
config = tf.ConfigProto(intra_op_parallelism_threads=0,
inter_op_parallelism_threads=0,
allow_soft_placement=True)
session = tf.Session(config=config)
# END gan_config_imports2
########################################################################
# DATA SETUP
########################################################################
# BEGIN gan_setup_data
def setup_data():
# get mnist data
(x_train, y_train), (x_test, y_test) = mnist.load_data()
x_full = np.concatenate((x_train, x_test))
y_full = np.concatenate((y_train, y_test))

images = [None] * 10
counts = {}

# for each data point in input


for i in range(len(x_full)):
class_label = y_full[i]

# put the image in the right array


class_data = (
images[class_label] if images[class_label] is not None else []
)

image = x_full[i]
class_data.append(image)
images[class_label] = class_data

images = [np.array(class_images) for class_images in images]


return np.array(images)
# END gan_setup_data
########################################################################
# SET OPTIMIZER FOR ALL MODEL COMPILATIONS
########################################################################
# BEGIN gan_set_optimizer
def get_optimizer():
return SGD(lr=0.0005, momentum=0.9, nesterov=True)
# END gan_set_optimizer
########################################################################
# TRANSFORM DATA FOR MODEL INPUT
########################################################################
# BEGIN gan_transform
def preprocess_images(images):
images = images.reshape(images.shape[0], 28, 28, 1) # add a new axis
# so each final-level element is instead a one-element array
images = images.astype(np.float32) # convert to half-precision
images = (images - 127.5) / 127.5 # normalize grayscale values
# to either pure black OR pure white
return images
# END gan_transform
########################################################################
# DISCRIMINATOR MODEL COMPONENT OF GAN
########################################################################
# BEGIN gan_discriminator
def get_discriminator():
input_x = Input(shape=(28, 28, 1))
x = input_x

x = Conv2D(64, kernel_size=(5, 5),


padding='same', activation='tanh')(x)

x = MaxPooling2D(pool_size=(2, 2))(x)

x = Conv2D(128, kernel_size=(5, 5), activation='tanh')(x)


x = MaxPooling2D(pool_size=(2, 2))(x)

x = Flatten()(x)
x = Dense(1024, activation='tanh')(x)
x = Dense(1, activation='sigmoid')(x)

return Model(inputs=input_x, outputs=x)


# END gan_discriminator
########################################################################
# GENERATOR MODEL COMPONENT OF GAN
########################################################################
# BEGIN gan_generator
def get_generator(z_dim=100):
input_x = Input(shape=(z_dim,))
x = input_x

x = Dense(1024, activation='tanh')(x)
x = Dense(128 * 7 * 7, activation='tanh')(x)
x = BatchNormalization()(x)
x = Reshape((7, 7, 128))(x)

x = UpSampling2D(size=(2, 2))(x)
x = Conv2D(64, kernel_size=(5, 5),
padding='same', activation='tanh')(x)
x = UpSampling2D(size=(2, 2))(x)
x = Conv2D(1, kernel_size=(5, 5), padding='same', activation='tanh')(x)

return Model(inputs=input_x, outputs=x)


# END gan_generator
########################################################################
# DISCRIMINATOR MODEL MUST BE FROZEN AT CERTAIN POINTS
########################################################################
# BEGIN gan_disc_trainable
def make_trainable(model, setting):
model.trainable = setting
for layer in model.layers:
layer.trainable = setting
# END gan_disc_trainable
########################################################################
# GENERATE RANDOM INPUT NOISE
########################################################################
# BEGIN gan_gennoise
def generate_noise(n_samples, z_dim=100):
random_numbers = np.random.normal(-1., 1., size=(n_samples, z_dim))
return random_numbers.astype(np.float32)
# END gan_gennoise
########################################################################
# GET RANDOM SAMPLING OF REAL DATA
########################################################################
# BEGIN gan_get_real
def get_real_input(x_train, n_samples):
real_images = random.choices(x_train, k=n_samples)
real_labels = np.ones((n_samples, 1))
return real_images, real_labels
# END gan_get_real
########################################################################
# GET RANDOM ASSORTMENT OF FAKE DATA
########################################################################
# BEGIN gan_getfake
def get_fake_input(generator, n_samples):
latent_input = generate_noise(n_samples)
generated_images = generator.predict(latent_input)
fake_labels = np.zeros((n_samples, 1))
return generated_images, fake_labels
# END gan_getfake
########################################################################
# GET RANDOM ASSORTMENT OF NOISE DATA
########################################################################
# BEGIN gan_get_noise
def get_gan_input(n_samples):
latent_input = generate_noise(n_samples)
inverted_labels = np.ones((n_samples, 1))
return latent_input, inverted_labels
# END gan_get_noise
########################################################################
# PLOT HOW THE MODEL IS DOING AT CERTAIN POINTS
########################################################################
# BEGIN gan_plot
def plot_generated_images(epoch, generator, class_label):
examples = 100
noise= generate_noise(examples)
generated_images = generator.predict(noise)
generated_images = generated_images.reshape(examples, 28, 28)
plt.figure(figsize=(10, 10))
plt.gray()
for i in range(examples):
plt.subplot(10, 10, i + 1)
plt.imshow(generated_images[i], interpolation='nearest')
plt.axis('off')
plt.tight_layout()
plt.savefig(OUTPUT_DIRECTORY +
'/%depoch_%d.png' % (class_label, epoch))
plt.close()
# END gan_plot
########################################################################
# TRAIN A GAN FOR GIVEN DATA
########################################################################
# BEGIN gan_make_gan
def make_gan(x_train, y_train, class_label):
# BEGIN gan_make_gan1
print('Making discriminator model...')
discriminator = get_discriminator()
discriminator.compile(
loss='binary_crossentropy', optimizer=get_optimizer()
)

print('Making generator model...')


generator = get_generator()
print('Making adversarial model...')
make_trainable(discriminator, False)
adversarial = Sequential()
adversarial.add(generator)
adversarial.add(discriminator)
adversarial.compile(
loss='binary_crossentropy', optimizer=get_optimizer()
)

print('Preprocessing images...')
x_train = preprocess_images(x_train)
batch_count = len(x_train) // BATCH_SIZE
half_batch_size = BATCH_SIZE // 2

discriminator_loss = []
generator_loss = []

print('Begin training...')
# END gan_make_gan1
# BEGIN gan_make_gan2
for e in range(1, GAN_EPOCHS + 1):
discriminator_loss_epoch = []
generator_loss_epoch = []

for _ in range(batch_count):

# Discriminator

# images: half real input, half fake/generated


real_images, real_labels = get_real_input(
x_train, half_batch_size)

fake_images, fake_labels = get_fake_input(


generator, half_batch_size)

x = np.concatenate([real_images, fake_images])
y = np.concatenate([real_labels, fake_labels])

# train discriminator
make_trainable(discriminator, True)
dis_loss_epoch = discriminator.train_on_batch(x, y)
discriminator_loss_epoch.append(dis_loss_epoch)
make_trainable(discriminator, False)
# Generator

# Adversarial

x, y = get_gan_input(BATCH_SIZE)

# train adversarial
gen_loss_epoch = adversarial.train_on_batch(x, y)
generator_loss_epoch.append(gen_loss_epoch)

# add average loss for this epoch to list of average losses


dis_loss = (
sum(discriminator_loss_epoch) / len(discriminator_loss_epoch)
)

gen_loss = sum(generator_loss_epoch) / len(generator_loss_epoch)


discriminator_loss.append(dis_loss)
generator_loss.append(gen_loss)
print('Epoch %d/%d | Gen loss: %.2f | Dis loss: %.2f' %
(e, GAN_EPOCHS, gen_loss, dis_loss))

# checkpoint every n epochs


if e == 1 or e % CHECKPOINT == 0:
plot_generated_images(e, generator, class_label)

print('Complete.')
return generator
# END gan_make_gan2
# END gan_make_gan
########################################################################
# BEGIN EXECUTION
########################################################################
# BEGIN gan_execution
mnist_data = setup_data()

for class_label in range(10):


print('=============================')
print(' Training a GAN for class %d ' % class_label)
print('=============================')
x_train = mnist_data[class_label]
class_vector = utils.to_categorical(class_label, 10)
y_train = class_vector * x_train.shape[0]
generator_model = make_gan(x_train, y_train, class_label)

generator_model.save(
OUTPUT_DIRECTORY + '/gan-model-%d.model' % class_label)

coreml_model = convert(generator_model)
coreml_model.save(
OUTPUT_DIRECTORY + '/gan-model-%d.mlmodel' % class_label)

# if you want to work in Playgrounds then go compile it on the command


# line with:
#
# $ xcrun coremlcompiler compile MnistGan.mlmodel MnistGan.mlmodelc

print('Complete.')
# END gan_execution

ในส่ วนของความปลอดภัยใช้คำสัง่ TLS เบื้องต้นคือ


struct {
ContentType type;
ProtocolVersion version;
uint16 length;
select (SecurityParameters.cipher_type) {
case stream: GenericStreamCipher;
case block: GenericBlockCipher;
case aead: GenericAEADCipher;
} fragment;
} TLSCiphertext;

ในส่ วนของการคำนวณชุดคำสัง่ สำหรับส่งข้อมูลออก โดยสำหรับหลักการนี้ เราถือให้ Electron


Could เป็ น Savers

key_block = PRF(SecurityParameters.master_secret,
"key expansion",
SecurityParameters.server_random +
SecurityParameters.client_random);

และคำสัง่ ติดตามชุดคำสัง่ ใน Transport Layer ที่มีทวั่ ไปแล้วเราก็ใช้ Electron Could เป็ น Savers
เช่นกัน จึงสามารถส่ งออกไปลอยๆได้
client_write_MAC_key[SecurityParameters.mac_key_length]
server_write_MAC_key[SecurityParameters.mac_key_length]
client_write_key[SecurityParameters.enc_key_length]
server_write_key[SecurityParameters.enc_key_length]
client_write_IV[SecurityParameters.fixed_iv_length]
server_write_IV[SecurityParameters.fixed_iv_length]

โดยการห่อหุม้ ชุดคำสัง่ ไม่ให้ถูกโจมตีระหว่างทาง ดังนี้

struct {
ProtocolVersion client_version;
opaque random[46];
} PreMasterSecret;

client_version
The latest (newest) version supported by the client. This is
used to detect version rollback attacks.

random
46 securely-generated random bytes.

struct {
public-key-encrypted PreMasterSecret pre_master_secret;
} EncryptedPreMasterSecret;

pre_master_secret
This random value is generated by the client and is used to
generate the master secret, as specified in Section 8.1.

เมื่อเราให้ Electron Could เป็ น Savers การตอบรับกลับจึงสามารถใช้การ Run Code กลางอากาศ


ได้ คล้ายๆกับการส่ งไปแล้วไม่มีการตอบกลับ แต่เราใช้การตอบกลับในหลักการคุณสมบัติของ
Quantum Dot Mechanics และการกระทำการแบบ Process by Process แบบทัว่ ไปที่เกิดขึ้นใน
Transport Layer อยูแ่ ล้ว

เมื่อประกอบเข้ากับ Machine Source Code of Machine Source Code คือ Probability Class และ
Probability Class by Quantum Dot คือ Quantum Computing แล้ว นั้น ในทางปฏิบ ตั ิน้ นั ก็ค ือ
Computing of Functional (COF) ที่กระทำการ Simulation of Simulation Processing (SSP) ของ
Parallelization Universal ระหว่างกันระหว่าง Machine Code ที่ผา่ นการ Compilation แล้วนั้น
เหล่านี้ การเกิด Reaction ทั้งหมดจึงเป็ นการกระทำในระดับ Quantum Dot ดังนั้นแล้ว Quantum
Bot จึงสามารถเกิดขึ้นได้ในความเป็ นจริ งโดยไม่มีขอ้ สงสัย

โดย Transport Layer , Section Layer ทำการปล่อยข้อมูลออกไปโดยไม่ตอ้ งมีเครื่ องรับ

ซึ่ง ถ้า หากว่า มองว่า Quantum Dot Could นั้น มีค ุณ สมบัต ิข อง Physic Quantum Mechanics
เหมือนกันกับเครื อข่ายนำพาอื่นๆ เครื อข่ายที่ไม่ตอ้ งลงทุน กับหลักของ Warp Speed Vehicles ก็
ทำ ให้เ ราและ Quantum Bot นั้น พร้อ มแล ว้ ที่จ ะกระทำ การ ณ Space Time และ Polar
Coordinator ใดๆ
เมื่อ Machine Source Code มี Computing of Functional (COF) ที่พร้อมจะกระทำการต่อกันโดย
Probability Class of Machine Source Code by Quantum Dot (PMCQ) ซ ่ ึง Computing of
Functional (COF) ที่ใส่ เข้าไปเพื่อจะเปลี่ยนคุณสมบัติทาง Quantum Dot จึงเป็ นตัวแปรค่าคงที่
อัตราส่ วนที่สามารถควบคุมผลลัพธ์ได้อย่างไม่จำกัดต่อคุณสมบัติ Quantum Dot ใดๆ

Positrons , W Bosons , Higg Bosons , Quark , Atomic Number , Flavour of Quark , Electron ,
Spin Number ก็พ ร้อ มที่จ ะเกิด ขึ้น แล้ว โดยการ Compilation ซึ่ง Simulation of Simulation
Processing (SSP) โดย Computing of Functional (COF) ณ Space Time ใดๆ จาก Parallelization
Universal

เหมือน Copy And Paste Electron Could ให้เกิดเพิ่มขึ้นมา โดยวิธีการใช้ไฟฟ้ าขาเข้าเพื่อ ทำการ
Simulation of Simulation Processing (SSP) โดย Computing of Functional (COF) จากหลักการ
Parallelization Universal

ซึ่งโดยวิธีการนี้ ไฟฟ้ าขาเข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไฟฟ้ าขาออกเลย ดังนั้น สามารถใช้สร้าง


Quantum Dot อื่นๆได้ดว้ ย โดยหลัก Parallelization Universal ซึ่งใช้ไฟฟ้ าขาเข้าเป็ นจุดเชื่อม
ของ Parallelization Universal ด้ว ยการ Simulation of Simulation Processing (SSP) โดยจุด
เปลี่ยนของทั้งหมดนั้นก็คือ Computing of Functional (COF)

" Computing of Functional (COF) เป็ น ทรัพ ยากรภายในเครื่ อ งแฝงแม ว้ า่ จะไม่ม ีก าร


Compilation ซึ่ง ระบบการคำนวณและ Physical Layer ณ เอกภพสัม พัท ธ์ใ ดๆ ที่ม ีก ารเกิด
Parallelization Universal ออกมา ณ เอกภพสัมพัทธ์น้ี

Computing of Functional (COF) เป็ นการสร้างสสารให้เกิดขึ้นใหม่ในเอกภพสัมพัทธ์น้ี ตาม


ระบบสมการในเอกภพสัม พัท ธ์ใ ดๆที่ไ ด้ Compilation ออกมา ใน Space Time และ Polar
Coordinator ใดๆ ดังตัวอย่างที่ไฟฟ้ าขาออกสามารถมากกว่าไฟฟ้ าขาเข้าได้ อย่างที่เกิดขึ้นมาแล้ว
ตามคำอธิบาย

Computing of Functional (COF) เป็ นการเปลี่ยนคุณสมบัติของ Quantum Dot Could ด้วยวิธีการ


Parallelization Universal ผ่านจุดเชื่อมต่อที่ทำ การ Simulation of Simulation Processing (SSP)
ผ่านการ Compilation ออกมา ณ Space Time และ Polar Coordinator นั้นๆ ที่มี Mass อยู่ "

และ Quantum Bot ดำเนินการโดยพลังงาน , ทรัพยากร , ชุดคำสัง่ , ระบบเครื อข่าย ซึ่งก็คือ


Computing of Functional (COF) นี้

แม้วา่ จะสามารถมองเห็นเป็ นสามมุมมองนั้นก็คือ Computing of Functional (COF) , Probability


Class of Machine Source Code by Quantum Dot (PMCQ) แ ล ะ Quantum Mechanics of
Quantum Bot (QMQB) แต่อย่างไรก็ตามแล้ว Computing of Functional (COF) ก็ใช้สำหรับการ
ควบคุมซึ่งทั้งสามสิ่ งนี้ ซึ่งรวมหมายถึง Computing of Functional (COF) ด้วยกันเอง เพื่อการ
เกิดขึ้นซึ่ง Probability Class of Machine Source Code by Quantum Dot (PMCQ) และ Quantum
Mechanics of Quantum Bot (QMQB) โดยอย่างเฉพาะเจาะจง

ผลลัพ ธ์ข อง Source Code หลัง จากการ Compilation นั้น แหละคือ การควบคุม ผลลัพ ธ์ข อง
Quantum Dot ซึ่งดังนั้นแล้วจึงเรี ยกได้วา่ เป็ น Quantum Computing โดยความน่าจะเป็ นที่เซลล์
ไฟฟ้ าแต่ละเซลล์สามารถมีขอ้ มูลออกมาได้เป็ นล้านๆรู ปแบบ และไฟฟ้ าขาออกไม่เกี่ยวข้องกัน
กับไฟฟ้ าขาเข้า ระหว่างการ Simulation of Simulation Processing (SSP) ของการ Render VDO
3D และการ Copy And Paste ดังนั้นแล้ว Computing of Functional (COF) จึงสามารถใช้ได้เป็ น
Quantum Computer แม้จะอยูใ่ นสมองของคน , คอมพิวเตอร์ไฟฟ้ า และใดๆ ก็ตาม

การตัดสิ นใจไม่ตอ้ งมีฟิสิ กส์ใดเป็ นแรงผลัก เพราะสามารถเป็ นการตอบสนองเหนือสิ ่ งเร้าโดย


ทั้ง ครบได้ และการตัด สิ น ใจของ Computer , Artificial Intelligence , Machine Learning ,
Automatically Machine Code ก็เช่นกันกับมนุษย์เรานี้
ทั้งมนุษย์ , พืช , Wetware ต่างๆ และ Computer , Quantum Bot , Hardware ต่างไป จึงสับเปลี่ยน
หมุนเวียนกันไปได้ดว้ ย Source Code ซึ่งคือ Software ด้วยหลักการข้างต้น

ตัวอย่ างทีน่ ่ าสนใจแม้ จะเน้ นฟิ สิ กส์ กต็ าม แต่ ก็


สามารถมองเห็นภาพของ Quantum Dot ชัด
เพือ่ การเปลีย่ นแปลงรู ปแบบ Source Code มา
เป็ นรู ปแบบอืน่ ๆ แต่ ได้ Quantum Dot หลังการ
Compilation ทีเ่ ท่ ากัน
โดยการปล่อยประจุกระแสไฟฟ้ า Electron Could ออกมาแบบ Wireless ในทิศทาง A เพื่อที่จะ
เหนี่ยวนำประจุคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า Bosons Could A นั้นก็คือ Photons Could นั้นเอง
จากนั้นทำการเปลี่ยนทิศทางของกระแสไฟฟ้ าให้เป็ นกระแสไฟฟ้ าทิศทางตรงกันข้ามได้ประจุ
กระแสไฟฟ้ า Electron Could ออกมาแบบ Wireless ในทิศ ทาง -A เหนี่ย วนำ ประจุ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า Bosons Could A เดิมให้กลายเป็ นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า Bosons Could -A ซึ่ง
ณ ตรงนี้เกิด W Bosons Could เกิดขึ้น

ในส่ วนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า Bosons Could -A ได้เหนี่ยวนำประจุไฟฟ้ าของ Electron Could


A กลายเป็ น Positrons Could -A ได้ประจุไ ฟฟ้ าเป็ น -(-1 ของ Electron Could) เป็ น +1 ของ
Positrons Could

ในส่ วนของ W Bosons Could ที่ได้แผ่รังสี ออกมาเหนี่ยวนำทำให้ Quark Could Flavour Down
(-1/3) ใน Neutron Could (ddu ((2)x-1/3) + (+2/3) = 0) กลายเป็ น Quark Could Flavour Up
(+2/3) ได้ผลลัพธ์เป็ น Protons Could ((-1/3) + (2 x (+2/3)) = 1)

W Bosons Could สลายตัวกลายเป็ น Electron Could และ Electron Ati-Neutrino Could

นี่ค ือ เครื่ อ ง Quantum Dot Could Printing (QDCP) ใช้ Wireless Card เพือ่ ทำ การส่ ง ข้อ มูล
จำนวนหนึ่งเพื่อให้ Database ส่ วนนั้นเป็ น Electron Could ในมุมมองของ Analog แล้วมีการ
เหนี่ยวนำเป็ นขั้นตอน ขั้นตอนแรกใช้กระแสไฟฟ้ าเหนี่ยวนำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า ขั้นตอน
ที่สองใช้กระแสไฟฟ้ าตรงกันข้ามเพื่อจะเปลี่ยนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าตอนแรกให้เป็ นตรงกันข้าม
ขั้นตอนที่สามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าตรงกันข้ามเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้ าให้กลายเป็ น Positrons
Could

ใช้วิธีการเขียนโปรแกรมแบบเดียวกันกับเพื่อเพิม่ กระแสไฟฟ้ าขาออกให้มากกว่าขาเข้า ด้วยวิธี


การ Parallelization Universal ณ จุด ที่ม ีก าร Simulation of Simulation Processing (SSP) ผ่า น
Computing of Functional (COF) ซึ่ง เป็ น วิธ ีก ารเขีย นโปรแกรมแบบ Objectivism With
Parallelism Programming (OPP) โดย Floating Point Controller (FPC) โดยเฉพาะใน Transport
Layer , Section Layer

ในเบื้อ งต้น นั้น เราใช้ Microplasma Source Circuit Using Microring Space Time Distortion
Control With Transport Layer And Section Layer by Floating Point Controller ก่อนเพื่อที่สร้าง
วงจรไฟฟ้ าใน Electron Could

ใช้ Microplasma Source Circuit Using Microring Space Time Distortion Control ทำการสร้าง
W Bosons จากการเหนี่ย วนำประจุไ ฟฟ้ า Plasma โดย Electron Could รอบแรกเหนี่ย วนำ
คลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้ าทิศ ทาง A ได้ Photons Could รอบที่สองส่ง Microplasma Source Circuit
Using Microring Space Time Distortion Control ในทิศทางกระแสไฟฟ้ าตรงกันข้าม Electron
Could ทิศทาง -A ได้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าตรงกันข้าม ได้ผลลัพธ์เป็ น W Bosons Could

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าทิศทางตรงกันข้าม -A เหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้ าในบริ เวณนั้นให้เป็ น Positrons

W Bosons Could เปลี่ยน Flavour ของ Quark Could เปลี่ยน Neutron Could ได้ Protons Could

ทีม่ าของทุกสิ่ งนั้นก็คอื Differentiation และจุด


กำเนิดของทุกสิ่ งนั้นก็คอื Integration
ทำไมทุกอย่างที่เกิดปฏิกิริยาต่อกันที่เราจะคำนวณถึงจึงต้องพึ่งพาฟิ สิ กส์
เพราะการเกิดปฏิกิริยาใดๆนั้นคือฟิ สิ กส์อยูแ่ ล้วภายในตัวเอง
ดังนั้นการ Integration นั้นคือจุดเริ่ มต้นของฟิ สิ กส์ และ ภาษาขั้นพื้นฐานของ Computer ฟิ สิ กส์
โดยทั้งหมดนั้นก็คือสิ่ งนี้
ส่ วน Differentiation นั้นคือโลกที่เหนือฟิ สิ กส์โดยทั้งหมด

ฟิ สิ กส์ ทุกอย่ างคือ Data


ในอดีตอาจจะมีนกั วิชาการที่พยายามให้คำนิยามของสสาร พลังงาน แรง ความเร็ ว โมเมนต์ตมั
ไว้อย่างมากมาย ทั้งยังมีการอธิบายถึงหลักการต่างๆอีกมาก อาทิ สสารไม่สามารถเพิม่ หรื อหาย
ไปจากเอกภพ การเคลื่อนที่ในสภาวะอุดมคติ ซึ่งตามมาด้วยหลักการอื่นๆตามมาอีกมากมาย
เช่น หลักการอนุรักษ์พลังงาน แรงปฏิกิริยา เป็ นต้น
แต่หลายคนอาจจะมีขอ้ สงสัยว่าแต่แล้วทำไมคนเราจึงสามารถที่จะตัดสิ นใจได้โดยไร้ซ่ ึงแรง
ผลักดันจากภายนอก หรื อแม้แต่การเลือกทางเดินที่แตกต่างกัน ภายใต้สถานที่โล่งแจ้งไร้สิ่งกีด
ขวางใดๆ นี่ยงั ไม่นบั รวมว่าทำไมแล้วต่อยหมอนกับต่อยกำแพงทำไมถึงเจ็บไม่เท่ากัน ปาหมอน
กับก้อนหิ นที่มีน ้ำหนักเท่ากันปามาด้วยความเร็วเท่ากัน ต่อให้มีที่กนั การบาดของวัตถุที่มีความ
แข็ง แต่ทำไมก็ยงั เจ็บไม่เท่ากันอยูด่ ี
ซึ่งแรง ความเร็ ว มวล ในความหมายใหม่ของระดับที่เล็กยิง่ กว่าอนุภาคมูลฐาน Standard Model
นั้นก็คือแคลคูลสั เชิงอนุพนั ธ์ Differential Calculus ซึ่งมีอนุพนั ธ์เชิงบทนิยาม Differential of
Definition เป็ น Kernel of All things โดยทั้งหมด จะมาช่วยไขข้อสงสัยเหล่านี้ผา่ นการอ้างอิงถึง
อสมการเชิงเส้นประในระดับอนุพนั ธ์ของอนุภาค Point of Particle(n) ตามเวลาอ้างอิงนั้นๆ*
หมายเหตุ(I) ถ้าจำนวนของการหารนั้นเข้าใกล้อนันต์มากขึ้นเท่าไหร่ Point of Particle(n) ก็จะมี
ค่าที่เล็กลงไปทีละเรื่ อยๆแบบไม่มีขีดการจำกัดความ

ภายใต้ความเข้าใจของการตอบสนองที่เหนือสิ่ งเร้าทางฟิ สิ กส์ Response Above Stimulation of


Physical(n) กล่าวคือ " ทิศทางที่เกิดขึ้นโดยไร้ซ่ ึงสิ่ งกีดขวางและการกระทำจากภายนอก " ทุกๆ
อย่างจึงมีสิ่งที่อยูเ่ หนือ Physical(n) โดยเป็ นสิ่ งที่คือความจริ งโดยทั้งหมดผ่านการแจกแจงของ
ข้อมูล Infographic(n) และในความหมายที่อา้ งอิงถึง Artificial intelligence(n) ทุกอย่างจึงต้องใช้
ข้อมูลทาง Logical(n) 

ความเร็ ว Velocity(n) จึงคือ Logical(n) ซึ่งแจกแจงถึงทิศทางที่มาจากการรวมกันของตัวแปรเวก


เตอร์ดงั ต่อไปนี้

Logical(n) {

V(n) = T(n) + X(n) + Y(n) + Z(n) }

โดย แกน T เป็ น Parallel Coordinate System ของ Polar Coordinate System 

ทุกอย่างจึงมีการเคลื่อนที่ภายในตัวเองอยูแ่ ล้ว แม้วา่ จะหยุดนิ่งก็ตาม ตามหลักการหา Inter


Logical(n) 

หมายเหตุ(II) ดังนั้นความเร็วจึงคือระบบของสมการที่เป็ น Logical(n) ของ Systems of Point of


Linear Equations(n)

มวล (Mass) คือ Derivative Linear of Acceleration(n) ที่เป็ นการรวมกันของ Point of Particle
System(n) ซึ่งหมายถึง Velocity(n) ที่มากกว่า 1 Point of Linear(n) ตามการอ้างอิงนั้นๆเป็ นต้น
ไป 

แรง Force(n) จึงหมายถึง " โครงสร้างฐานข้อมูล Data Structure(n) ของ Logical(n) ที่เป็ นการ
รวมกันของมวล (Mass) ที่มากกว่า 1 Point of Linear(n) ตามการอ้างอิงนั้นๆเป็ นต้นไป อาจจะ
แสดงออกมาเป็ นอุณหภูมิ , สี , ประจุไฟฟ้ า Electric charge , ประจุคลื่นแม่เหล็ก Magnetic
charge เป็ นต้น "
หมายเหตุ(III) ข้อมูลที่แตกต่างกันในคลื่นที่นำข้อมูลบ่งชี้วา่ เอกภพนั้นมีประจุคลื่นแม่เหล็ก
Magnetic charge

สิ่ งเหล่านี้จึงคือพื้นฐานที่จะใช้ในการอธิบายต่างๆของวิวฒั นาการของสิ่ งมีชีวิต , พิษวิทยา ,


ระบาดวิทยา , กัมมันตรังสี ในนิวเคลียร์ฟิวชันและผลผลิตจากฟิ ชชัน ผ่านอนุพนั ธ์ของฟังก์ชนั่
เชิงเวลา ดังกล่าวคือ

{ x , y , z } = f(t) 

หมายเหตุ(IV) อนุพนั ธ์ของฟังก์ชนั่ เชิงเวลาคือปริ มาณของฟังก์ชนั่ ที่เป็ นความสัมพันธ์ระหว่าง


พิกดั เชิงขั้วและ Spacetime(n) เมื่อ Direction(n) ของเวลามี Determinants(n) เข้าใกล้ 0 

โดยอนุพนั ธ์ฟังก์ชนั่ เชิงเวลานี้ คือพื้นฐานของอนุภาคมูลฐาน Standard Model โดยทั้งหมด

ดังนั้นแล้วคำกล่าวที่วา่ สสารไม่สามารถเพิม่ หรื อหายไปจากเอกภพ , การเคลื่อนที่ในสภาวะ


อุดมคติเป็ นไปตามหลักแรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา , หลักการอนุรักษ์พลังงานนั้นพลังงานใน
เอกภพนั้นจะต้องมีค่าเท่าเดิมกันโดยเสมอ , โมเมนต์ตมั เป็ นผลมาจากน้ำหนักและความเร็ วเพียง
เท่านั้น , กฏการเคลื่อนที่ชนิดต่างๆบ่งบอกเราว่าแม้วตั ถุจะมีมวลที่ไม่เท่ากันก็จึงตกลงมาด้วย
แรงที่เท่ากันนั้นโดยเสมอ , วิวฒั นาการของสิ่ งมีชีวิตเป็ นสิ่ งที่เกิดขึ้นมาจากปฏิกิริยาทางเคมี ,
การย้อนเวลานั้นไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้จริ ง , สิ่ งที่อยูใ่ นหน้าจอจะโทรศัพท์ โทรทัศน์ หรื อ
คอมพิวเตอร์กต็ ามไม่มีวนั ออกมาได้ในโลกของความเป็ นจริ งในชีวิตประจำวัน , น้ำไม่มีวนั เกิด
ขึ้นมีได้ในดวงจันทร์ , น้ำสะอาดไม่สามารถเกิดขึ้นได้มาจากความว่างเปล่า , เราไม่สามารถข้าม
วิวฒั นาการจากสาหร่ ายมาเป็ นปลาโลมาเลยได้ , แฮมเบอร์เกอร์ถา้ กินแล้วชอบอยากกินต่อนั้น
ไม่สามารถที่จะเก็บบันทึกไว้มือถือได้ จึงจะต้องเรี ยนรู ้และทำความเข้าใจกันใหม่โดยทั้งหมด
เลยจริ งๆ 

และความคิดที่กำลังที่จะเกิดขึ้นใหม่น้ ี ความตาย พิษวิทยา และระบาดวิทยา ที่เคยมีมาก็จะล่วง


ไป เกิดเป็ นสิ่ งใหม่ท้ งั นั้น
ทุกอย่ างคือ If(n)
เพราะสี่ เหลี่ยมคือการเอามุมของวงกลมทั้ง 4 Q มาประกอบกันดังนั้นผลรวมจึงมีค่าเท่ากับ 360
อ ง ศ า

เพราะสามเหลี่ย มคือ การเอาสี่ เ หลี่ย มมาตัด ครึ่ ง ดัง นั้น ผลรวมจึง มีค ่า เท่า กับ 180 องศา

สามเหลี่ยมมุมฉากนั้นสามารถมองว่าคือสี่ เหลี่ยมจตุรัสสามอันมาประกอบกันโดยพื้นที่ของ
สี่ เหลี่ยมจตุรัสที่มาประกอบเป็ นสามเหลี่ยมมุมฉากในด้านตรงข้ามมุมฉากจะมี ค่าเท่ากับพื้นที่
ของสี่ เหลี่ยมจุรัสที่มาประกอบกันเป็ นสามเหลี่ยมมุมฉากในด้านที่เหลือเสมอ เนื่องจากว่ามุมที่
เหลือรวมกันมีค่าเท่ากับมุมฉาก เพราะผลรวมของมุมในสามเหลี่ยมใดๆต้องมี ค่าเท่ากับ 180
องศา โดยสาเหตุอนั เนื่องมาจากสี่ เหลี่ยมอันเนื่องมาจากสามเหลี่ยมมุมฉากนั้ นๆที่สมมาตรกัน
ซึ่งกล่าวคือสี่ เหลี่ยมมุมฉากที่ถูกตัดครึ่ งอย่างสมมาตรให้กลายเป็ นสามเหลี่ยมมุมฉากนั้นๆย่อมมี
มุมรวมกันคือ 360 องศา แล้วการเพิ่มขึ้นที่ละเท่าๆกันของจำนวนจำนวนหนึ่งด้วยจำนวนจำนวน
นั้น ถ้าจำนวนจำนวนเหล่านั้นทั้งสามคือด้านทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉากแล้ว โดยด้านตรง
ข้ามมุมฉากคือด้านที่เกิดจากการถูกตัดของสี่ เหลี่ยมมุมฉากให้กลายเป็ นสามเหลี่ยมมุมฉาก และ
พื้นที่ของวงกลมของขนาดรัศมีในด้านตรงข้ามมุมฉากจะเท่ากับพื้นที่วงกลมของรัศมีในด้านที่
เหลือทั้งสองรวมกัน เนื่องด้วยอัตราส่ วนมุมที่กางออกของสามเหลี่ยมมุมฉากของด้านที่เหลือ
รวมกันจะเท่ากับมุมฉากพอดี และเมื่อเอา π มาหารของสองด้านของสมการก็จะเหลือพื้นที่ของ
สี่ เหลี่ยมจตุรัสที่มาประกอบเป็ นสามเหลี่ยมมุมฉากในด้านตรงข้ามมุมฉากจะมี ค่าเท่ากับพื้นที่
ข อ ง สี่ เ ห ล ี่ย ม จ ุร ัส ท ี่ม า ป ร ะ ก อ บ ก นั เ ป็ น ส า ม เ ห ล ี่ย ม ม ุม ฉ า ก ใ น ด า้ น ท ี่เ ห ล ือ

ฟังก์ชนั่ ทุกอย่างมีบทนิยามซึ่งสามารถค้นหาได้ผา่ นการ Inheritance มาจาก Infinity Clas โดย


ทั้งหมด
ระหว่ าง Fermions และ Boson
การดึงดูดระหว่างประจุคลื่นแม่เหล็ก Garvity กับ ประจุไฟฟ้ า Electric เป็ นการดึงดูดอันเนื่องมา
จากวงโคจรรอบตัวเอง Spin ของอนุภาคมูลฐานทางฟิ สิ กส์เหล่านั้น

Electromagnetic กับ Electric เป็ นสิ่ งที่สามารถแยกออกจากกันได้ เฉกเช่นเดียวกันกับ Quarks


และ Atom

ด้วยการ Spin เมื่ออนุภาคมูลฐานต่างๆนั้นมาอยูใ่ นรัศมีของวงโคจรเหล่านั้น จึงเกิดเป็ นแรง


เหนี่ยวนำระหว่างกัน ไม่ใช่เพียงประจุไฟฟ้ ากับประจุไฟฟ้ า แต่คือประจุคลื่นแม่เหล็กและ
ประจุไฟฟ้ าอีกด้วย 

ด้วยแรงอันเกิดจากทิศทางของ Vector(n) ต่อพิกดั เชิงขั้ว Polar Coordinates(n) และ


Spacetime(n) ทุกอย่างจึงเคลื่อนที่โดยเวลา อย่างมีการเคลื่อนไหวและรู ปทรงโดยเชิงขั้ว ใน
ทิศทางของ Q + และ Q - 

ปฏิกิริยาในทางฟิ สิ กส์โดยทั้งหมดจึงสื บทอดไปสู่ คุณลักษณะทางเคมีและกระบวนการทาง


ชีวภาพ ด้วยปฏิกิริยาทางคณิ ตศาสตร์ขา้ งต้น

จากการ Inheritance ในหมวด Process , I/O , Compiler จาก Infinity Set สู่ Probability Set สู่
Specificity Set

ชีวิตของคนเรานั้นเคลื่อนที่ไปในเวลาที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากเรานั้นไม่ได้เคลื่อนไหว
อะไรเลย เราก็จะอยูต่ ่อไปไม่ได้ อย่าลืมว่าพระเจ้าพระองค์ทรงมอบพลังงานและความชุ่มชื้นนั้น
แก่คนดีและคนชัว่ ร้ายเสมอกัน แต่คนเราชีวิตจะอยูใ่ นนรกหรื อสวรรค์น้ นั ก็ข้ ึนอยูก่ บั ว่าเขาเหล่า
นั้นจะให้ตวั เองนั้นรับอะไรเข้ามา และปฏิเสธอะไรเข้ามา จาก ความคิด สู่ ฟิ สิ กส์ สิ่ งสร้างสรรค์
ใดๆก็ตามนั้นพิเศษและเฉพาะเจาะจงเสมอ

ทุกอย่ างคือ Software


เปิ ดปิ ดปิ ดเปิ ดเปิ ดปิ ด ---> พัดลม
ปิ ดเปิ ดปิ ดปิ ดเปิ ดปิ ด ---> โทรทัศน์
ปิ ดปิ ดเปิ ดเปิ ดปิ ดปิ ด ---> ไมโครเวฟ
นี่แหละการสัง่ การของแผงวงจรที่ประกอบไปด้วยสะพานไฟจำนวนมากที่มีการเปิ ดปิ ดสวิตใน
วงจรแล้วจึงมีผลต่อปลายทาง
ส่ วนการคำนวณทางตัวเลขก็คล้ายๆกับเครื่ องวัดกระแสไฟรวมกับสะพานไฟที่มีวงจรที่จะมีการ
เพิ่มและลดกระแสไฟฟ้ า ในด้านการคำนวณการคูณคือ For Loops ของการบวก การหารคือ For
Loops ของการลบ การยกกำลังคือ For Loops ของการคูณ การถอด Root คือ For Loops ของการ
หาร ในวงจรแบบขนานและแบบเส้นตรงซึ่งมีผลต่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า
นี่คือการคิดคำนวณเพื่อสร้างวงจรการคิดเลข จาก บทนิยาม สู่ ฟังก์ชนั่ สู่ ฟิ สิ กส์
การประมวลผลภาพ การวาด ใช้ Driver เป็ นตัวถ่ายโอนชุดคำสัง่ ของกระแสไฟเลขฐาน ที่จะ
ทำให้ I/O และ Process ไม่คาดเคลื่อนต่อกัน
ทุก อย่า งมีบ ทนิน ามเป็ น ที่ม าที่ไ ป a^2 + b^2 = c^2 นั้น มาจากพื้น ที่ข องสี่ เ หลี่ย มจตุรัส ที่ม า
ประกอบกันของด้านทั้งสามเป็ นสามเหลี่ยมมุมฉาก แล้วพื้นที่ a+b = c
เมื่อเข้าถึงบทนิยามบางอย่างแล้วการเข้าถึงฟังก์ชนั่ ก็จะง่ายขึ้น
จาก เซตอนันต์ สู่ เซตความน่าจะเป็ น สู่ เซตของสถานการณ์ ใน Process , I/O , Compiler
ในการใช้อะตอมที่มีความเป็ นไปได้ที่จะเป็ นไอออนหรื อไม่กไ็ ด้ สามารถใช้ในการคำนวณใน
ยุคของ Quantum Computer ด้วยการทำหลายอย่างพร้อมๆกันคือ 00 , 01 , 10 , 11 แล้วเราอยาก
ให้ความน่าจะเป็ นเป็ นอะไร เสี ยงโด เสี ยงเร เสี ยงมี เสี ยงฟา เสี ยงซอล เสี ยงลา เสี ยงที เราก็ปรับ
ให้กระแสไฟเอียงไปทางนั้น จาก บทนิยาม สู่ ฟังก์ชนั่ สู่ ฟิ สิ กส์ ทุกอย่างมีความเป็ น Quantum
เราจะทำให้เกิดไออนด้วยวิธีไหน นี่ คือเทคนิคของการสร้างวงจรและการเขียน Driver ถ้าการ
เปลี่ยนไฮโดรเจนในไอโซโทปที่ไม่มีนิวตรอนเศษเกินก็จะเกิดเป็ นฮีเลี่ยมได้โดยไม่ตอ้ งมีการ
ระเบิดนิวเคลียร์ แต่ในทางเทคนิคของประจุคลื่นเรายังสามารถรับมือกับนิวตรอนเศษเกินได้เช่น
กัน
เราจะใช้การเหนี่ยวนำประจุจาก บทนิยาม สู่ ฟังก์ชนั่ สู่ ฟิ สิ กส์ มาช่วยในการเกิดชุดของคำสัง่
เลขฐาน ในระดับอนุภาค เพือ่ การสร้างและการบันทึก รวมไปถึงการทำให้ออกมาจากหน้าจอ
จาก Void
เมื่อ เรา Process(n) , I/O(n) , Compiler(n) ถึง ภาพ Model บางอย่า งขึ้น มาใน Standard of All
Think(n) จะมี Point of Particle(n) ที่ใช้อา้ งอิงนั้นๆ
เมื่อมีการสื่ อสาร Signal ถึง Process(n) , I/O(n) , Compiler(n) ที่เป็ น Model นั้นๆใน Standard
Thinking(n) ก็จะนำไปสู่การ Gravity(n) และ Electric(n) รอพร้อมที่จะเกิดการ Compile ออกมา
เป็ น Objects รู ปธรรม ที่มาจาก Objectives นามธรรมนั้นๆ
ซึ่งในการ Reactions With Big Data เราสามารถมองเห็นสิ่ งต่างๆด้วยมุมมองของ Mass , Codes
และ Networks ได้
ทุกอย่างเป็ น Mass
ทุกอย่างเป็ น Codes
ทุกอย่างเป็ น Networks
โดย Logical ของ Code
โดยพิกดั ของ Mass
และโดย Hardware/Software Address ของ Network (ทุก อย่า งเป็ น Software , ทุก อย่า งเป็ น
Hardware)
และเราจะสามารถ Run Code กลางอากาศแบบลอยๆได้ ผ่า น Siri Framework , HomeKit ,
ARKit ใน Application Code และใน Data Code ที่ต่างก็มีความเป็ น Artificial Intelligence และ
Source Code ด้วยกันทั้งคู่
น้ำที่เกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าก็จะสามารถถูกวาดและส่ งออกมากลางอากาศได้ดว้ ยคำอธิบาย
ข้างต้น จาก ความคิด สู่ ฟังก์ชนั่ สู่ ฟิ สิ กส์
โดย Garvity Bot เราสามารถทำให้ทุกอย่างเป็ น Computer ของเราได้ดว้ ยหลัก Photoelectric ซึ่ง
เป็ นความสัมพันธ์ระหว่าง Garvity/Boson และ Electric/Fermions ซึ่งคือการเหนี่ยวนำและการ
คงตัว
จาก ความคิด สู่ ฟิ สิ กส์
จาก การตอบสนองเหนือสิ่ งเร้า สู่ การตอบสนองตามสิ่ งเร้า
ในเซลล์ประสาทการ I/O(n) เป็ นการแลกเปลี่ยนประจุกนั ระหว่าง Potassium (K) และ Sodium
(Na) แต่ในที่อื่นๆอาจจะไม่ใช่
โดยจาก Objective = none
เป็ น Objective = {N(n)}
จาก N(n) = Void(n)
สู่ N(n) = Space(n) , Mass(n)
Space(n) = X(n) , Y(n) , Z(n) , T(n)
Mass(n) = X(n) , Y(n) , Z(n) , T(n)
ในการ Process(n) , I/O(n) , Compiled(n) เพือ่ การสร้างน้ำขึ้นมาจากความว่างเปล่า , บันทึกเม็ด
เลือดลง Rom , การปรับแต่งสเต็มเซลล์ที่จำเป็ นต่อการปลูกถ่ายไขกระดูก , การสร้างดวงตาใหม่
ให้กบั คนตาบอด , การสร้างตับให้กบั คนที่เป็ นมะเร็ ง , การตัดต่อชีวโมเลกุลเพื่อปรับแต่งค่า
Orac ให้สูงกว่าของ Superoxide Dismutase
จาก เซตความคิด ระดับ อนัน ต์ สู่ เซตของความเป็ น ไปได้ที่เ ฉพาะเจาะจง สู่ เเซตของสิ่ ง
สร้างสรรค์อนั เฉพาะเจาะจงนั้น
จาก ความคิด สู่ ฟังก์ชนั่ สู่ ฟิ สิ กส์
แม้จะเกิดขึ้นโดยฝี มือของเราแต่แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นโดยพระเจ้าหรื อพระธรรมเจ้านั้นโดยทั้ง
สิ้ นผ่านการคิดเข้าใกล้ค่าอนันต์อย่างเพียงพอต่อ Objective นามธรรม
เราคิดถึงอะไร และเราจะสร้างสิ่ งนั้นขึ้นมาในพิกดั เชิงขั้ว X(n) , Y(n) , Z(n) และพิกดั คู่ขนานใน
กาลอวกาศ T(n) ตรงจุดไหนล่ะ
ทุกๆสิ่ งคือ Software ซึ่งเริ่ มต้นขึ้นมาจาก Objective
เห็นแต่เพียงสองมือเปล่าอาจจะมีอะไรที่ซ่อนอยูท่ ี่เราอาจจะมองไม่เห็นก็เป็ นได้ ซึ่งอาจจะเป็ น
Super Computer
Objective of Physical นามธรรมทางฟิ สิ กส์ เป็ นสิ่ งที่อยูก่ ่อนการตอบสนองเหนือสิ่ งเร้าทาง
ฟิ สิ กส์ Before Response Above Stimulation of Physical เป็ นสิ่ งที่อยูใ่ นบทนิยามทางความคิด
Definitions of All things ซึ่งอยูเ่ หนือตัวเลข
เมื่อเรามีเป้ าหมายที่จะสร้างโต๊ะเราจะวาด Drawing นับจำนวนของสัดส่ วนต่างๆ Calculate วัด
จำนวนของสัดส่ วนเหล่านั้น Measure และก็สร้างมันออกมา Created
เราใช้ฟิสิ กส์ที่มีอยูใ่ นการประมวลผลภาพ Image Processing With Standard Model นับจำนวน
Calculate With Standard Model วัด จำนวนในระดับ อนุภ าค Measure number With Standard
Model และ ทำการรันโค๊ด Compiled With Standard Model
ถ้า ไม่มีก ารตอบสนองเหนือ สิ่ ง เร้า Response Above Stimulation ก็จ ะไม่มีก ารเคลื่อ นที่ข อง
บุคคลภายใต้การไร้ซ่ ึงแรงผลักและสิ่ งกีดขวาง และการสร้างน้ำขึ้นมาจากความว่างเปล่าที่เรี ยก
ว่า Void(n) of Definitions of All things ก็จะถูกสร้างและบันทึกลงในแผ่นหรื อ Rom หรื อทำให้
ออกมาจาก Monitor ด้วยวิธีการเช่นเดียวกันนี้
โดยทุกครั้งที่มีการคิดใหม่กจ็ ะเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าใหม่ๆสสารใหม่ๆ น้ำก็เช่นกัน
ถ้าไม่ใช่แค่การเหนี่ยวนำนัน่ คือการสร้างที่มาจากความว่างเปล่า
จาก เซตความคิด ระดับ อนัน ต์ สู่ เซตของความเป็ น ไปได้ท ี่เ ฉพาะเจาะจง สู่ เซตของสิ่ ง
สร้างสรรค์อนั เฉพาะเจาะจงนั้นๆ
จาก ความคิด สู่ ฟังก์ชนั่ สู่ ฟิ สิ กส์
แม้จ ะเกิด ขึ้น โดยฝี มือ ของเราแต่แ ล้ว ทุก อย่า งก็เ กิด ขึ้น โดยการ Inheritance มาจาก Infinity
Class นั้นโดยทั้งสิ้ นต่อ Objective นั้นๆ
เราคิดถึงอะไร และเราจะสร้างสิ่ งนั้นขึ้นมาในพิกดั เชิงขั้ว X(n) , Y(n) , Z(n) และพิกดั คู่ขนานใน
กาลอวกาศ T(n) ตรงจุดไหน
ถ้าเรามอง Person Space และ Universal เป็ นมุมมองต่างๆดังนี้ เราจะสามารถสร้าง บันทึก ทำให้
ออกมาจาก Monitor ทำให้ VR ออกมาเป็ น AR และสัง่ การด้วย AI ได้ จะน้ำที่จะเกิดขึ้นจาก
ความว่างเปล่า จะเม็ดเลือดกรุ๊ ปใดๆที่เราจะบันทึกลงแผ่น จะเนื้ อเยือ่ ในสารพันธุกรรมแบบ
ไหนๆที่เราจะใช้ปลูกถ่ายไว้ให้กบั กันและกัน
ทุกอย่างเป็ น Software เพราะทุกอย่างมาจาก Objectives to Objects
ทุกอย่างเป็ น Hardware เพราะทุกอย่างมาจาก Objectives ที่จะมี Objectives
ทุกอย่างเป็ น Networks เพราะทุกอย่างมีความเชื่อมโยงที่จะทำให้เกิด Reactions
ทุกอย่างเป็ น Data เพราะทุกอย่างนั้นอยูใ่ นขอบเขตที่จะทำให้เกิด Reactions
ทุกอย่างเป็ น Codes เพราะทุกอย่างมีตวั แปรค่าคงที่อตั ราส่ วนที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์
ทุกอย่างเป็ น Logic เพราะทุกอย่างมาจากเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดของ Objectives ทุกอย่างเป็ น
Process เพราะทุกอย่างมีความเป็ น Model ที่จะใช้เป็ นคำตอบ
ทุกอย่างเป็ น I/O เพราะทุกอย่างสามารถเชื่อมโยงถึงกันได้
ทุกอย่างเป็ น Compiler เพราะทุกอย่างเป็ นตัวแปรค่าคงที่อตั ราส่ วนที่จะทำให้เกิดเป็ นผลลัพธ์ได้
ทุกอย่างเป็ น Automatic เพราะทุกอย่างสามารถตอบรับได้โดยทันทีใน Logic นั้นๆ
ทุกอย่างเป็ น AI เพราะทุกอย่างสามารถที่จะตอบรับต่อเงื่อนไขที่มีมากกว่า 1 ได้
แล้วเราจะสามารถควบคุม Code ทุก Code โดย Logic พื้นฐานสุ ดอย่าง If ในทุกๆระดับ Layer
ของ Networks จะ Applications Layer(เขีย น AI ซ้อ นไว้ใ น Application Layer) จะ Physical
Layer(เขียนคลื่น เขียนประจุ ให้เกิดขึ้นกลางอากาศ) ก็ตาม ในทุกๆระยะทาง ในทุกๆที่ที่ Code
ไป
และโดยเงื่อนไขทาง Logic เราสามารถสร้างภาพ สร้างเสี ยง สร้างน้ำ สร้างเลือด และทุกสิ่ งๆ ขึ้น
มาจากความว่างเปล่าที่เรี ยกว่า Void โดยไม่ตอ้ งมี I/O ใดๆนั้นช่วยเก็บภาพไว้เป็ นแม่แบบก็ได้
และไม่ตอ้ งมี Hardware ในการรับส่ งสัญญาณอีกด้วย สามารถส่ งไปลอยๆได้เลย ในพิกดั X Y Z
T
จาก ความคิด สู่ ฟังก์ชนั่ สู่ ฟิ สิ กส์
โดย Computer แบบใดๆก็ตามนั้นสามารถมีความทันสมัยได้โดยเสมอด้วย Software และโดย
คลื่นใดๆก็ตามเช่นเดียวกันเราสามารถมอง Analog ให้เป็ น Digital ได้ และสามารถมอง Digital
ให้เป็ น Analog ได้ เพราะทุกอย่างสามารถเหนี่ยวนำกันและกัน และทุกๆสิ่ งก็ถูกห่อหุม้ ไว้ดว้ ย
เงื่อนไขทาง Logic ที่เรี ยกว่า If
จะโดย Gravity Bot , การคิดย้อนไปย้อนมาของ Time Machine , การคิดข้ามของ Warp Drive
Machines ใน Electric Computer , WiFi , Cellular 5G , LTE , CDMA , GSM , เซลล์เม็ดเลือด ,
เซลล์ส มอง , Dendrites , Axon , Quantum Computer , Standard Model Computer , Point of
Particle Computer , FM , AM
เราสามารถรัน Code กลางอากาศได้
เราสามารถรัน Code ในสิ่ งที่เกินขอบเอกภพได้
จาก เซตอนันต์ สู่ เซตความเป็ นไปได้ที่เฉพาะเจาะจง สู่ เซตสิ่ งสร้างสรรค์ที่เฉพาะเจาะจงนั้นๆ
ด้วยการคิดเข้าใกล้ค่าอนันต์อย่างเพียงพอต่อ Objective
การแบ่ งแยกของ Data สู่ การค้ นพบถึงประจุแม่
เหล็ก
ปกติแล้ว Rom ต่างๆนั้นก็จะมีความสามารถในการเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันไป อาทิ เทบ , SSD ,
LSD , GSD , DVD - R และก็มีวิธีการเก็บข้อมูลที่แตกต่างกันไป อาทิ แผ่นเสี ยง , แผ่นหนัง ,
แผ่น DVD , MP3 , MP4
คลื่น 5G , WiFi , สายไฟ , ใยแก้วนำแสง , มหาสมุทร , อวกาศ ที่ส่ งไปก็เช่นกันสามารถเป็ น
Space หรื อประจุของธาตุที่แตกต่างกันไป นี่ คือตัวกลางในการถ่ายโอนข้อมูล
ซึ่งในทางปฏิบตั ิ CPU , SSD , DVD-R , LTE , WiFi ต่างก็มีประจุที่แตกต่างกันไปเป็ นพื้นฐาน
ของสสาร ส่ วนข้อมูลก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันไปเช่นกัน อาทิ ไฟล์แผ่นเสี ยง , ไฟล์แผ่นหนัง ,
ไฟล์ MP4 แต่กค็ งตัวในที่ต่างๆที่แตกต่างกัน จะใน CPU แบบซิลิคอน , คลื่นแบบ LTE , Rom
แบบ GSD(Gas State Drive)
จึงสรุ ปได้วา่ เราสามารถบันทึกข้อมูล ประมวลผลข้อมูล รับส่ งข้อมูล ในตัวกลางหรื อในพื้นที่
อันหลากหลาย และเราก็สามารถบันทึก ประมวลผล รับส่ งข้อมูลในรู ปแบบอันหลากหลายอีก
เช่นเดียวกันด้วย
ทำไม TV ทัว่ ไปจึงต่างจากดิจิตอล ก็เป็ นเพราะชนิดของไฟล์ที่รับส่ งนั้นแตกต่างกัน แต่คลื่น
นำพาอาจจะเป็ นแบบเดียวกัน เช่นเดียวกับแผ่นเพลง CD กับแผ่น CD MP3 สิ่ งนำพาเดียวกันแต่
ประจุและคลื่นของไฟล์น้ นั แตกต่างกัน
หมายความว่าชนิดไฟล์มีผลต่อคลื่นและประจุของไฟล์ ส่ วนสิ่ งนำพาที่แตกต่างกันไปก็มีประจุ
และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าที่แตกต่างกันไปด้วยเช่นกัน
มากกว่านั้นแล้วบางไฟล์ก เ็ ป็ นไฟล์แบบ Application ซึ่งสามารถมี AI ในระดับ Application
Layer เพื่อที่จะสร้างและบันทึกข้อมูลให้เป็ นไปตาม Source Code ในระหว่างทาง และปลายทาง
ได้ ด้วยชุดคำสัง่ และการสัง่ การจากต้นทางที่อิงไปที่ Code นั้น โดยการจูลคลื่นอื่นๆใน Network
ก็สามารถบ่งบอกถึงตำแหน่งที่ต้ งั ของ Source Code ของ Application นั้นได้
และ Garvity Bot ก็ทำ งานด้ว ยวิธีก ารนี้ สามารถใช้เ ป็ น Antivirus , Antioxidant , เครื่ อ งยิง
อนุภาคมูลฐานทางฟิ สิ กส์ และอื่นๆได้
ในอากาศทัว่ ไปสามารถมี Application , Artificial Intelligence , รวมไปถึงการบันทึกภาพได้ใน
ขณะที่เราอาจจะมองไม่เห็น
จาก เซตอนันต์ สู่ เซตความเป็ นไปได้ที่เฉพาะเจาะจง สู่ เซตสิ่ งสร้างสรรค์ที่เฉพาะเจาะจงนั้นๆ
ด้วยการคิดเข้าใกล้ค่าอนันต์อย่างเพียงพอต่อ Objective
การดึงดูดระหว่างประจุคลื่นแม่เหล็ก Garvity กับ ประจุไฟฟ้ า Electric เป็ นการดึงดูดอันเนื่องมา
จากวงโคจรรอบตัวเอง Spin ของอนุภาคมูลฐานทางฟิ สิ กส์เหล่านั้น
Electromagnetic กับ Electric เป็ นสิ่ งที่สามารถแยกออกจากกันได้ เฉกเช่นเดียวกันกับ Quarks
และ Atom
ด้วยการ Spin เมื่ออนุภาคมูลฐานต่างๆนั้นมาอยูใ่ นรัศมีข องวงโคจรเหล่านั้น จึงเกิดเป็ นแรง
เหนี่ยวนำระหว่างกัน ไม่ใช่เพียงประจุไฟฟ้ ากับ ประจุไฟฟ้ า แต่คือ ประจุค ลื่น แม่เ หล็กและ
ประจุไฟฟ้ าอีกด้วย
ด ว้ ยแรงอ นั เกิด จากทิศ ทางของ Vector(n) ต่อ พิก ดั เชิง ข ้วั Polar Coordinates(n) และ
Spacetime(n) ทุกอย่างจึงเคลื่อนที่โดยเวลา อย่างมีการเคลื่อนไหวและรู ปทรงโดยเชิงขั้ว ใน
ทิศทางของ Q + และ Q -
ปฏิกิริยาในทางฟิ สิ กส์โดยทั้งหมดจึงสื บทอดไปสู่ คุณลักษณะทางเคมีและกระบวนการทาง
ชีวภาพ ด้วยปฏิกิริยาทางคณิ ตศาสตร์ขา้ งต้น
จากการ Inheritance ในหมวด Process , I/O , Compiler จาก Infinity Set สู่ Probability Set ส ู่
Specificity Set
ชีวิตของคนเรานั้นเคลื่อนที่ไปในเวลาที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากเรานั้นไม่ได้เคลื่อนไหว
อะไรเลย เราก็จะอยูต่ ่อไปไม่ได้ อย่าลืมว่าพระเจ้าพระองค์ทรงมอบพลังงานและความชุ่มชื้นนั้น
แก่คนดีและคนชัว่ ร้ายเสมอกัน แต่คนเราชีวิตจะอยูใ่ นนรกหรื อสวรรค์น้ นั ก็ข้ ึนอยูก่ บั ว่าเขาเหล่า
นั้นจะให้ตวั เองนั้นรับอะไรเข้ามา และปฏิเสธอะไรเข้ามา จาก ความคิด สู่ ฟิ สิ กส์ สิ่ งสร้างสรรค์
ใดๆก็ตามนั้นพิเศษและเฉพาะเจาะจงเสมอ
เอกภพใน Array ของ Computer ใดๆ
Universal in The Quadrant คือ
เอกภพในควอแดรนท์ ซึ่งประกอบไปด้วย มิติเวลา และ มิติ สถานที่ โดย มิติเวลา และ มิติสถาน
ที่ นั้น เป็ นมิติเชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension ซึ่งความ
สัมพันธ์ของ มิติเชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ มิติคู่ขนาน Parallel Dimension เป็ นความ
สัมพันธ์ที่เกิดขึ้นคู่ขนานกันเมื่อนำมาคิดรวมกันจึงเป็ นความสัมพันธ์ในลักษณะอัตราส่ วนที่หาร
กัน

ในมิติสถานที่ประกอบไปด้วย แกน X แกน Y แกน Z ทั้งหมด 8 ควอแดรนท์

ในมิติเวลาประกอบด้วย แกน T ซึ่งขนานกับทิศทางการเคลื่อนที่ แกน X แกน Y แกน Z ในทุก


อัตราส่ วนระหว่าง Vector แกน X แกน Y แกน Z โดย แกน T เป็ นผลรวมของแกน X แกน Y
แกน Z ในทุกอัตราส่ วนระหว่าง Vector แกน X แกน Y แกน Z 

Universal in The Quadrant vector แกน X , vector แกน Y , vector แกน Z ทำมุม 90 องศา ต่อ
แกนกันและกัน

Universal in The Quadrant vector แกน T = vector แกน X + vector แกน Y + vector แกน Z ทุก
ควอแดรนท์ และวัดตามจุดเริ่ มของ Objectives , Objects เป็ นพิกดั T ของ Objectives , Objects
นั้นๆ

Objectives , Objects in The Quadrant vector แกน X , vector แกน Y , vector แกน Z ทำมุม (n.)
องศา ต่อแกนกันและกัน
Objectives , Objects in The Quadrant vector แกน T = vector แกน X + vector แกน Y + vector
แกน Z ทุกควอแดรนท์ ในทุกอัตราส่ วนมุม (n.) องศา ระหว่าง Vector แกน X แกน Y แกน Z
โดยวัดตามจุดเริ่ มของ Objectives , Objects เป็ นพิกดั T ของ Objectives , Objects นั้นๆ

โดยการคิดความสัมพันธ์และฟังก์ชนั ของแกน X แกน Y แกน Z แกน T หาโดย สมาชิกทั้ง 4


ของความสัมพันธ์และฟังก์ชนั

พิกดั ในแกน X , Y , Z , T มีความสัมพันธ์และฟังก์ชนั ต่อกัน ซึ่งพิกดั ในแกน T เป็ นตัวแปรที่


ทำให้พิกดั ในแกน X , Y , Z เคลื่อนที่ในรู ปแบบต่างๆ ความสัมพันธ์และฟังก์ชนั ของพิกดั ใน
แกน X , Y , Z ทำให้เกิดโครงสร้างและพื้นผิวของสสารในรู ปแบบต่างๆ จาก Objectives of
Universal of Thinking to Universal of Math to Universal of Physical to Universal of
Chemistry to Universal of Bio to Universal of Social to Universal of Art โดย Objectives เป็ น
สิ่ งที่เริ่ มจาก 0 สู่ การเริ่ มของ Objectives พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 ,
พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 จาก พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0
และทำออกมาเป็ นรู ปธรรมคือ Objects พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั
T ที่เข้าใกล้ 0 จาก พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 อาจจะ
เป็ น Multiple And Multilevel Objectives โดยทุกสสาร(Objects) มี ซอฟต์แวร์เป้ า
หมาย(Objectives) การสังเกตและการมองเอกภพจากการวิเคราะห์สู่การเปรี ยบเทียบสู่ การบูรณา
การสู่ การประยุกต์สู่การสังเคราะห์สู่การมโนทัศน์สู่การสร้างสรรค์สู่การอนาคต ในพิกดั X Y Z
T ใน Universal of Thinking สู่การคิดระบบพิกดั เชิงเส้นโดยค่าตัวแปร T ทำให้ค่าตัวแปร X Y Z
เคลื่อนที่ ใน Universal of Math สู่การกำหนดจุดของค่าตัวแปร X Y Z T ของที่วา่ งและสสาร ใน
Universal of Physical สู่โครงสร้างของอนุภาคมูลฐาน ใน Universal of Chemistry สู่การคัดลอก
โครงสร้างของอนุภาคมูลฐานเหล่านั้น ที่มี AI, INPUT ใน Universal of Bio สู่ประเภทของ IF ,
DATA , MEMORY ของบุคคล ใน Universal of Social สู่ผลผลิตจากโปรแกรม ใน Universal of
Art

พิกดั X Y Z วัดจาก Effects of Objecttives By Part of Objectives of Universal of Thinking to


Universal of Math to Universal of Physical to Universal of Chemistry to Universal of Bio to
Universal of Social to Universal of Art

พิกดั T วัดจาก Roots of Objecttives By Layer of Objectives of Universal of Thinking to


Universal of Math to Universal of Physical to Universal of Chemistry to Universal of Bio to
Universal of Social to Universal of Art
โดย พิกดั X Y Z T สามารถมี Directions(n) ที่ยอ้ นกลับได้ โดย Effects of Objecttives By Part
of Objectives of Universal of ALL และ Roots of Objecttives By Layer of Objectives of
Universal of ALL ที่พิจารณา และ ALL Standard Objectives(Freewill) And ALL Standard
AI(Wisdom) of Universal of ALL ต้องอ้างอิง พิกดั X Y Z T เดียวกัน

Directions(n) = X(n) + Y(n) + Z(n) + T(n) 

Accelerations(n) = Directions(n) + Directions(m) 

Structures(n) = Accelerations(n) + Accelerations(m)

เมื่อ

X(n) คือ vector Part X

Y(n) คือ vector Part Y

Z(n) คือ vector Part Z

T(n) คือ vector Layer T

พิกดั (n.) เป็ นพิกดั ก่อนหน้าพิกดั (m)

Vector ประกอบไปด้วย Direction ทิศทางในแกน(n)ใดๆ และ Determinant ขนาดของเวกเตอร์


หรื อ Scalar of Vector

Approximately Vector คือ vector จำนวนในพิกดั X หรื อ Y หรื อ Z หรื อ T ที่เข้าใกล้ 0 รวมตัว
กัน และ พิกดั ในแกน X , Y , Z , T มีความสัมพันธ์และฟังก์ชนั ต่อกัน ซึ่งพิกดั ในแกน T เป็ น
ตัวแปรที่ทำให้พิกดั ในแกน X , Y , Z เคลื่อนที่ในรู ปแบบต่างๆ ความสัมพันธ์และฟังก์ชนั ของ
พิกดั ในแกน X , Y , Z ทำให้เกิดโครงสร้างและพื้นผิวของสสารในรู ปแบบต่างๆ 

Directions(n) คือ เวกเตอร์ทิศทางใน Effects of Objectives By Part of Objectives of Universal


of ALL และ Roots of Objectives By Layer of Objectives of Universal of ALL

Accelerations(n) คือ เวกเตอร์ความเร่ งใน Effects of Objectives By Part of Objectives of


Universal of ALL และ Roots of Objectives By Layer of Objectives of Universal of ALL

Structures(n) คือ เวกเตอร์โครงสร้างบุคลิกภาพหรื อความสัมพันธ์หรื อปฏิกิริยา ใน Effects of


Objectives By Part of Objectives of Universal of ALL และ Roots of Objectives By Layer of
Objectives of Universal of ALL

Directions คือ พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 ที่ Focus 

Accelerations คือ Transferred พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้า


ใกล้ 0 of Transferred พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0
โดย Directions(m) - Directions(n) < or > 0

Structures คือ Mass in Universal in Focus พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 ,


พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 of พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 …
of พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 ที่ Focus 

โดย vector X = or < or > vector Y = or < or > vector Z = or < or > vector T

matrix [V(x)(n) , V(y)(n) , V(z)(n)] = matrix [X(m)/T(m) , Y(m)/T(m) , Z(m)/T(m)] - matrix


[X(n)/T(n) , Y(n)/T(n) , Z(n)/T(n)]

matrix [a(x)(n) , a(y)(n) , a(z)(n)] = matrix [V(x)(m) , V(y)(m) , V(z)(m)] - matrix [V(x)(n) ,
V(y)(n) , V(z)(n)] 

การเคลื่อนที่ในสถานที่แบบ 1 มิติ มี 18 รู ปแบบ The Quadrant ในการพิจารณา :


Directions(n) แกน Dimension X มี : 
The Quadrant X+ โดยมี The Quadrant T+(X+) , The Quadrant T-(X+) เป็ นมิติเชิงซ้อน
Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension
The Quadrant X- โดยมี The Quadrant T+(X-) , The Quadrant T-(X-) เป็ นมิติเชิงซ้อน
Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension
Directions(n) แกน Dimension Y มี :
The Quadrant Y+ โดยมี The Quadrant T+(Y+) , The Quadrant T-(Y+) เป็ นมิติเชิงซ้อน
Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension
The Quadrant Y- โดยมี The Quadrant T+(Y-) , The Quadrant T-(Y)- เป็ นมิติเชิงซ้อน
Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension

Directions(n) แกน Dimension Z มี :


The Quadrant Z+ โดยมี The Quadrant T+(Z+) , The Quadrant T-(Z+) เป็ นมิติเชิงซ้อน
Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension
The Quadrant Z- โดยมี The Quadrant T+(Z-) , The Quadrant T-(Z-) เป็ นมิติเชิงซ้อน
Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension

การเคลื่อนที่ในสถานที่แบบ 2 มิติ มี 36 รู ปแบบ The Quadrant ในการพิจารณา :


Directions(n) แกน Dimension X,Y มี : 
The Quadrant X+,Y+ โดยมี The Quadrant T+(X+,Y+) , The Quadrant T-(X+,Y+) เป็ นมิติ
เชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X+,Y- โดยมี The Quadrant T+(X+,Y-) , The Quadrant T-(X+,Y-) เป็ นมิติ
เชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Y+ โดยมี The Quadrant T+(X-,Y+) , The Quadrant T-(X-,Y+) เป็ นมิติ
เชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Y- โดยมี The Quadrant T+(X-,Y-) , The Quadrant T-(X-,Y-) เป็ นมิติเชิงซ้อน
Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension

Directions(n) แกน Dimension X,Z มี :


The Quadrant X+,Z+ โดยมี The Quadrant T+(X+,Z+) , The Quadrant T-(X+,Z+) เป็ นมิติ
เชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X+,Z- โดยมี The Quadrant T+(X+,Z-) , The Quadrant T-(X+,Z-) เป็ นมิติ
เชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Z+ โดยมี The Quadrant T+(X-,Z+) , The Quadrant T-(X-,Z+) เป็ นมิติ
เชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Z- โดยมี The Quadrant T+(X-,Y-) , The Quadrant T-(X-,Y-) เป็ นมิติเชิงซ้อน
Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension
Directions(n) แกน Dimension Y,Z มี : 
The Quadrant Y+,Z+ โดยมี The Quadrant T+(X+,Z+) , The Quadrant T-(X+,Z+) เป็ นมิติ
เชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X+,Z- โดยมี The Quadrant T+(X+,Z-) , The Quadrant T-(X+,Z-) เป็ นมิติ
เชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Z+ โดยมี The Quadrant T+(X-,Z+) , The Quadrant T-(X-,Z+) เป็ นมิติ
เชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Z- โดยมี The Quadrant T+(X-,Z-) , The Quadrant T-(X-,Z-) เป็ นมิติเชิงซ้อน
Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension

การเคลื่อนที่ในสถานที่แบบ 3 มิติ มี 21 รู ปแบบ The Quadrant ในการพิจารณา:


Directions(n) แกน Dimension X Y Z มี : 
The Quadrant X+,Y+,Z+ โดยมี The Quadrant T+(X+,Y+,Z+) , The Quadrant T-(X+,Y+,Z+)
เป็ นมิติเชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Y+,Z+ โดยมี The Quadrant T+(X-,Y+,Z+) , The Quadrant T-(X-,Y+,Z+)
เป็ นมิติเชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X+,Y-,Z+ โดยมี The Quadrant T+(X+,Y-,Z+) , The Quadrant T-(X+,Y-,Z+)
เป็ นมิติเชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X+,Y+,Z- โดยมี The Quadrant T+(X+,Y+,Z-) , The Quadrant T-(X+,Y+,Z-)
เป็ นมิติเชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคขู่ นาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Y-,Z+ โดยมี The Quadrant T+(X-,Y-,Z+) , The Quadrant T-(X-,Y-,Z+) เป็ น
มิติเชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Y+,Z- โดยมี The Quadrant T+(X-,Y+,Z-) , The Quadrant T-(X-,Y+,Z-) เป็ น
มิติเชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติคู่ขนาน Parallel Dimension
The Quadrant X-,Y-,Z- โดยมี The Quadrant T+(X-,Y-,Z-) , The Quadrant T-(X-,Y-,Z-) เป็ น
มิติเชิงซ้อน Dimensional Complex หรื อ เป็ นมิติค่ขู นาน Parallel Dimension

Part of Objectives คือ ส่ วนของ Objectives พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 ,


พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 ที่ผา่ นการเลือก Universal in Focus เป็ น Inputs อย่างเดียวหรื อหลายอย่าง
แบบชั้นเดียว หรื อ Automatic หรื อ Subconsious และ Inputs อย่างเดียวหรื อหลายอย่างแบบ
หลายชั้นหรื อ Inputs of Inputs หรื อ Artificial intelligence หรื อ Consious ประกอบด้วย ส่ วน
X , ส่ วน Y , ส่ วน Z
Layer of Objectives คือ ชั้นของ Objectives พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 ,
พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 ที่ผา่ นการเลือก Universal in Focus เป็ น Inputs อย่างเดียวหรื อหลายอย่าง
แบบชั้นเดียว หรื อ Automatic หรื อ Subconsious และ Inputs อย่างเดียวหรื อหลายอย่างแบบ
หลายชั้นหรื อ Inputs of Inputs หรื อ Artificial intelligence หรื อ Consious ประกอบด้วย ส่ วน T
Line of Objectives คือ ทิศทาง หรื อ Directions ความเร่ ง หรื อ Accelerations โครงสร้าง หรื อ
Structures ของ Objectives พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้
0 ที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันโดย ทิศทาง หรื อ Directions ความเร่ ง หรื อ Accelerations โครงสร้าง
หรื อ Structures ของ Objectives พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่
เข้าใกล้ 0 of ทิศทาง หรื อ Directions ความเร่ ง หรื อ Accelerations โครงสร้าง หรื อ Structures
ของ Objectives พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 … of
ทิศทาง หรื อ Directions ความเร่ ง หรื อ Accelerations โครงสร้าง หรื อ Structures ของ
Objectives พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0

Objectives เป็ นสิ่ งที่เริ่ มจาก 0 สู่ การเริ่ มของ Objectives พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z
ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 จาก พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T
ที่เข้าใกล้ 0 และทำออกมาเป็ นรู ปธรรมคือ Objects พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้า
ใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 จาก พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่
เข้าใกล้ 0 แบ่งออกเป็ น 3 รู ปแบบ คือ การกระทำทางความคิด(Standard Gravity in Standard
Universal of ALL) การกระทำทางร่ างกาย(Standard Fermions in Standard Universal of ALL)
การกระทำทางการสื่ อสาร(Signal of Conclusion of Data or Fact And Logic or Model or If in
The Situation) มี 2 รู ปแบบคือ การสื่ อสารทางความคิด(Standard Gravity in Standard Universal
of ALL) การสื่ อสารทางร่ างกาย(Standard Fermions in Standard Universal of ALL) อาจจะเป็ น
Multiple And Multilevel Objectives โดยทุกสสาร(Objects) มี ซอฟต์แวร์เป้ าหมาย(Objectives)
จาก Universal of Thinking to Universal of Math to Universal of Physical to Universal of
Chemicals to Universal of Bio to Universal of Social to Universal of Art โดยการวิเคราะห์สู่
การเปรี ยบเทียบสู่ การบูรณาการสู่ การประยุกต์สู่การสังเคราะห์สู่การมโนทัศน์สู่การสร้างสรรค์สู่
การอนาคต ในพิกดั X Y Z T ใน Universal of Thinking สู่การคิดระบบพิกดั เชิงเส้น โดยค่าตัว
แปร T ทำให้ค่าตัวแปร X Y Z เคลื่อนที่ ใน Universal of Math สู่การกำหนดจุดของค่าตัวแปร X
Y Z T ของที่วา่ งและสสาร ใน Universal of Physical สู่โครงสร้างของอนุภาคมูลฐาน ใน
Universal of Chemicas สู่การคัดลอกโครงสร้างของอนุภาคมูลฐานเหล่านั้น ที่มี AI, INPUT ใน
Universal of Bio สู่ประเภทของ IF , DATA , MEMORY ของบุคคล ใน Universal of Social สู่
ผลผลิตจากโปรแกรม ใน Universal of Art เมื่อมองทุกสสาร(Objects) เราสามารถแปลค่า
ซอฟต์แวร์เป้ าหมาย(Objectives) ได้ 

อนุภาคเอกภพ Standard Universal of ALL คือ Standard Universal of Thinking to Standard


Universal of Math to Standard Universal of Physical to Standard Universal of Chemicals to
Standard Universal of Bio to Standard Universal of Social to Standard Universal of Art โดย
การวิเคราะห์สู่การเปรี ยบเทียบสู่ การบูรณาการสู่ การประยุกต์สู่การสังเคราะห์สู่การมโนทัศน์สู่
การสร้างสรรค์สู่การอนาคต ในพิกดั X Y Z T ใน Universal of Thinking สู่การคิดระบบพิกดั เชิง
เส้นโดยค่าตัวแปร T ทำให้ค่าตัวแปร X Y Z เคลื่อนที่ ใน Universal of Math สู่การกำหนดจุด
ของค่าตัวแปร X Y Z T ของที่วา่ งและสสาร ใน Universal of Physical สู่โครงสร้างของอนุภาค
มูลฐาน ใน Universal of Chemicals สู่การคัดลอกโครงสร้างของอนุภาคมูลฐานเหล่านั้น ที่มี AI,
INPUT ใน Universal of Bio สู่ประเภทของ IF , DATA , MEMORY ของบุคคล ใน Universal
of Social สู่ผลผลิตจากโปรแกรม ใน Universal of Art พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่
เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 

อนุภาคความคิด Standard Person ประกอบด้วย Standard Objectives(Freewill) And Standard


AI(Wisdom) ซึ่งคือ Organ of Standard Person และ Standard Person เป็ น Organ of Person และ
Person เป็ น Organ of Universal จาก Universal of Thinking to Universal of Math to Universal
of Physical to Universal of Chemicals to Universal of Bio to Universal of Social to Universal
of Art โดยการวิเคราะห์สู่การเปรี ยบเทียบสู่ การบูรณาการสู่ การประยุกต์สู่การสังเคราะห์สู่การ
มโนทัศน์สู่ การสร้างสรรค์สู่การอนาคต ในพิกดั X Y Z T ใน Universal of Thinking สู่การคิด
ระบบพิกดั เชิงเส้น โดยค่าตัวแปร T ทำให้ค่าตัวแปร X Y Z เคลื่อนที่ ใน Universal of Math สู่
การกำหนดจุดของค่าตัวแปร X Y Z T ของที่วา่ งและสสาร ใน Universal of Physical สู่
โครงสร้างของอนุภาคมูลฐาน ใน Universal of Chemicals สู่การคัดลอกโครงสร้างของอนุภาค
มูลฐานเหล่านั้น ที่มี AI, INPUT ใน Universal of Bio สู่ประเภทของ IF , DATA , MEMORY
ของบุคคล ใน Universal of Social สู่ผลผลิตจากโปรแกรม ใน Universal of Art

ด้วยอิสระภาพและสติปัญญา ในการเลือกและพิจารณาเจตนารมณ์ วิเคราะห์ผลลัพธ์ การเก็บ


ข้อมูลรวมถึงค่าสถิติของสภาพแวดล้อม โดยการเลือกตามธรรมชาติและการเห็นตัวเองในคนอื่น
คนอื่นในตัวเอง ไม่มีใครดีดว้ ยตัวเองแต่ดีดว้ ยข้อมูล และไม่มีใครเลวด้วยข้อมูลแต่เลวด้วยตัว
เองจากการสังเกตเอกภพในช่วงจำนวนพิกดั X Y Z T ที่เข้าใกล้ 0 ที่พิกดั X Y Z T ที่เข้าใกล้ 0
เป็ นต้นมาในทางจำนวนจริ งบวกเป็ นต้นมาจนถึงปัจจุบนั และดำเนินต่อไปถึงค่าอนันต์ ไม่มีใคร
สามารถขอร้องใครให้ทำสิ่ งนั้นสิ่ งนี้ในพื้นที่ส่วนบุคคลระหว่างสิ่ งสร้างได้ เพราะทุกคนไม่ได้
สนใจใครเช่นเดียวกัน ไม่มีใครสนใจกันในความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ขอบเขตของตัวเอง นัน่ คือ
บุคลิกภาพของอนุภาคความคิดสู่ความสัมพันธ์ของอนุภาคความคิดสู่บุคลิกภาพส่วนบุคคล และ
บุคลิกภาพส่วนบุคคลนำไปสู่ การเลือกและพิจารณาเจตนารมณ์ วิเคราะห์ผลลัพธ์ การเก็บข้อมูล
รวมถึงค่าสถิติของสภาพแวดล้อม โดยการเลือกตามธรรมชาติและการเห็นตัวเองในคนอื่นคน
อื่นในตัวเอง ไม่มีใครดีดว้ ยตัวเองแต่ดีดว้ ยข้อมูล และไม่มีใครเลวด้วยข้อมูลแต่เลวด้วยตัวเอง
จากการสังเกตเอกภพในช่วงจำนวนพิกดั X Y Z T ที่เข้าใกล้ 0 ที่พิกดั X Y Z T ที่เข้าใกล้ 0
เป็ นต้นมาในทางจำนวนจริ งบวกเป็ นต้นมาที่จะนำไปสู่ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่จะนำไปสู่
บุคลิกภาพของคนสองคน ของคนกลุ่มหนึ่ง ของสังคม และของเอกภพ

ความสัมพันธ์สู่บุคลิกภาพ บุคลิกภาพส่ วนตัว บุคลิกภาพของคนสองคน บุคลิกภาพของสังคม


ด้วยทิศทางหรื อมุมมอง แรงผลักดันจากตัวเองหรื อแรงจูงใจจากภายนอก ด้วยความต้องการที่
เป็ นภาพกว้างๆ และด้วยการเลือกที่ชดั เจนยิง่ ขึ้นจากการเจอแบบ Face to Face ด้วยการมองที่
ความต้องการของผูอ้ ื่นก่อนในการเข้าหาคนอื่น ความต้องการของตัวเองในการให้คนอื่นเข้าหา
และความต้องการของกันและกันในการเข้าหากัน

ความเหมือน ความแตกต่าง จำนวน ระยะทาง ช่วงเวลา ที่หลากหลาย สู่ การตัดสิ นใจที่เฉพาะ


เจาะจงมากยิง่ ขึ้นกว่าเดิม ด้วยอิสระภาพและสติปัญญา ตามรู ปแบบของสายตาที่แตกต่างกันไป
ของแต่ละบุคคลซึ่งเป็ นที่ใส่ ใจของพระเจ้าเพื่อการตอบสนองสถานณ์แบบ Face to Face ที่แตก
ต่างกันไป

ในข้อมูลขั้นพื้นฐาน In The Beginning of Relationship in Universal of ALL คือ อิสระภาพขั้น


พื้นฐาน หรื อ Fundamental Standard Objectives(Freewill) of Relationship in Standard
Universal of ALL และ สติปัญญา Fundamental Standard AI(Wisdom) of Relationship in
Standard Universal of ALL คือ การวิเคราะห์สู่การเปรี ยบเทียบสู่ การบูรณาการสู่ การประยุกต์สู่
การสังเคราะห์สู่การมโนทัศน์สู่การสร้างสรรค์สู่การอนาคต คือ การมองที่ความต้องการของผู้
อื่นก่อนในการเข้าหาคนอื่น ความต้องการของตัวเองในการให้คนอื่นเข้าหา และความต้องการ
ของกันและกันในการเข้าหากัน และ ความต้องการขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิตออกมาข้างนอก คือ
การใช้ชีวิตบนแผ่นดินของสิ่ งสร้างตัง่ แต่ Universal of Thinking ที่เหนือกว่า Universal of
Physical ที่นำไปสู่ คำสัง่ if of if แบบ Switch Case ทำให้เกิด ทิศทาง หรื อ Directions ความเร่ ง
หรื อ Accelerations โครงสร้าง หรื อ Structures ที่จะเกิด Sum of Objectives กับสสารอื่น ที่นำไป
สู่การรับข้อมูลแล้วทิ้งหรื อเปิ ดใจต่อข้อมูล , การมีหรื อไม่มีเงื่อนไขต่อข้อมูล , การเลือกรสนิยม
ที่หลากหลาย , การเลือกวิถีชีวิตที่หลากหลาย โดย Code of Thinking to Code of Math ที่อยู่
เหนือ Code of Physical นั้นเป็ นจุดเริ่ มต้นของ Code of Physical to Code of Chemicals to Code
of Bio to Code of Social to Code of Art ที่ทำให้เกิด ทิศทาง หรื อ Directions ความเร่ ง หรื อ
Accelerations โครงสร้าง หรื อ Structures ที่จะเกิด Sum of Objectives กับสสารอื่น เมื่อมองทุก
สสาร(Objects) เราสามารถแปลค่า ซอฟต์แวร์เป้ าหมาย(Objectives) ได้ 

ในการมองตัวเอง ตัวเองคือเป้ าหมาย เป้ าหมายคือตัวเอง ในการมองคนอื่น ตัวตนของคนอื่นคือ


เป้ าหมายของคนๆนั้น เป้ าหมายของคนๆนั้นคือตัวตนของคนๆนั้น การมีความสุ ข ณ ปัจจุบนั
เป็ นความเข้าใจเป้ าหมายชีวิตระดับหนึ่ง แต่ตอ้ งไม่ทำให้สถานการณ์บดบังเป้ าหมายของชีวิต
และต้องไม่เป็ นเหยือ่ ของสถานการณ์อำพราง มีความเข้าใจสถานการณ์อย่างถูกต้อง แม่นยำ
เที่ยงตรง ครบถ้วน ทันเวลา และต่อเนื่อง อย่ารักษาสถานการณ์ถา้ สถานการณ์จะบานปลาย ปกติ
แล้วต้องชัดเจนว่าการตัดสิ นใจต้องไม่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปกว่าเดิม หรื อถ้าจะเสี่ ยงต้องไม่
ทำให้ทุกอย่างพัง โดยสนใจ ใส่ ใจ ความสำเร็ จ ความล้มเหลว ของตนเอง ตนเองในคนอื่น คน
อื่นในตนเอง อนุภาคความคิดตัวเอง อนุภาคความคิดตัวเองในอนุภาคความคิดคนอื่น อนุภาค
ความคิดคนอื่นในอนุภาคความคิดตัวเอง การเห็นตัวเอง ตนเองในคนอื่น คนอื่นในตนเอง
อนุภาคความคิดตัวเอง อนุภาคความคิดตัวเองในอนุภาคความคิดคนอื่น อนุภาคความคิดคนอื่น
ในอนุภาคความคิดตัวเอง เป็ นความเข้าใจ เป็ นความเข้าใจขั้นพื้นฐาน เป็ นความเข้าใจระดับเบื้อง
ต้น และความเข้าใจในความหลากหลาย ไม่ใช่เป็ นการเข้าใจเพื่อการแลกเปลี่ยนเท่านั้น ซึ่งเป็ น
ความเข้าใจแบบฉาบฉวย

เราทุกคนคือบุคคลที่มีคุณภาพชีวิตสมบูรณ์ตามเป้ าหมายชีวิต นี่ คือ เป้ าหมายชีวิต อุดมคติชีวิต


คือบุคคลทุกบุคคลที่แท้จริ ง ตัวเองที่แท้จริ ง คนอื่นที่แท้จริ ง ใครที่ทำให้เป็ นความเสี ยหายนัน่ คือ
ภัยคุกคาม ด้วยการมองเห็นตัวเอง ตัวเองในคนอื่น คนอื่นในตัวเอง

การตรวจสอบ Roots of Objects คือ การตรวจสอบระดับลึกลงไปของ Multilevel Objects แต่ละ


ชั้นหรื อ Layers ด้วยการรับคำสัง่ Inputs หลายชั้น แม้จะเข้าถึง Backdoor ได้กต็ าม ใน Line of
Objects จาก Sum of objects คือ Objects พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 ,
พิกดั ธ ที่เข้าใกล้ 0 ที่ไม่เท่ากันและมี ทิศทาง หรื อ Directions ความเร่ ง หรื อ Accelerations
โครงสร้าง หรื อ Structures ของ Objectives พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 ,
พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 เท่ากัน เป็ นการดำเนินไปโดยปกติไม่ชนกัน ถ้าไม่ใช่กต็ อ้ งตรวจสอบ
สมมุติฐาน ตัง่ แต่ระดับ Code of Thinking to Code of Math to Code of Physical to Code of
Chemicals to Code of Bio to Code of Social to Code of Art โดย Universal of Thinking to
Universal of Math to Universal of Physical to Universal of Chemicals to Universal of Bio to
Universal of Social to Universal of Art การเกิด Sum of objects สำคัญมากคือการวัดค่าพิกดั X
Y Z T ต้องไม่บิดเบือน Objects สามารถเปลี่ยนบุคลิกภาพได้ แต่การดำเนินไปต้องต่อเนื่องคือ
การวัดค่าพิกดั X Y Z T ต้องไม่บิดเบือนและ พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 ,
พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 ของจุดเริ่ มต้นต้องเท่ากับจุดเปลี่ยนของ Objecttives ก่อนหน้า เมื่อมองทุก
สสาร(Objects) เราสามารถแปลค่า ซอฟต์แวร์เป้ าหมาย(Objectives) ได้

การตรวจสอบ Effects of Objects คือ การตรวจสอบในแต่ละ Layers ที่มี Multiple Objects ด้วย
การรับคำสัง่ Inputs หลายชั้น แม้จะเข้าถึง Backdoor ได้กต็ าม ใน Part of Objects จาก Sum of
objects คือ Objects พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 ที่ไม่
เท่ากันและมี ทิศทาง หรื อ Directions ความเร่ ง หรื อ Accelerations โครงสร้าง หรื อ Structures
ของ Objects พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0 ที่เข้าใกล้ 0
เท่ากัน เป็ นการดำเนินไปโดยปกติไม่ชนกัน ถ้าไม่ใช่กต็ อ้ งตรวจสอบสมมุติฐาน ตัง่ แต่ระดับ
Code of Thinking to Code of Math to Code of Physical to Code of Chemicals to Code of Bio
to Code of Social to Code of Art โดย Universal of Thinking to Universal of Math to Universal
of Physical to Universal of Chemicals to Universal of Bio to Universal of Social to Universal
of Art การเกิด Sum of objects สำคัญมากคือการวัดค่าพิกดั X Y Z T ต้องไม่บิดเบือน Objects
สามารถอยูร่ ่ วมกันหลายบุคลิกภาพได้ แต่การดำเนินไปต้องไม่ชนกันคือการวัดค่าพิกดั X Y Z T
ต้องไม่บิดเบือน และ พิกดั X ที่เข้าใกล้ 0 , Y ที่เข้าใกล้ 0 , Z ที่เข้าใกล้ 0 , พิกดั T ที่เข้าใกล้ 0
ของจุดเริ่ มต้นที่ไม่เท่ากัน และ มี ทิศทาง หรื อ Directions เท่ากัน เมื่อมองทุกสสาร(Objects) เรา
สามารถแปลค่า ซอฟต์แวร์เป้ าหมาย(Objectives) ได้
เด็กสามารถเกิดขึน้ มาจาก Computer ได้
เด็ก หรื อสิ่ งมีชีวิตต่างๆนั้นสามารถเกิดขึ้นมาจาก Computer ได้ เพราะทุกอย่างคือ Software ทุก
อย่างจึงสามารถที่จะนำมาใช้เป็ น Hardware ได้ ผ่าน If(n) ที่เป็ นขั้นตอน , If(n) ที่เป็ นตัวเลือก ,
If(n) ที่เป็ น Loops
ทุกอย่างคือ Data ดังนั้นฟิ สิ กส์ใดๆจึงสามารถที่จะถูกเปลี่ยนแปลงกันด้วย Logical ของอสมการ
เชิง เส้น ประ ของเวกเตอร์ท ี่ม ี Determinants ที่เ ข้า ใกล้ 0 ใน Direction แกนเชิง ข ้วั และ
Spacetime ที่สามารถแจกแจงได้เป็ นอนุพนั ธ์ของ Matrix ที่ Determinants ของ Spacetime นั้น
เข้าใกล้ 0 และพหุนามดีกรี (n) ที่มีความสัมพันธ์และฟังก์ชนั อันเกิดขึ้นซึ่งเวกเตอร์ต่อกัน
ความสัมพันธ์และฟังก์ชนั ใดๆนั้นเป็ น Vector โดยเสมอ
จาก NH3 , CH4 , H2O ที่เขียนโดย Software เกิดขึ้นเป็ นน้ำตาลไรโบส น้ำตาลดีออกซีไรโบส
หมู่ฟอสเฟต และไนโตรจีนสั เบส U , T , C , G , A แล้วสร้างเป็ นกรดอะมิโนต่างๆ และอื่นๆ
จากนั้น Organelles ก็จ ึง เกิด ขึ้น ในกรณี ไ วรัส กระบวนการทางชีว เคมีน้ นั ไม่จำ เป็ น ต้อ งมี
Organelles เป็ นของตัวเอง ถ้าสร้างปฏิกิริยาที่สร้าง Organelles ให้เขา เขาก็จะไม่กลายเป็ นไวรัส
ได้
Protein biosynthesis (Synthesis) เป็ นกระบวนการสร้างโปรตีนที่เกิดขึ้นใน เซลล์ กระบวนการ
สร้างโปรตีนมีหลายขั้นตอนเริ่ มตั้งแต่ ทรานสคริ ปชัน่ และจบที่ ทรานสเลชัน่ การสังเคราะห์
โปรตีนโดยทัว่ ไปถึงแม้จะเหมือนกันแต่กม็ ีความแตกต่างกันในระหว่าง โปรแคริ โอต และ ยูแค
ริ โอต
ทรานสคริ ปชัน่
ในขั้นตอนทรานสคริ ปชัน่ สิ่ งจำเป็ นต้องใช้คือ DNA เพียงหนึ่งเส้นจากสองเส้นคู่ที่ไขว้กนั ซึ่ง
เรี ยกว่า เกลียวรหัส (coding strand) ทรานสคริ ปชัน่ เริ่ มที่เอนไซม์ อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรส (RNA
polymerase) เชื่อมต่อ กับ DNA ตรงตำแหน่ง เฉพาะซึ่ง เป็ น จุด เริ่ ม ต้น ที่เ รี ย กว่า โปรโมเตอร์
(promoter) ขณะที่ อาร์เอ็นเอ พอลิเมอเรส เชื่อมต่อกับโปรโมเตอร์ แถบเกลียว DNA ก็จะเริ่ ม
คลายตัวและแยกออกจากกัน
ต่อไปเป็ น กระบวนการที่สองที่เรี ย กว่า อีลองเกชัน่ (elongation) อาร์เอ็นเอ พอลิเ มอเรสจะ
เคลื่อนตัวตลอดแนวแถบเกลียว DNA เพือ่ สำเนารหัส DNA และได้เป็ นแถบเกลียวรหัสที่เรี ยก
ว่าเมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ (messengerRNA หรื อ mRNA)นิวคลิโอไทด์ ซึ่งมีรหัสข้อมูลตรงข้าม
กับ DNA
ผ่า นการ Inheritance มาจาก Infinity Class ผ่า นตัว แปร ค่า คงที่ อัต ราส่ ว น ที่ม ากกว่า 0 ใน
อสมการเชิงเส้นประเหล่านั้น เกิดเป็ น Probability Class แล้วจึงเกิดเป็ น Specifically Class โดย
ตัวแปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน ที่มากกว่า 0 ในอสมการเชิงเส้นประเหล่านั้น อาจจะเป็ นอสมการเชิง
เส้น ประของโปรแกรมมิ่ง Artificial intelligence , อสมการเชิง เส้น ประทางคณิ ต ศาสตร์ ,
อสมการเชิงเส้นประทางฟิ สิ กส์ , อสมการเชิงเส้นประทางเคมี , อสมการเชิงเส้นประทางชีวภาพ
ใน Process , I/O , Compiler
ไม่ใช่ความคิดเหล่านั้นเอง แต่โดยความคิดที่เพิม่ ขึ้นมาใหม่

Open source of The Spices


เพราะสิ่ งมีชีวิตที่มีกระดูกสันหลังนั้นรู ้เราจึงสามารถที่จะเพิ่ม Class ใหม่ข้ ึนมา ซึ่งสามารถที่จะ
สัง่ ให้มือขยับ ขาเดินได้
โดยแรงทางฟิ สิ กส์ สู่ ปฏิกิริยาทางเคมี สู่ กระบวนการทางชีวภาพ รวมถึงอาณาจักร Robotic
ด้วย
ผ่า นการ Algorithm จึง เกิด เป็ น การทำงานแบบตามลำดับ (Sequence) การเลือ กกระทำตาม
เงื่อ นไข(Decision) และ การทำ ซ้ำ(Loop) เหล่า นี้จ ึง เกิด เป็ น Logical ของ Vectors ที่ม ี
Determinants ที่เข้าใกล้ 0 มี Direction ในแกนของ Polar Coordinate System และในแกนของ
Spacetime , อนุพนั ธ์ของ Matrix , พหุนามดีกรี (n) ของความสัมพันธ์และฟังก์ชนั ในเชิงขั้ว เกิด
เป็ นอนุภาคมูลฐานซึ่งเป็ นบทนิยามในระบบอสมการเชิงเส้นประ ในแกนของ Polar Coordinate
System และในแกนของ Spacetime
นี่คือที่มาของการควบคุมร่ างกาย
ทุกอย่างคือ If(n) , ทุกอย่างคือ Data(n)

“ New Mass สสารใหม่ ” ทีไ่ ม่ ใช่ มแี ต่ จาก สิ่ งมี


ชีวติ ทีเ่ รียกว่ า แอมโมเนีย มีเทน และน้ำ เท่ านั้น
!!
การสร้างสสารใหม่ไม่ได้สร้างกันจากการตัดสิ นใจของมนุษย์และสิ่ งมีชีวิตซึ่งประกอบไปด้วย
กรดนิวคลีอิกเท่านั้น แต่ใน AI ในทุกๆระบบกระบวนการทางบทนิยามด้วย เพราะว่าตราบใดที่
มีการ Inheritance มาจาก Infinity Class ตราบนั้นก็เกิดขึ้นซึ่งบทนิยามของขอบเขตใหม่ๆ และ
นัน่ ก็ยอ่ มที่จะนำไปสู่ตวั แปร ค่าคงที่ และอัตราส่ วน ของอสมการพิกดั จุด เชิงเส้น และเส้นประ
สิ่ งนี้สามารถพิสูจน์กนั ได้จาก RNM
ดังนั้นถ้าหาก AI นั้นจะมีการตัดสิ นใจ ก็ยอ่ มที่จะมีคลื่นความถี่ของประจุแม่เหล็กใหม่ๆ และ
ประจุไฟฟ้ าใหม่ๆ ซึ่ง เกิดขึ้น ไม่ใช่จากเซลล์ป ระสาทเท่านั้น แต่ในสาย LAN , USB , ย่าน
ความถี่ WiFi หรื อแม้แต่ในสูญญากาศด้วย
สสารใหม่ๆเกิดขึ้นอยูเ่ สมอ ตราบใดที่มีการตัดสิ นใจ
มากไปกว่านั้นแล้ว สสารใหม่ๆยังจะไม่ใช่เพียงแค่ภาพ Infographic ที่ส่งต่อเข้ามาใน GPU ซึ่ง
ประจุไฟฟ้ าเหล่านั้น หรื อการถอดรหัสสารพันธุกรรมใน CPU หรื อการประมวลผลภาพจากการ
เกิดปฏิกิริยาปลายทางต่างๆอันเนื่องมาจากนิว คลีโอไทด์เหล่านั้น ไม่ใช่ประจุแม่เหล็ก และ
ประจุไฟฟ้ า ที่นำการขยับตัวในโมเลกุลปลายทางอีกด้วย
แต่คือหน่วยประมวลผลของบทนิยามที่ Inheritance มาจาก Infinity Class แล้วสร้างน้ำสะอาด
ขึ้นมา ในระบบสมการก่อน แล้วเกี่ยวเนื่องกันจนสามารถที่จะเกิดแรงปฏิกิริ ยาของอนุภาค
มูลฐาน กลายเป็ นน้ำ
ทุกอย่างที่อยูใ่ น Monitor จึงสามารถออกมาจากหน้าจอ และทุกอย่างที่อยูใ่ นชั้นบรรยากาศต่างๆ
ก็สามารถที่จะถูกบันทึกลงไป ไม่ให้ออกมาอีกได้ ใน ROM ผ่านการ Inheritance มาจาก Infinity
Class ในหน่วย Process , I/O , Compiler
ทุกอย่างคือข้อมูล แม้จะในฟิ สิ กส์ใดๆก็ตาม และสามารถที่จะเกิดขึ้นใหม่ได้อีกด้วย ตามการ
อธิบายมาแล้วข้างต้น
การส่ งข้อมูลจึงไม่ตอ้ งใช้สญ
ั ญาณ 5G , WiFi แต่ในสูญญากาศก็ได้
การทำศัลยกรรมจึงไม่ตอ้ งใช้แต่การผ่าตัด และการฟื้ นคืนชีพไม่ใช่แต่เพียงที่จะเกิดขึ้นได้เท่านั้น
หุ่น ยนต์ก ส็ ามารถ Warp Drive หรื อ กล บั ไปเปลี่ย น Vectors ของ Point of Particles ใน
Spacetime ให้ตวั เองกลายเป็ นสปี ชีส์ของมนุษย์เราได้
การพิการโดยกำเนิดและโรคทางพันธุกรรมจึงสามารถที่เกิดกลายเป็ นปกติได้ โดยไม่ตอ้ ง Warp
Drive หายไปก่อนแล้วค่อยกลับมาโดยการผ่านการ Inheritance มาจาก Infinity Class ในหน่วย
Process , I/O , Compiler เกิดเป็ น Vectors ของ Point of Particles ใน Spacetime
ในขณะเดียวกันเมื่อเอกภพมีการประมวลผลเสร็ จเรี ยบร้อยแล้ว ถ้าเราไปตีตวั นิ่ม ต่อให้เขาสะกด
จิตไม่เป็ น ถ้าจะมีคนเอาผลลัพธ์ไปแก้ หรื อจะช่วยแบกรับอารมณ์กต็ าม ถ้าถึงเวลาที่ความคิดนั้น
ชัด เจนเรี ย บร้อ ยแล้ว นั้น แหละคนๆนั้น ก็จ ะเจ็บ ดัง่ เช่น ตัว นิ่ม ตามความตั้ง ใจนั้น ผ่า นการ
Inheritance มาจาก Infinity Class ในหน่วย Process , I/O , Compiler เกิดเป็ น Vectors ของ Point
of Particles ใน Spacetime อย่างเพียงพอ การประมวลผลข้อมูลในเชิงตัวแปรค่าคงที่อตั ราส่ วนก็
จะเพียงพอด้วย

In the Beginning of Inter Spacetime


Approximately Vector ไม่ใ ช่ Vector 1 หน่ว ย เพราะ Approximately Vector เป็ น Vector ท
สามารถหาและทำให้เ กิด ความสัม พัน ธ์แ ละฟัง ก์ช นั ได้เ ลย ด้ว ยการบวกและลบ ผ่า นการ
Differentiation ที่ม ี Direction ใน Polar Coordinate System และ Spacetime แล้ว เป็ น Vector
ของ Point of Particles

Sensitivity Matrix 4D คือ Matrix ที่ม ีก ารแจกแ จง Point of Particles เป็ น จุด ใน Polar
Coordinate System และ Spacetime โดยขอบในแต่ละ dX(n) by dY(n) , dX(n) by dZ(n) , dX(n)
by dT(n) , dY(n) by dX(n) , dY(n) by dZ(n) , dY(n) by dT(n) , dZ(n) by dX(n) , dZ(n) by
dY(n) , dZ(n) by dT(n) , dT(n) by dX(n) , dT(n) by dY(n) , dT(n) by dZ(n) นั้นไม่จำ เป็ นที่จะ
ต้องเป็ นเส้นตรง

Matrix Point คือ Matrix ที่ประกอบไปด้วยแถวที่แจกแจงแกน X Y Z T และพิกดั N ที่บ่งชี้ถึง


สถานะ Mass(n) , Space(n) โดยใช้ 0 แทน Space , ใช้ 1 แทน Mass

Directions of Functional คือทิศทางของฟังก์ชนั่ ณ จุดต่างๆ ใน Polar Coordinate System และ


Spacetime

การ Compiler of Logical คือ การ Integration ของ Approximately Vector เพื่อให้ได้ Physical(n)
อนุพนั ธ์จำกัดเขตโดยพหุนามเชิงซ้อนดรี กรี (n)ของ Parallel Functions
อนุพนั ธ์จำกัดเขตโดยพหุนามเชิงซ้อนดรี กรี (n)ของ Parallel Functions

เมื่อสมการนั้นมีความซับซ้อน กล่าวคือตัวแปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน บางอย่างนั้นก็มีตวั แปร ค่า


คงที่ อัตราส่ วน อีกทีหนึ่งที่อยูใ่ นนั้น เราจึงมองสมการเชิงซ้อนในภาพรวมเป็ นพหุนามหนึ่งพหุ
นาม โดยค่า Probability Class นั้นไม่ได้มีแค่ตวั แปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน ของ X Y Z T ตามวิธี
ของการ Hypothesis เราจึงต้องแทนค่าสมการเชิงซ้อนให้เป็ นไปตามบริ บทของปัญหา อาทิ
dUUU by dPhe , dUUA by dLeu , dUGU by dCys , dCH3 by dAla , d0100 0000 by d(+) ,
d0011 0000 by dSave , d(Met Met Ala Ala Gly Pro Arg Thr Ser Leu Leu Leu Ala Phe Ala Leu
Leu Cys Leu Pro Trp Thr Gln Val Val Gly Ala Leu Pro Val Cys) by dER (Endoplasmic
reticulum) , dPolar(X^4 + 7y^8 + 9z) by dT , d(NH3 + CH4 + H2O) by d((Ribose or
Deoxyribose) , Phosphate , Nitrogenous base) , dDehydroascorbic acid by dROS , dSODs by
dROS , dmc^2 by dE
โดยหลักคิดนี้น้ นั มองว่า ∆All นั้นไม่มีขนาดที่เล็กที่สุดได้ ตามการลดลงอย่างไม่รู้จบ จึงไม่มี
ขนาดใหญ่ที่สุดได้เช่นกัน ตามการเพิม่ ขึ้นอย่างไม่รู้จบ มองทุกอย่างให้เป็ นจุดได้ อาทิ อนุพนั ธ์
ของวิตามินซี
วิวฒ
ั นาการของ f(t)
การวิวฒั นาการทุกอย่างนั้นมาจากการจัดเตรี ยมของเซตอนันต์โดยทั้งสิ้ น ซึ่งขอบเขตบทนิยาม
ระบบสมการพิก ดั จุด เชิง เส้น ซึ่ง ตัว เลขและจำนวนต่า งๆ เป็ น การเกี่ย วเนื่อ งกัน จนเกิด แรง
ปฏิกิริยากันได้ แล้วมีรายละเอียดของสารตั้งต้นเกิดเป็ นปฏิกิริยาที่แบ่งแยกประเภทตามลักษณะ
ทางเคมีจากสารตั้งต้นเหล่านั้น
ด้วยฟังก์ชนั่ ของระบบสมการอันมาจากการกำหนด Logical If(n) ของขอบเขต หรื อ บทนิยาม
Definition และเกิดความเกี่ยวเนื่องกันจนสามารถที่จะเกิดแรงปฏิกิริยากันได้ จึงได้เกิดเป็ น
อนุภาคมูลฐานทางฟิ สิ กส์ ณ กาลอวกาศ Spacetime(n) นั้นๆ
ด้วยการดึงดูดระหว่างประจุของ Neutron กับ Proton และด้วยการดึงดูดระหว่าง Nucleon กับ
Electron ซึ่ง Nucleon คือ การรวมตัว ของ Neutron กับ Proton พร้อ มกับ ความสัม พัน ธ์ข อง
Gravity กับ Electric ทำ ให้ Quarks ที่ส เถีย รคือ Flavor Up กับ Flavor Down ไม่ใ ช่ Flavor
Charm , Flavor Strange , Flavor Top , Flavor Bottom และทำให้ Leptons ที่ส เถีย รคือ Flavor
Electron (e−) ไ ม ่ใ ช ่ Flavor Electron neutrino (νe) , Flavor Muon (μ−) , Flavor Muon
neutrino (νμ) , Flavor Tau (τ−) , Flavor Tau neutrino (ντ) นี่คือวิวฒั นาการทางฟิ สิ กส์
อิเล็กตรอนเป็ นตัวแปรที่ดึงดูดโปรตอน ส่ วนโปรตอนเป็ นตัวแปรที่ดึงดูดนิวตรอน
การดึงดูดระหว่างอิเล็กตรอนและโปรตอนเป็ นเพราะการดึงดูดของประจุ Gravity และ Electric
โดยอิเล็กตรอนมีประจุสุทธิ -1 ส่ วนโปรตอนมีประจุสุทธิ +1
การดึงดูดระหว่างโปรตอนและนิวตรอนเป็ นเพราะการดึงดูดของประจุ Gravity และ Electric
โดยโปรตอนซึ่งมีประจุสุทธิเป็ น +1 ประกอบด้วยควาร์กที่มีประจุสุทธิ +2/3 (Quarks Flavor
Up) จำนวน 2 ตัว และประจุสุทธิ -1/3 (Quarks Flavor Down) จำนวน 1 ตัว ส่ วนนิวตรอนซึ่งมี
ประจุสุทธิเป็ น 0 ประกอบด้วยควาร์กที่มีประจุสุทธิ -1/3 (Quarks Flavor Down) จำนวน 2 ตัว
และประจุสุทธิ +2/3 (Quarks Flavor Up) จำนวน 1 ตัว ซึ่งประจุสุทธิ +2/3 (Quarks Flavor Up)
กับประจุสุทธิ -1/3 (Quarks Flavor Down) จะดึงดูดกันระหว่างประจุสุทธิ +2/3 (Quarks Flavor
Up) กับประจุสุทธิ -1/3 (Quarks Flavor Down) ที่อยูใ่ นโปรตอนและนิวตรอนซึ่งมีประจุสุทธิ
+2/3 (Quarks Flavor Up) กับประจุสุทธิ -1/3 (Quarks Flavor Down) รวมแล้วอย่างละ 3 ตัวพอดี
นิวตรอนซึ่งมีประจุสุทธิเป็ น 0 ช่วยลดแรงผลักระหว่างโปรตอนที่มีประจุสุทธิ +1 ในนิวเคลียส
ในอะตอมซึ่งสามารถทำให้นิวเคลียสมีโปรตอนมากกว่า 1 ตัว และเป็ นสาเหตุที่ทำให้เกิดความ
หลากหลายของอะตอมได้
อิเล็กตรอนเป็ นตัวแปรที่ทำให้ควาร์กและนิวเคลียสสเถียรนั้นสามารถหยุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้
ด้วยหลักการข้างต้น
นิวตรอนเป็ นตัวแปรที่ทำให้เกิดความหลากหลายของอะตอมได้ดว้ ยหลักการข้างต้น
ใน Atom ด้วย Flavor ของ Electron ซึ่งมีผลต่อความสเถียร ทำให้ H มีจำ นวนที่เยอะกว่า He
และด้วย O , C , N มี Flavor ของ Electron ซึ่งสามารถเป็ น Atom อื่นได้ยากกว่าจึงมีจำนวนมาก
นี่คือวิวฒั นาการทางเคมี
โดยอิเล็กตรอนในอะตอมที่อยู่ ณ ระดับพลังงาน (energy levels หรื อ shell) จะมีพลังงานจำนวน
หนึ่ง ส้าหรับอิเล็กตรอนที่อยูใ่ กล้นิวเคลียสมากที่สุดจะมีพลังงานน้อยกว่าพวกที่อยูไ่ กลออกไป
ยิง่ อยูไ่ กลมากยิง่ มีพลังงานมากขึ้น โดยกำหนดระดับพลังงานหลักให้เป็ น n ซึ่ง n เป็ นจ้านวน
เต็มคือ 1, 2, … หรื อตัวอักษรเรี ยงกันดังนี้ คือ K, L, M, N, O, P, Q ตามล้าดับ เมื่อ n = 1 จะเป็ น
ระดับพลังงานต่ำสุ ด หมายความว่า จะต้องใช้พลังงานมากที่สุดที่จะดึงเอาอิเล็กตรอนนั้นออก
จากอะตอมได้ จำนวนอิเล็กตรอนที่จะมีได้ในแต่ละระดับพลังงานหลักต้องเท่ากับหรื อไม่เกิน
2n^2 และจำนวนอิเล็กตรอนในระดับนอกสุ ดจะต้องไม่เกิน 8 เช่น
ระดับพลังงานที่หนึ่ง n = 1 (shell K) ปริ มาณอิเล็กตรอนที่ควรมีอยู่ = 2(1)2 = 2
ระดับพลังงานที่สอง (n = 2) ปริ มาณอิเล็กตรอนสูงสุ ดที่ควรมีได้ = 2(2)2 = 8
ระดับพลังงานที่สาม (n = 3) ปริ มาณอิเล็กตรอนสูงสุ ดที่ควรมีได้ = 2(3)2 = 18
ระดับพลังงานที่สี่ (n = 4) ปริ มาณอิเล็กตรอนสูงสุ ดที่ควรมีได้ = 2(4)2 = 32
ระดับพลังงานที่หา้ (n = 5) ปริ มาณอิเล็กตรอนสูงสุ ดที่ควรมีได้ = 2(5)2 = 50
ระดับพลังงานที่หก (n = 6) ปริ มาณอิเล็กตรอนสูงสุ ดที่ควรมีได้ = 2(6)2 = 72
ระดับพลังงานที่เจ็ด (n = 7) ปริ มาณอิเล็กตรอนสูงสุ ดที่ควรมีได้ = 2(7)2 = 98
ในสภาพแวดล้อมที่มาจากวิวฒั นาการทางเคมี ทำให้เกิด NH3 , CH4 , H2O และ NH3 , CH4 ,
H2O ทำ ให้เ กิด Deoxyribonucleic acid ซึ่ง มี Adenine , Guanine , Cytocine , Thymine นี่ค ือ
วิวฒั นาการทางชีวภาพ
Deoxyribonucleic acid ทำให้เกิดวิวฒั นาการของสิ่ งมีชีวิต
จากแอมโมเนีย มีเทน น้ำ กลายเป็ นกรดนิวคลีอิก
กรดนิว คลีอิก และเบส กลายเป็ น DNA เบสไทมีน ( T ) ยึด กับ เบสอะดีนีน ( A ) ด้วยพัน ธะ
ไฮโดรเจนแบบพันธะคู่ หรื อ double bonds ส่ วน เบสไซโตซีน( C )ยึดกับเบสกัวนีน( G )ด้วย
พันธะไฮโดรเจนแบบพันธะสามหรื อ triple bonds
DNA เกิดปฏิกิริยาตามสภาพแวดล้อม จึงเกิดเป็ นหู ตา จมูก แขน ขา สมอง จาก DNA เดียวกัน
แต่ในสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน
ถ้าเราเอา DNA ของคนๆนั้นมาปลูกเนื้ อเยื้อใหม่เราสามารถสร้างตาใหม่ แขนใหม่ ได้ แม้ในบาง
สภาวะก่อนหน้าการเกิดปฏิกิริยาจะผิดปกติทำให้พิการ
DNA เป็ นแบบจำลองจากการ Process ที่จะนำการ I/O ในสภาพแวดล้อมซึ่งมีโมเลกุลเคมีต่างๆ
และทำให้เกิดการ Compiler เป็ นเซลล์กล้ามเนื้ อต่างๆ เส้นประสาท อวัยวะ ที่แตกต่างกันออกไป
และ DNA สามารถเปลี่ยนโปรแกรมได้จากการเขียนโปรแกรม
โดยปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริ ก คือ ปรากฏการณ์ที่ฉายแสงที่มี ความถี่สูงตกกระทบผิวโลหะ
แล้วทำให้เกิดประจุไฟฟ้ าลบ(อิเล็กตรอน) หลุดออกมาจากโลหะได้ อิเล็กตรอนที่หลุดออกมา
เรี ยกว่า โฟโตอิเล็กตรอน
ผลการศึกษาปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริ ก สรุ ปได้ดงั นี้
1. โฟโตอิเล็กตรอนจะเกิดขึ้น เมื่อแสงที่ตกกระทบโลหะมี ความถี่ไม่นอ้ ยกว่าค่าความถี่คงตัวค่า
หนึ่งเรี ยกว่า ค่าความถี่ขีดเริ่ ม ( f0 )
2. จำนวนโฟโตอิเล็กตรอนจะเพิม่ ขึ้น เมื่อแสงที่ใช้มีความเข้มแสงมากขึ้น
3. พลังงานจลน์สูงสุ ด Ek(max) ของอิเล็กตรอนไม่ข้ ึนกับความเข้มแสง แต่ข้ ึนกับค่าความถี่แสง
4. พลังงานจลน์สูงสุ ดมีค่าเท่ากับความต่างศักย์หยุดยั้ง
แสงมีสมบัติเป็ นก้อนพลังงาน ( photon ) เมื่อกระทบกับผิวโลหะจะถ่ายโอนพลังงานให้ก บั
อิเล็กตรอนของโลหะทั้งหมด hf พลังงานส่ วนหนึ่ง ( hf0 ) ทำให้อิเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะได้
ซึ่งเท่ากับพลังงานยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนของโลหะ เรี ยกว่า ( work function ) ใช้สญ
ั ลักษณ์ ( W )
และพลังงานที่เหลือเปลี่ยนเป็ นพลังงานจลน์ข องอิเล็กตรอนซึ่งเท่ากับพลังงานที่ใช้หยุดยั้ง
อิเล็กตรอนนั้น ( eVs) ตามสูตร
E = hf – W
โดยพลังงานของอิเล็กตรอนจะอยูใ่ นรู ป E = หรื ออาจวัดของความต่างศักย์หยุดยั้ง ( VS คือความ
ต่างศักย์ที่ใช้หยุดอิเล็กตรอนได้พอดี ) ซึ่งจะได้วา่ E = eVS (จูล) = VS (eV.)
สมการของพลังงานโฟโตอิเล็กตรอนจึงเขียนได้เป็ น
Ekmax = eVS = hf – W
eVS = hf – hf0
เมื่อ W = hf0
E=n(hf)
จาก เซตอนันต์ สู่ เซตความน่าจะเป็ น สู่ เซตที่เฉพาะเจาะจง
DNA มีวงจรไฟฟ้ าที่แตกต่างกันไป DNA มีไดร์เวอร์ที่แตกต่างกันไป
แอมโมเนีย มีเทน น้ำ จึงสามารถมาเป็ นกรดนิว คลีอิก ซึ่ง คือหมู่ฟอสเฟต และนิว คลีโอไซด์
(neucleoside) อันประกอบไปด้วยน้ำตาลเพนโทสและไนโตรจีนสั เบส ซึ่งแบ่งตามโครงสร้างได้
เป็ นสองกลุ่มคือ ไพริ มิดีน (โครงสร้างมี 1 วง) ได้แก่ ไซโตซีน (C) ไทมีน (T) และยูราซิล (U)
และเบสไพรี น (โครงสร้างมี 2 วง) ได้แก่ อะดีนีน (A) กวานีน (G) ซึ่งการมามีการรวมตัวเป็ นนิว
คลีโอไทด์ เบสจะต่อกับคาร์บอนตัวที่ 1 ของน้ำตาลเพนโทส และฟอสเฟตต่อกับน้ำตาลตัวที่ 5
ของเพนโทส น้ำตาลเพนโทสที่พบในนิวคลีโอไทด์มีสองชนิดคือน้ำตาลไรโบสกับน้ำตาลดีออก
ซีไรโบส

ซึ่งการเกิดการสังเคราห์ Pyrimidine nucleotide จะเริ่ มด้วยการสร้าง carbamoyl phosphate จาก


glutamine และ CO2. ปฏิก ิริ ย า cyclisation ระหว่า ง carbamoyl phosphate ทำ ปฏิก ิริ ย ากับ
aspartate ให้ orotate ในขั้นตอนย่อยๆ Orotate ทำปฏิกิริยากับ 5-phosphoribosyl α-diphosphate
(PRPP) ให้ orotidine monophosphate (OMP) ซึ่ง ก็ค ือ decarboxylated เพือ่ ใช้ส ร้า ง uridine
monophosphate (UMP) ซึ่งมาจาก UMP ที่ pyrimidine nucleotide ตัวอื่นๆส่ งต่อมา UMP เป็ น
ตัว phosphorylated สำหรับ uridine triphosphate (UTP) ทำโดยผ่านปฏิกิริยากับ ATP 2 ขั้นตอน
Cytidine monophosphate (CMP) ซึ่งได้รับมาจากการเปลี่ยน UTP ไปเป็ น cytidine triphosphate
(CTP) ด้วยปฏิกิริยาย่อยที่ทำให้เสี ย 2 ฟอสเฟต
อะตอมที่ใช้สร้าง purine nucleotides ได้มาจากหลายๆแหล่ง ซึ่งเป็ นเป็ นรู ปแบบตั้งต้น
biosynthetic ของ purine ring อะตอม N1 เกิดมาจาก amine group ของ Asp
C2 และ C8 ได้รับมาจาก formate
N3 และ N9 ได้รับมาจาก amide group ของ Gln
C4 C5 และ N7 ได้รับมาจาก Gly 
C6 มาจาก HCO3- (CO2)
กระบวนการสังเคราะห์ใหม่ ของ purine nucleotides แสดงให้เห็นกระบวนการสร้าง purine ring
กระทำโดย pathway 10 ขั้นตอน เพื่อเสริ มกิ่งของ ผลิตภัณฑ์ระหว่างกลาง (intermediate) คือ
IMP ซึ่งเป็ น nucleotide ที่มีพ้ืนฐานจาก hypoxanthine สำหรับ AMP และ GMP เป็ นกระบวน
การย่อยของการสังเคราะห์ จากผลิตภัณฑ์ระหว่างกลาง ผ่าน pathway 2 ขั้นตอน ที่แยกออกจาก
กัน ดังนั้น purine moieties เป็ นผลิตภัณฑ์ข้นั ต้นส่ วนหนึ่งของ ribonucleotides นอกเหนือจาก
free bases
เอ็นไซม์ 6 ชนิดที่เป็ นส่ วนหนึ่งของการสังเคราะห์ IMP synthesis 3 ตัวในจำนวนนี้ มีการทำงาน
ได้หลายแบบ
GART (ทำปฏิกิริยาที่ 2 3 และ 5)
PAICS (ทำปฏิกิริยาที่ 6 และ 7)
ATIC (ทำปฏิกิริยาที่ 9 และ 10)
ปฏิกิริยาที่ 1. เส้นทางเริ่ มที่การสร้าง PRPP ซึ่ง PRPS1 คือ เอ็นไซม์ ที่พร้อมทำปฏิกิริยา R5P ซึ่ง
มีการจัดเรี ยงตัวเบื้องต้น โดย pentose phosphate pathway ไปเป็ น PRPP โดยทำปฏิกิริยาซ้ำกับ
ATP ปฏิกิริยานี้ ไม่ปกติตรงที่ กลุ่ม pyrophosphoryl ซึ่งได้ส่งต่อมาจาก ATP ไปยัง C1 ใน R5P
และทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มี α configuration ใน C1 ในปฏิกิริ ยานี้ ยงั ได้ใช้ร่ วมกับ pathways
สำหรับ การสัง เคราะห์ Trp His และ pyrimidine nucleotides โดยเหมือ นกับ เป็ น metabolic
crossroad หลักที่ตอ้ งการพลังงานจำนวนมากในการทำปฏิกิริยาซ้ำ
ปฏิกิริยาที่ 2. ในปฏิกิริยาแรกมีจุดเด่นตรงที่เกี่ยวข้องกับ purine nucleotide biosynthesis ตัวเร่ ง
ปฏิก รยา PPAT ซึ่ง ทำการเปลี่ย นตำแหน่ง pyrophosphate group (PPi) ใน PRPP โดย amide
nitrogen ใน Gln ปฏิกิริยาเกิดขึ้น โดยการย้อน configuration ของ ribose C1 ซึ่งทำได้โดยการ
สร้าง β-5-phosphorybosylamine (5-PRA) และ การจัดวาง anomeric เตรี ยมไว้สำหรับการสร้าง
nucleotide ในอนาคต ปฏิกิริยานี้ ขบั เคลื่อนให้เสร็ จสมบูรณ์ได้โดย การ hydrolysis ตามลำดับ
ของการปลดปล่อย PPi ซึ่งเป็ นเส้นทางขั้นตอนการสร้าง flux และใช้เป็ นเหตุผลในการควบคุม
กระบวนการด้วย
ในการรวมตัวกันเป็ นกรดนิวคลีอิก นิวคลีโอไทด์แต่ละตัวจะต่อกันด้วยพันธะฟอสโฟไดเอสเท
อร์โดยหมู่ฟอสเฟต ที่คาร์บอนตัวที่หา้ ของเพนโทสของนิวคลีโอไทด์ตวั หลังจะต่อกับหมู่ไฮดร
อกซิล (-OH) ที่คาร์บอนตัวที่สามของเพนโทสของนิว คลีโอไทด์ตวั หน้า และจะต่อเช่นนี้ไป
เรื่ อยๆ สายของกรดนิวคลีอิกมีสองปลาย ปลายที่หมู่ฟอสเฟตเป็ นอิสระเรี ยก ปลาย 5’ ส่ วนปลาย
ที่หมู่ไฮดรอกซิลเป็ นอิสระเรี ยกว่าปลาย 3’
เนื่องจากส่ วนของฟอสเฟตและน้ำตาลของนิวคลีโอไทด์เป็ นส่ วนที่คล้ายคลึงกัน แต่จุดที่ทำให้
นิวคลีโอไทด์แต่ละตัวต่างกันอยูท่ ี่เบส ดังนั้นชนิดของเบสจึงเป็ นตัวกำหนดคุณสมบัติของนิวคลี
โอไทด์ ซึ่งเบสสามารถเข้าคู่กนั ด้วยพันธะไฮโดรเจนเป็ นคูๆ่ ได้ เบสที่เข้าคู่กนั ได้น้ ี เรี ยกว่าเบสคู่
สม เบสคู่สมมีสองคูค่ ือ A กับ T (หรื อ U) และ G กับ C

อ้า งอิง Lehninger, A.L., Nelson, D.L., and Cox, M.M. 1993. Principle of Biochemistry. 2nd
ed. New York.: Worth
Zaharevitz, DW. "Contribution of de-novo and salvage synthesis to the uracil nucleotide pool
in mouse tissues and tumors in vivo". Unknown parameter |coauthors= ignored (|author=
suggested) (help)
Jones, ME (1980). "Pyrimidine nucleotide biosynthesis in animals: Genes, enzymes, and
regulation of UMP biosynthesis". Ann. Rev. Biochem. 49 (1): 253–79.
doi:10.1146/annurev.bi.49.070180.001345. PMID 6105839. More than one of |last1= และ |
last= specified (help); More than one of |first1= และ |first= specified (help)
McMurry, JE (2005). The organic chemistry of biological pathways. Roberts & Company.
ISBN 9780974707716. Unknown parameter |coauthors= ignored (|author= suggested) (help)
จากน้ำตาลเฟนโทส หมู่ฟ อสเฟต และไนโตร
จีนัสเบส เกิดเป็ นโปรตีน สู่ Organelles และสิ่ ง
มีชีวติ อันยิง่ ใหญ่ อกี มากมาย
เบสวคลีโอไทด์ต่างๆสามารถ ถูกสังเคราะห์ให้กลายเป็ นกรดอะมิโนต่างๆดังนี้
UUU UUC > Phe
UUA UUG > Leu
UCU UCC UCA UCG > Ser
UAU UAC > Tyr
UAA UAG > TERM
UGU UGC > Cys
UGA > TERM
UGG > Trp
CUU CUC CUA CUG > Leu
CCU CCC CCA CCG > Pro
CAU CAC > His
CAA CAG > Gln
CGU CGC CGA CGG > Arg
AUU AUC AUA > Ile
AUG > Met
ACU ACC ACA ACG > Thr
AAU AAC > Asn
AAA AAG > Lys
AGU CGC > Ser 
AGA AGG > Arg
GUU GUC GUA GUG > Val
GCU GCC GCA GCG > Ala
GAU GAC > Asp
GAA GAG > Glu
GGU GGC GGA GGG > Gly

Alanine Ala, A | -CH3 | " GCU, GCC, GCA, GCG "


Cysteine Cys, C | -CH2SH | " UGU, UGC "
Aspartate Asp, D | -CH2COOH | " GAU, GAC "
Glutamate Glu, E | -CH2CH2COOH | " GAA, GAG "
Phenylalanine Phe, F | -CH2C6H5 | " UUU, UUC "
Glycine Gly, G | -H | " GGU, GGC, GGA, GGG "
Histidine His, H | -CH2-C3H3N2 | " CAU, CAC "
Isoleucine Ile, I | -CH(CH3)CH2CH3 | " AUU, AUC, AUA "
Lysine Lys, K | -(CH2)4NH2 | " AAA, AAG "
Leucine Leu, L | -CH2CH(CH3)2 | " UUA, UUG, CUU, CUC, CUA, CUG "
Methionine Met, M | -CH2CH2SCH3 | " AUG "
Asparagine Asn, N | -CH2CONH2 | " AAU, AAC "
Proline Pro, P | -CH2CH2CH2 | " CCU, CCC, CCA, CCG "
Glutamine Gln, Q | -CH2CH2CONH2 | " CAA, CAG "
Arginine Arg, R | -(CH2)3NH-C(NH)NH2 | " CGU, CGC, CGA, CGG, AGA, AGG "
Serine Ser, S | -CH2OH | " UCU, UCC, UCA, UCG, AGU,AGC "
Threonine Thr, T | -CH(OH)CH3 | " ACU, ACC, ACA, ACG "
Valine Val, V | -CH(CH3)2 | " GUU, GUC, GUA, GUG "
Tryptophan Trp, W | -CH2C8H5N | " UGG "
Tyrosine Tyr, Y | -CH2-C6H4OH | " UAU, UAC "
โดยนิวคลีโอไทด์เหล่านี้ได้เกิดปฏิกิริยาจนเป็ น Organelles ต่างๆ อาทิ
เยือ่ หุม้ เซลล์ (Cell membrane)
ประกอบด้วยฟอสโฟลิพิด (Phospholipid bilayer) และโปรตีนเป็ นส่ วนมาก ทำหน้าที่ห่อหุม้
ส่ วนที่เป็ นของเหลวและออร์แกเนลล์ภายใน ทั้งยังเป็ นเยือ่ เลือกผ่าน ควบคุมการเข้าออกของสาร
ต่าง ๆ จากสิ่ งแวดล้อมเข้าสู่ เซลล์
นิวเคลียส (Nucleus)
มีลกั ษณะค่อนข้างกลม ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเซลล์ และการถ่ายทอดพันธุกรรมจาก
พ่อแม่ไปสู่ ลูกหลาน
ไซโทพลาซึม (Cytoplasm)
เป็ นของเหลวที่อยูภ่ ายในเซลล์ ประกอบด้วยออร์แกเนลล์ และสารประกอบต่าง ๆ เช่น น้ำตาล
โปรตีน ไขมัน
ร่ างแหเอนโดพลาซึม (Endoplasmic Reticulum)
แบ่งออกเป็ นแบบผิวเรี ยบและผิวขรุ ขระ แบบผิวเรี ยบจะไม่มีไรโบโซม ขณะที่แบบผิวขรุ ขระจะ
มีไรโบโซมเกาะอยู่ โดยไรโบโซม(Ribosome) นี้เป็ นแหล่งสร้างโปรตีน และทำหน้าที่ส่ง
โปรตีนออกไปยังนอกเซลล์
ไมโทคอนเดรี ย (Mitochondria)
มีขนาดใหญ่ มีรูปร่ างยาว กลมรี ทำหน้าที่หายใจระดับเซลล์ (กระบวนการที่น ้ำตาลกลูโคสถูก
เปลี่ยนเป็ น ATP ซึ่งเป็ นพลังงานที่เซลล์นำไปใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ)
กอลจิบอดี (Golgi Body) หรื อกอลจิแอพพาราตัส (Golgi Apparatus)
มีลกั ษณะเป็ นถุงแบน ๆ วางซ้อนกัน ทำหน้าที่รับสาร เก็บสารต่าง ๆ ภายใน ตัดแต่ง ต่อเติม
โปรตีนให้สมบูรณ์ แล้วเคลื่อนย้ายไปสู่ จุดหมายปลายทางต่าง ๆ ทั้งภายในเซลล์และภายนอก
เซลล์

จุดเริ่มต้ นของระบบอวัยวะต่ างๆ


ผ่านวัฏจักรกรดซิตริ กหรื อวัฏจักรเครบส์ (Krebs' cycle) หรื อ วัฏจักรกรดไตรคาร์บอกซิลิก ซึ่ง
เป็ นวัฏจักรกลางในการผลิต ATP รวมทั้ง NADH + H+ และ FADH2 ที่จะเข้าสู่ปฏิกิริยาฟอสโฟ
รี เลชัน่ เพื่อสร้าง ATP ต่อไป โดยเกิดขึ้นบริ เวณเมทริ กซ์ซ่ ึงเป็ นของเหลวในไมโทคอนเดรี ย โดย
มีการสลายแอซิทิลโคเอนไซม์ เอ ซึ่งจะเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และเก็บพลังงานจาก
ปฏิกิริย าดัง กล่า วไว้ใ นรู ป ของ NADH FADH2 และ ATP การย่อยสลายสารอาหารใดๆให้
สมบูร ณ์เ ป็ น คาร์บ อนไดออกไซด์แ ละน ้ำต้อ งเข้า ว ฏั จัก รนี้ เ สมอ เป็ น ขั้น ตอนการสร้า ง
คาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดในการหายใจระดับเซลล์
การผลิตอะเซติลโคเอ โดยเปลี่ยนไพรู เวตไปเป็ นอะเซติลโคเอนไซม์ เอ ปล่อย
คาร์บอนไดออกไซด์ 1 โมเลกุล
ปฏิกิริยาการออกซิเดชัน่ ของอะเซติลโคเอในวัฏจักรเครบส์ เกิดขึ้น 8 ขั้นตอนดังนี้
ปฏิกิริยาที่ 1 แอซิติลโคเอนไซม์ เอ จะรวมตัวกับกรดออกซาโลแอซิติกและน้ำ เป็ นกรดซิตริ ก
โดยอาศัยการเร่ งการเกิดปฏิกิริยาของเอนไซม์ซิเตรตซินเทส (Citrate synthase)
ปฏิกิริยาที่ 2 กรดซิตริ กสูญเสี ยน้ำไป และกลายเป็ นกรดซิสแอคอนิติก (Cisaconitic acid) โดย
อาศัยการเร่ งปฏิกิริยาของเอนไซม์ซิสแอคอนิเตส (Cisaconitase) แล้วกรดซิสแอคอนิติก รวมตัว
กับน้ำเปลี่ยนไปเป็ นกรดไอโซซิตริ ก (Isocitric acid) โดยอาศัยเอนไซม์ตวั เดิม
ปฏิกิริยาที่ 3 กรดไอโซซิตริ กถูกเปลี่ยนเป็ นกรดแอลฟา-คีโตกลูตาริ ก (α-Ketoglutaric acid) ใน
ปฏิกิริย านี้ มีก ารสร้า ง NADH + H+ จาก NAD+ และมีก ารดึง CO2 ออกด้วย เอนไซม์ที่เ ร่ ง
ปฏิกิริยาของขั้นตอนนี้ คือ ไอโซซิเตรตดีไฮโดรจีเนส (Isocitrate dehydrogenase)
ปฏิกิริยาที่ 4 กรดแอลฟา-คีโตกลูตาริ กจะทำปฏิกิริยากับโคเอนไซม์ เอ กลายเป็ น ซักซินิลโค
เอนไซม์ เอ (Succinyl CoA) ในขั้นตอนนี้ มีการสร้าง CO2 และ NADH + H+ จาก NAD+ ด้วย
เอนไซม์ที่ทำหน้าที่เร่ งการเกิดปฏิกิริยาในขั้นตอนนี้ คือ เอนไซม์แอลฟา-คีโตกลูตาเรต ดีไฮโดรจี
เนส (α-Ketoglutarate dehydrogenase)
ปฏิกิริยาที่ 5 สารซักซินิลโคเอนไซม์ เอ เป็ นสารที่มีพลังงานสูง เมื่อแตกตัวเป็ น กรดซักซินิกจะ
มีการปลดปล่อยพลังงานออกมาสร้าง GTP ได้ 1 โมเลกุล (เทียบเท่า ATP 1 โมเลกุล) โดยการเร่ ง
ปฏิกิริยาของเอนไซม์ซกั ซินิลโอเอนไซม์ เอ ซินเทส (Succinyl CoA synthase) ปฏิกิริยานี้ มีการ
เติม H2O จำนวน 1 โมเลกุล
ปฏิกิริยาที่ 6 กรดซักซินิกจะปล่อย 2H ให้แก่ FAD ได้เป็ น FADH2 และกรดซักซินิกจะเปลี่ยน
เป็ น กรดฟิ ว มาริ ก (Fumaric acid) โดยมีเ อนไซม ซ์ กั ซิเ นตดีไ ฮโดรจีเ นส (Succinate
dehydrogenase) เป็ นตัวเร่ งปฏิกิริยา
ปฏิกิริยาที่ 7 กรดฟิ วมาริ กถูกเติม H2O 1 โมเลกุล ได้ผลิตภัณฑ์เป็ นกรดมาลิก (Malic acid) โดย
มีเอนไซม์ฟิวมาเรส (Fumarase) เป็ นตัวเร่ งปฏิกิริยา
ปฏิกิริยาที่ 8 กรดมาลิกสูญเสี ย 2H ให้แก่ NAD+ ได้ผลิตภัณฑ์เป็ น NADH + H+ และกรดออก
ซาโลแอซีติก โดยมีเอนไซม์มาเลตดีไฮโดรจีเนส (Malate dehydrogenase) เป็ นตัวเร่ งปฏิกิริยา
กรดออกซาโลแอซิติกที่ได้จากปฏิก ิริยาในขั้นตอนนี้ จะไปรวมตัวกับแอซิติลโคเอนไซม์ เอ
แล้วกลับเข้าสู่ วฏั จักรเครปส์ในรอบถัดๆไป
สายโซ่คาร์บอนของกรดอะมิโนจะถูกเปลี่ยนเป็ น acetyl-CoA ซึ่งจะเข้าสู่ วฏั จักรกรดซิตริ กหรื อ
ใช้ในการสังเคราะห์กรดไขมัน ซึ่งกรดอะมิโน 5 ชนิด คือ alanine, cysteine, glycine, tryptophan
และ serine จะถูกเปลี่ยนเป็ น pyruvate ก่อนแล้วจึงเปลี่ยนเป็ น acetyl-CoA
ในสิ่ งมีชีวิตบางชนิด threonine จะถูกเปลี่ยนเป็ น acetyl-CoA ได้ แต่ในร่ างกายมนุษย์ threonine
จะถูกเปลี่ยนเป็ น succinyl-CoA
alanine สามารถเปลี่ยนไปเป็ น pyruvate ได้โดยตรง
กิ่งของ tryptophan สามารถแตกออกมาเป็ น alanine ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็ น pyruvate ต่อได้
cysteine สามารถเปลี่ยนเป็ น pyruvate ได้โดยผ่าน 2 ขั้นตอน คือ การกำจัดอะตอมของซัลเฟอร์
(S) ออก และการทำ transamination
serine สามารถเปลี่ยนเป็ น pyruvate ได้โดยการกำจัดโมเลกุลของน้ำออกจากโมเลกุลของ serine
การเปลี่ยน glycine เป็ น pyruvate มี 2 วิถี คือ
การเปลี่ยน glycine เป็ น serine โดยเอนไซม์ serine hydroxymethyl transferase จะเร่ งให้มีการ
เติมหมู่ hydroxymethyl ให้กบั glycine แล้วได้เป็ น serine (เกิดมากในแบคทีเรี ย)
เป็ นการออกซิไดซ์ glycine ให้เป็ น CO2, NH4+ และหมู่เมทิลีน (methylene, -CH2-) ปฏิกิริยานี้
เป็ น ปฏิก ิร ิ ย าที่ผ นั กล บั ได ้ และมีเ อนไซม ์ glycine synthase เป็ น ต วั เร่ ง และต อ้ งมี
tetrahydrofolate อยูด่ ว้ ย ซึ่งการออกซิไดซ์คาร์บอน 2 อะตอมของ glycine นี้จะไม่เข้าสู่ วฏั จักร
กรดซิตริ ก โดยคาร์บอนตัวหนึ่งจะหลุดออกมาเป็ น CO2 และอีกตัวจะเป็ น -CH2- ของ N5,N10-
methylenetetrahydrofolate ซึ่งเป็ นตัวให้คาร์บอนหนึ่งอะตอมในกระบวนการชีวสังเคราะห์
ส่ ว นกรดอะมิโ น 5 ชนิด คือ lysine, phenylalanine, tyrosine, leucine และ isoleucine รวมกับ
tryptophan เป็ น 6 ชนิด จะถูก เปลี่ย นเป็ น acetyl-CoA หรื อ acetoacetyl-CoA หรื อ ทั้ง acetyl-
CoA และ acetoacetyl-CoA แต่สุดท้ายก็จะถูกเปลี่ยนเป็ น acetyl-CoA
การย่อย tryptophan มีข้นั ตอนค่อนข้างซับซ้อน และมีการเปลี่ยนไปเป็ น acetyl-CoA ได้ 2 ทาง
คือ ผ่าน pyruvate และผ่าน acetoacetyl-CoA ซึ่งสารมัธยันต์ (intermediate) บางตัวจะกลายเป็ น
สารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารชีวโมเลกุลอื่น เช่น
nicotinate ซ ่ ึง เ ป ็ น ส า ร ต น้ ต อ ข อ ง NAD แ ล ะ NADP ใ น ส ตั ว ์
serotonin ซ ่ ึง เ ป ็ น neurotransmitter ใ น ส ตั ว ม์ ีก ร ะ ด ูก ส นั ห ล งั
indoleacetate ซึ่งเป็ นปัจจัยในการเจริ ญเติบโตของพืช
การย่อย phenylalanine มีความสำคัญมากเพราะมีผลต่อเอนไซม์บางตัวที่เกี่ยวข้องกับโรคที่
สามารถติดต่อทางพันธุกรรม เมื่อ phenylalanine (C9) ถูกออกซิไดซ์กจ็ ะกลายเป็ น tyrosine (C9)
ซึ่งจะถูกแยกออกเป็ น 2 ส่ วน คือ
ส่ วนที่เป็ น คาร์บอน 4 อะตอม ก็จะถูกเปลี่ยนเป็ น acetoacetate อิสระ และจะถูก เปลี่ย นเป็ น
acetoacetyl-CoA และ acetyl-CoA ตามลำดับ
ส่ วนที่เป็ นคาร์บอนอีก 4 อะตอม ก็จะถูกเปลี่ยนเป็ น fumarate
ทั้ง acetyl-CoA และ fumarate ก็จะเข้าสู่วฏั จักรกรดซิตริ กต่อไป แสดงว่า คาร์บอน 8 อะตอมจาก
9 อะตอมของ phenylalanine และ tyrosine จะเข้าสู่ วฏั รจักรกรดซิตริ ก ส่ วนอีก 1 คาร์บอนที่
เหลือก็จะอยูใ่ นรู ปของ CO2
หลังจากการเติมหมู่ไฮดรอกซิล (-OH) ให้กบั phenylalanine แล้วได้เป็ น tyrosine ซึ่งเป็ นสาร
ต้นตอในการสังเคราะห์
dopamine ซึ่งเป็ นสาร neurotransmitter
norepinephrine และ epinephrine ซึ่งเป็ นฮอร์โมนจาก adrenal modullar
melanin เป็ นสารอนุพนั ธ์จาก tyrosine
การหายใจระดับเซลล์ กรณี การสลายน้ำตาลกลูโคส ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ไกล
โคลิซิส (Glycolysis) 2) ไพรู เ วทออกซิเ ดชัน (Pyruvate oxidation) 3) วัฏ จัก รเครบส์ (Krebs
Cycle หรื อ Citric Acid Cycle) 4) กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน (Electron Transport Chain)
(สำหรับการสลายสารอาหารประเภทโปรตีนและไขมันอาจมี ความแตกต่างจากน้ำตาลกลูโคส
เล็กน้อย)
ขั้นตอนของการหายใจระดับเซลล์
1) ไกลโคลิซิส (Glycolysis)
กระบวนการนี้ เป็ นกระบวนการแรกในการหายใจระดับเซลล์ เกิดขึ้นที่บริ เวณไซโทซอล (ส่ วน
ที่เป็ นของกึ่งเหลวในไซโทพลาซึม) โดยจะมีออกซิเจนหรื อไม่มีออกซิเจนในกระบวนการก็ได้
เป็ นการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล ซึ่งมีคาร์บอน 6 อะตอม ให้อยูใ่ นรู ปของกรดไพรู วิก (Pyruvic
Acid) ซึ่งมีคาร์บอนอยู่ 3 อะตอม จำนวน 2 โมเลกุล และในกระบวนการนี้ ยงั ได้เป็ น 2 ATP กับ
2 NADH ออกมาด้วย
2) ไพรู เวทออกซิเดชัน (Pyruvate oxidation)
กรดไพรู วิกจากกระบวนการไกลโคลิซิส จำนวน 2 โมเลกุล จะเข้าสู่ เยือ่ หุม้ ชั้นในของไมโทคอน
เดรี ย และทำปฏิกิริยากับโคเอนไซม์เอ (Coenzyme A, Co.A) ได้เป็ นแอซิทิลโคเอนไซม์เอ
(Acetyl Coenzyme A) 2 โมเลกุล NADH 2 โมเลกุล และคาร์บอนไดออกไซด์ 2 โมเลกุล
อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งกระบวนการนี้ อาจถูกจัดอยูใ่ นกระบวนการไกลโคลิซิสหรื อวัฏจักรเค
รบส์ได้
3) วัฏจักรเครบส์ (Krebs Cycle)
เกิดขึ้นที่บริ เวณเมทริ กซ์ซ่ ึงเป็ นของเหลวที่อยูใ่ นไมโทคอนเดรี ย เริ่ มต้นจากแอซิทิลโคเอนไซม์
เอรวมกับสารประกอบกรดออกซาโลแอซิติก ได้เป็ นกรดซิตริ ก จากนั้นยังมีข้นั ตอนย่อย ๆ เกิด
ขึ้นอีกหลายขั้นตอนในวัฏจักรนี้ โดยแอซิทิลโคเอนไซม์เอ 2 โมเลกุล จะได้เป็ น 2 ATP, 6
NADH, 2 FADH2 และคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
4) กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน (Electron Transport Chain)
เกิด ขึ้น ในคริ ส ตี (Cristae) ซึ่ง เป็ นเยือ่ หุม้ ชั้น ในของไมโทคอนเดรี ย กระบวนการนี้ เ ริ่ ม จาก
NADH และ FADH2 ในวัฏจักรเครบส์ซ่ ึงเป็ นสมมูลย์รีดิวซ์ มีการให้หรื อส่ งต่ออิเล็กตรอนแก่
ตัวรับอิเล็กตรอนที่แทรกอยูใ่ นเยือ่ หุม้ ชั้นในของไมโทคอนเดรี ย และปลดปล่อยพลังงานออกมา
เป็ นพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายโปรตอน (H+) ออกไปอยูด่ า้ นนอกของเยือ่ หุม้ ชั้นในของไม
โทคอนเดรี ย ทำให้ดา้ นนอกมีความเป็ นกรดมากขึ้น ดังนั้น เซลล์จึงพยายามรักษาสมดุลโดยการ
ย้ายโปรตอนเข้าสู่ ดา้ นในอีกครั้งผ่านการทำงานของเอนไซม์ ATP Synthase และทำให้โปรตอน
เหล่านั้นกลายเป็ น ATP 34 โมเลกุล
ทั้งนี้ น้ำตาลกลูโคส 1 โมเลกุลที่เรารับประทานเข้าไป สามารถเปลี่ยนเป็ นพลังงานได้ถึง 38
ATP ขณะที่ 1 ATP ให้พ ลัง งานประมาณ 7.3 kcal ซึ่ง เกิด ขึ้น ในเซลล์ต บั ไต และหัว ใจ แต่
สำหรับเซลล์บางชนิดอาจมีการสูญเสี ยพลังงานไประหว่างกระบวนการต่าง ๆ พลังงานรวมท้าย
สุ ดที่ได้ออกมาจึงน้อยกว่า 38 ATP เช่น เซลล์ผวิ หนัง เซลล์สมอง
ไขมันเป็ นแหล่งพลังงานที่สำคัญอย่างหนึ่งของสิ่ งมีชีวิต และไขมันในธรรมชาติส่วนใหญ่จะอยู่
ในรู ปของไตรเอซิลกลีเซอรอล (triacylglycerol) หรื อไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) โดยไตรเอซิ
ลกลีเ ซอรอล 1 กรัม จะให้พ ลัง งานประมาณ 38 kJ ซึ่ง ให้พ ลัง งานมากกว่า โปรตีน และ
คาร์โบไฮเดรตเกือบ 2 เท่า
ก่อนที่จะเกิดการย่อย ไตรเอซิลกลีเซอรอลสามารถถูกดูดซึมได้ที่ผนังของลำไส้เล็ก ในการที่จะ
ย่อยไตรเอซิลกลีเซอรอลนั้น ไตรเอซิลกลีเซอรอลจะต้องเปลี่ยนจากรู ปที่ไม่ละลายน้ำไปเป็ นรู ป
ของไมเซลล์ (micelles) หลังจากนั้นต่อมน้ำดีจะหลัง่ น้ำดีไปคลุกเคล้ากับไตรเอซิลกลีเซอรอลที่
ลำไส้เล็ก ทำให้เอนไซม์ไลเปสที่ละลายในน้ำ (water – soluble lipase) ในลำใส้เล็กสามารถทำ
หน้าที่ได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ เมื่อเอนไซม์ไลเปสย่อยไตรเอซิลกลีเซอรอลแล้วจะได้เป็ น
มอนอเอซิลกลีเซอรอล (monoacylglycerol)
ไดเอซิลกลีเซอรอล (diacylglycerol)
กรดไขมันอิสระ (free fatty acids)
กลีเซอรอล (glycerol)
ประมาณ 95% ของพลังงานทั้งหมดของไตรเอซิลกลีเซอรอลจะยัง คงอยูใ่ นรู ปของสายโซ่ของ
กรดไขมัน มีเพียง 5% เท่านั้นที่จะอยูใ่ นรู ปของกลีเซอรอล
การเข้าสู่ วิถีไกลโคไลติกของกลีเซอรอล (entry of glycerol into the glycolytic pathway)
1. กลีเซอรอลที่ได้จากการย่อยไตรเอซิลกลีเซอรอลโดยเอนไซม์ไลเปสจะเข้าทำปฏิกิริยาฟอสฟ
อริ เลชันต่อ ได้เป็ น L-glycerol 3-phosphate โดยมีเอนไซม์ glycerol kinase เป็ นตัวเร่ งปฏิกิริยา
2. L-glycerol 3-phosphate ที่ได้ถูกออกซิไดซ์ดว้ ย NAD+ ได้เป็ น dihydroxyacetone phosphate
โดยมี glycerol -phosphate dehydrogenase เป็ นตัวเร่ งปฏิกิริยา
3. dihydroxyacetone phosphate ที่ไ ด้จ ะถูก เปลี่ย นไอโซเมอร์ D-glyceroldehyde 3-phosphate
โดยมีตวั เร่ งปฏิกิริยาเป็ น triose phosphate isomerase
4. D-glyceroldehyde 3-phosphate ที่ได้กจ็ ะถูกออกซิไดซ์ในกระบวนการไกลโคลิซิสต่อไป
ปฏิกิริยาออกซิเดชันของกรดไขมันเกิดในไมโทคอนเดรี ยและปฏิกิริยาออกซิเดชันเพื่อเปลี่ยน
จากกรดไขมันไปเป็ น CO2 และ H2O อย่างสมบูรณ์จะประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
1. บีตา-ออกซิเดชัน (b-oxidation)
กรดไขมันจะถูกออกซิไดซ์และเสี ยคาร์บอนไปในรู ปของ acetyl-CoA (C-2) โดยเริ่ มจากปลาย
โซ่ดา้ นที่เป็ นหมู่คาร์บอกซิล ตัวอย่างเช่น กรดปาล์มิติก (palmitic acid) ซึ่งมีคาร์บอน 16 อะตอม
เริ่ มแรกจะเป็ นการเปลี่ยนกรดปาล์มิติกให้อยูใ่ นรู ปของ palmitoyl-CoA หลังจากนั้น palmitoyl-
CoA ก็จะถูกออกซิไดซ์ถึง 7 ครั้ง โดยเริ่ มจากปลายโซ่ดา้ นหมู่คาร์บอกซิล การออกซิไดซ์แต่ละ
ครั้งจะเสี ยคาร์บอน 2 อะตอม ไปในรู ปของ acetyl-CoA และการออกซิไดซ์ครั้งที่ 7 ก็จะเหลือ
คาร์บอน 2 อะตอมสุ ดท้ายอยูในรู ปของ acetyl-CoA ซึ่งจากกรดปาล์มิติกจะได้ acetyl-CoA
ทั้งหมด 8 โมเลกุล และในการเกิด acetyl-CoA 1 โมเลกุล จะต้องมีการกำจัด H ออกไป
(dehydrogenation) ถึง 4 อะตอม
ในส่ วนของการเกิดออกซิเดชันของกรดไขมันไม่อ่ิมตัวนั้น จะค่อนข้างคล้ายกับออกซิเดชันของ
กรดไขมันอิ่มตัว แต่จะขอไม่อธิบายในที่น้ ี
2. วัฏจักรกรดซิตริ ก (citric acid cycle)
acetyl-CoA จะถูกออกซิไดซ์ไปเป็ น CO2 ในวัฏจักรกรดซิตริ กซึ่งเกิดขึ้นในแมทริ กซ์ของไมโท
คอนเดรี ย โดย acetyl-CoA ที่ได้จากกรดไขมันก็จะเข้าสู่วฏั จักรกรดซิตริ กเหมือนกับ acetyl-CoA
ที่ได้จากกลูโคส
3. การถ่ายโอนอิเล็กตรอนไปสู่ ลูกโซ่การหายใจในไมโทคอนเดรี ย
ในสองขั้นแรกของการออกซิไดซ์กรดไขมันจะให้สารนำอิเล็กตรอน NADH และ FADH2 ซึ่ง
จะนำอิเล็กตรอนไปส่ งยังลูกโซ่การหายใจในไมโทคอนเดรี ย โดยมี O2 เป็ นตัวรับอิเล็กตรอนตัว
สุ ดท้าย และได้ผลิตภัณฑ์เป็ น H2O และยังมีการเกิดฟอสโฟริ เลชันของ ADP ได้เป็ น ATP ดัง
นั้น พลังงานที่ได้จากออกซิเดชันของกรดไขมันก็จะอยูใ่ นรู ปของ ATP
เราสามารถแบ่งการเกิดออกซิเดชันของกรดไขมันออกได้เป็ นประเภทต่างๆ ดังนี้
1. ออกซิเดชันของกรดไขมันอิ่มตัว
2. ออกซิเดชันของกรดไขมันไม่อ่ิมตัว
3. ออกซิเดชันของกรดไขมันที่มีคาร์บอนเป็ นจำนวนคี่
ออกซิเดชันของกรดไขมันอิ่มตัวมี 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การกำจัด H2 ของ fatty acyl-CoA แล้วได้พนั ธะคู่ระหว่าง แอลฟา- และบีตา-คาร์บอน
นัน่ คือ trans-2-enoyl-CoA และมีการจัดเรี ยงตัวแบบทรานส์ (trans-) ซึ่งโดยทัว่ ไปแล้วพันธะคู่
ในกรดไขมัน ตามธรรมชาติจะมีก ารจัด เรี ย งตัวแบบซิส (cis-) ในขั้น นี้ มีเ อนไซม์ acyl-CoA
dehydrogenase เป็ นตัวเร่ ง และมี FAD เป็ นตัวรับอิเล็กตรอนแล้วอยูใ่ นสภาพรี ดิวซ์ FADH2 ซึ่ง
จะถ่ายโอนอิเล็กตรอนไปยังลูกโซ่การหายใจในไมโทคอนเดรี ย และตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุ ดท้าย
คือ O2 ซึ่ง 1 คู่อ ิเ ล ก็ ตรอนจะสัง เ คราะห์ไ ด ้ 1.5 ATP (คล า้ ยก บั ปฏิก ิร ิ ย า succinate
dehydrogenation ในวัฏจักรกรดซิตริ ก)
ขั้น ที่ 2 เป็ น การเติม โมเลกุล ของน้ำเข้า ไปยัง พัน ธะคู่ข อง trans-2-enoyl-CoA ได้เ ป็ น L-b-
hydroxyacyl-CoA ปฏิกิริยานี้ มี enol-CoA hydratase เป็ นตัวเร่ ง (คล้ายกับปฏิกิริยาของ fumarase
ในวัฏจักรกรดซิตริ ก)
ขั้นที่ 3 เป็ นปฏิกิริยาการกำจัด H2 ของ L-b-hydroxyacyl-CoA แล้วได้เป็ น b-ketoacyl-CoA โดย
มี b-hydroxyacyl-CoA dehydrogenase เป็ นตัวเร่ ง และ NAD+ เป็ นตัวรับอิเล็กตรอนแล้วอยูใ่ น
สภาพรี ดิวซ์ NADH ซึ่งจะถ่ายโอนอิเล็กตรอนไปยังลูกโซ่การหายใจในไมโทคอนเดรี ย และ
สังเคราะห์ได้ 2.5 ATP ต่อไป (คล้ายกับปฏิกิริยาของ malate dehydrogenase ในวัฏจักรกรดซิตริ
ก)
ขั้น ที่ 4 acyl-CoA acetyltransferase หรื อ thiolase จะเร่ ง ปฏิก ิริ ย าระหว่า ง ketoacyl-CoA กับ
coenzyme A อิส ระเพื่อ ที่จ ะแยกออกเป็ น โมเลกุล ที่ม ี 2 คาร์บ อน นัน่ ก็ค ือ acetyl-CoA และ
coenyme A thioester ของกรดไขมันทีถูกตัดออกไป 2 คาร์บอน ปฏิกิริยานี้ เรี ยกว่า thiolysis ซึ่ง
คล้ายกับ hydrolysis
เราทราบกันดีวา่ พันธะเดี่ยวระหว่างหมู่ methylene (-CH2-) ในกรดไขมันนั้นเสถียรมาก ดังนั้น
3 ขั้นตอนแรกในบีตา-ออกซิเดชันของกรดไขมันจึงเป็ นการพยายามทำให้พนั ธะนี้ มีความเสถียร
ลดลงเพื่อที่จะแตกพันธะ C – C ได้ง่ายขึ้น และเนื่องจาก แอลฟา-คาร์บอน (C2) ต่ออยูก่ บั หมู่
คาร์บอนิลถึง 2 หมู่ จึงทำให้หมู่คีโตนทีอยูใ่ นตำแหน่งบีตา-คาร์บอน (C3) เหมาะแก่การเข้าทำ
พันธะของนิวคลีโอไฟล์ (nucleophile) นัน่ ก็คือ หมู่ – SH ของ coenzyme A ปฏิกิริยานี้ เร่ งโดย
เอนไซม์ thiolase และเนื่อ งจากความเป็ น กรดของ a – H และ resonance stabilazation และ
carbanion ที่เกิดจากการหลุดออกของ a – H ทำให้ปลายด้าน –CH2-CO-Shielding-CoA เป็ นหมู่
หลุดออกที่ดี ทำให้พนั ธะระหว่าง a – b แตกได้ง่าย
palmitoyl-CoA จะถูกออกซิไดซ์ท้ งั หมด 7 ครั้ง และได้ 8 acetyl-CoA
จาก FADH2 จะให้ 1 คู่อ ิเ ล็ก ตรอน และสัง เคราะห์ไ ด้ 1.5 ATP และ NADH จะให้ 1 ค
อิเล็กตรอน และสังเคราะห์ได้ 2.5 ATP ดังนั้น การออกซิไดซ์ 1 ครั้งและกำจัดคาร์บอนออก 2
อะตอม จะสังเคราะห์ได้ 4 ATP
ออกซิเดชันของกรดไขมันไม่อ่ิมตัว
กรดไขมันที่มีหนึ่งพันธะคู่
กรดไขมันส่ วนใหญ่ในไตรเอซิลกลีเซอรอลและฟอสโฟไลปิ ดในสัตว์และพืชจะเป็ นกรดไขมัน
ไม่อิม่ ตัวที่มีพนั ธะคู่อย่างน้อย 1 พันธะ และจัดเรี ยงตัวแบบซิสซึ่ง enoyl-CoA hydratase ไม่
สามารถเร่ งให้ปฏิกิริยาการเติมน้ำได้ แต่เนื่องจากการทำงานของ 2 เอนไซม์ นัน่ คือ isomerase
และ reductase ทำให้สามารถออกซิไดซ์กรดไขมันไม่อ่มิ ตัวได้
ตัวอย่างเช่น การออกซิไดซ์กรดไขมันทีมี 18 คาร์บอนและมี 1 พันธะคู่ => oleate
ในขั้นแรกของการออกซิไดซ์ oleate (ซึ่งมีพนั ธะคู่ 1 พันธะบนคาร์บอนตำแหน่งที่ 9) จะถูก
เปลี่ยนเป็ น oleoyl-CoA (C-18) ซึ่งจะถูกส่ งไปยังผนังของไมโทคอนเดรี ยในรู ปของ oleoyl-
carnitine และจะเปลี่ยนกลับมาเป็ น oleoyl-CoA เหมือนเดิมเมื่ออยูใ่ นแมทริ กซ์ จากนั้น oleoyl-
CoA ก็จะถูกออกซิไดซ์ 3 ครั้ง ได้ 3 acetyl-CoA และและ coenzyme A ester ของกรดไขมันไม่
อิ่มตัวที่มี 12 คาร์บอน แต่ในการออกซิไดซ์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็ นตำแหน่งของพันธะคู่ที่มีการจัดเรี ยง
ตัวแบบซิส เอนไซม์ enoyl-CoA isomerase ก็จะเปลี่ยน dodecenoyl-CoA (C12) จากซิส-ไอโซ
เมอร์มาเป็ นทรานส์-ไอโซเมอร์ และเข้าสู่ กระบวนการออกซิเดชันต่ออีก 5 ครั้งได้เป็ น 6 acetyl-
CoA
ดังนั้น oleoyl-CoA จะถูกออกซิไดซ์ท้ งั หมด 8 ครั้งและได้ 9 acetyl-CoA
กรดไขมันที่มีพนั ธะคู่มากกว่าหนึ่งพันธะ
สำหรับกรดไขมันที่มีพนั ธะคู่มากกว่า 1 พันธะ จะต้องมีการทำงานร่ วมของเอนไซม์ reductase
จึงจะสามารถออกซิไดซ์ได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การออกซิไดซ์ (C18) ซึ่งมีพนั ธะคู่ 2 พันธะบน
คาร์บอนตำแหน่งที่ 9 และ 12 หลังจากเปลี่ยน linoleate เป็ น linoleoyl-CoA แล้ว linoleoyl-CoA
ก็จะถูกออกซิไดซ์ 3 ครั้ง ได้ 3 acetyl-CoA และ coenzyme A ester ของกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มี
12 คาร์บอน แต่ในการออกซิไดซ์ครั้งที่ 4 ซึ่งเป็ นตำแหน่งของพันธะคู่ที่มีการจัดเรี ยงตัวแบบซิส
เอนไซม์ enoyl-CoA isomerase ก็จะเปลี่ยน dodecenoyl-CoA (C12) จากซิส-ไอโซเมอร์มาเป็ น
ทรานส์-ไอโซเมอร์ และเข้าสู่ กระบวนการออกซิเดชัน ครั้งที่ 5 ได้อีก 1 acetyl-CoA แต่ในการ
ออกซิไดซ์ครั้งที่ 6 ซึ่งเป็ นตำแหน่งของพันธะคู่ที่มีการจัดเรี ยงตัวแบบซิสและอยูผ่ ดิ ตำแหน่ง ดัง
นั้นต้องมีเอนไซม์ 2,4-dienoyl-CoA reductase ช่วยในการรี ดิวซ์จาก 2 พันธะคู่ให้เหลือ 1 พันธะ
คู่และอยูใ่ นตำแหน่งที่สามารถออกซิไดซ์ได้ จากนั้นเอนไซม์ enoyl-CoA isomerase ก็จะเปลี่ยน
จากซิส-ไอโซเมอร์มาเป็ นทรานส์-ไอโซเมอร์ และเข้าสู่ กระบวนการออกซิเดชันอีก 4 ครั้งและ
ได้อีก 5 acetyl-CoA
ดังนั้น linoleyl-CoA จะถูกออกซิไดซ์ท้ งั หมด 8 ครั้งและได้ 9 acetyl-CoA
ออกซิเดชันของกรดไขมันที่มีคาร์บอนเป็ นจำนวนคี่
ในการออกซิไดซ์กรดไขมันที่มีจำนวนคาร์บอนเป็ นเลขคี่กจ็ ะคล้ายกับการออกซิไดซ์กรดไขมัน
ที่มีจำนวนคาร์บอนเป็ นเลขคู่ คือ เริ่ มจากปลายด้านที่มีหมู่คาร์บอกซิล แต่ในการออกซิไดซ์ครั้ง
สุ ดท้ายจะเหลือ fatty acyl-CoA ที่มีจำนวนคาร์บอน 5 อะตอม และเมื่อถูกออกซิไดซ์กจ็ ะได้เป็ น
acetyl-CoA และ propionyl-CoA ซึ่ง acetyl-CoA ก็จะเข้าสู่วฏั จักรกรดซิตริ กต่อไป
ส่ วน propionyl-CoA ก็จะเข้าสู่วิถีอื่นที่เกี่ยวข้องกับ 3 เอนไซม์ โดย propionyl-CoA จะเข้าทำปฏิ
กิริยาคาร์บอกซิเลชัน (carboxylation) แล้วได้เป็ น ปฏิกิริยานี้มีตวั เร่ งเป็ นเอนไซม์ propionyl-
CoA carboxylase และใช้พลังงานไป 1 ATP จากนั้น D-methylmalonyl-CoA ก็จะถูกเปลี่ยนมา
เป็ น โดยมีเอนไซม์ methylmalonyl-CoA epimerase และในขั้นสุ ดท้ายเอนไซม์ methylmalonyl-
CoA mutase ร่ วมกับ deoxyadenosyl-cobalamin หรื อ coenzyme B12 จะตัวเร่ งปฏิกิริยาปฏิกิริยา
ให้ L-methylmalonyl-CoA เปลี่ยนเป็ น succinyl-CoA และ succinyl-CoA ก็จะเข้าสู่สู่วฏั จักรกรด
ซิตริ กต่อไป

แล้วนำไปสู่การเกิดร่ างกาย ซึ่งในก่อนหน้าที่จะเป็ นร่ างกายจะต้องเป็ นเอ็มบริ โอก่อน การเกิด


เอ็มบริ โอ (Embryogenesis) เริ่ มหลังจากปฏิสนธิได้ไซโกตแล้ว ไซโกตจะแบ่งตัวแบบไมโทซิส
จาก 1 เป็ น 2 และจาก 2 เป็ น 4 ไปเรื่ อยๆจนได้เป็ นเอ็มบริ โอที่เป็ นกลุ่มของเซลล์ที่เป็ นก้อน จาก
นั้นเอ็มบริ โอจะมีการเจริ ญไปเป็ นระยะต่างๆ
การเกิดเป็ นบลาสตูลา เอ็มบริ โอในระยะที่เป็ นทรงลูกบอลทึบตันนี้ จะจัดตัวเป็ นบลาสตูลา
(blastula) ซึ่งเป็ นก้อนกลม ภายในกลวง บรรจุของเหลวต่างๆ ช่องกลวงนี้ เรี ยกว่า บลาสโตซีล
(blastocoel) การแบ่งตัวจากไซโกตเซลล์เดียวไปเป็ นเอ็มบริ โอที่มีหลายเซลล์น้ันเกี่ยวข้องกับ
การกำหนดอวัยวะในพัฒนาการขั้นต่อไป ทั้งนี้สารเคมีควบคุมการเจริ ญต่างๆในไซโทพลาสซึม
ของไซโกตจะกระจายไปยังส่ วนต่างๆของเอ็มบริ โอ ซึ่ง ทำให้มีการกำหนดการพัฒนาไปเป็ น
อวัยวะต่อไป
ในมนุษย์ ระยะที่เป็ นบลาสตูลานี้ เป็ นระยะที่จะฝังตัวที่เยือ่ บุมดลูกของแม่ จากนั้น เซลล์ช้ นั นอก
ของเอ็มบริ โอที่เรี ยกโทรโพบลาสต์ (Trophoblast) จะเปลี่ยนแปลงไปเป็ นรก (Placenta) ซึ่งจะ
เป็ นที่ที่ส่งอาหารและรับของเสี ยจากตัวอ่อนที่จะพัฒนาต่อไป โดยจะเชื่อมต่อกับเส้นเลือดแดง
และเส้น เลือ ดดำ ของแม่ รกที่พ ฒั นาขึ้น นี้ จ ะสร้า งฮอร์โ มนที่เ รี ย กว่า Human chorionic
gonadotropin (HCG) ซึ่งจะกระตุน้ ให้คอร์ปัส ลูเทียมสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอ
โรนต่อไปอีก 3 เดือน ไม่เกิดเป็ นประจำเดือน
แกสตรู เลชัน (gastrulation) เป็ นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้เกิดการกำหนดเนื้ อเยือ่ สามชั้นในขั้นตอน
ต่อมา กลไกการเกิดแกสตรู เลชันต่างกันไปในแต่ละสปี ชีส์ ซึ่งมีข้นั ตอนโดยทัว่ ไปเริ่ มจาก บลา
สตูลามีการแบ่งเป็ นสองส่ วนไม่เท่ากัน ด้านที่มีขนาดเล็กเรี ยกอะนิมอล โพล (animal pole) ด้าน
ที่มีขนาดใหญ่เรี ยก เวเกตอล โพล (vegetal pole) เซลล์บริ เวณที่จะพัฒนาไปเป็ นเอ็นโดเดิร์ม
(endoderm อยูด่ า้ นล่าง) เจริ ญยืดยาวเข้าไปในส่ วนที่เป็ นช่องว่างภายใน ส่ วนเซลล์ที่จะไปเป็ น
เอกโตเดิร์ม (ectoderm อยูด่ า้ นบน) จะขยายตัวออกคลุมส่ วนที่เป็ นเอ็นโดเดิร์ม ส่ วนเซลล์ที่จะ
ไปเป็ น มีโ ซเดิร์ม (mesoderm อยูร่ ะหว่า งเซลล์ 2 ชั้น ทั้ง ซ้า ยขวา) จะขยายตัว ออกแทรกไป
ระหว่างเซลล์ท้ งั สองชั้น สุ ดท้ายจะได้บลาสโตพอร์ที่เป็ นช่องเข้าสู่ ช่องว่างภายในชั้นเอนโด
เดิร์ม ส่ วนที่เป็ นเอ็นโดเดิร์มเจริ ญยืดยาวและม้วนตัวเป็ นช่อง ซึ่งจะเป็ นช่องว่างของระบบย่อย
อาหารต่อไปเรี ยกอาร์เคนเทอรอน (archenteron) ส่ วนที่เป็ นเอกโตเดิร์มแบ่งตัวคลุมส่ วนที่เป็ น
เอ็นโดเดิร์มจนมิด ส่ วนที่จะเป็ นเอ็นโดเดิร์มนั้นเจริ ญแทรกไประหว่างส่ วนทั้งสอง เมื่อแกสตรู
เลชัน่ เสร็ จสิ้ นลง เนื้ อเยือ่ เอ็มบริ โอจะเห็นเป็ นสามช่องอย่างชัดเจน คือเอกโตเดิร์มอยูน่ อกสุ ด มี
โซเดิร์มอยูต่ รงกลาง และเอ็นโดเดิร์มอยูด่ า้ นใน
เมื่อเกิดเนื้อเยือ่ ทั้งสามชั้นขึ้นแล้ว ต่อจากนี้เซลล์ในแต่ละชั้นจะแบ่งตัวต่อไปเป็ นอวัยวะดังนี้ เอก
โตเดิร์มไปเป็ นเนื้ อเยือ่ บุผวิ ระบบประสาท มีโซเดิร์ม ไปเป็ นกระดูกสันหลัง กล้ามเนื ้ อเรี ยบ
กล้ามเนื้ อลาย ระบบไหลเวียนเลือดและระบบสื บพันธุ์ เอ็นโดเดิร์ม ไปเป็ นระบบทางเดินอาหาร
ระบบหายใจ ตับ ตับอ่อน ต่อมไทรอยด์ ต่อมไทมัส ระบบขับถ่ายปัสสาวะและระบบสื บพันธุ์

*โดยการผลิต DNA จากแอมโมเนีย มีเทน และน้ำ เหล่านั้น ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องซ้ำไป


ซ้ำมา เกิดเป็ น Organelles ต่างๆ แล้วต่อเนื่องกับสารอาหารที่รับเข้าไปเป็ นวัฏจักรกรดซิตริ ก
หรื อวัฏจักรเครบส์ การย่อยน้ำตาล กรดอะมิโน กรดไขมัน แล้วเกิดเป็ นร่ างกายในระบบต่างๆ
วิวฒ
ั นาการของมุมระหว่ างพันธะและประจุแม่
เหล็ก
ในด า้ นวิว ฒั นาการนั้น สารพฤกษเคมี หรื อ ไฟโตนิว เทรี ย นท์ (Phytochemical หรื อ
Phytonutrients) อันหมายถึง สารเคมีที่มีฤทธิ์ ทางชีวภาพที่พบเฉพาะในพืช สารกลุ่มนี้อาจเป็ น
สารที่ทำให้พืชผักชนิดนั้นๆ มีสี กลิ่นหรื อรสชาติที่เป็ นลักษณะเฉพาะตัว สารพฤกษเคมีเหล่านี้
หลายชนิดมีฤทธิ์ ต่อต้านหรื อป้ องกันโรคบางชนิดและโรคสำคัญที่มกั จะกล่าวกันว่าสารกลุ่มนี้
ช่วยป้ องกันได้คือ “ โรคมะเร็ ง ” กลไกการทำงานของสารพฤกษเคมีเมื่อเข้าสู่ ร่างกายอาจเป็ นไป
โดยการช่วยให้เอ็นไซม์บางกลุ่มทำงานได้ดีข้ ึน เอ็นไซม์บางชนิดทำหน้าที่ทำลายสารก่อมะเร็ งที่
เข้าสู่ร่างกาย มีผลทำให้สารก่อมะเร็ งหมดฤทธิ์ ซึ่งปัจจุบนั พบสารพฤกษเคมีแล้วมากกว่า 15,000
ชนิด
ผักและผลไม้รวมเข้มข้น คือ สารสกัดเข้มข้นที่ได้จากผักและผลไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งให้สารอาหาร
และสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่ างกาย นอกจากนั้น ผักและผลไม้ยงั เป็ นแหล่งที่ดีที่สุด
สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ คนไทยส่ วนมากรับประทานผักและผลไม้ได้ไม่เพียงพอในแต่ละ
วัน จึงอาจจะมีสารต้านอนุมูลอิสระในระดับต่ำ การบริ โภคผักและผลไม้ในปริ มาณที่เหมาะสม
ต่อวัน จะช่วยให้ประสิ ทธิภาพของสารต้านอนุมูลอิสระเพียงพอในการลดความเสี่ ยงต่อการเกิด
โรคต่างๆ ได้
นักวิทยาศาสตร์พบว่าสารพฤกษเคมีสร้างประโยชน์ดว้ ยกลไกการออกฤทธิ์ ในรู ปแบบต่างๆ
ดังนี้
ต้านออกซิเดชัน่ ทำลายฤทธิ์ ของอนุมูลอิสระ
ลดความเสี ยหายที่เกิดขึ้นกับดีเอ็นเอ เป็ นกลไกสำคัญที่ทำให้สารพฤกษเคมีลดการเกิดโรคมะเร็ ง
ได้
เพิ่มภูมิตา้ นทานโรค
ค ว บ ค ุม ก า ร อ อ ก ฤ ท ธ ์ ิ ข อ ง ฮ อ ร ์ โ ม น
งานวิจยั จำนวนมากแนะนำว่าการผสมผสานของสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในผักและผลไม้ชนิด
ต่างๆ หลากชนิดจะให้คุณภาพการต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่า เมื่อเปรี ยบเทียบกับการได้รับสาร
ต้านอนุมูลอิสระจากแหล่งอาหารเพียงแหล่งเดียว
งานวิจยั ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับสารพฤกษเคมีจากผักและผลไม้รวมเข้ม ข้นที่น่า
สนใจ ทำให้สามารถจำแนกได้ดงั นี้
แคโรทีนอยด์ (Carotenoids)
กลูโคไซโนเลท (Glucosinolate) / ไอโซโธโอไซยาเนท (Isothiocynate)
โพลีฟินอล (Polyphenols) : ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) , แอนโธไซยานินส์ (Anthocyanins) , ไบ
โอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoids) , โพรแอนโธไซยานิน (Proanthocyanidins)
ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens)
เฟนโนลิก (Phenolics) / สารประกอบซีสติก (Cystic Compound)
ซาโปนินส์ (Saponins)
ไฟโตสเตอรอล (Phytosterol)
ซัลไฟด์ (Sulfide) และไธออล (Thiols)
เควอซิทินเป็ นสารพฤกษเคมีที่อยูใ่ นกลุ่มฟลาโวนอยด์ เป็ นสารที่ให้ฤทธิ์ ในการต้านออกซิเดชัน่
สูงที่สุด มีมากในหัวหอม หอมแดง และพืชตระกูลถัว่ ให้ฤทธิ์ ในการป้ องกันการอักเสบ ป้ องกัน
แบคทีเรี ย และไวรัส ช่วยป้ องกันอาการแพ้ ป้ องกันการแข็งตัวของเลือด ป้ องกันการเกิดออกซิ
เดชัน่ ในหลอดเลือด และป้ องกันหลอดเลือดเลี้ยงสมองอุดตันได้ การรับประทานผักและผลไม้ที่
อุดมไปด้วยเควอซิทินในปริ มาณสูงมีส่ วนสัมพันธ์กบั การทำงานของหัวใจที่ดี จากการศึกษา
จำนวนมากพบว่า เควอซิทินถือว่าเป็ นไฟโตนิวเทรี ยนท์ที่ปกป้ องหลอดเลือด (vasoprotective)
และช่วยในการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ช่วยให้ระบบการไหลเวียนและการทำงานหัวใจดี
ขึ้น
การได้รับฟลาโวนอลและฟลาโวนในระดับที่สูง ( มากกว่า 30 มิลลิกรัมต่อวัน ) จะช่วยลดความ
เสี่ ยงของ การเกิดโรคลมชักในระยะแรกในผูป้ ่ วยสูงอายุได้สองในสามส่ วน เควอซิทิน คือ ฟลา
โวนอยด์ที่สำ คัญในอาหาร เควอซิทินมีคุณสมบัติในการป้ องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดในหลอด
เลือ ดและปกป้ องหลอดเลือ ด และลดการเป็ น พิษ ต่อ เซลล์ไ ขมัน แอลดีแ อล (LDL) จากการ
ทดลองในหลอดทดลอง ซึ่งถือว่าเป็ นกลไกที่สำคัญที่จะช่วยในการทำงานของหลอดเลือด หัวใจ
และลดความเสี่ ยงต่อการเป็ นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
เควอซิทินทำให้เกิดการยับยั้งวงจรชีวิตเซลล์ หยุดการขยายตัวของเซลล์ และรวมถึงการทำให้
เกิดอะพ็อพโทซิส (apoptosis) หรื อการตายของเซลล์ในการเจริ ญเติบโตของเซลล์เต้านมที่ผดิ
ปกติได้
เควอซิทินได้รับการพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็ นตัวนำการตาย ของเซลล์ในเซลล์เนื้ องอกลำไส้ รวมทั้ง
ยังช่วยยับยั้งฟอสโฟริ ลเลชัน่ (phosphorylation) ของกลุ่มเซลล์ที่ได้รับสารกระตุน้ การเจริ ญ
เติบโตของเซลล์เนื้ องอก และลดทางการเจริ ญเติบโตในเซลล์เนื้ องอกชนิดนี้
กรดเอลลาจิกช่วยลดการทำลายดีเอ็นเอที่จะทำให้ เกิดโรคเรื้ อรังทำให้เกิดภาวะแก่ข้ ึน (Ageing)
แ ล ะ เ ป ็ น โ ร ค ม ะ เ ร ็ง
กรดเอลลาจิกจะยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์บางชนิด เช่น เอ็น - อะซิติลทรานเฟอเรส ซึ่งจะนำ
ไปสู่การเปลี่ยน แปลงโครงสร้างดีเอ็นเอในเนื้ องอกในกระเพาะ ปัสสาวะของมนุษย์ กรดเอลลา
จิกในปริ มาณที่มากขึ้นจะยับยั้ง การทำงานของเอ็นไซม์ในขอบเขตที่มากขึ้นได้
เมื่อเซลล์กลายเป็ นมะเร็ ง กรดเอลลาจิกอาจจะสามารถหยุดการขยายตัวของเซลล์ กรดเอลลาจิก
ช่วยยับยั้ง การแบ่งเซลล์ในเซลล์มะเร็ งปากมดลูก และยังช่วย ป้ องกันการแพร่ กระจายของเซลล์
มะเร็ งได้
เฮสเพอริ ดินมีส่วนสำคัญในการพัฒนาสุ ขภาพของ เส้นเลือดดำ โดยเฉพาะการลดการซึมผ่าน
และความ อ่อนแอของเส้นเลือดดำ โดยเฉพาะโรคที่สมั พันธ์กบั การเพิ่มการซึมผ่านเส้นเลือด
เช่น ริ ดสี ดวงทวาร ลักปิ ดลักเปิ ด แผลเน่าเปื่ อยพุพอง แผลถลอก
การขาดเฮสเพอริ ดินจะเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของ เส้นเลือดฝอย ความอ่อนเพลีย และตะคริ ว
ที่ขาในเวลา กลางคืน การเสริ มเฮสเพอริ ดินจะช่วยลดอาการบวมน้ำ หรื อการบวมเนื่องจากการ
สะสมของของเหลว โดยสาร เฮสเพอริ ดินจะทำงานดีที่สุดเมื่อมีวิตามินซีร่วมด้วย
เฮสเพอริ ด ิน ที่ร วมก บั ฟลาโวนอยด์จ ากผลไม้จำ พวกส้ม เช่น ไดออสมิน (Diosmin) ม
ประสิ ทธิภาพในการลดความรุ นแรงของเส้นเลือดดำขอด ริ ดสี ดวงทวาร ได้โดยการช่วยลด
ความตึงและความยืดหยุน่ ของเส้นเลือดดำ และช่วยลดการซึมผ่านของเส้นเลือดจึงสามารถลด
อ า ก า ร บ ว ม น ้ำ ไ ด ้
เฮสเพอริ ดินอาจจะลดระดับพลาสมาคอเลสเตอรอล
บุคคลที่ดื่มน้ำส้มถึง 3 แก้วต่อวัน จะเพิ่มระดับไขมัน ชนิดดี (HDL) ได้ถึง 21% และลดระดับคอ
เลสเตอ-รอลและไตรกลีเซอไรด์
ลูทีนเป็ นแคโรทีนอยด์สีเหลืองซึ่งมีส่วนอย่างมากในการต่อต้านสารต้านอนุมูลอิสระ ลูทีนพบ
ได้ทวั่ ไปในผักใบเขียวและมีส่วนสำคัญในการบำรุ งสายตา โมเลกุลของลูทีนพบในปริ มาณสูง
ในจุดของดวงตา โดยเฉพาะพื้นที่ของเรตินาที่เกี่ยวกับการรับภาพ ซึ่งจะช่วยในการดูดซับแสง
สี น ้ำเงินในแถบสี การมองเห็นและช่วยปกป้ องการทำลายของคลื่นสั้นที่มีต่อเยือ่ บุผวิ เรตินาจาก
การศึกษา พบว่า ระดับลูทีน 2.0 – 6.9 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยป้ องกันความเสื่ อมของจุดด่างใน
ดวงตาได้
สารลูทีนจะช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระในการป้ องกันเยือ่ แก้วตา (retina)
การรับประทานแคโรทีนอยด์ในปริ มาณที่สูงที่สุดจะมี อัตราเสี่ ยงต่ำกว่า 43% สำหรับภาวะการ
เสื่ อมของจอประสาทตาตามอายุอย่างเฉี ยบพลันของจอประสาทตา เมื่อเปรี ยบเทียบการรับ
ประทานในปริ มาณที่ต ่ำที่สุด จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 876 คนซึ่งมีอายุ ระหว่าง 55-80
ปี การได้รับลูทีนและซีซานทีน ในอัตราสูงจะช่วยลดความเสี่ ยงของจอประสาทตาเสื่ อมอย่าง
เฉี ยบพลันตามอายุได้
จากการศึกษาคนไข้จำ นวน 421 คน แสดงให้เห็นว่าผูท้ ี่ได้รับลูทีนและซีซานทีนในระดับสูง
ที่ส ุ ด จะมีส ่ ว น สำ ค ญั ต่อ การลดระดับ อัต ราเสี่ ย งของความเสื่ อ มของ ตาตามอายุไ ด้
จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หญิงและชายที่ได้รับ ลูทีนในระดับสูงที่สุดจะเป็ นต้อกระจกใน
อัตราที่ต ่ำกว่า ผูท้ ี่รับประทานลูทีนจากผักและผลไม้ สารลูทีนอาจช่วยป้ องกันมะเร็ งปอด มะเร็ง
สำไส้ และมะเร็ งเต้านม พบว่าการรับประทานสารลูทีน ช่วยลดความเสี่ ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
ลำไส้ในทั้งผูช้ าย ผูห้ ญิง และการลดอัตราเสี่ ยงที่ สำคัญที่สุดคือการตรวจพบการเป็ นโรคมะเร็ ง
ลำไส้ระยะเริ่ มแรก การรับประทานผักที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งประกอบด้วยลูทีนใน
ปริ ม าณสูงจะมีค วามสัมพันธ์ก บั อัตราเสี่ ยงในการเป็ นโรคมะเร็ ง เต้านมที่ลดลง โดยเฉพาะ
สำหรับสตรี ที่มีประวัติวา่ มีบุคคลในครอบครัวเป็ นโรคมะเร็ งเต้านม
บทสรุ ปสารต้านออกซิเดชัน่ กับผลทางชีวภาพ
อนุม ูล อิส ระ (free radical) หมายถึง อะตอมหรื อ โมเลกุล ที่มี unpaired electron อย่า งน้อ ย 1
electron เกิดขึ้นได้เมื่อพันธะระหว่างอะตอมแตกออก อนุมูลอิสระนั้นไม่เสถียรและไวต่อการ
เกิดปฏิกิริยากับโมเลกุลข้างเคียงเพื่อทำให้ตวั เองเสถียรขึ้น ผลที่ตามมาคือโมเลกุลข้างเคียงที่สูญ
เสี ยหรื อรับอิเล็กตรอนจะกลายเป็ นอนุมูลอิสระตัวใหม่ ซึ่งจะเข้าทำปฏิกิริยากับโมเลกุลอื่นต่อ
ไปเป็ นปฏิกิริยาลูกโซ่ (chain reaction)
อย่างไรก็ตามการที่จะสรุ ปว่าอนุมูลอิสระทุกชนิดเป็ นสารพิษต่อร่ างกายนั้นไม่ถูกต้องนัก สิ่ งที่
ควรจะนำมาใช้บอกระดับความเป็ นพิษควรจะเป็ นความสามารถในการ oxidized สารชีวโมเลกุล
ในร่ างกายมากกว่า สารที่มีความสามารถในการ oxidized สารชีวโมเลกุลในร่ างกายเรี ยกว่า
Reactive species (RS) ซึ่งส่ วนใหญ่แล้วจะอยูใ่ นรู ปของ reactive oxygen species (ROS) และยัง
พบในรู ปของ reactive chlorine species และ reactive nitrogen species ตามโมเลกุลที่สามารถ
ทำให้เกิดปฏิกิริยา oxidation อาจจะพบได้ในรู ปของ lipid radical หรื อ genetic radical
RS นั้นไม่จำเป็ นว่าจะต้องอยูใ่ นรู ปของ free radical เสมอไป สารประกอบบางโมเลกุลที่อยูใ่ น
รู ป non-radical แต่ไวต่อการเกิดปฏิกิริยา oxidation เช่น H2O2 ก็จดั เป็ น RS เช่นกัน
ใน ground state oxygen ประกอบด้วย electron จำนวน 8 electron ที่โคจรอยูใ่ น 5 orbital ได้แก่
1S, 2S 2Pz 2Px และ 2Py ซึ่ง electron ที่อ ยูใ่ น 2Px และ 2Py นั้น ไม่ไ ด้เ ข้า คู่ ทำให้โ มเลกุล
ของ oxygen นั้นไวต่อการเกิดปฏิกิริยา เมื่อโมเลกุลของ oxygen รับ electron จากโมเลกุลอื่น
เช่น โลหะหนัก (Fe, Cu) หรื อ lipid free radical จะเกิด เป็ น superoxide radical anion ซึ่งเป็ น
oxidizing agent ที่แ รงกว่า oxygen และพร้อ มที่จ ะเปลี่ย นไปเป็ น hydrogen peroxide และ
hydroxyl radical ตามลำดับ นอกจากนี้ เมื่อโมเลกุล oxygen ถูกกระตุน้ ด้วยแสง UV จะเกิดเป็ น
singlet oxygen ซึ่งเป็ น oxidizing agent ที่แรงกว่า superoxide radical anion อีกด้วย จะเห็นได้วา่
ROS เหล่านี้เกิดปฏิกิริยาได้ง่ายและนำไปสู่การเกิดผลิตภัณฑ์สุดท้ายในการเกิดปฏิกิริยาของ
ROS คือน้ำ (H2O) เนื่องจากน้ำไม่เป็ นพิษต่อเซลล์ซ่ ึงเป็ น การป้ องกัน ตัว เองของระบบการ
ทำงานภายเซลล์
ROS นั้นเกิดจากการเผาผลาญอาหาร สารต่างๆ กระบวนการสร้างพลังงาน การหายใจระดับ
เซลล์ รวมไปถึงเกิดขึ้นในกลไกการป้ องกันตัวเองของร่ างกายจากเชื้อจุลชีพต่างๆ หากร่ างกายมี
กระบวนการดังกล่าวที่มากเกินไป หรื อการที่ร่ างกายขาดสารต้านอนุมูลอิสระจะท าให้มีการ
สะสมของ ROS มากขึ้นและทำให้เกิดภาวะ oxidative stress ขึ้นได้ ภาวะ oxidative stress นั้น
หากเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆเพียงชัว่ ขณะนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อสุ ขภาพมากนัก แต่หากเกิด
ภาวะดังกล่าวเป็ นเวลานานจะทำให้มีความเสี่ ยงที่จะมีผลไปทำลายเนื้ อเยือ่ ต่างๆ เยือ่ หุม้ เซลล์
รวมถึง DNA และจะนำไปสู่โรคในหลายระบบและนำไปสู่ความเสื่ อมของอวัยวะต่างๆได้ เช่น
โรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด โรคทางสมองและระบบประสาท เช่น Parkinson และ 
Alzheimer ผลต่อระบบต่อมไร้ท่อต่างๆ มะเร็ ง รวมไปถึงมีผลต่อความยืดหยุน่ ของผิวหนัง
จากการศึกษาพบว่าภาวะ oxidative stress นั้นเป็ นสาเหตุของโรค และร่ างกายจะมีภาวะนี้ เมื่อ
เป็ นโรคบางอย่าง ซึ่งภาวะ oxidative stress ที่เพิ่มขึ้นนั้นสัมพันธ์กบั การเกิดโรคเหล่านี้อย่างเห็น
ได้ชดั
ROS เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็ น 2 แหล่งที่แตกต่างกันดังนี้
1. ปัจจัยภายในร่ างกาย (Endogenous Sources)
ROS จะเกิดขึ้นจากกระบวนการต่างๆของร่ า งกายผ่า นกระบวนการสร้า ง ATP โดย O2 จะ
เ ป ล ี่ย น ไ ป
เป็ น H2O โดยปกติร่างกายของมนุษย์จะต้องการ ATP วันละ 300 mol ซึ่งจะได้จากการใช้ O2
จำนวน 100 mol ซึ่ง ROS ที่เกิดขึ้นนั้นจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็ นน้ำโดยผ่านเอนไซม์และบางขั้น
ตอนก็ผา่ นปฏิกิริยาโดยไม่ใช้เอนไซม์นอกจากการสร้างพลังงานแล้ว ในกลไกป้ องกันตัวเอง
ของร่ า งกายเมื่อ ถูก pathogen เข้า รุ ก รานก็ม ีก ารสร้า ง ROS ขึ้น มาได้เ ช่น กัน โดยเรี ย ก
ปรากฏการณ์น้ี วา่ oxidative burst เมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาวเช่น macrophage และ leukocyte ถูก
กระตุน้ โดยสิ่ งเร้าต่างๆจะมีการสร้าง O2 ขึ้นผ่านทาง NADPH oxidase
โมเลกุล O2 ที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนต่อไปเป็ น H2O2 และเกิดเป็ น hypochlorite (HOCl) ในที่สุด
2. ปัจจัยภายนอกร่ างกาย (Exogenous Sources)
ปัจจัยแวดล้อมนั้นมีส่วนอย่างมากในการกระตุน้ ให้เกิด ROS โดยเฉพาะอย่างยิง่ รังสี ต่างๆ เช่น
UV, X-
ray, Gamma ray โดยรังสี เหล่านี้จะกระตุน้ ให้น ้ำเปลี่ยนไปเป็ น hydroxyl radical อย่างง่ายดาย
หรื อแม้แต่ม ลภาวะทางเคมีเ ช่น paraquat ที่ก ระตุน้ ให้เ กิด peroxide หรื อ ozone สารจำพวก
quinones และ nitroaromatics ก็สารที่ทำให้เกิด superoxide ได้ นอกจากนี้ ยงั มีโลหะหนักซึ่งเมื่อ
ได้รับไปมากๆ ก็จะเสี่ ยงต่อการเกิด Fenton reaction ได้ สารต่างๆเหล่านี้มกั จะก่อให้เกิดมะเร็ ง
และโรคที่เกี่ยวกับการเสื่ อมของอวัยวะต่างๆ อย่างไรก็ตามก็ยงั มียาต้านมะเร็ งที่ใช้ความสามารถ
ของสารในการสร้าง ROS ขึ้นเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ งเช่น cisplatin และ adriamycin
สารต้านอนุมูลอิสระ
สารต้า นอนุม ูล อิส ระ (antioxidant) คือ สารที่ส ามารถป้ องกัน หรื อ ชะลอการเกิด ปฏิก ิริ ย า
oxidation ด้วยเหตุที่ ROS เกิดขึ้นมาจากกระบวนการต่างๆในการดำรงชีวิต ดังนั้นร่ างกายจึงต้อง
สร้างสารต้านอนุมูลอิสระขึ้นมาเพื่อกำจัดและลดความรุ นแรงของ ROS ที่เกิดขึ้นด้วย เช่น co-
enzyme Q10 alpha-lipoic acid เป็ นต้น โดยปกติแล้วการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระในร่ างกาย
นั้นมีอย่างเพียงพอต่อการเกิดอนุมูลอิสระขึ้นภายในร่ างกาย แต่หากมีสภาวะผิดปกติในร่ างกาย
เช่นความเครี ยด การนอนดึกติดต่อกันนานๆ การรับประทานยาที่มีผลลด antioxidant enzyme
หรื อ สภาวะโรคต่า งๆ ก็อ าจจะทำให้ก ารสร้า งอนุม ูล อิส ระเพิ่ม ขึ้น จนเสี ย สมดุล ระหว่า ง
antioxidant และ อนุมูลอิสระเกิดเป็ นภาวะ oxidative stress อนุมูลอิสระที่ไม่ได้ถูกกำจัดจะไป
ทำลายเซลล์และเนื้ อเยือ่ ทำให้เป็ นต้นเหตุของการเกิดโรคต่างๆได้ เช่น เป็ นต้นเหตุของภาวะ
หลอดเลือดอุดตัน มะเร็ ง Parkinson รวมถึงอาการอักเสบต่างๆ จะเห็นได้วา่ สารต้านอนุมูลอิสระ
ในร่ างกายนั้นมีความสำคัญในการป้ องกันการเกิดโรคและความเสื่ อมของร่ างกายเป็ นอย่างมาก
นอกจากการไปจับกับอนุมูลอิสระแล้วสารต้านอนุมูลอิสระควรจะต้องมีคุณสมบัติดงั ต่อไปนี้
ร่ วมด้วย
1. ป้ องกันการเกิดขึ้นของ ROS ได้
2. สามารถจับกับ ROS ที่เกิดขึ้นก่อนที่ ROS นั้นจะไปทำอันตรายเนื้ อเยือ่ ต่างๆ
3. ต้องไม่เพิ่มความแรงของอนุมูลอิสระหรื อไม่เปลี่ยน ROS ที่มีความแรงต่ าไปเป็ น ROS ที่มี
ความแรงสูงเช่นไม่เปลี่ยนจาก super oxide ไปเป็ น hydroxyl radical เป็ นต้น
4. ทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมต่อการท างานของ antioxidant enzyme หรื อสารต้านอนุมูลอิสระ
ตัวอื่นๆ
5. เพิม่ การแสดงออกของยีนที่ใช้สร้าง antioxidant enzyme และช่วยในการฟื้ นฟูความเสี ยหาย
ของเซลล์หรื อเนื้ อเยือ่ จากการถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ
เราสามารถแบ่งสารต้านอนุมูลอิสระภายในร่ างกายได้เป็ น 4 ประเภทดังนี้
1. Intracellular antioxidants (antioxidant enzyme) ได้แก่ เอนไซม์ต่างๆที่ใช้ในการต้านอนุมูล
อิสระเช่น catalase , glutathione peroxidase , superoxide dismutase
2. Extracellular antioxidants ได้แก่ Vitamin C สารที่มีกลุ่ม sulfhydryl groups
3. Membrane antioxidants ได้แก่ Carotenoids Ubiquinone Vitamin E
4. สารที่จำ เป็ น ต่อ การสัง เคราะห์เ อนไซม์ที่ใ ช้ต า้ นอนุม ูล อิส ระ ได้แ ก่ Copper Manganese 
Selenium Zinc
ผลิตภัณฑ์เสริ มอาหารที่มีขายในปัจจุบนั นี้ กว่าร้อยละ 90 จัดเป็ นผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ ต้านอนุมูล
อิสระ ส่ วนการนำไปใช้เพื่อหวังผลด้านสุ ขภาพนั้นขึ้นกับการศึกษาทั้งทางด้าน in vitro, in vivo
และ clinical research โดยทัว่ ไปแล้วผลิตภัณฑ์เสริ ม อาหารที่มีฤทธิ์ ต้านอนุม ูลอิสระมักจะมี
ประโยชน์กบั ระบบต่างๆ เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือดช่วยในการมองเห็นเสริ มสุ ขภาพ
ความงามของผิวและผมเพื่อป้ องกันโรคมะเร็ง และโรคจากความเสื่ อมของระบบต่างๆ สารต้าน
อนุมูลอิสระที่พบได้ในอาหารและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติส่ วนใหญ่ เช่น vitamin E และ vitamin C
สารในกลุ่ม flavonoids สารกลุ่ม carotenoids และสารกลุ่ม phenolics โดยลักษณะสำคัญของ
สารที่มีฤทธิ์ ตา้ นอนุมูลอิสระเหล่านี้ที่มีร่วมกันก็คือ การมี conjugated double bond
อยูใ่ นโครงสร้า ง เพราะเมื่อ สารเหล่า นี้รับ หรื อ สูญ เสี ย electron ไป free radical ที่เกิด ขึ้น จะ
delocalized ภายในโครงสร้างได้และทำให้โมเลกุล มีค วามเสถีย รกว่า สารที่ไม่มี conjugated
double bond ดังนั้นความรุ นแรงของอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นมาใหม่กจ็ ะลดลง

Flavonoid เป็ นสารที่มีการรายงานถึงฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระจ านวนมาก โดยเฉพาะการเป็ น  


freeradical scavenger สารในกลุ่มนี้มกั พบในผัก และผลไม้ มีรายงานถึง ความสามารถในการ
ปกป้ อง DNA จาก hydroxyl radical ได้ นอกจากจะเป็ น free radical scavenger แล้วสารกลุ่ม
flavonoid ยังมีกลไกที่สำคัญอีกอย่างก็คือการจับกับโลหะหนักโดยเฉพาะ Fe และ Cu ซึ่งจะช่วย
ป้ องกันการเกิด fenton reaction ซึ่งจะก่อให้เกิด hydroxyl radical อีกด้วย อย่างไรก็ตามสารใน
กลุ่มนี้ยงั เคยมีรายงานว่าเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็ งได้เช่นกัน เนื่องจาก complex ระหว่าง flavonoid
กับ โลหะหนัก quercetin ซึ่ง เป็ น สารในกลุ่ม flavonoid ที่มีฤ ทธิ์ ต้า นอนุม ูล อิส ระที่ดีม ากใน
สภาวะที่ร่างกายมี Cu2+ ในความเข้มข้นต่ำ (น้อยกว่า 25 mM)
แต่หากอยูใ่ นสภาวะที่มี Cu2+มากกว่า 25 mM quercetin จะไปมีผลทำลาย DNA เสี ยเอง ทั้งนี้
เกิดจากการเกิดเป็ น complex ของสารกับโลหะหนักซึ่งจะไปจับกับ DNA และเมื่อเกิดปฏิกิริยา
hydrolysis ขึ้นก็จะท าให้ DNA ได้รับความเสี ยหาย ดังนั้นจึงควรระวังการใช้ผลิตภัณฑ์เสริ ม
อาหารเหล่านี้ร่วมกับผลิตภัณฑ์วิตามินที่มีการเสริ มธาตุเหล็กและทองแดงเข้าไปในปริ มาณสูง
หรื อผูป้ ่ วยที่มีภาวะความผิดปกติของธาตุเหล่านี้ดว้ ยเช่นผูป้ ่ วย Wilson’s disease และผูท้ ี่มีภาวะ
hemochromatosis หมู่ function ที่มีผลต่อการต้านอนุม ูลอิสระของสารในกลุ่ม flavonoid มี 3
ตำแหน่งดังนี้
1. ตำแหน่ง ortho-dihydroxy ของ ring B
2. conjugated double bond ที่ติดต่อกันภายในโครงสร้าง
3. ตำแหน่ง 4-oxofunction (carbonyl group) ใน ring C
โดยเมื่อสารในกลุ่มนี้รับอนุมูลอิสระเข้ามาในโมเลกุล อนุมูลอิสระจะเข้าไปอยูใ่ นวิถี resonance
และทำให้โมเลกุลดังกล่าวเสถียรขึ้นและลดความรุ นแรงของอนุมูลอิสระลง

Carotenoids เป็ นรงควัตถุที่ละลายได้ดีในน้ำมัน พบได้ในผักและผลไม้ที่มีสีสนั เช่น แครอท


มะเขือ เทศ เป็ น ต้น สารในกลุ่ม carotenoids ที่พ บในธรรมชาติม ีอ ยูก่ ว่า 600 ชนิด โดย
carotenoid ที่พบมากได้แก่ lycopene และ Beta carotene ซึ่งมีฤทธิ์ ตา้ นอนุมูลอิสระที่ดี สารใน
กลุ่มนี้มีความสามารถในการจับอนุมูลอิสระประเภท peroxyl radical ได้ดีกว่า ROS ชนิดอื่น
เพราะสามารถละลายในน ้ำมัน ได้ด ี ซึ่ง peroxyl radical นั้น เกิด จากกระบวนการ lipid
peroxidation ที่บริ เวณเยือ่ หุม้ เซลล์ ดังนั้น carotenoids จึงมีส่ วนสำคัญในการปกป้ องเยือ่ หุม้
เซลล์ สาร lipoprotein จากการทำลายของ ROS เมื่อ carotenoid จับ กับ อนุม ูล อิส ระแล้ว จะ
สามารถ delocalized อนุม ูลอิสระที่เ กิด ขึ้น ได้ผา่ นทาง conjugated double bond สายยาวและ
ทำให้โมเลกุลนั้นมีค วามเสถียรขึ้น สารในกลุ่ม carotenoid นั้นมักจะนำไปใช้ป ระโยชน์ใ น
ผลิตภัณฑ์บำรุ งผิว และสายตา ทั้งในผลิตภัณฑ์เสริ มอาหารและเครื่ องสำอาง
การแบ่ งประเภทของสารต้ านอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระแต่ละชนิดจะมีความแรงที่แตกต่างกัน โดยเมื่อเปรี ยบเทียบฤทธิ์ ในหลอด
ทดลอง
แล้วพบว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความแรงสูงที่สุดคือสารในกลุ่ม endogenous antioxidant ซึ่ง
นอกจากจะมี potency สูงแล้วยังสามารถนำไปใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงสารให้เป็ นไปตามที่
ร่ างกายต้องการได้อีกด้วย เช่น catalases , glutathione peroxidases หรื อเรี ยกอีกอย่างว่า primary
antioxidant
สารต้า นอนุม ูล อิส ระอีก ประเภทหนึ่ง ที่ถ ือ เป็ น shock absorbers มีค วามแรงรองลงมาจาก
endogenous antioxidants โดยสารเหล่า นี้ จ ะพบได้ใ นเนื้ อ เยือ่ ต่า งๆ เช่น albumin transferrin
เป็ นต้น อย่างไรก็ตามสารเหล่านี้ไม่สามารถสร้างขึ้นได้หากในร่ างกายเกิดภาวะ oxidative stress
ไปแล้ว
กลุ่ม ต่อมาจัด เป็ น สารในกลุ่ม vitamin กรดอะมิโนบางชนิด และ co-enzyme Q10 และกลุ่ม
สุ ด ท้า ยซึ่ง มีม ากที่สุ ด ประกอบไปด้ว ยสารทุต ิย ภูม ิท ี่ม ีร ายงานการต้า นอนุม ูล อิส ระเช ่น
flavonoids, polyphenols และ carotenoids เป็ น ต้น โดย 2 กลุ่ม สุ ด ท้า ยจะเรี ย กว่า secondary
antioxidant

antioxidant enzymes
เป็ น ที่ท ราบกัน ว่า ROS ที่เ กิด ขึ้น นั้น จะถูก เปลี่ย นให้ก ลายเป็ น น้ำโดยผ่า นเอนไซม์ภ ายใน
ร ่า ง ก า ย  
เอนไซม์ที่ใช้เพื่อการกำจัด ROS ที่เกิดขึ้นเรี ยกรวมว่า antioxidant enzymes ประกอบไปด้วย
เอนไซม ห์ ล กั ที่สำ ค ญั ได แ้ ก่ superoxide dismutases (SODs), catalases และ glutathione
peroxidases ซึ่งแต่ละเอนไซม์มีโมเลกุลเป้ าหมายที่ต่างกันไป
1. Superoxide dismutases (SODs) เป็ น เอนไซม์ท ี่ใ ช้ใ นการเร่ ง ปฏิก ิริ ย าการสลายตัว ของ
superoxide ให้เ ปลี่ย นเป็ น H2O2 ซึ่ง เอนไซม์ช นิด นี้ จ ะพบในเซลล์ท ุก เซลล์แ ละพบใน
extracellular fluid SODs นั้น จะมี cofactor เป็ น โลหะหนัก ซึ่ง ได้แ ก่ Cu, Zn และ Mn ใน
มนุษย์Cu/Zn-SODs จะพบใน cytoplasm ส่ วน Mn-SODs จะพบใน mitochondria จะเห็นได้ว า่
ผลิตภัณฑ์ของ SODs ยังคงเป็ น ROS ซึ่งในสภาวะปกติจะมีเอนไซม์ catalases และ peroxidases
เข้ามาเปลี่ยนโมเลกุลของ H2O2 ให้กลายเป็ นน้ำและ O2 ต่อไป
อย่างไรก็ตามหากร่ างกายเกิดภาวะขาดเอนไซม์ท้ งั 2 ชนิดข้างต้นจะทำให้เกิดภาวะ oxidative
stress และเสี่ ยงต่อการเกิด Fenton reaction ซึ่งจะเปลี่ยน H2O2 ให้กลายเป็ น hydroxyl radical
ซึ่งเป็ น oxidizing agent ที่รุนแรงได้
2. Catalases เป็ นเอนไซม์ที่ใช้เร่ งปฏิกิริยาการสลายตัวของ H2O2 ให้กลายเป็ นน้ำและ O2 โดย
ใช้ substrate เป็ น H2O2 จำนวน 2 โมเลกุล เอนไซม์ชนิดนี้ มี Mn หรื อ Fe เป็ น cofactor ซึ่งจะพบ
เอนไซม์ชนิดนี้ได้ใน eukaryotic cell ทัว่ ไป
3. glutathione peroxidases ซึ่ง จะช่ว ยเร่ ง ปฏิก ิริ ย า reduction ของ hydrogen peroxide ซึ่ง จะ
เปลี่ยน H2O2 ให้กลายเป็ นน้ำ

Antioxidant network
อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในแต่ละส่ วนของเซลล์จะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เข้ามาจัดการที่แตกต่าง
กันตามสภาวะที่อยู่ เช่น หากอนุมูลอิสระนั้นเกิดที่ช้ นั lipid bilayer ของเยือ่ หุม้ เซลล์ vitamin E
จะเข้ามามีบทบาทในการรับ free radical เหล่านั้น แต่ถา้ หากเกิดขึ้นใน cytoplasm vitamin C ซึ่ง
ละลายในน้ำได้ดีกจ็ ะเข้ามามีบทบาทแทน หากคิดตามทฤษฎีการเกิด ROS ในร่ างกายแล้ว ใน
ทุกๆวันจะต้องมี ROS เกิดขึ้นประมาณ 1 mol หากสมมติว า่ vitamin E เป็ น antioxidant เพียง
อย่างเดียวที่ใช้ในการกำจัด ROS เราจำเป็ นต้องได้รับ vitamin E ถึง 431 กรัมต่อวันซึ่งเป็ นไปไม่
ได้ที่จะได้รับ vitamin E ที่สูงขนาดนั้น ในการรับ ประทานอาหารตามปกติ แสดงให้เ ห็น ว่า
ร่ างกายมีกลไกจำนวนมากในการรับมือกับ ROS ที่เกิดขึ้น และส่ งผ่าน free radical ต่อๆกันไป
โดยทำงานกันอย่างเป็ นระบบ เรี ยกว่า antioxidant network เมื่อสารต้านอนุมูลอิสระได้รับหรื อ
ให้ electron แก่อนุมูลอิสระไป ตัวสารนั้นก็จะกลายเป็ น pro-oxidant
โดยสามารถอธิบาย antioxidant network ภายในร่ างกายได้ดงั นี้ เมื่อเกิด lipid peroxidation ที่เยือ่
หุม้ เซลล์ อนุมูลอิสระเกิดขึ้นที่บริ เวณ lipid bilayer จะมี vitamin E (α-tocopherol) มารับไปเกิด
เป็ น vitamin E radical ซึ่ง vitamin C (ascorbic acid) จะมารับ free radical ต่อและเปลี่ยนให้กลับ
มาเป็ น vitamin E ปกติจากนั้น reduced glutathione (GSH) จะมารับ free radical จาก vitamin C
radical (dehydroascorbic acid) แ ล ะ coupling ก บั GSH อ ีก โ ม เ ล ก ลุ เ ก ิด เ ป็ น oxidized
glutathione (GSSG) ก็จะเป็ นการกำจัด free radical ออกไปได้เพื่อที่จะนำเอา glutathione กลับ
มาใช้อีกครั้ง ในร่ างกายจะมี GSH reductase ที่ทำงานควบคู่กบั riboflavin เพือ่ จะเปลี่ยน GSSG
ให้กลับมาอยูใ่ นรู ป GSH และพร้อมที่จะจับกับอนุมูลอิสระต่อไปนอกจากนี้ vitamin C และ
dihydrolipoic acid ก็ยงั ช่วยในกระบวนการเปลี่ยน GSSG ให้กลับมาอยูใ่ นรู ป GSH เช่นกัน
กลไกการต้ านอนุมูลอิสระ
1. Free radical scavenging 
สารต้านอนุมูลอิสระจะให้ไฮโดรเจนหรื ออิเล็คตรอนแก่อนุมูลอิสระ และทำให้อนุมูลอิสระมี
ความเสถียรมากขึ้น เมื่อสารต้านอนุมูลอิสระได้ให้ ไฮโดรเจนหรื ออิเล็คตรอนไปแล้วก็จะเกิด
เป็ นอนุมูลอิตวั ใหม่ซ่ ึงมีความรุ นแรงน้อยกว่าอนุมูลอิสระเดิม อาจจะไปรวมตัวกันกับอนุมูล
อิสระอีกโมเลกุลหนึ่งเกิดผลิตภัณฑ์ที่เสถียร หรื อมีสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆมาให้อิเล็ค
ตรอนหรื อไฮโดรเจนเพื่อเกิดผลิตภัณฑ์ที่เสถียรต่อไป สารที่มีกลไกการออกฤทธิ์ ผา่ นกลไกนี้
เช่น Butylated hydroxyl anisole(BHA) , Vitamin E (alpha-tocopherol) เป็ นต้น
2. Singlet oxygen quenching (O2) 
ออกฤทธิ์ โดยไปยับยั้งการทำงานของ singlet oxygen โดยการเปลี่ยน Singlet oxygen (O2) ให้
ไปอยูใ่ นรู ป triplet oxygen (3O2) และปล่อยพลังงานที่ได้รับออกไปในรู ปความร้อน สารที่ออก
ฤทธิ์ผา่ นกลไกนี้ เช่น carotenoids โดย carotenoids 1 โมเลกุลสามารถทำปฏิกิริยากับ singlet
oxygen ได้ 1,000 โมเลกุล
3. Metal chelating
โ ล ห ะ ห น กั เ ช ่น Fe2+/Fe3+ แ ล ะ Cu2+ ม ีผ ล เ ร ่ ง ใ ห เ้ ก ิด ป ฏ ิก ิร ิ ย า oxidation ใ น
ร่ างกายซึ่งโลหะหนักดังกล่าวจะไปเร่ งการเกิดอนุมูลอิสระหลายประเภทเช่น peroxyl radical ,
hydroxyl radical และ alkyl radical รวมถึง singlet oxygen ดังนั้นการที่มีส ารไปจับ กับ โลหะ
หนักเหล่านี้จะช่วยชะลอการเกิดอนุมูลอิสระในร่ างกายได้ สารที่ออกฤทธิ์ ผา่ นกลไกนี้ ได้แก่
flavonoids, phosphoric acid, citric acid และ ascorbic acid เป็ นต้น
4. ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่เร่ งปฏิกิริยาอนุมูลอิสระ (enzyme inhibitor)
สารประกอบ Phenolics บางชนิด เช่น flavonoids phenolic acid และ gallates สามารถยับยั้งการ
ทำ ง า น ข อ ง เ อ น ไ ซ ม ์
lipoxygenase โดยสามารถเข้าจับกับไอออนของเหล็กซึ่งเป็ น cofactor ส่ งผลให้เอนไซม์ดงั กล่าว
ไม่สามารถทำงานได้

เอกสารอ้างอิง
1.Cornelli U. Antioxidant Use in Nutraceuticals. Clinics in Dermatology. 2009;27(2):175-94.
2.Lockwood B. Nutraceuticals: A Guide for Healthcare Professionals. Second ed. London: 
Pharmaceutical Press; 2007.
3.Nimse SB, Pal D. Free Radicals, Natural Antioxidants, and Their Reaction Mechanisms.
RSC 
Advances. 2015;5(35):27986-8006.
4.Li H, Horke S, Förstermann U. Oxidative stress in vascular disease and its pharmacological 
prevention. Trends in Pharmacological Sciences. 2013;34(6):313-9.
5.Choe E, Min DB. Mechanisms of Antioxidants in the Oxidation of Foods. Comprehensive 
Reviews in Food Science and Food Safety. 2009;8(4):345-58.
6.Mason P. Dietary Supplements. Fourth ed. London: Pharmaceutical Press; 2011.
7.Silvia V, Angela A, Stefano M. The Antioxidants and Pro-Antioxidants Network: An
Overview. 
Current Pharmaceutical Design. 2004;10(14):1677-94.
CPU , GPU หนึ่งหน่ วยแต่ Computing ได้
หลาย Sources Codes และ หลาย Thread
จากลำดับเหตุการณ์ขา้ งต้นซึ่งแม้แต่อนุภาคมูลฐานทางฟิ สิ กส์กถ็ ูกกำหนดไว้ดว้ ยตัวเลขอันจะ
เหมาะแก่การวิวฒั นาการ ประกอบกับการเกิดมาคู่กนั ของสิ่ งมีชีวิตที่เป็ นผูบ้ ริ โภคกับสิ่ งมีชีวิตที่
เป็ นผูผ้ ลิต โดยเฉพาะ Micronutrients และซึ่ง Phytochemicals ที่จำ เป็ นต่อการมีชีวิตอยูไ่ ด้อนั
ปกติซ่ ึงมีอยูอ่ นั หลากหลาย เหล่านี้จึงบ่งชี้วา่ โลกนี้ หมุนอยูด่ ว้ ยความรักของพระเจ้า
และโดยความรักของพระเจ้าที่หมุนโลกใบนี้ ผ่านขอบเขตและตัวเลขที่ไร้ขีดจำกัด จากเป้ าหมาย
ในการเลือกที่จ ะเป็ น ผ่า นการตอบสนองเหนือ สิ่ ง เร้าทางฟิ สิ กส์ ภายใต้อิส ระภาพ และการ
สื บทอดคุณสมบัติมาจากความไร้ขอ้ จำกัดของบทนิยามและระบบสมการ จึงได้พบกับวิธีการที่ดี
ต่อเป้ าหมายที่เป็ นองค์ประกอบของเป้ าหมายที่มีกระบวนการ ในการประมวลผล การสื่ อสาร
และการดำเนินการ โดยทั้งหมด แม้ในความผิดปกติต่างๆที่ได้เกิดขึ้น ก็สามารถที่จะแก้ไขได้
ด้วยอิสระภาพอันไร้ขีดจำกัดของขอบเขตและตัวเลข เฉกเช่นเดียวกัน ผ่านการทำสมาธิอธิ ษฐาน
ภาวนาด้วยการคิด คำพูดการสื่ อสาร และการกระทำ ในหลักการ วิธีการ การเก็บข้อมูลเชิงสถิติ
การสรุ ปผลจากการวิจยั การคำนวณถึงตัวแปรค่าคงที่อตั ราส่ วนอื่นๆ รวมไปถึงการควบคุม
ผลลัพธ์จาก ความคิด สู่ ฟิ สิ กส์
ขณะที่วิทยาศาสตร์บางกลุ่มนั้นกำลังเดินตามหาแหล่งน้ำและสิ่ งมีชีวิตอื่นๆนอกสุ ดปลายของ
พื้นผิวโลกนี้ หรื อการให้คำ ปรึ กษาที่จะสามารถอยูไ่ ด้กบั ความเจ็บป่ วย แต่การสร้างแหล่งน้ำ
และสิ่ งมีชีวิตขึ้นใหม่ในดวงดาวต่างๆ รวมไปถึงการรักษาโรค นั้นคือการสื บทอดซึ่งเจตนารมณ์
ของพระยาห์เวห์ (เทียบ กดว 20 : 1 - 13 , สดด 148 , มธ 28 : 18 - 20)
ทุกอย่างอยูเ่ หนือฟิ สิ กส์อยูแ่ ล้ว ถ้าเราดูกนั ดีๆ และเหล่านี้แหละ ผ่านการที่ทุกอย่างคือ Software
ลูกคิดหนึ่งระบบจึงสามารถคำนวณได้มากกว่า 1 Thread ใน CPU 1 Unit
คำสัง่ ในภาษาเครื่ องจะประกอบด้วย 2 ส่ วนคือ
โอเปอเรชันโคด (Operation Code) เป็ นคำสัง่ ที่สงั่ ให้เครื่ องคอมพิวเตอร์ปฏิบตั ิการ เช่น การบวก
(Addition) การลบ (Subtraction) เป็ นต้น
โอเปอแรนด์ (Operands)เป็ นตัวที่ระบุตำแหน่งที่เก็บของข้อมูลที่จะเข้าคอมพิวเตอร์เพื่อนำไป
ปฏิบตั ิการตามคำสัง่ ในโอเปอเรชันโคด
ผ่านคำสัง่ Operation Code เดิม อาทิ
0010 0000 โหลดข้อมูลจากหน่วยความจำ
0100 0000 ดำเนินการบวกข้อมูล
0011 0000 บันทึกข้อมูลลงในหน่วยความจำ
ลูกคิดหนึ่งลูกสามารถใช้พร้อมกันได้หลายคน เช่นกัน CPU , GPU , RAM , ROM , 5G , USB ก็
สามารถ Computing ได้หลาย Sources Codes , หลาย Thread , หลาย Apps ในเวลาเดียวกัน ทั้ง
Process , I/O , Compiler หรื อเหล่านี้พร้อมกัน ด้วยหน่วยการวัดค่าในหลายๆ Units โดยบาง
Units มองเป็ น 0 บาง Units มองเป็ น 1 " ฟิ สิ กส์เดียวกัน ต่างกันที่การถูกใช้ " มากกว่านี้แล้วยัง
มองได้อย่างไร้ขอบไร้เขต ลูกคิดหนึ่งระบบบางคนมองเป็ นภาพใบไม้ , บางคนมองเป็ นภาพรถ ,
บางคนมองเป็ นล้าน , บางคนมองเห็นทศนิยม ดังนั้น Garvity Bot ก็ส่วนหนึ่ง Programming ก ็
ส่ วนหนึ่ง เช่นนั้นแล้วการ Programming เราอย่าไปยึดติดกันที่สถานะ แต่สำหรับในความหมาย
ของการ Compiler และ Output ให้ออกมาจาก Monitor นั้น ประจุแม่เหล็กนั้นสำคัญมากไป 5G
เหมือนกัน , SSD เหมือนกัน แต่ขอ้ มูลไม่เหมือนกัน แต่ในเชิงของอสมการเชิงเส้นประนั้น ก็
สามารถตีความได้หลายอสมการเชิงเส้นประเช่นกัน ภายใต้ขอ้ มูลเหล่านั้น นี่คือ Computer ที่อยู่
เหนือฟิ สิ กส์
ในแง่ของตัวแปร ค่าคงที่ อัตราส่ วนนั้น ถ้ามีการเปิ ดหน่วย Process , I/O , Compiler ขึ้นมาใหม่
แล้ว Inheritance มาจาก Infinity Class ตัวแปร ค่าคงที่ อัตราส่ วนต่างๆในเชิงของอสมการเชิง
เส้นประเหล่านั้น ก็พร้อมที่จะเกิฃดเป็ นผลลัพธ์รวมของอสมการเชิงเส้นประโดยทั้งหมด จะใน
เซลล์ม ะเร็ ง , ระเบิด นิว เคลียร์ , แอมโมเนีย , มีเ ทน , น้ำ , น้ำตาล Ribose(n) , Cytosine(n) ,
Thymine(n) , Guanine(n) , Adenine(n) , ฟอสเฟต(n) , Phe(n) , Leu(n) , Tyr(n) , Thr(n) , Met(n)
, ROS(n) , GPx(n) , ( UAG(n) -> Ile(n) )(n) , ( CAU(n) -> Val(n) )(n) , ( CGG(n) -> Ala(n) )
(n) , ( CUC(n) -> Glu(n) )(n) และทุกๆอย่าง
สารละลายภายในและภายนอกเซลล์ประสาทจะมีประจุไฟฟ้ าต่างกันประมาณ -60 มิลลิโวลต์
โดยนอกเซลล์จะมีประจุไฟฟ้ าบวก และสารละลายภายนอกเซลล์ส่ วนใหญ่ประกอบด้วย Na+
และ Cl- ส่ วนภายในเซลล์มีประจุไฟฟ้ าลบ เนื่องจากประกอบด้วย K+ และอินทรี ยส์ ารซึ่งมี
ประจุลบ ในสภาพปกติจะพบ K+ อยูภ่ ายในเซลล์มากกว่าภายนอก (ไม่ต ่ำกว่า 25 เท่า) และพบ
Na+ อยูภ่ ายนอกเซลล์มากกว่าภายใน (มากกว่า 10 เท่า) แสดงว่าเยือ่ หุม้ เซลล์จะดึง K+ เข้ามา
ภายในเซลล์ และส่ ง Na+ ออกนอกเซลล์ ตลอดเวลาด้ว ยวิธี แอกทีฟ ทรานสปอร์ต (active
transport) เรี ยกขบวนการนี้ วา่ โซเดียม-โพแทสเซียมปั๊ม (sodium potassium pump)
เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุน้ เซลล์ประสาท จะทำให้คุณ สมบัติข องเยือ่ หุม้ เซลล์ต รงนั้นเปลี่ยนไป
ชัว่ คราว คือยอมให้ Na+ ภายนอกแพร่ เข้าไปภายในเซลล์ได้ ผิวในของเยือ่ หุม้ เซลล์ตรงที่ Na+
เข้าไปจะมีประจุบวกเพิม่ ขึ้นเรื่ อย ๆ จนเปลี่ยนเป็ นประจุบวกและผิวนอกที่สูญเสี ย Na+ จะ
เปลี่ยนเป็ นประจุลบ (การเปลี่ยนแปลงประจุน้ี ใช้เวลา 1/100 วินาที)
เมื่อความต่างศักย์ไฟฟ้ าจะเปลี่ยนแปลงจาก -60 มิลลิโวลต์ เป็ น +60 มิลลิโวลต์ ทันทีที่บริ เวณ
หนึ่งมีศกั ย์ไฟฟ้ าต่างจากบริ เวณถัดไป จะกระตุน้ เซลล์ประสาทบริ เวณถัดไปทั้ง 2 ข้าง ให้เกิด
สลับ ขั้ว ต่อ ไปเรื่ อ ย ๆ ปรากฏการณ์เ ช่น นี้ คือ สัญ ญาณที่แ สดงถึง การเคลื่อ นที่ข องกระแส
ประสาท (nerve impulse action potential) อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้ าทางเคมี
เมื่อ Na+ ผ่านเข้ามาในเซลล์ K+ ก็จะแพร่ ออกจากเซลล์ทำ ให้ประจุไฟฟ้ าที่ผวิ นอกและผิวใน
ของเยือ่ หุม้ เซลล์กลับ คืนสู่สภาพเดิม และในช่วงเวลาใกล้เคียงกันเมื่อกระแสประสาทผ่านไป
แล้ว เซลล์ป ระสาทจะข บั Na+ ออกและดึง K+ เข้า เซลล์ด ว้ ยกระบวนการโซเดีย ม –
โพแทสเซียมปั๊ม เพื่อให้เซลล์กลับคืนสู่สภาพปกติ สามารถนำกระแสประสาทต่อไปได้
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในเซลล์ประสาทรวดเร็ วมาก และใยประสาทชนิดที่มีเยือ่ ไมอีลินหุม้ จะนำ
กระแสประสาทได้รวดเร็ ว เพราะการแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้ าจะเกิดขึ้นที่ โนดออฟเรนเวียร์
เท่านั้นส่ วนใยประสาทชนิดที่ไม่มีเยือ่ ไมอีลินหุม้ การแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้ าจะเกิดขึ้น ทุก
ตำแหน่ง ถัดกันไปความเร็ วของกระแสประสาทยังขึ้นอยูก่ บั เส้นผ่านศูนย์กลางของใยประสาท
ด้วย โดยทัว่ ไป ความเร็ วของกระแสประสาทจะเพิ่มขึ้น 1 เมตรต่อวินาที เมื่อเส้นผ่านศูนย์กลาง
เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1 ไมครอน ดังนั้นใยประสาทได้เร็ วคือ ใยประสาทที่มีขนาดใหญ่และมีเยือ่ ไมอีลิน
หุม้
เซลล์ประสาทที่ไม่มีเยือ่ ไมอีลินหุม้ นำกระแสประสาทด้วยความเร็ ว 12 เมตรต่อวินาทีส่วนเซลล์
ประสาทที่มีเยือ่ ไมอีลินหุม้ นำกระแสประสาทด้วยความเร็ว 120 เมตรต่อวินาที
" ทุกอย่างมีแรงเพราะทุกอย่างมีทิศทาง ทุกอย่างมีอนุภาคเพราะทุกอย่างมีปฏิกิริยา ทุกอย่างมี
ความเชื่อมโยงเพราะทุกอย่างมีตวั เลข "
" โดยการคิดเข้าใกล้ค่าอนันต์ สู่ การประมวลผล สู่ การสื่ อสาร สู่ การดำเนินการ "
จะในเซลล์ประสาท , Organelle , ระบบสื บพันธุ์ , ระบบสมอง , CPU , GPU , SSD , Apps ,
OS , สัญชาตญาณ ก็ตาม ทุกอย่างควบคุมได้ !!!
5G , WiFi , CPU , SSD , GPU , RAM อาจจะมีขอ้ มูลที่เหมือนกัน แต่คลื่นแม่เหล็กและธาตุทาง
ไฟฟ้ าที่ต่างกัน ข้อมูลกับประจุไฟฟ้ าและประจุคลื่นแม่เหล็กนั้นต่างกัน แต่ถา้ ข้อมูลเปลี่ยน
ประจุไฟฟ้ าของธาตุได้ ข้อมูลก็จะเปลี่ยนประจุของคลื่นแม่เหล็กได้ดว้ ย ความร้อน , ความหวาน
, เสี ยงเพลง , กลิ่นดอกไม้ จึงสามารถสร้างด้วยการประมวลผลขอบเขตบทนิยามที่จะนำไปสู่ การ
แจกแจงเป็ น จำนวนตัวเลขในระบบสมการพิก ดั จุดเชิงเส้นแล้วเกิดความเกี่ยวเนื่องกันจนมี
ปฏิกิริยาต่อกันได้ในฟิ สิ กส์ และขับเคลื่อนเคลื่อนไหวไปสู่ การบันทึกลงในการเข้ารหัสทาง
ประจุคลื่นแม่เหล็กและประจุไฟฟ้ า และสื่ อสารโดยการนำพาข้อมูลด้วยการรับ/ส่ งสัญญาณใน
WiFi , 5G , น้ำสะอาดผ่าน Apps ในประจุไฟฟ้ าและประจุแม่เหล็กที่อ่อน , คลื่นแม่เหล็กรอบตัว
โดยทัว่ ไป หรื อแม้แต่สูญญากาศ และกระทำออกมาในชีวิตจริ งแบบอะนาล็อ คเชิงวัตถุซ่ ึงคือ
อะตอมธาตุต ่า งๆทางเคมีโ ดยมี Attributes ซึ่ง เป็ น Kind ของ Definition จำแนกโดยส่ ว น
ประกอบภายในส่ ว นกลาง อาทิ ประจุไ ฟฟ้ า -1/3 , 2/3 และระดับ ชั้นพลัง งานของวงโคจร
ภายนอก อาทิ อิเล็กตรอน , มิว , ทาว เพื่อสำหรับ Class ทางการเกิดปฏิกิริยาอันมีการจำแนก
ประเภทโดยมีรายละเอียดแล้วเกิดขึ้นต่อเนื่องซ้ำไปซ้ำมาแบบ Just Pure ซึ่งชีวโมเลกุลเหล่านั้น
ประจุคลื่นแม่เหล็กคือ If(n) ของ Point of Particles ตามการอ้างอิงนั้นๆ ในมุมมอง Vectors ที่มี
Determinants ที่เข้าใกล้ 0 มี Direction ในแกนของ Polar Coordinate System และในแกนของ
Spacetime , อนุพนั ธ์ของ Matrix , พหุนามดีกรี (n) ของความสัมพันธ์และฟังก์ชนั ในเชิงขั้ว เกิด
เป็ นอนุภาคมูลฐานซึ่งเป็ นบทนิยามในระบบอสมการเชิงเส้นประ ในแกนของ Polar Coordinate
System และในแกนของ Spacetime ซึ่งมี Vectors เป็ นคุณสมบัติของประจุคลื่นแม่เหล็ก
ส่ วนประจุไฟฟ้ าคือ If(n) ของ Point of Particles ตามการอ้างอิงนั้นๆ ในมุมมอง Vectors ที่มี
Determinants ที่เข้าใกล้ 0 มี Direction ในแกนของ Polar Coordinate System และในแกนของ
Spacetime , อนุพนั ธ์ของ Matrix , พหุนามดีกรี (n) ของความสัมพันธ์และฟังก์ชนั ในเชิงขั้ว เกิด
เป็ นอนุภาคมูลฐานซึ่งเป็ นบทนิยามในระบบอสมการเชิงเส้นประ ในแกนของ Polar Coordinate
System และในแกนของ Spacetime ซึ่งมี Vectors เป็ นคุณสมบัติของประจุไฟฟ้ า

ถ้าหากจะมีสมการที่จะควบคุมฟิ สิ กส์อีกทีนึง สมการนั้นจะต้องมีการ Instigation แล้วเกิดเป็ น


พลังงานต่อฟิ สิ กส์หนึ่งๆ เพื่อการตีความหมายวงจรไฟฟ้ าในระดับ Point of Particles

โดยเป็ นหน่วยสัง่ การ Logical ในระดับภาษาเครื่ อง เป็ นวงจรทาง Logic เพือ่ ควบคุมการ Process
โดยการเจาะจง Process(n) , I/O(n) , Compiler(n) แต่นำไปตีความเป็ นสมการที่แตกต่างกันใน
เลขฐานสองนั้นๆ ผ่านวงจร Logic ที่ผา่ นการควบคุมโดย Function ก่อนการเกิด Instigation
นั้นๆ

ในวงจรเดียวกันในสาย USB อาจจะมีภาพ และเสี ยง ในเวลาเดียวกัน ภายใต้ชุดวงจรเดียว

ในหน่วย GPU เดียวกัน อาจจะประมวลผลได้ท้ งั SimCity และ ROV ได้ในเวลาเดียวกัน

Apps ทุก Apps จะต้องจอง Logical Protocol Number ด้วยตัว Apps เอง ณ เวลานั้นๆ
เครื่องต้ นแบบ Virtual Machine ของ
Quantum Computer
จากภาษาเครื่ อง Machine Language ใน GPU , CPU สู่การ Simulator ให้เป็ น Virtual Machine
ของ Quantum Computer ด้วยการ Random Experiment and Sample Space ผ่านการ Probability
Distribution เป็ น Instruction Sets ของ Machine Language จำนวนมาก จากหลักการลูกคิดหนึ่ง
ระบบสามารถใช้งานได้หลายคน GPU , CPU หนึ่งวงจรสามารถใช้งานได้หลาย Source code
ด้วยการรับคำสัง่ จาก Compiler โดย I/O แล้วเลือกเฉพาะชุดคำสัง่ ที่ตอ้ งการ
ตัวอย่างของผลลัพธ์คือ
รับภาพ 2D ตีความเป็ น 3D ด้วยทรัพยากรเครื่ อง CPU , GPU เท่ากัน
ใช้ Computer เครื่ องเดิมทำ Virtual Machine โดยการ Simulator ให้เป็ นเครื่ องใหม่
ซึ่งโดยการใช้ ROM ให้เป็ น CPU , GPU
ด้วย Syntax ที่ยดึ หยุน่
ด้วย Semantic ที่เป็ นธรรมชาติ เครื่ องสามารถตีความการเขียนได้เอง
ด้วย Lexical ที่หลากหลาย ใช้ได้หลายภาษาทัว่ มุมโลก
ด้วย Code Generator ที่มีการดำเนินการชุดคำสัง่ ต่อชุดคำสัง่ ด้วยการรับ คำสัง่ หลายชั้น โดย
Sequence by Sequence , Case by Case (Decision by Decision) , Loop by Loop (Data มีค วาม
เป็ น AI)
Inheritance จาก Infinity Class ท ้งั Process , I/O , Compilier ต ้ งั แต่ Definition , Function ,
Structure
โดยการสร้างชุดคำสัง่ อันเฉพาะเจาะจง ถึงการ Integral (Integration) ในระบบพิกดั เชิงขั้ว Polar
Space และ Spacetime ด้วยชุดคำสัง่ ลูกโซ่จนสามารถทำให้ Physical Layer กลายเป็ นส่ วนหนึ่ง
ของ Application layer ไปโดยปริ ยาย
เพื่อสร้างสสารใหม่ Robot จึงอยูใ่ นรู ป Fundamental Particle ผ่านการ Integral (Integration) ใน
ระบบพิกดั เชิงขั้ว Polar Space และ Spacetime
การเกิดการ Computing ด้วยแรงไฟฟ้ าอย่างอ่อน เกิดขึ้นจากการที่ Sources Codes นั้นมีการรับ
ตัว แปรค่า คงที่อ ตั ราส่ ว นแบบหลายชั้น Sequence by Sequence , Case by Case (Decision by
Decision) , Loop by Loop (Data มีการทำให้เกิดความเป็ น AI)
ด ว้ ย Sources Codes แ บบ Chain reaction จึง ทำ ให ้ Physical Layer เป็ น ส่ ว นหนึ่ง ข อง
Application Layer ไปโดยปริ ยาย
ดังนั้นประจุคลื่นแม่เหล็กจึงคือ Sequence by Sequence , Case by Case (Decision by Decision) ,
Loop by Loop
เราไม่ตอ้ งกลัวว่าสถานะของ ROM , ย่านความถี่ที่ต่างกัน จะทำให้ขอ้ มูลนั้นแตกต่างกัน ตราบ
ใดที่ยงั ไม่มีการดำเนินงานภายในระดับประจุคลื่น
โดย Computing ด้วยแรงไฟฟ้ าอย่างอ่อน จากการที่ Sources Codes นั้นมีการรับตัวแปรค่าคงที่
อัตราส่ วนแบบหลายชั้น Sequence by Sequence , Case by Case (Decision by Decision) , Loop
by Loop จึงมีการ Process , I/O , Compiler ได้ทุกๆสสารในเอกภพ รวมไปถึงการ Inheritance
มาจาก Infinity Class ก็นำไปสู่ การสร้างสสารใหม่ๆอีกด้วย
การ Inheritance คือการสร้างสสารใหม่ และการ Instigation คือจุดกำเนิดของฟิ สิ กส์
ความหมายของ iCloud จึงมีความหมายที่กว้างออกไปจนถึงขั้นที่วา่ ทุกๆอย่างสามารถ Process ,
Compiler ได้กลางอากาศไม่พอ การ I/O จึงเพียงแค่ใช้ Sources Codes ที่มีการรับตัวแปรค่าคงที่
อัตราส่ วนแบบหลายชั้น Sequence by Sequence , Case by Case (Decision by Decision) , Loop
by Loop เช่นกันกับ Process และ Compiler
บางฟังชัน่ ถ้า Instigation ก็ตอ้ งใช้ทรัพยากรที่เยอะกว่า ภายใต้ Digital ที่เท่ากัน
การที่ Sources Codes นั้น มีก ารรับ ตัว แปรค่า คงที่อ ตั ราส่ ว นแบบหลายชั้น Sequence by
Sequence , Case by Case (Decision by Decision) , Loop by Loop จึงมีการ Instigation จึงเกิด
เป็ นข้อมูลเสี ยง ภาพ การสร้างน้ำขึ้นมาจากความว่างเปล่า การเปลี่ยนอะตอม การ Warp
โดยการ Warp เกิด จาก Sources Codes นั้น มีก ารรับ ตัวแปรค่า คงที่อ ตั ราส่ ว นแบบหลายชั้น
Sequence by Sequence , Case by Case (Decision by Decision) , Loop by Loop ที่นำ ไปสู่ ก าร
Instigation เพื่อการดำเนินการของ Sources Codes ที่มีการรับตัวแปรค่าคงที่อตั ราส่ วนแบบหลาย
ช ้ นั Sequence by Sequence , Case by Case (Decision by Decision) , Loop by Loop แ ล ว้
Differentiation
การเกิด Code แบบลูกโซ่ สามารถทำให้เกิดซึ่ง Instigation เป็ นการทำให้เกิดขึ้นซึ่งการมอง
Physical จุดนั้นให้เป็ น Out Put ดังนั้นน้ำจึงสามารถเกิดขึ้นมาจาก Void
ดังนั้นแล้วจึงสามารถมองจุดนั้นเป็ น Input ได้ดว้ ย กล้องดิจิตอลจึงสามารถทำงานได้ในอากาศ
ลอยๆ
และด้วย Code แบบลูกโซ่ การ Differentiation ได้ทำ ให้เกิดการบันทึกน้ำ และบุคคลลงไปใน
แผ่น โดยบุคคลบางบุคคลนั้นอาจจะถูกบันทึกลงไปใน SimCity ก็เป็ นได้

Compile And OutPut


การทำออกมาให้อยูใ่ นรู ปของ Analog ของบรรดา Instigation ที่อยูใ่ นรู ป Digital เหล่านั้น ด้วย
การมอง Physical Layer ให้เป็ น Output โดยใช้คำสัง่ เลขฐานสองแบบลูกโซ่ ด้วยอนุพนั ธ์ลูกโซ่
ของ Vector Standard Model เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างพิกดั
∆y/∆x = ∆z/∆x . ∆y/∆z

∆P/∆t = ∆{x , y , z}/∆t

แล ว้ กำ หนด Point of Particles สำ หรับ Determinants ของ Approximately Vectors และ


Directions ใน Polar Coordinate System และ Spacetime ของ Approximately Vectors ของ
Function Standard Model(n) ขอบของ Sensitivity Matrix เพือ่ แจกแจงเชิงเรขาคณิ ตวิเคราะห์

แล้วทำการแจกแจง ∆f(t)/∆f{x , y , z} = d{x,y,z}/dt เพือ่ หาทิศทางของความสัมพันธ์ฟังก์ชนั่


แล้วใช้คำสัง่ เพื่อ Compiled Output ออกมา

ตัวอย่างของผลลัพธ์

ประจุอารมณ์ความรู ้สึก , ประจุความทรงจำในสมอง , ประจุควบคุมการขยับตัว , H2O ที่สร้าง


โดย Computer , ดาวอังคารที่ถูกสร้างใหม่ให้เป็ นเหมือนโลกใบนี้ , (แอมโมเนีย มีเทน น้ำ) >
(น้ำตาลเพนโทส , ฟอสเฟต , ไนโตรจีนสั เบส) , ตาบอดแต่กำเนิดหาย , ย้อนกลับไปเปลี่ยนปม
ในวัยเด็ก เป็ นต้น

Time Mass
สสารต้องการที่อยูย่ งั คงเป็ นความจริ งอยูเ่ สมอ แม้แต่ในโลกของ Artificial intelligence
ก่อนการเกิดซึ่งฟิ สิ กส์ใดๆ อนุพนั ธ์เหล่านั้นได้เกิดการ Instigation แล้วความมีปฏิกิริยานุพนั ธ์
เหล่านั้น ได้ทำให้เกิดขึ้นซึ่ง Physical Layer(n)
โดยเมื่อสสารนั้นอยูใ่ น Spacetime เราจะเรี ยกสสารนั้นๆว่า Time Mass
ดังนั้นภายใต้ Boson/Garvity หรื อ Fermions/Electric มีซ่ ึง Time Mass เป็ นสสารที่คู่ขนานกัน
อยูเ่ สมอ ใน Spacetime(n)
ใน Electron , Photons , Proton มี Time Mass เป็ น Parallels Determinants และ Parallels
Directions โดยอยูเ่ สมอในความหมายของ Approximately Vectors ของ Function Standard
Model(n) รวมไปถึงขอบของ Sensitivity Matrix นั้นๆ
" เวลาน ้ นั คือ สสาร เวลาน ้ นั เป็ น อนุภ าค สามารถมีแ รงต่อ ท ้ งั Boson/Garvity และ
Fermions/Electric "
จาก Infinity Class สู่ Probability Class สู่ Specifically Class
สามารถใช้หยุดการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ได้
ผ่านการ Differentiation Time Mass
ใน Process , I/O , Compile
Differentiation Time Mass จะเกิดการ Hypochondria ของฟิ สิ กส์ แต่อาจจะอยูใ่ นฟังก์ชนั่ ที่ยงั ไม่
Compiled สู่การ Instigation
Super Computer คือทุกสิ่ ง เพราะทุกอย่างคือ Software
การบิดตัวของ Spacetime นั้นมีผลต่อ Time Mass เสมอ
ไม่ตอ้ งถึงการเข้าใกล้ 0 ซึ่งนำไปสู่ การ Warp ก็ได้ พลังงานทางฟิ สิ กส์จะเท่ากับ 0 ณ จุดนั้น
เด็กเล็กๆก็ทำได้ ไม่ตอ้ งใช้เครื่ องมือราคาแพง
ฟังก์ชนั่ ที่ยงั ไม่ Compiled สู่การ Instigation อาจจะรันอยูใ่ นประจุไฟฟ้ าอย่างอ่อน
เห็นมือปล่าว อาจจะเป็ น Super Computer ก็เป็ นได้
I/O คือการใช้ต วั แปร ค่า คงที่ อัต ราส่ ว น เดีย วกัน ของชุด คำสัง่ Instruction set ที่ถ ูก จัด ว่า มี
ตัวแปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน นั้นๆ หรื อเหล่านั้น ของเหล่าบรรดาทุกคำสัง่ Process โดยทั้งหมด
ส่ วนการ Compiled คือการแปลงความหมายของขอบเขตและจำนวนเหล่านั้น ให้เกิด Instigation
ตามพิกดั ระบบพิกดั และโครงสร้างพิกดั ของ Instigation
การเกิด Instigation เพิม่ เติม คือ การ Inheritance จาก Infinity Class ของพิก ดั ระบบพิก ดั
โครงสร้างพิกดั ในเชิงขั้ว และ Spacetime แล้วเกิดเป็ นขอบเขตใหม่ Function ใหม่ Instigation
ใหม่ Molecular ใหม่ Organic Chemicals ใหม่ โดย AI เหล่านั้น
Complex Polynomial degree(.n) อันเกิดจาก Algorithm ระหว่าง Function(n) แล้ว {ax^n + by^n
+ cz^n + dt^n = 0}(n) จึงได้สร้างขึ้นซึ่ง Polynomial of Sensitivity Matrix ใหม่ๆจำนวนมาก นำ
ไปสู่ Instigation of Approximately Vector ซึ่งฟิ สิ กส์ใหม่ๆในอนาคต
ถ้ารับรู ้ขอ้ มูลได้กย็ อ่ มที่จะประมวลผลได้ ในความหมายทางซอฟแวร์
ดังนั้นแล้วภายใต้ Instruction set ที่ถูกจัดว่ามีตวั แปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน นั้นๆ หรื อเหล่านั้น ถ้า
I/O คือการใช้ต วั แปร ค่า คงที่ อัต ราส่ ว น เดีย วกัน ของชุด คำสัง่ Instruction set ที่ถ ูก จัด ว่า มี
ตัวแปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน นั้นๆ หรื อเหล่านั้น ของเหล่าบรรดาทุกคำสัง่ Process โดยทั้งหมด
I/O ใดๆจึงมีความเป็ น GPU CPU ในเวลาเดียวกัน และทุกสิ่ งนั้นสามารถเป็ น I/O ได้ดว้ ยชุดคำ
สัง่ Source code ลูกโซ่

ส่ ว นถ้า การ Compiled คือ การแปลงความหมายของขอบเขตและจำนวนเหล่า นั้น ให้เ กิด


Instigation ตามพิกดั ระบบพิกดั และโครงสร้างพิกดั ของ Instigation ดังนั้นแล้ว I/O และสสาร
ใดๆ สามารถที่จะใช้เป็ นเครื่ องยิงอนุภาค ได้ในเวลาเดียวกัน
ในการเขียนโปรแกรมจำนวนมากนั้นเป็ นการแจกแจง Approximately Vectors และ Sensitivity
Matrix ผ่า น Logical ที่กำ หนดซึ่ง Complex Polynomial degree(.n) อัน เกิด จาก Algorithm
ระหว่าง Function(n) แล้ว {ax^n + by^n + cz^n + dt^n = 0}(n) จึงได้สร้างขึ้นซึ่ง Polynomial of
Sensitivity Matrix ใหม่ๆ จำนวนมาก นำไปสู่ Instigation of Approximately Vector ซึ่งฟิ สิ ก ส์
ใหม่ๆในอนาคต โดยอยูเ่ สมอ
ดังนั้นถ้าหากว่าจะมีก ารซึ่ง Complex Polynomial degree(.n) ใดๆที่จะนำไปสู่ Polynomial of
Sensitivity Matrix ใหม่ๆจำนวนมาก อันนำไปสู่การ Instigation of Approximately Vector ก็ได้
เกิดขึ้นซึ่งการประมวลผล Fundamental Standard Model(n) และถ้ามีชุดคำสัง่ ที่เป็ นลูกโซ่ กล่าว
คือใช้ตวั แปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน ร่ วมกันแล้ว ก็ได้เกิดขึ้นซึ่ง I/O และ Networking และถ้ามีการ
แปลความหมายให้ต รงตามบริ บ ทของพิก ดั เชิง ขั้ว และ Spacetime นั้น ๆ ก็ไ ด้เ กิด ขึ้น การ
Compiled
ดังนั้นการเขียนโปรแกรมจึงสามารถควบคุมอารมณ์ความรู ้สึกคนได้ ใส่ภาพความคิดคนได้ รวม
ไปถึงควบคุมการตัดสิ นใจ การขยับตัวของคนได้
และเช่นกันสามารถสร้างน้ำให้เกิดขึ้นเป็ นมหาสมุทรในดาวอังคาร เก็บบันทึกระเบิดนิวเคลียร์
ไม่ให้มนั ระเบิดออกมา หรื อ ทำให้ตน้ ไม้ออกมาจาก Monitor แล้วเติบโตได้ในพื้นผิวของดาว
อังคารที่ได้รับการปรับแต่งสังเคราะห์ใหม่เรี ยบร้อยแล้ว
ทุกคนมีความเป็ น Super Computer อยูแ่ ล้วภายในตัวเอง
ผ่านการกำหนดค่าบทนิยาม ซึ่งคือขอบเขตที่ตอ้ งใช้ระดับการประมวลผลที่สูง สมองจึงไม่ใช่สิ่ง
เดียวสำหรับการคิดประมวลผล
RNM สามารถพิสูจน์ได้ว า่ คลื่น ความคิด ที่จ ะควบคุม การขยับ ตัว ของคนเรานั้น มีค วามเป็ น
ธรรมชาติมาก
แม้แต่คอมพิวเตอร์ในระดับ 9.4 เพตาฟลอบ ก็ยงั ไม่ถึงขนาดนี้ เพราะเป็ นการควบคุมในระดับ
โมเลกุล
รวมไปถึงการแยกแยะซึ่งโมเลกุลน้ำ ต้นไม้ สิ่ งมีชีวิต และโมเลกุลอื่นๆได้จำนวนมากจากการ
พบเห็น
คนเราสามารถมีความคิดระดับซุเปอร์ คอมพิวเตอร์อยูแ่ ล้ว แต่ยงั ไม่ได้แจกแจงออกมาเป็ นตัวเลข
และยังไม่ได้เกิดปฏิยานุพนั ธุ์ ในการ Computing
สมองไม่ใช่ส่วนเดียวที่คนเราใช้ เพราะการตอบสนองเหนือสิ่ งเร้านั้น เกิดขึ้นเหนือกว่าที่คนเรา
นั้นจะได้รับซึ่งแรงผลักจากฟิ สิ กส์ไหนๆและใดๆก็ตาม
ภาพที่จะต้องประมวลผลแบบหน้าต่อหน้านั้น จะการประมวลผลภาพอนุภาคแสงแดด ลมพัด
ภาพต้นไม้ปลิวจำนวนมาก ควันหมอก ความต้องการขององค์ประกอบศิลป์ ของหมอก ระยะ
เวลาของมุมตกกระทบของแสงแดด ต้นไม้ไหวปลิว ถ้าจะมีการวิเคราะห์ตามที่ระดับที่คนเรานั้น
มีอยู่ ย่อมสูงยิง่ กว่า เพตาฟลอบ หรื อเซเวอร์ของ ROV อย่างแน่นอน
ต้องอยูใ่ นระดับประจุคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า ถ้าคอมพิวเตอร์ยงั คิดประมวลผลถึงโมเลกุลน้ำไม่ได้
ก็จะไม่สามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมในโมเลกุลน้ำได้ ถ้าคอมพิวเตอร์ไม่สามารถคิดประมวลผล
ถึงโมเลกุลเซลล์และ Organelles รวมไปถึงสารเคมีระดับเซลล์ได้ ก็จะไม่สามารถควบคุมการ
ขยับตัวของคนร้ายได้ ซึ่งต้องใช้ถึงระดับอย่างน้อยๆก็สารเคมีสื่อประสาท ดังนั้นประจุไฟฟ้ าที่
คืออารมณ์ความรู ้สึกกลัว ซึมเศร้า วิธี คิดที่จะตัดสิ นใจ การจะหยิบปื น การกดระเบิดนิวเคลียร์
การเคลื่อนไหวด้วยอารมณ์ต่างๆ จึงไม่ตอ้ งพูดถึง
ถ้าหากเราสามารถควบคุมซุปเปอร์ ค อมพิวเตอร์ได้ แสดงว่าในระดับบทนิยามนั้นจะต้องมี
ขอบเขตซึ่งสามารถนำไปสู่ซ่ ึงการแจกแจงตัวเลขที่สูงกว่านั้น แต่บางทีแล้วสมองก็ไม่เคยเข้าถึง
คลื่นของประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าเหล่านั้นเลย หรื ออย่างเพียงพอ
การเชื่อว่าคนสามารถฟื้ นคืนชีพได้ ตาบอดสามารถหายได้ น้ำสามารถออกมาจากความว่างเปล่า
เด็กสามารถออกมาจากแร่ ธาตุต่างๆ อาทิ ซิลิคอน การประมวลผลภาพของบทนิยามและการ
แจกแจงเป็ นตัวเลขย่อมก็ตอ้ งเข้าถึง
Super Computing
การถ่ายทอดสมาธิลงไปในเครื่ องเป็ นการถ่ายทอด Algorithms เพื่อสร้าง Quantum Computing
โดยการเชื่อมโยงกันกับทรัพยากรที่มีอยูเ่ ดิม และโดยการสร้างขึ้นใหม่

สิ่ ง แรกที่เ ราต้อ งทราบก็ค ือ พิก ดั ที่เ ราจะอ้า งอิง ถึง ต้อ งมี Universal Number ก่อ น แล้ว จึง จะ
สามารถบ่งชี้ถึง Polar Space และ Space time

สิ่ งต่อมาก็คือ Instigation คือจุดเริ่ มต้นของ Physical Layer ดังนั้นถ้ามีการ Differentials ทุกอย่าง
ก็จะหายไปในบัดดล พลังงานเท่ากับ 0 อย่างไร้ร่องรอย

สิ่ งต่อมาก็คือ Algorithms เป็ น Objectivism ของ Quantum แต่อย่างไรก็ตามก็ยงั สามารถมอง


Quantum เป็ น Software ได้เช่นกัน เพราะนามบางนามสามารถเป็ นรู ปของนามอีกนาม ดังนั้น
สามารถมองเห็นรู ปโดยทัว่ ไปเป็ นนามย่อมได้
สิ่ งสุ ดท้ายคือทุกอย่างคือ Vector , Matrix , Function, Logical , Polynomial มองเป็ นสิ่ งใดสิ่ ง
หนึ่งย่อมได้ สิ่ งเหล่านี้คือทุกสิ่ ง ฟิ สิ กส์ถูกตีความ เป็ นซึ่ง และสามารถถูกเปลี่ยนแปลง สรรค์
สร้าง ขึ้นด้วยสิ่ งนี้

ถ้ามองเป็ น Logical , Polynomial , Vector , Matrix , Function จะทำให้เราสามารถควบคุมทุก


อย่างให้เป็ นไปตาม Objective ของเราได้ ทั้งแรง , ระเบิดนิวเคลียร์ , ไวรัส , มะเร็ ง

โดยการ Inheritance มาจาก Infinity Class สู่ Probability Class สู่ Specifically Class จึงเป็ นที่มา
ของการเกิด Bigbang , การทำให้น ้ำเกิดมาจากความว่างเปล่าในดาวอังคาร , การทำให้ทุกอย่างที่
อยูใ่ น Monitor ออกมาจากหน้าจอได้ , การบันทึกน้ำลงไปใน Rom เหมือนบันทึกเสี ยงลงแผ่น

โดยเครื่ องเดิมๆ แต่ความกล้าที่จะเขียนขึ้นมา ทุกอย่างจึงสามารถเกิดขึ้นซึ่งผลลัพธ์ที่ต่างจากเดิม


การสร้างสสารใหม่ไม่ได้สร้างกันจากการตัดสิ นใจของมนุษย์และสิ่ งมีชีวิตซึ่งประกอบไปด้วย
กรดนิวคลีอิกเท่านั้น แต่ใน AI ในทุกๆระบบกระบวนการทางบทนิยามด้วย เพราะว่าตราบใดที่
มีการ Inheritance มาจาก Infinity Class ตราบนั้นก็เกิดขึ้นซึ่งบทนิยามของขอบเขตใหม่ๆ และ
นัน่ ก็ยอ่ มที่จะนำไปสู่ตวั แปร ค่าคงที่ และอัตราส่ วน ของอสมการพิกดั จุด เชิงเส้น และเส้นประ
สิ่ งนี้สามารถพิสูจน์กนั ได้จาก RNM

ดังนั้นถ้าหาก AI นั้นจะมีการตัดสิ นใจ ก็ยอ่ มที่จะมีคลื่นความถี่ของประจุแม่เหล็กใหม่ๆ และ


ประจุไฟฟ้ าใหม่ๆ ซึ่ง เกิดขึ้น ไม่ใช่จากเซลล์ป ระสาทเท่านั้น แต่ในสาย LAN , USB , ย่าน
ความถี่ WiFi หรื อแม้แต่ในสูญญากาศด้วย

สสารใหม่ๆเกิดขึ้นอยูเ่ สมอ ตราบใดที่มีการตัดสิ นใจ


มากไปกว่านั้นแล้ว สสารใหม่ๆยังจะไม่ใช่เพียงแค่ภาพ Infographic ที่ส่งต่อเข้ามาใน GPU ซึ่ง
ประจุไฟฟ้ าเหล่านั้น หรื อการถอดรหัสสารพันธุกรรมใน CPU หรื อการประมวลผลภาพจากการ
เกิดปฏิกิริยาปลายทางต่างๆอันเนื่องมาจากนิว คลีโอไทด์เหล่านั้น ไม่ใช่ประจุแม่เหล็ก และ
ประจุไฟฟ้ า ที่นำการขยับตัวในโมเลกุลปลายทางอีกด้วย

แต่คือหน่วยประมวลผลของบทนิยามที่ Inheritance มาจาก Infinity Class แล้วสร้างน้ำสะอาด


ขึ้นมา ในระบบสมการก่อน แล้วเกี่ยวเนื่องกันจนสามารถที่จะเกิดแรงปฏิกิริ ยาของอนุภาค
มูลฐาน กลายเป็ นน้ำ

ทุกอย่างที่อยูใ่ น Monitor จึงสามารถออกมาจากหน้าจอ และทุกอย่างที่อยูใ่ นชั้นบรรยากาศต่างๆ


ก็สามารถที่จะถูกบันทึกลงไป ไม่ให้ออกมาอีกได้ ใน ROM ผ่านการ Inheritance มาจาก Infinity
Class ในหน่วย Process , I/O , Compiler

ทุกอย่างคือข้อมูล แม้จะในฟิ สิ กส์ใดๆก็ตาม และสามารถที่จะเกิดขึ้นใหม่ได้อีกด้วย ตามการ


อธิบายมาแล้วข้างต้น

การส่ งข้อมูลจึงไม่ตอ้ งใช้สญ


ั ญาณ 5G , WiFi แต่ในสูญญากาศก็ได้

การทำศัลยกรรมจึงไม่ตอ้ งใช้แต่การผ่าตัด และการฟื้ นคืนชีพไม่ใช่แต่เพียงที่จะเกิดขึ้นได้เท่านั้น


หุ่น ยนต์ก ส็ ามารถ Warp Drive หรื อ กล บั ไปเปลี่ย น Vectors ของ Point of Particles ใน
Spacetime ให้ตวั เองกลายเป็ นสปี ชีส์ของมนุษย์เราได้
การพิการโดยกำเนิดและโรคทางพันธุกรรมจึงสามารถที่เกิดกลายเป็ นปกติได้ โดยไม่ตอ้ ง Warp
Drive หายไปก่อนแล้วค่อยกลับมาโดยการผ่านการ Inheritance มาจาก Infinity Class ในหน่วย
Process , I/O , Compiler เกิดเป็ น Vectors ของ Point of Particles ใน Spacetime

ในขณะเดียวกันเมื่อเอกภพมีการประมวลผลเสร็ จเรี ยบร้อยแล้ว ถ้าเราไปตีตวั นิ่ม ต่อให้เขาสะกด


จิตไม่เป็ น ถ้าจะมีคนเอาผลลัพธ์ไปแก้ หรื อจะช่วยแบกรับอารมณ์กต็ าม ถ้าถึงเวลาที่ความคิดนั้น
ชัด เจนเรี ย บร้อ ยแล้ว นั้น แหละคนๆนั้น ก็จ ะเจ็บ ดัง่ เช่น ตัว นิ่ม ตามความตั้ง ใจนั้น ผ่า นการ
Inheritance มาจาก Infinity Class ในหน่วย Process , I/O , Compiler เกิดเป็ น Vectors ของ Point
of Particles ใน Spacetime อย่างเพียงพอ การประมวลผลข้อมูลในเชิงตัวแปรค่าคงที่อตั ราส่ วนก็
จะเพียงพอด้วย

สสารต้องการที่อยูย่ งั คงเป็ นความจริ งอยูเ่ สมอ แม้แต่ในโลกของ Artificial intelligence

ก่อนการเกิดซึ่งฟิ สิ กส์ใดๆ อนุพนั ธ์เหล่านั้นได้เกิดการ Instigation แล้วความมีปฏิกิริยานุพนั ธ์


เหล่านั้น ได้ทำให้เกิดขึ้นซึ่ง Physical Layer(n)

โดยเมื่อสสารนั้นอยูใ่ น Spacetime เราจะเรี ยกสสารนั้นๆว่า Time Mass

ดังนั้นภายใต้ Boson/Garvity หรื อ Fermions/Electric มีซ่ ึง Time Mass เป็ นสสารที่คู่ขนานกัน


อยูเ่ สมอ ใน Spacetime(n)

ใน Electron , Photons , Proton มี Time Mass เป็ น Parallels Determinants และ Parallels
Directions โดยอยูเ่ สมอในความหมายของ Approximately Vectors ของ Function Standard
Model(n) รวมไปถึงขอบของ Sensitivity Matrix นั้นๆ
" เวลาน ้ นั คือ สสาร เวลาน ้ นั เป็ น อนุภ าค สามารถมีแ รงต่อ ท ้ งั Boson/Garvity และ
Fermions/Electric "

จาก Infinity Class สู่ Probability Class สู่ Specifically Class

สามารถใช้หยุดการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ได้
ผ่านการ Differentiation Time Mass

ใน Process , I/O , Compiler

Differentiation Time Mass จะเกิดการ Hypochondria ของฟิ สิ กส์ แต่อาจจะอยูใ่ นฟังก์ชนั่ ที่ยงั ไม่
Compiled สู่การ Instigation

Super Computer คือทุกสิ่ ง เพราะทุกอย่างคือ Software

การบิดตัวของ Spacetime นั้นมีผลต่อ Time Mass เสมอ


ไม่ตอ้ งถึงการเข้าใกล้ 0 ซึ่งนำไปสู่ การ Warp ก็ได้ พลังงานทางฟิ สิ กส์จะเท่ากับ 0 ณ จุดนั้น

เด็กเล็กๆก็ทำได้ ไม่ตอ้ งใช้เครื่ องมือราคาแพง

ฟังก์ชนั่ ที่ยงั ไม่ Compiled สู่การ Instigation อาจจะรันอยูใ่ นประจุไฟฟ้ าอย่างอ่อน


เห็นมือปล่าว อาจจะเป็ น Super Computer ก็เป็ นได้

Random Machines Code เอาไว้จำนวนมาก เหมือนเป็ น Code ที่ Compile เอาไว้แล้ว จึงสามารถ
Simulation Super Computer ไว้ในเครื่ อง Computer Core i3 เครื่ องเก่าได้

ถ้า Input เป็ นระดับ Super Computer แล้ว Output จึงสามารถเป็ น Super Computer ด้วย

ในด้าน Process ลูกคิดหนึ่งระบบจึงสามารถคิดได้ห ลายชุดการคำนวณ มองเห็น เป็ นล้าน ,


ทศนิยม , สอง , สาม , สี่ , ห้า , หก , โมเลกุลน้ำ , สารพันธุกรรม ได้หมด ใน Software ที่กำลัง
ดำเนินการผ่าน Rom ซึ่งการคำนวณจาก Processer ในเลขฐานสองจากวงจรหนึ่งชุดจึงสามารถ
ถูกมองเป็ นหลายๆระบบการคำนวณได้ โดยการเข้ารหัสในการ Process

ซึ่งการ Encryption of Algorithms จึงคือจุดเริ่ มต้นของ Super Computer ใน Computer ในระดับ


Core i3 ทัว่ ไป

Software สามารถกระทำการคำสัง่ ต่างๆได้ โดยไม่ตอ้ งดู Hardware แต่กใ็ ช้ความเชื่อมโยงจาก


ทรัพยากรที่มีอยูเ่ ดิม

ส่ วนในด้านของการ Output นั้น Machine Code ที่ได้มาจึงเป็ นเหมือนชุดคำสัง่ ของ GPU , CPU
ในระดับ Super Computer สามารถสัง่ การได้หลาย Terminal จากเพียงแค่ Clients แต่เปลี่ยน
สถานะเป็ น Terminal ด้วยศักยภาพที่ไม่เหมือนเดิม ส่ วนการเข้ารหัสที่ซบั ซ้อนหลายชั้นนั้น ชุด
คำสัง่ ที่ปกติใหญ่ในระดับแผ่นเสี ยงหนึ่งห้องสมุดก็สามารถถูกบันทึกลงไปในไฟล์เพียงแค่ 3
Mb ได้ Rom , Ram จึงเป็ นระดับ Super Computer ด้วยเช่นกัน เป็ นการเข้ารหัสของ Ram และ
Rom โดยการเข้ารหัสของ Ram นั้นก็เพื่อที่จะเพิ่มความสามารถในการประมวลผล ณ เวลาใดๆ
โดยการเข้ารหัสในการประมวลผลจาก Ram นั้นจาก Encryption of Algorithms เป็ นการทำเพื่อ
เชื่อมโยงระหว่างทรัพยากรที่มีอยูเ่ พื่อเพิ่มความสามารถในการประมวลผลในเวลานั้นๆ ด้วย
ภาษาเครื่ องในวงจรเดียวกันแต่ตีความเป็ นข้อมูลที่แตกต่างหลากหลายตามการเข้ารหัส ผลลัพธ์
จึงมีค่าเท่ากับ Super Computer โดยใช้ชุดคำสัง่ ที่ Random มาจาก CPU , GPU เดิมนั้น มาทำการ
เข้ารหัสอีกที เพื่อให้ได้ขอ้ มูลตามที่ตอ้ งการ หรื อผลลัพธ์ที่ตอ้ งการหาคำตอบอีกด้วย

ส่ ว นอุป กรณ์ที่จ ะใช้ Outputs เราก็จ ะใช้คำ สัง่ ของ Sequence to Case , Sequence to Loops ,
Loops to Sequence , Etc. โดยการใช้คำสัง่ เพิ่มลด Point of Particles ของทิศทางในพิกดั ต่างๆใน
X , Y , Z , T จาก อนุพนั ธ์ สู่ ปฏิยานุพนั ธ์ เราจึงสามารถทำให้ H2O , สิ่ งมีชีวิต , พลังงานน้ำมัน ,
พลัง งานแสงอาทิต ย์ ออกมาจาก Monitor ได้ ใน Polar Coordinate System และ Space-time
เหล่านั้น
Sequence , Case , Loops ต่อการสปิ นและโครงสร้างของ Bosons คือจุดเริ่ มต้นของการสร้างน้ำ
ขึ้น มาจาก Computer ใน Polar Coordinate System And Space-time อยูเ่ หนือ ข้อ จำ กัด ของ
ฮาร์ดแวร์ เพราะซอฟต์แวร์ ควบคุมทุกอย่างเอง

เชื่อมโยงโดยเครื่ องมือ ไม่ตอ้ งเสี ยเวลาฝึ กสมาธิ

ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้ การพิสูจน์ไม่ตอ้ งใช้ความสามารถเฉพาะคนที่ตอ้ งสูง

ดูเหมือนทุกอย่างจะเกิดจากการ Random แต่ความสามารถในการคำนวณผลลัพธ์สิ่งนี้จึงบ่งชี้วา่


นี่คือความสามารถในการตัดสิ นใจ
โดยฟิ สิ กส์เดียวกัน อาจจะมี Software ที่มากกว่า 1 Source code เครื่ องอ่านความคิดอาจจะตรวจ
จับได้ไม่หมด

ถ้าคนๆนั้นทำเป็ นสมองว่าง

อันตรายของความมัน่ ใจในฟิ สิ กส์น้ นั ก็คือการ Compiler ที่ฟิสิ กส์น้ นั ไม่ได้ทนั ตั้งตัวเอาไว้ล่วง


หน้ามาก่อนเลย

ถ้ามี Spy ที่ทำเป็ นสมองว่าง แต่แบ่งความคิดได้ดีพอ RNM ก็จบั ไม่ได้

เราต้องดูอนุพนั ธ์จริ งๆ ไม่ใช่ปฏิยานุพนั ธ์ของคลื่นและพลังงาน อาจจะมีชุด คำสัง่ ที่ซ่อนอยู่ ยิม้


อาจร้องไห้

ร้องไห้อาจหัวเราะ RNM ก็สามารถถูกหลอกได้

นัน่ อาจจะเป็ น Differentiation ของบางชุดคำสัง่

แต่ฟิสิ กส์ไม่สามารถตรวจได้ท้งั หมด หรื อพิสูจน์ได้เลยก็ยอ่ มได้ ถ้ามีการแบ่ง Differentiation


และ Instigation มาอย่างดี
RNM อาจจะไม่รู้อะไรเลย

แต่ตอ้ งลองเก็บข้อมูล Differentiation ที่หลุดรอดออกมาดู


สำหรับคนที่ทำเป็ นสมองว่าง คลื่นความคิดว่าง พลังงานที่ RNM จับอาจจะเท่ากับ 0

แต่เมื่อ Compile ออกมาแล้ว อาจจะถึงระดับมหาสมุทรก็เป็ นได้

แต่คนโดยทัว่ ไปมักเผลอทิ้งร่ องรอยเอาไว้ สามารถเก็บข้อมูลแล้วมาวิเคราะห์ต่อกันได้ แต่จะ


เก็บร่ องรอยโดยทั้งหมดก็ได้

คนจึงฉลาดกว่า RNM

Source code ที่ยงั ไม่แสดงผลออกมาเป็ นคลื่นและพลังงานนั้นมีอยูจ่ ริ ง หุ่นยนต์กทำ


็ ได้

แต่หุ่นยนต์ Computer นั้น ปัจจุบนั จะสามารถตรวจจับ Differentiation ได้ ในอนาคตไม่แน่

ที่รอการ Compile

เห็นมือเปล่าอาจจะเป็ น Super Computer ก็ได้

ทำไมการนึกถึงสถานที่บางทีถึงได้มีผลต่อการเกิดภาพที่ประมวลผลจำนวนมาก สิ่ งเหล่านี้เป็ น


เพียงภาพความคิด หรื อเป็ นการเกิดปฏิกิริยาต่อสถานที่น้ นั ๆจริ งๆ ถ้าหากเป็ นผลต่อสถานการณ์
ที่เกิดขึ้นจริ งจึงไม่ใช่เพียงแค่ภาพในหัวของใคร แต่เป็ นความทรงจำของเอกภพ Memory of
Universal
บางอย่างแล้วจึงมีการฝังโค๊ดลงไปในสถานที่ต่างๆ แล้วรอการ Compile ตามการเข้ารหัสของใน
แต่ละคน

จึงคิดว่าเรื่ องของจิตวิญญาณสามารถที่จะพิสูจน์ได้ดว้ ย CPU , RAM , ROM และ Monitor

จิตคือตัวเลข

แม้มีการปิ ดบังซ่อนเร้น การคิดนอกไปจากเอกภพสัมพัทธ์ในปัจจุบนั

บางทีแล้ว RNM อาจจะไม่สามารถทราบได้วา่ คนบางคนนั้นกำลังที่จะคิดอะไร ถ้าไม่มีพ้ืนฐาน


ของการเข้ารหัสแบบนั้นมาก่อนเลย

โดยเฉพาะการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ Gravity ร่ วมกัน

ตัวอย่างง่ายๆคือการเข้าถึง Super Computer โดยที่ตวั Computer เองก็ไม่รู้ตวั แล้วทำการเข้ารหัส


Instigation ไปในที่ที่ไกลออกไป แล้ว Compile ออกมา เพราะลูกคิดหนึ่งระบบสามารถตีความ
เป็ นล้าน หรื อทศนิยมก็ได้

พลังงานทุกอย่างเกิดจาก Vector ที่ส่งผลต่อ Matrix เป็ นการวัดค่าโดย Sequence by Case , Case


by Loops .. Etc.

เราทุกคนจึงต้องมีระบบปฏิบตั ิการที่จะถูกจับ Warp ลงแผ่น


ต้องมีระบบป้ องกันตัว ไม่ให้ถูกจับลงแผ่น

กรณี ที่มีการเข้าถึง Computer , หัวสมอง ภายใต้คลื่นเท่ากัน แต่ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน

เพราะลูกคิดจะมีผลลัพธ์เป็ นอะไร อยูท่ ี่การตีความ

ถ้าทำสิ่ งเหล่านี้สำเร็ จจะอันตรายมากเป็ นบางกรณี เพราะเราไม่ได้บนั ทึกเฉพาะระเบิดนิวเคลียร์


ลงแผ่น แต่อาจจะมีการบันทึกคนลงแผ่นได้

หรื อ Warp เอาคนบางคนหายไปใน เมอมิวด้า อะไรก็ไม่รู้

แต่ถา้ คน Warp ไม่ได้ตดั สิ นใจเอง แต่ถูกยัดเยียดเอาเวกเตอร์ของเชิงขั้วและกาลอวกาศมาใส่

มิฉะนั้นยุง่ แน่ๆ ถ้าจะจับคน Warp ไปไหนกันได้อีกด้วย


อยูด่ ีๆก็ Compile Mass ให้ Time Mass เข้าใกล้ 0 แล้วไปบันทึกลงแผ่นซึ่งอาจเป็ นเพียงทางเชื่อม
เอกภพ แล้วจับให้ไปอยูใ่ นเกมส์บางอย่างที่มีคนมองดูกนั อยูห่ น้า Monitor

การ Warp สามารถเป็ นการ I/O ของ Process บางอย่างที่ถูก Compile ด้วยการเคลื่อนที่แบบข้าม
พิกดั ข้ามเวลา

ถ้า Mass ในร่ างกายของเรานั้นถูก I/O ซึ่งหมายถึงใช้ตวั แปรเดียวกันกับ Process แล้วมีการแปล


ความหมายของ Compiler เท่านี้คนก็จะหายไปในบัดดล
ใช้เครื่ องมือที่มีอยูแ่ ล้ว แต่เปลี่ยนวิธีการเขียนโค๊ด เหมือนถ่ายทอดสมาธิออกมาในคอมพิวเตอร์

การบิดตัวของกาลอวกาศ อาจจะเป็ นแค่การแจกแจงของ Infographics ซึ่งด้วยระบบที่ถูกอ้างอิง


ถึง เปลี่ย นแปลงไปจากเดิม จึง ทำให้อ ตั ราส่ ว นระหว่า ง Time Mass กับ Polar Mass มีก าร
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นเดียวกัน

เป็ นเวกเตอร์ที่เปลี่ยนแมททริ กซ์ซ่ ึงถูกเปลี่ยนโดยระบบพิกดั ที่อา้ งอิงถึง

การทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดระหว่างมวล จนถึงการย้ายสถานที่ของสสาร รวมไปถึง


การย้า ยเอกภพสัม พัท ธ์ นั้น เป็ น การถ่า ยทอดของ Vectors ที่ไ ด้ Compilation ซึ่ง เป็ น การ
Instigation ที่มีก ารเปลี่ย นความหมายของ Mass เหล่า นั้น ให้มีตวั แปร ค่า คงที่ อัต ราส่ ว นที่
เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ใน Universal Number , Polar Coordinate System , Space time

การกระทำใดๆนั้นคือ Instigation อยูแ่ ล้ว และการกระทำใดๆนั้นก็คือการวัดที่อยูภ่ ายในตัวเอง


โดย Reaction ของ Logical นั้นๆ ส่ วนการแสดงผลคือ Instigation ที่ Compiler ออกมาโดยการ
แปลความหมายต่อ Mass , Space , Void ใน Polar และ Space-time นั้นๆ

การวัดคือการนับของ Instigation เหล่านั้นตามจำนวนของ Point of Particles ส่ วนการนับคือ


Sequence , Case , Loops ที่มีตวั แปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน ที่อยูใ่ นเกณฑ์
Definitions สู่ Function สู่ Structure สู่ OOP คือบทสรุ ปของคำว่า Physical จาก Differentiation
สู่ Instigation ด้ว ย Mass , Space ของ Point of Particles ใน Polar Coordinates System และ
Space-time

Point of Particles ซึ่งมีทิศทางใน Polar Coordinates System และ Space-time ได้ก่อกำเนิดขึ้นซึ่ง


เอกภพสัมพัทธ์ จาก Definitions สู่ Function สู่ Structure สู่ OOP โดย Inheritance จาก Infinity
Class สู่ Probability Class สู่ Specifically Class

แล้วอะไรจะคือลูกคิดสำหรับครั้งนี้ และอะไรจะเป็ นการนับ ถ้าไม่ใช่ Electron และเครื่ องวัด


กระแสไฟ ก็โดย Sequence , Case , Loop โดยนั้นเอง ทุกอย่างจึงคือ Software และ Hardware
ได้ ณ เวลาเดีย วก นั ฟิ สิ ก ส์ใ ดๆจึง สามารถ Computing ได้ม ากกว่า 1 Source Code และ
Objectivism

จาก Differentiation สู่ Instigation ทุก Sequence สู่ Case สู่ Loop ได้ก่อกำเนิดขึ้นซึ่ง Definition
สู่ Function สู่ Structure สู่ OOP เกิดขึ้นเป็ น H2O , Embryo And All Things

ถ้า 0 , 1 จะหมายถึง Mass , Space ณ Point of Particles และ Instigation คือจุดกำเนิดของเอกภพ


สัมพัทธ์ทางฟิ สิ กส์ ณ Polar Coordinates System และ Spacetime ทุกอย่างจึงเป็ นซอฟต์แวร์และ
ฮาร์ดแวร์ ณ เวลาเดียวกัน

ถ้าทุก Sequence ทุก Loop ทุก Case จะหมายถึง Point of Particles ดังนั้นแล้ว ภาษาเครื่ องจึงไม่
เป็ นที่สบั สนว่าจะเป็ น 2/3 , -1/3 เลยหรื อ แต่ 0 , 1 จะหมายถึง Space , Mass ณ Point of Particles
ที่อา้ งอิง
Math นั้นเป็ นจุด กำเนิดของธรรมชาติท้ งั มวล ดังนั้น เพีย ง Math เท่านั้นก็สามารถวัด ค่าของ
ธรรมชาติได้ท้ งั หมด ธรรมชาติท้ งั หมดเป็ นเพียงแค่ตวั เลขนั้นมาประกอบเข้าด้วยกัน

ตัวเลขนั้นวัดค่าฟิ สิ กส์ได้ท้ งั หมด ภายในตัวเอง เพราะการกระทำใดๆนั้นคือ Instigation ภายใน


ตัวเอง และการ Instigation นั้นคือการวัดค่าอีกด้วย ผ่าน Reaction เหล่านั้น ดังนั้นเราจึงสามารถ
พิสูจน์หลุดดำได้ และบันทึกน้ำ เบอร์เกอร์เนื้ อไร้เนื้อ ลงแผ่นได้

พระเจ้า ความน่าจะเป็ น และความเฉพาะเจาะจงใดๆ นั้นสามารถแจกแจงเป็ นตัวเลขได้ท้ งั หมด


และทุกอย่างนั้นคือตัวเลข

Algorithms + ∆E(n) = Encryption of Universal

ในการเขียนโปรแกรมนั้นเป็ นการแจกแจง Approximately Vectors และ Sensitivity Matrix ผ่าน


Logical ที่กำ หน ด ซึ่ง Complex Polynomial degree(.n) อ นั เกิด จ าก Algorithm ร ะหว า่ ง
Function(n) แล ว้ {ax^n + by^n + cz^n + dt^n = 0}(n) จึง ได ส้ ร้า งขึ้น ซึ่ง Polynomial of
Sensitivity Matrix ใหม่ๆ จำนวนมาก นำไปสู่ Instigation of Approximately Vector ซึ่งฟิ สิ ก ส์
ใหม่ๆในอนาคต โดยอยูเ่ สมอ

ดังนั้นถ้าหากว่าจะมีก ารซึ่ง Complex Polynomial degree(.n) ใดๆที่จะนำไปสู่ Polynomial of


Sensitivity Matrix ใหม่ๆจำนวนมาก อันนำไปสู่การ Instigation of Approximately Vector ก็ได้
เกิดขึ้นซึ่งการประมวลผล Fundamental Standard Model(n) และถ้ามีชุดคำสัง่ ที่เป็ นลูกโซ่ กล่าว
คือใช้ตวั แปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน ร่ วมกันแล้ว ก็ได้เกิดขึ้นซึ่ง I/O และ Networking และถ้ามีการ
แปลความหมายให้ต รงตามบริ บ ทของพิก ดั เชิง ขั้วและ Spacetime นั้นๆ ก็ไ ด้เ กิด ขึ้น ซึ่ง การ
Compiled
ดังนั้นการเขียนโปรแกรมจึงสามารถควบคุมอารมณ์ความรู ้สึกคนได้ ใส่ภาพความคิดคนได้ รวม
ไปถึงควบคุมการตัดสิ นใจ การขยับตัวของคนได้

และเช่นกันสามารถสร้างน้ำให้เกิดขึ้นเป็ นมหาสมุทรในดาวอังคาร เก็บบันทึกระเบิดนิวเคลียร์


ไม่ให้มนั ระเบิดออกมา หรื อ ทำให้ตน้ ไม้ออกมาจาก Monitor แล้วเติบโตได้ในพื้นผิวของดาว
อังคารที่ได้รับการปรับแต่งสังเคราะห์ใหม่เรี ยบร้อยแล้ว

ทุกคนมีความเป็ น Super Computer อยูแ่ ล้วภายในตัวเอง

ผ่านการกำหนดค่าบทนิยาม ซึ่งคือขอบเขตที่ตอ้ งใช้ระดับการประมวลผลที่สูง สมองจึงไม่ใช่สิ่ง


เดียวสำหรับการคิดประมวลผล

RNM สามารถพิสูจน์ได้ว า่ คลื่น ความคิด ที่จ ะควบคุม การขยับ ตัว ของคนเรานั้น มีค วามเป็ น
ธรรมชาติมาก

แม้แต่คอมพิวเตอร์ในระดับ 9.4 เพตาฟลอบ ก็ยงั ไม่ถึงขนาดนี้ เพราะเป็ นการควบคุมในระดับ


โมเลกุล

รวมไปถึงการแยกแยะซึ่งโมเลกุลน้ำ ต้นไม้ สิ่ งมีชีวิต และโมเลกุลอื่นๆได้จำนวนมากจากการ


พบเห็น
คนเราสามารถมีความคิดระดับซุเปอร์ คอมพิวเตอร์อยูแ่ ล้ว แต่ยงั ไม่ได้แจกแจงออกมาเป็ นตัวเลข
และยังไม่ได้เกิดปฏิยานุพนั ธุ์

สมองไม่ใช่ส่วนเดียวที่คนเราใช้ เพราะการตอบสนองเหนือสิ่ งเร้านั้น เกิดขึ้นเหนือกว่าที่คนเรา


นั้นจะได้รับซึ่งแรงผลักจากฟิ สิ กส์ไหนๆและใดๆก็ตาม

ภาพที่จะต้องประมวลผลแบบหน้าต่อหน้านั้น จะการประมวลผลภาพอนุภาคแสงแดด ลมพัด


ภาพต้นไม้ปลิวจำนวนมาก ควันหมอก ความต้องการขององค์ประกอบศิลป์ ของหมอก ระยะ
เวลาของมุมตกกระทบของแสงแดด ต้นไม้ไหวปลิว ถ้าจะมีการวิเคราะห์ตามที่ระดับที่คนเรานั้น
มีอยู่ ย่อมสูงยิง่ กว่า เพตาฟลอบ หรื อเซเวอร์ของ ROV อย่างแน่นอน

ต้องอยูใ่ นระดับประจุคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า ถ้าคอมพิวเตอร์ยงั คิดประมวลผลถึงโมเลกุลน้ำไม่ได้


ก็จะไม่สามารถเข้าใจสภาพแวดล้อมในโมเลกุลน้ำได้ ถ้าคอมพิวเตอร์ไม่สามารถคิดประมวลผล
ถึงโมเลกุลเซลล์และ Organelles รวมไปถึงสารเคมีระดับเซลล์ได้ ก็จะไม่สามารถควบคุมการ
ขยับตัวของคนร้ายได้ ซึ่งต้องใช้ถึงระดับอย่างน้อยๆก็สารเคมีสื่อประสาท ดังนั้นประจุไฟฟ้ าที่
คืออารมณ์ความรู ้สึกกลัว ซึมเศร้า วิธี คิดที่จะตัดสิ นใจ การจะหยิบปื น การกดระเบิดนิวเคลียร์
การเคลื่อนไหวด้วยอารมณ์ต่างๆ จึงไม่ตอ้ งพูดถึง

ถ้าหากเราสามารถควบคุมซุปเปอร์ ค อมพิวเตอร์ได้ แสดงว่าในระดับบทนิยามนั้นจะต้องมี


ขอบเขตซึ่งสามารถนำไปสู่ซ่ ึงการแจกแจงตัวเลขที่สูงกว่านั้น แต่บางทีแล้วสมองก็ไม่เคยเข้าถึง
คลื่นของประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าเหล่านั้นเลย หรื ออย่างเพียงพอ

พิสูจน์วา่ การทำสมาธิภาวนาอย่างเพียงพอนั้น เราไม่ตอ้ งกลัว AI และ Super Computer เลย ด้วย


ลูกคิดหนึ่งระบบทำงานได้หลายชุดการคำนวณ
ทุกอย่างสามารถ Simulation เพือ่ วัตถุประสงค์บางอย่างได้หมด แม้กระทัง่ Network Card แต่ใน
กรณี ของ Network Card นั้นเราจะไม่ Random Machine Code แต่กย็ งั เป็ นประโยชน์ต่อการเข้า
ถึงและความเป็ นส่ วนตัว ด้วยการ Random Network Card Address ใน Protocol TCP/IP จากการ
Simulation Hardware

อย่าลืมว่า Hardware คือ Objects ของ Objectivism ที่เรี ยกว่า Method ของ Software อาจจะเป็ น
ข้อมูลที่ส่งไปใน Massager , ภาพที่วาดออกมาทางหน้าจอจาก Photoshop Etc.

ถ้าทุกอย่างคือข้อมูล ดังนั้นฟิ สิ กส์จึง คือข้อมูลด้วย ถ้าสิ่ งที่อยูเ่ หนือฟิ สิ กส์น้ นั คือ Derivatives
และฟิ สิ กส์น้ นั คือ Instigation แล้วด้วยการ Instigation นั้น การส่ งสัญญาณจึงสามารถเปลี่ยน
เป็ นการรับสัญญาณได้ และสามารถที่จะจำลอง Network Card ได้มากกว่า 1 การ์ดใน OS เดียว
โดยเครื่ องที่มีการ์ดเดียว

Hardware คือ Objects ของ Objectivism ที่เรี ยกว่า Method ของ Software ในการส่ งสัญญาณเป็ น
เช่นนี้ การรับข้อมูลจึงก็เช่นเดียวกัน

ถ้าฟิ สิ กส์คือข้อมูล สัญญาณจึงก็คือข้อมูล

ถ้าใช้การ Run Code กลางอากาศ ด้วย Data ที่มีการตอบสนองแบบ Artificial intelligence คือ
การตอบรับคำสัง่ หลายชั้น และการเลือกจากเซตความน่าจะเป็ นและการคำนวณถึงผลลัพธ์ใน
หลายๆชั้น ผ่านการใช้ตวั แปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน เดียวกัน ใน Sequence to Loops , Loops to
Case Etc. Network ทุก Layer จึงเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน กล้องจึง คือข้อมูล ด้วย ถ้ากล้อ งคือ
ข้อมูล กล้องจึงไม่ตอ้ งใช้ Hardware
ในการวัด ค่า ต่า งๆนั้น จึง คือ การ Instigation ที่ม ีก าร Reaction ในบางส่ ว นที่พ ิจ ารณาจาก
Instigation เหล่านั้น อาทิ อุณหภูมิ , ความยาว , มวล , ประจุไฟฟ้ า , ประจุแม่เหล็กไฟฟ้ า ดังนั้น
Vector และ Matrix จึงคือเครื่ องวัดภายในตัวของมันเอง

ดังนั้นการส่ งกระแสความคิด จึง คือ การส่ ง Logical , Vector , Matrix , Function , Polynomial
มองเป็ นอย่า งใดอย่างหนึ่ง ก็ย อ่ มได้ เจตนารมณ์ ผลลัพ ธ์ สภาพแวดล้อ ม ข้อ สรุ ป และการ
เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แต่ในคน สัตว์ ต้นไม้ เท่านั้น แต่ Computer ด้วย

พลังงานทุกอย่าง นั้นคือ Object ของ Class ที่มี Method ที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน

ทำไมตัวเลขจึงคือ Computer ภายในตัวเอง เพราะการคูณคือ For loop ของการบวก การหารคือ


For loop ของการลบ การยกกำลังคือ For loop ของการคูณ การหาราก คือ For loop ของการหาร
Software จึงคือลูกคิดภายในตัวเอง ผ่าน Point of Particles ณ การอ้างอิงนั้นๆ ทุกอย่างจึงอยูท่ ี่
การมองเห็น

ถ้าฟังชัน่ พร้อม การแสดงผลจึงเกิดขึ้นทันทีทนั ใดไม่ตอ้ งประมวลผลขึ้นมาอีก ผ่านการเชื่อมโยง


กับฟิ สิ กส์ที่มีอยูก่ ่อนแล้ว เกิดเป็ นฟิ สิ กส์ควอนตัมใหม่ๆอีกมากมาย ออกมาจาก Monitor จาก
Polynomial , Vector , Matrix , Logical เหล่านั้น ผ่านการ Instigation

ตามตัวแปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน ไม่ใช่ตามบุคคล การเปลี่ยนแปลงบางอย่างก็ตอ้ งจำไม่ได้ไปเลย


แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่ทุกบุคคล เพราะไม่ใช่ทุกบุคคลที่ตอ้ งการการเปลี่ยนแปลง
โดยความเชื่อมโยงของทรัพยากรที่มีอยู่ การประมวลผลจึงเกิดขึ้นเพื่อการจับต้องได้ สู่ การจับ
ต้องได้ ไม่ใช่การประมวลผลในตัวของมันเอง เพราะตัวเลขนั้นคือ Computer ในตัวของมันเอง
อยูแ่ ล้ว โดยไม่ตอ้ งพึ่งฟิ สิ กส์

ใจความของเทคโนโลยีน้ นั ไม่ได้อยูท่ ี่สิ่งประดิษฐ์ แต่อยูท่ ี่ชุดคำสัง่ เพราะเป็ นความเชื่อมโยงของ


Matrix , Function , Logical , Polynomial , Vector ใน Polar Space และ Space Time

ทุกอย่างจึงอยูท่ ี่ Algorithms ไม่เกี่ยวกับ Physical Layer เลย ไม่ตอ้ งใช้ฟิสิ กส์มาเป็ นลูก คิดเลย
ด้วยก็ยอ่ มได้ ใช้การนับจาก Sequence , Case , Loops

∆E = dP/dT

ถ้าเครื่ องใช้ CPU และ การ์ดเสี ยง Convert Mp3 อยูห่ นึ่งเพลง สามารถใช้ Algorithms ในการ
แปลงไฟล์อื่นๆ ไปพร้อมๆกัน ได้ก โ็ ดยการประยุกต์ Machine Code เพื่อประหยัดทรัพยากร
CPU และ การ์ดเสี ยง

เช่นกันถ้า CPU , GPU กำลัง Randers ประมวลผล VDO หรื อภาพ 3D อยูห่ นึ่งไฟล์ ก็สามารถใช้
Algorithms , Machine Learning , Artificial intelligence เพื่อใช้ประมวลผลภาพ 3D , VDO ไฟล์
อื่นๆไปพร้อมๆกันด้วย

ใช้ไฟล์อื่นเป็ นค่า Probability Class สำหรับการ Random Machine Code


นี่แหละคือหลักการลูกคิดหนึ่งลูก มองเห็นเป็ นอะไรก็ได้ ผ่านความเชื่อมโยงของทรัพยากร
ไฟฟ้ าที่มีอยูเ่ ดิมในธรรมชาติ แล้ว นำมาประยุกต์ สังเคราะห์ โดยไม่ต อ้ งสร้า งขึ้น ใหม่โ ดย
ทั้งหมด

Algorithms คือการวิเคราะห์ เปรี ยบเทียบ บูรณาการ ประยุกต์ สังเคราะห์ มโนทัศน์ สร้างสรรค์


อนาคต กลยุทธ์ วิพากษ์ ซึ่ง Logical กล่าวคือ Sequence , Case , Loops เหล่านั้นซึ่งตัวแปร ค่า
คงที่ อัตราส่ วน ในบริ บทของ Polynomial ที่แจกแจงใน Infographic ที่เรี ยกว่า Vector แล้วแสดง
ผลออกมาเป็ น Matrix ในระดับ Point of Particles ซึ่งสามารถตีความหมายได้ถึง Functions ที่มี
่ นวนมากเหล่านั้น ใน Universal Number , Polar Coordinate System , Space Time
อยูจำ

ตัวอย่างของ Loops สำหรับการหาร


7 ÷2 => 7 = N + N => 7 (- N) - N = 0

ดังนั้นการหารจึงคือ For Loop ของการลบกล่าวคือ M÷N =>


Int M , N , i
For ( i > 0 & i < N - 1 & i++)
M - N(sum) = 0
N(sum) = N(a) + N(b) + ... + N(n)

ในหลักการนี้ สามารถใช้ Warp ว่าให้คนเราคือไฟล์ๆหนึ่ง แล้วปรับเปลี่ยนเป็ นคนอื่นได้ วันนี้ เซ


ฮุน พรุ ้งนี้ อ้ ีป๋อ มะรื นอึนวู วันต่อมามาร์ คตวน แล้วก็ยนุ อาไปเลย
ถ่ายทอดสมาธิในด้านมุมมองให้ก บั คอมพิวเตอร์ เพื่อให้เกิด Algorithms of Encryption เปลี่ยน
วงจรอะนาล็อ คนั้นๆ ให้เป็ นดิจิตอลใหม่ๆ อาศัยเป้ าหมายเป็ น ค่า Probability Class เพื่อการ
ประยุกต์และสังเคราะห์ Machine Code ซึ่งเลขฐานสองอื่นๆอีกจำนวนมาก เหมือนกับได้ทำการ
Compile มาแล้ว จึงไม่ตอ้ ง Randers ใหม่ ใช้ประโยชน์จากการ Random เพื่อการ Randers และ
การ Compile แล้ว ก็บ นั ทึกลงไปเลย เป็ น การใช้ค อมพิว เตอร์ธ รรมดาประมวลผลในระดับ
ซุปเปอร์ คอมพิวเตอร์

โดยการ Random Machine Code ล่วงหน้า เพื่อการ Randers และ Compile ที่เร็ วขึ้น มากกว่านั้น
ยังใช้ไฟล์อื่นๆมาเป็ น ค่า Probability Class สำหรับการประยุกต์ และการสังเคราะห์ ให้ปกติ
เครื่ อง Randers หรื อ Compile ได้ทีละหนึ่งไฟล์ ก็เปลี่ยนเป็ นสามารถ Randers หรื อ Compile ซึ่ง
Apps , VDO , ภาพ 3D และอื่นๆ เป็ นร้อยๆ เป็ นพันๆ หรื อเป็ นล้านๆไฟล์กย็ อ่ มได้

การพัฒนาฮาร์ดแวร์จึงไม่เน้นเท่าไหร่ เมื่อซอฟต์แวร์เจริ ญก้าวหน้ามาถึงซึ่งจุดหนึ่งแล้ว ดังนั้น


ไม่เน้น Quantum แต่เน้น Algorithms !!

ใช้ Algorithms of Encryption For Quantum mechanics Processing โดยการ Machine Learning
ผ่าน Artificial intelligence เป็ นการอ่าน Quantum แล้วใช้ Algorithms เพือ่ การ Encryption ซึ่ง
คือการ Compilation ประกอบกับการนำเอาการ Random มาใช้ประโยชน์ในการ Randers ลูกคิด
หนึ่งลูกมองเป็ นหลายระบบการคำนวณ วงจรไฟฟ้ าหนึ่งวงจรมองเป็ นหลายชุดคำสัง่ ภาษาเครื่ อง
Machine Code จากการแจกแจง Probability Class สู่ Specifically Class ด ว้ ยการอ่า นค่า
Specifically Class แล้ว ตีค วาม Probability Class เพือ่ ใช้ประยุกต์ สังเคราะห์ Sources Codes
อื่นๆที่มากกว่านี้ โดย Codex ที่มีอยูม่ ากมาย ซึ่งคือ Method สู่ Algorithms เหล่านั้น

บางครั้ง แล้ว Algorithms of Encryption For Quantum mechanics Processing อาจจะต้อ งใช้
Codex Processing เข้า มาช่ว ย เพราะ Quantum mechanics Processing เหมือ นกัน อาจจะมี
Algorithms of Encryption ที่ไม่เหมือนกันในเชิงของผลลัพธ์กเ็ ป็ นได้ คลื่นสมองเท่ากันอย่าเพิ่ง
คิดว่าคิดเหมือนกัน หรื อไม่มีคลื่นสมองเลย ก็อย่าคิดว่าไม่มีความคิดใดๆเลย

Analyze Derivative สู่ Compare Derivative สู่ Integration สู่ Applied สู่ Synthetic สู่ Concept ส ู่
Future สู่ Strategy สู่ Creative สู่ Criticize

มองได้วา่ ทุก Sequence , Case , Loops ที่เราเขียนลงไป นั้นคือ Quantum Computing โดยทั้งสิ้ น
มีผลต่อประจุแม่เหล็กไฟฟ้ า

ทราบหรื อไม่วา่ ในย่าน 5G , WiFi เหมือนกัน แต่จะมีประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าที่ลึกไปกว่านั้น ที่บ่งชี้


ถึงข้อมูลอันแตกต่างหลากหลาย และ Sequence , Case , Loops ที่เรา Programming ขึ้นมานั้น
นัน่ คือทุกสิ่ ง

Sequence , Case , Loops คือ ข้อ บ่ง ชี้ข อง Quantum Computing และย งั เป็ น การสร้า งขึ้น ซึ่ง
Quantum Computing โดยทั้งหมด

Sequence , Case , Loops ท ี่ม ี control part เ ป็ น Polynomial , Vector , Matrix , Logical ,
Function ใน Polar Space และ Space time ได้ก่อกำเนิดขึ้นซึ่ง All things

การสร้างข้อมูลคือการสร้างประจุคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า!!
การเขีย น Sequence , Case , Loops ที่ม ี control part เป็ น Polynomial , Vector , Matrix ,
Logical , Function ใน Polar Space และ Space time จึงได้สร้างขึ้นซึ่งการ Spin และพื้นฐานของ
Quantum Computing โดยทั้งหมด

ดังนั้นแล้วจากแต่น้ ีไปอย่าเน้นสนใจการพัฒนา Hardware กันอีกเลย แต่มาสนใจการนัง่ สมาธิ


กันดีกว่า เพราะเป็ นการรวบรวม Algorithms ลงไปใน Quantum Computing และยังเป็ นการ
สร้างขึ้นซึ่ง Quantum Computing อีกด้วย

Algorithms นั้นสำคัญกว่า Quantum Computing!!

สมาธิน้ นั สำคัญกว่าสถานการณ์!!

การเปลี่ยนแปลงนั้นสำคัญกว่าความเป็ นจริ ง!!

อุดมคติน้ นั สำคัญกว่าปัจจุบนั !!

คอมพิวเตอร์ทวั่ ไปคือควอนตัมคอมพิวเตอร์อยูแ่ ล้ว

ใช้ Vector ที่มี Determinant เข้าใกล้ 0 ใน Direction ของ Polar Space และ Space time ซึ่งไม่ใช่
Vector หนึ่งหน่วย การบวกกันจึงทำได้เลย ไม่มีผลต่อฟังก์ชนั่

และใช้ Matrix ที่มีขอบที่ไม่เป็ นเส้นตรง


ใช้ Polynomial เชิงซ้อน ที่เป็ นการรวมกันของ AX^n + BY^n + CZ^n + DT^n = 0

ใช้ Logical ใน Polar Space และ Space time โดย Sequence to Loops , Loop to Loops , Case to
Case , Etc.

และการรวมตัวของ Function

ถ้าหากคนเราเคลื่อนที่โดยมี Vector ในแกน T ที่นอ้ ย และ Polar Space ที่มาก การเคลื่อนที่จะ


เร็ วกว่าคนอื่นมาก

และถ้าหน่วงเวลา Vector คนอื่น ให้เขาไปถึง Space time ก่อนเรา คนนั้นจะยิง่ เดินตามเราไม่ทนั

ดังนั้นแล้วปาฏิหาริ ยไ์ ม่มีอยูจ่ ริ ง ตราบใดที่เราสามารถเข้าถึงวิธีการ Methods ของ Class

เบี่ยงเบนลูกกระสุ นปื น , เบี่ยงเบนแรงของรถสิ บล้อที่เข้ามาพุง่ ชน , ทำระเบิดนิวเคลียร์ให้


อันตรธานหายไป , สร้างน้ำในทะเลทราย , รักษามะเร็ ง , เปลี่ยนหน้าตาดัง่ ทำศัลยกรรม และ
อื่นๆ

ถ้าบทนิยามซึ่งมีรูปภาพเป็ นขอบเขต ฟังชัน่ ที่สามารถแจกแจงสมาชิกเป็ นตัวเลขที่ชดั เจนเป็ น


อสมการเชิงเส้นประ คือจุดเริ่ มต้นของฟิ สิ กส์ ความคิดของคนเราก็คือ Super Computer และการ
แจกแจงองค์ประกอบของ Polynomial จึงคือ Algorithms ที่ถูกอธิบายออกมาโดยละเอียดแล้ว
Probability Class คือองค์ประกอบของ Polynomial โดยทั้งหมด และ Algorithms ทุกอย่างมา
จาก Class นี้เท่านั้น ซึ่งก็ Inheritance มาจาก Infinity Class มาอีกที ทั้ง Process , I/O , Compilers

การเขียน Algorithms ที่ใช้ถอดรหัสทางคณิ ตศาสตร์ที่ยาก ในเวลาอันรวดเร็ ว ยิง่ กว่า Quantum


Computing ที่เ น้น Quantum เกิด ขึ้น จากการใช้ Objectivism เป็ น Key ของ Algorithms ซึ่ง
Inheritance มาจาก Probability Class ดังนั้น Matrix of Universal จึงเข้าถึงได้ไม่ยาก

Fundamentals Standard Model อันมี Point of Particles ที่อา้ งอิงนั้นเป็ นองค์ประกอบใน Could
Computing of Universal สามารถส่ งทอด Algorithms of Encryption ได้ ณ Mass นั้นๆ ในพิกดั
ของ Polar Coordinate Systems และ Parallel Coordinate Systems ซึ่งมีพ้ืนที่สำหรับ Mass กล่าว
คือ Polar Space และ Space time

ใน Electron , Photons , Gluons , Protons , Neutrons , CPU , GPU และอื่น ๆ ผ า่ น OS ,


Compilers , Algorithms , Methods , Protocol ใน Instigation Number ผ่า น Sequence , Case ,
Loops ของ Multitasking Systems

ดังนั้นเมื่อการ I/O นั้นคือการใช้ตวั แปรค่าคงที่อตั ราส่ วนเดียวกันแล้วของ Sequence , Case ,


Loops เหล่า นั้น Network Layer ต่า งๆ โดยเฉพาะใน Cloud Computing รวมไปถึง Out Put
ปลายทางอะไรก็ได้ จึงสามารถใช้สร้างน้ำสะอาดให้บรรจุลงในบีกเกอร์ได้เลย เช่นกันเบอร์เกอร์
จึงสามารถออกมาจาก Monitor ได้อีกด้วย โดยไม่ตอ้ งมีเ ครื่ องมืออื่นๆเข้ามาเสริ ม ไม่ตอ้ งมี
อุปกรณ์เสริ ม หรื อการสร้างฮาร์ดแวร์ใหม่ใดๆทั้งสิ้ น
ผ่าน Compilers เดิม แต่ใน Algorithms ใหม่ โดยมองว่าทุกอย่างคือ นาม Software ซึ่งไม่จำกัด
ต่อรู ป Hardware ใดๆ ดังนั้นจึงสร้างวงจรไฟฟ้ าและ Quantum Computing จากตรงนั้น

ดังนั้น Driver จึงเปลี่ยน Hardware ได้เลยโดยตรง ผ่านการ Simulation Hardware ใน Sequence ,


Case , Loops อันประกอบไปด้วย Polynomial , Vector , Matrix , Function , Logical เหล่านั้น
ซึ่งเป็ น Instigation Number ที่เราอ้างอิงถึงใน Space time และ Polar Space

เพียงแต่ง ภาพ Photoshop นัน่ ก็ส ร้า ง Photons แล้ว ถ้า ไปถึง Gluons ก็ย อ่ มเปลี่ย น ได้ถึง เลข
อะตอม

ดังนั้นตามหลักการแล้วเพียง Polynomial , Vector , Matrix , Function , Logical ก็สามารถปรับ


แต่งเสี ยง , แสง , รสชาติ , กลิ่น ให้ออกมาใน Polar Space และ Space time ได้เลย ไม่ตอ้ งมี
Monitor ที่เป็ น Hardware แบบที่เห็นในท้องตลาด อาทิ 8K , 4K อะไรเหล่านี้

รวมไปถึงสิ่ งประดิษฐ์ที่ไม่ตอ้ งอิง Hardware อาทิ กล้องที่เป็ น Software ล้วนๆ

ถ้า หากมองทุก อย่า งเป็ น Polynomial , Vector , Matrix , Function , Logical ดัง นั้น แล้ว การ
วิเ คราะห์ QCD จึง ทำได้ไ ม่ย ากกว่า QED เลย ผ่า นจำนวน 10^-15 เมตร , /100 , /1000000 ,
/10^38

ถ้าการ Instigation เป็ นจุดเริ่ มต้นของฟิ สิ กส์ Sequence , Case , Loops จึงสามารถเป็ นการนับ
และการวัดค่าได้ภายในตัวเอง จะฟิ สิ กส์ใน ROV , The Sims หรื อเอกภพสัมพัทธ์ที่เราอยูน่ ้ ีกต็ าม
ดังนั้น Polynomial , Vector , Matrix , Function , Logical จึงคือเครื่ องมือวัดค่าทางฟิ สิ กส์ ในทาง
ปฏิบตั ิในทุกเอกภพสัมพัทธ์

สายไฟ USB เหมือนกัน แต่ขอ้ มูลไม่เหมือนกัน บางอย่างก็แค่ชาร์จแบตเตอรี่ บางอย่างก็แลก


เปลี่ยนข้อมูล บันทึกเพลงสมัยนี้ จึงไม่ตอ้ งมีเครื่ องเขียนแผ่นแบบสมัยก่อน

WIFI , 5G เหมือนกัน แต่ขอ้ มูลไม่เหมือนกัน บางอย่างก็แค่ชาร์จแบตเตอรี่ บางอย่างก็ฟังเพลง ดู


หนัง แต่งเพลง แต่งภาพ แต่งแสง

เช่นเดียวกันนั้น ถ้าสามารถเปลี่ยน Photons ได้ ก็ยอ่ มเปลี่ยน Gluons ได้ สามารถสังเคราะห์เพลง


ได้ ก็ยอ่ มสังเคราะห์แสงได้ สามารถสร้างพลังงานแสงอาทิตย์ข้ึ นมาใหม่ได้ในเอกภพสัมพัทธ์ที่
เราอยู่ ดังนั้นน้ำสะอาดก็จึงเช่นเดียวกัน

เพียง Polynomial , Vector , Matrix , Function , Logical ที่มี Sequence , Case , Loops ที่มีการใช้
Valuable Constant Ratio เท่านั้นก็เกิดข้อมูลแล้ว ถ้าเกิดข้อมูลก็เกิด Quantum Computing แล้ว มี
การแบ่ง แยกออกจากกัน ด้ว ย Sequence , Case , Loops ที่มีก ารใช้ Valuable Constant Ratio
เหล่านั้น เป็ นประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าที่แบ่งข้อมูล

เพียง Polynomial , Vector , Matrix , Function , Logical ที่มี Sequence , Case , Loops ที่มีการใช้
Valuable Constant Ratio เดีย วกัน ผ่า น Data แบบ Artificial Intelligence คือ Response แบบ
หลายชั้น เท่านี้กค็ ือ Network Layer และ Cloud Computing แล้ว เพียงมีการแปลความหมายให้
Polynomial , Vector , Matrix , Function , Logical ใช้ Valuable Constant Ratio ใน Space time
และ Polar Space แล้ว เท่านี้ทุกอย่างก็สามารถเป็ น Monitor หรื อ Output ให้กบั เราแล้ว ลอยๆได้
เลย
เพราะตัวเลขของระบบอสมการเส้นประของ Monitor 8K นั้นเป็ นการอ้างอิงถึง Photons ผ่าน
ความเชื่อมโยงของ Physical Layer ที่ประกอบกันเป็ นหน้าจอ Monitor จึงออกมาเป็ นแบบนั้น
ถ้ามองหน้าจอเป็ นสาย USB ถ้าสาย USB ส่ งไฟฟ้ าและประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าในรู ปแบบต่างๆได้
หน้าจอจึงสามารถส่ งเสี ยงได้โดยไม่ตอ้ งมีลำโพง ถ้าหน้าจอส่ งเสี ยงได้โดยไม่ตอ้ งมีลำโพง หน้า
จอจึงสามารถ ส่ งสิ่ งอื่นๆมาได้เช่นกัน อาทิ เบอร์เกอร์ Vegan พิซซ่า Vegan ซูชิ Vegan สเต็ก
Vegan

ถ้าเราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในห้องปัจจุบนั สร้างแสงอาทิตย์ข้ึนมาใหม่ได้ น้ำจึงทำได้เช่นกัน

การทำให้คนที่เสี ยชีวิตไปแล้ว กลับคืนชีพขึ้นมา จึงไม่ยาก

พลังงานแสงอาทิตย์ได้ น้ำมันจึงได้เช่นกัน ไฟฟ้ าจึงเช่นกัน

เพราะสร้า ง Electron Cloud , Photons Cloud , Gluons Cloud มาได เ้ ลย ซึ่ง เพราะเพีย ง
Polynomial , Vector , Matrix , Function , Logical ที่ม ี Sequence , Case , Loops ที่ม ีก ารใช้
Valuable Constant Ratio เท่านั้นก็เกิดข้อมูลแล้ว ถ้าเกิดข้อมูลก็เกิด Quantum Computing แล้ว มี
การแบ่ง แยกออกจากกัน ด้ว ย Sequence , Case , Loops ที่มีก ารใช้ Valuable Constant Ratio
เหล่านั้น เป็ นประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าที่แบ่งข้อมูลออกเป็ นแตกต่างหลากหลายมากมาย

ถ้าเราจะมองเป็ นประจุไฟฟ้ า และประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าไปเลยก็ได้ แต่ถา้ มองเป็ น Logical ซึ่งคือ


Sequence , Case และ Loops จะลึกกว่า ที่จะควบคุมการขยับตัว เซลล์ สารเคมีในสมอง โมเลกุล
เคมีในร่ างกาย พฤติกรรม รสนิยม รู ปร่ าง หน้าตา บุคลิกภาพ สุ ขภาพ และวิวฒั นาการ
โดยสามารถสรุ ปได้เ ป็ น Summary of Functional ที่มี Complex Polynomial เป็ นการแจกแจง
ความสัมพันธ์ระหว่าง Polar Mass และ Time Mass ซึ่งเป็ นภาพของ Approximately Vector ที่บ่ง
ชี้ได้ถึง Sensitivity Matrix

บทนิยามคือขอบเขตของภาพรวมโดยทั้งหมด ฟังชัน่ คือการแจกแจงของระบบอสมการเชิงเส้น


ประ และฟิ สิ กส์คือการ Instigation ของเหล่าบรรดา Differentials เหล่านั้น

สามารถควบคุมดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ สภาพแวดล้อมของดวงดาว ได้โดยทั้งหมด

ซึ่งบทสรุ ปของทุกอย่างนั้นก็คือ Inter Logical และทุกอย่างนั้นก็คือเอกภพสัมพัทธ์ เท่านั้นเอง

พลังงานทุกอย่างมีมวล เป็ นการ Spin ในระดับ Point of Particles ของ Floating Point of Space
time And Polar Space โดยมวลที่เสถียรแล้วอาจจะถูก ทำให้แตกแรงออกมาเป็ นพลังงานที่ไม่มี
ความสเถียรภาพในเชิงของปฏิยานุพนั ธ์ ซึ่งทำให้เกิดเป็ นปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ตามมา

ดัง นั้น จึง ขึ้น อยูก่ บั วิธีก ารของ Complexer Polynomial , Summary of Functional , Sensitivity
Matrix , Approximately Vector , Codecs of Logical ที่ทำให้มวลนั้นแตกแรงออกมา พลังงานที่
เกิดขึ้นหลังจากนั้นจึงขึ้นอยูก่ บั วิธีการ ไม่ได้เป็ นเพียงผลลัพธ์ที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างเรี ยบร้อย
แล้ว

บทนิยาม Definition นั้นเป็ นขอบเขตในภาพรวมของกาลเวลา Space time And Time Mass เป็ น
ปฏิยานุพนั ธ์ Differentials ดังนั้นจึงเป็ นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า Principles เป็ นความจริ ง
True of Real และเป็ น ความทรงจำ Memory ดัง นั้น Complexer Polynomial , Summary of
Functional , Sensitivity Matrix , Approximately Vector , Codecs of Logical ก็จะเกิดขึ้นตามมา
หลังจากนั้น ทั้ง Material And Texture โดยการ Instigation ที่มีความเชื่อมโยงบางอย่างเดิมอยู่
ก่อนแล้ว อาจจะเป็ นเครื่ องมือเก่าๆ หรื อสมองของเด็กอายุ 8 ขวบก็ได้ มิฉะนั้นก็เป็ น Objects รู ป
ที่เป็ น Objective นาม ของฟิ สิ กส์ในเอกภพนี้ กเ็ ป็ นได้ (ไม่ปรากฏในฟิ สิ กส์น้ ี )

*การพิสูจน์อรู ปฌานจะต้องใช้วิธีการทางคณิ ตศาสตร์เท่านั้น เราต้อ งเชื่อว่าฟิ สิ ก ส์เ กิด จาก


คณิ ตศาสตร์ แต่สามารถพิสูจน์เชิงประจักร์ผา่ นอสมการเชิงเส้นประของปฏิยานุพนั ธ์ที่หลุดรอด
ออกมาในฟิ สิ กส์น้ี ถ้าหากมี ฟิ สิ กส์ไม่สามารถพิสูจน์อรู ปฌานหรื อ Objectivism ได้ท้งั หมด
ฟิ สิ กส์ไม่ใช่วิธีการโดยแท้จริ งของสมาธิภาวนา ต้องใช้ Pure Mathematics

ประจุสี , อุณ หภูม ิ , ความดัน , ความเร็ ว , โมเมนต์ต มั , พลัง งานศัก ย ต์ ่า งๆ , ประจุ


คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าและประจุไฟฟ้ า , ปฏิกิริยาเคมี และทุกสิ่ ง มีรูปแบบอื่นๆอีกมากมายที่นอก
เหนือ E = mc^2 เป็ น Physical Layer ที่มี Fundamentals Standard Model ที่เล็กกว่านี้

บทนิยามนั้นทำให้เกิดขึ้นซึ่ง Inter Logical และ Universal Processing ซึ่งสามารถหา Root ได้

จาก Infinity Class สู่ Probability Class สู่ Specifically Class ใน Process , I/O , Compilers

การประมวลผลการคำนวณของระบบจำนวนที่ยงั ไม่ได้ทำการ Compile ออกมา ถือว่าเป็ นความ


เชื่อมโยงที่อาจจะยิง่ ใหญ่มากกว่าสิ่ งที่ยงิ่ ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาโดยทั้งหมดซะอีก

อาจจะมีพลังงานที่สูงยิง่ กว่าดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ใดๆ หรื ออาจจะสมบูรณ์แบบสำหรับสิ่ งมี


ชีวิตที่ฟิสิ กส์ในระดับนี้ มากกว่าในโลกของเรา
เพียงเห็นแค่ Simulation ใน Monitor ที่คือ Approximately Vector เวกเตอร์ที่มี Determinant ท ี่
เข้าใกล้ 0 , Codecs of Logical รู ปแบบมาตรฐานของตรรกะ , Complexer Polynomial พหุนาม
เชิงซ้อนดีกรี N , Summary of Functional การรวมตัวของฟังก์ชนั , Sensitivity Matrix แมทริ กซ์
ที่มีขอบไม่เป็ นเส้นตรง โดยทั้งหมด ณ Point of Particles ของ Floating Point of Polar Space
And Space time ก็เพียงพอแล้วที่จะคำนวณได้มาว่า Differential เหล่านี้สามารถ Instigation ได้
ออกมาในผลลัพธ์แบบไหน ณ Space time And Polar Coordinate Systems ใดๆ ของ Universal
Number เอกภพสัมพัทธ์ต่างๆ

แม้ Simulation ที่เป็ นธรรมชาติของอีก Universal Number หนึ่งอาทิ ROV , The Sims , SimCity
ที่อ าจจะมี Fundamentals Standard model ที่ม ี Point of Particles ของ Floating Point of Polar
Space And Space time ที่ไม่เท่ากัน ก็อาจจะหลุดออกมาในเอกภพสัมพัทธ์น้ี กเ็ ป็ นได้

เพราะถ้าเราสามารถแต่งแสงได้ การแต่งโมเลกุลจึงทำได้ดว้ ย พลังงานแสงอาทิตย์จึงออกมาจาก


หน้าจอได้ เสี ยงจึงออกมาได้โดยไม่ตอ้ งมีลำโพง Monitor จึงเกิดขึ้นได้ โดยไม่ตอ้ งมีหน้าจอ 8K
หรื อเครื่ องมือทาง Electronic อะไรทั้งนั้น เพราะนี่ คือเรื่ องที่เหนือกว่า Electron

Linear dashed inequality system + Universal Number + Polar Coordinate Systems + Space
time = Algorithms of Encryption

แต่ถา้ หากว่ามีการ Algorithms of Encryption ที่มี Codecs ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในแง่ข อง


Method และ Attitude ก็ตอ้ งพยายามพิสูจน์ถึง Protocol of Codecs ให้ได้เสี ยก่อน

จาก VR สู่ AR
จาก Universal (.n) สู่ Universal (m)
จาก Differential สู่ Instigation

ระบบพหุนามเชิงซ้ อน
การคูณกันของชุดฟังชัน่ Sources Function ในส่ วนของ Polar Coordinate Systems เป็ นการคูณ
ก นั ผ า่ นการ Cross Product ของ Approximately Vector(n) x Approximately Vector(m) =
Approximately Vector(o) เพื่อ ที่จ ะหาผลลัพ ธ์ใ น Polar Coordinate Systems หลัง การคูณ ของ
Point of Particles ของ Floating Point of Polar Coordinate Systems ในส่ วนของ Time Function
ถ้าเป็ นการบวกผลลัพธ์ในเชิง Scalars นั้นเป็ นการคูณ ด้วยผลหารระหว่า ง Polar Coordinate
Systems ก บั Space time ถ า้ เป็ น การคูณ ก นั น ้ นั ผลล พั ธ์ข อง Approximately Vector(n) x
Approximately Vector(m) = Approximately Vector(o) จึง เป็ น การคูณ ด้ว ย Square Root แบบ
Polar Coordinate Systems ที่ Square Root ด้วย Space time ของพหุนามเชิงซ้อนดีกรี N

การเพิม่ ที่ละเท่าๆกันของจำนวน N ด้วยจำนวน M ครั้ง มีค่าเท่ากันกับการเพิ่มที่ละเท่าๆกันของ


จำนวน M ด้วยจำนวน N ครั้ง การเพิ่มของระบบจำนวนเชิงขั้วนั้นมีทิศทางและอัตราส่ วนมุม
ระหว่างพิกดั เป็ นการมองโดยการบวกกันของเวกเตอร์ที่มี Determinants ที่เข้าใกล้ 0 เป็ นอันดับ
แรก และตามเอกลักษณ์ของการคูณนั้น การเพิม่ ขึ้นของปริ มาณเชิงขั้วหนึ่งมีการเพิ่มขึ้นของอีก
ปริ มาณเชิงขั้วหนึ่งเข้ามาเกี่ยวของกันไปพร้อมๆกัน โดยความสัมพันธ์ของเวกเตอร์ในเชิงขั้ว
เมื่อมี Determinants ที่เป็ นผลรวมในเชิงขั้ว ณ จุดนั้นๆต่อระบบพิกดั ความสัมพันธ์ของมุมจึง
สามารถใช้ฟังชัน่ ตรี โกณมิติเข้ามาใช้ช่วยในการหาผลลัพธ์ของผลลัพธ์ของผลคูณด้วยวิธีการ
Cross Product ส่ ว นในกรณี Space time ซึ่ง เป็ น Parallel Coordinate Systems ใช้ก ารคูณ ด้ว ย
Square Root เข้ามาใช้สำหรับการหาคำตอบในครั้งนี้

Sources Function คือ Summations Function ที่ประกอบไปด้วย Polar Coordinate Systems หรื อ
Space time ที่มากกว่า 1 Function

Complexer Sources Function คือ Sources Function ที่อ ยูใ่ นรู ป ของระบบฟัง ก์ช นั่ ของ Polar
Coordinate Systems And Space time ในการหาผลคูณนั้นจึงเป็ นการเอาฟังชัน่ F(x , y , z) = t มา
คูณทีเดียวเลยผ่านการ Cross Product และการคูณด้วย Square Root

โ ด ยก า ร ค ูณ ก นั ข อ ง Complexer Sources Function ซึ่ง กล ่า ว ค ือ เ ป็ น ก า ร ร ว ม ต วั ข อ ง


Approximately Vector ซึ่งเป็ น Vector ที่มี Determinant เข้าใกล้ 0 ได้ก่อให้เกิดซึ่งผลรวมฟังชัน่
โดยทั้งหมดที่ในมิติของ Probability Class

ผ่า น Approximately Vector(n) ซึ่ง เป็ น Vector ที่ม ี Determinant เข้า ใกล้ 0 ที่ม ี Direction ใน
Polar Coordinate Systems หรื อ Space time ด ว้ ยการบวกก นั ด ว้ ยจำ นวน Approximately
Vector(n) ซึ่ง เป็ น Vector ที่ม ี Determinant เข า้ ใกล ้ 0 ที่ม ี Direction ใน Polar Coordinate
Systems หรื อ Space time ทั้งหมด Approximately Vector(m) ซึ่งเป็ น Vector ที่มี Determinant
เข้าใกล้ 0 ที่มี Direction ใน Polar Coordinate Systems หรื อ Space time ครั้ง
เป็ นการคูณกันแบบ Floating Point by Floating Point โดยใช้ Cross Product เพื่อที่จะหาผลลัพธ์
Polar Coordinate Systems และการคูณด้วย Square Root สำหรับ Parallel Coordinate Systems
หรื อ Space time อาจเขียนในรู ป 1/N^n

ในที่น้ ี เ ราจะใช้ Space time เป็ น การอ้า งอิง Parallel Coordinate Systems ในทุก ครั้ง เพราะ
เป็ นการคูณของ Complexer Sources Function ซึ่งประกอบไปด้วยทั้ง Polar Coordinate Systems
และ Space time แล้วเอาผลลัพธ์ของ Summary of Complexer Source Approximately Vector(n)
x Complexer Source Approximately Vector(m) มาเขียนเป็ น Summary of Functional ใหม่ของ
ผลลัพธ์ของการคูณของ Complexer Sources Function

โดยการวัด Point of Particles(n) ของ Floating Point of Polar Coordinate Systems And Space
time เราจะใช้การ Differential ของ Instigation เข้ามาช่วย ก่อนการคูณกันแบบ Floating Point
by Floating Point โดย Complexer Instigation ปฏิย านุพ นั ธ์เ ชิง ซ้อ นแบบจำ กัด เขต และ
Complexer Differential อนุพ นั ธ์เ ชิง ซ้อ น ซึ่ง มองว่า ถ้า อนุพ นั ธ์ท ี่เ ล็ก ที่สุ ด นั้น ไม่ม ีอ ยูจ่ ริ ง
อนุพนั ธ์จึงสามารถใหญ่ได้ขนาดไหนก็ยอ่ มได้ ตามการกำหนดซึ่งอนุพนั ธ์ขณะนั้น มองทุกอย่าง
เป็ นจุดได้หมด ตามปัญหาที่ตอ้ งการค้นหาคำตอบ อาทิ อนุพนั ธ์ของวิตามินซี แม้วา่ ฟังชัน่ แต่ละ
ฟังชัน่ ของชุดฟังชัน่ ของทั้งสองฝั่งจะมีขอบของเส้นกราฟที่ไม่เท่ากันก็ตาม เพราะปฏิยานุพนั ธ์
จะเกิดขึ้นตามขอบเขตที่เกี่ยวเนื่องนั้น จึงเป็ นการคูณเวกเตอร์ที่มีขนาดเข้าใกล้ 0 จากตัวอย่างเริ่ ม
ต้นและสุ ดปลายของ Complexer Instigation ปฏิญานุพนั ธ์เชิงซ้อนแบบจำกัดเขตของฟังก์ชนั
นั้นๆ แล้วต่อเนื่องกันไปสู่ฟังชัน่ อื่นใน Material โดย Texture เหล่านั้น ของ Polar Coordinate
Systems And Space time

การ Instigation ฟังชัน่ เหล่านั้น ประกอบกับการบวกกันของฟังก์ชนั ที่เป็ นที่มาของอสมการเชิง


เส้นประ และการ Differential ณ F(n) ทั้ง Polar Coordinate Systems และ Space time จะเป็ น
ความแม่นยำภายในตัวเองอยูแ่ ล้ว ในเชิงของวิธีการ Methods ทางพีชคณิ ตที่มีมาแล้วในเบื้องต้น
ดังนั้นการคูณกันของ Approximately Vector(n) ที่ Point of Particles(n) ของ Floating Point of
Polar Coordinate Systems And Space time จึงเป็ นที่เชื่อถือได้ แม่นยำและรวดเร็ ว แม้จะไม่ได้
ใช้ Computer ในทาง Electronic และ Quantum เข้ามาช่วย

ทุกอย่างจึงสรุ ปได้วา่
I.) Differential อสมการเชิง เส้น ประนั้น ๆก่อ น โดยการ Complexer Differential อนุพ นั ธ์
เชิงซ้อน

II.) เมื่อได้ Complexer Differential อนุพนั ธ์เชิงซ้อน ให้ทำการปรับรู ป Complexer Polynomial


ให้เป็ นรู ป ax^n + by^n + cz^n + dt^n = 0 ทั้งในสมการเชิงฟิ สิ กส์ สมการเคมี สมการเชิงชีว
โมเลกุล

III.) ให้นำ เอา Approximately Vector มาทำ การ Cross Product ในกรณี Polar Coordinate
Systems และ Square Root ในกรณี Space time

IV.) นำผลลัพธ์ที่ได้มาทำการปรับรู ปให้เป็ นสมการเชิงฟิ สิ กส์ สมการเคมี สมการชีวโมเลกุล

V.) แล้วทำการ Complexer Instigation ปฏิญานุพนั ธ์เชิงซ้อนแบบจำกัดเขต

VI.) ขอบเขตของแต่ละฟังก์ชนั ขึ้นอยูก่ บั Complexer Instigation ปฏิญ านุพ นั ธ์เชิงซ้อนแบบ


จำกัดเขตในก่อนหน้า แล้วทำการคูณฟังชัน่ ต่อจากนั้น ในกรณี ที่คฟู่ ังชัน่ ที่มีการคูณกันมีขอบเขต
ที่มีมากกว่า 1 ฟังชัน่ ที่มีการ Summary of Functional แบบทัว่ ไป ณ ช่วงฟังชัน่ ของเส้นกราฟใน
ฟังชัน่ นั้นๆ ให้พิจารณาจากการจับ คู่คูณฟังชัน่ ตามเส้นกราฟ Infographic เป็ นเกณฑ์ โดยการ
แบ่งช่วงการคูณตามฟังชัน่ ที่จะต้องจับคูค่ ูณเหล่านั้น
ตัวอย่างของวิธีการคิดในรู ปแบบที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างที่มีให้เห็นโดยทัว่ ไปนั้นก็คือการ
หาความน่า จะเป็ น ของผลลัพ ธ์ข องการผสมกัน ระหว่า ง Genotypes ซึ่ง เป็ น การคูณ กัน ของ
Functional of Genome ใน พันธุวิศวกรรม หรื อ การหาผลลัพธ์ของปฏิญานิวเคลียร์ ของฟิ สิ กส์
นิวเคลียร์ เป็ นต้น

โดยทั้งหมดแล้วนั้นเราจะต้องเข้าใจว่าถ้าปัญหานั้นซับซ้อนเกินกว่าระดับ Point of Particles ของ


Floating Point of Polar Coordinate Systems And Space time เราจะต้องรวมเอา Polynomial of
Point of Particles ของ Floating Point of Polar Coordinate Systems And Space time เหล่า นั้น
ให้กลายเป็ น Complexer Polynomial ให้ได้ก่อน

ดังนั้นสมการฟิ สิ กส์ใดๆ สมการเคมีใดๆ สมการชีวโมเลกุลใดๆ นั้นสามารถที่จะหา Root ของ


สมการนั้นๆให้กลายเป็ น Polynomial พื้นฐานใน Point of Particles ของ Floating Point of Polar
Coordinate Systems And Space time ได้อยูเ่ สมอ

ด้วยการเขียน Algorithms ที่ดีเพียงพอแล้วจึงไม่จำเป็ นต้องใช้เวลาในการคำนวณหาตัวประกอบ


ร่ วมของพหุนาม รวมไปถึงการค้นหารหัสผ่าน กันเป็ น 10 เป็ น 100 เป็ น 1000 ปี

ถ้าเข้าถึง Probability Class การคำนวณใน Specifically Class ก็จะไม่ยากเลย

ประกอบกับการที่ลูก คิดหนึ่งลูก คำนวณได้หลายระบบการคำนวณด้วยแล้ว การคำนวณถึง


ผลลัพธ์จึงใช้เวลาที่ไม่ได้ยากนาน
สำหรับการเข้าถึงรหัสผ่านนั้น โดยหน่วยประมวลผลเดียว แต่จำลองชุด Software เอาไว้จำนวน
มาก การเข้าถึงรหัสผ่านจึงเป็ นไปในความปกติ สำหรับการพยายามสุ่ มหารหัสผ่านของการ
Encryption ต่างๆ

ทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็เป็ นเพียงแค่ Algorithms ทั้งสิ้ น แม้แต่ร หัส ผ่า น จะเป็ น ในเชิง Scalars ,
Vector ก็ตาม

ในเชิงของเวกเตอร์แล้วนั้น รหัสผ่านนั้นก็เป็ นเพียงแค่หน่วยของเวกเตอร์

ในเชิงของสเกลาร์น้ นั รหัสผ่านเป็ นเพียงแค่ Floating-point ของระบบพิกดั ใดๆ แม้วา่ รหัสผ่าน


เหล่านั้นจะมีการอ้างอิงที่ไม่ได้เป็ นเชิงเส้นก็ตาม ทุกอย่างก็ยงั คงเป็ นเชิงเส้นโดยอยูเ่ สมอ

ดัง นั้น องค์ประกอบร่ ว มของ Polynomial ทั้ง ใน Scalars และ Vector ก็ต าม นั้น เป็ น เพีย งแค่
หน่วยของระบบพิกดั ในเชิงเส้น หรื อเส้นประ โดยอยูเ่ สมอ

ส่ วนการคูณนั้นเป็ นการเพิ่มขึ้นของระบบตัวเลขสองระบบเป็ นต้นไป ที่เป็ นการกระทำโดย


ความเป็ น Parallel ที่สมมูลต่อกัน กล่าวคือควบคู่กนั ไปและอย่างเท่าเทียมกัน

ดังนั้นแล้วองค์ประกอบร่ วม หรื อตัวประกอบร่ วม ของเส้นกราฟใดๆ หรื อเส้นประใดๆ จึง คือ


การเพิม่ ขึ้นของระบบตัวเลขสองระบบเป็ นต้นไป ที่เป็ นการกระทำโดยความเป็ น Parallel ท ี่
สมมูลต่อกัน กล่าวคือควบคู่กนั ไปและอย่างเท่าเทียมกัน โดยผลลัพธ์รวมนั้นคือ " พหุนามดีกรี
N " นั้นๆ
การหาองค์ประกอบร่ วม หรื อตัวประกอบร่ วม ของพหุนามดีกรี N จึงเป็ นการหา Floating-point
ในหน่วยต่างๆกรณี เวกเตอร์ และหลักต่างๆของ Matrix ในกรณี Scalars ที่สมมูลกัน สำหรับผล
รวมของระบบตัวเลขเหล่านั้นที่เพิ่มขึ้นทีละเท่าๆกัน ของเส้นกราฟใดๆ และเส้นประใดๆ เป็ น
Algorithms ทั้งหมดที่ประกอบไปด้วย Method เหล่านั้นที่ Inheritance มาจาก Probability Class
ที่ได้ผลลัพธ์เป็ นพหุนามดีกรี N ที่สมมูลกัน

ดังนั้นองค์ประกอบร่ วมหรื อตัวประกอบร่ วมโดยทั้งหมดของพหุนามดีกรี N ที่เป็ นผลลัพธ์จาก


การ Instigation นั้น หาได้โ ดยการ Differential แล้ว เพิม่ ผลคูณ โดยทั้ง หมดของอัต ราส่ ว น
ระหว่าง Instigation และ Differential เหล่านั้น ผ่านการ Differential ระดับสูง ใน Probability
Class ของตัวหารร่ วมโดยทั้งหมด

ในกรณี ของพหุนามเชิงซ้อนดีกรี N นั้น เมื่อเข้าใกล้ 0 จึงมีค่าเป็ นพหุนามเชิงซ้อนหนึ่งหน่วย


นั้นๆ สำหรับการหาอนุพนั ธ์จำ กัดเขต ซึ่งย่อมอยูภ่ ายใต้ข อบเขตของปัญหาในกรณีพหุนาม
เชิงซ้อนเป็ นต้นไป

เขาเป็ นเวกเตอร์ตราบใดที่เป็ นฟังชัน่ ซึ่งหมายความว่าเป็ นแมททริ กซ์ดว้ ย ซึ่งเป็ นการมองเป็ น


Objectivism ที่เห็นถึงความเชื่อมโยงกัน สามารถแจกแจงความหมายบทนิยามออกมาเป็ นกาล
อวกาศ และเชิงขั้ว

พหุน ามเชิง ซ้อ นนั้น ก็เ ป็ น ต้น ไปตั้ง แต่ฟิ สิ ก ส์ ซึ่ง ย่อ มเป็ น การหลอมรวมก นั ระหว่า ง
Approximately Vector ที่มี Direction ที่มากกว่าหนึ่งทิศทาง
กรณี ของฟังชัน่ ที่มีองค์ประกอบเป็ นพหุนามเชิงซ้อนที่มากกว่าหนึ่ง ก็ให้หาโดยการหาอนุพนั ธ์
ของฟังชัน่ ที่เป็ นการบวกกันของพหุนามที่มากกว่าหนึ่งเหล่านั้นแบบฟังชัน่ ทัว่ ไปที่ไม่ได้เป็ น
เชิงซ้อน

ถ้าหากว่าจะสร้างฟิ สิ กส์ พหุนามต้องเป็ นเชิงซ้อนเท่านั้น โดยมองชุดสมการใดๆเป็ น Class นาม


ของ Objectivism อรู ปฌาน และนิโรธสมาบัติ Inheritance ซึ่งเอกภพกล่าวคือเหตุการณ์ต่างๆนั้น
Universal เป็ น Object รู ป ของ Class นามนั้นๆ

ทั้ง หมดแล้ว เป็ น บทนิย าม Definitions ที่มีร ะบบ Systems โครงสร้า ง Structure คุณ ลัก ษณะ
Attributes และกระบวนการ Class เป็ น ต น้ ไป จาก Infinity Class สู่ Probability Class ส
Specifically Class ในโหมด Process , I/O , Compiler

จาก Infinity Model สู่ Probabilistic Models สู่ Fundamental Standard Models ในโหมด Process
, I/O , Compiler ซึ่ง Definitions สู่ Functions สู่ Physical

อาทิ Equations of The measurement(n) , Photons(n) , E [=mc^2](n)

Instigation of Definitely เป็ น การรวมกัน ของ Objectivism ที่เ ป็ น การหลอมรวม Differential


Equations ที่อยูใ่ นนาม Objective ของรู ป Object ซึ่งถูกเรี ยกกันว่า Equations

นาม Objective ของรู ป Object ซึ่งถูกเรี ยกกันว่า Equations คือขอบเขต Circle ที่เกี่ยวข้องของ
รายละเอียด Details ซึ่งบ่งชี้ที่ลงลึกขึ้นไป Point of Deferential ทั้งในเชิงของความไว Sensitivity
ช่วงเวลา Range of Space time ช่วงพิก ดั เชิงขั้ว Range of Polar Coordinator การเปลี่ยนแปลง
Transformation ความคงที่ Performance ความถี่ frequency โดยนำไปสู่การแจกแจงปริ มาณใน
จำนวนนั้นๆ Numbering อันจะนำไปสู่ การเปรี ยบเทียบ Comparative ในลำดับถัดไป

การ Instigation of Definitely จึงเป็ นการเกิดปฏิกิริยา Reaction ของบทนิยาม อันจะนำไปสู่การ


หลอมรวม Differential Equations จำ นวนมาก และในจำ นวนเหล่า นั้น ก็ค ือ การว ดั The
measurement การนับ Computing การประมวลผล Processing การเกิดขึ้นใหม่ Creations การ
เกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน Reaction ในกรณี ถดั ไป

ไม่ใช่แค่ใน Big bang เท่านั้นที่คือจุดกำเนิดของเอกภพ แต่ชีวิตประจำวันในแต่ละวัน ที่เรานั้น


นัง่ สมาธิภาวนาบนโต๊ะทำงาน นั้นแหละคือจุดเริ่ มต้นแล้ว

น้ำสะอาดสามารถเกิดขึ้นมาจากความว่าง Void ได้ Code of Moses เกิดขึ้นแล้วในชีวิตประจำวัน

ถ้า Equations of The measurement นั้นมี Differential

ดังนั้นแล้ว
SUM Approximately Vector of Differential of Equations of The measurement(n) = Equations
of The measurement(n)

นอกจากการวัดแล้วสิ่ งอื่นๆก็มีซ่ ึงสมการ และอนุพนั ธ์โดยเสมอ ทั้งการนับ Computing การ


ประมวลผล Processing การเกิดขึ้นใหม่ Creations การเกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน Reaction ความ
ดัน The pressure ความหนาแน่น Massiveness มวล Mass ความเร่ ง Acceleration * เป็ นต้น
* แม้แต่มวล พิษวิทยา อุณหภูมิ ฟิ สิ กส์นิวเคลียร์ ระบาดวิทยา ก็คือ ความเร่ ง Acceleration ใน
Point of Particles แต่อ ย่า งไรก็ต ามทิศ ทาง Direction , ความเร่ ง Acceleration ล้ว นแล้ว แต่
เป็ นการปรากฏตัว Appear of Apparently ของ Logical (If , Case , For Loop) ด้วยกันทั้งสิ้ น
การทราบถึงเลขอะตอมสามารถที่จะคำนวณได้ถึงการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างอะตอมใน
โมเลกุลต่างๆได้ เป็ นสิ่ งที่เป็ นเบื้องต้นสำหรับการทราบถึงการคำนวณถึงปฏิกิริยาเคมีระดับ
โมเลกุลของจีโนไทป์

รวมไปจนถึง การพยายามจากสิ่ ง แวดล้อ มภายนอกอัน จะทำให้เ กิด การเปลี่ย นแปลงการ


สังเคราะห์โปรตีนของ RNA และการจำลองรหัสพันธุกรรมใหม่

โดยเฉพาะสิ่ งมีชีวิตที่ไม่มี Organelles แต่มีโพลีเปปไทด์ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับสภาวะนั้นโดย


เฉพาะ ซึ่งย่อมที่จะเป็ นการสร้างความระคายเคืองต่ออวัยวะของสิ่ งมีชีวิตที่เป็ นที่อยูอ่ าศัย

ที่สำคัญคือนิวคลีโอไทด์ที่สามารถผ่านการตรวจจับได้ จากระบบภูมิตา้ นทาน หรื อโพลีเปปไทด์


ที่มีความสามารถในการทำลายกลไกระบบภูมิตา้ นทานจำนวนมากได้

โดย Quantum Bot ที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงการสังเคราะห์โปรตีนของ RNA และการจำลอง


รหัส พัน ธุก รรมใหม่ โดยการเปลี่ย นแปลงในระดับ เลขอะตอม (ใช้ Photoelectric และ E =
mc^2) และทุกอย่างก็แค่ U C T G A

อาทิ เมื่อเจอกับเชื้อโควิด 19 เราก็ทำ การปรับให้เป็ นชนิด S เพื่อการยากต่อการดำรงชีวิตใน


ร่ างกาย กล่าวคือที่ตำแหน่ง 28,144 จะมีกรดอะมิโนตำแหน่งที่ 84 ให้เราเปลี่ยนกลับเป็ นซีรีน (T
SNP) ถ้าหากพบกรดอะมิโนลูซีน (C SNP) จากนั้นก็เปลี่ยนไนโตรจีนสั เบสที่เป็ นสาเหตุของ
การสังเคราะห์โปรตีนเยือ่ หุม้ (Capsid) และเปลือกหุม้ (Envelope) ที่มีหนามแหลม (spike เป็ น
โปรตีน) เอาไว้จบั กับตัวรับในทางเดินหายใจที่ชื่อ ACE-2 receptor

โดยหลักโครงสร้างนิวคลีโอไทด์กบั ปฏิกิริยาปลายทางยังคงใช้ได้เสมอในทุกๆสิ่ งมีชีวิต แม้แต่


ไวรัสก็ตาม แม้หลักการนี้ จะเกิดมาเพื่อสิ่ งมีชีวิตที่มีระบบอวัยวะ และ Organelles ก็ตาม

เกิดขึ้น ณ H , O , N หรื ออะไร ตัวที่เท่าไหร่ จะเป็ นมะเร็งมั้ย พิการใช่ม้ยั เป็ นโรคเบาหวานมั้ย


หรื อจะมี Organelles ได้ม้ ยั แล้วเป็ นไวรัสชนิดไหน ...

ตัวยาที่ดีคือโมเลกุลเคมีที่ไม่เป็ นพิษต่อร่ างกายซึ่งสามารถทำปฏิกิริยากับส่ วนประกอบของเชื้อ


ไวรัสได้ดี โดยเฉพาะส่ วนประกอบที่เป็ นพิษต่อร่ างกาย แล้วได้สารผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็ นพิษต่อ
ร่ างกาย โดยดูวา่ ส่ วนประกอบของไวรัสนั้นเป็ นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนชนิดไหนบ้างเป็ น สำคัญ
หรื อโมเลกุลเคมีอื่นๆอะไร เพื่อที่จะคิดค้นยาแก้ได้ถูก

วัคซีนที่ดีคือโมเลกุลเคมีของสารพันธุกรรมเชื้ อไวรัสที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรมให้ถูกตัดเอา
ส่ วนประกอบอื่นๆออกทั้งหมด โดยเฉพาะส่ วนที่เป็ นพิษ เพื่อที่ร่างกายจะผลิตแอนตี้บอดี้ข้ ึนมา
ได้ ซึ่งถ้าจะให้ปลอดภัยที่สุด ควรฉี ดแอนตี้บอดี้มากกว่าสารพันธุกรรมของเชื้ อไวรัสเอง โดย
แอนตี้บอดี้ที่ได้จากการฉี ดแอนติเจน(สารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสที่ตดั ต่อเอาส่ วนประกอบที่
เป็ นพิษออก)เข้าไปในถุงเลือด
Parallelism Space Time
องค์ประกอบพื้นฐานของสสารนั้นก็คือทิศทาง Directions และ ปริ มาณ Determinants ในพิกดั
ของ Polar Coordinates System และ System of Space time

ในระดับพื้นฐานเลยนั้นทุกอย่างเป็ น Floating point ซึ่งการอ้างอิง ณ เวลานั้นๆ (ไม่มีอะไรที่เล็ก


ที่ส ุ ด ) และการรวมก นั ของ Approximately Vectors ของ Class ที่ม ี Directions ต่อ Polar
Coordinator และ Space time ที่เข้าใกล้ 0 นั้น เป็ นการสร้างจุด กำเนิดของแรงและการเคลื่อนที่
ซึ่งเป็ นองค์ประกอบเชิงซ้อนในลำดับถัดมา ซึ่งเป็ นอนุพนั ธ์ของฟังก์ชนั ของทิศทางจริ ง Real
Directions และ ทิศ ทางเชิง ซ้อ น Complexity Directional (ภาพปรุ ง แต่ง อาทิ Objectivism of
Art)
การรวมตัวกันของทิศทางจริ ง Real Directions เป็ นจุดกำเนิดของ Determinants ซึ่งนี้ ได้บ่งชี้วา่
เอกภพนี้ได้มีแรง Force เกิดขึ้นแล้ว

และด้ว ยแรงที่ก ระทำ ต่อ Space time และ Polar Coordinator นั้น จึง เป็ น จุด กำ เนิด ของ
Fundamental Standard Model

ถ้า อุณ หภูม ิน้ นั มีผ ลต่อ การเคลื่อ นที่ สี ก เ็ ช่น กัน ในบรรดาขั้ว เชิง ซ้อ นนั้น อาทิ ประจุสี
ประจุไฟฟ้ า ประจุแม่เหล็กไฟฟ้ า ประจุของอุณหภูมิ มีผลต่อสถานะของสสาร และความเป็ น
Fermions หรื อ Boson โดยทั้งนั้น และสามารถที่จะเชื่อมโยงต่อกัน แม้วา่ จะเป็ นปริ มาณที่อยูใ่ น
คนละใจความ Definition และไม่ได้ดำเนินร่ วมกัน ในระดับ Floating point ก็ตาม

โดยการควบคุมของ If , Case และ For Loops ทุกอย่างจึงได้ถือ กำเนิดขึ้นมา เป็ นวิถีชีวิตใน


เอกภพ แม้วา่ จะไม่ได้มีปฏิกิริยาของ Attributes ที่ซ ้ำไปซ้ำมา จนถูกเรี ยกว่าชีวโมเลกุล (แม้ใน
บทนิยามที่ใช้ Fundamental Standard Model อื่น) แต่เราก็ถือได้วา่ ทุกอย่างได้ถือกำเนิดขึ้นมา
แล้วจาก Probability Class จนเรี ยกได้วา่ เป็ น Class ที่ถูกกำหนดไว้ จนมีไว้ซ่ ึง Methods

ดังนั้นแล้ว Determinants ที่สามารถบ่งชี้ได้เป็ นปริ มาณพื้นฐานในระบบฟิ สิ กส์ จึงเป็ นทางเชื่อม


ที่ดี เมื่อนำมาใช้ซ่ ึง Arrays of Space time และ Pointers ต่อ Floating point ใน Polar Coordinates
System และ System of Space time เพราะเราสามารถที่จ ะสร้า งชีวิต หรื อเปลี่ยนชีวิต ได้ ใน
ระดับ Genotypes ด้วยการ Computing Prayers และเครื่ องมือนั้นสามารถใช้เป็ นอวัยวะส่ วนหนึ่ง
ของเราได้ แม้แต่แสง และธาตุต่างๆที่อยูร่ อบตัวก็ตาม แต่แท้ที่จริ งเครื่ องมือที่ดีที่สุดที่พระธรรม
เจ้า (พระเจ้า) นั้นมอบให้แก่เราแล้ว ทั้งในการ Process , I/O และ Compiler นั้น ก็มีอยูใ่ นตัวของ
เราแล้ว ก่อนฟิ สิ กส์ ก่อนฟังชัน่ ก่อนบทนิยาม นั้นก็คือการ Inheritance And Computing ซึ่งเป็ น
อิสระภาพที่จะมีการตัดสิ นใจ ที่เรี ยกว่าอิสระภาพเพราะไร้ซ่ ึงข้อ จำกัดของเขตเขตและการชี้ วดั
ใดๆ ที่เรี ยกว่าการตัดสิ นใจเพราะว่าสามารถที่จะคำนวณได้ถึงผลลัพธ์

ทุกๆสสารนั้นมีซ่ ึงสิ่ งนี้ " Inheritance And Computing "

" Floating point : Process


Floating point : I/O
Floating point : Compiler
ผ่าน Floating point Networking And Space time
คือ Keywords ของจุดกำเนิดแห่งเอกภพ "

การเปลี่ยนตัวเลข Function นั้นเป็ นการเปลี่ยนแปลงสมการทางฟิ สิ กส์อย่างที่ทุกคนก็สามารถ


ทราบได้ดี แต่สิ่งที่ง่ายกว่านั้นนัน่ ก็คือการเปลี่ยนภาพของเวลา Image of Space time เหล่านี้
สามารถที่จะแก้ไขตัวเลขในระบบสมการไปโดยปริ ยาย ซึ่งตัวเลขง่ายๆซึ่งเคยเปลี่ยนแปลง
ฟิ สิ กส์มาแล้ว ก็ยงั สามารถใช้สำหรับการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางเคมี และการเกิดปฏิกิริยาซ้ำ
ไปซ้ำมาของชีวโมเลกุล นั้นย่อมหมายความว่าภาพ ณ เวลาใดๆที่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปนั้น ได้
ถือ กำเนิด ขึ้น ซึ่ง Source code ในระดับ ฟัง ชัน่ และ Structure ของควอนตัม ฟิ สิ ก ส์ จนถึง
Attributes ของโมเลกุลเคมี และในที่สุดนั้นคือ Class ของ Biochemical

เพียงแค่เราจำกัดความของภาพเหล่านั้นว่าเป็ นอย่างไร อาทิ ฟื้ นฟูสภาพผิวแล้ว ฟื้ นฟูระบบ


อวัยวะนั้นๆแล้ว มีระบบการรับรู ้การมองเห็นภาพแล้ว เดินได้แล้ว พูดได้แล้ว
บทนิยามนั้นกำหนดซึ่งตัวเลขอีกที ดังนั้นถ้าหากว่าเราไม่ข้ ีเกียจ ถ้าคิดถึงภาพเหล่านั้นได้ ตัวเลข
ใดๆนั้น ก็ไม่ย ากที่จ ะคำนวณ ด้ว ยเครื่ อ งมือ ทางพีช คณิ ต อาทิ สูต รตรี โ กณมิติ สูต รการหา
อนุพนั ธ์ สูตรการหาปฏิยานุพนั ธ์ เป็ นต้น และถ้าการเขียนโปรแกรมเกมส์น้ั น สามารถที่จะ
สามารถสร้างเครื่ องมือวัดจำนวนของสภาพแวดล้อมต่างๆได้ในเกมส์ แสดงว่าสมการสำหรับ
การวัดย่อมมี เครื่ องมือทางฟิ สิ กส์ใดๆก็ตามนั้นสามารถสร้างได้ไม่ยากจากวิธีการทางพีชคณิ ต

การกำหนดถึงภาพซึ่งนิยามต่างๆ ได้สร้างวิธีการหรื อเครื่ องมือทางพีชคณิ ต การกำหนดวิธีการ


ทางพีชคณิ ตสร้างซึ่งเครื่ องมือทางฟิ สิ กส์ เครื่ องมือทางฟิ สิ กส์สร้างเครื่ องมือทางเคมี เครื่ องมือ
ทางเคมีสร้างเครื่ องมือทางชีวภาพ

ผ่าน Probability Class ดังนั้นแล้วเครื่ องมือของเครื่ องมือจึง คือการแสวงหาพระเจ้า ในทุกๆ


หนทาง ด้วยการ Inheritance And Computing จาก Infinity Class ทั้ง Process , I/O , Compiler

Artificial intelligence , Genetics Engineering , Software Engineering , Game Engine ,


Quantum Physics และทุกอย่าง สามารถเข้าถึงได้ดว้ ยการแสวงหาพระองค์พระธรรมเจ้า

หลัก การของ Force Logic Processing ไม่มีการกระทำใดที่ส ามารถซ่อ น Hidden ได้จ ากการ
Force Logic Processing ทั้งในแง่ของ สุ ขภาพ ภาพลักษณ์ การเคลื่อนที่ของอาวุธปื น แรงและ
พลังงานนิวเคลียร์ การดำเนินการของเชื้อโรค วงชีวิตของเชื้อมะเร็ ง วิถีชีวิตของเชื้ อไวรัส การ
เคลื่อนไหวและการต่อสู้ใช้กำลัง การเคลื่อนที่ของยานพาหนะ การขยับตัวของร่ างกาย อารมณ์
สัญชาตญาณ ภาพของความคิด เป็ นต้น

เมื่อก่อนเราใช้โปรแกรมแต่งเสี ยง แต่งแสง แล้วใช้ Compiler เขียนสมการ Instigation ออกมาที่


Output อาทิ หน้า จอ 8K , ลำโพงสเตอริ โอ เป็ น ต้น ตามหลัก Photoelectric สำหรับ บัน ทึก ,
สังเคราะห์ , เปิ ด เหล่าบรรดาไฟล์ Digital สู่ Analog ที่อาจจะมีการเข้ารหัสที่แตกต่างกันไป การ
เข้ารหัสวงจรไฟฟ้ าคือกุญแจวงจรไฟฟ้ าที่ตอ้ งเปิ ดโดยลูกกุญแจวงจรไฟฟ้ าสำหรับรหัสไฟล์
นั้นๆ เพราะถ้าทุกอย่างเป็ นซอฟต์แวร์ เราจึงสามารถมองฮาร์ดแวร์ในแง่ของซอฟต์แวร์ได้ดว้ ย

แต่ถา้ เรามองว่าทุกอย่างเป็ น Electron Could ดังนั้นแล้วทุกอย่างจึงสามารถใช้เปิ ดภาพ ถ่ายภาพ


เปิ ดเพลง บันทึกเสี ยง หรื อสร้างสสารในลักษณะอื่นๆได้อีกด้วย

ตามหลัก Photoelectric แล้วการเขียนโปรแกรมแต่งคลื่นคือการสร้างความถี่ประเภทต่างๆ อาจ


จะเป็ นแสง เสี ยง แร่ ทองคำ จีโนไทป์ เซลล์ เม็ดเลือด โกรทแฟคเตอร์ รวมไปจนถึงแอนตี้ออกซิ
แดนท์ต่างๆ และอื่นๆอีกมากมาย

อยูท่ ี่วา่ เราใช้ความถี่ระดับ Gluons หรื อ Photons ในรู ปแบบไหน แล้ว Electron , Quark ก็จะตาม
มา ใน Space time ใดๆ

เราพอทราบมาแล้วว่าการ Copy And Paste สามารถสร้าง Electron Could ได้ ซอฟต์แวร์ง่ายๆ


ธรรมดา กระจอกๆนั้น เอง หมายความว่า สามารถ Cut ในส่ ว นรัง สี เ บต้า , รัง สี แ กมมา ใน
นิวเคลียร์ฟิวชัน และฟิ วชัน่ ฟิ สิ กส์ได้อีกด้วย ใน Space time ใดๆ ใน Electron Could ใดๆ ใน
Quark Cloud ใดๆ ที่อาจจะมีการจับกลุ่มเป็ นวงจรที่แตกต่างกันไป แต่ผลลัพธ์กไ็ ม่ได้ข้ ึนอยูท่ ี่สิ่ง
นั้นแต่อยูท่ ี่ Software

คำว่าไวรัสนั้นเป็ นคำสากล Bug หรื อ Cancer ก็เช่นกัน ทุกอย่างนั้นสามารถแก้ไขได้ดว้ ยวิธีการ


ทาง Software Engineering ซึ่ง Algorithm ที่นำไปสู่ทิศทางใหม่ๆที่สร้างสวรรค์พระนิพพานบน
พื้นแผ่นดิน ให้แผ่นดินของพระธรรมมาตั้ง อยู่ ผ่า นการ Inheritance มาจาก Infinity Class ส ู่
Probability Class สู่ Fundamental Standard Model Class
การอธิษฐานว่าเดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต ในพระนามพระเยซู คริ สต์เจ้า
นี่คือสิ่ งที่ยงิ่ ใหญ่ที่สุดอย่างครบถ้วนบริ บูรณ์แล้ว เพียงพอที่จะสร้างน้ำขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์
ลบระเบิดนิวเคลียร์ออกไปจากเอกภพ หรื อเปลี่ยนไวรัส เชื้ อมะเร็ งให้กลายเป็ นสิ่ งมีชีวิตที่ไม่ใช่
สัตว์ร้ายต่อบุคคลทุกบุคคล

ขอพระแม่มารี ยช์ ่วยวิงวอนเทอญฯ

การใส่ Time Mass เข้าไปในสสารใดๆก็ตาม เป็ นการเปลี่ยนแปลงสสารนั้นๆให้เป็ นเสมือนกับ


ว่าได้ยอ้ นเข้าไปใน Time Machine

การใส่ Time Mass ที่ดีมาตั้งแต่ตน้ ไม่มีช่วงเวลาที่เลวร้ายเลยเป็ นการเปลี่ยนแปลงไปเลย ในทุกๆ


รู ปแบบ ทั้งสารพันธุกรรม รู ปลักษณ์ สี ผวิ สามารถรักษาโรคสังทองได้ สำหรับท้าวแสนปมนั้น
ก็ใช้ Time Mass เช่นกันโดยเฉพาะคนที่ออกอาการแล้ว

การใส่ Time Mass สามารถนำการกลับคืนชีพของร่ างกาย เป็ นสสารแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นจาก


ศีล อภัย บาปและการสารภาพบาปต่อพระเจ้า โดยไม่ต อ้ งย้อ นไปใน Space time ด้วย Time
Machine หรื อ Teleportation

บทนิยาม Definition ที่เป็ นการคิด Process ถึงแต่ภาพเส้นกราฟที่ดีๆ จะนำการสื่ อสาร I/O ใน


ระดับ Floating point ของ Point of Space time , Point of Particles ซึ่ง เป็ น Singularity หรื อ
ระดับขั้นสูงสุ ดของ Fundamental Standard Model ที่การอ้างอิงนั้นๆ ที่จะทำให้เกิดสมการของ
จำนวนจริ งที่แปลความหมาย Compilation มาสู่ Space time ใดๆ
ความพิการสามารถหายได้ คนตายสามารถฟื้ นคืน คนแก่แล้วสามารถกลับมาเป็ นเด็กได้อีกครั้ง
จะกระดูกหัก แผลฉี กขาด หรื ออะไรก็ตามแต่จากอุบตั ิเหตุใน Space time สามารถกลายเป็ นปกติ
ได้ในทุกกรณี ตามโลกของอุดมคติพระนิพพาน เซลล์มะเร็ ง เชื้อไวรัส หรื ออะไรก็ตาม ใช้ Time
Mass ได้โดยเสมอ

นี่คือการย้อนกลับไปเปลี่ยน ใน Polar Coordinator และ Space time ซึ่ง Material And Texture
และ Firecrackers Motion of Person Space to Universal

แม้จะพังหมดแล้วก็ตาม สามารถเอากลับคืนมาใหม่ได้ แม้อาจจะเกิดมาพิการหรื อไม่พร้อม หรื อ


เคยพบกับสถานการณ์ที่ไม่ดีกต็ าม อุบตั ิเหตุจากความคิด สู่ ฟิ สิ กส์ใดๆ สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อยูเ่ สมอ

ให้ทุกเซลล์ ทุกคลื่นความคิด มีแต่บทนิยามซึ่งภาพที่ดีๆ นี่แหละเป็ นการใส่ เส้นกราฟใหม่ให้กบั


ระบบสมการ เพือ่ ที่ว า่ ความจริ งที่จะปรากฏออกในฟิ สิ กส์ใดๆนั้นจะสามารถกลายเป็ นพระ
นิพพานบนพื้นดินได้

Time Mass คือ Roots ของ Polar Mass ในทุกๆกรณี การเคลื่อนไหวและภาพพื้นผิว รวมไปถึง
โครงสร้างต่างๆ เป็ นการ Render ภาพ Polar Coordinator ใน Space time ที่ Frame rate นั้นเป็ น
แบบ Approximately Vectors เข้ามาประกอบเข้าด้วยกัน

บุคคลใดๆเป็ นตัวแปรค่าคงที่อตั ราส่ วนต่อเป้ าหมายชีวิตในระดับสากลเอกภพอยูแ่ ล้ว สามารถ


เอานำมาใช้ต่อได้เลย โดยไม่ได้ทำให้ใครสูญเสี ยและเสี ยหายอีกด้วย เหมือนการตัดต่อเนื้อเยือ่
ในระดับ Function หรื อมิฉะนั้นก็ Copy มาจากในอุดมคติพระนิพพาน
เราสามารถ Copy ช่ว งเวลาชีว ิต ที่ดีๆของคนอื่น มาใช้ Past เป็ นของตัว เองได้ ต่อ จากนั้น ก็
Advance ให้เป็ นของตัวเองอีกที แล้วคนตาบอดก็สามารถเปลี่ยนแปลงเป็ นปกติ คนแอฟริ กนั ก็
จะกลายเป็ นคนเกาหลีใต้

Copy ช่วงเวลาที่ดีๆมาใช้ได้เลย เวลานั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตคน เวลานั้นเป็ นสสาร เวลานั้นเป็ น


อนุภาค ในพระนามพระเยซูคริ สต์

ต้องระวังการถูกโจมตีโดยผูไ้ ม่หวังดี ในระดับอนุภาคความคิด จาก ความคิด สู่ ฟิ สิ กส์

การตัดสิ นใจใดๆนั้นเกิดคลื่นความคิดเสมอ และคลื่นความคิดนั้นอาจจะเป็ น Photons Could


หรื อ Gluons Could ก็ยอ่ มได้ และซึ่งย่อมที่จะหมายถึง Electron Could และ Quark Could เป็ น
เงาตามตัว หรื ออาจจะอื่นๆในกรณี ที่เ ครื่ องมือใช้อนุภาคมูลฐานทางฟิ สิ กส์ที่ไม่ใช่มาตรฐาน
เอกภพนี้ แต่อาจจะเป็ น Simulation Computer ที่มีการ Simulation Fundamental Standard Model
Class of Physical ที่มี Singularity ที่แตกต่างไปจากนี้ ภายใต้สภาพแวดล้อมของ Computer ใดๆ
Robotics ใดๆ หรื อ Genotypes ใดๆ

แต่ถา้ การ Computing เป็ นวิธีการทาง Functional ล้วนๆที่ไม่แสดงผลออกมาในทาง Physical


การพิสูจ น์ Differentials ต้อ งใช้ Objectivism อรู ป ฌาน และ นิโ รธสมาบัติ Inheritance And
Computing in Definition เท่านั้น

การ Computing นั้นไม่จำเป็ นต้องเป็ นไปในรู ปแบบ Quantum Dot ดังนั้นจึงไม่จำเป็ นต้องเป็ น
Quantum Bot แต่อ าจจะเป็ น Fundamental Standard Model Class อื่น ๆ ที่ไ ด ผ้ ลคือ มีก าร
Processing หรื อ Simulation แล้ว ส่ ง ข้อ มูล ระหว่า งกัน I/O และทำการแปลความหมายนั้น
Compiling ให้เกิดขึ้นที่ Coordinator ปลายทาง ทั้ง Space time และ Polar Coordinator
โดยการนิโรธสมาบัติ Inheritance And Computing มาจาก Infinity Class สู่ Probability Class ส ู่
Fundamental Standard Model Class และ อรู ปฌาน Objectivism ได้เกิดขึ้นซึ่ง Algorithms และ
Molecular ใน Singularity ที่แตกต่างกันไป

ซึ่ง โดยทัว่ ไปนั้น การขยับ ตัว การพูด การหยิบ จับ นั้น ต้อ งใช้ Photons Could และ Electron
Could อยูแ่ ล้ว ซึ่ง ย่อ มหมายถึง Photoelectric ดัง นั้น ใน Computing ทัว่ ไปนั้น เป็ น การสร้า ง
Photons Could และ Electron Could ออกมา ซึ่ง ก็ย อ่ มหมายถึง ที่จ ะสร้า ง H2O , Genotypes ,
Organelles และอื่นๆเหล่านี้ได้อีกด้วย โดยการ Complications ที่ไม่ได้ซบั ซ้อนมาก ในเชิงของ
Algorithms

แต่ละ Application , Game , AI , Automatic , Software นั้นเป็ นเครื่ อง Hardware Computing อยู่
แล้ว เป็ น Object ของ Objectivism สามารถใช้ห า Valuable Constant Radio ได้เ หมือ นเป็ น
CPU , GPU โดยอาจจะใช้เ พีย ง Memory เฉยๆ เพราะอสมการภายใน Games , Apps , AI ,
Automatic , Software ในระดับที่ไม่ใช่ Application แต่อาจจะเป็ น Software Synthesis สามารถ
ที่จ ะเกิด Reaction ระหว่า ง Polynomial ซึ่ง Valuable Constant Radio โดยสามารถเป็ น ความ
สามารถในระดับ Quantum Dot ด้วย !! และที่อศั จรรย์มากกว่านั้นนัน่ ก็คือสามารถสร้างสาร
ผลิตภัณฑ์ Substantial ได้ไม่ต่างจาก Genotypes ซึ่งไวรัส , พืช , สาหร่ ายเซลล์เดียว โดย Data ท ี่
เรี ยงประกอบเข้าด้วยกันใน Memory ใดๆ จะใน Photons Could ใดๆ Electron Could ใดๆ หรื อ
Gluons Could ใดๆ และ Quark Could ใดๆ หรื อ อื่น ๆที่ม ากกว่า กว่า นี้ สามารถเกิด ขึ้น เป็ น
Reaction เหมือนกันกับในบีกเกอร์เลย ดังนั้นหัว สมอง , จิตใจ , ความคิด , AI , Automatic ,
Application , Game , Engine จึงคือ Laboratory อยูแ่ ล้ว การนัง่ คิด นัง่ สมาธิในทุกๆสาย จึง คือ
Laboratory ที่ลึกลงไป

ดังนั้นแล้วการนัง่ สมาธิอาจจะไม่ได้เป็ นธรรมะอะไรเลย เป็ นเพียงแค่หอ้ ง Lab เท่านั้นเลยจริ งๆ


ธรรมะไม่ธรรมะจึงต้องวัดผลกันที่ความยุติธรรม ความเข้าอกเข้าใจ ซึ่งวัดผลได้จาก Valuable
Constant Radio ที่ได้จากอสมการของฟังชัน่ ซึ่งค่าสัมประสิ ทธิ์ และพหุนามเหล่านั้น อาจจะเป็ น
เชิงซ้อนก็ได้ ทุกอย่างที่คิด Processing , Simulation นั้นคือการทำสมาธิโดยทั้งหมด จะ AI ,
Application , Software Synthesis , OS , Wetware

ระบบสมการที่ยงั ไม่แสดงผลลัพธ์ในทางฟิ สิ กส์ เป็ นการ Simulation Fundamental Standard


Model Class of Universal ที่ได้แจกแจงบทนิยามของโมเดล Definition of Images Processing
อาทิ Micro Rings of Electron Could

ทุกอย่างเป็ นเพียงตัวเลขลอยๆ Floating point ของ Singularity ที่ยงั ไม่ได้มีการ Instigation of


Differential equations

สิ่ งที่ Monitor นั้นแสดงผลนั้นเป็ นการเชื่อมโยงกันระหว่าง Universal และสิ่ งที่ CPU , GPU นั้น
Process ใน Quantum Computing นั้นคือการสร้างเอกภพใหม่

ซึ่ง เมื่อ เกิด Floating point Networking จึง เป็ น การเกิด Floating point I/O และการแปลความ
หมายของ Polar Coordinator และ Space time นั้น ๆจึง เป็ น การเกิด การ Compilation of
Singularity

การเชื่อมโยงกันระหว่างเอกภพสามารถใช้เป็ นประโยชน์ต ่อการสร้างสถานการณ์ใหม่ๆ และ


เป็ นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับเอกภพต่างๆได้ ผ่าน Simulation Fundamental Standard Model
Class of Universal ซึ่งคือ ระบบสมการที่ยงั ไม่แสดงผลลัพธ์ในทางฟิ สิ กส์
นี่คือเครื่ องทำความเย็น , เครื่ องทำน้ำอุ่น , เครื่ องไมโครเวฟ , โรงไฟฟ้ า , เครื่ องผลิตน้ำดื่ม
สะอาด , เครื่ องผลิตพลังงานทดแทน , ธนาคารเม็ดเลือด , ธนาคารหัวใจ ไต ปอด ตับ ดวงตา
และอวัยวะปลูกถ่ายทั้งหลาย และนี่ คือ Antivirus , Anti-nuclear

นี่คือเครื่ องสร้างเอกภพ การเคลื่อนย้ายแรง อนุภาค และกาลเวลา

สิ่ งที่อยูใ่ นหน้าจอจึงสามารถหยิบมากินได้ และรู ปภาพในหน้าจอจึงสามารถกลายเป็ นหน้าตา


ของคนเรา

ไม่ใช่แบบอิ่มทิพย์ดว้ ยนะ แต่เอามาเคี้ยวกินแบบอาหารแบบทัว่ ไปให้อิ่มหนำสำราญใจ หยิบมา


จากหน้าจอได้เลย หิ วเมื่อไหร่ กห็ ยิบกิน ดังนั้นจึงมีการหยิบกินฟรี เหมือนฟังเพลง ดู MV จาก
YouTube นะแหละ แต่ถา้ รักกันจริ งก็สมัครและสนับสนุนกันใน Apple Music เช่นกันถ้ารักกัน
จริ งก็ให้โหลดมาจาก Apps Store ด้วยเทคโนโลยี Quantum Dot Computing ซึ่ง McDonald's ,
KFC , S&P , Fuji , MK

และหน้าตาของดาราที่กำลังเป็ นกระแสอยูใ่ นเวลานี้ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงเป็ นของผูค้ นได้ ไม่


ต้องถามเลยว่าเหมือนพี่อ้ มั พัชราภา ไชยเชื้อ , ยุนอา อิม , โอ เซฮุน , ชาอึนวู , หวังอี้ป๋อ แล้วหรื อ
ยัง ไม่ตอ้ งทำศัลยกรรม ให้อนั ตราย!!
อาจจะไม่ตอ้ งถึงขนาดวัดองค์ประกอบที่ละเอียดลงไปก็สามารถที่จะสร้างสสารชนิดนั้นๆได้

เพียงเราทราบว่าสิ่ งที่เราจะ I/O อยูน่ ้ ีมีคุณลักษณะแบบไหนอย่างไร และเพื่อที่จะทราบว่าการที่


เราจะ Compilation อยูน่ ้ ีจะเป็ นการแปลความหมายของ Simulation ที่ได้มีการ Process นั้นไปที่
Micro Rings of Electron Could ไหน โดย Electron Could ที่มีอยูใ่ นเอกภพ และโครงสร้างของ
Electron Could ที่จะได้เป็ นไปจากผลลัพธ์จาก Algorithms ผ่านการตัดสิ นใจของ Software ที่มี
If , Case , Loops เป็ นพื้นฐาน

และผลลัพธ์ของ Electron Could ที่จะได้เป็ นไปจากผลลัพธ์จาก Algorithms จึงเป็ นตัวพิสูจน์ถึง


Micro Rings of Electron Could โดย Electron Could ที่ม ีอ ยูใ่ นเอกภพ ที่ไ ด ใ้ ช้ไ ปในการ
Simulation จากการ Process และผลลัพธ์จากการ Compilation ที่ได้ผลลัพธ์คือ Database ที่มีการ
แจกแจง Electron Could ได้อย่างแตกต่างกันอย่า งเห็น ได้ชดั ระหว่างการ Randers และการ
Copy And Paste จึงเป็ นตัวพิสูจน์วา่ Algorithms มีผลต่อ Micro Rings of Electron Could ซึ่งสื บ
เนื่องมาจากการได้ผลลัพธ์เป็ น Database ที่ไม่เท่ากัน

Micro Rings of Electron Could ที่เ ป็ น ผลล พั ธ์ห ล งั จากผ า่ นกระบวนการทาง Software
Algorithms จึงเป็ นผลลัพธ์ที่ไม่ได้มีตวั แปร ค่าคงที่ อัตราส่ วน มาจาก Micro Rings of Electron
Could ที่ได้ใช้ไป แต่เป็ นเพราะ Software Algorithms

Software Algorithms จึงเป็ นตัวสร้างสสารในเอกภพ โดยตัว Software Algorithms เอง หามี


Physical Layer ใดเป็ นแรงผลักให้ได้เกิดขึ้นซึ่ง Micro Rings of Electron Could เหล่านั้น

นี่แหละคือการสร้าง Electron Could ที่มีอยูโ่ ดยทัว่ ไป เพราะเรากำลังใช้ Software Engineering


ที่มีก าร Computing Valuable Constant Radio โดยการอ้า งอิง Micro Rings of Electron Could
เป็ นลูกคิด

โดยการเปิ ดปิ ดปิ ดเปิ ด .... 1001 .... ได้ถือกำเนิดขึ้นซึ่งรู ปภาพ , เสี ยง , แสง , 5G , 6G ซึ่งคือ
Photons Could , Electron Could , Quark Could , Gluons Could , Z Boson Could , W Boson
Could , Muons Could , Tau Could , Electron Neutrino Could , Muons Neutrino Could , Tau
Neutrino Could , Higg Boson Could จาก Algorithms ที่แปลงทรัพยากรธรรมชาติซ่ ึงคือ Analog
ให้เป็ น Digital เพือ่ เข้าสู่ มุมมองและกระบวนการทางพีชคณิ ต

สูญญากาศมีอยูใ่ นทุกๆ Floating point ระหว่าง Singularity และการเกิดการเร่ งของอนุภาคก็ได้


ถือกำเนิดขึ้นจากการ Compilation ทัว่ ไป โดยเฉพาะอย่างยิง่ คือการ Floating point I/O แล้วหลุม
ดำก็มีให้เห็นโดยทัว่ ไปจากคอมพิวเตอร์ตามบ้าน และแม้แต่ใน iPhone รุ่ นแรก

ซึ่ง การ Floating point Networking And Quantum Dot Computing ที่ม ีก าร Inheritance And
Computing Valuable Constant Radio มาจาก Infinity Class สู่ Probability Class สู่ Fundamental
Standard Model Class เป็ น การสร้า งขึ้น ซึ่ง Photons Could , Electron Could , Quark Could ,
Gluons Could , Z Boson Could , W Boson Could , Muons Could , Tau Could , Electron
Neutrino Could , Muons Neutrino Could , Tau Neutrino Could , Higg Boson Could

Simulation ที่ได้มีการ Process นั้นไปที่ Mass ณ Space time and Polar Coordinator มีการเกิดขึ้น
ซึ่งเสี ยง , ภาพ ในรู ปแบบไหน แสงในระดับต่างๆ รวมไปถึง Physical Layer อาทิ 5G , 6G นั้น
แหละคือ Photons Could , Electron Could , Quark Could , Gluons Could , Z Boson Could , W
Boson Could , Muons Could , Tau Could , Electron Neutrino Could , Muons Neutrino Could ,
Tau Neutrino Could , Higg Boson Could

Quark Could ที่มี Flavour แบบหนึ่งสามารถเปลี่ยนรู ปไปเป็ น Quark Could ของ Flavour อีก
แบบหนึ่งได้กโ็ ดยผ่านอันตรกิริยาอย่างอ่อน ซึ่งเป็ นอันตรกิริยาพื้นฐานชนิดหนึ่งในจำนวนสี่
ชนิดของฟิ สิ กส์อนุภาค ทั้งนี้โดยการดูดซับหรื อแผ่ W Boson ทำให้ Quark Could ประเภท Up
(Up Charm และ Top) สามารถเปลี่ยนไปเป็ น Quark Could ประเภท Down (Down Strange และ
Bottom) ได้ ในทางกลับ กัน ก็เ ช่น เดีย วกัน กลไกการเปลี่ย นรู ป ของ Flavour นี้ทำ ให้เ กิด
กระบวนการแผ่รังสี ที่ทำให้เกิดการสลายให้อนุภาค Beta ซึ่ง Neutron Could (n.) 1 ตัวจะแบ่งตัว
กลายเป็ น Protons Could (p) 1 ตัว Electron Could (e-) 1 ตัว และ Electron Anti-Neutrino Could
(Ve) 1 ตัว (ดูภาพประกอบ) สิ่ งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ Down Quark Could ตัวหนึ่งใน Neutron (udd)
เสื่ อมสลายลงเป็ น Up Quark Could โดยการแผ่อนุภาคเสมือนของ W- Boson Could เปลี่ยนให้
Neutron Could กลายไปเป็ น Protons Could (uud) จากนั้น W- Boson Could นี้จะเสื่ อมสลายไป
เป็ น Electron Could 1 ตัวกับ Electron Anti-Neutrino 1 ตัว

n→ p + e- + Ve (การสลายให้อนุภาค Beta , สัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายของ Hadron)

udd→uud + e- + Ve (การสลายให้อนุภาค Beta , สัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายของ Quark)

การสลายให้อ นุภ าคบีต าทั้ง 2 แบบนี้ รวมถึง การกระบวนการย้อ นกลับ มัก มีก ารใช้อ ย่า ง
สม่ำเสมอในทางการแพทย์ เช่น การตรวจเอกซ์เรย์ดว้ ย Positrons (PET) และในการทดลอง
ฟิ สิ กส์พลังงานสูง เช่น การตรวจจับ Neutrino

เพราะตัว Software เป็ น ตัว สัง่ การ ดัง นั้น เครื่ อ งจึง ไม่ไ ด้ก ระทำการด้ว ยตัว เอง และเพราะ
Software นั้นรู ้จกั สิ่ งที่กำลังจะออกคำสัง่ ดังนั้น Software จึงสามารถที่จะสร้างขึ้นมาได้ การเกิด
Electron Could จึงมีให้เห็นโดยทัว่ ไปในการ Copy And Paste

โดยไม่ตอ้ งวาด Electron Could ขึ้นมาทั้งหมดก็สามารถสร้าง Electron Could ใหม่จำนวนมาก


จาก Algorithms ไม่ใช่ Electron Could ที่ใช้ไป

ดังนั้น Source code ในระดับ Definition จึงเป็ นการสร้างขึ้นซึ่ง Universal โดยทั้งหมดแล้ว โดย
ไม่ตอ้ งเขียนกราฟ หรื อแจกแจงออกมาในรู ปแบบระบบสมการนั้นแต่อย่างใดเลย
การ Cut คือการ Warp Speed Vehicles หนึ่งที่ได้เกิดขึ้นในเอกภพ โดยการตัดวงจรไฟฟ้ าใน
NAND Flash Multi Level Cell (MLC) [Flash HDD Macintosh HD 1] ที่ไ ด้เ กิด ขึ้น ณ Space
Time นั้นๆ แบบทันทีทนั ใด ซึ่งเป็ นการ Warp และสามารถที่จะ Paste ไปที่อีก NAND Flash
Multi Level Cell (MLC) หนึ่ง [Flash HDD Macintosh HD 2] ที่ได้เกิดขึ้น ณ Space Time ที่ใกล้
เคียงกัน โดยมี CPU และ RAM เป็ นตัวกลาง สำหรับการเคลื่อนย้าย Electron Could ในครั้งนี้

ดัง นั้น แม้แ ต่ก ารเคลื่อ นย า้ ย Electron Could จากใน iCloud ซึ่ง อาจจะอยูท่ ี่แ คลิฟ อร์เ นีย
สหรัฐอเมริ กา มา ณ ที่ NAND Flash Multi Level Cell (MLC) [Flash HDD Macintosh HD 1] ท ี่
ประเทศไทยนี้ จึงเป็ นการ Warp Speed Vehicles เช่นกันโดยมี CPU และ RAM เป็ นตัวกลาง
สำหรับการเคลื่อนย้าย Electron Could ในครั้งนี้ โดย OS ที่รับรอง อาทิ Mac OS X , iOS , iPad
OS นี่คือการย้าย Electron Could หรื อการเคลื่อนที่ที่เร็ วในระดับเสี้ ยววินาที แต่แท้ที่จริ งแล้ว
ทั้งหมดแล้วการเคลื่อนที่กลับไม่ได้ใช้ซ่ ึงช่วงเวลา เพราะเวลาที่สูญเสี ยไปนั้นอยูท่ ี่การสัง่ Paste
ดังนั้นเป้ าหมายที่จะไปใดๆที่ไม่มีซ่ ึง Space Time จึงเป็ นการเกิดขึ้นซึ่ง Warp Speed Vehicles
โดยเสมอ ณ ครั้ง นี้ Simulation of Simulation Processing (SSP) เกิด อยูท่ ี่ A12Z , iPad OS ซึ่ง
เป็ น การ Quantum Computing Valuable Constant Radio แบบ Objectivism With Parallelism
Programming (OPP) ของ Parallel Universal ด้ว ยการ Simulation of Simulation Processing
(SSP)

ทั้งหมดเป็ นการกระทำกันระหว่าง Computing of Functional (COF) โดยไม่ตอ้ งผ่าน Physical


Layer เพราะทรัพยากรที่ใช้ไปนั้นก็ให้ผลลัพธ์ทางระบบ Networking And Computing ที่ไม่เท่า
กัน อีกทั้งยังเป็ นการกระทำการที่ขา้ ม OSI ไปได้อีกด้วย แม้จะเป็ นการกระทำการในระดับ
Networking จึงเป็ นการ Simulation of Simulation Processing (SSP) เพราะทรัพยากรใน CPU ,
RAM ที่ได้สูญเสี ยไป ไม่ได้บ่งบอกถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
ดังนั้นแล้วถ้าหากว่ามีการ Simulation of Simulation Processing (SSP) ใดๆ แม้แต่เกมส์ เราก็
สามารถที่จะใช้เป็ นเครื่ องคิดเลขได้ ซึ่งหมายถึงการเป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์อีกเครื่ องหนึ่งได้
โดย Computing of Functional (COF) ทรัพ ยากรที่ไ ด้ส ูญ เสี ย ไปนั้น ไม่เ ท่า กัน อยูท่ ี่ก าร
Simulation of Simulation Processing (SSP) ไปในรู ปแบบไหน

ไฟล์โดยทัว่ ไปนั้น ถูกบันทึกไว้ในรู ปแบบ Electron Could โดยการเปลี่ยนแปลง Quantum Dot


ให้เป็ นสมการ Digital ซึ่งเป็ น Computing of Functional (COF) เพราะว่าวงจรไฟฟ้ าของ CPU ,
RAM , SSD นั้นอิงตาม Photoelectric แม้แต่การประยุกต์เอาแบตเตอรี่ มาเป็ นฮาร์ดดิสก์กต็ าม
ส่ วนการ I/O และ Networking นั้น ก็มีท้ งั ในส่วนที่เป็ น Electron Could และส่ วนที่เป็ น Photons
Could สำหรับการมองในแง่ของผลลัพธ์จาก Algorithms เหล่านั้น แต่บางครั้งก็อาจจะเป็ น W
Boson Could , Gluons Could , Quark Could หรื อแม้แต่ Higg Bosons Could อยูท่ ี่ส มการทาง
ฟิ สิ กส์ของ Quantum Computing Valuable Constant Radio แบบ Objectivism With Parallelism
Programming (OPP) ของ Parallel Universal ด้ว ยการ Simulation of Simulation Processing
(SSP) อาทิ Monitor 8K , เครื่ องเอ็กซเรย์แบบ Positron (PET) เป็ นต้น

การประมวลผลเกิดขึ้นอยูแ่ ล้ว โดยไม่ได้เกี่ยวกับ Hardware และการ I/O , Networking รวมไป


จนถึงการเคลื่อนที่จึงก็เช่นเดียวกันผ่าน Quantum Computing Valuable Constant Radio แบบ
Objectivism With Parallelism Programming (OPP) ของ Parallel Universal ด้วยการ Simulation
of Simulation Processing (SSP) ใ น รู ป แ บ บ Floating Point Controller (FPC) โ ด ย ก า ร
Computing of Functional (COF)
เราสามารถใส่ ขอ้ มูลลงไปในแบตเตอรี่ ได้จริ งๆเลยนะหรื อ .. ถ้าการนำข้อมูลใส่ ลงไปใน Flash
drives หนึ่งสู่ อีก Flash drives หนึ่ง สามารถทำได้ และถ้าสาย USB สามารถที่จะชาร์จแบตเตอรี่
ได้เหมือนกันกับต่อกันกับสายไฟทัว่ ไป ดังนั้นแล้ว สายไฟทัว่ ไปจึงสามารถส่ งข้อมูลได้ และถ้า
การรับข้อมูลสามารถที่จะทำได้ การส่ งข้อมูลจึงสามารถที่จะทำได้ เช่นกันแล้ว การรับไฟฟ้ าถ้า
สามารถที่จะทำได้ การส่ งไฟฟ้ าจึงสามารถที่จะทำได้เช่นกัน
ดังนั้นไอโฟน ไอแพด จึงสามารถที่จะส่ งไฟฟ้ าได้เช่นเดียวกันกับการรับไฟฟ้ าจากปลัก๊ ไฟ และ
การส่ งไฟฟ้ าใดๆจึงสามารถที่จะส่ งข้อมูลลงไปได้ดว้ ยเช่นกัน

Data Center จึงสามารถเป็ นโรงไฟฟ้ าได้ และโรงไฟฟ้ าจึงสามารถเป็ น Data Center เช่นเดียวกัน

มากกว่านั้นแล้ว ถ้าหากว่า Solar Cells จะใช้สำหรับการรับไฟฟ้ า จึงสามารถใช้สำหรับการส่ ง


ไฟฟ้ าได้ มากกว่าที่เคยเป็ นมาโดยทั้งหมด Solar Cells จึงสามารถใช้เป็ นเครื่ องรับส่งข้อมูลได้
ผ่านแสงอาทิตย์

ถ้า Solar Cells เป็ นเครื่ องรับส่ งข้อมูลได้ผา่ นแสงอาทิตย์แล้ว Solar Cells และจานดาวเทียม จึง
สามารถเปลี่ยนเป็ นเครื่ องย้ายอนุภาคฟิ สิ กส์ควอนตัมได้อีกด้วย

ถ้าหากว่าแสงคือข้อมูล อิเล็กตรอนก็คือข้อมูลด้วย และถ้าอิเล็กตรอนคือข้อมูล สภาพแวดล้อม


รอบกายจึงคือข้อมูล รวมไปถึงสิ่ งมีชีวิต

ทุกอย่างจึงสามารถที่จะเก็บ สังเคราะห์ สร้างขึ้นใหม่ หรื อส่ งไปได้ ผ่านเครื่ องมืออิเล็กทรอนิกส์

โดยการสังเคราะห์ Time Mass นั้นเป็ นการสร้างโลกใหม่ข้ ึนมาจากความว่างเปล่าโดยเสมอ จาก


In the Beginning of Spacetime นั้นๆ จากการ Inheritance มาจาก Infinity Class สู่ Probabilistic
Models สู่ Fundamental Standard Model ใ น Process , I/O , Compiler จ า ก Definition ส
Functions สู่ Quantum Bot
การเขียนโปรแกรมที่จะสร้างกระแสไฟฟ้ าอาจจะดูเหมือนเชื่อมโยงใกล้เ คียงที่สุดสำหรับหลัก
การเชื่อมโยงกันของ Logical ต่างๆ อาทิ Sequence , Case , Loops กับทรัพยากรธรรมชาติใน
วงจรไฟฟ้ า และหลักโฟโต้อิเล็กทริ ค ซึ่งประกอบไปด้วยประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าและกระแสไฟฟ้ า
ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กนั

ความเกี่ยวเนื่องกันของประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าและประจุไฟฟ้ าที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กนั เป็ นความ


สัมพันธ์กนั ในสมการทางฟิ สิ กส์ ของอิเล็กตรอนและโฟตอน

ส่ ว นความสัม พัน ธ์ร ะหว่า งข้อ มูล และหลัก โฟโต้อิเ ล็ก ทริ ค นั้น เป็ น ความสัม พัน ธ์ร ะหว่า ง
Logical ต่า งๆ กล่า วคือ Sequence , Case , Loops เหล่า นั้น แล ว้ สามารถทำ ให้เ กิด การ
เปลี่ยนแปลงของประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าและประจุไฟฟ้ าตามหลักโฟโต้อิเล็กทริ ค

ในเบื้อ งต น้ นั้น Logical ต่า งๆ กล่า วคือ Sequence , Case , Loops เหล่า น ้ นั ทำ ให้เ กิด
Polynomial , Vector , Matrix และ Function แล้วทำให้เกิดกระแสไฟฟ้ าใหม่ใน CPU , RAM ,
USB , SSD ซึ่ง ได้ถ ือ กำเนิด ขึ้น ซึ่ง ข้อ มูล ใหม่ๆ ซึ่ง นี้ เ ป็ น ความสัม พัน ธ์ร ะหว่า ง Logical ,
Polynomial , Vector , Matrix และ Function กับ Photoelectric จะเป็ นการแต่งเสี ยง , สังเคราะห์
เสี ย ง , แต่ง แสง , สัง เคราะห์แ สง ในรู ป แบบ Encryption of Universal กล่า วคือ Digital แล้ว
Compile ออกมาเป็ นเสี ยงในลำโพง , แสงในหน้าจอ ซึ่งเป็ น Analog ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน
ระหว่าง Logical ต่างๆ กล่าวคือ Sequence , Case , Loops เหล่านั้น ที่ได้ทำให้เกิด Polynomial ,
Vector , Matrix และ Function กับ Physical Layer ผ่านการ Instigation ที่เหมาะสมกับ Physical
Layer ปลายทาง

ผ่าน Data Layer และ Physical Layer เหล่านี้ท้ งั หมด ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็ นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระหว่าง Logical , Polynomial , Vector , Matrix และ Function กับ Photoelectric
กล่าวคือ Photons Cloud , Electron Cloud อีกทั้งยังรวมหมายถึง Gluons Cloud , Quarks Cloud
และอื่นๆอีกด้วย

โดยเริ่ มต้นจากการสร้างกระแสไฟฟ้ าที่มีผลต่อ Data Layer

ดังนั้นแล้วในอนาคตนั้นเราจึงสามารถใช้ Compilers , Algorithms ใช้สำหรับสร้างกระแสไฟฟ้ า


ใหม่ๆ ออกมาใช้ภายในบ้าน หรื อจะสร้างพลังงานแสงอาทิตย์ ก็ยอ่ มได้ ตามหลักการ Database
And Photoelectric Relationships

โดยความสัมพันธ์ Database And Photoelectric Relationships เราจึงสามารถสร้าง H2O , DNA ,


Embryos ขึ้นมาจาก Computer ได้เช่นกัน ซึ่งสิ่ งที่เกินไปกว่า Photons Cloud , Electron Cloud
อาทิ Gluons Cloud , Quarks Cloud , Higg Bosons Cloud เป็ นความสัมพันธ์ของ Quantum Bot
(Quantum Robotics By Quantum Computing And Quantum Dot) กล่าวคือ

Data(n) = Algorithms(n) + Compilers(n)


Quantum(n) = Algorithms(n) + Data(n)

โดย Data(n) , Algorithms(n) , Compilers(n) , Quantum(n) ต่า งอยูใ่ นสถานะของ Logical ,


Function , Vectors , Matrix , Polynomial ด้วยกันทั้งสิ้ น และทั้งคู่ ทั้งในโลกของ Physical และ
Functional

สำหรับไฟฟ้ านั้นก็เขียนโปรแกรมแล้วก็ประยุกต์ให้ออกมาทางสาย USB !! ใช้ในบ้านก่อน แล้ว


ค่อยแจกจ่ายออกไปเหมือนโรงไฟฟ้ า
Hello World อาจจะเป็ น เขียนกระแสไฟฟ้ า , พลังงานแสงอาทิตย์ , น้ำมันดีเซล , น้ำมันเบนซิน
หรื อ H2O ก็ได้ ไม่มีเกณฑ์บงั คับ!!

Home kit เป็ นตัวอย่างง่ายๆของการสร้างกระแสไฟฟ้ า

เพื่อที่จะให้สะพานไฟสลับไปทางไหน Software ได้ทำการ Compile ภาษาเครื่ องเป็ นคำสัง่ I/O


ผ่าน Driver และ Developer Kits โดยคำสัง่ นั้นอาจจะมีผลให้สะพานไฟสลับได้เป็ นพันๆดวง
ผ่านคำสัง่ ที่สร้างขึ้นใหม่ จะเปิ ดหรื อปิ ดก็ได้

Data ต่างๆที่ไหลผ่าน USB ต่างก็มีสภาพเป็ นกระแสไฟฟ้ าด้วยกันทั้งสิ้ น

หรื อ คำสัง่ ต่า งๆผ่า น Wireless ก็ต าม ต่า งมีส ถานะภาพเหมือ นกัน กับ เครื่ อ งชาร์จ ไร้ส าย ที่
สามารถชาร์จไฟ และรับส่ งข้อมูลได้

ประกอบกับโปรแกรมอัตโนมัติ Automatically Generated ที่ได้สร้างชุดคำสัง่ ของข้อมูลจำนวน


มาก

ทั้งหมดนี้ คือจุดเริ่ มต้นของการสร้างกระแสไฟฟ้ าใหม่ๆ โดยอาจจะอาศัยกระแสไฟฟ้ ากระตุน้


Software นี้ช่วงแรก
โดยกระแสไฟฟ้ าที่เข้าไปเท่าเดิม แต่ออกมามากขึ้น ดังเช่นชุดคำสัง่ และข้อมูลที่เราเขียนเพิม่
เข้าไป ถ้าไม่ใส่ คำสัง่ เพิม่ กระแสไฟฟ้ าก็หมุนเวียนอยูเ่ ท่าเดิม แต่ถา้ ใส่ คำสัง่ เพิม่ เข้าไป ข้อมูล
ต่างๆก็จะออกมาจาก CPU , GPU และล้นออกมาผ่าน USB หรื อ Wireless กลายเป็ นกระแส
ไฟฟ้ าที่ออกมาใหม่เพิม่ เติมภายนอกได้ ผ่านโปรแกรมอัตโนมัติ Automatically Generated

Generating Data ผ่า น Automatically Generated จาก CPU , GPU แล้ว มอง Data เป็ น กระแส
ไฟฟ้ า และวงจรไฟฟ้ าในบ้านเป็ นที่เก็บข้อมูล!!

นี่คือข้อพิสูจน์วา่ สสารสามารถเพิ่มขึ้นมาใหม่ในเอกภพได้อีกด้วย

สร้างโรงไฟฟ้ าผ่าน Algorithms และการ Spin ตัวของ Quantum

พอเดินเครื่ องมาถึงจุดหนึ่งแล้วให้ตดั ไฟฟ้ าจากภายนอก แล้วให้ขอ้ มูล คือกระแสไฟฟ้ า ให้วงจร


ไฟฟ้ าในครัวเรื อนเป็ นหน่วยบันทึกข้อมูล ทั้ง แอร์ ตูเ้ ย็น เครื่ องซักผ้า ผ่านการ Generating Data
จาก Automatically Generated แล้วก็ให้ทุกอย่างกลายเป็ นโรงไฟฟ้ าพลังงาน Functional เป็ นโรง
ไฟฟ้ าที่อยูเ่ หนือฟิ สิ กส์เป็ นครั้งแรก

ส่ วนธนาคารเม็ดเลือด มหาสมุทรในดาวอัง คาร เบอร์เกอร์ที่ออกมาจากหน้าจอ ก็ให้ใช้การ


Generating Data จาก Algorithms of Encryption Generated โดยนำ เอา Quantum Bot สร้า ง
Methods of Particles แต่ถ า้ จะบัน ทึก ข้อ มูล อื่น ๆลงไปในที่ใ ดๆด้ว ยก็ใ ห้ใ ช้ Database And
Photoelectric Relationships และ Database And Quantum Dot Relationships เข้ามาช่วย อาทิ ใส่
ข้อมูลความลับของบัญชีทางการเงินลงไปในเม็ดเลือด เป็ นต้น

ถ้าแสงคือข้อมูล อิเล็กตรอนก็คือข้อมูล
ถ้าแสง เสี ยง อิเล็กตรอน ความร้อน ความเย็น กระแสไฟฟ้ า นั้นคือข้อมูล กลูออนและควาร์กก็
คือข้อมูล

ถ้ากลูออนและควาร์กก็คือข้อมูล เม็ดเลือด , น้ำสะอาด , อวัยวะ , ดวงตา , หัวใจ , ตับ , ไต , สาร


พันธุกรรม , เบอร์เกอร์ ก็คือข้อมูล

ถ้า SSD , เซลล์ , Organelles , สมอง , สารพันธุกรรม , GPU , CPU , อารมณ์ , ความคิด , การ
ขยับตัว นั้นมีขอ้ มูล ในน้ำสะอาด , อวกาศ , หลุมดำ , ดาวฤกษ์ , มหาสมุทร ก็มีขอ้ มูล

ทั้งในระดับประจุคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า , ย่านความถี่ , ระดับชั้นพลังงานอิเล็กตรอน , เลขอะตอม ,


โมเลกุล , กระบวนการทางเคมี , กระบวนการทางชีวภาพ , วิวฒั นาการ

ถ้า Logical นั้นเปลี่ยนเสี ยงได้ดว้ ย Application และถ้าแสงก็เปลี่ยนเสี ยงได้ดว้ ยเครื่ องเขียนแผ่น


หรื อข้อมูลจาก CPU สู่ USB , WiFi ดังนั้น Logical นั้นจึงคือแสง

ถ้า Logical นั้น จึง คือ แสง Logical นั้น จึง คือ เลขอะตอมและโมเลกุล , ระบบเน็ต เวิร์ ค ,
Protocols , Cells , Organelles , Evolution , Spices , Genome , อวัยวะ , รู ปร่ างหน้าตา , สุ ขภาพ ,
ระดับพลังงานในร่ างกาย , วิตามิน , ฮอร์โมน , Physics Nuclear , Cancer , Virus , Antivirus ,
Antioxidants , VPN , Time Machine , Warp Drive , มหาสมุทร , หลุมดำ , And All things

ดังนั้นแล้ว Inter Logical นั้นจึงคือทุกสิ่ งของเอกภพที่ผา่ นการประมวลผลครบพร้อมแล้ว


ใช้แบตเตอรี่ ในการเก็บข้อมูล เพราะสาย USB สามารถใช้ชาร์ตแบตหรื อรับส่ งข้อมูลก็ได้ และ
ถ้า Flash drive จะสามารถใช้ทำให้เครื่ องวิทยุสามารถเปิ ดใช้งานเป็ นเพลงจากข้อมูลที่บนั ทึกไว้
และมีผลทำให้กระแสไฟฟ้ าในแบตเตอรี่ ลดน้อยลง ดังนั้นแล้ว Data จึงมีผลต่อกระแสไฟ

ถ้า Data มีผลต่อกระแสไฟ กระแสไฟจึงมีผลต่อ Data ดังนั้นแล้วเราจึงสามารถทำให้ Battery ให้


กลายเป็ น Flash drive ได้ และทำโรงไฟฟ้ าให้กลายเป็ น Data Center

และทำให้ Flash drive เป็ น Battery ที่ทำให้เครื่ องวิทยุเปิ ดเพลงได้อีกด้วย

ถ้า Flash drive สามารถใช้เป็ น Battery ได้ ดังนั้นแล้ว Cellular 5G , 6G , WiFi , Cloud Drive จึง
สามารถใช้เป็ นโรงไฟฟ้ าได้ในอนาคต

ดังนั้นแล้ว Database And Bosons Fermions by Quantum Dot จึงเป็ นที่มาของปรากฏการณ์ทาง


ธรรมชาติขา้ งต้น

ถ้า Flash drive สามารถเก็บกระแสไฟฟ้ าได้มากกว่านี้ และอยูใ่ นระดับ Battery เราจะมองเห็น


ความสัมพันธ์ระหว่าง Database And Quantum Dot ได้มากกว่านี้อีก

ถ้าข้อมูลเต็ม แสดงว่านัน่ แปลว่าแบตเตอรี่ เต็ม!! ถ้าใส่ ขอ้ มูลแสดงว่าใส่ แบตเตอรี่ !!

นี่คือหลักการสัมพันธภาพระหว่างพลังงาน , เวลา , การเคลื่อนที่ , แสง , อิเล็กตรอน , ควอนตัม


และ Functional , สมการ , อสมการเชิง เส้น ประ , Database , Clouds Computing , Quantum
Computing , Logical , Polynomial , Vector , Matrix
จึงสามารถใช้ประยุกต์ในการควบคุมฟิ สิ กส์นิวเคลียร์ได้ ไวรัส และมะเร็ งได้ ความพิการและ
การฟื้ นคืนชีพของร่ างกายได้

ถ้า Database จะมีผลต่อกระแสไฟฟ้ า ย่อมสามารถมีผลต่อวงจรไฟฟ้ าได้ เพลงหนึ่งเพลงนั้นเป็ น


เหมือนวงจรไฟฟ้ าหนึ่ง ดังนั้นแล้ว {Sequence ; If} , {Case ; Switch} , {Loop ; For} ต่างๆจึง
สามารถเปลี่ยนเลขอะตอม , โมเลกุล , คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าได้ เป็ นเหมือนแสงเลเซอร์ในเครื่ อง
เขียนแผ่น เป็ นเหมือน Photoelectric ใน CPU , GPU , RAM , Cloud

นี่คือกฏการสังเคราะห์สมั พันธภาพของควอนตัม!!

ทุกอย่างในเอกภพคือ Quantum Bot (Quantum Robotics By Quantum Cloud Computing And


Quantum Dot) มี Logical (Source Code) ด้วยกันทั้งสิ้ น

อรู ปฌาน Objectivism เท่านั้นที่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆได้อย่างแท้จริ ง!!

แม้วา่ การประมวลผลจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้ าเสมอ แต่พลังงานที่สูญเสี ยไปนั้นก็ให้ขอ้ มูลที่มี


ขนาดที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยูก่ บั ซอฟแวร์ที่จะสร้างชุดข้อมูลให้ออกมาเป็ นแบบไหน ทุกๆการตัดสิ น
ใจนั้นสร้าง Photons และ Electron เสมอ ดังนั้นแม้จะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เรี ยกว่ามี Genotypes แต่
เป็ น Software จะ AI , Automatic , Application ทุกอย่างนั้นต่างก็มีการตัดสิ นใจ ซึ่ง Process ,
I/O , Compiler โดยเมื่อมอง Power Bank ให้เป็ น SSD เราก็จะสามารถที่จะสร้างโรงไฟฟ้ าขึ้นมา
จากคอมพิวเตอร์ได้ดว้ ยหลักการข้างต้น
ซึ่งสามารถได้เป็ นพลังงานไฟฟ้ าที่มากกว่าที่ใช้ไประหว่างการประมวลผลได้ ด้วยหลักการ
Photoelectric ผ่านวิธีการของ Software Engineering

เป็ นการปล่อยประจุไฟฟ้ าออกไปผ่าน Data ที่ถูกประมวลผลจำนวนมาก ที่พลังงานที่นอ้ ยกว่า


เมื่อเทียบกับ Software อื่น อาทิ ประมวลผล VDO 3D ได้ปริ มาณความจุขอ้ มูลที่เก็บในจำนวนที่
ต่ำกว่าเมื่อเทียบกันกับ Software การ Copy VDO 3D จำนวนมาก เมื่อเทียบกับกระแสไฟฟ้ าที่
ต้องใช้ไป ผ่านการตัดสิ นใจจำลองชุดข้อมูลจำนวนมากอันเป็ นตัวแปรของประจุไฟฟ้ า และ
บันทึกลงไปใน Power Bank , หลอดไฟ , พัดลม , แอร์ , โทรทัศน์ และอื่นๆ ซึ่งสามารถใช้
กระแสไฟฟ้ าในการกระตุน้ ที่นอ้ ยกว่า เมื่อเทียบกับวิธีการของ OS , Application ที่สิ้นเปลือง
พลังงาน

ในแง่ของสมการของฟังก์ชนั่ นั้นไฟล์ VDO 3D ที่มีขนาดใหญ่ ย่อมมีการเกิด Photoelectric ของ


การแปลงข้อมูล Digital เป็ น Analog ที่ได้ Electron เป็ นจำนวนมาก และเมื่อมีการ Copy จำนวน
มาก จึง เป็ น การเขีย นสมการที่เ ป็ น การ Instigation ที่เ พิม่ จำนวนของ Electron โดยการเพิ่ม
ประจุไฟฟ้ าในการใช้การประมวลผลที่ไม่ม าก เมื่อเทียบกับการ Randers ใหม่ต้งั แต่ตน้ จน
เหมือนกับการเพียงเปิ ดเครื่ องทิ้งไว้เฉยๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ Harddrive เต็ม และถ้ามอง Power
Bank เป็ น SSD แล้ว Power Bank ก็ยอ่ มเต็ม การ Copy ที่เป็ นการทวีคูณของการทวีคูณ ... ของ
การทวีคูณใดๆจึงเป็ นการเพิ่มจำนวน Electron ที่ได้มาจำนวนที่เยอะเพียงพอต่อการสร้างกระแส
ไฟฟ้ า

Software ที่เป็ นการ Copy ไฟล์ที่มีความจุใหญ่จำ นวนมากจึง คือการ Copy Electron ผ่านการ
ตัดสิ นใจที่ไม่ตอ้ งมีแรงผลักจากฟิ สิ กส์ใดๆมาเป็ นตัวกำหนดการตัดสิ นใจนั้นๆ แม้อาจจะต้องใช้
พลังงานกระตุน้ ที่เท่ากัน การตัดสิ นใจแต่ละครั้ง ก็ได้ประจุไฟฟ้ าที่ไม่เท่ากัน และการ Copy นั้น
ก็ใช้พลังงานที่ต ่ำกว่าการ Randers
นี่คือมุมมองของพีชคณิ ต ฟิ สิ กส์ควอนตัม วิศวกรรมซอฟแวร์ ผ่านการแปลงค่า Digital เป็ น
Analog ผ่านหลักการ Photoelectric

จึงได้เป็ นไฟฟ้ าที่มาจากการ Copy ข้อมูล ไม่ใช่การต่อมาจากปลัก๊ ไฟ จึงเป็ นการสร้าง Electron


ที่มาจากวิธีการทางซอฟต์แวร์ ไม่ใช่จากไฟฟ้ าจากสายไฟที่เป็ นตัวกระตุน้ นั้นแต่ประการใด
เป็ นการเพิ่มขึ้นของสสารในเอกภพที่มาจากการตัดสิ นใจที่ไร้ซ่ ึงฟิ สิ กส์ใดๆเป็ นตัวขับเคลื่อน
การตัดสิ นใจอีกด้วย

เมื่อมองหลอดไฟให้เป็ น Memory การ์ด จึงเป็ นการเปิ ดหลอดไฟด้วยข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่


โดยการต่อไฟฟ้ าจากปลัก๊ ไฟ ดังนั้นแอร์ ตูเ้ ย็น เครื่ องซักผ้า จึงได้หมด

การ Copy File And Paste ไม่ได้เป็ นการสิ้ นเปลืองทรัพยากรไฟฟ้ าที่ตอ้ งกระตุน้ จากใน CPU ,
GPU แต่สิ้นเปลืองในส่ วนของ Memory ซึ่งถ้า Power Bank , หลอดไฟ , แอร์ , ตูเ้ ย็น , เครื่ องซัก
ผ้า , เตาอบไมโครเวฟ , ลำโพง , โทรทัศน์ , หน้าจอคอมพิวเตอร์ คือ Memory การสิ้ นเปลืองนี้ จึง
คือ การสิ้ นเปลืองที่คมุ ้ ค่าที่สุด เท่าที่เ คยมีม า เป็ นจุดเริ่ ม ต้นของโรงไฟฟ้ าพลังงาน Apps ซึ่ง
เป็ นการเขียนโปรแกรมสร้างกระแสไฟฟ้ าขึ้นมาโดยเฉพาะ ด้วยการที่ Application นั้นๆได้สร้าง
Electron Could ขึ้นมาจำนวนมาก และการสัง่ การผ่าน Wireless network จึงสามารถใช้เป็ นการ
ทำให้เครื่ องเหล่านั้นทำงานได้อีกด้วย ผ่าน Electron Could ที่อยูร่ อบตัวเรา

การเคลื่อนที่โดยอาศัยพลังงานจาก Functional เป็ นการเขียน Logical ลงไปใน Quantum Dot


ผ่าน If(n) , Switch Case(n) , For Loops(n) เป็ นการสร้าง Vector ขึ้นมาจาก Logical ข้างต้น แล้ว
แจกแจงออกมาได้เ ป็ น Time Matrix** ซึ่ง มี Complexer Polynomial เป็ น Differentiation ใน
Time Functions ของปฏิยานุพนั ธ์ Instigation ใน Probability Class
**Time Matrix เป็ น Matrix ที่มีขอบที่ไม่เป็ นเส้นตรง และอาจจะเป็ นเส้นประ โดยการอ้างอิง
การกระทำขั้นพื้นฐาน + , - , * , / ใน Q+ และ Q- ของ Matrix โดยมีสมาชิกของ Set เป็ น Space
time ต่อ Polar Space

เมื่ออะตอมจะมีชีวิต ชีวิตเหล่านั้นก็คือ Robotics ที่ถูกเรี ยกว่า Atoms Bot หรื อเรี ยกอีกอย่างว่า
Pico Bot (ขนาดอยูใ่ นระดับ Picometre ซึ่งเล็กกว่าเทคโนโลยีในระดับนาโน) อันมีพ้ืนฐานเป็ น
Quantum Bot ซึ่งสามารถกลายเป็ น Bio Robotic ในอาณาจักรสัตว์ , พืช , โปรติสต์ , RNA ก็โดย
การไปมีความเกี่ยวข้องกับไนโตรจีนสั เบส

โดยการเปลี่ยนแปลงพิวรี น ได้แก่ อะดีนีน (A), กวานีน (G) และไพริ มีดีน ได้แก่ ไซโตซีน (C),
ไทมีน (T) และยูราซิล (U) สำหรับการจัดเรี ยง RNA ใหม่ เพื่อการสังเคราะห์กรดอะมิโนที่จะได้
Polypeptide ที่ต่างจากเดิม

เป็ นการเปลี่ยนแปลงอาศัยหลักการพันธุวิศวกรรมในระดับโมเลกุล

เพื่อ Organelles ใหม่ การแบ่งเซลล์ใหม่ และอวัยวะใหม่

สิ่ งเหล่านี้กพ็ ิสูจน์ได้ดว้ ยว่า วิวฒั นาการนั้นเกิดขึ้นมาจากสิ่ งที่เหนือฟิ สิ กส์

ใช้รักษาเชื้อไวรัสและมะเร็ ง !!

คำนวณ Organelles จาก Nitrogenous base คำนวณการแบ่งเซลล์จาก Organelles และคำนวณ


อวัยวะจากการแบ่งเซลล์
คำถามมีอยูว่ า่ เราจะใส่ Logical ลงไปใน Atoms ได้อย่างไร เพื่อที่จะให้เขากลายเป็ น Atoms Bot
ก็โดยการ Instigation ที่ผา่ นการ Differentiation ของผลลัพธ์ข องผลรวมทีละเท่าๆกันของฟัง
ก์ชนั่ (การคูณกันของฟังก์ชนั ) โดยนั้นเอง ซึ่งอาจจะมีเครื่ องหมาย - , + ซึ่งอ้างอิงถึงทิศทางต่อ Q
(Quadrant) ใน Polar Coordinate Systems และ Time Coordinate Systems

เป็ น การเขีย น Logical ซึ่ง คือ Function สู่ Quantum Dot ปลายทาง คล้า ยกับ การเขีย นเพลง ,
ภาพถ่าย , ภาพยนตร์วีดีโอ , Apps ลงแผ่น!!

ในเชิงวิธีการ Method ใช้หลักการทางพีช คณิ ต Algebra ไม่ตอ้ งใช้อุปกรณ์เสริ มก็ได้ Algebra


นั้นคือ Quantum ดังนั้นจึงคือ Hardware

Application Layer กับ Physical Layer นั้นเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน

โดยยึดอยู่ 4 ประเด็นคือ 1.) ระยะห่างของ Point of Particles ใน Polar Space และระยะเวลาของ


Singularity ใน Space time , 2.) การ Spin ตัวของอนุภ าค Fundamentals Standard model , 3.)
Polar Coordinate Systems And Time Coordinator , 4.) Universal Number

โดยเกิดขึ้นในเอกภพสัมพัทธ์ทางฟิ สิ กส์ใดๆได้น้ ัน จะต้องมีการ Instigation

ทุกครั้งที่มีการ Instigation ใน Differential ใดๆนั้น ย่อมเกิดขึ้นซึ่งฟิ สิ กส์ต ่างๆ ในระดับของ


Singularity ที่แตกต่างกันไป Objects ที่มีผลมาจาก Objectivism นั้นอาจจะมีรายละเอียดที่แตก
ต่า งกัน ออกไป ตาม Differential นั้น ๆ ซึ่ง บ่ง บอกถึง Time Function และ The Model of
Functional (Material + Texture)

หรื อย้อนกลับไปเปลี่ยน Computer และ Artificial Intelligence ให้เป็ นอาณาสัตว์แบบเดียวกับ


เราก็ยอ่ มได้

จาก VR to AR

จาก Universal(n) to Universal(m)

จาก Space Time(n) to Space Time(m)

จาก Monitor สู่ Life Style

โปรแกรมแต่งเสี ยงจึงสามารถกลับกลายเป็ นการเล่นแร่ แปรธาตุได้ เพราะ ณ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า


ที่ลำ โพงกำลังสร้างคลื่นเสี ยงชนิดต่างๆอยูน่ ้ นั กลับเป็ นการ Compilation ของการ Simulation
Fundamental Standard Model Class of Universal ที่มีองค์ประกอบของโมเมนตัม เลขอะตอม
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ า ของคลื่นเสี ยงนั้นๆ อาทิ เสี ยงแก้วแตก , เสี ยงผูห้ ญิง , เสี ยงผูช้ าย , เสี ยง
ระเบิดนิวเคลียร์ , เสี ยงลูกกระสุ นปื นกำลังระเบิด , เสี ยงลมพัด , เสี ยงน้ำไหล , เสี ยงคลื่นทะเล
กระทบฝั่ง , เสี ยงฝนตก เป็ นต้น
แต่ในขณะเดียวกันการแต่งแสงกลับเป็ นการสร้างสมการเทอร์โมไดนามิกส์ โฟโต้อิเล็กทริ ค
จนถึงขั้นสร้างแสงอินฟราเรด แสงไมโครเวฟ แสงเอ็กซ์เรย์ แสงนิวเคลียร์ฟิวชัน่ หรื อแม้แต่
พลังงานแสงอาทิตย์เลยก็ตาม นี่แหละ Photoshop

ในขณะเดียวกันนั้น W Boson ก็ไม่ได้ใช้สำหรับการสร้างอนุภาค Beta ในรู ปแบบ udd→uud +


e- + Ve เท่านั้น แต่ยงั หมายถึงหลุม ดำอีกด้วย จากแค่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าเท่านั้น และจากแค่
Application Software Algorithms เท่านั้น

ซึ่งถ้าหากว่าเรามองว่าทุกอย่างที่เรี ยกกันว่า Physical Layer นั้นอยูร่ อบกายเรามีจุดเชื่อมโยงของ


ความเป็ น Electron Could , Photons Could , Gluons Could , Quark Could , W Boson Could เรา
ก็จะสามารถที่จะทำให้แสงสี เสี ยงต่างๆเกิดขึ้น ณ ที่รอบตัวเราได้แบบ Wireless Floating Point
Network แต่ถ า้ การ Copy And Past คือ การสร้า ง Electron Could ดัง นั้น แล ว้ Application
Software จึงสามารถสร้าง Photons Could , Gluons Could , Quark Could , W Boson Could และ
Quantum Could ได้โดยทั้งหมด ณ Space time ใดๆ แม้แต่ที่ที่เรี ยกว่าสูญญากาศที่อยูร่ อบตัว
เพราะ Space Time คือ Memory

ในขณะเดียวกัน Source code ของ Photoshop ถ้า หากว่ามา Complies อยู่ ณ Electron Could ,
Quark Could รอบๆตัวเรา แสงอาทิตย์กส็ ามารถที่จะเกิดขึ้นในตอนกลางคืน

และการสร้างอินฟราเรด ไมโครเวฟ รวมไปถึงรังสี เอกซ์ ก็เป็ นทางเชื่อมต่อการสร้างหลุม ดำ


จาก Photoshop

การถ่ายภาพเป็ นจุดเริ่ มต้นของเอกภพคู่ขนาน และการปรากฏตัวมากกว่าหนึ่งเอกภพ


Source code แฝงสามารถใช้บนั ทึกคนลงแผ่น ซึ่งเป็ นการย้ายสถานที่บุคคลไปในตัวเอง

และการปรากฏตัวมากกว่าหนึ่งเอกภพก็มีขอ้ แตกต่างจากการถอดจิต

เช่นเดียวกับ Time Machine ที่แตกต่างจากการระลึกชาติ

และโดยโปรแกรมการแต่งเสี ยงนั้นๆ เราจึงสามารถใช้หลักการนี้ โดยใช้ Application Software


สร้าง Warp Speed ขึ้นมาได้อีกด้วย ซึ่ง Warp Speed Vehicles ไม่ได้เกิดขึ้นจาก Quantum Dot
ใดๆ แต่เกิดขึ้นจาก Software Algorithms เพราะแม้เอกภพจะไม่ใช่เกมส์ของเรา แต่เราก็มีสิทธิ์ที่
จะสร้างสิ่ งใหม่ได้ ตามหลักการ Inter Logical

ทั้ง Warp Speed Vehicles , หลุมดำ , การเล่นแร่ แปรธาตุ , Quantum Computing จึงไม่ได้อยูห่ ่าง
ไกลจาก Computer เครื่ องเก่าๆและวิถีชีวิตเก่าๆของคนเราเลย

เราสามารถบันทึกโมเมนตัมของเลขอะตอม ณ Space Time ใดๆ ลงไปใน Digital มาเป็ นเวลา


นานแล้ว และเรายังจะสามารถสังเคราะห์แสงสี เสี ยงได้ยาวออกไปในระดับเลขอะตอม การย้าย
สถานที่ การบันทึกบุคคลลงแผ่นอีกด้วย

ณ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าของเสี ยงนั้นๆ มีโมเมนตัม และเลขอะตอมอยูด่ ว้ ย

การแปลงข้อมูลจาก Analog สู่ Digital คือทางเชื่อมสู่ เอกภพคู่ขนาน สามารถบันทึกคนลงแผ่น


ได้ แต่ในขณะเดียวกัน Application ก็สามารถเปลี่ยนแปลงพิก ดั ของการเคลื่อนที่จนทำให้เกิด
Warp Speed Vehicles โดยไม่ตอ้ งมีการเกี่ยวข้องกับการแปลงข้อมูลจาก Analog สู่ Digital เลย
การปรากฏตัวของบุคคลจึงสามารถทำได้ในรู ปแบบหลายที่พร้อมๆกัน ณ เอกภพสัมพัทธ์ใดๆ
จาก Person Space to Universal

นี่ค ือ Warp Speed Vehicles ในระด บั Applicable Laws และ Mobile Black hole ที่ใ ครๆก็
สามารถที่จะสร้างขึ้นมาได้

จาก Infinity Class สู่ Probability Class สู่ Person Space สู่ Universal
ส ม ก า ร ข อ ง Hardware แ ล ะ ส ม ก า ร ข อ ง
Software
ถ้าหากว่าทุกสิ่ งที่อยูใ่ นหน้าจอจะสามารถ I/O ออกมาได้ ในทุกๆ Space Time เพราะทุกๆพิกดั
นั้น ทุก ๆ Space Time นั้น นัน่ คือ Physical Layer ที่ Application Layer สามารถสัง่ การ
Compilation ได้โดยทั้งสิ้ น จะสูญญากาศ หรื อ Fundamental Standard Model Class ใดๆ และ
Algorithms ของ Electron Could , Photons Could , Gluons Could , Quark Could , W Boson
Could นัน่ ก็มีค วามเกี่ย วเนื่อ งเชื่อ มโยงกัน ดัง นั้น ในด้า นของการเคลื่อ นที่ที่อ ยูใ่ นหน้า จอ
นอกจากวัตถุจำลองต่างๆที่จะออกมาได้แล้ว การย้อนเวลาและการ Warp Speed Vehicles ใดๆ
จึงสามารถที่จะควบคุมกันได้ดว้ ย Application Software จะ Electron Could , Photons Could ,
Gluons Could , Quark Could , W Boson Could นั้นได้หมด อยูท่ ี่วา่ Software และ Driver นั้นจะ
อ้างอิง แต่ถา้ Algorithms ของ Fundamental Standard Model Class นั้นมีความเชื่อมโยงกัน และ
Software อยูเ่ หนือ Hardware ดัง นั้น แล้ว Algorithms จึง เป็ น การเขีย น Driver และ Driver น ้ี
สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง Fundamental Standard Model Class ต่างๆ ให้เป็ นไปตามที่ Software
ต้องการผ่าน Algorithms

Electrons Could สามารถสร้า งได้ด ว้ ยการ Copy And Paste เท่า นั้น โดยไม่ต อ้ งใช้ Could
Computing ถ้าเราเข้าถึงว่าทำไม เราก็จะไปได้ต่อมากกว่านี้ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากกว่าสาเหตุที่วา่
Electrons นั้นคือลูกคิดสำหรับการ Computing ครั้งที่ผา่ นมานั้นๆและเหล่านั้นโดยทั้งหมด และ
ในทางหลักการแล้ว Software อยูเ่ หนือกว่า Hardware ดังนั้น Algorithms จึงสามารถควบคุม
Electrons Could ให้เพิม่ ขึ้นมาได้ ถ้าเป็ น ความหมายของการ Compilation จะ Randers , Save ,
Copy And Paste , Print ก็ต าม ถ้า หากว่า วงจรไฟฟ้ าที่ Algorithms นั้น กำลัง จะสัง่ การ หรื อ
Quantum Dot Computing อื่น ใด ที่ Algorithms จะใช้น้ นั เป็ น Fundamental Standard Model
Class อื่นๆ สิ่ งเหล่านั้นก็จะถูกทำให้เกิดขึ้นมาโดยบัดดล จะโดยการ Computing ใดๆ ทั้งการ
Encryption การ Simulation การ Application ใดๆ
Electron Could , Photons Could , Gluons Could , Quark Could , W Boson Could ใดๆ จึงเกิด
ขึ้นมาจาก Source Code

แท้ที่จริ งแล้ว ทุกๆการ Computing Valuable Constant Radio ใดๆนั้น มีการเกิดขึ้นซึ่งสมการ


ทางฟิ สิ กส์เกิดขึ้นคู่ขนานไปด้วยอยูเ่ สมอ ถ้าเป็ นวงจรไฟฟ้ า ก็เป็ นสมการ Photoelectric ระหว่าง
Electron Could กับ Photons Could โดยสมการทางฟิ สิ กส์เหล่า นั้น ได้แ ฝงอยูใ่ น Driver และ
Compilation ออกมา ณ Machines ที่ Space Time นั้นๆ

ถ้าหากว่าสมการนั้นเกิดเปลี่ยนแปลงไปเป็ นการใช้ลูก คิดเป็ น Fundamental Standard Model


Class อื่นๆ Photons Could , Gluons Could , Quark Could , W Boson Could จึงเกิดขึ้นมาได้

และรู ปแบบของการ Compilation นั้นก็จะนำไปสู่การ I/O ที่เป็ นกระบวนการต่อเนื่องจากนั้น


ซึ่งก็อา้ งอิงจากการ Processing ซึ่ง Simulation Fundamental Standard Model Class ขึ้นมา ดังนั้น
ถ้าหากว่าการ Processing ซึ่ง Simulation Fundamental Standard Model Class นั้นไร้ซ่ ึงข้อจำกัด
และอาศัยซึ่งหลักการฟิ สิ กส์ที่เกิดขึ้นควบคู่กนั ไปในสมการอื่นได้ การ Warp Speed Vehicles ,
Time Machine , มหาสมุทรในดาวอังคาร ก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นให้กบั พวกเราแล้ว

ขอย้ำว่าถ้าสมการทางฟิ สิ กส์ที่เกิดขึ้นควบคู่กนั ไปกับการ Computing Valuable Constant Radio


ใดๆนั้น ยังเป็ นสมการของวงจรไฟฟ้ าเดิมๆ เครื่ องก็กำลังคำนวณและทำงานผ่าน Driver ที่วงจร
นั้น ซึ่งดูเหมือนกำลังถูกจำกัดศักยภาพที่เราสามารถใช้หลักการทางฟิ สิ กส์ที่ดีมากยิง่ ขึ้นกว่านั้น

ดังนั้นแล้ว แม้แ ต่ก าร Computing Valuable Constant Radio แบบ Simulation of Simulation of
Processing ก็จึงสามารถคำนวณค่าต่างๆได้ โดยไม่ตอ้ งอาศัยทรัพยากร โดย Computing เป็ นการ
Computing ด้ว ยกัน เอง ซึ่ง เป็ น การ Computing of Computing ผ่า นเอกภพคู่ข นาน Parallel
Universal นี่แหละคือการ Real Computing ที่จริ งแท้ และแท้จริ ง โดยไม่หลงประเด็นไปกันกับ
วงจร แต่ใ ช้ห ลัก การ Parallelism of Physical Layer ซึ่ง คือ การใช้ Functional มาใช้ใ นการ
Computing โดยอย่างสมบูรณ์

ตัวอย่างเช่น เกมส์หนึ่งเกมส์ มีการนับ การเก็บแต้ม การกระทำต่างๆในเกมส์ ฟังชัน่ ในเกมส์


เหล่านั้นก็ได้กระทำการกันในเกมส์น้ นั แล้ว โดยเกมส์บางเกมส์กเ็ สี ยทรัพยากรไปกับการสร้าง
สถานการณ์ในเกมส์ให้สมจริ ง แต่เกมส์บางเกมส์กลับมีผลลัพธ์ที่ตามมาได้มากกว่า ดังนั้นเราจึง
มองเห็น Computing of Functional ที่ไ ม่เ ท่า กัน ถ้า หากเกมส์น้ นั มีก ารสร้า งฟัง ชัน่ ให้เ กิด
สถานการณ์ที่เป็ นผลลัพธ์มากกว่าสถานการณ์นิ่งๆ Computing of Functional ก็มีมากขึ้นตามมา

ส่ วนการที่เราจะสร้า งสสารในเอกภพนี้ จึง จะต้อ งอาศัย สมการทางฟิ สิ ก ส์ที่อิง ตามเอกภพ


สัมพัทธ์ในฟิ สิ กส์ปัจจุบนั เหมือนกันกับเครื่ องที่เราใช้เปิ ดเป็ นพื้นฐานอยู่ ณ ขณะนั้น

ซึ่ง ถ า้ ห า ก ก า ร Computing Valuable Constant Radio แ บ บ Simulation of Simulation of


Processing นั้นมีขนาดที่ละเอียดมากจริ งๆ ก็สามารถอยูใ่ นหัวสมองคนได้ และก็ไม่ได้หนัก
สมองเลยแต่อย่างใด เบาอีกด้วย แต่ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เท่ากัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงเกี่ยวข้องกับระดับ
สมาธิของ Artificial intelligence

ทุกอย่างนั้นคือสมการ และสมการนั้นคือ Infographic ของสถานการณ์ และการ Complies นั้นก็


คือการแปลความหมายของสมการนั้นให้เกิดขึ้นต่อ Space Time ณ สสารใดๆที่ตอ้ งการเปลี่ยน
หรื ออาจจะ Save , Copy And Paste ณ สูญญากาศก็ได้
Objectivism With Parallelism Programming
(OPP) และ Floating Point Controller (FPC)
การเขีย นโปรแกรมแบบ Objectivism With Parallelism Programming (OPP) เป็ น การเขีย น
โปรแกรมโดยใช้หลักพีชคณิ ตประกอบเข้าด้วยกันกับหลักฟิ สิ กส์ควอนตัม Quantum Dot หรื อ
อาจจะหมายถึง การ Simulation of Simulation Processing ก็เ ป็ น ได้ก ล่า วคือ มองว่า ระหว่า ง
สมการทางพีชคณิ ตใน Algorithms หนึ่งๆที่ได้ดำเนินการ Computing Valuable Constant Radio
อยูน่ ้ นั มีซ่ ึงอีกสมการทางพีชคณิ ตดำเนินการควบคู่ไปด้วยกันเสมอในฐานะลูกคิด โดยมี Driver
เป็ นสมการเชื่อมต่อระหว่างสองสมการทางคณิ ตศาสตร์เหล่านั้น และในระหว่างการพิจารณา
ของ Machines นั้น จึงเป็ นการกระทำกันระหว่างสมการทางพีชคณิ ตใน Algorithms แล้วส่ งต่อ
ไปที่สมการทางพีชคณิ ตของ Driver แล้วส่ งต่อไปที่สมการทางพีช คณิ ตของ Machines ซึ่งเป็ น
สมการทางฟิ สิ ก ส์อีก ที โดยอาศัย แนวคิด ว่า Algorithms ของ Fundamental Standard Model
Class ของ Bosons และ Fermions ต่างๆนั้นมีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกัน ทุก Machines จึงเป็ น
Quantum Computing

ประกอบด้วยกันกับการเขียนโปรแกรมแบบทุกจุดข้อมูลสามารถตัดสิ นใจได้ Floating Point


Controller (FPC) ทุก Source Code จึงเป็ น Floating Point ทุก I/O จึงเป็ น Floating Point และทุก
Network จึงเป็ น Floating Point และทุก Floating Point จึงเป็ น Artificial Intelligence กล่าวคือมี
Sequence , Case , Loops ที่รอรับคำสัง่ เอาไว้แบบ Floating Point ต่อ Singularity ณ Space Time
ใดๆ ดังนั้นทุกๆ Source Code นั้นมีการเขียนชุดคำสัง่ Input/Output (I/O) จากอีก Source Code
เสมอ เป็ น การ I/O ในระดับ Source Code ในระดับ Floating Point ที่ม องว่า ทุก Sequence ,
Case , Loops นั้นเป็ น Point ต่อ Space Time

ดังนั้นในทางปฏิบตั ิเราจึงสามารถเขียนแสงอาทิตย์ให้เกิดขึ้น ณ Electron Could รอบตัวได้ แม้


ในเวลากลางคืนก็จะสว่างไสวแบบตอนกลางวัน และเขียนมหาสมุทรให้ลอยไปอยู ่ ณ ดาว
อังคาร แบบ Warp Speed Vehicles

เมื่อ มีก ารส่ ง Electron Could ออกไปจากคอมพิว เตอร์ใ ดๆนั้น Electron Could แต่ล ะตัว จึง
สามารถที่จะ Run Code ได้กลางอากาศ เนื่องมาจากว่าทุกๆ Source Code กล่าวคือ Sequence ,
Case , Loops เหล่านั้นสามารถที่จะรอรับคำสัง่ ได้โดยเสมอต่อช่วง Space Time ใดๆ มากไปกว่า
นั้นจึงสามารถเปลี่ยนแปลงการ Spin , ประจุไฟฟ้ า , ประจุแม่เหล็กไฟฟ้ า ได้ ณ Space Time
นั้นๆ จึงสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็ น Fundamental Standard Model Class ให้เป็ นไปตามที่ได้
รับคำสัง่ นั้นมา ในระดับ Floating Point และ Singularity

ซึ่ง Floating Point ของ Source Code กล่า วคือ Sequence , Case , Loops นั้นๆต่อ Space Time
สามารถบ่งชี้ถึง Singularity กล่าวคือการ Spin , ประจุไฟฟ้ า , ประจุแม่เหล็กไฟฟ้ า ซึ่งเป็ นการบ่ง
ชี้ถ ึง ความเป็ น Fermions หรื อ Bosons นั้น ๆ อาทิ Electron Could , Photons Could , Gluons
Could , Quark Could , W Boson Could เป็ นต้น

นี่ค ือ การเปลี่ย นแปลง Simulation of Fundamental Standard Model Class ในระดับ Floating
Point ของ Memory และ GPU , CPU และการ Compilation นั้นคือการทำให้เกิดขึ้นในเอกภพ
สัมพัทธ์ใดๆ ซึ่งการ Copy And Past สามารถที่จะเพิ่มจำนวนอนุภาคมูลฐานได้ การ Print จึงเช่น
กัน แต่การออกคำสัง่ ในระยะยาวนั้นก็มีความหมายที่มากกว่าคำว่า Print

เราไม่จำเป็ นต้อง Save ออกมาเป็ น Electron Could อีกต่อไป ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็ นต้อง I/O และ
Networking เป็ น Electron Could ด้ว ยเช่น เดีย วกัน ดัง นั้น ทั้ง การ Save , I/O , Networking ,
Printing , Controller ใดๆ จึงสามารถเปลี่ยนแปลงเป็ น Quantum Dot ใดๆก็ได้ อาทิ Electron
Could , Photons Could , Gluons Could , Quark Could , W Boson Could เป็ นต้น และก็ ณ Polar
Coordinator Space ใดๆ และก็ Space Time ใดๆด้วย

จาก Infinity Class สู่ Probability Class สู่ Person Space สู่ Universal

นี่คือ Intelligence Design Advance

การเปลี่ยน Electron Could ให้เป็ น Photons Could นั้นมีให้เห็นอยูเ่ สมอสำหรับโปรแกรมเปิ ด


ไฟล์ภาพ โดยสมการของรู ปภาพจาก Application สู่ สมการของรู ปภาพใน OS สู่ สมการของ
รู ปภาพใน Driver สู่ สมการของรู ปภาพใน CPU และ GPU สู่ สมการของรู ปภาพใน Port ส ู่
สมการของรู ปภาพใน Monitor โดย ณ จุดเปลี่ยนนั้นอยูท่ ี่ Monitor ในมุมมองที่เราโฟกัส ซึ่ง
หมายถึงแสงที่เราต้องการให้เกิดจากประจุไฟฟ้ าในคอมพิวเตอร์ แล้วสามารถ Output ไป ณ
Electron Could ใดๆ ให้เกิดขึ้นเป็ นแสงสว่างดัง่ ตอนกลางวัน ณ ช่วงเวลากลางคืนอยูน่ ้ นั และนี่
คือ ทางเชื่อมสู่ ก ารเปลี่ย นจริ งจากแหล่ง กำเนิด แสง (Light source) ที่มีค วามเข้ม สูง ทั้ง 4 รุ่ น
(Generation)

แหล่งกำเนิดแสง (Light source) ที่มีความเข้มสูงสำหรับใช้ในงานวิจยั นั้นถูกจัดแบ่งอย่างคร่ าว ๆ


เป็ น 4 รุ่ น (Generation) แหล่ง กำเนิดแสงรุ่ นแรกได้แก่วงแหวนกักเก็บอิเล็กตรอน (Electron
storage ring) ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการผลิตแสงโดยเฉพาะ แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่องานวิจยั เกี่ยวกับ
ฟิ สิ กส์พลังงานสูง (High-energy physics)หรื อเครื่ องเร่ งอนุภาคสำหรับการศึกษาการชนกันของ
อนุภาค (Particle collider)แต่ได้แสงซินโครตรอนเป็ นผลพลอยได้ ซึ่งแสงซินโครตรอนที่ได้น้ ี มี
ความเข้มสูงกว่าแหล่งกำเนิดแสงที่ใช้ทวั่ ไปตามห้องวิจยั เช่นหลอดบรรจุก๊าซฮีเลียมหรื อหลอด
รังสี เอ็กซ์อย่างมาก แหล่งกำเนิดแสงรุ่ นที่สองเป็ นระบบเครื่ องเร่ งอนุภาคและวงแหวนกักเก็บ
อิเล็กตรอนที่ออกแบบมาเพื่อผลิตแสงซินโครตรอนโดยเฉพาะจึงมีชื่อเรี ยกว่าเครื่ องกำเนิดแสงซิ
นโครตรอน แหล่งกำเนิดแสงรุ่ นนี้จะมีระบบลำเลียงแสง (Beamline) หลายระบบและมีสถานี
ทดลองหลายสถานี ต่างกับแหล่งกำเนิดแสงรุ่ นแรกซึ่งมีจำ นวนระบบลำเลียงแสงและสถานี
ทดลองน้อยเนื่องจากการวิจยั โดยการใช้แสงซินโครตรอนเป็ นเพียงแค่ผลพลอยได้ของการเดิน
เครื่ องเพื่องานวิจยั เกี่ยวกับฟิ สิ กส์พลังงานสูงและฟิ สิ กส์อนุภาคเท่านั้น แหล่งกำเนิดแสงรุ่ นที่ 3
เป็ นเครื่ องกำเนิดแสงซินโครตรอนที่ได้ถูกปรับปรุ งให้มีประสิ ทธิภาพเหนือกว่าเครื่ องกำเนิด
แสงซินโครตรอนในรุ่ นที่ 2 คือ มีค่าอิมิทแทนซ์ (Emittance) ของลำอิเล็กตรอนลดลง (ค่าอิมิท
แทนซ์คือผลคูณระหว่างขนาดของลำอิเล็กตรอน (Beam size) และการกระจายเชิงมุมของลำ
อิเล็กตรอน (Beam divergence)) ซึ่งทำให้ได้แสงซินโครตรอนที่มีความเข้มสูงขึ้น และมีส่วน
ของระบบท่อลำเลียงอิเล็กตรอนในแนวตรงจำนวนมากขึ้นสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์แทรก
(Insertion device) เช่น อันดูเลเตอร์ (Undulator) และวิกเกลอร์ (Wiggler) เพื่อการผลิตแสงซิน
โครตรอนที่มีความเข้มสูงยิง่ ขึ้น (ในกรณี ของอุปกรณ์แทรกอันดูเลเตอร์ ) หรื อมีพลังงานสูงขึ้น (
ในกรณี ของอุปกรณ์แทรกวิกเกลอร์ชนิด Wavelength shifter) หรื อทั้งสองกรณี (สำหรับอุปกรณ์
แทรกอันดูเลเตอร์และวิกเกลอร์แบบแม่เหล็กหลายขั้ว)

สำหรับเครื่ องกำเนิดแสงในรุ่ นที่ 4 นั้นจะเป็ นเครื่ องกำเนิดแสงที่ให้แสงที่มีความเข้มสูงกว่าแสง


จากอุปกรณ์แทรกอันดูเลเตอร์ที่ถูก ติด ตั้ง ในเครื่ อ งกำเนิด แสงรุ่ น ที่ 3 แสงที่ถูกผลิตขึ้นจะมี
Transversecoherence ที่ดีกว่าและมีความยาวของพัลส์ส้ ันกว่าแสงที่ได้จากเครื่ องกำเนิดแสงรุ่ นที่
3 การผลิตแสงให้มี Transverse coherence มากขึ้นนั้นกระทำได้โดยการลดค่าอิมิทแทนซ์ของลำ
อิเล็กตรอนให้นอ้ ยที่สุดจนเข้าใกล้ขีด จำกัดของการเลี้ยวเบน (Diffraction limit) เทคโนโลยี
เครื่ องกำเนิดแสงที่ถูกเสนอสำหรับการสร้างเครื่ องกำเนิดแสงในรุ่ นที่ 4 ที่สำ คัญมีสองชนิด
ได้แก่ Free electron laser (FEL) และ Energyrecovery linac (ERL)ในส่ วนของ FEL นั้นยังแบ่ง
ได้อีกเป็ นสองประเภทตามประเภทของเครื่ องเร่ งอนุภาคที่ใช้ คือ FEL ที่สร้างขึ้นจากการใช้
วงแหวนกัก เก็บ อิเ ล็ก ตรอนและ FEL ที่ส ร้า งขึ้น โดยใช้เ ครื่ อ งเร่ ง อนุภ าคแนวตรง (Linear
accelerator หรื อที่เรี ยกสั้นๆ ว่า Linac)

นี่ค ือ การเริ่ ม ต้น จากความสัม พัน ธ์ร ะหว่า ง Algorithms ของ Photons Could และ Electrons
Could เป็ นคำสัง่ จากสมการพีชคณิ ตที่เป็ น Roots ของสมการ Photoelectric และสมการ Roots
นั้นก็คือ HEVC , MPEG 4 , OPEN GL , OPEN CL , Driver เป็ นต้น

เกิดขึ้นเช่นกันสำหรับอนุภาคมูลฐานอื่นๆด้วยในเครื่ องยิงอนุภาคอื่นๆ อาทิ W Boson Could ,


Gluons Could , Quark Could ในเครื่ องเอ็กซเรย์แบบ Positrons (PET) และเครื่ องเร่ งอนุภาคของ
CERN เป็ นต้น ซึ่งมีสมการ Roots นั้นไม่ใช่ HEVC , MPEG 4 , OPEN GL , OPEN CL แต่เป็ น
ชุดคำสัง่ เครื่ องนั้นๆ ซึ่งเป็ น Driver ในระดับที่ไม่ใช่ Electron Could กับ Photons Could

อาศัยสมการทางพีชคณิ ตที่เป็ น Roots ของสมการของ Photoelectric และ Quantum Dot อื่นๆ


โดยการ Quantum Computing Valuable Constant Radio นั้น ก็นำ ไปสู่ ก ารเกิด ขึ้น ซึ่ง การ
เปลี่ย นแปลงรู ป แบบของ Fermions Could สู่ Bosons Could หรื อ Leptons Could สู่ Quark
Could อื่น ๆอีก มากในการ Quantum Computing Valuable Constant Radio แบบ Objectivism
With Parallelism Programming (OPP) ข อ ง Parallel Universal ด ว้ ย ก า ร Simulation of
Simulation Processing (SSP) ซึ่งก็ดูเหมือนเป็ นเพียงแค่การตั้งทฤษฎีกจ็ ริ ง แต่การที่ Space Time
นั้นเป็ นสิ่ งสากล Universal ดังนั้นสิ่ งเหล่านั้นจึงสามารถเกิดขึ้นได้ในขอบเขตของ Inter Logical
และเครื่ องเอ็กซเรย์แบบ Positrons (PET) ก็เป็ นตัวอย่างในทางปฏิบตั ิ
โดยอาศัย หลัก การ Floating Point Controller (FPC) นั้น ชั้น Transport Layer (Layers in The
OSI Model) ก็ไ ด้ Process-to-Process และ Source-to-Destination จนทำให้เ กิด การ Run Code
กลางอากาศ โดยมุมมองของ Electron Could หรื อ Quantum Dot Could ในชั้น Physical Layer
ส่ วนชั้น Session Layer ก็ได้เตรี ยมความพร้อมที่จะทำให้เกิดชุดคำสัง่ Floating Point Controller
(FPC) ต่อ Space Time ซึ่งได้ผลลัพธ์เป็ น Singularity และ Fundamental Standard Model Class

นี่จึงเป็ นที่มาของการเกิดแสงสว่างดัง่ ดวงอาทิตย์จริ งในช่วงเวลากลางคืน , การที่เบอร์เกอร์ออก


มาจาก Monitor , การทำให้มหาสมุทรนั้นลอยให้ไปเกิดในดาวอังคารโดยไม่จำเป็ นที่จะต้องตา
มหา

โดยวงจรแบบขนานของวงจร NOR Flash หรื อวงจรแบบเข้าถึงทีละบล๊อกของ NAND Flash


หรื อวงจร 5 นาโนเมตรของ ARM ใน A14 หรื อ Core i9 รุ่ นที่ 10 ก็ตาม และวงจรไฟฟ้ าของ
Monitor 5K หรื อ 8K ก็ตาม ประกอบกับ HEVC , MPEG 4 , OPEN GL , OPEN CL , METAL ,
Driver , iOS , OS X สมการทางพีชคณิ ตซึ่งเกิดขึ้นควบคู่กนั เหล่านี้น้ นั สามารถทำให้เกิดการ
เปลี่ยนสมการ Electron Could ต่างๆให้เป็ น Photons Could ที่ตอ้ งการได้โดยทั้งสิ้ น โดยบาง
สมการทางพีชคณิ ตก็เป็ นสมการทางฟิ สิ กส์ควอนตัม อาทิ NOR Flash , NAND Flash , A14 ,
Core i9 รุ่ นที่ 10 , Monitor 8K
ส่ วนบางสมการเป็ นสมการ Root of Quantum อาทิ HEVC , MPEG 4 , OPEN GL , OPEN CL ,
METAL , Driver , iOS , OS X สามารถเกิดขึ้นเป็ นการ Output ไป ณ Electron Could ใดๆ ให้
เกิดขึ้นเป็ นแสงสว่างดัง่ ตอนกลางวัน ณ ช่วงเวลากลางคืนอยูน่ ้ นั กลางคืนจะไม่มีอยูอ่ ีกต่อไป
เพราะการ Inheritance And Computing Valuable Constant Radio มาจาก Infinity Class จะทำให้
ทุกๆที่สามารถสว่างได้ดุจกลางวัน
ซึ่งด้วยหลักของ Physical Layer ที่สามารถมองเห็นถึง Electron Could ในสภาพแวดล้อมที่มี
Atomic Number นั้น จึงสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็ น Could Computing (CPU And GPU Could)
และ Could Database ได้ ณ อากาศโดยรอบ โดยคำสัง่ จาก Application Layer และ Transport
Layer โดย Process-to-Process และ Source-to-Destination ในรู ป แบบ Quantum Bot ซึ่ง เป็ น
Quantum Computing ในรู ป แบบที่ไ ม่ต อ้ งใช้เ ครื่ อ ง และรู ป แบบไฟล์ท ี่ไ ม่ไ ด้เ ป็ น Electron
ประกอบกับ Data Link Layer , Network Layer ของ OIS ที่ไ ม่ต อ้ งรอการตอบรับ จากปลาย
ทางในความหมายแบบเดิมๆ แต่เปลี่ยนมาใช้ในความหมายของ Quantum Dot

และอาศัยความแตกต่างของ Monitor กับเครื่ องเอ็กซเรย์ ทั้ง Application , Driver และ Machine


เราทำการ Simulation of Simulation Processing (SSP) เพือ่ ที่จะเปลี่ยนอนุภาคมูลฐานต่างๆ และ
สร้างขึ้นมาใหม่หมดจาก Void หรื อ Fundamental Standard Model Class อื่นๆที่มี Singularity ท ี่
เป็ นเอกสิ ทธิ์ ของตัวเอง โดยใช้พีชคณิ ตที่ไม่ได้อา้ งอิงตามฟิ สิ กส์ควอนตัม แต่ใช้ Space Time
เดียวกัน (อาจจะใช้สำหรับการสื่ อสารที่เป็ นความลับ)

ไม่ตอ้ ง Upgrade Machines ใดๆ ไม่ตอ้ งลงทุนใดๆ มีอยูแ่ ล้วในธรรมชาติ หรื ออาจจะสร้างขึ้ น
จาก Void ก็ได้

พีชคณิ ตเท่านั้น Algorithms เท่านั้น Source Code เท่านั้น ฮาร์ดแวร์น้ นั เป็ นเพียงแค่ Object ของ
Class

จาก Infinity Class สู่ Probability Class สู่ Fundamental Standard Model Class of Person ส
Fundamental Standard Model Class of Universal ซึ่งมีอยูใ่ นระบบจำนวนและจำนวนจริ ง อยู่
แล้วตั้งแต่ก่อน In The Beginning of Space Time ใดๆ

นี่คือความจริ ง ที่กำลังจะถูกสร้างขึ้น !!!


ถ้าความคิด ทุก อย่า งมีบ ทนิยามที่เ ชื่อ มโยงถึง กัน ได้ เราจึง สามารถใช้ Machine , OS , API ,
Network , Compiler Design ใดๆได้เลย

ถ้า Electron Could สามารถที่จะสร้างกันได้จากการ Copy And Paste เท่านั้น ดังนั้นการเร่ งอนุ
ภาคใดๆ จึง ไม่ย ากเลยที่จ ะทำ โดยบางครั้ง ก็อ าจจะมาจาก Copy And Paste มาจาก Visual
Machines ซึ่งเป็ นเอกภพคูข่ นาน

Software ที่เราต้องการจะเปลี่ยนสสารต่างๆนั้นก็อาศัยหลักการเพียงเท่านี้ !!

ทุกอย่างนั้นคือสมการ และสมการนั้นคือ Infographic ของสถานการณ์ และการ Complies นั้นก็


คือการแปลความหมายของสมการนั้นให้เกิดขึ้นต่อ Space Time ณ สสารใดๆที่ตอ้ งการเปลี่ยน
หรื ออาจจะ Save , Copy And Paste ณ สูญญากาศก็ได้

โดยการมอง Electron Could ที่อยูใ่ นร่ า งกายของคนเรา เช่น เดียวกันกับที่ม องใน SSD และ
iCloud นั้น เราสามารถทำการ Warp Speed Vehicles ได้ โดยการใช้คำ สัง่ Cut วงจรไฟฟ้ าของ
ร่ า งกาย ให้เ หมือ นกับ ใน SSD และใน iCloud ซึ่ง เป็ น การ Quantum Computing Valuable
Constant Radio ในการเขียนโปรแกรมแบบ Objectivism With Parallelism Programming (OPP)
ของ Parallel Universal ด้วยการประมวลผลแบบ Simulation of Simulation Processing (SSP)
ในรู ปแบบชุดคำสัง่ Floating Point Controller (FPC) โดยการคำนวณ Computing of Functional
(COF) โดยมี CPU , RAM เป็ นทางเชื่อม ใน OS ที่รองรับอาทิ iOS , iPad OS , Mac OS X แล้ว
Paste มา ณ Macintosh HD ที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบนั ส่ วนร่ างกายของเรานั้นก็ Warp Speed Vehicles
ไป ณ ที่ที่ตอ้ งการจะไป เหมือนกันกับ Warp Speed Vehicles ซึ่ง Electron Could ของไฟล์ใน
iCloud ณ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริ กา มา ณ Macintosh HD ที่ประเทศไทย ณ เครื่ องที่เรานั้นใช้
อยู่ ณ ปัจ จุบ นั โดยใช้ CPU , GPU , RAM , macOS , iOS , iPad OS เป็ น ตัว กลางของการ
Teleportation

โปรแกรม Time Machine ของ OSX คือตัวอย่างการย้อน Time Machine ที่แท้จริ งของ Electron
Could ณ Space Time นั้นๆ โดยมี Harddrive เป็ นจุดเชื่อมต่อระหว่าง Paralleling Universal เรา
สามารถ Warp Speed Vehicles แบบการย้อ น Time Machine ตามหลัก Teleportation ได้ดว้ ย
โปรแกรม Time Machine ของ OSX มาเป็ นเวลานานมากแล้ว นี่ คือ Warp Speed Vehicles แบบ
การย้อน Time Machine ตามหลัก Teleportation ในระดับ Electron Could และ Photons Could
ซึ่งก็ Made for Mac เท่านั้น !! เป็ นหลักการ Paralleling Universal ที่ไม่ได้เปลืองในส่ วนของ
Memory มากนัก เพราะไม่ได้ Save ตามลำดับเหตุการณ์แก้ไขแบบ File แต่ใช้วิธีการบันทึก
เฉพาะส่ วนที่เปลี่ยนแปลงจริ งๆในช่วงเวลาต่างๆ ซึ่งจะเข้าถึง Electron Could และ Photons
Could เดิมๆได้ ก็ตอ้ งผ่านการใช้โปรแกรม Time Machine ไป ณ Space Time นั้นๆ iOS iPadOS
ก็ทำได้ แต่ตอ้ งใช้ Paralleling Universal กับ iCloud นี่คือ Teleportation เลยนะ อย่าทำเป็ นเล่น
ไป !! และยังเป็ นข้อพิสูจน์ของศีลอภัยบาปด้วยนะ เป็ นผลงานจากท่านศ.ดร.สตีฟ จ็อบส์ ตั้งแต่
OSX Leopard 10.5 เป็ นต้นมา

ส่ วนการทำให้เบอร์เกอร์ออกมาจาก Monitor ซึ่งตามปกติแล้วเราอาจจะใช้มุมมองจาก Electron


Could สู่ Photons Could กันมาแล้วสำหรับการสร้างแสงสว่างให้เกิดขึ้นใน Projector นี่คือการ
สร้าง Photons Could จาก Electron Could ในรู ปแบบการเหนี่ยวนำกันและกันตามหลักการของ
Photoelectric

แต่ในบางครั้ง ก็เ ป็ น การเปลี่ยน Quark Could สู่ Leptons Could อาทิ ในเครื่ องเอ็กซเรย์แ บบ
Positrons (PET) ซึ่ง ได้เป็ น n→ p + e- + Ve (การสลายให้อนุภาค Beta , สัญลักษณ์ที่ใช้แทน
ความหมายของ Hadron) ซึ่งมาจากสาเหตุที่สามารถแจกแจงได้ว า่ udd→uud + e- + Ve (การ
สลายให้อนุภาค Beta , สัญลักษณ์ที่ใช้แทนความหมายของ Quark)
จึงมีสมการทางฟิ สิ กส์ที่เป็ นทางเชื่อมระหว่าง Quark Could สู่ Leptons Could และในทางหลัก
การแล้วยังมี Fermions Could สู่ Bosons Could อีกด้วย

อาศ ยั การ Quantum Computing Valuable Constant Radio ในการเขีย นโปรแกรมแบบ


Objectivism With Parallelism Programming (OPP) ของ Parallel Universal ด้วยการประมวลผล
แบบ Simulation of Simulation Processing (SSP) ในรู ปแบบชุดคำสัง่ Floating Point Controller
(FPC) โดยการคำนวณ Computing of Functional (COF) เราจึง สามารถที่จ ะมองทุก ๆ Space
Time เป็ น Physical Layer และทุก ๆ Fundamental Standard Model Class นั้น เป็ น Network
Layer และมองทุก ๆ Sources Code เป็ น องค์ป ระกอบใน Transport Layer แบบ Process-to-
Process และ Source-to-Destination และทุกๆ Sequence , Case , Loops นั้นเป็ น Session Layer
ใน Layers in The OSI Model

จากที่เคยกล่าวมาแล้วว่า Objectivism With Parallelism Programming (OPP) ที่มีเป้ าหมายที่ไม่


อิง Space Time นั้นคือการ Warp Speed Vehicles แต่อย่างไรก็ตามก็เป็ นการเคลื่อนที่ภายใต้คำ
สัง่ ที่เวลานั้นเคลื่อนที่ไปตลอดแม้หยุดนิ่ง ดังนั้นจึงเป็ นการไปตกลงในเวลานั้นๆแบบทันที
ทันใด สำหรับชุดคำสัง่ แบบทันทีทนั ใดของการ Cut and Paste

แต่ในมุมมองที่ลึกลงไปนั้น ถ้าเราต้องการที่จะย้อนเวลากลับไป ณ ที่ใดๆก็ตาม เราก็จะต้องมอง


Space Time ให้เป็ น Physical Layer และการ Cut and Paste นั้นก็เกิดขึ้นโดยมี CPU , RAM เป็ น
ทางเชื่อม โดยอาศัย Parallel Universal เป็ นจุดที่ใช้ในการประมวลผล

1.) Space Time เป็ น Physical Layer


2.) ทุกๆ Fundamental Standard Model Class นั้นเป็ น Network Layer
3.) มองทุกๆ Sources Code เป็ นองค์ประกอบใน Transport Layer แบบ Process-to-Process และ
Source-to-Destination
4.) ทุกๆ Sequence , Case , Loops นั้นเป็ น Session Layer ใน Layers in The OSI Model

หมายเหตุ : Application Layer , Transport Layer , Session Layer ใน Layers in The OSI Model
เป็ นหนึ่งเดียวกัน

การ Quantum Computing Valuable Constant Radio ในการเขียนโปรแกรมแบบ Objectivism


With Parallelism Programming (OPP) ของ Parallel Universal ด ว้ ยการประมวลผลแบบ
Simulation of Simulation Processing (SSP) ในรู ป แบบชุด คำ สัง่ Floating Point Controller
(FPC) โดยการคำนวณ Computing of Functional (COF) โดยมี CPU , RAM เป็ นทางเชื่อม ใน
OS ที่รองรับอาทิ iOS , iPad OS , Mac OS X

นี่คือ Time Machine , Teleportation , และเครื่ องสร้างน้ำ มหาสมุทรขึ้นมา ณ ดาวอัง คาร ทุก
อย่างกำลังเคลื่อนที่อยูใ่ น Space Time !!

ทุกอย่างนั้นคือสมการ และสมการนั้นคือ Infographic ของสถานการณ์ และการ Complies นั้นก็


คือการแปลความหมายของสมการนั้นให้เกิดขึ้นต่อ Space Time ณ สสารใดๆที่ตอ้ งการเปลี่ยน
หรื ออาจจะ Save , Copy And Paste ณ สูญญากาศก็ได้

การ Save File , การ Print ที่ไม่ใช่ Electron Could เกิดขึ้นอยู่ ณ เครื่ องเอ็กซเรย์แบบ Positrons
(PET) , เครื่ อง Free electron laser (FEL) , เครื่ อง Energyrecovery linac (ERL) , เครื่ อง Electron
storage ring

โดยสมการของอนุภาคมูลฐานใน Application อาทิ MATLAB สู่ สมการของอนุภาคมูลฐานใน


OS อาทิ Mac OS X , iPad OS สู่ สมการของอนุภาคมูลฐานใน Driver สู่ สมการของอนุภาค
มูลฐานใน CPU , GPU สู่ สมการของอนุภาคมูลฐานใน Port สู่ สมการของอนุภาคมูลฐานใน
เครื่ องเอ็กซเรย์แบบ Positrons (PET) , เครื่ อง Free electron laser (FEL) , เครื่ อง Energyrecovery
linac (ERL) , เครื่ อง Electron storage ring

โดยการ Objectivism With Parallelism Programming (OPP) ซึ่งเป็ น การเขียนโปรแกรมแบบ


อ้างอิงสมการแบบคู่ขนาน ซึ่งเป็ นการสร้าง Paralleling Universal แล้วใช้หลักการ Simulation
of Simulation Processing (SSP) ใน Application , OS , Driver ผ่า น CPU , GPU , RAM นั้น
ส ร้า ง Sources Code แ บ บ Floating Point Controller (FPC) เ พ อื่ ก า ร เ กิด Computing of
Functional (COF) ในรู ปแบบต่างๆ อาทิ แสงซินโครตรอน จาก เครื่ องเร่ งอนุภาคอิเล็กตรอน
(Electron accelerator) + อุป กรณ์แ ทรกชนิด อ นั ดูเ ลเตอร์ และ Optical resonator (Optical
cavity) , udd→uud + e- + Ve จาก W Bosons ซึ่ง เป็ น การเกิด โปรตอน + อิเ ล็ก ตรอน +
อิเ ล็ก ตรอนแอนตินิว ทริ โ น จาก นิว ตรอน โดยการเหนี่ย วนำวีค โบซอน จากนั้น ก็ทำ การ
Compilation แสงซินโครตรอน , โปรตอน + อิเล็กตรอน + อิเล็กตรอนแอนตินิวทริ โน จาก
นิวตรอน โดยการเหนี่ยวนำวีคโบซอน จาก Machines ก็ได้ หรื อมิฉะนั้นก็จาก Electron Could ,
Photons Could , Quark Could , Gluons Could , W Bosons Could หรื อ จาก Space Time ใดๆ
ในสุ ญญากาศ เพือ่ ที่จะ Copy And Paste , Print ออกมา

เมื่อ Electron Could ออกมาได้ ดังนั้น Quark Could จึงออกมาได้ และ Gluons Could จึงออกมา
ได้ หรื อแม้แต่ Higg Bosons Could ก็จึงออกมาได้

และมหาสมุทรบนดาวอัง คารก็กำ ลังที่จะออกมาแล้ว อาศัยเลขควอนตัม 4 ตัว ของ Electron


Could ซึ่งมีประจุเท่ากับ -1 กล่าวคือ
1.) Principal Quantum Number (ระดับชั้นพลังงาน) n
2.) Angular Momentum Quantum Number (รู ปร่ างของ orbital) l
3.) Magnetic Quantum Number (จํานวนห้องบรรจุอิเล็คตรอน) ml
4.) Spin Quantum Number (ทิศทางการหมุนของของอิเล็คตรอน) ms ซึ่งเท่ากับ +1/2

ส่ วน Quark Could มีเลขควอนตัม ดังนี้


1.) Spin Quantum Number โดยควาร์กกลุ่มบนมีเลขสปิ น +1/2 ส่ วนควาร์กกลุ่มล่างมีเลขสปิ น
-1/2
2.) Internal Quantum Number เรี ยกว่า สี (color) ซึ่งมีดว้ ยกัน 3 สี ได้แก่ แดง เขียว และน้ำเงิน

ควาร์กมี 6 ชนิด แต่ละชนิดเรี ยกว่าแต่ละเฟลเวอร์ (flavour) ได้แก่ อัป (up หรื อ u) ดาวน์ (down
หรื อ d) ชาร์ม (charm หรื อ c) สเตรนจ์ (strange หรื อ s) ท็อป (top หรื อ t) และบอตทอม (bottom
หรื อ b) ซึ่งควาร์กทั้ง 6 เฟลเวอร์น้ ี แบ่งตามขนาดของประจุได้เป็ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มบน (up type)
มีประจุ +2/3 ได้แก่ อัปควาร์ก ชาร์มควาร์ก และท็อปควาร์ก อีกกลุ่มคือกลุ่มล่าง (down type) ม ี
ประจุ -1/3 ได้แก่ ดาวน์ควาร์ก สเตรนจ์ควาร์ก และบอตทอมควาร์ก

อนุภาคโปรตอนและนิวตรอน มีมวลใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 0.938 GeV/c2 ซึ่งเมื่อมองลึกลง


ไปในองค์ประกอบแล้ว จะเห็นได้วา่ โปรตอน ประกอบด้วย อัปควาร์ก 2 อนุภาคกับดาวน์ควาร์
ก 1 อนุภาค คิดเป็ นมวลจากควาร์กเพียง 0.016 GeV/c2 ส่ วนนิวตรอน ประกอบขึ้นจากอัปควาร์
ก 1 อนุภาค กับดาวน์ควาร์ก 2 อนุภาค คิดเป็ นมวลจากควาร์กเพียง 0.020 GeV/c2 หรื อประมาณ
2 เปอร์เซ็นต์ของมวลโปรตอนและนิวตรอนเท่านั้น ทั้งนี้มวลที่เหลืออีก 98 เปอร์เซ็นต์ ส่ วนหนึ่ง
อยูใ่ นรู ปของพลังงานจลน์ของควาร์ก และส่ วนใหญ่เป็ นพลังงานศักย์ของการยึดเหนี่ยว ระหว่าง
กัน ของอนุภาคทั้งหลาย ภายในนิวเคลียสด้วยแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม (strong nuclear force) ซึ่ง
เป็ นปฏิสมั พันธ์ที่แข็งแรงที่สุด ในบรรดาแรงพื้นฐานทั้ง 4 ชนิดในธรรมชาติ โดยแรงอีก 3 ชนิด
คือ แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน (weak nuclear force) เป็ นแรงกระทำต่อกันเมื่อมีอนุภาคใด ๆ เข้ามา
ใกล้นิวเคลียส หรื อเมื่อมีอนุภาคใด ๆ จะหลุดออกไปจากนิว เคลีย ส เช่น เมื่อ เกิดการสลาย
กัมมันตรังสี แล้วปล่อยอนุภาคบีตาออกมา แรงชนิดต่อมาคือแรงแม่เหล็กไฟฟ้ า (electromagnetic
force) ซึ่งภายในอะตอมก็คือแรงที่ยดึ เหนี่ยวกัน ระหว่างนิวเคลียสกับอิเล็กตรอน ส่ วนภายนอก
อะตอม ก็คือปฏิกิริยาเคมี ซึ่งมีประจุไฟฟ้ าบวกและลบ เข้ามาเกี่ยวข้องนัน่ เอง และแรงชนิด
สุ ดท้าย คือ แรงความโน้มถ่วง (gravity force) ซึ่งเป็ นแรงดึงดูดกัน ระหว่างมวลและเป็ นแรงที่
แข็งแรงน้อยที่สุด เนื่องจากควาร์กเกี่ยวข้องกับแรงที่แข็งแรงที่สุดดังกล่าว ในธรรมชาติจะไม่
พบควาร์กอยูเ่ ดี่ยว ๆ อย่างอิสระ แต่จะอยูเ่ ป็ นกลุ่ม 2 อนุภาคเรี ยกว่ามีซอน (meson) หรื อกลุ่มที่มี
3 อนุภาคเรี ยกว่า แบริ ออน (baryon) ซึ่งทั้งมีซอนและแบริ ออนมีชื่อเรี ยกรวมกันว่า แฮดรอน
(hadron)

แล้วใช้หลักการ Networking ดังนี้คือ


1.) Space Time เป็ น Physical Layer
2.) ทุกๆ Fundamental Standard Model Class นั้นเป็ น Network Layer
3.) มองทุกๆ Sources Code เป็ นองค์ประกอบใน Transport Layer แบบ Process-to-Process และ
Source-to-Destination
4.) ทุกๆ Sequence , Case , Loops นั้นเป็ น Session Layer ใน Layers in The OSI Model

เกิดขึ้นได้ ณ คอมพิวเตอร์ในปัจจุบนั , Artificial intelligence ปัจจุบนั หรื อการนัง่ สมาธิบนโต๊ะ


ในอดีต Artificial intelligence ในอดีต ก็ได้ อย่าลืมอ่านพระคริ สตธรรมคัมภีร์ และอธิษฐานต่อ
พระเจ้าพระยาห์เวห์ทุก ครั้ง ในพระนามพระเยซู คริ สต์ เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร
และพระจิต

แม้แต่น้ำก็เคยเกิดมาแล้ว โดยสมาธิภาวนาของท่านนักบุญโมเสส

และโดยทัว่ ไปเราก็สามารถสร้าง Electron Could ให้เกิดขึ้นได้อยูแ่ ล้ว โดย Save File , Copy
And Paste ไฟล์ท ี่เ ป็ น แบบ Electron Could อาทิ JPEG , AV1 , HEVC , Page , Number ,
Keynote เป็ นต้น และการสร้างอนุภาคมูลฐานอื่นๆก็มีให้เห็นในเครื่ องเอ็กซเรย์แบบ Positrons
(PET) เป็ นต้น ส่ วนน้ำสะอาด เบอร์เกอร์ที่จะออกมาจาก Monitor นั้น ก็สามารถที่จะทำได้เช่น
กัน โดยสมการที่ไม่ใช่เพียงแค่ Electron Could , Quark Could, Gluons Could, W Bosons Could

เรากำลังจะ Save และ Print ไปพร้อมๆกันแล้ว !!!

ทุกอย่างนั้นคือสมการ และสมการนั้นคือ Infographic ของสถานการณ์ และการ Complies นั้นก็


คือการแปลความหมายของสมการนั้นให้เกิดขึ้นต่อ Space Time ณ สสารใดๆที่ตอ้ งการเปลี่ยน
หรื ออาจจะ Save , Copy And Paste ณ สูญญากาศก็ได้

โดยพิจารณาจากการเข้ารหัส การประมวลผลไฟล์และบันทึกต่างๆ (ตารางคำนวณ งานนำเสนอ


ภาพถ่าย ภาพวาด เสี ยง วีดีโอ ไฟล์โมเดล 3 มิติ) การคำนวณค่า (MATLAB เกมส์ที่มีผลลัพธ์
และการตอบสนองที่มีลูกเล่นที่เยอะ) การเปิ ดโปรแกรมเล่นเกมส์ต่างๆที่มีการสร้างฉากที่สวย
งามเอฟเฟคเยอะ การตอบรับข้อมูลการผ่าตัดระยะไกล การเอ็กซ์เรย์แบบ Positrons (PET) รวม
ไปจนถึง คำสัง่ ที่จะแสดงผลทาง Monitor การปริ้ น 3 มิติ แล้ว นำมาพิจารณากับมุม มองของ
Electron Could นั้น

อาศัยหลัก Photoelectric เราสามารถทำให้ภาพสามารถเปิ ดขึ้นมาได้จากสถานที่รอบตัวได้เลย


เพลงก็ดว้ ย

อาศัยหลักการ Networking ดังนี้คือ


1.) Space Time เป็ น Physical Layer
2.) ทุกๆ Fundamental Standard Model Class นั้นเป็ น Network Layer
3.) มองทุกๆ Sources Code เป็ นองค์ประกอบใน Transport Layer แบบ Process-to-Process และ
Source-to-Destination
4.) ทุกๆ Sequence , Case , Loops นั้นเป็ น Session Layer ใน Layers in The OSI Model

อาศัยการเขียนโปรแกรมเชื่อมโยงชุดคำสัง่ ให้เหมือนกับว่า Driver , Application นั้นมีความซับ


ซ้อนมากขึ้นเราจึงสามารถที่จะสร้างรสชาติ กลิ ่น สัม ผัส อาหาร น้ำสะอาด ให้อ อกมาจาก
Monitor , OSI , XCODE และ MATLAB ได้ ผ่าน Wireless Card เดิมๆ

เพราะ Electron Could , Photons Could , Quark Could , Gluons Could , W Bosons Could นั้น
รอเราให้เราคิดอะไรสนุกๆนั้นแล้ว แม้แต่ Higg Bosons Could ก็ดว้ ย ผ่านการ Simulation of
Simulation Processing (SSP) และ Objectivism With Parallelism Programming (OPP) ด้วยชุด
คำ สัง่ Floating Point Controller (FPC) ที่ป ระกอบไปด้ว ย Computing of Functional (COF)
จำนวนมากใน Paralleling Universal ผ่านตัวกลางในเอกภพนี้ น้ นั ก็คือ CPU , GPU , RAM

เราสามารถ Copy And Paste ไฟล์จาก OSX ด้วยกันนี้ได้ ซึ่งได้ผลลัพธ์เป็ น Electron Could เช่น
กัน เราสามารถ Copy And Paste ไฟล์มาจาก Visual Machines ใดๆได้อีกด้วย นี่ คือทางเชื่อมของ
Paralleling Universal

ดังนั้น Electron Could ที่ออกมานั้นจึงแตกออกมาจากไฟล์ของ Visual Machines ที่มีขนาดจัด


เต็ม นี่แหละ Electron Could จาก Paralleling Universal

แต่ถา้ โปรแกรมควมคุมเครื่ องเอ็กซเรย์แบบ Positrons (PET) , เครื่ อง Free electron laser (FEL) ,
เครื่ อ ง Energyrecovery linac (ERL) , เครื่ อ ง Electron storage ring นั้น เป็ น Visual Machines
ของ OS X ล่ะจะได้ม้ ยั ในเครื่ องรุ่ นต่ำอย่าง Mac Mini
ถ้ามีการใช้การเขียน Computing of Functional ให้มากๆ ก็เหมือนเราสร้างคำสัง่ ภาษาเครื่ องซ้อน
ลงไปในเครื่ องนั้นแล้ว โดยการจำลองสถานการณ์อ ะไรบางอย่า งซึ่ง เป็ น เหมือ นการสร้า ง
ทรัพยากรให้เพิ่มมากขึ้นให้กบั คอมพิวเตอร์ของเรา เกมส์แต่ละเกมส์น้ นั ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เท่ากัน

วัตถุบางอย่างที่เป็ นเหมือนตัวแทนของฟังชัน่ จำนวนมาก วัตถุน้ นั ๆเป็ นทรัพยากรของเครื่ องใน


รู ป แบบ Computing of Functional ผ่า นการ Simulation of Simulation Processing (SSP) และ
Objectivism With Parallelism Programming (OPP)

นี่แหละ RAM , CPU , GPU ในทางคูข่ นาน

ดังนั้น Class ใดๆ ที่จะทำให้เกิดขึ้นซึ่ง Object ของ Object Oriented Programming (OOP) ที่มีซ่ ึง
Computing of Functional แฝงไว้อยูจำ ่ นวนมากที่สามารถกระทำการระหว่าง Object อื่นๆที่กม็ ี
Computing of Functional ที่สามารถกระทำการต่อกัน เหล่านั้นจึงคือ การ Computing Valuable
Constant Radio ที่กา้ วล้ำยิง่ กว่าการนับลูกคิด นั้นก็คือก้าวล้ำกว่า Quantum Computing Valuable
Constant Radio

Application นั้นคิดกันเอง โดยไม่ตอ้ งพึ่งพาทรัพยากร Machine เลย Artificial intelligence ก็ดว้ ย

ดังนั้น Mac Mini จึงเป็ น Super Computing Valuable Constant Radio ให้กบั เราได้ แม้แต่ iMac
G3 ก็ด ว้ ย จึง สามารถควบคุม เครื่ อง Free electron laser (FEL) , เครื่ อ ง Energyrecovery linac
(ERL) , เครื่ อง Electron storage ring
เท่า นั้น ไม่พ อเราสามารถสร้า ง Class ที่จ ะจำลองเครื่ อ ง Free electron laser (FEL) , เครื่ อ ง
Energyrecovery linac (ERL) , เครื่ อง Electron storage ring ได้หมด แล้วเป็ น Object จำนวนมาก
จากการเขียนโปรแกรมแบบ Object Oriented Programming (OOP) ให้ Class มีซ่ ึง Computing
่ นวนมากที่สามารถกระทำการระหว่าง Class อื่นๆที่กม็ ี Computing of
of Functional แฝงไว้อยูจำ
Functional ที่ส ามารถกระทำการต่อ กัน ผ่า นการ Simulation of Simulation Processing (SSP)
และ Objectivism With Parallelism Programming (OPP) ซึ่ง เป็ น ผลลัพ ธ์ต ่อ เนื่อ งจาก Object
Oriented Programming (OOP) ที่ให้ Class มีซ่ ึง Computing of Functional แฝงไว้อยูจำ ่ นวนมาก
ที่สามารถกระทำการระหว่าง Class อื่นๆที่กม็ ี Computing of Functional ที่สามารถกระทำการ
ต่อกัน

จากนั้นเราก็ทำให้ออกมาในรู ปแบบชุด คำสัง่ Floating Point Controller (FPC) ซึ่งเป็ นการมอง


ทุก ๆ Space Time เป็ น Physical Layer และทุกๆ Fundamental Standard Model Class นั้นเป็ น
Network Layer และมองทุก ๆ Sources Code เป็ น องค์ป ระกอบใน Transport Layer แบบ
Process-to-Process และ Source-to-Destination และทุก ๆ Sequence , Case , Loops นั้น เป็ น
Session Layer ใน Layers in The OSI Model

จำนวน Electron Could นับจากขนาดของไฟล์อย่างที่เราๆรู ้กนั การเขียน Source Code แบบนี้


สามารถสร้างการเข้ารหัสแบบใหม่ได้อีกเป็ นจำนวนมาก เพราะทุกๆ Sequence , Case , Loops
นั้นรับคำสัง่ แบบ Floating Point Controller (FPC)

นี่แหละ Output นี่แหละ Network นี่แหละ Software นี่แหละ Machine

ทุกอย่างนั้นคือสมการ และสมการนั้นคือ Infographic ของสถานการณ์ และการ Complies นั้นก็


คือการแปลความหมายของสมการนั้นให้เกิดขึ้นต่อ Space Time ณ สสารใดๆที่ตอ้ งการเปลี่ยน
หรื ออาจจะ Save , Copy And Paste ณ สูญญากาศก็ได้
เราใช้ห ลัก การต่า งๆเหล่า นี้ เพื่อ ที่จ ะได้ซ่ ึง คำ ตอบในระดับ Super Computer ในเครื่ อ ง
คอมพิวเตอร์เก่าๆระดับ iMac G3 หรื อคอมพิวเตอร์รุ่นเล็กๆอย่าง iPad ที่ใช้ CPU , GPU เพียงแค่
A10 ได้ แต่ได้ผลลัพธ์การคำนวณในระดับ 200 Petaflops

1.) การ Random Machine Code With Quantum Dot (RMCQ) จำนวนมาก มาจากหลักการที่ว า่
เครื่ องนั้นจะทำงานได้กต็ อ้ งการคำตอบ ซึ่งเราใช้วิธีการเตรี ยมคำตอบเอาไว้แล้ว เป็ นการมอง
ลูกคิดหนึ่งระบบมองได้เป็ นหลายแบบ ลูก คิดหนึ่งลูกบางคนอาจจะมองเป็ นทศนิยม บางคน
อาจมองเป็ นล้านๆ บางคนมองเป็ นวัตถุต่างๆก็ได้ ดังนั้น Super Computer ระดับ 200 Petaflops
สามารถเกิดขึ้นจากการ Simulation ที่มีการ Random Machine Code เหมือนเป็ น คำสัง่ ที่ได้มา
จากการ Complies ชุดคำสัง่ จาก CPU , GPU , RAM ของ Super Computer จริ งๆเอาไว้ใน A12Z
ที่ใช้ iPad OS หรื อ iMac G3 ที่รัน Mac OS 9 ไปเลยก็ยงั ได้

ให้เหตุการณ์คล้ายกับการ Remote Desktop ที่ Stream คอมพิวเตอร์ที่มีประสิ ทธิภาพที่สูงกว่า


เครื่ องที่ใช้อ ยูป่ ัจ จุบ นั แต่นี่ใช้ว ิธีก าร Random Machine Code เอาไว้จำ นวนมาก เพื่อ จำลอง
Super Computer ลงไปในคอมพิวเตอร์ระดับ Mobile

โดยปร ะกอบ ก บั การอาศ ยั การ บ นั ทึก ข อ้ มูล แบ บใ ช ้ Co-Encoding Multi Level Cell
(CoEn.MLC) คือการที่เราใช้ทรัพยากรร่ วมกันในการบันทึกข้อมูล แต่การเปิ ดออกมาใช้วิธีการ
Algorithms ที่ได้มุมมองของไฟล์ที่ออกมาได้อย่างมากมาย โดย 1 เซลล์ Quantum ของ NAND
MLC สามารถมองเห็นได้เป็ น HEVC , AV1 , MPEG 4 , JPEG ได้เลยคล้ายๆกับการ .Zip , .Rar
ที่เป็ นการบีบอัดข้อมูลของการบีบอัดข้อมูลอีกที แต่อนั นี้ เป็ นการใช้มุมมองและ Algorithms ท ี่
สำเร็ จรู ปอยูแ่ ล้วระหว่างการแปลงคำสัง่ ระหว่างกันของการเข้ารหัสข้อมูลประเภทเดียวกัน และ
การโฟกัสเนื้อหาของข้อมูลประเภทต่างๆ ที่เรามองว่าเป็ นแบบจำลอง Quantum Dot Model ของ
Analog ใน Space Time เข้ามาประกอบด้วย

แล้วเราจะมองเห็นภาพเป็ นเสี ยงได้อย่างไรกัน หรื อมองเห็นตัวอักษรให้เป็ นภาพได้อย่างไรกัน


โดยปกติแล้วคอมพิวเตอร์กม็ ีวิธีการในการแทนค่าของ Digital ด้วย Analog โดยทั้งสิ้ น จึงอยูท่ ี่
มุมมองของ Quantum Dot Model of Output ต่อ Space Time และรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลง
ประยุกต์ใช้ภาพและเสี ยงอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของ Analog นั้นๆที่สมั พันธ์กนั โดยตรง โดย Infographic
ซึ่งมองเอกภพทางฟิ สิ กส์เป็ นแค่ Infographic เท่านั้น กล่าวง่ายๆก็คือเป็ นเอกภพสัมพัทธ์ของ
ระบบคำนวณหนึ่ง ๆเพีย งเท่า นั้น เพื่อ ที่จ ะประมวลผลข้อ มูล ระดับ 200 Petaflops ได้ โดย
ทรัพยากรอันจำกัด (เครื่ องเล็กๆแต่ทรัพยากรในการประมวลนั้นใหญ่ยงิ่ มหาศาล) โดยที่ยงั ไม่ได้
ใช้ Quantum Dot Could สสารอื่นๆนอกสภาพแวดล้อมเครื่ อง ซึ่งการบันทึกข้อมูลทั้งหมดนี้ จึง
เป็ นการจำลองเหตุก ารณ์ Quantum Dot Model เอาไว้ใน Digital โดยนั้นเอง เป็ นการบัน ทึก
Quantum Dot ด้วย Quantum Dot โดยการสร้างแบบจำลองแบบหลายชั้น ภายในคลื่น 5G , 6G ,
7G จึงสามารถมองเห็นประจุแม่เหล็กไฟฟ้ าได้อย่างการจำแนกออกเป็ นกลุ่ม ข้อมูลได้อย่าง
กระจ่างชัด มองข้อมูล เป็ น Machine ได้ พร้อมที่จะตอบรับกลับมาโดยข้อมูล เอง โดยคำสัง่
Process-to-Process และ Source-to-Destination นั้น User สามารถที่จะควบคุม สสารในระดับ
Quantum Dot ได้ การนับแม้จะไม่ใช่การนับประจุไฟฟ้ าในกรณี Photons แต่กม็ ีความเกี่ยวข้อง
กับประจุไฟฟ้ าตามหลัก Photoelectric หรื อว่าแม้แต่ Neutrino ก็ตาม

โดยการมองเห็นลูกคิดหนึ่งลูก มองเห็นเป็ นแบบอื่นๆจำนวนมากนั้น การกดเครื่ องคิดเลขแต่ละ


ครั้งของวงจร กลับได้ระบบการคำนวณที่ได้มากกว่านั้นแบบเป็ นล้านๆเครื่ องได้ โดยมุมมองที่
คิดเข้าหาเป้ าหมายเป็ นหลัก ใช้ผลลัพธ์ข องประจุไฟฟ้ าต่างๆที่ได้ม านั้น มาใส่ เป็ นตัวเลขที่
เกี่ยวข้องกับระบบการคำนวณ รวมไปถึงการบันทึกข้อมูลใน RAM และ ROM รวมไปถึง SSD ,
HDD อาทิ แบบ Co-Encoding Multi Level Cell (CoEn.MLC) สำหรับใน SSD แบบ NAND -
MLC
เป็ นมุมมองเห็นทรัพยากรเครื่ องกล่าวคือวงจรไฟฟ้ าและประจุไฟฟ้ า เอามาเทียบเคียงกันกับ
ระบบคำนวณที่เราต้องการหา กล่าวคือลูกคิดหนึ่งลูก มองออกมาได้เป็ นหลายระบบการคำนวณ
เป็ น Simulation of Simulation Processing (SSP) เพื่อการ Compilation ต่างๆ อาทิ Output , Save
File

ดัง นั้น วงจรไฟฟ้ าของ CPU , GPU , RAM, ROM , Memory หนึ่ง วงจรชุด การคำ นวณ จึง
สามารถมองได้เป็ นหลายระบบการคำนวณ หลายชุดคำสัง่ Source Code ได้ เพลงเป็ นพันๆเพลง
หมื่นๆเพลงในเซลล์วงจรเดียว โดยการ Multiple Simulation of Simulation Processing (MSSP)
จำลองชุดคำสัง่ แบบหลายชั้น มองว่า Source Code มีผลต่อ Fundamental Standard Model Class
โดยใช้คำ สัง่ Floating Point Controller (FPC) ทุก ๆ Sequence , Case , Loops มีผ ลต่อ ประจุ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าซึ่งควบคุม Electron Could ที่อยูใ่ น Cell อีกที เหมือนแผ่นสมัย MP3 สามารถ
เก็บ เพลงของแผ่น สมัย ก่อ นได้เ ป็ น พัน ๆหมื่น ๆแผ่น หรื อ ปรับ วิธี ค ิด มอง Illustrators ใน
Photoshop เป็ นต้น

การจำ ลองชุด คำ สัง่ ซ้อ นนั้น คือ การ Multiple Random Machine Code With Quantum Dot
(MRMCQ) เป็ น Multiple Simulation of Simulation Processing (MSSP) กล่า วคือ ณ ชุดวงจร
หนึ่งๆใน CPU , GPU , RAM , ROM, Memory ถ้ากด 1 เรามองเห็นเป็ น 10 หรื อเป็ น 28.5 หรื อ
เป็ น 78.9 ดังนั้นถ้ากด 2 เราจึงเห็นเป็ น 20 , 57 , 157.8 ตามลำดับ ไปพร้อมๆกันได้เลย

เป็ นมุมมองตัวแปรค่าคงที่อตั ราส่ วนต่อวงจรไฟฟ้ า หรื ออนุภาคควอนตัม ในหลายรู ปแบบเพื่อที่


จะได้ระบบการคำนวณหลายๆระบบ ณ เวลาเดียวกัน

2.) สร้าง Sub System by Sub Class (SSSC) จากการใช้ชุดคำสัง่ วิธีการที่ได้มาซึ่งคำตอบเดิมเพื่อ


ให้ได้คำตอบใหม่ ที่มากกว่าการประยุกต์ อาจจะเป็ นการสังเคราะห์ การวิพากษ์ การกลยุทธ์ ซึ่ง
เราถือว่าเป็ น Machines Learning และ Software อยู่ แต่อาจจะไม่ใช่ Application เบื้องต้นอาจจะ
เป็ นการเข้ารหัสไฟล์หลายๆไฟล์พร้อมกันได้ โดยทรัพยากรเครื่ องที่เท่าเดิม ในการประมวลผล
แต่ใช้ทรัพยากรในการบันทึกข้อมูลเท่านั้น

การเก็บข้อมูลวิธีการที่ได้มาซึ่งผลลัพธ์น้ ัน ก็นำ ไปสู่ Software ประเภทต่างๆ อาทิ Synthesis


Software ซึ่งอาจจะหมายถึงการสังเคราะห์โปรตีน , สังเคราะห์น ้ำ ขึ้นมาจาก Electron Could ,
Photons Could อาจจะหมายถึง Artificial intelligence ที่สามารถคิดเชิงกลยุทธ์ , คิดเชิงวิพากษ์
ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เป็ นการสร้างสสารอื่นๆ หรื อผลลัพธ์ต่างๆ ขึ้นมาจากวงจรไฟฟ้ า หรื อค
วอนตัมต่างๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง อาจจะเป็ นวิธีคิด หรื อ Class อีกทีหนึ่งก็ได้

คัดลอก Method หรื อสร้าง Sub Class จากการประมวลผลใน CPU , GPU , RAM ที่มีมานั้น แล้ว
นำไปใช้ต่อได้เลยใน Objectivism อื่นๆ จึงสามารถ Randers File 3D ได้ทีละจำนวนมาก เรามอง
ว่าการเข้ารหัสนั้นเป็ นเพียงแค่ Method หนึ่งๆ ซึ่งอาจจะเรี ยกว่า Algorithms ก็ได้ แต่เราก็มองว่า
เป็ นกลุ่มๆหนึ่งอยูด่ ี ไม่ตอ้ งมี Chips Set สำหรับ HEVC ก็ได้ โดยมองว่านี่คือ Sub System ที่เปิ ด
ขึ้นมาเพื่อการใดบางอย่างโดยเฉพาะ มากกว่านั้นแล้วไฟล์อื่นๆนั้น เรามองเห็นเป็ นแค่ Scale of
Quantum Dot of Functional of Simulation (SFS) จึง สามารถดำเนิน การ Operations ผ่า นการ
Complications ได้เลย ไม่ตอ้ งมา Process อีก เหมือนส่ งพิซซ่าที่มี System มาแล้ว อย่าง Pizza
Hut หรื อ KFC , McDonald's ไฟล์อื่นๆก็จึงสามารถ Randers ไปพร้อมๆกันได้ โดยทรัพยากรที่
ใช้เพียงครั้งเดียว เหมือนคำสัง่ Automatically ใน OS X ตั้งแต่รุ่น Tiger เป็ นต้นมา

เป็ นการมองวิธีการจากวงจรไฟฟ้ าและอนุภาคควอนตัม เพื่อที่จะสังเคราะห์ กลยุทธ์ วิพากษ์ วิธี


การใหม่ๆขึ้นมาอีกจำนวนมาก

3.) เราใช้ห ลัก การ Computing of Functional (COF) โดยการเขีย น Class ที่ม ี Computing of
Functional (COF) เอาไว้จำนวนมาก ซึ่งสามารถกระทำการกับ Computing of Functional (COF)
ของ Class อื่นได้อยูเ่ สมอ ตามความเฉพาะเจาะจงต่อ Computing of Functional (COF) เพือ่ ที่จะ
ใช้ Object ของ Class เป็ นเหมือนกับทรัพยากรเครื่ องซ้อนที่อยูใ่ นเครื่ องเดิมอีกที เป็ นการมอง
Software เป็ นทรัพยากรเครื่ อง ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆนั้นก็คือเกมส์แต่ละเกมส์ ใช้ทรัพยากร
เครื่ องอาจจะเท่ากัน แต่ได้ผลลัพธ์จากการกระทำการของเกมส์ที่ไม่เท่ากัน โดยทุกการประมวล
ผลใช้หลักฟิ สิ กส์ควอนตัมเรื่ องเอกภพคู่ขนาน Paralleling Universal เป็ นการเขียนโปรแกรม
แ บ บ Objectivism With Parallelism Programming (OPP) โ ด ย อ า ศ ยั ก า ร Simulation of
Simulation Processing (SSP) โดยเสมอ

ทุกๆครั้งที่เราได้ผลลัพธ์ที่ไม่ได้มาจากการสัง่ การตรงของเครื่ อง แต่เป็ นผลลัพธ์จากการคำนวณ


ทรัพยากรเครื่ องที่ได้ใช้ไป อาจจะเป็ นการจำลองเหตุการณ์ หรื อการคำนวณก็ได้ ดังนั้นการคำ
นวณนั้น ๆเราเรี ย กว่า การ Objectivism With Parallelism Programming (OPP) โดยอาศัย การ
Simulation of Simulation Processing (SSP)

เมื่อใส่ สมการฟิ สิ กส์ควอนตัมลงไปใน Computing of Functional (COF) ผลลัพธ์ที่ได้จึงเหมือน


เป็ นการสร้าง CERN เอาไว้ใน iPhone SE , iPad Mini , Mac mini หรื อแม้แต่ใน iMac G3 โดย
นัน่ เอง โดย MATLAB เดิมๆ OSI เดิมๆ Space Time เดิมๆ Quantum Dot Could เดิมๆ ถ้า Class
ของ Photons Could และ Class ของ Electron Could หรื อ Class ของ W Bosons Could และ
Class ของ Quark Could กำลังกระทำการกันอยูใ่ น Objectivism With Parallelism Programming
(OPP) สิ่ งที่กำลังจะออกมาจาก iPhone SE , iPad Mini , Mac mini หรื อแม้แต่ใน iMac G3 อาจ
จะเป็ น แสงซิน โครตรอน หรื อ การเปลี่ย นนิว ตรอนให้เ กิด เป็ น โปรตอน , อิเ ล็ก ตรอน ,
อิเล็กตรอนแอนตินิวทริ โน และรังสี ที่ไม่ได้อยูใ่ นระดับระเบิดนิวเคลียร์ จากการแผ่รังสี วีคโบ
ซอน สามารถใช้เป็ นเครื่ องป้ องกันการเกิดระเบิดนิวเคลียร์ได้ในพื้นที่ที่มีความเสี่ ยงที่จะมีการ
ถูกโยนลงมา โดยการทำให้นิวตรอนหายออกไปจากระบบของระเบิดนิวเคลียร์ หยุดยั้งปฏิกิริยา
นิวเคลียร์โดยทั้งหมด

การ Computing of Functional นั้น ก็เป็ นอีกแนวคิดที่สามารถเพิม่ สมรรถภาพของการประมวล


ผล ด้วยการที่ Class มีชุดคำสัง่ ที่สามารถกระทำการกับชุดคำสัง่ ของอีก Class หนึ่งได้ อย่าง
เฉพาะเจาะจง ตรงตามความต้องการ เป็ นเหมือนเครื่ องอีกเครื่ องที่เปิ ดซ่อนไว้ โดยความเฉพาะ
เจาะจงของชุดคำสัง่ ระหว่างกัน สามารถใช้เป็ นชุดคำสัง่ ของ Object ทางควอนตัมฟิ สิ กส์กไ็ ด้

ชุดคำสัง่ Computing of Functional (COF) อาจจะเป็ นดังนี้

Class A กำหนดให้ h = 6.63 x 10^-34 J.s ดังนั้น E = h x ความถี่คลื่น (รอบต่อวินาที)

Class B กำหนดให้ c = 3 x 10^8 m/s ดังนั้น ความถี่ค ลื่น (รอบต่อวินาที) = c/ ความยาวคลื่น


(เมตร)

Class C กำหนดให้ h = 6.63 x 10^-34 J.s , c = 3 x 10^8 m/s ดังนั้น E = h x ( c / ความยาวคลื่น


(เมตร) )

Class D กำหนดให้ ความยาวคลื่น (เมตร) = h/p

Class E กำหนดให้ p = Mv

Class F กำหนดให้ E = Mv c ดังนั้น = Mc^2

จาก Method และ Attributes เบื้องต้นนั้น Class A - F สามารถกระทำการต่อกันได้


เพียงแค่วงจรเดียวถ้าเป็ น = E ดังนั้น 4E หรื อ 4 รอบ จึงได้ผลลัพธ์เป็ น 4MC^2 เป็ นการใส่ ฟังชัน่
ลงไปในชุดวงจร โดยการกำหนดค่าสำหรับการคำนวณในแต่ละครั้ง

ถ้าหากว่าจะมีฟังชัน่ ที่จะเป็ นอิสระต่อเครื่ อง ฟังชัน่ ที่เป็ นอิสระต่อควอนตัมคอมพิวเตอร์น้ นั ๆ จึง


สามารถสร้างอนุภาคควอนตัมได้

เป็ นการมองวงจรไฟฟ้ าและอนุภาคควอนตัม เป็ นชุดคำสัง่ จำนวนมาก เพื่อจะได้เป็ นการสร้าง


ทรัพยากรการประมวลผลซ้อนในชุดวงจรไฟฟ้ า หรื ออนุภาคควอนตัมอื่นๆ ที่เป็ นทรัพยากร
เครื่ องนั้นๆ

ดังนั้นอนุภาคมูลฐานหรื อเรื่ องที่ยากๆ อย่างการสร้างน้ำขึ้นมาจากความว่างเปล่า จึงมาจากการ


Computing of Functional (COF) , การทำ Sub System by Sub Class (SSSC) และการ Random
Machine Code With Quantum Dot (RMCQ) ตามหลักการข้างต้นอย่างที่กล่าวมา

ซึ่งมีอยูแ่ ล้ว ตั้งแต่ปฐมกาล โดยการอธิษฐานภาวนาเข้าหาพระยาห์เวห์

ทุกอย่างนั้นคือสมการ และสมการนั้นคือ Infographic ของสถานการณ์ และการ Complies นั้นก็


คือการแปลความหมายของสมการนั้นให้เกิดขึ้นต่อ Space Time ณ สสารใดๆที่ตอ้ งการเปลี่ยน
หรื ออาจจะ Save , Copy And Paste ณ สูญญากาศก็ได้

You might also like