Professional Documents
Culture Documents
ข้ อสอบชุดที 1
ข้ อที 1 ข้ อใดมีคําสะกดผิด
1. นวัตกรรมนําไทยให้ ก้าวหน้ า
2. เชิญประชาปราณีตคิดสร้ างสรรค์
3. ให้ โลกทึง หนึง ตําบลหนึง ผลิตภัณฑ์
4. อเนกอนันต์คณ ุ ค่าสินค้ าไทย
ตอบ ข้ อ 2 เพราะ เชิญประชาปราณีตคิดสร้ างสรรค์ คําว่า "ปราณีต" ต้ องเป็ น "ประณีต" ถึงจะถูก
ข้ อที 2 คําในข้ อใดมีจํานวนพยางค์เท่ากัน
1. บัตรพลี ชุกชี กักขฬะ
2. พลขับ ชาติพนั ธุ์ นักษัตร
3. จิตนิยม ซอมซ่อ ปราชัย
4. ชนมายุ บราลี ผลผลิต
ตอบ ข้ อ 4
ข้ อที 3 คําในข้ อใดเป็ นคําซ้ อนเพือความหมายทุกคํา
1. เกียวข้ อง นําพา อัดฉี ด
2. ว่าจ้ าง สืบค้ น โค่นล้ ม
3. ชักจูง แข็งแกร่ง ซ้ อนเร้ น
4. กดขี จัดหา ขุน่ มัว
ตอบ ข้ อ 3
ข้ อที 4 คําว่า "เอง" ในข้ อใดทําหน้ าทีตา่ งจากข้ ออืน
1. ป๋ องหกล้ มตกลงไปในคูเอง
2. วิทย์ออกแบบและก่อสร้ างตึกนี =เอง
3. ฉันจะนําเอกสารนี =ไปให้ เจ้ านายเอง
4. คนทีมาเปิ ดประตูรัว= คือเจ้ าของบ้ านเอง
ตอบ ข้ อ 4 เพราะแต่ละข้ อ คําว่า "เอง" เป็ นคําขยายตัวคนพูดแต่ ในข้ อ 4 คําว่า "เอง" เป็ นคําทีไปขยายคนทีมา
เปิ ดประตูรัว= นัน ก็คือเจ้ าของบ้ านนัน เอง
ข้ อที 5 คําว่า "มา" ในข้ อใดเป็ นคํากริ ยา
1. เขาแก้ ปัญหามาตลอดปี
2. เขาเห็นรถมาตอนบ่าย
3. เขาสืบข่าวมาหลายวัน
4. เขาเอาจดหมายมาเมือวาน
ตอบ ข้ อ 2 เพราะ คําว่า "เห็นรถมา" เป็ นคํากริ ยา
ส่วนข้ ออืน
2
1.แก้ ปัญหามา = อาการนาม
3.สืบข่าวมา = อาการนาม
4.จดหมายมา = นามทัว ไป
ข้ อที 6 คําว่า "กับ" ในข้ อใดทําหน้ าทีตา่ งจากข้ ออืน
1. ศักดิกC ําลังเล่นตะกร้ อกับเพือนๆ
2. สุดามีความสุขกับการปลูกต้ นไม้
3. เดชไปต่างประเทศกับทีมงาน
4. วิภาดูแลนักเรี ยนกับสุนขั
ตอบ ข้ อ 4 เพราะ ประโยคทีวา่ "วิภาดูแลนักเรี ยนกับสุนขั " = วิภาดูแล น.ร กับสุนขั /สุนขั ไม่ได้ ดแู ลด้ วย
ส่วนแต่ละข้ อทีเหลือ นันเป็= นอาการนาม ทีไปขยาย ร่วมกับกรรมทังนั
= น=
เช่น 1.ศักดิกC ําลังเล่นตะกร้ อกับเพือนๆ /เพือนๆเขาเล่นด้ วย
2.สุดามีความสุขกับการปลูกต้ นไม้
3.เดชไปต่างประเทศกับทีมงาน /ทีมงานไปเทียวด้ วย
1. คําศัพท์
การใช้ คาํ ราชาศัพท์
* ใช้ ทรง นําหน้ ากริ ยาธรรมดา เพือทําให้ คํากริ ยาธรรมดากลายมาเป็ นคํากริ ยาราชาศัพท์ สําหรับ
พระราชา และเจ้ านาย เช่น ทรงยินด ◌ี , ทรงขว้ าง , ทรงวาง , ทรงวิง , ทรงยิง ,ทรงกรุณา , ทรงสามารถ ,ทรง
กล่าว , ทรงอธิบาย , ทรงรับ , ทรงกระแอม , ทรงชุบเลี =ยง , ทรงฟั ง.
* ใช้ ทรง เป็ นสกรรมกริ ยา นําหน้ านามธรรมดาคือนําหน้ าคํานามทีไม่เป็ นคําราชาศัพท์สําหรับพระราชา
และเจ้ านายมีความหมายได้ หลายประการตามแต่นามอันเป็ นกรรมจะบ่งถึง เช่น ทรงศีล (รับศีล) , ทรงบาตร
(ตักบาตร) , ทรงธรรม (ฟั งเทศน์) , ทรงม้ า (ขีม้า) , ทรงรถ , ทรงปื น , ทรงสกี , ทรงดนตรี , ทรงเบ็ด , ทรงกีฬา ,
ทรงตะกร้ อ ,ทรงศร
* ห้ ามใช้ ทรง นําหน้ าคํากริ ยาราชาศัพท์ เมือกริ ยาเป็ นราชาศัพท์อยูแ่ ล้ ว ไม่นิยมคําว่าทรง นําหน้ าซ้ อนลง
ไปอีก ได้ แก่คําต่อไปนี = ตรัส , ดํารัส ประทับ (อยู่ , ยืน ,นัง ) เสด็จ (ไป) สรง , สรงนํ =า กริ ว= เสวย โปรด ( รัก ,ชอบ )
ประชวร บรรทม รับสัง สุบนิ ทอดพระเนตร (ยกเว้ นคําเดียวคือ ทรงผนวช เพราะนิยมใช้ กนั มาอย่างนี =)
คําราชาศัพท์ หมวดต่ างๆ
1. หมวดร่ างกาย
หน้ าผาก = พระนลาฎ แก้ ม = พระปราง
ตา = พระเนตร นิ =วหัวแม่มือ = พระอังคุฐ
จมูก = พระนาสิก นิ =วชี = = พระดัชนี
ปาก = พระโอษฐ์ นิ =วกลาง = พระมัชฌิมา
ฟั น = พระทนต์ นิ =วนาง = พระอนามิกา
เขี =ยว = พระทาฐะ นิ =วก้ อย = พระกนิษฐา
3
ลิ =น = พระชิวหา เล็บ = พระนขา
หู = พระกรรณ รักแร้ = พระกัจฉะ
ไหปลาร้ า = พระรากขวัญ ท้ อง = พระอุทร
บ่า = พระอังสะ สะดือ = พระนาภี
มือ = พระหัตถ์ สีข้าง = พระปรัศว์
หลัง = พระปฤษฎางค์ ตะโพก = พระโสณี
ตัก = พระเพลา เข่า = พระชานุ
เท้ าทังคู
= ่ = พระยุคลบาท ไต = พระวักกะ
ตับ = พระยกนะ ปอด = พระปั บผาสะ
3. หมวดขัตติยตระกูล
ปู่ , ตา = พระอัยกา ย่า ยาย = พระอัยกี
ลุง (พีของพ่อ) = พระปิ ตุลา ป้า (พีของพ่อ) = พระปิ ตุจฉา
ลุง (พีของแม่) = พระมาตุลา ป้า (พีของแม่) = พระมาตุจฉา
อาชาย = พระปิ ตลุ า อาหญิง = พระปิ ตุจฉา
พ่อ = พระชนก แม่ = พระชนน
บุตรชาย = พระโอรส บุตรสาว = พระธิดา
หลาน = พระนัดดา เหลน = พระนัดดา
สามี = พระสวามี ภรรยา = พระมเหสี
พ่อตา = พระสัสสุระ แม่ยาย = พระสัสสุ
ลูกเขย = พระชามาดา ลูกสะใภ้ = พระสุณิสา
4
4. หมวดกริ ยา
ไป = เสด็จพระราชดําเนิน กิน = เสวย
นอน = บรรทม สบาย = ทรงพระสําราญ
ป่ วย = ทรงพระประชวร ตัดผม = ทรงเครื องใหญ่
◌่ อา่ นหนังสือ = ทรงพระอักษร ดู = ทอดพระเนตร
รัก = โปรด หัวเราะ = ทรงพระสรวล
กันร่
= มให้ = อยูง่ านพระกลด ให้ = พระราชทาน
5. หมวดคําทีใช้ กบั พระสงฆ์
เชิญ = นิมนต์ ไหว้ = นมัสการ
กิน = ฉัน นอน = จําวัด
สวดมนต์ = ทําวัตร โกนผม = ปลงผม
อาบนํ =า = สรงนํ =า ขอโทษ = ขออภัย
บิดา , มารดา = โยม ผู้หญิง = สีมา
ปวย = อาพาธ ตาย = ถึงแก่มรณภพ
ยา = โอสถ เรื อน , ทีพกั = กุ ฎิ
บวช = บรรพชา นักบวช = บรรพชิต
ความหมายของคําหรื อกลุ่มคํา
ความหมายของคําหรื อกลุม่ คําทีใช้ อยูใ่ นปั จจุบนั นี =โดยทัว ไปมีความหมาย2อย่างคือความหมายโดยตรง
และความหมายโดยนัย
ความหมายโดยตรง คือ คําแปลหรื อคําจํากัดความทีบญ ั ญัตไิ ว้ ในพจนานุกรมเป็ นความหมายตรงตัวเลย
เช่นคําว่า "เผา" ก็หมายถึง เอาไฟจุด เป็ นต้ น
ความหมายโดยนัย คือคําทีมีความหมายทีไม่ตรงับความหมายดังเดิ = ม
เช่น "แดดเผา" แปลว่าทําให้ เร่าร้ อน , "เผาขน" แปลว่า ระยะประชันชิ = ด เป็ นต้ น
***ลักษณะข้ อสอบ***จะออกมาเพือให้ เลือกตอบคําถามทีมีความหมายตรงกับคําขีดเส้ นใต้ ดงั ตัวอย่างต่อไปนี =
1. เด็กเกเรจนพ่อแม่ต้องบอกศาลา
ก. กล่าวโทษ ข. กล่าวตักเตือน
ค. นําไปไว้ ทีศาลา ง. เลิกเอาใจใส่
ตอบ ง.
2. เขาทังสองรั
= กกันอย่างดูดดืม
ก. ซาบซึ =ง ข. ชุม่ ชืน
ค. ละมุนละไม ค. อ่อนหวาน
ตอบ ก.
5
3. เธออย่าทําอะไรบุม่ บ่ามน่ะ
ก. หลงไหล ข. คลัง ไค้ ล
ค. ผลีผลาม ง. ไม่มีเหตุผล
ตอบ ค.
3. ความเข้ าใจภาษา
หลักการวิเคราะห์
1. พิจารณาว่าเรื องนันใช้ = รูปแบบใด เช่น เป็ นนิทาน เป็ นเรื องยาว เป็ นร้ อยกรอง เป็ นบทละคร เรื องสัน= บทความ
2. แยกเนื =อเรื องให้ ได้ วา่ ใคร ทําอะไร ทีไหน อย่างไร เมือไร
3. แยกพิจารณาให้ ละเอียดว่า เนื =อหาประกอบด้ วยอะไรบ้ าง
4. พิจารณาว่าใช้ กลวิธีในการนําเสนอเรื องอย่างไร
5. ลําดับเหตุการณ์ ตามเหตุผลคือ ลําดับจาเหตุไปหาผล หรื อจากผลไปหาเหตุ หรื อตามเหตุการณ์ทีเกิดขึ =น
ก่อนหลัง ความสําคัญมากไปหาความสําคัญน้ อย สิงทีใก้ ลตัวไปหาไกลตัวจากขวาไปซ้ ายหรื อซ้ ายไปขวา จาก
เหนือไปใต้ หรื อใต้ ไปเหนือ จากสถานทีใหญ่ไปหาสถานทีเล็กจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย เป็ นต้ น
6. พิจารณาความคิดทีผ้ เู ขียนต้ องสือให้ ผ้ อู ่านทราบและความหมายทีแฝงอยูใ่ นเนื =อเรื องหรื อข้ อความนัน= เมือ
อ่านพิจารณาข้ อความ บทความ เนื =อเรื อง เสร็ จแล้ วจึงตอบคําถาม ข้ อควรระวังคือ คําตอบทีให้ เลือกนันจะ =
คล้ ายคลึงกันมาก บางครัง= ดูเหมือนว่าคําตอบเป็ นคําตอบทีถกู ต้ องทุกข้ อ จึงต้ องใช้ วิจารณญาณ เลือกคําตอบที
ถูกทีสดุ
10
การอ่ านตีความ
การตีความ คือการอ่านเพือให้ ทราบความหมาย หรื อความคิดทีสําคัญของเรื องการตีความมักเป็ นไป
ตามประสบการณ์ และความรู้สกึ ของแต่ละคน ไม่จําเป็ นว่าทุกคนจะต้ องตีความตรงกันเสมอไป
การตีความควรประเมินค่าและบอกได้ วา่ สิงไหนมีความดีด้านใดและบกพร่ องในส่วนใด ควรพิจารณาถึง
รูปแบบและจุดประเทศในการเขียนแล้ วจึงชี =ข้ อดีข้อบกพร่องโดยพิจารณาให้ เหมาะสมกับประเภทของงานของ
การเขียนนันๆ = คุณภาพของถ้ อยคําสํานวนทีใช้ มีความเหมาะสมหรื อไม่เพียงใด เป็ นต้ น
ลักษณะของคําถามในเรืองการอ่ านตีความ
อาจจะถามเกียวกับคําถามดังต่อไปนี =
1. การตังชื = อเรื อง (สามารถสรุปใจความสําคัญ ข้ อความทีอา่ นได้ )
2. รู้จดุ มุง่ หมายของผู้เขียน
3. รู้ความหมายของข้ อความ
4. รู้ความสําคัญของเรื อง
5. รู้ความหมายของคําศัพท์
6. รู้รายละเอียดเกียวกับเรื องทีอา่ น
7. ระเบียบวิธีคิด (คือการวิเคราะห์และประเมินผลได้ )
8. ความสัมพันธ์ระหว่างย่อหน้ าและระหว่างประโยค
9. วิธีนําเสนอเรื อง (อธิบายตามลําดับขัน= ยกตัวอย่าง ชี =ผลลัพท์ทีสมั พันธ์กนั ให้ คํานิยาม ด้ วยถ้ อยคําทีแปลก
ออกไป)
10. การประเมินข้ อความ เนื =อเรื องทีอา่ น.