Professional Documents
Culture Documents
หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต
หัวข้อและเค้าโครงวิทยานิ พนธ์
เรื่อง
การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพผู้บริหารและ
ครูด้านการจัดการเรียนรู้
ตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง
โดย
นายนิ คม กกขุนทด
2
ผู้ควบคุมวิทยานิ พนธ์
ดร.กำาพล ดำารงค์วงศ์
หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีและสื่อสาร
การศึกษา
พ.ศ.2550
บทที่ 1
บทนำา
ความเป็ นมาและความสำาคัญของปั ญหาการวิจัย
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็ นแนวทางการดำาเนิ นชีวิต
และวิถีปฏิบัติท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำารัส
ชี้แนะแกูพสกนิ กรชาวไทยมานานกวูา 30 ปี ดังจะเห็นได้วูา
ปรากฏความหมายเป็ นเชิงนั ยเป็ นครั้งแรกในพระบรมราโชวาทและ
พระราชดำารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี 2517 ที่
พระองค์ได้ทรงเน้นยำ้าแนวทางการพัฒนา บนหลักแนวคิดพึ่ง
ตนเอง เพื่อให้เกิดความพอมีพอกิน พอใช้ของคนสูวนใหญู โดยใช้
หลักความพอประมาณ การคำานึ งถึงการมีเหตุผล การสร้าง
ภ่มิคุ้มกันที่ดีในตัว และทรงเตือนสติประชาชนคนไทยไมูให้
ประมาท ตระหนั กถึงการพัฒนาอยูางเป็ นขั้นเป็ นตอนที่ถ่กต้อง
ตามหลักวิชา และการมีคุณธรรมเป็ นกรอบในการปฏิบัติและการ
ดำารงชีวิต
3
ในชูวงที่ประเทศไทยประสบกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปี
2540 นั บเป็ นบทเรียนที่สำาคัญที่ทำาให้ประชาชนเข้าใจถึงผลจาก
การพัฒนาที่ไมูคำานึ งถึงระดับความเหมาะสมกับศักยภาพของ
ประเทศ พึ่งพิงความร้่ เงินลงทุน จากภายนอกประเทศเป็ นหลัก
โดยไมูได้สร้างความมัน
่ คงและเข้มแข็งหรือสร้างภ่มิคุ้มกันที่ดี
ภายในประเทศ ให้สามารถพร้อมรับความเสี่ยงจากความผันผวน
ของปั จจัยภายในและนอกจนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้ง
ใหญูสงู ผลกระทบอยูางรุนแรงตูอสังคมไทย
รัฐบาลตระหนั กถึงความสำาคัญในการแก้ไขปั ญหาดังกลูาวให้
เกิดการพัฒนาที่ยังยืนในสังคมไทยอยูางเป็ นระบบ ด้วยการ
กำาหนดนโยบายด้านการศึกษาโดยนำาปรัชญาของเศรษฐกิจพอ
เพียง มาเป็ นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการ
ศึกษาทุกระดับ ใช้คุณธรรมเป็ นพื้ นฐานของกระบวนการเรียนร้่ที่
เชื่อมโยงความรูวมมือระหวูางสถาบันการศึกษา สถาบันครอบครัว
ชุมชน สถาบันทางศาสนา ให้มีสูวนรูวมในการจัดการศึกษา เพื่อให้
ผ้่เรียนเกิดความร้่ ทักษะและเจตคติ สามารถนำาไปประยุกต์ใช้ใน
ชีวิตประจำาวันได้อยูางสมดุล และยัง่ ยืน
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2550 : 1-2)
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็ นปรัชญาชี้ถึงแนวทางการ
ดำารงและปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแตูระดับครอบครัว
ระดับชุมชน ถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้
ดำาเนิ นไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้
ก้าวทันตูอโลกยุกโลกาภิวัฒน์
4
2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อให้ผ้่บริหารและคร่มีความร้่ความเข้าใจและสามารถ
จัดการเรียนร้่ตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียงได้อยูางมี
ประสิทธิภาพ และสามารถปล่กฝั งให้นักเรียนร้่จักการใช้ชีวิตที่พอ
เพียง เห็นคุณคูาของทรัพยากรตูาง ๆ ฝึ กการอยู่รูวมกับผ้่อ่ ืนอยูาง
เอื้ อเฟื้ อเผื่อแพรูและแบูงปั น มีจิตสำานึ กรักษ์ส่ิงแวดล้อมและเห็น
คุณคูาของวัฒนา คูานิ ยม เอกลักษณ์/ความเป็ นไทย
3. ขอบเขตของการวิจัย
ในการวิจัยครั้งนี้ มีขอบเขตการวิจัย ดังนี้ คือ
3.1 ของเขตประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผ้บ
่ ริหารสถาน
ศึกษา คร่ และนั กเรียนในโรงเรียนกรณี ศึกษา ซึ่งเปิ ดสอนในระดับ
ชูวงชั้นที่ 1-2 (ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1-ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6) และ
เป็ นโรงเรียนที่สมัครใจ (จิตอาสา) ในการรูวมการวิจัยเชิงปฏิบัติ
การครั้งนี้ จำานวน 1 โรงเรียน
3.2 ขอบเขตเนื้ อหา การวิจัยครั้งนี้ ได้ครอบคลุมเนื้ อหา
ดังนี้
3.2.1 เนื้ อหาเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนตาม
แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงใน
12
5. ประโยชน์ของการวิจัย
การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพผ้่บริหารและ
คร่ด้านการจัดการเรียนร้่ตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง เกิด
ประโยชน์ ดังนี้
5.1 ได้แนวคิดในการนำากระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการไปใช้
ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางเศรษฐกิจพอ
เพียง และสามารถประยุกต์ใช้แนวคิดดังกลูาวเพื่อพัฒนาในด้าน
อื่น ๆ
5.2 ผ้บ
่ ริหารสถานศึกษาและคณะคร่ มีความร้่ความเข้าใจ
เกี่ยวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็ นการพัฒนา
ศักยภาพของตนเองเพื่อนำาไปสู่การพัฒนางานด้านการเรียนการ
สอนตามแนวทางของเศรษฐกิจพอเพียง และการดำาเนิ นชีวิตตาม
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
5.3 หนูวยงานทางการศึกษาและสถานศึกษาอื่น มีแนวทาง
ในการพัฒนาการจัดการเรียนร้่ตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
5.4 ผ้่มีสวู นเกี่ยวข้องทุกฝู ายได้ตระหนั กถึงความสำาคัญของ
การมีสูวนรูวมในการดำาเนิ นงานในด้านตูาง ๆ
16
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาเรื่อง การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้าง
ศักยภาพผ้่บริหารและคร่ด้านการจัดการเรียนร้่ตามแนวทางของ
เศรษฐกิจพอเพียง ผ้ว่ ิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ดังนี้
1. แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
1.1 ความเป็ นมาของเศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็ นปรัชญาชาที่พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำารัส
ชี้แนะแนวทางการดำาเนิ นชีวิตแกูพสกนิ กรชาวไทยมาโดยตลอด
นานกวูา 30 ปี ตั้งแตูกูอนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อ
ภายหลังได้ทรงเน้นยำ้าแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และ
สามารถดำารงอยู่ได้อยูางมัน
่ คงและยัง่ ยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์
18
สำานั กงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แหูงชาติ (สศช.). (2550 : 146-147) ได้ให้คำาจำากัดความ
“เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งผ้่ทรงคุณวุฒิคณะหนึ่ งที่ติดตามพระราช
ดำารัสและพระราชกระแสอยูางใกล้ชิด และนำามาเรียบเรียงกูอนนำา
ขึ้นกราบบังคมท่ลเกล้าฯ ถวายขอพระราชทานพระบรมราชานุ ญา
ตนำาออกเผยแพรูมีใจความวูา ปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียง ชี้ถึง
แนวการดำารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแตู
ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการบริหารและ
พัฒนาประเทศให้ดำาเนิ นไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนา
เศรษฐกิจก้าวทันตูอโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ความพอเพียง หมายถึง
ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำาเป็ นที่จะต้องมี
ระบบภ่มิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรตูอการมีผลกระทบใด ๆ อัน
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ ต้องอาศัย
ความร้่ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอยูางยิ่งในการนำา
วิชาการตูาง ๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำาเนิ นการทุกขั้นตอน
และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้ นฐานจิตใจของคนในชาติโดย
เฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นั กทฤษฎี และนั กธุรกิจในทุกระดับให้มี
สำานึ กในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบร้่ท่ีเหมาะ
สม ดำาเนิ นชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และ
ความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมตูอการรองรับการ
เปลี่ยนแปลงอยูางรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่ง
แวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็ นอยูางดี
คณะอนุ กรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง (2549 :
8) ได้กลูาวถึงเศรษฐกิจพอเพียงวูา เป็ นปรัชญาที่เป็ นทั้งแนวคิด
21
จริงแล้วก็เป็ นแนวทางที่มีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย
และสามารถนำาไปใช้ได้ในทุกระดับ ในระดับบุคคล ครอบครัว
ชุมชน จนถึงระดับประเทศ
เกษม วัฒนชัย (2550 : 18) ได้กลูาวถึงเศรษฐกิจพอ
เพียงไว้วูา หลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็ นหลักการพัฒนา
อยูางยัง่ ยืนสำาหรับทุกประเทศในโลก โดยเฉพาะการสร้างความเข้ม
แข็งเพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอันเนื่ องมาจาก
กระแสโลกาภิวัฒน์ วิทยา อธิปอนั นต์ (2542 : ไมู
ระบุหน้า) ได้สรุปความหมายไว้วูา ตามกระแสพระราชดำาริของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง เป้ า
หมายหรือปรัชญาการดำาเนิ นชีวิตหรือวิถีชีวิตของคนไทยให้อยู่
อยูางพอประมาณตน ทางสายกลาง มีความพอเพียงและพอดีโดย
ไมูทำาให้ผ้่อ่ ืนเดือดร้อน สิ่งสำาคัญต้องร้่จักพึ่งพาตนเองและ
ทรัพยากรที่เรามีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ กูอนจะไปพึ่งพาคนอื่น
หรือปั จจัยภายนอก หรือหมายถึง การที่อุ้มช่ตนเองได้ให้มีความ
พอเพียงกับตัวเอง ครอบครัว และชุมชน
กรมวิชาการ (2542 : คำานำา) สรุปวูา “เศรษฐกิจพอ
เพียง” และ “ทฤษฎีใหมู” ตามแนวพระราชดำาริเป็ นหลักการและ
แนวทางสำาคัญในการบริหารจัดการที่ดินและนำ้าเพื่อการเกษตรใน
ที่ดินขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์ส่งสุด รวมทั้งแนวคิดการพัฒนา
เพื่อพึ่งตนเองของเกษตรกรอันเนื่ องมาจากพระราชดำาริ โดยเน้น
การชูวยเหลือและพัฒนาให้เกิดการพึ่งตนเอง อาจกลูาวโดยสรุปได้
วูา องค์พระประมุขของไทย ได้พระราชทานหลักการดำารงชีวิตของ
ประชาชนคนไทยทุกระดับ ทุกสาขาอาชีพ ตลอดจนถึงแนวทาง
23
ซึ่งไมูแตกตูางจากแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์อ่ ืน ๆ แตูรากฐานวิธี
คิดระหวูางพุทธเศรษฐศาสตร์แตกตูางจากเศรษฐศาสตร์กระแส
หลักอื่น ๆ ซึ่งมีพื้นฐานวิธีคิดที่มาจากความเชื่อวูามนุ ษย์มีเหตุผล
และพยายามแสวงหาความพึงพอใจส่งสุด แตูพุทธเศรษฐศาสตร์
เชื่อวูามนุ ษย์เกิดมาพร้อมกับอวิชชาหรือความไมูร้่ อันเป็ นต้นเหตุ
ของความไร้เหตุผล “ปั ญญา” ที่เกิดจากการรักษาศีลและมีสมาธิ
จะทำาให้ความไร้เหตุผลของมนุ ษย์ลดลง และอธิบายวูาการที่
แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเน้นยำ้าถึงความพอประมาณและมีเหตุผล
หรือการทำาให้ดีที่สุดโดยมีการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
(optimization through proper risk management) ทำาให้สามารถ
ประยุกต์ใช้ได้กับภาคเศรษฐกิจทุกสาขาของประเทศ
เศรษฐกิจพอเพียงในทัศนะของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
เป็ นปรัชญาที่วูาด้วยการวางรากฐานอันมัน
่ คง ยัง่ ยืนของบุคคลและ
สังคมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระกรุณาธิคุณ
พระราชทานแกูพสกนิ กรชาวไทยทั้งหลายโดยไมูจำากัดเฉพาะ
เกษตรกรเทูานั้ น หากแตูผ้่ประกอบสัมมาชีพอื่น ๆ สามารถนำาไป
ปรับประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างความเข้มแข็ง ยัง่ ยืนให้แกูรากฐานของ
ตนเองได้ และยังกลูาวถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะระบบ
เศรษฐกิจที่สามารถอุ้มช่ตนเอง (relative self-sufficiency) อยู่ได้
ระดับพื้ นฐานโดยไมูเดือดร้อนได้ จึงจะสามารถสร้างความเจริญ
ก้าวหน้าและฐานะทางเศรษฐกิจขั้นส่งตูอไปได้ โดยอธิบายวูาความ
สามารถในการอยู่ได้ในระดับพื้ นฐานต้องยึดแนวทางสายกลาง
(มัชฌิมาปฏิปทา) เป็ นหลักในการดำารงชีวิต เพื่อสร้างความ
สามารถในการพึ่งตนเอง ประกอบด้วย 1) พึ่งตนเองทางจิตใจ มี
28
จิตใจเข้มแข็งไมูท้อแท้จะประสบความล้มเหลว หรือความยาก
ลำาบาก 2) พึ่งตนเองทางสังคม ชูวยเหลือเกื้ อก่ลกันภายในสังคม
3) พึ่งตนเองได้ทางทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งทรัพยากรสังคมและ
ทรัพยากรทางเศรษฐกิจ 4) พึ่งตนเองได้ทางเทคโนโลยีวิจัยและ
พัฒนาเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมกับภ่มิประเทศและสังคมไทย 5) พึ่ง
ตนเองได้ทางเศรษฐกิจสามารถอยู่ได้ด้วยตนเองในระดับเบื้ องต้น
ซึ่งจะสามารถนำาไปสู่การพัฒนาประเทศในระดับมหัพภาคตูอไปได้
ด้วย ในการที่จะทำาให้ได้ผลดังกลูาวบุคคลต้องละ ลดความ
ฟู ุมเฟื อย ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต การแสวงหาผลประโยชน์
ตั้งอยู่บนพื้ นฐานของจริยธรรม ปฏิบัติตนในทางดีและไมูหยุดนิ่ งที่
จะใฝู หาความร้่เพื่อหาหนทางให้ตนเองหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก
ที่เป็ นอยู่ได้
เศรษฐกิจพอเพียงในทัศนะ ศ.เสนูห์ จามริก เป็ น
ระเบียบวาระแหูงโลกที่จะเป็ นกำาแพงต้าน “วัฒนธรรมลูาเหยื่อ”
ของพลังทุนนิ ยม และเทคโนโลยีภายใต้ “ระเบียบโลกใหมู” (New
Word Order) เศรษฐกิจพอเพียง คือ “การกลับฟื้ นจิตวิญญาณ
มนุ ษย์สู่ชีวิตเศรษฐกิจที่แท้จริง อันประกอบด้วยมนุ ษย์กับ
ธรรมชาติเป็ นแกูนสาร” เศรษฐกิจพอเพียง ในความหมายกระบวน
การพัฒนาของ ศ.เสนูห์ จามริก มีฐานอยู่ที่เกษตรกรรมพออยู่พอ
กิน พร้อมด้วยกระบวนการเรียนร้่ยกระดับสู่เกษตรยัง่ ยืน โดยมีไรู
นาระดับครัวเรือน เป็ นหนูวยพื้ นฐานที่กระจายออกไปเป็ นเครือ
ขูายกว้างขวางยิ่งขึ้นตามลำาดับ และพัฒนาให้มีบทบาทรอบด้าน
มากขึ้น เป็ นชูองทางสูงเสริมให้พัฒนาตนเองเป็ นอิสระจากกลไกล
ตลาดภายใต้อำานาจกำากับและควบคุมจากภายนอก
29
เศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหมู
เป็ นแนวทางในการพัฒนาที่นำาไปสู่ความสามารถในการพึ่งตนเอง
ในระดับตูาง ๆ อยูางเป็ นขั้นตอน โดยลดความเสี่ยงเกี่ยวกับความ
ผันแปรของธรรมชาติ หรือการเปลี่ยนแปลงจากปั จจัยตูาง ๆ โดย
อาศัยความพอประมาณและความมีเหตุผล การสร้างภ่มิคุ้มกันที่ดี
มีความร้่ ความเพียรและความอดทน สติและปั ญญา การชูวยเหลือ
ซึ่งกันและกัน และความสามัคคี
เศรษฐกิจพอเพียงมีความหมายกว้างกวูาทฤษฎีใหมู
โดยที่ เศรษฐกิจพอเพียงเป็ นกรอบแนวคิดที่ช้ ีบอกหลักการและ
แนวทางปฏิบัติของทฤษฎีใหมู ในขณะที่แนวพระราชดำาริเกี่ยวกับ
ทฤษฎีใหมู หรือเกษตรทฤษฎีใหมู ซึง่ เป็ นแนวทางการพัฒนาภาค
เกษตรอยูางเป็ นขั้นตอนนั้ น เป็ นตัวอยูางการใช้หลักเศรษฐกิจพอ
เพียงในทางปฏิบัติท่ีเป็ นร่ปธรรมเฉพาะในพื้ นที่ท่ีเหมาะสม
ทฤษฎีใหมูตามแนวพระราชดำาริ อาจเปรียบเทียบกับ
หลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบพื้ นฐานกับแบบ
ก้าวหน้า ได้ดังนี้
1. ความพอเพียงในระดับบุคคลและครอบครัวโดย
เฉพาะเกษตรกร เป็ นเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้ นฐาน เทียบได้กับ
ทฤษฎีใหม่ข้ ันที่ 1 ที่มูุงแก้ปัญหาของเกษตรกรที่อยู่หูางไกลแหลูง
นำ้า ต้องพึ่งนำ้าฝนและประสบความเสี่ยงจากการที่น้ ำาไมูพอเพียง
แม้กระทั้งสำาหรับการปล่กข้าวเพื่อบริโภค และมีข้อสมมติวูา มี
ที่ดินพอเพียงในการขุดบูอเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องดังกลูาว จากการ
แก้ปัญหาความเสี่ยงเรื่องนำ้า จะทำาให้เกษตรกรสามารถมีข้าวเพื่อ
การบริโภคยังชีพในระดับหนึ่ งได้ และใช้ท่ีดินสูวนอื่น ๆ สนอง
31
1.4 วิถีชีวิตและเศรษฐกิจทางสายกลางในทุกระดับ
สำานั กงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ
และสังคมแหูงชาติ (2545) ขยายคำาสำาคัญตูาง ๆ ในปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง ในการสัมมนาทางวิชาการประจำาปี 2542 ของ
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เมื่อวันที่ 18-19 ธันวาคม
2542 ดังนี้
พอเพียง คือ การบริโภคและการผลิตอยู่บนพื้ น
ฐานของความพอประมาณและความไมูขัดสนแตูไมูฟูุมเฟื อย
สมดุล คือ การพัฒนาอยูางเป็ นองค์รวม มีความ
สมดุลระหวูางโลกาภิวัฒน์ (Globalization) กับอภิวัฒน์ท้องถิ่น
(Localization) มีความสมดุลระหวูางภาคเศรษฐกิจกับการเงิน และ
ภาคคนกับสังคม มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโครงสร้างการผลิตที่
33
แนวทางการพัฒนาคนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
เป็ นการฝึ กให้คิด พ่ด-ทำา อยูางพอดี พอเหมาะ พอควร บนหลัก
เหตุผล ไมูประมาท โดยใช้สติและปั ญญาในทางที่ถ่กต้อง เพื่อเพิ่ม
ทางเลือกและพัฒนาศักยภาพของแตูละคน ให้สามารถอุ้มช่ตัวเอง
และครอบครัวได้ โดยไมูเบียดเบียนตัวเองและผ้่อ่ ืน และอยู่รวู ม
กับผ้่อ่ ืนในสังคมได้อยูางสงบสุข-ร้่รก
ั สามัคคี อยู่รูวมกับธรรมชาติ
ได้อยูางสมดุลและยัง่ ยืน และมีคูานิ ยมที่ดีงาม รูวมรักษาคุณคูา
ของความเป็ นไทย
การขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้เป็ น
วัฒนธรรมหลักในการใช้ชีวิตของคนในสังคม ต้องมีกระบวนการ
หลูอหลอมให้ทุกคนมีความเชื่อมัน
่ และสามารถนำาหลักการนี้ ไป
ประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำาวัน และการศึกษาเป็ นเครื่องมือ
สำาคัญที่จะทำาให้เกิดกระบวนการดังกลูาว (สำานั กงานปลัดกระทรวง
ศึกษาธิการ, 2550 : 2)
โครงการพัฒนาแหูงสหประชาชาติ (UNDP) ประจำา
ประเทศไทย (2550 : 38) ได้กลูาวถึงเศรษฐกิจพอเพียงกับการ
พัฒนาคน วูา เป็ นพันธมิตรตามธรรมชาติกับการพัฒนาคน เพราะ
เศรษฐกิจพอเพียงกำาหนดให้คนเป็ นศ่นย์กลาง โดยมีจุดเน้นอยู่ท่ี
การมีชีวิตที่ดี มิใชูความมัง่ คัง่ มีเรื่องของความยัง่ ยืนเป็ นความคิด
แกนกลาง เข้าใจถึงความจำาเป็ นในความมัน
่ คงของคนและการเพิ่ม
ขีดความสามารถให้คนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้
อยูางไรก็ตาม เศรษฐกิจพอเพียงนั้ นเป็ นเพียงพันธมิตรมิใชูคู่แฝด
ของการพัฒนาคน ทั้งนี้ เพราะเศรษฐกิจพอเพียงยังมีประเด็นเพิ่ม
เติมอีกสองเรื่อง ประการแรกเศรษฐกิจพอเพียงให้ความสำาคัญตูอ
36
การพัฒนาพื้ นฐานจิตใจและจิตวิญญาณมากกวูาโดยเฉพาะอยูางยิ่ง
เศรษฐกิจพอเพียงถือวูาการพัฒนาพื้ นฐานจิตใจนั้ นต้องเป็ นสูวน
หนึ่ งของการพัฒนาทุกชนิ ดโดยไมูอาจแยกออกจากกันได้ ประการ
ที่สอง เศรษฐกิจพอเพียงได้เสนอแนวทางในการตัดสินใจเกี่ยวข้อง
กับการใช้ทรัพยากรเพื่อการพัฒนา ทีส
่ ามารถนำามาใช้ได้ท้ ังใน
ระดับองค์กรหรือหนูวยงาน หรือรัฐบาล ตลอดไปจนถึงปั กเจ
กบุคคล โดยที่เศรษฐกิจพอเพียงได้เสนอวูา จะตัดสินใจอยูางไร
1.7 การจัดการศึกษาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็ นแนวทางในการดำาเนิ น
ชีวิต แนวทางสำาหรับการตัดสินตั้งแตูเรื่องเล็ก ๆ ในชีวิตประจำาวัน
ของแตูละคน ไปจนถึงเรื่องใหญูระดับชาติ การที่จะทำาให้แนวทาง
ของเศรษฐกิจพอเพียงกลายเป็ นวัฒนธรรมหลักในการใช้ชีวิตของ
คนในสังคม จำาเป็ นต้องมีกระบวนการหลูอหลอมให้ทุกคนมีความ
เชื่อมัน
่ และสามารถนำาหลักการนี้ ไปประยุกต์ใช้ได้อยูางอัตโนมัติ
เหมือน ๆ กับการคิดเลขหรือขี่จักรยานในชีวิตประจำาวัน และการ
ศึกษาเป็ นเครื่องมือสำาคัญที่จะทำาให้เกิดกระบวนการดังกลูาว
(โครงการพัฒนาแหูงสหประชาชาติ (UNDP) ประจำาประเทศไทย,
2550 : 72)
เป้ าหมายสำาคัญของการจัดการศึกษาตามแนวทาง
เศรษฐกิจพอเพียง คือ การปล่กฝั งให้เด็กและเยาวชนร้่จักการใช้
ชีวิตที่พอเพียง เห็นคุณคูาของทรัพยากรตูาง ๆ ฝึ กการอยู่รูวมกับ
ผ้่อ่ ืนอยูางเอื้ อเฟื้ อเผื่อแพรูและแบูงปั น มีจิตสำานึ กรักษ์ส่ิง
แวดล้อม และเห็นคุณคูาของวัฒนธรรมคูานิ ยม เอกลักษณ์/ความ
เป็ นไทย
37
การจัดการศึกษาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ดำาเนิ น
การได้ใน 2 สูวน ได้แกู
1) การบริหารสถานศึกษาในด้านตูาง ๆ 2) การจัดการเรียนร้่ของผ้่
เรียน ซึ่งประกอบด้วย การสอดแทรกสาระเศรษฐกิจพอเพียงใน
หลักส่ตรและสาระเรียนร้่ในห้องเรียน และการประยุกต์หลัก
เศรษฐกิจพอเพียงในการจัดกิจกรรมพัฒนาผ้่เรียนนอกห้องเรียน
การบรรลุเป้ าหมายดังกลูาวข้างต้น คร่เป็ นบุคลากร
ที่สำาคัญในการถูายทอดความร้่ และปล่กฝั งหลักคิดตูาง ๆ ให้แกู
เด็ก โดยคร่ต้องเข้าใจอยูางถ่กต้อง สามารถวิเคราะห์ความพอ
เพียง/ไมูพอเพียงของตนเองและครอบครัวได้และทำาตัวเป็ นแบบ
อยูางที่ดีในการดำาเนิ นชีวิตแบบพอเพียง (สำานั กงานปลัดกระทรวง
ศึกษาธิการ, 2550 : 3)
สำาหรับแนวทางการนำาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ไปจัดการศึกษาในสถานศึกษา สำานั กนโยบายและยุทธศาสตร์
สำานั กงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (2550 : 1-8)
ได้สรุปแนวทางไว้ดังนี้
1. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผ้เู รียนตามแนว
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
สถานศึกษาควรมูุงสูงเสริมการเรียนร้่และปล่กฝั ง
เสริมสร้างให้ผ้่เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในการดำาเนิ นชีวิต
ตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดังนี้
38
2. แนวทางในการพัฒนาผู้เรียนตามคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์
40
อนุ รก
ั ษ์สืบสานทรัพยากรธรรมชาติ สิง่ แวดล้อม ศิลปวัฒนธรรม
สถาปั ตยกรรมของท้องถิ่น และภ่มิปัญญาไทย
2.3.2 กำาหนดระเบียบ ธรรมเนี ยมปฏิบัติในสถาน
ศึกษา ที่สงู เสริมความมีระเบียบวินัย เคารพธรรมเนี ยมปฏิบัติ กฎ
กติกาของสังคมสูวนรวม เชูน การมีวินัย การเข้าคิว การรับ
ประทานอาหาร การแตูงกาย การใช้ทรัพยากรรูวมกัน ฯลฯ
2.3.3 สูงเสริมและพัฒนาบรรยากาศด้านคุณธรรม
เชูน การทำาบุญ การบริจาค การปฏิบัติ กิจการศาสนา การฝึ ก
อบรมจิต การเข้ารูวมกิจกรรมทางศาสนา การยกยูองสูงเสริมผ้่
กระทำาความดี การสูงเสริมการแบูงปั น การชูวยเหลือกันและกัน
ฯลฯ
2.3.4 สูงเสริมการแสวงหาความร้่ และเผยแพรู
ความร้่เกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เชูน การจัด
นิ ทรรศการ การจัดการประกวดในร่ปแบบตูาง ๆ การหาความร้่
ผูานสื่อเทคโนโลยีและอื่น ๆ
2.3.5 สูงเสริมการปฏิบัติตนเป็ นแบบอยูางของผ้่
บริหาร คร่ และบุคลากรในสถานศึกษา
2.3.6 จัดโครงการและกิจกรรมสูงเสริมการปฏิบัติตน
และการดำาเนิ นชีวิตตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2.4 การจัดระบบบริหารจัดการของสถานศึกษา
สถานศึกษาควรมีการจัดระบบการบริหารจัดการ
ภายในสถานศึกษาตามแนว
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เอื้ อตูอการสูงเสริมสนั บสนุ นการ
จัดการศึกษา ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางดังนี้
43
สถานศึกษาควรให้ผ้่ปกครองและชุมชนเข้ามามีสูวน
รูวมในการดำาเนิ นการจัดการศึกษาของสถานศึกษาในขั้นตอน
สำาคัญทุกขั้นตอน ตามแนวทาง ดังนี้
2.5.1 รูวมกำาหนดแนวนโยบาย และการวางแผน
2.5.2 รูวมให้ขอ
้ คิดเห็น ข้อเสนอแนะในกระบวนการ
พัฒนาหลักส่ตร
2.5.3 รูวมจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการจัด
สภาพและบรรยากาศภายในสถานศึกษา
2.5.4 สูงเสริมการเรียนร้่และการปฏิบัติตามแนว
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษา ทีบ
่ ้าน และสถานที่
อื่น ๆ
2.5.5 รูวมติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
2.6 การติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
สถานศึกษาควรจัดให้มีการติดตามและประเมินผลการ
ดำาเนิ นการจัดการศึกษาตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
โดยมีแนวทางดำาเนิ นการ ดังนี้
2.6.1 ติดตามและประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ของผ้่เรียน โดยพิจารณาจาก
1) ผลการทดสอบความร้่ ความเข้าใจพื้ นฐาน
ด้านเศรษฐกิจพอเพียง
2) ผลงานและการปฏิบัติกิจกรรมของผ้่เรียน
3) การปฏิบัติตนในชีวิตประจำาวันของผ้่เรียน
45
4) ผลการประเมินโดยผ้ประเมินภายนอก
่ หรือผ้มีสูวน
่
ได้สูวนเสียจากทุกภาคสูวน
2.6.2 ติดตามและประเมินความเหมาะสมของการ
ดำาเนิ นการในกระบวนการ ขั้นตอน และกิจกรรมการดำาเนิ นการใน
ด้านการพัฒนาหลักส่ตร การจัดการเรียนการสอน การจัด
บรรยากาศและสภาพแวดล้อม การจัดระบบบริหารจัดการ การให้ผ้่
ปกครองและชุมชนเข้ามามีสูวนรูวมในการจัดการศึกษาของสถาน
ศึกษา และการประเมินคุณลักษณะของผ้่เรียนอันพึงประสงค์
2.6.3 จัดให้ระบบการรายงานผลการดำาเนิ นการเป็ น
ระยะ ๆ ทั้งการรายงานภายในสถานศึกษา การรายงานตูอ
สาธารณชน และการรายงานหนูวยงานต้นสังกัดตามลำาดับ
จากแนวทางในการจัดการศึกษาของสถานศึกษาตาม
ประเด็นดังกลูาข้างต้นเขียนเป็ นแผนภาพเชิงระบบที่แสดงความ
สัมพันธ์เชื่อมโยงกันได้ ดังนี้
พัฒนาผู้เรียนให้มี
ความรู้ ทักษะ และ
แผนภาพที่ 1 ความเชื่อมโยงของแนวทางการนำ
ดำาเนินา
ชีวิตตามแนว
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปจัปรั
ดการชญาของ
ศึกษาในสถานศึกษา เศรษฐกิจพอเพียง
- มีความร้ค
ู วามเข้าใจ
การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุและตระหนั
มชน กใน
มีส่วนร่วมในการดำาเนินการของสถานศึกษาทุ กด้าาคันญของการ
ความสำ
ดำาเนินชีวิตตามแนว
ปรัชญาของ
การจัดระบบ
การจัดบรรยากาศและสภาพ
บริหารจัดการ แวดลูอมภายในสถานศึกษา
จัดระบบบริหาร จัดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมให้
จัดการตามแนว เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียน
ปรัชญาของ - จัดอาคาร สถานที่ สิ่งแวดล้อม ให้
เศรษฐกิจพอเพียง ร่มรื่น เป็ นแหล่งเรียนรู้ สะท้อนการ
การติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
ดำาเนินการติดตาม ประเมินผลและรายงานผล
์ ามคุณลักษณะที่พึง
- ติดตามและประเมินผลสัมฤทธิต
ประสงค์ของนักเรียน
47
ขัน
้ ตอนการดำาเนิ นการตามแนวทางการนำ า
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
3.7 จัดการเรียนการสอนตามหลักส่ตรของสถาน
ศึกษา
3.8 เสริมสร้างบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมให้
เอื้ อตูอการจัดการเรียนร้่
3.9 จัดระบบนิ เทศ ติดตาม ประเมินผล และ
รายงานผลการดำาเนิ นการ
3.10 ให้ผ้่ปกครองและชุมชนเข้ามามีสูวนรูวมใน
การจัดการศึกษาในขั้นตอนสำาคัญทุกขั้นตอน
ดังแผนภาพแสดงขั้นตอนการดำาเนิ นการ (แผนภาพที่ 2)
49
แผนภาพที่ 2 ขัน
้ ตอนการดำาเนิ นการตามแนวทาง
การนำาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไป
จัดการศึกษาในสถานศึกษา
สถานศึกษา
กำาหนดแนวนโยบายการจัดการ
ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็ น
พัฒนาความรู้ความเข้าใจแก่
บุคลากรและส่งเสริมการปฏิบัติตน
ประชาสัมพันธ์ เผยแพร่
ความรู้ ความ
ปรับปรุงการบริหารจัดการ
ปรับปรุง และ
พัฒนาหลักสูตร
เสริมสร้างบรรยากาศ จัดการเรียนการ
และ สภาพ สอนตามหลักสูตร
2. สูงเสริมให้นักเรียนใช้ความร้่อยูางรอบคอบ
ระมัดระวัง ฝึ กการทำางานรูวมกับผ้่อ่ ืนด้วย ความรับผิดชอบ
ซื่อสัตย์สุจริต ไมูเอารัดเอาเปรียบผ้่อ่ ืน อดทน มีความเพียร มี
วินัย มีสัมมาคารวะ ร้่จักทำาประโยชน์ให้กับสังคม รูวมกันด่แล
รักษาสิ่งแวดล้อม และสืบสานวัฒนธรรมไทย
นอกจากนี้ ยังสูงเสริมให้บ่รณาการการเรียนร้่ผูาน
กิจกรรมเหลูานี้ เข้าไปในการเรียนร้่สาระตูาง ๆ ทุกสาระการเรียนร้่
(สำานั กงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2550 : 9)
กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดทำายุทธศาสตร์การขับ
เคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสูส
่ ถานศึกษา (พ.ศ.2550-
2554) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้สถานศึกษานำาหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน การ
จัดกิจกรรมพัฒนาผ้่เรียน และการบริหารจัดการสถานศึกษา เพื่อ
ให้เกิดผลในทางปฏิบัติในทุกระดับได้อยูางมีประสิทธิภาพ และมี
ประสิทธิผล เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการดำาเนิ นชีวิต
บนพื้ นฐานของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอยูางตูอเนื่ อง มี
วิสัยทัศน์ คือ กระทรวงศึกษาธิการมูุงพัฒนาสถานศึกษาในการนำา
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปจัดการศึกษาอยูางมี
ประสิทธิภาพและประสิทธิผล สูงผลสู่การดำาเนิ นชีวิตตามแนวทาง
เศรษฐกิจพอเพียงของผ้่เรียน ผ้่บริหาร คร่และบุคลากรทางการ
ศึกษาอยูางตูอเนื่ อง สำาหรับเป้ าหมายนั้ น ในระยะที่ 1 ปี 2550
กำาหนดให้สถานศึกษาที่สามารถเป็ นแบบอยูางในการจัด
กระบวนการเรียนการสอนและการบริหารจัดการตามหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียงไมูตำ่ากวูา จำานวน 80 แหูง ระยะที่ 2 ปี
52
เศรษฐกิจพอเพียง
2. ยุทธศาสตร์ท่ี 2 การพัฒนาบุคลากร
แนวทางการขับเคลื่อน
2.1 อบรมสัมมนาผ้่บริหารการศึกษาให้เกิดความร้่
ความเข้าใจในหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2.2 ฝึ กอบรมและพัฒนา ผ้่บริหารสถานศึกษา
ข้าราชการคร่และบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษากลูุมเป้ า
หมาย ให้สามารถนำาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปบ่รณา
การสู่การเรียนการสอนและการบริหารจัดการ
3. ยุทธศาสตร์ท่ี 3 การขยายผลและพัฒนาเครือขูาย
แนวทางการขับเคลื่อน
3.1 ให้สถานศึกษาที่เป็ นแบบอยูางเข้าไปชูวยเหลือ
พัฒนาสถานศึกษาที่เข้ารูวมโครงการ 1:10 แหูงในการนำาหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการ
สอนและการบริหารจัดการ
3.2 ให้มีระบบการแลกเปลี่ยนเรียนร้่และสูงเสริม
สนั บสนุ น ประสานการดำาเนิ นงานของเครือขูาย
3.3 จัดทำาระบบข้อม่ลสารสนเทศและเชื่อมโยงเครือ
ขูายกับหนูวยงานที่เกี่ยวข้อง
4. ยุทธศาสตร์ท่ี 4 การเผยแพรูประชาสัมพันธ์
แนวทางการขับเคลื่อน
4.1 เผยแพรูการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียงในการจัดการศึกษาโดยจัดทำาสื่อร่ปแบบตูาง ๆ
54
การเรียนการสอนเศรษฐกิจพอเพียงบรรจุอยู่แล้วใน
สาระการเรียนร้่สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระที่ 3
เศรษฐศาสตร์ในหลักส่ตรการศึกษาขั้นพื้ นฐาน โดยมีมาตรฐาน
เรียนร้่ (ส.3.1) ที่เน้นให้เข้าใจระบบและวิธีการของเศรษฐกิจพอ
เพียง และสามารถนำาไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำาวันได้
คณะทำางานบ่รณาการเศรษฐกิจพอเพียงสู่การเรียน
การสอนของ
กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำาหนดขอบเขตที่ชัดเจนในการเรียนการ
สอนหรือมาตรฐานการเรียนร้่เศรษฐกิจพอเพียงของแตูละชั้นปี
เพื่อให้ผ้่เรียนเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถนำาไป
ประยุกต์ใช้ได้อยูางเหมาะสมกับแตูละวัย ดังนี้
ช่วงชั้นที่ 1 เน้นให้เด็กใช้ชีวิตพอเพียงระดับบุคคลและ
ครอบครัว ร้จ
่ ักชูวยเหลือตนเอง และร้่จักชูวยเหลืองานใน
ครอบครัว แบูงปั นสิ่งของให้เพื่อน ชูวยเหลือผ้่อ่ ืน รักจักวิเคราะห์
รายรับ -รายจูายของตนเอง สอนให้เด็กเห็นคุณคูาของสิ่งของ
ตระหนั กถึงคุณคูาของเงินทอง จะได้ฝึกนิ สัยประหยัด ฝึ กจิตสำานึ ก
และนิ สัยพอเพียง
ช่วงชั้นที่ 2 ฝึ กให้เด็กร้่จักประยุกต์ใช้หลักความพอ
เพียงในโรงเรียนและมีสูวนรูวมในการสร้างความพอเพียงระดับ
โรงเรียนและชุมชนใกล้ตัวโดยเริม
่ จากการสำารวจทรัพยากรตูาง ๆ
ในโรงเรียนและชุมชนมีสูวนรูวมในการด่แลบำารุงรักษาทรัพยากร
ตูาง ๆ ทั้งด้านวัตถุ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ภ่มิปัญญา วัฒนธรรม
และรวบรวมองค์ความร้่มาเป็ นข้อม่ลในการเรียนร้่วิถีชีวิต ของ
ชุมชน และเห็นคุณคูาของการใช้ชีวิตอยูางพอเพียง
56
ช่วงชั้นที่ 3 ประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงกับ
ชุมชน มีสวู นรูวมในกิจกรรมตูาง ๆ ของชุมชน สามารถสำารวจ
และวิเคราะห์ความพอเพียงในระดับตูาง ๆ และในมิติตูาง ๆ ทั้ง
ทางวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมในชุมชนใกล้ตัว เห็น
คุณคูาของการใช้หลักพอเพียงในการพัฒนาชุมชน และสามารถนำา
หลักการพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำาวันของแตูละคน จน
นำาไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสู่ความพอเพียงได้ในที่สุด
ช่วงชั้นที่ 4 เตรียมคนให้เป็ นคนที่ดี สามารถทำา
ประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติได้ โดยเน้นเข้าใจความพอ
เพียงระดับประเทศและการพัฒนาประเทศภายใต้กระแส
โลกาภิวัฒน์ เชูน การวิเคราะห์สถานการณ์การค้าระหวูางประเทศ
หรือการศึกษาสถานการณ์สิ่งแวดล้อมสภาพปั ญหาด้าสังคมเป็ น
อยูางไร เป็ นต้น
(สำานั กงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2550 : 5-8)
1.8.2 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่สอดคล้องกับหลัก
เศรษฐกิจพอเพียง
กิจกรรมสามารถมีความหลากหลายของเนื้ อหา แล้ว
แตูตามสภาวะภ่มิสังคมของแตูละสถานศึกษา แตูท่ีสุดแล้วต้อง
ปล่กฝั งให้เด็กและเยาวชนมีวิธีคิด อุปนิ สัยและพฤติกรรม ที่
สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง เป็ นกิจกรรมที่ดำาเนิ นการ
หลักโดยนั กเรียน นั กศึกษา และคร่เป็ นผ้่นำาหรือผ้ส
่ นั บสนุ น
จำานวนนั กเรียน/นั กศึกษา/คร่ ที่มีสูวนรูวมในกิจกรรมตูาง ๆ ไมู
ควรน้อยกวูา 25% ของจำานวนบุคลากรทั้งหมดของโรงเรียน
นั กเรียน นั กศึกษา ที่เข้ารูวมโครงการ ควรมีความประพฤติดี
57
สมัครใจที่จะเข้ารูวมกิจกรรม การเรียนอยู่ในระดับปานกลางถึงดี
และมีสุขภาพดี คร่ท่ีเข้ารูวมโครงการควรมีความประพฤติดี สมัคร
ใจ และมีความพร้อมในการเข้ารูวมกิจกรรม เป็ นกิจกรรมที่มูุงเน้น
ให้เกิดความก้าวหน้าไปพร้อมกับความสมดุลทางเศรษฐกิจ/สังคม/
สิ่งแวดล้อม ของสถานศึกษา และสามารถขยายผลออกสู่ชุมชนได้
พอประมาณกับภ่มิสังคม : สอดคล้องกับความ
ต้องการ/ความจำาเป็ น ของสถานศึกษา/คนในชุมชน และเหมาะสม
กับภ่มิประเทศ สภาพแวดล้อม และความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิต
สมเหตุสมผล : มีหลักคิดและหลักปฏิบัติของกิจกรรม
ที่สอดคล้องกับหลักวิชาการที่เกี่ยวข้อง รายละเอียดของโครงการ
แสดงถึงความรอบคอบของการวางแผนดำาเนิ นโครงการ
ภ่มิคุ้นกันที่ดี : การวางแผนโครงการคำานึ งถึง ความ
เสี่ยงในการดำาเนิ นโครงการ โดยมีข้อเสนอทางเลือก หากมีการ
เปลี่ยนแปลงตูาง ๆ เกิดขึ้น
สูงเสริม ความร้่และคุณธรรมของผ้่เข้ารูวมกิจกรรม :
กิจกรรมตูาง ๆ ต้องสูงเสริมให้ผ้่เข้ารูวม มีความรอบร้่มากยิ่งขึ้น
เปิ ดโอกาสให้ได้มีการพัฒนาทักษะในด้านตูาง ๆ สูงเสริมการมี
คุณธรรม (เชูน ความมีระเบียบ มีสัมมาคารวะ ซื่อสัตย์สุจริต มี
ความกตัญญ่กตเวที มีสติปัญญา แยกแยะถ่กผิด ควรไมูควร มี
ความขยันหมัน
่ เพียร อดทน สนใจใฝู ร้่ มีจิตสำานึ กเห็นประโยชน์
ของการชูวยเหลือผ้่อ่ ืน และทำาตัวให้เป็ นประโยชน์ตูอสังคม)
ตัวอยูางกิจกรรม เชูน
1. การจัดการ การผลิต/การบริโภค ในสถานศึกษา/
ชุมชน ให้เกิดความพอเพียง และสมดุล-กินพอดี อยู่พอดี – เชูน
58
โครงการอาหารกลางวัน การสูงเสริมการผลิตเกษตรอินทรีย์ /
เกษตรผสมผสาน บนพื้ นฐานของการพึ่งตนเอง การรักษาสมดุล
ของสังคม และธรรมชาติ
2. การพัฒนาอาชีพ/สร้างรายได้เสริม โดยประยุกต์ใช้
ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ส่งสุด หรือโดยการพัฒนา
เทคโนโลยีท่ีเหมาะสม หรือตูอยอดกับภ่มิปัญญาท้องถิ่น
3. การจัดการ และการจัดระบบองค์กรความรูวมมือ
ทางการเงิน การผลิต การตลาด เชูน การทำาบัญชีรายรับ -รายจูาย
การจัดตั้งสหกรณ์ร่ปแบบตูาง ๆ การจัดตั้งธนาคารโรงเรียน
เป็ นต้น
4. การจัดการ (รักษา/ฟื้ นฟ่) ทรัพยากรธรรมชาติ /สิ่ง
แวดล้อม/ขยะ ทั้งในสถานศึกษา และในชุมชน อยูางยัง่ ยืน โดยใช้
หลักวิชาการ ความประหยัด ความรอบคอบ
5. การจัดการระบบพลังงานของสถานศึกษา/ชุมชน ให้
สามารถพึ่งตนเองได้มากขึ้น (ประหยัด ผลิตเอง / ทดแทน)
6. การอนุ เคราะห์เกื้ อก่ล ชูวยเหลือ คนยากจน ผ้ด
่ ้อย
โอกาส (เชูน ผ้่ปูวยโรคเอดส์ เด็กกำาพร้า เด็กยากจน ฯลฯ) ใน
สังคม ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ ึน
7. การสร้างจิตสำานึ ก รักท้องถิ่น/รักชุมชน เชูน การ
รักษา/ฟื้ นฟ่ประเพณี /วัฒนธรรมไทย ภ่มิปัญญาท้องถิ่น สถาน
ที่ทางประวัติศาสตร์โบราณสถาน การสร้างความร้่สึกเป็ นเจ้าของ/มี
สูวนรูวมในการพัฒนาชุมชน
8. การสร้างจิตสำานึ กรักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ เชูน
รณรงค์การเห็นคุณคูาของสินค้าไทย การเรียนร้่ประวัติความเป็ นมา
59
ตัวอย่างกิจกรรมเศรษฐกิจพอเพียงในสถานศึกษา
หลักปฏิบต
ั ิ ตัวอย่างกิจกรรม
ด้านเศรษฐกิจ
1. ร้จ
ู ักการใช้จ่ายของตนเอง -บันทึกบัญชีรายรับและรายจูาย
-ใช้จูายอยูางมีเหตุมีผลอ -วิเคราะห์บัญชีรายรับและราย
ยูาง จูาย
พอประมาณ ประหยัด -แลกเปลี่ยนประสบการณ์
เทูาที่จำาเป็ น -ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการ
บริโภคเพื่อลด
รายจูายที่ฟูุมเฟื อย
2. รู้จักออมเงิน มีกล -ออมอยูางพอเพียง
ไกล -สัปดาห์การออม
60
- ระบบสวัสดิการ -จัดตั้งกลูุม/สหกรณ์ออมทรัพย์
- ระบบออมเงิน
- ระบบสหกรณ์
- ระบบประกันตูาง
ๆ -ปล่กผักสวนครัวรั้วกินได้
3. รู้จักประหยัด -เลี้ยงปลา เลี้ยงไกู ไว้กิน ไว้
-ใช้และกินอยูางมี ขาย
เหตุผลไมูฟูุมเฟื อย -ใช้สินค้าที่ประหยัดพลังงาน
- ใช้พลังงานเทูาที่ -รีไซเคิลขยะเพื่อนำามาใช้ใหมู
จำาเป็ น -นำาของเหลือใช้ มาทำาให้เกิด
- ใช้ทรัพยากรอยูาง ประโยชน์
คุ้มคูา เน้นการผลิตเพื่อพึง่ ตนเอง ให้
พอเพียงกับการบริโภคและการ
ผลิตที่หลากหลาย เช่น
4. พึ่งตนเองได้ทาง -ปล่กพืชผักผสมผสาน
เศรษฐกิจโดยผลิต หรือ -ปล่กพืชสมุนไพรไทย
สร้างรายได้ ที่ -ผลิตสินค้าจากภ่มิปัญญาท้อง
-สอดคล้องกับความ ถิ่น
ต้องการ -จัดอบรมพัฒนาอาชีพในชุมชน
-สอดคล้องกับภ่มิ
สังคม
-สอดคล้องกับ พัฒนาความรู้คู่คุณธรรม ผ่าน
ภ่มิปัญญาท้องถิ่น กิจกรรมรวมกลุ่มต่าง ๆ
-สอดคล้องกับ -จัดกิจกรรมลด ละ เลิก
61
ทรัพยากรท้องถิ่น อบายมุข
ด้านสังคม -จัดกิจกรรมชูวยเหลือผ้่ด้อย
5. ร้จ
ู ักช่วยเหลือสังคม โอกาส
หรือชุมชน -จัดคูายพัฒนาเยาวชน
-ปล่กจิตสำานึ ก -จัดตั้งศ่นย์เรียนร้่ภายในชุมชน
สาธารณะ
-ปล่กฝั งความสามัคคี พัฒนาความรู้เกี่ยวกับดิน นำ้า
-ปล่กฝั งความเสียสละ ป่ า เพื่อฟื้ นฟู รักษา
-เผยแพรูองค์ความร้่ -โครงการชีววิถี
เศรษฐกิจพอเพียง -จัดอบรมการอนุ รก
ั ษ์
ทรัพยากรธรรมชาติ
-จัดทำาฝายแม้ว
ด้านสิ่งแวดล้อม
6. สร้างสมดุลของ
ทรัพยากรธรรมชาติ -ปล่กฝั งมารยาทไทย
- ปล่กจิตสำานึ กรักษ์ -สูงเสริมอาหารประจำาท้องถิ่น
สิ่งแวดล้อม -สูงเสริมการใช้ภาษาประจำาท้อง
-ฟื้ นฟ่ ถิ่น
แหลูงเสื่อมโทรมในท้องถิ่น -ทำานุ บำารุงโบราณวัตถุและ
-ฟื้ นฟ่และอนุ รก
ั ษ์ โบราณสถาน
ทรัพยากรในท้องถิ่น
-ฟื้ นฟ่ด่แลสถานที่
ทูองเที่ยวในท้องถิ่น
ด้านวัฒนธรรม
62
7. สืบสานวัฒนธรรม
ไทย
-สร้างจิตสำานึ กรักษ์ -ให้ความสำาคัญกับการรักษาศีล
ไทย รักบ้านเกิด หรือสวดมนต์เป็ นประจำา
-ฟื้ นฟ่และอนุ รก
ั ษ์ -สูงเสริมการฝึ กอบรมสมาธิ
อาหารประจำาท้องถิ่น ภาวนา
-ฟื้ นฟ่และอนุ รก
ั ษ์ -รูวมกันทะนุ บำารุงศาสนา
ดนตรีไทยและ -พัฒนาภ่มิปัญญาท้องถิ่น
เพลงไทย -รณรงค์การใช้สินค้าไทย
-ฟื้ นฟ่และอนุ รก
ั ษ์วัตถุ
โบราณและโบราณ
สถาน
8. ส่งเสริมพระพุทธ
ศาสนา
-ปล่กจิตสำานึ ก
ความรักชาติ
-ตระหนั กถึงคุณคูา
ของพระพุทธศาสนา
-จงรักภักดีตูอพระ
มหากษัตริย์
63
เหมาะสมและคุณภาพให้สอดคล้องกับความต้องการของ
สถานการณ์ของสังคมนั้ น ๆ เชูน ในสถานศึกษา กลูุมผ้่ปฏิบัติงาน
อาจประกอบด้วย ผ้่บริหาร คร่ผ้่ปกครอง นั กเรียน หรือนั กศึกษา
และสมาชิกในชุมชนอื่น ๆ ที่มีสูวนเกี่ยวข้อง วิธีการวิจัยจะเป็ นไป
ได้ก็ตูอเมื่อได้รบ
ั ความรูวมมือจากกลูุมบุคคลเหลูานี้ ในการ
วิเคราะห์การทำางานของตนเองและกลูุมอยูางถี่ถ้วน ด้วยวิธีการ
สะท้อนความคิดเห็นการแลกเปลี่ยนความเห็นตูอการทำางานของ
ตนเองและกลูุมผ้่รูวมการวิจัย
ประจิต เอราวรรณ์ (2545 : 5) ได้ให้ความหมายของการวิจัย
เชิงปฏิบัติการวูา หมายถึง กระบวนการศึกษาค้นคว้ารูวมกันอยูาง
เป็ นระบบขงอกลูุมปฏิบัติงาน เพื่อทำาความเข้าใจตูอปั ญหาหรือข้อ
สงสัยที่กำาลังเผชิญอยู่ และให้ได้แนวทางการปฏิบัติหรือวิธีการ
แก้ไขปรับปรุงที่ทำาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีข้ ึนในการปฏิบัติงาน
ซึ่งถ้ากลูาวในบริบทของโรงเรียน ก็คือ การวิจัยที่เกิดขึ้นใน
โรงเรียนและชั้นเรียน โดยที่คร่พยายามปรับปรุงการจัดการเรียน
การสอนของตนเอง จากการสูองสะท้อนตนเอง การหาข้อสรุปเพื่อ
แก้ปัญหาที่กำาลังเผชิญอยู่ รวมทั้งการใช้ความเข้าใจและมโนทัศน์
ของตนเองมากกวูาของผ้่เชี่ยวชาญ การวิจัยปฏิบัติการจึงเป็ นการ
เปิ ดโอกาสให้ผ้่ปฏิบัติงานและผ้่เกี่ยวข้องได้ใช้ความสามารถหรือ
ควบคุมสภาพการณ์ท่ีเป็ นอยู่ด้วยตนเอง
นุ ชวนา เหลืออังก่ร (2550 : 1 ) ได้ให้ความหมายของการ
วิจัยเชิงปฏิบัติการวูา เป็ นการวิจัยที่เน้นการพัฒนาหรือแก้ปัญหา
โดยอาศัยการทำางานรูวมกันของทีมผ้่รูวมวิจัย มีวงจรการพัฒนาตูอ
เนื่ องจนกวูาผลการพัฒนาจะเป็ นที่พ่ึงพอใจ
68
การทำางานรูวมกันของผ้่ท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อชูวยพัฒนาทั้งงานของผ้่
วิจัยทำาและงานของผ้่รูวมวิจัยไปพร้อม ๆ กันในการทำางานรูวมกัน
ผ้่วิจัยต้องมองวูาผ้่รูวมวิจัยเป็ นคนที่มีชีวิตจิตใจไมูใชูวัตถุ พร้อม
ทั้งชูวยกระตุ้นให้เกิดการทำางานรูวมกันอยูางมีจุดหมายและชูวยให้
ผ้่รูวมงานสร้างประวัติศาสตร์ผลงานด้วยตัวของเขาเอง
4. การวิจัยเชิงปฏิบัติการไมูใชูแคูการนำาเอาวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์มาใช้ในการเรียนการ
สอน โดยการตั้งสมมติฐาน ทดสอบสมมติฐาน สรุปและตีความ
จากข้อม่ลเทูานั้ น การทำาวิจัยดังกลูาวคนจะถ่กมองคล้ายเป็ นวัตถุ
สิ่งของเทูานั้ น แตูการวิจัยเชิงปฏิบัติการใช้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์
จะเกี่ยวข้องกับบุคคลและการพัฒนาให้ดีข้ ึน การวิจัยเชิงปฏิบัติการ
จะเป็ นระบบที่หมุนไปเรื่อยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งตัวผ้่ทำา
วิจัยและสถานการณ์แวดล้อม (Henry&kemmis 1985)
จากความหมายที่นักวิชาการได้ให้ความหมายไว้ ผ้ว่ ิจัยขอ
สรุปการวิจัยเชิงปฏิบัติการวูาเป็ นกระบวนการวิจัยประเภทหนึ่ ง ซึ่ง
ใช้กระบวนการปฏิบัติอยูางมีระบบ ซึ่งผ้่วิจัยและผ้่เกี่ยวข้องมีสูวน
รูวมในการปฏิบัติและวิเคราะห์วิจารณ์ผลการปฏิบัติการ โดยมีข้ ัน
ตอนการดำาเนิ นงานวิจัย 4 ขั้น คือ การวางแผน การลงมือปฏิบัติ
การสังเกต และการสะท้อนผลการปฏิบัติ ซึ่งทั้ง 4 ขั้นตอนจะ
เป็ นการทำางานรูวมกันระหวูางผ้่วิจัยและผ้่เกี่ยวข้อง และการ
ดำาเนิ นการจะเป็ นลักษณะตูอเนื่ องไปจนกวูาจะได้ข้อสรุปที่แก้ไขได้
จริง หรือพัฒนาสภาพการณ์ของสิ่งที่ได้อยูางมีประสิทธิภาพ
2. วิธีการของเลวินต่อการปฏิบัติการ
71
กิจกรรมที่ถ่กเลือกมากำาหนดในแผน จะต้องได้รบ
ั เลือกมา
เนื่ องจากกิจกรรมนั้ นสามารถปฏิบัติได้ดีกวูากิจกรรมอื่น ๆ ลด
ความขัดแย้ง และชูวยให้เกิดพลังในการปฏิบัติท่ีเหมาะสมกวูา
และมีประสิทธิภาพส่งกวูา ผ้่รูวมงานจะต้องให้ความรูวมมือรูวมใจ
ในการอภิปราย (ทั้งในแงูทฤษฎีและปฏิบัติ) เพื่อให้เกิดการ
วิเคราะห์ และปรับปรุงการกำาหนดแผนงานที่สามารถปฏิบัติใน
สภาพการณ์ท่ีเป็ นอยู่
2. การปฏิบัติ (action) เป็ นการปฏิบัติงานจะต้องดำาเนิ นตาม
แนวที่ได้วางไว้อยูางมีเหตุผล และมีการควบคุมอยูางสมบ่รณ์ แตู
การปฏิบัติจากแนวที่วางไว้มีโอกาสของการเสี่ยงอยู่ด้วยเนื่ องจาก
ต้องทำาให้เกิดขึ้นจริงตามเหตุการณ์ทางการเมืองและสภาพการณ์
จริง ดังนั้ น แผนที่วางไว้สำาหรับการปฏิบัติจะต้องสามารถแก้ไขได้
โดยการกำาหนดให้มีความยืดหยูุนและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตาม
ผลการตัดสินใจเกี่ยวกับการกระทำานั้ น ๆ
3. การสังเกต (observe) ทำาหน้าที่เก็บบันทึกข้อม่ลเกี่ยวกับ
ผลที่ได้จากการปฏิบัติงานอยูางมีรายงานหลักฐานเชิงวิจารณญาณ
การสังเกตต้องมองไปข้างหน้า การสังเกตอยูางรอบคอบและ
ระมัดระวังเป็ นสิ่งจำาเป็ นเนื่ องจากการปฏิบัติน้ ั นจะมีข้อจำากัดจาก
การบีบบังคับของสภาพความเป็ นจริง การสังเกตต้องมีการ
วางแผนจนกระทั้งได้ข้อม่ลเป็ นเรื่องราวสะท้อนตูอเนื่ อง และ
สอดคล้องตูอกัน ข้อม่ลจากการสังเกตต้องตอบสนองและเปิ ด
กว้าง ต้องมองหลายแงูหลายมุมในทุก ๆ ด้าน ผ้่สงั เกตจะต้องมี
ความไวในการจับภาพหรือเหตุการณ์ที่ไมูคาดคิดวูาจะเกิดขึ้น นั ก
วิจัยปฏิบัติการจะต้องรายงานผลการสังเกตอยูางครบถ้วน สังเกต
74
3. ความเชื่อพื้ นฐานของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
75
ทวีป ศิรริ ศ
ั มี (2537 : 13-14 อ้างใน สุพัฒน์ มีสกุล,
2546 : 12) ได้กลูาวถึงความเชื่อพื้ นฐาน (basic assumptions)
ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีอยู่ 4 ประการ คือ
1. วิธีการแก้ปัญหาที่ได้มาจากการค้นคว้าจะมีประสิทธิภาพ
และนูาเชื่อถือได้มากกวูาวิธี
แก้ปัญหาที่ได้จากการสัง่ การของผ้่มีอำานาจหรือผ้่บริหาร โดยสัง่
การนั้ นมักเกิดมาจากการสัง่ สมประสบการณ์และใช้สามัญสำานึ ก
เป็ นหลัก มักขาดหลักฐานข้อม่ลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ
2. การวิจัยเพื่อแก้ปัญหาของผ้่ปฏิบัติงานที่ดำาเนิ นการเอง
โดยผ้่ปฏิบัติงานจะมีโอกาส
แก้ปัญหาของเขาได้สำาเร็จมากกวูาการวิจัยเพื่อการแก้ปัญหาที่ทำา
โดยบุคคลอื่น
3. การวิจัยเป็ นเรื่องของการวิเคราะห์ปัญหา การค้นคว้า
แนวทางการแก้ปัญหา การ
ทดสอบ และประเมินผลวิธีแก้ปัญหา การวิจัยเป็ นทักษะที่สามารถ
เรียนร้่และพัฒนาได้โดยผ้่ปฏิบัติงานทุกคน การวิจัยไมูได้เป็ นสิทธิ
พิเศษของผ้่เชี่ยวชาญคนใดคนหนึ่ งหรือกลูุมใดกลูุมหนึ่ ง
4. การพัฒนาความสามารถของบุคคลโดยการฝึ กหัด ถือวูา
เป็ นรากฐานของการ
พัฒนาการปฏิบัติ
4. ลักษณะของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ลักษณะของการวิจัยเชิงปฏิบัติการมีประเด็นที่ผ้่ปฏิบัติควร
ให้ความสนใจ ซึ่งรายละเอียด (วิรุฬห์ นิ ลโมจน์, 2528 : 51-55
และ ทวีป ศิรริ ศ
ั มี , 2537 : 12-16) มีดังนี้
76
1. เป็ นการวิจัยที่เริม
่ มาจากความต้องการที่จะปรับปรุงการ
ปฏิบัติงานที่เป็ นอยู่ให้ดีข้ ึน
2. การวิจัยเชิงปฏิบัติการเริม
่ ต้นจากปั ญหาทางสังคมหรือ
ปั ญหาทางการปฏิบัติมากกวูาที่
จะเริม
่ ต้นด้วยปั ญหาทางทฤษฎี ผลการวิจัยมูุงนำาไปใช้เพื่อแก้
ปั ญหาในทันที
3. เป็ นการวิจัยที่นิยมศึกษากับประชากรมากกวูาที่จะศึกษา
กับกลูุมตัวอยูาง ซึ่งเป็ น
ตัวแทนทางทฤษฎีของกลูุมประชากร ทั้งนี้ เนื่ องจากผลการวิจัย
หรือความร้่ที่ได้จากการวิจัยอยู่ในวงจำากัด ภายใต้สภาพแวดล้อม
และปั ญหาเฉพาะอยูาง เฉพาะกรณี ผลการวิจัยจึงใช้กับเฉพาะ
กลูุมที่รูวมทำาวิจัยเทูานั้ น ไมูได้มูุงนำาผลการวิจัยหรือความร้่ไปสรุป
อ้างอิงกับกลูุมประชากรอื่น หรือสภาพการณ์อ่ ืนที่แตกตูางออกไป
การประเมินผลการวิจัยจึงประเมินในแงูของการนำาไปใช้กับเฉพาะ
กรณี ไมูประเมินในแงูของความเที่ยงตรงทัว่ ไปหรือความเที่ยงตรง
ภายนอก (universal validity or external validity)
4. โดยทัว่ ไปแล้วการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็ นการวิจัยที่ดำาเนิ น
การรูวมกันระหวูางทีม
นั กวิจัย และผ้่ปฏิบัติงานซึ่งเป็ นกลูุมประสบปั ญหาโดยตรง
5. แบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็ นแบบเชิงพัฒนา
(developmental design) คือ จุดมูุงหมาย
การวิจัย สมมติฐาน และวิธีการวิจัย สามารถเปลี่ยนแปลงและ
กำาหนดขึ้นมาใหมูได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของโปรแกรม
77
การปฏิบัติ ความก้าวหน้าของการวิจัยหรือเมื่อสภาพการณ์และ
เงื่อนไขบางอยูางเปลี่ยนแปลงไป
6. ผ้่เข้ารูวมในโปรแกรมการวิจัยเชิงปฏิบัติการ จะต้องได้รบ
ั
การฝึ กในเรื่องของกลูุม
พลวัฎ (group dynamics) เพื่อเป็ นพื้ นฐานสำาหรับการปฏิบัติงาน
รูวมกัน และอาศัยทฤษฎีเกี่ยวกับกลูุมพลวัฏ เป็ นทฤษฎีนำาในการ
ปฏิสัมพันธ์ของผ้เ่ ข้ารูวมในการดำาเนิ นการวิจัย เพราะปั ญหายูุง
ยากตูาง ๆ มักจะเกิดขึ้นได้เสมอในการทำางานเป็ นกลูุม การใช้
ทฤษฎีเกี่ยวกับกระบวนการกลูุมและการฝึ กในเรื่องของกลูุมพลวัฏ
จึงมีความจำาเป็ นอยูางยี่งสำาหรับการทำาวิจัยเชิงปฏิบัติการ
7. เป็ นการวิจัยมูุงปรับปรุงการปฏิบัติงานของหนูวยงาน และ
ในขณะเดียวกันมูุงให้
บุคลากรในหนูวยงานนั้ น พยายามปรับปรุงทัศนคติเกี่ยวกับการ
ทำางานเป็ นกลูุมด้วย
8. การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็ นการประเมินผลตนเอง ของผ้่
ปฏิบัติงานอยูางตูอเนื่ องเพื่อการ
ปรับปรุงการปฏิบัติงานให้ดีข้ ึน ทั้งนี้ ในการประเมินผลนั้ นการวิจัย
เชิงปฏิบัติการมูุงให้ผ้่ปฏิบัติงานประเมินผลในลักษณะที่มีความ
เป็ นปรนั ย มีทักษะในกระบวนการวิจัย และมีความสามารถในการ
ที่จะทำางานรูวมกับผ้่อ่ ืน ได้อยูางประสมกลมกลืน (harmoniously)
และมีความรับผิดชอบทางวิชาชีพ หรืองานที่ปฏิบัติ
9. นั กปฏิบัติซ่ึงเป็ นผ้่ท่ีทำาการวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือ ผ้ท
่ ่ี
ประสบปั ญหา ทั้งนี้ การวิจัยเชิง
78
15. การวิจัยเชิงปฏิบัติการเกี่ยวข้องกับเรื่องของนวัตกรรม
และการเปลี่ยนแปลง
(innovation and change) และวิธีการในการนำานวัตกรรมและการ
เปลี่ยนไปใช้ในการปรับปรุงระบบการทำางานที่เป็ นอยู่ให้ดีข้ ึน
16. การวิจัยเชิงปฏิบัติการมีลักษณะการดำาเนิ นการ ที่
เป็ นการประเมินผลการปฏิบัติงานไป
ด้วยในตัว การวิจัยเชิงปฏิบัติการจะมีการประเมินผลการดำาเนิ น
การวิจัยวูาได้ดำาเนิ นการก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงไร กูอให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติงานเพียงใด เพราะจุดมูุงหมายสำาคัญ
เบื้ องต้นของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ คือ ต้องการให้มีการ
เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ในการปฏิบัติงาน การประเมินผลจึงเป็ น
กิจกรรมที่ต้องการจะค้นหาวูาเกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำางานไป
ในทิศทางที่ต้องการมากน้อยเพียงไร
17. การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็ นการวิจัยที่ดำาเนิ นการใน
สภาพแวดล้อมทางสังคมเฉพาะแหูง
เฉพาะกรณี และไมูพยายามที่จะควบคุมตัวแปรโดยเครูงครัดหรือ
พยายามชดเชย (compensate) โดยวิธีการทางสถิติสำาหรับตัวแปรที่
ควบคุมไมูได้
18. ตลอดระยะเวลาในการดำาเนิ นการในโครงการวิจัยเชิง
ปฏิบัติการ จะมีการเก็บรวบรวม
ข้อม่ล ขูาวสารตูาง ๆ มีการอภิปรายข้อม่ลขูาวสารที่เก็บรวบรวม
มาได้ มีการบันทึกข้อม่ลขูาวสาร มีการประเมินผล และจัดกระทำา
ข้อม่ลขูาวสารเป็ นระยะ ๆ อยูางตูอเนื่ อง (from time to time) ซึ่ง
การวิจัยเชิงปฏิบัติการให้ความเชื่อถือมากในข้อม่ลเชิงประจักษ์
80
และข้อม่ลทางพฤติกรรมความตูอเนื่ องกันของกิจกรรมตูาง ๆ ใน
กระบวนการวิจัยจะเป็ นตัวกำาหนดเกณฑ์การพิจารณาความ
ก้าวหน้าของโครงการวิจัย
19. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อม่ลในระหวูางการ
ดำาเนิ นการวิจัย มักจะต้อง
พัฒนาขึ้นมาอยู่เสมอ เพราะเมื่อสภาพการณ์หรือเงื่อนไขบางอยูาง
เปลี่ยนแปลงไป ในหลาย ๆ กรณี ผ้่มีสูวนรูวมในการวิจัยอาจจะ
ต้องสร้างเครื่องมือ หรือคิดหาวิธีการในการเก็บรวบรวมข้อม่ลขึ้น
มาใหมู เพื่อให้สอดคล้องกับจุดมูุงหมายและสมมติฐานของการ
วิจัยที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพการณ์ และเงื่อนไขดังกลูาว
ที่เปลี่ยนไป
20. การวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็ นการวิจัย ที่อิงวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์มาใช้แตูไมูยึดมัน
่ อยู่กับ
มาตรฐานของแบบการวิจัยที่เป็ นแบบแผน (formal research
design) มากนั ก เนื่ องจากจุดมูุงหมายสำาคัญของการวิจัยเชิง
ปฏิบัติการอยู่ท่ีการแก้ปัญหาในสภาพแวดล้อมเฉพาะหน้า ไมูได้มูุง
เพื่อแสวงหาความร้่ทางวิทยาศาสตร์ หรือการวางนั ยสรุปทัว่ ไปที่
สามารถนำาไปอ้างอิงกับสภาพแวดล้อมอื่นเป็ นสำาคัญ แตูการวิจัย
เชิงปฏิบัติการมูุงให้ได้มาซึ่งความร้่ท่ีเหมาะสมสำาหรับสภาพการณ์
และจุดมูุงหมายเฉพาะในการทำาวิจัยในครั้งนั้ น ๆ เทูานั้ น
21. ในขณะที่โครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการกำาลังดำาเนิ นอยู่น้ ั น
ผ้่มีสูวนรูวมในการวิจัยจะ
ปฏิบัติตามแนวทางหรือแนวคิด (สมมติฐาน) ที่กำาหนดไว้ซ่ึง
ลักษณะนี้ เป็ นการทดสอบสมมติฐาน โดยการปฏิบัติจริง (testing
81
และให้ผ้่ปฏิบัติได้เข้าใจจุดมูุงหมายหลักของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ที่แท้จริง เพื่อจะได้ใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการได้ถ่กต้องตาม
ลักษณะของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการนำาเสนอผลการวิจัย
ที่ได้จากกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการในขอบเขตที่เหมาะสมและ
ถ่กต้องตามหลักการของการวิจัยประเภทนี้
นุ ชวนา เหลืองอังก่ร (2551 : 2-5) ได้นำาเสนอประเด็น
อภิปรายเกี่ยวกับ “การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)”
และ “การวิจัยโดยผ้่ปฏิบัติการ (Practitioner Research) โดย
พิจารณารายละเอียดใน 3 ประเด็นตูอไปนี้
1. ประเด็นที่หนึ่ ง ที่มาของปั ญหาการวิจัยและแนวทางการ
แก้ปัญหา การวิจัยทั้ง
2 ประเภทเป็ นการวิจัยในปั ญหาที่ผ้่วิจัยประสบ แตูการวิจัยโดยผ้่
ปฏิบัติงาน อาจไมูเน้นการทำางานเป็ นทีมมากเทูากับการวิจัยเชิง
ปฏิบัติการ ข้อควรคำานึ งคือ การเลือกปั ญหาของการวิจัยนั้ นควร
เป็ นปั ญหาสำาคัญของที่ทำางานซึ่งคาดวูาจะสามารถปรับปรุงได้โดย
การวิจัย เชูน การพัฒนาความรูวมมือเพื่อแก้ปัญหาตูาง ๆ เป็ นต้น
ซึ่งกลูาวโดยสรุปคือ การวิจัยทั้ง 2 ประเภทจะมีท่ีมาของปั ญหาการ
วิจัยคล้าย ๆ กัน คือ ผ้่ปฏิบัติงานพบปั ญหาในหน้าที่การงานของ
ตนหรือต้องการพัฒนางาน จึงดำาเนิ นการวิจัยโดยพยายามเลือก
หัวข้อที่นูาจะสามารถแก้ปัญหาโดยอาศัยความรูวมมือของผ้่วิจัย
และผ้่เกี่ยวข้อง สูวนความแตกตูางคือ การวิจัยเชิงปฏิบัติการเน้น
การทำางานเป็ นทีม (Team Work) และการมีสูวนรูวม
(Participatory) ของผ้่รวู มวิจัย ขณะที่การวิจัยโดยผ้่ปฏิบัติงานเน้น
83
การพยายามแก้ปัญหาและตัดสินใจโดยผ้่วิจัยเองหรือเพียงอาศัย
ความรูวมมือ (Collaboration) ของผ้่อ่ ืน
2. ประเด็นที่สอง ร่ปแบบของความสัมพันธ์ระหวูางนั กวิจัย
กับผ้่วิจัย งานวิจัยเชิง
ปฏิบัติการเป็ นการทำาวิจัยโดยผ้่ท่ีประสบปั ญหาหรือผ้่ทเี่ กี่ยวข้อง
กับปั ญหา ทั้งนี้ เน้นการทำางานเป็ นทีมโดยอาจจำาแนกเป็ น 3 ร่ป
แบบ ตามบทบาทความสำาคัญของผ้่วิจัย และผ้่รูวมวิจัยกลูาวคือ
1) การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีสูวนรูวมเชิงเทคนิ ควิธี
(Technical Action
Research) เป็ นการทำาวิจัยในลักษณะที่เกิดจากบุคคลหรือกลูุมคน
ที่มีประสบการณ์หรือมีอำานาจส่งกวูา ดังนั้ น ผ้่ท่ีทำาหน้าที่อำานวย
การวิจัยจึงคูอนข้างมีบทบาทในการออกแบบหรือควบคุมทิศทางใน
การวิจัย ตัวอยูางเชูน ผ้่บริหารโรงเรียนแหูงหนึ่ งมีความเห็นวูาคร่
สูวนใหญูในโรงเรียนยังคงจัดกิจกรรมการเรียนร้่โดยคร่เป็ นผ้่สอน
หรือถูายทอดความร้่แกูนักเรียน จึงต้องการจะพัฒนาคร่ให้ปรับ
เปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การจัดกิจกรรมการเรียนร้่ที่เน้นผ้่เรียนเป็ น
สำาคัญ ทั้งนี้ ความลำาบากคือการโน้มน้าวให้คร่ในโรงเรียนตระหนั ก
ในปั ญหารูวมกันและรูวมมือในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียน
ร้่
2) การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีสูวนรูวมเชิงปฏิบัติ
(Practical Action Research)
เป็ นการทำาวิจัยที่เกิดจากผ้่ปฏิบัติงานต้องการพัฒนางาน โดยอาศัย
การสะสมความร้่ ประสบการณ์และความสามารถซึ่งได้จากการ
ทำางานรูวมกับผ้่รูวมงาน ลักษณะการทำาวิจัยคูอนข้างอาศัยการ
84
ประสานงานและหาแนวทางแก้ปัญหารูวมกันระหวูางผ้่วิจัยและผ้่
รูวมวิจัย แตูอยู่ในกรอบงานเดิม
3) การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบปลดปลูอยให้เป็ นอิสระ
(Emancipatory Action
Research) เป็ นการวิจัยที่จะกูอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรุนแรงกวูา
แบบที่ 1 และ 2 ผ้ว่ ิจัยต้องใช้ความสุขุม รอบคอบ ความเป็ น
วิชาชีพชั้นส่งเข้ารูวม โดยมีความมูุงหมายเพื่อปลดปลูอยผ้่ท่ีมีสูวน
รูวมทั้งหมดให้หลุดพ้นจากการควบคุม บังคับ ความกดดัน จาก
ระบบระบอบเดิม
นั กวิจัยเชิงปฏิบัติการบางกลูุมมีความเชื่อวูา การวิจัย
เชิงปฏิบัติการแบบปลดปลูอย
ให้เป็ นอิสระ เพียงแบบเดียวที่ถือวูาการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบ
บริสุทธิเ์ พราะเน้นการมีสูวนรูวมของทุกฝาย หรืออาจเรียกวูา การ
วิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีสูวนรูวม (Participatory Action
Research : PAR)
สูวนการวิจัยโดยผ้่ปฏิบัติการ ไมูเครูงครัดในเรื่องการ
ทำาวิจัยคนเดียวหรือทำางานวิจัยเป็ นทีม แตูเน้นวูาเป็ นการพัฒนา
งานโดยผ้่ปฏิบัติงานเอง หากผ้่วิจัยเลือกทำางานวิจัยคนเดียวการ
ตัดสินใจตูาง ๆ ก็จะขึ้นกับคนเพียงคนเดียว ในขณะเดียวกันหาก
ผ้่วิจัยทำางานกับผ้่รูวมวิจัยก็มักจะมีความสัมพันธ์ในลักษณะอาศัย
ความรูวมมือ (Collaboration) จากผ้่อ่ ืน งานวิจัยลักษณะดังกลูาว
เรียกวูา การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบอาศัยความรูวมมือ
(Collaboration Action Research : CAR)
85
8. ใช้การบรรยายข้อม่ลจากสัญลักษณ์ทางภาษาที่แสดงออก
มาในชีวิตประจำาวัน
9. กลูุมผ้่มีสูวนเกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบความเที่ยงตรง
ของข้อม่ลได้อยูางอิสระ
10. เปิ ดรับหรือรวบรวมข้อม่ลได้อยูางอิสระภายในกลูุมหรือ
ในระหวูางการปฏิบัติ
นอกจากนี้ Mckernan (1996) ยังได้กลูาวถึงการวิจัยปฏิบัติ
การมีหลักการสำาคัญอยู่ 16 ประการ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. เพิ่มพ่นความเข้าใจในปั ญหาตูาง ๆ
2. มูุงปรับปรุงการปฏิบัติตนและการปฏิบัติงานของบุคคล
3. เน้นที่ปัญหาเรูงดูวนของผ้่ปฏิบัติงาน
4. ให้ความสำาคัญตูอความรูวมมือกันของผ้่มีสูวนเกี่ยวข้อง
5. ดำาเนิ นการวิจัยภายใต้สถานการณ์ท่ีกำาลังเป็ นปั ญหา
6. ผ้่เกี่ยวข้องมีสวู นรูวมอยูางเป็ นธรรมชาติ
7. เน้นการศึกษาเฉพาะกรณี หรือศึกษาเพียงหนูวยเดียว
8. ไมูมีการควบคุมหรือจัดกระทำาตูอตัวแปร
9. ปั ญหา วัตถุประสงค์ และระเบียบวิธี มีลักษณะเป็ นกระ
บวนการสืบเสาะหาความร้่ความจริง
10. มีการประเมินหรือสูองสะท้อนผลที่เกิดขึ้นเพื่อทบทวน
11. ระเบียบวิธีวิจัยมีลักษณะเป็ นนวัตกรรม สามารถคิดขึ้น
มาใหมูให้เหมาะสมกับปั ญหาได้
12. กระบวนการศึกษามีความเป็ นระบบหรือเป็ น
วิทยาศาสตร์
13. มีการแลกเปลี่ยนผลวิจัยและมีการนำาไปใช้จริง
88
2) การวิจัยปฏิบัติการของคร่นักวิจัย (teacher-researcher)
การวิจัยปฏิบัติการตามแนวทางนี้ เป็ นการวิจัยที่ใช้คร่เป็ นฐานของ
การวิจัย โดยคร่มีการปฏิบัติแบบ “สอนไป วิจัยไป” ซึ่งเป็ นการลด
ชูองวูางในการดำาเนิ นงานระหวูางผ้่ปฏิบัติและผ้่วิจัย โดยที่ปัญหา
การวิจัยไมูใชูปัญหาที่ถ่กกำาหนดมาจากบุคคลภายนอกแตูเกิดจาก
ตัวคร่เอง และคร่ไมูจำาเป็ นต้องเริม
่ ต้นจากสมมติฐานที่มาจาก
รายงานวิจัยอื่น ๆ ที่มีนักวิจัยอื่นทำาไว้แตูเริม
่ จากความเป็ นจริงที่
ประสบอยู่และไมูใชูการวิจัยที่สะสมความร้่หรือทฤษฎีทางการศึกษา
แตูเป็ นการทำาวิจัยเพื่อใช้ข้อค้นพบนั้ นปรับปรุงการปฏิบัติงานของ
คร่เอง
2. รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการทางการศึกษาในปั จจุบัน
การวิจัยปฏิบัติการทางการศึกษาได้แพรูหลายอยูางรวดเร็ว
และมีการพัฒนาร่ปแบบอยูางมากมายในระยะตูอมา Calhoun
(1993) ได้ใช้ขอบเขตของการทำาวิจัยเป็ นเกณฑ์เพื่อจัดร่ปแบบ
ของการวิจัยปฏิบัติการทางการศึกษา ซึ่งสามารถจำาแนกออกได้ 3
ร่ปแบบ คือ การวิจัยปฏิบัติการแบบเอกัตบุคคล (individual
action research) การวิจัยปฏิบัติการแบบมีสูวนรูวม (collaborative
action research) และการวิจัยปฏิบัติการแบบทั้งโรงเรียน
(schoolwide action research) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1) การวิจัยปฏิบัติการแบบเอกัตบุคคล (Individual action
research) เป็ นการวิจัยที่ทำาโดยคร่เพียงคนเดียว โดยมีจุดประสงค์
และกระบวนการที่ต้องการเปลี่ยนแปลงในห้องเรียนเพียงห้อง
เดียว คร่จะระบุและนิ ยามขอบเขตปั ญหาที่เกี่ยวกับชั้นเรียน วิธี
การสอน ความสามารถทางสติปัญญาหรือพฤติกรรมทางสังคมของ
91
ศึกษาเหตุและผลของการปฏิบัติโดยนั กวิจัยจะเรียนร้่จากการ
สะท้อนผลด้วยตนเอง
3. อีแมนสิเปทรี่ หรือ ปาทิสิเปทรีแอกชัน
่ รีเสิร์ท
(Emancipatory or Participatory action research) การวิจัยเชิง
ปฏิบัติการแบบนี้ เน้นความเทูาเทียมกันของผ้่รูวมงานในทุก ๆ
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย คร่จะต้องเป็ นผ้่รบ
ั ผิดชอบโครงการ
วิจัยของตนเอง นั กวิจัยที่เป็ นคนภายนอกให้ความชูวยเหลือโดย
การกระตุ้นเพื่อให้คร่สามารถสร้างกลูุมสะท้อนความเห็นของเขา
เอง
6. ประเภทของการวิจัยปฏิบัติการ
สุวิมล วูองวาณิ ช (2544 : 17-20 อ้างใน สุพัฒน์ มีสกุล,
2546 : 16) ได้เสนอประเภทของการปฏิบัติการไว้ ดังนี้
1. ประเภทการวิจัยปฏิบัติการแบบเป็ นทางการและแบบไมู
เป็ นทางการ (formal and
informal research)
1.1 การวิจัยแบบเป็ นทางการ (formal research)
เป็ นงานวิจัยที่มีแบบแผนการวิจัย
เครูงครัด มีลักษณะการดำาเนิ นงานและการนำาเสนอเหมือนงานวิจัย
เชิงวิชาการ (academic research) ของนั กวิจัยมืออาชีพ นั ก
วิชาการในมหาวิทยาลัย หรือของนั กศึกษาที่ทำาเป็ นวิทยานิ พนธ์ มี
การออกแบบการวิจัยที่รด
ั กุมเพื่อให้ตอบคำาถามวิจัยได้ชัดเจน และ
มีร่ปแบบการนำาเสนอรายงานผลการวิจัยที่กำาหนดชัดเจนสูวนใหญู
จำาแนกเนื้ อหาสาระออกเป็ น 5 บท
94
แปลความหมายข้อม่ลที่ได้จากโรงเรียนหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
กระบวนการวิจัยเป็ นแบบวงจรตูอเนื่ อง ที่มีหน้าที่เหมือนการ
ประเมินความก้าวหน้า มีจุดมูุงหมายเน้นที่การปรับปรุงโรงเรียน
ได้แกู 1) การค้นหาวิธีปรับปรุงโรงเรียนเพื่อแก้ปัญหา 2) พยายาม
ปรับปรุงการทำางานเพื่อให้เกิดความเทูาเทียมกันแกูนักเรียน 3)
เพิ่มขอบขูายของสาระในการสืบค้นแนวทางการแก้ปัญหา
Mckernan(1996) (อ้างใน ประจิต เอราวรรณ์, 2545 : 7-8)
ได้แบูงการวิจัยปฏิบัติการออกเป็ น 3 ประเภท คือ
1. การวิจัยปฏิบัติการเชิงวิธีวิทยาศาสตร์ (Scientific Action
Research) เป็ นการวิจัยปฏิบัติการที่อาศัยกระบวนการวิทยาศาสตร์
เป็ นวิธีวิจัยหรือวิธีแก้ปัญหา ยกตัวอยูางเชูน
- ร่ปแบบวิจัยปฏิบัติการของ Kurt Lewin ที่มีข้ ันตอน คือ
การวางแผน (Planning) การค้นหาความจริง (fact finding) การ
ดำาเนิ นการ (execution) และการวิเคราะห์ผล (analysis)
- ร่ปแบบวิจัยปฏิบัติการของ Taba-Noel Hilda Taba ซึ่ง
เป็ นนั กทฤษฎีหลักส่ตร ได้ประยุกต์วิธีการของ Dewey ที่มี 5 ขั้น
ตอน มาใช้ในกระบวนการพัฒนาหลักส่ตรโดยแยกได้เป็ น 6 ขั้น
ตอน คือ 1) ระบุปัญหา 2) วิเคราะห์ปัญหา 3) กำาหนดแนวคิด
หรือสมมุติฐาน 4) รวบรวมและวิเคราะห์ข้อม่ล 5) ปฏิบัติการหรือ
ดำาเนิ นการ 6) ประเมินผลการปฏิบัติ
- ร่ปแบบวิจัยปฏิบัติการของ Lippitt-Radke ซึ่งมี
กระบวนการ ดังนี้
1) เริม
่ ต้นจากกลูุมที่มีความต้องการที่จะค้นหาความร้่ความ
จริง
98
2) รูวมกันกำาหนดวูา “อะไรคือสิ่งที่กลูุมอยากร้่”
3) สร้างเครื่องมือวิจัยที่เป็ นวิทยาศาสตร์ข้ ึนมา
4) กำาหนดกลูุมเป้ าหมายและทดลองใช้เครื่องมือ
5) รวบรวมข้อม่ลโดยมีการรูวมกันกำากับติดตามอยูางใกล้ชิด
6) รวบรวมข้อม่ลด้านทัศนคติท่ีเปลี่ยนแปลงไปของผ้่
เกี่ยวข้อง เชูน ตั้งคำาถามวูา “มองสิ่งตูาง ๆ แตกตูางไปจากเดิม
หรือไมูเมื่อร้่ความจริง”
7) รูวมมือกันค้นหาความจริงและนำาเสนอความจริง ซึ่งอาจ
ต้องใช้เทคนิ ควิจัยเฉพาะ และควรแบูงงานกันอยูางเสมอภาค
8) ในบางครั้งข้อค้นพบทีเ่ กิดขึ้นอาจสูงผลตูอการ
เปลี่ยนแปลงคูานิ ยมหรือการรับร้่ทางสังคมของกลูุมหรือคนใดคน
หนึ่ ง ซึ่งต้องชูวยกันสำารวจให้พบ
9) เสนอข้อค้นพบให้กลูุมอื่นร้่โดยการสนทนาหรือเขียนเป็ น
รายงาน
2. การวิจัยปฏิบัติการเชิงปฏิบัติการ (Practical-deliberative
Action Research) เป็ นการวิจัยปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับความ
เข้าใจและปรับปรุงพัฒนาวิธีการปฏิบัติงาน ซึ่งร่ปแบบนี้ จะเน้นที่
การให้เกิดการวิจัยขึ้นจากคูานิ ยมในการปฏิบัติงาน ผ้่ปฏิบัติงาน
เป็ นผ้่เริม
่ โครงการ และบทบาทของผ้่วิจัย คือ การกระตุ้น และ
ชูวยให้ผ้่ปฏิบัติงานเกิดความเข้าใจและทำาการปรับปรุงการปฏิบัติ
งาน เชูน
- ร่ปแบบวิจัยปฏิบัติการของ John Elliott จะเน้นวิธีการให้ผ้่
ปฏิบัติงานสูองสะท้อนการพัฒนาตนเอง ในมุมมองของ John
99
Elliott เขาเชื่อวูาการวิจัยปฏิบัติการจะนำาไปสู่การปรับปรุงคุณภาพ
ชีวิตที่ดีในสถานการณ์ทางสังคม
- ร่ปแบบวิจัยปฏิบัติการของ David Ebbutt ซึ่งเสนอวูา
แนวทางที่ดีท่ีสุดในการคิดเชิงกระบวนการคือ ลำาดับขั้นตอนตาม
วงจรแหูงความสำาเร็จ ไมูใชูการดำาเนิ นการแบบเกลียว
3. การวิจัยปฏิบัติการเชิงอิสระ (Emancipatory Action
Research) เป็ นการวิจัยปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนอง
ความต้องการขององค์กร โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจ
และปรับปรุงการปฏิบัติงาน โดยกลูุมผ้่วิจัยมีอิสระในการเผชิญ
หน้ากับปั ญหา และรูวมมือกันแสวงหาวิธีการที่ดีท่ีจะแก้ไข แล้ว
สูองสะท้อนตนเองจากผลการปฏิบัติ เชูน ร่ปแบบวิจัยเชิงปฏิบัติ
การของมหาวิทยาลัย Deakin หรือการวิจัยปฏิบัติตามร่ปแบบของ
Kemmis และคณะ ซึ่งมีความคิดวูา กระบวนการวิจัยปฏิบัติการมี
ลักษณะเป็ นเกลียว (spiral) ประกอบด้วย การวางแผน การปฏิบัติ
การสังเกตผล และการสะท้อนผล ซึ่งร่ปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติ
การร่ปแบบของ Kemmis และคณะผ้่วิจัยได้นำามาเป็ นแนวทางใน
การวิจัยในครั้งนี้
7. ขั้นตอนของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
ขั้นตอนของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (ทวีป ศิรริ ศ
ั มี ,
2537 : 15-18 อ้างใน สุพัฒน์ มีสกุล, 2546 : 18) มีดังนี้
1. สำารวจ การประเมิน และการกำาหนดปั ญหา
(indentification , evalution and
formulation of the problem) การวิจัยเชิงปฏิบัติงานจะเริม
่ ขึ้นจาก
ผ้่ปฏิบัติงาน เกิดความร้่สึกไมูพอใจกับสภาพการทำางานและผล
100
ขณะเดียวกันนั กวิจัยก็สามารถมีสูวนรูวมโดยการเสนอทางแก้
ปั ญหา ในฐานะสมาชิกคนหนึ่ งได้
3. การเลือกทางแก้ปัญหาและตั้งสมมติฐาน (selecting the
course of action and
developing the hypotheses) เมื่อผ้่เข้ารูวมการวิจัยได้รูวมกันเสนอ
ทางแก้ปัญหาอยูางทัว่ ถึงแล้ว ตูอจากนั้ นก็จะรูวมกันอภิปรายเพื่อ
เลือกทางเลือกที่เสนอมานั้ น เกณฑ์สำาหรับนำามาประกอบการ
พิจารณา เลือกทางแก้ปัญหาอยูางน้อยที่สุด จะต้องประกอบด้วย
เกณฑ์ตูอไปนี้
3.1 ทางแก้ปัญหานั้ นสามารถนำาไปปฏิบัติเพื่อแก้
ปั ญหาได้หรือไมู และมีความเป็ นไป
ได้เพียงใดในการแก้ปัญหานั้ น
3.2 ทางแก้ปัญหานั้ นสอดคล้องกับวิถีชีวิต คูานิ ยมที่
สังคมยอมรับและต้องการหรือไมู
3.3 ทางแก้ปัญหานั้ นมีทฤษฎีหรือหลักการอะไร
รองรับหรือไมู เมื่อตกลงใจเลือกทาง
แก้ปัญหาได้แล้ว ก็นำาทางแก้ปัญหาที่รูวมกันเลือกมานั้ นพัฒนา
เป็ นสมมติฐานสำาหรับการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหานั้ นตูอไป
สมมติฐานในการวิจัยเชิงปฏิบัติการจะต้องประกอบ
ด้วยสูวนที่จะเน้นการปฏิบัติหรือวิธีการ (action or procedure)
และสูวนที่เป็ นเป้ าหมายหรือผลลัพธ์ (goal or output) ในการตั้ง
สมมติฐานของการวิจัยเชิงปฏิบัติการจะพิจารณาวูา
1) เป็ นสมมติฐานที่ทดสอบได้หรือไมู
102
รวบรวมข้อม่ลการปฏิบัติอยูางละเอียดรอบคอบ ซึ่งการรวบรวม
ข้อม่ลนั้ น อาจทำาเป็ นบันทึกประจำาวันหรืออนุ ทินการทำาตาราง
ปฏิบัติงาน การทำาตารางวิเคราะห์และเวลา เป็ นต้น
ขั้นตอนที่ 4 การสังเกตผล เป็ นการเก็บรวบรวมข้อม่ล
ระหวูางและภายหลังการดำาเนิ นงานตามแผน วิธีการที่ใช้ในการเก็บ
รวมรวมข้อม่ลอาจใช้วิธีการเชิงปริมาณ เชูน การใช้แบบสอบถาม
แบบสำารวจ แบบวัด แบบบันทึกการสังเกต แบบทดสอบ หรือวิธี
การเชิงคุณภาพ เชูน การสังเกต การสัมภาษณ์ การสนทนากลูุม
ฯลฯ ก็ได้
ขั้นตอนที่ 5 การส่องสะท้อนผล เมื่อได้ข้อม่ลและผลการ
ปฏิบัติตามแผนที่กำาหนดไว้แล้ว นั กวิจัยรวมทั้งผ้เ่ กี่ยวข้องต้องมี
การรูวมกันพิจารณาจุดเดูนจุดด้อยที่ต้องพัฒนา หรือแก้ไขตูอไป
การรวบรวมข้อม่ลในขั้นตอนนี้ อาจใช้แบบประเมินผล การ
สัมภาษณ์ การสนทนากลูุม หรือเทคนิ คการระดมสมอง เป็ นต้น
หลังจากที่นักวิจัยทำาการประเมินผลการปฏิบัติงานตาม
แผนที่กำาหนดไว้แล้ว นั กวิจัยสามารถดำาเนิ นการได้ในลักษณะ 2
ลักษณะ คือ
1. ในกรณี ท่ีแผนงานนั้ นสามารถแก้ปัญหา หรือพัฒนาในสิ่ง
ที่ต้องการได้สำาเร็จ หรือ
2. ในกรณี ท่ีแผนงานนั้ นยังไมูสามารถแก้ปัญหา หรือพัฒนา
ได้ตามจุดประสงค์ท่ีกำาหนดไว้
ซึ่งขั้นตอนการวิจัยปฏิบัติการทางการศึกษา ทั้ง 5 ขั้นตอนนี้
ผ้่วิจัยได้ใช้เป็ นแนวทางในการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาการ
106
จัดการเรียนการสอนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียนใน
ครั้งนี้
8. ข้อจำากัดของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
การวิจัยเชิงปฏิบัติการจะมีประโยชน์มากมาย แตูโดย
ธรรมชาติและหลักการของการวิจัยปฏิบัติการก็สูงผลให้เกิดข้อ
จำากัดของการวิจัยนี้ หลายประการเชูนกัน (สุวิมล วูองวาณิ ช, 2544
ก. : 16) ดังรายละเอียดตูอไปนี้
1. การมีสูวนรูวมของผ้่ปฏิบัติซ่ึงเป็ นหลักการสำาคัญของการ
วิจัยสูงผลกระทบตูอขอบเขต
และขนาดของงานวิจัย การวิจัยแบบนี้ มักจะมีขนาดเล็กซึ่งทำาให้มี
ผลตูอความเป็ นตัวแทนของข้อค้นพบ จึงกูอให้เกิดข้อจำากัดในการ
สรุปอ้างอิงผลการวิจัย
2. งานวิจัยทัว่ ไปไมูยอมให้มีตัวแปรภายนอกสูงผลรบกวน
โดยออกแบบการวิจัยให้
สามารถควบคุมตัวแปรภายนอกได้ และก็สามารถดำาเนิ นการจัด
กระทำาได้ เนื่ องจากงานวิจัยแบบนั้ นไมูได้ทำาเป็ นสูวนหนึ่ งของการ
ปฏิบัติจริงในชีวิตประจำาวัน แตูสำาหรับงานวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้น
เรียน มักมีปัญหาในประเด็นนี้ เนื่ องจากสภาพการณ์ท่ีเกิดในชั้น
เรียนจะปลูอยให้เป็ นไปตามธรรมชาติ ข้อค้นพบที่ได้รบ
ั บางครั้งไมู
สามารถยืนยันได้หนั กแนูนวูาเนื่ องมาจากปั จจัยใด แตูตราบใดที่
ปั ญหาในชั้นเรียนหมดไป ก็ถือวูาการวิจัยครั้งนั้ นประสบความ
สำาเร็จ
3. ธรรมชาติของงานวิจัยถ่กกำาหนดด้วยเงื่อนไขที่มีเรื่องของ
คุณธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
107
เชิงปฏิบัติการยังแตกตูางจากการวิจัยประเภทอื่นกลูาวคือ ผลการ
วิจัยที่ได้จะต้องมีการนำาเสนอเพื่อทำาการแลกเปลี่ยน ทำาการ
วิพากษ์จากผ้่รูวมงาน และผ้่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็ นกระบวนการวิจัยที่
มูุงให้เกิดความรูวมมือในกลูุมที่ใช้ด้วย นั ่นคือ การวิจัยชนิ ดนี้ ไมู
ควรจะทำาตามลำาพังและควรใช้วงจรของกระบวนการวิจัยซึ่ง
ประกอบด้วย การวางแผน การปฏิบัติ การสังเกต และการสะท้อน
ผลการปฏิบัติ เพื่อนำามาปรับปรุงแผนงาน แล้วดำาเนิ นกิจกรรมที่
ปรับปรุงใหมู ซึง่ วงจรของ 4 ขั้นตอนดังกลูาว จะมีลักษณะการ
ดำาเนิ นการเป็ นบันไดเวียน กระทำาซำ้าตามวงจรจนกวูาจะได้ผล
ปฏิบัติการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางพัฒนาขึ้นโดยรับฟั งความ
คิดเห็น ข้อติเตียนผ้่เกี่ยวข้องอื่น ๆ คือ คร่ นั กเรียน ผ้่
ปกครอง ผ้บ
่ ริหาร หรือสังคมภายนอก บันทึกผลการปฏิบัติการ
ที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทุก ๆ ขั้นตอน
2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจพอเพียง
ชัยรินทร์ ชัยวิสิทธิ ์ (2545) ได้วิจัยเรื่อง การวิจัยเชิง
ปฏิบัติการแบบมีสูวนรูวมเพื่อสร้างเสริมคูานิ ยมตามแนวคิด
เศรษฐกิจพอเพียงให้นักเรียนและชุมชนด้วยโครงงานอาชีพ ผล
การวิจัยพบวูา ในการทำาโครงงานอาชีพของนั กเรียนนั้ นยังมีการใช้
จูายฟู ุมเฟื อย ใช้วส
ั ดุอุปกรณ์ไมูคุ้มคูา ไมูประหยัดและใช้อยูางสิ้น
เปลืองรวมทั้งยังไมูมีการแลกเปลี่ยนพันธ์ุพืช พันธ์ุสัตว์ เครื่องมือ
และความร้่ตูาง ๆ แกูกัน หลังจากที่นักเรียนได้เรียนร้่เรื่องแนวคิด
เศรษฐกิจพอเพียงแล้วได้นำาไปประยุกต์ใช้ในโครงงานปรากฏวูา
นั กเรียนมีการใช้จูายในโครงงานอยูางประหยัด มีการใช้วัสดุ
อุปกรณ์อยูางคุ้มคูา มีการแลกเปลี่ยนพันธ์ุพืช พันธ์ุสัตว์ และความ
109
บทที่ 3
วิธีดำาเนิ นการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ ใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)
ตามแนวคิดของเคมมิสและแมคทาคกาท (Kemmis and
McTaggart , 1982 อ้างใน ประจิต เอราวรรณ์, 2545 : 15-16)
เพื่อเสริมสร้างศักยภาพผ้่บริหาร และคร่ด้านการจัดการเรียนร้่ตาม
แนวทางของเศรษฐกิจพอเพียงในโรงเรียนสังกัดสำานั กงานเขต
พื้ นที่การศึกษาปทุมธานี เขต 1 ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน (PAOR)
ได้แกู การวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action) การสังเกต
(Observation) และการสะท้อนผล (Reflection) และผ้่วิจัยใช้วิธี
การวิจัยเชิงคุณภาพในการเก็บรวบรวมข้อม่ลที่อยู่บนแนวการ
ปฏิบัติของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยมีวิธีการดำาเนิ นการวิจัย ดังนี้
1. การกำาหนดโรงเรียนกรณีศึกษา
โรงเรียนกรณี ศึกษาที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ผ้ว่ ิจัยได้
กำาหนดคุณสมบัติ ดังนี้
1. เป็ นโรงเรียนที่ผ้่บริหารให้การสนั บสนุ นในการเข้ารูวมการ
วิจัยครั้งนี้ เนื่ องจาก
111
3. ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ
3.1 กำาหนดเนื้ อหาที่ต้องการศึกษา เพื่อให้ได้ข้อม่ลตาม
ลักษณะที่ต้องการ โดยคำานึ งถึงความครอบคลุมประเด็นที่ต้องการ
ศึกษาและความเหมาะสมของเครื่องเมือสามารถนำาไปรวบรวม
ข้อม่ลที่เกิดขึ้นตามสภาพที่เกิดขึ้นจึงจากการปฏิบัติงาน
3.2 ผ้ว่ ิจัยรูางต้นฉบับตามเนื้ อหาหรือประเด็นที่กำาหนด
3.3 เสนอผ้่เชี่ยวชาญและอาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิ พนธ์ตรวจ
สอบหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้ อหา (Content Validity) ความเหมาะ
สมของเครื่องมือที่สามารถนำาไปใช้เก็บรวบรวมข้อม่ลตามสภาพ
ความเป็ นจริงได้ และผ้่วิจัยใช้เกณฑ์การตัดสินความคิดเห็นที่มี
ตูอเครื่องมือของผ้่เชี่ยวชาญ 2 ใน 3 ของผ้่เชี่ยวชาญ หลังจากนั้ น
ให้อาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิ พนธ์ได้ตรวจสอบเครื่องมืออีกครั้งซึ่ง
เป็ นการตัดสินครั้งสุดท้าย
3.4 ผ้ว่ ิจัยนำาเครื่องมือที่ผูานการตรวจสอบจากผ้่เชี่ยวชาญ
และอาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิ พนธ์มาปรับปรุงแก้ไข และจัดพิมพ์
4. ขั้นตอนการดำาเนิ นการตามรูปแบบกระบวนการวิจัยเชิง
ปฏิบัติการ
114
1.3 ผ้่วิจัยจัดทำาปฏิทินการปฏิบัติงานวิจัยระหวูางผ้่วิจัย
กับผ้่บริหารและคณะคร่
ของโรงเรียน เพื่อเป็ นแนวทางในการดำาเนิ นการทำาวิจัยในครั้งนี้
2. ขั้นการปฏิบัตต
ิ ามแผน (Action) ในขั้นนี้ เป็ นการดำาเนิ น
การตามแผนการและปฏิทิน
การปฏิบัติงานที่ได้วางไว้ โดยมีการปรับเปลี่ยนการปฏิบัติได้ตาม
เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นจริง มีการยึดหยูุนกระบวนการให้เป็ นไปตาม
ความเหมาะสม และสามารถปฏิบัติการได้จริง ขั้นตอนในการ
ดำาเนิ นงานเป็ นไปตามปฏิทินการปฏิบัติงานที่ได้กำาหนดไว้
3. ขั้นติดตามและประเมินผลระหว่างการปฏิบัติงาน
(Observation) ในขั้นนี้ เป็ นขั้นตอน
ที่ผ้่วิจัยได้ดำาเนิ นการและลงมือปฏิบัติควบคู่กับการดำาเนิ นงาน
ตั้งแตูข้ ันแรก ผ้่วิจัยตรวจสอบการทำากิจกรรมของผ้่บริหารและคร่
ในแตูละกิจกรรม โดยจะใช้วิธีการสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติงาน
ประเมินความก้าวหน้าในการทำางาน โดยการทำาการวิเคราะห์วูาพบ
ปั ญหาและอุปสรรคในการทำางานอยูางไร โดยใช้แบบสัมภาษณ์การ
ติดตามการปฏิบัติงาน และการสอบถาม
4. ขั้นประเมินผลการปฏิบัตงิ านเมื่อสิ้นสุดกระบวนการ
(Reflection) ขั้นตอนนี้ เป็ นการ
นำาข้อม่ลที่ได้จากการดำาเนิ นงานในขั้นที่ 3 มาวิเคราะห์ สังเคราะห์
และแปลความหมาย เพื่อเป็ นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนา
ในวงรอบตูอไป
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
116
บรรณานุกรม
ความมัน
่ คงของมนุษย์ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคม
และความมัน
่ คงของมนุษย์”, วิทยานิ พนธ์, รัฐศาสนศาสตร
มหาบัณฑิต, สาขานโยบาย
สาธารณะ, วิทยาลัยการบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบ่รพา.
ชัยรินทร์ ชัยวิสิทธิ ์ .(2545). การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
เพื่อสร้างเสริมค่านิ ยมตามแนวคิด
เศรษฐกิจพอเพียงให้นักเรียนและชุมชนด้วยโครงงานอาชีพ .
วิทยานิ พนธ์ปริญญาโท.
มหาวิทยาลัยเชียงใหมู.
โครงการพัฒนาแหูงสหประชาชาติประจำาประเทศไทย. (2550).
รายงานการพัฒนาคน
ของประเทศไทย ปี 2550. กรุงเทพมหานคร :
บริษัท คีน พับพลิชชิ่ง (ประเทศไทย) จำากัด.
กลูุมเครือขูายปฏิบัติการทางการศึกษา สำานั กงานผ้่ตรวจราชการ
ประจำาเขตตรวจราชการที่ 4.
(2550). รายงานการติดตามสถานศึกษาต้นแบบ (Good
Practice) ในเขตตรวจราชการที่ 4
ด้านนำาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการจัดการศึกษา.
เอกสารหมายเลข 10/2550.
กระทรวงศึกษาธิการ.(2550). แนวทางการนำาปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียงไปจัดการศึกษาในสถาน
ศึกษา. พฤษภาคม 2550.
119
อะไร.กรุงเทพมหานคร: ศ่นย์ประสานงานกลางการดำาเนิ น
งานโครงการอันเนื่ องมาจาก
พระราชดำาริ.สำานั กพัฒนากิจการนั กเรียน นั กศึกษาและ
กิจการพิเศษ, สำานั กงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ.
กรมวิชาการ. (2542). แนวการจัดการเรียนรู้เกษตรแบบเศรษฐกิจ
พอเพียง. กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์กรมการศาสนา กระทรงศึกษาธิการ.
เกษม วัฒนชัย. (2545). การปฏิรป
ู การศึกษาไทย.
กรุงเทพมหานคร : สำานั กงานคณะกรรมการ
การศึกษาแหูงชาติ.
วิทยา อธิปอนั นต์. (2542). เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการเกษตรที่
พึ่งพาตนเอง. กรุงเทพมหานคร :
กรมสูงเสริมการเกษตร.
สุเมธ ตันติเวชกุล. (2542). “การดำาเนิ นชีวิตในระบบเศรษฐกิจพอ
เพียงตามแนวพระราชดำาริ”
ในวันพัฒนา 2542. กรุงเทพมหานคร : กรมพัฒนาชุมชน.
ประจิต เอราวรรณ์. (2545). “การวิจัยปฏิบัติการการเรียนรู้ของครู
และการสร้างพลังร่วมใน
โรงเรียน”.กรุงเทพมหานคร : สำานั กพิมพ์ดอกหญ้าวิชาการ
จำากัด.
สุพัฒน์ มีสกุล. (2546) “กระบวนการวิจัยพัฒนาศักยภาพครูใน
การทำาวิจัยในชั้นเรียน”
โรงเรียนคลองลานวิทยา จังหวัดกำาแพงเพชร, วิทยานิ พนธ์
ปริญญาโท, สาขาวิชาวิจัยและ
122
http://www.rmuti.ac.th/support/special/project/new/ar/Yachai_A
R_2_pdf
ศ่นย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดขอนแกูน กรมการศึกษา
นอกโรงเรียน. (2545).
การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research). [ออนไลน์].
http://www.geocities.com/zurin111/actionresearch1.html
124
http://secondary.kku.ac.th/sec4/mailtokongsak@kkul.kku.ac.th