You are on page 1of 13

0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 

วัสดุ
วิ บั ติ ไดอยางไร
: สาเหตุและกลศาสตร รศ.ดร. สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ
ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร หาดใหญ

บทคัดยอ

ในปจจุบันความรูเพื่อวิเคราะหสาเหตุการวิบัติของวัสดุกําลัง ประวัติการศึกษาและ
เปนที่ตองการอยางมาก เพราะอุปกรณและเครื่องจักรกลที่ใชใน ประสบการณผเู ขียน
อุตสาหกรรมมักมีราคาแพง การวิบัติของวัสดุซึ่งมีสวนประกอบของ รองศาสตราจารย ดร. สุธรี ะ ประ
เครื่องจักรดังกลาว อาจทําใหเครื่องจักรทํางานไมได ซึ่งนําไปสูการ เสริฐสรรพ เกิดทีจ่ งั หวัดยะลา พ.ศ.2496
สู ญ เสี ย ทั้ ง ในแง ข องเวลา ทรั พ ย สิ น รวมทั้ ง เกี่ ย วข อ งกั บ ความ จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยม)
ปลอดภัยในสุขภาพและชีวิตของผูที่ทํางานเกี่ยวของกับเครื่องจักร จากมหาวิ ท ยาลั ย สงขลานคริ น ทร ในสาขาวิ ช า
กลนั้ น ๆ จึ ง จํ า เป น ต อ งบํ า รุ ง รั ก ษาเชิ ง ป อ งกั น ไม ใ ห เ กิ ด การวิ บั ติ วิ ศ วกรรมเครื่ อ งกล และได รั บ ราชการในตํ า แหน ง
ทฤษฎีการวิบัติที่ศึกษากันเนนที่การคราก (yielding) แตการวิบัติ อาจารย ณ ทีภ่ าควิชาดังกลาว ตัง้ แต พ.ศ.2519 เปน
สวนใหญเปนการแตกหัก เนื่องจากความลา (fatigue fracture) ตนมา จากนั้นไดรับทุนโคลัมโบและทุนมหาวิทยาลัย
การจะวิเคราะหสาเหตุไดถูกตองจําเปนตองมีความรูพื้นฐานเกี่ยว แหงรัฐควีนสแลนด ประเทศออสเตรเลีย เพือ่ ศึกษาตอ
กับกลศาสตรการวิบตั ิ (mechanics of failure) ซึง่ ไมจาํ กัดวิสยั ทัศน ระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ในป พ.ศ.2522-
อยูเพียงการคราก บทความนี้ใหความรูเชิงเปรียบเทียบระหวางการ 2524 และ พ.ศ.2526-2530 ตามลําดับ ปจจุบนั ดํารง
วิบตั แิ บบคราก และแตกหัก โดยแสดงใหเห็นถึงปจจัยตางๆ ทีค่ วบคุม ตําแหนงรองศาสตราจารย ระดับ 8 และรองคณบดี
พฤติกรรมการวิบตั ขิ องวัสดุ รวมทัง้ แสดงหลักการของกลศาสตรแตก ฝ า ยวิ จั ย และบั ณ ฑิ ต ศึ ก ษา คณะวิ ศ วกรรมศาสตร
หัก (fracture machnics) ทีใ่ ชในงานออกแบบดวย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
บทนํา

ในระยะเวลาไม กี่ ป ที่ ผ า นมานี้ วิ เ คราะห ห าสาเหตุ ก ารวิ บั ติ เพื่ อ การ รวมวิ ช ากลศาสตร แ ตกหั ก ไว ใ นกลุ ม
ผู ที่ ส นใจเรื่ อ งการวิ เ คราะห ก ารแตก บํารุงรักษาเชิงปองกันได (preventive เดี ย วกั บ วิ ช าออกแบบเครื่ อ งกล แต มิ
หักเสียหายของวัสดุชิ้นสวนเครื่องจักร maintenance) จากประสบการณ ไดหมายความวา นักศึกษาจําเปนตอง
กลทราบดี ว า มี กิ จ กรรมฝ ก อบรม ของผู เ ขี ย น การวิ บั ติ ช ของเครื่ อ งจั ก ร เรี ย นเพราะว า ถ า นั ก ศึ ก ษาเรี ย นวิ ช า
บรรยายในเรื่ อ งดั ง กล า วหลายครั้ ง กลใหญๆ เชน ของเหมืองถานหินแม ออกแบบเครื่ อ งกลผ า น ก็ ส ามารถขอ
มาก จัดโดยหลายหนวยงาน อาทิเชน เมาะเกิ ด ขึ้ น ซ้ํ า ๆ และการแก ไ ขก็ ทํ า รั บ ใบอนุ ญ าตประกอบชี พ ได แ ล ว
ศู น ย เ ทคโนโลยี แ ละวั ส ดุ แ ห ง ชาติ แบบลองผิดลองถูกบาง ทําโดยอาศัย (ปกติกลศาสตรแตกหักมิไดรวมอยูใน
ส ถ า บั น วิ จั ย วิ ท ย า ศ า ส ต ร แ ล ะ ผู เ ชี่ ย วชาญต า งประเทศบ า ง ทํ า ให เนื้อหาวิชาการออกแบบเครื่องกล)
เทคโนโลยี สถาบั น เทคโนโลยี พ ระ แก ไ ขป ญ หาไม ถู ก จุ ด จึ ง ต อ งมี ก าร การวิ เ คราะห ก ารวิ บั ติ ใ ห ถู ก
จอมเกลา พระนครเหนือ จุฬาลงกรณ แสวงหาความรู เ พิ่ ม เติ ม โดยการเข า ตองนั้น จําเปนตองทราบสาเหตุ โดย
มหาวิทยาลัย และการไฟฟาฝายผลิต อบรมสั ม มนา อย า งไรก็ ต ามจาก เฉพาะสาเหตุเชิงกล บทความนี้ตั้งใจ
แหงประเทศไทย เปนตน การจัดแตละ ประสบการณของผูเขียนพบวาเนื้อหา เขี ย นให วิ ศ วกรทั่ ว ไปอ า นได เ ข า ใจ
ครั้ ง มี ผู ส นใจเข า ฟ ง จํ า นวนมาก และ วิ ช าการจากการอบรมสั ม มนา ต า งๆ ในศาสตรนี้ยิ่งขึ้น
บางหน ว ยงานจั ด มาแล ว มากกว า 1 ยังขาดพื้นฐานเชิงกลอยูมาก เอกสาร โดยเน น ที่ ส าเหตุ ก ารวิ บั ติ
ครั้ ง ซึ่ ง เป น ดั ช นี บ ง ชี้ ว า หั ว ข อ นี้ เ ป น ที่ ประกอบการสั ม มนา (เท า ที่ เ ห็ น ) ความแตกตางระหวางกาวิบัติโดยการ
สนใจในแวดวงอุ ต สาหกรรม และ จะเน น ด า นวั ส ดุ ศ าสตร ซึ่ ง เป น เพี ย ง คราก (yielding) และการแตกหั ก
บุคลากรในประเทศ ผูมีความรูในเรื่อง ด า นเดี ย วของการวิ บั ติ จึ ง ไม ช ว ยให (fracture) พฤติกรรมของวัสดุ, ปจจัยทีเ่ กิด
นี้ ยั ง มี น อ ยมากประกอบกั บ กิ จ การ เขาใจปญหาอยางถองแท จากการออกแบบและการใชงานที่สงเสริม
ขนาดใหญ เชน เหมืองแรถานหินของ การศึ ก ษาวิ ศ วกรรมศาสตร ให เ กิ ด การวิ บั ติ เพื่ อ เสริ ม ให ผู มี ห น า ที่
การไฟฟ า ฝ า ยผลิ ต อุ ต สาหกรรม ในประเทศไทยยังขาดหลักสูตรนี้ ถาจะ วิ เ คราะห ค วามเสี ย หายแตกหั ก ได เ ข า ใจ
ป โ ตรเลี ย ม อุ ต สาหกรรมเหล็ ก และ มี ก็ เ พี ย งระดั บ ปริ ญ ญาโทในบางแห ง สาเหตุของการวิบัติอยางถองแท
อุ ต สาหกรรมเครื่ อ งจั ก รกล เริ่ ม เทานั้น ถึงแมขอกําหนดใหมของกอง
ต ร ะ ห นั ก ว า ไ ม มี ค ว า ม รู พ อ ที่ จ ะ ประกอบวิ ช าชี พ วิ ศ วกรรม (กว.) ได

การแตกหักที่เกิดในทอลําเลียง
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
การออกแบบวิศวกรรม การนําวัสดุมาใชงานทางวิศวกรรม ทฤษฎีที่ใชขอบเขตการครากมาเปนเกณฑ
: องคความรูท จี่ าํ เปน ศาสตร มักจะหลีกเลี่ยงการรับภาระ (load) การออกแบบ โดยขาดความตระหนักวาชิ้น
แตขาดหาย ไม ไ ด โดยเฉพาะวั ส ดุ ที่ ป ระกอบเป น โครง งานอาจจะวิบัติโดยการแตกหัก (fracture)
สรางของชิ้นงาน ที่ไมวาจะเล็กขนาดปากกา ไดโดยไมตองคราก การขาดความรูอยาง
หรือใหญโตซับซอนขนาดยานอวกาศ ในโครง ลึกซึ้งในกลไกวิบัติของวัสดุเปนเหตุใหงาน
สรางที่ใหญโตซับซอน เชน เรือ เครื่องบิน ออกแบบจํานวนมากลมเหลว กลไกวิบัติที่
สะพานหรื อ เตาปฏิ ก รณ ป รมาณู ตั ว โครง ขาดหายไป คือ กลไกการแตกหัก ทฤษฎี
สรางจะตองไดรับการออกแบบใหปลอดจาก วิบัติในเนื้อหาวิชาการออกแบบเครื่องกลที่
การวิบัติในระหวางอายุใชงาน เพราะการ ใชในมหาวิทยาลัยภายในประเทศไมถือวา
วิบัติในโครงสรางเชนนี้เปนอันตรายตอชีวิต การแตกหักคือ เกณฑการออกแบบ กลไก
และทรัพยสินมาก ในเครื่องจักรกลธรรมดา การแตกหักจึงเปนองคความรูที่จําเปนแต
ทัว่ ไปผูอ อกแบบตองใหชนิ้ งานปลอดการวิบตั ิ ขาดหาย
เพื่อใหเครื่องจักรกลนั้นมีความทนทานตอ การแตกหัก
การใชงาน เปนที่เขาใจกันทั่วไปวาความทน : ความสําคัญทีถ่ กู มองขาม
ทานของเครือ่ งจักรกลนัน้ ขึน้ กับวัสดุทใี่ ช และ เกณฑการวิบัติของวัสดุที่ใชในการ
การออกแบบที่เหมาะสม (รวมทั้งการใชงาน ออกแบบเพื่อความแข็งแรง (design for
และบํารุงรักษาซึ่งเปนเรื่องของผูใช) ดังนั้นผู strength) มี 2 ประการ คือ การครากและ
ออกแบบเครื่องจักรกล หรือโครงสรางทาง การแตกหัก การครากถือเปนจุดวิบัติเพราะ
โยธา จึงตองมีความรูทั้งการออกแบบและ วัสดุไมสามารถรับแรงไดเพิ่มขึ้นอีกตอไป
วั ส ดุ ศ าสตร ความรู ท างการออกแบบคื อ รวมทั้งมีการยืดตัวออกอยางถาวร การแตก
การกําหนดรูปทรงชิ้นงานแตละชิ้นที่ทํางาน หัก คือ การที่ชิ้นสวนรับแรงดึงมากจนขาด
สัมพันธกนั เชน เพลา เฟอง เกียร และแบริง่ ออกจากกัน ในงานออกแบบเพือ่ ทนทานการ
เปนตน การออกแบบจึงแบงเปน 3 เรือ่ งหลัก ครากนั้ น ถื อ ว า การแตกหั ก เกิ ด ภายหลั ง
คือ ออกแบบเพือ่ ความแข็งแรง (ไมวบิ ตั )ิ ออก วั ส ดุ ค รากแล ว (post yield rupture)
แบบเพื่อใหไดรูปรางขนาดที่เหมาะสมและ ดังนั้นจึงคํานึงแตเพียงออกแบบใหใชงาน
ออกแบบเพือ่ การผลิต จะเห็นไดวา ผูอ อกแบบ แลววัสดุไมครากและก็เชื่อวาปลอดภัย แต
ที่ดีจะตองมีความรูกวางมากในหลายสาขา ในความเปนจริงแลวการแตกหักสามารถ
การวิบัติของวัสดุแบงไดหลายระดับ เกิดไดในชวงยืดหยุน (elastic) การที่การ
ปรากฏการณ บ างอย า งเช น การสึ ก หรอ แตกหั ก สามารถเกิ ด ก อ นการครากได นั้ น
(wear) ถือเปนการวิบัติ (จึงตองออกแบบให ทำให้การออกแบบเพื่อทนทานการคราก
ทนทานตอการสึกหรอ เชน การปรับสภาพผิว ไม ป ลอดภั ย พอเพราะชิ้ น งานสามารถ
การหลอลื่น เปนตน) แตก็ไมรุนแรงถึงระดับ วิ บั ติ ไ ด ก อ นจะถึ ง คราก การครากเป น
พังทลาย การพังทลายของวัสดุที่นิยมใชเปน ปรากฏการณที่ใชในเวลาที่วัสดุเกิดคอคอด
เกณฑออกแบบทัว่ ไป คือ การคราก (yielding) ยืดตัวออก (necking) แตการแตกหักใน
ความแข็งแรงคราก (yield strength) จึงเปน ชวงยืดหยุนเปนปรากฏการณที่เกิดขึ้นใน
สมบั ติ ป ระการแรกที่ นั ก ออกแบบใช เ ลื อ ก ทั น ที ทั น ใดเป น การวิ บั ติ ที่ เ กิ ด ขึ้ น เร็ ว มาก
วัสดุการออกแบบโดยวิธีนี้ จึงเปนการออก เช น การระเบิ ด ของถั ง ความดั น เป น ต น
แบบเพื่อทนทานการคราก (design against การวิ บั ติ โ ดยการแตกหั ก ในช ว งยื ด หยุ น นี้
yielding) ทฤษฎีวิบัติตางๆ ที่ใชกันจึงเปน จึงสําคัญ และมีอันตรายมากกวาการวิบัติ
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
โดยการคราก (โดยเฉพาะอยางยิ่งสําหรับ กั น ของเนื้ อ วั ส ดุ กลไกทั้ ง สองเป น ผล tensile test ซึ่งเปนเงื่อนไขของความ
โครงสร า งขนาดใหญ ) ดั ง นั้ น การที่ นั ก จากความเค น เฉื อ น ( τ ) และความ เคนแกนเดี่ยว)
ออกแบบเครือ่ งจักรกลและโครงสรางใหญๆ เคนจากฉาก (σ) ตามลําดับ ในทางกลั บ กั น สํ า หรั บ วั ส ดุ
ทั้งหลายยังขาดความรูเรื่องกลศาสตร เป น ที่ ท ราบกั น ดี แ ล ว ว า สถานะ เปราะเมื่ อ แรงดึ ง เพิ่ ม ขึ้ น วงกลมโมร จ ะ
แตกหัก จึงทําใหงานออกแบบนั้นไม ความเคน (state of stress) ทุกสถานะ ขยายไปชนขอบเขต การแตกหัก (σƒ)
สามารถปลอดการวิ บั ติ ไ ด อ ย า ง ประกอบด ว ยความเค น เฉื อ นและ ก อ นดั ง รู ป (ข) วั ส ดุ นี้ จึ ง ขาดออกจาก
แทจริงและนับวันจะยิง่ มีอนั ตรายมากขึน้ ความแค น ฉาก ซึ่ ง ปรากฏในรู ป ของ กั น โดยไม ป รากฏจุ ด คราก เราจะเห็ น
เมื่ อ โครงสร า งทางวิ ศ วกรรมมี ข นาด วงกลมโมร (Mohr's circle) ดังรูปที่ 1 ได ว า การครากขึ้ น อยู กั บ ขนาดของวง
ใหญ ขึ้ น และรั บ ผิ ด ชอบต อ ชี วิ ต และ ดังนั้นวัสดุที่ทุกสถานะความเคน (แม กลมโมร ส ว นการแตกหั ก ขึ้ น อยู กั บ
ทรัพยสินมากขึ้น ดังเชนที่เราประสบ แต uniaxial tensile loading) จะมี ตํ า แหน ง ของวงกลม ด ว ยเงื่ อ นไขของ
กั บ ความสู ญ เสี ย อั น เนื่ อ งจากภั ย ความเคนเฉือนและความเคนฉาก อีก การคราก และการแตกหั ก เช น นี้ วั ส ดุ
พิ บั ติ ข น า ด ใ ห ญ ทั้ ง ใ น แ ล ะ ต า ง นั ย หนึ่ ง คื อ วั ส ดุ นั้ น มี ค วามเค น ที่ เหนี ย วอาจแตกหั ก โดยไม ป รากฏจุ ด
ประเทศ เช น สะพาน หรื อ อาคาร พยายามใหวัสดุคราก และพยายาม ครากก็ได ถาสถานะความเคนทําใหวง
พาณิชยพังทลาย ให แ ตกหั ก อยู พ ร อ มกั น ดั ง นั้ น วั ส ดุ จ ะ กลมมีขนาดเล็ก และเคลื่อนไปทางขวา
ครากหรือแตกหัก จึงขึ้นอยูวาวัสดุนั้น ดั ง รู ป ที่ 2 (ก) และวั ส ดุ เ ปราะก็
กลไกการวิบตั ิ ทนต อ กลไกใดได น อ ยกว า กั น เพื่ อ ให สามารถมี จุ ด ครากได โ ดยไม แ ตกหั ก
: ทางเลือกของพฤติกรรม เข า ใจยิ่ ง ขึ้ น จึ ง กํ า หนดขอบเขตการ ถ า วงกลมนั้ น โตขึ้ น แต ไ ม ช นขอบเขต
เปราะ-เหนียว ครากด ว ย τys บนแกนความเฉื อ น แตกหัก (σƒ) ดังรูป 2(ข) นั่นคือ วัสดุ
การครากและการแตกหั ก และขอบเขตการแตกหั ก ด ว ย σ ƒ ที่เคยเชื่อวาเหนียวในรูป 1(ก) จะกลับ
เป น การวิ บั ติ ที่ เ กิ ด จากกลไกต า งกั น บนแกนความเคนฉากในรูปที่ 1 ในรูป เป น เปราะถ า มี ส ถานะความเค น ดั ง รู ป
การครากคื อ การที่ วั ส ดุ เ ริ่ ม เปลี่ ย น (ก) วัสดุแรงดึงแกนเดียว (uniaxial ten- 2(ก) และในลั ก ษณะเดี ย วกั น วั ส ดุ ที่
รูปรางไปอยางถาวร ซึ่งเกิดจากการ sile load) เมือ่ ความเคนดึง (σ) คอยๆ เคยเปราะจะกลายเปนวัสดุเหนียวก็ได
ที่ เ นื้ อ วั ส ดุ ไ ถล (slip) ไปบนระนาบ เพิ่มขึ้นนั้นวงกลมโมรก็ขยายขนาดขึ้น ถามีสถานะความเคนดังรูป 2 (ข) กลาว
การไถล (slip plane) การไถลเกิ ด ด ว ย รั ศ มี ข องวงกลมคื อ ความเค น โดยสรุ ป คื อ ความเหนี ย วความเปราะ
จากแรงเฉื อ น (shear force) และ เฉื อ นสู ง สุ ด มี ค า σ/2 การครากเกิ ด ไม ไ ด ขึ้ น กั บ วั ส ดุ อ ย า งเดี ย ว แต ขึ้ น กั บ
ระนาบการไถล คือ ระนาบที่ออนแอ เมื่ อ วงกลมขยายใหญ จ นชนขอบเขต สถานะความเคนดวย ประเด็นที่สําคัญ
ต อ แรงเฉื อ น ซึ่ ง มั ก จะวางตั ว อยู ใ น การครากชิ้นงานรับแรงดึง ในรูป (ก) นี้ คื อ วั ส ดุ ที่ คิ ด ว า เหนี ย ว และใช เ กณฑ
ทิ ศ ที่ มี ค วามเค น เฉื อ นสู ง สุ ด (maxi- จะปรากฏจุดคราก (yield point) ใน การครากมาออกแบบนั้ น จะกลั บ เป น
mum shear stress) การแตกหักคือ การทดสอบแรงดึง (tensile test) และ เปราะและวิ บั ติ โ ดยการแตกหั ก ได
การที่ วั ส ดุ ถู ก ดึ ง ให ข าดออกจากกั น เรี ย กว า เป น วั ส ดุ เ หนี ย ว (น า สั ง เกต ถ า ชิ้ น ง า น นั้ น รั บ แ ร ง ห ล า ย แ ก น
ด ว ยแรงดึ ง การขาดออกจากกั น วาถาคํานึงถึงนิยามของกลไกการไถล ความเหนี ย ว ความเปราะของวั ส ดุ ใ น
ด ว ยแรงดึ ง ดั ง นั้ น ระนาบที่ ข าดคื อ ทีท่ าํ ใหเกิดการครากแลว σys จะไมมี ตารางคุณสมบัติของวัสดุ (σys) และ
ระนาบที่ อ อ นแอต อ แรงดึ ง ซึ่ ง มั ก จะ จริง แต σys ในที่นี้คือ ความเคนดึง elongation กํ า หนดโดยการทดสอบ
เปนระนาบที่ตั้งฉากกับแรงดึง ดังนั้น ในสถานะความเค น แกนเดี่ ย วที่ ทํ า ให แรงดึงแกนเดี่ยว แตการใชงานจริงมัก
ระนาบที่ ข าดคื อ ระนาบที่ อ อ นแอ ความเคนเฉือนในเนื้อวัสดุสูงถึง τys มี ค วามเค น หลายแกนผสมอยู และ
ต อ แรงดึ ง ซึ่ ง มั ก จะเป น ระนาบที่ ตั้ ง เราพบว า ในสถานะความเค น หลาย ความเค น หลายแกนนี้ ทํ า ให วั ส ดุ
ฉากกั บ ทิ ศ ทางความเค น ฉากสู ง สุ ด แกนค า σys จะเปลี่ ย นไปในขณะที่ เปลี่ ย นพฤติ ก รรมเหนี ย ว-เปราะได
(principal normalstress) กลาวโดย τys คงที่วิศวกรจบใหมหลายทานใช การเลื อ กวั ส ดุ จ ากสมบั ติ ใ นตารางจึ ง
สรุ ป การวิ บั ติ ทั้ ง สองประเภท ค า σys ในตารางเหล็ ก โดยไม อาจไมสอดคลองกับสภาพที่ใชงานจริง
เ กิ ด จ า ก ก า ร ก ล ไ ก ต า ง กั น คื อ ตระหนักวา σys นั้นไดจาก
การไถลและการดึงเอาชนะแรงเกาะ
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 

รูปที่ 1 วงกลมโมรของ uniaxial tensile test


(ก) วัสดุเหนียวปรากฏจุดคราก σys < σƒ
(ข) วัสดุเปราะวิบตั คิ ราก σys < σƒ

รูปที่ 2 วงกลมโมรของความเคน 3 ทิศทาง


(ก) วัสดุเหนียว (σys < σƒ) เปลีย่ นสภาพเปนเปราะ (วิบตั โิ ดยการแตกหัก)
(ข) วัสดุเปราะ (σys < σƒ) เปลีย่ นสภาพเปนเหนียว (วิบตั โิ ดยคราก)

ทฤษฎีวบิ ตั ิ : จุดออนและการขาดความสมบูรณ
การเลือกใชวัสดุในทางวิศวกรรมมักจะเลือกวัสดุ "เหนียว" ซึ่งก็คือวัสดุที่ปรากฏจุดครากในการทดสอบดึงแกนเดี่ยว
(uniaxial tensile test) ดังนั้นเมื่อคํานวณความแข็งแรงใชงาน จึงคํานวณบนพื้นฐานของการคราก ทฤษฎีวิบัติที่เปนที่นิยม
ใชคือ ทฤษฎีความเคนเฉือนสูงสุด (maximum shear stress theory) และทฤษฎีพลังงานบิดเบี้ยวสูงสุด (maximum dis-
tortional energy theory) ทฤษฎีทั้งสองใหผลใกลเคียงกัน แตทฤษฎีความเคนเฉือนสูงสุดใชงายกวามาก จึงเปนที่นิยม
ทฤษฎีนี้มีหลักวา "วัสดุที่รับแรงหลายแกนจะวิบัติเมื่อความเคนเฉือนสูงสุดมีคามากกวาความเคนเฉือนสูงสุดที่จุดวิบัติของ
การทดลองความเคนดึงแกนเดี่ยว" ซึ่งสรุปเปนสมการการวิบัติไดวา การวิบัติเริ่มเกิดเมื่อ
Iσ1 -σ2l = σys หรือ Iσ2 - σ3I = σys หรือ Iσ3 - σ1I = σys (1)
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
โดยมีขอบเขตของการวิบัติ ดังรูปที่ 3(ก) ซึ่งเปนรูป ขอบเขตก็ ยั ง คงเหมื อ นเดิ ม และมี ข นาดเท า เดิ ม แต
ที่ คุ น เคยกั น ทั่ ว ไป (รู ป นี้ เ ป น ขอบเขตตามเงื่ อ นไขแรกของ ตําแหนงของขอบเขตจะเปลี่ยนไป ดังรูปที่ 3(ข) ขอบเขต
สมการที่ (1) สําหรับเงื่อนไขอื่นก็ไดขอบเขตรูปรางเหมือน การครากรูปหกเหลี่ยมเคลื่อนที่ไปบนแกนของความเคน
กั น ) เมื่ อ พิ จ ารณาจากวงกลมโมร ค า ทางซ า ยมื อ ของ อุทกสถิต (hydrostatic stress) ซึ่งเปนแกนที่ทํามุม 45 ํ
สมการคื อ เส น ผ า นศู น ย ก ลางของวงกลมโมร และค า ทาง กับ σ1 และ σ2 (เมื่อมองในระนาบของ σ1, σ2) ขอบ
ขวามื อ คื อ ขอบเขตความเค น ดึ ง แกนเดี่ ย วที่ จุ ด คราก เขตของการแตกหัก (σƒ) มีขนาดคงที่ และอยูกับที่ดังนั้น
ขนาดวงกลมสั ม พั น ธ โ ดยตรงกั บ ความเค น เฉื อ นสู ง สุ ด การที่ σ3 ≠ 0 จะทําใหขอบเขตการครากเคลื่อนตัวเขา
(คารัศมี) ซึ่งอาจเกิดในระนาบใดระนาบหนึ่ง จุดออนของ ใกลขอบเขตการแตกหักดังรูปที่ 3 (ข) อยางไรก็ตามวัสดุ
ทฤษฎีนี้ (ซึ่งมักจะไมทราบกัน) คือ ไมคํานึงความสัมพันธ ภายใตเงื่อนไขนี้ก็ยังวิบัติโดยการคราก และทฤษฎีความ
ของ σ1, σ2, σ3,ทีท่ าํ ใหตาํ แหนงวงกลมโมรเคลือ่ นทีไ่ ปมา เคนเฉือนสูงสุดก็ยงั คงใชไดอยู แตถา σ3 มีคา เพิม่ ขึน้ ขอบ
แกน σ ดังแสดงไวในรูปที่ 2 ทฤษฎีนี้มองที่ขนาดวงกลม เขตการครากจะอยูนอกเหนือขอบเขตการแตกหัก ดังรูป
โมรแตเพียงอยางเดียว เพราะไปเนนที่คาความเฉือนสูงสุด ที่ 3 (ค) สภาวะเชนนี้วัสดุจะวิบัติโดยการแตกหัก รูปที่ 3
ดั ง นั้ น ชิ้ น งานที่ คํ า นวณความแข็ ง แรง โดยทฤษฎี นี้ จึ ง ไม (ก) - (ค) จริงๆ แลวคือ การเคลือ่ นทีข่ องวงกลมโมร ในรูป
ครากแตจะวิบตั โิ ดยการแตกหักได ้ ดังรูป ที่ 2(ก) การแตก ที่ 2(ก) นั่นเอง (ในรูปที่ 2(ก) ขอบเขตการครากกําหนด
หั ก ลั ก ษณะนี้ อั น ตรายมากกว า การคราก ทฤษฎี วิ บั ติ ด ว ย โดย τys) ดังนั้น โดยสรุปแลวการใชเกณฑวิบัติในรูปที่ 3
ความเคนเฉือนสูงสุดที่ใชกันทั่วไปนั้นจึงขาดความสมบูรณ (ก) ซึ่งละเลยอิทธิพลของ σ3 และขอบเขตการแตกหัก
ความสมบูรณขาดหายไปเพราะขอบเขตการวิบัติที่แสดงใน (σƒ) เปนความผิดพลาดอยางมากของทฤษฎีความเคน
รูปที่ 3(ก) เปนขอบเขตที่ σ3 = 0 อยางไรก็ตามถา σ3 ≠ เฉือนสูงสุด
0 รูปรางของ

รูปที่ 3 ขอบเขตการครากดวยทฤษฎีความเคนเฉือนสูงสุด
(ก) เงื่อนไข σ3 = 0 วัสดุมีพฤติกรรมเหนียว (วิบัติ
โดยการคราก)
(ข) เงื่อนไข σ3 > 0 ขอบเขตการครากเคลื่อนเขา
ใกลขอบเขตหัก
(ค) σ 3 เพิ่ ม มากขึ้ น ขอบเขตแตกหั ก อยู ภ ายใน
ขอบเขตการคราก วัสดุมีพฤติกรรมเปราะ
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
สถานะความเคนในเนื้อวัสดุนอกจากจะจําแนกเปนตาม นั่ น คื อ วั ส ดุ นั้ น ถึ ง แม จ ะมี ค วามแข็ ง แรงครากต่ํ า เพี ย งใดก็ ไ ม มี
ประเภทเปนความเคนฉาก และความเคนเฉือนแลว ยังสามารถ โอกาสวิบัติโดยการคราก แตกลับแตกหักแบบวัสดุเปราะแทน
จํ า แนกตามผลที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ วั ส ดุ ไ ด ด ว ย เมื่ อ แรงมากระทํ า วั ส ดุ ทฤษฎีวิบัติที่ใชกันทั่วไปขาดความสมบูรณในสวนนี้
จะมีการเปลี่ยนแปลง 2 ประการ คือ เปลี่ยนขนาดและเปลี่ยน
รูปราง การเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 อยางเกิดขึ้นพรอมๆ กัน แตเกิด
จากกลไกตางกัน การเปลี่ยนขนาด (โดยไมเปลี่ยนรูปราง) เกิด
จากระบบความเคนอุทกสถิต (hydrostatic stress, σh) สวน
การเปลี่ ย นรู ป ร า ง (โดยไม เ ปลี่ ย นขนาด) เกิ ด จากระบบความ
เคนเบี่ยงเบน (deviatoric stress, σd) ความเคนอุทกสถิตคือ
ความเค น ฉากที่มีข นาดเท า กัน ในทุกทิศทาง ซึ่ ง หาได จ าก
σh = σ1 + σ2 + σ3 (2)
3

และความเค น เบี่ ย งเบนคํ า นวณจาก

σd = √1 [(σ1 -σ2) 2 + (σ2 - σ3) 2 + (σ3 -σ1) 2] (3)


3
ระบบความเค น ทั้ ง สองเป น อิ ส ระต อ กั น ซึ่ ง หมายความ การแตกหักที่เกิดขึ้นในภาชนะทําจากเหล็กกลา
วา ความเคนใดความเคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงได (เพิ่มขึ้นหรือลด
ลง) โดยไม ต อ งไปเปลี่ ย นแปลงอี ก ความเค น หนึ่ ง กล า วอี ก นั ย ความเคนระนาบและความเครียดระนาบ
หนึ่ ง คื อ วั ต ถุ อ าจจะเปลี่ ย นขนาดแต เ พี ย งอย า งเดี ย ว โดยไม : ความสําคัญของรูปทรง ภาระ และโครงสราง
เปลี่ยนรูปรางหรือเปลี่ยนรูปราง แตไมจําเปนตองเปลี่ยนขนาด
ก็ ไ ด ระบบความเค น ทั้ ง สองมี ค วามสั ม พั น ธ ใ กล ชิ ด กั บ ขนาด ความเคนระนาบ (plane stress) คือสภาวะที่ σ3 = 0
และตํ า แหน ง ของวงกลมโมร ที่ ไ ด ก ล า วไว ใ นตอนต น แล ว ซึ่ ง แต ε3 = 0 แต σ1, σ2, σ3 ≠ 0 (และสําคัญมากเมื่อทั้ง 3 มีคา
หมายถึงวา วงกลมโมรอาจจะโตขึ้น (τ มากขึ้น) โดยไมเปลี่ยน > 0) โดยนั ย นี้ ค วามเค น ระนาบจึ ง มี ค วามเค น เฉื อ นสู ง และมี
ตํ า แหน ง (จุ ด ศู น ย ก ลางอยู ที่ เ ดิ ม ) หรื อ วงกลมมี ข นาดเท า เดิ ม โอกาสวิบัติโดยการคราก (ดูรูปที่ 3(ก) ประกอบ) และในทาง
แต เ ปลี่ ย นตํ า แหน ง ก็ ไ ด การโตของวงกลมคื อ การเพิ่ ม โอกาส กลั บ กั น สภาพความเครี ย ดระนาบนั้ น วั ส ดุ มี โ อกาสวิ บั ติ โ ดย
การคราก สวนการเปลี่ยนตําแหนงคือ การเพิ่มโอกาสการแตก การแตกหัก (รูปที่ 3(ค) ) ความเครียดระนาบจึงเปนอันตราย
หั ก อย า งไรก็ ต ามโอกาสการแตกหั ก เกิ ด เมื่ อ ตํ า แหน ง ของ อย า งยิ่ ง สภาพความเครี ย ดระนาบอาจเกิ ด จากสาเหตุ ภ าย
วงกลมเลื่ อ นไปทางขวามื อ เท า นั้ น (ดู รู ป ที่ 2) นั่ น คื อ วั ส ดุ มี นอก เช น ลั ก ษณะของภาระหลายแกน (multiaxial load)
โอกาสวิบัติโดยการแตกหักมากขึ้น ถาความเคนอุทกสถิตมีคา ที่กระทําตอชิ้นงาน และโครงสรางที่ซับซอนที่ไมมีอิสระในการ
มาก และความเค น เบี่ ย งเบนมี ค า น อ ย ซึ่ ง จะเกิ ด ขึ้ น เมื่ อ ความ ยืด-หด จึงเกิดการดึง-ดันกันเอง หรือเกิดจากสาเหตุภายใน เชน
เคนหลักของทั้ง 3 แกนเปนความเคนดึง (พิจารณาสมการ (2) รู ป ทรงที่ ชั ก นํ า ให เ กิ ด ความเค น (induced stress) ซึ่ ง หมาย
และ (3) ประกอบด ว ย) กรณี ที่ เ ห็ น ได ชั ด คื อ เมื่ อ วั ส ดุ รั บ ความว า ชิ้ น งานแม จ ะมี ภ าระกระทํ า เพี ย งแกนเดี ย ว แต ก็ อ าจ
ภาระแบบอุทกสถิตแตเพียงอยางเดียวนั้นวงกลมโมรจะเปนจุด เกิดสภาวะความเครียดระนาบได ดังปรากฏในรูปที่ 4 เมื่อชิ้น
ซึ่ ง เป น สภาพที่ ไ ม มี ค วามเค น เฉื อ น ถ า เป น ความเค น อุ ท กสถิ ต งานมีขนาดเปลี่ยนไปและรับแรงดึง
ชนิ ด ดึ ง วั ส ดุ นั้ น จะมี โ อกาสวิ บั ติ โ ดยการแตกหั ก เพี ย งประการ
เดี ย วและเกิ ด เมื่ อ จุ ด (วงกลมโมร ) เคลื่ อ นที่ ไ ปชนขอบเขต
การแตกหั ก
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 

รูปที่ 4 การเกิดความเครียดระนาบจากความเคนชักนํา

เมื่อพิจารณาจากดานบน การยืดตัวของซีกขวาจะมากเปน 2 เทาของซีกซายมือ (เพราะขนาดความเคนตางกัน 2


เทา) เปนผลใหการหดตัวในแนวขวางตางกัน 2 เทาเชนกัน อยางไรก็ตามวัสดุบริเวณที่มีการเปลี่ยนขนาดจะตองหดเทาๆ
กัน เพื่อคงความตอเนื่องของเนื้อวัสดุไว เงื่อนไขนี้จึงชักนําใหเกิดความเคนดึงในซีกขวา (ซีกบาง) และความเคนกดในซีก
ซาย ในทํานองเดียวกันเมื่อพิจารณาจากดานขางก็จะมีการชักนําใหเกิดความเคนดึง และกดใหลักษณะเดียวกัน สถานะ
ของความเคนที่ซีกขวา (ที่ใกลรอยตอ) จึงเปนความเคนใน 3 ทิศทาง (σ1, σ2, σ3 > 0) พื้นผิวไมสามารถหดตัวไดอยาง
อิสระ และจัดเปนสภาพความเครียดระนาบ ซึ่งวัสดุบริเวณนี้จะมีโอกาสวิบัติแบบแตกหักดังไดกลาวมาแลว วัสดุบริเวณ
นี้จึงมีพฤติกรรมเปราะ (รูปที่ 2(ก) ) ในทางกลับกันวัสดุซีกซายมีแรงดึงหนึ่งทิศทางผสมแรงกดในอีกสองทิศทาง ทําใหมี
โอกาสวิบตั คิ ราก (รูปที่ 2(ข) ) วัสดุบริเวณนีจ้ งึ มีพฤติกรรมเหนียว จะเห็นไดวา วัสดุเดียวกันบนชิน ้ งานเดียวกันนี้ ซีกหนึง่ มี
พฤติกรรมเหนียว แตอกี ซีกหนึง่ ซึง่ อยูต ดิ ถัดไปนัน้ กลับมีพฤติกรรมเปราะ พฤติกรรมการวิบตั จิ งึ ขึน้ อยูก บั รูปทรงของชิน้ งานดวย
อิทธิพลของรูปทรง ภาระ และโครงสรางของชิ้นงานที่ชักนําใหเกิดพฤติกรรมเหนียว-เปราะนี้ ไมไดรวมไวในทฤษฎีวิบัติ
ความเค น เฉื อ นสู ง สุ ด ที่ ใ ช กั น ทั่ ว ไป ทฤษฎี ดั ง กล า วจึ ง เป น ทฤษฎี ที่ มี จุ ด อ อ น และขาดความสมบู ร ณ ใ นการนํ า มาใช เ พื่ อ
ออกแบบป อ งกั น การวิ บั ติ
ถาศึกษากันใหถองแทแลว จะพบวาชิ้นงานถึงแมไมมีการเปลี่ยนรูปทรงก็มีสภาพเปนความเครียดระนาบได ตัว
อยางที่เห็นเดนชัดคือ การแตกหักแบบ cup and cone เมื่อชิ้นงานกลมเรียบรับแรงดึง (uniaxial tensile test specimen)
ดังรูปที่ 5

รูปที่ 5 การขาดแบบ cup & cone อิทธิพลของความเคนระนาบและความเครียดระนาบ


0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
เพือ่ ใหเขาใจตองพิจารณาเนือ้ วัสดุขา งในเปนชิน้ งานเล็กๆ Fracture Toughness
จํานวนมากรับแรงดึงอยู ซึ่งเมื่อถูกยืดออกในแนวแกนก็ : ในมุมมองของเกณฑวบิ ตั ิ
จะพยายามหดตั ว อยู ใ นแนวขวาง แต ไ ม ส ามารถหดได ในการวิ บั ติ โ ดยการครากนั้ น ความเค น เฉื อ นที่ จุ ด
เพราะเนื้ อ วั ส ดุ ที่ อ ยู ติ ด กั น ดึ ง เอาไว (เพื่ อ รั ก ษาความต อ คราก (τys หรือ σys/2) คือ สมบัติเชิงกลที่ใชเปนเกณฑ
เนือ่ งของวัสดุ) จึงชักนําใหเกิดความเคนดึงขึน้ โดยรอบ และ กํ า หนดการวิ บั ติ ในลั ก ษณะเดี ย วกั น นี้ การวิ บั ติ โ ดยการ
เป น เงื่ อ นไขของความเครี ย ดระนาบ การวิ บั ติ บ ริ เ วณนี้ แตกหักก็จะมีสมบัติเชิงกล คือ fracture toughness (KIc)
จึงเปนการแตกหักออกในแนวตั้งฉากกับแรงดึงและแสดง เปนเกณฑ KIc เปนสมบัติของวัสดุที่หาไดจากการทดลอง
พฤติกรรมเปราะ สําหรับเนื้อวัสดุที่ผิวโดยรอบ และบริเวณ (อย า งไรก็ ต ามค า K I c มั ก ไม ป รากฏในตารางวิ บั ติ วั ส ดุ
ใกลเคียงถัดเขาไปนั้น มีขนาดความเคนดึงชักนํานอยกวา วิศวกรรมเหมือน σys)
เพราะผิ ว สามารถหดตั ว ได อ ย า งอิ ส ระ ความรุ น แรงของ วัสดุเมื่อมีรอยแตก สนามความเคนที่บริเวณปลาย
ความเครียดระนาบจึงมีนอยกวา วัสดุจึงวิบัติดวยการคราก รอยแตก ทําใหเกิดคา stress intensity factor (KI ) ซึ่งมี
โดยไถล (slip) ในแนว 45 ํ กับแรงดึง (ทิศทางความเคนเฉือน สมการทั่วไป ดังนี้
สูงสุด) และแสดงพฤติกรรมเหนียว รูปรางการวิบัติโดยรวม KI = Cσ √πa (4)
จึ ง เป น cup and cone การดึ ง ชิ้ น งานเรี ย บให ข าดออก เมือ่ C คือ คาคงทีแ่ ปรตามรูปรางชิน้ งาน,
จากกัน จึงเปนการวิบัติทั้งแบบเหนียวและแบบเปราะ ลั ก ษณะภาระและรอยแตก
บริเวณที่วิบัติในแนว 45 ํ นี้ เรียกวา shear lip ซึ่งจะ σ คือ ความเคนภายนอกที่มากระทํา
มีขนาดคงที่เสมอ (สําหรับวัสดุหนึ่ง) ดังนั้นงานขนาดใหญ ตอชิ้นงาน
(หนา) เมื่อวิบัติจะมีพื้นที่วิบัติดวย การแตกหักมากกวาพื้นที่ a คือ ครึง่ ความยาวรอยแตก
วิบัติดวยการคราก เมื่อเปนดังนี้ภาพโดยรวมของชิ้นงานนั้น
คือ "เปราะ" ในทางกลับกัน ถาชิ้นงานมีขนาดบางภาพโดย จะเห็นวา คา KI เพิม่ ขึน้ ถาภาระ (σ) มากขึน้ (หรือ
รวมของชิน้ งานคือ "เหนียว" ดังนัน้ ความเหนียวความเปราะ รอยแตกยาวขึ้น เชน กรณีของ fatigue) การแตกหักจะเกิด
นอกจากจะขึ้ น กั บ รู ป ทรงแล ว ยั ง ขึ้ น กั บ ขนาดของชิ้ น งาน ขึ้นเมื่อ KI เพิ่มถึงคา KIc ซึ่งเปนคุณสมบัติเชิงกลของวัสดุ
อีกดวย ตามปกติแลวเรามักจะคิดวาชิ้นงานขนาดใหญจะ นั้น การออกแบบโดยใชสมการ (4) เปนเกณฑมีขอดีหลาย
มี ความปลอดภั ย สู ง กว า ซึ่ ง จะจริ ง ถ า ใช ก ารครากเป น ประการคือ ไดเชื่อมโยงรูปรางชิ้นงาน ลักษณะภาระและ
เกณฑ เพราะชิ้นงานใหญจะชวยลดระดับความเคนลง แต รอยแตก (C) ขนาดของภาระ (σ) ขนาดรอยแตก (a) เขา
เมื่ อ พิ จ ารณาถึ ง การเปลี่ ย นพฤติ ก รรมจากเหนี ย วไปเป น กับคุณสมบัติเชิงกลของวัสดุ (KIc) พารามิเตอรตางๆที่นํา
เปราะ เมื่อชิ้นงานใหญขึ้นนั้นก็ไมแนวางานชิ้นนั้นจะปลอด มาพิ จ ารณานี้ ส อดคล อ งกั บ การใช ง านจริ ง กล า วคื อ ชิ้ น
วิบัติอีกตอไป จริงอยูชิ้นงานอาจไมครากแตก็มีโอกาสแตก งานจริงเมื่อใชงานนั้นจะประกอบดวย คา C, σ และ a
หั ก ได ถ า สถานการณ อํ า นวยซึ่ ง มี อั น ตรายมากกว า การ (ทฤษฎีวิบัติโดยการครากมีจุดออนประเด็นนี้) รอยแตกที่
คราก ปรากฏในสมการ (4) อาจเปนรอยแตกที่เกิดจากการผลิต
เชน รอยบากบนชิน้ งาน หรือ รอยบกพรอง (defect) ในเนือ้
วัสดุกไ็ ด เชน โพรงทีเ่ กิดจากการเชือ่ มและ inclusion ในเนือ้
โลหะเอง เปนตน คา KIc ซึ่งเปนสมบัติเชิงกลของวัสดุนั้น
เป น ค า ไม ค งที่ แ ต ขึ้ น กั บ ลั ก ษณะภาระและสิ่ ง แวดล อ ม

KIc ชือ่ เต็มคือ plane strain fracture toughness หรือ plane strain critical stress intensity factor
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
ภาระแบบพลศาสตร (dynamic) จะทําให KIc ลดลง อุณหภูมติ า่ํ Fracture Toughness
มาก ๆ ก็จะทําให KIc ลดลง คา KIc ทีล่ ดลง หมายถึง วัสดุเปราะ : ในมุมของการออกแบบ
ขึ้น วัสดุที่เคยเหนียวที่อุณหภูมิหนึ่งจะกลายเปนเปราะที่อีกอุณหภู
มิหนึ่ง ดังนั้น การวิบัติโดยสมการ (4) นี้ จึงครอบคลุมปจจัยที่มี การออกแบบเพือ่ ความแข็งแรงโดยใช fracture toughness
อิ ท ธิ พ ลต่ อ พฤติ ก รรมวิ บ ั ต ิ ข องวั ส ดุ อั น ได้ แ ก่ รู ป ร่ า งชิ ้ น งาน นัน้ ประกอบดวย 3 มุมมอง คือ KI, σ และ a ทีป่ ระกอบกันเปน
ขนาดและชนิดภาระ ขนาดรอยแตก (เนื่องมาจากกระบวนการ สมการ (4) มุมมองทั้ง 3 คือ สวนประกอบสําคัญสําหรับการออก
ผลิต) ลักษณะภาระ และสภาวะแวดลอมที่ใชงาน แบบ KI คือ องคประกอบทีใ่ ชตดั สินใจเลือกวัสดุ σ คือ สวนของ
ภาระและ a คือ สวนของการผลิตและควบคุมคุณภาพ
เกณฑการออกแบบโดยใหวัสดุเปนตัวเลือก กําหนดโดย
KI = Cσ √πa (5)

กลาวคือถาเรารูขนาด σ จากขนาดชิ้นงานและภาระและ
ขนาด a จากการตรวจสอบ (เชนใชเทคนิค x-ray radiography) เรา
สามารถคํานวณ KIc จากสมการ (5) งานออกแบบนีจ้ ะปลอดภัย
เมือ่ เลือกวัสดุใหมี KIc มากกวา KI
เกณฑการออกแบบโดยใหความเคนเปนตัวเลือกกําหนด
โดย
σC = KI c (6)
C √πa
นัน่ คือผูอ อกแบบตองเลือกวัสดุ (KIc) และขนาด a กอน แลว
(a) (b)
คํานวณความเคนวิบัติจากสมการ (6) งานออกแบบจะปลอดภัย
ลักษณะมหัพภาพของการแตกหักดึงแบบเหนียว เมื่อชิ้นงานมีภาระต่ํากวา σc
เกณฑ ก ารออกแบบโดยให ข นาดรอยแตกเป น ตั ว เลื อ ก
กําหนดโดย

ac = 1 KIc 2 (7)
π Cσ

การออกแบบโดยสมการ (7) ตองเลือกวัสดุ (KIc) รวมทั้ง


กําหนดขนาดชิน้ งาน และภาระ (σ) กอนจึงจะคํานวณ ac ได และ
ชิ้ น งานออกแบบจะใช ง านได ป ลอดภั ย ถ า การตรวจคุ ณ ภาพ
สามารถตรวจพบรอยแตกที่ขนาดเล็กกวา 2ac ได (a ในสมการ
คือ ครึง่ ความยาวรอยแตก ดังนัน้ ความยาวจริงของ รอยแตกคือ 2a)
การวิบัติ คือ การที่ความเคนสูงถึงจุดวิกฤติ และรอยแตก
(c) (d) ยาวถึงจุดวิกฤติ ดังนั้นขณะที่เกิดวิบัติจะไดความสัมพันธ

ลักษณะมหัพภาพของการแตกหักดึงแบบเปราะ
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
KIc = Cσc √πac (8) Fatigue
: ในแงมมุ ของกลศาสตรแตกหัก
ในสมการ (8) นี้มีเพียง KI c เท า นั้ น ที่ เ ป น ค า คงที่
เพราะเปนสมบัติของวัสดุ ขนาด σc จะแปรกับ ac ดังรูป การวิบัติทางวิศวกรรมเกือบทั้งหมดเปนปรากฏการณ
ที่ 6 กลาว คือ ถารอยแตกขณะแตกหักมีขนาดเล็กความ ที่ ม าจากการล า ของวั ส ดุ (fatigue) ชิ้ น งานเมื่ อ อกแบบ
เคนที่ทําใหแตกหักก็จะมาก และถารอยแตกมีขนาดใหญก็ ผลิตและนําออกใชครั้งแรกจะไมวิบัติ (เพราะถาวิบัติก็ไม
จะทน ความเคนไดนอย ในการออกแบบจริงจะมีตัวแปร 3 นําออกมาใช) แตการไมวบ ิ ตั ใิ นการใชครัง้ แรกไมไดหมาย
ตัว คือ วัสดุ (KI c) ซึ่งเปนตัวกําหนดราคาและความยาก ความวาจะไมวิบัติในวันหนา การที่ชิ้นงานทางวิศวกรรม
งายในการผลิต ภาระ (σ) ซึ่งเปนตัวกําหนดขนาด น้ําหนัก ทั้งหลายมีอายุใชงานก็แสดงวาเปนการวิบัติที่ใชเวลา (time
หรื อ ความสามารถทํ า งานได แ ละรอยแตก (a) ซึ่ ง เป น ตั ว delay failure) ซึ่งแบงไดเปน 2 พวกคือ วิบัติเมื่อภาระแบบ
กําหนดขีดความสามารถของอุปกรณตรวจรอยแตก หรือ สถิ ต และวิ บั ติ เ มื่ อ ภาระแบบวั ฏ จั ก ร การวิ บั ติ โ ดย
การลงทุนดานเครื่องมือตรวจสอบ ผูออกแบบจะตองเลือก ภาระแบบสถิ ต มี ส าเหตุ ห ลายประการ เช น วั ส ดุ เ ปลี่ ย น
ตัวแปร 2 ใน 3 ตัวนี้กอนแลว จึงจะคํานวณหาตัวแปรที่ 3 สภาพจากเหนียวเปนเปราะเมื่อเวลาผานไป ซึ่งเปนผลจาก
จากสมการ (5), (6) หรือ (7) เชน การออกแบบเครื่องบิน ส ภ า พ แ ว ด ล อ ม ใ ช ง า น ไ ด ทํ า ล า ย ค ว า ม เ ห นี ย ว
นั้น วัสดุจะถูกเลือกกอน เพราะขอจํากัดเรื่องน้ําหนัก และ (embrittlement) หรื อ เป น ผลจากการเกิ ด รอยแตกเนื่ อ ง
ภาระ จะถูกเลือกเปนลําดับถัดไปคือภาระตองสูง เพื่อลด จากความเค น ในสภาวะกั ด กร อ น (stress corrosion
น้ํ า หนั ก (ลดขนาด) ในขณะที่ มี ส มรรถนะสู ง (บรรทุ ก ผู cracking)
โดยสารไดมาก) ดังนั้นผูออกแบบจะคํานวณขนาดรอยแตก การวิบัติเมื่อภาระวัฏจักรหรือที่รูจักกันดีวาเกิดเปน
วิ ก ฤติ ที่ จุ ด วิ บั ติ จ ากสมการ (7) แล ว นํ า ผลคํ า นวณไป การลาของวัสดุ การออกแบบเพื่อปองกันความลา จึงเปน
กําหนดขีดความสามารถตรวจสอบรอยแตกของเครื่องมือ เรื่ อ งสํ า คั ญ เรื่ อ งหนึ่ ง ในการออกแบบ เพื่ อ ความแข็ ง แรง
ตรวจสอบแบบไมทําลาย (nondestructive testing) เชน (design for strength) (หลั ก สู ต รบางมหาวิ ท ยาลั ย ให
พบว า รอย แตกวิ ก ฤติ มี ข นาด 10 มม. ดั ง นั้ น เพื่ อ ความ ความสํ า คั ญ กั บ ความล า น อ ยมากทั้ ง ๆที่ ก ารวิ บั ติ ส ว น
ปลอดภั ย เครื่ อ งมื อ จะต อ งตรวจพบรอยแตกขนาดน อ ย ใหญเกิดจากความลา) การออกแบบเพื่อใหทนความลา คือ
กวา 10 มม. ได เชน 3 มม. เปนตน (ในกรณีนี้คา safety ใหความเคนนอยกวา endurance limit ทีไ่ ดจาก S-N curve
factor = √10/3 และคํานวณโดยมีปจจัยตางๆ มาประกอบ เชน คุณภาพผิว
เปนตน แตในมุมมองของกลศาสตรแตกหักมองปรากฏ-
การณของความลาลึกกวา S-N curve โดยพยายามเขาใจ
ถึงกลไกการวิบัติของความลา การเขาใจอยางถองแททําให
เราไดคําตอบตางๆมากมาย ไมเพียงแตเชื่อวา ถาความเคน
ต่ํ า กว า endurance limit แล ว ชิ้ น งานนั้ น จะไม วิ บั ติ ด ว ย
ความลา (ซึ่งไมจริง!) คําตอบเหลานี้ไดแก ถามีรอยแตก
อยูในชิ้นงาน ความแข็งแรงของชิ้นงานจะเปนอยางไร รอย
แตกใหญขนาดไหนที่จะทําใหชิ้นงานวิบัติ ชิ้นงานนี้จะมีอา
ยุเทาใด และควรวางแผนตรวจสอบซอมบํารุง อยางไร
ในวิ ช ากลศาสตร แ ตกหั ก ถื อ ว า วั ส ดุ วิ ศ วกรรมมี
รอยบกพร อ ง (defect) อยู ใ นตั ว ดั ง นั้ น ชิ้ น งานเรี ย บ
(คุณภาพผิวดี) และไมมี Stress Concentration (เชน รูหรือ
รอยบาก) ก็ ไ ม ไ ด ห มายความว า ชิ้ น งานนั้ น ไม มี ร อยแตก
รูปที่ 6 เกณฑวบิ ตั กิ าํ หนดโดยกลศาสตรแตกหัก KIc
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
(Crack) รอยแตกในเนื้อวัสดุอาจเกิดจาก inclusion ยิ่งถา และวัสดุทมี่ ี KIc สูงก็จะมี τys ต่าํ แมกระทัง่ เหล็กเบอรเดียว
วัสดุผานการขึ้นรูปเชน การรีดทําให inclusion มีลักษณะ กัน ถานําไปผานกระบวนการเพิ่มความแข็งแรงคราก (เชน
แบนยาวฝงในเนื้อวัสดุและเปรียบเสมือนรอยแตก หรือแม ผ า นกระบวนการเชิ ง ความร อ นและเชิ ง กล) ก็ จ ะมี K I c
แต ใ นระดั บ โครงสร า งจุ ล ภาค (Microstructure) เช น ลดลง ในการออกแบบโดยใช ก ารครากเป น เกณฑ นั้ น ถ า
ดิสโลเคชั่น (dislocation) ก็ถือเปนรองรอยบกพรองที่จะชัก ขนาดชิ้ น งานถู ก จํ า กั ด ผู อ อกแบบก็ มั ก จะเลื อ กใช เ หล็ ก
นํ า ให เ กิ ด รอยแตกได กลศาสตร แ ตกหั ก มองพฤติ ก รรม ความแข็งแรงสูง (high yield strength) มาใชงานเพื่อใหมี
ความลาวาเปนกระบวนการเกิดรอยแตก (crack initia- ค า ความปลอดภั ย (safety factor) แม จ ะรั บ ภาระสู ง
tion) รอยแตกเติ บ โตระดั บ มหั พ ภาพ (crack growth) โดยอาจจะละเลยความจริงที่วาเหล็กนี้จะเปราะ (KI c ต่ํา)
จนรอยแตกมีขนาดวิกฤติซึ่ง เปนจุดวิบัติของชิ้นงาน จะเห็น เมื่อนําไปใชงานที่มีภาระสูง ถึงแมจะไมคราก แตจะวิบัติ
ไดวา ในมุมมองนีต้ า งกับ S-N curve ตรงทีม่ องวา ไมมี โดยการแตกหัก เมื่อยอนกลับไปดูสมการ (4) วัสดุที่มี KIc
ชิ้นงานใดมีอายุอนันต (infinity) และอธิบายวาที่ความเคน ต่ํ า นอกจากจะรั บ ภาระได ต่ํ า แล ว ยั ง ทนรอยแตกขนาด
ต่ํากวา หรือเทากับ endurance limit นั้น แทจริงแลวรอย ใหญ่ไม่ได้ด้วย ซึ่งหมายความว่า การนำวัสดุความแข็งแรง
แตกเติบโตชามากจนไมมีนัยสําคัญใน S-N curve (slope สูงมาใช เราตองระมัดระวังในการออกแบบ และการผลิต
= 0) อายุชิ้นงานไมสามารถเปนอนันตได ในความเปนจริง ไม ใ ห มี ร อยแตกขนาดใหญ เ กิ ด ขึ้ น รวมทั้ ง จะต อ งควบคุ ม
แล ว รอยแตกกํ า ลั ง โตอย า งช า ๆ และสั ก วั น หนึ่ ง ก็ จ ะวิ บั ติ คุ ณ ภาพวั ต ถุ ดิ บ และผลผลิ ต สุ ด ท า ยอย า งเข ม งวด นอก
วิชากลศาสตรแตกหักจึงใชคํานวณอายุชิ้นงานจากอัตรา จากนั้นวัสดุความแข็งแรงสูงยังไมเหมาะกับงานที่รับภาระ
การเติบโตของรอยแตก (crack growth rate, da/dN) อัตรา วั ฏ จั ก รอี ก ด ว ย เพราะรอยแตกในเนื้ อ วั ส ดุ จ ะมี อั ต ราการ
การเติบโตนี้ไมคงที่ รอยแตกขนาดเล็ก (เมื่อเริ่มตน) จะมี เติบโตเร็วทําใหอายุการใชงานสั้น ด ว ยเหตุ ทั้ ง ปวงนี้ ทํ า ให
อัตราการเติบโตชามาก และรอยแตกขนาดใหญจะโตเร็ว วั ส ดุ ค วามแข็ ง แรงสู ง ไม เ หมาะกั บ ชิ้ น งานที่ ต อ งการออก
มาก นั่นหมายความวาอายุชิ้นงานขึ้นอยูกับความละเอียด แบบใหทนทานการแตกหัก ขอเท็จจริงนี้ยังไมตระหนักโดย
ของเครื่ อ งมื อ ตรวจรอยแตกในการตรวจคุ ณ ภาพที่ ทั่ ว ไปในหมู ผู อ อกแบบ และหลายครั้ ง จะพบว า การออก
ผลิ ต ออกจากโรงงาน และอั ต ราการเติ บ โตนี้ เ องจะช ว ย แบบเพื่อมุงใหทนทานการครากแตเพียงอยางเดียว แตไม
กําหนดแผนการตรวจสอบ (เชน การตรวจสอบเครื่องบิน ทราบวาวัสดุที่นํามาใชนั้นไมครากก็จริง แตจะแตกหักกลับ
ดวยรังสีเอ็กซตามระยะชั่วโมงใชงาน) เพื่อใหมั่นใจวายัง ทําใหชิ้นงานอันตรายมากขึ้น
ปลอดภัยอยู หรือแผนการเปลี่ยนชิ้นสวนกอนที่จะวิบัติ ซึ่ง
เปนการบํารุงรักษาเชิงปองกันนั่นเอง

τys VS. K c : ไดอยางเสียอยาง


I

ในตอนตนของบทความไดจําแนกการวิบัติออกเปน
การครากและการแตกหัก การครากมีขอบเขตกําหนดโดย
τys โดยมีทฤษฎีความเคนเฉือนสูงสุดมาสนับสนุน การแตก
หักกําหนดขอบเขตโดย σf และไดใชทฤษฎีกลศาสตรแตก
หัก KI = Cσ√πa มาสนับสนุนโดยกําหนดสมบัติเชิงกล
KIc มาเปนเกณฑวิบัติ วัสดุที่มี τys สูงจะทนการครากได
ดี สวนวัสดุที่มี KIc สูงก็จะทนการ แตกหักไดดี ดังนั้น
วัสดุที่ดีควรจะมี τys และ KIc สูงทั้ง 2 คาจึงจะทนการ
วิบัติทั้งสองประการไดดี อยางไรก็ตามวัสดุวิศวกรรมทั่วไป
ถามี τys สูงก็จะเปราะ (KIc ต่ํา) ลักษณะของสไตรเอชัน่ (striation) อันเนือ่ งมาจาก
ความลาในอะลูมเิ นียมผสมชนิด 745-T7651
0TEC มกราคม-มีนาคม 2539 
สรุป สมบัติ anisotropic จากการขึ้นรูปและความออนแอของ
รอยเชื่ อ ม) และการตรวจสอบ (เทคนิ ค ตรวจสอบแบบไม
ในบทความนี้ไดแยกแยะใหเห็นวา การวิบัติของวัสดุ ทําลาย เพื่อหาขนาดรอยแตก การทํานายอายุการใชงาน
เ ป น ป ร า ก ฏ ก า ร ณ ข อ ง ก า ร ค ร า ก แ ล ะ ก า ร แ ต ก หั ก และกํ า หนดแผนบํ า รุ ง รั ก ษาเชิ ง ป อ งกั น ) ถึ ง แม ว า
ปรากฏการณทั้ง 2 นี้ เกิดจากกลไกตางกันและเปนอิสระตอ กลศาสตร แ ตกหั ก จะเป น เรื่ อ งสํ า คั ญ แต ก็ ดู เ หมื อ นว า
กัน การครากเกิดจากความเคนเฉือน และการแตกหักเกิด ไมเฉพาะภายใน ประเทศเรามีองคความรูดานนี้นอยเทานั้น
จากความเค น ฉากดึ ง สถานะของความเค น ในวั ส ดุ อ าจมี วิ ศ วกรส ว นใหญ ของเราก็ ไ ม ไ ด ต ระหนั ก ว า วั ส ดุ จ ะวิ บั ติ
โอกาสที่ความเคนเฉือนสูง แตความเคนฉากดึงต่ํา หรือใน และมีโอกาสวิบัติโดยการแตกหักได
ทางกลับกัน มีความเคนเฉือนต่ํา แตกลับมีความเคนฉาก
ดึงสูงก็ได ดังนั้นวัสดุจึงมีโอกาสที่จะวิบัติทั้งโดยการคราก
และการแตกหั ก ทฤษฎี วิ บั ติ ที่ อ ยู ใ นหลั ก สู ต รวิ ศ วกรรม เอกสารอางอิง
ศาสตรทั่วไปใหความสําคัญแตเพียงการวิบัติโดยการคราก 1. สุธีระ ประเสริฐสรรพ. กลศาสตรแตกหัก,
เท า นั้ น จึ ง ไม เ พี ย งพอสํ า หรั บ การออกแบบเพื่ อ ความ คณะวิศวกรรมศาสตร. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร.
แข็ ง แรง การละเลยโอกาสการวิ บั ติ แ บบแตกหั ก นั บ ว า มี 2535. 273 หนา.
อันตรายมาก เพราะการแตกหักมีโอกาสเกิดกอนการคราก 2. Collin, J.A., Failure of Materials in Mechanical
ได ดังนั้นวัสดุที่ใชเกณฑการครากมาออกแบบไมใชวาจะ Design., John Wiley & Sons. N.Y. 1981.
ไม วิ บั ติ แต อ าจจะวิ บั ติ โ ดยการแตกหั ก (ถ า สภาวะความ
เคนเหมาะสม) การแตกหักโดยไมครากเปนปรากฏการณ
ของวั ส ดุ เ ปราะ ซึ่ ง เป น การวิ บั ติ ที่ อั น ตรายมาก เพราะ M
พลั ง งานที่ ส ะสมในโครงสร า งถู ก ปลดปล อ ยออกมาทั น ที
ทันใด ยิ่งถาเปนโครงสรางที่สะสมพลังงาน เชน ถังความดัน
ก็จะยิ่งอันตราย
ความเหนี ย วหรื อ ความเปราะของวั ส ดุ มิ ใ ช
คุ ณ สมบั ติ ค งที่ ข องวั ส ดุ แต ค วามเหนี ย ว ความเปราะ
เปนพฤติกรรมของวัสดุทคี่ วบคุมดวยสถานะความเคนสภาวะแวดลอม
และลักษณะของภาระ ซึ่งลวนเปนปจจัยที่เกี่ยวของกับการ
ออกแบบทางวิศวกรรมจึงละเลยความรูกลศาสตร แตกหัก
(fracture mechanics) ไมได ในตอนทายของบทความ
นี้ ไ ด นํ า เสนอหลั ก การที่ เ ป น หั ว ใจของการใช ก ลศาสตร
แตกหักมาออกแบบชิ้นงาน หลักการแมจะดูงายแตศาสตร
นี้ เ ป น ศาสตร ที่ ลึ ก ซึ้ ง มาก หลั ก การแม จ ะดู ง า ยแต ศ าสตร
นี้เปนศาสตรที่ลึกซึ้งมาก ทั้งนี้เพราะกลศาสตรแตกหักเปน
ศาสตร ที่ อ ธิ บ ายถึ ง พฤติ ก รรมของวั ส ดุ ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ
สภาวะแวดล อ ม (อุ ณ หภู มิ ค วามชื้ น และสารเคมี ) การใช
งาน (แรงสถิ ต พลศาสตร วั ฏ จั ก ร และแรงผสม) รู ป ร า ง
ชิ้นงาน (ความหนา การเปลี่ยนรูปราง การเกิดความเคน
ชั ก นํ า และการชั ก นํ า ให เ กิ ด รอยแตกระหว า งการใช ง าน)
วั ส ดุ (ค า K I c ความเร็ ว ของการเติ บ โตของรอยแยก)
การผลิต (ความเคนตกคางจากการผลิต การเปลี่ยนโครง
สร า งวั ส ดุ จ ากการผลิ ต

You might also like