Professional Documents
Culture Documents
โครงการจัดตัง้ ภาควิชาเคมี
คณะศิลปศาสตร์ และวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน
เนือ้ หา
1. งาน ความร้ อน พลังงานภายใน
2. กฎข้ อที่หนึ่ง
3. เอนทาลปี สมการเทอร์ โมเคมี
4. เอนโทรปี
5. กฎข้ อที่สอง
6. กฎข้ อที่สาม
7. พลังงานอิสระของกิบส์
2
อุณหพลศาสตร์ (Thermodynamics)
การเปลี่ยนแปลงพลังงานของระบบและ
สิ่งแวดล้ อมในรู ปของความร้ อนและงาน และ
บอกทิศทางการเกิดปฏิกริ ิยาเคมีภายใต้ สภาวะ
หนึ่ง
3
ระบบและสิ่งแวดล้ อม
ระบบ (system) สิ่งที่เราสนใจศึกษา
สิ่งแวดล้ อม (environment) ส่ วนอื่นๆ ที่มีผลต่ อสิ่งที่เราสนใจ
จักรวาล (universe) ระบบและสิ่งแวดล้ อม
5
การอธิบายระบบ
สภาวะของระบบ (state of a system) คือ สมบัตมิ หัพภาค
(macroscopic property) ของระบบใช้ อธิบายลักษณะของระบบ เช่ น
ความดัน อุณหภูมิ ฯลฯ
การระบุสภาวะของระบบต้ องใช้ ชุดของฟั งก์ ชันสภาวะ
ถ้ าสมบัตติ วั หนึ่งตัวใดเปลี่ยนแปลง แสดงว่ ามีการเปลี่ยนแปลงสภาวะ
ของระบบ
สภาวะสมดุล (equilibrium) สภาวะที่สมบัตมิ หภาคของระบบมี
ค่ าคงที่ทุกส่ วนประกอบของระบบและไม่ เปลี่ยนแปลงขึน้ กับเวลา
สมดุลสถิตย์ (static equilibrium)
สมดุลพลวัตร (dynamic equilibrium)
6
ฟั งก์ ชันสภาวะ
ฟั งก์ ชันสภาวะ (state function) : ปริมาณต่ างๆ ที่อธิบายสภาวะ
ของระบบ เช่ น ความดัน ปริมาตร อุณหภูมิ จํานวน สถานะ
ลักษณะเฉพาะของฟั งก์ ชันสภาวะ คือ
การเปลี่ยนแปลงของฟั งก์ ชันสภาวะขึน้ กับ สภาวะเริ่มต้ น และสภาวะ
สุดท้ ายเท่ านัน้
หากระบบมีการเปลี่ยนแปลงและย้ อนกลับมาสู่สภาวะเดิม
การเปลี่ยนแปลงของฟั งก์ ชันสภาวะ มีค่าเป็ นศูนย์
ฟั งก์ ชันสภาวะต่ างๆ ของระบบไม่ เป็ นอิสระต่ อกันโดยสิน้ เชิง มี
ความสัมพันธ์ ต่อก้ น เช่ น
แก๊ สอุดมคติ มีฟังก์ ชันสภาวะคือ P V T และ n ซึ่งสัมพันธ์ กันตาม
กฎของแก๊ ส
7
ฟั งก์ ชันสภาวะ และ ฟั งก์ ชันวิถี
ฟั งก์ ชันสภาวะ สมบัตทิ ่ ขี นึ ้ กับสภาวะของระบบขณะใดขณะหนึ่ง
เท่ านัน้ มีค่าขึน้ กับสภาวะเริ่มต้ นและสภาวะสุดท้ าย
ฟั งก์ ชันวิถี ปริมาณที่เกี่ยวข้ องกับการเปลี่ยนแปลงของระบบ มีค่า
ขึน้ กับสภาวะเริ่มต้ น สภาวะสุดท้ าย และเส้ นทางที่เปลี่ยนแปลง
State B
Sa Sb
State A
8
กระบวนการเปลี่ยนแปลงต่ างๆ
แบ่ งเป็ น 2 กระบวนการ คือ
กระบวนการผันกลับไม่ ได้ (Irreversible Process) และ กระบวนการผัน
กลับได้ (Reversible Process)
กระบวนการผันกลับไม่ ได้ (Irreversible Process) เป็ นการเปลี่ยนแปลงที่
เกิดเร็ว โดยที่ระบบไม่ มีโอกาสเกิดปฏิกริ ิยาย้ อนกลับ จึงไม่ มีการเข้ าสู่
สมดุล เช่ น การระเหยของนํา้ ในระบบเปิ ด ปฏิกริ ิยาสะเทินของกรด-เบส
การเปลี่ยนแปลงส่ วน
ใหญ่ เป็ นแบบผัน
กลับไม่ ได้
9
กระบวนการผันกลับได้ (Reversible Process)
กระบวนการผันกลับได้ คือการเปลี่ยนแปลงของระบบที่
สามารถย้ อนกลับได้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเพียงเล็กน้ อย
ระบบเสมือนว่ าอยู่ในสมดุลย่ อยๆ ตลอดเวลา
10
อุณหพลศาสตร์ เกี่ยวข้ องกับหลักสําคัญ 2 ข้ อ คือ
1. พลังงานไม่ สูญหายไปและเกิดขึน้ เองไม่ ได้ แต่ เปลี่ยนรู ป
ได้
A B C
กระบวนการที่มีโอกาสเป็ นไปได้ คือ กระบวนการที่เป็ นไปตามกฎ
อนุรักษ์ พลังงาน
2. ระบบพยายามเข้ าสู่สภาวะสมดุลเสมอ
A B
กระบวนการที่จะเกิดขึ ้นได้ จริ งคือ กระบวนการที่นําระบบเข้ าสูส่ มดุล
11
กฎข้ อที่หนึ่งของอุณหพลศาสตร์
(Conservation of Energy)
“ กระบวนการใดๆ พลังงานอาจเปลี่ยนรู ป ได้ แต่ จะไม่ สูญ
หายไปหรื อเกิดขึน้ ใหม่ ” = กฎอนุรักษ์ พลังงาน
U = q+w
U คือ พลังงานภายใน
U คือ การเปลี่ยนแปลงพลังงานภายใน
q คือ ความร้ อน
w คือ งาน
12
พลังงาน งาน ความร้ อน
พลังงาน คือความสามารถในการทํางาน (work) หรื อถ่ ายเท
ความร้ อน (heat)
Heat Work
U = q + w
13
พลังงานภายใน (Internal energy; U)
พลังงานภายใน (U) คือพลังงานของระบบ เป็ นฟั งก์ชนั สภาวะ
พลังงานจลน์จากการเคลื่อนที่ การหมุน การสัน่ ของโมเลกุล
พลังงานจลน์จากการเคลื่อนที่ของ e, p, n
พลังงานศักย์จากแรงกระทําระหว่างโมเลกุล
พลังงานศักย์จากแรงกระทําระหว่างอนุภาค
Etc.
Fext
A
P = Pi Pext V P P = Pi Pext
18
การขยายตัวแบบผันกลับได้
งานเนื่องจากการขยายตัวแบบผันกลับได้ จะมีค่ามากที่สุด
ความดันภายนอกใกล้ เคียงกับความดันภายใน
(แต่ น้อยกว่ า จึงเกิดการขยายตัวได้ ) ตลอด
กระบวนการขยายตัว
มีการขยายตัวอย่ างช้ ามากๆ
Pext จะต้ องมี
ค่ าใกล้ เคียงกับ
Psys ตลอด
กระบวนการ
19
ตัวอย่ าง จงคํานวณหางานเมื่อนํ ้าแข็ง 100 g ละลายหมดที่อณ ุ หภูมิ 0 C และ
ความดัน 1 atm ความหนาแน่นของนํ ้าแข็ง และนํ ้าที่ 0 C เท่ากับ 0.91 และ 1.0
g/cm3 ตามลําดับ
w = - Pext V
นํ ้าแข็ง 100 g นํ ้า 100 g V = Vwater - Vice
Vice = 100 g / 0.91 g/cm3 = 109.9 cm3
Vwater = 100 g / 1.00 g/cm3 = 100 cm3
w = -1 atm ( 100.0 cm3 -109.9 cm3)
= 0.0099 Latm
1 Latm = 101.3 J
w = (0.0099 Latm) (101.3 J/Latm)
= 1.003 J
20
ความร้ อน (Heat; q)
ความร้ อน คือ พลังงานที่ถ่ายเทระหว่างระบบกับสิง่ แวดล้ อม
เนื่องจากมีอณ
ุ หภูมิตา่ งกัน
สมดุลทางความร้ อนจะเกิดเมื่อทังระบบและสิ
้ ง่ แวดล้ อมมีอณ
ุ หภูมิ
เท่ากัน (สมดุลพลวัต)
q ไม่เป็ นฟั งก์ชน
ั สภาวะ
เครื่ องหมายของความร้ อน
ระบบดูดความร้ อนจะมี q เป็ นบวก (รับพลังงาน)
คายความร้ อน q เป็ นลบ (คายพลังงาน)
21
การหาค่ าการเปลี่ยนแปลงพลังงานภายใน (U)
การคํานวณหาค่ าการเปลี่ยนแปลงพลังภายในไม่ สามารถหา
โดยตรงจากค่ า U ได้ แต่ หาได้ จากกฎข้ อที่ 1 และเงื่อนไขอื่น ๆ
กฎข้ อที่ 1 U = q + w = q – PextV
เงื่อนไขอื่น ๆ
Adiabatic colarimeter 22
ประเภทของกระบวนการ U = q + w = q – PV
กระบวนการ Isochoric (V คงที่) เช่น บอมบ์แคลอริ มิเตอร์
V = 0 w=0 U = qv
กระบวนการ adiabatic (q = 0) ไม่มีการถ่ายเทความร้ อน เช่น ภาชนะที่
มี ฉนวนหุม้
q = 0 U = w U = - PV
กระบวนการ Isothermal (T คงที่) เช่น ในอ่างควบคุมอุณหภูมิ
สําหรับแก๊ ส U = 0 q = -w q = PV
water Tw Tsys = Tw
Rxn Tw จะคงที่ (เปลี่ยนแปลงน้ อยมาก)
23
ตัวอย่ าง นํา้ 1.0 โมล 100 C กลายเป็ นไอนํา้ ที่อุณหภูมเิ ดียวกันที่
1.0 atm ความร้ อนที่ทาํ ให้ นํา้ 1 mol เป็ นไอที่ 100 C เท่ ากับ
40.7 kJ จงหา U (พิจารณาว่ าไอนํา้ เป็ นแก๊ สสมบูรณ์ แบบ)
U = q + w = q - PV
Vนํา้ = 0.018 L Vไอนํา้ = nRT/P = (1x0.082x373.15/1) = 30.6 L
W = - PV = -1 atm (30.6 L - 0.018 L)
= -30.6 Latm = -(30.6 101.3 10-3) kJ
= -3.1 kJ D = M/V = 1 g/mL
Vนํ ้า =M/D
U = q + w =18 g/1 g/mL
= 40.7 kJ + (-3.1 kJ) = 18 mL = 0.018 L
= 37.6 kJ
24
แบบฝึ กหัด
1. แก๊ สอุดมคติชนิดหนึ่ง 1.0 mol ขยายตัวจากปริมาตร 0.01 m3 เป็ น 0.10
m3 ที่ 25 C จงหาปริมาณงานที่เกิดขึน้ เมื่อ
ความดันภายนอกคงที่ P = 0.10 atm
3 3
ปริ มาตรจาก 0.01 m เป็ น 0.05 m ที่ P = 0.05 atm แล้ วขยายตัวต่ อ
25
เอนทาลปี (Enthalpy; H)
เอนทาลปี คือ ผลรวมของพลังงานภายในและผลคูณของความ
ดันกับปริ มาตรและเป็ น state function
H = U + PV
H = U + (PV)
H = (q - PV) + (VP + PV)
= q + VP
+ ดูดความร้ อน
(เมื่อความดันคงที่) H = qp – คายความร้ อน
28
ตัวอย่ าง เผา C2H5OH ในบอมบ์แคลอริ มิเตอร์ (V คงที่) ให้ พลังงาน
1364.34 kJ ที่ 298.15 K จงหาค่า H ของปฏิกิริยา
C2H5OH (l) + 3O2(g) 2CO2(g) + 3H2O (l)
U = qv = -1364.34 kJ
H = U + (PV)
36
สมการเทอร์ โมเคมี
C(s) + O2(g) CO2(g) H298 = -393 kJ
C 1 โมล และ O2 1 โมล ทําปฏิกิริยากัน ที่ความดัน 1 atm และ
อุณหภูมิ 298 K เกิดเป็ น CO2 1 โมล คายความร้ อน 393 kJ
37
กฎของเฮสส์ (Hess' Law)
“การเปลี่ยนแปลงเอนทาลปี ของปฏิกิริยารวม เท่ากับผลรวมของ
การเปลี่ยนแปลงเอนทาลปี ปฏิกิริยาย่อย”
H2O (g)
H2O (l)
H2O (s)
39
ขัน้ ตอนการหาค่ าH โดยใช้ กฎของเฮสส์ อย่ างง่ าย*
พิจารณาปฏิกิริยาเคมีที่สนใจ
1. ตรวจดูวา่ สารทุกตัวในปฏิกิริยาเคมีที่สนใจจะต้ องปรากฎอย่างน้ อยหนึง่ ครัง้
ในชุดปฏิกิริยาเคมีที่ให้ มา
2. พิจารณาสารแต่ละตัวของปฏิกิริยาเคมีที่สนใจ (สารตังต้ ้ น หรื อ สาร
ผลิตภัณฑ์ และจํานวนโมลที่ต้องการ)
• เลือกสมการเคมีที่มีสารที่สนใจ จากชุดสมการที่ให้ มา
• ปรับจํานวนโมลให้ เท่ากับที่ต้องการโดยคูณ สัมประสิทธิ์
• ย้ ายข้ างสมการเพื่อให้ สารที่สนใจอยูข่ ้ างเดียวกันกับในปฏิกิริยาที่สนใจ
• คูณค่าH ด้ วย สัมประสิทธิ์ และ คูณ -1 ถ้ ามีการย้ ายข้ างสมการ
3. รวมสมการเคมีที่ได้ จากข้ อ 2. เข้ าด้ วยกัน (ดุลสมการด้ วย) และรวม H
4. สมการสุทธิที่ได้ จากข้ อ 3. จะต้ องเหมือนกับปฏิกิริยาเคมีที่เราสนใจ
*ในหลายๆ กรณีทีม่ ีความซับซ้อนจะต้องอาศัยการสังเกตในการแก้ปัญหา
40
ตัวอย่ าง จงหา H ของปฏิกิริยา
C(s) + ½ O2(g) CO(g)
จากปฏิกิริยาย่อยดังต่อไปนี ้
1. C(s) + O2(g) CO2(g) H1 = -393 kJ
2. CO(g) + ½ O2(g) CO2(g) H2 = -283 kJ
C(s) + O2(g) CO2(g) H1 = -393 kJ
− CO2(g) CO(g) + ½ O2(g) H3 = 283 kJ
++ (2x)-
H = H1 + 2H2 – H3 =(-393) + (2x-285) –(-890) kJ
= -73 kJ
43
แบบฝึ กหัด
จงหาค่าการเปลี่ยนแปลงเอนทาลปี โดยใช้ ข้อมูลที่ให้ มา
C2H6(g) C2H4(g) + H2(g) H =?
2C2H6(g) + 7O2(g) 4CO2(g) + 6H2O(l) H1 = -3119.71 kJ
C2H4(g) + 3O2(g) 2CO2(g) + 2H2O(l) H2 = -1411.15 kJ
2H2(g) + O2(g) 2H2O(l) H3 = -571.68 kJ
Hrxn = 137.14 kJ
44
เอนทาลปี ของการเกิด (Heat of Formation; H°f)
เอนทาลปี ของการเกิด: การเปลี่ยนแปลงเอนทาลปี ในปฏิกิริยา
การเกิด สารนัน้ 1 mol จากธาตุองค์ประกอบใน สภาวะอ้ างอิง
(สถานะที่พบได้ งา่ ยที่สดุ ที่ 1 atm 298.15 K)
H2(g) + O2(g) + C(s) HCOOH(l) H°f = – 379 kJ
H°f (HCOOH, l ) = – 379 kJ
H°f ของธาตุในสภาพธรรมชาติ = 0
เช่น O2(g), C(s) และ Hg(l) มี H°f = 0
45
Example of Hf, S, Gf
Substance
48
Reference states
49
เอนทาลปี ของปฏิกริ ิยา (Hrxn)
สําหรับปฏิกิริยาที่เกิดขึ ้นดังสมการ
aA + bB cC + dD
a, b, c และ d เป็ นสัมประสิทธิ์ปริ มาณสัมพันธ์หน่วยเป็ น mol
เอนทาลปี มาตรฐานของปฏิกิริยา (standard enthapy of
reaction, Hrxn) คํานวณได้ จาก
ผลิตภัณฑ์ สารตั้งต้ น
50
ในกรณีทวั่ ไปจะอยูใ่ นรูป
i คือชนิดของสารตังต้
้ น
j คือชนิดของสารผลิตภัณฑ์
ni และ nj คือจํานวนโมลของสารตังต้
้ นและสารผลิตภัณฑ์
แต่ละชนิด
51
ตัวอย่ าง จงหา H° ของปฏิกิริยานี ้
NH3(g) + HCl(g) NH4Cl(s)
H°f ของ NH3(g) , HCl(g) และ NH4Cl(s) มีคา่ -46.19,
-92.13 และ -315.4 kJ ตามลําดับ
Hºrxn = njH°f(j) - niHf(i)
prod react
53
แบบฝึ กหัด
1. จงหาความร้ อนของปฏิกริ ิยา (H°)
C(s) + H2O(g) CO(g) + H2(g)
H°f ของ CO(g) และ H2O(g) = -110.5, - 241.8 kJ mol-1
54
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึน้ ได้ เอง
(Spontaneous Change)
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ ้นภายใต้ สภาวะที่กําหนดให้ (ความดัน อุณหภูมิ ความเข้ มข้ น ฯลฯ)
เรี ยกว่า ปฏิกริ ิยาที่เกิดขึน้ ได้ เอง (spontaneous reaction)
กระบวนการทางกายภาพและทางเคมีที่เกิดขึ ้นได้ เอง เช่น
นํ ้าตกจากที่สง ู ลงสูท่ ี่ตํ่า
ความร้ อนถ่ายเทจากวัตถุที่มีอณ ุ หภูมิสงู ไปยังวัตถุที่มีอณ
ุ หภูมิตํ่า
การระเหยของนํ ้า
55
เพื่อบอกว่ากระบวนการหรื อปฏิกิริยาใดจะเกิดได้ หรื อไม่
จึงกําหนดฟั งก์ชนั ใหม่ เรี ยกว่า เอนโทรปี (Entropy, S)
เอนโทรปี คือ ความไม่เป็ นระเบียบ เพื่อใช้ ทํานายว่า
กระบวนการหรื อปฏิกิริยาต่างๆ จะเกิดขึ ้นเองหรื อไม่
ระบบที่โมเลกุลหรื ออนุภาคมีความเป็ นระเบียบมาก เอนโทรปี ตํ่า
ระบบที่โมเลกุลหรื ออนุภาคมีความยุง
่ เหยิงหรื อไม่เป็ นระเบียบ
เอนโทรปี สงู
ในธรรมชาติระบบจะพยายามเปลี่ยนไปในทิศทางที่มี
ความไม่ เป็ นระเบียบมากขึน้ เช่น การระเหยของนํ ้า
56
จากการสังเกต เราพบว่าการเปลี่ยนแปลงเอนโทรปี ขึ ้นอยูก่ บั อุณหภูมิ
T ตํ่า ; ระบบมีความเป็ นระเบียบมาก
ถ้ าเพิ่มอุณหภูมิ ทําให้ S มากขึ ้น ความไม่เป็ นระเบียบเพิ่มขึ ้น
อย่างชัดเจน
T สูง ; ระบบมีความไม่เป็ นระเบียบมาก
57
กระบวนการที่ S มีค่าเป็ นบวก (ระบบไม่เป็ นระเบียบมากขึ ้น)
1. โมเลกุลใหญ่สลายให้ โมเลกุลเล็ก เช่น N2O4 2NO2
2. จํานวนโมลของแก๊ สในระบบเพิ่มขึ ้น เช่น 2NH3 N2 + 3H2
3. การเปลีย่ นสถานะ (ของแข็ง เป็ น ของเหลว เป็ น แก๊ ส)
เช่น H2O(l) H2O(g)
การหลอมเหลว
การกลายเป็ นไอ
62
ตัวอย่าง จงหา S เมื่อนํ ้าแข็ง 1.0 โมล หลอมเหลวเป็ นนํ ้าที่ 0C
ความดัน 1.0 atm H2O(s) H2O(l) H = + 6008 Jmol-1
65
ST = เอนโทรปี สมั บูรณ์ของสารบริ สทุ ธิ์ที่อณ
ุ หภูมิอื่น ๆ
66
เอนโทรปี กบั ปฏิกิริยาเคมี
aA + bB cC + dD
S = [cS(C) + dS(D)] – [aS(A) + bS(B)]
ผลรวมเอนโทรปี ผลรวมเอนโทรปี
ของสารผลิตภัณฑ์ ของสารตัง้ ต้ น
68
เอนโทรปี กบั ทิศทางของปฏิกิริยาเคมี
Stot = Ssys + Ssurr
Stot > 0 เกิดได้ เอง
ใช้ ข้อมูล Sº298 มาช่วยในการคํานวณ
Sºrxn = Sº (prod) - Sº(react) = Ssys
S = qrev
T
P คงที่ ; qrev = Hsys ซึง่ หาได้ จาก
69
Hº = H°f (prod) - H°f (react)
H°surr = -H°sys
เกิดเองไม่ ได้
71
พลังงานเสรี (อิสระ)
การทํานายทิศทางของปฏิกิริยาเคมี โดยการหาการเปลี่ยนแปลง
เอนโทรปี ของระบบและของสิง่ แวดล้ อมนันทํ ้ าได้ ไม่สะดวกนัก
เพราะจะต้ องทราบทังเอนโทรปี
้ และเอนทาลปี ของการเกิดสารที่
เกี่ยวข้ องในปฏิกิริยา
กิบส์ (J.W. Gibbs) จึงกําหนดฟั งก์ชนั ใหม่ เรี ยกว่า พลังงานเสรี ของ
กิบส์ (Gibbs free energy, G) โดยใช้ นิยามดังนี ้
G = H – TS
72
เนื่องจากทัง้ H, S และ T ต่างก็เป็ นฟั งก์ชนั สภาวะ
G จึงเป็ นฟั งก์ชนั สภาวะด้ วย
ดังนันการเปลี
้ ย่ นแปลงพลังงานเสรี คือ
G = H – (TS)
สําหรับกระบวนการที่เกิดขึ ้นที่ อุณหภูมคิ งที่ การ
เปลีย่ นแปลงพลังงานเสรี ของระบบจะคํานวณได้ จาก
G = H – TS
73
พลังงานเสรี ที่สภาวะมาตรฐาน
G298 หรื อ G
พลังงานเสรี ของการเกิด; Gf
“การเปลีย่ นแปลงของพลังงานเสรี ในปฏิกิริยาการเกิด
สารบริ สทุ ธิ์ 1 โมล จากธาตุองค์ประกอบในสภาพ
ธรรมชาติที่สภาวะมาตรฐาน”
Gf = Hf - TS
74
พลังงานเสรีกับปฏิกริ ิยาเคมี
aA + bB cC + dD
G = [cGf (C) + d Gf (D)] - [a Gf (A) + b Gf (B)]
G°f ของธาตุอิสระในสภาพธรรมชาติ = 0
หรื อจาก
75
ตัวอย่าง จงคํานวณ G ของปฏิกิริยา
SiH4(g) + 2O2(g) SiO2(s) + 2H2O(g)
76
เครื่ องหมายของ G กับการบอกทิศทางการเกิดปฏิกิริยา
G < 0 ปฏิกิริยาจะเกิดขึ ้นได้ เอง
G = 0 ระบบอยูใ่ นสมดุล
G > 0 ปฏิกิริยาเกิดขึ ้นเองไม่ได้
(หรื อเกิดขึ ้นในทิศทางย้ อนกลับ)
77
เงื่อนไขต่ างๆ ของ G
G = H - TS
เครื่ องหมายของ H และ S มีผลต่อเครื่ องหมายของ G ดังนี ้
H S G = H - TS ลักษณะการเปลี่ยนแปลง
– + – เกิดขึ ้นได้ เอง
– – T ตํ่า – เกิด H > TS
T สูง + ไม่เกิด H < TS
+ + T ตํ่า + ไม่เกิด H > TS
T สูง – เกิด H TS
+ – + ไม่เกิด
78
ตัวอย่าง ปฏิกริ ิยา CaO(s) + SO3(g) CaSO4(s)
ปฏิกิริยานี ้เกิดขึ ้นเองที่ 2200 K หรื อไม่ ถ้ าไม่ จะเกิดได้ ด้วยเงื่อนไขใด
G > 0 ดังนันปฏิ
้ กิริยานี ้เกิดขึ ้นเองไม่ได้ ที่อณ
ุ หภูมิ 2200 K
79
ปฏิกิริยาเกิดเองได้ เมื่อ G < 0
ค่า G ขึ ้นกับอุณหภูมิ (ค่า H และ S อาจประมาณให้ เป็ น
ค่าคงที่ได้ ) ดังนันเราต้
้ องหาค่า T ที่ทําให้ G น้ อยกว่าศูนย์
ที่อณ
ุ หภูมิตํ่ากว่า 2118 K จึงทําให้ G จะน้ อยกว่าศูนย์ ปฏิกิริยา
จึงเกิดเองได้
80
แบบฝึ กหัด จงคํานวณหาความร้ อนที่ต้องใช้ เพื่อให้ โลหะอลูมิเนียม
45.8 g มีอณ ุ หภูมิเพิ่มขึ ้นจาก 20.0 C เป็ น 30.0 C เมื่อความ
ดันคงที ่ ความจุความร้ อนโมลาร์ = 24 Jmol-1 C-1 (Al = 27 )
ความจุความร้ อน (Cp) = จํานวนโมล ความจุความร้ อนโมลาร์
81
เทอมที่สาํ คัญ
ระบบ และ สิ่งแวดล้ อม เอนทาลปี มาตรฐาน
ฟั งก์ ชันสภาวะ เอนทาลปี ของการก่ อเกิด
ฟั งก์ ชันวิถี กระบวนการที่เกิดขึน้ เอง
ระบบผันกลับได้ ได้
เอนทาลปี
เอนโทรปี
82
การพิสจู น์วา่ งานไม่เป็ นฟั งก์ชนั สภาวะ
pressure AxB pressure AyB
P1 A x P1 A
P2 B P2 B
y
volume volume
V1 V2 V1 V2
wx wy 83
แบบฝึ กหัด
จงหาค่าการเปลี่ยนแปลงเอนทาลปี โดยใช้ ข้อมูลที่ให้ มา
CaCO3(s) CaO(s) + CO2(g) H =?
Ca(s) + C(graphite) + 3/2 O2(g) CaCO3(s) H = 1206.9 kJ
Ca(s) + ½ O2(g) CaO(s) H = -635.1 kJ
C(graphite) + O2(g) CO2(g) H = -393.5 kJ
84
Spontaneous Changes
การเปลี่ยนแปลงแบบ spontaneous จะเกิดการถ่ายเทพลังงาน และ
มวลสารไปสูร่ ูปแบบที่ยงุ่ เหยิงมากขึ ้น (more disorder, more chaotic)
spontaneous
กระบวนการที่มีการ
ถ่ายเทพลังงานจากลูก
h บอลให้ พื ้นเกิดขึ ้นเองได้
แต่กระบวนย้ อนกลับ
เกิดขึ ้นเองไม่ได้ (non
spontaneous)
มีการถ่ายเทพลังงานจากลูกบอลให้ กบั พื ้น
85
การแปลงค่ าความจุความร้ อน
พิจารณาหน่วยของความจุความร้ อน
ความจุความร้ อน (C) = J ºC-1
ความร้ อนจําเพาะ (s) = Jg-1 ºC-1
ความจุความร้ อนโมลาร์ (Cm) = Jmol-1 ºC-1
นํา้ หนักโมเลกุล (MW) = gmol-1
Cp = msT
86