Professional Documents
Culture Documents
Chemographics
woravith
woravith.c@rmutp.ac.th
http://web.rmutp.ac.th/woravith
แผนการสอนและประเมินผลการเรียนรู้
อุณหพลศาสตร์ ▪ สมบัติทางอุณหพลศาสตร์
เบื้องต้น ▪ งาน (w) และความร้อน (q)
▪ กระบวนการอุณหพลศาสตร์
▪ เอนทัลปี (Enthalpy, H)
• การศึกษาการเปลี่ยนแปลงพลังงานรูปแบบต่าง ๆ
อุณหพลศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในระบบทางเคมี
(เทอร์โมไดนามิกส์ : • เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาความสัมพั นธ์ของพลังงาน ความ
Thermodynamics) ร้อน พลังงานกล หรือพลังงานอื่น ๆ ตลอดจนศึกษา
การถ่ายโอน ความร้อนและการให้พลังงานความร้อนแก่
ระบบเพื่ อการทางาน
เทอร์โม (thermos) = ความร้อน
• ใช้นิยาม กฎ และคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหา
ไดนามิกส์ (dynamics) = กาลังงาน
▪ ข้อมูลทางเทอร์โมไดนามิกส์สามารถทานายทิศทางการ
เกิดปฏิกิริยาเคมีภายใต้สภาวะหนึ่ง ๆ ได้ แต่ไม่สามารถ
อุณหเคมี บอกอัตราการเกิดปฏิกิริยาได้
(Thermochemistry) ▪ เทอร์โมไดนามิกส์ บอกให้ทราบว่าปฏิกิริยาเกิดขึ้นได้
หรือไม่
▪ จลนศาสตร์เคมี บอกให้ทราบว่าปฏิกิริยาเกิดช้า-เร็ว
เพี ยงใด
สมบัติทางอุณหพลศาสตร์
ระบบ (system)
ส่วนของสสารที่สนใจจะศึกษาทาความเข้าใจ และมีขอบเขตของระบบ
(boundary) ที่ชัดเจน ซึ่งอาจจะเป็นปฏิกิริยาเคมี เซลล์ของสิง
่ มีชีวิต
เครื่องยนต์ และอื่น ๆ
▪ ระบบเปิด (open system)
▪ ระบบปิด (closed system)
▪ ระบบโดดเดี่ยว (isolated system)
ฟังก์ชน
ั สภาวะ (state function) หรือตัวแปรสภาวะ
final state
(state variable)
• ปริมาณต่าง ๆ ที่ใช้บอกสภาวะของระบบ ที่
ขึ้นกับสภาวะของระบบในขณะนั้น ๆ เท่านั้น
• เมื่อระบบเปลี่ยนจากสถานะเริม่ ต้น (initial
state) ไปยังสุดท้าย (final state) การ
เปลี่ยนแปลงของฟังก์ชันสภาวะระหว่างสอง
สถานะไม่ขึ้นกับวิถีทางของการเปลี่ยนแปลง แต่
ขึ้นกับความแตกต่างระหว่างสถานะสุดท้ายกับ
เริม
่ ต้นเท่านั้น initial state
จาก Chemistry (p. 235), by R. Chang & K.A. Goldsby, 2016, McGraw-Hill.
ลักษณะสาคัญของฟังก์ชันสภาวะ
2) การเปลี่ยนแปลงฟังก์ชันสภาวะขึ้นกับสภาวะ
เริ่มต้นและสภาวะสุดท้ายของระบบเท่านัน
้ โดยไม่ กระบวนการเกิด NaCl(s) มี 2 เส้นทาง (paths) แต่พบว่า
สุดท้ายมีค่าการเปลี่ยนแปลงเอนทัลปี (H) ของทั้งสอง
ขึ้นกับเส้นทางของกระบวนการที่ทาให้เกิดการ เส้นทางเท่ากัน
เปลี่ยนแปลงนั้น
3) ถ้าการเปลี่ยนแปลงของระบบเกิดขึ้นครบรอบ
วัฏจักร จะได้ผลรวมของการเปลี่ยนแปลงฟังก์ชัน
สภาวะมีค่าเท่ากับศูนย์
สภาวะสมดุล ▪ สมดุลความร้อน (thermal equilibrium) คือ สภาวะที่
(equilibrium state) ภายในระบบมีอุณหภูมิเท่ากันทั่วทัง
้ ระบบ
คือ
▪ สมดุลกล (mechanical equilibrium) คือ สภาวะที่ภายใน
สภาวะที่ไม่มีแรงผลักดันใด ระบบมีความดันเท่ากันทั่วทัง
้ ระบบและไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ๆ ที่จะทาให้เกิดการ ความดัน
เปลี่ยนแปลงภายในระบบ
(ระบบจึงไม่มีการ ▪ สมดุลเคมี (chemical equilibrium) คือ สภาวะที่
องค์ประกอบทางเคมีของระบบคงที่และไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนแปลงใด ๆ) ระบบที่ องค์ประกอบทางเคมี
อยู่ในสภาวะสมดุลจะต้องอยู่
ภายใต้เงื่อนไข ▪ สมดุลวัฏภาค (phase equilibrium) คือ สภาวะที่ไม่มีการ
เปลี่ยนแปลงวัฏภาคของสารในระบบและไม่มีแรงผลักดันที่
จะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัฏภาค
พลังงานภายใน
E = Efinal – Fintial
E = Eproducts – Ereactants จาก Chemistry: The Molecular Nature of Matter and Change (p. 257). M.S. Silberberg & P.G.
Amateis, 2021, McGraw-Hill Publishing Company.
การเปลี่ยนแปลงพลังงานภายในของระบบ (E) ที่เกิดขึ้น
เป็นผลเนื่องมาจากการแลกเปลี่ยนความร้อน (q) และงาน
(w) กับสิง
่ แวดล้อม
เครื่องหมายของ w และ q
E = q + w เข้าสู่ระบบเป็นบวก ออกจากระบบเป็นลบ
w = -(Fextx)
P = Pint Pext
งานที่ระบบได้รับจากสิง
่ แวดล้อม จาก F = PintA
Pint < Pext ปริมาตรแก๊สในกระบอกสูบจะหด
ตัว (Vf < Vi) V<0 งานที่เกิดขึ้นเมื่อปริมาตรขยายตัว
Pext ซึ่งงานจะเป็นบวก w = -Fextx = -PAx
P = Pfinal
เนื่องจาก Ax = V
Pfinal = Pext
w = -PV
Vi Vf
= -P(Vf – Vi)
Pext w = -PV
P = Pfinal งานที่ระบบทาให้สง
ิ่ แวดล้อม
Pfinal > Pext ปริมาตรแก๊สในกระบอกสูบจะ
ขยายตัว (Vf > Vi) V>0
P = Pint Pext
ซึ่งงานจะเป็นลบ
Pint = Pext
#การคานวณหางาน
Vf
▪ ความดันภายนอก (P) คงที่ w = - PdV
Vi
= -PV
Vf
▪ ความดันภายนอก (P) เป็น w = - 0dV
Vi
ศูนย์ (Free expansion)
ขยายตัวในสุญญากาศ =0
Vf
▪ ความดันภายนอกมขนาด w = -nRT dV
Vi
ใกล้เคียงกับความดันภายใน
(Pext Pint) แก๊สจะขยายตัว Vf
= -nRT ln
หรือหดตัวอย่างช้าๆ Vi
w = -PV = -P(Vf – Vi)
w = -PV = -P(Vf – Vi)
งานที่ทาโดยแก๊สในระบบต่อลูกสูบในกระบอกสูบ งานที่ทาโดยลูกสูบที่กระทากับแก๊สในระบบ
(ระบบกระทาต่อสิง
่ แวดล้อม) (สิ่งแวดล้อมกระทาต่อระบบ)
Vf > Vi งานจะเป็นลบ Vf < Vi งานจะเป็นบวก
ความร้อน (q)
ความร้อน ไม่เป็นฟังก์ชันสภาวะ
การกาหนดเครื่องหมายของความร้อนถือหลัก
▪ การถ่ายโอนความร้อนเข้าสู่ระบบ ซึ่งจะทาให้ระบบมี
พลังงานเพิ่ มขึ้น กาหนดให้มีเครื่องหมายเป็นบวก (+)
▪ การถ่ายโอนความร้อนออกจากระบบ ซึ่งจะทาให้ระบบ
มีพลังงานลดลง กาหนดให้มีเครื่องหมายเป็นลบ (-)
#ความจุความร้อน (heat capacity; C)
“ปริมาณของพลังงานความร้อนที่ทาให้สารใด ๆ จานวนหนึ่งมีอุณหภูมิเพิ่ มขึ้น 1 องศาเซลเซียส”
q
C=
T
เมื่อ C = ความจุความร้อน
q = พลังงานความร้อน (cal หรือ J)
T = อุณหภูมิ
#ความจุความร้อนจาเพาะ
(specific heat capacity; c, s)
“ปริมาณความร้อนทีท
่ าให้สารมวล 1 หน่วย (kg) มีอุณหภูมส
ิ ูงขึ้น 1°C”
q
c=
mT
เมื่อ m คือมวลของสาร
ปริมาณความร้อน q คานวณได้จาก
q = mcT
#ความร้อนแฝง (Latent heat)
Specific heat
capacity
ปริมาณความร้อนที่ทาให้สารเปลี่ยน 4.186 kJ/kg
To heat water
สถานะ โดยที่อุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง from 0C to
100C
ในขณะที่สารกาลังเปลี่ยนสถานะ
Vf
w = - PdV
Vi
w=0
#กระบวนการทางอุณหพลศาสตร์
Vf
w = - PdV
Vi
Vf
w = -P dV
Vi
w = -P(V-V)
f i
#กระบวนการทางอุณหพลศาสตร์
w = -nRT ln
Vi
#กระบวนการทางอุณหพลศาสตร์
http://www.mecha-engineeringbd.com/2016/06/adiabatic-process.html?m=1
กระบวนการคายความร้อน กระบวนการดูดความร้อน
(exothermic process) (endothermic process)
กระบวนการที่ระบบถ่ายเทพลังงานให้กับ กระบวนการที่ระบบดูดพลังงานให้กับสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อม ทาให้ระบบมีพลังงานลดลง ส่วน ทาให้ระบบมีพลังงานเพิ่มขึ้น ส่วนสิ่งแวดล้อมมี
สิง่ แวดล้อมมีพลังงานสูงขึ้น (อุณหภูมิสูงขึ้น) พลังงานลดลง (อุณหภูมิลดลง)
H มีเครื่องหมายเป็นลบ H มีเครื่องหมายเป็นบวก
ระบบ → พลังงาน (ความร้อน) → สิง ่ แวดล้อม สิง
่ แวดล้อม→ พลังงาน (ความร้อน) → ระบบ
C(s) + O2(g) → CO2(g) + 94.05 kcal 2HgO(s) + 43.4 kcal → 2Hg(l) + O2(g)
เขียนค่าความร้อนไว้ด้านขวาของสมการเคมี เขียนค่าความร้อนไว้ด้านซ้ายของสมการเคมี
เอนทัลปี
H = E + PV …(2)
เอนทัลปีของปฏิกิริยาใด ๆ มีค่าเท่ากับ ปริมาณ
ความร้อนของการเปลี่ยนแปลงเมื่อเกิดปฏิกิริยาที่
ความดันคงที่สาหรับสารจานวน 1 mol
จากสมการ H = E + PV …(2)
ในกรณีของแข็งและของเหลว ปริมาตรคงที่ หรือเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ๆ (V=0)
ดังนั้น H กับ E มีค่าใกล้เคียงกัน จะทาให้เอนทัลปีของปฏิกิริยาและพลังงานภายในมีค่าเท่ากันหรือ
ใกล้เคียงกันมาก
H = E …(4)
E = qp …(5) สภาวะมาตรฐาน (standard states; H)
สภาวะที่ระบบมีความดัน 1 atm (760 mmHg หรือ
• ปฏิกิริยาดูดความร้อน (endothermic reaction) 101.325 kPa) อุณหภูมิ 25C (หรือ 298.15 K)
ระบบดูดกลืนความร้อนจากสิ่งแวดล้อม ค่า H มีค่า หรือถ้าเป็นสารละลายมีความเข้มข้นเท่ากับ 1
เป็นบวก mol/L
• ปฏิกิริยาคายความร้อน (exothermic reaction)
ระบบคายความร้อนสูส ่ ง
ิ่ แวดล้อม ค่า H มีค่าเป็นลบ ใช้สัญลักษณ์ แทนสภาวะมาตรฐาน
• หน่วย แคลอรี (cal) และ จูล (J)
• 1 แคลอรี เท่ากับ 4.184 จูล H แทนการเปลี่ยนแปลงเอนทัลปีที่ความดัน 1
atm อุณหภูมิ 25C
วิธีคิด วิธีคิด
H2O(s) (1 mol) → H2O(l) (1 mol) กรบวนการใน Bomb calorimeter นั้น V คงที่
เนื่องจากกระบวนการเกิดที่ความดันคงที่ (1 atm) E = q = 1,364.34 kJ
ดังนั้น H = q = 5 kJ จากสมการ
จากสมการ H = E + (PV)
H = E + PV จาก PV = nRT >> (PV) = (n)RT
E = H - PV (PV) = (2-3 mol)(8.314 J/K)(298 K)
= 5,000 J –(1 atm)(-0.0016 L) = -2,478.8 J = -2.48 kJ
= 5,000 J + 0.0016 Latm
= 5,000 J + (0.0016 Latm)(101.3 J) H = E + (PV)
= 5,000.16 J = 1,364.34 kJ + (-2.48 kJ)
= -1,366.82 kJ
ปฏิกิริยาคายความร้อน ปฏิกิริยาดูดความร้อน
(exothermic reaction) (endothermic reaction)
เขียนค่าความร้อนไว้ด้านขวาของสมการเคมี เขียนค่าความร้อนไว้ด้านซ้ายของสมการเคมี
C(s) + O2(g) → CO2(g) + 94.05 kcal 2HgO(s) + 43.4 kcal → 2Hg(l) + O2(g)
aA + bB → cC + dD
Hrxn = o
mH f(products) - o
nH f(reactants)
H > 0 H < 0
#เอนทัลปีของชนิดปฏิกิริยาเคมี
เอนทัลปีมาตรฐานของการเกิด
(standard enthalpy of formation ; Hf)
สั ง เกตว่ า ปฏิ กิ ริ ย า
H2(g) + ½O2(g) → H2O(l) Hc = -285.83 kJ/mol
เหล่านี้เป็นปฏิกิริยา
CH4(g) + 2O2(g) → CO2(g) + 2H2O(l) Hc = -890.36 kJ/mol
คายความร้อน (H
C(s) + O2(g) → CO2(g) Hc = -393.51 kJ/mol
ติดลบ) เสมอ
คานวณการเปลี่ยนแปลงเอนทัลปีของปฏิกิริยาการสันดาปของกลูโคส (C6H12O6) 1 mol
ไปเป็น CO2 และ H2O
C6H12O6(s) + 6O2(g) → 6CO2(g) + 6H2O(l)
Ho
rxn = mH o
f(products) - nH
o
f(reactants)
H o
rxn = [6H f(CO2) + 6H f(H2O)] - [H f(C6H12O6) + 6H f(O2)]
o o o o
1) พิ จารณาจากประเภทของปฏิกิริยา
-(msyscsysTsys) = mH2OcH2OTH2O
mH2OcH2OTH2O
csys =-
msysTsys
Constant-volume
Calorimeter :
Bomb calorimeter
(V คงที่)
H = -906.3 kJ
#กิจกรรม work@class
แบ่งกลุ่มทากิจกรรม 4.1
ให้แต่ละกลุ่มนาเสนอ วิธีการแก้ไขโจทย์ปัญหา
มอบหมายโจทย์ให้แต่ละกลุ่ม
1) หลักการสาคัญหรือหลักพื้ นฐานที่ถูกต้อง
ระดมสมองแก้ไขโดยวิธีการ
ร่วมแสดงความคิดเห็น 2) วิธีการคานวณค่าที่ถูกต้อง
3) วิธีอธิบายเชิงพฤติกรรม (วิธีปฏิบัติ) ที่ถูกต้อง
โดยให้กลุ่มอื่น ๆ รับฟัง และซักถามในข้อที่สงสัย