Professional Documents
Culture Documents
59) 1
7 Jun 2017
(ก) 𝑚 + 𝑛 < 𝑟 + 𝑠
(ข) 𝑚𝑛 < 𝑟 𝑠
𝑚 𝑟
(ค) (𝑛𝑠) > (𝑛𝑠)
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ
𝜋 3𝜋 3𝜋 𝜋
4. ให้ 𝑎 = (sin2 ) (sin2
8 8
) และ 𝑏 = (sin2
8
)− (sin2 )
8
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. 𝑏 2 − 4𝑎 = 0 2. 4𝑏 2 − 8𝑎 = 3 3. 16𝑎2 − 8𝑏2 = 1
4. 4𝑎2 + 𝑏 2 = 1 5. 4𝑎2 + 4𝑏 2 = 1
5. กาหนดให้ 𝐴𝐵𝐶 เป็ นรูปสามเหลีย่ มทีม่ ีมมุ 𝐶 เป็ นมุมแหลม ถ้ า 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นความยาวด้ านตรงข้ ามมุม 𝐴 มุม 𝐵
และมุม 𝐶 ตามลาดับ โดยที่ 𝑎4 + 𝑏4 + 𝑐 4 = 2(𝑎2 + 𝑏2 )𝑐 2 แล้ วมุม 𝐶 สอดคล้ องกับสมการในข้ อใดต่อไปนี ้
1. sin 2𝐶 = cos 𝐶 2. 2 tan 𝐶 = cosec 2 𝐶
3. sec 𝐶 + 2 cos 𝐶 = 4 4. 4 cosec 2 𝐶 − cos2 𝐶 = 1
5. tan2 𝐶 + 2 cos(2𝐶) = 2
PAT 1 (มี.ค. 59) 3
6. กาหนดให้ 𝑃(𝑆) แทนเพาเวอร์ เซตของเซต 𝑆 ให้ 𝐴, 𝐵 และ 𝐶 เป็ นเซตใดๆ พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ถ้ า 𝐴 ∩ 𝐶 ∈ 𝐵 แล้ ว 𝐴 ∈ 𝐵 ∪ 𝐶
(ข) ถ้ า 𝐴 ∩ 𝐶 ⊂ 𝐵 แล้ ว 𝐵 = (𝐴 ∪ 𝐵) ∪ (𝐵 ∩ 𝐶)
(ค) 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) ⊂ 𝑃(𝐴) ∪ 𝑃(𝐵)
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) ถูกเพียงข้ อเดียว 2. ข้ อ (ข) ถูกเพียงข้ อเดียว
3. ข้ อ (ค) ถูกเพียงข้ อเดียว 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ
10. กาหนดให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริ ง ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริ ง
และ 𝑔 : ℝ → ℝ โดยที่ 𝑔(1 + 𝑥) = 𝑥(2 + 𝑥) และ (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = 𝑥 2 + 1 สาหรับ 𝑥 ∈ ℝ
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) { 𝑥 ∈ ℝ | (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) } เป็ นเซตว่าง
(ข) (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) + 1 ≥ 0 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 ≥ −1
(ค) (𝑓 + 𝑔)(𝑥) ≥ 1 สาหรับทุกจานวนจริ ง 𝑥 ≥ −1
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) ถูกเพียงข้ อเดียว 2. ข้ อ (ข) ถูกเพียงข้ อเดียว
3. ข้ อ (ค) ถูกเพียงข้ อเดียว 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ
11. ให้ 𝐶 เป็ นวงกลมมีจดุ ศูนย์กลางอยูท่ ี่จดุ 𝐴 เส้ นตรง 3𝑥 + 4𝑦 = 35 สัมผัสวงกลมที่จดุ (5, 5) ถ้ าไฮเพอร์ โบลา
รูปหนึง่ มีแกนตามขวางขนานกับแกน 𝑦 มีจดุ ศูนย์กลางอยูท่ ี่จดุ 𝐴 ระยะระหว่างจุดศูนย์กลางกับโฟกัสจุดหนึง่ เป็ น
สองเท่าของรัศมีของวงกลม 𝐶 และเส้ นตรง 3𝑥 − 4𝑦 = 2 เป็ นเส้ นกากับเส้ นหนึง่ แล้ วสมการไฮเพอร์ โบลารูปนี ้
ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 + 32𝑥 + 36𝑦 + 596 = 0 2. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 − 32𝑥 − 36𝑦 + 596 = 0
3. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 + 32𝑥 + 36𝑦 − 596 = 0 4. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 − 36𝑥 − 32𝑦 + 596 = 0
5. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 − 36𝑥 + 32𝑦 + 596 = 0
PAT 1 (มี.ค. 59) 5
15. กาหนดให้ 𝐴 และ 𝐵 เป็ นจุดสองจุดบนเส้ นตรง 𝑦 = 2𝑥 + 1 ถ้ าจุด 𝐶(−2, 2) เป็ นจุดที่ทาให้ ̅̅̅̅| = |𝐶𝐵
|𝐶𝐴 ̅̅̅̅ |
และ ⃗⃗⃗⃗⃗ 𝐶𝐵 = 0 แล้ วสมการของวงกลมที่ผา่ นจุด 𝐴, 𝐵 และ 𝐶 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
𝐶𝐴 ∙ ⃗⃗⃗⃗⃗
1. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑦 − 4 = 0 2. 𝑥 2 + 𝑦 2 + 2𝑦 − 12 = 0
3. 𝑥 2 + 𝑦 2 + 2𝑥 − 4 = 0 4. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑥 − 12 = 0
5. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 8 = 0
PAT 1 (มี.ค. 59) 7
𝑥+𝑏−4 , 𝑥≤𝑎
17. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑓(𝑥) = {𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑎 , 𝑎<𝑥≤𝑏 เมือ่ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
2𝑏𝑥 − 𝑎 , 𝑥>𝑏
และ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่องบนเซตของจานวนจริง พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) (𝑓 ∘ 𝑓)(𝑎 − 𝑏) = 𝑎 − 𝑏
(ข) 𝑓(𝑎 + 𝑏) = 𝑓(𝑎) + 𝑓(𝑏)
(ค) 𝑓 ′ (𝑓(2)) = 𝑓(𝑓 ′ (2))
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ
21. ถ้ าข้ อมูล 10 จานวน คือ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 เมื่อ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 เป็ นจานวนจริง โดยที่คา่ เฉลีย่ เลขคณิตของ
10
ข้ อมูล 𝑥12 , 𝑥22 , 𝑥32 , …, 𝑥10
2
เท่ากับ 70 และ (𝑥𝑖 − 3)2 = 310
i 1
22. ให้ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥20 เป็ นข้ อมูลที่เรี ยงค่าจากน้ อยไปหามาก และเป็ นลาดับเลขคณิตของจานวนจริง
ถ้ าควอร์ ไทล์ที่ 1 และเดไซล์ที่ 6 ของข้ อมูลชุดนี ้เท่ากับ 23.5 และ 38.2 ตามลาดับ
แล้ ว ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 9.75 2. 10.25 3. 10.50
4. 11.50 5. 11.75
23. นาย ก. และนางสาว ข. พร้ อมด้ วยเพื่อนผู้ชายอีก 3 คน และเพื่อนผู้หญิงอีก 3 คน นัง่ รับประทานอาหารรอบโต๊ ะกลม
โดยที่ นาย ก. และนางสาว ข. นัง่ ตรงข้ ามกัน และมีเพื่อนผู้หญิง 2 คนนัง่ ติดกันกับ นางสาว ข. จะมีจานวนวิธีจดั ทีน่ งั่
รอบโต๊ ะกลมดังกล่าวได้ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 30 วิธี 2. 72 วิธี 3. 96 วิธี
4. 120 วิธี 5. 144 วิธี
2 1 𝑛
24. กาหนดให้ 𝑎𝑛 =
4𝑛2 −1
− (− )
3
สาหรับ 𝑛 = 1, 2, 3, … อนุกรม 𝑎𝑛 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
n 1
5
1. อนุกรมลูเ่ ข้ าและมีผลบวกเท่ากับ 4
2. อนุกรมลูเ่ ข้ าและมีผลบวกเท่ากับ 34
5
3. อนุกรมลูเ่ ข้ าและมีผลบวกเท่ากับ 6
4. อนุกรมลูเ่ ข้ าและมีผลบวกเท่ากับ 16
5. อนุกรมลูอ่ อก
10 PAT 1 (มี.ค. 59)
𝑥𝑦
, 𝑥+𝑦 ≠0
25. สาหรับ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริงที่ไม่เป็ นศูนย์ นิยาม 𝑥 ∗ 𝑦 = {𝑥+𝑦
0 , 𝑥+𝑦 =0
ถ้ า 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นจานวนจริงที่ไม่เป็ นศูนย์ โดยที่
𝑎 ∗ 𝑏 = 1 , 𝑎 ∗ 𝑐 = 2 และ 𝑏 ∗ 𝑐 = 3
แล้ วข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. 𝑎 + 𝑏 < 𝑐 2. 𝑎 < 𝑏 + 𝑐 3. 𝑎<𝑏<𝑐
4. 𝑏 < 𝑐 < 𝑎 5. 𝑐 < 𝑎 < 𝑏
𝑎 0 1 0
26. กาหนดให้ 𝐴−1 = [
−2 1
] และ 𝐵−1 = [
𝑏 1
] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ งที่ไม่เป็ นศูนย์
8 −2
โดยที่ (𝐴𝑡 )−1𝐵 = [−3 1
] ค่าของ det(2𝐴 + 𝐵) เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 3 2. 6 3. 9
4. 12 5. 14
โดยที่ 𝑥 และ 𝑦 มีความสัมพันธ์เชิงฟั งก์ชนั แบบเส้ นตรง ถ้ า 𝑦 = 8 แล้ วค่าของ 𝑥 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 5.94 2. 5.86 3. 7.1
4. 7.23 5. 8
PAT 1 (มี.ค. 59) 11
28. กาหนดให้ ℝ เป็ นเซตของจานวนจริ ง ให้ 𝑓 : ℝ → ℝ และ 𝑔 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ทกุ อันดับ และ
สอดคล้ องกับ 𝑔(𝑥) = 𝑥𝑓(𝑥) และ 𝑔′ (𝑥) = 4𝑥 3 + 9𝑥 2 + 2 สาหรับทุกจานวนจริ ง 𝑥
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ของ 𝑓 เท่ากับ 6
(ข) ค่าตา่ สุดสัมพัทธ์ของ 𝑓 เท่ากับ 2
(ค) อัตราการเปลีย่ นแปลงของ (𝑓 + 𝑔)(𝑥) เทียบกับ 𝑥 ขณะที่ 𝑥 = 1 เท่ากับ 12
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ
29. กล่องใบหนึง่ บรรจุลกู แก้ วสีแดง 2 ลูก ลูกแก้ วสีขาว 3 ลูก และลูกแก้ วสีเขียว 3 ลูก สุม่ หยิบลูกแก้ วออกมาจากกล่อง
8 ครัง้ ครัง้ ละลูกโดยไม่ต้องใส่คน ื ความน่าจะเป็ นที่สมุ่ หยิบลูกแก้ ว 8 ครัง้ โดยครัง้ ที่ 1 ได้ ลกู แก้ วสีขาวหรื อหยิบครัง้
ที่ 8 ไม่ได้ ลกู แก้ วสีแดง เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 34 2. 58 3. 56 29
4. 78 5. 67
1
2 √3 − 2 3
30. กาหนดให้ 𝐴 = 4 − √3 ,
√3
4
𝐵=
4
√3
1
และ 𝐶= 4 1
+4
√27
√3 − √ √3( √3 + )
√3 √√3
(1−2𝑖)𝑧
33. กาหนดให้ 𝑧 เป็ นจานวนเชิงซ้ อน โดยที่ |𝑧| = |𝑧 − 1 + 𝑖| และ Re(
3−𝑖
)=0 เมื่อ 𝑖 2 = −1
แล้ วค่าของ |2𝑧 + 1|2 เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (มี.ค. 59) 13
2
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
34. ค่าของ 2 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด
4 𝑥|𝑥+2|−𝑥 −2
36. ให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ งที่สอดคล้ องกับ 𝑎(𝑎 + 𝑏 + 3) = 0 และ 2(𝑏 − 𝑎) = (𝑎 + 𝑏 + 1)(2 − 𝑏)
ค่ามากที่สดุ ของ 𝑎4 + 𝑏4 เท่ากับเท่าใด
14 PAT 1 (มี.ค. 59)
2 −2 1
39. กาหนดให้ 𝐴 = [𝑎 𝑏 2] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ ง
1 2 2
ถ้ า 𝐴𝐴 = 9𝐼 เมื่อ 𝐼 เป็ นเมทริ กซ์เอกลักษณ์ที่มมี ิติ 3 × 3 แล้ วค่าของ 𝑎2 − 𝑏2 เท่ากับเท่าใด
𝑡
PAT 1 (มี.ค. 59) 15
40. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 + 𝑎𝑥 + 𝑏 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ถ้ าอัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่ ของ 𝑓(𝑥) เทียบ
1
กับ 𝑥 เมื่อค่าของ 𝑥 เปลีย่ นจาก −1 เป็ น 1 เท่ากับ −2 และ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 2
1
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3−ℎ)
แล้ วค่าของ lim
h0 ℎ
เท่ากับเท่าใด
|𝑥 2 −𝑥−2|
42. ค่าของ lim
3
2− √𝑥 2 +4
เท่ากับเท่าใด
x 2
16 PAT 1 (มี.ค. 59)
43. ให้ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ถ้ า 𝐴 เป็ นเซตของข้ อมูล 2𝑛 จานวน คือ 1, 2, 3, … , 𝑛 , −1, −2, −3, … , −𝑛
โดยทีค่ วามแปรปรวนของข้ อมูลในเซต 𝐴 เท่ากับ 46
แล้ วค่าเฉลีย่ เลขคณิตของ 13 , 23 , 33 , … , 𝑛3 เท่ากับเท่าใด
44. กาหนดให้ 𝑎̅, 𝑏̅ และ 𝑐̅ เป็ นเวกเตอร์ ในสามมิติ โดยที่ 𝑎̅ + 𝑏̅ = 𝑡𝑐̅ โดยที่ 𝑡 เป็ นจานวนจริ งบวก
ถ้ า 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ + 𝑘̅ , |𝑏̅| = |𝑎̅|2 , |𝑐̅| = √2 และ 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑏̅ ∙ 𝑐̅ + 𝑐̅ ∙ 𝑎̅ = 9
แล้ วค่าของ 𝑡 เท่ากับเท่าใด
เฉลย
1. 1 11. 5 21. 4 31. 34 41. 20
2. 3 12. 3 22. 3 32. 45 42. 9
3. 4 13. 3 23. 5 33. 5 43. 396
4. 1 14. 4 24. 1 34. 3 44. 3
5. 2 15. 1 25. 5 35. 97.2 45. 70
6. 5 16. 3 26. 2 36. 641
7. 2 17. 1 27. 2 37. 61
8. 1 18. 4 28. 1 38. 0.75
9. 4 19. 2 29. 5 39. 3
10. 2 20. 5 30. 5 40. 48
แนวคิด
1. 1
ก. ใช้ วธิ ีสมมติให้ เป็ นเท็จ (~𝑝 → 𝑞) → (~𝑞 → 𝑝)
F
T → F 𝑝 → 𝑞 ≡ ~𝑝 ∨ 𝑞
T → F
~F
ได้ 𝑞 ≡ F , 𝑝 ≡ F
แทนในตัวหน้ า
ขัดแย้ ง ~F → F
T →F
F → เกิดข้ อขัดแย้ ง ดังนัน้ เป็ นสัจนิรันดร์ → ก. ถูก
ข. ↔ ต้ องดูวา่ หน้ า หลัง สมมูลกันหรื อไม่ ค. (𝑝 → 𝑞) ∨ (~𝑟 → ~𝑞) ≡ 𝑝→𝑟
(~𝑝 ∨ 𝑞) ∨ (~(~𝑟) ∨ ~𝑞) ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
𝑝→𝑞 ≡ ~𝑞 → 𝑝
~𝑝 ∨ 𝑞 ∨ 𝑟 ∨ ~𝑞 ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
~𝑝 ∨ 𝑞 ≡ ~(~𝑞) ∨ 𝑝
~𝑝 ∨ 𝑞 ≡ 𝑞 ∨𝑝 (𝑞 ∨ ~𝑞) ∨ ~𝑝 ∨ 𝑟 ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
T ∨ ~𝑝 ∨ 𝑟 ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
T หรื อ กับอะไรก็ได้ T
T ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
ไม่สมมูลกัน ดังนัน้ ไม่เป็ นสัจนิรันดร์ → ข. ถูก
ไม่สมมูล → ค. ผิด
2. 3
นักเรี ยนชอบอย่างน้ อย 1 วิชา → ข้ างนอกสามวง = 0 ชอบวิชาเดียว = 21 คน → จะได้ สว่ นที่แรเงา = 21
ชอบ 3 วิชา = 4 คน → จะได้ ตรงกลาง = 4 𝑀 𝐸
𝑀 𝐸
กาหนด 𝑎, 𝑏, 𝑐 ตามรูป 𝑎
𝑏 4 𝑐
𝑇
จะได้ นกั เรียนทังหมด
้ = 21 + 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 + 4
𝑇
= 25 + 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 …(1)
แต่จากสูตร Inclusive – Exclusive จะได้ นกั เรี ยนทังหมด
้
= 𝑛(𝑀) + 𝑛(𝐸) + 𝑛(𝑇) − 𝑛(𝑀 ∩ 𝐸) − 𝑛(𝐸 ∩ 𝑇) − 𝑛(𝑀 ∩ 𝑇) + 𝑛(𝑀 ∩ 𝐸 ∩ 𝑇)
= 24 + 22 + 21 − (𝑎 + 4) − (𝑏 + 4) − (𝑐 + 4) + 4
= 59 − 𝑎 − 𝑏 − 𝑐 …(2)
18 PAT 1 (มี.ค. 59)
4. 1
สังเกตว่า 𝜋8 กับ 3𝜋
8
รวมกันได้ 4𝜋
8
=
𝜋
2
→ ใช้ โคฟั งก์ชนั จะได้ sin
3𝜋
8
= cos 8
𝜋
𝜋 3𝜋
𝑎 = (sin2 8 ) (sin2 8
) sin 2𝜃 = 2 sin 𝜃 cos 𝜃
𝜋 𝜋 2 cos 2𝜃 = cos 2 𝜃 − sin2 𝜃
= (sin 8 cos 8 )
𝜋 𝜋 2 3𝜋 𝜋
2 sin cos
= ( 8 8
) 𝑏 = (sin2 8
) − (sin2 8 )
2
𝜋 𝜋
sin
𝜋 2
ใช้ สตู ร sin 2𝜃 = (cos 2 8 ) − (sin2 8 )
4
= ( )
2
= cos 4
𝜋 ใช้ สตู ร cos 2𝜃
√2
2 2
2 4 1
= ( ) = = √2
2 4 8 =
2
1 √2
จะได้ 𝑎=
8
และ 𝑏=
2
→ แทนในตัวเลือกแต่ละข้ อ
2 2
√2 1 2 1 √2 1
1. ( ) − 4( ) =
2 8 4
−
2
= 0 → ถูก 2. 4( ) − 8( ) = 2 − 1 ≠ 3 →
2 8
ผิด
2 2
1 2 √2 1 1 2 √2 1 1
3. 16 (8) − 8( 2 ) = 4 −4 ≠ 1 → ผิด 4. 4 (8) + ( 2 ) = 16
+2 ≠ 1 → ผิด
PAT 1 (มี.ค. 59) 19
2
1 2 √2 1
5. 4 (8) + 4 ( 2 ) = 16
+ 2 ≠ 1 → ผิด
5. 2
มี 𝑎4 + 𝑏4 + 𝑐 4 จะลองใช้ กฎของ cos ที่ 𝐶 แล้ วยกกาลังสองดู ดังนี ้
𝑐2 = 𝑎2 + 𝑏 2 − 2𝑎𝑏 cos 𝐶
2𝑎𝑏 cos 𝐶 = 𝑎2 + 𝑏 2 − 𝑐 2
(2𝑎𝑏 cos 𝐶)2 = (𝑎2 + 𝑏 2 − 𝑐 2 )2
4𝑎2 𝑏 2 cos 2 𝐶 = 𝑎4 + 𝑏 4 + 𝑐 4 + 2𝑎2 𝑏 2 − 2𝑏 2 𝑐 2 − 2𝑎2 𝑐 2
โจทย์กาหนด
4𝑎2 𝑏 2 cos 2 𝐶 = 2(𝑎2 + 𝑏 2 )𝑐 2 + 2𝑎2 𝑏2 − 2𝑏 2 𝑐 2 − 2𝑎2 𝑐 2
4𝑎2 𝑏 2 cos 2 𝐶 = 2𝑎2 𝑐 2 + 2𝑏 2 𝑐 2 + 2𝑎2 𝑏 2 − 2𝑏 2 𝑐 2 − 2𝑎2 𝑐 2
4𝑎2 𝑏 2 cos 2 𝐶 = 2𝑎2 𝑏 2
1
cos 2 𝐶 =
2
1
cos 𝐶 = ±
√2
6. 5
(ก) 𝐴∩𝐶∈𝐵 คือ 𝐴∩𝐶 ต้ องเข้ าไปอยูใ่ นปี กกาของ 𝐵
เช่น 𝐴 = {1, 2} , 𝐶 = {2, 3} จะได้ 𝐴 ∩ 𝐶 = {2} → ถ้ าให้ 𝐵 = { {2} } จึงจะได้ วา่ 𝐴∩𝐶∈𝐵
แต่จะได้ 𝐴 ∈ 𝐵∪𝐶
{1, 2} ∈ { {2} } ∪ {2, 3}
{1, 2} ∈ { 2 , 3 , {2} } ×
𝐴 𝐶 𝐴 𝐶
(ข) 𝐴∩𝐶⊂𝐵 จะวาดได้ ดงั รูป จะตรวจสอบข้ อนี ้ โดยใช้ วิธีกาหนด 1 3 5
4
“สมาชิกตัวแทน” ให้ ทกุ ส่วน ดังรูป 2
6 7
𝐵 𝐵
จะได้ 𝐴 = {1, 2, 3} , 𝐵 = {2, 3, 4, 6} , และ 𝐶 = {3, 4, 5}
ดังนัน้ 𝐵 = (𝐴 ∪ 𝐵) ∪ (𝐵 ∩ 𝐶)
{2, 3, 4, 6} = {1, 2, 3, 4, 6} ∪ {3, 4}
{2, 3, 4, 6} = {1, 2, 3, 4, 6} ×
(ค) ปกติแล้ ว 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) จะใหญ่กว่า 𝑃(𝐴) ∪ 𝑃(𝐵) เพราะใน 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) จะมีสบั เซตที่ “บางตัวมาจาก 𝐴 และ
บางตัวมาจาก 𝐵” ในขณะที่ 𝑃(𝐴) ∪ 𝑃(𝐵) คือ การนา “สับเซตทีม่ าจาก 𝐴 รวมกับ “สับเซตที่มาจาก 𝐵” ซึง่ จะไม่
มีสบั เซตทีเ่ กิดร่วมกัน ระหว่าง 𝐴 กับ 𝐵
20 PAT 1 (มี.ค. 59)
สับเซตที่มีสมาชิกมาจากทัง้ 𝐴 และ 𝐵
7. 2
แก้ 0 < |𝑥| < 2 หาเอกภพสัมพัทธ์ → 0 < |𝑥| และ |𝑥| < 2
8. 1
4 𝑦
2 log 2 𝑦 = 4 + log √2 𝑥 4(𝑥+1) + 2 = 9(√2)
4 4𝑥
2 log 2 𝑦 = 4 + log 1 𝑥 4(𝑥+1) + 2 = 9(√2)
22
1 4𝑥
2 log 2 𝑦 = 4 + 2 log 2 𝑥 4𝑥 ∙ 41 + 2 = 9 (24 )
log 2 𝑦 = 2 + log 2 𝑥 4 ∙ 22𝑥 + 2 = 9 ∙ 2𝑥
log 2 𝑦 = log 2 4 + log 2 𝑥 4 ∙ 22𝑥 − 9 ∙ 2𝑥 + 2 = 0
log 2 𝑦 = log 2 4𝑥 (4 ∙ 2𝑥 − 1)(2𝑥 − 2) = 0
1
𝑦 = 4𝑥 2𝑥 = , 2
4
2𝑥 = 2−2 , 21
𝑥 = −2 , 1
โจทย์ให้ 𝑥 เป็ น 𝑅 +
แทน 𝑥=1 จะได้ 𝑦 = 4(1) = 4 → แทนในตัวเลือก
1. 12 + 42 = 17 2. 13 + 43 = 9 × 3. 12 = 4 − 1 ×
4. 42 = 1 + 4 × 5. 1 + 2(4) = 7 ×
9. 4
4 sin 40° − tan 40°
sin 40°
= 4 sin 40° − cos 40° 1
sin 80° + 2( ) sin 20°
2
4 sin 40° cos 40° − sin 40° = cos 40°
= cos 40° sin 80° + sin 20°
2(2 sin 40° cos 40°) − sin 40° = cos 40°
=
cos 40° 80°+20° 80°−20°
2 sin cos
2 2
=
2 sin 80° − sin 40° = cos 40°
cos 40°
2 sin 50° cos 30°
=
sin 80° + sin 80° − sin 40° = cos 40°
cos 40°
80°+40° 80°−40° √3
sin 80° + 2 cos sin 2 sin 50° ( )
= 2 2 =
2
จากโคฟังก์ชนั จะได้
cos 40° cos 40°
sin 80° + 2 cos 60° sin 20° sin 50° = cos 40°
= = √3
cos 40°
10. 2
หา 𝑔(𝑥) : จาก 𝑔(1 + 𝑥) = 𝑥(2 + 𝑥) → ให้ 1+𝑥 = 𝑎
𝑥 = 𝑎−1
𝑔( 𝑎 ) = (𝑎 − 1)(2 + 𝑎 − 1)
𝑔( 𝑎 ) = (𝑎 − 1)(𝑎 + 1)
𝑔( 𝑎 ) = 𝑎2 − 1
𝑔( 𝑥 ) = 𝑥2 − 1
11. 5
ให้ วงกลมมีจดุ ศูนย์กลางที่ 𝐴(ℎ, 𝑘) จะวาดได้ ดงั รูป
จัดรูปเส้ นตรง 3𝑥 + 4𝑦 = 35
(ℎ, 𝑘) 3 35 3
𝑦 = − 4 𝑥 + 4 → ความชัน = − 4
จาก รัศมี ⊥ เส้ นสัมผัส จะได้ ความชันรัศมี × ความชันเส้ นสัมผัส = −1
(5, 5) 𝑘−5 3
× − = −1
ℎ−5 4
3𝑥 + 4𝑦 = 35 3𝑘 − 15 = 4ℎ − 20
5 = 4ℎ − 3𝑘
4ℎ − 3𝑘 = 5 …(1)
โจทย์ให้ 𝐴(ℎ, 𝑘) เป็ นจุดศูนย์กลางของไฮเพอร์ โบลาด้ วย และโจทย์ให้ เส้ นกากับเส้ นหนึง่ คือ 3𝑥 − 4𝑦 = 2
เนื่องจากเส้ นกากับจะผ่านจุดศูนย์กลางเสมอ ดังนัน้ 𝐴(ℎ, 𝑘) ต้ องแทนใน 3𝑥 − 4𝑦 = 2 แล้ วเป็ นจริ ง
3ℎ − 4𝑘 = 2 …(2)
3(1) − 4(2) : 7𝑘 = 7
𝑘 = 1
(5, 5)
แปลว่ารูปต้ องเป็ นแบบนี ้ แทนใน (2) : 3ℎ − 4(1) = 2
ℎ = 2
(แต่ก็ยงั ทาแบบเดิมได้ อยู)่ (2, 1)
12. 3
สังเกตว่า ตัวในรูททางขวาสองตัว บวกกัน จะเท่ากับ ตัวในรูทฝั่งซ้ าย → 3 − 𝑥 + 2𝑥 − 1 = 𝑥+2
ดังนัน้ ถ้ าให้ 𝑎 = 3 − 𝑥 และ 𝑏 = 2𝑥 − 1 จะได้ อสมการคือ √𝑎 + 𝑏 < √𝑎 + √𝑏
𝑎 + 𝑏 < 𝑎 + 2√𝑎√𝑏 + 𝑏
0 < 2√𝑎√𝑏
เนื่องจาก ในรูทต้ อง ≥ 0 และ ผลรูท ≥ 0 จะเห็นว่า อสมการ 0 < 2√𝑎√𝑏 เป็ นจริ งเมื่อ 𝑎 > 0 และ 𝑏 > 0
นัน่ คือ 3 − 𝑥 > 0 และ 2𝑥 − 1 > 0
1
→ จะได้ 𝐴 = (2 , 3)
1
3 > 𝑥 𝑥 >
2
13. 3
โจทย์ให้ จุดยอดของวงรี อยูท่ ี่ จุดตัดแกน 𝑥 ของพาราโบลา
หาจุดที่พาราโบลาตัดแกน 𝑥 → แทน 𝑦 = 0 ในสมการพาราโบลา : 𝑥 2 + 4𝑥 + 3(0) − 5 = 0
𝑥 2 + 4𝑥 − 5 = 0
(𝑥 + 5)(𝑥 − 1) = 0
𝑥 = −5 , 1
ดังนัน้ จุดยอดของวงรี คือ (−5, 0) และ (1, 0) → เป็ นวงรี แนวนอน
จุดศูนย์กลางวงรี จะอยูต่ รงกลางระหว่างจุดยอด → ได้ จดุ ศูนย์กลาง (ℎ, 𝑘) = ( −5+1
2
, 0) = (−2, 0)
และถ้ าให้ ระยะโฟกัสของวงรี = 𝑐 จะได้ จดุ โฟกัสทังสองคื
้ อ (−2 + 𝑐 , 0) และ (−2 − 𝑐 , 0)
โจทย์ให้ ผลบวกของระยะจากจุดยอดพาราโบลา ไปยังโฟกัสทังสองของวงรี
้ = 2√13
หาจุดยอดพาราโบลา → จัดรูป 𝑥 2 + 4𝑥 + 3𝑦 − 5 = 0
𝑥 2 + 4𝑥 + 4 = −3𝑦 + 5 + 4
(𝑥 + 2)2 = −3(𝑦 − 3) → จะได้ จดุ ยอด คือ (−2, 3)
ดังนัน้ ระยะจาก (−2, 3) ไปยัง (−2 + 𝑐 , 0) บวก ระยะจาก (−2, 3) ไปยัง (−2 − 𝑐 , 0) เท่ากับ 2√13
2 2
√((−2) − (−2 + 𝑐)) + (3 − 0)2 + √((−2) − (−2 − 𝑐)) + (3 − 0)2 = 2√13
√( −2 + 2 − 𝑐 )2 + 32 + √( −2 + 2 + 𝑐 )2 + 32 = 2√13
√ 𝑐2 + 9 +√ 𝑐2 + 9 = 2√13
2
2√𝑐 + 9 = 2√13
𝑐2 + 9 = 13
𝑐 = 2
โจทย์ถามสมการวงรี → ต้ องหา 𝑎, 𝑏
PAT 1 (มี.ค. 59) 25
6
จากจุดยอดวงรี (−5, 0) และ (1, 0) จะได้ แกนเอกยาว 1 − (−5) = 6 ดังนัน้ 𝑎 = 2
= 3
และจาก 𝑎2 − 𝑏2 = 𝑐 2
32 − 𝑏 2 = 22
5 = 𝑏2
(𝑥−ℎ)2 (𝑦−𝑘)2
แทน (ℎ, 𝑘) = (−2, 0) และ 𝑎 = 3 , 𝑏2 = 5 ในสมการวงรี แนวนอน 𝑎2
+
𝑏2
= 1
(𝑥+2)2 (𝑦−0)2
32
+ 5
= 1
𝑥 2 +4𝑥+4 𝑦2
+ = 1
9 5
5𝑥 2 + 20𝑥 + 20 + 9𝑦 2 = 45
5𝑥 2 + 20𝑥 + 9𝑦 2 = 25
14. 4
หาจุดตัดแกนของเส้ นตรง วาดกราฟ และแทนจุดที่ไม่ได้ อยูบ่ นเส้ นกราฟ (0, 0) เพื่อแรเงา จะได้ ดงั รูป
L3 : 𝑥 − 2𝑦 + 17 ≥ 0
L1 : 𝑥 + 3𝑦 − 12 ≥ 0
จุดตัดแกน 𝑥 0 −17
จุดตัดแกน 𝑥 0 12 17
𝑦 4 0 𝑦 2
0
L3 9
𝑦 12 0
𝑦 56 0
จุด (0, 0) → อสมการเป็ นเท็จ L1 F G จุด (0, 0) → อสมการเป็ นจริง
แรเงาส่วนขวาบนที่ไม่มี (0, 0) H
E แรเงาส่วนซ้ ายล่างที่มี (0, 0)
หาพิกดั ของจุดมุม E, F, G, H
เอาจุดมุมทังสี
้ ่ ไปแทนใน สมการจุดประสงค์ 𝑃 = 7𝑥 − 5𝑦
E(3, 3) → 𝑃 = 7(3) − 5(3) = 6
F(1, 9) → 𝑃 = 7(1) − 5(9) = −38 → min
G(5, 11) → 𝑃 = 7(5) − 5(11) = −20
H(6, 2) → 𝑃 = 7(6) − 5(2) = 32 → max
(ก) จุดที่ให้ คา่ มากสุด คือ (6, 2) → 𝑎 + 𝑏 = 62 + 22 = 40 → (ก) ถูก
2 2
15. 1
จาก 𝐶𝐴 ⃗⃗⃗⃗⃗ = 0 แสดงว่า 𝐶𝐴
⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝐶𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗ ⊥ 𝐶𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗ ดังนัน้ ∆𝐴𝐵𝐶 เป็ น ∆ มุมฉาก 𝑦 = 2𝑥 + 1
และจากสมบัติของครึ่งวงกลม จะได้ 𝐴𝐵 ̅̅̅̅ เป็ นเส้ นผ่านศูนย์กลางวงกลม
𝐴
ให้ จดุ ศูนย์กลางคือ 𝐷(ℎ, 𝑘) จะวาดได้ ดงั รูป 𝐶(−2, 2)
เนื่องจาก 𝐷(ℎ, 𝑘) อยูบ่ นเส้ นตรง 𝑦 = 2𝑥 + 1
ดังนัน้ (ℎ, 𝑘) ต้ องสอดคล้ องกับสมการเส้ นตรง → 𝑘 = 2ℎ + 1 …(∗) 𝐷(ℎ, 𝑘)
16. 3
โจทย์ให้ แกนสมมาตรทับแกน 𝑦 ดังนัน้ จะเป็ นพาราโบลาคว่าหงาย มีรูปสมการคือ (𝑥 − ℎ)2 = 4𝑐(𝑦 − 𝑘)
เนื่องจากแกนสมมาตรจะผ่านจุดยอดเสมอ ดังนัน้ จุดยอดจะอยูบ่ นแกน 𝑦 ด้ วย
และเนื่องจากจุดบนแกน 𝑦 จะมีพกิ ดั 𝑥 เป็ น 0 เสมอ ดังนัน้ จุดยอด 𝑉(ℎ, 𝑘) จะมี ℎ = 0
→ แทนในสมการจะได้ 𝑥 2 = 4𝑐(𝑦 − 𝑘) …(∗)
PAT 1 (มี.ค. 59) 27
ดังนัน้ พาราโบลาผ่านจุด (0, 2) และ (3, 0) → สองจุดนี ้ต้ องแทนในสมการพาราโบลา (∗) แล้ วเป็ นจริง
𝑥 2 = 4𝑐(𝑦 − 𝑘) 𝑥 2 = 4𝑐(𝑦 − 𝑘)
02 = 4𝑐(2 − 𝑘) 32 = 4𝑐(0 − 𝑘)
9 = 4𝑐(0 − 2)
แต่ 𝑐 ≠ 0 (เพราะ 𝑐 คือระยะโฟกัส) 9
−8 = 𝑐 → 𝑐 เป็ นลบ แสดงว่าเป็ นพาราโบลาควา่
ดังนัน้ จะสรุปได้ วา่ 𝑘 = 2
ดังนัน้ ความยาวลาตัสเรคตัม = |4𝑐|
9 9
= |4 (− )| =
8 2
17. 1
𝑓 ต่อเนื่อง แสดงว่า 𝑓 ต้ องมีคา่ เท่ากันตรงบริ เวณรอยต่อของแต่ละสมการ
ที่รอยต่อตรง 𝑥 = 𝑎 จะได้ ที่รอยต่อตรง 𝑥=𝑏 จะได้
2 2
𝑥 + 𝑏 − 4 = 𝑥 + 𝑏𝑥 + 𝑎 𝑥 + 𝑏𝑥 + 𝑎 = 2𝑏𝑥 − 𝑎
𝑥=𝑎 𝑥=𝑏
𝑎 + 𝑏 − 4 = 𝑎2 + 𝑏𝑎 + 𝑎 𝑏2 + 𝑏2 + 𝑎 = 2𝑏 2 − 𝑎
𝑏 − 4 = 𝑎2 + 𝑏𝑎 2𝑎 = 0
𝑎 = 0
𝑏−4 = 0 + 0
𝑏 = 4
𝑥 , 𝑥≤0
จะได้ 𝑎=0, 𝑏=4 → แทนใน 𝑓(𝑥) จะได้ 𝑓(𝑥) = {𝑥 + 4𝑥 2
, 0<𝑥≤4
8𝑥 , 𝑥>4
แทน 𝑎, 𝑏 และ ในตัวเลือกในแต่ละข้ อ จะได้ ดงั นี ้
𝑓
(ก) (𝑓 ∘ 𝑓)(0 − 4) = 0 − 4 (ข) 𝑓(0 + 4) = 𝑓(0) + 𝑓(4)
𝑓(𝑓(−4)) = −4 𝑓( 4 ) = 0 + 𝑓(4) ใช้ สตู รแรกหา 𝑓(0)
สูตรแรก 𝑓( 4 ) = 𝑓(4)
𝑓( −4 ) = −4
สูตรแรก −4 = −4
1 , 𝑥≤0
(ค) ดิฟจะได้ 𝑓′(𝑥) = {2𝑥 + 4 , 0<𝑥≤4 ดังนัน้ 𝑓 ′ (𝑓(2)) = 𝑓(𝑓 ′ (2))
8 , 𝑥>4 𝑓 ′ (22 + 4(2)) = 𝑓(2(2) + 4)
𝑓 ′ ( 12 ) = 𝑓(8)
8 = 8(8)
8 = 64 ×
28 PAT 1 (มี.ค. 59)
18. 4
จัดรูป 𝑓(𝑥) → ให้ 𝑘 = 𝑥+3 จะได้ 𝑓(𝑥 + 3) = 𝑥 + 4
𝑘−3= 𝑥 𝑓( 𝑘 ) = 𝑘 − 3 + 4
𝑓( 𝑘 ) = 𝑘 + 1 → ดังนัน้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 + 1
และจาก (𝑓 −1 ∘ 𝑔)(𝑥) = 3𝑥𝑓(𝑥) − 3𝑥 − 4
𝑓 −1 (𝑔(𝑥)) = 3𝑥(𝑥 + 1) − 3𝑥 − 4
𝑓 −1 (𝑔(𝑥)) = 3𝑥 2 + 3𝑥 − 3𝑥 − 4
𝑓 −1 (𝑔(𝑥)) = 3𝑥 2 − 4 ย้ ายข้ าง 𝑓 −1 ไปเป็ น 𝑓 ที่อีกฝั่ง
𝑔(𝑥) = 𝑓(3𝑥 2 − 4)
จาก 𝑓(𝑥) = 𝑥 + 1
𝑔(𝑥) = 3𝑥 2 − 4 + 1
𝑔(𝑥) = 3𝑥 2 − 3
19. 2
จัดสมการให้ อยูใ่ นรูปของ 3𝑥+5 : 32𝑥+10 − 4(3𝑥+6 ) + 27 ≤ 0
2(𝑥+5) 𝑥+5 1)
3 − 4(3 ∙ 3 + 27 ≤ 0
(3𝑥+5 )2 − 12(3𝑥+5 ) + 27 ≤ 0
(3𝑥+5 − 3)(3𝑥+5 − 9) ≤ 0
ดังนัน้ 3 ≤ 3𝑥+5 ≤ 9
+ − +
31 ≤ 3𝑥+5 ≤ 32
3 9 1 ≤ 𝑥+5 ≤ 2
−4 ≤ 𝑥 ≤ −3
จะได้ 𝐴 = [−4 , −3] ซี่งจะเป็ นสับเซตของข้ อ 2
20. 5
25
25
จากสูตร 𝑆𝑛 จะได้ 𝑎𝑛 = 2
(2𝑎1 + (25 − 1)𝑑) = 1900 อนุกรมเลขคณิต
n 1
2𝑎1 24𝑑 1900 𝑎𝑛 = 𝑎1 + (𝑛 − 1)𝑑
+ = 𝑛
2 2 25 𝑆𝑛 = (2𝑎1 + (𝑛 − 1)𝑑)
2
𝑎1 + 12𝑑 = 76
𝑎1 = 76 − 12𝑑 …(∗)
กระจาย 4𝑎𝑛−1
𝑛
= 8 จะได้ 𝑎1
40
+
𝑎2
41
𝑎 𝑎
+ 432 + 443 +… = 8
n 1
𝑎1 𝑎1 +𝑑 𝑎 +2𝑑 𝑎 +3𝑑
40
+ 41
+ 142 + 143 +… = 8 …(1)
÷ 4 ตลอด ให้ ตาแหน่งเลื่อน 𝑎1 𝑎1 +𝑑 𝑎1 +2𝑑 𝑎1 +3𝑑
41
+ 42
+ 43
+ 43
+ … = 2 …(2)
𝑎1 𝑑 𝑑 𝑑
(1) − (2) : 1
+ 4
+ 42
+ 43
+ … = 6
PAT 1 (มี.ค. 59) 29
𝑎1 𝑑 𝑑 𝑑
(1) − (2) : 1
+ 4
+ 42
+ 43
+ … = 6
21. 4
จะหาความแปรปรวนของ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 ก่อน แล้ วค่อยขยายผลไปสู่ 3𝑥1 − 1 , 3𝑥2 − 1 , … , 3𝑥10 − 1
∑ 𝑥𝑖2
จากค่าเฉลีย่ ของ 𝑥12 , 𝑥22 , 𝑥32 , …, 𝑥10
2
เท่ากับ 70 จะได้ 10
= 70 ดังนัน้ ∑ 𝑥𝑖2 = 700 …(1)
และจาก ∑(𝑥𝑖 − 3)2 = 310
∑(𝑥𝑖2 − 6𝑥𝑖 + 9) = 310
∑ 𝑥𝑖2 − 6 ∑ 𝑥𝑖 + ∑ 9 = 310
จาก (1) ∑ 𝑐 = 𝑁𝑐
700 − 6 ∑ 𝑥𝑖 + 10(9) = 310
480 = 6 ∑ 𝑥𝑖
∑ 𝑥𝑖 80
80 = ∑ 𝑥𝑖 → ดังนัน้ 𝑥̅ = 𝑁
= 10
= 8 …(2)
∑ 𝑥2 700
จาก (1) และ (2) จะได้ ความแปรปรวนของ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 = 𝑁
− 𝑥̅ 2 = 10
− 82 = 6
ข้ อมูล 3𝑥1 − 1 , 3𝑥2 − 1 , … , 3𝑥10 − 1 เกิดจากการเอาข้ อมูล 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 มาคูณ 3 แล้ วลบ 1
การบวกลบ จะไม่ทาให้ 𝑠 เปลีย่ น แต่การคูณ 3 จะทาให้ คา่ 𝑠 เพิ่มเป็ น 3 เท่า
เนื่องจาก ความแปรปรวน = 𝑠 2 ดังนัน้ การคูณ 3 จะทาให้ ความแปรปรวนเพิ่มเป็ น 32 เท่า = 9 เท่า
ดังนัน้ ความแปรปรวนของ 3𝑥1 − 1 , 3𝑥2 − 1 , … , 3𝑥10 − 1 = 9 × ความแปรปรวนของ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10
= 9×6 = 54
22. 3
1 1
Q1 จะอยูต
่ วั ที่ 4
∙ (𝑁 + 1) = 4
∙ (20 + 1) = ตัวที่ 5.25
= ตัวที่ 5 + 0.25(ตัวที่ 6 − ตัวที่ 5)
𝑎𝑛 = 𝑎1 + (𝑛 − 1)𝑑 = 𝑥1 + (5 − 1)𝑑 + 0.25 𝑑 ลาดับเลขคณิต
= 𝑥1 + 4.25 𝑑 พจน์เพิ่มทีละ 𝑑
โจทย์ให้ Q1 = 23.5 ดังนัน้ 𝑥1 + 4.25𝑑 = 23.5
𝑥1 = 23.5 − 4.25𝑑 …(∗)
30 PAT 1 (มี.ค. 59)
6 6
D6 จะอยูต
่ วั ที่ 10
∙ (𝑁 + 1) =
10
∙ (20 + 1) = ตัวที่ 12.6
= ตัวที่ 12 + 0.6(ตัวที่ 13 − ตัวที่ 12)
= 𝑥1 + (12 − 1)𝑑 + 0.6 𝑑
= 𝑥1 + 11.6 𝑑
โจทย์ให้ D6 = 38.2 ดังนัน้ 𝑥1 + 11.6𝑑 = 38.2
แทน 𝑥1 = 23.5 − 4.25𝑑 จาก (∗) จะได้ 23.5 − 4.25𝑑 + 11.6𝑑 = 38.2
7.35𝑑 = 14.7
𝑑 = 2
แทนใน (∗) จะได้ 𝑥1 = 23.5 – 4.25(2) = 15
โจทย์ถาม ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ ซึง่ มีสตู รคือ Q3−Q
2
1
→ โจทย์ให้ Q1 = 23.5 แล้ ว แต่ยงั ต้ องหา Q 3 เพิ่ม
่ วั ที่ 34 ∙ (𝑁 + 1) = 34 ∙ (20 + 1) = ตัวที่ 15.75
Q 3 จะอยูต
= ตัวที่ 15 + 0.75(ตัวที่ 16 − ตัวที่ 15)
= 𝑥1 + (15 − 1)𝑑 + 0.75 𝑑
= 𝑥1 + 14.75 𝑑
𝑥1 = 15 , 𝑑 = 2
= 15 + 14.75(2) = 44.5
Q3 −Q1 44.5 − 23.5
ดังนัน้ ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ =
2
=
2
= 10.5
23. 5
มีทงหมด
ั้ 2 + 3 + 3 = 8 คน เอา นาย ก. ตอกไว้ หวั โต๊ ะไม่ให้ วงหมุน ก
1 2
ข. ต้ องนัง่ ตรงข้ าม ก. จะวาดได้ ดงั รูป
3 4
ตาแหน่ง A กับ B ต้ องเป็ นหญิง → มีหญิง 3 คน ดังนัน้ A เลือกได้ 3 แบบ
A B
→ เหลือหญิง 2 คน เลือกให้ B ได้ 2 แบบ ข
ที่เหลือ หญิง 1 คน + ชาย 3 คน รวม เป็ น 4 คน เลือกนัง่ ใน 4 ที่นงั่ ที่เหลือ ได้ 4! แบบ
ดังนัน้ จานวนวิธี = 3 × 2 × 4! = 144 แบบ
24. 1
2 1 𝑛 2 1 𝑛
𝑎𝑛 = (4𝑛2−1 − (− 3) ) = 4𝑛2−1 − (− 3) …(∗)
n 1 n 1 n 1 n 1
2 2 2 1 1
จะเห็นว่า 4𝑛2 −1
แยกเป็ นผลลบเพื่อทาเทเลสโคปิ คได้ → 4𝑛2 −1
= (2𝑛−1)(2𝑛+1)
= 2𝑛−1
− 2𝑛+1
ดังนัน้ 4𝑛22−1 = (2𝑛−1 − 2𝑛+1)
1 1
n 1 n 1
1 1 1 1 1 1
= 2(1)−1
− 2(1)+1 + 2(2)−1
− 2(2)+1 + 2(3)−1
− 2(3)+1 + …
1 1 1 1 1 1
= 1
− 3 + 3
− 5 + 5
− 7 + …
𝑛 1 1 1 2 1 3
และ (− 13) = (− 3) + (− 3) + (− 3) + … → เป็ นอนุกรมเรขาอนันต์ที่มี 1
𝑎1 = − 3 , 𝑟 = − 3
1
n 1
1
− 1 3 1 𝑎1
3
= 1 = −3 × 4 = −4 𝑆∞ =
1−(− ) 1−𝑟
3
2 1 𝑛
แทนใน (∗) จะได้ 𝑎𝑛 = 2 − (− 3)
n 1 n 1 4𝑛 −1 n 1
1 5
= 1 − (− ) =
4 4
25. 5
𝑎𝑏
จาก 𝑎 ∗ 𝑏 = 1 ≠0 ดังนัน้ 𝑎∗𝑏 ต้ องมาจากสูตรแรก จะได้ 𝑎∗𝑏 = 𝑎+𝑏
= 1
1 𝑎+𝑏
1
= 𝑎𝑏
1 1
1 = + …(1)
𝑏 𝑎
𝑎𝑐 𝑏𝑐
ทานองเดียวกัน 𝑎∗𝑐 =
𝑎+𝑐
= 2 𝑏∗𝑐 =
𝑏+𝑐
= 3
1 𝑎+𝑐 1 𝑏+𝑐
= =
2 𝑎𝑐 3 𝑏𝑐
1 1 1 1 1 1
= +𝑎 …(2) 3
= 𝑐
+𝑏 …(3)
2 𝑐
1 1 1
เปลีย่ นตัวแปร ให้ 𝐴= , 𝐵= , 𝐶=
𝑎 𝑏 𝑐
จะได้ ระบบสมการ (1), (2), (3) ดังนี ้
𝐵+𝐴 = 1 …(1)
1
𝐶+𝐴 = …(2)
2
1
𝐶+𝐵 = …(3)
3 แทนค่าหา 𝐴 กับ 𝐶 จะได้
1
(1) − (2) : 𝐵 − 𝐶 = 1 − 5
2 (1) : 12
+𝐴 = 1
1
𝐵−𝐶 = …(4) 7
2 𝐴 = 12
1 1 5 7 1
(3) + (4) : 2𝐵 = + = (2) : 𝐶 + =
3 2 6 12 2
5 1 7 1
𝐵 = 12 𝐶 = − 12 = − 12
2
7 5 1 12 12
จะได้ 𝐴 = 12 , 𝐵 = 12 , 𝐶 = − 12 ดังนัน้ 𝑎 = 7 , 𝑏 = 5 , 𝑐 = −12 → แทนในตัวเลือก
7 5
1. 12 + < −12 → ผิด ฝั่ งซ้ ายเป็ นบวก จะมากกว่าฝั่ งขวาทีเ่ ป็ นลบ
12
7 5
2. 12 < 12 + (−12) → ผิด ฝั่ งซ้ ายเป็ นบวก แต่ฝั่งขวาเป็ นลบ
3. 4. 5. ต้ องเรี ยงลาดับ 𝑎, 𝑏, 𝑐 จะเห็นว่า −12 < 12
7
<
12
5
ดังนัน้ 𝑐 < 𝑎 < 𝑏 → ตอบ ข้ อ 5
26. 2
8 −2
จาก (𝐴𝑡 )−1 𝐵 = [ ]
−3 1 ย้ ายข้ าง 𝐵
(𝐴𝑡 )−1 8 −2
= [ ] ∙ 𝐵−1
−3 1 (𝐴𝑡 )−1 = (𝐴−1 )𝑡 (เพราะ 𝐴𝑡 ∙ (𝐴−1 )𝑡 = (𝐴−1 ∙ 𝐴)𝑡 = I 𝑡 = I
(𝐴−1 )𝑡 8 −2
= [ ] ∙ 𝐵−1
−3 1
แทนค่าที่โจทย์ให้
𝑎 0𝑡 8 −2 1 0
[ ] = [ ][ ]
−2 1 −3 1 𝑏 1
32 PAT 1 (มี.ค. 59)
𝑎 −2 8 − 2𝑏 −2
[
0 1
] = [
−3 + 𝑏 1
] → เทียบสมาชิกตัวต่อตัว จะได้ 𝑎 = 8 − 2𝑏 และ 0 = −3 + 𝑏
3= 𝑏
𝑎 = 8 − 2(3)
= 2
2 0
แทน 𝑎=2 จะได้
𝐴−1 = [
−2 1
]
𝑎 𝑏 −1 1 𝑑 −𝑏
2 0 −1 1 1 0 1 1 0 [ ] = 𝑎𝑑−𝑏𝑐 [ ]
ดังนัน้ 𝐴 = [−2 1] = (2)(1)−(−2)(0) [2 2] = 2 [2 2] 𝑐 𝑑 −𝑐 𝑎
27. 2
ต้ องการทานาย 𝑥 เมื่อรู้ 𝑦 = 8 → ต้ องใช้ รูปสมการ 𝑋̂ = 𝑎 + 𝑏𝑦 …(∗) (สลับ 𝑥, 𝑦 กับแบบปกติที่เคยใช้ )
จะได้ ระบบสมการคือ ∑ 𝑥 = 𝑎𝑛 + 𝑏 ∑ 𝑦 …(1)
∑ 𝑥𝑦 = 𝑎 ∑ 𝑦 + 𝑏 ∑ 𝑦 2 …(2)
มี (𝑥, 𝑦) อยู่ 5 คู่ → 𝑛 = 5
หาค่าทีต่ ้ องใช้ จากตารางที่โจทย์ให้ จะได้
𝑥 1 3 4 5 7 → ∑ 𝑥 = 20
𝑦 0 3 6 7 9 → ∑ 𝑦 = 25
𝑥𝑦 0 9 24 35 63 → ∑ 𝑥𝑦 = 131
𝑦2 0 9 36 49 81 → ∑ 𝑦 2 = 175
28. 1
อินทิเกรต 𝑔′ (𝑥) = 4𝑥 3 + 9𝑥 2 + 2
4𝑥 9𝑥 4 3
จะได้ 𝑔(𝑥) = 4 + 3 + 2𝑥 + 𝑐 = 𝑥 4 + 3𝑥 3 + 2𝑥 + 𝑐 …(∗)
จาก 𝑔(𝑥) = 𝑥𝑓(𝑥) แทน 𝑔(𝑥) จาก (∗) จะได้ 𝑥 4 + 3𝑥 3 + 2𝑥 + 𝑐 = 𝑥𝑓(𝑥) แทน 𝑥 = 0
04 + 3(03 ) + 2(0) + 𝑐 = (0) 𝑓(0)
𝑐 = 0
แทน 𝑐=0 ใน (∗) จะได้ 𝑔(𝑥) = 𝑥 4 + 3𝑥 3 + 2𝑥 = 𝑥𝑓(𝑥) ÷ 𝑥 ตลอด
𝑥 3 + 3𝑥 2 + 2 = 𝑓(𝑥) …(∗∗)
PAT 1 (มี.ค. 59) 33
ขึ ้น ลง ขึ ้น สูงสุดสัมพัทธ์ที่ 𝑥 = −2
+ − + ต่าสุดสัมพัทธ์ที่ 𝑥= 0
−2 0
ดังนัน้ ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ = 𝑓(−2) = (−2)3 + 3(−2)2 + 2 = 6 → ก. ถูก
ค่าตา่ สุดสัมพัทธ์ = 𝑓(0) = (0)3 + 3(0)2 + 2 = 2 → ข. ถูก
ค. อัตราการเปลีย่ นแปลงของ (𝑓 + 𝑔)(𝑥) ขณะที่ 𝑥 = 1 คือ (𝑓 + 𝑔)′ (1) นัน่ เอง
(𝑓 + 𝑔)(𝑥) = 𝑓(𝑥) + 𝑔(𝑥) = 𝑥 3 + 3𝑥 2 + 2 + 𝑥 4 + 3𝑥 3 + 2𝑥
= 𝑥 4 + 4𝑥 3 + 3𝑥 2 + 2𝑥 + 2
29. 5
จากสูตร Inclusive – Exclusive จะได้
𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว หรื อ ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) = 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว) + 𝑃(ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) − 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว และ
ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง)
จานวนแบบทังหมด ้ : มีลกู แก้ ว 2 + 3 + 3 = 8 ลูก หยิบทีละลูก 8 ครัง้ แบบไม่ใส่คืน → จะหยิบได้ ทงหมด
ั้ 8! แบบ
𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว) : มีสขี าว 3 ลูก ดังนัน้ ครัง้ ที่ 1 เลือกได้ 3 แบบ
ที่เหลือ 7 ครัง้ เหลือลูกแก้ วในกล่อง 7 ลูก จะหยิบได้ 7! แบบ
ดังนัน้ 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว) = 38!∙ 7! = 38
𝑃(ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) : มีสอี ื่นๆที่ไม่ใช่สแี ดง = 3 + 3 = 6 ลูก ดังนัน้ ครัง้ ที่ 8 เลือกได้ 6 แบบ
ที่เหลือ 7 ครัง้ เหลือลูกแก้ วในกล่อง 7 ลูก จะหยิบได้ 7! แบบ
ดังนัน้ 𝑃(ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) = 68!∙ 7! = 34
𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว และ ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) : มีสขี าว 3 ลูก ดังนัน้ ครัง้ ที่ 1 เลือกได้ 3 แบบ
เหลือสีขาว 2 ลูก ดังนัน้ เหลือสีอื่นๆที่ไม่ใช่สแี ดง = 2 + 3 = 5 ลูก
ดังนัน้ ครัง้ ที่ 8 เลือกได้ 5 แบบ
ที่เหลือ 6 ครัง้ เหลือลูกแก้ วในกล่อง 6 ลูก จะหยิบได้ 6! แบบ
ดังนัน้ 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว และ ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) = 3 ∙ 8!5 ∙ 6! = 15
56
จะได้ 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว หรื อ ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) = 38 + 34 − 15 56
=
21 + 42 − 15
56
=
48
56
=
6
7
34 PAT 1 (มี.ค. 59)
30. 5
2 2 1
ให้ 4
𝑥 = √3 จะได้ 4
𝑥 2 = √3 = 34 = 32 = √3
4 4
และ 4
𝑥 4 = √3 = 34 = 3 → จะเปลีย่ น 𝐴, 𝐵, 𝐶 ให้ อยูใ่ นรูปของ 𝑥
1
2 4 √3 − 2 3
√3
𝐴 = 4 − √3 𝐵 = 𝐶 = 4 1
+4
√3 4
√3 − √
1
√3( √3 + ) √27
√3 √√3
2 𝑥2 − 2
1 2 3
= − 𝑥 𝑥 = +4 3
𝑥 = 1
4
√3( √3 +
1
) √3
𝑥−√ 2 √√3
𝑥 2 𝑥4
1 = + 𝑥3
𝑥2 − 2 𝑥2( 𝑥 +
1
)
𝑥
= 1
√𝑥2
𝑥 − 2
𝑥 = 1 +𝑥
1 1 𝑥2( 𝑥 + )
(𝑥 − )(𝑥 + ) 𝑥
𝑥 𝑥 2
= 1 = + 𝑥
𝑥− 𝑥3 + 𝑥
𝑥
1
= 𝑥+𝑥
2 1 2
ดังนัน้ 𝐴 − 𝐵 + 𝐶 = (𝑥 − 𝑥) − (𝑥 + 𝑥) + (𝑥 3 + 𝑥 + 𝑥)
2 1 2
= 𝑥
−𝑥 −𝑥 − 𝑥 + 𝑥 3 +𝑥
+𝑥
1 2
= −𝑥 +
𝑥 𝑥(𝑥 2 +1)
𝑥 2 +1 − 𝑥 2 (𝑥 2 +1) + 2 𝑥4 = 3
=
𝑥(𝑥 2 +1)
𝑥 2 +1 − 𝑥 4 − 𝑥 2 + 2 3 − 𝑥4 3−3
= = = = 0
𝑥(𝑥 2 +1) 𝑥(𝑥 2 +1) 𝑥(𝑥 2 +1)
31. 34
32. 45
เปลีย่ นตัวแปร ให้ √𝑥 − 1 = 𝑎 จะได้ สมการคือ |𝑎 − 2| + |𝑎 − 3| = 1
(1) (2) (3)
จะแบ่งกรณีตามค่า 𝑎 เป็ น 3 กรณี ดังรูป
2 3
𝑘 , 𝑘≥0
เพื่อให้ ร้ ูเครื่ องหมายของ 𝑎−2 และ 𝑎−3 และถอดเครื่ องหมายค่าสัมบูรณ์ได้ ด้ วยสมบัติ |𝑘| = {
−𝑘 , 𝑘<0
33. 5
ให้ 𝑧 = 𝑥 + 𝑦𝑖 จะได้ |𝑧| = | 𝑧 −1+𝑖 |
|𝑥 + 𝑦𝑖| = |𝑥 + 𝑦𝑖 − 1 + 𝑖|
|𝑥 + 𝑦𝑖| = |𝑥 − 1 + (𝑦 + 1)𝑖|
√𝑥 2 + 𝑦 2 = √(𝑥 − 1)2 + (𝑦 + 1)2
𝑥2 + 𝑦2 = 𝑥 2 − 2𝑥 + 1 + 𝑦 2 + 2𝑦 + 1
2𝑥 − 2𝑦 = 2
𝑥−𝑦 = 1 …(1)
34. 3
ถอดเครื่ องหมายค่าสัมบูรณ์ |𝑥 + 2| ก่อน
โจทย์จะอินทิเกรตในช่วง 𝑥 = −4 ถึง 𝑥 = −2 ซึง่ ในช่วงนี ้จะเห็นว่า 𝑥 + 2 ≤ 0
ดังนัน้ |𝑥 + 2| จะเปลีย่ น 𝑥 + 2 ให้ เป็ นบวกโดยการคูณลบเข้ าไป จะได้ |𝑥 + 2| = −(𝑥 + 2)
𝑘 , 𝑘≥0
หมายเหตุ : สมบัติคา่ สัมบูรณ์ |𝑘| = {
−𝑘 , 𝑘<0
𝑘 , 𝑘>0
จะย้ ายกรณี 𝑘 = 0 ไปไว้ สตู รล่าง เป็ น |𝑘| = {
−𝑘 , 𝑘≤0
ก็ได้ เพราะเมื่อ 𝑘 = 0 จะได้ 𝑘 = −𝑘
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥 𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
ดังนัน้ 𝑥|𝑥+2|−𝑥 2 −2
= 𝑥(−(𝑥+2))−𝑥 2 −2
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
= −𝑥 2 −2𝑥 −𝑥 2 −2
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
= −2𝑥 2 −2𝑥−2
𝑥(𝑥 2 +𝑥+1) 𝑥
= −2(𝑥 2 +𝑥+1)
= −2
2 2
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥 𝑥 𝑥 2 −2 (−2)2 (−4)2
ดังนัน้ 𝑥|𝑥+2|−𝑥 2 −2 𝑑𝑥 = − 𝑑𝑥 = −
2 4
| = (−
4
)− (−
4
) = −1 + 4 = 3
4 4 −4
35. 97.2
จาก 3𝑎𝑛+1 = 𝑎𝑛
1
𝑎𝑛+1 = 𝑎
3 𝑛
แสดงว่า ลาดับ {𝑎𝑛 } จะมีพจน์ถดั ไป (𝑎𝑛+1) จะเท่ากับ พจน์ก่อนหน้ า (𝑎𝑛 ) คูณ 13
ดังนัน้ 𝑎𝑛 เป็ นลาดับเรขาคณิตที่มี อัตราส่วนร่วม 𝑟 = 13
โจทย์ให้ 𝑎5 = 2 → จะแทน 𝑛 = 5 ในสูตรลาดับเรขาคณิต 𝑎𝑛 = 𝑎1 𝑟 𝑛−1 จะได้ 𝑎5 = 𝑎1 𝑟 5−1
1 4
2 = 𝑎1 ( )
3
162 = 𝑎1
1 𝑛−1
จะได้ สตู รพจน์ทวั่ ไปของลาดับ {𝑎𝑛 } คือ 𝑎𝑛 = 𝑎1 𝑟 𝑛−1 = 162(3)
1 𝑛−1
และจาก 2𝑛 𝑏𝑛 = 𝑎𝑛 = 162(3)
162
จะได้ 𝑏𝑛 =2𝑛 3𝑛−1
162 162 162 162
ดังนัน้ 𝑏1 + 𝑏2 + 𝑏3 + … = 21 30 + 22 31 + 23 32 + … จะเป็ นอนุกรมอนันต์ ที่มี 𝑎1 = 21 30
= 81
1 1
และมี 𝑟 = 21 31
= 6
เนื่องจาก |𝑟| = |16| < 1 → จะได้ ผลบวกอนุกรมอนันต์ 𝑎
𝑆∞ = 1 −1 𝑟 =
81
1−
1
6
= 81 × 5 = 97.2
6
36. 641
จาก 𝑎(𝑎 + 𝑏 + 3) = 0 จะได้ 𝑎 = 0 หรื อ 𝑎 + 𝑏 + 3 = 0
กรณี 𝑎 = 0 : แทน 𝑎 = 0 ใน 2(𝑏 − 𝑎) = (𝑎 + 𝑏 + 1)(2 − 𝑏)
2(𝑏 ) = ( 𝑏 + 1)(2 − 𝑏)
2𝑏 = 2𝑏 − 𝑏 2 + 2 − 𝑏
2
𝑏 +𝑏−2 = 0
𝑎 𝑏
(𝑏 + 2)(𝑏 − 1) = 0
0 −2
𝑏 = −2 , 1 → ได้ คาตอบคือ
0 1
PAT 1 (มี.ค. 59) 37
37. 61
นางสาว ก. = 𝑃22.66 ของทังห้ ้ อง แสดงว่า พื ้นที่ทางซ้ ายของ ก. คือ 0.2266 ดังรูป
แต่พื ้นที่ที่ใช้ เปิ ดตาราง ต้ องเป็ นพื ้นที่ที่วดั จากแกนกลาง (ตรงบริ เวณที่แรเงา) 0.2266
พื ้นที่ครึ่งซ้ าย = 0.5 → จะได้ พื ้นที่ที่แรเงา = 0.5 − 0.2266
= 0.2734
ก
เปิ ดตาราง พื ้นที่ = 0.2734 จะได้ 𝑧 = 0.75 = 0.5 − 0.2266
แต่ นางสาว ก อยูฝ่ ั่งซ้ าย จะมี 𝑧 ติดลบ → จะได้ 𝑧ก = −0.75 = 0.2734
=
480
30
= 16 → จะได้ 𝑠รวม = √16 = 4
𝑥ก −64
แทน 𝑥̅รวม = 64 , 𝑠รวม = 4 ใน (∗) จะได้ −0.75 = 4
−3 = 𝑥ก − 64
61 = 𝑥ก
38 PAT 1 (มี.ค. 59)
38. 0.75
ย้ ายข้ างฟังก์ชนั arc จะได้ ดงั นี ้
sin 𝜃
𝐴 = arcsin ( ) 𝐵 = arctan(1 − sin 𝜃) 𝐶 = arctan √sin 𝜃 − sin2 𝜃
√1+sin2 𝜃
sin 𝜃 tan 𝐵 = 1 − sin 𝜃 tan 𝐶 = √sin 𝜃 − sin2 𝜃
sin 𝐴 =
√1+sin2 𝜃
…(1) …(2)
ทาเป็ น tan ให้ เหมือน 𝐵 กับ 𝐶
sin 𝜃
0 < 𝜃 < 90° ทาให้ sin 𝜃 เป็ นบวก →
√1+sin2 𝜃
เป็ นบวก
ข้ าม
→ ใช้ สามเหลีย่ ม sin = ฉาก ได้ โดยไม่ต้องสนใจเครื่ องหมายบวกลบ
√1 + sin2 𝜃
sin 𝜃
𝐴 ข้ าม sin 𝜃
2 2
จะได้ tan 𝐴 = ชิด = 1
= sin 𝜃 …(3)
= (1 + sin 𝜃) − sin 𝜃
= 1
1 = 2√sin 𝜃 − sin2 𝜃
1 = 4(sin 𝜃 − sin2 𝜃)
4 sin2 𝜃 − 4 sin 𝜃 + 1 = 0
(2 sin 𝜃 − 1)2 = 0
→ จะได้ 𝜃 = 30°
1
sin 𝜃 =
2
39. 3
จาก 𝐴 𝐴𝑡 = 9𝐼
2 −2 1 2 𝑎 1 1 0 0
[𝑎 𝑏 2] [−2 𝑏 2] = 9[0 1 0]
1 2 2 1 2 2 0 0 1
2 −2 1 2 𝑎 1 9 0 0
[𝑎 𝑏 2] [−2 𝑏 2] = [0 9 0]
1 2 2 1 2 2 0 0 9
(1) + (2) : 3𝑎 + 6 = 0
𝑎 = −2
แทนค่า 𝑎 ใน (2) : −2 + 2𝑏 + 4 = 0
𝑏 = −1
40. 48
อัตราการ ปป เฉลีย่ จาก −1 ถึง 1 = −2
และจาก
1
𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 2
𝑓(1) − 𝑓(−1) 1
1 − (−1)
= −2 𝑥4 3𝑥 2 1
− + 𝑏𝑥 | = 2
(13 +𝑎(1)+𝑏) − ((−1)3 +𝑎(−1)+𝑏) 4 2
−1
2
= −2
14 3(1)2 (−1)4 3(−1)2
1+𝑎+𝑏 +1 + 𝑎 − 𝑏 = −4 ( − + 𝑏(1) ) − ( − + 𝑏(−1) ) = 2
4 2 4 2
2𝑎 = −6 1 3 1 3
𝑎 = −3 4
−2 + 𝑏 −4 +2 +𝑏 = 2
2𝑏 = 2
แทนค่า 𝑎 จะได้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 − 3𝑥 + 𝑏 𝑏 = 1
แทนค่า 𝑏 จะได้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 − 3𝑥 + 1
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3−ℎ) 𝑓(𝑥+ℎ)−𝑓(𝑥)
โจทย์ถาม lim
h0 ℎ
ซึ
ง ่ จะคล้ ายๆกั
บ นิ ยามของอนุ
พ น
ั ธ์ lim
h0 ℎ
= 𝑓 ′ (𝑥)
จาก 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 − 3𝑥 + 1
𝑓 ′ (𝑥) = 3𝑥 2 − 3
ดังน้ น lim
h0
𝑓(𝑥+ℎ)−𝑓(𝑥)
ℎ
= 3𝑥 2 − 3
แทน 𝑥 = 3
จาก (1) แทน ℎ ด้ วย −ℎ จะได้
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3) 𝑓(3+(−ℎ))−𝑓(3)
lim = 3(32 ) − 3 lim −ℎ
= 24
h0 ℎ h0
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3)
lim
h0 ℎ
= 24 …(1) −ℎ → 0 มี ความหมายเหมือนกันกับ ℎ → 0
𝑓(3+(−ℎ))−𝑓(3)
lim −ℎ
= 24
h0
−𝑓(3−ℎ)+𝑓(3)
lim ℎ
= 24 …(2)
h0
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3) −𝑓(3−ℎ)+𝑓(3)
(1) + (2) : lim ℎ
+ ℎ
= 48
h0
𝑓(3+ℎ) − 𝑓(3−ℎ)
lim ℎ
= 48
h0
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3−ℎ)
หมายเหตุ : ข้ อนี ้ ช่วงครึ่งหลัง จะใช้ โลปิ ตาลก็ได้ (เพราะ lim
h0 ℎ
อยูใ่ นรูป 00 )
ดิฟบน 𝑓(3+ℎ)−𝑓(3−ℎ) (𝑓′ (3+ℎ))(1) − (𝑓′ (3−ℎ))(−1)
ใช้ ดิฟล่าง
จะได้ lim
h0 ℎ
= lim
h0 1
′ (3)
= 𝑓 + 𝑓 ′ (3)
= 3(3)2 − 3 + 3(3)2 − 3 = 48
40 PAT 1 (มี.ค. 59)
41. 20
จะวาดกราฟ 𝑟1 กับ 𝑟2 แล้ วดูสว่ นซ้ อนทับเพื่อหา 𝑟1 ∩ 𝑟2
วาดกราฟอสมการ ต้ องวาดกราฟสมการ (เปลีย่ นเครื่ องหมายเป็ น เท่ากับ) ก่อน แล้ วค่อยสุม่ จุด - แรเงาพื ้นที่
𝑥 2 − 𝑦 2 − 2𝑥 + 4𝑦 = 3 𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑥 = 33
(𝑥 2 − 2𝑥) − (𝑦 2 − 4𝑦) = 3 (𝑥 2 − 2𝑥) + 𝑦 2 = 33
(𝑥 2 − 2𝑥 + 1) − (𝑦 2 − 4𝑦 + 4) = 3+1−4 (𝑥 2 − 2𝑥 + 1) + 𝑦 2 = 33 + 1
(𝑥 − 1)2 − (𝑦 − 2)2 = 0 (𝑥 − 1)2 + 𝑦 2 = 34
เป็ นสมการเส้ นกากับ ของไฮเพอร์ โบลา เป็ นสมการวงกลม ซึง่ จะวาดได้ ดงั รูป
2
(𝑥 − 1) − (𝑦 − 2) = 1 2
(E)
(A)
(C)
(1, 0)
(1, 2)
หา M, N → หาจุดตัดแกน X ของสมการกราฟ 𝑟1 : 𝑥 2 − 𝑦 2 − 2𝑥 + 4𝑦 = 3
(แทน 𝑦 = 0) 𝑥 2 − 0 − 2𝑥 + 0 = 3
𝑥 2 − 2𝑥 − 3 = 0
(𝑥 + 1)(𝑥 − 3) = 0
𝑥 = −1 , 3
หา K, L → หาจุดตัดของสมการกราฟ 𝑟1 กับ 𝑟2 : 𝑥 2 − 𝑦 2 − 2𝑥 + 4𝑦 = 3 …(1)
𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑥 = 33 …(2)
(2) − (1) : 2𝑦 2 − 4𝑦 = 30
𝑦2 − 2𝑦 = 15
2
𝑦 − 2𝑦 − 15 = 0
(𝑦 + 3)(𝑦 − 5) = 0
𝑦 = −3 , 5 (𝑟2 ต้ องมี 𝑦 ≥ 0)
แทน 𝑦 = 5 ใน (2) : 2
𝑥 + 5 − 2𝑥2
= 33
𝑥 2 − 2𝑥 − 8 = 0
(𝑥 + 2)(𝑥 − 4) = 0
𝑥 = −2, 4
K L จากพิกดั 𝑥 ของ K, L, M, N จะวาดได้ ดงั รูป
ซึง่ จะเห็นว่าส่วนที่แรเงา คลุมค่าทางแกน X ตังแต่
้ −2 ถึง 4
ดังนัน้ โดเมน ของ 𝑟1 ∩ 𝑟2 = [−2, 4]
M N จะได้ 𝑎2 + 𝑏2 = (−2)2 + 42 = 20
−2 −1 3 4
42. 9
ก่อนอื่น พิจารณาเครื่ องหมายบวกลบของ 𝑥 2 − 𝑥 − 2 เพื่อถอดค่าสัมบูรณ์กอ่ น
(𝑥 − 2)(𝑥 + 1)
𝑥 → 2− คือ 𝑥 น้ อยกว่า 2 นิดๆ ซึง่ จะทาให้ 𝑥 − 2 เป็ นลบ และ ทาให้ 𝑥 + 1 เป็ นบวก
ดังนัน้ 𝑥 2 − 𝑥 − 2 = (𝑥 − 2)(𝑥 + 1) = (ลบ)(บวก) = ลบ
จากสมบัติ |𝐴| = −𝐴 เมื่อ 𝐴 < 0 จะได้ |𝑥 2 − 𝑥 − 2| = −(𝑥 2 − 𝑥 − 2)
|𝑥 2 −𝑥−2| −(𝑥 2 −𝑥−2)
ดังนัน้ lim 23 = lim 3
2− √𝑥 2 +4
→ ถ้ าแทน 𝑥 = 2 จะได้ 00 ดังนัน้ ต้ องจัดรูปให้ 𝑥 − 2 ตัดกันก่อน
x 2 2− √𝑥 +4 x 2
3
−(𝑥+1)(𝑥−2) 22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4
3 2 เศษ → แยกตัวประกอบ
= lim ∙
x 2
3
2− √𝑥 2 +4 3 3
22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4
2
ส่วน → คูณให้ เข้ าสูตร
3
−(𝑥+1)(𝑥−2)(22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4 )
3 2 (น − ล)(น2 + นล + ล2 ) = น3 − ล3
= lim 8−(𝑥 2 +4)
x 2
3 3 2
(𝑥+1)(𝑥−2)(22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4 )
= lim 𝑥 2 −4
x 2
3 3 2
(𝑥+1)(𝑥−2)(22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4 )
= lim (𝑥−2)(𝑥+2)
x 2
3 3 2
(𝑥+1) (22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4 )
= lim (𝑥+2)
x 2
3 3 2
(2+1) (22 +2 √22 +4+ √22 +4 ) (3)(4+4+4)
= (2+2)
= 4
= 9
42 PAT 1 (มี.ค. 59)
43. 396
จะเห็นว่า ถ้ าเอาทุกตัวใน 𝐴 มาบวกกัน ตัวบวก กับตัวลบ จะหักกันหมดพอดี
ดังนัน้ 𝑥̅ ของข้ อมูลใน 𝐴 = ∑𝑁𝑥𝑖 = 2𝑛0
= 0
∑ 𝑥𝑖 2
โจทย์ให้ ความแปรปรวน = 46 → จากสูตรความแปรปรวน 𝑁
− 𝑥̅ 2 จะได้ สมการคือ
12 +22 +32 + … +𝑛2 + (−1)2 +(−2)2 +(−3)2 + … +(−𝑛)2
− 02 = 46
2𝑛
(ลบ)2 กลายเป็ นบวก จับคูก่ บ
ั กลุม่ หน้ า
2(12 +22 +32 + … +𝑛2 )
2𝑛
= 46
12 + 22 + 3 + … + 𝑛 2
2
= 46𝑛
𝑛(𝑛+1)(2𝑛+1)
= 46𝑛
6 ตัด 𝑛 ได้ เพราะ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ≠ 0
(𝑛 + 1)(2𝑛 + 1) = 276
2𝑛2 + 3𝑛 − 275 = 0
(2𝑛 + 25)(𝑛 − 11) = 0
25
𝑛 = − , 11 (𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก)
2
13 +23 +33 + … +𝑛3
ดังนัน้ ค่าเฉลีย่ เลขคณิตของ 13 , 23 , 33 , … , 𝑛 3 = 𝑛
2 2
𝑛 11
( (𝑛+1)) ( (11+1)) 112 ∙122 1
2 2
= = = ∙ = 396
𝑛 11 4 11
44. 3
จาก 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ + 𝑘̅ จะได้ |𝑎̅| = √12 + 12 + 12 = √3
2
จาก |𝑏̅| = |𝑎̅|2 จะได้ |𝑏̅| = √3 = 3 → ดังนัน้ |𝑎̅| = √3 , |𝑏̅| = 3 , |𝑐̅| = √2
2
จาก 𝑎̅ + 𝑏̅ = 𝑡𝑐̅ จะได้ |𝑎̅ + 𝑏̅| = |𝑡𝑐̅|2
2
|𝑎̅|2 + |𝑏̅| + 2𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 𝑡 2 |𝑐̅|2
2 2
√3 + 32 + 2𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 𝑡 2 √2
12 + 2𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 2𝑡 2
6 + 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 𝑡2
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 𝑡2 − 6 …(1)
พยายามสร้ างอีกสมการให้ มี 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ → จาก 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑏̅ ∙ 𝑐̅ + 𝑐̅ ∙ 𝑎̅ = 9
สลับที่การ dot , สลับที่การบวก
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑎̅ ∙ 𝑐̅ + 𝑏̅ ∙ 𝑐̅ = 9
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + (𝑎̅ + 𝑏̅) ∙ 𝑐̅ = 9 โจทย์ให้ 𝑎̅ + 𝑏̅ = 𝑡𝑐̅
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + ( 𝑡𝑐̅ ) ∙ 𝑐̅ = 9
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑡(𝑐̅ ∙ 𝑐̅) = 9
𝑢̅ ∙ 𝑢̅ = |𝑢̅|2 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑡 |𝑐̅|2 = 9
2
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑡 √2 = 9
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 9 − 2𝑡 …(2)
(1) = (2) : 𝑡2 − 6 = 9 − 2𝑡
2
𝑡 + 2𝑡 − 15 = 0
(𝑡 + 5)(𝑡 − 3) = 0
𝑡 = −5 , 3 (โจทย์ให้ 𝑡 เป็ นบวก)
PAT 1 (มี.ค. 59) 43
45. 70
จะเห็นว่า ถ้ าฐาน 3 + 𝑎 เป็ นเลขคี่แล้ ว เอาไปยกกาลังอะไรก็ตาม ผลลัพธ์จะเป็ นเลขคี่เสมอ และจะไม่มีทางทาให้
(3 + 𝑎)(𝑏 ) หารด้ วย 4 ลงตัวได้ ดังนัน้ 3 + 𝑎 ต้ องเป็ นเลขคู่ → 𝑎 = 1, 3, 5 เท่านัน้
𝑐
ดังนัน้ กรณีนี ้ 𝑎 เป็ นได้ 2 แบบ (1 หรื อ 5) , 𝑏 กับ 𝑐 เป็ นอะไรก็ได้ (1, 2, 3, 4, 5) ได้ 5 แบบ
จะได้ จานวนแบบ = 2 × 5 × 5 = 50 แบบ
กรณี 𝑎 = 3 : จะได้ 3 + 𝑎 = 6 = 2 × 3 → จะเห็นว่า ฐาน มี 2 เป็ นตัวประกอบแค่ตวั เดียว
แต่ (3 + 𝑎)(𝑏 ) จะหารด้ วย 4 ลงตัวได้ ต้ องมี 2 เป็ นตัวประกอบ 2 ตัวขึ ้นไป (เพราะ 4 = 2 × 2)
𝑐
เครดิต
ขอบคุณ คุณ สารศิลป์ ทับทิมทอง คุณ Gtr Ping จาก GTRmath และ คุณ สนธยา เสนามนตรี สาหรับข้ อสอบ
ขอบคุณ เฉลยคาตอบ จากคุณ คณิต มงคลพิทกั ษ์ สขุ ผู้เขียน Math E-Book
ขอบคุณ เฉลยวิธีทา จาก คุณ Gtr Ping จาก GTRmath
และ คุณ วัชระ บัวใหญ่ และ คุณ มิกกี ้ นารี รัตน์
ขอบคุณ คุณ สารศิลป์ ทับทิมทอง
คุณ สนธยา เสนามนตรี
คุณ Terasut Numwong
คุณ Watee Meemouse เจ้ าของเพจ จงติวบ่อยบ่อย
คุณ Tae Potae
คุณครูเบิร์ด จาก กวดวิชาคณิตศาสตร์ ครูเบิร์ด ย่านบางแค 081-8285490
ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของเอกสาร ครับ