You are on page 1of 43

PAT 1 (มี.ค.

59) 1
7 Jun 2017

PAT 1 (มี.ค. 59)


รหัสวิชา 71 วิชา ความถนัดทางคณิตศาสตร์ (PAT 1)
วันเสาร์ ที่ 5 มีนาคม 2559 เวลา 13.00 - 16.00 น.

ตอนที่ 1 ข้ อ 1 - 30 ข้ อละ 6 คะแนน


1. กาหนดให้ 𝑝, 𝑞 และ 𝑟 เป็ นประพจน์ใดๆ พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) (~𝑝 → 𝑞) → (~𝑞 → 𝑝) เป็ นสัจนิรันดร์
(ข) (𝑝 → 𝑞) ↔ (~𝑝 ∧ 𝑞) ไม่เป็ นสัจนิรันดร์
(ค) (𝑝 → 𝑞) ∨ (~𝑟 → ~𝑞) สมมูลกับ 𝑝 → 𝑟
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ

2. ในการสารวจนักเรี ยนห้ องหนึง่ เกี่ยวกับความชอบเรี ยนวิชาคณิตศาสตร์ วิชาภาษาอังกฤษ และวิชาภาษาไทย พบว่า


นักเรี ยนในห้ องนี ้ชอบเรี ยนวิชาดังกล่าวอย่างน้ อย 1 วิชา และ
มี 24 คน ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์
มี 22 คน ชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ
มี 21 คน ชอบเรียนวิชาภาษาไทย
มี 21 คน ชอบเรียนเพียงวิชาเดียว และ มี 4 คน ชอบเรี ยนทังสามวิ
้ ชา
จานวนนักเรี ยนทีช่ อบเรี ยนวิชาภาษาอังกฤษ หรื อวิชาภาษาไทย แต่ไม่ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 16 คน 2. 17 คน 3. 18 คน
4. 19 คน 5. 20 คน
2 PAT 1 (มี.ค. 59)

3. ให้ 𝑚, 𝑛, 𝑟 และ 𝑠 เป็ นจานวนเต็มบวกที่แตกต่างกันทังหมด


้ โดยที่ 1 < 𝑚 < 𝑟
ให้ 𝑎 > 1 และ 𝑏 > 1 สอดคล้ องกับ 𝑎 = 𝑏 และ 𝑎 = 𝑏 𝑠 พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
𝑚 𝑛 𝑟

(ก) 𝑚 + 𝑛 < 𝑟 + 𝑠
(ข) 𝑚𝑛 < 𝑟 𝑠
𝑚 𝑟
(ค) (𝑛𝑠) > (𝑛𝑠)
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ

𝜋 3𝜋 3𝜋 𝜋
4. ให้ 𝑎 = (sin2 ) (sin2
8 8
) และ 𝑏 = (sin2
8
)− (sin2 )
8
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. 𝑏 2 − 4𝑎 = 0 2. 4𝑏 2 − 8𝑎 = 3 3. 16𝑎2 − 8𝑏2 = 1
4. 4𝑎2 + 𝑏 2 = 1 5. 4𝑎2 + 4𝑏 2 = 1

5. กาหนดให้ 𝐴𝐵𝐶 เป็ นรูปสามเหลีย่ มทีม่ ีมมุ 𝐶 เป็ นมุมแหลม ถ้ า 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นความยาวด้ านตรงข้ ามมุม 𝐴 มุม 𝐵
และมุม 𝐶 ตามลาดับ โดยที่ 𝑎4 + 𝑏4 + 𝑐 4 = 2(𝑎2 + 𝑏2 )𝑐 2 แล้ วมุม 𝐶 สอดคล้ องกับสมการในข้ อใดต่อไปนี ้
1. sin 2𝐶 = cos 𝐶 2. 2 tan 𝐶 = cosec 2 𝐶
3. sec 𝐶 + 2 cos 𝐶 = 4 4. 4 cosec 2 𝐶 − cos2 𝐶 = 1
5. tan2 𝐶 + 2 cos(2𝐶) = 2
PAT 1 (มี.ค. 59) 3

6. กาหนดให้ 𝑃(𝑆) แทนเพาเวอร์ เซตของเซต 𝑆 ให้ 𝐴, 𝐵 และ 𝐶 เป็ นเซตใดๆ พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ถ้ า 𝐴 ∩ 𝐶 ∈ 𝐵 แล้ ว 𝐴 ∈ 𝐵 ∪ 𝐶
(ข) ถ้ า 𝐴 ∩ 𝐶 ⊂ 𝐵 แล้ ว 𝐵 = (𝐴 ∪ 𝐵) ∪ (𝐵 ∩ 𝐶)
(ค) 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) ⊂ 𝑃(𝐴) ∪ 𝑃(𝐵)
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) ถูกเพียงข้ อเดียว 2. ข้ อ (ข) ถูกเพียงข้ อเดียว
3. ข้ อ (ค) ถูกเพียงข้ อเดียว 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ

7. กาหนดเอกภพสัมพัทธ์คือ { 𝑥 ∈ ℝ | 0 < |𝑥| < 2 } เมื่อ ℝ แทนเซตของจานวนจริง


ให้ 𝑃(𝑥) แทน | |𝑥|𝑥− 𝑥 | ≤ 0 และ 𝑄(𝑥) แทน |𝑥 − √(𝑥 − 1)2 | < 3 พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ∃𝑥[𝑄(𝑥)] → ∀𝑥[𝑃(𝑥)] มีคา่ ความจริ งเป็ น จริ ง
(ข) ∀𝑥[𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥)] มีคา่ ความจริ งเป็ น จริ ง
(ค) ∀𝑥[~𝑃(𝑥)] ∨ ∀𝑥[𝑄(𝑥)] มีคา่ ความจริ งเป็ น เท็จ
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ

8. กาหนดให้ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริ งบวกที่สอดคล้ องกับ


𝑦
2 log 2 𝑦 = 4 + log √2 𝑥 และ 4(𝑥+1) + 2 =
4
9(√2)
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. 𝑥 2 + 𝑦 2 = 17 2. 𝑥 3 + 𝑦 3 = 9 3. 𝑥2 = 𝑦 − 1
4. 𝑦 2 = 𝑥 + 4 5. 𝑥 + 2𝑦 = 7
4 PAT 1 (มี.ค. 59)

9. ค่าของ 4 sin 40° − tan 40° ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้


1. cos 405° 2. sin 420° 3. sec(−60°)
4. tan(−120°) 5. cot(−135°)

10. กาหนดให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริ ง ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริ ง
และ 𝑔 : ℝ → ℝ โดยที่ 𝑔(1 + 𝑥) = 𝑥(2 + 𝑥) และ (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = 𝑥 2 + 1 สาหรับ 𝑥 ∈ ℝ
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) { 𝑥 ∈ ℝ | (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) } เป็ นเซตว่าง
(ข) (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) + 1 ≥ 0 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 ≥ −1
(ค) (𝑓 + 𝑔)(𝑥) ≥ 1 สาหรับทุกจานวนจริ ง 𝑥 ≥ −1
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) ถูกเพียงข้ อเดียว 2. ข้ อ (ข) ถูกเพียงข้ อเดียว
3. ข้ อ (ค) ถูกเพียงข้ อเดียว 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ

11. ให้ 𝐶 เป็ นวงกลมมีจดุ ศูนย์กลางอยูท่ ี่จดุ 𝐴 เส้ นตรง 3𝑥 + 4𝑦 = 35 สัมผัสวงกลมที่จดุ (5, 5) ถ้ าไฮเพอร์ โบลา
รูปหนึง่ มีแกนตามขวางขนานกับแกน 𝑦 มีจดุ ศูนย์กลางอยูท่ ี่จดุ 𝐴 ระยะระหว่างจุดศูนย์กลางกับโฟกัสจุดหนึง่ เป็ น
สองเท่าของรัศมีของวงกลม 𝐶 และเส้ นตรง 3𝑥 − 4𝑦 = 2 เป็ นเส้ นกากับเส้ นหนึง่ แล้ วสมการไฮเพอร์ โบลารูปนี ้
ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 + 32𝑥 + 36𝑦 + 596 = 0 2. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 − 32𝑥 − 36𝑦 + 596 = 0
3. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 + 32𝑥 + 36𝑦 − 596 = 0 4. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 − 36𝑥 − 32𝑦 + 596 = 0
5. 9𝑥 2 − 16𝑦 2 − 36𝑥 + 32𝑦 + 596 = 0
PAT 1 (มี.ค. 59) 5

12. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง ถ้ า 𝐴 เป็ นเซตคาตอบของอสมการ √𝑥 + 2 < √3 − 𝑥 + √2𝑥 − 1


แล้ ว 𝐴 เป็ นสับเซตของเซตในข้ อใดต่อไปนี ้
1. { 𝑥 ∈ ℝ | |2𝑥 − 1| < 1 } 2. { 𝑥 ∈ ℝ | |𝑥 − 2| < 1 }
3. { 𝑥 ∈ ℝ | |𝑥 − 1| < 2 } 4. { 𝑥 ∈ ℝ | 𝑥 2 + 2 < 3𝑥 }
5. { 𝑥 ∈ ℝ | 𝑥 2 < 2𝑥 }

13. กาหนดให้ 𝑃 เป็ นพาราโบลารูปหนึง่ มีสมการเป็ น 𝑥 2 + 4𝑥 + 3𝑦 − 5 = 0 และพาราโบลา 𝑃 ตัดแกน 𝑥 ที่จดุ 𝐴


และจุด 𝐵 ถ้ า 𝐸 เป็ นวงรี ทมี่ ีจดุ ยอดอยูท่ ี่จดุ 𝐴 และจุด 𝐵 และผลบวกของระยะทางจากจุดยอดของพาราโบลา 𝑃
ไปยังโฟกัสทังสองของวงรี
้ 𝐸 เท่ากับ 2√13 หน่วย แล้ วสมการวงรี 𝐸 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 𝑥 2 + 4𝑥 + 9𝑦 2 = 5 2. 3𝑥 2 + 12𝑥 + 5𝑦 2 = 15
3. 5𝑥 2 + 20𝑥 + 9𝑦 2 = 25 4. 6𝑥 2 + 24𝑥 + 25𝑦 2 = 30
5. 9𝑥 2 + 36𝑥 + 16𝑦 2 = 45
6 PAT 1 (มี.ค. 59)

14. กาหนดสมการจุดประสงค์ 𝑃 = 7𝑥 − 5𝑦 และอสมการข้ อจากัดดังนี ้


𝑥 + 3𝑦 − 12 ≥ 0 , 3𝑥 + 𝑦 − 12 ≥ 0 , 𝑥 − 2𝑦 + 17 ≥ 0 และ 9𝑥 + 𝑦 − 56 ≤ 0
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ถ้ า (𝑎, 𝑏) เป็ นจุดมุมที่สอดคล้ องกับอสมการข้ อจากัดและให้ คา่ 𝑃 มากที่สดุ แล้ ว 𝑎2 + 𝑏2 = 40
(ข) ผลต่างระหว่างค่ามากที่สดุ และค่าน้ อยที่สดุ ของ 𝑃 เท่ากับ 70
(ค) ถ้ า 𝐴 และ 𝐵 เป็ นพิกดั ของจุดมุมที่สอดคล้ องกับอสมการข้ อจากัด โดยที่ 𝑃 มีคา่ มากที่สดุ ทีจ่ ดุ 𝐴 และ
𝑃 มีคา่ น้ อยที่สดุ ทีจ่ ด
ุ 𝐵 แล้ วจุด 𝐴 และ 𝐵 อยูบ่ นเส้ นตรง 7𝑥 + 5𝑦 = 52
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ

15. กาหนดให้ 𝐴 และ 𝐵 เป็ นจุดสองจุดบนเส้ นตรง 𝑦 = 2𝑥 + 1 ถ้ าจุด 𝐶(−2, 2) เป็ นจุดที่ทาให้ ̅̅̅̅| = |𝐶𝐵
|𝐶𝐴 ̅̅̅̅ |
และ ⃗⃗⃗⃗⃗ 𝐶𝐵 = 0 แล้ วสมการของวงกลมที่ผา่ นจุด 𝐴, 𝐵 และ 𝐶 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
𝐶𝐴 ∙ ⃗⃗⃗⃗⃗
1. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑦 − 4 = 0 2. 𝑥 2 + 𝑦 2 + 2𝑦 − 12 = 0
3. 𝑥 2 + 𝑦 2 + 2𝑥 − 4 = 0 4. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑥 − 12 = 0
5. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 8 = 0
PAT 1 (มี.ค. 59) 7

16. ถ้ าพาราโบลารูปหนึง่ มีแกนสมมาตรทับกับแกน 𝑦 และผ่านจุดปลายของส่วนของเส้ นตรง 2𝑥 + 3𝑦 − 6 = 0


เมื่อ 𝑥 สอดคล้ องกับสมการ |√𝑥 2 − 𝑥| + |3 − 𝑥 − |𝑥 − 3|| = 0 แล้ วความยาวของเลตัสเรกตัม
ของพาราโบลาเท่ากับข้ อใดต่อไ่ ปนี ้
1. 89 2. 49 3. 29
4. 9 5. 18

𝑥+𝑏−4 , 𝑥≤𝑎
17. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั โดยที่ 𝑓(𝑥) = {𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑎 , 𝑎<𝑥≤𝑏 เมือ่ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
2𝑏𝑥 − 𝑎 , 𝑥>𝑏
และ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ต่อเนื่องบนเซตของจานวนจริง พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) (𝑓 ∘ 𝑓)(𝑎 − 𝑏) = 𝑎 − 𝑏
(ข) 𝑓(𝑎 + 𝑏) = 𝑓(𝑎) + 𝑓(𝑏)
(ค) 𝑓 ′ (𝑓(2)) = 𝑓(𝑓 ′ (2))
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ

18. กาหนดให้ ℝ เป็ นเซตของจานวนจริ ง ให้ 𝑓 : ℝ → ℝ และ 𝑔 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั


โดยที่ 𝑓(𝑥 + 3) = 𝑥 + 4 และ (𝑓 −1 ∘ 𝑔)(𝑥) = 3𝑥𝑓(𝑥) − 3𝑥 − 4 สาหรับจานวนจริ ง 𝑥
ถ้ า 𝐴 เป็ นเรนจ์ของ 𝑔 ∘ 𝑓 และ 𝐵 เป็ นเรนจ์ของ 𝑓 ∘ 𝑔 แล้ ว 𝐴 − 𝐵 เป็ นสับเซตของช่วงในข้ อใดต่อไปนี ้
1. (0, 2) 2. (−2, 1) 3. (−3, 0)
4. (−4, −2) 5. (−6, −3)
8 PAT 1 (มี.ค. 59)

19. กาหนดให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริ ง ถ้ า 𝐴 = { 𝑥 ∈ ℝ | 32𝑥+10 − 4(3𝑥+6 ) + 27 ≤ 0 }


แล้ วเซต 𝐴 เป็ นสับเซตของช่วงในข้ อใดต่อไปนี ้
1. (−9, −4) 2. (−5, −2) 3. (−3, 3)
4. (0, 5) 5. (2, 10)

20. กาหนดให้ 𝑎1 , 𝑎2 , 𝑎3 , … , 𝑎𝑛 , … เป็ นลาดับเลขคณิตของจานวนจริ ง


25 
โดยที่  𝑎𝑛 = 1900 และ  4𝑎𝑛−1
𝑛
=8 ค่าของ 𝑎100 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
n 1 n 1

1. 298 2. 302 3. 400


4. 499 5. 598

21. ถ้ าข้ อมูล 10 จานวน คือ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 เมื่อ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 เป็ นจานวนจริง โดยที่คา่ เฉลีย่ เลขคณิตของ
10
ข้ อมูล 𝑥12 , 𝑥22 , 𝑥32 , …, 𝑥10
2
เท่ากับ 70 และ  (𝑥𝑖 − 3)2 = 310
i 1

แล้ วค่าความแปรปรวนของข้ อมูล 3𝑥1 − 1 , 3𝑥2 − 1 , … , 3𝑥10 − 1 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้


1. 6 2. 18 3. 45
4. 54 5. 63
PAT 1 (มี.ค. 59) 9

22. ให้ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥20 เป็ นข้ อมูลที่เรี ยงค่าจากน้ อยไปหามาก และเป็ นลาดับเลขคณิตของจานวนจริง
ถ้ าควอร์ ไทล์ที่ 1 และเดไซล์ที่ 6 ของข้ อมูลชุดนี ้เท่ากับ 23.5 และ 38.2 ตามลาดับ
แล้ ว ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 9.75 2. 10.25 3. 10.50
4. 11.50 5. 11.75

23. นาย ก. และนางสาว ข. พร้ อมด้ วยเพื่อนผู้ชายอีก 3 คน และเพื่อนผู้หญิงอีก 3 คน นัง่ รับประทานอาหารรอบโต๊ ะกลม
โดยที่ นาย ก. และนางสาว ข. นัง่ ตรงข้ ามกัน และมีเพื่อนผู้หญิง 2 คนนัง่ ติดกันกับ นางสาว ข. จะมีจานวนวิธีจดั ทีน่ งั่
รอบโต๊ ะกลมดังกล่าวได้ เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 30 วิธี 2. 72 วิธี 3. 96 วิธี
4. 120 วิธี 5. 144 วิธี


2 1 𝑛
24. กาหนดให้ 𝑎𝑛 =
4𝑛2 −1
− (− )
3
สาหรับ 𝑛 = 1, 2, 3, … อนุกรม  𝑎𝑛 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
n 1
5
1. อนุกรมลูเ่ ข้ าและมีผลบวกเท่ากับ 4
2. อนุกรมลูเ่ ข้ าและมีผลบวกเท่ากับ 34
5
3. อนุกรมลูเ่ ข้ าและมีผลบวกเท่ากับ 6
4. อนุกรมลูเ่ ข้ าและมีผลบวกเท่ากับ 16
5. อนุกรมลูอ่ อก
10 PAT 1 (มี.ค. 59)

𝑥𝑦
, 𝑥+𝑦 ≠0
25. สาหรับ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริงที่ไม่เป็ นศูนย์ นิยาม 𝑥 ∗ 𝑦 = {𝑥+𝑦
0 , 𝑥+𝑦 =0
ถ้ า 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นจานวนจริงที่ไม่เป็ นศูนย์ โดยที่
𝑎 ∗ 𝑏 = 1 , 𝑎 ∗ 𝑐 = 2 และ 𝑏 ∗ 𝑐 = 3
แล้ วข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. 𝑎 + 𝑏 < 𝑐 2. 𝑎 < 𝑏 + 𝑐 3. 𝑎<𝑏<𝑐
4. 𝑏 < 𝑐 < 𝑎 5. 𝑐 < 𝑎 < 𝑏

𝑎 0 1 0
26. กาหนดให้ 𝐴−1 = [
−2 1
] และ 𝐵−1 = [
𝑏 1
] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ งที่ไม่เป็ นศูนย์
8 −2
โดยที่ (𝐴𝑡 )−1𝐵 = [−3 1
] ค่าของ det(2𝐴 + 𝐵) เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 3 2. 6 3. 9
4. 12 5. 14

27. กาหนดข้ อมูล 𝑥 และ 𝑦 มีความสัมพันธ์ ดังนี ้


𝑥 1 3 4 5 7
𝑦 0 3 6 7 9

โดยที่ 𝑥 และ 𝑦 มีความสัมพันธ์เชิงฟั งก์ชนั แบบเส้ นตรง ถ้ า 𝑦 = 8 แล้ วค่าของ 𝑥 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 5.94 2. 5.86 3. 7.1
4. 7.23 5. 8
PAT 1 (มี.ค. 59) 11

28. กาหนดให้ ℝ เป็ นเซตของจานวนจริ ง ให้ 𝑓 : ℝ → ℝ และ 𝑔 : ℝ → ℝ เป็ นฟั งก์ชนั ที่มีอนุพนั ธ์ทกุ อันดับ และ
สอดคล้ องกับ 𝑔(𝑥) = 𝑥𝑓(𝑥) และ 𝑔′ (𝑥) = 4𝑥 3 + 9𝑥 2 + 2 สาหรับทุกจานวนจริ ง 𝑥
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ของ 𝑓 เท่ากับ 6
(ข) ค่าตา่ สุดสัมพัทธ์ของ 𝑓 เท่ากับ 2
(ค) อัตราการเปลีย่ นแปลงของ (𝑓 + 𝑔)(𝑥) เทียบกับ 𝑥 ขณะที่ 𝑥 = 1 เท่ากับ 12
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ข) ถูก แต่ ข้ อ (ค) ผิด 2. ข้ อ (ก) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ข) ผิด
3. ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูก แต่ ข้ อ (ก) ผิด 4. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ถูกทังสามข้
้ อ
5. ข้ อ (ก) ข้ อ (ข) และ ข้ อ (ค) ผิดทังสามข้
้ อ

29. กล่องใบหนึง่ บรรจุลกู แก้ วสีแดง 2 ลูก ลูกแก้ วสีขาว 3 ลูก และลูกแก้ วสีเขียว 3 ลูก สุม่ หยิบลูกแก้ วออกมาจากกล่อง
8 ครัง้ ครัง้ ละลูกโดยไม่ต้องใส่คน ื ความน่าจะเป็ นที่สมุ่ หยิบลูกแก้ ว 8 ครัง้ โดยครัง้ ที่ 1 ได้ ลกู แก้ วสีขาวหรื อหยิบครัง้
ที่ 8 ไม่ได้ ลกู แก้ วสีแดง เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 34 2. 58 3. 56 29

4. 78 5. 67

1
2 √3 − 2 3
30. กาหนดให้ 𝐴 = 4 − √3 ,
√3
4
𝐵=
4
√3
1
และ 𝐶= 4 1
+4
√27
√3 − √ √3( √3 + )
√3 √√3

ค่าของ 𝐴 − 𝐵 + 𝐶 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้


1. −√3 2. √3 3. −1
4. 1 5. 0
12 PAT 1 (มี.ค. 59)

ตอนที่ 2 ข้ อ 31 - 45 ข้ อละ 8 คะแนน


31. ให้ 𝐴 แทนเซตคาตอบของสมการ 25 + 3(15)|𝑥| = 5|𝑥| + 25(3|𝑥|+1 ) เมื่อ 𝑥 เป็ นจานวนจริ ง
และให้ 𝐵 = { 3𝑥 + 5𝑥 | 𝑥 ∈ 𝐴 } ค่ามากที่สดุ ในเซต 𝐵 เท่ากับเท่าใด

32. ให้ 𝐴 แทนเซตของจานวนเต็มทังหมดที


้ ่สอดคล้ องกับสมการ |√𝑥 − 1 − 2| + |√𝑥 − 1 − 3| = 1
ผลบวกของสมาชิกทังหมดในเซต
้ 𝐴 เท่ากับเท่าใด

(1−2𝑖)𝑧
33. กาหนดให้ 𝑧 เป็ นจานวนเชิงซ้ อน โดยที่ |𝑧| = |𝑧 − 1 + 𝑖| และ Re(
3−𝑖
)=0 เมื่อ 𝑖 2 = −1
แล้ วค่าของ |2𝑧 + 1|2 เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (มี.ค. 59) 13

2
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
34. ค่าของ  2 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด
 4 𝑥|𝑥+2|−𝑥 −2

35. กาหนดให้ {𝑎𝑛 } และ {𝑏𝑛 } เป็ นลาดับของจานวนจริง


โดยที่ 3𝑎𝑛+1 = 𝑎𝑛 และ 2𝑛 𝑏𝑛 = 𝑎𝑛 สาหรับ 𝑛 = 1, 2, 3, …
ถ้ า 𝑎5 = 2 แล้ ว อนุกรม 𝑏1 + 𝑏2 + 𝑏3 + … มีผลบวกเท่ากับเท่าใด

36. ให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ งที่สอดคล้ องกับ 𝑎(𝑎 + 𝑏 + 3) = 0 และ 2(𝑏 − 𝑎) = (𝑎 + 𝑏 + 1)(2 − 𝑏)
ค่ามากที่สดุ ของ 𝑎4 + 𝑏4 เท่ากับเท่าใด
14 PAT 1 (มี.ค. 59)

37. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรี ยนห้ องหนึง่ จานวน 30 คน มีการแจกแจงปกติ และมีคา่ เฉลี่ยเลขคณิตเท่ากับ


64 คะแนน นักเรี ยนชายห้ องนี ้มี 18 คน คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรี ยนชายห้ องนี ้ มีคา่ เฉลีย่ เลขคณิต
เท่ากับ 64 คะแนน และความแปรปรวนเท่ากับ 10 ส่วนคะแนนสอบของนักเรียนหญิงมีสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เท่ากับ 5 คะแนน ถ้ านางสาว ก. เป็ นนักเรี ยนคนหนึ่งในห้ องนี ้ สอบได้ เปอร์ เซ็นไทล์ที่ 22.66 ของนักเรี ยนทังห้
้ อง แล้ ว
คะแนนสอบของนางสาว ก. เท่ากับเท่าใด เมื่อกาหนดพื ้นทีใ่ ต้ เส้ นโค้ งปกติ ระหว่าง 0 ถึง 𝑧 ดังนี ้
𝑧 0.5 0.6 0.75 1.0 1.25
พื ้นที่ 0.1915 0.2257 0.2734 0.3413 0.3944

38. กาหนด 0 < 𝜃 < 90° และ


sin 𝜃
ให้ 𝐴 = arcsin (√1+sin 2𝜃
) , 𝐵 = arctan(1 − sin 𝜃) และ 𝐶 = arctan √sin 𝜃 − sin2 𝜃
ถ้ า 𝐴 + 𝐵 = 2𝐶 แล้ วค่าของ 3 sin4 𝜃 + cos4 𝜃 เท่ากับเท่าใด

2 −2 1
39. กาหนดให้ 𝐴 = [𝑎 𝑏 2] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ ง
1 2 2
ถ้ า 𝐴𝐴 = 9𝐼 เมื่อ 𝐼 เป็ นเมทริ กซ์เอกลักษณ์ที่มมี ิติ 3 × 3 แล้ วค่าของ 𝑎2 − 𝑏2 เท่ากับเท่าใด
𝑡
PAT 1 (มี.ค. 59) 15

40. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 + 𝑎𝑥 + 𝑏 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ถ้ าอัตราการเปลีย่ นแปลงเฉลีย่ ของ 𝑓(𝑥) เทียบ
1
กับ 𝑥 เมื่อค่าของ 𝑥 เปลีย่ นจาก −1 เป็ น 1 เท่ากับ −2 และ  𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 2
1
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3−ℎ)
แล้ วค่าของ lim
h0 ℎ
เท่ากับเท่าใด

41. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง ให้ 𝑟1 = { (𝑥, 𝑦) ∈ ℝ × ℝ | 𝑦 ≥ 0 และ 𝑥 2 − 𝑦 2 − 2𝑥 + 4𝑦 ≤ 3 }


และ 𝑟2 = { (𝑥, 𝑦) ∈ ℝ × ℝ | 𝑦 ≥ 0 และ 𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑥 ≤ 33 }
ถ้ าโดเมนของเซต 𝑟1 ∩ 𝑟2 คือช่วงปิ ด [𝑎, 𝑏] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ ง โดยที่ 𝑎 < 𝑏
แล้ วค่าของ 𝑎2 + 𝑏2 เท่ากับเท่าใด

|𝑥 2 −𝑥−2|
42. ค่าของ lim 
3
2− √𝑥 2 +4
เท่ากับเท่าใด
x 2
16 PAT 1 (มี.ค. 59)

43. ให้ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ถ้ า 𝐴 เป็ นเซตของข้ อมูล 2𝑛 จานวน คือ 1, 2, 3, … , 𝑛 , −1, −2, −3, … , −𝑛
โดยทีค่ วามแปรปรวนของข้ อมูลในเซต 𝐴 เท่ากับ 46
แล้ วค่าเฉลีย่ เลขคณิตของ 13 , 23 , 33 , … , 𝑛3 เท่ากับเท่าใด

44. กาหนดให้ 𝑎̅, 𝑏̅ และ 𝑐̅ เป็ นเวกเตอร์ ในสามมิติ โดยที่ 𝑎̅ + 𝑏̅ = 𝑡𝑐̅ โดยที่ 𝑡 เป็ นจานวนจริ งบวก
ถ้ า 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ + 𝑘̅ , |𝑏̅| = |𝑎̅|2 , |𝑐̅| = √2 และ 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑏̅ ∙ 𝑐̅ + 𝑐̅ ∙ 𝑎̅ = 9
แล้ วค่าของ 𝑡 เท่ากับเท่าใด

45. นิยาม 𝑆 × 𝑆 × 𝑆 = { (𝑎, 𝑏, 𝑐) | 𝑎, 𝑏, 𝑐 ∈ 𝑆 } เมื่อ 𝑆 เป็ นเซตใดๆ


กาหนดให้ 𝑆 = {1, 2, 3, 4, 5}
จงหาจานวนสมาชิก (𝑎, 𝑏, 𝑐) ในเซต 𝑆 × 𝑆 × 𝑆 ทังหมด
้ โดยที่ (3 + 𝑎)(𝑏 ) หารด้ วย 4 ลงตัว
𝑐
PAT 1 (มี.ค. 59) 17

เฉลย
1. 1 11. 5 21. 4 31. 34 41. 20
2. 3 12. 3 22. 3 32. 45 42. 9
3. 4 13. 3 23. 5 33. 5 43. 396
4. 1 14. 4 24. 1 34. 3 44. 3
5. 2 15. 1 25. 5 35. 97.2 45. 70
6. 5 16. 3 26. 2 36. 641
7. 2 17. 1 27. 2 37. 61
8. 1 18. 4 28. 1 38. 0.75
9. 4 19. 2 29. 5 39. 3
10. 2 20. 5 30. 5 40. 48

แนวคิด
1. 1
ก. ใช้ วธิ ีสมมติให้ เป็ นเท็จ (~𝑝 → 𝑞) → (~𝑞 → 𝑝)
F
T → F 𝑝 → 𝑞 ≡ ~𝑝 ∨ 𝑞
T → F
~F
ได้ 𝑞 ≡ F , 𝑝 ≡ F
แทนในตัวหน้ า
ขัดแย้ ง ~F → F
T →F
F → เกิดข้ อขัดแย้ ง ดังนัน้ เป็ นสัจนิรันดร์ → ก. ถูก
ข. ↔ ต้ องดูวา่ หน้ า หลัง สมมูลกันหรื อไม่ ค. (𝑝 → 𝑞) ∨ (~𝑟 → ~𝑞) ≡ 𝑝→𝑟
(~𝑝 ∨ 𝑞) ∨ (~(~𝑟) ∨ ~𝑞) ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
𝑝→𝑞 ≡ ~𝑞 → 𝑝
~𝑝 ∨ 𝑞 ∨ 𝑟 ∨ ~𝑞 ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
~𝑝 ∨ 𝑞 ≡ ~(~𝑞) ∨ 𝑝
~𝑝 ∨ 𝑞 ≡ 𝑞 ∨𝑝 (𝑞 ∨ ~𝑞) ∨ ~𝑝 ∨ 𝑟 ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
T ∨ ~𝑝 ∨ 𝑟 ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
T หรื อ กับอะไรก็ได้ T
T ≡ ~𝑝 ∨ 𝑟
ไม่สมมูลกัน ดังนัน้ ไม่เป็ นสัจนิรันดร์ → ข. ถูก
ไม่สมมูล → ค. ผิด

2. 3
นักเรี ยนชอบอย่างน้ อย 1 วิชา → ข้ างนอกสามวง = 0 ชอบวิชาเดียว = 21 คน → จะได้ สว่ นที่แรเงา = 21
ชอบ 3 วิชา = 4 คน → จะได้ ตรงกลาง = 4 𝑀 𝐸
𝑀 𝐸
กาหนด 𝑎, 𝑏, 𝑐 ตามรูป 𝑎
𝑏 4 𝑐
𝑇
จะได้ นกั เรียนทังหมด
้ = 21 + 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 + 4
𝑇
= 25 + 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 …(1)
แต่จากสูตร Inclusive – Exclusive จะได้ นกั เรี ยนทังหมด

= 𝑛(𝑀) + 𝑛(𝐸) + 𝑛(𝑇) − 𝑛(𝑀 ∩ 𝐸) − 𝑛(𝐸 ∩ 𝑇) − 𝑛(𝑀 ∩ 𝑇) + 𝑛(𝑀 ∩ 𝐸 ∩ 𝑇)
= 24 + 22 + 21 − (𝑎 + 4) − (𝑏 + 4) − (𝑐 + 4) + 4
= 59 − 𝑎 − 𝑏 − 𝑐 …(2)
18 PAT 1 (มี.ค. 59)

(1) = (2) จะได้ 25 + 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 = 59 − 𝑎 − 𝑏 − 𝑐


2𝑎 + 2𝑏 + 2𝑐 = 34
𝑎 + 𝑏 + 𝑐 = 17 → แทนใน (1) จะได้ นกั เรี ยนทังหมด
้ = 25 + 17 = 42 คน
𝑀 𝐸
โจทย์ถามนักเรียนที่ชอบ 𝐸 หรื อ 𝑇 แต่ไม่ชอบ 𝑀 → คือส่วนที่แรเงา ดังรูป
ซึง่ จะหาได้ จาก จานวนนักเรี ยนทังหมด
้ ลบด้ วย จานวนนักเรี ยนทีช่ อบ 𝑀
𝑇
𝑀 𝐸 𝑀 𝐸 𝑀 𝐸
− =
𝑇 𝑇 𝑇
ทังหมด
้ 42 คน − ชอบคณิต 24 คน = 18 คน → ตอบ 18
3. 4
ก. จาก 𝑚 < 𝑟
ยกกาลังด้ วยฐาน 𝑎 ทังสองฝั
้ ่ง ไม่ต้องกลับ น้ อยกว่า เป็ น มากกว่า เพราะ 𝑎 > 1
𝑎𝑚 < 𝑎𝑟
𝑎𝑚 = 𝑏 𝑛 และ 𝑎𝑟 = 𝑏 𝑠
𝑏𝑛 < 𝑏 𝑠
ตัดฐาน 𝑏 ทังสองฝั
้ ่ง ไม่ต้องกลับ น้ อยกว่า เป็ น มากกว่า เพราะ 𝑏 > 1
𝑛 < 𝑠
ดังนัน้ 𝑚 < 𝑟 และ 𝑛 < 𝑠 บวกสองอสมการนี ้ จะได้ วา่ 𝑚 + 𝑛 < 𝑟 + 𝑠 → ก. ถูก
ข. จาก 1 < 𝑚 < 𝑟 และ 0 < 𝑛 < 𝑠 (โจทย์ให้ ทกุ ตัวเป็ นจานวนเต็มบวก)
จะได้ 𝑚𝑛 < 𝑟 𝑠 → ข. ถูก
ค. จาก 0 < 𝑛 < 𝑠 หารด้ วย 𝑠 ตลอด จะได้ 0 < 𝑛𝑠 < 1
จาก 1 < 𝑚 < 𝑟 𝑛
𝑛 𝑚 𝑛 𝑟
ยกกาลังด้ วยฐาน 𝑠 ทังสองฝั
้ ่ง ต้ องกลับ น้ อยกว่า เป็ น มากกว่า เพราะ 𝑛𝑠 < 1
จะได้ (𝑠 ) > (𝑠 )
→ ค. ถูก

4. 1
สังเกตว่า 𝜋8 กับ 3𝜋
8
รวมกันได้ 4𝜋
8
=
𝜋
2
→ ใช้ โคฟั งก์ชนั จะได้ sin
3𝜋
8
= cos 8
𝜋

𝜋 3𝜋
𝑎 = (sin2 8 ) (sin2 8
) sin 2𝜃 = 2 sin 𝜃 cos 𝜃
𝜋 𝜋 2 cos 2𝜃 = cos 2 𝜃 − sin2 𝜃
= (sin 8 cos 8 )
𝜋 𝜋 2 3𝜋 𝜋
2 sin cos
= ( 8 8
) 𝑏 = (sin2 8
) − (sin2 8 )
2
𝜋 𝜋
sin
𝜋 2
ใช้ สตู ร sin 2𝜃 = (cos 2 8 ) − (sin2 8 )
4
= ( )
2
= cos 4
𝜋 ใช้ สตู ร cos 2𝜃
√2
2 2
2 4 1
= ( ) = = √2
2 4 8 =
2

1 √2
จะได้ 𝑎=
8
และ 𝑏=
2
→ แทนในตัวเลือกแต่ละข้ อ
2 2
√2 1 2 1 √2 1
1. ( ) − 4( ) =
2 8 4

2
= 0 → ถูก 2. 4( ) − 8( ) = 2 − 1 ≠ 3 →
2 8
ผิด
2 2
1 2 √2 1 1 2 √2 1 1
3. 16 (8) − 8( 2 ) = 4 −4 ≠ 1 → ผิด 4. 4 (8) + ( 2 ) = 16
+2 ≠ 1 → ผิด
PAT 1 (มี.ค. 59) 19

2
1 2 √2 1
5. 4 (8) + 4 ( 2 ) = 16
+ 2 ≠ 1 → ผิด

5. 2
มี 𝑎4 + 𝑏4 + 𝑐 4 จะลองใช้ กฎของ cos ที่ 𝐶 แล้ วยกกาลังสองดู ดังนี ้
𝑐2 = 𝑎2 + 𝑏 2 − 2𝑎𝑏 cos 𝐶
2𝑎𝑏 cos 𝐶 = 𝑎2 + 𝑏 2 − 𝑐 2
(2𝑎𝑏 cos 𝐶)2 = (𝑎2 + 𝑏 2 − 𝑐 2 )2
4𝑎2 𝑏 2 cos 2 𝐶 = 𝑎4 + 𝑏 4 + 𝑐 4 + 2𝑎2 𝑏 2 − 2𝑏 2 𝑐 2 − 2𝑎2 𝑐 2
โจทย์กาหนด
4𝑎2 𝑏 2 cos 2 𝐶 = 2(𝑎2 + 𝑏 2 )𝑐 2 + 2𝑎2 𝑏2 − 2𝑏 2 𝑐 2 − 2𝑎2 𝑐 2
4𝑎2 𝑏 2 cos 2 𝐶 = 2𝑎2 𝑐 2 + 2𝑏 2 𝑐 2 + 2𝑎2 𝑏 2 − 2𝑏 2 𝑐 2 − 2𝑎2 𝑐 2
4𝑎2 𝑏 2 cos 2 𝐶 = 2𝑎2 𝑏 2
1
cos 2 𝐶 =
2
1
cos 𝐶 = ±
√2

โจทย์ให้ 𝐶 เป็ นมุมแหลม ดังนัน้ cos 𝐶 = +√12 จะได้ 𝐶 = 45°


1. sin 2(45°) = cos 45° 2. 2 tan 45° = cosec 2 45°
√2 2
1 = × 2 = (√2) 
2

3. sec 45° + 2 cos 45° = 4 4. 4 cosec 2 45° − cos2 45° = 1


√2 2
√2 + 2(2) = 4 × 4 (2) − = 1 ×
4

5. tan2 45° + 2 cos 2(45°) = 2


1 +2 ( 0 ) = 2 ×

6. 5
(ก) 𝐴∩𝐶∈𝐵 คือ 𝐴∩𝐶 ต้ องเข้ าไปอยูใ่ นปี กกาของ 𝐵
เช่น 𝐴 = {1, 2} , 𝐶 = {2, 3} จะได้ 𝐴 ∩ 𝐶 = {2} → ถ้ าให้ 𝐵 = { {2} } จึงจะได้ วา่ 𝐴∩𝐶∈𝐵
แต่จะได้ 𝐴 ∈ 𝐵∪𝐶
{1, 2} ∈ { {2} } ∪ {2, 3}
{1, 2} ∈ { 2 , 3 , {2} } ×
𝐴 𝐶 𝐴 𝐶
(ข) 𝐴∩𝐶⊂𝐵 จะวาดได้ ดงั รูป จะตรวจสอบข้ อนี ้ โดยใช้ วิธีกาหนด 1 3 5
4
“สมาชิกตัวแทน” ให้ ทกุ ส่วน ดังรูป 2
6 7
𝐵 𝐵
จะได้ 𝐴 = {1, 2, 3} , 𝐵 = {2, 3, 4, 6} , และ 𝐶 = {3, 4, 5}
ดังนัน้ 𝐵 = (𝐴 ∪ 𝐵) ∪ (𝐵 ∩ 𝐶)
{2, 3, 4, 6} = {1, 2, 3, 4, 6} ∪ {3, 4}
{2, 3, 4, 6} = {1, 2, 3, 4, 6} ×
(ค) ปกติแล้ ว 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) จะใหญ่กว่า 𝑃(𝐴) ∪ 𝑃(𝐵) เพราะใน 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) จะมีสบั เซตที่ “บางตัวมาจาก 𝐴 และ
บางตัวมาจาก 𝐵” ในขณะที่ 𝑃(𝐴) ∪ 𝑃(𝐵) คือ การนา “สับเซตทีม่ าจาก 𝐴 รวมกับ “สับเซตที่มาจาก 𝐵” ซึง่ จะไม่
มีสบั เซตทีเ่ กิดร่วมกัน ระหว่าง 𝐴 กับ 𝐵
20 PAT 1 (มี.ค. 59)

เช่น ถ้ าให้ 𝐴 = {1} , 𝐵 = {2} จะได้ 𝐴 ∪ 𝐵 = {1, 2}


ดังนัน้ 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) ⊂ 𝑃(𝐴) ∪ 𝑃(𝐵) หมายเหตุ : ถ้ า ข้ อ ค. สลับข้ างสับเซต
𝑃({1, 2}) ⊂ 𝑃({1}) ∪ 𝑃({2}) เป็ น 𝑃(𝐴) ∪ 𝑃(𝐵) ⊂ 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) จะถูก
{ ∅, {1}, {2}, {1,2} } ⊂ { ∅, {1} } ∪ { ∅, {2} }
{ ∅, {1}, {2}, {1,2} } ⊂ { ∅, {1}, {2} } ×

สับเซตที่มีสมาชิกมาจากทัง้ 𝐴 และ 𝐵
7. 2
แก้ 0 < |𝑥| < 2 หาเอกภพสัมพัทธ์ → 0 < |𝑥| และ |𝑥| < 2

จริ งเสมอยกเว้ น 𝑥 = 0 −2 < 𝑥 <2 → เอกภพสัมพัทธ์ คือ (−2, 0) ∪ (0, 2)


จะแก้ อสมการ เพื่อหาว่า 𝑃(𝑥) กับ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ งเมื่อ 𝑥 มีคา่ เป็ นอย่างไร
𝑥 , 𝑥≥0
𝑃(𝑥) : จะแบ่งกรณีคิดที่ 𝑥 ≥ 0 และ 𝑥<0 เพื่อใช้ สมบัติ |𝑥| = { ในการกาจัดค่าสัมบูรณ์
−𝑥 , 𝑥<0
กรณี 𝑥 ≥ 0 จะได้ |𝑥| = 𝑥 กรณี 𝑥 < 0 จะได้ |𝑥| = −𝑥
| |𝑥| − 𝑥 | | |𝑥| − 𝑥 |
≤ 0 ≤ 0
𝑥 𝑥
| 𝑥 −𝑥| | −𝑥 − 𝑥 |
𝑥
≤ 0 𝑥
≤ 0
0 |−2𝑥|
≤ 0 ≤ 0
𝑥 𝑥
0 ≤ 0 2 |𝑥|
𝑥
≤ 0
เป็ นจริ งเสมอโดยไม่ขึ ้นกับค่า 𝑥 2 (−𝑥)
|𝑥| = −𝑥
≤ 0
𝑥
ตัดได้ เพราะ 𝑥 ≠ 0
−2 ≤ 0
เป็ นจริ งเสมอโดยไม่ขึ ้นกับค่า 𝑥
จะเห็นว่า ไม่วา่ เป็ นกรณีไหน จะได้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริ งเสมอ ดังนัน้ ∃𝑥[𝑃(𝑥)] ≡ T และ ∀𝑥[𝑃(𝑥)] ≡ T
𝑄(𝑥) : จาก |𝑥 − √(𝑥 − 1)2 | < 3 จะได้ วา่ −3 < 𝑥 − √(𝑥 − 1)2 < 3
−3 < 𝑥 − |𝑥 − 1| < 3
จะแบ่งคิดเป็ นกรณีที่ 𝑥≥1 และ 𝑥<1 เพื่อกาจัดค่าสัมบูรณ์ |𝑥 − 1|

กรณี 𝑥 ≥ 1 จะได้ 𝑥 − 1 ≥ 0 กรณี 𝑥 < 1 จะได้ 𝑥 − 1 < 0


ดังนัน้ |𝑥 − 1| = 𝑥 − 1 ดังนัน้ |𝑥 − 1| = −(𝑥 − 1)
−3 < 𝑥 − |𝑥 − 1| < 3 −3 < 𝑥 − |𝑥 − 1| < 3
−3 < 𝑥 − (𝑥 − 1) < 3 −3 < 𝑥 − (−(𝑥 − 1)) < 3
−3 < 𝑥−𝑥 +1 < 3 −3 < 𝑥+𝑥−1 < 3
−3 < 1 < 3 −2 < 2𝑥 < 4
เป็ นจริ งเสมอโดยไม่ขึ ้นกับค่า 𝑥 −1 < 𝑥 < 2
→ 𝑥 ∈ (−1, 2)
แต่กรณีนี ้ 𝑥 ≥ 1 → จะได้ 𝑥 ∈ [1, ∞)
แต่กรณีนี ้ 𝑥 < 1 → เหลือ 𝑥 ∈ (−1, 1)

รวมสองกรณี จะได้ คาตอบคือ [1, ∞) ∪ (−1, 1) = (−1, ∞)


จะเห็นว่า ในเอกภพสัมพัทธ์ (−2, 0) ∪ (0, 2) มีทงค่
ั ้ าที่อยูใ่ นเซตตาคอบ (−1, ∞) (เช่น 𝑥 = 1)
และค่าที่ไม่อยูใ่ นเซตคาตอบ (−1, ∞) (เช่น 𝑥 = −1.5)
ดังนัน้ ∃𝑥[𝑄(𝑥)] ≡ T แต่ ∀𝑥[𝑄(𝑥)] ≡ F
PAT 1 (มี.ค. 59) 21

(ก) ∃𝑥[𝑄(𝑥)] → ∀𝑥[𝑃(𝑥)] ≡ T → T ≡ T → (ก) ถูก


(ข) เนื่องจากเมื่อ 𝑥 = −1.5 จะได้ 𝑄(𝑥) เป็ นเท็จ ทาให้ 𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥) ≡ 𝑃(𝑥) ∧ F ≡ F
ดังนัน้ ∀𝑥[𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥)] ≡ F → (ข) ผิด
(ค) ∀𝑥[~𝑃(𝑥)] จะเป็ นจริ งเมื่อ 𝑥 ทุกตัว ทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นเท็จทังหมด

แต่ 𝑥 ทุกค่าทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง ดังนัน้ ∀𝑥[~𝑃(𝑥)] ≡ F
จะได้ ∀𝑥[~𝑃(𝑥)] ∨ ∀𝑥[𝑄(𝑥)] ≡ F ∨ F ≡ F → (ค) ถูก

8. 1
4 𝑦
2 log 2 𝑦 = 4 + log √2 𝑥 4(𝑥+1) + 2 = 9(√2)
4 4𝑥
2 log 2 𝑦 = 4 + log 1 𝑥 4(𝑥+1) + 2 = 9(√2)
22
1 4𝑥
2 log 2 𝑦 = 4 + 2 log 2 𝑥 4𝑥 ∙ 41 + 2 = 9 (24 )
log 2 𝑦 = 2 + log 2 𝑥 4 ∙ 22𝑥 + 2 = 9 ∙ 2𝑥
log 2 𝑦 = log 2 4 + log 2 𝑥 4 ∙ 22𝑥 − 9 ∙ 2𝑥 + 2 = 0
log 2 𝑦 = log 2 4𝑥 (4 ∙ 2𝑥 − 1)(2𝑥 − 2) = 0
1
𝑦 = 4𝑥 2𝑥 = , 2
4
2𝑥 = 2−2 , 21
𝑥 = −2 , 1
โจทย์ให้ 𝑥 เป็ น 𝑅 +
แทน 𝑥=1 จะได้ 𝑦 = 4(1) = 4 → แทนในตัวเลือก
1. 12 + 42 = 17  2. 13 + 43 = 9 × 3. 12 = 4 − 1 ×
4. 42 = 1 + 4 × 5. 1 + 2(4) = 7 ×

9. 4
4 sin 40° − tan 40°
sin 40°
= 4 sin 40° − cos 40° 1
sin 80° + 2( ) sin 20°
2
4 sin 40° cos 40° − sin 40° = cos 40°
= cos 40° sin 80° + sin 20°
2(2 sin 40° cos 40°) − sin 40° = cos 40°
=
cos 40° 80°+20° 80°−20°
2 sin cos
2 2
=
2 sin 80° − sin 40° = cos 40°
cos 40°
2 sin 50° cos 30°
=
sin 80° + sin 80° − sin 40° = cos 40°
cos 40°
80°+40° 80°−40° √3
sin 80° + 2 cos sin 2 sin 50° ( )
= 2 2 =
2
จากโคฟังก์ชนั จะได้
cos 40° cos 40°
sin 80° + 2 cos 60° sin 20° sin 50° = cos 40°
= = √3
cos 40°

หาค่าตัวเลือกในแต่ละข้ อ ว่าข้ อไหนได้ √3


√2
1. cos 405° = cos(360° + 45°) = cos 45° = 2
×
√3
2. sin 420° = sin(360° + 60°) = sin 60° =
2
×
1 1 1
3. sec(−60°) = cos(−60°)
= cos 60°
= 1/2
= 2 ×
22 PAT 1 (มี.ค. 59)

4. tan(−120°) = tan(−180° + 60°) = tan 60° = √3  → ตอบข้ อ 4.


1 1 1 1
5. cot(−135°) =
tan(−135°)
=
tan(−180°+45°)
=
tan 45°
=
1
= 1 ×

10. 2
หา 𝑔(𝑥) : จาก 𝑔(1 + 𝑥) = 𝑥(2 + 𝑥) → ให้ 1+𝑥 = 𝑎
𝑥 = 𝑎−1
𝑔( 𝑎 ) = (𝑎 − 1)(2 + 𝑎 − 1)
𝑔( 𝑎 ) = (𝑎 − 1)(𝑎 + 1)
𝑔( 𝑎 ) = 𝑎2 − 1
𝑔( 𝑥 ) = 𝑥2 − 1

หา 𝑓(𝑥) : จาก (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = 𝑥 2 + 1


𝑓( 𝑔(𝑥) ) = 𝑥 2 + 1
𝑓(𝑥 2 − 1) = 𝑥 2 + 1 ให้ 𝑥2 − 1 = 𝑏 → เนื่องจาก 𝑥2 ≥ 0 ดังนัน้ 𝑏 = 𝑥2 − 1
𝑥2 = 𝑏+1 ≥ 0−1
≥ −1
𝑓( 𝑏 ) = 𝑏 + 1 + 1 ; 𝑏 ≥ −1
𝑓( 𝑏 ) = 𝑏 + 2
𝑓( 𝑥 ) = 𝑥 + 2 ; 𝑥 ≥ −1

(ก) แก้ สมการ (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥)


𝑔(𝑓(𝑥)) = 𝑥2 + 1
𝑔(𝑥 + 2) = 𝑥2 + 1 ; 𝑥 ≥ −1
(𝑥 + 2)2 − 1 = 𝑥2 + 1
𝑥 2 + 4𝑥 + 4 − 1 = 𝑥2 + 1
4𝑥 = −2
𝑥 = −2 สอดคล้ องกับเงื่อนไข 𝑥 ≥ −1
1

→ สมการมีคาตอบ ดังนัน้ ไม่เป็ นเซตว่าง → ก. ผิด
(ข) จากทีเ่ คยทาฝั่งซ้ ายของข้ อ ก. จะได้ (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = (𝑥 + 2)2 − 1 เมื่อ 𝑥 ≥ −1
แทนในข้ อ ข. จะได้ (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) + 1 ≥ 0
(𝑥 + 2)2 − 1 + 1 ≥ 0 ; 𝑥 ≥ −1
(𝑥 + 2)2 ≥ 0 → จริ ง (ผลยกกาลังสอง ≥ 0 เสมอ) → ข. ถูก
(ค) (𝑓 + 𝑔)(𝑥) ≥ 1
𝑓(𝑥) + 𝑔(𝑥) ≥ 1
𝑥 + 2 + 𝑥2 − 1 ≥ 1 ; 𝑥 ≥ −1
𝑥2 + 𝑥 ≥ 0
𝑥(𝑥 + 1) ≥ 0

+ − + → จะเห็นว่า เมื่อ 𝑥 ≥ −1 จะมีชว่ ง (−1, 0) ทีไ่ ม่เป็ นคาตอบของอสมการ → ค. ผิด


−1 0
PAT 1 (มี.ค. 59) 23

11. 5
ให้ วงกลมมีจดุ ศูนย์กลางที่ 𝐴(ℎ, 𝑘) จะวาดได้ ดงั รูป
จัดรูปเส้ นตรง 3𝑥 + 4𝑦 = 35
(ℎ, 𝑘) 3 35 3
𝑦 = − 4 𝑥 + 4 → ความชัน = − 4
จาก รัศมี ⊥ เส้ นสัมผัส จะได้ ความชันรัศมี × ความชันเส้ นสัมผัส = −1
(5, 5) 𝑘−5 3
× − = −1
ℎ−5 4
3𝑥 + 4𝑦 = 35 3𝑘 − 15 = 4ℎ − 20
5 = 4ℎ − 3𝑘
4ℎ − 3𝑘 = 5 …(1)
โจทย์ให้ 𝐴(ℎ, 𝑘) เป็ นจุดศูนย์กลางของไฮเพอร์ โบลาด้ วย และโจทย์ให้ เส้ นกากับเส้ นหนึง่ คือ 3𝑥 − 4𝑦 = 2
เนื่องจากเส้ นกากับจะผ่านจุดศูนย์กลางเสมอ ดังนัน้ 𝐴(ℎ, 𝑘) ต้ องแทนใน 3𝑥 − 4𝑦 = 2 แล้ วเป็ นจริ ง
3ℎ − 4𝑘 = 2 …(2)
3(1) − 4(2) : 7𝑘 = 7
𝑘 = 1
(5, 5)
แปลว่ารูปต้ องเป็ นแบบนี ้ แทนใน (2) : 3ℎ − 4(1) = 2
ℎ = 2
(แต่ก็ยงั ทาแบบเดิมได้ อยู)่ (2, 1)

ดังนัน้ วงกลม มีจดุ ศูนย์กลาง 𝐴(2, 1) และรัศมี = ระยะจาก (2, 1) ไป (5, 5)


= √(5 − 2)2 + (5 − 1)2 = √32 + 42 = 5
จะได้ ไฮเพอร์ โบลา มีจดุ ศูนย์กลาง (ℎ, 𝑘) = (2, 1) และระยะโฟกัส 𝑐 = สองเท่ารัศมี = 2(5) = 10
(𝑦−𝑘)2 (𝑥−ℎ)2
โจทย์ให้ แกนตามขวางขนานแกน 𝑦 → เป็ นไฮเพอร์ โบลาแนวตัง้ มีรูปสมการคือ 𝑎2
− 𝑏2
= 1
เนื่องจากเส้ นกากับ 3𝑥 − 4𝑦 = 2 มีความชัน = 34 → จะได้ 𝑎𝑏 = 34 ดังรูป
3 1 3𝑏
4
𝑥 −2 =𝑦 𝑎 = ความชัน = 𝑎𝑏
4 𝑎
𝑏
และจาก 𝑎2 + 𝑏 2 = 𝑐 2 = 102
3𝑏 2
( 4 ) + 𝑏2 = 102
25𝑏2
16
= 102
5𝑏
4
= 10
3(8)
𝑏 = 8 → จะได้ 𝑎 = 4
= 6
(𝑦−1)2 (𝑥−2)2
แทนค่า ℎ, 𝑘, 𝑎, 𝑏 จะได้ สมการไฮเพอร์ โบลาคือ − = 1
62 82
𝑦 2 −2𝑦+1 𝑥 2 −4𝑥+4
62
− 82
= 1
42 (𝑦 2 − 2𝑦 + 1) − 3 2 (𝑥 2
− 4𝑥 + 4) = 242
16𝑦 2 − 32𝑦 + 16 − 9𝑥 2 + 36𝑥 − 36 = 576
−9𝑥 2 + 16𝑦 2 + 36𝑥 − 32𝑦 − 596 = 0
9𝑥 2 − 16𝑦 2 − 36𝑥 + 32𝑦 + 596 = 0
24 PAT 1 (มี.ค. 59)

12. 3
สังเกตว่า ตัวในรูททางขวาสองตัว บวกกัน จะเท่ากับ ตัวในรูทฝั่งซ้ าย → 3 − 𝑥 + 2𝑥 − 1 = 𝑥+2
ดังนัน้ ถ้ าให้ 𝑎 = 3 − 𝑥 และ 𝑏 = 2𝑥 − 1 จะได้ อสมการคือ √𝑎 + 𝑏 < √𝑎 + √𝑏
𝑎 + 𝑏 < 𝑎 + 2√𝑎√𝑏 + 𝑏
0 < 2√𝑎√𝑏
เนื่องจาก ในรูทต้ อง ≥ 0 และ ผลรูท ≥ 0 จะเห็นว่า อสมการ 0 < 2√𝑎√𝑏 เป็ นจริ งเมื่อ 𝑎 > 0 และ 𝑏 > 0
นัน่ คือ 3 − 𝑥 > 0 และ 2𝑥 − 1 > 0
1
→ จะได้ 𝐴 = (2 , 3)
1
3 > 𝑥 𝑥 >
2

1. |2𝑥 − 1| < 1 2. |𝑥 − 2| < 1 3. |𝑥 − 1| < 2


−1 < 2𝑥 − 1 < 1 −1 < 𝑥 − 2 < 1 −2 < 𝑥 − 1 < 2
0 < 2𝑥 < 2 1 < 𝑥 < 3 × −1 < 𝑥 < 3 
0 < 𝑥 < 1 ×
จะได้ (12 , 3) เป็ นสับเซตของข้ อ 3.
4. 𝑥2 + 2 < 3𝑥 5. 𝑥2 < 2𝑥
2 2
𝑥 − 3𝑥 + 2 < 0 𝑥 − 2𝑥 < 0
(𝑥 − 1)(𝑥 − 2) < 0 𝑥(𝑥 − 2) < 0
× ×
+ − + + − +
1 2 0 2

13. 3
โจทย์ให้ จุดยอดของวงรี อยูท่ ี่ จุดตัดแกน 𝑥 ของพาราโบลา
หาจุดที่พาราโบลาตัดแกน 𝑥 → แทน 𝑦 = 0 ในสมการพาราโบลา : 𝑥 2 + 4𝑥 + 3(0) − 5 = 0
𝑥 2 + 4𝑥 − 5 = 0
(𝑥 + 5)(𝑥 − 1) = 0
𝑥 = −5 , 1
ดังนัน้ จุดยอดของวงรี คือ (−5, 0) และ (1, 0) → เป็ นวงรี แนวนอน
จุดศูนย์กลางวงรี จะอยูต่ รงกลางระหว่างจุดยอด → ได้ จดุ ศูนย์กลาง (ℎ, 𝑘) = ( −5+1
2
, 0) = (−2, 0)
และถ้ าให้ ระยะโฟกัสของวงรี = 𝑐 จะได้ จดุ โฟกัสทังสองคื
้ อ (−2 + 𝑐 , 0) และ (−2 − 𝑐 , 0)
โจทย์ให้ ผลบวกของระยะจากจุดยอดพาราโบลา ไปยังโฟกัสทังสองของวงรี
้ = 2√13
หาจุดยอดพาราโบลา → จัดรูป 𝑥 2 + 4𝑥 + 3𝑦 − 5 = 0
𝑥 2 + 4𝑥 + 4 = −3𝑦 + 5 + 4
(𝑥 + 2)2 = −3(𝑦 − 3) → จะได้ จดุ ยอด คือ (−2, 3)
ดังนัน้ ระยะจาก (−2, 3) ไปยัง (−2 + 𝑐 , 0) บวก ระยะจาก (−2, 3) ไปยัง (−2 − 𝑐 , 0) เท่ากับ 2√13
2 2
√((−2) − (−2 + 𝑐)) + (3 − 0)2 + √((−2) − (−2 − 𝑐)) + (3 − 0)2 = 2√13
√( −2 + 2 − 𝑐 )2 + 32 + √( −2 + 2 + 𝑐 )2 + 32 = 2√13
√ 𝑐2 + 9 +√ 𝑐2 + 9 = 2√13
2
2√𝑐 + 9 = 2√13
𝑐2 + 9 = 13
𝑐 = 2
โจทย์ถามสมการวงรี → ต้ องหา 𝑎, 𝑏
PAT 1 (มี.ค. 59) 25

6
จากจุดยอดวงรี (−5, 0) และ (1, 0) จะได้ แกนเอกยาว 1 − (−5) = 6 ดังนัน้ 𝑎 = 2
= 3
และจาก 𝑎2 − 𝑏2 = 𝑐 2
32 − 𝑏 2 = 22
5 = 𝑏2
(𝑥−ℎ)2 (𝑦−𝑘)2
แทน (ℎ, 𝑘) = (−2, 0) และ 𝑎 = 3 , 𝑏2 = 5 ในสมการวงรี แนวนอน 𝑎2
+
𝑏2
= 1
(𝑥+2)2 (𝑦−0)2
32
+ 5
= 1
𝑥 2 +4𝑥+4 𝑦2
+ = 1
9 5
5𝑥 2 + 20𝑥 + 20 + 9𝑦 2 = 45
5𝑥 2 + 20𝑥 + 9𝑦 2 = 25

14. 4
หาจุดตัดแกนของเส้ นตรง วาดกราฟ และแทนจุดที่ไม่ได้ อยูบ่ นเส้ นกราฟ (0, 0) เพื่อแรเงา จะได้ ดงั รูป
L3 : 𝑥 − 2𝑦 + 17 ≥ 0
L1 : 𝑥 + 3𝑦 − 12 ≥ 0
จุดตัดแกน 𝑥 0 −17
จุดตัดแกน 𝑥 0 12 17
𝑦 4 0 𝑦 2
0

จุด (0, 0) → อสมการเป็ นเท็จ จุด (0, 0) → อสมการเป็ นจริง


แรเงาส่วนขวาบนที่ไม่มี (0, 0) แรเงาส่วนขวาล่างที่มี (0, 0)
L2
L4
L4 : 9𝑥 + 𝑦 − 56 ≤ 0
L2 : 3𝑥 + 𝑦 − 12 ≥ 0
จุดตัดแกน 𝑥 0 4 จุดตัดแกน 𝑥 0
56

L3 9
𝑦 12 0
𝑦 56 0
จุด (0, 0) → อสมการเป็ นเท็จ L1 F G จุด (0, 0) → อสมการเป็ นจริง
แรเงาส่วนขวาบนที่ไม่มี (0, 0) H
E แรเงาส่วนซ้ ายล่างที่มี (0, 0)

หาพิกดั ของจุดมุม E, F, G, H

หา E → ต้ องแก้ L1 กับ L2 หา F → ต้ องแก้ L2 กับ L3


L1 : 𝑥 + 3𝑦 = 12 …(1) L2 : 3𝑥 + 𝑦 = 12 …(2)
L2 : 3𝑥 + 𝑦 = 12 …(2) L3 : 𝑥 − 2𝑦 = −17 …(3)
3(1) − (2): 8𝑦 = 24 (2) − 3(3): 7𝑦 = 63
𝑦 = 3 𝑦 = 9
แทนใน (1): 𝑥 + 9 = 12 แทนใน (2): 3𝑥 + 9 = 12
𝑥 = 3 𝑥 = 1
จะได้ พิกดั E(3, 3) จะได้ พิกดั F(1, 9)

หา G → ต้ องแก้ L3 กับ L4 หา H → ต้ องแก้ L1 กับ L4


L3 : 𝑥 − 2𝑦 = −17 …(3) L1 : 𝑥 + 3𝑦 = 12 …(1)
L4 : 9𝑥 + 𝑦 = 56 …(4) L4 : 9𝑥 + 𝑦 = 56 …(4)
(3) + 2(4): 19𝑥 = 95 9(1) − (4): 26𝑦 = 52
𝑥 = 5 𝑦 = 2
แทนใน (4): 45 + 𝑦 = 56 แทนใน (1): 𝑥 + 6 = 12
𝑦 = 11 𝑥 = 6
จะได้ พิกดั G(5, 11) จะได้ พิกดั H(6, 2)
26 PAT 1 (มี.ค. 59)

เอาจุดมุมทังสี
้ ่ ไปแทนใน สมการจุดประสงค์ 𝑃 = 7𝑥 − 5𝑦
E(3, 3) → 𝑃 = 7(3) − 5(3) = 6
F(1, 9) → 𝑃 = 7(1) − 5(9) = −38 → min
G(5, 11) → 𝑃 = 7(5) − 5(11) = −20
H(6, 2) → 𝑃 = 7(6) − 5(2) = 32 → max
(ก) จุดที่ให้ คา่ มากสุด คือ (6, 2) → 𝑎 + 𝑏 = 62 + 22 = 40 → (ก) ถูก
2 2

(ข) ค่ามากสุด = 32 , ค่าน้ อยสุด = −38 → ผลต่าง = 32 − (−38) = 70 → (ข) ถูก


(ค) ดูวา่ จุดทีใ่ ห้ คา่ 𝑃 มากสุด กับ น้ อยสุด แทนในสมการ 7𝑥 + 5𝑦 = 52 แล้ วเป็ นจริ งหรื อไม่
มากสุดที่ (6, 2) : 7(6) + 5(2) = 52 จริ ง
น้ อยสุดที่ (1, 9) : 7(1) + 5(9) = 52 จริ ง → (ค) ถูก

15. 1
จาก 𝐶𝐴 ⃗⃗⃗⃗⃗ = 0 แสดงว่า 𝐶𝐴
⃗⃗⃗⃗⃗ ∙ 𝐶𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗ ⊥ 𝐶𝐵 ⃗⃗⃗⃗⃗ ดังนัน้ ∆𝐴𝐵𝐶 เป็ น ∆ มุมฉาก 𝑦 = 2𝑥 + 1
และจากสมบัติของครึ่งวงกลม จะได้ 𝐴𝐵 ̅̅̅̅ เป็ นเส้ นผ่านศูนย์กลางวงกลม
𝐴
ให้ จดุ ศูนย์กลางคือ 𝐷(ℎ, 𝑘) จะวาดได้ ดงั รูป 𝐶(−2, 2)
เนื่องจาก 𝐷(ℎ, 𝑘) อยูบ่ นเส้ นตรง 𝑦 = 2𝑥 + 1
ดังนัน้ (ℎ, 𝑘) ต้ องสอดคล้ องกับสมการเส้ นตรง → 𝑘 = 2ℎ + 1 …(∗) 𝐷(ℎ, 𝑘)

และจาก 𝐶𝐴 = 𝐶𝐵 จะได้ 𝐶𝐷 ̅̅̅̅ ⊥ 𝐴𝐵⃗⃗⃗⃗⃗ ด้ วย


จากสมบัติความชันเส้ นตังฉาก ้ จะได้ ความชัน 𝐶𝐷 ̅̅̅̅ × ความชัน 𝐴𝐵
⃗⃗⃗⃗⃗ = −1 𝐵
𝑦 = 2𝑥 + 1
𝑘−2
ℎ−(−2)
× 2 = −1
จาก (∗)
2ℎ+1−2
× 2 = −1
ℎ+2
4ℎ − 2 = −ℎ − 2
ℎ = 0
แทน ℎ = 0 ใน (∗) จะได้ 𝑘 = 2(0) + 1 = 1 → จะได้ จดุ ศูนย์กลางคือ 𝐷(0, 1)
และจะได้ รัศมี = 𝐶𝐷 = √(−2 − 0)2 + (2 − 1)2 = √4 + 1 = √5
จะได้ สมการวงกลมคือ (𝑥 − ℎ)2 + (𝑦 − 𝑘)2 = 𝑟 2
2
(𝑥 − 0)2 + (𝑦 − 1)2 = √5
𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑦 + 1 = 5
𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑦 − 4 = 0

16. 3
โจทย์ให้ แกนสมมาตรทับแกน 𝑦 ดังนัน้ จะเป็ นพาราโบลาคว่าหงาย มีรูปสมการคือ (𝑥 − ℎ)2 = 4𝑐(𝑦 − 𝑘)
เนื่องจากแกนสมมาตรจะผ่านจุดยอดเสมอ ดังนัน้ จุดยอดจะอยูบ่ นแกน 𝑦 ด้ วย
และเนื่องจากจุดบนแกน 𝑦 จะมีพกิ ดั 𝑥 เป็ น 0 เสมอ ดังนัน้ จุดยอด 𝑉(ℎ, 𝑘) จะมี ℎ = 0
→ แทนในสมการจะได้ 𝑥 2 = 4𝑐(𝑦 − 𝑘) …(∗)
PAT 1 (มี.ค. 59) 27

ถัดมา แก้ สมการ |√𝑥 2 − 𝑥| + |3 − 𝑥 − |𝑥 − 3|| = 0


จะเห็นว่า ทัง้ |√𝑥 2 − 𝑥| และ |3 − 𝑥 − |𝑥 − 3|| เป็ นค่าสัมบูรณ์ ซึง่ จะ ≥ 0
ดังนัน้ ถ้ า |√𝑥 2 − 𝑥| กับ |3 − 𝑥 − |𝑥 − 3|| บวกกันได้ 0 แสดงว่า ทังคู้ ต่ ้ องเป็ น 0 พร้ อมๆกัน เท่านัน้
√𝑥 2 − 𝑥 = 0 และ 3 − 𝑥 − |𝑥 − 3| = 0
√𝑥 2 = 𝑥 − |𝑥 − 3| = 𝑥 − 3
|𝑥| = 𝑥 |𝑥 − 3| = −(𝑥 − 3)
เป็ นจริ งเมื่อ 𝑥≥0 เป็ นจริ งเมื่อ 𝑥−3 ≤ 0 จะได้ 0 ≤ 𝑥 ≤ 3
𝑥 ≤ 3
ถัดมา หาจุดปลายของ 2𝑥 + 3𝑦 − 6 = 0 → เนื่องจาก 0≤𝑥 ≤3 ดังนัน้ จุดปลายจะเกิดที่ 𝑥=0 และ 𝑥=3
𝑥 = 0 : 2(0) + 3𝑦 − 6 = 0 𝑥 = 3 : 2(3) + 3𝑦 − 6 = 0
𝑦 = 2 𝑦 = 0

ดังนัน้ พาราโบลาผ่านจุด (0, 2) และ (3, 0) → สองจุดนี ้ต้ องแทนในสมการพาราโบลา (∗) แล้ วเป็ นจริง
𝑥 2 = 4𝑐(𝑦 − 𝑘) 𝑥 2 = 4𝑐(𝑦 − 𝑘)
02 = 4𝑐(2 − 𝑘) 32 = 4𝑐(0 − 𝑘)
9 = 4𝑐(0 − 2)
แต่ 𝑐 ≠ 0 (เพราะ 𝑐 คือระยะโฟกัส) 9
−8 = 𝑐 → 𝑐 เป็ นลบ แสดงว่าเป็ นพาราโบลาควา่
ดังนัน้ จะสรุปได้ วา่ 𝑘 = 2
ดังนัน้ ความยาวลาตัสเรคตัม = |4𝑐|
9 9
= |4 (− )| =
8 2

17. 1
𝑓 ต่อเนื่อง แสดงว่า 𝑓 ต้ องมีคา่ เท่ากันตรงบริ เวณรอยต่อของแต่ละสมการ
ที่รอยต่อตรง 𝑥 = 𝑎 จะได้ ที่รอยต่อตรง 𝑥=𝑏 จะได้
2 2
𝑥 + 𝑏 − 4 = 𝑥 + 𝑏𝑥 + 𝑎 𝑥 + 𝑏𝑥 + 𝑎 = 2𝑏𝑥 − 𝑎
𝑥=𝑎 𝑥=𝑏
𝑎 + 𝑏 − 4 = 𝑎2 + 𝑏𝑎 + 𝑎 𝑏2 + 𝑏2 + 𝑎 = 2𝑏 2 − 𝑎
𝑏 − 4 = 𝑎2 + 𝑏𝑎 2𝑎 = 0
𝑎 = 0
𝑏−4 = 0 + 0
𝑏 = 4
𝑥 , 𝑥≤0
จะได้ 𝑎=0, 𝑏=4 → แทนใน 𝑓(𝑥) จะได้ 𝑓(𝑥) = {𝑥 + 4𝑥 2
, 0<𝑥≤4
8𝑥 , 𝑥>4
แทน 𝑎, 𝑏 และ ในตัวเลือกในแต่ละข้ อ จะได้ ดงั นี ้
𝑓
(ก) (𝑓 ∘ 𝑓)(0 − 4) = 0 − 4 (ข) 𝑓(0 + 4) = 𝑓(0) + 𝑓(4)
𝑓(𝑓(−4)) = −4 𝑓( 4 ) = 0 + 𝑓(4) ใช้ สตู รแรกหา 𝑓(0)
สูตรแรก 𝑓( 4 ) = 𝑓(4) 
𝑓( −4 ) = −4
สูตรแรก −4 = −4 

1 , 𝑥≤0
(ค) ดิฟจะได้ 𝑓′(𝑥) = {2𝑥 + 4 , 0<𝑥≤4 ดังนัน้ 𝑓 ′ (𝑓(2)) = 𝑓(𝑓 ′ (2))
8 , 𝑥>4 𝑓 ′ (22 + 4(2)) = 𝑓(2(2) + 4)
𝑓 ′ ( 12 ) = 𝑓(8)
8 = 8(8)
8 = 64 ×
28 PAT 1 (มี.ค. 59)

18. 4
จัดรูป 𝑓(𝑥) → ให้ 𝑘 = 𝑥+3 จะได้ 𝑓(𝑥 + 3) = 𝑥 + 4
𝑘−3= 𝑥 𝑓( 𝑘 ) = 𝑘 − 3 + 4
𝑓( 𝑘 ) = 𝑘 + 1 → ดังนัน้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 + 1
และจาก (𝑓 −1 ∘ 𝑔)(𝑥) = 3𝑥𝑓(𝑥) − 3𝑥 − 4
𝑓 −1 (𝑔(𝑥)) = 3𝑥(𝑥 + 1) − 3𝑥 − 4
𝑓 −1 (𝑔(𝑥)) = 3𝑥 2 + 3𝑥 − 3𝑥 − 4
𝑓 −1 (𝑔(𝑥)) = 3𝑥 2 − 4 ย้ ายข้ าง 𝑓 −1 ไปเป็ น 𝑓 ที่อีกฝั่ง
𝑔(𝑥) = 𝑓(3𝑥 2 − 4)
จาก 𝑓(𝑥) = 𝑥 + 1
𝑔(𝑥) = 3𝑥 2 − 4 + 1
𝑔(𝑥) = 3𝑥 2 − 3

ดังนัน้ (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) = 𝑔(𝑓(𝑥)) (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = 𝑓(𝑔(𝑥))


= 𝑔(𝑥 + 1) = 𝑓(3𝑥 2 − 3)
= 3(𝑥 + 1)2 − 3 = 3𝑥 2 − 3 + 1
≥ −3 = 3𝑥 2 − 2
(เพราะ (𝑥 + 1) ≥ 0)
2 ≥ −2
(เพราะ 𝑥 ≥ 0)
2
→ จะได้ เรนจ์ = [−3 , ∞) = 𝐴
→ จะได้ เรนจ์ = [−2 , ∞) = 𝐵
𝐴
𝐵
𝐴−𝐵 จะได้ 𝐴 − 𝐵 = [−3 , −2) ซึง่ จะเป็ นสับเซตของข้ อ 4
−3 −2

19. 2
จัดสมการให้ อยูใ่ นรูปของ 3𝑥+5 : 32𝑥+10 − 4(3𝑥+6 ) + 27 ≤ 0
2(𝑥+5) 𝑥+5 1)
3 − 4(3 ∙ 3 + 27 ≤ 0
(3𝑥+5 )2 − 12(3𝑥+5 ) + 27 ≤ 0
(3𝑥+5 − 3)(3𝑥+5 − 9) ≤ 0
ดังนัน้ 3 ≤ 3𝑥+5 ≤ 9
+ − +
31 ≤ 3𝑥+5 ≤ 32
3 9 1 ≤ 𝑥+5 ≤ 2
−4 ≤ 𝑥 ≤ −3
จะได้ 𝐴 = [−4 , −3] ซี่งจะเป็ นสับเซตของข้ อ 2
20. 5
25
25
จากสูตร 𝑆𝑛 จะได้  𝑎𝑛 = 2
(2𝑎1 + (25 − 1)𝑑) = 1900 อนุกรมเลขคณิต
n 1
2𝑎1 24𝑑 1900 𝑎𝑛 = 𝑎1 + (𝑛 − 1)𝑑
+ = 𝑛
2 2 25 𝑆𝑛 = (2𝑎1 + (𝑛 − 1)𝑑)
2
𝑎1 + 12𝑑 = 76
𝑎1 = 76 − 12𝑑 …(∗)

กระจาย  4𝑎𝑛−1
𝑛
= 8 จะได้ 𝑎1
40
+
𝑎2
41
𝑎 𝑎
+ 432 + 443 +… = 8
n 1
𝑎1 𝑎1 +𝑑 𝑎 +2𝑑 𝑎 +3𝑑
40
+ 41
+ 142 + 143 +… = 8 …(1)
÷ 4 ตลอด ให้ ตาแหน่งเลื่อน 𝑎1 𝑎1 +𝑑 𝑎1 +2𝑑 𝑎1 +3𝑑
41
+ 42
+ 43
+ 43
+ … = 2 …(2)

𝑎1 𝑑 𝑑 𝑑
(1) − (2) : 1
+ 4
+ 42
+ 43
+ … = 6
PAT 1 (มี.ค. 59) 29

𝑎1 𝑑 𝑑 𝑑
(1) − (2) : 1
+ 4
+ 42
+ 43
+ … = 6

อนุกรมเรขาคณิตอนันต์ พจน์แรก = 𝑑4 , อัตราส่วนร่วม = 14


𝑑
𝑑 4 𝑑
จะได้ 𝑆∞ = 4
1−
1 = 4
×3 = 3
4
𝑑
𝑎1 + = 6
3 × 3 ตลอด
3𝑎1 + 𝑑 = 18
จาก (∗)
3(76 − 12𝑑) + 𝑑 = 18
228 − 36𝑑 + 𝑑 = 18
210 = 35𝑑
6 = 𝑑
แทน 𝑑 = 6 ใน (∗) จะได้ 𝑎1 = 76 − 12(6) = 4
ดังนัน้ 𝑎100 = 𝑎1 + (100 − 1)𝑑
= 4 + ( 99 )6 = 598

21. 4
จะหาความแปรปรวนของ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 ก่อน แล้ วค่อยขยายผลไปสู่ 3𝑥1 − 1 , 3𝑥2 − 1 , … , 3𝑥10 − 1
∑ 𝑥𝑖2
จากค่าเฉลีย่ ของ 𝑥12 , 𝑥22 , 𝑥32 , …, 𝑥10
2
เท่ากับ 70 จะได้ 10
= 70 ดังนัน้ ∑ 𝑥𝑖2 = 700 …(1)
และจาก ∑(𝑥𝑖 − 3)2 = 310
∑(𝑥𝑖2 − 6𝑥𝑖 + 9) = 310
∑ 𝑥𝑖2 − 6 ∑ 𝑥𝑖 + ∑ 9 = 310
จาก (1) ∑ 𝑐 = 𝑁𝑐
700 − 6 ∑ 𝑥𝑖 + 10(9) = 310
480 = 6 ∑ 𝑥𝑖
∑ 𝑥𝑖 80
80 = ∑ 𝑥𝑖 → ดังนัน้ 𝑥̅ = 𝑁
= 10
= 8 …(2)
∑ 𝑥2 700
จาก (1) และ (2) จะได้ ความแปรปรวนของ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 = 𝑁
− 𝑥̅ 2 = 10
− 82 = 6

ข้ อมูล 3𝑥1 − 1 , 3𝑥2 − 1 , … , 3𝑥10 − 1 เกิดจากการเอาข้ อมูล 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10 มาคูณ 3 แล้ วลบ 1
การบวกลบ จะไม่ทาให้ 𝑠 เปลีย่ น แต่การคูณ 3 จะทาให้ คา่ 𝑠 เพิ่มเป็ น 3 เท่า
เนื่องจาก ความแปรปรวน = 𝑠 2 ดังนัน้ การคูณ 3 จะทาให้ ความแปรปรวนเพิ่มเป็ น 32 เท่า = 9 เท่า
ดังนัน้ ความแปรปรวนของ 3𝑥1 − 1 , 3𝑥2 − 1 , … , 3𝑥10 − 1 = 9 × ความแปรปรวนของ 𝑥1 , 𝑥2 , …, 𝑥10
= 9×6 = 54

22. 3
1 1
Q1 จะอยูต
่ วั ที่ 4
∙ (𝑁 + 1) = 4
∙ (20 + 1) = ตัวที่ 5.25
= ตัวที่ 5 + 0.25(ตัวที่ 6 − ตัวที่ 5)
𝑎𝑛 = 𝑎1 + (𝑛 − 1)𝑑 = 𝑥1 + (5 − 1)𝑑 + 0.25 𝑑 ลาดับเลขคณิต
= 𝑥1 + 4.25 𝑑 พจน์เพิ่มทีละ 𝑑
โจทย์ให้ Q1 = 23.5 ดังนัน้ 𝑥1 + 4.25𝑑 = 23.5
𝑥1 = 23.5 − 4.25𝑑 …(∗)
30 PAT 1 (มี.ค. 59)

6 6
D6 จะอยูต
่ วั ที่ 10
∙ (𝑁 + 1) =
10
∙ (20 + 1) = ตัวที่ 12.6
= ตัวที่ 12 + 0.6(ตัวที่ 13 − ตัวที่ 12)
= 𝑥1 + (12 − 1)𝑑 + 0.6 𝑑
= 𝑥1 + 11.6 𝑑
โจทย์ให้ D6 = 38.2 ดังนัน้ 𝑥1 + 11.6𝑑 = 38.2
แทน 𝑥1 = 23.5 − 4.25𝑑 จาก (∗) จะได้ 23.5 − 4.25𝑑 + 11.6𝑑 = 38.2
7.35𝑑 = 14.7
𝑑 = 2
แทนใน (∗) จะได้ 𝑥1 = 23.5 – 4.25(2) = 15
โจทย์ถาม ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ ซึง่ มีสตู รคือ Q3−Q
2
1
→ โจทย์ให้ Q1 = 23.5 แล้ ว แต่ยงั ต้ องหา Q 3 เพิ่ม
่ วั ที่ 34 ∙ (𝑁 + 1) = 34 ∙ (20 + 1) = ตัวที่ 15.75
Q 3 จะอยูต
= ตัวที่ 15 + 0.75(ตัวที่ 16 − ตัวที่ 15)
= 𝑥1 + (15 − 1)𝑑 + 0.75 𝑑
= 𝑥1 + 14.75 𝑑
𝑥1 = 15 , 𝑑 = 2
= 15 + 14.75(2) = 44.5
Q3 −Q1 44.5 − 23.5
ดังนัน้ ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ =
2
=
2
= 10.5

23. 5
มีทงหมด
ั้ 2 + 3 + 3 = 8 คน เอา นาย ก. ตอกไว้ หวั โต๊ ะไม่ให้ วงหมุน ก
1 2
ข. ต้ องนัง่ ตรงข้ าม ก. จะวาดได้ ดงั รูป
3 4
ตาแหน่ง A กับ B ต้ องเป็ นหญิง → มีหญิง 3 คน ดังนัน้ A เลือกได้ 3 แบบ
A B
→ เหลือหญิง 2 คน เลือกให้ B ได้ 2 แบบ ข
ที่เหลือ หญิง 1 คน + ชาย 3 คน รวม เป็ น 4 คน เลือกนัง่ ใน 4 ที่นงั่ ที่เหลือ ได้ 4! แบบ
ดังนัน้ จานวนวิธี = 3 × 2 × 4! = 144 แบบ

24. 1
   
2 1 𝑛 2 1 𝑛
 𝑎𝑛 =  (4𝑛2−1 − (− 3) ) =  4𝑛2−1 −  (− 3) …(∗)
n 1 n 1 n 1 n 1
2 2 2 1 1
จะเห็นว่า 4𝑛2 −1
แยกเป็ นผลลบเพื่อทาเทเลสโคปิ คได้ → 4𝑛2 −1
= (2𝑛−1)(2𝑛+1)
= 2𝑛−1
− 2𝑛+1
 
ดังนัน้  4𝑛22−1 =  (2𝑛−1 − 2𝑛+1)
1 1
n 1 n 1
1 1 1 1 1 1
= 2(1)−1
− 2(1)+1 + 2(2)−1
− 2(2)+1 + 2(3)−1
− 2(3)+1 + …
1 1 1 1 1 1
= 1
− 3 + 3
− 5 + 5
− 7 + …

ตัดกันได้ หมด เหลือเทอมแรก = 1 กับเทอมสุดท้ ายที่เข้ าใกล้ 0


= 1
PAT 1 (มี.ค. 59) 31

 𝑛 1 1 1 2 1 3
และ  (− 13) = (− 3) + (− 3) + (− 3) + … → เป็ นอนุกรมเรขาอนันต์ที่มี 1
𝑎1 = − 3 , 𝑟 = − 3
1
n 1
1
− 1 3 1 𝑎1
3
= 1 = −3 × 4 = −4 𝑆∞ =
1−(− ) 1−𝑟
3
  
2 1 𝑛
แทนใน (∗) จะได้  𝑎𝑛 =  2 −  (− 3)
n 1 n 1 4𝑛 −1 n 1
1 5
= 1 − (− ) =
4 4

25. 5
𝑎𝑏
จาก 𝑎 ∗ 𝑏 = 1 ≠0 ดังนัน้ 𝑎∗𝑏 ต้ องมาจากสูตรแรก จะได้ 𝑎∗𝑏 = 𝑎+𝑏
= 1
1 𝑎+𝑏
1
= 𝑎𝑏
1 1
1 = + …(1)
𝑏 𝑎
𝑎𝑐 𝑏𝑐
ทานองเดียวกัน 𝑎∗𝑐 =
𝑎+𝑐
= 2 𝑏∗𝑐 =
𝑏+𝑐
= 3
1 𝑎+𝑐 1 𝑏+𝑐
= =
2 𝑎𝑐 3 𝑏𝑐
1 1 1 1 1 1
= +𝑎 …(2) 3
= 𝑐
+𝑏 …(3)
2 𝑐
1 1 1
เปลีย่ นตัวแปร ให้ 𝐴= , 𝐵= , 𝐶=
𝑎 𝑏 𝑐
จะได้ ระบบสมการ (1), (2), (3) ดังนี ้
𝐵+𝐴 = 1 …(1)
1
𝐶+𝐴 = …(2)
2
1
𝐶+𝐵 = …(3)
3 แทนค่าหา 𝐴 กับ 𝐶 จะได้
1
(1) − (2) : 𝐵 − 𝐶 = 1 − 5
2 (1) : 12
+𝐴 = 1
1
𝐵−𝐶 = …(4) 7
2 𝐴 = 12
1 1 5 7 1
(3) + (4) : 2𝐵 = + = (2) : 𝐶 + =
3 2 6 12 2
5 1 7 1
𝐵 = 12 𝐶 = − 12 = − 12
2
7 5 1 12 12
จะได้ 𝐴 = 12 , 𝐵 = 12 , 𝐶 = − 12 ดังนัน้ 𝑎 = 7 , 𝑏 = 5 , 𝑐 = −12 → แทนในตัวเลือก
7 5
1. 12 + < −12 → ผิด ฝั่ งซ้ ายเป็ นบวก จะมากกว่าฝั่ งขวาทีเ่ ป็ นลบ
12
7 5
2. 12 < 12 + (−12) → ผิด ฝั่ งซ้ ายเป็ นบวก แต่ฝั่งขวาเป็ นลบ
3. 4. 5. ต้ องเรี ยงลาดับ 𝑎, 𝑏, 𝑐 จะเห็นว่า −12 < 12
7
<
12
5
ดังนัน้ 𝑐 < 𝑎 < 𝑏 → ตอบ ข้ อ 5

26. 2
8 −2
จาก (𝐴𝑡 )−1 𝐵 = [ ]
−3 1 ย้ ายข้ าง 𝐵
(𝐴𝑡 )−1 8 −2
= [ ] ∙ 𝐵−1
−3 1 (𝐴𝑡 )−1 = (𝐴−1 )𝑡 (เพราะ 𝐴𝑡 ∙ (𝐴−1 )𝑡 = (𝐴−1 ∙ 𝐴)𝑡 = I 𝑡 = I
(𝐴−1 )𝑡 8 −2
= [ ] ∙ 𝐵−1
−3 1
แทนค่าที่โจทย์ให้
𝑎 0𝑡 8 −2 1 0
[ ] = [ ][ ]
−2 1 −3 1 𝑏 1
32 PAT 1 (มี.ค. 59)

𝑎 −2 8 − 2𝑏 −2
[
0 1
] = [
−3 + 𝑏 1
] → เทียบสมาชิกตัวต่อตัว จะได้ 𝑎 = 8 − 2𝑏 และ 0 = −3 + 𝑏
3= 𝑏
𝑎 = 8 − 2(3)
= 2
2 0
แทน 𝑎=2 จะได้
𝐴−1 = [
−2 1
]
𝑎 𝑏 −1 1 𝑑 −𝑏
2 0 −1 1 1 0 1 1 0 [ ] = 𝑎𝑑−𝑏𝑐 [ ]
ดังนัน้ 𝐴 = [−2 1] = (2)(1)−(−2)(0) [2 2] = 2 [2 2] 𝑐 𝑑 −𝑐 𝑎

แทน 𝑏 = 3 จะได้ 𝐵−1 = [13 01]


−1
ดังนัน้ 𝐵 = [13 01] = (1)(1)−(3)(0)
1
[
1 0
−3 1
] = [
1 0
−3 1
]

ดังนัน้ 2𝐴 + 𝐵 = 2 ∙ 12 [12 02] + [−3


1 0
1
] = [
2 0
−1 3
] → det จะได้ (2)(3) − (−1)(0) = 6

27. 2
ต้ องการทานาย 𝑥 เมื่อรู้ 𝑦 = 8 → ต้ องใช้ รูปสมการ 𝑋̂ = 𝑎 + 𝑏𝑦 …(∗) (สลับ 𝑥, 𝑦 กับแบบปกติที่เคยใช้ )
จะได้ ระบบสมการคือ ∑ 𝑥 = 𝑎𝑛 + 𝑏 ∑ 𝑦 …(1)
∑ 𝑥𝑦 = 𝑎 ∑ 𝑦 + 𝑏 ∑ 𝑦 2 …(2)
มี (𝑥, 𝑦) อยู่ 5 คู่ → 𝑛 = 5
หาค่าทีต่ ้ องใช้ จากตารางที่โจทย์ให้ จะได้
𝑥 1 3 4 5 7 → ∑ 𝑥 = 20
𝑦 0 3 6 7 9 → ∑ 𝑦 = 25
𝑥𝑦 0 9 24 35 63 → ∑ 𝑥𝑦 = 131
𝑦2 0 9 36 49 81 → ∑ 𝑦 2 = 175

แทนในระบบสมการ จะได้ 20 = 5𝑎 + 25𝑏 …(1)


131 = 25𝑎 + 175𝑏 …(2) (1) ÷ 5
5 × (1) : 100 = 25𝑎 + 125𝑏 …(3)
(2) − (3) : 31 = 50𝑏 4 = 𝑎 + 5𝑏
0.62 = 𝑏 → แทนหา 𝑎 → 4 = 𝑎 + 5(0.62)
0.9 = 𝑎
แทนค่า 𝑎, 𝑏 ใน (∗) จะได้ สมการทานายคือ 𝑋̂ = 0.9 + 0.62𝑦
ดังนัน้ เมื่อ 𝑦 = 8 จะทานาย 𝑥 ได้ = 0.9 + 0.62(8) = 5.86

28. 1
อินทิเกรต 𝑔′ (𝑥) = 4𝑥 3 + 9𝑥 2 + 2
4𝑥 9𝑥 4 3
จะได้ 𝑔(𝑥) = 4 + 3 + 2𝑥 + 𝑐 = 𝑥 4 + 3𝑥 3 + 2𝑥 + 𝑐 …(∗)
จาก 𝑔(𝑥) = 𝑥𝑓(𝑥) แทน 𝑔(𝑥) จาก (∗) จะได้ 𝑥 4 + 3𝑥 3 + 2𝑥 + 𝑐 = 𝑥𝑓(𝑥) แทน 𝑥 = 0
04 + 3(03 ) + 2(0) + 𝑐 = (0) 𝑓(0)
𝑐 = 0
แทน 𝑐=0 ใน (∗) จะได้ 𝑔(𝑥) = 𝑥 4 + 3𝑥 3 + 2𝑥 = 𝑥𝑓(𝑥) ÷ 𝑥 ตลอด
𝑥 3 + 3𝑥 2 + 2 = 𝑓(𝑥) …(∗∗)
PAT 1 (มี.ค. 59) 33

ก. และ ข. หาค่าสัมพัทธ์ของ 𝑓 ต้ องดูเครื่ องหมายของ 𝑓 ′ (𝑥)


จาก 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 + 3𝑥 2 + 2 → ดิฟจะได้ 𝑓 ′ (𝑥) = 3𝑥 2 + 6𝑥
= 3𝑥(𝑥 + 2)

ขึ ้น ลง ขึ ้น สูงสุดสัมพัทธ์ที่ 𝑥 = −2

+ − + ต่าสุดสัมพัทธ์ที่ 𝑥= 0

−2 0
ดังนัน้ ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ = 𝑓(−2) = (−2)3 + 3(−2)2 + 2 = 6 → ก. ถูก
ค่าตา่ สุดสัมพัทธ์ = 𝑓(0) = (0)3 + 3(0)2 + 2 = 2 → ข. ถูก
ค. อัตราการเปลีย่ นแปลงของ (𝑓 + 𝑔)(𝑥) ขณะที่ 𝑥 = 1 คือ (𝑓 + 𝑔)′ (1) นัน่ เอง
(𝑓 + 𝑔)(𝑥) = 𝑓(𝑥) + 𝑔(𝑥) = 𝑥 3 + 3𝑥 2 + 2 + 𝑥 4 + 3𝑥 3 + 2𝑥
= 𝑥 4 + 4𝑥 3 + 3𝑥 2 + 2𝑥 + 2

ดิฟ จะได้ (𝑓 + 𝑔)′ (𝑥) = 4𝑥 3 + 12𝑥 2 + 6𝑥 + 2


ดังนัน้ (𝑓 + 𝑔)′ (1) = 4(1)3 + 12(1)2 + 6(1) + 2 = 24 → ค. ผิด

29. 5
จากสูตร Inclusive – Exclusive จะได้
𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว หรื อ ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) = 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว) + 𝑃(ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) − 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว และ
ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง)
จานวนแบบทังหมด ้ : มีลกู แก้ ว 2 + 3 + 3 = 8 ลูก หยิบทีละลูก 8 ครัง้ แบบไม่ใส่คืน → จะหยิบได้ ทงหมด
ั้ 8! แบบ
𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว) : มีสขี าว 3 ลูก ดังนัน้ ครัง้ ที่ 1 เลือกได้ 3 แบบ
ที่เหลือ 7 ครัง้ เหลือลูกแก้ วในกล่อง 7 ลูก จะหยิบได้ 7! แบบ
ดังนัน้ 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว) = 38!∙ 7! = 38
𝑃(ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) : มีสอี ื่นๆที่ไม่ใช่สแี ดง = 3 + 3 = 6 ลูก ดังนัน้ ครัง้ ที่ 8 เลือกได้ 6 แบบ
ที่เหลือ 7 ครัง้ เหลือลูกแก้ วในกล่อง 7 ลูก จะหยิบได้ 7! แบบ
ดังนัน้ 𝑃(ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) = 68!∙ 7! = 34
𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว และ ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) : มีสขี าว 3 ลูก ดังนัน้ ครัง้ ที่ 1 เลือกได้ 3 แบบ
เหลือสีขาว 2 ลูก ดังนัน้ เหลือสีอื่นๆที่ไม่ใช่สแี ดง = 2 + 3 = 5 ลูก
ดังนัน้ ครัง้ ที่ 8 เลือกได้ 5 แบบ
ที่เหลือ 6 ครัง้ เหลือลูกแก้ วในกล่อง 6 ลูก จะหยิบได้ 6! แบบ
ดังนัน้ 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว และ ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) = 3 ∙ 8!5 ∙ 6! = 15
56
จะได้ 𝑃(ครัง้ ที่ 1 สีขาว หรื อ ครัง้ ที่ 8 ไม่ได้ สแี ดง) = 38 + 34 − 15 56
=
21 + 42 − 15
56
=
48
56
=
6
7
34 PAT 1 (มี.ค. 59)

30. 5
2 2 1
ให้ 4
𝑥 = √3 จะได้ 4
𝑥 2 = √3 = 34 = 32 = √3
4 4
และ 4
𝑥 4 = √3 = 34 = 3 → จะเปลีย่ น 𝐴, 𝐵, 𝐶 ให้ อยูใ่ นรูปของ 𝑥
1
2 4 √3 − 2 3
√3
𝐴 = 4 − √3 𝐵 = 𝐶 = 4 1
+4
√3 4
√3 − √
1
√3( √3 + ) √27
√3 √√3
2 𝑥2 − 2
1 2 3
= − 𝑥 𝑥 = +4 3
𝑥 = 1
4
√3( √3 +
1
) √3
𝑥−√ 2 √√3
𝑥 2 𝑥4
1 = + 𝑥3
𝑥2 − 2 𝑥2( 𝑥 +
1
)
𝑥
= 1
√𝑥2
𝑥 − 2
𝑥 = 1 +𝑥
1 1 𝑥2( 𝑥 + )
(𝑥 − )(𝑥 + ) 𝑥
𝑥 𝑥 2
= 1 = + 𝑥
𝑥− 𝑥3 + 𝑥
𝑥
1
= 𝑥+𝑥
2 1 2
ดังนัน้ 𝐴 − 𝐵 + 𝐶 = (𝑥 − 𝑥) − (𝑥 + 𝑥) + (𝑥 3 + 𝑥 + 𝑥)
2 1 2
= 𝑥
−𝑥 −𝑥 − 𝑥 + 𝑥 3 +𝑥
+𝑥
1 2
= −𝑥 +
𝑥 𝑥(𝑥 2 +1)
𝑥 2 +1 − 𝑥 2 (𝑥 2 +1) + 2 𝑥4 = 3
=
𝑥(𝑥 2 +1)
𝑥 2 +1 − 𝑥 4 − 𝑥 2 + 2 3 − 𝑥4 3−3
= = = = 0
𝑥(𝑥 2 +1) 𝑥(𝑥 2 +1) 𝑥(𝑥 2 +1)

31. 34

25 + 3(15)|𝑥| = 5|𝑥| + 25(3|𝑥|+1 )


25 + 3(3 ∙ 5)|𝑥| = 5|𝑥| + 25(3|𝑥| ∙ 31 )
25 + 3 ∙ 3|𝑥| ∙ 5|𝑥| = 5|𝑥| + 75 ∙ 3|𝑥| ให้ 𝑎 = 3|𝑥| และ 𝑏 = 5|𝑥|
25 + 3 ∙ 𝑎 ∙ 𝑏 = 𝑏 + 75 ∙ 𝑎
0 = 𝑏 − 25 − 3𝑎𝑏 + 75𝑎
0 = (𝑏 − 25) − 3𝑎(𝑏 − 25)
0 = (𝑏 − 25)(1 − 3𝑎)
1
𝑏 = 25 หรื อ 𝑎 = 3
5|𝑥| = 52 3|𝑥| = 3−1
|𝑥| = 2 |𝑥| = −1
𝑥 = 2 , −2 ไม่มีคาตอบ (ค่าสัมบูรณ์เป็ นลบไม่ได้ )
จะเห็นว่า 𝑥 = 2 จะทาให้ 3𝑥 + 5𝑥 มีคา่ มากกว่า 𝑥 = −2 ดังนัน้ ค่ามากสุดของ 3𝑥 + 5𝑥 คือ 32 + 52 = 34
PAT 1 (มี.ค. 59) 35

32. 45
เปลีย่ นตัวแปร ให้ √𝑥 − 1 = 𝑎 จะได้ สมการคือ |𝑎 − 2| + |𝑎 − 3| = 1
(1) (2) (3)
จะแบ่งกรณีตามค่า 𝑎 เป็ น 3 กรณี ดังรูป
2 3
𝑘 , 𝑘≥0
เพื่อให้ ร้ ูเครื่ องหมายของ 𝑎−2 และ 𝑎−3 และถอดเครื่ องหมายค่าสัมบูรณ์ได้ ด้ วยสมบัติ |𝑘| = {
−𝑘 , 𝑘<0

กรณี (1) : 𝑎 < 2 กรณี (2) : 2 ≤ 𝑎 < 3 กรณี (3) : 𝑎 ≥ 3


จะได้ 𝑎 − 2 และ 𝑎 − 3 เป็ นลบ จะได้ 𝑎 − 2 ≥ 0 แต่ 𝑎 − 3 < 0 จะได้ 𝑎 − 2 และ 𝑎−3 ≥0
|𝑎 − 2| + |𝑎 − 3| = 1 |𝑎 − 2| + |𝑎 − 3| = 1 |𝑎 − 2| + |𝑎 − 3| = 1
−(𝑎 − 2) + (−(𝑎 − 3)) = 1 𝑎 − 2 + (−(𝑎 − 3)) = 1 𝑎−2 + 𝑎−3 = 1
−𝑎 + 2 −𝑎 + 3 = 1 𝑎−2 −𝑎 + 3 = 1 2𝑎 = 6
−2𝑎 = −4 1 = 1 𝑎 = 3
𝑎 = 2 จริ งเสมอ ดังนัน้ กรณี 2 ≤ 𝑎 < 3 ใช้ ได้ (𝑎 ≥ 3 คือเป็ น 3 ได้ )
ใช้ ไม่ได้ เพราะกรณีนี ้ 𝑎 < 2 เป็ นคาตอบของอสมการได้ ทกุ ตัว
รวมทัง้ 3 กรณี จะได้ คาตอบคือ 2≤𝑎<3 หรื อ 𝑎 = 3 → เขียนใหม่ได้ เป็ น 2 ≤ 𝑎 ≤ 3
2 ≤ √𝑥 − 1 ≤ 3
4 ≤ 𝑥−1 ≤ 9
5 ≤ 𝑥 ≤ 10
𝐴 เอาแต่จานวนเต็ม → จะได้ ผลบวกของจานวนเต็มตังแต่
้ 5 ถึง 10 = 5 + 6 + 7 + 8 + 9 + 10 = 45

33. 5
ให้ 𝑧 = 𝑥 + 𝑦𝑖 จะได้ |𝑧| = | 𝑧 −1+𝑖 |
|𝑥 + 𝑦𝑖| = |𝑥 + 𝑦𝑖 − 1 + 𝑖|
|𝑥 + 𝑦𝑖| = |𝑥 − 1 + (𝑦 + 1)𝑖|
√𝑥 2 + 𝑦 2 = √(𝑥 − 1)2 + (𝑦 + 1)2
𝑥2 + 𝑦2 = 𝑥 2 − 2𝑥 + 1 + 𝑦 2 + 2𝑦 + 1
2𝑥 − 2𝑦 = 2
𝑥−𝑦 = 1 …(1)

(1−2𝑖)𝑧 (1−2𝑖)(𝑥+𝑦𝑖) 3+𝑖


และจะได้ 3−𝑖
= 3−𝑖
∙ 3+𝑖 =
𝑥+𝑦𝑖−𝑥𝑖+𝑦
2
(3+𝑖−6𝑖+2)(𝑥+𝑦𝑖) 𝑥+𝑦 (𝑦−𝑥)
= 9−(−1)
= + 𝑖
2 2
(5−5𝑖)(𝑥+𝑦𝑖)
= 10 ส่วนจริง ส่วนจินตภาพ
(1−𝑖)(𝑥+𝑦𝑖) 𝑥+𝑦
= 2
→ โจทย์ให้ สว่ นจริง = 0 ดังนัน้ 2
= 0
𝑥 + 𝑦 = 0 …(2)
(1) + (2) : 2𝑥 = 1
1 1
𝑥 = 2 → แทนใน (2) จะได้ 2
+𝑦 = 0
1 1 1
𝑦 = −2 → ดังนัน้ 𝑧 = 2
− 2𝑖
1 1 2
จะได้ |2𝑧 + 1|2 = |2 ( − 𝑖) + 1|
2 2
= | 1 − 𝑖 + 1|2
= | 2 − 𝑖 |2 = 22 + 12 = 5
36 PAT 1 (มี.ค. 59)

34. 3
ถอดเครื่ องหมายค่าสัมบูรณ์ |𝑥 + 2| ก่อน
โจทย์จะอินทิเกรตในช่วง 𝑥 = −4 ถึง 𝑥 = −2 ซึง่ ในช่วงนี ้จะเห็นว่า 𝑥 + 2 ≤ 0
ดังนัน้ |𝑥 + 2| จะเปลีย่ น 𝑥 + 2 ให้ เป็ นบวกโดยการคูณลบเข้ าไป จะได้ |𝑥 + 2| = −(𝑥 + 2)
𝑘 , 𝑘≥0
หมายเหตุ : สมบัติคา่ สัมบูรณ์ |𝑘| = {
−𝑘 , 𝑘<0
𝑘 , 𝑘>0
จะย้ ายกรณี 𝑘 = 0 ไปไว้ สตู รล่าง เป็ น |𝑘| = {
−𝑘 , 𝑘≤0
ก็ได้ เพราะเมื่อ 𝑘 = 0 จะได้ 𝑘 = −𝑘

𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥 𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
ดังนัน้ 𝑥|𝑥+2|−𝑥 2 −2
= 𝑥(−(𝑥+2))−𝑥 2 −2
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
= −𝑥 2 −2𝑥 −𝑥 2 −2
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥
= −2𝑥 2 −2𝑥−2
𝑥(𝑥 2 +𝑥+1) 𝑥
= −2(𝑥 2 +𝑥+1)
= −2
2 2
𝑥 3 +𝑥 2 +𝑥 𝑥 𝑥 2 −2 (−2)2 (−4)2
ดังนัน้  𝑥|𝑥+2|−𝑥 2 −2 𝑑𝑥 =  − 𝑑𝑥 = −
2 4
| = (−
4
)− (−
4
) = −1 + 4 = 3
4 4 −4

35. 97.2
จาก 3𝑎𝑛+1 = 𝑎𝑛
1
𝑎𝑛+1 = 𝑎
3 𝑛
แสดงว่า ลาดับ {𝑎𝑛 } จะมีพจน์ถดั ไป (𝑎𝑛+1) จะเท่ากับ พจน์ก่อนหน้ า (𝑎𝑛 ) คูณ 13
ดังนัน้ 𝑎𝑛 เป็ นลาดับเรขาคณิตที่มี อัตราส่วนร่วม 𝑟 = 13
โจทย์ให้ 𝑎5 = 2 → จะแทน 𝑛 = 5 ในสูตรลาดับเรขาคณิต 𝑎𝑛 = 𝑎1 𝑟 𝑛−1 จะได้ 𝑎5 = 𝑎1 𝑟 5−1
1 4
2 = 𝑎1 ( )
3
162 = 𝑎1
1 𝑛−1
จะได้ สตู รพจน์ทวั่ ไปของลาดับ {𝑎𝑛 } คือ 𝑎𝑛 = 𝑎1 𝑟 𝑛−1 = 162(3)
1 𝑛−1
และจาก 2𝑛 𝑏𝑛 = 𝑎𝑛 = 162(3)
162
จะได้ 𝑏𝑛 =2𝑛 3𝑛−1
162 162 162 162
ดังนัน้ 𝑏1 + 𝑏2 + 𝑏3 + … = 21 30 + 22 31 + 23 32 + … จะเป็ นอนุกรมอนันต์ ที่มี 𝑎1 = 21 30
= 81
1 1
และมี 𝑟 = 21 31
= 6
เนื่องจาก |𝑟| = |16| < 1 → จะได้ ผลบวกอนุกรมอนันต์ 𝑎
𝑆∞ = 1 −1 𝑟 =
81
1−
1
6
= 81 × 5 = 97.2
6

36. 641
จาก 𝑎(𝑎 + 𝑏 + 3) = 0 จะได้ 𝑎 = 0 หรื อ 𝑎 + 𝑏 + 3 = 0
กรณี 𝑎 = 0 : แทน 𝑎 = 0 ใน 2(𝑏 − 𝑎) = (𝑎 + 𝑏 + 1)(2 − 𝑏)
2(𝑏 ) = ( 𝑏 + 1)(2 − 𝑏)
2𝑏 = 2𝑏 − 𝑏 2 + 2 − 𝑏
2
𝑏 +𝑏−2 = 0
𝑎 𝑏
(𝑏 + 2)(𝑏 − 1) = 0
0 −2
𝑏 = −2 , 1 → ได้ คาตอบคือ
0 1
PAT 1 (มี.ค. 59) 37

กรณี 𝑎+𝑏+3=0: ย้ ายข้ าง จะได้ 𝑎 = −𝑏 − 3 แทนในอีกสมการ จะได้


2(𝑏 − 𝑎) = (𝑎 + 𝑏 + 1)(2 − 𝑏)
2(𝑏 − (−𝑏 − 3)) = ((−𝑏 − 3) + 𝑏 + 1)(2 − 𝑏)
2(𝑏 + 𝑏 + 3) = (−𝑏 − 3 + 𝑏 + 1)(2 − 𝑏)
2( 2𝑏 + 3) = ( −2 )(2 − 𝑏)
2𝑏 + 3 = −2 + 𝑏
𝑏 = −5
แทน 𝑏 = −5 เพื่อหา 𝑎 → จะได้ 𝑎 = −𝑏 − 3
𝑎 𝑏
= −(−5) − 3 = 2 → ได้ คาตอบคือ 2 −5

𝑎 𝑏 รวมทัง้ 2 กรณี จะได้ ทงหมด


ั้ 3 คาตอบ
0 −2 ซึง่ จะพอกะๆได้ วา่ (𝑎, 𝑏) = (2, −5) จะทาให้ 𝑎4 + 𝑏4 มีคา่ มากกว่าคาตอบอื่นๆ
0 1
2 −5 (เลขติดลบ ยกกาลัง 4 จะกลายเป็ นบวก)
ดังนัน้ ค่ามากที่สดุ ของ 𝑎4 + 𝑏4 = 24 + (−5)4 = 16 + 625 = 641

37. 61
นางสาว ก. = 𝑃22.66 ของทังห้ ้ อง แสดงว่า พื ้นที่ทางซ้ ายของ ก. คือ 0.2266 ดังรูป
แต่พื ้นที่ที่ใช้ เปิ ดตาราง ต้ องเป็ นพื ้นที่ที่วดั จากแกนกลาง (ตรงบริ เวณที่แรเงา) 0.2266
พื ้นที่ครึ่งซ้ าย = 0.5 → จะได้ พื ้นที่ที่แรเงา = 0.5 − 0.2266
= 0.2734

เปิ ดตาราง พื ้นที่ = 0.2734 จะได้ 𝑧 = 0.75 = 0.5 − 0.2266
แต่ นางสาว ก อยูฝ่ ั่งซ้ าย จะมี 𝑧 ติดลบ → จะได้ 𝑧ก = −0.75 = 0.2734

โจทย์ถามคะแนนของ นางสาว ก. → ต้ องหา 𝑥̅ กับ 𝑠 ของทังห้ ้ อง (นางสาว ก. = 𝑃22.66 ของทังห้


้ อง)
แล้ วใช้ สตู ร 𝑧ก = 𝑥ก𝑠−𝑥̅ เพื่อย้ อนหา 𝑥ก จาก 𝑧ก = −0.75 …(∗)
้ อง 30 คน เป็ นชาย 18 คน จะเป็ นหญิง = 30 − 18 = 12 คน → แทนในสูตร 𝑥̅รวม = ช 𝑁ช +𝑁ญ ญ
𝑁 𝑥̅ +𝑁 𝑥̅
ทังห้
ช ญ
18(64)+12𝑥̅ ญ
64 =
18+12
30(64) = 18(64) + 12𝑥̅ญ
12(64) = 12𝑥̅ญ
64 = 𝑥̅ญ
จะเห็นว่า 𝑥̅รวม = 𝑥̅ช = 𝑥̅ญ = 64
𝑁ช 𝑠ช2 + 𝑁ญ 𝑠ญ
2 โจทย์ให้ ความแปรปรวนชาย 𝑠ช2 = 10
ดังนัน้ จะหา 𝑠รวม ได้ จากสูตร 𝑠รวม
2
= 𝑁ช +𝑁ญ และ ให้ 𝑠ญ = 5
(18)(10)+(12)(52 )
=
18+12

=
480
30
= 16 → จะได้ 𝑠รวม = √16 = 4
𝑥ก −64
แทน 𝑥̅รวม = 64 , 𝑠รวม = 4 ใน (∗) จะได้ −0.75 = 4
−3 = 𝑥ก − 64
61 = 𝑥ก
38 PAT 1 (มี.ค. 59)

38. 0.75
ย้ ายข้ างฟังก์ชนั arc จะได้ ดงั นี ้
sin 𝜃
𝐴 = arcsin ( ) 𝐵 = arctan(1 − sin 𝜃) 𝐶 = arctan √sin 𝜃 − sin2 𝜃
√1+sin2 𝜃
sin 𝜃 tan 𝐵 = 1 − sin 𝜃 tan 𝐶 = √sin 𝜃 − sin2 𝜃
sin 𝐴 =
√1+sin2 𝜃
…(1) …(2)
ทาเป็ น tan ให้ เหมือน 𝐵 กับ 𝐶
sin 𝜃
0 < 𝜃 < 90° ทาให้ sin 𝜃 เป็ นบวก →
√1+sin2 𝜃
เป็ นบวก
ข้ าม
→ ใช้ สามเหลีย่ ม sin = ฉาก ได้ โดยไม่ต้องสนใจเครื่ องหมายบวกลบ

√1 + sin2 𝜃
sin 𝜃
𝐴 ข้ าม sin 𝜃
2 2
จะได้ tan 𝐴 = ชิด = 1
= sin 𝜃 …(3)
= (1 + sin 𝜃) − sin 𝜃
= 1

จาก 𝐴 + 𝐵 = 2𝐶 → ใส่ tan ตลอด จะได้ tan(𝐴 + 𝐵) = tan 2𝐶


tan 𝐴+tan 𝐵 2 tan 𝐶
= 1−tan2 𝐶
1−tan 𝐴 tan 𝐵 จาก (1), (2), (3)
sin 𝜃 + (1−sin 𝜃) 2√sin 𝜃−sin2 𝜃
1−sin 𝜃(1−sin 𝜃)
= 1−(sin 𝜃−sin2 𝜃)
1 2√sin 𝜃−sin2 𝜃
=
1−sin 𝜃+sin2 𝜃 1−sin 𝜃+sin2 𝜃

1 = 2√sin 𝜃 − sin2 𝜃
1 = 4(sin 𝜃 − sin2 𝜃)
4 sin2 𝜃 − 4 sin 𝜃 + 1 = 0
(2 sin 𝜃 − 1)2 = 0
→ จะได้ 𝜃 = 30°
1
sin 𝜃 =
2

ดังนัน้ 3 sin4 𝜃 + cos4 𝜃 = 3 sin4 30° + cos4 30°


4
1 4 √3 3 9 12 3
= 3 (2) + (2) = 16
+ 16 = 16
= 4
= 0.75

39. 3
จาก 𝐴 𝐴𝑡 = 9𝐼
2 −2 1 2 𝑎 1 1 0 0
[𝑎 𝑏 2] [−2 𝑏 2] = 9[0 1 0]
1 2 2 1 2 2 0 0 1
2 −2 1 2 𝑎 1 9 0 0
[𝑎 𝑏 2] [−2 𝑏 2] = [0 9 0]
1 2 2 1 2 2 0 0 9

เลือกคูณแค่บางแถว / บางหลัก ให้ หา 𝑎, 𝑏 ได้ ก็พอ


จะเอาแถว 2 ที่มี 𝑎 กับ 𝑏 มาคูณ หลัก 1 กับ หลัก 3 ของ 𝐴𝑡 ที่ร้ ูทกุ ตัว
? ? ? 9 0 0
2𝑎 − 2𝑏 + 2 = 0 …(1)
[2𝑎 − 2𝑏 + 2 ? 𝑎 + 2𝑏 + 4] = [0 9 0]
𝑎 + 2𝑏 + 4 = 0 …(2)
? ? ? 0 0 9
PAT 1 (มี.ค. 59) 39

(1) + (2) : 3𝑎 + 6 = 0
𝑎 = −2
แทนค่า 𝑎 ใน (2) : −2 + 2𝑏 + 4 = 0
𝑏 = −1

ดังนัน้ 𝑎2 − 𝑏 2 = (−2)2 − (−1)2 = 3

40. 48
อัตราการ ปป เฉลีย่ จาก −1 ถึง 1 = −2
และจาก
1
 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 2
𝑓(1) − 𝑓(−1) 1
1 − (−1)
= −2 𝑥4 3𝑥 2 1
− + 𝑏𝑥 | = 2
(13 +𝑎(1)+𝑏) − ((−1)3 +𝑎(−1)+𝑏) 4 2
−1
2
= −2
14 3(1)2 (−1)4 3(−1)2
1+𝑎+𝑏 +1 + 𝑎 − 𝑏 = −4 ( − + 𝑏(1) ) − ( − + 𝑏(−1) ) = 2
4 2 4 2
2𝑎 = −6 1 3 1 3
𝑎 = −3 4
−2 + 𝑏 −4 +2 +𝑏 = 2
2𝑏 = 2
แทนค่า 𝑎 จะได้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 − 3𝑥 + 𝑏 𝑏 = 1
แทนค่า 𝑏 จะได้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 − 3𝑥 + 1
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3−ℎ) 𝑓(𝑥+ℎ)−𝑓(𝑥)
โจทย์ถาม lim
h0 ℎ
ซึ
ง ่ จะคล้ ายๆกั
บ นิ ยามของอนุ
พ น
ั ธ์ lim
h0 ℎ
= 𝑓 ′ (𝑥)

จาก 𝑓(𝑥) = 𝑥 3 − 3𝑥 + 1
𝑓 ′ (𝑥) = 3𝑥 2 − 3

ดังน้ น lim
h0
𝑓(𝑥+ℎ)−𝑓(𝑥)

= 3𝑥 2 − 3
แทน 𝑥 = 3
จาก (1) แทน ℎ ด้ วย −ℎ จะได้
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3) 𝑓(3+(−ℎ))−𝑓(3)
lim = 3(32 ) − 3 lim −ℎ
= 24
h0 ℎ h0
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3)
lim
h0 ℎ
= 24 …(1) −ℎ → 0 มี ความหมายเหมือนกันกับ ℎ → 0
𝑓(3+(−ℎ))−𝑓(3)
lim −ℎ
= 24
h0
−𝑓(3−ℎ)+𝑓(3)
lim ℎ
= 24 …(2)
h0
𝑓(3+ℎ)−𝑓(3) −𝑓(3−ℎ)+𝑓(3)
(1) + (2) : lim ℎ
+ ℎ
= 48
h0
𝑓(3+ℎ) − 𝑓(3−ℎ)
lim ℎ
= 48
h0

𝑓(3+ℎ)−𝑓(3−ℎ)
หมายเหตุ : ข้ อนี ้ ช่วงครึ่งหลัง จะใช้ โลปิ ตาลก็ได้ (เพราะ lim
h0 ℎ
อยูใ่ นรูป 00 )
ดิฟบน 𝑓(3+ℎ)−𝑓(3−ℎ) (𝑓′ (3+ℎ))(1) − (𝑓′ (3−ℎ))(−1)
ใช้ ดิฟล่าง
จะได้ lim
h0 ℎ
= lim
h0 1
′ (3)
= 𝑓 + 𝑓 ′ (3)
= 3(3)2 − 3 + 3(3)2 − 3 = 48
40 PAT 1 (มี.ค. 59)

41. 20
จะวาดกราฟ 𝑟1 กับ 𝑟2 แล้ วดูสว่ นซ้ อนทับเพื่อหา 𝑟1 ∩ 𝑟2
วาดกราฟอสมการ ต้ องวาดกราฟสมการ (เปลีย่ นเครื่ องหมายเป็ น เท่ากับ) ก่อน แล้ วค่อยสุม่ จุด - แรเงาพื ้นที่
𝑥 2 − 𝑦 2 − 2𝑥 + 4𝑦 = 3 𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑥 = 33
(𝑥 2 − 2𝑥) − (𝑦 2 − 4𝑦) = 3 (𝑥 2 − 2𝑥) + 𝑦 2 = 33
(𝑥 2 − 2𝑥 + 1) − (𝑦 2 − 4𝑦 + 4) = 3+1−4 (𝑥 2 − 2𝑥 + 1) + 𝑦 2 = 33 + 1
(𝑥 − 1)2 − (𝑦 − 2)2 = 0 (𝑥 − 1)2 + 𝑦 2 = 34
เป็ นสมการเส้ นกากับ ของไฮเพอร์ โบลา เป็ นสมการวงกลม ซึง่ จะวาดได้ ดงั รูป
2
(𝑥 − 1) − (𝑦 − 2) = 1 2

ซึง่ จะวาดได้ ดงั รูป (F)

(E)
(A)

(D) (B) (1, 0)


(1, 2)

(C)

สุม่ จุด - แรเงาพื ้นที่ → กราฟแบ่งระนาบออกเป็ น 4 ส่วน → กราฟแบ่งระนาบออกเป็ น 2 ส่วน


บริเวณ สุม่ จุด 𝑥 2 − 𝑦 2 − 2𝑥 + 4𝑦 ≤ 3 บริเวณ สุม่ จุด 𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑥 ≤ 33
(A) (1, 3) 1 − 9 − 2 + 12 ≤ 3 (E) (0, 0) 0 + 0 − 0 ≤ 33
2 ≤ 3  0 ≤ 33 
(B) (2, 2) 4 − 4 − 4 + 8 ≤ 3 (F) (0, 10) 0 + 100 − 0 ≤ 33
4 ≤ 3 × 100 ≤ 33 ×
(C) (0, 0) 0 − 0 − 0 + 0 ≤ 3
0 ≤ 3  บริ เวณ (E) เท่านัน้ ที่ทาให้ อสมการเป็ นจริ ง
(D) (0, 2) 0 − 4 − 0 + 8 ≤ 3 ดังนัน้ จะได้ กราฟ 𝑟2 เป็ นส่วนที่แรเงาดังรูป
4 ≤ 3 ×
(𝑟2 มี 𝑦 ≥ 0 ด้ วย → เหลือเฉพาะส่วนที่อยูเ่ หนือ
บริ เวณ (A) กับ (C) เท่านัน้ ที่ทาให้ อสมการเป็ นจริ ง
แกน Y)
ดังนัน้ จะได้ กราฟ 𝑟1 เป็ นส่วนที่แรเงาดังรูป
(𝑟1 มี 𝑦 ≥ 0 ด้ วย → เหลือเฉพาะส่วนที่อยูเ่ หนือแกน Y)

(1, 0)
(1, 2)

ดังนัน้ จะได้ 𝑟1 ∩ 𝑟2 ดังรูป K L

หาโดเมน ต้ องหาพิกดั 𝑥 ของ K, L, M, N M N


(ถ้ าวาดรูปได้ สดั ส่วน จะเห็นว่าหาแค่ K กับ L ก็พอ)
PAT 1 (มี.ค. 59) 41

หา M, N → หาจุดตัดแกน X ของสมการกราฟ 𝑟1 : 𝑥 2 − 𝑦 2 − 2𝑥 + 4𝑦 = 3
(แทน 𝑦 = 0) 𝑥 2 − 0 − 2𝑥 + 0 = 3
𝑥 2 − 2𝑥 − 3 = 0
(𝑥 + 1)(𝑥 − 3) = 0
𝑥 = −1 , 3
หา K, L → หาจุดตัดของสมการกราฟ 𝑟1 กับ 𝑟2 : 𝑥 2 − 𝑦 2 − 2𝑥 + 4𝑦 = 3 …(1)
𝑥 2 + 𝑦 2 − 2𝑥 = 33 …(2)
(2) − (1) : 2𝑦 2 − 4𝑦 = 30
𝑦2 − 2𝑦 = 15
2
𝑦 − 2𝑦 − 15 = 0
(𝑦 + 3)(𝑦 − 5) = 0
𝑦 = −3 , 5 (𝑟2 ต้ องมี 𝑦 ≥ 0)
แทน 𝑦 = 5 ใน (2) : 2
𝑥 + 5 − 2𝑥2
= 33
𝑥 2 − 2𝑥 − 8 = 0
(𝑥 + 2)(𝑥 − 4) = 0
𝑥 = −2, 4
K L จากพิกดั 𝑥 ของ K, L, M, N จะวาดได้ ดงั รูป
ซึง่ จะเห็นว่าส่วนที่แรเงา คลุมค่าทางแกน X ตังแต่
้ −2 ถึง 4
ดังนัน้ โดเมน ของ 𝑟1 ∩ 𝑟2 = [−2, 4]
M N จะได้ 𝑎2 + 𝑏2 = (−2)2 + 42 = 20
−2 −1 3 4

42. 9
ก่อนอื่น พิจารณาเครื่ องหมายบวกลบของ 𝑥 2 − 𝑥 − 2 เพื่อถอดค่าสัมบูรณ์กอ่ น
(𝑥 − 2)(𝑥 + 1)
𝑥 → 2− คือ 𝑥 น้ อยกว่า 2 นิดๆ ซึง่ จะทาให้ 𝑥 − 2 เป็ นลบ และ ทาให้ 𝑥 + 1 เป็ นบวก
ดังนัน้ 𝑥 2 − 𝑥 − 2 = (𝑥 − 2)(𝑥 + 1) = (ลบ)(บวก) = ลบ
จากสมบัติ |𝐴| = −𝐴 เมื่อ 𝐴 < 0 จะได้ |𝑥 2 − 𝑥 − 2| = −(𝑥 2 − 𝑥 − 2)
|𝑥 2 −𝑥−2| −(𝑥 2 −𝑥−2)
ดังนัน้ lim 23 = lim 3
2− √𝑥 2 +4
→ ถ้ าแทน 𝑥 = 2 จะได้ 00 ดังนัน้ ต้ องจัดรูปให้ 𝑥 − 2 ตัดกันก่อน
x 2 2− √𝑥 +4 x 2
3
−(𝑥+1)(𝑥−2) 22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4
3 2 เศษ → แยกตัวประกอบ
= lim ∙
x 2
3
2− √𝑥 2 +4 3 3
22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4
2
ส่วน → คูณให้ เข้ าสูตร
3
−(𝑥+1)(𝑥−2)(22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4 )
3 2 (น − ล)(น2 + นล + ล2 ) = น3 − ล3
= lim 8−(𝑥 2 +4)
x 2
3 3 2
(𝑥+1)(𝑥−2)(22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4 )
= lim 𝑥 2 −4
x 2
3 3 2
(𝑥+1)(𝑥−2)(22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4 )
= lim (𝑥−2)(𝑥+2)
x 2
3 3 2
(𝑥+1) (22 +2 √𝑥 2 +4+ √𝑥 2 +4 )
= lim (𝑥+2)
x 2
3 3 2
(2+1) (22 +2 √22 +4+ √22 +4 ) (3)(4+4+4)
= (2+2)
= 4
= 9
42 PAT 1 (มี.ค. 59)

43. 396
จะเห็นว่า ถ้ าเอาทุกตัวใน 𝐴 มาบวกกัน ตัวบวก กับตัวลบ จะหักกันหมดพอดี
ดังนัน้ 𝑥̅ ของข้ อมูลใน 𝐴 = ∑𝑁𝑥𝑖 = 2𝑛0
= 0
∑ 𝑥𝑖 2
โจทย์ให้ ความแปรปรวน = 46 → จากสูตรความแปรปรวน 𝑁
− 𝑥̅ 2 จะได้ สมการคือ
12 +22 +32 + … +𝑛2 + (−1)2 +(−2)2 +(−3)2 + … +(−𝑛)2
− 02 = 46
2𝑛
(ลบ)2 กลายเป็ นบวก จับคูก่ บ
ั กลุม่ หน้ า
2(12 +22 +32 + … +𝑛2 )
2𝑛
= 46
12 + 22 + 3 + … + 𝑛 2
2
= 46𝑛
𝑛(𝑛+1)(2𝑛+1)
= 46𝑛
6 ตัด 𝑛 ได้ เพราะ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ≠ 0
(𝑛 + 1)(2𝑛 + 1) = 276
2𝑛2 + 3𝑛 − 275 = 0
(2𝑛 + 25)(𝑛 − 11) = 0
25
𝑛 = − , 11 (𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก)
2
13 +23 +33 + … +𝑛3
ดังนัน้ ค่าเฉลีย่ เลขคณิตของ 13 , 23 , 33 , … , 𝑛 3 = 𝑛
2 2
𝑛 11
( (𝑛+1)) ( (11+1)) 112 ∙122 1
2 2
= = = ∙ = 396
𝑛 11 4 11

44. 3
จาก 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ + 𝑘̅ จะได้ |𝑎̅| = √12 + 12 + 12 = √3
2
จาก |𝑏̅| = |𝑎̅|2 จะได้ |𝑏̅| = √3 = 3 → ดังนัน้ |𝑎̅| = √3 , |𝑏̅| = 3 , |𝑐̅| = √2
2
จาก 𝑎̅ + 𝑏̅ = 𝑡𝑐̅ จะได้ |𝑎̅ + 𝑏̅| = |𝑡𝑐̅|2
2
|𝑎̅|2 + |𝑏̅| + 2𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 𝑡 2 |𝑐̅|2
2 2
√3 + 32 + 2𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 𝑡 2 √2
12 + 2𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 2𝑡 2
6 + 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 𝑡2
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 𝑡2 − 6 …(1)
พยายามสร้ างอีกสมการให้ มี 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ → จาก 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑏̅ ∙ 𝑐̅ + 𝑐̅ ∙ 𝑎̅ = 9
สลับที่การ dot , สลับที่การบวก
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑎̅ ∙ 𝑐̅ + 𝑏̅ ∙ 𝑐̅ = 9
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + (𝑎̅ + 𝑏̅) ∙ 𝑐̅ = 9 โจทย์ให้ 𝑎̅ + 𝑏̅ = 𝑡𝑐̅
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + ( 𝑡𝑐̅ ) ∙ 𝑐̅ = 9
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑡(𝑐̅ ∙ 𝑐̅) = 9
𝑢̅ ∙ 𝑢̅ = |𝑢̅|2 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑡 |𝑐̅|2 = 9
2
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ + 𝑡 √2 = 9
𝑎̅ ∙ 𝑏̅ = 9 − 2𝑡 …(2)

(1) = (2) : 𝑡2 − 6 = 9 − 2𝑡
2
𝑡 + 2𝑡 − 15 = 0
(𝑡 + 5)(𝑡 − 3) = 0
𝑡 = −5 , 3 (โจทย์ให้ 𝑡 เป็ นบวก)
PAT 1 (มี.ค. 59) 43

45. 70
จะเห็นว่า ถ้ าฐาน 3 + 𝑎 เป็ นเลขคี่แล้ ว เอาไปยกกาลังอะไรก็ตาม ผลลัพธ์จะเป็ นเลขคี่เสมอ และจะไม่มีทางทาให้
(3 + 𝑎)(𝑏 ) หารด้ วย 4 ลงตัวได้ ดังนัน้ 3 + 𝑎 ต้ องเป็ นเลขคู่ → 𝑎 = 1, 3, 5 เท่านัน้
𝑐

กรณี 𝑎 = 1 หรื อ 5 : จะได้ 3 + 𝑎 = 4 หรื อ 8 → จะเห็นว่า ฐาน หารด้ วย 4 ลงตัว


เมื่อเอาจานวนที่หารด้ วย 4 ลงตัว ไปยกกาลังอะไรก็ตาม ผลลัพธ์ก็จะยังหารด้ วย 4 ลงตัวเสมอ
ดังนัน้ (3 + 𝑎)(𝑏 ) จะหารด้ วย 4 ลงเสมอ ไม่วา่ 𝑏 กับ 𝑐 เป็ นอะไรก็ตาม
𝑐

ดังนัน้ กรณีนี ้ 𝑎 เป็ นได้ 2 แบบ (1 หรื อ 5) , 𝑏 กับ 𝑐 เป็ นอะไรก็ได้ (1, 2, 3, 4, 5) ได้ 5 แบบ
จะได้ จานวนแบบ = 2 × 5 × 5 = 50 แบบ
กรณี 𝑎 = 3 : จะได้ 3 + 𝑎 = 6 = 2 × 3 → จะเห็นว่า ฐาน มี 2 เป็ นตัวประกอบแค่ตวั เดียว
แต่ (3 + 𝑎)(𝑏 ) จะหารด้ วย 4 ลงตัวได้ ต้ องมี 2 เป็ นตัวประกอบ 2 ตัวขึ ้นไป (เพราะ 4 = 2 × 2)
𝑐

ดังนัน้ กรณีนี ้ เลขชี ้กาลัง 𝑏𝑐 ต้ องมากกว่า 1 เพื่อให้ มี 2 เป็ นตัวประกอบมากขึ ้นอีกนิด


(เช่น 62 , 63 , 64 , … ทุกตัวจะมี 2 เป็ นตัวประกอบมากพอทีจ่ ะหารด้ วย 4 ลงตัวแล้ ว)
เนื่องจาก 𝑏𝑐 จะมากกว่า 1 เมื่อ 𝑏 > 1 ในขณะที่ 𝑐 เป็ นอะไรก็ได้
ดังนัน้ กรณีนี ้ 𝑎 เป็ นได้ 1 แบบ (3) , 𝑏 > 1 เป็ นได้ 4 แบบ (2, 3, 4, 5) , 𝑐 เป็ นอะไรก็ได้ ได้ 5 แบบ
จะได้ จานวนแบบ = 1 × 4 × 5 = 20 แบบ
รวมทังสองกรณี
้ จะได้ จานวนแบบทังหมด ้ = 50 + 20 = 70 แบบ

เครดิต
ขอบคุณ คุณ สารศิลป์ ทับทิมทอง คุณ Gtr Ping จาก GTRmath และ คุณ สนธยา เสนามนตรี สาหรับข้ อสอบ
ขอบคุณ เฉลยคาตอบ จากคุณ คณิต มงคลพิทกั ษ์ สขุ ผู้เขียน Math E-Book
ขอบคุณ เฉลยวิธีทา จาก คุณ Gtr Ping จาก GTRmath
และ คุณ วัชระ บัวใหญ่ และ คุณ มิกกี ้ นารี รัตน์
ขอบคุณ คุณ สารศิลป์ ทับทิมทอง
คุณ สนธยา เสนามนตรี
คุณ Terasut Numwong
คุณ Watee Meemouse เจ้ าของเพจ จงติวบ่อยบ่อย
คุณ Tae Potae
คุณครูเบิร์ด จาก กวดวิชาคณิตศาสตร์ ครูเบิร์ด ย่านบางแค 081-8285490
ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของเอกสาร ครับ

You might also like