Professional Documents
Culture Documents
62) 1
29 Dec 2020
5. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง
ให้ 𝑓 = { (𝑥, 𝑦) ∈ ℝ × ℝ | 𝑦 + 𝑥 = |𝑥| } และ 𝑔 = { (𝑥, 𝑦) ∈ ℝ × ℝ | 𝑦 − 𝑥 = |𝑥| }
พิจารณาข้อความต่อไปนี ้
(ก) 𝑔 ∘ (𝑓 ∘ 𝑔) = (𝑓 ∘ 𝑔) ∘ 𝑔
(ข) (𝑔 ∘ 𝑓) − 𝑓 = (𝑓 ∘ 𝑔) + 𝑓
(ค) 𝑓 ∘ (𝑓 ∘ 𝑔) = 𝑓𝑔
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ
1. 4 2. 8 3. 9 4. 10 5. 16
(𝑎+𝑏)2
9. กาหนดให้ 𝑎 = cos 15° + cos 50° และ 𝑏 = sin 15° + sin 50° ค่าของ 𝑎 2 +𝑏2
ตรงกับข้อใดต่อไปนี ้
1. 1 + cos 25° 2. 1 + cos 35° 3. 1 + cos 65°
4. 1 + cos 75° 5. 1 + cos 85°
4 PAT 1 (ก.พ. 62)
10. ให้ 𝑦 = 𝑓(𝑥) เป็ นเส้นโค้งผ่านจุด (0, 1) และจุด (1, 1) และเส้นสัมผัสของเส้นโค้งที่จดุ (𝑥, 𝑦) ใดๆ มีความชัน
เท่ากับ 𝑎𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 เมื่อ 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นจานวนจริง ถ้า 𝑓 ′ (0) = 1 และ 𝑓 ′′(1) = 2 แล้วฟั งก์ชนั 𝑓 มี
ค่าสูงสุดสัมพัทธ์เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 1127
2. 13
27
3. 31
27
4. 34 27
5. 43 27
11. กล่องใบหนึง่ มีลกู บอลขนาดเดียวกัน 3 สี สีละ 𝑛 ลูก เมื่อ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก สุม่ หยิบลูกบอล 3 ลูกจากกล่องนี ้
โดยหยิบทีละลูก แบบไม่ใส่กลับคืนลงในกล่อง ถ้าความน่าจะเป็ นที่จะได้ลกู บอลสีละลูก เท่ากับ 25 แล้วความน่าจะ
เป็ นที่จะได้ลกู บอล 3 ลูกโดยมีเพียง 2 สีเท่านัน้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
2 4 7 8
1. 15 2. 15 3. 15 4. 15 5. 159
13. ลูกอมรสนม ราคาเม็ดละ 5 บาท และลูกอมรสนา้ ผึง้ ราคาเม็ดละ 7 บาท ต้องการซือ้ ลูกอมทัง้ สองรสเป็ นเงิน
ทัง้ สิน้ 287 บาท (โดยมีลกู อมรสนมอย่างน้อย 1 เม็ดและลูกอมรสนา้ ผึง้ อย่างน้อย 1 เม็ด) พิจารณาข้อความต่อไ่ ปนี ้
(ก) จานวนวิธีที่ได้ลกู อมทัง้ สองรส มีทงั้ หมด 9 วิธี
(ข) ได้จานวนลูกอมทัง้ สองรส อย่างน้อย 43 เม็ด
(ค) ได้ลกู อมทัง้ สองรส มีจานวนมากที่สดุ 57 เม็ด
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ
16. กาหนดให้ H เป็ นไฮเพอร์โบลา ซึง่ มีสมการเป็ น 𝑥 2 − 3𝑦 2 − 3 = 0 และให้ F เป็ นโฟกัสของไฮเพอร์โบลา H ที่
อยูท่ างขวาของจุด (0, 0) ให้ E เป็ นวงรีทมี่ ีจดุ ยอดอยูท่ ี่ (0, 0) และโฟกัสอยูท่ ี่ F โดยที่จดุ (0, 0) และจุด F อยู่
ทางซ้ายของจุดศูนย์กลางของวงรี E ถ้าผลต่างของความยาวแกนเอกและความยาวแกนโท เท่ากับ 2 แล้วความ
เยือ้ งศูนย์กลางของวงรี E ตรงกับข้อใดต่อไปนี ้
1. 0.2 2. 0.3 3. 0.4 4. 0.5 5. 0.6
18. ให้ 𝑛(𝑆) แทนจานวนสมาชิกของเซต 𝑆 ถ้า 𝐴, 𝐵 และ 𝐶 เป็ นเซต โดยที่ 𝑛(𝐴) = 10 , 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) = 4 ,
𝑛(𝐴 ∩ 𝐶) = 3 และ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵 ∪ 𝐶) = 18 แล้ว ค่ามากที่สดุ ที่เป็ นไปได้ของ 𝑛(𝐵 ∪ 𝐶) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 10 2. 12 3. 13 4. 14 5. 15
PAT 1 (ก.พ. 62) 7
19. ให้ 𝑎̅, 𝑏̅ และ 𝑐̅ เป็ นเวกเตอร์บนระนาบ โดยที่ 𝑎̅ + 𝑏̅ + 𝑐̅ = 0̅ และ มุมระหว่างเวกเตอร์ 𝑎̅ กับ 𝑏̅ เท่ากับ 60°
ถ้าขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ และเวกเตอร์ 𝑏̅ เท่ากับ 2 หน่วย และ 1 หน่วย ตามลาดับ
แล้วมุมระหว่างเวกเตอร์ 𝑏̅ กับเวกเตอร์ 𝑐̅ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
𝜋 2 3 𝜋 3
1. 2
+ arccos
√7
2. 𝜋 − arcsin √
7
3. 2
+ arcsin √
7
√3 2𝜋 √3
4. 𝜋− arccot 2 5. 3
+ arctan 2
22. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็ นพหุนามกาลังสอง ซึง่ มีสมั ประสิทธิ์เป็ นจานวนจริง ถ้าเส้นโค้ง 𝑦 = 𝑓(𝑥) ผ่านจุด (2, 2)
2
และมีจดุ สูงสุดสัมพัทธ์ที่จดุ (1, 3) แล้วค่าของ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1
16
1. 7 2. 6 3. 3
4.14
3
5. 8
3
23. ให้ 𝑎̅ และ 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วย ถ้า 𝑎̅ + 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วย
แล้วขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ × 𝑏̅ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1 √2 √3
1. 0 2. 2
3. 2
4. 2
5. 1
26. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง ให้ 𝑓:ℝ→ℝ เป็ นฟั งก์ชนั ทีม่ ีอนุพนั ธ์และสอดคล้องกับ
𝑓(𝑥 + ℎ) − 𝑓(𝑥) = 2ℎ + (6𝑥 + 1)ℎ2 + 2𝑥(3𝑥 + 1)ℎ สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 และ ℎ
3
1. 8 2. 10 3. 12 4. 15 5. 24
10 PAT 1 (ก.พ. 62)
30. จากการสอบถามพนักงานบริษัทแห่งหนึง่ จานวน 𝑛 คน ที่มีเงินเดือนตัง้ แต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท
เกี่ยวกับเงินออมต่อเดือน ดังนี ้
พนักงาน เงินเดือน (หมื่นบาท) เงินออม (พันบาท)
คนที่ (𝑎) (𝑏)
1 𝑎1 𝑏1
2 𝑎2 𝑏2
3 𝑎3 𝑏3
⋮ ⋮ ⋮
𝑛 𝑎𝑛 𝑏𝑛
32. คนกลุม่ หนึง่ มีผชู้ าย 10 คนและผูห้ ญิง 7 คน โดยมีนาย ก. และนาย ข. รวมอยูด่ ว้ ย จะมีกี่วิธีในการเลือก
คณะกรรมการ 6 คน จากคนกลุม่ นี ้ ประกอบด้วย ผูช้ ายอย่างน้อย 2 คน และผูห้ ญิงอย่างน้อย 3 คน โดยมีเงื่อนไขว่า
นาย ก. และ นาย ข. จะเป็ นกรรมการพร้อมกันไม่ได้
34. กาหนดให้ 𝐴𝐵𝐶 เป็ นรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก โดยที่มมุ 𝐶 เป็ นมุมฉาก และมุม A สอดคล้องกับสมการ
2 cos 2𝐴 − 8 sin 𝐴 + 3 = 0 ให้ 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นความยาวของด้านตรงข้ามมุม 𝐴 มุม 𝐵 และมุม 𝐶
ตามลาดับ ถ้า 𝑎 + 𝑐 = 30 แล้วค่าของ 𝑎 sin 𝐴 + 𝑏 sin 𝐵 เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (ก.พ. 62) 13
38. กาหนดให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ที่นยิ ามโดย 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 𝑥 + 𝑎 และ 𝑔(𝑥) = 𝑥 2 + 𝑏𝑥 สาหรับทุก
จานวนจริง 𝑥 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนเต็ม ถ้า (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
แล้ว 𝑓(𝑏) + 𝑔(𝑎) เท่ากับเท่าใด
√
𝑥 𝑥+√1+𝑥
39. ค่าของ lim 3
x0 √8+𝑥 − 2
เท่ากับเท่าใด
1
𝑎 2 −1 3
0 0
45. กาหนดให้ 𝐵=[ 3 𝑏 2] เมื่อ 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นจานวนจริง และ 𝐶 = [0 1
−2 0]
−1 3 𝑐
0 0 1
4𝑎 + 1 1
ถ้า 𝐴 เป็ นเมทริกซ์ที่มมี ิติ 3 × 3 โดยที่ 𝐴𝐵 = 𝐶 และ 𝐴 [5𝑏 + 2] = [−2]
4𝑐 + 3 3
แล้ว ค่าของ 𝑎+𝑏+𝑐 เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (ก.พ. 62) 17
เฉลย
1. 3 11. 5 21. 4 31. 34 41. 60
2. 1 12. 2 22. 2 32. 5460 42. 76
3. 5 13. 3 23. 4 33. 59 43. 2498
4. 5 14. 3 24. 3 34. 20 44. 24
5. 4 15. 4 25. 2 35. 24 45. 23
6. 4 16. 5 26. 1 36. 4.5
7. 1 17. 3 27. 1 37. 9
8. 2 18. 5 28. 4 38. 2
9. 1 19. 2 29. 3 39. 12
10. 3 20. 4 30. 2 40. 84
แนวคิด
1. กาหนดให้ 𝑃 แทน 267 < 530 และ 𝑄 แทน 269 > 531
ประพจน์ (𝑄 ↔ ~𝑃) → 𝑄 มีคา่ ความจริงตรงกับค่าความจริงของประพจน์ในข้อใดต่อไปนี ้
1. (𝑄 ∧ 𝑃) → 𝑃 2. (𝑃 ↔ 𝑄) → (𝑃 ∧ 𝑄) 3. (~𝑄 → 𝑃) → 𝑄
4. (𝑃 ↔ ~𝑄) ∧ 𝑃 5. 𝑃 ↔ (~𝑄 ∧ 𝑃)
ตอบ 3
ไล่หาว่า 5𝑛 อยูร่ ะหว่าง 2𝑚 อะไรบ้าง เพื่อยกกาลังเพิม่ ให้ใกล้กบั 267 หรือ 530 แล้วดูวา่ ส่วนทีเ่ หลือไปต่อได้หรือไม่
กรณี 22 < 51 < 23 : 22 < 51 ยกกาลัง 30 51 < 23 ยกกาลัง 20
260 < 530 520 < 260
(ไปต่อไม่ได้ 27 ≮ 50) (ไปต่อไม่ได้ 510 ≮ 27)
กรณี 24 < 52 < 25 : 24 < 52 52 < 25 ยกกาลัง 13
(สัดส่วนเลขชีก้ าลัง ซา้ กรณีบน) 526 < 265
(ไปต่อไม่ได้ 54 ≮ 22)
กรณี 26 < 53 < 27 : 26 < 53 53 < 27 ยกกาลัง 9
(สัดส่วนเลขชีก้ าลัง ซา้ กรณีบน) 527 < 263
(ไปต่อไม่ได้ 53 ≮ 24)
กรณี 29 < 54 < 210 : 29 < 54 ยกกาลัง 7
263 < 528
เนื่องจาก 24 < 52 คูณอสมการ
ดังนัน้ 267 < 530 → 𝑃 จริง
เนื่องจาก 22 < 51 คูณอสมการ
ดังนัน้ 269 < 531 → 𝑄 เท็จ
แทน 𝑃 ≡ T และ 𝑄 ≡ F ในโจทย์ จะได้ (F ↔ ~T) → F ≡ T → F ≡ F
1. (F ∧ T) → T ≡ T 2. (T ↔ F) → (T ∧ F) ≡ T 3. (~F → T) → F ≡ F
4. (T ↔ ~F) ∧ T ≡ T 5. T ↔ (~F ∧ T) ≡ T
18 PAT 1 (ก.พ. 62)
จะได้ 𝑥 ที่ทาให้ทงั้ 3 เงื่อนไขเป็ นจริง คือ [−1 , 4] ซึง่ จะมีจานวนเต็มอยู่ 4 − (−1) + 1 = 6 จานวน
ดังนัน้ เพาเวอร์เซตของ 𝐴 จะมีสมาชิก 26 = 64 ตัว
2 𝑥 2 𝑥
(2 (3) − 3) ((3) − 1) ≤ 0
2 𝑥 3
+ − + 1 ≤ (3) ≤ 2 เปลี่ยนเป็ นฐาน 23
3 2 0 2 𝑥 2 −1
1
2
(3) ≤ (3) ≤ (3) ตัดฐานตลอด
2
0 ≥ 𝑥 ≥ −1 < 1 ต้องกลับน้อยกว่าเป็ นมากกว่า
3
เป็ นสับเซตของข้อ 5.
5. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง
ให้ 𝑓 = { (𝑥, 𝑦) ∈ ℝ × ℝ | 𝑦 + 𝑥 = |𝑥| } และ 𝑔 = { (𝑥, 𝑦) ∈ ℝ × ℝ | 𝑦 − 𝑥 = |𝑥| }
พิจารณาข้อความต่อไปนี ้
(ก) 𝑔 ∘ (𝑓 ∘ 𝑔) = (𝑓 ∘ 𝑔) ∘ 𝑔
(ข) (𝑔 ∘ 𝑓) − 𝑓 = (𝑓 ∘ 𝑔) + 𝑓
(ค) 𝑓 ∘ (𝑓 ∘ 𝑔) = 𝑓𝑔
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ
ตอบ 4
𝑓 : 𝑦 + 𝑥 = |𝑥| 𝑔 : 𝑦 − 𝑥 = |𝑥|
𝑦 = |𝑥| − 𝑥 𝑦 = |𝑥| + 𝑥 𝑥 , 𝑥≥0
𝑥−𝑥 , 𝑥≥0 𝑥+𝑥 , 𝑥≥0 |𝑥| = {
={ ={ −𝑥 , 𝑥<0
−𝑥 − 𝑥 , 𝑥<0 −𝑥 + 𝑥 , 𝑥<0
0 , 𝑥≥0 2𝑥 , 𝑥≥0
={ ={
−2𝑥 , 𝑥<0 0 , 𝑥<0
0 , 𝑥≥0 2𝑥 , 𝑥≥0
ดังนัน้ 𝑓(𝑥) = {
−2𝑥 , 𝑥<0
และ 𝑔(𝑥) = {
0 , 𝑥<0
10𝜋 3𝜋
arcsin (sin 7
) = arcsin (sin (𝜋 + 7
)) เรนจ์ของ arcsin คือ [− 𝜋2 , 𝜋2 ]
=
3𝜋
arcsin (sin − 7 ) ต้องวาด 𝜋 + 3𝜋7
แล้วสะท้อนเข้าเรจน์
3𝜋 จะได้ − 3𝜋 ดังรูป 3𝜋 3𝜋
= −7 7 𝜋+
7
−
7
17𝜋 10𝜋 𝜋 3𝜋 7𝜋 𝜋
ดังนัน้ arccos (sin
7
) − arcsin (sin
7
) =
14
− (−
7
) =
14
=
2
1. 4 2. 8 3. 9 4. 10 5. 16
ตอบ 1
2
𝑥 2 log 2 (𝑥 + 𝑦) = 𝑥 − 𝑦 (𝑥 + 𝑦)3𝑦−𝑥 =
9
𝑥−𝑦 𝑥−𝑦
log 2(𝑥 + 𝑦) = 2 2 3𝑦−𝑥 =
2
2
9
𝑥−𝑦 𝑥−𝑦
𝑥+𝑦 = 2 2 2 2
=
2
3𝑥−𝑦 32
ยกกาลังสองทัง้ สองข้าง
2𝑥−𝑦 2 2
32(𝑥−𝑦)
= (32 )
2 𝑥−𝑦 2 2
2 (32 ) = (32 )
𝑥+𝑦 = 2 2
(1) + (2) : 𝑥 + 𝑦 + 𝑥 − 𝑦 = 2 + 2
2𝑥 = 4
𝑥 = 2 → แทนใน (2) : 2+𝑦 = 2
𝑦 = 0
จะได้ 𝑥 2 + 𝑦 2 = 22 + 02 = 4
(𝑎+𝑏)2
9. กาหนดให้ 𝑎 = cos 15° + cos 50° และ 𝑏 = sin 15° + sin 50° ค่าของ 𝑎 2 +𝑏2
ตรงกับข้อใดต่อไปนี ้
1. 1 + cos 25° 2. 1 + cos 35° 3. 1 + cos 65°
4. 1 + cos 75° 5. 1 + cos 85°
ตอบ 1
(𝑎+𝑏)2
สังเกตว่าตัวเลือกทุกข้อ มี 1 บวกอยูข่ า้ งหน้า → จัดรูป 𝑎 2 +𝑏2
ให้มี 1 อยูข่ า้ งหน้าก่อน
(𝑎+𝑏)2 𝑎 2 +2𝑎𝑏+𝑏2 𝑎 2 +𝑏2 2𝑎𝑏
𝑎 2 +𝑏2
= 𝑎 2 +𝑏 2
= 𝑎 2 +𝑏2
+ 𝑎2 +𝑏2
2𝑎𝑏 ดึง 𝑎𝑏 ออกจากตัวส่วน เพื่อตัดกับ 𝑎𝑏 ที่เศษ
= 1 + 𝑎 𝑏
𝑎𝑏( + )
𝑏 𝑎
2
= 1 + 𝑎 𝑏 …(∗)
+
𝑏 𝑎
22 PAT 1 (ก.พ. 62)
𝑎 𝑏
เปลีย่ น 𝑎 กับ 𝑏 เป็ นผลคูณ โดยหวังว่าตอนหา 𝑏
กับ 𝑎
จะมีอะไรตัดกันได้
𝑎 = cos 15° + cos 50° 𝑏 = sin 15° + sin 50°
= cos 50° + cos 15° = sin 50° + sin 15°
50°+15° 50°−15° 50°+15° 50°−15°
= 2 cos cos = 2 sin cos
2 2 2 2
65° 35° 65° 35°
= 2 cos 2 cos 2 = 2 sin 2 cos 2
65° 65°
35° 𝑎 cos 𝑏 sin
จะเห็นว่า 𝑎 กับ 𝑏 หารกัน จะตัด 2 cos 2 ได้ → จะได้ 𝑏
= 2
65° และ 𝑎
= 2
65°
sin cos
2 2
2 2
แทนใน (∗) จะได้ = 1+ 65°
cos 2
65°
sin 2
= 1+ 65°
cos2 2 + sin2 2
65°
10. ให้ 𝑦 = 𝑓(𝑥) เป็ นเส้นโค้งผ่านจุด (0, 1) และจุด (1, 1) และเส้นสัมผัสของเส้นโค้งที่จดุ (𝑥, 𝑦) ใดๆ มีความชัน
เท่ากับ 𝑎𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 เมื่อ 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นจานวนจริง ถ้า 𝑓 ′ (0) = 1 และ 𝑓 ′′(1) = 2 แล้วฟั งก์ชนั 𝑓 มี
ค่าสูงสุดสัมพัทธ์เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 1127
2. 13
27
3. 31
27
4. 34 27
5. 43
27
ตอบ 3
ความชัน คือ 𝑎𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 แสดงว่า 𝑓 ′ (𝑥) = 𝑎𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 ซึง่ จะได้ 𝑓 ′′(𝑥) = 2𝑎𝑥 + 𝑏
แทน 𝑥 = 0 แทน 𝑥 = 1
′ (0) 2) ′′ (1)
𝑓 = 𝑎(0 + 𝑏(0) + 𝑐 𝑓 = 2𝑎(1) + 𝑏
1 = 𝑐 2 = 2𝑎 + 𝑏
2 − 2𝑎 = 𝑏
แทนค่า 𝑏 , 𝑐 ใน 𝑓 ′(𝑥) จะได้ 𝑓 ′ (𝑥) = 𝑎𝑥 2 + (2 − 2𝑎)𝑥 + 1
𝑎𝑥 3 (2−2𝑎)𝑥 2 อินทิเกรต
𝑓(𝑥) = 3
+ 2
+𝑥+𝑑
แทน 𝑥 = 0 : แทน 𝑥 = 1 :
( 𝑦 = 𝑓(𝑥) ผ่าน (0, 1) แสดงว่า 𝑓(0) = 1 ) ( 𝑦 = 𝑓(𝑥) ผ่าน (1, 1) แสดงว่า 𝑓(1) = 1 )
𝑎(0)3 (2−2𝑎)(0)2 𝑎(1)3 (2−2𝑎)(1)2
𝑓(0) = 3
+ 2
+0+𝑑 𝑓(1) = + +1+𝑑
3 2
1 = 𝑑 𝑎
1 = 3
+ 1−𝑎 +1+1
2
𝑎 = 2
3
𝑎 = 3
3𝑥 3 (2−2(3))𝑥 2
แทนค่า 𝑑 , 𝑎 จะได้ 𝑓(𝑥) =
3
+
2
+𝑥+1
= 𝑥 3 − 2𝑥 2 + 𝑥 + 1 ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ จะเกิดเมื่อ
𝑓 ′ (𝑥)
= 3𝑥 2 − 4𝑥 + 1 𝑓 ′ (𝑥) เปลี่ยนจากบวกเป็ นลบ
= (3𝑥 − 1)(𝑥 − 1)
+ − +
→ สูงสุดสัมพัทธ์ เมื่อ 𝑥 = 13
1
1
3
PAT 1 (ก.พ. 62) 23
1 1 1 3 1 2 1
แทน 𝑥=3 จะได้ ค่าสูงสุดสัมพัทธ์ 𝑓 (3) = (3) − 2 (3) + (3) + 1
1 2 1 1−6+9+27 31
= 27
− 9
+ 3
+1 = 27
= 27
11. กล่องใบหนึง่ มีลกู บอลขนาดเดียวกัน 3 สี สีละ 𝑛 ลูก เมื่อ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก สุม่ หยิบลูกบอล 3 ลูกจากกล่องนี ้
โดยหยิบทีละลูก แบบไม่ใส่กลับคืนลงในกล่อง ถ้าความน่าจะเป็ นที่จะได้ลกู บอลสีละลูก เท่ากับ 25 แล้วความน่าจะ
เป็ นที่จะได้ลกู บอล 3 ลูกโดยมีเพียง 2 สีเท่านัน้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
2 4 7 8
1. 15 2. 15 3. 15 4. 15 5. 159
ตอบ 5
หาความน่าจะเป็ นที่หยิบได้สลี ะลูกในรูปของ 𝑛 แล้วจับมาเท่ากับ 25 เพื่อแก้สมการหา 𝑛
จานวนแบบทัง้ หมด : มีลกู บอล 3𝑛 ลูก จะหยิบได้ (3𝑛)(3𝑛 − 1)( 3𝑛 − 2) แบบ
จานวนแบบที่ได้สลี ะลูก : ลูกแรก หยิบลูกไหนก็ได้ → จะหยิบได้ 3𝑛 แบบ
ลูกที่สอง ต้องหยิบ 2 สีที่ไม่ซา้ สีกบั ลูกแรก → จะหยิบได้ 2𝑛 แบบ
ลูกที่สาม ต้องหยิบสีสดุ ท้ายที่ยงั ไม่ถกู หยิบ → จะหยิบได้ 𝑛 แบบ
จะได้จานวนแบบ = (3𝑛)(2𝑛)(𝑛) แบบ
(3𝑛)(2𝑛)(𝑛) (2𝑛)(𝑛)
จะได้ความน่าจะเป็ น = (3𝑛)(3𝑛−1)( 3𝑛−2)
=
(3𝑛−1)( 3𝑛−2)
ดังนัน้ (3𝑛−1)(
(2𝑛)(𝑛)
3𝑛−2)
=
2
5
5𝑛2 = (3𝑛 − 1)(3𝑛 − 2)
0 = 4𝑛2 − 9𝑛 + 2
0 = (4𝑛 − 1)(𝑛 − 2)
1
𝑛 = 4, 2
แต่ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก → เหลือ 𝑛 = 2 ค่าเดียว นั่นคือ มีลกู บอลสีละ 2 ลูก (มี 3 สี = 6 ลูก)
โจทย์ถาม ความน่าจะเป็ นที่จะหยิบได้ 2 สี → จะคิดจากเหตุการณ์ตรงข้าม = 1 − 𝑃(ได้สเี ดียว) − 𝑃(ได้ 3 สี)
ได้สเี ดียวกันทัง้ 3 ลูก จะเป็ นไปไม่ได้ (เพราะมีสล
ี ะ 2 ลูก) → 𝑃(ได้สเี ดียว) = 0
ได้ 3 สี คือได้สล ี ะลูก → โจทย์กาหนดให้เท่ากับ 25
จะได้ความน่าจะเป็ นที่จะหยิบได้ 2 สี = 1 − 0 − 25 = 35 = 159
หมายเหตุ : ถ้าไม่คดิ เหตุการณ์ตรงข้าม → เลือกสีที่มี 2 ลูก ได้ 3 แบบ (ต้องใช้ทงั้ 2 ลูกจากสีน)ี ้
→ เลือก 1 ลูก จากทีเ่ หลือ 2 สี สีละ 2 ลูก ได้ 2 × 2 = 4 แบบ
→ สลับที่ลกู ทัง้ 3 ลูก ได้ 3! แบบ จะได้ความน่าจะเป็ น = (3)(4)(3!)
(6)(5)(4)
=
3
5
13. ลูกอมรสนม ราคาเม็ดละ 5 บาท และลูกอมรสนา้ ผึง้ ราคาเม็ดละ 7 บาท ต้องการซือ้ ลูกอมทัง้ สองรสเป็ นเงิน
ทัง้ สิน้ 287 บาท (โดยมีลกู อมรสนมอย่างน้อย 1 เม็ดและลูกอมรสนา้ ผึง้ อย่างน้อย 1 เม็ด) พิจารณาข้อความต่อไ่ ปนี ้
(ก) จานวนวิธีที่ได้ลกู อมทัง้ สองรส มีทงั้ หมด 9 วิธี
(ข) ได้จานวนลูกอมทัง้ สองรส อย่างน้อย 43 เม็ด
(ค) ได้ลกู อมทัง้ สองรส มีจานวนมากที่สดุ 57 เม็ด
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ
ตอบ 3
ให้ซือ้ รสนม 𝑎 เม็ด (เป็ นเงิน 5𝑎 บาท) และซือ้ รสนา้ ผึง้ 𝑏 เม็ด (เป็ นเงิน 7𝑏 บาท) → จะได้ 5𝑎 + 7𝑏 = 287
287−7𝑏
𝑎 = 5
เนื่องจาก 𝑎 ต้องเป็ นจานวนเต็ม → 287 − 7𝑏 ต้องหารด้วย 5 ลงตัว
→ 287 และ 7𝑏 ต้องหารด้วย 5 เหลือเศษเท่ากัน
→ เนื่องจาก 287 ÷ 5 เหลือเศษ 2 ดังนัน ้ 7𝑏 ÷ 5 ต้องเหลือเศษ 2 ด้วย
การหาเศษเหลือ สามารถกระจายในการคูณได้ → 7 ÷ 5 เหลือเศษ 2
→ สมมติให้ 𝑏 ÷ 5 เหลือเศษ 𝑘 (เมื่อ 𝑘 = 0, 1, 2, 3, 4)
→ จะได้ 7𝑏 ÷ 5 เหลือเศษเท่ากับ 2𝑘 ÷ 5
ลองแทน 𝑘 = 0, 1, 2, 3, 4 จะได้ 2𝑘 ÷ 5 เหลือเศษ 2 เมื่อ 𝑘 = 1 เท่านัน้
𝑎 ต้องเป็ นบวก ดังนัน้
นั่นคือ 287−7𝑏
5
ลงตั
ว เมื อ
่ 𝑏 ÷ 5 เหลื
อ เศษ 1 → 𝑏 = 1, 6, 11, 16, … , 36 287 − 7𝑏 > 0
41 > 𝑏
เส้นตรง L ขนานกับเส้นตรง 2𝑥 − 2𝑦 = 1
2𝑥 − 1 = 2𝑦
1
𝑥−2 = 𝑦 เทียบกับรูป 𝑦 = 𝑚𝑥 + 𝑐 จะได้ความชัน 𝑚 = 1
→
ดังนัน้ L จะมีความชัน = 1 ด้วย
𝑦−1
L ผ่านจุดศูนย์กลางวงกลม (2 ,1) และมีความชัน = 1 → จะได้สมการ L คือ = 1
𝑥−2
𝑦−1 = 𝑥−2
0 = 𝑥−𝑦−1
√2
จะได้ sin 3𝐵 = sin 3(45°) = sin 135° = 2
16. กาหนดให้ H เป็ นไฮเพอร์โบลา ซึง่ มีสมการเป็ น 𝑥 2 − 3𝑦 2 − 3 = 0 และให้ F เป็ นโฟกัสของไฮเพอร์โบลา H ที่
อยูท่ างขวาของจุด (0, 0) ให้ E เป็ นวงรีทมี่ ีจดุ ยอดอยูท่ ี่ (0, 0) และโฟกัสอยูท่ ี่ F โดยที่จดุ (0, 0) และจุด F อยู่
ทางซ้ายของจุดศูนย์กลางของวงรี E ถ้าผลต่างของความยาวแกนเอกและความยาวแกนโท เท่ากับ 2 แล้วความ
เยือ้ งศูนย์กลางของวงรี E ตรงกับข้อใดต่อไปนี ้
1. 0.2 2. 0.3 3. 0.4 4. 0.5 5. 0.6
ตอบ 5
จัดรูป H หาโฟกัส : 𝑥 2 − 3𝑦 2 − 3 = 0
𝑥 2 − 3𝑦 2 = 3
𝑥2 𝑦2
3
− 1
= 1
3 −5 3 −5 −2 0
ดังนัน้ 𝐶 2 + 𝑥𝐵 = [ ][ ]+𝑥[
0 2
]
1 −3 1 −3
4 0 −2𝑥 0
= [ ] + [ ]
0 4 0 2𝑥
4 − 2𝑥 0
= [ ]
0 4 + 2𝑥
18. ให้ 𝑛(𝑆) แทนจานวนสมาชิกของเซต 𝑆 ถ้า 𝐴, 𝐵 และ 𝐶 เป็ นเซต โดยที่ 𝑛(𝐴) = 10 , 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) = 4 ,
𝑛(𝐴 ∩ 𝐶) = 3 และ 𝑛(𝐴 ∪ 𝐵 ∪ 𝐶) = 18 แล้ว ค่ามากที่สดุ ที่เป็ นไปได้ของ 𝑛(𝐵 ∪ 𝐶) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 10 2. 12 3. 13 4. 14 5. 15
ตอบ 5
จากสูตร Inclusive – Exclusive จะได้
𝑛(𝐴 ∪ 𝐵 ∪ 𝐶) = 𝑛(𝐴) + 𝑛(𝐵) + 𝑛(𝐶) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐶) − 𝑛(𝐵 ∩ 𝐶) + 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵 ∩ 𝐶)
18 = 10 + 𝑛(𝐵) + 𝑛(𝐶) − 4 − 3 − 𝑛(𝐵 ∩ 𝐶) + 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵 ∩ 𝐶)
15 = 𝑛(𝐵) + 𝑛(𝐶) − 𝑛(𝐵 ∩ 𝐶) + 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵 ∩ 𝐶)
ใช้สตู ร Inclusive –
15 = 𝑛(𝐵 ∪ 𝐶) + 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵 ∩ 𝐶)
Exclusive ที่ 𝐵 กับ 𝐶
15 − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵 ∩ 𝐶) = 𝑛(𝐵 ∪ 𝐶)
19. ให้ 𝑎̅, 𝑏̅ และ 𝑐̅ เป็ นเวกเตอร์บนระนาบ โดยที่ 𝑎̅ + 𝑏̅ + 𝑐̅ = 0̅ และ มุมระหว่างเวกเตอร์ 𝑎̅ กับ 𝑏̅ เท่ากับ 60°
ถ้าขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ และเวกเตอร์ 𝑏̅ เท่ากับ 2 หน่วย และ 1 หน่วย ตามลาดับ
แล้วมุมระหว่างเวกเตอร์ 𝑏̅ กับเวกเตอร์ 𝑐̅ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
𝜋 2 3 𝜋 3
1. 2
+ arccos
√7
2. 𝜋 − arcsin √7 3. 2
+ arcsin √7
√3 2𝜋 √3
4. 𝜋 − arccot 2
5. 3
+ arctan 2
ตอบ 2
ให้มมุ ระหว่าง 𝑏̅ กับ 𝑐̅ คือ 𝜃 → จากสูตรการดอท จะได้ 𝑏̅ ∙ 𝑐̅ = |𝑏̅||𝑐̅| cos 𝜃
𝑏̅ ∙ 𝑐̅ = (1)|𝑐̅| cos 𝜃
𝑏̅ ∙ 𝑐̅
|𝑐̅|
= cos 𝜃 …(∗)
จาก 𝑎̅ + 𝑏̅ + 𝑐̅ = 0̅ 𝑎̅ + 𝑏̅ + 𝑐̅ = 0̅
𝑐̅ = −(𝑎̅ + 𝑏̅) 𝑎̅ = −(𝑏̅ + 𝑐̅)
2 2
|𝑐̅|2 = |𝑎̅ + 𝑏̅| |𝑎̅|2 = |𝑏̅ + 𝑐̅|
2 2
|𝑐̅|2 = |𝑎̅|2 + |𝑏̅| + 2 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ |𝑎̅|2 = |𝑏̅| + |𝑐̅|2 + 2 𝑏̅ ∙ 𝑐̅
2 2
|𝑐̅|2 = |𝑎̅|2 + |𝑏̅| + 2|𝑎̅||𝑏̅| cos 60° 22 = 12 + √7 + 2 𝑏̅ ∙ 𝑐̅
|𝑐̅|2 = 22 + 12 + 2(2)(1)( ) = 7
1 −4 = 2 𝑏̅ ∙ 𝑐̅
2
−2 = 𝑏̅ ∙ 𝑐̅
|𝑐̅| = √7
−2 2
แทนใน (∗) จะได้ cos 𝜃 =
√7
→ cos เป็ นลบ แสดงว่า 𝜃 อยูใ่ นจตุภาคที่ 2 → จะได้ 𝜃 = 𝜋 − arccos
√7
(มุมระหว่างเวคเตอร์ จะมีคา่ ได้ตงั้ แต่ 0 ถึง 𝜋)
2 3 √3
√7 → จากสามเหลีย่ ม จะได้ arccos
√7
= arcsin √ = arctan
7 2
√3
2
2 พิจารณาตัวเลือก จะเห็นว่าข้อ 2 เท่านัน้ ที่มีคา่ เท่ากับ 𝜋 − arccos
√7
32
− 243 = 𝑟5
2
−3 = 𝑟
22. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) เป็ นพหุนามกาลังสอง ซึง่ มีสมั ประสิทธิ์เป็ นจานวนจริง ถ้าเส้นโค้ง 𝑦 = 𝑓(𝑥) ผ่านจุด (2, 2)
2
และมีจดุ สูงสุดสัมพัทธ์ที่จดุ (1, 3) แล้วค่าของ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1
16
1. 7 2. 6 3. 3
4.14
3
5. 8
3
ตอบ 2
ฟั งก์ชนั กาลังสองจะมีกราฟเป็ นรูปพาราโบลา และจุดสูงสุด (1, 3) จะคือจุดยอด (ℎ, 𝑘)
เทียบกับรูปสมการ 𝑦 = 𝑎(𝑥 − ℎ)2 + 𝑘 จะได้สมการกราฟคือ 𝑦 = 𝑎(𝑥 − 1)2 + 3
กราฟผ่าน (2, 2) แสดงว่า (2, 2) ต้องทาให้สมการกราฟเป็ นจริง → 2 = 𝑎(2 − 1)2 + 3
−1 = 𝑎
23. ให้ 𝑎̅ และ 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วย ถ้า 𝑎̅ + 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วย
แล้วขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ × 𝑏̅ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1 √2 √3
1. 0 2. 2
3. 2
4. 2
5. 1
ตอบ 4
2
|𝑎̅ + 𝑏̅| = |𝑎̅|2 + |𝑏|2 + 2 𝑎̅ ∙ 𝑏̅
2
ให้ 𝜃 เป็ นมุมระหว่าง 𝑎̅ กับ 𝑏̅
|𝑎̅ + 𝑏̅| = |𝑎̅|2 + |𝑏|2 + 2|𝑎̅||𝑏̅| cos 𝜃 𝑎̅ , 𝑏̅ และ 𝑎̅ + 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์ 1 หน่วย
12 = 12 + 12 + 2(1)(1)cos 𝜃
1
−2 = cos 𝜃
มุมระหว่างเวกเตอร์ จะมีคา่ ในช่วง 0° ถึง 180°
120° = 𝜃
√3
จากสูตร จะได้ |𝑎̅ × 𝑏̅| = |𝑎̅||𝑏̅| sin 𝜃 = (1)(1)sin 120° = 2
30 PAT 1 (ก.พ. 62)
30(30+1)(2(30)+1)
= √ 6
31
− 152 = √305 − 225 = √80
PAT 1 (ก.พ. 62) 31
26. ให้ ℝ แทนเซตของจานวนจริง ให้ เป็ นฟั งก์ชนั ทีม่ ีอนุพนั ธ์และสอดคล้องกับ
𝑓:ℝ→ℝ
𝑓(𝑥 + ℎ) − 𝑓(𝑥) = 2ℎ3 + (6𝑥 + 1)ℎ2 + 2𝑥(3𝑥 + 1)ℎ สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 และ ℎ
ถ้าค่าต่าสุดสัมพัทธ์ของ 𝑓 เท่ากับ 4 แล้วค่าของ 𝑓(2) + 𝑓(− 12) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 28 2. 32 3. 34 4. 36 5. 40
ตอบ 1
𝑓(𝑥+ℎ)−𝑓(𝑥) 2ℎ 3 +(6𝑥+1)ℎ 2+2𝑥(3𝑥+1)ℎ
จากสูตร 𝑓 ′ (𝑥) = lim
h0 ℎ
= lim
h0 ℎ
2 (6𝑥
= lim 2ℎ + + 1)ℎ + 2𝑥(3𝑥 + 1)
h0
= 2𝑥(3𝑥 + 1)
+ − +
ค่าต่าสุดสัมพัทธ์ จะเกิดเมื่อ −
1
0
3
𝑓 ′ (𝑥) เปลี่ยนจากลบเป็ นบวก
→ต่าสุดสัมพัทธ์ เมือ่ 𝑥 = 0
โจทย์ให้คา่ ต่าสุดสัมพัทธ์ คือ 4 ดังนัน้ 𝑓(0) = 4
อินทิเกรต 𝑓 ′ (𝑥) เพื่อหา 𝑓(𝑥) → จาก 𝑓 ′ (𝑥) = 2𝑥(3𝑥 + 1)
𝑓 ′ (𝑥) = 6𝑥 2 + 2𝑥
อินทิเกรต
𝑓(𝑥) = 2𝑥 3 + 𝑥 2 + 𝑐 …(∗)
แทน 𝑥 = 0 𝑓(0) = 2(03 ) + 02 + 𝑐
4 = 𝑐
แทนค่า 𝑐=4 ใน (∗) จะได้ 𝑓(𝑥) = 2𝑥 3 + 𝑥 2 + 4
1 1 3 1 2
ดังนัน้ 𝑓(2) + 𝑓(− 2) = 2(23 ) + 22 + 4 + 2 (− 2) + (− 2) + 4
1 1
= 16 + 4 + 4 + −4 + 4
+ 4 = 28
1. 8 2. 10 3. 12 4. 15 5. 24
ตอบ 1
3
จะเห็นว่า 𝑓(𝑛) = 𝑓(−3) + 𝑓(−2) + 𝑓(−1) + … + 𝑓(3)
n3
32 PAT 1 (ก.พ. 62)
โจทย์ให้ 𝑓(5) = 16 → ถ้าแทน 𝑛 = 5 (เป็ นคี่) ใน 𝑓(𝑛) จะใช้สตู รบน และจะหา 𝑓(3) ได้
→ 𝑓(5) = 𝑓(5 − 2) + 2(5)
16 = 𝑓(3) + 10
6 = 𝑓(3)
ทาแบบเดิม จะไล่ยอ้ นหา 𝑓(1) , 𝑓(−1) , 𝑓(3) ได้
แทน 𝑛 = 3 แทน 𝑛 = 1 แทน 𝑛 = −1
𝑓(3) = 𝑓(3 − 2) + 2(3) 𝑓(1) = 𝑓(1 − 2) + 2(1) 𝑓(−1) = 𝑓(−1 − 2) + 2(−1)
6 = 𝑓(1) + 6 0 = 𝑓(−1) + 2 −2 = 𝑓(−3) + −2
0 = 𝑓(1) −2 = 𝑓(−1) 0 = 𝑓(−3)
จะได้เลขคี่ทงั้ หมด → ถัดมา แทน 𝑛 ด้วยเลขคูท่ เี่ หลือ −2 , 0 , 2 จะใช้สตู รล่าง และจะหาเลขคูท่ ี่เหลือได้
แทน 𝑛 = −2 แทน 𝑛 = 0 แทน 𝑛 = 2
𝑓(−2) = 𝑓(−2 + 1) − (−2) 𝑓(0) = 𝑓(0 + 1) − 0 𝑓(2) = 𝑓(2 + 1) − 2
𝑓(−2) = 𝑓(−1) + 2 𝑓(0) = 𝑓(1) 𝑓(2) = 𝑓(3) − 2
𝑓(−2) = −2 +2 𝑓(0) = 0 𝑓(2) = 6 −2
𝑓(−2) = 0 𝑓(2) = 4
3
จะได้ 𝑓(𝑛) = 𝑓(−3) + 𝑓(−2) + 𝑓(−1) + … + 𝑓(3)
n3
= 0 + 0 + −2 + 0 + 0 + 4 + 6 = 8
B: 3𝑦 − 𝑥 = 6 …(1) C: 3𝑦 − 𝑥 = 6 …(1)
𝑥 + 𝑦 = 4 …(2) 𝑥 + 3𝑦 = 12 …(3)
(1) + (2) : 4𝑦 = 10 (1) + (3) : 6𝑦 = 18
𝑦 = 2.5 𝑦 = 3
(1) : 𝑥 + 2.5 = 4 (3) : 𝑥 + 3(3) = 12
𝑥 = 1.5 𝑥 = 3
จะได้พิกดั B คือ (1.5, 2.5) จะได้พิกดั C คือ (3, 3)
จุดที่ให้คา่ 𝑃 = 𝑎𝑥 + 𝑏𝑦 มากสุด / น้อยสุด จะต้องอยูใ่ น A(0, 4) : 𝑃 = 𝑎(0) + 𝑏(4) = 4𝑏
B(1.5, 2.5) : 𝑃 = 1.5𝑎 + 2.5𝑏
C(3, 3) : 𝑃 = 3𝑎 + 3𝑏
เทียบค่า 𝑃 ทัง้ 3 ค่า ว่าค่าไหนมากกว่าหรือน้อยกว่าค่าไหน (ยังไม่รูว้ า่ ใน ? จะเป็ นเครือ่ งหมาย > หรือ < )
4𝑏 ? 1.5𝑎 + 2.5𝑏 4𝑏 ? 3𝑎 + 3𝑏
1.5𝑏 ? 1.5𝑎 𝑏 ? 3𝑎
𝑏 ? 𝑎
โจทย์ให้ 𝑏 > 𝑎 ดังนัน้ ? ต้องเป็ น > โจทย์ให้ 𝑏 ≤ 2𝑎 ซึง่ จะสรุปได้วา่ 𝑏 < 3𝑎 (เพราะ 𝑎 เป็ นบวก)
ไล่ยอ้ นกลับไป จะได้ 4𝑏 > 1.5𝑎 + 2.5𝑏
ดังนัน้ ? ต้องเป็ น < ไล่ยอ้ นกลับไป จะได้ 4𝑏 < 3𝑎 + 3𝑏
34 PAT 1 (ก.พ. 62)
เรียงค่า จะได้ 1.5𝑎 + 2.5𝑏 < 4𝑏 < 3𝑎 + 3𝑏 ดังนัน้ ค่าน้อยสุด 10.5 = 1.5𝑎 + 2.5𝑏 ×2 ตลอด
21 = 3𝑎 + 5𝑏 …(4)
ค่ามากสุด 15 = 3𝑎 + 3𝑏 …(5)
(4) − (5) : 6 = 2𝑏
3 = 𝑏
(5) : 15 = 3𝑎 + 3(3)
2 = 𝑎
จะได้ 𝑎2 + 𝑏 2 = 22 + 32 = 13
30. จากการสอบถามพนักงานบริษัทแห่งหนึง่ จานวน 𝑛 คน ที่มีเงินเดือนตัง้ แต่ 10,000 บาท ถึง 100,000 บาท
เกี่ยวกับเงินออมต่อเดือน ดังนี ้
พนักงาน เงินเดือน (หมื่นบาท) เงินออม (พันบาท)
คนที่ (𝑎) (𝑏)
1 𝑎1 𝑏1
2 𝑎2 𝑏2
3 𝑎3 𝑏3
⋮ ⋮ ⋮
𝑛 𝑎𝑛 𝑏𝑛
2𝑥+3 𝑥−2
31. ให้ 𝐴 แทนเซตของจานวนจริงทัง้ หมดที่สอดคล้องกับสมการ √
𝑥−2
+ 3√
2𝑥+3
= 4
ถ้า 𝑎 เป็ นจานวนจริงที่นอ้ ยสุดในเซต 𝐴 และ 𝑏 เป็ นจานวนที่มากที่สดุ ในเซต 𝐴
แล้ว 𝑎2 + 𝑏2 มีคา่ เท่ากับเท่าใด
ตอบ 34
2𝑥+3 𝑥−2 2𝑥+3 𝑥−2 1
สังเกตว่า √
𝑥−2
กับ √
2𝑥+3
เป็ นส่วนกลับกัน → ถ้าให้ √
𝑥−2
= 𝑘 จะได้ √
2𝑥+3
= 𝑘
จะได้สมการคือ 𝑘 + 3(𝑘)
1
= 4
2
𝑘 +3 = 4𝑘
𝑘 2 − 4𝑘 + 3 = 0
(𝑘 − 1)(𝑘 − 3) = 0
𝑘=1, 3
2𝑥+3 2𝑥+3
√ = 1 √ = 3
𝑥−2 𝑥−2
2𝑥+3 2𝑥+3
𝑥−2
= 1 𝑥−2
= 9
2𝑥 + 3 = 𝑥 − 2 2𝑥 + 3 = 9𝑥 − 18 จะได้ 𝑎 = −5 และ 𝑏 = 3
𝑥 = −5 21 = 7𝑥
3 = 𝑥
ดังนัน้ 𝑎2 + 𝑏2 = (−5)2 + 32
32. คนกลุม่ หนึง่ มีผชู้ าย 10 คนและผูห้ ญิง 7 คน โดยมีนาย ก. และนาย ข. รวมอยูด่ ว้ ย จะมีกี่วิธีในการเลือก
คณะกรรมการ 6 คน จากคนกลุม่ นี ้ ประกอบด้วย ผูช้ ายอย่างน้อย 2 คน และผูห้ ญิงอย่างน้อย 3 คน โดยมีเงื่อนไขว่า
นาย ก. และ นาย ข. จะเป็ นกรรมการพร้อมกันไม่ได้
ตอบ 5460
จะใช้วิธีนบั แบบตรงข้าม โดยหาจานวนแบบที่ ช ≥ 2 และ ญ ≥ 3 ทัง้ หมด
แล้วหักออกด้วยจานวนแบบ ช ≥ 2 และ ญ ≥ 3 ที่ ก. ข. เป็ นกรรมการพร้อมกัน
ก็จะได้จานวนแบบ ช ≥ 2 และ ญ ≥ 3 ที่ ก. ข. ไม่เป็ นกรรมการพร้อมกัน
ช ≥ 2 และ ญ ≥ 3 ทัง้ หมด → จะมีแค่ 2 ประเภท คือ ช 2 ญ 4 กับ ช 3 ญ 3
→ กรณี ช 2 ญ 4 เลือก ช 2 คนจาก 10 คน และ ญ 4 คนจาก 7 คน ได้ (10
2
)(74) แบบ
→ กรณี ช 3 ญ 3 ทาแบบเดียวกัน จะได้ (10 3
)(73) แบบ
→ รวมจานวนแบบทัง้ หมด = (10 2
)(74) + (10
3
)(73) แบบ
ช ≥ 2 และ ญ ≥ 3 และ ก. ข. เป็ นกรรมการ → กรณี ช 2 ญ 4 จะมี ช คือ ก. ข. ครบแล้ว เลือก ญ 4 คน ได้ (74) แบบ
→ กรณี ช 3 ญ 3 จะเหลือ ช 1 คนที่ตอ้ งเลือกจาก 8 คน (ที่ไม่รวม ก.ข.)
กับ ญ 3 คน ที่ตอ้ งเลือก จะได้ (81)(73) แบบ
→ รวมจานวนแบบที่ตอ้ งหัก = (74) + (81)(73) แบบ
จะได้คาตอบ = [(10
2
)(74) + (10
3
)(73)] − [(74) + (81)(73)]
= (10
2
)(73) + (10
3
)(73) − (73) − (81)(73)
= (73) [ (10
2
) + (10
3
) − 1 − (81) ]
7∙6∙5 10∙9 10∙9∙8
= 3∙2
∙ [ 2 + 3∙2 − 1 − 8]
= 35 ∙ [ 45 + 120 − 1 − 8] = (35)(156) = 5460
36 PAT 1 (ก.พ. 62)
1 1
เนื่องจาก 210
มีคา่ น้อยกว่า 1 ดังนัน้ จานวนเต็มที่มากที่สดุ ที่นอ้ ยกว่า 59 + 210
คือ 59
34. กาหนดให้ 𝐴𝐵𝐶 เป็ นรูปสามเหลีย่ มมุมฉาก โดยที่มมุ 𝐶 เป็ นมุมฉาก และมุม A สอดคล้องกับสมการ
2 cos 2𝐴 − 8 sin 𝐴 + 3 = 0 ให้ 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นความยาวของด้านตรงข้ามมุม 𝐴 มุม 𝐵 และมุม 𝐶
ตามลาดับ ถ้า 𝑎 + 𝑐 = 30 แล้วค่าของ 𝑎 sin 𝐴 + 𝑏 sin 𝐵 เท่ากับเท่าใด
ตอบ 20
2 cos 2𝐴 − 8 sin 𝐴 + 3 = 0
2(1 − 2 sin2 𝐴) − 8 sin 𝐴 + 3 = 0
2 − 4 sin2 𝐴 − 8 sin 𝐴 + 3 = 0
4 sin2 𝐴 + 8 sin 𝐴 − 5 = 0
(2 sin 𝐴 − 1)(2 sin 𝐴 + 5) = 0 𝐵
1 5
sin 𝐴 = 2 , − 2 (sin ต้องอยูใ่ นช่วง [−1, 1]) 𝑐 60°
𝐴 = 30° , 150° (มุมประกอบมุมฉาก ต้องไม่เกิน 90°) 𝑎
30°
จะเหลือ 𝐵 = 180° − 90° − 30° = 60° ดังรูป 𝐴 𝑏 𝐶
𝑎
หาความสัมพันธ์ระหว่าง 𝑎 และ 𝑐 จะได้ sin 𝐴 = sin 30° = 𝑐
แทนในสมการที่โจทย์ให้ 𝑎 + 𝑐 = 30
1 𝑎 𝑎 + 2𝑎 = 30
2
= 𝑐 𝑎 = 10
𝑐 = 2𝑎 และจะได้ 𝑐 = 2(10) = 20
PAT 1 (ก.พ. 62) 37
𝐴 𝐵
จาก 𝑈 − 𝐴 = { 3, 5, 6, 7 } จะได้ 3, 5, 6, 7 ต้องไม่อยูใ่ น 𝐴 2 4 1
ดังนัน้ สมาชิกที่เหลือ 1, 2, 4, 8, 9, 10 ต้องอยูใ่ น 𝐴 ดังรูป 8 10 9
จาก (𝐴 − 𝐵) ∪ (𝐵 − 𝐴) = { 2, 3, 4, 5, 8, 10 } 𝐴 𝐵
2 4 1 3
แสดงว่า 3 กับ 5 ต้องอยูใ่ นซีกทางขวา ดังรูป 8 10 9 5
จะได้ 𝑛(𝐴 × 𝐵) = 𝑛(𝐴) × 𝑛(𝐵) = 6 × 4 = 24
38. กาหนดให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ที่นยิ ามโดย 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 − 𝑥 + 𝑎 และ 𝑔(𝑥) = 𝑥 2 + 𝑏𝑥 สาหรับทุก
จานวนจริง 𝑥 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนเต็ม ถ้า (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
แล้ว 𝑓(𝑏) + 𝑔(𝑎) เท่ากับเท่าใด
ตอบ 2
โจทย์ให้ (𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = (𝑔 ∘ 𝑓)(𝑥) สาหรับ 𝑥 ทุกตัว → จะจัดรูปตามกาลังของ 𝑥 แล้วเทียบสัมประสิทธิ์
(𝑓 ∘ 𝑔)(𝑥) = 𝑓(𝑔(𝑥))
= 𝑓(𝑥 2 + 𝑏𝑥)
= (𝑥 2 + 𝑏𝑥)2 − (𝑥 2 + 𝑏𝑥) + 𝑎
= 𝑥 4 + 2𝑏𝑥 3 + 𝑏 2 𝑥 2 − 𝑥 2 − 𝑏𝑥 + 𝑎
= 𝑥 4 + 2𝑏𝑥 3 + (𝑏 2 − 1)𝑥 2 − 𝑏𝑥 + 𝑎
√
𝑥 𝑥+√1+𝑥
39. ค่าของ lim 3
x0 √8+𝑥 − 2
เท่ากับเท่าใด
ตอบ 12
ลองแทน 𝑥 = 0 จะได้ 00 → ต้องจัดรูปให้ 𝑥 โผล่มาตัดกันก่อน
เศษมี 𝑥 พร้อมตัดอยูแ่ ล้ว → ไม่ตอ้ งจัดรู ปเศษ
ส่วนเป็ น √ ต้องคูณให้เข้าสูตรผลต่างกาลังสาม (น − ล)(น2 + นล + ล2 ) น3 − ล3
3
=
PAT 1 (ก.พ. 62) 39
3 2 3 2
𝑥√𝑥+√1+𝑥 √8+𝑥 + 2 √8+𝑥 + 22 3
(𝑥√𝑥+√1+𝑥)( √8+𝑥 + 2 √8+𝑥 + 22 )
3
3 ∙3 2 3 =
√8+𝑥 − 2 √8+𝑥 + 2 √8+𝑥 + 22 3 3
√8+𝑥 − 23
3 2 3
(𝑥√𝑥+√1+𝑥)( √8+𝑥 + 2 √8+𝑥 + 22 )
= 𝑥
3 3 2
= (√𝑥 + √1 + 𝑥) ( √8 + 𝑥 + 2 √8 + 𝑥 + 22 )
2
ตัด 𝑥 ได้แล้ว ลองแทน 𝑥 = 0 ใหม่ 3 3
→ (√0 + √1 + 0) ( √8 + 0 + 2 √8 + 0 + 22 )
=( 1 )( 4 + 4 + 4) = 12
จะได้ลาดับ 𝑎, 𝑏, 𝑐 คือ 8 , 4 , 2
จะเห็นว่าทัง้ 2 กรณี ได้ตวั เลขเหมือนกัน → จะได้ 𝑎2 + 𝑏 2 + 𝑐 2 = 22 + 42 + 82 = 84
40 PAT 1 (ก.พ. 62)
แต่ 𝑎 = − 10
3
ไม่ได้ เพราะจะทาให้บางแถวมีจานวนคน ไม่เป็ นจานวนเต็มบวก → เหลือ 𝑎=4 ค่าเดียว
แทนค่า 𝑎 = 4 ใน (∗) จะได้จานวนคน = 2(42 ) + 7(4) = 60
1
𝑎 2 −1 3
0 0
45. กาหนดให้ 𝐵=[ 3 𝑏 2] เมื่อ 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นจานวนจริง และ 𝐶 = [0 1
−2 0]
−1 3 𝑐
0 0 1
4𝑎 + 1 1
ถ้า 𝐴 เป็ นเมทริกซ์ที่มมี ิติ 3 × 3 โดยที่ 𝐴𝐵 = 𝐶 และ 𝐴 [5𝑏 + 2] = [−2]
4𝑐 + 3 3
แล้ว ค่าของ 𝑎+𝑏+𝑐 เท่ากับเท่าใด
ตอบ 23
ข้อนีห้ า 𝐴 จากการแก้สมการ 𝐴𝐵 = 𝐶 ค่อนข้างยาก เพราะไม่รูค้ า่ 𝑎, 𝑏, 𝑐 ใน 𝐵 ทาให้หา 𝐵−1 ลาบาก
แต่จะเห็นว่าโจทย์ให้ 𝐶 มาครบทุกสมาชิก → หา 𝐶 −1 ง่ายกว่า 𝐵−1
( det 𝐶 = (13) (− 12) (1) ≠ 0 แสดงว่า 𝐶 −1 และ 𝐴−1 หาค่าได้ )
4𝑎 + 1 1
→ จะหา 𝐴−1 จาก 𝐴𝐵 = 𝐶 แทน แล้วค่อยนา 𝐴−1 ไปใช้ใน 𝐴 [5𝑏 + 2] = [−2]
𝐵 = 𝐴−1 𝐶 4𝑐 + 3 3
𝐵𝐶 = 𝐴−1 …(1)
−1
4𝑎 + 1 1
−1
[5𝑏 + 2] = 𝐴 [−2] …(2)
4𝑐 + 3 3
ดังนัน้ 4𝑎 + 1 = 3𝑎 + 5 5𝑏 + 2 = 4𝑏 + 15 4𝑐 + 3 = 3𝑐 + 9
𝑎 = 4 𝑏 = 13 𝑐 = 6
จะได้ 𝑎 + 𝑏 + 𝑐 = 4 + 13 + 6 = 23
เครดิต
ขอบคุณ ข้อสอบ และเฉลย จาก อ.ปิ๋ ง GTRmath
ขอบคุณ คุณครูเบิรด์ จาก กวดวิชาคณิตศาสตร์ครูเบิรด์ ย่านบางแค 081-8285490
และ คุณ บุญช่วย ฤทธิเทพ
PAT 1 (ก.พ. 62) 43
และ คุณ คณิต มงคลพิทกั ษ์สขุ (นวย) ผูเ้ ขียน Math E-book
และ คุณ Chonlakorn Chiewpanich
และ คุณ Potae Kitti
และ คุณ Wichakpol Krasapkan ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร