You are on page 1of 43

PAT 1 (ก.พ.

61) 1
25 Nov 2019

PAT 1 (ก.พ. 61)


รหัสวิชา 71 วิชา ความถนัดทางคณิตศาสตร์ (PAT 1)
วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 13.00 - 16.00 น.

ตอนที่ 1 ข้อ 1 - 30 ข้อละ 6 คะแนน


1. กาหนดให้ 𝑝 และ 𝑞 เป็ นประพจน์ใดๆ ประพจน์ในข้อใดต่อไปนีเ้ ป็ นสัจนิรนั ดร์
1. ~𝑝 ∨ (~𝑝 ∧ 𝑞) 2. (𝑞 ∨ ~𝑞) ∧ (𝑝 → ~𝑞) 3. ~(𝑝 → ~𝑞) → 𝑞
4. (~𝑝 ∨ 𝑞) → (~𝑝 ∧ ~𝑞) 5. (~𝑝 ∧ 𝑞) → (~𝑞 ∧ 𝑝)

2. กาหนดเอกภพสัมพัทธ์ คือเซตคาตอบของอสมการ 𝑥 2 (𝑥 2 − 1) ≥ 0
และให้ 𝑃(𝑥) แทน |𝑥| > 1
𝑄(𝑥) แทน 𝑥 2 − 𝑥 ≥ 2
𝑅(𝑥) แทน 𝑥 < 0
𝑆(𝑥) แทน 1 − 𝑥 < 0
ข้อใดต่อไปนีม้ คี า่ ความจริงเป็ นเท็จ
1. ~∀𝑥[𝑃(𝑥)] 2. ∃𝑥[𝑄(𝑥)] 3. ∀𝑥[𝑄(𝑥) → 𝑃(𝑥)]
4. ∃𝑥[𝑆(𝑥) ∧ 𝑃(𝑥)] 5. ∀𝑥[𝑆(𝑥) → ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥))]

3. เซตคาตอบของอสมการ (√1 + 𝑥 + 1)(√1 + 𝑥 + 𝑥 2 + 𝑥 − 13) < 𝑥 เป็ นสับเซตของช่วงในข้อใดต่อไปนี ้


1. (−5, 0) 2. (−4, 1) 3. (−3, 2) 4. (−2, 4) 5. (−1, 5)
2 PAT 1 (ก.พ. 61)

4. ค่าของ sin (4 arctan 13) tan (2 arctan 17) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้


5 7 7 12 13
1. 24 2. 25 3. 24 4. 25
5. 25

5. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง และให้ 𝑟1 = { (𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | 𝑦 = √3 − 𝑥 + √2 + 𝑥 }


𝑟2 = { (𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | |𝑦| = |𝑥| + 1 }
ถ้า 𝐴 เป็ นโดเมนของ 𝑟1 และ 𝐵 เป็ นเรนจ์ของ 𝑟2 แล้ว 𝐴 − 𝐵 เป็ นสับเซตของช่วงในข้อใดต่อไปนี ้
1. (−∞, −1] 2. (−2, 0] 3. (−1, 1] 4. (0, 2] 5. (1, ∞)

2 sin 130°−cos 20° 𝜋 𝜋


6. ถ้า 𝐴 = arctan (
cos 290°
) แล้ว sin ( + 𝐴) cos ( − 𝐴)
6 6
เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
√3 1 1 √3
1. −
2
2. −
2
3. 0 4. 2
5. 2
PAT 1 (ก.พ. 61) 3

7. ถ้า 0 < 𝐴, 𝐵 < 𝜋2 สอดคล้องกับ (1 + tan 𝐴)(1 + tan 𝐵) = 2


แล้วค่าของ tan2 (𝐴+𝐵
2
) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 3 − 2√2 2. 3 + 2√2 3. 5 − 2√2
4. 1 + √2 5. 1 + 2√2

8. ให้ 𝐸 เป็ นวงรีรูปหนึง่ มีจดุ ศูนย์กลางอยูท่ ี่จดุ (1, −2) และโฟกัสทัง้ สองอยูบ่ นเส้นตรงที่ขนานกับแกน 𝑥
ถ้า (4, 0) เป็ นจุดบน 𝐸 และผลบวกของระยะทางจากจุด (4, 0) ไปยังจุดโฟกัสทัง้ สองเท่ากับ 8 หน่วย
แล้ววงรี 𝐸 ผ่านจุดในข้อใดต่อไปนี ้
1. (4, 2) 2. (2, 4) 3. (2, −4) 4. (−2, −4) 5. (4, −2)

9. ให้ 𝑎 เป็ นจานวนจริงที่สอดคล้องกับอสมการ log 3(5(6𝑎 ) − 22𝑎+1 ) > 2𝑎 + 1 ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง


1. 2𝑎 + 1 > 0 2. |𝑎| > 1 3. 2𝑎 > 1
4. 1 < |𝑎 − 1| < 2 5. 2𝑎+1 < 1
4 PAT 1 (ก.พ. 61)

1 2 −3 1
10. กาหนดให้ 𝐴 = [−1 3
] และ 𝐵 = [
𝑎 𝑏
] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
ถ้า (𝐴 − 𝐵)𝐵 = 𝐵(𝐴 − 𝐵) แล้วค่าของ det(𝐴 + 𝐵) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. − 32 2. − 12 3. 52 4. 72 5. 13
2

11. กาหนดให้เวกเตอร์ 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ − 2𝑘̅ ถ้า 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์ในสามมิติ โดยที่ (𝑏̅ + 𝑎̅) ∙ (𝑏̅ − 𝑎̅) = 10
และเวกเตอร์ 𝑎̅ ทามุม 60° กับเวกเตอร์ 𝑏̅ แล้วขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ × 𝑏̅ อยูใ่ นช่วงในข้อใดต่อไปนี ้
1. (0, 2] 2. (2, 4] 3. (4, 6] 4. (6, 8] 5. (8, 10]

12. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และให้ 𝑃 = 𝑎𝑥 + 𝑏𝑦 เป็ นฟั งก์ชนั จุดประสงค์ ภายใต้อสมการข้อจากัด
ต่อไปนี ้ 𝑥 + 2𝑦 ≤ 12
𝑥+𝑦 ≥ 6
𝑥 − 2𝑦 ≥ 0
𝑥 ≥ 0 และ 𝑦 ≥ 0
ถ้า 𝑃 มีคา่ มากที่สดุ ทีจ่ ดุ 𝐴 และ 𝐵 โดยที่จดุ 𝐴 และจุด 𝐵 เป็ นจุดสองจุดที่ตา่ งกันอยูบ่ นเส้นตรง 𝑥 + 2𝑦 = 12
และเป็ นจุดมุมที่สอดคล้องกับอสมการที่กาหนดให้ แล้วข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. 𝑏 = 𝑎 2. 𝑏 = 2𝑎 3. 𝑏 = 3𝑎 4. 𝑏 = 4𝑎 5. 𝑏 = 5𝑎
PAT 1 (ก.พ. 61) 5

13. กาหนดให้ 𝑆 เป็ นปริภมู ิตวั อย่าง และ 𝑃(𝐸) แทนความน่าจะเป็ นของเหตุการณ์ 𝐸
และ 𝐸′ แทนคอมพลีเมนต์ของเหตุการณ์ 𝐸 ถ้า 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเหตุการณ์ใน 𝑆 โดยที่ 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 0.8
และ 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵) = 0.4 แล้วค่าของ 𝑃(𝐴′ ) + 𝑃(𝐵′ ) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 0.4 2. 0.6 3. 0.8 4. 1.2 5. 1.6

2√𝑥 𝑥 2 −23+√𝑥 √𝑥
14. lim
x 4 √𝑥−2
มีคา่ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 32 2. 64 3. 80 4. 96 5. 128

15. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓 ′ (𝑥) = 2𝑎𝑥 + 𝑏√𝑥 + 1
เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ถ้า 𝑓(0) = 1 และ 𝑓 ′ (1) = 𝑓 ′(4) = 0 แล้ว (𝑓 ∘ 𝑓)(4) มีคา่ เท่ากับ
ข้อใดต่อไปนี ้
1. 1.25 2. 1.75 3. 2.25 4. 2.75 5. 3.25
6 PAT 1 (ก.พ. 61)

16. กาหนดให้ 𝐴𝐵𝐶 เป็ นรูปสามเหลีย่ ม โดยมีความยาวของเส้นรอบรูปสามเหลีย่ มเท่ากับ 60 หน่วย


ถ้าความยาวของด้านตรงข้ามมุม 𝐴 และมุม 𝐵 เท่ากับ 𝑎 หน่วย และ 𝑏 หน่วย ตามลาดับ
แล้วค่าของ 𝑎 sin2 (𝐴+𝐶
2
𝐵+𝐶
) + 𝑏 sin2 ( 2 ) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 30 2. 30 + 𝑎 3. 60
4. 60 + 𝑎 + 𝑏 5. 150

17. ให้จดุ 𝐴 เป็ นจุดบนเส้นตรง 3𝑥 + 𝑦 + 4 = 0 โดยที่จดุ 𝐴 ห่างจากจุด (−5, 6) และจุด (3, 2) เป็ นระยะเท่ากัน
ให้ 𝐿1 และ 𝐿2 เป็ นเส้นตรงสองเส้นที่ตา่ งกันและขนานกับเส้นตรง 5𝑥 + 12𝑦 = 0
ถ้าจุด 𝐴 อยูห่ า่ งจากเส้นตรง 𝐿1 และ 𝐿2 เป็ นระยะเท่ากับ 2 หน่วย
แล้วผลบวกของระยะตัดแกน 𝑥 ของเส้นตรง 𝐿1 และ 𝐿2 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. −5.6 2. −2.8 3. 2.8 4. 5.6 5. 8.4

1+7𝑖 1+3𝑖
18. ให้ 𝑧1 = (2−𝑖) 2 และ 𝑧2 = 1−2𝑖 เมื่อ 𝑖 = −1
2

ถ้า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ที่สอดคล้องกับ |𝑎𝑧1 + 𝑏𝑧̅2 | = 2 แล้วค่าของ 𝑎2 + 𝑏 2 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้


1. 1 2. 2 3. 4 4. 8 5. 12
PAT 1 (ก.พ. 61) 7

19. จากการสารวจรายได้และรายจ่ายของพนักงานบริษัทแห่งหนึง่ จานวน 8 คน ดังนี ้


พนักงานคนที่ 1 2 3 4 5 6 7 8
รายได้ (𝑥)
𝑥1 𝑥2 𝑥3 𝑥4 𝑥5 𝑥6 𝑥7 𝑥8
(หน่วยหมื่นบาท)
รายจ่าย (𝑦)
𝑦1 𝑦2 𝑦3 𝑦4 𝑦5 𝑦6 𝑦7 𝑦8
(หน่วยหมื่นบาท)

ปรากฏว่ารายได้ (𝑥) และรายจ่าย (𝑦) มีความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชนั แบบเส้นตรงเป็ น 𝑦 = 8𝑥 + 13.5


8 8
ถ้า  𝑦𝑖 = 492 และ  𝑥𝑖 𝑦𝑖 = 3432 แล้วความแปรปรวนของรายได้ของพนักงาน 8 คนนี ้
i1 i1

เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 6.5 2. 7.5 3. 8.5 4. 9.5 5. 10.5

20. กาหนดตารางแสดงพืน้ ที่ใต้เส้นโค้งปกติมาตรฐานระหว่าง 0 ถึง 𝑧 ดังนี ้


𝑧 0.35 0.5 0.85 1.00 1.20
พืน้ ที่ใต้เส้นโค้ง 0.1368 0.1915 0.3023 0.3413 0.3849
จากการสอบถามอายุของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนแห่งหนึง่ พบว่าอายุของนักเรียนมีการแจกแจง
ปกติ มีนกั เรียนร้อยละ 30.85 ที่มีอายุมากกว่า 17 ปี และมีนกั เรียนร้อยละ 53.28 ที่มีอายุตงั้ แต่ 14 ปี แต่ไม่เกิน
17 ปี แล้วสัมประสิทธิ์การแปรผันของอายุนกั เรียนกลุม่ นีเ้ ท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 0.125 2. 1.25 3. 4.0 4. 8.0 5. 12.5

21. กาหนดข้อมูล 𝑥1, 𝑥2, 𝑥3, 𝑥4 โดยที่ 0 < 𝑥1 ≤ 𝑥2 ≤ 𝑥3 ≤ 𝑥4 ถ้าข้อมูลชุดนีม้ คี า่ เฉลีย่ เลขคณิตเท่ากับ 7
พิสยั เท่ากับ 9 และ มัธยฐานและฐานนิยมมีคา่ เท่ากัน และมีคา่ เท่ากับ 6 แล้วสัมประสิทธิ์สว่ นเบี่ยงเบนควอไทล์
ของข้อมูลชุดนี ้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 193 2. 195 3. 196 4. 20 7
5. 209
8 PAT 1 (ก.พ. 61)

22. ถ้า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ที่สอดคล้องกับ log 𝑎3 𝑏 2𝑛 = 1 , log 𝑎2𝑛 𝑏3 = 1
และ log 𝑎𝑛 𝑏𝑛 = 67 แล้ว 𝑛 log 𝑎𝑛 − log 𝑏2𝑛 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 17 2. 67 3. 1 4. 2 5. 3

23. ให้ 𝐻 เป็ นไฮเพอร์โบลาที่มีแกนสังยุคอยูบ่ นเส้นตรง 𝑥 = 1 และมีจดุ ยอดจุดหนึง่ อยูท่ ี่ (0, 2) ถ้า 𝐻 ผ่านจุด
ศูนย์กลางของวงรีซงึ่ มีสมการเป็ น 5𝑥 2 − 30𝑥 + 9𝑦 2 = 0 แล้วสมการของไฮเพอร์โบลา 𝐻 ตรงกับข้อใดต่อไปนี ้
1. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 + 12𝑦 − 12 = 0 2. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 + 12𝑦 − 13 = 0
3. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 − 6𝑦 − 12 = 0 4. 3𝑥 2 − 4𝑦 2 − 6𝑥 + 16𝑦 − 17 = 0
5. 3𝑥 2 − 4𝑦 2 − 6𝑥 + 8𝑦 − 17 = 0

24. ให้ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , … เป็ นลาดับเรขาคณิตของจานวนเต็มบวก โดยที่ มีผลบวกของพจน์ที่สองและพจน์ที่สี่


เท่ากับ 60 และพจน์ที่สามเท่ากับ 18 และให้ 𝑆𝑛 เป็ นผลบวก 𝑛 พจน์แรกของลาดับ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , …
แล้วค่าของ 𝑆𝑆8 + 𝑆𝑆4 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
4 2

1. 17281
2. 3716
3. 22 4. 88 5. 92
PAT 1 (ก.พ. 61) 9

25. กาหนดให้ 𝒰 = { −5, −4, 0, 1, 2, 3, 4 }


𝐴 = { 𝑥 ∈ 𝒰 | 2𝑥 − 1 ∉ 𝒰 }
𝐵 = { 𝑥 ∈ 𝒰 | 𝑥 2 > 5𝑥 }
𝐶 = { 𝑥 ∈ 𝒰 | √𝑥 + 1 ∈ 𝒰 }
จานวนสมาชิกของเซต (𝐴 − 𝐶) × (𝐵 ∪ 𝐶) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 6 2. 10 3. 12 4. 20 5. 24

3
1 −1
1 2
26. กาหนดให้ 𝐴 เป็ นเมทริกซ์มติ ิ 3 × 3 โดยที่ det 𝐴 = 4 และ 𝐵 = [0 2 0] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
𝑎 0 𝑏
ถ้า 2𝐴𝐵 + 3𝐼 = 𝐴 เมื่อ 𝐼 เป็ นเมทริกซ์เอกลักษณ์การคูณมิติ 3 × 3 แล้วค่าของ 𝑎+𝑏 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
3 5 1 17 19
1. 2
2. −
2
3. 2
4. −
2
5. 2

27. ให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของเซตของจานวนจริง


โดยที่ 𝑓(𝑥) = 𝑥+1𝑥−1
สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 ≠ 1 และ 𝑔(𝑥) = 6𝑥 + 5 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
ถ้า 𝑎 เป็ นจานวนจริงที่ 𝑎 ≠ 1 และ 𝑔(𝑓(𝑎)) = 𝑔−1 (𝑓(𝑎))
แล้ว 𝑓(𝑔−1 (𝑎)) + 𝑓(𝑔(𝑎)) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 3122
2. 1611
3. 37 22
4. 20
11
5. 41
22
10 PAT 1 (ก.พ. 61)

3 + 5𝑎(𝑛) เมื่อ 𝑎(𝑛) ≤ 5


28. กาหนดให้ 𝑎(0) = 1 และสาหรับ 𝑛 = 0, 1, 2, 3, … ให้ 𝑎(𝑛 + 1) = { 1
2 + 5 𝑎(𝑛) เมื่อ 𝑎(𝑛) > 5
พิจารณาข้อความต่อไปนี ้
ก. 𝑎(3) − 𝑎(1) เป็ นจานวนเฉพาะ
ข. 𝑎(4) > 𝑎(5)
ค. 𝑎(7) = 146 25
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ

29. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑚 และ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก สอดคล้องกับ 1 < 𝑎 < 𝑏 ≤ 𝑐 และ 𝑎𝑚 = 𝑏𝑛 = 𝑐


พิจารณาอสมการต่อไปนี ้
ก. 𝑚𝑎 < 𝑛𝑐
ข. 𝑏𝑚 < 𝑐
ค. 𝑛 + 𝑚𝑛 < 𝑐 + 𝑚𝑐
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ
PAT 1 (ก.พ. 61) 11

30. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง และให้ 𝑟 = { (𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | 𝑦 < 𝑥 − 2 } พิจารณาข้อความต่อไปนี ้


ก. (5, 7) ∉ 𝑟 −1
ข. (−6, −3) ∈ 𝑟 −1
ค. 𝑟 ∩ 𝑟 −1 ≠ ∅
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ

ตอนที่ 2 ข้อ 31 - 45 ข้อละ 8 คะแนน


31. กาหนดให้ 𝑃(𝑆) แทนเพาเวอร์เซตของเซต 𝑆 และ 𝑛(𝑆) แทนจานวนสมาชิกของเซต 𝑆
ให้ 𝐴, 𝐵 และ 𝐶 เป็ นเซตจากัด โดยที่ 𝐵 ⊂ 𝐴 และ 𝐴 ∩ 𝐶 ≠ ∅
ถ้า 𝑛(𝑃(𝑃(𝐵))) = 𝑛(𝑃(𝐵 ∪ 𝐶)) = 16 , 𝑛(𝐵 ∩ 𝐶) = 1 , 𝑛(𝐴 ∩ 𝐶) = 2
และ 𝑛(𝑃(𝐴 − 𝐶)) = 4𝑛(𝑃(𝐶 − 𝐴)) แล้ว 𝑛(𝑃(𝐴)) เท่ากับเท่าใด

32. ให้ 𝐴 เป็ นเซตคาตอบของสมการ |𝑥 2 − 2|𝑥|| = 𝑥 2 − 3𝑥 + 2


ผลบวกของสมาชิกทัง้ หมดในเซต 𝐴 เท่ากับเท่าใด
12 PAT 1 (ก.พ. 61)

33. ถ้า 𝐴 เป็ นเซตคาตอบของสมการ 2 log 3 √𝑥 + 1 + log 9(𝑥 − 1)2 = log 3 2𝑥


แล้วผลคูณของสมาชิกทัง้ หมดในเซต 𝐴 เท่ากับเท่าใด

34. ถ้า 𝐴 เป็ นเซตของคูอ่ นั ดับ (𝑥, 𝑦) โดยที่ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริงบวกที่สอดคล้องกับสมการ
2𝑥 log 5 𝑦 = 4 log 25 5 + 4𝑥
2𝑥 log 5 𝑦 3 = (log 5 𝑦)2 + 9
และให้ 𝐵 = { 𝑥𝑦 | (𝑥, 𝑦) ∈ 𝐴 } ค่ามากที่สดุ ของสมาชิกในเซต 𝐵 เท่ากับเท่าใด

3−|𝑥|
เมื่อ 𝑥<3
35. กาหนดให้ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = { 3−𝑥 เมื่อ 𝑎 เป็ นจานวนจริง
𝑎𝑥 + 10 เมื่อ 𝑥 ≥ 3
ถ้าฟั งก์ชนั 𝑓 ต่อเนื่องบนเซตของจานวนจริง แล้ว ค่าของ 𝑓(𝑎 − 6) + 𝑓(𝑎) + 𝑓(𝑎 + 6) เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (ก.พ. 61) 13

36. กาหนดให้ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 เมื่อ 𝑎, 𝑏, 𝑐 เป็ นจานวนจริง


ถ้า 𝑓(−1) + 𝑓(1) = 14 , 𝑓 ′ (1)
= 2𝑓(1) และ 𝑓 ′ (0) + 𝑓 ′′ (0) = 6
1
แล้ว  𝑓(3𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด
0

37. กาหนดให้ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 3 + 𝑏𝑥 2 + 1 เมื่อ 𝑎, 𝑏 เป็ นจานวนจริง


1
𝑓(𝑥) − 𝑓(2) 1 𝑓′ (𝑥) − 𝑓′ (4)
ถ้า lim 𝑥−2
= 0 และ  𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 4
แล้ว lim 𝑥−4
เท่ากับเท่าใด
x2 0 x4

38. คนกลุม่ หนึง่ มีผชู้ าย 𝑛 คน ผูห้ ญิง 𝑛 + 1 คน เมื่อ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ต้องการจัดคนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวเป็ นแนว
ตรงเพียงหนึง่ แถว ถ้าจานวนวิธีจดั คนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวแนวตรง โดยไม่มีผชู้ ายสองคนใดยืนติดกัน เท่ากับสองเท่า
ของจานวนวิธีจดั คนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวเป็ นแนวตรงโดยผูช้ ายยืนติดกันทัง้ หมด แล้วคนกลุม่ นีม้ ีทงั้ หมดกี่คน
14 PAT 1 (ก.พ. 61)

39. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และให้ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , … เป็ นลาดับของจานวนจริง
โดยที่ 𝑎1 = 𝑎 , 𝑎2 = 𝑏 และ 𝑎𝑛 = 𝑎1+𝑎2+𝑎𝑛−1 3 + … +𝑎𝑛−1
สาหรับ 𝑛 = 3, 4, 5, …
10
31 1 2
ถ้า 𝑎1 + 2𝑎2 + 3𝑎3 + 4𝑎4 = 8
และ  𝑎𝑖 = 30
8
แล้วค่าของ 1
(𝑎 + 𝑏) เท่ากับเท่าใด
i1

40. ข้อมูลประชากรชุดหนึง่ มี 10 จานวน ดังนี ้ 𝑥1 , 𝑥2 , 𝑥3 , … , 𝑥10 โดยที่ 𝑥𝑖 > 0 สาหรับ 𝑖 = 1, 2, 3, … , 10


10 10
ถ้า  (𝑥𝑖 − 4) = 40 และ  (𝑥𝑖 − 4)2 = 170
i1 i1

แล้ว ความแปรปรวนของข้อมูล 2(𝑥1 + 3) , 2(𝑥2 + 3) , 2(𝑥3 + 3) , … , 2(𝑥10 + 3) เท่ากับเท่าใด

41. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นจานวนเต็ม โดยที่ 0 ≤ 𝑐 < 𝑎 < 𝑏 และ 𝑎 + 2𝑏 + 3𝑐 = 32


ถ้า 𝑐 เป็ นจานวนคู่ และ 10 หาร 𝑏 ลงตัว แล้วค่าของ 4𝑎 + 5𝑏 + 6𝑐 เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (ก.พ. 61) 15

42. กาหนดข้อมูลชุดหนึง่ ดังนี ้ คะแนน ความถี่


0–4 4
เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนเต็มบวก 5–9 3
ถ้าข้อมูลชุดนี ้ มีตาแหน่งของควอไทล์ที่ 3 (𝑄3 ) เท่ากับ 13.5 10 – 14 5
15 – 19 𝑎
แล้วมัธยฐานของข้อมูลชุดนีเ้ ท่ากับเท่าใด 20 – 24 𝑏

43. ให้ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , … เป็ นลาดับเลขคณิตของจานวนจริง โดยที่มีผลบวกสีพ่ จน์แรกของลาดับเท่ากับ 14


และ 𝑎20 = 𝑎10 + 30 และให้ 𝑏1, 𝑏2, 𝑏3, … , 𝑏𝑛 , … เป็ นลาดับของจานวนจริง โดยที่ 𝑏1 = 𝑎3
𝑎𝑛
และ 𝑏𝑛+1 = 𝑏𝑛 + 1 สาหรับ 𝑛 = 1, 2, 3, … ค่าของ lim n 𝑏
เท่ากับเท่าใด
𝑛
16 PAT 1 (ก.พ. 61)

44. ให้ 𝑎̅, 𝑏̅ และ 𝑐̅ เป็ นเวกเตอร์ในสามมิติ โดยที่ 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ , 𝑏̅ = 3𝑖̅ − 2𝑗̅ + 3√2𝑘̅
เวกเตอร์ 𝑐̅ ทามุม 45° และ 60° กับเวกเตอร์ 𝑎̅ และเวกเตอร์ 𝑗̅ ตามลาดับ และ 𝑐̅ ∙ 𝑘̅ > 0
ถ้า 𝑢̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วยที่มีทศิ ทางเดียวกับเวกเตอร์ 𝑐̅ แล้ว 𝑢̅ ∙ 𝑏̅ เท่ากับเท่าใด

1
45. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 1 −
1−
1 สาหรับจานวนจริง 𝑥 > 0
1
1−
1+𝑥
ถ้า 𝑎 เป็ นจานวนจริงบวก ที่สอดคล้องกับ 𝑓(1 + 𝑎) + 𝑓(2 + 𝑎) + 𝑓(3 + 𝑎) + … + 𝑓(60 + 𝑎) = 2250
แล้ว 𝑎 มีคา่ เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (ก.พ. 61) 17

เฉลย
1. 3 11. 5 21. 5 31. 32 41. 86
2. 3 12. 2 22. 5 32. 2.5 42. 11.5
3. 4 13. 3 23. 1 33. 1 43. 3
4. 2 14. 4 24. 5 34. 125 44. 3.5
5. 3 15. 1 25. 3 35. 0.5 45. 6
6. 5 16. 1 26. 4 36. 11
7. 1 17. 4 27. 1 37. 18
8. 4 18. 2 28. 4 38. 7
9. 4 19. 2 29. 2 39. 36
10. 3 20. 1 30. 1 40. 4

แนวคิด
1. กาหนดให้ 𝑝 และ 𝑞 เป็ นประพจน์ใดๆ ประพจน์ในข้อใดต่อไปนีเ้ ป็ นสัจนิรนั ดร์
1. ~𝑝 ∨ (~𝑝 ∧ 𝑞) 2. (𝑞 ∨ ~𝑞) ∧ (𝑝 → ~𝑞) 3. ~(𝑝 → ~𝑞) → 𝑞
4. (~𝑝 ∨ 𝑞) → (~𝑝 ∧ ~𝑞) 5. (~𝑝 ∧ 𝑞) → (~𝑞 ∧ 𝑝)
ตอบ 3
ข้อนี ้ จะใช้วิธียดั เยียดความเท็จก็ได้ แต่อาจไม่เหมาะกับบางตัวเลือก (เช่น ข้อ 4.) ที่เป็ นเท็จได้หลายแบบ
เนื่องจากมีตวั แปร 𝑝, 𝑞 แค่ 2 ตัว → จะพยายามจัดรูปแต่ละตัวเลือกให้เป็ นรูปอย่างง่ายก่อน
1. ~𝑝 ∨ (~𝑝 ∧ 𝑞) 2. (𝑞 ∨ ~𝑞) ∧ (𝑝 → ~𝑞) 3. ~(𝑝 → ~𝑞) → 𝑞
≡ (~𝑝 ∧ T) ∨ (~𝑝 ∧ 𝑞) ≡ T ∧ (𝑝 → ~𝑞) ≡ (𝑝 → ~𝑞) ∨ 𝑞
≡ ~𝑝 ∧ (T ∨ 𝑞) ≡ 𝑝 → ~𝑞 ≡ ~𝑝 ∨ ~𝑞 ∨ 𝑞
≡ ~𝑝 ∧ T เป็ นเท็จได้เมื่อ 𝑝, 𝑞 เป็ น T  ≡ ~𝑝 ∨ T
≡ ~𝑝 ≡ T
เป็ นเท็จได้เมื่อ 𝑝 เป็ น T  เป็ นจริงเสมอ 
4. (~𝑝 ∨ 𝑞) → (~𝑝 ∧ ~𝑞) 5. (~𝑝 ∧ 𝑞) → (~𝑞 ∧ 𝑝)
≡ ~(~𝑝 ∨ 𝑞) ∨ (~𝑝 ∧ ~𝑞) ≡ ~(~𝑝 ∧ 𝑞) ∨ (~𝑞 ∧ 𝑝)
≡ (𝑝 ∧ ~𝑞) ∨ (~𝑝 ∧ ~𝑞) ≡ 𝑝 ∨ ~𝑞 ∨ (~𝑞 ∧ 𝑝)
≡ (𝑝 ∨ ~𝑝) ∧ ~𝑞 ≡ 𝑝 ∨ (~𝑞 ∧ T) ∨ (~𝑞 ∧ 𝑝)
≡ T ∧ ~𝑞 ≡ 𝑝 ∨ (~𝑞 ∧ (T ∨ 𝑝) )
≡ ~𝑞 ≡ 𝑝 ∨ (~𝑞 ∧ T )
เป็ นเท็จได้เมื่อ 𝑞 เป็ น T  ≡ 𝑝 ∨ ~𝑞
เป็ นเท็จได้เมื่อ 𝑝 เป็ น F และ 𝑞 เป็ น T 
18 PAT 1 (ก.พ. 61)

2. กาหนดเอกภพสัมพัทธ์ คือเซตคาตอบของอสมการ 𝑥 2 (𝑥 2 − 1) ≥ 0
และให้ 𝑃(𝑥) แทน |𝑥| > 1
𝑄(𝑥) แทน 𝑥 2 − 𝑥 ≥ 2
𝑅(𝑥) แทน 𝑥 < 0
𝑆(𝑥) แทน 1 − 𝑥 < 0
ข้อใดต่อไปนีม้ คี า่ ความจริงเป็ นเท็จ
1. ~∀𝑥[𝑃(𝑥)] 2. ∃𝑥[𝑄(𝑥)] 3. ∀𝑥[𝑄(𝑥) → 𝑃(𝑥)]
4. ∃𝑥[𝑆(𝑥) ∧ 𝑃(𝑥)] 5. ∀𝑥[𝑆(𝑥) → ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥))]
ตอบ 3
แก้อสมการเอกภพสัมพัทธ์ 𝑥 2 (𝑥 2 − 1) ≥ 0
𝑥 2 (𝑥 − 1)(𝑥 + 1) ≥ 0
ตัวยกกาลังคู่
ไม่ตอ้ งกลับบวกลบ

+ − − +
จะได้ 𝒰 = (−∞, −1] ∪ {0} ∪ [1, ∞)
−1 0 1
1. |𝑥| > 1 จะได้ 𝑥 > 1 หรือ 𝑥 < −1 ซึง่ เขียนได้เป็ น (−∞, −1) ∪ (1, ∞)
ซึง่ ใน 𝒰 จะมีบางตัวที่ไม่อยูใ่ นช่วงนี ้ (เช่น 𝑥 = 0) นั่นคือ จะมีบางตัวที่ทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นเท็จ
ดังนัน้ ∀𝑥[𝑃(𝑥)] เป็ นเท็จ ทาให้ ~∀𝑥[𝑃(𝑥)] เป็ นจริง
2. 𝑥2 − 𝑥 ≥ 2
𝑥2 − 𝑥 − 2 ≥ 0
(𝑥 − 2)(𝑥 + 1) ≥ 0

+ − จะได้คาตอบของ 𝑄(𝑥) คือ (−∞, −1] ∪ [2, ∞) ซึง่ มีบางตัว (เช่น −1) อยูใ่ น 𝒰
+
−1 2 ดังนัน้ ∃𝑥[𝑄(𝑥)] เป็ นจริง
3. ใช้คาตอบของ 𝑃(𝑥) และ 𝑄(𝑥) ที่เคยแก้ มาแทน จะได้
𝑄(𝑥) → 𝑃(𝑥) ≡ 𝑥 ∈ (−∞, −1] ∪ [2, ∞) → 𝑥 ∈ (−∞, −1) ∪ (1, ∞)
ซึง่ จะเป็ นเท็จเมื่อ 𝑥 = −1 ดังนัน้ ∀𝑥[𝑄(𝑥) → 𝑃(𝑥)] เป็ นเท็จ
4. 1−𝑥 < 0 จะได้คาตอบของ 𝑆(𝑥) คือ (1, ∞)
1 < 𝑥
จากคาตอบของ 𝑃(𝑥) คือ (−∞, −1) ∪ (1, ∞) → มีสว่ นซา้ กัน ดังนัน้ ∃𝑥[𝑆(𝑥) ∧ 𝑃(𝑥)] เป็ นจริง
5. ต้องหาว่ามี 𝑥 ที่ทาให้ 𝑆(𝑥) เป็ นจริง และทาให้ ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥)) เป็ นเท็จ
𝑆(𝑥) เป็ นจริงเมื่อ 𝑥 ∈ (1, ∞) ซึง่ ในช่วงนีจ้ ะทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริง และ 𝑅(𝑥) เป็ นเท็จ เสมอ
( คาตอบของ 𝑃(𝑥) คือ (−∞, −1) ∪ (1, ∞) และ คาตอบของ 𝑅(𝑥) คือ (−∞, 0) )
จะได้ ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥)) ≡ ~(T ↔ F) ≡ ~F ≡ T ไม่เป็ นเท็จ
ดังนัน้ 𝑆(𝑥) → ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥)) จะเป็ นเท็นไม่ได้ → ข้อ 5. เป็ นจริง
PAT 1 (ก.พ. 61) 19

3. เซตคาตอบของอสมการ (√1 + 𝑥 + 1)(√1 + 𝑥 + 𝑥 2 + 𝑥 − 13) < 𝑥 เป็ นสับเซตของช่วงในข้อใดต่อไปนี ้


1. (−5, 0) 2. (−4, 1) 3. (−3, 2) 4. (−2, 4) 5. (−1, 5)
ตอบ 4
พยายามกาจัดรูทก่อน
สังเกตว่า ถ้าเอา √1 + 𝑥 + 1 ไปคูณกับคอนจูเกตของมัน จะได้ (√1 + 𝑥 + 1)(√1 + 𝑥 − 1) = 1 + 𝑥 − 1
= 𝑥
ดังนัน้ เราสามารถเปลีย่ น 𝑥 ทางขวาของอสมการโจทย์ เป็ น (√1 + 𝑥 + 1)(√1 + 𝑥 − 1) เพื่อตัดกับฝั่งซ้ายได้
(√1 + 𝑥 + 1)(√1 + 𝑥 + 𝑥 2 + 𝑥 − 13) < 𝑥
(√1 + 𝑥 + 1)(√1 + 𝑥 + 𝑥 2 + 𝑥 − 13) < (√1 + 𝑥 + 1)(√1 + 𝑥 − 1) √1 + 𝑥 + 1 เป็ นบวก
√1 + 𝑥 + 𝑥 2 + 𝑥 − 13 < √1 + 𝑥 − 1 → ตัดแล้วไม่ตอ้ งกลับ
𝑥 2 + 𝑥 − 12 < 0 มากกว่า น้อยกว่า
(𝑥 + 4)(𝑥 − 3) < 0

+ − +
จะได้ 𝑥 ∈ (−4, 3)
−4 3
และในรูท ต้องไม่ตดิ ลบ → 1+𝑥 ≥ 0 → พิจารณาร่วมกับ (−4, 3) จะเหลือคาตอบสุดท้ายคือ [−1, 3)
𝑥 ≥ −1
ซึง่ จะเป็ นสับเซตของ (−2, 4) ในข้อ 4.

4. ค่าของ sin (4 arctan 13) tan (2 arctan 17) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้


5 7 7 12 13
1. 24 2. 25 3. 24 4. 25
5. 25
ตอบ 2
2 tan 𝜃
มุมเป็ น arctan → จะใช้สตู ร sin 2𝜃 = 1+tan 2𝜃
1
1 1 2 tan(2 arctan )
3
sin (4 arctan 3) = sin (2 (2 arctan 3)) = 1 …(∗)
1+tan2(2 arctan )
3
1 1
1 1 2 tan(arctan ) 2( ) 2 9 3
หา tan (2 arctan 3) ไปแทนใน (∗) : tan (2 arctan 3) = 1
1−tan2(arctan )
3
= 3
1 2
= ∙
3 8
= 4
3 1−( )
3
3
1 2( ) 3 16 24
แทนใน (∗) จะได้ sin (4 arctan 3) = 4
3 2
= ∙
2 25
= 25
…(1)
1+( )
4
1 1
1 2 tan(arctan ) 2( ) 2 49 7
และที่เหลือ tan (2 arctan 7) = 1
1−tan2(arctan )
7
= 7
1 2
= ∙
7 48
= 24
…(2)
7 1−( )
7
1 1 24 7 7
แทน (1) และ (2) ในโจทย์ จะได้ sin (4 arctan 3) tan (2 arctan 7) = ∙
25 24
= 25

5. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง และให้ 𝑟1 = { (𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | 𝑦 = √3 − 𝑥 + √2 + 𝑥 }


𝑟2 = { (𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | |𝑦| = |𝑥| + 1 }
ถ้า 𝐴 เป็ นโดเมนของ 𝑟1 และ 𝐵 เป็ นเรนจ์ของ 𝑟2 แล้ว 𝐴 − 𝐵 เป็ นสับเซตของช่วงในข้อใดต่อไปนี ้
1. (−∞, −1] 2. (−2, 0] 3. (−1, 1] 4. (0, 2] 5. (1, ∞)
ตอบ 3
หาโดเมนของ 𝑟1 → ในรูทห้ามติดลบ จะได้ 3−𝑥 ≥ 0 และ 2+𝑥 ≥ 0
3 ≥ 𝑥 𝑥 ≥ −2
จะได้ 𝐴 = [−2, 3]
20 PAT 1 (ก.พ. 61)

หาเรนจ์ของ 𝑟2 → พิจารณาช่วงค่าของ |𝑥| แล้วจัดรูปให้เป็ น 𝑦 : |𝑥| ≥ 0 +1 ตลอด


|𝑥| + 1 ≥ 1 |𝑦| = |𝑥| + 1
|𝑦| ≥ 1
𝑦 ≥ 1 หรือ 𝑦 ≤ −1
จะได้ 𝐵 = (−∞, −1] ∪ [1, ∞)
𝐴 = [−2, 3] ดังนัน้ 𝐴 − 𝐵 = (−1, 1)
𝐵 = (−∞, −1] ∪ [1, ∞)
ซึง่ จะเป็ นสับเซตของ (−1, 1] ในข้อ 3.
−2 −1 1 3

2 sin 130°−cos 20° 𝜋 𝜋


6. ถ้า 𝐴 = arctan (
cos 290°
) แล้ว sin ( + 𝐴) cos ( − 𝐴)
6 6
เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
√3 1 1 √3
1. − 2
2. −2 3. 0 4. 2
5. 2
ตอบ 5
2 sin 130°−cos 20°
cos 290° เปลี่ยนมุมให้เป็ น Q1
2 sin 50°−cos 20°
=
cos 70°
โคฟังก์ชนั
sin 50°+sin 50°−sin 70°
= sin 20°
50°+70° 50°−70° 50°+10° 50°−10°
sin 50°+2 cos( ) sin( ) 2 cos( ) sin( )
2 2 2 2
= sin 20°
=
sin 20°
sin 50°+2 cos 60° sin(−10°) 2 cos 30° sin 20°
= =
sin 20° sin 20°
sin 50° − sin 10° √3
= sin 20° = 2( 2 ) = √3

ดังนัน้ 𝐴 = arctan √3 = 60°


𝜋 𝜋
จะได้ sin ( 6 + 𝐴) cos ( 6 − 𝐴) = sin(30° + 60°) cos(30° − 60°)
= sin( 90° ) cos( −30° )
√3 √3
= 1 ∙ 2
= 2

7. ถ้า 0 < 𝐴, 𝐵 < 𝜋2 สอดคล้องกับ (1 + tan 𝐴)(1 + tan 𝐵) = 2


แล้วค่าของ tan2 (𝐴+𝐵
2
) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 3 − 2√2 2. 3 + 2√2 3. 5 − 2√2
4. 1 + √2 5. 1 + 2√2
ตอบ 1
(1 + tan 𝐴)(1 + tan 𝐵) = 2
1 + tan 𝐴 + tan 𝐵 + tan 𝐴 tan 𝐵 = 2
tan 𝐴 + tan 𝐵 = 1 − tan 𝐴 tan 𝐵 …(∗)

แทนในสูตร tan(𝐴 + 𝐵) =
tan 𝐴+tan 𝐵
1−tan 𝐴 tan 𝐵
เนื่องจาก 0 < 𝐴, 𝐵 < 𝜋2
จาก (∗)
=
1−tan 𝐴 tan 𝐵 ดังนัน้ tan 𝐴 + tan 𝐵 > 0
1−tan 𝐴 tan 𝐵
ทัง้ สองฝั่งของ (∗) จึง ≠ 0
= 1
𝜋
จะได้ 𝐴+𝐵 = 45° (เนื่องจาก 0 < 𝐴, 𝐵 < 2 ดังนัน้ 0 < 𝐴 + 𝐵 < 𝜋)
PAT 1 (ก.พ. 61) 21

2
𝜃 1−cos 𝜃 𝐴+𝐵 45°
จากสูตร tan 2 = ±√1+cos 𝜃 จะได้ tan2 ( 2
) = tan2 ( 2
) = (±√1+cos 45°)
1−cos 45°

1
1−
√2
= 1
1+
√2

√2−1 √2−1
= ∙
√2+1 √2−1
2−2√2+1
= 2−1
= 3 − 2√2

8. ให้ 𝐸 เป็ นวงรีรูปหนึง่ มีจดุ ศูนย์กลางอยูท่ ี่จดุ (1, −2) และโฟกัสทัง้ สองอยูบ่ นเส้นตรงที่ขนานกับแกน 𝑥
ถ้า (4, 0) เป็ นจุดบน 𝐸 และผลบวกของระยะทางจากจุด (4, 0) ไปยังจุดโฟกัสทัง้ สองเท่ากับ 8 หน่วย
แล้ววงรี 𝐸 ผ่านจุดในข้อใดต่อไปนี ้
1. (4, 2) 2. (2, 4) 3. (2, −4) 4. (−2, −4) 5. (4, −2)
ตอบ 4
2 2
โฟกัสอยูบ่ นเส้นตรงที่ขนานแกน 𝑥 → เป็ นวงรีแนวนอน จะได้รูปสมการคือ (𝑥−ℎ)
𝑎2
(𝑦−𝑘)
+ 𝑏2 = 1 …(1)
ผลบวกระยะจากจุดบนวงรีไปยังโฟกัสทัง้ สอง จะเท่ากับความยาวแกนเอก (2𝑎) → ดังนัน้ 2𝑎 = 8
𝑎 = 4
2
(𝑥−1)2
จุดศูนย์กลาง (ℎ, 𝑘) = (1, −2) → แทน ℎ, 𝑘 และ 𝑎 ใน (1) จะได้ 42
+
(𝑦−(−2))
𝑏2
= 1
(𝑥−1)2 (𝑦+2)2
16
+ 𝑏2
= 1 …(2)
(4−1)2 (0+2)2
ผ่านจุด (4, 0) แสดงว่า 𝑥=4, 𝑦=0 ต้องทาให้สมการวงรีเป็ นจริง → 42
+ 𝑏2
= 1
9 4
+ = 1
16 𝑏2
4 7
𝑏2
= 16
64
= 𝑏2
7

(𝑥−1)2 (𝑦+2)2
แทน 𝑏2 ใน (2) จะได้สมการวงรีคอื 16
+ 64 = 1
7
(𝑥−1)2 7(𝑦+2)2
16
+ 64
= 1
ไล่แทนค่าในแต่ละตัวเลือก แล้วดูวา่ ตัวเลือกไหนทาให้สมการวงรีเป็ นจริง
2 7(2+2)2 2 (2−1)2 7(−4+2)2
7(4+2)2
1. (4−1)
16
+ 64 = 1 2. (2−1)
16
+ 64
= 1 3. 16
+ 64
= 1
9 7 1 63 1 7
+ = 1  + = 1  16
+ 16 = 1 
16 4 16 16
4. (−2−1)2
+
7(−4+2)2
= 1 5. (4−1)2
+
7(−2+2)2
= 1
16 64 16 64
9 7 9
16
+ 16
= 1  16
+ 0 = 1 
22 PAT 1 (ก.พ. 61)

9. ให้ 𝑎 เป็ นจานวนจริงที่สอดคล้องกับอสมการ log 3(5(6𝑎 ) − 22𝑎+1 ) > 2𝑎 + 1 ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง


1. 2𝑎 + 1 > 0 2. |𝑎| > 1 3. 𝑎
2 > 1
4. 1 < |𝑎 − 1| < 2 5. 2𝑎+1 < 1
ตอบ 4
log 3 (5(6𝑎 ) − 22𝑎+1 ) > 2𝑎 + 1
5(6)𝑎 − 22𝑎+1 > 32𝑎+1
5(2 ∙ 3)𝑎 − 22𝑎 ∙ 21 > 32𝑎 ∙ 31
5(2𝑎 ∙ 3𝑎 ) − 2(2𝑎 )2 > 3(3𝑎 )2
5(𝐴 ∙ 𝐵) − 2 𝐴2 > 3 𝐵2
0 > 3𝐵2 − 5𝐴𝐵 + 2𝐴2
0 > (3𝐵 − 2𝐴) (𝐵 − 𝐴)
0 > (3(3𝑎 ) − 2(2𝑎 ))(3𝑎 − 2𝑎 )
0 > (3𝑎+1 − 2𝑎+1 )(3𝑎 − 2𝑎 )
หาจุดที่ทาให้แต่ละวงเล็บเป็ น 0 3𝑎+1 − 2𝑎+1 = 0 3𝑎 − 2 𝑎 = 0
แล้วพล็อตลงบนเส้นจานวน 3𝑎+1 = 2𝑎+1 3𝑎 = 2𝑎
𝑎+1 = 0 𝑎 = 0
𝑎 = −1

พิจารณาเครือ่ งหมาย ตามช่วง จะได้ 3𝑎+1 − 2𝑎+1 : − + +


3𝑎 − 2𝑎 : − − +
(3𝑎+1 − 2𝑎+1 )(3𝑎 − 2𝑎 ) : + − + → 𝑎 ∈ (−1, 0)
−1 0

และหลัง log ต้องเป็ นบวก แต่จากการแก้อสมการ log 3 (5(6𝑎 ) − 22𝑎+1 ) > 2𝑎 + 1


5(6)𝑎 − 22𝑎+1 > 32𝑎+1 > 0 อยูแ่ ล้ว
จะได้คาตอบของอสมการคือ 𝑎 ∈ (−1, 0)
ลองแทนค่า 𝑎 ∈ (−1, 0) แล้วค่อยๆ ตัดตัวเลือกที่ไม่จริงออก → แทน 𝑎 = −0.5
1. 2(−0.5) + 1 > 0 2. |−0.5| > 1 3. 2−0.5 > 1
0 > 0  0.5 > 1  1
> 1
√2
1 > √2 
4. 1 < |−0.5 − 1| < 2 5. 2−0.5+1 < 1
1 < 1.5 < 2  √2 < 1 

1 2 −3 1
10. กาหนดให้ 𝐴 = [−1 3
] และ 𝐵 = [
𝑎 𝑏
] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
ถ้า (𝐴 − 𝐵)𝐵 = 𝐵(𝐴 − 𝐵) แล้วค่าของ det(𝐴 + 𝐵) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. − 32 2. − 12 3. 52 4. 72 5. 13
2
ตอบ 3
(𝐴 − 𝐵)𝐵 = 𝐵(𝐴 − 𝐵)
𝐴𝐵 − 𝐵2 = 𝐵𝐴 − 𝐵2
𝐴𝐵 = 𝐵𝐴
1 2 −3 1 −3 1 1 2
[ ][ ] = [ ][ ]
−1 3 𝑎 𝑏 𝑎 𝑏 −1 3
−3 + 2𝑎 1 + 2𝑏 −4 −3
[ ] = [ ]
3 + 3𝑎 −1 + 3𝑏 𝑎 − 𝑏 2𝑎 + 3𝑏
PAT 1 (ก.พ. 61) 23

เทียบสมาชิกแต่ละตาแหน่ง → จะเห็นว่าเทียบแถวที่ 1 ก็แก้หา 𝑎 , 𝑏 ได้แล้ว


−3 + 2𝑎 = −4 1 + 2𝑏 = −3
𝑎 = −0.5 𝑏 = −2
จะเห็นว่า 𝑎 , 𝑏 ที่ได้ ทาให้สมาชิกทีเ่ หลือในแถวที่ 2 ตรงกัน
3 + 3𝑎 = 𝑎−𝑏 −1 + 3𝑏 = 2𝑎 + 3𝑏
3 + 3(−0.5) = (−0.5) − (−2) −1 + 3(−2) = 2(−0.5) + 3(−2)
1.5 = 1.5  −7 = −7 

−3 1 1 2 −3 1 −2 3
แทนค่า 𝑎 , 𝑏 จะได้ 𝐵=[
−0.5 −2
] → ดังนัน้ 𝐴+𝐵 = [
−1 3
]+[
−0.5 −2
] = [
−1.5 1
]
5
จะได้ det(𝐴 + 𝐵) = (−2)(1) − (−1.5)(3) = 2.5 = 2

11. กาหนดให้เวกเตอร์ 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ − 2𝑘̅ ถ้า 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์ในสามมิติ โดยที่ (𝑏̅ + 𝑎̅) ∙ (𝑏̅ − 𝑎̅) = 10
และเวกเตอร์ 𝑎̅ ทามุม 60° กับเวกเตอร์ 𝑏̅ แล้วขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ × 𝑏̅ อยูใ่ นช่วงในข้อใดต่อไปนี ้
1. (0, 2] 2. (2, 4] 3. (4, 6] 4. (6, 8] 5. (8, 10]
ตอบ 5
(𝑏̅ + 𝑎̅) ∙ (𝑏̅ − 𝑎̅) = 10
𝑏 ∙ 𝑏 − 𝑏̅ ∙ 𝑎̅ + 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ − 𝑎̅ ∙ 𝑎̅
̅ ̅ = 10
𝑢̅ ∙ 𝑢̅ = |𝑢̅|2
𝑏̅ ∙ 𝑏̅ − 𝑎̅ ∙ 𝑎̅ = 10
2
|𝑏̅| − |𝑎̅|2 = 10
2 2 จาก 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ − 2𝑘̅
|𝑏̅| − (√6) = 10
2 จะได้ |𝑎̅| = √12 + 12 + (−2)2 = √6
|𝑏̅| = 16
|𝑏̅| = 4

จากสูตร |𝑎̅ × 𝑏̅| = |𝑎̅||𝑏̅| sin 𝜃


√3
= (√6)(4) sin 60° = (√6)(4) ( ) = 6√2 ≈ 6(1.4) = 8.4 ∈ (8, 10]
2
ในข้อ 5.

12. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และให้ 𝑃 = 𝑎𝑥 + 𝑏𝑦 เป็ นฟั งก์ชนั จุดประสงค์ ภายใต้อสมการข้อจากัด
ต่อไปนี ้ 𝑥 + 2𝑦 ≤ 12
𝑥+𝑦 ≥ 6
𝑥 − 2𝑦 ≥ 0
𝑥 ≥ 0 และ 𝑦 ≥ 0
ถ้า 𝑃 มีคา่ มากที่สดุ ทีจ่ ดุ 𝐴 และ 𝐵 โดยที่จดุ 𝐴 และจุด 𝐵 เป็ นจุดสองจุดที่ตา่ งกันอยูบ่ นเส้นตรง 𝑥 + 2𝑦 = 12
และเป็ นจุดมุมที่สอดคล้องกับอสมการที่กาหนดให้ แล้วข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. 𝑏 = 𝑎 2. 𝑏 = 2𝑎 3. 𝑏 = 3𝑎 4. 𝑏 = 4𝑎 5. 𝑏 = 5𝑎
ตอบ 2
สมมติให้พกิ ดั 𝐴 และ 𝐵 คือ (𝑥1, 𝑦1 ) และ (𝑥2, 𝑦2 )
𝑃 = 𝑎𝑥 + 𝑏𝑦 มีคา่ มากสุด ที่ 𝐴 และ 𝐵 เท่ากัน จะได้วา่ 𝑎𝑥1 + 𝑏𝑦1 = 𝑎𝑥2 + 𝑏𝑦2
𝑎𝑥1 − 𝑎𝑥2 = 𝑏𝑦2 − 𝑏𝑦1
𝑎(𝑥1 − 𝑥2 ) = 𝑏(𝑦2 − 𝑦1 ) …(∗)
24 PAT 1 (ก.พ. 61)

โจทย์ให้ 𝐴 และ 𝐵 อยูบ่ น 𝑥 + 2𝑦 = 12 ดังนัน้ 𝑥1 + 2𝑦1 = 12 …(1)


𝑥2 + 2𝑦2 = 12 …(2)
(1) − (2) : 𝑥1 − 𝑥2 + 2𝑦1 − 2𝑦2 = 0
𝑥1 − 𝑥2 = 2𝑦2 − 2𝑦1
𝑥1 − 𝑥2 = 2(𝑦2 − 𝑦1 )
แทนค่า 𝑥1 − 𝑥2 ใน (∗) จะได้ 𝑎(2)(𝑦2 − 𝑦1 ) = 𝑏(𝑦2 − 𝑦1 ) จุดที่ตา่ งกันบนเส้นตรง จะมี 𝑦1 ≠ 𝑦2
2𝑎 = 𝑏 ทาให้ หารตลอดด้วย 𝑦2 − 𝑦1 ได้

13. กาหนดให้ 𝑆 เป็ นปริภมู ิตวั อย่าง และ 𝑃(𝐸) แทนความน่าจะเป็ นของเหตุการณ์ 𝐸
และ 𝐸′ แทนคอมพลีเมนต์ของเหตุการณ์ 𝐸 ถ้า 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเหตุการณ์ใน 𝑆 โดยที่ 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 0.8
และ 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵) = 0.4 แล้วค่าของ 𝑃(𝐴′ ) + 𝑃(𝐵′ ) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 0.4 2. 0.6 3. 0.8 4. 1.2 5. 1.6
ตอบ 3
จากสมบัติของความน่าจะเป็ น จะได้ 𝑃(𝐴′ ) = 1 − 𝑃(𝐴)
𝑃(𝐵′ ) = 1 − 𝑃(𝐵)
ดังนัน้ 𝑃(𝐴′ ) + 𝑃(𝐵′ ) = 1 − 𝑃(𝐴) + 1 − 𝑃(𝐵)
= 2 − (𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵)) …(∗)
จากสูตร Inclusive – Exclusive จะได้ 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵) − 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵)
0.8 = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵) − 0.4
1.2 = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵)
แทนใน (∗) จะได้ 𝑃(𝐴′ ) + 𝑃(𝐵′ ) = 2 − 1.2 = 0.8

2√𝑥 𝑥 2 −23+√𝑥 √𝑥
14. lim
x 4 √𝑥−2
มีคา่ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 32 2. 64 3. 80 4. 96 5. 128
ตอบ 4
2 2
2√𝑥 𝑥 2 −23+√𝑥 √𝑥 2√𝑥 (√𝑥 ) −23 2√𝑥 √𝑥
lim = lim
x 4 √𝑥−2 x 4 √𝑥−2
4
2√𝑥 √𝑥 − 232√𝑥 √𝑥
= lim
x 4 √𝑥−2
3
ดึงตัวร่วม 2√𝑥 √𝑥
2√𝑥 𝑥 (√𝑥 − 23 )
= lim √ 𝑥−2
x 4 √
2 𝑎3 − 𝑏 3 = (𝑎 − 𝑏)(𝑎2 + 𝑎𝑏 + 𝑏 2 )
2√𝑥 √𝑥 (√𝑥−2)(√𝑥 +2√𝑥+22)
= lim
x 4 √𝑥−2
2
= lim 2√𝑥 √𝑥 (√𝑥 + 2√𝑥 + 22 )
x 4
2
= 2√4 √4 (√4 + 2√4 + 22 ) = 8(4 + 4 + 4) = 96
PAT 1 (ก.พ. 61) 25

15. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓 ′ (𝑥) = 2𝑎𝑥 + 𝑏√𝑥 + 1
เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ถ้า 𝑓(0) = 1 และ 𝑓 ′ (1) = 𝑓 ′(4) = 0 แล้ว (𝑓 ∘ 𝑓)(4) มีคา่ เท่ากับ
ข้อใดต่อไปนี ้
1. 1.25 2. 1.75 3. 2.25 4. 2.75 5. 3.25
ตอบ 1
จาก 𝑓′(1) = 0 𝑓′(4) = 0
2𝑎(1) + 𝑏√1 + 1 = 0 2𝑎(4) + 𝑏√4 + 1 = 0
2𝑎 + 𝑏 + 1 = 0 …(1) 8𝑎 + 2𝑏 + 1 = 0 …(2)
กาจัด 𝑎 → 4×(1) − (2) : (8𝑎 + 4𝑏 + 4) − (8𝑎 + 2𝑏 + 1) = 0
2𝑏 + 3 = 0
3
𝑏 = −
2
3
แทน 𝑏 ใน (1) : 2𝑎 + (− 2) + 1 = 0
1
2𝑎 = 2
1
𝑎 = 4

1 3 1 3 1
แทนค่า 𝑎, 𝑏 ใน 𝑓 ′ (𝑥) จะได้ 𝑓 ′ (𝑥) = 2 (4) 𝑥 − 2 √𝑥 + 1 = 2
𝑥 − 2
𝑥2 + 1
3
1 2
อินทิเกรต จะได้ 𝑓(𝑥) = 4
𝑥 − 𝑥2 + 𝑥 + 𝑐
และจาก 𝑓(0) = 1
3
1
4
(02 ) − 0 +0+𝑐 = 1
2
3
1 2
𝑐 = 1 จะได้ 𝑓(𝑥) = 4
𝑥 − 𝑥2 + 𝑥 + 1
3
1
ดังนัน้ (𝑓 ∘ 𝑓)(4) = 𝑓(𝑓(4)) = 𝑓 ( (42 ) − 42 + 4 + 1)
4
= 𝑓( 4 − 8 + 4 + 1)
= 𝑓( 1 )
3
1
= 4
(12 ) −
12 + 1 + 1
= 0.25 − 1 + 1 + 1 = 1.25

16. กาหนดให้ 𝐴𝐵𝐶 เป็ นรูปสามเหลีย่ ม โดยมีความยาวของเส้นรอบรูปสามเหลีย่ มเท่ากับ 60 หน่วย


ถ้าความยาวของด้านตรงข้ามมุม 𝐴 และมุม 𝐵 เท่ากับ 𝑎 หน่วย และ 𝑏 หน่วย ตามลาดับ
แล้วค่าของ 𝑎 sin2 (𝐴+𝐶
2
𝐵+𝐶
) + 𝑏 sin2 ( 2 ) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 30 2. 30 + 𝑎 3. 60
4. 60 + 𝑎 + 𝑏 5. 150
ตอบ 1
𝐴+𝐶 𝐵+𝐶
𝑎 sin2 ( 2
) + 𝑏 sin2 ( 2 ) 𝜃 1−cos 𝜃
sin = ±√
1−cos(𝐴+𝐶) 1−cos(𝐵+𝐶) 2 2
= 𝑎∙ 2
+𝑏∙ 2
cos(180° − 𝜃) = − cos 𝜃
1+cos(180°−(𝐴+𝐶)) 1+cos(180°−(𝐵+𝐶))
= 𝑎∙ +𝑏∙
2 2
1+cos 𝐵 1+cos 𝐴
มุมในสามเหลี่ยม 𝐴 + 𝐵 + 𝐶 = 180°
= 𝑎 ∙ 2 +𝑏∙ 2
𝑎 + 𝑎 cos 𝐵 + 𝑏 + 𝑏 cos 𝐴
= …(∗)
2
26 PAT 1 (ก.พ. 61)

พิจารณา ∆𝐴𝐵𝐶 ลาก ̅̅̅̅ 𝐴𝐵 ดังรู ป


𝐶𝐷 ⊥ ̅̅̅̅ 𝐶

ใน ∆𝐴𝐶𝐷 จะได้ 𝐴𝐷 = 𝑏 cos 𝐴


𝑏 𝑎
ใน ∆𝐵𝐶𝐷 จะได้ 𝐷𝐵 = 𝑎 cos 𝐵
ดังนัน้ 𝐴𝐷 + 𝐷𝐵 = 𝑏 cos 𝐴 + 𝑎 cos 𝐵 𝐴 𝐵
𝑐 = 𝑏 cos 𝐴 + 𝑎 cos 𝐵 𝐷
𝑐

𝑎 + 𝑎 cos 𝐵 + 𝑏 + 𝑏 cos 𝐴 𝑎+𝑐+𝑏


แทนใน (∗) จะได้ 2
= 2 โจทย์ให้เส้นรอบรูป = 60
60
= 2
= 30

17. ให้จดุ 𝐴 เป็ นจุดบนเส้นตรง 3𝑥 + 𝑦 + 4 = 0 โดยที่จดุ 𝐴 ห่างจากจุด (−5, 6) และจุด (3, 2) เป็ นระยะเท่ากัน
ให้ 𝐿1 และ 𝐿2 เป็ นเส้นตรงสองเส้นที่ตา่ งกันและขนานกับเส้นตรง 5𝑥 + 12𝑦 = 0
ถ้าจุด 𝐴 อยูห่ า่ งจากเส้นตรง 𝐿1 และ 𝐿2 เป็ นระยะเท่ากับ 2 หน่วย
แล้วผลบวกของระยะตัดแกน 𝑥 ของเส้นตรง 𝐿1 และ 𝐿2 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. −5.6 2. −2.8 3. 2.8 4. 5.6 5. 8.4
ตอบ 4
ให้พิกดั ของ 𝐴 คือ (𝑎, 𝑏) โจทย์ให้ 𝐴 อยูบ่ นเส้นตรง 3𝑥 + 𝑦 + 4 = 0 ดังนัน้ 3𝑎 + 𝑏 + 4 = 0 …(1)
𝐴 ห่างจาก (−5, 6) และ (3, 2) เท่ากัน → √(𝑎 − (−5))2 + (𝑏 − 6)2 = √(𝑎 − 3)2 + (𝑏 − 2)2
(𝑎 + 5)2 + (𝑏 − 6)2 = (𝑎 − 3)2 + (𝑏 − 2)2
(𝑎 + 5)2 − (𝑎 − 3)2 = (𝑏 − 2)2 − (𝑏 − 6)2
น2 − ล2 = (น − ล)(น + ล)
(8)(2𝑎 + 2) = (4)(2𝑏 − 8)
÷ 8 ตลอด
2𝑎 + 2 = 𝑏−4
2𝑎 − 𝑏 + 6 = 0 …(2)
(1) + (2) : 5𝑎 + 10 = 0
𝑎 = −2
แทนค่า 𝑎 ใน (2) : 2(−2) − 𝑏 + 6 = 0
2 = 𝑏 → จะได้พิกดั 𝐴 คือ (−2, 2)
𝐿1 , 𝐿2 ขนานกับ 5𝑥 + 12𝑦 = 0 → 𝐿1 , 𝐿2 ต้องอยูใ่ นรูป 5𝑥 + 12𝑦 + 𝐶 = 0
|5(−2)+12(2)+𝐶|
𝐴(−2, 2) ห่างจาก 𝐿1 , 𝐿2 เป็ นระยะ 2 หน่วย → = 2
√52 +122
|14+𝐶|
13
= 2
|14 + 𝐶| = 26
14 + 𝐶 = 26 , −26
𝐶 = 12 , −40
จะได้ 𝐿1 , 𝐿2 คือ 5𝑥 + 12𝑦 + 12 = 0 และ 5𝑥 + 12𝑦 − 40 = 0
หาระยะตัดแกน 𝑥 ต้องแทน 𝑦 = 0 → 5𝑥 + 12(0) + 12 = 0 5𝑥 + 12(0) − 40 = 0
12 𝑥 = 8
𝑥 =− 5

12
จะได้ผลบวกระยะตัดแกน 𝑥 คือ −
5
+ 8 = −2.4 + 8 = 5.6
PAT 1 (ก.พ. 61) 27

1+7𝑖 1+3𝑖
18. ให้ 𝑧1 = (2−𝑖) 2 และ 𝑧2 = 1−2𝑖 เมื่อ 𝑖 = −1
2

ถ้า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ที่สอดคล้องกับ |𝑎𝑧1 + 𝑏𝑧̅2 | = 2 แล้วค่าของ 𝑎2 + 𝑏 2 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้


1. 1 2. 2 3. 4 4. 8 5. 12
ตอบ 2
1+7𝑖 1+3𝑖 1+2𝑖
จัดรูป 𝑧1, 𝑧2 : 𝑧1 = (2−𝑖) 2 𝑧2 = 1−2𝑖 ∙ 1+2𝑖
1+7𝑖 1+5𝑖+6𝑖 2
= 4−4𝑖+𝑖 2
= 1−4𝑖 2
1+7𝑖 3+4𝑖 −5+5𝑖
= ∙ =
3−4𝑖 3+4𝑖 5
3+25𝑖+28𝑖 2 = −1 + 𝑖
=
9−16𝑖 2
−25+25𝑖
= 25
= −1 + 𝑖

แทนใน | 𝑎𝑧1 + 𝑏𝑧̅2 | = 2


̅̅̅̅̅̅̅̅̅̅̅
|𝑎(−1 + 𝑖) + 𝑏(−1 + 𝑖)| = 2
|𝑎(−1 + 𝑖) + 𝑏(−1 − 𝑖)| = 2
| −𝑎 + 𝑎𝑖 − 𝑏 − 𝑏𝑖 | = 2
| (−𝑎 − 𝑏) + (𝑎 − 𝑏)𝑖 | = 2
√(−𝑎 − 𝑏)2 + (𝑎 − 𝑏)2 = 2
𝑎2 + 2𝑎𝑏 + 𝑏 2 + 𝑎2 − 2𝑎𝑏 + 𝑏 2 = 4
2𝑎2 + 2𝑏 2 = 4
𝑎2 + 𝑏 2 = 2

19. จากการสารวจรายได้และรายจ่ายของพนักงานบริษัทแห่งหนึง่ จานวน 8 คน ดังนี ้


พนักงานคนที่ 1 2 3 4 5 6 7 8
รายได้ (𝑥)
𝑥1 𝑥2 𝑥3 𝑥4 𝑥5 𝑥6 𝑥7 𝑥8
(หน่วยหมื่นบาท)
รายจ่าย (𝑦)
𝑦1 𝑦2 𝑦3 𝑦4 𝑦5 𝑦6 𝑦7 𝑦8
(หน่วยหมื่นบาท)

ปรากฏว่ารายได้ (𝑥) และรายจ่าย (𝑦) มีความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชนั แบบเส้นตรงเป็ น 𝑦 = 8𝑥 + 13.5


8 8
ถ้า  𝑦𝑖 = 492 และ  𝑥𝑖 𝑦𝑖 = 3432 แล้วความแปรปรวนของรายได้ของพนักงาน 8 คนนี ้
i1 i1

เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 6.5 2. 7.5 3. 8.5 4. 9.5 5. 10.5
ตอบ 2
จากความสัมพันธ์ 𝑦 = 8𝑥 + 13.5 จะได้ 𝑏 = 8 และ 𝑎 = 13.5
มีพนักงาน 8 คน → 𝑛 = 8
แทนข้อมูลทัง้ หมดในสูตรระบบสมการ ∑ 𝑦 = 𝑎𝑛 + 𝑏 ∑ 𝑥 จะได้ 492 = (13.5)(8) + 8 ∑ 𝑥 …(1)
2
∑ 𝑥𝑦 = 𝑎 ∑ 𝑥 + 𝑏 ∑ 𝑥 3432 = (13.5) ∑ 𝑥 + 8 ∑ 𝑥 2 …(2)
28 PAT 1 (ก.พ. 61)

จาก (1) : 492 = 108 + 8 ∑ 𝑥 จาก (2) : 3432 = (13.5)(48) + 8 ∑ 𝑥 2


384 = 8∑𝑥 429 = (13.5)( 6 ) + ∑ 𝑥 2
48 = ∑𝑥 429 = 81 + ∑ 𝑥2
348 = ∑ 𝑥2
∑ 𝑥2 ∑𝑥 2 348 48 2
จากสูตรความแปรปรวน จะได้ 𝑠 2 รายได้ = 𝑁
−(𝑁) = 8
− ( 8
) = 43.5 − 36 = 7.5

20. กาหนดตารางแสดงพืน้ ที่ใต้เส้นโค้งปกติมาตรฐานระหว่าง 0 ถึง 𝑧 ดังนี ้


𝑧 0.35 0.5 0.85 1.00 1.20
พืน้ ที่ใต้เส้นโค้ง 0.1368 0.1915 0.3023 0.3413 0.3849
จากการสอบถามอายุของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนแห่งหนึง่ พบว่าอายุของนักเรียนมีการแจกแจง
ปกติ มีนกั เรียนร้อยละ 30.85 ที่มีอายุมากกว่า 17 ปี และมีนกั เรียนร้อยละ 53.28 ที่มีอายุตงั้ แต่ 14 ปี แต่ไม่เกิน
17 ปี แล้วสัมประสิทธิ์การแปรผันของอายุนกั เรียนกลุม่ นีเ้ ท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 0.125 2. 1.25 3. 4.0 4. 8.0 5. 12.5
ตอบ 1
มากกว่า 17 ปี คิดเป็ น 30.85% = พืน้ ที่ 0.3085 ที่แรเงาทางขวา ดังรูป = 0.5 − 0.3085
= 0.1915
แต่พนื ้ ที่ที่ใช้เปิ ดตาราง คือพืน้ ที่ทวี่ ดั จากแกนกลาง
0.3085
ครึง่ ขวาทัง้ หมด = 0.5 → พืน้ ที่ที่ใช้เปิ ดตาราง = 0.5 – 0.3085 = 0.1915
จากตาราง เมื่อพืน้ ที่ = 0.1915 จะได้ 𝑧 = 0.5 𝑥 = 17
จากสูตร 𝑧 = 𝑥 −𝑠 𝑥̅ จะได้ 0.5 = 17𝑠− 𝑥̅ …(1)

14 ปี ถึง 17 ปี คิดเป็ น 53.28% = พืน้ ที่ 0.5328 ที่แรเงา = 0.5328 − 0.1915 0.1915
= 0.3413
0.5328 มากกว่า 0.1915 อยู่ 0.3413 → จะล้นมาทางซ้ายดังรูป
นับจากแกนกลาง จะได้พนื ้ ที่ที่ใช้เปิ ดตาราง = 0.3413 → 𝑧 = 1
แต่เป็ นพืน้ ที่ฝ่ ังซ้าย 𝑧 ต้องติดลบ จะได้ 𝑧 = −1 จะได้ −1 = 14𝑠− 𝑥̅ …(2) 𝑥 = 14 𝑥 = 17
−1 14 − 𝑥̅ 𝑠
(2) ÷ (1) : 0.5
= 𝑠
∙ 17 − 𝑥̅
14 − 𝑥̅
−2 = 17 − 𝑥̅ 14−16
−34 + 2𝑥̅ = 14 − 𝑥̅ แทน 𝑥̅ ใน (2) : −1 = 𝑠
3𝑥̅ = 48 −𝑠 = −2
𝑥̅ = 16 𝑠 = 2

จะได้สมั ประสิทธิ์การแปรผัน =
𝑠
𝑥̅
=
2
16
=
1
8
= 0.125

21. กาหนดข้อมูล 𝑥1, 𝑥2, 𝑥3, 𝑥4 โดยที่ 0 < 𝑥1 ≤ 𝑥2 ≤ 𝑥3 ≤ 𝑥4 ถ้าข้อมูลชุดนีม้ คี า่ เฉลีย่ เลขคณิตเท่ากับ 7
พิสยั เท่ากับ 9 และ มัธยฐานและฐานนิยมมีคา่ เท่ากัน และมีคา่ เท่ากับ 6 แล้วสัมประสิทธิ์สว่ นเบี่ยงเบนควอไทล์
ของข้อมูลชุดนี ้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 193 2. 195 3. 196 4. 20 7
5. 209
ตอบ 5
มัธยฐาน = ฐานนิยม = 6 แสดงว่า 6 เป็ นตัวตรงกลางทีซ่ า้ มากสุด → จะได้ขอ้ มูลต้องอยูใ่ นรูป 𝑥1 , 6 , 6 , 𝑥4
PAT 1 (ก.พ. 61) 29

ค่าเฉลีย่ เลขคณิต = 7 → จะได้ 𝑥1 +6+6+𝑥4


4
= 7
𝑥1 + 12 + 𝑥4 = 28
𝑥1 + 𝑥4 = 16 …(1)
พิสยั = 9 → จะได้ 𝑥4 − 𝑥1 = 9 …(2)
(1) + (2) : 2𝑥4 = 25
𝑥4 = 12.5 → แทนใน (1) : 𝑥1 + 12.5 = 16
𝑥1 = 3.5

จะได้ขอ้ มูลคือ 3.5 , 6 , 6 , 12.5 → หา สปส QD จากสูตร 𝑄𝑄3−𝑄 1


3 +𝑄1

𝑄3 จะอยูต ่ าแหน่งที่ 34 ∙ (4 + 1) = 3.75 → 𝑄3 = ตัวที่ 3 + 0.75 × (ตัวที่ 4 − ตัวที่ 3)


= 6 + 0.75 × (12.5 − 6)
= 6 + 4.875 = 10.875
1
𝑄1 จะอยูต
่ าแหน่งที่ 4
∙ (4 + 1) = 1.25 → 𝑄1 = ตัวที่ 1 + 0.25 × (ตัวที่ 2 − ตัวที่ 1)
= 3.5 + 0.25 × ( 6 − 3.5 )
= 3.5 + 0.625 = 4.125
10.875−4.125 6.75 4 9
ดังนัน้ สปส QD = 10.875+4.125
= 15
= 0.45 = 100
= 20

22. ถ้า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ที่สอดคล้องกับ log 𝑎3 𝑏 2𝑛 = 1 , log 𝑎2𝑛 𝑏3 = 1
และ log 𝑎𝑛 𝑏𝑛 = 67 แล้ว 𝑛 log 𝑎𝑛 − log 𝑏2𝑛 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 17 2. 67 3. 1 4. 2 5. 3
ตอบ 5
จาก log 𝑎3 𝑏2𝑛 = 1 และ log 𝑎2𝑛 𝑏3 = 1
log เป็ น 1 : 1
𝑎3 𝑏 2𝑛 = 𝑎2𝑛 𝑏3
𝑏 2𝑛−3 = 𝑎2𝑛−3 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ทาให้ 2𝑛 − 3 ≠ 0
𝑏 = 𝑎 และ 𝑎, 𝑏 เป็ นบวก
6
แทน 𝑏=𝑎 ใน log 𝑎𝑛 𝑏 𝑛 = 7
และจาก log 𝑎3 𝑏 2𝑛 = 1
6 log 𝑎3 𝑎2𝑛 = 1
log 𝑎𝑛 𝑎𝑛 = 7 log 𝑎3 + log 𝑎2𝑛 = 1
6 6
log 𝑎2𝑛 = 3 log 𝑎 + = 1
7 7
6 1
2𝑛 log 𝑎 = …(∗) log 𝑎 =
7 21

1 1 6
แทน log 𝑎 = 21ใน (∗) จะได้ 2𝑛 (21) = 7
𝑛 = 9
ดังนัน้ 𝑛 log 𝑎𝑛 − log 𝑏 2𝑛 = 9 log 𝑎9 − log 𝑎2(9)
= 81 log 𝑎 − 18 log 𝑎
1
= 63 log 𝑎 = 63 (21) = 3
30 PAT 1 (ก.พ. 61)

23. ให้ 𝐻 เป็ นไฮเพอร์โบลาที่มีแกนสังยุคอยูบ่ นเส้นตรง 𝑥 = 1 และมีจดุ ยอดจุดหนึง่ อยูท่ ี่ (0, 2) ถ้า 𝐻 ผ่านจุด
ศูนย์กลางของวงรีซงึ่ มีสมการเป็ น 5𝑥 2 − 30𝑥 + 9𝑦 2 = 0 แล้วสมการของไฮเพอร์โบลา 𝐻 ตรงกับข้อใดต่อไปนี ้
1. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 + 12𝑦 − 12 = 0 2. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 + 12𝑦 − 13 = 0
3. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 − 6𝑦 − 12 = 0 4. 3𝑥 2 − 4𝑦 2 − 6𝑥 + 16𝑦 − 17 = 0
5. 3𝑥 2 − 4𝑦 2 − 6𝑥 + 8𝑦 − 17 = 0
ตอบ 1
𝑥=1
จากข้อมูลแกนสังยุค กับจุดยอด จะวาดได้ดงั รูป
ซึง่ เป็ นไฮเพอร์โบลาแนวนอน โดยมี จุดศูนย์กลาง (ℎ, 𝑘) = (1, 2) V1(0, 2)

𝑎 = ระยะจากจุดศูนย์กลาง (1, 2) ไป V1(0, 2) → 𝑎 = 1


(𝑥−ℎ)2 (𝑦−𝑘)2 (𝑥−1)2 (𝑦−2)2
แทน ℎ, 𝑘, 𝑎 ในรูปสมการไฮเพอร์โบลาแนวนอน 𝑎2

𝑏2
= 1 จะได้ 12

𝑏2
= 1 …(∗)
โจทย์ให้ 𝐻 ผ่านจุดศูนย์กลาง ของ 5𝑥 2 − 30𝑥 + 9𝑦 2 = 0
5(𝑥 2 − 6𝑥) + 9𝑦 2 = 0
5(𝑥 2 − 6𝑥 + 9) + 9𝑦 2 = 5(9)
5(𝑥 − 3)2 + 9𝑦 2 = 45
(𝑥−3)2 (𝑦−0)2
9
+ 5
= 1 → จุดศูนย์กลาง คือ (3, 0)
(3−1)2 (0−2)2
ดังนัน้ (3, 0) ต้องแทนใน (∗) แล้วเป็ นจริง : 12
− 𝑏2
= 1
4
4 − 𝑏2
= 1
4
3 =
𝑏2
4
𝑏2 = 3
(𝑥−1)2 (𝑦−2)2
แทน 𝑏2 ใน (∗) จะได้สมการของ 𝐻 คือ 12

4/3
= 1
𝑥 2 −2𝑥+1 3(𝑦 2 −4𝑦+4)
− = 1
1 4
4(𝑥 2 − 2𝑥 + 1) − 3(𝑦 2 − 4𝑦 + 4) = 4
4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 + 12𝑦 − 12 = 0

24. ให้ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , … เป็ นลาดับเรขาคณิตของจานวนเต็มบวก โดยที่ มีผลบวกของพจน์ที่สองและพจน์ที่สี่


เท่ากับ 60 และพจน์ที่สามเท่ากับ 18 และให้ 𝑆𝑛 เป็ นผลบวก 𝑛 พจน์แรกของลาดับ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , …
แล้วค่าของ 𝑆𝑆8 + 𝑆𝑆4 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
4 2

1. 17281
2. 3716
3. 22 4. 88 5. 92
ตอบ 5
𝑎1 (𝑟8 −1) 𝑎1 (𝑟4 −1)
𝑎1 (𝑟 𝑛 −1) 𝑆8 𝑆4
จากสูตรอนุกรมเรขาคณิต 𝑆𝑛 = 𝑟−1
จะได้ 𝑆4
+ 𝑆2
= 𝑟−1
𝑎1 (𝑟4 −1)
𝑟−1
+ 𝑎1(𝑟 2 −1)
𝑟−1 𝑟−1
𝑟 8 −1 𝑟 4 −1
= +
𝑟 4 −1 𝑟 2 −1
(𝑟 4 −1)(𝑟 4 +1) (𝑟 2 −1)(𝑟 2 +1)
= +
𝑟 4 −1 𝑟 2 −1
= 𝑟4 + 1 + 𝑟 +1 2

= 𝑟4 + 𝑟2 + 2 …(∗)
PAT 1 (ก.พ. 61) 31

ลาดับเรขาคณิต แต่ละพจน์จะเพิม่ อย่างคงที่ โดยการคูณ 𝑟 ×𝑟 ×𝑟


18
โจทย์ให้ 𝑎3 = 18 ดังนัน้ พจน์ 𝑎2 , 𝑎3 , 𝑎4 จะอยูใ่ นรูป 𝑟
, 18 , 18𝑟

โจทย์ให้ พจน์ที่สอง + พจน์ที่สี่ เท่ากับ 60 →


18
𝑟
+ 18𝑟 = 60
18 + 18𝑟 2 = 60𝑟
3 + 3 𝑟2 = 10𝑟
2
3𝑟 − 10𝑟 + 3 = 0
(3𝑟 − 1)(𝑟 − 3) = 0
1
𝑟 = 3
, 3
แต่ 𝑟 เป็ น 13 ไม่ได้ เพราะจะทาให้พจน์ที่อยูห่ ลังๆ ไม่เป็ นจานวนเต็มบวก → จะได้ 𝑟=3
แทน 𝑟 = 3 ใน (∗) จะคาตอบ = 34 + 32 + 2 = 92

25. กาหนดให้ 𝒰 = { −5, −4, 0, 1, 2, 3, 4 }


𝐴 = { 𝑥 ∈ 𝒰 | 2𝑥 − 1 ∉ 𝒰 }
𝐵 = { 𝑥 ∈ 𝒰 | 𝑥 2 > 5𝑥 }
𝐶 = { 𝑥 ∈ 𝒰 | √𝑥 + 1 ∈ 𝒰 }
จานวนสมาชิกของเซต (𝐴 − 𝐶) × (𝐵 ∪ 𝐶) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 6 2. 10 3. 12 4. 20 5. 24
ตอบ 3
𝑥 2𝑥 − 1 𝑥 𝑥 2 > 5𝑥 𝑥 √𝑥 + 1
−5 −11 ∉𝒰 −5 25 > −25  −5 -
−4 −9 ∉𝒰 −4 16 > −20  −4 -
0 −1 ∉𝒰 0 0>0 0 1 ∈𝒰
1 1 1 1>5 1 √2
2 3 2 4 > 10 2 √3
3 5 ∉𝒰 3 9 > 15
3 2 ∈𝒰
4 7 4 16 > 20
∉𝒰 4 √5
𝐴 = {−5, −4, 0, 3, 4} 𝐵 = {−5, −4} 𝐶 = {0, 3}
ดังนัน้ 𝐴 − 𝐶 = {−5, −4, 4} →มีสมาชิก 3 ตัว
𝐵 ∪ 𝐶 = {−5, −4, 0, 3} → มีสมาชิก 4 ตัว 𝑛(𝑋 × 𝑌) = 𝑛(𝑋) × 𝑛(𝑌)
จะได้ (𝐴 − 𝐶) × (𝐵 ∪ 𝐶) มีสมาชิก 3 × 4 = 12 ตัว
3
2
1 −1
1
26. กาหนดให้ 𝐴 เป็ นเมทริกซ์มติ ิ 3 × 3 โดยที่ det 𝐴 = 4
และ 𝐵 = [0 2 0] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
𝑎 0 𝑏
ถ้า 2𝐴𝐵 + 3𝐼 = 𝐴 เมื่อ 𝐼 เป็ นเมทริกซ์เอกลักษณ์การคูณมิติ 3 × 3 แล้วค่าของ 𝑎 + 𝑏 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
3
1. 2
2. − 52 3. 12 4. − 17
2
5. 192
ตอบ 4
2𝐴𝐵 + 3𝐼 = 𝐴
2𝐴𝐵 − 𝐴 = −3𝐼
(𝐴) (2𝐵 − 𝐼) = −3𝐼
det 𝐴 ∙ det(2𝐵 − 𝐼) = det(−3𝐼)
32 PAT 1 (ก.พ. 61)

3 2 −2 1 0 0 −3 0 0
1
(4) ∙ det([ 0 4 0 ] − [0 1 0]) = det [ 0 −3 0 ]
2𝑎 0 2𝑏 0 0 1 0 0 −3
2 2 −2
1
(4) ∙ det( [0 3 0 ] ) = −27
2𝑎 0 2𝑏 − 1
(12𝑏 − 6) − (−12𝑎) = −108
12𝑏 + 12𝑎 = −102
102 17
𝑏 + 𝑎 = − 12 = −2

27. ให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของเซตของจานวนจริง


โดยที่ 𝑓(𝑥) = 𝑥+1𝑥−1
สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥 ≠ 1 และ 𝑔(𝑥) = 6𝑥 + 5 สาหรับทุกจานวนจริง 𝑥
ถ้า 𝑎 เป็ นจานวนจริงที่ 𝑎 ≠ 1 และ 𝑔(𝑓(𝑎)) = 𝑔−1 (𝑓(𝑎))
แล้ว 𝑓(𝑔−1 (𝑎)) + 𝑓(𝑔(𝑎)) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 3122
2. 1611
3. 37 22
4. 20
11
5. 41
22
ตอบ 1
หา 𝑔−1 : 𝑦 = 6𝑥 + 5 หาอินเวอร์ส → สลับ 𝑥, 𝑦
𝑥 = 6𝑦 + 5
𝑥−5 𝑥−5
6
= 𝑦 → จะได้ 𝑔−1 (𝑥) =
6
จาก 𝑔(𝑓(𝑎)) = 𝑔−1 (𝑓(𝑎))
𝑓(𝑎)−5 𝑎+1
6𝑓(𝑎) + 5 = = −1
6 𝑎−1
36𝑓(𝑎) + 30 = 𝑓(𝑎) − 5 𝑎+1 = −𝑎 + 1
35𝑓(𝑎) = −35 2𝑎 = 0
𝑓(𝑎) = −1 𝑎 = 0

ดังนัน้ 𝑓(𝑔−1 (𝑎)) + 𝑓(𝑔(𝑎)) = 𝑓(𝑔−1 (0)) + 𝑓(𝑔(0))


0−5
= 𝑓( ) + 𝑓(6(0) + 5)
6
5
= 𝑓 (− 6) + 𝑓(5)
5
− +1 5+1
6
= 5 +
− −1 5−1
6
1
6 6 1 3 31
= 11 + 4
= − 11 + 2 = 22

6
PAT 1 (ก.พ. 61) 33

3 + 5𝑎(𝑛) เมื่อ 𝑎(𝑛) ≤ 5


28. กาหนดให้ 𝑎(0) = 1 และสาหรับ 𝑛 = 0, 1, 2, 3, … ให้ 𝑎(𝑛 + 1) = { 1
2 + 5 𝑎(𝑛) เมื่อ 𝑎(𝑛) > 5
พิจารณาข้อความต่อไปนี ้
ก. 𝑎(3) − 𝑎(1) เป็ นจานวนเฉพาะ
ข. 𝑎(4) > 𝑎(5)
ค. 𝑎(7) = 146 25
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ
ตอบ 4
ใช้แรงลุยหา 𝑎(1) , 𝑎(2) , … ไปเรือ่ ยๆ จนถึง 𝑎(7)
โจทย์ให้ 𝑎(0) = 1 ≤ 5 → แทน 𝑛 = 0 จะใช้เงื่อนไขบน : 𝑎(0 + 1) = 3 + 5 𝑎(0)
𝑎(1) = 3 + 5(1) = 8
จาก 𝑎(1) = 8 > 5 → แทน 𝑛 = 1 จะใช้เงื่อนไขล่าง : 𝑎(1 + 1) = 2 + 5 𝑎(1)
1

1
𝑎(2) = 2 + ( 8 ) = 3.6
5

จาก 𝑎(2) = 3.6 ≤ 5 → แทน 𝑛=2 จะใช้เงื่อนไขบน : 𝑎(2 + 1) = 3 + 5 𝑎(2)


𝑎(3) = 3 + 5(3.6) = 21
1
จาก 𝑎(3) = 21 > 5 → แทน 𝑛 = 3 จะใช้เงื่อนไขล่าง : 𝑎(3 + 1) = 2 + 5 𝑎(3)
1
𝑎(4) = 2 + (21) = 6.2
5

จาก 𝑎(4) = 6.2 > 5 → แทน 𝑛=4 จะใช้เงื่อนไขล่าง : 𝑎(4 + 1) = 2 + 5 𝑎(4)


1

1
𝑎(5) = 2 + 5 (6.2) = 3.24

จาก 𝑎(5) = 3.24 ≤ 5 → แทน 𝑛=5 จะใช้เงื่อนไขบน : 𝑎(5 + 1) = 3 + 5𝑎(5)


𝑎(6) = 3 + 5(3.24) = 19.2
1
จาก 𝑎(6) = 19.2 > 5 → แทน 𝑛=6 จะใช้เงื่อนไขล่าง : 𝑎(6 + 1) = 2 + 𝑎(6)
5
1
𝑎(7) = 2 +5 (19.2) = 5.84

ก. 𝑎(3) − 𝑎(1) = 21 − 8 = 13 เป็ นจานวนเฉพาะ 


ข. 𝑎(4) = 6.2 และ 𝑎(5) = 3.24 → 𝑎(4) > 𝑎(5) 
584 146
ค. 𝑎(7) = 5.84 = 100
= 25

34 PAT 1 (ก.พ. 61)

29. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑚 และ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก สอดคล้องกับ 1 < 𝑎 < 𝑏 ≤ 𝑐 และ 𝑎𝑚 = 𝑏𝑛 = 𝑐


พิจารณาอสมการต่อไปนี ้
ก. 𝑚𝑎 < 𝑛𝑐
ข. 𝑏𝑚 < 𝑐
ค. 𝑛 + 𝑚𝑛 < 𝑐 + 𝑚𝑐
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ
ตอบ 2
ก. เนื่องจาก 𝑎 และ 𝑚 เป็ นจานวนเต็มบวก ดังนัน้ 𝑚𝑎 ≤ 𝑎
โจทย์ให้ 𝑎 < 𝑏 และจาก 𝑏𝑛 = 𝑐 จะได้ 𝑏 = 𝑛𝑐 จึงสรุปได้วา่ 𝑚𝑎 ≤ 𝑎 < 𝑏 = 𝑛𝑐 → ก. ถูก
ข. จาก 𝑎 < 𝑏 คูณ 𝑚 ตลอด
𝑎𝑚 < 𝑏𝑚
𝑐 < 𝑏𝑚
โจทย์ให้ 𝑎𝑚 = 𝑐 → ข. ผิด
ค. โจทย์ให้ 𝑏𝑛 = 𝑐 และเนื่องจาก 𝑏>1 จะสรุปได้วา่
𝑛 < 𝑐 …(1)
คูณ 𝑚 ตลอด
𝑚𝑛 < 𝑚𝑐 …(2)
(1) + (2) : 𝑛 + 𝑚𝑛 < 𝑐 + 𝑚𝑐 → ค. ถูก

30. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริง และให้ 𝑟 = { (𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | 𝑦 < 𝑥 − 2 } พิจารณาข้อความต่อไปนี ้


ก. (5, 7) ∉ 𝑟 −1
ข. (−6, −3) ∈ 𝑟 −1
ค. 𝑟 ∩ 𝑟 −1 ≠ ∅
ข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. ข้อ (ก) และ ข้อ (ข) ถูก แต่ ข้อ (ค) ผิด 2. ข้อ (ก) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ข) ผิด
3. ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูก แต่ ข้อ (ก) ผิด 4. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ถูกทัง้ สามข้อ
5. ข้อ (ก) ข้อ (ข) และ ข้อ (ค) ผิดทัง้ สามข้อ
ตอบ 1
ก. (5, 7) ∉ 𝑟 −1 ก็ตอ่ เมื่อ (7, 5) ∉ 𝑟
แทน (7, 5) ในเงื่อนไขของ 𝑟 จะได้ 5 < 7 − 2 เป็ นเท็จ ดังนัน้ (7, 5) ∉ 𝑟 → ก. ถูก
ข. (−6, −3) ∈ 𝑟 −1 ก็ตอ่ เมื่อ (−3, −6) ∈ 𝑟
แทน (−3, −6) ในเงื่อนไขของ 𝑟 จะได้ −6 < −3 − 2 เป็ นจริง ดังนัน้ (−3, −6) ∈ 𝑟 → ข. ถูก
ค. จะดูวา่ กราฟของ 𝑟 กับ 𝑟 −1 มีสว่ นซ้อนทับกันหรือไม่
𝑦=𝑥
𝑟: 𝑦 < 𝑥−2
𝑟 จะสมมาตรกับ 𝑟
−1
𝑟 −1
→ ความชัน = 1
เทียบกับเส้นตรง 𝑦 = 𝑥
→ ระยะตัดแกน 𝑦 คือ −2
𝑟 𝑟
𝑦 น้อย → แรเงาฝั่ ง 𝑦 ลบ

จะเห็นว่า 𝑟 กับ 𝑟 −1 ไม่มีสว่ นซ้อนทับกันเลย ดังนัน้ 𝑟 ∩ 𝑟 −1 = ∅ → ค. ผิด


PAT 1 (ก.พ. 61) 35

31. กาหนดให้ 𝑃(𝑆) แทนเพาเวอร์เซตของเซต 𝑆 และ 𝑛(𝑆) แทนจานวนสมาชิกของเซต 𝑆


ให้ 𝐴, 𝐵 และ 𝐶 เป็ นเซตจากัด โดยที่ 𝐵 ⊂ 𝐴 และ 𝐴 ∩ 𝐶 ≠ ∅
ถ้า 𝑛(𝑃(𝑃(𝐵))) = 𝑛(𝑃(𝐵 ∪ 𝐶)) = 16 , 𝑛(𝐵 ∩ 𝐶) = 1 , 𝑛(𝐴 ∩ 𝐶) = 2
และ 𝑛(𝑃(𝐴 − 𝐶)) = 4𝑛(𝑃(𝐶 − 𝐴)) แล้ว 𝑛(𝑃(𝐴)) เท่ากับเท่าใด
ตอบ 32
ย้อนสูตร จานวนสมาชิกของเพาเวอร์เซต 𝑛(𝑃(𝐴)) = 2𝑛(𝐴) จะได้
𝑛(𝑃(𝑃(𝐵))) = 16 = 24 𝑛(𝑃(𝐵 ∪ 𝐶)) = 16 = 24
𝑛(𝑃(𝐵)) = 4 = 22 𝑛(𝐵 ∪ 𝐶) = 4
𝑛(𝐵) = 2

จากสูตร Inclusive – Exclusive : 𝑛(𝐵 ∪ 𝐶) = 𝑛(𝐵) + 𝑛(𝐶) − 𝑛(𝐵 ∩ 𝐶)


4 = 2 + 𝑛(𝐶) − 1
3 = 𝑛(𝐶)
จาก 𝑛(𝑃(𝐴 − 𝐶)) = 4𝑛(𝑃(𝐶 − 𝐴))
2𝑛(𝐴−𝐶) = 4 ∙ 2𝑛(𝐶−𝐴)
2𝑛(𝐴−𝐶) = 22 ∙ 2𝑛(𝐶−𝐴)
𝑛(𝐴 − 𝐵) = 𝑛(𝐴) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐵)
2𝑛(𝐴−𝐶) = 22+𝑛(𝐶−𝐴)
𝑛(𝐴 − 𝐶) = 2 + 𝑛(𝐶 − 𝐴)
𝑛(𝐴) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐶) = 2 + 𝑛(𝐶) − 𝑛(𝐴 ∩ 𝐶)
𝑛(𝐴) = 2+ 3 = 5 → จะได้ 𝑛(𝑃(𝐴)) = 25 = 32

32. ให้ 𝐴 เป็ นเซตคาตอบของสมการ |𝑥 2 − 2|𝑥|| = 𝑥 2 − 3𝑥 + 2


ผลบวกของสมาชิกทัง้ หมดในเซต 𝐴 เท่ากับเท่าใด
ตอบ 2.5
จะแบ่งกรณี เพื่อให้ถอดค่าสัมบูรณ์ |𝑥| = { 𝑥 เมื่อ 𝑥 ≥ 0 ได้
−𝑥 เมื่อ 𝑥 < 0
กรณี 𝑥 ≥ 0 จะได้ |𝑥| = 𝑥 : |𝑥 2 − 2|𝑥|| = 𝑥 2 − 3𝑥 + 2
|𝑥 2 − 2𝑥| = 𝑥 2 − 3𝑥 + 2
จะได้ 𝑥 2 − 2𝑥 = 𝑥 2 − 3𝑥 + 2 หรือ 𝑥 2 − 2𝑥 = −(𝑥 2 − 3𝑥 + 2) เมื่อ 𝑥 2 − 3𝑥 + 2 ≥ 0
𝑥 = 2 𝑥 2 − 2𝑥 = −𝑥 2 + 3𝑥 − 2
2𝑥 2 − 5𝑥 + 2 = 0
(2𝑥 − 1)(𝑥 − 2) = 0
1
𝑥 = 2, 2
1 2
ตรวจสอบเงื่อนไข 2 2
1
𝑥 2 − 3𝑥 + 2 ≥ 0 : ( ) − 3 ( ) + 2 ≥ 0 22 − 3(2) + 2 ≥ 0
0.25 − 1.5 + 2 ≥ 0  4 − 6 +2 ≥ 0 
จะได้คาตอบของกรณีนี ้ คือ 12 , 2
36 PAT 1 (ก.พ. 61)

กรณี 𝑥 < 0 จะได้ |𝑥| = −𝑥 : |𝑥 2 − 2|𝑥|| = 𝑥 2 − 3𝑥 + 2


|𝑥 2 + 2𝑥| = 𝑥 2 − 3𝑥 + 2
จะได้ 𝑥 2 + 2𝑥 = 𝑥 2 − 3𝑥 + 2 หรือ 𝑥 2 + 2𝑥 = −(𝑥 2 − 3𝑥 + 2) เมื่อ 𝑥 2 − 3𝑥 + 2 ≥ 0
5𝑥 = 2 𝑥 2 + 2𝑥 = −𝑥 2 + 3𝑥 − 2
𝑥 = 0.4 2𝑥 2 − 𝑥 + 2 = 0
ใช้ไม่ได้ เพราะขัดแย้งกับ ไม่มีคาตอบ เพราะ 𝑏2 − 4𝑎𝑐 = (−1)2 − 4(2)(2) ติดลบ
เงื่อนไขของกรณี 𝑥 < 0
จะได้กรณีนี ้ ไม่มีคาตอบ
1
รวมสองกรณี จะได้ผลบวกคาตอบ = 2
+ 2 = 2.5

33. ถ้า 𝐴 เป็ นเซตคาตอบของสมการ 2 log 3 √𝑥 + 1 + log 9(𝑥 − 1)2 = log 3 2𝑥


แล้วผลคูณของสมาชิกทัง้ หมดในเซต 𝐴 เท่ากับเท่าใด
ตอบ 1
จัดรูป และพิจารณาค่า 𝑥 ที่เป็ นไปได้ (หลัง log ต้องเป็ นบวก) ดังนี ้
2 log 3 √𝑥 + 1 log 9 (𝑥 − 1)2 log 3 2𝑥
= log 3 √𝑥 + 1
2
= log 32 (𝑥 − 1)2 เมื่อ 𝑥 > 0 …(3)
2
= log 3 (𝑥 + 1) = 2 log 3|𝑥 − 1|
เมื่อ 𝑥 > −1 …(1) = log 3 |𝑥 − 1|
เมื่อ 𝑥 ≠ 1 …(2)
จะได้สมการคือ 2 log 3 √𝑥 + 1 + log 9 (𝑥 − 1)2 = log 3 2𝑥
log 3(𝑥 + 1) + log 3 |𝑥 − 1| = log 3 2𝑥
log 3((𝑥 + 1)|𝑥 − 1|) = log 3 2𝑥
(𝑥 + 1)|𝑥 − 1| = 2𝑥

จะแบ่งกรณี เพื่อกาจัดเครือ่ งหมายค่าสัมบูรณ์ |𝑥 − 1| ด้วยสมบัติ |𝑎| = { 𝑎 เมื่อ 𝑎 ≥ 0


−𝑎 เมื่อ 𝑎 < 0
กรณี 𝑥 ≥ 1 จะได้ 𝑥−1≥0 ดังนัน้ |𝑥 − 1| = 𝑥 − 1
(𝑥 + 1)|𝑥 − 1| = 2𝑥
(𝑥 + 1)(𝑥 − 1) = 2𝑥
𝑥2 − 1 = 2𝑥
2
𝑥 − 2𝑥 − 1 = 0
−(−2)±√(−2)2 −4(1)(−1) 2±√8
𝑥 = 2(1)
= 2
= 1 ± √2

แต่กรณีนี ้ 𝑥 ≥ 1 ดังนัน้ 1 − √2 จะใช้ไม่ได้ → เหลือคาตอบเดียวคือ 1 + √2


กรณี 𝑥 < 1 จะได้ 𝑥 − 1 < 0 ดังนัน้ |𝑥 − 1| = −(𝑥 − 1)
(𝑥 + 1)|𝑥 − 1| = 2𝑥
(𝑥 + 1)(−(𝑥 − 1)) = 2𝑥
−(𝑥 2 − 1) = 2𝑥
0 = 𝑥 2 + 2𝑥 − 1
−2±√22 −4(1)(−1) −2±√8
𝑥= = = −1 ± √2
2(1) 2

แต่จากเงื่อนไขหลัง log ใน (3) จะได้ 𝑥 > 0 ดังนัน้ −1 − √2 ใช้ไม่ได้ → เหลือคาตอบเดียวคือ −1 + √2


รวมสองกรณี จะได้ผลคูณคาตอบ = (1 + √2)(−1 + √2) = −1 + √2 − √2 + 2 = 1
PAT 1 (ก.พ. 61) 37

34. ถ้า 𝐴 เป็ นเซตของคูอ่ นั ดับ (𝑥, 𝑦) โดยที่ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริงบวกที่สอดคล้องกับสมการ
2𝑥 log 5 𝑦 = 4 log 25 5 + 4𝑥
2𝑥 log 5 𝑦 3 = (log 5 𝑦)2 + 9
และให้ 𝐵 = { 𝑥𝑦 | (𝑥, 𝑦) ∈ 𝐴 } ค่ามากที่สดุ ของสมาชิกในเซต 𝐵 เท่ากับเท่าใด
ตอบ 125
จัดรูปสมการ และเปลีย่ นตัวแปร 2𝑥 = 𝑐 และ log 5 𝑦 = 𝑑 จะได้
𝑥 𝑥
2 log 5 𝑦 = 4 log 25 5 + 4 2 log 5 𝑦 3
𝑥
= (log 5 𝑦)2 + 9
2𝑥 log 5 𝑦 = 4 log 52 5 + (22 )𝑥 2𝑥 (3 log 5 𝑦) = (log 5 𝑦)2 + 9
4
2𝑥 log 5 𝑦 = 2 log 5 5 + (2𝑥 )2 𝑐 ( 3𝑑 ) = 𝑑2 +9
𝑐 𝑑 = 2 + 𝑐2 3𝑐𝑑 = 𝑑2 +9
2
𝑑 = 𝑐
2
+ 𝑐 …(∗) 3(2 + 𝑐 2 ) = (𝑐 + 𝑐)2 + 9
4
6 + 3𝑐 2 = + 4 + 𝑐2 + 9
𝑐2
4
2𝑐 2 − 7 − 𝑐 2 = 0
คูณ 𝑐 2 ตลอด
2𝑐 4 − 7𝑐 2 − 4 = 0
(2𝑐 2 + 1)(𝑐 2 − 4) = 0
(2𝑐 2 + 1)(𝑐 − 2)(𝑐 + 2) = 0
𝑐 = 2 , −2
ไม่มีคาตอบ เพราะ 𝑐 2 เป็ นลบไม่ได้
𝑥
𝑐 คือ 2 → เป็ นลบไม่ได้

แทน 𝑐 = 2 ใน (∗) จะได้ 𝑑 = 22 + 2 = 3


เปลีย่ น 𝑐 , 𝑑 กลับไปเป็ น 𝑥 , 𝑦 จะได้ 𝑐 = 2𝑥 = 2 และ 𝑑 = log 5 𝑦 = 3
𝑥 = 1 𝑦 = 53
จะได้ 𝑥𝑦 = (1)(53 ) = 125

3−|𝑥|
เมื่อ 𝑥<3
35. กาหนดให้ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = { 3−𝑥 เมื่อ 𝑎 เป็ นจานวนจริง
𝑎𝑥 + 10 เมื่อ 𝑥 ≥ 3
ถ้าฟั งก์ชนั 𝑓 ต่อเนื่องบนเซตของจานวนจริง แล้ว ค่าของ 𝑓(𝑎 − 6) + 𝑓(𝑎) + 𝑓(𝑎 + 6) เท่ากับเท่าใด
ตอบ 0.5
𝑓 ต่อเนื่อง แปลว่าทัง้ สองสูตรต้องได้คา่ เท่ากันตรงรอยต่อ 𝑥 → 3− , 𝑥 = 3 , 𝑥 → 3+
เมื่อ 𝑥 → 3− จะใช้สตู รบน และเนื่องจาก 𝑥 เป็ นบวก ดังนัน้ |𝑥| = 𝑥
จะได้ lim 𝑓(𝑥) = lim 3−|𝑥| 3−𝑥
3−𝑥
= lim 3−𝑥 = 1 …(1)
x 3  x 3  x 3 

เมื่อ 𝑥=3 กับ 𝑥 → 3+ จะใช้สตู รล่าง จะได้ 𝑓(3) = lim 𝑓(𝑥) = 3𝑎 + 10 …(2)
x 3

เนื่องจาก 𝑓 ต่อเนื่อง จะได้ (1) = (2) : 3𝑎 + 10 = 1


𝑎 = −3
ดังนัน้ 𝑓(𝑎 − 6) + 𝑓(𝑎) + 𝑓(𝑎 + 6) = 𝑓(−3 − 6) + 𝑓(−3) + 𝑓(−3 + 6)
= 𝑓(−9) + 𝑓(−3) + 𝑓(3)
3−|−9| 3−|−3|
= 3−(−9)
+ 3−(−3) + (−3)(3) + 10
−6 0
= + + 1 = 0.5
12 6
38 PAT 1 (ก.พ. 61)

36. กาหนดให้ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 เมื่อ 𝑎, 𝑏, 𝑐 เป็ นจานวนจริง


ถ้า 𝑓(−1) + 𝑓(1) = 14 , 𝑓 ′ (1)
= 2𝑓(1) และ 𝑓 ′ (0) + 𝑓 ′′ (0) = 6
1
แล้ว  𝑓(3𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด
0

ตอบ 11
จาก 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 จะได้ 𝑓(−1) + 𝑓(1) = 14
𝑓 ′ (𝑥) = 2𝑎𝑥 + 𝑏 𝑎(−1)2 + 𝑏(−1) + 𝑐 + 𝑎(1)2 + 𝑏(1) + 𝑐 = 14
𝑓 ′′ (𝑥) = 2𝑎 2𝑎 + 2𝑐 = 14
𝑎 + 𝑐 = 7 …(1)

และจาก 𝑓 ′ (1) = 2𝑓(1) และจาก 𝑓 ′ (0) + 𝑓 ′′ (0) = 6


2𝑎(1) + 𝑏 = 2(𝑎(1)2 + 𝑏(1) + 𝑐) 2𝑎(0) + 𝑏 + 2𝑎 = 6
2𝑎 + 𝑏 = 2𝑎 + 2𝑏 + 2𝑐 2𝑎 + 𝑏 = 6 …(3)
0 = 𝑏 + 2𝑐 …(2)
(3) − (2) : (2𝑎 + 𝑏) − (𝑏 + 2𝑐) = 6 − 0 (1) + (4) : 𝑎 + 𝑐 + 𝑎 − 𝑐 = 7 + 3
2𝑎 − 2𝑐 = 6 2𝑎 = 10
𝑎−𝑐 = 3 …(4) 𝑎 = 5
แทนใน (4) : 5 − 𝑐 = 3
2 = 𝑐
แทนใน (2) : 𝑏 + 2(2) = 0
𝑏 = −4
แทน 𝑎, 𝑏, 𝑐 จะได้ 𝑓(𝑥) = 5𝑥 2 − 4𝑥 + 2
𝑓(3𝑥) = 5(3𝑥)2 − 4(3𝑥) + 2
= 45𝑥 2 − 12𝑥 + 2
1 1
 𝑓(3𝑥) 𝑑𝑥 = 15𝑥 3 − 6𝑥 2 + 2𝑥 |
0 0
= (15 − 6 + 2) − 0 = 11

37. กาหนดให้ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 3 + 𝑏𝑥 2 + 1 เมื่อ 𝑎, 𝑏 เป็ นจานวนจริง


1
𝑓(𝑥) − 𝑓(2) 1 𝑓′ (𝑥) − 𝑓′ (4)
ถ้า lim 𝑥−2
= 0 และ  𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 4
แล้ว lim 𝑥−4
เท่ากับเท่าใด
x2 0 x4

ตอบ 18
𝑓(𝑥) − 𝑓(2)
จากนิยาม จะได้ lim
x2 𝑥−2
คือ อนุพนั ธ์ของ 𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑥 = 2 → = 𝑓 ′ (2)
𝑓(𝑥) − 𝑓(2)
ดังนัน้ lim 𝑥 − 2 = 𝑓 ′ (2)
x2
= 0

จาก 𝑓(𝑥) = 3 2
𝑎𝑥 + 𝑏𝑥 + 1
𝑓′(𝑥) = 3𝑎𝑥 2 + 2𝑏𝑥 12𝑎 + 4𝑏 = 0
𝑓′(2) = 3𝑎(22 ) + 2𝑏(2) 3𝑎 + 𝑏 = 0
= 12𝑎 + 4𝑏 𝑏 = −3𝑎 …(∗)
1
1
และจาก  𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 4
𝑎
+
−3𝑎
+1 =
1
0
1
จาก (∗) 4 3 4
𝑎𝑥 4 𝑏𝑥 3 1 𝑎 − 4𝑎 + 4 = 1
+ + 𝑥 | =
4 3
0
4 −3𝑎 = −3
𝑎 𝑏 1 𝑎 = 1
( + + 1) − 0 =
4 3 4
แทนใน (∗) จะได้ 𝑏 = −3(1) = −3
PAT 1 (ก.พ. 61) 39

𝑓′ (𝑥) − 𝑓′ (4)
จากนิยาม จะได้ lim
x4 𝑥−4
คือ อนุพนั ธ์ของ 𝑓′(𝑥) เมื่อ 𝑥 = 4 → = 𝑓 ′′ (4)

จาก 𝑓′(𝑥) = 3𝑎𝑥 2 + 2𝑏𝑥


= 3(1)𝑥 2 + 2(−3)𝑥
= 3𝑥 2 − 6𝑥
𝑓′′(𝑥) = 6𝑥 − 6
𝑓′′(4) = 6(4) − 6 = 18

38. คนกลุม่ หนึง่ มีผชู้ าย 𝑛 คน ผูห้ ญิง 𝑛 + 1 คน เมื่อ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ต้องการจัดคนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวเป็ นแนว
ตรงเพียงหนึง่ แถว ถ้าจานวนวิธีจดั คนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวแนวตรง โดยไม่มีผชู้ ายสองคนใดยืนติดกัน เท่ากับสองเท่า
ของจานวนวิธีจดั คนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวเป็ นแนวตรงโดยผูช้ ายยืนติดกันทัง้ หมด แล้วคนกลุม่ นีม้ ีทงั้ หมดกี่คน
ตอบ 7
ไม่มีชายยืนติดกัน : เอา หญิง 𝑛 + 1 คน มาเรียงก่อน จะเรียงได้ (𝑛 + 1)! แบบ
1 2 3 4 5
หญิง 𝑛 + 1 คน จะมีช่องว่างให้ ชาย ลงได้ 𝑛 + 2 ช่อง
ญ ญ ญ ญ
เรียงชาย 𝑛 คน ลงใน 𝑛 + 2 ช่อง จะเรียงได้ 𝑃𝑛+2,𝑛 = (𝑛+2)! 2!
แบบ
รวมจานวนแบบ = (𝑛 + 1)! (𝑛+2)! 2!
แบบ
ชายยืนติดกันหมด : เอา ชาย 𝑛 คน มัดรวมเป็ นคนใหม่ 1 คน
มี หญิง 𝑛 + 1 คน รวมแบบใหม่เป็ นคนทัง้ หมด 𝑛 + 2 คน → เรียงได้ (𝑛 + 2)! แบบ
ชายทัง้ 𝑛 คนในมัด จะสลับที่กนั เองได้ 𝑛! แบบ
รวมจานวนแบบ = (𝑛 + 2)! 𝑛! แบบ
โจทย์ให้ ไม่มีชายยืนติดกัน = 2 × ชายยืนติดกันหมด
(𝑛+2)!
(𝑛 + 1)! 2! = 2 (𝑛 + 2)! 𝑛!
𝑛+1 = 4
𝑛 = 3
ดังนัน้ เป็ นชาย 3 คน และเป็ นหญิง 3 + 1 = 4 คน → รวมเป็ นคนทัง้ หมด 3 + 4 = 7 คน

39. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และให้ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , … เป็ นลาดับของจานวนจริง
โดยที่ 𝑎1 = 𝑎 , 𝑎2 = 𝑏 และ 𝑎𝑛 = 𝑎1+𝑎2+𝑎𝑛−1 3 + … +𝑎𝑛−1
สาหรับ 𝑛 = 3, 4, 5, …
10
31 1 2
ถ้า 𝑎1 + 2𝑎2 + 3𝑎3 + 4𝑎4 = 8
และ  𝑎𝑖 = 30
8
แล้วค่าของ 1
(𝑎 + 𝑏) เท่ากับเท่าใด
i1

ตอบ 36
𝑎1 +𝑎2 +𝑎3 + … +𝑎𝑛+1−1
จาก 𝑎𝑛 3 𝑛−1
→ แทน 𝑛 ด้วย 𝑛 + 1 : 𝑎𝑛+1 =
𝑎 +𝑎 +𝑎 + … +𝑎
= 1 2 𝑛−1 𝑛+1−1
𝑛𝑎𝑛 − 𝑎𝑛 = 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + … + 𝑎𝑛−1 𝑎1 +𝑎2 +𝑎3 + … +𝑎𝑛
𝑎𝑛+1 =
𝑛𝑎𝑛 = 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + … + 𝑎𝑛−1 + 𝑎𝑛 …(∗) 𝑛 จาก (∗)
𝑛𝑎𝑛
𝑎𝑛+1 = 𝑛
𝑎𝑛+1 = 𝑎𝑛 สาหรับ 𝑛 = 3, 4, 5, …
แทน 𝑛 = 3 จะได้ 𝑎4 = 𝑎3
แทน 𝑛 = 4 จะได้ 𝑎5 = 𝑎4 จะได้ 𝑎3 = 𝑎4 = 𝑎5 = …

𝑎1 +𝑎2 +𝑎3 + … +𝑎𝑛−1 𝑎1 +𝑎2 𝑎+𝑏


ซึง่ จาก 𝑎𝑛 = 𝑛−1
แทน 𝑛=3 จะได้ 𝑎3 = 3−1
= 2
40 PAT 1 (ก.พ. 61)

นั่นคือ จะได้ 𝑎1 = 𝑎 , 𝑎2 = 𝑏 และตัง้ แต่ 𝑎3 ขึน้ ไป มีคา่ 𝑎+𝑏


2
ทุกตัว
10
31 30
แทนใน 𝑎1 + 2𝑎2 + 3𝑎3 + 4𝑎4 =
8
 𝑎𝑖 =
8
i1
𝑎+𝑏 𝑎+𝑏 31 30
𝑎 + 2𝑏 + 3( ) + 4( ) = 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + … + 𝑎10 =
2 2 8 8 จาก (∗)
30
8𝑎 + 16𝑏 + 12𝑎 + 12𝑏 + 16𝑎 + 16𝑏 = 31 10𝑎10 =
8
36𝑎 + 44𝑏 = 31 …(1)
𝑎+𝑏 30
10 ( ) =
2 8
4𝑎 + 4𝑏 = 3 …(2)
11 × (2) − (1) : (44𝑎 + 44𝑏) − (36𝑎 + 44𝑏) = 33 − 31
8𝑎 = 2
1
𝑎 =
1
4
แทนใน (2) : 4(4) + 4𝑏 = 3
2 1
𝑏 = 4
= 2
2
1 1 2 1 1
จะได้ (𝑎 + 𝑏) = ( 1 + 1 ) = (4 + 2)2 = 36
4 2

40. ข้อมูลประชากรชุดหนึง่ มี 10 จานวน ดังนี ้ 𝑥1 , 𝑥2 , 𝑥3 , … , 𝑥10 โดยที่ 𝑥𝑖 > 0 สาหรับ 𝑖 = 1, 2, 3, … , 10


10 10
ถ้า  (𝑥𝑖 − 4) = 40 และ  (𝑥𝑖 − 4)2 = 170
i1 i1

แล้ว ความแปรปรวนของข้อมูล 2(𝑥1 + 3) , 2(𝑥2 + 3) , 2(𝑥3 + 3) , … , 2(𝑥10 + 3) เท่ากับเท่าใด


ตอบ 4
พิจารณาข้อมูล 𝑥1 − 4 , 𝑥2 − 4 , 𝑥3 − 4 , … , 𝑥10 − 4
จะได้วา่ ข้อมูลชุดนีม้ ีคา่ เฉลีย่ = ∑(𝑥10𝑖−4) = 40
10
= 4
2
และมีความแปรปรวน = ∑(𝑥10 𝑖 −4)
− (ค่าเฉลีย่ )2 =
170
10
− 42 = 1
พิจารณาข้อมูล 𝑥1 + 3 , 𝑥2 + 3 , 𝑥3 + 3 , … , 𝑥10 + 3
เนื่องจากข้อมูลชุดนี ้ เพิม่ จากข้อมูลชุดแรกอย่างคงที่ ดังนัน้ ข้อมูลชุดนีจ้ ะมีความแปรปรวนเท่าเดิม คือ 1
พิจารณาข้อมูล 2(𝑥1 + 3) , 2(𝑥2 + 3) , 2(𝑥3 + 3) , … , 2(𝑥10 + 3)
เนื่องจากข้อมูลชุดนี ้ เพิม่ จากข้อมูลชุดก่อนหน้า 2 เท่า ดังนัน้ 𝑠 จะเพิ่มจากเดิม 2 เท่า
ทาให้ ความแปรปวน (𝑠 2) จะเพิ่มเป็ น 22 = 4 เท่า → จะได้ความแปรปรวน = 4(1) = 4

41. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นจานวนเต็ม โดยที่ 0 ≤ 𝑐 < 𝑎 < 𝑏 และ 𝑎 + 2𝑏 + 3𝑐 = 32


ถ้า 𝑐 เป็ นจานวนคู่ และ 10 หาร 𝑏 ลงตัว แล้วค่าของ 4𝑎 + 5𝑏 + 6𝑐 เท่ากับเท่าใด
ตอบ 86
จาก 0 ≤ 𝑐 < 𝑎 < 𝑏 จะได้ 𝑎, 𝑏 เป็ นบวก และ จาก 10 หาร 𝑏 ลงตัว จะได้ 𝑏 = 10, 20, 30, …
จาก 𝑎 + 2𝑏 + 3𝑐 = 32 จะทาให้ 𝑏 เป็ น 20 ขึน้ ไปไม่ได้ เพราะจะทาให้ 𝑎 + 2𝑏 + 3𝑐 เกิน 32
ดังนัน้ สรุปได้ทนั ทีวา่ 𝑏 = 10
แทนค่า 𝑏 จะได้ 0 ≤ 𝑐 < 𝑎 < 10 และ 𝑎 + 2(10) + 3𝑐 = 32
𝑎 + 3𝑐 = 12 …(∗)
จาก 𝑐 เป็ นคู่ จะได้ 𝑐 = 0, 2, 4, … → จาก (∗) จะได้วา่ 𝑐 เป็ น 0 ไม่ได้ เพราะจะทาให้ 𝑎 = 12 ขัดแย้งกับที่ 𝑎 < 10
→ 𝑐 เป็ น 4 ขึน้ ไปไม่ได้ เพราะ 𝑎 เป็ นบวก ทาให้ 𝑎 + 3𝑐 เกิน 12 ขัดแย้งกับ (∗)
PAT 1 (ก.พ. 61) 41

→ จึงสรุปได้วา่ 𝑐=2 แทนใน (∗) จะได้ 𝑎 + 3(2) = 12


𝑎 = 6
ดังนัน้ 4𝑎 + 5𝑏 + 6𝑐 = 4(6) + 5(10) + 6(2) = 86

42. กาหนดข้อมูลชุดหนึง่ ดังนี ้ คะแนน ความถี่


0–4 4
เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนเต็มบวก 5–9 3
ถ้าข้อมูลชุดนี ้ มีตาแหน่งของควอไทล์ที่ 3 (𝑄3) เท่ากับ 13.5 10 – 14 5
15 – 19 𝑎
แล้วมัธยฐานของข้อมูลชุดนีเ้ ท่ากับเท่าใด 20 – 24 𝑏
ตอบ 11.5
3
โจทย์ให้ตาแหน่งของ 𝑄3 คือ 13.5 ซึง่ หาได้จากสูตร 34 (𝑁) ดังนัน้ 4
(𝑁)= 13.5
𝑁 = 18
จะได้ตาแหน่งของมัธยฐานคือ 𝑁2 = 9
คะแนน ความถี่ 𝐹
0–4 4 4 จะเห็นว่าความถี่สะสม (𝐹) วิ่งผ่าน 9 เป็ นครัง้ แรกในชัน้ 10 – 14
5–9 3 7 ดังนัน้ มัธยฐาน อยูใ่ นชัน้ 10 – 14 → ความกว้างชัน้ = 14.5 – 9.5 = 5
10 – 14 5 12 𝑁
𝑎 −𝐹𝐿
15 – 19 จากสูตร Med = 𝐿 + ( 2
𝑓𝑚
)𝐼
20 – 24 𝑏
9−7
= 9.5 + ( 5
) (5) = 11.5

43. ให้ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , … เป็ นลาดับเลขคณิตของจานวนจริง โดยที่มีผลบวกสีพ่ จน์แรกของลาดับเท่ากับ 14


และ 𝑎20 = 𝑎10 + 30 และให้ 𝑏1, 𝑏2, 𝑏3, … , 𝑏𝑛 , … เป็ นลาดับของจานวนจริง โดยที่ 𝑏1 = 𝑎3
𝑎𝑛
และ 𝑏𝑛+1 = 𝑏𝑛 + 1 สาหรับ 𝑛 = 1, 2, 3, … ค่าของ lim n 𝑏
เท่ากับเท่าใด
𝑛

ตอบ 3
𝑎𝑛
ถ้าจะหา lim
n 𝑏𝑛
ต้องพิจารณาดีกรี และ สปส ของ 𝑎𝑛 และ 𝑏𝑛
จาก 𝑏𝑛+1 = 𝑏𝑛 + 1 แสดงว่าแต่ละพจน์ของลาดับ {𝑏𝑛 } เพิ่มทีละ 1 → ลาดับ {𝑏𝑛 } ก็เป็ นลาดับเลขคณิต
ที่มีผลต่างร่วม 𝑑𝑏 = 1
𝑎𝑛 𝑎1 +(𝑛−1)𝑑𝑎
ใช้สตู รลาดับเลขคณิต จะได้ lim
n 𝑏𝑛
= lim
n 𝑏1 +(𝑛−1)𝑑𝑏
𝑎 +𝑛𝑑 −𝑑
= lim 𝑏1+𝑛𝑑𝑎−𝑑𝑎
n 1 𝑏 𝑏
𝑎1 𝑑
+ 𝑑𝑎 − 𝑎 0+𝑑𝑎 +0 𝑑𝑎
𝑛 𝑛
= lim 𝑏1 𝑑 = 0+𝑑𝑏 +0
= 𝑑𝑏
…(∗)
n + 𝑑𝑏 − 𝑏
𝑛 𝑛

จาก 𝑎20 = 𝑎10 + 30


𝑎1 + (20 − 1)𝑑𝑎 = 𝑎1 + (10 − 1)𝑑𝑎 + 30
19𝑑𝑎 = 9𝑑𝑎 + 30
𝑑𝑎 = 3
𝑎𝑛 3
แทน 𝑑𝑎 = 3 และ 𝑑𝑏 = 1 ใน (∗) จะได้ lim
n 𝑏𝑛
= 1
= 3

หมายเหตุ : ผลบวกสีพ่ จน์แรก = 14 ที่โจทย์ให้ จะช่วยให้หา 𝑎1 ได้ แต่ขอ้ นีไ้ ม่จาเป็ นต้องใช้
42 PAT 1 (ก.พ. 61)

44. ให้ 𝑎̅, 𝑏̅ และ 𝑐̅ เป็ นเวกเตอร์ในสามมิติ โดยที่ 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ , 𝑏̅ = 3𝑖̅ − 2𝑗̅ + 3√2𝑘̅
เวกเตอร์ 𝑐̅ ทามุม 45° และ 60° กับเวกเตอร์ 𝑎̅ และเวกเตอร์ 𝑗̅ ตามลาดับ และ 𝑐̅ ∙ 𝑘̅ > 0
ถ้า 𝑢̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วยที่มีทศิ ทางเดียวกับเวกเตอร์ 𝑐̅ แล้ว 𝑢̅ ∙ 𝑏̅ เท่ากับเท่าใด
ตอบ 3.5
เนื่องจาก 𝑢̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วยที่มีทิศเหมือน 𝑐̅ ดังนัน้ 𝑢̅ ทามุม 45° และ 60° กับ 𝑎̅ และ 𝑗̅ ด้วย
𝑥
ให้ 𝑢̅ = [𝑦] เนื่องจาก 𝑢̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วย ดังนัน้ |𝑢̅| = 1
𝑧
𝑢̅ ทามุม 60° กับ 𝑗̅ ดังนัน
้ 𝑢̅ ∙ 𝑗̅ = |𝑢̅| |𝑗̅| cos 60°
𝑥 0
1
[𝑦] ∙ [1] = (1)(1)(2)
𝑧 0
𝑦 = 0.5
1
และจาก 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ = [1] ดังนัน้ |𝑎̅| = √12 + 12 + 02 = √2
0
𝑢̅ ทามุม 45° กับ 𝑎̅ ดังนัน้ 𝑢̅ ∙ 𝑎̅ = |𝑢̅| |𝑎̅| cos 45°
𝑥 1
√2
[0.5] ∙ [1] = (1)(√2)( 2 )
𝑧 0
𝑥 + 0.5 = 1
𝑥 = 0.5
และจาก 𝑐̅ ∙ 𝑘̅ > 0 และจาก 𝑢̅ มีขนาดหนึง่ หน่วย ดังนัน้ √𝑥 2 + 𝑦 2 + 𝑧 2 = 1
|𝑐̅|𝑢̅ ∙ 𝑘̅ > 0 0.52 + 0.52 + 𝑧 2 = 1
𝑢̅ ∙ 𝑘̅ > 0 𝑧2 = 0.5
𝑥 0 𝑧 = ±√0.5
[𝑦] ∙ [0] > 0 𝑧 = √0.5
𝑧 1
𝑧 > 0
0.5 3
จะได้ 𝑢̅ ∙ 𝑏̅ = [ 0.5 ] ∙ [ −2 ] = (0.5)(3) + (0.5)(−2) + (√0.5)(3√2)
√0.5 3√2 = 1.5 − 1 +3 = 3.5

1
45. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 1 −
1−
1 สาหรับจานวนจริง 𝑥 > 0
1
1−
1+𝑥
ถ้า 𝑎 เป็ นจานวนจริงบวก ที่สอดคล้องกับ 𝑓(1 + 𝑎) + 𝑓(2 + 𝑎) + 𝑓(3 + 𝑎) + … + 𝑓(60 + 𝑎) = 2250
แล้ว 𝑎 มีคา่ เท่ากับเท่าใด
ตอบ 6
1
จัดรูป 𝑓(𝑥) = 1−
1−
1
1
1−
1+𝑥 1
= 1−
1 = 1− 𝑥 − (1+𝑥)
1
1 − 1+𝑥 − 1 𝑥
𝑥
1
1+𝑥 = 1−
−1
= 1− 1+𝑥 = 1+𝑥
1−
𝑥
PAT 1 (ก.พ. 61) 43

และจาก 𝑓(1 + 𝑎) + 𝑓(2 + 𝑎) + 𝑓(3 + 𝑎) + … + 𝑓(60 + 𝑎) = 2250


1 + 1 + 𝑎 + 1 + 2 + 𝑎 + 1 + 3 + 𝑎 + … + 1 + 60 + 𝑎 = 2250
60(1) + (1 + 2 + 3 + … + 60) + 60𝑎 = 2250
60
60 + (60 + 1) + 60𝑎 = 2250
2
÷30 ตลอด
2 + 61 + 2𝑎 = 75
𝑎 = 6

เครดิต
ขอบคุณ ข้อสอบ และเฉลยละเอียด จาก อ.ปิ๋ ง GTRmath
ขอบคุณ เฉลยละเอียดจาก คุณ คณิต มงคลพิทกั ษ์สขุ (นวย) ผูเ้ ขียน Math E-book
ขอบคุณ คุณ Chonlakorn Chiewpanich
และ คุณ Soruth Kuntikul
และ คุณครูเบิรด์ จาก กวดวิชาคณิตศาสตร์ครูเบิรด์ ย่านบางแค 081-8285490
ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร

You might also like