Professional Documents
Culture Documents
61) 1
25 Nov 2019
2. กาหนดเอกภพสัมพัทธ์ คือเซตคาตอบของอสมการ 𝑥 2 (𝑥 2 − 1) ≥ 0
และให้ 𝑃(𝑥) แทน |𝑥| > 1
𝑄(𝑥) แทน 𝑥 2 − 𝑥 ≥ 2
𝑅(𝑥) แทน 𝑥 < 0
𝑆(𝑥) แทน 1 − 𝑥 < 0
ข้อใดต่อไปนีม้ คี า่ ความจริงเป็ นเท็จ
1. ~∀𝑥[𝑃(𝑥)] 2. ∃𝑥[𝑄(𝑥)] 3. ∀𝑥[𝑄(𝑥) → 𝑃(𝑥)]
4. ∃𝑥[𝑆(𝑥) ∧ 𝑃(𝑥)] 5. ∀𝑥[𝑆(𝑥) → ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥))]
8. ให้ 𝐸 เป็ นวงรีรูปหนึง่ มีจดุ ศูนย์กลางอยูท่ ี่จดุ (1, −2) และโฟกัสทัง้ สองอยูบ่ นเส้นตรงที่ขนานกับแกน 𝑥
ถ้า (4, 0) เป็ นจุดบน 𝐸 และผลบวกของระยะทางจากจุด (4, 0) ไปยังจุดโฟกัสทัง้ สองเท่ากับ 8 หน่วย
แล้ววงรี 𝐸 ผ่านจุดในข้อใดต่อไปนี ้
1. (4, 2) 2. (2, 4) 3. (2, −4) 4. (−2, −4) 5. (4, −2)
1 2 −3 1
10. กาหนดให้ 𝐴 = [−1 3
] และ 𝐵 = [
𝑎 𝑏
] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
ถ้า (𝐴 − 𝐵)𝐵 = 𝐵(𝐴 − 𝐵) แล้วค่าของ det(𝐴 + 𝐵) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. − 32 2. − 12 3. 52 4. 72 5. 13
2
11. กาหนดให้เวกเตอร์ 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ − 2𝑘̅ ถ้า 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์ในสามมิติ โดยที่ (𝑏̅ + 𝑎̅) ∙ (𝑏̅ − 𝑎̅) = 10
และเวกเตอร์ 𝑎̅ ทามุม 60° กับเวกเตอร์ 𝑏̅ แล้วขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ × 𝑏̅ อยูใ่ นช่วงในข้อใดต่อไปนี ้
1. (0, 2] 2. (2, 4] 3. (4, 6] 4. (6, 8] 5. (8, 10]
12. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และให้ 𝑃 = 𝑎𝑥 + 𝑏𝑦 เป็ นฟั งก์ชนั จุดประสงค์ ภายใต้อสมการข้อจากัด
ต่อไปนี ้ 𝑥 + 2𝑦 ≤ 12
𝑥+𝑦 ≥ 6
𝑥 − 2𝑦 ≥ 0
𝑥 ≥ 0 และ 𝑦 ≥ 0
ถ้า 𝑃 มีคา่ มากที่สดุ ทีจ่ ดุ 𝐴 และ 𝐵 โดยที่จดุ 𝐴 และจุด 𝐵 เป็ นจุดสองจุดที่ตา่ งกันอยูบ่ นเส้นตรง 𝑥 + 2𝑦 = 12
และเป็ นจุดมุมที่สอดคล้องกับอสมการที่กาหนดให้ แล้วข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. 𝑏 = 𝑎 2. 𝑏 = 2𝑎 3. 𝑏 = 3𝑎 4. 𝑏 = 4𝑎 5. 𝑏 = 5𝑎
PAT 1 (ก.พ. 61) 5
13. กาหนดให้ 𝑆 เป็ นปริภมู ิตวั อย่าง และ 𝑃(𝐸) แทนความน่าจะเป็ นของเหตุการณ์ 𝐸
และ 𝐸′ แทนคอมพลีเมนต์ของเหตุการณ์ 𝐸 ถ้า 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเหตุการณ์ใน 𝑆 โดยที่ 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 0.8
และ 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵) = 0.4 แล้วค่าของ 𝑃(𝐴′ ) + 𝑃(𝐵′ ) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 0.4 2. 0.6 3. 0.8 4. 1.2 5. 1.6
2√𝑥 𝑥 2 −23+√𝑥 √𝑥
14. lim
x 4 √𝑥−2
มีคา่ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 32 2. 64 3. 80 4. 96 5. 128
15. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓 ′ (𝑥) = 2𝑎𝑥 + 𝑏√𝑥 + 1
เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ถ้า 𝑓(0) = 1 และ 𝑓 ′ (1) = 𝑓 ′(4) = 0 แล้ว (𝑓 ∘ 𝑓)(4) มีคา่ เท่ากับ
ข้อใดต่อไปนี ้
1. 1.25 2. 1.75 3. 2.25 4. 2.75 5. 3.25
6 PAT 1 (ก.พ. 61)
17. ให้จดุ 𝐴 เป็ นจุดบนเส้นตรง 3𝑥 + 𝑦 + 4 = 0 โดยที่จดุ 𝐴 ห่างจากจุด (−5, 6) และจุด (3, 2) เป็ นระยะเท่ากัน
ให้ 𝐿1 และ 𝐿2 เป็ นเส้นตรงสองเส้นที่ตา่ งกันและขนานกับเส้นตรง 5𝑥 + 12𝑦 = 0
ถ้าจุด 𝐴 อยูห่ า่ งจากเส้นตรง 𝐿1 และ 𝐿2 เป็ นระยะเท่ากับ 2 หน่วย
แล้วผลบวกของระยะตัดแกน 𝑥 ของเส้นตรง 𝐿1 และ 𝐿2 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. −5.6 2. −2.8 3. 2.8 4. 5.6 5. 8.4
1+7𝑖 1+3𝑖
18. ให้ 𝑧1 = (2−𝑖) 2 และ 𝑧2 = 1−2𝑖 เมื่อ 𝑖 = −1
2
เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 6.5 2. 7.5 3. 8.5 4. 9.5 5. 10.5
21. กาหนดข้อมูล 𝑥1, 𝑥2, 𝑥3, 𝑥4 โดยที่ 0 < 𝑥1 ≤ 𝑥2 ≤ 𝑥3 ≤ 𝑥4 ถ้าข้อมูลชุดนีม้ คี า่ เฉลีย่ เลขคณิตเท่ากับ 7
พิสยั เท่ากับ 9 และ มัธยฐานและฐานนิยมมีคา่ เท่ากัน และมีคา่ เท่ากับ 6 แล้วสัมประสิทธิ์สว่ นเบี่ยงเบนควอไทล์
ของข้อมูลชุดนี ้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 193 2. 195 3. 196 4. 20 7
5. 209
8 PAT 1 (ก.พ. 61)
22. ถ้า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ที่สอดคล้องกับ log 𝑎3 𝑏 2𝑛 = 1 , log 𝑎2𝑛 𝑏3 = 1
และ log 𝑎𝑛 𝑏𝑛 = 67 แล้ว 𝑛 log 𝑎𝑛 − log 𝑏2𝑛 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 17 2. 67 3. 1 4. 2 5. 3
23. ให้ 𝐻 เป็ นไฮเพอร์โบลาที่มีแกนสังยุคอยูบ่ นเส้นตรง 𝑥 = 1 และมีจดุ ยอดจุดหนึง่ อยูท่ ี่ (0, 2) ถ้า 𝐻 ผ่านจุด
ศูนย์กลางของวงรีซงึ่ มีสมการเป็ น 5𝑥 2 − 30𝑥 + 9𝑦 2 = 0 แล้วสมการของไฮเพอร์โบลา 𝐻 ตรงกับข้อใดต่อไปนี ้
1. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 + 12𝑦 − 12 = 0 2. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 + 12𝑦 − 13 = 0
3. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 − 6𝑦 − 12 = 0 4. 3𝑥 2 − 4𝑦 2 − 6𝑥 + 16𝑦 − 17 = 0
5. 3𝑥 2 − 4𝑦 2 − 6𝑥 + 8𝑦 − 17 = 0
1. 17281
2. 3716
3. 22 4. 88 5. 92
PAT 1 (ก.พ. 61) 9
3
1 −1
1 2
26. กาหนดให้ 𝐴 เป็ นเมทริกซ์มติ ิ 3 × 3 โดยที่ det 𝐴 = 4 และ 𝐵 = [0 2 0] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
𝑎 0 𝑏
ถ้า 2𝐴𝐵 + 3𝐼 = 𝐴 เมื่อ 𝐼 เป็ นเมทริกซ์เอกลักษณ์การคูณมิติ 3 × 3 แล้วค่าของ 𝑎+𝑏 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
3 5 1 17 19
1. 2
2. −
2
3. 2
4. −
2
5. 2
34. ถ้า 𝐴 เป็ นเซตของคูอ่ นั ดับ (𝑥, 𝑦) โดยที่ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริงบวกที่สอดคล้องกับสมการ
2𝑥 log 5 𝑦 = 4 log 25 5 + 4𝑥
2𝑥 log 5 𝑦 3 = (log 5 𝑦)2 + 9
และให้ 𝐵 = { 𝑥𝑦 | (𝑥, 𝑦) ∈ 𝐴 } ค่ามากที่สดุ ของสมาชิกในเซต 𝐵 เท่ากับเท่าใด
3−|𝑥|
เมื่อ 𝑥<3
35. กาหนดให้ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = { 3−𝑥 เมื่อ 𝑎 เป็ นจานวนจริง
𝑎𝑥 + 10 เมื่อ 𝑥 ≥ 3
ถ้าฟั งก์ชนั 𝑓 ต่อเนื่องบนเซตของจานวนจริง แล้ว ค่าของ 𝑓(𝑎 − 6) + 𝑓(𝑎) + 𝑓(𝑎 + 6) เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (ก.พ. 61) 13
38. คนกลุม่ หนึง่ มีผชู้ าย 𝑛 คน ผูห้ ญิง 𝑛 + 1 คน เมื่อ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ต้องการจัดคนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวเป็ นแนว
ตรงเพียงหนึง่ แถว ถ้าจานวนวิธีจดั คนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวแนวตรง โดยไม่มีผชู้ ายสองคนใดยืนติดกัน เท่ากับสองเท่า
ของจานวนวิธีจดั คนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวเป็ นแนวตรงโดยผูช้ ายยืนติดกันทัง้ หมด แล้วคนกลุม่ นีม้ ีทงั้ หมดกี่คน
14 PAT 1 (ก.พ. 61)
39. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และให้ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , … เป็ นลาดับของจานวนจริง
โดยที่ 𝑎1 = 𝑎 , 𝑎2 = 𝑏 และ 𝑎𝑛 = 𝑎1+𝑎2+𝑎𝑛−1 3 + … +𝑎𝑛−1
สาหรับ 𝑛 = 3, 4, 5, …
10
31 1 2
ถ้า 𝑎1 + 2𝑎2 + 3𝑎3 + 4𝑎4 = 8
และ 𝑎𝑖 = 30
8
แล้วค่าของ 1
(𝑎 + 𝑏) เท่ากับเท่าใด
i1
44. ให้ 𝑎̅, 𝑏̅ และ 𝑐̅ เป็ นเวกเตอร์ในสามมิติ โดยที่ 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ , 𝑏̅ = 3𝑖̅ − 2𝑗̅ + 3√2𝑘̅
เวกเตอร์ 𝑐̅ ทามุม 45° และ 60° กับเวกเตอร์ 𝑎̅ และเวกเตอร์ 𝑗̅ ตามลาดับ และ 𝑐̅ ∙ 𝑘̅ > 0
ถ้า 𝑢̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วยที่มีทศิ ทางเดียวกับเวกเตอร์ 𝑐̅ แล้ว 𝑢̅ ∙ 𝑏̅ เท่ากับเท่าใด
1
45. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 1 −
1−
1 สาหรับจานวนจริง 𝑥 > 0
1
1−
1+𝑥
ถ้า 𝑎 เป็ นจานวนจริงบวก ที่สอดคล้องกับ 𝑓(1 + 𝑎) + 𝑓(2 + 𝑎) + 𝑓(3 + 𝑎) + … + 𝑓(60 + 𝑎) = 2250
แล้ว 𝑎 มีคา่ เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (ก.พ. 61) 17
เฉลย
1. 3 11. 5 21. 5 31. 32 41. 86
2. 3 12. 2 22. 5 32. 2.5 42. 11.5
3. 4 13. 3 23. 1 33. 1 43. 3
4. 2 14. 4 24. 5 34. 125 44. 3.5
5. 3 15. 1 25. 3 35. 0.5 45. 6
6. 5 16. 1 26. 4 36. 11
7. 1 17. 4 27. 1 37. 18
8. 4 18. 2 28. 4 38. 7
9. 4 19. 2 29. 2 39. 36
10. 3 20. 1 30. 1 40. 4
แนวคิด
1. กาหนดให้ 𝑝 และ 𝑞 เป็ นประพจน์ใดๆ ประพจน์ในข้อใดต่อไปนีเ้ ป็ นสัจนิรนั ดร์
1. ~𝑝 ∨ (~𝑝 ∧ 𝑞) 2. (𝑞 ∨ ~𝑞) ∧ (𝑝 → ~𝑞) 3. ~(𝑝 → ~𝑞) → 𝑞
4. (~𝑝 ∨ 𝑞) → (~𝑝 ∧ ~𝑞) 5. (~𝑝 ∧ 𝑞) → (~𝑞 ∧ 𝑝)
ตอบ 3
ข้อนี ้ จะใช้วิธียดั เยียดความเท็จก็ได้ แต่อาจไม่เหมาะกับบางตัวเลือก (เช่น ข้อ 4.) ที่เป็ นเท็จได้หลายแบบ
เนื่องจากมีตวั แปร 𝑝, 𝑞 แค่ 2 ตัว → จะพยายามจัดรูปแต่ละตัวเลือกให้เป็ นรูปอย่างง่ายก่อน
1. ~𝑝 ∨ (~𝑝 ∧ 𝑞) 2. (𝑞 ∨ ~𝑞) ∧ (𝑝 → ~𝑞) 3. ~(𝑝 → ~𝑞) → 𝑞
≡ (~𝑝 ∧ T) ∨ (~𝑝 ∧ 𝑞) ≡ T ∧ (𝑝 → ~𝑞) ≡ (𝑝 → ~𝑞) ∨ 𝑞
≡ ~𝑝 ∧ (T ∨ 𝑞) ≡ 𝑝 → ~𝑞 ≡ ~𝑝 ∨ ~𝑞 ∨ 𝑞
≡ ~𝑝 ∧ T เป็ นเท็จได้เมื่อ 𝑝, 𝑞 เป็ น T ≡ ~𝑝 ∨ T
≡ ~𝑝 ≡ T
เป็ นเท็จได้เมื่อ 𝑝 เป็ น T เป็ นจริงเสมอ
4. (~𝑝 ∨ 𝑞) → (~𝑝 ∧ ~𝑞) 5. (~𝑝 ∧ 𝑞) → (~𝑞 ∧ 𝑝)
≡ ~(~𝑝 ∨ 𝑞) ∨ (~𝑝 ∧ ~𝑞) ≡ ~(~𝑝 ∧ 𝑞) ∨ (~𝑞 ∧ 𝑝)
≡ (𝑝 ∧ ~𝑞) ∨ (~𝑝 ∧ ~𝑞) ≡ 𝑝 ∨ ~𝑞 ∨ (~𝑞 ∧ 𝑝)
≡ (𝑝 ∨ ~𝑝) ∧ ~𝑞 ≡ 𝑝 ∨ (~𝑞 ∧ T) ∨ (~𝑞 ∧ 𝑝)
≡ T ∧ ~𝑞 ≡ 𝑝 ∨ (~𝑞 ∧ (T ∨ 𝑝) )
≡ ~𝑞 ≡ 𝑝 ∨ (~𝑞 ∧ T )
เป็ นเท็จได้เมื่อ 𝑞 เป็ น T ≡ 𝑝 ∨ ~𝑞
เป็ นเท็จได้เมื่อ 𝑝 เป็ น F และ 𝑞 เป็ น T
18 PAT 1 (ก.พ. 61)
2. กาหนดเอกภพสัมพัทธ์ คือเซตคาตอบของอสมการ 𝑥 2 (𝑥 2 − 1) ≥ 0
และให้ 𝑃(𝑥) แทน |𝑥| > 1
𝑄(𝑥) แทน 𝑥 2 − 𝑥 ≥ 2
𝑅(𝑥) แทน 𝑥 < 0
𝑆(𝑥) แทน 1 − 𝑥 < 0
ข้อใดต่อไปนีม้ คี า่ ความจริงเป็ นเท็จ
1. ~∀𝑥[𝑃(𝑥)] 2. ∃𝑥[𝑄(𝑥)] 3. ∀𝑥[𝑄(𝑥) → 𝑃(𝑥)]
4. ∃𝑥[𝑆(𝑥) ∧ 𝑃(𝑥)] 5. ∀𝑥[𝑆(𝑥) → ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥))]
ตอบ 3
แก้อสมการเอกภพสัมพัทธ์ 𝑥 2 (𝑥 2 − 1) ≥ 0
𝑥 2 (𝑥 − 1)(𝑥 + 1) ≥ 0
ตัวยกกาลังคู่
ไม่ตอ้ งกลับบวกลบ
+ − − +
จะได้ 𝒰 = (−∞, −1] ∪ {0} ∪ [1, ∞)
−1 0 1
1. |𝑥| > 1 จะได้ 𝑥 > 1 หรือ 𝑥 < −1 ซึง่ เขียนได้เป็ น (−∞, −1) ∪ (1, ∞)
ซึง่ ใน 𝒰 จะมีบางตัวที่ไม่อยูใ่ นช่วงนี ้ (เช่น 𝑥 = 0) นั่นคือ จะมีบางตัวที่ทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นเท็จ
ดังนัน้ ∀𝑥[𝑃(𝑥)] เป็ นเท็จ ทาให้ ~∀𝑥[𝑃(𝑥)] เป็ นจริง
2. 𝑥2 − 𝑥 ≥ 2
𝑥2 − 𝑥 − 2 ≥ 0
(𝑥 − 2)(𝑥 + 1) ≥ 0
+ − จะได้คาตอบของ 𝑄(𝑥) คือ (−∞, −1] ∪ [2, ∞) ซึง่ มีบางตัว (เช่น −1) อยูใ่ น 𝒰
+
−1 2 ดังนัน้ ∃𝑥[𝑄(𝑥)] เป็ นจริง
3. ใช้คาตอบของ 𝑃(𝑥) และ 𝑄(𝑥) ที่เคยแก้ มาแทน จะได้
𝑄(𝑥) → 𝑃(𝑥) ≡ 𝑥 ∈ (−∞, −1] ∪ [2, ∞) → 𝑥 ∈ (−∞, −1) ∪ (1, ∞)
ซึง่ จะเป็ นเท็จเมื่อ 𝑥 = −1 ดังนัน้ ∀𝑥[𝑄(𝑥) → 𝑃(𝑥)] เป็ นเท็จ
4. 1−𝑥 < 0 จะได้คาตอบของ 𝑆(𝑥) คือ (1, ∞)
1 < 𝑥
จากคาตอบของ 𝑃(𝑥) คือ (−∞, −1) ∪ (1, ∞) → มีสว่ นซา้ กัน ดังนัน้ ∃𝑥[𝑆(𝑥) ∧ 𝑃(𝑥)] เป็ นจริง
5. ต้องหาว่ามี 𝑥 ที่ทาให้ 𝑆(𝑥) เป็ นจริง และทาให้ ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥)) เป็ นเท็จ
𝑆(𝑥) เป็ นจริงเมื่อ 𝑥 ∈ (1, ∞) ซึง่ ในช่วงนีจ้ ะทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริง และ 𝑅(𝑥) เป็ นเท็จ เสมอ
( คาตอบของ 𝑃(𝑥) คือ (−∞, −1) ∪ (1, ∞) และ คาตอบของ 𝑅(𝑥) คือ (−∞, 0) )
จะได้ ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥)) ≡ ~(T ↔ F) ≡ ~F ≡ T ไม่เป็ นเท็จ
ดังนัน้ 𝑆(𝑥) → ~(𝑃(𝑥) ↔ 𝑅(𝑥)) จะเป็ นเท็นไม่ได้ → ข้อ 5. เป็ นจริง
PAT 1 (ก.พ. 61) 19
+ − +
จะได้ 𝑥 ∈ (−4, 3)
−4 3
และในรูท ต้องไม่ตดิ ลบ → 1+𝑥 ≥ 0 → พิจารณาร่วมกับ (−4, 3) จะเหลือคาตอบสุดท้ายคือ [−1, 3)
𝑥 ≥ −1
ซึง่ จะเป็ นสับเซตของ (−2, 4) ในข้อ 4.
แทนในสูตร tan(𝐴 + 𝐵) =
tan 𝐴+tan 𝐵
1−tan 𝐴 tan 𝐵
เนื่องจาก 0 < 𝐴, 𝐵 < 𝜋2
จาก (∗)
=
1−tan 𝐴 tan 𝐵 ดังนัน้ tan 𝐴 + tan 𝐵 > 0
1−tan 𝐴 tan 𝐵
ทัง้ สองฝั่งของ (∗) จึง ≠ 0
= 1
𝜋
จะได้ 𝐴+𝐵 = 45° (เนื่องจาก 0 < 𝐴, 𝐵 < 2 ดังนัน้ 0 < 𝐴 + 𝐵 < 𝜋)
PAT 1 (ก.พ. 61) 21
2
𝜃 1−cos 𝜃 𝐴+𝐵 45°
จากสูตร tan 2 = ±√1+cos 𝜃 จะได้ tan2 ( 2
) = tan2 ( 2
) = (±√1+cos 45°)
1−cos 45°
1
1−
√2
= 1
1+
√2
√2−1 √2−1
= ∙
√2+1 √2−1
2−2√2+1
= 2−1
= 3 − 2√2
8. ให้ 𝐸 เป็ นวงรีรูปหนึง่ มีจดุ ศูนย์กลางอยูท่ ี่จดุ (1, −2) และโฟกัสทัง้ สองอยูบ่ นเส้นตรงที่ขนานกับแกน 𝑥
ถ้า (4, 0) เป็ นจุดบน 𝐸 และผลบวกของระยะทางจากจุด (4, 0) ไปยังจุดโฟกัสทัง้ สองเท่ากับ 8 หน่วย
แล้ววงรี 𝐸 ผ่านจุดในข้อใดต่อไปนี ้
1. (4, 2) 2. (2, 4) 3. (2, −4) 4. (−2, −4) 5. (4, −2)
ตอบ 4
2 2
โฟกัสอยูบ่ นเส้นตรงที่ขนานแกน 𝑥 → เป็ นวงรีแนวนอน จะได้รูปสมการคือ (𝑥−ℎ)
𝑎2
(𝑦−𝑘)
+ 𝑏2 = 1 …(1)
ผลบวกระยะจากจุดบนวงรีไปยังโฟกัสทัง้ สอง จะเท่ากับความยาวแกนเอก (2𝑎) → ดังนัน้ 2𝑎 = 8
𝑎 = 4
2
(𝑥−1)2
จุดศูนย์กลาง (ℎ, 𝑘) = (1, −2) → แทน ℎ, 𝑘 และ 𝑎 ใน (1) จะได้ 42
+
(𝑦−(−2))
𝑏2
= 1
(𝑥−1)2 (𝑦+2)2
16
+ 𝑏2
= 1 …(2)
(4−1)2 (0+2)2
ผ่านจุด (4, 0) แสดงว่า 𝑥=4, 𝑦=0 ต้องทาให้สมการวงรีเป็ นจริง → 42
+ 𝑏2
= 1
9 4
+ = 1
16 𝑏2
4 7
𝑏2
= 16
64
= 𝑏2
7
(𝑥−1)2 (𝑦+2)2
แทน 𝑏2 ใน (2) จะได้สมการวงรีคอื 16
+ 64 = 1
7
(𝑥−1)2 7(𝑦+2)2
16
+ 64
= 1
ไล่แทนค่าในแต่ละตัวเลือก แล้วดูวา่ ตัวเลือกไหนทาให้สมการวงรีเป็ นจริง
2 7(2+2)2 2 (2−1)2 7(−4+2)2
7(4+2)2
1. (4−1)
16
+ 64 = 1 2. (2−1)
16
+ 64
= 1 3. 16
+ 64
= 1
9 7 1 63 1 7
+ = 1 + = 1 16
+ 16 = 1
16 4 16 16
4. (−2−1)2
+
7(−4+2)2
= 1 5. (4−1)2
+
7(−2+2)2
= 1
16 64 16 64
9 7 9
16
+ 16
= 1 16
+ 0 = 1
22 PAT 1 (ก.พ. 61)
1 2 −3 1
10. กาหนดให้ 𝐴 = [−1 3
] และ 𝐵 = [
𝑎 𝑏
] เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง
ถ้า (𝐴 − 𝐵)𝐵 = 𝐵(𝐴 − 𝐵) แล้วค่าของ det(𝐴 + 𝐵) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. − 32 2. − 12 3. 52 4. 72 5. 13
2
ตอบ 3
(𝐴 − 𝐵)𝐵 = 𝐵(𝐴 − 𝐵)
𝐴𝐵 − 𝐵2 = 𝐵𝐴 − 𝐵2
𝐴𝐵 = 𝐵𝐴
1 2 −3 1 −3 1 1 2
[ ][ ] = [ ][ ]
−1 3 𝑎 𝑏 𝑎 𝑏 −1 3
−3 + 2𝑎 1 + 2𝑏 −4 −3
[ ] = [ ]
3 + 3𝑎 −1 + 3𝑏 𝑎 − 𝑏 2𝑎 + 3𝑏
PAT 1 (ก.พ. 61) 23
−3 1 1 2 −3 1 −2 3
แทนค่า 𝑎 , 𝑏 จะได้ 𝐵=[
−0.5 −2
] → ดังนัน้ 𝐴+𝐵 = [
−1 3
]+[
−0.5 −2
] = [
−1.5 1
]
5
จะได้ det(𝐴 + 𝐵) = (−2)(1) − (−1.5)(3) = 2.5 = 2
11. กาหนดให้เวกเตอร์ 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ − 2𝑘̅ ถ้า 𝑏̅ เป็ นเวกเตอร์ในสามมิติ โดยที่ (𝑏̅ + 𝑎̅) ∙ (𝑏̅ − 𝑎̅) = 10
และเวกเตอร์ 𝑎̅ ทามุม 60° กับเวกเตอร์ 𝑏̅ แล้วขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ × 𝑏̅ อยูใ่ นช่วงในข้อใดต่อไปนี ้
1. (0, 2] 2. (2, 4] 3. (4, 6] 4. (6, 8] 5. (8, 10]
ตอบ 5
(𝑏̅ + 𝑎̅) ∙ (𝑏̅ − 𝑎̅) = 10
𝑏 ∙ 𝑏 − 𝑏̅ ∙ 𝑎̅ + 𝑎̅ ∙ 𝑏̅ − 𝑎̅ ∙ 𝑎̅
̅ ̅ = 10
𝑢̅ ∙ 𝑢̅ = |𝑢̅|2
𝑏̅ ∙ 𝑏̅ − 𝑎̅ ∙ 𝑎̅ = 10
2
|𝑏̅| − |𝑎̅|2 = 10
2 2 จาก 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ − 2𝑘̅
|𝑏̅| − (√6) = 10
2 จะได้ |𝑎̅| = √12 + 12 + (−2)2 = √6
|𝑏̅| = 16
|𝑏̅| = 4
12. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และให้ 𝑃 = 𝑎𝑥 + 𝑏𝑦 เป็ นฟั งก์ชนั จุดประสงค์ ภายใต้อสมการข้อจากัด
ต่อไปนี ้ 𝑥 + 2𝑦 ≤ 12
𝑥+𝑦 ≥ 6
𝑥 − 2𝑦 ≥ 0
𝑥 ≥ 0 และ 𝑦 ≥ 0
ถ้า 𝑃 มีคา่ มากที่สดุ ทีจ่ ดุ 𝐴 และ 𝐵 โดยที่จดุ 𝐴 และจุด 𝐵 เป็ นจุดสองจุดที่ตา่ งกันอยูบ่ นเส้นตรง 𝑥 + 2𝑦 = 12
และเป็ นจุดมุมที่สอดคล้องกับอสมการที่กาหนดให้ แล้วข้อใดต่อไปนีถ้ กู ต้อง
1. 𝑏 = 𝑎 2. 𝑏 = 2𝑎 3. 𝑏 = 3𝑎 4. 𝑏 = 4𝑎 5. 𝑏 = 5𝑎
ตอบ 2
สมมติให้พกิ ดั 𝐴 และ 𝐵 คือ (𝑥1, 𝑦1 ) และ (𝑥2, 𝑦2 )
𝑃 = 𝑎𝑥 + 𝑏𝑦 มีคา่ มากสุด ที่ 𝐴 และ 𝐵 เท่ากัน จะได้วา่ 𝑎𝑥1 + 𝑏𝑦1 = 𝑎𝑥2 + 𝑏𝑦2
𝑎𝑥1 − 𝑎𝑥2 = 𝑏𝑦2 − 𝑏𝑦1
𝑎(𝑥1 − 𝑥2 ) = 𝑏(𝑦2 − 𝑦1 ) …(∗)
24 PAT 1 (ก.พ. 61)
13. กาหนดให้ 𝑆 เป็ นปริภมู ิตวั อย่าง และ 𝑃(𝐸) แทนความน่าจะเป็ นของเหตุการณ์ 𝐸
และ 𝐸′ แทนคอมพลีเมนต์ของเหตุการณ์ 𝐸 ถ้า 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเหตุการณ์ใน 𝑆 โดยที่ 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 0.8
และ 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵) = 0.4 แล้วค่าของ 𝑃(𝐴′ ) + 𝑃(𝐵′ ) เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 0.4 2. 0.6 3. 0.8 4. 1.2 5. 1.6
ตอบ 3
จากสมบัติของความน่าจะเป็ น จะได้ 𝑃(𝐴′ ) = 1 − 𝑃(𝐴)
𝑃(𝐵′ ) = 1 − 𝑃(𝐵)
ดังนัน้ 𝑃(𝐴′ ) + 𝑃(𝐵′ ) = 1 − 𝑃(𝐴) + 1 − 𝑃(𝐵)
= 2 − (𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵)) …(∗)
จากสูตร Inclusive – Exclusive จะได้ 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵) − 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵)
0.8 = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵) − 0.4
1.2 = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵)
แทนใน (∗) จะได้ 𝑃(𝐴′ ) + 𝑃(𝐵′ ) = 2 − 1.2 = 0.8
2√𝑥 𝑥 2 −23+√𝑥 √𝑥
14. lim
x 4 √𝑥−2
มีคา่ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 32 2. 64 3. 80 4. 96 5. 128
ตอบ 4
2 2
2√𝑥 𝑥 2 −23+√𝑥 √𝑥 2√𝑥 (√𝑥 ) −23 2√𝑥 √𝑥
lim = lim
x 4 √𝑥−2 x 4 √𝑥−2
4
2√𝑥 √𝑥 − 232√𝑥 √𝑥
= lim
x 4 √𝑥−2
3
ดึงตัวร่วม 2√𝑥 √𝑥
2√𝑥 𝑥 (√𝑥 − 23 )
= lim √ 𝑥−2
x 4 √
2 𝑎3 − 𝑏 3 = (𝑎 − 𝑏)(𝑎2 + 𝑎𝑏 + 𝑏 2 )
2√𝑥 √𝑥 (√𝑥−2)(√𝑥 +2√𝑥+22)
= lim
x 4 √𝑥−2
2
= lim 2√𝑥 √𝑥 (√𝑥 + 2√𝑥 + 22 )
x 4
2
= 2√4 √4 (√4 + 2√4 + 22 ) = 8(4 + 4 + 4) = 96
PAT 1 (ก.พ. 61) 25
15. ให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของจานวนจริง โดยที่ 𝑓 ′ (𝑥) = 2𝑎𝑥 + 𝑏√𝑥 + 1
เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริง ถ้า 𝑓(0) = 1 และ 𝑓 ′ (1) = 𝑓 ′(4) = 0 แล้ว (𝑓 ∘ 𝑓)(4) มีคา่ เท่ากับ
ข้อใดต่อไปนี ้
1. 1.25 2. 1.75 3. 2.25 4. 2.75 5. 3.25
ตอบ 1
จาก 𝑓′(1) = 0 𝑓′(4) = 0
2𝑎(1) + 𝑏√1 + 1 = 0 2𝑎(4) + 𝑏√4 + 1 = 0
2𝑎 + 𝑏 + 1 = 0 …(1) 8𝑎 + 2𝑏 + 1 = 0 …(2)
กาจัด 𝑎 → 4×(1) − (2) : (8𝑎 + 4𝑏 + 4) − (8𝑎 + 2𝑏 + 1) = 0
2𝑏 + 3 = 0
3
𝑏 = −
2
3
แทน 𝑏 ใน (1) : 2𝑎 + (− 2) + 1 = 0
1
2𝑎 = 2
1
𝑎 = 4
1 3 1 3 1
แทนค่า 𝑎, 𝑏 ใน 𝑓 ′ (𝑥) จะได้ 𝑓 ′ (𝑥) = 2 (4) 𝑥 − 2 √𝑥 + 1 = 2
𝑥 − 2
𝑥2 + 1
3
1 2
อินทิเกรต จะได้ 𝑓(𝑥) = 4
𝑥 − 𝑥2 + 𝑥 + 𝑐
และจาก 𝑓(0) = 1
3
1
4
(02 ) − 0 +0+𝑐 = 1
2
3
1 2
𝑐 = 1 จะได้ 𝑓(𝑥) = 4
𝑥 − 𝑥2 + 𝑥 + 1
3
1
ดังนัน้ (𝑓 ∘ 𝑓)(4) = 𝑓(𝑓(4)) = 𝑓 ( (42 ) − 42 + 4 + 1)
4
= 𝑓( 4 − 8 + 4 + 1)
= 𝑓( 1 )
3
1
= 4
(12 ) −
12 + 1 + 1
= 0.25 − 1 + 1 + 1 = 1.25
17. ให้จดุ 𝐴 เป็ นจุดบนเส้นตรง 3𝑥 + 𝑦 + 4 = 0 โดยที่จดุ 𝐴 ห่างจากจุด (−5, 6) และจุด (3, 2) เป็ นระยะเท่ากัน
ให้ 𝐿1 และ 𝐿2 เป็ นเส้นตรงสองเส้นที่ตา่ งกันและขนานกับเส้นตรง 5𝑥 + 12𝑦 = 0
ถ้าจุด 𝐴 อยูห่ า่ งจากเส้นตรง 𝐿1 และ 𝐿2 เป็ นระยะเท่ากับ 2 หน่วย
แล้วผลบวกของระยะตัดแกน 𝑥 ของเส้นตรง 𝐿1 และ 𝐿2 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. −5.6 2. −2.8 3. 2.8 4. 5.6 5. 8.4
ตอบ 4
ให้พิกดั ของ 𝐴 คือ (𝑎, 𝑏) โจทย์ให้ 𝐴 อยูบ่ นเส้นตรง 3𝑥 + 𝑦 + 4 = 0 ดังนัน้ 3𝑎 + 𝑏 + 4 = 0 …(1)
𝐴 ห่างจาก (−5, 6) และ (3, 2) เท่ากัน → √(𝑎 − (−5))2 + (𝑏 − 6)2 = √(𝑎 − 3)2 + (𝑏 − 2)2
(𝑎 + 5)2 + (𝑏 − 6)2 = (𝑎 − 3)2 + (𝑏 − 2)2
(𝑎 + 5)2 − (𝑎 − 3)2 = (𝑏 − 2)2 − (𝑏 − 6)2
น2 − ล2 = (น − ล)(น + ล)
(8)(2𝑎 + 2) = (4)(2𝑏 − 8)
÷ 8 ตลอด
2𝑎 + 2 = 𝑏−4
2𝑎 − 𝑏 + 6 = 0 …(2)
(1) + (2) : 5𝑎 + 10 = 0
𝑎 = −2
แทนค่า 𝑎 ใน (2) : 2(−2) − 𝑏 + 6 = 0
2 = 𝑏 → จะได้พิกดั 𝐴 คือ (−2, 2)
𝐿1 , 𝐿2 ขนานกับ 5𝑥 + 12𝑦 = 0 → 𝐿1 , 𝐿2 ต้องอยูใ่ นรูป 5𝑥 + 12𝑦 + 𝐶 = 0
|5(−2)+12(2)+𝐶|
𝐴(−2, 2) ห่างจาก 𝐿1 , 𝐿2 เป็ นระยะ 2 หน่วย → = 2
√52 +122
|14+𝐶|
13
= 2
|14 + 𝐶| = 26
14 + 𝐶 = 26 , −26
𝐶 = 12 , −40
จะได้ 𝐿1 , 𝐿2 คือ 5𝑥 + 12𝑦 + 12 = 0 และ 5𝑥 + 12𝑦 − 40 = 0
หาระยะตัดแกน 𝑥 ต้องแทน 𝑦 = 0 → 5𝑥 + 12(0) + 12 = 0 5𝑥 + 12(0) − 40 = 0
12 𝑥 = 8
𝑥 =− 5
12
จะได้ผลบวกระยะตัดแกน 𝑥 คือ −
5
+ 8 = −2.4 + 8 = 5.6
PAT 1 (ก.พ. 61) 27
1+7𝑖 1+3𝑖
18. ให้ 𝑧1 = (2−𝑖) 2 และ 𝑧2 = 1−2𝑖 เมื่อ 𝑖 = −1
2
เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 6.5 2. 7.5 3. 8.5 4. 9.5 5. 10.5
ตอบ 2
จากความสัมพันธ์ 𝑦 = 8𝑥 + 13.5 จะได้ 𝑏 = 8 และ 𝑎 = 13.5
มีพนักงาน 8 คน → 𝑛 = 8
แทนข้อมูลทัง้ หมดในสูตรระบบสมการ ∑ 𝑦 = 𝑎𝑛 + 𝑏 ∑ 𝑥 จะได้ 492 = (13.5)(8) + 8 ∑ 𝑥 …(1)
2
∑ 𝑥𝑦 = 𝑎 ∑ 𝑥 + 𝑏 ∑ 𝑥 3432 = (13.5) ∑ 𝑥 + 8 ∑ 𝑥 2 …(2)
28 PAT 1 (ก.พ. 61)
14 ปี ถึง 17 ปี คิดเป็ น 53.28% = พืน้ ที่ 0.5328 ที่แรเงา = 0.5328 − 0.1915 0.1915
= 0.3413
0.5328 มากกว่า 0.1915 อยู่ 0.3413 → จะล้นมาทางซ้ายดังรูป
นับจากแกนกลาง จะได้พนื ้ ที่ที่ใช้เปิ ดตาราง = 0.3413 → 𝑧 = 1
แต่เป็ นพืน้ ที่ฝ่ ังซ้าย 𝑧 ต้องติดลบ จะได้ 𝑧 = −1 จะได้ −1 = 14𝑠− 𝑥̅ …(2) 𝑥 = 14 𝑥 = 17
−1 14 − 𝑥̅ 𝑠
(2) ÷ (1) : 0.5
= 𝑠
∙ 17 − 𝑥̅
14 − 𝑥̅
−2 = 17 − 𝑥̅ 14−16
−34 + 2𝑥̅ = 14 − 𝑥̅ แทน 𝑥̅ ใน (2) : −1 = 𝑠
3𝑥̅ = 48 −𝑠 = −2
𝑥̅ = 16 𝑠 = 2
จะได้สมั ประสิทธิ์การแปรผัน =
𝑠
𝑥̅
=
2
16
=
1
8
= 0.125
21. กาหนดข้อมูล 𝑥1, 𝑥2, 𝑥3, 𝑥4 โดยที่ 0 < 𝑥1 ≤ 𝑥2 ≤ 𝑥3 ≤ 𝑥4 ถ้าข้อมูลชุดนีม้ คี า่ เฉลีย่ เลขคณิตเท่ากับ 7
พิสยั เท่ากับ 9 และ มัธยฐานและฐานนิยมมีคา่ เท่ากัน และมีคา่ เท่ากับ 6 แล้วสัมประสิทธิ์สว่ นเบี่ยงเบนควอไทล์
ของข้อมูลชุดนี ้ เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 193 2. 195 3. 196 4. 20 7
5. 209
ตอบ 5
มัธยฐาน = ฐานนิยม = 6 แสดงว่า 6 เป็ นตัวตรงกลางทีซ่ า้ มากสุด → จะได้ขอ้ มูลต้องอยูใ่ นรูป 𝑥1 , 6 , 6 , 𝑥4
PAT 1 (ก.พ. 61) 29
22. ถ้า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ที่สอดคล้องกับ log 𝑎3 𝑏 2𝑛 = 1 , log 𝑎2𝑛 𝑏3 = 1
และ log 𝑎𝑛 𝑏𝑛 = 67 แล้ว 𝑛 log 𝑎𝑛 − log 𝑏2𝑛 เท่ากับข้อใดต่อไปนี ้
1. 17 2. 67 3. 1 4. 2 5. 3
ตอบ 5
จาก log 𝑎3 𝑏2𝑛 = 1 และ log 𝑎2𝑛 𝑏3 = 1
log เป็ น 1 : 1
𝑎3 𝑏 2𝑛 = 𝑎2𝑛 𝑏3
𝑏 2𝑛−3 = 𝑎2𝑛−3 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ทาให้ 2𝑛 − 3 ≠ 0
𝑏 = 𝑎 และ 𝑎, 𝑏 เป็ นบวก
6
แทน 𝑏=𝑎 ใน log 𝑎𝑛 𝑏 𝑛 = 7
และจาก log 𝑎3 𝑏 2𝑛 = 1
6 log 𝑎3 𝑎2𝑛 = 1
log 𝑎𝑛 𝑎𝑛 = 7 log 𝑎3 + log 𝑎2𝑛 = 1
6 6
log 𝑎2𝑛 = 3 log 𝑎 + = 1
7 7
6 1
2𝑛 log 𝑎 = …(∗) log 𝑎 =
7 21
1 1 6
แทน log 𝑎 = 21ใน (∗) จะได้ 2𝑛 (21) = 7
𝑛 = 9
ดังนัน้ 𝑛 log 𝑎𝑛 − log 𝑏 2𝑛 = 9 log 𝑎9 − log 𝑎2(9)
= 81 log 𝑎 − 18 log 𝑎
1
= 63 log 𝑎 = 63 (21) = 3
30 PAT 1 (ก.พ. 61)
23. ให้ 𝐻 เป็ นไฮเพอร์โบลาที่มีแกนสังยุคอยูบ่ นเส้นตรง 𝑥 = 1 และมีจดุ ยอดจุดหนึง่ อยูท่ ี่ (0, 2) ถ้า 𝐻 ผ่านจุด
ศูนย์กลางของวงรีซงึ่ มีสมการเป็ น 5𝑥 2 − 30𝑥 + 9𝑦 2 = 0 แล้วสมการของไฮเพอร์โบลา 𝐻 ตรงกับข้อใดต่อไปนี ้
1. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 + 12𝑦 − 12 = 0 2. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 + 12𝑦 − 13 = 0
3. 4𝑥 2 − 3𝑦 2 − 8𝑥 − 6𝑦 − 12 = 0 4. 3𝑥 2 − 4𝑦 2 − 6𝑥 + 16𝑦 − 17 = 0
5. 3𝑥 2 − 4𝑦 2 − 6𝑥 + 8𝑦 − 17 = 0
ตอบ 1
𝑥=1
จากข้อมูลแกนสังยุค กับจุดยอด จะวาดได้ดงั รูป
ซึง่ เป็ นไฮเพอร์โบลาแนวนอน โดยมี จุดศูนย์กลาง (ℎ, 𝑘) = (1, 2) V1(0, 2)
1. 17281
2. 3716
3. 22 4. 88 5. 92
ตอบ 5
𝑎1 (𝑟8 −1) 𝑎1 (𝑟4 −1)
𝑎1 (𝑟 𝑛 −1) 𝑆8 𝑆4
จากสูตรอนุกรมเรขาคณิต 𝑆𝑛 = 𝑟−1
จะได้ 𝑆4
+ 𝑆2
= 𝑟−1
𝑎1 (𝑟4 −1)
𝑟−1
+ 𝑎1(𝑟 2 −1)
𝑟−1 𝑟−1
𝑟 8 −1 𝑟 4 −1
= +
𝑟 4 −1 𝑟 2 −1
(𝑟 4 −1)(𝑟 4 +1) (𝑟 2 −1)(𝑟 2 +1)
= +
𝑟 4 −1 𝑟 2 −1
= 𝑟4 + 1 + 𝑟 +1 2
= 𝑟4 + 𝑟2 + 2 …(∗)
PAT 1 (ก.พ. 61) 31
3 2 −2 1 0 0 −3 0 0
1
(4) ∙ det([ 0 4 0 ] − [0 1 0]) = det [ 0 −3 0 ]
2𝑎 0 2𝑏 0 0 1 0 0 −3
2 2 −2
1
(4) ∙ det( [0 3 0 ] ) = −27
2𝑎 0 2𝑏 − 1
(12𝑏 − 6) − (−12𝑎) = −108
12𝑏 + 12𝑎 = −102
102 17
𝑏 + 𝑎 = − 12 = −2
1
𝑎(2) = 2 + ( 8 ) = 3.6
5
1
𝑎(5) = 2 + 5 (6.2) = 3.24
34. ถ้า 𝐴 เป็ นเซตของคูอ่ นั ดับ (𝑥, 𝑦) โดยที่ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริงบวกที่สอดคล้องกับสมการ
2𝑥 log 5 𝑦 = 4 log 25 5 + 4𝑥
2𝑥 log 5 𝑦 3 = (log 5 𝑦)2 + 9
และให้ 𝐵 = { 𝑥𝑦 | (𝑥, 𝑦) ∈ 𝐴 } ค่ามากที่สดุ ของสมาชิกในเซต 𝐵 เท่ากับเท่าใด
ตอบ 125
จัดรูปสมการ และเปลีย่ นตัวแปร 2𝑥 = 𝑐 และ log 5 𝑦 = 𝑑 จะได้
𝑥 𝑥
2 log 5 𝑦 = 4 log 25 5 + 4 2 log 5 𝑦 3
𝑥
= (log 5 𝑦)2 + 9
2𝑥 log 5 𝑦 = 4 log 52 5 + (22 )𝑥 2𝑥 (3 log 5 𝑦) = (log 5 𝑦)2 + 9
4
2𝑥 log 5 𝑦 = 2 log 5 5 + (2𝑥 )2 𝑐 ( 3𝑑 ) = 𝑑2 +9
𝑐 𝑑 = 2 + 𝑐2 3𝑐𝑑 = 𝑑2 +9
2
𝑑 = 𝑐
2
+ 𝑐 …(∗) 3(2 + 𝑐 2 ) = (𝑐 + 𝑐)2 + 9
4
6 + 3𝑐 2 = + 4 + 𝑐2 + 9
𝑐2
4
2𝑐 2 − 7 − 𝑐 2 = 0
คูณ 𝑐 2 ตลอด
2𝑐 4 − 7𝑐 2 − 4 = 0
(2𝑐 2 + 1)(𝑐 2 − 4) = 0
(2𝑐 2 + 1)(𝑐 − 2)(𝑐 + 2) = 0
𝑐 = 2 , −2
ไม่มีคาตอบ เพราะ 𝑐 2 เป็ นลบไม่ได้
𝑥
𝑐 คือ 2 → เป็ นลบไม่ได้
3−|𝑥|
เมื่อ 𝑥<3
35. กาหนดให้ฟังก์ชนั 𝑓(𝑥) = { 3−𝑥 เมื่อ 𝑎 เป็ นจานวนจริง
𝑎𝑥 + 10 เมื่อ 𝑥 ≥ 3
ถ้าฟั งก์ชนั 𝑓 ต่อเนื่องบนเซตของจานวนจริง แล้ว ค่าของ 𝑓(𝑎 − 6) + 𝑓(𝑎) + 𝑓(𝑎 + 6) เท่ากับเท่าใด
ตอบ 0.5
𝑓 ต่อเนื่อง แปลว่าทัง้ สองสูตรต้องได้คา่ เท่ากันตรงรอยต่อ 𝑥 → 3− , 𝑥 = 3 , 𝑥 → 3+
เมื่อ 𝑥 → 3− จะใช้สตู รบน และเนื่องจาก 𝑥 เป็ นบวก ดังนัน้ |𝑥| = 𝑥
จะได้ lim 𝑓(𝑥) = lim 3−|𝑥| 3−𝑥
3−𝑥
= lim 3−𝑥 = 1 …(1)
x 3 x 3 x 3
เมื่อ 𝑥=3 กับ 𝑥 → 3+ จะใช้สตู รล่าง จะได้ 𝑓(3) = lim 𝑓(𝑥) = 3𝑎 + 10 …(2)
x 3
ตอบ 11
จาก 𝑓(𝑥) = 𝑎𝑥 2 + 𝑏𝑥 + 𝑐 จะได้ 𝑓(−1) + 𝑓(1) = 14
𝑓 ′ (𝑥) = 2𝑎𝑥 + 𝑏 𝑎(−1)2 + 𝑏(−1) + 𝑐 + 𝑎(1)2 + 𝑏(1) + 𝑐 = 14
𝑓 ′′ (𝑥) = 2𝑎 2𝑎 + 2𝑐 = 14
𝑎 + 𝑐 = 7 …(1)
ตอบ 18
𝑓(𝑥) − 𝑓(2)
จากนิยาม จะได้ lim
x2 𝑥−2
คือ อนุพนั ธ์ของ 𝑓(𝑥) เมื่อ 𝑥 = 2 → = 𝑓 ′ (2)
𝑓(𝑥) − 𝑓(2)
ดังนัน้ lim 𝑥 − 2 = 𝑓 ′ (2)
x2
= 0
จาก 𝑓(𝑥) = 3 2
𝑎𝑥 + 𝑏𝑥 + 1
𝑓′(𝑥) = 3𝑎𝑥 2 + 2𝑏𝑥 12𝑎 + 4𝑏 = 0
𝑓′(2) = 3𝑎(22 ) + 2𝑏(2) 3𝑎 + 𝑏 = 0
= 12𝑎 + 4𝑏 𝑏 = −3𝑎 …(∗)
1
1
และจาก 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 4
𝑎
+
−3𝑎
+1 =
1
0
1
จาก (∗) 4 3 4
𝑎𝑥 4 𝑏𝑥 3 1 𝑎 − 4𝑎 + 4 = 1
+ + 𝑥 | =
4 3
0
4 −3𝑎 = −3
𝑎 𝑏 1 𝑎 = 1
( + + 1) − 0 =
4 3 4
แทนใน (∗) จะได้ 𝑏 = −3(1) = −3
PAT 1 (ก.พ. 61) 39
𝑓′ (𝑥) − 𝑓′ (4)
จากนิยาม จะได้ lim
x4 𝑥−4
คือ อนุพนั ธ์ของ 𝑓′(𝑥) เมื่อ 𝑥 = 4 → = 𝑓 ′′ (4)
38. คนกลุม่ หนึง่ มีผชู้ าย 𝑛 คน ผูห้ ญิง 𝑛 + 1 คน เมื่อ 𝑛 เป็ นจานวนเต็มบวก ต้องการจัดคนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวเป็ นแนว
ตรงเพียงหนึง่ แถว ถ้าจานวนวิธีจดั คนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวแนวตรง โดยไม่มีผชู้ ายสองคนใดยืนติดกัน เท่ากับสองเท่า
ของจานวนวิธีจดั คนกลุม่ นีย้ ืนเรียงแถวเป็ นแนวตรงโดยผูช้ ายยืนติดกันทัง้ หมด แล้วคนกลุม่ นีม้ ีทงั้ หมดกี่คน
ตอบ 7
ไม่มีชายยืนติดกัน : เอา หญิง 𝑛 + 1 คน มาเรียงก่อน จะเรียงได้ (𝑛 + 1)! แบบ
1 2 3 4 5
หญิง 𝑛 + 1 คน จะมีช่องว่างให้ ชาย ลงได้ 𝑛 + 2 ช่อง
ญ ญ ญ ญ
เรียงชาย 𝑛 คน ลงใน 𝑛 + 2 ช่อง จะเรียงได้ 𝑃𝑛+2,𝑛 = (𝑛+2)! 2!
แบบ
รวมจานวนแบบ = (𝑛 + 1)! (𝑛+2)! 2!
แบบ
ชายยืนติดกันหมด : เอา ชาย 𝑛 คน มัดรวมเป็ นคนใหม่ 1 คน
มี หญิง 𝑛 + 1 คน รวมแบบใหม่เป็ นคนทัง้ หมด 𝑛 + 2 คน → เรียงได้ (𝑛 + 2)! แบบ
ชายทัง้ 𝑛 คนในมัด จะสลับที่กนั เองได้ 𝑛! แบบ
รวมจานวนแบบ = (𝑛 + 2)! 𝑛! แบบ
โจทย์ให้ ไม่มีชายยืนติดกัน = 2 × ชายยืนติดกันหมด
(𝑛+2)!
(𝑛 + 1)! 2! = 2 (𝑛 + 2)! 𝑛!
𝑛+1 = 4
𝑛 = 3
ดังนัน้ เป็ นชาย 3 คน และเป็ นหญิง 3 + 1 = 4 คน → รวมเป็ นคนทัง้ หมด 3 + 4 = 7 คน
39. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริงบวก และให้ 𝑎1, 𝑎2, 𝑎3, … , 𝑎𝑛 , … เป็ นลาดับของจานวนจริง
โดยที่ 𝑎1 = 𝑎 , 𝑎2 = 𝑏 และ 𝑎𝑛 = 𝑎1+𝑎2+𝑎𝑛−1 3 + … +𝑎𝑛−1
สาหรับ 𝑛 = 3, 4, 5, …
10
31 1 2
ถ้า 𝑎1 + 2𝑎2 + 3𝑎3 + 4𝑎4 = 8
และ 𝑎𝑖 = 30
8
แล้วค่าของ 1
(𝑎 + 𝑏) เท่ากับเท่าใด
i1
ตอบ 36
𝑎1 +𝑎2 +𝑎3 + … +𝑎𝑛+1−1
จาก 𝑎𝑛 3 𝑛−1
→ แทน 𝑛 ด้วย 𝑛 + 1 : 𝑎𝑛+1 =
𝑎 +𝑎 +𝑎 + … +𝑎
= 1 2 𝑛−1 𝑛+1−1
𝑛𝑎𝑛 − 𝑎𝑛 = 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + … + 𝑎𝑛−1 𝑎1 +𝑎2 +𝑎3 + … +𝑎𝑛
𝑎𝑛+1 =
𝑛𝑎𝑛 = 𝑎1 + 𝑎2 + 𝑎3 + … + 𝑎𝑛−1 + 𝑎𝑛 …(∗) 𝑛 จาก (∗)
𝑛𝑎𝑛
𝑎𝑛+1 = 𝑛
𝑎𝑛+1 = 𝑎𝑛 สาหรับ 𝑛 = 3, 4, 5, …
แทน 𝑛 = 3 จะได้ 𝑎4 = 𝑎3
แทน 𝑛 = 4 จะได้ 𝑎5 = 𝑎4 จะได้ 𝑎3 = 𝑎4 = 𝑎5 = …
⋮
ตอบ 3
𝑎𝑛
ถ้าจะหา lim
n 𝑏𝑛
ต้องพิจารณาดีกรี และ สปส ของ 𝑎𝑛 และ 𝑏𝑛
จาก 𝑏𝑛+1 = 𝑏𝑛 + 1 แสดงว่าแต่ละพจน์ของลาดับ {𝑏𝑛 } เพิ่มทีละ 1 → ลาดับ {𝑏𝑛 } ก็เป็ นลาดับเลขคณิต
ที่มีผลต่างร่วม 𝑑𝑏 = 1
𝑎𝑛 𝑎1 +(𝑛−1)𝑑𝑎
ใช้สตู รลาดับเลขคณิต จะได้ lim
n 𝑏𝑛
= lim
n 𝑏1 +(𝑛−1)𝑑𝑏
𝑎 +𝑛𝑑 −𝑑
= lim 𝑏1+𝑛𝑑𝑎−𝑑𝑎
n 1 𝑏 𝑏
𝑎1 𝑑
+ 𝑑𝑎 − 𝑎 0+𝑑𝑎 +0 𝑑𝑎
𝑛 𝑛
= lim 𝑏1 𝑑 = 0+𝑑𝑏 +0
= 𝑑𝑏
…(∗)
n + 𝑑𝑏 − 𝑏
𝑛 𝑛
หมายเหตุ : ผลบวกสีพ่ จน์แรก = 14 ที่โจทย์ให้ จะช่วยให้หา 𝑎1 ได้ แต่ขอ้ นีไ้ ม่จาเป็ นต้องใช้
42 PAT 1 (ก.พ. 61)
44. ให้ 𝑎̅, 𝑏̅ และ 𝑐̅ เป็ นเวกเตอร์ในสามมิติ โดยที่ 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ , 𝑏̅ = 3𝑖̅ − 2𝑗̅ + 3√2𝑘̅
เวกเตอร์ 𝑐̅ ทามุม 45° และ 60° กับเวกเตอร์ 𝑎̅ และเวกเตอร์ 𝑗̅ ตามลาดับ และ 𝑐̅ ∙ 𝑘̅ > 0
ถ้า 𝑢̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วยที่มีทศิ ทางเดียวกับเวกเตอร์ 𝑐̅ แล้ว 𝑢̅ ∙ 𝑏̅ เท่ากับเท่าใด
ตอบ 3.5
เนื่องจาก 𝑢̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วยที่มีทิศเหมือน 𝑐̅ ดังนัน้ 𝑢̅ ทามุม 45° และ 60° กับ 𝑎̅ และ 𝑗̅ ด้วย
𝑥
ให้ 𝑢̅ = [𝑦] เนื่องจาก 𝑢̅ เป็ นเวกเตอร์หนึง่ หน่วย ดังนัน้ |𝑢̅| = 1
𝑧
𝑢̅ ทามุม 60° กับ 𝑗̅ ดังนัน
้ 𝑢̅ ∙ 𝑗̅ = |𝑢̅| |𝑗̅| cos 60°
𝑥 0
1
[𝑦] ∙ [1] = (1)(1)(2)
𝑧 0
𝑦 = 0.5
1
และจาก 𝑎̅ = 𝑖̅ + 𝑗̅ = [1] ดังนัน้ |𝑎̅| = √12 + 12 + 02 = √2
0
𝑢̅ ทามุม 45° กับ 𝑎̅ ดังนัน้ 𝑢̅ ∙ 𝑎̅ = |𝑢̅| |𝑎̅| cos 45°
𝑥 1
√2
[0.5] ∙ [1] = (1)(√2)( 2 )
𝑧 0
𝑥 + 0.5 = 1
𝑥 = 0.5
และจาก 𝑐̅ ∙ 𝑘̅ > 0 และจาก 𝑢̅ มีขนาดหนึง่ หน่วย ดังนัน้ √𝑥 2 + 𝑦 2 + 𝑧 2 = 1
|𝑐̅|𝑢̅ ∙ 𝑘̅ > 0 0.52 + 0.52 + 𝑧 2 = 1
𝑢̅ ∙ 𝑘̅ > 0 𝑧2 = 0.5
𝑥 0 𝑧 = ±√0.5
[𝑦] ∙ [0] > 0 𝑧 = √0.5
𝑧 1
𝑧 > 0
0.5 3
จะได้ 𝑢̅ ∙ 𝑏̅ = [ 0.5 ] ∙ [ −2 ] = (0.5)(3) + (0.5)(−2) + (√0.5)(3√2)
√0.5 3√2 = 1.5 − 1 +3 = 3.5
1
45. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = 1 −
1−
1 สาหรับจานวนจริง 𝑥 > 0
1
1−
1+𝑥
ถ้า 𝑎 เป็ นจานวนจริงบวก ที่สอดคล้องกับ 𝑓(1 + 𝑎) + 𝑓(2 + 𝑎) + 𝑓(3 + 𝑎) + … + 𝑓(60 + 𝑎) = 2250
แล้ว 𝑎 มีคา่ เท่ากับเท่าใด
ตอบ 6
1
จัดรูป 𝑓(𝑥) = 1−
1−
1
1
1−
1+𝑥 1
= 1−
1 = 1− 𝑥 − (1+𝑥)
1
1 − 1+𝑥 − 1 𝑥
𝑥
1
1+𝑥 = 1−
−1
= 1− 1+𝑥 = 1+𝑥
1−
𝑥
PAT 1 (ก.พ. 61) 43
เครดิต
ขอบคุณ ข้อสอบ และเฉลยละเอียด จาก อ.ปิ๋ ง GTRmath
ขอบคุณ เฉลยละเอียดจาก คุณ คณิต มงคลพิทกั ษ์สขุ (นวย) ผูเ้ ขียน Math E-book
ขอบคุณ คุณ Chonlakorn Chiewpanich
และ คุณ Soruth Kuntikul
และ คุณครูเบิรด์ จาก กวดวิชาคณิตศาสตร์ครูเบิรด์ ย่านบางแค 081-8285490
ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร