You are on page 1of 40

PAT 1 (มี.ค.

58) 1
24 Jul 2019

PAT 1 (มี.ค. 58)


รหัสวิชา 71 วิชา ความถนัดทางคณิตศาสตร์ (PAT 1)
วันเสาร์ ที่ 7 มีนาคม 2558 เวลา 13.00 - 16.00 น.

ตอนที่ 1 ข้ อ 1 - 30 ข้ อละ 6 คะแนน


1. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริ ง กาหนดเอกภพสัมพัทธ์คือ { 𝑥 ∈ 𝑅 | 1 < 𝑥 < 2 }
𝑃(𝑥) แทน 3𝑥 2 − 4𝑥 − 4 < 0 𝑄(𝑥) แทน 𝑥 2 > |𝑥 2 − 4|
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ∀𝑥[𝑃(𝑥)] → ∃𝑥[𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥)] มีคา่ ความจริ งเป็ น จริ ง
(ข) ∃𝑥[𝑄(𝑥)] → ∀𝑥[𝑃(𝑥)] มีคา่ ความจริ งเป็ น เท็จ
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด

2. กาหนดให้ 𝑝, 𝑞 และ 𝑟 เป็ นประพจน์ พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้


(ก) ถ้ าประพจน์ 𝑝 → (𝑞 ∧ 𝑟) มีคา่ ความจริ งเป็ น จริ ง
แล้ วประพจน์ (𝑝 → 𝑞) ↔ (𝑝 → 𝑟) มีคา่ ความจริ งเป็ น จริ ง
(ข) ถ้ าประพจน์ 𝑝 → (𝑞 ∧ 𝑟) มีคา่ ความจริ งเป็ น เท็จ
แล้ วประพจน์ [(~𝑝 → 𝑞) ∧ 𝑟] ∨ (𝑝 ∨ ~𝑟) มีคา่ ความจริ งเป็ น จริ ง
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด
2 PAT 1 (มี.ค. 58)

3. ถ้ า 𝐴 เป็ นเซตของจานวนจริง 𝑥 ทังหมดที


้ ่สอดคล้ องกับอสมการ 𝑥 < √6 + 𝑥 − 𝑥 2 + 1 < 𝑥 + 3
แล้ วเซต 𝐴 เป็ นสับเซตของช่วงในข้ อใดต่อไปนี ้
1. (−1, 2) 2. (0, 3) 3. (1, 4) 4. (2, 5)

4. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริ ง และให้ 𝑆 ′ แทนคอมพลีเมนต์ของเซต 𝑆


ให้ 𝑓 = { (𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | 𝑦 2 + |1 − 𝑥|𝑦 2 = 4 } และ 𝑔 = { (𝑥, 𝑦) ∈ 𝑅 × 𝑅 | 𝑦 = √1 − 𝑥 4 }
และให้ 𝐴 เป็ นเรนจ์ของ 𝑓 และ 𝐵 เป็ นโดเมนของ 𝑔 พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) 𝐴 ⊂ 𝐵′
(ข) (𝐴 − 𝐵) ∩ (𝐵 − 𝐴) = ∅
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด

5. ให้ 𝑎 เป็ นจานวนจริง โดยที่ 0 < 𝑎 < 1 เซตคาตอบของอสมการ 𝑎|𝑥|+1


𝑥
> 1 เป็ นสับเซตของช่วงในข้ อใดต่อไปนี ้
1. (−∞, − 𝑎1 ) 1
2. (−1, 1−𝑎 ) 3. (1, 𝑎1 ) 1
4. ( 1−𝑎 , ∞)
PAT 1 (มี.ค. 58) 3

6. กาหนด 0 ≤ 𝜃 ≤ 90° และ 𝑓(𝑥) = 12𝑥 − 9𝑥 2 เมื่อ 0 < 𝑥 < 1


ถ้ า sin 𝜃 = 𝑎 เมื่อ 𝑎 เป็ นจานวนจริ งที่ 𝑓(𝑎) มีคา่ มากที่สดุ แล้ ว
2
𝜃)(sec 𝜃−1) 2
(sec 𝜃)(sin 𝜃−1)
ค่าของ (cot 1+sin 𝜃
+ 1+sec 𝜃
เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 1 + √5 2. √5 3. 1 − √5 4. 0

7. กาหนด 𝐴𝐵𝐶 เป็ นรูปสามเหลีย่ ม โดยที่ จุดยอด 𝐴 จุดยอด 𝐵 และจุดยอด 𝐶 อยูบ่ นเส้ นรอบวงของวงกลมวงหนึง่ มี
รัศมีเท่ากับ 𝑅 หน่วย ถ้ าความยาวของด้ านตรงข้ ามมุม 𝐴 และมุม 𝐵 เท่ากับ 𝑎 และ 𝑏 หน่วยตามลาดับ
มุม 𝐴𝐵̂𝐶 เท่ากับ 18° และมุม 𝐴𝐶̂ 𝐵 เท่ากับ 36° แล้ วค่าของ 𝑎 − 𝑏 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 𝑅 2. 12 𝑅 3. 14 𝑅 4. 16 1
𝑅

8. ค่าของ arctan (2sin


cos 10°−cos 50°
70°−cos 80°
) เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 15° 2. 30° 3. 45° 4. 60°
4 PAT 1 (มี.ค. 58)

9. กล่องใบหนึง่ บรรจุลกู บอลขนาดเดียวกัน 7 ลูก เป็ นลูกบอลสีขาว 4 ลูก และเป็ นลูกบอลสีแดง 3 ลูก สุม่ หยิบลูกบอล
จากกล่องใบนี ้มา 6 ลูก นามาจัดเรี ยงเป็ นแถวตรง พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) ความน่าจะเป็ นที่การจัดเรี ยงแถวตรงของลูกบอล โดยหัวแถวเป็ นลูกบอลสีขาว หรื อ ท้ ายแถวเป็ นลูกบอลสี
แดง เท่ากับ 1142
(ข) ความน่าจะเป็ นที่การจัดเรี ยงแถวตรงของลูกบอล โดยหัวแถวเป็ นลูกบอลสีขาว มากกว่า ความน่าจะเป็ นที่
ท้ ายแถวเป็ นลูกบอลสีแดง
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด

10. กาหนดให้ 16𝑦 2 − 9𝑥 2 + 36𝑥 + 32𝑦 + 124 = 0 เป็ นสมการของไฮเพอร์ โบลา


ให้ 𝐿 เป็ นเส้ นตรงผ่านจุด (0, 0) และจุดศูนย์กลางของไฮเพอร์ โบลานี ้
ผลบวกของระยะจากโฟกัสทังสองไปยั้ งเส้ นตรง 𝐿 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 2√5 2. 3√5 3. 4√5 4. 5√5

11. ถ้ าจุด (𝑎, 𝑏) เป็ นจุดบนเส้ นตรง 2𝑦 − 𝑥 + 6 = 0 ที่อยูใ่ กล้ จดุ (3, 1) มากที่สดุ
วงกลมทีม่ ีจดุ (𝑎, 𝑏) เป็ นจุดศูนย์กลางและสัมผัสแกน 𝑥 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 8𝑥 + 2𝑦 + 16 = 0 2. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 8𝑥 + 2𝑦 + 1 = 0
3. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 4𝑥 + 2𝑦 + 16 = 0 4. 𝑥 2 + 𝑦 2 − 4𝑥 + 2𝑦 + 1 = 0
PAT 1 (มี.ค. 58) 5

12. ให้ 𝑎̅, 𝑏̅ และ 𝑐̅ เป็ นเวกเตอร์ บนระนาบ โดยที่ 𝑎̅ + 𝑏̅ + 𝑐̅ = 0̅


เวกเตอร์ 𝑎̅ ทามุม 135° กับ เวกเตอร์ 𝑏̅
เวกเตอร์ 𝑏̅ ทามุม 105° กับ เวกเตอร์ 𝑐̅ และ
เวกเตอร์ 𝑐̅ ทามุม 120° กับ เวกเตอร์ 𝑎̅
ถ้ าขนาดของเวกเตอร์ 𝑎̅ เท่ากับ 5 หน่วย แล้ ว ผลบวกของขนาดของเวกเตอร์ 𝑏̅ กับเวกเตอร์ 𝑐̅ เท่ากับข่อใดต่อไปนี ้
10+2√6 10+3√6 10+4√6 10+5√6
1. 1+√3
2. 1+√3
3. 1+√3
4. 1+√3

13. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริ ง ให้ 𝑧1 = 𝑎 + 𝑏i และ 𝑧2 = 𝑐 + 𝑑i เป็ นจานวนเชิงซ้ อน


โดยที่ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ 𝑅 − {0} และ i = √−1
สมมติวา่ มีจานวนจริ ง 𝑡 และ 𝑠 ที่วา่ 𝑧12 + 𝑧22 = 𝑡 และ 𝑧1 − 𝑧2 = 𝑠 พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) |𝑧1| = |𝑧2|
(ข) Im(𝑧1 𝑧2) = 0
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด

14. ถ้ า 𝛼 และ 𝜃 เป็ นจานวนจริ งโดยที่ 0 < 𝜃 < 𝛼 < 90° และสอดคล้ องกับสมการ tan(𝛼 + 𝜃) = 5 tan(𝛼 − 𝜃)
แล้ ว (sin 2𝜃)(cosec 2𝛼) เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 56 2. 54 3. 32 4. 2
3
6 PAT 1 (มี.ค. 58)

15. การสอบคัดเลือกพนักงานของหน่วยงานแห่งหนึง่ พบว่า จานวนผู้เข้ าสอบทังหมด ้ 160 คน เป็ นผู้ชายเข้ าสอบคิดเป็ น


ร้ อยละ 55 แต่เมื่อประกาศผลสอบพบว่าในบรรดาผู้ที่สอบได้ เป็ นผู้ชายคิดเป็ นร้ อยละ 70 และในบรรดาผู้ที่สอบไม่
ผ่าน เป็ นผู้ชายคิดเป็ นร้ อยละ 40 จานวนผู้ที่สอบได้ เป็ นผู้หญิงเท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 16 คน 2. 20 คน 3. 24 คน 4. 28 คน

16. กาหนดให้ 𝑓(𝑥) = log (1+𝑥1−𝑥


) เมื่อ −1 < 𝑥 < 1
2𝑥
ถ้ า ∫ 𝑓(𝑥) 𝑑𝑥 = 𝐴 แล้ ว ∫ 𝑓 (1+𝑥 2 ) 𝑑𝑥 ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้

1. 𝐴2 2. −𝐴2 3. 2𝐴 4. −2𝐴

|5𝑥+1|−|5𝑥−1|
17. กาหนดให้ 𝑎 เป็ นจานวนจริงบวก สอดคล้ องกับ lim
x 0 √𝑥+𝑎−√𝑎
= 80

ค่าของ 𝑎2 + 𝑎 + 58 เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้


1. 64 2. 78 3. 130 4. 330
PAT 1 (มี.ค. 58) 7

1 2 −1 2
18. กาหนดให้ 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเมทริ กซ์มิติ 2×2 โดยที่ 𝐴𝐵 = [
3 4
] และ 𝐴𝐵𝐴 = [
−1 4
]
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
7 10
(ก) 𝐵𝐴𝐵 = [22 32
]
(ข) (𝐴 − 𝐵)(𝐴 + 𝐵) ≠ 𝐴2 − 𝐵2
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด

19. กาหนดให้ วงรี รูปหนึง่ ผ่านจุด (8, 0) มีจดุ ศูนย์กลางอยูท่ ี่ (4, −1) และโฟกัสจุดหนึง่ อยูท่ ี่ (1, −1)
ถ้ าพาราโบลารูปหนึง่ มีโฟกัสอยูท่ จี่ ดุ ปลายของแกนโทของวงรี ในควอดรันต์ (quardrant) ที่ 1 และมีเส้ นไดเรกตริ กซ์
ทับกับแกนเอกของวงรี แล้ วสมการของพาราโบลารูปนี ้ตรงกับสมการในข้ อใดต่อไปนี ้
1. 𝑥 2 − 8𝑥 + 4𝑦 + 13 = 0 2. 𝑥 2 − 8𝑥 − 4𝑦 + 20 = 0
3. 𝑥 2 − 8𝑥 + 6𝑦 − 12 = 0 4. 𝑥 2 − 8𝑥 − 6𝑦 + 19 = 0

20. กาหนดให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริ ง ให้ 𝑓, 𝑔 และ ℎ เป็ นฟั งก์ชนั พหุนามจาก 𝑅 ไปยัง 𝑅 โดยที่ 𝑓(𝑥) = 2𝑥 − 5 ,
(𝑓 −1 ∘ 𝑔)(𝑥) = 4𝑥 และ (𝑔 ∘ ℎ)(𝑥) หารด้ วย 𝑥 − 1 แล้ ว เหลือเศษเท่ากับ −21 ให้ 𝑐 เป็ นจานวนเต็มบวกที่
น้ อยสุดที่สอดคล้ องกับ ℎ(𝑥 − 𝑐) = 𝑥 3 − 3𝑥 2 − 2 พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) (𝑓 ∘ ℎ)(𝑐) = 23
(ข) (ℎ + 𝑔)(𝑐) = 35
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด
8 PAT 1 (มี.ค. 58)

21. กาหนดให้ 𝐴 และ 𝐵 เป็ นเมทริ กซ์มิติ 3×3 โดยที่ det(𝐴) > 0 , det(𝐴 adj 𝐴) − 2(det 𝐴)2 − 3 det 𝐴 = 0
และ 𝐴𝐵 = 𝐼 เมื่อ 𝐼 เป็ นเมทริ กซ์เอกลักษณ์การคูณ มิติ 3×3 พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) 7 det 𝐵 − det 𝐴𝑡 < 0
(ข) det(2𝐴 − 3 adj 𝐵) = 2
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด

22. นาย ก. วางแผนจะปลูกมันหรื อสับปะรดบนที่ดิน 150 ไร่ โดยมีข้อมูลในการลงทุนดังนี ้ ในการปลูกมัน จะต้ องลงทุน
ค่าต้ นกล้ าไร่ละ 200 บาท และใช้ แรงงานไร่ละ 10 ชัว่ โมง ในการปลูกสับปะรดจะต้ องลงทุนค่าต้ นกล้ าไร่ละ 300
บาท และใช้ แรงงานไร่ละ 12.5 ชัว่ โมง นาย ก. มีเงินลงทุนสาหรับค่าต้ นกล้ า 40,000 บาท และมีแรงงานไม่เกิน
1,850 ชัว่ โมง ถ้ าปลูกมันจะได้ กาไรไร่ ละ 1,500 บาท ปลูกสับปะรดจะได้ กาไรไร่ ละ 2,000 บาท ข้ อใดต่อไปนี ้
ถูกต้ อง
1. ปลูกสับปะรดเพียงอย่างเดียว จะได้ กาไรสูงสุด 300,000 บาท
2. ปลูกมัน 10 ไร่ ปลูกสับปะรด 140 ไร่ จะได้ กาไรสูงสุด 295,000 บาท
3. ปลูกมัน 50 ไร่ ปลูกสับปะรด 100 ไร่ จะได้ กาไรสูงสุด 275,000 บาท
4. ปลูกมัน 110 ไร่ ปลูกสับปะรด 40 ไร่ จะได้ กาไรสูงสุด 245,000 บาท

23. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ งบวกที่สอดคล้ องกับ log 𝑎 √2 + log 𝑎 4√2 + log 𝑎 8√2 + … = 13
และ 4log 𝑏 − 2𝑏log 2 = 8 พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) 𝑎 + 𝑏 = 102
(ข) 𝑎 log 𝑏 = 16
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด
PAT 1 (มี.ค. 58) 9

24. กาหนดให้ (𝑥1 , 𝑦1 ), (𝑥2 , 𝑦2 ), … , (𝑥5 , 𝑦5 ) เป็ นจุด 5 จุดบนระนาบ โดยที่


5 5 5 5 5
 𝑥𝑖 = 20 ,  𝑦𝑖 = 45 ,  𝑥𝑖2 = 100 ,  𝑦𝑖2 = 485 ,  𝑥𝑖 𝑦𝑖 = 220
i 1 i 1 i 1 i 1 i 1

และความสัมพันธ์ระหว่าง 𝑥𝑖 กับ 𝑦𝑖 เป็ นความสัมพันธ์เชิงฟังก์ชนั แบบเส้ นตรง คือ 𝑦 = 𝑎𝑥 + 𝑏 เมื่อ 𝑥 เป็ นตัวแปร
อิสระและ 𝑎, 𝑏 เป็ นจานวนจริง พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) 𝑎2 + 𝑏2 = 5
(ข) ถ้ า 𝑥 เป็ นจานวนเต็ม แล้ ว 𝑦 เป็ นจานวนคี่
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด

25. ข้ อมูลชุดหนึง่ มี 60 จานวน มีคา่ เฉลีย่ เลขคณิตและสัมประสิทธิ์ของการแปรผันท่ากับ 40 และ 0.125 ตามลาดับ ถ้ า


นาย ก. คานวณค่าเฉลีย่ เลขคณิตได้ น้อยกว่า 40 และคานวณความแปรปรวนเท่ากับ 34 แล้ วค่าเฉลีย่ เลขคณิตที่
นาย ก. คานวณได้ ตรงกับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 30 2. 33 3. 37 4. 39

26. กาหนดให้ 𝑎, 𝑏 และ 𝑐 เป็ นจานวนเต็มที่สอดคล้ องกับ (1) 𝑎2 + 𝑏 2 ≤ 90


(2) 𝑎+𝑏=5+𝑐
(3) 𝑎>8
พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) 𝑎 + 2𝑏 + 3𝑐 ≤ 36
(ข) ค่ามากที่สดุ ของ 𝑎3 + 𝑏3 + 𝑐 3 เท่ากับ 1085
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด
10 PAT 1 (มี.ค. 58)

27. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรี ยนห้ องหนึง่ มีการแจกแจงปกติ โดยมีคา่ มัธยฐานเท่ากับ 60 คะแนน


ถ้ านักเรี ยนที่สอบได้ คะแนนน้ อยกว่า 55.5 คะแนน มีอยูร่ ้ อยละ 18.41 แล้ ว นักเรี ยนที่สอบได้ คะแนนสูงกว่า 64
คะแนนมีจานวนคิดเป็ นร้ อยละเท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้ เมื่อกาหนดพื ้นที่ใต้ เส้ นโค้ งปกติ ระหว่าง 0 ถึง 𝑧 ดังนี ้
𝑍 0.7 0.8 0.9 1.0
พื ้นที่ 0.2580 0.2881 0.3159 0.3413

1. 21.19 2. 24.20 3. 25.80 4. 28.81

28. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรี ยน 3 คน มีคา่ เฉลีย่ เลขคณิตเท่ากับ 45 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมี


ค่าเท่ากับศูนย์ มีนกั เรี ยนอีก 2 คน ได้ คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตร์ นี ้ เท่ากับ 𝑎 และ 𝑏 คะแนน โดยอัตราส่วนของ 𝑎
ต่อ 𝑏 เป็ น 2 : 3 ถ้ านาคะแนนของนักเรี ยนทังสองคนนี
้ ้รวมกับคะแนนสอบของนักเรี ยน 3 คน ได้ คา่ เฉลีย่ เลขคณิต
เท่ากับ 50 คะแนน แล้ วความแปรปรวนของนักเรี ยนทัง้ 5 คนนี ้เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
1. 90 2. 90.4 3. 90.6 4. 92

29. กาหนดให้ 𝑧 = 𝑎 + 𝑏i โดยที่ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ งที่ 𝑎𝑏 > 0 และ i = √−1
2
ถ้ า 𝑧 3 = i แล้ วค่าของ |i𝑧 5 + 2| เท่ากับข้ อใดต่อไปนี ้
(เมื่อ |𝑧| แทนค่าสัมบูรณ์ (absolute value) ของ 𝑧)
1. 5 + 2√3 2. 7
3. 5 − 2√3 4. 3
PAT 1 (มี.ค. 58) 11

30. กาหนดให้ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนเต็ม ที่สอดคล้ องกับ 𝑎2 + 𝑏 2 + 9 = 2(2𝑎 − 𝑏 + 2)


พิจารณาข้ อความต่อไปนี ้
(ก) 𝑎 < 𝑏
(ข) (2𝑎 − 𝑏)𝑛 = (𝑎 + 3𝑏2 )𝑛 สาหรับทุกจานวนเต็มบวก 𝑛
ข้ อใดต่อไปนี ้ถูกต้ อง
1. (ก) ถูก และ (ข) ถูก 2. (ก) ถูก แต่ (ข) ผิด
3. (ก) ผิด แต่ (ข) ถูก 4. (ก) ผิด และ (ข) ผิด

ตอนที่ 2 ข้ อ 31 - 45 ข้ อละ 8 คะแนน


31. ให้ 𝑃(𝑆) แทนเพาเวอร์ เซตของเซต 𝑆 ถ้ า 𝐴, 𝐵, 𝐶, 𝐷 และ 𝐸 เป็ นเซตจากัด โดยที่ 𝑃(𝐷) = { ∅, {1}, 𝐷, 𝐸 }
𝐷 ∪ 𝐸 ⊂ 𝐴 ∩ 𝐵 , 𝐵 ∩ 𝐶 = ∅ , {2,3,4,5} ⊂ 𝐴 ∪ 𝐵 แต่ 2 ∉ 𝐵 และ
เซต 𝑃(𝐴) 𝑃(𝐵) 𝑃(𝐴 ∩ 𝐶) 𝑃(𝐶 − 𝐴)
จานวนสมาชิก 8 32 2 4
แล้ วจานวนสมาชิกของเซต 𝐴∪𝐵∪𝐶 เท่ากับเท่าใด

sin2 0°+sin2 10°+sin2 20°+ … +sin2 170°+sin2 180° 𝑎


32. ถ้ า cos2 0°+cos2 10°+cos2 20°+ …+cos2 170°+cos2 180°
=𝑏 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนเต็มบวก
โดยที่ ห.ร.ม. ของ 𝑎 และ 𝑏 เท่ากับ 1 แล้ วค่าของ 2
𝑎 +𝑏 2
เท่ากับเท่าใด
12 PAT 1 (มี.ค. 58)

33. กาหนดให้ 𝐴 เป็ นเซตคาตอบของสมการ log 𝑚 √4𝑥 2 + 4𝑥 + 1 + log 𝑛 (6𝑥 2 + 11𝑥 + 4) = 4


เมื่อ 𝑚 = √3𝑥 + 4 และ 𝑛 = 2𝑥 + 1 และให้ 𝐵 = { 8𝑥 2 | 𝑥 ∈ 𝐴 }
ผลบวกของสมาชิกทังหมดในเซต
้ 𝐵 เท่ากับเท่าใด

34. ข้ อมูลชุดที่ 1 มี 4 จานวน คือ 𝑥1 , 𝑥2 , 𝑥3 , 𝑥4 มีคา่ เฉลีย่ เลขคณิตของควอร์ ไทล์ที่ 1 และควอร์ ไทล์ที่ 3 เท่ากับ 18
และมัธยฐาน เท่ากับ 15 ข้ อมูลชุดที่ 2 มี 5 จานวน คือ 𝑦1 , 𝑦2 , 𝑦3 , 𝑦4 , 𝑦5 มีควอร์ ไทล์ที่ 3 มัธยฐาน ฐานนิยม
และพิสยั เท่ากับ 18.5, 15, 12 และ 8 ตามลาดับ
ค่าเฉลีย่ เลขคณิตของข้ อมูล 9 จานวน คือ 𝑥1 , 𝑥2 , 𝑥3 , 𝑥4 , 𝑦1 , 𝑦2 , 𝑦3 , 𝑦4 , 𝑦5 เท่ากับเท่าใด

35. ให้ 𝑅 แทนเซตของจานวนจริ ง ให้ 𝑓 : 𝑅 → 𝑅 เป็ นฟั งก์ชนั ที่สอดคล้ องกับสมการ


𝑓(𝑥)
𝑓(𝑥 + 𝑦) = 𝑓(𝑥) + 𝑓(𝑦) + 3𝑥 2 𝑦 + 3𝑥𝑦 2 สาหรับทุกจานวนจริ ง 𝑥 และ 𝑦 และ lim 𝑥 = 2
x 0

ค่าของ 𝑓 ′(1) + 𝑓 ′′(5) เท่ากับเท่าใด


PAT 1 (มี.ค. 58) 13

36. กาหนดให้ 𝑆 = { 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 } จงหาจานวนสับเซต 𝐴 ⊂ 𝑆 ทังหมดที


้ ่ เซต 𝐴 มีจานวนสมาชิก
อย่างน้ อย 2 ตัว และ 𝑎 − 𝑏 > 1 สาหรับทุกสมาชิก 𝑎 และ 𝑏 ใน 𝐴

37. ให้ 𝐴 แทนเซตของ (𝑥, 𝑦) ทังหมด


้ ที่สอดคล้ องกับระบบสมการ 22𝑥 log 1 𝑦 = 1 + 24𝑥−1
4
9(22𝑥 )log 1 𝑦 = 9 + log 21 𝑦
8 2
𝑥
และให้ 𝐵 = { 𝑦 | (𝑥, 𝑦) ∈ 𝐴 } ค่าน้ อยที่สดุ ของสมาชิกในเซต 𝐵 เท่ากับเท่าใด

𝑎1 +𝑎2 + … +𝑎𝑛 𝑛+1


38. ให้ {𝑎𝑛 } และ {𝑏𝑛 } เป็ นลาดับเลขคณิตของจานวนจริ ง โดยที่ 𝑏1 +𝑏2 + … +𝑏𝑛
= 2𝑛−1 สาหรับ 𝑛 = 1, 2, 3, …
ค่าของ 2𝑏𝑎
100
เท่ากับเท่าใด
100
14 PAT 1 (มี.ค. 58)

39. ให้ 𝑆 แทนเซตคาตอบของสมการ 𝑥 + 3√3𝑥 − 2 − 𝑥 2 = 3 + 2√𝑥 − 1 − 2√2 − 𝑥


ถ้ า 𝑎 และ 𝑏 เป็ นค่าสูงสุด และค่าตา่ สุดของสมาชิกในเซต 𝑆 ตามลาดับ แล้ ว ค่าของ 25𝑏 + 58𝑎 เท่ากับเท่าใด

2𝑥 4 −𝑥
40. ให้ 𝑓 และ 𝑔 เป็ นฟั งก์ชนั ซึง่ มีโดเมนและเรนจ์เป็ นสับเซตของเซตของจานวนจริ ง โดยที่ 𝑓 ′ (𝑥) = 𝑥3
เมื่อ 𝑥 ≠ 0
2
𝑔(𝑥) = (1 + 𝑥 2 )𝑓(𝑥) และ 𝑔(1) = 2 ค่าของ  𝑥 3 𝑔′′ (𝑥) 𝑑𝑥 เท่ากับเท่าใด
1

𝑒 2𝑥 + 2𝑎 , 𝑥<0
41. กาหนดให้ 𝑓 เป็ นฟั งก์ชนั นิยามโดย 𝑓(𝑥) = { 𝑎 + 𝑏 , 𝑥=0 เมื่อ 𝑎 และ 𝑏 เป็ นจานวนจริ ง
√1+𝑏𝑥+5𝑥 2 −1
𝑥
, 𝑥>0
ถ้ าฟั งก์ชนั 𝑓 มีความต่อเนื่องที่ 𝑥 = 0 แล้ วค่าของ 15𝑎 + 30𝑏 เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (มี.ค. 58) 15

2 𝑛 3𝑛
42. ถ้ า {𝑎𝑛 } และ {𝑏𝑛 } เป็ นลาดับของจานวนจริ ง โดยที่ 𝑎𝑛 = 𝑛(𝑛+2) และ 𝑏𝑛 = 5𝑛+18 สาหรับ 𝑛 = 1, 2, 3, …
𝑎1 𝑎2 𝑎3
แล้ วอนุกรม 𝑏 + 𝑏 + 𝑏 + … มีผลบวกเท่ากับเท่าใด
1 2 3

43. มีกระเบื ้องสีเ่ หลีย่ มจัตรุ ัสสีแดง สีขาว และสีเขียว เป็ นจานวนอย่างน้ อยสีละ 5 แผ่น (แต่ละสีเหมือนกันและมีขนาด
เท่ากันทังหมด)
้ ต้ องการนากระเบื ้อง 7 แผ่นมาจัดเรี ยงเป็ นแถวตรง โดยมีกระเบื ้องแต่ละสีอย่างน้ อยหนึง่ แผ่น จะ
จัดเรี ยงกระเบื ้องดังกล่าวได้ ทงหมดกี
ั้ ่วิธี
16 PAT 1 (มี.ค. 58)

44. กาหนดให้ {𝑎𝑛 } เป็ นลาดับของจานวนจริ ง โดยที่ 𝑎1 = 1 และ


1 1 1
𝑎𝑛 = (1 − 4
) (1 − 9) … (1 − 𝑛2 ) สาหรับ 𝑛 = 2, 3, 4, … ค่าของ nlim

𝑎𝑛 เท่ากับเท่าใด

45. กาหนดให้ 𝑥 และ 𝑦 เป็ นจานวนจริ งที่สอดคล้ องกับระบบสมการ |𝑥| − 𝑥 + 𝑦 = 8


𝑥 + |𝑦| + 𝑦 = 10
ค่าของ 20𝑥 + 15𝑦 เท่ากับเท่าใด
PAT 1 (มี.ค. 58) 17

เฉลย
1. 2 11. 1 21. 2 31. 8 41. 15
2. 1 12. 4 22. 3 32. 181 42. 8
3. 2 13. 1 23. 3 33. 4.5 43. 1806
4. 3 14. 4 24. 1 34. 16 44. 0.5
5. 2 15. 3 25. 3 35. 35 45. 60
6. 4 16. 3 26. 2 36. 0
7. 1 17. 4 27. 1 37. 4
8. 4 18. 1 28. 2 38. 3.97
9. 3 19. 4 29. 4 39. 112
10. 1 20. 2 30. 3 40. 132

แนวคิด
1. 2
พิจารณา 𝑃(𝑥) แก้ อสมการ 3𝑥 2 − 4𝑥 − 4 < 0 + − +
(3𝑥 + 2)(𝑥 − 2) < 0
2
ได้ คาตอบคือ (− 23 , 2)
− 2
ซึง่ จะเห็นว่า เอกภพสัมพัทธ์ (1, 2) เป็ นสับเซตของ (− 23 , 2) 3

ดังนัน้ ทุกตัวในเอกภพสัมพัทธ์ จะทาให้ 𝑃(𝑥) เป็ นจริ ง


พิจารณา 𝑄(𝑥) เนื่องจากทังสองฝั
้ ่งเป็ นบวก จะยกกาลังสองทังสองข้
้ าง เพื่อกาจัดเครื่ องหมายค่าสัมบูรณ์ได้
𝑥4 > (𝑥 2 − 4)2
4 (𝑥 2 2
𝑥 − − 4) > 0
(𝑥 2 − (𝑥 2 − 4))(𝑥 2 + (𝑥 2 − 4)) > 0
( 4 )(2𝑥 2 − 4) > 0
8 (𝑥 2 − 2) > 0
8(𝑥 − √2)(𝑥 + √2) > 0
+ − + ได้ คาตอบคือ (−∞ , −√2) ∪ (√2, ∞)
−√2 √2 = (−∞ , −1.414…) ∪ (1.414… , ∞)

จะเห็นว่า เอกภพสัมพัทธ์ (1, 2) มีทงส่ ั ้ วนที่อยูใ่ น (−∞ , −1.414…) ∪ (1.414… , ∞) เช่น 𝑥 = 1.9
และส่วนที่ไม่อยูใ่ น (−∞ , −1.414…) ∪ (1.414… , ∞) เช่น 𝑥 = 1.1
ดังนัน้ บางตัวในเอกภพสัมพัทธ์จะทาให้ 𝑄(𝑥) จริ ง แต่บางตัวจะทาให้ 𝑄(𝑥) เป็ นเท็จ
(ก) เนื่องจาก 𝑥 ทุกตัวทาให้ 𝑃(𝑥) จริ ง ดังนัน้ ∀𝑥[𝑃(𝑥)] เป็ นจริ ง
เนื่องจาก มี 𝑥 บางตัวทาให้ 𝑄(𝑥) จริ ง และ 𝑥 ตัวนันจะท้ าให้ 𝑃(𝑥) จริ งด้ วย (เพราะ 𝑥 ทุกตัวทาให้ 𝑃(𝑥) จริ ง)
ดังนัน้ จะมี 𝑥 บางตัวที่ทาให้ 𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥) เป็ นจริ ง ดังนัน้ ∃𝑥[𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥)] เป็ นจริ ง
ดังนัน้ ∀𝑥[𝑃(𝑥)] → ∃𝑥[𝑃(𝑥) ∧ 𝑄(𝑥)] ≡ T → T ≡ T จะได้ (ก) ถูก
(ข) เนื่องจาก มี 𝑥 บางตัวทาให้ 𝑄(𝑥) จริ ง ดังนัน้ ∃𝑥[𝑄(𝑥)] เป็ นจริ ง
จะได้ ∃𝑥[𝑄(𝑥)] → ∀𝑥[𝑃(𝑥)] ≡ T → T ≡ T แต่ (ข) บอกเป็ นเท็จ ดังนัน้ (ข) ผิด

2. 1
(ก) ถ้ า…แล้ ว… จะเป็ นจริ งได้ หลายแบบ จะจัดรูปให้ เป็ นเครื่ องหมายอื่นก่อน
𝑝 → (𝑞 ∧ 𝑟) ≡ ~𝑝 ∨ (𝑞 ∧ 𝑟)
≡ (~𝑝 ∨ 𝑞) ∧ (~𝑝 ∨ 𝑟)
≡ (𝑝 → 𝑞) ∧ (𝑝 → 𝑟)
จะเห็นว่า (𝑝 → 𝑞) ∧ (𝑝 → 𝑟) เป็ นจริ งได้ แบบเดียว คือ 𝑝 → 𝑞 เป็ นจริ ง และ 𝑝 → 𝑟 เป็ นจริ ง
18 PAT 1 (มี.ค. 58)

ดังนัน้ (𝑝 → 𝑞) ↔ (𝑝 → 𝑟) ≡ T ↔ T ≡ T จะได้ (ก) ถูก


(ข) 𝑝 → (𝑞 ∧ 𝑟) เป็ นเท็จ จะได้ 𝑝 เป็ นจริ ง และ 𝑞 ∧ 𝑟 เป็ นเท็จ
จะเห็นว่า แค่ร้ ูวา่ 𝑝 ข้ างหลังเป็ นจริง จะได้ [(~𝑝 → 𝑞) ∧ 𝑟] ∨ (𝑝 ∨ ~𝑟)
≡ [(~𝑝 → 𝑞) ∧ 𝑟] ∨ (T ∨ ~𝑟)
≡ [(~𝑝 → 𝑞) ∧ 𝑟] ∨ T
≡ T จะได้ (ข) ถูก
3. 2
ลบ 1 ตลอด จะได้ 𝑥 − 1 < √−(𝑥 2 − 𝑥 − 6) < 𝑥+2
เนื่องจากในรูท เป็ นลบไม่ได้ ดังนัน้ −(𝑥 2 − 𝑥 − 6)
≥ 0
คูณ −1 ตลอด ต้ องกลับ ≥ เป็ น ≤
𝑥2 − 𝑥 − 6 ≤ 0
(𝑥 − 3)(𝑥 + 2) ≤ 0
+ − +
จะได้ 𝑥 ∈ [−2, 3] …(1)
−2 3

จากขอบเขตของ 𝑥 ที่ได้ ใน (1) จะเห็นว่า 𝑥 + 2 ทางขวาของอสมการไม่มีทางติดลบได้


ดังนัน้ ถ้ าพิจารณา อสมการคูข่ วา √−(𝑥 2 − 𝑥 − 6) < 𝑥 + 2 ก่อน จะสามารถยกกาลังสองทังสองข้
้ างได้
−(𝑥 2 − 𝑥 − 6) < (𝑥 + 2)2
−𝑥 2 + 𝑥 + 6 < 𝑥 2 + 4𝑥 + 4
0 < 2𝑥 2 + 3𝑥 − 2
0 < (2𝑥 − 1)(𝑥 + 2)
+ − + ได้ 𝑥 ∈ (−∞, −2) ∪ ( 12 , ∞)
−2 1
2
กรองด้ วยขอบเขตจาก (1) → ∩ [−2, 3]
จะเหลือ 𝑥 ∈ ( 12 , 3] …(2)
พิจารณา อสมการคูซ่ ้ าย 𝑥 − 1 < √−(𝑥 2 − 𝑥 − 6)
จากขอบเขตของ 𝑥 ที่ได้ ลา่ สุดใน (2) จะเห็นว่า 𝑥 − 1 ทางซ้ ายของอสมการ ยังเป็ นได้ ทงบวกและลบ
ั้ ทาให้ ยกกาลังสอง
ทังสองข้
้ างทันทีไม่ได้ → จะแบ่งกรณี เป็ น 𝑥 < 1 กับ 𝑥 ≥ 1 เพื่อให้ ร้ ูเครื่ องหมายของ 𝑥 − 1 ก่อน ค่อยคิดต่อ
กรณี 𝑥 < 1 : จะได้ 𝑥 − 1 เป็ นลบ แต่ผลรูททางขวา ≥ 0 เสมอ ดังนัน้ ถ้ า 𝑥 − 1 ทางซ้ ายเป็ นลบ อสมการจะจริ ง
เสมอ ดังนัน้ 𝑥 < 1 จะทาให้ อสมการเป็ นจริ งเสมอ จะได้ คาตอบในกรณีนี ้คือ 𝑥 ∈ (−∞, 1) …(3)
กรณี 1 ≤ 𝑥 : จะได้ 𝑥 − 1 ≥ 0 → จะยกกาลังสองทังสองข้ ้ างได้ (𝑥 − 1)2 < −(𝑥 2 − 𝑥 − 6)
𝑥 2 − 2𝑥 + 1 < −𝑥 2 + 𝑥 + 6
2
2𝑥 − 3𝑥 − 5 < 0
(2𝑥 − 5)(𝑥 + 1) < 0
+ − + 5
จะได้ 𝑥 ∈ (−1 , 2 )
−1 5
2

กรองคาตอบด้ วยเงื่อนไขของกรณี 1 ≤ 𝑥 → ∩ [1, ∞ ) จะเหลือคาตอบของกรณีนี ้คือ 𝑥 ∈ [1 , 52 ) …(4)


5 5
รวมทังสองกรณี
้ (3) กับ (4) → (−∞, 1) ∪ [1 , 2 ) จะได้ คาตอบของอสมการคูซ่ ้ าย คือ (−∞, 2 )
พิจารณาร่วมกับคาตอบของอสมการคูข่ วาจาก (2) จะได้ 𝐴 = ( 12 , 3] ∩ (−∞, 52 ) = (12 , 52)
ซึง่ จะเป็ นสับเซตของ (0, 3) ในข้ อ 2
PAT 1 (มี.ค. 58) 19

4. 3
หา 𝐴 : หาเรนจ์ ต้ องจัดรูปให้ 𝑥 แยกไปอยูต่ วั เดียว
𝑦 2 (1 + |1 − 𝑥|) = 4 แต่ 𝑥 อยูใ่ นค่าสัมบูรณ์ จะแยก 𝑥 ตัวเดียวลาบาก
4
1 + |1 − 𝑥| = 𝑦 2 วิธีคือ เราจะจัดรูปให้ ได้ มากที่สดุ แล้ วอ้ างว่าค่าสัมบูรณ์ ≥ 0
4
→ ดังนัน้
4
|1 − 𝑥| = 2 − 1 −1 ≥ 0
𝑦 𝑦2
4 − 𝑦2
𝑦2
≥ 0 ตัวส่วน ใช้ วงขาวเสมอ
คูณ −1 ตลอด ต้ องกลับ ≥ เป็ น ≤
𝑦 2 −4
𝑦2
≤ 0
(𝑦−2)(𝑦+2)
+ − − +
≤ 0
𝑦2 −2 0 2
จะได้ 𝐴 = [−2, 0) ∪ (0, 2] กาลังคู่ ไม่ต้องกลับเครื่องหมาย
หา 𝐵 : ในรูทต้ อง ≥ 0 จะได้ 1 − 𝑥4 ≥ 0 คูณ −1 ตลอด ต้ องกลับ ≥ เป็ น ≤
𝑥4 − 1 ≤ 0
(𝑥 2 − 1)(𝑥 2 + 1) ≤ 0 𝑥 2 + 1 เป็ นบวกเสมอ → หารตลอดได้
𝑥2 − 1 ≤ 0
(𝑥 − 1)(𝑥 + 1) ≤ 0

+ − +
−1 1
จะได้ 𝐵 = [−1, 1]

𝐴 ก. หา 𝐵′ ได้ ดงั รูป


𝐵 จะเห็นว่า มีบางตัวใน 𝐴 (เช่น 1) ทีไ่ ม่อยูใ่ น 𝐵′ → ก. ผิด
𝐵′
ข. จะเห็นว่า 𝐴 − 𝐵 กับ 𝐵 − 𝐴 ไม่มีสว่ นซ้ อนทับกัน
𝐴−𝐵
𝐵−𝐴
(ปกติ 𝐴 − 𝐵 กับ 𝐵 − 𝐴 จะไม่มีสว่ นซ้ อนทับกันอยูแ่ ล้ ว ไม่วา่ เป็ นเซตไหน)
𝐴−𝐵 𝐵−𝐴
−2 −1 0 1 2
ดังนัน้ (𝐴 − 𝐵) ∩ (𝐵 − 𝐴) = ∅ → ข. ถูก

5. 2
กรณี 𝑥 > 0 : จากสมบัติของค่าสัมบูรณ์ จะได้ |𝑥| = 𝑥 จะได้ อสมการกลายเป็ น 𝑎𝑥+1
𝑥
> 1
และเนื่องจาก 𝑥 > 0 จะสามารถ คูณ 𝑥 ตลอดได้ โดยไม่ต้องกลับเครื่องหมายมากกว่าน้ อยกว่า
ได้ เป็ น 𝑎𝑥 + 1 > 𝑥
1 > 𝑥 − 𝑎𝑥
1 > (1 − 𝑎)𝑥
1 0<𝑎<1 ทาให้ 1 − 𝑎 เป็ นบวก → ไม่ต้องกลับมากกว่าน้ อยกว่า
> 𝑥
1−𝑎
1
พิจารณาร่วมกับเงื่อนไขของกรณี (𝑥 > 0) จะได้ คาตอบของกรณีนี ้คือ (0, 1−𝑎 )
กรณี 𝑥 = 0 : จะทาให้ ตวั ส่วนเป็ น 0 → เป็ นคาตอบไม่ได้
กรณี 𝑥 < 0 : จากสมบัติของค่าสัมบูรณ์ จะได้ |𝑥| = −𝑥 จะได้ อสมการกลายเป็ น −𝑎𝑥+1
𝑥
>1
และเนื่องจาก 𝑥 < 0 จะสามารถ คูณ 𝑥 ตลอดได้ แต่ต้องกลับเครื่ องหมาย > เป็ น <
ได้ เป็ น −𝑎𝑥 + 1 < 𝑥
1 < 𝑥 + 𝑎𝑥
1 < (1 + 𝑎)𝑥
1 1 + 𝑎 เป็ นบวก → ไม่ต้องกลับมากกว่าน้ อยกว่า
1+𝑎
< 𝑥
20 PAT 1 (มี.ค. 58)

1 1
พิจารณาร่วมกับเงื่อนไขของกรณี (𝑥 < 0) จะเห็นว่า เป็ นไปไม่ได้ ที่ 1+𝑎
< 𝑥 (เพราะ 1+𝑎 เป็ นบวก)
ดังนัน้ กรณี 𝑥 < 0 จะไม่มีคาตอบ
1
รวมทุกกรณี จะได้ คาตอบคือ (0, 1−𝑎 ) ซึง่ จะเป็ นสับเซตของข้ อ 2

6. 4
(cot2 𝜃)(sec 𝜃−1) (sec2 𝜃)(sin 𝜃−1)
จัดรูปสิง่ ที่โจทย์ถามก่อน จะได้ 1+sin 𝜃
+ 1+sec 𝜃
(cot2 𝜃)(sec 𝜃−1)(1+sec 𝜃) + (sec2 𝜃)(sin 𝜃−1)(1+sin 𝜃)
= (1+sin 𝜃)(1+sec 𝜃)
(cot2 𝜃)(sec 𝜃−1)(sec 𝜃+1) + (sec2 𝜃)(sin 𝜃−1)(sin 𝜃+1)
= (1+sin 𝜃)(1+sec 𝜃)
(น − ล)(น + ล) = น2 − ล 2
(cot2 𝜃)( sec2 𝜃−1 ) + (sec2 𝜃)( sin2 𝜃−1 )
= (1+sin 𝜃)(1+sec 𝜃) sin2 𝜃 + cos 2 𝜃 = 1
(cot2 𝜃)( tan2 𝜃 ) + (sec2 𝜃)( − cos2 𝜃 )
tan2 𝜃 + 1 = sec 2 𝜃
= (1+sin 𝜃)(1+sec 𝜃) 1 + cot 2 𝜃 = cosec 2 𝜃
1 + −1
= (1+sin 𝜃)(1+sec 𝜃)

= 0

หมายเหตุ : จะเห็นว่าได้ คาตอบเลย โดยที่ไม่ต้องหาค่า 𝑎

7. 1

𝐶 จะได้ มมุ 𝐴̂ ที่เหลือ = 180° − 18° − 36° = 126° วาดได้ ดงั รูป
36° 𝑎 จากกฎของ sin จะได้ sin𝑎 𝐴 = sin𝑏 𝐵 = sin𝑐 𝐶 = 2𝑅
𝑎
126° 18° → sin 𝐴 = 2𝑅 จะได้ 𝑎 = 2𝑅 sin 𝐴
𝐴 𝑏 𝐵
𝑏
→ sin 𝐵 = 2𝑅 จะได้ 𝑏 = 2𝑅 sin 𝐵
ดังนัน้ 𝑎 − 𝑏 = 2𝑅 sin 𝐴 − 2𝑅 sin 𝐵
𝐴+𝐵 𝐴−𝐵
= 2𝑅(sin 126° − sin 18°) sin 𝐴 + sin 𝐵 = 2 sin (
2
) cos (
2
)
126°+18° 126°−18°
= 2𝑅 (2 cos 2
sin 2
) sin 𝐴 − sin 𝐵 = 2 cos (
𝐴+𝐵
) sin (
𝐴−𝐵
)
2 2
= 2𝑅(2 cos 72° sin 54°)
โคฟังก์ชนั cos 𝐴 + cos 𝐵 = 2 cos (
𝐴+𝐵
) cos (
𝐴−𝐵
)
= 2𝑅(2 sin 18° cos 36 °) 2 2

เติม cos 18° ทังเศษ


้ = 2𝑅 (
2 sin 18° cos 18° cos 36°
) cos 𝐴 − cos 𝐵 = −2 sin (
𝐴+𝐵
) sin (
𝐴−𝐵
)
2 2
cos 18°
และส่วน จะเข้ าสูตรมุม sin 36° cos 36°
สองเท่าได้ สองรอบ = 2𝑅 ( cos 18°
)
sin 72°
= 𝑅( cos 18°
)
โคฟังก์ชนั
= 𝑅
PAT 1 (มี.ค. 58) 21

8. 4
2 cos 10°−cos 50° cos 10°+cos 10°−cos 50°
sin 70°−cos 80°
= sin 70°−sin 10°
10°+50° 10°−50°
cos 10°+(−2 sin sin )
2 2
= 70°+10° 70°−10°
2 cos sin cos 10°+ cos 70°
2 2
= cos 40°
cos 10°+(−2 sin 30° sin(−20°))
= 2 cos 40° sin 30°
10°+70° 10°−70°
2 cos cos
2 2
1 = cos 40°
cos 10°+( 2 ∙ ∙ sin 20°)
2
= 1 2 cos 40° cos(−30°)
2 cos 40° ∙ =
2
cos 40°
cos 10°+ sin 20°
= √3
cos 40° = 2 cos 30° = 2∙ 2
= √3

2 cos 10°−cos 50°


ดังนัน้ arctan (sin 70°−cos 80°
) = arctan √3 = 60°

9. 3
ข้ อนี ้ ตอนหยิบ 6 ลูก จะแบ่งกรณี เป็ นกรณี “ขาว 3 แดง 3” กับ “ขาว 4 แดง 2” ก็ได้
แต่เนื่องจากมีลกู บอลแค่ 7 ลูก ดังนัน้ “จานวนแบบของการเรียง 7 ลูก” จะเท่ากับ “จานวนแบบของการเรี ยง 6 ลูก”
(เพราะตอนเรี ยง 7 ลูก ลูกสุดท้ ายจะเรียงได้ แค่แบบเดียว ทาให้ เรี ยง 6 ลูก หรื อ 7 ลูก ก็ได้ จานวนวิธีเท่ากัน)
ดังนัน้ จะหาจานวนแบบของการเรี ยง 7 ลูก มาใช้ แทนจานวนแบบของการเรี ยง 6 ลูกได้ เลย
7! 7∙6∙5
จะได้ จานวนแบบทังหมด ้ = จานวนแบบการเรี ยง 7 ลูก → ใช้ สตู รเรี ยงของซ ้าได้ =
4!3!
=
3!
= 35 แบบ
ก. ใช้ หลัก Inclusive – Exclusive โดยรวมแบบทีต่ ้ องการ และหักแบบซ ้า จะได้ จานวนแบบที่ต้องการ = จานวน
แบบที่หวั แถวสีขาว + จานวนแบบที่ท้ายแถวสีแดง − จานวนแบบทีห่ วั แถวสีขาวและท้ ายแถวสีแดง
จานวนแบบที่หวั แถวสีขาว → หัวแถวเลือกได้ 4 แบบ ที่เหลือ ได้ 6! → ยุบของซ ้าได้ = 44!3! ∙ 6!
= 20 แบบ
3 ∙ 6!
จานวนแบบที่ท้ายแถวสีแดง → ท้ ายแถวเลือกได้ 3 แบบ ที่เหลือ ได้ 6! → ยุบของซ ้าได้ = 4!3! = 15 แบบ
จานวนแบบที่หวั แถวสีขาว และ ท้ ายแถวสีแดง → หัวแถวเลือกได้ 4 แบบ ท้ ายแถวเลือกได้ 3 แบบ ที่เหลือ ได้ 5!
4 ∙ 3 ∙ 5!
→ ยุบของซ ้าได้ = 4!3! = 10 แบบ
จะได้ จานวนแบบที่โจทย์ถาม = 20 + 15 – 10 = 25 แบบ → ความน่าจะเป็ น = 25 35
5
= 7 → ก. ผิด
ข. จากข้ อ ก. จานวนแบบที่หวั แถวเป็ นสีขาว = 20 แบบ และจานวนแบบที่ท้ายแถวเป็ นสีแดง = 15 แบบ
ดังนัน้ ความน่าจะเป็ นที่หวั แถวเป็ นสีขาว จะมากกว่า → ข. ถูก

10. 1
จัดรูปไฮเพอร์ โบลาได้ 16𝑦 2 + 32𝑦 − 9𝑥 2 + 36𝑥 + 124 = 0
16(𝑦 2 + 2𝑦) − 9(𝑥 2 − 4𝑥) = −124
16(𝑦 2 + 2𝑦 + 1) − 9(𝑥 2 − 4𝑥 + 4) = −124 + 16(1) – 9(4)
16(𝑦 + 1)2 − 9(𝑥 − 2)2 = −144
16(𝑦+1)2 9(𝑥−2)2
−144
− −144
= 1
(𝑥−2)2 (𝑦+1)2
16
− 9
= 1
(𝑥−2)2 (𝑦+1)2
42
− 32
= 1

จะได้ ไฮเพอร์ โบลาเป็ นแบบแนวนอน จุดศูนย์กลางอยูท่ ี่ (2, −1)


22 PAT 1 (มี.ค. 58)

ระยะโฟกัส 𝑐 = √42 + 32 = 5 → จะได้ จดุ โฟกัส คือ (2 ± 5 , −1) = 𝐹1(7, −1) และ 𝐹2 (−3, −1)
ดังนัน้ เส้ นตรง 𝐿 ผ่านจุด (0, 0) และ (2, −1) → จะได้ สมการของ 𝐿 คือ 𝑦−0
𝑥−0
=
−1−0
2−0
𝑦 1
= −2
เส้ นตรงที่ผ่าน จุด (𝑎, 𝑏) และ 𝑥
𝑦−𝑏 𝑑−𝑏 2𝑦 = −𝑥
(𝑐, 𝑑) คือ =
𝑥−𝑎 𝑐−𝑎 2𝑦 + 𝑥 = 0

|2(−1)+7| |2(−1)+−3|
จะได้ ผลบวกระยะจาก 𝐹1(7, −1) และ 𝐹2 (−3, −1) ไปเส้ นตรง 𝐿 = √12 +22
+
√12 +22
5 5
= +
ระยะจากจุด (𝑎, 𝑏) ไปยังเส้ นตรง √5 √5
10
𝐴𝑥 + 𝐵𝑦 + 𝐶 = 0 คือ
|𝐴𝑎+𝐵𝑏+𝐶| =
√5
√ 2 2
𝐴 +𝐵
10 √5 10√5
= × = 5
= 2√5
√5 √5

11. 1
เนื่องจากระยะสันสุ
้ ด คือ ระยะตังฉาก
้ จะวาดได้ ดงั รูป (3, 1)
2𝑦 − 𝑥 + 6 = 0
(𝑎, 𝑏) อยูบ
่ นเส้ นตรง 2𝑦 − 𝑥 + 6 = 0
ดังนัน้ 2𝑏 − 𝑎 + 6 = 0
(𝑎, 𝑏)
2𝑏 + 6 = 𝑎 …(∗)
และจากเส้ นตรงที่ตงฉากกั
ั้ น จะมีความชันคูณกันได้ −1
จากสูตรความชัน = ∆𝑦 → จะได้ ความชันเส้ นประ =
𝑏−1
→ ดังนัน้ 𝑏−1 1
×2 = −1
∆𝑥 𝑎−3
𝑎−3 แทน 𝑎 = 2𝑏 + 6
จัดรูปเส้ นตรง 2𝑦 − 𝑥 + 6 = 0 ในรูป 𝑦 = 𝑚𝑥 + 𝑐 𝑏−1 1 จาก (∗)
× = −1
2𝑏+6−3 2
จะได้ 2𝑦 = 𝑥 − 6 𝑏−1
𝑥 1
= −2
𝑦 = − 3 → จะได้ ความชันเส้ นตรง 𝑚 =
2𝑏+3
2 2 𝑏−1 = −4𝑏 − 6
5𝑏 = −5
แทน 𝑏 = −1 ใน (∗) จะได้ 𝑎 = 2(−1) + 6 = 4 จะได้ 𝑏 −1)
(𝑎, 𝑏) = (4, = −1
วงกลมทีม่ ี (4, −1) เป็ นจุดศูนย์กลาง และสัมผัสแกน 𝑥 จะมีรัศมี = 1 ดังรูป
จะได้ สมการวงกลมคือ (𝑥 − 4)2 + (𝑦 + 1)2 = 12 1
2 2
𝑥 − 8𝑥 + 16 + 𝑦 + 2𝑦 + 1 = 1 (4, −1)
𝑥 2 + 𝑦 2 − 8𝑥 + 2𝑦 + 16 =0

12. 4
𝑎̅ + 𝑏̅ + 𝑐̅ = 0̅ แสดงว่า เวกเตอร์ ตอ่ กันเป็ นรูปสามเหลีย่ ม แบบ หัวต่อหาง
แต่มมุ ทีเ่ วกเตอร์ ทากัน จะวัดแบบ หางต่อหาง 𝑏̅
𝑏̅
ถ้ าจะแปลงเป็ นแบบ หัวต่อหาง ต้ องเอา 180° ตังลบ ้ ดังรูป 135° 45°
𝑎̅ 𝑎̅
แปลงมุมที่โจทย์ให้ จะได้ 135° → 45°
75°
105° → 75° 𝑐̅ 𝑏̅
120° → 60°
60° 45°
ดังนัน้ จะวาดสามเหลีย่ มได้ ดงั รูป 𝑎̅
5 |𝑏̅| |𝑐̅|
โจทย์ให้ |𝑎̅| = 5 → ใช้ กฎของ sin จะได้ sin 75°
= sin 60°
= sin 45°
5 sin 60° 5 sin 45°
จับคูต่ วั แรก ไปเท่ากับสองตัวทางขวา จะได้ |𝑏̅| = sin 75° และ |𝑐̅| = sin 75°
PAT 1 (มี.ค. 58) 23

ดังนัน้ |𝑏̅| + |𝑐̅| = 5 sin 60° 5 sin 45°


+ sin 75°
sin 75° √3+√2 2 2
5(sin 60°+sin 45°) = 5( )( )( )
= 2 √2 1+√3
sin 75°
5(√3+√2)(2)
=
5(sin 60°+sin 45°) =
√2(1+√3)
sin(30°+45°)
5(sin 60°+sin 45°) 5(√3+√2)(2) √2
= = ×
sin 30° cos 45°+cos 30° sin 45° √2(1+√3) √2
√3 √2 5(√3+√2)(2)(√2)
5( + ) =
2 2
= 1 √2 √3 √2
2(1+√3)
( )( )+( )( )
2 2 2 2 5(√3+√2)(√2)
√3+√2
= 1+√3
5( )
2
= √2 1+√3 =
5√6+10
( )( ) 1+√3
2 2

13. 1
จาก 𝑧1 − 𝑧2 = 𝑠 เป็ นจานวนจริ ง แสดงว่าส่วนจินตภาพของ 𝑧1 และ 𝑧2 ต้ องเท่ากัน ถึงจะหักล้ างกันหมด → 𝑏=𝑑
จาก 𝑧12 + 𝑧22 = 𝑡 แทนค่า 𝑧1 = 𝑎 + 𝑏i , 𝑧2 = 𝑐 + 𝑑i และ 𝑏 = 𝑑 จะได้
(𝑎 + 𝑑i)2 + (𝑐 + 𝑑i)2 = 𝑡
𝑎2 + 2𝑎𝑑i + 𝑑2 i2 + 𝑐 2 + 2𝑐𝑑i + 𝑑2 i2 = 𝑡
𝑎2 − 𝑑2 + 𝑐 2 − 𝑑 2 + 2𝑎𝑑i + 2𝑐𝑑i = 𝑡
(𝑎2 + 𝑐 2 − 2𝑑2 ) + 2𝑑(𝑎 + 𝑐)i = 𝑡

เนื่องจาก 𝑡 เป็ นจานวนจริง จะสรุปได้ วา่ ส่วนจินตภาพ 2𝑑(𝑎 + 𝑐) = 0


แต่โจทย์ให้ 𝑎, 𝑏, 𝑐, 𝑑 ∈ 𝑅 − {0} ดังนัน้ 𝑑 ≠ 0 จึงสรุปได้ วา่ 𝑎 + 𝑐 = 0 ซึง่ จะได้ 𝑎 = −c
แทน 𝑎 = −c และ 𝑏 = 𝑑 ใน 𝑧1 จะได้ 𝑧1 = 𝑎 + 𝑏i = −𝑐 + 𝑑i
ก. |𝑧1| = √(−𝑐)2 + 𝑑2 = √𝑐 2 + 𝑑2 = |𝑧2| → ก. ถูก
ข. จะได้ 𝑧1 𝑧2 = (−𝑐 + 𝑑i)(𝑐 + 𝑑i)
= −𝑐 2 − 𝑐𝑑i + 𝑐𝑑i + 𝑑2 i2
= −𝑐 2 −𝑑2
จะเห็นว่า i ตัดกันหมด กลายเป็ นจานวนจริ ง ดังนัน้ Im(𝑧1 𝑧2 ) = 0 จริ ง → ข. ถูก

14. 4
tan(𝛼 + 𝜃) = 5 tan(𝛼 − 𝜃)
sin(𝛼+𝜃) sin(𝛼−𝜃)
cos(𝛼+𝜃)
= 5 ∙ cos(𝛼−𝜃)
จากสูตร 2 sin 𝐴 cos 𝐵
sin(𝛼 + 𝜃) cos(𝛼 − 𝜃) = 5 sin(𝛼 − 𝜃) cos(𝛼 + 𝜃) = sin(𝐴 + 𝐵) + sin(𝐴 − 𝐵)
2 sin(𝛼 + 𝜃) cos(𝛼 − 𝜃) = 5(2 sin(𝛼 − 𝜃) cos(𝛼 + 𝜃))
sin((𝛼 + 𝜃) + (𝛼 − 𝜃)) + sin((𝛼 + 𝜃) − (𝛼 − 𝜃)) = 5(sin((𝛼 − 𝜃) + (𝛼 + 𝜃)) + sin((𝛼 − 𝜃) − (𝛼 + 𝜃)))
sin( 𝛼 + 𝜃 + 𝛼 − 𝜃 ) + sin( 𝛼 + 𝜃 − 𝛼 + 𝜃 ) = 5(sin( 𝛼 − 𝜃 + 𝛼 + 𝜃 ) + sin( 𝛼 − 𝜃 − 𝛼 − 𝜃 ))
sin( 2𝛼 ) + sin( 2𝜃 ) = 5(sin( 2𝛼 ) + sin( −2𝜃 ))
sin( 2𝛼 ) + sin( 2𝜃 ) = 5 sin( 2𝛼 ) − 5 sin( 2𝜃 )
6 sin( 2𝜃 ) = 4 sin( 2𝛼 )
sin(2𝜃) 4
sin(2𝛼)
= 6
2
sin(2𝜃) (cosec(2𝛼)) = 3
24 PAT 1 (มี.ค. 58)

15. 3
มีคนเข้ าสอบ 160 คน → ให้ มคี นสอบผ่าน 𝑥 คน ดังนัน้ จะมีคนสอบไม่ผา่ น 160 − 𝑥 คน
55
จากคนเข้ าสอบ 160 คน เป็ นชายร้ อยละ 55 → คิดเป็ นชายทีเ่ ข้ าสอบ = 100 ∙ 160 = 88 คน
70 7𝑥
จากคนสอบผ่าน 𝑥 คน เป็ นชายร้ อยละ 70 → คิดเป็ นชายที่สอบผ่าน = 100 ∙ 𝑥 = 10 คน
40
จากคนสอบไม่ผา่ น 160 − 𝑥 คน เป็ นชายร้ อยละ 40 → คิดเป็ นชายที่สอบไม่ผา่ น = 100 ∙ (160 − 𝑥)
640−4𝑥
= 10
คน
เนื่องจาก ชายทีเ่ ข้ าสอบทังหมด
้ = ชายที่สอบผ่าน + ชายที่สอบไม่ผา่ น จะได้ สมการคือ 88
7𝑥
= 10 + 10
640−4𝑥

880 = 7𝑥 + 640 − 4𝑥
240 = 3𝑥
80 = 𝑥
ดังนัน้ มีคนที่สอบผ่าน 80 คน โดยจะเป็ นชาย = 7𝑥
10
=
7(80)
10
= 56 คน
ดังนัน้ จะมีหญิงที่สอบผ่าน = 80 − 56 = 24 คน

16. 3
1+
2𝑥 1+2𝑥+𝑥 2
2𝑥
แทน 𝑥 ใน 𝑓(𝑥) ด้ วย 1+𝑥 2𝑥 = log (1−2𝑥+𝑥2 )
2 จะได้
1+𝑥2
𝑓 (1+𝑥2 ) = log ( 2𝑥 )
1−
1+𝑥2 (1+𝑥)2
1+𝑥2 +2𝑥 = log ((1−𝑥)2 )
1+𝑥2
= log ( 1+𝑥2 −2𝑥
) 1+𝑥 2
1+𝑥2 = log ( )
1−𝑥
1+2𝑥+𝑥 2 1+𝑥 2 1+𝑥
= log ( 1+𝑥 2
∙ 1−2𝑥+𝑥2 ) = 2 log (1−𝑥)
2𝑥 1+𝑥 1+𝑥
ดังนัน้ ∫ 𝑓 (1+𝑥2 ) 𝑑𝑥 = ∫ 2 log (1−𝑥) 𝑑𝑥 = 2 ∫ log (1−𝑥) 𝑑𝑥 = 2𝐴

17. 4
เมื่อ 𝑥 → 0 จะเห็นว่า 5𝑥 + 1 เป็ นบวก และ 5𝑥 − 1 เป็ นลบ
จากสมบัติของค่าสัมบูรณ์ จะได้ |5𝑥 + 1| = 5𝑥 + 1 และ |5𝑥 − 1| = −(5𝑥 − 1)
|5𝑥+1|−|5𝑥−1| (5𝑥+1)−(−(5𝑥−1))
ดังนัน้ lim
x 0 √𝑥+𝑎−√𝑎
= lim
x 0 √𝑥+𝑎−√𝑎 = lim
10𝑥(√𝑥+𝑎+√𝑎)
x 0 𝑥
5𝑥+1+5𝑥−1
= lim 𝑥+𝑎− 𝑎 = lim 10(√𝑥 + 𝑎 + √𝑎)
x 0 √ √ x 0
10𝑥 𝑥+𝑎+ 𝑎
= lim 𝑥+𝑎− 𝑎 ∙ √𝑥+𝑎+√𝑎 = 10(√0 + 𝑎 + √𝑎)
x 0 √ √ √ √
10𝑥(√𝑥+𝑎+√𝑎)
= 10( 2√𝑎 )
= lim = 20√𝑎
x 0 𝑥+𝑎−𝑎

ดังนัน้ 20√𝑎 = 80 จะได้ 𝑎2 + 𝑎 + 58 = 162 + 16 + 58


√𝑎 = 4 = 256 + 16 + 58
𝑎 = 16 = 330
PAT 1 (มี.ค. 58) 25

18. 1
−1 2
𝐴𝐵𝐴 = [ ]
−1 4
1 2 −1 2 ย้ ายข้ าง [1 2] แบบ “ด้ านหน้ า”
[ ]𝐴 = [ ] 3 4
3 4 −1 4
1 2 −1 −1 2 𝑎 𝑏 −1
𝐴 = [ ] [ ] [ ] = 𝑎𝑑−𝑏𝑐 [ 𝑑 −𝑏]
1
3 4 −1 4 𝑐 𝑑 −𝑐 𝑎
1 4 −2 −1 2
𝐴 = (1)(4)−(2)(3) [ ][ ]
−3 1 −1 4
1 −2 0 1 0
𝐴 = −2 [ ] = [ ]
2 −2 −1 1
1 2 1 0 1 2
จาก 𝐴𝐵 = [
3 4
] แทนค่า 𝐴 จะได้ [ ]𝐵 = [ ]
−1 1 3 4
1 0 −1 1 2
𝐵 = [ ] [ ]
−1 1 3 4
1 1 0 1 2
𝐵 = (1)(1)−(−1)(0) [ ][ ]
1 1 3 4
1 1 2 1 2
𝐵 = [ ] = [ ]
1 4 6 4 6

1 2 1 2 7 10
ก. จะได้ 𝐵𝐴𝐵 = 𝐵(𝐴𝐵) = [ ][
4 6 3 4
] = [
22 32
] → ก. ถูก
ข. (𝐴 − 𝐵)(𝐴 + 𝐵) = 𝐴2 + 𝐴𝐵 − 𝐵𝐴 − 𝐵2
1 2 1 2 1 0
= 𝐴2 + [ ]−[ ][ ] − 𝐵2
3 4 4 6 −1 1
1 2 −1 2
= 𝐴2 + [ ]−[ ] − 𝐵2
3 4 −2 6
2 0
= 𝐴2 + [
5 −2
] − 𝐵2 ≠ 𝐴2 − 𝐵2 → ข. ถูก

19. 4
จะเห็นว่า จุดศูนย์กลาง กับ โฟกัส มีพิกดั 𝑦 เท่ากัน (= −1) ดังนัน้ แกนเอกจะเรี ยงตัวในแนวนอน → เป็ นวงรี แนวนอน
(𝑥−4)2 (𝑦+1)2
จากจุดศูนย์กลาง (4, −1) จะได้ สมการวงรี อยูใ่ นรูป 𝑎2 + 𝑏2 = 1
จากจุดศูนย์กลาง (4, −1) และโฟกัส (1, −1) จะได้ ระยะโฟกัส 𝑐 = 4 – 1 = 3
3
และจาก 𝑎2 − 𝑏2 = 𝑐 2 จะได้ 𝑎2 − 𝑏2 = 32 = 9
(1, −1) (4, −1)
𝑎2 = 9 + 𝑏2 …(∗)
(8−4)2 (0+1)2
จากวงรี ผา่ น (8, 0) จะได้ + = 1
𝑎2 𝑏2 แทนค่า 𝑎2 จาก (∗)
16 1
9+𝑏2
+ 𝑏2 = 1
16𝑏2 + 9+𝑏2
(9+𝑏2 )𝑏2
= 1
2 2
16𝑏 + 9 + 𝑏 = 9𝑏 2 + 𝑏 4
𝑏 2 + 1 > 0 เสมอ
0 = 𝑏 4 − 8𝑏 2 − 9
0 = (𝑏 2 − 9)(𝑏 2 + 1) จะไม่มีทางเท่ากับ 0 ได้
0 = (𝑏 − 3)(𝑏 + 3)(𝑏 2 + 1)
𝑏 = 3 , −3
𝑏 ในสูตรวงรี จะต้ องเป็ นบวก
26 PAT 1 (มี.ค. 58)

(4, 2) แกนเอก
3
𝑦 = −1 ดังนัน้ จุดปลายแกนโทของวงรีคอื (4, −1 ± 3) = (4, 2) และ (4, −4)
(4, −1) เอาจุดปลายของแกนโทในควอดรันต์ 1 จะได้ (4, 2)
และจะได้ แกนเอก คือ 𝑦 = −1
(4, −4)

ดังนัน้ พาราโบลามีโฟกัส (4, 2) และ ไดเรกตริ กซ์ คือ 𝑦 = −1


F(4, 2)
จุดยอด จะอยูต่ รงกลางระห่างโฟกัส กับ ไดเรกตริ กซ์
𝑐
จะได้ จดุ ยอด V (4, 2+(−1)
2
1
) = (4 , ) ดังรู ป
2 V(4, )
1
2
และจะได้ ระยะโฟกัส 𝑐 = 2 − 2 = 32
1
𝑦 = −1
เป็ น พาราโบลาแนวตัง้ → (𝑥 − ℎ)2 = 4𝑐(𝑦 − 𝑘)
3 1
(𝑥 − 4)2 = 4 (2) (𝑦 − 2)
𝑥 2 − 8𝑥 + 16 = 6𝑦 − 3
𝑥 2 − 8𝑥 − 6𝑦 + 19 = 0

20. 2
จาก (𝑓 −1 ∘ 𝑔)(𝑥) = 4𝑥 และจาก (𝑔 ∘ ℎ)(𝑥) หารด้ วย 𝑥 − 1 เหลือเศษ −21
−1
𝑓 (𝑔(𝑥)) = 4𝑥 ใช้ ทฤษฎีเศษ จะได้ (𝑔 ∘ ℎ)(1) = −21
𝑔(𝑥) = 𝑓(4𝑥) 𝑔(ℎ(1)) = −21
𝑔(𝑥) = 2(4𝑥) − 5 8ℎ(1) − 5 = −21
𝑔(𝑥) = 8𝑥 − 5 8ℎ(1) = −16
ℎ(1) = −2
แต่โจทย์กาหนดให้ ℎ(𝑥 − 𝑐) = 𝑥 3 − 3𝑥 2 − 2
ดังนัน้ ถ้ า 𝑥 − 𝑐 = 1 แล้ วจะได้ 𝑥 3 − 3𝑥 2 − 2 = −2

ถ้ า 𝑥−𝑐 =1 จะได้ 𝑥=𝑐+1 แทนใน 𝑥 3 − 3𝑥 2 − 2 = −2 จะได้ (𝑐 + 1)3 − 3(𝑐 + 1)2 − 2 = −2


(𝑐 + 1)3 − 3(𝑐 + 1)2 = 0
ดึงตัวร่วม (𝑐 + 1)2 (𝑐 + 1)2 (𝑐 + 1 − 3) = 0
(𝑐 + 1)2 (𝑐 − 2) = 0
จะได้ 𝑐 = −1 หรื อ 2 → แต่ 𝑐 เป็ นจานวนเต็มบวก จะได้ 𝑐 = 2 ดังนัน้ ℎ(𝑥 − 2) = 𝑥 3 − 3𝑥 2 − 2 …(∗)
ก. (𝑓 ∘ ℎ)(𝑐) = (𝑓 ∘ ℎ)(2) = 𝑓(ℎ(2)) → จะหา ℎ(2) จาก (∗) ต้ องให้ 𝑥−2 = 2
𝑥 = 4
แทน 𝑥=4 ใน (∗) จะได้ ℎ(4 − 2) = 43 − 3(42 ) − 2
ℎ(2) = 64 − 48 − 2
ℎ(2) = 14
= 𝑓( 14 )
= 2(14) − 5 = 23 → ก. ถูก
ข. (ℎ + 𝑔)(𝑐) = (ℎ + 𝑔)(2) = ℎ(2) + 𝑔(2) จาก 𝑔(𝑥) = 8𝑥 − 5 ในตอนแรก
= 14 + 8(2) − 5 = 25 → ข. ผิด
PAT 1 (มี.ค. 58) 27

21. 2
จากสมบัติ 𝐴 adj 𝐴 = (det 𝐴)𝐼 ใส่ det ทังสองฝั
้ ่ง
det(𝐴 adj 𝐴) = det((det 𝐴)𝐼)
จากสมบัติ det(𝑘𝐴) = 𝑘 𝑛 det 𝐴
det(𝐴 adj 𝐴) = (det 𝐴)3 det(𝐼)
det(𝐼) = 1
det(𝐴 adj 𝐴) = (det 𝐴)3
แทนในสมการที่โจทย์กาหนด det(𝐴 adj 𝐴) − 2(det 𝐴)2 − 3 det 𝐴 = 0
(det 𝐴)3 − 2(det 𝐴)2 − 3 det 𝐴 = 0
ดึง det 𝐴 เป็ นตัวร่วม (det 𝐴)((det 𝐴)2 − 2 det 𝐴 − 3) = 0
(det 𝐴) (det 𝐴 − 3)(det 𝐴 + 1) = 0
det 𝐴 = 0 , 3 , −1
แต่โจทย์ให้ det 𝐴 > 0 → จะได้ det 𝐴 = 3
1 1
และจาก 𝐴𝐵 = 𝐼 จะได้ 𝐴 และ 𝐵 เป็ นอินเวอร์ สการคูณของกันและกัน ดังนัน้ det 𝐵 = det(𝐴−1 ) = det 𝐴
= 3
ก. จากสมบัติ det 𝐴𝑡 = det 𝐴 จะได้ 7 det 𝐵 − det 𝐴𝑡 = 7 det 𝐵 − det 𝐴
1 7−9 2
= 7 (3) − 3 = 3
= −3 < 0 → ก. ถูก
1 1
ข. จาก 𝐴 = 𝐵−1 = det 𝐵
∙ adj 𝐵 = 1 ∙ adj 𝐵 = 3 adj 𝐵
3
ดังนัน้ det(2𝐴 − 3 adj 𝐵) = det(2𝐴 − 𝐴) = det(𝐴) = 3 → ข. ผิด

22. 3
สมมติให้ ปลูกมัน 𝑥 ไร่ และปลูกสับปะรด 𝑦 ไร่ → จานวนไร่ ห้ ามติดลบ ดังนัน้ 𝑥 ≥ 0 , 𝑦 ≥ 0
→ มีที่ดิน 150 ไร่ ดังนัน้ 𝑥 + 𝑦 ≤ 150 …(1)
→ มีทนุ 40,000 บาท ดังนัน้ 200𝑥 + 300𝑦 ≤ 40000
2𝑥 + 3𝑦 ≤ 400 …(2)
→ มีแรงงาน 1,850 ชัว่ โมง ดังนัน้ 10𝑥 + 12.5𝑦 ≤ 1850
20𝑥 + 25𝑦 ≤ 3700
4𝑥 + 5𝑦 ≤ 740 …(3)
วาดกราฟอสมการข้ อจากัดบนแกนเดียวกัน แล้ วหาพื ้นที่ที่ซ้อนทับกัน (1)
(3)
ตัดแกน 𝑥 ที่ ตัดแกน 𝑦 ที่ (2)
(แทน 𝑦 = 0) (แทน 𝑥 = 0)
(1) 𝑥 + 𝑦 = 150 150 150
(2) 2𝑥 + 3𝑦 = 400 200 133.3̇
(3) 4𝑥 + 5𝑦 = 740 185 148
(1) (3) (2)

จะเห็นว่า ทังสามเส้
้ น ตัดใกล้ กนั มาก ถ้ าวาดเส้ นที่ (3) ตรงกลาง คลาดเคลือ่ นแค่นิดเดียว จะได้ รูปที่ผิดทันที
ดังนัน้ จะวาดแค่ (1) กับ (2) แล้ วหาจุดตัดก่อน (1)
เอา (2) – 2(1) จะทาให้ 𝑥 ตัดกันหมด (2)
เหลือ 3𝑦 − 2𝑦 = 400 − 2(150) (50, 100)
𝑦 = 100
แทน 𝑦 = 100 ใน (1) จะได้ 𝑥 = 50 ได้ จดุ ตัดคือ (50, 100) ดังรูป
(1) (2)
28 PAT 1 (มี.ค. 58)

แทน (50, 100) ในอสมการ (3) จะได้ 4(50) + 5(100) ≤ 740


700 ≤ 740
(1)
จะเห็นว่า (50, 100) ทาให้ 4𝑥 + 5𝑦 ต่ากว่า 740 (3)
(2)
ดังนัน้ จึงแน่ใจได้ วา่ (50, 100) อยูต่ ่ากว่าเส้ น (3) D
ดังนัน้ พื ้นที่ที่ซ้อนทับกัน จะไม่มสี ว่ นที่เกิดจาก (3) เลย ดังรูป C

นาจุดมุม A, B, C, D ไปแทนเพื่อหากาไร 1500𝑥 + 2000𝑦


A B
จะได้ A(0, 0) → 1500(0) + 2000(0) =0 (1) (3) (2)
B(150, 0) → 1500(150) + 2000(0) = 225,000
C(50, 100) → 1500(50) + 2000(100) = 275,000
D(0, 133.3̇) → 1500(0) + 2000(133.3̇) = 266,666.6̇
ดังนัน้ ได้ กาไรสูงสุด 275,000 บาท ที่จดุ C → ปลูกมัน 50 ไร่ สับปะรด 100 ไร่

หมายเหตุ : ข้ อนี ้จะเอาตัวเลือกแต่ละข้ อมาไล่แทน แล้ วดูวา่ ข้ อไหนตรงกับเงื่อนไขทัง้ 3 และได้ กาไรมากสุด ก็ได้ ที่ต้อง
ระวังคือ ข้ อ 1. ไม่ได้ กาหนด 𝑥 มา (ปลูกสับปะรดอย่างเดียว แปลว่า 𝑦 = 0 แต่ 𝑥 ไม่ร้ ู) → ต้ องหา 𝑥 มากสุดที่
สอดคล้ องกับเงื่อนไขทัง้ 3 เอง

23. 3
1
หา 𝑎 : 4
log 𝑎 √2 + log 𝑎 √2 + log 𝑎 √2 + … =
8
3
1 1 1
1 1
log 𝑎 22 + log 𝑎 24 + log 𝑎 28 + … = 3
(log 𝑎 2)(1) =
3
1 1 1 1 1
2
log 𝑎 2 + 4 log 𝑎 2 + 8 log 𝑎 2 + … = 3 log 𝑎 2 = 3
1 1 1 1 1
(log 𝑎 2) ( + +8 + …) = 2 = 𝑎3
2 4 3
1 3

อนุกรมเรขาอนันต์ 𝑎1 = 2 , 𝑟 = 2 1 1 23 = (𝑎3 )
1 1 8 = 𝑎
𝑎1
จะได้ 𝑆∞ = 1−𝑟
= 1
2
= 2
1 = 1
1−
2 2

หา 𝑏 : 4log 𝑏 − 2𝑏 log 2 = 8
(22 )log 𝑏 − 2𝑏 log 2 − 8 = 0
2 จากสมบัติ (𝑎𝑚 )𝑛 = (𝑎𝑛 )𝑚 = 𝑎𝑚𝑛
(2log 𝑏 ) − 2𝑏 log 2 − 8 = 0
2 จากสมบัติ 𝑎log𝑛 𝑏 = 𝑏 log𝑛 𝑎
(2log 𝑏 ) − 2(2log 𝑏 ) − 8 = 0
(2log 𝑏 − 4)(2log 𝑏 + 2) = 0
2log 𝑏 = 4 , −2
2log 𝑏 = 22 ฝั่งซ้ าย มีฐานการยกกาลังเป็ นบวก (= 2) จะได้ ผลลัพธ์เป็ นบวกเท่านัน้
log 𝑏 = 2 log ไม่มีฐาน = log ฐาน 10
𝑏 = 102 = 100

ก. 𝑎 + 𝑏 = 8 + 100 = 108 → ก. ผิด


ข. 𝑎 log 𝑏 = 8 log 100 = 8(2) = 16 → ข. ถูก
PAT 1 (มี.ค. 58) 29

24. 1
จากสูตรความสัมพันธ์เชิงฟั งก์ชนั แบบเส้ นตรง
n n
 𝑦𝑖 = 𝑎  𝑥𝑖 + 𝑏𝑛 45 = 𝑎(20) + 𝑏(5) …(1)
i 1 i 1
จะได้
n n n
2
 𝑥𝑖 𝑦𝑖 = 𝑎  𝑥𝑖 + 𝑏  𝑥𝑖 220 = 𝑎(100) + 𝑏(20) …(2)
i 1 i 1 i 1

แก้ ระบบสมการ (1) ÷ 5 : 9 = 4𝑎 + 𝑏 …(3)


(2) ÷ 20 : 11 = 5𝑎 + 𝑏 …(4)
(4) – (3)จะได้ 2 = 𝑎
แทนใน (3) จะได้ 9 = 4(2) + 𝑏 จะได้ 𝑏=1
ก. 𝑎2 + 𝑏2 = 22 + 12 = 5 → ก. ถูก
ข. จะได้ สมการทานายคือ 𝑦 = 2𝑥 + 1 ดังนัน้ ถ้ า 𝑥 เป็ นจานวนเต็ม จะทานายได้ 𝑦 เป็ นจานวนคี่ → ข. ถูก

25. 3
𝑠
จะได้ 𝑛 = 60 , 𝑥̅ = 40 , และ 𝑠
= 0.125 สัมประสิทธิ์การแปรผัน = 𝑥̅
𝑥̅
𝑠
= 0.125 ∑(𝑥𝑖 −𝑥̅ )2
40 = 𝑠2
𝑠 = 5 𝑛

∑(𝑥𝑖 −40)2
จะได้ ความแปรปรวนที่ถกู ต้ อง = 𝑠 2 = 52 = 25 ดังนัน้ = 25
60
∑(𝑥𝑖2 −80𝑥𝑖 +1600)
∑ 𝑥𝑖 60
= 25
จาก 𝑛
= 𝑥̅ จะได้ ∑ 𝑥𝑖 = (𝑛)(𝑥̅ ) ∑ 𝑥𝑖2 −80 ∑ 𝑥𝑖 +∑ 1600
= (60)(40) 60
= 25
∑ 𝑥𝑖2 −80(60)(40)+(60)(1600)
จาก ∑ 𝑐 = 𝑛𝑐 จะได้ ∑ 1600 = 𝑛(1600) = 25
60
∑ 𝑥𝑖2
= (60)(1600) − 80(40) + 1600 = 25
60
∑ 𝑥𝑖2
60
= 1625 …(∗)

แต่ นาย ก. คานวณค่าเฉลีย่ ผิดไป → สมมติให้ นาย ก. คานวณค่าเฉลีย่ ได้ = 𝑎 หมายเหตุ : ข้ อนี ้ต้ องสมมติให้
โดย นาย ก. ใช้ 𝑥̅ = 𝑎 ได้ ความแปรปรวน = 34 แสดงว่า ∑(𝑥𝑖−𝑎)
2
= 34 นาย ก. คานวณความ
60
∑(𝑥𝑖2 −2𝑎𝑥𝑖 +𝑎 2 ) ∑(𝑥𝑖 −𝑥̅ )2
= 34 แปรปรวนด้ วยสูตร
∑ 𝑥𝑖 ที่เกิดจากการกระจาย ∑(𝑥𝑖 − 𝑎)2 60 𝑛
∑ 𝑥𝑖2 −2𝑎 ∑ 𝑥𝑖 +∑ 𝑎 2 เท่านัน้
จะยังเท่ากับ ∑ 𝑥𝑖 ที่ถกู ต้ อง = (60)(40) = 34
60 ∑ 2
∑ 𝑥𝑖2 −2𝑎(60)(40)+60𝑎2 ถ้ า นาย ก. ใช้ สตู ร 𝑛𝑥𝑖 − 𝑥̅ 2
จาก ∑ 𝑐 = 𝑛𝑐 จะได้ ∑ 𝑎2 = 𝑛𝑎2 = 60𝑎2 = 34
60 จะได้ คาตอบที่ไม่ตรงกับ
∑ 𝑥𝑖2
− 2𝑎(40) + 𝑎2 = 34 ตัวเลือกไหนเลย
จาก (∗) 60
1625 − 80𝑎 + 𝑎2 = 34
𝑎2 − 80𝑎 + 1591 = 0
(𝑎 − 37)(𝑎 − 43) = 0
𝑎 = 37 , 43
แต่โจทย์ให้ นาย ก. คานวณได้ 𝑎 < 40 ดังนัน้ จะได้ 𝑎 = 37
30 PAT 1 (มี.ค. 58)

26. 2
จาก (3) จะได้ 𝑎 = 9, 10, 11, …
แต่จาก (1) ถ้ า 𝑎 เป็ น 10 ขึ ้นไป ฝั่ งซ้ ายที่เป็ น 𝑎2 + 𝑏2 จะมีคา่ เกิน 90 และ (1) จะไม่จริ ง → ดังนัน้ 𝑎=9 เท่านัน้
แทน 𝑎 = 9 ใน (1) และ (2) จะได้ 81 + 𝑏2 ≤ 90 และ 9+𝑏 = 5+𝑐
𝑏 2 ≤ 9 …(∗) 4+𝑏 = 𝑐 …(∗∗)
จาก (∗) จะได้ 𝑏 = −3, −2, −1, 0, 1, 2, 3
แทน 𝑏 แต่ละค่าใน (∗∗) จะได้ (𝑏, 𝑐) = (−3, 1) , (−2, 2) , (−1, 3) , (0, 4) , (1, 5) , (2, 6) , (3, 7)
(ก) 𝑎 + 2𝑏 + 3𝑐 จะมากที่สดุ เมื่อ (𝑏, 𝑐) = (3, 7)
ดังนัน้ 𝑎 + 2𝑏 + 3𝑐 ≤ 9 + 2(3) + 3(7) = 36 → (ก) ถูก
(ข) 𝑎3 + 𝑏3 + 𝑐 3 จะมากที่สดุ เมื่อ (𝑏, 𝑐) = (3, 7) เช่นกัน
จะได้ คา่ มากสุดของ 𝑎3 + 𝑏3 + 𝑐 3 คือ 93 + 33 + 73 = 729 + 27 + 343 = 1099 → (ข) ผิด

27. 1
แจกแจงแบบปกติ จะได้ 𝑥̅ = มัธยฐาน = ฐานนิยม → โจทย์ให้ มัธยฐาน = 60 จะได้ 𝑥̅ = 60 ด้ วย
→ น้ อยกว่า 55.5 คะแนน มี 18.41% จะวาดได้ ดงั รู ป

พื ้นที่ที่ใช้ เปิ ดตาราง = พื ้นที่ที่วดั จากแกนกลาง


0.1841 = พื ้นที่ครึ่ งซ้ าย – พื ้นที่ที่แรเงา
𝑥 = 0.5 – 0.1841 = 0.3159
55.5 60

เอาพื ้นที่ 0.3159 ไปเปิ ดตาราง จะได้ 𝑧 = 0.9 → แต่ 𝑥 = 55.5 อยูค่ รึ่งซ้ าย จะมี 𝑧 ติดลบ → 𝑧 = −0.9
แทน 𝑥 = 55.5 , 𝑧 = −0.9 , 𝑥̅ = 60 ในสูตร 𝑧𝑖 = 𝑥𝑖 𝑠− 𝑥̅ จะได้ −0.9 = 55.5𝑠− 60
−4.5
𝑠 = −0.9
= 5
𝑥𝑖 − 𝑥̅
หาจานวนนักเรี ยนที่ได้ สงู กว่า 64 คะแนน → แปลง 𝑥 = 64 เป็ นค่า 𝑧 โดยใช้ สตู ร 𝑧𝑖 =
𝑠
จะได้ 𝑧𝑖 = 64 −5 60 = 0.8 → เปิ ดตารางได้ พื ้นที่ = 0.2881 จะวาดได้ ดงั รูป

0.2881
มากกว่า 64 จะมี = พื ้นที่ครึ่งขวา – พื ้นที่ที่แรเงา
= 0.5 − 0.2881
𝑥
60 64 = 0.2119 = 21.19%
𝑧 = 0.8

28. 2
3 คนแรก มีคา่ เฉลีย่ เลขคณิต = 45 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0 → แสดงว่าทัง้ 3 คนได้ คะแนนเท่ากัน = 45
2 คนหลัง มีอตั ราส่วนคะแนน = 2 : 3 → ให้ ทงสองคนได้
ั้ คะแนน 2𝑥 และ 3𝑥 ตามลาดับ
โจทย์ให้ 𝑥̅ ทัง้ 5 คน = 50 → 45+45+45+2𝑥+3𝑥
5
= 50
135 + 5𝑥 = 250
5𝑥 = 115
𝑥 = 23
PAT 1 (มี.ค. 58) 31

จะได้ คะแนนของสองคนหลัง = 2(23) และ 3(23) = 46 และ 69


∑(𝑥𝑖 −𝑥̅ )2 (45−50)2 +(45−50)2 +(45−50)2 +(46−50)2 +(69−50)2
ดังนัน้ ความแปรปรวน =
𝑁
=
5
25+25+25+16+361 452
= 5
= 5
= 90.4

29. 4
จะได้ 𝑧 เป็ นรากที่ 3 ของ i
หากรากที่ 3 ของ i → แปลง i เป็ นรูปเชิงขัว้ จากรูป จะได้ i = 1 cis 90° i
จะได้ รากตัวแรกคือ 3√1 cis 90°
3
= 1 cis 30°
รากอีกสองตัว จะได้ จากการเพิ่มมุม รากละ 360°3
= 120° → รากทีเ่ หลือคือ 1 cis 150° และ 1 cis 270°
เนื่องจาก 𝑧 ต้ องมี 𝑎𝑏 > 0 → ดังนัน้ 𝑎, 𝑏 ต้ องเป็ นบวกทังคู
้ ่ หรื อ ลบทังคู
้ ่ → จะได้ 𝑧 อยูใ่ น Q1 หรื อ Q3
จะเห็นว่า ในรากทังสามตั
้ ว 1 cis 30° , 1 cis 150° , 1 cis 270° จะมี 1 cis 30° เท่านัน้ ที่อยูใ่ น Q1 สอดคล้ องกับ
เงื่อนไข → ดังนัน้ 𝑧 = 1 cis 30°
2
จะได้ |i𝑧 5 + 2| = |i(1 cis 30°)5 + 2|2
2
= |i(15 cis 5(30°)) + 2| 2
√3 3
= |i(1 cis 150° ) + 2|2 = | − i + |
2 2
2
= |i(cos 150° + i sin 150°) + 2|2 √3 3 2
2 = (− 2
) + (2)
√3 1
= |i ( − + i ) + 2| 3 9
2 2 = +
2 4 4
√3 1 12
= | − 2
i − 2
+ 2| = = 3
4

30. 3
จัดรูปสมการ จะได้ 𝑎2 + 𝑏 2 + 9 = 4𝑎 − 2𝑏 + 4
𝑎2 − 4𝑎 + 𝑏 2 + 2𝑏 + 5 = 0 แยก 5 เป็ น 4 + 1 ไปเติมเป็ น ล2 ให้ เข้ า
𝑎2 − 4𝑎 + 4 + 𝑏 2 + 2𝑏 + 1 = 0 สูตร น2 + 2นล + ล2 = (น + ล)2
(𝑎 − 2)2 + (𝑏 + 1)2 = 0
เนื่องจาก (𝑎 − 2)2 ≥ 0 และ (𝑏 + 1)2 ≥ 0 ดังนัน้ ถ้ าสองตัวนี ้บวกกันเป็ น 0 แสดงว่า ต้ องเป็ น 0 ทังสองตั
้ ว
จะได้ 𝑎 = 2 และ 𝑏 = −1
(ก) แทนค่า 𝑎 กับ 𝑏 จะได้ 2 < −1 → (ก) ผิด
𝑛
(ข) แทนค่า 𝑎 กับ 𝑏 จะได้ (2(2) − (−1)) = (2 + 3(−1)2 )𝑛
( 5 )𝑛 = ( 5 )𝑛 → (ข) ถูก

31. 8
𝐴 𝐵
เอาข้ อมูลที่วาดรูปได้ มาใส่ในแผนภาพก่อน จาก 𝐵∩𝐶=∅ จะได้ ดงั รูป
00
𝐴 𝐵
จาก 𝑃(𝐴 ∩ 𝐶) มี 2 ตัว = 21 𝐶
100
จะได้ 𝐴 ∩ 𝐶 มีสมาชิก 1 ตัว
𝐶
𝐴 𝐵 จานวนสมาชิกของ 𝑃(𝐴) = 2𝑛(𝐴)
จาก 𝑃(𝐶 − 𝐴) มี 4 ตัว = 2 2

100
จะได้ 𝐶 − 𝐴 มีสมาชิก 2 ตัว 2
𝐶
32 PAT 1 (มี.ค. 58)

จาก 𝑃(𝐷) = { ∅, {1}, 𝐷, 𝐸 } มีสมาชิก 4 ตัว = 22 → ดังนัน้ 𝐷 มีสมาชิก 2 ตัว


เนื่องจาก 𝐸 เป็ นหนึง่ ในสมาชิกของ 𝑃(𝐷) จากสมบัตขิ องเพาเวอร์ เซต จะได้ 𝐸 ⊂ D
โจทย์กาหนดให้ 𝐷 ∪ 𝐸 ⊂ 𝐴 ∩ 𝐵 จาก 𝐸 ⊂ 𝐷 ดังนัน้ 𝐷 ∪ 𝐸 = 𝐷 ≥2
𝐷 ⊂ 𝐴∩𝐵 𝐴 𝐵

เนื่องจาก 𝐷 มีสมาชิก 2 ตัว และ 𝐷 ⊂ 𝐴 ∩ 𝐵 ดังนัน้ 𝐴 ∩ 𝐵 จะมีสมาชิก ≥ 2 ตัว 100


2
จาก 𝑃(𝐴) มี 8 ตัว = 23 → จะได้ 𝐴 มีสมาชิก 3 ตัว 𝐴 𝐵 𝐶
0 2
แต่จากแผนภาพ จะเห็นว่าวง 𝐴 มี 1 กับ ≥ 2 ซึง่ ครบ 3 แล้ ว ดังนัน้ 100
2
𝐶
สุดท้ าย จาก 𝑃(𝐵) มี 32 ตัว = 25 𝐴 𝐵
0 2 3
จะได้ 𝐵 มีสมาชิก 5 ตัว → หักกับ 2 ที่มีอยูแ่ ล้ วในวง 𝐵 จะเหลือ 3 100
2
𝐶
ดังนัน้ 𝐴∪𝐵∪𝐶 มีสมาชิก = 0 + 2 + 3 + 1 + 0 + 0 + 2 = 8 ตัว

32. 181
เราสามารถจับคูม่ มุ ที่รวมกันเป็ น 90° เพื่อเข้ าสูตรโคฟังก์ชนั แล้ วเข้ าสูตร sin2 𝜃 + cos2 𝜃 = 1 ได้ ดังนี ้
sin2 0° + sin2 90° = sin2 0° + cos2 0° = 1
sin2 10° + sin2 80° = sin2 10° + cos2 10° = 1
sin2 20° + sin2 70° = sin2 20° + cos2 20° = 1 มุมรวมกันได้ 90° → sin = cos
sin2 30° + sin2 60° = sin2 30° + cos2 30° = 1
sin2 40° + sin2 50° = sin2 40° + cos2 40° = 1

ส่วนมุมที่เกิน 90° ต้ องทาให้ น้อยกว่า 90° ก่อน แล้ วค่อยจับคูใ่ ห้ ได้ 1 แบบเดิม มุมรวมกันได้ 180° → sin จะเท่ากัน

sin2 100° + sin2 110° + sin2 120° + sin2 130° + sin2 140° + sin2 150° + sin2 160° + sin2 170° + sin2 180°

sin2 80° + sin2 70° + sin2 60° + sin2 50° + sin2 40° + sin2 30° + sin2 20° + sin2 10° + 0
1
1
1
1
รวมตัวเศษ จะจับคู่ 1 ได้ ทงหมด
ั้ 9 คู่ → จะได้ เศษ = 9

สาหรับตัวส่วน จะใช้ วิธีจบั คูเ่ หมือนเดิมก็ได้ แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่า ถ้ านา เศษ กับ ส่วน มารวมกัน จะจับคู่ เข้ าสูตร
sin2 𝜃 + cos2 𝜃 = 1 ได้ ทงหมด ั้ 19 คู่ (0, 1, 2, … , 18 มี 19 ตัว) ดังนัน้ เศษ + ส่วน = 19
แต่เศษ = 9 ดังนัน้ ส่วน = 19 – 9 = 10 จะได้ 𝑎𝑏 = 109 ดังนัน้ 𝑎2 + 𝑏2 = 92 + 102 = 181

33. 4.5
แทนค่า 𝑚, 𝑛 จะได้ log √3𝑥+4 √4𝑥 2 + 4𝑥 + 1 + log 2𝑥 + 1(6𝑥 2 + 11𝑥 + 4) = 4

2𝑥 + 1 > 0 log √3𝑥+4 √(2𝑥 + 1)2 + log 2𝑥 + 1(3𝑥 + 4)(2𝑥 + 1) = 4


เพราะเป็ นฐาน log log 1 (2𝑥 + 1) + log 2𝑥 + 1 (3𝑥 + 4) + log 2𝑥 + 1 (2𝑥 + 1) = 4
(3𝑥+4)2
1
1 log 3𝑥+4 (2𝑥 + 1) + log 2𝑥 + 1 (3𝑥 + 4) + 1 = 4
2
2 log 3𝑥+4 (2𝑥 + 1) + log 2𝑥 + 1(3𝑥 + 4) − 3 = 0
เนื่องจาก log 3𝑥+4 (2𝑥 + 1) กับ log 2𝑥 + 1 (3𝑥 + 4) เป็ นส่วนกลับกัน
PAT 1 (มี.ค. 58) 33

ดังนัน้ ถ้ าเปลีย่ นตัวแปร ให้ log 2𝑥 + 1(3𝑥 + 4) = 𝑘 จะได้ อีกตัว = 𝑘1


(จะสมมติให้ log 3𝑥+4(2𝑥 + 1) เป็ น 𝑘 ก็ได้ แต่ log 3𝑥+4(2𝑥 + 1) อยูใ่ นรูป log มาก น้ อย จะได้ 𝑘 เป็ นเศษส่วน)
จะเปลีย่ นตัวแปรเป็ น 𝑘 ได้ เป็ น 𝑘2 + 𝑘 − 3 = 0
2 + 𝑘 2 − 3𝑘 = 0
𝑘 2 − 3𝑘 + 2 = 0
(𝑘 − 1)(𝑘 − 2) = 0
𝑘 = 1, 2
log 2𝑥 + 1(3𝑥 + 4) = 2
log 2𝑥 + 1(3𝑥 + 4) = 1 3𝑥 + 4 = (2𝑥 + 1)2
1
3𝑥 + 4 = (2𝑥 + 1) 3𝑥 + 4 = 4𝑥 2 + 4𝑥 + 1
3𝑥 + 4 = 2𝑥 + 1 0 = 4𝑥 2 + 𝑥 − 3
𝑥 = −3 0 = (4𝑥 − 3)(𝑥 + 1)
3
𝑥 = 4 , −1
แต่ 𝑥 เป็ น−3 กับ −1 ไม่ได้ เพราะจะทาให้ 2𝑥 + 1 ที่เป็ นฐาน log ติดลบ
3 3 2
จะได้ 𝐴 มีสมาชิกตัวเดียว คือ 4
→ ดังนัน้ 𝐵 มีสมาชิกตัวเดียว คือ 8 (4) = 4.5

34. 16
จะหาค่าเฉลีย่ ของข้ อมูลทัง้ 9 ตัว ต้ องหา 𝑥1+𝑥2+𝑥3+𝑥4+𝑦91+𝑦2+𝑦3+𝑦4+𝑦5
เนื่องจากสิง่ ที่โจทย์ถาม ไม่ขึ ้นกับลาดับของ 𝑥 และ 𝑦 ดังนัน้ โดยไม่เสียนัยตัวไป เราสามารถสมมติให้ ข้อมูลทังสองชุ
้ ด
เรี ยงลาดับจากน้ อยไปมากเรี ยบร้ อยแล้ ว (ถ้ าข้ อมูลยังไม่เรี ยง ก็ให้ เรี ยง แล้ วเปลีย่ นชื่อตัวแปร)
ชุดแรก โจทย์ให้ มัธยฐาน = 15 → มัธยฐานจะอยูต่ รงกลางระหว่างตัวที่ 2 กับ ตัวที่ 3 ดังนัน้ 𝑥2+𝑥 2
3
= 15
𝑥2 + 𝑥3 = 30 …(1)

= ตัวที่ 1 + (0.25)(ตัวที่ 2 − ตัวที่ 1)


(1)(𝑁+1) (1)(4+1)
Q1 จะอยูต
่ วั ที่ 4
= 4
= ตัวที่ 1.25
= 𝑥1 + (0.25)( 𝑥2 − 𝑥1 )
= 𝑥1 + 0.25𝑥2 − 0.25𝑥1
= 0.75𝑥1 + 0.25𝑥2
(3)(4+1)
Q 3 จะอยูต
่ วั ที่ = ตัวที่ 3.75 = ตัวที่ 3 + (0.75)(ตัวที่ 4 − ตัวที่ 3)
4
= 𝑥3 + (0.75)( 𝑥4 − 𝑥3 )
= 𝑥3 + 0.75𝑥4 − 0.75𝑥3
= 0.25𝑥3 + 0.75𝑥4

Q1 +Q3 0.75𝑥 +0.25𝑥 +0.25𝑥 +0.75𝑥


โจทย์ให้ คา่ เฉลีย่ Q1 และ Q3 = 18 → จะได้ 2
= 1 2
2
3 4
= 18
0.75(𝑥1 +𝑥4 ) + 0.25(𝑥2 +𝑥3 ) = 36 จาก (1)
0.75(𝑥1 +𝑥4 ) + 0.25( 30 ) = 36
0.75(𝑥1 +𝑥4 ) + 7.5 = 36
0.75(𝑥1 +𝑥4 ) = 28.5
28.5
𝑥1 + 𝑥4 = 0.75 = 38 …(2)

ชุดที่สอง มีมธั ยฐาน = 15 → จะได้ ตวั ตรงกลาง คือ 𝑦3 = 15 …(3)


Q 3 จะอยูต่ วั ที่ (3)(5+1)
4
= ตัวที่ 4.5 = ตัวที่ 4 + (0.5)(ตัวที่ 5 − ตัวที่ 4)
= 𝑦4 + (0.5)( 𝑦5 − 𝑦4 )
= 𝑦4 + 0.5𝑦5 − 0.5𝑦4
= 0.5𝑦4 + 0. 5𝑦5
โจทย์ให้ Q3 = 18.5 ดังนัน้ 0.5𝑦4 + 0. 5𝑦5 = 18.5 → คูณ 2 ตลอด จะได้ 𝑦4 + 𝑦5 = 37 …(4)
34 PAT 1 (มี.ค. 58)

โจทย์ให้ ฐานนิยม = 12 ดังนัน้ ต้ องมีข้อมูล อย่างน้ อยสองตัวเท่ากับ 12 แต่จาก (3) จะได้ 𝑦3 = 15 ซึง่ มากกว่า 12
ดังนัน้ ถ้ าจะมีอย่างน้ อยสองตัวเท่ากับ 12 แล้ ว สองตัวนันต้
้ องเป็ น 𝑦1 กับ 𝑦2 → จะได้ 𝑦1 = 𝑦2 = 12 …(5)
จาก (1), (2), (3), (4), (5) จะได้ 𝑥1+𝑥2+𝑥3+𝑥4+𝑦91+𝑦2+𝑦3+𝑦4+𝑦5 = (𝑥1+𝑥4)+(𝑥2+𝑥3)+𝑦9 1+𝑦2+𝑦3+(𝑦4+𝑦5)
38 + 30 +12+12+15+ 37
= 9
144
= 9
= 16

35. 35
จาก 𝑓(𝑥 + 𝑦) = 𝑓(𝑥) + 𝑓(𝑦) + 3𝑥 2 𝑦 + 3𝑥𝑦 2
𝑓(𝑥+ℎ)−𝑓(𝑥)
จากนิยามของอนุพนั ธ์ จะได้ 𝑓 ′ (𝑥)
= lim
h0 ℎ
จะได้ 𝑓(𝑥 + ℎ) = 𝑓(𝑥) + 𝑓(ℎ) + 3𝑥 2 ℎ + 3𝑥ℎ2
𝑓(𝑥)+𝑓(ℎ)+3𝑥 2 ℎ+3𝑥ℎ 2 −𝑓(𝑥)
= lim ℎ
h0
𝑓(ℎ)+3𝑥 2 ℎ+3𝑥ℎ 2
= lim ℎ
h0
𝑓(ℎ)
= lim ℎ
+ 3𝑥 2 + 3𝑥ℎ
h0
𝑓(ℎ)
𝑓(𝑥)
= ( lim ℎ ) + ( lim 3𝑥 2 + 3𝑥ℎ)
จาก lim 𝑥
=2 h0 h0
x0 2
= 2 + 3𝑥 + 0 = 3𝑥 2 + 2
ดังนัน้ 𝑓 ′ (𝑥) = 3𝑥 2 + 2 → 𝑓 ′ (1) = 3(12 ) + 2 = 5
→ 𝑓 ′ (1) + 𝑓 ′′ (5) = 5 + 30 = 35
ดิฟได้ 𝑓 ′′ (𝑥)
= 6𝑥 → 𝑓 ′′ (5)
= 6(5) = 30

36. 0
ข้ อนี ้ เงื่อนไขจะต้ องเป็ นจริ ง ไม่วา่ 𝑎 กับ 𝑏 จะเป็ นสมาชิกตัวไหนใน 𝐴 ก็ตาม ซึง่ จะเห็นว่า เป็ นไปไม่ได้ เพราะกรณีที่ 𝑎
เป็ นตัวน้ อย และ 𝑏 เป็ นตัวมาก (หรื อกรณีที่ 𝑎 กับ 𝑏 เป็ นตัวเดียวกัน) จะทาให้ เงื่อนไข 𝑎 − 𝑏 > 1 เป็ นเท็จเสมอ
เช่น กรณี 𝐴 = {4, 7} จะเห็นว่า ถ้ า 𝑎 = 4 , 𝑏 = 7 จะทาให้ 4 − 7 > 1 เป็ นเท็จ (หรื อกรณีที่ 𝑎 = 4 , 𝑏 = 4 ก็ทา
ให้ 4 − 4 > 1 เป็ นเท็จ) เมื่อมี 𝑎, 𝑏 บางแบบที่ไม่สอดคล้ อง จะทาให้ 𝐴 ผิดเงื่อนไขทันที (ถึงแม้ วา่ 7 − 4 มากกว่า 1 ก็
ตาม) เพราะเงื่อนไขต้ องจริง สาหรับทุกๆ 𝑎 กับ 𝑏 ใน 𝐴
ดังนัน้ จะไม่มี 𝐴 แบบไหนเลย ที่สอดคล้ องกับเงื่อนไขที่โจทย์กาหนดได้ ดังนัน้ จานวนแบบของ 𝐴 จึงเท่ากับ 0

อย่างไรก็ตาม ถ้ าโจทย์ข้อนี ้เปลีย่ นเงื่อนไข เป็ นคิดเฉพาะ “ทุกสมาชิก 𝑎 และ 𝑏 ใน 𝐴 ที่ 𝑎 > 𝑏” จะเป็ นโจทย์ที่นา่ สนใจ
เนื่องจาก 𝑎 − 𝑏 > 1 แสดงว่า ห้ ามมีสมาชิกสองตัวไหนอยูต่ ิดกัน → จะแบ่งกรณีนบั ตามขนาดของ 𝐴
กรณี 𝐴 มีสมาชิก 2 ตัว : คาตอบ จะเท่ากับ จานวนแบบที่ “เลือกเก้ าอี ้ 2 ตัว จาก 7 ตัว โดยห้ ามเลือกเก้ าอี ้ที่อยูต่ ดิ กัน”
ซึง่ ทาได้ โดย เอาเก้ าอี ้ 1 ตัวไปซ่อน แล้ วเลือกเก้ าอี ้ 2 ตัว จาก 6 ตัวที่เหลือ (เลือกได้ (62) แบบ) แล้ วค่อยเอาเก้ าอี ้ที่
ซ่อนไว้ ไปคัน่ (ตรงไหนก็ได้ ระหว่างเก้ าอี ้ 2 ตัวที่เลือก) จะรับประกันได้ วา่ เก้ าอี ้ 2 ตัวที่เลือก ไม่อยูต่ ิดกัน
6∙5
→ เลือกได้ (62) = = 15 แบบ
2
กรณี 𝐴 มีสมาชิก 3 ตัว : คาตอบ จะเท่ากับ จานวนแบบที่ “เลือกเก้ าอี ้ 3 ตัว จาก 7 ตัว โดยห้ ามเลือกเก้ าอี ้ที่อยูต่ ดิ กัน”
ซึง่ ทาได้ โดย เอาเก้ าอี ้ 2 ตัวไปซ่อน แล้ วเลือกเก้ าอี ้ 3 ตัว จาก 5 ตัวที่เหลือ (เลือกได้ (53) แบบ) แล้ วค่อยเอาเก้ าอี ้ 2
ตัวที่ซอ่ นไว้ ไปคัน่ (ระหว่างตัวแรกที่เลือกกับตัวที่สองทีเ่ ลือก กับ ระหว่างตัวที่สองที่เลือกกับตัวที่สามที่เลือก) จะ
รับประกันได้ วา่ เก้ าอี ้ทัง้ 3 ตัวทีเ่ ลือก ไม่อยูต่ ิดกัน → เลือกได้ (53) = 5∙4∙3
3∙2∙1
= 10 แบบ
PAT 1 (มี.ค. 58) 35

กรณี 𝐴 มีสมาชิก 4 ตัว : คาตอบ จะเท่ากับ จานวนแบบที่ “เลือกเก้ าอี ้ 4 ตัว จาก 7 ตัว โดยห้ ามเลือกเก้ าอี ้ที่อยู่ตดิ กัน”
จะเขียนนับเอาเลยก็ได้ (ได้ แบบเดียว คือ 1, 3, 5, 7) หรื อจะทาแบบเดิมก็ได้ คือ เอาเก้ าอี ้ 3 ตัวไปซ่อน แล้ วเลือก
เก้ าอี ้ 4 ตัว จาก 4 ตัวที่เหลือ (เลือกได้ (44) = 1 แบบ) แล้ วค่อยเอาเก้ าอี ้ 3 ตัวที่ซอ่ นไว้ ไปคัน่ → ได้ 1 แบบ
จะเห็นว่า ถ้ า 𝐴 มีสมาชิกมากกว่านี ้ จะทาไม่ได้ แล้ ว
รวมทุกกรณี จะได้ จานวนแบบ = 15 + 10 + 1 = 26 แบบ

37. 4
เปลีย่ นตัวแปร ให้ 𝑚 = 22𝑥 และให้ 𝑛 = log 2 𝑦
จัดรูปสมการ จะได้ 22𝑥 log 1 𝑦 = 1 + 24𝑥−1 และ 9(22𝑥 )log 1 𝑦 = 9 + log 21 𝑦
4 8 2
2𝑥 24𝑥 9(22𝑥 )log 2−3 𝑦 = 9 + (log 2−1 𝑦)2
2 log 2−2 𝑦 = 1 + 2 1 1 2
2𝑥 1 (22𝑥 )
2
9(22𝑥 )(−3 log 2 𝑦) = 9 + (−1 log 2 𝑦)
2 ( log 2 𝑦) = 1 +
−2 2 −3 𝑚 𝑛 = 9 + ( − 𝑛 )2
1 𝑚2
คูณตลอด 𝑚 (− 2 𝑛 ) = 1+ แทนค่า 𝑛
2 2
2 2
ด้ วย − 𝑚2 𝑛 = −
2
− 𝑚 …(∗) −3 𝑚 (− 𝑚 − 𝑚) = 9 + ( 𝑚 + 𝑚 )
𝑚
4
6 + 3𝑚2 = 9 + 𝑚2 + 4 + 𝑚2
4
2𝑚2 − 7 − 2 = 0
𝑚
≥0 2𝑚4 − 7𝑚2 − 4 = 0
(2𝑚2 + 1)(𝑚2 − 4) = 0
2𝑚2 + 1 เป็ นบวกเสมอ 2
(2𝑚 + 1)(𝑚 − 2)(𝑚 + 2) = 0
จะไม่มีทางเป็ น 0 ได้ 𝑚 = 2 , −2
แต่ 𝑚 = 22𝑥 เป็ นบวกเสมอ ดังนัน้ 𝑚=2 ได้ คา่ เดียว จะได้ 22𝑥 = 2
2𝑥 = 1
1
𝑥 = 2
2
แทนค่า 𝑚=2 ใน (∗) จะได้ 𝑛 = − 2 − 2 = −3 ดังนัน้ log 2 𝑦 = −3
1
𝑦 = 2−3 = 8
1
𝑥 1 8
จะได้ 𝑦
= 2
1 = 2
× 1 = 4 → 𝐵 มีสมาชิกตัวเดียวคือ 4 ดังนัน้ สมาชิกน้ อยสุด = 4
8

38. 3.97
𝑛
ลาดับเลขคณิต จะสามารถใช้ สตู ร 𝑆𝑛 = 2 (2𝑎1 + (𝑛 − 1)𝑑) ได้
𝑛
𝑎1 +𝑎2 + … +𝑎𝑛 (2𝑎1 +(𝑛−1)𝑑𝑎 ) 2𝑎1 +(𝑛−1)𝑑𝑎
ให้ ผลต่างร่วมของลาดับทังสอง
้ คือ 𝑑𝑎 และ 𝑑𝑏 จะได้ 𝑏1 +𝑏2 + … +𝑏𝑛
= 2
𝑛
(2𝑏1 +(𝑛−1)𝑑𝑏 )
= 2𝑏1 +(𝑛−1)𝑑𝑏
2
𝑎1 +𝑎2 + … +𝑎𝑛 𝑛+1 2𝑎1 +(𝑛−1)𝑑𝑎 𝑛+1
แต่โจทย์ให้ 𝑏1 +𝑏2 + … +𝑏𝑛
= 2𝑛−1 ดังนัน้ 2𝑏1 +(𝑛−1)𝑑𝑏
= 2𝑛−1 …(1)
2𝑏100 2𝑏100 2(𝑏1 +(100−1)𝑑𝑏 )
โจทย์ถามค่าของ 𝑎100
→ จากสูตรลาดับเลขคณิต 𝑎𝑛 = 𝑎1 + (𝑛 − 1)𝑑 จะได้ 𝑎100
= 𝑎1 +(100−1)𝑑𝑎
2𝑏1 +198𝑑𝑏
= 𝑎1 +99𝑑𝑎
…(2)
จะเห็นว่า จาก (1) ถ้ าแทน 𝑛 = 199 จะได้ ตวั ส่วนฝั่งซ้ าย = 2𝑏1 + 198𝑑𝑏 เหมือนตัวเศษของสิง่ ที่โจทย์ถามใน (2)
→ แทน 𝑛 = 199 ใน (1) จะได้ 2𝑎1 +(199−1)𝑑𝑎
=
199+1
2𝑏 +(199−1)𝑑 1 2(199)−1 𝑏
2𝑎1 +198𝑑𝑎 200 2𝑏1 +198𝑑𝑏 397
กลับเศษกลับส่วน จัดรูปให้ 2𝑏1 +198𝑑𝑏
= 397 =
2(𝑎1 +99𝑑𝑎 ) 200
2𝑏1 +198𝑑𝑏 397
เหมือนสิ่งที่โจทย์ถามใน (2) = 2𝑏1 +198𝑑𝑏
=
397
= 3.97
2𝑎1 +198𝑑𝑎 200 𝑎1 +99𝑑𝑎 100
36 PAT 1 (มี.ค. 58)

39. 112
เปลีย่ นตัวแปร ให้ 𝐴 = √𝑥 − 1 และ 𝐵 = √2 − 𝑥 → จะเปลีย่ นที่สว่ นทีเ่ หลือในสมการให้ อยูใ่ นรูป 𝐴 กับ 𝐵
ลองนา 𝐴 และ 𝐵 มาทดเล่นๆดู จะพบว่า 𝐴2 = 𝑥 − 1 …(1)
𝐵2 = 2 − 𝑥 …(2)
𝐴 + 𝐵2 = 𝑥 − 1 + 2 − 𝑥 = 1
2
…(3)
𝐴𝐵 = √(𝑥 − 1)(2 − 𝑥)
= √2𝑥 − 𝑥 2 − 2 + 𝑥
= √3𝑥 − 𝑥 2 − 2 …(4)
จัดรูปสมการ ให้ อยูใ่ นรูป 𝐴 กับ 𝐵 โดยใช้ (1), (2), (3), (4) ดังนี ้

𝑥 + 3√3𝑥 − 2 − 𝑥 2 = 3 + 2√𝑥 − 1 − 2√2 − 𝑥


(4)
3 𝐴𝐵 = 1+ 2−𝑥+ 2𝐴 − 2𝐵
(3) (2)
3 𝐴𝐵 = 𝐴2 + 𝐵2 + 𝐵2 + 2 𝐴 − 2 𝐵
0 = 𝐴2 − 3𝐴𝐵 + 2𝐵2 + 2𝐴 − 2𝐵
0 = (𝐴 − 𝐵)(𝐴 − 2𝐵) + 2(𝐴 − 𝐵)
ดึงตัวร่วม 𝐴 − 𝐵
0 = (𝐴 − 𝐵)(𝐴 − 2𝐵 + 2)

𝐴 = 𝐵 𝐴 − 2𝐵 + 2 = 0
√𝑥 − 1 = √2 − 𝑥 𝐴 +2 = 2𝐵
𝑥−1 = 2−𝑥 √𝑥 − 1 +2 = 2√2 − 𝑥
2𝑥 = 3 2 2
3 (√𝑥 + 1 + 2) = (2√2 − 𝑥)
𝑥 =
2 𝑥 − 1 + 4√𝑥 − 1 + 4 = 4(2 − 𝑥)
ตรวจคาตอบกับสมการก่อนยกกาลังสอง 𝑥 + 3 + 4√𝑥 − 1 = 8 − 4𝑥
3 3 5𝑥 − 5 + 4√𝑥 − 1 = 0
√ − 1 = √2 − 5(𝑥 − 1) + 4√𝑥 − 1 = 0
2 2
1 1 5√(𝑥 − 1)2 + 4√𝑥 − 1 = 0

2
= √
2
→ จริ ง
√𝑥 − 1 ∙ (5√𝑥 − 1 + 4) = 0
แต่ 5√𝑥 − 1 + 4 เป็ นบวกเสมอ ดังนัน้ √𝑥 − 1 = 0
𝑥 = 1
≥0
ตรวจคาตอบกับสมการก่อนยกกาลังสอง
√1 − 1 + 2 = 2√2 − 1
2 = 2 → จริ ง
จะได้ คาตอบคือ 32 และ 1 ดังนัน้ 𝑎 = ตัวมาก = 2
3
และ 𝑏 = ตัวน้ อย = 1
3
ดังนัน้ 25𝑏 + 58𝑎 = 25(1) + 58 ∙ 2
= 25 + 87 = 112

40. 132
2𝑥 4 −𝑥 2𝑥 2 𝑥 −1
𝑓 ′ (𝑥) = 𝑥3
= 2𝑥 − 𝑥 −2 → อินทิเกรต จะได้ 𝑓(𝑥) = 2
− −1
+ 𝑐
2 −1
= 𝑥 +𝑥 +𝑐
โจทย์ให้ 𝑔(1) = 2 → จาก 𝑔(𝑥) = (1 + 𝑥 2 )𝑓(𝑥)
แทน 𝑥 = 1 จะได้ 𝑔(1) = (1 + 12 )𝑓(1)
2 = ( 2 )(12 + 1−1 + 𝑐)
1 = 2 +𝑐
−1 = 𝑐
PAT 1 (มี.ค. 58) 37

ดังนัน้ 𝑓(𝑥) = 𝑥 2 + 𝑥 −1 − 1 แทนใน 𝑔(𝑥) จะได้ 𝑔(𝑥) = (1 + 𝑥 2 )(𝑥 2 + 𝑥 −1 − 1)


= 𝑥 2 + 𝑥 −1 − 1 + 𝑥 4 + 𝑥 − 𝑥 2
= 𝑥 −1 − 1 + 𝑥 4 + 𝑥
𝑔′ (𝑥) = −𝑥 −2 + 4𝑥 3 + 1
𝑔′′ (𝑥) = 2𝑥 −3 + 12𝑥 2
2 2
ดังนัน้  𝑥 3 𝑔′′ (𝑥) 𝑑𝑥 =  𝑥 3 (2𝑥 −3 + 12𝑥 2 ) 𝑑𝑥
1 1
2
=  2 + 12𝑥 5 𝑑𝑥
1
12𝑥 6 2
= 2𝑥 + |
6
−1
= (2(2) + 2(26 )) − (2(−1) + 2(−1)6 ) = 132 − 0 = 132

41. 15
ต่อเนื่องที่ 𝑥 = 0 แสดงว่า lim 𝑓(𝑥) = 𝑓(0) = lim 𝑓(𝑥)
x 0  x 0

→ หา lim 𝑓(𝑥) จะได้ 𝑥 < 0 → ใช้ สตู รบน → แทน 𝑥 = 0 จะได้ = 𝑒 2(0) + 2𝑎 = 1 + 2𝑎
x 0 

→ หา 𝑓(0) จะได้ 𝑥 = 0 → ใช้ สตู รกลาง → แทน 𝑥 = 0 จะได้ =𝑎+𝑏


√1+𝑏(0)+5(02 )−1 1−1 0
→ หา lim 
𝑓(𝑥) จะได้ 𝑥 > 0 → ใช้ สตู รล่าง → แทน 𝑥 = 0 จะได้ = 𝑥
= 0
=0 → ต้ องจัด
x 0

รูปให้ 𝑥 ตัดกันก่อน (มีรูท → คูณคอนจูเกต) แล้ วค่อยแทน 𝑥 = 0 ลงไปใหม่ ดังนี ้


√1+𝑏𝑥+5𝑥 2 −1 √1+𝑏𝑥+5𝑥 2 +1
= ∙ 𝑏𝑥+5𝑥 2
𝑥 √1+𝑏𝑥+5𝑥 2 +1 =
2 (𝑥)√1+𝑏𝑥+5𝑥 2 +1
√1+𝑏𝑥+5𝑥 2 −12 (𝑥)(𝑏+5𝑥)
= =
(𝑥)√1+𝑏𝑥+5𝑥 2 +1 (𝑥)√1+𝑏𝑥+5𝑥 2 +1
1+𝑏𝑥+5𝑥 2 − 1 𝑏+5𝑥 𝑏+5(0)
=
(𝑥)√1+𝑏𝑥+5𝑥 2 +1 =
√1+𝑏𝑥+5𝑥 2 +1
→ แทน 𝑥 = 0 จะได้ =
√1+𝑏(0)+5(02 )+1
𝑏 𝑏
= = 2
√1+1
𝑏
จับสามตัวมาเท่ากัน จะได้ สมการคือ 1 + 2𝑎 = 𝑎+𝑏 = 2
𝑏
จากคูห่ น้ า จะได้ 1 + 2𝑎 = 𝑎 + 𝑏 จากคูห่ ลัง จะได้ 𝑎 +𝑏 =
2
𝑎 = 𝑏 − 1 …(∗) 𝑏 4𝑏 − 2 = 𝑏
𝑏−1+𝑏 = 2 3𝑏 = 2
𝑏 2
2𝑏 − 1 = 2
𝑏 = 3
2 2 1
แทน 𝑏 = ใน (∗) จะได้
3
𝑎 = −1 = −
3 3
1 2
ดังนัน้ 15𝑎 + 30𝑏 = 15 (− 3) + 30 (3) = −5 + 20 = 15

42. 8
2𝑛
𝑎𝑛 2𝑛 5𝑛+18 2𝑛 5𝑛+18 5𝑛+18
จะได้ 𝑏𝑛
= 𝑛(𝑛+2)
3𝑛
= 𝑛(𝑛+2)
∙ 3𝑛 = ∙
3𝑛 𝑛(𝑛+2)
→ จะใช้ เทคนิคเทเลสโคปิ ค ลองแยก 𝑛(𝑛+2) เป็ นผลลบของ
5𝑛+18
เศษส่วนสองตัว แล้ วหวังว่า ค่าลบของตัวหน้ า จะหักกับค่าบวกของตัวหลังได้
38 PAT 1 (มี.ค. 58)

5𝑛+18 𝐴 𝐵 5𝑛+18 𝐴 𝐵
สมมติให้ 𝑛(𝑛+2)
แยกเป็ นผลลบได้ 𝑛
− 𝑛+2 → นัน่ คือ 𝑛(𝑛+2)
= 𝑛
− 𝑛+2
5𝑛+18 𝐴(𝑛+2)−𝐵𝑛
𝑛(𝑛+2)
= 𝑛(𝑛+2)
5𝑛 + 18 = 𝐴𝑛 + 2𝐴 − 𝐵𝑛 จัดรูปเรียงตามกาลัง
5𝑛 + 18 = (𝐴 − 𝐵)𝑛 + 2𝐴 ของ 𝑛 เพื่อเทียบ สปส.

5 = 𝐴−𝐵 18 = 2𝐴
5 = 9−𝐵 9 = 𝐴
𝐵 = 4
5𝑛+18 9 4
ดังนัน้ 𝑛(𝑛+2)
= 𝑛
− 𝑛+2
𝑎𝑛 2 𝑛 5𝑛+18 2𝑛 9 4 2𝑛 32 22 2𝑛 2𝑛+2
ดังนัน้ 𝑏𝑛
= 3𝑛 ∙ 𝑛(𝑛+2)
= (
3𝑛 𝑛
− 𝑛+2) = (
3𝑛 𝑛
− 𝑛+2) = (3𝑛−2 )(𝑛)
− (3𝑛 )(𝑛+2)
𝑎𝑛 2𝑛 2𝑛+2 𝑎1 𝑎 𝑎
แทน 𝑛 = 1, 2, 3, … ใน 𝑏𝑛
= (3𝑛−2 )(𝑛) − (3𝑛 )(𝑛+2) แล้ วเอามาบวกกัน จะได้ ค่าของ 𝑏1
+ 𝑏2 + 𝑏3 + … ดังนี ้
2 3
𝑎1 𝑎2 𝑎3 𝑎4 𝑎5
= + + + + +…
𝑏1 𝑏2 𝑏3 𝑏4 𝑏5

21 23 22 24 23 25 24 26 25 27
= (3−1 )(1)
− (31 )(3)
+ (30 )(2)
− (32 )(4)
+ (31 )(3)
− (33 )(5)
+ (32 )(4)
− (34 )(6)
+ (33 )(5)
− (35 )(7)
+ …

จะเห็นว่า ค่าลบของตัวหน้ า จะตัดกับ ค่าบวกของตัวทีถ่ ดั ไปสองตัว ได้ เสมอ


𝑛
สุดท้ าย จะเหลือค่าบวกของสองตัวหน้ า (กับค่าลบสองตัวสุดท้ าย ซึง่ 23𝑛 ∙ 𝑛(𝑛+2)
5𝑛+18
เข้ าใกล้ 0 เมื่อ 𝑛 มีคา่ มากๆ)
21 22
ดังนัน้ จะได้ ผลบวก = ค่าบวกของสองตัวหน้ า = (3−1 )(1)
+ (30 )(2) = 6 + 2 = 8

43. 1806
มีกระเบื ้องแต่ละสีอย่างน้ อยหนึง่ แผ่น แสดงว่า ใน 7 แผ่น ต้ องมีครบทัง้ 3 สี
ดังนัน้ จะมีกระเบื ้องสีเดียวกันได้ ไม่เกิน 5 แผ่น (เพราะถ้ ามีสเี ดียวกัน 6 แผ่น รวมกับที่เหลืออีกแผ่นจะได้ ไม่ครบ 3 สี)
ซึง่ โจทย์มีกระเบื ้องอย่างน้ อยสีละ 5 แผ่น แสดงว่ามีกระเบื ้องเหลือเฟื อ นับได้ โดยไม่ต้องกังวลว่ากระเบื ้องสีไหนจะไม่พอ
โดยข้ อนี ้ จะนับแบบตรงข้ าม แล้ วเอาทังหมดตั
้ งลบ

จานวนแบบทังหมด ้ → มี 7 ตาแหน่ง แต่ละตาแหน่งเลือกได้ 3 สี → เลือกได้ ทงหมด ั้ = 37 แบบ
จานวนแบบที่มีสเี ดียว → เลือก 1 สีจาก 3 สี ได้ 3 แบบ (แดงล้ วน, ขาวล้ วน, เขียวล้ วน) → 3 แบบ
จานวนแบบที่มีสองสี → ขันที ้ ่ 1 : เลือก 2 สีจาก 3 สี ได้ (32) แบบ
→ ขันที้ ่ 2 : นา 2 สีจากขันแรกมาใช้
้ เช่น สมมติขนแรก
ั้ เลือกได้ สแี ดงกับขาว → มี 7 ตาแหน่ง
แต่ละตาแหน่งเป็ นแดงหรื อขาวได้ 2 สี → เลือกได้ 27 แบบ → แต่อยากได้ แบบที่
มีสองสี ต้ องหักแบบทีม่ ีสเี ดียวออก 2 แบบ (แดงล้ วน กับขาวล้ วน) ได้ 27 − 2 แบบ
→ จะได้ จานวนแบบที่มีสองสี = (32)(27 − 2) แบบ
ดังนัน้ จานวนแบบที่มีครบทัง้ 3 สี = จานวนแบบทังหมด ้ − จานวนแบบที่มีสเี ดียว − จานวนแบบทีม ่ ีสองสี
= 37 − 3 − (32)(27 − 2)
= 2187 − 3 − (3)( 126 ) = 1806
PAT 1 (มี.ค. 58) 39

44. 0.5
1 1 1 1 1
𝑎𝑛 = (1 − ) (1 − 2 ) (1 − ) (1 − 2 ) … (1 − 2 )
22 3 42 5 𝑛
22 − 1 32 − 1 42 − 1 52 − 1 𝑛2 − 1
= ( 22
) ( 32 ) ( 4 2 ) ( 4 2 ) … ( 𝑛 2 )
(2−1)(2+1) (3−1)(3+1) (4−1)(4+1) (5−1)(5+1) (𝑛−1)(𝑛+1)
= ( 22
)( 32
)( 42
)( 52
)…( 𝑛2
)
( 1 )( 3 ) ( 2 )( 4 ) ( 3 )( 5 ) ( 4 )( 6 ) (𝑛−1)(𝑛+1)
= (( 2 )( 2 )
) (( 3 )( 3 )) (( 4 )( 4 )) (( 5 )( 5 )) … (( 𝑛 )( 𝑛 ))
( 1 )(𝑛+1) 𝑛+1
จะเห็นว่า ตัวเลขในกรอบสีเ่ หลีย่ ม ตัดกันได้ หมด เหลือ 𝑎𝑛 = ( 2 )( 𝑛 )
= 2𝑛
𝑛+1 สปส บน 1
ดังนัน้ nlim

𝑎𝑛 = lim
n   2𝑛
→ ดีกรี บน = ดีกรี ลา่ ง จะได้ ลมิ ิต = สปส ล่าง
= 2
= 0.5

45. 60
ให้ |𝑥| − 𝑥 + 𝑦 = 8 …(1)
𝑎 , 𝑎≥0
𝑥 + |𝑦| + 𝑦 = 10 …(2) |𝑎| = {
−𝑎 , 𝑎<0
สังเกตว่า ถ้ า 𝑥 เป็ นบวก แล้ ว |𝑥| − 𝑥 ใน (1) จะตัดกันได้
ดังนัน้ เราจะลองสมมติให้ 𝑥 ≥ 0 ดู → จากสมบัติของค่าสัมบูรณ์จะได้ |𝑥| = 𝑥
จะได้ (1) : 𝑥 − 𝑥 + 𝑦 = 8
𝑦 = 8 → แทนใน (2) ได้ 𝑥 + |8| + 8 = 10
𝑥 = −6 → ขัดแย้ งกับที่สมมติให้ 𝑥 ≥ 0
ดังนัน้ 𝑥 ≥ 0 ไม่ได้ → จึงสรุปได้ วา่ 𝑥 < 0 เท่านัน้
จาก 𝑥 < 0 และ จากสมบัติของค่าสัมบูรณ์จะได้ |𝑥| = −𝑥 → จะได้ (1) : (−𝑥) − 𝑥 + 𝑦 = 8
−2𝑥 + 𝑦 = 8 …(3)
ถัดมา สังเกตว่าถ้ า 𝑦 เป็ นลบ แล้ ว |𝑦| + 𝑦 ใน (2) จะตัดกันได้
ดังนัน้ เราจะลองสมมติให้ 𝑦 < 0 ดู → จากสมบัตขิ องค่าสัมบูรณ์จะได้ |𝑦| = −𝑦
จะได้ (2) : 𝑥 + (−𝑦) + 𝑦 = 10
𝑥 = 10 → ขัดแย้ งกับข้ อสรุ ปก่อนหน้ า ทีว่ า่ 𝑥 < 0
ดังนัน้ 𝑦 < 0 ไม่ได้ → จึงสรุปได้ วา่ 𝑦 ≥ 0 เท่านัน้
จาก 𝑦 ≥ 0 และ จากสมบัติของค่าสัมบูรณ์จะได้ |𝑦| = 𝑦 → จะได้ (2) : 𝑥 + 𝑦 + 𝑦 = 10
𝑥 + 2𝑦 = 10 …(4)
เอา (3) กับ (4) มาแก้ ระบบสมการ −2𝑥 + 𝑦 = 8 …(3)
𝑥 + 2𝑦 = 10 …(4)
2×(4) แล้ วบวกกับ (3) จะทาให้ 𝑥 ตัดกันได้
2×(4) : 2𝑥 + 4𝑦 = 20 …(5)
(3) + (5) : 5𝑦 = 28
𝑦 = 5.6
แทน 𝑦 = 5.6 ใน (4) : 𝑥 + 2(5.6) = 10
𝑥 = 10 − 11.2 = −1.2

ดังนัน้ 20𝑥 + 15𝑦 = 20(−1.2) + 15(5.6)


= −24 + (84) = 60
40 PAT 1 (มี.ค. 58)

เครดิต
ขอบคุณ คุณ บุญช่วย ฤทธิเทพ สาหรับข้ อสอบ
ขอบคุณ อ. ศิลา สุขรัศมี และ คุณ Tarm Chaidirek ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้ องของข้ อสอบ
ขอบคุณ เฉลยคาตอบ จากคุณ Tarm Chaidirek
ขอบคุณ เฉลยข้ อ 6. จากคุณ Prasop Tongtawat
ขอบคุณ เฉลยข้ อ 14. จากคุณ ฐาปกรณ์ ฐานวัฒนกิจ
ขอบคุณ เฉลยละเอียด จาก #GTRmath by GTRping
ขอบคุณ คุณครูเบิร์ด จาก กวดวิชาคณิตศาสตร์ ครูเบิร์ด ย่านบางแค 081-8285490 ทีช่ ่วยตรวจสอบความถูกต้ องของ
เฉลย
ขอบคุณ คุณ สดุดี นนท์คาภา ที่ช่วยตรวจสอบคุณภาพของเฉลย

You might also like