You are on page 1of 10

บทที่ 1

เซต

1.1 เซต
เซต (Set) เป็นคำอนิยำม หมำยถึง กลุ่มของสิ่งต่ำง ๆ ที่สำมำรถกำหนดสมำชิกได้อย่ำงชัดเจน เช่น
เซตของชื่อวันที่มีใน 1 สัปดำห์
เซตของคำตอบของสมกำร x 3 5x 2 2x 8 0
และเรียกสิ่งที่อยู่ในเซตนั้นว่ำ สมาชิก (Element หรือ member) เช่น
เซตของชื่อวันที่มีใน 1 สัปดำห์ มีสมำชิก คือ จันทร์ อังคำร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสำร์ และอำทิตย์
เซตของคำตอบของสมกำร x 3 5x 2 2x 8 0 มีสมำชิก คือ 1, 2 และ 4
และถ้ำหำกเซตนั้นไม่สำมำรถกำหนดสมำชิกได้อย่ำงชัดเจน จะถือว่ำไม่ใช่เซต เช่น
เซตของอำหำรที่คนไทยชื่นชอบ
เพรำะไม่สำมำรถระบุสมำชิกได้ชัดเจน หำกถำมคนไป คนแรกอำจได้คำตอบคือ {ส้มตำ}
ถำมคนที่สองอำจได้คำตอบ คือ {ผัดไท, แกงเขียวหวำน} ซึ่งมีควำมไม่ชัดเจนของสมำชิกนั่นเอง
การเขียนเซตสำมำรถเขียนได้ 2 แบบ คือ
1. แบบแจกแจงสมาชิก เขียนสมำชิกทุกตัวลงในเครื่องหมำยวงเล็บปีกกำ {} และใช้เครื่องหมำยจุลภำค
(,) คั่นระหว่ำงสมำชิกแต่ละตัว เช่น
เซตของจำนวนนับที่น้อยกว่ำ 6 เขียนได้ดังนี้ {1,2, 3, 4,5}
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการเขียนเซตแบบแจกแจงสมาชิก
1. จะแทนเซตด้วยอักษรภำษำอังกฤษพิมพ์ใหญ่ เช่น A, B,C, D,...,Y, Z แทนชื่อเซต และใช้อักษรพิมพ์
เล็ก เช่น a,b,c,d,..., y, z แทนสมำชิกที่อยู่ในเซต เช่น ให้ A เซตของจำนวนนับที่น้อยกว่ำ 6 แล้วจะเขียนได้ว่ำ
A {1,2, 3, 4,5}
2. ในกรณีทเี่ ซตมีสมำชิกมำกไม่สะดวกที่จะเขียนได้ครบทุกตัวอำจละไว้ แล้วใช้เครื่องหมำยจุดสำมจุด (...)
แทน เช่น ให้ B เป็นเซตของจำนวนนับที่ไม่เกิน 100 แล้วจะเขียนได้ว่ำ
B {1,2, 3, 4,...,100}
ให้ C เป็นเซตของจำนวนเต็ม แล้วจะเขียนได้ว่ำ
C {..., 2, 1, 0,1,2,...}
3. อันดับก่อนหลังของกำรเขียนสมำชิกในเซตไม่ถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่น
D {3,5,7,9} อำจเขียนเป็น D {9,7,5, 3} ก็ได้
4. หำกมีสมำชิกซ้ำกันหลำย ๆ ตัว ให้เขียนเพียงตัวเดียว
เช่น ให้เซต B เป็นเซตของเลขโดดของจำนวนนับ 14,543, 361 แล้วจะเขียนได้ว่ำ
E {1, 3, 4,5,6}

1
คณิตศำสตร์ ม.4 – 6 โดย พี่เจมส์เป็ด (คณิตศำสตร์ กศ.บ.) หน้ำที่ 2

2. แบบบอกเงื่อนไขของสมาชิก ใช้ตัวแปรเขียนแทนสมำชิกของเซตแล้วบรรยำยสมบัติหรือเงื่อนไข เช่น


A {x | x เป็นจำนวนนับที่น้อยกว่ำ 6 }
โดยเครื่องหมำย “|” หรือ “:”จะใช้แทนคำว่ำ “โดยที่” และเซต B และ C สำมำรถเขียนในรูปของ
B {x | x เป็นจำนวนนับที่ไม่เกิน 100 }
C {x | x เป็นจำนวนเต็ม }
สมาชิกของเซต
เรำจะใช้ แทนกำรเป็นสมำชิกของเซต หรือกำรอยู่ในเซต
และใช้ แทนกำรไม่เป็นสมำชิกของเซต หรือกำรไม่อยู่ในเซต
1
เช่น G 3,
3
จะได้ว่ำ 3 เป็นสมำชิกของ G หรืออยู่ใน G เขียนแทนด้วย 3 G
6 ไม่เป็นสมำชิกของ G หรือไม่อยู่ใน G เขียนแทนด้วย 6 G

ตัวอย่างที่ 1.1 กำหนดให้ A {1,2, 3, 4} จงพิจำรณำว่ำข้อควำมใดเป็นจริงหรือเท็จ


1) 2 A 2) {3} A
3) {4,2} A 4) 5 A
ตอบ 1) เป็นจริง เพรำะ 2 เป็นสมำชิกของ A
2) เป็นเท็จ เพรำะ {3} (เซตที่มีสมำชิก คือ 3 ) ไม่เป็นสมำชิกของ A
3) เป็นจริง เพรำะ {4,2} (เซตที่มีสมำชิก คือ 2 และ 4 ) ไม่เป็นสมำชิกของ A
4) เป็นเท็จ เพรำะ 5 ไม่เป็นสมำชิกของ A
ลักษณะของเซตและจำนวนสมำชิก
การบอกจานวนสมาชิก
เรำจะใช้ n(S ) เพื่อบอกจำนวนสมำชิกของเซต S เมื่อ S เป็นเซตใด ๆ
เช่น A {1,2, 3, 4,5,6,7} แล้วจำนวนสมำชิกของเซต A หรือ n(A) 7
B { ชวด, เถำะ, มะเมีย, ระกำ } แล้วจำนวนสมำชิกของเซต B หรือ n(B) 4
ลักษณะของเซต
1. เซตว่าง (Empty Set) คือ เซตที่ไม่มีสมำชิก เขียนแทนด้วย คือ {} หรือ (อ่ำนว่ำ phi) เช่น
A {x | x เป็นจังหวัดในประเทศไทยที่ขึ้นต้นด้วย “ง” }
2. เซตจากัด (Finite Set) คือ เซตที่สำมำรถระบุจำนวนสมำชิกได้ เช่น
B {x | x เป็นจำนวนประชำกรในประเทศไทย }
C {1,2, 3, 4,...,50}
D
3. เซตอนันต์ (Infinite Set) คือ เซตที่ไม่สำมำรถระบุจำนวนสมำชิกได้ เช่น
E {x | x เป็นจำนวนนับ }
F {..., 3, 2, 1, 0,1, 2, 3,...}
บทที่ 1 เซต (SET) หน้ำที่ 3

เอกภพสัมพัทธ์
เอกภพสัมพัทธ์ (Relative Universe) คือ เซตใหญ่ที่กำลังสนใจอยู่ ใช้เครื่องหมำยแทน คือ U โดยเซตทุกเซตต้อง
เป็นสับเซตของเอกภพสัมพัทธ์
เช่น กำหนดให้ U เป็นเซตของจำนวนจริง
โดยที่ A {x | x 2 16} และ B {x | x 3 8}
จะได้ A {4, 4} และ B { 2}
แต่ถ้ำกำหนดให้ U เป็นเซตของจำนวนจริงบวก จะได้ A {4} และ B
นอกจำกนี้เอกภพสัมพัทธ์ยังสำมำรถใช้สัญลักษณ์ที่ใช้แทนเซตของจำนวนต่ำง ๆ มีดังนี้
แทน เซตของจำนวนนับ แทน เซตของจำนวนเต็ม
แทน เซตของจำนวนเต็มบวก แทน เซตของจำนวนเต็มลบ
แทน เซตของจำนวนตรรกยะ แทน เซตของจำนวนอตรรกยะ
แทน เซตของจำนวนจริง แทน เซตของจำนวนจริงบวก
แทน เซตของจำนวนจริงลบ แทน เซตของจำนวนเชิงซ้อน
บำงครั้งเพื่อควำมสะดวก จะระบุเอกภพสัมพัทธ์ลงในกำรเขียนเซตแบบบอกเงื่อนไข เช่น
A {x | x2 9}
B {x | x2 9}
จะได้ A {3} และ B { 3, 3}
หมายเหตุ : ในระดับชั้นมัธยมศึกษำตอนปลำยนั้น ถ้ำกล่ำวถึงเซตของจำนวน และไม่ได้กำหนดเซตใดเป็นเอกภพ
สัมพัทธ์ ให้ถือว่ำเอกภพสัมพัทธ์ คือ เซตของจานวนจริง

กำรเท่ำกันและกำรเทียบเท่ำกัน

บทนิยามที่ 1.1.1 เซต A เซต B ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกตัวของเซต A เป็นสมาชิกของเซต B และสมาชิกทุก


ตัวของเซต B เป็นสมาชิกของเซต A
และเราสามารถเขียนแทนได้ด้วยสัญลักษณ์ A B
ในทำงตรงกันข้ำม เซต A ไม่เท่ำกับ เซต B ก็ต่อเมื่อ กำรที่มีสมำชิกอย่ำงน้อยหนึ่งตัวของเซต A ไม่เป็นสมำชิกของ
เซต B หรือมีสมำชิกอย่ำงน้อยหนึ่งตัวของเซต B ไม่เป็นสมำชิกของเซต A เขียนแทนด้วย A B
เช่น A {5,6,7, 8} , B {8,7,6,5} และ C {8,6,5}
จะเห็นได้ว่ำ เซต A เท่ำกับ เซต B แต่เซต A ไม่เท่ำกับ เซต C และเซต B ไม่เท่ำกับ เซต C
ดังนั้น A B, A C และ B C
บทนิยามที่ 1.1.2 เซต A เทียบเท่ากับ เซต B ก็ต่อเมื่อ จานวนสมาชิกของเซต A เท่ากับจานวนสมาชิกของ
เซต B โดยที่สมาชิกไม่จาเป็นต้องเหมือนกัน หรือจะเหมือนกันก็ได้
เช่น A { 2, 1, 0} และ B {c,b,b,a,c,c,b,a,a}
จะได้ว่ำ A เทียบเท่ำกับ B
คณิตศำสตร์ ม.4 – 6 โดย พี่เจมส์เป็ด (คณิตศำสตร์ กศ.บ.) หน้ำที่ 4

ตัวอย่างที่ 1.2 จงบอกว่ำข้อใด เป็นเซตทีเ่ ท่ำกัน หรือเทียบเท่ำกัน


1) A {1,2, 3} และ B {3,1,2}
2) A {1,2, 3} และ B {3,1,2,1, 3,2,1,2}
3) A {1,2, 3} และ B {a,b,c}
4) A {1,2, 3} และ B {3,2}
ตอบ 1) A และ B เป็นเซตทีเ่ ท่ำกัน
2) A และ B เป็นเซตทีเ่ ท่ำกัน
3) A และ B เป็นเซตที่เทียบเท่ำกัน
4) A และ B ไม่เป็นเซตทีเ่ ท่ำกัน และไม่เป็นเซตที่เทียบเท่ำกัน
1.2 สับเซตและเพำเวอร์เซต
1.2.1 สับเซต
บทนิยามที่ 1.2.1 เซต A จะเป็นสับเซต (subset) ของเซต B ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกตัวของเซต A เป็นสมาชิก
ของเซต B
และเราสามารถเขียนแทนได้ด้วยสัญลักษณ์ A B
ในทำงตรงกันข้ำม เซต A จะไม่เป็นสับเซตของเซต B ก็ต่อเมื่อ มีสมำชิกอย่ำงน้อยหนึ่งตัวของเซต A ไม่เป็น
สมำชิกของเซต B เขียนแทนด้วย A B เช่น
กำหนดให้ A {1,2, 3} และ B {1,2, 3, 4} จะได้ว่ำ A เป็นสับเซตของ B หรือ A B
แต่ถ้ำกำหนดให้ C {1,2,6} จะได้ว่ำ C ไม่เป็นสับเซตของ B หรือ C B

ทฤษฎีบทที่ 1.2.1 กาหนดให้ A, B และ C เป็นเซตใด ๆ ที่ไม่ใช่เซตว่างแล้วจะได้ว่า


1) A
2) A A
3) A U
4) ถ้า A แล้ว A
5) ถ้า A B และ B C แล้ว A C
6) A B ก็ต่อเมื่อ A B และ B A

ทฤษฎีบทที่ 1.2.2 ถ้า A มีจานวนสมาชิก n ตัว สับเซตของเซตจะมีทั้งสิ้น 2n สับเซต

บทนิยามที่ 1.2.2 เซต A จะเป็นสับเซตแท้ของเซต B ก็ต่อเมื่อ A B และ A B


และสับเซตแท้ของเซต A จะมีทั้งสิ้น 2n 1 สับเซต
จำกบทนิยำมที่ 1.2.2 ให้ A {1,2, 3} ดังนั้น n(A) 3
จะได้ว่ำสับเซตแท้ทั้งหมดของเซต A คือ ,{1},{2},{3},{1,2},{1, 3} และ {2, 3}
ซึ่งจะมีทั้งหมด 2n(A) 1 23 1 8 1 7 สับเซต พอดี
บทที่ 1 เซต (SET) หน้ำที่ 5

1.2.2 เพำเวอร์เซต
เพาเวอร์เซตหรือเซตกาลัง (Power set) คือ เซตที่มีสมำชิกเป็นสับเซตของเซตนั้น ๆ เขียนแทนชื่อเซตด้วย P(A)
เช่น A {0,1,2} จะได้เพำเวอร์เซต คือ
P(A) { ,{0},{1},{2},{0,1},{0,2},{1,2},{0,1,2}}

ทฤษฎีบทที่ 1.2.3 กาหนดให้ A และ B เป็นเซตใด ๆ ที่ไม่ใช่เซตว่างแล้วจะได้ว่า


1) P(A) และ P(A)
2) A P(A)
3) P(A) P(B) ก็ต่อเมื่อ A B

บทแทรกที่ 1.2.4 ถ้า A มีจานวนสมาชิก n ตัวแล้ว เพาเวอร์เซตของเซต A จะมีสมาชิกทั้งสิ้น 2n ตัว

1.3 แผนภำพเวนน์
แผนภาพเวนน์ (Venn Diagram) คือ แผนภำพที่ใช้เขียนแทนเซตโดยใช้รูปปิดอะไรก็ได้ เช่น รูปสำมเหลี่ยม รูป
วงกลม รูปวงรี แต่จะนิยมเขียนแทนเอกภพสัมพัทธ์ด้วยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ำ แล้วเขียนแทนเซตในเอกภพสัมพัทธ์ U
ด้วยรูปวงกลม
ให้ A และ B เป็นเซตใด ๆ และ U เป็นเอกภพสัมพัทธ์แล้ว พิจำรณำแผนภำพเวนน์ต่อไปนี้

จำกรูป เซต A และ B ไม่มีสมำชิกร่วมกัน


เรำเรียกเซตที่ไม่มีสมำชิกร่วมกันเลยว่ำ
เซตไม่มีส่วนร่วม (Disjoint set)

จำกรูป เซต A และ B มีสมำชิกบำงส่วนร่วมกัน


นั่นคือ A B และ B A
เรียกเซตที่มีสมำชิกร่วมกันเลยว่ำ
เซตมีส่วนร่วม (Joint set)

จำกรูป สมำชิกทุกตัวของเซต A เป็นสมำชิกของเซต B


นั่นคือ A B
คณิตศำสตร์ ม.4 – 6 โดย พี่เจมส์เป็ด (คณิตศำสตร์ กศ.บ.) หน้ำที่ 6

ตัวอย่างที่ 1.3 กำหนดให้ U {1,2, 3,...,10}, A {1, 3,5,7,9} และ B {2, 4,5,7,10} จงเขียน
แผนภำพเวนน์แสดงเซต
ตอบ

ตัวอย่างที่ 1.4 กำหนดให้ U {1,2, 3,...,15,16}, A {1, 3,5,7,9,11,13}, B {3, 4,11,12,13,14}


และ C {1, 3, 8,9,10,12,13,15} จงเขียนแผนภำพเวนน์แสดงเซต
ตอบ

1.4 กำรดำเนินกำรในเซต (Operation of sets)


1.4.1 ยูเนียน
บทนิยามที่ 1.4.1 กาหนดให้ A และ B เป็นเซตใด ๆ แล้ว
A B {x | x A หรือ x B}
และเราเรียก A B ว่าเซต A ยูเนียน (Union) กับเซต B
จำกบทนิยำมที่ 1.4.1 สำมำรถเขียนแผนภำพเวนน์ควำมสัมพันธ์แสดงได้ดังนี้

ตัวอย่างที่ 1.5 ให้ U {1,2, 3,...,10}, A {1,2, 3, 4,5} และ B {2, 4,6, 8} จงหำ A B
ตอบ A B {1,2, 3, 4,5,6, 8}
บทที่ 1 เซต (SET) หน้ำที่ 7

1.4.2 อินเตอร์เซคชัน
บทนิยามที่ 1.4.2 กาหนดให้ A และ B เป็นเซตใด ๆ แล้ว
A B {x | x และ x B}
A
และเราเรียก A B ว่าเซต A อินเตอร์เซกชัน (Intersection) กับเซต B
จำกบทนิยำมที่ 1.4.2 สำมำรถเขียนแผนภำพเวนน์ควำมสัมพันธ์แสดงได้ดังนี้

ตัวอย่างที่ 1.6 ให้ U {1,2, 3,...,10}, A {1,2, 3, 4,5} และ B {2, 4,6, 8} จงหำ A B
ตอบ A B {2, 4}

1.4.3 คอมพลีเมนต์
บทนิยามที่ 1.4.3 กาหนดให้ A เป็นเซตใด ๆ แล้ว
A และ x
{x | x U A}
และเราเรียก A ว่าเซต A คอมพลีเมนต์ (Complement)
หมายเหตุ : สำหรับหนังสือบำงเล่ม อำจจะใช้สัญลักษณ์อื่นแทน เช่น A, Ac , A,C (A)
จำกบทนิยำมที่ 1.4.3 สำมำรถเขียนแผนภำพเวนน์ควำมสัมพันธ์แสดงได้ดังนี้

ตัวอย่างที่ 1.7 ให้ U {1,2, 3,...,10}, A {1,2, 3, 4,5} และ B {2, 4,6, 8} จงหำ A และ B
ตอบ A {6, 7, 8, 9,10} และ B {1, 3,5,7,9,10}

1.4.4 ผลต่ำงระหว่ำงเซต (ดิฟเฟอร์เรนท์)


บทนิยามที่ 1.4.4 กาหนดให้ A และ B เป็นเซตใด ๆ แล้ว
A B {x | x และ x B}
A
และเราเรียก A B ว่า ผลต่างระหว่างเซต หรือ ดิฟเฟอร์เรนท์ (Difference) ของเซต A กับเซต B
คณิตศำสตร์ ม.4 – 6 โดย พี่เจมส์เป็ด (คณิตศำสตร์ กศ.บ.) หน้ำที่ 8

จำกบทนิยำมที่ 1.4.4 สำมำรถเขียนแผนภำพเวนน์ควำมสัมพันธ์แสดงได้ดังนี้

ตัวอย่างที่ 1.8 ให้ A {1,2, 3, 4,5} และ B {2, 4,6, 8} จงหำ A B และ B A
ตอบ A B {1, 3,5} และ B A {6, 8}
1.4.5 สมบัติของกำรดำเนินกำรในเซต
ทฤษฎีบทที่ 1.4.1 กาหนดให้ A, B และ C เป็นเซตใด ๆ ทีเ่ ป็นสับเซตของเอกภพสัมพัทธ์แล้วจะได้ว่า
1) สมบัติการสลับที่
A B B A
A B B A
2) สมบัติการเปลี่ยนกลุ่ม
(A B) C A (B C )
(A B) C A (B C )
3) สมบัติการแจกแจง
(A B) C (A C ) (B C )
(A B) C (A C ) (B C )
4) กฎของเดอมอร์แกน (De Morgan's laws)
(A B) A B
(A B) A B
5) การดาเนินการกับเซตว่าง
A A
A
U
6) การดาเนินการกับเอกภพสัมพัทธ์
A U U
A U A
U
7) A B A B
8) A U A
9) (A ) A
บทที่ 1 เซต (SET) หน้ำที่ 9

ตัวอย่างที่ 1.9 จงแสดงว่ำ A B C D (A B) (C D)


วิธีทา A B C D (A B) (C D)
(A B) (C D)
(A B) (C D)

1.5 กำรแก้ปัญหำโดยใช้เซต
เรำสำมำรถหำจำนวนสมำชิกของเซตจำกัด ทำได้โดย
1. การใช้การหาจานวนสมาชิกของเซตที่ยูเนียนกัน
ทฤษฎีบทที่ 1.5.1 กาหนดให้ A, B และ C เป็นเซตใด ๆ ที่ไม่ใช่เซตว่างแล้ว
n(A B) n(A) n(B) n(A B)

ตัวอย่างที่ 1.10 จำกกำรสอบถำมพฤติกรรมในกำรใช้ชีวิตในวันหยุดของวัยรุ่นจำนวน 75 คน พบว่ำ ไปดูหนังกับ


แฟน 45 คน และไปท่องเที่ยวต่ำงจังหวัดกับเพื่อน 38 คน ถ้ำมีคนไม่ทำกิจกรรมทั้งสองอย่ำงในวันหยุด 14 คน
แล้ว จำนวนคนที่ทำกิจกรรมทั้งสองอย่ำงนี้เท่ำกับเท่ำใด
วิธีทา กำหนดให้ เซตของคนที่ไปดูหนังกับแฟน เป็นเซต A
เซตของคนที่ไปท่องเที่ยวต่ำงจังหวัดกับเพื่อน เป็นเซต B
จำกข้อมูลที่กำหนดให้จะได้
n(U ) 75, n(A) 45, n(B) 38, n(A B) 14
เนื่องจำก U (A B) A B ทำให้ได้ว่ำ n(U ) n(A B) n(A B) 75 14 61
ดังนั้น n(A B) n(A) n(B) n(A B)
61 45 38 n(A B )
61 83 n(A B )
61 83 n(A B )
22 n(A B )
ดังนั้น จำนวนคนที่ไปดูหนังกับแฟน และไปท่องเที่ยวต่ำงจังหวัดกับเพื่อน เท่ำกับ 22 คน
ทฤษฎีบทที่ 1.5.2 กาหนดให้ A, B และ C เป็นเซตใด ๆ ที่ไม่ใช่เซตว่างแล้ว
n(A B C ) n(A) n(B) n(C ) n(A B) n(A C ) n(B C ) n(A B C )

ตัวอย่างที่ 1.11 จำกกำรสอบถำมนักเรียนหญิงในชั้นเรียนหนึ่งซึ่งมีจำนวน 50 คนเกี่ยวกับควำมชื่นชอบเค้ก 3


ชนิด ซึ่งได้แก่ เค้กกล้วยหอม เค้กช็อกโกแลต และเค้กฟรุตเบอร์รี่ ปรำกฏผลดังนี้
25 คน ชอบเค้กกล้วยหอม 28 คน ชอบเค้กช็อกโกแลต
23 คน ชอบเค้กฟรุตเบอร์รี่
12 คน ชอบทั้งเค้กฟรุตเบอร์รี่ และเค้กกล้วยหอม
10 คน ชอบทั้งเค้กช็อกโกแลต และเค้กฟรุตเบอร์รี่
และ 8 คน ชอบเค้กทั้งสำมประเภท
ถ้ำนักเรียนแต่ละคนชอบเค้กอย่ำงน้อยหนึ่งในสำมชนิดนี้ แล้วจำนวนนักเรียนหญิงที่ชอบทั้งเค้กกล้วยหอม และเค้ก
ช็อกโกแลตเท่ำกับเท่ำใด
คณิตศำสตร์ ม.4 – 6 โดย พี่เจมส์เป็ด (คณิตศำสตร์ กศ.บ.) หน้ำที่ 10

วิธีทา กำหนดให้ เซตของคนที่ชอบ เค้กกล้วยหอม เป็นเซต A


เซตของคนที่ชอบ เค้กช็อกโกแลต เป็นเซต B
เซตของคนที่ชอบ เค้กฟรุตเบอร์รี่ เป็นเซต C
จำกข้อมูลที่กำหนดให้จะได้
n(A) 25, n(B) 28, n(C ) 23, n(A C ) 12, n(B C ) 10, n(A B C ) 8
และจำกที่บอกว่ำนักเรียนแต่ละคนชอบเค้กอย่ำงน้อยหนึ่งในสำมชนิดนี้ ทำให้ได้ n(A B C ) 50 จะได้
n(A B C ) n(A) n(B) n(C ) n(A B) n(A C ) n(B C ) n(A B C )
50 25 28 23 n(A B) 12 10 8
50 62 n(A B)
12 n(A B)
ดังนั้น จำนวนนักเรียนหญิงที่ชอบทั้งเค้กกล้วยหอม และเค้กช็อกโกแลตเท่ำกับ 12 คน
2. การนับแผนภาพของเวนน์ เป็นวิธีที่นิยมใช้ เมื่อกำรหำจำนวนสมำชิกของเซตที่ยูเนียนกันนั้นใช้ไม่ได้ผล ซึ่งจะ
มีวิธีคิดหลำกหลำยรูปแบบ และตัวอย่ำงที่ 1.12 ถือเป็นตัวอย่ำงวิธีคิดหนึ่งใช้แก้ปัญหำนั่นเอง
ตัวอย่างที่ 1.12 (PAT 1 ตุลาคม 2559)
กำหนดให้ A, B และ C เป็นเซตใด ๆ ที่เป็นสับเซตของเอกภพสัมพัทธ์โดย A B C
ถ้ำ n(U ) 70, n(B A) 25, n(B C ) 18, n(C A ) 16 และ n[(A B) C] 7
จงหำ n(A B C )
วิธีทา เพรำะ n(B A) n(A B ) n(A B) 25
n(C A) n(C A) 16
และ n[(A B) C ] n[(A B ) C] n[(A B) C ] n(A B C) 7
เรำสำมำรถเขียนแผนภำพจำก n(B C ), n(A B), n(C A), n(A B C) ได้ดังนี้

จำกแผนภำพ จะได้ว่ำ
n(A B C) n(U ) n(A B) n(B C) n(C A) n(A B C)
70 25 18 16 7
70 66
4
ดังนั้น n(A B C) 4

You might also like