Professional Documents
Culture Documents
ครูมืออาชีพในศตวรรษที่ 21
ครูมืออาชีพในศตวรรษที่ 21
ครูมืออาชีพในศตวรรษที่ 21
1.วิชาความรูค้ วามเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและการปฏิบตั ิของวิชาชีพครู
1.ความหมายและความสาคัญของครู
2 วันครูและพิธีไหว้ครู
3.หน้าที่และความรับผิดชอบของครู
4.คุณธรรมและจรรยาบรรณของครู
5.มาตรฐานวิชาชีพครู
6.องค์กรวิชาชีพครู
ความหมายของครู
ที่มาของคาว่า ครู
คาว่า "ครู" มาจากศัพท์ภาษาสันสกฤต "คุรุ" และภาษาบาลี "ครุ, คุรุ"
ครู หมายถึง ผูส้ งั ่ สอนศิษย์ หรือ ผูถ้ ่ายทอดความรูใ้ ห้แก่ศิษย์ ซึ่งมีผู้
กล่าวว่ามาจากคาว่า ครุ (คะ- รุ ) ที่แปลว่า “หนัก " อันหมายถึง ความ
รับผิดชอบในการอบรมสัง่ สอนของครูน้ัน นับเป็ นภาระ หน้าที่ ที่หนักหนาสาหัส
ไม่น้อยกว่าคนๆ หนึ่ งจะเติบโตเป็ นผูม้ ีวิชาความรู้ และเป็ นคนดีของสังคม ผูเ้ ป็ น
"ครู" จะต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ผู้ ให้กาเนิ ดเลย ซึ่งใน
ชีวิตของคน ๆ หนึ่ ง นอกเหนื อไปจากพ่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือน "ครูคนแรก" ของ
เราแล้ว การที่เด็กๆ จะดารงชีพต่อไปได้ในสังคม จาเป็ นอย่างยิง่ ที่จะต้องมี "ครู"
ที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เพื่อปูพื้นฐานไปสู่หนทางทามาหากินในภาย
ภาคหน้าด้วย ดังนั้น "ครู" จึงเป็ นบุคคลสาคัญที่เราทุกคนควรจะได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่าน
คาว่า ครู หรือ คุรุ (สันสกฤต: गरु ु ) หรือ กูรู (อังกฤษ: guru) หมายถึง ครู หรือ อาจารย์ ถ้าแยกศัพท์ออกมาแล้ว จะมีสองคา
คือ คาว่า คุ ซึ่งแปลว่า แสงสว่าง (เป็ นผูช้ ี้ ทางแสงสว่าง ) และคาว่า รุ แปลว่า ความมืดมน (เป็ นผูข้ จัดความเขลาที่มืดมน ) ในศาสนา
พราหมณ์ฮินดู มาจากปรัชญาความเชื่อในความสาคัญของการเข้าถึงความรู้ โดยมี คุรุ หรือ อาจารย์เป็ นผูช้ กั นาไปสู่จุดสูงสุด ในประเทศ
อินเดียในปั จจุบนั สาหรับผูท้ ี่นับถือศาสนาฮินดู และซิกข์ คา คุรุ นี้ ยังคงความหมายของความศักดิ์สิทธิ์ เช่น คุรุนานัก คุรุปัทมสัมภวะ คุรุ
นาคารชุน
อนึ่ ง คาว่า คุรุ นี้ มีการทับศัพท์เป็ นภาษาอังกฤษ โดยสะกดว่า "guru" ซึ่งหากทับศัพท์ม าใช้ในภาษาไทย ก็จะต้องเขียน "คุรุ" ซึ่ง
มีศพั ท์นี้อยูแ่ ล้วในภาษาไทย เช่น คุรุสภา, คุรุศึกษา เป็ นต้น (ในภาษาบาลีใช้ "ครุ" เช่น ครุศาสตร์, ครุภณ ั ฑ์) อย่างไรก็ตาม ในปั จจุบนั มี
ความนิ ยมใช้คาว่า คุรุ นี้ ในเชิงการบริหารและการศึกษา หมายถึง ผูเ้ ชี่ยวชาญเฉพาะด้านในสาขานั้น ๆ
คุรุ ในภาษาสันสกฤตนั้นยังใช้หมายถึง พฤหัสบดี ซึ่งเป็ นเทพเจ้าองค์หนึ่ ง ซึ่งตรงกับเทพเจ้าจูปิเตอร์ของชาวโรมันนัน่ เอง ตาม
ความเชื่อในศาสนาฮินดูน้ัน ดาว จูปีเตอร์/คุรุ/พฤหัสบดี ถือว่าเป็ นดาวที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ในภาษาต่างๆ ของอินเดีย คาว่า พฤหัส
ปติวาร(วันพฤหัสบดี) จะเรียกอีกอย่างหนึ่ งว่าว่า คุรวุ าร(วันคุรุ) โดย วาร นั้นหมายถึงวัน คุรุ ในอินเดียในทุกวันนี้ ใช้ในความหมายทัว่ ไป
หมายถึง "ครู"
ในประเทศตะวันตก คุรุ ยังใช้ในความหมายที่กว้างขึ้ นหมายถึง บุคคลที่เผยแพร่ศาสนา หรือ กลุ่มความเชื่อตามปรัชญาต่างๆ
คานี้ ยังใช้ในความหมายเชิงอุปมา หมายถึงบุคคลผูซ้ ึ่งอยูใ่ นสถานะที่เชื่อถือได้ เนื่ องมาจากความรู้ และความชานาญ ที่เป็ นที่ประจักษ์และ
ยอมรับ
2
ความหมายของครู
ครู คือ บุคคลที่มีหน้าที่ หรือมีอาชีพในการสอนนักเรียน เกี่ยวกับ
วิชาความรู้ หลักการคิดการอ่าน รวมถึงการปฏิ บัติและแนวทางในการ
ทางาน โดยวิธีในการสอนจะแตกต่างกันออกไปโดยคานึ งถึงพื้ นฐานความรู้
ความสามารถ และเป้าหมายของนักเรียนแต่ละคน
คาว่า “ครู” มีความหมายลึกซึ้ งกว้างขวางมากนัก แต่ถา้ ดูจากราก
ศัพท์ ภาษาบาลีว่า “ครุ” หรือ ภาษาสันสกฤตว่า “คุรุ” นั้น มีความหมาย
ว่า “ผูส้ งั ่ สอนศิษย์ หรือ ผูค้ วรได้รบั การเคารพ” ได้มีผใู้ ห้ความหมายของคา
ว่า “ครู” ไว้หลายประการ เช่น “ครู” คือ ผูท้ าหน้าที่สอนและให้ความรูแ้ ก่
ศิษย์ เพื่อให้ศิษย์เกิดความรู้ ความก้าวหน้าในสาขาวิชานั้น ๆ
ยนต์ ชุ่มจิต (2541: 29) ได้อธิบายคาว่า “ครู” ดังนี้
1. ครู เป็ นผูน้ าทางศิษย์ไปสู่คุณธรรมชั้นสูง
2. ครู คือ ผูอ้ บรมสัง่ สอนถ่ายทอดวิชาความรูใ้ ห้แก่ศิษย์ เป็ นผูม้ ีความหนักแน่ น ควรแก่การเคารพของลูกศิษย์
3. ครู คือผูป้ ระกอบอาชีพอย่างหนึ่ งที่ทาหน้าที่สอน มักใช้กบั ผูส้ อนในระดับตา่ กว่าวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยหรือ
สถาบันอุดมศึกษา
รังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคาแหง (2550: 38) ได้ให้ความเห็นว่า “ครู” คือ ผู้ ที่ให้ความรูไ้ ม่จากัดทุก
ที่ทุกเมื่อ ครูตอ้ งเต็มไปด้วยความรู้ และรูจ้ กั ขวนขวายหาองค์ความรูใ้ หม่ ๆ สะสมความดี มีบารมีมาก และครูที่ดีจะต้องไม่ปิดบัง ควา มรู้
ควรมีจิตและวิญญาณของความเป็ นครู
ครู คือ ผูเ้ ติมเต็ม การที่ครูจะเป็ นผูเ้ ติมเต็มได้ ครู ควรจะเป็ นผูแ้ สวงหาความรู้ ต้อง วิเคราะห์ วิจยั วิจารณ์ และมาบูรณาการ
ความรูต้ ่าง ๆ เข้าด้วยกันครู คือ ผูท้ ี่มีเมตตา จะต้องสอนเต็มที่โดยไม่มีการขี้ เกียจหรือปิ ดบังไม่ให้ความรู้ เต็มที่ ครูตอ้ งไม่ลาเอียง ไม่
เบียดเบียนศิษย์
ในหนังสือ พจนะ – สารานุกรมไทย เปลื้ อง ณ นคร (2516: 89) ได้ให้ความหมายของคาว่า “ครู” ไว้ดงั นี้
1. ผูม้ ีความหนักแน่ น
2. ผูค้ วรแก่การเคารพของศิษย์
3. ผูส้ งั ่ สอน
คาร์เตอร์ วี กูด๊ (Carter V. Good. 1973: 586) ได้ให้ความหมายของคาว่า “ครู” (teacher) ไว้ดงั นี้ คือ
1. person employed in an official capacity for the purpose of guiding and directing the learning experience of pupils or
students in an educational institution whether public or private
2. person who becomes of rich or unusual experiencing or education or both in given field is able to contribute to the
growth or development of other person who comes to contact with him.
3. person who has completed a professional curriculum in a teacher education institution and whose training has been
officially recognized by the award of an appropriate teaching certificate.
4. person who instructs the other.
จากคา ภาษาอังกฤษข้างบนนั้น จะเห็นได้ว่า ความหมายของคาว่า “ครู” (Teacher) คือ
1. ครู คือ ผูท้ ี่มีความสามารถให้คาแนะนา เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางการเรียน สาหรับนักเรียน หรือ นักศึกษาใน
สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชน
2. ครู คือ ผูท้ ี่มีความรูป้ ระสบการณ์และมีการศึกษามากหรือดีเป็ นพิเศษ หรือมี ทั้งประสบการณ์และการ ศึกษาดีเป็ นพิเศษใน
สาขาใดสาขาหนึ่ งที่สามารถช่วยให้ผอู้ ื่นเกิด ความเจริญก้าวหน้าได้
3. ครู คือ ผูท้ ี่เรียนสาเร็จหลักสูตรวิชาชีพจากสถาบันการฝึ กหัดครู และได้ ใบรับรองทางการสอนด้วย
4. ครู คือ ผูท้ ี่ทาหน้าที่สอนให้ความรูแ้ ก่ศิษย์
นอกจากนี้ คาว่า “ครู” ยังมีความหมายอื่น ๆ ได้อีก เช่น
1. “ครู คือ ปูชนียบุคคล” หมายถึง ครูที่เสียสละ เอาใจใส่เพื่อความเจริญ ของศิษย์ ซึ่งเป็ นบุคคลที่ควรเคารพเทิดทูน
2. “ครู คือ แม่พิมพ์ของชาติ” หมายถึง การเป็ นแบบอย่างที่ดีของลูกศิษย์ที่จะ ปฏิบตั ิตวั ตามอย่างครู
3
3. “ครู คือ ผูแ้ จวเรือจ้าง” หมายถึง อาชีพครูเป็ นอาชีพที่ไม่ก่อให้เกิดความ รา่ รวย ครูตอ้ งมีความพอใจในความเป็ นอยูอ่ ย่าง
สงบเรียบร้อย อย่าหวัน่ ไหวต่อลาภ ยศ ความ สะดวกสบาย
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า ครู คือ ผูท้ ี่ทาหน้าที่สอนให้ศิษย์เกิดความรู้ และมี คุณธรรม จริยธรรมที่ดี นาประโยชน์ให้แก่สงั คมได้ใน
อนาคต
ความหมายของคาว่า “อาจารย์”
ปั จจุบนั คาว่า “ครู” กับ “อาจารย์ ” มักจะใช้ปะปนหรือควบคู่กนั เสมอ จนบางครั้งดู เหมือนว่า จะมีความหมายเป็ นคาคา
เดียวกัน แต่ในความเป็ นจริงแล้ว รากศัพท์เดิมของ คาว่า “อาจารย์” ไม่เหมือนกับคาว่า “ครู” และเมื่อพิจารณาถึงความหมายดั้งเดิมแล้ว
ยิง่ ไม่ เหมือนกัน
พุทธทาสภิกขุ (๒๕๒๗ : ๙๒) กล่าวว่า คาว่า “ครู”เป็ นคาที่สงู มาก เป็ นผูเ้ ปิ ดประตูทางวิญญาณ แล้วก็
นาให้เกิดทางวิญญาณไปสู่คุณธรรมเบื้ องสูง เป็ นเรื่องทางจิตใจโดยเฉพาะ มิได้หมายถึงเรื่องวัตถุ
ท่านพุทธทาสภิกขุ (2529: 93) ได้จาแนกความหมายของ “อาจารย์” เป็ น 2 แบบ คือ
1. ความหมายดั้งเดิม หมายถึง ผูฝ้ ึ กมารยาท หรือเป็ นผูค้ วบคุมให้อยูใ่ นระเบียบ วินัย เป็ นผูร้ กั ษา
ระเบียบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ
2. ความหมายปั จจุบนั หมายถึง ฐานะชั้นสูงหรือชั้นหนึ่ งของผูท้ ี่เป็ นครู
ในหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรมของพระราชวรมุนี (ประยุกต์ ปยุตฺโต)
(2528: 185) อธิบายความหมายของอาจารย์ไว้ดงั นี้
1. ผูป้ ระพฤติการอันเกื้ อกูลแก่ศิษย์
2. ผูท้ ี่ศิษย์พึงประพฤติดว้ ยความเอื้ อเฟื้ อ
3. ผูส้ งั ่ สอนวิชาและอบรมดูแลความประพฤติ
1. Teacher หมายถึง ผูท้ ี่ทาหน้าที่ประจาในโรงเรียน หรือ สถาบันการศึกษา ต่าง ๆ ตรงกับคาว่า ครู หรือ ผูส้ อน
2. Instructor หมายถึง ผูท้ ี่ทาหน้าที่เป็ นผูส้ อนโดยเฉพาะในวิทยาลัยหรือ มหาวิทยาลัย ตรงกับคาว่า อาจารย์
3. Professor (ในประเทศอังกฤษ) หมายถึง ตาแหน่ งผูส้ อนที่ถือว่าเป็ น ตาแหน่ งสูงสุดในแต่ละสาขาวิชาในมหาวิทยาลัย
ต่าง ๆ แต่ใน อเมริกาและแคนาดาใช้เป็ นคานาหน้านามสาหรับผูส้ อนใน วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ใช้คา
ว่า Assistant Professor รองศาสตราจารย์ ใช้คาว่า Associate Professor ศาสตราจารย์ ใช้คาว่า Professor
4. Lecturer หมายถึง บุคคลผูส้ อนในมหาวิทยาลัย หรือวิทยาลัย ตรงกับคาว่า ผูบ้ รรยาย
5. Tutor หมายถึง ผูท้ ี่ทาหน้าที่สอนนักศึกษาเป็ นกลุ่มเล็กๆหรือรายบุคคล โดยทางานเป็ นส่ วนหนึ่ งของผูบ้ รรยาย คล้าย ๆ
กับผูส้ อนเสริมหรือสอนกวดวิชา
6. Sophist เป็ นภาษากรีกโบราณ หมายถึง ปราชญ์ผสู้ อนวิชาต่าง ๆ คล้ายกับคาว่า “ทิศาปาโมกข์”
อาไพ สุจริตกุล (2534 : 47-48) กล่าวว่า คาว่า "ครู" "ปู่ ครู" "ตุ๊ครู" และ "ครูบา" ในสมัยโบราณ
หมายถึง พระสงฆ์ผทู้ าหน้าที่สอนกุลบุตรทุกระดับอายุ ตั้งแต่วยั เด็ก จนถึงวัยรุ่น สอนทั้งด้านอักขรวิธี ทั้ง
ภาษาไทย และภาษาบาลี สอนให้เป็ นคนดีมีวิชาชีพ ตลอดจนความรูท้ างพระพุทธศาสนา แม้เมื่อศิษย์มีอ ายุ
ครบบวชแล้ว ก็ยงั คงศึกษาในวัด หรือสานักนั้น ๆ ต่อไป จนมีความรูค้ วามชานาญ สามารถถ่ายทอดวิชาที่
ได้รบั การสัง่ สอนฝึ กฝนจากครูบาของตนให้แก่ศิษย์รุ่นหลังของสานักต่อไป หรืออาจลาไปแสวงหาความรูค้ วาม
ชานาญต่อจากพระสงฆ์หรือครูบา หรือตุ๊ครู ณ สานักอื่น เมื่อเชี่ยวชาญแล้วก็กลับมาช่วยสอนในสานักเดิมของ
ตน จนเป็ นครูบาสืบทอดต่อไป
ใครคือครู ครูคือใครในวันนี้
ใช่อยูท่ ี่ปริญญามหาศาล
ใช่อยูท่ ี่เรียกว่า ครูอาจารย์
ใช่อยูน่ านสอนนานในโรงเรียน
ครูคือผูน้ าทางความคิด
ให้รถู้ ูกรูผ้ ิด คิดอ่านเขียน
ให้รทู้ ุกข์รยู้ ากรูพ้ ากเพียร
ให้รเู้ ปลี่ยนแปลงสูร้ สู้ ร้างงาน
ครูคือผูย้ กระดับวิญญาณมนุ ษย์
ให้สงู สุดกว่าสัตว์เดรัจฉาน
ครูคือผูส้ งั ่ สมอุดมการณ์
มีดวงมานเพื่อมวลชนใช่ตนเอง
ครูจึงเป็ นนักสร้างผูย้ งิ่ ใหญ่
สร้างคนจริงสร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง
สร้างคนให้ได้เป็ นตัวของตัวเอง
ขอมอบเพลงนี้ มาบูชาครู
ความหมายของครู ตามรูปแบบ
ความหมายของครูดงั กล่าวข้างต้น เป็ นความหมายตามเนื้ อความหรือเนื้ อแท้ของครู กล่าวคือ ผูท้ ี่เป็ นครูควรมีภาวะดังกล่าวอัน
ได้แก่ ความรู้ ความประพฤติ และคุณธรรม ไม่ว่าครูน้ันจะอยู่ ณ ที่ใด หน่ วยงานไหนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ยังมีความหมายของครูอีกอย่างหนึ่ งที่กาหนดโดยกฎหมาย ให้เป็ นรูปแบบ แบ่งเป็ นชั้นหรือระดับ สูงตา่ แตกต่าง
กัน และอาจเกิดสิ่งที่ เรียกว่าเกียรติ หรือศักดิ์ศรี แทรกซ้อนอยูใ่ นรูปแบบนั้นด้วย ซึ่งบางที
อาจปิ ดกั้นไม่ให้ม องเห็นความ หมายตามเนื้ อแท้ ก็ได้ ความหมายของครูโดยกฎหมายนี้ อาจ
เรียกว่า “ความหมายของ ครูตามรูปแบบ” แต่มนั เป็ นความหมายไม่แน่ นอนตลอดไป อาจมี
การเปลี่ยนไปได้ใน เมื่อใดกฎหมายกาหนดขึ้ นมาใหม่ ก็อาจจะเปลี่ยนไปใหม่ได้ตามรูปแบบ
นั้น ๆ
ความหมายของครูตามรูปแบบนั้นจะเห็นได้จากกฎหมายบางฉบับ เช่น
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ .ศ. 2523 กาหนดรูปแบบของครูโดยเรียกว่า
“ข้าราชการครู” ซึ่งมี 3 กลุ่ม ได้แก่
1. กลุ่มที่ทาหน้าที่เป็ นผูส้ อนในหน่ วยงานการศึกษา
2. กลุ่มที่มีหน้าที่บริหารและให้การศึกษาในหน่ วยงานทางการศึกษา
3. กลุ่มที่มีหน้าที่เกี่ยวกับให้การศึกษาที่ไม่สงั กัดโรงเรียน วิทยาลัย หรือสถานศึกษา
ที่เรียกชื่ออย่างอื่นของกระทรวงศึกษาธิการ
เฉพาะกลุ่มที่ 1 ซึ่งทาหน้าที่สอนเป็ นหลัก มีการแบ่งตาแหน่ งเป็ นระดับต่าง ๆ ไปจากล่างไปสูง คือ
- ครู 1
- ครู 2
- อาจารย์ 1
- อาจารย์ 2
- อาจารย์ 3
- ผูช้ ่วยศาสตราจารย์
- รองศาสตราจารย์
- ศาสตราจารย์
บางตาแหน่ งก็กาหนดให้มีได้เฉพาะในบางหน่ วยงาน คือตั้งแต่ตาแหน่ งผู้ ช่วย ศาสตราจารย์ถึงศาสตราจารย์ จะมีได้เฉพาะ
หน่ วยงานที่มีการสอนถึงระดับ ปริญญาตรี เท่านั้น
ความหมายของครูตามรูปแบบอาจมีส่วนกระทบในทางลบต่อความหมายของครูตามเนื้ อแท้ก็ได้ และคาว่า “ครู” อาจจะค่อย ๆ
เลือนหายไปจากความสนใจของสังคม โดยอาจ ถูกมองว่าไม่เหมาะสมกับยุคสมัย เช่นที่เรียกว่า “ครู” ก็เรียกว่า “อาจารย์” หรือผู้ช่วย
ศาสตราจารย์ หรือคาอื่น ๆ อาจจะเป็ นใครก็ได้ที่สามารถทาหน้าที่สอนได้ จนที่สุดแม้แต่เครื่องเทคโนโลยีก็อาจเป็ นครูได้ เพราะสามารถ
ทาหน้าที่สอนให้เกิดความรูไ้ ด้ ดังนั้น องค์ประกอบแห่งความเป็ นครูที่กล่าวข้างต้น คือ ความรู้ ความประพฤติและคุณธรรม อาจเหลือ
เฉพาะองค์ประกอบเดียวคือ ความรูเ้ ท่านั้น
ครูในระดับต ่ากว่าอุดมศึกษา
ครูประจาชั้น หมายถึง ครูผดู้ แู ลนักเรียนในห้องเรียนหรือชั้นเรียนหนึ่ ง ๆ เป็ นเวลาหนึ่ งภาคเรียนหรือหนึ่ งปี การศึกษา พร้อมทั้ง
ทาหน้าที่ธุรการประจาห้องเรียน
ในอดีตความสัมพันธ์ของครูประจาชั้นจะเปรียบเสมือนผูป้ กครองคนที่สอง ต้องคอย ดูแลเอาใจใส่ อบรมสัง่ สอน ช่วยแก้ปัญหา
และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับบ้าน อันเป็ นผลทาให้ครูและโรงเรียนได้รบั ความศรัทธาพร้อมทั้งมีบุญคุณต่อนักเรียนและ
ครอบครัว
ระบบการศึกษาส่วนใหญ่ในโรงเรียนทัว่ โลกมีการนักเรียนออกเป็ นชั้น ๆ เป็ นห้อง ๆ เพื่อความสะดวกต่อการเรียนการสอน และ
การดูแลปกครอง รวมทั้งทากิจกรรมอื่นๆ โดยเรียกว่า "ห้องเรียน" หรือ "ชั้นเรียน" (Classroom) และเรียกเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกันว่า
"เพื่อนร่วมชั้น" (Classmates)
6
ครูในระดับอุดมศึกษา
ผูส้ อนในวิทยาลัย มหาวิทยาลัย หรือ ระดับอุดมศึกษา จะมีตาแหน่ ง อาจารย์ โดยอาจารย์ที่ได้รบั ตาแหน่ งทางวิชาการ ได้แก่
อาจารย์ , ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ ตามลาดับ การได้รบั ตาแหน่ งทางวิชาการเป็ นไปตามระเบียบ
ข้อบังคับของสานักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา
ตาแหน่งครู คือ บุคคลที่ทาหน้าที่ช่วยสอน สอนทบทวน สอนภาคปฏิบตั ิ แตกต่างจากอาจารย์ที่ สอนภาคบรรยายเรื่องต่าง ๆ
ครูผดู ้ แู ลระบบจัดการโรงเรียน
ครูที่ทาหน้าที่ดแู ลระบบทั้งโรงเรียนจะเรียกว่า ครูใหญ่ ซึ่งคล้ายคลึงกับ คณบดี หรืออธิการบดี ในระดับอุดมศึกษา โดยหน้าที่
ของครูใหญ่มกั จะทาหน้าที่ดแู ลระบบการจัดการของ โรงเรียนมากกว่าการสอนในห้องเรียน ต่อมาเป็ นตาแหน่ งผูบ้ ริหารสถานศึกษา ทา
หน้าที่บริหารสถานศึกษา
ครูในศตวรรษที่ 21
ในยุคศตวรรษที่ 21 นี้ กระบวนการเรียนอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก
ผูเ้ รียนจะเรียนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทนั สมัยมีความก้าวหน้า และ
สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากและรวดเร็วขึ้ น ปั ญหาที่สื บเนื่ องมาจากจานวน
นักเรียนที่เพิ่มขึ้ นต่อห้องเรียน จนทาให้วิธีการสอนแบบเดิมๆ ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
สื่อที่แสดงมีขนาดใหญ่ไม่เพียงพอสาหรับ ผูเ้ รียนที่อยูห่ ลังห้อง ความจดจ่อกับผูส้ อนถูก
เบี่ยงเบนจากพฤติกรรม และสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนขนาดใหญ่ ผูเ้ รียนมีการนาเอา
คอมพิวเตอร์พกพาเข้ามาสืบค้นความรูใ้ นชั้นเรียน ผูเ้ รียนถามคาถามเกี่ยวกับเรื่องที่ครู
กาลังสอน หรือนาข้อมูลเหล่านั้นมาพูดคุย โดยที่ครูตอบไม่ได้ หรือไม่เคยรูม้ าก่อน
เมื่อเป็ นเช่นนี้ ครูจึงต้องพร้อมที่จะปรับตัวและพัฒนาตนเองให้ทนั ยุคที่เปลี่ยนไป และต้องไม่ขาดควา มกระตือรือร้นที่จะพัฒนา
ทักษะ และวิทยาการให้ทนั สมัย เพื่อให้เกิดการเรียนรูเ้ ทคนิ ควิธีการเรียนการสอนแบบใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพ ทาให้ได้เด็กมีคุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ตามที่สงั คมไทย และสังคมโลกต้องการ
ในการนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้เล็งเห็นความสาคัญของการนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and
Communications Technology : ICT) มาใช้ในการศึกษา ซึ่งจะเป็ นเครื่องมือสาคัญและเป็ นประโยชน์ต่อการยกระดับคุณภาพทางการ
ศึกษา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนและการพัฒนาครูได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครู ตลอดจนลด
ความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาในโรงเรียนที่ห่างไกลอีกด้วย
ครูในอนาคต
เมื่อหน้าที่และบทบาทของครูผสู้ อนได้เปลี่ยนจากการบรรยายหน้าชั้นเรียนเพียงอย่างเดียวมาเป็ นการกล่าวนาเข้าสู่บทเรียน ทา
หน้าที่เป็ นเพียงผูแ้ นะนา ให้คาปรึกษา และแก้ปัญหาให้แก่ผเู้ รียน จึงเกิดวิธีการสอนที่หลากหลายมากขึ้ น กล่าวคือ มีการนาคอมพิวเตอร์
มาใช้ในการเรียนการสอน โดยผ่านเครือข่าย (Network) เพราะปั จจุบนั ผูเ้ รียนมีความสามารถติดต่อสื่อสาร แ ลกเปลี่ยนความรูค้ วาม
เข้าใจระหว่างผูเ้ รียนและผูส้ อนได้โดยไม่จาเป็ นต้องอยูใ่ นชั้นเรียนเสมอไป รูปแบบการเรียนการสอนจึงเป็ นแบบส่วนบุคคลมากขึ้ น ซึ่ง
รูปแบบนี้ ครูคนเดียวสามารถแนะนา ความรูค้ วามเข้าใจเกี่ยววิชาชีพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนนั้นๆ ได้ ซึ่งเครือข่ายค อมพิวเตอร์มี
ความสามารถ และเพิ่มประสิทธิภาพในการติดต่อสื่อสารมากยิง่ ขึ้ นตลอดจนมีบทบาทต่อระบบการศึกษาทั้งใน และนอกระบบในการใช้
ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สงู สุด
รศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง ได้เสนอทักษะที่จาเป็ นสาหรับครูไทยในอนาคต (C-Teacher) ไว้น่าสนใจ 8 ประการคือ
1. Content ครูตอ้ งมีความรูแ้ ละทักษะในเรื่องที่สอนเป็ นอย่างดี หากไม่แม่นในเรื่องที่สอนหรือถ่ายทอดแล้ว ก็ยากที่นักเรียนจะมี
ความรูค้ วามเข้าใจในเนื้ อหานั้น ๆ
2. Computer (ICT) Integration ครูตอ้ งมีทกั ษะในการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการเรียนการสอน เนื่ องจากกิจกรรม
การเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยีจะช่วยกระตุน้ ความสนใจให้กบั นักเรียน และหากออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างมี
ประสิทธิภาพ จะช่วยส่งเสริมความรูแ้ ละทักษะที่ตอ้ งการได้เป็ นอย่างดี
3. Constructionist ครูผสู้ อนต้องเข้าใจแนวคิดที่ว่า ผูเ้ รียนสามารถสร้างอ งค์ความรูข้ นเองได้
ึ้ จากภายในตัวของผูเ้ รียนเอง โดย
เชื่อมโยงความรูเ้ ดิมที่มีอยูภ่ ายในเข้ากับการได้ลงมือปฏิบตั ิกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งครูสามารถนาแนวคิดนี้ ไปพัฒนาวางแผนการจัดกิจกรรม
การเรียนรูเ้ พื่อให้นักเรียนเกิดความรูแ้ ละทักษะที่ตอ้ งการได้
7
วันครูและพิธีไหว้ครู
“"ผูท้ ่ีเป็ นครูอาจารย์นนั้ ใช่ว่าจะมีแต่ ความรูใ้ นทางวิชาการ และในทางการสอนเท่านัน้ ก็หาไม่ จะต้อง รูจ้ กั อบรมเด็กทัง้
ในด้าน ศี ลธรรมจรรยาและวัฒนธรรม รวมทัง้ ให้มีความสานึก รับผิดชอบในหน้าที่ดว้ ย... "
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัยวิชาการศึกษา15 ธันวาคม 2503
"...ครูท่ีแท้จริงนัน้ ต้องเป็ นผูท้ าแต่ความดี คือต้องหมั่นขยันและ อุตสาหะพากเพียร ต้องเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่และเสียสละ ต้อง
หนักแน่นอดทน และอดกลัน้ สารวมระวังความประพฤติปฏิบตั ิของตน ให้อยู่ในระเบียบ แบบแผนที่ดีงาม รวมทัง้ ต้องซื่อสัตย์
รักษาความจริงใจวางใจเป็ นกลาง ไม่ปล่ อยไปตามอานาจอคติ..."
พระราชดารัส พระราชทานแก่ครูอาวุโส 28 ตุลาคม 2523
"...ครูจะต้องตัง้ ใจในความดีอยู่ตลอดเวลา แม้จะเหน็ดเหนื่อย เท่าไรก็จะต้องอดทนเพื่อพิสูจน์ว่าครูน้ ีเป็ นที่ เคารพ
สักการะได้ แต่ถา้ ครู ไม่ตงั้ ตัวในศี ลธรรมถ้าครูไม่ทาตัวเป็ นผูใ้ หญ่เด็กจะเคารพได้อย่างไร..."
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะครูโรงเรียนราษฎร์ทวั ่ ราชอาณาจักร ณ ศาลาผกาภิรมย์ 8 พฤษภาคม 2513
"...ครูนนั้ จะต้องให้ความรูแ้ ก่เด็ก ๆ ด้วยความเมตตา ด้วย ความหวังดี คือ ด้วยความเมตตาต่อผูท้ ่ีเป็ น ลูกศิ ษย์ และ
ด้วยความหวังดี ต่อส่วนรวม เพราะถ้าส่วนรวมประกอบด้วยบุคคล ที่มีความรูด้ ี ส่วนรวมก็ไปรอด..."
9
ประวัติความเป็ นของวันครู
เริ่มจากปี พ.ศ. 2499 จอมพล ป.พิบลู สงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ซึ่งดารงตาแหน่ งประธานกรรมการอานวยการคุ รุสภา
กิตติมศักดิ์ ได้กล่าวปราศั ยต่อที่ประชุมทัว่ ประเทศ ถึงความคิดที่จะกาหนดให้มีวนั ครู และเป็ นการสอดคล้องกับความคิดเห็นของครู
โดยทัว่ ไป
"ที่ อยากเสนอในตอนนี้ ก็คือว่า เนื่ องจากผูเ้ ป็ นครูมีบญ
ุ คุณ เป็ นผูใ้ ห้แสงสว่างในชีวติ ของเราทัง้ หลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมี
สักวันหนึ่ งสาหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทงั้ หลายได้แสดงความเคารพ สักการะต่อบรรดาครูผมู้ ีพระคุณทัง้ หลาย เพราะเหตุวา่ สาหรับคนทัว่ ไป
ถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นาเอาอัฐิของผูม้ ีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทาบุญ ทาทาน คน ที่ สองรองลงไปก็คือ ครูผเู้ สียสละ ทัง้ หลาย
ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้ จะขอฝากที่ ประชุมไว้ดว้ ย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขดั ข้อง"
จากแนวความคิดนี้ ประกอบกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชน และอื่น ๆ ที่ลว้ นเรียกร้องให้มีวนั ครู เพื่อให้เป็ นวัน
แห่งการราลึกถึงความสาคัญของครูในฐานะที่เป็ นผูเ้ สียสละ ประกอบคุณงามความดี เพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็ นอันมาก ใน
ปี เดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจาปี จึงได้พิจารณาเรื่องนี้ และมีมติเห็นควรให้มีวนั ครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอานวยการต่อไป โดย
ได้เสนอหลักการว่า
เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์
ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครู
เพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกบั ประชาชน
ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วนั ที่ 16 มกราคมของทุกปี เป็ น "วันครู " โดยถือเอาวันที่
ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุ เบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็ นวันครู และให้กระทรวงศึกษาธิการสัง่ การให้
นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้
วันครูได้จดั ให้มีขนครั
ึ้ ้งแรกเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่ องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุ เบกษา
เมื่อ พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภา เป็ นนิ ติ บุคคล ให้ครูทุกคนเป็ นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ใน
เรื่องของสถาบันวิชาชีพครู ในขณะเดียวกันก็ทาหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทัว่ ไปแก่
กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยา และวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครู และครอบครัว ได้รบั
ความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรูแ้ ละความสามัคคีของครู
พิธีไหว้ครู เป็ นพิธีกรรมที่เป็ นประเพณี ของไทยที่นิยมปฏิบตั ิมาแต่สมัยโบราณ แสดงถึงความระลึกถึงบุญคุณของ ครู การไหว้ครู
เป็ นการแสดงตนว่าขอเป็ นศิษย์ของท่านโดยตรง
การไหว้ครูมีใช้ในหลายกิจกรรม เช่น การไหว้ครูในโรงเรียน พิธี กรรมของโรงเรียนใน วันครู การไหว้ครูมวย เป็ นการไหว้ครูดว้ ย
ลีลาของศิลปะมวยไทย เช่นเดียวกับกระบี่กระบอง การไหว้ครู ก่อนการแสดงศิลปะดนตรี เช่น หนังตะลุง และการไหว้ครูในงานประพันธ์
เรียกว่า บทไหว้ครู หรือ อาเศียรวาท (อาเศียรพาท ก็ว่า) เป็ นการกล่าวระลึกถึงบุญคุณครู และขอความเป็ นมงคล
10
พิธีไหว้ครูในโรงเรียน
โดยปรกติสถานศึกษามักจัดพิธีไหว้ครูขนในวั
ึ้ นพฤหัสบดีวนั ใดวันหนึ่ งในราวเดือนพฤษภาคมหรือเดือนมิถุนายน
ความหมายของดอกไม้ตา่ ง ๆ ที่นิยมใช้ในการไหว้ครู
ดอกมะเขือ เป็ นดอกที่โน้มตา่ ลงมาเสมอ ไม่ได้เป็ นดอกที่ชูขนึ้ คนโบราณจึงกาหนดให้เป็ นดอกไม้
สาหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็ นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตน
พร้อมที่จะเรียนวิชาความรูต้ ่าง ๆ นอกจากนี้ มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่ เช่นเดียวกับ หญ้า
แพรก
หญ้าแพรก เป็ นหญ้าที่เจริญงอกงาม แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกดอกมะเขือจึง
มีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็ นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว สติปัญญาของ
เด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนัน่ เอง
ข้าวตอก เนื่ องจากข้าวตอกเกิดจากข้าวเปลือกที่ควั ่ ด้วยไฟอ่อนๆ ให้รอ้ นเสมอ กันจนถึงจุดหนึ่ งที่ เนื้ อ
ข้างในขยายออก จนดันเปลือกให้แยกออกจากกัน ได้ขา้ วสีขาวที่ขยายเม็ดออกบาน สามารถนาไ ปประกอบ
พิธีกรรมหรือทาขนมต่าง ๆ ได้ ข้าวตอกจึงเป็ นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย หากใครสามารถทาตาม
กฎระเบียบ เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก็จะเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคัว่ ออกจาก
ข้าวเปลือก
ดอกเข็ม เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็ นได้ว่า
เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรูจ้ ะให้ประโยชน์กบั ชีวิต ทาให้ชีวิตมีความสดชื่นเหมือน
รสหวานของดอกเข็ม
หน้าที่และความรับผิดชอบของครู
ความหมายของ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และ หน้าที่และความรับผิดชอบของครู
Collins cobuild Dictionary English Language (1987 : 442, 1574)
ความหมายของหน้าที่ (Duty) ว่า หน้าที่คือ ภารกิจที่ตอ้ งกระทา เพราะว่า หน้าที่น้ันเป็ นส่วนหนึ่ งของงานตามตาแหน่ งที่ได้รบั
มอบหมายหรือคาดหวังในสังคม
ความรับผิดชอบ (Responsibility) เป็ นภาวะผูกพันที่มีในแต่ละบุคคลอันเนื่ องมาจากงานหรือตาแหน่ งหน้าที่
อาจสรุปความหมายของ หน้าที่ ความรับผิดชอบ และ หน้าที่และความรับผิดชอบของครูได้ดงั นี้
หน้าที่ หมายถึง กิจที่ตอ้ งกระทาหรือกิจที่พึงกระทา อาจจะเป็ นการกระทาตามกฎหมาย จริยธรรม สามัญสานึ ก หรือข้อตกลง
ใดๆก็ได้
ความรับผิดชอบ หมายถึง ภาระหรือความผูกพันต่อผลที่เกิดจากการปฏิบตั ิหน้าที่หรือการกระทาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ นผลดีหรือ
ผลเสียหายก็ตาม ความรับผิดชอบเป็ นความผูกพันที่ทาให้บุคคลพยายามปฏิบตั ิหน้าที่ของตนให้สาเร็จ ทั้งยังเป็ นความผูกพันที่ทาให้
บุคคลไม่ประพฤติผิดต่อกฎเกณฑ์หรือระเบียบใดๆ อีกด้วย ความรับผิดชอบนั้นแสดงให้เห็นในลักษณะของการปฏิบตั ิหน้าที่อย่างเสมอ ไม่
หลีกเลี่ยงและปฏิบตั ิภารกิจทันเวลาที่กาหนด
หน้าที่ความรับผิดชอบของครู หมายถึง กิจที่ครูตอ้ งกระทาให้ได้ผลดีโดยสมา่ เสมอการกระทาของครูเพื่อให้ผลดีได้น้ันต้อง
อาศัยพื้ นฐานของกฎระเบียบ แบบธรรมเนี ยม จริยธรรม จรรยาบรรณและคุณธรรมเป็ นปั จจัยสาคัญด้วย
อาจกล่าวได้ว่าความรับผิดชอบในหน้าที่ของครูเป็ นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของครูที่สงั คมคาดหวังเป็ นภารกิจที่สงั คมมอบหมาย
ให้ผปู้ ระกอบวิชาชีพครูกระทา และเป็ นพันธกิจผูเ้ ป็ นครูมอบให้กบั สังคม
หน้าที่ของครูในแง่คณ ุ ลักษณะที่ประสงค์น้ัน รัญจวน อินทรกาแหง (2529:27) สรุปไว้ดงั นี้
1. ครูเป็ นผูท้ ี่สามารถให้ทางแห่งความรอดแก่ศิษย์ ความรอดมีอยูส่ องทาง คือ ทางรอดทางกายและทางรอดทางใจ
2. ครูตอ้ งสามารถดารงความเป็ นครูอยูไ่ ด้ทุกอิริยาบถ
3. ครูตอ้ งสามารถเป็ นตัวอย่างตามกาสอนแก่ศิษย์ สอนอย่างไรทาอย่างนั้น
การพิจารณาหน้าที่และความรับผิดชอบในเชิงของกฎระเบียบข้อบังคับที่ค่อนข้างเป็ นลายลักษณ์อกั ษรหรือบทบัญญัติต่างๆ เป็ น
ลักษณะที่ค่อนข้างบังคับว่าครูตอ้ งกระทากิจเหล่านั้น ส่วนการพิจารณาหน้าที่และความรับผิดชอบของครูในอีกด้านหนึ่ งนั้นก็เป็ นการ
พิจารณาหน้าที่ของครูในเชิงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่เป็ นไปตามแบบธรรมเนี ยมปฏิบตั ิมีลกั ษณะเป็ นวัฒนธรรมและจารีตประเพณี
11
ลักษณะของหน้าที่และความรับผิดชอบของครู
หน้าที่ความรับผิดชอบของครูมี 2 ลักษณะดังนี้
1. หน้าที่และความรับผิดชอบของครูในเชิงระเบียบปฏิบตั ิหรือกฎหมายกาหนด
หน้าที่ความรับผิดชอบของครูในเชิงระเบียบปฏิบั ติอาจพิจารณาได้จากระเบียบปฏิบตั ิทางราชการต่างๆ ที่กาหนดขึ้ นและได้
ประกาศใช้โดยหน่ วยงานของราชการของรัฐ เช่น ระเบียบคุรุสภาว่าด้วย จรรยาบรรณครู พ .ศ. 2539 ประกาศจรรยาบรรณครูของ
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ หรือระเบียบคุรุสภาว่าด้วยวินัยและการรักษาวินัยต่ างๆ
หน้าที่และความรับผิดชอบของครูในเชิงระเบียบปฏิบตั ิต่อบุคคลต่างๆ ที่ผปู้ ระกอบวิชาชีพครูตอ้ งสัมพันธ์ดว้ ยนั้น อาจแบ่งเป็ น 3
กลุ่มคือ หน้าที่ความรับผิดชอบของครูต่อศิษย์ ต่อสถาบันวิชาชีพครูอนั ได้แก่ เพื่อนครูและสถานศึกษา และหน้าที่ความรับผิดชอบของครู
ต่อสังคมอันได้แก่ ผูป้ กครองนักเรียนและชุมชน หน้าที่ความรับผิดชอบของครูในเชิงระเบียบปฏิบตั ิหรือกฎหมายกาหนดมีดงั นี้
1.1 หน้าที่และความรับผิดชอบของครูตอ่ ศิษย์เป็ นหน้าที่ความรับผิดชอบที่สาคัญเป็ นอันดับแรก อาจสรุปหน้าที่ของครูต่อ
ศิษย์ได้ดงั นี้
1.1.1 ตั้งใจสัง่ สอนศิษย์และปฏิบตั ิหน้าที่ให้เกิดผลดีดว้ ยความเอาใจใส่
1.1.2 อุทิศเวลาของตนให้แก่ศิษย์ จะละทิ้ งหรือทอดทิ้ งหน้าที่การงานมิได้
1.1.3 ถ่ายทอดวิชาความรูโ้ ดยไม่บิดเบือนและปิ ดบังอาพราง ไม่นาหรือยอมให้นาผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริต
หรือเป็ นภัยต่อศิษย์
1.1.4 สุภาพเรียบร้อย ประพฤติตนเป็ นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์
1.1.5 รักษาความลับของศิษย์
1.1.6 ครูตอ้ งรักและเมตตาศิษย์โดยให้ความเอาใจใส่ช่วยเหลือส่งเสริมให้กาลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์โดยเสมอหน้า
1.1.7 ครูตอ้ งอบรม สัง่ สอน ฝึ กฝน สร้างเสริมความรู้ ทักษะและนิ สยั ที่ถูกต้องดี งามให้เกิดแก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถ ด้วย
ความบริสุทธิ์ใจ
1.1.8 ครูตอ้ งประพฤติ ปฏิบตั ิเป็ นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ท้งั ทางกาย วาจาและจิตใจ
1.1.9 ครูตอ้ งไม่กระทาตนเป็ นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคมของศิษย์
1.1.10 ครูตอ้ งไม่แสวงหาประโยชน์อนั เป็ นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบตั ิหน้าที่ตามปกติ และไม่ใช้ให้ศิษย์กระทาการใดๆ
อันเป็ นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ
1.2 หน้าที่และความรับผิดชอบของครูตอ่ สถาบันวิชาชีพครูอนั ได้แก่ ตนเองเพื่อนครูและสถานศึกษา
ในการประกอบวิชาชีพครู โดยทัว่ ไปจะเป็ นการทางานเป็ นทีมในสถานศึกษาที่
จัดตั้งขึ้ น ฉะนั้นหน้าที่และความรับผิดชอบของครูจะต้องมีต่อตนเอง และเพื่อนร่วมงาน
ทั้งในระดับผูบ้ งั คับบัญชา และบุคลากรอื่นๆ ในสถานศึกษา ซึ่งอาจจะแยกแยะได้ดงั นี้
1.2.1 ครูพึงช่วยเหลือเกื้ อกูลครูดว้ ยกันในทางสร้างสรรค์ เช่น การแนะนาแหล่ง
วิทยาการให้กนั แลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางวิชาชีพซึ่งกันและกัน
1.2.2 รักษาความสามัคคีระหว่างครู และช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหน้าที่การ
งาน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวกคิดทาลายกลัน่ แกล้งซึ่งกันและกัน เต็มใจช่วยเหลือเมื่อเพื่อน
ครูขอความช่วยเหลือ เช่น เป็ นวิทยากรให้แก่กนั ช่วยงานเวรหรืองานพิเศษซึ่งกันและกัน
1.2.3 ไม่แอบอ้างหรือนาผลงานทางวิชาการของเพื่อนครูมาเป็ นของตนทั้งยังต้องช่วยเหลือให้เพื่อนครูอื่นๆ ได้สร้างสรรค์งาน
วิชาการอย่างเต็มความสามารถด้วย
1.2.4 ประพฤติตนด้วยความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน และให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ว่าจะสังกัดหน่ วยงานใด
1.2.5 ปฏิบตั ิตามระเบียบ และแบบธรรมเนี ยมอันดีงามของสถานศึกษา ปฏิบตั ิตามคาสัง่ ของผูบ้ งั คับบัญชาซึ่งสัง่ โดยชอบด้วย
กฎหมาย และระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
1.2.6 รักษาชื่อเสียงของตนไม่ให้ขนชื ึ้ ่อว่าประพฤติชวั ่ ไม่กระทาการใดๆ อันอาจทาให้เสื่อมเสียเกียรติศกั ดิ์และชื่อเสียงของครู
1.2.7 ประพฤติตนอยูใ่ นความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบตั ิหน้าที่ดว้ ยความเที่ยงธรรม ไม่แสวงหาประโยชน์สาหรับตนเองหรือผูอ้ ื่น
โดยมิชอบ
1.2.8 ครูยอ่ มพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสยั ทัศน์ให้ทนั ต่อการพัฒ นาทางวิชาการ เศรษฐกิจ สังคม และ
การเมืองอยูเ่ สมอ
12
จรรยาบรรณทั้ง 9 ข้อของคุรุสภานั้น อาจจาแนกเป็ น 3 กลุ่ม คือข้อ 1-5 เป็ นบทบัญญัติที่ค่อนข้างเข้มงวด เป็ นจรรยาบรรณ
ส่วนที่มุ่งกาหนดข้อปฏิบตั ิของครูต่อศิษย์โดยตรง เป็ นหน้าที่และความรับผิดชอบของครูต่อศิษย์ ต่อวิชาชีพ และต่อสังคม เป็ นคุณลักษณะ
ของครูที่สงั คมประสงค์นัน่ เอง ส่วนข้อ 6 และข้อ 7 เป็ นจรรยาบรรณครูเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบตั ิตนเพื่อพัฒนาตนเองให้เหมาะกับ
วิชาชีพครู ส่วนข้อ 8และ9 เป็ นจรรยาบรรณที่ครูพึงปฏิบตั ิต่อสภาพแวดล้อมอันได้แก่ เพื่อนครู ชุมชน และท้องถิ่นที่ครูดารงอยูร่ ่วมด้วย
อย่างไรก็ดีบทบัญญัติจรรยาบรรณครูท้งั 9 ข้อนี้ บังคับใช้ใช้ตามพระราชบัญญัติครู พ .ศ.2488 มีผลเฉพาะกับครูซึ่งเป็ นสมาชิก
ของคุรุสภาเท่านั้น กล่าวคือ ตามมาตรา 24 ของ พ.ร.บ.ครู พ.ศ.2488 กาหนดให้มีครูเพียง 4 กลุ่มเท่านั้นได้แก่
(1)ข้าราชการครู คือข้าราชการสังกัดกระทรวงศึกษาธิการซึ่งบรรจุและแต่งตั้ง พ.ร.บ.ข้าราชการครู พ.ศ.2533
(2) พนักงานครูเทศบาล คือพนักงานเทศบาลต่างๆ ทัง่ ประเทศเฉพาะพนักงานผูด้ ารงตาแหน่ งผูส้ อนในสถานศึกษาของ
เทศบาล
(3) ข้าราชการครูกรุงเทพมหานคร คือราชการกรุงเทพมหานครที่สงั กัดสถานศึกษาของกรุงเทพมหานคร
และ (4) ผูส้ อนในโรงเรียนเอกชนซึ่งอยูใ่ นกากับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการโดยต้องได้รบั เงินเดือนประจา
ผูป้ ระกอบวิชาชีพครูในสังกัดอื่นๆ ยังมีอีกมากมายได้แก่ ผูส้ อนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ผูส้ อนในสถานศึกษาในสังกัดกระทรวง
อื่นๆ หรือรัฐวิสาหกิจอีกด้วย ฉะนั้นการกาหนดจรรยาบรรณครูสาหรับผูป้ ระกอบวิชาชีพครูอย่างเป็ นกิจ ลักษณะที่ครอบคลุมทั้งวงการครู
ยังไม่มีองค์กรใดหรือสถาบันใดจัดทาขึ้ น สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติจึงจัดสัมมนาเรื่องจรรยาบรรณสาหรับผูป้ ระกอบ
วิชาชีพครูขนเมื ึ้ ่อปี พ.ศ.2523 และสรุปเป็ นรายงานโดยแยกประเด็นเป็ น 3 หมวดคือ หมวดที่ 1 ว่าด้วยอุดมการณ์ของครู หมวดที่ 2 ว่า
ด้วยเอกลักษณ์ของครู และหมวดที่3 ว่าด้วยมาตรฐานการปฏิบตั ิตนของครู
คุณธรรมและจรรยาบรรณที่พึงประสงค์ของครูคืออะไร
คุณธรรม ซึ่งหมายถึง คุณสมบัติที่เป้นความดี ความถูกต้อง ซึ่งมีอยู่
ภายในใจของบุคคลช่วยให้พร้อมที่จะทาพฤ ติกรรมต่างๆ อันเป็ นประโยชน์ต่อ
ตนเองและผูอ้ ื่น
คุณธรรม เป็ นหลักที่มนุ ษย์ถือเป็ นแนวทางที่ถูกต้องในการดาเนิ นชีวิต
เป็ นหลักแห่งความประพฤติปฏิบตั ิและความรูค้ วามคิดที่ดีงามนัน่ เอง
คุณธรรมของครู หมายถึง คุณสมบัติที่เป็ นความดี ความถูกต้อง
เหมาะสมซึ่งมีอยูภ่ ายในจิตใ จของผูเ้ ป็ นครูและเป็ นแรงผลักดันให้ผปู้ ระกอบ
วิชาชีพครูกระทาหน้าที่ของครูได้อย่างสมบูรณ์
ทัศนคติเชิงจริยธรรม คือ ความรูส้ ึกของบุคคลเกี่ยวกับลักษณะหรือพฤติกรรมเชิงจริยธรรมต่างๆ ว่าชอบหรือไม่ชอบลักษณะ
นั้นๆเพียงใด ทัศนคติเชิงจริยธรรมของบุคคลส่วนมากจะสอดคล้องกับ ค่านิ ยมในสังคมนั้น แต่บุคคลบางคนในสถานการณ์ปกติอาจมี
ทัศนคติแตกต่างไปจากค่านิ ยมของแต่ละบุคคล
เหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึงการที่บุคคลใช้เหตุผลในการเลือกที่จะกระทา หรือเลือกที่จะไม่กระทาพฤติกรรมอย่างใดอย่าง
หนึ่ ง เหตุผลที่จะกล่าวถึงนี้ จะแสดงให้เห็นเหตุจงู ใจหรือแรงจูงใจที่อยูเ่ บื้ องหลังการกระทาต่างๆของบุคคล
พฤติกรรมเชิงจริยธรรม หมายความถึงการที่บุคคลแสดงพฤติกรรมที่สงั คมนิ ยมชมชอบหรืองดเว้นการแสดงพฤติกรรมที่ฝ่าฝื น
กฎเกณฑ์หรือค่านิ ยมในสังคมนั้น ตัวอย่างพฤติกรรมเชิงจริยธรรมเช่น การให้ทาน การเสียสละเพื่อส่วนรวม และการช่วยเหลือผูต้ กทุกข์
ได้ยาก การโกงสิ่งของเงินทอง การลักขโมย การกล่าวเท็ จเป็ นต้น พฤติกรรมจริยธรรมเป็ นพฤติกรรมที่สงั คมให้ความสาคัญมากกว่าด้าน
อื่นๆ ทั้งนี้ เพราะการกระทาในทางที่ดีและเลวของบุคคลนั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความผาสุกและความวุ่นวายของส่วนรวม
คุณธรรมกับจริยธรรม เป็ นเรื่องเดียวเกี่ยวพันกัน อาจกล่าวได้ว่า คุณธรรมเป็ นธรรมฝ่ า ยดีที่อยูภ่ ายในจิตใจของบุคคล การ
แสดงออกของคุณธรรมให้ประจักษ์น้ันเรียกว่าจริยธรรมนัน่ เอง
ส่วนคาว่า จริยศาสตร์ คือ เหตุผลที่อธิบายสาหรับข้อหรือกฎที่ตอ้ งปฏิบตั ิเป็ นหลักเกณฑ์ทางวิชาปรัชญาที่เกี่ยวกับส่วนที่
เรียกว่าจริยธรรม
ความสาคัญของคุณธรรมในการประกอบวิชาชีพครู
ไพพรรณ เกียรติโชคชัย (2526 :141-142) สรุปความสาคัญของคุณธรรมต่อผูป้ ระกอบวิชาชีพครูไว้ 4 ด้านดังนี้ คือ
1.ด้านตัวครู คุณธรรมมีบทบาทต่อผูป้ ฏิบตั ิดงั นี้
1.1 ทาให้ครูมีความเจริญก้าวหน้าและมีความมัน่ คงในงานอาชีพ
22
9) การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้
10) การประกันคุณภาพการศึกษา
11) คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ
1.2 มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ
ผ่านการปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา ตามหลักสูตรปริญญาทางก ารศึกษาเป็ นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี และผ่านเกณฑ์การ
ประเมินปฏิบตั ิการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการคุรุสภากาหนด ดังต่อไปนี้
1) การฝึ กปฏิบตั ิวิชาชีพระหว่างเรียน
2) การปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ
สาระความรูแ้ ละสมรรถนะของครูตามมาตรฐานความรู ้
1. ความเป็ นครู
สาระความรู ้
1) ความสาคัญของวิชาชีพครู บทบาท หน้าที่ ภาระงานของครู
2) พัฒนาการของวิชาชีพครู
3) คุณลักษณะของครูที่ดี
4) การสร้างทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพครู
5) การเสริมสร้างศักยภาพและสมรรถภาพความเป็ นครู
6) การเป็ นบุคคลแห่งการเรียนรูแ้ ละ การเป็ นผูน้ าทางวิชาการ
7) เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู
8) จรรยาบรรณของวิชาชีพครู
9) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
สมรรถนะ
1) รัก เมตตา และปรารถนาดีต่อผูเ้ รียน
2) อดทนและรับผิดชอบ
3) เป็ นบุคคลแห่งการเรียนรูแ้ ละ เป็ นผูน้ าทางวิชาการ
4) มีวิสยั ทัศน์
5) ศรัทธาในวิชาชีพครู
6) ปฏิบตั ิตามจรรยาบรรณของวิชาชีพครู
2. ปรัชญาการศึกษา
3. ภาษาและวัฒนธรรม
สาระความรู ้
1) ภาษาไทยสาหรับครู
2) ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่นๆ สาหรับครู
สมรรถนะ
1) สามารถใช้ทกั ษะในการฟั ง การพูด การอ่าน การเขียนภาษาไทย เพื่อการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
2) สามารถใช้ ทักษะในการฟั ง การพูด การอ่าน การเขียนภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่ นๆ เพื่อการสื่อความหมายได้อย่าง
ถูกต้อง
4. จิตวิทยาสาหรับครู
สาระความรู ้
1) จิตวิทยาพื้ นฐานที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการมนุ ษย์
2) จิตวิทยาการศึกษา
3) จิตวิทยาการแนะแนวและให้คาปรึกษา
29
สมรรถนะ
1) เข้าใจธรรมชาติของผูเ้ รียน
2) สามารถช่วยเหลือผูเ้ รียนให้เรียนรูแ้ ละพัฒนาได้ตามศักยภาพของตน
3) สามารถให้คาแนะนาช่วยเหลือผูเ้ รียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขนึ้
4) สามารถส่งเสริมความถนัดและความสนใจของผูเ้ รียน
5. หลักสูตร
สาระความรู ้
1) ปรัชญา แนวคิดทฤษฎีการศึกษา
2) ประวัติความเป็ นมาและระบบการจัดการศึกษาไทย
3) วิสยั ทัศน์และแผนพัฒนาการศึกษาไทย
4) ทฤษฎีหลักสูตร
5) การพัฒนาหลักสูตร
6) มาตรฐานและมาตรฐานช่วงชั้นของหลักสูตร
7) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
8) ปั ญหาและแนวโน้มในการพัฒนาหลักสูตร
สมรรถนะ
1) สามารถวิเคราะห์หลักสูตร
2) สามารถปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรได้อย่างหลากหลาย
3) สามารถประเมินหลักสูตรได้ท้งั ก่อนและหลังการใช้หลักสูตร
4) สามารถจัดทาหลักสูตร
6. การจัดการเรียนรูแ้ ละการจัดการชั้นเรียน
สาระความรู ้
1) ทฤษฎีการเรียนรูแ้ ละการสอน
2) รูปแบบการเรียนรูแ้ ละการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน
3) การออกแบบและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
4) การบูรณาการเนื้ อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้
5) การบูรณาการการเรียนรูแ้ บบเรียนรวม
6) เทคนิ คและวิทยาการจัดการเรียนรู้
7) การใช้และการผลิตสื่อและการพัฒนานวัตกรรมในการเรียนรู้
8) การจัดการเรียนรูแ้ บบยึดผูเ้ รียนเป็ นสาคัญ
9) การประเมินผลการเรียนรู้
10) ทฤษฎีและหลักการบริหารจัดการ
11) ภาวะผูน้ าทางการศึกษา
12) การคิดอย่างเป็ นระบบ
13) การเรียนรูว้ ฒ
ั นธรรมองค์กร
14) มนุ ษยสัมพันธ์ในองค์กร
15) การติดต่อสื่อสารในองค์กร
16) การบริหารจัดการชั้นเรียน
17) การทางานเป็ นทีม
18) การจัดทาโครงงานทางวิชาการ
19) การจัดโครงการฝึ กอาชีพ
20) การจัดโครงการและกิจกรรมเพื่อพัฒนา
21) การจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ
30
22) การศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชน
23) การทางานเป็ นทีม
24) การจัดทาโครงงานทางวิชาการ
สมรรถนะ
1) สามารถนาประมวลรายวิชามาจัดทาแผนการเรียนรูร้ ายภาคและตลอดภาค
2) สามารถออกแบบการเรียนรูท้ ี่เหมาะสมกับวัยของผูเ้ รียน
3) สามารถเลือกใช้พฒ ั นาและสร้างสื่ออุปกรณ์ที่ส่งเสริมการเรียนรูข้ องผูเ้ รียน
4) สามารถจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรูข้ องผูเ้ รียนและจาแนกระดับการเรียนรูข้ องผูเ้ รียนจากการประเมินผล
5) มีภาวะผูน้ า
6) สามารถบริหารจัดการในชั้นเรียน
7) สามารถสื่อสารได้อย่างมีคุณภาพ
8) สามารถในการประสานประโยชน์
9) สามารถนานวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการบริหารจัดการ
7. การวิจยั เพื่อพัฒนาการเรียนรู ้
สาระความรู ้
1) ทฤษฎีการวิจยั
2) รูปแบบการวิจยั
3) การออกแบบการวิจยั
4) กระบวนการวิจยั
5) สถิติเพื่อการวิจยั
6) การวิจยั ในชั้นเรียน
7) การฝึ กปฏิบตั ิการวิจยั
8) การนาเสนอผลงานวิจยั
9) การค้นคว้าศึกษางานวิจยั ในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้
10) การใช้กระบวนการวิจยั ในการแก้ปัญหา
11) การเสนอโครงการเพื่อทาวิจยั
สมรรถนะ
1) สามารถนาผลการวิจยั ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน
2) สามารถทาวิจยั เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาผูเ้ รียน
8. นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
สาระความรู ้
1) แนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษาที่ส่งเสริมการพัฒนา คุณภาพการเรียนรู้
2) เทคโนโลยีและสารสนเทศ
3) การวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดจากการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ
4) แหล่งการเรียนรูแ้ ละเครือข่ายการเรียนรู้
5) การออกแบบ การสร้าง การนาไปใช้ การประเมินและการปรับปรุงนวัตกรรม
สมรรถนะ
1) สามารถเลือกใช้ออกแบบ สร้างและปรับปรุงนวัตกรรมเพื่อให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรูท้ ี่ดี
2) สามารถพัฒนาเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรูท้ ี่ดี
3) สามารถแสวงหาแหล่งเรียนรูท้ ี่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการเรียนรูข้ องผูเ้ รียน
9. การวัดและประเมินผลการเรียนรู ้
สาระความรู ้
1) หลักการและเทคนิ คการวัดและประเมินผลทางการศึกษา
31
2) การสร้างและการใช้เครื่องมือวัดผลและประเมินผลการศึกษา
3) การประเมินตามสภาพจริง
4) การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน
5) การประเมินภาคปฏิบตั ิ
6) การประเมินผลแบบย่อยและแบบรวม
สมรรถนะ
1) สามารถวัดและประเมินผลได้ตามสภาพความเป็ นจริง
2) สามารถนาผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงการจัดการเรียนรูแ้ ละหลักสูตร
10. การประกันคุณภาพการศึกษา
11. คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ
สาระการฝึ กทักษะและสมรรถนะของครูตามมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพ
1. การฝึ กปฏิบตั ิวิชาชีพระหว่างเรียน
สาระการฝึ กทักษะ
1) การบูรณาการความรูท้ ้งั หมดมาใช้ในการฝึ กประสบการณ์วิชาชีพในสถานศึกษา
2) ฝึ กปฏิบตั ิการวางแผนการศึกษาผูเ้ รียน โดยการสังเกต สัมภาษณ์รวบรวมข้อมูลและนาเสนอผลการศึกษา
3) มีส่วนร่วมกับสถานศึกษาในการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตร รวมทั้ง การนาหลักสูตรไปใช้
4) ฝึ กการจัดทาแผนการเรียนรูร้ ่วมกับสถานศึกษา
5) ฝึ กปฏิบตั ิการดาเนิ นการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ โดยเข้าไป มีส่วนร่วมในสถานศึกษา
6) การจัดทาโครงงานทางวิชาการ
สมรรถนะ
1) สามารถศึกษาและแยกแยะผูเ้ รียนได้ตามความแตกต่างของผูเ้ รียน
2) สามารถจัดทาแผนการเรียนรู้
3) สามารถฝึ กปฏิบตั ิการสอน ตั้งแต่การจัดทาแผนการสอน ปฏิบตั ิการสอน ประเมินผลและปรับปรุง
4) สามารถจัดทาโครงงานทางวิชาการ
2. การปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ
สาระการฝึ กทักษะ
1) การบูรณาการความรูท้ ้งั หมดมาใช้ในการปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษา
2) การจัดทาแผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ยดึ ผูเ้ รียนเป็ นสาคัญ
3) การจัดกระบวนการเรียนรู้
4) การเลือกใช้การผลิตสื่อและนวัตกรรมที่สอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้
5) การใช้เทคนิ คและยุทธวิธีในการจัดการเรียนรู้
6) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
7) การทาวิจยั ในชั้นเรียนเพื่อพัฒนาผูเ้ รียน
8) การนาผลการประเมินมาพัฒนาการจัดการเรียนรูแ้ ละพัฒนาคุณภาพผูเ้ รียน
9) การบันทึกและรายงานผลการจัดการเรียนรู้
10) การสัมมนาทางการศึกษา
สมรรถนะ
1) สามารถจัดการเรียนรูใ้ นสาขาวิชาเฉพาะ
2) สามารถประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาการจัดการเรียนรูใ้ ห้เหมาะสมกับศักยภาพของผูเ้ รียน
3) สามารถทาวิจยั ในชั้นเรียนเพื่อพัฒนาผูเ้ รียน
4) สามารถจัดทารายงานผลการจัดการเรียนรูแ้ ละการพัฒนาผูเ้ รียน
32
องค์กรวิชาชีพครู
คุรุสภา หมายถึง สภาของครูนี่ คือการแปลตามศัพท์ที่ปรากฏ ในปั จจุบนั เมื่อกล่าวถึง คุรุสภา
เราจะเรียกว่า "สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา"
คุรุสภา เป็ นสภาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไทย มีหน้าที่หลักในการกาหนด
มาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอน ใบอนุ ญาต กากับ ดูแลการปฏิบตั ิตามมาตรฐานวิชาชีพและ
จรรยาบรรณวิชาชีพ รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพ กาหนดนโยบายและแผนพัฒนาวิชาชีพ ประสานส่งเสริม
การศึกษาและการวิจยั เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ
เมื่อปี พ.ศ. 2488 รัฐบาลของนาย ควง อภัยวงศ์ โดยนาย ทวี บุณยเกตุ รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นถึงปั ญหาวิกฤติในวิชาชีพครู เนื่ องจากคนดี คนเก่ง ไม่อยากเรียนครู
และครูเก่ง ครูดีจานวนไม่น้อยไปประกอบอาชีพอื่น จึงได้ มีการตราพระราชบัญญัติครู พ .ศ. 2488 ขึ้ นมาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติวิชาชีพครู
โดยให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการ มีฐานะเป็ นนิ ติบุคคล เรียกว่า "คุรุสภา" ให้มีอานาจหน้าที่ในการเสนอความเห็นเรื่องนโยบาย
การศึกษา และวิชาการศึกษาทัว่ ไป ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ และส่งเสริมฐานะครู และครอบครัวให้ได้รบั ความ
ช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรูแ้ ละความสามัคคีของครู ตลอดจนทาหน้าที่แทน ก.พ. ในเรื่องการบริหารงานบุคคล โดยกาหนดให้
ครูทุกคนต้องเป็ นสมาชิกคุรุสภา
ต่อมาในปี พ .ศ. 2546 รัฐบาลของพันตารวจโท ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีนาย ปองพล อดิเรกสาร เป็ นรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการ ได้ตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ .ศ. 2546 ปรับปรุงคุรุสภาเป็ นสภาครูและบุคลากร
ทางการศึกษา โดยใช้ชื่อเรียกเหมือนเดิมว่า คุรุสภา
สานักงานเลขาธิการคุรุสภา เป็ นหน่ วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และเป็ นหน่ วยดาเนิ นงานของคุรุสภา หรือสภาครู
และบุคลากรทางการศึกษา มีหน้าที่ในการกาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุ ญาต กากับ ดูแลการปฏิบตั ิตามมาตรฐาน
วิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพ กาหนดนโยบายและแผนพัฒนาวิชาชีพ ประสานส่งเสริมการศึกษาและการวิจยั
เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ และภารกิจอื่นตามที่คุรุสภามอบหมาย โดยมีเลขาธิการคุรุสภา เป็ นผูบ้ งั คับบัญชา มีสานักงานตั้งอยูท่ ี่
128/1 ถนนนครราชสีมา เขตดุสิต กรุงเทพ 10300
พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 กาหนดให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ ง เรียกว่า คณะกรรมการ
คุรุสภา ประกอบด้วย
ประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผูท ้ รงคุณวุฒิที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สงู ด้าน
การศึกษา มนุ ษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือกฎหมาย
กรรมการโดยตาแหน่ ง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขัน ้
พื้ นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา ผูอ้ านวยการสานักบริหารคณะกรรมการส่งเสริ มการศึกษาเอกชน และหัวหน้าสานักงานคณะกรรมการ
มาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น
กรรมการผูท ้ รงคุณวุฒิจานวนเจ็ดคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผูท้ ี่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สงู ด้านการ
บริหารการศึกษา การอาชีวศึกษา การศึกษาพิเศษ มนุ ษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกฎหมายด้านละ
หนึ่ งคน ซึ่งในจานวนนี้ ต้องเป็ นผูท้ ี่เป็ นหรือเคยเป็ นครู ผูบ้ ริหารสถานศึกษา หรือผูบ้ ริหารการศึกษา ไม่น้อยกว่าสามคน
กรรมการซึ่งได้รบ ั การแต่งตั้งจากผูด้ ารงตาแหน่ งคณบดีคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ หรือการศึกษา ซึ่งเลือกกั นเองจาก
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐจานวนสามคน และจากสถาบันอุดมศึกษาเอกชนจานวนหนึ่ งคน
กรรมการจากผูป ้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งเลือกตั้งมาจากผูป้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่ดารงตาแหน่ งครู ผูบ้ ริหาร
สถานศึกษา ผูบ้ ริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น และมาจากสังกั ดเขตพื้ นที่การศึกษา สถาบันอาชีวศึกษา
สถานศึกษาเอกชน และองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น ตามสัดส่วนจานวนผูป้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา ให้เลขาธิการคุรุสภาเป็ น
เลขานุ การ หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาประธานกรรมการ กรรมการผูท้ รงคุณวุฒิ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกผูแ้ ทน
สถาบันอุดมศึกษา และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งผูป้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็ นไปตามข้อบังคับของคุรุสภา
35
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
เป็ นหลักฐานการอนุ ญาตให้ผปู้ ระกอบวิชาชีพควบคุมตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. 2546[1] เป็ นผูม้ ีสิทธิ์ในการประกอบวิชาชีพ ซึ่งได้แก่ ครู ผูบ้ ริหารสถานศึกษา
ผูบ้ ริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น ซึ่งหน่ วยงานที่มีหน้าที่ในการ
ออกใบอนุ ญาตฯ คือ คุรุสภา
ประเภทของใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
ใบอนุ ญาตประกอบวิชาชีพครู
ใบอนุ ญาตประกอบวิชาชีพผูบ้ ริหารสถานศึกษา
ใบอนุ ญาตประกอบวิชาชีพผูบ้ ริหารการศึกษา
ใบอนุ ญาตประกอบวิชาชีพบุคลากรทางการศึกษาอื่น
ผูม้ ีสิทธิขึ้นทะเบียนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
ครู
ครูซึ่งเป็ นสมาชิก คุรุสภา ตามพระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 อยูแ ่ ล้วก่อนวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2546 ได้แก่
ข้าราชการครู ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. 2523 พนักงานครูเทศบาล ข้าราช การกรุงเทพมหานคร ซึ่งดารง
ตาแหน่ งประจาในสถานศึกษาของกรุงเทพฯ
ผูท ้ าการสอนในสถานศึกษาที่อยูใ่ นความควบคุมของ กระทรวงศึกษาธิการ และได้รบั เงินเดือนประจาครูซึ่งเป็ นสมาชิกคุรุสภา
ตามพระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 อยูแ่ ล้วก่อน วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2546 ซึ่งต่อมาลาออกหรือเกษียณอายุราชการ
หรือพ้นจากหน้าที่ครู
ผูท ้ ี่ประกอบวิชาชีพครู ซึ่งบรรจุและแต่งตั้งตั้งแต่วนั ที่พระราชบัญญัติสภาครูและ บุคลากรทางการศึกษา พ .ศ. 2546 ใช้บงั คับ
หรือวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2546 และมีวุฒิปริญญาทางการศึกษา หรือปริญญาอื่นที่ ก .ค. กาหนดให้เป็ นคุณวุฒิที่ใช้ในการ
บรรจุและแต่งตั้งเป็ นข้าราชการครูก่อนวันที่พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ใช้บงั คับ
ครูอต ั ราจ้าง ตามสัญญาจ้างที่มีวุฒิทางการศึกษา หรือปริญญาอื่นที่ ก .ค.กาหนดให้เป็ นคุณวุฒิที่ใช้ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็ น
ข้าราชการครู ก่อนวันที่พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ใช้บงั คับ
ผูป ้ ระสงค์จะประกอบวิชาชีพครู ได้แก่ ผูท้ ี่ยงั ไม่ได้ประกอบวิชาชีพครูที่มีความประสงค์จะประกอบวิชาชีพครู และมีวุฒิปริญญาทาง
การศึกษา หรือปริญญาอื่นที่ ก .ค. กาหนดให้เป็ นคุณวุฒิที่ใช้ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็ นข้าราชการ ครูก่อนวันที่พระราชบัญญัติ
สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ใช้บงั คับ
ผูบ้ ริหารสถานศึกษา
ผูป ้ ระกอบวิชาชีพผูบ้ ริหารสถานศึกษา ได้แก่ ผูท้ ี่ดารงตาแหน่ งเป็ น ผูบ้ ริหารสถานศึกษา และรองผูบ้ ริหารสถานศึกษา หรือผูช้ ่วย
ผูบ้ ริหารการศึกษา เช่น ครูใหญ่ ผูช้ ่วยครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผูช้ ่วยอาจารย์ใหญ่ ผูอ้ านวยการ รองผูอ้ านวยการ หรือผูช้ ่วย
ผูอ้ านวยการสถานศึกษา เป็ นต้น
ผูบ้ ริหารการศึกษา
ผูป ้ ระกอบวิชาชีพผูบ้ ริหารการศึกษา ได้แก่ ผูท้ ี่ดารงตาแหน่ งเป็ นผูท้ าหน้าที่เกี่ยวกับการให้การศึกษาที่ไม่สงั กัดโรงเรียน วิทยาลั ย
หรือสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่นของกระทรวงศึกษาธิการในระดับเขตพื้ นที่การศึกษา
บุคลากรทางการศึกษาอื่น
ผูป ้ ระกอบวิชาชีพบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามที่กาหนดในกฎกระทรวง