Professional Documents
Culture Documents
เรื่องที่ 1 รสอูมามิ
เรียบเรียงโดย ผศ.ดร.ยงยุทธ เจียมไชยศรี
Email:yongyutbiochem@yahoo.com
-----------------------------------------------------------
เมื่อหลายร้อยปี มาแล้วโลกตะวันตกถือว่าอาหารมีรสมากมายหลายอย่างตามแบบ
กรีกโบราณสมัยอาริสโตเติล เมื่อเวลาผ่านไปจานวนรสต่างๆของอาหารก็คอ่ ยๆลดจานวนลงจนตก
ลงกันได้วา่ รสหลักของอาหารมีเพียงสีร่ ส นันคื ่ อ รสหวาน รสเปรีย้ ว รสเค็ม และรสขม รสอื่นๆทีต่ ดั
ออกไปเป็ นเพียงผลทีส่ ารบางชนิดในอาหาร มีผลกระทบทางด้านเป็ นอันตรายต่อเซลบนลิน้ หรือใน
ปาก หลายประเทศในเอเชียรวมทัง้ ประเทศไทยมีรสเผ็ดของพริก หลังจากพริกจากอเมริกาผ่าน
โปรตุเกสมาถึงเมื่อประมาณ 500 ปี มาแล้ว แต่โลกตะวันตกไม่ถอื ว่ารสเผ็ดเป็ นรส แต่กลับถือว่าเป็ น
ความระคายเคืองจากสาร “รสเผ็ด” (capsaicin) ในพริก ตลอดเวลามากกว่าหนึ่งพันปี มาแล้ว ใน
ประเทศจีนและญี่ป่ ุนมีความเชื่อว่ ามีอกี รสหนึ่งที่ทาให้อาหารอร่อยเป็ นพิเศษที่นอกเหนือจากสีร่ ส
หลักดังกล่าว จนถึงปี ค.ศ.1909 รสนี่ได้รบั การตัง้ ชื่อว่า อูมามิ (umami) ที่เป็ นคาใหม่ของญี่ป่ ุน
ที่มาจากอูไม (umai = delicious) และ mi (=essence, taste, flavor) แต่ตามความเป็ นจริ งแล้ว
คาว่าอูมามิ มีความหมายที่ยากต่อการบรรยาย หลังจากโลกตะวันตกยอมรับรสนี้เป็ นรสชนิดที่
ห้าแล้ว เขาพยายามหาคาแปลทีเ่ หมาะสม บางคนแปลไว้ว่า “pleasant savory taste” ในทีส่ ุดเขาก็
เลยตกลงกันว่าใช้คา umami ของญีป่ ่ นุ ไปเลยจะดีกว่า รสนี้ถงึ แม้วา่ ไม่รุนแรงแต่กอ็ อกฤทธิ ์ให้ความ
อร่อยและกลมกล่อมของอาหารอย่างล้าลึกเต็มปากเต็มคาอย่างทีน่ ่ าพอใจอยูใ่ นปากได้นาน ผูท้ ต่ี งั ้
ชื่อรสนี้คอื ศาสตราจารย์คิคนู าเอะ อิ เคดะ (Kikunae Ikeda 1864-1936) อาจารย์เคมีแห่ง Tokyo
Imperial University ทีป่ ั จจุบนั คือ Tokyo University
ในปี ค.ศ. 1908 ศาสตราจารย์คคิ ูนาเอะ อิเคดะ ชาวญี่ป่ ุนได้ศกึ ษาหาสารที่
อยูใ่ นสาหร่ายคมบุ และในน้ าซุปดาชิทท่ี ามาจากสาหร่ายนัน้ ท่านได้พบว่ากลูตาเมทเป็ นแหล่ง
หลักของสารอูมามิและท่านได้ตพี มิ พ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ของญี่ป่ ุนในปี ค.ศ. 1909 แต่
เป็ นทีน่ ่าเสียดายทีเ่ อกสารนี้ได้รบั การแปลและพิมพ์เป็ นภาษาอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 2002 แทนทีจ่ ะ
เป็ นก่อนหน้านี้ ท่านสรุปไว้ว่ารสนี้เป็ นเอกลักษณ์และคู่ควรกับการมีช่อื เป็ นของตัวเองว่าอูมามิ
และเสนอแนะว่าอูมามิควรมีฐานะเป็ นรสหลักทีห่ า้ ร่วมไปกับสีร่ สหลักทีย่ อมรับกันแล้ว นันคื ่ อ รส
---------------------------------------------------------------
โมโนโซเดียมกลูตาเมตหรือผงชูรสเป็ นสารปรุงแต่งอาหารที่ให้รสอูมามิ
หลักดังทีไ่ ด้กล่าวไว้แล้วในเรื่อง รสอูมามิ สารนี้เป็ นเกลือโซเดียมของกรดกลูตามิคซึง่ เป็ นกรดอะ
มิโนอย่างหนึ่งทีเ่ ราพบทัวไปในตั
่ วเรา ในสัตว์ ในพืช ในอาหารเกือบทุกอย่างมากบ้างน้อยบ้าง
อาหารที่ มี ก ลู ต าเมตมากที่ สุ ด น่ า จะเป็ นเนยแข็ ง พาร์ เ มซานของอิ ต าลี ช นิ ด ที่ เ รี ย กว่ า
Parmigiano-Riggiano ซึ่งมีกลูตาเมตประมาณ 1.2 กรัมต่อเนยแข็ง 100 กรัม กรดกลูตามิคจะ
อยู่ใ นรูป กรดกลูตามิคที่ pH ต่ า เมื่อ อยู่ใ นสภาพความเป็ นกรดเป็ น ด่า งในระดับกลางๆของ
ร่างกายเราหรือของอาหารทีไ่ ม่เปรี้ยวจัดมันจะอยูใ่ นรูปทีถ่ อื ประจุลบทีเ่ รียกว่ากลูตาเมต ดังนัน้
จึ ง ถื อ ไ ด้ ว่ า ก ลู ต า เ ม ต แ ล ะ ก ร ด ก ลู ต า มิ ค นั ้ น เ ป็ น ค า ที่ ใ ช้ แ ท น กั น ไ ด้
เนื่องจากผมเป็ นอาจารย์ทางชีวเคมี ผมไม่ค่อยสบายใจทุกครัง้ เมื่อได้ยนิ ว่า
โมโนโซเดียมกลูตาเมต(MSG) ซึ่งเป็ นเกลือโซเดียมของกรดกลูตามิคนัน้ เป็ นพิษ กลูตาเมตเป็ น
สารสาคัญในเมตาบอลิซมึ ของเซล เช่น ในการกาจัดของเสียประเภทไนโตรเจนให้ไปเป็ นยูเรีย
และใช้เป็ นแหล่งพลังงานก็ได้ กลูตาเมตเป็ นสารสื่อประสาทที่มอี ยู่มากในสมองที่เกี่ยวข้องกับ
การเรียนรู้และความจาอีกด้ว ย นอกจากนี้ กลูตาเมตยังเป็ นสารต้น กาเนิ ด ในการสังเคราะห์
GABA ทีค่ นไทยตื่นเต้นกันมาก การเปลีย่ นกลูตาเมตไปเป็ น GABA เป็ นปฏิกริ ยิ าขัน้ ตอนเดียว
ทีเ่ ร่งปฏิกริ ยิ าโดยเอนไซม์กลูตาเมตดีคาร์บอกซิเลส (GAD)ทีม่ อี ยูม่ ากในซีรเี บลลัมและตับอ่อน
ร่างกายทาปฏิกิริยานี้ อยู่เป็ นประจาไม่ต้องไปหาข้าวงอกที่ไหนๆมาทานหรอกครับ ผมยังมี
เหตุผลอีกมากมายแสดงให้เห็นว่ากลูตาเมตเป็ นสารธรรมดาทีม่ อี ยูใ่ นร่างกาย เป็ นสารทีร่ า่ งกาย
สร้า งขึ้น เองได้ม าก เป็ น สารที่เ ราได้จ ากอาหารในปริมาณมากเมื่อ เทีย บกับ MSG ปริม าณ
เล็กน้อยที่เขาใส่ลงไปในอาหารของเรา ผมขอยืนยันด้วยเกียรติของนายหมู่ลูกเสือที่ได้รบั การ
แต่ งตัง้ เมื่อ พ.ศ.2492 ว่า ในการให้มุ มมองและข้อ มูล ทางด้า นบวกของ MSG ที่ผ มจะกล่าว
ต่อไปนี้ผมไม่ได้รบั ประโยชน์ อะไรจากใครทัง้ สิ้น ทุกอย่างเป็ นเพียงการให้ความรูแ้ ละขอความ
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 7
เป็ นธรรมให้กบั สารชนิดหนึ่งที่น่าสงสารทีถ่ ูกสังคมตัดสิน “ทัง้ ปรับทัง้ จา” จนติดคุกไปนานแล้ว
คุ ณ คิ ด บ้ า งหรื อ ไม่ ว่ า จ าเลยนี้ มี ค วามผิด จริ ง หรื อ เป็ นแพะที่ ถู ก “ทัง้ ปร าทัง้ จับ ” กั น แน่
มหากาพย์ น้ี เ ริ่ ม ต้ น ในปี ค.ศ.1968 เมื่ อ The New England Journal of
Medicine ซึ่ง เป็ น วารสารทางการแพทย์ท่ีมีช่ือ เสีย งได้ ตีพ ิม พ์ข่า วสารสัน้ ๆที่ไ ม่ ใ ช่ เ อกสาร
งานวิจยั แต่เป็ นเพียงจดหมายสัน้ ๆประมาณ 40 บรรทัดถึงบรรณาธิการ Dr.Robert Ho Man
Kwok เขาบรรยายถึงข้อสังเกตส่วนตัวของเขาที่เขาและเพื่อนประสบมาหลังจากรับประทาน
อาหารที่ภตั ตาคารจีน (ในอเมริก า) เขาบรรยายว่า เป็ น กลุ่ม อาการแปลกๆคล้ า ยกับ คนแพ้
แอสไพริน เช่นอาการชาทีด่ า้ นหลังของคอทีแ่ พร่ไปทีแ่ ขนและหลัง ความอ่อนเพลียโดยทัวไป ่ ใจ
สัน่ และหิวน้ า เป็ นต้น อาการเริม่ เกิดขึน้ หลังจากรับประทานอาหาร 15-20 นาที และเป็ นอยูน่ าน
สองสามชัวโมง ่ แต่ไม่มผี ลระยะยาว Dr.Kwok กล่าวถึงสาเหตุเบื้องหลังอาการนี้ไม่ ชดั เจนและ
คาดว่ามีสงิ่ ที่เป็ นไปได้หลายอย่าง เขาว่าอาจเป็ นเพราะเหล้าจีนปรุงอาหาร ซีอวิ๊ MSG และ
เกลือ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน เขาค่อนข้างระมัดระวังในการตัง้ ข้อกล่าวหา และ
เสนออีกด้วยว่าอาจเป็ นเพราะใส่เกลือมากเกินไปร่วมกับโซเดียมใน MSG จนทาให้เกิดการเสีย
สมดุลระหว่างโปแตสเซี่ยมกับโซเดียมในร่างกาย คนทีส่ านักพิมพ์จวหั ั ่ วจดหมายนี้เสียหรูเลยว่า
“กลุ่มอาการภัตตาคารจีน” (Chinese-Restaurant Syndrome) จดหมายสัน้ ๆฉบับนี้ทาให้เกิดผล
กระทบอย่า งใหญ่ห ลวงไปในแบบอุป าทานหมู่ ยิ่งได้แ พทย์ก ลุ่ม ของ Dr.Russel Blaylock ที่
ต่อต้านการเติมฟลูออไรด์ในน้ าดื่มและในยาสีฟัน ต่อต้านการเอามาลกัมอุดฟั น ต่อต้านยาลด
โคเลสเตอรอล และต่อต้านภาชนะหุงต้มอาลูมเิ นียม ทีห่ นั มาต่อต้านน้ าตาลเทียมและผงชูรส มา
สนับสนุ นอีกแรงหนึ่งเรื่องยิง่ ไปกันใหญ่ ผลทางลบของ MSG ทางการแพทย์มกั จะมาจากกลุม่ นี้
เป็ นหลัก ที่จริงแล้ว MSG เป็ นสารปรุงแต่งอาหารที่ได้รบั การศึกษาโดยหน่ ว ยงานเกี่ย วกับ
อาหารและยามากกว่าสารอื่นใดและเป็ นที่ยอมรับว่าปลอดภัยโดยองค์การอาหารและยาของ
ประเทศต่างๆในโลก ตัวอย่างเช่น ของสหรัฐอเมริกา ของสหภาพยุโรป ของออสเตรเลีย เป็ นต้น
แ ล ะ ยั ง ไ ด้ ก า ร รั บ ร อ ง จ า ก FAO แ ล ะ WHO ข อ ง ส ห ป ร ะ ช า ช า ติ อี ก ด้ ว ย
เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่ากลูตาเมตเป็ นสารธรรมดาสามัญของร่างกายของเราและ
ไม่ใช่สารแปลกปลอมหรือสารพิษ แต่อย่างใด ผมขอให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับกลูตาเมตอีกเล็กน้อย คน
โตเต็มวัยทีห่ นักประมาณ 70 กิโลกรัม จะมีกรดกลูตามิคอยูใ่ นร่างกายประมาณ 1.6 กิโลกรัม ซึง่
ส่วนใหญ่เชื่อมต่ออยู่ในโมเลกุลของโปรตีน และส่วนน้อยประมาณ 12 กรัมอยู่ในรูปกลูตาเมต
อิสระ กลูตาเมตอิสระเหล่านี้อยู่ในกล้ามเนื้อ 7 กรัม ในสมอง 2.6 และอยู่ในเลือดเพียง 0.045
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 8
กรัม เมื่อเรากินอาหารทีม่ กี ลูตาเมตเยื่อเมือกของกระเพาะและลาไส้จะดูดซึมกลูตาเมตและสลา
ยกลูตาเมตประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์เพื่อเอาพลังงานมาใช้ในการย่อยอาหาร ดังนัน้ กลูตาเมตจึง
เข้าสูก่ ระแสเลือดเพียงเล็กน้อยเท่านัน้ เพราะกลูตาเมตเป็ นแหล่งหลักอย่างหนึ่งสาหรับการผลิต
พลังงานในกระบวนการย่อยอาหาร กลูตาเมตที่เหลือใช้ในเลือดจะถูกสลายที่ตบั เมตาบอลิซมึ
ของกลูตาเมตในระบบย่อยอาหารเป็ นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากในอัตรา 5-10 กรัม
ต่อชัวโมง
่ ความเข้มข้นของกลูตาเมตในเลือดจึงคงทีม่ ากแม้ว่าจะได้รบั กลูตาเมตจากอาหาร ถ้า
จะให้ระดับกลูตาเมตในเลือดสูงขึน้ จนพอวัดได้จะต้องกิน MSG 5 กรัมรวดเดียว กลูตาเมตส่วนที่
เพิม่ ขึน้ ในเลือดจะถูกตับสลายไปหมดภายในเวลาประมาณ 2 ชัวโมง ่ กลูตาเมตในเลือดก็ผ่าน
ไปสู่สมองได้ยาก เพราะติดขัดอยูท่ ่ี blood-brain barrier ร่างกายคนเรานอกจากจะได้กรดกลูตา
มิคและกลูตาเมตจากอาหารแล้ว เรายังสังเคราะห์เองอีกด้วย ร่างกายเราสังเคราะห์กรดกลูตามิ
ควันละประมาณ 50 กรัม เอาไว้ใช้ในการสังเคราะห์กรดอะมิโนชนิดอื่น นอกจากจะสังเคราะห์
เองแล้วเรายังได้กรดกลูตามิคจากการย่อยและดูดซึมอาหารในแต่ละวัน โดยทัวไปเราจะได้ ่ กรดก
ลูตามิคประมาณ 15 กรัมจากโปรตีนประมาณ 50 กรัม และยังได้กลูตาเมตอิสระอีกประมาณ 2
กรัม จากที่กล่าวมาแล้วย่อมจะคิดได้ว่าการเติม MSG ลงไปอาหาร 0.5-1 กรัม ไม่น่าจะจะ
เกิดผลเลวร้ายแต่อย่างใด
ผูท้ ต่ี ่อต้าน MSG บางคนพยายามจะบอกว่ากลูตาเมตธรรมชาตินนั ้ ไม่เป็ นไร แต่ก
ลูต าเมตที่ผ ลิต ขึ้น ไม่เหมือ นกับ ของธรรมชาติ บางทีอ้า งว่า ในการผลิต เขาใส่ก รดเกลือและ
โซดาไฟลงไปด้วยน่ าจะเป็ นอันตราย ผมขอทาความเข้าใจในเรื่องนี้สกั เล็กน้อย การผลิต MSG
เริ่ ม ต้ น ด้ ว ยการเลี้ ย งเชื้ อ Corynebacterium glutamicum ในสารละลายน้ า ตาลที่ อ าจเป็ น
กากน้ าตาลหรือน้ าตาลทีไ่ ด้จากการย่อยแป้ ง แล้วหมักในสภาพทีเ่ กิด MSG มากทีส่ ุด ต่อจากนัน้
ปรับ pH ด้วยกรดเกลือเพื่อให้กลูตาเมตกลายเป็ นกรดกลูตามิคที่ละลายได้น้อยและตกตะกอน
ออกมา นากรดกลูตามิคทีแ่ ยกได้ไปทาปฏิกริ ยิ ากับโซดาไฟในปริมาณทีท่ าปฏิกริ ยิ ากันพอดีแล้ว
ได้โซเดียมกลูตาเมต(MSG)ทีย่ งั ไม่บริสุทธิ ์ นา MSG นัน้ ไปทาให้บริสุทธิ ์ขึน้ และตกผลึก ผลทีไ่ ด้
คือ MSG ที่บริสุทธิ ์ไม่มกี รดเกลือหรือโซดาไฟเจือปนเลยแม้แต่น้อย MSG ที่ได้ก็อยู่ในรูป L-
form ทัง้ หมดเพราะเชือ้ สร้างได้แต่ในแบบธรรมชาติทเ่ี ป็ น L-form จึงเป็ นอย่างเดียวกันกับทีเ่ รา
พบเรากินจากอาหาร นักเคมีสามารถทาสารต่างๆอย่างเดียวกับธรรมชาติขน้ึ ได้ ดังจะเห็นได้
จากวิตามินต่างๆทีเ่ รากินอยูล่ ว้ นเป็ นสารสังเคราะห์ทงั ้ สิน้ นักเคมีสามารถเอาสิง่ เจือปนออกจาก
----------------------------------------------------------------
คาว่า “รสชาติ”ของอาหารถ้าแปลตามตัวอักษรแล้วจะกินความหมายแคบเกินจริง
จนเหลือเพียงรสหรือรสและกลิน่ ถ้าแปลตามความหมายของมันแล้ว “รสชาติ”จะรวมถึงรสทีร่ บั รู้
ด้วยต่อมรับรสด้วยลิน้ +ความรูส้ กึ ทีร่ บั สัมผัสได้ดว้ ยปาก เช่นความกรุบกรอบและเนื้อสัมผัสของ
อาหาร+กลิน่ +“ปั จจัยต่างๆ”อีกหลายอย่างทีร่ วมถึงการรับรูไ้ ด้ดว้ ยประสาทสัมผัสอื่น เช่น ความ
งามของสีสนั ทีร่ บั รูไ้ ด้ดว้ ยตา เสียง เช่น เสียงข้าวโพดคัวที
่ ก่ าลังระเบิดอยูใ่ นไมโครเวฟหรือเสียง
จากกระทะทีเ่ รากาลังผัดทีร่ บั รูไ้ ด้ดว้ ยหู ความรูส้ กึ ทางอารมณ์ เช่นเมื่อเจอของชอบทีแ่ ม่เคยทา
ให้กนิ เมื่อ 60-70 ปี มาแล้ว และความรูส้ กึ ทางจิต เช่นเมื่อพบอาหารในสไตล์ทเ่ี รากาลังสนใจ ถ้า
เป็ นผมในขณะนี้กค็ งเป็ นอาหาร Peranakanสีของพืชผักในอาหารทีส่ ดใสเป็ นปั จจัยสาคัญอย่าง
หนึ่งของความน่ ากิน การทีเ่ ราสามารถรักษาสีของพืชผักเอาไว้ได้หลังจากการปรุงแล้วในหลาย
กรณีมผี ลดีต่อสุขภาพอีกด้วย สารทีใ่ ห้สใี นพืชผักมีอยู่ 4 กลุ่ม คลอโรฟิ ลล์ทใ่ี ห้สเี ขียว แอนโธไซ
ยานินทีใ่ ห้สแี ดงและม่วง แคโรทีนอยด์ทใ่ี ห้สีเหลือง ส้ม แดง และกลุ่มสุดท้ายทีเ่ ป็ นพวกบีเทนที่
ให้สแี ดงและเหลืองซึง่ เป็ นกลุม่ ทีม่ คี วามสาคัญน้อยเพราะมีอยูใ่ นพืชทีท่ าอาหารได้ไม่กช่ี นิด
สีเขียวของพืชมาจากสีของคลอโรฟิ ลล์ a และคลอโรฟิ ลล์ b ทีอ่ ยูใ่ นคลอโรพลาสต์
ที่ เ ป็ นส่ ว นย่ อ ยของเซลซึ่ ง อยู่ ใ นของเหลวภายในเซล โมเลกุ ล ของคลอโรฟิ ลล์ มี ห าง
ไฮโดรคาร์บอน(ไม่ชอบน้ า)ทีย่ าวมาก เมื่อนาพืชผักสีเขียวมาปรุงให้เป็ นอาหารโดยใช้ความร้อน
คลอโรฟิ ลล์จะเกิดการเปลีย่ นทางเคมีได้หลายทาง ในสภาพของการหุงต้ม ความร้อนจะทาลาย
เยื่อหุม้ ของเซลทีร่ วมถึงเยื่อหุม้ คลอโรพลาสต์ดว้ ยนั น้ โมเลกุลของคลอโรฟิ ลล์จะถูกตัดหางยาว
ออกโดยสภาพที่เ ป็ น กรดแม้เ พีย งเล็ก น้ อ ย เช่น สภาพความเป็ น กรดของของเหลวในเซล
นอกจากนี้เอนไซม์คลอโลฟิ ลเลสก็สามารถตัดหางยาวของโมเลกุลของคลอโรฟิ ลล์ท่ที าให้มนั
สามารถยึดติดกับเยือ่ หุม้ คลอโรพลาสต์ได้อกี ด้วย เอนไซม์น้ีออกฤทธิ ์ได้ดที ส่ี ุดทีอ่ ุณหภูมิ 66-77
องศาเซลเซียส คลอโรฟิ ลล์ทถ่ี ูกตัดหางแล้วจะกลายเป็ นสารสีเขียวทีล่ ะลายน้ าได้และซึมออกมา
สัมผัสกับของเหลวในเซลซึ่งเป็ นกรดเล็กน้อยแต่กส็ ามารถเปลีย่ นสารสีเขียวนัน้ ให้กลายเป็ นสาร
-------------------------------------------------
------------------------------------------------------
เมื่อ วัน ที่ 2 สิง หาคม พ.ศ. 2561 นายสนธิร ัต น์ สนธิจ ิร วงศ์ รัฐ มนตรีว่ า การกระทรวง
พาณิชย์แถลงว่า “ ผมจะใช้ตราสัญลักษณ์ Thai Select เป็ นเครือ่ งมือแยกอาหารไทยแท้ออกจากอาหารไทย
ทีร่ สชาติผดิ เพี้ยน. โครงการนี้คาดว่าจะมีรา้ นอาหารไทยในประเทศไทยเข้าร่วมไม่ต่ ากว่า 1000 ร้าน และ
ร้ า น อ า ห า ร ไ ท ย ใ น ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ อี ก ก ว่ า 1,300 ร้ า น . ก า ร ใ ห้ ค ะ แ น น แ บ่ ง อ อ ก เ ป็ น ร ส ช า ติ
อาหาร 30 คะแนน วัตถุดบิ 20 คะแนน สุขอนามัย 20 คะแนน รายการอาหาร 10 คะแนน การตกแต่งและ
บรรยากาศของร้าน 10 คะแนน และการให้บริการ 10 คะแนน รวมเป็ น100 คะแนน. การทดสอบรสชาติจะ
ใช้เครื่องจมูกอิเล็กทรอนิกและเครื่องลิน้ อิเล็กทรอนิก ร้านอาหารไทยในต่างประเทศทีไ่ ด้รบั การประเมินว่า
ผ่ า นด้ ว ยคะแนน 75-89 จะได้ ส ัญ ลั ก ษณ์ Thai Select และหากได้ ค ะแนน 90 คะแนน ขึ้น ไปจะได้
สัญ ลัก ษณ์ Thai Select Premium ซึ่งบ่งชี้ว่าร้า นอาหารนัน้ สามารถปรุงอาหารได้ต ามมาตรฐานอาหาร
ไทย ร้านอาหารในประเทศไทยทีผ่ ่านการประเมินจะได้สญ ั ลักษณ์ Thai Select Unique
หลังจากการแถลงข่าว มีผเู้ ห็นด้วยอยู่บา้ งแต่มผี คู้ ดั ค้านมากพอควรจนเกิดวิวาทกรรมอย่าง
กว้างขวาง. ประเด็นหลักของนักประวัตศิ าสตร์ทเ่ี ห็นค้านหรือสงสัยคือ อาหารไทยแท้มจี ริงหรือ ถ้ามีอาหาร
ไทยแท้กต็ อ้ งมีคนไทยแท้ก่อน แล้วคนไทยแท้มหี รือ และรสอาหารไทยแท้มดี ว้ ยหรือ. เรือ่ งคนไทยแท้มจี ริง
หรือนัน้ ในอดีตเคยมีคนพยายามทาให้มคี นไทยแท้ จอมพลป.พิบลู สงคราม นายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2481-
2487 ๘และพ.ศ. 2491-25004โดยเฉพาะในช่วงแรก มีนโยบายสร้างชาติทม่ี แี นวโน้มไปในทางชาตินิยม ซึง่
ผมคิดว่าเป็ นชาตินิยมเชิงแบ่งแยกระหว่างคนไทยแท้กบั คนไทยที่มเี ชื้อสายต่างชาติท่คี ่อนข้างเน้ นไปใน
ทางการต่อต้านคนไทยเชือ้ สายจีนและคนจีนในประเทศไทย. นักประวัตศิ าสตร์ของรัฐบาลไทยในยุคนัน้ จึง
ประดิษฐ์ประวัตศิ าสตร์เกี่ยวกับที่มาของคนชาติไทยแท้ขน้ึ ใหม่ให้สอดคล้องกับนโยบายโดยเอาข้อความใน
หนังสือทีน่ ่ าจะเรียกว่าวรรณกรรมของขุนวิจติ รมาตรา เรื่องหลักไทยมาใส่ในแบบเรียน. หนังสือเล่มนี้ท่าน
เขียนขึน้ ตามแนวความคิดของหมอสอนศาสนาอเมริกนั ชื่อ William Clifton Dodd ทีว่ ่าคนไทยเป็ นสายพันธุ์
แท้ ผมเข้าโรงเรียนหลังจากจอมพลป.พิบูลสงครามเป็ นนายกรัฐมนตรีแล้ว และเรียนอยู่ในประเทศไทย
เกือบตลอดสมัยการเป็ นนายกรัฐมนตรีของท่าน ผมได้เรียนมาว่าคนไทยเป็ นเชื้อสายบริสุทธิ ์ที่ย้ายมาสู่
ประเทศไทยจากเทือกเขาอัลไตทางเหนือของจีน แต่ผมจาไม่ได้ว่าในบทเรียนบอกว่าเราเป็ นเชือ้ ชาติท่เี กิด
ก่อนจีนตามที่ Dodd กล่าวไว้หรือไม่ เดีย๋ วนี้เรายอมรับกันแล้วว่าส่วนนี้เป็ นประวัตศิ าสตร์ปลอม เพราะ
ตอนนัน้ เทือกเขาอัลไตคงไม่มคี นอยู่เพราะหนาวมากและมีความสูงจากน้ าทะเลถึง 4.5 กิโลเมตร. รัสเซีย
เคยตัง้ สถานี เ รดาร์ท่ีนั น่ ในสมัย สงครามเย็น . ถึง จะมีค นอยู่ ท่ีนั น่ ก็ ค งเดิน ทางผ่ า นทะเลทรายโกบี
แซนด์ว ิช (Sandwich) เป็ น ชื่อ เมือ งในสหราชอาณาจัก รที่เ มื่อ นานมาแล้ว เคยเป็ น ฐาน
ทัพเรือของ King Charles ทีส่ อง ภายใต้การบังคับบัญชาของ Sir Edward Montague ทีไ่ ด้รบั พระราชทาน
บรรดาศัก ดิเ์ ป็ น Earl of Sandwich ที่ห นึ่ ง . ต าแหน่ ง แม่ท ัพ เรือ ที่เ ป็ น Earl of Sandwich ตกทอดอยู่ใ น
ตระกู ล Montague เรื่ อ ยมาจากคนที่ ห นึ่ ง ดั ง กล่ า วจนถึ ง คนที่ 11. Earl of Sandwich ที่ ส่ี ค ื อ John
Montague (1718-92) เป็ นคนที่ ช อบดื่ ม เหล้ า และเล่ น ไพ่ อ ย่ า งมาก. ตอนดึ ก ของคื น หนึ่ ง ในปี ค.ศ.
1762 ขณะที่เขากาลังเมาและมือขึ้นมากในวงไพ่ เขาอยากกินอาหารแต่ไม่อยากหยุดเล่น เขาจึงสังให้ ่
ลูกน้องเอาเนื้อที่ประกบด้วยขนมปั งสองแผ่นมา เพื่อให้เขาจับกินได้โดยที่มอื ไม่เปื้ อนและแล้วแซนด์วชิ อัน
แรกของโลกก็เกิดขึน้ . ต่อมาอาหารแบบนี้เป็ นทีน่ ิยมในวงไพ่เหล่านัน้ และมีพฒ ั นาการมากขึน้ ตามลาดับจน
เป็ นอาหารที่กระจายไปทัวเกาะอั ่ งกฤษและทัวโลกในที
่ ่สุด . แทบทุกประเทศในโลกในปั จจุบนั มีแซนด์วชิ
แบบต่างๆตามความนิยมของประชาชนในประเทศนัน้ นัน้
ในปั จจุบนั แซนด์วชิ โดยทัวไปประกอบด้
่ วยส่วนประกอบสีส่ ่วนดังต่อไปนี้
1. ขนมปั ง. ส่วนนี้มคี วามสาคัญมากทางด้านเนื้อสัมผัส. ในการเลือกชนิดของขนมปั งเราจะต้องนึกถึง
แซนด์วชิ ทีป่ ระกอบเสร็จแล้วร่วมไปด้วย. ขนมปั งทีใ่ ช้อาจเป็ นชนิดใดก็ได้อย่างไม่มขี อ้ จากัด
2. สเปรด (spread). ส่วนนี้เป็ นส่วนที่ใช้ทาขนมปั งที่นอกจากจะทาให้แซนด์วชิ มีรสชาติดแี ล้ว ยัง มี
หน้าทีข่ วางกัน้ น้าจากไส้เพื่อทาให้ขนมปั งไม่แฉะอีกด้วย
3. ไส้ส่วนที่เป็ นอาหารโปรตีน . ส่วนนี้มคี วามสาคัญทางด้านรสชาติและโดยทัวไปเป็ ่ นอาหารที่ทามา
จากเนื้อสัตว์ เช่นแฮม เบคอน ไส้กรอก และอาจเป็ นเนยแข็ง และอื่นๆได้ดว้ ย
4. ไส้ส่วนที่เป็ นผัก. ส่วนนี้เป็ นเสมือนดาราตัวประกอบที่มาเพิม่ เนื้อสัมผัสและให้ความแตกต่างของ
รสชาติ แก่ไส้ส่วนทีเ่ ป็ นอาหารโปรตีน ส่วนนี้อาจเป็ นผักสดหรือผักดองหรือทัง้ สองอย่าง
แซนด์วชิ เวียดนามหรือบั ๋นหมี่ (banh mi) ที่แปลตามตัวอักษรได้ว่าขนมปั งแป้ งสาลีนัน้ มี
รสชาติโดดเด่นกว่าแซนด์วชิ ของฝรังชนิ ่ ดต่างๆ และเคยได้รบั คาชมเชยจากฝรังว่ ่ าเป็ นแซนด์วชิ ทีอ่ ร่อยทีส่ ุด
ในโลก. บั ๋นหมีเ่ ริม่ ต้นขึน้ ในไซ่งอ่ นจากฝีมอื ของ Mr.และMrs, Le ชาวเวียดนามเหนือทีอ่ พยพเข้ามาที่นัน่ ใน
ปี ค .ศ. 1954 และแพร่ห ลายในเวียดนามใต้ ต่ อ มาแซนด์ว ิชชนิดนี้ก็แพร่หลายไปสู่ประเทศต่ างๆ และ
แพร่หลายมากขึน้ หลังจากไซ่ง่อนแตกในปี ค .ศ. 1975 ซึ่งชาวเวียดนามอพยพไปอยู่ในประเทศต่างๆอย่าง
กว้างขวาง. บั ๋นหมีม่ สี ่วนประกอบดังต่อไปนี้
โดยทัวไปนั
่ กวิทยาศาสตร์และแพทย์จะไม่แนะนาเรือ่ งอาหารและสุขภาพเมือ่ ยังไม่มหี ลักฐาน
ที่แน่ นอนเพียงพอ แต่โชคร้ายที่ไม่เป็ นเช่นนัน้ ในกรณีของคาแนะนาและนโยบายด้านไขมัน . ตลอดเวลา
ห ล า ย สิ บ ปี ที่ ผ่ า น ม า น โ ย บ า ย ด้ า น ไ ข มั น ยึ ด ส ม มุ ติ ฐ า น Diet-Heart ข อ ง Dr. Ancel Keys แ ห่ ง
มหาวิทยาลัย Minnesota ทีว่ ่าการกินไขมันอิม่ ตัว ทาให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูง โคเลสเตอรอลในเลือดสูง
ทาให้เกิดโรคหัวใจ เพราะฉะนัน้ การกินไขมันอิม่ ตัวจะทาให้เป็ นโรคหัวใจ ซึง่ เดีย๋ วนี้เรารูแ้ ล้วว่าไม่เป็ นความ
จริง. Dr.Keysมีงานสารวจที่สนับสนุ นสมมุติฐาน ที่เรียกว่า“การศึกษาเจ็ดประเทศ“อันอึ้อฉาวของท่านมา
สนับสนุ นสมมุติฐานนี้ ความจริงท่านศึกษา 22 ประเทศแต่ประเทศที่มผี ลตรงกับสมมุติฐานมีเพียงเจ็ด
ประเทศ ท่านเลยตัดประเทศทีม่ ผี ลไม่ตรงกับสมมุตฐิ านของท่านออกไปหมด. ก่อนหน้านัน้ งานวิจยั ทีไ่ ม่ตรง
กับสมมุตฐิ านนี้กม็ อี ยู่แต่ถูกมองข้ามไป เช่น ผลงานจากสามกลุ่มทีศ่ กึ ษาการกินอาหารและสุขภาพของชาว
เอสกิโมทางเหนือของแคนาดา ชาวแอฟริกาเผ่ามาไซ และชาวแอฟริกาเผ่าแซมบูรู ทีก่ นิ ไขมันสัตว์มากถึง
ขนาดที่ไ ด้ พ ลัง งานจากไขมัน สัต ว์ 60 ถึง 80% ตลอดทัง้ ปี แต่ ก ลับ ไม่ อ้ ว นและมีสุ ข ภาพดีแ ละไม่ ม ี
โรคหัวใจ ถ้าสมมุตฐิ านนัน้ เป็ นความจริงผูค้ นดังกล่าวคงเป็ นโรคหัวใจสูญพันธุไ์ ปนานแล้ว
ในช่ว งปี ค .ศ. 1968 ถึงค.ศ. 1973 คณะนักวิจยั แห่งมหาวิทยาลัย Minnesota ดาเนินการ
ทดลองขนาดใหญ่ก ับคนประมาณ 10,000 คนที่ส ามารถควบคุมอาหารให้เป็ นไปตามแบบแผนของการ
ทดลองได้เป็ นอย่างดี ที่เรียกว่าMinnesota Coronary Experiment เพื่อพยายามยืนยันสมมุติฐานของ Dr.
Keys โดยใช้อาหารทีค่ ดิ ว่าน่ าจะดีต่อสุขภาพทีล่ ดไขมันอิม่ ตัวลงครึง่ หนึ่งและทดแทนส่วนทีล่ ดไปด้วยน้ ามัน
พืชเทียบกับอาหารที่มไี ขมันอิม่ ตัวแบบเดิม . มีรายงานความก้าวหน้าในระยะแรกเล็กน้อยว่าเมื่อใช้น้ ามัน
พืชทดแทนลดโคเลสเตอรอลได้ 14% แต่รายงานฉบับสมบูรณ์ไม่ได้รบั การตีพมิ พ์จนกระทังนั ่ กวิจยั หลัก
ตายไปหมดแล้วจึงได้พมิ พ์เมื่อค.ศ. 2016 นัน่ คือหลังจากสิน้ สุดการทดลอง 43 ปี ผลการทดลองไม่ตรงกับ
สมมุติฐานของDr.Keys เพราะได้พบว่าไขมันอิ่มตัวไม่มผี ลต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด การทดแทนด้วย
น้ามันพืชก็ไม่ได้ทาให้หวั ใจและหลอดเลือดดีขน้ึ แต่กลับทาให้มอี ตั ราการตายจากโรคหัวใจ จากโรคหัวใจและ
หลอดเลือ ด และจากโรคอื่นๆสูงกว่ากลุ่ มที่กินไขมันอิ่มตัว ซึ่งท่านจะเข้าใจได้เ มื่อ ได้อ่ านส่ ว นท้ายของ
เอกสารนี้
ท่านอาจสงสัยว่าเมื่อเป็ นเช่นนี้แล้วทาไมนักโภชนาการยังปรักปราไขมันอิม่ ตัวว่าเป็ นศัตรู
ตัว ร้า ยของหัว ใจตามDr.Keys. การที่เ ป็ น เช่ น นี้ อ าจเป็ น เพราะDr.Keys แสดงปาฏิห าริย์ห ลายอย่างให้
อาหารจีน ยุค ปฏิว ัติว ัฒ นธรรมในที่น้ี ห มายถึง อาหารจีน ยุค ปฏิว ัติว ัฒ นธรรมให้เ ป็ น ชน
กรรมาชีพของท่านประธานเหมาเจ๋อตง (เมาเซตุง) ที่ปิดมหาวิทยาลัยเพื่อส่งผู้มกี ารศึกษาและชาวเมืองที่
มักจะมีการศึกษาประมาณ 17ล้านคนไปให้ชนการมาชีพในชนบทสอนให้ทางาน. ผูใ้ หญ่มกั ถูกส่งไปทางาน
และเรียนรูใ้ นคอมมูนในชนบทและเด็กถูกส่งไปอยูก่ บั ครอบครัวชนบทในหมู่บา้ นเล็กๆ ระบบนี้เริม่ ต้นในปี
ค.ศ. 1966. ในระบบนี้แต่ละคนในคอมมูนไม่ได้รบั อนุ ญาตให้ปรุงอาหารทุกคนต้องกินอาหารจากโรงครัวที่
ปรุงโดยพ่อครัวของคอมมูนและผูช้ ่วยเท่านัน้ ส่วนเด็กๆทีถ่ ูกส่งไปทางานและเรียนรูช้ วี ติ ชนบทได้รบั การ
สังสอนให้
่ ปรุงอาหารแบบตามมีตามเกิดอยู่กบั ครอบครัวเหล่านัน้ ด้วย. ยุคนัน้ ต่อจากยุคปฏิวตั อิ ุตสาหกรรม
ทีเ่ รียกกันว่า The great leap forward และการใช้ระบบคอมมูนทีเ่ ริม่ ต้นในปี ค.ศ. 1958 ทีท่ าให้คนอดตายไป
ประมาณ 40ล้านคนอันเป็ นผลจากนโยบายแต่รฐั บาลไปโทษดินฟ้ าอากาศ. ในยุคปฏิวตั วิ ฒ ั นธรรมนี้ถ้าจะ
มองต่างมุมก็อาจเห็นข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือ เชฟจีนที่มฝี ี มอื จะหาทางทาอาหารในคอมมูนให้อร่อยได้จาก
อาหารปั นส่วนร่วมกับพืชผักในท้องถิน่ เท่าทีจ่ ะหาได้ โดยทีม่ เี นื้อสัตว์จากัดเพราะต้องเลีย้ งสัตว์จานวนน้อย
เพื่อไม่ให้แย่งอาหารคน. ตามข้อกาหนดของท่านประธานเหมานัน้ อาหารจีนแบบมาตรฐานที่มเี ครื่องปรุง
หลายอย่างหรือมีวธิ กี ารปรุงทีซ่ บั ซ้อนใช้ไม่ได้เพราะเป็ นอาหารของพวกทุนนิยม. เท่าทีผ่ มเคยอ่านและลอง
ทาดูบา้ งนัน้ ผมมีความเห็นว่าอาหารจีนยุคปฏิว ัตวิ ฒ ั นธรรมเป็ นอาหารทีท่ าง่าย ใช้เครื่องปรุงน้อยชนิด ดีต่อ
สุขภาพ และรสชาติดี โดยเฉพาะอย่างยิง่ ถ้าทาแบบอาหารของมณฑลหูหนานซึ่งเป็ นบ้านเกิดของท่า น
ประธานเหมา. อาหารของมณฑลนี้จะถูกปากคนไทยทัง้ ทางด้านรสชาติทวไปและความเผ็ ั่ ด . พ่อครัวและ
แพทย์ประจาตัวของท่านประธานเหมากล่าวว่าท่านชอบอาหารชาวบ้านของหูหนานที่มรี สเผ็ด และไม่ชอบ
อาหาหรูหราของชาวเมืองเพราะท่านถือว่าเป็ นอาหารของพวกนายทุน . อาหารทีท่ ่านชอบมากอย่างยิง่ คือ
หมูตุ๋นน้าแดงทีม่ รี สเผ็ดซึง่ เดีย๋ วนี้เรียกกันว่าหมูตุ๋นน้าแดงของเหมา
ในยุคนัน้ เด็กๆทีพ่ ลัดพรากจากครอบครัวไปอยูก่ บั ชาวบ้านในหมูบ่ า้ นเล็กๆได้รบั การสอนให้
รูจ้ กั ทีม่ าของพืชอาหารและพืชผักพืน้ บ้านทีม่ รี สชาติดแี ละเป็ นยาสมุนไพรด้วย. ชาวบ้านสอนให้เด็กรูจ้ กั การ
ถนอมอาหารเพื่อให้มกี นิ ตลอดปี และสอนให้ประหยัดอย่างทีส่ ุดจนแทบจะไม่มอี ะไรเหลือทิง้ เลย. ทางด้าน
การปรุงอาหาร เด็กได้เรียนรูก้ ารปรุงอาหารแบบชาวชนบททีเ่ ป็ นอาหารทีป่ รุงได้ง่ายจากอาหารปั นส่วนและ
พืชผักพืน้ บ้านทีเ่ ป็ นอาหารประจาของชาวชนบท ทีม่ ผี กั เป็ นส่วนประกอบมาก.
หลังจากท่านประธานเหมาเสียชีวติ ในเดือนกันยายนค.ศ. 1976 และ gang of four ถูกจับไม่
ถึงเดือน เติง้ เสีย่ วผิงก็กลับเข้าสู่อานาจ การปฏิวตั วิ ฒ ั นธรรมให้เป็ นชนกรรมาชีพก็สน้ิ สุดลง. ชาวเมืองได้รบั
ในรายการสัมภาษณ์รฐั มนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของคณะรัฐมนตรีชุด
ใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ผมฟั งแล้วมีความรู้สกึ ว่าท่านมีความโน้ มเอี่ยงไปทางเกษตรอินทรีย์และภูม ิปัญ ญา
ชาวบ้านค่อนข้างมาก. ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศอย่างมันใจว่ ่ าภายในปี
พ.ศ. 2570 การเกษตรในประเทศไทยจะเป็ นเกษตรอินทรีย์ 60% และเกษตรกรไทยจะเลิกจน ในปั จจุบนั นี้
มีความพยายามที่จะทาให้สงั คมรูส้ กึ ว่าอาหารอินทรียม์ ผี ลต่อสุขภาพเหนือกว่าอาหารไม่อนิ ทรียเ์ ป็ นอย่าง
มาก แต่หลักฐานทางวิชาการมิได้เป็ นเช่นนัน้ . ยิง่ เมื่อพิจารณาทางด้านปริมาณอาหารที่จะผลิตให้ได้มาก
พอที่จะเลี้ยงประชากรและข้อจากัดในการผลิตด้วยแล้ว ข้อดีของเกษตรอินทรียย์ งั เป็ นที่น่าสงสัย เกษตร
อินทรียท์ ุกวันนี้มไิ ด้เป็ นเพียงความพยายามที่จะผลิตผลผลิตทางการเกษตรในแบบที่ คุณทวดของคุณทวด
เคยทาเท่านัน้ แต่มนั เป็ นมโนคติ อุดมการณ์ หรือลัทธิทม่ี แี นวคิดว่าต้องไม่ใช้สารเคมีอย่างเด็ดขาด เพราะ
สารเคมีเ ป็ นสิ่ง ชัว่ ร้า ยไม่ ว่ า กรณี ใ ดใดโดยไม่ ต้ อ งค านึ ง ถึง หลัก การหรือ ความจริง ทางวิท ยาศาสตร์
เลย. ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์จะพร่าบอกว่าสารทุกชนิดในโลกเป็ นสารเคมี พืช สัตว์ และสิง่ ทีม่ ชี วี ติ ทัง้ หลาย
ทาปฏิกิรยิ าเคมีมากมายหลายอย่างเพื่อการดารงอยู่และการเจริญเติบโต ก็ไม่ได้รบั ความสนใจจากนัก
เกษตรอินทรีย์ เพียงแค่บอกว่าปุ๋ ยเป็ นธาตุอาหารพืชและไม่ได้เป็ นพิษภัยต่อร่างกายเหมือนสารกาจัด
ศัตรูพชื เท่านัน้ ก็ไม่ยอมรับกันแล้ว. วัสดุอนิ ทรียใ์ นประเทศไทยไม่มที างจะเพียงพอสาหรับทาปุ๋ ยอินทรีย์
อย่างแน่นอน
อะไรทาให้อาหารเป็ น”อาหารอินทรีย”์ . เราอาจให้คานิยามทีอ่ งิ ความต้องการดัง้ เดิมได้ว่า
อาหารอินทรียค์ อื อาหารที่ผลิตขึน้ ในท้องที่โดยเกษตรกรรายย่อยผู้ท่ไี ม่ใ ช้สารกาจัดศัตรูพชื สารฆ่าวัชพืช
สารปฏิชวี นะ ปุ๋ ยเคมี หรือการดัดแปลงพันธุกรรมในการปลูกเลีย้ งพืชผักผลไม้และการเลีย้ งสัตว์ ในขณะที่
เทคโนโลยีทางการเกษตรยังไม่ซบั ซ้อ นเท่ากับในปั จจุบนั ค านิยามข้างบนก็พอที่จะครอบคลุ มได้ แต่
ในขณะนี้ ผ มคงต้อ งขอให้ท่ า นดูค วามหมายของค าว่า อาหารอิน ทรีย์ (จากพืช ) โดยละเอีย ดจากระบบ
มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ 19-กรมส่งเสริมการเกษตร เอกสารคาแนะนาที่ 5/2559 ซึง่ เป็ นเอกสาร 36 หน้าที่
ตีพมิ พ์ดว้ ยอักษรขนาดใหญ่ อ่านง่าย จัดหมวดหมูอ่ ย่างดี และครอบคลุมด้านต่างๆค่อนข้างสมบูรณ์ทางด้าน
การปลูกพืช เสียอยู่อย่างเดียวตรงทีป่ รักปราพืชผักไฮโดรโพนิกส์ไว้อย่างโหดร้ายมาก. ข้อกาหนดทางด้าน
สัตว์จากกรมปศุสตั ว์ยงั เบือ้ งต้นมากเมือ่ เทียบกับข้อกาหนดของสหรัฐอเมริกาและยุโรป ดังนัน้ จะไม่กล่าวถึง
ทางด้านผลิตภัณท์สตั ว์
อาหารพาลีโ อ หรือ เพลีโ อ (อเมริกัน ) นั ้น เรีย กได้ อีก หลายอย่ า งเช่ น อาหารพาลีโ อ
ลิธคิ (Paleolithic Diet). อาหารมนุ ษย์ถ้า. หรืออาหารยุคหินเป็ นต้น. อาหารแบบนี้มาจากจินตนาการของผู้
ริเริม่ ลัทธิทต่ี งั ้ สมมุตฐิ านว่ามนุ ษย์ในยุคพาลีโอลิธคิ ทีอ่ ยู่ในช่วง 2.6 ล้านปี ถงึ 10,000 ปี มาแล้วกินอาหารที่
ได้จากการล่าสัตว์และการเก็บของป่ าเท่านัน้ เพราะการเกษตรยังไม่ได้เริม่ ต้น . เขาจินตนาการต่อไปว่า
มนุ ษย์เราเริม่ เจ็บป่ วยหลังจากมีการทาการเกษตรเพราะอาหารวิวฒ ั นาการรวดเร็วมาก ส่วนยีนของคน
วิวฒั นาการช้าอย่างตามไม่ทนั . ยืนของเรายังเป็ นยีนคนยุคหินจึงต้องกินอาหารยุคหินจึงจะเหมาะ. เขา
จินตนาการต่อไปอีกด้วยว่าในยุคนัน้ ตอนเช้าพ่อบ้านรูปร่างกายาล่ าสันมีซกิ ซ์แพค นุ่ งผ้าเตี่ยวหนังสัตว์ถอื
ขวานหินและหอกหินด้ามไม้อ อกไปล่ าสัตว์อ ย่างกล้าหาญ แม่บ้านก็เ ข้าป่ าไปหาผลเบอร์ร่แี ละพืชที่กิน
ได้ พอถึงเวลาบ่ายพ่ อ บ้านกลับมาพร้อ มกับสัตว์ท่ลี ่าได้ แม่บ้านก็แต่ งชุดบีกินนี่หนังสัตว์ชุดเก่ งจูงลูก
ออกมาต้อนรับพ่อบ้านผูก้ ล้าหาญ แล้วไปย่างเนื้อสัตว์ชน้ิ ใหญ่กว่าขาหมูเยอรมันแทะกินเป็ นอาหาร
เมื่อเขาคิดตามกิจวัตรประจาวันของมนุ ษย์พาลีโอลิธคิ ในจินตนาการแล้ว เขาก็สามารถคิด
อาหารออกมาได้ว่า” อาหารพาลีโอประกอบด้วยอาหารสมัยใหม่ทก่ี นิ กันอยู่ทุกวันนี้ทล่ี อ้ เลียนกลุ่มอาหารที่
บรรพบุรุษเรากินในยุคก่อนทีจ่ ะมีการทาการเกษตร “. เมื่อเป็ นเช่นนี้กห็ มายความว่าเขาจะกินเนื้อแดงและ
เครื่อ งในปริม าณมาก ปลาและอาหารทะเลที่ไ ม่ ไ ด้ ม าจากการเลี้ย ง ผลไม้ ผัก ไข่ น้ ท ต่ า งๆ เมล็ด
พืช และ นาุ้มนั บางชนิด. สิง่ ที่ต้องงดอย่างเด็ดขาดคือธัญพืช ( อาหารปี ศาจ ).. นอกจากนี้ยงั ต้องงด
ถัว่ นมและผลิตภัณฑ์นม น้ าตาล มันฝรัง่ อาหารทีผ่ ่านกรรมวิธ ี เกลือ และน้ ามันที่ทาให้สะอาดแล้ว เพราะ
อาหารเหล่านี้ไม่มใี นยุคหิน
ทีจ่ ริงแล้วนักโบราณคดีเชิงวิทยาศาสตร์ทงั ้ หลายได้พสิ ูจน์แล้วว่าจินตนาการทางด้านอาหาร
ของมนุ ษย์ยุคหินและวิวฒ ั นาการของยีนซึ่งเป็ นที่มาของอาหารพาลีโอนัน้ ผิดทัง้ หมด. เราอาจหาดูได้จาก
แหล่ ง ต่ า งๆ เฉพาะอย่ า งยิ่ง ดู จ าก TED Talk ใน YouTube เรื่อ ง Debunking the Paleo Diet โดย Dr.
Christina Warinner. ตามความเป็ น จริง แล้ว มนุ ษ ย์เ ป็ น สัต ว์ท่ีกิน พืช เป็ น หลัก เมื่อ ดู จ ากลัก ษณะของ
ฟั น ความยาวของลาไส้ ฯลฯ. หลักฐานจากมัมมีแ่ สดงให้เห็นว่ามนุษย์ในยุคหินก็กนิ ธัญพืช และอาหารของ
มนุ ษย์ยุคหินแตกต่างกันไปในแต่ละแหล่ง หลายแหล่งไม่มเี นื้อสัตว์มากนัก . หลักฐานทางโบราณคดีแสดง
ให้เห็นว่ามนุ ษย์กินธัญพืชมากว่า 3 ถึง 4 ล้านปี แล้ว . นักวิทยาศาสตร์ทางด้านวิวฒ ั นาการเชื่อว่ามนุ ษย์
สามารถปรับตัวทางพันธุกรรมให้เข้ากับอาหารจากการเกษตรได้โดยใช้เวลาไม่ถงึ 10,000 ปี หลักฐานที่
น่าตกใจอีกอย่างหนึ่งก็คอื อายุขยั โดยเฉลีย่ ของมนุษย์ยคุ หินสัน้ เพียงประมาณ 25 ปี เท่านัน้
อาหารด่าง ที่เ รียกกันว่า alkaline diet หรือ alkaline ash diet นัน้ เป็ นอาหารของลัทธิกิน
อาหารลวงโลกทีช่ กั จะได้รบั ความนิยมในหมู่ดาราและลุกลามมาสู่ผคู้ นทัวไปที ่ ร่ วมถึงคนไทยด้วย. อาจารย์
ใหญ่ ข องลัท ธิน้ี ค ื อ Dr.Robert O. Young ซึ่ ง จะได้ เ ปิ ดเผยในภายหลัง ว่ า เขาคื อ ใคร . เขาอ้ า งหลัก
วิท ยาศาสตร์ล วงโลกระดับ สุ ด ขัว้ ที่ผ มอยากจะเรีย กว่ า วิท ยาศาสตร์ซุ ป เปอร์บุ ล ชิต ว่ า เขาสามารถ
เปลีย่ นแปลงpH ของเลือดให้เป็ นด่างเพิม่ ขึน้ ได้ดว้ ยการเลือกกินแต่อาหารทีส่ ร้างด่าง เมื่อทาเช่นนี้แล้วจะมี
สุขภาพดีเลิศ จะไม่เป็ นโรคอะไรเลย และถ้าเป็ นโรคมาก่อนก็รกั ษาได้หมดทุกโรค ตัง้ แต่โรคเบาหวานยัน
โรคมะเร็ง ตัง้ แต่โรคปวดศรีษะไมเกรนยันโรคจิต. เป็ นอะไรบอกมารักษาได้หมด
pH เป็ นค่าทีแ่ สดงความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออนในสารละลาย ซึง่ แสดงความเป็ นกรด
เป็ นด่าง. ค่าpHจะอยูใ่ นช่วงตัง้ แต่ 0 ถึง 14 โดยทีม่ จี ดุ เป็ นกลางอยูท่ ่7ี . ค่าpHทีต่ ่ากว่า 7 จะเป็ นกรด ยิง่ ต่ า
มากขึน้ ก็จะยิง่ มีความเป็ นกรดมากขึ้น . ค่าpHที่สูงกว่า 7 จะเป็ นด่าง ยิง่ สูงมากขึน้ ก็จะยิง่ มีความเป็ นด่าง
มากขึน้ . เนื่องจากคุณYoung (ขอเรียกว่าคุณ) เป็ นนักจับแพะชนแกะ เขาเลยนางานที่มคี นเคยทาไว้เมื่อ
100 กว่าปี มาแล้ว ทีพ่ บว่าเมื่อนาเถ้าทีไ่ ด้จากการเผาอาหารชนิดต่างๆในแคลอรีมเิ ตอร์มาละลายน้ าแล้ววัด
pH จะได้ค่าต่างๆกันมาใช้ เป็ นแพะ เขาคิดเอาเองว่าอาหารพวกทีม่ เี ถัาเป็ นด่าง นัน้ เมื่อเรากินเข้าไปแล้ว
จะทาให้เลือดเป็ นด่าง. ต่อจากนัน้ เขาก็สร้างสมมุตฐิ านเพิม่ เติมอีกเล็กน้อยและแบ่งอาหารออกเป็ นสองพวก
คือ อาหารทีท่ าให้เกิดกรดซึง่ ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์นม เนื้อสัตว์ ปลา ไข่ ธัญพืชทีร่ วมถึงข้าวและข้าวสาลี
(เดือ ดร้อ นทัง้ ไทยและฝรัง่ ) มัน ฝรัง่ น้ า ตาล กาแฟ กล้ว ย เชอรี่ น้ า มัน ไขมัน เมล็ด พืช และนั ท เกือ บ
ทัง้ หมด และอาหารที่ท าให้เ กิด ด่ า ง ซึ่ง ได้แ ก่ พืช ผัก ผลไม้ส่ ว นใหญ่ ยกเว้น แครนเบอร์ร่ลี ูก พรุ น และ
พลัม. ถ้าดูผวิ เผินก็คล้ายกับว่าดีเพราะส่งเสริมการกินผักผลไม้ เขาอ้างอิงไปในทางลดน้ าหนักด้วยจนได้
สาวกทีเ่ ป็ นดาราหนังทีม่ ชี ่อื เสียงหลายคนและได้ซุปเปอร์โมเดลทีพ่ กกระดาษวัด pHไว้ตรวจปั สสาวะอยู่เสมอ
อีก ด้ว ย. นอกจากนี้ ย งั ได้เ ชฟ Natasha Corrett นัก เขีย นคุ ก บุ๊ ค ที่เ ขีย นหนังสือ Alkaline Cleanse และ
หนังสือ ที่ข้นึ ต้นชื่อ ด้ว ยค าว่า Honestly Healthy อีกสี่เ ล่ มมาเป็ นสาวกเอก. Gwyneth Paltrow ที่เ ป็ นทัง้
ดาราและนักเขียนคุกบุ๊คในแนว Clean Eating ที่เป็ นวิทยาศาสตร์บุลชิตแขนงหนึ่งที่ผมจะเขียนในโอกาส
หน้าก็เป็ นสาวกคนสาคัญด้วย
ผมอาจเขียนค่อนข้างแรงเพราะความเป็ นห่วงทัง้ ที่ผมเองก็เติบโตมาแบบเด็กไทยที่ได้รบั
การสังสอนว่
่ า “ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ “ ปล่อยเขาไปเถอะ. เมื่อผมมีอายุมากขึน้ จึงได้รวู้ ่ามันมีสองวรรค นัน่
คือ “ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่รอู้ ย่างมงาย “. ผมทราบดีด้วยว่าความไม่เชื่อของผมก็เป็ นความเชื่ออย่างหนึ่ง
ความเผ็ดของพริกที่เราชอบแข่งขันกันอยู่ในขณะนี้เราวัดกันด้วยหน่ วยความเผ็ดของสโค
วิล(Scoville Heat Unit, SHU) ที่วธิ กี ารวัดได้รบั การคิดค้นขึ้นมาโดยเภสัชกร Wilbur Scoville. วิธกี ารวัด
แบบดัง้ เดิมอาศัยการรับรูด้ ว้ ยการชิมหลังจากทาให้เจือจางลงไปตามลาดับด้วยน้ าผสมน้ าตาล. ในปั จจุบนั นี้
วิธกี ารดังกล่าวถูกทดแทนด้วยการวิเคราะห์หาปริมาณแคปไซซินและแคปไซซินอยด์ต่างๆที่ให้ความเผ็ด
โดยวิธHี PLC (High Performance Liquid Chromatography) แล้ว นาผลการวิเคราะห์ออกมาคานวณให้เป็ น
SHU. เพื่อให้ท่านประมาณความสัมพันธ์ของSHU กับความรูส้ กึ เผ็ดได้ ผมขอให้ตวั เลขความเผ็ดของพริก
ไว้ดงั นี้ ในปี พ.ศ. 2547 ความเผ็ดของพริกชี้ฟ้าอยู่ท่ปี ระมาณ7,500 - 16,000 SHU ของพริกขี้หนู อ ยู่ท่ี
ประมาณ 20,000 - 26,000 SHU. ในปั จจุบนั พริกชีฟ้ ้ าอยู่ทป่ี ระมาณ 5,000 - 30,000 SHU พริกขีห้ นูอยู่ท่ี
ประมาณ 50,000 - 100,000 SHU และพริกขี้หนู ส วนอยู่ท่ปี ระมาณ 100,000 - 220,000 SHU. เชฟบาง
ท่านบอกว่า เดีย๋ วนี้พริกชีฟ้ ้ าอยูท่ ่ี 50,000 SHU และพริกขีห้ นูอยูท่ ่ี 350,000 SHUแล้ว
การเอาพริกทีเ่ ผ็ดมากเป็ นพิเศษมาประกวดประขันกันเพื่อให้ช่อื เจ้าของได้อยู่ในGuinness
World Records มีม านานแล้ ว . การแข่ ง ขัน เริ่ม เข้ ม ข้ น ขึ้น ตั ง้ แต่ พ ริก Bhut Jolokia ของอิ น เดี ย ขึ้ น
ถึง 1,000,000 SHU และเป็ นที่หนึ่งในโลก พริกนี้เป็ นพริกลูกผสมของอินเดียที่เข้ามาในประเทศไทยเมื่อ
นานมาแล้วและปลูกกันอยู่บ้างทางลพบุร ี รุ่นนัน้ มีความเผ็ดประมาณ 800,000 SHU ที่เรียกกันว่าพริกผี
บ้างพริกพิโรธบ้าง. สถิตนิ นั ้ อยู่ได้ไม่นานก็มคี นหาพริกอื่นมาโค่นเรื่อยมาตามลาดับ . สถิตโิ ลกในปั จจุบนั
เป็ นของพริก ชื่อ Carolina Reaper ซึ่ง เป็ นพริก ชนิ ด ที่ส องที่ผ่ า นเส้ น 2,000,000 SHU ขึ้น มาได้ ด้ ว ย
ตัวเลข 2,200,000 SHU. ขณะนี้ Nottingham Trent University เสนอพริก Dragon’s Breath ที่เขาบอกว่า
มีความเผ็ด 2,400,000 SHU ไปให้ Guinness World Records พิจารณายืนยันแล้ว. ทางเจ้าของCarolina
Reaper คุยว่าเขาเตรียม Pepper X ทีจ่ ะตัง้ ชื่อใหม่ภายหลังที่มคี วามเผ็ด 3,180,000 SHU เอาไว้สู้ พริก
พวกนี้นอกจากมีไว้คุยอวดกัน มีไว้ทาอาวุธชีวภาพสลายฝูงชนเลียนแบบรัฐบาลอินเดีย และเอาไว้แต่งซอส
ในโรงงานเพิม่ ความเผ็ดให้ถงึ ระดับทีต่ ้องการแล้ว พริกกลุ่มนี้คงจะใช้ทาอย่างอื่นไม่ได้ แถมยังเป็ นอันตราย
ต่อตัวเราและสัตว์เลีย้ งอีกด้วย ผมเคยต้องตัดใจยกทัง้ กระถางใส่ถุงขยะมาแล้ว
ทางด้านอาหารไทยนัน้ บรรพบุรุษของเราในสมัยที่”พริกเทศ”ยังมาไม่ถงึ เมืองไทย ท่านก็
ชอบกินอาหารทีม่ คี วามเผ็ดร้อนจากดีปลี มะแขว่น กานพลู และพริกไทยอยูแ่ ล้ว. เมื่อชาวโปรตุเกสนาพริก
เทศและศาสนาคริสต์มาสู่ประเทศไทย คนไทยกินยอมรับพริกเทศอย่างรวดเร็วกว่าศาสนาเป็ นอันมาก. คน
ไทยรูส้ กึ ว่าพริกเทศมีรสชาติสะใจกว่าพริกไทยเสียอีก และเมื่อคุ้นเคยกับพริกเทศมากขึน้ เลยตัดคาว่าเทศ
ขอขอบคุ ณ รศ.ดร.จิร ะเดช แจ่ม สว่ า ง. ดร.สิร ิกุ ล วะสี และ รศ.ดร.จุล ภาค คุ้น วงศ์ ที่
เอือ้ เฟื้ อส่งเมล็ดพริกไม่เผ็ดและพริกเผ็ดน้อยหลายสายพันธุม์ าให้ผมปลูกทีบ่ า้ น
การผลิตอาหารโปรตีนจากสัตว์เพื่อเลี้ยงประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นให้เพียงพอนั้นเป็นความท้าทายอย่าง
สูง โปรตีนจากสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ปลา นมและผลิตภัณฑ์นม และไข่ เป็นต้น ยังถือว่าเป็นสิ่งจาเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหรับเด็ก หญิงมีครรภ์ คนแก่ แม้ว่าบางท่านอาจเห็นว่าเราสามารถกินอาหารมังสวิรัติได้ก็
ตาม แต่เราสามารถทาให้อาหารของคนทุกเพศทุกวัยสมบูรณ์และสมดุลย์ขึ้นได้โดยง่ายถ้ามีโปรตีนจากสัตว์ร่วมไป
ด้วย อย่างไรก็ตามการผลิตอาหารโปรตีนจากสัตว์ที่ใช้กันมากในปัจจุบันต้องใช้ทรัพยากรที่มีจากัดทางด้านที่ดิน
และน้าจืดเป็นอย่างมาก จนมีผลกระทบอย่างสูงต่อสิ่งแวดล้อมของโลก ในการปลูกพืชอาหารสัตว์ใช้น้าจืดของโลก
ประมาณ 20 ถึง 33% และใช้เนื้อที่แผ่นดินของโลกประมาณหนึ่งในสามเมื่อคิดจากเนื้อที่ส่วนที่ไม่มีน้าแข็งปก
คลุม การผลิตสัตว์ทาให้สัตว์ธรรมชาติต่างๆสูญพันธุ์ไปเป็นจานวนมาก เนื่องจากการถางป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่การเลี้ยง
สัตว์ทาลายถิ่นที่อยู่ของสัตว์ต่างๆเหล่านั้น นอกจากนี้การผลิตอาหารโปรตีนจากสัตว์ที่นิยมกินกันในปัจจุบัน
ปล่ อ ยแก๊ ส เรื อ นกระจกออกสู่ บ รรยากาศอย่ า งมากมาย โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง สั ต ว์ เ คี้ ย วเอื้ อ ง เช่ น
วั ว ควาย แพะ แกะ เพราะสั ต ว์ เ คี้ ย วเอื้ อ งทั้ ง หลายปล่ อ ยแก๊ ส มี เ ทนออกทั้ ง ทาง ปาก (90%) และทาง
บั้นท้าย (10%) แก๊สมีเทนเป็นแก๊สเรือนกระจกที่มีผลเป็น 25 เท่าของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ การปล่อยแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นได้ทั้งในช่วงเลี้ยงสัตว์และในช่วงการดาเนินการกับมูลสัตว์ จากมูลสัตว์นั้นจะมีการ
ปล่อยทั้งแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สมี เทนแม้จะเป็นมูลสัตว์กระเพาะเดี๋ยวก็ตาม อาจสรุปได้ว่าสัตว์เลี้ยง
ปล่อยแก๊สเรือนกระจกมาก วัวอย่างเดียวปล่อยแก๊ส มีเทนออกสู่บรรยากาศวันละ 570 ล้านลูกบาศก์เมตรซึ่ง
นับเป็น 35 ถึง 40% ของการปล่อยแก๊สมีเทนออกของทั้งโลกนี้ การเลี้ยงสัตว์ยังปล่อยแก๊สไนตรัสออกไซด์ซึ่งเป็น
แก๊สเรือนกระจกที่ออกฤทธิ์รุนแรงและคงตัวอยู่นานอีกด้วย ปริมาณแก๊สไนตรัสออกไซด์ที่ปล่อยออกสู่บรรยากาศ
จากกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์นี้มากถึง 65% ของแก๊สนี้ที่คนมีส่วนทาให้เกิดขึ้น
ในการผลิตอาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารจากพืชหรือสัตว์จะปล่อยแก๊สเรือนกระจกเข้าสู่บรรยากาศมาก
บ้างน้อยบ้างและอาจเป็นแก๊สต่างชนิดกัน แก๊สเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการเกษตรชนิดหลักๆมีอยู่สาม
ชนิดคือ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สมีเทน และแก๊สไนตรัสออกไซด์ที่ส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของแบคทีเรียใน
ดิน ที่เป็ น ผลมาจากทั้งการเลี้ ย งสั ตว์และการปลู กพืช แก๊ส แต่ล ะชนิดมีผ ลต่อโลกร้อนไม่เท่ากันและคงอยู่ ใ น
บรรยากาศยาวนานต่างกัน เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลกระทบของการผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดว่า
มีต่อการทาให้โลกร้อนต่างกันเพียงใด จึงมีการบัญญัติคาว่า คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (carbon footprint) หรือรอยเท้า
คาร์บอนขึ้นมา ซึ่งรอยเท้าคาร์บอนของอาหารคือปริมาณแก๊สเรือนกระจกทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการผลิตอาหารนั้น
โดยที่นับรวมทุกอย่างตั้งแต่เครื่องมือและสารอาหารที่ใช้ในการปลูกเลี้ยง การทาฟาร์ม การดาเนินกระบวนการ
ขนส่ง การเก็บรักษา การปรุงอาหาร และการกาจัดอาหารที่กินเหลือ อาหารแต่ละอย่างจะปล่อยแก๊สเรือนกระจก
บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จาเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงแหล่งอาหารโปรตีนจากสัตว์ชนิ ดที่นิยมบริโภคกันอยู่ใน
ปัจจุบันมาเป็นสัตว์ชนิดอื่นที่ไม่ทาให้โลกเปลี่ยนแปลงไปสู่ความหายนะที่กาลังเป็นอยู่ในขณะนี้ ถ้าพิจารณาถึง
การปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากกิจกรรมต่างๆของมนุษย์แล้วเราจะเห็น ได้ชัดว่าถ้าเราไม่เปลี่ยนไปกินอาหารที่ไม่
ทาลายโลก นั่นคืออาหารที่มีรอยเท้าคาร์บอนต่าและใช้ทรัพยากรด้านที่ดินและน้าน้อยลงแล้ว การเดินทางไปสู่
ความหายนะของโลกของเราไม่ มี วัน ที่ จ ะผั นกลั บ ได้ ขณะนี้ เ ราก็ เ ข้ า ใกล้ จุ ดที่ ไ ม่ มี วัน ผั น กลั บ แล้ ว เหลื อ อี ก
เพียง 0.5 องศาเซลเซียสเท่านั้น มนุษย์เป็นผู้ที่สาคัญตนผิดว่าตนเป็นสัตว์อันประเสริฐที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้ง
ปวง ที่จริงแล้วถ้าไม่มีมนุษย์อยู่ในโลกนี้ พื้นดิน ท้องทะเล พืช และสัตว์ทั้งหลาย จะรักษาสมดุลย์กันเองได้เป็น
อย่างดีตลอดไป เราทาลายโลกมามากแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะต้องแก้ไขในทุกๆทางเท่ าที่จะทาได้ การกินอาหาร
แต่พอควรและกินพืชเป็นหลัก กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์สัตว์เพียงเล็กน้อยเป็นทางที่จะรักษาโลกไว้ได้ อาหาร
จากสัตว์ที่มนุษย์ควรจะกินต่อไปในอนาคตควรเป็นอาหารรักษ์โลก แมลงจะเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยโลกของเราที่มี
อยู่ใบเดียวนี้ให้อยู่รอดปลอดภัยในสภาพที่พวกเราได้อาศัยต่อไปอีกนานแม้ว่าจะมีประชากรเพิ่มขึ้นทุกที
แมลงเป็นสัตว์เลือดเย็นจึงต้องการพลังงานน้อยในการรักษาอุณหภูมิของร่างกายและมีประสิทธิภาพ
สูงในการเปลี่ยนอาหารไปเป็นส่วนที่กินได้ของร่างกายอีกด้วย. จิ้งหรีดต้องการอาหารเพียง 2 กิโลกรัมในการผลิต
มวลของร่างกาย 1 กิโลกรัมซึ่งมีส่วนที่กินได้อยู่ถึง 80% ส่วนวัวต้องการอาหาร 8 กิโลกรัมในการสร้างน้าหนัก
ตัว 1 กิโลกรัมซึ่งมีส่วนที่กินได้อยู่เพียง 40%. เมื่อเป็นเช่นนี้แมลงจึงต้องการพื้นที่ปลูกอาหารน้อยกว่าเป็นอย่าง
มาก เมื่อดูจากตารางเราจะเห็ น ได้ชัดว่าไก่มีคาร์บอนฟุตพริ้นท์และความต้องการน้าในการผลิ ตที่ต่ากว่าวัว
มาก แมลงมีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต่ากว่านั้นอีกมากโดยที่มีค่าเพียง 25% ของไก่และต้องการน้าเพียงครึ่งหนึ่งของไก่
เท่านั้น เมื่อพิจารณาทางด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของโลกแล้ว เราเห็นได้ชัดว่าแมลงเป็นสัตว์ในอุดมคติที่จะ
นามาใช้เป็นอาหาร. แต่ในการใช้เป็นอาหารมนุษย์นั้นเราจะต้องพิจารณากันอีกหลายด้าน เช่นการยอมรับของ
ผู้บริโภค รสชาติและประเด็นทางด้านโภชนาการและสุขภาพ และด้านอื่นๆ
แมลงที่กินได้ยังประกอบด้วยแร่ธาตุสาคัญในปริมาณมากกว่าเนื้อวัว ปริมาณเหล็กที่มีอยู่ในหนอน
ผีเสื้อแห้ง100 กรัมอยู่ในช่วง 31 ถึง 77 มิลลิกรัม ตั๊กแตนอพยพมีอยู่ 8 ถึง 20 มิลลิกรัม ซึ่งก็ยังสูงกว่าเนื้อวัวที่มี
อยู่ประมาณ 6 มิลลิกรัม จิ้งหรีดบางชนิดมีเหล็กสูงถึง 1500 มิลลิกรัมต่อน้าหนักแห้ง 100 กรัม การที่มีเหล็กสูง
มากเช่นนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศกาลังพัฒนา ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของหญิงมีครรภ์และอาจถึง 40% ของ
เด็กก่อนวัยเรียนเป็นโรคโลหิตจางเพราะขาดเหล็ก แมลงเป็นแหล่งของสังกะสีอีกด้วย การขาดสังกะสีในคนเป็น
ความเสี่ ย งล าดั บ ที่ ห้ า ของประเทศก าลั ง พั ฒ นา ซึ่ ง จะน าไปสู่ อ าการรุน แรงต่า งๆ เนื้ อ วั ว มี สั ง กะสี โ ดยเฉลี่ ย
ประมาณ 12.5 มิล ลิ กรั มต่อน้ าหนั ก แห้ ง 100 กรัม ส่ ว นหนอนด้ว งปาล์ มมีสั งกะสี 26.5 มิล ลิ กรัมและจิ้ ง หรี ด
มี 25 มิลลิกรัมต่อน้าหนักแห้ง 100 กรัม
ถ้าเรานาแมลงมาเปรียบเทียบกับเนื้อวัวในด้านต่างๆดังที่กล่าวมาแล้ว เราอาจสรุปได้ว่าคุณค่าทาง
อาหารของแมลงเช่น หนอนนกเทียบเท่ากับเนื้อวัว เราอาจนาแมลงมาใช้เป็นอาหารคนหรืออาหารสัตว์ก็ได้ เมื่อ
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ในงานสัมมนาทางวิชาการโภชนศาสตร์สัตว์ ของภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพ ที่ตึกวชิรานุสรณ์ มีบูธของบริษัทไทยแห่งหนึ่งที่นาเข้าหนอนนกชนิดที่สกัด
ไขมันออกแล้วจากบริษัทใน Shandong ประเทศจีนมาเสนอขายในฐานะอาหารโปรตีนสาหรับหมู ไก่ และสัตว์
น้า ผลิตภัณฑ์นี้มีโปรตีนประมาณ 68% โดยที่รับประกันไว้ว่ามีโปรตีนไม่ต่ากว่า 65% เอกสารประกอบมีผลการ
วิเคราะห์ตามวิธีการวิเคราะห์อาหารสัตว์อย่างสมบูรณ์พร้อมทั้งผลการวิเคราะห์ กรดอะมิโนครบทุกชนิด จาก
ข้อมูลเหล่า นั้นเห็นได้ชัดว่าหนอนนก มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ในปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตที่จีนส่งขายที่ประเทศ
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 98
ฝรั่งเศส เยอรมันนี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีและไต้หวัน ผู้ผลิตของจีนรายนี้เน้นไปในทางอาหารสัตว์ ผู้ผลิต
แมลงในประเทศไทยมีจุดเด่นอยู่ที่จิ้งหรีดที่ต่างประเทศชอบเรียกว่าจริงหรีดบ้านและผลิตได้ตามมาตรฐานอาหาร
คนและส่งขายเป็นอาหารคนในรูปจิ้งหรีดและจิ้งหรีดผง
จากที่กล่าวมาแล้วเราสามารถใช้แมลงเป็นอาหารทดแทนเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีทั้งในแง่ความ
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ในปัจจุบันการเลี้ยงปศุสัตว์ปล่อยแก๊สเรือนกระจกออกมามากกว่า 18%
ของแก๊สเรือนกระจกทั้งหมด นอกจากนี้แมลงยังมีอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อหรือบางทีก็เรียกว่าอัตราการ
แลกเนื้อ (feed conversion ratio, FCR) ดีกว่าสัตว์อื่นๆที่เราเลี้ยงกันอยู่ FCR มีค่าเท่ากับปริมาณ (kg) อาหารที่
ใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นน้าหนักตัว 1kg แมลงมีส่วนที่กินได้ (%) สูงกว่าสัตว์อื่นอีกด้วยซึ่งจะทาให้การเปลี่ยนอาหาร
(kg) ไปเป็นน้าหนัก (kg) ของส่วนที่กินได้เหนือกว่าสัตว์เลี้ยงอื่นๆมากขึ้นไปอีก ดังที่แสดงไว้ในตารางข้างล่าง
ทางด้ า นการปล่ อ ยแก๊ ส เรื อ นกระจก เมื่ อ คิ ด เป็ น กรั ม ของแก๊ ส คาร์ บ อนไดออกไซด์ ต่ อ น้ าหนั ก
ตัว 1 กิโ ลกรั ม ตัว เลขนี้ ของจิ้ งหรี ดต่ากว่า 2 ค่านี้ของแมลงชนิดอื่นอาจสู งกว่าของ จิ้งหรีด เช่นของหนอน
นก เท่ า กั บ 7 และของตั๊ ก แตน เท่ า กั บ 17 แต่ ก็ ยั ง ต่ ากว่ า ตั ว เลขนี้ ข องสั ต ว์ ที่ เ ราเลี้ ย งกั น อยู่ ทุ ก วั น นี้ เ ป็ น อั น
มาก เพราะค่านี้ของหมูเท่ากับ 79 และของวัวเท่ากับ 2850 เราอาจสรุปได้ว่าไม่ว่าจะเป็นแมลงชนิดใดก็อยู่ใน
ประเภทอาหารโปรตีนกู้โลกอยู่ดี
ประเด็นสุดท้ายคือเราจะเอาแมลงไปทาอะไรกิน คาถามนี้อาจมีอยู่ในใจของผู้ที่ไม่ค่อยได้ติดตามเรื่อง
อาหารที่ทาจากแมลงที่มีอยู่มากในอินเตอร์เน็ตและมีอยู่บ้างในรายการอาหารและท่องเที่ยวไปในส่วนต่างๆของโลก
ในโทรทัศน์ ในกรณีของคนไทยที่เคยกินแมลงหรือเคยเห็นการกินแมลงมาบ้างก็คงพอจะทราบว่าเราสามารถนา
แมลงในท้ อ งถิ่ น เช่ น ตั๊ ก แตนปาทั ง ก้ า แมลงกระชอน จิ้ ง หรี ด จิ้ ง โกร่ ง แมงสะดิ้ ง (จริ ง หรี ด ขาว) หนอนเยื่ อ
ไผ่ (รถด่ ว น) ดั ก แด้ ไ หม จั ก จั่ น ไข่ ม ดแดง มดเป้ ง แมลงดานา แมลงเหนี่ ย ง แมลงกุ๊ ด จี่ แมลงกิ นู น (แมง
อี นู น ) ฯ ล ฯ ม า ท า อ า ห า ร ที่ นิ ย ม กิ น กั น ใ น ภ า ค ต่ า ง ๆ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ ช่ น แ ก ง ผั ด ท า ก ะ ปิ
น้าปลา นึ่ง หมก ยา ลาบ เสียบไม้ย่าง คั่ว ทาน้าพริก ชุบแป้งทอด แกงส้ม ป่นใส่น้าพริก ส้มตา ทาเมี่ยง เป็น
ต้น ในประเทศใกล้เคียงและประเทศจีนมีอาหารใส่แมลงของชาติเขาที่ใกล้เคียงกับอาหารไทยอยู่แล้ว อาหารจีน
ที่น่าสนใจรวมถึงอาหารที่เราคุ้นคุ้นกันอยู่เช่นติ่มซา เกี๊ยวกรอบ ป่อเปี๊ย เป็นต้น จากผลของโลกาภิวัตน์ของอาหาร
ทาให้คนไทยนิยมกินอาหารต่างชาติและอาหารสไตล์ฟิวชั่น จึงทาให้คนไทยสามารถนาแมลงมาทาอาหารต่างชาติ
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 99
และอาหารฟิวชั่นได้อีกมากมายโดยอิงกับอาหารที่ทาจากแมลงที่แพร่หลายอย่างมากมานานในอเมริกาใต้ แอฟริกา
และตะวันออกกลาง เม็กซิโกได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมของ Aztec และ Maya ซึ่งกินแมลงมาก่อนโคลัมบัส
ค้นพบทวีปอเมริกา แคว้น Yucatan ดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลมากที่สุด ประเทศเม็กซิโกโดยรวมมีการกินอาหาร
ที่ใส่แมลงกันอย่างแพร่หลาย อาหารของเขาบางชนิดก็คล้ายกับอาหารที่คนไทยกินได้เช่น bugito ที่เป็น burrito
ที่ใส่แมลง อาหารว่างกรุบกรอบที่มีแมลงเป็นส่วนประกอบหลักของเม็กซิโกก็มีอยู่มากทั้งประเภทรสเค็มและรส
หวาน อาจกล่ าวถึงอาหารใส่ แมลงของทางแอฟริกาและตะวันออกกลางได้ในทานองเดียวกัน อาหารจาก
แอฟริกาที่เตะตาผมมากที่สุดมีชื่อเป็นภาษา Swahili ว่า Hakuma Malata ซึ่งเป็นข้าวผัดที่ใส่ตั๊กแตนที่เอาปีกและ
ขาออกแล้ว หนอนนก และ buffalo worm (คล้ายหนอนนก). ที่จริงแล้วเราสามารถใส่แมลงลงไปในอาหารใดๆ
ก็ได้อย่างที่เห็น ได้จากอาหาร insect buffet ที่จัดในระหว่างการประชุมใหญ่ของ FAO เรื่อง “Edible Forest
Insects : Human Bites Back” ที่เชียงใหม่ในปีค.ศ. 2008
ปัจจุบันนี้คนไทยกินอาหารฝรั่งกันมากจนอาหารฝรั่งบางอย่างจะกลายเป็นอาหารไทยอยู่แล้ว ขณะนี้
เชฟฝรั่ ง มากมายรวมทั้ ง เชฟฝี มื อ ดี ร ะดั บ โลกเช่ น เชฟ Rene’ Redzepi เชฟใหญ่ แ ห่ ง ภั ต ตาคาร NOMA
(Denmark) ซึ่ ง เป็ น ภั ต ตาคารอั น ดั บ หนึ่ ง ของโลกมาหลายครั้ ง แล้ ว ก็ ก าลั ง พั ฒ นาอาหารที่ ใ ส่ แ มลงเป็ น การ
ใหญ่ อาหารที่ใส่แมลงกาลังกระจายไปทั่วโลก ในอเมริกามีร้านอาหารที่ขายอาหารใส่แมลงกว่า 110 ร้านใน
16 รัฐ ร้านอาหารประเภทนี้มีในทวีปยุโรปเช่นกันซึ่งอาจเป็นผลมาจากการค้นคว้าและเผยแพร่ของมหาวิทยาลัย
Wageningen, Netherlandsและมหาวิทยาลั ย Copenhagen, Denmark ก็ได้ ที่ออสเตรเลี ย ก็ มีร้ านอาหาร
ประเภทนี้ ในกัมพูชามีร้านขายอาหารใส่แมลงสไตล์ฟิวชั่นแบบฝรั่งเศส-กัมพูชาทั้งคาวและหวาน. เมื่อไม่นาน
มานี้ ผู้เลี้ยงแมลง เชฟ และนักธุรกิจเกี่ยวกับแมลงและอาหารใส่แมลงที่ Brooklyn New York ร่วมกันจัดงาน
มหกรรม “ Brooklyn Bugs” เพื่อส่งเสริมการกินแมลง เดี๋ยวนี้ตารับอาหารพร้อมวิธีทาของอาหารฝรั่งที่นิยมกัน
ชนิดที่ใส่แมลงหาได้ไม่ยากเลย ฝรั่งทาสลัดใส่แมลงตั้งชื่อว่า Thai Salad เสียด้วย ซึ่งเป็นสลัดน้าใสแต่งซีอิ๊วและ
น้าปลาใส่ผักสลัดปนร็อกเก็ท แต่งด้วยน้ามันงา งาคั่ว และพริกแดง แมลงที่ใช้เป็นตั๊กแตนที่เอาปีกและขาออก
แล้ว ตั๊กแตนที่เอาปีกและขาออกแล้วยังเหมาะสาหรับอาหารอื่นๆอีกด้วยเช่นสลัดต่ างๆและอาหารว่าง จัมบาลา
ยาที่เป็นอาหารในรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกา คีบับ พิซซ่า ที่ใส่แมลงก็มีอยู่มาก อาหารที่ใส่แมลงประเภทหนอนที่
เป็นซุป เบอร์เกอร์ ราาิโอลี่ อาหารคาวประเภทพาย เป็นอาหารที่หาวิธีทาได้ไม่ยาก จากที่กล่าวมาแล้วเราจะเห็น
ได้ว่าเราสามารถนาแมลงที่ กินได้มาทาอาหารได้สารพัดอย่างตามที่เขาทากันมาแล้วและตามที่เราคิดเอาเองได้
โดยง่าย ไม่ว่าแมลงเหล่ านั้ น จะอยู่ ในรู ป แมลงทอด แมลงที่ทาให้ แห้ งในสภาพแช่แข็ง แมลงแช่แข็ง แมลงแช่
เย็น แมลงเป็นๆหรือรูปใดก็ได้
เรื่องราวของการัมหรือน้าปลาโรมันซึ่งเป็นอาหารรสอูมามิสูงชนิดแรกของโลกเริ่มต้นขึ้นแอฟริกา
เหนือเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว ที่เมืองโฟนิเชียของจักรวรรดิคาร์เธจโบราณที่กาลังรุ่งเรือง. ในปัจจุบันสถานที่นั้นอยู่ใน
ตู นิ เ ซี ย . ภายในก าแพงเมื อ งมี ป ลาจากทะเลเมดิ เ ตอร์ เ รเนี ย นนานาชนิ ด ทั้ ง ทู น า แมคเคอเรล แอนโช
วี ซาร์ดีน ฯลฯ เข้ามาอย่างมากมายทุกวัน . คนทาการัมนาปลาเหล่านี้มาตัดหัวควักไส้และหั่น แล้วใส่ลงไปในถัง
หมักที่สกัดจากหินปูนในลักษณะที่เป็นชั้นเกลือสลับกับชั้นปลาเป็นชั้นๆไป และมีตาข่ายคลุมกันแมลงวันและสัตว์
ต่างๆ. ต่อจากนั้นเป็นการหมักให้เนื้อปลาสลายในสภาพที่ได้รับความร้อนจากแสงแดด. หลักฐานทางโบราณคดี
ของโรงการัมที่สมบูรณ์มีถังหมัก มีแท่นสาหรับดาเนินการกับปลาก่อนลงถังหมัก แต่ไม่มีตาข่ายเหลือแล้ว . ความ
เค็มจะป้องกันการเจริญของจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย. ในกรณีที่หมักเครื่องในปลา ในทางเดินอาหารของปลามี
เอนไซม์ ที่ ย่ อ ยสลายเนื้ อ ปลาได้ และในเนื้ อ เยื่ อ ของปลาเองก็ มี ไ ลโซไซม์ ที่ ย่ อ ยสลายเนื้ อ เยื่ อ ของปลาได้
เช่นกัน. เนื้อเยื่อของปลาจะย่อยตัวเองในลักษณะที่มีเกลือเป็นสารกันเสีย จุลินทรีย์ที่ทนเกลือได้อีกหลายชนิดจะ
ช่วยในการหมักอีกด้วย จนทาให้เกิดเครื่องปรุงรสที่มีรสกูมามิอย่างแรง. คนโบราณไม่รู้เรื่องเอนไซม์หรือคาว่าอูมา
มิ ไม่รู้จักโมโนโซเดียมกลูตาเมท แต่ก็ทาได้และรู้ว่ามันอร่อยมาก
ชาวคาร์เธจโบราณเป็นผู้นาในการผลิตการัมแห่งเมดิเตอร์เรเนียนมาเกือบ 500 ปีจนกระทั่งถูก
จักรวรรดิโรมันรุกราน และแพ้สงครามพิวนิคทั้งสามครั้ง ซึ่งทาให้ทุกส่วนของจักรวรรดิคาร์เธจโบราณทั้งที่แอฟริกา
เหนื อ ซิซิลี รวมไปถึงชายฝั่ งไอบี เ รี ย (ปั จ จุ บัน คื อสเปนและโปรตุ เกส) รวมทั้งกิจการการั มเปลี่ ย นไปเป็ น ของ
จักรวรรดิโรมันทั้งหมด. ถึงแม้ว่าการผลิตการัมเริ่มขึ้นที่แอฟริกาเหนือโดยชาวกรีก และคาว่าการัม ก็มาจากคาว่า
การอสของกรีก และคนในจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์ก็เป็นชาวกรีก แต่คนในปัจจุบันนี้รู้จักแต่คาว่า
การั ม หรื อการุ ม และถือว่าการั มเป็ น น้ าปลาชนิดแรกของโลกที่เคยมีศูนย์กลางการผลิตอยู่ที่จักรวรรดิโรมัน
โบราณ. อาหารของจักรวรรดิโรมันเกือบทุกชนิดใส่การัม. เมื่ออาณาเขตของจักรวรรดิโรมันขยายกว้างไกลออกไป
อย่างกว้างขวาง กิจการผลิตการัมก็แพร่หลายกว้างไกลออกไปด้วย. การปักปันเขตแดนในสมัยก่อนแตกต่างจาก
สมัยนี้ เพื่อให้เข้าใจถึงความกว้างขวางของจักรวรรดิโรมันและบริเวณที่ทาการัม จะขอกล่าวถึงโดยใช้อาณาเขตของ
ประเทศต่างๆในสมัยนี้ อาณาจักรของจักรวรรดิโรมัน รวมถึงอังกฤษ เวลส์ โปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี
ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ ลุกเซ็มเบอร์ก เบลเยียม จิบรอลตา โรมาเนีย โมลโดวา ยูเครน ทางชายฝั่งแอฟริกา
เหนือรวมถึง ลิเบีย ตูนิเซีย อัลจีเรีย มอร็อคโค และอียิปต์ ทางบอลข่านรวมถึง อัลบาเนีย กรีก ฮังการี บอสเนีย
สโลวีเนี ย โครเอเชีย บุ ล กาเรี ย และตุร กี ทางตะวันออกกลางรวมถึง ซีเ รีย เลบานอน อิรัค จอร์แดน และ
อิสราเอล. นอกจากนี้ยังขยายออกไปถึงเอเชียไมเนอร์และบางส่วนของเมโสโปเตเมีย. ที่เมืองชายทะเลต่างๆของ
บริเวณเหล่านี้นักโบราณคดีขุดพบโรงทาการัมมากมายหลายแห่ง ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานที่ไม่สมบูรณ์ แต่ก็
ได้โ รงงานที่ส มบู ร ณ์ห ลายแห่ ง รวมทั้งที่เมืองปอมเปอีด้ว ย. เถ้าของภู เขาไฟวิสุ เวียสที่ระเบิดเมื่อ 79 ปีก่อน
คริสตกาลทับถมรักษาโรงทาการัมไว้ได้เป็นอย่างดี เมื่อขุดเถ้าที่ลึก 4-6 เมตรออกไปแล้วนะก็ได้โรงทาการัมที่
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 102
สมบูรณ์ ก้างปลาในโรงงานการัมที่ปอมเปอีช่วยทาให้กาหนดเวลาที่ภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดได้เที่ยงตรงขึ้นอีก
ด้วย
เมื่อจักรวรรดิโรมันกว้างใหญ่ออกไป การผลิตการัมเจริญขึ้นตามไปด้วย. ดั้งเดิมนั้น Pliny the
Elder (Gaius Plinius Secundus ค.ศ. 23 ถึง 79) นักเขียนบันทึกชาวโรมันบันทึกไว้ว่า การัมทาจากเครื่องในของ
ปลาและเกลือ เมื่อหมักเข้าด้วยกันแล้วจะได้ของเหลวที่เรียกว่าการัม และตะกอนที่เป็นของแข็งที่เรียกว่าอัลเลก
หรืออัลเลกซ์ เมื่อกิจการการัมเจริญขึ้น การัมมีมากมายหลายชนิดและหลายราคามากขึ้นเพื่อให้เหมาะกับคนทุก
ระดับชั้นตั้งแต่เศรษฐีไปจนถึงทาษ. การส่งการัมมาขายเป็นการค้าจากเมืองต่างๆก็มีอยู่มาก การัมถูกจาแนก
ออกเป็นชนิดต่างๆตามชนิดของปลาที่ใช้หมัก เช่น มิวเรียหมายถึงการัมที่ทาจากปลาที่ตัดหัวและควักเครื่องในออก
แล้วหมักกับเกลือ ซึ่งทาให้ได้การัมที่มีกลิ่นฉุนน้อยลง และส่วนใหญ่ทาจากปลาทูน่าจึงทาให้มีราคาถูกลงจนเหมาะ
สาหรับสามัญชน. ไฮเมชันหมายถึงการัมที่ทามาจากการนาเอาเครื่องในและเลือดของปลา เช่นปลาแมคเคอ
เรล ซึ่งมักจะเป็นผลพลอยได้ของธุรกิจการประมงมาหมักกับเกลือ การัมชนิดนี้ถือว่าเป็นชนิดที่ดีที่สุด . เนื่องจาก
การัมชนิดนี้มีสีเข้มบางทีจึงเรียกว่าการัมดา การทาไฮเมชันเหมือนมากอย่างยิ่งกับการทาน้าปลาที่มหาชัยจังหวัด
สมุทรสาครที่ผมเคยเห็นเมื่อพ.ศ. 2485 ถึง 2489ในช่วงเวลาที่หนีสงครามโลกครั้งที่สองจากกรุงเทพกลับไปเรียนที่
บ้านเกิด. นอกจากวิธีการทาเหมือนแล้วประเภทของปลาที่ทาก็เหมือนอีกด้วยเพราะทาด้วยเครื่องในและเลือด
ปลาทูซึ่งเป็นแมคเคอเรลชนิดหนึ่ง . วิธีการทาน้าปลาที่มหาชัยและแม่กลองได้มาจากชาวจีนแต้จิ๋ว ผมจึงคิดอยู่
เสมอว่าชาวจีนต้องได้วิธีการทาน้าปลามาจากจักรวรรดิโรมันโดยทางใดทางหนึ่ง . ลิควาเม็นเป็นการัมอีกชนิดหนึ่ง
ที่ทาขึ้นจากการหมักปลาและเศษปลาไม่จากัดชนิด และเป็นการัมที่ใช้กันทั่วไป ข้อมูลบางแห่งก็กล่าวว่าลิควา
เม็นเป็นการัมน้าที่สองและสามที่ได้จากการนาเอากาก(อัลเลก) ที่เหลืออยู่หลังจากแยกเอาการัมนิหนึ า ่งออกไปแล้ว
มาหมักต่อ. การัมชนิดนี้จึงมีราคาถูกซึ่งเหมาะสาหรับผู้มีรายได้น้อยและทาษ. สมัยก่อนในประเทศไทยเราเอา
น้าปลาน้าหลังๆมาทา “น้าปลาแกง” ทีม่ ีราคาถูกกว่า “น้าปลาจิ้ม“ ที่เป็นน้าปลาน้าหนึ่ง. คนไทยทุกบ้านไม่ว่าจะ
ร่ารวยแค่ไหนก็ใช้น้าปลาทั้งสองราคาแบบนี้ โดยที่ใช้น้าปลาแกงในการปรุงอาหารในครัว ส่วนน้าปลาจิ้มนั้นมีไว้
สาหรับจิ้มและแต่งรสอาหารที่สารับกับข้าว. ลิควาเม็นมีสถานภาพคล้ายน้าปลาแกง
กิจการการัมรุ่งเรืองเรื่อยมาและมีโรงการัมชั้นดีกระจายอยู่ทั่วไปทั้งในจักรวรรดิโรมันตะวันตกและ
จักรวรรดิโรมันตะวันออก(ไบแซนไทน์ ). กิจการการัมของจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายไปพร้อมกับการล่ม
สลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกเมื่อค.ศ. 476 โดยฝีมือของเผ่าบาร์แบเรี่ยนต่างๆ. การล่มสลายของกิจการการัม
ของจั ก รวรรดิ โ รมั น ตะวั น ตกอย่ า งเฉี ย บพลั น นั้ น เนื่ อ งมาจากโจรสลั ด ที่ อ าจมี โ จรบกร่ ว มด้ ว ยก็ ไ ด้ ที่
ปล้นสดมภ์ ทาลายทุกสิ่งทุกอย่างและฆ่าคนอย่างไม่เลือกหน้า. เมื่อจักรวรรดิล่มสลายบ้านเมืองก็อยู่ในสภาพไม่มี
ขื่อไม่มีแป เจ้าของกิจการต้องหนีเอาชีวิตรอดสถานเดียว. เมื่อเริ่มมีรัฐบาลใหม่รัฐบาลก็ขึ้นภาษีเกลือเสียสูงลิ่วจน
ผู้ทากิจการเดิมไม่สามารถเริ่มกิจการได้ใหม่ การทาการัมต้องใช้เกลือในปริมาณมากในอัตราเกลือหนึ่งส่วนต่อ
ปลาสองถึงสี่ส่วน. เกลือในบริเวณนั้นหายากและแพง. เทคโนโลยีการทานาเกลือสมุทรในยุคโบราณเป็นความลับ
ของประเทศจีน คนจีนคนใดนาความรู้นั้นไปบอกแก่ชาวต่างชาติมีโทษถึงประหารชีวิต . การัมในบริเวณที่เคยเป็น
จักรวรรดิโรมันตะวันตกจึงหมดไปยกเว้นที่หมู่บ้านเซ็ตทาร่าในแคว้นแคมปาเนียในบริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของ
อิ ต าลี ยั ง คงผลิ ต การั ม ที่ เ รี ย กว่ า colatura di alici ขายอยู่ จ นทุ ก วั น นี้ เกื อ บ 1000 ปี ต่ อ มาจั ก รวรรดิ โ รมั น
ตะวันออก ก็ล่มสลายโดยฝีมือของชาวออตโตมันในปีค.ศ. 1453 การัมที่ยังพอเหลืออยู่บ้างก็สูญสิ้นไปหมด
……………………………………………………………………………
2
เมื่อเราพิจารณาดูอาหารสูตรต่างๆและอาหารจากประเทศต่างๆที่เชื่อกันว่าดีต่อสุขภาพเช่น Atkins diet (โปรตีน
และไขมัน). Ornish diet (ผักและธัญพืชทั้ง เมล็ด) อาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น (คาร์โบไฮเดรตและโปรตีน ) และ
อาหารโอกินาวาที่มีคนอายุยืนมาก(ธัญพืชน้อยกว่า ผักมากกว่า และโปรตีนน้อยกว่าของญี่ปุ่น ) แล้วดูเหมือนว่า
อาหารเหล่ านี้ มีส่ ว นประกอบไปคนละทิ ศ คนละทาง เมื่อมองอย่า งละเอีย ดแล้ ว พบว่ า อาหารเหล่ านี้ มี ค วาม
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 110
เหมือนกันตรงที่มีน้าตาลต่าทั้งหมดเพราะเป็นอาหารที่ปรุงในบ้านจากอาหารดิบ อาหารสาเร็จรูปที่ผ่านกรรมวิธี
ทางอุตสาหกรรมอาหารทั้งหลายจะมีน้าตาลรูปใดรูปหนึ่ง เติมไว้เพื่อความอร่อยให้ได้ลูกค้ามากขึ้น โดยทั่วไปนัก
โภชนาการ มักจะจัดน้าตาลทั้งหลายไว้ในพวกแคลอรี่ไร้ประโยชน์(empty calories) พวกเดียวกับแป้ง แต่ที่จริง
แล้วไม่เป็นเช่นนั้นเพราะน้าตาลทรายคือซูโครสที่หนึ่งโมเลกุลของมันประกอบด้วยกลูโคสหนึ่งโมเลกุลเชื่อมต่อกับฟ
รุกโตสหนึ่งโมเลกุล เมื่อมันถูกย่อยโดยเอนไซม์ซูเครส แล้วเราจะได้กลูโคสเช่นเดียวกันกับที่ไ ด้มาจากการย่อย
แป้งครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นฟรุกโตส ที่สามารถก่อให้เกิดโรคทางเมตาโบลิสซึมชนิดเรื้อรังได้ เนื่องจากฟรุก
โตสส่ ว นใหญ่ถูกเปลี่ย นแปลงในตับตามแนวทางที่ไปเป็นไขมัน เมื่อเรากินน้าตาลซูโ ครสเช่นน้าตาลทรายจึง
เปรียบเสมือนเรากินคาร์โบไฮเดรต จากส่วนที่เป็นกลูโคสและได้ไขมันจากผลของการเปลี่ยนแปลงน้าตาลฟรุค
โตส ปัจจุบันนี้ในประเทศไทยมีของหวานทั้งไทยและเทศที่เมื่อกินแล้วต้องส่ง LINE ไปประกวดประขันกันอยู่
มากมาย ซ้ายังมีอีกเครื่องดื่มหวานจัดขนาดยักษ์กลั้วคอตามไปด้วย. โลกาภิวัตน์ของของหวานที่มีอยู่ในประเทศ
ไทยในขณะนี้ทาให้ผมรู้สึกว่าคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนที่จะเป็นกาลังของชาติต่อไป ต้องประสบปัญหา
ทางด้านสุขภาพแบบเดียวกับชาวอเมริกันถ้าไม่ได้รับการตักเตือนไว้ล่วงหน้าให้ทันท่วงที . ผู้คนทั่วไปทุกเพศทุกวัย
ก็ควรให้ความใส่ใจในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
คาร์โบไฮเดรตในอาหาร มีอยู่หลายชนิดแต่คาร์โบไฮเดรตทุกชนิดประกอบด้วยหน่วยที่เป็นน้าตาลเชื่อมต่อกันเป็น
โมเลกุลใหญ่บ้าง ปานกลางบ้าง เล็กบ้างเช่นสองหน่วย และบางชนิดก็อยู่ในรูปน้าตาลเดี่ยว คาร์โบไฮเดรตที่ยัง
ไม่ได้อยู่ในรูปน้าตาลเดี่ยวจะต้องถูกย่อยให้เป็นน้าตาลเดี่ยวเสียก่ อนจึงจะถูกดูดซึมได้ ส่วนใหญ่ของน้าตาลที่เป็น
ส่วนประกอบของอาหารต่างๆทั้งที่เป็นหน่วยย่อยของคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่และที่เป็นน้าตาลเดียวมักจะเป็น
กลูโคสและฟรุกโตส ดังนั้นผลเสียของน้าตาลจะมาจากน้าตาลสองชนิดนี้
กลูโคส แม้ว่ากลูโคสจะเป็นสารที่จาเป็นต่อชีวิตของเราแต่กลูโคสก็ไม่ใช่สารที่ดีสมบูรณ์แบบ. เมื่อเรานึกถึงกลูโคส
ที่ไม่มีฟรุกโตสอยู่ด้วยเรามักนึกถึงแป้งเพราะน้าตาลที่เป็นหน่วยย่อยของแป้งคือกลูโคสเพียงอย่างเดียว. โดยทั่วไป
เราจะนาส่วนหนึ่งของกลูโคสที่ได้ ไปเผาผลาญเอาพลังงานและอีกส่วนหนึ่งไปสังเคราะห์เป็นไกลโคเจนที่เป็นสาร
คล้ายแป้งที่เราเก็บไว้ในกล้ามเนื้อและตับเพื่อใช้ภายหลัง ฟังดูแล้วกลูโคสก็ไม่ใช่สารที่ไร้ประโยชน์หรือที่มีพิษ
ภัย เมื่อมาดูกันอย่าง ละเอียดเช่นในกรณีที่เรากินข้าวขาวหุงสุกครึ่งถ้วยซึ่งเราจะได้ 120 แคลอรี่ในรูปกลูโ คส
20% ของกลู โ คสนี้ ห รื อ 24 แคลอรี จ ะเข้ า สู่ ตั บ ส่ ว นที่ เ หลื อ จะถู ก เปลี่ ย นแปลงและสลายในอวั ย วะอื่ น ของ
ร่างกาย ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นดังนี้
2. กลูโคสส่วนใหญ่ที่เข้าไปในตับจะถูกนาไปสร้างไกลโคเจนที่เป็นสารคล้ายแป้งที่ไม่เ ป็นอันตรายต่อ
เซลล์ตับซึ่งเราเก็บไว้เป็นแหล่งกลูโคสสารอง. การช่วยเก็บกลูโคสไว้เช่นนี้ช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ส่วนหนึ่ง
3. กลูโคสส่วนน้อยในตับจะถูกส่งไปเปลี่ยนแปลงโดยไมโตคอนเดรียของตับเพื่อสร้างพลังงาน
5. กลูโคสสามารถยึดเหนี่ยวกับโปรตีนในส่วนต่างๆของร่างกายจนทาให้โปรตีนเสียการยืดหยุ่นซึ่งเป็น
การส่งเสริมการเกิดความแก่และการเกิดความบกพร่องในการทาหน้าที่ของอวัยวะ. นอกจากนี้ทุกครั้งที่โมเลกุล
ของกลูโคสรวมตัวกับโปรตีนจะมีการปลดปล่อยสารที่เรียกว่า reactive oxygen species (ROS) ซึ่งอาจทาให้
เนื้อเยื่อเสียหายถ้าไม่ถูกกาจัดทันทีโดยสารต่อต้านการออกซิไดซ์ในเปอร์ออกซิโซม(peroxisome)
ถึงแม้ว่ากลูโคสจะไม่เลวร้ายเท่าฟรุกโตสที่จะกล่าวต่อไปภายหลัง กลูโคสที่มากเกินไปโดยเฉพาะใน
กรณีที่ขาดไฟเบอร์ (fiber) ซึ่งลดการตอบสนองของอินซูลินก็ทาให้เราเสียสุขภาพได้ . ถ้าเรากินข้าวและอาหาร
แป้งต่างๆมากเกินไป เราก็จะไม่ได้เจ็บป่วยในระยะสั้ น แต่ในระยะยาวแล้วอาจจะมีไขมันในช่องท้องมากจนทาให้
เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้
การที่ไข่เป็นสุดยอดของอาหารอย่างหนึ่งนั้นเป็นที่ทราบดีกันอยู่แล้ว ไข่ยังเป็นวัตถุดิบในการปรุง
อาหารทั้งคาวและหวานที่เป็นครูฝึกให้เรามีความละเอียดในการปรุงอาหารอีกด้วย. ผมคิดว่าทุกคนที่เคยลวกไข่
และต้มไข่เคยพลาดมาแล้วทั้งนั้นในช่วงแรกๆ หรืออาจรวมถึงช่วงหลังด้วยก็ได้ บางทีไข่ในฝันของเราก็กลายเป็น
ไข่ในฝันร้าย. ในกรณีของคัสตาร์ดที่เปิดตาราทา ถ้าเราไม่ละเอียดพอมันก็จะกลายเป็นไข่สแครมเบิ้ลใส่น้าตาล ที่
เราคิดเอาไว้ว่าจะแบ่งมาใส่ถ้วย โรยน้าตาลแล้วพ่นไฟด้วยเครื่องพ่นไฟตัวใหม่ก็ต้องยกเลิกไป. ส่วนขนมไทยที่มีไข่
เป็นส่วนประกอบเป็นครั้งแรกเราได้มาจากท้าวทองกีบม้า (มารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา ที่รู้จักกันในชื่อ มารี กี
ม า ร์ ) ภ ร ร ย า ข อ ง เ จ้ า พ ร ะ ย า วิ ช า เ ย น ท ร์ นั้ น เ ป็ น ก า ร ป รุ ง อ า ห า ร ด้ ว ย ค ว า ม ร้ อ น สู ง
ทั้งสิ้น เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมหม้อแกง เป็นต้น เราคงไม่พลาดทางด้านการควบคุมความ
ร้อน. ชีวิตของท้าวทองกีบม้าน่าศึกษามาก ใครก็ตามที่รู้สึกว่าดวงไม่ดีควรอ่านประวัติชีวิตที่ขึ้นๆลงๆ แบบรถไฟ
เหาะตีลังกาของท่านแล้วจะรู้สึกว่าดวงเราไม่เลวเลย. ขนมทั้งที่ใส่ไข่และไม่ใส่ไข่รวม 14 อย่างของท่านนั้น คาด
ว่าไม่เป็นที่นิยมมากนักในโปรตุเกสในปัจจุบัน เพราะผมไม่พบในหนังสืออาหารโปรตุเกสที่ออกใหม่ห้าเล่มที่ผมมีอยู่
ในเรื่องนี้ผมจะกล่าวถึงวิธีการทาไข่ลวกแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การทาไข่ต้มนุ่ม(soft boiled
egg) ของฝรั่ง และไข่ต้มแข็งที่ใช้ได้ทั้งฝรั่งและไทย และการลวกไข่โดยวิธีซูวี (sous vide) รวมทั้งการทาไข่ลวกใน
ฝันของผม ผมหวังว่าข้อมูลเหล่านี้อาจมีประโยชน์ในการหาวิธีทาไข่ลวกไข่ต้มในฝันของท่าน ซึ่งผมคาดว่าคงจะมี
ระดับความสุกที่แตกต่างจากของผม. การทดลองทาจะทาให้ท่านได้ทั้งความอร่อยและความสนุก . ผมจะไม่
กล่าวถึงไข่แบบฝรั่งอื่นๆที่ยังมีอีกมาก และจะไม่กล่าวถึงการทาไข่เจียวฝรั่ง (omelet) อย่างเด็ดขาดเพราะมันเป็น
ศาสตร์ขั้นสูงที่ใช้สอบเข้าเป็นหัวหน้าเชฟ ดังที่ทราบกันอยู่และดังที่เห็นในหนังดังขาดตลาดเรื่อง The Hundred-
Foot Journey ที่ผมได้มาจากมิตรสหาย
ก่อนที่จะกล่าวถึงวิธีการลวกไข่ต้มไข่ เราควรทาความเข้าใจเกี่ยวกับไข่เสียก่อน. โดยทั่วไปเรา
มักจะถือว่าไข่ประกอบด้วยไข่แดงกับไข่ขาว ที่จริงแล้วเราควรจะถือว่าไข่ประกอบด้วยไข่แดงที่มีเยื่อหุ้มไว้เป็น
รูปทรงกลม ไข่ขาวข้นเหนียวที่มีน้าเป็นส่วนประกอบประมาณ 90% ซึ่งมีเยื่อหุ้มบางๆ และไข่ขาวเหลวที่อยู่นอก
เยื่อบางๆของไข่ขาวข้นและมีเปอร์เซ็นต์น้าสูงกว่าไข่ขาวข้น . ญาติผู้ใหญ่ของผมรู้จักไข่ขาวเหลวนี้ดี ผมเคยเห็น
ท่านเอาไปใส่ในไข่แดงในการทาฝอยทองเพื่อให้ได้เส้นสวยขึ้นและเหนียวขึ้น . ไข่ขาวเหลวนี้เป็นตัวปัญหาที่จะทา
ให้ ไ ข่ ด าวน้ ามี ผิ ว ไข่ ข าวที่ ก ะรุ่ ง กะริ่ ง ซึ่ ง เป็ น ที่ น่ า รั ง เกี ย จของนั ก กิ น ไข่ ด าวน้ า โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง นั ก กิ น Egg
Benedict เราควรทราบไว้ด้วยว่าไข่แดงและไข่ขาวแต่ละส่วนประกอบด้วยโปรตีนหลายชนิดมากบ้างน้อยบ้าง
และแต่ละชนิดมีอุณหภูมิที่เซ็ต (set) ต่างกัน. เราไม่จาเป็นต้องทราบรายละเอียดแต่ควรทราบว่าไข่แดงเซ็ต ที่
อุณหภูมิต่ากว่าไข่ขาวประมาณ 10 องศาเซลเซียส. ไข่ขาวเริ่มขุ่นที่อุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียส จะอยู่ตัวเป็นของ
นุ่มๆที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส และจะเซ็ตเป็นของแข็งที่เฟิร์ม (firm)ขึ้นที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ส่วนไข่
แดงจะเริ่มข้นที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียสและเซ็ตที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส. ลักษณะที่กล่าวไว้เป็นผลการ
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 115
ทดลองในอ่ า งน้ าที่ มี อุ ณ หภู มิ ค งที่ แ ละใช้ เ วลา 40 นาที ซึ่ ง เป็ น เวลาที่ ไ ข่ ถึ ง สมดุ ล ย์ ท างความร้ อ น(thermal
equilibrium). ถ้าเพิ่มเวลาขึ้นไปอีกการเซ็ตของทั้งไข่แดงและไข่ขาวจะเพิ่มมากขึ้นอีกเล็กน้อย. เมื่อทราบเช่นนี้
แล้วเราจะเห็นได้ชัดว่าเรามีทางที่จะลวกไข่ ให้ไข่ขาวแข็งแต่ไข่แดงเหลวได้โดยใช้น้าร้อนจัดเช่น น้า 100 องศา
เซลเซียส ไข่ขาวอยู่ด้านนอกจะได้รับความร้อนก่อนและเซ็ตในขณะที่ไข่แดงยังคงมีอุณหภูมิไม่สูงมากถ้าเราเอาออก
เร็วจึงยังเหลวอยู่ เราอาจกาหนดความข้นของไข่แดงได้โ ดยการกาหนดเวลาที่เอาไข่ออกมาทาให้ เย็น . เรา
สามารถลวกไข่ให้ไข่ขาวไม่แข็งแต่ไข่แดงข้นแข็งได้โดยการลวกในน้าที่มีอุณหภูมิต่ากว่า 80 องศาเซลเซียสแต่สูง
กว่า 65 องศาเซลเซีย ส เช่น 66 องศาเซลเซียสเป็นต้น . ถ้าลวกในแบบนี้จนถึงสมดุลย์ของความร้อน นั่นคือ
อุณหภูมิที่เท่ากันทั่วทั้งฟองซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 40 นาที เราจะได้ไข่ลวกที่มีไข่แดงเฟิร์ม แต่ไข่ขาวยัง “เขละข
ละ”อยู่ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าตัวแปรหลักในการตามหาไข่ลวกไข่ต้มในฝันคืออุณหภูมิของน้าและเวลาที่ลวกก่อน
เอาออกมาลงน้าเย็น. ตัวแปรรองได้แก่ขนาดของไข่และอุณหภูมิเริ่มต้นของไข่ ซึ่งมีผลต่อการกาหนดเวลาของการ
ลวก ในการลวกไข่บางวิธีจะมีประเด็นอื่นเข้ามามีบทบาทในการกาหนดเวลาอีกด้วย เช่น อัตราส่วนของจานวนไข่
ต่อปริมาณของน้าร้อน ปริมาณของความร้อนที่ได้จากเตา และความสามารถในการกักเก็บความร้อนของภาชนะที่
ใช้ลวก
นักฟิสิกส์สองท่านมีความสนใจในการลวกไข่เป็นอย่างมากจนถึงกลับ derive สูตรคานวนในการ
ลวกไข่ของแต่ละท่านเอาไว้ ถ้าท่านสนใจโปรดหาผลงานของ Dr. Charles D. H. Williams ศาสตราจารย์ทาง
ฟิ สิ ก ส์ แ ห่ ง University of Exeter, UK และ Dr. Peter Barham ศาสตราจารย์ ท างฟิ สิ ก ส์ แ ห่ ง University of
Bristol, UK. ผมขอไม่นามากล่าวไว้ในที่นี้เพราะจะทาให้การลวกไข่ดูยุ่งยากเกินไป
ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงไข่ลวกไข่ต้มแบบต่างๆซึ่งเป็นที่นิยมกันในวงการอาหาร และวิธีการทาไข่
เหล่านั้น. ถ้าท่านชอบอย่างใดอย่างหนึ่งท่านอาจนาไปใช้ได้เลย ถ้าท่านไม่ชอบวิธีการเหล่านี้ท่านก็อาจนาไปใช้
เป็นแนวทางในการดัดแปลงเพื่อให้ได้ไข่ที่ท่านชอบ
1. ไข่ ล วกแบบไทย มาเลย์ และสิ ง คโปร์ ไข่ ล วกประเภทนี้ ไ ข่ ข าวค่ อ นข้ า งเฟิ ร์ ม แต่ ไ ข่ แ ดงเหลว
มาก. โดยทั่ว ไปจะน าไปปรุ งด้ว ยพริ กไทยและเกลื อหรือซีอิ๊ว ไว้ส าหรับกินร่ว มกับขนมปังปิ้ง . การทาไข่ล วก
ประเภทนี้ประกอบด้วย การต้มน้า 720 มิลลิลิตรถึง 1 ลิตรในหม้อ เมื่อน้าเดือดเต็มที่แล้วปิดไฟและค่อยๆหย่อน
ไข่สดที่อุณหภูมิห้องสองฟองลงไปทีละฟองโดยใช้ทัพพีที่มีรู ตั้งนาฬิกาจับเวลาดิจิตอลที่ 6 หรือ 7 นาทีแล้วแต่
ชอบ. เมื่ อ ถึ ง เวลา ใช้ ทั พ พี ที่ มี รู ช้ อ นไข่ อ อกมาต่ อ ยลงไปในถ้ ว ย. เวลาอาจแตกต่ า งกั น เล็ ก น้ อ ยตาม
ความชอบ ขนาดของไข่ วิธีลวกที่เป็นการถ่ายน้าร้อนลงไปในภาชนะลวกหรือการใช้ภาชนะที่ต้มนิเป็ า นภาชนะ
ลวกเลย และจานวนไข่ต่อน้าร้อน 1 ลิตรเป็นต้น
2. ไข่ลวกแบบ soft boiled egg ของฝรั่ง. ไข่ลวกประเภทนี้ไข่ขาวค่อนข้างแข็งในขณะที่ไข่แดงยังเหลว
มาก. โดยทั่วไปเขาจะนามาใส่ถ้วยไข่และเคาะเปิดส่วนบนของไข่ด้วยช้อน หรือมีด หรือใช้ egg topper แล้วตักไข่
ขาวส่วนบนออก. ต่อจากนั้นปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย. ฝรั่งชอบทาขนมปังทาเนยที่ตัดเป็นชิ้นแคบยาว ที่
เรียกว่า soldier เอาไว้จิ้มไข่แดงเหลวๆนั้น . วิธีการทาไข่แบบนี้เป็นวิธีเดียวกันกับการทาไข่ต้ม (hard boiled
egg) แต่ต่างกันตรงที่เวลาที่ไข่อยู่ในน้าร้อน
วิธีการอีกอย่างหนึ่งในการทาไข่ประเภทนี้ประกอบด้ว ย การวางไข่อุณหภูมิห้องลงไปในหม้ออย่าง
ไม่ซ้อนกัน. เติมน้าให้ท่วมไข่อย่างน้อย 1 นิ้ว ต้มด้วยไฟค่อนข้างแรงจนเดือด ปิดฝา ยกลงจากเตา จับเวลา แล้ว
ปล่อยให้ไข่สุกอย่างช้าๆจากความร้อนของน้านั้น
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 116
ที่เวลา 2 นาที - ไข่ขาวยังไม่เซ็ตมากนัก ไข่แดงยังค่อนข้างดิบ
ที่เวลา 3 นาที - ไข่ขาวเซ็ตมากขึ้นจนแข็งพอๆกับคัสตาร์ด และเกาะติดเปลือก แต่ไข่แดงยังไหลได้ เหมาะ
ที่จะใช้เป็น soft boiled egg
ที่เวลา 4 นาที - ไข่ขาวเซ็ตเต็มที่ ไข่แดงข้น แต่ไหลได้
ที่เวลา 6 นาที - ไข่ขาวเซ็ตเต็มที่ ไข่แดงเซ็ตเป็นส่วนใหญ่ แต่ตรงกลางยังไหลได้เล็กน้อย
ที่เวลา 8 นาที - ไข่ขาวเซ็ตเต็มที่ ไข่แดงก็เซ็ตแต่นิ่ม
ที่เวลา 10 นาที - ไข่ขาวเซ็ตเต็มที่ ไข่แดงก็เซ็ตเต็มที่
ที่เวลา 12 นาที - ไข่สุกมากทุกส่วนถึงระดับที่ใช้ทาสลัดไข่ได้
ถ้าต้องการไข่ต้มยางมะตูมอาจเลือกที่เวลา 6-7 นาที ถ้าต้องการไข่ต้มสุกควรเลือกที่ 10 นาที ที่ระดับนี้
ไข่จะสุกกาลังดีและไม่มีลักษณะสุกเกินไปที่ผิวไข่แดงเป็นสีเทา
อีกวิธีหนึ่งในการทา soft boiled และ hard boiled egg เป็นการใส่ไข่อุณหภูมิห้องลงไปในนิที า ่
เดือดเบาๆและรักษาการเดือดเบาๆนั้นไว้โดยตลอด. ในวิธีนี้จะเริ่มจับเวลาตั้งแต่ใส่ไข่ที่อุณหภูมิห้องลงไปในน้า
เดือดเบาๆนั้ น . ถ้าต้องการ soft boiled egg เอาออกที่ 5 นาที ถ้าต้องการ hard boiled egg เอาออกที่ 10-
13 นาทีแล้วแต่ขนาดของไข่
3. ไข่ลวกแบบซูวี (sous vide egg). คาว่า “ซูวี” ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าในสภาพสุญญากาศ วิธีนี้เป็น
การให้ความร้อนที่อุณหภูมิคงที่ที่ไม่เกิน 99 องศาเซลเซียสในอ่างน้าให้แก่อาหารที่ถูกผนึกอยู่ในถุงสูญญากาศ. ที่
จริ ง แล้ ว ตามวิ ธี นี้ เรื่ อ งหลั ก คื อ การให้ ค วามร้ อ นที่ อุ ณ หภู มิ ค งที่ ที่ ต่ ากว่ า จุ ด เดื อ ดของน้ า ส่ ว นการผนึ ก ในถุ ง
สูญญากาศนั้นเป็นเรื่องรอง และสาหรับไข่นั้นไม่จาเป็นต้องใช้ถุง . ในการทดลองของ J. Kenji Lopez-Alt ซึ่งให้
ความร้อนที่อุณหภูมิคงที่เป็นเวลานานพอที่จะทาให้ทุกส่วนของไข่มีอุณหภูมิเท่ากันทั้งหมด นั่นคือ 40 นาที ได้ผล
ดังต่อไปนี้
ที่ 54.4 องศาเซลเซียส - ทุกส่วน ( ไข่ขาวเหลว ไข่ขาวเหนียวข้น และไข่แดง ) เหมือนไข่ดิบ
ที่ 57.2 องศาเซลเซียส - ไข่ขาวทั้งสองส่วนเหมือนไข่ดิบแต่ขุ่นเล็กน้อย ไข่แดงเหมือนไข่ดิบ
ที่ 60 องศาเซลเซียส - ไข่ขาวเหลวขุ่นแต่เหลวมาก ไข่ขาวเหนียวข้นมีสีขาวกึ่งใส เซ็ตเล็กน้อย ไข่แดงไม่
แตกต่างจากไข่ดิบ
ที่ 62.5 องศาเซลเซียส - ไข่ขาวเหลวไม่เกาะตัวค่อนข้างเป็นน้า ไข่ขาวเหนียวข้นมีสีขาวทึบแสงตักด้วย
ช้อนได้ ไข่แดงข้นกว่าไข่ดิบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ที่ 65.6 องศาเซลเซี ย ส - ไข่ ข าวเหลวแข็ ง เป็ น ก้ อ นก้ อ นบ้ า งแต่ ยั ง เหลว ไข่ ข าวเหนี ย วข้ น มี สี ข าวทึบ
แสง แตกจากกันตามรอยที่ใช้ช้อนตัก ไข่แดงนุ่มมากแต่เหนียวและเฟิร์มพอที่จะรักษารูปได้เมื่อใช้ช้อนตักแบ่งเป็น
สองซีก. ไข่แบบนี้ถ้าต่อยลงถ้วยและถ่ายลงในทัพพีที่มีรูแล้ว ปล่อยลงในน้าร้อน 90 องศาเซลเซียสสักหนึ่งนาที
เศษก็จะได้ไข่ดาวน้าในฝันของผม
ที่ 68.3 องศาเซลเซียส - ไข่ขาวเหลวแข็งเป็นก้อนๆแต่มีส่วนเหลว ไข่ขาวเหนียวข้นทึบแสงและเฟิร์มแต่
ยังคงนุ่ม ไข่แดงมีเนื้อสัมผัสกึ่งแข็งกึ่งเหนียว แต่เริ่มแตกได้บ้างเมื่อใช้ช้อนตัก
เขาแสดงให้เห็นด้วยว่าการเพิ่มเวลามีผลในการเพิ่มความสุกได้อีกเล็กน้อย
ผมเป็นคนที่ไม่ชอบของดิบ ผมไม่กินปลาดิบ ไม่กินสัตว์เป็นๆที่บาดเจ็บ(หอยนางรมสด) และผมหลีกเลี่ยง
การกิน ไข่ล วกตั้งแต่เด็ กจนแก่ พอมาเริ่ มทดลองทาอาหารด้ว ยวิธีซูวีโ ดยใช้อ่ า งซูวียาจก(poor man’s souls
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 117
vide) ที่ทาเองสามชุด ชุดที่ห นึ่ งทาจากคูล เลอร์ ชุดที่ส องทาจากหม้อหุ งข้าวไฟฟ้าและชุดที่ส ามทาจากslow
cooker ผมเลยทดลองท าไข่ อ อนเซ็ น (Onsen tamago) หรื อ ไข่ น้ าพุ ร้ อ นของญี่ ปุ่ น โดยใช้ อุ ณ หภู มิ 66 องศา
เซลเซีย สและใช้เวลา 45 นาที ทุกคนที่บ้ านชอบ แต่พอเวลาผ่ านไปสักพักหนึ่งผมรู้สึ กว่าไข่แดงสุ กได้ระดับที่
ต้ อ งการแล้ ว ใส่ ไ ข่ ข าวน่ า จะสุ ก อี ก เล็ ก น้ อ ย ผมเลยทดลองต่ อ ไปและพบว่ า ไข่ ล วกในฝั น ของผมต้ อ งใช้
อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียสและใช้เวลา 14 ถึง 15 นาทีแล้วแต่ขนาดของไข่ ผมขอเสนอแนะให้ท่านทดลองใช้
อุ ณหภูมิ 75 องศาเซลเซีย ส ที่เวลา 13 นาทีก่อนถ้ายังไม่ได้ตามที่ต้องการก็ปรับเวลาใหม่ถ้าท่านทดลองแล้ว
เผลอ ปล่อยทิ้งไว้เกิน 25 นาทีหรือนานกว่านั้น โปรดนามาแช่น้าเย็นแล้วปอกก่อนที่มันจะเย็นสนิทกันติดเปลือก
แล้ ว ท่ า นอาจได้ ไ ข่ ต้ ม ในฝั น ที่ เ ซ็ ต ทั้ ง ไข่ แ ดงและไข่ ข าว แต่ ไ ข่ ข าวไม่ ก ระด้ า งเป็ น ยางลบเหมื อ นไข่ ต้ ม
ทั่วไป. เครื่องมือซูวีนอกจากจะมีประโยชน์ในการลวกและพาสเจอไรซ์ไข่ที่เป็นเรื่องรองแล้ว ยังมีประโยชน์ที่เป็น
เรื่องหลักในการปรุงอาหารต่างๆอย่างได้ผลดีพิเศษอีกด้วย. ผมคงต้องเล่าเรื่องการทาอาหารแบบซูวีให้ท่านฟัง
ภายหลังเมื่อผมมีเครื่องมือที่เป็นของแท้และมีประสบการณ์มากกว่านี้
เมื่อผมนาไข่ลวกในฝันของผมชนิดที่เป็นไข่ซูวี 75 องศาเซลเซียส 14 นาที หรือชนิดที่เป็นไข่ชูวี 66 องศา
เซลเซียส 45 นาทีแล้วไปpoachที่ 90 องศาเซลเซียสอีก 1 นาทีเศษ มาปรุงรสด้วยซีอิ๊วที่มีรสอูมามิสูง. เช่น ซีอิ๊วลี
กุมกี่พรีเมี่ยม หรือด้วยดอกเกลือและพริกไทย แล้วนามากินเปล่าๆหรือกินร่วมกับอาหารอย่างอื่นที่เป็นอาหารเช้า
แล้ว ผมรู้สึกว่าผมพลาดโอกาสมานาน. นอกจากนี้เมื่อนาไข่ ดังกล่าวไปใส่ลงไปบนอาหารต่างๆทุกชนิดเช่น duck
confit สปาเกตตี้แบบต่างๆ เฝอ ก๋ว ยเตี๋ย วแห้ งหรื อน้า ก๋ว ยเตี๋ยวผั ด ราเมง ข้าวหมูผั ดกระเพราและอื่น ๆอี ก
มาก จะเป็นการยกระดับให้แก่อาหารเหล่านั้นขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง . เดี๋ยวนี้คาขวัญของท่านอาจารย์หลวงสุวรรณ
วาจกกสิกิจในใจผมมีส่วนเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยไปเป็น “กินไข่วันละฟองไม่ต้องไปหาหมอและอร่อยด้วย”
เราจะเห็นได้ว่าไมโครเวฟนั้นเป็นคลื่นหรือรังสีที่มีพลังงานต่ากว่าแสงที่เราใช้ดูสิ่งต่างๆเสียอีก ถ้า
คาว่ารังสีทาให้ท่านกลัวเพราะชวนให้คิดถึงคาว่ากัมมันตภาพรังสี หรือกัมมันตรังสีก็อย่าสนใจคาว่ารังสี
ไมโครเวฟในตู้ อ บไมโครเวฟมาจากไหน . ตั ว ก าเนิ ด ไมโครเวฟคื อ หลอดสู ญ ญากาศที่
เรี ย กว่ า แมกนี ต รอน (magnetron) ซึ่ ง ปล่ อ ยคลื่ น ไมโครเวฟเข้ า ไปในตู้ ที่ ท าด้ ว ยโลหะ. ในขณะที่ แ มกนี ต
รอน ท างาน คลื่ น ไมโครเวฟจะวิ่ ง สะท้ อ นไปมาอยู่ ใ นตู้ เ พราะเมื่ อ คลื่ น ไมโครเวฟกระทบโลหะจะสะท้ อ น
กลับ. ความสามารถในการให้ความร้อนของตู้อบไมโครเวฟแปรตรงกับจานวนวัตต์ของไมโครเวฟที่แมกนีตรอน
ผลิตได้ และแปรผกผันกับปริมาตรของตู้
เตาอบไมโครเวฟมีประวัติความเป็นมาอย่างไร. การค้นพบเรื่องนี้มาจากความบังเอิญที่พบว่า
ไมโครเวฟทาให้เกิดความร้อนได้และถ้าปรับปรุงให้ดีขึ้นอาจใช้ในครัวได้ เริ่มแรกนั้นเรานาไมโครเวฟมาใช้ใน
กิจการโทรคมมนาคมระหว่างสองจุด และกิจการเรดาร์ ในปีค.ศ.1945 Dr. Percy Spencer วิศวกรที่ชอบกิน
ช็อกโกแลตระหว่างการทางานของบริษัท Raytheon ซึ่งทางานปรับรุงหลอดสูญญากาศแมกนีตรอน ที่เป็นตัว
กาเนิดไมโครเวฟของระบบเรดาร์การทหารได้พบว่า ในขณะที่แมกนีตรอนทางาน ถ้าเขาเข้าไปใกล้จะทาให้ช็อคโก
แลตในกระเป๋าของเขาละลาย. เรื่องเล่าที่ตีไข่ใส่สีมากกว่านี้ก็มี Dr. Spencer และทีมของเขาพยายามทา
แมกนีตรอนแบบกระบอกโลหะสาหรับใช้ในครัวจนสาเร็จ . แมกนีตรอนรุ่นแรกนี้มัก 26.5 ปอนด์ซึ่งใหญ่มากเมื่อ
เทียบกับแมกนีตรอนหนัก 1.5 ปอนด์ที่ใช้ในปัจจุบัน. เตาอบไมโครเวฟรุ่นแรกพร้อมหน่วยจ่ายกาลังและหน่วย
ควบคุมมีขนาดเกือบเท่าตู้เย็นและมีราคาแพงมาก. ในที่สุดเตาอบไมโครเวฟก็ได้รับการพัฒนาให้เล็กลงและถูกลง
อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ไมโครเวฟทาให้เกิดความร้อนได้อย่างไร. โมเลกุลของสารบางชนิดในอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
โมเลกุ ล ของน้ าจะท าตั ว เป็ น แม่ เ หล็ ก ไฟฟ้ า ขนาดเล็ ก ที่ ช าววิ ท ยาศาสตร์ บ อกว่ า โมเลกุ ล เป็ น อี เ ลคตริ ค ได
โพล. โมเลกุล จะเรี ย งตัว ในแนวสนามไฟฟ้ า . ไมโครเวฟในตู้อบของเรามี ความถี่ 2.45 gigaHertz หรือ 2.45
พัน ล้ านไซเคิล ต่ อวิน าที ไมโครเวฟจึ ง ทาให้ เ กิด สนามไฟฟ้า ที่ผั น กลั บ ทิ ศ ทางของมัน 4.9 พันล้ านไซเคิ ล ต่ อ
วินาที โมเลกุลของน้าต้องพยายามเรียงตัวพลิกกลับไปกลับมา 4.9 พันล้าน ครั้งต่อวินาทีอย่างบ้าคลั่งและไปชน
กับโมเลกุลใกล้เคียง. โมเลกุลที่อยู่นิ่งๆที่ถูกชนเลยกลายเป็นโมเลกุลที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วนั่นคือโมเลกุลที่ร้อน
เตาอบไมโครเวฟไม่เหมาะสาหรับการละลายอาหารแช่แข็งจริงหรือ . ถ้าไม่จาเป็นผมจะไม่ใช้เตา
อบไมโครเวฟในการละลายอาหารแช่แข็ง . โมเลกุลของน้าในน้าแข็งยึด ติดซึ่งกันและกันเป็นโครงข่ายสามมิติที่
ค่อนข้างมั่นคงและพลิกตัวดังกล่าวได้ยาก. ดังนั้นเมื่อเรานาหมูแช่แข็งก้อนใหญ่ไปใส่ในจะอบไมโครเวฟโดยที่หวัง
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 124
ว่าจะทาให้ส่วนที่แข็งหลอมละลาย ผลที่ได้คือหมูที่ผิวบางส่วนที่หลอมละลายแล้วจะได้รับความร้อนจนสุกส่วนหมู
แช่แข็งภายในจะละลายช้ามาก. ปุ่มตั้งละลายอาหารแช่แข็งและปุ่มตั้งเปอร์เซ็นต์ ของกาลังไฟเป็นเพียงปุ่มที่ตั้งให้
แมกนี ต รอนท างานแบบหยุ ด เป็ น ช่ ว งๆเพื่ อ รอให้ ค วามร้ อ นในอาหารกระจายตั ว ออกไป . ถ้ า เราตั้ ง ก าลั ง
ที่ 50% แมกนีตรอนจะทางานสลับกับหยุดครึ่งต่อครึ่ง เพราะแมกนีตรอนต้องทางานแบบเต็มกาลังเสมอ. ถ้าเรา
ฟังเสียงก็จะได้ยินการหยุดการเดินอย่างชัดเจน
ทาไมเตาอบไมโครเวฟจึงให้ความร้อนแก่อาหารเร็วกว่าเตาอบธรรมดา. ก่อนที่เตาอบธรรมดาทั้ง
ช นิ ด ที่ ใ ช้ แ ก๊ ส และช นิ ด ที่ ใ ช้ ไฟ ฟ้ า จะ ให้ คว ามร้ อน แ ก่ อ าหาร มั น จ ะต้ อง ให้ คว ามร้ อน แก่ อ า ก า ศ
ประมาณ 2 ถึง 4 ลูกบาศก์ฟุตในเตาอบเสียก่อนดังที่เรามักจะเรียกว่าการให้ความร้อนล่วงหน้า หลังจากที่ใส่
อาหารเข้าไป อากาศร้อนจะต้องถ่ายเทความร้อนไปสู่อาหารซึ่งเป็นกระบวนการที่ช้าและไม่มีประสิทธิภาพ. ส่วน
เตาอบไมโครเวฟนั้นให้ความร้อนแก่อาหารโดยตรงโดยที่ไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ แต่คลื่นไมโครเวฟจะแทรกเข้าไป
ในอาหารได้ลึกประมาณ 4 ถึง 5 เซนติเมตรเท่านั้น. อย่าไปเชื่อคาโฆษณาที่ว่าเตาไมโครเวฟร้อนเร็วเพราะขึ้นมัน
เล็กจึงเดินทางเร็ว เพราะตามความเป็นจริงขึ้นแม่เหล็กไฟฟ้าที่กล่าวมาแล้วเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับความเร็ว
ของแสงทั้งหมด. การที่มัน ได้ชื่อว่าไมโครเวฟหรือจุลคลื่ นหรือคลื่นจิ๋วนั้น เป็นเพราะเราอาจถือได้ว่ามันเป็น
คลื่นวิทยุที่มีความยาวคลื่นสั้นเป็นพิเศษ
ทาไมเราจึงต้องหมุนอาหารในขณะที่ให้ความร้อน. การออกแบบตู้อบให้มีความเข้มของไมโครเวฟ
สม่าเสมอทั่วทั้งตู้ทาได้ยากมาก. นอกจากนี้อาหารบางส่วนที่ดูดไมโครเวฟ ได้ มากเป็นพิเศษจะเพิ่มความไม่เสมอ
ของไมโครเวฟในตู้อบอีกทางหนึ่งด้วย. การทาให้อาหารหมุนไปในตู้อบไมโครเวฟจะช่วยให้อาหารทุกส่วนได้รับ
ไมโครเวฟสม่าเสมอมากขึ้น
ทาไมเราจึงต้องไม่เอาโลหะใส่เข้าไปในเตาอบไมโครเวฟ. ไมโครเวฟสะท้อนออกจากโลหะแบบ
เดียวกับแสงสะท้อนออกจากกระจก. ถ้าเราใส่โลหะเข้าไปในเตาอบไมโครเวฟ โลหะจะสะท้อนไมโครเวฟกลับ
ออกมาแทนที่จะดูดไมโครเวฟ. ในสภาพเช่นนี้อาจทาให้หลอดแมกนีตรอนเสียหายได้ นอกจากนี้ไมโครเวฟจะทา
ให้เกิดกระแสไฟฟ้าในโลหะ และถ้าโลหะนั้นบางโลหะอาจรับกระแสไฟฟ้าไม่ไหวจนถึงขั้นร้อนแดงและหลอม
ละลาย ถ้าโลหะนั้นมีปลายแหลม โลหะอาจทาหน้าที่คล้ายสายล่อฟ้าที่รวบรวมพลังงานไมโครเวฟไว้เข้มข้นมากที่
ปลายแหลมนานจนปล่อยสปาร์คออกมาได้ เหตุการณ์เช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้กับคลิปหนีบกระดาษที่ปลายข้างหนึ่ง
แล้วถูกดัดให้ชี้ออกไป
ทาไมเราจึงต้องไม่ให้เตาอบไมโครเวฟทางานในขณะที่เป็นเตาเปล่า. ก่อนเดินเครื่องเราต้องมั่นใจ
ว่ามีอาหารหรือมีสิ่งอื่นใดที่ดูดไมโครเวฟได้มากพออยู่ไมโครเวฟเช่นน้าสักครึ่งแก้วเหมือนกับที่คนขายทดลองให้
ดู ถ้าเดินเครื่องตู้อบเปล่ าๆ ไมโครเวฟจะสะท้อนผนังโลหะไปมาอยู่ภายในตู้ซึ่งอาจทาให้ หลอดแมกนี ตรอน
เสียหายได้ อาหารที่ดูดไมโครเวฟได้ดีนอกจากนิยั า งมีอีกสองอย่างคือไขมันและน้าตาล
ไมโครเวฟสามารถรั่ ว ออกมาจากตู้ อบไมโครเวฟและมาทาให้ พ่ อ ครัว แม่ ครัว เป็ น อัน ตรายได้
หรือไม่ เรื่องเครื่องไมโครเวฟรั่วนั้นเตาอบไมโครเวฟรุ่นโบราณอาจหมีอยู่พอควรในระดับประมาณ 10 มิลลิวัตต์
ต่อตารางเซ็น ติเมตร ในปั จ จุ บั น ตู้อบไมโครเวฟมีคุณภาพตามมาตรฐานใหม่ที่เข้มงวดมากที่ยอมให้ รั่ว ได้ไม่
เกิน 1 มิลลิวัตต์ต่อตารางเซ็นติเมตร. ไม่ว่าจะรั่วหนึ่งหรือ 10 มิลลิวัตต์ต่อตารางเซ็นติเมตรก็ไม่เป็นอันตรายเมื่อ
คานึงถึงว่าถ้าเรายืนอยู่ห่างกองไฟ 2 ฟุตเราจะได้รับการแผ่รังสี 50 มิลลิวัตต์ต่อตารางเซ็นติเมตรและจานวนมิลลิ
วัตต์ต่อตารางเซ็นติเมตรจะลดลงตามระยะทางกาลังสอง. ถ้าเราอยู่ห่างออกไป 3 เท่าการรับรังสีจะลดลง 9 เท่า
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 125
และถ้าเราอยู่ ห่ างออกไป 5 เท่าก็จ ะลดลง 25 เท่า . ถ้าเราเผลอไปเปิ ดประตู ตู้ อบไมโครเวฟขณะที่มั น ก าลั ง
ทางาน แมกนีตรอนก็จะถูกตัดไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ คลื่นไมโครเวฟไม่สามารถผ่านโลหะแต่สามารถผ่านกระจก
ได้ ประตูเตาอบต้องมีกระจกเพื่อให้เราเห็นอาหารภายใน แต่กระจกนั้นมีตะแกรงโลหะที่มีรูขนาดเล็กติดอยู่ด้วย
ไมโครเวฟจึงผ่านไม่ได้ เพราะความยาวคลื่นของไมโครเวฟที่เท่ากับประมาณ 12 เซนติเมตรทาให้คลื่นใหญ่เกินกว่า
ที่จะรอดรูในแผ่นโลหะได้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดใดเลยที่จะทาให้เชื่อว่ามีอันตรายเมื่อยืนอยู่ใกล้เตาอบไมโครเวฟ
ที่กาลังทางานอยู่
ไมโครเวฟทาให้อาหารในเตาอบเสียคุณค่าทางอาหารหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับการหุงต้มแบบ
อื่นแล้วการใช้เตาอบไมโครเวฟรักษาสารอาหารเช่นวิตามิ นไว้ได้ดีกว่าการหุงต้มแบบอื่นเพราะคลื่นไมโครเวฟไม่ได้
ทาลายสารอาหารและการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนด้วยเตาอบไมโครเวฟใช้น้าน้อยกว่าวิธีอื่นเช่นต้มหรือลวกจึง
สามารถรักษาสารอาหารที่ละลายน้าไว้ได้มากกว่า
เตาอบไมโครเวฟเป็นเครื่องทาอาหารที่ปล่อยพลังงานและทาให้เกิดความร้อน องค์การอาหารและ
ยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) จึงมีคาแนะนาในการใช้เตาอบไมโครเวฟอย่างปลอดภัยที่อาจสรุปได้ดังนี้
1. ปฏิบัติตามวิธีการใช้ในคู่มือจากผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด เช่นห้ามเดินเครื่องในขณะที่เตาอบว่าง ห้ามให้
ความร้อนแก่น้าหรือของเหลวนานกว่าเวลาที่ผู้ผลิตกาหนด
2. ใช้ภาชนะที่ใช้กับเตาอบไมโครเวฟได้ เราต้องไม่ใช้ภาชนะโลหะเพราะอาจทาให้เกิดปัญหาที่ได้กล่าว
มาแล้ว และต้องไม่ใช้ภาชนะพลาสติกที่มีจุดหลอมเหลวต่าที่อาจหลอมเหลวเมื่ออาหารร้อน. FDA แนะนาให้ใช้
ภาชนะแก้ว เซอรามิค หรือพลาสติกที่ติดฉลากไว้ว่าใช้กับเตาอบไมโครเวฟไค้
3. หลีกเลี่ยงน้าร้อนเกินจุดเดือด (super-heated water). น้าชนิดนี้คือน้าที่มีอุณหภูมิเกิน 100 องศาแต่
ยังไม่เดือดเพราะยังไม่มีจุดเริ่มต้นของการเดือด. ถ้าเราให้ความร้อนแก่น้าจนถึงอุณหภูมินี้มันอาจเดือดทันทีอย่าง
รุนแรงเมื่อเราทาให้มันสะเทือนหรือเมื่อเราใส่กาแฟลงไป เราอาจถูกลวกจนบาดเจ็บอย่างมากได้ ผมจะอุ่นกาแฟ
เพียงเล็กน้อยเท่านั้น . ถ้าต้องการทาให้น้าหรือกาแฟร้อนจัดมากผมจะใส่ไม้เสียบหมูสะเต๊ะที่ยังไม่ได้ใช้ลงไปใน
ถ้วยเพื่อให้เป็นจุดเริ่มเดือดอย่างนุ่มนวลเมื่อถึงจุดเดือดถ้าผมตั้งเวลานานเกินไป
4. ตรวจดูป ระตูเตาอบเป็ น ครั้ ง คราวเพื่ อหารอยช ารุ ด . ถึงแม้ว่าเราไม่ต้ องกังวลเกี่ยวกับ การรั่ ว ของ
ไมโครเวฟก็ตาม เราก็ควรตรวจดูความสมบูรณ์ของบานพับ ตัวล็อก และวัสดุภัณฑ์ผนึกรอบขอบประตู และตรวจดู
ด้วยว่าประตูบิดเบี้ยวหรือไม่ ถ้าไม่สมบูรณ์ควรส่งซ่อมหรือซื้อใหม่
5. ห้ามใช้เตาอบที่ทางานได้ในขณะที่ประตูเปิด . เตาอบอาจเป็นเช่นนี้ได้ถ้าสวิตช์ที่ตัดไฟฟ้าเมื่อประตูเปิด
ชารุด. สวิตช์นี้มีไว้กันผู้ใช้เผลอเปิดเตาอบขณะที่กาลังทางาน. เมื่อเปิดประตู ไฟฟ้าที่ส่งไปยังแมกนีตรอนและ
ส่วนต่างๆของเตาอบจะถูกตัดทันที
ผมหวังว่าสิ่งที่กล่าวมาคงทาให้ท่านได้ ได้รับความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเตาอบไมโครเวฟเพิ่มขึ้นบ้างไม่
มากก็น้อยและอาจคลายความสงสัยไปได้บ้าง. แต่ถ้าท่านคิดว่าเมื่อเรามีเตาอบไมโครเวฟแล้วเราก็ จะไม่กิน
อาหารเย็นอีกต่อไปน้าหนักตัวคงจะลด. ผมว่าคงไม่ได้ผล
ขอขอบคุณ รศ. ดร. จิรเดช แจ่มสว่าง ภาควิชาโรคพืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กาแพงแสน ที่
แนะนาหัวข้อนี้
โดยทั่วไปนักวิทยาศาสตร์และแพทย์จะไม่แนะนาเรื่องอาหารและสุขภาพเมื่อยังไม่มีหลักฐานที่
แน่นอนเพียงพอ แต่โชคร้ายที่ไม่เป็นเช่นนั้นในกรณีของคาแนะนาและนโยบายด้านไขมัน. ตลอดเวลาหลายสิบปีที่
ผ่านมา นโยบายด้านไขมันยึดสมมุติฐาน Diet-Heart ของ Dr. Ancel Keys แห่งมหาวิทยาลัย Minnesota ที่ว่า
การกินไขมันอิ่มตัว ทาให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูง โคเลสเตอรอลในเลือดสูงทาให้เกิดโรคหัวใจ เพราะฉะนั้นการ
กินไขมันอิ่มตัวจะทาให้เป็นโรคหัวใจ ซึ่งเดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าไม่เป็นความจริง . Dr.Keys มีงานสารวจที่สนับสนุน
สมมุ ติ ฐ าน ที่ เ รี ย กว่ า “การศึ ก ษาเจ็ ด ประเทศ“อั น อึ้ อ ฉาวของท่ า นมาสนั บ สนุน สมมุ ติ ฐ านนี้ ความจริ ง ท่าน
ศึกษา 22 ประเทศแต่ประเทศที่มีผลตรงกับสมมุติฐานมีเพียงเจ็ดประเทศ ท่านเลยตัดประเทศที่มีผลไม่ตรงกับ
สมมุติฐานของท่านออกไปหมด. ก่อนหน้านั้นงานวิจัยที่ไม่ตรงกับสมมุติฐานนี้ก็มีอยู่แต่ถูกมองข้ามไป เช่น ผลงาน
จากสามกลุ่มที่ศึกษาการกินอาหารและสุขภาพของชาวเอสกิโมทางเหนือของแคนาดา ชาวแอฟริกาเผ่ามาไซ และ
ชาวแอฟริกาเผ่าแซมบูรู ที่กินไขมันสัตว์มากถึงขนาดที่ได้พลังงานจากไขมันสัตว์ 60 ถึง 80% ตลอดทั้งปี แต่กลับ
ไม่อ้วนและมีสุขภาพดีและไม่มีโรคหัวใจ ถ้าสมมุติฐานนั้นเป็นความจริงผู้คนดังกล่าวคงเป็นโรคหัวใจสูญพันธุ์ไป
นานแล้ว
ในช่วงปีค.ศ. 1968 ถึงค.ศ. 1973 คณะนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัย Minnesota ดาเนินการทดลอง
ขนาดใหญ่กับคนประมาณ 10,000 คนที่สามารถควบคุมอาหารให้เป็นไปตามแบบแผนของการทดลองได้เป็นอย่าง
ดี ที่เรียกว่าMinnesota Coronary Experiment เพื่อพยายามยืนยันสมมุติฐานของ Dr. Keys โดยใช้อาหารที่คิด
ว่าน่าจะดีต่อสุขภาพที่ลดไขมันอิ่มตัวลงครึ่งหนึ่งและทดแทนส่วนที่ลดไปด้วยน้ามันพืชเทียบกับอาหารที่มีไขมัน
อิ่มตัว แบบเดิ ม . มีร ายงานความก้าวหน้ าในระยะแรกเล็ ก น้ อยว่ าเมื่ อ ใช้น้ ามัน พืช ทดแทนลดโคเลสเตอรอล
ได้ 14% แต่รายงานฉบับสมบูรณ์ไม่ได้รับการตีพิมพ์จนกระทั่งนักวิจัยหลักตายไปหมดแล้วจึงได้ พิมพ์เมื่อค.ศ.
2016 นั่นคือหลังจากสิ้นสุดการทดลอง 43 ปี ผลการทดลองไม่ตรงกับสมมุติฐานของDr.Keys เพราะได้พบว่า
ไขมันอิ่มตัวไม่มีผลต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด การทดแทนด้วยน้ามันพืชก็ไม่ได้ทาให้หัวใจและหลอดเลือดดีขึ้นแต่
กลั บ ท าให้ มี อั ต ราการตายจากโรคหั ว ใจ(heart diseases) จากโรคหั ว ใจและหลอดเลื อ ด(cardiovascular
diseases) และจากโรคอื่นๆสูงกว่ากลุ่มที่กินไขมันอิ่มตัว ซึ่งท่านจะเข้าใจได้เมื่อได้อ่านส่วนท้ายของเอกสารนี้
ท่านอาจสงสัยว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทาไมนักโภชนาการยังปรักปราไขมันอิ่มตัวว่าเป็นศั ตรูตัวร้าย
ของหัวใจตามDr.Keys. การที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะDr.Keys แสดงปาฏิหาริย์หลายอย่างให้เห็น เช่นการทาให้
ตัวเองเป็นบุคคลสาคัญในสมาคมหัวใจแห่งอเมริกา ในองค์การอาหารและยา และในวงการสื่อ จนได้ลงหน้าปก
นิตยสารTime ฉบับวันที่ 13 มกราคมค.ศ. 1961 และเป็นคนสนิทของนักการเมืองระดับสูงอีกด้วย. เมื่อเป็นเช่นนี้
เสียงคัดค้านก็กลายเป็นเสียงนกเสียงกา
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แพทย์หัวก้าวหน้าได้ศึกษาจากmeta-analysisต่างๆและการศึกษาอื่นๆที่มี
อยู่อีกมากและเริ่มมีเสียงดังมากขึ้นทุกทีว่า คาร์โบไฮเดรตที่เป็นธัญพืชขัดขาวและน้าตาลต่างหากไม่ใช่ไขมันอิ่มตัว
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 130
ที่เป็นตัวทาให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเรื้อรังอื่นๆ. เดี๋ยวนี้ความลับในทศวรรษที่ 1960ถูกเปิดเผย
แล้วว่ามีการติดสินบนนักวิจัยโดยอุตสาหกรรมน้าตาลเพื่อไม่ให้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างน้าตาลกับโรคหัวใจ
และให้ชี้ไปที่ไขมันอิ่มตัวแทน. ไขมันอิ่มตัวทาให้โคเลสเตอรอลสูงขึ้นก็จริง แต่มันเพิ่มทั้งตัวเลว(LDL) และตัวดี
(HDL) ถ้ามองเพียงเท่านี้ความน่ากลัวของไขมันอิ่มตัวก็ลดลงแล้ว เมื่อมองให้ลึกลงไปอีกถึงชนิดย่อยของอนุภาค
LDL จะยิ่งเห็นว่าไขมันอิ่มตัวไม่เลวร้าย เมื่อคนกินไขมันอิ่มตัวเพิ่มขึ้น อนุภาคLDLในเลือดจะเปลี่ยนจากอนุภาค
LDL ขนาดเล็กที่เกาะตัวกันค่อนข้างแน่น ซึ่งเกาะติดผนังเส้นเลือดได้ง่ายและเพิ่มความเสี่ยงต่อการอักเสบของเส้น
เลือด ไปเป็นอนุภาคLDLที่ฟูมากขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้นที่ลอยตัวได้ดีและเกาะกับเส้นเลือดน้อยลง ซึ่งมีผลทางด้าน
การอักเสบน้อยกว่า . นอกจากนี้ไขมันอิ่มตัวยังมีข้อดีอื่นๆอีก เช่นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองขาด
เลือด และไม่ได้ทาให้อ้วนถ้าอาหารนั้นมีคาร์โบไฮเดรทไม่มากนัก
ไขมัน ไม่อิ่มตัว แบ่ ง ออกเป็ นสองประเภทคือ ไขมัน ไม่ อิ่ม ตัว หนึ่งตาแหน่ง (Monounsaturated
fat) เช่นน้ามันมะกอกและน้ามันถั่วลิสง กับ ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตาแหน่ง (Polyunsaturated fat)เช่นน้ามันถั่ว
เหลือง น้ามันข้าวโพดและน้ามันเมล็ดทานตะวัน. โดยทั่วไปแล้วถือว่าน้ามันไม่อิ่มตัวหนึ่งตาแหน่งเป็นน้ามันที่ดีต่อ
สุขภาพ ลดLDLโคเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงต่อการอักเสบและต่อต้านการต้านทานอินซูลิน รวมทั้งไม่เพิ่มน้าหนัก
ตัวถ้าบริโภคในปริมาณพอควร แต่ไม่ถึงกับไม่ทาให้อ้วนเลยอย่างที่ได้ยินในรายการอาหารและในหนังสือคุกบุ๊คที่
อาจได้ความคิ ดที่ผิ ด พลาดมาจากผลการส ารวจของDr.Keys ที่เป็น ส่ ว นหนึ่งของการศึ ก ษาเจ็ด ประเทศ เมื่ อ
ประมาณปี ค .ศ. 1955ที่ เ กาะCrete ที่ เ ป็ น เกาะขนาดใหญ่ น อกชายฝั่ ง กรี ก เขาพบว่ า คนที่ นั่ น ไม่ อ้ ว น อายุ
ยืน ร่างกายแข็งแรงจนอายุมาก และไม่มีโรคหัวใจ. Dr.Keys สรุปว่าเป็นเพราะชาวเกาะนี้กินอาหารเมดิเตอร์เร
เนียนที่ใส่น้ามันมะกอกมากจนได้แคลอรี่จากน้ามันมะกอกถึงประมาณ 40% เรียกว่าให้เครดิตน้ามันมะกอกไป
เต็มๆโดยที่ไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยอื่น. ที่จริงแล้วในช่วงหลังสงครามโลกไม่นานนั้น เกาะCreteขาดทั้งยานพาหนะ
และเครื่องทุน่ แรงทางการเกษตร คนต้องทางานหนักและเดินโดยเฉลี่ยวันละประมาณ 9 กิโลเมตร ประมาณ 50 ปี
หลังจากนั้นมีผู้ไปสารวจใหม่ เขาพบว่าชาวเกาะนั้นยังกินอาหารเหมือนบรรพบุรุษแต่ไม่ได้ออกแรงเหมือนบรรพ
บุรุษจนอ้วนและมีโรคหัวใจเทียบเท่าคนอเมริกัน นั่นแสดงให้เห็นว่าไขมันไม่อิ่มตัวหนึ่งตาแหน่งไม่ได้ป้ องกัน
โรคหัวใจอย่างที่กล่าวอ้างไว้ในสื่อบางราย
ไขมันไม่อิ่มตัวหลายตาแหน่งเช่นน้ามันปลาและน้ามันพืชนั้นนั้นมีส่วนประกอบที่เป็นกรดไขมัน
บางชนิดที่มีความสาคัญต่อสุขภาพในฐานะกรดไขมันจาเป็นที่ ร่างกายสร้างไม่ได้ ซึ่งกรดไขมันจาเป็นนั้ นแบ่ง
ออกเป็นสองพวกคือกรดไขมันโอเมกา-3 และกรดไขมันโอเมกา-6. กรดไขมันโอเมกา-3 ช่วยให้หัวใจมีสุขภาพ
ดี ปรั บ ปรุ ง การไหลของเลื อ ด ลดการอั ก เสบและ คาดว่ า จะมี ผ ลดี ต่ อ สมองด้ ว ย ส่ ว นกรดไขมั น โอเมกา-6 มี
ความสาคัญในระบบภูมิคุ้มกันและในด้านอื่นๆอีกแต่มันเป็นชนิดที่ส่งเสริมการอักเสบ ถ้าได้รับกรดไขมันโอเมกา-
6 มากเกินไปอาจส่งเสริมให้เกิดการอักเสบ เช่น การอักเสบของเยื่อบุเส้นเลือดซึ่งจะนาไปสู่โรคหัวใจและหลอด
เลือด. แม้ว่าไขมันไม่อิ่มตัวหลายตาแหน่งจะลดโคเลสเตอรอลในเลือดได้ก็ตาม แต่เมื่อเกิดการอักเสบของเยื่อ
บุ เส้นเลือดแล้วกระบวนการอุดตันเส้นเลือดด้วยโคเลสเตอรอลจะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นมาก. โดยทั่วไปอัตราส่วนของ
โอเมกา-6 ต่อโอเมกา-3 ควรจะเป็น 1:1 แต่ในปัจจุบันอาหารตะวันตกมีอัตราส่วนประมาณ16:1. อาหารไทยใน
ยุคน้ามันพืชนี้คงจะมีอัตราส่วนใกล้เคียงกับอาหารตะวันตก. น้ามันถั่วเหลืองเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของพวกโอเมกา-
6. น้ามันปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาในเขตน้าเย็นเป็นแหล่งใหญ่ที่สุดของพวกโอเมกา-3
เปอร์เซ็นต์ของกรดไขมันทั้งหมด
ชนิดของไขมัน-น้ามัน.
อิ่มตัว ไม่อิ่มตัวหนึ่งตาแหน่ง ไม่อิ่มตัวหลายตาแหน่ง
น้ามันเมล็ดทานตะวัน 11 20 69
น้ามันถั่วเหลือง 15 24 61
น้ามันมะกอก 14 77 9
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 132
น้ามันปาล์ม 51 39 10
น้ามันหมู 41 47 12
ไขมันเนย 66 30 4
น้ามันมะพร้าว 92 6 2
จากตารางข้างบนเมื่อพิจารณาส่วนประกอบของน้ามันหมูและเนย จะเห็นได้ว่ามีกรดไขมันไม่
อิ่มตัวหนึ่งตาแหน่งอยู่มากพอสมควร มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตาแหน่งแต่ไม่มากนัก และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เรา
ไม่กลัวแล้วอยู่ประมาณ1/2 และ 2/93 ตามลาดับ ทาให้เหมาะสาหรับใช้ในการปรุงอาหารโดยทั่วไป
“เราไม่ควรยอมให้ใครใช้ข้อมูลที่ผิดหรือใช้วิทยาศาสตร์ที่บิดเบือนมาทาให้เราขาดความสุขจาก
การกินอาหารที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ” ผมหวังว่าสักวันหนึ่งหน่วยงานทางด้านอาหารคงจะยอมจานนต่อ
หลักฐานเหมือนกับเรื่องไขมันทรานส์
ค านิ ย ามดั้ ง เดิ ม ของ junk foodคื อ ผลิ ต ภั ณ ฑ์ อ าหารทางการค้ า ที่ ร วมถึ ง ลู ก กวาด ขนมเบเกอ
รี่ ไอศครีม ของว่างรสเค็มและน้าอัดลม ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีคุณค่าทางโภชนาการน้อยหรือไม่มีเลย แต่มีแคลอรีสูง มี
เกลือและไขมันมาก คากล่าวเช่นนี้มุ่งไปที่แป้งและน้าตาลเพราะเป็นสารอาหารที่ให้แคลอรี่ที่เขาเรียกว่า empty
calories ข้อกล่าวหาก็คือว่าถ้ามีสารอาหารที่ให้แคลอรี่สูงจะทาให้ผู้บริโภคได้โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุน้อย
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 134
หรือไม่ได้เลย เมื่อเวลาผ่านไปกลุ่มอาหารที่จัดว่าเป็น junk food เพิม่ มากขึ้นทุกที เพราะเขาเริ่มมองไปที่อาหาร
ที่เติมน้าตาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เดิม high fructose corn syrup อาหารที่ผ่านกระบวนการ และต่อมาลามไปถึง
อาหารจานด่วน (fast food) โดยเฉพาะชนิดที่ประสบความสาเร็จมากเช่นแฮมเบอร์เกอร์และพิซซ่า บางคน
ถึ ง กั บ แนะน าให้ เ อาอาหารชนิ ด ที่ โ ฆษณาในโทรทั ศ น์ ม ารวมเข้ า ไปในกลุ่ ม นี้ ด้ ว ย เดี๋ ย วนี้ ถ้ า เปิ ด ดู ร ายการ
อาหาร junk food ที่รวมถึงอาหารที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ดีต่อสุขภาพในอินเตอร์เน็ต จะพบว่ามีอยู่กว่า 200 ชนิดด้วย
ข้อกล่าวหาที่ไม่ค่อยเข้าท่าเป็นส่วนใหญ่ ไมเคิลเจคอบสันและนักเคลื่อนไหวทางอาหารอื่นๆพยายามให้รัฐบาล
สหรัฐออกกฏหมายต่างๆที่ต่อต้านอาหารที่พวกเขากล่าวหา แต่เขาก็ผิดหวังอยู่บ่อยๆ สานักงานกองทุนสนับสนุน
การสร้างเสริมสุขภาพ (ส ส ส )ของไทยก็ทาแบบนี้จนเกิดภาษีความหวานและภาษีความเค็มที่อุตสาหกรรมอาหาร
ต้องจ่ายมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งบางคนกล่าวว่าการรณรงค์น่าจะให้ผลดีมากกว่าการเก็บภาษีเพิ่ม เพราะการเพิ่ม
ภาษีไม่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยการกินอาหารของคนไทยเลย
เราเรียนรู้กันมานานแล้วว่าเราควรกินอาหารให้ครบห้าหมู่ซึ่งประกอบด้วยหมู่ที่หนึ่งโปรตีน หมู่ที่สอง
คาร์โบไฮเดรต หมู่ที่สามแร่ธาตุ หมู่ที่สี่วิตามิน และหมู่ที่ห้าไขมัน อาหารที่เรียกว่า junk food แต่ละชนิดนั้นเป็น
เพียงอาหารที่มีส่วนประกอบบางหมู่มากไปและบางหมูน้อยไปในจานนั้นเท่านั้นเอง เราไม่ได้กินอาหารชนิดใด
ชนิดหนึ่งอย่างเดียวอย่างไม่อั้นทุกวันตลอดปีตลอดชาติ เรากินอาหารเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของอาหารทั้งหมดใน
หนึ่งวันและกินอาหารอื่นอีกหลายอย่าง ในวันนั้นและวันถัดๆไปเมื่อรวมกัน แล้วก็จะมีสัดส่วนของอาหารหมูต่างๆ
ดังกล่าวครบครัน ได้เพียงแต่ เลือกกินอาหารอื่นเพิ่มโดยใช้ความรู้เล็กๆน้อยๆ สติและสามัญสานึกเท่านั้น
คาแนะนาอีกอย่างหนึ่งของนักปรักปราอาหารก็คือเราไม่ควรกินอาหารที่ผ่านกระบวนการ(processed
food) เขาถือว่าอาหารที่ออกมาจากโรงงานหรือครัวของกิจการใหญ่ใหญ่เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการ ที่จริง
แล้วเวลาเราทาอาหารกินเองเราก็ต้องนาวัตถุดิบมาผ่านกระบวนการในครัวที่ไม่แตกต่างมากนักจากกระบวนการ
ในโรงงานถ้าเป็นอาหารชนิดเดียวกัน ผลดีผลเสียที่เกิดขึ้นกับวัตถุดิบไม่น่าจะแตกต่างกันมาก ในหลายกรณี
โรงงานสามารถควบคุมตัวแปรต่างๆเช่นอุณหภูมิได้ดีกว่าในครัวของเราด้วยซ้าไป ถ้าเราพิจารณาถึงอาหารของ
มนุษย์อวกาศที่ผ่านอภิมหากระบวนการด้วยแล้ว เราน่าจะเห็นได้ชัดว่ากระบวนการไม่ได้ทาให้อาหารเสียคุณค่าจน
ไม่เหมาะแก่การบริโภค
ถ้ า ดู อ ย่ า งผิ ว เผิ น แล้ ว ผู้ ค นทั่ ว ไปแม้ แ ต่ บุ ค ลากรทางการแพทย์ อ าจคล้ อ ยตามไมเคิ ล เจคอบสั น และ
สาวก และคิดว่าพวกเขาพยายามรักษาสุขภาพของประชาชน ตามความคิดของผมแล้วเขาทาให้ประชาชนเป็น
ปฏิปักษ์กับอาหารดีๆไปมากมาย และกินอาหารอย่างไม่มีความสุข มีแต่ความหวาดระแวงวิตกกังวลว่าตัวเองต้อง
ยังชีพอยู่ด้วยอาหารทาลายสุขภาพ ความรู้สึกเหล่านี้อาจนาไปสู่ความซึมเศร้าและความผิดปกติเกี่ยวกับการกิน
อาหารเช่น anorexia nervosa ก็เป็นได้
จริงอยู่โดยหลักการแล้วอาหารที่ดีของเราควรเป็นอาหารที่เราปรุงเองจากวัตถุดิบที่เป็นของสดคุณภาพสูง
จากตลาดหรือปลูกเองเป็นบางส่วน แต่ในชีวิตปัจจุบันและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุค ที่โควิด-19 ระบาดเช่นนี้ การ
สั่งซื้ออาหารจากภัตตาคารหรืออาหารจานด่วนจากบริษัทใหญ่ๆ หรือ การซื้ออาหารสาเร็จรูปบางชนิดบ้างเป็นสิ่งที่
หลีกเลี่ยงได้ยาก ถ้าเรามีความรู้เกี่ยวกับอาหารและสุขภาพและมีสติที่จะไม่กินอาหารบางอย่างมากเกินไปเราก็จะ
สามารถจัดหาอาหารที่ดี กับทั้งสุขภาพและการคุมน้าหนักตัวได้ไม่ยาก โดยที่ยังได้กินอาหารอร่อยที่เป็นอาหาร
ต้องห้ามของกระแส junk food ได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดโรคอ้วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคอื่นๆดังกล่าว
มาแล้ว งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Cornell แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโดยทั่ วไปความอ้วนไม่ได้มีสาเหตุมาจาก
น้าอัดลมและ junk food เมื่อเป็นเช่นนี้ผ มจึงถือว่า junk food ไม่มีจริง มีแต่อาหารกินได้ที่มีส ารอาหารดีๆ
เกษตรเพื่อชีวิตและสุขภาพ “อยูอ่ ย่างมีสขุ กินอย่างปลอดภัย” 136
หลายอย่างแต่ไม่ครบทุกอย่างในจานนั้นเหมือนอาหารทั่วไปเท่านั้น และไม่มีขยะอยู่ในจานอาหารของท่านเลย
แม้แต่น้อย เมื่อเช้าวันอาทิตย์ผมได้รับของขวัญเป็นเค้กหมูทอดเบรกแตกกล่องใหญ่ที่เป็นข้าวสวยโปะด้วยหมูสาม
ชั้นทอดรสดี ผมตักแบ่งออกมาคนละจานและทาคะน้าไฮโดรโพนิคส์ผัดน้ามันหอยอย่างรวดเร็วมากินร่วมด้วยคน
ละจาน ผมคิดว่าครอบครัวผมได้กิน brunch ที่ดีทีเดียว
สาหรับท่านผู้อ่าน เมื่อได้อ่านความคิดเห็นของผมแล้วผมขอให้ท่านใช้ความคิดเห็นโดยรวมของท่านในการ
ตัดสินใจด้วยตัวท่านเองว่าJunk food มีจริงหรือไม่ (Bon Appétit)