Professional Documents
Culture Documents
ความทรงจำและการลืม
ความทรงจำและการลืม
จัดโดย
ภาควิชาประวัตศิ าสตร์ และ แผนกวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
สนับสนุนโดย
สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.)
ศูนย์ภมู ภิ าคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยังยื
่ น คณะสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (RCSD)
ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (CAS)
ศูนย์วจิ ยั พหุลกั ษณ์สงั คมลุ่มน้าโขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น (CERP)
This page is intentionally left blank
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
สารบัญ
อองซาน: พลวัตการจัดการความทรงจาร่วมทางสังคมโดยรัฐบาลพม่า 23
กฤษณะ โชติสทุ ธิ์
i
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ii
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P3-R3-03
“แบบประวัติศาสตร์ท่แท้
ี จริง”?
วิ ก ฤตการณ์ แ ละการวางเค้ า โครงประวั ติ ศ าสตร์ ช าติ แ บบเส้ น ตรง
ในประวั ติ ศ าสตร์ นิ พ นธ์ ไ ทย ช่ วงทศวรรษ 2490-2510
กฤชกร กอกเผือก*
นิสิตสหกิจศึกษา หน่วยวิจัยเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
e-mail: Krijakorn@gmail.com
บทความนี้ ป รั บ ปรุ ง จากวิ ท ยานิ พ นธ์ ร ะดั บ ปริ ญ ญาตรี เรื่ อ ง “การเมื อ งในประวั ติ ศ าสตร์ นิ พ นธ์ ไ ทยของคณะกรรมการช าระ
ประวัติศาสตร์ไทยระหว่าง พ.ศ.2495-2533” สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. 2558
1
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
ในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าบรรดารัฐเกิดใหม่ทไ่ี ด้รบั เอกราชภายหลังสงครามโลกครัง้ ที่ 2
ต่างก็ให้ความสาคัญต่อการเขียนประวัตศิ าสตร์ของรัฐอย่างยิง่ ไม่ว่าจะเป็ น การทีฟ่ ิ ลปิ ปิ นส์ตงั ้ คณะกรรมาธิการ
ประวัตศิ าสตร์แห่งชาติฟิลปิ ปิ นส์ขน้ึ ใน พ.ศ.2490 (สิรฉิ ตั ร รักการ 2559) อินโดนีเซียจัดงานสัมมนาประวัตศิ าสตร์
แห่งชาติใน พ.ศ.2500 (นพปฏล กิจไพบูลทวี 2556, 10) รวมทัง้ การทีล่ าวได้ตงั ้ คณะกรรมการค้นคว้าและเขียน
ประวัตศิ าสตร์ลาวขึน้ ใน พ.ศ.2526 ทีล่ ่วงเลยมาถึงเสีย้ วทีส่ องของพุทธศตวรรษที่ 26 ก็เนื่องด้วยความยุ่งยากทาง
การเมืองบางประการ (กาพล จาปาพันธ์ 2558, 217-218) ในลักษณะเดียวกันรัฐไทยผูท้ ะนงหนักหนาเรื่องไม่เคย
ตกเป็ นอาณานิ ค มของใคร พร้ อ มทัง้ มีป ระวัติ ศ าสตร์อ ัน ยาวนานนั บ พัน ปี ก็ย ัง ด าเนิ น การตัง้ องค์ ก รทาง
ประวัตศิ าสตร์ทม่ี ชี ่อื ว่า “คณะกรรมการชาระประวัตศิ าสตร์ไทย” ขึน้ เมื่อ พ.ศ.2495 จึงเป็ นสิง่ ทีน่ ่าขบคิดอย่างมาก
ว่า สาเหตุ ของการจัดตัง้ องค์กรดังกล่าวนี้ข้นึ ณ ช่วงเวลานัน้ มาจากปั จจัยใด กอปรกับมีบทบาท หน้ าที่และ
ปฏิบตั กิ ารต่างๆ อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในช่วงทศวรรษ 2490-2510 นัน้ อันน่ าจะช่วยขยายเส้นขอบฟ้ า
แห่ ง ความรู้/ ความเข้า ใจที่มีต่อ ประวัติศ าสตร์นิ พนธ์ไ ทยได้มากยิ่งขึ้น กว่าเดิม เนื่ อ งจากงานศึกษาที่ว่าด้วย
ประวัติศ าสตร์นิ พ นธ์ไ ทยในปั จ จุ บ ัน ชิ้น ส าคัญ หลายชิ้น ก็ไ ม่ เ คยน าเอาคณะกรรมการฯ ในฐานะองค์ก รทาง
ประวัตศิ าสตร์ทต่ี งั ้ ขึน้ อย่างเป็ นทางการและมีการดาเนินงานยาวนานมากกว่าครึง่ ศตวรรษเข้ามาร่วมพิจารณาแต่
อย่างใด (ดูตวั อย่างเช่น Charnvit 1979; Winai 1983; Somkiat 1986; ธงชัย วินิจจะกูล 2543; แพทริค โจรี 2553;
Thongchai 2011, 2014)
แต่ ก ระนั น้ งานศึก ษาที่ว่ า ด้ ว ยประวัติ ศ าสตร์ นิ พ นธ์ไ ทยชิ้น หนึ่ ง ที่ก ล่ า วถึง คณะกรรมการช าระ
ประวัตศิ าสตร์ไทย คือ “200 ปี ของการศึกษาประวัตศิ าสตร์ไทยและทางข้างหน้า” ของนิธิ เอียวศรีวงศ์ (2529) ใน
ฐานะหน่ ว ยงานที่ร ัฐ ไทยลงทุ น เสริม สร้ า งให้เ ป็ นสถาบัน ด้ า นการศึก ษาประวัติ ศ าสตร์ ที่ข้ึน ตรงกับ ส านั ก
นายกรัฐมนตรี อันเป็ นส่วนหนึ่งของการเกิดช่วงจังหวะแห่งความคึกคักของการศึกษาประวัตศิ าสตร์ไทยช่วงที่ 3
โดยนิธเิ สนอว่า การศึกษาประวัตศิ าสตร์ไทยในรอบ 200 ปี ทผ่ี ่านมาเกิดความคึกคักขึน้ อยู่ 3 ช่วง กล่าวคือ ช่วง
ต้นรัตนโกสินทร์ครัง้ หนึ่ง ช่วงรัชกาลที่ 5 ถึงกรมพระยาดารงราชานุ ภาพครัง้ หนึ่ง และช่วงประมาณ พ.ศ.2500-
2525 อีก ครัง้ หนึ่ ง ทัง้ นี้ ข้อ ควรสังเกตที่สาคัญ คือ ความคึก คักนัน้ เกิดจากความสนใจของชนชัน้ สูงของไทย
โดยเฉพาะ อันเป็ นตรรกะมาจากการมองว่า ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์เป็ นสมบัตขิ องชนชัน้ สูงอีกชัน้ หนึ่ ง และทีส่ าคัญ
การเสนอว่าช่วงเวลาที่ 3 คือ ประมาณ พ.ศ.2500 จนถึง 2525 เกิดจากการไหลบ่าเข้ามาของวัฒนธรรมอเมริกนั
ผูเ้ ชีย่ วชาญหรือผูช้ านัญจากองค์กรช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาต่างๆ ทีเ่ ข้ามาเดินกันขวักไขว่ไปมา จนทา
ให้ชนชัน้ สูงไทยรู้สกึ อึดอัดต่ อ “เอกลักษณ์ ไทย” ของตนอย่างมากว่า “เราคือใคร และเราควรเป็ นอะไรในโลก
ข้า งหน้ า ” (2529, 105-106, 115) จึง เป็ น ประเด็น ชวนสงสัย ว่ า ข้อ เสนอของนิ ธิต่ อ การเกิด ความคึก คัก ของ
การศึกษาประวัตศิ าสตร์ไทยในช่วงที่ 3 ดังกล่าวจะมีลกั ษณะเป็ นเช่นนัน้ หรือไม่ และจะสัมพันธ์กนั อย่างไรกับการ
แต่งตัง้ ของคณะกรรมการฯ ตัง้ แต่ก่อนทีอ่ เมริกนั ชนจะเพิม่ จานวนและ “ออกเดินเพ่นพ่านไปทัวทุ ่ กหัวระแหง” ของ
รัฐไทย ดังนัน้ คณะกรรมการชาระประวัตศิ าสตร์ไทยจึงถูกเรียกตัวขึน้ มาเพื่อใช้สอบสวนข้อสงสัยดังกล่าว ซึง่ ผล
จากการสอบสวนคณะกรรมการฯทีถ่ ูกเรียกขึน้ มาให้ปากคาต่อข้อสงสัยทีม่ ตี ่อนิธิ เอียวศรีวงศ์จะออกมาในรูปการณ์
ใด จะสามารถ “สะกดตามไปโดยรอยเท้าและสายโลหิตอันหยดย้อย” ได้หรือไม่ได้ ก็ขอให้ร่วมกันพิจารณาผลลัพธ์
ด้วยกันดังต่อไปนี้
2
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
คณะกรรมกำรชำระประวัติศำสตร์ไทยคือใคร?
สาหรับวงวิชาการประวัตศิ าสตร์ไทยแล้ว ความรับรู/้ เข้ าใจทีม่ ตี ่อบทบาทและหน้าทีข่ องคณะกรรมการ
ชาระประวัตศิ าสตร์ไทยนับว่าน้อยยิง่ ทัง้ เมื่อพิจารณาในแง่ระยะเวลาการทางานขององค์กรแล้วก็จะยิง่ พบข้อชวน
สงสัยอีกว่า ในฐานะองค์กรทางประวัติศาสตร์โดยตรงทีม่ กี ารจัดตัง้ มายาวนานกว่า 50 ปี เหตุใดจึงยังไม่มใี คร
ทาการศึกษาอย่างลึกซึง้ จริงจัง หากจะมีการเอ่ยถึงบ้างก็เป็ นเนื้อหาเปลือกกระพีท้ ท่ี าหน้าทีเ่ พียงแค่เสริมเพื่อเติม
เต็มความสมบูรณ์ให้แก่แก่นเนื้อหาหลักเท่านัน้
กล่าวโดยสังเขป คณะกรรมการชาระประวัตศิ าสตร์ไทยได้รบั การแต่งตัง้ ขึน้ อย่างเป็ นทางการจากรัฐบาล
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2495 เพื่อ “สอบสวนประวัตคิ วามเป็ นมาของชาติไทย”
(ประธานคณะกรรมการฯ 2519, 1) โดยมีบุคคลทีไ่ ด้รบั การแต่งตัง้ เป็ นกรรมการชุดแรกทัง้ สิน้ 10 คน ได้แก่ กรม
หมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ม.จ.หญิงสิบพันพารเสนอ โสณกุล พระยาอนุมานราชธน พระยาโกษากรวิจารณ์ (บุณศรี
ประภาศิร)ิ พันโทหลวงรณสิทธิพชิ ยั (เจือ กาญจนินทุ) ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล นายรอง ศยามานนท์ หลวง
บริบาลบุรภี ณ ั ฑ์ (ป่ วน อินทุวงศ์) นายธนิต อยู่โพธิและนายตรี
์ อมาตยกุล และเริม่ มีการประชุมคณะกรรมการฯ
กันเป็ นครัง้ แรกในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2495 (สิบพันพารเสนอ โสณกุล 2501, [1]-[2]) หลังจากการประชุมกันอีก
หลายครัง้ หลายคราว คณะกรรมการฯ จึงได้มติในการวางโครงการเขียนประวัติศาสตร์ไทยอย่างย่อที่อยู่ใน
ระยะเวลาการด าเนิ น งาน 5 ปี กล่ า วคือ ตัง้ แต่ พ.ศ.2495-2500 (ศธ.07001.9.10.2/1 [17-21]) อย่ า งไรก็ดี
ภายหลังจากการแต่งตัง้ กรรมการชาระประวัตศิ าสตร์ขน้ึ ในครัง้ แรกนี้แล้ว ก็มบี ุคคลเข้ามารับตาแหน่งเป็ นกรรมการ
เพิม่ ขึน้ อีก แต่กล็ ้วนเป็ นในภายหลัง พ.ศ.2500 ทัง้ สิน้ ไม่ว่าจะเป็ นนายประเสริฐ ณ นคร พลตรีดาเนิน เลขะกุล
นายขจร สุขพานิช ม.จ.สุภทั รดิศ ดิศกุล นางสาววิลาสวงศ์ นพรั ตน์ นางวิมล พงศ์พพิ ฒ ั น์ และ ม.ร.ว.แสงโสม
เกษมศรี เป็ นต้น
ขณะที่ขอ้ เขียนหนึ่งของชาญวิทย์ เกษตรศิรทิ อ่ี าจกล่าวได้ว่าเป็ นบุคคลแรกๆ ที่เขียนข้อมูลไว้สนั ้ ๆ ถึง
คณะกรรมการชาระประวัตศิ าสตร์ไทยในเรื่อง ต้นกาเนิดว่ามีท่าทีจะโน้มเอียงไปในทางลัทธิเชือ้ ชาตินิยม เพราะ
เกิดขึน้ จากปฏิกริ ยิ าทีม่ ตี ่อบทความของแคลเร็นซ์ ดับเบิลยู. ฮอลล์ (Clarence W. Hall) ใน พ.ศ.2505 อันมีเนื้อหา
พอสรุปได้ว่า ไทยเคยตกเป็ นเมืองขึน้ ของเขมรมาก่อน จนนามาสู่การตัง้ คณะกรรมการฯ ขึน้ ใน พ.ศ.2506 (ชาญ
วิทย์ เกษตรศิริ 2519, 13-14) กระนัน้ เองดูเหมือนชาญวิท ย์จะจงใจไม่กล่าวถึงการแต่งตัง้ คณะกรรมการฯ อย่าง
เป็ นทางการใน พ.ศ.2495 เลย (ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ 2510, 129) ทัง้ ๆ ที่หลักฐานที่ชาญวิทย์ใช้อ้างอิงก็ระบุถงึ
เรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน จนท้ายทีส่ ดุ ข้อมูลดังกล่าวของชาญวิทย์ ก็มผี ลสืบเนื่องทาให้เกิดความเข้าใจอันคลาดเคลื่อน
ต่อต้นกาเนิดของคณะกรรมการฯ ตามไปด้วย
ในอีกแง่หนึ่ง การทางานของคณะกรรมการชาระประวัติศาสตร์ไทยทีเ่ ริม่ ตัง้ แต่ พ.ศ.2495 เรื่อยมานัน้
อาจถูกมองว่าเป็ นช่วงแรกเริม่ ที่ไม่เห็นผลงานอย่างเป็ นชิ้นเป็ นอัน แต่จากเอกสารที่หลงเหลือมาบ้างบางชิน้ ก็
พอจะทาให้รวู้ ่า คณะกรรมการฯ ได้พยายามดาเนินงานให้สอดคล้องกับแผนการทีว่ างไว้ตงั ้ แต่ปีแรกของการเริม่
งานเช่นกัน เพราะรายงานการประชุมครัง้ ที่ 1/2498 ระบุเรื่องหนึ่งในระเบียบวาระการประชุมทีเ่ สนอให้ทป่ี ระชุม
พิจารณาคือ งานเขียนประวัตศิ าสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น อันเป็ นไปตามโครงการเขียนประวัตศิ าสตร์ใน
พ.ศ.2497 ซึง่ กาหนดให้เป็ นลาดับของการเขียนประวัตศิ าสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา การประชุมครัง้ ทีม่ ขี น้ึ ในวันที่ 28
มกราคม พ.ศ.2498 จึงเท่ากับเป็ นเสมือนการรายงานความก้าวหน้าของงานทีท่ ามาใน พ.ศ.2497 แม้ว่างานเขียน
ดัง กล่ า วจะมีเ พีย ง 26 หน้ า ก็ต าม (ศธ.07001.9.10.2/1 [12]) อย่ า งไรก็ดี เมื่อ ระยะเวลาของโครงการเขีย น
3
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
4
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ประวัติศำสตร์ของคณะกรรมกำรชำระประวัติศำสตร์ไทย
5
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ขัน้ ตอนการเขีย นประวัติ ศ าสตร์ ต ามเค้ า โครงที่ว างไว้อ อกเป็ นสองขัน้ ตอน กล่ า วคือ “ในขัน้ ต้ น นี้ จ ะท า
ประวัตศิ าสตร์อย่างง่ายสาหรับให้นักเรียนอ่านก่อน คือจะเขียนอย่างธรรมดา ไม่ให้มเี รื่องราวละเอียดพิสดารมาก
นัก” เพราะ “การจัดทาโดยละเอียดพิสดารนัน้ จะต้องใช้เวลาจัดทายาวนาน” ส่วนขัน้ ต่อมาจะเริม่ ขึน้ ก็ต่อ “เมื่อ
จัดทาประวัตศิ าสตร์อย่างง่ายนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงจะลงมือทาประวัตศิ าสตร์อย่างละเอียดพิสดาร หรือทีเ่ รียกว่า
ประวัตศิ าสตร์เชิงซ้อน (Complex History) ต่อไป” (สิบพันพารเสนอ โสณกุล 2501, [7]; ศธ.0701.9.10.2/1 [17])
ดังนัน้ เมื่อพิจารณาบนฐานความเข้าใจต่อสถานะของคณะกรรมการชาระประวัตศิ าสตร์ไทยว่าเป็ นองค์
คณะผู้เ ขีย นประวัติศ าสตร์ข องรัฐไทยแล้ว ก็จ ะพบว่ า “เค้า โครงประวัติศ าสตร์ไ ทย” และขัน้ ตอนการเขียน
ประวัตศิ าสตร์ดงั กล่าว เป็ นปฏิบตั กิ ารทีแ่ สดงนัยยะของความพยายามอันต้องการจะสร้างบรรทัดฐานหรือแบบแผน
ในการเขียนประวัตศิ าสตร์ให้แก่รฐั ไทย ดังนัน้ จึงไม่น่าแปลกใจนักทีจ่ ะเห็นว่า การเขียนประวัตศิ าสตร์ก่อนหน้านี้
ทีบ่ รรทัดฐานหรือแบบแผนใดยังมิถูกสร้างขึน้ ให้ยดึ ถืออย่างเป็ นทางการจะมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะการแบ่ง
ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ ดังตัวอย่างจากงานเขียนของนักประวัติศาสตร์นามกระเดื่องหลายคน เช่น แสดง
บรรยายพงศาวดารสยาม ของกรมพระยาดารงราชานุ ภาพซึ่งเขียนใน พ.ศ.2467 ยึดหลักการแบ่งยุคตามลาดับ
ราชธานีทเ่ี ริม่ ต้นด้วยกรุงสุโขทัยต่อด้วยกรุงศรีอยุธยา แต่ หลักไทย ของขุนวิจติ รมาตราซึง่ เขียนใน พ.ศ.2471 และ
เรือ่ งของชาติไทย ของพระยาอนุมานราชธนซึง่ เขียนใน พ.ศ.2483 นัน้ กลับลากให้ประวัตศิ าสตร์ของชาติไทยย้อน
ไปเริม่ ต้น ณ ใจกลางแผ่นดินจีน ในอาณาจักรไทยมุง อาณาจักรไทยอ้ายลาวหรืออาณาจักรน่านเจ้า ก่อนจะอพยพ
โยกย้ายลงมายังแหลมอินโดจีน การสร้างบรรทัดฐานหรือแบบแผนของคณะกรรมการฯ จึงทาให้เกิดความแน่ นอน
และความต่อเนื่องของเวลาจนกลายเป็ นประวัตศิ าสตร์แบบเส้นตรงสายเดีย่ วขึน้ มาในประวัตศิ าสตร์ไทย จนเป็ นที่
ยอมรับอย่างสูงและแพร่หลายไปในหมู่นกั วิชาการและนักประวัตศิ าสตร์สมัครเล่นในเวลาต่อมา (กาญจนี ละอองศรี
2532, 208-219)
อย่ า งไรก็ต าม ลัก ษณะส าคัญ อีก ประการหนึ่ ง ในการเขีย นประวัติศ าสตร์ข องคณะกรรมการช าระ
ประวัติศ าสตร์ไ ทย คือ การพยายามสร้า ง “ประวัติศ าสตร์ท่ีแ ท้จ ริง ” ฉบับ หนึ่ ง อัน ไม่ เ หมือ นกับ การเขีย น
ประวัตศิ าสตร์แบบเดิมที่ “ผูเ้ ขียนไม่ใคร่จะสนใจกล่าวถึง” โดยเฉพาะ “เหตุผลในทางการเมือง การเศรษฐกิจและ
การสังคม ตลอดจนเรื่องราวทีเ่ กีย่ วกับวรรณกรรมหรือศิลปกรรมนัน้ มีน้อย” (สิบพันพานเสนอ โสณกุล 2501, [1])
จึง ท าให้ “เค้า โครงประวัติ ศ าสตร์ไ ทย ฉบับ พ.ศ.2495” มีก ารแบ่ ง หัว ข้อ ย่ อ ยที่สมั พัน ธ์ก ับ ประเด็น การเมือง
เศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น สมัยกรุงศรีอยุธยาช่วงแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 ถึงสิน้
แผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ได้มกี ารแบ่งการเขียนออกเป็ น 5 บทได้แก่ บทที่ 1 การสืบราชสมบัติ-กฎ
มณเฑียรบาล, บทที่ 2 การปกครอง-ในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 และแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ-
เหตุทเ่ี ปลีย่ นแปลงในส่วนกลางและส่วนภูมภิ าค-กฎหมาย, บทที่ 3 สังคมและเศรษฐกิจ-ความเป็ นอยู่ของคนไทย-
ขนบธรรมเนียมประเพณี-อาชีพ การกสิกรรม การหัตถกรรม และพาณิชยกรรม รวมการแต่งสาเภาไปค้าขายกับ
ต่างประเทศ, บทที่ 4 ศิลปวิทยา-ภาษาและวรรณคดี-ความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา และบทที่ 5 ความสัมพันธ์
กับต่างประเทศ-เขมร-ลานนาไทย-จีน (ศธ.0701.9.10.2/1 [18])
ทัง้ นี้ ผลิตผลสาคัญทีถ่ ูกรังสรรค์ขน้ึ ภายใต้ลกั ษณะดังกล่าวในการเขียนประวัตศิ าสตร์ของคณะกรรมการ
ชาระประวัติศาสตร์ไทยก็ทยอยออกมาทัง้ ช่วงก่อนและหลังการแต่งตัง้ คณะกรรมการฯ ขึน้ อีกครัง้ ใน พ.ศ.2506
สมัยจอมพลสฤษดิ ์ ธนะรัชต์ ไม่ว่าจะเป็ น ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ยุคแรก ฉบับ พ.ศ.2501 ของ
ม.จ.สิบพันพารเสนอ โสณกุล และ ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ฉบับ พ.ศ. 2502 ของนายรอง
6
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
7
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
8
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
กว้า งขวาง ไม่ เ ฉพาะแต่ จ ะบรรยายเหตุ การณ์ ท่เี กิดขึ้นเท่ านัน้ ยัง จะต้อ งศึก ษาไปถึงความเป็ นไปของสังคม
เศรษฐกิจ สถาบันสังคม ความคิดเห็น และอื่นๆ ซึง่ รวมเรียกว่าวัฒนธรรมของประเทศชาตินนั ้ ไปด้วยในตัว ” (สิบ
พันพารเสนอ โสณกุล 2501, [ก]) อันมีความแตกต่างจากแนวคิดทางประวัตศิ าสตร์ของกรมพระยาดารงราชานุ
ภาพที่เชื่อว่า “ประวัติศาสตร์เป็ นวิชาว่าด้วยตัวอย่าง Science of Example” และมีหลักการทีใ่ ช้ศกึ ษาอยู่ 3 ส่วน
คือ “ส่วนที่ ๑ เกิดเหตุการณ์อย่างไร ส่วนที่ ๒ ทาไมจึงเกิดเหตุการณ์อย่างนัน้ ส่วนที่ ๓ เหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้ นัน้
ให้ผลอย่างไร” (นริศรานุวดั ติวงศ์ 2499, 675) อย่างเห็นได้ชดั จนอาจถือได้ว่าเป็ นพัฒนาการอีกขัน้ ของการเขียน
ประวัติศาสตร์ไทยที่มกี ารเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ปั ญหาสาคัญที่ชวนสงสัยอย่างยิง่ ต่อมา คือ
แล้วสาเหตุใดเป็ นปั จจัยส่งผลให้เกิดการผลิตคาอธิบายทางประวัตศิ าสตร์ไทยขึน้ อีกชุ ดหนึ่งในช่วงทศวรรษ 2490
ทัง้ ทีร่ ฐั ไทยในขณะนัน้ ก็มงี านเขียนและคาอธิบายทางประวัตศิ าสตร์ส่องแสงแห่งความยิง่ ใหญ่และเก่าแก่ของชาติ
ไทยอยู่ก่อนแล้ว
กำรประยุ กต์และกำรตีควำมกับวิกฤตกำรณ์ของกำรเขียนประวัติศำสตร์ไทย
หากกล่ า วให้ ถึ ง ที่สุ ด แล้ ว การแสวงหาเหตุ ปั จ จัย ที่ ส่ ง ผลต่ อ การก าเนิ ด ของคณะกรรมการช าระ
ประวัตศิ าสตร์ไทย อันนามาสู่ความพยายามผลิต “ประวัตศิ าสตร์ไทย” ขึน้ ในเวลาต่อมานัน้ อาจถือได้ว่าไม่เคยมี
การศึกษากันอย่างจริงจัง โดยก่อนหน้านี้มกั เป็ นเพียงการพิจารณาถึงบทบาทและหน้าทีต่ ่างๆ รวมถึงดอกผลทาง
ประวัติศาสตร์ของคณะกรรมการฯ ตัง้ แต่การแต่งตัง้ อย่างเป็ นทางการใน พ.ศ.2495 ไปจนถึงประมาณทศวรรษ
2510 ว่ามีลกั ษณาการสัมพันธ์เชื่อมติดอยู่กบั การเมืองของรัฐไทยเช่นไร ด้วยเหตุน้ี จึงจาเป็ นอย่างยิง่ ต่อการให้
ความสาคัญแก่ความคิดเรื่อง “จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย” (Zeitgeist) หรือ “ความรูส้ กึ นึกคิดแห่งยุคสมัย ” (mente)
(อาร์โนลด์ 2549, 145; Berlin 2000, 95-96) กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การทาความเข้าใจถึงบริบทของการเมืองไทย
ในต้นช่วงทศวรรษ 2490 อันกาลังเคลื่อนคล้อยไปสู่จุดเริม่ ต้นใหม่ของการต่อสูร้ ะหว่างอุดมการณ์ทางการเมือง
สองค่าย ได้แก่ เสรีนิยมประชาธิปไตยกับสังคมนิยมประชาธิปไตยในยุคสมัยทีม่ ชี ่อื ว่า สงครามเย็น
ย่อมเป็ นทีร่ บั รูก้ นั ดีถงึ บริบทการเมืองโลกว่า ภายหลังทีส่ งครามโลกครัง้ ที่ 2 ยุตลิ ง สงครามครัง้ ใหม่ทม่ี ี
ชื่อว่า สงครามเย็น อันมีหวั หน้าค่ายเป็ นสองประเทศยักษ์ใหญ่จากสองทวีปคือ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
ก็ก่อตัวขึน้ ตามลาดับ ในช่วงปฐมบทแห่งสงครามครัง้ นี้ รัฐไทยยังมิได้ปวารณาตัวฝั กฝ่ ายใดอย่างชัดเจน เพราะ
อยู่ในภาวะของการต่อสูแ้ ย่งชิงอานาจทางเมืองกันอย่างดุเดือดของ 3 กลุ่มการเมือง ไม่ว่าจะเป็ นกลุ่มนิยมกษัตริย์
กลุ่มของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และกลุ่ มของนายปรีดี พนมยงค์ (ณัฐพล ใจจริง 2552) แต่รฐั ไทยก็มที ศิ ทาง
โน้มเอียงไปยังฝั ง่ ของสหรัฐอเมริกาอย่างเห็นได้ชดั เพราะนโยบายของสหรัฐฯ ที่ต้องการแสวงหาสันติภาพและ
ความมังคั่ งด้
่ วยการผลักดันนโยบายเปิ ดประตูการค้าเพื่อกระตุน้ เศรษฐกิจทีก่ าลังเสื่อมโทรมให้ฟ้ื นคืนมา รัฐไทย
จึงกลายเป็ นแหล่งทรัพยากรสาคัญ เช่น ข้าว ดีบุกและยางพารา อันเป็ นสิง่ ทีส่ หรัฐฯ ต้องการ ซึง่ ทาให้สหรัฐฯ มี
นโยบายรับรองอานาจอธิปไตยและความเป็ นอิสระของรัฐไทยเพื่อยังผลเรื่องการค้าเสรีในไทย (ณัฐพล ใจจริง
2552, 20-22) ด้วยเหตุน้ี สหรัฐฯ จึงเป็ นประเทศทีใ่ ห้การสนับสนุนรัฐไทยในหลายๆ ด้านเนื่องด้วยมีผลประโยชน์
สอดคล้องต้องกันอยู่ ในทางตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยและสหภาพโซเวียตกลับดูเหมือนมิค่อยจะ
ชื่นมื่นเท่าไหร่ เพราะความกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์ของราชสานักสยามจึงมิได้ตดิ ต่อกันมานับตัง้ แต่ พ.ศ.2460 ทา
ให้ประสบกับปั ญหาการคัดค้านของสหภาพโซเวียตในการสมัครเข้าเป็ นสมาชิกองค์การสหประชาชาติของรัฐไทย
ภายหลังสงครามโลกครัง้ ที่ 2 และทางเดียวทีจ่ ะสามารถแก้ไขปั ญหาดังกล่าวได้กค็ อื การสถาปนาความสัมพันธ์
9
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
10
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
11
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
13
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
14
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
15
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เวลานัน้ กล่าวคือ การยกย่องความศักดิสิ์ ทธิสู์ งส่งของสถาบันกษัตริยท์ ไ่ี ด้รบั การฟื้ นฟูขน้ึ เพื่อใช้แสดงความชอบ
ธรรมในการปกครองประเทศในสมัยจอมพลสฤษดิ ์ ธนะรัชต์เป็ นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับใช้เป็ นเครื่องมือในการ
ต่อสูก้ บั ลัทธิคอมมิวนิสม์ด้วยในอีกทางหนึ่ง (ทักษ์ เฉลิมเตียรณ 2552, 352-367) ดังนัน้ การเสนอภาพลักษณ์
กษัตริยไ์ ทยในบทความ “พระมหากษัตริยใ์ นประเทศไทย” ใน แถลงงานประวัตศิ าสตร์ เอกสารโบราณคดี ของพระ
ยาศรีวสิ ารวาจาทีไ่ ด้รบั อิทธิพลจากบทความ “Thai Old Siamese Conception of Monarchy” ใน Journal of the
Siam Society พ.ศ.2489 ของกรมหมื่นพิทยลาภพฤติยากร จึงสอดคล้องและเห็นพ้องกับสถานะของกษัตริย์
ภายใต้รฐั ธรรมนูญของรัฐไทย การปกครองประชาราษฎร์ดว้ ยหลักทศพิศราชธรรมและเปรียบดังพ่ ่ อปกครองลูกอยู่
ได้ดารงมาแล้วตัง้ แต่อดีต จนทาให้ประชาชนยินยอมพร้อมใจยกให้เป็ นกษัตริยใ์ นนาม “อเนกชนนิกรสโมสรสมมต”
(พระยาศรีวสิ ารวาจา 2510) หรือบทความของนายสุกจิ นิมมานเหมินทร์สองเรื่อง คือ “หนูเอ๋ย จงจาคาครูว่า” กับ
“รัตนบุรุษไทยสมัยก่อน” ทีพ่ ยายามใช้บุคคลในประวัตศิ าสตร์สองคนมาแสดงบทบาทของคนดีทส่ี มควรยึดถือเอา
เป็ นแบบอย่างได้แก่ เจ้าพระยาบดินเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ผูท้ ม่ี คี วามจงรักภักดีต่อกษัตริยไ์ ทย
ประพฤติตนตามกฎระเบียบอย่างตรงไปตรงมา จนแม้แต่บุตรของตนเองทาผิดก็ไม่ละเว้ น พร้อมลงโทษอย่าง
หนักเพื่อมิให้บุคคลอื่นทาเป็ นเยีย่ งอย่างได้ จึงเป็ นสิง่ ทีท่ าให้เป็ นทีย่ าเกรงและเคารพนับถือแก่คนทัง้ ปวง (สุกจิ
นิมมานเหมินทร์ 2513) และเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ในสมัยพระนารายณ์แห่งกรุงศรีอยุธยา ผู้เป็ นราชทูต
นาพาให้ประเทศไทยได้เจริญสัมพัน ธไมตรีอนั ดีกบั ฝรังเศส ่ ด้วยอาศัยไหวพริบกับความพากเพียรเพื่อสนองคุณ
รับใช้กษัตริยอ์ ย่างเต็มกาลัง (สุกจิ นิมมานเหมินทร์ 2515) ทัง้ สามบทความใน แถลงงานประวัตศิ าสตร์ เอกสาร
โบราณคดี ทีก่ ล่าวมาจึงสะท้อนให้เห็นนัยยะของสารทีต่ อ้ งการสือ่ ถึงประชาชนให้ปฏิบตั ติ นอย่างมีประโยชน์ต่อการ
ด ารงรัก ษาและพัฒ นาประเทศชาติเ อาไว้อ ย่ า งมัน่ คง ตลอดจนการท างานเพื่อ ชาติบ้ า นเมือ งให้มีค วาม
เจริญก้าวหน้าต่อไป
ส่วนบทความประวัติศาสตร์อ่นื ๆ ใน แถลงงานประวัติศาสตร์ เอกสารโบราณคดี คณะกรรมการชาระ
ประวัตศิ าสตร์ไทยก็ยงั คงร่วมกันดาเนินงานตามเค้าโครงประวัตศิ าสตร์ไทย ฉบับ พ.ศ.2495 เป็ นส่วนใหญ่และมิได้
ปรับแก้มากไปกว่าการตัดยุค “สมัยก่อนไทยเข้ามาในแหลมอินโดจีน” ออกดังทีไ่ ด้กล่าวไปแล้ว ทัง้ ต่อมายังได้นา
บทความชิ้นต่างๆ มาตีพิมพ์รวมเล่มเป็ นหนังสือใน พ.ศ.2515 ได้อีกคือ ประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา
แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที ่ 1 ถึงแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวร และ ประวัตศิ าสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที ่
1 ถึงรัชกาลที ่ 3 อย่างไรก็ตาม การเขียนประวัติศาสตร์ของคณะกรรมการฯ ในช่วงทศวรรษ 2520 นัน้ ยังคง
ดาเนินต่อไปในฐานะส่วนหนึ่งของการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์ดงั ทีท่ ามาแต่เริม่ แรก โดยมุ่งสถาปนาชุดคาอธิบาย
ทางประวัตศิ าสตร์ไทยของตนให้สาเร็จเพื่อใช้เป็ นเกราะป้ องกันการท้าทายทีอ่ าจเกิดขึน้ ในภายภาคหน้าให้มคี วาม
มันคงถาวรยิ
่ ง่ ขึน้ ต่อไป แม้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวรัฐไทยจะสามารถควบคุมการต่อต้านทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ
และจัดการความรับรู้/ความจริงเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสม์ของประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ (พวงทอง รุ่ง
สวัสดิทรัพย์ ภวัครพันธุ์ 2549) จนปราศจากการท้าทายของประวัติศาสตร์แนวมาร์กซิสม์/คอมมิวนิสม์ไปแล้วก็
ตามที
ฉะนัน้ แล้ว การศึกษาประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ไทยจึงย่อมไม่อาจละเลยการพิจ ารณาบริบททางการเมืองใน
ช่วงเวลาหนึ่งๆ ทีป่ ระวัตศิ าสตร์ถูกเขียนขึน้ ได้ เพราะนันจะช่
่ วยยังความเข้าใจต่อนัยยะอยู่เบือ้ งหลังของการเขียน
ประวัติศาสตร์ เช่นตัวอย่างงานเขียนที่ดมี ากคือ ประวัตศิ าสตร์รตั นโกสินทร์ในพระราชพงศาวดารอยุธยา ที่ร้อื
นัง่ ร้านของการอธิบายประวัตศิ าสตร์ไทยอย่างถึงรากและแหลมคม โดยพยายามแสดงข้อคิดต่อธรรมชาติของการ
เขียนงานประวัตศิ าสตร์สมัยจารีตอันเคลือบแฝงอยู่ดว้ ยนัยยะซ่อนเร้นทางการเมือง (นิธิ เอียวศรีวงศ์ 2523) จน
16
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
17
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทสรุ ป
ด้วยภายใต้สภาวะของการต่อสูร้ ะหว่างอุดมการณ์เสรีนิยมประชาธิปไตยและสังคมนิยมประชาธิปไตยที่
กาลังลุกโหมขึน้ ทุกขณะหลังจากการยุตขิ องสงครามโลกครัง้ ที่ 2 คณะกรรมการชาระประวัตศิ าสตร์ไทยจึงได้ถูก
แต่งตัง้ ขึน้ เพื่อต่อสู/้ ตอบโต้กบั การเขียนประวัตศิ าสตร์ไทยแบบมาร์กซิสม์/คอมมิวนิสม์ทเ่ี พิม่ ทวีขน้ึ อย่างต่อเนื่อง
ในช่วงทศวรรษ 2490 ปฏิบตั กิ ารการแย่งชิงอานาจนาของการครอบครองพืน้ ทีค่ วามทรงจาในสังคมไทยจึงได้แตก
ปะทุขน้ึ ด้วยการกาหนดยุทธศาสตร์การ “ชาระประวัติศาสตร์” ของรัฐไทยให้มี “แบบประวัติศาสตร์ท่แี ท้จริง ”
เพียงแบบเดียวซึง่ เห็นได้จากการวางเค้าโครงประวัตศิ าสตร์ชาติไทยแบบเส้นตรง เพื่อกดทับ/กดปราบคาอธิบาย
ทางประวัติศ าสตร์แ บบอื่น ที่ ร ัฐ ไทยไม่ อ าจยอมรับ ได้ กล่ า วอีก นั ย หนึ่ ง การเขีย นประวัติศ าสตร์ไ ทยของ
คณะกรรมการฯ คือ การสร้าง “แบบประวัตศิ าสตร์ทแ่ี ท้จริง ” ของไทย เพื่อใช้ตอบโต้กบั การเขียนประวัตศิ าสตร์
แบบมาร์กซิสม์/คอมมิวนิสม์ทต่ี ้องการจะสถาปนา “แบบประวัติศาสตร์ทแ่ี ท้จริง ” ของตนขึน้ ด้วยเช่นกัน ดังนัน้
กระบวนการก่อรูปของประวัติศาสตร์ชาติไทยที่รบั รู้และเข้าใจกันอยู่ในปั จจุบนั ในนามของ “ประวัติศาสตร์แบบ
ราชาชาตินิยม” นัน้ จึงมีตน้ ธารมาจากวิกฤตการณ์ของการเขียนประวัตศิ าสตร์ไทยในช่วงทศวรรษ 2490 มากกว่า
จะเป็ นแค่เพียงผลอันสืบเนื่องมาจากการผลิตซ้า ประวัตศิ าสตร์บาดแผล การแสวงหาความเป็ นอารยะ และการ
ต่ อต้านอาณานิคมของชนชัน้ นาไทยที่ประสบมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเพียงมิติเดียว
เท่านัน้ (ธงชัย วินิจจะกูล 2544; Thongchai 2011, 2014) ซึง่ ข้อเสนอดังกล่าวเป็ นสิง่ ทีผ่ เู้ ขียนกาลังค้นคว้าวิจยั อยู่
ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม การนางานเขียนประวัตศิ าสตร์ของคณะกรรมการชาระประวัตศิ าสตร์ไทยกลับมาพิจารณา
ร่วมกับบริบททางการเมืองทีเ่ กิดขึน้ ในช่วงเวลาเดียวกัน ทาให้เกิดข้อคิดใหม่ต่อประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ไทยในการ
อธิบายบทบาททางความคิดของนักประวัตศิ าสตร์ไทยกลุ่มหนึ่ง ซึง่ ส่ วนใหญ่เป็ นกรรมการชาระประวัตศิ าสตร์และ
ถูกมองว่ามีแนวทางการศึกษาประวัตศิ าสตร์แบบกรมพระยาดารงราชานุ ภาพ จนถูกขนานนามให้เป็ นสานุ ศษิ ย์
กรมพระยาดารงฯ -ประวัตศิ าสตร์สกุลดารงราชานุภาพ- อย่างเปลีย่ นแปลงไปจากเดิม เพราะในท้ายทีส่ ุดจะเห็น
ว่า คณะกรรมการฯ ก็พยายามหาวิธี การทางประวัติศาสตร์อนั เป็ นลักษณะเฉพาะของตนเองขึน้ มาเพื่อใช้เป็ น
เครื่องมือต่อสู/้ ตอบโต้กบั ประวัตศิ าสตร์แบบมาร์กซิสม์/คอมมิวนิสม์ ในทานองเดียวกัน การนาเอาคณะกรรมการฯ
กลับเข้ามาโลดแล่นในการพิจารณาชีวประวัตขิ องการเขียนประวัตศิ าสตร์ไทยอีกครัง้ ก็น่าจะทาให้เข้าใจถึงความ
จาเป็ นและเงื่อนไขของกรมศิลปากรทีต่ ้องนาเสนอความเป็ นมาของชาติไทยอย่างทีเ่ ห็นในหนังสือ ประวัตศิ าสตร์
ชาติไทย (2558) มากขึน้ กว่าเดิมและทาให้เห็นว่า การต่อสูว้ วิ าทะครัง้ ใหม่ในประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ไทยไม่เพียงแต่
18
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ได้เ ริ่ม ต้น ขึ้น แล้ว หากทว่ า ยัง ดาเนิ น ไปอย่ า งดุ เ ดือ ดเข้ม ข้น ค าถามอัน เป็ น ปรัศ นี ก็คือ คู่ต่ อ สู้ก ลุ่ ม ใหม่ คือ
ประวัตศิ าสตร์แบบใด? ของใคร? และดาเนินไปในลักษณะเยีย่ งใด?
รำยกำรอ้ำงอิง
19
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
20
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
21
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
22
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P3-R3-03
อองซาน
พลวั ต การจั ด การความทรงจาร่ ว มทางสั ง คมโดยรั ฐ บาลพม่ า
กฤษณะ โชติสุทธิ์
นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
23
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ควำมนำ
นับตัง้ แต่ระบบอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จวบจนกระทังการบริ
่ หารงานของอาณานิคมได้
ออกไป ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉีย งใต้ต่างมีการเปลีย่ นแปลงในช่วงเวลาดังกล่าวมากมาย ไม่ว่าจะเป็ นการ
เปลีย่ นแปลงอานาจจากผูน้ าในช่วงเวลาจารีตมาเป็ นเจ้าอาณานิคม การสร้างระบบราชการขึน้ มาเป็ นกลไกในการ
จัดการทรัพยากร การเข้ามาขององค์ความรูแ้ บบตะวันตก และระบบการศึกษาแบบใหม่ ทัง้ นี้เป็ นไปเพื่อตอบสนอง
ต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้แล้วหลังจากระบบอาณานิคมได้ออกไป วีรบุรุษแห่งชาติได้ปรากฏอยู่ทวทั
ั ่ ง้ ภูมภิ าค
วีรบุรุษแห่งชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็ นปรากฏการณ์ทส่ี ะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของบุคคลทีด่ ารง
สถานะวีรบุรุษแห่งชาติของแต่ละชาติร่วมกันบางประการ คือ เป็ นบุคคลที่ มอี ทิ ธิพลสาคัญในการต่อต้าน ต่อรอง
หรือทาให้ประเทศหลุดพ้นจากเจ้าอาณานิคม1 ในกรณีของพม่า อองซาน2 ได้ดารงสถานะวีรบุรุษแห่งชาติหลังจาก
เสียชีวติ ลง และรัฐบาลพม่ายังได้ให้ความสาคัญในเวลาต่อมา
นับตัง้ แต่อองซานเสียชีวติ ในปี 1947 ความสาคัญของอองซานที่มตี ่อรัฐบาลพม่าพบเห็นได้จากการที่
รัฐบาลพม่าได้สร้างตัวบทและสัญลักษณ์ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอองซานอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็ นอนุ สาวรีย์
ธนบัตร รูปภาพ ชื่อสถานที่ วันสาคัญ รวมถึงแบบเรียน รัฐบาลพม่าพยายามนาเสนอ ภาพลักษณ์อองซานในฐานะ
ทหารทีม่ คี วามเป็ นวีรบุรุษและผูส้ ละชีวติ เพื่อชาติ รัฐบาลพม่าเป็ นผูม้ บี ทบาทสาคัญในการนาตัวบทและสัญลักษณ์
ดังกล่าวเข้ามาในพืน้ ทีส่ าธารณะ เนื่องจากเป็ นหนึ่งในการสื่อสารระหว่างรัฐบาลกับประชาชนเพื่อสร้างความชอบ
ธรรมทางการเมืองให้แก่รฐั บาลพม่า และเกิดการไหลเวียนไปมาของตัวบทและสัญลักษณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกับอองซาน
จนเป็ นความทรงจาร่วมทางสังคม อย่างไรก็ดคี วามทรงจาทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซานกลับไม่ได้ถูกผูกขาดไว้ในเงือ้ ม
มือของรัฐบาลแต่เพียงผูเ้ ดียว แต่ถูกท้าท้ายจากผูต้ ่อต้านรัฐตลอดเวลา อีกทัง้ ในแต่ละช่วงเวลาทางประวัตศิ าสตร์
การจัดการความทรงจาร่วมที่เกี่ยวข้องกับอองซานโดยรัฐ บาลพม่าล้วนแตกต่างกันออกไป การศึกษาชิ้นนี้จงึ
มุ่งเน้นการศึกษาไปยังการจัดการความทรงจาทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซานโดยรัฐบาลพม่า เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลวัต
การจัดการความทรงจาร่วมทางสังคมทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซานในแต่ละช่วงเวลา
จากการศึกษาทีผ่ ่านมาพบว่ามีการศึกษาทีเ่ กีย่ วข้องกับงานศึกษาชิน้ นี้ได้แก่ การศึกษาความทรงจาร่วม
ทางสังคม (Collective memory) และการศึกษาทีเ่ กี่ยวข้องกับอองซาน ในส่วนความทรงจาร่วมทางสังคม คาว่า
ความทรงจ าร่ ว มทางสัง คมได้ป รากฏขึ้น ครัง้ แรกปี 1902 ในงานของฮู โ ก ฟาน ฮอฟแมนส์เ ทล (Hugo von
Hofmannsthal) ความว่า “พลังลี้ลบั ของบรรพบุรุษของเราอยู่ภายในตัวเรา และสะสมเป็ นความทรงจาร่วมทาง
สัง คม” (Olick and Robins 1998, 106) แต่ ใ นแง่ ข องการศึก ษาในเชิง แนวคิด นั น้ มู ริช ฮาล์บ วาชส์ (Maurice
Halbwachs) ได้ถอื เป็ นหมุดแดนสาคัญในการศึกษา ฮาล์บวาชส์มองว่า ในสังคมทีบ่ ุคคลทัวไปจะมี ่ ความทรงจาได้
นัน้ บุคคลจาเป็ นต้องเข้าไปมีพนั ธะกับสังคม บุคคลเหล่านัน้ ถึงจะราลึก รับรูเ้ รื่องราวของอดีตในสังคมของพวกเขา
นอกจากนัน้ แล้วสังคมยังเป็ นแหล่งกาเนิดของความทรงจา เช่นเดียวกับ พอล คอนเนตัน (Paul Connerton 1989)
ได้ให้รปู แบบของการจดจาทีท่ าให้เกิดเป็ นความทรงจา ความว่า บุคคลจดจาบางอย่างได้จาเป็ นต้องมีการพบ การ
เรียนรูส้ งิ่ ทีจ่ ะจาในอดีต เพื่อให้เกิดเป็ นความทรงจา ความทรงจาดังกล่าวเกิดจากการสร้าง ผลิตซ้า และถ่ายทอด
1 ซูกาโน่ของประเทศอินโดนีเซีย โฮเซ รีซลั ของประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์ โฮจิมนิ ห์ของประเทศเวียดนาม พระนโรดม สีหนุ ของประเทศกัมพูชา เจ้าเพชรราช
รัตนวงศา ของประเทศลาว และอองซาน ของประเทศพม่า
2 อองซานเกิดเมือ ่ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1915 และเสียชีวติ ในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 ก่อนการประกาศเอกราชจากอังกฤษ ช่วงเวลาทีอ่ อง
ซานมีชวี ติ อยู่ เขามีบทบาทในเหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์ครัง้ สาคัญของพม่า และได้ปรากฏเป็ นเรือ่ งเล่าต่อตัวเขาในเวลาต่อมา ทัง้ ในฐานะ บิดาแห่ง
เอกราช ผูน้ ากองทัพสมัยใหม่ กบฏ นักชาตินิยม และนักกิจกรรมขณะเป็ นนักศึกษา
24
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
25
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
กำรจัดกำรควำมทรงจำที่เกี่ยวข้องกับอองซำนหลังอองซำนเสียชี วิตจนถึงก่อนกำรประกำศเอกรำช
หลังจากอองซาน ผูด้ ารงตาแหน่ งนายกรัฐมนตรีรกั ษาการได้เสียชีวติ พร้อมๆกับรัฐมนตรีและคนสนิทอีก
8 คน จนถึงช่วงเวลาทีพ่ ม่าได้รบั เอกราชจากอังกฤษ แม้ว่าเป็ นแค่ช่วงเวลาไม่ถงึ 6 เดือน แต่ความสาคัญของออง
ซานได้ป รากฏขึ้น บนพื้น ที่ส าธารณะผ่ า นการจัด งานศพอย่ า งยิ่ง ใหญ่ และการกล่ า วสุ น ทรพจน์ ใ นสภาร่ า ง
รัฐธรรมนูญโดยอูนุ5 ผูร้ ่วมชะตากรรมนับตัง้ แต่ครัง้ เป็ นนักศึกษา จนถึงช่วงเวลาทีอ่ องซานได้เสียชีวติ ลง
การจัดการพิธศี พของอองซานและผูเ้ สียสละคนอื่นๆ ได้ถูกจัดขึน้ อย่างยิง่ ใหญ่ การเดินขบวนนาศพมุ่งไป
ยังหลุมฝั งศพ ภายในขบวนประกอบด้วยประชาชน ข้าราชการ และทหาร หลุมฝั งศพของอองซานและผูเ้ สียสละคน
อื่นๆ ตัง้ อยู่ใกล้กบั เจดียช์ เวดากอง หลุมฝั งศพถูกขุดเป็ น 9 หลุม และมีหลุมฝั งศพของอองซานอยู่กลาง ก่อนฝั งศพ
ลงในหลุมทีจ่ ดั เตรียมไว้ได้มกี ารวางพวงมาลาโดยตัว แทนจากอังกฤษและพม่า ต่อมาหลังจากเสร็จสิน้ พิธกี ารฝั ง
ศพ หลุมฝั งศพได้แปรสภาพกลายเป็ นอนุสรณ์สถานผูเ้ สียสละ อนุสรณ์สถานดังกล่าวมีลกั ษณะของหลุมฝั งศพเรียง
กัน ในลักษณะทีก่ ่ออิฐโบกปูนยื่นขึน้ มาเหนือแนวราบของพืน้ ดิน ตัง้ อยู่ภายใต้หลังคา
นอกจากพิธกี ารฝั งศพของอองซานที่ถูกจัดอย่างยิง่ ใหญ่แล้ว หลังอองซานเสียชีวติ ตัวบทและสัญลักษณ์
ทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซานได้เริม่ ถูกใช้เป็ นเครื่องมือทางการเมืองโดยอูนุ อูนุได้กล่าวสุนทรพจน์ในสภาร่างรัฐธรรมนูญ
วันที่ 29 กรกฎาคม 1947 หลังจากอองซานเสียชีวติ แล้วเป็ นเวลา 10 วัน การกล่าวสุนทรพจน์ของอูนุเป็ นการกล่าว
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอองซาน ตีพมิ พ์ลงในหนังสืออองซานแห่งพม่า (Aung San of Burma) (Maung Maung
1962) และถูกแบ่งเป็ นสามบทความ บทความแรกชื่อ “คุณลักษณะดีเลิศของอองซาน” บทความถัดมาชื่อ “นายพล
4 งานศึกษาในกลุม
่ นี้ประกอบไปด้วย งานศึกษาของ Salem-Gervais and Metro (2012), Cheesman (2002), Houtman (1999), Steinberg (2006)
5ความสัมพันธ์ระหว่างอูนุและอองซาน ดาเนินมาตัง้ แต่สมัยเป็ นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยย่างกุง้ ได้มบี ทบาทร่วมกันในฐานะนักเคลือ่ นไหวทางการเมือง
จนกระทั ่งอองซานได้เสียชีวติ ในปี 1947 ก่อนการประกาศเอกราช หลังอองซานเสียชีวติ ก่อนอูนุจะขึน้ เป็ นนายกรัฐมนตรี ได้ปรากฏตัวบทและสัญลักษณ์
ทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซานนับตัง้ แต่นนั ้ เป็ นต้นมา
26
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
27
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
28
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
29
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
30
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
13นัต หมายถึง “วิญญาณศักดิ ์สิทธิ ์ของผูต้ ายร้าย” เป็ นภูตผูเ้ ป็ นทีพ่ ง่ึ ของปุถุชนทั ่วไป นัตทีเ่ ป็ นภูตผี นี้จะมีฐานะกึง่ เทพกึง่ ผี คืออยูร่ ะหว่างเทพและผี มี
ระดับสูงกว่าผีท ั ่วไป แต่มเิ ทียบเท่าาเทวดา นัตจึงไม่ใช่ผธี รรมดาสามัญ หากทว่าเป็ นวิญญาณของมนุ ษย์ผตู้ ายจากด้วยภัยอันร้ายแรง ผูค้ นให้ความ
เคารพบูชา และมีพธิ เี ข้าทรงลงผี ด้วยเชื่อว่านัตจะให้ความช่วยเหลือและคุม้ กันภัยในหมูผ่ ศู้ รัทธากราบไหว้” (วิรชั นิยมธรรม และ อรนุช นิยมธรรม
2551, 144)
31
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
14 วารสาร Burma เป็ นวารสารทีท่ าหน้าทีเ่ ป็ นกระบอกเสียงของรัฐบาลพม่าตีพมิ พ์ตงั ้ แต่ปี 1950-1962 และต่อมาได้เปลีย่ นเป็ นวารสาร Forward วารสาร
ฉบับนี้ได้ทาหน้าทีต่ งั ้ แต่ปี 1962-1987 ตีพมิ พ์โดยกระทรวงสารสนเทศ (Ministry of Information)
15 ก่อนหน้าพม่าจะเป็ นเอกราชจากอังกฤษ ในช่วงเวลาทีพ ่ ม่าตกอยูภ่ ายใต้อานาจของญีป่ ่ ุน เคยปรากฏรูปหน้าของ ดร.บามอ บุคคลทีเ่ ป็ นหัวหน้าของรัฐ
พม่า บนธนบัตรมูลค่า 100 จ๊าต แต่อย่างไรก็ดธี นบัตรดังกล่าวไม่ได้ถูกเอาออกนามาใช้เนื่องจากถูกข้อจากัดของญีป่ ่ ุน
32
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
33
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
กำรจัดกำรควำมทรงจำที่เกี่ยวข้องกับอองซำนในช่ วงที่เนวินเป็นผู น้ ำ
เนวิน17 หนึ่งในบุคคลที่มอี ิทธิพลทางการเมืองของพม่าได้กลับสู่สถานะผู้นาประเทศอีกครัง้ ในวันที่ 2
มีนาคม ปี 1962 การก้าวขึน้ มาเป็ นผูน้ าพม่าอีกครัง้ เกิดจากการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนทีม่ อี ูนุเป็ นนายกรัฐมนตรี
การรัฐประหารของเนวินได้ให้เหตุผลว่า ระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาไม่เหมาะสมกับประเทศพม่า รวมทัง้
ปั ญหากลุ่มชาติพนั ธุท์ พ่ี ยายามเรียกร้องอานาจในการปกครองได้สง่ ผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศพม่า การ
กลับมาของรัฐบาลชัวคราวที
่ น่ าโดยเนวินจึงเป็ นไปเพื่อสร้างเอกภาพให้แก่พม่า การรัฐประหารครัง้ นี้ได้ส่งผลให้มี
การรวบอานาจมารวมศูนย์อยู่ทต่ี วั เนวินเพียงผูเ้ ดียว กล่าวคือ มีการยุบองค์กรทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็ นฝ่ ายนิติ
บัญญัติ ฝ่ ายบริหาร ฝ่ ายตุลาการทีม่ ที ม่ี าจากรัฐธรรมนู ญปี 1947 รวมทัง้ การประกาศให้พรรคการเมืองฝ่ ายค้าน
ทัง้ หมดเป็ นพรรคการเมืองทีผ่ ดิ กฎหมาย
ก่อนเนวินจะขึน้ สู่อานาจโดยการรัฐประหาร เนวินได้รบั การถ่ายโอนอานาจจากอูนุเข้ามาเป็ นรัฐบาล
ชัวคราวระหว่
่ างปี 1958 ถึงปี 1960 ตัวบทและสัญลักษณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกับอองซานได้ปรากฏรูปของอองซานคู่กบั เน
วิน บนหน้าแรกของเอกสารรายงานของรัฐบาลชัวคราว ่ (caretaker government’s report) ก่อนจะมีการเลือกตัง้ ใน
ปี 1960 อูนุได้รบั ชัยชนะอีกครัง้ แต่ถูกเนวินรัฐประหารแย่งชิงอานาจคืนมาในปี 1962
หลังจากเนวินขึน้ มาเป็ นผูน้ าของประเทศพม่า เนวินได้นาตัวบทและสัญลักษณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกับอองซานมา
นาเสนอบนทีส่ าธารณะอย่างมากมาย ด้วยลักษณะการบริหารประเทศของเนวินทีใ่ ช้แนวคิดวิถพี ม่าสู่สงั คมนิยม
(Burmese Way to Socialism) และยังลดระดับการให้ความสาคัญของศาสนาซึง่ แตกต่างจากสมัยของอูนุ โดยเน
วินได้ให้ความสาคัญต่ อบทบาทของกองทัพแทน คุณสมบัติของอองซานในช่ วงเรียกร้องเอกราช ไม่ว่าจะเป็ น
คุณสมบัตขิ องการเป็ นทหาร การเป็ นผูส้ ถาปนากองทัพพม่าในรูปแบบใหม่ และการเป็ นผูก้ ่อตัง้ พรรคคอมมิวนิสต์
แห่งพม่า ต่างถูกเนวินหยิบเอามาใช้ในการสร้างความทรงจาร่วมให้กบั ชาวพม่าอย่างมากมาย เช่น การนาเอารูป
อองซานมาแทนที่รูป สิง ห์ การให้ค วามสาคัญ กับ รูป อองซานที่แ ต่ ง เครื่อ งแบบทหาร และในบางตัว บทและ
สัญลักษณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกับอองซานทีร่ เิ ริม่ โดยอูนุ ก็ได้ถูกผลิตซ้าเรื่อยมา เหมือนจะเพิม่ ระดับความเข้มข้นในการให้
ความสาคัญมากกว่าช่วงเวลาที่อูนุเป็ นนายกรัฐมนตรี สิง่ ต่ างๆ เหล่านี้ล้วนชี้ให้เห็นการขยายวงของตัวบทที่
เกีย่ วเนื่องกับอองซานบนพืน้ ทีส่ าธารณะทัง้ สิน้ ไม่ว่าจะเป็ นธนบัตร เอกสารวิถพี ม่าสูส่ งั คมนิยม แบบเรียนพม่า วัน
ผูเ้ สียสละ วารสาร แสตมป์ และอนุสรณ์สถานวันผูเ้ สียสละ
หลังจากเนวินได้ยดึ อานาจจากอูนุ ในส่วนภาพบนธนบัตรและเหรียญของพม่าก็ถูกยึดอานาจในการ
จัดการอีกเช่นกัน ภาพของอองซานในยุคเนวินได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภาพของอองซานในขณะเดินทางไป
เจรจาเรียกร้องเอกราชเป็ นภาพของอองซานมาเป็ นภาพของอองซานในขณะทีแ่ ต่งเครื่องแบบของทหารในกองทัพ
แห่งชาติพม่า (Burma National Army) เครื่องแบบของทหารได้เข้ามาผูกติดตัวตนของอองซานตลอดช่วงเวลาทีเ่ น
วินมีอานาจในการปกครองพม่า เช่นเดียวกันกับแบบแผนการปกครองพม่า เนวินได้ดงึ เอาคาพูดของอองซานมา
เป็ นหนึ่งในแบบแผนของการปกครอง
เอกสารวิถพี ม่าสูส่ งั คมนิยมทัง้ ฉบับลับ และฉบับทีม่ กี ารเผยแพร่ เอกสารดังกล่าวถือเป็ นแบบแผนในการ
ปกครองประเทศภายใต้อานาจของเนวิน ภายในเอกสารได้อ้างอิงถึงคาพูดของอองซาน เมื่อวันที่ 20 มกราคม
1946 ที่บริเวณเจดีย์ชเวดากอง คาพูดของอองซานมีใจความมุ่งถึงการสร้างเอกภาพแห่งชาติ และความรักชาติ
17 เนวิน เป็ นชื่อเรียกทางทหารของของ ซุ หม่าว ภายในกลุม่ สามสิบสหาย และซุ หม่าว ได้ใช้ชอ่ื เนวินตลอดช่วงชีวติ สืบมานับตัง้ แต่บดั นัน้
34
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
35
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
36
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
37
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
นอกเหนื อ ไปจากผู้ น าในการเรีย กร้ อ งเอกราชจากอัง กฤษที่ถู ก ให้ ค วามส าคัญ ตลอดช่ ว งเวลาที่อู นุ เ ป็ น
นายกรัฐมนตรี
ความทรงจาร่วมทางสังคมที่เ กี่ย วข้อ งกับอองซานจากเดิมที่ถู กให้ความสาคัญในฐานะ ผู้น าในการ
เรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ แต่ตลอดช่วงเวลาทีเ่ นวินเป็ นผูน้ าในการปกครอง อองซานได้ถูกให้ความสาคัญใน
ฐานะของนักสังคมนิยม ผูก้ ่อตัง้ กองทัพแบบสมัยใหม่ และใช้สถานะทหารของอองซานตลอดช่วงเวลาทีเ่ รียกร้อง
เอกราชจากอังกฤษเข้ามาสร้างความทรงจาร่วมต่อชาวพม่าเพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้แก่เ นวิน
ปรากฏผ่านการเปลีย่ นภาพอองซานจากภาพอองซานในช่วงเวลาทีไ่ ปเจราจาเรียกร้องเอกราชทีอ่ งั กฤษ มาเป็ น
ภาพของอองซานใส่ชุดของทหารยืน และขีม่ า้ อย่างสง่า พบเห็นได้จากอนุสาวรียท์ ม่ี อี ยู่มากมายในประเทศ อนุสรณ์
สถานผูเ้ สียสละ แบบเรียน แสตมป์ วารสารฉบับต่างๆ ธนบัตร และพิธกี รรมวันผูเ้ สียสละ นอกจากนี้คาพูดของออง
ซานยังถูกเลือกนามาใช้สร้างความชอบธรรมให้แก่เนวินอย่างมากมาย
เหตุการณ์ “8888” ทีเ่ กิดขึน้ ในช่วงเวลาทีอ่ องซานซูจี ผูเ้ ป็ นลูกสาวของอองซาน เดินทางกลับจากอังกฤษ
เพื่อดูแลแม่ทป่ี ่ วย ได้เกิดแรงผลักดันและส่งผลให้อองซาน ซูจี ได้เข้ามาร่วมต่อต้านรัฐบาลพม่า และได้เป็ นแกนนา
ของฝ่ ายต่อต้านในเวลาต่อมา ปรากฏการณ์ดงั กล่าวได้ส่งผลให้เกิดการยือ้ แย่ง ช่วงชิงการจัดการความทรงจาที่
เกีย่ วข้องกับอองซานระหว่างรัฐบาลกับผูต้ ่อต้านทีน่ าโดยอองซานซูจใี นเวลาต่อมา
38
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
39
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
40
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
41
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
42
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
18มหาบันดุละ ถือเป็ นหนึ่งในสามัญชนทีก่ ลายเป็ นวีรบุรษุ แห่งชาติ วีรกรรมทีม่ หาบันดุละได้ถูกรัฐบาลพม่าส่งผ่านคือ การต่อสูก้ บั อังกฤษทีเมืองจิตตา
กองจนทาให้องั กฤษต้องถอยทัพ
43
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
44
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
45
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
สรุ ป
หลังจากอองซานได้เสียชีวติ ลง ความทรงจาทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซาน ได้เข้ามาปรากฏบนพืน้ ทีส่ าธารณะ
นับตัง้ แต่ก่อนพม่าได้รบั เอกราชจากอังกฤษ ผ่านการจัดการงานศพอย่างยิง่ ใหญ่ ในเวลาต่อมา หลุมฝั งศพของออง
ซานได้กลายเป็ นอนุ สรณ์สถานผูเ้ สียสละ รวมทัง้ ก่อนขึน้ มาเป็ นนายกรัฐมนตรีของอูนุ อูนุได้กล่าวสุนทรพจน์ ยก
ย่องวีรกรรมของอองซาน และยกอองซานให้สงู กว่าผูน้ าในการเรียกร้องเอกราช จนในทีส่ ดุ อูนุได้ยกอองซานเข้าไป
รวมกลุ่มกับกษัตริยใ์ นยุคจารีตที่ได้กอบกู้เอกราช และสร้างความเป็ นเอกภาพให้แก่พม่า ความยิง่ ใหญ่ของออง
ซานได้ดารงสืบมาจนกระทังพม่ ่ าได้รบั เอกราชจากอังกฤษ พร้อมๆ กันกับการทีอ่ นู ุได้ขน้ึ เป็ นนายกรัฐมนตรี
เมื่อ อูนุ ไ ด้ก้า วขึ้น มาเป็ น นายกรัฐมนตรี อูนุ กลับ เน้ น ย้ า การสร้า งความทรงจ าร่ วมทางศาสนาพุทธ
มากกว่าความทรงจาทรงจาที่เกี่ยวข้องกับอองซาน แต่ความทรงจาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธกลับไม่ได้รบั การ
ตอบรับจากสังคมทีม่ คี วามหลากหลายมากยิง่ ขึน้ ส่งผลให้อนู ุหนั กลับมาใช้ความทรงจาร่วมทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซาน
ในอดีตเข้ามาผลิตซ้า ไม่ว่าจะเป็ นการปรากฏตัวบทและสัญลักษณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกับอองซานร่ วมกับศาสนาพุทธ การ
ปรากฏตัวแบบโดดเดีย่ วอย่างสง่า และการเข้ามากระชับพืน้ ทีค่ วามทรงจาทีเ่ กีย่ วข้องกับพุทธศาสนาในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดี ความทรงจาร่วมทางสังคมกลับถูกผลิตซ้าอย่างเข้มข้นเพิม่ มากขึน้ หลังจากอูนุถูกเนวินรัฐประหารยึด
อานาจการปกครอง
การยึดอานาจโดยเนวินไม่ได้เป็ นเพียงการยึดอานาจทางการเมืองเท่านัน้ แต่ ยงั มีการยึดอานาจการ
จัดการความทรงจาทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซาน ตัวบทและสัญลักษณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกับอองซานได้ประกาศความยิง่ ใหญ่
เหนือตัวบทและสัญลักษณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกับศาสนาพุทธ พร้อมๆ กับการให้ความหมายอื่นของอองซานมากกว่าอูนุท่ี
ได้เน้นย้าถึงผูป้ ระกาศเอกราช อองซานได้ถูกให้ความสาคัญในฐานะใหม่ ได้แก่ ผูก้ ่อตัง้ กองทัพสมัยใหม่ นักสังคม
นิยม ผูส้ ร้างเอกภาพ และสถานะทหารของอองซานตลอดการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ กระทังการเข้ ่ ามาของ
อองซานซูจี และได้เป็ นแกนนาฝ่ ายต่อต้านรัฐบาลในปี 1988 ได้ก่อให้เกิดการยือ้ แย่ง ช่วงชิงการจัดการความทรง
จาทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซานบนพืน้ ทีส่ าธารณะ
หลังวิกฤตการณ์ “8888” อองซาน ซูจกี ลับไม่ได้ผูกขาดการจัดการความทรงจาที่เกีย่ วข้องกับอองซาน
เพียงฝ่ ายเดียว ทัง้ รัฐบาลและฝ่ ายต่อต้านยังคงดาเนินการผลิตซ้าความทรงจาที่เกี่ ยวข้องกับอองซานเพื่อสร้าง
ความชอบธรรมให้แก่ฝ่ายตน จนเกิดการช่วงชิง แข่งขันการจัดการความทรงจาทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซานบนพืน้ ที่
สาธารณะ แต่หลังจากซอหม่อง ผูน้ ารัฐบาลไม่ยอมรับผลการเลือกตัง้ ในปี 1990 ได้แสดงให้เห็นถึงความพ่ายแพ้ใน
การจัดการความทรงจาทีเ่ กีย่ วข้องกับอองซานทีส่ บื เนื่องมา ส่งผลให้เกิดความพยายามของรัฐบาลทีจ่ ะกดทับ ปิ ด
กัน้ การปรากฏตัว บทและสัญ ลัก ษณ์ ท่ีเ กี่ยวข้อ งกับ อองซานบนพื้น ที่สาธารณะ พร้อ มๆ กับ การเน้ น ขยับให้
ความสาคัญต่อตัวบท และสัญลักษณ์ทเ่ี กีย่ วข้องกับพุทธศาสนา และสถาบันกษัตริยใ์ นอดีต เข้ามาสร้างความทรง
จาร่วมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่รฐั บาลขึน้ มาแทน
ดังนัน้ แล้วจึงเห็นได้ว่า นับตัง้ แต่อองซานเสียชีวติ ลงจวบจนกระทังช่
่ วงเวลาที่ตานฉ่ วยมีอานาจในการ
ปกครอง ความทรงจาที่เกี่ยวข้องกับอองซานได้ถูกผลิตซ้าแตกต่างกันออกไป ขึน้ อยู่กบั อุดมการณ์ของรัฐและ
สภาพปั ญหาทางการเมืองในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนัน้ แล้ว การกลับมาของอองซาน ซูจผี มู้ คี วามสัมพันธ์เป็ นลูก
46
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
บรรณำนุกรม
เอกสารภาษาไทย
ชาญวิทย์ เกษตรศิร.ิ 2544. พม่า: ประวัตศิ าสตร์และการเมือง. พิมพ์ครัง้ ที่ 4. กรุงเทพฯ: มูลนิธโิ ครงการตารา
สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
พันธุส์ รู ย์ ลดาวัลย์. 2542. การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองพม่า. กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
วิรชั นิยมธรรม และอรนุช นิยมธรรม. 2551. เรียนรูส้ งั คม และวัฒนธรรม พม่า. พิษณุโลก: ศูนย์พม่าศึกษา คณะ
มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
สายันห์ สุธรรมสมัย. 2517. วีรชนอาเซีย. กรุงเทพ: กองบรรณาธิการสังคมศาสตร์ปริทศั น์.
เอกสารภาษาอังกฤษ
Aung San Suu Kyi. 1991. Aung San of Burma: a biographical portrait. Edinburgh: Kiscadale.
Aung San Suu Kyi, and Michael Aris. 1995. Freedom from fear: and other writings. London: Penguin
Books.
Mistral, Barbara A. 2003. Theories of Social Remembering. Maidenhead and Philadelphia: Open
University Press.
Cheesman, N. 2002. Legitimising the Union of Myanmar through primary school textbooks. Master of
Education, University of Western Australia.
Connerton, Paul. 1989. How societies remember. Cambridge: Cambridge University Press.
Halbwachs, Maurice. 1950. The Collective Memory, translated. F.J. and V.Y. Ditter. London: Harper
Colophon Books.
Houtman, Gustaaf. 1999. "Remaking Myanmar and human origins." Anthropology Today.
———. 1999. Mental culture in Burmese crisis politics: Aung San Suu Kyi and the National League for
Democracy. Tokyo: Tokyo University of Foreign Studies, Institute for the Study of Languages
and Cultures of Asia and Africa.
Maung Maung. 1962. Aung San of Burma. The Hague: Published for Yale University, Southeast Asia
Studies by M. Nijhoff.
Maung Maung. 1976. Nationalist movements in Burma, 1920-1940: changing patterns of leadership, from
Sangha to Laity.
Mendelson, E. Michael. 1975. Sangha and state in Burma: a study of monastic sectarianism and
leadership. Ithaca, N.Y.: Cornell University Press.
Naw, Angelene. 2001. Aung San and the struggle for Burmese independence. Chiang Mai, Thailand:
Silkworm Books.
Nakanishi, Yoshihiro. 2013. Strong soldiers, failed revolution: the state and military in Burma, 1962-88.
47
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
O'Shannassy, Teresa. 2000. Burma's excluded majority: women, dictatorship and the democracy
movement. London: CIIR.
Olick, Jeffrey K. and Robbins, Joyce. 1998 “Social Memory Studies: From “Collective Memory” to the
Historical Sociology of Mnemonic Practices”, Annual Review of Sociology.
Salem-Gervais, Nicolas, and Rosalie Metro. 2012. "A Textbook Case of Nation-Building: The Evolution of
History Curricula in Myanmar". Journal of Burma Studies. 16 (1): 27-78.
Seekins, Donald M. 2011. State and society in modern Rangoon. London: Routledge.
Silverstein, Josef. 1993. The political legacy of Aung San. Ithaca, N.Y.: Southeast Asia Program, Cornell
University.
Smith, Donald Eugene. 1965. Religion and politics in Burma. Princeton, N.J.: Princeton University Press.
Smith, Anthony D. 1997. “The ‘Golden Age’ and national renewal.” in G.A. Hosking and G. Schopflin
(eds) Myths and Nationhood, pp. 36–59. London: Hurst & Company.
Steinberg, David I. 2006. Turmoil in Burma contested legitimacies in Myanmar. Norwalk, Conn:
EastBridge.
Taylor, Robert H. 2009. The state in Myanmar. Singapore: NUS Press.
Zar ni. 1998. Knowledge, control, and power: the politics of education under Burma’s military dictatorship
(1962–88). Ph.D. thesis, University of Wisconsin Madison.
เอกสารของรัฐบาลพม่า
Burma. Published by the Director of Information. Union of Burma. 1950-1962
Forward. Published by the Department of Information and Broadcasting, Ministry of Information,
Government of the Socialist Republic of Union of Burma. 1962-1987
Myanmar Ministry of Education. (2013). Myanmar textbook, Myanmar reading grade 4.
หนังสือพิมพ์
Burma
Forward
People’s Military Magazine
The Working People's Daily
Asian wall street Journal
New light of myanmar
48
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P3-R3-03
เทคโนโลยีการทาแผนที่ในยุ คสงครามเย็น
กับกาเนิดของแผนที่สมัยใหม่ของชาติในประเทศไทย
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชี ยงใหม่
e-mail: kkengkij@gmail.com
49
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
บทความนี้เป็ นงานต่อยอดจากงานวิจยั ของผูเ้ ขียนเกีย่ วกับการประดิษฐ์สร้างความรู้เกี่ยวกับ “หมู่บา้ น
ชนบทไทย” ของนักมานุษยวิทยาอเมริกนั และไทยในยุคสงครามเย็น1 ข้อค้นพบของงานวิจยั ดังกล่าวก็คอื สงคราม
เย็นและสหรัฐอเมริกามีส่วนอย่างสาคัญในการสนับสนุ นการทาวิจยั เกีย่ วกั บประเทศไทยในสองทศวรรษแรกของ
สงครามเย็น โดยเฉพาะอย่างยิง่ ไทยศึกษาในยุคแรกได้รบั อิทธิพลจากการทาวิจยั หมู่บา้ นชนบทหรือที่เรียกว่า
ชนบทศึกษาโดยนักมานุ ษยวิทยาอเมริกนั ที่เข้ามาในประเทศไทย รวมถึงสหรัฐฯยังมีส่วนในการสนับสนุ นการ
ก่อตัง้ สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุ ษยวิทยาในประเทศไทย พร้อมๆกับการสนับสนุ นการเรียนต่อและการทาวิจยั
เกีย่ วกับหมู่บา้ นชนบทไทยของนักมานุษยวิทยาไทยรุ่นบุกเบิกด้วย อุตสาหกรรมการวิจยั ชนบทศึกษาในประเทศ
ไทยในยุคแรกนัน้ ถูกชี้นาด้วยวาระทางการเมืองที่เ กี่ยวพันกับความมันคงและการต่
่ อต้านภัย คอมมิวนิ สต์ใ น
ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ผลก็คอื หน่ วยการวิเคราะห์ทเ่ี รียกว่าหมู่บา้ นชนบทกลายมาเป็ น
ฐานหลักของการสร้างความรู้เกี่ยวกับสังคมไทย ซึ่งยังเป็ นมรดกตกทอดมาถึงแวดวงวิชาการมานุ ษยวิทยาไทย
จนถึงปั จจุบนั
ในระหว่างการเก็บข้อมูลงานวิจยั ผูเ้ ขียนพบร่องรอยหลายประการที่ควรค่าแก่การศึกษาต่อ หนึ่งในนัน้ ก็
คือ กระบวนการประดิษฐ์สร้างหมู่บ้านชนบทในฐานะหน่ วยของการหาความรู้ไม่ได้เกิดขึน้ จากบทบาทของนัก
มานุ ษยวิทยาเท่านัน้ แต่ศาสตร์ต่างๆ ทัง้ วิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้ถูกนามาใช้เพื่อสร้างความรู้ด้านไทย
ศึก ษาด้ว ย วิช าภู มิศาสตร์โดยเฉพาะอย่า งยิ่ง ศาสตร์ว่า ด้วยการท าแผนที่ (cartography) คือ ส่ว นสาคัญที่นัก
สัง คมศาสตร์ท งั ้ ไทยและอเมริก ัน ใช้เ ป็ น ฐานในการท าวิจ ัยหมู่บ้า นชนบท เมื่อ สืบ ย้อ นกลับ ไป ผู้เ ขีย นพบว่า
นอกจากที่นักมานุ ษยวิทยารุ่นบุกเบิกด้านไทยศึกษาอย่าง Lauriston Sharp, Charles Keyes และสุเทพ สุนทร-
เภสัช งานวิจยั ชาติพนั ธุว์ รรณนาเกีย่ วกับชาวเขาในประเทศไทยของศูนย์วจิ ยั ชาวเขามีบทบาทอย่างมากในการทา
แผนทีห่ มู่บา้ นชนบทไทยร่วมกับรัฐ แผนทีห่ มู่บา้ นกลายมาเป็ นทัง้ เครื่องมือในการเข้าถึงหมู่บา้ น/ชาวเขา พร้อมๆ
กับทีแ่ ผนทีก่ ลายมาเป็ นผลิตผลของการลงสนาม จากข้อมูลดังกล่าว ผูเ้ ขียนจึงสืบค้นต่อเกีย่ วกับการทาแผนทีใ่ น
ประเทศไทย พบว่า ในช่วงสองทศวรรษแรกของสงครามเย็นนี้เองทีแ่ ผนทีท่ ม่ี รี ายละเอียดระดับหมู่บา้ นถูกสร้างขึน้
เป็ นครัง้ แรก พร้อมๆ กับการเข้ามาของเทคโนโลยีและเครื่องมือใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีการบิน การถ่ายภาพและ
กล้อง รวมถึงการเกิดขึน้ ของสถาบันความรูต้ ่างๆทีม่ สี ว่ นในการสร้างและตีความแผนที่
สิ่ง ที่ผู้เ ขียนทาต่ อไปก็คือ การตามหาว่า เทคโนโลยีและเครื่อ งมือ ดัง กล่ าวเกิดขึ้น ภายใต้บริบทอะไร
ข้อสรุปเบือ้ งต้นคือสงครามโลกครัง้ ทีห่ นึ่งและครัง้ ทีส่ อง และโดยเฉพาะอย่างยิง่ สงครามเย็นก็คอื เงื่อนไขเชิงบริบท
ทีส่ าคัญทีส่ ุดทีผ่ ลักดันให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีดงั กล่าว ผลของสงครามก็คอื การทาแผนทีจ่ ากภาพถ่ายทาง
อากาศทีส่ ามารถมองเห็นรายละเอียดเชิงพื้นทีไ่ ด้จากบนฟากฟ้ าแบบสายตาของนก โดยเทคโนโลยีเหล่านี้ได้รบั
การพัฒนาขึน้ โดยรัฐบาลและกองทัพอเมริกนั ในช่วงปลายสงครามโลกครัง้ ทีส่ องและช่วงต้นของสงครามเย็น นี่เป็ น
เงื่อนไขเชิงเทคโนโลยีทท่ี าให้จกั รวรรดินิยมสหรัฐฯมีความสามารถในการเข้าถึงพื้นที่และผูค้ นที่ตนเองปกครอง
มากไปกว่าและแตกต่างจากเจ้าอาณานิคมยุโรป
ภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองของสงครามเย็นและอิทธิพลของสหรัฐฯ ประเทศไทยในฐานะทีเ่ ป็ นพันธมิตร
สาคัญในภูมภิ าคนี้ได้รบั ความช่วยเหลือโดยตรงจากกองทัพสหรัฐฯในการสารวจและทาแผนที่จากภาพถ่ายทาง
1 ดู เก่งกิจ กิตเิ รียงลาภ, “มานุษยวิทยาจักรวรรดิ: การสร้างหมูบ่ า้ นชนบทไทยในยุคสงครามเย็น,” รัฐศาสตร์สาร (อยูใ่ นระหว่างการจัดพิมพ์ 2559)
50
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
อากาศทีม่ มี าตรฐานทัวประเทศขึ
่ น้ เป็ นครัง้ แรก แผนทีข่ องประเทศไทยทีท่ าขึน้ ภายหลังจากนัน้ เป็ นการต่อเติมและ
แก้ไขข้อผิดพลาดของแผนทีช่ ุดแรกทีท่ าโดยกองทัพสหรัฐฯ ผูเ้ ขียนพบว่า นักมานุ ษยวิทยาและนักภูมศิ าสตร์ชาว
ไทยมีส่วนสาคัญอย่างมากในการช่วยแก้ไขและตรวจสอบข้อผิดพลาด พร้อมทัง้ ช่วยใส่รายละเอียดคุณลักษณะใน
เชิงสังคมและวัฒนธรรมให้แก่สงิ่ ทีป่ รากฏอยู่ในแผนที่ (เมื่อเข้าทศวรรษ 1970 ดาวเทียมเข้ามาแทนทีก่ ารถ่ายภาพ
ทางอากาศ) ภายใต้ปฏิบตั กิ ารดังกล่าว มีการสารวจทีส่ าคัญเกิดขึน้ โดยนักมานุ ษยวิทยาอย่างน้อย 2 กลุ่ม กลุ่ม
แรก คือ การสารวจโดยนักมานุ ษยวิทยาอเมริกนั ภายใต้โครงการ Bennington-Cornell Anthropological Survey
of Hill Tribes ซึง่ ดาเนินการสารวจและกาหนดพิกดั หมู่บา้ นต่างๆทีป่ รากฏในแผนทีท่ ท่ี าโดยสหรัฐฯจานวน 3 ครัง้
ในปี 1964, 1969 และ 1974 และกลุ่มทีส่ อง คือ การสารวจของศูนย์วจิ ยั ชาวเขา ซึง่ มีเป้ าหมายเพื่อเก็บรวบรวม
และกาหนดพิกดั ที่แน่ นอนของหมู่บ้านชาวเขาในประเทศไทยลงในแผนที่ชุดเดียวกัน การสารวจดังกล่าวได้ถูก
รวบรวมและตีพมิ พ์ในเอกสารชุดใหญ่ทช่ี ่อื ว่า ทาเนียบหมู่บา้ นชาวเขาในประเทศไทย ซึง่ ผลิตขึน้ ในช่วงทศวรรษ
1960 และต่อเนื่องมาจนถึงต้นทศวรรษ 1970
แม้ว่าการสารวจของทัง้ สองกลุ่มจะยังไม่สมบูรณ์และมีขอ้ ผิดพลาด แต่นับได้ว่า นี่เป็ นความพยายามครัง้
สาคัญของรัฐไทยซึง่ ได้รบั การสนับสนุ นจากมหาอานาจอย่างสหรัฐฯให้มกี ารเก็บข้อมูลหมู่บา้ นไทยอย่างละเอียด
ทีส่ ุด ข้อมูลดังกล่าวอยู่ในรูปของตัวเลขเชิงสถิตแิ ละสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ทซ่ี บั ซ้อนจานวนมาก พร้อมๆกับ
พิกดั ในแผนทีท่ ร่ี ะบุตาแหน่ งของสิง่ ต่างๆทีย่ บิ ย่อยทีส่ ุดเป็ นองศาและละติจูด/ลองติจูด แน่ นอนว่า การทาแผนที่
ของรัฐไทย/รัฐสยามในอดีตก่อนหน้าทศวรรษนี้ไม่เคยสามารถระบุตาแหน่งแห่งทีห่ รือพิกดั ของหมู่บา้ นได้ชดั ขนาด
นี้มาก่อน ข้อจากัดดังกล่าวเกิดขึน้ ทัง้ จากความขาดแคลนเทคโนโลยีและจากลักษณะของหมู่บา้ นในประเทศไทย
เองทีไ่ ม่เคยมีขอบเขตชัดเจน หมู่บา้ นจานวนมากมีการเคลื่อนทีอ่ ยู่ตลอด หลายแห่งเกิดใหม่และหลายแห่งยุบตัว
ลงไป2 การทาแผนทีใ่ นยุคสงครามเย็นจึงเป็ นความพยายามตอบโจทย์สาคัญของรัฐสมัยใหม่ทต่ี ้องการเข้าถึงผูใ้ ต้
ปกครองผ่านเทคโนโลยีและเครื่องมือที่เป็ นระบบตรวจสอบได้ มากไปกว่านัน้ ก็คอื การหาทางทาให้หมู่บ้านที่
เคลื่อนทีไ่ ด้หยุดนิ่งภายใต้การจับจ้องของอานาจรัฐ ซึง่ การแพร่ขยายอานาจของรัฐลงไปในระดับทีเ่ ล็กที่สุด และ
ควบคุมทุกส่วนของชีวติ ของพลเมืองให้ได้นนั ้ เป็ นคุณสมบัตสิ าคัญของรัฐประชาชาติทต่ี ้องขยับขยายแขนขาและ
สายตาลงไปจับจ้องทุกสัดส่วนของประชากร
บทความนี้เป็ นบททดลองเสนอก่อนทีผ่ เู้ ขียนจะเริม่ ดาเนินการวิจยั เกีย่ วกับการทาแผนทีย่ ุคสงครามเย็น
ต่อไป โดยจะแบ่งการนาเสนอออกเป็ น 2 ส่วนหลัก ดังนี้ 1) เทคโนโลยีการทาแผนทีใ่ นบริบทของสงครามเย็น ซึง่
จะชี้ให้เห็นว่าการทาแผนที่ในยุคนี้เป็ นผลของการมาบรรจบพบกันของการพัฒนาเทคโนโลยี 3 ประเภท คือ
เทคโนโลยีการบิน เทคโนโลยีการถ่ายภาพและกล้อง และทักษะความรูร้ วมถึงสถาบันทีม่ คี วามเชีย่ วชาญในการทา
และอ่านแผนที่ทางอากาศ 2) กาเนิดการทาแผนทีภ่ าพถ่ายทางอากาศในประเทศไทย โดยจะชีใ้ ห้เห็นว่าการทา
แผนทีจ่ ากภาพถ่ายทางอากาศในประเทศไทยนัน้ เป็ นผลิตผลของการเปลี่ ยนแปลงทางการเมืองในระดับโลก นัน่
คือ สภาวะของสงครามเย็นและอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา พร้อมๆกับเป็ นผลผลิตของการพัฒนาเทคโนโลยีของการ
ทาแผนทีใ่ นช่วงเวลานี้ และในบทสรุป ผูเ้ ขียนจะกลับไปสนทนากับงานเขียนก่อนหน้า 2 ชุด คือ งานศึกษาหมู่บา้ น
ของนักมานุ ษยวิทยา และงานประวัติศาสตร์การทาแผนที่ของธงชัย วินิจจะกูล เพื่อนาไปสู่การทดลองเสนอ
ข้อเสนอทางทฤษฎีต่อๆ ไป
2ดูการอภิปรายประเด็นนี้ใน Lauriston Sharp, “Philadelphia Among the Lahu,” in Lucien Hanks, Jane Hanks and Lauriston Sharp eds.,
Ethnographic Notes on Northern Thailand (Ithaca: Southeast Asian Program, Department of Asian Studies, Cornell University, 1965), pp. 84-90.
51
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เทคโนโลยีกำรทำแผนที่ในบริบทของสงครำมเย็น
นักประวัติศาสตร์การทาแผนทีค่ นสาคัญ คือ John Cloud ชี้ว่า การพัฒนาเทคโนโลยีการทาแผนทีข่ อง
สหรัฐฯสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกจากสงครามเย็น “การทาแผนที่ในตัวมันเองคือรูปแบบหนึ่งของวาทกรรมทาง
การเมืองทีเ่ กีย่ วข้องกับการขยายและการรักษาอานาจ”3 เช่นเดียวกัน นักภูมศิ าสตร์คนสาคัญอย่าง Brian Harley
ก็เสนอว่า แผนที่ไม่ใช่เอกสารที่เป็ นกลางปราศจากอคติ แต่แผนที่ กระบวนการสร้างแผนที่ และกระบวนการใช้
แผนทีน่ นั ้ เต็มไปด้วยเรื่องของอานาจและมีความเป็ นการเมืองในตัวของมันเอง การศึกษาเกีย่ วกับความรูข้ องการ
สร้างแผนทีส่ าหรับ Harley จึงต้องวางอยู่บนเงื่อนไขเบือ้ งต้น 3 ประการ คือ 1) บริบททางการเมืองของการสร้าง
แผนที่ ซึง่ เปลีย่ นแปลงไปในแต่ละช่วงยุคสมัย 2) อานาจและกลไกของอานาจทีก่ าหนดเนื้อหาสาระทีป่ รากฏอยู่ใน
แผนที่ และ 3) การสือ่ สาร เผยแพร่ รวมถึงการใช้แผนที่ ซึง่ ก็หมายถึงกระบวนการถอดรหัสความหมายของแผนที่
ทีใ่ นตัวของแผนทีเ่ องจะไม่มคี วามหมายใดๆ หากผูใ้ ช้แผนทีไ่ ม่สามารถเข้าใจรหัสหรือสัญญะทีอ่ ยู่ในแผนทีไ่ ด้ ใน
แง่น้กี ารใช้แผนทีจ่ งึ ต้องการความรูเ้ กีย่ วกับแผนที่ (map knowledge)4
แผนทีท่ พ่ี ฒ
ั นาขึน้ โดยสหรัฐฯในสภาวะสงครามจึงเป็ นเรื่องปกปิ ดและเป็ นความลับ (secrecy) Cloud5 ชี้
ว่า แผนทีแ่ ละเอกสารเกีย่ วกับเทคโนโลยีการทาแผนทีม่ กั จะถูกจัดให้เป็ นเอกสารลับ (classified) โดยเฉพาะอย่าง
ยิง่ การพัฒนาของศาสตร์ว่าด้วยภูมศิ าสตร์ภาคพื้นดิน (geo-spatial science) ซึ่งเป็ นการรวมเอาความรู้แขนง
ต่ า งๆเข้า มา 3 ส่ ว น คือ 1) ยีอ อเดซี (geodesy) ซึ่ง หมายถึง ความรู้แ ละเทคโนโลยีเ กี่ย วกับ สัณ ฐานโลกที่
ประกอบด้วยพืน้ ผิวหลายลักษณะ ในกรณีของไทย การสารวจแบบยีออเดซีเริม่ ขึ้ นอย่างเป็ นระบบภายใต้สญ ั ญา
ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในปี 2495 โดยใช้การถ่ายภาพทางอากาศอัตราส่วน 1:50,000 โดย
หน่วยงานของสหรัฐฯทีเ่ ข้ามาทาการสารวจและทาโครงข่ายยีออเดติคก็คอื U.S. Coast and Geodetic Survey6 2)
ภูมศิ าสตร์ (geography) และ 3) วิชาการเขียนแผนที่ (cartography) นอกจากนี้ สหรัฐฯยังนาเอาเทคโนโลยีการ
ถ่ ายภาพทางอากาศ (aerial photography) ซึ่งถือกาเนิดขึน้ ในช่วงสงครามโลกครัง้ ที่ 1 และใช้อย่างแพร่หลาย
ในช่วงสงครามโลกครัง้ ที่ 2 เข้ามาพัฒนาต่อด้วย โดย “เป้ าหมายหลักของการใช้การถ่ายภาพทางอากาศในการ
สอดแนม (reconnaissance) ก็มุ่งไปทีก่ ารกาหนดพิกดั ทิง้ ระเบิด และการกาหนดยุทธศาสตร์การสูร้ บในแนวราบ”7
เป็ นสาคัญ
พบว่าหน่ วยงานทีพ่ ฒั นาเทคโนโลยีดงั กล่าวจึงผูกขาดอยู่ทห่ี น่ วยงานทางการทหารเป็ นหลัก นอกจากนี้
หน่ ว ยงานที่ทางานสืบ ราชการลับ ก็เ ป็ น อีก หน่ วยงานหนึ่ ง ที่มีส่ว นทัง้ ในการท าและการใช้แผนที่ด้วย ในช่ วง
สงครามโลกครัง้ ที่ 2 สหรัฐฯใช้กลไกของการสืบราชการลับแบบเก่า นัน่ คือ ส่งสายลับที่เป็ นนักวิทยาศาสตร์
(scientist spies) เข้าไปเพื่อทาการเก็บข้อมูลและทาแผนที่ แต่เมื่อสิน้ สุดสงครามโลกครัง้ ที่ 2 แล้ว สหรัฐฯได้นาเอา
เทคโนโลยีการทาแผนทีจ่ ากเยอรมันซึง่ เป็ นฝ่ ายแพ้สงครามเข้ามา ในปี 1944 สหรัฐฯได้สง่ ทีมนักภูมศิ าสตร์ทช่ี อ่ื ว่า
HOUGH TEAM เข้าไปในเยอรมันเพื่อขโมยเอกสารเกีย่ วกับเทคโนโลยีการทาแผนทีแ่ ละการสารวจออกมา และนา
3 John C. Cloud, “American Cartographic Transformation during the Cold War,” Cartography and Geographic Information Science, p. 261.
4 J. Brian Harley, “Maps, knowledge, and power,” in D. Cosgrove and S. Daniels eds., The Iconography of Landscape, p. 280.
5 Cloud, “American Cartographic Transformation during the Cold War,” 262.
6 http://www.rtsd.mi.th/sections/Geodesy/index.php/historyofgeodesy.html
7 Cloud, “American Cartographic Transformation during the Cold War,” 263.
52
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
53
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
54
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
14 ดูกรณีการสารวจของญีป่ ่ ุนใน Sigeru Kobayashi, “Japanese Mapping of Asia-Pacific Areas, 1873-1945: An Overview,” Cross-Currents: East
Asian History and Cultural Review, No. 2 (March 2012); กรณีของการสารวจของเจ้าอาณานิคมอังกฤษในอินเดียดู Oyndrila Sarkar, “The Great
Trigonometrical Survey: Histories of Mapping 1790-1850,” The Indian Journal of Spatial Science, Vol. 3, No. 3 (2012), pp. 3-8. และดูงานที่
ชี้ให้เห็นประวัตศิ าสตร์พฒ
ั นาการของเทคโนโลยีทาแผนทีข่ องยุโรปได้ใน David Turnbull, “Cartography and Science in Early Modern Europe:
Mapping the Construction of Knowledge Spaces,” Imago Mundi, Vol. 48 (1996), pp. 5-24. เป็ นต้น
15 พระยามหาอามาตยาธิบดี, “กาเนิดการทาแผนทีใ่ นประเทศไทย,” วารสารแผนที ่ ฉบับพิเศษครบรอบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์, ปี ท่ี 24-25 (กรกฎาคม
55
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เทคโนโลยีการบิน
สยามมีความพยายามในการเข้าถึงเทคโนโลยีการบินมาตัง้ แต่ต้นศตวรรษที่ 20 เป็ นอย่างน้อยภายใต้
ความช่วยเหลือและความร่วมมือกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิง่ สงครามโลกครัง้ ที่ 1 และ 2 ที่สยาม/ไทย
กลายมาเป็ นส่วนหนึ่งของสงคราม ภายหลัง 2475 การบินยังถือเป็ นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งให้กบั รัฐ
ประชาชาติของไทยที่เกิดขึ้นใหม่ด้วย 18 อย่างไรก็ดี การที่ไทยกลายเป็ นส่วนหนึ่งของสงครามเวีย ดนามและ
16 Matthew H. Edney, Mapping an Empire: The Geographical Construction of British India, 1765-1843 (Chicago and London: The University
of Chicago Press, 1997), p. 30.
17 ดูเพิม
่ เติมใน Cloud, “American Cartographic Transformation during the Cold War,” 261-292.; Clark and Cloud, “On the Origin of Analytical
Cartography,” 195-204.; John C. Cloud, “Imaging the World in a Barrel: CORONA and the Clandestine Convergence of Earth Science,”
Social Studies of Science, 31/2 (April 2001), pp. 231-251.
18 ดู Edward M. Young, Aerial Nationalism: A History of Aviation in Thailand (Washington and London: Smithsonian Institution Press, 1995)
56
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
เทคโนโลยีการถ่ายภาพและกล้อง
19 Robert Frank Futrell and others, Aces & Aerial Victories: U.S. Air Force in Southeast Asia, 1965-1973 (Washington: Office of Air Force
History, USAF, 1976), p. 4.
20 Robert F. Futrell, The United States Air Force in Southeast Asia: The Advisory Years to 1965 (Washington: Office of Air Force History,
57
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
นอกจากนี้ สิ่ง ที่จ าเป็ น อย่า งยิ่งต่ อ การสอดแนมทางอากาศก็คือ เทคโนโลยีก ารถ่ า ยภาพและกล้อง
คุณภาพสูง กล้องถ่ายภาพทางอากาศของสหรัฐฯในระหว่างสงครามโลกครัง้ ที่ 2 และช่วงต้นของสงครามเย็นเป็ น
กล้องที่ผลิตโดยบริษัท Fairchild Aviation ซึ่งก่อตัง้ ขึน้ ในปี 1927 ตัง้ แต่เริม่ ก่อตัง้ บริษัทนี้มุ่งเน้นการผลิตกล้อง
สาหรับถ่ายภาพทางอากาศให้กองทัพสหรัฐอเมริกาเป็ นหลัก ในทศวรรษ 1950 Fairchild ได้คดิ ค้นกล้องถ่ายภาพ
ทางอากาศทีส่ ามารถถ่ายด้วยระบบอัตโนมัตไิ ด้ จากเดิมทีก่ ารถ่ายภาพทางอากาศต้องอาศัยกาลังคนอย่างน้อย 2
คนต่อการบินขึน้ ถ่ายภาพ คือ คนขับเครื่องบิน 1 คน และคนถ่ายภาพอีก 1 คน แต่การคิดค้นเทคโนโลยีของกล้อง
ทีถ่ ่ายอัตโนมัตแิ ละเทคโนโลยีเรดาร์ รวมถึงการคิดค้นกล้องทีม่ คี วามไวสูง จึงทาให้กล้องของ Fairchild สามารถ
ถ่ายภาพทางอากาศได้อย่างง่ายดายเมื่อติดตัง้ บนเครื่องบินทีบ่ นิ สูงถึง 500 ฟุต กล้องทีส่ ามารถถ่ายในทีส่ งู ได้นนั ้ มี
ความสาคัญและสัมพันธ์กบั เทคโนโลยีการบิน เพราะภายหลังจากที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถสร้างเครื่องต่ อต้าน
ทางอากาศ (anti-aircraft machine) ที่สามารถยิงเครื่องบินที่บินเข้ามาสอดแนมทางอากาศได้ ส่งผลให้สหรัฐฯ
จาเป็ นต้องพัฒนาเครื่องบินสอดแนมทีส่ ามารถถ่ายภาพทางอากาศในระดับของการบินทีส่ งู ขึน้ ไปอีกเพื่อหลีกเลีย่ ง
การถูกยิงจากพื้นดินโดยฝ่ ายตรงข้าม เช่นเดียวกัน เมื่อเครื่องบินบินสูงขึน้ กล้องที่ใช้กต็ ้อง มีคุณภาพดีขน้ึ คือ
สามารถถ่ายภาพที่ชดั เจนจากทีส่ ูงมากๆได้ และ Fairchild ก็คอื ผู้คดิ ค้นเทคโนโลยีกล้องสอดแนมทางอากาศที่
สาคัญทีส่ ุดของสหรัฐฯในช่วงหลังสงครามโลกครัง้ ที่ 2 การใช้กล้องทีม่ คี ุณภาพสูงเหล่านี้มคี วามสาคัญอย่างมาก
ในช่วง 2 ทศวรรษแรกของสงครามเย็น เพราะในภายหลังคือในปลายทศวรรษ 1960 สหรัฐฯเริม่ โครงการทีช่ ่อื ว่า
CORONA ซึ่งมุ่งที่การถ่ายภาพ การสอดแนม และการทาแผนที่จากดาวเทียมเป็ นหลัก กล้องและการถ่ายภาพ
ทางอากาศโดยเครื่องบินจึงลดความสาคัญลงไปด้วย
กล้องถ่ายภาพทางอากาศของบริษัท Fairchild
สถาบันและผู ้เชี่ ยวชาญในการทาและอ่านแผนที่
James B. Campbell ชี้ว่า นับตัง้ แต่สงครามโลกครัง้ ที่ 1 สหรัฐฯเริม่ ให้ความสาคัญกับการทดลองการ
ถ่ า ยภาพทางอากาศมากขึ้น เมื่อ เทีย บกับ ประเทศตะวัน ตกอื่น ๆในยุ โ รปแล้ว สหรัฐ ฯดู จ ะเป็ น ประเทศที่มี
ความก้าวหน้าทีส่ ุดในการมุ่งมันพั
่ ฒนาเทคโนโลยีการถ่ ายภาพทางอากาศ เห็นได้ชดั จากการก่อตัง้ โรงเรียนสอน
การสอดแนมและการหาข่าวให้แก่ทหารทีช่ ่อื ว่า AEF Intelligence School (1918) ในทันทีหลังจากสิน้ สุดสงคราม
สาเหตุสาคัญของการก่อตัง้ โรงเรียนดังกล่าวก็คอื การตระหนักถึงภาวะการขาดแคลนข้อมูลของฝ่ ายตรงข้าม ทุก
ฝ่ ายรบกันโดยที่ไม่มแี ผนที่ของค่ายทหารและหน่ วยรบของศัตรู Campbell ชี้ว่า ด้วยความมุ่งมันดั ่ งกล่าว “การ
58
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
21 James B. Campbell, “Origins of Aerial Photographic Interpretation, U.S. Army, 1916 to 1918,” Photogrammetic Engineering & Remote
Sensing, Vol. 47, No. 1 (January 2008), pp. 77-93.
22 ดู Michael Hefferman, “The Politics of the Map in the Early Twentieth Century,” Cartographyand Geographical Information Science, Vol.
59
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
60
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
วัฒนธรรมก็ยงั เป็ นสิง่ จาเป็ นเพื่อทีจ่ ะเติมเต็มสิง่ ทีต่ วั แผนทีเ่ องบอกเล่าไม่ได้ ในทางกลับกัน หากปราศจากแผนทีท่ ่ี
สามารถระบุพน้ื ทีท่ างกายภาพอย่างละเอียดแล้ว การเก็บข้อมูลภาคสนามในเชิงวัฒนธรรมและชาติพนั ธุว์ รรณนา
เพื่อมาเติมในพื้นที่ว่างของแผนที่กจ็ ะเป็ นสิง่ ที่เป็ นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน แผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศจึงเป็ น
เครื่องมือสาคัญของการเก็บข้อมูลและระบุตาแหน่งแห่งทีข่ องสภาพชีวติ ความเป็ นอยู่ของคนทีส่ มั พันธ์กบั พืน้ ทีท่ าง
กายภาพ เช่น แหล่งเพาะปลูกและแหล่งน้าซึง่ สัมพันธ์กบั การหาเลีย้ งชีพ การเคลื่อนทีข่ องผูค้ น/หมู่บา้ นซึง่ สัมพันธ์
กับลักษณะทางชาติพนั ธุ์ เป็ นต้น ประเด็นดังกล่าวสอดคล้องกับเอกสารของกรมแผนทีท่ หารทีช่ แ้ี จงถึงความจาเป็ น
ของการสารวจภาคพืน้ ดินควบคู่ไปด้วยว่า “อาจมีอกี อย่างหนึ่งทีบ่ างท่านเข้าใจว่า ถ้าทาแผนทีจ่ ากรูปถ่ายแล้ว ก็
ไม่จาเป็ นต้องออกป่ าฝ่ าดง อันนี้นบั ว่าผิดถนัด เพราะกล้องถ่ายรูปนัน้ ใครเคยใช้กย็ ่อมทราบแล้วว่ามันถ่า ยได้เพียง
‘รูป’ แต่ ‘นาม’ มันถ่ ายไม่ติด ดังนัน้ หมู่บ้านอาจปรากฏในรูปถ่ ายรูปหนึ่ง แต่ ไม่มีใครทราบว่าชื่อหมู่บ้านอะไร
นอกจากนัน้ ยังแม่น้ า หนอง ชื่อวัด ชื่อโรงเรียน และอื่นๆ เล็กๆ น้อย ซึง่ แผนทีท่ ด่ี ตี อ้ งมีช่อื ปรากฏโดยละเอียด”28
ในแง่น้ี ภาพถ่ายทีแ่ ม้จะมีความละเอียด แต่กไ็ ม่เพียงพอในตัวมันเอง ภาพถ่ายเพียงแต่ระบุตาแหน่งหรือพิกดั ของ
สิง่ ต่างๆว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบนโลก แต่ภาพถ่ายไม่สามารถระบุช่อื เสียงเรียงนามและคุณสมบัตใิ นด้านต่างๆ ของ
สิง่ ทีเ่ ห็นในแผนทีไ่ ด้
แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศทีท่ าในช่วงเวลานี้มสี ่วนช่วยและสัมพันธ์ อย่างแยกไม่ออกจากงานชาติพนั ธุ์
วรรณนาทัง้ ทีท่ าโดยรัฐบาลสหรัฐฯ กองทัพและหน่วยงานความมันคง ่ นักมานุษยวิทยาสหรัฐฯ และผูเ้ ชีย่ วชาญของ
หน่วยงานราชการพืน้ ถิน่ ทีท่ างานให้กบั ฝ่ ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ข้อมูลทีม่ าประกอบกันระหว่างแผนทีจ่ ากภาพถ่าย
ทางอากาศและข้อมูลจากการทาวิจยั หมู่บา้ นจะถูกนาไปใช้เพื่อกาหนดทัง้ ยุทธศาสตร์ยุทธวิธที างการทหารและทัง้
การทาสงครามจิตวิทยาในระดับล่างสุดของสังคมนันคื ่ อหน่ วยทีเ่ รียกว่าหมู่บา้ น การเห็นและเข้าใจจึงเป็ นสิง่ ทีต่ อ้ ง
พึง่ พาอาศัยกันในทรรศนะของผูก้ าหนดนโยบายความมันคง ่ 29
กำเนิดกำรทำแผนที่ภำพถ่ำยทำงอำกำศในประเทศไทย
28 ไม่ปรากฏชื่อผูเ้ ขียน, “การทาแผนทีจ่ ากรูปถ่ายทางอากาศในประเทศไทย,” วารสารแผนที ่ ฉบับพิเศษ ครบรอบ 200 ปี กรุงรัตนโกสินทร์ (2526), หน้า
189.
29 ดูกรณีทน
่ี กั มานุ ษยวิทยาอเมริกนั ผูเ้ ชีย่ วชาญเวียดนามคนสาคัญอย่าง Gerald C. Hickey ทีอ่ อกมาเปิ ดเผยว่า งานวิจยั ของเขาเกีย่ วกับหมูบ่ า้ นใน
เวียดนามนัน้ ได้รบั การสนับสนุ นจากกระทรวงกลาโหมและหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯมาตัง้ แต่ตน้ และงานวิจยั ของเขาจะถูกนาไปใช้เพือ่ กาหนด
ยุทธศาสตร์การปราบปรามคอมมิวนิสต์ในเวียดนาม ใน Gerald C. Hickey, Window on a War: An Anthropologist in the Vietnam Conflict (Lubbock:
Texas Tech University Press, 2002)
61
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
62
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
63
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
32Stephen Aftergood, “Government Secrecy and Knowledge Production: A Survey of Some General Issues,” in Judith Reppy ed., Secrecy
and Knowledge Production (Ithaca: Peace Studies Program, Cornell University, 1999), pp. 17-29.
64
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
65
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
37 Lucien M. Hanks, Gazetteer for 1964, 1969, 1974: Maps of Ethnic Settlements of Chiengrai Province, North of the Mae Kok River, Thailand
(Ithaca: Cornell University Press, 1975)
38 Lucien M. Hanks, A Report on Tribal Peoples in Chiengrai Province North of the Mae Kok River: Bennington-Cornell Anthropological Survey
66
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
สรุ ป
40 Jeremy Kemp, “On the Interpretation of Thai Village,” in Philip Hirsch ed., Thai Village in Perspective: Community and Locality in Rural
Thailand (Chiangmai: Social Research Institute, Chiangmai University, 1993), pp. 81-96.
41 ในงานศึกษาหมูบ ่ า้ นบางชันของ Sharp และคณะเองก็ช้วี า่ “หมูบ่ า้ น” ซึง่ เขาใช้คาภาษาอังกฤษว่า hamlet นัน้ เป็ นคนละเรือ่ งกับหมูบ่ า้ นทีห่ มายถึง
village หรือชุมชนทีห่ มายถึง community Sharp และคณะชี้วา่ หมูบ่ า้ น/hamlet เป็ นเพียงหน่วยการปกครองทีส่ ร้างขึน้ ด้วยกฎหมายของรัฐเก่าในปี
1914/2457 ซึง่ ในตัวมันเองเป็ นคนละเรือ่ งกับหมูบ่ า้ นหรือชุมชน “โดยธรรมชาติ” (Sharp และคณะใช้คาว่า “natural” community) ในแง่น้ี งานของ
Sharp และคณะก็มคี วามเข้าใจทีม่ าทางประวัตศิ าสตร์ของหมูบ่ า้ นสอดคล้องกับทีผ่ เู้ ขียนเสนอในงานนี้ และแตกต่างออกไปจากงานของ Kemp และ
Vandergeest ซึง่ นี่เป็ นฐานคติและข้อเสนอของงานวิจยั หมูบ่ า้ นบางชันทีช่ ้วี า่ หมูบ่ า้ นในฐานะทีเ่ ป็ นหน่วยของการปกครองมีความขัดแย้งไม่ลงตัวกับ
หมูบ่ า้ น/ชุมชนโดยธรรมชาติ ดู Lauriston Sharp, Hazel M. Hauck, Kamol Janlekha and Robert B. Textor, Siamese Rice Village: A Preliminary
Study of Bang Chan 1948 (Bangkok: Cornell Research Center, 1953), pp. 16-109.
42 Peter Vandergeest, “Real Villages: National Narratives of Rural Development,” in E. Melanie DuPris and Peter Vandergeest eds., Creating
the Countryside: The Politics of Rural and Environmental Discourse (Philadelphia: Temple University Press, 1999), pp. 279-302.
67
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
68
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
69
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
70
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P2-R1-04
ความทรงจาในดวงแก้ว
ความทรงจาที่ แปรเปลี่ ยนไปเกี่ ยวกั บ วั ด พระธรรมกาย
ภายใต้ ป ริ ม ณฑลรั ฐ บาลทหารปี พ.ศ. 2557-2559
เจษฎา บัวบาล*
นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
e-mail: jesada.bua@gmail.com
* ปั จจุ บั น ก าลั ง เขี ย นวิ ท ยานิ พ นธ์ เ รื่ อง Religion and Translocality: The Propagation of Thai Theravada Buddhism in
Indonesia by Dhammayutta Missionaries
71
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
วัดพระธรรมกาย เป็ นวัดในสังกัดมหานิกาย ก่อตัง้ เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 ตัง้ อยู่ ณ ตาบลคลอง
สาม อาเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ปั จจุบนั มีพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺ มชโย) เป็ นเจ้าอาวาส
อย่างไรก็ตาม แม้วดั นี้จะเป็ นวัดของพระภิกษุ ซ่งึ เป็ นเพศชาย แต่อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ผู้ก่อตัง้ วัดและผู้เป็ น
อาจารย์สอนสมาธิแบบธรรมกายให้กบั พระธัมมชโย ได้ถูกเชิดชูให้มบี ทบาทอย่างมาก1 ควบคู่ไปกับพระมงคลเทพ
มุนี (สด จนฺ ทสโร) วัดปากน้า ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ การต้องอิงอยู่กบั อานาจบารมีของหลวงพ่อสด ในฐานะผูค้ น้ พบ
วิชาธรรมกายและผูเ้ ป็ นอาจารย์ของอุบาสิกาจันทร์อกี ทีหนึ่ง ทาให้ความสัมพันธ์ระหว่างวัดพระธรรมกายและวัด
ปากน้าดาเนินไปด้วยดีเสมอมา2 นอกจากนี้ วัดพระธรรมกายยังมีสอ่ื DMC (Dhammakaya Media Channel) เป็ น
ช่องรายการธรรมะ คือ ทีวีช่องคุณธรรม สื่อสีขาวที่เผยแพร่ไปทัวโลกและออกอากาศผ่
่ านดาวเทียมตลอด 24
ชัวโมง
่ รวมทัง้ วารสารอื่นๆ ของวัด เช่น อยู่ในบุญ เป็ นต้น เพื่อเป็ นช่องทางในการสือ่ สารระหว่างศาสนิก
อย่างไรก็ตาม ปั จจัยที่ทาให้วดั พระธรรมกายกลายเป็ นที่สนใจทัง้ ในและนอกวงวิชาการคือ กระแสที่
เติบโตอย่างรวดเร็วในสามทศวรรษที่ผ่านมา กอปรกับกระแสต่อต้านทัง้ ในรูปของกฎหมายและมวลชน ซึ่งวัด
พระธรรมกายก็สามารถผ่านวิกฤติต่างๆ มาได้ดว้ ยดี งานชิน้ นี้ ผูเ้ ขียนจะกล่าวถึงธรรมกายในวิกฤติครัง้ ล่าสุดซึง่
ตรงกับการปกครองของรัฐบาลทหาร โดยเสนอว่า ธรรมกายได้รบั ประโยชน์โดยตรงจากการเติบโตทางความคิด
ของกระแสแบ่งแยกรัฐจากศาสนาและทีส่ าคัญ ธรรมกายได้ใช้ยุทธวิธถี ่ายโอนจุดสนใจของชาวพุทธทีต่ ่อต้านลัทธิ
ของตนไปสูก่ ระแสเกลียดกลัวอิสลาม
ด้านระเบียบวิธวี จิ ยั ผู้เขียนเริม่ จากการทบทวนวรรณกรรมและข้อมูลทีป่ รากฏตามเว็บไซต์ตลออดจน
เฟซบุ๊ก ซึ่งประกอบด้วยการนาเสนอและข้อถกเถียงของกลุ่มคนต่างๆ บทสัมภาษณ์ของนักวิชาการผูส้ นับสนุ น
แนวคิดโลกียวิสยั ซึ่งมีอิทธิพลต่อสังคมไทยอย่างมาก 3 คนคือ นิธิ เอียวศรีวงศ์, สุรพศ ทวีศกั ดิ ์ และ วิจกั ขณ์
พานิช กอปรกับการสังเกตการณ์ภาคสนามผ่านการอยู่ร่วมกับพระสงฆ์วดั พระธรรมกายในจังหวัดนครศรีธรรมราช
เป็ นเวลา 5 เดือน ปฏิสมั พันธ์ระหว่างผู้เขียนกับพระวัดพระธรรมกาย สังเกตการณ์ปฏิสมั พันธ์ของพระสงฆ์กบั
ฆราวาสและสื่อ ที่ใช้ในการเผยแผ่ของพระวัด พระธรรมกาย อีก ทัง้ พฤติก รรมที่พ ระเหล่า นี้ ต้องตอบสนองต่ อ
นโยบายส่วนกลางของธรรมกาย ช่วยทาให้ขอ้ เสนอของผูเ้ ขียนมีความแจ่มชัดขึน้
ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับธรรมกำย
งานศึกษาเกีย่ วกับธรรมกายส่วนใหญ่แบ่งได้เป็ น 2 ลักษณะ คือ (1) งานทีช่ ใ้ี ห้เห็นถึงความผิดเพีย้ นด้าน
คาสอนและภัยทีจ่ ะกระทบต่อพุทธศาสนาไทย (พระมหาวุฒชิ ยั วชิรเมธี 2546, พระธรรมปิ ฎก ประยุทธ์ ปยุตฺโต
2543, วรัญญู ชายเกต 2544 , Laohavanich, M. 2012 เป็ นต้น และ (2) งานที่ไม่สนใจวิเคราะห์คาสอน แต่ มุ่ง
72
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
อธิบายกระบวนการการเผยแผ่ทไ่ี ด้ผลของธรรมกาย (อภิญญา เฟื่ องฟูสกุล 2541, นาตยา แก้วใส 2542, Zehner
Edwin 1990, Rory, Mackenzie 2007, Wattanasuwan, K., & Elliott, R. (1999). Tylor James 2008) ซึ่ ง ง า น
ประเภทหลังมักเป็ นงานในสายสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
งานของพระมหาวุฒชิ ยั เป็ นการศึกษาบทบาทโดยตรงของ ปยุตฺโต ผู้ซ่งึ ถือกันว่าเป็ นปราชญ์ทางพุทธ
ศาสนาเถรวาทของไทย งานชิน้ นี้เกิดจากการวิเคราะห์หนังสือของ ปยุตฺโต ทีเ่ ขียนเพื่อคลีค่ ลายประเด็นการตีความ
คาสอนของวัดพระธรรมกาย ซึ่งในทัศนะของปยุตฺโตและพระมหาวุฒชิ ยั เอง เป็ นการบิดเบือนคาสอนของพุทธ
ศาสนาให้ผดิ เพี้ยนเพื่อแสวงหาอานาจและผลประโยชน์ พระมหาวุฒชิ ยั เสนอเป็ นข้อสรุปของวิทยานิพนธ์ถงึ ขัน้
ทีว่ ่า ถ้าหากวัดพระธรรมกายสาเร็จตามจุดมุ่งหมายทีต่ งั ้ เอาไว้ ก็จะส่งผลให้พุทธศาสนาในประเทศไทยซึง่ เป็ นพุทธ
ศาสนาเถรวาทต้องสูญสิน้ อันตรธานไปฯ (พระมหาวุฒชิ ยั วชิรเมธี, 2546, น. ก) ซึง่ เป็ นข้อเสนอเดียวกับหนังสือ
กรณีธรรมกาย ทีเ่ ขียนโดย ปยุตฺโต ขณะที่ วรัญญู ชายเกต ศึกษาความเป็ นมาของคณะสงฆ์ไทย เพื่อจะแก้ปัญหา
ความขัด แย้งกรณี ธรรมกาย วรัญ ญูมองว่า ปรากฏการณ์ น้ี ส่งผลกระทบต่ อ ทัง้ พระธรรมวินัยและสถาบันสงฆ์
ทางออกที่ดคี อื การต้องยึดหลักพระธรรมวินัยเป็ นหลัก ที่สาคัญต้องไม่ละเลยการให้ความรู้พุทธบริษัทด้านพระ
ธรรมวินัยทีถ่ ูกต้อง ธรรมกายเองควรปรับปรุงองค์กรตามทีม่ หาเถรสมาคมแนะนา เช่นปรับปรุงคาสอนให้ถูกต้อง
ตามกับธรรมวินัย มีความระมัดระวังในการทาธุรกิจซึ่งไม่เหมาะกับศาสนา ทานองเดียวกับ นายแพทย์ มโน
เลาหวนิช (Laohavanich, M) ผูเ้ คยเป็ นศิษย์ได้รบั การสนับสนุ นจากพระธัมมชโยให้ศกึ ษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ
และต่อมาได้ยา้ ยออกจากวัดพระธรรมกายด้วยเหตุผลว่ารับไม่ได้กบั การบิดเบือนคาสอนและแนวคิดที่ผดิ เพีย้ น
มากขึน้ ของพระธัมมชโย มโน เสนอว่ากระบวนการสร้างความศรัทธาทีธ่ รรมกายได้ปลูกฝั งลงไปในเยาวชนตาม
โรงเรีย นและมหาวิท ยาลัย ต่ า งๆ อัน น ามาซึ่ง การท าให้พ วกเขาจงรัก ภัก ดีแ ละยอมท างานอุ ทิศ ถวายตนแก่
พระธัมมชโยเป็ นปรากฏการณ์ท่พี บเจอได้ยากในสังคมเถรวาท ทัง้ นี้เกิดจากการสร้างกระแสผู้นาที่มบี ารมีและ
ปาฏิหาริยล์ ล้ี บั กอปรกับการปลูกฝั งความเชื่อให้ศรัทธาในบุญทีม่ ใิ ช่การทาประโยชน์เพื่อสาธารณะ หากแต่ผกู ขาด
อยู่กบั ธรรมกายเป็ นหลัก มโนมองว่าเป็ นสิง่ ทีส่ งั คมต้องตระหนัก
ลัก ษณะร่ ว มของงานทัง้ 4 ชิ้น คือ การวางอยู่ บ นฐานคิด เรื่อ งศาสนาพุ ท ธแบบบริสุ ท ธิ ์ (Authentic
Buddhism) ทีย่ งิ่ กว่านัน้ คือ เชื่อว่าพุทธศาสนาเถรวาท ทีอ่ า้ งตนว่ายึดตามคัมภีรพ์ ระไตรปิ ฎกบาลี ซึง่ เป็ นคัมภีรท์ ่ี
มีความน่าเชื่อถือมากทีส่ ดุ สก็อต (Scott, 2009) เสนอว่า แนวคิดเรื่องศาสนาบริสทุ ธิเป็ ์ นแนวคิดทีไ่ ด้รบั จากอาณา
นิคมตะวันตก ผูซ้ ง่ึ มองศาสนาของตะวันตกและตะวันออกในแบบของขัว้ ตรงข้าม เนื่องจากฝรังเห็ ่ นว่าศาสนาคริสต์
เน้นคาสอนไปทีค่ วามเชื่อ เมื่อพวกเขาได้ศกึ ษาพุทธศาสนาและศึกษาหลักกาลามสูตรเป็ นต้น ก็มองและตีความให้
พุทธศาสนามีความเป็ นเหตุเป็ นผลโดยส่วนเดียว โดยมิได้มองถึงการประสมประสานความเชื่อทางศาสนาเข้ากับ
ความเป็ นท้องถิน่ ซึง่ เกิดขึน้ จริงในทางปฏิบตั ิ สาหรับ สก็อต การทีศ่ าสนาจะคลุกคลีกบั เรื่องทางโลกเช่นทรัพย์สนิ
เงินทอง รวมถึงความเชื่อเรื่องอานาจเร้นลับเป็ นต้นจึงไม่ใช่เรื่องประหลาด หากแต่แนวคิดความเป็ นสมัยใหม่ได้ทา
ให้พุทธศาสนาของปั ญญาชนมีเพียงมิตเิ ดียว ขณะเดียวกันก็ตตี ราว่าสิง่ ทีไ่ ม่ตรงกับคัมภีรห์ รือการจะตีความคัมภีร์
เป็ น อย่ า งอื่น ที่มิยืน อยู่บ นหลัก เหตุ ผ ลเป็ น พฤติก รรมที่บิด เบือ น และนี่ จึง กลายเป็ น สาเหตุ ห นึ่ ง ของการมอง
ธรรมกายในแง่ลบ
สาหรับงานวรรณกรรมประเภทที่สอง อภิญญา เฟื่ องฟู ส กุล (2541), Tylor James 2008 และ Zehner
Edwin (1990) ได้ศกึ ษาธรรมกายผ่านระเบียบวิธที างมานุ ษยวิทยา ทัง้ สามมองว่า ธรรมกายสามารถตอบสนอง
ความต้องการของคนชัน้ กลางในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ (แม้ว่า นิยามความเป็ นชนชัน้ กลางจะไม่ชดั เจน) การ
73
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
กรอบแนวคิดเรื่องควำมทรงจำ
แม้ก รณี ข องวัด พระธรรมกายจะไม่ ได้ถู ก ศึก ษาผ่า นกรอบแนวคิด เรื่อ งความทรงจาร่ วม (Collective
Memory) ทีศ่ กึ ษาปรากฏการณ์ภายใต้ความเชื่อทีว่ ่า องค์กรนัน้ ๆ ได้ใช้กระบวนการในการสร้างภาพและความทรง
จา (รวมถึงการสนับสนุ นให้ลมื บางอย่าง) ของเหล่าศาสนิก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า งานแต่ละชิน้ ทีบ่ รรยายให้เห็นถึง
ความสาเร็จในการสร้างเครือข่ายของวัดพระธรรมกาย เท่ากับอธิบายกระบวนการสร้างความทรงจาและการทาให้
ลืมของวัดพระธรรมกายไปโดยอัตโนมัติ งานชิ้นนี้ ผู้เขียนเลือกที่จะเปลี่ยนมุมมองด้านความทรงจาที่มตี ่ อวัด
พระธรรมกายจากเหล่าสาวกเป็ นบุคคลภายนอกผูซ้ ง่ึ มิได้ให้การสนับสนุนกิจกรรมของวัดพระธรรมกาย
อย่างไรก็ตาม กรอบคิดเรื่องความทรงจาร่วมทีผ่ เู้ ขียนจะนามาใช้อธิบายในบทความนี้มไิ ด้เหมารวมเอาว่า
คนกลุ่มหนึ่งๆ จะต้องมีความทรงจาต่อปรากฏการณ์หนึ่งๆ เหมือนกันทัง้ หมด แม้กลุ่มบุคคลเหล่านัน้ จะอยู่ร่วม
เสพข่าวสารหรือเคยผ่านเหตุการณ์เดียวกัน แม้งานวิชาการยุคปั จจุบนั โดยเฉพาะอย่างยิง่ ทีเ่ กีย่ วโยงกับแนวคิด
เรื่องความทรงจา จะเป็ นงานทีป่ ฏิเสธแก่นแท้ของปั จเจกบุคคล (Anti-Individual) ด้วยเหตุว่า บุคคลล้วนถูกก่อร่าง
ผ่านบริบททางสังคม แต่ทงั ้ นี้กป็ ฏิเสธมิได้ว่ามนุ ษย์ทุกคนจะไม่มคี วามแตกต่างกันเลย เนื่องจากปั จเจกบุคคลใน
ฐานะผู้กระทา (Agency) สามารถเลือกรับและปฏิเสธบางอย่างทีส่ งั คมจัดสรรให้ แต่ด้วยเหตุท่คี วามทรงจาหรือ
เรื่องราวเหล่านัน้ มิได้ล่องลอยอยู่ในอากาศ มนุษย์รบั ทราบและจดจามันในฐานะสมาชิกของสังคม ดังนัน้ การซึมซับ
จึงเกิดผ่านการนาเสนอของสังคมซึ่งมีลกั ษณะร่วมกันและอาจแตกต่างกันได้ (Barbara A. Misztal, 2013, p.12)
แนวคิดนี้ถูกยกมาเพื่อเสนอว่า งานหลายชิน้ ทีศ่ กึ ษาเกีย่ วกับธรรมกายมีลกั ษณะเหมารวม เช่น กระแสธรรมกาย
เกิดจากการเติบโตขึน้ ของชนชัน้ กลางในเมือง ซึง่ การนิยามและจัดประเภทของคนชัน้ กลางมีปัญหาและแท้ทจ่ี ริง
บุคคลกลุ่มเดียวกันนี้กอ็ าจมิได้สนใจหรือศรัทธาธรรมกายดังข้อเสนอหลักของบทความนี้ ซึง่ จะอภิปรายด้านล่าง
ในที่น้ีผู้เขียนจะอภิปรายปรากฏการณ์ผ่านกระบวนการสร้างความทรงจาด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ
ของ วูลฟ์ คานสไตน์เนอร์ Wulf Kansteiner ได้แก่ 1).ผูส้ ร้างความทรงจา (Memory makers) 2).ผูบ้ ริโภคหรือผูใ้ ช้
74
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ความทรงจา (Memory consumers/users) และ 3).ตัววัตถุเป็ นทีส่ ถิตของความทรงจา (Visual objects) คานสไตน์
เนอร์ ยังได้กล่าวถึงความทรงจาแบบรวมหมู่ว่า ได้มาจากการต่อรองหรือแย่งพืน้ ทีก่ นั (Negotiated) ความทรงจา
ถูกเลือกมานาเสนอภาพปั จจุบนั เพื่อผลประโยชน์ของปั จจุบนั (การศึกษาเรื่องความทรงจาจึงไม่ตอ้ งการข้อเท็จจริง
สูงสุด) แต่เป็ นความจริงซึง่ มีลกั ษณะเป็ นสัมพัทธ์ (Wulf Kansteiner, 2002, p.165)
รัฐโลกียวิสัยนำไปสู่เสรีภำพทำงศำสนำและกำรยอมรับธรรมกำย
รัฐโลกียวิสยั (Secular State) เป็ นผลกระทบของเหตุผลนิยมและการจัดสรรอานาจระหว่างอาณาจักร
และศาสนจักร ทัง้ นี้ ในอดีตศาสนาพยายามเข้าไปมีบทบาทต่อชีวติ คนตัง้ แต่เกิดจนกระทังตาย ่ หากแต่ต่อมาได้ถูก
รัฐซึง่ พัฒนาผ่านความเจริญทางการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีได้แย่งชิงพืน้ ทีก่ ารเข้าไปมีบทบาทต่อผูค้ นแทบจะ
ทุกมิติ เช่น การคลอดและรักษาโรคด้วยแพทย์สมัยใหม่ ให้การศึกษาผ่านโรงเรียนของรัฐ โดยมิต้องขึน้ กับความ
เชื่อทางศาสนาแบบเดิม ทัง้ นี้ในทัศนะของรัฐสมัยใหม่ ศาสนาทีใ่ ช้รฐั เป็ นเครื่องมือในการสร้างความมันคงและเผย
่
แผ่และรัฐซึง่ ใช้ศาสนาเป็ นฐานเสียงและตัวอ้างอิงความชอบธรรมเป็ นสิง่ ทีไ่ ม่พงึ ปรารถนา ดังนัน้ จึงมีการเสนอให้
แยกทัง้ สองออกจากกัน กล่าวคือ รัฐไม่มหี น้าทีท่ ่จี ะสนับสนุ นศาสนาใดเป็ นพิเศษ (เช่น เป็ นศาสนาประจาชาติ)
โดยกาหนดให้ศาสนาเป็ นองค์กรเอกชน (Privatized) แข่งกันเพื่อดึงดูดศรัทธาศาสนิกด้วยความสามารถของ
ตนเอง ด้วยว่า แนวคิดเช่นนี้ยงั มองถึงคุณค่าความเป็ นมนุ ษย์ทว่ี ่า มนุ ษย์มเี สรีภาพและวิจารณญาณทีจ่ ะเลือกรับ
ฟั งและเชื่อศาสนาใดศาสนาหนึ่งด้วยตัวของเขาเอง มิใช่การถูกบังคับหรือกาหนดให้มเี พียงศาสนาเดียวซึ่งรัฐจะ
รับรองว่าถูกต้องมากทีส่ ดุ
อย่างไรก็ตาม ไม่พงึ เข้าใจว่า ศาสนาทีถ่ ูกแยกออกจากรัฐด้วยเหตุผลเดียวคือเกิดจากการเห็นคุณค่าของ
พหุ ว ัฒ นธรรมตามระบอบเสรีนิ ย มประชาธิปไตยเท่า นัน้ แม้ค วามเป็ น ชาตินิ ย ม ตามข้ อ เสนอของ Benedict
Anderson ในหนั ง สือ Imagined Communities (1983) ก็ส ามารถน าไปสู่ ร ัฐ โลกีย วิส ัย เช่ น กัน เช่ น กรณี ข อง
อินโดนีเซียทีผ่ คู้ นมีความเชื่อหลากหลาย รัฐบาลจึงต้องใช้สานึกความเป็ นชาติในการรวมคน มากกว่าจะใช้ศาสนา
อิสลามซึง่ จะเบียดขับให้ศาสนิกอื่นๆ ตกขอบไป (อ้างใน Wolf Eric, 1991, p. 19)
รัฐโลกียวิสยั หรือรัฐทีป่ ราศจากการครอบงาของศาสนามักถูกกล่าวถึงในแง่หลักการใหญ่ (Macro-level
secularization) คือ รัฐธรรมนูญทีไ่ ม่ให้การสนับสนุนศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็ นศาสนาประจาชาติ และไม่มกี ฎหมาย
ลูกให้ความชอบธรรมในการปกป้ องคุ้มครองศาสนาใดพิเศษกว่าศาสนาอื่นๆ แท้จริงแนวคิดนี้ยงั มีอกี 2 ระดับคือ
ระดับกลาง (Meso level) ทีอ่ งค์กรเล็กลงมาจะไม่มกี ารตัดสินใจ กาหนดนโยบายรวมถึงการคัดเลือกพนักงานผ่าน
กรอบคิด ทางศาสนา ส่ว นในระดับ ที่เล็ก ที่สุดคือ (Mecro level) เป็ น ระดับ ของปั จเจกบุ คคลที่จะไม่ถู กศาสนา
ครอบง าในการใช้ชีวิต (Bjorn Mastiaux, 2012) แน่ น อนว่ าระดับหลังนี้ เ กิด ขึ้น ได้ยาก เพราะแม้กระแสโลกจะ
เปลี่ยนผ่านไปสู่เสรีนิยมประชาธิปไตย แต่กต็ ้องไม่ลมื ว่า กระแสนัน้ มิได้ปฏิเสธการตัดสินใจและความเชื่อส่วน
บุคคล คาสอนทางศาสนาก็ได้ซมึ ซาบเข้าไปสู่ส่อื สิง่ พิมพ์และโลกออนไลน์จนเข้าถึงได้ง่ายยิง่ ขึน้ ดังนัน้ ความเจริญ
ทางเทคโนโลยีจงึ มิใช่ตวั ตัดสินว่าศาสนาจะหายไปจากชีวติ ของผูค้ น ด้วยเหตุน้ี ความเป็ นโลกียวิสยั ใน 2 ระดับต้น
จึงเป็ นสิง่ ทีเ่ พียงพอในการเรียกร้องให้รฐั สมัยใหม่กา้ วให้ถึง เพื่อหลีกเลี่ยงปั ญหาการใช้อานาจรัฐรุ กรานคาสอน
หรือความเชื่ออื่นทีร่ ฐั มิได้ให้การรับรอง
ในบทความนี้ ผูเ้ ขียนจะนาคัดบางตอนของข้อเขียนและบทให้สมั ภาษณ์ของนักวิชาการไทย 3 ท่าน คือ
นิธิ เอียวศรีวงศ์ สุรพศ ทวีศกั ดิ ์ และ วิจกั ขณ์ พานิช ผูซ้ ง่ึ มีอทิ ธิพลอย่างมากในการเปลีย่ นแปลงความคิดของคน
ไทยในมิติของการโน้มน้าวให้รฐั ไทยเป็ นรัฐโลกียวิสยั และเชื่อว่าด้วยเหตุผลนี้จะเป็ นปั จจัยสาคัญที่จะแก้ปัญหา
75
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
76
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
77
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
78
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
กระแสปฏิรูปพุ ทธศำสนำนำไปสู่ควำมปรองดองของชำวพุ ทธ
การก่อรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ตัง้ แต่
เวลา 16:30 น. โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็ นหัวหน้าคณะ ได้นาไปสูก่ ารตัง้ กรรมการปฏิรปู แนวทางและ
มาตรการปกป้ องพิทกั ษ์กจิ การพระพุทธศาสนา สภาปฏิรปู แห่งชาติ (สปช.) มี นายไพบูลย์ นิตติ ะวัน เป็ นประธาน
คณะ ได้เสนอแนวทางในการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้ องพิทกั ษ์กจิ การพระพุทธศาสนาต่อ สปช. 4 เรื่อง
หลักๆ ได้แก่ (1) เรื่องทรัพย์สนิ ของวัดและพระสงฆ์ (2) เรื่องปั ญหาของคณะสงฆ์ทไ่ี ม่ปฏิบตั ติ ามพระธรรมวินัย
นามาซึง่ ความเสือ่ มศรัทธา (3) เรื่องการทาให้พระธรรมวินยั วิปริต และการประพฤติปฏิบตั วิ ปิ ริตจากพระธรรมวินยั
และ (4) เรื่องฝ่ ายอาณาจักรทีต่ อ้ งเข้าไปสนับสนุ น ปกป้ องคุม้ ครองกิจการของฝ่ ายศาสนจักร (รชยา นัทธี, 2558)
ทัง้ สี่ป ระเด็น น าไปสู่ก ารถกเถีย งและต่ อ ต้า นของพระสงฆ์ใ นวงกว้า ง โดยมี พระเมธีธ รรมาจารย์ (ประสาร
จนฺ ทสาโร) รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) เป็ น
แกนนาหลัก โดยให้เหตุผลว่า การปฏิรูปดังกล่าวเป็ นการเหยีย บย่า ทาลายพุทธศาสนา เช่นกรณีของการเสนอให้
เจ้าอาวาสมาจากการเลือกของประชาชนซึ่งมีวาระห้าปี เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าสู่ตาแหน่ งโดยการใช้เงินซื้อของ
พระสงฆ์ หากแต่ สปช. เองก็ยงั ไม่มาจากประชาชนส่วนการเก็บภาษี ควรจะพิจารณาวัดทีย่ ากจนซึง่ แทบไม่มเี งิน
จ่ายค่าไฟด้วย มิใช่มองเฉพาะพระทีม่ รี ายได้สงู ซึง่ มีจานวนน้อยเป็ นต้น พระเมธีธรรมาจารย์ยงั กล่าวอีกว่า ประเทศ
ไทยมีถึง 6 ศาสนา แต่รฐั บาลพยายามเหยียบย่ าจับผิดเฉพาะพุทธศาสนาเท่านัน้ ขณะที่ พระพยอม กลฺ ยาโณ
เห็นด้วยกับนโยบายเก็บภาษีพระสงฆ์ โดยให้เหตุผลว่า ปั ญหาปั จจุบนั เกิดจากการทีพ่ ระเก็บสะสมและร่ารวยจริง
หากเอาตามพระพุทธเจ้าก็ไม่ตอ้ งเดือดร้อนให้ใครมาตรวจสอบ (อินทรชัย พาณิชกุล, 2558)
นอกจากแนวทางการปฏิรูปหลักทัง้ 4 ด้านแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปั จจัยสาคัญประการหนึ่งทีส่ ่งผลต่อการ
ต้องตัง้ คณะกรรมการปฏิรูปคือ กรณีของวัดพระธรรมกาย เรื่องการยักยอกเงินของพระธัมมชโยกับกลุ่มสหกรณ์
เครดิตยูเนี่ยนคลองจัน่ และ การต่อต้านการขึน้ สู่ตาแหน่ งสังฆราชของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ า
นาโดยพระสุวทิ ย์ (หลวงปู่ พุทธอิสระ) อนึ่ง ผู้เขียนมิได้ประสงค์จะถกเรื่องหลักการและความเป็ นธรรมของการ
ปฏิรูปและการต่อต้านกระแสปฏิรูปนี้ หากแต่มุ่งจะเสนอว่า กระแสดังกล่าวได้นาไปสู่การปรองดองของพระสงฆ์
หลายกลุ่มทีเ่ ห็นว่าตนกาลังถูกเบียดเบียนจากรัฐบาล เช่นการถูกตรวจสอบบัญชี การกาหนดให้ตอ้ งจ่ายภาษี การ
อนุมตั ใิ ห้ศกึ ษาแต่ทางธรรม (นักธรรมและบาลีเป็ นหลัก)
เพื่อต่อต้านการปฏิรูปนี้ เกิดการก่อตัง้ เฟซบุ๊กเพจ “ปกป้ องสังฆมณฑล” ขึน้ เพื่อโจมตีการทางานของ
สภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิง่ นายไพบูลย์ นิตติ ะวัน จานวนผูก้ ดไลค์ คอมเม้นท์และแชร์โพสต์สว่ นใหญ่
เป็ นพระสงฆ์ แต่อย่างไรก็ตาม ความน่ าสนใจของเพจนี้มนี ้อยกว่าเพจ “พุทธสามัคคี” ซึง่ ดูภายนอกมิได้เกีย่ วโยง
กับประเด็นทางการเมือง แต่เน้นเป็ นการรวมกลุ่มชาวพุทธเพื่อให้ความรูด้ า้ นคาสอนของพุทธศาสนา เพจนี้ สร้าง
และดูแลโดยธรรมกาย มีสโลแกนคือ “ส่งเสริมการทางานสร้างสรรค์ของชาวพุทธทุกกลุ่ม ป้ องปราบการใช้โทสวาท
(Hate Speech) สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ” เพจนี้ก่อตัง้ ขึน้ ในระยะเวลาเดียวกับเพจ ปกป้ องสังฆมณฑล
แต่มวี ตั ถุประสงค์ทต่ี ่างออกไป คือ เสนอให้ผตู้ ดิ ตามเห็นว่าพุทธศาสนากาลังมีภยั (ทัง้ จากรัฐบาลและศาสนาอื่นๆ)
ดังนัน้ ชาวพุทธจึงไม่ควรมาตรวจสอบจับผิดกันเอง อันจะเป็ นการทาลายความมันคงของพุ ่ ทธศาสนา แต่เสนอให้ใช้
ความแตกต่างของแต่ละสานักในการสร้างศรัทธาต่อศาสนิก เนื้อหาในเพจนี้ระบุไว้ชดั เจนว่า “รวบรวมเรียบเรียง
79
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
4 โพสต์ทน่ี ่ าสนใจมีดงั นี้ วันที่ 20 มีนาคม เหตุผลทีว่ ดั พระธรรมกายประสบความสาเร็จ ในการเผยแผ่, วันที่ 15 มีนาคม หยุดใช้ปากเป็ นหอก โจมตีกนั
ด้วยเรือ่ งคาสอน, วันที่ 12 มีนาคม หลวงพ่อธัมมชโย หลวงพ่อคือผูส้ ร้างวัดและเลีย้ งวัด, วันที่ 14 มกราคม อย่าเอาวิธที าลายล้างทางการเมืองมาทาลาย
คณะสงฆ์ (สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) ที่มา https://www.facebook.com/BuddhaSamakkee/?fref=ts เข้าถึงวันที่ 30 เมษายน
2559 เ หตุ ผ ลอี ก ป ระก ารหนึ่ งที่ ย ื น ยั น ว่ า เ พจนี้ ดู แ ล โด ยธ รร มก าย คื อ เ ว็ บ ที่ ป ร าก ฏ ด้ า นซ้ า ย ขอ งเพ จเพื่ อ ติ ด ตาม ข้ อ มู ล อื่ น ๆคื อ
http://gettoknowdhammakaya.blogspot.com/
5 มีความเป็ นไปได้มากว่า การทาให้รฐั บาลและพรรคประชาธิปัตย์กลายเป็ นของมุสลิมของคนเหล่านี้ อาจส่งผลถึงการทีพ ่ ระสงฆ์หนั ไปให้ความหวั งกับ
พรรคเพือ่ ไทยเพิม่ ขึน้ ด้วย นั ่นหมายความว่า กลุม่ พระเสือ้ แดงทีเ่ พิม่ จานวนขึน้ มิได้เกิดจากการตระหนักถึงความเท่าเทียมของสิทธิเสรีภาพ เพราะพระ
ส่วนใหญ่มไิ ด้เห็นด้วยกับความเท่าเทียมทางศาสนา (ผ่านรัฐโลกียวิสยั เป็ นต้น) หากแต่เชื่อว่า พรรคเพื่อไทย (ซึง่ มีเจ้าคุณ ประสาน เป็ นต้นเข้าพบ
ตัวแทนคนสาคัญเพือ่ พูดคุยถึงประเด็นของพุทธศาสนา) จะเอื้อประโยชน์ตอ่ การออกกฎหมายและให้การสนับสนุ นกิจการพุทธศาสนามากกว่าพรรคอื่นๆ
มิเพียงพระสงฆ์ทอ่ี าจระบุวา่ เป็ นเสือ้ แดงเท่านัน้ พระป่ ากรรมฐานเองซึง่ มีความสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นกับราชสานักก็มองการทางานของรัฐบาลว่าเป็ น
ภัยต่อพุทธศาสนา เช่น การสั ่งระงับการกระจายเสียงวิทยุชุมชนชั ่วคราว ซึง่ รวมถึงสถานีธรรมะของพระป่ าด้วย เหตุการณ์น้นี าไปสูก่ ารออกแถลงการณ์
ของพระป่ าในการไม่ไว้วางใจรัฐบาล (สานักข่าวเพือ่ การตืน่ รู,้ 2559)
ผูเ้ ขียนใช้คาว่า Islamophobia ซึง่ เป็ นคาศัพท์ทใ่ี ช้กนั ในตะวันตกหลังจากโศกนาฏกรรมถล่มตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ขณะทีค่ าว่า Dhammajayophobia
เป็ นคาทีเ่ ลียนแบบคาแรก โดยเอาชื่อฉายาของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมาสนธิกบั คาทีแ่ ปลว่า เกลียดกลัว อย่างไรก็ตาม ศัพท์น้มี ไิ ด้ใช้ในทานองดูถูก
แต่ประการใด เสมือนกับการใช้คาว่า ทักษิโณโฟเบีย ซึง่ ใช้ในหมูค่ นเสือ้ แดงเองเพือ่ เรียกความรูส้ กึ ของคนเสือ้ เหลืองทีม่ ตี อ่ ทักษิณ ชินวัตร เป็ นต้น
80
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
81
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
สรุ ป
แนวคิดเรื่องรัฐโลกียวิสยั ทีแ่ พร่ขยายในสังคมไทยช่วงหนึ่งทศวรรษทีผ่ ่านมา ส่งผลให้คนไทยจานวนหนึ่ง
เห็นความสาคัญของรัฐสมัยใหม่ท่ไี ม่ตกเป็ นเครื่องมือและไม่ได้เปรียบจากการให้การสนับสนุ นศาสนาใดศาสนา
หนึ่งเหนือศาสนาอื่นๆ เมื่อเป็ นเช่นนี้ เจ้าสานักต่างๆ จึงถูกมองว่ามีเสรีภาพในการตีความคาสอนเพื่อตอบสนอง
ความต้องการของศาสนิกได้ตราบเท่าทีก่ ารตีความนัน้ ไม่นาไปสู่การทาร้ายผูอ้ ่นื เพราะแนวคิดรัฐโลกียวิสยั เชื่อว่า
ผูค้ นสามารถเลือกทีจ่ ะลองผิดลองถูกตามข้อเสนอของสานักนัน้ ๆได้ อย่างน้อยย่อมดีกว่าการปล่อยให้รฐั สนับสนุ น
คุม้ ครองหรือออก พ.ร.บ. จากัดการตีความคาสอนให้เป็ นนัยเดียว แม้แนวคิดนี้จะขัดกับความต้องการของศาสนิก
ธรรมกายทีอ่ ยากให้รฐั เข้ามาสนับสนุนพุทธศาสนามากกว่าศาสนาอื่นๆ แต่ธรรมกายก็ได้รบั ประโยชน์โดยตรงจาก
แนวคิด นี้ กล่ า วคือ ชาวพุ ท ธที่แต่ เ ดิมเคยมองว่าธรรมกายมีความน่ ากลัว (Dhammajayophobia) แต่ เ มื่อ เกิด
เหตุการณ์ปฏิรปู พุทธศาสนาของกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้ องพิทกั ษ์กจิ การพระพุทธศาสนา สภา
ปฏิรูป แห่ งชาติ (สปช.) ซึ่ง มีก ารเสนอให้ตรวจสอบบัญ ชีวดั บัญ ชีพ ระสงฆ์ ปั ญ หาพฤติกรรมที่ ย่อ หย่อ นของ
พระสงฆ์ ตลอดจนการตีความศาสนาให้ผดิ เพีย้ น เป็ นต้น ทาให้พระสงฆ์ต่นื ตัวและมองว่ารัฐบาลทหารเองกลับเป็ น
ภัย น่ า สะพรึง กลัว พระสงฆ์แ ละชาวพุ ทธได้ย้า ยความสนใจจากวัด พระธรรมกายที่ตนเคยมองว่า “มีค าสอน
ผิดเพีย้ น” ไปยังรัฐบาลผูซ้ ง่ึ จะทาลายพุทธศาสนาลงด้วยการไม่ให้การสนับสนุนและตรวจสอบทีเ่ ข้มข้นกว่าศาสนา
อื่นๆ ทีย่ งิ่ กว่านัน้ ชาวพุทธหลายกลุ่มกลับเชื่อมโยงว่ารัฐบาลทหารรวมทัง้ พรรคประชาธิปัตย์ทางานรับใช้ศาสนา
7 การนาเสนอธรรมะให้งา่ ย และ/หรือ เลือกนาเสนอธรรมะเฉพาะในระดับพืน้ ฐาน เช่น เริม่ ต้นจากการทาบุญให้ทาน เป็ นแนวคิดทีว่ ่า ระดับของการขัด
เกลามนุ ษย์ควรเริม่ จากทานตามแนวหลักบุญกิรยิ าวัตถุ 3 ส่วนการนาเสนอประเด็นยากทีเ่ ปิ ดโอกาสแก่การโต้เถียง จะนามาซึง่ ความขุ่นหมองใจ การ
ต้องสละเวลาในการค้นคว้าทีม่ ากกว่าปกติทาให้ลดทอนเวลาในการทาบุ ญหรือทางานอย่างอื่นลง นอกจากนี้ การใช้คาว่า “วิชาธรรมกาย” แทนคาว่า
“ศาสนาพุทธ” เมื่อต้องเผยแผ่แก่ชาวต่างชาติ นอกจากจะเกิดจากเหตุผลที่ต้องการเคารพในตัวหลวงพ่อสด ผู้ค้นพบวิชานี้แล้ว การใช้คานี้ ยังสร้าง
ความรูส้ กึ ให้คนต่างศาสนาได้มโี อกาสปฏิบตั ไิ ด้งา่ ยขึ้น เพราะจะไม่มองว่าแนวการปฏิบตั นิ ้เี ป็ นศาสนา (Religion) แต่เป็ นวิชาศาสตร์หนึ่ง (Science) ซึง่
ใครก็สามารถทดลองและเข้าถึงได้ (พระสุนนั ท์, สัมภาษณ์, 2558)
82
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
บรรณำนุกรม
กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล TCIJ. (2558). สัมภาษณ์ สุรพศ ทวีศกั ดิ:์ รัฐ (ไทย) ทีไ่ ม่มศี าสนา. เข้าถึงวันที่ 15
เมษายน 2559 http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=5393
นาตยา แก้วใส. 2542. การศึกษาบทบาทของวัดพระธรรมกายในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเผยแผ่พทุ ธ
ศาสนาทัวโลก.
่ สานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
นิธิ เอียวศรีวงศ์ : อุปถัมภ์คมุ้ ครองพระพุทธศาสนา อะไรและอย่างไร (หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับ
ประจาวันที่ 30 เมษายน 2555 มติชนออนไลน์ เข้าถึงวันที่ 30 เมษายน 2559
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435404590
พระธรรมปิ ฎก ป.อ.ปยุตฺโต. 2543. กรณีธรรมกาย (ฉบับเพิม่ เติม-จัดลาดับใหม่). กรุงเทพฯ: บริษทั ธรรมสาร
จากัด
พระมหาสุวทิ ย์ วิเชสโก, เรียบเรียง. 2551. คาสอนของยาย 2. ปทุมธานี: วัดพระธรรมกาย.
พระมหาวุฒชิ ยั วชิรเมธี. 2546. บทบาทในการรักษาพระธรรมวินยั ของพระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยุตฺโต): ศึกษา
เฉพาะกรณีธรรมกาย. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
รชยา นัทธี (สัมภาษณ์). (2558). ไพบูลย์ นิตติ ะวัน′ กระเทาะ..วงการ′ผ้าเหลือง′ ไฉน..ต้านปฏิรปู ฯ ฉบับ สปช.
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558 โพสต์ทเู ดย์.
วรัญญู ชายเกต. 2544. องค์กรสงฆ์กบั ปั ญหาความขัดแย้งในพุทธศาสนา: ศึกษาเฉพาะกรณีธรรมกาย
วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตร์ (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
มติชนออนไลน์. 2558. วิจกั ขณ์ พานิช มองศาสนาในโลกสมัยใหม่ ผ่านแนวคิดแยกรัฐจากศาสนา. เข้าถึง
วันที่ 18 มิถุนายน 2559 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1425016967
สานักข่าวเพื่อการตื่นรู้ (Mindfulnews). 2559. คณะสงฆ์กรรมฐานมีมติไม่ไว้วางใจ ต่อ พลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา ในการปฏิบตั ติ ่อสถาบันพระพุทธศาสนา. เข้าถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2559
http://www.mindfulnews.net/2016/04/blog-post_77.html?m=1
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน. 2555. การประชุมสัมมนาเชิงปฏิบตั ธิ รรม ครูแกนนาโรงเรียน
ดี ศรีตาบล (โรงเรียนดีประจาตาบล). เข้าถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2559
http://www.obec.go.th/documents/26121
อินทรชัย พาณิชกุล. 2558. ภาษีพระ ระเบิดลูกใหม่ในวงการสงฆ์ โพสต์ทเู ดย์ 28 พฤษภาคม 2558 เข้าถึง
วันที่ 30 เมษายน 2559 http://www.posttoday.com/analysis/report/367499
Barbara A. Misztal. 2013. Theories of social remembering. England: Open University Press
Bjorn Mastiaux. 2012. Secularization: A Look at Individual Level Theories of Religious
Change. Retrieved on May 25, 2016 from website
http://www.religiousstudiesproject.com/2012/04/18/bjorn-mastiaux-secularization-%E2%80%93-a-
look-at-individual-level-theories-of-religious-change/
Edwin Zehner. 1990. Reform Symbolism of a Thai Middle-Class Sect: The Growth and
Appear of The Dhammakaya Movement Journal of Southeast Asian Studies, NUS, 11(2) 402-426.
83
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
84
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D2-P4-R3-01
ความทรงจาและการลืม
ต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ
ในบริบท “ความไม่สงบ” ชายแดนภาคใต้
ชลิตา บัณฑุวงศ์
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
85
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
การเปลีย่ นแปลงของภูมปิ ระเทศชายแดนใต้ โดยเฉพาะทีเ่ กีย่ วข้องกับความเสือ่ มโทรมของระบบนิเวศ มี
ความสัมพันธ์อย่างน่ าสนใจต่อสภาพความรุนแรงและ “ความไม่สงบ” ในพื้นที่ อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์น้ีไม่ได้
เกิดขึน้ อย่างตรงไปตรงมาอย่างที่งานศึกษาหลายชิ้นของเอ็นจีโอและนักวิช าการมักชี้ในทานองที่ว่า “เนือ่ งจาก
แนวทางการพัฒนาชายแดนภาคใต้ของรัฐไทยเป็ นแนวทางการพัฒนาทีไ่ ม่ยงยื ั ่ น ซึง่ ได้สง่ ผลเสียต่อระบบนิเวศและ
ฐานทรัพยากร จึงทาให้การทามาหากินของผู้คนฝื ดเคือง จนบางส่วนต้องเข้าร่วมกับขบวนการความไม่สงบ” (ดู
ศรีศกั ร วัลลิโ ภดม 2550; ประเวศ วะสี 2550; ศูนย์ศึกษาและพัฒ นาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล 2552) ตาม
แนวคิดเช่นนี้ การพัฒนาทีไ่ ม่ยงยืั ่ นเป็ นปั จจัยสาคัญทีท่ าให้ความมันคงของรั
่ ฐในพืน้ ทีช่ ายแดนใต้ถูกบันทอนมาก
่
ยิง่ ขึน้ บทความชิน้ นี้ต้องการเสนอมุมมองทีแ่ ตกต่างออกไป โดยได้เสนอว่า การเปลีย่ นแปลงของภูมปิ ระเทศและ
ความเสื่อมโทรมลงของระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติ ซึง่ มีทม่ี าหลักจากแนวทางการพัฒนาของรัฐนัน้ กลับ
ยิง่ สร้างความเข้มแข็งและความชอบธรรมให้กบั รัฐไทยมากยิง่ ขึน้ ในการสถาปนาอานาจเหนือดินแดนแห่งความ
ขัดแย้งนี้ ทัง้ นี้ ความทรงจาและการลืมทีม่ ตี ่อการเปลี่ยนแปลงภูมปิ ระเทศของฝ่ ายต่างๆ อันประกอบไปด้วย รัฐ
ไทย ภาคประชาสังคม และชาวบ้านในพืน้ ทีศ่ กึ ษา (กาปงไอย์ฮแี ต) ทีม่ ผี ลต่อปฏิบตั กิ ารและการตัดสินใจของแต่ละ
ฝ่ ายเอง และมีผลต่อการรับรูข้ องสังคม ได้มสี ว่ นอย่างสาคัญต่อการเสริมสร้างสถานะของรัฐไทย อันส่งผลทาให้การ
สร้างชีวติ ทีด่ ขี องชาวบ้านและการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้เป็ นไปได้ยากมากขึน้
บทความนี้ ป ระกอบด้ว ย 4 ส่ว น ส่ว นแรกว่ า ด้วยภาพรวมลักษณะและการเปลี่ยนแปลงภู มิประเทศ
ตอนกลางของลุ่มน้าสายบุรี อันเป็ นภูมปิ ระเทศทีก่ าปงไอย์ฮแี ตตัง้ อยู่ ส่วนทีส่ องว่าด้วยการจัดการภูมปิ ระเทศผ่าน
โครงการพัฒนาต่างๆของรัฐในฐานะที่เป็ นกระบวนการสถาปนาอานาจรัฐไทยเหนือพื้นที่ชายแดนภาคใต้ท่เี ป็ น
ดินแดนแห่งความไม่สงบ ส่วนทีส่ ามเป็ นชุดคาอธิบายจากภาคประชาสังคมทีม่ องการเปลีย่ นแปลงของภูมปิ ระเทศ
ในฐานะทีเ่ ป็ นความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ ส่วนทีส่ ว่ี ่าด้วยการเปลีย่ นแปลงของภูมปิ ระเทศจากมุมมองและวิถี
ชีวติ ของชาวบ้าน สุดท้ายเป็ นส่วนทีอ่ ภิปรายถึงความทรงจาและการลืมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมปิ ระเทศของ
ฝ่ ายรัฐไทย ภาคประชาสังคม และชาวบ้าน เพื่อทีจ่ ะชีใ้ ห้เห็นว่าความทรงจาและการลืมเหล่านี้มสี ่วนทาให้ปัญหา
ชายแดนภาคใต้ซง่ึ มีสาเหตุหลัก มาจากกรอบคิดเรื่องความมันคงของรั
่ ฐและอุดมการณ์รฐั ชาติไทยยังคงดารงอยู่
ต่อไปอย่างไร
ภูมิประเทศตอนกลำงของลุ่มน้ำสำยบุ รีและกำรเปลี่ยนแปลง
บนถนนสายมายอ-รามันมีสแ่ี ยกหลักทีด่ า้ นหนึ่งเป็ นเส้นทางไปยัง อ.รามัน ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็ นเส้นทาง
ไปยังตัวเมือง จ.ยะลา ทีแ่ ยกนัน้ มีถนนคอนกรีตเล็กๆ ทอดยาวราว 2-3 กิโลเมตรผ่านกาปงไอย์ฮแี ตทีม่ บี า้ นเรือน
ตัง้ เรียงรายอยู่สองข้างทาง เมื่อพ้นจากแหล่งบ้านเรือนมาก็จะเริม่ พบทุ่ง (ภาษาถิน่ เรียกว่า “บาโง”) กว้างใหญ่สดุ
ตา กินขอบเขตพืน้ ทีห่ ลายหมู่บา้ นและตาบล ในทุ่งมีฝงู ควาย วัว และแกะกระจัดกระจายอยู่ ทุ่งกว้างนี้เป็ นส่วน
หนึ่งของแอ่งกระทะ พืน้ ทีบ่ างส่วนของทุ่งถูกใช้ประโยชน์เป็ นนาลุ่มสาหรับปลูกข้าวนาปรัง ขณะทีอ่ กี ด้านถูกใช้เป็ น
พืน้ ทีป่ ลูกแตงโม ทัง้ ข้าวนาปรังและแตงโมเป็ นพืชอายุสนั ้ ทีเ่ หมาะกับสภาพพืน้ ทีล่ ุ่มต่ าทีม่ นี ้ าท่วมขัง 3-4 เดือนต่อ
ปี อย่างไรก็ดีมีพ้นื ที่ท่ลี ุ่มต่ ากว่าพื้นที่ทุ่งลงไปอีก ได้แก่ บึง (ภาษาถิ่นเรียกว่า “บาโร๊ะ”) ที่มีขนาดใหญ่ คล้าย
ทะเลสาบ ปั จจุบนั มีน้ าท่วมขังตลอดปี เป็ นแหล่งทาประมงที่สาคัญของชาวบ้าน ถัดจากทุ่งและบึง ภูมปิ ระเทศ
โดยรอบค่อยๆ ลาดชันขึน้ ทีละน้อย จนกลายเป็ นพืน้ ทีท่ น่ี ้ าท่ วมไม่ถงึ หรือหากท่วมก็ท่วมในช่วงเวลาสัน้ ๆ ไม่กว่ี นั
86
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
87
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ทุ่งไอย์ฮีแต
กำรจัดกำรภูมิประเทศกับกำรสถำปนำอำนำจรัฐไทยเหนือดินแดนควำมขัดแย้ง
88
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
89
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
90
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
91
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
92
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ไหน ทัง้ นี้ คนส่วนใหญ่มคี วามสัมพันธ์และใช้ประโยชน์จากพื้ นทีภ่ ูมปิ ระเทศใกล้ๆ หมู่บ้านของตนเป็ นหลัก แม้
พวกเขาจะมีอ งค์ความรู้พ้นื บ้า นว่า ด้วยลัก ษณะภูมิป ระเทศและทรัพยากรธรรมชาติในพื้น ที่อ ย่ างลึก ซึ้งผ่าน
ประสบการณ์จากรุ่นต่อรุ่น แต่องค์ความรูเ้ หล่านี้กอ็ าจไม่ได้ซ้อนทับเป็ นหนึ่งเดียวความรูว้ ่าด้วยระบบนิเวศที่ถูก
นามาอธิบายโดยนักวิชาการท้องถิน่ และเอ็นจีโอ แม้ว่าความรูว้ ่าด้วยระบบนิเวศโดยนักวิชาการท้องถิน่ และเอ็นจีโอ
นี้ถูกสร้างบนฐานของการคานึงและความเคารพชื่นชมต่อภูมปิ ั ญญาความรูข้ องคนท้องถิน่ ก็ตาม “ก๊ะ” คนหนึ่งได้
กล่าวกับผู้เขียนขณะที่เรานัง่ คุยกันในแปลงแตงโมกลางทุ่งว่า “ ‘พรุทุ่งกระบือ’ เมือ่ ก่อนไม่มนี ะ ตรงนี้เราก็เรียก
แบบอืน่ แต่ละจุดก็มชี อื ่ นันชื่ อ่ นี ่ แต่พออาจารย์สมชาย (ชือ่ สมมุต)ิ เข้ามา แกก็เรียกว่า ‘พรุทุ่งกระบือ พรุทุ่งกระบือ’
รวมไปหมด” อาจกล่าวได้ว่า “พรุทุ่งกระบือ” ในความหมายเชิงระบบนิเวศในระดับทีก่ ว้างกว่าขอบเขตของหมู่บา้ น
หรือตาบลเริม่ เป็ นทีร่ จู้ กั ของคนในพืน้ ทีแ่ ละคนภายนอกหลังจากการเข้ามาทางานของนักวิชาการท้องถิน่ และเอ็นจี
โอแล้วระยะหนึ่งและเมื่อได้มกี ารเผยแพร่ความรูน้ ้ผี ่านสือ่ ทางเลือกช่องทางต่างๆ ของภาคประชาสังคมแล้ว
ในคาอธิบายของนักวิชาการท้องถิน่ และเอ็นจีโอ นอกจาก “พรุทุ่งกระบือ” จะประกอบไปด้วยพืน้ ทีน่ ้าท่วม
ถึง บึง ป่ าพรุ และทุ่งหญ้าแล้ว ยังมีความเชื่อมโยงกับสภาพภูมปิ ระเทศโดยรอบ เช่น พืน้ ทีเ่ นินเขา/ภูเขาเตี้ยๆ ที่
น้ าท่วมไม่ถงึ ซึง่ เป็ นแหล่งต้นน้ าของพรุ ทีส่ าคัญ “พรุทุ่งกระบือ” ไม่ใช่ระบบนิเวศทีจ่ บในตัวเอง แต่เป็ นส่วนหนึ่ง
ของระบบนิเวศที่ใหญ่กว่า นัน่ คือ “ลุ่มน้ าสายบุรี” ซึ่งประกอบไปด้วยระบบนิเวศ 3 ส่วนที่สมั พันธ์ต่อกัน คือ 1)
พืน้ ทีต่ น้ น้า 2) พืน้ ทีร่ าบตอนกลาง ทีม่ ที งั ้ ทีร่ าบลุ่มน้าท่วมถึงและทีร่ าบน้าท่วมไม่ถงึ และ 3) ชายฝั ง่ ทะเล ทัง้ นี้ การ
ทีพ่ รุทุ่งกระบือจะสมบูร ณ์และสร้างคุณภาพชีวติ ทีด่ ใี ห้แก่คนท้องถิ่นได้หรือไม่ ขึน้ อยู่กบั ความสมบูรณ์ของระบบ
นิเวศอื่นๆ ด้วย อันนามาสู่การสร้างเครือข่ายเพื่อพัฒนาเกษตรกรรมยังยื ่ นและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติใน
ระดับลุ่มน้าของนักวิชาการท้องถิน่ และเอ็นจีโอ
จากคาอธิบายว่าด้วยระบบนิเวศแบบพรุทาให้มองเห็นถึงผลกระทบจากการเปลีย่ นแปลงพืน้ ทีภ่ ูมปิ ระเทศ
ได้อย่างชัดเจน ทีส่ าคัญช่วยชีใ้ ห้เห็นว่าโครงการพัฒนาต่างๆ ทีก่ ระจัดกระจายอยู่ในเขตหมู่บา้ น ตาบล และอาเภอ
ต่างๆ ทีแ่ บ่งตามตามเขตการปกครองได้สง่ ผลต่อระบบนิเวศแบบพรุทงั ้ หมดอย่างมีผลกระทบสืบเนื่องถึงกัน ทัง้ นี้
นักวิชาการและเอ็นจีโอได้เน้นถึงปั ญหาจากการทีห่ น่ วยงานรัฐไม่ตระหนักถึงนัยยะในเชิงระบบนิเวศของพืน้ ทีภ่ ูมิ
ประเทศและไม่คานึงถึงการทามาหากินของชาวบ้านทีส่ มั พันธ์กบั ระบบนิเวศทีม่ าตัง้ แต่อดีต นอกจากนัน้ ก็ยงั ชีถ้ งึ
บทบาทของผู้มอี ิทธิพลท้องถิ่นในการมีส่วนอย่างสาคัญในการทาลายทรัพยากรธรรมชาติและระบบนิเวศผ่าน
ทางการรับเหมาดาเนินการโครงการหรือสนับสนุ นให้มโี ครงการต่างๆ ผ่านทางตาแหน่งผูน้ าทางการหรือผูบ้ ริหาร
องค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ทีส่ าคัญได้ชว้ี ่าชาวบ้านเองก็มบี ทบาทในการทาลายสิง่ แวดล้อมและระบบนิเวศจาก
การหัน มาท าการเกษตรเชิง พาณิ ช ย์ ท่ีมีก ารเพาะปลู ก เชิง เดี่ย วและใช้ส ารเคมีก ารเกษตรมาก อย่ า งไรก็
ดี ค าอธิบ ายและข้อ เสนอของนัก วิช าการท้อ งถิ่น และเอ็น จีโอแม้จ ะเป็ น ที่ร ับรู้ใ นวงกว้า งมากขึ้นผ่ า นทางสื่อ
ทางเลือกต่างๆ แต่กด็ เู หมือนว่าคาอธิบายและข้อเสนอต่างๆ ของพวกเขาแทบไม่ได้สง่ ผลในการเปลีย่ นแปลงแนว
ทางการทางานของรัฐไทย รวมทัง้ แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธกี ารใช้ประโยชน์ จากพื้นที่และการทาเกษตรของ
ชาวบ้านแต่อย่างใด
แม้ในช่วงต้นทศวรรษ 2540 นักวิชาการท้องถิน่ และเอ็นจีโอได้เข้ามาทากิจกรรมเชิงอนุ รกั ษ์และส่งเสริม
เกษตรยังยื ่ นที่กาปงไอย์ฮแี ต แต่ กิ จกรรมเหล่านี้ก็ไม่มคี วามคืบหน้ ามากนัก ส่วนหนึ่งเป็ นเพราะกิจกรรมการ
อนุ รกั ษ์หลายอย่างขัดแย้งกับโครงการพัฒนาที่ผนู้ าทางการและหน่ วยงานรัฐในท้องทีด่ าเนินการอยู่ จนเกิดเป็ น
ความหวาดระแวง ทาให้ไม่ได้รบั ความร่วมมือจากผูน้ าทางการ และถูกเพื่อนฝูงเครือญาติของผูน้ าทางการมองใน
93
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
แง่ลบ ยิง่ เมื่อมีความรุนแรงระลอกใหม่เกิดขึน้ ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2547 สมาชิกกลุ่มอนุ รกั ษ์ของเครือข่ายลุ่มน้ าสายบุรี
รวมทัง้ ทีก่ าปงไอย์ฮแี ต ที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมก็เกิดความกังวลในเรื่องความปลอดภัยและการถูกจับตามองจาก
ฝ่ ายต่างๆ ทาให้การทากิจกรรมด้านสิง่ แวดล้อ มทีน่ ่ีหยุดชะงักลงอยู่หลายปี ในขณะทีส่ มาชิกก็ดาเนินชีวติ ต่อไป
ด้วยการทาเกษตรแบบแผนใหม่ พึ่งพิงยางพาราในฐานะพืชเศรษฐกิจหลัก ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางเกษตรกรรม
ยังยื
่ นทีน่ กั วิชาการและเอ็นจีโอพยายามส่งเสริม
การทางานของนักวิชาการท้องถิ่นและเอ็นจีโอเริม่ ฟื้ นคืนมาอีกครั ง้ หลังจากที่องค์กรภาคประชาสังคม
ระดับชาติเข้ามาผนวกการทางานร่วมกันในพืน้ ที่ ทัง้ นี้ นับแต่มคี วามรุนแรงระลอกใหม่เกิดขึน้ ภาคประชาสังคมมี
บทบาทอย่างสาคัญ ในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึง “ภาคประชาสังคม” ที่ชายแดนใต้
ผูเ้ ขียนได้ตระหนักถึงนัยยะที่แตกต่างจาก “ภาคประชาสังคม” ระดับชาติ เนื่องจากภาคประชาสังคมชายแดนใต้
โดยเฉพาะทีท่ างานด้านกระบวนการสันติภาพและสิทธิมนุ ษยชน ได้ก่อตัวขึน้ ภายใต้บริบทเฉพาะจากกลุ่มต่างๆ
ในท้องถิ่น ในขณะที่ “ภาคประชาสังคม” ที่บทความนี้ต้องการกล่าวถึงเป็ นภาคประชาสังคมในระดับประเทศที่
ทางานด้านชุมชนท้องถิน่ และการพัฒนา ทีไ่ ด้ขยายการทางานเดิมของตนมายังพืน้ ทีช่ ายแดนภาคใต้หลังความไม่
สงบระลอกใหม่ได้เกิดขึน้ นับแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็ นต้นมา ภาคประชาสังคมระดับชาติเหล่านี้เป็ นส่วนเดียวกันกับ
หน่ ว ยงานอิสระภาครัฐที่ท าหน้ า ที่เ ป็ น แหล่ ง ทุ น สนับ สนุ น องค์ก รในเครือ ข่า ย มีผู้น า คือ กลุ่ ม ราษฎรอาวุ โ ส
นายแพทย์ท่สี นใจปั ญหาสังคม นักเทคโนแครต และปั ญญาชน และเอ็นจีโอชนชัน้ กลาง ภาคประชาสังคมให้
ความสาคัญกับการพึ่งตนเองของชุมชนท้องถิ่นและแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งอยู่ในขัว้ ตรงข้ามกับระบบ
เศรษฐกิจแบบตลาดและทุนนิยม แนวคิดนี้สอดรับกันเป็ นอย่างดีกบั คาอธิบายพืน้ ทีภ่ ูมปิ ระเทศในฐานะทีเ่ ป็ นระบบ
นิเวศทีเ่ ชื่อมโยงและซับซ้อน และคาอธิบายว่าด้วยการทามาหากินของคนท้องถิน่ ทีส่ อดคล้องกับลักษณะของระบบ
นิเวศมาตัง้ แต่ อดีต แต่ ทงั ้ นี้ คาอธิบายว่าด้วยฐานเศรษฐกิจเช่นนี้อาจดูห่างไกลจากสภาพชีวิ ตที่เป็ นจริง ของ
ชาวบ้าน ผู้ซ่งึ มีชวิ ติ อยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดและทุนนิยมมาอย่างเนิ่นนานแล้ว ขณะที่คาอธิบายว่าด้วย
สาเหตุของความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศก็มกั มุ่งไปตรงทีก่ ารคอรัปชันของข้ ่ าราชการและผลประโยชน์ของผู้มี
อิทธิพลท้องถิ่น ตลอดจนความมักง่ายของเกษตรกรที่ ทาการเกษตรหรือการผลิตที่ไม่ยงยื ั ่ นและไม่เป็ นมิตรกับ
สิง่ แวดล้อม เป็ นทีน่ ่าสังเกตว่า ในคาอธิบายเหล่านี้ได้ละทิง้ สาเหตุของปั ญหาทีเ่ ชื่อมโยงกับแนวคิดของรัฐชาติไทย
ในแบบอนุรกั ษ์นิยมทีใ่ ช้การพัฒนาและการปรับเปลีย่ นพืน้ ทีภ่ ูมปิ ระเทศเป็ นเครื่องมือสถาปนาอานาจเหนือดิน แดน
และครอบครองจิตใจของชาวมลายูมุสลิมด้วยข้ออ้างแห่งความมันคงชาติ ่ (รายละเอียดอยู่ในหัวข้อที ่ 5)
94
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
95
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
96
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ให้ผ ลกระทบจากการเปลี่ย นแปลงของภู มิป ระเทศที่มีต่ อ คนกลุ่ ม ต่ า งๆ ในชุ ม ชนมีค วามแตกต่ า ง ขณะที่
ความสามารถในการปรับตัวต่อภูมปิ ระเทศทีเ่ ปลีย่ นไปก็ทาให้ผลกระทบจากโครงการพัฒนาเห็นได้ไม่ชดั เจน คน
ที่น่ีจานวนไม่น้อยจึงไม่ได้ถอื ชุดคาอธิบายเดียวกันกับของภาคประชาสังคมทีว่ ่าด้วยผลกระทบจากการพัฒนาที่
เน้นแต่การเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนัน้ การดารงชีพทีก่ ระจัดกระจายหลากหลายก็ยงั ทาให้การต่อต้านหรือ
ทัดทานโครงการพัฒนาทีส่ ่งผลกระทบต่อภูมปิ ระเทศและระบบนิเวศเกิดขึน้ ได้ยาก แม้แต่ในหมู่คนทีเ่ คยทางาน
อนุ รกั ษ์ร่วมกับนักวิชาการท้องถิน่ และเอ็นจีโอมาก่อน ดังที่ “ก๊ะ” คนหนึ่งกล่าวถึงความอ่อนแรงและการทีจ่ าต้อง
ปล่อยให้ความเปลีย่ นแปลงในทุ่งไอย์ฮแี ตเกิดขึน้ ว่า
ควำมทรงจำและกำรลืมต่อกำรเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศที่กำปงไอย์ฮแี ต
บทบาทของรัฐไทยทีม่ ีต่อการเปลีย่ นแปลงของภูมปิ ระเทศทีก่ าปงไอย์ฮแี ตวางอยู่บนความคิดทีว่ ่า รัฐมี
หน้าทีด่ ูแลจัดการพัฒนาพืน้ ทีภ่ ูมปิ ระเทศ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ทีเ่ ป็ นพืน้ ทีส่ าธารณะทีร่ ฐั เป็ นเจ้าของโดยตรง ให้เกิด
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ทัง้ นี้ เพื่อแก้ปัญหาความยากจนทีถ่ ูกมองว่าเป็ นสาเหตุห ลักของความไม่สงบทีช่ ายแดน
ภาคใต้ น่ าสนใจว่าแนวทางการพัฒนาเช่นนี้ของรัฐไม่มคี วามคิดเรื่องระบบนิเวศเข้ามาเกีย่ วข้อง แม้แต่ในช่วงหลัง
ทีม่ กี ารพัฒนาตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงแล้วก็ตาม การขาดซึง่ มิตเิ ชิงระบบนิเวศเช่นนี้คอื ลักษณะเด่นทีส่ าคัญ
ของความทรงจาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมปิ ระเทศทีก่ าปงไอย์ฮแี ตโดยฝ่ ายรัฐ ซึง่ ภูมปิ ระเทศในปั จจุบนั ถูกมอง
อย่างหยุดนิ่งแยกขาดจากภูมิประเทศในอดีตที่ถูกทาให้เปลี่ยนแปลงและเสื่อมโทรมลง โดยที่รฐั ไทยเองได้มี
บทบาทอย่างสาคัญต่อการเปลีย่ นแปลงและความเสือ่ มโทรมนี้ (ดังทีก่ ล่าวไปแล้วในหัวข้อก่อนหน้ า)
ดังนัน้ โครงการพัฒนาบนพื้นที่ภูมปิ ระเทศในปั จจุบนั จึงยังคงสร้างความชอบธรรมให้กบั รัฐไทยได้อยู่
แม้ว่าในความจริงแล้วโครงการเหล่านี้ไม่ควรต้องมีตงั ้ แต่ต้น อาทิ โครงการปล่อยพันธุป์ ลาในลูโบ๊ะหรือทะเลสาบ
ถาวรขนาดใหญ่ทไ่ี ม่ใช่ส่วนของระบบนิเวศแบบพรุทม่ี มี าแต่เดิม หรือการส่งเสริมการปลูกแตงโมและการเลีย้ งวัว
แบบขุน (แทนที่จะเป็ นการเลี้ยงแบบปล่อยอย่างเดิม) ซึ่งเป็ นการกระตุ้นให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์จากพื้นทีแ่ บบ
จากัดบริเวณและใช้อย่างเข้มข้นเนื่องจากพืน้ ทีถ่ ูกจากัดลงจากความเสื่อมโทรมและการถูกยึดครองโดยหน่ วยงาน
รัฐ โครงการเหล่านี้ดูเผินๆ ก็คอื การส่งเสริมการประกอบอาชีพของชาวบ้านบนฐานของทรัพยากรธรรมชาติใน
ท้องถิ่น ซึ่งอาจช่วยสร้างความกินดีอยู่ดใี ห้เกิดขึน้ ได้ แต่ในอีกมุมหนึ่งสิง่ ทีถ่ ูกลืมไปก็คอื ความเป็ นจริงทีว่ ่า นี่คอื
การเอาโครงการพัฒนาใหม่ๆ ทับลงไปบนภูมปิ ระเทศทีไ่ ด้เปลีย่ นแปลงไปแล้วในทิศทางทีเ่ สื่อมโทรมลงจากการ
พัฒนาที่ผ่านมาของรัฐ นอกจากนัน้ โครงการเหล่านี้ยงั วางอยู่บนแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการมองปั ญหา
ความยากจนว่าเกิดจากตัวเกษตรกรทีข่ าดความรู้ ความขยันอดทน และความมัธยัสถ์ ซึง่ ก็ยงิ่ ทาให้ความทรงจาว่า
ด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศจากฝ่ ายรัฐสามารถดารงอยู่ได้ บนฐานของการลืมปั ญหาเชิงโครงสร้างทีม่ ี
สืบเนื่องมาหลายทศวรรษจากความพยายามสถาปนาอานาจของรัฐไทยเหนือพืน้ ทีช่ ายแดนภาคใต้ผ่านโครงการ
พัฒนาต่างๆ
97
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
98
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
บทสรุ ป
การเปลีย่ นแปลงของภูมปิ ระเทศและความเสื่อมโทรมลงของระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติทน่ี ามาสู่
ความยากลาบากในชีวติ ของผูค้ น ไม่ใช่สงิ่ ทีบ่ นทอนความมั
ั่ นคงของรั
่ ฐไทยในพืน้ ทีช่ ายแดนใต้อย่างทีถ่ ูกเชื่อกันมา
ในทางกลับกันกลับยิ่งสร้างความเข้มแข็งและความชอบธรรมให้กบั รัฐไทยในการสถาปนาอานาจเหนื อ พื้น ที่
ชายแดนภาคใต้ โดยผ่านโครงการพัฒนาที่อ้างการยกระดับคุณภาพชีวติ ของคนมลายูมุสลิม โครงการพัฒนา
เหล่านี้วางทับลงไปบนพื้นที่ภูมปิ ระเทศที่เสื่อมโทรม ซึ่งจริงๆ แล้วความเสื่อมโทรมก็เกิดขึน้ จากบทบาทและ
ปฏิบตั กิ ารของรัฐไทยในอดีตนันเอง
่ ในขณะเดียวกันแม้ภาคประชาสังคมจะมีชุดคาอธิบายต่อการเปลีย่ นแปลงของ
ภูมปิ ระเทศทีใ่ ห้ความสาคัญกับระบบนิเวศและการพัฒนาที่ยงยื ั ่ น แต่ภาคประชาสังคมกลับนาชุดคาอธิบายนี้มา
99
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บรรณำนุกรม
ปิ ยะนาถ บุนนาค. 2546. นโยบายการปกครองของรัฐบาลต่อชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. 2475
– 2516). พิมพ์ครัง้ ทีส่ อง. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประเวศ วะสี. 2550. ดับไฟใต้ดว้ ยจิตวิวฒ ั น์และพลังแห่งทางสายกลาง. กรุงเทพฯ: กรีนปั ญญาญาณ.
ศูนย์ศกึ ษาและพัฒนาสันติวธิ ี มหาวิทยาลัยมหิดล. 2552. ชุมชนในสถานการณ์ความขัดแย้ง: พลวัตและการ
พัฒนา. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจยั สังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ศรีศกั ร วัลลิโภดม. 2550. ไฟใต้ฤาจะดับ. กรุงเทพฯ: มูลนิธเิ ล็ก-ประไพ วิรยิ ะพันธุ.์
สานักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ. ม.ป.ป. โครงการพัฒนาพื้นที ่
พรุบาเจาะ-ไม้แก่นอันเนือ่ งมาจากพระราชดาริ (ประตูระบายน้ าปากคลองบาเจาะ-ไม้แก่น). เข้าถึงเมื่อ 29
เมษายน 2559. http://km.rdpb.go.th/Project/View/7825
Bundhuwong, Chalita. 2013. “Economic Life of Malay Muslims in Southernmost Thailand amidst
Ecological Changes and Unrest.” Ph.D. Dissertation in Anthropology. University of Hawaii at
Manoa.
Che Man, Wan Kadir. 1990. Muslim Separatism: The Moros of Southern Philippines and the Malays of
Southern Thailand. Singapore: Oxford University Press
Dulyakasem, Uthai. 1984. “Muslim-Malay Separatism in Southern Thailand: Factors Underlying the
Political Revolt.” In Armed Separatism in Southeast Asia, edited by Lim Joo-Jock and Vani S.
Pasir Panjang: Institute of Southeast Asian Studies.
Haemindra, Nantawan. 1976. “The Problem of the Thai-Muslims in the Four Southern provinces of
Thailand (Part One.,” Journal of Southeast Asian Studies 7 (2).
Pitsuwan, Surin. 1988. “The Lotus and the Crescent: Clashes of Religious Symbolisms in Southern
Thailand.” In Ethnic Conflict in Buddhist Societies, edited by K.M. de Silva et.al. London: Pinter.
Vandergeest, Peter and Nancy Lee Peluso. 1995. “Territorialization and state power in Thailand.” Theory
and Society 24: 385-426.
Yegar, Moshe. 2002. Between Integration and Secession: The Muslim Communities of the Southern
Philippines, Southern Thailand, and Western Burma/Myanmar. Lanham: Lexington Books.
100
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P3-R2-03
การแทนที่ความทรงจา
กรณี พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ รั ฟ เฟิ ลส์ สมั ย อาณานิ ค ม
และพิ พิ ธ ภั ณ ฑสถานแห่ ง ชาติ สิ ง คโปร์ ห ลั ง เอกราช
ชี วสิทธิ์ บุ ณยเกียรติ
นิสิตหลักสูตรปริญญาดุษฎีบันฑิต สาขาเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร
101
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
1 Paul Michael Taylor, “A Collector and His Museum: William Louis Abbott (1860-1936) and the Smithsonian,” in Treasure Hunting?, ed.
Reimer Schefold and Han F. Vermeulen (Leiden: CNWS, 2002), 223.
2 Brendan Luyt, “Imagining the User in the Raffles Library and Museum, Singapore: 1874 to 1900” (World Library and Information Congress:
Cultures,” in Representation: Cultural Representations and Signifying Practices, ed. Stuart Hall, Culture, Media, and Identities (London ;
Thousand Oaks, Calif: Sage in association with the Open University, 1997), 153–208.
102
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
สืบ ทอด เช่ น กรณี ข องพิพิธ ภัณฑ์อ เมริก ัน พื้น ถิ่น ในสหรัฐฯ และอะบอริจิน ในออสเตรเลีย 8 ในอีก หลายกรณี
พิพธิ ภัณฑ์ทาหน้าทีส่ ร้างความเป็ นชาติ (ใหม่) หลังอาณานิคม และเปลีย่ นแปลงความหมายของสมบัตวิ ฒ ั นธรรม
ให้สอดคล้องกับการสร้างชาตินนั ้ เช่น ทามันมินิ (Taman Mini) ในกรุงจาการ์ต้า ทีแ่ ม้จะความตัง้ ใจสะท้อนความ
หลากหลายด้วยเรือนพื้นถิ่น ไว้ในพื้นที่เ ดียวกัน แต่ เรือนและสถานที่ตงั ้ เหล่ านัน้ อยู่ใ นระเบียบและระบบที่ร ัฐ
ปรารถนา9
ทัง้ หมดนี้ ผู้เ ขีย นกล่ า วถึง ความเป็ น มาอย่ า งย่ น ย่ อ ต่ อ พัฒ นาการพิพิธ ภัณฑ์บ างส่ว น เพื่อ โยงเข้า สู่
กรณีศึกษาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สิงคโปร์ (National Museum of Singapore หรือ NMS) ที่มีการจัดตัง้ ขึ้น
ตัง้ แต่สมัยอาณานิคมอังกฤษ และเกิดความเปลีย่ นแปลงเป็ นลาดับในแต่ละช่วงเวลา ในทีน่ ้ี ผูเ้ ขียนไล่เรียงให้เห็น
พัฒ นาการพิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ ใ น 3 ช่ ว งเวลา โดยเนื้ อ หาต่ า งๆ มาจากการเรี ย บเรี ย งบทความที่ เ กี่ ย วข้ อ งกับ
พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติสงิ คโปร์ อันได้แก่
(1) พิพิธ ภัณฑ์แ ละหอสมุ ด รัฟ เฟิ ลส์ ในสมัย อาณานิ ค ม ซึ่ง โจทย์ข องการสะสมและการจัด แสดงคือ
พิพธิ ภัณฑ์ธรรมชาติวทิ ยา (2) หัวเลีย้ วหัวต่อของการนิยามพิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ (ปลายทศวรรษ 1950-1980)
ช่วงเวลาดังกล่าวแสดงให้เห็นความยอกย้อนของรัฐในการใช้ประโยชน์พพิ ธิ ภัณฑ์ ทัง้ ความอิหลักอิเหลื่อของมรดก
อาณานิคม การปรับเปลีย่ นพิพธิ ภัณฑ์ประวัตศิ าสตร์ธรรมชาติสพู่ พิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ และการสร้างพิพธิ ภัณฑ์
ประเภทอื่นๆ ที่ตอบโจทย์การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ (3) พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ สิงคโปร์ (ตัง้ แต่
ทศวรรษ 1990 ถึงปั จจุบนั ) ความชัดเจนของการใช้ประโยชน์ ในการสร้างสานึกของความเป็ นชาติ วาระทาง
การเมือง และอุตสาหกรรมการท่องเทีย่ ว
แกนกลางของการอภิปรายในบทความนี้ ได้แก่ การอ่านวาระพิพธิ ภัณฑ์ทเ่ี ปลีย่ นแปลงในแต่ละช่วงเวลา
วาระดัง กล่ าวสะท้อ นให้เห็น ชุด อุด มการณ์ ท่พี ิพิธภัณฑ์โดยรัฐอาณานิ คมและรัฐหลังเอกราชทาหน้ าที่ในการ
ถ่ า ยทอดสู่สาธารณะ เมื่อ ศึก ษาพิพิธ ภัณฑสถานแห่ ง ชาติ สิง คโปร์ท่ีใ นช่ ว งเวลาต่ า งๆ นี้ ผู้เ ขีย นพบความ
เปลีย่ นแปลงชุดความหมายที่กากับความเป็ นสถาบันของพิพธิ ภัณฑ์ โดยมีกลุ่มคนทัง้ ในระดับปฏิบตั แิ ละในระดับ
บริหารเป็ นตัวละคร ทัง้ นี้กลไกของการถ่ายทอดชุดอุดมการณ์ ในที่น้ี ปฏิบตั ิการพิพธิ ภัณฑ์ ได้เกิดขึน้ ดารงอยู่
และดับไปตามเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ พิพธิ ภัณฑสถานจึงมิใช่สถาบันที่สร้างความรู้ทเ่ี ป็ นกลาง หากแต่เป็ น
ความรูท้ ม่ี บี ริบทต่างๆ กากับ
ดังเช่นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าอาณานิคมอังกฤษกับอินเดีย ในระหว่างการสารวจการตัง้ รกรากของกลุ่ม
ชนต่างๆ เพื่อการจัดเก็บภาษี กลายเป็ นโอกาสในการระบุแหล่งโบราณคดี และนามาสู่การขุดค้นทางโบราณคดี
ขนาดใหญ่ เช่น โคลิน แม็คแคนซี (Colin Mackenzie) ในฐานะผู้อานวยการขุดค้น และทาหน้าที่ในการวบรวม
หลักฐานทางโบราณคดี คัมภีร์ หรือการก่อตัง้ หน่ วยสารวจโบราณคดีในอินเดีย (Archeological Survey of India)
ค.ศ. 1859 ซึ่งมี อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม (Alexander Cunningham) วิศวกรกองทัพ เป็ นผู้อานวยการคนแรก
ผลพวงจากการทางานดังกล่าวก่อให้เกิดการจัดตัง้ พิพธิ ภัณฑ์ในแหล่งขุดค้นและการก่อสร้างพิพธิ ภัณฑ์ขนาดใหญ่
เพื่อการจัดเก็บหลักฐานทางโบราณคดี ซึง่ ในเวลาต่อมาเป็ นพิพธิ ภัณฑ์อนิ เดีย การจัดเก็บศิลปวัตถุ จิตรกรรม และ
8 Moira G. Simpson, Making Representations: Museums in the Post-Colonial Era (London ; New York: Routledge, 1996).
9 Shelly Errington, The Death of Authentic Primitive Art and Other Tales of Progress (Berkeley: University of California Press, 1998), 222.
103
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
พัฒนำกำรพิพิธภัณฑ์รฟ
ั เฟิ ลส์และวำระพิพธิ ภัณฑ์ของอำณำนิคม
10 Bernard S. Cohn, Colonialism and Its Forms of Knowledge: The British in India, Princeton Studies in Culture/power/history (Princeton, N.J:
Princeton University Press, 1996), 9–10.
11 อ้างใน Lily Kong and Brenda S. A. Yeoh, “Social Constructions of Nature in Urban Singapore,” Southeast Asian Studies 34, no. 2
Singapore History, ed. Kah Seng Loh, Kai Khiun Liew, and Singapore Heritage Society (Singapore: Ethos Books : Singapore Heritage
Society, 2010), 122.
104
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
จนกระทังทรั
่ พย์สนิ ต่างๆ 15 ของหอสมุดสิงคโปร์กลายเป็ นส่วนหนึ่งของหอสมุดและพิพธิ ภัณฑ์รฟั เฟิ ลส์
และอยู่ในความดูแลของรัฐบาลอาณานิคมโดยย้ายที่ตงั ้ ศาลาว่าการเมือง (ปั จจุบนั อนุ สรณ์สถานวิคตอเรียหรือ
Victoria Memorial Hall) ใช้พน้ื ทีส่ ามห้องชัน้ ล่าง จากนัน้ ย้ายขึน้ สู่ชนั ้ สองของอาคาร ซึง่ มีความเหมาะสมในการ
อนุ รกั ษ์หนังสือและพืน้ ทีส่ าหรับการอ่าน เปิ ดให้บริการครัง้ แรกเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 187416 ในระบบการ
ทางาน อาศัยบรรณารักษ์และภัณฑารักษ์ทอ่ี ยู่ในความดูแลของคณะกรรมการ 2 ชุด หนึ่ง คณะกรรมการหอสมุด
และสอง คณะกรรมการพิพธิ ภัณฑ์17 ในอีกสีป่ ี ต่อมา (ค.ศ.1878) รัฐบาลอาณานิคมตราระเบียบการจัดตัง้ สมาคม
ต่างๆ หนึ่งในนัน้ ได้แก่ หอสมุดและพิพธิ ภัณฑ์รฟั เฟิ ลส์และสวนพฤกษศาสตร์18 โดยสมบัตขิ องทัง้ สองสถาบันถือ
เป็ นองค์กรสาธารณะ
ในขณะทีส่ วนพฤกษศาสตร์เน้นการจัดเก็บตัวอย่างพืช พืน้ ถิน่ พิพธิ ภัณฑ์เริม่ มีชดั เจนในการสะสมวัตถุ
โดยรัฐบาลระบุให้พิพิธภัณฑ์รฟั เฟิ ลส์จดั เก็บ “ไม่เฉพาะสินค้า แต่ วตั ถุ ท่แี สดงถึงชาติพนั ธุ์วิทยา โบราณวัตถุ
ธรรมชาติวทิ ยา และลักษณะทางกายภาพของประเทศ” พิพธิ ภัณฑ์ได้รบั การกาหนดให้เป็ นทัง้ หน่ วยวิจยั และการ
จัดแสดงสาธารณะ ซึง่ แสดงให้เห็นกรอบทางวิชาการของสถาบันธรรมชาติวทิ ยาในช่วงอาณานิคมคริสต์ศตวรรษที่
19 การสะสมเริม่ ต้นจากกลุ่มวัตถุในงานจัดแสดงผลิตภัณฑ์อาณานิคม ซึ่งจัดแสดงที่พพิ ธิ ภัณฑ์ธรรมชาติวทิ ยา
ลอนดอน เมื่อค.ศ. 1874 จากนัน้ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้รบั การส่งกลับมายังสิงคโปร์ และกลายเป็ นจุดเริม่ ต้น คลัง
พิพธิ ภัณฑ์19
เมื่อ ค.ศ. 1875 พิพธิ ภัณฑ์ได้รบั วัตถุบริจาคทีผ่ แู้ ทนรัฐบาลอาณานิคม แอนดรู คลาร์ก (Andrew Clarke)
บริจาคโครงกระดูกแรดให้กบั สวนพฤกษศาสตร์ แต่ในสองปี ต่อมา ทางคณะกรรมการส่งให้กบั พิพธิ ภัณฑ์ ในระยะ
ต่อมา พิพธิ ภัณฑ์ได้รบั บริจาคเพิม่ จากโรเวลล์ (T. I. Rowell) บุคคลสาคัญในการบริหารสิงคโปร์ กว่า 200 ชิน้ และ
วาเลนไทน์ ไนท์ (Valentine Knight) ได้ดาเนินการจัดหาวัตถุต่อมาถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 คลังวัตถุพฒ ั นา
มากขึน้ จากการหมุนเวียนของข้าราชการทีป่ ฏิบตั หิ น้าทีใ่ นบอร์เนียวและมลายา พวกเขามักเดินทางกลับมาพร้อม
กับซากสิง่ มีชวี ติ 20
นอกจากการจัดเก็บตัวอย่างสิง่ มีชวี ติ ในภูมภิ าคแล้ว ในบทความของออสบอร์นอ้างอิงถึงรายงานของ ดร.
ฮาวิเลน (Dr. G. D. Haviland) ค.ศ. 1893 กล่าวถึงกลุ่มวัตถุทางวัฒนธรรม “วัตถุพพิ ธิ ภัณฑ์ทางชาติพนั ธุ์ล้วน
สาคัญอย่างยิง่ ในการบอกเล่าวิถกี ารดารงชีวติ และประเพณีของคนต่างๆ จึงจาเป็ นอย่างยิง่ ทีจ่ ะต้องมีการจัดระบบ
เพื่อนามาสู่การจัดแสดง วัตถุ ทุกชิ้นควรได้รบั การจัดทาทะเบียนอย่างเหมาะสม มิเช่นนัน้ แล้ว วัตถุ ท่ไี ร้ระบบ
ทะเบียนคงไม่คมุ้ กับการจัดเก็บและการดูแล ซึง่ ในตอนนี้ วัตถุทางชาติพนั ธุ์นนั ้ ไร้ป้ายทะเบียนหรือกระทังประวั
่ ต”ิ 21
15 เควิน ตัน อ้างถึงมติคณะกรรมการหอสมุดสิงคโปร์ให้ถ่ายโอนให้เป็ นกิจการของรัฐบาลอาณานิคม เพือ่ ชดเชยหนี้ทเ่ี กิดขึน้ ราว 500 เหรียญ ทีม่ วี ตั ถุ
และหนังสือในความดูแลราว 3,000 เล่ม ใน Ibid., 123.
16 วันทีอ่ า้ งอิงในการเปิ ดให้บริการครัง้ แรกแตกต่างจากทีร่ ะบุวนั ในบทความของลุยต์ คือวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1874 ใน Luyt, “Imagining the User in
the Raffles Library and Museum, Singapore: 1874 to 1900,” 2.
17 Ibid.
18ในบทความเรือ ่ ง Jeyamalar KathirithambyLS, “Peninsular Malaysia in the Context of Natural History and Colonial Science,” New Zealand
Journal of Asian Studies 11, no. 1 (June 2009): 337–74.
19 Brendan Luyt, “Collectors and Collecting for the Raffles Museum in Singapore: 1920–1940,” Library & Information History 26, no. 3
Library,” 5.
105
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เมื่อ ค.ศ. 1887 ทัง้ หอสมุดและพิพธิ ภัณฑ์ได้รบั การโยกย้ายไปยังสถานทีส่ ร้างขึน้ ใหม่เป็ นการเฉพาะ นัน่
คืออาคารที่ฟอร์ต แคนนิ่ง (Fort Canning สถานที่ตงั ้ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สิงคโปร์ ในปั จจุบนั ) และเปิ ด
ให้บริการเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 188722 คลังวัตถุขยายเพิม่ เติมในช่วงสองทศวรรษต่อมา พิพธิ ภัณฑ์จงึ ได้
เริม่ ต้นการจัดหาวัตถุจากแหล่งต่างๆ ในคาบสมุทรมลายู อาศัยการซือ้ และการบริจาค เมื่อถึง ค.ศ. 1920 จานวน
วัตถุหลังไหลเข้
่ ามาอย่างมหาศาลโดยมีจานวนเจ้าหน้าทีไ่ ม่มากนัก
ผู้เขียนกล่ าวถึงพัฒนาการของพิพธิ ภัณฑ์และคลังสะสมของพิพธิ ภัณฑ์รฟั เฟิ ลส์ ด้วยวัตถุประสงค์ให้
ผูอ้ ่านเห็นภาพของความก่อตัวและพัฒนาการทีเ่ ชื่อมโยงของเจ้าอาณานิคม และเป็ นฐานทีแ่ สดงให้เห็นเป้ าประสงค์
หรือกล่าวให้กว้างกว่านัน้ “อุดมการณ์” ทีพ่ พิ ธิ ภัณฑ์รฟั เฟิ ลส์ (รวมทัง้ หอสมุด) มุ่งหมายให้สมาชิกในสังคมอาณา
นิคมเพิ่งตระหนักหรือรับทอดความคิดที่ผลิตโดยกลุ่มผู้บริหารอาณานิคมหรือคณะกรรมการอ านวยการของ
สถาบันทางวัฒนธรรม ในที่น้ี ผู้เขียนพบการวิเคราะห์บทบาทของพิพธิ ภัณฑ์ใน 2 ลักษณะ ได้แก่ เป้ าหมายกับ
สาธารณะในวงกว้างและการตอบโจทย์ผเู้ ชีย่ วชาญ
สาหรับในวัตถุประสงค์เบือ้ งแรก ทัง้ ห้องสมุดและพิพธิ ภัณฑ์รฟั เฟิ ลส์พยายามรักษาความเป็ นอารยะของ
เจ้าอาณานิคม ลุยต์อา้ งอิงถึงฟิ ชเชอร์-ไทน์ (Fisher-Tine) ทีว่ เิ คราะห์สถาบันทางวัฒนธรรมทีส่ ร้างขึน้ ในอาณานิคม
“บทบาทของหอสมุดในการรักษาอารยธรรมของยุโรป จากเหล่าชาวยุโรปทีพ่ านักห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอน ด้วย
ความเชื่อทีว่ ่า ทัง้ เหล่าบุรุษและสตรีองั กฤษ อาจถูกลดทอนลักษณะอารยะ เพราะความเผลอไผลไปกับโลกีย์กจิ ใน
แถบเส้นศูนย์สตู ร”23 ข้อกังวลดังกล่าวของรัฐบาลอาณานิคมแสดงถึงความต้องการรักษาความเหนือกว่าของชาว
ยุโรป กลไกเชิงสถาบันทีป่ รากฏนี้เป็ นไปเพื่อ สร้างความเป็ นกลุ่มก้อนระหว่างประชากรยุโรปในแผ่นดินใต้อาณา
นิคม และในอีกทางหนึ่ง เป็ นภารกิจของการสร้างอารยะภายในระหว่างชาวยุโรป และภารกิจภายนอกในการสร้าง
ความมีอารยะให้กบั คนท้องถิน่ 24
ลุยต์ระบุว่าหอสมุดรัฟเฟิ ลส์สร้างขึน้ เพื่อตอบสนองการสร้า งอารยะภายใน ดังปรากฏในการบันทึกการ
ประชุมของคณะกรรมการทีอ่ า้ งในไฮทัช (Haitasch) ซึ่งดารงตาแหน่ งผู้อานวยการ ค.ศ. 1921 ระบุถึงบทบาทที่
หอสมุดรัฟเฟิ ลส์จะต้องสร้างให้สมาชิกตระหนักถึงสมบัตขิ องความรูท้ อ่ี ยู่ในหอสมุด และเป็ นโอกาสทีพ่ วกเขาจะได้
บ่มเพาะการเรียนรูข้ องตนเอง “ทัง้ ความรูเ้ กีย่ วกับชนชาติต่างๆ ชีวประวัตบิ ุคคลสาคัญ และนวนิยายทีไ่ ด้รบั การคัด
สรรอย่างเหมาะสมทีใ่ ห้บริการในหอสมุด ” นอกจากนี้ หอสมุดเองยังมีส่วนงานกิจการพิพธิ ภัณฑ์ทาหน้าทีใ่ นการ
รวบรวมวัตถุจากการจัดเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์ เพื่อเป็ นประโยชน์ในการพัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้กบั
พิพธิ ภัณฑ์ในอังกฤษและแวดวงความรูท้ างวิทยาศาสตร์ในภูมภิ าคอื่นๆ25
ส่ว นบทบาทในอีก ลัก ษณะหนึ่ ง ของหอสมุ ด และพิพิธภัณฑ์ร ัฟเฟิ ลส์ คือ ศูน ย์ก ลางของการก าหนด
นโยบายที่เหมาะสมกับภูมิภาค ในส่วนนี้ลุยต์อ้างอิงถึงข้อวิเคราะห์ของลาตูร์เกี่ยวกับกระบวนการสร้างความ
ศักดิสิ์ ทธิของความรู
์ ้ นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ต่างสร้างหลักฐานให้ปรากฏในรูปของแผนที่ แผนภูมติ ่างๆ
เพื่อโน้มน้าวให้ผกู้ งั ขานัน้ เชื่อตาม การสร้างหลักฐานในรูปของลายลักษณ์ดงั นัน้ เป็ นเสมือนเครื่องยืนยันทีค่ งอยู่
ดังเช่นกรณีเวชระเบียนทางการแพทย์ ฉะนัน้ การจัดเก็บ เอกสารต่างๆ เหล่านี้ไว้ในที่เดียวกันนับเป็ น การสร้าง
22 Tan, “The National Museum as Maker and Keeper of Singapore History,” 123.
23 Fisher-Tine อ้างใน Luyt, “Imagining the User in the Raffles Library and Museum, Singapore: 1874 to 1900,” 3.
24 Fisher-Tine อ้างใน Ibid., 4.
25 KathirithambyLS, “Peninsular Malaysia in the Context of Natural History and Colonial Science,” 351.
106
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
26 Latour อ้างใน Luyt, “Imagining the User in the Raffles Library and Museum, Singapore: 1874 to 1900,” 5–6.
27 Barnard, “The Raffles Museum and the Fate of Natural History in Singapore,” 187.
28 สามารถอ่านรายละเอียดเพิม ่ เติมได้ใน Osborne, “Early Collectors and Their Impact on the Raffles Museum and Library.”
29 Barnard, “The Raffles Museum and the Fate of Natural History in Singapore,” 189–90.
30 Osborne, “Early Collectors and Their Impact on the Raffles Museum and Library,” 9.
31 Asian Civilisations Museum หนึ่งในพิพธิ ภัณฑ์ทอ่ี ยูใ่ นความดูแลของคณะกรรมการมรดกแห่งชาติ สิงคโปร์.
107
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
32 Osborne, “Early Collectors and Their Impact on the Raffles Museum and Library,” 10–11.
33 รายงานของผูอ้ านวยการ พลตรี มุลตัน ค.ศ. 1920 อ้างใน National Museum (Singapore) and Eng-Lee Seok Chee, eds., Treasures from the
National Museum, Singapore (Singapore: The Museum, 1987), 14.
34 อ้างใน KathirithambyLS, “Peninsular Malaysia in the Context of Natural History and Colonial Science,” 368.
35 Ibid., 337.
108
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
109
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
38 National Museum (Singapore) and Chee, Treasures from the National Museum, Singapore, 12.
39 Ibid., 13.
40 Kwa Chong Guan, “Transforming the National Museum of Singapore,” in Rethinking Cultural Resource Management in Southeast Asia:
Preservation, Development, and Neglect, ed. John N. Miksic, Geok Yian Goh, and Sue O’Connor (London ; New York: Anthem Press,
2011), 202.
41 Tan, “The National Museum as Maker and Keeper of Singapore History,” 126.
42 Guan, “Transforming the National Museum of Singapore,” 203.
110
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
43 Tan, “The National Museum as Maker and Keeper of Singapore History,” 131.
44 National Museum (Singapore) and Chee, Treasures from the National Museum, Singapore, 14.
45 Tan, “The National Museum as Maker and Keeper of Singapore History,” 131.
46 Guan, “Transforming the National Museum of Singapore,” 201.
47 Ibid., 202.
48 โครงการพิพธ ิ ภัณฑ์สาหรับเด็กทีโ่ รงเรียนเถ้าหนาน กลายเป็ นบริเวณจัดตัง้ พิพธิ ภัณฑ์อารยธรรมเอเชียในระยะแรก เน้นอารยธรรมจีน และเปิ ด
ให้บริการ ค.ศ. 1997 ส่วนในระยะที่ 2 เปิ ดให้บริการ ณ เอ็มเพรส เพลส โดยนายกรัฐมนตรี โก๊ะ จ๊ก ตง เป็ นผูเ้ ปิ ดอาคารทีไ่ ด้รบั การอนุ รกั ษ์และแบ่งส่วน
การจัดแสดงตามภูมภิ าค ได้แก่ เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ เอเชียตะวันตก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมือ่ ค.ศ. 2003 ส่วนสถาบันเซนต์โจเซฟ (Saint
Joseph's Institution) ได้รบั การปรับปรุงเป็ นพิพธิ ภัณฑ์ศลิ ปะสิงคโปร์ ซึง่ เปิ ดอย่างเป็ นทางการเมื่อ ค.ศ. 2006 ใน Ibid., 206.
49 Tan, “The National Museum as Maker and Keeper of Singapore History,” 131.
111
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
50 Barnard, “The Raffles Museum and the Fate of Natural History in Singapore,” 198.
51 Tan, “The National Museum as Maker and Keeper of Singapore History,” 129.
52 Barnard, “The Raffles Museum and the Fate of Natural History in Singapore,” 202–5.
112
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
53 Ibid., 206–9.
113
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
54 รัฐมนตรีการคลังและต่างประเทศ George Yeo, “Importance of Heritage and Identity,” in Speeches: A Bimonthly Selections of Ministers
Speeches, vol. 131 (Singapore: Ministry of Communications and Information, 1989), 48.
55 Leo Suryadinata, “National Ideology and Nation-Building in Multi-Ethnic States,” in In Search of Singapore’s National Values, ed. Jon S. T.
Quah (Singapore: Institute of Policy Studies : Times Academic Press, 1990), 91–105.
56 George Yeo, quoted in The Straits Times 15 July 1996 อ้างใน Brenda Yeoh and Lily Kong, The Politics of Landscapes in Singapore:
Constructions Of “nation,” 1st ed, Space, Place, and Society (Syracuse: Syracuse University Press, 2003), 49.
114
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ด้วยเหตุน้ี “มรดกชาติพนั ธุ”์ หรือ Ethnic Singapore กลายเป็ นกรอบการเล่าเรื่องการท่องเทีย่ ว ทัง้ ไชนา
ทาวน์ อินเดียน้อย และกัมปงกลามกลายเป็ นสถานทีข่ องการจัดแสดงทีไ่ ด้รบั ความสนใจอย่างรวดเร็ว ในรายงาน
คณะทางานในการพัฒนาการท่องเทีย่ ว หรือ Tourism Task Force (1984) ระบุถงึ ความเปลีย่ นแปลงต่างๆ ของ
สิงคโปร์ ซึง่ ส่งผลกระทบให้สญ ู เสีย “มนต์ขลังและเสน่หต์ ะวันออกซึง่ ปรากฏเชิงสัญลักษณ์ในอาคารต่างๆ กิจกรรม
ในแต่ละชุมชนและในท้องถนน” ในการพัฒนาความเป็ นนครทีท่ นั สมัย61 พืน้ ทีต่ ่างๆ ทีไ่ ด้รบั การกาหนดไว้เพื่อการ
พัฒนาเป็ นย่านประวัตศิ าสตร์ นอกจากปรับเปลีย่ นเชิงกายภาพแล้ว “เรื่องเล่า” บางชุดได้รบั การร้อยเรียงขึน้ ใหม่
โครงการพัฒนาพืน้ ที่เพื่อการท่องเทีย่ วดังกล่าวส่งผลในเชิงบวกและลบต่อผู้ทอ่ี ยู่อาศัย เช่น ความเปลี่ยนแปลง
ภายหลังการพัฒนาห้างสรรพสินค้า “ลิตเติ้ล อินเดีย อาเขต” ที่ส่งผลต่อค่าเช่าทีส่ ูงมากขึน้ และทาให้ผู้ค้าเดิมซึง่
เติบโตมากับพืน้ ทีต่ อ้ งออกจากพืน้ ที่ หรือในอีกทางหนึ่ง การบูรณะย่านเก่าไชน่าทาวน์สง่ ผลให้มลู ค่าทางเศรษฐกิจ
เพิม่ สูงขึน้ 62
ในช่วงเวลาเดียวกันนัน้ รัฐมนตรีจดั ตัง้ สภาศิลปะแห่งชาติ และเสนอแนวทางการพัฒนาคณะกรรมการ
มรดกแห่งชาติ นอกจากนี้ ยังเกิดการปรับเปลีย่ นกระทรวงจากกระทรวงพัฒนาการสื่อสาร เป็ นกระทรวงข่าวสาร
และศิลปะ (MITA) โดยรวมงานด้านพิพธิ ภัณฑ์ จดหมายเหตุ และแผนกประวัตศิ าสตร์คาบอกเล่า จอร์จ เยว ผูร้ บั
ตาแหน่ งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ เล็งเห็นการเชื่อมโยงประวัตศิ าสตร์กบั ผูค้ นกับความเป็ นสิงคโปร์และภูมภิ าค
แต่ยงั ต้องขยายเรื่องราวให้เชื่อมโยงกับจีน เอเชียใต้และเอเชียตะวันตก โดยพิจารณาจากความหลากหลายของ
57 Saravanan Gopinathan, “Being and Becoming: Education for Values in Singapore,” in The Revival of Values Education in Asia and the
West, ed. William K. Cummings, Saravanan Gopinathan, and Yasumasa Tomoda, 1st ed, Comparative and International Education Series,
v. 7 (Oxford, England ; New York: Pergamon Press, 1988), 131–45.
58 Yeoh and Kong, The Politics of Landscapes in Singapore, 133.
59 อ้างใน Kennie Ting, Heritage, Singapore Chronicles (Singapore: Institute of Policy Studies : Straits Times Press Pte Ltd, 2015), 58.
60 Tourism 21. Vision of a Tourism Capital (Singapore: URA Media Division, 1996).
61 อ้างใน Yeoh and Kong, The Politics of Landscapes in Singapore, 136.
62 สาหรับผูท
้ ส่ี นใจความเปลีย่ นแปลงและผลกระทบโครงการพัฒนาของรัฐบาลสิงคโปร์ในย่านประวัตศิ าสตร์ โปรดดู ชีวสิทธิ ์ บุณยเกียรติ, “การเมืองเรือ่ ง
‘ย่านประวัตศิ าสตร์’ ในสิงคโปร์,” หน้าจั ่ว 11 (2557): 130–51.
115
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ค.ศ. 1993 คณะกรรมการมรดกแห่ ง ชาติ เปลี่ย นชื่อ พิพิธ ภัณ ฑสถานแห่ ง ชาติ เ ป็ น “พิพิธ ภัณ ฑ์
ประวัตศิ าสตร์สงิ คโปร์” สืบเนื่องจากห้องจัดแสดงประวัตศิ าสตร์สงิ คโปร์ ทีใ่ ช้การนาเสนอด้วยฉากจาลองสร้างขึน้
ค.ศ. 1984 อนึ่ง ควา จง กวน เสนอให้มกี ารจัดแบ่งความรับผิดชอบของกลุ่มวัตถุในแต่ละพิพธิ ภัณฑ์ทงั ้ สามแห่ง
และการจัดการของหอจดหมายเหตุท่รี วมแผนกประวัตศิ าสตร์คาบอกเล่าไว้เป็ นส่วนหนึ่ง โครงการสร้างทางาน
ได้แก่ ทรัพยากรบุคคล ระดมทุนและงบประมาณ การจัดการคลังและการอนุ รกั ษ์ และประชาสัมพันธ์ ในทศวรรษ
ต่อมา งานต่างๆ แยกส่วนการทางานในแต่ละองค์กร ฉะนัน้ คณะกรรมการมรดกแห่งชาติจงึ ทาหน้าทีใ่ นการพัฒนา
ประเด็นทางวัฒนธรรมแห่งชาติในภาพกว้าง การพัฒนาวัฒนธรรมการเยี่ ยมชมพิพธิ ภัณฑ์ และสร้างความร่วมมือ
ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการอนุรกั ษ์มรดกของสิงคโปร์65
ผูเ้ ขียนไล่เรียงให้เห็นบริบทเกีย่ วกับมรดกวัฒนธรรมสิงคโปร์กบั กิจการทางวัฒนธรรมทีด่ าเนินการโดยรัฐ
เพื่อชีใ้ ห้เห็นว่างานพิพธิ ภัณฑ์ของรัฐในช่วงนี้ขยายตัวอย่างชัดเจน ดังทีผ่ เู้ ขียนได้เกริน่ เกีย่ วกับพิพธิ ภัณฑ์อารย
ธรรมเอเชีย (ACM) ไว้บา้ งแล้ว นอกจากนี้ ยังปรากฏพิพธิ ภัณฑ์ศลิ ปะ สิงคโปร์ (SAM)66 และศูนย์มรดกวัฒนธรรม
ตามย่านประวัตศิ าสตร์อกี จานวนหนึ่ง67 ตัง้ แต่ทศวรรษ 1990 พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ สิงคโปร์เอง ต้องปรับตัว
เองและรูปแบบการนาเสนอที่พยายามตอบโจทย์ของรัฐบาล นัน้ คือ การสร้างวิญญาณของความเป็ นชาติและ
เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ทส่ี ร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในทางวัฒนธรรม
คณะกรรมการจากหน่ วยงานทีเ่ กีย่ วข้องจัดจ้างบริษทั วางแผนและจัดการทรัพยากรทางวัฒนธรรมลอร์ด
(Lord Cultural Resources Planning & Management Inc.) วางแผนปรับปรุงพิพธิ ภัณฑ์และพัฒนากลุ่มพิพธิ ภัณฑ์
ใหม่ ในแผนงานการพัฒนาย่านพิพธิ ภัณฑ์ ซึง่ แล้วเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1991 พืน้ ทีต่ งั ้ แต่ถนนอาร์มาเนียน สแตมฟอร์ด
เนินแคนนิ่ง และถนนแคนนิ่ง ได้กลายเป็ นย่านพิพธิ ภัณฑ์68
116
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
117
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
118
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
73 Ibid., 134.
119
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ควำมทรงจำถูกแทนที่
“พิพิธ ภัณ ฑ์ใ นฐานะพื้น ที่ข องความรู้ธ ารงอ านาจด้ว ยการสร้า งความรู้ พิพิธ ภัณ ฑ์จึง
กลายเป็ นผูก้ ะเกณฑ์ความรู้ และส่งผลต่ออานาจนาทีน่ ิยามวัฒนธรรม”75
พิพธิ ภัณฑ์เป็ นองค์กรผลิตความรูผ้ ่านปฏิบตั กิ ารพิพธิ ภัณฑ์ การวิจยั และการจัดแสดงความรู้ ด้วยเหตุน้ี
พิพธิ ภัณฑ์ได้สร้างอานาจในการนิยามวัฒนธรรม 76 พิพธิ ภัณฑ์รฟั เฟิ ลส์และพิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ สิงคโปร์
ปฏิบ ัติก ารด้ว ยแนวคิด และในบริบททางประวัติศ าสตร์ท่แี ตกต่ าง ผู้เ ขีย นต้อ งการชี้ใ ห้เ ห็น ถึง การแทนที่ของ
ปฏิบตั ิการและกรอบเป้ าหมายของพิพธิ ภัณฑ์ในแต่ละช่วงเวลาปรับเปลี่ยนตามผู้ท่ถี ือครองสิทธิอานาจในการ
นิยามความรู้ (/วัฒนธรรม) รวมถึงการผลิตชุดมโนสานึกที่พพิ ิธภัณฑ์ต้องการสื่อสารกับสาธารณะด้วยท่าที ท่ี
แตกต่างเช่นกัน ในที่น้ี การสะสมวัตถุพพิ ธิ ภัณฑ์และเป้ าประโยชน์ ของพิพธิ ภัณฑ์เป็ นประเด็นของการวิเคราะห์
74 Ibid., 135.
75 Dai-rong Wu, “Cultural Hegemony in Museum World,” 2006.
76 Daniel J. Sherman and Irit Rogoff, eds., Museum Culture: Histories, Discourses, Spectacles, Media & Society, v. 6 (Minneapolis:
120
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
77 Susan M. Pearce, Museums, Objects, and Collections: A Cultural Study (Washington, D.C: Smithsonian Institution Press, 1993), 98–99.
78 National Museum (Singapore) and Chee, Treasures from the National Museum, Singapore, 14.
121
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
อาณานิคมและกาหนดนโยบายเพื่อการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ โดยมีคนพื้นถิ่นและคนผลัดถิ่นจาก
อิน เดีย จีน และหมู่เ กาะมาเลย์เ ป็ น ฟั น เฟื อ งในการดาเนิ น เศรษฐกิจ และสั ง คม แต่ ค วามเป็ น ศูน ย์ก ลางของ
พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติในเวลาร่วมสมัยนี้ได้รบั การแทนที่ด้วยชุดประวัติศาสตร์สงั คมที่เดินเป็ นเส้นตรงจาก
อาณานิคมสูก่ ารสร้างชาติ นันคื ่ อความพยายามทีร่ ฐั บาลต้องการฉายให้พลเมืองของตนพึงคิดและปฏิบตั กิ บั โจทย์ท่ี
ได้ตงั ้ ไว้ “ประเทศทีก่ า้ วสูค่ วามเป็ นศูนย์กลาง” ในแบบต่างๆ คอสโมโปลิเตนิสม์ โลกนคร เป็ นอาทิ
บรรณำนุกรม
122
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
Luyt, Brendan. “Collectors and Collecting for the Raffles Museum in Singapore: 1920–1940.” Library &
Information History 26, no. 3 (September 2010): 183–95.
doi:10.1179/175834810X12731358995235.
———. “Imagining the User in the Raffles Library and Museum, Singapore: 1874 to 1900.” Seoul, 2006.
National Museum (Singapore), and Eng-Lee Seok Chee, eds. Treasures from the National Museum,
Singapore. Singapore: The Museum, 1987.
Ooi, Can-Seng. “Dialogic heritage: Time, space and visions of the National museums of Singapore.”
Translated by Panita Sarawasee. Thammasat University Archves Bulletin 9 (2006): 56–71.
Osborne, Megan S. “Early Collectors and Their Impact on the Raffles Museum and Library.” The
Heritage Journal 3 (2008): 1–15.
Pearce, Susan M. Museums, Objects, and Collections: A Cultural Study. Washington, D.C: Smithsonian
Institution Press, 1993.
Sherman, Daniel J., and Irit Rogoff, eds. Museum Culture: Histories, Discourses, Spectacles. Media &
Society, v. 6. Minneapolis: University of Minnesota Press, 1994.
Simpson, Moira G. Making Representations: Museums in the Post-Colonial Era. London ; New York:
Routledge, 1996.
Suryadinata, Leo. “National Ideology and Nation-Building in Multi-Ethnic States.” In In Search of
Singapore’s National Values, edited by Jon S. T. Quah, 91–105. Singapore: Institute of Policy
Studies : Times Academic Press, 1990.
Tan, Kevin Y. L. “The National Museum as Maker and Keeper of Singapore History.” In The Makers &
Keepers of Singapore History, edited by Kah Seng Loh, Kai Khiun Liew, and Singapore Heritage
Society, 122–36. Singapore: Ethos Books : Singapore Heritage Society, 2010.
Tantow, David. “Globalisation, Identity and Heritage Tourism: A Case Study of Singapore’s Kampong
Glam.” PhD thesis, National University of Singapore, 2009.
Taylor, Paul Michael. “A Collector and His Museum: William Louis Abbott (1860-1936) and the
Smithsonian.” In Treasure Hunting?, edited by Reimer Schefold and Han F. Vermeulen. Leiden:
CNWS, 2002.
Ting, Kennie. Heritage. Singapore Chronicles. Singapore: Institute of Policy Studies : Straits Times Press
Pte Ltd, 2015.
———. “Museums in Singapore: A Short History.” MUSE SG 8, no. 2 (2015): 18–25.
Tourism 21. Vision of a Tourism Capital. Singapore: URA Media Division, 1996.
Vergo, Peter, ed. The New Museology. London: Reaktion Books, 1989.
Wu, Dai-rong. “Cultural Hegemony in Museum World,” 2006.
Yeo, George. “Importance of Heritage and Identity.” In Speeches: A Bimonthly Selections of Ministers
Speeches, Vol. 131. Singapore: Ministry of Communications and Information, 1989.
Yeoh, Brenda, and Lily Kong. The Politics of Landscapes in Singapore: Constructions Of “nation.” 1st ed.
Space, Place, and Society. Syracuse: Syracuse University Press, 2003.
123
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
124
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P1-R1-03
วีถีคนอีสานและการเปลี่ยนผ่าน
ประเพณี บุ ญ บั ง้ ไฟ (ชุ ม ชนลุ่ ม น้า ชี
อาเภอเขื่ องใน จั ง หวั ด อุ บ ลราชธานี )
ชุลีพร ทวีศรี
สาขาประวัติศาสตร์ โปรแกรมสังคมศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
125
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ประเพณีบุญบั้งไฟ
เมื่อกล่าวถึงงานบุญของภาคอีสาน(ตะวันออกเฉียงเหนือ)ของประเทศไทย มีหลายงานบุญทีค่ นต่างถิ่น
โดยเฉพาะนักท่องเทีย่ วทัง้ ชาวไทยและชาวต่างชาติรจู้ กั กันอย่างแพร่หลาย เช่น จะเป็ นงานวันเข้าพรรษา งานบุญ
พระเวส งานแห่เรือไฟ (ไหลเรือไฟ) งานบูชาพระธาตุพนม งานบุญบัง้ ไฟ เป็ นต้น งานบุญชาวอีสานมีตลอดปี ซง่ึ
เป็ นไปตามวิถปี ฏิบตั ฮิ ตี สิบสอง ซึ่งหากทาความเข้าใจจะเห็นภาพสะท้อนเรื่องของวิถีชวี ติ ของชาวบ้านในแต่ละ
พืน้ ทีไ่ ด้เป็ นอย่างดี โดยเฉพาะประเพณีบุญบัง้ ไฟ ทีน่ าเอาความเชื่อดัง้ เดิมมาประยุกต์กบั วิถอี าชีพของตนเองจน
ก่อให้เกิดวิถปี ฏิบตั ขิ น้ึ มา งานบุญบัง้ ไฟ สาหรับบุคคลโดยทัวไปมั
่ กนึกถึงจังหวัดยโสธร หรือเข้าใจว่าต้นกาเนิดอยู่
ทีจ่ งั หวัดยโสธร ซึง่ ไม่น่าแปลกเท่าไรนักเพราะบุญบัง้ ไฟถูกสร้างให้กลายเป็ นงานบุญ/ประเพณีประจาปี ข องชาว
ยโสธรมา 3-4 ศตวรรษแล้ว โดยภาครัฐผ่านการท่องเที่ยวอีกด้วย บุญบัง้ ไฟถูกเชื่อมโยงเข้ากับความเชื่อตาม
พุทธคติชาวอีสานเรื่องของพญาคันคาก, ผาแดงนางไอ่ โดยมีเป้ าหมายเพื่อส่งสัญญาณเตือนพญาแถนส่งฝนลง
มาให้แก่มนุ ษย์เมื่อถึงฤดูกาลเพาะปลูกในช่วงเวลาเดียวกันของทุ กปี แท้จริงแล้วบุญบัง้ ไฟ คือบุญทีอ่ ยู่ใน ฮีตสิบ
สองของชาวอีสาน เป็ นบุญทีถ่ ูกจัดขึน้ ในเดือนหกและในปั จจุบนั ได้กลายเป็ นบุญประจาปี ของหลายๆ พืน้ ทีใ่ นภาค
อีสานของประเทศไทย โดยเฉพาะชุมชนของคนลุ่มน้ าชี ตัง้ แต่จงั หวัดยโสธร ร้อยเอ็ด มหาสารคามและจังหวัด
อุบลราชธานี
ฮีตสิบสอง หรือ จารีตสิบสองเดือนของชาวอีสานทีย่ ดึ ถือเป็ นแนวทางปฏิบตั ริ ่วมกับการดารงชีวติ ตนเอง
ฮีตสิบสองเสมือนเป็ นเครื่องมือของการจัดการสังคมของชาวอีสานเกีย่ วข้องกับความสัมพันธ์ของคนในชุมชนให้ได้
มีโอกาสทาบุญหรือกิจกรรมร่วมกันทุกเดือน เว้นจากงานหลัก มาร่วมทาบุ ญกันก่อให้เกิดความใกล้ชดิ ช่วยเหลือ
กัน ได้ทากิจกรรมร่วมกันผ่านงานบุญ จนกลายเป็ นแนวทางปฏิบตั ทิ ช่ี าวบ้านร่วมมือร่วมใจกันอย่างเคร่งครัด ทา
ให้ผคู้ นในชุมชนเกิดความรักสามัคคี การเอือ้ เฟื้ อ การพึง่ พาอาศัยทัง้ ทางตรงทางอ้อม มีความสาคัญอย่างมากและ
126
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
127
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
128
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ลักษณะของกิจกรรมในปั จจุบนั คือ การนาบัง้ ไฟทีท่ าขึน้ โดยชาวบ้านแต่ละคุม้ (ชุมชน/หมู่บ้ าน) เกวียน
หรือรถเข็น แห่ไปวัดในชุมชนของตนเอง และแห่รอบวัดอีกครัง้ ในขบวนประกอบไปด้วย นางรา ก ลองยาว
โปงลาง การล้อเลียนเรื่องลามกอนาจาร เรื่องเพศ เพราะมีความเชื่อว่าเทวดาหรือเทพโปรดป ราน ซึ่งหมายถึง
ความอุดมสมบรูณ์ เพราะบุญบัง้ ไฟคือพิธกี รรมที่เกีย่ วข้องกับวิถชี วี ติ และอาชีพของชาวอีสาน ดังนัน้ ความมุ่งหมาย
ของพิธกี รรมบุญบัง้ ไฟจึงถูกสร้างขึน้ มาเพื่อขอฝนตามคติความเชื่อของคนในท้องถิน่ ให้ตกตามฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม ในความเป็ นจริงตลอด 3-4 ทศวรรษทีผ่ ่านมา บุญบัง้ ไฟของชาวอีสานไม่ได้มคี วามสาคัญ
แค่การขอฝนเพียงเท่านัน้ เพราะยังมีงานบุญอื่นๆ ถูกจัดขึน้ ในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น บุญผ้าป่ า บุญบวช บุญกฐิน
เป็ นต้น ซึ่งเป็ นบุญทีถ่ ูกจัดมาแล้วหรือยังไม่ได้จดั ก็มกั จะถูกจัดขึน้ ในช่วงนี้ เรียกว่าเป็ นการ โฮมบุญ (รวมบุญ)
ด้วยเหตุน้จี งึ ทาให้ชาวอีสานทีอ่ อกไปทางานต่างถิน่ ถือโอกาสลางานกลับบ้านเกิดเพื่อร่วมงานประจาปี ในช่วงเวลา
นี้เป็ นจานวนมาก โดยทัวไป ่ บุญบัง้ ไฟจะจัดขึน้ ใช้เวลา 2-3 วัน (แล้วแต่ทอ้ งถิน่ กาหนด) อย่างเช่น หมู่บา้ นโพน
ทอง อาเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ก็จะจัด 3-4 วัน ซึง่ เป็ นการ โฮมบุญ ในปั จจุบนั ระยะเวลาจัดก็ลดน้อยลง
ตามสภาวการณ์ โดยแบ่งเป็ น
วันที1่ รับขบวนผ้าป่ า (รับญาติ)
- แห่ผา้ ป่ า คือ คนทีไ่ ปทางานต่างถิน่ จะนาเงินทีร่ วบรวมกันมาตามจิตศรัทธามาถวายวัด และโรงเรียน
- บุญบวช แห่นาค
- กลางคืนมีการเลีย้ งต้อนรับ โดยจัดมหรสพ เช่น ประกวดนางงาม และจ้างคณะหมอลา หรือโปงลาง
เป็ นต้น
วันที่ 2 แห่บงั ้ ไฟ
- ให้ทุกคุ้มนาบัง้ ไฟของตนเองมาแห่ในวัดของหมู่บ้าน ขบวนแห่ประกอบไปด้วย แถวนางราเซิ้ง
โปงลาง กลองยาว
- กลางคืนมีการแสดงของคณะหมอลา
วันที่ 3 จุดบัง้ ไฟ
- นาบัง้ ไฟไปรวมพลที่ฮา้ งบัง้ ไฟ (ที่จุดบัง้ ไฟ) ตลอดทัง้ วัน ประกอบกับจ้างคณะหมอลาซิง่ มาแสดง
เพื่อเพิม่ สีสนั ให้งาน
วันที่ 4 ส่งคณะผ้าป่ ากลับไปทางาน
129
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
รู ปที่ 4 รถแห่บั้งไฟ
ที่มา: งานประเพณีบุญบั้งไฟประจาปี 2557, (http://kudchompu.go.th/).
รู ปที่ 5 ขบวนแห่บั้งไฟ
ที่มา: ภาพโดยผู ้เขียน, 5 พฤษภาคม 2558
130
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
131
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
132
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
อ้ำงอิง
จารุบุตร เรืองสุวรรณ. ม.ป.ป. ของดีอสี าน. ม.ป.ท.
อ้ำงอิงรู ปภำพ
http//.cyberspaceandtime.com, บุญบัง้ ไฟ บ้านเสียม อ.เขือ่ งใน จ.อุบลฯ
http//.blogspot.com, งานบุญบัง้ ไฟบ้านชีทวน
http://kudchompu.go.th/, งานประเพณีบุญบัง้ ไฟประจาปี 2557
133
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
134
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D2-P5-R3-02
ร้านมามัก-มาเลเซี ย
พื้ น ที่ ของการต่ อ รองทางอั ต ลั ก ษณ์
ระหว่ า งชาติ พั น ธุ์ ใ นมาเลเซี ย
ญาณิน วงค์ใหม่
นักวิจัยอิสระ
135
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
บทความนี้เป็ นงานที่ทาการศึกษาเกี่ยวกับร้านมามัก (Kedai Mamak หรือ Gerai Mamak) ในแง่ของ
“พืน้ ที”่ อันเป็ นผลมาจากการประกอบสร้างสังคมมาเลเซียเชิงพหุสงั คมวัฒนธรรม (Multi-cultural Society) นัน่ คือ
เป็ นสังคมที่มสี ่วนผสมของวัฒนธรรมอันหลากหลายระหว่างผู้คนที่หลากหลายชาติพนั ธุ์ ศาสนา และความเชื่อ
โดยเฉพาะหลังจากปี 1970 ทีเ่ กิดความเปลีย่ นแปลงในสังคมมาเลเซียอย่างเห็นได้ชดั เพราะรัฐบาลได้สนับสนุ นให้
ทุกๆชาติพนั ธุเ์ ข้ามามีปฏิสมั พันธ์ระหว่างกันให้มากขึน้ ตามนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Policy) รวม
ไปถึงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศอันนาพาไปสู่การเกิดขึน้ เกิดชนชัน้ กลางใหม่ในเมืองใหญ่ๆ กลุ่มคน
เหล่านี้มรี ปู แบบวิถชี วี ติ แบบใหม่และรสนิยมทีต่ ่างจากเดิม เช่น นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน เป็ นต้น
จึงไม่น่าแปลกใจว่าในช่วงหลายสิบปี ทผ่ี ่านมา ร้านมามักเป็ นตัวเลือกทีน่ ่ าสนใจสาหรับทุกกลุ่ม (มาเลย์
จีน อินเดีย และอื่นๆ) รูปแบบของร้านมามักถูกออกแบบให้เป็ นพืน้ ที่ทด่ี งึ ดูดให้ผคู้ นเข้ามาใช้บริการเพราะมีทาเล
ทีต่ งั ้ ร้านอยู่ในย่านชุมชนและย่านธุรกิจ ผูค้ นสามารถใช้เป็ นทีพ่ บปะ กิน ดื่ม ได้ตลอด 24 ชัวโมง
่ อีกทัง้ มีเมนูทม่ี ี
ราคาไม่แพงและมีความหลากหลาย เหมาะทัง้ สาหรับสังสรรค์ในกลุ่มของตนและระหว่างกลุ่มชาติพนั ธุ์ มุสลิมก็จะ
ไม่ ต้อ งกัง วลเกี่ย วกับ อาหารที่ไ ม่ ฮาลาล (ไม่ เ ป็ น ที่อ นุ ม ัติต ามหลัก การทางศาสนาอิสลาม) หรือ คนอิน เดีย ที่
รับประทานอาหารมังสวิรตั กิ ส็ ามารถเข้ามาใช้บริการได้เพราะมีขายมังสวิรตั ทิ ห่ี ลากชนิด
หากมองอย่างคร่าวๆแล้ว ร้านมามักเปรียบเสมือนพืน้ ทีท่ ส่ี ะท้อนเอกภาพของสังคมมาเลเซีย (Malaysian
Unity) ทีม่ ปี ระชากรหลากหลายสามารถอยู่อาศัยร่วมกันได้ แต่หากพิจารณาจากองค์ประกอบหลายๆด้านแล้วเรา
จะเห็นได้ว่าพื้นที่ของร้านมามักเป็ นพื้นที่ของการสร้างอัตลักษณ์ของคนกลุ่มต่างๆเพื่อการต่อรองกับอัตลักษณ์
กระแสหลักในมาเลเซีย ทัง้ ในแง่อตั ลักษณ์ทางชาติพนั ธุแ์ ละอัตลักษณ์ทางศาสนา (อธิบายต่อไปในภายหลัง)
คาถามของบทความชิน้ นี้คอื 1.ทาไมร้านมามักจึงถูกสร้างขึน้ มาในฐานะพืน้ ทีส่ าหรับทุกกลุ่มชาติพนั ธุ์ 2.
ด้วยบริบทอะไรที่ทาให้ร้านมามักเป็ นที่นิยมในสังคมมาเลเซีย และ 3. กลุ่มชาติพนั ธุอ์ ่นื ๆใช้ร้านมามักเป็ นพืน้ ที่
สร้างอัตลักษณ์ย่อยทีบ่ ่งบอกถึงความเป็ นกลุ่มชาติพนั ธุต์ นอย่างไร
บทความชิน้ นี้เสนอว่า การเติบโตของร้านมามักซึง่ เป็ นผลมาจากความสาเร็จในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ตัง้ แต่ปี 1970 ร้านมามักส่วนมากจะพบได้ในกัวลาลัมเปอร์และปี นัง อันเป็ นสองเมืองทีถ่ ูกพัฒนาให้มลี กั ษณะเป็ น
เมืองใหญ่ของคาบสมุทรมาเลเซีย และมีความหลากหลายของผูค้ นในแง่ของชาติพนั ธุแ์ ละศาสนาต่างๆทีอ่ าศัยอยู่
ร่วมกันมากกว่ารัฐอื่นๆในประเทศมาเลเซีย ร้านมามักจึงเป็ นพืน้ ที่ทส่ี ามารถตอบสนองปฎิสมั พันธ์เมื่อต้องมีการ
พบปะระหว่างกลุ่ม แม้ว่าร้านมามักจะเน้นขายอาหารทีม่ อี ทิ ธิพลมาจากอาหารอินเดีย เพราะเจ้าของกิจการและคน
ทาอาหารส่วนมากจะเป็ นคนมาเลเซียเชือ้ สายอินเดียทีน่ ับถือศาสนาอิสลาม แต่เราก็จะไม่สามารถพบ “อาหารมา
มัก” ได้ในประเทศอินเดีย เพราะอาหารในร้านมามักก็จะถูกสรรค์สร้างออกมาในลักษณะของลูกผสมระหว่างอาหาร
อินเดียและอาหารกลุ่มชาติพ ันธุ์ อ่นื ที่รสชาติถูกปรับให้เข้ากับรสสัมผัสการรับรู้ข องคนมาเลเซีย ดังนัน้ การ
รับประทานอาหารในร้านมามักจึงสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมทีค่ นมาเลเซียมีต่อกัน และใน
รูปแบบความสัมพันธ์ดงั กล่าวมีสว่ นทีผ่ สมผสานกันและส่วนทีต่ ่อรองซึง่ กันและกัน
136
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ปี นัง: จุ ดเริ่มต้นของร้ำนมำมัก
นับตัง้ แต่ ปลายคริสศตวรรษที่ 18 เมื่อสุลต่ านเคดะห์ท าสัญญากับจักวรรดิองั กฤษเพื่อ เช่า เกาะปี นัง
ภายใต้การบริหารงานของจักรวรรดิองั กฤษ ซึง่ นาโดย Sir Francis Light ทาให้ปีนงั ถูกพัฒนาเป็ นเมืองท่าหนึ่งของ
กลุ่ ม Straits Settlements เป็ น ผลให้เ กิดการหลัง่ ไหลเข้ามาของแรงงานจากนอกคาบสมุท ร เช่ น จีน อิน เดีย
อินโดนีเซีย และอื่นๆ หลากหลายระดับเข้ามาทางานบนเกาะปี นัง เป็ นจานวนมากตัง้ แต่กลุ่มแรงงานไปจนถึง
เจ้าของกิจการ
138
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
139
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
140
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
141
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
พหุวัฒนธรรมในร้ำนมำมัก
ร้านมามัก มีบทบาทในแง่เป็ น “พื้นที่เปิ ด ” (Open access) ที่ทุกชาติพนั ธุ์สามารถมาร่วมพบปะดื่มกิน
ร่วมกันได้ และแม้ว่าร้านมามักจะขายแต่อาหารทีฮ่ าลาล ร้านมามักก็ยงั เป็ นพืน้ ทีท่ ด่ี งึ ดู ดผูค้ นให้เข้ามาใช้บริการที่
ไม่จากัดแต่กลุ่มชาติพนั ธุม์ ลายู กล่าวคือ
ความสัมพันธ์ระหว่างผู ้คนในร้านมามัก
วิถีชวี ติ ของคนมาเลเซียในทางหนึ่งก็ได้ถูกกาหนดด้วยความเป็ นกลุ่มก้อนทางชาติพนั ธ์และวัฒนธรรม
โดยพื้น ที่สาธราณะ (Public Space) คนมาเลย์จ ะมีแนวโน้ ม รู้สึกผ่ อ นคลายเมื่อ อยู่ในภาวะที่ต้องตอบรับสิง่ ที่
สัมพันธ์กบั ความเป็ นมาเลย์ ขณะทีค่ นอินเดียและคนจีน จะรูส้ กึ สะดวกสบายใจเมื่ออยู่ในวัฒนธรรมเฉพาะของกลุ่ม
ตน (Tang Hoay Nee and Tareef Hayat Khan 2010, p.203) จากคากล่าวอ้างในข้างต้นก็มสี ่วนทีเ่ ป็ นจริงอยู่ไม่
น้อย เพราะเราจะเห็นว่าในมาเลเซียคนจีนหรือคนอินเดียเมื่อรวมกลุ่มกันก็จะสื่อสารกันด้วยภาษาของตน ขณะที่
คนมลายูกจ็ ะต้องมีวธิ กี ารดาเนินชีวติ โดยหลักๆอยู่บนพื้นฐานของวัฒนธรรมมลายูและศาสนาอิสลาม ในบริบท
ดังกล่าว จึงมีคาถามทีน่ ่าสนใจตามมาว่า ด้วยบริบทอะไรทีท่ าให้รา้ นมามักเป็ นพืน้ ทีท่ ท่ี ุกคนรูส้ กึ ว่าตนเองสามารถ
เข้ามาใช้บริการได้อย่างสบายใจ
ด้วยอัตลักษณ์ของร้านมามัก (ตัง้ แต่ยุคเริม่ ต้นทีเ่ ป็ นร้านหาบเร่) เป็ นพืน้ ทีร่ วบรวมความหลากหลายของ
อาหารทีข่ ายและลูกค้าทีเ่ ข้ามาใช้บริการ รวมไปถึงลักษณะทางกายภาพของร้านมามักเองได้สร้างบรรยากาศที่ทา
ให้ทุกคนรูส้ กึ ว่าสามารถเข้าร้านได้ตลอด 24 ชัวโมง
่ รูปแบบของร้านทีจ่ ะต้องอยู่ตรงมุมของอาคารทีม่ กี ารเปิ ดผนัง
มากกว่าสองด้านช่วยทาให้ลกู ค้าเข้าถึงร้านด้วยความรูส้ กึ โล่งสบายของตัวร้าน มีพน้ื ทีใ่ ห้เลือกทีจ่ ะนังทั่ ง้ ในร่มและ
กลางแจ้ง ซึ่งความไม่เป็ นทางการ (Casual) การเข้ามาใช้บริการแต่ละครัง้ ก็สามารถนัง่ ภายในร้านได้เป็ นเป็ น
เวลานาน กินอาหารได้ในราคาไม่แ พงและลูกค้ามีความรู้สกึ คุ้มกับการเสียเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการ จึงเป็ น
เหตุผลสาคัญทีด่ งึ ดูดให้คนมารับประทานอาหารทีร่ า้ นมามัก และทาให้รา้ นมามักประสบความสาเร็จมากกว่าร้าน
โกปี้ เตี่ยมทีบ่ รรยากาศค่อนไปทางการพูดคุยทีค่ ่อนข้างจริงจัง มีขอ้ มูลทีน่ ่ าสนใจแสดงให้เห็ นถึงลูกค้าทีเ่ ข้ามาใช้
บริการร้านมามักในกัวลาลัมเปอร์ กลุ่มใหญ่ท่สี ุด คือ กลุ่มคนจีน 46 เปอร์เซ็นต์ คนมาเลย์ 38.5 เปอร์เซ็นต์ คน
อินเดีย 8.2 เปอร์เซ็นต์ และ อื่นๆ 4.2 เปอร์เซ็นต์ (Katina Abu Bakar and Abdul Ghani Farinda 2012, p.6)
จึงสามารถวิเคราะห์ได้ว่า กลุ่มผูเ้ ข้าใช้บริการของร้านมามักกลุ่มใหญ่ทส่ี ุดเป็ นคนจีน รองลงมาคือ คน
มาเลย์ ตามด้วยคนอินเดียและอื่นๆ แสดงว่าร้านมามักสามารถดึงดูดกลุ่มคนจีน (ซึง่ ไม่ใช่มุสลิม) แม้ว่ากลุ่มมาเลย์
จะเป็ นกลุ่มลูกค้ารองลงมา แต่รา้ นมามักก็ประสบความสาเร็จในการได้ลูกค้ามาเลย์มุ สลิมจากคู่แข่งร้านอาหารฮา
ลาลประเภทอื่นๆ ผูค้ นทีเ่ ข้ามาใช้บริการในร้านมามักยังมีส่วนในการสรรสร้างวัฒนธรรมมามักและต่อรองระหว่าง
วัฒนธรรมต่อกัน การสร้างภาษาใหม่ๆ อย่างคาว่า “Jom Mamak” (ไปมามัก) จึงหมายถึงการเชิญชวนระหว่าง
ผูค้ นทีส่ ่อื ถึงการไปสัมผัสถึงวัฒนธรรมผสมผสาน การต่อรองทางด้านอัตลักษณ์บนพืน้ ทีข่ องร้านมามักไม่ได้จากัด
อยู่แค่เพียงกลุ่มคนมาเลเซียเชือ้ สายทมิฬทีน่ ับถือศาสนาอิสลามเพียงเท่านัน้ จากการทาวิจยั เป็ นผูร้ ่วมสังเกตุของ
ผู้เขียนหนังสือบทความเกี่ยวกับร้านมามัก เรื่อง “Mamak, Anyone?” ได้บรรยายถึงการที่เข้าไปมีส่วนร่วมใน
บรรยากาศการพูดคุยเกีย่ วกับเรืองการเมืองมาเลเซียในกลุ่มคนทีป่ ระกอบไปด้วยคนมาเลย์ จีน อินเดีย ในร้านมา
142
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ความสัมพันธ์ระหว่างร้านมามักกับรัฐ
รัฐเข้ามาจัดการร้านมามักทัง้ ทางอ้อมและทางตรง กล่าวคือ (1) การใช้อานาจทางอ้อมอันจะเห็นได้จาก
ความพยายามสร้างร้านมามักให้เห็นภาพแทนของสังคมมาเลเซียทีม่ เี อกภาพ และการใช้อานาจทางตรงเข้ามาจัด
ระบียบวิถแี ห่งชีวติ ของคนมาเลเซียให้เป็ นไปในทิศทางทีร่ ฐั กาหนด และ (2) มีทงั ้ การใช้อานาจโดยตรงให้รา้ นมา
มักที่ขายอาหารฮาลาลทุกร้านควรมีทศิ ทางร้านอาหารภายใต้นโยบายของรัฐ โดยเฉพาะจาก JAKIM (Jabatan
Kemajuan Islam Malaysia หรือ Department of Islamic Development)
แต่นับตัง้ แต่ประเทศมาเลเซียได้รบั เอกราชในปี 1957 เป็ นต้นมา รัฐบาลในทุกยุคก็ต่างเน้นย้าถึงความ
เป็ นเอกภาพของสังคมมาเลเซีย (Malaysian Unity) ดังทีไ่ ด้กล่าวในข้างต้นจาก นโยบาย New Economic Policy
1970 และ New Cultural Policy 1971 ในยุคของนายกรัฐมนตรีตุน อับดุล ราซัค มาจนถึงยุคของนายกรัฐมนตรีนา
จิบ ราซัค ก็ได้ประกาศนโยบาย One Malaysia ในปี 2009 เพื่อย้าภาพลักษณ์ ความเป็ นหนึ่งเดียวกันในสังคม
ท่ า มกลางความหลากหลาย เพื่อ ที่จ ะสามารถผลักดัน ประเทศไปในทางที่ก้า วหน้ า ภายใต้เ งื่อ นไขนี้ รัฐบาล
มาเลเซียในยุคสมัยต่างๆ ได้นาองค์ประกอบย่อยต่างๆในสังคม เข้ามาทาหน้าทีเ่ ชื่อมโยงส่วนซึง่ กันและกันเพื่อให้
เข้ามารวมอยู่ในภาพเดียว นัน่ คือ ผู้คนต่ างวัฒนธรรมสามารถมานัง่ กินอาหารร่วมกันได้เพราะมาเลเซียเป็ น
ประเทศที่มเี อกภาพ แม้ว่าร้านมามักไม่ได้ถูกให้ความหมายจากรัฐโดยตรงว่าร้านมามักเป็ นภาพแทนอย่างเป็ น
ทางการ เพราะร้านมามักได้พฒ ั นาตัวเองโดยการดาเนินการโดยชาวทมิฬมุสลิมได้พฒ ั นาร้านอาหารของตนมาจาก
การปรับตัวให้เข้ากับบริบทของความเป็ นพหุสงั คมวัฒนธรรมในประเทศมาเลเซีย แต่ในการรับรูข้ องคนมาเลเซียที่
ถ่ายทอดออกมาสู่สงั คมก็แสดงให้เห็นว่าคนมาเลเซียตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันบนความหลากหลาย จะเห็นได้ว่า
ภายในระยะเวลาไม่กป่ี ี มีการสื่อถึงร้านมามักในเชิงความเป็ นชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น เมนูเด็ดของ
ร้านมามักอย่าง “นาซิกนั ดา” ถูกจัดให้เป็ น “อาหารมาเลเซียทีแ่ ท้จริง” (A truly Malaysian dish) (Chin 2006) หรือ
มีการเรียกนาซิกนั ดาว่า เป็ นอาหารมาเลเซียดัง้ เดิม (Malaysian Original) รวมถึงควรยกนาซิกนั ดาให้เป็ นทีห่ นึ่ง
ในบรรดาอาหารมาเลเซีย (Number one item in any original Malaysian food list) (The star archive 2009) การ
143
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
144
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
จึงสามารถกล่าวได้ว่า นับตัง้ แต่ปีปี 1970 ทีร่ ฐั บาลมาเลเซียได้ผลัก ดันนโยบายอภิสทิ ธิพิ์ เศษ (Speical
Privileges) แก่คนมลายูในการเป็ นภูมบิ ุตรให้เป็ นรูปธรรมากขึน้ ขณะเดียวกันรัฐบาลมาเลเซียก็จาเป็ นต้องสร้าง
ความทรงจาให้กลุ่มชาติพนั ธุต์ ่างๆในมาเลเซียรูส้ กึ ว่ากลุ่มตนไม่ได้ถูกช่วงชิงสิทธิบางอย่างไป รัฐบาลจึงพยายาม
ส่งเสริมพื้นที่ อันเป็ นพื้นที่ทเ่ี ปิ ดให้ผคู้ นสามารถมารวมตัวกัน และเป็ นพืน้ ทีท่ ม่ี สี ่วนผสมของวัฒนธรรมจากกลุ่ม
ชาติพนั ธุ์ต่างๆอย่างลงตัว ได้เพื่อเป็ นภาพแทนถึงเอกภาพของสังคมมาเลเซีย แม้ว่าในแรกเริม่ นัน้ ร้านมามักได้
พัฒนาตัวเองจากร้านอาหารข้างทาง แต่ดว้ ยความทีโ่ ดยลักษณะของร้านมามักทีเ่ ป็ นพืน้ ทีแ่ ห่งความหลากหลาย
และสามารถปรับตัวให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง ร้านมามักจึงกลายเป็ นภาพ
แทนของความมีเอกภาพในประเทศในลักษณะอย่างไม่เป็ นทางการ เพื่อเน้ นย้าถึงนโยบายความเป็ นเป็ นพหุ
วัฒนธรรมของรัฐบาลมาเลเซีย
ร้ำนมำมักและพืน้ ที่ของกำรต่อรองทำงอัตลักษณ์
ตามทีน่ ายกรัฐมนตรีตุน อับดุล ราซัค ได้เน้นย้าถึง “พหุนิยม”, “สมดุล”, “ให้และรับ” เป็ นกลยุทธ์ในการ
สร้างกลุ่มก้อนความเป็ นชาติ สิทธิพลเมือง และการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของรัฐ (Cheah Boon
Kheng, 2002, p. 124) นโยบายเศรษฐกิจ ใหม่ มีส่ว นสาคัญ ในการสร้า งชาติม าเลเซีย สมัย ใหม่ ชาติด ัง กล่ า ว
ประกอบไปด้วยผูค้ นจากหลากหลายชาติพนั ธุแ์ ละวัฒนธรรมมาอาศัยอยู่รวมกัน แต่ในขณะเดียวกันรัฐก็ใช้กลไก
ทางด้านนโยบายทางการเมืองทีเ่ น้นว่าในสังคมมาเลเซียมีกลุ่มทีเ่ ป็ นภูมบิ ุตรและกลุ่มทีไ่ ม่ใช่ภูมบิ ุตร และศาสนา
อิสลามเป็ นศาสนาประจาชาติ
ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่า รัฐบาลมาเลเซียมีความพยายามที่จะทาให้ศาสนาอิสลามมีความเป็ น
มาตรฐานเดียวกันตามนโยบายของรัฐ ในทางหนึ่งก็เป็ นการลดทอนความเชื่อทางศาสนาอิสลามทางกลุ่มมุสลิมที่
ไม่ใช่คนมลายู กล่าวคือ กลุ่มมาเลเซียเชือ้ สายอินเดีย ปากีสถาน และบังกาเทศทีน่ บั ถือศาสนาอิสลามและอาศัยอยู่
ในมาเลเซีย จะมีความเชื่อว่าเลข “786” หมายถึง “บิสมิลลาฮฺฯ” แต่ความเชื่อดังกล่าวก็ไม่เป็ นทีย่ อมรับในหมู่คน
มาเลย์ทส่ี ่วนมากนับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนหนี่ชาฟิ อี เพราะคัมภีรอ์ ลั กุรอ่านไม่มกี ารกล่า วถึงตัวเลข 786 ซึง่
ท่ามกลางความสับสนนี้ ก็มกี ลุ่มมาเลย์มุสลิมบางส่วนแสดงความคิดเห็นว่า การทีต่ วั เลข 786 ไม่มที ม่ี าทีไ่ ปชัดเจน
นัน้ อาจจะมีการแฝงในนัยของความเชื่อทางศาสนาฮินดูมากับตัวเลขดังกล่าว (Duruz and Cheng Khoo 2015,
p.79) ดัง ที่มีมุ ส ลิม บางส่ ว นแสดงความเห็น ว่ า ตัว เลข 786 มีพ้ืน ฐานมาจากคาถาศาสนาฮิน ดู เ พื่อ การบู ช า
พระกฤษณะ และคนอินเดียมุสลิมได้รบั วัฒนธรรม 786 มาอย่างไม่มคี วามเข้าใจ ซึ่งขัดต่อหลักการทางศาสนา
อิสลามทีห่ า้ มให้มกี ารเคารพบูชาพระเจ้าองค์อ่นื นอกเหนือจากอัลเลาะห์ นอกจากนี้ ความเชื่อด้านศาสนาอิสลาม
ของประเทศมาเลเซียมีแ นวโน้ มเชื่อการวิฉัยทางศาสนาไปทางเดียวกับ ประเทศทางตะวันออกกลาง ดังเช่ น
Muhammad Al-Munajjid (นักวินิจฉัยและตีความด้านศาสนาอิสลามชาวซาอุดอิ าระเบีย) กล่าวว่า “อัลเลาะห์และ
เหล่าบรรดารอซูลทัง้ หลายได้สอนพวกเราถึงสิง่ ทีช่ ดั แจ้งและเป็ นความจริง ไม่ใ ช่ผ่านการเล่นต่อคาทีท่ าให้มคี วาม
งงงวยและรหัสที่เป็ นความลับ ” ดังนัน้ การสร้างความเข้าใจว่า 786 นัน้ ไม่ถูกต้องตามหลักการศาสนาอิสลามที่
แท้จริง เป็ นการเน้นย้าถึง Malaysia’s Islamic brand เหนือกลุ่มคนมุสลิมทีม่ คี วามเชื่อในศาสนาอิสลามสาขาอื่นๆ
ในประเทศมาเลเซีย แม้ว่าร้านมามักร้านนัน้ จะได้ตรารับรองฮาลาล แต่การรับรองฮาลาลไม่ได้มาจาก JAKIM ก็ถอื
ว่าเป็ นโมษะ (Wartawan Sinar Harian 2012)
ณ จุดเปลีย่ นผ่านทีเ่ ห็นได้ชดั ของสังคมมาเลเซียหลังจากปี 1970 ชาวทมิฬมาเลเซียจะต้องเลือกระหว่าง
การเข้าไปเป็ นส่วนหนึ่งของ “มาเลย์” หรือ เลือกที่จะรักษาอัตลักษณ์ ของตนไว้ ชาวทมิฬมาเลเซียบางส่วนที่
145
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
สรุ ป
ตัง้ แต่ยุคต้นคริสต์ศตวรรรษที่ 20 เป็ นต้นมา ร้านมามักเป็ นที่ทส่ี ามารถตอบสนองลูกค้าหลากชาติพนั ธุ์
และมีอาหารทีผ่ สมกันระหว่างวัฒนธรรม เมื่อสภาพบริบททางเศรษฐกิจของสังคมมาเลเซียเปลี่ ยนไปโดยฌฉพาะ
หลังปี 1970 ทีร่ ฐั บาลมาเลเซียพยายามนาเสนอภาพความมีเอกภาพบนความหลากหลายของมาเลเซียรวมไปถึง
บริบทการเติบโตทางเศรษฐกิจและนโยบายวัฒนธรรมแห่งชาติของรัฐบาลมาเลเซีย ความนิยมในร้านมามักใน
ฐานะพืน้ ทีท่ ส่ี ามารถตอบสนองความต้องการบริโภคในทุกชนชัน้ ช่วงวัย และชาติพนั ธุ์ จึงเริม่ แพร่หลายมากขึน้
เพราะด้วยตัวร้านมามักก็ได้ปรับรูปแบบของบริการ อาหาร ให้เข้ากับบริ บทดังกล่าวเพื่อให้เป็ นที่ทผ่ี ู้คนทุกกลุ่ม
อยากเข้ามาใช้บริการอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ โดยเฉพาะสองเมืองใหญ่อย่างปี นังและกัวลาลัมเปอร์ทป่ี ระกอบไป
ด้วยผู้คนที่หลากหลายชาติพนั ธุ์และมีการปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมมากกว่าพื้นที่ในชนบทที่ผู้คนยังค่อนข้าง
รวมกลุ่มอยู่ในวัฒนธรรมของตน แม้ว่าร้านมามักถูกให้ความหมายว่าเป็ นภาพแทน “เอกภาพของสังคมมาเลเซีย”
อย่างไม่เป็ นทางการ แต่ในทางปฎิบตั แิ ล้ว “พื้นที่” ของร้านมามักมีทงั ้ ส่วนที่ท งั ้ สอดคล้องกับความพยายามทีจ่ ะ
เสนอภาพความเป็ นเอกภาพของสังคมโดยรัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็มคี วามขัดแย้งกับภาพลักษณ์ ความมีเอกภาพ
146
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
รำยกำรอ้ำงอิง
เอกสารภาษาไทย
หนังสือ
บาร์บารา วัตสัน อันดายา และ ลิโอนาร์ด วาย. อันดายา. 2549. ประวัตศิ าสตร์มาเลเซีย. กรุงเทพ: มูลนิธติ ารา
สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
เว็บไต ์
พูนผล โควิบรู ณ์ชยั . 2556. การต่อรองเชิงอานาจและการเปลีย่ นแปลงความหมายของผัดไทย: จากเมนูชาตินิยมสู่
อาหารไทยยอดนิยม. http://www.lc.mahidol.ac.th/lcjournal/FullPaper/JLC32-2-Poonpon-KW.pdf.
(สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2559)
วัชรพล พุทธรักษา. ม.ป.ป. แนวความคิดการครองอานาจนาของกรัมชี:่ บททดลองเสนอในการอธิบาย
ปรากฏการณ์ทางการเมืองไทย. https://www.academia.edu/518933/แนวความคิดการครองอานาจนา
ของกรัมชีบ่ ททดลองเสนอในการอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองไทย (สืบค้นเมื่อ 14 เมษายน 2559)
เอกสารภาษาอังกฤษ
Book
Cheah Boon Kheng. 2002. Malaysia: The Making of a Nation. Singapore: Institute of Southeast
Asian Studies.
Jean Duruz and Gaik Cheng Khoo. 2015. Mamak Anyone? in Eating Together: Food, Space,
and Identity in Malaysia and Singapore, Ken Albala, editor. pp. 67-94. Maryland:
Rowman & Littlefield.
Judith Nagata. 1193. Religion and Ethnicity among the Indian Muslims of Malaysia. in Indian
Communities in Southeast Asia, K. S. Sandhu and A. Mani, editor. pp. 513-540. Singapore:
Institute of Southeast Asian Studies.
E-Journal
James Hagan and Andrew Wells. 2005. The British and Rubber in Malaya, c1890-1940.
University of Wollongong Research Online - Papers Archive: 143-150.
http://ro.uow.edu.au/cgi/viewcontent.cgi?article=2648&context=artspapers
Katina Abu Bakar and Abdul Ghani Farinda. 2012. Consumers’ Attitude towards “Mamak” Food
in Malaysia. 3rd International Conference on Business and Economic Research -
Proceeding (March): 1-13.
http://eprints.um.edu.my/13972/1/088_285_PG1304_1316.pdf.
Noraziah Ali and Mohd Azlan Abdullah. 2012. The food consumption and eating behaviour of
Malaysian urbanites: Issues and concerns. Malaysian Journal of Society and Space 8
(6): 157-165. http://journalarticle.ukm.my/5608/1/14.geografia-sept%25202012-azlan-si-
ppspp-ed%2520am1.pdf
147
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
Tang Hoay Nee and Tareef Hayat Khan. 2012. Revisiting Strategies to enhance Social
Interaction in Urban Public Spaces in the context of Malaysia. British Journal of Arts and
Social Sciences. 8, No.2: 198-212.
http://www.bjournal.co.uk/paper/BJASS_8_2/BJASS_08_02_06.pdf.
Zarina Zawawi and Faisal Ibrahim. 2012. Jom Mamak! Examining the Role of Sociocultural and
Technological Determinants in a Local Pop-Culture Phenomenon. SEGi Review 5, No.
2 (December): 48-58. http://onlinereview.segi.edu.my/pdf/vol5-no2-art5.pdf.
Website
Chin. 2006. A Truly Malaysian Dish. http://e-malabari.my/history/kandar.htm (Accessed 10 April
2016)
Iqbaal Wazir. 2014. Why Mamak are so special in Malaysia?.
http://www.malaysiandigest.com/features/517000-why-mamak-stalls-are-so-special-in-
malaysia.html (Accessed 25 June 2016)
The Star Archives. 2009. Penang: Nasi kandar a Malaysian
original. http://www.thestar.com.my/story/?
file=%2F2009%2F9%2F26%2Fnation%2F4791064 (Accessed 25 June 2016)
Wartawan Sinar Harian. 2012. Sijil halal Jakim: Pasar raya, restoran mamak diberi amaran. http://
www.sinarharian.com.my/mobile/nasional/sijil-halal-jakim-pasar-raya-restoran-mamak-diberi-
amaran-1.36987 (Accessed 27 June 2016)
Patrick Pillai. 2015. “Mamak” and Malaysian: The Indian Muslim Quest for Identity. https://
bookshop.iseas.edu.sg/account/downloads/get/18330 (Accessed 26 June 2016)
148
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D2-P5-R3-01
การสร้างอัตลักษณ์ของเมืองบุ รีรัมย์
ในฐานะที่เป็ น “มหานครแห่งกีฬา”
ศึ ก ษาการบริ โ ภคสิ น ค้ า กี ฬ า
ฐากูร ข่าขันมะลี
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชี ยงใหม่
e-mail: thakhoon.boom@mail.com
149
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
บทความนี้เป็ นการนาเสนอถึงปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึน้ กับเมืองบุรรี มั ย์ ผ่านการบริโภค
สินค้ากีฬาที่ประกอบสร้างเป็ นอัตลักษณ์ ใหม่ใ ห้กบั จังหวัดบุรีรมั ย์จนได้ข้นึ ชื่อว่าเป็ น “มหานครแห่งกีฬา” แต่
กระบวนการดังกล่าวไม่ได้เป็ นเพียงสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ จากแฟนกีฬากับทีมกีฬาเท่านัน้ แต่หากเป็ น ปฏิบตั กิ ารของผูค้ นใน
จังหวัด ทีไ่ ด้เข้ามามีส่วนร่วมต่อการบริโภคสินค้ากีฬาทัง้ ในทางตรงและทางอ้อมหรือแม้กระทังการน ่ าความเป็ น
มหานครแห่งกีฬาไปผลิตซ้าเพื่อเป็ น การสร้างทุนในทางเศรษฐกิจ สังคม และ วัฒนธรรม เพื่อตอบสนองต่ อ
เป้ าหมายของตนเอง บทความนี้เป็ นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ปริญญาโท คณะสังคมศาสตร์ สาขาสังคมวิทยาและ
มานุ ษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่อง “การสร้างความหมายของเมืองบุรรี มั ย์ในฐานะ “มหานครแห่งกีฬา” ที่
มุ่งเน้นศึกษาถึงกระบวนการสร้างความหมายใหม่ให้กบั เมืองบุรรี มั ย์ เพราะในช่วง 6 - 7 ปี ทผ่ี ่านมาเมืองบุรรี มั ย์ถอื
ว่ามีความน่าสนใจสาหรับการศึกษาสังคมวิทยาเมืองเป็ นอย่างมาก
150
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
151
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
152
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
153
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
154
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
155
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
แข่งขันกีฬาอย่างมากมาย หลากหลายประเภท เช่น National Sports Festival ปี 1982 Pan American Games
ปี 1987 World Gymnastics Championships ปี 1991แ ล ะ The Final Four of the NCAA Men’s Basketball
Tournament ถึง 4 ปี ดว้ ยกันคือ ปี 1980 ปี 1991 ปี 1997 และปี 2000 เป็ นต้น จึงถือได้ว่าการนา “กีฬา” มาใช้เป็ น
เครื่องมือในการพัฒนาเมืองเป็ นผลสาเร็จ โดยโครงการ”กีฬา”ถูกนาเสนอให้ชุมชนท้องถิน่ รับรูว้ ่าคือ "ผลประโยชน์
ของประชาชน" (Public Interest) กลยุทธ์สาหรับการพัฒนากีฬาในทุกวันนี้ยงั คงนาเมืองอินเดียร์นาโปลิสเป็ น
หลักฐานความจริงในความสัมพันธ์ของ “เมือง” กับ “กีฬา” โดยผ่านการลงทุมมหาศาลกว่า 900 ล้านยูเอสดอลลาร์
(US$) เพื่อสร้างสนามกีฬาและโครงสร้างพืน้ ฐานด้านการท่องเทีย่ วทีข่ ยายตัวซึง่ จะเข้ามาแทนทีส่ ภาวะทีต่ กต่าของ
เศรษฐกิจในเมืองอินเดียร์นาโปลิสโดยใช้เวลาเพียงสองทศวรรษเท่านัน้ (Schimmel 2007, 63 อ้างใน Kimberly S.
Schimmel 2010)
จากการพัฒนาเมืองดังกล่าวได้ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อประเด็นเรื่องความสาเร็จจากการใช้จ่าย
จานวนเงินมหาศาลของทรัพยากรภาครัฐและเอกชนทีม่ กี ารลงทุนใน “กีฬา” แต่ผลประโยชน์ทเ่ี กิดจากการพัฒนา
เมืองยังไม่ได้ไหลลงหรือกระจายสู่ทวทุ
ั ่ กส่วนของประชากรในเมือง การปรากฏตัวของปรากฏการณ์ทงั ้ การเป็ น
เจ้าภาพมหกรรมกีฬาต่างๆการเกิดขึน้ ของสิง่ อานวยความสะดวกต่างๆ ยังไม่ได้ส่งผลต่อการขยายตัวของจานวน
ของงานใหม่ และเกิดผลเสียต่อประชากรทีอ่ าศัยอยู่ในใจกลางเมือง (Austrian and Rosentraub 2002, 63) ความ
ยากจนในหมู่ชนกลุ่มน้อยขยายตัวอย่างต่อเนื่องตลอดทัง้ ปี 1980 และในปี 1990 (Wilson 1996, 63)
จึงยังคงเป็ นประเด็นในการถกเถียงกันต่อไปว่าการทีช่ นชัน้ นาของท้องถิน่ ทัง้ ในภาครัฐและเอกชนทีแ่ สดง
ภาพลักษณ์ในฐานะของนักพัฒนาเพื่อสาธารณะประโยชน์ โดยการนา “กีฬา” มาใช้เพื่อทาการพัฒนาเมือง มีนยั ยะ
แอบแฝงอื่นใดหรือไม่ และผูท้ ไ่ี ด้รบั ประโยชน์จากการพัฒนาเมืองคือผูท้ เ่ี ป็ นประชาชนทุกชนชัน้ จริงหรือ โดยการ
นาแนวคิดเรื่องระบอบการปกครอง (Urban Regime Theory) เมืองมาใช้ในการพิจารณาบทบาทของชนชัน้ นา
ท้องถิน่ กับการพัฒนาเมือง ในบทความ “Political Economy Sport and Urban Development” มีงานของ Harvey
Molotch สนับสนุ นหลักการผ่านวิทยานิพนธ์ช่อื ว่า “The City as Growth Machine” หรือแปลเป็ นภาษาไทยได้ว่า
“เมืองในฐานะทีเ่ ป็ นเครื่องจักรของความเจริญ” ในงานชืน้ นี้ถงึ แม้จะเป็ นงานศึกษาทีเ่ ป็ นสังคมวิทยาเมืองโดยใช้วธิ ี
การศึกษาแบบสหวิทยาการ แต่กย็ งั ค่อนข้างมองแตกต่างไปจากทฤษฏีระบอบการปกครองเมือง (Urban Regime
Theory) เป็ นอย่างมาก เพราะ Harvey ไม่ได้เชื่อในบทบาทของชนชัน้ นาท้องถิ่นต่อการพัฒนาเมืองหรือแม้แต่
บทบาทของรัฐต่อการพัฒนาเมือง แต่เชื่อในการไหลหลังของความเจริ
่ ญอย่างทัวถึ
่ งภายในเมืองจากปั จจัยที่มี
ความสามารถอย่างอิสระในตัวของมันเอง
สรุปจากหัวข้อแนวคิดกีฬากับการพัฒนาเมือง (Sport and Urban Development) จะเห็นได้ว่าการพัฒนา
เมืองมีความสัมพันธ์ต่อประเด็นทางแนวคิดต่างๆเนื่องด้วยเมืองเป็ นจุดศูนย์รวมของความสัมพันธ์ทห่ี ลากหลาย
และซับซ้อน เมื่อนาแนวคิดเรื่องเศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economy) และทฤษฏีระบอบการปกครองเมือง
(Urban Regime Theory) โดยมีปัจจัยทางด้าน “กีฬา” เข้ามาใช้ในการเชื่อมโยงก็จะทาให้พบเห็นมิตหิ รือแง่มุมที่
เหมือนและแตกต่างกันออกไปอย่างหลากหลาย เป็ นการเปิ ดมุมมองของการศึกษาระหว่างสังคมวิทยา “เมือง” กับ
“กีฬา” เพื่อทีจ่ ะได้คน้ พบข้อเท็จจริงบางประการทีแ่ ตกต่างไปจากการศึกษาเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียว
เพราะฉะนัน้ แนวคิดเรื่องกีฬากับการพัฒนาเมืองจึงถูกนามาใช้ในงานวิจยั เรื่อง การประดิษฐ์สร้างเมืองบุรรี มั ย์ใน
ฐานะมหานครแห่งกีฬาเพื่อใช้เป็ นแนวทางในการทาการวิจยั ในครัง้ นี้ต่อไป
156
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
157
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
158
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
สัป ดาห์น้ี ทีม เศรษฐกิจ ขอเชื้อ เชิญ ท่ า นผู้อ่ า นไปดูแ นวคิด และรูป แบบการพัฒ นาเมือ ง
ตัวอย่างของอดีตนักการเมืองผูม้ ชี ่อื เสียงโด่งดังคนหนึ่งของประเทศเขาคือ นายเนวิน ชิด
ชอบ ที่ใครอยู่ไกลอาจไม่ชอบเขา แต่คนที่อยู่ใกล้ชดิ กับเขาหลายคน ไม่ได้ชอบเขาอย่าง
เดียว แต่ยงั เชื่อมันและพร้
่ อมจะก้าวเดินไปกับเขาเพื่อพัฒนาจังหวัดบุรรี มั ย์ให้เป็ นเมืองใน
ฝั น (ไทยรัฐออนไลน์ 2557)
หลายสิบปี ก่อน ใครทีไ่ ด้ยนิ ชื่อของ "เนวิน ชิดชอบ" ในฐานะ "นักการเมือง" ต้องบอกว่ามีทงั ้
คนรักและคนชัง แต่คนชังอาจจะถึงขัน้ ร้องยี้ กาลเวลาหมุนผ่าน ชายร่างกายกายา ได้ผนั
ตัวเอง เข้าสู่บทบาทการเป็ นผูน้ าด้านกีฬากับจังหวัดเล็กๆ และทีไ่ ด้ขน้ึ ชื่อว่า "ยากจนมาก
159
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
161
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
แฟนคลับก็ดตู ามเพือ่ น” แล้วกับบุรรี มั ย์ยไู นเต็ดละ คุณรูส้ กึ ยังไงกับสโมสรนี้ ? “ก็ดนี ะทาให้คนรูจ้ กั บุรรี มั ย์มากขึ้น
จากแต่ก่อนถ้าไปต่างจังหวัดอย่างกรุงเทพแล้วมีคนถามว่าเป็ นคนจังหวัดอะไรเราตอบไปว่าบุรรี มั ย์เขาก็จะงงๆว่า
มันอยู่ทไี ่ หนวะ เราก็ต้องตอบไปว่าจังหวัดทีม่ เี ขาพนมรุ่ งไง เขาก็ยงั งงๆอยู่เพราะนึกว่าเขาพนมรุ่งอยู่จงั หวัด
สุรนิ ทร์ (หัวเราะ) แต่ทุกวันนี้พอบอกว่ามาจากบุรรี มั ย์กร็ ทู้ นั ทีว่ามีอะไรอยู่ไหน บุรรี มั ย์ยูไนเต็ด จังหวัดคุณเนวิน
อะไรประมาณนี้” เอองันขอถามหน่อยว่าแล้วกับเนวินรูส้ กึ ชื่นชอบจากการทีม่ าสร้างสิง่ ต่างๆ ให้บุรรี มั ย์จนเจริญขึน้
ทุกวันนี้หรือเปล่า? “เฉยๆงะเอาตรงๆเราไม่ได้รสู้ กึ ว่าชืน่ ชอบอะไรด้วยซ้ าไป แกก็ทาเอาผลประโยชน์สาหรับแก
ป่ าววะ แต่กต็ อ้ งยอมรับว่าถ้าไม่มแี กจังหวัดเราคงไม่ได้มาถึงทุกวันนี้ คนในจังหวัดก็ชนื ่ ชอบแกกันทัง้ นัน้ แหละ แต่
เรือ่ งการเมืองมันก็อกี เรือ่ งหนึง่ ” แล้วถ้ามีคนบอกว่าการเกิดขึน้ ของสโมสรบุรรี มั ย์ยไู นเต็ดมันเป็ นเครื่องมือทีท่ าให้
ประชาชนชื่นชอบในตัวคุณเนวินและพรรคพวกมากขึน้ เธอรูส้ กึ ยังไง? “คนละเรือ่ งเลย มันอาจจะมีผลกับบ้างกลุ่ม
มังแต่
๊ กบั เราคือเฉยๆอาจจะเพราะเราไม่ได้สนใจเรือ่ งพวกนี้ด้วยมัง” ๊ แล้วคนอื่นๆ ละ? “ไม่มนี ะ บางคนก็ไม่ได้
ชอบเนวินนะแล้วก็ไม่ได้ชอบฟุตบอลด้วยแต่กไ็ ปดูเพราะมันเหมือนได้ไปเทีย่ วงะ ทีส่ าคัญคือมันดูเหมือนเราจะได้
คุยกับคนอืน่ รูเ้ รือ่ งสาคัญสุดตรงนี้แหละ”
จากบทสัมภาษณ์ “เจน” ข้างต้น ทาให้พบว่าการบริโภคสินค้ากีฬาทัง้ การสวมใส่เสือ้ บุรรี มั ย์ ยไู นเต็ดหรือ
การเข้าไปรับชมการแข่งขันฟุตบอลในสนามไอโมบายสเตเดีย้ มของเจนนัน้ ล้วนเกิดจาก “ความต้องการส่วนตัว ”
หรือ “สานึกของตนเอง” สาหรับ “เจน” ถือว่าเป็ นตัวแทนของกลุ่มคนทัวไปที ่ ่ไม่ได้สนใจต่อการเปลี่ยนแปลงของ
เมืองหรือนาตัวเองไปมีความสัมพันธ์กบั สโมสรบุรรี มั ย์ยไู นเต็ดมากนัก ต่อมาเป็ นตัวแทนของ กลุ่มแฟนบอลหรือที่
เรียกตัวเองว่า “สมาชิก GU 12” ซึง่ มีการสมัครสมาชิกรายปี สาหรับการเข้าชมการแข่งขันในสนามไอโมบายสเต
เดีย้ ม รวมถึงไปรับชมการแข่งขันในต่างจังหวัดหรือแม้กระทังต่ ่ างประเทศว่า เข้ารูส้ กึ อย่างไรต่อการเกิดขึน้ ของ
สโมสรไอโมบายสเตเดี้ยมคาตอบที่ได้รบั คือ “เริม่ แรกมันก็เฉยๆเพราะมันยังไม่ดงั อะไรมาก แต่เราก็เหมือนถูก
บังคับให้เข้าไปดู” บังคับอย่างไร? “มันก็ไม่เชิงบังคับหรอกพี ่ แต่ทโี ่ รงเรียนเขาจะมีการให้ลงคะแนนถ้าเข้าไปดูแข่ง
บอลทีส่ นามไอโมบายก็จะได้คะแนนเข้าร่วม แล้วเหมือนทุกคนต้องมี” แล้วถ้าไม่มลี ่ะ “หนู กไ็ ม่รู้แต่หนู ไปดูตลอด
เพราะชอบดูบอลอยู่แล้ว หนู เป็ นผู้หญิงชอบดูบอลติดมาตัง้ แต่ทบี ่ ้านละ” แล้วที่อ่นื ๆละ “ถ้าเป็ นโรงเรียนอืน่ ๆใน
อาเภอเมืองก็พอมีอยู่บา้ งแต่ถ้าเป็ นต่างอาเภอจะเยอะมากคือเหมือนทางสโมสรจะมีการจัดโควตาไว้เลยว่าอาเภอ
ละกีค่ นให้มาดูบอลแต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็ นต่างอาเภอเขาจะชอบเข้ามาดู เพราะมีการออกค่าเดินทางให้ดว้ ยก็เหมือน
เข้ามาเล่นสนุ กๆในเมือง แต่กบั อาเภอเมืองก็อาจจะยากหน่ อยแรกๆแต่สกั พักคนก็มาเอง” น้องปริม่ เป็ นสมาชิก
GU 12 ทีอ่ ายุยงั น้อยและได้พบเห็นการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึ้นตัง้ แต่เริม่ มีการนา “กีฬา” เข้ามาเป็ นอัตลักษณ์ของ
เมืองบุรรี มั ย์ ปั จจุบนั ปริม่ กาลังรอสอบบรรจุเป็ นข้าราชการครู จึงทาให้เธอได้ทาหน้าทีก่ องเชียร์ในสนาม GU 12
ได้อย่างเต็มที่ “ความหมายของGU 12 คือ กองเชียร์เป็ นเหมือนผูเ้ ล่นคนที ่ 12 เหมือนบอก กูคอื คนที ่ 12 นะ” ปริม่
กล่าวถึงความหมาย “แล้วทีห่ นูเข้ามาเป็ นสมาชิก GU 12 เพราะแม่พามา แม่แกคลังการเชี ่ ยร์บอลมาก แม่หนูตาม
ไปดูตอนทีเ่ ขาไปแข่งถึงเมืองจีนเลยนะ แล้วทางสโมสรก็ช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ดว้ ยแต่ไม่ใช่ทงั ้ หมดนะแค่ส่วนหนึง่
คือต้องใจรักมาก” แล้วทาไมถึงใจรักขนาดนัน้ ละครับ? (ถามแม่ของปริม่ ) “คือปกติแม่ดูบอลกับพ่อเป็ นประจาอยู่
แล้ว พอบุรรี มั ย์มสี นามไอโมบายมันก็ยงิ ่ ตืน่ เต้น แรกๆก็เชียร์เอามันส์น้ ีแหละ แต่สกั พักมีเพือ่ น เพือ่ นมันก็ชวนไป
เป็ นกลุ่ม GU 12 หลังจากนัน้ ก็ไปเชียร์ตลอดเพราะถ้าไม่ไปเดี๋ยวคุยกับเพือ่ นไม่สนุ ก แล้วเดี๋ย วจะมันจะหาว่ามา
เป็ นสมาชิกแล้วไม่ทาหน้าที ่ (หัวเราะ) แล้วตอนไปแข่งทีจ่ นี แม่กไ็ ปเพราะอยากไปเทีย่ วกับเพือ่ นๆด้วยนัน้ แหละ
ใครจะไปแค่เชียร์บอลแล้วกลับละ” แม่ปริ่มรับราชการเป็ นครูสอนที่จงั หวัดบุรีรมั ย์ ต่ อมาเป็ นการสอบถามถึง
ความรูส้ กึ ของแม่ลกู สมาชิก GU 12 ทีม่ ตี ่อตระกูลชิดชอบคาตอบทีไ่ ด้รบั จากน้องปริม่ คือ “เนวิน เขาเก่งมากเลยนะ
162
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
163
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ในช่วงแรกๆ (จากการสัมภาษณ์ ปริม) สะท้อนให้เห็นว่า “กีฬาฟุ ตบอล” กับ “เมืองบุรรี มั ย์” ไม่เคยอยู่ในสามัญ
สานึกของชาวเมืองบุรรี มั ย์เลย จึงถือว่าสิง่ ทีน่ ายทุนสร้างขึน้ มันคือเรื่องแปลกใหม่ แต่ดว้ ยผลงานการแข่งขันและ
ความอลังการสวยงามของสนามแข่งบอลทีไ่ ด้รบั มาตรฐานระดับสากลก็ทาให้ชาวเมืองบุรรี มั ย์ ปรับเปรียบความคิด
ตนเองนาความเป็ น “กีฬา” มาเป็ นส่วนหนึ่งของ “อัตลักษณ์ใหม่ของเมืองบุรรี มั ย์” ตรงส่วนนี้ถอื ว่า “ปฏิบตั กิ ารของ
นายทุน” มีบทบาทในการกากับควบคุมโครงสร้างทางความคิดของคนในจังหวัดบุรรี มั ย์ให้มองว่าเมืองบุรรี มั ย์คอื
“มหานครแห่งกีฬา” โดยใช้ยุทธวิธใี นการเรียกผูช้ มเข้าสนามโดยอาศัย “ทุนทางสังคม” ของนายทุนอย่างตระกูลชิด
ชอบ ทีม่ เี ครือข่ายทางสังคมทีท่ รงอิทธิพลมากในท้องถิน่ จังหวัดบุรรี มั ย์ มาใช้เป็ นเครื่องมือในนาความเป็ น “กีฬา”
เข้าไปเป็ นส่วนหนึ่งของชีวติ ประจาวันของผูค้ นในจังหวัดบุรรี มั ย์โดย (กึง่ ) บังคับในช่วงแรกเพื่อให้ผคู้ นเข้ามาเสพ
กีฬาฟุตบอลในสนามทีเ่ ชื่อว่าจะดึงดูดความสนใจของผูค้ นทีเ่ ข้ามาชมในสนามได้อย่างแน่ นอนและก็เป็ นไปตามที่
คาดคิดผูค้ นส่วนใหญ่ช่นื ชอบและนาการเสพกีฬาในระดับท้องถิน่ หรือการเชียร์ทมี กีฬาของจังหวัดบุรรี มั ย์เข้ามา
เป็ นส่วนหนึ่งของชีวติ (จะมากหรือน้อยขึน้ อยู่กบั ปั จจัยต่างๆของแต่ละบุคคล) แต่อย่างไรก็ตาม การบริโภคสินค้า
กีฬาของชาวเมืองบุรรี มั ย์ทงั ้ ในรูปแบบสิง่ ประดิษฐ์หรือการเข้าร่วมพิธกี รรมมวลชนจังหวัด(การเข้าเป็ นสมาชิกเชียร์
กีฬา GU 12) ยังเกิดจากสานึกของตนเอง หรือถ้ากล่าวในภาษาทัวไปคื ่ อ ความพึงพอใจของตนเอง เป็ นหลัก จาก
การสัมภาษณ์จะพบสิง่ ทีส่ ะท้อนสานึกของตนเองในการบริโภคสินค้ากีฬาหรือการเข้าร่วมพิธกี รรมมวลชนต่างๆ
เช่น “มันสวยดี” “คนอื่นก็ชมว่าสวยดี” “ได้ฟรี” “แม่ซอ้ื ให้” “ชอบดูบอลอยู่แล้ว” “ไม่ไปเดีย๋ วคุยกับเพื่อนไม่สนุก” “ก็
มันติดกันแทบทุกร้านก็เลยหามาติดบ้าง” (สติก๊ เกอร์บุรรี มั ย์ยไู นเต็ด) เป็ นต้น
นอกจากนัน้ ยังเป็ นการยกระดับให้ผบู้ ริโภคสินค้ากีฬาให้ไม่ได้ตกอยู่เพียงแค่ฐานะของผูบ้ ริโภคเท่านัน้ แต่
ยัง ได้สร้า งสถานภาพของการเป็ น ผู้ผลิต ได้อีก ด้ว ยโดยในกรณี ข องทัง้ 4กลุ่ ม ข้อ มูล จะพบเห็น การ “ผลิตซ้ า
ความหมายใหม่ให้กบั เมืองบุรรี มั ย์” ในสัมภาษณ์และสังเกต ไม่ว่าจะเป็ นการสวมใส่เสือ้ ทีมฟุตบอลบุรรี มั ย์ยไู นเต็ด
หรือติดสติก๊ เกอร์สญ ั ลักษณ์ของทีมฟุตบอลบุรรี มั ย์ยไู นเต็ด ทัง้ ในจังหวัด หรือต่างจังหวัด รวมไปถึงกรณีของ ออม
ที่มเี พื่อนในจังหวัดอื่นฝากซื้อเสือ้ บอลบุรรี มั ย์ยูไนเต็ดไปสวมใส่ นี้กถ็ ือว่าเป็ นการเผยแพร่ “อัตลักษณ์ใหม่ของ
จังหวัดบุรรี มั ย์ในฐานะ มหานครแห่งกีฬา” แต่จากการเก็บข้อมูลโดยการสังเกตในเมืองบุรรี มั ย์จะพบว่า ผูค้ นใน
จัง หวัด ได้ช่ ว ยผลิต ซ้ า ความเป็ น มหานครแห่ ง กีฬ าและยัง เป็ น การผลิต เพื่อ ประโยชน์ ใ นทางการตลาดอีก
ด้วย ตัวอย่างที่พบเห็นและช่วยทาให้เข้าใจปรากฏการณ์ดงั กล่าวมากที่สุดคือ การที่ผู้คนในเมืองบุรรี มั ย์ได้นา
สัญลักษณ์ของทีมกีฬาบุรรี มั ย์ยูไนเต็ดมาใช้เพื่อการค้าขาย เช่น นามาสกรีนใส่เสือ้ หมวก กางเกง กระเป๋ า ฯลฯ
และนามาขายตามตลาดนัดหรือแหล่งธุรกิจต่างๆในจังหวัดอย่างแพร่หลาย เพราะฉะนัน้ ตามแหล่งธุรกิจหรือตลาด
นัดก็จะพบเห็นการค้าขายผลิตภัณฑ์ทเ่ี ป็ นการใช้ความเป็ น “มหานครแห่งกีฬา” มาใช้เพื่อดึงดูดลูกค้าทัง้ ชาวเมือง
บุรรี มั ย์และนักท่องเทีย่ วจากต่างถิน่ ทีม่ กั จะซือ้ สินค้าดังกล่าวกลับไปเป็ นทีร่ ะลึก (นักท่องเทีย่ วส่วนใหญ่มกั จะเป็ น
แฟนบอลทีม่ ารับชมการแข่งขันในสนามไอโมบายสเตเดีย้ ม) ซึง่ แน่นอนว่าถ้านักท่องเทีย่ วได้นาผลิตภัณฑ์ดงั กล่าว
ไปใช่ในพื้นที่ของตนเองก็จะเป็ นการเผยแพร่หรือตอกย่ าความเป็ น “มหานครแห่งกีฬา” ให้กบั เมืองบุรรี มั ย์มาก
ยิง่ ขึน้ ไปอีกด้วย และในปั จจุบนั การบริโภคสินค้ากีฬาทีเ่ ป็ นสิ่งประดิษฐ์ของบุรรี มั ย์ยูไนเต็ดก็ได้รบั ความนิยมจาก
คนภายนอกทีไ่ ม่ใช่เฉพาะผูค้ นในเมืองบุรรี มั ย์เพียงเท่านัน้ (ปั จจุบนั มีศูนย์จาหน่ ายสินค้าสโมสรบุรรี มั ย์ยูไนเต็ดที่
จังหวัดกรุงเทพและเชียงใหม่) กล่าวคือเป็ นการขยาย “ชุมชนผูบ้ ริโภคสินค้ากีฬาของเมืองบุรรี มั ย์” ให้มจี านวนมาก
ขึน้ ตามทีไ่ ด้อธิบายมาในบท “การสร้างความเป็ น “ชุมชน” ผ่านการบริโภค “สิง่ ประดิษฐ์”” ว่าสิง่ ประดิษฐ์เป็ นสิง่ ที ่
ช่วยตอกยา่ และแสดงความเป็ นชุมชนเดียวกันของผู้ทมี ่ หี รือสะสมสิง่ ประดิษฐ์เหมือนกัน แต่ ความหมายของ
ผูผ้ ลิตตามทีย่ กตัวอย่างมาข้างต้นไม่ได้จากัดอยู่แค่การผลิตเพื่อจาหน่ ายเท่านัน้ แต่การบริโภคสินค้ากีฬามันก็คอื
164
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
สรุ ปและอภิปรำยผล
การศึกษาครัง้ นี้นอกจากผู้วิจยั จะต้องการนาเสนอให้เห็นปรากฏการณ์ ก ารเปลี่ยนแปลงที่เกิด ขึ้น ใน
จังหวัดบุรรี มั ย์ทใ่ี นอดีตเคยถูกมองในฐานะของ “เมืองผ่าน” ให้กลายมาเป็ น “มหานครแห่งกีฬา” เช่นทุกวันนี้ โดย
การศึกษาผ่าน “การบริโภคสินค้ากีฬา” ว่ามันแฝงไปด้วยปฏิบตั กิ ารทางสังคมทีส่ ่งผลต่อการสร้างความหมายใหม่
ให้กบั เมืองบุรีรมั ย์ได้อย่างไร และได้พบว่าสิง่ เหล่านัน้ คือ การผลิตซ้ าความเป็ นชุมชนกีฬาของผู้คนในจังหวัด
บุรรี มั ย์และขยายออกไปในวงกว้าง จนทาให้ทงั ้ บุคคลภายในและภายนอกจังหวัดปรับเปลี ย่ นมุมมองและสร้าง
ความหมายใหม่ให้กบั เมืองบุรีรมั ย์ในฐานะของ “มหานครแห่งกีฬา” ซึ่ง ตัว แสดงที่มีบทบาทต่ อปรากฏการณ์
ดังกล่าวจะไม่ได้จากัดอยู่เพียงกลุ่มนายทุนหรือตระกูลชิดชอบอย่างทีม่ กี ารวิจยั อื่นๆเคยศึกษามาหรือตามทีส่ ่อื ได้
นาเสนอเท่านัน้ แต่ผวู้ จิ ยั ได้เพิม่ ตัวแสดงเป็ น “ปฏิบตั กิ ารของผูค้ นในจังหวัด” แต่อย่างไรก็ตามผูว้ จิ ยั ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
ต่อ “ปฏิบตั กิ ารของนายทุน” ทีม่ บี ทบาทในการกาหนดโครงสร้างทางสังคม แต่เพียงต้องการเพิม่ ตัวแสดงเพื่อให้
เกิดความเข้าใจต่อปรากฏการณ์การเปลีย่ นแปลงของเมืองบุรรี มั ย์ทแ่ี ตกต่างไปจากความเข้าใจเดิมและนาเสนอข้อ
ค้นพบใหม่ๆ ต่อการศึกษาเมืองบุรรี มั ย์
เพราะฉะนัน้ การศึกษาครัง้ นี้จงึ มีความประสงค์ทจ่ี ะยกระดับให้ “ปฏิบตั ิการของผูค้ นทัวไป”
่ ในสังคมได้
เข้ามามีบทบาทในการเปลีย่ นแปลงสังคมด้วย ไม่ใช่มองเพียงกลุ่มนายทุนเท่านัน้ ทีม่ บี ทบาทต่อการเปลีย่ นแปลงใน
สังคม นอกจากนัน้ ยังเป็ นการนาเสนอมุมมองสาหรับการพัฒนาเมืองในประเทศไทยที่มกี ารนาอัตลักษณ์ของ
“กีฬา” มาใช้เป็ นเครื่องมือในการสร้างการเปลีย่ นแปลงทีส่ ่งผลไปในทางทีด่ ใี นการสร้างจุดขายหรือความน่ าสนใจ
ให้ก ับ เมือ งและส่ง ผลให้เ กิด ผลประโยชน์ ใ นด้า นต่ างๆโดยเฉพาะการท่ อ งเที่ย ว เพราะถึง แม้ว่ า ทรัพ ยากรที่
165
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บรรณำนุกรม
ไทยรัฐออนไลน์. 2558. “บุรรี มั ย์โมเดล ต้นแบบการสร้างเมืองใหม่.” http://www.thairath.co.th/content/435963
(สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2558)
บุรรี มั ย์กรู .ู 2558. “ลุงเนวิน” ติดปี กเมืองบุรรี มั ย์ ติด 1 ใน 5 เมืองทีม่ นี กั ท่องเทีย่ วมากทีส่ ดุ .
http://www.buriramguru.com (สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2558)
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์. 2558. “ติดปี กเศรษฐกิจ “บุรรี มั ย์” ธุรกิจน่าลงทุน “บริการ-โรงแรม-เกษตร”.”
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1416856166 (สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน
2558)
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์. 2558. ““บุรรี มั ย์” เนื้อหอม โรงแรมเล็กพรึบ่ -แอร์ไลน์สรุมจีบ.”
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1416941678 (สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน
2558)
เมธากร เมตตา. 2557. กลยุทธการเพิม่ มูลค่าของนักการเมืองท้องถิน่ : กรณีสโมสรฟุตบอลบุรรี มั ย์ ยูไนเต็ด.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, สาขารัฐประศาสนศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
วสันต์ ปั ญญาแก้ว และคณะ. 2557. ฟุตบอลไทย ประวัตศิ าสตร์ อานาจ การเมือง และความเป็ นชาย.
กรุงเทพฯ: ศูนย์ศกึ ษาปั ญหาการพนัน คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สนุกดอทคอม. 2558. “ก้นบึง้ หัวใจของ "เนวิน ชิดชอบ" กับการพาบุรรี มั ย์กา้ วสูเ่ มืองแห่งกีฬา ทีใ่ ครๆ ก็ไม่กล้า
ทา.” http://sport.sanook.com/129513/ (สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2559)
สานักงานคลังจังหวัดบุรรี มั ย์. 2558. สถิตผิ ลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด. http://www.grad.cmu.ac.th/web2016 /
documents/003%20Thesis-IS%20Printing%20Format.pdf (สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2558)
สุนีย์ ประสงค์บณ ั ฑิต. 2553. แนวความคิดฮาบิทสั ของปิแอร์ บูรด์ เิ ยอ กับทฤษฎีทางมานุษยวิทยา. กรุงเทพฯ:
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรนิ ธร (องค์การมหาชน).
สุรยิ านนท์ พลสิม. 2557. ศึกษามายาคติในการสร้างความนิยมทางการเมืองของสมาชิกพรรคภูมใิ จไทยจังหวัด
บุรรี มั ย์ วิเคราะห์ดว้ ยวิธสี ญ
ั วิทยา. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, วิทยาลัยการปกครองท้องถิน่
มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ฮักบอลดดอทคอม. 2558. ข่าวบุรรี มั ย์คว้าอันดับ1สโมสรแกร่งสุดในอาเซียนเหนือแชมป์ AFC ไทยพรีเมียร์ลกี
http://www.hugball.com/-AFC-40984.html (สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2558)
Alan G. Ingham and Mary G. McDonald. 2003. “Sport and Community/Communitas.” in Sporting
Dystopias: The Making and Meaning of Urban Sport Cultures, Ralph C. Wilcox. et al, editor. Pp.
17-34. New York: State University of New York Press.
166
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
Bourdieu, Pierre. 1977. “Structures And The Habitus.” in Outline of a Theory of Practice, translated by
Richard Nice. Pp. 72-87. Cambridge University Press
———. 1984. “Class Tastes and Lifestyles.” in Distintion: A Social Critique of the Judgement of Taste,
translated by Richard Nice, p 260-315. London Routledge
———. 1990. “The Logic of Practice.” in The Logic of Practice, translated by Richard Nice, pp. 80-97.
Polity Press.
Forbesthailand. 2013. “เนวิน ชิดชอบ: “ลมหายใจแห่งบุรรี มั ย์”.” http://forbesthailand.com/cover-
detail.php?did=7 (สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2559)
Gene Burd. 2003. “Mediated Sports Mayors and the Marketed Metropolis.” in Sporting Dystopias: The
Making and Meaning of Urban Sport Cultures, Ralph C. Wilcox et al, editor. p 35-64. New
York: State University of New York Press.
Kimberly S. Schimmel. 2010. “Sociology of Sport and Social Theory.” in Winston-Salem, North Carolina,
Smith Earl, editor. p 55-65. Wake Forest University.
Ralph C. Wilcox and David L. Andrews. 2003. “Sport in the City: Cultural, Economic, and Political
Portraits.” in Sporting Dystopias: The Making and Meaning of Urban Sport Cultures, Ralph
C. Wilcox et al, editor. p 1-16. New York: State University of New York Press.
Synthia Sydnor Slowikowski. 2003. “Urban(e) Statuary Times.” in Sporting Dystopias: The Making and
Meaning of Urban Sport Cultures, Ralph C. Wilcox. et al, editor. p 65-80. New York: State
University of New York Press.
167
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
168
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P2-R1-03
พิธีกรรมฟ้อนผี
ความทรงจา ความหมาย และตั ว ตน
ของ “ม้ า ขี่ ” ในบริ บ ทสั ง คมสมั ย ใหม่
169
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
บทความวิชาการฉบับนี้ ผูเ้ ขียนนาเสนอ “ความทรงจานอกตัวอักษร” ซึง่ เป็ นเรื่องราวผ่านเรื่องเล่าของ
ความทรงจาและการตีความหมายพิธกี รรมจากประสบการณ์ตรงของกัลยาณมิตร ผูเ้ ป็ นส่วนหนึ่งในกลุ่มตระกูลที่
นับถือผีและประกอบพิธกี รรมทีเ่ รียกว่า ฟ้ อนผี โดยสถานภาพในกลุ่มตระกูลของกัลยาณมิตรท่านนี้ คือ ม้าขีห่ รือ
คนทรงในพิธกี รรมฟ้ อนผีมหี น้าทีเ่ ป็ นร่างทรงของวิญญาณบรรพบุรุษ เพื่อให้ลูกหลานสามารถสื่อสารกับวิญญาณ
บรรพบุรุษได้โดยผ่านการเข้าทรงในพิธกี รรม
พิธีก รรมฟ้ อ นผีเ ป็ น พิธีก รรมเซ่ น สรวงบูช าบรรพบุ รุ ษ รู ป แบบหนึ่ ง ในสัง คมวัฒ นธรรมเมือ งลาปาง
(ล้านนา) โดยกลุ่มตระกูลทีจ่ ะประกอบพิธกี รรมฟ้ อนผีนนั ้ จะมีเพียง 2 กลุ่ม คือ ตระกูลผีมดและตระกูลผีเม็ง หาก
คนของตระกูลทัง้ สองแต่งงานกัน จะเกิดรูปแบบพิธกี รรมที่ผสมผสานเรียกว่า ผีมดซอนเม็ง สาหรับกัลยาณมิตร
ของผูเ้ ขียนอยู่ในกลุ่มตระกูลทีเ่ รียกว่า ผีมด ซึง่ สามารถแยกย่อยไปได้อกี มากตามสายสกุลทีน่ บั ถือผี กัลยาณมิตร
ของผู้เขียนให้ขอ้ มูลว่า พิธกี รรมของเขานัน้ เริม่ ปฏิบตั ิกนั มาหลายชัวอายุ
่ คนและยังคงสืบทอดมาจนถึงปั จจุบนั
(พ.ศ. 2559) โดยเขาเป็ นรุ่นที่ 5
จากการทางานร่วมกันมาเป็ นระยะเวลากว่า 5 ปี การใช้ชวี ติ ผ่านการทางานในที่ทางาน การไปเลี้ยง
สังสรรค์ ท่องเที่ยวตามโอกาสกับเพื่อน ๆ ทาให้ผู้เขียนเข้าถึงข้อมูลของกัลยาณมิตรท่านนี้ได้ดว้ ยดี โดยผู้เขียน
สนใจจะหาคาตอบในความเป็ นม้าขีห่ รือคนทรงของกัลยาณมิตรท่านนี้ว่า พิธกี รรมมีความหมายอย่างไรกับท่านใน
ฐานะทีเ่ ป็ นม้าขี่ ตัวท่านให้ความหมายต่อตนเองอย่างไรต่างจากสิง่ ทีส่ งั คมให้ความหมายหรือไม่ ในเมื่อตัวท่านอยู่
ภายใต้บริบทของการเปลีย่ นแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในเมืองกรุงเทพฯ ซึง่ ห่างไกลจากพิธกี รรม
ข้อมูลในการศึกษาครัง้ นี้ ผูเ้ ขียนได้มาจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยวิเคราะห์และอภิปรายผล
ผ่านแนวคิดเกี่ยวกับความทรงจาร่วมทางสังคมและทัศนะแบบเอสโซเทริคทางคติชนวิทยา เพื่อทาความเข้า ใจ
ตัวตนของม้าขีผ่ ่านเรื่องเล่าและการตีความหมายจากประสบการณ์ในพิธกี รรมฟ้ อนผี
พิธีกรรมทีไ่ ม่อยากเข้าร่วมในวัยเด็ก
1 อรรถจักร์ สัตยานุ รกั ษ์, ความทรงจา ประวัตศิ าสตร์ และการเฉลิมฉลองระลึกถึงการเมือง, http://www.bangkokbiznews.com/ สืบค้นวันที่ 27/6/2559
171
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
172
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ญาติผู้ใ หญ่ บ างท่ า นพยายามปฏิเ สธการเป็ น ม้า ขี่ และขอยืด เวลาในการท ารับ หน้ าที่น้ี
ออกไปเรื่อยหลายปี แต่สุดท้ายก็หนีไม่พน้ ผีปยู่ ่าจะทาให้มอี นั เป็ นไปต่าง ๆ เช่น บันดาลให้
เกิดเหตุการณ์ทน่ี อกเหนือการควบคุม เช่น การทาในสิง่ ทีต่ วั เองไม่รตู้ วั ไม่คาดคิดว่าจะทา
ราวกับมีใครมาดลใจให้ทาสิง่ นัน้ ก็เป็ นได้
อย่างไรก็ตาม เพื่อนของผูเ้ ขียน ไม่ได้ปฏิเสธการเป็ นม้าขี่ ผูเ้ ขียนวิเคราะห์ว่า ช่วงวัยของการเป็ นม้าขีม่ ี
ผลต่อการตัดสินใจยอมรับหรือต่อต้านด้วย เนื่องจากตัวเขาเองอยู่ในช่วงอายุทเ่ี ป็ นรอยต่อระหว่างเด็กกับวัยรุ่น ยัง
ไม่ มีภ าระต้อ งรับ ผิด ชอบอย่ า งเต็ม ตัว การเป็ น ม้า ขี่ท่ีเ ข้า ใจว่ า ผีปู่ ย่ า เลือ กแล้ว เปรีย บได้ก ับ การถู ก หยิบ ยื่น
สถานภาพและบทบาทจากกลุ่มตระกูลซึง่ เขาไม่อาจปฏิเสธได้ ทาให้เขาค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวตนขึน้ มาเพื่อปฏิบตั ิ
ไปตามความรับผิดชอบทีพ่ งึ กระทา เขาเล่าถึงอดีตของตัวเองว่า
2 วิวฒ
ั น์ เลิศวิวฒ
ั น์วงศา, “ผีความทรงจา” โดย คนมองหนัง, คอลัมน์นอกกระแส ใน มติชนสุดสัปดาห์ วันศุกร์ท่ี 22 มิถุนายน 2555 ปี ท่ี 32 ฉบับที่ 1662
หน้า 85
173
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วิธีการเข้าทรง
ในวันที่ประกอบพิธกี รรมฟ้ อนผีเขาจะตื่นเช้าและลงไปช่วยตระเตรียมงาน เมื่อเริม่ ใกล้เวลาพิธี ญาติ
ผูใ้ หญ่กจ็ ะเตือนให้ไปทานข้าวเช้า เพราะบางครัง้ เจ้าพ่อหรือผีปยู่่ าทีล่ งทรงอาจจะดื่มเหล้าด้วย หลังจากนัน้ จึงไป
อาบน้าและเปลีย่ นเสือ้ ผ้าเป็ นเสือ้ เชิต้ กางเกงสแล็ค ซึ่งเป็ นชุดประจาทีจ่ ะต้องแต่งเพื่อทาพิธกี รรมและเขาเองก็ตอ้ ง
แต่งกายเช่นนี้ตงั ้ แต่ทผ่ี ปี ยู่ ่าเริม่ “ลงย่าม้า” ในหนแรกการย่าม้า หมายถึง การลงทรงเป็ นครัง้ แรก คาว่า “ย่า” น่าจะ
หมายถึงการทีผ่ ปี ยู่ ่าหมายตัวไว้ ว่าจะเลือกและสรรแล้วว่าบุคคลนัน้ จะต้องเป็ น “ม้าขี”่
ตามปกติแล้ว คนทรงแทบทุกคนจะต้องมีการเตรียมตัวก่อนพิธกี รรมเสมอ เช่น ต้องมีการถือศีล หรือทา
สมาธิก่อนล่วงหน้า เขาเองก็มขี อ้ กาหนดทีต่ ้องปฏิบตั ติ ามและห้ามกระทาอยู่เหมือนกัน ก่อนวันงานพิธมี า้ ขีจ่ ะ
ห้า มกิน ไข่ทุ กชนิ ด ไม่ ว่ า จะเป็ นไข่เ ป็ ดหรือ ไข่ไก่ รวมถึง รายการอาหารที่ป ระกอบไปด้วยไข่ก็ห้า มกินทัง้ สิ้น
นอกจากไข่ แ ล้ว ยัง มีส ัต ว์บ างชนิ ด ก็ห้า มน ามารับ ประทาน เพราะเป็ น การผิด ครู บ าอาจารย์ข องเจ้า พ่ อ ถ้ า
รับประทานอาหารเหล่านี้จะมีผลต่อตัวของม้าขี่ และตัวของเจ้าพ่อ หรือผีปู่ย่าเอง โดยผลกระทบจะออกมาใน
ลักษณะของการทีเ่ จ้าพ่อไม่ลงทรง หรือลงทรงแต่อยู่ไม่นาน และเมื่อถึงเวลาทีผ่ ปี ยู่ ่าจะลงทรง เจ้าพ่อหรือเจ้าพีอ่ งค์
ต่ าง ๆ จึงจะค่อย ๆ เลือกเครื่องแต่งกาย ผ้านุ่ งที่ทาจากผ้าฝ้ ายหรือผ้าไหม และเครื่องประดับเอง โดยมีเหล่า
ลูกหลานทีจ่ ะช่วยจัดเตรียมเครื่องแต่งกายทีม่ า้ ขีจ่ ะสวมใส่ขณะฟ้ อนราให้พร้อม ด้วยการนามาจัดเรียงไว้อย่างมี
ระเบียบเรียบร้อย
ก่อนทีผ่ ปี ยู่่ าจะลงทรง ความรูส้ กึ สุดท้ายของคนเหล่านี้จะเป็ นอย่างไร ผูเ้ ขียนสัมผัสได้แค่สงิ่ ทีเ่ ห็นเพียง
ภายนอกว่า คนทีเ่ ป็ นร่างทรงจะต้องนัง่ ไม่ตดิ ที่ ร่างกายสัน่ บ้างลุกขึน้ กระทืบเท้าชีม้ อื ชีไ้ ม้ พูดจาเป็ นเสีย งคนอื่น
หลังจากนัน้ พฤติกรรมต่าง ๆ ก็จะเปลีย่ นไปจากเดิม ซึง่ ตลอดระยะเวลาทีผ่ ่านมานัน้ ผูเ้ ขียนมองว่าการทรงเจ้าเป็ น
174
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
การเลิกเป็นม้าขี่
ส่วนใหญ่ผทู้ ไ่ี ด้รบั เลือกให้เป็ นม้าขีแ่ ล้วจะต้องทาหน้าทีอ่ นั สาคัญนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนอายุมากไม่สามารถที่
จะทาหน้าทีน่ ้ีได้ หรือมีปัญหาเกีย่ วกับสุขภาพ และอย่างสุดท้ายคือเสียชีวติ แต่อย่างไรก็ตามจากคาบอกเล่าของ
เพื่อนผูเ้ ขียน ทาให้ทราบว่าการตัดสินของตัวม้าขีเ่ องทีค่ ดิ ว่าตนเองมีพฤติกรรมไม่ดี ไม่เหมาะสมนัน้ ไม่ได้มผี ลต่อ
การคัดเลือกจากผีปยู่ ่าเลย การตัดสินใจของผีปยู่ ่าทีไ่ ด้ “เลือก” บุคคลผูน้ นั ้ ต่างหากทีส่ าคัญทีส่ ดุ “เป็ นม้าขีแ่ ล้วเลิก
ไม่ได้หรอกครับ ถ้าผีปยู่ ่าได้เลือกแล้ว ยกเว้นเสียแต่ว่า ตัวม้าขีเ่ สียชีวติ หรืออายุมากจนไม่สามารถทาหน้าทีน่ ้ไี ด้”
ในสายตาของคนนอก (เช่นผู้เขียน) อาจมองพิธกี รรมพื้นบ้านบางพิธเี ป็ นสิง่ ที่เข้าถึงยาก หรือยากต่อ
ความเข้าใจ ดังเช่นพิธฟี ้ อนผีมด เพราะเป็ นเรื่องทีบ่ รรพบุรุษในอีกภพภูมจิ ะเดินทางมาพบหน้าญาติมติ รด้วยความ
ผูกพันกันทางเครือญาติและรับการบวงสรวงบูชาจากลูกหลานทีย่ งั คงอยู่เบือ้ งหลังในโลกมนุษย์ ซึง่ นับว่าเป็ นการ
175
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ความหมายของพิธกี รรม
ผีมด หรือ ผีปูย่า ในทัศนะของม้าขีเ่ ป็ นบุคคลทีล่ งมาเข้าทรงเพื่อประกอบพิธกี รรมซึง่ มีแต่เฉพาะผู้ อยู่ใน
สายตระกูลผีมดเท่านัน้ ทีจ่ ะทาได้ ม้าขีเ่ ชื่อว่าผีปยู่่ าของตนเป็ นมดผูม้ อี านาจเวทมนตร์ทส่ี ามารถประกอบพิธกี รรม
ซึง่ มนุษย์ไม่สามารถทาได้
พิธปี ั ดปลาแห้ง เป็ นการปั ดไล่เคราะห์รา้ ยให้ออกไปอย่าได้เข้ามาย่างกรายในพิธกี รรมด้วยการใช้ดาบ
ฟ้ อนราไปรอบ ๆ ถาดปลาแห้งซึง่ เป็ นตัวแทนของสิง่ ชัวร้ ่ ายเป็ นภัยต่อลูกหลาน มีแต่เพียงผีปยู่ ่าเท่านัน้ ทีจ่ ะจัดการ
กับสิง่ ร้าย ๆ ในส่วนของ พิธโี ต๊งฟ้ า เป็ นพิธเี กีย่ วกับการเดินทางออกไปขอฝนจากพระอินทร์ ซึง่ มีแต่เพียงผีปยู่่ า
เท่านัน้ ทีเ่ ดินทางไปถึงได้ ในพิธผี ปี ยู่่ าจะเดินทางนาเครื่องเซ่นสังเวยไปให้พระอินทร์เพื่อจะแลกกับฟ้ าฝน ทัง้ นี้ก็
เพื่อให้พชื พันธุธ์ ญ ั ญาหารสมบูรณ์ พิธนี ้เี ป็ นพิธพี เิ ศษทีม่ เี พียงแต่ผปี ยู่ ่าเท่านัน้ ทีส่ ามารถสือ่ สารกับพระอินทร์ได้
การละเล่นดังกล่าวนี้ ผีปยู่่ าจะแสดงให้ลูกหลานและผีสายตระกูลได้เห็นถึงความสามารถในการเอาชนะ
อุปสรรคต่าง ๆ ทีส่ มมติว่าเป็ นสัตว์ซง่ึ เป็ นตัวแทนของการขัดขวางและความวุ่นวาย เช่น กระรอก และนก ซึง่ จะ
เข้ามาทาลายพืชพันธุ์ หากมีจานวนมากผีปยู่่ าจะอาศัยชัน้ เชิงในการยิงธนูเพื่อจัดการกับอุปสรรคเหล่านี้ ในส่วน
ของการละเล่นนี้สะท้อนถึงการเดินทางเข้าป่ าล่าสัตว์ซง่ึ ท้ายทีส่ ดุ แล้วก็จะนาช้าง ม้ากลับมาใช้งาน เมื่อได้สตั ว์มาไว้
ใช้งานแล้ว ผีปยู่่ าจะไปช่วยลูกหลานให้กลับคืนสู่บา้ นจากการช่วยนาทางลูกหลานในการถ่อเรือถ่อแพซึง่ สมมติว่า
กาลังเดินทางกลับจากการค้าขายและต้องเจอมรสุมกาลังจะหมดลงเรื่อย ๆ แต่แล้วผีปยู่่ าก็ปรากฏตัวและชักลาก
ลูกหลานพร้อมทัง้ เรือแพให้กลับคืนสูว่ งศ์ตระกูลได้สาเร็จ
พิธกี รรมนัน้ มีความหมายแฝงมากมาย ในส่วนตัวของม้าขีน่ นั ้ รับรูไ้ ด้จากการกระทาซ้า ๆ ของผีปยู่ ่า ส่วน
ลูกหลานนัน้ อาจต้องอาศัยเวลาในการทาความเข้าใจ พิธกี รรมเป็ นดังเหมื ่ อนการย่นย่อวิถชี วี ติ ของมนุ ษย์เอาไว้ได้
เห็นว่า ในการดาเนินชีวติ ของลูกหลานนัน้ จะต้องมีทงั ้ ความสนุ กสนาน เคร่งเครียด อุปสรรค และผลสาเร็จคละ
เคล้ากันไป พิธกี รรมฟ้ อนผีมดจึงเป็ นวงจรสะท้อนความหมายของชีวติ ในวัฏฏะ พิธกี รรมอาจสอนให้เราได้รแู้ ละ
ยอมรับในทุกสิง่ ทีเ่ ข้ามาในชีวติ ดังทัศนะของโจเซฟ แคมพ์เบลล์ นักเทพปกรณัมศึกษาซึ่งสามารถเชื่อมโยงถึง
ความหมายของการประกอบพิธกี รรมทีว่ ่า “[จง] ยอมรับในทุกสิง่ ทุกอย่างทีผ่ ่านเข้ามาในชีวติ ไม่ว่าจะเป็ นสิง่ ทีท่ า
ให้เราทุกข์หรือสุข ทาให้เรารุ่งโรจน์หรือตกต่า เพราะสิง่ เหล่านี้เป็ นนิรนั ดรผ่านเข้ามา คงอยู่ชวระยะเวลาหนึ
ั่ ่ง แล้ว
ก็จากไป เพื่อทีจ่ ะเวียนกลับมาอีก” (Joseph Campbell, อ้างถึงใน บารนี บุญทรง 2552, 29)
177
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
การเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ ภายในพิธกี รรมทีเ่ ห็นได้ชดั ก็คอื จานวนเงินทีต่ อ้ งนามาใช้จดั งานทีเ่ พิม่ ขึน้ จาก
เดิมมาก ซึง่ แต่เดิมพิธกี รรมฟ้ อนผีหากไม่ใช่เรื่องใหญ่โตก็จะไม่บนกับผีปยู่ ่าเพื่อให้มกี ารประกอบพิธกี รรม ทว่าใน
ปั จจุบนั การประกอบพิธกี รรมอาจไม่ได้ขน้ึ อยู่กบั การแก้บนอย่างเดียวบางครัง้ ลูกหลานในตระกูลก็มคี วามต้องการ
ทีจ่ ะจัดให้กบั ผีปยู่่ าของตนอยู่แล้ว ทีจ่ ดั ก็เพื่อให้ผปี ยู่่ าได้สนุ กสนานเชื่อว่าหากผีปู่ย่าพอใจความสุขสวัสดีจะมีแก่
วงศ์ตระกูล แต่ทว่าการจัดงานนัน้ ไม่ใช่เรื่องเล็กหากเป็ นสมัยก่อนคงช่วยกันคนละไม้ละมือได้เนื่องจากมีเวลาและ
กาลังทรัพย์ รวมถึงสิง่ ของทีส่ ามารถนามาช่วยในงาน เช่น ดอกไม้ มะพร้าว เนื้อสัตว์ เหล้า บุหรี่ ฯลฯ ทัง้ นี้ขา้ ว
ของเครื่องใช้ดงั กล่าวในปั จจุบนั ต้องซือ้ หาทัง้ หมด การช่วยเหลือทีง่ ่ายที่ สุด คือ นาเงินมารวมกันแล้วไปซือ้ หาก
ราคาข้าวของผันผวนไปตามกลไกตลาดค่าใช้จ่ายก็จะสูงมากขึน้ เกือบ 30,000 บาท แต่ถงึ จะเป็ นเช่นนัน้ ลูกหลานก็
ไม่อาจละเลยไม่ประกอบพิธกี รรมได้ เมื่อทุกอย่างต้องซือ้ ขายหมด แม้กระทังแรงงานในการสร้ ่ างปะราพิธกี ใ็ ช้วธิ ี
ว่าจ้าง
ลูกหลานเองในปั จจุบนั จะมาร่วมงานเป็ นหลัก จะมีแต่ผชู้ านาญในพิธขี องตระกูลเท่านัน้ ทีล่ งมือปฏิบตั คิ น
อื่น ๆ จะมาดู มาชม มาหา ผีปยู่่ าจากนัน้ ก็ลากลับ ความเป็ นชุมชนบางอย่างทีเ่ คยมีอยู่นนั ้ ก็ได้มลายหายไปตาม
กาลเวลา ความสัมพันธ์ของคนก็เปลีย่ นไป แม้กระทังเรื ่ ่องราวทีม่ าขอให้ ผปี ยู่ ่าช่วยเหลือส่วนใหญ่กก็ ลับกลายเป็ น
เรื่องของความร่ ารวยทางวัตถุแทนทัง้ ที่สมัยก่อนจะเน้นไปที่เรื่องสุขภาพ การรักษาพยาบาล การอานวยพรให้
ค้าขายประสบความสาเร็จ และขอให้ท่านทัง้ หลายคุม้ ครองให้ปลอดภัยจากอันตรายและเคราะห์รา้ ยต่าง ๆ
ในส่วนของกลุ่มคนที่เข้ามาร่วมประกอบพิธีกรรมก็มกี ารเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เป็ นผู้อาวุโสเคย
มาร่วมก็ลม้ หายตายจาก ไม่มคี นสืบทอดการเป็ นม้าขีบ่ า้ ง เลิกพิธไี ปบ้างก็มที าให้จานวนคนเก่าแก่ทเ่ี คยร่วมงาน
ด้วยกันมาแต่ก่อนหายไปจากพิธกี รรม หรือเมื่อมีการเปลีย่ นรุ่นลูกหลานก็ไม่ได้ตดิ ต่อสัมพันธ์ก ันอีกต่างคนต่างอยู่
ต่างไม่สนใจความเป็ นไปของกันและกัน ทีน่ ่าสนใจก็คอื การเพิม่ ขึน้ ของกลุ่มเพศทีส่ ามทีผ่ นั ตัวเองมาเป็ น “ม้าขี”่ ใน
พิธกี รรมฟ้ อนผีมากขึน้ ในบริบทสังคมสมัยใหม่ซง่ึ ส่วนใหญ่จะเป็ น “ม้าขี”่ ของผีเจ้านายทีม่ าร่วมงานมากกว่าจะเป็ น
ผีปยู่่ าตามสายตระกูล การเข้ามาสู่พน้ื ทีพ่ ธิ กี รรมมากขึน้ สะท้อนให้เห็นแง่มุมบางอย่างของการเปลีย่ นแปลงทาง
สังคมวัฒนธรรม ผูเ้ ขียนคงไม่อาจมองในเรื่องของโอกาสในการหาพืน้ ทีท่ างสังคมเพียงอย่างเดียว เพราะไม่ว่าจะ
เป็ นเพศใดก็สามารถหาโอกาสจากพืน้ ทีท่ างสังคมในพิธกี รรมได้หากต้องการผลประโยชน์แอบแฝง หากจะกล่าว
แต่เพียงพิธกี รรมฟ้ อนผีมด ผูเ้ ขียนยังคงพบว่าเพศหญิงยังคงสืบทอดการเป็ นม้าขี่ เพียงแต่ในกรณีศกึ ษานี้เป็ นส่วน
น้อยในสายตระกูลทีช่ ายจะถูกเลือกเป็ นม้าขี่
178
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์กับผู ้อนื่
พืชผักบางอย่างก็มขี อ้ กาหนดไม่ให้มา้ ขีท่ าน ด้วยเชื่อกันว่า เป็ นพืชทีด่ ดู อานาจบางอย่างในตัวซึง่ นันก็
่ คอื
ผีปยู่ ่าทีค่ มุ้ ครองตนนันเอง
่ “แต่ถา้ บังเอิญทานโดยไม่รตู้ วั หรือเข้าใจผิดก็จะออกอาการ เช่น ท้องเสียโดยไม่รสู้ าเหตุ
เท่านัน้ ครับ” และเมื่อการวางตัวในกลุ่มเพื่อน รวมไปถึงวิถกี ารเล่นปกติต้องมีการเปลีย่ นแปลง และต้องระมัดระวัง
ตัวเพิม่ ขึน้
179
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
สานึกใน วั นของม้าขี่
คนทรงมักมีปัญหาชีวติ ใช่หรือไม่? ส่วนใหญ่ร่างทรงมักจะปั ญหาชีวติ มาก่อน เช่น ไม่สบาย มีปัญหาทาง
เศรษฐกิจ ทางานหนัก ครอบครัวมีปัญหา วิกลจริต หรือแม้แต่เคยพยายามฆ่าตัวเองมาก่อน ต่อมาภายหลังเมื่อ
เป็ นร่างทรง ฐานะทางครอบครัวก็ดขี น้ึ มาก ปั ญหาครอบครัวก็เบาบางลง
180
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ม้า ขี่เ ป็ น ตัว แทนของตระกูล และผีปู่ ย่ า ก็เ ป็ น พลัง อ านาจที่มีไ ว้ใ ช้เ พื่อ ส่ว นรวม ไม่ อ าจ
นามาใช้เพื่อหาประโยชน์สว่ นตัวได้ในชีวติ ประจาวัน เรื่องเหล่านี้ไม่อาจบังคับให้ใครเชื่อและ
ไม่อาจไปดูถูกความเชื่อของใคร ทุกอย่างมีการวิวฒ ั น์พฒ
ั นาตัวเองให้เหมาะสมกับยุคสมัย
มันไม่ได้อยู่ทว่ี ่าเราเชื่ออะไร มันอยู่ทว่ี ่าเราเชื่ออย่างไรต่างหาก
แต่ทว่าในกรณีของกัลยาณมิตรของผูเ้ ขียนนัน้ ดูจะแตกต่างจากข้อมูลดังกล่าว เพราะเขาไม่ได้มปี ั ญหา
ชีวิตมาก่อน สุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง มีการศึกษาและหน้ าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมันคง ่ เรียกได้ว่า ความ
เป็ นไปในชีวติ ของเขาอยู่ห่างไกลจากผูท้ เ่ี ป็ นคนทรงคนอื่น ๆ ทีป่ รากฎในสือ่ หรือตามข่าวในหนังสือพิมพ์
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทัศนะของเพื่อนผู้เขียนที่สะท้อนออกมา ผ่า นการคัดสรรแล้วในการนาเสนอ
เขาเลือกทีจ่ ะบอกตัวเองและคนอื่นว่า การเป็ นหรือไม่เป็ นม้าขีน่ นั ้ ถูกกาหนดมาแล้ว เขาไม่ได้อยากหรือปรารถนาที่
จะเป็ น บทบาทหน้าทีข่ องเขาจึงเป็ นไปเพื่อกลุ่มตระกูล เพื่อประโยชน์สว่ นรวม ดังนัน้ ในขณะทีเ่ ขาเป็ นตัวเอง เขาก็
เป็ นม้าขีด่ ว้ ย ตัวตนของเขาเลื่อนไหลไปตามสถานการณ์แวดล้อมที่เปลีย่ นไป เมื่อถึงเวลาทีเ่ หมาะสมตัวตนม้าขี่
ของเขาจึงจะปรากฏเพื่ออธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจถึงการปฏิบตั ติ นทีต่ ่างออกไป
181
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทสรุ ป
พิธกี รรมฟ้ อนผีไม่ได้เป็ นพิธกี รรมที่ไร้ความหมายหรือมีลกั ษณะที่เป็ นแค่พธิ กี รรมที่ต้องปฏิบตั ิกนั สืบ
ต่อมาตามขนบเท่านัน้ หากเป็ นพิธกี รรมทีแ่ สดงความเคารพ ศรัทธาต่อบรรพบุรุษทีเ่ ปี่ ยมไปด้วยพลังของความ
ผูกพันกันทางจิตวิญญาณ เป็ นพลังอันสาคัญที่ห ล่อเลี้ยงประคับประคองและอยู่เคียงข้างตัวตนของม้าขี่ หรือ
ลูกหลานทุกคน จนสามารถประเมินได้ถงึ ความมีคุณค่าและความหมายอย่างมากต่อญาติพน่ี ้องร่วมสายตระกูล แต่
ทัง้ นี้ทงั ้ นัน้ ผีปู่ย่าก็ไม่ได้ก้าวก่ายตัวตนของปั จเจกแต่ละบุคคลเสียทีเดียว ผีปู่ย่ายังคงให้ลูกหลานดาเนินชีวติ ไป
ตามครรลอง แต่กค็ อยเป็ นหลักทีพ่ ง่ึ พิงของลูกหลานได้เสมอในยามลาบาก
ตัวตนของ “ม้าขี”่ จะเด่นชัดก็ต่อเมื่อปรากฏตัวในพิธกี รรม ม้าขีเ่ ป็ นอัตลักษณ์ทางสังคมทีร่ บั รูใ้ นเฉพาะ
กลุ่มตระกูลและคนทีใ่ กล้ชดิ เข้าใจในวัฒนธรรมของม้าขี่ การเป็ นม้าขีไ่ ม่อาจเป็ นได้โดยตลอดในความเป็ นจริงทาง
สังคมทีเ่ ลื่อนไหลไป ในสังคมขนาดเล็กทีด่ ารงอยู่ดว้ ยความเชื่อและพิธกี รรม กาหนดให้การเป็ นม้าขีถ่ ูกอ้างอิงกับ
พลังอานาจทีเ่ ชื่อมโยงกับผีปยู่ ่าอันกลายมาเป็ นความทรงจาร่วม สาหรับตัวของผูท้ าหน้าทีเ่ ป็ นม้าขีเ่ องจะได้รบั ได้
สัมผัสถึงพลังอานาจของผีปู่ย่าหรือไม่กเ็ ป็ นประสบการณ์ส่วนตัวของผูท้ เ่ี ป็ นม้าขีเ่ อง พลังอานาจของผีปยู่ ่าผ่านม้า
ขีเ่ ป็ นของส่วนรวมทีไ่ ม่อาจใช้เพื่อหาประโยชน์สว่ นตัว ความคาดหวังทีม่ ตี ่อม้าขีน่ ้จี งึ มีผลต่อการปฏิบตั ติ นของม้าขี่
ทัง้ ในและนอกพิธกี รรมในลักษณะทีว่ ่า ม้าขีต่ ้องเป็ นคนดี มีศลี ธรรมและเป็ นผูอ้ ุทศิ ตน อัตลักษณ์ทางสังคมจึงถูก
เชื่อมร้อยเข้ากับตัวตนของปั จเจกอย่างไม่อาจเลีย่ งได้
182
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ตามความเห็นผูเ้ ขียน ไม่ว่าจะเป็ นตัวตนของผูเ้ ป็ นม้าขี่ (ทีค่ วรจะเป็ น) หรือม้าขีใ่ นฐานะทีเ่ ป็ นอัตลักษณ์
ทางสังคม ตัวตนและอัตลักษณ์ทงั ้ หมดทัง้ มวลล้วนเป็ นความคาดหวั งและความเชื่อทีห่ ล่อหลอมกันมาของสังคม
ซึ่งมันอาจจะเป็ นคนละเรื่องกับความเป็ นจริงที่เขาเป็ นอยู่ ดังที่เขาได้ท้งิ ท้ายไว้ว่า “สาหรับผมแล้ว ถ้าหากเรา
สามารถเชื่อมโยงกับพลังอานาจเหนือธรรมชาติได้ เราก็ไม่ต้องไปกังวลเรื่องความคาดหวังและความเชื่อเหล่านัน้
ก้าวข้ามมันไป จนสามารถพบตัวตนที่ยงิ่ ใหญ่ กว่าเราเอง มันเป็ นประสบการณ์ ของการมีชวี ิต ซึ่งทัง้ หมดของ
ประสบการณ์น้อี ยู่ภายใน ถ้อยคาสือ่ ความหมายได้เพียงเล็กน้อยเท่านัน้ ”
รำยกำรอ้ำงอิง
กิง่ แก้ว อัตถากร. “พิธกี รรมคือการเชื่อมโยง.” วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 6, ฉบับที่ 1 (มกราคม-
เมษายน 2552): 1-9.
แคมพ์เบลล์, เจ. พลานุภาพแห่งเทพปกรณัม. แปลโดย บารนี บุญทรง. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริน้ ติง้ แอนด์พบั ลิช
ชิง่ , 2551. (ต้นฉบับภาษาอังกฤษพิมพ์ ค.ศ.1991)
ธเนศ วงศ์ยานนาวา. “อภัยวิถ:ี เทววิทยาทางการเมือง ความทรงจาและความหลงลืมของประวัตศิ าสตร์ไทย.”
รัฐศาสตร์สาร 22, ฉบับที่ 1 (2543): 143.
นิภาวรรณ วิรชั นิภาวรรณ. ร่างทรง: บทบาททีม่ ตี ่อสังคมปั จจุบนั กรณีศกึ ษาทีอ่ าเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา.
วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชามนุษยวิทยา ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร,
2532.
ณัฐภัทร์ สุรนิ ทร์วงศ์. “พิธกี รรมฟ้ อนผีมด: การเยียวยาสุขภาพในมุมมองคติชนวิทยา.” ใน หนังสือรวมบทความ
วิชาการ ดิน น้ า ลม ไฟ: ธาตุ จักรวาล พิษภัย จากมุมมองมนุษยศาสตร์, บรรณาธิการโดย จาตุรี ติงศ
ภัทยิ ,์ สุรเดช โชติอุดมพันธ์, และอลิสา สันตสมบัต.ิ กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ศยาม, 2558.
บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์และคณะ. “การเข้าทรงของหมูบ่ า้ นหนองขาว ตาบลหนองขาว อาเภอท่าม่วง จังหวัด
กาญจนบุร.ี ” วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร 19-20, 3 (2543): 257-314.
ปนาพันธ์ นุตร์อาพัน. สัมภาษณ์จติ ด้วยวิญญาณ. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์บุ๊คส์ จากัด. 2543.
พิพฒ ั น์ กระแจะจันทร์. “รัฐประหาร-ร่างทรง ถึงวีรบุรษุ ในประวัตศิ าสตร์ไทย.” ศิลปวัฒนธรรม 37, ฉบับที่ 3
(มกราคม 2559): 96-119.
วิวฒ ั น์ เลิศวิวฒ ั น์วงศา. “ผีความทรงจา” คนมองหนัง คอลัมน์นอกกระแส. มติชนสุดสัปดาห์ 32, ฉบับที่ 1662 (22
มิถุนายน 2555): 85.
อรรถจักร์ สัตยานุรกั ษ์. “ความทรงจา ประวัตศิ าสตร์ และการเฉลิมฉลองระลึกถึงการเมือง.”
http://www.bangkokbiznews.com/ สืบค้นวันที่ 27/6/2559.
183
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
184
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P2-R2-04
การกาหนดบทบาทหญิงชาย
ผ่านตาราเรียนระดับประถม
ของประเทศพม่า
ณัฐราพร พรหมประสิทธิ์
นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาเอเชี ยตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
185
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ในสังคมพม่าผูห้ ญิงและผูช้ ายได้รบั ความคาดหวังทีแ่ ตกต่างกัน ผูช้ ายถูกคาดหวังให้มคี วามเป็ นผูน้ า และ
เป็ นผูท้ ด่ี แู ล สิง่ ประกอบทางสังคมและวัฒนธรรม ทัง้ เรื่องศาสนา ความเชื่อ การเมือง บทบาททางสังคม ทาให้เกิด
ประสบการณ์และบทบาททีแ่ ตกต่างกันในสังคม
บทบาทที่สาคัญของผู้หญิงพม่า คือ บทบาทในครอบครัว ในฐานะของแม่และลูกสาว ผู้หญิงจะเป็ น
ผู้รบั ผิดชอบหน้าที่ในครอบครัว ดูแลคนในครอบครัว ทัง้ เรื่องอาหารการกิน การใช้ชวี ติ และสุขภาพ แต่ผู้หญิง
ไม่ใช่ผู้ท่หี ารายได้หลัก บทบาทดังกล่าวผู้ชายถูกคาดหวังให้เป็ นผูป้ ฏิบตั ิ ทาให้เกิดความแตกต่างที่ชดั เจนของ
บทบาทหญิงและชายในพม่า
มีงานเขียนหลายเล่มที่อธิบายเกี่ยวกับบทบาทหญิงชายของพม่าไว้ Than Than Nwe ได้อธิบายไว้ว่า
ศาสนาพุ ท ธ เป็ นสิ่ง ส าคัญ ที่ท าให้เ กิด ความไม่ เ ท่ า เทีย มกัน ระหว่ า งหญิง ชาย (Than Than New 2003, 7)
สอดคล้องกับที่ Teresa O’Shannavy ได้พยายามอธิบายว่า สิง่ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์ชายเป็ นใหญ่ การ
ที่พ่อแม่ของผู้หญิงได้อบรมสังสอนลู่ กให้ปฏิบตั ิตัวอย่างไรเมื่อมีครอบครัว การเปรียบเปรยลูกชายให้เ ป็ น ดัง่
เจ้านาย ส่วนสามีกค็ อื พระเจ้า ในขณะทีผ่ หู้ ญิงเป็ นผูร้ บั คาสังและปฏิ
่ บตั ติ ามอย่างเคร่งครัด ถึงจะได้รบั การยอมรับ
ว่าเป็ นผูห้ ญิงทีด่ ี (O’Shannavy, 2000, 15) Than Than Nwe ยังชีใ้ ห้ถงึ ระดับของสังคมทีแ่ ตกต่างกันของหญิงชาย
พม่าว่า ถึงแม้ผู้หญิงจะได้รบั การยอมให้ปฏิบตั หิ น้าที่ภายในบ้าน ขณะที่พ้นื ที่ภายนอกตัวบ้านทัง้ หมดเป็ นของ
ผูช้ าย (Than Than New 2003, pp.7) บทบาทของผูห้ ญิงและผูช้ ายพม่าเริม่ มีการเปลีย่ นแปลง ในช่วงการเข้ามา
ของอาณานิคมอังกฤษ ซึ่ง Ikeya ได้อธิบายไว้ในหนังสือ Refiguring Women, Colonialism, and Modernity in
Burma เกีย่ วกับผูห้ ญิงพม่าในช่วงก่อนอาณานิคมอังกฤษว่า พม่าให้คุณค่าระหว่างความเป็ นหญิงและชายแตกต่าง
กัน ทัง้ เรื่องการศึกษา บทบาทในครอบครัว และฐานะทางสั งคม การนาผู้หญิงเข้าสู่ระบบการศึกษาอย่างเป็ น
ทางการในปี 1920 (Ikeya 2012, 55) นิสารัตน์ ได้อธิบายไว้ว่า ในด้านการศึกษามีการจัดวางเนื้อหาการเรียน
เฉพาะสาหรับเด็กผูห้ ญิงและบรรจุเข้าไปในหลักสูตรของโรงเรียน (นิสารัตน์ ขันธโภค 2555, 105) การศึกษาและ
รูปแบบสังคมที่เริม่ มี ทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลงในหลายๆ ด้าน จุดเริม่ ต้นของการเปลีย่ นแปลงทีค่ ่อนข้างชัดเจน
ของชีวติ ผูห้ ญิงพม่า เกิดขึน้ ในช่วงทีพ่ ม่าทีต่ กเป็ นอาณานิคมของอังกฤษ ผูห้ ญิงได้รบั โอกาสในด้านต่างๆ มากขึน้
ในช่วงเวลานี้ผหู้ ญิงเริม่ เข้ามามีบทบาทในสังคม และเป็ นกาลังสาคัญหนึ่งในการพัฒนาประเทศ โดยการเข้าร่วม
เป็ นทหารหญิง (Tharaphi 2014, 70) แต่เรื่องราวดังกล่าวกลับได้รบั การกล่าวถึงน้อยมาก ในขณะทีบ่ ทบาทของ
ผูช้ ายได้รบั การกล่าวถึงเป็ นจานวนมาก แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของการให้ความสาคัญระหว่างบทบาทหญิง
และชายได้อย่างชัดเจน
การที่สถานภาพและบทบาทของผูห้ ญิงและผู้ชายแตกต่างกันนัน้ ขึน้ ก็อยู่กบั ปั จจัยต่างๆ หลายประการ
และทาให้เกิดความเข้าใจทีว่ ่าความแตกต่างทางร่างกายทาให้ผหู้ ญิงและผูช้ ายมีความแตกต่างกันในด้านอื่นๆ ด้วย
Eckert and McConnell-Ginet มองว่า เพศ (Sex) เป็ นการจาแนกตามหมวดหมู่ทางชีวภาพตามศักยภาพของการ
สืบพันธุ์ ในขณะทีเ่ พศสภาพ (Gender) มีรายละเอียดทีเ่ กีย่ วข้องกับสังคม (Eckert and McConnell-Ginet, 2003,
10) โดยการแบ่งความแตกต่างทางชีวภาพเพื่ออธิบายพฤติกรรมและความสามารถของ “ผู้ชาย” หรือ “ผู้หญิง”
(Jane & Imelda 2004, 56) การอธิบายถึงความต่างของบทบาทหญิงชายจึงมีความเชื่อมโยงกับเรื่องของการให้
คุณค่า การเลือกปฏิบตั ิ บทบาทหน้าทีใ่ นสังคม และความเชื่อทางสังคมทีเ่ ห็นว่าผูห้ ญิงควรเป็ นแบบไหนและผูช้ าย
ควรเป็ นแบบไหน วิธกี ารคิดแบบดังกล่าวทาให้ผหู้ ญิงและผูช้ ายจะได้รบั การปฏิบตั หิ รือมีสงิ่ ทีค่ วรปฏิบตั ทิ แ่ี ตกต่าง
186
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
กัน การพยายามสร้า งข้อ ก าหนดเรื่อ งเพศและพยายามปลู ก ฝั ง ให้เ กิด การปฏิบ ัติภ ายในสัง คม ท าให้เ กิด
กระบวนการขัดเกลาทางสังคมเกิดขึน้ ผู้คนจะเริม่ มีการเรียนรูปแบบความคิดเรื่องบทบาทหญิงชายจากสังคมที่
ตนเองมีความเชื่อมโยงอยู่ เรื่องราวเกีย่ วกับบทบาทหญิงชายทีถ่ กู เรียนรูซ้ ้าในสังคมจึงกลายเป็ นบรรทัดฐานในการ
ปฏิบตั ขิ องผูค้ น สิง่ เหล่านี้จงึ กลายเป็ นความเชื่อทางสังคมรูปแบบหนึ่งทาให้เกิดการปฏิบตั ิตนของผูห้ ญิงและผูช้ าย
ทีแ่ ตกต่างกัน แต่อกี สิง่ หนึ่งทีม่ บี ทบาทเป็ นอย่างมาก คือ ตาราเรียน เพราะการเรียนหนังสือเป็ นกระบวนการ
ศึกษาทีม่ สี ว่ นสาคัญในการหล่อหลอมและถ่ายทอดความคิด ทัศนคติ และเงื่อนไขต่างๆ ในสังคม
บทบาทสาคัญของตาราเรีย น คือ เป็ นสิง่ ที่สร้างรูปแบบความคิดของคนในชาติให้เ ป็ นไปในทิศ ทาง
เดียวกันตามความต้องการของรัฐ เนื้อหาต่ างๆ ที่ในตาราเรียนได้ผ่านกระบวนการพิจารณาจากผู้ ทรงคุณวุฒิ
ระดับประเทศ ตาราเรียนจึงเป็ นเครื่องมือทีด่ ที ร่ี ฐั ส่งผ่านความต้องการของรัฐไปยังพลเมืองของรัฐ
ปั จจุบนั งานเขียนทีเ่ กีย่ วข้องกับการศึกษาในประเทศพม่าเน้นไปทีก่ ารศึกษาเกีย่ วกับบทบาทตาราเรียน
ในฐานะของเครื่องมือเพื่อสร้างความชอบธรรมตามกฎหมายให้กบั รัฐ การศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนของพม่าจึงมี
เป้ าหมายชัดเจนในการควบคุมเงื่อนไขทางสังคม และเป็ นเครื่องมือหนึ่งที่จะทาให้ก้าวไปสู่ความเป็ นชาติ โดย
รัฐบาลยืนยันว่าการศึกษา คือ การผลิต "ทรัพยากรมนุ ษย์ทด่ี เี ยีย่ ม" (Cheesman, 2002) เพื่อประโยชน์อนั สูงสุด
ของรัฐ ด้วยเหตุ น้ี รฐั จึงใช้โรงเรียนและหนังสือเพื่อถ่ ายทอดรูปแบบกฎเกณฑ์ท่สี ามารถสร้างสานึกร่วมให้กบั
นักเรียน โดยใช้กระบวนการของการศึกษาเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ในระดับชาติ โดยเน้นเกีย่ วกับวีรบุรุษ การสร้าง
ความสามัคคีของชาติ การสร้างศัตรูร่วมกัน การต่อต้านอาณานิคม รวมไปถึงการนาเสนอภาพของรัฐบาลทหาร
(Nicolas & Rosalie 2012, pp. 68-69) การใช้เรื่องเล่า นิทาน หรือตานานในการเล่าเรื่องการศึกษาเกีย่ วกับนิทาน
หรือตานานทีป่ รากฏอยู่ในตาราเรียนในระดับประถม เป็ นการอธิบายถึงเรื่องเล่านิทานหรือตานานเหล่านี้ว่ามีผลต่อ
การดาเนินชีวติ ประจาวันของเยาวชนพม่าจนกระทังก้ ่ าวสู่ความเป็ นผูใ้ หญ่ (San San Win 2556, 48) การกาหนด
เนื้อหาของตาราเรียนเป็ นวิธกี ารสอดแทรก และการปลูกฝั งให้นาเอาพฤติกรรมทีพ่ งึ ประสงค์ตามความต้องการของ
รัฐมาเป็ นแบบอย่างในการดาเนินชีวติ สิง่ ทีน่ ่าสนใจของงานชิน้ จึงเป็ นเหมือนการเติมช่องว่างในการศึกษาเกีย่ วกับ
ของตาราเรียนในฐานะทีเ่ ป็ นเครื่องมือทีร่ ฐั ใช้ในการกาหนดบทบาทหญิงชายพม่าเพื่อเป็ นมาตรฐานในสังคม สิง่ ที่
น่ าสนใจในการศึกษาเรื่องบทบาทหญิงชายในตาราเรียนของประเทศพม่า คือ ปั จจุบนั งานทีศ่ กึ ษาเกีย่ วกับตารา
เรียนในพม่านัน้ จะเน้นไปทีก่ ารศึกษาเกีย่ วกับการพยายามสร้างความเป็ นชาติและการสร้างความชอบธรรมของ
รัฐบาลพม่าโดยการใช้ตาราเรียนเป็ นเครื่องมือเพื่อไปสูเ่ ป้ าหมายเหล่านัน้
หญิงชำยพม่ำ
ความแข็งแกร่งของศาสนาพุทธในพม่า ทาให้ศาสนาพุทธถูกใช้เป็ นฐานในการกาหนดบทบาทหญิงชาย
ในพม่าตามหลักคาสอนของศาสนา รวมทัง้ การให้ความสาคัญต่อคาสังสอนของพ่ ่ อแม่และครูอาจารย์ ซึง่ ถือเป็ นสิง่
มงคลอย่างหนึ่งของชาวพม่า ภายในสถาบันครอบครัว ผูห้ ญิงชาวพม่าจะถูกคาดหวังให้อยู่ในบทบาทของแม่และ
ลูกสาวทีด่ ี งานทีเ่ ขียนทีเ่ กีย่ วกับหญิงชายในพม่าส่วนใหญ่นนั ้ จะเน้นไปทีเ่ รื่องของพืน้ ทีท่ างสังคมเป็ นส่วนใหญ่และ
จะใช้แนวคิดเรื่องพื้นที่และความมีตัวตนภายใต้เงื่อนไขทางสังคมต่ างๆ ที่มีความซับซ้อน การแบ่งแยกความ
แตกต่างระหว่างผูห้ ญิงผูช้ ายในสังคมพม่าสามารถเห็นได้ตงั ้ แต่เรื่องบทบาทหน้าทีใ่ นครอบครัว
Than Than New ได้อธิบายว่า ในครอบครัวคนพม่าหน้าทีห่ ลักของผูช้ ายจะทางานทีต่ ้องใช้แรงงานเป็ น
หลัก หน้ าที่หลักของผู้หญิง คือ การเป็ นแม่บ้านแม่เรือน คอยดูแลความเรียบร้อยภายในบ้าน ดูแลสมาชิกใน
ครอบครัว ทาอาหาร เย็บปั กถักร้อย พื้นที่บริเวณบ้านหรือห้องครัวถือเป็ นพื้นทีส่ าหรับผูห้ ญิง ทาให้ผู้หญิงและ
187
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
กำรศึกษำของพม่ำ
การศึกษาของประเทศพม่าตัง้ แต่ช่วงก่อนการตกเป็ นอาณานิคมของอังกฤษนัน้ สังคมพม่ามีความผูกพัน
กับศาสนาพุทธเป็ นอย่างมาก ความเข้มแข็งของความเชื่อ ด้านศาสนาพุทธทาให้สงั คมพม่าในทุกๆ ด้านมีความ
เชื่อมโยงกับศาสนา รวมทัง้ ทางด้านการศึกษาด้วย ในอดีตผูป้ กครองจะส่งบุตรหลานเข้าไปศึกษาเล่าเรียนในวัด
เป็ นจานวนมาก โดยเป้ าหมายหลักของการศึกษาในวัดคือ การเรียนรูค้ าสอน หลักธรรม ศีลธรรม การปฏิบตั ติ น
เพื่อเป็ นชาวพุทธทีด่ ีและการเรียนไวยากรณ์ภาษาพม่า โดยมีพระสงฆ์เป็ นผู้อบรมสังสอน
่ แต่การเรียนการสอน
ภายในวัดไม่ได้มกี ารจัดการอย่างเป็ นรูปธรรม ส่วนใหญ่เน้นการท่องจาเป็ นหลัก
188
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
189
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
190
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
191
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ตำรำเรียนระดับประถมศึกษำของประเทศพม่ำ
ตาราเรียนสาหรับการศึกษาระดับพื้นฐานทัง้ หมดจึงผลิตโดยกองตาราและหลักสูตรการศึกษาพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ (วิรชั 2551, 30) เนื้อหาของตาราเรียนทีใ่ ช้ในปั จจุบนั นัน้ ไม่ได้มคี วามแตกต่างจากเนื้อหาของ
ตาราเรียนในอดีตมากนัก เนื้อหาส่วนใหญ่เป็ นเรื่องราวตัง้ แต่หลังได้รบั เอกราช ในปี ค.ศ. 1948 ซึง่ ในแต่ละชัน้ ปี จะ
มีวชิ าเรียนและเนื้อหาทีแ่ ตกต่ างกันออกไป เช่น วิชาการอ่าน เรียนตัง้ แต่ เกรด 1-6 วิชาประวัตศิ าสตร์ตงั ้ แต่เกรด
3 ขึน้ ไป และเมื่อรัฐต้องการทีจ่ ะเพิม่ เติมความรูห้ รือเนื้อหาบางส่วนทีแ่ ตกต่างออกไปให้กบั เยาวชนก็จะใช้วธิ กี าร
เพิม่ เนื้อหาหรือผลิตหนังสือเพิม่ เติมในเรื่องนัน้ ๆ
สาหรับตาราเรียนระดับประถมศึกษาของประเทศพม่า การศึกษาในระดับประถมศึกษาตอนต้น (เกรด 1-
3) มีวิชาบังคับทัง้ หมด 4 วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่านภาษาพม่า และภาษาอังกฤษ ส่วน
ระดับประถมศึกษาตอนปลาย (เกรด 4-5) มีวชิ าบังคับทัง้ หมด 5 วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การอ่าน
ภาษาพม่ า และภาษาอัง กฤษเป็ น วิช าหลัก และในปี 1998-1999 ได้เ พิ่ม วิช าประวัติศ าสตร์แ ละภู มิศ าสตร์
(Cheesman 2002, 75)
ในเดือนสิงหาคม ปี 2001 รัฐบาลพม่าได้มกี ารประกาศโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสารสนเทศ (Minister
for Information) ว่ารัฐบาลยังได้ผลิตตาราเรียนและการจัด จาหน่ าย (Cheesman 2002 , 121) โดยตาราเรียนของ
พม่าทัง้ หมดถูกผูกขาดในการผลิตตาราเรียนและการจัดจาหน่ายโดยกองตาราและหลักสูตรขัน้ พืน้ ฐาน (The Basic
Education Curriculum and Textbook Committee)
ตาราเรียนวิชาการอ่านภาษาพม่าตัง้ แต่ระดับ 1-5 มีจุดประสงค์ในการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนมี
ความรูค้ วามสามารถในการอ่านเขียนภาษาพม่าอย่างคล่องแคล่ว
วิชาการอ่านภาษาพม่า เกรด 1 เป็ นการเรียนการสอนเกีย่ วกับพยัญชนะพืน้ ฐาน สระพืน้ ฐาน และอักษร
ควบกล้าทัง้ หมด โดยครูผู้สอนจะเน้นเรื่องการอ่านพยัญชนะ สระพื้นฐาน และการอธิบายความหมายที่ถูกต้อง
ให้แก่นกั เรียน (Myanmar Language Grade1, 2012)
192
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
บทบำทหญิงชำยที่ปรำกฏในตำรำเรียน
จากการค้นคว้าข้อมูลจากตาราเรียนวิชาการอ่านภาษาพม่าในระดับประถมของประเทศพม่า (เกรด 1-5)
ผูว้ จิ ยั พบว่ามีเนื้อหาทีแ่ สดงให้เห็นเกีย่ วกับบทบาทชายหญิงซึง่ ผูว้ จิ ยั ได้แบ่งเป็ นกลุ่ม ดังนี้
บทบาทเกีย่ วกับอาชี พ
ตาราเรียนระดับประถมของประเทศพม่า มีเนื้อหาทีแ่ สดงให้เห็นถึงการกาหนดบทบาทหญิงชายในเรื่อง
ของอาชีพ อาชีพของเพศหญิงทีพ่ บบ่อยมากทีส่ ุด คือ ครูผหู้ ญิง ซึง่ คาในภาษาพม่าจะแยกเพศของคุณครูไว้ คือ
ครูผหู้ ญิง ภาษาพม่าเรียกว่า “สะยามะ” (ဆရာမ) และครูผชู้ าย ภาษาพม่าเรียกว่า “สะยา” (ဆရာ) นอกจากนี้ยงั
พบว่ามีเนื้อหาเกีย่ วกับการปฏิบตั ใิ นห้องเรียนหรือการให้ความเคารพระหว่างนักเรียนกับครูผหู้ ญิงเป็ นส่วนใหญ่
และเนื้อหาเกีย่ วกับครูผชู้ ายมีจานวนน้อยมาก
193
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
194
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
คุณค่าความงามของผู ้หญิง
ในขณะทีต่ าราเรียนระดับประถมของประเทศพม่ามีการนาเสนอภาพของผูช้ ายในด้านของการแสวงหา
ความรู้ แต่ในด้านของผูห้ ญิงกลับมีการนาเสนอเกีย่ วกับ การแต่งกาย การสวมเครื่องประดับ การประทินผิว เห็นได้
ว่าเนื้อหาทีป่ รากฏในตาราเรียนมีการกล่าวถึงความงามทีเ่ ป็ นความงามของผูห้ ญิง อาทิ
195
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทบาทหญิงชายภายในครอบครัว
จากการศึก ษาพบว่ า ต าราเรีย นวิช าการอ่ า นภาษาพม่ า ในระดับ ประถมศึก ษาชัน้ ปี ท่ี 1-5 ได้มีก าร
สอดแทรกเนื้อหาเกีย่ วกับหญิงชายในด้านต่างๆ ไว้ เช่น การเป็ นแม่และพ่อทีด่ ี การแบ่งหน้าทีใ่ นครอบครัว และ
การปลูกฝั งให้ผชู้ ายเป็ นผู้เสียสละ เป็ นต้น เนื้อหาทีแ่ สดงให้เห็นบทบาทหญิงชายภายในครอบครัว บทบาทของ
ผูห้ ญิงจะถูกนาเสนอออกมาในฐานะแม่และภรรยา มีหน้าทีอ่ บรม สังสอน ่ และดูแลสมาชิกภายในครอบครัว แต่มี
รายละเอียดบางส่วนที่ผู้หญิงไม่สามารถปฏิบตั ิได้ทาให้ผู้หญิ งและผู้ชายมีอานาจในการตัดสินใจเรื่องราวต่ างๆ
แตกต่างกันไป
ในสังคมพม่าพื้นที่บริเวณบ้านนัน้ ผู้หญิงถือเป็ นพื้นที่ของผู้หญิง ผู้หญิงจะเป็ นผู้ดูแลความเรียบร้อ ย
ภายในบ้าน แต่การปฏิบตั หิ น้าทีด่ งั กล่าวของผูห้ ญิงก็มขี อ้ กาหนดหรือวาทกรรมบางอย่างในสังคมกาหนดขอบเขต
การปฏิบตั หิ น้าทีด่ งั กล่าว เช่น ในกรณีของการซักผ้า ผ้าถุงหรือกระโปรงของผูห้ ญิงจะไม่สามารถซักร่วมกับของ
ผูช้ ายได้ และผ้าถุงหรือกระโปรงของผูห้ ญิงจะไม่สามารถนาไปเก็บไว้ในส่วนบนสุดของตูเ้ สือ้ ผ้าได้เช่นกัน (Than
Than New 2003, pp. 7-8)
การเป็ นแม่และภรรยาทีด่ จี งึ เป็ นความภาคภูมใิ จอย่างหนึ่งของผูห้ ญิงชาวพม่า ซึง่ สามารถยืนยันได้จาก
สุภาษิตประโยคหนึ่งของชาวพม่าว่า “ถ้าลูกรักพ่อ แสดงว่ามีแม่ทด่ี ี” ความหมายของทีแ่ ฝงอยู่ในประโยคนี้ แสดง
ให้เห็นความสัมพันธ์ในครอบครัวทีแ่ ม่มคี วามผูกพันกับลูกมากกว่า และแม่เป็ นผูท้ าหน้าทีอ่ บรมสังสอนลู
่ กนันเอง
่
ในตาราเรียนมีเนื้อหาทีช่ ใ้ี ห้เห็นว่า ผูห้ ญิงได้ถูกคาดหวังให้มคี ุณลักษณะภรรยา และแม่ทด่ี ี ตัวอย่างเช่น
ในตาราเรียนวิชาการอ่านภาษาพม่า เกรด 3 มีเนื้อหาทีว่ ่า
196
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
1. การบวชเณร
2. การบวชพระ
3. การแต่งงาน
สาเหตุทผ่ี หู้ ญิงพม่าให้ความสาคัญกับการแต่งงานเป็ นพิเศษ เพราะสิง่ ทีเ่ ป็ นมงคลใน 2 ประการแรกเป็ น
สิง่ ที่ผู้หญิงไม่สามารถปฏิบตั ิได้ด้วยตนเอง การแต่ งงานจึงเป็ นเสมือนสิง่ ที่เป็ นมงคลเพียงอย่างเดียวที่ผู้หญิง
สามารถมีได้จากสิง่ ทีเ่ ป็ นมงคลทัง้ 3 ประการทีค่ นพม่าเชื่อว่าจะต้องปฏิบตั ติ าม
ในภาษาพม่ามีคาศัพ ท์คาหนึ่งที่แสดงถึงสถานะในครอบครัว นัน่ คือคาว่า “เองน์ อุนัต ” (အမ္္ဥားနတ္ )
แปลว่า “เทพประจาบ้าน” พม่ามีความเชื่อเรื่อง “นัต” นัตในสังคมพม่า หมายถึง “วิญญาณศักดิสิ์ ทธิของผู ์ ต้ ายร้าย”
เป็ นภูตผูเ้ ป็ นทีพ่ ง่ึ ของปุถุชนทัวไป
่ นัตทีเ่ ป็ นภูตผีจะมีฐานะกึง่ เทพกึง่ ผี คื อ อยู่ระหว่างเทพและผี มีระดับสูงกว่าผี
ทัวไป
่ แต่มเิ ทียบเท่าเทวดา นัตจึงไม่ใช่ผธี รรมดาสามัญ (วิรชั -อรนุ ช 2551, 144) คาว่า “เองน์อุนัต” ได้กล่าวถึง
ผูช้ ายทีม่ อี ายุมากทีส่ ุดในบ้าน เป็ นผูท้ ท่ี าหน้าทีด่ ูแล ปกครอง และมีอานาจสูงสุดในบ้าน กรณีทป่ี หรื ู่ อพ่อเสียชีวิ ต
ลูกชายจะกลายเป็ นเองน์อุนตั และทาหน้าทีเ่ ป็ นเสาหลักของครอบครัว
สาหรับ ชาวพม่ า ครอบครัว เปรีย บเสมือ นศูน ย์ก ลางของความสามัค คี ความรัก และความเคารพที่
เรียงลาดับมากตัง้ แต่ผอู้ าวุโสมากจนถึงผูท้ อ่ี ายุน้อยทีส่ ดุ ในครอบครัว (Tha Nyunt 1962, 30) ถึงแม้ว่าลูกหลานจะ
มีครอบครัวของตนเองแล้ว แต่ปยู่ ่าตายายจะยังคงอาศัยกับลูกหลานของตน และเป็ นความรับผิดชอบของลูกหลาน
ที่จะดูแลปู่ ย่าตายาย นอกจากนี้ในประเด็นเรื่องการแบ่งหน้าที่กนั ภายในบ้านจะเห็นได้ชดั ว่าตาราเรียนกาหนด
บทบาทให้ผู้ชายทางานที่ต้องใช้แรงและกาลัง ในขณะที่ผู้หญิงจะเป็ นผู้ดู แลงานภายในบ้านและมีความประณีต
อ่อนโยนกว่า ผูห้ ญิงจึงมีสถานะเป็ นผูด้ แู ลมีหน้าทีค่ อยดูแลและสนับสนุน
วีรบุ รุษ
เนื้อหาในตาราเรียนระดับประถมของประเทศพม่าทีก่ ล่าวถึงวีรบุรุษของประเทศ จะได้กล่ าวถึงวีรบุรุษใน
ฐานะของผูท้ ต่ี ่อสูเ้ พื่อให้ได้มาซึง่ เอกราชของพม่า เป็ นผูท้ ช่ี าวพม่ารัก เทิดทูน และเป็ นบุคคลต้นแบบในการดาเนิน
ชีวติ ดาเนินรอยตาม แต่วรี ุบุรุษทีป่ รากฏในตาราเรียนระดับประถมของพม่านัน้ ล้วนเป็ นผูช้ ายทัง้ หมด อาทิ นาย
พลอองซาน มหาพันธุละ จึงเป็ นทีน่ ่ าสนใจว่าประเทศพม่าให้คุณค่าต่อผูช้ ายบทบาทในการปกป้ อง ดูแล และเป็ น
ส่วนหนึ่งในการสร้างชาติมากกว่าผูห้ ญิง อาทิ
197
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ความเป็นผู ้นา
สังคมพม่ามองว่าผูช้ ายเป็ นผูน้ า ส่วนผูห้ ญิงเป็ นผูต้ ามทีใ่ ห้ความช่วยเหลือและคอยสนับสนุนผูช้ ายเท่านัน้
ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงส่งผลให้ผหู้ ญิงมีโอกาสทีจ่ ะแสดงบทบาททางสังคมได้น้อยกว่าผูช้ าย ซึง่ ตรง
กับสานวนพม่าทีว่ ่า
တယာာ ္ား ားတဓားေး မန္းမဓားေားတမး(เรณู 2543, 23) แปลว่า ผูช้ ายลับมีด ผูห้ ญิงให้กาเนิด
ลูก มีความหมายว่า ผู้ชายลับมีดเพื่อจะต่อสูป้ กป้ องประเทศชาติ ผู้หญิงคลอดลูกสาหรับ
อนาคตของประเทศ แสดงให้เห็นถึงเรื่องของหน้าทีส่ ามีภรรยา
198
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
สรุ ป
จากการศึกษาและวิเคราะห์ขอ้ มูลจากตาราเรียนวิชาการอ่านภาษาพม่าในระดับประถมของประเทศพม่า
(เกรด 1-5) พบว่าเนื้อหาในตาราเรียนได้มกี ารพยายามปลูกฝั งความเป็ นหญิงชายอันพึงประสงค์ตามความต้องการ
ของรัฐ เพื่อสร้างหญิงชายในอุดมคติอกี ด้วยผูห้ ญิงถูกคาดหวังในเรื่องของการเป็ นแม่และภรรยาทีด่ ี
น้าเสียงในการเล่าเรื่องของตัวละครต่างๆ ทีป่ รากฏในตาราเรียนนัน้ เนื้อหาส่วนใหญ่จะใช้สรรพนามบุรุษ
ที่ 1 ซึ่งใช้แทนตัวผูเ้ ล่าว่า “จะหน่ อ” (ာ ၽန္တ ာ္) แปลว่า “ผม” เป็ นคาสรรพนามที่ใช้แทนตนเองของผูช้ าย และ
เนื้อหามักจะกล่าวถึงผูห้ ญิงในฐานะของผูท้ ถ่ี ูกกล่าวถึงในเรื่องเล่านัน้ ๆ เนื้อหาการเล่าเรื่องจึงเป็ นการเล่าเรื่องใน
มุมมองตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง คือ ผูช้ าย นันเอง่
ในขณะทีเ่ รื่องเล่าในตาราเรียนไม่พบเนื้อหาทีถ่ ูกเล่าด้วยเรื่องราวของผูห้ ญิง กรณีทม่ี เี รื่องของผูห้ ญิง เช่น
เรื่องแม่ของเรา ในตาราเรียนวิชาการอ่าน เกรด 3 (ျမန္မာာ ္မာ ဒု ယ န္း Grade3) จะพบว่าเรื่องเล่าถูกเล่า
โดยสรรพนามบุรุษที่ 3 คือ ผูเ้ ขียนเป็ นผูเ้ ล่าเรื่องราวทัง้ หมดด้วยตนเอง เล่าโดยการใช้มุมมองของตนเองทีม่ องเห็น
ว่าคุณลักษณะของความเป็ นแม่ทด่ี ขี องพม่านัน้ ควรมีลกั ษณะอย่างไร
ภาพของผู้หญิงที่ปรากฏในตาราเรียนจะเน้นเรื่องความสวยความงาม และเนื้อ หาที่พูดถึงผู้หญิงเป็ น
เกีย่ วข้องกับการทาหน้าทีค่ อยทาอาหาร เย็บปั กถักร้อย ดูแลสมาชิกในครอบครัว สอดคล้องกับทีส่ งั คมพม่ามองว่า
ผูห้ ญิง ภรรยา หรือแม่ เป็ นผูท้ ม่ี หี น้าทีใ่ นการดูแลสมาชิกในครอบครัว ผูห้ ญิงพม่าส่วนใหญ่มคี วามภาคภูมใิ จและมี
มุมมองว่าเป็ นผูห้ ญิงจะต้องปฏิบตั หิ น้าทีใ่ นบ้านไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ในขณะทีผ่ ู้ชายถูกอธิบายด้วยภาพของความเป็ นผูน้ า ความรับผิดชอบ ความเข้มแข็ง มีความสามารถ
การตัดสินใจ มีความเป็ นผู้นา ปลูกฝั งให้มคี วามเสียสละ รู้จกั ช่วยเหลือผูอ้ ่นื การพยายามแสดงให้เห็นภาพของ
ผูช้ ายทีเ่ ป็ นผูข้ ยันหมันเพี
่ ยรอยู่เสมอ อาชีพทีไ่ ด้รบั เกียรติหรือได้รบั การยกย่องจากสังคมพม่าหรือเป็ นทีน่ บั หน้าถือ
ตาอย่างอาชีพทหาร จะได้รบั การอธิบายเนื้อหาถึงความแข็งแรงของร่างกาย ความมีน้าใจ และอธิบายด้วยรูปภาพ
199
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ของผู้ชายที่กาลังสวมเครื่องแบบทหารอยู่เสมอ ซึ่งเนื้อหาจากตาราเรียนวิชาการอ่านภาษาพม่าในระดับประถม
ของประเทศพม่า (เกรด 1-5) สะท้อนเห็นให้ถงึ ความแตกต่างเกีย่ วกับบทบาทหญิงชายเป็ นอย่างมาก
เนื่องจากเหตุผลทีว่ ่าการศึกษาถือเป็ นเครื่องมือในการเรียนรูส้ งั คมและวัฒนธรรมของมนุษย์ การศึกษาจึง
เป็ น จึง สิ่งสาคัญที่ถูกใช้เ ป็ น เครื่องมือ ในการควบคุมสังคม การศึก ษาที่ถูก ควบคุ มและจัด การโดยรัฐเป็ นสิง่ ที่
น่ าสนใจเป็ นอย่างมาก ปั จจุบ นั เนื้อหาในรายวิชาต่างๆ ในการศึกษาระดับประถมไม่มกี ารแบ่งเป็ นการเรียนการ
สอนสาหรับนักเรียนชายและนักเรียนหญิง นักเรียนทุกคนจะได้เรียนเนื้อหาจากตาราเรียนเหมือนกันทัง้ หมด
คุณลักษณะของแต่ละเพศภาวะนัน้ ไม่ใช่สงิ่ ทีเ่ กิดขึน้ ตามธรรมชาติ แต่ได้ถูกกาหนดผ่านกระบวนการขัด
เกลาทางสังคมที่มซี บั ซ้อน และแต่ละบุคคลก็จะค่อยๆ ซึมซับเข้าไปเรื่อยๆ เพศภาวะที่ถูกกาหนดโดยสังคมจึง
สามารถเปลีย่ นแปลงได้ตามรูปแบบของสังคมหรือเปลีย่ นแปลงตามเงื่อนไขของสังคมทีเ่ ปลีย่ นไป ทัง้ ตามสภาพ
ทางเศรษฐกิจ การเมือ ง สัง คม ครอบครัว อายุ เชื้อ ชาติ ศาสนา ความเชื่อ ค่ า นิ ย ม สภาพภู มิศ าสตร์ ฯลฯ
กระบวนการขัดเกลาไม่ใช่การเริม่ ต้นเมื่อคนๆ นัน้ มีวยั วุฒใิ นการตัดสินใจเรื่องต่างๆ
การสอดแทรกเนื้อหาเรื่องของบทบาทหญิงชายทีป่ รากฏในตาราเรียน ทาให้เห็นว่ารัฐได้เข้ามามีบทบาท
ในการจากัดความเรื่องความเป็ นหญิงชายในสังคม เพราะตัง้ แต่พม่าได้ประกาศให้มตี าราเรียนเพื่อใช้ประกอบการ
จัดการเรียนการสอนภายในโรงเรียนต่างๆ นัน้ ตาราเรียนทัง้ หมดทีจ่ ะนาไปใช้ในโรงเรียนได้ ล้วนเป็ นตาราเรียนที่
อยู่ภายใต้การดูแลและผลิตขึน้ โดยกระทรวงศึกษาธิการของประเทศพม่าเท่านัน้ ทาให้เห็นได้ชดั ว่ารัฐพม่าคือ ผูท้ ม่ี ี
บทบาทและเป็ นผูป้ ลูกฝั งชุดรูปแบบความคิดให้กบั เยาวชนทีค่ ่อยๆ เติบโตขึน้ ผ่านกระบวนการศึกษาทีม่ กี ารหล่อ
หลอมและถ่ายทอดสิง่ ต่างๆ ในสังคม รวมทัง้ เรื่องของเพศนันเอง
่
บรรณำนุกรม
หนังสือ
นิธิ เอียวศรีวงศ์. 2538. ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์ : ว่าด้วยวัฒนธรรม. รัฐและรูปการ
จิตสานึก. กรุงเทพฯ: มติชน.
ปรานี วงษ์เทศ. 2549. เพศสภาวะในสุวรรณภูมิ (อุษาคเนย์) = Gender in Southeast Asia. กรุงเทพฯ:
มติชน.
———. 2544. เพศและวัฒนธรรม. นครปฐม : เรือนแก้วการพิมพ์.
เรณู เหมือนจันทร์เชย และ เมย์ เมียะ ข่าย. 2543. ภาษิต คาพังเพยและสานวนพม่า-ไทย. โครงการพม่า
ศึกษา สถาบันวิจยั ภาษาและวัฒนธรรมเพือ่ พัฒนาชนบท.มหาวิทยาลัยมหิดล, กรุงเทพฯ:
สหธรรมิก.
วิรชั นิยมธรรม. 2551. คิดแบบพม่า: ว่าด้วยชาติและวีรบุรษุ ในตาราเรียน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม.
———. 2552. ไทยในการรับรูแ้ ละความเข้าใจของประเทศเพือ่ นบ้าน กรณีศกึ ษาตัวบทในตาราเรียนสังคมศึกษา
ของพม่า ว่าด้วย “ความสัมพันธ์เมียนมา-โยดะยา”. กรุงเทพฯ: สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั .
สุชาดา ทวีสทิ ธิ.์ 2547. เพศภาวะ: การท้าทายร่าง การค้นหาตัวตน. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริน้ ติง้ แอนด์
พับลิชชิง่ .
Chie Ikeya. 2012. Refiguring Women Colonialism and Modernity in Burma. Silkworm books. Bangkok.
Eckert, Peneloppe and Sally McConnell-Ginet. 2013. Language and Gender. Cambridge: Cambridge
University Press.
200
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
Jane Pilcher and Imelda Whelehan. 2004. Fifty Key Concepts in Gender Studie. London: SAGE
Publications.
Tharaphi Than. 2014. Women in modern Burma. Routledge: London.
Ministry of Education Myanmar ျပပ္တ ာာ္မုဓားေမသ ျမန္မာမုာ္ာံတ ာ္ မုးရ ပပာတရး န္ာာ်ီးဝာနႀ 2015.
တျခခံပပာတရးတပတဒ ဒမ(မာမ္း း) ၂ ခုမခမ္၊ စန္လ ဒး၂ ရာ္ႀ တနျပပ္တ ာ္ႀ
Ministry of Education Myanmar ျပပ္တထာာ္မုဓားေမသ ျမန္မာမုာ္ာံတ ာ္ မုးရ ပပာတရး န္ာာ်ီးဝာန. 2012.
ျမန္မာာ ္မာ ဓားေ(ာယ္ န္း Grade1. တနျပပ္တ ာ္ပံုမခပ္မာ္ရုံ. ျမန္မာ.
Ministry of Education Myanmar ျပပ္တထာာ္မုဓားေမသ ျမန္မာမုာ္ာံတ ာ္ မုးရ ပပာတရး န္ာာ်ီးဝာန. 2012.
ျမန္မာာ ္မာ ပထမ န္း Grade2. တနျပပ္တ ာ္ပံုမခပ္မာ္ရုံ. ျမန္မာ.
Ministry of Education Myanmar ျပပ္တထာာ္မုဓားေမသ ျမန္မာမုာ္ာံတ ာ္ မုးရ ပပာတရး န္ာာ်ီးဝာန. 2012.
ျမန္မာာ ္မာ ဒု ယ န္း Grade3. တနျပပ္တ ာ္ပံုမခပ္မာ္ရုံ. ျမန္မာ.
Ministry of Education Myanmar ျပပ္တထာာ္မုဓားေမသ ျမန္မာမုာ္ာံတ ာ္ မုးရ ပပာတရး န္ာာ်ီးဝာန. 2012.
ျမန္မာာ ္မာ ယ န္း Grade4. တနျပပ္တ ာ္ပံုမခပ္မာ္ရုံ. ျမန္မာ.
Ministry of Education Myanmar ျပပ္တထာာ္မုဓားေမသ ျမန္မာမုာ္ာံတ ာ္ မုးရ ပပာတရး န္ာာ်ီးဝာန. 2012.
ျမန္မာာ ္မာ မ ု တ န္း Grade5. တနျပပ္တ ာ္ပံုမခပ္မာ္ရုံ. ျမန္မာ.
Muang Myat Ye. တမာာ္ျမ ္ရပ္. 2014. တဆာာ္းဒ းရာပပ္ာ့မ့္စာ္း ဒ း (၁း) ( . မန္း ာကဓားေုလ္.
ျမန္မာမစာ ပ
ု ္ာဲဲ တ်ီးဝာန. 1996. ျမန္မာဆုရုးမာား. ရန္ာုန္ : ာကဓားေုလ္မ ားပံုမခပ္ ုာ္.
O’shannassy Teresa. 2000. Burma's Excluded Majority Women, dictatorship and the democracy
movement. CIIR. Burma.
บทความในวารสาร
ชนิดา ชิตบัณฑิตย์. 2545. การเร่งประดิษฐ์ประเพณีมวลชนในยุโรป 1870-1914 จากบทความ Mass
Producing Traditions: Europe 1870-1914 ของอิรคิ ฮอบสบอว์ม. ใน วารสารสังคมวิทยา
มานุษยวิทยา. ปี ท่ี 21 ฉบับที่ 1.
วัฒนพงศ์ วรคุณวิศษิ ฎ์. 2551. การศึกษาของพม่ายุคภายใต้การปกครองของอังกฤษ ค.ศ. 1826 – 1948.
ใน วารสารประวัตศิ าสตร์. เพ็ญพิสทุ ธิ ์ ทองมี. บรรณาธิการ. หน้า 103-119. มกราคม – ธันวาคม.
จุลสาร “รูจ้ กั พม่า.” 2545. วิรชั นิยมธรรม. บรรณาธิการ. พิษณุโลก : โรงพิมพ์ตระกูลไทย.
Cheesman Nick. 2003. School, State and Sangha in Burma. Comparative Education 39(1). 45-63.
Chie Ikeya. 2008. The Modern Burmese Woman and the Politics of Fashion in Colonial Burma.
The Journal of Asian Studies 67(4). 1277-1308.
Chutintaranond, Sunait. 2535. Higher Education in Burma from the Pre-colonial Period to the Present.
เอเชียปริทศั น์. 13(3). หน้า 35-42. กันยายน-ธันวาคม.
J. Richard Udry.1994. “The Nature of Gender”, Demography. 31(4). 561-573.
Nicolas Salem-Gervvais and Rosalie Metro. 2012. “A Textbook Case of Nation-Building: The
Evolution of History Curricula in Myanmr”. Journal of Burma Studies. Volume 16, June.
Than Than New. 2003. “Gendered Spaces: Women in Burmese Society”. Tranformations, No.6.
February.
201
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วิทยานิพนธ์
จุฑาภรณ์ ผดุงศักดิ.์ 2553. การสร้างสานึกความเป็ นชาติโดยใช้ตาราเรียนประวัตศิ าสตร์: ศึกษากรณีตารา
ประวัตศิ าสตร์มธั ยมศึกษาตอนต้นของสิงคโปร์. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
นิสารัตน์ ขันธโภค.2555. ผูห้ ญิงกับภาวะสมัยใหม่แบบอาณานิคมในพม่า ค.ศ. 1885-1945.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ปณิตา สระวาสี. 2549. การสร้างสานึกความเป็ นชาติของรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
โดยผ่านแบบเรียนชัน้ ประถมศึกษาตัง้ แต่ ค.ศ.1975-2000. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ปวีณา วังมี. 2543. รัฐไทยกับการกล่อมเกลาทางการเมืองผ่านแบบเรียนในช่วง พ.ศ. 2475-2487.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วศินี สุทธิวภิ ากร. 2553. วาทกรรมของ มิเชล ฟูโกต์ ต่อสถานภาพและบทบาทสตรีไทยตามทีน่ าเสนอ
ในนวนิยายของ คุณหญิงวิมล ศิรไิ พบูลย์. วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต.
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วัฒนพงศ์ วรคุณวิศษิ ฎ์. 2552. นโยบายด้านการศึกษาของพม่าในยุคนายพลเนวิน ค.ศ. 1962-1988. วิทยานิพนธ์
ปริญญาศิลปศาตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
สรัญญา เอกธรรมสุทธิ.์ 2549. การวิเคราะห์บทบาทหญิงชายในหนังสือแบบเรียนภาษาไทยในช่วงชัน้ ที ่ 1
และช่วงชัน้ ที ่ 2 ตามหลักสูตรการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พ.ศ. 2544. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
อุบลรัตน์ พันธุมนิ ทร์. 2533. มองสังคมและวัฒนธรรมพม่าผ่านภาษิตโบราณ. รายงานการวิจยั . เชียงใหม่
: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
San San Win. 2556. การวิเคราะห์นิทานพม่าทีป่ รากฏในแบบเรียนอ่านภาษาพม่า ระดับ 1-4.
สารนิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต. สาขาวิชาภาษาไทย. มหาวิทยาลัยนเรศวร.
Cheesman Nick. 2002. Legitimising the Union of Myanmar through primary school textbooks. Master’s
Thesis, University Western of Australia.
Tha Nyunt. 1962. Administration of Schools in Burma. A Project is Partial Fulfillment of the
Requirements for the Degree Master of Science in Education, Faculty of Education, The
University of Southern California.
Website
Ministry of Education.2004. Development of Education in Myanmar.
www.ibe.unesco.org/International/ICE47/English/.../myanmar_ocr.pdf. (accessed August 22,
2015).
Myo Tint.2010. “Myanmar Education 2000-2010”.
https://www.academia.edu/1887366/Myanmar_education2000-2010.(accessed August 22, 2015).
U Zaw Htay. “Education System in Myanmar : Self-Evaluation and Future Plans”.
http://www.myanmar-education.edu.mm/. (accessed December 30, 2015).
202
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P1-R2-01
ปฏิบัติการทางชายแดนของ
รัฐเวียดนามในยุคสมัยจารีต
ช่ วงคริสต์ศตวรรษที่ 18
วิ เ คราะห์ ผ่ า นเอกสารกุ่ ย เหิ บ
ดารารัตน์ เมตตาริกานนท์*
สาขาวิชาอาณาบริเวณศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
203
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ชายแดน 1 พรมแดน และเขตแดน 2 เกิด ขึ้น ภายใต้บ ริบ ทของการเปลี่ย นแปลงทางสัง คมเศรษฐกิจ
การเมืองเมื่อประเทศต่างๆเคลื่อนเข้าสูส่ ภาวะความทันสมัย (modernity) โดยเฉพาะการเกิดรัฐสมัยใหม่ทม่ี าพร้อม
กับแนวคิดการทาแผนทีเ่ พื่อกาหนดเส้นเขตแดนทีแ่ น่ นอนตายตัว (วราภรณ์ เรืองศรี 2557, 5) สาหรับรัฐบนผืน
แผ่นดินใหญ่ในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นนั ้ ได้เริม่ มีการสารวจเพื่อทาแผนทีต่ ามแบบรัฐสมัยใหม่ในกล าง
ศตวรรษที่ 19 เป็ นต้นมา รวมทัง้ การทาสนธิสญ ั ญาระหว่างรัฐเพื่อปั กปั นเขตแดนก็ได้เกิดขึน้ ด้วย สาหรับงานที่
ศึกษาเกี่ยวกับบริเวณชายแดนในมิติประวัติศาสตร์ในไทยที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่เป็ นการศึกษารัฐสมัยใหม่
ในช่ ว งคริสต์ศ ตวรรษที่ 19-ปั จ จุ บ ัน ดัง เช่ น งานของวราภรณ์ เรือ งศรี (2557) ธงชัย วินิ จ จะกูล (2556) หรือ
แม้ก ระทัง่ งานภู มิภ าคศึก ษาและงานทางมานุ ษ ยวิท ยาที่มีก ารศึก ษาเรื่อ งชายแดนหลายชิ้น ดัง เช่ น วสัน ต์
ปั ญ ญาแก้ว (2555) ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ (2552) เก็ด ถวา บุ ญ ปราการ (2551) และงานชุ ด โครงการของ
ยศ สันตสมบัติและคณะผู้วจิ ยั (2548) เป็ นต้น ส่วนงานในสมัยจารีตที่ผ่านมาพบมากในช่วงทศวรรษ 2510-20
งานส่วนใหญ่เน้นศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างศูนย์กลางอานาจสยามกับประเทศราชเป็ นส่วนใหญ่ ดังเช่น เสาวภา
ภาระราช (2522) พรรณา สินสวัสดิ ์ (2521) ธิดา จาตุประยูร (2510) หรืองานในช่วงหลัง กาพล จาปาพันธ์ (2555)
ส่วนการศึกษาบริเวณชายแดนเป็ นเพียงบริบทหนึ่งของงานเหล่านี้ นอกจากนี้การศึกษาเกี่ยวกับชายแดนของ
ประเทศเพื่อนบ้านโดยมองผ่านเอกสารของประเทศเพื่อนบ้านยังมีจากัด บทความนี้ตอ้ งการชีใ้ ห้เห็นถึงปฏิบตั ิการ
ทางการเมืองของรัฐเวียดนามเกี่ยวกับบริเวณชายแดนเวี ยดนาม-ลาว (ตอนกลาง) ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เป็ น
อย่ า งไร ซึ่ง เป็ น ช่ ว งก่ อ นที่จะปรับ เปลี่ย นเข้า สู่ร ัฐสมัย ใหม่พ ร้อ มๆกับ การตกเป็ น อาณานิ ค มชาติมหาอ านาจ
ตะวันตกในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ส่วนการศึกษาเน้นการวิเคราะห์ผ่านเอกสารโบราณของเวียดนามทีเ่ รียกว่า
“กุ่ยเหิบ” สาหรับการนาเสนอแบ่งเป็ น 2 ประเด็นใหญ่ดงั นี้
บริบททำงกำรเมืองเวียดนำมในช่ วงคริสต์ศตวรรษที่ 18
เวียดนามเป็ นประเทศทีอ่ ยู่ตอนใต้ของจีน อาณาจักรนี้ศนู ย์กลางอานาจในระยะแรกตัง้ อยู่แถบภาคเหนือ
ของเวียดนามปั จจุบนั จนถึงก่อนค.ศ. 111 (พ.ศ. 432) จึงตกอยู่ใต้อทิ ธิพลของจีนตรงกับสมัยราชวงศ์ฮนั ่ จึงเป็ น
เหตุให้เวียดนามรับอารยธรรมจากจีนมากกว่าชาติอ่นื ๆในอินโดจีน จนกระทังเมื ่ ่อราชวงศ์ถงั สิน้ สุดลง ค.ศ. 907
ประเทศจีนได้แบ่งแยกเป็ นแคว้นเล็กแคว้นน้อย ทาให้ในปี ค.ศ. 938 เวียดนามก็สามารถเป็ นอิสระจากจีนได้สาเร็จ
(เซเดซ์ 2525, 69) ภายหลังจากการเป็ น อิสระจากจีนในศตวรรษที่ 10 นัน้ พบว่าเวียดนามก็รุกพื้นที่ส่ภู าคใต้
ภายใต้ก ารนาของราชวงศ์ลี ซึ่ง เป็ น ราชวงศ์ใหญ่ ของเวีย ดนามราชวงศ์แรกที่เริ่มขยายตัวสู่ภาคใต้ และเป็ น
จุดเริม่ ต้นของการพิชติ แคว้นจามปา (เซเดซ์ 2525, 75) อย่างไรก็ตาม ในสมัยราชวงศ์หมิงของจีนเวียดนามก็ตก
อยู่ใต้อิทธิพลจีนอีกครัง้ แต่เป็ นระยะสัน้ ๆ คือ ช่วง ค.ศ. 1407-1428 และในระยะนี้จากเอกสารของลาวก็พบว่า
เวียดนามมีความพยายามทีจ่ ะขยายอิทธิพลมาทางทิศตะวันตกคือดินแดนล้านช้างตรงกับสมัยเลเลยของเวียดนาม
ส่วนล้านช้างตรงกับท้าวล้านคาแดงในปี ค.ศ. 1421 (คา จาปาแก้วมณีและคณะ 2539, 28) และในปี ค.ศ. 1479
ตรงกับรัชกาลของพระเจ้าเลทันตองของเวียดนามส่วนลาวตรงกับสมัยสมเด็จพระเจ้าไชยจักรพรรดิแผ่ ์ นแผ้ว (ค.ศ.
1442-1481) เวียดนามได้บุกเข้ามายึดแคว้นพวนและเข้าล้อมเมืองหลวงพระบาง ฝ่ ายกษัตริยล์ าวพอทราบข่าวว่า
กองทัพลาวแตก ก็หนีมาทีเ่ ชียงคาน ในครัง้ นัน้ เจ้าแท่นคา พระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าไชยจักรพรรดิซึ์ ง่ ครอง
อยู่เมืองด่านซ้ายได้ทราบข่าวก็เกณฑ์เอาพลเมืองด่านซ้ายและเชียงคานยกขึน้ ไปตีขนาบหลัง และตามตีไปจนสุด
204
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
3เป็ นทีน่ ่าสนใจว่าในช่วงทีเ่ วียดนามเปลีย่ นราชวงศ์เข้าสูย่ ุคเต็ยเซินนี้ ทางด้านลาว เป็ นช่วงทีล่ าวตกอยูใ่ ต้การปกครองของไทยนับตัง้ แต่ ค.ศ. 1779
จนถึง ค.ศ.1893 ลาวจึงตกเป็ นเมืองขึน้ ของฝรั ่งเศส
205
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
(Hương Khê) แขวงเงะติ้ง (Nghệ Tĩnh) ในปั จจุบนั เมืองนี้ตงั ้ อยู่ตรงกันข้ามกับเมืองคาเกิด แขวงคาม่วนของ
ลาว
ส่วนเอกสารกุ่ยเหิบ (Tư Liệu Quy-Hợp) ทีใ่ ช้ในการศึกษาบทความนี้ จึงเป็ นเอกสารทางราชการทีส่ ะสม
ไว้หลายรุ่นของผู้บญ ั ชาการประจาป้ อมค่ายและยังมีฐานะเป็ นเจ้าผู้ปกครองกุ่ยเหิบ โดยรวมดารัส คาสัง่ ราช
โองการ รายงานต่างๆจากเขต แขวง เสนาบดีการคลัง รัฐบาลกลางของราชวงศ์ต่างๆ ตัง้ แต่ ค.ศ.1619-1880 รวม
260 ปี มชี ่อื จักรพรรดิของเวี
์ ยดนามทีส่ าคัญคือ ราชวงศ์เล่ สมัยเต็ยเซินและราชวงศ์เหงียน (ส่วนทีม่ กี ารแปลเป็ น
ภาษาเวียดนามปั จจุบนั และลาวในหนังสือเล่ มที่ใช้ศึกษานี้ มีถึงค.ศ.1845 ด้ว ยเหตุ น้ีจึง เป็ น ข้อจากัด หนึ่งของ
การศึกษาบทความนี้ ) เอกสารต่างๆเหล่านี้ได้ถูกเก็บไว้อยู่ในหอบรรพบุรุษของครอบครัวเจินฟุ กฮว่าน ซึ่งเป็ น
บุคคลทีอ่ ยู่ในศตวรรษที่ 18 ทีม่ บี ทบาทสาคัญในการปฏิบตั กิ ารทางการเมืองบริเวณชายแดนเวียดนาม-ลาว เชือ้
สายของตระกูลนี้ได้รบั ภารกิจสืบทอดเป็ นเจ้าปกครองกุ่ยเหิบหลายรุ่นโดยมีภารกิจดูแลชายแดนเวียดนาม-ลาว
เอกสารกุ่ยเหิบนี้ได้มกี ารแปลจากภาษาหาน (อักษรจีนของเวียดนามโบราณ) มาเป็ นภาษาเวียดนาม (ปั จจุบนั )
ควบคู่กบั แปลเป็ นภาษาลาว และได้ตีพมิ พ์เผยแพร่เมื่อปี ค.ศ. 2000 ภายใต้การดาเนินงานของสถาบันค้นคว้า
วัฒนธรรมลาว และ Viện nghên cứu Ðông Nam Á Việt Nam และได้รบั การสนับสนุนจากมูลนิธโิ ตโยต้าในการ
ตีพมิ พ์เผยแพร่ผลงาน ดังนัน้ ในบทความนี้เมื่ออ้างถึงเอกสารกุ่ยเหิบโบราณจะได้ใช้ช่อื สถาบันทัง้ สองประเทศใน
การอ้างอิงเอกสารกุ่ยเหิบ
206
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
วัฒนธรรมลาวและ Viện nghên cứu Ðông Nam Á Việt Nam 2000, 71) “เทิม่ เหงวีน, เอียนเซิน,มิง่ ม่ง.จุกอา.จู
เกิมทีข่ น้ึ กับเมืองกวีเหิบ ให้เกณฑ์ทหารแต่ละแห่งตามบัญชาการของค่ายพร้อมกับมีหน้าที่เก็บภาษีเสียส่วยในแต่
ละปี ไม่ให้ขาด ถ้าท่านผูน้ ้หี ากหลงระเริงต่อหน้าทีก่ ารงาน เกียจคร้าน มักง่ายและกดขีข่ ม่ เหงประชาชนก็ให้ลงโทษ
ตามกฎหมายบ้านเมือง”
นอกจากนี้พบว่าในปี ค.ศ. 1720 พื้นที่การควบคุมของกุ่ยเหิบมีจานวนเพิม่ ขึน้ 12 แห่ง ดังปรากฏใน
เอกสารฉบับที่ 5 (สถาบันค้นคว้าวัฒนธรรมลาวและ Viện nghên cứu Ðông Nam Á Việt Nam 2000, 87) ระบุ
ว่ามี 8 บ้านคือ มิง่ ม่ง จูเกิม จายา หวูกวาง ฟูลวิ กวางเค่ จุกอง และจาลู ส่วนเมืองมี 4 เมืองคือ เทิม่ เงียน เอียน
เซีน (เสิน่ ) ม่งเซิน และ ด้งยิก ซึง่ บ้านดังกล่าวตัง้ อยู่ตามทิศต่างๆ ต่อไปนี้ ทิศตะวันออกมีบา้ นจุกองและมิง่ ม่งติด
กับเมืองเฮืองเซีน (เฮืองเค่ในปั จจุบนั ) ทิศใต้คอื บ้านกวางเค่ตดิ กับกวางบิงในปั จจุบนั ทิศเหนือมีบา้ นหวูกวาง จา
ยา จาลูติดกับเจ่าจิงกาว ส่วนทิศตะวันตกมีเทีมเงียน เอียนเซีน ด้งยิก และจุเกีมติดกับเมืองคาเกิดของอ้ายลาว
(หรือลาวในปั จจุบนั )
-ระบบการสืบทอดอานาจการปกครองด่านกุ่ยเหิ บ พบว่าเวียดนามก็เหมือนกับอาณาจักรโบราณอื่น
ที่ใช้ระบบสืบจากพ่อไปลูก ดังปรากฏในเอกสารปี ค.ศ.1759 ที่ท่านเจิน่ ฟุ กเหลี่ยน อดีตผู้ปกครองด่านกุ่ยเหิบ
พร้อ มบุ ต รชายสองคนชื่อ เจิน ฟุ ก เดีย น และเจิน ฟุ ก ล่ า ยได้ เ ขีย นเอกสารเสนอมายัง ราชส านั ก ว่ า ด้ว ยการ
เปลี่ยนแปลงข้อความในกฎระเบียบความว่า “ตามกฎระเบียบเก่าของพระราชวังว่าตาแหน่ งเจ้าเมืองต่างๆตาม
ชายแดนตามระบอบลูกแทนพ่อนัน้ พอถึงเวลาต้องได้มอบเครื่องบรรณาการมาให้ทางพระราชวังทัง้ พ่อลูกต้อง
ถวายเงินขาวคนละ 25 สลึง แต่หากว่าตามกฎประเพณีแต่เก่ามานัน้ เฉพาะเมืองกุ่ยเหิบและตาแหน่ งเจ้าเมืองไม่
เคยเสียส่วยเป็ นเงินขาวสักครัง้ ตามประเพณีเก่าดัง้ เดิม ทุกๆสามปี เจ้าเมืองกุ่ยเหิบต้องได้นาเอาช้างเพศผู้ 2 ตัว
ไปถวายพระราชวัง เพื่อเป็ นการคาราวะแสดงถึงการสานึกบุญคุณ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่ในระยะต่อมา
ทางพระราชวังบอกให้เอาไปถวายเพิม่ อีก 2 ตัว รวมทัง้ หมดเป็ นช้างเพศผู้ 4 ตัว แต่ละตัวต้องสูง 5 ศอก มีเพียง
เท่านัน้ ไม่จาเป็ นถวายเงินขาวเพิม่ อีก ดังนัน้ จึงได้เสนอมายังราชสานักโปรดกรุณาทาหนังสืออนุ ญาตให้พ วก
ข้าพเจ้าได้นาช้างมาถวายพระราชวังด้วย” (สถาบันค้นคว้าวัฒนธรรมลาวและ Viện nghên cứu Ðông Nam Á
Việt Nam 2000, 123)
207
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เมืองเทิม่ งวียน: บ้านโหม แพรไหม 2 ม้วน 5 แผ่น ควาย 2 ตัว, บ้านลานกาน แพรไหม 2
ม้วน 5 แผ่น ควาย 2 ตัว บ้านมางด้าว แพรไหม 1 ม้วน 5 แผ่น หมู 5 ตัว,บ้านจิงด้าว แพร
ไหม 1 ม้วน 5 แผ่น ควาย 1 ตัว
เมืองดงสิก : บ้านดงลาน แพรไหม 2 ม้วน 5แผ่น ควาย 2 ตัว บ้านแทน แพรไหม 2 ม้วน
ควาย 2 ตัว บ้านจีม แพรไหม 2 ม้วน ควาย 2 ตัว…
หรือการประกาศเกณฑ์การเสียส่วยในปี ค.ศ. 1737 (เอกสารกุ่ยเหิบฉบับที่ 4 (สถาบันค้นคว้าวัฒนธรรม
ลาวและ Viện nghên cứu Ðông Nam Á Việt Nam 2000, 83)ตรงกับ วัน ที่ 24/11/1737) ก าหนดให้ ท้อ งถิ่น
ต่างๆ จ่ายค่าส่วย ดังเช่น (ลักษณะนามคงตามต้นฉบับ)
208
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
209
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
จงสังให้
่ บา้ นมิง่ มงเข้าไปสืบหาหมากกะเบาสามหมื่นผล ให้นาขึน้ มาทางด้านกุ่ยเหิบ เสร็จ
แล้วจึงนามามอบให้ทางสานักแขวงนี้ สาหรับบ้านหวูกวางนัน้ ได้มคี าสังเฉพาะแล้ ่ ว และส่วน
บ้า นจูเ กิม นัน้ ให้ย กเว้น ทัง้ นี้ ใ ห้ ป ฏิบ ัติต ามค าสังนี
่ ้ อ ย่ า งเข้ม งวด อย่ า ให้มีข้อ บกพร่ อ ง
ผิดพลาดเป็ นอันขาด มิเช่นนัน้ จะถูกลงโทษหนัก (ดู เอกสารฉบับที่ 60 สถาบันค้นคว้า
วัฒนธรรมลาวและ Viện nghên cứu Ðông Nam Á Việt Nam 2000, 287)
210
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
7เทียบกับฝ่ ายเวียงจันทน์ตรงกับปลายสมัยพระโพสาทธรรมิกราช (เจ้าอุปราชท้าวนอง) ครองราชย์ 1740-1751 ประสูตทิ เ่ี มืองเว้ (เป็ นพระอนุ ชาร่วม
มารดาเดียวกับพระไชยเชษฐาธิราชที2่ หรือพระไชยองค์เว้)
211
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
212
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
รับ ใช้ให้ค ณะทูตต้อ งเลือ กคนที่แข็งแรงดี ไปถึง เมือ งไหนให้เ มืองนัน้ ค้นหาให้ รายจ่าย
ทัง้ หมดเท่าใดให้เอาเงินส่วนรวมออกจ่าย ตามระเบียบการของด่านจุดผ่านต่างๆ...
จากข้างต้นสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ทางการทูตและบรรณาการระหว่างลาว-เวียดนาม อย่างไรก็ตาม
เป็ นที่น่าสนใจว่า แม้ภายหลังจากที่ลาวตกเป็ นเมืองขึน้ ของสยามแล้วก็ยงั พบว่า ทางเจ้าแขวงเงะอ่านยังได้มี
เอกสารแจ้งให้เจ้าเมืองนครพนม มอบเครื่องบรรณาการ ค.ศ.1786 และในปี เดียวกันก็มคี าเตือนจากแขวงเงะอ่าน
เรื่องอามาตย์เมืองนครกวาดต้อนประชาชนและสิง่ ของต่างๆ ค.ศ.1786 แม่ทพั เจินกวางเยียว (สมัยเต็ยเซิน) ออก
ค าสัง่ ยกทัพ ไปตีข้า ศึก สยาม ค.ศ.1791 พระราชโองการเกณฑ์ท หารเพื่อ ขับ ไล่ ศ ัต รู ค.ศ.1791 บัญ ชีท หาร
อาสาสมัครเข้าลาวเพื่อตีทพั สยาม ค.ศ.1791 ผูป้ กครองด่านกุ่ยเหิบพบเจ้าเมืองนครพนม และเมืองอื่นๆ เรื่องการ
ส่งสิง่ ของช่วยเหลือกองทัพเวียดนามตีศตั รู ค.ศ.1791 คาสังเข้ ่ มงวดลาดตระเวณชายแดนระหว่างเมืองกุ่ยเหิบ -
เมืองละคอน (นครพนม) ค.ศ.1792 จดหมายขอความช่วยเหลือจากทูตถึงจักรพรรดิเวียดนาม ค.ศ. 1792 ให้ส่ง
ทหารไปช่วยต่อต้านกองทัพสยามทีไ่ ด้เข้ามากวาดต้อนผูค้ นเข้าไปในเขตของสยาม คณะทูตลาวมาถึงด่านกุ่ยเหิบ
ค.ศ.1792 อาจกล่าวได้ว่า ในปี ค.ศ.1792 เป็ นปี ทม่ี บี นั ทึกทางการทูตมากทีส่ ดุ จากฉบับที่ 30-46 และปี น้พี บว่าเป็ น
ปี สุดท้ายของจักรพรรดิกวางจูง (ฝ่ ายเต็ยเซิน) หลังจากนัน้ เป็ นศักราชแกงทิ้งปี ท่ี 1 ในปี ค.ศ.1793 การเปลี่ยน
แผ่นดินในเวียดนามทาให้พบความอ่อนไหวทางด้านชายแดนลาว และปั ญหาสยาม เนื่องจากพบเอกสารสังการสื ่ บ
สภาพชายแดนลาวมีจานวนร่วม 10 ฉบับแต่ละฉบับล้วนแต่ให้สบื ข่าวชายแดนลาว และสืบข่าวความเคลื่อนไหว
ของสยามแทบทัง้ สิ้น (ฉบับที่ 49-58, สถาบันค้นคว้าวัฒนธรรมลาวและ Viện nghên cứu Ðông Nam Á Việt
Nam 2000, 253-280)
213
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
สรุ ป
อาจกล่าวได้ว่า รัฐเวียดนามสมัยจารีตนัน้ ก็เหมือนรัฐอื่นๆ ในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ท่ไี ด้ให้
ความสาคัญกับชายแดน ด้วยการปฏิบตั กิ ารสร้างป้ อมค่ายขึน้ เพื่อเป็ นตัวแทนของรัฐในการควบคุมพืน้ ทีช่ ายแดน
และภายนอกอาณาจักร กุ่ยเหิบเป็ นป้ อมทีม่ ชี วี ติ มายาวนานตัง้ แต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 จนถึงกลางศตวรษที่ 19 จึง
ได้ค่อยๆ เสือ่ มลง ความเสือ่ มของป้ อมหรือเมืองกุ่ยเหิบนี้มคี วามสัมพันธ์กบั บริบททัง้ การเมืองภายในเวียดนามและ
การเมืองภายนอกโดยเฉพาะบริบทของหัวเมืองลาวทีเ่ ปลีย่ นแปลงไป ทัง้ ทีศ่ ูนย์กลางอานาจจากภาคเหนือเคลื่อน
มาทีภ่ าคกลาง (เว้) รวมทัง้ การทีห่ วั เมืองลาวตกเป็ นเมืองขึน้ ของสยาม ซึง่ ในประเด็นนี้จะได้ศกึ ษาเจาะลึกต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากการเขียนบทความสัน้ ๆ เรื่องนี้ นอกจากจะทาให้ทราบปฏิบตั ิการของรัฐเวียดนาม
เกีย่ วกับชายแดนแล้ว ในมุมกลับก็สามารถสะท้อนให้เห็นอีกด้านของรัฐลาวโดยเฉพาะหัวเมืองนครพนม ซึง่ หาก
เราไม่ศกึ ษาเอกสารทีม่ คี วามหลากหลายเราก็ไม่สามารถทราบได้ว่า เมืองๆ หนึ่งหรือรัฐหนึ่งทีจ่ ะสามารถดารงอยู่
ได้ในสมัยอดีตนัน้ ต้องมีปฏิบตั กิ ารในการทีจ่ ะอยู่รอดปลอดภัยจากอานาจของรัฐ/เมืองทีใ่ หญ่กว่าทัง้ จากอานาจของ
ฝ่ ายเวียดนามและจากฝ่ ายสยาม การอยู่ท่ามกลางมหาอานาจใหญ่ทงั ้ สองฝ่ าย ปฏิบตั กิ ารเพื่อความอยู่รอดของหัว
เมืองลาวต่างๆ จึงเป็ นประเด็นทีน่ ่าสนใจในการศึกษาค้นคว้าต่อไป
เอกสำรอ้ำงอิง
กาพล จาปาพันธ์. 2555. ข่าเจือง: กบฏไพร่ ขบวนการผูม้ บี ุญหลังสถาปนาพระราชอาณาเขตสยาม-ล้านช้าง.
กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ
เก็ตถวา บุญปราการ. 2551. “ปฏิบตั กิ ารในชีวติ ประจาวันของผูค้ า้ มุสลิมข้ามแดนปาดังเบซาร์ไทย-มาเลเซีย.”
วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบณ ั ฑิต สาขาวิชาไทศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย.
คา จาปาแก้วมณี และคณะฯ. 2539. ประวัตศิ าสตร์ลาว. แปลโดย สุวทิ ย์ ธีรศาศวัต. ขอนแก่น: คณะมนุษยศาสตร์
และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. (โรเนียวเย็บเล่ม)
จักรกริช สังขมณี. 2551. “พรมแดนศึกษาและมานุษยวิทยาชายแดน: การเปิ ดพืน้ ที่ สร้างเขตแดนและการสร้าง
พรมแดนของความรู.้ ” วารสารสังคมศาสตร์ (ฉบับพิเศษ) ข้ามพรมแดนความรูแ้ ห่งสังคมศาสตร์ไทย: 60
ปี อานันท์ กาญจนพันธ์ 20 (2): 209-266.
เจิน่ วันกวี
่ .้ 2000. “เอกสารประวัตศิ าสตร์เกีย่ วกับความสัมพันธ์เวียดนาม-ลาวพบอยู่กุ่ยเหิบ เมืองเฮืองเค่ แขวงเงะ
ติง้ ” ใน ความสัมพันธ์ประวัตศิ าสตร์ลาว-เวียดนามจากเอกสารกุย่ เหิบ. หุมพัน รัดตะนะวง และ หามดิก
แท่ง, ชีน้ าการค้นคว้า. หน้า 40-56. เวียงจัน: มูลนิธโิ ตโยต้า.
ชายวิทย์ เกษตรศิร.ิ 2554. ประมวลสนธิสญ ั ญา อนุสญ ั ญา ความตกลง บันทึกความเข้าใจและแผนทีร่ ะหว่างสยาม
ประเทศไทยกับประเทศอาเซียนเพือ่ นบ้าน: กัมพูชา-ลาว-พม่า-มาเลเซีย. กรุงเทพฯ: มูลนิธโิ ครงการตารา
สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
ไชยณรงค์ เศรษฐเชือ้ . 2522. “พืน้ ทีอ่ านาจและวิถกี ารดารงชีวติ ของผูค้ นบริเวณพรมแดนกัมพูชา-ลาวภายใต้
กระแสการพัฒนาอนุภาคลุ่มน้าโขง.” วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบณ ั ฑิต สาขาวิชาไทศึกษา
บัณฑิตวิทยาลัย.
214
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
เซเดซ์, ยอร์ช. 2525. ชนชาติต่างๆ ในแหลมอินโดจีน, แปลโดย ปั ญญา บริสทิ ธิ.์ กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ไทย
วัฒนาพานิช.
ธงชัย วินจิ จะกูล. 2555. กาเนิดสยามจากแผนที:่ ประวัตศิ าสตร์ภูมกิ ายาของชาติ. กรุงเทพฯ: คบไฟ.
ธิดา จาตุประยูร. 2510. “บทบาทของไทยเกีย่ วกับเขมรในรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 4.” วิทยานิพนธ์อกั ษรศาสตรม
หาบัณฑิต สาขาประวัตศิ าสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บัตตินเจอร์, โจเซฟ. 2522. ประวัตศิ าสตร์การเมืองเวียดนาม, แปลโดย เพ็ชรี สุมติ ร. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
พงศาวดารญวน (ฉบับนายหยอง ญวนทหารปื นใหญ่ แปล). ม.ป.ป.: ม.ป.ท.
พิเชษฐ สายพันธ์ และ สุรยิ า คาหว่าน. 2554. เขตชายแดนเวียดนาม-ลาว-กัมพูชา. กรุงเทพฯ: มูลนิธโิ ครงการ
ตาราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
ยศ สันตสมบัติ และคณะ. 2555. ชนชายแดนกับการก้าวข้ามพรมแดน. เชียงใหม่: ศูนย์ศกึ ษาความหลากหลาย
ทางชีวภาพและภูมปิ ั ญญาท้องถิน่ เพื่อการพัฒนาอย่างยังยื ่ น คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วราภรณ์ เรืองศรี. 2557. คาราวานและพ่อค้าทางไกล: การก่อเกิดรัฐสมัยใหม่ในภาคเหนือของไทยและดินแดน
ตอนในของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. เชียงใหม่: ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วสันต์ ปั ญญาแก้ว. 2555. กลไกรัฐ การเปลีย่ นแปลงเชิงพื้นทีแ่ ละปฏิบตั กิ ารของลื้อชายแดนทีเ่ มืองชายแดนแม่
สาย-ท่าขี้เหล็ก. กรุงเทพฯ: สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (สกว.).
สถาบันค้นคว้าวัฒนธรรมลาวและ Viện nghên cứu Ðông Nam Á Việt Nam. 2000. ความสัมพันธ์
ประวัตศิ าสตร์ลาว-เวียดนามจากเอกสารกุ่ยเหิบ. หุมพัน รัดตะนะวง และ หามดิกแท่ง, ชีน้ าการค้นคว้า.
หน้า 40-56. เวียงจัน: มูลนิธโิ ตโยต้า.
สีลา วีระวงส์. 2535. ประวัตศิ าสตร์ลาว, แปลโดย สมหมาย เปรมจิตต์. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สุรศักดิ ์ ศรีสาอาง. 2545. ลาดับกษัตริยล์ าว. กรุงเทพฯ: สานักโบราณคดีและพิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ กรม
ศิลปากร.
เสาวภา ภาระราช. 2522. “ปั ญหาการปกครองของไทยในประเทศราชหลวงพระบางและหัวเมืองลาว ระหว่างปี
พ.ศ. 2431-2446.” ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
หุมพัน รัดตะนะวง. 2000. “เส้นทางกุ่ยเหิบ: เส้นทางประวัตศิ าสตร์แห่งความสัมพันธ์ลาว-เวียดนามสายหนึ่ง.” ใน
ความสัมพันธ์ประวัตศิ าสตร์ลาว-เวียดนามจากเอกสารกุ่ยเหิบ. หุมพัน รัดตะนะวง และ หามดิกแท่ง,
ชีน้ าการค้นคว้า. หน้า 9-39. เวียงจัน: มูลนิธโิ ตโยต้า.
เหงียนคักเวียน. 2545. เวียดนาม: ประวัตศิ าสตร์ฉบับพิสดาร, แปลโดย เพ็ชรี สุมติ ร. กรุงเทพฯ: มูลนิธโิ ครงการ
ตาราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.
Tran Van Quy. 2002. “The Quy Hop Archive: Vietnamese-Lao Relations Reflected in Border-Post
Documents Dating from 1619 to 1880.” in Breaking New Ground in Lao History, edited by
Mayoury Ngaosrivathana and Kennon Brezeale. Chiang Mai: Silkworm Books.
215
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
216
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D2-P4-R1-03
การประกอบสร้างอัตลักษณ์เชื้ อชาตินา
วรรณะนา และประวัติศาสตร์อินเดียกระแสนา
ด้วยวาทกรรมความเป็ นอารยัน
ในอินเดียยุคอาณานิคม
ตุลย์ จิรโชคโสภณ*
สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
217
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
ระบบอาณานิคมของอังกฤษในอินเดียได้เริม่ ก่อตัวขึน้ ในเบงกอลช่วง ค.ศ.1757 จนกระทังได้ ่ ขยายไปยัง
พืน้ ทวีปส่วนใหญ่ของอินเดียหลังจากสงครามอังกฤษ-มราฐาครัง้ ที่ 3 (Third Anglo-Maratha War) หลัง ค.ศ.1818
ผลคือดินแดนส่วนใหญ่ของอินเดียตกเป็ นของอังกฤษ จนอังกฤษได้ตระหนักถึงความจาเป็ นในการทาความเข้าใจ
เกี่ยวกับภูมหิ ลังทางวัฒนธรรมของชาวอินเดียเพื่อประโยชน์ในการปกครอง ภาษาสันสกฤตได้กลายเป็ นกุญแจ
สาคัญ ในการเข้า ถึงคลัง ความรู้ด ังกล่ า ว นัก บูร พคตินิ ยม (Orientalist) อาทิ เซอร์วิลเลีย ม โจนส์ (Sir William
Jones) ได้คน้ พบความสัมพันธ์กนั ระหว่างภาษาสันสกฤตกับภาษาในกลุ่มอินโด-ยูโรเปี ยน โดยเฉพาะการทีค่ มั ภีร์
พระเวทได้ระบุถงึ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งทีถ่ ูกเรียกเป็ นภาษาสันสกฤตว่า อารย (Arya) ซึง่ ถูกตีความโดยนักบูรพคตินิยม
ว่าเป็ นผูท้ น่ี าแนวคิดทีเ่ ป็ นรากฐานทางวัฒนธรรมอินเดีย อย่างเช่น การนับถือเทพเจ้าและระบบวรรณะมาเผยแพร่
ในอินเดียตอนเหนือ กอปรกับเป็ นช่วงทีย่ ุโรปกาลังแสวงหาแนวคิดเรื่องเชือ้ ชาติ (Racial Theory) ซึง่ มีอทิ ธิพลมา
จากแนวคิดแบบดาร์วนิ (Darwinism) ผลคือทาให้เกิดกระแสการสืบค้นจุดกาเนิดของเชือ้ ชาติอารยัน อาทิ จากงาน
เขียนของแมกซ์ มึลเลอร์ (Max Muller)
“ความเป็ นอารยัน” จึงกลายเป็ นวาทกรรมเรื่องเชื้อชาติทถ่ี ูกพัฒนาขึน้ ในยุโรปและได้กลายเป็ นหนึ่งใน
เครื่องมือทางการเมืองทีจ่ กั รวรรดินิยมอังกฤษนามาใช้เพื่อสร้างความเป็ นเชือ้ ชาตินา (Master Race) ให้กบั ตนเอง
ในฐานะผูป้ กครองและความเป็ นเชือ้ ชาติรอง (Inferior Race) ให้กบั ชาวอินเดียในฐานะผูอ้ ยู่ใต้ปกครอง อีกทัง้ ยังมี
ผลต่อการเขียนประวัติศาสตร์อินเดียกระแสนาโดยนักบูรพคตินิยมอังกฤษที่มมี ุมมองว่า ชนชาติอารยันคือผู้ท่ี
น าอัต ลัก ษณ์ ค วามเป็ น ฮิน ดูม าให้แ ก่ ช าวอิน เดีย ในช่ ว งยุ ค พระเวทอัน ส่ง ผลให้ในภายหลัง มุ ม มองข้า งต้น ได้
กลายเป็ นข้อถกเถียงประเด็นหนึ่งทีส่ าคัญในวงการประวัตศิ าสตร์อนิ เดีย ซึง่ เราเรียกประเด็นนี้ว่า “ปั ญหาอารยันใน
ประวัตศิ าสตร์อนิ เดีย” (The Aryan Debate) อีกทัง้ “ความเป็ นอารยัน” ยังได้ถูกหยิบใช้โดยนักปฏิรูปฮินดูและนัก
ชาตินิยมฮินดู อย่าง ดายานัน สรัสวตี (Dayananda Saraswati) และโลกมันยา ติลกั (Lokmanya Tilak) ในการ
สร้างอัตลักษณ์ ความเป็ นวรรณะสูงของพราหมณ์ ซ่งึ สืบเชื้อสายมาจากพวกอารยันในยุคพระเวท บทความนี้
ต้องการนาเสนอถึง 1. พัฒนาการของวาทกรรมความเป็ นอารยัน ทีถ่ ูกสร้างขึน้ ในอินเดียยุคอาณานิคม 2. การใช้
วาทกรรมความเป็ นอารยันของนักบูรพคตินิยมในการสร้างอัตลักษณ์ความเป็ นเชือ้ ชาตินา, ความเป็ นเชือ้ ชาติอ่นื
และการใช้วาทกรรมความเป็ นอารยันของชาวอินเดียในการสร้างความเป็ นวรรณะสูงและความเป็ นวรรณะอื่นใน
อินเดียยุคอาณานิคม 3. การวางโครงร่างและปั ญหาในประวัตศิ าสตร์อนิ เดียกระแสนาทีถ่ ูกประกอบสร้างจากวาท
กรรมความเป็ นอารยันในอินเดียยุคอาณานิคม
1 บาเชม, เอ แอล. 2549. ภารตรัตนะ. ธิตมิ า พิทกั ษ์ไพรวัน (แปล). พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 57
218
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
เป็ น ค าร้อ ยกรองที่ร วบรวมมาจากฤคเวทเพื่อ ใช้ส าหรับ การสวดสัก การบูช า และอาถรรพเวท โดยหลัก จะ
ประกอบด้วยคาถาเวทมนต์และคาถาเสน่หา ซึง่ ในหมู่พระเวททัง้ 4 นี้ เราพบคาว่า อารย (Arya) ปรากฏอยู่ในส่วน
ของฤคเวทเท่านัน้ ซึง่ คาว่า ฤคเวท มีการระบุถงึ คาว่า อารย (Arya) ถึง 36 ครัง้ ในร้อยกรอง 43 บทจากทัง้ หมด
1028 บท
การกาหนดอายุของฤคเวท ว่าถูกแต่งขึน้ เมื่อใดและมีเนื้อหาทีค่ รอบคลุมเกี่ยวกับมิตเิ วลาช่วงใด ยังคง
เป็ น ปั ญ หาที่นั ก ประวัติศ าสตร์ก าลัง ถกเถีย งกัน อยู่ เรายัง ไม่ ส ามารถก าหนดเวลาที่แ น่ น อนในเหตุ ก ารณ์
ประวัติศาสตร์อนิ เดียก่อนสมัยพุทธกาลได้ 2 อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์อนิ เดียกระแสนาได้ระบุว่าเรื่องราวที่
ปรากฏอยู่ในพระเวทสามารถถูกแบ่งออกได้เป็ น 2 ช่วง คือเรื่องราวในยุคพระเวทแรกเริม่ (Early Vedic) กินเวลา
ตัง้ แต่ 1500 – 1000 ปี ก่อนคริสตกาล และเรื่องราวในยุคพระเวทหลัง (Later Vedic) ครอบคลุมช่วง 1000 – 600
ปี ก่อนคริสตกาล ใน 2 ช่วงระยะเวลานี้เองก็คอื ช่วงการกระจายตัวของชาวอารยันในบริเวณอินเดียตอนเหนือ3 ซึง่
ในเวลาต่อมาข้อสนเทศในพระมนูธรรมศาสตร์ (Manusmṛti ) ได้เรียกบริเวณดังกล่าวว่า อารยวาตะ (Āryavarta)
ซึง่ ถูกตีความโดยนักบูรพคตินิยมและนักประวัตศิ าสตร์อนิ เดียกระแสนา ระบุว่าครอบคลุมตัง้ แต่ทศิ ตะวันออกของ
ปากีสถานในปั จจุบนั ขนานแนวเทือกเขาหิมาลัยผ่านทีร่ าบคงคาไปจนถึงอ่าวเบงกอลซึง่ อยู่ทางทิศตะวันออกและ
ไปจรดดินแดนทีข่ นานกับเทือกเขาวิญญาทางทิศใต้
2 Trautmann, Thomas R. 2010. The Aryan Debate. Trautmann, Thomas R (Editor). Fifth Impression. New Delhi: Oxford University Press. p.
xxxv.
3 Jha, D.N. 2010. Ancient India in Historical Outline. New Delhi: Manohar. pp. 43
219
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
จักรวรรดิอังกฤษกับกำรประกอบสร้ำงอำนำจในอินเดียและจุ ดเริ่มต้นของกำรศึกษำวรรณกรรมสันสกฤต
ในอำณำนิคมอินเดีย
หลังจากอังกฤษทาสงครามมีชยั ชนะเหนือไอร์แลนด์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 อังกฤษได้
ค่อยกลายสภาพดุจดังจักรวรรดิโรมันใหม่ พ่วงด้วยพันธกิจในการนาความเป็ นอารยะไป
ให้กบั ผูค้ นทีล่ า้ หลัง4
เศกขาร์ พันทโยปาธยายะพ
อังกฤษเป็ นหนึ่งในราชอาณาจักรในยุโรปทีป่ ระสบความสาเร็จในการล่าอาณานิคม จนสามารถยกระดับ
ฐานะของราชอาณาจักรให้กลายเป็ นจักรวรรดิทม่ี ดี นิ แดนทีก่ ว้างใหญ่โดยทีไ่ ม่มขี อบเขตแค่ในทวีปของตนเท่านัน้
คล้ายกับจักรวรรดิโรมันในอดีต เราสามารถแบ่งช่วงเวลาของการขยายตัวของจักรวรรดิองั กฤษออกได้เป็ น 2 ระยะ
หลักๆ โดยจักรวรรดิองั กฤษที่ 1 เริม่ ต้นจากสมัยราชวงศ์ทวิ ดอร์5 (Tudor Dynasty) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่
16 ซึ่งสามารถสงครามชนะไอร์แลนด์รวมไปถึงการตัง้ อาณานิคมในดินแดนแถบแอตแลนติก (อเมริกา) และหมู่
เกาะอินเดียตะวันตก (West Indies) ส่วนจักรวรรดิองั กฤษที่ 2 นัน้ เริม่ ตัง้ แต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อ
อังกฤษได้ขยายของจักรวรรดิเข้าไปยังทวีปแอฟริกาและทวีปเอเชีย
ในกรณีของอินเดียนัน้ อังกฤษเริม่ เข้ามาค้าขายกับอินเดียอย่างเป็ นทางการในช่วง ค.ศ.1613 โดยบริษทั
อินเดียตะวันออก6 (East India Company)ได้เข้ามายังอินเดีย โดยมีจุดประสงค์หลักในช่วงแรกๆคือการซื้อขาย
เครื่อ งเทศ 7 จนกระทัง่ บริษัท อิน เดีย ตะวัน ออกของอังกฤษได้ร ับ พระราชทานอนุ ญ าตจากจักรพรรดิจาฮังกีร์
(Emperor Jahangir) แห่ ง ราชวงศ์มุ ก ัล (Mughal Dynasty) ให้ส ามารถตัง้ ท่ า เรือ สิน ค้า ได้ท่ีเ มือ งสุ ร ัต (Surat)
ทางด้านทิศตะวันตกของอินเดียใน ค.ศ.1617 และบริษทั อินเดียตะวันออกของอังกฤษ ได้มกี ารส่ง เซอร์โทมัส โรว์
(Sir Thomas Roe) ไปประจาที่ราชสานักมุกลั ซึ่งเป็ นจุดเริม่ ต้นของการขยายเมืองท่าของอังกฤษไปยังบริเวณ
อื่นๆของอินเดียในเวลาต่อมา เช่นใน บอมเบย์, กัลกัตตา และมัทราส8 จนกระทังในช่ ่ วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อ
อิทธิพลของฝรังเศสในอิ
่ นเดียเริม่ น้อยลงโดยเฉพาะบริเวณอินเดียตะวันออก หลังจากที่ฝรังเศสแพ้ ่ สงครามกับ
อังกฤษหลายครัง้ โดยเฉพาะในวันที่ 22มิถุนายน ค.ศ.1757 ในสงครามที่ปลาสซีย์9 (Battle of Plassey) ซึ่งโร
เบิรต์ ไคล์ฟ (Robert Clive) แห่งบริษทั อินเดียตะวันออกของอังกฤษสามารถเอาชนะกองทัพฝรังเศสที ่ ร่ ่วมมือกับ
4 Bandyopadhyay, Sekhar. 2008. From Plassey to Partition: A History of Modern India. New Delhi: Orient BlackSwan.pp.67
5 ตรงกับรัชสมัยของพระนางอลิซาเบธที่ 1
6 บริษท ั อินเดียตะวันออกของอังกฤษ (East India Company) ก่อตัง้ ในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ.1600 โดยได้รบั สัมปทานการเดินเรือเพือ่ สารวจดินแดนใน
เอเชียจากราชสานักอังกฤษ ดาเนินงานโดยเอกชนทีม่ ผี ถู้ อื หุน้ ในอังกฤษเป็ นจานวนมากรวมถึง ขุนนาง, นักการธนาคาร, นายทุน และข้าราชการอังกฤษ
โดยบริษทั พยายามผูกขาดการค้าในอินเดียด้วยวิธกี ารจ่ายสินบนให้กบั รัฐบาลทีล่ อนดอน แต่ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 เกิดภาวะการเงินในบริษทั
เป็ นเหตุทาให้รฐั บาลทีล่ อนดอนพยายามรักษาผลประโยชน์ในรูปแบบของเงินปั นผลด้วยวิธกี ารออกกฎหมายเพือ่ ปฏิรปู และแทรกแซงการบริหารงานของ
บริษัทในอินเดีย จนกระทั ่งหลังเหตุการณ์ กบฏซีปอย (The Great Mutiny) ใน ค.ศ.1857 กิจการของบริษัทถูก โอนมาอยู่ในมือของรัฐบาลอังกฤษที่
ลอนดอนโดยตรง
7 มีนักประวัตศ ิ าสตร์หลายท่าน อาทิ พี เจ มาร์แชล (P J Marshall) ได้แสดงทัศนะว่าอังกฤษยังคงไม่มจี ุดประสงค์หลักในการล่าอาณานิคมในอินเดีย
หรือมีแนวคิดทางการเมืองในการปกครองอินเดียรวมถึงการแสวงหาดินแดน (ทีด่ นิ ) ในอินเดียก่อน ค.ศ.1784
8 Bandyopadhyay, Sekhar. pp.37
9 อยูใ่ กล้กบั เมืองกัลกัตตาในปั จจุบนั ประมาณ 90 กิโลเมตร
220
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
10Thapar, Romila. 2008. “The Historiography of the Concept of Aryan”. The Aryan Recasting Constructs. First Edition. New Delhi: Three
Essays Collective. p. 27.
221
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
222
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
16 Keepens, Marianne and Roover, Jakob De. 2014. “The Orientalism and the Puzzle of the Aryan Invasion Theory.” Pragmanta: Journal of
Human Sciences 2 (2), 52. http//journal.tumkuruniversity.ac.in
17 โจนส์เคยแปลเนื้อหาบางส่วนของพระมนู ธรรมศาสตร์ซง่ึ ถูกเขียนด้วยภาษาสันสกฤตโบราณและมีเนื้อหาคล้ายคลึงกับเรือ ่ งราวที่ เกิดขึ้นในคัมภีรไ์ บ
เบิลของชาวคริสต์โดยเฉพาะเรือ่ งต้นกาเนิดของมนุ ษย์และน้ าท่วมโลก จึงทาให้นกั วิชาการส่วนใหญ่ตงั ้ ข้อสันนิษฐานว่านักบูรพคตินิยมมักมีมุมมองต่อจุด
กาเนิดของประวัตศิ าสตร์อินเดียว่ามีลกั ษณะร่วมกับประวัตศิ าสตร์มนุ ษยชาติตามคัมภีร์ไบเบิล ฉะนัน้ จึงทา ให้เกิดแนวคิดที่ว่ากลุ่มคนที่ใช้ภาษา
สันสกฤตน่าจะมีบรรพบุรุษร่วมกับกลุม่ คนทีพ่ ดู ภาษายุโรป นั ่นเอง
18 Figueira, Dorothy M. 2002. Aryans, Jews, Brahmins Theorizing Authority through Myths of Identity. New York: University of New York. pp.22
19 Ibid, 23
20 Thapar, Romila. “The Historiography of the Concept of Aryan,” 28-29.
223
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
224
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
225
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
226
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
227
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ดัง กล่ า วในหมู่ชนชาติอ่ืน ๆด้ว ย โดยเฉพาะจากทฤษฎีของ คอมเต เดอ ก๊ อ บบิน โนว์ (Comte de Gobineau)
นักการทูตและเจ้าของทฤษฎีเรื่องเชือ้ ชาติทเ่ี สนอว่าชนชาติเยอรมันคือมีเชือ้ สายของชาวอารยันทีบ่ ริสุทธิที์ ส่ ุดและ
การสร้างเงื่อนไขของ “ความเป็ นอารยัน ” ในแง่กายวิภาคที่ต้องประกอบด้วยตาสีฟ้า ผมบรอนซ์ทอง ผิวสีขาว
เท่านัน้ ซึ่งหากชนชาติใดไม่มีลกั ษณะประกอบดังกล่าว ก็จะไม่สามารถอ้างถึงตัวตนของ “ความเป็ นอารยัน ”
รวมถึงเป็ นบุคคลทีพ่ ยายามต่อต้านการแต่งงาน (interbreeding) ระหว่างผู้ท่เี ป็ นอารยันกับผูท้ ไ่ี ม่ใช่อารยัน เพื่อ
รักษาความบริสทุ ธิของ
์ "ความเป็ นอารยัน"
สามัญทัศน์และจินตภาพที่มตี ่อ “ความเป็ นอารยัน” ยังมีผลต่อการตีความเกี่ยวกับการอพยพของชาว
อารยันเข้าไปในอินเดียในช่วง 1300 ปี ก่อนคริสตกาลในฐานะผูพ้ ชิ ติ และผูน้ าความเจริญไปให้กบั อินเดียเช่นกันเฉก
เช่นเดียวกันกับการเข้าไปในยุโรป ซึง่ ทาให้ “ความเป็ นอารยัน” ถูกแบ่งออกเป็ น อารยันยุโรปและอารยันเอเชีย ซึง่
นาไปสู่การหักล้างทฤษฎีของนักนิรุกติศาสตร์ นักสันสกฤต และนักบูรพคตินิยมในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18
อย่าง โจนส์ทเ่ี คยชื่นชมว่าชาวอินเดียแต่ดงั ้ เดิมนัน้ มีความเจริญเทียบกับชาวยุโรป และถูกแทนทีด่ ว้ ยแนวคิดทีเ่ ชื่อ
ว่าความเจริญของอินเดียในอดีต อาทิ การบูชาเทพเจ้า ภาษา การจัดระเบียบของสังคม (ระบบวรรณะ)ในอินเดีย
เป็ น สิ่ง ที่ถู ก น าเข้า มาจากผู้รุ ก ราน ซึ่ง เป็ น ชาวต่ า งชาติ โดยนัก บูร พคตินิ ยมอย่ า ง ยูจีน เบอ นุ ฟ (Eugene
Burnouf) ศาสตราจารย์ด้านภาษาสันสกฤตของฝรังเศสในช่ ่ วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่เคยเสนอว่า ครัง้ หนึ่ง ชาว
อินเดียเคยเป็ นชาวต่างชาติในดินแดนตัวเอง 35 ซึ่งอาจเนื่องมาจากการรุกรานดังกล่าวเกิดขึน้ จากชาวอารยันใน
จานวนทีน่ ้อยมาก ครัน้ เมื่อเวลาผ่านไปจึงเกิดการผสมผสานระหว่างผูร้ ุกรานกับชนพืน้ เมืองซึง่ มีความแตกต่างกัน
เรื่องภาษา ลักษณะทางกายภาพ และวัฒนธรรม ความบริสทุ ธิของ ์ “ความเป็ นอารยัน” ค่อยๆจางหายไป ทาให้ชาว
อารยันต้องหากลวิธใี นการรักษาความบริสทุ ธิดั์ งกล่าวและอานาจในการปกครองชาวพืน้ เมืองจนเป็ นทีม่ าของระบบ
วรรณะ โดยผูท้ ท่ี าหน้าทีเ่ ป็ นนักรบถูกจัดให้อยู่ในวรรณะกษัตริย์ ผูท้ ม่ี คี วามรูใ้ นเรื่องภาษาสันสกฤตและสามารถ
เข้าถึงองค์ความรูใ้ นพระเวท เช่น วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ แพทย์อายุ รเวท การประกอบพิธกี รรม กฎหมาย ถูก
จัดให้อยู่ในวรรณะพราหมณ์36 ซึง่ ถือว่าเป็ น วรรณะนา และมีบรรพบุรุษเป็ นชาวอารยันเหมือนชาวยุโรป ในขณะที่
วรรณะ 2 วรรณะที่เหลือตามโครงสร้างของสังคมอินเดียถูกจัดให้เป็ น วรรณะรองของ ชาวพื้นเมืองที่มีความ
แตกต่างจากชาวอารยัน ในด้านต่างๆตามทีไ่ ด้บรรยายไว้ขา้ งต้น ซึง่ เป็ นชนชัน้ ใต้ปกครองและต้องทาหน้าทีร่ บั ใช้
วรรณะนา ซึ่งถูกนักบูรพคตินิยม นิยามว่า คือพวกฑราวิต (Dravidian) ซึ่งพูดภาษา “อื่น” ที่ไม่ใช่ภาษาของชาว
อารยัน
“ควำมเป็นอำรยัน”: ผลกระทบต่อประวัติศำสตร์อินเดียกระแสนำและกำรสร้ำงควำมชอบธรรมในกำรปกครองอำณำนิคม
อินเดียของอังกฤษ
วาทกรรมเรื่อง “ความเป็ นอารยัน” รวมถึง “ความเป็ นอื่น” ของชาวพืน้ เมือง ทีถ่ ูกประกอบสร้างขึน้ ในช่วง
คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็ นชุดความคิดสาคัญทีถ่ ูกใช้เป็ นเครื่องมือโดยนักบูรพคตินิยมในการอธิบายจุดกาเนิดของ
ประวัตศิ าสตร์ของชาวอินเดีย ทีเ่ ริม่ ต้นจากการรุกรานของชนเผ่าภายนอกทีเ่ ข้ามาในตอนเหนือของอินเดียและทา
สงครามกับพวกคนพืน้ เมืองจนได้รบั ชัยชนะ โดยผูร้ ุกรานภายนอกก็คอื ชาวอารยัน ผูท้ ม่ี คี วามเจริญมากกว่าชาว
พืน้ เมืองในหลายๆด้าน ซึง่ จินตภาพในการประกอบสร้างอดีตในลักษณะดังกล่าว ได้กลายเป็ นทฤษฎีทเ่ี รียกว่า
ทฤษฎีอ ารยัน รุ ก ราน (Aryan Invasion Theory) ที่ป รากฏอยู่ใ นงานประวัติศ าสตร์นิ พ นธ์ข องนัก บูร พคตินิยม
228
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
อัง กฤษ อย่ า ง เจมส์ มิล (Jame Mill) เม้ า ท์ ส จ๊ ว จ เอ็ด ฟริน สตัน (Mountstuart Elphinstone) หรือ แม้แ ต่ ง าน
ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์กระแสนาทีเ่ ขียนโดยนักประวัตศิ าสตร์อนิ เดียชาตินิยม อย่าง มาจุมดา (R. C. Majumda) และ
เอ แอล บาแชม (A. L. Basham) ซึง่ ถือว่าเป็ นข้อถกเถียงในวงการประวัติศาสตร์อนิ เดียยุคต้นและเป็ นส่วนหนึ่ง
ของปั ญหาอารยันในประวัตศิ าสตร์อนิ เดีย (Aryan Debate)
เฉกเช่ น เดี ย วกัน เราอาจจะคุ้ น เคยกับ การใช้ ม หากาพย์ ส ัน สกฤตของอิ น เดี ย อย่ า ง รามายณะ
(Ramayana) ในการอธิบ ายจุ ด เริ่ม ต้น ของประวัติศ าสตร์อิน เดีย ในช่ ว ง 1300 ปี ก่ อ นคริสตกาล ในท านองว่ า
กองทัพของพระราม (Rama) คือตัวแทนของชาวอารยันเนื่องจากเป็ นร่างอวตารของพระวิษณุ ซง่ึ เป็ นเทพเจ้าองค์
สาคัญในยุคพระเวทซึ่งเดินทางเข้ามาในอินเดียโดยได้รบั ความร่วมมือกับกองทัพวานร ซึ่งเปรียบได้กบั ชาว
พืน้ เมืองกลุ่มหนึ่งของอินเดียทางตอนเหนือในการทาสงครามกับชาวพืน้ เมืองอีกกลุ่มหนึ่งทีถ่ ูกเรียกว่าพวกอสูร ซึง่
นาโดย ทศกัณฐ์ (Ravan) ซึ่งฝ่ ายพระราม ถูกมองว่าเป็ นตัวแทนของ “ความเป็ นอารยัน” และในขณะเดียวกัน
ฝ่ ายทศกัณฐ์ทพ่ี ่ายแพ้สงครามและได้อพยพลงภาคใต้ของอินเดีย ก็ได้ถูกมองด้วย “ความเป็ นอื่น” ทีแ่ ตกต่างจาก
“ความเป็ นอารยัน” อย่างน้อยทีส่ ุดก็คอื เรื่องรูปร่างทางกายภาพหรือแม้แต่สผี วิ ซึง่ เทียบได้กบั สามัญทัศน์ของคน
นอกทีม่ องความแตกต่างของคนอินเดียเหนือและอินเดียใต้โดยพิจารณาจาก สีผวิ และภาษาทีใ่ ช้จนในท้ายสุด จึงมี
การใช้คาว่าฑราวิต (Dravidian) ในการใช้เรียกชาวพืน้ เมืองอินเดีย ซึง่ ใช้ภาษาทีไ่ ม่ได้อยู่ในตระกูลอินโด-ยุโรเปี ยน
แม้ว่าทฤษฎีอารยันรุกราน จะเป็ นประเด็นทางประวัตศิ าสตร์ทไ่ี ด้รบั การวิพากษ์วจิ ารณ์และถูกปฏิเสธโดย
นักวิชาการด้านประวัตศิ าสตร์อนิ เดียในปั จจุบนั แล้วก็ตาม แต่ทฤษฎีอารยันรุกรานที่ปรากฏในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
19 ก็เป็ นสิง่ ทีส่ ะท้อนให้เห็นถึงมโนทัศน์ของอังกฤษในการมองอาณานิคมอย่างอินเดีย เช่น กรณีของเฮนรี่ เมนส์
(Henry Maine) อดีตทีป่ รึกษาทางด้านกฎหมายของสภาข้าหลวงใหญ่ในอินเดียช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึง 7 ปี ได้
นาเสนอต่อมหาวิทยาลัย เคมบริดจ์ (University of Cambridge) ใน ค.ศ.1875 ว่า อินเดียไม่เคยมีประวัติศาสตร์
ก่อนหน้าทีช่ าวอารยันจะรุกรานเข้ามา 37 ฉะนัน้ การทีอ่ นิ เดียมีพฒ
ั นาทางประวัตศิ าสตร์จากยุคพระเวทมาเป็ นยุค
สาธารณรัฐในสมัย ราชวงศ์โมริย ะและจนกระทัง่ มาเป็ น ยุ คทองในสมัยราชวงศ์คุ ปตะ นัน้ ล้ว นแต่ เ กิด ขึ้น จาก
คุณูปการของการรับวัฒนธรรมจากชาวอารยันทัง้ สิน้ และหากปราศจากการรุกรานดังกล่าว ความเจริญ (Progress)
ของอินเดียก็จะไม่มที างทีจ่ ะเกิดขึน้ ได้ในสายตาของผูป้ กครองอังกฤษ โดยเฉพาะในเรื่องการจัดระเบียบของสังคม
(ระบบวรรณะ) การใช้ภาษาสันสกฤตซึง่ นาพาไปสู่การเกิดขึ้นของวรรณกรรมทีส่ าคัญของอินเดียมากมาย รวมถึง
หลักกฎหมายต่างๆและแนวคิดปรัชญาการเมืองทีป่ รากฏอยู่ในคัมภีรอ์ รรถศาสตร์ซง่ึ เคยมีการเปรียบเปรยคัมภีร์
ดังกล่าวว่าสามารถเทียบได้กบั เรื่อง The Prince ของแมคเคียเวลลี (Machiavelli)
เช่นเดียวกัน ศาสตราจารย์โรมิลา ถาปร ได้อธิบายว่าพัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์ของอินเดียในสามัญ
ทัศ น์ ข องนัก บูร พคตินิย มอัง กฤษนัน้ เป็ น ไปในลักษณะแบบวัฏ จักร (Cynical) มากกว่ าที่จะเป็ น แบบเส้นตรง
(Linear) เหมือนอย่างชาติในยุโรป38 ทัง้ นี้ เนื่องมาจากความเจริญของอินเดียตามประวัตศิ าสตร์กระแสนานัน้ มักจะ
ถูกหยุดยัง้ จากการถูกรุกรานโดยชนชาติอ่นื ๆนอกอินเดียเสมอมา จึงมีผลให้สมั ฤทธิผลทางวัฒนธรรมของอินเดีย
มักจะถูกแทนทีด่ ว้ ย “วัฒนธรรมอื่น” ทีเ่ ข้ามามีอานาจในอินเดีย เป็ นผลให้ความเจริญของอินเดียมักจะหยุดอยูก่ บั ที่
ยกตัวอย่างเช่น กรณีของการเข้ามาของพวกมุกลั ในช่วงคริสต์ ศตวรรษที่ 14 เป็ นต้น ดังเช่นงานใน ค.ศ.1817
อย่าง History of British India ที่เขียนโดย เจมส์ มิล (Jame Mill) บิดาของนักปรัชญา จอห์น สจ๊วต มิล (John
37 Metcalf, Thomas R. 2005. Ideologies of the Raj. Reprint. New Delhi: Cambridge University Press. pp.69
38 โปรดดู History and it’s Beyond ของ Romila Thapar เพิม่ เติม
229
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
Stuart Mill) ทีม่ กี ารแบ่งยุคของอินเดียเป็ น 3 ยุคหลักๆ คือ ยุคฮินดู ยุคมุสลิม และยุคอังกฤษ ฉะนัน้ เมื่อผนวกกับ
บรรยากาศของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่ “ความเป็ นอารยัน” ถูกประกอบด้วยขึน้ จากแนวคิดเชื้อชาตินา (Superior
Race) การเข้ามาล่าอาณานิคมของอังกฤษในอินเดียจึงเปรียบเสมือนการกลับมาอีกครัง้ ของชาวอารยันในอินเดีย
ซึง่ เข้ามาสลายการปกครองอันโหดร้ายและกดขีข่ องพวกมุสลิม 39 (ราชวงศ์มุกลั ) ทาให้การปกครองในอินเดียถูก
แทนทีด่ ว้ ยอังกฤษผูเ้ มตตากรุณา ซึง่ แตกต่างจากยุคทีอ่ นิ เดียอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิมุกลั (Mughal
Empire) นักบูรพคตินิยมอย่างมึลเลอร์ ได้จดั ให้พวกมุสลิมว่าเป็ นเชือ้ ชาติเซมิตกิ (Semitic) ซึง่ ไม่ใช่ อารยัน พร้อม
ทัง้ มุมมองทีเ่ น้นย้าว่า ศาสนาอิสลามไม่ได้มคี ุณูปการใดต่อความเจริญของอารยธรรมอินเดีย 40 ฉะนัน้ ความสาคัญ
อีกประการหนึ่งของการเข้ามาของอังกฤษในอินเดีย ก็คอื การทีช่ าวอารยันทัง้ 2 สายได้กลับมาพบกันอีกครัง้ และ
เป็ นนิมติ หมายอันดีต่ออินเดียในการก้าวไปสูค่ วามเจริญอีกครัง้ หลังจากถูกพวกมุสลิมปกครอง ซึง่ แนวคิดนี้เอง ได้
กลายเป็ นวาทกรรมทีจ่ กั รวรรดิองั กฤษใช้ในการสร้างความชอบธรรมในการปกครองอินเดีย อันเป็ นผลพวงมาจาก
จินตภาพเรื่อง “ความเป็ นอารยัน” ทีถ่ ูกประกอบสร้างขึน้ มาโดยนักบูรพคตินิยมอังกฤษเอง
ในประเด็น ของการสร้า งความชอบธรรมในการปกครองอิน เดีย นัน้ อัง กฤษเป็ น จัก รวรรดิท่ีป ระสบ
ความสาเร็จในการล่าอาณานิคมตัง้ แต่ช่วงคริสตศตวรรษที่ 16 อันเป็ นเหตุให้มกี ารประกอบสร้างตัวตนของ “ความ
เป็ นอังกฤษ” ให้แตกต่างจาก “ความเป็ นชนชาติอ่นื ” โดยเฉพาะชนชาติทอ่ี ยู่ค่อนไปทางตะวันออกทีอ่ งั กฤษมองว่า
ป่ าเถื่อน (Barbarous nation) โดยเฉพาะจากคากล่าวของ เซอร์ โทมัส สมิธ (Sir Thomas Smith) ว่า พระผู้เป็ น
เจ้าได้พระราชทานพันธกิจให้กบั อังกฤษในการยึดครองและปฏิรูปดินแดนทีป่ ่ าเถื่อนอยู่ 41 ซึง่ อาจกล่าวได้ว่าเป็ น
แนวคิดทีอ่ งั กฤษยึดมันเพื
่ ่อใช้ในการสร้างความชอบธรรมในการรุกรานดินแดนอื่นๆ รวมถึงอินเดีย เช่นเดียวกัน
อังกฤษได้มกี ารนาแนวคิดเผด็จการตะวันออก (Oriental Despotism)42 มาใช้ในการมองอินเดีย รวมถึงสามัญทัศน์
ที่มองว่าอินเดียยังคงเป็ นดินแดนที่ล้าหลังและมีสภาพไม่ต่างจากหมู่บ้านที่ไม่มกี ารเปลี่ยนแปลง (Changeless
Village)
อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณูปการจากการค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างภาษาสันสกฤตและภาษาคลาสสิกใน
ยุโรปโดยนักบูรพคตินิยมอังกฤษในช่วงระหว่างปลายคริสต์ ศตวรรษที่ 18 – 19 ตอนต้น มีผลต่ อมุมมองของ
อังกฤษในการมองชาวพืน้ เมืองอินเดียในแง่ทค่ี ่อนข้างจะแตกต่างจากชนชาติในดินแดนอื่นๆทีอ่ งั กฤษเคยรุ กราน
เช่นกรณี การมองชาวพืน้ เมืองแอฟริกา ว่าเป็ นชนชาติทล่ี า้ หลังและแทบทีจ่ ะไม่มสี มั ฤทธิผลทางวัฒนธรรมใดเลยที่
เทียบเท่ากับยุโรปซึง่ แตกต่างจากในกรณีอนิ เดีย เรื่องราวในวรรณกรรมสันสกฤตอย่างพระเวททัง้ 3 เป็ นสิง่ หนึ่งที่
สะท้อนถึง อดีตของอินเดีย ซึง่ นักบูรพคตินิยมอังกฤษได้จนิ ตนาการว่า ครัง้ หนึ่งอินเดียเคยมีความเจริญทางด้าน
ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แพทยศาสตร์ นิตศิ าสตร์ อันเป็ นผลมาจากการรับอิทธิพลจากพวกอารยัน
230
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
43 เปชวาห์ (Peshwar) เทียบได้กบั ตาแหน่ งนายกรัฐมนตรีและผูบ้ ญ ั ชาการทหารสูงสุดของราชอาณาจักรมราฐา (Maratha Kingdom) เป็ นตาแหน่ งที่
สูงสุดของผูป้ กครองอาณาจักรมราฐาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 – 19 เปชวาห์มอี านาจในการปกครองและการบริหารอาณาจักรมราฐาโดยเบ็ดเสร็จ แทน
ตาแหน่ งฉัตรปาตีย์ (Chhataphati) อันหมายถึงพระมหากษัตริย์ เนื่องจากภายหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าศิวจีมหาราช (Chhataphati Shivaji
Maharaj) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฉัตรปาตีย์ทค่ี รองราชย์ต่อจากพระองค์อ่อนแอจนทาให้อาณาจักรมราฐาต้องยอมศิโรราบต่อจักรพรรดิออรัง
เซป (Aurangzeb) แห่งจักรวรรดิมุกลั ที่ยาตราทัพมาถึงเดดข่าน (Deccan) เขตอิทธิพลของพวก มราฐา จนฉัตรปาตีย์ของมราฐาต้องกลายเป็ นตัว
ประกันของราชวงศ์มุกลั หลังจากรัชสมัยของออรังเซป ฉัตรปาตีย์ถูกปล่อยตัว และแม่ทพั มราฐาคือบาราจี วิศวนารถ (Baraji Vishwanaj) สามารถยึด
ครองดินแดนของมราฐาคืนจากพวกมุกลั และสามารถบังคับให้พวกมุกลั ยอมรับให้มราฐาเป็ นผูป้ กป้ องราชวงศ์มุกลั พร้อมสิทธิในการเก็บภาษีในเขต
เดคข่านในนามจักรวรรดิมุกลั จึงทาให้บาราจีถูกแต่งตัง้ ให้เป็ นเปชวาห์ และเปชวาห์ได้ใช้อานาจในการปกครองอาณาจักรแทนฉัตรปาตีย์ตงั ้ แ ต่นนั ้ มา
โปรดดู The Marathas ของ A.R. Kulkani และ The New Cambridge History of India: The Marathas 1600 - 1818 ของ Stewart Gordon เพิม่ เติม
44 Metcalf, Thomas R. pp.69
45 วิลเลียม เคมเบล (William Campbell) ได้อธิบายในงานเขียนชื่อ India in its Relation to the Decline of Hindooism, and the Progress of Christianity
231
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
232
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
233
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
234
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
54 บิดาของพูเฬ่ มีอาชีพเป็ นชาวสวนทีด่ แู ลดอกไม้ให้กบั เปชวาห์ (Peshwar) คนสุดท้ายของอาณาจักรมราฐาคาว่า พูเฬ่ (Phule) ในภาษามราฐาแปลว่า
ดอกไม้ ซึง่ เป็ นทีม่ าของชื่อของ โจฑิบา พูเฬ่
55 ครอบครัวของเพือ ่ น ถากถางพูเฬ่ให้รจู้ กั ประมาณตนในสถานะและวรรณะของตนเอง
56 หมายถึงชนเผ่าพืน ้ เมืองกลุม่ หนึ่งทีอ่ าศัยอยูต่ ามป่ า
57 Thapar, Romila. “The Historiography of the Concept of Aryan”. pp.38
235
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
สามารถถูกตีความได้ว่าเทียบเท่ากับสถานะของวรรณะนาอย่างวรรณะกษัตริย์ เนื่องจากเคยมีบทบาทสาคัญใน
การป้ องกันการรุกรานของชาวอารยันในอดีต ซึง่ เป็ นภาระหน้าทีห่ ลักของวรรณะกษัตริยน์ นเอง
ั่
บทส่งท้ำย
วาทกรรมเรื่อง “ความเป็ นอารยัน” รวมถึงทฤษฎีอารยันรุกราน ได้กลายเป็ นประเด็นทีถ่ ูกตัง้ คาถามครัง้
ใหญ่อกี ครัง้ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะหลังจากการประสบผลสาเร็จของคณะสารวจโบราณคดีอนิ เดีย
ในช่ ว ง ค.ศ.1922-23 ในการค้ น พบซากปรัก หัก พัง ของเมือ งฮารัป ปา (Harappa) และเมือ งโมเฮนจาดาโร
(Mohenjo-daro)58 ซึง่ หลังจากการใช้กระบวนการทางโบราณคดีในการคานวณอายุของแหล่งโบราณสถานดังกล่าว
มีการเสนอข้อสันนิษฐานว่าทัง้ 2 บริเวณมีอายุเก่าแก่กว่าสมัยยุคพระเวทหรือยุคการเข้ามาของชาวอารยันใน
อินเดียเหนือและนักบูรพคตินิยมอังกฤษรวมถึงนักวิชาการอินเดียในช่วงระยะเวลาดังกล่าวยังได้มกี ารประเมินอายุ
ของแหล่ งโบราณคดีทีค้น พบว่ ามีอ ายุยาวนานถึงประมาณ 6000 ปี ก่ อ นคริสตกาล ประกอบกับ องค์ประกอบ
สาคัญๆทีพ่ บในแหล่งโบราณคดีทงั ้ 2 บริเวณ ยังสะท้อนถึง “ความเป็ นเมือง” ไม่ว่าจะเป็ นการค้นพบยุง้ ฉางขนาด
ใหญ่ (Great Granary) ป้ อมปราการ (Citadel) การวางผังเมือง (City Plan) ระบบระบายน้ า และการใช้อฐิ เผาไฟ
(Burnt Brick)59 ในการก่อสร้างบ้านเมือง
การค้นพบนี้เอง จึงนาไปสู่การตัง้ ทฤษฎีท่วี ่า ชาวอินเดียพื้นเมืองมีสมั ฤทธิผลทางวัฒนธรรมเป็ นของ
ตนเองก่อนการเข้ามาของชาวอารยัน ซึง่ ประเด็นดังกล่าวได้กลายเป็ นข้อเท็จจริงทางประวัตศิ าสตร์และโบราณคดี
ในการหักล้างจินตภาพของนักบูรพคตินิยมอังกฤษทีเ่ คยเชื่อว่า อินเดียไม่เคยมีอดีตและประวัติศาสตร์ก่อนการเข้า
มาของชาวอารยัน พร้อมๆไปกับการหักล้างความเชื่อของพวกวรรณะสูงทีเ่ คยเชื่อว่าบรรพบุรุษของวรรณะสูงก็คอื
ชาวอารยัน เช่นเดียวกัน การขุดค้นพบแหล่งโบราณคดีฮารัปปาและโมเฮนจาดาโร ยังเป็ นการเปิ ดประตูส่ปู ระเด็น
ทางประวัตศิ าสตร์ใหม่ๆในวงการประวัตศิ าสตร์อินเดีย อาทิ ข้อสมมติฐานทีต่ งั ้ คาถามถึงปั จจัยทีท่ าให้ความเจริญ
ของอินเดียเหนือซึง่ ถูกอธิบายผ่านการค้นพบแหล่งโบราณคดีทงั ้ 2 แห่งว่าล่มสลายลงได้อย่างไร ซึง่ หลักฐานทาง
โบราณคดีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 ยังมีผลทาให้พบจุดอ่อนของทฤษฎีอารยันรุกรานซึง่ ถูกประกอบสร้างจากนัก
บูรพคตินิยมอังกฤษและนักประวัตศิ าสตร์สมัยอาณานิคมมากยิง่ ขึน้ อาทิ การขุดค้นพบโครงกระดูกมนุ ษย์จานวน
มากทีก่ ระจัดกระจายไปทัวอาณาบริ
่ เวณของแหล่งโบราณคดีอารยธรรมสินธุ แต่พบร่องรอยความเสียหายของโครง
กระดูกจากอาวุธน้อยมาก ฉะนัน้ ถ้าหากมีการรุกรานขนานใหญ่ของชาวอารยันจริง ก็มเี หตุอนั ควรทีจ่ ะพบร่องรอย
ความเสียหายบนโครงกระดูกมนุษย์ในจานวนทีม่ ากกว่านี้ ซึง่ สะท้อนถึงภาพของการทาสงครามขนาดใหญ่ระหว่าง
ชาวพืน้ เมืองและผูร้ ุกราน สิง่ นี้เองจึงนาไปสูก่ ารสร้างทฤษฎีใหม่ๆเกีย่ วกับการเข้ามาของชาวอารยันในอินเดีย เช่น
การเข้ามาของชาวอารยันโดยแบ่งเป็ นระยะๆซึง่ ในการเข้ามาแต่ละช่วงนัน้ ชาวอารยันจะเข้ามาในจานวนทีน่ ้อย
มากหากเทียบกับจานวนของชาวพื้นเมืองอินเดีย จึงทาให้ความน่ าเชื่อถือของทฤษฎีรุกรานลดน้ อยลงภายใต้
เงื่อนไขและการโต้แย้งทีว่ ่า การรุกรานหรือการเข้ามาในจานวนน้อยและเป็ นช่วงๆ เช่นนัน้ ของชาวอารยันจะมีผล
ให้อารยธรรมของอินเดียที่เจริญมาก่อนหน้ านัน้ ล่มสลายในคราวเดียวได้เช่นไร การตัง้ สมมติฐานถึงเหตุ การ
สลายตัวของอารยธรรมสินธุจงึ กว้างขึน้ โดยขยายครอบคลุมไปถึงการพิจารณาและให้น้ าหนักไปยังปั จจัยทาง
236
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
บรรณำนุกรม
กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย. 2554. ภารตวิทยา. พิมพ์ครัง้ ที่ 7. กรุงเทพฯ: ศยาม.
บาเชม, เอ แอล. 2549. ภารตรัตนะ. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. แปลโดย ธิตมิ า พิทกั ษ์ไพรวัน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ภารดี มหาขันธ์. 2527. ประวัตศิ าสตร์เอเชียใต้. พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.
สาวิตรี เจริญพงศ์. 2545. ภารตะยะ อารยธรรมอินเดียตัง้ แต่สมัยโบราณจนถึงหลังได้รบั เอกราช. พิมพ์ครัง้ ที่ 2.
กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Bandyopadhyay, Sekhar. 2008. From Plassey to Partition: A History of Modern India. New Delhi: Orient
Black Swan.
Ballantine, Tony. 2002. Orientalism and Race: Aryanism in British Empire. New York: PALGRAVE
Macmillan.
Bryant, Edwin F and Patton, Laurie L. 2005. The Indo Aryan Controversy Evidence and inference in
Indian History. New York: Routledge.
Chandra, Bipan. 2011. History of Modern India. Reprinted. New Delhi: Orient Black Swan.
Figueira, Dorothy M. 2002. Aryans, Jews, Brahmins Theorizing Authority through Myths of Identity.
New York: University of New York.
Gordon, Stewart. 1993. The Marathas 1600-1818. New Delhi: Cambridge University Press.
Jha, D.N. 2010. Ancient India in Historical Outline. New Delhi: Manohar.
Keepens, Marianne and Roover, Jakob De. 2014. “The Orientalism and the Puzzle of the Aryan Invasion
Theory”. Pragmanta: Journal of Human Sciences. 2. (2). http//journal.tumkuruniversity.ac.in
Kulkarni, A R. 2008. The Marathas. Pune: Diamond Publications.
Metcalf, Thomas R. 2005. Ideologies of the Raj. Reprint. New Delhi: Cambridge University Press.
237
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
Sharma, R.S. 1996. Looking for the Aryans. Reprint. Madras: Orient Longman.
Thapar, Romila. 2008. The Aryan Recasting Constructs. New Delhi: Three Essays Collective.
Trautmann, Thomas R. 2008. Aryan and British India. Third Edition. New Delhi: Yoda Press.
———. 2010. The Aryan Debate. Fifth Impression. New Delhi: Oxford University Press.
238
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D2-P5-R3-04
ทิวาพร จันทร์แก้ว
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
239
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
อินโดนีเซียเป็ นประเทศที่มคี วามหลากหลายมากประเทศหนึ่ง ทัง้ ประชากรที่มอี ยู่หลายกลุ่มชาติพนั ธุ์
รวมไปจนถึง ภาษา วัฒนธรรมและการดารงชีวิตของแต่ ละกลุ่มชาติพนั ธุ์ การมีรากฐานทางประวัติศาสตร์ท่ี
ซับซ้อนนัน้ ส่งผลให้อนิ โดนีเซียมีความน่ าสนใจในภูมหิ ลังทางประวัตศิ าสตร์อนั ยาวนาน หลายยุคหลายสมัย โดย
ผ่านการปกครองจากระบบอาณานิคมของชาติตะวันตก ทาให้อนิ โดนีเซียผ่านความหลังอันบอบช้าจากร่องรอย
ของประวัตศิ าสตร์แห่งการถูกกดขีโ่ ดยมักจะสะท้อนผ่านเหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์ เรื่องเล่า หรือภาพถ่าย
การศึกษาเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เพียงแค่ศกึ ษาผ่านหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อาทิเช่ น
เอกสารชัน้ ต้น เอกสารชัน้ รอง หรืองานตารา หนังสือ หนังสือพิมพ์ รวมไปจนถึงบทความ แต่ทว่ายังสามารถ
ศึกษาเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ผ่านสถานที่สาคัญ อย่างเช่น ถนนสายหนึ่ง ที่บอกเล่าถึงเรื่องราวของยุคสมัย
อาณานิคม ทีถ่ นนสายนี้ได้ถูกสร้างขึน้ เพื่อใช้เป็ น เส้นทางการเดินทางไปมาระหว่างกัน ทัง้ นี้ถนนเส้นนี้ยงั สามารถ
จะช่วยให้เข้าใจถึงสภาพทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองในยุคสมัยอดีตของอินโดนีเซียได้ โดยถนนเส้นนี้ถูก
เรียกว่า Jalan Raya Pos เป็ นถนนสายสาคัญที่เชื่อมโยงเมืองต่างๆ เข้าไว้ดว้ ยกัน ทัง้ นี้กเ็ นื่องจากมาจากเมือง
ต่ างๆ ที่ถนนสายนี้ตัดผ่าน ล้วนแล้วเป็ นเมืองท่าสาคัญ ไม่ว่าจะเป็ นเมืองเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ หรือ
แม้กระทังเป็
่ นเมืองทีม่ คี วามสาคัญในบริบททางประวัตศิ าสตร์
บทความนี้จงึ มีวตั ถุประสงค์ คือ การศึกษาประวัตศิ าสตร์ความเป็ นมาของถนนสายประวัตศิ าสตร์ Jalan
Raya Pos โดยถนนสายนี้ได้บอกเล่าถึงความเป็ นมาของเมืองต่างๆ ทีถ่ นนสายนี้ตดั ผ่าน โดยเนื้อหาสาคัญในส่วน
นี้ ผูเ้ ขียนศึกษาข้อมูลจากหนังสือความเรียงทางประวัตศิ าสตร์ของนักเขียนอินโดนีเซีย คือ ปราโมทยา อนันตา ตูร์
ในผลงานทีช่ ่อื ว่า Jalan Raya Pos, Jalan Daendels อันเป็ นหนังสือความเรียงทีป่ ราโมทยาเขียนบอกเล่าถึงเมือง
ต่างๆ ทีถ่ นนสายนี้ตดั ผ่าน โดยเป็ นการเล่าจากประสบการณ์จริงทีต่ วั ของเขาเองได้เคยเดินทางไปยังเมืองต่างๆ
หนังสือเล่มนี้เขียนขึน้ ครัง้ แรกในปี ค.ศ. 1995 ซึ่งในขณะนัน้ ที่อนิ โดนีเซียยังอยู่ในยุคระเบียบใหม่และ
ได้รบั การตีพมิ พ์ขน้ึ ในปี ค.ศ. 2005 หรือในอีก 10 ปี หลังจากนัน้ โดยสานักพิมพ์ Lentera Dipantara เนื่องจาก
ในช่วงยุคระเบียบใหม่ผลงานของปราโมทยาเกือบทัง้ หมดถูกห้ามตีพมิ พ์เผยแพร่ เพราะถูกจัดให้เป็ นงานเขียนอัน
เกีย่ วข้องกับขบวนการคอมมิวนิสต์และสามารถตีพมิ พ์ผลงานได้อกี ครัง้ เมื่อเข้าสูย่ ุคปฏิรปู เนื่องจากการควบคุมสือ่
มีความเป็ นเสรีเปิ ดกว้างมากขึน้ สาหรับหนังสือเรื่อง Jalan Raya Pos, Jalan Daendels มีลกั ษณะเป็ นความเรียง
ทางประวัตศิ าสตร์สนั ้ ๆ โดยกล่าวถึงการสร้างถนนสายหนึ่งทีถ่ อื ได้ว่าเป็ นถนนสายประวัตศิ าสตร์เส้นทางหนึ่งใน
สมัยอาณานิ คมที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1809 โดยผู้ท่เี ป็ นคนต้นคิดการสร้างถนนสายนี้ ก็คือนายพลเฮอร์แ มน
วิลเลียม ดาเอนเดลส์ (Herman Willem Daendels) ข้าหลวงใหญ่ของอาณานิคมอินดีส โดยกล่าวกันว่า ถนนสาย
นี้เริ่มต้นจากทางตอนเหนือของเกาะชวาและทอดยาวไปสิ้นสุดที่ทางด้านปลายตะวัน ออกของเกาะชวา รวม
ระยะทางของถนนเส้นนี้มคี วามยาวทัง้ หมดเกือบ 1,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ถนนสายประวัตศิ าสตร์เส้นนี้ยงั ถือได้
ว่าเป็ นถนนสายแรกทีม่ คี วามยาวมากทีส่ ดุ ในโลกทีไ่ ด้สร้างขึน้ ในสมัยนัน้ อันอาจเปรียบเทียบได้กบั ถนนอีกสายหนึ่ง
ทีถ่ ูกสร้างขึน้ ในช่วงเวลาเดียวกันก็คอื ถนนสายอัมสเตอร์ดมั -ปารีสทีต่ ดั ผ่านเมืองทัง้ หมด 25 เมืองในยุโรปสร้างขึน้
โดยนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte)1 จึงกล่าวได้ว่าถนนทีน่ ายพลดาเอนเดลสร้างขึน้ นี้เป็ นถนนสาย
สาคัญหรือเป็ นถนนสายประวัตศิ าสตร์แห่งอาณานิคม เพราะนอกจากนัน้ ถนนสายนี้จะแสดงถึง การปฏิรูปและการ
พัฒนาของระบอบอาณานิคมอินดีสแล้วยังสร้างขึน้ จากความทุกข์ทรมานของชาวพืน้ เมืองทีถ่ ูกเกณฑ์ให้มาสร้าง
1 Pramoedya Ananta Toer, Jalan Raya Pos, Jalan Daendels (Jakarta: Lentera Dipantara, 2010), pp. 7-9.
240
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ถนน ถนนสายนี้จงึ เกิดขึน้ มาได้ดว้ ยชีวติ เลือดเนื้อและความลาบากของชาวพืน้ เมือง ซึง่ มักจมหายไปเป็ นเพียงฉาก
หลังในประวัติศาสตร์นิพนธ์เดียวกันกับอินดีสของดัตช์ หนังสือเล่มนี้จงึ เป็ นเสมือนการเปิ ดให้เห็นภาพแห่งการ
สูญเสียเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อหยดน้าตาของชาวพืน้ เมือง
สิง่ ทีอ่ ยู่ภายในหนังสือเรื่องนี้คอื การทีป่ ราโมทยาดาเนินเรื่องโดยให้เป็ นการเล่าเรื่องประวัตขิ องเมืองต่างๆ
ที่ถนนสายนี้ตดั ผ่าน อันเสมือนเป็ นการแสดงถึงการนาเสนอรูปแบบของประวัตศิ าสตร์สงั คมของเมืองต่างๆ ใน
เกาะชวา โดยปราโมทยาได้เล่าเรื่องราวของเมืองต่างๆ ทีถ่ นนสายนี้ได้ตดั ผ่านทัง้ หมด กล่าวคือเมืองใหญ่ๆ ที่
ถนนสายนี้ตดั ผ่าน เช่น บาตาเวีย (Batavia) บันดุง (Bandung) เซอมารัง (Semarang) และสุราบายา (Surabaya)
นอกจากนัน้ ยังมีบรรดาเมืองเล็กๆ ทีไ่ ม่ค่อยเป็ นทีร่ จู้ กั ของคนทัวไปอย่
่ างเมืองจูวานา (Juwana), โปร็อง (Porong),
บางิล (Bangil) เป็ นต้น ปราโมทยาได้บรรยายถึงประวัตคิ วามเป็ นมาของบรรดาเมืองต่างๆ พร้อมกับบรรยายถึงสิง่
ทีเ่ ป็ นเอกลักษณ์ของแต่ละเมือง ดังนัน้ สิง่ ทีจ่ ะเห็นได้จากหนังสือเล่มนี้คอื ประวัตขิ องเมืองต่างๆ ทีถ่ นนสายนี้ได้ตดั
ผ่านและเชื่อมโยงเมืองเหล่านี้เข้าไว้ดว้ ยกัน ทัง้ นี้ไม่ใช่มเี พียงแค่เรื่องของประวัตคิ วามเป็ นมาของเมืองเท่านัน้ แต่
ยังรวมถึงสภาพสังคมและสภาพเศรษฐกิจของแต่ละเมืองอีกด้วยหนังสือเรื่อง Jalan Raya Pos, Jalan Daendels
จึงมีความแตกต่างไปจากการเป็ นงานเขียนเชิงนวนิยายอื่นๆ ของปราโมทยา แต่เป็ นงานเขียนทีบ่ รรยายถึงประวัติ
ของเมือง และเรื่องราวทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจโดยมองผ่านเมืองต่างๆ ทีถ่ นนสายนี้ตดั ผ่าน
อีกหนึ่งผลงานทีท่ าการศึกษาประเด็นของข้าหลวงดาเอนเดลส์กบั การสร้างถนนสายนี้ คือ งานของปี เตอร์
แครี่ (Peter Carey) ในงานที่ ช่ื อ ว่ า Daendels and the Sacred Space of Java, 1808-1811: Political Relation,
Uniforms and the Postweg เป็ นการศึกษาประเด็นความสัมพันธ์ทางการเมืองของข้าหลวงใหญ่ดาเอนเดลส์ กับ
ราชสานักยอกยาการ์ตา โดยเน้นหลักไปทีค่ วามเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในชวา ทัง้ นี้ปีเตอร์ แครี่ ได้วเิ คราะห์
ผ่านภาพวาดของระเด่น สาและ (Raden Saleh) จิตรกรฝีมอื เอกทีไ่ ด้วาดภาพ Jalan Raya Pos
นอกจากนี้ ใ นวิท ยานิ พ นธ์ร ะดับ ปริญ ญาโทของอุ ม าพร พิช ัย รัก ษ์ เรื่อ ง การประดิษ ฐ์สร้างวีรบุรุษ :
ภาพลักษณ์เจ้าชายทีปนครในวัฒนธรรมอินโดนีเซีย ได้มีการกล่าวถึง การเข้ามาของข้าหลวงดาเอนเดลส์ไว้
เช่นกัน กล่าวคือ การเข้ามาของดาเอนเดลส์ทาให้ความสันคลอนและความขั
่ ดแย้งทางการเมืองของราชสานักชวา
ปรากฏชัดเจนขึน้ เนื่องจากการเมืองภายในราชสานักชวาเกิดการแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างกัน ดังนัน้ การเข้ามา
แทรกแซงทางการเมืองของเจ้าอาณานิคมดัตช์ จึงส่งผลให้ราชสานักชวา ต้องล่มสลายลงในทีส่ ดุ
Jalan Raya Pos ถือได้ว่าเป็ นถนนสายประวัตศิ าสตร์แห่งนูสนั ตารา อาจกล่าวได้ว่าเรื่องราวในอดีตของ
ประเทศอินโดนีเซียถูกนาเสนอผ่านถนนสายนี้ จนถูกยกย่องว่าเป็ นถนนสายประวัตศิ าสตร์ และจากงานทัง้ สามชิน้
พอที่จะอธิบายให้เห็นถึงความสาคัญของถนนสายประวัตศิ าสตร์น้ีได้ รวมไปจนถึงบทบาทข้าหลวงใหญ่ดาเอน
เดลส์ผคู้ ดิ โครงการสร้างถนนสายนี้ พร้อมทัง้ บริบทโดยทัวไปในยุ
่ คสมัยอาณานิคม
ดังนัน้ บทความชิน้ นี้จงึ ต้องการศึกษาประวัตศิ าสตร์ความเป็ นมาของถนนสายประวัตศิ าสตร์ Jalan Raya
Pos เพื่อทาการมองประวัติศาสตร์อนิ โดนีเซียในช่วงยุคอาณานิคม รวมถึงบริบทในยุคปั จจุบนั ที่ถนนสายนี้ไ ด้
สะท้อนผ่านหนังสือความเรียงทางประวัตศิ าสตร์ของปราโมทยา
241
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
242
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ที่มา: http://www.bogorheritage.net/2015/08/jalan-raya-pos-saksi-bisu-si-tangan.html
ในปั จจุบนั Jalan Raya Pos ถูกใช้เป็ นเส้นทางจราจรระหว่างฝั ง่ ทะเลทางตอนเหนือ Jalan Raya Pos
เปรียบเสมือนเป็ นเส้นทางหลักทางบกทีเ่ ชื่อมโยงเส้นทางหลักบนเกาะชวาอย่างเมืองจาตีเนการา (Jatinegara)
ไปจนถึงทางใต้ผ่านเมืองโบกอร์ (Bogor) และเชื่อมโยงไปยังทางชวาตะวันออก ผ่านเมืองบันดุง เมืองจีอนั จูร
(Cianjur) เมืองซูเมอดัง (Sumedang) และ เมืองเชอริบอน ซึง่ ถือเป็ นถนนสายหลักทีค่ นอินโดนีเซียใช้เป็ นเส้นทาง
คมนาคมในเกาะชวา นับเป็ นถนนสายสาคัญของอินโดนีเซียสายหนึ่ง อย่างไรก็ตามการสร้างถนนสายนี้กต็ ้องแลก
มาด้วยชีวติ เลือดเนื้อ และหยาดเหงื่อของแรงงาน กรรมกร ทีต่ ้องทางานอย่างแสนสาหัส เพราะได้ถูกเกณฑ์เพื่อ
มาสร้างถนนสายนี้
5 ทวีศกั ดิ ์ เผือกสม, ประวัตศิ าสตร์อนิ โดนีเซีย: รัฐจารีตบนหมูเ่ กาะ ความเป็ นสมัยใหม่แบบอาณานิคม และสาธารณรัฐแห่งความหลากหลาย (กรุงเทพฯ:
เมืองโบราณ, 2555) หน้า 87-88.
6 ทวีศก ั ดิ ์, ประวัตศิ าสตร์อนิ โดนีเซีย: รัฐจารีตบนหมูเ่ กาะ ความเป็ นสมัยใหม่แบบอาณานิคม และสาธารณรัฐแห่งความหลากหลาย, หน้า 88.
7 Jalan Raya Pos, jalan bersejarah terkejam di Nusantara เข้าถึงเมือ ่ 1 พฤษภาคม 2016, url: (http:// www.merdeka.com/peristiwa / jalan-raya-
pos-jalan-bersejarah-terkejam-di-nusantara.html)
243
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
8 Aries Munandi Feature, Jalan Raya Pos saksi bisu si tangan besi Daendels. เข้าถึงเมือ่ 1 พฤษภาคม 2016; url: (http://
www.bogorheritage.net/2015/08/jalan-raya-pos-saksi-bisu-si-tangan.html)
9 อุมาพร พิชย
ั รักษ์, การประดิษฐ์สร้างวีรบุรษุ : ภาพลักษณ์เจ้าชายทีปนครในวัฒนธรรมอินโดนีเซีย, วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิตสาขาเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ศกึ ษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, หน้า25-26.
244
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
245
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
12 Pramoedya Ananta Toer, Jalan Raya Pos, Jalan Daendels (Jakarta: Lentera Dipantara, 2010), p. 29.
13 Pramoedya Ananta Toer, Jalan Raya Pos, Jalan Daendels, pp. 40-41.
14 Pramoedya Ananta Toer, Jalan Raya Pos, Jalan Daendels, p. 42.
15Pramoedya Ananta Toer, Jalan Raya Pos, Jalan Daendels (Jakarta: Lentera Dipantara, 2010), pp. 38-39.
246
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
บทสรุ ป
ถนนสายประวัตศิ าสตร์สายนี้ทาให้เห็นถึงเส้นทางของช่วงเวลาตัง้ แต่อดีตจนถึงปั จจุบนั ที่สะท้อนผ่าน
ประเด็นต่างๆ ถนนสายนี้ไม่ใช่เพียงแค่สร้ างขึน้ เพื่อการคมนาคมที่สะดวกสบายขึน้ แต่ทว่าเป็ นการสร้างความ
เชื่อมโยงระหว่างศูนย์กลางกับชนบทภายนอกเข้าไว้ดว้ ยกัน ในยุคสมัยอาณานิคมเป็ นยุคสมัยทีน่ าความเจริญเข้า
มาในหมู่เกาะอินดีส เจ้าอาณานิคมดัตช์นาพาความทันสมัยเข้าสู่ดนิ แดนแห่งนี้ การเข้ามาของชาติตะวันตกได้
เปลี่ย นแปลงพื้นฐานการดารงชีวิต ของชาวพื้น เมือ งให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น การสร้า งถนนสายนี้ได้
เชื่อมโยงให้การเดินทางไปมาหาสู่กนั ภายในเกาะชวาได้อย่างสะดวกขึน้ แต่ทว่าเบือ้ งหลังของการสร้างถนนสายนี้
ต้องแลกมากับเลือดเนื้อชีวติ ของผูค้ นหลายร้อยคน ทีต่ อ้ งจบชีวติ ลงจากการทางานอย่างหนัก ถนนสายนี้จงึ เป็ นสิง่
สะท้อนเรื่องเล่าของยุคสมัยอาณานิคมได้เป็ นอย่างดี
บรรณำนุกรม
หนังสือ
ทวีศกั ดิ ์ เผือกสม. 2555. ประวัตศิ าสตร์อนิ โดนีเซีย: รัฐจารีตบนหมู่เกาะ ความเป็ นสมัยใหม่แบบอาณานิคม และ
แห่งความหลากหลาย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ.
อุมาพร พิชยั รักษ์. 2556. “การประดิษฐ์สร้างวีรบุรุษ: ภาพลักษณ์เจ้าชายทีปนครในวัฒนธรรมอินโดนีเซีย.”
วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศกึ ษา, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์.
Carey, Peter. 2013. Daendels and the Sacred Space of Java,1808-1811: Political Relations, Uniforms and
the Postweg.
Pramoedya Ananta Toer. 2010. Jalan Raya Pos, Jalan Daendels. Jakarta: Lentera Dipantara.
อินเ อร์เน็
Aries Munandi Feature, Jalan Raya Pos saksi bisu si tangan besi Daendels. เข้าถึงเมื่อ 1 พฤษภาคม
2016; url: (http:// www.bogorheritage.net/2015/08/jalan-raya-pos-saksi-bisu-si-tangan.html)
Jalan Raya Pos. เข้าถึงเมื่อ 30 เมษายน 2016; url: (http://id.wikipedia.org/wiki/Jalan_Raya_Pos)
Jalan Raya Pos, jalan bersejarah terkejam di Nusantara. เข้าถึงเมื่อ 1 พฤษภาคม 2016, url: (http://
www.merdeka.com/peristiwa / jalan-raya-pos-jalan-bersejarah-terkejam-di-nusantara.html)
247
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
248
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D2-P5-R1-03
249
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ควำมนำ
เมื่อประเทศต่างๆ ในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะต้องรวมตัวกันเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็ นประชาคม
อาเซียน (ASEAN Community) นัน้ การสร้างความเข้าใจด้านต่ างๆ ในกลุ่มประเทศสมาชิกถือเป็ นเรื่องสาคัญ
เพราะการรวมตัวเป็ นประชาคมอาเซีย นนัน้ ก็เพื่อเพิ่มอ านาจต่ อ รองและขีดความสามารถการแข่งขันบนเวที
ระหว่างประเทศ รวมถึงเพื่อเพิม่ ความสามารถในการรับมือกับปั ญหาใหม่ๆ ทีอ่ าจส่งผลกระทบถึงภูมภิ าค บรรดา
ประเทศสมาชิกได้รบั รองเอกสาร “วิสยั ทัศน์อาเซียน 2020” โดยกาหนดเป้ าหมายว่า อาเซียนจะเป็ นวงสมานฉันท์
แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็ นหุน้ ส่วนเพื่อการพัฒนาอย่างมีพลวัต มุ่งปฏิสมั พันธ์กบั ประเทศภายนอก และเป็ น
ชุมชนแห่งสังคมทีเ่ อือ้ อาทร (ประชาคมอาเซียน 2555, 1-4)
การสร้างความเข้าใจในกลุ่มประเทศสมาชิกมีวธิ กี ารทีห่ ลากหลาย “โครงการวรรณกรรมเพื่ออาเซียน”
นับเป็ นวิธกี ารหนึ่ง โครงการดังกล่าวเริม่ ขึน้ ในปี พ.ศ. 2552 โดยสมาคมอาเซียน-ประเทศไทย มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
สร้างมิตรภาพและความเข้าใจระหว่างประเทศสมาชิกของประชาคมอาเซียน ให้สมาชิกแต่ละประเทศได้เรียนรูซ้ ง่ึ
กันและกัน อันจะนาไปสู่ความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน มัน่ คง มังคั ่ ง่ และมีสนั ติภาพทีย่ งยื
ั ่ น โครงการดังกล่าวได้
มอบหมายให้ “ประภัสสร เสวิกุล” เป็ นผูด้ าเนินโครงการโดยเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียง
ใต้เพื่อศึกษาชีวติ ความเป็ นอยู่และวัฒนธรรม พร้อมเยีย่ มชมสถานทีต่ ่างๆ และพบปะบุคคลสาคัญในแต่ละประเทศ
(ลักษณาจันทร เลาหพันธุ์ 2555, 3-4) หากนับถึงปั จจุบนั นวนิยายในโครงการดังกล่าวมีจานวน 6 เล่ม
นวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน เป็ นนวนิยายเล่มที่ 3 ในโครงการวรรณกรรมเพื่ออาเซียนทีก่ ล่าวถึง
ข้า งต้น เนื้ อ หาของนวนิ ย ายกล่ า วถึง “รงค์ ชยายุ ท ธ” อาจารย์ช าวไทยซึ่ง เดิน ทางไปศึก ษาดูงานด้า นสังคม
สงเคราะห์พร้อมคณะเดินทางทีป่ ระเทศฟิ ลปิ ปิ นส์ ในวันทีไ่ ปยังสถานสงเคราะห์คนชราแห่งหนึ่ง เขาได้พบกับ “อลิ
เซีย” สตรีชาวฟิ ลปิ ปิ นส์ซง่ึ ร้องเพลงไทยออกมาเมื่อทราบว่าคณะเดินทางนัน้ เป็ นชาวไทย แต่ยงั ไม่ทนั ทีร่ งค์ ชยา
ยุทธจะได้รจู้ กั หรือสนทนากับอลิเซียมากไปกว่านัน้ อลิเซียก็เสียชีวติ ลง สถานสงเคราะห์แห่งนัน้ ได้มอบสมุดบันทึก
ของอลิเซียให้รงค์ ชยายุทธ เนื่องจากในสมุดบันทึกเล่มนัน้ กล่าวถึงชีวติ ของอลิเซียซึง่ สัมพันธ์กบั ชาวไทยบางช่วง
ขณะ เป็ นเหตุให้รงค์ ชยายุทธเริม่ ติดตามความทรงจาของอลิเซียและได้ค้นพบว่าอลิ เซียเคยมีความสัมพันธ์กบั
บรรพบุรุษของตน การค้นพบดังกล่าวสร้างความปี ตแิ ละความเข้าใจชีวติ ให้แก่รงค์ ชยายุทธในทีส่ ดุ
ความน่ าสนใจของนวนิยายเรื่องนี้คอื การนาเสนอเรื่องราวโดยมีฟิลปิ ปิ นส์ทงั ้ ในอดีตและปั จจุบนั เป็ นฉาก
ท้องเรื่อง ซึง่ ไม่ปรากฏบ่อยนักในวรรณกรรมไทย ทัง้ ยังเป็ นนวนิยายเพียงเล่มเดียวในโครงการ ทีน่ าเสนอเรื่องราว
ผ่านสมุดบันทึกซึ่งบันทึกความทรงจาของตัวละครที่มตี ่อเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตก่อนเสียชีวติ ไว้ น่ าที่จะนามา
ศึกษาด้วยแนวคิดเรื่อง “ความทรงจาร่วมทางสังคม” (collective memory) ได้ อย่างไรก็ดี นวนิยายเรื่องนี้ย งั คาบ
เกี่ยวกับ “ประวัติศาสตร์ฟิลิปปิ นส์” และ “ความทรงจาร่วมทางสังคมเกี่ยวกับฟิ ลิปปิ น ส์ ” ด้วย สมควรที่จะได้
อภิปรายเพื่อความเข้าใจไว้เป็ นเบือ้ งต้น
ปิ แอร์ นอร่า (Nora 1996, 3) กล่าวว่า ความทรงจาและประวัตศิ าสตร์มไิ ด้เป็ นสิง่ เดียวกัน หากตรงข้าม
กันในหลายๆ ลักษณะ ความทรงจาคือสิง่ ทีถ่ ูกทาให้เป็ นรูปเป็ นร่างขึน้ มาอยู่เสมอในสังคมหนึ่งๆ เช่นในสังคมทีม่ ี
วิวฒั นาการมาอย่างยาวนาน ความทรงจาเป็ นสิง่ ทีข่ น้ึ อยู่กบั การโต้แย้งกันระหว่างการจาและการลืม เป็ นสิง่ ทีบ่ ดิ
เบี้ยวอย่างไร้การควบคุม สามารถจัดแต่ งและยักย้ายได้หลายวิธี และสามารถปลุกให้ต่ืนจากการหลับใหลอัน
ยาวนานได้ในทันทีทนั ใด ขณะทีป่ ระวัตศิ าสตร์นนั ้ ตรงกันข้าม กล่าวคือ ประวัตศิ าสตร์คอื การประกอบสร้างสิง่ ทีไ่ ม่
250
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
มีอกี ต่อไปแล้ว เป็ นสิง่ ทีน่ ่าสงสัยและไม่สมบูรณ์ ความทรงจาคือปรากฏการณ์ของปั จจุบนั ขณะทีป่ ระวัตศิ าสตร์คอื
ภาพตัวแทนของอดีต
นวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน คาบเกีย่ วกับ “ประวัตศิ าสตร์ฟิลปิ ปิ นส์” ในแง่ทม่ี ฟี ิ ลปิ ปิ นส์ทงั ้ ในอดีต
และปั จ จุ บ ัน เป็ นฉากท้ อ งเรื่อ ง และสัม พัน ธ์ ก ับ เหตุ ก ารณ์ ท างประวัติ ศ าสตร์ ห ลายเหตุ ก ารณ์ แต่ ก ระนั น้
“ประวัติศาสตร์ฟิลปิ ปิ นส์” ในนวนิยายเรื่องนี้กม็ ลี กั ษณะเป็ นภาพนาเสนอ (representation) ที่ผ่านการผลิตสร้าง
ความหมายและนาเสนอด้วยระบบสัญญะเช่นภาษาหรือวรรณกรรม ภาพนาเสนอดังกล่าวก็เป็ นเพียงผลจากฉบับ
หนึ่งของการเขียน “ประวัติศาสตร์ฟิลปิ ปิ นส์” เท่านัน้ หาใช่ทงั ้ หมดของ “ประวัติศาสตร์ฟิลปิ ปิ นส์” ไม่ (ดังจะได้
อภิป รายต่ อ ไปข้า งหน้ า ) ขณะเดีย วกัน นวนิ ย ายเรื่อ งนี้ ก็ค าบเกี่ย วกับ “ความทรงจ าร่ ว มทางสัง คมเกี่ย วกับ
ฟิ ลปิ ปิ นส์” อยู่ในที ทว่าไม่ใช่ “ความทรงจาร่วมทางสังคม” ของคนฟิ ลปิ ปิ นส์โดยตรง เพราะแม้ว่าในนวนิยายจะ
กล่าวถึงความทรงจาของตัวละครชาวฟิ ลปิ ปิ นส์ทถ่ี ูกค้นพบในสมุดบันทึก แต่กเ็ ป็ นตัวละครและความทรงจาของตัว
ละครทีส่ ร้างขึน้ โดยนักเขียนไทย “ความทรงจาร่วมทางสังคมเกีย่ วกับฟิ ลปิ ปิ นส์” ในทีน่ ้ีคอื ความทรงจาทีค่ นไทยมี
ต่ อ ฟิ ลิป ปิ นส์ และเป็ นคนละเรื่อ งกับ “ประวัติ ศ าสตร์ ฟิ ลิป ปิ นส์ ” หากจะกล่ า วให้ ช ัด ลงไป “ภาพน าเสนอ
ประวัติศาสตร์ฟิลิปปิ นส์” ที่ปรากฏในนวนิย ายเรื่องนี้ก็คือ “ความทรงจาร่วมทางสังคมเกี่ยวกับฟิ ลิปปิ นส์ ” ใน
มุมมองของคนไทย
บทความนี้จะพิจารณานวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน ในฐานะที่เป็ น “ความทรงจาร่วมทางสังคม
เกี่ยวกับฟิ ลปิ ปิ นส์” ในมุมมองของคนไทย โดยพิจารณาผ่านภาพนาเสนอประวัตศิ าสตร์ฟิลปิ ปิ นส์ การประกอบ
สร้างเพศภาวะตัวละครสตรีฟิลปิ ปิ นส์ และบทบาทของตัวละครชาวไทยทีป่ รากฏในเรื่อง เพื่อทาความเข้าใจตัวบท
วรรณกรรมในท่ามกลางบริบทของการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปั จจุบนั นอกจากนี้ยงั จะใช้กระบวนทัศน์หลัง
อาณานิคมพิจารณานวนิยายเรื่องนี้อกี ด้วย ดังจะได้กล่าวต่อไปข้างหน้า
251
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
252
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
วัน ที่ 9 เมษายน 1942 การสู้ร บได้ดาเนิ น มาถึง จุ ด จบเมื่อ ทหารอเมริก ัน และฟิ ลิป ปิ น ส์
70,000 คนที่บ าตัน ยอมจ านนแก่ ก องทัพ ญี่ป่ ุ น ซึ่ง นับ เป็ น ความพ่ า ยแพ้ค รัง้ ยิ่ง ใหญ่ ใ น
ประวัติศาสตร์อเมริกนั ญี่ป่ ุนปฏิบตั ิต่อเชลยศึกอย่างเหี้ ยมโหด ทหารอเมริกนั 1,500 คน
และฟิ ลปิ ปิ นส์ 15,000 คนเสียชีวติ จากการทารุณกรรม ขาดอาหาร เจ็บปวด และสังหาร
อย่างโหดเหีย้ ม...มันเป็ นเหมือนฝั นร้ายของเราทุกคน
แต่ทร่ี า้ ยไปกว่านัน้ ก็คอื มันเป็ นฝั นร้ายทีเ่ พิง่ เริม่ เท่านัน้ ! (ประภัสสร เสวิกุล 2555, 106)
จากตัว อย่ า งจะเห็น ว่ า ความสูญ เสีย จากเหตุ ก ารณ์ สงครามโลกครัง้ ที่สอง เกิด ขึ้น แก่ ชีวิต ของชาว
ฟิ ลปิ ปิ นส์และทหารของสหรัฐอเมริกาจานวนหลักหมื่นคนในระยะเวลาไม่ถงึ หกเดือนนับจากทีส่ งครามอุบตั ขิ น้ึ ใน
ฟิ ลปิ ปิ นส์ และนันเป็
่ น “ฝั นร้ายทีเ่ พิง่ เริม่ ” ของฟิ ลปิ ปิ นส์
อย่างไรก็ดี เป็ นทีท่ ราบกันทัวไปว่
่ าสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง นัน้ ยุตลิ งด้วยความพ่ายแพ้ของญีป่ ่ นุ ในภูมภิ าค
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในนวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน นาเสนอถึงเหตุการณ์ก่อนทีญ ่ ป่ี ่ นุ จะถอนกาลังออก
จากฟิ ลปิ ปิ นส์ ดังความว่า
253
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
254
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
255
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะมีการเลือกตัง้ อีกครัง้ และผูไ้ ด้รบั ชัยชนะคือคอราซอน อากีโน (สีดา สอนศรี 2545, 57-59)
นวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน ก็ได้นาเหตุการณ์ดงั กล่าวมานาเสนอในเรื่องผ่านสมุดบันทึกของอลิเซียด้วย
(ประภัสสร เสวิกุล 2555, 367-378) ก่อนทีอ่ ลิเซียจะเลิกเขียนบันทึกไปในทีส่ ดุ
จากที่ก ล่ า วมาข้า งต้ น จะเห็น ได้ ว่ า นวนิ ย ายเรื่อ ง มีเ มฆบ้า งเป็ น บางวัน น าเสนอเรื่อ งราวความ
เปลีย่ นแปลงในฟิ ลปิ ปิ นส์ผ่านบันทึกของอลิเซีย ความเปลีย่ นแปลงดังกล่าวคือประวัตศิ าสตร์ของประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์
ซึง่ เริม่ ตัง้ แต่ช่วงสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง ความขัดแย้งภายในฟิ ลปิ ปิ นส์ภายหลังสงคราม เรื่อยมาจนถึงความผันผวน
ทางการเมืองการปกครอง ภาพนาเสนอฟิ ลปิ ปิ นส์ในนวนิยายดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์ในแง่ทถ่ี ูก
ทาร้ายอย่างบอบช้าตลอดเวลาทีผ่ ่านมา ทัง้ จากสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง ซึง่ มีจุดเริม่ ต้น จากภายนอกฟิ ลปิ ปิ นส์ และ
จากความผันผวนทางสังคมและการเมืองภายในฟิ ลปิ ปิ นส์นบั แต่สงครามโลกครัง้ นัน้ สิน้ สุดลง
แม้ภาพนาเสนอฟิ ลปิ ปิ นส์ในนวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน จะสอดคล้องกับแก่นเรื่องประวัตศิ าสตร์
การตกเป็ นอาณานิคมของรัฐชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดงั ทีก่ ล่าวไปข้างต้น อย่างไรก็ดี นัน่ เป็ นเพียงภาพ
นาเสนอฟิ ลปิ ปิ นส์ทส่ี อดคล้องกับการเขียนประวัตศิ าสตร์เพียงแบบเดียว คือเป็ นประเทศทีต่ อ้ งเผชิญชะตากรรมอัน
แสนรันทด ทัง้ ทีจ่ ริงแล้ว “การเขียนประวัตศิ าสตร์ในยุคสมัยใหม่ทฟ่ี ิ ลปิ ปิ นส์มคี วามเป็ นอิสระและมีความเคลื่อนไหว
ทางชาตินิ ยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นัน้ ก็มีค วามพยายามที่จะมองย้อ นอดีตกลับไปก่ อนยุคอาณานิคม เพื่อ แสวงหา
หลักฐาน ข้อมูล และคาอธิบายที่แตกต่างออกไป” (วัชระ สินธุประมา 2557-2558, 208) โดยนัยนี้ ภาพนาเสนอ
ประวัตศิ าสตร์ฟิลปิ ปิ นส์ทก่ี ล่าวถึงในนวนิยายเรื่องดังกล่าวจึงมีลกั ษณะที่ ผลิตซ้าความรับรูก้ ระแสหลักทีไ่ ทยมีต่อ
ฟิ ลปิ ปิ นส์ มิใช่ทงั ้ หมดของประวัตศิ าสตร์ฟิลปิ ปิ นส์ และภาพนาเสนอดังกล่าวเป็ นเพียงความทรงจาร่วมทางสังคม
เกีย่ วกับฟิ ลปิ ปิ นส์ในมุมมองของคนไทยหรือนักเขียนไทยเท่านัน้
บันทึกควำมทรงจำกับกำรประกอบสร้ำงเพศภำวะของตัวละครสตรีฟิลิปปิ นส์
ด้วยเหตุทน่ี วนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน นาเสนอเรื่องราวการติดตามความทรงจาของอลิเซียซึง่
สัมพันธ์กบั ประวัตศิ าสตร์ของประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์ อีกทัง้ เหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์ของประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์ทก่ี ล่าวถึง
ในสมุดบันทึกของอลิเซียมีลกั ษณะเป็ นภาพนาเสนอประวัตศิ าสตร์ฟิลปิ ปิ นส์ในความรับรูข้ องคนไทยหรือนักเขียน
ไทยทีถ่ ูกผลิตซ้าในนวนิยาย ความทรงจาของอลิเซียจึงมิใช่ความทรงจาสตรีฟิลปิ ปิ นส์โดยตรง หากเป็ นความทรง
จาทีถ่ ูกประกอบสร้างขึน้ โดยนักเขียนเพื่อให้การดาเนินเรื่องเป็ นไปตามจุดมุ่งหมายทีต่ ้องการ เพศภาวะ 1ของตัว
ละครสตรีฟิลปิ ปิ นส์เช่นอลิเซียทีอ่ ยู่ในนวนิยายก็เป็ นสิง่ ทีถ่ ูกประกอบสร้างขึน้ เช่นกัน
การพิจารณาเพศภาวะในฐานะสิง่ ทีถ่ ูกประกอบสร้างขึน้ เป็ นผลมาจากอิทธิพลของแนวคิดสตรีนิยมคลื่น
ลูกทีส่ ามซึง่ มุ่งพิจารณาว่า เพศภาวะเป็ นสิง่ ทีถ่ ูกประกอบสร้างขึน้ ผ่านวาทกรรมทีถ่ ูกผลิตซ้า โดยเฉพาะวาทกรรม
ของอุดมการณ์ ปิตาธิปไตยที่ครอบงาทัง้ ผู้ชายและผู้หญิง ทัง้ ยังเป็ นส่วนสาคัญในการจัดโครงสร้างทางสังคม
(สุรเดช โชติอุดมพันธ์ 2559, 216-217) เมื่อพิจารณานวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน พบว่า นาเสนอเพศภาวะ
ของตัวละครสตรีฟิลปิ ปิ นส์ ดังนี้
1 เพศภาวะ (gender) หมายถึง การแสดงความเป็ นหญิงหรือชายตามทีส่ งั คมกาหนด (นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ และปี เตอร์ เอ. แจ็กสัน, 2556, หน้า 10)
256
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
เด็กหญิงในครอบครัวทีจ่ า ้องพรากจาก
บันทึกของอลิเซียได้กล่าวถึงชีวติ ของอลิเซียตัง้ แต่ในวัยเด็ก ดังทีห่ น้าแรกของบันทึกระบุไว้ว่า “มะนิลา
ค.ศ. 1941 เป็ นปี แห่งการเปลีย่ นแปลงครัง้ สาคัญของประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์และของฉัน ฉันจาได้ดถี งึ งานฉลองวันเกิดปี
ที่ 8 ของฉัน ทีพ่ ่อแม่ พีช่ ายและพีส่ าว รวมทัง้ ญาติพน่ี ้องคนอื่นๆ อยู่กนั พร้อมหน้าพร้อมตา” (ประภัสสร เสวิกุล
2555, 47) จากข้อความดังกล่าวจะเห็นว่า อลิเซียอยู่ในครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา มีทงั ้ พ่อแม่ญาติพ่นี ้อง
อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างอลิเซียกับแม่กลับไม่สนิทสนมมากนัก ดังความว่า
258
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
“แต่ แ อนนาก็ไ ม่ ค วรท าลายตัว เอง ท าลายครอบครัว พี่รุ จ น์ และท าลายจิต ใจผมแบบนี้
เหมือนกัน” ปลายเสียงของเขาสันระรั
่ ว
แม่ผู้พบกับความปวดร้าว
แม้ความรักทีอ่ ลิเซียพานพบในชีวติ จะฝากบาดแผลไว้มากมาย แต่ชวี ติ ของอลิเซียยังคงดารงอยู่ได้ดว้ ย
สายเลือดทีเ่ ป็ นความหวังเพียงหนึ่งเดียว อลิเซียได้กลายเป็ นแม่ทม่ี ลี ูกสาวชื่อลิซา ทัง้ สองใช้ชวี ติ อย่างเรียบง่าย
และอลิเซียก็ตดั สินใจทีจ่ ะไม่รอ้ งเพลงอีกต่อไป แต่กระนั น้ อลิเซียก็ยงั ต้องประสบกับความสูญเสียในชีวติ อันนามา
ซึง่ ความปวดร้าวในช่วงทีเ่ หตุการณ์ทางการเมืองภายในฟิ ลปิ ปิ นส์ยงั คงผันผวนอยู่ ดังความว่า
259
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
กำรพินิจบทบำทของตัวละครชำวไทยในนวนิยำยเรื่อง มีเมฆบ้างเป็นบางวัน
ในนวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน ตัวละครผูม้ บี ทบาทสาคัญคือตัวละครชาวไทยทีช่ ่อื รงค์ ชยายุทธ
ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ภายหลังจากทีร่ งค์ ชยายุทธ และคณะศึกษาดูงานเดินทางกลับจากสถานสงเคราะห์ถงึ
โรงแรมทีพ่ กั แล้ว อลิเซียได้เสียชีวติ ลง แม่ชอี ธิการแห่งสถานสงเคราะห์ได้ส่งสมบัตสิ ่วนตัวของอลิเซียให้รงค์ ชยา
ยุทธ ดังความว่า
260
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
คุณชยายุทธทีน่ บั ถือ
สมุดบันทึกเล่มนี้เป็ นของอลิเซียเมื่อเข้าไปเก็บของและทาความสะอาดห้องของ
แกเมื่อเย็นนี้ จากทีอ่ ่านดูบางตอนพบว่ามีเรื่องทีอ่ ลิเซียได้เขียนถึงประเทศไทยและ
คนไทยบางคนทีแ่ กรูจ้ กั จึงคิดว่าบันทึกเล่มนี้น่าจะเป็ นประโยชน์ต่อคุณ มากกว่าที่
จะเก็บเข้าไว้เฉยๆ (ประภัสสร เสวิกุล 2555, 45)
สมบัตสิ ่วนตัวของอลิเซียทีร่ งค์ ชยายุทธได้รบั ก็คอื สมุดบันทึกของอลิเซีย เนื้อความในสมุดบันทึกเล่าถึง
ความสูญเสียหลายต่อหลายครัง้ ในชีวติ ของอลิเซียและประวัติศาสตร์การต่อสูเ้ พื่ออิสรภาพของฟิ ลปิ ปิ นส์ตามที่
อลิเซียได้ประสบ เมื่อพิจารณาบทบาทของตัวละครรงค์ ชยายุทธในนวนิยายเรื่องนี้ พบว่า เขามิได้มเี พียงบทบาท
ในการพาคณะศึกษาดูงานไปเยีย่ มสถานทีต่ ่างๆ ในฟิ ลปิ ปิ นส์เท่านัน้ หากยังมีบทบาทในการติดตามความทรงจา
ของอลิเซีย และบทบาทในการ “ชาระความผิด” ให้แก่บรรพบุรุษชาวไทยด้วย
บทบาทในการ ิด ามความทรงจาของอลิเตี ย
เมื่อรงค์ ชยายุทธได้รบั สมุดบันทึกของอลิเซียจากแม่ชอี ธิการแห่งสถานสงเคราะห์ เขาได้อ่านสมุดบันทึก
นัน้ นอกจากจะรับรูเ้ รื่องราวชีวติ ของอลิเซียและประวัตศิ าสตร์ของประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์ดงั ทีไ่ ด้กล่าวไปแล้ว เขายังได้
มีโอกาสติดตามร่องรอยความทรงจาของอลิเซียที่บนั ทึกอยู่ในสมุดบั นทึกเล่มนัน้ ขณะศึกษาดูงานอยู่ในประเทศ
ฟิ ลปิ ปิ นส์อกี ด้วย บทบาทดังกล่าวนับว่าสาคัญมาก เพราะเป็ นการนาเสนอความทรงจาของอลิเซียทีอ่ ยู่ในบันทึก
และช่วยสร้างความน่าติดตามให้แก่เรื่อง
ในช่วงหนึ่งทีค่ ณะศึกษาดูงานไปรับประทานอาหาร “แบบชาวบ้านๆ” ตามคาเชิญชวนของโจเซฟ ผู้เป็ น
มัคคุเทศก์ประจาคณะศึกษาดูงาน รงค์ชยายุทธก็ได้พบเข้ากับวัตถุแห่งความทรงจาระหว่างชาวฟิ ลปิ ปิ นส์กบั ชาว
ไทย ดังในบทสนทนาต่อไปนี้
“อะไรหรือครับ” ป๊ อกถามด้วยความอยากรู้
261
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เสียงจากปลายสายเงียบไปชัวครู
่ ่
262
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ประโยคสุดท้ายในบันทึกของคุณยายอลิเซียแวบเข้ามาในความคิดคานึง
“ที่ป กเขาไม่ ไ ด้ใ ส่ช่ือ ไว้ แต่ เ ทีย บจากปี พ.ศ. ที่ห น้ า ปกแล้ว น้ า จะคิด ว่ า น่ า จะเป็ น ช่ ว ง
เดียวกับอลิเซีย และถ้าตอนนัน้ อลิเซียดังขนาดนัน้ นักร้องคนใดคนหนึ่งก็น่าจะเป็ นหล่อน”
(ประภัสสร เสวิกุล 2555, 251)
จากข้อความดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เมื่อรงค์ ชยายุทธไปขอความช่วยเหลือจากน้านิจ น้านิจได้นานิตยสาร
เก่าซึง่ หน้าปกเป็ นภาพนักร้องต่างประเทศทีเ่ ข้ามาร้องเพลงเป็ นอาชีพในประเทศไทย แม้จะยังไม่สามารถระบุได้
ว่าใครคืออลิเซีย แต่นนก็
ั ่ แสดงให้เห็นว่า รงค์ ชยายุทธเริม่ เข้าใกล้สงิ่ ทีต่ อ้ งการค้นหามากขึน้
ในบันทึกของอลิเซียได้กล่าวถึงชื่อสถานที่ท่เี ธอมาร้องเพลงเมื่ออยู่ในประเทศไทย และนัน่ ก็เป็ นอีก
เบาะแสหนึ่งทีท่ าให้รงค์ ชยายุทธติดตามความทรงจาของอฺลเิ ซียในประเทศไทย ดังข้อความว่า
“อาจารย์มาหาใครหรือครับ”
263
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
264
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
นันเป็
่ นครัง้ แรกทีฉ่ นั เหยียบย่างเข้าสูบ่ า้ นของคุณนิค และพบปะแม่และญาติพน่ี ้องในตระกูล
“ชยายุทธ” ของเขา
“ชยายุทธ”
265
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
กระบวนทัศน์หลังอำณำนิคมกับนัยแห่งควำมหมำยในนวนิยำยเรื่อง มีเมฆบ้างเป็นบางวัน
การที่นวนิยายให้ตัวละครชาวไทยมีบทบาทสาคัญ ดังที่ก ล่าวมาข้างต้น น่ าจะมีนัย สาคัญ อัน สามารถ
พิจารณาด้วยกระบวนทัศน์หลังอาณานิคม (postcolonialism) ได้ กระบวนทัศน์ดงั กล่าวเป็ นผลมาจากการปูทาง
ของ “คติบูรพนิยม” (orientalism) ตามแนวความคิดของเอ็ดเวิร์ด ซาอิด (Edward Said) คติบูรพนิยมเป็ นวิธกี าร
ท าความเข้ า ใจ “โลกตะวัน ออก” (the orient) ที่ อ ยู่ บ นฐานคิ ด ที่ว่ า “โลกตะวัน ออก” เป็ นสถานที่ พิ เ ศษใน
ประสบการณ์ของชาวตะวันตกและชาวยุโรป เนื่องจากดินแดนส่วนใหญ่ในแถบนี้เป็ นดินแดนใต้อาณานิคมทีท่ งั ้
ยิง่ ใหญ่ทส่ี ดุ ร่ารวยทีส่ ดุ และเก่าแก่ทส่ี ดุ เป็ นแหล่งอารยธรรมและภาษา มีวฒ ั นธรรมทีน่ ่าตื่นตาตื่นใจ ทัง้ ยังมีภาพ
ของ “ความเป็ นอื่น” (the other) ซึง่ ทัง้ ลึกลับทีส่ ุดและชวนให้ต่นื ตระหนกทีส่ ุดด้วย ยิง่ ไปกว่านัน้ “โลกตะวันออก”
ยังช่วยนิยาม “โลกตะวันตก” ว่าเป็ นนิเสธหรือมีความขัดแย้งกับ “โลกตะวันออก” ในลักษณะตรงข้ามกันอย่าง
สิ้นเชิง ทัง้ ในแง่ภาพลักษณ์ ความคิด บุคลิกลักษณะ และประสบการณ์ ชวี ติ กล่าวได้ว่า “โลกตะวันออก” เป็ น
เครื่องมือสาคัญสาหรับนิยาม “ความศิวไิ ลซ์” และวัฒนธรรมของ “โลกตะวันตก” (Said 2003, 1-2) โดยนัยนี้ หาก
นิยามว่า “โลกตะวันออก” เป็ นผูห้ ญิงทีอ่ ่อนแอและช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ก็จะนิยาม “โลกตะวันตก” ได้ว่าเป็ นผูช้ าย
ทีม่ คี วามเข้มแข็ง มีความเป็ นผูน้ า ช่วยเหลือผูอ้ ่นื ได้ ทาให้ “โลกตะวันออก” ต้องมี “โลกตะวันตก” คอยชีน้ า
แม้ว่ายุคอาณานิคมจะจบสิน้ ลงไปแล้วตัง้ แต่หลังสมัยสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง แต่ “อาณานิคม” ก็มไิ ด้สน้ิ สุด
ลงอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เนื่องจากการถือสิทธิเหนือดินแดนต่างๆ และการครอบงาทัง้ ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และ
วัฒนธรรมยังคงดารงอยู่ ทัง้ ยังได้กลายรูปจากยุคอาณานิคมไปสู่ยุคหลังอาณานิคม กระบวนทัศน์หลังอาณานิคม
266
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
เป็ น ระบบความคิด ที่วิพ ากษ์ ป รากฏการณ์ อ าณานิ ค มที่ย ัง คงหลงเหลือ อยู่ใ นโลกปั จ จุ บ ัน ทัง้ ในมิติก ารเมือ ง
เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เนื่องจากสิง่ เหล่านี้ยดึ ถืออารยธรรมตะวันตกเป็ นมาตรฐานและยังแผ่ซ่านไปยังภูมภิ าคต่างๆ
ทัวโลก
่ จุดมุ่งหมายของกระบวนทัศน์หลังอาณานิคมก็เพื่อพยายามรือ้ ถอนระบบความคิดและระบบความสัมพันธ์
เชิงอานาจทีต่ ะวันตกมีต่อตะวันออก (พรธาดา สุวธั นวนิช 2547, 53-55) นอกจากนี้ กระบวนทัศน์หลังอาณานิคม
จะเปิ ดเผยให้เห็นวิธกี ารทีเ่ จ้าอาณานิคมใช้นาเสนอภาพคนพืน้ ถิน่ เพื่อครอบงาและชวนเชื่อในเชิงวัฒนธรรม เพื่อ
มุ่งแสดงให้เห็นว่า ภาพนาเสนอเหล่านัน้ ถูกประทับ แฝงฝั ง หรือปรับเปลีย่ นไปอย่างไรในวรรณกรรม (Lynn 2005,
152) ทีผ่ ่านมามีผนู้ ากระบวนทัศน์หลังอาณานิคมมาศึกษาวรรณกรรมไทยอยู่บา้ ง 3 นับว่าเป็ นอีกทางเลือกหนึ่งที่
น่าสนใจของการศึกษาวรรณกรรมไทย
เมื่อนากระบวนทัศน์ดงั กล่าวมาพิจารณาบทบาทของตัวละครชาวไทยในนวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบาง
วัน พบว่า บทบาทในการติดตามความทรงจาร่วมทางสังคมของฟิ ลปิ ปิ นส์เป็ นบทบาทของตัวละครชาวไทย อีก
ทัง้ ตัวละครดังกล่าวยังมีบทบาทในการ “ชาระความผิด” ให้แก่ตวั ละครบรรพบุรุษชาวไทยด้วย ขณะทีค่ วามทรงจา
ของอลิเซียในสมุดบันทึกทีถ่ ูกติดตามดังกล่าวนัน้ เป็ นของตัวละครชาวฟิ ลปิ ปิ นส์ทถ่ี ูกประกอบสร้างขึน้ โดยนักเขียน
ไทย สมุดบันทึกเล่มดังกล่าว “ถูกทาลาย” ในตอนท้ายเรื่องด้วยฝีมอื ของตัวละครชาวไทยและคติความเชื่อแบบไทย
นอกจากนี้ การทีน่ กั เขียนประกอบสร้างเพศภาวะของสตรีฟิลปิ ปิ นส์ผ่านสมุดบันทึกความทรงจายังฉายภาพให้เห็น
ถึงตัวละครนักเรียนไทยในฟิ ลปิ ปิ นส์ช่อื รุจน์ตามทีอ่ ลิเซียบันทึกไว้ รุจน์เป็ นนักเรียนไทยทีเ่ คยช่วยเหลืออลิเซียกับ
ลุงบักโจในช่
๊ วงที่ฟิลิปปิ นส์ตกอยู่ในภาวะสงครามโลกครัง้ ที่สอง ภาพของตัวละครรุจน์น้ีมเิ พียงเป็ นชาวไทยผูม้ ี
พระคุณต่ออลิเซียในช่วงเวลาแห่งความโหดร้ายเท่านัน้ หากยังมีนัยโต้กลับภาพนักเรียนไทยในฟิ ลปิ ปิ นส์ซ่งึ มี
ลักษณะ “อันตราย” แตกต่างจากนักเรียนนอกทีไ่ ปศึกษาในประเทศอื่นด้วย4 จะเห็นได้ว่า ผูเ้ ขียนให้ความสาคัญกับ
ตัวละครชาวไทยทัง้ ทีอ่ ยู่ในความทรงจาของอลิเซียและทีเ่ ป็ นผูด้ าเนินเรื่องในฐานะผูช้ ่วยเหลือ ขณะทีต่ วั ละครสตรี
ชาวฟิ ลปิ ปิ นส์อยู่ในสถานะของผูร้ บั การช่วยเหลือ ทัง้ จากทีป่ รากฏผ่านความทรงจาในสมุดบันทึกและจากบทบาท
ของรงค์ ชยายุทธทีม่ ตี ่อสมุดบันทึกนัน้ สถานะผูช้ ่วยเหลือและผูร้ บั การช่วยเหลือแสดงถึงลาดับชัน้ สูงต่ า กล่าวคือ
ผูช้ ่วยเหลือมีลาดับทีส่ งู กว่าผูร้ บั การช่วยเหลือ โดยนัยนี้ “ไทย” จึงแฝงไว้ดว้ ยสถานะทีส่ งู กว่าดังบทบาทตัวละครที่
ปรากฏในนวนิยาย และในขณะเดียวกันก็ทาให้ “ฟิ ลปิ ปิ นส์” ในฐานะผูร้ บั การช่วยเหลืออยู่ในสถานะทีต่ ่ากว่า
เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาถึงการนาเสนอภาพประวัตศิ าสตร์ฟิลปิ ปิ นส์โดยผลิตซ้าความเข้าใจทีค่ นไทยมี
ต่อฟิ ลปิ ปิ นส์มากกว่าจะนาเสนอภาพประวัตศิ าสตร์ฟิลปิ ปิ นส์ทห่ี ลากหลาย กับการประกอบสร้างเพศภาวะของตัว
ละครสตรีฟิลปิ ปิ นส์อย่างตัง้ ใจให้เห็นถึงความน่ าสลดหดหู่ของชีวติ อย่างสอดคล้องกับภาพนาเสนอประวัตศิ าสตร์
ตามความรับรูแ้ ละความเข้าใจของนักเขียน ดังทีไ่ ด้กล่าวไปแล้วตอนต้น เหล่านี้ลว้ นแสดงถึงอานาจในการเขียน
และการน าเสนอเรื่อ งราวเกี่ย วกับ ฟิ ลิป ปิ นส์ข องนั ก เขีย นไทย กล่ า วคือ การที่ผู้ เ ขีย นเลือ กน าเสนอภา พ
ประวัตศิ าสตร์ของประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์และประกอบสร้างตัวละครสตรีฟิลปิ ปิ นส์ในลักษณะทีน่ ่ าสลดหดหู่เป็ นกลวิธี
การเขียนทีเ่ ปิ ดโอกาสให้ผอู้ ่านชาวไทยได้แสดงความรูส้ กึ เห็นอกเห็นใจในชะตากรรมอันแสนโหดร้ายของประเทศ
ฟิ ลปิ ปิ นส์ ซึ่งเป็ นสถานะที่สูงกว่า ขณะที่ภาพนาเสนอประวัติศาสตร์ฟิลปิ ปิ นส์และตัวละครสตรีฟิลปิ ปิ นส์ซ่งึ ถูก
นาเสนอในด้านเดียวกลับไม่มโี อกาสได้แสดงอารมณ์ ความรู้สกึ แบบอื่นนอกเหนือจากความน่ าสลดหดหู่ ภาพ
3 อ่านละเอียดได้ใน พรธาดา สุวธั นวนิช (2547) นัทธนัย ประสานนาม (2550) และสุรยั ยา สุไลมาน (2552)
4 อ่านรายละเอียดเกีย่ วกับทัศนคติตอ่ นักเรียนไทยในฟิ ลปิ ปิ นส์ได้ใน อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู (2558)
267
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
268
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ควำมส่งท้ำย
การก้าวเข้าสู่ความเป็ นประชาคมอาเซียนนอกจากจะกระทาผ่านข้อตกลงที่สร้างขึน้ ร่วมกันในระดับ
ภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว การสร้างความรูค้ วามเข้าใจในระดับบุคคลก็สาคัญไม่ยงิ่ หย่อนไปกว่ากัน แม้
โครงการวรรณกรรมเพื่ออาเซียนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเข้าใจเกีย่ วกับชีวติ ความเป็ นอยู่ ภูมหิ ลังทางสังคม
และวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศสมาชิกผ่า นตัวบทวรรณกรรม อันจะนาไปสู่การเรียนรู้ร่วมกันและกลายเป็ น
ประชาคมอาเซียนทีเ่ ข้มแข็ง ทว่าจากการพินิจนวนิยายเรื่อง มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน ด้วยกระบวนทัศน์หลังอาณา
นิคมพบว่า นวนิยายเรื่องนี้แฝงไว้ซง่ึ อานาจนาของนักเขียนไทยในการนาเสนอเรื่องราวเกีย่ วกับประเทศฟิ ลปิ ปิ นส์
จากมุมมองหรือทัศนคติของคนไทยมากกว่าจะเป็ นการนาเสนออย่างรอบด้านจากมุมมองที่หลากหลาย อันอาจ
กล่าวได้ว่าเป็ นการสร้างความเข้าใจจากเพียงด้านเดียว อานาจดังกล่าวทาให้ประเทศไทยในฐานะเจ้าของโครงการ
วรรณกรรมเพื่ออาเซียนมีบทบาทที่สามารถเทียบทับได้กบั บทบาทของเจ้าอาณานิคม ขณะเดียวกันก็ผลักให้
ประเทศอื่นๆ ในภูมภิ าคกลายเป็ น “อาณานิคม”
ข้อควรตระหนักจากการศึกษาครัง้ นี้กค็ อื วรรณกรรมเรื่องหนึ่งๆ ในฐานะที่เป็ นเรื่องเล่ามิได้ทาหน้ าที่
สะท้อนความเป็ นจริงทางสังคมแบบตรงไปตรงมาเฉกเช่นลักษณะการสะท้อนภาพในกระจกเงาแต่เพียงอย่างเดียว
อีกต่อไปแล้ว หากทว่ายังซ่อนแฝงไว้ด้วยอุดมการณ์ทางสังคมบางประการที่มาพร้อมกับอานาจในการกาหนด
อุดมการณ์ผ่านการนาเสนอเรื่องเล่านัน้ และการใช้วรรณกรรมเพื่ อจุดประสงค์ใดก็ตามย่อมหลีกเลี่ยงอุดมการณ์
และอานาจเบือ้ งหลังทีค่ อยกากับอุดมการณ์เหล่านัน้ มิได้
ในปั จจุบนั มิได้มีแต่ เพียงโครงการวรรณกรรมเพื่ออาเซียนเท่านัน้ ที่มนี วนิยายที่ใช้ฉากท้องเรื่องเป็ น
ประเทศในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเข้าใจเกีย่ วกับประเทศเหล่านัน้ ผ่านตัว
บทวรรณกรรม สานักพิมพ์บางแห่งก็ได้สร้างสรรค์วรรณกรรมโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ
ประเทศในภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นเดียวกัน จึงน่าทีจ่ ะศึกษาต่อไปเพื่อเผยให้เห็นว่า ในการสร้างความ
เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งล้วนแฝงไว้ดว้ ยอานาจและอุดมการณ์บางอย่างทีจ่ ะสร้างความเข้าใจนัน้ ให้เกิดขึน้ ตามทีไ่ ด้
ตัง้ จุดประสงค์ไว้ แม้ว่าจะไม่มใี ครได้ตระหนักถึงอานาจนัน้ ก็ตาม
269
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
รำยกำรอ้ำงอิง
ทิพย์อุบล ดาบสุวรรณ และ ศิวพร ชัยประสิทธิกุล. 2520. ประวัตศิ าสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายหลังการเข้า
มาของตะวันตกถึงสิ้นสงครามโลกครัง้ ที ่ 2. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ไทยกับอาเซียน. (2555, ธันวาคม 3). ค้นเมื่อ กุมภาพันธ์, 25, 2559. จาก http://www.mfa.go.th/asean/
contents/files/other-20121203-162828-142802.pdf
นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ และ ปี เตอร์ เอ. แจ็คสัน. 2556. เพศหลากเฉดสี: พหุวฒ ั นธรรมทางเพศในสังคมไทย.
กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรนิ ธร.
นัทธนัย ประสานนาม. 2550. “วรรณคดีมรดกของไทย: การอ่านใหม่ดว้ ยแนวคิดหลังอาณานิคม.” ใน วารสาร
สังคมลุ่มน้ าโขง 3 (2), 91-108.
ประชาคมอาเซียน. (2555, พฤศจิกายน 26). ค้นเมื่อ กุมภาพันธ์, 25, 2559. จาก http://www.mfa.go.th/
asean/contents/files/asean-media-center-20121126-190330-788160.pdf
ประภัสสร เสวิกุล. 2555. มีเมฆบ้างเป็ นบางวัน. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พบั ลิเคชันส์
่ .
———. 2557. สัมภาษณ์. 10 กุมภาพันธ์.
พรธาดา สุวธั นวนิช. 2547. “กระบวนทัศน์หลังอาณานิคมกับการวิจารณ์วรรณกรรมไทย.” ใน วารสาร
มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์ 26 (2), 53-63.
ลักษณาจันทร เลาหพันธุ.์ 2555. “คานิยม.” รักในม่านฝน. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พบั ลิเคชันส์
่ .
วัชระ สินธุประมา. (2557, ตุลาคม–2558, มีนาคม). “ประวัตศิ าสตร์ฟิลปิ ปิ นส์ในงานวิชาการไทย: สารวจ
ประวัตศิ าสตร์นิพนธ์ในบริบทอาณาบริเวณศึกษาและประวัตศิ าสตร์โลก.” วารสารประวัตศิ าสตร์ 1 (2),
203-242.
สีดา สอนศรี. 2545. คู่มอื ประเทศฟิลปิ ปิ นส์. กรุงเทพฯ: โครงการอาณาบริเวณศึกษา 5 ภูมภิ าค.
สุรเดช โชติอุดมพันธ์. 2559. ทฤษฎีวรรณคดีวจิ ารณ์ตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที ่ 20. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
สุรยั ยา สุไลมาน. 2552. “จาก แจ็ค ผูฆ้ า่ ยักษ์ ถึง พระอภัยมณี และสังข์ทอง: การอ่านแนวหลังอาณานิคม.”
วารสารอักษรศาสตร์ 38 (1), 119-165.
อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู. (2558, กรกฎาคม–ธันวาคม). ““นักเรียนฟิ ลปิ ปิ นส์” ในทัศนะวิจารณ์ของชนชัน้ นาไทยต่อ
นักเรียนนอกก่อนสงครามมหาเอเชียบูรพา.” ชุมทางอินโดจีน: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปริทศั น์ 4 (7),
559-574.
270
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P1-R1-01
“จีน” ในมุมมองของเวียดนาม
่ บ
วิเคราะห์ผ่านหนังสือ ข้อเท็จจริงเกียวกั
่ านมา
เวียดนาม-จีนช่ วง 30 ปี ทีผ่
(Su that ve Viet Nam – Trung Quoc trong 30 nam qua)
ธนนันท์ บุ ่นวรรณา
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
271
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
เวียดนามและจีนมีความสัมพันธ์ก ันมาอย่ างยาวนาน มีทงั ้ ความเป็ นศัตรูคู่อาฆาตและเป็ นมหามิต ร
สลับกันไปตามบริบทยุคสมัยแห่งประวัตศิ าสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในช่วง ค.ศ.1945-1954 เวียดนามแสดงทัศนะ
ต่ อจีนเป็ นเชิงบวกจากการใช้คา/วลีท่วี ่า “จีนเป็ นพี่น้อง” “จีนเป็ นสหาย (เพื่อน)” และ “จีนเป็ นเพื่อนบ้าน” ซึ่ง
สะท้อนให้เห็นสัมพันธภาพอันดีของสองประเทศอย่างเห็นได้ชดั เจน (Boonwanna 2015) จากการสารวจผลงาน
ทางวิชาการไทยมักศึกษาเรื่องเวียดนามและจีนในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและผลงานโดยมากจัดอยู่ใน
กลุ่ ม งานด้า นรัฐศาสตร์สาขาการระหว่า งประเทศและการทูต เช่ น ผลงานของอนุ พงศ์ บุ ญ ฤทธิ ์ (2529) เรื่อง
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเวียดนามในช่วงปี ค.ศ.1969-1979 ศึกษากรณีนโยบายต่างประเทศจีน ผลงานของ
ไพรัช เจียระนันท์ (2531) เรื่อง นโยบายการต่างประเทศของเวียดนามต่อจีน ค.ศ.1945-1979 และ ผลงานของ
กันยารัตน์ อัง คณาวิศลั ย์ (2541) เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเวียดนามในบริบทของอาเซียน : ยุคหลัง
สงครามเย็น เป็ นต้น แต่ยงั มีขอ้ จากัดคือเป็ นการศึกษาผ่านเอกสารภาษาอังกฤษและภาษาไทย
บทความวิจยั เรื่อง ““จีน” ในมุมมองของเวียดนามวิเคราะห์ผ่านหนังสือ ข้อเท็จจริงเกีย่ วกับเวียดนาม-จีน
ช่วง 30 ปี ทผี ่ ่านมา (Su that ve Viet Nam – Trung Quoc trong 30 nam qua)” (อาจ) ไม่ใช่งานทีต่ อ้ งการตอบโจทย์
เช่นผลงานข้างต้น เพียงแต่ตอ้ งการศึกษาว่า เวียดนามมีมุมมองต่อจีนเป็ นอย่างไร (เบือ้ งต้นของบทความชิน้ นี้คอื
การมองเฉพาะประเด็นแต่จะยังไม่วเิ คราะห์ ปัจจัยของการเขียนงาน) โดยมองผ่านหนังสือ ข้อเท็จจริงเกีย่ วกับ
เวียดนาม-จีนช่วง 30 ปี ทผี ่ ่านมา ซึง่ เป็ นเอกสารร่วมสมัยของเวียดนามและเป็ นตัวแทนของพรรคและรัฐเวียดนาม
บทความชิ้น นี้ แ บ่ ง การน าเสนอออกเป็ น 3 ส่ ว น คือ 1) สัง เขปรายละเอีย ดของหนั ง สือ ข้อ เท็จ จริงเกีย่ วกับ
เวี ย ดนาม-จี น ช่ ว ง 30 ปี ที ผ่ ่ า นมา (ปี 1949-1979) และภู มิ ห ลั ง ความสัม พั น ธ์ เ วี ย ดนาม -จี น ก่ อ นปี 1979
2) “จีน” ในมุมมองของเวียดนามวิเคราะห์ผ่านหนังสือ ข้อเท็จจริงเกีย่ วกับเวียดนาม-จีนช่วง 30 ปี ทผี ่ ่านมา และ
3) บทสรุปและข้อเสนอแนะ
272
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
273
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
การประชุมเจนีวา เกี่ยวกับปั ญหาเกาหลีและอินโดจีนเริม่ ขึน้ ตัง้ แต่ วันที่ 26 เมษายน 1954 ส่วนแรก
ประชุมเกี่ยวกับปั ญหาเกาหลี (Luu Van Loi 2006, 115-116) ส่วนกรณีปัญหาอินโดจีน กล่าวได้ว่า ในวันที่ 8
พฤษภาคม 1954 เมื่อฝรังเศสเสี ่ ยเดียนเบียนฟูแล้ว 24 ชัวโมง
่ ก็เริม่ ประชุมเจนีวาเกีย่ วกับอินโดจีน โดยฟามวันด่ง
(Pham Van Dong) เป็ นตัวแทนจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ในคืนวันที่ 20 กรกฎาคม 1954 ลงนามใน
สัญ ญายุ ติสงครามอิน โดจีน ชาติท่ีเ ข้าร่ วมประชุมมี 8 ชาติ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม ฝรัง่ เศส
สหภาพโซเวียต อังกฤษ สาธารณรัฐประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา เขมรและลาว รวมรัฐบาลบ๋าวด่าย (หุ่นเชิดฝ่ าย
ฝรังเศส)
่ แต่ชาติสาคัญทีเ่ จรจาตกลงกัน คือ ฝรังเศส
่ เวียดนามและจีน สหรัฐ อเมริกาถูกมองว่าอยู่เพื่อทาลายการ
ประชุม ขณะทีจ่ นี มีบทบาทสาคัญในการเจรจาอย่างมาก (เหวียนคักเวียน 2552, 312-313) การลงนามในความตก
ลงมีทงั ้ เรื่องการเมืองและการทหาร เรื่องการทหารนัน้ ให้รวมกองกาลังของแต่และฝ่ ายเข้าไว้ใน 2 ภาค คือ เหนือ
และใต้เส้นขนานที่ 17 ส่วนด้านการเมือง ยอมรับเอกราช อธิปไตย เอกภาพและบูรณภาพเรื่องเขตแดนของทัง้ สาม
ประเทศในอินโดจีน ส่วนเส้นแบ่งเขตตรงเส้นขนานที่ 17 มิอาจจัดได้ว่าเป็ นเขตแดนทางการเมืองและให้มีการ
เลือกตัง้ ทัวไปเพื
่ ่อรวมประเทศภายในปี 1956 เป็ นต้น (รายละเอียดเพิม่ เติมใน เหวียนคักเวียน 2552, 313-314)
ผลของการประชุมแม้จะเป็ นทีพ่ อใจของหลายฝ่ ายแต่กรณีฝ่ายเวียดนามนัน้ ผิดหวังอย่างมากเพราะถูกแรงกดดัน
จากสหภาพโซเวียตและจีนให้ยอมประนีประนอม (อ่านเพิม่ เติมใน เหวียนคักเวียน 2552 และอนุ พงศ์ บุญฤทธิ ์
2529, 21-22)
หลัง ฝรัง่ เศสออกจากอิน โดจีน ในปี 1954 สหรัฐอเมริก าตัด สิน ใจเข้า มาแทรกแซงการเมือ งภายใน
เวียดนามใต้เพื่อต้องการใช้เวียดนามใต้เป็ นฐานการต่อสูก้ บั คอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือ สหรัฐอเมริกาปฏิบตั กิ าร
สงครามอย่างหนักและมีการเปลีย่ นยุทธศาสตร์การทาสงครามถึง 4 รูปแบบ ซึง่ แต่ละรูปแบบสะท้อนให้เห็นความ
รุ น แรงของการท าสงครามของแต่ ละช่ว งเวลา (อ่ า นเพิ่ม เติม ใน ธนนัน ท์ บุ่ น วรรณา 2558, 59) กล่ า วกัน ว่ า
ความสัมพันธ์ระหว่างเวียดนามและจีนหลังปี 1954 เปลีย่ นแปลงขึน้ ๆ ลงๆ แต่นับตัง้ แต่ปี 1965 จีนกับเวียดนาม
เริม่ มีความเห็นไม่ลงรอยกันในหลายกรณี กอปรกับเป็ นช่วงที่สงครามในเวียดนามใต้ขยายตัวอย่างรุนแรงอันมี
สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเรือรบของสหรัฐอเมริกาถูกกระสุนปื นของเรือลาดตระเวนของเวียดนามเหนือในอ่าวตังเกีย๋
ปี 1964 ยังผลให้สหรัฐอเมริกาเพิม่ กาลังโจมตีเวียดนามเหนือทางชายฝั ง่ และทางอากาศ นอกจากนี้ยงั มีการโจมตี
ทิ้งระเบิดใกล้พรมแดนจีน -เวียดนามจนน าไปสู่ก ารละเมิดน่ านฟ้ าจีน การขยายตัวของสงครามตลอดจนการ
แทรกแซงของสหรัฐอเมริกาก่อให้เกิดการโต้เถียงในกลุ่มผู้นาจีนเกี่ยวกับเรื่องการให้ความช่วยเหลือเวียดนาม
เพราะบางคนถึงกับเสนอว่ายุทธศาสตร์การสูร้ บในเวียดนามควรเป็ นแบบ “ยืดเยื้อ”และ “พีง่ ตนเอง” แบบสงคราม
ปฏิวตั ิในจีน ซึ่งเหมาเจ๋อตุงแสดงทัศนะเห็นด้วยกับหลักการดังกล่าว หรือในช่วงเหตุการณ์เดือนมกราคม 1968
เมื่อเวียดนามเหนือและเวียดกงบุกโจมตีครัง้ ใหญ่ในช่วงเทศกาลเต๊ด (ตรุษเวียดนาม) สร้างความเสียหายอย่าง
หนัก ทางทหารแก่ ฝ่ายเวีย ดนามและฝ่ ายสหรัฐอเมริก า ขณะเดีย วกัน กลับเป็ น ชัยชนะทางการเมืองของฝ่ าย
เวียดนามเพราะทาให้กาลังใจของสหรัฐอเมริกาลดลง แต่จนี กลับไม่เห็นด้วยทีเ่ วียดนามจะเจรจา (อนุพงศ์ บุญฤทธิ ์
2529, 26) อีกทัง้ ประกาศอย่างเปิ ดเผยต่อชาวเวียดนามว่า จีนต่อต้านการที่เวียดนามจะเปิ ดเจรจาโดยตรงกับ
สหรัฐอเมริกา ซึง่ ในงานของ เหวียนคักเวียน ระบุสถานการณ์ช่วงนี้ว่า เป็ นช่วงที่ “วอชิงตัน-ปั กกิง่ สมรูร้ ่วมคิด
กัน” (เหวียนคักเวียน 2552, 357) สะท้อนได้จากการพบปะกันระหว่างผู้นาสองฝ่ ายบ่อยครัง้ (เหวียนคักเวียน
2552, 357-359) การปรับความสัมพันธ์จีนและสหรัฐอเมริกาทาให้เวียดนามเหนือระแวงและไม่พอใจจีน ด้าน
สหภาพโซเวียตจึงฉวยโอกาสนี้เพิม่ การสนับสนุ นใกล้ชดิ เวียดนามเหนือมากขึน้ โดยเฉพาะการเปิ ดฉากรุกครัง้
ใหญ่ในเดือนมีนาคม 1972 กว่าร้อยละ 80 ของอาวุธทีใ่ ช้มาจากสหภาพโซเวียต กระนัน้ ความไม่พอใจจีนของฝ่ าย
274
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
2ความขัด แย้งระหว่างเวีย ดนามและจีนมาจากหลายปั จจัย และ (น่ าจะ) สั ่งสมเรื่อยมานับแต่ทศวรรษ 1950 ครัง้ รุนแรงสุดและถือเป็ นจุดแตกหักของ
ความสัมพันธ์เวียดนามและจีนคือการทาสงครามชายแดนของสองประเทศตลอดแนวเขตแดนกว่าพันกิโลเมตร ซึง่ ฝ่ ายเวียดนามระบุวา่ จีนนากาลังทหาร
จานวน 600,000 คนเข้าโจมตีจงั หวัดชายแดนแดน เข้ายึดและปล้นอาเภอเมืองของจังหวัดหลั ่งเซิน (หล่างเซิน-ผูว้ จิ ยั ) กาวบั ่ง (กาวบ่าง-ผูว้ จิ ยั ) และ
หลาวก่าย (หล่าวกาย-ผูว้ จิ ยั ) ตลอดจนชนบทต่างๆ แม้ช่วงแรกจีนจะเหนือกว่าด้านกาลังรบแต่ก็พ่ายแพ้ต่อเวียดนาม อีกทัง้ ทั ่วโลกยังประณามการ
กระทาของจีน ทาให้ปักกิง่ ยุตปิ ฏิบตั กิ ารทางทหารในปลายเดือนมีนาคม 1979 (เหวียนคักเวียน 2552, 442)
275
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
่ อเป้ าหมายของพวกเรา” ( Su that ve Viet Nam – Trung Quoc trong 30 nam qua 1979, 8)
โลก (ดินแดน) นันคื
เพื่อบรรลุเป้ าหมายการเป็ นประเทศมหาอานาจ เวียดนามจึงมองว่า เวียดนามนัน้ มีสถานะสาคัญสาหรับจีนในสอง
ระดับ ดังนี้
2.1.1. เวียดนำมภำยใต้ยุทธศำสตร์โลกของจีน
2.1.1.1. เวียดนามทาให้จีนก้าวเข้ามาเปน็ ผู ้เจรจาหลักกับฝรั่งเศสภายหลังการรบชนะฝรั่งเศสของเวียดนามที่เดียนเบียนฟู
ปี 1954 และในการประชุ มเจนีวาปี เดียวกัน (ค.ศ. 1954) นับเปน็ ครั้งแรกที่จีนปรากฏตัวอยู ่ในระดับเดียวกับชาติมหาอานาจอื่น ซึ่งจะเปน็
โอกาสที่ดีท่จี ะทาให้จีนขยายอิทธิพลมายังภูมิภาคเอเชียและแอฟริกา (ต่อไป)
ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 เมื่อจีนเริม่ นาพาตัวเองให้กลายเป็ นประเทศมหาอานาจของโลก
แต่ผนู้ าจีนต้องเผชิญหน้ากับการทาสงครามสหรัฐอเมริการุกรานเกาหลีทางทิศเหนือและภัย
คุกคามความมันคงจี ่ นทางทิศใต้เนื่องจากการรุกรานของฝรังเศส... ่ ชัยชนะของเวียดนาม
ลาวและกัมพูชาเหนือฝรังเศสได้่ นามาสู่การจัดประชุมทีเ่ จนีวาในปี 1954 เพื่อแก้ไขปั ญหา
อินโดจีน ซึ่งฝรังเศสกลั
่ วมากว่ าชัยชนะของเวีย ดนามครัง้ นี้จ ะน ามาสู่ก ารล่ม สลายของ
ระบอบอาณานิคมฝรังเศส ่ ในช่วงการต่อสูก้ บั ฝรังเศส ่ จีนเป็ นหนึ่งในประเทศที่สนับสนุ น
อาวุธมากทีส่ ดุ สาหรับเวียดนามโดยเฉพาะในช่วงท้ายของสงครามเพื่อต่อสูก้ บั ฝรังเศส ่ ผูน้ า
จีน ได้ใ ช้ป ระโยชน์ จ ากสถานการณ์ ด ัง กล่ า วเป็ น ผู้เ จรจาหลัก กับ ฝรัง่ เศสร่ ว มมือ กับเขา
(ฝรังเศส)
่ เพื่อแก้ไขปั ญหาที่เป็ นประโยชน์ แก่จีนและฝรังเศสแต่ ่ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์
สาหรับราษฎรเวียดนาม ลาวและกัมพูชา จีนยอมสละผลประโยชน์ของประชาชนทัง้ สามใน
อิน โดจีน เพื่อ ปกป้ อ งความมันคงของจี
่ น ในทางภาคใต้ ... ขณะเดีย วกันเพื่อจะได้แสดง
บทบาทในฐานะประเทศใหญ่ในการแก้ไขปั ญหานานาประเทศอย่างแรกคือ ในเอเชีย ในการ
ประชุมเจนีวาปี 1954 ส่วนแรกได้ใช้เวลาเกีย่ วกับปั ญหาเกาหลี นับเป็ นครัง้ แรกทีป่ ระเทศ
สาธารณประชาชนจีน ปรากฏตัว อยู่ในระดับเดีย ว (ngang hang)กับ 4 ชาติม หาอานาจ
(สหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรังเศส-ผู ่ ว้ จิ ยั ) นัน่ จึงเป็ นโอกาสอันดีสาหรับ
ผูน้ าจีนทีจ่ ะขยายอิทธิพลมายังภูมภิ าคเอเชียและแอฟริกา... (น. 8-10)
276
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
และ
2.1.2. เวียดนามภายใต้นโยบายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจีน
2.1.2.1. จีนต้องการขยายอานาจมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซ่ึงเวียดนามมีความเหมาะสมจากที่ตั้งทางภูมศิ าสตร์
หนั ง สือ ได้ ร ะบุ ว่ า “เอเชีย ตะวัน ออกเฉี ย งใต้ เ ป็ น ทิศ ทางการขยายอ านาจ (ban truong) โบราณใน
ประวัติศาสตร์จนี และเป็ นดินแดนในฝั นของผูน้ าจีนมาอย่างยาวนาน” (น.13) นี่คอื ทัศนะของเวียดนามที่มตี ่อจีน
277
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เมื่อเทียบกับภูมภิ าคอื่นทัวโลก
่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็ นภูมภิ าคซึง่ อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่
เป็ นประโยชน์ต่อจีนมากที่สุด มีหลากหลายเครื่องมือและศักยภาพมากทีส่ ุด (ชาวจีนโพ้น
ทะเลมากกว่า 20 ล้านคน พรรคการเมืองย่อยอื่นๆ ซึ่งขึ้นตรงต่ อพรรคคอมมิวนิสต์จนี
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มเี ส้นทางเชื่อมต่อกับจีน ...) เพื่อดาเนินนโยบายขยายอานาจและ
ครอบครองความเป็ นเจ้าของตน ดังนัน้ 30 ปี ท่ผี ่านมาผู้นาจีนได้ใช้หลายเล่ห์กลเพื่อนา
นโยบายขยายอานาจมาใช้กบั ภูมภิ าคแห่งนี้... (น. 15)
ส่วนความสาคัญของเวียดนามทีม่ ตี ่อยุทธศาสตร์ของจีน ในงานชิน้ นี้ระบุไว้อย่างน่ าสนใจ เวียดนามเป็ น
ฐานสาคัญของจีนเพื่อการยึดครองอินโดจีนและเป็ นประตูเพื่อการรุกรานไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปของ
จีน
278
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
279
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
และ
280
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
281
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
และ
และ
3. ขัดขวางการเจรจาของเวียดนามกับอเมริกา
ในช่วงต้นปี 1968 เมื่อเวียดนามเข้าโจมตีครัง้ ใหญ่ “เต๊ด” ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาต้องลดระดับการสงคราม
และเจรจากับเวียดนามทีป่ ารีส ในการพูดคุยกับฝ่ ายเวียดนามในเดือนเมษายน 1968 ฝ่ ายจีนยอมรับว่าแถลงการณ์
ในวันที่ 28 มกราคม 1967 ของรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามซึง่ เกีย่ วข้องกับการการเจรจากับ
สหรัฐอเมริกาส่งผลดี... แต่ จีนยัง กล่าวว่า “เวลานี้เวียดนามรับเจรจาซึง่ ยังไม่ใช่เวลา ต้องวางตัวให้สูง พวกเรา
ยินยอมรวดเร็วไป” (น.51) นอกจากนี้ในเอกสารยังระบุสงิ่ ที่จนี แนะนาเวียดนามคือ “…ประชาชนเวียดนามต้อง
282
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
และ
283
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ที่ภาคใต้เวียดนามต้องหยุด (การต่ อสู้) ครึ่งปี หนึ่งปี หนึ่งปี ครึ่ง สองปี ยิ่งดีการปฏิวตั ิใน
ภาคใต้ควร แบ่งเป็ นสองขัน้ เพิม่ ขึน้ เป็ นหนึ่ง คนอเมริกนั ไม่ยอมง่ายๆ ปั ญหาอยู่ทใ่ี นมือของ
เหงวียนวันเถีย่ วยังคงมีทหารหลายหมื่นนาย (น.69)
และ
ผู้น าปั ก กิ่ง ยังแนะน าสหรัฐอเมริก าห้า มแพ้ใ นเวียดนาม ห้า มถอนทหารออกจากเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ (น.70)
และ
ข. ลุกล้าดินแดนของเวียดนามเพิ่มความตึงเครียดตามชายแดน
ตัง้ แต่ ปี 1973 ผู้น าจีน เพิ่ม พฤติก รรมและเข้า ยึด ดิน แดนบริเ วณจัง หวัด ชายแดนทาง
ภาคเหนือ ทาให้เวียดนามอ่อนแอโดยเฉพาะความพยายามของประชาชนเวียดนามในการ
ทาสงครามปลดปล่อยภาคใต้ …วันที่ 26 ธ.ค.1973 เวียดนามเสนอให้เปิ ดการเจรจาเพื่อระบุ
เส้นแบ่งทางทะเลระหว่างเวียดนาม-จีนอย่างเป็ นทางการบริเวณอ่าวตังเกีย๋ (vinh Bac Bo)
เพื่อจะใช้ประโยชน์พน้ื ทีท่ างทะเลทีข่ น้ึ ตรงกับเวียดนามวันที่ 18 มกราคม 1974 จีนตอบรับ
ข้อ เสนอข้างต้น ...พวกเขา(จีน) เรีย กร้อ งไม่ต้องการให้ป ระเทศที่สามเข้า มาสารวจอ่าว
ตัง เกีย๋ ...อย่ า งไรก็ต าม การเจรจาระหว่ า งจีน -เวีย ดนาม เกี่ย วกับ การแบ่ ง เขตระหว่าง
284
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ค.เปลี่ยนกัมพู ชาให้กลายเป็นฐานโจมตีเวียดนาม
หลังสนธิสญ
ั ญาปารีสเกี่ยวกับเวียดนาม ตามคาสังของปั
่ กกิ่งกลุ่มพอลพต-เอียงซารี ได้
ดาเนินนโยบายสองหน้ากับเวียดนาม หมายถึง ทัง้ พึง่ พาเวียดนามและทัง้ ต่อต้านเวียดนาม
(น.73)
และ
285
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ข. บ้าคลั่งต่อต้านเวียดนามด้วยวิธกี ารเปิ ดเผย เช่ น ใช้ส่งิ ที่เรียกกันว่าปั ญหาชาวจีนโพ้นทะเล (nan kieu) เพื่อ
ต่อต้านเวียดนามอย่างเปิ ดเผย และการ โจมตีเวียดนามทั้งสองทางคือทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และทางทิศเหนือ
เป็นต้น
ต้นปี 1978 ผู้นาจีนได้ใช้สงิ่ ที่เรียกว่า “ปั ญหาชาวจีนโพ้นทะเล” เพื่อเปิ ดสงครามต่ อต้า น
สาธารณรัฐสังคมนิยมอย่างเปิ ดเผย ความจริงคือ องค์กรลับต่างๆ ของชาวจีน (nguoi Hoa)
เป็ นเครือข่ายทางอ้อมของสถานทูตจีนในฮานอย ได้รบั การชี้นาทุกวัน ทุ กชัวโมง ่ จาก
เจ้าหน้าทีป่ ั กกิง่ ด้วยการกุเรื่องขาดความละอาย ประณามเวียดนามขับไล่ตาหนิ โหดร้ายกับ
ชาวจีน...ทาให้หมู่ชาวจีนที่กาลังทามาหากินอย่างมันคงในเวี
่ ยดนามอยู่ในสถานการณ์
สับสน หวาดกลัวสงครามจะปะทุ ...ทาให้พวกเขา (ชาวจีน) มุ่งหน้าสู่จนี พวกสมุนของจีน
ดาเนินการให้คนเหล่านัน้ ข้ามชายแดนผิดกฎหมายจากนัน้ ก็ขดั ขวางพวกเขาอีก ทาให้เกิด
ความวุ่นวายตามชายแดนเวียด-จีน ...ช่วงทีช่ าวจีนมุ่งหน้าสูจ่ นี ปั กกิง่ ไม่ละอายแก่ใจนาเรือ
สองลามารับ ชาวจีนโพ้น ทะเลกลับ ...แค่ เพียงไม่ก่ีเ ดือ น ชาวจีน จานวน 170,000 คนได้
เดินทางออกจากเวียดนามสิ่งทีเ่ รียกว่าปั ญหาชาวจีนโพ้นทะเล เป็ นเพียงแค่การบีบบังคับ
ชาวจีนในเวียดนามให้อพยพไปยังจีน... (น. 84)
ส่วนประเด็นดังกล่าวฝ่ ายเวียดนามมีทศั นะว่า
3) บทสรุ ปและข้อเสนอแนะ
อาจกล่าวได้ว่า หนังสือ ข้อเท็จจริงเกีย่ วกับเวียดนาม-จีนช่วง 30 ปี ทผี ่ ่านมา ซึ่งหมายถึงช่วงปี 1949-
1979 นับเป็ นตัวแทนร่วมสมัยทีท่ าให้เราทราบถึงมุมมอง/ความคิดเห็นของพรรคและรัฐเวียดนามทีม่ ตี ่อจีนในเชิง
ลบชัดเจนมากทีส่ ดุ เล่มหนึ่งแต่นนเป็
ั ่ นผลมาจากบริบทของความไม่ลงรอยกันระหว่างเวียดนามและจีน ณ ขณะนัน้
ซึง่ มาจากหลายปั จจัย โดยเฉพาะเหตุการณ์ครัง้ รุนแรงสุดมาจากการทาสงครามชายแดนระหว่างเวียดนามและจีน
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1979 หรือทีช่ าวโลกรูจ้ กั กันในเหตุการณ์ “สงคราม (จีน) สังสอนเวี
่ ยดนาม” แม้ว่าสมุดปกขาว
โดยนัยยะก็คอื เอกสารเผยแพร่ของรัฐบาลหนึ่งๆ ทีม่ วี ตั ถุประสงค์รายงานสถานการณ์ทางการเมืองการปกครอง
เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ เพื่อออกเผยแพร่ต่อสาธารณะทราบ ในทีน่ ้ีฝ่ายเวียดนามคงเจตนาแถลงการณ์ความขับข้อง
ใจในความสัมพันธ์ระหว่างตนกับฝ่ ายจีนให้ทวโลกทราบั่ โดยมอบพื้นที่จานวนเกือบร้อยหน้าให้กบั คาอธิบายว่า
“จีนคือผูท้ รยศต่อเวียดนาม” กระนัน้ ก็ดที ศั นะหรือมุมมองดังกล่าว (อาจ) กลายเป็ นข้อจากัดอย่างหนึ่งของการนา
เอกสารชิน้ นี้มาใช้เป็ นหลักฐานอ้างอิงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากหนังสือเล่มนี้มคี วามเป็ น “อัตวิสยั ” อยู่มาก ขาดการมอง
บริบททางประวัติศาสตร์หรือปั จจัยอื่นประกอบ เช่น บริบทของสถานการณ์โลก ณ ขณะนัน้ หรือ ปั จจัยในการ
กาหนดนโยบายการต่างประเทศของจีน เป็ น ในส่วนข้อเสนอแนะครัง้ ต่อไป คือ ควรต้องมีการศึกษาเอกสารของ
ฝ่ ายจีนเพื่อให้เห็นทัศนะ/มุมมองของสองฝ่ าย หรือ ควรมีการนาเสนอเรื่องปั จจัยทีม่ อี ทิ ธิพลต่องานเขียนหนังสือ
ดังกล่าว เพื่อเพิม่ ความลุ่มลึกให้กบั การศึกษามากยิง่ ขึน้
287
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เอกสำรอ้ำงอิง
กันยารัตน์ อังคณาวิศลั ย์. 2541. ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเวียดนามในบริบทของอาเซียน: ยุคหลังสงครามเย็น
ธนนันท์ บุ่นวรรณา. 2556. วิทยานิพนธ์สาขาประวัตศิ าสตร์เวียดนามระหว่าง ค.ศ.1985-2010: สารวจสถานภาพ
องค์ความรู.้ ขอนแก่น: โรงพิมพ์คลังนานา.
ไพรัช เจียระนันท์. 2531. “นโยบายต่างประเทศเวียดนามต่อจีน ค.ศ.1945-1979.” สารนิพนธ์หลักสูตรรัฐศาสตร์
มหาบัณฑิต, สาขาการระหว่างประเทศและการทูต คณะรัฐศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สุด จอนเจิดสิน. 2544. ประวัตศิ าสตร์เวียดนามตัง้ แต่อาณานิคมฝรังเศสถึ
่ งปั จจุบนั . กรุงเทพฯ: โครงการเผยแพร่
ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เหวียนคักเวียน. 2552. เวียดนามประวัตศิ าสตร์ฉบับพิสดาร, แปลโดย เพ็ชรี สุมติ ร. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ:
มูลนิธโิ ตโยต้าประเทศไทย.
อนุพงศ์ บุญฤทธิ.์ 2529. “ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเวียดนามในช่วงปี ค.ศ.1969-1979: ศึกษากรณีนโยบาย
ต่างประเทศจีน.” สารนิพนธ์หลักสูตรรัฐศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาการระหว่างประเทศและการทูต คณะ
รัฐศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
Thananan Boonwanna. 2015. “Factors Contributing to Vietnam’s Positive Attitude towards China during
the Period 1945-1954.” Oral presentation 11th International Conference on Humanities & Social
Sciences 27/11/58, Faculty of Humanities and Social Sciences, KKU
Su That ve Viet Nam- Trung Quoc trong 30 nam. 1979. Ha Noi: NXB Su That.
Nguyet Ha. n.d. “NXB Chinhtriquocgia Su that kyniem65 namthanhlap.” http://vietbao.vn/vi/Xa-hoi/NXB-
Chinh-tri-quoc-gia-Su-that-ky-niem-65-nam-thanh-lap/320052483/157/. (accessed April 30,
2016)
Luu Van Loi. 2006. 50 Years of Vietnamese Diplomacy. HaNoi: The Gioi
288
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P3-R2-01
แผ่นดินไทยใต้ร่มพระบารมี
อนุ ส าวรี ย์ อั น เนื่ องมาแต่ ก ารต่ อ สู้ กั บ คอมมิ ว นิ ส ต์ ใ นภาคเหนื อ ตอนบน
กั บ ปฏิ บั ติ ก ารสร้ า งความทรงจาของรั ฐ ไทย
ธนาวิ โชติประดิษฐ
ภาควิชาประวัติศาสตร์ศลิ ปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
บทความนี้ เ ป็ น ภาคภาษาไทยของงานวิ จั ย “Re-Establishing the Kingdom: The Anti-Communist Monuments in the Thai
Highlands” ได้รับทุนจากโครงการ “Ambitious Alignments: New Histories of Southeast Asian Art” (2558-2559) ทุนนี้เ ป็น
ส่วนหนึ่งของโครงการทุ น Connective Art Histories ของ Getty Foundation ที่ได้รับการพัฒ นาขึ้ นโดย The Power Institute,
University of Sydney ร่วมด้วย National Gallery Singapore และ Institute of Technology, Bandung
289
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
1 พระราชดารัสทีพ่ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั พระราชทานแก่นกั ศึกษา พ่อค้า ประชาชน มูลนิธ ิ องค์การต่างๆ ทีเ่ ข้าเฝ้ าฯ ถวายพระพรชัยมงคล เนื่อง
ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม 2518 ณ ศาลาดุสดิ าลัย พระราชวังดุสติ เมือ่ วันพฤหัสบดีท่ี 4 ธันวาคม 2518 นี้เรียบเรียงขึน้ ตามทีไ่ ด้ม ี
การบันทึกพระสุรเสียงไว้ ดูพระราชดารัสฉบับเต็มใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ภูมพิ ลอดุลยเดช, ประมวลพระราชดารัสและพระบรมราโชวาท ที ่
พระราชทานในโอกาสต่างๆ ปี พุทธศักราช 2518 (กรุงเทพ: สานักราชเลขาธิการ, 2519), 315-322.
2 สมศักดิ ์ เจียมธีรสกุลกล่าวจากความทรงจาว่า ในยุคนัน ้ ฝ่ ายขวาได้เผยแพร่ภาพทีแ่ สดงการคุกคามของคอมมิวนิสต์จากทางภาคอีสานในรูปของแผนที่
จานวน 2 ภาพ ได้แก่ ภาพทหารคอมมิวนิสต์อา้ ปากจะกลืนแผนทีป่ ระเทศไทยจากทางฝั ง่ ภาคอีสาน กับแผนทีท่ แ่ี สดง “ยุทธศาสตร์รปู ตัวแอลของ พคท.”
ทีห่ มายถึงการ “ตัด” หรือ “ปลดปล่อย” ภาคอีสานออกจากการควบคุมของกรุงเทพ ดูสมศักดิ ์ เจียมธีรสกุล, “เราสู:้ เพลงพระราชนิพนธ์การเมืองกับ
การเมืองปี 2518-2519,” ใน ประวัตศิ าสตร์ทเี ่ พิง่ สร้าง: รวมบทความเกีย่ วกับกรณี 6 ตุลาและ 14 ตุลา (กรุงเทพ: สานักพิมพ์ 6 ตุลาราลึก, 2544), 132-
133.
3 ประมวลพระราชดารัสและพระบรมราโชวาท ทีพ ่ ระราชทานในโอกาสต่างๆ ปี พุทธศักราช 2518, 317.
290
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ประเด็นสาคัญมาโดยตลอด4 ถึงแม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจะประกอบด้วยประชาชนและนักศึกษา
ไทยจานวนมาก คอมมิวนิสต์กถ็ ูกมองว่าเป็ นศัตรูจากภายนอกราชอาณาจักรทีม่ าคุกคามประเทศไทย ในบริบท
ดังกล่าว สถาบันกษัตริยก์ ลายเป็ นสัญลักษณ์แห่งชาติในการทาสงครามจิตวิทยาให้คนไทยตื่นตัวในการต่อต้านภัย
จากคอมมิวนิสต์ การต่ อสู้กบั คอมมิวนิสต์จงึ เป็ นเรื่องของการแสดงความจงรักภักดีต่อชาติท่มี ศี ูนย์กลางอยู่ท่ี
สถาบันกษัตริยน์ นเอง
ั่ 5
เมื่อ “ภูมกิ ายา” ของราชอาณาจักรอันกาหนดด้วยเส้นเขตแดน/ขอบเขต แผนทีค่ อื หัวใจสาคัญของความ
เป็ นชาติแบบราชาชาตินิยม ภาพแผนทีป่ ระเทศไทยกาลังจะถูกกลืนกินโดยทหารคอมมิวนิสต์จงึ ชี้ ให้เห็นถึงความ
กังวลในพื้นที่ชายแดน เพราะเส้นเขตแดนตลอดแนวแม่น้ าโขงที่กนั ้ ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่ล้ว น
กลายเป็ นคอมมิวนิสต์น้ีเองทีเ่ ป็ นปราการด่านแรกของการเข้าสู่ราชอาณาจักร ภาพดังกล่าวไม่เพียงแสดงพืน้ ที่
อ่อนไหวต่อการคุกคามของคอมมิวนิสต์ในภาคอีสานเท่า นัน้ แต่ ยงั รวมถึงบริเวณภาคเหนือตอนบน อันได้แก่
เชีย งราย น่ า น และพะเยาด้วย (พะเยาเป็ น ส่วนหนึ่ งของเชีย งรายจนกระทังปี ่ 2520) บทความชิ้นนี้ ต้อ งการ
อภิปรายการแพร่กระจายของอนุ สาวรียอ์ นั เนื่องมาแต่การต่อสูก้ บั คอมมิวนิสต์ในภาคเหนือตอนบนในฐานะส่วน
หนึ่งของกระบวนการชาตินิยมสมัยสงครามเย็น ในเมืองไทย การศึกษาเรื่องอนุ สาวรียส์ งคราม และกระบวนการ
สร้างความทรงจาเกี่ยวกับสงครามจากมุมมองทางประวัติศาสตร์ศิลปะและวัฒนธรรมทางสายตายังไม่เป็ น ที่
แพร่หลายมากนัก ถึงแม้ว่านักประวัติศาสตร์อย่างนิธิ เอียวศรีวงศ์ สายพิ น แก้วงามประเสริฐ มาลินี คุ้มสุภา
และศรัญญู เทพสังเคราะห์จะได้ผลิตงานเขียนทีศ่ กึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างอนุ สาวรียก์ บั การเมืองวัฒนธรรมไทย
ไว้จานวนไม่น้อย แต่กย็ งั ไม่มงี านเขียนเชิงวิชาการว่าด้วยอนุสาวรียท์ ส่ี ร้างขึน้ เพื่อราลึกถึงการต่อสูก้ บั คอมมิวนิสต์
ในยุคสงครามเย็นเลย ขณะเดียวกัน งานประวัตศิ าสตร์ศลิ ปะในประเทศไทยก็มุ่งให้ความสาคัญกับศิลปะในยุคก่อน
สมัยใหม่และโบราณสถานเป็ นส่วนใหญ่ บทความชิ้นนี้ต้องการริเริ่มอุดช่องว่างงานศึกษาเกี่ยวกับศิลปะและ
อนุ สาวรีย์ในยุคสงครามเย็นโดยอภิปรายอนุ สาวรีย์ผู้เสียสละในภาคเหนือตอนบน ได้แก่ อนุ สาวรีย์วรี กรรมพล
เรือน ตารวจ ทหารทีอ่ าเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่ าน อนุ สาวรียผ์ เู้ สียสละในค่ายเม็งรายมหาราช อาเภอเมือง จังหวัด
เชียงราย อนุสรณ์ผเู้ สียสละพลเรือน ตารวจ ทหาร 2324 ทีอ่ าเภอเชียงคา จังหวัดพะเยา และอนุสรณ์สถานยุทธภูมิ
บ้านห้วยโก๋นเก่า อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่ าน บทความเสนอว่าโวหารของอนุ สาวรีย์ผู้เสียสละเหล่านี้
สัมพันธ์อย่างแน่ นแฟ้ นกับวาทกรรมราชาชาตินิยมว่าด้วยการเสียดินแดน ความเป็ นชาติอนั แบ่งแยกมิได้ และการ
สละชีพเพื่อชาติ ความเป็ นปึ กแผ่นของแดนไทยนัน้ ได้มาด้วยการเสียสละเลือดเนื้อของคนในชาติ หากประชาชน
ชาวไทยไม่ร่วมแรงร่วมใจกัน “ปกบ้าน ป้ องเมือง คุ้มเหย้า” ตามแต่กลอน “เราสู”้ แล้วไซร้ ประเทศไทยก็จะต้อง
กลายเป็ น “ตายแลนด์” ตามคาทานาย การศึกษาบทบาทและพลังทางการเมืองของอนุ สาวรียใ์ นยุคสงครามเย็นใน
พื้นที่ชายแดนชี้ให้เห็นว่าอนุ สาวรีย์เหล่านี้ไม่ได้เป็ นเพียง “ภาชนะ” บรรจุความทรงจา แต่เป็ น “กลไก” ในการ
สถาปนาอานาจนาของรัฐไทยในยุคคอมมิวนิสต์
Cultural Aspects of the October 6 Coup,” Bulletin of Concerned Asian Scholars, 9:3, (July–September 1997): 13–30; Katherine A. Bowie,
Rituals of National Loyalty: An Anthropology of the State and the Village Scout Movement in Thailand (Columbia University Press, New York,
1997) และณัฐพล ใจจริง, “พระบารมีปกเกล้าฯ ใต้เงาอินทรี: แผนสงครามจิตวิทยาลัยอเมริกนั กับการสร้างสถาบันกษัตริยใ์ ห้เป็ น “สัญลักษณ์แห่งชาติ,”
ใน ขอฝั นใฝ่ ในฝั นอันเหลือเชือ่ ความเคลือ่ นไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวตั สิ ยาม (พ.ศ. 2475-2500) (กรุงเทพ: ฟ้ าเดียวกัน, 2556), 289-339.
291
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
อนุสำวรีย์ผู้เสียสละกับปฏิบัตกิ ำรณ์ขอคืนพื้นที่
ลักษณะภูมปิ ระเทศอันเฉพาะตัวของภาคเหนือตอนบนในเขตติดต่อกับลาวทีเ่ ป็ นเทือกเขาสลับซับซ้อน
ป่ าทึบ และหุบเขาทีย่ ากแก่การเข้าถึงทาให้บริเวณนี้ห่างไกลจากอานาจของกรุงเทพอย่างมีนยั สาคัญ ทัง้ ประชากร
ส่วนใหญ่ท่อี าศัยอยู่ในเขตเทือกเขายังเป็ น “ชาวเขา” ที่เป็ นชนกลุ่มน้อยทางชาติพนั ธุ์อกี ด้วย ในสายตาของรัฐ
ชาวเขาคือพวกด้อยพัฒนาทีม่ แี นวโน้มขาดความภักดีต่อชาติ 6 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยขยายเขต
งานไปถึงเชียงรายและน่านในทศวรรษ 2500 ชาวเขาจานวนไม่น้อยกลายเป็ นผูฝ้ ั กใฝ่ ในลัทธิคอมมิวนิสต์ ส่วนราช
สานัก ไทยก็ต อบโต้ด้วยการออกเสด็จเยี่ย มประชาชนในชนบทและเขตป่ าเขาอย่า งแข็ง ขัน ทัง้ ยัง มีก ารริเริ่ม
โครงการในพระราชดาริเพื่อพัฒนาชนบทในด้านต่างๆ อีกมากมาย โครงการเหล่านี้ทาหน้า ทีเ่ ป็ นกลไกสร้างสานึก
จงรักภักดีต่อราชสานัก และดูดกลืนความเป็ นอื่น /คนอื่น (ชาวเขา) ให้เป็ นส่วนหนึ่งของรัฐไทย ทัง้ โครงการใน
พระราชดาริและการเสด็จเยี่ยมประชาชนในเขตห่างไกลและทุรกันดารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั และ
สมาชิกราชวงศ์ไม่เพียงเป็ นการปลุกเร้าความรู้สึกจงรักภักดีให้เกิดขึน้ ในจิตใจของประชาชนเท่านัน้ หากยังเป็ น
ประหนึ่งเครื่องยืนยันพระราชอานาจเหนือดินแดนดังกล่าวด้วย
พืน้ ทีภ่ าคเหนือตอนบนเป็ นหนึ่งในสมรภูมทิ ม่ี กี ารปะทะกันอย่างหนักหน่ วงในสงครามระหว่างรัฐไทยกับ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยตัง้ แต่ช่วงทศวรรษ 2500 ถึง 2520 เนื่องจากบริเวณนี้เป็ นเขตเทือกเขาสูงที่มี
ชายแดนที่ติดกับลาว พื้นที่รอยตะเข็บชายแดนในเชียงราย พะเยา และน่ านจึงกลายเป็ นช่องทางให้กองกาลัง
คอมมิวนิสต์จากประเทศเพื่อนบ้านแทรกตัวเข้ามาได้ง่าย แต่การสอดส่องดูแลจากรัฐไทยเป็ นไปได้ยาก ด้วยเหตุน้ี
จึงมีเขตงานของพวกคอมมิวนิสต์กระจายอยู่ทวไปในเขตป่
ั่ าเขา หลังจากการปะทะกันครัง้ ใหญ่ท่อี าเภอทุ่งช้าง
จังหวัดน่ านในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2511 เขตภูแวก็ได้กลายเป็ นเขตปลดปล่อยแห่งแรกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง
ประเทศไทย เขตฐานทีม่ นจั ั ่ งหวัดน่ านขยายตัวมากขึน้ เรื่อยๆ จนมีมวลชนถึง 34 หมู่บา้ นก่อนจะพ่ายแพ้ให้แก่รฐั
ไทยในปี 25267
ปรากฏการณ์หนึ่งทีเ่ กิดขึน้ ระหว่างสงครามอันยืดเยือ้ ระหว่างรัฐไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ
ไทยคือการตัง้ อนุ สาวรียแ์ ละอนุ สรณ์สถานที่อุทศิ ให้แก่ผู้เสียสละทัง้ ทหาร ตารวจ และพลเรือนในพืน้ ทีภ่ าคเหนือ
ตอนบน อนุสาวรียผ์ เู้ สียสละในยุคสงครามเย็นเหล่านี้สร้างขึน้ ด้วยรูปแบบสัจนิยม (แบบเหมือนจริง - realism) เป็ น
หลัก ต่างกับอนุ สาวรียป์ ระเภทเดียวกันในโลกตะวันตกใช้รูปแบบนามธรรม (abstract) เป็ นหลัก ในขณะทีก่ ารใช้
ศิลปะนามธรรมในรูปแบบต่างๆ โดยค่ายโลกเสรีเป็ นส่วนหนึ่งของการเมืองวั ฒนธรรมในยุคสงครามเย็น 8 ศิลปะ
6 สาหรับงานศึกษาเรือ่ งชาวเขาและความสัมพันธ์กบั รัฐไทย ดูเพิ่มเติมใน Pinkaew Laungaramsri, “Constructing Marginality: The ‘Hill Tribe’ Karen
and Their Shifting Locations within Thai State and Public Perspectives,” in Living at the Edge of Thai Society: The Karen in the Highlands of
Northern Thailand, ed. Claudio O. Delang (London and New York: RoutledgeCurzon, 2003), 21-42 แ ล ะ Hjorleifur Jonsson, Mien Relations:
Mountain People and State Control in Thailand (Ithaca and London: Cornell University Press, 2005).
7 ภาคภูม ิ นันทละวัน , “ฐานที่ม ั ่นจังหวัด น่ าน,” ใน ตานานดาวพราวไพรที.่ ..ภูแว ภูพยัคฆ์ เล่ม 2, คณะกรรมการด าเนินงานจัด สร้างโครงการอาคาร
อเนกประสงค์ราลึกประวัตศิ าสตร์ประชาชนจังหวัดน่ าน จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสจัดงานฉลองอนุ สรณ์สถานภูพยัคฆ์ จังหวัดน่ าน เป็ นปี ท่ี 5 ณ บ้านน้ ารี
ต. ขุนน่าน อ. เฉลิมพระเกียรติ จ. น่าน (น่าน: อาร์ต เอ็จ กราฟฟิ ค, 2552), 15, 43.
8 รูปแบบศิลปะ (style) เป็ นส่วนหนึ่งของงานโฆษณาชวนเชื่อการเมืองวัฒนธรรมในยุคสงครามเย็น ค่ายโลกเสรีใช้ศล ิ ปะแบบนามธรรมเป็ นตัวแทน
อุดมการณ์เสรีประชาธิปไตย ส่วนค่ายคอมมิวนิสต์ใช้รปู แบบสัจนิยมสังคม (socialist realism) รูปแบบนามธรรมถูกเชื่อมโยงเข้ากับเสรีภาพของปั จเจก
บุคคล ซึง่ ตรงข้ามกับอุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์ การใช้รูปแบบนามธรรมกับอนุ สาวรีย์เกิดขึ้นเป็ นครัง้ แรกในงานประกวดแบบร่างอนุ สาวรีย์นั กโทษ
การเมืองนิรนาม (Monument to the Unknown Political Prisoners) ทีเ่ ทท แกลเลอรีในลอนดอนเมือ่ ปี 2496 ดูเพิม่ เติมใน Sergiusz Michalski, Public
Monuments: Art in Political Bondage 1870-1997 (London: Reaktion Books, 1998). สาหรับการส่งผลงานเข้าร่วมงานประกวดแบบร่างดังกล่าวโดย
ศิลปิ นไทย ดู ธนาวิ โชติประดิษฐ, “The Unknown Story: นักโทษการเมืองทีไ่ ม่มใี ครรูจ้ กั ของเขียน ยิม้ ศิรกิ บั การเมืองวัฒนธรรมสมัยสงครามเย็น,” อ่าน,
ปี ท่ี 4 ฉบับที่ 4 (เมษายน-มิถุนายน, 2556), 184-197.
292
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
293
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
13 กรมศิลปากร, อนุ สาวรียใ์ นประเทศไทย เล่ม 1 (กรุงเทพ: กองวรรณกรรมและประวัตศิ าสตร์, 2539), 419-423.
294
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
W. J. T. Mitchell (Chicago and London: The University of Chicago Press, 1994), 77-101.
295
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ร่องรอยของธรรมรำชำ: รอยพระบำทของในหลวง
เมื่ อ วั น ที่ 27 กุ ม ภาพั น ธ์ พ .ศ. 2525 พระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู่ หั ว สมเด็ จ พระนางเจ้ า ฯ
พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี
พระวรราชาทินดั ดามาตุ (พระยศในขณะนัน้ คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาในสมเด็จพระ
บรมโอรสาธิร าชฯ สยามมกุ ฎ ราชกุ ม าร) เสด็จ เยี่ย มทหารและราษฎรที่ฐ านปฏิบ ัติก ารดอยพญาพิท ัก ษ์ บ น
สันดอยยาว อาเภอเทิง จังหวัดเชียงราย ในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ได้ทรงประทับรอยพระบาททัง้
สองข้างของพระองค์ลงเป็ นแผ่นปูนปลาสเตอร์ เพื่อพระราชทานให้เหล่าทหารที่กาลังต่ อสู้กบั คอมมิวนิสต์ใน
ภาคเหนือตอนบนไว้เป็ นมิง่ ขวัญและกาลังใจ (ภาพที่ 8) รอยพระบาทมีดว้ ยกัน 2 คู่ ปั จจุบนั คู่หนึ่งประดิษฐานอยู่
ณ ศาลารอยพระบาทในค่ายเม็งรายมหาราช อาเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
ไม่นานหลังจากการพระราชทานรอยพระบาท การปราบปรามคอมมิวนิสต์ในภาคเหนือตอนบนก็จบลงใน
เดือนมีนาคมปี นัน้ เอง การพระราชทานรอยพระบาทบนดอยยาวไม่เพียงเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กบั สาย
สัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์กบั กองทัพเท่านัน้ หากยังทาหน้าทีเ่ ชิงสัญลักษณ์เช่นเดียวกับการตัง้ อนุ สาวรียผ์ เู้ สียสละ
อื่นๆ นัน่ คือการใช้ศลิ ปกรรมมาทาเครื่องหมายปั กหมุดแสดงการครอบครองพื้นที่ รอยพระบาทของในหลวงบน
ดอยยาวเป็ นดังค ่ าทานายว่าความขัดแย้งเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนภาคเหนือตอนบนจะจบลงด้วยชัยชนะของ
รัฐไทยใต้ร่มพระบารมี
รอยพระบาทของในหลวงเป็ นวัตถุท่สี ร้างขึน้ เพื่อเป็ นที่ระลึกที่แตกต่างออกไปจากบรรดาอนุ สาวรีย์ผู้
เสียสละทีก่ ระจายตัวอยู่ในภูมภิ าค ในขณะทีอ่ นุสาวรียผ์ เู้ สียสละใช้รปู แบบสัจนิยมแบบวีรบุรุษ วัตถุทเ่ี ป็ นทีร่ าลึกถึง
ในหลวงกลับไม่ได้แสดงภาพพระพักตร์หรือแม้แต่พระวรกายของพระองค์เลย แม้ว่าพระบรมฉายาลักษณ์และพระ
บรมสาทิสลักษณ์ของในหลวงจะเป็ นสิง่ ที่พบได้ทวไปในประเทศก็
ั่ ตาม อันที่จริงแล้ว ในสมัยสงครามเย็ นมีการ
แจกจ่ายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถควบคู่
ไปกับแผนทีป่ ระเทศไทยอย่างแพร่หลายในชนบท โดยเฉพาะในหมู่บา้ นตามภาคเหนือและภาคอีสานอันเป็ นถิ่น
17 ธัญญา สังขพันธานนท์, ผูห้ ญิงยิงเรือ: ผูห้ ญิง ธรรมชาติ อานาจ และวัฒนธรรมกาหนด สตรีนิยมในเชิงนิเวศน์วรรณคดีไทย (ปทุมธานี: นาคร, 2556).
296
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
18 Mobile Information Team I, Trip 7: A Report by the United States Information Service, Bangkok, December 12 to 22, United States Information
Service, Bangkok, 1962, cited in Phimmasone Michael Rattanasengchanh, Thailand’s Second Triumvirate: Sarit Thanarat and the military, King
Bhumibol Adulyadej and the monarchy and the United States. 1957-1963, Master Thesis, University of Washington, 2012, p. 50.
19 ดูเพิม
่ เติมในอภินนั ท์ โปษยานนท์, จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสานัก เล่ม 1, จัดพิมพ์สนองพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนาง
เจ้า พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 12 สิงหาคม 2535 (กรุงเทพ: สานักพระราชวัง, 2536).
20 John S. Strong, Relics of the Buddha (Princeton and Oxford: Princeton University Press, 2004), 86.
297
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
298
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
23 Astrid NorénNilsson, “Performance as (re)incarnation: The Sdech Kân narrative,” Journal of Southeast Asian Studies, 44: 01 (February,
2013), 4 - 23.
24ในขณะทีร่ ฐั ไทยสร้างอนุ สาวรียผ์ เู้ สียสละในหลายพืน้ ทีม่ าอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงทาสงครามกับคอมมิวนิสต์ในทศวรรษ 2520 ฝ่ ายอดีตคอมมิวนิสต์เพิง่
มีการสร้างอนุ สรณ์สถานเพือ่ บอกเล่าความทรงจาจากฝั ง่ ของตนเมือ่ ไม่นานมานี้เอง เช่น การเปิ ดอนุ สรณ์สถานภูพยัคฆ์และการฟื้ นฟูสานัก 708 ทีบ่ ้าน
น้ ารี จังหวัดน่ านเมื่อปลายปี 2548 อย่างไรก็ด ี การรื้อฟื้ นความทรงจาของ พคท. ในเขตภาคเหนือตอนบนผ่านการสร้างอนุ สรณ์สถาน พิพธิ ภัณ ฑ์ และ
งานราลึกวีรชนเป็ นอีกประเด็นหนึ่งทีส่ มควรได้รบั การอภิปรายอย่างจริงจังในโอกาสอื่น
25 Hjorleifur Jonsson, เล่มเดิม.
299
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
รำยกำรอ้ำงอิง
ภาษาไทย
ณัฐพล ใจจริง. “พระบารมีปกเกล้าฯ ใต้เงาอินทรี: แผนสงครามจิตวิทยาลัยอเมริกนั กับการสร้างสถาบันกษัตริยใ์ ห้
เป็ น “สัญลักษณ์แห่งชาติ.” ใน ขอฝั นใฝ่ ในฝั นอันเหลือเชือ่ ความเคลือ่ นไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวตั ิ
สยาม (พ.ศ. 2475-2500), 289-339. กรุงเทพฯ: ฟ้ าเดียวกัน, 2556.
ธัญญา สังขพันธานนท์. ผูห้ ญิงยิงเรือ: ผูห้ ญิง ธรรมชาติ อานาจ และวัฒนธรรมกาหนด สตรีนิยมในเชิงนิเวศน์
วรรณคดีไทย. ปทุมธานี: นาคร, 2556.
ธนาวิ โชติประดิษฐ. “The Unknown Story: นักโทษการเมืองทีไ่ ม่มใี ครรูจ้ กั ของเขียน ยิม้ ศิรกิ บั การเมืองวัฒนธรรม
สมัยสงครามเย็น.” อ่าน 4, ฉบับที่ 4 (เมษายน-มิถุนายน, 2556): 184-197.
ธงชัย วินจิ จะกูล. กาเนิดสยามจากแผนที:่ ประวัตศิ าสตร์ภมู กิ ายาของชาติ. แปลโดยพวงทอง ภวัครพันธุ,์ ไอดา
อรุณวงศ์ และพงษ์เลิศ พงษ์วนานต์. กรุงเทพ: สานักพิมพ์อ่าน, 2556.
นิธิ เอียวศรีวงศ์. “สงครามอนุสาวรียก์ บั รัฐไทย.” ศิลปวัฒนธรรม 11, ฉบับที่ 3 (มกราคม, 2533): 266-284.
ภูมพิ ลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั . ประมวลพระราชดารัสและพระบรมราโชวาท ทีพระราชทานใน ่
โอกาสต่างๆ ปี พุทธศักราช 2518. กรุงเทพฯ: สานักราชเลขาธิการ, 2519.
ภาคภูมิ นันทละวัน. ตานานดาวพราวไพรที.่ ..ภูแว ภูพยัคฆ์ เล่ม 2. คณะกรรมการดาเนินงานจัดสร้างโครงการ
อาคารอเนกประสงค์ราลึกประวัตศิ าสตร์ประชาชนจังหวัดน่าน จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสจัดงานฉลอง
อนุสรณ์สถานภูพยัคฆ์ จังหวัดน่าน เป็ นปี ท่ี 5 ณ บ้านน้ารี ต. ขุนน่าน อ. เฉลิมพระเกียรติ จ. น่าน. น่าน:
อาร์ต เอ็จ กราฟฟิ ค, 2552.
ศิลปากรม, กรม. อนุสาวรียใ์ นประเทศไทย เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัตศิ าสตร์, 2539.
สมศักดิ ์ เจียมธีรสกุล. “เราสู:้ เพลงพระราชนิพนธ์การเมืองกับการเมืองปี 2518-2519.” ใน ประวัตศิ าสตร์ทเี ่ พิง่
สร้าง: รวมบทความเกียวกั ่ บกรณี 14 ตุลาและ 6 ตุลา, 132-133. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์ 6 ตุลาราลึก,
2544.
อภินนั ท์ โปษยานนท์. จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสานัก เล่ม 1. จัดพิมพ์สนองพระมหา
กรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 12
สิงหาคม 2535. กรุงเทพฯ: สานักพระราชวัง, 2536.
ภาษาอังกฤษ
Anderson, Benedict. Imagined Communities: Reflections on the Origin and Spread of Nationalism.
London: Verso, 1983.
Anderson, Benedict. “Withdrawal Symptoms: Social and Cultural Aspects of the October 6 Coup.”
Bulletin of Concerned Asian Scholars 9: 3 (July–September 1997): 13–30.
Bermingham, Ann. “System, Order, and Abstraction: The Politics of English Landscape Drawing around
1795.” In Landscape and Power, edited by W. J. T. Mitchell, 77-101. Chicago and London: The
University of Chicago Press, 1994.
Bowie, Katherine A. Rituals of National Loyalty: An Anthropology of the State and the Village Scout
Movement in Thailand. New York: Columbia University Press, 1997.
Jonsson, Hjorleifur. Mien Relations: Mountain People and State Control in Thailand. Ithaca and London:
Cornell University Press, 2005.
300
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
Kesboonchoo Mead, Kullada. “The Cold War and Democratization in Thailand.” In Southeast Asia and
the Cold War, edited by Albert Lau, 215-240. Milton Park, Abingdon, Oxon; New York, NY:
Routledge, 2012.
Laungaramsri, Pinkaew. “Constructing Marginality: The ‘Hill Tribe’ Karen and Their Shifting Locations
within Thai State and Public Perspectives.” In Living at the Edge of Thai Society: The Karen in
the Highlands of Northern Thailand, edited by Claudio O. Delang, 21-42. London and New York:
RoutledgeCurzon, 2003.
Mayo, James M. “War Memorials as Political Memory.” In Geographical Review 78: 1 (January, 1988):
62-75.
Michalski, Sergiusz. Public Monuments: Art in Political Bondage 1870-1997. London: Reaktion Books,
1998.
Mitchell, W. J. T. ed. Landscape and Power. Chicago and London: The University of Chicago Press,
1994.
Mosse, George L. Fallen Soldiers: Reshaping the Memory of the World Wars. New York; Oxford: Oxford
University Press, 1990.
NorénNilsson, Astrid. “Performance as (re)incarnation: The Sdech Kân narrative.” Journal of Southeast
Asian Studies 44: 01 (February, 2013): 4 - 23.
Strong, John S. Relics of the Buddha. Princeton and Oxford: Princeton University Press, 2004.
Winter, Jay. Sites of Memory/Sites of Mourning: The Great War in European Cultural History. Cambridge:
Cambridge University Press, 1995.
เอกสารชั้น ้น
แผ่นพับสาหรับผูม้ าเยีย่ มชมอนุสรณ์สถานยุทธภูมบิ า้ นห้วยโก๋น (เก่า) จัดทาโดยหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพราน
ที่ 32.
Mobile Information Team I, Trip 7. A Report by the United States Information Service, Bangkok. December
12 to 22. United States Information Service. Bangkok, 1962. Cited in Phimmasone Michael
Rattanasengchanh. Thailand’s Second Triumvirate: Sarit Thanarat and the military, King Bhumibol
Adulyadej and the monarchy and the United States. 1957-1963, 50. Master Thesis. University of
Washington, 2012.
หนังสือพิมพ์
เดลินิวส์, 12 เมษายน 2518, 3.
เดลินิวส์, 15 เมษายน 2518, ไม่ปรากฏเลขหน้า.
เดลิไทม์, 15 เมษายน 2518, 2.
สยามรัฐ, 15 เมษายน 2518, ไม่ปรากฏเลขหน้า.
301
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ภำพประกอบ (เรียงจำกซ้ำยไปขวำ)
302
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
303
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
304
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P3-R3-02
ธิกานต์ ศรีนารา
ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
305
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
306
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
บทความชิน้ นี้ต้องการเสนอเพียงว่า ถึงแม้ว่า กรณี “ผีบุญ” ศิลา วงศ์สนิ จะเกิดขึน้ มานานแล้วและเป็ นที่
กล่าวถึงโดยผูค้ นอยู่ไม่น้อย แต่กระนัน้ เราก็ไม่เคยได้ยนิ “เสียง” ทีแ่ ท้จริงของ ศิลา วงศ์สนิ แม้สกั ครัง้ เนื่องจากผู้
ทีก่ ล่าวถึงเขา ถ้าไม่เป็ นการผลิตซ้าภาพลักษณ์ของความเป็ น “ผูร้ า้ ย”, “กบฏ” หรือไม่กเ็ ป็ นพวก “ผีบุญ” โง่เขลา
แปลกประหลาดแล้ว ก็เป็ นการอธิบายการกระทาและความคิดของเขาโดยใช้แนวคิด “วิถกี ารผลิตแบบเอเชีย” ของ
คาร์ล มาร์กซ์ ซึง่ ก็เป็ นคาอธิบายทีซ่ บั ซ้อนเป็ นระบบดี แต่กด็ ูเหมือนจะตีความเกินจริงไปหลายอย่าง และทีส่ าคัญ
งานเหล่านัน้ เผยให้ได้ยนิ แต่ “เสียง” ของผู้วิเคราะห์ มากกว่าที่จะเป็ น “เสียง” ของ ศิลา วงศ์สนิ จริงๆ ดังนัน้
บทความชิน้ นี้ จึงพยายามทีจ่ ะพาผูอ้ ่านกลับไปเงีย่ หูฟัง “เสียงเล็กๆ” ของ ศิลา วงศ์สนิ ทีก่ ระจัดกระจายอยู่ในบาง
หน้าของหนังสือพิมพ์ สารเสรี ฉบับเดือนมิถุนายน 2502 ซึง่ แม้ว่าจะเป็ นหนังสือพิมพ์ทร่ี ายงานข่าวเกีย่ วกับกรณี
ศิลา วงศ์สนิ อย่างเปี่ ยมไปด้วยอคติเหยียดหยามก็ตาม แต่กก็ ระนัน้ ก็ยงั พอที่จะสามารถสกัดเอา “ข้อเท็จจริง”
โดยเฉพาะ “เสียง” ของ ศิลา วงศ์สนิ ทีถ่ ูกกลบฝั งไว้ในนัน้ ออกมาได้บา้ ง
นายศิลา วงศ์สนิ เป็ นชาวบ้านผูห้ นึ่งจากจังหวัด นครราชสีมา ทีค่ ดิ ว่าตนเองเป็ นผีบุญทีเ่ ก่ง
ทางไสยศาสตร์ และได้ก่อตัง้ “อาณาจักร” ของตนขึน้ ทีห่ มู่บา้ นแห่งหนึ่งในนครราชสีมา ยก
ตนเองขึน้ เป็ นกษัตริย์ และมีอานาจเหนือชาวบ้านสองร้อยคน ที่อาศัยอยู่ใน “อาณาจักร”
ของตน เมื่อกานันในตาบลนัน้ ไปเยีย่ มเพื่อทีจ่ ะซักถามเกี่ ยวกับการเคลื่อนไหวอันเป็ นการ
แบ่งแยกดินแดนของผีบุญ เจ้าหน้าทีก่ ถ็ ูกโจมตีและผูร้ ่วมคณะสองสามคนถูกฆ่าตาย จึงมี
การส่งเจ้าหน้าตารวจออกไปทาการจับกุมผีบุญศิลา ผูซ้ ง่ึ บอกแก่พรรคพวกของตนว่าตารวจ
ไม่สามารถทาอันตรายตนได้เนื่องจากอานาจเวทมนตร์ของตนทีม่ อี ยู่ ได้เกิดการปะทะกัน
ขึ้น และไม่ น านเจ้า หน้ า ที่ต ารวจก็สามารถฆ่า คนของนายศิลาไปได้ 11 คน และจับกุม
นักโทษได้อกี 88 คน นายศิลาพร้อมด้วยครอบครัวและลูกศิษย์ลูกหาอีก 8 คนพากันหนีไป
1 สิทธิเดช จันทรศรี และคณะ. กรุขา่ วดังในรอบ 20 ปี. กรุงเทพฯ: เรือ่ นแก้ว, 2512.
2 Yoneo Ishii. “A Note on Buddihistic Millenarian Revolts in Northeastern Siam.” In Journal of Southeast Asian Studies. V1: 2 (September
1975). pp. 121-126. และดูใน โยเนโอะ อิชอิ ิ (เขียน), พรเพ็ญ ฮั ่นตระกูล (ถอดความ). “กบฏผูม้ บี ุญภาคอีสาน.” ใน พรเพ็ญ ฮั ่นตระกูล และ อัจฉราพร
กมุทพิสมัย (บรรณาธิการ). “ความเชือ่ พระศรีอาริย”์ และ “กบฏผูม้ บี ุญในสังคมไทย”. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2527, หน้า 33-43.
3 Charles F. Keyes. “Millenialism, Theravada Buddhiism, and Thai Society.” In Journal of Southeast Asian Studies. XXXVI: 2 (February
1977). pp. 283-302. และดูใน ชาร์ลส์ เอ็ฟ คายส์ (เขียน), นาฏวิภา ชลิตานนท์ (แปล). “ความเชือ่ เรือ่ งพระศรีอาริย,์ ลัทธิเถรวาท และสังคมไทย.” ใน
พรเพ็ญ ฮั ่นตระกูล และ อัจฉราพร กมุทพิสมัย (บรรณาธิการ). “ความเชือ่ พระศรีอาริย”์ และ “กบฏผูม้ บี ุญในสังคมไทย”. หน้า 63-103.
307
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
4 ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. กรุงเทพฯ: มูลนิธโิ ครงการตาราสังคมศาสตร์และมนุ ษยศาสตร์, 2548, หน้า 240.
(พิมพ์ครัง้ ที่ 2)
5 ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และ ประนุ ช ทรัพยสาร. “อุดมการขบถผูม ้ บี ุญอีสาน.” ใน พรเพ็ญ ฮั ่นตระกูล และ อัจฉราพร กมุทพิสมัย (บรรณาธิการ). “ความเชือ่
พระศรีอาริย”์ และ “กบฏผูม้ บี ุญในสังคมไทย”. กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2527, หน้า 235.
6 ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และ ประนุ ช ทรัพยสาร. “อุดมการขบถผูม ้ บี ุญอีสาน,” หน้า 240.
308
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
7 ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และ ประนุช ทรัพยสาร. “อุดมการขบถผูม้ บี ุญอีสาน,” หน้า 241-242. ในบทความชิ้นเดียวกันนี้ ฉัตรทิพย์ ยังได้ให้คาอธิบาย
เพิม่ เติมด้วยว่า “เมือ่ เปรียบเทียบขบถผูม้ บี ุญภาคอีสานกับขบถชาวนาในภาคอื่นของไทย ขบถชาวนาภาคอื่นไม่มลี กั ษณะเป็ นขบถผูม้ บี ุญ คือไม่มกี าร
คิดฝั นถึงสังคมทีส่ มบูรณ์พนู สุขปราศจากชนชัน้ ทีเ่ กิดด้วยอิทธิฤทธิ ์ของผูม้ บี ุญหรือพระศรีอาริยเมตไตรยบันดาล ขบถชาวนาในภาคอื่นเป็ นการต่อต้าน
การเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจ เช่น ขบถพญาผาบ 1889 หรือเป็ นความพยายามทีจ่ ะตัง้ แข็งเมือง เช่น ขบถพญาแขก 7 หัวเมือง ค.ศ.1902 ไม่ม ี
ลักษณะกลับไปยึดถืออุดมการและพิธกี รรมโบราณเป็ นเครือ่ งมือของการขบถ เช่น ขบถชาวนาอีสาน แสดงว่า ขบถชาวนาอีสานเป็ นการขบถในสังคมที่
ล้าหลังมาก จนมีความเชือ่ และความใฝ่ ฝันถึงสังคมทีต่ รงกันข้ามแรงกล้าแบบไม่มเี หตุผล จนถึงนาเอามาเป็ นอุดมการของการขบถได้ ทัง้ แสดงว่าชาวนา
อีสานไม่มที างออกด้วยการขบถลักษณะอื่นทีเ่ กิดขึน้ ในสังคมซึง่ เป็ นสมัยใหม่มากขึน้ แล้ว ขบถผูม้ บี ุญอีสานยังคงพึง่ พิธกี รรม พึง่ การมาถึงของยุคพระศรี
อาริยท์ ด่ี ไู ม่สมเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์ แทนทีจ่ ะจัดองค์การสมัยใหม่ใช้อาวุธสมัยใหม่ในการต่อต้าน การขบถในภาคอื่นของไทยเกีย่ วกับพิธกี รรม
ศาสนาและความเชื่อแบบโบราณน้อยกว่าขบถผูม้ บี ุญภาคอีสานและใช้อาวุธทันสมัยกว่า แสดงว่าในสังคมชาวนาส่วนทีท่ นั สมัยขึน้ การประท้วงหรือขบถ
ก็มลี กั ษณะรูปแบบทันสมัยขึน้ ด้วย และมีความเกีย่ วพันกับอดีตน้อยลงด้วยเช่นกัน” (ดูในหน้า 242-243).
8 ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และ ประนุ ช ทรัพยสาร. “อุดมการขบถผูม ้ บี ุญอีสาน,” หน้า 249-250.
9 ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และ ประนุ ช ทรัพยสาร. “อุดมการขบถผูม ้ บี ุญอีสาน,” หน้า 236.
309
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
10 พิมพ์ไทย. เรือ่ ง “นายศิลาทาพิธปี ิ ดตาหาคูท่ ุกเดือน ไม่ให้ผหู้ ญิงเป็ นเมียใครประจา.” วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2502. ใน สานักหอจดหมายเหตุ
แห่งชาติ. ก/ป7/2502/บ13.4. เรือ่ งจลาจลผีบุญ.
11 ฉัตรทิพย์ นาถสุภา และ ประนุ ช ทรัพยสาร. “อุดมการขบถผูม ้ บี ุญอีสาน,” หน้า 236.
12 ศศิธร คงจันทร์. “กบฏผูม ้ บี ุญในภาคอีสานระหว่าง พ.ศ.2479-2502.” ปริญญานิพนธ์หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัตศิ าสตร์ คณะ
สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2558. หน้า 196-197.
13 เป็ นความจริงทีว ่ า่ มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับทีร่ ายงานข่าวเกีย่ วกับ ศิลา วงศ์สนิ แต่เนื่องจากในระยะนี้ผเู้ ขียนไม่สามารถเข้าไปอ่านหนังสือพิมพ์
หอสมุดแห่งชาติได้เพราะหอสมุดแห่งชาติงดให้บริการชั ่วคราว หนังสือพิมพ์ทว่ี า่ นัน้ ได้แก่ พิมพ์ไทย, สยามนิกร และ สยามรัฐ เป็ นต้น
310
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
รัชต์ นายกรัฐมนตรีอยู่ตลอดเวลา ซึง่ ประเด็นหลังนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเป็ นทีร่ กู้ นั ว่า สารเสรี เป็ นหนังสือพิมพ์
ทีม่ จี อมพลสฤษดิ ์ ธนะรัชต์ “เป็ นเจ้าของ”14
ในทีน่ ้ีจงึ กล่าวได้ว่า ถึงแม้เราอาจจะได้ยนิ “เสียงเล็กๆ” ศิลา วงศ์สนิ และชาวบ้านอีสานทีต่ ดิ ตามเขาได้
บ้างใน สารเสรี แต่กเ็ ป็ น “เสียงเล็กๆ” ทีด่ งั ไม่พอ เพราะถูก “กลบทับ” ด้วย “เสียงแห่งอคติ” ของผูส้ ่อื ข่าว สารเสรี
เสียงคาให้สมั ภาษณ์ของเจ้าหน้าทีต่ ารวจ ไปจนถึง “เสียงใหญ่ๆ” ของจอมพลสฤษดิ ์ ธนะรัชต์ ต่อไปนี้จะขอหยิบ
ยกเอา “เสียง” แห่ง “อคติ” ใน สารเสรี ซึง่ ดังมากจนแทบจะ “กลบทับ” เสียงของ ศิลา เอาไว้อย่างมิดชิด อาทิเช่น
ไม่กว่ี นั หลังเกิดเรื่อง สารเสรี ฉบับวันที่ 2 มิถุนายน 2502 ก็พาดหัวข่าวหน้า 1 ด้วยตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่ว่า
“จอมพลสฤษดิบิ์ นไปสอบจลาจลทีโ่ คราชด่วน”“จลาจลทารุณศพบูชายัณ” “ใช้เชือกลากศพเจ้าหน้าที่ ร่ายราสังเวย
เทวรูป...ผูแ้ ทนหนังสือพิมพ์ของเราบุกสู่ ‘สมรภูม’ิ ซึง่ ฝ่ ายจลาจลผีบุญยึดป่ า”15
ขณะทีใ่ นหน้า 2 ก็รายงานข่าวอย่างมีอคติว่า “พวกทีก่ ่อการจลาจลขึน้ ครัง้ นี้ไม่ใช่ญวนหรือลาว หากแต่
เปนชาวไทยเผ่าหนึ่งเรียกว่า ‘ส่วย’ เปนลูกผสมเขมรและลาวมีพน้ื เพอยู่ทางภาคอิสาณ พูดผิดกับชาวอิสาณและ
พูดภาษาอิสาณได้...มีนายจันทรศิลาเปนหัวหน้าใหญ่ได้พาพรรคพวกอพยพจากพิบูลมังษาหารเข้าไปอยู่ในเขต
บ้านใหม่ไทยเจริญ ตาบลสารภี ซึง่ เปนทีเ่ กิดเหตุประมาณ 4 เดือนเศษมาแล้ว...เฉพาะนายจันทร ศิลา ผูน้ ้ี รายงาน
ข่าวกล่าวว่า เปนตัว ‘ผีบุญ’ หัวหน้าใหญ่ทม่ี .ี ..(ขาดหาย) ...เปนผูว้ เิ ศษทีพ่ รรคพวกอยู่...(ขาดหาย)...ลูกเมียในเครือ
ญาติแล้วก็ใช้พวกนัน้ ...(ขาดหาย)...เกลี้ยกล่อมอ้างสรรพคุณแก่ชาวบ้า น...(ขาดหาย)...จันทร เก่ง มีฤทธิเ์ ดช
สารพัดเปนพระ...(ขาดหาย)...ไอ้โน่นเปนไอ้น่ที ก่ี ลับชาติมาเกิดอีก” และ “การก่อจลาจลของ ‘ผีบุญ’ ทีบ่ า้ นใหม่ไทย
เจริญ ตาบลสารภี เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ศกนี้ ภายหลังจากที่ผู้ก่อการร้ายรุมสังหารนายอาเภอ ผู้บงั คับกอง
และคณะอีก 3 คนแล้วก็เอาเชือกผูกศพลากไปกองไว้ใกล้ๆ ศาลเพียงตาและจะทาพิธบี ูชายัณตามวิธกี ารอันป่ า
เถื่อน แต่ถูกกาลังหน่วยปราบปรามบุกทะลวงเสียก่อน” เป็ นต้น16
ในหน้ า 3 ของ สารเสรี ฉบับเดียวกัน รายงานว่า “หลังจากที่นายกรัฐมนตรี จอมพลสฤษดิ ์ ธนะรัชต์
เดินทางไปหมู่บ้านไทยเจริญ ตาบลสารภี ที่เกิดเหตุ จลาจล “ผีบุญ” นับร้อยคนต่ อสู้เจ้าหน้ าที่ปกครองและฆ่า
นายอาเภอ, หัวหน้าสถานีตารวจ กับเจ้าหน้าทีต่ าแหน่งอื่นตาย 5 คน เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงด้วยตนเองตามทีเ่ รา
เสนอข่าวไปแล้วนัน้ ปรากฏว่า ทัง้ ผูใ้ หญ่บา้ น นายสงวน ซึง่ เล่า และชาวบ้านทีร่ เู้ ห็นเหตุการณ์ได้ชแ้ี จงข้อเท็จจริง
ว่า “ตัวหัวหน้ากับตัววางแผนได้หลบหนีรอดพ้นการปราบปรามไปได้ ” และในหน้า 3 นี้เองทีข่ อ้ หาของ ศิลา วงศ์
สิน และพวก ได้ถูกยกระดับให้กลายเป็ นผูม้ ี “เจตนาจะแบ่งแยกการปกครอง” และตอกย้าว่าคนพวกนี้ “ไม่ใช่
ไทยแท้” แต่เป็ นพวก “ส่วย” และ “ญวน” จากอุบลราชธานี ตามเนื้อหาข่าวทีว่ ่า
14 สมศักดิ ์ เจียมธีรสกุล. ประวัตศิ าสตร์ทเี ่ พิง่ สร้าง. กรุงเทพฯ: 6 ตุลาราลึก, 2544 หน้า 38.
15 สารเสรี ฉบับวันที่ 2 มิถุนายน 2502, หน้า 1.
16 สารเสรี ฉบับวันที่ 2 มิถุนายน 2502, หน้า 2.
311
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
“เปนความผิ ด ขัน้ อุกฤษฏ์โทษ” ตามที่มีบุ ค คลคณะหนึ่ ง ได้ใ ช้ก าลัง กุ้ม รุ ม ท าร้า ยเจ้า
พนักงานจนถึงเสียชีวติ 5 คน ทีต่ าบลบ้านใหม่ไทยเจริญ อาเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2502 นัน้ จากผลแห่งการสอบสวนอย่างรอบคอบและเทีย่ งธรรม
ของเจ้าหน้าที่ ปรากฏว่าบุคคลผูก้ ่อการร้ายคณะนี้มนี ายศิลา วงศ์สนิ หรือ ลาดละคร เปน
หัวหน้า ได้ตงั ้ ตนเปนผูว้ เิ ศษ และเปนกษัต ริย์ ทาการซ่องสุมผูค้ นเปนจานวนมากเข้าเปน
พรรคพวกเพื่อก่อการร้ายและดาเนินการอันเปนการผิดกฎหมายของบ้านเมือง ซึ่งนับได้
ว่าเปนการบ่อนทาลายความมันคงของราชอาณาจั
่ กรและราชบัลลังภ์ ทัง้ เปนการกระทาที่
บ่อนทาลายและก่อกวนความสงบภายในประเทศ อันเปนความผิดขัน้ อุกฤษฏ์โทษ
312
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
“ครม. ลงมติ ใ ห้ ใ ช้ ม.17” โดยเหตุ ผ ลดัง กล่ า วข้า งต้ น ข้า พเจ้ า จึง ได้ เ สนอเรื่อ งนี้ ใ ห้
คณะรัฐมนตรีพจิ ารณา เมื่อวันศุกร์ท่ี 26 มิถุนายน 2502 และคณะรัฐมนตรีกไ็ ด้มมี ติเปนเอก
ฉั น ท์ ใ ห้ ข้า พเจ้ า ใช้อ านาจที่มีอ ยู่ ต ามความในมาตรา 17 แห่ ง ธรรมนู ญ การปกครอง
ราชอาณาจักรได้ ฉะนัน้ ข้าพเจ้าจึงได้สงให้ ั ่ อธิบดีกรมตารวจจัดการประหารชีวติ นายศิลา
วงศ์ สิน หรือ ลาดละคร ซึ่ง อธิบ ดีก รมต ารวจก็ไ ด้ ป ฏิบ ัติ ไ ปตามค าสัง่ แล้ ว ที่จ ัง หวัด
นครราชสีมาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2502 เวลา 18.00 นาฬิกา
19 สารเสรี ฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2502, หน้า 3. นอกเหนือจากตัวหนังสือสีดาทีถ่ ูกใส่เพิม่ เข้าไปเองโดยกองบรรณาธิการ สารเสรี คือคาแถลงข่าวฉบับ
เต็มของ จอมพลสฤษดิ ์ ธนะรัชต์
313
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
20ข้อมูลส่วนนี้ผเู้ ขียนได้เพิม่ เติมมาจาก สารเสรี ฉบับวันที่ 23 มิถุนายน 2502. “เผยประวัตติ วั เองสิน้ เคยเปนผีปอบ-หัวหน้าลิเก เมียสาวแฉคาเท็จ ‘ผี
บุญ’ ผัว.” หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ก/ป7/2502/บ 13.4. เรือ่ ง “จลาจลผีบุญ.” อ้างจาก ศศิธร คงจันทร์. “กบฏผูม้ บี ุญในภาคอีสานระหว่าง พ.ศ.2479-
2502.” ปริญญานิพนธ์หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัตศิ าสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2558. หน้า 153.
314
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
315
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
316
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
317
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
318
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ต่อมาในวันที่ 27 มิถุนายน 2502 สารเสรี ก็รายงานข่าวว่า “ในทีส่ ุด “ผีบุญ” ศิลา วงศ์สนิ ผูก้ ่อการร้ายที่
บ้านใหม่ไทยเจริญ ตาบลสารภี อาเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา จนเปนเหตุให้เจ้าหน้าทีต่ ายอย่างทารุณทีส่ ุด
ประวัตกิ ารณ์ ก็ต้องจบชีวติ ลงด้วยคาสังอั ่ นเฉียบขาดของจอมพลสฤษดิ ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ซึง่ ใช้ความศักดิ ์
ของมาตรา 17 เปนครัง้ แรก เพราะได้สอบสวนโดยละเอียดแล้วเห็นว่าเปน “โทษอุกฤษฏ์ทส่ี ุด” ทัง้ ครม. ก็ลงมติ
เปนเอกฉัน ท์แล้วด้วย การประหารได้เ ปนไปภายใต้ก ารควบคุมของอธิบดีกรมตารวจต่ อหน้ า ประชาชนชาว
นครราชสีมานับหมื่นๆ คนทีไ่ ปเฝ้ าคอยดูอยู่ตงั ้ แต่ตอนบ่าย ชีวติ ของ “ผีบุญ” จบลงด้วยกระสุนปื นกล 36 นัด เมื่อ
เวลา 17.30 น. ของวันวานนี้ท่ามกลางการสมน้าหน้าของผูร้ เู้ หตุการณ์อนั แท้จริง ประชาชนเคียดแค้นถึงขัน้ ตะโกน
ขอตัวไปลงประชาทัณฑ์”29 ทว่าก่อนทีเ่ ขาจะเดินเข้าสูห่ ลักประหารนัน้ ศิลา วงศ์สนิ กล่าวกับนักข่าว สารเสรี เพียง
สัน้ ๆ แต่ทว่าฟั งดูแผ่วเบาอ่อนล้า สิน้ หวัง และน่าเศร้ายิง่
319
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
320
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ในจัง หวัด อุ บ ลฯ ทัว่ ไปจะเห็น ได้ว่ า ชาวบ้ า นต้ อ งพึ่ง สิ่ง ศัก ดิส์ ิท ธิ ์ เมื่อ หัน หน้ า เข้า พึ่ง
ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ได้จงึ ได้เข้าพึ่งเทพยดาฟ้ าดิน ต่างบนบานศาลกล่าวทาบุญก่อพระ
เจดียท์ รายขอฝน...หญิงจานวนมากต้องหนีเข้าเมืองขายตัวเลีย้ งครอบครัวเพราะข้าวในยุง้
ซึง่ มีไว้สาหรับกินต้องเอาไปทาพันธุห์ มด เรื่องการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าทีผ่ ปู้ กครองนัน้ ยาก
...ชาวบ้านทีท่ านาต่างร้องว้าแย่อดหยากยากแค้นตามๆ กันไป ได้รบั คาบอกเล่าโดยทัวไป ่
ว่า แม้แต่ตกแตน
ั๊ กบ เขียด หรือ แมลงอื่นๆ ที่เคยมีกนิ กันตายกัน ก็พลอยหากินยากไป
ด้วย เพราะสัตว์จาพวกนี้อาศัยกล้าเป็ นอาหาร เมื่อนาไม่มขี า้ วมันก็ไม่ยอมอยู่35
เมื่อที่ทากินเดิมแห้งแล้งอดหยาก แม้แต่แมลงต่างๆ “ที่เคยมีกนิ กันตายกัน ก็พลอยหากินยากไปด้วย”
นอกจากชาวนาอีสานจะต้องหันไป “พึ่งสิง่ ศักดิสิ์ ทธิ”์ เพราะพวกเขา “เข้าพึ่งผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ได้” แล้วนัน้
การตัดสินเลือกทีจ่ ะพาอพยพโยกย้ายถิน่ ฐานเพื่อไปหาทีท่ ากินแห่งใหม่ทอ่ี ุดมสมบูรณ์กว่าเดิม หรือเป็ นแหล่งทีม่ ี
งานให้พวกเขาทาเพื่อแลกกับเงินหรืออาหารเลี้ยงชีพมากกว่าเดิม จึงเป็ นอีกหนทางหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า การ
อพยพโยกย้ายถิ่นฐานของชาวนาอีสานเพื่อไปหาที่อยู่ใหม่นัน้ เป็ นปรากฏการณ์ ท่เี กิดขึ้นทัวไปในช่
่ วงปลาย
ทศวรรษ 2490 ต่อต้นทศวรรษ 2500 โดยการอพยพนัน้ จะเป็ นแบบ “กองคาราวาน” คืออพยพไปพร้อมกันหลาย
ครัวเรือน กองคาราวานหนึ่งมีคนไม่ต่ากว่าหนึ่งร้อยคน ดังที่ พิมพ์ไท รายงานข่าวว่า
33 พิมพ์ไท. วันที่ 15 สิงหาคม 2500. เรือ่ ง “ส.ส.ใครป๋ าผิน ลิม้ รสจิง้ หรีด.” หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ก/ป7/2500. เรือ่ ง “กรณีชาวอีสานอดหยาก.” อ้าง
จาก ศศิธร คงจันทร์. “กบฏผูม้ บี ุญในภาคอีสานระหว่าง พ.ศ.2479-2502.” หน้า 158.
34 ศศิธร คงจันทร์. “กบฏผูม ้ บี ุญในภาคอีสานระหว่าง พ.ศ.2479-2502.” หน้า 158.
35 พิมพ์ไท. วันที่ 26 สิงหาคม 2500. เรือ
่ ง “ไปสมัครกรรมกรเปนแถว บ้านแตกสาแหรกขาดวุน่ ” หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ก/ป7/2500. เรือ่ ง “กรณีชาว
อีสานอดหยาก.” อ้างจาก ศศิธร คงจันทร์. “กบฏผูม้ บี ุญในภาคอีสานระหว่าง พ.ศ.2479-2502.” หน้า 159.
321
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
322
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
เรื่อ งผีค นสมัย ใหม่ ไ ม่ เ ชื่อ คนที่ห ากิน ในทางไล่ ผี คนสมัย ใหม่ ต าหนิ ว่ า เป็ น คนโกหก
หลอกลวง หากิน ทางผิด กฎหมาย ถึง กับ ต้อ งถู ก จองจ าท าโทษ เรื่อ งมีว่ า เมื่อ ปี 2480
นายอาเภอซึง่ เป็ นคนภาคกลาง ย้ายมาเป็ นนายอาเภออยู่ภาคอีสาน เผอิญผีปอบเข้าคนซึง่
อยู่ใกล้บา้ นนายอาเภอ เขาเอาหมอธรรมมาขับไล่ปอบ หมอธรรมถูกนายอาเภอลงโทษทา
ทัณ ฑ์บ น (คาดโทษ) ไว้ ถ้ า ท าอีก จะได้ร ับ โทษทางกฎหมาย ต่ อ มา ปอบเข้า ลู ก สาว
นายอาเภอ ชาวบ้านสงสัยว่านางจะถูกปอบกินจึงขอร้องให้นายอาเภอเรียกหมอธรรมมา
รักษา หมอธรรมไม่กล้ามาเพราะกลัวจะถูกลงโทษ นายอาเภอต้องไปเชิญหมอธรรมเองและ
กราบลงที่เท้าหมอธรรมพร้อมทัง้ ให้สญ ั ญาว่าจะไม่จบั กุมคุมขัง หมอธรรมจึงมารักษาโดย
ขับไล่ปอบ ลูกสาวนายอาเภอจึงไม่ถงึ แก่ความตาย42
หลังจากกล่าวถึงเรื่องเล่าข้างต้นแล้ว ยูคิโอะ ฮายาชิ ก็ให้คาอธิบายทีเ่ ป็ นของเขาเองว่า หมอธรรมใน
สังคมไทย-ลาวของภาคอีสานนัน้ ในด้านศาสนาถือเป็ นผู้รกั ษา และในทางสังคมถือเป็ นผู้ปกป้ องคุม้ ครอง หมอ
ธรรมในฐานะเป็ นผูร้ กั ษาเป็ นการใช้พลังอานาจทีเ่ ป็ นรูปธรรมจากพระธรรมคาสังสอนของพระพุ
่ ทธเจ้าผ่านทางร่าง
ของหมอธรรมและการติดต่อกับวิญญาณ ในฐานะเป็ นผูป้ กป้ องคุม้ ครอง หมอธรรมสร้างความชอบธรรมในการใช้
41 ยูคโิ อะ ฮายาชิ (เขียน) พินิจ ลาภธนานนท์ (แปลและเรียบเรียง). พุทธศาสนาเชิงปฏิบตั ขิ องคนไทยอีสาน: ศาสนาในความเป็ นภูมภิ าค. กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2554. หน้า 232-234.
42 ยูคโิ อะ ฮายาชิ (เขียน) พินิจ ลาภธนานนท์ (แปลและเรียบเรียง). พุทธศาสนาเชิงปฏิบต ั ขิ องคนไทยอีสาน: ศาสนาในความเป็ นภูมภิ าค. กรุงเทพฯ:
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2554. หน้า 343.
323
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
43 ยูคโิ อะ ฮายาชิ (เขียน) พินิจ ลาภธนานนท์ (แปลและเรียบเรียง). พุทธศาสนาเชิงปฏิบตั ขิ องคนไทยอีสาน: ศาสนาในความเป็ นภูมภิ าค. หน้า 343.
324
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
กระทาทุกวิถที างเพื่อความมันคงของราชอาณาจั
่ กรและราชบัลลังภ์และการกระทาใดๆ อันจะเปนการบ่อนทาลาย
ก่อกวน หรือคุกคามความสงบไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือมาจากภายนอกราชอาณาจักรก็ตาม รัฐบาลนี้จะได้
ดาเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาดและทันที”44
44 สารเสรี ฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2502, หน้า 3. นอกเหนือจากตัวหนังสือสีดาทีถ่ ูกใส่เพิม่ เข้าไปเองโดยกองบรรณาธิการ สารเสรี คือคาแถลงข่าวฉบับ
เต็มของ จอมพลสฤษดิ ์ ธนะรัชต์
325
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
มติ – เห็นชอบด้วย.45
45 บันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรี ครัง้ ที่ 25/2502 วันจันทร์ท่ี 22 มิถุนายน 2502, 22.เรือ่ งทีท่ า่ นนายกรัฐมนตรีแจ้งต่อทีป่ ระชุมคณะรัฐมนตรี, 4) นาย
ศิลา วงศ์สนิ หัวหน้ากบฏผีบุญ
326
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
บรรณำนุกรม
เอกสารทีย่ ังไม่ ีพิมพ์
บันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรี ครัง้ ที่ 25/2502 วันจันทร์ท่ี 22 มิถุนายน 2502, 22.เรื่องทีท่ ่านนายกรัฐมนตรีแจ้ง
ต่อทีป่ ระชุมคณะรัฐมนตรี, 4) นายศิลา วงศ์สนิ หัวหน้ากบฏผีบุญ
สารเสรี ฉบับวันที่ 2 มิถุนายน 2502.
สารเสรี ฉบับวันที่ 22 มิถุนายน 2502.
สารเสรี ฉบับวันที่ 23 มิถุนายน 2502.
สารเสรี ฉบับวันที่ 26 มิถุนายน 2502.
สารเสรี ฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2502.
สารเสรี ฉบับวันที่ 28 มิถุนายน 2502.
บทความและหนังสือภาษาไทย
ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. กรุงเทพฯ: มูลนิธโิ ครงการตาราสังคมศาสตร์และ
มนุษยศาสตร์, 2548.
พรเพ็ญ ฮันตระกู
่ ล และ อัจฉราพร กมุทพิสมัย , บ.ก. “ความเชือ่ พระศรีอาริย์” และ “กบฏผู้มบี ุญในสังคมไทย.”
กรุงเทพฯ: สร้างสรรค์, 2527.
ยูคโิ อะ ฮายาชิ. พุทธศาสนาเชิงปฏิบตั ขิ องคนไทยอีสาน: ศาสนาในความเป็ นภูมภิ าค. แปลและเรียบเรียงโดย พินิจ
ลาภธนานนท์. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2554.
ศศิธร คงจันทร์. “กบฏผู้มีบุญในภาคอีสานระหว่าง พ.ศ.2479-2502.” ปริญญานิพนธ์หลักสูตรศิลปศาสตรมหา
บัณฑิต สาขาวิชาประวัตศิ าสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. 2558.
สมศักดิ ์ เจียมธีรสกุล. ประวัตศิ าสตร์ทเี ่ พิง่ สร้าง. กรุงเทพฯ: 6 ตุลาราลึก, 2544.
สิทธิเดช จันทรศรี และคณะ. กรุขา่ วดังในรอบ 20 ปี . กรุงเทพฯ: เรื่อนแก้ว, 2512.
บทความและหนังสือภาษาอังกฤษ
Charles F. Keyes. “Millennialism, Theravada Buddhiism, and Thai Society.” Journal of Southeast Asian
Studies. 36, 2 (February 1977): 283-302.
Yoneo Ishii. “A Note on Buddihistic Millenarian Revolts in Northeastern Siam.” Journal of Southeast Asian
Studies. 6, 2 (September 1975): 121-126.
327
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
328
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D2-P4-R2-02
ประวัติศาสตร์ชุมชน
ลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา
ในบริบททางด้านสังคม
“มองราก รู้ ตั ว ตน เพื่ อชุ ม ชนเข้ ม แข็ ง ”
นันทยา ศรีวารินทร์
หลักสูตรสังคมศาสตร์เพื่อมัคคุเทศก์และการท่องเที่ยว โปรแกรมสังคมศาสตร์
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
329
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
ลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลา เป็ นแหล่งน้ าทีม่ คี วามสาคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย และมีความหลากหลาย
ทางชีวภาพสูงเนื่องจากมีระบบนิเวศน้ าจืด น้ ากร่อย และน้ าเค็มอยู่ใกล้เคียงกัน (วิวฒ ั น์ สุทธิวิภากรและคณะ
2550, 7) และเป็ นทีต่ งั ้ ชุมชนโบราณมาแต่ค รัง้ อดีต ลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลามีพฒ ั นาการทางประวัตศิ าสตร์ยาวนาน
ปั จจุบนั พืน้ ทีด่ งั กล่าวยังเป็ นแหล่งรวมตัวของผูค้ นทีผ่ ลัดเปลีย่ นหมุนเวียนเข้ามาอยู่อาศัยและตัง้ หลักปั กฐาน ด้วย
ลักษณะพืน้ ทีท่ ม่ี คี วามอุดมสมบูรณ์ ภูมปิ ระเทศและภูมอิ ากาศทีเ่ หมาะสม จึงเอือ้ ต่อการตัง้ ชุ มชนและการประกอบ
อาชีพของผูค้ น โดยวิถชี วี ติ ของผูค้ นบริเวณลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลาจะผูกพันกับการประกอบอาชีพทางการเกษตร
เนื่องจากบริเวณนี้มดี นิ ตะกอนอุดมสมบูรณ์ทบั ถมกันมาก จึงเหมาะแก่การเพาะปลูก กลายเป็ นแหล่งผลิตข้าวที่
สาคัญของภาคใต้
ลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา ครอบคลุมเนื้อที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา คือ อาเภอเมือง อาเภอหาดใหญ่
อาเภอสะเดา อาเภอรัตภูมิ อาเภอระโนด อาเภอสทิงพระ อาเภอควนเนียง อาเภอกระแสสินธุ์ อาเภอนาหม่อม
อาเภอบางกล่ า อาเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดพัทลุงทัง้ หมด และจังหวัดนครศรีธรรมราช คือ อาเภอชะอวด และ
อาเภอหัวไทร (ยงยุทธ ชูแว่น และคณะ 2541, 32)
ลักษณะเศรษฐกิจของชุมชนลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลาในอดีตไม่แตกต่างจากบริเวณอื่นๆ ของประเทศไทย
ซึ่งตกอยู่ภายใต้ระบบศักดินา ประชาชนไม่มกี รรมสิทธิในที ์ ด่ นิ มีเพียงสิทธิทากินเท่านัน้ และต้องเสียสิง่ ตอบ
แทนในรูปของส่วยสิง่ ของหรือส่วยแรงงานตามระบบไพร่ ราษฎรไม่มอี สิ ระและไม่อาจสะสมทุนได้ เศรษฐกิจใน
ขณะนัน้ จึงเป็ นการผลิตแบบพอยังชีพ ทาการผลิตหลายๆ อย่างเพื่อให้สามารถเลีย้ งตนเองได้ จนกระทังประเทศ
่
ไทยได้ตกลงทาสนธิสญ ั ญาเบาว์รงิ่ กับประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2398 ระบบเศรษฐกิจไทยเปลีย่ นจากการผลิตแบบ
พอยังชีพในระบบศักดินาแบบดัง้ เดิมมาเป็ นระบบเศรษฐกิจแบบการค้า โดยมีขา้ วเป็ นสินค้าส่งออกทีส่ าคัญ เกิด
การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะพืน้ ทีร่ าบทางภาคกลางของไทย (กิตติ ตันไทย 2552, 25)
สังคมลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลามีก ารอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนหลากหลายชาติพ ันธุ์ แต่ สามารถประสาน
ผลประโยชน์ร่วมกันได้โดยปกติสุข มีการช่วยเหลือพึง่ พา ในลักษณะของการออกปาก กินวาน หรือซอมือ ช่วย
แก้ ปั ญ หายามประสบภาวะวิก ฤตร่ ว มกัน ส่ ว นทางด้ า นลัก ษณะความสัม พัน ธ์ ภ ายในชุ ม ชนจะมีลัก ษณะ
ความสัมพันธ์แบบเครือญาติ ตัง้ ถิ่นฐานโดยวิธกี ารผูกดองผูกเกลอกัน เนื่องจากดินแดนบริเวณนี้มคี วามอุดม
สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติทุกเขตจึงเป็ นที่หมายปองของคนหลายกลุ่ม วิถีชวี ติ ของผู้คนแถบนี้จงึ เป็ นวิถี
แห่งการต่อสูเ้ พื่อปกป้ องสิทธิ เพื่อจัดสรรสิทธิอนั พึงมีพงึ ได้ทช่ี อบธรรมของตนตัง้ แต่อดีตจนปั จจุบนั หล่อหลอมให้
คนกลายเป็ นนักต่อสูท้ ่รี กั ความยุติธรรม ถ่อมตัว ใจกว้างต่อมิตร แต่พร้อมตอบโต้ศตั รูทนั ทีท่สี บโอกาส (สมยศ
เพชรา 2553, 14)
จากความอุด มสมบูร ณ์ ด้วยทรัพยากรธรรมชาติด ัง กล่ า ว ส่ง ผลให้ดิน แดนนี้ ถู กรุ ก รานจากแขกสลัด
บ่อยครัง้ บรรดาเจ้าเมือง กรมการเมืองก็ไม่อาจปกปั กษ์รกั ษาบ้านเมืองไว้ได้ และด้วยอยู่ห่างไกลราชธานีจงึ ไม่อาจ
ได้รบั การคุม้ ครองจากส่วนกลาง ชุมชนต้องรับผิดชอบต่อชีวติ และทรัพย์สนิ ของตนเอง การผูกดองผูกเกลอจึงเป็ น
วัฒนธรรมของชุมชนทีส่ าคัญ ในการปกป้ องตนเอง คุม้ ครองสังคมและชุมชน
อย่างไรก็ตาม ชุมชนลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลายัง ไม่เกิดการเปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกิจมากนัก ผูค้ นส่วน
ใหญ่ยงั คงดารงชีวติ ตามปกติสขุ ถ้อยทีถอ้ ยอาศัย เอือ้ เฟื้ อเผื่อแผ่กนั ตามลักษณะสังคมไทยในชนบท ชุมชนเริม่ มี
330
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
กำรทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
แม้ว่าลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาในปั จจุบนั จะมีความสาคัญในฐานะเป็ นทีต่ งั ้ ของจังหวัดทีส่ าคัญทางภาคใต้ 3
จังหวัด คือ จังหวัดสงขลา จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัด พัทลุง แต่ท่ผี ่านมานักวิจยั และนักประวัติศาสตร์
331
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
332
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
333
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
อิสลามเป็ น แกนกลางเสริม ความเข้ม แข็ง ให้ก ับ ชุ ม ชนและสร้า งความเป็ น อิสลามขึ้น ในสัง คมท้อ งถิ่น พิท ยา
บุษรารัตน์ (2552) นาฏกรรมแห่งลุ่มทะเลสาบสงขลา การเปลีย่ นแปลงและความสัมพันธ์กบั สังคมและวัฒนธรรม
ของหนังตะลุงและโนรา เป็ นการศึกษาพัฒนาการ บทบาทความสาคัญและปฏิสมั พันธ์ของโนราและหนังตะลุงต่อ
พืน้ ทีล่ ุ่มน้าทะเลสาบสงขลาในช่วงการปฏิรปู ของรัชกาลที่ 5 จนถึงปั จจุบนั ภูมปิ ั ญญาและอัตลักษณ์ของท้องถิน่ ถูก
ส่งผ่านในหนังตะลุง โนรา ซึ่งแม้จะผ่านห้วงเวลามายาวนานแต่ศลิ ปะพื้นบ้านดังกล่าวนี้ ยังคงดารงอยู่ งานของ
เลิศชาย ศิรชิ ยั (2552) ประมงพื้นบ้านลุ่มทะเลสาบสงขลา: วิถแี ละการเปลีย่ นแปลง เป็ นงานวิจยั ทีศ่ กึ ษาถึงวิถชี วี ติ
ของคนพืน้ ทีล่ ุ่มน้าทะเลสาบสงขลาซึง่ อาศัยความอุดมสมบูรณ์ของพืน้ ทีใ่ นการหล่อเลีย้ งชีวติ ประมง นับเป็ นอาชีพ
สาคัญของคนทีน่ ่ี ในอดีตชุมชนสามารถจัดการทรัพยากรได้ดว้ ยตนเองแต่เมื่อยุคสมัยแปรเปลีย่ นไป ด้วยนโยบาย
ของภาครัฐและเทคโนโลยีสมัยใหม่ทเ่ี กิดขึน้ ทาให้มกี ารใช้เครื่องมือและวิธกี ารทีท่ นั สมัยในการจับสัตว์น้า ส่งผลให้
เกิดความเปลี่ยนแปลงและสร้างความสูญเสียให้กบั ทรัพยากรที่ถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็วและยังส่งผลต่อระบบ
นิเวศอย่างใหญ่หลวง
สารูป ฤทธิชู์ (2552) ในเรื่อง 100 ปี การเมืองท้องถิน่ ลุ่มทะเลสาบสงขลา ประวัติศาสตร์ฐานทีม่ นแห่ ั่ ง
พรรคการเมืองในภาคใต้ เป็ นงานทีก่ ล่าวถึงวิวฒ ั นาการทางการเมืองท้องถิน่ บริเวณลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลาตัง้ แต่
พ.ศ. 2439-2534 โดยเน้ น การวิเ คราะห์ถึง เบื้อ งหลัง ทางการเมือ งท้อ งถิ่น บริเ วณลุ่ มน้ า ทะเลสาบสงขลา และ
ผลกระทบจากการเมืองท้องถิน่ บริเวณดังกล่าวทีม่ ตี ่อชุมชนและท้องถิน่ ซึง่ เป็ นการนาไปสูค่ วามเข้าใจวิถชี วี ติ ความ
เป็ นอยู่ของประชาชนในบริเวณลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลาได้อย่างรอบด้าน งานของ สุธญ ั ญา ทองรักษ์ (2546) เรื่อง
วิวฒ ั นาการของการใช้ประโยชน์ทดี ่ นิ และป่ าไม้บริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา เป็ นการศึกษาการใช้ประโยชน์จากทีด่ นิ
ในพืน้ ทีล่ ุ่มน้าทะเลสาบสงขลาซึง่ ได้สง่ ผลกระทบต่อสภาพพืน้ ทีใ่ ห้เปลีย่ นแปลงไปเป็ นอย่างมาก จากการบุกรุกเพื่อ
ใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ เช่น การทาสวน ทาไร่ และนากุง้ ทาให้พน้ื ทีเ่ กิดความเสียหาย ยากแก้การฟื้ นฟู
งานของ ศุลีมาน นฤมน วงศ์สุภาพ (2547) เรื่อง เมืองหาดใหญ่ คนจีนกับการสร้างเมืองการค้าในภาคใต้ เป็ น
การศึก ษาเรื่อ งราวของคนจีน ที่มีบ ทบาทสาคัญ ต่ อ การขับเคลื่อ นและพัฒ นาเศรษฐกิจ ของเมือ งหาดใหญ่ ให้
กลายเป็ นเมืองศูนย์กลางทางการค้าของภาคใต้ บทบาทของขุนนิพทั ธ์จนี นคร (เจีย กีซ)ี ซึง่ เป็ นผูน้ าสาคัญในการ
พัฒนาเมืองหาดใหญ่ และงานของกิตติ ตันไทย (2552) เรื่อง หนึง่ ศตวรรษเศรษฐกิจของคนลุ่มทะเลสาบสงขลา
กล่าวถึง วิถชี วี ติ การผลิตแบบดัง้ เดิมของเกษตรกรชาวนาและชาวสวนยางพาราบริเวณลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา และ
การเข้ามาของนโยบายภาครัฐทีก่ ระตุ้นให้ทอ้ งถิน่ เปลีย่ นแปลงการดารงชีวติ จากวิถชี าวบ้านทีม่ คี วามเกือ้ กูลมาสู่
สังคมแห่งทุนนิยมและเทคโนโลยี ทีเ่ น้นวัตถุและเงินเป็ นตัวแปรสาคัญในการดารงชีวติ ส่งผลให้ระบบความสัมพันธ์
ทีด่ ใี นท้องถิน่ วิถชี วี ติ แบบเรียบง่ายค่อย ๆ จางหายไป จนทาให้เกิดผลเสียทัง้ ระบบสังคมและเศรษฐกิจต่อชุมชน
งานทัง้ 8 ชิน้ ในชุดโครงการดังกล่าวนี้ทาให้เห็นภาพของพืน้ ทีล่ ุ่มน้ าทะเลสาบสงขลาชัดเจนขึน้ สามารถ
เป็ นพืน้ ฐานของการศึกษาเรื่องราวของลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาได้เป็ นอย่างดี แต่ไม่อาจถ่ายทอดเรื่องราวของชุมชน
ได้เด่นชัด และไม่อาจตอบคาถามการวิจยั ในครัง้ นี้ได้
งานวิจยั ทีผ่ ่านมาทีเ่ กีย่ วข้องกับลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาสะท้อนภาพทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ในมุมมองเฉพาะช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งทาให้ขาดความสมบูรณ์ ไม่เห็นภาพวิถีชวี ติ ของ
ชุมชนทีม่ พี ฒ
ั นาการอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุน้จี งึ เป็ นเหตุผลทีส่ าคัญทีค่ วรมีการศึกษาถึงความเปลีย่ นแปลงของวิถี
ชีวิต ของชุ ม ชนในแถบลุ่ ม น้ า ทะเลสาบสงขลาในมุ ม มองที่แ ตกต่ า งออกไป โดยเฉพาะการมองภาพความ
เปลีย่ นแปลงของวิถชี วี ติ ชุมชนอย่างมีพฒ ั นาการจากอดีตถึงปั จจุบนั โดยใช้ขอ้ มูลแบบสองทาง คือให้ประชาชนได้มี
334
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
วิธีกำรศึกษำ
งานวิจยั ชิ้นนี้ ผู้วจิ ยั เลือกชุมชนครอบคลุมพื้นที่บริเวณลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลาเป็ นพื้นที่ศกึ ษา สาหรับ
บริบททางด้านสังคม ตัวแทนของพืน้ ทีใ่ นชุมชนลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลา 3 ชุมชนทีท่ าการศึกษา ได้แก่ ชุมชนบ้าน
โคกเมือง ต.บางเหรียง อ.ควนเนียง จ.สงขลา ชุมชนท่าข้าม ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และชุมชนบ้านท่าช้าง
ต.พนางตุง อ.ควนขนุ น จ.พัทลุง ซึง่ ชุมชนเหล่านี้จะมีความหลากหลายและมีความเข้มแข็งในมิตติ ่างๆ จึงช่วยให้
ได้ขอ้ สรุปทีส่ ามารถตอบโจทย์วจิ ยั ได้เป็ นอย่างดี
การวิจ ัย เน้ น การศึก ษาวิจ ัย ในเชิง คุ ณ ภาพ (Qualitative Research) โดยวิธีก ารทางประวัติศ าสตร์
(Historical Approach) ใช้วิธีการวิจยั ทางเอกสาร (Documentary Research) ร่วมกับการสัมภาษณ์ ตามวิธีก าร
ประวัติ ศ าสตร์ บ อกเล่ า (Oral History) น าเสนอโดยการพรรณนาเชิง วิเ คราะห์ (Descriptive Analysis) ซึ่ง มี
รายละเอียดดังนี้
1. เอกสารชัน้ ต้น (Primary Sources) ได้แก่ เอกสารทางราชการไทยจากกองจดหมายเหตุแห่งชาติ กอง
หอสมุดแห่งชาติ เช่น จดหมายเหตุ ของรัชกาลต่ างๆ รายงานของกระทรวง ทบวง กรม และเอกสารอื่นๆ ที่
เกีย่ วข้อง
2. เอกสารชัน้ รอง (Secondary Sources) ได้แก่ งานวิจยั วิทยานิพนธ์ บทความทางวิชาการและสิง่ พิมพ์
ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ในประเทศไทย เช่น หอสมุดแห่งชาติ
หอสมุดมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยต่างๆ ทัง้ ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดสงขลา สถาบันทักษิณคดีศกึ ษา สงขลา
เป็ นต้น
3. การสัมภาษณ์ (Interviews) สัมภาษณ์ชาวบ้านทีอ่ าศัยอยู่ในชุมชนลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา นักวิชาการ
และผูร้ เู้ รื่องราวต่างๆ ของลุ่มแม่น้าทะเลสาบสงขลา แล้วนาข้อมูลการสัมภาษณ์มาศึกษาวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยวิธกี าร
ทางประวัตศิ าสตร์ (Historical Approach) และนาเสนอข้อมูลแบบพรรณนาวิเคราะห์ (Analytical Description)
ผลกำรศึกษำ
จากการศึกษาพบว่า ชุมชนทัง้ สามมีพฒ
ั นาการความเปลี่ยนแปลงของชุมชน ตั ้งแต่ ยุคชุมชนดัง้ เดิม
ผลกระทบจากการพัฒนาตลอดจนการปรับตัวและการดารงอยู่ทม่ี คี วามคล้ายคลึงกัน และทัง้ สามชุมชนมีการใช้
กระบวนการแก้ไขหลากหลายวิธจี นก้าวสู่ความเป็ นชุมชนเข้มแข็งภายใต้กรอบคิดของการพัฒนาคือเศรษฐกิจ
พอเพียง อันมีรายละเอียด ดังนี้
335
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เสมือ นอู่ ข้า วอู่ น้ า ที่ห ล่ อ เลี้ย งสรรพชีวิต ทัง้ หลายรอบทะเลสาบสงขลามายาวนานหลายชัว่ อายุ ค น ความ
เปลีย่ นแปลงของชุมชนโดยรอบทะเลสาบสงขลาส่วนหนึ่งจึงขึน้ อยู่กบั ปริมาณของสัตว์น้าทีม่ อี ยู่ในทะเลสาบ
336
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
337
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ต้องแบกทัง้ ข้าวทัง้ ฟางฟ่ อนใหญ่ขนกลับบ้าน หากฝนตกลงมาก็เปี ยก ข้าวจะเสียหาย (นิพทั ธ์พร เพ็งแก้ว 2544,
105)
ถ้าปี ใดทานาได้ผลดีจะต้องรีบเร่งเก็บให้ทนั เวลา ไม่เช่นนัน้ ข้าวจะ “ยับ” คือ ข้าวสุกมากจนรวงข้าวเปราะ
และแตกหักง่าย จนยากต่อการเก็บเกีย่ ว เมล็ดจะร่วงหล่นลงดิน ดังนัน้ ในขัน้ ตอนการเก็บเกีย่ วข้าว นอกจากจะใช้
แรงงานในครอบครัวแล้ว ยังต้องขอความช่วยเหลือจากเครือญาติและเพื่อนบ้านให้มาช่วยเก็บเกีย่ วข้าว ซึง่ เรียกว่า
ออกปาก หรือซอมือ ตามแต่โอกาส ข้าวทีเ่ ก็บเกีย่ วเสร็จแล้ว จะถูกเก็ บที่ “เรือนข้าว” หรือ “ห้องข้าว” ตามสภาพ
ของบ้านแต่ละหลังและปริมาณข้าวทีม่ อี ยู่ ข้าวทีจ่ ดั เก็บเหล่านี้จะจัดเลียงข้าววางซ้อนกันอย่างมีระเบียบเป็ นลอม
เรียกว่า “ลอมข้าว” โดยจะไม่มกี ารนวดข้าวจนกว่าจะนามากินหรือแลกเปลีย่ นซือ้ ขาย (กิตติ ตันไทย 2552, 46-47)
ดังนัน้ การเก็บข้าวด้วย “แกะ” นอกจากจะเหมาะกับชนิดของพันธุข์ า้ วทีป่ ลูกแล้ว วิถกี ารผลิตเช่นนี้กลับยิง่ ส่งเสริม
ความสัมพันธ์อนั ดีของผูค้ นในชุมชนในเรื่องของการพึง่ พาอาศัยซึง่ กัน และสะท้อนออกมาเป็ นวัฒนธรรมของชุมชน
ในเรื่องการออกปาก กินวาน และซอมือตามแต่ละโอกาส ช่วยเสริม สร้างความรักความสามัคคีของผูค้ นในชุมชน
หล่อหลอมให้เกิดความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ทางด้านสังคมและวัฒนธรรมชุมชน ในสังคมการเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทานา มีวฒ ั นธรรมความ
เชื่อต่าง ๆ มากมายทีห่ ล่อเลีย้ งวิถชี วี ติ ก่อให้เกิดความรูส้ กึ ร่วมในการหวงแหนรักษาทรัพยากรธรรมชาติอนั เป็ น
ของสาธารณะทีท่ ุกคนมีสทิ ธิในการใช้ได้อย่างเท่าเทียมกัน วัฒนธรรมเหล่านี้นอกจากธารงรักษาธรรมชาติแล้วยัง
ก่อให้เกิดความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้คนในพื้นที่ เกิดความรัก ความสามัคคี เห็นอกเห็นใจกัน และสร้าง
ความเข้มแข็งให้เกิดแก่ชุมชน ด้วยวิถชี วี ติ ที่เรียบง่ายกับความเป็ นอยู่แบบชาวนาดัง้ เดิมชุมชนทัง้ สามในอดีต มี
ความเชื่อผูกพันกับการบูชาแม่โพสพแบบเดียวกัน ชาวนาจะมีการทาขวัญข้าว บางส่วนจะทาขวัญข้าวเป็ นราย
ครัวเรือน และบางพื้นที่มีการทารวมกันที่วดั เรียกว่า “ทาขวัญข้าวใหญ่ ” โดยวัดจัดให้มีกองข้าวเลียงขึ้น เมื่อ
ชาวบ้านนาข้าวเลียงมาบริจาควัด วัดจะรวบรวมไว้ แล้วกาหนดวันทาขวัญข้าวใหญ่ขน้ึ เมื่อถึงวันนัน้ ชาวบ้านแต่ละ
ครัวเรือนจะนาข้าวไปวัดอีกคนละ 1 เลียง และเขียนชื่อกากับไว้ ผูจ้ ดั พิธจี ะนาข้าวเลียงของทุกคนรวมไว้ด้วยกัน
และประกอบพิธดี งั กล่าวข้างต้น เมื่อเสร็จพิธแี ล้ว แต่ละครัวเรือนจะนาข้าวเลียงของตนกลับไปเก็บไว้บนยุง้ เป็ นข้าว
ขวัญ ประเพณีทาขวัญข้าว ทากันทุกท้องทีแ่ ละแทบทุกครัวเรือนทีม่ กี ารทานา เชื่อกันว่าเพื่อเป็ นสิรมิ งคล ไม่อด
อยาก ทานาได้ผล มีขา้ วกินตลอดปี เพราะแม่โพสพจะประทานความสมบูรณ์พูนสุขมาให้ ประเพณีดงั กล่าวนี้ มี
คุณค่าทางด้านจิตใจ เป็ นการปลูกฝั งคุณธรรมเรื่องความกตัญญูต่อสิง่ ทีม่ คี ุณ ให้ความสาคัญต่อข้าว แสดงออกต่อ
ข้าวด้วยความสานึกในคุณค่า รูป้ ระหยัด รูจ้ กั เก็บรักษาไม่ให้ตกเป็ นอาหารของสัตว์และปล่อยให้หกเรีย่ ราดโดยไม่
สมควร ซึ่ง การท าขวัญ ข้า วเช่ น นี้ ก ลับ ค่ อ ย ๆ เลือ นหายไปเมื่อ เกิด รู ป แบบการท านาแบบใหม่ ท่ีมีก ารน า
เครื่องจักรกลมาใช้แทนแรงงานคนและสัตว์เลีย้ ง และหายไปอย่างสิน้ เชิงเมื่อมีการทาสวนยางหรือสวนปาล์มในนา
ข้าว เพราะการทาสวนยางพาราหรือสวนปาล์มไม่มพี ธิ กี รรมเช่นการทานาอีกต่อไป
วิถชี ุมชนดัง้ เดิมนัน้ จะเห็นว่าประชาชนดารงชีวติ อยู่อย่างเรียบง่าย ไม่สลับซับซ้อน ผูค้ นมีความสัมพันธ์
กันอย่างแนบแน่ นในลักษณะของการออกปากกินวาน ซอมือ และการผูกดองผูกเกลอกัน ซึง่ วิถเี ช่นนี้เป็ นลักษณะ
ปกติของชุมชนชนบทภาคใต้ของไทยโดยทัวไปที ่ ต่ อ้ งอาศัยตนเองและชุมชนในการปกป้ อง พิทกั ษ์รกั ษาทรัพย์สนิ
ภายในชุมชนร่วมกัน
ออกปากหรือวาน เป็ นการไหว้วานให้เพื่อนบ้านมาช่วยกันลงแรงทางานอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้งาน
หนักหรืองานเร่งด่วนสาเร็จลุล่วงทันการ โดยผู้ท่รี ่วมลงแรงไม่คดิ ค่าแรง งานที่จะออกปากกันนัน้ ถือเอาความ
338
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
339
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ผลกระทบจากการพัฒนา
เมื่อกาลเวลาผ่านไป ชุมชนทัง้ สามได้เปลีย่ นแปลงไปตามกระแสโลก ระบบทุนนิยมและโลกาภิวตั น์ได้เข้า
มามีบทบาทต่อวิถชี วี ติ ของคนในชุมชน ส่งผลให้ชวี ติ ทีอ่ ยู่ในความพอเพียงเกิดความไม่เพียงพอ ทุกคนมุ่งแสวงหา
ความสะดวกสบาย ละเลยความเป็ นอยู่อย่างเรียบง่ายเช่นอดีตทีผ่ ่านมา วัฒนธรรมชุมชนทีด่ งี ามถูกละเลย ไม่เห็น
ความสาคัญ วัฒนธรรมเมืองเริม่ เข้ามามีบทบาทในชุมชนอย่างไม่อาจหยุดยัง้ เมื่อรัฐมีนโยบายเน้นการพัฒนาเป็ น
หลัก ในการก้า วไปข้า งหน้ า ชุ ม ชนเริ่ม เกิด การเปลี่ย นแปลงตามแนวทางการพัฒ นาที่เ กิด ขึ้น ส่ ง ผลท าให้
ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมและขาดแคลนลงอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนแบ่งปั นเปลี่ ยนเป็ นการ
แข่งขัน ชิงดีชงิ เด่น และเห็นแก่ตวั กันมากขึน้ สภาวะทางเศรษฐกิจและสังคมที่เคยมังคั่ งและมั
่ นคงกลั
่ บถอยหลัง
จนยากทีจ่ ะกลับคืนมาเหมือนเช่นในอดีตอีกต่อไป
นับตัง้ แต่ปี พ.ศ.2504 เป็ นต้นมา ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติด้วยกรอบแนวคิดทฤษฎีความ
ทันสมัย (Modernization Theory) ทีม่ ุ่งเน้นการเพิม่ รายได้ประชาชาติ การผลิตสินค้าและบริการตลอดจนโครงสร้าง
พื้นฐานที่สาคัญของรัฐ เช่น การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ า การสร้างทางหลวงแผ่นดิน เป็ นต้น
โดยใช้ตวั ชีว้ ดั ทีส่ าคัญ คือ เงิน โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 และ 6 ซึง่ มีการดาเนิน
มาตรการสาคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่ อ การพัฒนาพื้นที่ลุ่ม น้ าทะเลสาบสงขลา มีเป้ าหมายสาคัญคือการปรับ
โครงสร้างการผลิตและขยายฐานเศรษฐกิจให้เมืองสงขลา-หาดใหญ่เป็ นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้ เช่น การ
พัฒนาอุตสาหกรรม โดยการจัดตัง้ นิคมอุตสาหกรรม การก่อสร้างท่าเรือน้าลึก การปรับระบบคมนาคมทางน้า ทาง
ถนน และทางรถไฟ เป็ นต้น
ผลจากการพัฒ นาส่ ง ผลโดยตรงต่ อ วิถีชีวิต ความเป็ นอยู่ ข องผู้ ค นในชุ ม ชนที่ต้ อ งปรับ ตัว ต่ อ การ
เปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ การพึง่ พาตนเอง ความเอือ้ เฟื้ อเผื่อแผ่และการพึง่ พากันเริม่ จางหายไปเมื่อเกิดการพัฒนา
ตามระบบทุ น นิ ย ม ความเจริญ และเทคโนโลยีส มัย ใหม่ ท่ีเ กิด ขึ้น ได้ ท าลายวัฒ นธรรมดัง้ เดิม ของชุ ม ชน
ความสัมพันธ์ฉนั ท์เครือญาติของคนในสังคมเสื่อมลง ความเห็นแก่ตวั เกิดขึน้ แทนที่ ชุมชนจึงต้องเผชิญกับระบบ
ทุนนิยมซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีการดารงชีวติ ของผู้คน สิง่ ที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาดังกล่าวที่เห็นเด่นชัด คือ
การผลิตเพื่อการยังชีพกลายเป็ นการผลิตเพื่อการค้า เช่น ในอดีตการปลูกข้าวของชาวนาจะเป็ นการปลูกเพื่อเก็บ
ไว้รบั ประทาน ไม่ได้ปลูกเพื่อขายเป็ นหลัก เรือนเก็บข้าวนับเป็ นเครื่องบ่งบอกฐานะทางการเงินของชาวบ้าน หาก
ใครมีเรือนข้าวขนาดใหญ่แสดงว่ามีฐานะมังคั ่ ง่ ร่ารวย นอกจากเรือนข้าวแล้ว ฝูงสัตว์กน็ ับเป็ นเครื่องกาหนดฐานะ
ของคนในชุมชนอีกด้วย หากใครมีววั มากก็นบั ว่าเป็ นผูม้ ฐี านะดี ดังนัน้ หากไม่จาเป็ นจริง ๆ ชาวนาจะไม่นาข้าวใน
เรือนข้าวออกมาขายโดยเด็ดขาด เพราะการทาเช่นนัน้ จะถูกมองว่ายากจนข้นแค้นมาก ถึงขนาดต้องนาข้าวใน
เรือนข้าวมาขาย
340
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
341
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
342
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ช่ ว ยเหลือ เกื้อ กู ล เอื้อ อาทรต่ อ กัน ความมีน้ า ใจค่ อ ย ๆ เจือ จางลงโดยมีเ งิน เข้า มาแทรกกัน้ กลางระหว่ า ง
ความสัมพันธ์ ผู้คนเริ่มเปลี่ยนวิธคี ดิ เริ่มคิดถึง “เงิน” แทนการนึกถึง “น้ าใจ” ความเข้มแข็งของชุมชนซึ่งเป็ น
ภูมคิ ุ้มกันให้ชุมชนปลอดภัยจากโลกภายนอกเริม่ เสื่อมคลายลง ปั ญหาต่าง ๆ ในชุมชนจึงเกิดขึน้ ตามมาอย่าง
มากมายดังทีไ่ ด้ปรากฏเป็ นภาพสะท้อนให้ประจักษ์ในปั จจุบนั
การปรับ ัวและการดารงอยู ่
จากปั ญ หาที่เ กิด ขึ้น อัน เป็ น ผลจากการพัฒ นาของภาครัฐ ส่ง ผลให้ชุ ม ชนทัง้ สามเกิด ปั ญ หาตามมา
มากมาย คนในชุมชนแตกแยก ขาดความรักสามัคคีกนั ความเห็นแก่ตวั คิดแต่ตนเองและครอบครัว ไม่สนใจใคร
ทาให้ชุมชนแทบล่มสลาย ความสัมพันธ์อนั ดีทเ่ี คยมีต่อกันถูกขีด กัน้ ด้วยเงินตรา ก่อนทีช่ ุมชนจะล่มสลายมากไป
กว่านัน้ ทัง้ สามชุมชนได้พยายามจัดการหาทางออกเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยมีจุดเริม่ ต้นและกระบวนการที่
แตกต่างกัน แต่มแี นวคิดร่วมกันคือ การนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในพืน้ ที่ ให้ชุมชนของตนอยู่
รอด ผ่านพ้นวิกฤติไ ด้อย่างมีศกั ดิศ์ รี คนในชุมชนพึ่งตนเองได้และสามารถพัฒนาชุมชนก้าวสู่การเป็ น “ชุมชน
เข้มแข็ง” อันมีรายละเอียดดังนี้
1. ชุมชนโคกเมือง ต.บางเหรียง อ.ควนเนี ยง จ.สงขลา ผลจากการพัฒนาทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลง
ขึน้ ในชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติลดลง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยไม่ ยงั ้ คิด ส่งผลให้เกิดความเสื่อมต่อชุมชน
ปริมาณสัตว์น้ าลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการใช้อวนรุนในการจับปลาซึง่ เริม่ เข้ามาในพื้นที่ตงั ้ แต่ประมาณปี
พ.ศ. 2520 มีการใช้อวนตาถี่ ๆ ตาอวนที่มขี นาดเล็กเช่นนี้ จึงทาให้จบั สัตว์น้ าชนิดอื่น ๆ ที่ไม่ได้ขนาดซึ่งอาศัย
บริเวณเดียวกันไปด้วย ปลาตัวเล็กตัวน้อยจึงถูกจับไปหมด ส่งผลให้ปริมาณปลาลดจานวนลงอย่างรวดเร็ว
343
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
344
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
345
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
346
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
347
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
348
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
อภิปรำยผล
พัฒนาการของชุมชนลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลาในบริบททางสังคมแต่เดิมนัน้ วิถีชวี ติ ของผู้คนส่วนใหญ่จะ
ประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรกรรม ดารงอยู่ร่วมกันในลักษณะของการพึง่ พาอาศัยกันและกัน อันมีวฒ ั นธรรม
ชุมชนเป็ นสิง่ เชื่อมประสาน เป็ นสังคมทีส่ งบ ผ่อนคลายและเรียบง่าย ความอุดมสมบูรณ์ของพืน้ ทีแ่ ละจานวนคนที่
ไม่มากนัก ทาให้คนในชุมชนมีความมันคงทางอาหาร
่ ไม่มคี วามจาเป็ นที่จะต้องเร่งทาการผลิต สามารถพึ่งพา
ตนเองได้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลีย่ นแปลงไป ความเจริญได้แทรกซึมเข้าสูช่ ุมชนตามห้วงเวลาอันไม่อ าจหลีกหนี ความ
ทันสมัย ค่านิยมสมัยใหม่ ความเจริญทางวัตถุ ได้ทาลายสายสัมพันธ์อนั ดีทค่ี นในชุมชนเคยมีต่อกัน ชุมชนเกิดการ
เปลีย่ นแปลงสูว่ ถิ คี นเมือง เกิดความอยากได้ ใคร่มี ความเห็นแก่ตวั การแก่งแย่งแข่งขัน ต่อสูแ้ ย่งชิงอันเป็ นสิง่ ปกติ
ของปุถุชน แต่ ก่อให้เกิดรอยร้า ว ยากแก่การประสานขึ้นในชุมชน ชุมชนจึงต้องเร่งแสวงหาหนทางแก้ไขและ
ปรับตัวรับกับกระแสดังกล่าว ผลกระทบจากระบบทุนนิยมทาให้ชุมชนสูญเสียการพึง่ พิงกันเองในชุมชนเพราะถูก
สอดแทรกด้วยระบบเงินตรา สูญเสียการพึง่ พาทรัพยากรในท้องถิน่ เนื่องจากระบบนิเวศทีอ่ ุดมสมบูรณ์ถูกทาลาย
ทาให้ชุมชนเกิดปั ญหาตามมามากมาย แต่ ชุมชนไม่ยอมจานนต่ อการคุ กคามดัง กล่ าว คนในชุมชนพยายาม
ช่วยเหลือตัวเองให้ชุมชนของตนดารงอยู่ได้อย่างมีศกั ดิศรี ์ ในรูปแบบต่าง ๆ กันตามบริบทของแต่ละชุมชน เพื่อ
ก้าวสูก่ ารเป็ นชุมชนเข้มแข็ง และสามารถพึง่ พิงตนเองได้
การดาเนินงานของชุมชนต่าง ๆ ใช้กรอบคิดเดียวกันคือการน้อมนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้
ในพื้นที่ โดยยึดหลักทางสายกลาง ก้าวผ่านระบบทุนนิยม โลกาภิวตั น์และการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปสู่วถิ ี
ดัง้ เดิมของชุมชนอันเป็ นวิถที ส่ี งบ เรียบง่าย โดยใช้ภูมปิ ั ญญา และวัฒนธรรมชุมชนเป็ นตัวขับเคลื่อนความสัมพันธ์
ของคนในชุมชน ลด ละ เลิกพฤติกรรมทีฟ่ ้ ุงเฟ้ อ หันกลับสู่วถิ ธี รรมชาติทเ่ี คยหล่อเลีย้ งชีวติ ผูค้ น ดารงอยู่ร่วมกับ
ธรรมชาติ ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ แต่ไม่ทาลายธรรมชาติอนั เป็ นแนวทางการพัฒนาอย่างยังยื ่ น การปรับตัวและ
การดารงอยู่ของชุมชนทัง้ ชุมชนบ้านโคกเมือง ชุมชนท่าข้าม และชุมชนบ้านท่าช้าง เกิดจากผูน้ าและคนในชุมชน
ร่วมคิด ร่วมทา ร่วมแก้ปัญหา ร่วมพัฒนาโดยมีเป้ าหมายเหมือนกัน คือ เพื่อให้ชุมชนพึง่ พาตนเองได้ ดารงอยู่
อย่างเข้มแข็ง สงบสุข ร่มเย็นและมีศกั ดิศรี ์
จุดเด่นของชุมชนทัง้ สามทีท่ าให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติ นาพาชุมชนสู่การเป็ นชุมชนเข้มแข็งได้นนั ้ เกิด
จากผูน้ าเป็ นสาคัญ ดังจะพบว่าการปรับตัวและการดารงอยู่ของชุมชนบ้านโคกเมือง เกิดจากผูน้ าชุมชนเป็ นแกน
หลักในการพัฒนาพืน้ ทีซ่ ง่ึ ก็คอื ผูใ้ หญ่อุดม ฮิน่ เซ่ง และ อาจารย์สมพงศ์ ลัพกิตโร ทีป่ รึกษาคนสาคัญของชุมชน ที่
ต้องการพัฒนาท้องถิน่ ทีต่ นอาศัย โดยคานึงถึงศักยภาพของคนในชุมชนว่ามีไม่เหมือนกัน พยายามจัดสรรคนให้
เหมาะกับงาน เริม่ ต้นรวมกลุ่มคนให้เป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถักทอสายใยแห่งความร่วมมือ โดยนาวัฒนธรรม
ชุมชนทีด่ งี ามคือ ความมีไมตรีจติ อันดี การช่วยเหลือพึง่ พา การถ้อยทีถอ้ ยอาศัยกลับคืนมาสู่ชุมชน เมื่อความรูส้ กึ
เช่นนี้เกิดขึน้ การทางานเพื่อพัฒนาพืน้ ทีจ่ งึ ไม่ใช่เรื่องยากลาบากอีกต่อไป ชุมชนท่าข้ามการปรับเปลี่ยนเกิดขึน้
อย่างเด่นชัดภายใต้การดาเนินงานขององค์การบริหารส่วนตาบล (อบต.) โดยมีผนู้ าสาคัญคือ นายสินธพ อินทรัตน์
นายก อบต.ท่าข้ามคนปั จจุบนั หลังจากนัน้ จึงพยายามหาแกนนาและสร้างกลุ่มคนมาพัฒนาเพื่อขยายแนวคิดการ
พัฒนาให้ออกมาเป็ นรูปธรรม ซึง่ การมีผนู้ าทีม่ วี สิ ยั ทัศน์ได้สง่ ผลให้ชุมชนเกิดการพัฒนาและก้าวหน้ายิง่ ส่วนชุมชน
บ้านท่าช้าง การปรับตัวและดารงอยู่เกิดจากแกนนาชาวบ้านในชุมชนเป็ นผู้นาเสนอแนวคิดริเริม่ สร้างสรรค์ ตัง้
คาถาม ค้นหาคาตอบ นาสูก่ ารปฏิบตั เิ ป็ นรูปธรรม ซึง่ การพัฒนาทัง้ สามพืน้ ทีด่ งั กล่าวนี้เป็ นลักษณะของการพัฒนา
ที่คนในพื้นที่ได้มสี ่วนร่วมคิด ร่วมทา และร่วมรับผลประโยชน์ร่วมกัน อันจะเป็ นการพัฒนาทีย่ งยื ั ่ นมากกว่าการ
พัฒนาทีม่ าจากการเร่งรัดจากภาครัฐดังอดีตทีผ่ ่านมา
349
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทสรุ ป/ข้อเสนอแนะ
ชุมชนทัง้ สามในอดีตมีวถิ ชี วี ติ ทีเ่ รียบง่าย ผ่อนคลายยิง่ เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ าทะเลสาบ
สงขลา การดารงอยู่เป็ นไปในลักษณะการพึง่ พาตัวเองและพึ่งพากันในชุมชน โยงยึดคนในชุมชนด้วยวัฒนธรรม
การออกปาก กินวาน ซอมือ ผูกดองผูกเกลอกัน แต่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึน้ เมื่อภาครัฐมีนโยบายส่งเสริมการ
พัฒนา มุ่งสู่ความทันสมัย ผ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่งผลให้ระบบทุนนิยม และโลกาภิวตั น์ได้
แทรกซึมเข้าสูช่ ุมชน ทาลายวัฒนธรรมทีเ่ คยมี ผูค้ นมุ่งหวังในการหาเงินตราเพื่อสนองความต้องการ วัฒนธรรมอัน
ดีงามค่อย ๆ เสื่อมคลายลง และเกิดปั ญหาตามมามากมาย แต่ทา้ ยทีส่ ุดชุมชนทัง้ สามได้มกี ารปรับเปลีย่ นวิธคี ดิ
หันมาดาเนินชีวติ ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและพลิกฟื้ นชุมชนจนสามารถกลายเป็ นตัวอย่างของชุมชน
เข้มแข็งให้กบั ชุมชนอื่น ๆ ทีป่ ระสบปั ญหาคล้ายคลึงกัน
ในอนาคต หากมีการทาการศึกษาชุมชนอื่น ๆ เพิม่ เติม และทาการเปรียบเทียบความเหมือนและความ
แตกต่างของการเปลีย่ นแปลงภายในชุมชนเหล่านัน้ จากการพัฒนาของภาครัฐ จะช่วยทาให้การศึกษาเรื่องราวของ
ท้องถิน่ ครบถ้วน สมบูรณ์มากขึน้ กว่าทีเ่ ป็ นอยู่ในปั จจุบนั
รำยกำรอ้ำงอิง
เอกสารชั้น ้น
สจช. รัชกาลที่ 6.ร.6/1น.20.3/54 หนังสือพิมพ์บางกอกไทส์ม.ขวานถนิม (บทความ) 20 ธ.ค. 2466: 29.
เอกสารชั้นรอง
กิตติ ตันไทย. 2540. โครงการเศรษฐกิจท้องถิน่ ลุ่มน้ าทะเลสาบสงขลา: ศึกษาเฉพาะกรณีขา้ วและยางพารา.
กรุงเทพฯ: คอมแพคท์พริน้ ท์ จากัด.
———. 2552. หนึง่ ศตวรรษเศรษฐกิจของคนลุม่ ทะเลสาบสงขลา. สงขลา: มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา.
จานงค์ แรกพินิจ. 2537. แชร์แรงงาน: ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของชาวบ้านภาคใต้.
สงขลา: สถาบันทักษิณคดีศกึ ษา.
ชัยวุฒิ พิยะกูล. 2552. พัฒนาการและบทบาทของพระพุทธศาสนาบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา.
กรุงเทพฯ: สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั .
นิพทั ธ์พร เพ็งแก้ว. 2544. อนุทนิ ทะเลสาบ. กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ.
พิทยา บุษรารัตน์. 2552. นาฏกรรมแห่งลุ่มทะเลสาบสงขลา การเปลีย่ นแปลงและความสัมพันธ์กบั
สังคมและวัฒนธรรมของหนังตะลุงและโนรา. กรุงเทพฯ: สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั .
ยงยุทธ ชูแว่น และ ประมวล มณีโรจน์. 2546. บทสังเคราะห์รายงานการวิจยั ชุดโครงการเครือข่ายปริญญาโทไทย
ศึกษา: เศรษฐกิจชุมชนหมู่บา้ นลุ่มทะเลสาบสงขลาในมิตปิ ระวัตศิ าสตร์. กรุงเทพฯ: สานักงานกองทุน
สนับสนุนการวิจยั .
350
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
351
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
352
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P3-R3-01
ประวัติศาสตร์จากเบื้องล่าง
คือ ประวัติศาสตร์ของประชาชน
เรื่ องเล่ า จากซ้ ายใหม่ อั ง กฤษ
เมื่ อ ‘ประชาชน’ เข้ า แทนที่ ชนชั ้ น
353
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
1 ดูตวั อย่างเช่น เว็บไซต์ “History is the new punk: History From Below” ทีบ่ รรยายว่าพวกตนคือกลุ่มเครือข่ายนานาชาติของนักประวัตศิ าสตร์จาก
เบื้องล่าง ซึง่ ประกอบด้วย นักประวัตศิ าสตร์ผปู้ ลุกปั น่ สังคม, ศิลปิ น, นักจดหมายเหตุอสิ ระ ฯลฯ
2 ดู ชาร์ป (Sharpe 1991)
354
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
355
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
นักประวัติศำสตร์มำร์กซิ สต์อังกฤษ
ฮาร์วยี ์ เจ. เคย์ (Harvey J. Kaye) ได้สรุปความเป็ นมารวมทัง้ ลักษณะทางความคิดทีส่ าคัญของกลุ่มนัก
ประวัติศาสตร์มาร์กซิสต์องั กฤษไว้อย่างกระชับในบทความสังเขปเรื่อง “British Marxist historians” (1991) เคย์
เสนอว่ า แม้ปั จ จุ บ ัน คนกลุ่ ม นี้ ม ัก หมายถึง อี พี ธอมป์ สัน (Edward P. Thompson) อีริค ฮอบส์บ อว์ม (Eric
Hobsbawm) หรือ คริสโตเฟอร์ ฮิลล์ (Christopher Hill) และคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันอย่าง รอดนีย์ ฮิลตัน (Rodney
Hilton) จอร์จ รูด้ (George Rude) จอห์น ซาวิลล์ (John Saville) วิคเตอร์ เคียร์นนั (Victor Kiernan) รวมทัง้ ราฟา
เอล ซามูเอล (Raphael Samuel) ฯลฯ ซึง่ ล้วนมีบทบาทต่อการก่อตัง้ กระแสความคิดซ้ายใหม่ (New Left) ในเวลา
ต่อมา แต่เคย์เสนอว่าควรจะต้องสืบย้อนกลับไปถึงนักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสต์ทท่ี างานมาตัง้ แต่ ช่วงปลายทศวรรษ
ที่ 1930 ด้ว ย เช่ น นัก เศรษฐศาสตร์อ าวุ โสอย่ าง มอริส ดอบบ์ (Maurice Dobb) จากมหาวิท ยาลัย เคมบริดจ์
(Cambridge) หรือ นั ก หนั ง สือ พิม พ์แ ละนั ก เขีย นอย่ า ง โดนา ทอรร์ (Dona Torr) และเลสลีย์ มอร์ตัน (Leslie
Morton) ซึง่ ต่างก็มบี ทบาทสาคัญในการพัฒนาไม่เพียงแค่การเขียนประวัตศิ าสตร์สงั คม (social history) แต่รวมไป
ถึงความคิดมาร์กซิสต์ ความคิดประชาธิปไตยแบบถอนรากถอนโคน ตลอดจนความคิดประวัตศิ าสตร์แบบสังคม-
นิยม
เคย์อธิบายว่า การก่อตัวของนักประวัติศาสตร์มาร์กซิสต์องั กฤษในช่วงทศวรรษที่ 1930 สัมพันธ์กบั
บริบทสังคม-การเมืองภายนอกอย่างเข้มข้นนัน่ คือ สภาพเศรษฐกิจตกต่ าทัวโลก ่ และชัยชนะของลัทธินาซีและ
ฟาสซิสม์ในยุโรปกลางและในประเทศสเปน ซึง่ ได้กลายมาเป็ นปั จจัยสาคัญทีน่ ามาสูก่ ารเกิดสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง
ในเวลาต่อมา ในช่วงเวลานัน้ เอง คนอย่างดอบบ์หรือทอร์มคี วามศรัทธาเป็ นอย่างยิง่ ว่า สหภาพโซเวียต (อยู่ภายใต้
การนาของสตาลิน (Stalin) แล้ว) จะเป็ นตัวแบบการพัฒนาทางเศรษฐกิจทีก่ า้ วหน้ามากทีส่ ดุ และเป็ นพลังปฏิปักษ์
สาคัญที่จะต้านทานการแผ่ขยายของลัทธิฟาสซิสม์ รวมทัง้ ยังเล็งเห็นว่าพรรคแรงงานอังกฤษ (British Labour
Party) ไม่มคี วามสามารถพอทีจ่ ะรับมือกับความท้าทายของวิกฤติสมัยใหม่ทเ่ี กิดขึน้ ในขณะนัน้ และไม่สามารถทีจ่ ะ
สร้างความคิดแบบสังคมนิยมให้เจริญก้าวหน้าได้ ดังนัน้ บรรดานักประวัติศาสตร์ทงั ้ รุ่นเก่าคือรุ่นของดอบบ์หรือ
ทอรร์ และรุ่นใหม่ซ่งึ เกือบทัง้ หมดเป็ นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์หรือไม่กอ็ อกซ์ ฟอร์ด (Oxford) เช่น
ธอมป์ สัน จึงพากันเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเกาะบริเตนใหญ่ (CPGB) โดยต่างก็เชื่อมันว่ ่ า ‘การใช้กาลัง
แรงงานเชิงวิชาการของตน’ (scholarly labours) จะมีส่วนช่วยให้เกิดความก้าวหน้าในการต่อสูข้ องชนชัน้ แรงงาน
ได้อกี ทางหนึ่ง
ภายหลังจากสงครามโลกครัง้ ที่สองสงบลง คนทัง้ สองรุ่นได้รวมตัวกันจัดตัง้ เป็ น ‘กลุ่มนักประวัตศิ าสตร์
แห่ ง พรรคคอมมิว นิ ส ต์ ’ (the Communist Party Historians' Group - CPHG) โดยมีเ ป้ าหมายเพื่อ พัฒ นาการ
อธิบายประวัติศาสตร์สงั คมและคนอังกฤษตามแบบมาร์กซิสม์ให้ละเอียดลึกซึ้ง รวมทัง้ เผยแพร่ค วามคิดนี้ให้
กว้างขวางยิง่ ขึน้ กล่าวได้ว่าในยุคทีร่ ุ่งเรืองทีส่ ุดของ CPHG ระหว่าง ค.ศ. 1946-56 มีสมาชิกเข้าร่วมเป็ นจานวน
มากพอทีจ่ ะจัดตัง้ เป็ นส่วนงานของตนเองขึน้ มาในพรรค นอกจากนี้การศึกษาวิจยั ของสมาชิกแต่ละคนก็ได้นาไปสู่
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการทางาน การวิจยั และการตีพมิ พ์ผลงานวิชาการอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ดี ได้เกิดความพลิกผันครัง้ ใหญ่ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1956-57 หลังจากการอสัญกรรมของสตา
ลิน และการปราศรัยของครุชเชฟ (Khruschev) ทีเ่ ปิ ดโปงอาชญากรรมของลัทธิสตาลินต่อทีป่ ระชุมคองเกรสของ
พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต รวมไปถึงเหตุการณ์ทโ่ี ซเวียตเข้าปลดปล่อยประเทศฮังการีดว้ ยการบุกยึดและผนวกให้
เป็ นดินแดนของตน และการทีพ่ รรค CPGB ล้มเหลวเพราะไม่แสดงการต่อต้านการรุกรานครัง้ นี้ รวมทัง้ ไม่มที ่าที
356
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
7 วงวิชาการทัง้ มาร์กซิสต์และไม่มาร์กซิสต์มก
ั ถือเอาบทความขนาดสัน้ ของ ธอมป์ สัน เรื่อง “History from Below” (1966) เป็ นจุดอ้างอิงถึงการเริม่ ต้น
อย่างเป็ นรูปธรรมของกระแสประวัตศิ าสตร์จากเบื้องล่าง
357
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ถุงน่ องทีย่ ากจน พวกลูด้ ไดท์ทล่ี อบทุบทาลายเครื่องจักรในโรงงาน เหล่าคนงานผ้าทอมือ ‘ทีไ่ ม่เป็ นทีต่ ้องการอีก
ต่อไปในยุคเครื่องจักรอุตสาหกรรม’ ตลอดจนเหล่าช่างฝี มอื ที่ใฝ่ ฝั นถึงสังคมอุดมคติ ... จากสถานะที่คนรุ่นหลัง
จะต้องลดตัวลงมาหา[เพื่อศึกษาหรืออธิบาย]”
เคย์กล่าวว่า แม้อาจจะมีขอ้ ถกเถียงว่าอานัลล์สคูลน่ าจะเป็ นผู้รเิ ริม่ กระแสการศึกษาประวัติศาสตร์จาก
เบือ้ งล่างก่อน แต่กเ็ ป็ นทีช่ ดั เจนว่ าพวกเขาก็ไม่ได้มองประวัตศิ าสตร์ผ่านเรื่องของการต่อสูท้ างชนชัน้ หรือบทบาท
ในฐานะผู้กระทาของคนชัน้ ล่างในประวัติศาสตร์ ในแง่น้ีอาจกล่าวได้ว่า ประวัติศาสตร์แบบสานักอานัลล์คอื การ
กลับ ไปเติมรายละเอียดเรื่อ งราวของคนธรรมดาในชีวิตประจาวัน ให้กบั ภาพประวัติศ าสตร์ในอดีต ในขณะที่
ประวัติศาสตร์ประชาชนหรือประวัติศ าสตร์จากเบื้องล่าง ไม่ใช่แค่ต้องการอธิบายประวัติศาสตร์ใ นฐานะการ
คลีค่ ลายเปลีย่ นแปลงของสังคมจากมุมมองของผูถ้ ูกกดขีแ่ ละขูดรีด แต่หวั ใจสาคัญคือความปรารถนาทีจ่ ะยืนยันว่า
ผูค้ น ประชาชน และคนชัน้ ล่างมีบทบาทสาคัญยิง่ ต่อการเปลี่ ยนแปลงสังคมผ่านการต่อสูเ้ ชิงชนชัน้ ตัง้ แต่อดีตมา
จนถึงปั จจุบนั (ซึง่ ควรจะต้องดาเนินต่อไปสูอ่ นาคตด้วย)
อย่างไรก็ดี การนาประชาชนมาแทนทีช่ นชัน้ ไม่ใช่แค่การขยายขอบเขตความหมายของผู้ถูกกดขี่ แต่
หมายถึงการถกเถียงกับโครงเรื่องประวัตศิ าสตร์วตั ถุนิยมวิภาษวิธี ซึง่ นั กประวัตศิ าสตร์ซา้ ยใหม่ตคี วามไม่เท่ากัน
บางคนเช่น ธอมป์ สันอาจแค่ต้องการชี้ให้เห็นว่ามนุ ษย์และการต่อสู้ก็เป็ นสิง่ สาคัญพอๆ กับการอธิบายความ
ขัดแย้งระหว่างโครงสร้างส่วนล่างและโครงสร้างส่วนบนทีจ่ ะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมขัน้ ต่อไป แต่คนอื่นๆ
อาจตีความไปถึงขัน้ ว่า ซ้ายใหม่ได้ปฏิเสธคาอธิบายดังกล่าวลงทัง้ หมดแล้ว เมื่อไม่ชดั เจนว่าเป้ าหมายของการ
เขียนประวัติศาสตร์การต่อสูข้ องผู้คนจะมุ่งไปสู่อะไรแน่ นี่จงึ กลายเป็ นปมปั ญหาข้อใหญ่ทต่ี ิดค้างมาจนถึงอย่าง
น้อยต้นทศวรรษที่ 1980 ทาให้นักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสต์/ซ้ายใหม่อย่างซามูเอล ต้องกลับมาตอบคาถามอีกครัง้
ว่า ทาไมมาร์กซิสต์และนักสังคมนิยมควรจะต้องรับประชาชนเข้าแทนทีช่ นชัน้ และรับเข้ามาอย่างไร โดยซามูเอล
พยายามอธิบายไว้ดงั ต่อไปนี้
ประวัติศำสตร์ของกำรเขียนประวัติศำสตร์ประชำชน
ซามูเอล (Samuel 1981) เริม่ ต้นด้วยการให้ภาพรวมและพัฒนาการของการศึกษา 'ประวัติศาสตร์ของ
ผูค้ น/ประชาชน' (people’s history)8 ว่า มีเส้นทางความเป็ นมาทีแ่ สนยาวไกลและครอบคลุมงานเขียนทีแ่ ตกต่ าง
กันหลายกลุ่มมาก งานบางกลุ่มเล่าผ่านโครงเรื่องความก้าวหน้า บ้างเล่าผ่านมุมมองเรื่องความเสื่อมทรามทาง
วัฒนธรรม (cultural pessimism) บ้างก็เล่าจากมุมมองแบบมนุษยนิยมเชิงเทคโนโลยี เช่น งานศึกษาประวัตศิ าสตร์
'ข้า วของเครื่อ งใช้ในชีวิตประจาวัน ' (everyday things) ซึ่ง เป็ น งานศึก ษาที่ได้รบั ความนิย มมากในวงวิชาการ
ประเทศอังกฤษช่วงทศวรรษที่ 1930 สิง่ ทีเ่ ป็ นวัตถุแห่งการศึกษาในประวัตศิ าสตร์ประชาชนก็มคี วามหลากหลาย
บ้างก็ศกึ ษาเครื่องมือหรือข้าวของเครื่องใช้ (อย่างทีไ่ ด้กล่าวไปแล้ว) บ้างก็ศกึ ษาขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม
บ้างก็ศกึ ษาเรื่องราวชีวติ ครอบครัว ฯลฯ
ซามูเอลกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้การศึกษาประวัตศิ าสตร์ของประชาชนก็มมี าในชื่อต่างๆ มากมาย เช่น
งานศึก ษา 'ประวัติศ าสตร์อุ ต สาหกรรม' ของกลุ่ ม สัน นิ บ าตไพร่ (Plebs League) ซึ่ง เป็ น ชื่อ ขององค์ก รเพื่อ
การศึกษาและการเมืองของคนงานอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หรืองานศึกษา 'ประวัตศิ าสตร์ธรรมชาติ' เช่น
8ในทีน่ ้ผี เู้ ขียนจะแปล people ว่า ‘ผูค้ น’ ในขณะทีจ่ ะแปล popular ว่า ‘ประชาชน’ ในแง่ทส่ี อ่ื นัยถึง ผูค้ นทีก่ า้ วออกมามีสว่ นร่วมเคลือ่ นไหวทางการเมือง
ประชาชนจึงมีนยั ของตัวแทนของการเปลีย่ นแปลงทางการเมือง ในขณะทีเ่ มือ่ พูดถึงผูค้ นก็จะนึกถึงคนธรรมดาในชีวติ ประจาวันจริงๆ ทีอ่ าจจะสนใจเรือ่ ง
หมากัดวัว การพนัน และไสยศาสตร์ มากกว่าการถกเถียงหรือเคลือ่ นไหวเพือ่ ปลดปล่อยตนเองให้เป็ นอิสระตามอย่างปรัชญาแสงสว่าง
358
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
359
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เลอ รอย ลาดูรี (Emmanuel Le Roy Ladurie) ได้แก่ Montaillou (1979) และ Carnival in Romans (1980)11 ซึ่ง
ซามูเอลเชื่อว่า เป็ นครัง้ แรกที่งานศึกษาของสานักนี้ได้หนั ไปให้ความสนใจกับกลุ่มทีม่ กั ถูกมองว่าเป็ นพวกนอก
สังคม (outcast) รวมทัง้ การเริม่ ยอมรับในหลักฐานประเภทเรื่องเล่าปากเปล่า (oral history)
ในแง่น้ีจงึ เห็นได้ว่า ประวัตศิ าสตร์ประชาชนก็คอื ความพยายามทีจ่ ะขยายหัวข้อการศึกษา ไปจนถึงการ
ใช้วตั ถุดบิ ในการศึกษาชนิดใหม่ๆ ซึง่ นาไปสู่การสร้างแผนทีค่ วามรูป้ ระวัตศิ าสตร์แบบใหม่ขน้ึ มานัน่ เอง ไม่ว่าจะ
เป็ นไปโดยตัง้ ใจหรือไม่กต็ าม ประวัติศาสตร์ประชาชนจึงเป็ นทางเลือกของการศึกษาประวัติศาสตร์แบบเดิมที่
ซามูเอลเรียกว่า ประวัตศิ าสตร์ทแ่ี ห้งผากเป็ นฝุ่ นผง (dry as dust) ซึง่ สอนกันอยู่ในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยใน
ขณะนัน้
360
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
โครงสร้างนิยมฝรังเศสที
่ เ่ ข้ามามีอทิ ธิพลเหนือพวกซ้ายใหม่องั กฤษในช่วงตัง้ แต่ทศวรรษที่ 1960 นี่กอ็ าจสะท้อนถึง
วิธคี ดิ แบบเดียวกับนักคิดโรแมนติกอย่าง ออกุสแตง เธียร์ร่ี (Augustin Thierry) ทีเ่ คยวิจารณ์ผลงานความคิดของ
พวกนักปรัชญาด้วยคารมเชือดเฉือนว่า เป็ นเพียงแค่กจิ กรรมการครุ่นคิดทีม่ ไิ ด้นาไปสู่อะไรนอกจากความแห้งแล้ง
(calculated dryness) เหนือสิง่ อื่นใด การที่ธอมป์ สันรวมทัง้ คนอื่นๆ ให้ความสาคัญมากที่สุดกับ ‘ประสบการณ์ ’
ของผู้คนในประวัติศาสตร์เป็ นแกนกลางของการโจมตี ความคิดมาร์กซิสม์-โครงสร้างนิยมแบบ หลุยส์ อัลธูแซร์
(Louis Althusser) นี่กช็ ดั เจนว่าเป็ นมรดกความคิดทีต่ กทอดมาจากชุดคู่ขวั ้ ตรงข้ามระหว่างเหตุผล (reason) กับ
อารมณ์ /แรงปรารถนา (passion) และระหว่ า งวิธีคิด แบบวิท ยาศาสตร์ก ลไก (mechanical science) กับ การ
จินตนาการ (imagination) ซึง่ เป็ นรากฐานความคิดสาคัญของกระแสคิดโรแมนติก
ในแง่น้ีการกล่าวว่าประวัติศาสตร์ประชาชนเป็ นงานเขียนแบบสัจนิยมเชิงสังคม (social realism) แนว
เขีย นแบบนี้ ก็ถือ เป็ น มรดกตกทอดมาจากกระแสความคิด โรแมนติก ในแวดวงกวีนิ พนธ์และศิลปะฝรัง่ เศสที่
พัฒนาขึน้ ในช่วง ค.ศ. 1830s - 1840s ด้วยเช่นกัน งานประวัตศิ าสตร์เรื่อง Le Peuple (1846) ของมิเชอเลต์ เป็ น
ตัว อย่ า งที่ช ัด เจนของผลงานสัจ นิ ย มเชิง สัง คมแบบเดีย วกับ งานวรรณกรรมของวิค เตอร์ ฮูโ ก (Victor) หรือ
ภาพเขียนชีวิตชาวนาและคนบ้า นนอกของกุ สตาฟว์ กูร์แบ (Gustave Courbet) โดยสิง่ ที่ทุกคนมีร่วมกัน ก็คือ
‘ความต้องการแสวงหาความจริงแท้’ (authenticity) ของชีวติ ชาวนา คนบ้านนอก คนจน และคนธรรมดาทัวไปใน ่
สังคม
ต้ายก็ประชาชน ขวาก็ประชาชน?
หากพิจารณาจากที่กล่าวมา ซามูเอลเสนอว่างานเขียนประวัตศิ าสตร์ประชาชนล้วนแล้วแต่ถูกหล่อขึน้
จากเบ้าหลอมของพลังทางการเมืองและอุดมการณ์จากทุกปี ก กล่าวคือ งานเขียนบางกลุ่มเชื่อมโยงกับอุดมการณ์
แบบมาร์กซิสม์ บ้างก็เชื่อมกับความคิดแบบเสรี-ประชาธิปไตย บ้างก็เชื่อมกับวิธคี ดิ แบบชาตินิยมเชิงวัฒนธรรม
(cultural nationalism) ฯลฯ ประเด็นสาคัญก็คอื ไม่ใช่เรื่องง่ายทีจ่ ะบอกว่างานเขียนแบบใดเป็ นงานประวัตศิ าสตร์
ประชาชนแบบทีถ่ ูกต้องหรือแบบทีผ่ ดิ (หรือมีอุดมการณ์ทางการเมืองทีเ่ ป็ นอิสระจากกัน)
ทัง้ นี้เพราะประการแรก คาว่า ‘ประชาชน’ เองก็มีความหมายแตกต่างกันไปตามแต่ ละสังคม เช่น ใน
ฝรังเศสช่
่ วงศตวรรษที่ 19 ความคิดเรื่องประชาชนเป็ นเรื่องเดียวกับความคิดเรื่องการปฏิวตั อิ ย่างไม่สามารถแยก
ออกจากกันได้ และมีนยั โยงไปถึงความคิดเรื่องพลังของชนชัน้ ด้วย ในขณะทีอ่ งั กฤษซึง่ เป็ นสังคมทีม่ รี ากเหง้าของ
ธรรมนูญการปกครองทีป่ ระชาชนเข้าไปมีสว่ นร่วมมาอย่างยาวนาน เมื่อพูดถึงประชาชนจึงมักหมายถึงการปกป้ อง
สิทธิทางสังคมและทางการเมือง ส่วนเยอรมันทีซ่ ง่ึ แนวคิดเรื่องประชาชนหรือผูค้ นผูกพันอย่างลึกซึง้ กับการศึกษา
ชีวติ ชาวบ้าน (Volkskunde) ทัง้ แบบที่มมี ุมมองขุดรากถอนโคนและแบบอนุ รกั ษ์นิยม แต่ไม่ว่าจะเป็ นแบบไหน
ประชาชนก็ถูกนิยามผ่านวิธคี ดิ เรื่องคนในกับคนนอก เช่น การมองว่าชุมชนชาวบ้าน (folk community) ตกอยู่
ภายใต้อทิ ธิพลและการปกครองจากอานาจแปลกปลอมทีม่ าจากภายนอก (alien influences and rule) ไม่นบั ว่านัย
ของประชาชนก็แตกต่างไปตามแต่ละศาสตร์สาขาวิชาด้วย เช่น สาหรับนักคติชนวิทยา ประชาชนมักหมายถึง
ชาวนา (peasant) ทีม่ วี ถิ ชี วี ติ วัฒนธรรมขัดแย้งกับคนกลุ่มอื่นในสังคม ในขณะทีน่ ักสังคมวิทยาจะหมายถึงชนชัน้
แรงงาน ส่วนนักประชาธิปไตยและนักเคลื่อนไหวชาตินิยมจะหมายถึงกลุ่มชาติพนั ธุท์ งั ้ หลายในประเทศชาติ ยิง่ เมื่อ
สวมแว่นอุดมการณ์ทางการเมืองมาสร้างคาอธิบาย ประชาชนก็ดูจะกลายเป็ นสิง่ ทีม่ คี วามหมายตามแต่ทผ่ี ู้ ศรัทธา
อยากจะเห็นมากกว่า เช่น ในงานเขียนฉบับของมาร์กซิสต์รวมทัง้ ของพวกนักประชาธิปไตยแบบขุดรากถอนโคนที่
มองว่า ประชาชนคือกลุ่มคนทีถ่ ูกกดขีข่ ดู รีดจากระบบความสัมพันธ์ทางสังคมและการผลิต
361
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
362
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
14ซามูเอลยกตัวอย่างเสริมไว้ดว้ ยว่า โครงเรื่องเหล่านี้ถู กนาไปใช้โดยนักประวัตศิ าสตร์เสรีนิยมชาวฝรั ่งเศส เช่น ฟรองซัว มิเญต์ (François Mignet)
ฟรองซัว กิโซต์ (François Guizot) และออกุสแตง เธียร์ร่ี โดยมุ่งหวังให้งานเขียนของพวกตนเป็ นเครื่องปกป้ องและสืบทอดเจตนารมณ์ของการปฏิวตั ิ
1789 รวมทัง้ เป็ นอาวุธต่อสูก้ บั กระแสความคิดทีจ่ ะรือ้ ฟื้ นราชวงศ์บูรบ์ ง (Bourbon) กลับมาในช่วงหลังการสิ้นสลายของนโปเลียนและสาธารณรัฐ ในราว
ค.ศ. 1815
363
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
เหตุการณ์ปฏิวตั ฝิ รังเศส
่ 1789 รวมทัง้ ยังคงมีความภักดีต่อความคิดแบบฌาโกแบง (Jacobinism) ความคิดเหล่านี้
ยังคงสืบทอดเรื่อยมา โดยเฉพาะการอธิบายเหตุการณ์ปฏิวตั ฝิ รังเศสในหมู
่ ่มาร์กซิสต์ตราบจนถึงปั จจุบนั
อย่างไรก็ดี การพูดถึงประวัตศิ าสตร์ประชาชนดูจะสร้างความลาบากใจให้กบั เหล่าผูน้ ิยมลัทธิมาร์กซ์ไม่
น้อยแม้ในประเทศอังกฤษจะมีมาร์กซิสต์ทศ่ี กึ ษาประวัตศิ าสตร์ประชาชนอยู่เป็ นจานวนมากก็ตาม ซามูเอลกล่าวว่า
ทัง้ นี้กเ็ พราะ ความคิดเรื่องประชาชนและประวัติศาสตร์ประชาชนถูกรับไปใช้โดยทัง้ พวกฝ่ ายขวาและฝ่ ายซ้าย
ในขณะทีร่ ากเหง้าเชิงปรัชญาของความคิดเรื่องนี้กอ็ าจกล่าวได้ว่าถูกจัดอยู่ในช่วง 'ก่อนมาร์กซิสต์' (pre-Marxist)
รวมทัง้ ประวัตศิ าสตร์ประชาชนมักมีมุมมองแบบถอยกลับไปในอดีต (backward-looking) ในขณะทีน่ ักสังคมนิยม
ศึกษาประวัตศิ าสตร์แบบมองไปข้างหน้าเพื่อสร้างโลกใบใหม่ขน้ึ มา ไม่ใช่การต่อสูเ้ พื่อสร้างความยุตธิ รรมให้เกิดขึน้
ในโลกใบเก่า
ความแตกต่างสาคัญประการต่อมาคือ ความคิดแบบมาร์กซิสต์เน้นลักษณะเชิงวิพากษ์และตัง้ ค าถาม
ทว่าประวัตศิ าสตร์ประชาชนดูจะมีวธิ คี ดิ แบบ ‘ยืนยันและยอมรับ’ (affirmative) เช่น การสรรเสริญพลังสร้างสรรค์
ของหมู่มวลมหาชน (masses) แต่ กลับไม่สนใจตัง้ คาถามกับเงื่อนไขบังคับเชิงโครงสร้าง (imperatives) ที่เป็ น
กรอบของการใช้ชีวิต และการผลิต ของหมู่ม วลประชาชนทัง้ หลาย เชื่อ ว่ า ประชาชนเท่ า นัน้ ที่จ ะสร้า งความ
เปลีย่ นแปลงได้ แต่ไม่สนใจปั จจัยกาหนดอื่นๆ ทีม่ อี ทิ ธิพลเหนือผูค้ นและสังคมเลย นอกจากนี้เมื่อพูดถึงความสนใจ
ในประสบการณ์ของผู้คนหรือประชาชน สาหรับผูน้ ิยมในลัทธิมาร์กซ์จะพูดถึงประสบการณ์ในเชิงองค์รวมหรือที่
อาจเรียกว่า ประสบการณ์ของสังคม (social experience) ทว่าประวัตศิ าสตร์ประชาชนจะพูดถึงประสบการณ์ของ
แต่ละบุคคลหรือแต่ละกลุ่มคน ‘ประชาชน’ จึงเป็ นคาทีม่ าร์กซิสต์ชาวอังกฤษจานวนไม่น้อยรูส้ กึ กระอักกระอ่วนใจที่
จะนามาใช้ในงานของตน เพราะประชาชนดูจะเป็ นคาทีไ่ ม่มที างจะเข้ากันได้กบั ลัทธิมาร์กซ์ เป็ นคาของ ‘ความคิด
แบบอื่น’ ซึง่ อย่างดีทส่ี ดุ ก็เป็ นคาจากวิธคี ดิ แบบประชาธิปไตยกระฎุมพี อย่างเลวร้ายทีส่ ดุ ประชาชนคือคาของพวก
สือ่ ทีส่ นับสนุนทุนนิยม
นอกจากนี้ การทีค่ าว่าประชาชนมีลกั ษณะของการให้ความหมายอย่างรวมๆ กว้างๆ มีนัยของเอกภาพ
(unifying notion) ในขณะทีศ่ พั ท์มาร์กซิสต์มกั มีเป้ าหมายเพื่อระบุถงึ ความแตกต่างให้ชดั เจน ดังนัน้ เมื่อนามาใช้ใน
การวิเ คราะห์ตามกรอบมาร์ก ซิสต์ก็จะสร้า งความสับสนขึ้น เช่ น ท าให้เ กิด การเหมารวมช่างฝี มือ หัตถกรรม
(artisans) ช่าง (tradesmen) กรรมกร (proletarians) และชาวนา (peasant) เข้าเป็ นคนกลุ่มเดียวกันทัง้ ทีม่ ีความ
แตกต่างและมีผลประโยชน์ทข่ี ดั แย้งกัน ดังนัน้ เมื่อใช้ คาว่าประชาชนหรือผู้คนแล้วก็มกั จะมาพร้อมกรอบคิดเรื่อง
การดารงอยู่ร่วมกันเป็ นชุมชน (community) ไม่มีทางที่จะทาให้นึกถึงความขัดแย้งของผู้คนในเชิงชนชัน้ ไปได้
มาร์กซิสต์จานวนหนึ่งจึงตัง้ คาถามกับความคิด ‘สัจนิยมแบบใสซื่อบริสุทธิ’์ (naive realism) ที่มาพร้อมกับคาว่า
ประวัติศ าสตร์ป ระชาชน ซึ่ง ซามู เ อลก็เ ห็น ด้ว ยกับ ข้อ วิจ ารณ์ ด ัง กล่ า วว่ า เป็ น เรื่อ งจริง ดัง ที่เ ขาได้พ ยายาม
ยกตัวอย่างเทียบเคียงกับกระแสสัจนิยมในแวดวงวรรณคดีและในวงการศิลปะดังที่กล่าวมาบ้างแล้วข้างต้น ที่
สาคัญคือซามูเอลเห็นว่าความคิดสัจนิยมแบบนี้จะทาลายขบวนการมาร์กซิสต์ลงได้ทงั ้ หมด เพราะมันนาเอาวิธคี ดิ
ทีใ่ ห้ความสาคัญกับเฉพาะสิง่ ทีป่ รากฎต่อหน้า (เรื่องราวชีวติ ของประชาชน) มาแทนทีก่ ารให้ความสาคัญกับวิธคี ดิ
ที่มุ่ ง ค้น หาพลัง เบื้อ งหลัง ของปรากฎการณ์ ท างสัง คม (เช่ น การอธิบ ายการเคลื่อ นตัว อย่ า งวิภ าษวิธีข อง
ประวัตศิ าสตร์วถิ กี ารผลิต)
แต่กระนัน้ ซามูเอลก็ยงั เชื่อว่า มาร์กซิสต์จาเป็ นต้องโอบรับความคิดเรื่องประวัตศิ าสตร์ประชาชน ดังจะ
กล่าวถึงในหัวข้อถัดไป
364
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
เมื่อมำร์กซิ สต์จำเป็นต้องโอบรับประวัติศำสตร์ประชำชน!
สาหรับซามูเอลแล้ว เขามองว่าการจะต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างชนชัน้ หรือ ประชาชน หรือ
ความคิดเรื่องการชาระมาร์กซิสต์ให้บริสุทธินั์ น้ นี่ใช่ว่าจะเป็ นสิง่ ทีท่ าได้ง่ายๆ หรืออันทีจ่ ริงออกจะไม่เข้าท่าเพราะ
ความคิดลักษณะเช่นนี้ตงั ้ อยู่บนคาอธิบายเรื่องความแตกต่างอย่างผิดๆ (false opposition) ระหว่างลัทธิมาร์กซ์กบั
อุดมการณ์แบบประชาธิปไตยกระฎุมพี ซึ่งเป็ นความเชื่อที่ส่งต่อมาจนถึงปั จจุบนั เพราะซามูเอลเองดูจะเชื่อว่า
แม้กระทังตั
่ วมาร์กซ์เองดูจะไม่ค่อยกังวลเรื่อง ‘การปนเปื้ อนทางความคิด ’ มากเท่ากับบรรดาเหล่าสาวกผู้ภักดี
ทัง้ หลาย นอกจากนี้ซามูเอลยังเสนอว่า มาร์กซ์ได้หยิบยืมหรือปรับแปลงความคิดทางการเมืองหลายเรื่องมาจาก
นักคิดประชาธิปไตย-กระฎุมพี ด้วยซ้า
เป็ นความจริงที่ว่ากลุ่มคนที่มาร์กซ์พูดถึงเป็ นหลักในงานคือ ‘กรรมกร’ ไม่ใช่ประชาชน ทว่าซามูเอลก็
เสนอว่า มาร์กซ์เองก็ใช้สองคานี้ในความหมายทีส่ ามารถทดแทนกันได้ดว้ ยเช่นกัน และน่าสนใจว่าในช่วงทศวรรษ
ที่ 20 คาว่าประชาชนรวมทัง้ คาอื่นๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง ถูกใช้มากในขบวนการสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ ตัวอย่างเช่น
นโยบายสร้างพันธมิตรเพื่อสูก้ บั ฟาสซิสต์ในช่วงก่อนสงครามโลกครัง้ ทีส่ องทีเ่ รียกว่า ‘กองหน้าประชาชน’ (Popular
Front, 1935-6) หรือการใช้คาว่า ‘ผูใ้ ช้แรงงาน’ (working people) อย่างแพร่หลายในหมู่คอมมิวนิสต์ แทนทีจ่ ะเป็ น
คาว่ากรรมกรหรือกรรมาชีพ (proletarians) ซึง่ เป็ นคาหลักทีม่ าร์กซ์ใช้ในเอกสารคาประกาศอุดมการณ์คอมมิวนิสต์
(Communist Manifesto) กรัมชีเ่ องก็เสนอแนวคิดเรื่อง ‘ประชาชาติ-ประชาชน’ (national-popular) ว่าเป็ นรากฐาน
สาคัญทางประวัตศิ าสตร์ของขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศอิตาลี หรือกรณีอย่างคอมมิวนิสต์จนี หรือขบวนการ
ปลดปล่อยในประเทศโลกทีส่ ามทีม่ กั หันมาใช้ศพั ท์แสงชาตินิยมและการพูดถึงประชาชนของชาติ
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างมาร์กซิสม์กบั ประวัตศิ าสตร์ประชาชนจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่ซามูเอลก็
ยังคงเสนอ (โดยถึงกับใช้คา) ว่าทัง้ สองเชื่อมติดกันด้วย 'สายสะดือ' (umbilical cord) ซามูเอลมองว่าเรื่องนี้เป็ นสิง่
ทีเ่ ห็นได้อย่างชัดเจนในกรณีของนักประวัตศิ าสตร์มาร์กซิสต์ชาวอังกฤษ ซามูเอลเสนอว่าไม่ว่านักประวัตศิ าสตร์
มาร์กซิสต์จะรูต้ วั หรือไม่กต็ ามแต่พวกเขาก็ได้ใช้งานของพวกนักประชาธิปไตยสายถอนรากถอนโคนจากรุ่นก่อน
หน้าเป็ นแหล่งข้อมูลสาคัญ เช่น ในกรณีอทิ ธิพลจากงานเขียนประวัตศิ าสตร์ชนชัน้ แรงงานอังกฤษของสองสามี
ภรรยา จอห์น และบาร์บารา แฮมมอนด์ส (John and Barbara Hammonds) ทีม่ ตี ่องานของ อี พี ธอมป์ สัน หรือใน
กรณีอิทธิพลจากงานของ ริชาร์ด เฮนรี ทาวนีย์ (Richard Henry 'R. H.' Tawney) นักสังคมนิยมคริสเตียน นัก
ประวัตศิ าสตร์เศรษฐกิจ และนักเคลื่อนไหวเพื่อการศึกษาผูใ้ หญ่ ทีม่ ตี ่อคริสโตเฟอร์ ฮิลล์ หรือตัวมาร์กซ์เองก็ได้รบั
อิทธิพลความคิดปรัชญาประวัตศิ าสตร์มาจากนั กปรัชญาชาวอิตาลีผเู้ รืองนามจากศตวรรษที่ 18 จัมบัตติสต้า วิโก้
(Giambattista Vico) นอกจากนี้ ซามูเอลยังกล่าวว่า มาร์กซ์ได้รบั อิทธิพลความคิดจากนักประวัตศิ าสตร์เสรีนิยม
ชาวฝรังเศสในช่
่ วงยุคฟื้ นฟู ราชวงศ์บูร์บง 15 ไปจนถึงนักคติชนวิทยาชาวเยอรมัน และนักประวัติศาสตร์ สงั คม
ชาวนาด้วย (ทว่าน่าเสียดายทีซ่ ามูเอลไม่ได้ระบุช่อื ไว้ว่ามีใครบ้าง)
ซามูเอลยังเสนอต่อไปอีกว่า ในด้านหนึ่งผลงานชิน้ สาคัญของมาร์กซ์เรื่อง ทุน (Capital) ก็อาจกล่าวได้ว่า
เป็ นงานประวัตศิ าสตร์จากเบื้องล่าง ในแง่ทเ่ี ป็ นงานประวัตศิ าสตร์ว่าด้วยลาดับขัน้ พัฒนาการของสังคมทีม่ องมา
จากสายตาของเหยื่อ นอกจากนี้ซามูเอลยังกล่าวว่ามาร์กซ์ได้รบั แนวคิดเรื่อง ‘การปฏิวตั กิ ระฎุมพี’ มาจากเธียร์ร่ี
และกิโซต์ ซึ่งทัง้ คู่ได้นาแนวคิดนี้มาใช้อธิบายเหตุ การณ์ปฏิวตั ิองั กฤษ ค.ศ. 1640 และการปฏิวตั ิฝรังเศส
่ ค.ศ.
1789 รวมทัง้ ยังเสนอว่า ความคิดเรื่องการปฏิวตั ิกรรมาชีพของมาร์กซ์ได้แรงบันดาลใจมาจากการศึกษากบฎ
365
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ชาวนาแจ๊คเกอรีสใ์ นฝรังเศสช่
่ วงยุคกลาง (Jacqueries) รวมทัง้ งานศึกษาการลุกฮือของไพร่ในสมัยโรมัน มากกว่า
ทีจ่ ะเป็ นผลจากการศึกษาระบบการผลิตทุนนิยมอุตสาหกรรม
ในแง่น้ีซามูเอลจึงเห็นว่า สาหรับมาร์ก ซิสต์ในประเทศอังกฤษ การปฏิเสธประวัติศาสตร์ประชาชนก็
หมายถึงการต้องปฏิเสธมรดกงานศึกษาประวัติศาสตร์นักสังคมนิยมไปด้วย นอกจากนี้ยงั กล่าวได้ว่ากระแส
ความคิด ‘ประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่าง’ รวมทัง้ ความสนใจศึกษาประวัตศิ าสตร์สงั คมอังกฤษซึง่ กาลังเบ่งบานอยู่ใน
ขณะนัน้ ทัง้ หมดนี้ล้วนแต่ ได้รบั การฟู มฟั กและเติบโต (incubated) ขึ้นมาจากกลุ่มนักประวัติศาสตร์ของพรรค
คอมมิวนิสต์ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1940 จนถึงต้นทศวรรษที่ 1950 (ช่วงต้นสงครามเย็น ) ซึ่งก็คอื กลุ่มของซา
มูเอล ธอมป์ สัน ฮิลล์ ฯลฯ นัน่ เอง นอกจากนี้ กระแสการรื้อฟื้ นครัง้ ที่สองของบทเพลงพื้นบ้าน และกระแสการ
ค้นพบบทเพลงของคนงานจากยุคปฏิวตั ิอุตสาหกรรม ซึ่งเริ่มต้นตัง้ แต่ ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 นัน้ ได้รบั แรง
บันดาลใจสาคัญมาจากนักวิชาการคอมมิวนิ สต์ท่ีเป็ นนักร้องนักดนตรีด้วยอย่างแมคคอยล์แ ละลอยด์ (Ewan
MacColl and A. L. Lloyd) หรือในกรณีของการรือ้ ฟื้ นความสนใจในศิลปะประชาชน (popular art) ทีก่ ม็ นี ักสังคม
นิยมเป็ นหัวเรีย่ วหัวแรงสาคัญ
ดังนัน้ ซามูเอลจึงเสนอว่า ประวัตศิ าสตร์ประชาชนจะช่วยสร้างความเติบโตงอกงามให้กบั ความคิดมาร์ก
ซิสต์แบบอังกฤษ (British Marxism) ได้เป็ นอย่างดี เพราะเขามองว่าความคิดทฤษฎีรวมทัง้ ข้อเสนอทางการเมือง
แบบมาร์กซิสต์นัน้ ยังขาดพร่องอยู่ (impoverished) ทัง้ นี้เพราะความคิดมาร์กซิสต์ขงั ตัวเองอยู่ในโลกมโนทัศ น์
นามธรรมทีไ่ ม่ยอมให้ขอ้ เท็จจริงอื่นๆ เข้ามาเปลีย่ นแปลงตัวมันได้เลย ในขณะทีห่ ากมองการเคลื่อนตัวของวิถกี าร
ผลิตด้วยสายตาแบบ 'ประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่าง' จะทาให้เรามองเห็นเค้าเงื่อนหรือแง่มุมคาถามอื่นๆ ทีจ่ ะนาไปสู่
การเปิ ดประเด็นอภิปรายใหม่ๆ ได้อกี มากมาย เช่น การศึกษาเรื่องเจ้าที่ดนิ และเรื่องอัศวินในยุคกลาง รวมทัง้
การศึกษาสังคมชาวนา ไปจนถึงการศึกษาเรื่องราวอย่างภาษาลับ การศึกษาแรงปรารถนาของผูค้ นทีไ่ ม่เคยถูก
กล่าวถึงมาก่อนในงานประวัตศิ าสตร์ก่อนหน้านี้ แม้กระทังการศึ
่ กษาการปะทะกันของความคิดชุดต่างๆ ในสังคม
ฯลฯ เหล่านี้อาจช่วยทาให้เห็นถึงการก่อกาเนิดขึน้ ของจิตสานึกแบบปั จเจกนิยมและอุดมการณ์แบบกระฎุมพีใน
ระบบการผลิตแบบทุนนิยมได้มากกว่าลาพังแค่การถกเถียงทางทฤษฎีดว้ ยแนวคิดนามธรรมอย่าง 'การถูกเรียกให้
สร้า งสานึ ก ตัว ตนจากอุ ด มการณ์ ' (interpellation) 'เอกเทศเชิง สัม พัท ธ์ร ะหว่า ง' (relative autonomy) หรือ การ
ถกเถียงเรื่องกฎของมูลค่า ฯลฯ ในแง่น้ี ความคิดสังคมนิยมก็จะเป็ นรูปธรรมจับต้องได้มากขึ้นเมื่อเรารู้วิ ธีท่จี ะ
ศึกษา (ประวัตศิ าสตร์) จากเบือ้ งล่างขึน้ มา
นอกจากนี้ ซามูเอลยังกล่าวต่อไปอีกว่าการศึกษาประวัตศิ าสตร์ของประชาชนมี ‘ความดีงาม’ (merit) อีก
ประการคือ มัน จะช่ ว ยตัง้ ค าถามส าคัญ ทัง้ ในเชิง ทฤษฎี แ ละในเชิง การเมือ งของกระบวนการผลิต ความรู้
ประวัตศิ าสตร์ เช่นคาถามเรื่อง ลาดับชัน้ สูงต่าของแรงงานเชิงวิชาการทีแ่ ฝงอยู่ในการเขียนประวัตศิ าสตร์ และการ
ท้าทายความคิดเรื่องความเป็ น 'ผูท้ รงคุณวุฒ'ิ ของผูเ้ ชีย่ วชาญประวัตศิ าสตร์ทงั ้ หลายซึง่ มักพ่วงมาด้วยการผูกขาด
ความรู้
ในขณะเดียวกัน การเขียนประวัตศิ าสตร์ประชาชนก็จาเป็ นต้องเชื่อมต่ อแต่ละเรื่องราวเข้าด้วยกันเพื่อให้
เข้าใจภาพใหญ่และความเป็ นไปของสังคม เพราะการจะเขียนประวัตศิ าสตร์ของผูถ้ ูกกดขี่ (ไม่ว่าจะเป็ นเรื่องราว
ของพวกโจร พวกคนนอกสังคม พวกนอกรีต ฯลฯ) จาเป็ นทีจ่ ะต้องทาความเข้าใจเงื่อนไขความสัมพันธ์ทางสังคม
ในภาพรวมด้วย (the totality of social relations) โดยเฉพาะคาถามเรื่องความสัมพันธ์เชิงอานาจทัง้ ในพืน้ ทีข่ อง
งาน ครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างเพศสภาวะ ฯลฯ ดังนัน้ การศึกษาประวัตศิ าสตร์ประชาชนจึงไม่ได้ทาให้เรา
366
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
เข้า ใจเรื่อ งราวของคนที่ถู ก กดขี่ คนที่ถู ก ลืม ฯลฯ มากขึ้น เท่ า นัน้ หากแต่ ย ัง อาจท าให้เ ร ามองภาพรวมของ
ประวัตศิ าสตร์เปลีย่ นไปอีกด้วย
สรุ ปและสะท้อนคิด
โดยสรุปแล้วข้อเสนอหลักของซามูเอลในบทนาของเขาชิน้ นี้มสี องประการ ประการแรกคือการเสนอว่า
ความเป็ นมาของความคิดมาร์กซิสม์และสังคมนิยมอังกฤษสัมพันธ์แทบจะเป็ นเรื่องเดียวกับพัฒนาการของการ
เขียนประวัตศิ าสตร์ประชาชนโดยเฉพาะจากฝั ง่ เสรีนิยม ประการทีส่ องคือข้อเสนอว่า มาร์กซิสต์และนักสังคมนิยม
จาเป็ นต้องรับเข้าความคิดเรื่องประวัตศิ าสตร์ประชาชน/ประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่างเข้าเป็ นส่วนหนึ่งของตน โดย
ให้เหตุผลว่า ประวัติศาสตร์จากเบื้องล่างจะช่วยปลดปล่อยความคิดมาร์กซิสม์อ อกจากกรงขังความคิดทฤษฎี
นามธรรม อีกทัง้ ทาให้เกิดความเป็ นประชาธิปไตยในการเขียนประวัตศิ าสตร์ และสุดท้ายคือขยายการอธิบายไปสู่
เรื่องความสัมพันธ์เชิงอานาจในมิตอิ ่นื ๆ ทีไ่ ม่ใช่แค่เศรษฐกิจ
แม้น่ีจะเป็ นคาอธิบายทีด่ ูเข้าท่า ทว่าก็อาจเป็ นร่องรอยการปริแยกทางความคิดครั ง้ ใหญ่ทอ่ี าจทาให้ตอ้ ง
กลับมาตัง้ คาถามว่า ข้อเสนอของซามูเอลยังมีความเป็ นมาร์กซิสม์อยู่หรือไม่ เพราะมาร์กซิสม์ไม่ได้แค่พดู ถึงการ
ต่อสูเ้ พื่อความเป็ นธรรม ไม่ได้พูดถึงเรื่องการยกระดับฐานะของคนจนให้ดขี น้ึ ไม่ได้พูดถึงแค่การต่อสูเ้ พื่อเสรีภาพ
ในการแสดงตัว ตนและความคิด เห็น หรือ ไม่ ไ ด้พูด แค่ ว่า ต้อ งอธิบ ายปั ญหาการกดขี่ว่า เป็ น ส่ว นหนึ่ ง ของระบ
ความสัมพันธ์ทางสังคม แต่ความคิดมาร์กซิสม์พูดถึงการต่อสูใ้ นฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลีย่ นแปลงทีจ่ ะ
นาไปสู่ภาวะอุดมคตินนคื ั ่ อสังคมไร้ชนชัน้ และการขูดรีด ปลดปล่อยมนุ ษยชาติให้เป็ นอิสระและกลั บคืนสู่ความเป็ น
มนุษย์ทแ่ี ท้จริง ซึง่ ไม่ใช่การกลับไปสูส่ งั คมบรรพกาลในอดีตแต่เป็ นความก้าวหน้าสูป่ ลายทางทีร่ ออยู่ในอนาคต
ในแง่น้มี าร์กซิสม์จงึ เป็ นระบบความคิดทางปรัชญาตามวิธคี ดิ แบบสมัยใหม่ เสมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ท่ี
องค์ป ระกอบทางความคิด ต่ า งต้อ งท างานสัม พัน ธ์ ก ัน ดัง นัน้ การที่ค นอย่ า งอี พี ธอมป์ สัน ท้า ทายและเสนอ
ค าอธิบ ายเรื่อ งชนชัน้ แรงงานขึ้น มาใหม่ แต่ ก็ไ ม่ ใ ช่ ก ารปฏิเ สธแผนที่ก ารเดิน ทางแบบมาร์ก ซิส ต์ ตรงข้า ม
เขาต้องการจะแก้ไขให้กลับมาให้ถูกหลังจากทีข่ บวนการคอมมิวนิสต์สากลและสตาลินได้พาเดินไปผิดทาง ดังนัน้
แม้ธอมป์ สันจะอธิบายการกาเนิดชนชัน้ แรงงานอังกฤษผ่านการเล่าเรื่องประวัตศิ าสตร์ประชาชน แต่ตวั ละครหลักก็
ยังคือชนชัน้ ไม่ใช่ประชาชน นี่จงึ เป็ นข้อแตกต่างในระดับคนละเรื่องเดียวกันกับการอธิบายเรื่องความสาคัญของ
ประวัติศาสตร์ประชาชนแบบซามูเอลรวมทัง้ ซ้ายใหม่รุ่นหลังอื่นๆ เช่น สจ๊ วต ฮอลล์ ซึ่งกลายเป็ นว่า ต้องปรับ
ความคิดมาร์กซิสม์ให้สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องประชาชนด้วย ซึง่ ทาให้สดุ ท้ายพวกเขากลายเป็ นกลุ่มคนทีใ่ ช้ศพั ท์
แสงมาร์กซิสม์มากมายแต่กลับไม่เชื่อในเป้ าหมายสาคัญทีส่ ดุ ของการเป็ นมาร์กซิสต์นนคื ั ่ อ การปฏิวตั ชิ นชัน้
แน่ นอนว่านี่กเ็ ป็ นแนวโน้ มของโลกในปั จจุบนั ที่ปัญญาชนยังคงได้รบั แรงบันดาลใจจากความคิดแบบ
ซ้ายๆ ทว่าก็ไม่จาเป็ นต้องจริงจังหรืออาจจะปฏิเสธเป้ าหมายแบบการปฏิวตั สิ งั คมก็ได้ดว้ ยซ้า ซึง่ ในทีน่ ้ีผเู้ ขียนจะ
ไม่ขออภิปรายต่อว่า การเกิดขึน้ ของภาวะดังกล่าวอาจเกี่ยวกับความพ่ายแพ้แบบเบ็ดเสร็จของวิธคี ดิ แบบมาร์ก
ซิสต์ต่อทุนนิยม จนถึงกับทาให้การอภิปรายและการผลิตความรูแ้ บบซ้ายๆ ทัง้ ซ้ายใหม่หรือหลังซ้าย เช่น ความคิด
เรื่องประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่างกลายเป็ นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมกระฎุมพีไปแล้ว หรือผูเ้ ขียนจะไม่แม้แต่จะเสนอ
อ้อมๆ ว่า ประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่างควรกลับไปมีความหมายแบบทีเ่ สนอโดยธอมป์ สัน
สิง่ ทีเ่ ป็ นเป้ าหมายหลักของผูเ้ ขียนมีเพียงประการเดียวคือ ต้องการจะนาความหมายทีเ่ คยมีกลับเข้าสูก่ าร
ถกเถียงเพื่อเปิ ดการสนทนาเรื่องความหมาย ‘ที่ควร’ มีของประวัติศาสตร์จากเบื้องล่างไปสู่คาถามและความ
367
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ท้าทายใหม่ๆ ซึง่ รวมทัง้ ข้อโต้แย้งทีท่ า้ ทาย เช่น สิง่ ทีเ่ รียกว่า ประชาชน คนจน หรือคนจากข้างล่าง ก็อาจจะไม่ได้
ดารงอยู่ในลักษณะของวัตถุทร่ี อการค้นพบเปิ ดเผย ตรงข้ามแม้จะมีคนจน ชาวนา หรือกรรมกรโรงงานอยู่จริง แต่
นิยามและคาอธิบายก็ลว้ นเป็ นสิง่ ทีถ่ ูกสร้างขึน้ และเปลีย่ นแปลงอยู่เสมอ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือการนิยามและสร้าง
ความรูเ้ ป็ นสิง่ ทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปอยู่ตลอดเวลา รวมทัง้ การทีช่ าวบ้านและคนข้างล่างทัง้ หลายล้วนมีปฏิสมั พันธ์กบั
ชาวเมืองและคนข้างบนมาโดยตลอด นี่กอ็ าจจะทาให้เป็ นไปไม่ได้เลยทีใ่ ครก็ตามจะสร้างคาอธิบายโดยอ้างถึงการ
ดารงอยู่ข องกลุ่ ม คนเหล่ านี้ ใ นลัก ษณะที่แยกขาดเป็ นอิสระเอกเทศ (autonomous) โดยเฉพาะการอธิบ ายว่า
ชาวบ้านหรือคนชัน้ ล่างเป็ นปฏิปักษ์ตรงข้ามกับผูม้ อี านาจในสังคม16
หรือรวมถึงข้อโต้แย้งทีย่ วเย้
ั ่ ารุนแรง เช่น ไม่ว่าประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่างหรือประวัตศิ าสตร์ประชาชน
จะถูกอธิบายจากอุดมการณ์ฝัง่ ไหนก็ตาม แต่นิยามของประชาชนหรือคนจากข้างล่างสุดท้ายแล้วก็มจี ะมีลกั ษณะ
คล้ายกันนันคื
่ อ ไม่ได้มลี กั ษณะเปิ ด (inclusive) แต่มลี กั ษณะแคบและปิ ด (exclusive) สงวนไว้เฉพาะกลุ่มวีรชนคน
ดีและกลุ่มคนที่สมควรต้องเป็ นที่จดจา ดังนัน้ ด้วยตรรกะชุดนี้จึงบังคับโดยปริยายให้ไม่ต้องกล่าวถึง ‘คนที่ไม่
สมควรต้องเป็ นที่จดจา’ ซึ่งมีอยู่มากมายมหาศาลในประวัติศาสตร์ เช่น ฆาตรกร โจร คนชัวร้ ่ าย ลัทธิอุบาทว์
โสเภณี คนติดยา คนร่วมเพศกับสัตว์ และกลุ่มคนอีกมากมายที่นักปราชญ์และปั ญญาชนกระดากอายที่จะต้อง
กล่าวถึง นี่จงึ ทาให้เห็นว่าข้ออ้างของประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่างทีว่ ่าจะกลับมาพูดถึงเหล่าผูถ้ ูกกดขีแ่ ละถูกหลงลืม
ในประวัติศาสตร์กลายเป็ นสิง่ ที่ไม่มที างจะทาให้เกิดขึน้ ได้จริง อีกทัง้ ท่าทีแบบก้าวหน้าของเหล่านักเคลื่อนไหว
ประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่าง/ประชาชนก็อาจจะมีความเป็ นอนุรกั ษ์นิยมมากกว่าทีใ่ ครจะคิด
ดังนัน้ มีทางเดียวทีเ่ หล่าผูศ้ รัทธาในประวัตศิ าสตร์จากเบือ้ งล่างจะก้าวพ้นคาถามหรือข้อท้าทายเหล่านี้ได้
นันก็
่ คอื จะต้องกลับมาสนทนาด้วยอย่างจริงจังเท่านัน้
รำยกำรอ้ำงอิง
นันทวัฒน์ ฉัตรอุทยั . 2556. “การศึกษา Popular Culture แบบเอ็ดเวิรด์ ธอมป์ สัน.” ใน วัฒนธรรมต่อต้าน,
บรรณาธิการโดย ยุกติ มุกดาวิจติ ร, 109-173. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรนิ ธรฯ.
Burke, Peter. 1978. Popular Culture in Early Modern Europe. New York: Harper & Row.
———. 1981. “The ‘Discovery’ of Popular Culture.” In People’s History and Socialist Theory, edited by
Raphael Samuel, 216-226. London: Routledge and Kegan Paul Ltd.
Dworkin, Dennis. 1997. Cultural Marxism in Postwar Britain: History, the New Left, and the Origins of
Cultural Studies. Durham, NC: Duke University Press.
Hall, Stuart. 1981. “Notes on Deconstructing ‘the popular’.” In People’s History and Socialist Theory,
edited by Raphael Samuel, 227-239. London: Routledge and Kegan Paul Ltd.
16 หนึ่ ง ในผู้เ สนอข้อ โต้แ ย้ง นี้ ค ือ ฮอลล์ (Hall 1981) ในบทความ “Notes on Deconstructing ‘the popular’ ” ฮอลล์ เ สนอว่ า หากจะมีส ิ่ง ที่เ รีย กว่า
วัฒนธรรมหรือประวัตศิ าสตร์ของประชาชน สิง่ นี้ก็ถูกเชื่อมเข้ากับสังคมส่วนอื่นอยู่เสมอผ่านจารีตและปฏิบตั กิ ารต่างๆ มากมาย และแม้หล ายครัง้
ประชาชนจะออกมาท้าทายต่อต้าน แต่ประชาชนก็ไม่เคยคิดจะโค่นล้มทาลาย (overturning) สายใยอันแสนละเอียดอ่อนของระบบความสัมพันธ์แบบพ่อ
ขุนอุปถัมภ์ (paternalism) ในแง่น้จี งึ ไม่สามารถกล่าวได้วา่ จะมีวฒ
ั นธรรมของคนกลุม่ ใดทีจ่ ะดารงอยูใ่ นลักษณะทีแ่ ยกขาด เป็ นอิสระเอกเทศ และมีความ
จริงแท้ (authenticity); หรือ ดูข้อเสนอของเบิร์ค (Burke 1981) ที่ว่า วัฒ นธรรมชาวบ้านไม่เคยเป็ น อิสระจากวัฒนธรรมของคนกลุ่ม อื่น นอกจากนี้
วัฒนธรรมชาวบ้านทีม่ กั อ้างกันว่าเป็ นของแท้บริสุทธิ ์ดัง้ เดิมมายาวนาน แต่กลับมีประวัตศิ าสตร์การถือกาเนิดทีใ่ หม่กว่าทีอ่ ้างกันมาก ทีส่ าคัญคือส่วน
หนึ่งเป็ นผลมาจากการมีปฏิสมั พันธ์กบั ธุรกิจการค้าขายวัฒนธรรมก่อนยุคปฏิวตั อิ ุตสาหกรรม
368
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
History is the new punk: History From Below. 2016. “History is the new punk.” Accessed April 30.
http://radical.history-from-below.net/about/.
Kaye, Harvey J. 1991 “British Marxist historians.” In A dictionary of Marxist thought 2nd ed., edited by
Tom Bottomore et. al., 58-61. Oxford, U.K.: Blackwell.
Le Roy Ladurie, Emmanuel. 1979. Montaillou: the promised land of error. Translated by Barbara Bray.
New York: Vintage Books.
———. 1980. Carnival in Romans. Translated by Mary Feeney. New York: G. Braziller.
Motley, John Lothrop. 1858. The rise of the Dutch republic, Volume 1-3. London: George Routledge and
Co.
Samuel, Raphael. 1981. “Editorial Prefaces: People’s History.” In People’s History and Socialist Theory,
edited by Raphael Samuel, xiv-xxxix. London: Routledge and Kegan Paul Ltd.
Sharpe, Jim. 1991. “History from Below.” In New Perspectives on Historical Writing, edited by Peter
Burke, 24-41. Cambridge: Polity Press.
Thompson, E. P. 1963. The Making of the English Working Class. London: Victor Gollancz Ltd.
———. 1966. “History from Below.” Times Literary Supplement 7 April: 279-80.
———. 1978a. “Eighteenth-Century English Society: Class Struggle without Class?” Social History 3, 2:
133-165.
———. 1978b. “The Poverty of Theory or an Orrey of Errors.” In The Poverty of Theory and Other
Essays, 1-210. New York: Monthly Review Press.
369
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
370
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P2-R1-02
่ า”
“อยู ่บ้านเถิดลูก พ่อปลูกอโศกเพือเจ้
ชี วิ ต ทางเศรษฐกิ จ กั บ สั ง คมพุ ทธในจิ น ตนากรรมของชาวอโศก
บัณฑิต ศิริรักษ์โสภณ
นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
e-mail: nak.bundit@gmail.com.
371
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
บทนำ
“ … งานเรามีมากลูกรัก หมู่เราเล็กนักสุดเอ่ย งานเราล้นมืออย่างเคย เจ้าจะเฉยแชเชือนได้
อย่างไร รู้พกั รู้เพียรใช่ไหมเจ้า บ้านเรายังรับคนใหม่ ๆ พ่อปลูกอโศกไว้มากมาย เพื่อคน
ทัง้ หลายได้ร่มเย็น อยากเห็นลูกอยู่บ้าน ด้วยความเบิกบานลอยเด่น เพื่อช่วยผู้ยงั ลาเค็ญ
อยู่เป็ นมิง่ ขวัญกาลังใจ อยู่บ้านเถิดลูก เจ้ารู้ถูกรู้ผดิ ใช่ไหม อยู่เป็ นที่พ่งึ คนทัวไป
่ ปั ้นชีวติ
ใหม่ให้เบิกบาน …”
เสีย งร้อ งของหญิง สาวประกอบท่ ว งท านองที่ฟั งดูเ นิ บ ช้า ดัง ขึ้น ผ่ า นเสีย งตามสาย ผู้เ ขีย นสะดุ ด กับ
เสียงเพลงทีไ่ ด้ยนิ ในวันแรกทีเ่ ดินเข้าไปสารวจชุมชนปฐมอโศก เสียงร้องแทนคาพูดและความรูส้ กึ ของใครคนหนึ่ง
ทีก่ าลังสือ่ ไปถึงใครอีกคน
ชายสูงวัยผิวคล้าในชุดเสือ้ ม่อฮ่อม กางเกงขาก๊วย บอกกับผูเ้ ขียน “อยู่บา้ นเถิดลูก พ่อปลูกอโศกเพือ่ เจ้า”
เป็ นวรรคทองของสมณะโพธิรกั ษ์ ที่ถูกนาไปตัง้ เป็ นชื่อบทเพลงของชาวอโศก และเปิ ดในพิธีสาคัญอย่างงาน
ต้อนรับสมณะโพธิรกั ษ์ หรือ “พ่อท่าน” ในวันนี้
372
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
373
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ส่วนที่ 1 พุ ทธสถำนปฐมอโศก
พืน้ ที่
พุทธสถานปฐมอโศก หรือ ชุมชนปฐมอโศก ห่างจากตัวเมืองนครปฐม 5 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพฯ 56
กิโลเมตร ชุมชนประกอบด้วย พุทธสถาน หมู่บา้ น และโรงเรียน บนเนื้อที่ 80 ไร่ แบ่งพืน้ ทีเ่ ป็ น 4 ลักษณะตามการ
ใช้งาน
ส่วนแรก พุทธสถาน เป็ นเขตทีพ่ กั อาศัยของสมณะ สิกขมาตุ และคนวัด รวมทัง้ เป็ นสถานทีป่ ฏิบตั ธิ รรม
และประกอบกิจกรรมของนักบวช เช่น ศาลาวิหาร ศาลาสัมมาสิกขา อาคารเรียน กุฏสิ มณะ กุฏสิ กิ ขมาตุ ศาลา
คลายทุกข์ ศาลาอโศกราลึก ศาลาทอฝั น
ส่วนที่ สอง ที่ พกั อาศัย บ้านในพุทธสถานปฐมอโศกมี 116 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่มขี นาดหลังละไม่เกิน
5×5 เมตร เป็ นทีอ่ ยู่อาศัยของชาวชุมชน ในชุมชนแบ่งทีพ่ กั เป็ น 7 คุม้ ชื่อเรียกจาลองจากแดนสวรรค์ 6 ชัน้ และ
สวนบนสวรรค์ ได้แก่ คุม้ ยามา คุม้ ดุสติ คุม้ นันทวัน คุม้ นิมมานรดี คุม้ ปรนิมมิตวสวัตดี คุม้ ดาวดึงส์ คุม้ มิสกวัน แต่
ละคุม้ มีทงั ้ สมาชิกทีอ่ าศัยอยู่ประจาและสมาชิกอยู่ทาเวลา บ้านในคุม้ ทุกหลังมีบา้ นเลขที่ มีป้ายชื่อบ้านติดอยู่ เช่น
บ้านสานึกธรรม บ้านชุ่มเย็น บ้านวิรยิ ะสัจจะ บ้านปั จจัย 4 บ้านตะวันทอฟ้ า บ้านอยู่เย็น บ้านคารวธรรม เขตทีพ่ กั
อาศัยยังรวมถึง บ้านทาวน์เฮาส์ ทีแ่ ยกพืน้ ทีอ่ อกมาอยู่หน้าชุมชน ถือเป็ นส่วนหนึ่งของเขตทีพ่ กั และฐานงานหลาย
ฐานงานตัง้ อยู่ในบ้านทาวน์เฮาส์
ส่วนที่ สาม พื้นที่ ใช้ สอยร่วมกัน ได้แก่ โรงครัวกลาง อาคารเรียน รวมถึง “บ้านอารมณ์ดี” ที่ใช้ดูแล
ผูป้ ่ วยของชุมชน และ
ส่วนที่ สี่ พื้นที่ เกษตรกรรม แบ่งเป็ นพื้นทีท่ านาเรียกว่า “ทุ่งนาแรงรักแรงฝั น” ส่วนพื้นทีเ่ พาะปลูกพืช
ผลไม้และสมุนไพรมีช่อื ว่า เนินพอกิน ตัง้ อยู่ในอาเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี มีพน้ื ทีไ่ ม่น้อยกว่า 150 ไร่
พืน้ ทีช่ ุมชนถูกออกแบบให้มคี วามเป็ นสาธารณะ (public) มากกว่าความเป็ นส่วนตัว (private) แม้บา้ นจะ
เป็ นพื้นที่ส่วนตัวของปั จเจก แต่บ้านที่สร้างในชุมชนอโศกกลับมีความเป็ นสาธารณะที่คนอื่นสามารถเข้ามาใช้
ประโยชน์ ขณะเดียวกันพฤติกรรมการกิน การอยู่ การใช้ชวี ติ ในชุมชนก็ อาจถูกสังเกตและเป็ นที่รบั รู้ของคนใน
ชุมชน
374
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
375
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ปฏิบั ิศีล
ชาวชุมชนและนักเรียนถือศีล 5 หรือสูงกว่าตามความพร้อม คนวัดถือศีล 8 หรือ 10 สมณะถือระดับจุลศีล
ขึน้ ไป สมาชิกในชุมชน “เช็คศีล” หรือ “เตวิชโช” ทุกวันอังคาร เวลา 18.00 – 20.00 น. โดยนักเรียนและคนวัดหรือ
ชาวชุมชนแลกเปลีย่ นปั ญหาของการรักษาศีล มีสมณะ สิกขมาตุ เป็ นผูใ้ ห้คาแนะนาและแก้ไข การเช็คศีลแบ่งได้
ทัง้ กลุ่มใหญ่และย่อย เช่น กลุ่มนักเรียน กลุ่มคนวัด โดยแต่ละคนจะทบทวนและสารภาพกับหมู่กลุ่มว่าตัวเองได้
ละเมิดศีล หรือทาผิดระเบียบชุมชนเรื่องใดบ้าง เช่น ฆ่าสัตว์ ยุง มด พูดจาส่อเสียด นอกจากเช็คศีลทุกสัปดาห์ ทุก
เดือนยังมีกจิ กรรม “ชีข้ มุ ทรัพย์” ทีเ่ ปิ ดโอกาสให้ผอู้ ่นื ชีข้ อ้ บกพร่องของตัวเอง
ชาวอโศกมักบอกว่าเกณฑ์การแบ่งสูงต่าของคนในชุมชนทีพ่ วกเขาใช้ขน้ึ กับ “ฐานะทางธรรม” ทีค่ นๆ นัน้
ปฏิบตั ไิ ด้ แบ่งเป็ น 2 ระดับ คือ ระดับนักบวช และระดับฆราวาส ระดับสมาชิกชุมชน เรียงลาดับจากสูงไปต่ า (1)
นักบวช ได้แก่ สมณะ เทียบเท่าพระภิกษุ ในพุทธศาสนา ส่วนสิกขมาตุ เทียบเท่าสามเณร (2) ผู้เตรียมบวช
แบ่งย่อยจากสูงไปต่าได้แก่ สมณุทเทส หรือ สามเณร, นาค (กรณีนกั บวชชาย) และ กรัก (กรณีนกั บวชหญิง), “ปะ”
(ย่อมาจาก “ปฏิบตั ิ”) (3) อารามิกและอารามิกา (4) อาคันตุกะประจา (5) อาคันตุกะจร การรักษาศีลของคนใน
ชุมชนมีหลายระดับ โดยสมณะต้องถือจุลศีล ส่วนสามเณรและสิกขมาตุถอื ศีล 10 ชาวชุมชนมีทงั ้ ถือศีล 8 และศีล 5
ลาดับชั้ นของชาวอโศก
โพธิรกั ษ์
สมณะ
สามเณร
สิกขมาตุ
กรัก + นาค
ปะ
อารามิก
อาคันตุกะ
2 ในปี 2559 ทีด่ นิ ทีม่ สี ทิ ธิ ์ซือ้ 1 แปลง มีขนาด 50 ตาราง ราคา 17,500 บาท บวกค่าเดินท่อน้ าและสายไฟอีก 4,000 บาท รวมทัง้ สิน้ 21,500 บาท ราคา
ตัวบ้านขึน้ อยูก่ บั ขนาดและอุปกรณ์ตามทีผ่ สู้ ร้างกาหนด ก่อนการก่อสร้างต้องส่งแบบแปลนบ้านให้กรรมการชุมชนพิจารณาเพือ่ อนุ มตั จิ งึ สร้างได้ พืน้ ที่
และส่วนประกอบของบ้านทีเ่ กินจาเป็ นสาหรับชีวติ ชาวอโศกคณะกรรมการชุมชนก็มสี ทิ ธิ ์ไม่อนุ ญาตให้สร้างหรือให้แก้ไข
376
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
นักบวชอโศก
ในแต่ละปี ชุมชนอโศกทัง้ หมดมีนักบวชใหม่แค่เพียง 1 ถึง 2 รูปเท่านัน้ บางปี กไ็ ม่มนี ักบวชใหม่ ผูท้ จ่ี ะ
บวชต้องเข้ามาเรียนรู้และใช้ชวี ติ เป็ นชาวชุมชนก่อน เมื่อตัดสินใจบวชต้องสมัครเป็ น “อารามิก” อย่างน้อย 1 ปี
ก่อน จากนัน้ จึงได้สถานะของการเป็ นผูป้ ฏิบตั ิ หรือทีเ่ รียกว่า “ปะ” ซึง่ ต้องสวมเครื่องแบบ ประกอบด้วยเสือ้ สีขาว
กางเกงขาก๊วยสีน้าตาล ต้องดารงสถานะ “ปะ” อย่างน้อย 4 เดือน จึงได้รบั พิจารณาให้เป็ น “นาค” ต้องดารงสถานะ
นาคอย่างน้อย 4 เดือนเช่นกันจึงได้พจิ ารณาเลื่อนขึน้ เป็ นสามเณร หลังจากนัน้ ต้องดารงสถานะสามเณรอีกอย่าง
น้อย 4 เดือน จึงได้พจิ ารณาให้บวชเป็ นสมณะ กระบวนการเลื่อนสถานะเป็ นสมณะจึงกินระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี
เป็ นอย่างเร็ว นักบวชใหม่ทงั ้ หมดต้องไปปฏิบตั ิธรรมที่พุทธสถานภูผาฟ้ าน้ า จังหวัด เชียงใหม่ ที่มลี กั ษณะทาง
ภูมศิ าสตร์เป็ นป่ าทึบและดอยสูงอีกอย่างน้อย 5 ปี สมณะโพธิรกั ษ์จงึ เป็ นผู้ยา้ ยนักบวชใหม่ให้ไปอยู่ประจาพุทธ
สถานแต่ละแห่ง
377
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
การเลื่อนสถานะของชาวอโศก
สามเณร สมณะ
นาค 4 เดือน
ผูเ้ ตรียมบวชชาย
(ปะ) 4 เดือน
4 เดือน
คนวัด
อาคันตุกะประจา 18 เดือน
6 เดือน
อาคันตุกะจร สิ กขมาตุ
ผูเ้ ตรียมบวชหญิง กรัก
3 เดือน
(ปะ) 18 เดือน
คนวัด 6 เดือน
อาคันตุกะประจา 18 เดือน
6 เดือน
อาคันตุกะจร
3 เดือน
378
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
379
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
380
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
4ได้แก่ ฐานกสิกรรมไร้สารพิษ ฐานเชื้อดี ฐานพลาภิบาล ฐานถั ่ว ฐานแชมพู ฐานไฟฟ้ า-ประปา ฐานสือ่ สารบุญนิยม ฐานช่างซ่อมบารุง ฐานนาแรงรัก
แรงฝั น ฐานกสิกรรมไร้สารพิษ ฐานกลด ฐานธุรการ ฐานเห็ด และฐานศาลาค้า ส่วนการทาเกษตรกรรมตอบสนองคนในชุมชนเป็ นหลัก ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง
ทานา ปลูกผักพืชและสมุนไพร ทาปุ๋ ยหมัก/ชีวภาพ หรือทีช่ าวอโศกเรียกว่า “กสิกรรมไร้สารพิษ”.
381
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
5 ส่วน “เงินเกื้อ” คือ เงินทีข่ อยืม และ “เงินหนุ น” คือ เงินทีใ่ ห้ยมื เป็ นเงินทีใ่ ห้ทงั ้ ชุมชมอโศก ชาวชุมชน และญาติธรรมยืมได้โดยไม่คดิ ดอกเบีย้ ภายใต้
เงือ่ นไขทีร่ ะบุ นอกจากนัน้ ชาวชุมชนทีม่ ปี ัญหาและความจาเป็ นต้องใช้เงิน สามารถขอ “เงินปั นบุญ” เป็ นเงินค่าตอบให้กรณีทค่ี นวัดมีความเดือดร้อน ให้
ไม่เกินเดือนละ 3,000 บาท โดยต้องได้รบั การอนุ มตั จิ ากกรรมการชุมชนตามเหตุผลและความเดือดร้อนเป็ นรายกรณี.
6 พุทธสถานทีต ่ งั ้ ในเมืองมีสมณะจานวนมากกว่าพุทธสถานทีอ่ ยูน่ อกเมือง เช่น พุทธสถานสันติอโศกมีสมณะลงอาราม 21 รูป พุทธสถานภูผาฟ้ าน้ า 13
รูป พุทธสถานปฐมอโศก 11 รูป พุทธสถานสีมาอโศกและศีรษะอโศกแห่งละ 5 รูป สังฆสถานทะเลธรรม 4 รูป เป็ นต้น.
382
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
ส่วนที่ 3 โลกของชำวอโศก
คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ (Clifford Geertz) กล่าวว่าศาสนาคือระบบของสัญลักษณ์ทท่ี าให้เกิดอารมณ์ความรูส้ กึ
(mood) และแรงกระตุ้น (motivation) ทีม่ พี ลัง ศาสนาทาให้โลกมีระเบียบและทาให้คาอธิบายหรือเหตุผลทีต่ วั เอง
ดารงอยู่ในโลก ศาสนาเป็ น “model of” หรือกรอบในการมองโลก เขายกตัวอย่างว่าศาสนาไม่ได้ทาให้มนุ ษย์หาย
จากทุกข์ แต่ศาสนาบอกว่ามนุ ษย์จะอยู่กบั ความทุกข์ได้อย่าง ศาสนายังให้คาอธิบายว่าทาไมเราถึงเป็ นแบบนี้
ศาสนามีเหตุผลให้กบั มนุษย์ทไ่ี ม่สามารถทนในความสงสัยได้ ในแง่น้ปี ระสบการณ์ทางศาสนาจึงเกิดขึน้ ได้จากการ
ยอมรับว่ามีบางสิง่ ทีย่ งิ่ ใหญ่กว่าตัวเรา ศาสนาคือความจริงเมื่อเราเชื่อและนามาพาตัวเองเข้าไปเกีย่ วข้อง (Geertz,
1973: 89-125) ในส่วนนี้ผเู้ ขียนจะฉายภาพชีวติ ของชาวชุมชนอโศกและญาติธรรม
สอดแนมอโศก
ชายชราในวัย 83 กาลังนัง่ สานกระเป๋ าเพื่อเตรียมขาย ชายชรามีผมขาวโพลนและผิวหนังทีเ่ หีย่ วย่นตาม
กาลเวลา เขาคือ พ.ต.ท.สอาด สุขจิตต์ หรือทีช่ าวอโศกเรียกว่า “พ่อสอาด” หรือ “ผูพ้ นั สอาด” ผูใ้ ช้ชวี ติ อยู่กบั หมู่
กลุ่มชาวอโศกมาเกือบ 30 ปี ผ่านชีวติ ตารวจตระเวนแดนมาอย่างโชกโชน พ่อสอาดได้ทางานร่วมกับฝ่ ายปกครอง
ตัง้ แต่การสร้างความมันคงในชนบท
่ การพัฒนาพื้นที่อนั ตรายให้เป็ นพื้นทีป่ ลอดภัย สร้างหมู่บ้านแผ่นดินธรรม-
แผ่นดินทอง จนในปี 2525 ได้เป็ นรองผูบ้ งั คับกองร้อยทีอ่ าเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ
ผูพ้ นั สอาดรูจ้ กั อโศกปี 2526 จากการแอบเข้าไปสืบสวนพฤติกรรมสมณะโพธิรกั ษ์และชาวอโศกในงาน
ปลุกเสกพระแท้ ๆ ของชาวอโศก ทีพ่ ุทธสถานศีรษะอโศก ตามคาสังของหน่ ่ วยเหนือทีใ่ นเวลานัน้ ต่างระแวงอโศก
ว่าอาจเป็ นภัยต่อความมันคงของประเทศ
่ พ่อสอาดส่งลูกน้องมาอัดเสียงเทศน์ของสมณะโพธิรกั ษ์และส่งเทปไป
เปิ ดฟั งทีก่ องร้อยเพื่อจับพิรุธ
“เราก็เอาเทปไปฟั งแบบจับผิดพ่อท่าน แต่พอเอาเทปมานัง่ ฟั งนอนฟั งพ่อก็รสู้ กึ ว่ าทาไมมันเข้าท่าดี ใน
ประเทศไทยมันมีสงั คมแบบนี้ด้วยเหรอ ฟั งแล้วเขาสอนแต่สงิ่ ดี ๆ ให้ลดอบายมุข ให้ปฏิบตั ศิ ลี ก็ไม่เห็นเป็ นพิษ
เป็ นภัยอะไร”
หลังจากนัน้ พ่อสอาดก็เริม่ เข้าไปในชุมชนเพื่อสังเกตพฤติกรรมชาวอโศกด้วยตัวเอง วันหนึ่งระหว่างที่
กาลังอัดเสียงก็มคี นเดินมาสะกิดข้างหลัง “บ่ต้องมาจอบเบิง่ อยู่ดอก เขาอัดไว้
๊ ให้แล้ว ” พ่อสอาดไม่รวู้ ่าในเวลานัน้
ชาวอโศกก็มเี ครื่องอัดเสียงทีเ่ อาไว้อดั เทปธรรมะเพื่อให้คนทัวไปมาหยิ
่ บยืม และชาวอโศกต่างก็รวู้ ่าพ่อสอาดเป็ น
383
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ชี วิ ในสองโลก
ในระหว่างทีเ่ ก็บข้อมูลภาคสนามทีช่ ุมชนปฐมอโศก ผูเ้ ขียนได้เข้าร่วมโครงการ “ชีวติ ดีทลี ะก้าว” เป็ นค่าย
ธรรมะที่จดั ขึ้นเดือนละ 1 ครัง้ โดยจัดในวันเสาร์และอาทิตย์ สัปดาห์ท่ี 4 หรือ 5 ของเดือนที่ชุมชนปฐมอโศก
เหตุผลที่ผู้เขียนเข้าร่วมค่ายเพราะจะได้ทาความรู้จกั กับ ญาติธรรมซึ่งเป็ นคนภายนอกที่ศรัทธาในแนวทางของ
อโศก ก่อนจบค่ายทุกครัง้ จะมีกจิ กรรม “เปิ ดใจก่อนจาก” โดยให้ญาติธรรมได้กล่าวความรูส้ กึ ของตัวเองต่อชุมชน
อโศกญาติธรรมส่วนใหญ่รสู้ กึ แปลกใจในวิถชี วี ติ ความเป็ นอยู่ของชาวอโศกและชอบการปฏิบตั ติ วั ของคนในชุมชน
นี้ อดีตครูผู้หนึ่งเล่าว่า มีนักเรียน/ชาวชุมชนเข้ามาทักทายก่อนตัง้ แต่เดินเข้ามาชุมชน ให้ความช่วยเหลือและ
ต้อนรับอย่างเป็ นกันเอง ญาติธรรมทีเ่ ข้าร่ วมโครงการชีวติ ดีทลี ะก้าวส่วนใหญ่เป็ นคนทีม่ อี ายุตงั ้ แต่ 40 ปี ขน้ึ ไป มี
ความคับข้องใจปั ญหาการใช้ชวี ติ ในสังคมภายนอก หลายคนมีประสบการณ์ไปทดลองปฏิบตั ธิ รรมมาแล้วหลาย
แห่งแต่กไ็ ม่ใช่แนวทางของพุทธทีเ่ หมาะสม
384
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
สู่อริยบุ คคล
“ตุ๊ ก” หญิงสาววัย 40 ที่มาเข้าค่ายชีวิตทีละก้าวทุก เดือน เธอเป็ นชาวอาเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทยั ธานี
ระหว่างทีเ่ ก็บข้อมูลภาคสนาม ผูเ้ ขียนพบว่าตุ๊กมาร่วมงานสาคัญกับชาวอโศกทุกครัง้ ไม่วา่ งานสาคัญของชาวอโศก
จะจังหวัดไหน ถ้าเธอไม่ติดทางานในไร่ เธอก็จะขับรถไปร่วม เมื่อเข้าร่วมกิจกรรมชีวติ ดีทีละก้าวในแต่ ละครัง้
ผูเ้ ขียนสังเกตว่า
ตุ๊กมักชวนคนรู้จกั ในละแวกบ้านให้มารู้จกั กับชาวอโศก พร้อมกับผลผลิตจากไร่ ท่เี ธอปลูกแบบปลอด
สารพิษ บางครัง้ เป็ นพืชผัก สับปะรด มะละกอ มาแจกจ่ายให้แก่ชุมชนอโศก
แต่ก่อนตุ๊กเป็ นคนฟุ่ มเฟื อย อารมณ์ร้าย ชอบแต่งตัวและใช้เงินเก่ง วันหนึ่งเธอได้พบพระรูปหนึ่งที่กนิ
มังสวิรตั แิ ละปฏิบตั ศิ ลี อย่างเคร่งครัดแตกต่างจากพระทัวไปที
่ ่เธอเคยพบ พระรูปนัน้ ให้แนะนาให้เธอรูจ้ กั กับชาว
อโศก แนวทางของอโศกทาให้เธอเริม่ ตัง้ คาถามกับชีวติ หลังจากนัน้ เป็ นต้นมาเธอก็เริม่ รักษาศีล กินมังสวิรตั อิ ย่าง
จริง เธอเริม่ ชักชวน “เต็ม” สามีให้หนั มารักษาศีลและเลิกอบายมุขด้วยเช่นกัน แม้ว่าปั จจุบนั เต็มยังทานเนื้อสัตว์
และไข่ แต่เขาก็เลิกบุหรี่ เหล้า และมาปฏิบตั ธิ รรมทีช่ ุมชนทุกเดือน ผูเ้ ขียนเคยไปร่วมงานขึน้ บ้านใหม่ตามคาชวน
385
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ของเธอ ตลอดทัง้ วัน ตุ๊ กง่วนอยู่กบั การเตรียมงาน ทัง้ จัดบ้าน เตรียมสถานที่ เพื่อนบ้านต่ างมาช่วยทาอาหาร
มังสวิรตั ิ วันถัดมาเธอนิมนต์สมณะและพระทีน่ บั ถือมาเทศน์ หนึ่งในนัน้ คือ สมณะเพาะพุทธ จนฺ ทเสฏฺโฐ หรือ “ท่าน
จันทร์” พระนักเทศน์ทม่ี ชี ่อื เสียงของชาวอโศก
“ท่านคะ ฆราวาสจะสามารถบรรลุโสดาบันได้ไหมคะ” ตุ๊กถามหลังจากสมณะเทศน์จบ
“คนผูเ้ ป็ นโสดาบัน ตามทีพ่ ระพุทธเจ้าตรัสไว้คอื ผูม้ คี วามสามารถปฏิบตั ธิ รรมหรือปฏิบตั ฌ
ิ านอยู่พร้อม ๆ
กันกับการทาการทางานทาอาชีพมีอริ ยิ าบถใด ๆ อยู่ตามปกติคนสามัญ เปรียบเหมือนแม่โคลูกอ่อนทีเ่ ล็มหญ้ากิน
ด้วยและชาเลืองเลีย้ งดูลกู น้อยไปด้วยพร้อม ๆ กัน หมายความว่าทัง้ สองอย่างทาอยู่ในขณะเดียวกัน” สมณะตอบ
ผูเ้ ขียนได้รจู้ กั “วาสนา” น้องสาวของตุ๊ก เธอเพิง่ หย่ากับสามี วาสนาไม่มงี านประจาทาและก่อนหน้านี้ก็
เสพยาบ้า วาสนานาทรัพย์สนิ ทัง้ หมดของเธอไปขายเพื่อ เสพยากับสามี ตุ๊กจึงฝากน้องสาวของเธอให้อยู่ภายใต้
การดูแลของท่านจันทร์ ส่วน “โจ” ลูกชายคนโตของตุ๊กก็เรียนอยู่ชนั ้ ม.5 ในชุมชนปฐมอโศกเช่นกัน
386
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
387
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
จริยธรรมทำงเศรษฐกิจในชุ มชนอโศก
งานทีผ่ ่านมามักตีความข้อเสนอของเวเบอร์ โดยวางอยู่บนสมมติฐานว่าจริยธรรมทางเศรษฐกิจที่ตงั ้ อยู่
บนคิดทางศาสนาได้ส่งผลให้เกิดผู้ประกอบการในเศรษฐกิจขึน้ จริยธรรมแบบโปรเตสแตนต์ถูกให้นิยามว่ าเป็ น
อุดมการณ์ซง่ึ ตัง้ อยู่บนหลักการว่าผูท้ ย่ี ดึ ตามแนวทางนี้มฐี านะเป็ นผูป้ ระกอบการซึง่ ส่งผลให้เกิดความมังคั
่ งทาง
่
เศรษฐกิจ โรเบิรต์ เบลลาห์ (Robert N. Bellah) นักสังคมวิทยาอเมริกนั วิจารณ์ว่า การตีความเช่นนี้เป็ นการมอง
อะไรง่ายเกินไป เพราะถ้าหากวิเคราะห์ปรากฏการณ์ศาสนาทีเ่ กิดขึน้ ในเอเชียจะพบกับความเชื่อมโยงกับความคิด
เช่น การบาเพ็ญตบะ/บาเพ็ญเพียรเพื่อโลกนี้ (this-worldly asceticism) หรือนัยคาสอนทางศาสนาทีเ่ รียกร้องให้
คนทางาน ล้วนทาให้ประสบความสาเร็จในธุรกิจเช่นเดียวกันโดยทีไ่ ม่ตอ้ งสัมพันธ์กบั จริยธรรมแบบโปรเตสแตนต์
(Bellah 1962, 53-63)
เช่นเดียวกับข้อเสนอของคายน์ ว่า ชาวนาแห่งบ้านหนองตื่นในอีสานมีจริยธรรมทางเศรษฐกิจคล้ายคลึง
กับวิธคี ดิ ของพวกพิวริตนั ตามคาอธิบายของเวเบอร์ คายน์เรียกชาวนาแห่งบ้านหนองตื่นกลุ่มนี้ว่าเป็ น “Buddhist
puritans” โดยพวกเขาตระหนักดีว่าตัวเองไม่สามารถเลื่อนสถานะจาก “ชาวบ้าน” ไปสู่ “เจ้านาย” จึงนามาสู่การ
เลื่อนสถานะทางสังคมอีกวิธหี นึ่งด้วยการเป็ น “พ่อค้า/แม่คา้ ” ตามอย่างชาวจีนโพ้นทะเล หลายคนจึงเลือกทางาน
อย่างขยันอดทน ความอดทนคือ “จริยธรรมแห่งการงาน” (work ethic) คายน์ชว้ี ่าแบบแผนในชีวติ ของชาวนากลุม่
นี้ มี ค วามสัม พั น ธ์ ก ั บ จริ ย ธรรมที่ เ วเบอร์ เ รี ย กว่ า “inner worldly asceticism” ซึ่ ง มี ร ากฐานบนวิ ธี คิ ด ของ
พระพุทธศาสนาเถรวาท (Keyes 1990, 40-45)
ชาวอโศกมีค วามคิด ว่ า นิ พ พานเป็ น เป้ า หมายที่ทุ ก คนบรรลุ ไ ด้ภ ายในสัง คมนี้ แ ละท าฝึ ก ฝนได้ ใ น
ชีวติ ประจาวันโดยเฉพาะการทางาน ความหลุดพ้นในวิธคี ดิ ของชาวอโศกขึน้ กับโลกทางสังคม เนื่องจากสังคมไม่
ยอมให้ผคู้ นถอนตัวออกจากสังคมเพื่อไปแสวงหานิพพาน ด้วยวิธคี ดิ เช่นนี้จงึ นามาสู่การอยู่เป็ น “หมู่กลุ่ม” หรือ
การอยู่รวมเป็ นชุมชน มีหมู่บา้ น โรงเรียน และวัดตัง้ อยู่ในพืน้ ทีเ่ ดียวกัน ซึง่ เป็ นปฏิบตั กิ ารที่พยายามกาจัดอุปสรรค
ของการปฏิบตั ธิ รรมออกไป เพื่อให้การบรรลุนิพพานเป็ นไปได้สาหรับทุกคน แต่การใช้ชวี ติ ตามแนวทางอโศกก็
เรียกร้องการปรับเปลีย่ นพฤติกรรมตัง้ แต่การกิน อยู่ ใช้ชวี ติ ทีส่ ง่ ให้ทงั ้ ชาวชุมชนและญาติธรรมต้องปรับตัวในสอง
โลก ระหว่างโลกในชุมชนอโศกและโลกนอกชุมชนที่มที งั ้ ต่อรองและไม่ลงรอยในความสัมพันธ์ทางสังคม ผู้พนั
สอาดทีเ่ ป็ นชาวชุมชนอโศก รวมถึงแสบและตุ๊ก ในฐานะญาติธรรม
ญาติธรรมมักให้เหตุผลถึงการปฏิบตั ธิ รรมในแนวทางอโศกว่านักบวชอโศกเป็ นทีย่ ดึ เหนี่ยวจิตใจให้กบั
พวกเขาได้ ท่ามกลางกระแสพุทธพาณิชย์และความขัดแย้งในมหาเถรสมาคม ที่ทาให้พวกเขาหมดศรัทธาใน
พระสงฆ์และพระพุทธศาสนา พวกเขาพร้อมเข้ามาร่วมกิจกรรมกับชาวอโศกเป็ นครัง้ คราวผ่านค่ายธรรมะและ
เทศกาลของชาวอโศก บทบาทของญาติธรรมบางส่วน เช่น รสนา โตสิตระกูล พลเอกจาลอง ศรีเมือง พลเอกปรีชา
เอี่ยมสุวรรณ และเครือข่ายได้ช่วยทาให้ อโศกเป็ นทีร่ ู้จกั ในสังคม ในงานวันมหาปวารณา ส.ศิวรักษ์ นักวิพากษ์
สังคมไทยได้สะท้อนทัศนะถึงชาวอโศก
388
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
เอกสำรอ้ำงอิง
ภาษาไทย
คณะทางานปกาสนียกรรม. 2532. ประมวลเอกสาร กรณีสนั ติอโศก. กรุงเทพฯ: คณะทางานปกาสนียกรรม.
มอร์, ทอมัส. 2526. ยูโทเปี ย. แปลโดย สมบัติ จันทรวงศ์. กรุงเทพฯ: สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย.
สมบัติ จันทรวงศ์. 2531. ชุมชนปฐมอโศก: การศึกษาพุทธยูโทเปี ย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มลู นิธธิ รรมสันติ.
ภาษาอังกฤษ
Abrams, Philip and Andrew McCulloch. 1976. Communes, sociology, and society. Cambridge: Cambridge
University Press.
Bellah, R.N. 1962. “Reflections on the Protestant Ethic Analogy in Asia.” In Beyond Belief: Essays on
Religion in a Post-Traditional World, pp. 53-63. New York: Harper & Row.
. 1965. “Epilogue: Religion and Progress in Modern Asia.” In Religion and Progress in Modern Asia,
edited by R.N. Bellah. New York: Free Press. Pp. 168–299.
Geertz, Clifford. 1973. Interpretation of cultures. New York: Basic Books.
389
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
Jackson, Peter A. 2003. Buddhadâsa: Theravada Buddhism and Modernist Reform in Thailand. Chiang
Mai: Silkworm Books.
Keyes, C. F. 1973. “The Power of Merit.” in Visakha Puja B.E. 2516, pp. 95-102. Bangkok: Buddhist
Association of Thailand.
. 1982. “Merit-Transference in the Karmic Theory of Popular Theravada Buddhism.” In Karma: An
Anthropological Inquiry, edited by Charles F. Keyes and E. Valentine Daniel. pp. 261-86.
Berkeley: University of California Press.
. 1983. “Economic Action and Buddhist Morality in a Thai Village.” The Journal of Asian Studies 42
(4), 851–868. doi: 10.2307/2054768
. 1990. “Ethical Discourse and Economic Action in a Buddhist Community.” The paper was
subsequently revised and considerably shortened and published under the title of “Buddhist
Practical Morality in a Changing Agrarian World: A Case from Northeastern Thailand.” in Ethics,
Wealth and Salvation, edited by Russell Sizemore and Donald K. Swearer, pp. 170-189.
Columbia, S.C.: University of South Carolina Press.
Pfanner, D. E., & Ingersoll, J. 1962. “Theravada Buddhism and Village Economic Behavior: A Burmese
and Thai Comparison.” The Journal of Asian Studies 21 (3), 341–361. doi: 10.2307/2050678
Plath, D. W. 1966. “The Fate of Utopia: Adaptive Tactics in Four Japanese Groups.” American
Anthropologist 68 (5), 1152–1162. doi: 10.1525/aa.1966.68.5.02a00030
Spiro, M. E. 1966. “Buddhism and Economic Action in Burma.” American Anthropologist 68 (5), new
series, 1163-1173.
. 2004. “Utopia and Its Discontents: The Kibbutz and Its Historical Vicissitudes.” American
Anthropologist 106 (3), 556–568. doi: 10.1525/aa.2004.106.3.556
Weber M. 1967 [1930]. The Protestant Ethic and the Spirit of Capitalism. Translated by T. Parsons.
Englewood Cliffs, N. J.: Prentice-Hall.
390
เอกสารประกอบการประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2 “ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559 อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
D1-P1-R1-02
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกับการต่อรอง
ภาพตัวแทนความเป็ นจริงของชุมชน
เบญจวรรณ นาราสัจจ์
ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สงั คมลุม่ น้าโขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
391
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
พิพิธภัณฑ์เพื่อกำรศึกษำวัดหนังรำชวรวิหำร
พิพธิ ภัณฑ์เพื่อการศึกษาวัดหนังราชวรวิหาร ตัง้ อยู่เขตจอมทอง กรุงเทพฯ เป็ นหนึ่งในพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่
ทีม่ กั ได้รบั คัดเลือกให้นาเสนอเรื่องราวแง่มุมต่างๆ ในฐานะตัวอย่างหนึ่งของพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ ทีม่ ปี ระสบการณ์
การดาเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ดังปรากฏในหนังสือ “คนทาพิพธิ ภัณฑ์” จัดพิมพ์โดยศูนย์มานุ ษยวิทยาสิรนิ ธร
(องค์การมหาชน) หน่ วยงานที่ทางานสนับสนุ นพิพธิ ภัณฑ์ท้องถิ่นมาอย่างต่อเนื่องตัง้ แต่ปี พ.ศ.2546 (ชีวสิทธิ ์
บุณยเกียรติ, 2557, 27) ซึง่ คัดเลือกพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ จานวน 10 แห่งมานาเสนอจากทีม่ อี ยู่ถงึ 300-400 แห่งใน
ปั จจุบนั ในฐานะกลุ่มตัวอย่างทีม่ สี สี นั อย่างยิง่ (ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล , 2557, 13) และพิพธิ ภัณฑ์วดั หนัง
เป็ น 1 ใน 10 แห่งดังกล่าว และหนังสือ “พิ(ศ)พิธภัณฑ์ Museum refocused” จัดพิมพ์โดยสถาบันพิพธิ ภัณฑ์การ
เรียนรูแ้ ห่งชาติ หน่ วยงานทีม่ พี นั ธกิจในการสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายพิพธิ ภัณฑ์ของประเทศ และสนับสนุ น
การพัฒนาพิพธิ ภัณฑ์ ซึง่ ได้สารวจประเด็นเจาะจงมานาเสนอความคิดและแนวทางการทางานของผูป้ ฏิบตั งิ านด้าน
พิพธิ ภัณฑ์ 9 เรื่อง เพื่อแลกเปลีย่ นความรูแ้ ละประสบการณ์ดา้ นพิพธิ ภัณฑ์วทิ ยา (ราเมศ พรหมเย็น , 2558, 4) อัน
ประกอบด้วยพิพธิ ภัณฑ์หลากหลายแบบ และพิพธิ ภัณฑ์วดั หนังเป็ น 1 ใน 9 แห่งดังกล่าว
ความโดดเด่นอย่างหนึ่งของพิพธิ ภัณฑ์แห่งนี้ ในแง่แนวทางการจัดพิพธิ ภัณฑ์ตามแนวเดิมกับพิพธิ ภัณฑ์
แนวใหม่ และ คือ ในขณะที่เป็ นพิพธิ ภัณฑ์วดั ซึ่งมักมีความหมายถึงพิพธิ ภัณฑ์ทจ่ี ดั ตัง้ และดาเนินการโดยกลุ่ม
พระในวัดและชาวบ้านรอบวัด ผู้รบั ผิดชอบหลักคือพระครูสงั ฆรักษ์ไพฑูรย์สุภาทโร กลับมีอานาจตัดสินใจอย่าง
ค่อนข้างเด็ดขาดต่ อการจัดการในพิพธิ ภัณฑ์จนสามารถออกปากว่า “เหมือนเป็ นพิพธิ ภัณฑ์ส่วนตัว ” (สังฆรักษ์
ไพฑูรย์, พระครู, สัมภาษณ์ 25 ธ.ค.52) และได้รบั การนาเสนอว่าพิพธิ ภัณฑ์น้เี ป็ นดัง่ “งานอดิเรกของพระรูปหนึ่ง”
(ฆัสรา ขมะวรรณ มุกดาวิจติ ร, บก., 2548, 156) ในอีกด้านหนึ่ง ขณะทีม่ ุ่งนาเสนอเรื่องราวของชุมชนวัดหนังผ่าน
การเล่าถึงวิถีชวี ติ ชาวสวนด้วยการจัดแสดงสภาพจาลองร่องสวน เรือน ครัว เตาตาล ฯลฯ ทาให้ผู้ชม “อิน” กับ
สาระในบรรยากาศสมจริงดังกล่าว อีกส่วนของพิพธิ ภัณฑ์กลับเน้นเรื่องราวของพระวัดหนัง โดยเฉพาะหลวงปู่
เอีย่ ม ด้วยการจัดแสดงแบบอนุ สรณ์สถาน (วางรูปจาลองเท่าตัวจริงให้สกั การะ) และห้องสมบัติ (จัดเรียงวัตถุตาม
หมวดหมู่ในตู้กระจกหรือชัน้ วาง) ทัง้ ยังมีสาระบางประเด็นทีผ่ ู้รบั ผิดชอบหลักให้ความสาคัญแต่กลับนาเสนอได้
จากัด ได้แก่ การเคยเป็ นจังหวัดธนบุรมี าก่อนของฝั ง่ ธน ทีจ่ ดั แสดงด้วยป้ ายชื่อเดิมของวัดเพียงอย่างเดียว ขณะที่
ได้ข ยายสาระบางประเด็น ที่เ คยมองข้า มมาก่ อ นให้ช ัด เจนขึ้น ท าให้ก ารจัด แสดงที่ดูเ หมือ นนิ่ ง สนิ ท มีก าร
ปรับเปลีย่ นทีละเล็กทีละน้อย กล่าวได้ยากว่าเป็ นพิพธิ ภัณฑ์ท่ี “มีชวี ติ ” หรือหยุดนิ่งกันแน่
จากความมุ่งหมายของกลุ่มผู้รบั ผิดชอบทีจ่ ะได้รบั การยอมรับในฐานะพิพธิ ภัณฑ์แนวใหม่ บนพื้นฐาน
ความเข้าใจความแตกต่างระหว่างพิพธิ ภัณฑ์แนวเดิมกับพิพธิ ภัณฑ์แนวใหม่ดงั จะนาเสนอในหัวข้อต่อไป แต่กลับ
ไม่อาจดาเนินการเลือกแนวทางทีเ่ ด่นชัดได้ทงั ้ ทีม่ ไิ ด้มขี อ้ จากัดด้านงบประมาณหรืออุปสรรคด้านการบริหารจัดการ
ทาให้ผวู้ จิ ยั ตัง้ คาถามว่า เหตุใดการจัดแสดงในพิพธิ ภัณฑ์วดั หนัง จึงมีลกั ษณะย้อนแย้งในตัวเองดังกล่าว และหวัง
ว่าการนาเสนอครัง้ นี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อกระบวนการตัดสินใจของภัณฑารักษ์ในการคัดสรรเรื่องเล่าทีจ่ ดั
แสดงในพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ ไทยได้บา้ ง จากทีเ่ คยมีงานศึกษาจานวนหนึ่งนาเสนอให้เห็นผลของการคัดสรรเรื่องเล่า
ในพิพธิ ภัณฑ์มาก่อน ในลักษณะของการเมืองวัฒนธรรม หรือการช่วงชิงความหมายระหว่างพิพธิ ภัณฑ์หลายแห่ง
(เช่น อุดมลักษณ์ ฮุ่นตระกูล, 2553 ; ชีวสิทธิ ์ บุณยเกียรติ, 2556 เป็ นต้น) แต่ยงั มิได้มุ่งเน้นทาความเข้าใจใน
ประเด็นดังกล่าว
392
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นไทย
พิพธิ ภัณฑ์ เป็ นองค์กรทางวัฒนธรรมแบบใหม่ทค่ี ่อยๆ ก่อตัวขึน้ ในสังคมไทย เมื่อราว 150 ปี ทผ่ี ่านมา
อันเป็ นช่วงทีก่ ารจัดตัง้ พิพธิ ภัณฑ์กาลังแพร่หลายในประเทศยุโรปตะวันตกและอเมริกา ในฐานะแหล่งรวบรวมวัตถุ
จากทีต่ ่างๆ นามาจัดแสดงอย่างเป็ นระบบระเบียบในลักษณะให้การศึกษาเพื่อสถาปนาความรู้ และตอกย้าความ
สูงส่งกว่าของประเทศจักรวรรดิทงั ้ หลาย (ธงชัย วินิจจะกูล , 2546, 34) เริ่มจากการจัดตัง้ “พระที่นัง่ ประพาส
พิพธิ ภัณฑ์” เป็ นห้องจัดแสดงวัตถุสะสมส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ 4 ใน
พ.ศ.2394 ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ 5 มีการจัดตัง้ พิพธิ ภัณฑสถาน
สาหรับประชาชน ซึง่ ต่อมากลายเป็ นพิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ ภายใต้การดูแลของกรมศิลปากรอันมีความสืบเนื่อง
และขยายจานวนเพิม่ ขึน้ เรื่อยจนมี 44 แห่งในปั จจุบนั (สมลักษณ์ เจริญพจน์ , 2541, 58) ทัง้ ยังได้ขยายแนวทาง
ปฏิบตั ิการนี้ลงสู่ผู้คนในท้องถิน่ ด้วยทัง้ ที่เป็ นการสนับสนุ นโดยตรงให้จดั ตัง้ พิพธิ ภัณฑ์ว ั ดเพื่อเป็ นแหล่งรวบรวม
วัตถุสาคัญจากท้องถิน่ เข้าสู่สว่ นกลาง และ/หรือจัดแสดงไว้ในท้องถิน่ (ต่อจรัส พงษ์สาลี, 2547, 10 ; กรมศิลปากร
กองพิพธิ ภัณฑสถาน 2532, 132) และการสนับสนุ นโดยอ้อม เช่น ไม่มกี ฎข้อห้ามหรือระเบียบควบคุมกากับการ
จัดตัง้ พิพธิ ภัณฑ์ในทีต่ ่างๆ มีการจัดอบรมให้พระใส่ใจศิลปวัฒนธรรม ซึง่ เป็ นฐานของการดาเนินกิจกรรมอนุ รกั ษ์
อันมีการจัดตัง้ พิพธิ ภัณฑ์เป็ นรูปแบบหนึ่ง เป็ นต้น ทาให้คนท้องถิน่ มีความคุน้ เคยกับพิพธิ ภัณฑ์ ในฐานะองค์กร
ทางวัฒนธรรม และยึดถือว่าพิพธิ ภัณฑ์เป็ น “แหล่งความรู้” ทีน่ ่ าเชื่อถือจากการจัดแสดงวัตถุของแท้ทเ่ี ป็ นสิง่ ตก
ทอดจากอดีต
ขณะเดียวกัน คนไทยทัวไปคุ ่ ้นเคยกับ “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น ” ที่ปรากฏในที่ต่างๆ พอควร โดยเฉพาะ
พิพธิ ภัณฑ์วดั ซึง่ กลายเป็ นคาทีใ่ ช้เรียกพิพธิ ภัณฑ์ทจ่ี ดั แสดงสิง่ ของสะสมของวัด แบบทีม่ ขี า้ วของสารพัดสารพัน
ตัง้ ไว้ใ ห้ดู โดยไม่ ไ ด้เ น้ น ว่ า เป็ น พิพิธ ภัณ ฑ์ท่ีจ ัด แสดงข้า วของหรือ เรื่อ งราวใดเป็ น การเฉพาะเจาะจง “มิไ ด้
หมายความเพียง พิพธิ ภัณฑ์ทตี ่ งั ้ อยู่ในวัดเท่านัน้ แต่มนี ัยหมายถึงลักษณะของพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ แบบหนึง่ วัตถุ
สิง่ ของในพิพิธ ภัณ ฑ์ว ัด ไม่ เ พีย งแสดงออกถึง ลัก ษณะทางสัง คมวัฒ นธรรมของท้อ งถิน่ นั น้ ๆ ยัง บ่ ง บอกถึง
ความสัมพันธ์ทมี ่ กี บั ถิน่ อืน่ และสิง่ อืน่ อีกมากมาย” (ศิรพิ ร ศรีสนิ ธุอ์ ุไร, 2551, 19) หรือในทีน่ ้ขี อเรียกว่าเป็ นการจัด
แสดงตามกระบวนทัศน์เดิม ซึง่ ถูกวิพากษ์วจิ ารณ์ดา้ นลบจากกลุ่มนักวิชาการและผูส้ นใจทีต่ อ้ งการเห็นพิพธิ ภัณฑ์
จัดแสดงเรื่องราวของท้องถิ่นหรือชุมชนในลักษณะการเล่าเรื่องอย่างเป็ นระบบ สามารถสะท้อนอัตลักษณ์ทอ้ งถิน่
393
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
ควำมเป็นมำของพิพิธภัณฑ์วดั หนัง
พิพธิ ภัณฑ์วดั หนังจัดตัง้ ขึน้ เมื่อ พ.ศ.2543 ด้วยการริเริม่ ของพระครูสงั ฆรักษ์ไพฑูรย์สุภาทโร ซึง่ ได้รบั
มอบหมายให้ทาหน้าทีด่ แู ลข้าวของทีเ่ ป็ นมรดกตกทอดมาจากพระครูวบิ ลู ศีลวัตร (ช้วน ปาสาทิโก) อดีตหมอพระ
ในวัด, พระสุนทรศีลสมาจาร (ผล คุตฺตจิตฺโต) อดีตเจ้าอาวาสองค์ท่ี 7 และพระภาวนาโกศลเถระ (เอีย่ ม สุวณฺณสโร)
อดีตเจ้าอาวาสองค์ท่ี 5 โดยมีสงิ่ สูงค่าที่หลวงปู่ เอี่ยมได้รบั พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
รัชกาลที่ 5 เช่น ลับแล ตาลปั ตรพัดยศ พระบรมฉายาลักษณ์ เป็ นต้น กับของใช้ ในกิจวัตรประจาวัน อุปกรณ์-ตารา
เกีย่ วกับการรักษาด้วยยาแผนโบราณ และการผลิตวัตถุมงคล เป็ นจานวนมาก ทาให้พระครูสงั ฆรักษ์เกิดแนวคิดว่า
จะจัดเป็ นอาคารอนุ สรณ์ของหลวงปู่ ผล ผู้เคยเป็ น “หมอพระ” ที่ใช้กุฏหิ ลังนี้เป็ นสถานที่รกั ษาผู้คนด้วยยาแผน
โบราณ ทัง้ ยังมีความเชีย่ วชาญทางด้านวิปัสสนาธุระตามรอยหลวงปู่ เอี่ยม พระเกจิผสู้ ร้างวัตถุมงคลที่มชี ่อื เสียง
อย่างพระปิ ดตา ซึ่งได้รบั ยกย่องเป็ นหนึ่งในห้าเบญจภาคี หรือวัตถุมงคลสูงค่าทีส่ ุดในวงการพระเครื่องปั จจุบนั
โดยทัง้ ยาแผนโบราณและวัตถุมงคลดังกล่าวได้สบื ทอดต่อยังหลวงปู่ ช้วน ในช่วงสงครามโลกครัง้ ทีส่ องวัดหนังจึง
ได้เป็ นทีห่ ลบมาพักอาศัยของชาวบ้านจานวนหนึ่ง ภายหลังคนเหล่านี้ยา้ ยกลับบ้านได้เหลือข้าวของเครื่องใช้แบบ
ฆราวาสไว้ดว้ ย
หลังจากได้รบั อนุญาตจากพระธรรมศีลาจารย์ (สุกรี) เจ้าอาวาสวัดหนังในขณะนัน้ ให้จดั ตัง้ พิพธิ ภัณฑ์ได้
แต่มเี งื่อนไขสาคัญคือต้องระวังรักษามิให้ขา้ วของทีจ่ ดั แสดงสูญหาย ไม่เช่นนัน้ ต้องปิ ดพิพธิ ภัณฑ์ พระครูสงั ฆรักษ์
ใช้เวลาประมาณ 2 ปี ในการออกแบบอาคารพิพธิ ภัณฑ์ท่ดี ดั แปลงจากหมู่กุฏิ 3 หลังที่ต่อเชื่อมกัน(กุฎิเดิมของ
หลวงปู่ ชว้ นและกุฏขิ องพระครูสงั ฆรักษ์เอง) และออกแบบการจัดแสดงในพิพธิ ภัณฑ์เป็ นสองส่วนหลัก (1) ส่วนจัด
แสดงการราลึกถึงอดีตพระเกจิของวัดหนังตามความตัง้ ใจแต่แรก เป็ นการจัดแสดงแบบอนุสรณ์สถาน ด้วยการตัง้
394
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
395
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
396
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
397
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
กระบวนกำรต่อรองเพื่อสร้ำงภำพตัวแทนชุ มชนและภำพตัวแทนพิพิธภัณฑ์
จากการสัมภาษณ์ความเป็ นมาของการออกแบบและปรับเปลีย่ นการจัดแสดงแต่ละส่วนรวมถึงการเลือก
จัดแสดงบางสาระในงานกิจกรรมนอกพิพธิ ภัณฑ์ ประมวลได้ว่า กลุ่มผูม้ สี ว่ นเกีย่ วข้องในการกาหนดภาพตัวแทนที่
เกิดขึน้ ในพิพธิ ภัณฑ์แห่งนี้ โดยมีอทิ ธิพลต่อการตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกดาเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งของกลุ่มผู้
จัด ประกอบด้วย
1) กลุ่มผูจ้ ดั ได้แก่ ผูร้ บั ผิดชอบหลักคือพระครูสงั ฆรักษ์และผูช้ ่วยทีเ่ ป็ นพระสงฆ์และฆราวาสใกล้ชดิ เช่น
คุณวนิดา คุนาบุตร, คุณสุรศักดิ ์ อุดมหรรษากุล, คุณต้อ(ไม่ทราบนามสกุล) เป็ นต้น
2) ผูค้ นในชุมชนวัดหนัง หรือนับเป็ นกลุ่มคนเจ้าของเรื่องทีจ่ ดั แสดง ในทีน่ ้ีหมายถึง เจ้าอาวาสและพระ
ลูกวัดของวัดหนัง กับผูศ้ รัทธา ซึง่ เป็ นกลุ่มคนทีน่ ิยามตนเองเป็ น “คนวัดหนัง” เนื่องจากอาศัยอยู่ในพืน้ ทีใ่ กล้เคียง
และมีความผูกพันว่าวัดหนังเป็ นสมบัตกิ ลางของชุมชนทีต่ นเองมีสทิ ธิแสดงความเห็นหรือดาเนินการอย่างใดอย่าง
หนึ่งเพื่อเป็ นไปตามความคาดหวัง แม้บางส่วนอาจย้ายออกจากบ้า นเดิมไปอยู่ห่างไกลแล้วแต่ยงั คงรักษาสาย
สัมพันธ์เดิมไว้ ในจานวนนี้มบี างคนได้รบั การนับถือจากคณะผูจ้ ดั พิพธิ ภัณฑ์ พระในวัดและชาวบ้านทัวไป ่ ว่าเป็ น)
“ผูห้ ลักผูใ้ หญ่” ทีผ่ กู พันกับวัดหนังและมีอทิ ธิพลมากต่อการดาเนินกิจกรรมบางอย่างของวัดหนัง เช่น คุณขรรค์ชยั
บุนปานพันเอกคนึง ทองอู๋ เป็ นต้น ,พันตรีสวัสดิ ์ ทองอู๋ ,คุณอาวุธ เงินชูกลิน่ ,)
3) กลุ่มผูเ้ ข้าชม โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาและนักวิชาการทีก่ ลุ่มผูจ้ ดั เน้นว่าเป็ นกลุ่มเป้ าหมายหลัก
4) องค์กร(และบุคคล)ภายนอกทีม่ ภี ารกิจสนับสนุนพิพธิ ภัณฑ์หรือกิจกรรมทีเ่ ชื่อมโยงกับพิพธิ ภัณฑ์ เช่น
ศูนย์มานุ ษยวิทยาสิรนิ ธร กรุงเทพมหานครสานักงานเขตจอมทอง เป็ นต้น รวมถึงสื่อสาธารณะทีช่ ่วยเผยแพร่
เรื่องราวของพิพธิ ภัณฑ์แห่งนี้ดว้ ย
กล่าวคือ แม้ในการบริหารจัดการพิพธิ ภัณฑ์น้ี พระครูสงั ฆรักษ์เป็ นผู้รบั ผิดชอบหลัก ในทุกรายละเอียด
งาน โดยกรรมการวัดวางบทบาทชัดเจนว่าไม่ยุ่งเกี่ยวในรายละเอียด เพียงรับรู้สงิ่ ที่เกิดขึน้ เท่านัน้ ทว่า พระ
ครูสงั ฆรักษ์ตระหนักชัดว่าต้องทาให้พพิ ธิ ภัณฑ์เป็ นทีย่ อมรับจากคนในชุมชนวัดหนังทัง้ พระและฆราวาส รวมถึง
คนภายนอกทัง้ กลุ่มผู้ชมและองค์กรภายนอกด้วย เพราะจะส่งผลต่อ “ชื่อเสียงของวัด” อันสะท้อนกลับมาถึงการ
ยอมรับ(หรือไม่)ของคนในชุมชนวัดหนังด้วย จึงปรากฏเป็ นการแสดงออกทีเ่ ห็นได้ชดั เจนคือความพยายามของ
คณะผู้จดั ในการตรวจสอบ “มาตรฐาน” ของพิพธิ ภัณฑ์น้ีในสายตาของผู้ชมและองค์กรสนับสนุ น/นักวิชาการอยู่
1 สุดารา สุฉายา ยืนยันว่า การปลูกผลไม้ในเขตจังหวัดอื่นๆ ไม่ยกร่อง เพราะการยกร่องเป็ นการใช้สภาพพืน้ ทีป่ ากแม่น้ าทีต่ อ้ งจัดการเปิ ดปิ ดร่องให้
สัมพันธ์กบั การขึน้ ลงของน้ าทะเลทีน่ าความอุดมสมบูรณ์มาให้ (บันทึกการเสวนาในงานเล่าขานตานานวัดหนัง วันที่ 4 มี.ค.53)
398
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
1. ภำพตัวแทนพิพธิ ภัณฑ์
พิพธิ ภัณฑ์แห่งนี้เกิดขึน้ ท่ามกลางกลุ่มผู้เกี่ยวข้องทีม่ ที งั ้ ผู้ยดึ ถือและปฏิเสธพิพธิ ภัณฑ์แนวเดิม ขณะที่
พิพธิ ภัณฑ์แนวใหม่มรี ปู แบบหลากหลายจนไม่มตี วั แบบใดทีเ่ ด่นทีส่ ดุ ให้ยดึ ถือ ผูจ้ ดั จึงอาศัยการประนีประนอมแนว
ทางการจัดพิพธิ ภัณฑ์แนวเดิมและแนวใหม่เข้าด้วยกัน โดยอาศัยการเรียนรูไ้ ปในระหว่างกระบวนการดาเนินการ
อันมีจุดขัดแย้งสาคัญระหว่างสองแนว ดังนี้
399
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
3 ไม่เฉพาะส่วนจัดแสดงนี้ ในการนาเสนอเกือบทุกส่วนจัดแสดง มีการ “อ้างถึง” แหล่งความรูท้ เ่ี กี่ยวข้อง เช่น วัดโพธิ ์ ในส่วนจัดแสดงยาแผนโบราณ
วัดบวร ในส่วนจัดแสดงสมุดข่อยและคัมภีร์ ส.พลายน้อย ในเกือบทุกส่วนจัดแสดงชัน้ ล่าง อย่างไรก็ตาม การอ้างถึงดังกล่าวปรากฏในการนาชมเท่านัน้
400
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
401
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
402
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
2. ภำพตัวแทนชุ มชน
จากความตัง้ ใจสร้างพิพธิ ภัณฑ์แนวใหม่ทม่ี กี ารนาเสนอเรื่องราวอย่างชัดเจน ทาให้มกี ารเลือก “หัวข้อ”
นาเสนอในพิพธิ ภัณฑ์แทนการนาเสนอสมบัตวิ ดั เท่าทีม่ ตี ามแบบพิพธิ ภัณฑ์แนวเดิม กระนัน้ “หัวข้อ” ทีจ่ ดั แสดงยัง
ต้องผ่านการประนีประนอมตามความคาดหวังทีแ่ ตกต่างของกลุ่มผูเ้ กีย่ วข้อง ดังนี้
403
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
404
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
405
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
406
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
สรุ ป
พิพิธ ภัณฑ์เ พื่อ การศึก ษาวัด หนังก่ อ ก าเนิ ด ขึ้น ท่ า มกลางกระบวนทัศน์ พิพิธภัณฑ์ท่ีเ ปลี่ย นแปลงใน
สังคมไทย จึงมีทงั ้ กระบวนทัศน์พพิ ธิ ภัณฑ์แนวเดิมทีม่ พี พิ ธิ ภัณฑสถานแห่งชาติเป็ นต้นแบบ และภาพตัวแทนของ
การเป็ น “พิพธิ ภัณฑ์วดั ” ทีย่ งั คงอิทธิพลต่อการรับรูแ้ ละยึดถือเป็ นแนวทางทีถ่ กู ต้องของกลุ่มคนในชุมชนวัดหนังซึง่
เป็ น “เจ้าของเรื่องและเจ้าของพื้นที่” ผูม้ สี ่วนกาหนดให้พพิ ธิ ภัณฑ์ดารงอยู่ได้(หรือไม่)ในฐานะสถาบันของชุมชน
และกระบวนทัศน์พพิ ธิ ภัณฑ์แนวใหม่ทม่ี รี ูปแบบหลากหลาย แต่อยู่ระหว่างกระบวนการพัฒนาจึงยังไม่มี ความ
ชัดเจนตายตัว เปิ ดช่องทางให้กลุ่มผูเ้ กีย่ วข้องแสวงหาแนวทางทีส่ อดคล้องกับเงื่อนไขของตน มีอทิ ธิพลต่อการรับรู้
และยึดถือเป็ นแนวทางทีถ่ ูกต้องของกลุ่มนักวิชาการ ผู้เข้าชมบางส่วน และองค์กรสนับสนุ นพิพธิ ภัณฑ์ ซึ่งเป็ น
หมุดหมายของการยอมรับคุณค่าของพิพธิ ภัณฑ์ ซึง่ คณะผูจ้ ดั พิพธิ ภัณฑ์วดั หนังให้ความสาคัญและมีสว่ นอย่างมาก
ต่อการสร้างชื่อเสียงให้กบั พิพธิ ภัณฑ์และวัดหนังซึ่งส่งผลกลับมาเป็ นการยอมรับชื่นชมของคนในชุมชนวัดหนัง
ด้วย
ภายใต้ความพยายามประนีประนอมกับกระบวนทัศน์ทงั ้ สองซึง่ มีจุดแตกต่างเป็ นตรงกันข้ามทัง้ เป้ าหมาย
เนื้อหาและวิธกี ารจัดแสดง ภาพตัวแทนชุมชนวัดหนังและตัวพิพธิ ภัณฑ์เองจึงเลีย่ งไม่ได้ทต่ี อ้ งประกอบด้วยสอง
ส่วนหลัก ซึ่งไม่อาจจัดปรับให้ลงตัวเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ว่าคณะผู้จดั มีทงั ้ ฝี มอื การออกแบบอย่างมีศลิ ปะ
ความทุ่มเทในการศึกษาค้นคว้า ความใส่ใจในการปรับปรุงให้สอดคล้องกับความคาดหวัง ฯลฯ มากเพียงใดก็ตาม
5 จากข้อมูลของ ศรีพทั มีนะกนิษฐ (อดีตอาจารย์ชนั ้ พิเศษ วค.ธนบุร)ี ในเอกสารเผยแพร่ของวิทยาลัยครูธนบุร ี (ชุตมิ า สัจจานนท์, บก. 2521) ระบุวา่
จังหวัดธนบุรกี บั จังหวัดพระนคร เคยรวมเป็ นเมืองเดียวกัน จน พ.ศ.2458 จึงแยกกันเป็ นจังหวัดธนบุร ี ต่อมาในปี พ.ศ.2514 มีถูกรวมเข้ากับจังหวัดพระ
นคร เรียกว่า “นครหลวงกรุงเทพธนบุร”ี และปี ต่อมา ชื่อเมืองหลวงถูกเปลีย่ นเป็ น “กรุงเทพมหานคร” และส่วนต่างๆ ของเมืองธนบุรกี ลายเป็ นอาเภอ/
เขตสังกัดกรุงเทพฯ แต่จากคาบอกเล่าของชาวบ้านในชุมชนวัดหนังว่าป้ ายชื่อต่างๆ ทีร่ ะบุ “จังหวัดธนบุร”ี ค่อยๆ ทยอยเปลีย่ นหลายปี กว่าจะหมดไป
จากชีวติ ประจาวันของคนฝั ง่ ธน จึงไม่น่าแปลกใจทีค่ นรุ่นอายุ 40 ปี ข้นึ ไปยังคุน้ เคยกับความคิดทีว่ ่าธนบุรเี คยเป็ นจังหวัดมาก่อน โดยไม่มผี ใู้ ดกล่าวถึง
การเคยเป็ นจังหวัดเดียวกันมาก่อนของธนบุรกี บั พระนครเมือ่ เกือบร้อยปี ก่อน
407
ประชุ มวิชาการระดับชาติ เครือข่ายประวัติศาสตร์ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยาภาคใต้ ครั้งที่ 2
“ศาสตร์แห่งการจา ศิลป์ แห่งการลืม”
รำยกำรอ้ำงอิง
จักรฤทธิ ์ อุทโธ. 2542. “บทวิเคราะห์พฒ ั นาการของพิพธิ ภัณฑสถานในประเทศไทย ระหว่าง พ.ศ.2417-2477 จาก
เอกสารกองจดหมายเหตุแห่งชาติ.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรม
ศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล.
จุฑามาศ ประมูลมาก. 2545. “การเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองท้องถิน่ ธนบุรี พ.ศ.2458-2543.” วิทยานิพนธ์
ศิลปศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาประวัตศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ชีวสิทธิ ์ บุณยเกียรติ, บก. 2557. คนทาพิพธิ ภัณฑ์. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรนิ ธร.
ชีวสิทธิ ์ บุณยเกียรติ. 2551. “พิพธิ ภัณฑ์กบั สังคม บทเรียนจากพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ .” ใน พิพธิ ภัณฑ์บนั ทึก: ทบทวน
บทเรียนจากการวิจยั และพัฒนาพิพธิ ภัณฑ์. บรรณาธิการโดย ศิรพิ ร ศรีสนิ ธุอ์ ุไร. กรุงเทพฯ: ศูนย์
มานุษยวิทยาสิรนิ ธร (องค์การมหาชน).
ชีวสิทธิ ์ บุณยเกียรติ. 2556. “พิพธิ ภัณฑ์สงคราม บาดแผล และการเยียวยา.” วารสารสังคมวิทยาและ
มานุษยวิทยา 32, 1 (มกราคม – มิถุนายน): 56-86.
ชุตมิ า สัจจานนท์, บก. 2521. ธนบุรี ถิน่ ของเรา. กรุงเทพฯ : ศูนย์ชุมนุมส่งเสริมวัฒนธรรมไทย วิทยาลัยครูธนบุร.ี
ดาราวดี สุกุมลสันต์, บก. 2540. ชีวติ ไทยในธนบุร.ี กรุงเทพฯ : ศูนย์ศลิ ปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฎธนบุร.ี
ต่อจรัส พงษ์สาลี. 2547. “รายงานการวิจยั เรื่องพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ ในประเทศไทยบทบาทของวัด ในฐานะสือ่ กลาง
ในการฟื้ นฟูวฒ ั นธรรมระดับท้องถิน่ มุมมองจากการทบทวนประวัตศิ าสตร์และพัฒนาการของงาน
พิพธิ ภัณฑสถานไทย.” กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรนิ ธร. (แฟ้ มข้อมูลคอมพิวเตอร์)
นิษฐา หรุ่นเกษม. 2549. “การสือ่ สารกับปฏิบตั กิ ารสร้างภาพตัวแทนผ่านสือ่ พิพธิ ภัณฑ์ในประเทศไทย.”
วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรดุษฏีบณ ั ฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ธงชัย วินจิ จะกูล. 2546. “ภาวะอย่างไรหนอทีเ่ รียกว่าศิวไิ ลซ์ เมือ่ ชนชัน้ นาสยามสมัยรัชกาลที่ 5 แสวงหาสถานะ
ของตนเอง ผ่านการเดินทางและพิพธิ ภัณฑ์ทงั ้ ในและนอกประเทศ.” รัฐศาสตร์สาร 24, 2: 1-66.
ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล และคณะ. 2547. “รายงานวิจยั ฉบับสมบูรณ์โครงการวิจยั และพัฒนาพิพธิ ภัณฑ์
ท้องถิน่ ระยะที่ 1 สร้างเครือข่ายและสารวจสภาพพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ .” กรุงเทพฯ: สานักงานกองทุน
สนับสนุนการวิจยั .
ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล. 2557. “คาให้การของคนทาพิพธิ ภัณฑ์.” ใน คนทาพิพธิ ภัณฑ์. บรรณาธิการโดย
ชีวสิทธิ ์ บุณยเกียรติ, 6-23. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรนิ ธร.
ราเมศ พรหมเย็น. 2558. “คานา.” ใน พิ(ศ)พิธภัณฑ์ Museum Refocused. บรรณาธิการโดย ฆัสรา ขมะวรรณ
มุกดาวิจติ ร, 7-8. กรุงเทพฯ: สถาบันพิพธิ ภัณฑ์การเรียนรูแ้ ห่งชาติ
วิเชียรกวี, พระ. 2547. วัดหนัง ราชวรวิหาร. กรุงเทพฯ: วัดหนังราชวรวิหาร.
ศรีศกั ร วัลลิโภดม. 2551. พิพธิ ภัณฑ์และประวัตศิ าสตร์ทอ้ งถิน่ : กระบวนการเรียนรูร้ ่วมกัน. กรุงเทพฯ: มูลนิธเิ ล็ก-
ประไพ วิรยิ ะพันธุ.์
ศิรพิ ร ศรีสนิ ธุอ์ ุไร. 2551. “พิพธิ ภัณฑ์กบั สังคม บทเรียนจากพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ .” ใน พิพธิ ภัณฑ์บนั ทึก: ทบทวน
บทเรียนจากการวิจยั และพัฒนาพิพธิ ภัณฑ์. บรรณาธิการโดย ศิรพิ ร ศรีสนิ ธุอ์ ุไร, 13-44. กรุงเทพฯ :
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรนิ ธร (องค์กรมหาชน).
สมลักษณ์ เจริญพจน์. 2541. “พัฒนาการพิพธิ ภัณฑสถานตามแนวพระราชดาริ.” ใน คณะกรรมการอานวยการจัด
งานฉลองสิรริ าชสมบัตคิ รบ 50 ปี . พระมหากษัตริยไ์ ทยกับการพิพธิ ภัณฑ์, 53-103. กรุงเทพฯ : บริษทั ก
ราฟิ คฟอร์แมท.
สุจติ ต์ วงษ์เทศ. 2551. “พิพธิ ภัณฑ์ฯ วัดหนัง แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กทม.” มติชน (4 ธันวาคม) : 21.
408
วันที่ 25-27 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาคาร 58 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปั ตตานี
อุดมลักษณ์ ฮุ่นตระกูล. 2553. “พิพธิ ภัณฑ์ชาติ และพิพธิ ภัณฑ์ทอ้ งถิน่ : พืน้ ทีข่ องการให้ความหมายและการรับรู้
ต่ออดีตของลาพูน.” วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาสังคม
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
กำรสัมภำษณ์
เลื่อน เนตรศุขา, สัมภาษณ์ 4 ก.พ.53
วิเชียร อ่อนสาธร, สัมภาษณ์ 17 ม.ค.53
สังฆรักษ์ไพฑูรย์, พระครู, สัมภาษณ์ 10 ธ.ค.52, 25 ธ.ค.52, และ 30 พ.ย.58
สุรศักดิ ์ อุดมหรรษากุล, สัมภาษณ์ 28 ม.ค.53
409