108 วิธีเรียเก่ง

www.kalyanamitra.
org
ค�ำน�ำผู้เรียบเรียง สารบัญ
..มีการน�ำเสนอเคล็ดลับกลยุทธ์เรียนเก่งหลายวิธี แต่
ไม่โดนจุดจัง ๆ เวลาน�ำมาใช้จึงไม่ค่อยได้ผล หรือไม่มีก�ำลังใจ
ท�ำได้อย่างต่อเนื่อง <Chapter 1> คุณรู้จักตัวเองแค่ไหน ? 6
แต่ห นั ง สื อ เล่ ม นี้ จะแนะถึงวิธีสร้างก�ำลังใจให้ท�ำได้ ส�ำรวจนิสัยการเรียน 8
อย่างต่อเนื่อง และมอบเคล็ดลับการเรียนเก่งเด็ด ๆ ที่แตกต่าง ท�ำนายความเป็นตัวคุณ..จากช่วงคะแนน 10
จากทุกเล่มที่เคยมี ใ นท้ อ งตลาด เพราะนอกจากจะรวบรวม
จากประสบการณ์ที่ผู้เ รี ย บเรี ย งใช้ ไ ด้ ผ ลมาแล้ ว ยังรวบรวม
<Chapter 2> เป็นอัจฉริยะ..ไม่ยาก 12
ประสบการณ์จริงจาก Case Study โดยเข้าไปสัมภาษณ์
ผูป้ ระสบความส�ำเร็จทางด้านการเรียนที่ มี ตั ว ตนจริ ง ๆ แล้ว ฝึกตนเองให้เป็นอัจฉริยะต้องท�ำอย่างไร ? 13
ท�ำได้จริง ๆ โดยมิใช่เป็นเพียงทฤษฎีสวยหรูที่ท�ำไม่ได้
..ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่ย ากเหมื อ นกั น กับการที่เรา <Chapter 3> 108 วิธี เรียนเก่งโคตร..โคตร 24
จะไปถามคนเก่ง ๆ ที่ไม่รู้จักกัน ให้เขายอมเผยเคล็ดลับแบบ ต้องค้นหาเป้าหมาย 25
แบไต๋ ว่าเขาท�ำอย่างไรถึงท�ำคะแนนได้ทิ้งห่างอย่างโดดเด่น ก่อนลงมือเรียน 30
อีกทั้งยังรักษาต�ำแหน่งแชมป์ได้เรื่อย ๆ วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน 32
ซึ่งผู้เรียบเรียงก็เลยขออาสาเป็นตัวแทนในการบุกลุย
วิธีขีดเส้นใต้หรือเน้นข้อความส�ำคัญ 35
เจาะลึกเคล็ดลับระดับลึกอย่างหมดเปลือก กับเทคนิคโดน ๆ
วิธีลดความฟุ้งซ่านและก�ำจัดสิ่งกวนใจ 36
แบบไม่หวงกลเม็ดจากพวกเขาเหล่านั้น ว่าเขาท�ำอย่างไร
แล้วคุณจะพบว่า... ให้นั่งเรียนในต�ำแหน่งฮวงจุย้ ดีๆ 38
คนเรียนเก่งคนต่อไปจะต้องเป็นคุณ !!! วิธีแก้ง่วง 39
ระวัง! อันตรายจากโทรศัพท์ 41
ด้วยความปรารถนาดี ชอบนอนอ่านหนังสือ..ท�ำไงดี ? 42
ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ นาทีทอง..ช่วงรถติด 42
2 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 3

คลายเครียดให้ถูกวิธ
ี 43 มีปัญหาชีวิต..ต้องท�ำอย่างไร ? 65
แก้ปัญหาสมองล้า 44 วิธีใช้บุญช่วย 65
หลักการดูฮวงจุ้ย เพื่อเลือกท�ำเลในการอ่านหนังสือ 44 ฝึกสมาธิ..ช่วยเรื่องเรียน 66
ข้อคิด..เพื่อให้ไฟติดตลอดเวลา 46
ถ้าเบื่อ..ต้องท�ำอย่างไร ? 47 <Chapter 4> วิธีฝึกสมาธิ เพื่อพัฒนาการเรียน 68
อ่านกี่รอบ..ถึงจะพอ ? 48 อานุภาพแห่งสมาธิ 69
เคล็ดวิชาในการจด Lecture 48 วิธีฝึกสมาธิเพื่อพัฒนาการเรียน 77
เทคนิคช่วยจ�ำ 50
อย่าท�ำนิสัยอย่างนี้ !!! 54 <Chapter 5> เจาะลึกเคล็ดลับเรียนเก่งจากคนทีท่ ำ� ได้จริง 85
ท�ำอย่างไรกับการบ้าน ? 56 เสริมสุข วิจารณ์สถิต 86
ไม่ชอบอาจารย์..ท�ำไงดี ? 56 นักศึกษาแพทย์ ที่เคยปฏิเสธสมาธิ
เคล็ดลับการเตรียมตัวสอบ 57 แต่สมาธิทำ� ให้ได้ A ทุกวิชา
กลัวสอบ..แก้ยังไง ? 59 วรรณนรี ไตรเนตร 96
นักเรียนทุน AFS
อ่านหนังสือไม่ทัน..ท�ำอย่างไร ? 60
ชุติพร บุญชู 110
อยาก Top ต้องท�ำอย่างไร ? 61 เรียนดี กิจกรรมเด่น ด้วยสมาธิ
สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนสอบ 63 เอกพล เมธารมณ์ 124
เรียนพิเศษดีไหม ? 64 แนะเทคนิคการตั้งเป้าหมายให้มีผลต่อการเรียน
ท�ำกิจกรรมดีไหม ? 64 ดร.สุวัฒน์ อธิชนากร 138
เผยเคล็ดลับการจบดอกเตอร์โดยไม่ต้องเครียด

คุณรู้จักตัวเองแค่ไหน?
CHAPTER หากคุณต้องการประสบความส�ำเร็จในชีวิต อยากได้เกรดดี
1
กว่าปัจจุบัน ถือว่าคุณมาถูกทางแล้วที่เลือกหยิบหนังสือเล่มนี้ เพราะ
เล่มนี้..จะให้ทั้งวิธีการและก�ำลังใจ เพื่ อ ให้ คุ ณ สามารถแก้ไขนิสัย
ทางการเรียนได้ดีขึ้น เพราะนิสัยของคนเราเปลี่ยนแปลงได้ยากมาก
เนื่องจากเป็นสิ่งที่สั่งสมมาตั้งแต่เกิด และสั่งสมมาข้ามภพข้ามชาติ
ดังนั้น..หากเราแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีในตัวเราได้เร็วมากเท่าไร เราก็จะ
สามารถน�ำคุณสมบัติดี ๆ ที่เราสร้างขึ้นมาใหม่มาใช้ประโยชน์
ได้เร็วขึ้นเท่านั้น ดังสุภาษิตฝรั่งที่ว่า One of the great mysteries
and discoveries is that a human being can alter life by altering
คุณรู้จักตัวเองแค่ไหน? his habit. (ความลึกลับและการค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง ก็
คือ มนุษย์สามารถเปลี่ยนชีวิตตนได้ ด้วยการเปลีย่ นแปลงนิสยั ของเขา)
‘‘
ด้วยเหตุนี้... จึงอยากให้คุณส�ำรวจนิสัยการเรียนของคุณ โดย
ถ้าคุณไม่รู้จักตัวเอง ก็จะไม่ การท�ำแบบทดสอบ เพราะถ้าคุณไม่รจู้ กั ตัวเอง ก็จะไม่สามารถ
สามารถแก้ไขตัวเองได้ถูกจุด เพราะ แก้ไ ขตั ว เองได้ ถู ก จุ ด เพราะไม่รู้จะเริ่มต้นแก้ไขข้อบกพร่อง
‘‘
ไม่รู้จะเริ่มต้นแก้ไขข้อบกพร่องตรง ตรงไหนก่อน ดังนั้น..จงมาเริ่มค้นหาตัวเอง เพื่อแก้นิสัยเก่าและ
สร้างนิสยั ใหม่ให้การเรียนดีขนึ้ กันเถิด ดังภาษิตจีนกลางทีว่ า่ “เจวีย๋
ไหนก่อน ซิน ฉีว่ เต๋อ เซิง่ ลี่ เตอ เหญิน” (ผู้ที่ตั้งใจจะได้รับชัยชนะ)
66 108108
วิธีเวิรียธีเนเก่
รียนเก่
งโคตร..โคตร
งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 7
ส�ำรวจนิสัยการเรียน
จงกาเครื่องหมาย หน้าข้อที่เป็นตัวคุณ จงกาเครื่องหมาย หน้าข้อที่ไม่ใช่ตัวคุณ
ให้ดูคะแนนจากแต่ละข้อ แล้วน�ำคะแนนที่ได้ทั้ง 20 ข้อ มารวมกัน
1. ข้าพเจ้าเรียนหนังสือโดยมีจุดมุ่งหมายที่เด่นชัด
2. ข้าพเจ้าอยากเป็นผู้ประสบความส�ำเร็จด้านการศึกษา เช่น ได้เกียรตินิยม
หรือรางวัลเรียนดีกับเขาบ้าง ข้อ เลือก เลือก
3. เมือ่ ข้าพเจ้าตัง้ ใจท�ำอะไรแล้ว..เป็นคนท�ำจริง ไม่ลม้ เลิกง่าย ๆ หากสิง่ นัน้ ยังไม่สำ� เร็จ
4. ข้าพเจ้ารูต้ วั ดีวา่ ชอบวิชาอะไรทีส่ ดุ แล้วก็จะพยายามมุง่ มัน่ ท�ำคะแนนวิชานัน้ ให้ดี 1. 10 7
เพื่อเป็นตัวช่วยวิชาอื่น ๆ 2. 15 7
5. ดูหนังสือล่วงหน้าก่อนเข้าเรียน 3. 16 6
6. ก่อนเรียนเรื่องใหม่ จะทบทวนเรื่องเดิมก่อนเสมอ 4. 14 10
7. ข้าพเจ้ามีสมาธิสั้นมาก จิตใจมักวอกแวก
5. 12 9
6. 11 7
8. ข้าพเจ้ามักหยิบโทรศัพท์มอื ถือขึน้ มาดูบอ่ ย ๆ ว่าใครโทรหรือส่งข้อความอะไรมา
7. 5 9
ในขณะเรียน แม้จะไม่ได้รับสายก็ตาม 8. 4 8
9. มีบ่อยครั้งที่อ่านหนังสือผ่านไปหลายหน้าแล้ว ก็มีอาการเหมือนคนใจลอย 9. 5 10
อีกทั้งยังจ�ำเรื่องราวที่อ่านไม่ได้ 10. 7 12
10. ก่อนดูหนังสือทีไร มักตั้งท่าอยู่นาน 11. 8 15
11. ข้าพเจ้าแบ่งเวลาไม่ถูก บางครั้งบังคับตัวเองไม่ได้ 12. 7 3
12. ข้าพเจ้าอยากแก้นิสัยตัวเองหลาย ๆ อย่าง แต่มักท�ำไม่ได้ 13. 12 8
13. ข้าพเจ้านั่งสมาธิก่อนอ่านหนังสือ หรือก่อนนอนเสมอ 14. 15 9
15. 10 7
14. ข้าพเจ้ามักอ่านแต่วิชาที่ชอบ ส่วนวิชาที่อ่อน..เอาไว้อ่านทีหลังสุด
16. 13 8
15. ข้าพเจ้าอ่านแล้วจะขีดเส้นใต้ตรงที่สำ� คัญ ๆ ไว้เสมอ 17. 7 12
16. ข้าพเจ้าชอบอ่านหนังสือประเภทพัฒนาการเรียน เช่น เคล็ดลับเรียนเก่ง 18. 16 9
และพยายามปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น 19. 15 8
17. ข้าพเจ้ามักจะเบือ่ การเรียนบ่อย ๆ และในระหว่างทีอ่ า่ นหนังสือ ก็มกั เลิกอ่านกลางคัน 20. 16 10
18. ข้าพเจ้ามักเลือกท�ำข้อสอบข้อที่ง่ายที่สุดก่อนทันที
19. ข้าพเจ้าชอบเอาข้อสอบของปีเก่า ๆ มาลองท�ำ เพื่อทดสอบตัวเอง คุณได้คะแนนรวม คะแนน
20. ข้าพเจ้าคิดว่านอกจากเรียนดีแล้ว เราต้องมีความรู้คู่คุณธรรม

ท�ำนายความเป็นตัวคุณ..จากช่วงคะแนน
ได้คะแนน มากกว่า 204 ขึ้นไป ได้คะแนนต�่ำกว่า 179 ลงมา
คุณเป็นคนที่อยู่ในระดับเกณฑ์ดีทีเดียว เพราะมีพื้นฐานนิสัย แสดงว่าคุณควรปรับปรุงตัวอย่างเร่งด่วน โปรดอย่าเสียใจที่
การเรียนค่อนข้างดี หากคุณได้นำ� know-how ดี ๆ ที่อยู่ในหนังสือ ได้คะแนนอยู่ในช่วงนี้ เพราะรู้ตัวตอนนี้ ดีกว่ารู้ตัวเมื่อสายกว่านี้ และ
เล่มนี้มาปฏิบัติ คุ ณ จะสามารถพั ฒ นาตัวเองอย่างก้าวกระโดดได้ ที่ส�ำคัญ... นับว่าเป็นโชคของคุณ ที่ know-how ดี ๆ ตกอยู่ในมือของ
โดยไม่ยาก เราอยากสรุปให้คุณเข้าใจตัวเองด้วยประโยคที่ว่า คุณมี คุณแล้ว เพราะหนังสือเล่มนี้ จะเป็นตัวช่วยให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเอง
นิสัยการเรียนที่ดีอยู่แล้ว แต่ขึ้นกับว่าใจสู้หรือเปล่า! คือ คุณควร ไปสู่ความส�ำเร็จที่ง่ายขึ้น เพียงแต่คุณอย่าท้อเสียก่อน เพราะหาก
จะสู้..เพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ชัยชนะที่ยิ่งกว่า จงอย่าอยู่แบบเฉื่อย ๆ แล้ว คุณท้อ..คุณอาจต้องตกอยู่ในภาวะกดดันอย่างผู้ไม่มีทางเลือก
ปล่อยให้ผู้ด้อยโอกาสกว่าเราในวันนี้ ช่วงชิงโอกาสดี ๆ ที่น่าจะเป็น แต่หากคุณสู้..แม้จะต้องตกอยู่ในภาวะกดดันเช่นกัน แต่ก็กดดัน
ของเราในอนาคตไปซะงั้น... เพื่อที่จะชนะ ดังนั้น..สู้ ๆ นะ !!!
ได้คะแนน 204-179
คุ ณ เป็ น คนที่ มี พ ฤติ ก รรมอยู ่ ใ นระดั บ ปานกลางเหมื อ น
คนส่วนใหญ่ คือ ไม่เด่น ไม่ดอ้ ย แต่เมือ่ เรียนจบแล้วก็จะไม่ได้อะไร
นอกจากปริญญาบัตรและความรู ้ เ ท่ า ที่ พ อจ� ำ ได้ แต่เมื่อคุณเรียน
จบแล้ว.. พอไปสมัครงาน คุณก็ไม่โดดเด่นพอที่เขาจะเลือกคุณ
ท�ำงานกับเขาทันที
ดังนั้น คุณควรจะน�ำข้อดีจากหนังสือเล่มนี้ไปปฏิบัติ เพื่อจะ
ได้ประสบความส�ำเร็จที่ยิ่งกว่า และที่สำ� คัญ..คุณต้องเก่งและดี
พอที่จะเป็นผู้เลือกงาน มิใช่ให้งานเลือกคุณ แล้วต้องทนท�ำโดย
ไม่มีความสุขกับงาน เนื่องจากได้ทำ� งานที่ไม่ตรงกับความชอบ

CHAPTER
ฝึกตนเองให้เป็นอัจฉริยะต้องท�ำอย่างไร ?
2
ประการแรก จะต้องมีความปรารถนามุ่งมั่น อยากที่จะเป็น
เลิศในด้านนั้น ๆ จริง ๆ ไม่ใช่แค่วูบ ๆ วาบ ๆ วันนี้อยาก พรุ่งนี้
เลิก อย่างนั้นยังไม่ได้ แต่ว่าต้องมีความปรารถนาจริง ๆ พร้อมที่จะ
ทุ่มเทฝึกฝนตนเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ อุปสรรคอะไรเกิดขึ้นมาก็ไม่
ย่อท้อ อย่างนี้ถึงจะมีสิทธิ์ อย่าง พระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวา
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นเลิศทางด้านมีปัญญามาก ก่อนท่าน
จะมาเป็นเลิศในด้านนี้ ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า มุ่งมั่น
เป็นอัจฉริยะ...ไม่ยาก สั่งสมบุญแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ตั้งใจฝึกฝนตัวเองมาข้ามภพข้ามชาติ
โดย พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ (M.D.; Ph.D.) เป็นแสนมหากัปทีเดียว สุดท้ายก็สำ� เร็จสมปรารถนา
ประการที่ 2 ต้ อ งพร้ อ มที่ จ ะทุ ่ ม เทฝึกตนเองจริง ๆ ถ้า
เอาจริง เราก็จะพัฒนาศักยภาพตัวเราเองขึ้นมาได้ ดังตัวอย่างเช่น
ดิสราเอลี (Benjamin Disraeli) นายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งของประเทศ
อังกฤษ มีผลงานโดดเด่นมาก เป็นผู้ที่มีวาทศิลป์ พูดแล้วสะกดผู้ฟัง
ให้หยุดนิ่งได้ ประเด็นแม่น เฉียบแหลม ลีลาวาทะกินขาด
12
12 108วิธวิีเธรีีเยรียนเก่
108 นเก่งโคตร..โคตร
แต่เชื่อไหมว่า เมื่อตอนเด็ก ๆ ดิสราเอลีเป็นคนพูดติดอ่าง ว่าเราก็มีสิทธิ์จะฉลาดอย่างไอน์สไตน์เหมือนกันถ้าเอาจริง
โตแล้วยังติดอ่างอยู่ ก็รู้สึกขัดใจตัวเอง เพราะอยากจะเล่นการเมือง แต่ สิ่ ง ที่ พิ สู จ น์ ค วามเอาจริ ง ของไอน์ ส ไตน์ อ ย่ า งหนึ่ ง ก็ คื อ
อยากจะเป็นผู้น�ำประเทศ แต่ถ้ายังพูดติดอ่างอยู่จะเป็นนักการเมือง เวลาใจจดจ่อเรื่องอะไรจะทุ่มไปทั้งตัวเลย อย่างมีคราวหนึ่งเขา
ได้อย่างไร สุดท้ายเลยไปกักตัวเองอยู่ในถ�ำ้ เขาเล่าว่า ดิสราเอลี ไปต่อแถวที่อำ� เภอ เพื่อจะไปลงทะเบียนเสียภาษีหรืออะไรท�ำนองนี้
เอาดาบแขวนไว้รอบตัวเลย เวลาพูดต้องยืนนิ่ง ๆ ถ้าขยับตัวคมดาบ ระหว่างที่ยืนรอคิว เนื่องจากคิวยาว ใจก็คิดถึงเรื่องโจทย์ฟิสิกส์ไป ทีนี้
ก็จะบาด เรียกว่าต้องตั้งสติดี ๆ ให้ตัวสงบนิ่ง ใจสงบนิ่ง แล้วค่อย ๆ พอมาถึงคิวตัวเองปั๊บ
พูดออกมา สุดท้ายฝึกจนกระทั่งเอาชนะการติดอ่างได้ กลายเป็นผู้มี เสมียนถาม “คุณชื่ออะไร”
วาทศิลป์เป็นเลิศ งง..! ตอบไม่ได้ เพราะใจไปจดจ่อกับโจทย์ฟิสิกส์ตรงนั้น งง
ฉะนั้น..พวกเราที่คิดว่าอัจฉริยะสร้างได้จริงหรือเปล่า ดูแค่ อยู่พักหนึ่ง ก�ำลังคิดว่าตัวเองชื่ออะไร
ด้านการใช้ค�ำพูดอย่างเดียว จากคนติดอ่างกลายมาเป็นผู้น�ำประเทศ เสมียนเห็นว่าคนนี้ยืนงง ๆ ก็เลยบอกว่า “เสียเวลา คุณไปต่อ
ที่มีวาทศิลป์เป็นเลิศได้ ก็เป็นตัวพิสูจน์ว่าอัจฉริยะสร้างได้แน่นอน คิวใหม่ก็แล้วกัน”
เราเองก็มีสิทธิ์จะท�ำได้ ถ้าเราเอาจริง
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ไอน์สไตน์ ซึ่งถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์
ที่ฉลาดที่สุดในโลกในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา เชื่อไหมว่าตอนเรียน
ชั้นประถม ไอน์สไตน์ถูกอาจารย์ให้ออกจากโรงเรียน บอกว่าเรียน
ไม่ไหวหรอก หัวทึบ เรียนได้ช้า
จนมีคนสันนิษฐานว่า เขามีความพิการทางการอ่านหรือการ
เขียน (dyslexia) แต่อาศัยที่แม่มีความเข้าใจ ค่อย ๆ สอนจนกระทั่ง
เขาค่อย ๆ เรียนขึ้นมาได้ จนเป็นอัจฉริยะของโลก พวกเรามีใครไหม
ที่เรียนชั้นประถมแล้วถูกอาจารย์บอกว่าหัวทึบเรียนตามเพื่อนไม่ไหว
แล้วไล่ออก “ไม่มี” เรายังเรียนสู้เพื่อนได้ เรียนไปกับเพื่อนได้ แสดง

เขาก็ต้องยอมไปต่อคิวใหม่ เพราะนึกไม่ออกว่าตัวเองชื่ออะไร
ตอนนั้นเป็นนักฟิสิกส์ชั้นหนึ่งแล้ว ยังเป็นอย่างนี้เลย เป็นตัวบอกเลย
ว่า เมื่อไอน์สไตน์คิดเรื่องอะไรแล้วละก็ เขาทุ่มไปทั้งตัวทั้งใจ ใจจดจ่อ
อย่างอื่นทิ้งหมดเลย ขนาดชื่อตัวเองกะทันหันยังนึกไม่ออกเลยว่าชื่อ
อะไร
แต่คนส่วนใหญ่มักจะเป็นลักษณะคิดและท�ำอะไรฉาบฉวย
ยังไม่ได้เอาจริง อันนัน้ นิด อันนีห้ น่อย ถ้าเราอยากจะค้นพบสิง่ ทีส่ ำ� คัญ
อยากจะเป็นอั จ ฉริ ย ะอย่ า งไอน์ ส ไตน์ เราต้องทุม่ เทอย่างไอน์สไตน์
จดจ่อมีสมาธิ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้พวกเราท�ำอะไรแล้วลืมชื่อ เราเองไปเข้าโรงเรียนภาษา จะฝึกภาษา ปีสองปีบางทียังพูด
ตัวเองไปเลย ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็จะต้องเอาจริงเอาจัง ไม่ค่อยคล่องเลย เด็ก ๆ พูดได้เป็นธรรมชาติมากกว่า เพราะว่าเขา
มีใจจดจ่อ มีสมาธิตั้งมั่น แล้วเราจะเอาศักยภาพในตัวเราเองมาใช้ได้ พร้อมที่จะเรียนรู้ทุกอย่าง
อย่างเต็มที่ ฉะนั้น ถ้าเรามีความพร้อมในการเรียนรู้ เราจะเรียนรู้อะไร
ลองสังเกตเด็กเกิดใหม่ เขาจะลืมตาโพลง ตาแป๋วเลย คือเขา ได้เยอะแยะ แต่เมื่อไรเราปิดใจตัวเอง นึกว่าเรารู้มากแล้ว อัตราการ
อยากรู้อยากเห็นสิ่งรอบตัวหมดทุกอย่าง ขยับปากอย่างนั้น มีเสียง เรียนรู้ของเรา การฝึกของเรา จะลดลงไปทันทีเลย ฉะนั้น ให้เรา
ออกมาอย่างไร มีเสียงอย่างนี้แล้วคนอื่นมีปฏิกิริยาอย่างไร ค่อย ๆ รักษาสภาพใจของเราให้เหมือนเด็ก ตื่นตัว เปิดใจ พร้อมจะเรียนรู้
สังเกตจนกระทั่งจับได้ว่า ค�ำว่า “แม่” นี่คือค�ำเรียกแม่ ออกเสียงว่า ตลอดเวลา
แม่เมื่อไร แม่หัน ออกเสียงว่าพ่อเมื่อไร พ่อหัน ค่อย ๆ เรียนรู้ ในเวลา
เพียงแค่ปีสองปี เด็กเรียนรู้อะไรได้มากมาย
16 108วิธวิีเธรีีเยรีนเก่
ยนเก่งโคตร..โคตร
งโคตร..โคตร 108
108 วิวิธธีเีเรีรียยนเก่
นเก่งงโคตร..โคตร 17
16 108 www.kalyanamitra.org โคตร..โคตร 17
ประการที่ 3 วิธีการฝึกตัวเองให้เป็นอัจฉริยะจะต้องไม่ดูเบา พระจูฬปันถกดีใจ ก็เอาผ้าขาวมาลูบ แล้วก็ภาวนาไป ลูบ
หรือดู ห มิ่ น คนอื่ น มีตัวอย่างมาแล้วในครั้งพุทธกาล มีพระภิกษุ ไป ๆ หลายชั่วโมงเข้า ลืมตาดู เอ๊ะ! ผ้าขาวเริ่มเป็นสีมอ ๆ แล้ว
รูปหนึ่งชื่อจูฬปันถก พระพี่ชายชื่อมหาปันถก ท่านเป็นพระอรหันต์ ผ้าขาวเปื้อนเหงื่อไคลเป็นสีมอ ๆ เลยได้คิดว่า ผ้าขาวที่ขาวบริสุทธิ์
แล้ว ก็เลยมาชวนน้องชายไปบวช ตั้งใจจะสอนน้องชายให้เป็นพระ พอถูกต้องมือของเรานาน ๆ เข้า ยังเป็นสีมอ ๆ ได้เลย ตัวเรานี่ช่าง
อรหันต์ตามมาด้วย ปรากฏว่าแค่สอนคาถาให้บทเดียว มีอยู่ 4 บาท ไม่สะอาดจริง ๆ เลย เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
บาทหนึง่ ก็ประมาณครึง่ บรรทัด พระน้องชายเรียนอยู่ 4 เดือน แม้แต่ พอใจเริ่มคลายความยึดมั่นถือมั่นตรงนี้ไปได้ ใจก็เริ่มเป็น
บาทเดียวคือครึง่ บรรทัดยังท่องไม่ได้เลย จนพระพีช่ ายบอกว่าไม่ไหว สมาธิตั้งมั่นมากขึ้น ๆ ดิ่งลงไป เจริญวิปัสสนากรรมฐานจนสุดท้าย
คงไม่มวี าสนาในการบวชเลยบอกน้องว่า “สึกเถอะ เธอไปไม่รอดแล้ว” หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ตรงนั้นเอง บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ 4 คือ
พระจูฬปันถกเสียใจมาก ไม่รู้จะท�ำอย่างไร ก็เลยคิดว่าจะสึก แตกฉานในอรรถ ในธรรม ในนิรุตติ ในปฏิญาณ การแสดงธรรม
ระหว่างที่ก�ำลังน้อยอกน้อยใจในโชควาสนาของตัวเอง ขณะที่จะเดิน ทุกเรื่องพรั่งพร้อมทุกอย่าง สุดท้ายได้รับการยกย่องจากพระสัมมา
ไปสึกนั่นเอง สัมพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ที่เลิศ เป็นอัจฉริยะทางด้านมโนมยิทธิ คือ มีฤทธิ์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็น เลยถามว่า “จูฬปันถก เธอจะ ทางใจมาก
ไปไหน”
พระจูฬปันถกกราบทูลว่า “จะลาสิกขา พระเจ้าข้า”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบอกว่าไม่ต้องสึก แล้วก็ประทาน
ผ้าขาวให้ผืนหนึ่ง ให้ถือไว้และให้ลูบไป พร้อมทั้งให้บริกรรมภาวนา
ไปด้วยว่า “รโชหรณํ รโชหรณํ” แปลว่า ผ้าเช็ดธุลี ผ้าเช็ดธุลี

ยิ่งดูหมิ่น ยิ่งตอกย�้ำ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นมาเป็นผังในใจของเรา
ไม่ว่าจะเป็นความโง่ หรือว่าการพูด เช่น เห็นใครพูดติดอ่าง ก็อย่า
ไปดูถูกดูหมิ่นเขา เห็นใครเขาท�ำอะไรดีไม่เท่าเรา อย่าดูถูกดูหมิ่น
เขาเด็ดขาด วางใจเรานิ่ง ๆ เฉย ๆ เพราะว่าเราเองก็มีข้อบกพร่อง
เยอะแยะที่ต้องฝึกฝนตนเองให้มากขึ้นต่อไป ให้มองดูแต่เพียงว่า ใคร
เหตุที่พระจูฬปันถกท่องคาถาบาทเดียวตั้ง 4 เดือน ยังจ�ำไม่ เขามีอะไรดีแล้วชื่นชมอนุโมทนาเขา น้อมน�ำมาเป็นต้นแบบปั๊มไว้ใน
ได้ เป็นเพราะว่าภพในอดีตท่านเคยเป็นพระภิกษุที่ฉลาดมาก เห็น ใจของเรา เราจะได้ฝึกตัวเองรอบด้านให้ดีขึ้น ๆ
เพื่อนภิกษุรูปหนึ่งพยายามจะร�ำ่ เรียนพุทธวจนะ แล้ ว ก็ จ� ำ ไม่ ค ่ อ ย อย่างนี้ละก็ เราจะเป็นที่รวมของความดี ความสามารถ
จะได้ เลยไปหัวเราะเยาะว่าโง่ วิบากกรรมนัน้ ท�ำให้เกิดมาชาตินโี้ ง่ คาถา ประหนึ่งมหาสมุทรเป็นที่รวมของน�ำ้ แต่ถ้าไปดูถูกดูหมิ่นคนนั้นว่า
บาทเดียว 4 เดือน จ�ำไม่ได้ แต่พอตั้งใจทุ่มปฏิบัติธรรมตามค�ำแนะน�ำ เขาสู้เราไม่ได้อย่างนั้นอย่างนี้ ไปหัวเราะเยาะเขา อะไรไม่ดี ๆ จะมา
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนท�ำลายกิเลสทัง้ ปวงลงไปได้ วิบากกรรม รวมที่ตัวเราหมด ฉะนั้น อย่าดูหมิ่นใครเด็ดขาด
นัน้ ก็หมดไป จึงกลายเป็นพระอรหันต์ทพี่ รัง่ พร้อมด้วยปฏิสมั ภิทาญาณ ในช่วงสุดท้ายนี้ มีอีกเรื่องหนึ่งคือ สมองกับใจท�ำงานกัน
4 ครบถ้วนบริบรู ณ์ แล้วก็เป็นเลิศทางด้านมโนมยิทธิ อย่างไร ที่จริงสมองเป็นเหมือนเครื่องมือของใจ ใจเป็นตัวควบคุม
เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเราเห็นใครเขาด้อยกว่าเราด้านไหน แล้วใช้งานสมอง ดังค�ำว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” สมองเป็น
ห้ามดูถูกเขาเด็ดขาด วิบากกรรมจะเกิด เกิดตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว คิด ส่วนหนึ่งของกาย ก็เป็นบ่าวไปด้วย ถ้าเปรียบสมองเป็นเหมือนกับ
ดูถูกเขาวิบากกรรมเกิดแล้ว ยิ่งพูด ยิ่งเกิด เกิดทั้งชาตินี้ ทั้งชาติหน้า คอมพิวเตอร์ ใจก็คือ ยูสเซอร์ (User) สมองเป็นเครื่องมือ ใจเป็นผู้
เพราะพอเราดูหมิ่นเขา ภาพของเขาจะปรากฏขึ้นในใจของเรา สั่งงาน ผู้กำ� กับดูแลทุกอย่าง แต่สมองเป็นเครื่องมือที่ปรับตัวเองได้

ใช้ทำ� อะไรบ่อย ๆ ก็จะพยายามปรับตัวเองให้มีประสิทธิภาพในการ เพราะฉะนั้นก่อนจะไปกังวลว่า สงสัยคงแก้ไม่ได้ เอาไว้
ท�ำงานนั้นให้ดีขึ้น ฉะนั้น พอเราตั้งใจฝึกตัวเองจริง ๆ จัง ๆ สมอง ชาติหน้าก็แล้วกัน อย่าไปคิดอย่างนั้น ใช้สิ่งที่ติดตัวมาตอนนี้ให้
ก็จะปรับตัวเอง มีไขมันมาหุ้ม มีชวานเซลล์ (schwann cell) มาหุ้ม เต็มศักยภาพก่อน ตอนนี้เรายังใช้แค่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ท�ำให้ท�ำงานได้คล่องแคล่วรวดเร็วขึ้น หลังจากท�ำงานต่อเนื่องไป 3 ถ้าเรามีความมุ่งมั่นปรารถนาจริง ๆ ตั้งใจฝึกตัวเอง ทุ่มจริง ๆ ใจ
สัปดาห์ หรือ 21-22 วัน เหล่านี้เป็นต้น จดจ่ออย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ 21 วัน 22 วัน แต่ฝกึ กันเป็นปี ฝึกกัน
เป็นห้าปี สิบปี เอาจริงเอาจัง ไม่เก่งให้มันรู้ไป แล้วไม่ดูเบาดูหมิ่น
แต่หลักจริง ๆ จะอยู่ที่ใจ เมื่อเราตั้งใจฝึกฝนจริง ๆ จัง ๆ แล้ว ใครเลย มองแต่คนที่เขาดีมีจุดเด่นที่ควรศึกษา แล้วเอาเป็นต้น
ผลจากสมองที่เนื่องถึงใจโยงใยกันแล้วมันจะติดอยู่ในใจเราข้ามภพ แบบในใจ อย่างนี้ละก็ เราจะเป็นอัจฉริยะไม่ใช่แค่ด้านเดียว แต่จะ
ข้ามชาติได้ เป็นความทรงจ�ำที่อยู่ในใจ ข้ามภพข้ามชาติก็ยังเก็บกัน เป็นอัจฉริยะรอบด้านทีเดียว
อยู่ได้ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก
พอรู้อย่างนี้แล้วเราอย่ากังวลว่า เอ๊ะ...แล้วประสิทธิภาพของ
สมองหรือใจเราในปัจจุบันที่เกิดมาแล้วอย่างนี้ จะเป็นตัวจ�ำกัดการ
ฝึกตัวเองของเราไหม มันก็มีส่วน แต่ว่าแค่ศักยภาพของสมองและใจ
เราที่มีอยู่นี้ ถ้าตั้งใจฝึกให้ใช้มันได้เต็มประสิทธิภาพ แค่นี้ก็เหลือเฟือ
แล้วที่จะท�ำให้เราประสบความส�ำเร็จในชีวิต และเป็นอัจฉริยะในด้าน
ต่าง ๆ ตามที่เรามุ่งหวัง

CHAPTER
3
ต้องค้นหาเป้าหมาย
1. ต้องเรียนอย่างมีเป้าหมาย และสามารถตอบตัวเองได้ว่า
เรียนไปเพื่ออะไร เรียนไปท�ำไม เช่น เราจะเรียนเพื่อจะได้เอาความ
108 วิธี เรียนเก่งโคตร..โคตร รู้มาประกอบอาชีพที่ทำ� ให้รวยที่สุดในโลก หรือเรียนเพื่ออยากเป็น
หมอรักษาคนไข้ ฯลฯ เพราะหากเราเรียน ๆ ไป แล้วยังตอบตัวเองไม่
ได้สักทีว่าจะเรียนไปท�ำไม ในที่สุดเราก็จะเกิดความรู้สึกว่าท�ำไมต้อง
มาทนล�ำบากเรียนอยู่แบบนี้ อีกทั้งยิ่งฝืนเรียนไป..ก็ยิ่งเบื่อเรียนขึ้น
ทุกวัน จนสุดท้าย..ก็จะไม่ประสบความส�ำเร็จด้านการเรียนในที่สุด
24
2. ควรค้นหาตัวเองให้เจอด่วนที่สุด ว่าเราชอบเรียนอะไร 3. อย่าเรียนเพราะค่านิยม เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากเราไม่
ถนัดอะไรที่สุด แล้วเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะการเรียน ชอบ จะท�ำให้เราเรียนไม่ไหวและเรียนโดยไม่มีความสุข เช่น ถ้ารู้จัก
ในสิ่งที่ชอบ จะท�ำให้เรียนได้ดี ไม่เกิดอาการท้อแท้งา่ ย มีโอกาส ตัวเองดีว่าชอบเรียนภาษา ถนัดด้านภาษา แต่อ่อนวิชาคณิตศาสตร์
ประสบความส�ำเร็จในด้านการเรียนสูง เพราะความชอบและความ อ่อนวิชาฟิสกิ ส์มาก ๆ ก็ให้เราเลือกเรียนสายศิลป์ทเี่ ราชอบทีส่ ดุ ดีกว่า
ถนัดจะท�ำให้เราเกิดความช�ำนาญเฉพาะทางที่โดดเด่นกว่าคนอื่น ไม่ควรไปเห่อตามค่านิยมของสังคม เช่น ถ้าใครเรียนวิศวะฯ จะดูเท่
ซึ่งจุดเด่นตรงนี้เอง จะน�ำมาซึ่งโอกาสของชีวิตที่ดีกว่า... ดูดี ได้รับการยอมรับมากกว่า เป็นต้น
อีกทัง้ ความชอบจะเป็นต้นทุนหรือบันไดความส�ำเร็จขัน้ แรก
ทีจ่ ะท�ำให้เรามีไฟหรือรักทีจ่ ะเรียน ซึ่งเมื่อเรารักที่จะเรียนหรืออยาก
เรียน เราก็จะก้าวสู่บันไดความส�ำเร็จขั้นที่ 2 ได้อย่างง่าย ๆ คือ 4. หากเป็นคนมีพรสวรรค์ เก่งทุกอย่าง เก่งทุกวิชา คือ
เกิดความขยันและมีความเพียรขึ้นมาเองอย่างอัตโนมัติ โดยไม่รู้สึก เก่งทั้งวิทย์และศิลป์พอ ๆ กัน ก็ให้ถามตัวเองใหม่ว่า แล้วที่ชอบที่สุด
ว่าโดนบังคับให้เรียนเลย และมากไปกว่านั้น..เราจะเต็มใจเรียนอย่าง จริง ๆ คือด้านไหน ? แต่ถ้าตอบไม่ได้จริง ๆ ก็ให้หันมาดูที่ค่านิยม
ไม่รู้สึกเบื่อ แต่กลับรู้สึกท้าทาย เกิดความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ และความต้องการของสายอาชีพนั้นในท้องตลาด ว่าคณะไหนเรียน
ก�ำลังเรียน ก�ำลังศึกษาค้นคว้าอยู่ตลอดเวลา และเมื่อเป็นเช่นนี้... แล้วไม่ตกงาน หาเงินได้มากกว่า มีอนาคตและจะท�ำให้เราประสบ
เราก็จะก้าวไปสู่บันไดความส�ำเร็จขั้นที่ 3 คือ เกิดอารมณ์จดจ่อ ความส�ำเร็จได้มากกว่า หรือผู้ปกครองเห็นด้วยมากกว่า ก็ให้เลือก
เกิดอาการเอาใจใส่ เกิดความรู้สึกอยากท�ำคะแนนวิชาหรือสาขาที่ เรียนคณะนั้น หรือสายอาชีพนั้น ๆ
เราชอบนั้น ให้ได้คะแนนในระดับ TOP คือ อยากเรียนให้เก่งที่สุด
และเมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้... เราก็จะก้าวขึ้นสู่บันไดความส�ำเร็จ
ขั้นที่ 4 คือ เราจะพยายามเสาะหาวิธีการ หมั่นไตร่ตรองพิจารณาแก้
ปัญหาทุกอย่าง เพื่อน�ำมาปรับปรุงวิธีการเรียนของเราให้ดีขึ้นอีก จน
ก้าวไปสู่ความส�ำเร็จดังที่ตั้งใจไว้ในที่สุด

5. ก่อนจะเลือกเรียนอะไรหรืออยากจะท�ำอาชีพอะไรใน 7. รีบค้นหาปัญหาของตัวเองให้เจอ ว่าที่เราเรียนได้ไม่ดีไป
อนาคต ให้ลองสอบถามคนที่เรียนในสายนั้น ๆ หลาย ๆ คน หรือ กว่านี้เพราะอะไร โดยการลองนั่งเงียบ ๆ แล้วส�ำรวจตัวเองว่า เราเบื่อ
ผู้มีประสบการณ์โดยตรงในสายอาชีพนั้นก่อน เพื่ อ จะได้ ตั ด สิ น ใจ อะไร ไม่ชอบตรงไหน ไม่เข้าใจอะไร วิชาไหน แล้วเขียนออกมา เพื่อ
ได้ถูกต้องและสามารถเลือกให้เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด แต่อย่า จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุด
ตัดสินใจเรียนหรือเลือกคณะทีช่ อื่ ดูดี ดูหรู ดูเท่ แต่ไม่รวู้ า่ คณะนี้
เขาเรียนอะไร จบออกมาท�ำงานอะไร แถมยังสมัครดุ่ย ๆ เข้าไป 8. เขียนเป้าหมายการเรียนไว้สัก 5 ข้อ แปะไว้ทโี่ ต๊ะ หรือ
เรียนโดยที่ไม่รู้ เพราะหากเสียเวลาเข้าไปเรียนแล้ว เกิดไม่ชอบและ หัวนอน หรือทีเ่ ห็นง่าย ๆ เช่น มีเป้าหมายระยะใกล้ เป้าหมายระยะไกล
รู้สึกไม่ใช่ตัวตนของเราในภายหลัง ก็จะท�ำให้เสียเวลาย้ายคณะ เสีย เป้าหมายในอนาคต แล้วอ่านซ�ำ้ บ่อย ๆ เพือ่ เป็นแรงบันดาลใจให้เราสู้ ๆ...
เวลาสอบเข้าใหม่ เสียเงิน เสียอารมณ์ไปเปล่า ๆ ตั้งเป้าหมายการเรียน 5 ข้อ
1)..............................................................................
6. ไม่แนะน�ำให้เรียนในสายที่ตัวเองไม่ชอบ เพราะต้องใช้
2)..............................................................................
ก�ำลังใจเยอะ ต้องเพียรพยายามเยอะมากกว่าคนปกติหลายเท่าตัว 3)..............................................................................
แต่หากจะฝืนเรียนเพราะความจ�ำเป็น คือ ถูกบังคับเรียนหรือจ�ำเป็น 4)..............................................................................
ต้องเอาวุฒิไปประกอบอาชีพ เพราะกลัวไม่มีงานท�ำ ซึ่งถ้าหากตกอยู่ 5)..............................................................................
ในสภาพเช่นนี้ สิ่งส�ำคัญที่ต้องท�ำประการแรกก็คือ ต้องรีบสร้าง
แรงจูงใจในการเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบให้ได้ โดยให้นึกถึงประโยชน์
ว่า ถ้าเราเรียนจบแล้วจะได้อะไร เกิดประโยชน์กับอนาคตเราอย่างไร
เป็นผลดีต่อตัวเราและพ่อแม่อย่างไร หรือให้นึกถึงโทษว่า ถ้าสอบตก
โดน retire เราจะต้องตกอยู่ในสภาพเช่นไร เป็นต้น

ก่อนลงมือเรียน

9. ก่อนลงมือเรียน ให้สำ� รวจเนือ้ หาทีจ่ ะเรียนโดยรวมคร่าว ๆ 12. อย่าจัดตารางอ่านหนังสือให้แน่นเกินไป จนเกินความ
เพื่อให้เรารู้ภาพรวมทั้งหมดก่อนว่ามีอะไรบ้าง เช่น อ่านสารบัญ จับ จริงที่เราจะท�ำได้ เพราะหากท�ำตามตารางไม่ได้ทุกวัน ๆ เราจะเกิด
วัตถุประสงค์ให้ได้ว่า เขาอยากจะให้เราได้อะไรกับเนื้อหาบทนี้ โดย อาการท้อและเลิกท� ำไปเลย ดังนั้น..เราต้องจัดตารางอ่านหนังสือ
การอ่านหัวข้อคร่าว ๆ ของแต่ละบทที่จะเรียนก่อน ให้พอดี มีความยืดหยุ่นได้บ้าง เพื่อให้เราท�ำได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์
ขึ้นไป เพื่อเป็นก�ำลังใจให้ตัวเองและมีแรงขับเคลื่อนผลักดันตัวเอง
10. จัดตารางเวลาในการอ่านหนังสือให้ลงตัว โดยเริม่ จาก นิด ๆ เพื่อท้าทายจนเกิดความรู้สึกอยากทะยานไปถึงเป้าหมาย
วิชาทีเ่ ราชอบทีส่ ดุ ก่อน เพือ่ เป็นก�ำลังใจให้เรามีแรงอ่านวิชาต่อไป
13. หากเป็นคนเบื่อง่าย ให้อ่านหนังสือสลับกันวันละ
11. แบ่งเวลาท�ำกิจกรรมต่างๆ ให้เหมาะสม และท�ำตาม หลายๆ วิชา โดยเริ่มจากวิชาที่สนใจ ต่อด้วยวิชาที่ยาก และตามด้วย
ให้ได้ คือ แบ่งช่วงเวลาท�ำการบ้าน เวลาอ่านทบทวน เวลาอ่าน วิชาที่ง่ายที่สุด...
ล่วงหน้า เวลาเล่นเน็ต เวลาโทรศัพท์ เวลากินข้าว เวลาเข้านอน ฯลฯ
ให้ลงตัว เพราะหากไม่แบ่งให้เป็นระบบระเบียบเอาไว้ หรือท�ำอะไร
ปล่อยไปตามอารมณ์ คือ ไม่มีอารมณ์ก็ไม่ท�ำ ซึ่งถ้าเราปล่อยให้เป็น
อย่างนี้บ่อย ๆ จะท�ำให้ติดเป็นนิสัย กลายเป็นคนท�ำอะไรแล้วไม่
วางแผน มั่ว ๆ ซั่ว ๆ ไม่เป็นระบบ ซึ่งจะท�ำให้ในอนาคตจะท�ำงาน
ใหญ่ไม่ได้ เป็นเจ้าคนนายคนได้ยาก บังคับลูกน้องได้ยาก เพราะกับ
ตัวเองยังบังคับให้เป็นเวลา ให้เป็นระบบไม่ได้เลย และเมื่อเป็นอย่าง
นี้ ก็จะประสบความส�ำเร็จในชีวิตได้ยาก

วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน
14. ให้อ่านหนังสือล่วงหน้าก่อนเข้าเรียนวิชานั้นๆ 18. หลังจากอ่านบทที่ 1 จบแล้ว อย่าเพิ่งอ่านบทที่ 2 ต่อ
แต่ให้ปิดหนังสือ แล้วหยิบปากกาขึ้นมาเขียนว่า เรารู้อะไรบ้าง แล้ว
15. ใช้หลัก 4 W - 1 H ในการจับประเด็นในการอ่าน ค่อยย้อนกลับไปดูว่า เรายังจ�ำตรงไหนไม่ได้ จากนั้นก็ให้อ่านทวน
หนังสือ คือ เมื่ออ่านแล้วต้องจับประเด็นให้ได้อย่างครอบคลุมว่า และขีดเส้นใต้เอาไว้ เพื่อเน้นให้จ�ำได้
เนื้อหานั้นเกี่ยวกับ what-อะไร where-ที่ไหน when-เมื่อไร why-
19. หลังอ่านบทที่ 1 จบ ให้ท�ำแบบฝึกหัดท้ายบทให้หมด
ท�ำไม how-อย่างไร
แต่หากเวลาน้อย ให้เลือกท�ำข้อเลขคี่ หรือเลขคู่ทั้งหมด เพราะแบบ
16. ต้องจับวัตถุประสงค์การเรียนรูข้ องบทเรียนนัน
้ ให้ได้ ฝึกหัดมักจะเฉลี่ยความยากง่ายไว้ตามล�ำดับข้ออยู่แล้ว
คือหาหัวใจของเรื่องให้เจอ ว่าเขาให้เราเรียนเรื่องนี้ เพราะอยากให้
20. ให้ Xerox ข้อสอบเก่าย้อนหลังมา 4-5 ปี แล้วเลือก
เราศึกษาและเข้าใจเรื่องอะไร และเขาอยากให้ผู้เรียนท�ำอะไรให้ได้
ท�ำข้อที่เกี่ยวข้องกับบทที่ 1 ทั้งหมด หากท�ำได้ก็แสดงว่า เราเข้าใจ
อีกทั้งเมื่ออ่านหรือเรียนบทเรียนนั้น ๆ จบ เราต้องรู้และเข้าใจอย่าง
เนื้อหานั้นพอสมควร หากท�ำไม่ได้ก็ให้กลับไปอ่านใหม่ ในหัวข้อที่
แจ่มแจ้ง จนสามารถตอบค�ำถามตามวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ใน
เกี่ยวข้อง หรือถามอาจารย์ต่อไป
บทเรียนนั้นได้ทั้งหมด
21. ก่อนที่จะอ่านหนังสือบทต่อไป ให้อ่านทบทวนของเก่า
17. อย่าอ่านลุยเอาเร็วจนจบทั้งหมด โดยที่ไม่รู้เรื่อง ตรงที่ขีดเส้นใต้เอาไว้ก่อน เพื่อเป็นการทบทวนความจ�ำ และเป็นการ
เพราะจะท�ำให้เสียเวลา เนื่องจากอ่านจบก็จำ� อะไรไม่ได้ หน�ำซ�ำ้ ยัง ต่อเรื่องเก่ากับเรื่องใหม่ให้ติด
ก่อให้เกิดความรู้สึกเบื่อขึ้นมาง่าย ๆ ดังนั้น..ก่อนลุยอ่าน ให้สำ� รวจ
เนื้อหาคร่าว ๆ ก่อน แล้วอ่านเจาะทีละบท โดยค่อย ๆ ท�ำความเข้าใจ
ไป ดังสุภาษิตที่ว่า I walk slowly, but I never walk backwards. (ฉัน
เดินช้า แต่ก็ไม่เคยเดินถอยหลัง)
32
32 108
นเก่งงโคตร..โคตร
โคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108
โคตร..โคตร 33
วิธีขีดเส้นใต้หรือเน้นข้อความส�ำคัญ
22. เรื่องไหนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ให้อ่านเป็นวิชาสุดท้าย 24. ขณะอ่านหนังสือ ให้ขีดเส้นใต้ตรงที่สำ� คัญเอาไว้ เพื่อ
ของคืนนั้น โดยอ่านจนหลับไปเลย และพอตื่นเช้าขึ้นมา อย่าเพิ่ง ไว้ทบทวนช่วงสอบ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาเริ่มต้นอ่านใหม่ทั้งหมด
ล้างหน้าล้างตาหรือไปท�ำอย่างอื่น ให้ลุกขึ้นมาอ่านเรื่องนั้นใหม่ทันที
เพราะสมองตอนนั้นก�ำลังสดชื่น มีประสิทธิภาพสูงสุด 25. การใช้ปากกา High Light หรือปากกาสี ในการ
ขีดเส้นบนต�ำรา วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย้อนกลับมา
23. อย่าอ่านเฉพาะหนังสือที่กำ� หนดให้เรียน ให้หัดอ่าน อ่านใหม่ได้ดีมาก คือเราจะอ่านได้เร็วขึน้ แต่ไม่ควรใช้สเี ดียวขีดตลอด
ต�ำราและค้นคว้าจากหนังสือหลาย ๆ เล่ม เพราะหากต้องการเรียน ควรแยกประเภทด้วย เช่น
ในระดับสูงต่อไป จะต้องฝึกเรือ่ งการค้นคว้าหาข้อมูลเอง วิเคราะห์เอง สีเหลือง : หัวใจส�ำคัญของเรื่อง หัวข้อส�ำคัญ
อีกทัง้ การอ่านจากต�ำราหลายเล่ม ๆ ยังช่วยท�ำให้มคี วามรูเ้ พิม่ ขึน้ สีชมพู : ชื่อส�ำคัญ วันส�ำคัญ สูตรที่ต้องจ�ำ
สีฟ้า : ตัวอย่างที่ควรจ�ำ
26. หากชอบหรือถนัดในการจดย่อหรือสรุปย่อ..ก็ให้
ท�ำควบคู่ไปด้วย เพราะวิธีการนี้ จะท�ำให้เนื้อหาผ่านหูผ่านตาเรา
มากกว่าการอ่านผ่านไปเฉย ๆ
27. หากสงสัยหัวข้อใดที่อาจารย์สอน ให้จดโน้ตไว้ถาม
อาจารย์นอกรอบ หรือยกมือถามทันที หรือถามหลังจากที่อาจารย์
บรรยายเสร็จแล้ว
34 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108

วิธีลดความฟุ้งซ่านและก�ำจัดสิ่งกวนใจ
31. อย่าติดหรูใช้แต่ของแบรนด์เนม เช่น ใช้โทรศัพท์
28. เวลาเรียนให้ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ และไม่ต้องหยิบ มือถือรุน่ ท็อปสุด ใช้ ก ระเป๋ า ถื อ แพง ๆ หรือขับรถสปอร์ต ประดุจ
ดูบ่อย ๆ อีกทั้งไม่ควร chat ส่งข้อความทาง BB เล่น WhatsApp หรือ ออกงานสังคมชัน้ สูงตลอดเวลา แต่ถา้ หากอยูใ่ นกรณีทที่ างบ้านมีอนั
เล่น line ในขณะอาจารย์สอน เพราะท�ำให้มีสมาธิไม่ต่อเนื่อง จะกินหรือรวยเหลือเฟืออยูแ่ ล้วก็ไม่มปี ญ ั หา
..แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาที่สภาพ
29. ไม่ควรนั่งแอบมองเพศตรงข้ามในขณะเรียน เพราะ ไม่พร้อมทางการเงินคนหนึ่ง แต่เกิดความรู้สึกอยากมีโน่น..มีนั่น
ท�ำให้เสียสมาธิในการเรียน แถมเมื่อมองแล้วยังมีจิตคิดฟุ้งซ่านต่อไป เหมือนเพื่อน ซึ่งถ้าเราเป็นดังนี้ ก็จะเกิดความทุกข์ หน�ำซ�ำ้ ยังต้องหา
เรื่อย ๆ ดังนั้น..ควรแบ่งเวลาให้เป็นเรื่องเป็นราว วิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งของหรูหราเหล่านั้นมาอวดเพื่อน เพื่อให้
สังคมยอมรับหรือเป็นที่ดึงดูดตาดึงดูดใจ
30. ไม่ควรแต่งตัวรัดรูปหรือโป๊เกินไป ควรแต่งตัวให้ จากจุดนี้... อยากให้มองว่า ในวัยเรียน..หากเราเป็นนักเรียน
เหมาะสม เพราะจุดประสงค์ของการแต่งชุดนักเรียนหรือชุดนักศึกษา หรือนักศึกษาที่เรียนดี กิจกรรมเด่น เรียนเก่งได้เกียรตินิยม ก็น่าจะ
ก็เพื่อมาเรียน ไม่ใช่มาท�ำอย่างอื่น การแต่งตัววับ ๆ แวม ๆ จะท�ำให้ เป็นที่ชื่นชมและยอมรับของสังคมมากกว่าพวกที่ท�ำตัวรวยแล้วเรียน
ผู้แต่งเองคิดฟุ้งซ่านได้ง่าย รวมถึงคนมองก็ฟุ้งซ่านไปด้วย และที่ ห่วย หรือท�ำตัวหรูแต่บ้านไม่มีตังค์ อีกทั้งยังเรียนก็ไม่ได้เรื่อง ซึ่งพอ
ส�ำคัญ...ยังก่อให้เกิดคดีโดนฉุดหรือชิงสุกก่อนห่ามได้ง่าย ไม่เป็นผลดี กล่าวมาถึงตรงนี้... ก็อยากให้ลองเปรียบเทียบดูแล้วกันว่า คน 2
ต่อการเรียนเลย กลุ่มนี้..ใครจะน่าชื่นชมกว่ากัน !!
..แต่หากชอบการแต่งรัดรูปหรือวับ ๆ แวม ๆ จริง ๆ ก็อยาก
ให้มองไปตามความเป็นจริงว่า หากเพศตรงข้ า มเข้ามาสนใจเรา
เพราะการแต่งตัวแบบนี้ ก็พึงสังวรไว้เถิดว่า เขาสนใจเราเพียงเพราะ
รูปกาย ดังนั้น..หากวันใด เขาเจอคนสวยกว่าเรา เขาก็ไป หน�ำซ�้ำ
เมื่อเราแก่ เขาก็ตีจาก เพราะแรกพบเขาไม่ได้ประทับใจเราด้วยความ
ดีหรือความเก่งที่มีอยู่ในตัวเราจริง ๆ แต่กลับไปประทับใจสิ่งที่เป็น
ภาพลวงตา...

ให้นั่งเรียนในต�ำแหน่งฮวงจุ้ยดีๆ วิธีแก้ง่วง
32. หาที่นั่งเรียนในต�ำแหน่งหน้าๆ เพื่อเป็นการบังคับตัว 34. หากง่วงนอนบ่อยๆ ในเวลาเรียน ให้หาสาเหตุให้เจอ

เองไปในตัว..ว่าไม่ให้หลับหรือไม่ให้คุยในเวลาเรียน เพราะหากเข้า ว่าง่วงเพราะอะไร เช่น นอนดึก หรือไปเที่ยวดึก หรือเล่นเน็ตจนดึก
เรียนแล้วหลับหรือตั้งใจเข้าไปคุย ก็ไม่รู้ว่าจะมาเข้าเรียนท�ำไม เพราะ ถ้าสาเหตุมาจากอะไรก็ให้แก้ตรงนั้น โดยการปรับเวลาให้พอเหมาะ
เสียทั้งเวลา เสียทั้งประโยชน์ แถมยังท�ำให้อาจารย์ไม่ชอบเราเปล่า ๆ หรือถ้าเป็นคนที่ง่วงตลอดเวลาจนเป็นนิสัย ก็ให้ใช้วิธีล้างหน้า หรือ
33. นัง่ ในต�ำแหน่งทีเ่ ห็นกระดานชัดๆ ไม่เลือกนัง่ ในต�ำแหน่ง
ใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้า หรือดื่มน�้ำเปล่าที่ไม่เย็นบ่อย ๆ ก็จะท�ำให้ง่วงน้อย
ลง (หากดื่มน�้ำเย็นจะท�ำให้ต้องเข้าห้องน�้ำบ่อย และเซลล์ดูดซึมน�้ำ
หน้าประตูทเี่ ห็นคนเดินผ่านไปผ่านมานอกห้อง เพราะสมาธิในการเรียน
ได้ไม่ดี)
ของเราจะถูกรบกวน
35. ต้องนอนให้พอ ตรงนี.้ .ก็ตอ้ งแบ่งเวลานอนให้เหมาะสม
กับตัวเอง เช่น บางคนชอบนอนดึกตื่นสาย บางคนชอบนอนหัวค�ำ่
ตื่นเช้า บางคนชอบนอนเป็นช่วง ๆ ก็ปรับให้เหมาะกับสภาพร่างกาย
ของตัวเอง โดยให้สมองได้พักผ่อนเพียงพอ เพื่อเวลาอ่านหนังสือ
จะได้จ�ำได้ดี
ซึ่งตรงจุดนี้... ขอแนะน�ำเพิ่มเติมว่า ต้องกินอาหารให้ตรง
เวลาทั้ง 3 เวลาด้วย คือ ไม่ใช่นอนจนเลยเวลากินข้าวเช้า แล้วตื่นมา
กินตอน 10 โมงเช้า เพราะการท�ำอย่างนี้ จะท�ำให้เป็นโรคกระเพาะ
ในภายหลังได้ ดังนั้นให้ตื่นขึ้นมากินข้าวเช้าก่อน แล้วค่อยกลับไป
นอนให้เพียงพอจะดีกว่า...

ระวัง! อันตรายจากโทรศัพท์
36. อย่าดื่มกาแฟเข้มๆ ก่อนเข้าเรียน เพราะกาแฟจะช่วย 38. อย่าเล่นเน็ต คุยโทรศัพท์ เข้าสังคม หรือช็อปปิง
ให้ไม่ง่วงแค่เพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่หลังจากนัน้ ร่างกายจะซึม ๆ มากเกินไป จนเบียดบังเวลาอ่านหนังสือ เพราะปัญหาที่พบบ่อยมาก
ทื่อ ๆ อีกทั้งหากดื่มกาแฟเข้ม ๆ ในระยะยาวจะมีผลเสียต่อสุขภาพ คือ นักเรียนนักศึกษาเล่นเน็ต เล่น facebook เล่น twistter หรือ Chat
แต่หากชอบกาแฟจริง ๆ ก็ให้ดื่มแบบอ่อน ๆ และหมั่นกินวิตามิน B ส่งข้อความทาง BB เล่น WhatsApp หรือคุยโทรศัพท์เป็นเวลานาน
รวม อย่างสม�่ำเสมอหลังอาหารทันทีหรือกินพร้อมอาหาร ก็ได้เพราะ มาก จนสุดท้ายก็ไม่ได้ท�ำการบ้านหรืออ่านหนังสือ
กาแฟหรือชามีสารบางตัวลดการดูดซึมวิตามิน B ซึ่งเป็นตัวช่วยบ�ำรุง ดังนั้น..ถ้าจะให้ดีต้องปรับวิธีใหม่ คือ เปลี่ยนการเล่นเน็ต
ร่างกายด้านระบบประสาท หรือคุยโทรศัพท์นาน ๆ เป็นการให้รางวัลกับความรับผิดชอบ
ของตัวเองแทน โดยตั้งเงื่อนไขการให้รางวัลกับตัวเองว่า หากอ่าน
37. ในช่วง 1 ชั่วโมง หลังกินข้าวเสร็จใหม่ๆ อย่าอ่าน หนังสือบทนี้จบ จะให้รางวัลตัวเองโดยการเล่นเน็ตหรือคุยโทรศัพท์
หนังสือ เพราะจะท�ำให้หลับง่าย และถ้าหากเราเริ่มต้นอ่านหนังสือ สักครึ่งชั่วโมง เป็นต้น
ทีไร ก็หลับทุกที เท่ากับเป็นการสัง่ สมนิสยั การท�ำอะไรแล้วล้มเหลว
บ่อย ๆ ซึ่งพอความรู้สึกนี้ถูกสั่งสมซ�้ำ ๆ เราก็จะเกิดอาการท้อง่าย 39. เวลาอ่านหนังสือให้ปิดโทรศัพท์หรือปิดเสียงไว้ เพื่อ
เพราะก�ำลังใจของเราจะลดลงไปเรื่อย ๆ ไม่ให้สมาธิขาดตอน เพราะกว่าเราจะตั้งท่ายอมมานั่งนิ่ง ๆ อ่าน
ดังนั้น..หลังกินข้าวอิ่ม ๆ ให้หากิจกรรมอื่นท�ำแทน เช่น ช่วย หนังสือได้..ก็ยากอยู่แล้ว อีกทั้งกว่าจะอ่านให้เข้าใจยิ่งยากเข้าไปใหญ่
พ่อแม่ท�ำงานบ้าน จัดเก็บโต๊ะหนังสือ กระเป๋า ให้เป็นระเบียบ เป็นที่ และที่ส�ำคัญ...ขณะก�ำลังมีสมาธิต่อเนื่อง จู่ ๆ ก็ต้องไปนั่งรับสาย
เป็นทาง คุยธุระทางโทรศัพท์ให้เสร็จ เป็นต้น คุยโทรศัพท์ หน�ำซ�ำ้ กว่าจะคุยจบ ก็ต้องมาเริ่มท�ำอารมณ์ให้อยาก
อ่านหนังสือใหม่อีกรอบ ดังนั้น..ให้แก้ปัญหานี้โดยการบอกช่วง
เวลาประจ�ำที่เราไม่ได้อ่านหนังสือไว้กับเพื่อนสนิทหรือคนที่ต้อง
ติดต่อบ่อย ๆ
40
40 108
โคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 41
ชอบนอนอ่านหนังสือ..ท�ำไงดี? คลายเครียดให้ถูกวิธี
40. อย่านอนอ่านหนังสือ เพราะจะท�ำให้หลับง่าย แต่หาก 43. หลังจากเรียนเสร็จ หากเกิดอาการเครียด ไม่ควร
ชอบนอนอ่านจริง ๆ ให้เอาชอร์ตโน้ตที่เราย่อไว้มาท่องจ�ำ หรือเอา คลายเครียดโดยการไปดูหนังหรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ก่อน แล้ว
ค�ำศัพท์มาท่อง เพราะการท่ อ งจ� ำ ท�ำให้เผลอสติหลับยากกว่าการ ค่อยกลับมาอ่านหนังสือ เพราะการท�ำเช่นนี้ถูกเข้าใจผิดมานานว่า
อ่านไปเรื่อย ๆ เป็นการผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้ว การดูหนังหรือเข้าร้านเน็ตเล่นเกม
ท�ำให้บางทีเรากลับมาแล้ว..ก็มีอาการง่วง เพลีย หรือปวดหัวตุ๊บๆ
เพราะเราต้องใช้สมองในการดูหนัง อีกทั้งอารมณ์ความคิดเราก็ต้อง
นาทีทอง..ช่วงรถติด ขึ้นลงตามอารมณ์ตัวละคร ตามเกม ซึ่งการท�ำแบบนี้..ไม่ได้เป็นการ
พักผ่อนสมองที่ถูกวิธีเลย
41. เพื่อไม่ให้เสียเวลา ในช่วงรถติดให้นำ� เอาสิ่งที่ต้อง
44. วิธีคลายเครียดที่ถูกต้อง คือ ให้กลับบ้านหรือหอพัก
ท่องจ�ำมาท่อง เช่น ค�ำศัพท์ สูตรเคมี สมการทางฟิสิกส์ และ
คณิตศาสตร์ โดยให้จดใส่สมุดเล็ก ๆ พกติดกระเป๋าเสื้อ กระเป๋า แล้วออกก�ำลังกายให้เหงื่อออกสัก 15-20 นาที พักให้หายเหนื่อย
กางเกงหรือกระโปรง ไว้ท่องในขณะเดินทางไปเรียน หรือท่องใน แล้วดื่มน�้ำเปล่าที่ไม่เย็นมาก ๆ จากนั้น..ก็อาบน�ำ้ ให้สดชื่น แล้วนอน
ระหว่างการรอคอย เช่น รอนัดหมาย รอเข้าคิว ฯลฯ พักสัก 1 ชั่วโมง พอตื่นขึ้นมา ก็ให้นั่งสมาธิก่อนอ่านหนังสือ ซึ่งถ้าคุณ
ลองท�ำอย่างนี.้ .ก็จะพบว่า ร่างกายจะสดชืน่ ขึน้ อย่างเห็นได้ชดั ...
42. หากขับรถไปเรียนเองหรือไม่ชอบการท่อง ระหว่าง
อยู่บนรถโดยสาร ก็ให้อัดเสียงขณะที่อาจารย์สอนใส่ MP 3 มาฟัง
หรือจะอ่านออกเสียงด้วยตัวเองแล้วอัดมาฟังก็ได้ และนอกจากนั้น...
เรายังใช้ช่วงเวลานี้ในการฝึกภาษาอังกฤษ โดยการฟังภาษาอังกฤษ
ไปด้วยก็ได้...

47. ต้องหามุมสงบในการอ่านหนังสือทีบ
่ า้ น อย่าเอารูป
แก้ปัญหาสมองล้า แฟนหรือกระจกส่องหน้ามาติดไว้ที่โต๊ะอ่านหนังสือ และที่สำ� คัญ...
ต้องเลือกที่ที่ห่างไกลโทรทัศน์ ห่างไกลจากเสียงรบกวน มีแสงไฟพอ
45. อย่าอ่านหนังสือในวิชาที่ต้องใช้ความคิดต่อเนื่อง อากาศถ่ายเทสะดวก อีกทั้งให้หลีกเลี่ยงมุ ม ที่ มี ค นเดิ น ผ่ า นไปมา
ติดๆ กัน 3-4 ชั่วโมง เพราะตามหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ คนเราจะ บ่อย ๆ เช่น ประตู หรือหน้าต่างทีม่ องเห็นผูค้ นผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา
มีสมาธิต่อเนื่องได้ไม่เกินครั้งละ 50 นาที แต่ในบุคคลที่ผ่านการฝึก
สมาธิมา จะมีสมาธิต่อเนื่องนานเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว ซึ่งสมาธิ 48. ให้จัดสถานที่อ่านหนังสือและจัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ
จะต่อเนื่องยาวนานมากน้อยขนาดไหน ก็ขึ้นกับว่าฝึกมามากน้อยแค่ อยู่เสมอ คือ เมื่อใช้เสร็จแล้ว..ต้องเก็บให้เป็นระเบียบทันที โดย
ไหน ดังนั้นจึงมีความจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องฝึกสมาธิ โดย อาจจะเสียเวลาแค่วันละ 5-10 นาที ดีกว่าปล่อยไว้จนรกมากถึง
การนั่งสมาธิก่อนนอนหรือก่อนอ่านหนังสือเป็นประจ�ำอย่างน้อย ขนาดจัดไม่ไหว จนเป็นเหตุให้หาต�ำราเรียนหรือหารายงานไม่เจอ
15 นาที ถึง 1ชั่วโมงทุกวัน บ่อย ๆ
และที่แย่ไปกว่านั้น... หากเรามีนิสัยมักง่าย คือ ไม่ยอม
เก็บโต๊ะหรือจัด หนังสือให้เป็นระเบียบ นิ สั ย มั ก ง่ า ยนี้..ก็จะถูก
หลักการดูฮวงจุย้ เพือ่ เลือกท�ำเลในการอ่านหนังสือ
สั่งสมขึ้ น ที ล ะนิ ด ๆ จนสุดท้ายกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีติดตัวเราไป
จริ ง ๆ และผลเสียที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือ หากเราเห็นห้องรก ๆ
46. ควรเลือกสถานที่ส�ำหรับนั่งอ่านหนังสือเป็นประจ�ำ
โต๊ะรก ๆ บ่อย ๆ เป็นประจ�ำ ใจของเราก็จะไม่เป็นระบบระเบียบ
ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยไว้ให้ตัวเอง เพราะระหว่างวันเรา
ส่งผลให้การจัดระบบความคิดของเราสับสน ไม่เป็นระบบระเบียบ
จะมีเวลาว่างเพื่อรอเรียนในคาบต่อไป ดังนั้น..ควรหาที่สงบเงียบ
ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการหงุดหงิดง่ายโดยไม่รู้ตัว...
จริง ๆ และทีแ่ ห่งนัน้ ต้องไม่มคี นมากวนสมาธิ หรือเป็นสถานที่ที่งด
ใช้โทรศัพท์และงดส่งเสียงดัง เช่น ห้องสมุดหรือมุมสงบในสถานการ
ศึกษา
44 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108วิธวิีเธรีีเยรีนเก่

108 ยนเก่งโคตร..โคตร
งโคตร..โคตร 45
45
ข้อคิด..เพื่อให้ไฟติดตลอดเวลา ถ้าเบื่อ..ต้องท�ำอย่างไร
49. ต้องสร้างนิสัยเมื่อลงมือท�ำอะไรแล้ว..ต้องท�ำให้ดี 51. หากเบื่อ..เมื่อต้องอ่านซ�้ำ ให้คิดว่าทนเบื่อตอนนี้..

ที่สุดให้เกิดขึ้นกับตัวเองให้ได้ เช่น ถ้าตั้งใจมาเรียนแล้ว..ก็ต้อง ดีกว่าต้องทนเบื่อเพราะสอบซ่อม หรือต้องทนเบื่อเพราะต้องไป
เรียนให้ดีที่สุด หรือตั้งใจท�ำรายงาน..ก็ต้องตั้งใจท�ำให้ดีที่สุด เพราะ ลงทะเบียนเรียนใหม่ทงั้ หมด หรือทนเบือ่ ตอนนี.้ .ดีกว่าทนเบือ่ เพราะ
เมื่อเราท�ำดีที่สุดแล้ว เราจะพบว่า ในครั้งต่อไปเราจะสามารถ โดนผูป้ กครองว่า ดังนัน้ จงขยันเถอะ... ดังสุภาษิตจีนทีว่ า่ “ฉินเหลา อี๋
พัฒนาความสามารถจนเราท� ำได้ดีกว่าครั้งที่ผ่านมา ที่เราคิด ญี่ อานเหมียน อี๋ เย่ ฉินเหลา อีเ้ ซิง ซิง่ ฝู ฉางเหมียน” แปลว่า ขยัน
ว่าได้ทำ� ดีที่สุดอีก ซึ่งเมื่อเป็นดังนี้... ก็จะท�ำให้เราสามารถพัฒนา วันหนึ่ง หลับสบายคืนหนึ่ง ขันแข็งตลอดชีวิต นอนเป็นสุขนิจนิรันดร์
ศักยภาพทั้งด้านการเรียน และการงานของเราได้เพิ่มขึ้นแบบไม่มีขีด
จ�ำกัด จนสุดท้ายชีวิตเราก็จะได้ในสิ่งที่ดีที่สุดเป็นเครื่องตอบแทน... 52. หากเบื่อ..ไม่อยากอ่านหนังสือจริง ๆ ให้ลองใช้วิธีหา
50. ให้เขียนค�ำพูดทีส่ ร้างแรงบันดาลใจในการเรียนสัปดาห์ แรงกระตุ้นจากสังคมมาใช้ คือ ให้ผลัดกันสอนกับเพื่อน อาจผลัดกัน
ละ 1 ประโยค และให้แปะไว้บนโต๊ะทีน่ งั่ อ่านหนังสือเป็นประจ�ำ หรือ สอนคนละวิชาหรือคนละเรื่องก็ได้ เพราะเป็นการกระตุ้นให้เราต้อง
อาจจะเขียนไว้บนกระดานไวท์บอร์ดใกล้โต๊ะอ่านหนังสือ เช่น ถ้าอยาก อ่านหนังสือ เพื่อต้องไปถ่ายทอดให้เพื่อนตามที่ได้ให้สัญญากันไว้
ได้ในสิง่ ทีไ่ ม่เคยได้..ต้องท�ำในสิง่ ทีไ่ ม่เคยท�ำ, ต้องสู.้ .จึงจะชนะ, ความ
สบายสิฆา่ คน ความล�ำบากสิสร้างคน, ตายเสียในการต่อสู.้ .ดีกว่า
อยูอ่ ย่างผูแ้ พ้, ทนอีกไม่กปี่ เี พือ่ เรียนให้จบ จะได้สบายไปตลอดชีวติ ,
สู.้ .เพือ่ แม่ ฯลฯ

อ่านกี่รอบ..ถึงจะพอ ?
53. ต้องอ่านหนังสือกี่รอบถึงจะพอ โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 55. การจด Lecture ให้ใช้อักษรย่อหรือสัญลักษณ์ย่อ เพื่อ

3 รอบ คือ รอบแรก ให้อ่านส�ำรวจคร่าว ๆ 3-5 นาที ว่าเนื้อหา ความรวดเร็ว หรือจะคิดอักษรย่อขึ้นมาเองก็ได้ เช่น
มีอะไรบ้าง รอบสอง ให้อ่านอย่างละเอียด โดยท�ำความเข้าใจอย่าง = เพราะฉะนัน้ , = เพราะว่า, EX. = แบบฝึ ก หั ด ,
N
ถ่องแท้ แล้วขีดเส้นใต้ที่สำ� คัญไว้ จากนั้น..ต่อด้วยการท�ำแบบฝึกหัด = ระหว่าง, = ประมาณ, = มากมายนับไม่ถว้ น,
และข้อสอบ รอบสาม อ่านก่อนสอบเฉพาะที่ขีดเส้นใต้ หรือสรุปย่อก็ U = YOU, 2 =TO, gov’t = government, nat’n = nation,
พอ… bkgd = background, prblm = problem, o = ok ฯลฯ
เคล็ดวิชาในการจด Lecture 56. หากจด Lecture ไม่ทัน ให้ใช้วิธีการอัดเสียงด้วยเครื่อง

อัดเสียง เช่น เครื่องเล่น MP3 หรือขอยืม Lecture ของเพื่อนมาลอก
หรือ Xerox ก็ได้
54. การจด Lecture วิชาเดียวกันให้จดไว้ในเล่มเดียวกัน
อย่าจดสะเปะสะปะคนละเล่ม เพราะจะท�ำให้เวลามาอ่านไม่ต่อเนื่อง 57. ในกรณีไม่ได้เข้าเรียน ให้ฝากเพื่อนอัดเสียงค�ำบรรยาย
และจ�ำไม่ได้ว่าอยู่เล่มไหนบ้าง ไว้ให้ แล้วน�ำมาฟังย้อนหลัง
58. หลังจากฟังอาจารย์สอนจบ ให้ทบทวนเรื่องที่ฟังทันที
และท�ำการบ้านคร่าว ๆ ก่อนที่จะไปท�ำอย่างอื่น เพราะจะท�ำให้เข้าใจ
และจ�ำได้ดีขึ้น ดีกว่าปล่อยไว้ 3 วัน แล้วค่อยมาท�ำ เพราะต้องใช้เวลา
รื้อฟื้นเนื้อหานั้นขึ้นมานานกว่า อีกทั้งการทวนเรื่องที่ฟังทันทีหลัง
จากที่อาจารย์สอนเสร็จ ยังท�ำให้รู้ว่า เราสงสัยอะไรอีกไหม จะได้
เตรียมไว้ถามอาจารย์คราวต่อไป...
48
เทคนิคช่วยจ�ำ
59. กลับไปบ้านให้ทบทวนสิ่งที่เรียนมาทั้งหมดในวันนั้น 61. เนือ้ หาทีไ่ ด้เรียนผ่านไปแล้วหรือเรียนจนเข้าใจแล้วไม่

ทันทีี เพราะเรายังจ�ำได้แม่น เพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการปะติด ควรทิง้ ไปเลย ให้หมัน่ ย้อนกลับมาท�ำแบบฝึกหัดซ�ำ้ ๆ เพือ่ กันลืมด้วย
ปะต่อเรื่องราวของเนื้อหาทั้งหมด เพราะหากมาทวนหลังจากนั้น เรา
62. ให้เรียนแบบเข้าใจ..ดีกว่าเรียนแบบท่อง เพราะหาก
จะต้องใช้เวลารื้อฟื้นความทรงจ�ำนาน
เราเข้าใจ จะท�ำให้ความรู้นั้น..อยู่ในใจเราได้ยาวนานกว่า
60. การทบทวนเนื้อหาที่เรียน เพื่อให้กลายเป็นความจ�ำ
63. ก่อนจะท่องจ�ำอะไร..อย่าเพิ่งท่องทันที ให้ทำ� ความ
ระยะยาว
เข้าใจทั้งหมดก่อน แล้วจึงค่อยท่อง เช่น สูตรคณิตศาสตร์ สูตรฟิสิกส์
การทบทวนครั้งที่ 1 ทบทวนเร็ว ๆ โดยใช้เวลาเพียง 10
สูตรเคมี สูตรทางสถิติ สูตรทางบัญชี กฎหมาย ฯลฯ ควรท�ำความ
นาที หลังจากที่ฟังอาจารย์สอนเสร็จใหม่ ๆ ซึ่งการท�ำอย่างนี้จะช่วย
เข้าใจที่มาและความสัมพันธ์ของมันก่อน แล้วจึงค่อยท่อง หรือแม้แต่
ต่ออายุความจ�ำได้แม่นเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน
ก่อนจะท่องศัพท์ ก็ควรรู้ความหมายของรากศัพท์ก่อนจึงค่อยท่อง
การทบทวนครั้งที่ 2 เมื่อผ่านไป 1 วัน หลังจากอาจารย์
เพราะหากเรารู้ความหมายของรากศัพท์ จะท�ำให้เราสามารถเดา
สอน ให้ทบทวน 2-4 นาที ก็จะช่วยต่ออายุความจ�ำแม่นในเรื่องนั้น
ความหมายของศัพท์ค�ำอื่น (ที่ใช้รากศัพท์คำ� เดียวกัน) ที่เราไม่รู้ได้
เพิ่มขึ้นอีก 1 สัปดาห์
ง่ายขึ้น...
การทบทวนครั้งที่ 3 เมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์ หลังจาก
ทบทวนครั้งที่ 2 ให้ทบทวน 2 นาที ก็จะช่วยต่ออายุความจ�ำแม่นใน 64. พยายามสรุปข้อเท็จจริงของเนือ้ หาวิชาทีเ่ รียน โดยการ
เรื่องนั้นเพิ่มขึ้นอีก 1 เดือน จัดเป็นหมวดหมู่ เพือ่ ให้งา่ ยต่อการจดจ�ำ หรือจะวาดเป็นไดอะแกรม
การทบทวนครั้งที่ 4 เมื่อผ่านไปแล้ว 1 เดือน หลังจาก ท�ำเป็นตาราง หรือแผนภูมติ น้ ไม้กไ็ ด้
ทบทวนครั้งที่ 3 ให้ทบทวน 2 นาที เพื่อบรรจุเรื่องนั้นให้กลายเป็น
ความจ�ำระยะยาว
ซึง่ หากทบทวนได้ตามนี้ พอใกล้สอบจะท�ำให้อา่ นหนังสือได้
ไว นึกออกเร็ว ใช้เวลาอ่านน้อย แต่ประสิทธิภาพมากอย่างเหลือเชือ่ !!!

65. วิธีการจ�ำ..ให้แยกเป็นหมวดหมู่หรือจัดประเภทก่อน 69. ไม่พูดโกหก ให้รักษาสัจจะ ต้องฝึกให้ใจและสมอง
จ�ำ จะช่วยให้จ�ำได้ง่ายขึ้น เช่น แยกหมวดค�ำศัพท์ที่มีความหมาย สั่งสมความจริง เพื่อจะได้จ�ำแต่ของจริง เพราะถ้าเราโกหก 1 เรื่อง จะ
เหมือนกัน แยกค�ำศัพท์ที่มีความหมายตรงข้ามกัน ท�ำให้เราต้องใช้สมองจ�ำเป็น 2 เท่า คือ จ�ำเรื่องจริงกับเรื่องที่โกหก
เขาไว้ และถ้าเราโกหกมาก ๆ ก็ต้องจ�ำมากเป็นหลายเท่าตัว อีก
66. ใช้เทคนิคช่วยจ�ำ โดยสร้างค�ำสั้น ๆ และคล้องจองกัน ทั้งการโกหกจะท�ำให้ในอนาคตเป็นโรคสับสน ป�้ำ ๆ เป๋อ ๆ มึน ๆ
ขึ้นมา เช่น วิธีจ�ำระบบการท�ำงานของหัวใจ บน-รับ, ล่าง-ส่ง, ซ้าย- เบลอ ๆ เป็นคนขี้หลงขี้ลืมง่าย ความจ�ำไม่แม่น โดยเรามักจะได้ยิน
ดี, ขวา-เสีย ขยายความได้ดังนี้ คือ หัวใจคนเรามี 4 ห้อง บน-รับ พวกที่มีนิสัยชอบโกหกพูดว่า จ�ำไม่ค่อยได้ ไม่แน่ใจ และที่แย่หนักไป
(ห้องบนมีหน้าที่รับเลือด) ล่าง-ส่ง (ห้องล่างมีหน้าที่บีบตัวส่งเลือด) กว่านั้น... พวกที่ชอบโกหก ตอนแก่ก็จะเป็นโรคความจ�ำเสื่อม เป็น
ซ้าย-ดี (หัวใจห้องซ้ายเลือดดีสีแดงมีออกซิเจนสูง) ขวา-เสีย (หัวใจ อัลไซเมอร์ เป็นต้น
ห้องขวาเลือดด�ำมีออกซิเจนต�ำ่ ) เป็นต้น
70. การเรียนแต่ละวิชา ให้พยายามเชื่อมโยงความรู้ที่
67. เทคนิคการจ�ำ ให้ฝึกจ�ำเป็นภาพ เช่น วิชาวิทยาศาสตร์ ได้จากวิชาหนึ่งไปสัมพันธ์กับอีกวิชาหนึ่ง เพื่อเป็นการส่งเสริมกัน
ประวัติศาสตร์ วรรณคดี เวลาอ่านให้ทำ� ความเข้าใจไปพร้อม ๆ กับ เพราะวิธีนี้..จะท�ำให้เราไม่เหนื่อย หรือใช้เวลานานในการท�ำความ
นึกเป็นภาพตามไปด้วย เพื่อให้สมองเราฝึกจดจ�ำเป็นภาพ ซึง่ จะ เข้าใจและจดจ�ำเนื้อหาของวิชานั้น ๆ เพิ่มขึ้น
ท�ำให้จ�ำได้ดีและนานกว่า
71. ให้อ่านด้วยความกระหายอยากรู้ตลอดเวลา โดยเริ่ม
68. ส่วนเนื้อหาที่จ�ำเป็นต้องท่องจ�ำล้วนๆ ไม่ควรท่องจ�ำ
จากการอ่านเนื้อหาคร่าว ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ ตั้งค�ำถามที่อยากรู้
อยู่นานเกิน 20 นาที ควรหาวิชาอื่นมาสลับอ่าน จากเนือ้ หา เพือ่ เพิม่ แรงจูงใจในการอ่านและการจ�ำ ซึง่ การท�ำอย่างนี.้ .
ตรงกับทฤษฎี Zeigarnik ทีบ่ อกว่า การเรียนรูจ้ ะดีและจ�ำได้แม่นขึน้ ถ้า
เรียนรูอ้ ย่างมีคำ� ถาม เพือ่ เล็งหาค�ำตอบให้กบั สิง่ ทีเ่ รายังไม่รู้
72. ระหว่างการอ่านให้มีค�ำถามผุดขึ้นเรื่อยๆ แล้วขณะ
อ่าน..ให้ท�ำความรู้สึกว่า เราก�ำลังแสวงหาค�ำตอบที่อยากรู้ที่สุด และ
ต้องรู้ให้ได้...
52 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108วิวิธธีเรีีเรียยนเก่

108 นเก่งงโคตร..โคตร
53
อย่าท�ำนิสัยอย่างนี้!!!
73. ระหว่างที่ก�ำลังอ่านหนังสืออยู่ หากรู้สึกอยากเลิกอ่าน

กลางคัน อย่าตามใจตัวเองเด็ดขาด ให้พยายามฝืนอ่านไปอีกระยะ
หนึ่ง เพราะหากเลิกทันที... นิสัยนี้จะถูกสั่งสมขึ้นทีละน้อย และกลาย
เป็นนิสัยติดตัวเราไปจริง ๆ จนสุดท้ายจะเป็นผลร้ายต่อการเรียนใน
ที่สุด ดังนั้นก่อนอ่านหนังสือควรวางแผนไว้ เช่น วันนี้เราจะอ่านบทนี้
ให้จบก่อนนอน วันนี้เราจะให้เวลากับวิชานี้ 1 ชั่วโมงครึ่ง คือ ฝึกใจ
ให้เข้มแข็ง และอ่านให้ครบตามสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง แล้วค่อยเลิก
อ่าน...
74. เมื่อเกิดอาการท้อ พึงคิดไว้เสมอว่า เราเกิดเป็นคน... 76. หากไม่มีก�ำลังใจเพียงพอในการบังคับให้ตัวเองขยัน
คนเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ดังนั้นเราต้องพัฒนาได้ หรือให้คิดว่า..แค่ เรียน หรือขยันอ่านหนังสือ จงน�ำตัวเองไปสู่สิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้เรา
เรื่องเรียนแค่นี้ เรายังท�ำให้ดีไม่ได้ แล้วต่อไปในอนาคต หากเจอ ท�ำได้ เช่น กลุ่มคนเรียนเก่ง ห้องสมุด เข้าหาอาจารย์ นั่งเรียนด้าน
เรื่องที่ยากกว่านี้ เราจะท�ำให้ดีได้อย่างไร... หน้า ซึ่งมันอาจจะรู้สึกฝืน ๆ ต่อความรู้สึกของเราในช่วงแรก ๆ แต่
สุดท้าย..ผลการเรียนของเราจะดีขึ้น...
75. อย่าผัดวันประกันพรุ่ง หรือต�ำข้าวสารกรอกหม้อ
เพราะหากผัดไปเรื่อย ๆ เนื้อหาที่เราเรียนไม่รู้เรื่อง จะถูกสุมพอกพูน 77. หากเราเป็นคนใจอ่อน หรือบังคับตัวเองไม่ได้ อีกทั้ง
ไว้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเกิดอาการท้อแท้ที่จะ เป็นคนติดสบาย ชอบตามใจตัวเอง ขี้เกียจ แถมชอบตามใจเพื่อน
เรียนหรืออ่านไปเลย ดังนั้น..จงอ่านและท� ำ ความเข้าใจวันละนิด จงอย่าน�ำตัวเองไปสู่สิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นให้เราท�ำสิ่งที่เป็นศัตรู
ความไม่รู้เรื่องจะได้ไม่สะสมมาก จนแก้ไม่ไหว ต่อการเรียนได้ง่าย เช่น กลุ่มเพื่อนที่เอาแต่เที่ยวเล่น กลุ่มเพื่อนที่
ฟุ้งเฟ้อ ร้านเน็ต แหล่งเที่ยวกลางคืน คาราโอเกะ วงเหล้า ปาร์ตี้ยาอี
ฯลฯ

ท�ำอย่างไรกับการบ้าน ? เคล็ดลับการเตรียมตัวสอบ
78. ให้ท�ำการบ้านและส่งการบ้านที่อาจารย์ให้ทุกครั้ง 81. ให้กินอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย เพราะหาก

เพราะเราไม่ควรสูญเสียคะแนนสะสมกับเรื่องง่าย ๆ พวกนี้... ดังนั้น กินอาหารที่ย่อยยาก ๆ เช่น เนื้อสัตว์จ�ำนวนมาก ๆ หรือข้าวเหนียว
ให้ทำ� การบ้านหรือรายงานให้ครบ และควรท�ำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ จะท�ำให้ง่วงนอนง่าย ดังนั้น..ช่วงก่อนสอบ ให้กินผัก เนื้อปลา ไข่ต้ม
กลายเป็นคะแนนสะสมไว้ช่วยเราในตอนสอบ final นมเปรี้ยว และอาหารทั้ง 5 หมู่ ที่ย่อยง่าย ๆ และที่ส�ำคัญ..ให้กิน
79. การท�ำการบ้าน..ควรท�ำด้วยตัวเองก่อน ไม่ควรลอก วิตามินประเภทบ�ำรุงสมอง บ�ำรุงประสาท เช่น วิตามิน B แทนเครื่อง
เพื่อนล้วน ๆ แต่หากท�ำไม่ได้จริง ๆ ให้เพื่อนอธิบายให้ฟัง แล้วลองท�ำ ดื่มชูก�ำลัง ชา และกาแฟ อีกทั้งให้ดื่มน�้ำเปล่า (ที่ไม่เย็น) ปริมาณ
ด้วยตัวเอง ซึ่งการท�ำเช่นนี้...จะเป็นผลดีต่อตัวเองตอนสอบมากกว่า มาก ๆ และนอนให้พอ
82. ช่วงก่อนสอบ 1 - 2 วัน งดกินอาหารที่เสี่ยงต่อการ

ไม่ชอบอาจารย์..ท�ำไงดี ? ท�ำให้ท้องเสีย เพราะหากท้ อ งเสี ย จนไม่มีแรงอ่านหนังสือหรือไป
สอบไม่ได้จะเป็นเรื่องใหญ่
80. ต้องให้ความเคารพครูอาจารย์ ให้เกียรติผู้สอน เพราะ
คนเราจะมีปัญญาได้ ก็ต้องมีความเคารพ นอบน้อม และความ 83. ช่วงก่อนสอบ 1 - 2 วัน งดการเดินทางไปต่างจังหวัด
กตัญญู ไม่ควรเอาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจารย์ว่ากล่าวตักเตือนเรา ไกลๆ หรือเดินทางไปในที่ที่อากาศเปลี่ยนแปลงสูง เพราะหากป่วย
มาท�ำเป็นเรื่องใหญ่ จนท�ำให้เราไม่ชอบอาจารย์ท่านนั้น เพราะถ้า หรือเพลียจะเป็นอุปสรรคต่อการอ่านหนังสือและไปสอบ
เราไม่ชอบอาจารย์แล้ว เราจะพาลไม่ชอบวิชานั้นไปด้วย ซึ่งจะเป็น
ผลท�ำให้เรียนวิชานั้นได้ไม่ดี แล้วผลร้ายทางการเรียนก็จะตกอยู่กับ
เรา ดังนั้น..อย่าตัดโอกาสทางการเรียนของตัวเราเอง ด้วยการกระท�ำ
ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เลย
56
56 108
84. งดดื่มสุรา เบียร์ ไวน์ สูบบุหรี่ และสารเสพติดทุก
ชนิด เพราะสิ่งเหล่านี้... มีผลต่อระบบประสาทและการท�ำงานของ
สมองโดยตรง อีกทั้งการดื่มสุรา นอกจากจะเป็นการท�ำลายสุขภาพ
ที่ส่งผลโดยตรงต่อตับและสมองแล้ว ยังท�ำให้ผู้ดื่มเสียทั้งเงิน เสียทั้ง
เวลาอีกด้วย
..นั ก เรี ย นหรือนักศึกษาหลายคนมักเข้ า ใจว่ า การดื่ ม สุ ร า กลัวสอบ..แก้ยังไง ?
เป็นการเข้าสังคมหรือการกระชับมิตร แต่ที่ไหนได้ พอเหล้าเข้าปาก..
ก็ทะเลาะชกต่อยกัน หรือประสบอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ ดังนั้น.. 85. วิธีแก้อาการกลัวข้อสอบ ให้ Xerox ข้อสอบเก่ามาท�ำ
เราน่าจะหาวิธีกระชับมิตรอย่างผู้มีปัญญา เพื่อให้สมกับที่อุตส่าห์มา บ่อย ๆ ฝึกท�ำจนชิน และเตรียมตัวให้พร้อมก่อนสอบ
เรียนเพื่อพัฒนาปัญญา เช่น กระชับมิตรด้วยการเล่นกีฬา ช่วยติว
86. ให้สมัครทดสอบความรู้ที่ทางสถาบันต่างๆ ทัง้ ภาค
หนังสือให้เพื่อน ท�ำกิจกรรมของคณะ ท�ำตัวให้เป็นคนมีประโยชน์ มี
รัฐและเอกชนจัดขึน้ บ่อย ๆ เช่น สอบวัดระดับความรู้ของโรงเรียน
น�ำ้ ใจ ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อน ๆ เพราะถ้าเราท�ำได้อย่างนี้
กวดวิชา ฯลฯ เพราะจะท� ำ ให้ เ ราได้ ค วามรู้และประสบการณ์
ก็จะมีคนอยากคบค้าสมาคมด้วยมากกว่าการท�ำตัวเป็นพวกขี้เหล้า
เพิ่มเติม ท�ำให้เรารู้ระดับความสามารถของตัวเอง และสามารถ
หรือบางคนอาจจะบอกว่า ดื่มเหล้า สูบบุหรี่แล้วแมน สาวชอบ...
ประเมินตัวเองออก อีกทั้งเรายังช�ำนาญสนามสอบมากขึ้น จนท้าย
ตรงนี้ ก็ต้องขอบอกว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างแรง เพราะจากสถิติแล้ว
ที่สุดเราก็จะหายจากการกลัวข้อสอบ
ผู้หญิงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่อยากได้สามีขี้เหล้าหรือติดบุหรี่เลย
87. ในกรณีที่ตั้งใจเรียนอย่างสม�ำ่ เสมอและอ่านหนังสือ
แบบสะสมมาโดยตลอด แต่ยังกลัวสอบอยู่บ้าง ซึ่งหากเป็น
ดังนี้... เราก็ต้องเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง โดยการลุยท�ำแบบฝึกหัด
และข้อสอบย้อนหลังไป 4-5 ปี อีกทั้งให้อ่านเนื้อหาที่ได้ขีดเส้นใต้
ใจความส�ำคัญ หรืออ่านสรุปย่อที่ท�ำเอาไว้ และเมื่อท�ำได้ดังนี้... เราก็
จะมีความมั่นใจในการสอบมากขึ้น...

อ่านหนังสือไม่ทัน..ท�ำอย่างไร ? อยาก TOP ต้องท�ำอย่างไร ?
88. ในกรณีที่คิดว่า..อ่านหนังสือสอบไม่ทันแน่ๆ ให้รีบไป 90. ก่อนท�ำข้อสอบให้อ่านค�ำสั่ง 2 รอบเสมอ และจงอ่าน

Xerox ข้อสอบเก่าย้อนหลังมาสัก 4-5 ปี..แล้วลุยท�ำทันที โดยการ ค�ำสั่งให้ชัดเจนว่า เขาให้ทำ� อะไร คือ ให้เราฝนกระดาษค�ำตอบด้วย
เปิดต�ำราเรียน เพื่อค้นหาค�ำตอบ หรือดูเฉลยไปทีละข้อ แต่ถ้าอ่าน ดินสอด�ำ ให้กากบาท ให้ทำ� เครื่องหมายถูก หรือให้วงกลม อีกทั้งดู
โจทย์ข้อไหนแล้วเหมือนไม่เคยมีความรู้ในเรื่องนั้นมาก่อนเลย ก็ให้ ให้รอบคอบว่า เขาให้เขียนค�ำตอบลงในกระดาษค�ำถามได้เลย หรือ
รีบเปิดหาหัวข้อนั้นในหนังสือให้เจอ แล้วอ่านช่วงนั้นให้เข้าใจ รวมถึง มีกระดาษค�ำตอบแยกมาให้ต่างหาก เพราะหากรีบท�ำข้อสอบไปโดย
ให้อ่านหัวข้อที่เกี่ยวโยงกันให้เข้าใจมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และก็ให้ ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ ท�ำไปจนจวนจะเสร็จแล้วถึงค่อยมารู้ตอนหลังว่า
ดูความน่าจะเป็นของข้อสอบว่า ตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ใน ท�ำผิดค�ำสั่ง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้..ก็จะท�ำให้เสียเวลาแก้ และผลร้ายที่
ข้อสอบ..เน้นหัวข้อใดมากที่สุด จากนั้น..ก็ให้รีบอ่านเนื้อหาช่วงนั้นให้ ตามมาก็คือ ท�ำข้อสอบไม่ทันและไม่มีเวลาทวน
เข้าใจให้มากที่สุด และเมื่อท�ำข้อสอบย้อนหลังจนจบแล้ว ก็ให้ไปขอ
91. ถ้าเป็นข้อสอบปรนัย (Choice) ให้อ่านค�ำถามให้
สรุปของเพื่อนมาอ่านอีกที หรือให้เพื่อนติวเพิ่มเติมให้
รอบคอบ จากนั้นให้อ่านค�ำตอบทุกข้อ แล้วตัดสินใจเชื่อค�ำตอบ
89. ให้ ท� ำ สรุ ป ย่ อ วิ ช าที่ จ ะสอบ..ให้ อ ่ า นง่ า ยที่ สุ ด คือ ที่เป็นความคิดแวบแรก เพราะช่วงที่เรามีเวลาเหลือหลังจากที่ท�ำ
สรุปเรื่องเดียวกันหรื อ หั ว ข้ อ เดี ย วกั น ให้ อ ยู ่ ใ นแผ่ น เดี ย วกั น เพื่อ ข้อสอบเสร็จแล้ว ตอนกลับมาตรวจทานหรือทบทวน มักจะเกิดความ
ให้เรากวาดสายตามองปราดเดียว ก็สามารถเข้าใจทีเดียวอย่าง ไม่มนั่ ใจในค�ำตอบ จนต้องแก้ใหม่ ซึง่ ค�ำตอบทีแ่ ก้ใหม่ภายหลังมักจะผิด
ทะลุปรุโปร่ง และที่สำ� คัญไม่ควรถือต�ำราหนา ๆ ไปยืนอ่านหน้าห้อง เพราะสมองช่วงนั้นสับสน...
สอบ แต่ให้ถือกระดาษสรุปย่อไปทวนก่อนเข้าสอบดีกว่า
92. ข้อสอบปรนัยข้อใดอ่านแล้วท�ำไม่ได้หรือลังเลให้เว้น
ไว้ก่อน แล้วรีบข้ามไปท�ำข้อถัดไปทันที อย่าเสียเวลาคิด คือ ให้เลือก
ท�ำข้อที่ง่ายที่สุดก่อน เพราะข้อถัดไปอาจเป็นค�ำตอบให้ข้อที่เราก�ำลัง
ติดอยู่ก็ได้

60
สิ่งที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนสอบ
98. อย่าไปสอบสายเด็ดขาด
93. ข้อสอบปรนัยในข้อที่ไม่รู้ค�ำตอบจริงๆ ให้ตัด Choice
ข้อที่เราคิดว่าผิดออกทีละข้อ จนเหลือ 2 Choice หรือ 1 Choice ซึ่ง 99. ควรดูตารางสอบให้แน่ชัด ว่าเราสอบวันไหน วิชาใด
วิธีนี้..จะท�ำให้เราตัดสินใจเลือกค�ำตอบที่ถูกได้ง่ายขึ้น สถานที่ใด ห้องสอบห้องไหน ในกรณีสอบนอกสถานที่ควรไปดูห้อง
สอบก่อนวันสอบจริง เพราะบางทีไปถึงสนามสอบตรงเวลาก็จริง แต่หา
94. ในกรณีที่มีค�ำสั่งในข้อสอบปรนัย (Choice) ว่า “ตอบ
ห้องสอบไม่เจอ ท�ำให้เข้าห้องสอบสาย ซึง่ จะท�ำให้โดนตัดสิทธิส์ อบ
ผิดติดลบ” ซึ่งถ้าไม่แน่ใจในค�ำตอบ..ไม่ตอบดีกว่า แต่ถ้ากรณีที่ ตอบ
ผิดแล้วคะแนนไม่ติดลบ ก็ให้เดาตอบดีกว่าไม่ตอบ... 100. ให้เตรีย มบัตรประจ�ำตัวที่ใช้ในการสอบไปให้
พร้อม โดยให้เตรียมก่อนวันสอบจริง เพราะบางครั้งหากไม่ได้เตรียม
95. ข้อสอบอัตนัย (เขียนบรรยาย) ให้เลือกข้อที่ง่ายที่สุด ไว้ อาจฉุกละหุกหาไม่เจอ
ท�ำก่อนทันที แล้วค่อยท�ำข้อยาก
101. ให้เตรียมเครื่องเขียนอุปกรณ์ในการสอบไปให้
96. ในข้อสอบอัตนัย ข้อไหนทีเ่ ราท�ำไม่ได้ไม่ควรเว้นว่างไว้ ครบครัน เตรียมให้พร้อมก่อนวันสอบจริง เตรียมไปเผื่อหลาย ๆ
อย่างน้อยให้เขียนสูตร สมการ หรือสิ่งที่เรารู้ให้มากที่สุดลงไปเพราะ แท่ง เช่น เหลาดินสอไปให้พร้อมหลาย ๆ แท่ง ปากกาหลาย ๆ ด้าม
แม้เราจะท�ำไม่ได้ทั้งข้อ แต่สมการที่เราเขียนอาจจะถูกก็ได้ ซึ่งก็จะ เผื่อหมึกหมดเขียนไม่ออก เพราะในสนามสอบจริง กรรมการคุมสอบ
ท�ำให้เราได้คะแนนในส่วนนี้ไป แม้ไม่มากก็ดีกว่าไม่ได้เลย... มักไม่อนุญาตให้ยืมกัน เพราะกลัวการทุจริตในการสอบ
97. การท�ำข้อสอบอัตนัย ให้เขียนตัวบรรจง ที่อ่านง่าย 102. แต่งกายไปสอบให้ถูกระเบียบ โดยให้ดูระเบียบการ
ชัดเจน สะอาด ตีเส้นค�ำตอบให้เรียบร้อย เพราะบางทีเราท�ำถูกก็ ของการแต่งกายว่า เขาให้แต่งกายอย่างไร เพราะหากแต่งกายไม่ถูก
จริง แต่อาจารย์อ่านไม่ออก หรือต้องใช้ความพยายามในการอ่าน ระเบียบไป บางที่เขาไม่อนุญาตให้เข้าห้องสอบ หรือหากอนุโลม ก็
มากกว่าปกติ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้... คะแนนก็อาจลดลงตามส่วน เพราะ อาจโดนดุแรง ๆ ก่อนอนุญาตให้เข้าสอบ ซึ่งหากเป็นดังนี้ เราก็จะเสีย
อาจารย์อ่านแล้วไม่รู้เรื่อง อารมณ์ หงุดหงิดก่อนเข้าสอบ จนท�ำให้มีผลร้ายตามมา คือ เครียด
หงุดหงิด หัวเสีย ไม่มีสมาธิ จนท�ำข้อสอบไม่ได้...

เรียนพิเศษดีไหม ? มีปัญหาชีวิต..ต้องท�ำอย่างไร ?
103. การเรียนกวดวิชา..แนะน�ำให้เรียน เพราะเป็นการ 105. หากมีปัญหาหรือมีอุปสรรคเข้ามาในชีวิต จนเป็น
เปิดโลกทัศน์ และหาประสบการณ์เพิ่มเติม อีกทั้งยังเป็นการบังคับ เหตุที่ทำ� ให้วุ่นวายใจ ไม่อยากเรียน ไม่อยากอ่านหนังสือ ก็ให้คดิ เสีย
ให้เราได้อ่านหนังสือไปในตัว โดยไม่เอาเวลาไปฟุ้งเฟ้ออย่างอื่น โดย ว่า มีอุปสรรคก็ดีเหมือนกัน หากเราฟันฝ่ามันไปได้ ก็จะท�ำให้เรา
เฉพาะคนที่เรียนอ่อน ควรเรียนพิเศษอย่างยิ่ง แต่หากเป็นคนเรียน แกร่งขึ้น โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และจงเอาบทเรียนราคาแพงที่ได้ประสบ
เก่งอยู่แล้ว และสามารถบังคับตัวเองให้อ่านหนังสือได้ อีกทั้งยังไม่ นี้ไว้เป็นประสบการณ์ในการสอนตัวเองให้ดีขึ้นในอนาคต ดังนั้น..ให้
อยากเสียเงิน จะไม่เรียนก็ได้... เราตั้งใจเรียนต่อไป อย่าเลิกเรียนกลางคัน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มปัญหา
ใหม่ เพราะหากเราเรียนไม่จบหรือเรียนไม่ได้ ปัญหาที่มีอยู่แล้วก็จะ
เพิ่มขึ้นไปอีก...
ท�ำกิจกรรมดีไหม ?
104. อย่ า ท� ำ กิ จ กรรมมากกว่ า การเรี ย น แต่ให้ทำ� วิธีใช้บุญช่วย
ควบคู่กันไปอย่างเหมาะสม โดยการแบ่งเวลาให้ถูก เพราะการท�ำ
106. หมั่ น ท� ำ บุ ญ ประเภทให้ ทุ น การศึ ก ษา ส่งเสริม
กิจกรรมควบคู่กับการเรียน จะท�ำให้เราพัฒนาศักยภาพตัวเองแบบ
ก้าวกระโดด เช่น เราจะได้ฝึกเรื่องการมีมนุษยสัมพันธ์ ฝึกภาวะผู้นำ� สนับสนุน ให้โอกาสผู้อื่นในเรื่องการเรียนทางโลกและทางธรรม ให้
ฝึกเรื่องความรับผิดชอบ ฯลฯ วิทยาทานโดยการติวสอนผู้อื่น มอบทุนการศึกษาและอุปกรณ์การ
เรียน บริจาคต�ำรา หนังสือเรียน ให้กับเด็กผู้ด้อยโอกาส บริจาค
หนังสือที่เป็นประโยชน์ให้ห้องสมุด และที่ส�ำคัญหากมีโอกาสถวาย
กองทุนการศึกษาพระเณรในการศึ ก ษาทางธรรมได้ ยิ่ ง ดี เพราะ
ท�ำบุญชนิดนี้มีอานิสงส์มาก จากนั้น..ก็ให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ให้เรา
เป็นผู้ที่ได้โอกาสที่ดีที่ สุ ด ทางการศึ ก ษา ให้เราประสบความส�ำเร็จ
ทางด้านการเรียนอย่างสูงสุด อีกทั้งยังเป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ที่
ฉลาดทั้งทางโลกและทางธรรม...

ฝึกสมาธิ..ช่วยเรื่องเรียน
107. ให้นั่งสมาธิก่อนเริ่มต้นอ่านหนังสือและก่อนนอน จงเลือก.. 108 วิธีเรี ยนเก่ง ที่คุณคิดว่าจะใช้พัฒนาตนเองมา 5 ข้อ
ทุกครั้ง อย่างน้อยที่สุด 15 นาที - 1ชั่วโมงต่อวัน เพื่อเป็นการฝึก แล้วอ่านบ่อยๆ เพื่อเน้นย�้ำความตั้งใจในการพัฒนาตนเอง
ให้เรามีสมาธิในการเรียน อี ก ทั้ ง ยั ง เป็ น การสร้ า งก�ำลังใจให้กับ
ตัวเองได้อย่างถูกจุดที่สุด เพราะทุกเคล็ดลับที่กล่าวมาข้างต้น จะท�ำ
ส�ำเร็จไม่ได้เลย หากไม่มีไฟอย่างต่อเนื่อง หรือขาดก�ำลังใจในการ
1.______________________________________________________
ท�ำ และวิ ธี เ พิ่ ม ก� ำ ลั ง ใจอย่างแท้จริงนั้น..เกิดจากการฝึกใจให้มี
ก�ำลังที่เข้มแข็ง เปรียบเสมือนกับการที่เราจะท�ำให้ร่างกายแข็งแรง 2.______________________________________________________
มีกำ� ลัง ก็ต้องออกก�ำลังกาย ส่วนใจก็เช่นกัน..จะท�ำให้ใจแข็งแรง..ก็ 3.______________________________________________________
ต้องออกก�ำลังใจโดยการฝึกสมาธิ ซึ่งจะมีรายละเอียดเรื่องวิธีการฝึก
สมาธิในบทถัดไป 4.______________________________________________________
108. ให้หมั่นอ่าน “108 วิธีเรียนเก่ง โคตร..โคตร” ซ�้ำ 5.______________________________________________________

ไปซ�ำ้ มาหลาย ๆ ครั้ง แล้วท�ำเครื่องหมายถูกหน้าข้อที่เราได้ท�ำไป
แล้ว เพือ่ ส�ำรวจพัฒนาการและปรับปรุงเรือ่ งการเรียนของเรา อีกทัง้ ยัง
เป็นการกระตุน้ เตือนว่า ข้อไหนเรายังไม่ได้ทำ� ก็พยายามท�ำให้ได้... นับจากนีท้ กุ 21 วัน หรือ 3 สัปดาห์ ให้คณ ุ
กลับมาอ่าน 108 วิธี เพือ่ การเรียนเก่งใหม่ แล้วเลือก
มาท�ำอีก 5 ข้อ จะเป็นข้อเดิมก็ได้ ถ้าข้อนัน้ ยังท�ำไม่ได้
และจงจ�ำเอาไว้ว่า “ Victory belongs to the most
persevering” แปลว่า ชัยชนะเป็นของคนที่อุตสาหะ
พากเพียรที่สุด
66 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108

CHAPTER อานุภาพแห่งสมาธิ

ปัจจุบนั ทัว่ โลกให้การยอมรับและหันมาสนใจวิธฝี กึ สมาธิกนั มาก
เพราะความมหัศจรรย์ของสมาธิถูกกล่าวว่าเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต
ที่มีผลต่อร่างกายและจิตใจ
จากความเชื่ อ ที่ บ อกว่ า มนุษย์ทุกคนจะมีสมาธิขั้นพื้นฐาน
ระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งเรียกว่า จิตส�ำนึก (Conscious) เป็นการรู้สึกตัว
เพื่อให้สามารถด�ำเนินชีวิตในสังคมได้ แต่ยังมีสมาธิอีกระดับหนึ่ง ซึ่ง
จะเกิดขึ้นเองไม่ได้ จะต้องฝึกฝนและเรียนรู้ โดยการสร้างให้เกิดใน
วิธีฝึกสมาธิเพื่อพัฒนาการเรียน ส่วนของจิตใต้ส�ำนึก (Subconscious) ซึ่งสมาธิระดับนี้ เป็นระดับที่
‘‘
สูงกว่าสติ ซึ่งได้จากการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสม�ำ่ เสมอเท่านั้น
ค ว า ม ม หั ศ จ ร ร ย ์ มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกีย่ วกับสมาธิมากมาย แล้วกลับ
ของสมาธิ ถู ก กล่ า วว่ า เป็ น ค้นพบว่า สมาธิท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ และ
‘‘
วิทยาศาสตร์ทางจิต ที่มีผล อารมณ์ของมนุษย์ มีผลต่อความฉลาด การเรียนรู้ ช่วยลดความ
ตึงเครียด ความกังวล จัดเป็น Deep Relaxation และมีผลต่อร่างกาย
ต่อร่างกายและจิตใจ
ในระดับเซลล์ ท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี คือ ท�ำให้
ระดับกรดแลคติก และสารเครียดจากต่อมหมวกไต ชื่อ คอร์ติซอล
ในเลือดลดลง

การท� ำ งานของคลื่ น สมองเปลี่ ย นจากแบบ “เบต้า” เป็น
“แอลฟา” “ธีตา” และความถี่ลดลง การไหลเวียนของเลือดในสมอง
เพิ่มขึ้น ลดแรงต้านของหลอดเลือดทีส่ มองบริเวณส่วนหน้า (Frontal) ซึ่ง
เป็นบริเวณเกี่ยวกับความคิดอ่าน การรับรู้ ลดการท�ำงานของระบบ
ประสาทอัตโนมัติ เช่น การเต้นของหัวใจ ท�ำให้ต่อมไฮโปทาลามัส
และต่อมหมวกไต (HPA axis) ท�ำงานหลั่งสารได้อย่างสมดุล กระตุ้น
ให้มีการสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย ควบคุมฮอร์โมนเมลาโทนิน
ที่ควบคุมสีผิวของผู้ที่ปฏิบัติอย่างสม�ำ่ เสมอท�ำให้มีผิวพรรณผุดผ่อง
ในปัจจุบนั ยังพบว่าการฝึกสมาธิช่วยให้เซลล์มะเร็งฝ่อลง การ
แพร่กระจายลดลง การตอบสนองและความอดทนต่อเคมีบ� ำบัด
ดีขึ้น ฯลฯ

จากข้อมูลข้างต้น คงท�ำให้เราได้รู้ถึงประโยชน์ของสมาธิ
กันบ้างแล้ว ดั ง นั้ น จะขอแนะน� ำ วิ ธี ก ารฝึ ก สมาธิ ตามค�ำสอน
ของหลวงปูว่ ดั ปากน�ำ้ ภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร) ซึง่
ท่านเป็นพระมหาเถระผูป้ ฏิบตั ดิ ปี ฏิบตั ชิ อบ ทีไ่ ด้รบั ความเคารพนับถือ
มากทีส่ ดุ รูปหนึง่ แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานถึง 100 กว่าปีแล้ว ก็ยงั มี
ผูค้ นเคารพศรัทธาท่านอย่างล้นหลาม อีกทัง้ ยังเพิม่ จ�ำนวนขึน้ เรือ่ ย ๆ
และทีส่ ำ� คัญวิธกี ารฝึกสมาธิทที่ า่ นสอนยัง in trend ตลอดกาล
ซึง่ นอกจาก in trend แล้วยัง inter เพราะถึงกับมีฝรัง่ บินข้ามน�ำ้ ข้ามทะเล
ยอมเปลี่ยนศาสนามาบวช เพื่อเรียนสมาธิกับท่านตั้งแต่ในสมัยนั้น
อีกทั้งวิธีกำ� หนดจิตของท่าน สามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ได้
อย่างชัดเจน ว่าท�ำไมท่านถึงให้เราก�ำหนดจิตไว้ทศี่ นู ย์กลางกายฐานที่ 7
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)

หลวงปู่วัดปากน�้ำ ภาษีเจริญ
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

อธิบายต�ำแหน่งศูนย์กลางกายฐานที่ 7
ให้สมมุตวิ า่ เอาเส้นด้ายมา 2 เส้น เส้นแรกขึงจากสะดือทะลุ

ไปข้างหลัง อีกเส้นหนึง่ ขึงจากเอวข้างขวาทะลุไปข้างซ้าย ณ จุดตัด
ของเส้นด้ายกลางท้องของเรา ให้เอานิว้ ชีก้ บั นิว้ กลางซ้อนกัน แล้ว
ทาบจากจุดตัดกลางท้องเหนือสะดือขึน้ มา ซึง่ จุดนัน้ ..ก็คอื ต�ำแหน่ง
ของศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ซึง่ เวลาเราท�ำสมาธิ ก็ให้กำ� หนดใจไว้ ณ
ต�ำแหน่งนี.้ ..
ต�ำแหน่ง
ศูนย์กลางกายฐานที่ 7
สะดือ
74
74 108 วิวิธธีเีเรีรียยนเก่
108 นเก่งงโคตร..โคตร
หากเราได้เรียนวิชาฟิสกิ ส์ เราจะได้เรียนเรือ่ งจุดศูนย์ถว่ ง
(Center of Gravity : CG) ซึง่ เสมือนแหล่งทีร่ วมของน�ำ้ หนักวัตถุทงั้ ก้อน
วิธีฝึกสมาธิเพื่อพัฒนาการเรียน
โดย พระเทพญาณมหามุนี วิ. (หลวงพ่อธัมมชโย)
ตามค�ำสอนของพระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
หลวงปู่วัดปากน�้ำ ภาษีเจริญ
เริม่ ด้วยการนัง่ ขัดสมาธิสบาย ๆ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย นิว้ ชี้

ของมือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายวางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ ตั้ง
กายและศีรษะของเราให้ตรง ถ้านั่งในท่านี้ไม่สะดวก จะนั่งบนเก้าอี้
วัตถุรปู ก วางอยูใ่ นลักษณะสมดุล เพราะแนวของจุดศูนย์ถว่ ง หรือโซฟาก็ได้ ปรับท่านั่งของเราพอสบาย ๆ จนรู้สึกว่าลมหายใจและ
(CG) ดิง่ ลงสูพ่ นื้ โลก เลือดลมในตัวเดินได้สะดวก
ถ้าโยกวัตถุรปู ก ให้เอียงอยูใ่ นต�ำแหน่ง ข แล้วปล่อย วัตถุจะ หลับตาของเราเบา ๆ พอสบาย ๆ คล้าย ๆ กับตอนที่เราใกล้
กลับมาในต�ำแหน่งเดิมไม่ลม้ เพราะแนวของจุดศูนย์ถว่ ง (CG) ยังไม่ จะหลับ อย่าไปบีบเปลือกตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับตาสักค่อนลูก
เลยออกนอกฐาน ไม่ถึงกับปิดสนิท แล้วก็นั่งหน้ายิ้มแย้มนิด ๆ...
แต่ถา้ โยกวัตถุรปู ก ให้เอียงอยูใ่ นต�ำแหน่ง ค วัตถุจะล้มทันที
เพราะจุดศูนย์ถว่ ง (CG) เลยออกมานอกฐานแล้ว
ในเมือ่ โลกดึงดูดวัตถุดว้ ยแรงเท่ากับน�ำ้ หนักของวัตถุ ในร่างกาย
มนุษย์กเ็ ช่นกัน น�ำ้ หนักรวมจะอยูท่ จี่ ดุ ศูนย์ถว่ ง หากเรานัง่ ในท่าขัด
สมาธิอย่างถูกวิธี ต�ำแหน่งของศูนย์กลางกายฐานที่ 7 ก็เปรียบเสมือน
จุดศูนย์ถว่ งของร่างกาย (Center of Gravity) คือเป็นจุดทีน่ ำ�้ หนัก
ทัง้ หมดของร่างกายเสมือนกระท�ำทีจ่ ดุ นัน้ คือเป็นจุดทีเ่ มือ่ ก�ำหนดจิต
ให้อยู่ ณ ทีน่ นั้ แล้ว จะเกิดภาวะสมดุลทัง้ กายและใจไปพร้อม ๆ กันมาก
ทีส่ ดุ อีกทัง้ ยังเป็นจุดทีเ่ มือ่ ก�ำหนดจิตไปไว้ทนี่ นั่ แล้ว จิตจะมีความสว่าง
ทีส่ ดุ ซึง่ จุดนีเ้ ราเรียกง่าย ๆ ว่า “ศูนย์กลางกาย” นัน้ เอง

ต่อจากนัน้ ก็สดู ลมหายใจลึก ๆ สัก 2-3 ครัง้ หายใจเข้าลึก ๆ
จนลมเข้าไปสุดอยู่ในกลางท้อง และผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ ผ่าน
ทางช่องจมูก ในยามที่เราหายใจเข้า ให้ทำ� ความรู้สึกว่าทุกอณูเซลล์
ของร่างกายนั้นได้รับเอาความสุขและความชุ่มชื่นเบิกบานเข้ามา
อย่างเต็มเปี่ยม และเมื่อเราหายใจออก เราได้ปลดปล่อยความกังวล
และความขุ่นข้องใจทั้งหมดออกไปด้วย
ใช้เวลาสักครู่หนึ่งในการปล่อยวางเรื่องราวภารกิจการงาน
บุคคลใกล้ชิด ครอบครัว การศึกษาเล่าเรียน หรือสิ่งอื่นใดที่นอก
เหนือไปจากนี้ ปล่อยวางไปจนหมดสิ้น ให้จิตใจแช่มชื่นเบิกบานอยู่
กับความผ่อนคลาย และความปลอดกังวล...
จากนัน้ จึงหายใจเป็นปกติเหมือนเดิม แล้วผ่อนคลายกล้ามเนือ้
ทุก ๆ ส่วนของร่างกาย โดยเริ่มจากด้านบนของศีรษะเรื่อยลงมาจนถึง
หน้าผาก ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เปลือกตา คอ กล้ามเนือ้
บริเวณบ่าไหล่ แขนทั้งสอง ถึงปลายนิ้วมือ กล้ามเนื้อบริเวณล�ำตัว
ขาทัง้ สองถึงปลายนิว้ เท้า ทั้งเนื้อทั้งตัวของเราให้ผ่อนคลายให้หมด
พระเทพญาณมหามุนี วิ. ไม่ให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งเกร็ง ตึง หรือเครียด
(หลวงพ่อธัมมชโย)
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

จนเรารู้สึกว่าทุกส่วนในร่างกายและทุกอณูเซลล์ของร่างกาย จากนั้ น ก็ น ้ อ มน� ำ ใจของเราให้ ม ารวมไว้ ที่ ศู น ย์ ก ลางกาย
ได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ อยู่ในสภาวะที่สบายอย่างสมบูรณ์ จนเรา ภายในกลางท้อง เหนือระดับสะดือขึ้นไป 2 นิ้วมือ แต่สำ� หรับท่าน
สัมผัสได้ถึงความโล่ง โปร่ง เบาสบาย หลังจากนั้นท�ำใจให้เบิกบาน ที่เพิ่งเริ่มฝึกปฏิบัติใหม่ ไม่ ต ้ อ งกั ง วลถึ ง ต� ำ แหน่ ง ที่แน่นอน
ให้แช่มชื่น ให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ให้ปล่อย ให้วาง ท�ำใจให้ว่าง ๆ ของศูนย์กลางกายมากจนเกินไป เพียงแค่รักษาใจให้หลวม ๆ อย่าง
ท�ำใจใสสะอาด บริสุทธิ์ เป็นอิสระจากความคิดทั้งมวล แผ่วเบา และนุ่มนวล ที่บริเวณกลางท้อง การวางใจไว้ที่ศูนย์กลาง
ท�ำประหนึ่งว่าเรานั่งอยู่คนเดียวในอวกาศที่โล่ง ๆ กว้าง ๆ ที่ กายของเรานั้น อุปมาได้เหมือนกับความฟ่องเบาและอ่อนนุม่ ของขนนก
เต็มเปี่ยมไปด้วยอิสระเสรีและสันติสุข ไม่เคยมีเครื่องพันธนาการของ ทีล่ อยล่องจากกลางอากาศลงมาแตะบนผืนน�ำ้ แล้วก็วางใจของเราไว้ที่
ชีวิต ไม่เคยเจอปัญหาชีวิต และไม่เคยพบปะผู้คนใด ๆ มาก่อนเลย... ศูนย์กลางกายด้วยความรูส้ กึ เช่นนี้ รักษาความผ่อนคลายของร่างกาย
แล้วเราก็สมมุติว่า ภายในร่างกายของเราปราศจากอวัยวะ และจิตใจอย่างต่อเนื่องในขณะที่รวมใจไว้ที่ศูนย์กลางกาย ณ กลาง
ทุกอย่าง สมมุติให้เป็นปล่อง เป็นช่อง เป็นโพรง คล้ายลูกโป่ง หรือ ท้องของเรา
คล้ายกับเป็นท่อแก้ว ท่อเพชรใส ๆ ให้เป็นที่โล่ง ๆ ว่าง ๆ กลวงภายใน เมื่อเราได้จุดเริ่มต้นส�ำหรับวางใจแล้ว ก็ให้นึกถึงภาพในใจ
เราอาจจะรู้สึกว่า ร่างกายของเรานัน้ โปร่งเบาขึน้ เสมือนว่าอยู่ในภาวะ อย่างแผ่วเบา เพื่อให้เป็นที่ยึดที่เกาะของใจเรา ใจเราจะได้ไม่ซัดส่าย
ที่ไร้น�้ำหนัก และเนื้อตัวของเราค่อย ๆ กลืนหายไปกับบรรยากาศโดย ไปคิดเรื่องอื่น โดยนึกถึงเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีต�ำหนิเลย ขนาด
รอบ ร่างกายของเราก�ำลังผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาติ ใดก็ได้แล้วแต่เราชอบใจ นึกให้กลมเหมือนดวงแก้วใสบริสุทธิ์ ที่สว่าง
ให้เราเพลิดเพลินอยู่กับความรู้สึกสงบเย็นอย่างนี้... เหมือนดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ใสเย็นเหมือนแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ

ให้บริกรรมด้วยบริกรรมทั้งสองอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างเบา ๆ
สบาย ๆ จนกว่าใจจะหยุดนิ่ง พอใจหยุดนิ่ง ก็จะทิ้งค�ำภาวนา “สัมมา
อะระหัง” หรือค�ำว่า “ใสสว่าง” ไปเอง เหมือนกับเราลืมภาวนา
วิธกี ารนึก ต้องนึกให้เป็น คือ ค่อย ๆ นึกอย่างง่าย ๆ สบาย ๆ ถ้อยค�ำนี้ หรือเกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากจะภาวนาอีกต่อไป อยาก
นึกธรรมดา ๆ คล้าย ๆ กับเรานึกถึงลูกบอล ลูกเทนนิส ลูกปิงปอง หรือ หยุดใจนิ่งเฉย ๆ โดยที่ใจไม่คิดเรื่องอื่นใดเลย มีแต่ภาพดวงแก้วใส ๆ
นึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคยอย่างนั้น อย่าไปตั้งใจเค้นภาพจนเคร่งเครียด ปรากฏชัดเกิดขึ้นที่กลางกายของเรา
หรือนึกแรงเกินไป จนเผลอไปเพ่งจ้อง อย่างนั้นผิดวิธี ให้นึกเบา ๆ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ก็ไม่ต้องกลับมาภาวนาใหม่ ให้มีสติ
พอสบาย ๆ ถึงไม่ชดั เจนก็ไม่เป็นไร ชัดเจนแค่ไหนเราก็เอาแค่นนั้ ไปก่อน รักษาภาพดวงใส ๆ ไปอย่างแผ่วเบาสบาย ๆ อย่างเดียวต่อไป ด้วย
แล้วก็รักษาใจให้สงบ ให้หยุด ให้นิ่ง นึกให้ต่อเนื่องกันไป อย่า ใจนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม อย่างสม�่ำเสมอ ต่อไปเรื่อย ๆ อย่าไปท�ำ
ให้เผลอ ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่นเมื่อใด ก็ให้ประคองใจด้วยบริกรรม อะไรที่นอกเหนือจากนี้
ภาวนาควบคู่กันไปด้วย ถ้ามีประสบการณ์ภายในอะไรที่แตกต่างไปจากการก�ำหนด
โดยภาวนาในใจเบา ๆ เหมือนเป็นเสียงที่ละเอียดอ่อน ดัง บริกรรมนิมิต เราก็อย่าไปตื่นเต้น ให้ท�ำใจให้เป็นปกติ เหมือน
ออกมาจากกลางดวงแก้วใสในกลางท้องของเรา ภาวนาว่า “สัมมา ผู้ที่เจนโลกที่ผ่านชีวิตมามาก มองดูสิ่งที่เกิดขึ้นเฉย ๆ อย่างเดียว
อะระหัง ๆ” นึกภาวนาไปอย่างนุ่มนวลใจเย็น ๆ ก็จะช่วยให้พ้นจาก ไม่เช่นนั้นใจจะเคลื่อนจากศูนย์กลางกาย แล้วประสบการณ์ภายใน
ความทุกข์ทรมานของชีวิตได้ หรือจะใช้คำ� ว่า “ใสสว่าง” ก็ได้ ภาวนา ก็จะเลือนหายไป ให้ดูด้วยใจที่เป็นปกติ เป็นกลาง ๆ แล้วใจเราจะตัง้ มัน่
อย่างแผ่วเบาสบาย อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ พร้อมกับตรึกนึกถึงดวงใส บริสุทธิ์ หยุดนิ่ง ไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งสิ้น ตรงนี้สำ� คัญอย่าดูเบา
อย่างแผ่วเบาสบาย โดยเอาใจหยุดเข้าไปในกลางความใสบริสุทธิ์นี้ อย่าฟังผ่าน เพราะประสบการณ์ภายในจะก้าวหน้าต่อไปสภาพใจต้อง
เป็นอย่างนีเ้ ท่านัน้


CHAPTER
หน้าที่ของเราตอนนี้ คือ เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ที่ดี โดยดูไป
เฉย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ท�ำอย่างนี้
แค่นี้ เท่านั้น
ถ้าเราท�ำถูกวิธีอย่างง่าย ๆ สบาย ๆ ใจก็จะหยุดนิ่งอย่างง่าย ๆ
สบาย ๆ แต่ถ้าหากว่าเราเป็นนักวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ประสบการณ์
ภายใน ใจก็จะไม่สงบ แล้วประสบการณ์ที่ดี ๆ ก็จะจากเราไป เพราะ
ฉะนั้นให้ท�ำอย่างที่แนะน�ำนี้
ในที่สุดแล้วใจของเราจะละเอียดขึ้น และตัง้ มัน่ อยูท่ ศี่ นู ย์กลาง
5
กาย แล้วใจของเราก็จะเคลือ่ นเข้าไปสูภ่ ายใน เข้าไปสู่ความสะอาด
บริสุทธิ์ ความสว่าง ความสุขที่แท้จริง และความรู้แจ้ง คือปัญญา
ภายในที่ลุ่มลึกยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามล�ำดับ แล้วเราจะเข้าถึงสิ่งที่มีอยู่ในตน
ซึ่งเป็นของสากลที่เหมือนกันทุกคนในโลก
ดังนั้น ขอให้ทุกคนสั่งสมอารมณ์แห่งความหยุดนิ่งของใจ
อย่างเบาสบายให้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร เจาะลึกเคล็ดลับเรียนเก่ง
จากคนท�ำที่ได้จริง

นศ.แพทย์ Extern แห่งมหาวิทยาลัยขอนแก่น คนนี้...
เธอปฏิเสธการฝึกสมาธิมาตลอด 18 ปีเต็ม
ด้วยเหตุผลที่ว่า..นั่งสมาธิแล้วเสียเวลา
รู้สึกเป็นการนั่งเฉยๆ ไม่มีประโยชน์!!!
แต่ปัจจุบันนี้ การฝึกสมาธิ ถูกหลอมเข้าไปใน
ชีวิตประจ�ำวันของเธอ
ประดุจลมหายใจเข้าออกที่ขาดเสียมิได้
เสริมสุข วิจารณ์สถิต อะไร ??? ..ท�ำให้เธอมีแนวคิดเช่นนี้
นักศึกษาแพทย์ที่เคยปฏิเสธสมาธิ สาเหตุเป็นเพราะเธอได้ A ทุกวิชา..ขณะเรียนแพทย์หรือเปล่า ?
แต่สมาธิท�ำให้ได้ A ทุกวิชา
หรือมีอะไรที่มากไปกว่านั้น... !!!

ช่วยเล่าประวัติก่อนจะเข้ามาเรี ยนคณะแพทย์ฯ ม.ขอนแก่น
นิ้งเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนอาษาวิทยา พอจบ ป.6 ก็สอบ
เข้าโรงเรียนศึกษานารี ต่อมาได้ลงสมัครในโครงการจัดส่งเยาวชน
ไทยไปแข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โอลิมปิกระหว่างประเทศ การเรี ยนคณะแพทย์ฯ..เป็นคณะที่เรี ยนหนักมาก เคยรู้สึก
ตอนนั้นนิ้งเลือกสอบวิชาชีววิทยา มีการสอบคัดเลือกกันหลายรอบ เครี ยดหรื อกังวลไหม
จนกระทั่งผ่านเข้ารอบ 1 ใน 10 คนสุดท้ายค่ะ ซึ่งคนที่สอบได้ใน ยอมรับค่ะว่าเมื่อเข้าปี 1 ต้องปรับตัวมาก ก็มีบ้างที่เคยเครียด
รอบนี้ จะได้รับสิทธิพิเศษ คือ สามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ โดยไม่ หรือกังวล เคยมีเพื่อนแนะน�ำชวนให้เราไปฝึกสมาธิ นิ้งก็ปฏิเสธเขา
ต้องเอนทรานซ์ ซึ่งนิ้งเองก็เลยเลือกเข้าคณะแพทย์ฯ ที่นี่ค่ะ กลับไป คือตอนนั้นนิ้งต้องยอมรับว่าเป็นคนค่อนข้างแรง !! จึงบอก
เขาไปว่าการนั่งสมาธิเป็นการนั่งอยู่เฉย ๆ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร
เลย เป็นการเสียเวลาเปล่า ๆ สู้เอาเวลาไปท�ำอย่างอื่นได้ประโยชน์
ใฝ่ฝันที่จะเป็นหมอหรื อเปล่า หรื อเลือกเรี ยนเพราะอาชีพนี ้ กว่าตั้งเยอะ ซึ่งตอนนั้น..นิ้งเถียงเขาจริงจังมาก จนคนชวนเขาร้องไห้
มีเกียรติและค่อนข้างมั่นคง ไปเลย...
นิ้งชอบวิชาชีวฯ เป็นพื้นฐานอยู่แล้วค่ะ แล้วก็มีความคิด
ที่อยากจะเรียนอะไรสักอย่าง ที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ ก็เลย
ที่ ไม่เชื่อว่าการฝึกสมาธิเป็นสิ่งที่ดี เพราะนิง้ เรี ยนดีอยู่
เลือกเรียนหมอ แล้วอีกอย่างนิ้งเห็นคุณพ่อคุณแม่ของนิ้งเองท่านก็ แล้วหรื อเปล่า คือหมายถึงไม่ฝึกสมาธิก็เรี ยนดีได้
อายุมากแล้ว จึงอยากจะเอาความรู้ความสามารถที่เลือกเรียนด้านนี้ อยากใช้คำ� พูดว่า ตอนนั้นนิ้งไม่เข้าใจเรื่องสมาธิมากกว่า ว่า
มาดูแลรักษาท่านด้วย สมาธิดีอย่างไร เพราะไม่เคยสนใจในเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่พอมา
ตอนหลัง เมื่อรู้แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองผิดมาก ที่นิ้งไปเถียงเพื่อนคนนั้น
จนร้องไห้ แต่พอมาถึงตอนนี้ นิง้ ขอใช้คำ� พูดว่า ถ้านิง้ ไม่ได้ฝกึ สมาธิ ..
นิ้งคงไม่ได้ A หมดทุกวิชาตอนเรียนอยู่ปี 2 และได้ GPA ถึง 3.66
ทั้งๆ ที่ช่วงนั้น..นิ้งท�ำกิจกรรมหนัก และก็มาวัดวันอาทิตย์ด้วย

อยากให้เล่าถึงจุดเริ ่ ม..ที่ท�ำให้นง้ิ สนใจสมาธิ ทั้ง ๆ จริ งหรื อที่แค่ ใจสงบก็เรี ยนดีได้..อาจเป็นเพราะอย่าง
ที่เคยปฏิเสธมาก่อน อื่นหรื อเปล่า..
ตอนปิดเทอมปี 1 มีเพื่อนมาชวนไปอบรมธรรมทายาทหญิง ที่ ขอยกตัวอย่าง ตอนทีอ่ าจารย์สอบแบบถามตัวต่อตัว ซึง่ การ
วัดพระธรรมกาย เขาก็เล่าให้นิ้งฟังว่า เขาไปฝึกสมาธิ 7 วัน แล้วรู้สึก สอบแบบนี.้ ..นักศึกษาแพทย์สว่ นใหญ่จะตืน่ เต้นมากเลย คือ จะตืน่ เต้น
ดีมาก ๆ แล้วเขาก็บอกนิ้งต่อว่า ขนาดไป 7 วันยังรู้สึกดีขนาดนี้ ถ้านิ้งไป กันมากกว่าการสอบข้อเขียนมาก ๆ และความตื่นเต้นนี่เอง..จะท�ำให้
40 วัน จะรู้สึกดีขนาดไหน ก็เลยท� ำให้นิ้งชวนเพื่อ นในคณะไปด้ ว ยกัน หลายคนมักจะลืมค�ำตอบ หรือตอบกันไม่ได้ เนื่องจากเป็นค�ำถามที่
4 คน และพอวั น ที่ ไปอบรมที่วัดจริง ๆ ก็รู้สึกชอบขึ้นมาทันที และช่วง ยากกว่าปกติ เพราะเราต้องประมวลความรู้หลายเรื่องมาตอบในข้อ
ที่อบรมที่นี่ นิ้งขอบอกว่าเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเราได้ นั้น แต่สมาธิกลับช่วยให้นิ้งท�ำตรงนี้ได้อย่างเด่นชัด เช่น มีอยู่ข้อหนึ่ง
รับการอบรมสอนธรรมะในเรื่องต่าง ๆ ที่สามารถน�ำไปใช้ในชีวิตประจ�ำ ที่อาจารย์ถามว่า ถ้าคล�ำเจอก้อนที่คอ จะแยกได้อย่างไรว่า เป็นต่อม
วันได้จริง อีกทั้งการฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่องนี่เอง ได้ทำ� ให้ใจเราสงบ น�้ำลายหรือต่อมน�้ำเหลือง
สบาย มีสติ จนท�ำให้เวลาจะท�ำอะไร เราจะคิดก่อนท�ำมากขึ้น (ผู้ที่สนใจ นิ้งตอบไปว่า ถ้าคล�ำได้ทั้งข้างบนข้างล่าง ก็เป็นต่อมน�ำ้ ลาย
สามารถดูรายละเอียดเรื่องการนั่งสมาธิได้จาก www.dmc.tv) แต่ถา้ คล�ำได้ขา้ งเดียวก็เป็นต่อมน�ำ้ เหลือง จากนัน้ ..อาจารย์เลยถาม
ต่อไปอีกว่า แล้วท�ำไมถึงตอบอย่างนัน้ ? ตอนนัน้ .. นิง้ เองก็องึ้ ไป
นิง้ ..ยอมเปลี่ยนความคิดว่า สมาธิเป็นสิ่งที่ดีจริ งตอนไหน
สักพัก คือไม่คดิ ว่าตัวเองจะตอบได้ แต่อยู่ ๆ ภาพตอนเรียน Anatomy
ตอนที่..สังเกตเห็นว่าตัวเราเปลี่ยนแปลงไป อย่างที่เล่าให้ฟัง (กายวิภาคศาสตร์) ก็แวบขึ้นมาเป็นภาพต่อมน�ำ้ ลายมีกล้ามเนื้ออยู่
คือ เมื่อก่อนเป็นคนแรง ใจร้อน แต่เดี๋ยวนี้..ใจเย็นลง เพราะสมาธิ ทั้งข้างบน ทั้งข้างล่าง ซึ่งนิ้งก็ทำ� ภาพนั้นให้อาจารย์ดู อาจารย์ก็พยัก
เป็นจุดเริ่มให้นิ้งแก้จากภายในใจเรา พอใจสงบ ใจเราจะมีระบบ หน้าว่าถูก นี้เป็นตัวอย่างที่เห็นได้เลยว่า สมาธิช่วยให้เราจ�ำได้ดี
ระเบียบ การกระท�ำก็จะสื่อออกมาให้รู้สึกเย็นลง คิดก่อนท�ำมากขึ้น และระลึกมาใช้ได้ แม้ในเวลาที่เราตื่นเต้น !!!
และที่ส�ำคัญ..พอฝึกสมาธิกลับมา ผลการเรียนตอนปี 2 เกรดเฉลี่ย
พุ่งขึ้นไปเป็น 4.00 จนนิ้งได้รับเกียรติบัตรการเรียนดีเด่นประจ�ำชั้น
ปีที่ 2 ของคณะแพทย์ฯ ม. ขอนแก่น

หลายคนมองว่าเด็กแพทย์จะเอาแต่เรี ยน กิจกรรมไม่ค่อย มีเทคนิคการอ่านหนังสือที่เป็นพิเศษกว่าคนอื่นหรื อเปล่า
ท�ำ แต่ทำ� ไม..นิง้ ถึงท�ำในสิ่งที่ตรงกันข้าม นิ้งจะเตรียมสภาพร่างกายและสิ่ ง แวดล้ อ มให้ พ ร้ อ ม เช่น
.. ใช่นะ..! คนจะมองเด็กที่เรียนแพทย์ว่าไม่ค่อยท�ำกิจกรรม ไม่ง่วง ไม่อิ่ม ไม่ หิ ว มากเกิ น ไป อาบน�้ ำ แต่งตัวให้สบาย และจะ
เลย เพราะคณะแพทย์เรียนหนักอยูแ่ ล้ว ถ้าจะมาท�ำกิจกรรมอาจ สวดมนต์นั่งสมาธิก่อนทุกครั้ง แล้วจึงค่อยอ่านหนังสือ ส่วนอะไรที่
ท�ำให้เกรดตกได้ แต่นงิ้ กลับมองว่า ในเมือ่ เราไปอบรมธรรมทายาท ท�ำ ให้ใจเป็นกังวลหรือขุ่นมัวก็เอาออกไปจากใจ ส่ ว นสถานที่ก็
มา และจากการฝึกสมาธิท�ำให้เราสามารถดึงศักยภาพในตัวเอง แล้วแต่คนชอบ ส่วนนิ้งจะเลือกสถานที่ที่ถูกใจเรา เพราะจะท�ำให้เรา
ที่มีออกมาใช้ได้มากขึ้น เหมือนมีชีวิต 200 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพอนิ้ง อ่านได้นาน คือ ต้องเป็นสถานที่ที่อากาศถ่ายเท และที่สำ� คัญที่สุด
ตัดสินใจมาท�ำกิจกรรมตรงนี้แล้ว นิ้งได้ประโยชน์จากมันเยอะมาก อย่านอนอ่าน เพราะจะท�ำให้หลับง่าย อีกทั้ง..นิ้งเองจะมีหนังสือ
เพราะท�ำให้นงิ้ ดึงศักยภาพทีด่ งึ ออกมาได้ยาก..ออกมาได้ แล้วอีก ธรรมะเล่มที่ชอบวางไว้ข้าง ๆ ด้วย บางทีอ่านหนังสือเรียนเบื่อ ก็จะ
อย่างกิจกรรมทีน่ งิ้ ท�ำก็เป็นกิจกรรมทีม่ ปี ระโยชน์กบั ตัวเองและผูอ้ นื่ ด้วย หยิบหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่านสลับ สรุปง่าย ๆ คือท�ำให้ความสบาย
เกิดขึ้น แล้วอย่ากลัว อย่าเครียด อย่ากังกล ให้คดิ ว่าเราก�ำลังท�ำตรงนี้
นิง้ ..เอาหลักธรรมอะไรไปใช้ ในเรื ่ องเรี ยน และเรื ่ องการท�ำ ให้ดีที่สุด
กิจกรรม ให้มีผลออกมาดีไปพร้อม ๆ กัน
มีเทคนิคการจ�ำอย่างไร
ธรรมะก็มีหลายอย่าง แต่ที่นำ� ไปใช้จริงๆ ก็คือมงคลชีวิต
เพราะเป็นธรรมะตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ขั้นกลาง ขั้นสูงสุด ซึ่งสามารถ แต่ละคนก็จะมีเทคนิคต่างกัน บางคนชอบชอร์ตโน้ต แต่นิ้ง
น�ำมาใช้ได้อย่างดีมาก ซึ่งธรรมะนี้เอง ท�ำให้เราปรับปรุงตัวเองให้ดี ชอบขีดเส้นใต้เน้นส่วนที่สำ� คัญ แล้วกลับมาอ่านใหม่ เราต้องประเมิน
มากขึ้น เมื่อพูดถึงตรงนี้จึงอยากแนะน�ำให้เพื่อน ๆ ได้อ่านหนังสือ ตัวเราให้ดีว่า เรื่องนี้เราต้องอ่านกี่รอบถึงจะจ�ำได้ ต้องแบ่งเวลาให้
มงคลชีวิต แล้วเอาไปใช้ อย่างเช่นข้อแรกก็คือไม่คบคนพาล ข้อ 2 ก็ เป็น วิชาไหนสอบก่อน สอบหลัง ก็ต้องจัดล�ำดับการอ่านให้ถูกต้อง
คือคบบัณฑิต ซึ่งถ้าได้ทำ� ตาม เราก็จะได้เพื่อนดีที่ตั้งใจเรียน ที่เขาก็ และที่สำ� คัญต้องนั่งสมาธิ เพราะสมาธิจะช่วยตรงนี้ได้เยอะ
จะดึงเราให้เรียนดีไปด้วย

ตอนสอบตื่นเต้นบ้างไหม แล้วนิง้ ท�ำอย่างไร อยากฝากอะไรไว้ไหม
เคย... แต่ จ ะหาสาเหตุ ย ้ อ นกลั บ ทุ ก ครั้ ง ว่ า ทีต่ น
ื่ เต้นเพราะ สิง่ ทีอ่ ยูใ่ นใจมาตลอดขณะทีเ่ รียนหมอคือค�ำพูดของพระราชบิดา
อะไร ..ตืน่ เต้นเพราะกลัวไม่ได้ A หรืออ่านหนังสือไม่ทนั หรือตืน่ เต้น ท่ า นพู ด เป็ น ภาษาอั ง กฤษ มี ค วามหมายรวม ๆ ว่า คนเก่ ง ไม่ ใ ช่
เพราะกลัวสอบตก เราต้องหาสาเหตุจากตัวเราให้ได้ และพอสอบครัง้ คนเรียนได้ดี หรือได้เกียรตินยิ มอันดับหนึง่ คนเก่ง ก็คอื คนทีส่ ามารถ
หน้า เราก็แก้ตรงจุดนัน้ ให้ได้ เพือ่ ครัง้ ต่อไปเราก็จะตืน่ เต้นน้อยลง น�ำความรู้ที่เรียนมาท�ำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและสังคมได้มากที่สุด
แล้วยิ่งนิ้งมาได้รับการสอนจากที่วัด ก็เลยท�ำให้นิ้งรู้สึกชัดเจนขึ้นมา
กิจวัตรประจ�ำวันท�ำอะไรบ้าง ทันทีเลยว่า เราท�ำอะไรได้มากกว่าการเป็นหมอรักษาคนไข้ เพราะ
เราสามารถบอกให้คนไข้ทำ� ในสิ่งที่มีคุณค่า บอกให้คนไข้รู้ถึงการ
จะเหมื อน ๆ กั บ นั ก ศึ ก ษาแพทย์ ทั่ ว ไป แต่ จ ะสวดมนต์
ด�ำเนินชีวิตอย่างถูกต้องว่าเป็นอย่างไร นิ้งสามารถช่วยสังคมสร้าง
นั่งสมาธิทุกวัน แม้วันสอบก็จะไปนั่งสมาธิที่ชมรมพุทธฯ บางคน
คนดี เพราะสังคมที่ดี..ก็เริ่มจากมีคนดี ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บก็เหมือนกัน...
อาจจะมองว่าเสียเวลา แต่ส�ำหรับนิ้งคิดว่า มันท�ำให้เรามีศักยภาพใจ
ถ้าคนไข้มีจิตใจดี สุขภาพจิตดี เมื่อสุขภาพจิตดี..ร่างกายก็ดีขึ้น โรค
เพิ่มขึ้น สมองเราก็จะโปร่งขึ้น ผ่อนคลายขึ้น ท�ำให้เวลาจะท�ำอะไร..
ภัยไข้เจ็บก็ไม่รบกวน
ประสิทธิภาพก็จะมากขึ้น
กระบวนการ Rethink (คิดใหม่) ของคุณหมอในอนาคตในเรือ่ ง
เด็กหลายคนคิดว่าการไปวัดเป็นเรื ่ องเสียเวลาและเสียการ ของสมาธิและการน�ำหลักธรรมะไปใช้ในการเรียน ได้พิสูจน์ให้เห็น
เรี ยน นิง้ คิดอย่างไร แล้วว่าเธอมีเทคนิคการเรียนที่แตกต่างจากเพื่อนนักศึกษาคนอื่น ๆ
ที่แม้ท�ำกิจกรรมหนัก แต่ก็กลับเรียนจนได้ A หมดทุกวิชา ซึ่งทางเรา
เสียการเรียนหรือไม่เสีย ไม่เกี่ยวกับการไปวัด เกี่ยวกับตัว
ก็ขอแสดงความยินดีกับคุณหมอนิ้งคนเก่งด้วยนะคะ
น้อง ๆ เองมากกว่า แต่ถ้าเราไม่ได้ไปวัด เราสังเกตตัวเองดี ๆ ก็จะ
พบว่า เราเอาเวลาไปท�ำอย่างอื่น ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้อ่านหนังสืออยู่ดี
บางทีไปเที่ยว ไปดูหนัง กลับมาก็เหนื่อย ไม่ได้อ่านหนังสืออีก สู้ไป
วัด ไปท�ำบุญ ไปนั่งสมาธิ ช่วยให้จิตใจเราดีขึ้น มีสมาธิมากขึ้น กลับ
ไปอ่านหนังสือก็จำ� ได้ดีขึ้น

เมือ่ ก่อนเธอเป็นนักเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็นเด็กทุน AFS
ปัจจุบนั เธอจบจากคณะทีเ่ ป็นความใฝ่ฝนั สูงสุด
ของเด็กนักเรียนสายศิลป์ภาษา
นัน่ ก็คอื คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เธอบอกว่า ไม่ตอ้ งเรียนให้หนักหรือท�ำงานให้เหนือ่ ย
แต่เธอมีเทคนิคง่าย ๆ ทีจ่ ะท�ำให้เข้าใจ
และเก็บรายละเอียดในสิง่ ทีอ่ า่ นได้ราวกับ XEROX เก็บไว้ใน
สมอง..!!!
วรรณนรี หรือ มิ้ม เป็นเด็กธรรมดา ๆ ที่ไม่มีพรสวรรค์

อะไร แต่คุณแม่ของเธอมักจะบอกว่า “มิ้มมีพรแสวง” เพราะไม่ว่า
มิ้มจะคิดท�ำอะไรเป็นต้องท�ำให้ส�ำเร็จจนได้ ค�ำกล่าวนี้มีจุดเริ่มต้นมา
จากในช่วงวัยประถม มิม้ ต้องย้ายไปเรียนทีโ่ รงเรียนเซนต์โยเซฟ ทัง้ ๆ ที่
เธอไม่มคี วามรูภ้ าษาอังกฤษมาก่อนเลย ซึ่งผิดกับเพื่อนทั้งห้องที่ได้เรียน
วรรณนรี ไตรเนตร มาตั้งแต่อนุบาลแล้ว จึงสามารถกล่าวได้ว่า ในขณะนั้น..เธอมิได้
นักเรียนทุน AFS เพียงเริ่มต้นเรียนรู้จากศูนย์เท่านั้น หากเทียบกับเพื่อน ๆ แล้ว เธอ
เริ่มจากค�ำว่า “ติดลบ” ก็ว่าได้ !!!

เห็นคุณแม่เล่าว่า ตอนมิ้มย้ายไปเรี ยนชั้น ป.2 ที่ แล้วตอนหลังเก่งภาษาอังกฤษมาก..จนมาอยู่ ในระดับ
เซนต์ โยเซฟใหม่ ๆ มิ้มไม่ได้เรี ยนภาษาอังกฤษมาเลย แต่ แนวหน้าได้อย่างไร
เพื่อนทั้งห้องมีพื้นภาษาอังกฤษกันหมด เพราะเขาเรี ยนกัน
มิ้มก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่มีปัญหากับภาษาอังกฤษมาก่อน
ตั้งแต่อนุบาล ตอนนั้นมิ้มท�ำอย่างไร แต่มิ้มโชคดีที่ไม่เคยนึกเกลียดภาษาอังกฤษเลย อีกทั้งมิ้มยังยิ่งเรียน
มิม้ เข้าไปเรียนก็รทู้ นั ทีวา่ มิม้ อ่อนกว่าคนอืน่ เยอะ ไม่มพี นื้ ฐาน ให้หนัก และตั้งใจให้มากขึ้นอีก และที่สำ� คัญมากคือ ต้องท�ำใจรัก
อะไรมาเลย เพราะโรงเรียนเก่ามิ้มไม่ได้สอนภาษาอังกฤษจนถึง ป.3 ภาษาอังกฤษ ต้องฝึกอ่าน เขียน ท่องศัพท์ ซึ่งมิ้มได้พยายามบอกกับ
มิ้มเลยต้องตั้งใจเรียนอย่างหนัก พยายามขวนขวายตัง้ ใจเรียนมาก ๆ ตัวเองว่า..วันนี้ยังจ�ำไม่ได้ ไม่เป็นไร ฝึกทุกวันจนในที่สุดเหมือนภาษา
ต้องท�ำงานหนักในเรื่องภาษาอังกฤษมากกว่าคนอื่นเขาหลายเท่ า อังกฤษซึมเข้าสายเลือดไปเลย แล้วมิ้มยังได้ฝึกภาษาอังกฤษกับฝรั่ง
แต่มิ้ ม คิ ด ว่ า มิ้ ม ต้ อ งท� ำ ได้ และก็พยายามท�ำทุกวิถีทางให้เรียนทัน ชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นเพื่อนของคุณแม่ ในขณะที่มิ้มยังเป็นเด็กประถม
เพื่อน ซึ่ ง ตอนนั้ น คุณแม่ก็เข้าใจและส่งเสริมโดยการหาครูมาสอน พูดภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยได้ แต่มิ้มกลับมาท�ำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์
พิเศษภาษาอังกฤษให้ ตัวน้อย ๆ โดยพาเขาไปเที่ยว แนะน�ำอธิบายสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับ
เมืองไทยให้เขาฟัง จากความรักที่จะเรียนรู้และความไม่ย่อท้อในการ
ฝึกฝนตนเองเสมอ ท�ำให้มิ้มเรียนวิชานี้ได้ดีในที่สุด

นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว วิชาอื่นมิ้มเรี ยนดีด้วยหรื อเปล่า อยากให้มิ้มเล่ารายละเอียดคร่าว ๆ เกี่ยวกับทุน AFS
มิม้ ว่า..การทีม่ มิ้ สนใจภาษาอังกฤษมาก ๆ จนท�ำให้เกิดนิสยั รัก ทุน AFS หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Americans Field Service เป็นทุน
ในการเรียนรู้ ส่งผลท�ำให้วิชาอื่น ๆ ของมิ้มดีตามไปด้วยจนกระทั่ง ที่ให้โอกาสนักเรียนที่มีความรู้ความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษ
ตอน ป.6 มิม้ จึงขออนุญาตคุณแม่ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ทั่วประเทศเข้าสอบแข่งขัน เพือ่ ไปศึกษาและเรียนรูว้ ฒ ั นธรรม ใน
พัฒนาการ ช่วงนั้นมิ้มขยันมาก คืออ่านหนังสือทั้งวันเลย ประเทศต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก โครงการนี้เป็นโครงการที่มีมานานแล้ว
ซึ่งเด็กนักเรียนที่ได้รับคัดเลือกให้เ ข้ า ร่ ว มในโครงการนี้ จะเดินทาง
ทราบว่า..ช่วงมัธยมปลายสอบเข้าโรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศึกษาได้ ไปใช้ชวี ติ ในประเทศอุปถัมภ์นนั้ ๆ เป็นเวลา 1 ปีเต็ม โดยพักกับครอบครัว
แล้วมิม้ สอบชิงทุน AFS ตอนไหนคะ อุปถัมภ์ชาวต่างชาติ และเข้าศึกษาในโรงเรียนร่วมกับนักเรียนเจ้าของ
พอมิ้มจบ ม.3 จากเตรียมฯ พัฒน์ มิ้มก็ไปสอบเข้าเรียนที่ ประเทศ ซึ่งมิ้มเป็น 1 ในนักเรียนทุน AFS ที่มีโอกาสเป็นตัวแทน
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (เตรียมฯ ใหญ่) สายศิลป์ ซึ่งมิ้มก็ได้มี ของนักเรียนไทยไปศึกษา ณ โรงเรียน Oak Harbor High School รัฐ
โอกาสสอบชิงทุน AFS ได้ตอน ม.4 ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนเตรียมฯ วอชิงตัน ดี.ซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกจากหน้าที่หลัก ๆ ของ
จะนิยมไปสอบเพื่อทดสอบความสามารถของตนเองกั น มิ้มก็เลย นักเรียน AFS ที่จะต้องเผยแพร่วัฒนธรรมอันดีของไทยแล้ว มิ้มยัง
ถือโอกาสไปสอบกับเพื่อน ๆ ด้วย เข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ของทางโรงเรียน อาทิเช่น ได้รับการคัดเลือก
ให้เป็นตัวแทนนักกีฬาเทนนิสประจ�ำทีมโรงเรียน เพื่อเข้าร่วมแข่งขัน
กับโรงเรียนต่าง ๆ ของรัฐ และได้รบั เชิญให้ไปกล่าวสุนทรพจน์ในนาม
นั ก เรี ย นแลกเปลี่ยนในงานประชุมประจ�ำปีของสมาคม Business
Woman Association …

เห็นคุณแม่เล่าว่า..มิ้มไปอบรมมัชฌิมธรรมทายาทที่วัด ไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
พระธรรมกาย ก่อนที่จะไปเมืองนอก ตอนไปอยู่ที่นั่น มิ้มจะนั่งสมาธิ สวดมนต์ ไม่ขาดเลย เรียกว่า
ค่ะ..ก่อนไปเมืองนอก คุณแม่อยากให้มมิ้ มีหลักประกันทีค่ ดิ ว่า เคร่งกว่าอยู่เมืองไทยเสียอีก (หัวเราะ) เพราะมิ้มมีความเชื่อว่า บุญ
มิม้ จะดูแลตัวเองได้เมื่ออยู่ไกลแม่ เพราะคุณแม่เป็นห่วงมิ้มมาก และ ตรงนี้จะคุ้มครองมิ้ม ให้มิ้มเจอแต่คนดี ๆ เจอแต่คนรักมิ้ม คนไม่ดี
ยิ่งวัยของมิ้มเป็นวัยรุ่น แล้วก็เป็นเด็กผู้หญิงด้วยแล้ว คุณแม่ยิ่งเป็น ก็จะมาท�ำอะไรมิ้มไม่ได้ เหมือนกับบุญครอบเอาไว้ (หัวเราะ) ซึ่งก็
ห่วง อีกทัง้ ทีอ่ เมริกายังเป็นเมืองอิสรเสรีดา้ นวัฒนธรรม คือหลายคน จริง ๆ ทุกคนในครอบครัวที่โน่นเอ็นดูมิ้มมาก อย่างมิ้มเองอยู่ที่โน่น
ไปอยู่ที่นั่นแล้วเสียคนก็มี... จะช่วยเขาท�ำแทบทุกอย่าง ไม่ว่าเขาท�ำอะไรกัน มิ้มก็ช่วยเขาไปหมด
อย่างการขัดห้องน�ำ้ เขาจะถามมิ้มเลยว่า ท�ำไมมิ้มถึงขัดได้สะอาด
มาก ซึ่งการขัดห้องน�้ำนี้ มิม้ ได้รบั บทฝึกมาจากมั ช ฌิ ม ธรรมทายาท
ทีว่ ัดพระธรรมกาย ทีส่ อนวิธกี ารขัดห้องน�ำ้ ตามแบบฉบับของคุณยาย
อาจารย์ฯ ซึ่งมิ้มอยู่กับครอบครัวที่นั่นเหมือนเป็นลูกคนหนึ่งของเขา
ที่ Dad และ Mom จะรักและดูแลเอาใจใส่มิ้มมาก อย่างเช่นในช่วง
ที่มิ้มเรียนจบและก�ำลังจะเดินทางกลับเมืองไทย Dad ได้ฉลองความ
ส�ำเร็จที่มิ้มจบ High school ที่นั่น โดยการเช่าเครื่องบินเล็ก ๆ และ
พามิ้มบินเที่ยวรอบเกาะ ซึ่งสนุกและประทับใจมาก

เขารู้สึกแปลก ๆ ไหมเวลามิ้มสวดมนต์นงั่ สมาธิก่อนนอน อยากให้ขยายความ..ที่นำ� สมาธิมาใช้ ในเรื ่ องเรี ยนว่า ท�ำไม
ตอนอยู่ที่ โน่น เรี ยนถึงได้เก่งขนาดนี้
แรก ๆ เขาก็งง !! อย่าง Jessica ลูกของครอบครัวอุปถัมภ์ที่ ก่อนทีม่ มิ้ จะอ่านหนังสือทุกครัง้ มิม้ จะนัง่ สมาธิทำ� ใจให้วา่ ง ๆ
มิ้มไปอยู่ด้วย เขาเห็นมิม้ เอาหนังสือสวดมนต์ไว้ใต้หมอนและก่อนนอน นิง่ ๆ ซึ่งการท�ำอย่างนี้..เท่ากับเป็นการเคลียร์ทุกสิ่งทุกอย่างออกจาก
ก็จะหยิบมาสวดทุกคืน เขาก็เลียนแบบมิม้ บ้าง โดยไปเอาไบเบิลมาไว้ สมองไปให้หมด และพออ่านหนังสือเสร็จ มิ้มก็จะมานั่งสมาธิอีกรอบ
ใต้หมอน ทั้ง ๆ ที่เล่มใหญ่และหนามาก เวลามิ้มสวดมนต์ เขาก็อ่าน ซึ่งการนั่งสมาธิรอบหลังนี้ เหมือนกับการจัดเรียงล�ำดับความคิดเข้า
ไบเบิล เราท�ำกันจนกลายเป็นกิจวัตรประจ�ำวันของเรา แฟ้มต่าง ๆ ให้เป็นระบบระเบียบ ท�ำให้จ�ำได้ดีขึ้นมาก เวลาที่จะดึง
ออกมาใช้ตอนสอบ..ก็จะไม่สับสน (หัวเราะ)
มีเทคนิคอะไรพิเศษหรื อเปล่า..ที่สอบที่ ไหนก็ติดมาตลอด
พอกลับเมืองไทยมาเรี ยนต่อ ม.5 ผลการเรี ยนเป็นอย่างไร
ก็มีเทคนิคนิดหน่อยค่ะ คือช่วง ม.3 คุณแม่ได้ชักชวนให้มิ้ม
และน้องหม่อน (น้องสาว) ไปฝึกสมาธิที่สวนเพชรแก้ว จ.เชียงใหม่ ได้ 4.00 ค่ะ ซึ่งก็เรียนไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็ตั้งใจสอบ
เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพราะคุณแม่เชื่อว่าถ้าให้ลูกฝึกสมาธิแล้ว จะช่วย เอนทรานซ์ เข้าคณะอักษรฯ จุฬาฯ เพราะเป็นคณะที่เป็นความใฝ่ฝัน
ในเรื่องการเรียนของลูกได้ ซึ่งการไปฝึกสมาธิในครั้งนั้น ถือเป็นการ สูงสุดของเด็กที่เรียนสายศิลป์แทบทุกคนอยู่แล้ว
นั่งสมาธิเป็นครั้งแรกในชีวิตของมิ้ม ซึ่งช่วงนั่งแรก ๆ ก็มีปวดเมื่อย
เหมือนกัน แต่ตอนหลังมีพระอาจารย์มาแนะน�ำ ก็เลยช่วยให้มิ้มนั่ง
สมาธิได้ดีขึ้นจนใจสงบมาก เห็นดวงแก้วหลายดวง สว่างมาก และพอ
มองไปนิง่ ๆ ก็จะเห็นคนทีห่ น้าเหมือนมิม้ อยูใ่ นตัวเองอีกที แต่มหี น้าตา
และผิวพรรณสวยกว่ามาก เลยท� ำ ให้ มมิ้ รู้สึกชอบและสนใจสมาธิ
นับจากนัน้ เป็นต้นมา และเริม่ น�ำสมาธิมาใช้กบั การเรียนนับตัง้ แต่นนั้ ...

ไม่คอ่ ยขยันเหมือนเมือ่ ก่อน แล้วเกรดยังดีเหมือนเดิมหรื อเปล่า
เห็นคุณแม่บอกว่าช่วง ม.ปลาย ตอนเอนทรานซ์มิ้มไม่ค่อย ก็เอนทรานซ์ ติดอักษรฯ จุฬาฯ ค่ะ ตอนเรียนที่คณะอักษรฯ
ขยัน ไม่ยอมอ่านหนังสือเหมือนเมื่อก่อน ..ซึ่งบางทีทำ� ให้ (ขณะสัมภาษณ์มิ้มอยู่ปี 1) มิ้มก็ได้เกรด 3.2 คะแนนนี้เทียบได้กับ
คุณแม่ไม่พอใจ เกียรตินิยมอันดับ 2
(หัวเราะ) คุณแม่บอกว่า เดี๋ยวนี้ทำ� ไมลูกมิ้มไม่เห็นขยันอ่าน ทุกวันนีม้ มิ้ มีคติประจ�ำใจอะไรในการด�ำเนินชีวติ เรื ่องการเรี ยน
หนังสือเลย ดูอย่างลูกคนโน้น ลูกคนนีส้ ิ เขาอ่านหนังสือถึงตี 1 ตี 2
สิง่ นีม้ มิ้ ได้จากพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ทีห่ ลวงพ่อ
ขยันเรียนกว่ามิ้มอีก ส่วนมิ้มกลับรีบเข้านอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม ผิดกับเมื่อ
จะสอนลูกๆ ทุกคนอย่างสม�ำ่ เสมอว่า เวลาจะท�ำอะไรต้องท�ำให้ดี
ก่อนเลย ไม่เหมือนกับตอนเด็ก ๆ ที่เรียนที่เซนต์โยฯ แล้วก�ำลังจะ
ที่สุด มิ้มเอาข้อนี้มาใช้กับชีวิตของมิ้มในแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง
สอบเข้าเตรียมฯ พัฒน์ ซึ่งตอนนั้น..มิ้มจะอยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือ
เรียน อย่างเช่น การท�ำการบ้าน หรือท�ำรายงานส่ง บางทีมิ้มท�ำและ
ตลอด มีหนังสือกองตรงหน้าเต็มไปหมด…
เขียนออกมา เสร็จแล้วมานั่งดู มิ้มคิดว่างานชิ้นนี้มิ้มจะได้คะแนน
มิ้มอยากจะไขข้อข้องใจตรงนี้ โดยการอธิบายเพิ่มเติมว่า เป็น
สัก 14-15 คะแนน แต่มิ้มก็จะถามตัวเองกลับว่าในเมื่อคะแนนเต็ม
เพราะปัจจุบันมิ้มใช้สมาธิช่วย คือ เมื่อก่อนมิ้มเก่งเพราะมิ้มขยัน
20 ท�ำไมเราไม่ท�ำให้เต็ม 20 ไปเลย จะมาเอาแค่ 14-15 ไปท�ำไม
แต่เดี๋ยวนี้มิ้มเก่งเพราะสมาธิ และที่ส�ำคัญคือ เราไม่จ�ำเป็นต้อง
และมิ้มก็เริ่มเขียนใหม่ให้ดีที่สุด และผลออกมาก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
เรียนให้หนักหรือท�ำงานให้เหนื่อย แต่เราก็เรียนให้ดีได้ เพราะ
สิ่งนี้มิ้มจะเอาไปใช้ ใ นชีวิตประจ�ำวันในแทบทุ ก เรื่ อ ง แม้ว่าเรื่ อ ง
เดี๋ยวนี้..มิ้มอ่านหนังสือแค่รอบเดียว มิ้มก็จำ� ได้เลย บางทีเหมือนกับ
เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การแต่งตัว ก็ต้องแต่งให้ดูเรียบร้อย ดูดีที่สุด
XEROX เอาหน้าทั้งหน้านั้นเข้าไปในสมองเลย อีกทั้ง..มิ้มจะจ�ำได้ถึง
เพื่อเราจะได้มั่นใจ หรือเรื่องการเรียน ก็ต้องเรียนให้ดีที่สุด ตรงนี้มิ้ม
ขนาดว่า ตรงไหนอยู่บรรทัดไหน เนื้อหาตรงนี้ตรงนั้นอยู่ช่วงไหน
ได้จากหลวงพ่อค่ะ
และเวลาจะสอบก็ไม่ต้องเค้นความจ�ำหรือนั่งนึกนาน ๆ เพราะมิ้ม
สามารถนึกสิ่งที่มิ้มอ่านออกมาเองอย่างสบาย ๆ เพราะสมาธิทำ� ให้

ประสิทธิภาพของใจและสมองเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก เลยท�ำให้มิ้มไม่
จ�ำเป็นต้องขยันอ่านมาก ๆ เหมือนเมื่อก่อน

สุดท้ายนี้ มิ้มมีอะไรจะฝากไว้ไหมคะ ..แต่ถ้าเรามีสมาธิ และเอาการปฏิบัติธรรมมาใช้แล้ว เราจะ
ก็อยากจะบอกเพื่อน ๆ ว่า จริง ๆ แล้วศักยภาพของมนุษย์ พบความอัศจรรย์ของสมาธิว่า สมาธิช่วยให้เราอยู่บนโลกแห่งความ
มีมาก แต่เรามักจะเอาออกมาใช้ไม่ได้ แต่ ส มาธิ มี ส ่ ว นส� ำ คั ญ มาก เป็นจริงได้อย่างมีความสุข เมื่อมีปัญหาเราก็จะมีปัญญาแก้ และพบ
ทีจ่ ะท�ำให้เราน�ำออกมาใช้ได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะในเรือ่ งการเรียน แต่กลับ ทางออกได้ในทุกครั้ง และแก้ปัญหาได้ไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องพึ่งยา
มีผลกับเราในทุก ๆ ด้าน อย่างตัวมิ้มเอง สมาธิจะท�ำให้เราอยู่ได้ด้วย เลย (ยิ้ม)
ตัวของเราเอง คือ เราจะเกิดความมั่นใจ แม้ไม่มีใครเราจะไม่รู้สึกขาด จากการที่เราได้พูดคุยกับน้องมิ้ม (MIM) หรือน้องผึ้งตัว
แต่เราจะรู้สึกว่า เมื่อไรก็ตามที่เรามีทุกข์หรือเครียด ก็จะมีสมาธิช่วย น้อย ๆ คนนี้ ท�ำให้เราสัมผัสได้เลยว่า เด็กที่ฝึกสมาธิดี นอกจากจะ
เราได้ทุกครั้ง เรียนเก่งแล้ว ยังเป็นเด็กที่มีบุคลิกภาพแห่งความเชื่อมั่น และท�ำอะไร
อย่างเด็กวัยรุ่นในสังคมสมัยนี้ ที่หันไปพึ่งยาเสพติดกัน ถ้า ก็ทำ� จริง โดยเฉพาะถ้าสิ่งไหนที่เป็นสิ่งที่ดี มิ้มจะเสาะแสวงหา และ
เขามีตรงนี้ คือได้มาฝึกสมาธิแล้ว ผลของสมาธิจะท�ำให้เขาสามารถ พยายามท�ำดีที่สุดอยู่ตลอดเวลา
แก้ปัญหาในชีวิตได้ มิ้มว่าตรงนี้ คือทางออกที่ถูกต้องมากกว่า อย่าง ..ซึ่ ง เราก็ ดี ใ จที่ เ ยาวชนไทยรู ้ จั ก การน� ำ สมาธิ ไ ปใช้ ใ นการ
เพือ่ น ๆ หรือใครทีจ่ ะหันไปพึง่ ยาเสพติด ก็ให้คดิ ดูกอ่ นค่ะ หรือบางคน ด�ำเนินชีวิตได้ดีจนน่าทึ่งขนาดนี้ และยังสามารถพัฒนาศักยภาพของ
อาจจะบอกว่า จะเอายาเสพติดมาลบอดีตตรงนัน้ ตรงนี.้ .ซึง่ แท้จริงนัน้ .. ตัวเอง โดยเฉพาะในเรื่องการเรียนซึ่งเป็นความรับผิดชอบในวัยเด็ก
เป็นการหลอกตัวเอง เพื่อให้เราฝันในสิ่งที่เราอยากเป็น แล้วไปอยู่ใน ได้เป็นอย่างดี
โลกสมมุติที่เราวาดฝันเอาไว้ให้ได้ สุดท้ายนี้ ก็ขอเป็นก�ำลังใจให้น้องมิ้มประสบความส�ำเร็จและ
เป็นลูกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ตลอดไปนะคะ

“เรียนดี กิจกรรมเด่น”..เป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนาอยาก
ให้เกิดขึ้นในชีวิตการเรียนของตน ซึ่ง น้องชุติพร บุญชู หรือ น้อง
เล็ก ก็ได้พิสูจน์ผลแห่งการกระท�ำนี้ให้เป็นที่ประจักษ์มาแล้ว ด้วย
เกรด 3.93 ขณะที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แห่งโรงเรียนเตรียม
อุดมศึกษา
อีกทั้งยังเป็นที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันเด็กเรียนส่วนใหญ่
นอกจากจะขยั น เรี ย นตามปกติ แ ล้ ว มั ก จะต้ อ งไปเรี ย นพิเศษ
ที่โรงเรียนกวดวิชา หน�ำซ�้ำพอกลับมาบ้าน ก็ต้องโหมอ่านหนังสือ
ดึก ๆ ดื่น ๆ ซึ่งบางทีในช่วงก่อนสอบก็ต้องอ่านจนถึงเช้า..!!!
แต่ ณ วันนี้ จากการที่เราได้ ม าพู ด คุ ย กั บ น้ อ งเล็ ก ท� ำ ให้
ชุติพร บุญชู เราได้พ บเคล็ ด ลั บ ที่ น ่ า สนใจว่ า อันที่จริงแล้วเราไม่จ�ำเป็นต้อง
เรียนดี กิจกรรมเด่น ด้วยสมาธิ เหนื่อยหนักขนาดนั้น แต่ก็สามารถมีผลการเรียนที่ดีอยู่ในระดับ
แนวหน้าได้ แถมมีเวลาท�ำกิจกรรมอย่างเหลือเฟืออีกด้วย.!!!

หลังจากสอบเข้าโรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศึกษาได้ ทราบมาว่า อยากให้เล่าถึงประสบการณ์ภายในเกี่ยวกับการนัง่ สมาธิ
ตอนเรี ยนเทอมแรกค่อนข้างเครี ยด พอวางใจเฉยๆ ไม่คิดอะไร ใจจะหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย
คือ โรงเรียนเดิมของเล็กมีเด็กที่สอบติดเตรียมอุดมศึกษา ก็จะเห็นดวงแก้วหลายดวง พอมองเข้าไปก็เห็นคนที่หน้าตาเหมือน
แค่ 3 คน เท่านั้น จากนักเรียนที่แข่งกันมาสอบทั้งโรงเรียน และ เรา แต่สวยกว่ามาก ใส่เสื้อผ้าเนียนแนบตัวกว่าเรา พอหยุดนิ่งอีก ก็
เมื่อสอบเข้าได้..เล็กก็ต้องปรับตัวมาก เพราะคนเรียนที่นี่เป็นเด็ก เห็นดวงแก้ว 6 ดวง และก็เห็นกายที่มีเครื่องประดับประดาสวยงาม
หัวกะทิเกือบทั้งหมด ก็รู้สึกกดดันเหมือนกันในช่วงแรก ด้วยเหตุนี้.. มาก จากนั้น..พอหยุดเข้าไปอีก ก็พบดวงแก้วและเห็นกายต่อไป
เราจึงต้องเร่งตัวเองขึ้นมา เรือ่ ยๆ จนกระทัง่ เห็นองค์พระ ตอนนัน้ มีความสุขมากไม่อยากจะท�ำอะไร
เลย ก็เลยท�ำให้ชอบการนัง่ สมาธิ และน�ำมาปฏิบตั อิ ย่างต่อเนือ่ งค่ะ
ตอนช่วง ม.4 เกรดดีไหม
ไม่ค่อยดีนะ และช่วงนัน้ ก็ไม่คอ่ ยไปวัดด้วย สมาธิกไ็ ม่คอ่ ยได้นงั่ น้องเล็กน�ำสมาธิมาใช้อย่างไรคะ
แล้วได้เกรด 3.93 ตอนไหน การที่เราได้นั่งสมาธิบ่อย ๆ ท�ำให้ใจเราคุ้นกับการหยุดนิ่ง

จนเป็นนิสัย ดังนั้นพออ่านหนังสือ ใจจะไม่แวบไปไหนง่าย ๆ เพราะ
ตอน ม.5 นี้แหละค่ะ
ใจที่มีสมาธิจะท�ำให้เราอ่านหนังสือได้เรื่อย ๆ อ่านได้นานมาก
และเหมือนเราสามารถจ�ำสิ่งที่อ่านได้เองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้อง
ท�ำไมอยู่ดี ๆ เกรดขึ้นมาถึง 3.93 ได้ล่ะคะ
บังคับให้จ�ำ ผิดกับเมื่อก่อน พออ่านได้แป๊บหนึ่ง ก็จะอยากไปกิน
ในช่วงปิดเทอม ม.4 เล็กมีโอกาสไปนั่งสมาธิที่สวนพนา ขนม อยากจะลุกไปดูทีวี อยากไปท�ำโน่น ท�ำนี่ และพอเราไป..ก็จะ
วัฒน์ จ.เชียงใหม่ ตอนนั้นนั่งได้ดี รู้สึกใจสงบ มีความสุขมากที่สุด คือ หายไปเป็นชั่วโมง พอกลับมานั่งโต๊ะเริ่มอ่านหนังสือใหม่ ก็จะจ�ำเรื่อง
ใจหยุดนิ่ง ไม่ต้องคิดอะไร ซึ่งเล็ก เองไม่เคยสัมผัสความสุขแบบนี้ ที่อ่านไม่ค่อยได้ ต้องอ่านถึง 2-3 รอบ เพราะใจเรามันแวบไป แวบ
มาก่อน และหลังจากนั้นพอเปิดเทอม ม.5 เราก็เอาสมาธิมาปรับใช้ มาตลอด เพราะสมาธิไม่ค่อยมี ท�ำให้จ�ำอะไรไม่ค่อยได้้
กับการเรียน ท�ำให้เรียนได้ดีขึ้น

เด็กเตรี ยมอุดมศึกษามักจะเรี ยนหนักกันทุกคน แล้วน้องเล็ก อ้าว..แล้วหาเวลาอ่านตอนไหนละคะ
หาเวลาในการนัง่ สมาธิตอนไหน เล็กใช้วิธีสะสม คือเราอ่านหนังสือวันจันทร์ – วันศุกร์ ทุกวัน
เล็กจะนัง่ รถตูจ้ ากบ้านไปโรงเรียนซึง่ ใช้เวลาประมาณ 1 ชัว่ โมง ตอนเย็น อีกทั้งยังใช้เวลาทบทวนบทเรียนที่เราเรียนมาทั้งหมด
ซึ่งก็จะใช้ เ วลาช่ ว งนี้แหละนั่งสมาธิ เพราะสมาธิสามารถท�ำได้ทุก
สถานที่ ทุกเวลา เล็กจะนั่งสมาธิบนรถทุกวันทั้งไปและกลับ หรือก่อน มีเวลาให้กับการเรี ยนแค่ 5 วัน เท่านั้น..แล้วต้องอ่าน
นอนก็นั่งด้วยค่ะ หนังสือ ดึกมากไหม
ดึกสุดของเล็ก..ก็แค่ 4 ทุ่มครึ่งค่ะ เพราะง่วง..แล้วคิดว่าอยาก
ท�ำกิจกรรมอื่นบ้างไหม ให้สมองเราพักบ้าง
ตอนนีน้ อกจากกิจกรรมทีโ่ รงเรียนแล้ว เล็กยังเป็นอาสาสมัคร
ทีว่ ดั แผนกเพชรต้อนรับระดับโลกค่ะ ก็ตอ้ งไปช่วยงานทีว่ ดั ..แต่วา่ ไปแล้ว เล็กต้องเรี ยนพิเศษเพิ่มด้วยไหมคะ
อยากใช้ค�ำพูดว่าวัดช่วยเรามากกว่า เพราะท�ำให้เราได้บุญและท�ำให้ ไม่ได้เรียนที่ไหนเลยค่ะ
เราพัฒนาศักยภาพได้อย่างก้าวกระโดดด้วย ซึ่งเล็กก็ไปช่วยงานวัด
ทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ ซึง่ 2 วันนีเ้ ล็กแทบจะไม่ได้อา่ นหนังสืออะไรเลย
(หัวเราะ)

แต่เด็กสมัยนีส้ ่วนใหญ่..โดยเฉพาะเด็กเตรี ยมอุดมศึกษา คิดว่าทบทวนเอง แค่นั้นพอหรื อคะ
จะไปเรี ยนพิเศษแถวสยามสแควร์ ก็ตอนเย็น ๆ หลังเลิกเรียนแล้ว เล็กก็ใช้เวลาประมาณครึ่ง
..เพื่อน ๆ ก็เรียนกันส่วนใหญ่ บางทีเลิกเรียนจากโรงเรียน ชั่วโมง อยู่ที่โรงเรียนอ่านทบทวน หรือท�ำการบ้านที่โรงเรียนก่อนจะ
ตอนเย็นแล้วก็ไปเรียนเลยทุกวัน วันเสาร์ – อาทิตย์เขาก็จะไปเรียน กลับบ้านทุกวันด้วยค่ะ
พิเศษกันด้วย แต่โดยส่วนตัวเล็กคิดว่า เราเอาเวลานั้นมาทบทวน
สิ่งที่อาจารย์สอนเอาเองก็ได้ ซึ่งบางทีไปเรียนแล้วเขาอัด ๆ ให้เรา อ่านกับเพื่อนหรื อคะ
เยอะ พอกลับบ้านก็เหนื่อยแล้ว ต้องพักผ่อน ไม่มีเวลาทบทวน สู้เอา จะนั่งอ่านที่ม้าหิน ส่วนมากอ่านคนเดียวค่ะ เพราะพอเลิก
เวลามาทบทวนเองดีกว่าค่ะ เรียนแล้ว เพื่อน ๆ ส่วนใหญ่เขาจะไปเดินแถวสยามฯ เพื่อรอเรียน
พิเศษตอนเย็นค่ะ
เป็นเทคนิคหรื อเปล่า ทีต่ อ้ งอ่านหนังสือทบทวนก่อนกลับบ้าน
พอเรียนเสร็จ เราก็ทบทวนเลย ซึ่งจะท�ำให้เข้าใจได้เร็วและจ�ำ
ได้ดีกว่า อีกทั้งยังเงียบไม่มีใครมารบกวนด้วยค่ะ

มีเทคนิคการอ่านหนังสืออย่างอื่นอีกไหม
ก็จะท�ำโจทย์จากคูม่ อื ด้วย และจะใช้วธิ ขี ดี เส้นใต้เนือ้ หาส�ำคัญ
ตามที่อาจารย์สอนในห้อง พอกลับมาบ้านเราก็อ่าน 1 รอบ ซึ่ง
ท�ำให้เราใช้เวลาน้อยมากในการท�ำความเข้าใจ อีกทั้งการทวน
ทันทียังท�ำให้เราอ่านไปได้เร็วด้วย เพราะเพิ่งเรียนมาหมาด ๆ
ในวันนั้น แต่ถ้าเราทิ้งไว้นาน เราก็จะใช้เวลานานมากในการ
รื้อฟื้นความจ�ำในสิ่งที่อาจารย์สอนมา ซึ่งนอกจากจะเสียเวลามาก
ขึ้นแล้ว ยังท�ำให้เราใช้เวลานานมากในการท�ำความเข้าใจ
ช่วยบอกข้อดีของการทบทวนบทเรี ยนทันที หลังจาก

ที่เราเรี ยนในวันนั้น ..ใกล้สอบเคยอ่านหนังสือตลอดทั้งคืนไหม
วิธีนี้..ท�ำให้เราจะสามารถเข้าใจบทเรียนใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ไม่เคยค่ะ..คิดว่าเราอ่านอย่างสะสมอย่างสม�่ำเสมอมาแล้ว
เพราะเราได้ทวนบทเรียนเก่าอย่างเข้าใจถ่องแท้มาแล้ว โดยเฉพาะ จึงไม่จ�ำเป็น แต่ก็มีเพื่อนของเล็กที่เขาอ่านทั้งคืนเหมือนกัน และพอ
วิชาภาษาเยอรมัน อีกทั้งการอ่านแบบสะสมนี้..ท�ำให้ตอนใกล้สอบ ตอนมาสอบจริง เขาจะเปลี้ยไปเลย ท�ำให้ท�ำข้อสอบได้ไม่เต็มที่
เราไม่ต้องอ่านมาก แค่ทบทวนอีกนิดหน่อยก็สามารถสอบได้แล้ว...
เล็กมีเทคนิคการแบ่งเวลาอย่างไร
วันจันทร์-ศุกร์ เล็กจะให้เวลากับการเรียนเต็มที่แบบสุด ๆ
เลยค่ะ ส่วนตอนเรียนในห้อง..ก็ต้องตั้งใจเรียนจริง ๆ ส่วนวันเสาร์-
อาทิตย์ ก็ให้เวลากับการท�ำหน้าที่อาสาสมัครที่วัด และท�ำกิจกรรม
อย่างเต็มที่เหมือนกัน

สมาธิช่วยเล็กทางด้านการเรี ยนแล้ว ยังช่วยด้านอื่นอีก
ไหมคะ
ที่เห็นชัดเลยก็ด้านอุปนิสัย เล็ ก ใจเย็ น ขึ้ น สังเกตได้จาก
ก่อนจะพูดอะไร เล็กคิดมากขึ้น อย่างเมื่อก่อนเราพูดไม่ทันคิด ก็
เผลอไปท�ำให้เพื่อนโกรธ แต่เดี๋ยวนี้เรามีสติมากในการคิดก่อนพูด
วางแผนในอนาคตตัวเองไว้อย่างไร
คิดว่าจะสอบเอนทรานซ์เข้าคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย
รู้สึกขัดแย้งไหม เวลาเพื่อนไปเรี ยนพิเศษหรื ออ่านหนังสือ ธรรมศาสตร์ เอกภาษาเยอรมันค่ะ เพราะเมื่อจบแล้ว ก็จะสามารถ
กันวันเสาร์-อาทิตย์ อย่างเต็มที่ แต่เรากลับไปวัด..ไป ไปช่วยงานวัดในฝ่ายต่างประเทศได้ด้วย และอีกอย่างคนเรียนทาง
ท�ำกิจกรรมต่าง ๆ ด้านนี้มีน้อย ซึ่งพอจบแล้ว..เราก็จะได้ใช้ประโยชน์ทางด้านนี้อย่าง
เล็ กคิ ด ว่ า ..เพราะเล็ก ไปวัดนะคะที่ท� ำให้เล็กเรียนได้ดีขึ้น เต็มที่ี
มาก เพราะวัดท�ำให้เราได้ฝึกสมาธิ และเหมือนกับว่าเราได้อะไร
ในชีวิตมากกว่าการที่เราเลือกที่จะเรียนอย่างเดียว แต่การไปเป็น
อาสาสมัครที่วัด ท�ำให้เล็กได้ฝึกอะไรหลายอย่างที่เล็กไม่ได้รับจาก
ห้องเรียน เช่น เรื่องมนุษยสัมพันธ์ การติดต่อประสานงาน ช่วยงาน
อบรม ฝึกต้อนรับ ฝึกการเป็นผู้นำ� ฝึกการพูดในที่ชุมชน และที่ส�ำคัญ
คุณธรรมของเราจะเพิ่มขึ้น ซึ่งโดยรวมแล้วการเป็นอาสาสมัครช่วย
ให้เราได้เค้นศักยภาพในตัวของเราออกมาได้มากที่สุด

มีอะไรฝากไว้ไหมคะ
คิดว่า..ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำ� คัญ เล็กอยากให้ ..ดนตรีไอริช ..ชาเขียวไข่มุก ..นอนมองเมฆเคลื่อนไปบน
ทุกคนในวัยนี้ตั้งใจเรียนให้ดี รู้จักแบ่งเวลาให้เป็น เพราะถ้าพลาด ท้องฟ้า หรือการเดินแถวสยามฯ เป็นสิ่งที่น้องเล็กเอง ..ไม่จำ� เป็นต้อง
ช่วงนี้ จะมีผลสืบเนื่องไปถึงการเอนทรานซ์ และมีผลต่ออาชีพ สร้างบรรยากาศให้ดูหรูหราอะไรอย่างนั้น แต่เธอก็สามารถเรียนเก่ง
ที่เราจะท�ำ ต่ อ ไปในอนาคตด้วย แล้วถ้าเราอยากจะเรียนให้ดี ได้ ด้วยความขยันหมั่นเพียรที่มีอยู่ในตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยการ
จริงๆ ก็ต้องฝึกสมาธิด้วย เพราะจะท�ำให้เราไม่ต้องเรียนหนัก เรียนพิเศษใด ๆ แถมยังมีเวลาทุ่มเทท�ำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์
มาก แต่ผลลัพธ์ออกมาได้มากและก็เสียเวลาน้อยด้วย ได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้..ล้วนเป็นความปรารถนาในวัยเรียนของคน
และก็อยากทิ้งท้ายอีกหน่อยนะคะ ส�ำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มี ส่วนใหญ่ ซึง่ ไม่ใช่วา่ ใคร ๆ จะสามารถท�ำได้อย่างเธอ แต่ถา้ ใครอยาก
บุตรหลาน ก็อยากจะเชิญชวนให้ส่งบุตรหลานของท่านไปท�ำหน้าที่ จะท�ำได้..ก็ต้องตั้งใจเรียนและฝึกสมาธิอย่างจริงจัง เพื่อน�ำไปใช้กับ
อาสาสมัคร หรือพี่ ๆ น้อง ๆ ที่รู้สึกว่าไปวัดแล้ว ไม่รู้จะท�ำอะไร ตัวเองอย่างเต็มที่นั่นเอง...
ก็อยากจะเชิญไปท�ำหน้าที่อาสาสมัครด้วยกัน เพราะจะมีพี่ ๆ น้อง ๆ
ที่มีหัวใจในการสร้างบารมีรอทุกคนอยู่นะคะ

จากการหักเหชีวติ หลังจากจบ ม.4 จากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล
บินไปเรียนต่อทีป่ ระเทศอังกฤษ ท�ำให้เอกพลต้องปรับตัวรอบด้าน เพือ่
ให้เข้ากับลักษณะการศึกษาทีแ่ ตกต่าง
แต่ที่น่าทึ่ง..เอกพลกลับกลายเป็นนักเรียนไทยที่ท�ำคะแนน
ในระดับ GCSE (General Certificate of Secondary Education)
ได้คะแนนสูงสุด แถมยังย่นระยะเวลาในการเรียนจาก 2 ปี ให้เหลือ
เพียง 1 ปี…
Begin with the end in mind. หรือการเริ่มต้นก่อนเดินทาง
เอกพล เมธารมณ์ ด้วยการค�ำนึงถึงปลายทาง อาจเป็นค� ำจ� ำกัดความที่ดีส� ำหรับชีวิต
แนะเทคนิคการตั้งเป้าหมายให้มีผลต่อการเรียน การศึกษาในต่างแดนของเอกพล !!!


คิดอย่างไรถึงได้หันเหชีวิตตัวเองไปเรี ยนต่อที่ประเทศ
อังกฤษ
..เอกพลเป็นคนที่ชอบวิชาวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก และเขา ผมเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง เพราะฉะนั้นผมจะค่อนข้าง
มีความใฝ่ฝันที่จะเรียนทางด้านนี้ให้ถึงที่สุด ปัจจุบันความฝันของเขา ติดเพื่อนครับ และตอนเรียนอยู่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล พอเพื่อน
เหลืออีกไม่ไกลแล้ว เพราะตอนนี้เอกพลเรียนจบในระดับปริญญาโท ไปไหน..ผมก็ไปด้วย แล้วผมได้กลุ่มเพื่อนที่ไม่ค่อยสนใจเรียนด้วย
จาก University College London (UCL) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยมีชื่อ ด้วยเหตุน.ี้ ..คุณพ่อคุณแม่กเ็ ลยอยากให้ผมไปเรียนต่อทีเ่ มืองนอก ซึง่
เสียงติดอันดับ Top Ten ของประเทศอังกฤษ อีกทั้งเขายังมีโครงการ คุณแม่เองก็เป็นนักเรียนอังกฤษอยูแ่ ล้ว ท่านก็เลยอยากให้ลกู เรียนที่
เรียนต่อในระดับปริญญาเอกเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายในใจเลยว่า นี่มาก ส่วนความเห็นของผมนั้น ผมเองก็อยากไป เพราะรู้สึกว่ามัน
หลังจากที่จบทางด้านนี้แล้ว เขาจะน�ำวิชาความรู้ที่เรียนมากลับมาใช้ ท้าทาย และได้ประสบการณ์กว่าการเรียนที่เมืองไทย เพราะถ้าชีวิต
ให้คุ้มค่า รักที่จะก้าวหน้าแล้ว เราต้องกล้าตัดสินใจเลือกโอกาสในชีวิตที่ดีกว่า
นัน่ หมายถึงเอกพลได้ตดั สินใจศึกษาทางด้าน Biotechnology ให้กับตัวเอง...
ในระดับปริญญาตรี และต่อโทด้าน Molecular Medicine และจะน�ำ
เอาวิธีการรักษาโรคมะเร็งแนวใหม่ (ADEPT=Antibody – Directed ตอนไปเรี ยนที่นัน่ ใหม่ ๆ ปรับตัวอย่างไร
Enzyme Prodrug Therapy) ที่ก�ำลังศึกษานั้นมาใช้ช่วยเหลือคนไทย ก็ไปอยู่กับ family (ครอบครัวแลกเปลี่ยน) ที่โน่น พอไปถึงก็
..เพราะการเรียนอย่างมีจุดหมายปลายทางอย่างเด่นชัดของ ไปเรียนภาษาก่อนเลย 3 เดือน ก่อนที่จะเข้าเรียนในระดับ GCSE ซึ่ง
เขา ท�ำให้เขามีผลการเรียนดีเด่นมาตลอดหรือเปล่า.?? แล้วเคล็ดลับ ตอนไปแรก ๆ ยอมรับเลยว่า ปรับตัวยากมาก เพราะการเรียนที่โน่น
ที่มากไปกว่านั้นล่ะ เราเชือ่ ว่าต้องมี..!! และในวันนีเ้ ราจะมานัง่ คุยกับเขา ไม่ใช่ภาษาของบ้านเรา เลยท�ำให้ตอนไปใหม่ ๆ ค่อนข้างเครียดด้วย
เพื่อรับรู้เคล็ดลับนั้นไปพร้อม ๆ กัน ดังนั้นผมเลยต้องปรับระบบความจ�ำใหม่เลยก็ว่าได้ คือ เมื่อก่อนขณะ
เรียนภาษาอังกฤษที่เมืองไทย ผมจะแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษา
ไทยแล้วค่อยจ�ำ ซึ่งท�ำให้เวลาจะเอาความรู้ไปใช้..ก็ต้องแปลจากไทย
เป็นอังกฤษ แล้วถึงจะเอาไปใช้ได้ จึงเกิดความซับซ้อนยุ่งยากหลาย
ขั้นตอนมาก แต่หลังจากไปเรียนที่โน่นแล้ว ผมต้องเปลี่ยนเป็นใช้วิธี
จ�ำเป็นภาษาอังกฤษ แล้วใช้เป็นภาษาอังกฤษเลยครับ

การปรับเทคนิคการจ�ำใหม่นั้น มีเคล็ดลับอย่างไรเป็น วิธีการรักษามะเร็งแนวใหม่นเ้ี ป็นอย่างไร
พิเศษหรื อเปล่า ผมจะอธิบายให้ฟังง่าย ๆ โดยเปรียบเทียบกับวิธีเคมีบ�ำบัด
ผมยอมรับครับว่า สมาธิช่วยได้เยอะเลย ช่วยได้หลายด้าน คือ วิธีเคมีบ�ำบัด เวลารักษาจะมีผลต่อเซลล์อื่นของร่างกายที่ไม่ใช่
ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวด้านไหนก็ตาม และที่สำ� คัญคือ สมาธิช่วยให้ เซลล์มะเร็งด้วย เพราะฉะนั้นผลข้างเคียงย่อมมีมาก แต่วิธีใหม่นี้
ผมเครียดน้อยลง ลดความกังวลได้หลายอย่าง เมื่อความเครียดและ (ADEPT) จะเฉพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็งมากกว่า เพราะอาศัยหลัก
ความกังวลลดน้อยลง ก็จะท�ำให้เวลาผมจ�ำอะไร..ก็จ�ำได้ง่ายขึ้น คือ การที่ว่า เราน�ำข้อแตกต่างของเซลล์มะเร็งที่ต่างจากเซลล์ธรรมดา
ท�ำให้ความจ�ำเราดีขึ้น เหมือนกับว่าสมาธิช่วยลดสิ่งรบกวนให้ แล้วน�ำเอาจุดเด่นหรือข้อแตกต่างนี้มาท�ำจับคู่เฉพาะกับยาเคมี โดย
เหลือน้อยที่สุด ใช้ความรู้ทางด้าน Genetic เข้าช่วย ซึ่งที่ประเทศอังกฤษก็ใช้วิธีนี้มา
หลายปีแล้ว
ท�ำไมตอนจบปริ ญญาตรี แล้วถึงเลือกเรี ยนต่อทางด้าน
Molecular Medicine ซึ่งสาขานีต้ ้องใช้ความจ�ำมาก

หลายคนจะตัดสินใจเลือกเรียนอะไร ก็เพราะสิ่งที่ตัวเองเลือก
การที่เรี ยนอย่างมีจุดมุ่งหมายเป็นเหตุผลหนึง่ หรื อเปล่า ที่
นั้น เป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ นี่ก็คือเหตุผลหนึ่งครับ เพราะจะท�ำให้เรา
เรียนได้ดี แต่ที่ผมเลือกสาขานี้ เพราะผมอยากจะน�ำวิชาที่เรียนมา ท�ำให้เรี ยนได้คะแนนดีมาตลอด
ใช้ได้ด้วย เหมือนเรามองเห็นปลายทางอย่างเด่นชัดว่า เราจะเรียน ครับ... การตัง้ จุดมุง่ หมายไว้ เหมือนกับเราเห็นปลายทางเด่นชัด
เอาไปท�ำอะไร เรียนแล้วได้อะไร อีกทั้งจะน�ำสิ่งที่เรียนไปใช้อย่างไร แล้วว่า เราก�ำลังจะท�ำอะไรต่อ ซึ่งมันท�ำให้เรามีกำ� ลังใจ เกิดแรงผลัก
เมื่อจบแล้ว เพราะผมเล็งเห็นว่า โรคมะเร็ง..เป็นโรคที่รักษายาก ซึ่ง ดันที่จะไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ ผิดกับเมืองไทย ที่ระบบการศึกษาของ
ที่ประเทศอังกฤษก็มีการค้นคว้าวิธีการรักษาโรคมะเร็งแนวใหม่ ซึ่ง ประเทศเราไม่ได้สอนหรือเน้นให้นักเรียนคิดตรงนี้กันเลย แต่ส�ำหรับ
เรียกว่า ADEPT ซึ่งทั้งวงการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตก เมืองนอกเขาเน้ น มาก คือ เขามีระบบการสอนที่ท�ำให้เด็กคิดเป็น
ก� ำ ลั ง ให้ ค วามสนใจ และคาดว่าน่าจะน�ำมาใช้แทนการรักษาแบบ แล้วก็ปลูกฝังว่า ต้องเรียนโดยมีจุดมุ่งหมาย และรู้ว่าในอนาคตจะเอา
Chemotherapy (เคมีบ�ำบัด) ในปัจจุบัน ซึ่งวิธีใหม่นี้ฝรั่งเขาพบว่า ไปท�ำอะไร
เป็นวิธีเฉพาะเจาะจงมากกว่า และเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยน้อยกว่า ผม
เลยอยากเอาวิชาความรู้ตรงนี้กลับมาช่วยคนในประเทศไทย

มีความคิดอย่างไรกับระบบการศึกษาของนักเรี ยนไทย ก็จริง แต่บางครั้ง..ก็ยังมีพลาด อาจท�ำให้เราสับสนได้ เพราะแต่ละ
ผมคงไปท�ำอะไรไม่ได้มากนัก แต่ขอแนะน�ำว่าอยากให้เรียน หลอดเราต้องใส่ enzyme หรือสารเคมีมากถึง 7-8 ตัว ซึ่งต้องใช้
อย่างมีจุดมุ่งหมาย อย่างเรียนวิชานี้ คณะนี้ ก็ให้คิดเลยว่า เราจะ สมาธิในการล�ำดับและจ�ำมากว่า หลอดนี้ใส่ไปแล้วเท่าไร ใส่หรือยัง
สามารถน�ำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจ�ำวันได้อย่างไร หรือน�ำไปใช้ ซึ่งถ้าพลาด 1 ตัว นั้นหมายถึงผลการทดลองที่จะออกมาก็ผิดพลาด
ในอนาคตอันใกล้ได้อย่างไร และในขณะเรี ย น..ก็ อ ยากให้มีความ ซึง่ ผมว่ า ที่ ค นอื่ น ท� ำ แล้ ว ผลไม่ อ อกนั้ น อาจจะพลาดเพราะเหตุนี้
ตั้งใจเรียน เกิดความอยากรู้ และท�ำให้ตัวเองรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังนั้น..ผมขอเน้นนะครับว่า ในการท�ำ Lab. ระดับเซลล์นี้ ต้องใช้
ให้ได้ หรือถ้าเรียนแล้วยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะน�ำไปใช้อย่างไร ก็ขอให้ สมาธิช่วยมากเลย เพราะต้องการผลการทดลองที่ออกมาอย่าง
คิดว่า..ต้องเรียนให้รู้จริงในสิ่งนั้น เพราะหากเรารู้จริง..นั่นหมายถึง ชัดเจนและแม่ น ย� ำ ซึ่งถ้าพลาด..นั่นหมายถึงเราต้องเริ่มต้นใหม่
เราจะสามารถน�ำไปประยุกต์ใช้ได้ และก็จะเกิดประโยชน์ต่ออนาคต ซึ่งบาง Lab. ใช้เวลาหลายชั่วโมงหรือบางทีใช้เป็นวันเลย

ของเราอย่างที่ไม่คาดคิดเลยทีเดียว
ในการท�ำ Lab. ในสาขาที่เรี ยนต้องใช้หลอดทดลองเป็น ได้ข่าวว่าตอนช่วง Summer คุณแม่ ให้กลับมาบวช
พัน ๆ หลอด เคยมีปัญหาอะไรบ้างหรื อเปล่า ครับ... คุณแม่ผมเข้าวัดอยู่แล้ว แล้วผมก็เข้าวัดตั้งแต่เล็ก ๆ
ตรงจุดนี้ อาจารย์ทโี่ น่นยอมรับผมมากเลยว่า ผมท�ำ Lab. ทีไร พอตอนปิดเทอมผมเองก็อยากบวชด้วย อยากฝึกสมาธิ ซึ่งสมาธิ
ผลการทดลองจะได้กอ่ นและออกมาตรงตามทฤษฎีแทบทุกครัง้ จนเพือ่ น นี่เอง จะสามารถน�ำไปใช้โดยตรงกับการเรียนของผม โดยเฉพาะการ
และอาจารย์ตอ้ งมาขอดูวา่ ผมมีขนั้ ตอนอะไรพิเศษหรือแตกต่างหรือเปล่า เรียนที่ต้องอาศัยการปรับตัวมากขนาดนี้ และที่สำ� คัญ..ผมก็อยากมา
ตรงนีผ้ มจะบอกว่าสมาธิชว่ ยได้เยอะเลย อย่างหลอดทดลองเยอะมาก บวชให้กับคุณพ่อคุณแม่ด้วย
เป็นร้อย เป็นพัน บางทีเราติด Label (ติดป้าย) หลอดทดลองไว้ แ ล้ ว
130
130 108
108วิธวิธีเรีีเยรียนเก่
นเก่งโคตร..โคตร
อยากให้พูดถึงประโยชน์ของสมาธิ..ที่มีผลต่อตัวเอง
คณะที่ ผ มเลื อ กเรี ย นนี้ ถ้าคนความจ�ำไม่ดีอาจจะเรียนจบ
ยาก และที่ผมเรียนได้..ก็ต้องยอมรับว่า สมาธิช่วยผมได้เยอะมาก ในฐานะที่เราเป็นนักเรี ยนไทย..ไปเรี ยนเมืองนอก ต้อง
เพราะท�ำให้ผมจ�ำได้ดีขึ้นมาก ไม่สับสน แม้จะอ่านต�ำราเยอะมาก ปรับตัวอะไรกับเพื่อนหรื ออาจารย์ต่างชาติไหม
แค่ไหน เพราะการฝึกสมาธิ..สามารถท�ำให้เราน�ำสิ่งที่อ่านไปแล้ว เด็กไทยมีข้อดี..ตรงความอ่อนน้อม ความเคารพนี่แหละครับ
ออกมาใช้ได้อย่างมีระบบ ซึ่งขณะที่ผมเรียน ผมต้องจ�ำกระบวนการ ตรงนี้เด็กฝรั่งขาด ผมยอมรับเลยว่า ที่วัดได้สอนตรงนี้ไว้ดีมาก ที่เน้น
สังเคราะห์ต่าง ๆ จ� ำ ระบบกระบวนการ metabolism จ�ำความ เรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ผมจึงเอาตรงนี้ไปใช้ ท�ำให้อาจารย์ที่นั่น
สัมพันธ์ของแต่ละ cycle ให้ได้ อีกทั้งยังต้องจ�ำความสัมพันธ์ของ เขาเอ็นดูผมเป็นพิเศษ ผิดกับเด็กฝรั่ง ดังนั้นพอมีอะไร..อาจารย์..ก็
แต่ละบทด้วย ถึงแม้เราอ่านไว้นานแล้ว แต่สิ่งที่อ่าน..ต้องเอามาใช้ จะอยากแนะน�ำอยากจะถ่ายทอดให้ผม อีกทั้งเวลาผมจะถามค�ำถาม
กับเนื้อหาที่เรียนในปัจจุบัน อีกทั้งตอนสอบ ผมยังต้องอ่านและจ�ำ อะไร อาจารย์ก็จะเต็มใจตอบ ตรงนี้..คือข้อได้เปรียบของเด็กไทย
งานวิจัยกว่า 50 งานวิจัย นอกเหนือจากที่เราเรียนด้วย เพราะตอน ที่ต่างจากเด็กฝรั่ง
สอบ..ต้องอ้างอิงข้อมูลจากส่วนนี้ไปใช้ในการท�ำข้อสอบ
มีเทคนิคการแบ่งเวลาอย่างไร
มีเทคนิคการเรี ยนเด็ด ๆ ที่อยากแนะน�ำหรื อเปล่า
ตื่นเช้ามา..ผมก็นั่งสมาธิเลย เพราะเป็นการเคลียร์ทุกสิ่ง
ความกล้า..นี่ส�ำคัญมากนะครับ ตรงนี้คนไทยเราขาด แต่ฝรั่ง ทุกอย่างให้เราพร้อมส�ำหรับการเรียนในวันต่อไป ท�ำให้สมองปลอด
จะสอนให้กล้าจนเป็นเหมือนเรื่องธรรมดาไปเลย แต่ผมก็แนะน�ำให้ โปร่ง เป็นการตัดเรื่องเครียดหรือเรื่องกังวลออกไป และหลังจากนั้น..
เด็กไทยกล้านะครับ อย่างผมถ้าตรงไหนไม่เข้าใจ ตามไม่ทัน จะกล้า ก็เข้าเรียน และพอตอนเย็นกลับมา พอท�ำอะไรเสร็จก็อ่านหนังสือ
ถามอาจารย์เลย จะถามจนเคลียร์ ถามจนเข้าใจ ซึ่งพออาจารย์ตอบ ครับ
เราจนเคลียร์ เราจะสามารถจ�ำตรงจุดนั้นได้แม่นที่สุด กระจ่างที่สุด
เพราะเราเป็นคนถามค�ำถามนั้นเอง อีกทั้งหากเราเคลียร์ในเนื้อหา
ตั้งแต่เบื้องต้น..ก็จะท�ำให้เราเรียนบทต่อไปรู้เรื่องโดยอัตโนมัติ

ท�ำอย่างไร..กับวิชาที่ ไม่ชอบ
เคยท้อไหม เวลาท้อท�ำอย่างไร จะใช้วธิ ตี วิ ครับ... ติวกับเพือ่ นซึง่ จะช่วยได้เยอะ หรือบางวิชาทีไ่ ม่
จะนึ กถึ งพระเดชพระคุณ หลวงพ่อ เอาท่านเป็นต้นแบบ ชอบจริง ๆ หรืออ่านไม่ทนั ก็มคี รับ อย่างวิชา Biochemical Engineering ซึ่ง
เพราะท่านเป็นคนสู้ไม่เคยถอย อีกทั้งเราเป็นลูกท่าน เราจะถอย ไม่ชอบเลย และตอนนั้นก็มีเวลาอ่านน้อยมากด้วย ก็เลยต้องใช้วิธี
ท�ำไม ซึง่ พอคิดอย่างนี.้ .ท�ำให้ผมมีกำ� ลังใจมาก ประกอบกับการที่ คุณพ่อ สมาธิช่วยอย่างแข็งขัน โดยเอาใจหยุดนิ่งตลอด แล้วท�ำใจสบาย ๆ
คุณแม่ก็ให้ก�ำลังใจผมไม่ขาดเลย คือ เมือ่ ผมได้โทรไปคุยกับคุณแม่ทไี่ ร ค่อย ๆ อ่านไป บางครั้งมีการอธิษฐานด้วย (หัวเราะ) ว่าให้ที่อ่าน
ท่านจะให้ก�ำลังใจ เล่าธรรมะหรือสอนอะไรให้ผมฟังตลอด หรืออย่าง ตรงกับข้อสอบ และก็พยายามท�ำใจเย็น ๆ ท�ำความเข้าใจกับเนื้อหา
ตอนที่ผมจะสอบ คุณแม่ก็จะนั่งสมาธิ และช่วยอธิษฐานให้ผมท�ำได้ ซึ่งตอนนั้นผมโทรศัพท์ไปหาคุณแม่ ซึ่งคุณแม่ก็นั่งสมาธิอธิษฐาน
ตรงนี้ท�ำให้ผมมีก�ำลังใจมาก ช่วย 3 ชั่วโมงรวดเลย และก็น่าทึ่งมาก..เพราะเมื่อผมเข้าไปสอบ ผม
สามารถท�ำวิชานี้ได้หมด เพราะที่อ่านมาตรงกับข้อสอบ ผิดกับเพื่อน
คนอื่น ๆ ต้องเดินออกจากห้องสอบด้วยอาการส่ายหน้า ตรงนี้..อาจ
จะเรียกได้ว่า ผมใช้สมาธิและบุญช่วยครับ (หัวเราะ)

มีเทคนิคการอ่านหนังสืออย่างไร
เมื่อผมอ่านแล้ว จะเขียนสรุปเป็น chart หรือ diagram แปะ
ไว้ที่ฝาห้องเลยครับ และใช้ วิ ธี ม องให้ เ ห็ น บ่ อ ย ๆ และจ�ำเป็นภาพ
ให้ติดตาเลย หรือถ้าขณะอ่านหนังสือแล้วเกิดอาการเครียด ก็จะท�ำ
สมาธินั่งท�ำใจนิ่ง ๆ เหมือนเรานั่งพักสายตา ซึ่งผมว่า วิธีนี้..ดีกว่า
การฟังเพลงหรือไปดูทีวีนะครับ เพราะหากเราท�ำสมาธิ ใจเราจะไม่
วอกแวก ใจเราไม่ถูกแบ่งไปในเรื่องอื่น และจะกลับมาในเรื่องที่อ่าน

ค้างไว้ได้เร็ว อีกทั้งผมยังค้นพบว่า หลังจากที่ผมฝึกสมาธิมากขึ้น ผม
สามารถอยู่กับการอ่านหนังสือได้นาน ๆ ผิดกับเมื่อก่อนมาก คือ
ก่อนนั้น..ถ้ามีอะไรมาดึงดูดความสนใจของเราหน่อย..ก็จะต้องเดิน
ไปโน่นไปนี่ นั่งไม่ค่อยติด เดี๋ยวนี้พอมีอะไรเข้ามา ใจจะไม่ถูกแบ่ง
ความสนใจไป คือ จะมีสมาธิอยู่กับการอ่านหนังสืออย่างเดียว
สุดท้ายนีอ้ ยากฝากอะไรไหม เอกพล..ไม่ไ ด้เรียนปริญญาไปอย่างไร้จุด หมาย แต่เขามี

ผมว่า..ก่อนที่จะเรียนอะไร..ต้องมีเป้าหมายว่า จะเรียนเพื่อ ความฝันที่จะสานต่อ อีกทั้งยังมีโครงการเรียนต่อระดับดอกเตอร์ใน
ไปท�ำอะไร อีกทั้งต้องมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ และที่ เร็ว ๆ นี้ ซึ่งทางทีมงาน..ก็ขอเป็นก�ำลังใจให้เขาประสบความส�ำเร็จ
ส�ำคัญ ถ้าเรารู้อย่างแจ่มชัดว่า จะน�ำสิ่งที่เรียนไปใช้อะไรหลังจากที่ แล้วน�ำความรู้กลับมาช่วยคนไทยดังที่เขาต้องการ
จบแล้ว ก็จะท�ำให้เราเรียนด้วยความอยากรู้ อยากเห็น อยากค้นหา
เกิดความรู้สึกสนุก ท้าทาย...
และที่ส�ำคัญ... หากเราเรียนโดยไม่มีเป้าหมายอะไรเลย คือ
สักแต่วา่ เรียนไปเพือ่ ให้จบ ๆ อีกทัง้ พอจบมาแล้ว ก็เอาไปใช้อะไรไม่ได้
ซึ่งหากเป็นอย่างนี้..เราก็จะได้รับประโยชน์จากสิ่งที่เรียนน้อย และ
นอกจากนั้น การฝึกสมาธิยังเป็นสิ่งส�ำคัญต่อการเรียนมาก เพราะ
เป็นตัวช่วยให้เราน�ำศักยภาพทางด้านใจและสมองออกมาใช้ได้เยอะ
และสุดท้ายที่อยากฝากไว้ก็คือ อยากให้ตั้งใจเรียนให้ดี เพื่อเป็นการ
ตอบแทนพระคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ท่านรักเราที่สุดด้วยครับ คือเราต้อง
ท�ำให้ท่านภูมิใจ ท�ำให้ท่านเห็นความส�ำเร็จของตัวเราครับ...

(ก)โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
(ข) การสอบชิงทุน กพ.
(ค) การเรียนต่อเมืองนอก
(ง) เรียนจบวิศวะฯ เกียรตินิยม
(จ) จบการศึกษาในระดับดอกเตอร์
หากมีตัวเลือก 5 ข้อ ข้างต้น... เพื่อเติมลงในช่องว่างของชีวิต

คงมีน้อยคนนัก... ที่จะสามารถเป็นเจ้าของตัวเลือกข้างต้นได้ทั้งหมด
แต่มีบุคคลคนหนึ่ง สามารถท�ำได้ และท�ำได้ดีมากจนน่าทึ่ง!!
ดร.สุวัฒน์ อธิชนากร
แม้เขาเองจะยืนยันว่า..ตัวเองไม่ใช่คนมีความจ�ำดีอะไรเลย
เผยเคล็ดลับการจบดอกเตอร์โดยไม่ต้องเครียด
แต่คงเป็นเพราะเขาได้พบ เคล็ดลับ
ที่ช่วยให้เขาเดินมาถูกทางมากกว่า..!!!

ดร.สุวฒ
ั น์ อธิชนากร ท่านนี.้ .เดิมเป็นเพียงนักเรียนต่างจังหวัด เป็นคนเรี ยนเก่งมาตั้งแต่ชั้นอะไร
ธรรมดา ๆ คนหนึง่ ที่สามารถสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้ (ยิม้ ) ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ได้จดั ว่าเก่งอะไร สอบได้ที่ 20 กว่า ๆ แต่
และไม่นานนักเขาก็พบเคล็ดลับอันวิเศษ จนท�ำให้เขาได้เกรดพุง่ ขึน้ มา ต่อมาได้มาเรียนพิเศษทีก่ รุงเทพฯ เพราะเตรียมจะสอบเข้าโรงเรียน
ในระดับ 4.00 ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนัน้ ก็สอบชิงทุนจนได้ เตรียมอุดมศึกษา และก็ปรากฏว่าสอบเข้าได้จริง ๆ
ไปเรียนต่างประเทศ และเข้ า ศึ ก ษาที่ The Pennsylvania State
University ประเทศสหรัฐอเมริกา ใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กหรื อเปล่าว่าต้องจบดอกเตอร์
อีกทั้งยังคว้าเกียรตินิยม สาขาวิศวกรรมปิโตรเลียม ในระดับ คือ ตอนที่สอบทุน กพ. ได้ ก็มีความคิดเลยว่า ถ้าเรียนได้..ก็
ปริญาตรีมาอีกด้วย จากนั้นก็ตัดสินใจเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญา อยากจะเรียนจนถึงปริญญาเอกเลย แต่ก่อนจะบินไปเมืองนอก ก็ได้
โท-เอก ทางด้านวิศวะฯ ที่ Stanford University และปัจจุบันด�ำรง มากราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ซึ่งท่านก็เมตตาให้พรผม
ต�ำแหน่งอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะ ว่า ให้ไปเรียนให้จบ..ให้ได้เป็น ดร.สุวัฒน์นะ ซึ่งพอผมฟังท่านให้พร
วิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย... อย่างนี้..ก็เกิดก�ำลังใจอย่างมาก ถึงแม้ว่านับจากวันนั้น..ผมจะต้องใช้
เวลาเริ่มต้นเรียนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี จนถึงปริญญาเอก ยาวนาน
เกือบ 10 ปีก็ตาม…
ในเมื่อเป็นนักเรี ยนต่างจังหวัด แล้วมาเรี ยนโรงเรี ยน
เตรี ยมอุดม ต้องปรับตัวอะไรมากไหม
ก็ตั้งใจเรียน..และก็ไปเรียนพิเศษด้วย ตอน ม.4 ก็ได้เกรด 3
กว่า ๆ แต่เกรดมาเพิ่มขึ้นมาก ๆ หลังจากที่ผมหันมาฝึกสมาธิแล้ว
คือ ตอน ม.5 เทอม 1 ได้เกรด 4.00 เทอม 2 ได้เกรด 3.9 ส่วนตอน
ม.6 ได้เกรด 4.00 ตลอดทั้ง 2 เทอมครับ...

ทุนนีส้ อบกันทั้งประเทศหรื อเปล่า
ฝึกสมาธิแล้วเกรดดีขึ้นเลยหรื อ จะคัดเฉพาะคนเกรดถึง แล้วมาสอบ ถ้าสอบข้อเขียนผ่าน ก็
จะต้องสอบสัมภาษณ์ ตอนนั้น..ก็มีคนรุ่นเดียวกับผม 6-7 คนที่ได้
คือผมฝึกสมาธิมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เข้าวัดช่วงที่เรียน ม.4 ไปเมืองนอก
เทอม 2 เพราะผมได้มาฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านสอนสมาธิ
ในวันอาทิตย์ และพอกลับบ้าน..ก็เอาไปฝึกเองที่บ้าน ซึ่งหลังจากนั้น เรี ยนที่เมืองนอก ล�ำบากไหม
ไม่นาน..ก็สังเกตเห็นว่าเกรดตัวเองดีขึ้น จนอาจารย์ที่รู้ว่าผมไปฝึก
(หัวเราะ) ล� ำบากเพราะที่นั่นไม่ใช่บ้านเรา ท�ำให้เราต้อง
สมาธิที่วัด มาขอให้ผมช่วยไปพูดให้รุ่นน้องประมาณ 50 คนฟัง ใน
ปรับตัวเป็นธรรมดา อีกทัง้ ภาษาเราก็ยงั ไม่ได้ ซึง่ คนทีโ่ น่นไม่เหมือน
หัวข้อสมาธิกับการเรียน
คนบ้านเรานะ คือถ้าเราเห็นฝรัง่ ทีม่ าเมืองไทยพูดภาษาไทยไม่ได้ เรา
พูด..ให้น้องฟังว่าอย่างไรบ้าง ก็จะพยายามฟัง พยายามช่วยเขา แต่คนไทยทีไ่ ปทีโ่ น่น ถ้าพูดไม่รเู้ รือ่ ง..
ฝรัง่ เขาไม่มวั่ มานัง่ ฟังเราหรอก เพราะถ้าเขาฟังไม่รู้เรื่อง เขาก็ไม่สนใจ
ก็พูดถึงประโยชน์ของสมาธิว่าดีอย่างไร เกิดผลอย่างไรกับ เราเลย
ตัวผมเองบ้าง ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ให้ผมสอนวิธีทำ� สมาธิกับนักเรียน
ในห้องด้วย ผมเลยเอาเทปน�ำนั่งสมาธิของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีเทคนิคอย่างไรในการใช้ชีวิตในการเรี ยนที่ โน่น
ไปเปิด ซึ่งก็ได้รับความสนใจกันมาก อยู่ที่โน่นก็จะเอาเทปมงคลชีวิตของหลวงพ่อทัตตชีโวไปฟัง
ต่อมา...สอบชิงทุนไปเรี ยนต่อเมืองนอกได้อย่างไร ด้วย เพราะชอบมาก อีกทัง้ หลักมงคลชีวติ 38 ประการ ทีท่ า่ นเทศน์
สามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้จริง ๆ ด้วยเหตุน.ี้ .ท�ำให้ผมติดต่อกลับมา
พอเรียนจบ ม.6 แล้วก็เอนทรานซ์เข้าจุฬาฯ ตอนนั้นก็สอบ
หาพีท่ เี่ มืองไทย เพือ่ สัง่ ซือ้ แล้วส่งไปจนครบทัง้ หมด ส่วนอยูท่ โี่ น่น..ผม
ทุน กพ. ไว้ด้วย และพอประกาศผลว่าสอบได้ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่
ก็ทำ� ตามหลักของมงคลชีวติ ตัง้ แต่ขอ้ แรก ไม่คบคนพาล มงคลที่ 2
ให้เราไปเรียนต่อเมืองนอก
คบบัณฑิต ซึง่ ตรงนีส้ ำ� คัญมาก... คือ ผมจะคบกับเพือ่ นกลุม่ ทีไ่ ม่เทีย่ ว
ไม่ไปผับ เป็นกลุม่ เด็กทีต่ งั้ ใจเรียน เพราะถ้าเรามีเพือ่ นดี ก็จะท�ำให้เรา
ประคับประคองตัวเองอยูไ่ ด้

ไปเรี ยนปริ ญญาตรี ที่เมืองนอกจนได้เกียรตินยิ ม ทั้งที่เป็น จากประสบการณ์ สมาธิช่วยด้านความจ�ำไหม
นักเรี ยนไทย ที่ต้องไปเรี ยนแข่งกับฝรั่ง เรามีเทคนิคอะไร ผมเป็นคนจ�ำไม่เก่งนะ (หัวเราะ) ถึงได้เลือกเรียนวิศวะฯ
พิเศษหรื อเปล่า ค�ำถามนี้ผมอยากอธิบายว่า สมาธิช่วยท�ำให้เรามีความสนใจยาว
อยู่ที่โน่นจะไม่ทิ้งเรื่องการฝึกสมาธิเลย คือยิ่งเรียนยากหรือ มากขึ้น อย่างการน�ำไปใช้ในห้องเรียน ถ้าเรามีความสนใจสั้น
เรียนหนัก ยิ่งทิ้งไม่ได้เลย อย่างเพื่อนที่อยู่ห้องเดียวกันหรืออาจารย์ แล้ว นั่นหมายถึงสมาธิเราสั้นด้วย ท�ำให้ใจวอกแวก ไม่มีความ
จะรู้ว่าผมฝึกสมาธิ เพราะตรงจุดนี้ช่วยเราได้เยอะ สนใจยาวพอที่จะใส่ใจเนื้อหาที่อาจารย์สอน ก็เลยท�ำให้ไม่เข้าใจ
พอไม่เ ข้ า ใจก็ ท� ำ ให้ ไ ม่ อ ยากเรี ย น ซึ่งผลท�ำให้เราต้องไปไล่อ่าน
ช่วยอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนเกี่ยวกับการน�ำสมาธิมาใช้
หนังสือตาม ย้อนท�ำความเข้าใจเองภายหลัง และถ้าเราเป็นอย่างนี้
จากความรู ้ สึ ก ที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ ตั ว ผมเองคื อ สมาธิ ท�ำให้ ทุกวิชา จะท�ำให้เราเรียนหนักมาก ๆ ซึ่งเมื่อรู้สึกเรียนหนักก็จะเบื่อ
เรามีความสุขกับสิ่งที่เราท�ำ เช่น ในการเรียน ก็ทำ� ให้ผมเรียนอย่าง แล้วจะมีผลพวงต่อไปเรื่อย ๆ
มีความสุข และเมื่อมีความสุขแล้ว ก็ท�ำให้เราอยากเรียน เมื่ออยาก
เรียนก็จะท�ำให้เรียนได้ดี ซึ่งถ้าเราสังเกตจากตัวเอง วันที่ได้ฝึกสมาธิ เคยมีปัญหาด้านการเรี ยนบ้างไหม แล้วท�ำอย่างไร
วันนั้น ..จะรู้สึกใจมันเบา ๆ ไม่มีเรื่องเครียด เรื่องกังวล ใจมันจะ
มี..ช่วงท�ำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก คือ แก้ปญ ั หาหนึง่ ในการเขียน
สบาย ไม่รู้สึกเบื่อต่ออะไร เวลาเข้าไปนั่งเรียนใจมันว่าง ๆ พร้อมที่จะ
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส�ำหรับใช้ในวิทยานิพนธ์ไม่ได้ ติดปัญหานี้อยู่
รับสิ่งที่อาจารย์สอน เมื่อใจมันพร้อม เวลาอาจารย์สอนเราก็จะเข้าใจ
นานมาก 3-4 เดือน จนรูส้ กึ ท้อ ก็เลยใช้วธิ ที ำ� ใจนิง่ ๆ แล้วอธิษฐาน
ขอบุญช่วย ซึง่ แปลกมากเลย อัศจรรย์มาก ผมคิดออกภายในเย็นวัน
นัน้ เอง ทัง้ ทีป่ ญ
ั หานีต้ ดิ จนไม่มที างแก้แล้ว ผมว่าการเรียนนี.่ .นอกจาก
จะต้องใช้สมาธิแล้ว...ยังต้องใช้บญ ุ ช่วยด้วยนะ (หัวเราะ)

ในฐานะที่ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอน แล้วก็เป็นเด็กเรี ยนเก่ง
มาก่อน มีอะไรจะแนะน�ำเกี่ยวกับการเรี ยนในสมัยนี้ ไหม
มีข้อแนะน� ำ เกี่ยวกับการเข้าเรียน คื อ ระหว่ า งที่จดโน้ต
อยากให้ท�ำความเข้าใจตามไปเลย ไม่อยากให้เข้าไปนั่งจดเฉย ๆ โดย
ไม่ทำ� ความเข้าใจ ซึ่งบางทีเรามักจะคิดว่า จดไปก่อน..แล้วค่อยไป
นอกจากสมาธิแล้ว มีเทคนิคทางด้านการเรี ยนอย่างอืน่ อีกไหม ท�ำความเข้าใจเองภายหลัง ซึ่ ง การท� ำ อย่ า งนี้ต้องใช้เวลานานมาก
..เรื่ อ งการอ่ า นหนั ง สื อ ก็ มี ค วามส� ำ คั ญ ก่อนอ่านผมจะดู แล้วถ้าเกิดไปอ่านเอง..แล้วก็ยังไม่เข้าใจ บางทีเราก็ไม่มีโอกาสไป
ภาพรวมของเนื้อหาทั้งหมดก่อนว่า เราก�ำลังจะศึกษาเรื่องอะไร..? ถามอาจารย์ด้วย ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้... ก็ยิ่งท�ำให้เรียนเนื้อหาตรงนั้น
เรี ย นเรื่ อ งอะไร..? พอเราเข้าใจภาพรวม จะท�ำให้เราเข้าใจเนื้อหา ไม่รู้เรื่อง เมื่อไม่รู้เรื่อง เนื้อหาในบทต่อไปซึ่งสัมพันธ์กันก็จะไม่รู้เรื่อง
ได้เร็วขึ้น ง่ า ยขึ้ น จั ดล�ำดับความคิดได้ดีขึ้น แล้ว ค่อยไปเจาะอ่าน ตามไปด้วย
รายละเอี ย ดในแต่ ล ะบท แล้วหลังจากนั้นก็หาความสัมพันธ์ของ
แต่ละบทแต่ละหัวข้อให้ได้ สุดท้ายมีอะไรจะฝากไว้ไหม
แล้ววิชาที่ ไม่ชอบเรี ยนล่ะ ท�ำอย่างไร คือ ในเรือ่ งของสมาธิกบั การเรียนนีส่ ำ� คัญ ถ้าเราเข้าห้องเรียน
แล้วมีสมาธิตงั้ แต่ 5 นาทีแรก ก็จะท�ำให้เราเข้าใจเนือ้ หาต่อ ๆ ไปได้
ถ้าคิดจะเรียนไห้ดี..ต้องท�ำใจให้ชอบ ให้มคี วามสุข อีกทัง้ ก่อน
และถ้าเราเข้าใจ เราก็จะมีความสุขและสนุกกับการเรียน คือเรียนแล้ว
จะอ่านหนังสือให้ทำ� สมาธิกอ่ น 5 นาที โดยท�ำใจให้โล่ง ๆ ว่าง ๆ เคลียร์
ไม่เบือ่ เรียนไปด้วยความอยากรู้ จนสุดท้าย..ก็จะประสบความส�ำเร็จ
ทุกความคิดออกไปให้หมด หลังจากนัน้ อีก 5 นาที ก็ทำ� ใจให้ชอบวิชา
ในทีส่ ดุ …
นัน้ โดยมาดูวา่ วิชานัน้ เรียนแล้วเกิดประโยชน์กบั เราอย่างไร มีขอ้ ดี
อย่างไร ความน่าสนใจของมันอยูต่ รงไหน ถ้าหาตรงนีไ้ ด้ ก็จะอยากรู้..
อยากเรียนวิชานี้ได้เอง
146146 108
108วิธีเวิรีธยีเนเก่ งโคตร..โคตร
รียนเก่ งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 147
147

148
148 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร
ความส�ำเร็จดังเช่นทุกวันนี้
ความสุขมาตลอด หรือเรียนเพียงเพื่อให้จบ ๆ เท่านั้น
ใช้หลักของสมาธิและหลักธรรมหลายข้อด้วยกัน จึงสามารถก้าวมาสู่
เรียนในสาขาวิชาที่ยาก และเรียนโดยมีความสุขควบคู่ไปด้วยนั้น เขา
แต่ ณ วันนี้ ดร.สุวัฒน์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเรียนได้ดี
เรียนจบก็จริง แต่ตลอดชีวิตการเรียนนั้น ได้สั่งสมความเครียดแทน
ความรู้พื้นฐานที่แน่นพอ และความสุขในการเรียนด้วย ซึ่งบางคน
สาขาวิชาที่ยากด้วยแล้ว เราคงอาศัยความฟลุคไม่ได้ เราต้องอาศัย
การประสบความส�ำเร็จด้านการเรียนในระดับสูง โดยเฉพาะ
www.kalyanamitra.org
จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
เวลา............... เวลา............... เวลา............... เวลา............... เวลา............... เวลา............... เวลา...............
วิชา 1............. วิชา 1............. วิชา 1............. วิชา 1............. วิชา 1............. วิชา 1............. วิชา 1.............
2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2.............

2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2.............

2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2.............
ตารางเวลาอ่านหนังสือ

2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2.............

108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร
2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2............. 2.............
149
วางแผนการเรียน บรรณานุกรม
1.พระเผด็จ ทัตตชีโว. ท�ำอย่างไรจึงจะเรียนเก่ง. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ

: โรงพิมพ์นิวไวเต็ก.
2.พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ M.D.; Ph.D. ทันโลกทันธรรม 2. พิมพ์ครั้ง
ที่ 1. พิมพ์ที่ S.R.C. Envelope Co., Ltd.
3.ทิพาวดี เอมะวรรธนะ. เรียนให้เก่งในมหาวิทยาลัย. พิมพ์ครั้งที่ 5.
กรุงเทพ : โรงพิมพ์ศรีบุญอุตสาหกรรมการพิมพ์. 2513.
4.Pauk, W., How to study in college. 2nd ed. Boston : Houghton
Mifflin Co., 1974.

www.kalyanamitra.org

108 วิธีเรียเก่ง

Uploaded by

Document Information

Copyright

Available Formats

Share this document

Share or Embed Document

Sharing Options

Did you find this document useful?

Is this content inappropriate?

Copyright:

Available Formats

108 วิธีเรียเก่ง

Uploaded by

Copyright:

Available Formats

www.kalyanamitra.

2 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 3

4 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 5

CHAPTER หากคุณต้องการประสบความส�ำเร็จในชีวิต อยากได้เกรดดี

8 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 9

10 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 11

14 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 15

18 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 19

20 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 21

22 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 23

26 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 27

28 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 29

30 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 31

34 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108

36 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 37

32. หาที่นั่งเรียนในต�ำแหน่งหน้าๆ เพื่อเป็นการบังคับตัว 34. หากง่วงนอนบ่อยๆ ในเวลาเรียน ให้หาสาเหตุให้เจอ

38 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 39

42 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 43

44 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108วิธวิีเธรีีเยรีนเก่

49. ต้องสร้างนิสัยเมื่อลงมือท�ำอะไรแล้ว..ต้องท�ำให้ดี 51. หากเบื่อ..เมื่อต้องอ่านซ�้ำ ให้คิดว่าทนเบื่อตอนนี้..

46 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 47

53. ต้องอ่านหนังสือกี่รอบถึงจะพอ โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 55. การจด Lecture ให้ใช้อักษรย่อหรือสัญลักษณ์ย่อ เพื่อ

เคล็ดวิชาในการจด Lecture 56. หากจด Lecture ไม่ทัน ให้ใช้วิธีการอัดเสียงด้วยเครื่อง

50 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 51

52 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108วิวิธธีเรีีเรียยนเก่

73. ระหว่างที่ก�ำลังอ่านหนังสืออยู่ หากรู้สึกอยากเลิกอ่าน

54 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 55

78. ให้ท�ำการบ้านและส่งการบ้านที่อาจารย์ให้ทุกครั้ง 81. ให้กินอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย เพราะหาก

82. ช่วงก่อนสอบ 1 - 2 วัน งดกินอาหารที่เสี่ยงต่อการ

58 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 59

88. ในกรณีที่คิดว่า..อ่านหนังสือสอบไม่ทันแน่ๆ ให้รีบไป 90. ก่อนท�ำข้อสอบให้อ่านค�ำสั่ง 2 รอบเสมอ และจงอ่าน

62 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 63

64 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 65

108. ให้หมั่นอ่าน “108 วิธีเรียนเก่ง โคตร..โคตร” ซ�้ำ 5.______________________________________________________

66 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108

68 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 69

70 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 71

พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)

72 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 73

ให้สมมุตวิ า่ เอาเส้นด้ายมา 2 เส้น เส้นแรกขึงจากสะดือทะลุ

เริม่ ด้วยการนัง่ ขัดสมาธิสบาย ๆ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย นิว้ ชี้

76 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 77

78 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 79

80 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 81

82 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 83

84 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 85

86 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 87

88 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 89

90 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 91

92 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 93

94 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 95

วรรณนรี หรือ มิ้ม เป็นเด็กธรรมดา ๆ ที่ไม่มีพรสวรรค์

96 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 97

98 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 99

100 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 101

102 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 103

104 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 105

106 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 107

108 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 109

110 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 111

แล้วได้เกรด 3.93 ตอนไหน การที่เราได้นั่งสมาธิบ่อย ๆ ท�ำให้ใจเราคุ้นกับการหยุดนิ่ง

112 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 113

114 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 115

116 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร www.kalyanamitra.org 108 วิธีเรียนเก่งโคตร..โคตร 117