Professional Documents
Culture Documents
ทำ�วัตรสวดมนต์แ ปล
สวดมนต์ภ าวนา
ท�ำวัตรสวดมนต์แ ปล
พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน
สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามคัดล อก ตัดตอน หรือน�ำไปพิมพ์จ�ำหน่าย
หากท่านใดประสงค์จะพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน โปรดติดต่อ
มูลนิธิปัญญาประทีป หรือ โรงเรียนทอสี
๑๐๒๓/๔๖ ซอยปรีดีพนมยงค์ ๔๑
สุขุมวิท ๗๑ เขตวัฒนา กทม. ๑๐๑๑๐
โทร. ๐-๒๗๑๓-๓๖๗๔
www.panyaprateep.com, www.thawsischool.com
1
พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้ว
ทรงสร้างคณ ุ อนั ส ำ�เร็จป ระโยชน์ไว้แก่ขา้ พเจ้าท ง้ั ห ลาย
ปัจฉิมา ชะนะตานกุ ัมป ะมานะสา
ทรงมีพระหฤทัยอนุเคราะห์แก่พ วกข้าพเจ้า
อันเป็นชนรุ่นหลัง
อิเม สักก าเร ทุคค ะตะปัณณาการะภเูต ปะฏิคคัณหฺ าตุ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงรับเครื่องสักก าระอันเป็นบรรณาการของคนยาก
ทั้งหลายเหล่านี้
อัมฺหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
เพื่อประโยชน์แ ละความสุขแก่ข ้าพเจ้าทั้งหลาย
ตลอดกาลนานเทอญฯ
(พระสงฆ์กล่าวนำ�) อะระหัง
(โยมกล่าวตาม) สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา
พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์
ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง
ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
พุทธัง ภะคะวันต ัง อะภิวาเทมิ
ข้าพเจ้าอภิวาทพระผมู้ ีพระภาคเจ้า
ผูรู้้ ผู้ตื่น ผูเ้บิกบาน (กราบ)
2
(พระสงฆ์กล่าวนำ�) สฺวากขาโต
(โยมกล่าวตาม) ภะคะวะตา ธัมโม
พระธรรมเป็นธรรมทพ่ี ระผมู้ พี ระภาคเจ้า ตรัสไว้ด แี ล้ว
ธัมมัง นะมัสสามิ
ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม (กราบ)
(พระสงฆ์กล่าวนำ�) สุปะฏิปันโน
(โยมกล่าวตาม) ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
พระสงฆ์สาวกของพระผมู้ ีพระภาคเจ้า ปฏิบัตดิ ีแล้ว
สังฆัง นะมามิ
ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์ (กราบ)
ปุพพภาคนมการ
หันท ะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะ-
นะมะการัง กะโรมะ เส
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
ขอนอบน้อมแด่พ ระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น
อะระหะโต
ซึ่งเป็นผไู้กลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทธัสสะ
ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
(๓ ครั้ง)
3
ทำ�วัตรเช้า
พุทธาภิถตุ ิ
หันท ะ มะยัง พุทธาภิถตุ ิง กะโรมะ เส
โย โส ตะถาคะโต
พระตถาคตเจ้านั้นพ ระองค์ใด
อะระหัง
เป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทโธ
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน
เป็นผู้ถึงพ ร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
สุคะโต
เป็นผู้ไปแล้วด ้วยดี
โลกะวิทู
เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแ จ้ง
อะนุตต ะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ
เป็นผู้สามารถฝึกบ ุรุษที่สมควรฝึกได้
อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า
4
สัตถา เทวะมะนสุ สานัง
เป็นครูผสู้ อนของเทวดาและมนุษย์ท ั้งหลาย
พุทโธ
เป็นผรูู้้ ผู้ตื่น ผูเ้บิกบานด้วยธรรม
ภะคะวา
เป็นผมู้ ีความจำ�เริญจำ�แนกธรรมสั่งสอนสัตว์
โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพฺรัหฺมะกัง,
สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิง ปะชัง สะเทวะมะนสุ สัง
สะยัง อะภิญญา สัจฉ ิกัตวฺา ปะเวเทสิ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด
ได้ท รงทำ�ความดบั ท กุ ข์ให้แ จ้งด ว้ ยพระปญ
ั ญาอนั ย งิ่
เองแล้ว
ทรงสอนโลกนพี้ ร้อมทั้งเทวดามารพรหม
และหมู่สัตว์พ ร้อมทั้งสมณพราหมณ์
พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม
โย ธัมมัง เทเสสิ
พระผมู้ พี ระภาคเจ้าพ ระองค์ใด ทรงแสดงธรรมแล้ว
อาทิกัลยฺ าณัง
ไพเราะในเบื้องต้น
มัชเฌกัลยฺ าณัง
ไพเราะในท่ามกลาง
5
ปะริโยสานะกัลยฺ าณัง
ไพเราะในที่สุด
สาตถัง สะพฺยัญช ะนัง เกวะละปะริปุณณัง
ปะริสุทธัง พฺรัหฺมะจะริยัง ปะกาเสสิ
ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือแบบแห่งการปฏิบัติ
อันป ระเสริฐบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
พร้อมทั้งอรรถะ๑ พร้อมทั้งพยัญชนะ๒
ตะมะหัง ภะคะวันต ัง อะภิป ูชะยามิ
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่งเฉพาะพระผมู้ ีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น
ตะมะหัง ภะคะวันต ัง สิระสา นะมามิ
ข้าพเจ้านอบน้อมพระผมู้ ีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ด้วยเศียรเกล้า
(กราบระลึกพระพุทธคุณ)
๑
คำ�อธิบาย
๒
หัวข้อ
6
ธัมมาภิถตุ ิ
หันท ะ มะยัง ธัมม าภิถตุ ิง กะโรมะ เส
7
สังฆาภิถตุ ิ
หันท ะ มะยัง สังฆาภิถตุ ิง กะโรมะ เส
8
เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
นั่นแ หละสงฆ์สาวกของพระผมู้ ีพระภาคเจ้า
อาหุเนยโย
เป็นสงฆ์ควรแก่ส ักก าระที่เขานำ�มาบูชา
ปาหุเนยโย
เป็นสงฆ์ควรแก่ส ักก าระที่เขาจัดไว้ต ้อนรับ
ทักข ิเณยโย
เป็นผคู้ วรรับทักษิณาทาน
อัญชะลิกะระณีโย
เป็นผทู้ ี่บุคคลทั่วไปควรทำ�อัญชลี
อะนุตต ะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ
เป็นเนื้อนาบุญข องโลก ไม่มีนาบุญอ ื่นยิ่งก ว่า
ตะมะหัง สังฆัง อะภิป ูชะยามิ
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่งเฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น
ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ
ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้นด ้วยเศียรเกล้า
(กราบระลึกพระสังฆคุณ)
9
รตนัต ตยัปป ณามคาถา
หันท ะ มะยัง ระตะนัตต ะยัปป ะณามะคาถาโย เจวะ
สังเวคะปะริกิตต ะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส
10
วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง
ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้นโดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
สังโฆ สุเขตตาภฺย ะตเิขตตะสัญญิโต
พระสงฆ์เป็นน าบญ ุ อนั ยง่ิ ใหญ่ก ว่าน าบญ
ุ อนั ด ที ง้ั ห ลาย
โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานโุพธะโก
เป็นผู้เห็นพระนิพพาน ตรัสรู้ตามพระสุคต หมู่ใด
โลลัปปะหี โน อะริโย สุเมธะโส
๑
๑
ออกเสียง ฮี
๒
ความชั่ว
11
สังเวคปริกิตต นปาฐะ
อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน
พระตถาคตเจ้าเกิดข ึ้นแ ล้วในโลกนี้
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก
และพระธรรมทท่ี รงแสดงเป็นธรรมเครือ่ งออกจากทกุ ข์
อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก
เป็นเครื่องสงบกิเลส เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
สัมโพธะค ามี สุค ะตัปป ะเวทิโต
เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม
เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ
มะยันต ัง ธัมมัง สุตฺวา เอวัง ชานามะ
พวกเราเมื่อได้ฟ ังธรรมนั้นแ ล้ว จึงได้รู้อย่างนวี้่า
ชาติปิ ทุกข า
แม้ความเกิดก เ็ป็นทุกข์
ชะราปิ ทุกขา
แม้ความแก่ก เ็ป็นทุกข์
มะระณัมปิ ทุกขัง
แม้ความตายกเ็ป็นทุกข์
12
โสกะป ะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา
แม้ความโศกความร่ำ�ไรรำ�พันความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจความคับแ ค้นใจกเ็ป็นทุกข์
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
ความประสบกับส ิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจกเ็ป็นทุกข์
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจกเ็ป็นทุกข์
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกข ัง
มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ส ิ่งนั้น นั่นก เ็ป็นทุกข์
สังขิตเตนะ ปัญจุป าทานักข ันธ า ทุกข า
ว่าโดยย่ออ ุปาทานขันธ์ท ั้งห้า๑เป็นตัวท ุกข์
เสยยะถที ัง
ได้แก่ส ิ่งเหล่านคี้ ือ
รูปูปาทานักข ันโธ
ขันธ์อ ันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดม ั่นค ือรูป
เวทะนูป าทานักข ันโธ
ขันธ์อ ันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดม ั่นค ือเวทนา
สัญญูป าทานักข ันโธ
ขันธ์อ ันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดม ั่นค ือส ัญญา
๑
ขันธ์ห ้า คือ ส่วนประกอบทั้งห้าที่รวมกันเป็นชีวิต คือ รูป (ร่างกาย)
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ส่วนทั้งสี่นรี้วมเรียกว่า “จิตใจ”)
13
สังขารูปาทานักข ันโธ
ขันธ์อ ันเป็นที่ตั้งแ ห่งความยึดม ั่นค ือส ังขาร
วิญญาณูป าทานักข ันโธ
ขันธ์อ ันเป็นที่ตั้งแ ห่งความยึดม ั่นค ือวิญญาณ
เยสัง ปะริญญายะ
เพื่อให้สาวกกำ�หนดรอบรู้อุปาทานขันธ์เหล่านเี้อง
ธะระมาโน โส ภะคะวา
จึงพระผมู้ ีพระภาคเจ้านั้น เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่
เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ
ย่อมทรงแนะนำ�สาวกทั้งหลาย เช่นนเี้ป็นส่วนมาก
เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ
อะนสุ าสะนี พะหุลา ปะวัตต ะติ
อนึ่งคำ�สั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย ส่วนมาก
มีส่วนคือก ารจำ�แนกอย่างนวี้่า
รูปัง อะนิจจัง
รูปไม่เที่ยง
เวทะน า อะนิจจา
เวทนาไม่เที่ยง
สัญญา อะนิจจา
สัญญาไม่เที่ยง
14
สังขารา อะนิจจา
สังขารไม่เที่ยง
วิญญาณัง อะนิจจัง
วิญญาณไม่เที่ยง
รูปัง อะนัตต า
รูปไม่ใช่ตัวต น
เวทะน า อะนัตต า
เวทนาไม่ใช่ตัวต น
สัญญา อะนัตต า
สัญญาไม่ใช่ตัวต น
สังขารา อะนัตต า
สังขารไม่ใช่ตัวต น
วิญญาณัง อะนัตต า
วิญญาณไม่ใช่ตัวต น
สัพเพ สังขารา อะนิจจา
สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง
สัพเพ ธัมมา อะนัตต าติ
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวต น
ดังนี้
เต (ตา)๑ มะยัง โอติณณ ามะหะ
พวกเราทั้งหลายเป็นผถู้ ูกค รอบงำ�แล้ว
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
15
ชาติย า
โดยความเกิด
ชะรามะระเณนะ
โดยความแก่แ ละความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ
โดยความโศกความร่ำ�ไรรำ�พันความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจความคับแ ค้นใจทั้งหลาย
ทุกโขติณณ า
เป็นผู้ถูกค วามทุกข์หยั่งเอาแล้ว
ทุกขะป ะเรตา
เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว
อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขัก ข ันธ ัสสะ
อันตะกิริยา ปัญญาเยถาติ
ทำ�ไฉนการทำ�ที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นน ี้
จะพึงปรากฏชัดแ ก่เราได้ *
*
โยมสวดเองให้ข้ามไปที่หน้า ๑๘
16
(สำ�หรับภิกษุสามเณรสวด)
จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันต ัง อุททิสสะ
อะระหันต ัง สัมมาสัมพุทธัง
เราทั้งหลายอุทิศเฉพาะพระผมู้ ีพระภาคเจ้า
ผูไ้กลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
แม้ปรินิพพานนานแล้วพ ระองค์นั้น
สัทธา อะคารัสฺมา อะนะคาริยัง ปัพพะชิตา
เป็นผู้มีศรัทธาออกบวชจากเรือน
ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว
ตัสมฺ ิง ภะคะวะติ พฺรัหฺมะจะริยัง จะรามะ
ประพฤติอ ยูซ่ ึ่งพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น
ภิกข ูนัง (สามะเณรานัง ) สิกขาสาชีวะสะมาปันน า
๑
ถึงพ ร้อมด้วยสิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต
ของภิกษุ (สามเณร ) ทั้งหลาย ๑
17
(สำ�หรับอุบาสกอุบาสิกาสวด)
จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันต ัง สะระณังคะตา
เราทั้งหลายผถู้ ึงแล้วซ ึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
แม้ปรินิพพานนานแล้วพ ระองค์นั้นเป็นสรณะ
ธัมมัญจะ สังฆัญ จะ
ถึงพ ระธรรมด้วยถึงพ ระสงฆ์ด้วย
ตัสส ะ ภะคะวะโต สาสะนัง ยะถาสัตติ ยะถาพะลัง
มะนะสิกะโรมะ อะนปุ ะฏิปัชชามะ
จักท ำ�ในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ ซึ่งคำ�สั่งสอน
ของพระผมู้ ีพระภาคเจ้านั้นต ามสัตติกำ�ลัง ๑
สา สา โน ปะฏิปัตติ
ขอให้ความปฏิบัตินั้นๆ ของเราทั้งหลาย
อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขัก ข ันธ ัสสะ อันตะกิริยายะ
สังวัตต ะตุ
จงเป็นไปเพือ่ ก ารทำ�ทสี่ ดุ แ ห่งก องทกุ ข์ท งั้ ส นิ้ น เี้ ทอญ
(จบคำ�ทำ�วัตรเช้า)
๑
ตามกำ�ลัง ตามความสามารถ
18
กายคต าสติ
(การระลึกอ ยู่เสมอว่าก ายเป็นสิ่งปฏิกูล
และไม่ใช่เป็นของเราอย่างแท้จริง)
หันท ะ มะยัง ทฺวัตต ิงสาการะปาฐัง ภะณามะ เส
อะยัง โข เม กาโย
กายของเรานแี้ ล
อุทธัง ปาทะตะลา
เบื้องบนแต่พ ื้นเท้าขึ้นม า
อะโธ เกสะมัตถ ะกา
เบื้องต่ำ�แ ต่ป ลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต
มีหนังหุ้มอยูเ่ป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน
เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
อัตถ ิ อิมัสฺมิง กาเย
มีอยู่ในกายนี้
เกสา คือผ มทั้งหลาย
โลมา คือข นทั้งหลาย
นะขา คือเล็บทั้งหลาย
ทันตา คือฟ ันทั้งหลาย
19
ตะโจ หนัง
มังสัง เนื้อ
นะหารู เอ็นทั้งหลาย
อัฏฐี กระดูกท ั้งหลาย
อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก
วักก ัง ไต
หะทะยัง หัวใจ
ยะกะนัง ตับ
กิโลมะกัง พังผืด
ปิหะกัง ม้าม
ปัปผาสัง ปอด
อันต ัง ไส้ใหญ่
อันต ะคุณงั สายรัดไส้
อุทะริยัง อาหารใหม่
กะรีสัง อาหารเก่า
ปิตต ัง น้ำ�ดี
เสมหัง น้ำ�เสลด
ปุพโพ น้ำ�เหลือง
โลหิตัง น้ำ�เลือด
เสโท น้ำ�เหงื่อ
เมโท น้ำ�มันข ้น
20
อัสสุ น้ำ�ตา
วะสา น้ำ�มันเหลว
เขโฬ น้ำ�ลาย
สิงคาณิก า น้ำ�มูก
ละสิกา น้ำ�มันไขข้อ
มุตต ัง น้ำ�ม ูตร
มัตถ ะเก มัตถ ะลุงคัง เยื่อในสมอง
เอวะมะยัง เม กาโย
กายของเรานอี้ ย่างนี้
อุทธัง ปาทะตะลา
เบื้องบนแต่พ ื้นเท้าขึ้นม า
อะโธ เกสะมัตถ ะกา
เบื้องต่ำ�แ ต่ป ลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต
มีหนังหุ้มอยูเ่ป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน
เต็มไปด้วยของไม่ส ะอาดมปี ระการตา่ งๆ อย่างนแี้ ล
21
บทพิจารณาสังขาร
สัพเพ สังขารา อะนิจจา
สังขารคือร่างกายจิตใจ แลรูปธรรมนามธรรม ๑
ทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นทุกข์ทนยาก
เพราะเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เจ็บตายไป
สัพเพ ธัมมา อะนัตต า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขารแลมิใช่สังขาร
ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา
ว่าข องเราว่าต ัวว่าต นของเรา
อะธุวัง ชีวติ ัง
ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน
ธุวัง มะระณัง
ความตายเป็นของยั่งยืน
๑
อ่านว่า รูป-ธรรม นาม-ธรรม
22
อะวัสส ัง มะยา มะริตัพพัง
อันเราจะพึงตายเป็นแท้
มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวติ ัง
ชีวิตข องเรามีความตายเป็นที่สุดรอบ
ชีวติ ัง เม อะนยิ ะตัง
ชีวิตข องเราเป็นของไม่เที่ยง
มะระณัง เม นิยะตัง
ความตายของเราเป็นของเที่ยง
วะตะ
ควรที่จะสังเวช
อะยัง กาโย
ร่างกายนี้
อะจริัง
มิได้ต ั้งอ ยู่นาน
อะเปตะวญ ิ ญาโณ
ครั้นป ราศจากวิญญาณ
ฉุฑโฑ
อันเขาทิ้งเสียแล้ว
อะธิเสสสะติ
จักน อนทับ
23
ปะฐะวิง
ซึ่งแผ่นด ิน
กะลิงค ะรัง อิวะ
ประดุจด ังว่าท ่อนไม้และท่อนฟืน
นิรัตถัง
หาประโยชน์มิได้
อะนิจจา วะตะ สังขารา
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
อุปปาทะวะยะธัมมิโน
มีความเกิดข ึ้นแ ล้วม ีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
อุปปัชชิตวฺา นิรุชฌันต ิ
ครั้นเกิดข ึ้นแ ล้วย ่อมดับไป
เตสัง วูปะสะโม สุโข
ความเข้าไปสงบระงับสังขารทั้งหลาย
เป็นสุขอย่างยิ่ง
ดังนี้
24
อภิณฺหปัจจเวกขณปาฐะ
หันท ะ มะยัง อะภิณหฺ ะปัจจะเวกขะณะปาฐัง
ภะณามะ เส
๑
ออกเสียง ธัม-โมม-มะ(ครึ่งเสียง)-หิ
๒
หญิงว่าในวงเล็บ
25
กัมมัสสะโกมฺหิ (กามฺหิ)๑ กัมม ะทายาโท (ทา)๑
กัมม ะโยนิ กัมม ะพันธุ กัมม ะปะฏิสะระโณ (ณา)๑
เรามีกรรมเป็นของของตน มีก รรมเป็นผใู้ห้ผล
มีกรรมเป็นแดนเกิด มีก รรมเป็นผตู้ ิดตาม
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสามิ กัลยฺ าณัง วา ปาปะกัง วา
ตัสส ะทายาโท (ทา)๑ ภะวสิ สามิ
เราทำ�กรรมอันใดไว้ เป็นบ ุญห รือเป็นบาป
เราจะเป็นทายาท คือว่าเราจะต้องได้รับผล
ของกรรมนั้นๆ สืบไป
เอวัง อัมฺเหหิ อะภิณฺหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
เราทั้งหลายควรพิจารณาอย่างนที้ ุกวันๆ เถิด
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
26
ภัทเทกรัตตคาถา
หันท ะ มะยัง ภัทเทกะรัตต ะคาถาโย ภะณามะ เส
27
เอวัง วิหาริมาตาปิง อะโหรัตต ะมะตันท ิตงั,
ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ สันโต อาจิกข ะเต มุนิ
มุนผี ู้สงบย่อมกล่าวเรียกผู้มีความเพียรอยู่เช่นนั้น
ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันก ลางคืนว่า
“ผูเ้ป็นอยู่แม้เพียงราตรีเดียวกน็ ่าช ม”
28
บทแผ่เมตตา
หันท ะ มะยัง เมตตาผะระณัง กะโรมะ เส
29
สัพเพ สัตตา อัพฺยาปัชฌา โหนตุ
ขอสัตว์ท ั้งหลายทั้งปวงจงอย่าได้เบียดเบียน
ซึ่งกันแ ละกัน
สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ
ขอสัตว์ท ั้งหลายทั้งปวงจงเป็นผู้ไม่มีทุกข์
สัพเพ สัตตา สุขี อัตต านัง ปะริหะรันตุ
ขอสัตว์ท ั้งหลายทั้งปวงจงรักษาตนอยูเ่ป็นสุขเถิด
สัพเพ สัตตา สัพพะทุกข า ปะมุญจันต ุ
ขอสัตว์ท ั้งหลายทั้งปวงจงพ้นจากทุกข์ท ั้งมวล
สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิค ัจฉ ันต ุ
ขอสัตว์ท ั้งหลายทั้งปวงจงอย่าได้พ รากจากสมบัติ
อันต นได้แ ล้ว
สัพเพ สัตตา กัมมัสส ะกา กัมม ะทายาทา กัมม ะ
โยนิ กัมม ะพันธุ กัมม ะปะฏิสะระณา
สัตว์ท ั้งหลายทั้งปวงมีกรรมเป็นของของตน
มีกรรมเป็นผใู้ห้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด
มีกรรมเป็นผตู้ ิดตาม มีก รรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ยัง กัมมัง กะริสสันติ, กัลยฺ าณัง วา ปาปะกัง วา
ตัสส ะ ทายาทา ภะวสิ สันติ
จักท ำ�กรรมอันใดไว้ เป็นบุญห รือเป็นบาป
จักต ้องเป็นผไู้ด้รับผลของกรรมนั้นๆ สืบไป
30
สัพพปัตติท านคาถา
หันท ะ มะยัง สัพพะปัตติท านะคาถาโย ภะณามะ เส
31
ญาตา เย ปัตติท านัมเม อะนโุมทันตุ เต สะยัง,
เย จิม ัง นัปปะชานัน ต ิ เทวา เตสัง นิเวทะย ุง
สัตว์เหล่าใดรู้ส่วนบุญท ี่ข้าพเจ้าแผ่ให้แล้ว
สัตว์เหล่านั้นจงอนุโมทนาเองเถิด
ส่วนสัตว์เหล่าใดยังไม่รู้ส่วนบุญน ี้
ขอเทวดาทั้งหลาย จงบอกสัตว์เหล่านั้นให้รู้
มะยา ทินน านะ ปุญ ญานัง อะนโุมทะนะเหตุนา,
สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ อะเวรา สุขะช ีวโิน,
เขมัปปะทัญจะ ปัปโปนตุ เตสาสา สิชฌะตัง สุภา
เพราะเหตุท ไ่ี ด้อนุโมทนาสว่ นบญ ุ ทข่ี า้ พเจ้าแผ่ให้แล้ว
สัตว์ท ง้ั ห ลายทง้ั ป วง จงเป็นผไู้ ม่มเี วร อยูเ่ ป็นสุขท กุ เมือ่
จงถงึ บทอนั เกษม กล่าวคอื พระนพิ พาน
ความปรารถนาทด่ี งี ามของสตั ว์เหล่านน้ั จงสำ�เร็จเถิด
32
ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ
หันท ะ มะยัง ตังข ะณิก ะปัจจะเวกขะณะปาฐัง
ภะณามะ เส
33
นะ มะทายะ
ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามันเกิดก ำ�ลังพลังทางกาย
นะ มัณฑะน ายะ
ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ
นะ วิภสู ะนายะ
ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง
ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัส สะ ฐิตยิ า
แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยูไ่ด้แ ห่งกายนี้
ยาปะนายะ
เพื่อความเป็นไปได้ข องอัตตภาพ
วิห ิงสุปะระตยิ า
เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำ�บากทางกาย
พฺรัหฺมะจะริยานคุ ค ะหายะ
เพื่ออนุเคราะห์แก่ก ารประพฤติพ รหมจรรย์
อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ
ด้วยการทำ�อย่างนี้
เราย่อมระงับเสียได้ซ ึ่งทุกขเวทนาเก่า คือค วามหิว
นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปป าเทสสามิ
และไม่ทำ�ทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดข ึ้น
34
ยาตฺรา จะ เม ภะวสิ สะติ อะนะวัชชะตา จะ
ผาสุวหิ าโร จาติ
อนึ่งค วามเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตตภาพนดี้ ้วย
ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด ้วย
และความเป็นอยูโ่ดยผาสุกด ้วย จักม ีแก่เรา
ดังนี้
ปะฏิสังขา โยนิโส เสนาสะนัง ปะฏิเสวามิ
เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วใช้สอยเสนาสนะ
ยาวะเทวะ สีตสั สะ ปะฏิฆาตายะ
เพียงเพื่อบำ�บัดความหนาว
อุณฺหัสสะ ปะฏิฆาตายะ
เพื่อบำ�บัดความร้อน
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง
ปะฏิฆาตายะ
เพื่อบำ�บัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุงลมแดด
และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
ยาวะเทวะ อุตปุ ะริสสะยะ วิโนทะนัง
ปะฏิสัลลานารามัตถ ัง
เพียงเพือ่ บรรเทาอนั ตรายอนั จะพงึ มจี ากดนิ ฟา้ อากาศ
และเพื่อความเป็นผยู้ ินดีอ ยูไ่ด้ในที่หลีกเร้น
สำ�หรับภาวนา
35
ปะฏิสังขา โยนิโส คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขารัง
ปะฏิเสวามิ
เรายอ่ มพจิ ารณาโดยแยบคายแล้วบ ริโภคเภสัชบ ริขาร
อันเกื้อกูลแก่ค นไข้
ยาวะเทวะอุปปันนานัง เวยยาพาธิกานัง เวทะน านัง
ปะฏิฆาตายะ
เพียงเพื่อบำ�บัดทุกขเวทนาอันบ ังเกิดขึ้นแ ล้ว
มีอาพาธต่างๆ เป็นมูล
อัพฺยาปัชฌะปะระมะตายาติ
เพื่อความเป็นผไู้ม่มีโรคเบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง
ดังนี้
36
ธาตุป ัจจเวกขณปาฐะ
หันท ะ มะยัง ธาตุป ัจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส
37
อะตวิยิ ะ ชิค ุจฉ ะนยี านิ ชายันต ิ
ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกัน
ยะถาปัจจะยัง ปะวัตต ะมานัง ธาตุม ัตตะเมเวตัง
สิ่งเหล่านนี้ เี่ป็นสักว่าธ าตุต ามธรรมชาติเท่านั้น
กำ�ลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอ ยู่เนืองนิจ
ยะทิทัง ปิณฑะปาโต ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุค ค ะโล
สิง่ เหล่านค้ี อื บณิ ฑบาต และคนผบู้ ริโภคบณ ิ ฑบาตนน้ั
ธาตุม ัตตะโก
เป็นสักว่าธ าตุต ามธรรมชาติ
นิส สัตโต
มิได้เป็นสัตวะอันย ั่งยืน
นิชช ีโว
มิได้เป็นชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล
สุญโญ
ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวต น
สัพโพ ปะนายัง ปิณฑะปาโต อะชิคุจฉ ะนโีย
ก็บ ณ ิ ฑบาตทงั้ หมดนี้ ไม่เป็นของนา่ เกลียดมาแต่เดิม
อิมัง ปูติกายัง ปัตวฺา
ครั้นม าถูกเข้ากับก ายอันเน่าอยูเ่ป็นนิจน แี้ ล้ว
อะตวิยิ ะ ชิค ุจฉ ะนโีย ชายะติ
ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกัน
38
ยะถาปัจจะยัง ปะวัตต ะมานัง ธาตุม ัตตะเมเวตัง
สิ่งเหล่านนี้ เี่ป็นสักว่าธ าตุต ามธรรมชาติเท่านั้น
กำ�ลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอ ยูเ่นืองนิจ
ยะทิทัง เสนาสะนัง ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุค ค ะโล
สิง่ เหล่าน คี้ อื เสนาสนะ และคนผใู้ ช้สอยเสนาสนะนนั้
ธาตุม ัตตะโก
เป็นสักว่าธ าตุต ามธรรมชาติ
นิส สัตโต
มิได้เป็นสัตวะอันย ั่งยืน
นิชช ีโว
มิได้เป็นชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล
สุญโญ
ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวต น
สัพพานิ ปะนะ อิม านิ เสนาสะนานิ อะชิคุจฉ ะนยี านิ
ก็เสนาสนะทง้ั หมดน้ี ไม่เป็นของนา่ เกลียดมาแต่เดิม
อิมัง ปูติกายัง ปัตวฺา
ครั้นม าถูกเข้ากับก ายอันเน่าอยูเ่ป็นนิจน แี้ ล้ว
อะตวิยิ ะ ชิค ุจฉ ะนยี านิ ชายันต ิ
ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกัน
39
ยะถาปัจจะยัง ปะวัตต ะมานัง ธาตุม ัตตะเมเวตัง
สิ่งเหล่านนี้ เี่ป็นสักว่าธ าตุต ามธรรมชาติเท่านั้น
กำ�ลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอ ยูเ่นืองนิจ
ยะทิทัง คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกข าโร
ตะทุปะภุญชะโก จะ ปุค ค ะโล
สิ่งเหล่านคี้ ือเภสัชบริขารอันเกื้อกูลแก่ค นไข้
และคนผู้บริโภคเภสัชบริขารนั้น
ธาตุม ัตตะโก
เป็นสักว่าธ าตุต ามธรรมชาติ
นิส สัตโต
มิได้เป็นสัตวะอันย ั่งยืน
นิชช ีโว
มิได้เป็นชีวะอันเป็นบุรุษบุคคล
สุญโญ
ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวต น
สัพโพ ปะนายัง คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร
อะชิคุจฉ ะนโีย
ก็ค ิลานเภสัชบริขารทั้งหมดนี้
ไม่เป็นของน่าเกลียดมาแต่เดิม
อิมัง ปูติกายัง ปัตวฺา
ครั้นม าถูกเข้ากับก ายอันเน่าอยูเ่ป็นนิจน แี้ ล้ว
40
อะตวิยิ ะ ชิค ุจฉ ะนโีย ชายะติ
ย่อมกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่งไปด้วยกัน
41
ปัพพชิตอภิณฺหปัจจเวกขณปาฐะ
หันทะ มะยัง ปัพพะชิตะอะภิณฺหะปัจจเวกขะณะปาฐัง
ภะณามะ เส
43
กัมมัสสะโกมฺหิ กัมม ะทายาโท กัมมะโยนิ
กัมม ะพันธุ กัมม ะปะฏิสะระโณ ยัง กัมมัง กะริสสามิ
กัลยฺ าณัง วา ปาปะกัง วา ตัสส ะทายาโท ภะวสิ สามีติ,
ปัพพะชิเตนะ อะภิณฺหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจ่มช ัด อยูเ่นืองนิจว่า
เราเป็นผมู้ ีกรรมเป็นของตน
มีกรรมที่ต้องรับผลเป็นมรดกตกทอด
มีกรรมเป็นที่กำ�เนิด มีก รรมเป็นเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำ�กรรมใดไว้ ดีก ็ตาม
ชั่วก ็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลตกทอดแห่งกรรมนั้น
ดังนี้
กะถัมภ ูตสั สะ เม รัตตนิ ทิวา วีต ปิ ะตันต ตี ิ,
ปัพพะชิเตนะ อะภิณฺหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจ่มช ัด อยูเ่นืองนิจว่า
วันค ืนล ่วงไป ล่วงไป ในเมื่อเรากำ�ลังเป็นอยู่
ในสภาพเช่นไร ดังนี้
กัจจิ นุโขหัง สุญญาคาเร อะภิระมามีติ,
ปัพพะชิเตนะ อะภิณฺหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจ่มช ัด อยูเ่นืองนิจว่า
เราย่อมยินดีในโรงเรือนอันส งัด อยู่หรือหนอ
ดังนี้
44
อัตถ ิ นุโข เม อุตต ะริมะนสุ สะธัมมา
อะละมะริยะญาณะทัสสะนะวเิสโส อะธิคะโต
โสหัง ปัจฉิเม กาเล สะพฺรัหฺมะจารีหิ ปุฏโฐ
นะ มังกุ ภะวสิ สามีติ,
ปัพพะชิเตนะ อะภิณฺหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง
บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจ่มช ัด อยูเ่นืองนิจว่า
ญาณทัศนะอันวิเศษ ควรแก่พ ระอริยเจ้า
อันย งิ่ ก ว่าวสิ ยั ธรรมดาของมนุษย์ ทีเ่ ราได้บ รรลุแล้ว
เพื่อเราจะไม่เป็นผ เู้ก้อเขิน เมื่อถ กู เพื่อนสพ รหมจารี
ด้วยกนั ถ ามในภายหลัง มีอ ยูแ่ ก่เราหรือไม่ ดังนี้
อิเม โข ภิกขะเว ทะสะ ธัมม า
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
ธรรมทั้งหลายสิบประการเหล่านแี้ ล
ปัพพะชิเตนะ อะภิณฺหัง ปัจจะเวกขิตัพพา
เป็นธรรมที่บรรพชิตพึงพิจารณาโดยแจ่มช ัด
อยูเ่นืองนิจ
อิติ
ด้วยอาการอย่างนแี้ ล
45
สมณสัญญา
หันท ะ มะยัง สะมะณะสัญญาปาฐัง ภะณามะ เส
47
ทำ�วัตรเย็น
(คำ�บูชาพระและปุพพภาคนมการ
ใช้อย่างเดียวกับค ำ�ท ำ�วัตรเช้า)
พุทธานสุ สติ
หันท ะ มะยัง พุทธานสุ สะตนิ ะยัง กะโรมะ เส
49
พุทธาภิคตี ิ
หันท ะ มะยัง พุทธาภิคตี ิง กะโรมะ เส
50
พุทธัสสาหัสฺมิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ
พุทโธ เม สามิกิสส ะโร
ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า
พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตสั สะ เม
พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำ�จัดท ุกข์
และทรงไว้ซ ึ่งประโยชน์แ ก่ข ้าพเจ้า
พุทธัสสาหัง นิยย าเทมิ สะรีรัญชีวติ ัญจทิ ัง
ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตน แี้ ด่พ ระพุทธเจ้า
วันท ันโตหัง (วันทันต หี ัง)๑ จะริสสามิ, พุทธัสเสวะ
สุโพธิตัง
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยูจ่ักป ระพฤติต าม
ซึ่งความตรัสรู้ดขี องพระพุทธเจ้า
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
สรณะอื่นข องข้าพเจ้าไม่มี
พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันป ระเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน
ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์น ี้
ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
51
พุทธัง เม วันท ะมาเนนะ (วันท ะมานายะ)๑
ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยูซ่ ึ่งพระพุทธเจ้า
ได้ข วนขวายบุญใดในบัดนี้
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา
อันตรายทั้งปวงอย่าได้ม ีแก่ข ้าพเจ้า
ด้วยเดชแห่งบุญน ั้น
(หมอบกราบลง)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
ด้วยกายกด็ ดี ้วยวาจากด็ ดี ้วยใจกด็ ี
พุทเธ กุกมั มัง ปะกะตัง มะยา ยัง
กรรมน่าต เิตียนอันใดที่ข้าพเจ้ากระทำ�แล้ว
ในพระพุทธเจ้า
พุทโธ ปะฏิคคัณฺห ะตุ อัจจะยันต ัง
ขอพระพุทธเจ้าจงงดซึ่งโทษล่วงเกินอ ันน ั้น
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุท เธ
เพื่อการสำ�รวมระวังในพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
52
ธัมมานสุ สติ
หันท ะ มะยัง ธัมม านสุ สะตนิ ะยัง กะโรมะ เส
๑
ออกเสียง ฮี
53
ธัมมาภคิ ตี ิ
หันท ะ มะยัง ธัมม าภคิ ตี ิง กะโรมะ เส
สฺวากขาตะตาทิคุณะโยคะวะเสนะ เสยโย
พระธรรมเป็นสิ่งที่ประเสริฐเพราะประกอบด้วยคุณ
คือค วามที่พระผมู้ ีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ด ีแล้วเป็นต้น
โย มัคคะปากะปะริยัตต วิโิมกขะเภโท
เป็นธ รรมอนั จำ�แนกเป็นม รรคผลปริยตั แิ ละนพิ พาน
ธัมโม กุโลกะป ะตะนา ตะทะธาริธารี
เป็นธรรมทรงไว้ซง่ึ ผทู้ รงธรรมจากการตกไปสโู่ ลกทช่ี ว่ั
วันท ามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง
ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมอันป ระเสริฐนั้น
อันเป็นเครื่องขจัดเสียซึ่งความมืด
ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตต ะมัง
พระธรรมใดเป็นสรณะอนั เกษมสงู สุดของสตั ว์ทง้ั ห ลาย
ทุตยิ านสุ สะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง
ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น
อันเป็นท ต่ี งั้ แห่งค วามระลึกอ งค์ท สี่ องดว้ ยเศียรเกล้า
54
ธัมมัสสาหัสฺมิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ
ธัมโม เม สามิกิสสะโร
ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระธรรม
พระธรรมเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า
ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตสั สะ เม
พระธรรมเป็นเครื่องกำ�จัดท ุกข์
และทรงไว้ซ ึ่งประโยชน์แ ก่ข ้าพเจ้า
ธัมมัสสาหัง นิยย าเทมิ สะรีรัญช ีวติ ัญจทิ ัง
ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตน แี้ ด่พ ระธรรม
วันท ันโตหัง (วันทันต หี ัง)๑ จะริสสามิ, ธัมมัสเสวะ
สุธัมมะตัง
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยูจ่ักป ระพฤติต าม
ซึ่งความเป็นธรรมดขี องพระธรรม
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง
สรณะอื่นข องข้าพเจ้าไม่มี
พระธรรมเป็นสรณะอันป ระเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน
ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์น ี้
ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
55
ธัมมัง เม วันท ะมาเนนะ (วันท ะมานายะ)๑
ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยูซ่ ึ่งพระธรรม
ได้ข วนขวายบุญใดในบัดนี้
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา
อันตรายทั้งปวงอย่าได้ม ีแก่ข ้าพเจ้า
ด้วยเดชแห่งบุญน ั้น
(หมอบกราบลง)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
ด้วยกายกด็ ดี ้วยวาจากด็ ดี ้วยใจกด็ ี
ธัมเม กุกมั มัง ปะกะตัง มะยา ยัง
กรรมนา่ ตเิ ตียนอนั ใดทข่ี า้ พเจ้ากระทำ�แล้วในพระธรรม
ธัมโม ปะฏิคคัณฺหะตุ อัจจะยันต ัง
ขอพระธรรมจงงดซึ่งโทษล่วงเกินอ ันนั้น
กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม
เพื่อการสำ�รวมระวังในพระธรรมในกาลต่อไป
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
56
สังฆานสุ สติ
หันท ะ มะยัง สังฆานสุ สะตนิ ะยัง กะโรมะ เส
57
อาหุเนยโย
เป็นสงฆ์ควรแก่ส ักก าระที่เขานำ�มาบูชา
ปาหุเนยโย
เป็นสงฆ์ควรแก่ส ักก าระที่เขาจัดไว้ต ้อนรับ
ทักข ิเณยโย
เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน
อัญชะลิกะระณีโย
เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำ�อัญชลี
อะนุตต ะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ
เป็นเนื้อนาบุญข องโลก ไม่มีนาบุญอ ื่นยิ่งก ว่า
ดังนี้
58
สังฆาภิคตี ิ
หันท ะ มะยัง สังฆาภิค ตี ิง กะโรมะ เส
59
สังฆัสสาหัสฺมิ ทาโส (ทาสี)๑ วะ
สังโฆ เม สามิกิสส ะโร
ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นนาย
มีอิสระเหนือข้าพเจ้า
สังโฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตสั สะ เม
พระสงฆ์เป็นเครื่องกำ�จัดท ุกข์
และทรงไว้ซ ึ่งประโยชน์แ ก่ข ้าพเจ้า
สังฆัสสาหัง นิยย าเทมิ สะรีรัญชีวติ ัญจทิ ัง
ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตน แี้ ด่พ ระสงฆ์
วันท ันโตหัง (วันทันต หี ัง)๑ จะริสสามิ,
สังฆัสโสปะฏิปันน ะตัง
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยูจ่ักป ระพฤติต าม
ซึ่งความปฏิบัติดขี องพระสงฆ์
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง
สรณะอื่นข องข้าพเจ้าไม่มี
พระสงฆ์เป็นสรณะอันป ระเสริฐของข้าพเจ้า
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน
ด้วยการกล่าวคำ�สัตย์น ี้
ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
60
สังฆัง เม วันท ะมาเนนะ (วันท ะมานายะ)๑,
ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ
ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยูซ่ ึ่งพระสงฆ์
ได้ข วนขวายบุญใดในบัดนี้
สัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา
อันตรายทั้งปวงอย่าได้ม ีแก่ข ้าพเจ้า
ด้วยเดชแห่งบุญน ั้น
(หมอบกราบลง)
กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา
ด้วยกายกด็ ดี ้วยวาจากด็ ดี ้วยใจกด็ ี
สังเฆ กุกมั มัง ปะกะตัง มะยา ยัง
กรรมนา่ ต เิ ตียนอนั ใดทข่ี า้ พเจ้าก ระทำ�แล้วในพระสงฆ์
สังโฆ ปะฏิคคัณหฺ ะตุ อัจจะยันต ัง
ขอพระสงฆ์จงงดซึ่งโทษล่วงเกินอ ันนั้น
กาลันต ะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ
เพื่อการสำ�รวมระวังในพระสงฆ์ในกาลต่อไป
(จบคำ�ทำ�วัตรเย็น)
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
61
สรณคมนปาฐะ
หันท ะ มะยัง ติส ะระณะคะมะนะปาฐัง ภะณามะ เส
63
ทุกข ัง ทุกขะส ะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะตกิ กะมัง,
อะริยัญจัฏฐังคิกงั มัคค ัง ทุกข ูปะสะมะคามินัง
คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดท ุกข์
ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้ และหนทางมีองค์แปด
อันป ระเสริฐเครื่องถึงค วามระงับทุกข์
เอตัง โข สะระณัง เขมัง, เอตัง สะระณะมุตต ะมัง,
เอตัง สะระณะมาคัมม ะ สัพพะทุกข า ปะมุจจะติ
นัน่ แ หละเป็นส รณะอนั เกษม นัน่ เป็นส รณะอนั ส งู สุด
เขาอาศัยส รณะนั่นแ ล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
64
ปฐมพุทธภาสิตค าถา
หันท ะ มะยัง ปะฐะมะพุทธะภาสิตะคาถาโย ภะณามะ เส
๑
คือ ถึงน ิพพาน
65
โอวาทปาฏิโมกขคาถา
หันท ะ มะยัง โอวาทะปาฏิโมกขะคาถาโย ภะณามะ เส
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
การไม่ทำ�บาปทั้งปวง
กุส ะลัสสูปะสัมปะทา
การทำ�กุศลให้ถึงพร้อม
สะจิตต ะปะริโยทะปะนัง
การชำ�ระจิตข องตนให้ขาวรอบ
เอตัง พุทธานะสาสะนัง
ธรรม ๓ อย่างนเี้ป็นคำ�สั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย
ขันต ปี ะระมัง ตะโป ตีติกข า
ขันติคอื ค วามอดกลัน้ เป็นธรรมเครือ่ งเผากเิ ลสอย่างยง่ิ
นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา
ผูรู้้ทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่าเป็นธรรมอันยิ่ง
นะ หิ ปัพพ ะชิโต ปะรูปะฆาตี
ผูก้ ำ�จัดส ัตว์อ ื่นอ ยูไ่ม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย
สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต
ผูท้ ำ�สัตว์อ ื่นให้ลำ�บากอยูไ่ม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย
66
อะนูป ะวาโท อะนูปะฆาโต
การไม่พูดร้าย การไม่ทำ�ร้าย
ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร
การสำ�รวมในปาฏิโมกข์
มัตตัญญุต า จะ ภัตต ัสฺมิง
ความเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค
ปันต ัญจะ สะยะนาสะนัง
การนอนการนั่งในที่อันส งัด
อะธิจิตเต จะ อาโยโค
ความหมั่นประกอบในการทำ�จิตให้ยิ่ง
เอตัง พุทธานะสาสะนัง
ธรรม ๖ อย่างนเ้ี ป็นค ำ�สง่ั สอนของพระพุทธเจ้าทง้ั ห ลาย
67
อริยธนคาถา
หันท ะ มะยัง อะริยะธะนะคาถาโย ภะณามะ เส
68
ธัมมคารวาทิคาถา
หันท ะ มะยัง ธัมมะคาระวาทิค าถาโย ภะณามะ เส
69
อะธัมโม นิระยัง เนติ ธัมโม ปาเปติ สุคะติง
อธรรมย่อมนำ�ไปนรก ธรรมย่อมนำ�ให้ถึงส ุคติ
ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง
ธรรมแหละย่อมรักษาผู้ประพฤติธ รรมเป็นนิจ
ธัมโม สุจิณโณ สุขะม าวะหาติ
ธรรมที่ประพฤติด ีแล้วย ่อมนำ�สุขมาให้ตน
เอสานสิ ังโส ธัมเม สุจิณเณ
นีเ่ป็นอานิสงส์ในธรรมที่ตนประพฤติด ีแล้ว
70
ติล ักขณาทิคาถา
หันท ะ มะยัง ติล ักขะณาทิคาถาโย ภะณามะ เส
71
อะถะ นิพพิน ทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิส ุทธิยา
เมื่อนั้นย ่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ที่ตนหลง
นั่นแ หละเป็นทางแห่งพระนิพพาน
อันเป็นธรรมหมดจด
อัปปะกา เต มะนสุ เสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน
ในหมู่มนุษย์ท ั้งหลาย
ผูท้ ี่ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานมีน้อยนัก
อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานธุ าวะติ
หมู่มนุษย์น อกนั้นย ่อมวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งในนี่เอง
เย จะ โข สัมมะทักข าเต ธัมเม ธัมมานวุัตต โิน
ก็ช นเหล่าใดประพฤติส มควรแก่ธ รรม
ในธรรมที่ตรัสไว้ช อบแล้ว
เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทุตต ะรัง
ชนเหล่านั้นจักถ ึงฝ ั่งแห่งพระนิพพาน
ข้ามพ้นบ่วงแห่งมัจจุ๑ที่ข้ามได้ย ากนัก
กัณฺหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกก ัง ภาเวถะ ปัณฑิโต
จงเป็นบัณฑิตละธรรมดำ�เสีย แล้วเจริญธรรมขาว
๑
มัจจุ คือ กิเลศมาร
72
โอกา อะโนกะมาคัมม ะ วิเวเก ยัตถ ะ ทูระมัง,
ตัตรฺาภริะตมิ ิจเฉยยะ หิตวฺา กาเม อะกิญจะโน
จงมาถึงที่ไม่มีน้ำ� จากที่มีน้ำ�
จงละกามเสีย เป็นผไู้ม่มีความกังวล
จงยินดีเฉพาะต่อพ ระนิพพาน
อันเป็นที่สงัดซึ่งสัตว์ย ินดีได้โดยยาก
73
ภารสุตตคาถา
หันท ะ มะยัง ภาระสุตตะคาถาโย ภะณามะ เส
74
ปัจฉิมพ ุทโธวาทปาฐะ
หันท ะ มะยัง ปัจฉิมะพ ุทโธวาทะปาฐัง ภะณามะ เส
75
อุททิสสนาธิฏฐานคาถา
หันท ะ มะยัง อุททิสสะนาธิฏฐานะคาถาโย ภะณามะ เส
77
ยาวะ นิพพานะโต มะมัง
กว่าเราจะถึงน ิพพาน
นัสส ันตุ สัพพะทา เยวะ
มลายสิ้นจากสันดาน
ยัตถ ะ ชาโต ภะเว ภะเว
ทุกๆ ภพที่เราเกิด
อุชุจิตต ัง สะตปิ ัญญา
มีจิตตรงและสติท ั้งปัญญาอันป ระเสริฐ
สัลเลโข วิริยัมห ินา
พร้อมทั้งความเพียรเลิศเป็นเครื่องขูดก ิเลสหาย
มารา ละภันต ุ โนกาสัง
โอกาสอย่าพึงมีแก่ห มู่มารสิ้นทั้งหลาย
กาตุญจะ วิริเยสุ เม
เป็นช่องประทุษร้ายทำ�ลายล้างความเพียรจม
พุทธาทิปะวะโร นาโถ
พระพุทธผบู้ วรนาถ
ธัมโม นาโถ วะรุตต ะโม
พระธรรมที่พึ่งอุดม
นาโถ ปัจเจกะพ ุทโธ จะ
พระปัจเจกะพ ุทธสม-
78
สังโฆ นาโถตต ะโร มะมัง
ทบพระสงฆ์ที่พึ่งผยอง
เตโสตตะมานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพนั้น
มาโรกาสัง ละภันต ุ มา
ขอหมู่มารอย่าได้ช ่อง
ทะสะปุญญานภุ าเวนะ๑
ด้วยเดชบุญท ั้งสิบป้อง
มาโรกาสัง ละภันต ุ มา
อย่าเปิดโอกาสแก่ม าร เทอญ
๑
บุญก ิริยาวัตถุ ๑๐
ข้อปฏิบัติที่ช่วยชำ�ระจิตใจให้ปราศจากความโลภ โกรธ หลง
เพื่อบรรเทาและกำ�จัดท ุกข์ในชีวิต
๑. ทาน - การให้ เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทั้งวัตถุท าน (ปัจจัย ๔)
และอภัยทาน
๒. ศีล - ควบคุมก ารกระทำ�ทางกาย วาจา ให้เรียบร้อยเป็นปกติ
ไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น
๓. ภาวนา - อบรมจิตให้สงบ และเกิดป ัญญารู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ
๔. อปจายนะ - อ่อนน้อมถ่อมตนอยูเ่สมอ
๕. เวยยาวัจจะ - ช่วยเหลือเกื้อกูลในกิจท ี่ถูกต ้องดงีามแก่เพื่อนและสังคม
๖. ปัตติท านะ - แผ่เมตตาและบุญก ุศลที่ตนได้ท ำ�แก่ส รรพสัตว์ท ั้งหลาย
๗. ปัตต านโุมทนา - อนุโมทนาพลอยยินดีก ับค วามดขี องผอู้ ื่น
๘. ธรรมสวนะ - การฟังหรือศึกษาธรรมะอยู่เสมอ
๙. ธรรมเทศนา - แนะนำ�ข้อธรรมที่ตนได้ศ ึกษาและปฏิบัติมาให้แก่ผ อู้ ื่น
๑๐. ทิฏฐุชุกมั มะ - อบรมความคิดเห็นให้ถูกต ้องกับห ลักธรรมในพุทธศาสนา เช่น
เชื่อเรื่องอริยสัจ, กรรม ทำ�ดี...ดี! ทำ�ชั่ว...ชั่ว! เป็นต้น
79
ธัมมจักก ัปป วัตต นสุตต ป าฐะ
หันท ะ มะยัง ธัมมะจักก ัปป ะวัตต ะนะสุตต ะปาฐัง
ภะณามะ เส
๑
หีโน อ่านว่า ฮีโน
80
อะนะริโย
ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า
อะนัตถ ะสัญหิโต
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย นีอ้ ย่างหนึ่ง
โย จายัง อัตต ะกลิ ะมะถานโุยโค
อีกอ ย่างหนึง่ ค อื ก ารประกอบการทรมานตนให้ล ำ�บาก
ทุกโข
เป็นสิ่งนำ�มาซึ่งทุกข์
อะนะริโย
ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า
อะนัตถ ะสัญหิโต
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย
เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนปุ ะคัมม ะ
มัชฌิมา ปะฏิปะทา
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง
ไม่เข้าไปหาที่สุดแห่งการกระทำ�สองอย่างนั้น มีอ ยู่
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ต รัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
จักขุก ะระณี
เป็นเครื่องกระทำ�ให้เกิดจักษุ
81
ญาณะก ะระณี
เป็นเครื่องกระทำ�ให้เกิดญ าณ
อุปะสะมายะ
เพื่อความสงบ
อะภิญญายะ
เพื่อความรู้ยิ่ง
สัมโพธายะ
เพื่อความรู้พร้อม
นิพพานายะ สังวัตต ะติ
เป็นไปเพื่อนิพพาน
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิป ะทา
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้นเป็นอย่างไรเล่า
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค
ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้นค ือ
ข้อปฏิบัติเป็นหนทางอันป ระเสริฐ
ประกอบด้วยองค์แปดประการนเี้อง
เสยยะถที ัง
ได้แก่ส ิ่งเหล่านี้ คือ
สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ
82
สัมมาสังกัปโป
ความดำ�ริชอบ
สัมมาวาจา
การพูดจาชอบ
สัมมากัมม ันโต
การทำ�การงานชอบ
สัมมาอาชีโว
การเลี้ยงชีวิตช อบ
สัมมาวายาโม
ความพากเพียรชอบ
สัมมาสะติ
ความระลึกชอบ
สัมมาสะมาธิ
ความตั้งใจมั่นช อบ
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิป ะทา
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย นีแ้ ลคือข ้อปฏิบัติ
เป็นทางสายกลาง
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ต รัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
จักขุก ะระณี
เป็นเครื่องกระทำ�ให้เกิดจักษุ
83
ญาณะก ะระณี
เป็นเครื่องกระทำ�ให้เกิดญ าณ
อุปะสะมายะ
เพื่อความสงบ
อะภิญญายะ
เพื่อความรู้ยิ่ง
สัมโพธายะ
เพื่อความรู้พร้อม
นิพพานายะ สังวัตต ะติ
เป็นไปเพื่อนิพพาน
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกข ัง อะริยะสัจจัง
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย ก็อ ริยสัจคือทุกข์นี้ มีอ ยู่
ชาติปิ ทุกข า
คือค วามเกิดก เ็ป็นทุกข์
ชะราปิ ทุกขา
ความแก่ก เ็ป็นทุกข์
มะระณัมปิ ทุกขัง
ความตายกเ็ป็นทุกข์
โสกะป ะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา
ความโศกความร่ำ�ไรรำ�พันความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจความคับแ ค้นใจกเ็ป็นทุกข์
84
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
ความประสบกับส ิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจกเ็ป็นทุกข์
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจกเ็ป็นทุกข์
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกข ัง
มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ส ิ่งนั้น นั่นก เ็ป็นทุกข์
สังขิตเตนะ ปัญจุป าทานักข ันธ า ทุกข า
ว่าโดยย่ออ ุปาทานขันธ์ท ั้งห้าเป็นตัวท ุกข์
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะส ะมุทะโย อะริยะสัจจัง
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
ก็อ ริยสัจคือเหตุให้เกิดท ุกข์นี้ มีอ ยู่
ยายัง ตัณหา
นีค้ ือต ัณหา
โปโนพภะวกิ า
อันเป็นเครื่องทำ�ให้มีการเกิดอ ีก
นันทิราคะสะหะคะตา
อันป ระกอบอยูด่ ว้ ยความกำ�หนัดดว้ ยอำ�นาจความเพลิน
ตัตรฺะ ตัตรฺาภินนั ทิน ี
เป็นเครื่องทำ�ให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ
85
เสยยะถที ัง
ได้แก่ต ัณหาเหล่านี้ คือ
กามะตัณหา
ตัณหาในกาม
ภะวะตัณหา
ตัณหาในความมีความเป็น
วิภะวะตัณหา
ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะน โิรโธ อะริยะสัจจัง
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
ก็อ ริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นี้ มีอ ยู่
โย ตัสส าเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนโิรโธ
นีค้ ือค วามดับส นิทเพราะจางไปโดยไม่มีเหลือของ
ตัณหานั้นน ั่นเอง
จาโค
เป็นความสลัดทิ้ง
ปะฏินสิ สัคโค
เป็นความสละคืน
มุตติ
เป็นความปล่อย
86
อะนาละโย
เป็นความทำ�ไม่ให้มีที่อาศัยซ ึ่งตัณหานั้น
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะน โิรธะค ามินี
ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย ก็อ ริยสัจคือข้อปฏิบัติ
ที่ทำ�สัตว์ให้ลุถึงค วามดับไม่เหลือแห่งทุกข์นี้ มีอ ยู่
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค
นีค้ ือข ้อปฏิบัติเป็นหนทางอันป ระเสริฐ
ประกอบด้วยองค์แปดประการ
เสยยะถที ัง
ได้แก่ส ิ่งเหล่านี้ คือ
สัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปโป
ความดำ�ริชอบ
สัมมาวาจา
การพูดจาชอบ
สัมมากัมม ันโต
การทำ�การงานชอบ
สัมมาอาชีโว
การเลี้ยงชีวิตช อบ
87
สัมมาวายาโม
ความพากเพียรชอบ
สัมมาสะติ
ความระลึกชอบ
สัมมาสะมาธิ
ความตั้งใจมั่นช อบ
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันต ิ เม ภิกขะเว, ปุพ เพ
อะนะนสุ สุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ, ญาณัง อุทะ
ปาทิ, ปัญญา อุท ะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ,
อาโลโก อุทะปาทิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย จักษุเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
ญาณเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา ปัญญาเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
วิชชาเกิดขน้ึ แล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขน้ึ แล้วแก่เรา
ในธรรมทเ่ี ราไม่เคยฟงั มาแต่กอ่ น ว่าอริยสัจคอื ทกุ ข์
เป็นอย่างนอี้ ย่างนี้
ดังนี้
ตัง โข ปะนทิ ัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันต ิ
ว่าก อ็ ริยสัจคือท ุกข์นั้นแล เป็นส ิ่งที่ควรกำ�หนดรู้
ดังนี้
88
ตัง โข ปะนทิ ัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ
ว่ากอ็ ริยสัจคอื ทกุ ข์นน้ั แล เรากำ�หนดรไู้ ด้แล้ว
ดังนี้
อิทัง ทุกขะส ะมุทะโย อะริยะสัจจันต ิ เม ภิกขะเว,
ปุพเพ อะนะนสุ สุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ,
ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุท ะปาทิ, วิชชา อุทะปาทิ,
อาโลโก อุทะปาทิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย จักษุเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
ญาณเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา ปัญญาเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
วิชชาเกิดขน้ึ แล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขน้ึ แ ล้วแก่เรา
ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก ่อน ว่าอ ริยสัจคือ
เหตุให้เกิดท ุกข์ เป็นอย่างนอี้ ย่างนี้
ดังนี้
ตัง โข ปะนทิ ัง ทุกขะส ะมุทะโย อะริยะสัจจัง
ปะหาตัพพ ันติ
ว่าก อ็ ริยสัจคือเหตุให้เกิดท ุกข์นั้นแล
เป็นสิ่งที่ควรละเสีย
ดังนี้
89
ตัง โข ปะนทิ ัง ทุกขะส ะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนนั ต ิ
ว่าก อ็ ริยสัจคือเหตุให้เกิดท ุกข์นั้นแล
เราละได้แ ล้ว
ดังนี้
อิทัง ทุกขะน โิรโธ อะริยะสัจจันต ิ เม ภิกขะเว,
ปุพเพ อะนะนสุ สุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ,
ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุท ะปาทิ,
วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย จักษุเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
ญาณเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา ปัญญาเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
วิชชาเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา แสงสว่างเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
ในธรรมทเี่ ราไม่เคยฟงั ม าแต่กอ่ น ว่าอ ริยสัจค อื ค วาม
ดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนอี้ ย่างนี้
ดังนี้
ตัง โข ปะนทิ ัง ทุกขะน โิรโธ อะริยะสัจจัง
สัจฉกิ าตัพพันติ
ว่าก อ็ ริยสัจคือค วามดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล
เป็นสิ่งที่ควรทำ�ให้แจ้ง
ดังนี้
90
ตัง โข ปะนทิ ัง ทุกขะน โิรโธ อะริยะสัจจัง
สัจฉกิ ะตันติ
ว่าก อ็ ริยสัจคือค วามดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล
เราทำ�ให้แจ้งได้แ ล้ว
ดังนี้
อิทัง ทุกขะน โิรธะค ามินี ปะฏิป ะทา อะริยะสัจจันต ิ
เม ภิกขะเว, ปุพ เพ อะนะนสุ สุเตสุ ธัมเมสุ,
จักขุง อุทะปาทิ, ญาณัง อุทะปาทิ, ปัญญา อุท ะปาทิ,
วิชชา อุทะปาทิ, อาโลโก อุทะปาทิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย จักษุเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
ญาณเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา ปัญญาเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
วิชชาเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา แสงสว่างเกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก ่อน ว่าอ ริยสัจคือ
ข้อปฏิบัติที่ทำ�สัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนอี้ ย่างนี้
ดังนี้
91
ตัง โข ปะนทิ ัง ทุกขะน โิรธะค ามินี ปะฏิป ะทา
อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ
ว่าก อ็ ริยสัจคือข ้อปฏิบัติ
ที่ทำ�สัตว์ให้ลุถึงค วามดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล
เป็นสิ่งที่ควรทำ�ให้เกิดม ี
ดังนี้
ตัง โข ปะนทิ ัง ทุกขะน โิรธะค ามินี ปะฏิป ะทา
อะริยะสัจจัง ภาวติ ันติ
ว่าก อ็ ริยสัจคือข ้อปฏิบัติ
ที่ทำ�สัตว์ให้ลุถึงค วามดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแล
เราทำ�ให้เกิดม ีได้แ ล้ว
ดังนี้
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตสู ุ อะริยะสัจเจสุ,
เอวันต ปิ ะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง ยะถาภตู ัง
ญาณะทัสสะนัง นะ สุวสิ ุทธัง อะโหสิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
เมื่อใด ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง
มีปริวัฏฏ์สามมีอาการสิบสองเช่นนั้น
ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้
ยังไม่เป็นของบริสทุ ธิห์ มดจดดว้ ยดแี ก่เราอยูเ่ พียงใด
92
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก
สะพฺรัหฺมะเก, สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ
สะเทวะมะนสุ สายะ, อะนุตต ะรัง สัมมาสัมโพธิง
อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย ตลอดการเพียงนั้น
เรายังไม่ปฏิญญาว่าได้ต รัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ซึ่งอนุต ตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ในโลกพร้อมทั้งเทวโลกมารโลกพรหมโลก ๑
ในหมู่สัตว์พ ร้อมทั้งสมณพราหมณ์
พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว, อิเมสุ จะตสู ุ อะริยะสัจเจสุ,
เอวันต ปิ ะริวัฏฏัง ทฺวาทะสาการัง ยะถาภตู ัง
ญาณะทัสสะนัง สุวสิ ุทธัง อะโหสิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
เมื่อใด ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง
มีปริวัฏฏ์สามมีอาการสิบสองเช่นนั้นในอริยสัจทั้งสี่
เหล่านี้ เป็นข องบริสุทธิ์หมดจดด้วยดแี ก่เรา
๑
ออกเสียงว่า เท-วะ-โลก มา-ระ-โลก พรหม-มะ-โลก
93
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก
สะพฺรัหฺมะเก, สัสสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ
สะเทวะมะนสุ สายะ, อะนุตต ะรัง สัมมาสัมโพธิง
อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
เมื่อนั้น เราปฏิญญาว่าได้ต รัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว
ซึ่งอนุต ตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้ง
เทวโลกมารโลกพรหมโลก ๑ ในหมู่สัตว์พ ร้อมทั้ง
สมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
ญาณัญ จะ ปะนะ เม ภิกขะเว ทัสส ะนัง อุทะปาทิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
ก็ญ าณและทัสสนะได้เกิดข ึ้นแ ล้วแ ก่เรา
อะกปุ ปา เม วิมุตติ
ว่าค วามหลุดพ้นของเราไม่กลับกำ�เริบ
อะยะมันต มิ า ชาติ
ความเกิดน เี้ป็นความเกิดค รั้งสุดท้าย
นัตถิท านิ ปุน ัพภะโวติ
บัดนีค้ วามเกิดอ ีกย ่อมไม่มี
ดังนี้
๑
ออกเสียงว่า เท-วะ-โลก มา-ระ-โลก พรหม-มะ-โลก
94
อริยมรรคมีองค์แปด
หันท ะ มะยัง อะริยัฏฐังคิกะม ัคค ะปาฐัง ภะณามะ เส
95
สัมมาสะติ
ความระลึกชอบ
สัมมาสะมาธิ
ความตั้งใจมั่นช อบ
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย ความเห็นชอบเป็นอย่างไรเล่า
ยัง โข ภิกขะเว ทุกเข ญาณัง
ดูกอ่ นภกิ ษุทง้ั หลาย ความรอู้ นั ใด เป็นความรใู้ นทกุ ข์
ทุกขะส ะมุทะเย ญาณัง
เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดท ุกข์
ทุกขะน โิรเธ ญาณัง
เป็นความรู้ในความดับแ ห่งทุกข์
ทุกขะน โิรธะค ามินยิ า ปะฏิป ะทายะ ญาณัง
เป็นความรู้ในทางดำ�เนินให้ถึงค วามดับแ ห่งทุกข์
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาทิฏฐิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
อันน เี้รากล่าวว่า ความเห็นชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย ความดำ�ริชอบเป็นอย่างไรเล่า
เนกขัมมะสังกัปโป
ความดำ�ริในการออกจากกาม
96
อัพฺยาปาทะสังกัปโป
ความดำ�ริในการไม่มุ่งร้าย
อะวหิ ิงสาสังกัปโป
ความดำ�ริในการไม่เบียดเบียน
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสังกัปโป
ดูก อ่ นภกิ ษุท งั้ ห ลาย อันน เี้ รากล่าววา
่ ความดำ�ริชอบ
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาวาจา
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย การพูดจาชอบเป็นอย่างไรเล่า
มุสาวาทา เวระม ะณี
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดไม่จริง
ปิสุณายะ วาจายะ เวระม ะณี
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดส ่อเสียด
ผะรุสายะ วาจายะ เวระม ะณี
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดห ยาบ
สัมผัปปะลาปา เวระม ะณี
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวาจา
ดูก อ่ นภกิ ษุท งั้ ห ลาย อันน เี้ รากล่าววา
่ การพดู จาชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมากัมม ันโต
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
การทำ�การงานชอบเป็นอย่างไรเล่า
97
ปาณาติปาตา เวระม ะณี
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่า
อะทินน าทานา เวระม ะณี
เจตนาเป็นเครือ่ งเว้นจากการถอื เอาสงิ่ ของทเี่ จ้าของ
ไม่ได้ให้แล้ว
กาเมสุมิจฉาจารา เวระม ะณี
เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
ทั้งหลาย
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมากัมม ันโต
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย อันนเี้รากล่าวว่า
การทำ�การงานชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว
ดูกอ่ นภกิ ษุทง้ั หลาย การเลีย้ งชวี ติ ชอบเป็นอย่างไรเล่า
อิธะ ภิกขะเว อะริยะสาวะโก
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
สาวกของพระอริยเจ้าในธรรมวินัยน ี้
มิจฉาอาชีวัง ปะหายะ
ละการเลี้ยงชีวิตท ี่ผิดเสีย
สัมมาอาชีเวนะ ชีวกิ ัง กัปเปติ
ย่อมสำ�เร็จความเป็นอยู่ด้วยการเลี้ยงชีวิตท ี่ชอบ
98
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาอาชีโว
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
อันน เี้รากล่าวว่า การเลี้ยงชีวิตช อบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาวายาโม
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
ความพากเพียรชอบเป็นอย่างไรเล่า
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน ี้
อะนปุ ปันน านัง ปาปะกานัง อะกสุ ะลานัง ธัมมานัง
อะนปุ ปาทายะ, ฉันท ัง ชะเนติ, วายะมะติ,
วิริยัง อาระภะติ, จิตต ัง ปัคคัณห าติ ปะทะหะติ
ย่อมทำ�ความพอใจให้เกิดข ึ้น
ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้
เพือ่ จะยงั อกุศลธรรมอนั เป็นบ าปทย่ี งั ไม่เกิดไม่ให้เกิดขน้ึ
อุปปันน านัง ปาปะกานัง อะกสุ ะลานัง ธัมมานัง
ปะหานายะ, ฉันท ัง ชะเนติ, วายะมะติ,
วิริยัง อาระภะติ, จิตต ัง ปัคคัณห าติ ปะทะหะติ
ย่อมทำ�ความพอใจให้เกิดข ึ้น
ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้
เพื่อจะละอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่เกิดข ึ้นแ ล้ว
99
อะนปุ ปันน านัง กุส ะลานัง ธัมมานัง อุปปาทายะ,
ฉันท ัง ชะเนติ, วายะมะติ, วิริยัง อาระภะติ,
จิตต ัง ปัคคัณห าติ ปะทะหะติ
ย่อมทำ�ความพอใจให้เกิดข ึ้น
ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้
เพื่อจะยังกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดข ี้น
อุปปันน านัง กุส ะลานัง ธัมมานัง ฐิติยา,
อะสัมโมสายะ, ภิยโยภาวายะ, เวปุลลายะ,
ภาวะนายะ ปาริปูริยา, ฉันท ัง ชะเนติ, วายะมะติ,
วิริยัง อาระภะติ, จิตต ัง ปัคคัณห าติ ปะทะหะติ
ย่อมทำ�ความพอใจให้เกิดข ึ้น
ย่อมพยายาม ปรารภความเพียร ประคองตั้งจิตไว้
เพื่อความตั้งอยู่ ความไม่เลอะเลือน
ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ ความเจริญ
ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมที่เกิดข ึ้นแ ล้ว
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาวายาโม
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
อันน เี้รากล่าวว่า ความพากเพียรชอบ
กะตะมา จะ ภิกขะเว สัมมาสะติ
ดูก อ่ นภกิ ษุท งั้ ห ลาย ความระลึกชอบเป็นอ ย่างไรเล่า
100
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน ี้
กาเย กายานปุ ัสสี วิห ะระติ
ย่อมเป็นผพู้ ิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ�
อาตาปี สัมปะชาโน สะตมิ า, วิเนยยะ โลเก
อะภิชฌาโทมะนัสสัง
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
ถอนความพอใจและความไม่พ อใจในโลกออกเสียได้
เวทะน าสุ เวทะน านปุ ัสสี วิห ะระติ
ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย
อยูเ่ป็นประจำ�
อาตาปี สัมปะชาโน สะตมิ า, วิเนยยะ โลเก
อะภิชฌาโทมะนัสสัง
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
ถอนความพอใจและความไม่พ อใจในโลกออกเสียได้
จิตเต จิตต านปุ ัสสี วิห ะระติ
ย่อมเป็นผพู้ ิจารณาเห็นจิตในจิตอ ยูเ่ป็นประจำ�
อาตาปี สัมปะชาโน สะตมิ า, วิเนยยะ โลเก
อะภิชฌาโทมะนัสสัง
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีส ติ
ถอนความพอใจและความไม่พ อใจในโลกออกเสียได้
101
ธัมเมสุ ธัมมานปุ ัสสี วิห ะระติ
ย่อมเป็นผพู้ ิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย
อยูเ่ป็นประจำ�
อาตาปี สัมปะชาโน สะตมิ า, วิเนยยะ โลเก
อะภิชฌาโทมะนัสสัง
มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ
ถอนความพอใจและความไม่พ อใจในโลกออกเสียได้
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะติ
ดูกอ่ นภกิ ษุท ง้ั ห ลาย อันน เ้ี รากล่าววา
่ ความระลึกชอบ
กะตะโม จะ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ
ดูกอ่ นภกิ ษุทง้ั ห ลาย ความตง้ั ใจมน่ั ชอบเป็นอ ย่างไรเล่า
อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยน ี้
วิวิจเจวะ กาเมหิ
สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย
วิวิจจะ อะกสุ ะเลหิ ธัมเมหิ
สงัดแล้วจากธรรมที่เป็นอกุศลทั้งหลาย
สะวติ ักก ัง สะวจิารัง วิเวกะช ัง ปีติสุขัง ปะฐะมัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิห ะระติ
เข้าถงึ ปฐมฌาน ประกอบดว้ ยวติ กวจิ าร มีปตี แิ ละสขุ
อันเกิดจากวิเวก แล้วแ ลอยู่
102
วิต ักกะวจิารานัง วูป ะสะมา
เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง
อัชฌัตต ัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส, เอโกทิภาวัง,
อะวติ ักก ัง อะวจิารัง, สะมาธิชัง ปีติสุขัง ทุตยิ ัง
ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิห ะระติ
เข้าถึงท ุติยฌ าน เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจภายใน
ให้สมาธิเป็นธรรมอนั เอกผดุ มขี น้ึ ไม่มวี ติ กไม่มวี จิ าร
มีแต่ป ีตแิ ละสุขอันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่
ปีตยิ า จะ วิราคา
อนึ่งเพราะความจางคลายไปแห่งปีติ
อุเปกขะโก จะ วิห ะระติ, สะโต จะ สัมป ะชาโน
ย่อมเป็นผอู้ ยูอ่ ุเบกขา มีสติแ ละสัมปชัญญะ
สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ
และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย
ยันต ัง อะริยา อาจิกข ันติ, อุเปกขะโก สะตมิ า
สุขะวหิ ารีติ
ชนิดท ี่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญ
ผูน้ ั้นว่า เป็นผ ู้อยูอ่ ุเบกขา มีสติอยูเ่ป็นปกติส ุข
ดังนี้
ตะตยิ ัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิห ะระติ
เข้าถึงต ติยฌ าน แล้วแ ลอยู่
103
สุขัสสะ จะ ปะหานา
เพราะละสุขเสียได้
ทุกขัสสะ จะ ปะหานา
และเพราะละทุกข์เสียได้
ปุพเพวะ โสมะนัสส ะโทมะนัสสานัง อัตถ ังคะมา
เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสอง
ในกาลก่อน
อะทุกขะม ะสุขัง อุเปกขาสะติปาริสุทธิง,
จะตตุ ถ ัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิห ะระติ
เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มที ุกข์ไม่มีสุข มีแต่ค วามที่สติ
เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่
อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว สัมมาสะมาธิ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย อันนเี้รากล่าวว่า
ความตั้งใจมั่นช อบ
104
อานาปานสติส ูตร
หันท ะ มะยัง อานาปานะสะตปิ าฐัง ภะณามะ เส
106
ทีฆงั วา อัสสะสันโต, ทีฆงั อัสสะสามีติ ปะชานาติ
ภิกษุน ั้น เมื่อห ายใจเข้ายาว ก็รู้สึกตัวท ั่วถ ึงว่า
เราหายใจเข้ายาว ดังนี้
ทีฆงั วา ปัสสะสันโต, ทีฆงั ปัสสะสามีติ ปะชานาติ
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกตัวท ั่วถ ึงว่า
เราหายใจออกยาว ดังนี้
รัสสัง วา อัสสะสันโต, รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ
ภิกษุน ั้น เมื่อห ายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกตัวท ั่วถ ึงว่า
เราหายใจเข้าสั้น ดังนี้
รัสสัง วา ปัสสะสันโต, รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกตัวท ั่วถ ึงว่า
เราหายใจออกสั้น ดังนี้
สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผรูู้้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง
จักห ายใจเข้า ดังนี้
สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผรูู้้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง
จักห ายใจออก ดังนี้
107
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�กายสังขารให้รำ�งับอยู่
จักห ายใจเข้า ดังนี้
ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�กายสังขารให้รำ�งับอยู่
จักห ายใจออก ดังนี้
ปีตปิ ะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผ รู้ พู้ ร้อมเฉพาะซงึ่ ป ตี ิ จักห ายใจเข้า ดังนี้
ปีตปิ ะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ
จักหายใจออก ดังนี้
สุขะป ะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผ รู้ พู้ ร้อมเฉพาะซงึ่ ส ขุ จักห ายใจเข้า ดังนี้
สุขะป ะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผ รู้ พู้ ร้อมเฉพาะซงึ่ ส ขุ จักห ายใจออก ดังนี้
108
จิตต ะสังขาระป ะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผรูู้้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร
จักห ายใจเข้า ดังนี้
จิตต ะสังขาระป ะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผรูู้้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร
จักห ายใจออก ดังนี้
ปัสสัมภะยัง จิตต ะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�จิตตสังขารให้รำ�งับอยู่
จักห ายใจเข้า ดังนี้
ปัสสัมภะยัง จิตต ะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�จิตตสังขารให้รำ�งับอยู่
จักห ายใจออก ดังนี้
จิตต ะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผรู้ พู้ ร้อมเฉพาะซง่ึ จติ จักหายใจเข้า ดังนี้
จิตต ะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผรู้ พู้ ร้อมเฉพาะซง่ึ จติ จักหายใจออก ดังนี้
109
อะภิปปะโมทะยัง จิตต ัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�จิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่
จักห ายใจเข้า ดังนี้
อะภิปปะโมทะยัง จิตต ัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�จิตให้ปราโมทย์ยิ่งอยู่
จักห ายใจออก ดังนี้
สะมาทะหัง จิตต ัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�จิตให้ตั้งม ั่นอ ยู่ จักห ายใจเข้า ดังนี้
สะมาทะหัง จิตต ัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�จิตให้ตั้งม ั่นอ ยู่ จักห ายใจออก ดังนี้
วิโมจะยัง จิตต ัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�จิตให้ปล่อยอยู่ จักห ายใจเข้า ดังนี้
วิโมจะยัง จิตต ัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผทู้ ำ�จิตให้ปล่อยอยู่ จักห ายใจออก ดังนี้
110
อะนิจจานปุ ัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผตู้ ามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยูเ่ป็นประจำ�
จักห ายใจเข้า ดังนี้
อะนิจจานปุ ัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผตู้ ามเห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยูเ่ป็นประจำ�
จักห ายใจออก ดังนี้
วิราคานปุ ัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผตู้ ามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ�
จักห ายใจเข้า ดังนี้
วิราคานปุ ัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผตู้ ามเห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ�
จักห ายใจออก ดังนี้
นิโรธานปุ ัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผตู้ ามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยูเ่ป็นประจำ�
จักห ายใจเข้า ดังนี้
111
นิโรธานปุ ัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผตู้ ามเห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยูเ่ป็นประจำ�
จักห ายใจออก ดังนี้
ปะฏินสิ สัคคานปุ ัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ภิกษุน ั้น ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผตู้ ามเห็นซึ่งความสลัดคืนอ ยู่เป็นประจำ�
จักห ายใจเข้า ดังนี้
ปะฏินสิ สัคคานปุ ัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
ย่อมทำ�ในบทศึกษาว่า
เราเป็นผตู้ ามเห็นซึ่งความสลัดคืนอ ยู่เป็นประจำ�
จักห ายใจออก ดังนี้
เอวัง ภาวติ า โข ภิกขะเว อานาปานะสะติ เอวัง
พะหุลีกะตา
ดูกอ่ นภกิ ษุทง้ั หลาย อานาปานสติอนั บคุ คลเจริญแล้ว
ทำ�ให้มากแล้ว อย่างนแี้ ล
มะหัปผะลา โหติ มะหานสิ ังสา
ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
อิติ
ด้วยประการฉะนีแ้ ล
112
มงคลสูตร
(ทางแห่งความเจริญ)
หันท ะ มะยัง มังคะละสุตต ะปาฐัง ภะณามะ เส
114
อะนากุลา จะ กัมม ันตา
การงานที่ไม่ยุ่งเหยิงสับสน
เอตัมมังคะละมุตต ะมัง
กิจเหล่านเี้ป็นมงคลอันสูงสุด
ทานัญจะ
การบำ�เพ็ญทาน
ธัมมะจะริยา จะ
การประพฤติธ รรม
ญาตะกานัญ จะ สังคะโห
การสงเคราะห์หมู่ญาติมิตร
อะนะวัชช านิ กัมม านิ
การงานอันป ราศจากโทษ
เอตัมมังคะละมุตต ะมัง
กิจเหล่านเี้ป็นมงคลอันสูงสุด
อาระตี วิระตี ปาปา
การงดเว้นจากบาปกรรม
มัชชะปานา จะ สัญญะโม
การเหนี่ยวรั้งใจไว้ไม่ดื่มน ้ำ�เมา
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุ
การไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
115
เอตัมมังคะละมุตต ะมัง
กิจเหล่านเี้ป็นมงคลอันสูงสุด
คาระโว จะ
ความเคารพอ่อนน้อม
นิวาโต จะ
ความอ่อนน้อมถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่ง
สันต ุฏฐี จะ
ความสันโดษยินดีในของที่มีอยู่
กะตัญญุต า
ความเป็นคนกตัญญู
กาเลนะ ธัมมัสสะวะนัง
การฟังธรรมตามกาล
เอตัมมังคะละมุตต ะมัง
กิจเหล่านเี้ป็นมงคลอันสูงสุด
ขันต ี จะ
ความอดทน
โสวะจัสสะตา
ความเป็นคนว่าง่ายสอนง่าย
สะมะณานัญจะ ทัสส ะนัง
การได้พ บสมณะผู้สงบจากกิเลส
116
กาเลนะ ธัมมะสากัจฉา
การสนทนาธรรมกันต ามกาล
เอตัมมังคะละมุตต ะมัง
กิจเหล่านเี้ป็นมงคลอันสูงสุด
ตะโป จะ
มีความเพียรเผากิเลส
พฺรัหฺมะจะริยัญจะ
การประพฤติพ รหมจรรย์
อะริยะสัจจานะ ทัสส ะนัง
การเห็นอริยสัจ
นิพพานะส ัจฉกิ ิริยา จะ
การทำ�ให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
เอตัมมังคะละมุตต ะมัง
กิจเหล่านเี้ป็นมงคลอันสูงสุด
ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ จิตตัง ยัสส ะ นะ กัมป ะติ
จิตข องผใู้ดอันโลกธรรม๑ทั้งหลายถูกต ้องแล้ว
ไม่หวั่นไหว
อะโสกัง
เป็นจิตไม่เศร้าโศก
๑
อ่านว่า โลก-กะ-ธรรม
117
วิระชัง
เป็นจิตไร้ธุลีกิเลส
เขมัง
เป็นจิตอ ันเกษมศานต์
เอตัมมังคะละมุตต ะมัง
กิจเหล่านเี้ป็นมงคลอันสูงสุด
เอตาทิสานิ กัตวฺานะ สัพพัตถ ะมะปะราชิตา,
สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉ ันต ิ
ตันเตสัง มังคะละมุตต ะมัง
หมู่มนุษย์ท ั้งหลาย
ถ้าได้ก ระทำ�มงคลทั้ง ๓๘ ประการนใี้ห้มีในตนแล้ว
จะเป็นผไู้ม่พ่ายแพ้๑ในที่ทั้งปวง
๑
ไม่ถูกอ กุศลธรรมครอบงำ�
118
ปราภวสุต ตปาฐะ
(ทางแห่งความเสื่อม)
หันท ะ มะยัง ปะราภะวะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส
119
นิทท าสีลี สะภาสีลี อะนุฏฐาตา จะ โย นะโร,
อะละโส โกธะปัญญาโน ตัง ปะราภะวะโต มุข ัง
ผูใ้ดเป็นผชู้ อบนอนหลับ ชอบพูดคุย ไม่ข ยัน
เกียจคร้านการงาน และเป็นคนมักโกรธ
ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม
โย มาตะรัง ปิตะรัง วา ชิณณะกัง คะตะโยพพะนัง,
ปะหุสันโต นะ ภะระติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง
ผูใ้ดมีความสามารถอยู่ ไม่เลี้ยงดบู ิดามารดา ผูช้ รา
อันม วี ยั ห นุม่ ผา่ นไปแล้ว ข้อน น้ั เป็นท างแห่งค วามเสือ่ ม
โย พฺราหฺมะณัง สะมะณัง วา อัญญงั วาปิ วะณิพพะกงั ,
มุสาวาเทนะ วัญเจติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง
ผูใ้ดหลอกลวงสมณะพราหมณ์
หลอกแม้วณิพกคนขอทานอื่นใดด้วยมุสาวาท
ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม
ปะหุตะวติ โต ปุริโส สะหิรัญโญ สะโภชะโน,
เอโก ภุญชะต ิ สาธูนิ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง
ผูใ้ดมีทรัพย์มีเงิน มีของเหลือกินเหลือใช้
เขาบริโภคสิ่งที่ดีๆ นั้นแ ต่ผ เู้ดียว
ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม
120
ชาตถิ ัทโธ ธะนะถัทโธ โคตต ะถัทโธ จะ โย นะโร,
สัญญาตมิ ะตมิ ัญเญติ ตัง ปะราภะวะโต มุข ัง
ผูใ้ดหยิ่งเพราะชาติก ำ�เนิด หยิ่งเพราะทรัพย์
หยิ่งเพราะโคตร แล้วด หู มิ่นซึ่งญาติข องตน
ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม
อิตถีธ ุตโต สุราธุตโต อักขะธ ุตโต จะ โย นะโร,
ลัทธัง ลัทธัง วินาเสติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง
ผูใ้ดเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา และนักเลง
เล่นการพนัน เขาได้ท ำ�ลายทรัพย์ที่หาได้ม า
ให้พินาศฉิบหายไป ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม
เสหิ ทาเรหิ อะสันต ุฏโฐ เวสิยาสุ ปะทุสสะติ,
ทุสสะติ ปะระทาเรสุ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง
ผูใ้ ดไม่พ อใจรกั ใคร่ในภรรยาตน กลับไปเทีย่ วซกุ ซน
กับห ญิงแพศยา และลอบทำ�ชู้กับภ รรยาของผู้อื่น
ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม
อะตตี ะโยพพะโน โปโส อาเนติ ติมพ ะรุตถะนิง,
ตัสส า อิสสา นะ สุปปะติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง
ชายแก่ผ มู้ ีวัยห นุ่มผ ่านไปแล้ว
ได้น ำ�หญิงสาวน้อยมาเป็นภรรยา เขานอนไม่หลับ
เพราะความหึงหวงและห่วงอาลัยในหญิงนั้น
ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม
121
อิตถิง โสณฑิง วิกริิณิง ปุริสัง วาปิ ตาทิสัง,
อิสสะริยัสฺมิง ฐะเปติ ตัง ปะราภะวะโต มุข ัง
ชายใดตง้ั หญิงนกั เลงใช้จา่ ยสรุ ยุ่ สุรา่ ยมาเป็นแม่เรือน
และหรือหญิงใดตั้งช ายนักเลงใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
มาเป็นพ่อเรือน ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม
อัปปะโภโค มะหาตัณฺโห ขัตต ิเย ชายะเต กุเล,
โส จะ รัชชัง ปัตถะยะติ ตัง ปะราภะวะโต มุขัง
ผูใ้ดมีโภคะน ้อย แต่ม ีความอยากใหญ่
เกิดในตระกูลกษัตริย์ ปรารถนาราชสมบัติ
ข้อนั้นเป็นทางแห่งความเสื่อม
เอเต ปะราภะเว โลเก ปัณฑิโต สะมะเวกขิยะ,
อะริโย ทัสสะนะสัมปันโน สะ โลเก ภะชะเต สิวัง
ผูเ้ป็นบัญฑิตส มบูรณ์ด้วยทัสสนะอันประเสริฐ
ได้เห็นเหตุแห่งความเสื่อมทั้งหลายเหล่านั้นช ัดแ ล้ว
ท่านย่อมละเว้นส ิ่งเหล่านเี้สีย เมื่อเป็นเช่นนั้น
ท่านจึงพบและเสพแต่โลกซึ่งมีแต่ค วามเจริญ
อิติ
ดังนีแ้ ล
122
มิตต ามิตต ค าถา
หันท ะ มะยัง มิตต ามิตต ะคาถาโย ภะณามะ เส
อัญญะทัตถ หุ ะโร มิตโต
มิตรปอกลอก๑นำ�ไปทางเสื่อมอย่างเดียว
โย จะ มิตโต วะจปี ะระโม
มิตรใดดแี ต่พ ูด๒
อะนปุ ปิยญ
ั จะ โย อาหุ
มิตรใดกล่าวคำ�ประจบ๓
อะปาเยสุ จะ โย สะขา
มิตรใดเป็นเพื่อนชวนฉิบหาย๔
เอเต อะมิตเต จัตต าโร อิติ วิญ
ญายะ ปัณฑิโต
บัณฑิตพิจารณาเห็นว่า คนทั้ง ๔ จำ�พวกนี้
มิใช่มิตรแล้ว
อาระกา ปะริวัชเชยยะ
พึงหลีกเลี่ยงเสียให้ห่างไกล
มัคค ัง ปะฏิภะยัง ยะถา
เหมือนคนเดินท าง เว้นทางอันมีภัยเสียฉะนั้น
๑
คิดเอาแต่ได้ฝ ่ายเดียว, ยอมเสียน้อย หวังเอาให้มาก, เมื่อตัวม ีภัย จึงม าช่วยทำ�กิจของเพื่อน,
คบเพื่อน เพราะเห็นแก่ผ ลประโยชน์
๒
ดีแ ต่ย กของหมดแล้วม าพูด, ดีแ ต่อ ้างของยังไม่มีมาพูด, สงเคราะห์ด้วยสิ่งหาประโยชน์ม ิได้,
เมื่อเพื่อนมีกิจ อ้างเหตุขัดข้อง
๓
จะทำ�ชั่วก เ็ออออ, จะทำ�ดกี เ็ออออ, ต่อหน้าสรรเสริญ, ลับหลังนินทา
๔
เพื่อนดื่มน ้ำ�เมา, เพื่อนเที่ยวกลางคืน, เพื่อนดกู ารละเล่น, เพื่อนเล่นการพนัน
123
อุปะกาโร จะ โย มิตโต
ส่วนมิตรใดมีอุปการะ๑
สุขะท ุกโข จะ โย สะขา
เพื่อนใดร่วมทุกข์ร่วมสุข๒กันได้
อัตถ ักข ายี จะ โย มิตโต
มิตรใดแนะประโยชน์ให๓้
โย จะ มิตต านกุ ัมป ะโก
และมิตรใดมีน้ำ�ใจอนุเคราะห์เอ็นดูซึ่งมิตร๔
เอเตปิ มิตเต จัตต าโร อิติ วิญ
ญายะ ปัณฑิโต
บัณฑิตพิจารณาเห็นว่า คนทั้ง ๔ จำ�พวกนี้
เป็นมิตรแท้จริงแล้ว
สักก ัจจัง ปะยริุปาเสยยะ
พึงเข้าไปคบหาโดยเคารพ
มาตา ปุตต ังวะ โอระสัง
ให้เหมือนมารดากับบ ุตรอันเป็นโอรส ฉะนั้น
๑
เพื่อนประมาท ช่วยรักษาเพื่อน, เพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สินเพื่อน, เมื่อมีภัย พึ่งพำ�นักได้,
มีกิจจำ�เป็น ช่วยออกทรัพย์ให้เกินก ว่าท ี่ออกปาก
๒
บอกความลับแก่เพื่อน, ปิดค วามลับของเพื่อน, มีภัยอ ันตราย ไม่ทิ้ง, แม้ชีวิตก ส็ ละให้ได้
๓
จะทำ�ชว่ั คอยหา้ ม, คอยแนะนำ� ให้ตง้ั ในความด,ี ให้ได้ฟงั สิง่ ทไ่ี ม่เคยฟงั , บอกทางสขุ ทางสวรรค์ให้
๔
ทุกข์ ทุกข์ด ว้ ย, สุข สุขด ว้ ย, เขาตเิ ตียนเพือ่ น ช่วยยบั ยัง้ แก้ให้, เขาสรรเสริญเพือ่ น ช่วยเสริมส นับสนุน
124
กรณียกิจ
หันท ะ มะยัง กะระณียะกิจจะคาถาโย ภะณามะ เส
126
อารักขกัมมัฏฐาน
หันทะ มะยงั อารกั ขะกัมมัฏฐานะ คาถาโย ภะณามะ เส
127
นะรานะระตริัจฉานะเภทา สัตต า สุเขสิโน,
สัพเพปิ สุขิโน โหนตุ สุขติ ัตต า จะ เขมิโน
สัตว์ท ั้งหลาย ทั้งมนุษย์อ มนุษย์แ ละดิรัจฉาน
ต่างเป็นผแู้ สวงหาความสุขด้วยกันท ั้งนั้น
ขอสัตว์ท ั้งหลายเหล่านั้น จงเป็นผู้มีความสุข
และเป็นผมู้ คี วามเบิกบ าน เพราะถงึ ซง่ึ ค วามสขุ น น้ั เถิด
เกสะโลมาทิฉะวานัง อะยะเมวะ สะมุสสะโย,
กาโย สัพโพปิ เชคุจโฉ วัณณ าทิโต ปะฏิกกุโล
กายนี้แล เป็นที่รวมแห่งซากศพ มีผมขนเป็นต้น
ซึ่งล้วนแต่เป็นของน่าเบื่อหน่าย เป็นของปฏิกูล
โดยมีสีและกลิ่นอ ันน่าเกลียดเป็นต้น
ชีวติ นิ ทฺริยปุ ัจเฉทะ สังขาตะมะระณัง สิยา,
สัพเพสังปีธะ ปาณีนัง ตัณหิ ธุวัง นะ ชีวติ ัง
ความตายคือค วามแตกสลายแห่งชีวิต
จะมีแก่ส ัตว์ท ั้งหมดทั้งสิ้นในโลกนี้
เพราะว่าค วามตายเป็นของเที่ยง
ชีวิตค วามเป็นอยูเ่ป็นของไม่เที่ยง ดังนี้แล
128
อานิสงส์เมตตา
หันท ะ มะยัง เมตตาเอกาทะสานสิ ังสะ คาถาโย
ภะณามะ เส
129
(๑) สุขัง สุปะติ
คือผ ู้เจริญเมตตาจิตน ั้น หลับอ ยูก่ เ็ป็นสุขสบาย
(๒) สุขัง ปะฏิพุชฌะติ
ตื่นข ึ้นก เ็ป็นสุขสบาย
(๓) นะ ปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติ
ไม่ฝันร้าย
(๔) มะนสุ สานัง ปิโย โหติ
เป็นที่รักของเหล่ามนุษย์ท ั้งหลาย
(๕) อะมะนสุ สานัง ปิโย โหติ
เป็นที่รักของเหล่าอมนุษย์ท ั่วไป
(๖) เทวะตา รักข ันติ
เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา
(๗) นาสสะ อัคคิ วา วิส ัง วา สัตถ ัง วา กะมะติ
ไฟกด็ ียาพิษกด็ ศี ัสตรากด็ ี ย่อมทำ�อันตรายไม่ได้
(๘) ตุวะฏัง จิตต ัง สะมาธิยะติ
จิตย ่อมเป็นสมาธิได้รวดเร็ว
(๙) มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ
ผิวห น้าย่อมผ่องใส
(๑๐) อะสัมมุฬฺโห กาลัง กะโรติ
เป็นผู้ไม่ลุ่มหลงทำ�กาลกิริยาตาย
130
(๑๑) อุตต ะริง อัปปะฏิวิชฌันโต
พฺรัหฺมะโลกูปะโค โหติ
เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษอันย ิ่งๆ ขึ้นไป
ย่อมเป็นผเู้ข้าถึงพ รหมโลกแล
เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติย า
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
เมตตาอันเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตน ี้
อาเสวติ ายะ ภาวติ ายะ
อันบ ุคคลบำ�เพ็ญจนคุ้นแ ล้ว ทำ�ให้มากแล้ว
พะหุลีกะตายะ ยานีก ะตายะ
ทำ�ให้มากคือช ำ�นาญ ให้เป็นยวดยานของใจ
วัตถุก ะตายะ อะนุฏฐิตายะ
ทำ�ให้เป็นที่อยูข่ องใจ ตั้งไว้เป็นนิตย์
ปะริจติ ายะ สุส ะมารัทธายะ
อันบ ุคคลสั่งสมอบรมแล้ว บำ�เพ็ญดีแล้ว
อิเม เอกาทะสานสิ ังสา ปาฏิกังขา
ย่อมมีอานิสงส์สิบเอ็ดประการ
อิติ
อย่างนแี้ ล
131
จตุรปั ปมัญญาโอภาสนปาฐะ
หันท ะ มะยัง จตุรปั ปะมัญญาโอภาสะนะปาฐัง
ภะณามะ เส
134
สาราณียธัมมสุตต ป าฐะ
หันท ะ มะยัง สาราณียะธัมมะสุตต ะปาฐัง ภะณามะ เส
136
ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุโน
อีกป ระการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยน ี้
เมตต ัง มะโนกัมมัง ปัจจปุ ัฏฐิตงั โหติ
เข้าไปตั้งม โนกรรมประกอบด้วยเมตตา
สะพฺรัหฺมะจารีสุ อาวิ เจวะ ระโห จะ
ในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อห น้าและลับหลัง
อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย
แม้ขอ้ น กี้ เ็ ป็นส าราณียธรรม ธรรมเครือ่ งระลึกถงึ กัน
ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ สังคะห ายะ
สร้างความรัก ก่อค วามเคารพ เพื่อสงเคราะห์กัน
อะววิาทายะ สามัคค ยิ า เอกีภ าวายะ สังวัตต ะติ
เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความสามัคคี
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
137
ตะถารูเปหิ ลาเภหิ อัปปะฏิวภิ ัตต ะโภคี โหติ
ไม่จำ�เพาะเจาะจงผู้นั้นผ นู้ ี้
สีละวันเตหิ สะพฺรัหฺมะจารีหิ สาธารณะโภคี
แต่บริโภครว่ มกนั กบั เพือ่ นพรหมจารีทง้ั หลาย ผูม้ ศี ลี
อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย
แม้ขอ้ น กี้ เ็ ป็นส าราณียธรรม ธรรมเครือ่ งระลึกถงึ กัน
ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ สังคะห ายะ
สร้างความรัก ก่อค วามเคารพ เพื่อสงเคราะห์กัน
อะววิาทายะ สามัคค ยิ า เอกีภาวายะ สังวัตต ะติ
เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความสามัคคี
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
138
ภุชิสสานิ วิญญูป ะสัตถานิ
เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ
อะปะรามัฏฐานิ สะมาธิสังวัตต ะนกิ านิ
อันต ัณหาทิฐิแตะต้องไม่ได้ เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ
ตะถารูเปสุ สีเลสุ สีละสามัญญะคะโต วิห ะระติ
สะพฺรัหฺมะจารีหิ
มีศีลเช่นนั้นเสมอกัน กับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย
อาวิ เจวะ ระโห จะ
ทั้งต่อห น้าและลับหลัง
อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย
แม้ขอ้ น กี้ เ็ ป็นส าราณียธรรม ธรรมเครือ่ งระลึกถงึ กัน
ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ สังคะห ายะ
สร้างความรัก ก่อค วามเคารพ เพื่อสงเคราะห์กัน
อะววิาทายะ สามัคค ยิ า เอกีภาวายะ สังวัตต ะติ
เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความสามัคคี
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
139
นิยย าติ ตักกะรัสสะ สัมมาทุกขักขะยายะ
ย่อมนำ�ผกู้ ระทำ�ตามไป เพือ่ ค วามสน้ิ แห่งท กุ ข์โดยชอบ
ตะถารูปายะ ทิฏฐิยา ทิฏฐิสามัญญะคะโต วิห ะระติ
สะพฺรัหฺมะจารีหิ
มีทิฐิเช่นนั้นเสมอกัน กับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย
อาวิ เจวะ ระโห จะ
ทั้งต่อห น้าและลับหลัง
อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย
แม้ขอ้ น กี้ เ็ ป็นส าราณียธรรม ธรรมเครือ่ งระลึกถงึ กัน
ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ สังคะห ายะ
สร้างความรัก ก่อค วามเคารพ เพื่อสงเคราะห์กัน
อะววิาทายะ สามัคค ยิ า เอกีภ าวายะ สังวัตต ะติ
เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความสามัคคี
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อิเม โข ภิกขะเว
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
ฉะ ธัมม า สาราณียา
ธรรม ๖ ประการเหล่านี้ เป็นส าราณียธรรม
ธรรมเครื่องระลึกถึงกัน
140
ปิยะกะระณา คะรุกะระณา สังคะห ายะ
สร้างความรัก ก่อค วามเคารพ เพื่อสงเคราะห์กัน
อะววิาทายะ สามัคค ยิ า เอกีภาวายะ สังวัตต ันต ตี ิ
เพื่อไม่วิวาทกัน เพื่อความสามัคคี
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนีแ้ ล
141
โคตมีส ุตต ป าฐะ
หันท ะ มะยัง โคตะมีสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส
143
โน วิริยารัมภายะ
มิใช่เพื่อปรารภความเพียร
ทุพภะระตายะ สังวัตต ันติ
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก
โน สุภะระตายาติ
มิใช่เพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย
เอกังเสนะ โคตะมิ ธาเรยยาสิ
ดูก ่อนพระนางโคตมี เธอพึงทรงจำ�ไว้โดยส่วนเดียว
เนโส ธัมโม เนโส วินะโย เนตัง สัตถุส าสะนันต ิ
ว่าน ไี่ม่ใช่ธรรม นี่ไม่ใช่วินัย
หาใช่คำ�สั่งสอนของพระศาสดาไม่
เย จะ โข ตะวัง โคตะมิ ธัมเม ชาเนยยาสิ
ดูก ่อนพระนางโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่าใดแล
อิเม ธัมมา วิราคายะ สังวัตต ันติ
ว่าธ รรมเหล่านี้ เป็นไปเพื่อความคลายกำ�หนัด
โน สะราคายะ
มิใช่เพื่อความกำ�หนัด
วิส ังโยคายะ สังวัตต ันติ
เป็นไปเพื่อปราศจากความประกอบทุกข์
โน สังโยคายะ
มิใช่เพื่อความประกอบทุกข์
144
อะปะจะยายะ สังวัตต ันติ
เป็นไปเพื่อความไม่สั่งสมกองกิเลส
โน อาจะยายะ
มิใช่เพื่อความสั่งสมกองกิเลส
อัปปิจฉะตายะ สังวัตต ันติ
เป็นไปเพื่อความอยากอันน ้อย
โน มะหิจฉะตายะ
มิใช่เพื่อความอยากใหญ่
สันต ุฏฐิยา สังวัตต ันติ
เป็นไปเพื่อความสันโดษ
โน อะสันต ุฏฐิยา
มิใช่เพื่อความไม่สันโดษ
ปะวเิวกายะ สังวัตต ันติ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
โน สังคะณิก ายะ
มิใช่เพื่อความคลุกคลีด ้วยหมู่คณะ
วิริยารัมภายะ สังวัตต ันติ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
โน โกสัชชายะ
มิใช่เพื่อความเกียจคร้าน
145
สุภะระตายะ สังวัตต ันติ
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย
โน ทุพภะระตายะ
มิใช่เพื่อความเป็นคนเลี้ยงยาก
เอกังเสนะ โคตะมิ ธาเรยยาสิ
ดูก ่อนพระนางโคตมี เธอพึงทรงจำ�ไว้โดยส่วนเดียว
เอโส ธัมโม เอโส วินะโย เอตัง สัตถุส าสะนันต ิ
ว่าน เี่ป็นธรรม นี่เป็นวินัย
นีเ่ป็นคำ�สั่งสอนของพระศาสดา ดังนีแ้ ล
146
สังเวคอิธชีวิตค าถา
หันท ะ มะยัง สังเวคะอิธะชีวติ ะ คาถาโย ภะณามะ เส
อัปปะมายุ มะนสุ สานัง หิเฬยยะนัง สุโปริโส
อายุของหมู่มนุษย์น นี้ ้อยนัก
ผูใ้คร่คุณงามความดพี ึงดหู มิ่นอายุที่น้อยนิดน ี้
จะเรยยะ ทิตต ะสีโสวะ นัตถิ มัจจุส สะ นาคะโม
พึงรบี ป ระพฤติต นให้เหมือนคนถกู ไฟไหม้บ นศรี ษะเถิด
เพราะความตายจะไม่มาถึงเรานั้นไม่มี
อัจจะยันต ิ อะโหรัตต า ชีวติ ัง อุป ะรุชฌะติ
วันค ืนก ล็ ่วงเลยไป ชีวิตก ใ็กล้สู่ความตาย
อายขุ ียะติ มัจจานัง กุนน ะทีนัง วา อุท ะกันต ิ
อายุของสัตว์ท ั้งหลายย่อมสิ้นไป
เหมือนน้ำ�ในแม่น้ำ�น ้อยไหลบ่อยๆ ย่อมหมดสิ้นไป
นะ เหวะ ติฏฐัง นาสีนัง นะ สะยานัง นะ ปัตถะคุง
อายุสังขารจะพลอยประมาทไปกับม นุษย์ท ั้งหลาย
ที่ยืนเดินน ั่งนอนอยู่กห็ าไม่
ตัสมฺ า อิธะ ชีวติ ะเสเส
เพราะเหตุนั้นแล ชีวิตท ี่ยังเหลืออยูน่ ี้
กิจจะกะโร สิยา นะโร นะ จะ มัชเชติ
พึงรีบกระทำ�ความดตี ามหน้าที่ของตน
อย่าได้ป ระมาทเลย
147
ธัมมนิย ามสูตร
หันท ะ มะยัง ธัมมะนยิ ามะสุตต ะปาฐัง ภะณามะ เส
149
สัพเพ สังขารา ทุกข าติ
ว่าส ังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์
ดังนี้
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ
ย่อมถึงพ ร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวฺา อะภิสะเมตฺวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพ ร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกข ะติ เทเสติ
ย่อมบอก ย่อมแสดง
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งข ึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย ย่อมจำ�แนกแจกแจง
อุตต านีก ะโรติ
ย่อมทำ�ให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ�
สัพเพ สังขารา ทุกข าติ
ว่าส ังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์
ดังนี้
150
อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนปุ ปาทา วา
ตะถาคะตานัง
ดูกอ่ นภกิ ษุท งั้ ห ลาย เพราะเหตุท พี่ ระตถาคตทงั้ ห ลาย
จะบังเกิดขึ้นก ็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก ็ตาม
ฐิตา วะ สา ธาตุ
ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยูแ่ ล้วน ั่นเทียว
ธัมมัฏฐิตะต า
คือค วามตั้งอยูแ่ ห่งธรรมดา
ธัมมะนยิ ามะตา
คือค วามเป็นกฎตายตัวแ ห่งธรรมดา
สัพเพ ธัมมา อะนัตต าติ
ว่าธ รรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา
ดังนี้
ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ
ย่อมถึงพ ร้อมเฉพาะซึ่งธรรมธาตุนั้น
อะภิสัมพุชฌิตวฺา อะภิสะเมตฺวา
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพ ร้อมเฉพาะแล้ว
อาจิกข ะติ เทเสติ
ย่อมบอก ย่อมแสดง
151
ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ
ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งข ึ้นไว้
วิวะระติ วิภะชะติ
ย่อมเปิดเผย ย่อมจำ�แนกแจกแจง
อุตต านีก ะโรติ
ย่อมทำ�ให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ�
สัพเพ ธัมมา อะนัตต าติ
ว่าธ รรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา
ดังนี้.
152
อุปกิเลส ๑๖
หันท ะ มะยัง โสฬะสะอุปะกิเลสะค าถาโย ภะณามะ เส
อะภิชฌาวสิ ะมะโลโภ ความโลภเพ่งเล็งอยากได้ข องเขา
โทโส ความประทุษร้ายเขา
โกโธ ความโกรธเคืองเขา
อุปะนาโห ความผูกเวรหมายมั่นก ัน
มักโข ความลบหลู่คุณเขา
การลบล้างปิดซ ่อนคุณค่าค วามดขี องผู้อื่น
ปะลาโส ความตีเสมอ ยกตัวข ึ้นเทียมเขา
เอาตัวข ึ้นต ั้งข วางไว้ไม่ยอมให้ใครดกี ว่าต น
อิสสา ความริษยาเขา
มัจฉะริยัง ความตระหนีห่ วงแหน แบ่งแยกกีดกัน
เรื่องที่อยูอ่ าศัย ท้องถิ่นด ินแ ดน
เรื่องการได้ล าภผลประโยชน์
เรื่องพงศ์เผ่าเหล่ากอ ชาติพันธุ์พวกพ้อง
เรื่องชนชั้นวรรณะสีผิว และเรื่อง
วิชาความรู้ ผลสำ�เร็จทางภมู ธิ รรมภูมปิ ญ ั ญา
มายา ความเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากล
สาเถยยัง ความโอ้อวดตัวให้ยิ่งกว่าค ุณท ี่มีอยู่
ถัมโภ ความแข็งกระด้างดื้อด ึง
เมื่อเขาสั่งสอนว่าก ล่าวโดยธรรมโดยชอบ
สารัมโภ ความปรารภไม่ยอมตาม
153
หาเหตุผลมาอ้างทุ่มเถียงต่างๆ
เมื่อขณะเขาว่าก ล่าวโดยธรรมโดยชอบ
มาโน ความเย่อหยิ่งถือเราถือเขา ถือตัวถ ือต น
อะตมิ าโน ความดูถูกล ่วงเกินผ อู้ ื่น
มะโท ความเมาหลงในร่างกายที่ทรุดโทรม
ด้วยความชรามีอยูท่ ุกวันๆ
สำ�คัญว่าย ังหนุ่มสาวอยู่ มัวห ลงไป
เมาหลงในร่างกายที่ป่วยไข้อยูเ่ป็นนิจ
ต้องกินย าคือข้าวน้ำ�ท ุกเช้าค่ำ�
สำ�คัญว่าไม่มีโรคเป็นสุขสบาย มัวห ลงไป
เมาหลงในชีวิตท ี่เป็นของไม่เที่ยง
อาจดับไปดั่งประทีปจุดไว้ในที่แจ้งฉะนั้น
สำ�คัญว่าจะไม่ตาย มัวห ลงไป
ปะมาโท ความประมาท การเป็นอยูอ่ ย่างขาดสติ
ดำ�เนินช ีวิตถ ลำ�ลงไปในทางเสื่อม
ละเลยหน้าที่ที่พึงรับผิดช อบ
ปล่อยโอกาสสำ�หรับความดงีาม
และความเจริญก้าวหน้าให้ผ่านไป
ไม่ตระหนักในสง่ิ ทพ่ี งึ ทำ�และพงึ เว้น ประมาทไป
อุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองใจ ๑๖ ข้อนี้ มีอยู่ในผใู้ด
จิตข องผนู้ ั้นย ่อมขุ่นม ัว รับคุณธรรมได้ย าก
ดุจผ ้าเปรอะเปื้อนสกปรก ย้อมให้ดไีม่ได้ ดังนีแ้ ล
154
อตตี ปัจจเวกขณปาฐะ
หันท ะ มะยัง อะตตี ะปัจจะเวกขะณะปาฐัง ภะณามะ เส
155
โส เนวะ ทะวายะ
บิณฑบาตนั้นเราฉันแ ล้วไม่ใช่เป็นไป
เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน
นะ มะทายะ
ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความเมามันเกิดก ำ�ลังพลังทางกาย
นะ มัณฑะน ายะ
ไม่ใช่เป็นไปเพื่อประดับ
นะ วิภสู ะนายะ
ไม่ใช่เป็นไปเพื่อตกแต่ง
ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัส สะ ฐิตยิ า
แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยูไ่ด้แ ห่งกายนี้
ยาปะนายะ
เพื่อความเป็นไปได้ข องอัตตภาพ
วิห ิงสุปะระตยิ า
เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำ�บากทางกาย
พฺรัหฺมะจะริยานคุ ค ะหายะ
เพื่ออนุเคราะห์แก่ก ารประพฤติพ รหมจรรย์
อิติ ปุราณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ
ด้วยการทำ�อย่างนี้
เราย่อมระงับเสียได้ซ ึ่งทุกขเวทนาเก่าคือค วามหิว
156
นะวัญจะ เวทะนัง นะ อุปป าเทสสามิ
และไม่ทำ�ทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดข ึ้น
ยาตฺรา จะ เม ภะวสิ สะติ อะนะวัชชะตา จะ
ผาสุวหิ าโร จาติ
อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตตภาพนดี้ ้วย
ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด ้วย
และความเป็นอยูโ่ดยผาสุกด ้วย จักม ีแก่เรา
ดังนี้
อัชชะ มะยา อะปัจจะเวกขิตวฺา
ยัง เสนาสะนัง ปะริภุตต ัง
เสนาสนะใดอนั เราใช้สอยแล้วไม่ทนั พจิ ารณาในวนั น้ี
ตัง ยาวะเทวะ สีตสั สะ ปะฏิฆ าตายะ
เสนาสนะนน้ั เราใช้สอยแล้วเพียงเพือ่ บ ำ�บัดค วามหนาว
อุณฺหัสสะ ปะฏิฆาตายะ
เพื่อบำ�บัดความร้อน
ฑังสะมะกะสะวาตาตะปะสิริงสะปะสัมผัสสานัง
ปะฏิฆาตายะ
เพื่อบำ�บัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบยุงลมแดด
และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย
157
ยาวะเทวะ อุตปุ ะริสสะยะวโินทะนัง
ปะฏิสัลลานารามัตถ ัง
เพียงเพือ่ บรรเทาอนั ตรายอนั จะพงึ ม จี ากดนิ ฟา้ อากาศ
และเพื่อความเป็นผยู้ ินดีอ ยูไ่ด้ในที่หลีกเร้น
สำ�หรับภาวนา
อัชชะ มะยา อะปัจจะเวกขิตวฺา
โย คิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกขาโร ปะริภุตโต
คิลานะเภสัชบริขารใดอันเราบริโภคแล้ว
ไม่ทันพิจารณาในวันน ี้
โส ยาวะเทวะ อุปปันน านัง เวยยาพาธิกานัง
เวทะน านัง ปะฏิฆาตายะ
คิลานะเภสัชบริขารนั้นเราบริโภคแล้ว
เพียงเพื่อบำ�บัดทุกขเวทนาอันบ ังเกิดขึ้นแ ล้ว
มีอาพาธต่างๆ เป็นมูล
อัพฺยาปัชฌะปะระมะตายาติ
เพื่อความเป็นผไู้ม่มีโรคเบียดเบียนเป็นอย่างยิ่ง
ดังนี้
158
ธัมมปหังสนป าฐะ
หันท ะ มะยัง ธัมมะปะหังสะนะสะมาทะปะนาทิวะจะนะ
ปาฐัง ภะณามะ เส
160
มะหันต ัญ จะ สะทัตถ ัง ปะริหาเปติ
ย่อมทำ�ประโยชน์อ ันใหญ่หลวงของตนให้เสื่อมด้วย
อารัทธะวริิโย จะ โข ภิกขะเว สุข ัง วิหะระติ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย บุคคลผมู้ ีความเพียร
อันป รารภแล้ว ย่อมอยูเ่ป็นสุข
ปะวิวิตโต ปาปะเกหิ อะกสุ ะเลหิ ธัมเมหิ
สงัดแล้วจากอกุศลธรรมอันล ามกทั้งหลายด้วย
มะหันต ัญจะ สะทัตถ ัง ปะริปูเรติ
ย่อมทำ�ประโยชน์อนั ใหญ่ห ลวงของตนให้บ ริบรู ณ์ด ว้ ย
นะ ภิกขะเว หีเนนะ อัคคัสส ะ ปัตติ โหติ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย การบรรลุธรรมอันเลิศ
ด้วยการกระทำ�อันเลว ย่อมมีไม่ได้เลย
อัคเคนะ จะ โข อัคคัสส ะ ปัตติ โหติ
แต่ก ารบรรลุธรรมอันเลิศ ด้วยการกระทำ�อันเลิศ
ย่อมมีได้แ ล
มัณฑะเปยยะมิทัง ภิกขะเว พฺรัหฺมะจะริยัง
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย พรหมจรรย์นนี้ ่าด ื่ม
เหมือนมัณฑะยอดโอชาแห่งโครส
สัตถา สัมม ุขีภโูต
ทั้งพระศาสดากอ็ ยู่ ณ ทีเ่ฉพาะหน้านแี้ ล้ว
161
ตัสมฺ าตหิ ะ ภิกขะเว วิริยัง อาระภะถะ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย เพราะฉะนั้น
เธอทั้งหลายจงปรารภความเพียรเถิด
อัปปัตตัสส ะ ปัตติย า
เพื่อการบรรลุถึงซ ึ่งธรรมอันย ังไม่บรรลุ
อะนะธิคะตัสส ะ อะธิค ะมายะ
เพื่อการถึงท ับซึ่งธรรมอันยังไม่ถึงทับ
อะสัจฉกิ ะตัสสะ สัจฉ กิ ิริยายะ
เพื่อการกระทำ�ให้แจ้งซึ่งธรรมอันย ังไม่ได้ท ำ�ให้แจ้ง
เอวัง โน อะยัง อัมหากัง ปัพพัชชา
เมื่อเป็นอย่างนี้ บรรพชานขี้ องเราทั้งหลาย
อะวังก ะตา อะวัญฌา ภะวสิ สะติ
จักเป็นบรรพชาไม่ต่ำ�ท ราม จักไม่เป็นหมันเปล่า
สะผะลา สะอุทะระยา
แต่จักเป็นบรรพชาที่มีผล เป็นบรรพชาที่มีกำ�ไร
เยสัง มะยัง ปะริภุญชามะ จีวะระปิณฑะปาตะ-
เสนาสะนะคิลานะปัจจะยะเภสัชชะปะริกข ารัง
พวกเราทั้งหลาย
บริโภคจีวรบิณฑบาตเสนาสนะและเภสัช
ของชนทั้งหลายเหล่าใด
162
เตสัง เต การา อัมฺเหสุ
การกระทำ�นั้นๆ ของชนทั้งหลายเหล่านั้น
ในเราทั้งหลาย
มะหัปผะลา ภะวสิ สันติ มะหานสิ ังสาติ
จักเป็นการกระทำ�มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ดังนี้
เอวัง หิ โว ภิกขะเว สิกขิตัพพ ัง
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
เธอทั้งหลายพึงทำ�ความสำ�เหนียกอย่างนแี้ ล
อัตต ัตถ ัง วา หิ ภิกขะเว สัมปัสส ะมาเนนะ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย
เมื่อบุคคลมองเห็นอยูซ่ ึ่งประโยชน์แ ห่งตนก็ตาม
อะละเมวะ อัปปะมาเทนะ สัมป าเทตุง
ก็ค วรแล้วน ั่นเทียว เพื่อยังประโยชน์แ ห่งตน
ให้ถึงพ ร้อมด้วยความไม่ประมาท
ปะรัตถ ัง วา หิ ภิกขะเว สัมปัสส ะมาเนนะ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย เมื่อบุคคลมองเห็นอยู่
ซึ่งประโยชน์แห่งชนเหล่าอื่นก ็ตาม
อะละเมวะ อัปปะมาเทนะ สัมป าเทตุง
ก็ค วรแล้วน นั่ เทียว เพือ่ ย งั ป ระโยชน์แ ห่งชนเหล่าอ นื่
ให้ถึงพ ร้อมด้วยความไม่ประมาท
163
อุภะยัตถ ัง วา หิ ภิกขะเว สัมปัสส ะมาเนนะ
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย หรือว่าเมื่อบุคคลมองเห็นอยู่
ซึ่งประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายก็ตาม
อะละเมวะ อัปปะมาเทนะ สัมป าเทตุง
ก็ค วรแล้วน ั่นเทียว เพื่อยังประโยชน์ข องทั้งสอง
ฝ่ายนั้นให้ถึงพ ร้อมด้วยความไม่ประมาท
อิติ
ดังนีแ้ ล
164
สมณสัญญา ๓ ประการ
หันท ะ มะยัง ติส สะสะมะณะสัญญาปาฐัง ภะณามะ เส
165
อิเม โข ภิกขะเว ติสโส สะมะณะสัญญา ภาวติ า
พะหุลีกะตา
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย สมณสัญญา ๓ ประการ
เหล่านแี้ ล อันบ รรพชิตกระทำ�ให้มากแล้ว
สัตตะ ธัมเม ปะริปูเรนติ
ย่อมกระทำ�ธรรมะทั้ง ๗ ประการให้บริบูรณ์ได้
กะตะเม สัตตะ
ธรรมะ ๗ ประการคืออ ะไรบ้าง
นิจจัง สัตตะการี โหติ สัตต ะวุตต ิ สีเลสุ
คือเป็นผู้มีปกติประพฤติในศีลด้วยความสม่ำ�เสมอ
เป็นนิตย์
อะนะภิชฌาลุ โหติ
เป็นผู้มีปกติไม่เพ่งเล็งสิ่งใด
อัพฺยาปัชโฌ โหติ
เป็นผู้ไม่เบียดเบียนใคร
อะนะตมิ านี โหติ
เป็นผู้ไม่ดหู มิ่นผู้อื่น
สิกขากาโม โหติ
เป็นผู้ใคร่ต่อก ารศึกษา
166
อิจจัตถ ันต สิ สะโหติ ชีวติ ะปะริกข าเรสุ
เป็นผู้มีความพิจารณาให้เห็นประโยชน์ในบริขาร
เครื่องเลี้ยงชีวิต
อารัทธะวริิโย วิห ะระติ
ย่อมเป็นผปู้ รารภความเพียรอยู่
อิเม โข ภิกขะเว ติสโส สะมะณะสัญญา ภาวติ า
พะหุลีกะตา
ดูก ่อนภิกษุท ั้งหลาย สมณสัญญา ๓ ประการ
เหล่านแี้ ล อันบ รรพชิตกระทำ�ให้มากแล้ว
อิเม สัตตะ ธัมเม ปะริปูเรนตตี ิ
ย่อมกระทำ�ธรรมะทั้ง ๗ ประการเหล่านี้
ให้บริบูรณ์ได้ฉ ะนีแ้ ล
167
สามเณรสิกขา
(สิกขาบท ๑๐)
168
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระม ะณี
เจตนาเครื่องงดเว้นจากเหตุอันเป็นที่ตั้ง
แห่งความประมาทคือก ารดื่มก ินส ุราและเมรัย
วิก าละโภชะนา เวระม ะณี
เจตนาเครื่องงดเว้นจากการบริโภคอาหาร
ในเวลาวิกาล
นัจจะคตี ะวาทิตะวสิ ูกะทัสสะนา เวระม ะณี
เจตนาเครื่องงดเว้นจากการขับร้องฟ้อนรำ�
และประโคมดนตรีแ ละดกู ารละเล่นต่างๆ
มาลาคันธะวเิลปะน ะธาระณะมัณฑะน ะวิภสู ะนัฏฐานา
เวระม ะณี
เจตนาเครื่องงดเว้นจากการทัดท รงดอกไม้ประดับ
ตกแต่งด้วยดอกไม้ของหอมเครื่องย้อมเครื่องทา
อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระม ะณี
เจตนาเครื่องงดเว้นจากการนั่งห รือนอน
เหนือที่นั่งท ี่นอนอันส ูงอันใหญ่
ชาตะรูปะระชะตะปะฏิคค ะหะณา เวระม ะณี
เจตนาเครื่องงดเว้นจากการรับเงินและทอง
(นาสนังคะ ๑๐)
อะนญ ุ ญาสิ โข ภะคะวา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้แ ล้วแ ล
169
ทะสะหิ อังเคหิ สะมันน าคะตัง สามะเณรัง นาเสตุง
เพื่อยังสามเณรผปู้ ระกอบด้วยองค์สิบให้ฉิบหาย
กะตะเมหิ ทะสะหิ
องค์สิบอะไรบ้าง
ปาณาติปาตี โหติ
คือส ามเณรชอบทำ�สัตว์ท ี่มีชีวิตให้ตกล่วงไป
อะทินน าทายี โหติ
สามเณรชอบถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้
อะพฺรัหฺมะจารี โหติ
สามเณรไม่ชอบประพฤติพ รหมจรรย์
มุสาวาที โหติ
สามเณรชอบพูดปด
มัชชะปายี โหติ
สามเณรชอบดื่มก ินข องเมา
พุทธัสสะ อะวัณณ ัง ภาสะติ
สามเณรกล่าวตเิตียนพระพุทธเจ้า
ธัมมัสสะ อะวัณณ ัง ภาสะติ
สามเณรกล่าวตเิตียนพระธรรม
สังฆัสสะ อะวัณณ ัง ภาสะติ
สามเณรกล่าวตเิตียนพระสงฆ์
170
มิจฉาทิฏฐิโก โหติ
สามเณรเป็นผมู้ ีความเห็นผิดจากธรรมวินัย
ภิกขุณที ูสะโก โหติ
สามเณรชอบประทุษร้ายภิกษุณี
อะนญ ุ ญาสิ โข ภะคะวา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้แ ล้วแ ล
อิเมหิ ทะสะหิ อังเคหิ สะมันน าคะตัง สามะเณรัง
นาเสตุนต ิ
เพือ่ ยงั สามเณรผปู้ ระกอบดว้ ยองค์สบิ เหล่าน ้ี ให้ฉบิ หาย
ดังนี้
(ทัณฑกรรม ๕)
อะนญุ ญาสิ โข ภะคะวา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้แ ล้วแ ล
ปัญจะหิ อังเคหิ สะมันน าคะตัสส ะ สามะเณรัสสะ
ทัณฑะกัมมัง กาตุง
เพื่อทำ�ทัณฑกรรมคือลงโทษแก่สามเณรผู้ประกอบ
ด้วยองค์ห้าอย่าง
กะตะเมหิ ปัญจะหิ
องค์ห้าอย่างอะไรบ้าง
ภิกข ูนัง อะลาภายะ ปะริสักกะติ
คือส ามเณรพยายามทำ�ให้ภิกษุเสื่อมลาภที่ควรจะได้
171
ภิกข ูนัง อะนัตถ ายะ ปะริสักกะติ
สามเณรพยายามทำ�สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
แก่ภ ิกษุท ั้งหลาย
ภิกข ูนัง อะนาวาสายะ ปะริสักกะติ
สามเณรพยายามทำ�ไม่ให้ภิกษุอ ยูอ่ ย่างสงบ
ภิกข ู อักโกสะติ ปะริภาสะติ
สามเณรด่าแ ละพูดขู่ภิกษุท ั้งหลาย
ภิกข ู ภิกข ูหิ เภเทติ
สามเณรยใุห้ภิกษุแ ตกกัน
อะนญุ ญาสิ โข ภะคะวา
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้แ ล้วแ ล
อิเมหิ ปัญจะหิ อังเคหิ สะมันน าคะตัสสะ
สามะเณรัสสะ ทัณฑะกัมมัง กาตุนต ิ
เพื่อทำ�ทัณฑกรรมแก่ส ามเณรผทู้ ำ�ผิด
ประกอบด้วยองค์ห้าอย่างเหล่านี้
ดังนี้
นอกจากนี้แล้ว สามเณรยังจะต้องศึกษา
และปฏิบัติตามเสขิยวัตร ๗๕ ข้อ อีกด้วย
เพื่อรักษากิริยามารยาทให้เรียบร้อย
สมกับค วามเป็นเหล่ากอของสมณะทดี่ ี
172
สัจจะกริิยะคาถา
หันท ะ มะยัง สัจจะกริิยะคาถาโย ภะณามะ เส
175
ตายนค าถา
หันท ะ มะยัง ตายะนะคาถาโย ภะณามะ เส
176
กะตัญจะ สุก ะตัง เสยโย ยัง กัตวฺา นานุตปั ปะติ
อันค วามดที ำ�ไว้น ั่นแ หละดกี ว่า
เพราะทำ�แล้วไม่ต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง
กุโส ยะถา ทุค ค ะหิโต หัตถ ะเมวานกุ ันต ะติ
บุคคลจะถอนหญ้าค าแต่จบั ไม่ด ี ย่อมบาดมอื ได้ฉ นั ใด
สามัญญัง ทุป ปะรามัตถ ัง นิระยายปู ะกัฑฒะติ
สมณธรรมที่บรรพชิตประพฤติด้วยความย่อหย่อน
และชั่วช ้า ย่อมฉุดล ากเขาลงไปสู่นรกได้ฉ ันน ั้น
ยังกิญจิ สิถิลงั กัมมัง สังกิลิฏฐัญจะ ยัง วะตัง
การงานอันใดอันหนึ่งที่ย่อหย่อน
และข้อวัตรอันใดที่เจือด้วยความเศร้าหมอง
สังกัสสะรัง พฺรัหฺมะจะริยัง นะ ตัง โหติ มะหัปผะลันต ิ
พรหมจรรย์อันใดที่ตนประพฤติย ่อหย่อน
ต้องระลึกถ ึงด้วยความรังเกียจ กิจท ั้ง ๓ อย่างนั้น
ย่อมเป็นของที่ไม่ให้ผลอันย ิ่งใหญ่
ดังนี้
177
อนุโมทนารัมภะคาถา
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง
ห้วงน้ำ�ท ี่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉ ันใด
เอวะเมวะ อิโต ทินน ัง เปตานัง อุปะกัปป ะติ
ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแ ต่โลกนี้
ย่อมสำ�เร็จป ระโยชน์แ ก่ผ ทู้ ลี่ ะโลกนไี้ ปแล้วได้ ฉันน นั้
อิจฉิต ัง ปัตถิต ัง ตุม หัง
ขออิฏฐผลที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว
ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ
จงสำ�เร็จโดยฉับพ ลัน
สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปป า
ขอความดำ�ริทั้งปวงจงเต็มที่
จันโท ปัณณะระโส ยะถา
เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
มะณิ โชติระโส ยะถา
เหมือนแก้วม ณีอันส ว่างไสวควรยินดี
178
สามัญญานโุมทนาคาถา
สัพพีตโิย วิวัชช ันตุ
ความจัญไรทั้งปวงจงบำ�ราศไป
สัพพะโรโค วินสั สะตุ
โรคทั้งปวงของท่านจงหาย
มา เต ภะวัตวฺันต ะราโย
อันตรายอย่ามีแก่ท ่าน
สุขี ทีฆายุโก ภะวะ
ท่านจงเป็นผมู้ ีความสุข มีอายุยืน
อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายโิน
จัตต าโร ธัมมา วัฑฒันต ิ, อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
ธรรมสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
ย่อมเจริญแก่บ ุคคลผู้มีปกติก ราบไหว้
มีปกติอ ่อนน้อมถ่อมตัวเป็นนิตย์
179
โภชนาทานานโุมทนาคาถา
อายุโท พะละโท ธีโร
ผูม้ ีปัญญาให้อายุ ให้กำ�ลัง
วัณณะโท ปะฏิภาณะโท
ให้วรรณะ ให้ปฏิภาณ
สุขัสสะ ทาตา เมธาวี
ผูม้ ีปัญญาให้ความสุข
สุขัง โส อะธิคัจฉะติ
ย่อมได้ป ระสบสุข
อายุง ทัตวฺา พะลัง วัณณัง สุขัญจะ ปะฏิภ าณะโท
บุคคลผใู้ห้อายุ พละ วรรณะ สุขะ และปฏิภาณ
ทีฆายุ ยะสะวา โหติ ยัตถ ะ ยัตถ ปู ะปัชชะตตี ิ
บังเกิดในที่ใดๆ ย่อมเป็นผมู้ ีอายุยืน มีย ศ มีส ุข
ในที่นั้นๆ
ดังนี้
180
อัคคัปป สาทสุตตะคาถา
อัคคะโต เว ปะสันนานัง อัคคัง ธัมมัง วิชานะตัง
เมื่อบุคคลรู้จักธ รรมอันเลิศ
เลื่อมใสแล้วโดยความเป็นของเลิศ
อัคเค พุทเธ ปะสันน านัง
เลื่อมใสแล้วในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ
ทักข ิเณยเย อะนุตต ะเร
ซึ่งเป็นทักขิไณยบุคคลอันเยี่ยมยอด
อัคเค ธัมเม ปะสันนานัง
เลื่อมใสแล้วในพระธรรมอันเลิศ
วิราคปู ะสะเม สุเข
ซึง่ เป็นธรรมอนั ป ราศจากราคะ และสงบระงับเป็นสุข
อัคเค สังเฆ ปะสันน านัง
เลื่อมใสแล้วในพระสงฆ์ผเู้ลิศ
ปุญญักเขตเต อะนุตต ะเร
ซึ่งเป็นบุญเขตอย่างยอด
อัคคัสมฺ ิง ทานัง ทะทะตัง
ถวายทานในท่านผู้เลิศ
อัคคัง ปุญ ญัง ปะวัฑฒะติ
บุญท ี่เลิศย่อมเจริญ
181
อัคคัง อายุ จะ วัณโณ จะ
อายุ วรรณะที่เลิศ
ยะโส กิตติ สุข ัง พะลัง
และยศ เกียรติคุณ สุขะ พละที่เลิศ ย่อมเจริญ
อัคคัสส ะ ทาตา เมธาวี อัคคะธัมมะสะมาหิโต
ผูม้ ีปัญญาตั้งม ั่นในธรรมอันเลิศแล้ว
ให้ทานแก่ท ่านผู้เป็นบุญเขตอันเลิศ
เทวะภโูต มะนสุโส วา
จะไปเกิดเป็นเทพยดา หรือมนุษย์ก ็ตาม
อัคคัปปัตโต ปะโมทะตตี ิ
ย่อมเป็นผถู้ ึงความเป็นผเู้ลิศ บันเทิงอยู่
ดังนี้
182
สัพพโรควนิ มิ ุตโต
สัพพะโรคะวนิ มิ ุตโต
ท่านจงเป็นผพู้ ้นจากโรคทั้งปวง
สัพพะสันต าปะวัชช ิโต
จงว่างเว้นจากความเดือดร้อนทั้งปวง
สัพพะเวระม ะติกก ันโต
จงล่วงเสียซึ่งเวรทั้งปวง
นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะ
จงถึงค วามดับไปซึ่งทุกข์ทั้งปวงแห่งท่านทั้งหลาย
สัจเจนะ จะ สีเลนะ จะ
ด้วยสัจจะกด็ ี ด้วยศีลก ด็ ี
ขันติเมตตา พะเลนะ จะ
ด้วยพลังแห่งขันติ และเมตตากด็ ี
เตสัง พุทธานัง
แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
อะนรุักข ันต ุ เต
จงรักษาท่านทุกเมื่อ
อะโรคะเยนะ จะ สุเขนะ จะ
ด้วยสภาวะหาโรคมิได้ก ด็ ี ด้วยความสุขกด็ ี
โหนตุ เต
จงมีแด่ท ่านทุกเมื่อ เทอญ
183
มงคลจักรวาลน้อย
สัพพะพุทธานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง
สัพพะธัมมานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมทั้งปวง
สัพพะสังฆานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ทั้งปวง
พุทธะระตะนัง ธัมมะระตะนัง สังฆะระตะนัง
ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธรัตนะพระธรรมรัตนะ
พระสังฆรัตนะ
ติณณ ังระตะนานัง อานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระไตรรัตน์
จะตรุาสีตสิ ะหัสสะธัมมักข ันธ านภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมขันธ์แ ปดหมื่นส ี่พัน
ปิฏะกัตต ะยานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระไตรปิฎก
ชินะสาวะกานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระสาวกของพระชินเจ้า
สัพเพ เต โรคา สัพเพ เต ภะยา
โรคทั้งหลายของท่าน ภัยท ั้งหลายของท่าน
184
สัพเพ เต อันตะรายา สัพเพ เต อุปัททะวา
อันตรายทง้ั หลายของทา่ น อุปทั วะทง้ั หลายของทา่ น
สัพเพ เต ทุนนิมิตต า สัพเพ เต อะวะมังคะลา
นิมติ รา้ ยทง้ั หลายของทา่ น อวมงคลทง้ั หลายของทา่ น
วินสั สันตุ
จงพินาศไป
อายุวฑั ฒะโก ธะนะวัฑฒะโก
ความเจริญด้วยอายุ ความเจริญด้วยทรัพย์
สิริวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก
ความเจริญด้วยสิริ ความเจริญด้วยยศ
พะละวัฑฒะโก วัณณะวัฑฒะโก
ความเจริญด้วยกำ�ลัง ความเจริญด้วยวรรณะ
สุขะวัฑฒะโก โหตุ สัพพะทา
ความเจริญด้วยสุข จงมีแก่ท ่านในกาลทั้งปวง
ทุกขะโรคะภะยา เวรา
ความทุกข์โรคภัย และเวรทั้งหลาย
โสกา สัตต ุ จุป ัททะวา
ความโศก ศัตรู และอุปัทวะท ั้งปวง
อะเนกา อันตะรายาปิ วินสั สันตุ จะ เตชะสา
อันตรายทั้งหลายเป็นอเนกประการ
จงพินาศไปด้วยเดชะ
185
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง
ความชนะ ความสำ�เร็จ ทรัพย์ และลาภ
โสตถิ ภาคฺย ัง สุขัง พะลัง
ความสวัสดี ความมีโชค ความสุข และกำ�ลัง
สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ
สิริ อายุ วรรณะ
โภคัง วุฑฒี จะ ยะสะวา
โภคทรัพย์ ความเจริญ และ ความเป็นผู้มียศ
สะตะวัสสา จะ อายุ จะ
การได้อ ายุยืนเป็นร้อยปี
ชีวะสิทธี ภะวันต ุ เต
และความสำ�เร็จกิจในความเป็นอยู่
จงมีแก่ท ่านในกาลทุกเมื่อ เทอญ
186
กาละทานะสุตตะคาถา
กาเล ทะทันต ิ สะปัญญา วะทัญญู วีต ะมัจฉะรา
กาเลนะ ทินน ัง อะริเยสุ อุชุภเูตสุ ตาทิสุ
วิป ปะสันน ะมะนา ตัสส ะ วิป ุลา โหติ ทักขิณา
ทายกทายิกาทั้งหลายเหล่าใด เป็นผมู้ ีปัญญา
มีปกติรู้จักค ำ�พูด ปราศจากความตระหนี่
มีใจเลื่อมใสแล้วในพระอริยเจ้าทั้งหลาย
ซึ่งเป็นผตู้ รงคงที่บริจาคทาน
ทำ�ให้เป็นของที่ตนถวายโดยกาลนิยม
ในกาลสมัย ทักษิณาทานของทายกทายิกานั้น
เป็นคุณสมบัตมิ ีผลไพบูลย์
เย ตัตถ ะ อะนโุมทันต ิ เวยยาวัจจัง กะโรนติ วา
ชนทั้งหลายเหล่าใด
อนุโมทนาหรือช่วยกระทำ�การขวนขวายในทานนั้น
นะ เตนะ ทักขิณา โอนา
ทักษิณาทานของเขามิได้บ กพร่องไปด้วยเหตุนั้น
เตปิ ปุญญัสส ะ ภาคิโน
แม้ชนเหล่านั้น ย่อมเป็นผมู้ ีส่วนแห่งผลบุญนั้นด ้วย
187
ตัสมฺ า ทะเท อัปปะฏิวานะจิตโต
ยัตถ ะ ทินน ัง มะหัปผะลัง
เหตุนั้นท ายกทายิกาควรเป็นผมู้ ีจิตไม่ท้อถอย
ให้ในที่ใดมีผลมาก ควรให้ในที่นั้น
ปุญญานิ ปะระโลกัสฺมิง ปะติฏฐา โหนติ ปาณิน ันต ิ
บุญย อ่ มเป็นท พี่ งึ่ อ าศัยข องสตั ว์ท งั้ ห ลายในโลกหน้า
ดังนี้
188
ติโรกุฑฑกัณฑปัจฉิมภ าค
อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาติม ิตต า สะขา จะ เม
บุคคลมาระลึกถ ึงอุปการะอันท ่านได้ท ำ�แก่ต น
ในกาลกอ่ นวา ่ ผูน้ น้ั ได้ให้สง่ิ นแ้ี ก่เรา ผูน้ ไ้ี ด้ทำ�กจิ ของเรา
ผูน้ เี้ป็นญาติเป็นมิตรเป็นเพื่อนของเรา
เปตานัง ทักข ิณัง ทัชชา ปุพเพ กะตะมะนสุ สะรัง
ก็ค วรให้ทักษิณาทานเพื่อผู้ที่ละโลกนไี้ปแล้ว
นะ หิ รุณณัง วา โสโก วา ยา วัญญา ปะริเทวะนา
การร้องไห้กด็ ี การเศร้าโศกกด็ ี
หรือก ารรำ�่ ไรรำ�พันอ ย่างอนื่ ก ด็ ี บุคคลไม่ค วรทำ�เลย
นะ ตัง เปตานะมัตถ ายะ เอวัง ติฏฐันต ิ ญาตะโย
เพราะว่าการร้องไห้เป็นต้นน ั้น
ไม่เป็นประโยชน์แ ก่ญ าติท ั้งหลายผลู้ ะโลกนไี้ปแล้ว
เพราะญาติท ั้งหลายย่อมตั้งอยูอ่ ย่างนั้น
อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินน า สังฆัมหิ สุปะติฏฐิตา
ก็ท ักษิณานปุ ระทานนแี้ ลอันท่านได้ให้แล้ว
ประดิษฐานไว้ด ีแล้วในสงฆ์
ทีฆะรัตตัง หิตายัสสะ ฐานะโส อุปะกัปป ะติ
ย่อมสำ�เร็จประโยชน์เกื้อกูลได้น าน
แก่ผ ทู้ ี่ละโลกนไี้ปแล้วต ามฐานะ
189
โส ญาติธ ัมโม จะ อะยัง นิท ัสสิโต
ญาติธ รรมนนี้ ั้นท ่านได้แ สดงให้ปรากฏแล้ว
เปตานะ ปูชา จะกะตา อุฬารา
แลบูชาอันย ิ่งท่านก็ได้ท ำ�แก่ญ าติผ ู้ละโลกนไี้ปแล้ว
พะลัญจะ ภิกข ูนะมะนปุ ปะทินนัง
ตุมเฺหหิ ปุญญัง ปะสุตัง อะนัปป ะกันต ิ
กำ�ลังแห่งภ กิ ษุท ง้ั ห ลาย ชือ่ วา่ ท า่ นกไ็ ด้เพิม่ ให้แล้วด ว้ ย
ท่านได้ข วนขวายในบุญอ ันม าก ดังนีแ้ ล
190
ภะวะตสุ ัพพ์
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท ่าน
รักขันต ุ สัพพะเทวะตา
ขอเหล่าเทวดาและกศุ ลทง้ั ปวงทท่ี า่ นทำ� จงรกั ษาทา่ น
สัพพะพุทธานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง
สัพพะธัมมานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมทั้งปวง
สัพพะสังฆานภุ าเวนะ
ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ทั้งปวง
สะทา โสตถี ภะวันต ุ เต
ขอความสวัสดีท ั้งหลาย จงมีแก่ท ่านทุกเมื่อเทอญ
191
คำ�ขอขมา
ในพทุ ธศาสนา มขี อ้ ป ฏิบตั อิ ย่างหนึง่ วา ่ ผูใ้ ดลว่ งเกิน
ผูอ้ ื่น ผูน้ ั้นไม่ควรทำ�เฉยเมย เมื่อรู้สึกตัวแ ล้วพ ึงขอโทษ
เรียกวา ่ ขอขมา แปลวา ่ ขอให้ย กโทษ และผใู้ ดถกู ล ว่ งเกิน
เมือ่ ได้รบั การขอขมา ผูน้ น้ั ไม่ค วรถอื โกรธไม่รหู้ าย พึงรบั ขมา
ยอมยกโทษให้
นอกจากนี้ การขอขมายังเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง
ที่ภิกษุป ระพฤติก ันในโอกาสต่างๆ เช่น ในวันเข้าพรรษา
หรือในวนั ต อ่ จากนนั้ ซึง่ เป็นก จิ ท ผี่ นู้ อ้ ยทำ�แก่ผ ใู้ หญ่ ศิษย์
ทำ�แก่อ ปุ ชั ฌาย์อ าจารย์ แม้ไม่เคยลว่ งเกินก นั ก็ย งั ถ อื ว่า
เป็นสิ่งที่ควรทำ�
ขอท่านได้ก รุณายกโทษทั้งปวง
ที่ข้าพเจ้าได้ล ่วงเกินท ่านด้วย กาย วาจา ใจ
เพราะความประมาทด้วยเทอญ
ผู้รับ อะหัง ขะมามิ, **ตุมฺเหหิปิ เม ขะมิตพั พัง
ข้าพเจ้าขอยกโทษนั้นแ ก่ท ่าน,
192
แม้ท่านกพ็ ึงยกโทษนั้นแ ก่ข ้าพเจ้าด้วย
ผูข้ อ ** ขะมามะ ภันเต
ข้าพเจ้าขอยกโทษนั้นแ ก่ท ่าน
หมายเหตุ
คำ�ว่า เถเร ใช้กับพ ระเถระ
*
193
คำ�อ ธิษฐานเข้าพรรษา
เมือ่ ถงึ ฤดูฝ น ภิกษุจะตอ้ งหยุดเดินท าง แล้วเข้าพ ำ�นัก
ในวดั หรือสถานทใี่ ดสถานทหี่ นึง่ ท สี่ มควรตลอด ๓ เดือน
เริม่ ต งั้ แต่แ รม ๑ ค่ำ� เดือน ๘ ถึงข นึ้ ๑๕ ค่ำ� เดือน ๑๑
เรียกธรรมเนียมนวี้ า ่ การจ�ำ พ รรษา (เมือ่ ม เี หตุจำ�เป็นห รือ
ธุระอนั สมควร สามารถไปทอ่ี น่ื ได้ไม่เกินคราวละ ๗ วัน)
เมือ่ ถ งึ วนั เข้าพ รรษา ภิกษุในอาวาสทงั้ หมดพงึ เข้าไป
ประชุมพร้อมกันในโรงอุโบสถหรือในวิหารแล้วกล่าวคำ�
อธิษฐานพร้อมกันว่า :-
อิมัสฺมิง อาวาเส, อิมัง เตมาสัง วัสสัง อุเปมะ
(๓ ครั้ง)
“เราทง้ั ห ลายจกั อยูใ่ นอาวาสนต้ี ลอด ๓ เดือน ในฤดูฝ น”
หมายเหตุ หากกล่าวทีละรูปเปลี่ยนคำ�ว่า อุเปมะ
เป็นอุเปมิ และเปลี่ยนเราทั้งหลายเป็น เรา หรือ ข้าพเจ้า
ถ้าจำ�พรรษารปู เดียวเปลีย่ นอาวาเสเป็น วิห าเร (วิหาร)
194
คำ�ขอนิสัย
ภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ถ้าไม่ได้อยู่ในวัดเดียวกันกับ
อุปัชฌาย์ จะต้องถือน ิสัยในอาจารย์ หรือเจ้าอาวาสวัด
ที่ตนอาศัยอ ยู่
นอกจากนี้การขอนิสัยก็ยังนิยมทำ�กันต่อจากการ
ขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์ในวันเข้าพรรษาด้วยหรือ
ในบางโอกาส เช่น เมื่อไปขอพํำ�นักศึกษาพระธรรมวินัย
กับพ ระอาจารย์ในวัดอ ื่น
คำ�ขอนิสัย :-
ศิษย์ อาจะริโย เม ภันเต โหหิ, อายัสฺมะโต
นิส สายะ วัจฉามิ (๓ ครั้ง)
“ขอท่านได้โปรดเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า,
ข้าพเจ้าขออาศัยท ่าน”
อาจารย์ โอปายิกงั, ปะฏิรูปัง, ปาสาทิเกนะ
สัมปาเทหิ (บทใดบทหนึ่งหรือทั้งสามบท)
“เป็นอุบายที่สมควรแล้ว”
ศิษย์ สาธุ ภันเต (พึงตอบรับทุกบ ท)
“ดีแล้ว ท่านผู้เจริญ”
195
จากนั้น ภิกษุพ งึ กล่าวคำ�รบั เป็นธรุ ะให้ท า่ นสบื ไป ดังนี้ :-
อัชชะตัคเคทานิ เถโร มัยหัง ภาโร,
อะหัมปิ เถรัสสะ ภาโร (๓ ครั้ง)
ตั้งแต่วันน ไี้ป พระเถระ (อาจารย์)
ย่อมเป็นภาระของข้าพเจ้า และข้าพเจ้า
ก็ย ่อมเป็นภาระของพระเถระ (อาจารย์)
196
คำ�ป วารณา
สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ, ทิฏเฐนะ วา สุเตนะ วา
ปะริสังกายะ วา, วะทันต ุ มัง อายัส ฺมันโต
อะนกุ ัมป ัง อุปาทายะ, ปัสส ันโต ปะฏิกกะริสสามิ
ข้าพเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ หากความประพฤติ
บกพร่องใดๆ ของข้าพเจ้าปรากฏแก่ท่านทั้งหลาย
ด้วยได้เห็นกด็ ี ด้วยได้ยินก ด็ ี ด้วยสงสัยอยูก่ ด็ ี
ขอทา่ นทง้ั ห ลายจงอาศัยค วามกรุณาวา่ ก ล่าวตกั เตือน
ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าท ราบแล้วจักแ ก้ไขต่อไป
197
ตะตยิ ัมปิ ภันเต สังฆัง ปะวาเรมิ, ทิฏเฐนะ วา
สุเตนะ วา ปะริสังกายะ วา, วะทันต ุ มัง อายัส ฺมันโต
อะนกุ ัมป ัง อุปาทายะ, ปัสส ันโต ปะฏิกกะริสสามิ
แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอปวารณาต่อส งฆ์
หากความประพฤติบ กพร่องใดๆ ของข้าพเจ้า
ปรากฏแก่ท า่ นทงั้ ห ลาย ด้วยได้เห็นกด็ ี ด้วยได้ยนิ กด็ ี
ด้วยสงสัยอยูก่ ด็ ี ขอท่านทั้งหลาย
จงอาศัยค วามกรุณาว่าก ล่าวตักเตือนข้าพเจ้าด้วย
ข้าพเจ้าทราบแล้วจักแ ก้ไขต่อไป
198
คำ�ขอไตรสรณคมน์และศีลห้า
มะยงั ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ข้าแต่ท ่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอไตรสรณคมน์และศีลห ้า
ทุตยิ ัมปิ มะยัง ภันเต, ติส ะระเณนะ สะหะ,
ปัญจะ สีล านิ ยาจามะ
แม้ครั้งที่สอง ข้าแต่ท ่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอไตรสรณคมน์และศีลห ้า
ตะตยิ ัมปิ มะยัง ภันเต, ติส ะระเณนะ สะหะ,
ปัญจะ สีล านิ ยาจามะ
แม้ครั้งที่สาม ข้าแต่ท ่านผเู้จริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอไตรสรณคมน์และศีลห ้า
(จากนั้นพระภิกษุจะกล่าวนำ� นะโม... ๓ จบ
เมื่อจบแล้วโยมจึงกล่าว นะโม... ๓ จบ พร้อมกัน)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
199
ทุตยิ ัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ค รัง้ ท ส่ี องขา้ พเจ้าขอถอื เอาพระพุทธเจ้าเป็นส รณะ
ทุตยิ ัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ
ทุตยิ ัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตะตยิ ัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ค รัง้ ท ส่ี ามขา้ พเจ้าขอถอื เอาพระพุทธเจ้าเป็นส รณะ
ตะตยิ ัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ
ตะตยิ ัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
200
กาเมสุ มิจฉาจารา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการประพฤติผ ดิ ในกามทงั้ ห ลาย
ไม่เกี่ยวข้อง แย่งช ิงของรักของคนอื่น
(ข้าพเจ้าขอถือ ความถูกต้องและความพอดี
เป็นหลักชีวิต)
มุสาวาทา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการพูดไม่จริง
พูดส่อเสียด พูดห ยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดนินทา
(ข้าพเจ้าขอถือ ความรักความจริง ความรัก
ความสามัคคีีเป็นหลักชีวิต)
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระม ะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการดื่มส ุราและเมรัย
อันเป็นเหตุแห่งความประมาท
รวมทั้งยาเสพติดท ุกช นิด
(ข้าพเจ้าขอถือ การพัฒนาสติและปัญญา
เป็นหลักชีวิต)
201
สีเลนะ โภคะสัมปะทา
ศีลเป็นที่มาของความสมบูรณ์แห่งทรัพย์สิน
สีเลนะ นิพพ ุติง ยันต ิ
ศีลเป็นที่มาของการพ้นทุกข์ทั้งปวง
ตัสมฺ า สีลัง วิโสธะเย
ดังน ั้น ท่านพึงรักษาศีลของท่านให้บริสุทธิ์ เถิด
202
คำ�ป ระกาศอุโบสถ
อัชชะ โภนโต ปักขัส สะ ปัณณะระสีทิวะโส๑
เอวะรูโป โข โภนโต ทิวะโส พุทเธนะ, ภะคะวะตา
ปัญญัตตัสส ะ ธัมมัสสะวะนัสส ะ เจวะ ตะทัตถ ายะ,
อุปาสะกะอปุ าสกิ านัง อุโปสะถะกมั มัสสะ จะ กาโล โหต,ิ
หันท ะ มะยัง โภนโต สัพเพ อิธะ สะมาคะตา,
ตัสส ะ ภะคะวะโต ธัมมานธุ ัมมะปะฏิปัตติย า
ปูชะนัตถ ายะ, อิมัญจะ รัตต ิง อิมัญจะ ทิวะสัง
อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโปสะถัง อุปะวะสิสสามาติ,
กาละปะรจิ เฉทงั กัตวฺ า ตัง ตัง เวระมะณิง อารมั มะณัง
กะริตฺวา, อะวิกข ิตต ะจิตต า หุตวฺา สักก ัจจัง
อุโปสะถังสะมาทิเยยยามะ อีทิสัง หิ อุโปสะถะกาลัง
สัมปัตตานัง อัมฺหากัง ชีวติ ัง มา นิรัตถะกัง โหตุ
ข้าพเจ้าขอประกาศเริ่มเรื่อง
ความที่จะได้ส มาทานรักษาอุโบสถตามกาลสมัย
พร้อมไปด้วยองค์ ๘ ประการ
ให้ท่านสาธุชนทั้งหลายซึ่งจะตั้งจิตส มาทาน
๑
บท “ปัณณะระสีทิวะโส” และคำ�แปลวา
่ “วันน เี้ ป็นวนั ป ณ
ั ณรสีด ถิ ที ี่ ๑๕” ประกาศเฉพาะ วัน ๑๕ ค่ำ�
ถ้าเป็นวนั ๑๔ ค่ำ� เปลีย่ นประกาศวา
่ “จาตทุ ทะสี ทิวะโส” คำ�แปลวา ่ ”วันน เ้ี ป็นวนั จาตทุ ทสดี ถิ ที ี่ ๑๔”
ถ้าวนั ๘ ค่ำ� เปลีย่ นประกาศวา ่ “อัฏฐะมีทิวะโส” คำ�แปลวา ่ “วันน เี้ ป็นวนั อ ฏั ฐมดี ถิ ที ี่ ๘” นอกนนั้
ประกาศตามแบบ
203
ทราบทั่วก ันก ่อน
แต่ส มาทาน ณ กาลบัดนี้
ด้วยวนั น เี้ ป็นวนั ป ณ
ั ณรสีด ถิ ที ี่ ๑๕ แห่งป กั ษ์ม าถงึ แล้ว
ก็แ ลวันเช่นนเี้ป็นกาลที่จะฟังธรรม
และจะทำ�การรกั ษาอโุ บสถของอบุ าสกอบุ าสิกาทง้ั ห ลาย
เพื่อประโยชน์แ ก่ก ารฟังธรรม
อันพ ระผมู้ ีพระภาคเจ้าทรงบัญญัตไิว้น ั้น
ขอกุศลอันย ิ่งใหญ่ คือตั้งจิตส มาทานอุโบสถ
จงเกิดมแี ก่เราทง้ั หลายบรรดาทม่ี าประชุมอยู่ ณ ทีน่ ้ี
เราทั้งหลายพึงมีจิตย ินดีว่าจะรักษาอุโบสถ
ประกอบไปด้วยองค์ ๘ ประการ
สิ้นวันห นึ่งคืนห นึ่ง ณ เวลาวันน ี้ ด้วยตั้งจิตค ิด
- เว้นไกลจากการทำ�สัตว์ซ ึ่งมีชีวิตให้ตกล่วงไป
คือฆ ่าส ัตว์เองและใช้ให้ผอู้ ื่นฆ ่า ๑
- เว้นจากเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้
คือล ักและฉ้อแ ละใช้ให้ผอู้ ื่นล ักและฉ้อ ๑
- เว้นจากกรรมที่เป็นข้าศึกแ ก่พ รหมจรรย์ ๑
- เว้นจากเจรจาคำ�เท็จอันไม่จริง
คือ ล่อลวง อำ�พรางท่านผอู้ ื่น ๑
- เว้นจากดม่ื สรุ าและเมรัย สารพัดบ รรดานำ�้ กลัน่ น ำ�้ ด อง
ที่เป็นของทำ�ผดู้ ื่มแ ล้วให้เมา
204
เป็นเหตุที่ตั้งแ ห่งความประมาท ๑
- เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
ตั้งแต่อ าทิตย์เที่ยงแล้วไปจนถึงอ รุณขึ้นใหม่ ๑
- เว้นจากการฟ้อนรำ�ขับร้องและประโคมดนตรี
และดกู ารละเล่นบรรดาเป็นข้าศึกแ ก่ก ุศล
และทัดท รงลูบไล้ทาตัวด ้วยดอกไม้เครื่องหอม
เครื่องทาเครื่องย้อมเครื่องแต่งต ่างๆ ๑
- เว้นจากนั่งนอนเหนือที่นั่งที่นอนอันส ูงใหญ่
คือ เตียง ตั่งม ีเท้าสูงเกินป ระมาณ
และที่นอนใหญ่ภายในมีนุ่น
และสำ�ลีเครื่องลาดวิจิตรงาม ๑
พึงทำ�ความเว้นจากองค์ที่จะพึงเว้น
ทั้ง ๘ ประการนเี้ป็นอารมณ์
อย่ามีจิตฟ ุ้งซ่านส่งไปอื่น พึงตั้งจิตส มาทาน
องค์อุโบสถ ๘ ประการนโี้ดยเคารพเถิด
เพือ่ จะบชู าพระผมู้ พี ระภาคเจ้าดว้ ยขอ้ ปฏิบตั อิ ย่างยง่ิ
ตามกำ�ลังของเราทั้งหลายที่เป็นคฤหัสถ์
ชีวิตเราทั้งหลายซึ่งเป็นมาจนถึงวันอ ุโบสถเช่นนี้
จงอย่าล่วงไปเปล่าโดยปราศจากประโยชน์เลย
205
คำ�ขอไตรสรณคมน์ และศีลแปด
ศีลอ ุโบสถ
มะยัง ภันเต ติส ะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ
(อัฏฐังคะสะมันน าคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ)
ข้าแ ต่ท า่ นผเู้ จริญ ข้าพเจ้าท งั้ ห ลายขอไตรสรณคมน์
และศีลแ ปด (อุโบสถศีลท ั้งแปดข้อ)
ทุตยิ มั ปิ มะยงั ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีลานิ
ยาจามะ (อัฏฐังคะสะมันน าคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ)
แม้ครั้งที่สอง ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอไตรสรณคมน์และศลี แปด (อุโบสถศลี ท งั้ แปดขอ้ )
ตะตยิ มั ปิ มะยงั ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ อัฏฐะ สีล านิ
ยาจามะ (อัฏฐังคะสะมันน าคะตัง อุโปสะถัง ยาจามะ)
แม้ครั้งที่สาม ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอไตรสรณคมน์และศลี แปด (อุโบสถศลี ท งั้ แปดขอ้ )
(จากนั้นพระภิกษุจะกล่าวนำ� นะโม... ๓ จบ
เมื่อจบแล้วโยมจึงกล่าว นะโม... ๓ จบ พร้อมกัน)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพระเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ
206
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
ทุตยิ ัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ค รัง้ ท ส่ี องขา้ พเจ้าขอถอื เอาพระพุทธเจ้าเป็นส รณะ
ทุตยิ ัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ
ทุตยิ ัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สองข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตะตยิ ัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ค รัง้ ท ส่ี ามขา้ พเจ้าขอถอื เอาพระพุทธเจ้าเป็นส รณะ
ตะตยิ ัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ
ตะตยิ ัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
แม้ครั้งที่สามข้าพเจ้าขอถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ
ปานาติปาตา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการฆ่า
และเบียดเบียนสัตว์ท ุกช นิดรวมทั้งไม่ใช้ให้ผอู้ ื่นฆ ่า
อะทินน าทานา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการลัก ฉ้อโกงของผู้อื่น
และไม่ใช้ผู้อื่นล ัก ฉ้อโกง
207
อะพฺรัหฺมะจะริยา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจาการกระทำ�อันเป็นข้าศึกแ ก่
พรหมจรรย์ (ละเว้นการเกี่ยวข้องกับก ามคุณ)
มุสาวาทา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการพูดไม่จริง
(พูดส่อเสียด พูดห ยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดนินทา)
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระม ะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการดื่มส ุราและเมรัย
อันเป็นเหตุแห่งความประมาท
(รวมทั้งยาเสพติดท ุกช นิด)
วิก าละโภชะนา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวกิ าล
นัจจะคตี ะวาทิตะวสิ ูกะทัสสะนา มาลาคันธะ-
วิเลปะนะธาระณะ มัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจาก การดู ฟัง ฟ้อนรำ� ขับร้อง
และประโคมเครื่องดนตรีต ่างๆ
และดกู ารละเล่นที่เป็นข้าศึกแ ก่ก ุศลธรรม
และทัดท รงตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับ
และดอกไม้ของหอมเครื่องย้อมเครื่องทา
208
ผัดผ ิวท ำ�กายให้งดงาม
อันเป็นเหตุที่ตั้งแห่งความกำ�หนัดย ินดี
อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระม ะณี สิกขาปะทัง
สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าจะละเว้นจากการนั่งนอนบนเตียง ตั่งม ้า
ที่มีเท้าสูงเกินป ระมาณและที่นั่งน อนใหญ่
ภายในใส่น นุ่ และสำ�ลี และเครือ่ งปลู าดทวี่ จิ ติ รงดงาม
อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (กล่าว ๓ ครั้ง)
ข้าพเจ้าขอสมาทานศึกษาและปฏิบัติในสิกขาบท
ทั้งแปดประการนี้
(จบพิธีรับศีลแปด)
หมายเหตุ :-
- ถ้าข อรับศีลอุโบสถ เมื่อกล่าวรับศีลข ้อ ๘ แล้ว
พึงกล่าวบทต่อไปนวี้่า
อิมัง อัฏฐังคะสะมันน าคะตัง, พุทธะปัญญัตต ัง
อุโปสะถัง, อิมัญจะ รัตต ิง อิมัญจะ ทิวะสัง,
สัมมะเทวะ อะภิรักขิตงุ สะมาทิยามิ
ข้าพเจ้าขอสมาทานอุโบสถพุทธบัญญัติ
อันป ระกอบด้วยองค์แปดประการนี้
เพื่อจะรักษาไว้ให้ดมี ิให้ขาดมิให้ทำ�ลาย
ตลอดวันห นึ่งคืนห นึ่งในเวลานี้
209
- ศลี อ โุ บสถ คือก ารศกึ ษาและปฏิบตั ศิ ลี แปดประการ
ในวันพระ วันอ ุโบสถ
- อุโบสถ คือก ารเข้าสู่หรือการเก็บตัวไว้ภ ายใน
ข้อปฏิบัติที่ชำ�ระล้าง กาย วาจา ใจให้เบาบาง
จากความชั่วร้ายเลวทราม
พระสงฆ์จะสรุปอานิสงส์ของอุโบสถศีลตอนท้ายว่า :-
(พระ) อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ อุโปสะถะสีละวะเสนะ
สาธุกัง กัตวฺา อัปปะมาเทนะ รักขิตพั พานิ
อุโบสถศลี ซึง่ ป ระกอบดว้ ยสกิ ขาบทแปดประการ
เหล่าน ี้ ขอจงรกั ษาไว้ให้ด ี ด้วยความไม่ป ระมาท
(โยม) สาธุ ภันเต ดีละเจ้าข้า
(พระ) สีเลนะ สุค ะติง ยันต ิ
ศีล เป็นที่มาของความสงบสุข
สีเลนะ โภคะสัมปะทา
ศีล เป็นที่มาของความสมบูรณ์แห่งทรัพย์สิน
สีเลนะ นิพพ ุติง ยันต ิ
ศีล เป็นที่มาของการพ้นทุกข์ทั้งปวง
ตัสมฺ า สีลัง วิโสธะเย
ดังน นั้ ท่านพงึ รกั ษาศลี ของทา่ นให้บ ริสทุ ธิ์ เถิด
210
คำ�อ าราธนาธรรม
พรัหมา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติ,
กะตัญช ะลี อะนะธิวะรัง อะยาจะถะ,
สันต ีธะ สัตต าปปะระชักข ะชาติกา,
เทเสตุ ธัมมัง อะนกุ ัมปิมัง ปะชัง.
ท้าวสหัมบดี ผู้เป็นอธิบดีแห่งพรหมโลก
ได้ป ระคองอญ ั ชลี ทูลวงิ วอนพระพุทธเจ้าผปู้ ระเสริฐวา
่
สัตว์ผ มู้ ีธุลีในดวงตาน้อยมีอยูใ่นโลกนี้
ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมอนุเคราะห์ด้วยเถิด
211
คำ�ถ วายผ้าป่า
อิมานิ, มะยัง ภันเต, ปังสุกลู ะจวีะรานิ,
สะปะริวารานิ, ภิกขุส ังฆัสสะ, โอโณชะยามะ,
สาธุ โน ภันเต, ภิกขุส ังโฆ, อิมานิ,
ปังสุกลู ะจวีะรานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณฺห าตุ,
อัมฺหากัง ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ
ข้าแต่พ ระสงฆ์ผู้เจริญ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวร
กับท ั้งบริวารเหล่านี้ แด่พ ระภิกษุส งฆ์
ขอพระภิกษุส งฆ์โปรดรับผ้าบังสุกุลจีวร
กับท ั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์ และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
สิ้นก าลนานเทอญ
212
คำ�ถ วายผ้ากฐิน
อิมัง ภันเต, สะปะริวารัง, กะฐินะจวีะระทุสสัง,
สังฆัสสะ, โอโณชะยามะ,
สาธุ โน ภันเต, สังโฆ, อิมัง, สะปะริวารัง,
กะฐนิ ะจวี ะระทสุ สงั , ปะฏิคคัณหฺ าต,ุ
ปะฏิคคะเหตฺวา จะ, อิมนิ า ทุสเสนะ กะฐนิ งั , อัตถะระต,ุ
อัมฺหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ สุขายะ
ข้าแต่พ ระสงฆ์ผู้เจริญ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้ากฐินจีวร
กับท ั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แด่พ ระสงฆ์
ขอพระสงฆ์โปรดรับผ้ากฐินจีวร
กับท ั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
รับแล้ว ได้โปรดกรานกฐินด ้วยผ้าน ี้ เพื่อประโยชน์
และความสขุ แก่ขา้ พเจ้าทง้ั ห ลาย สิน้ กาลนานเทอญ
213
คำ�ส าธุการหลังฟังธรรม
(เมื่อพระแสดงธรรมจบ ให้รับสาธุการพร้อมกัน)
สาธุ พุทธะสุโพธิตา
สาธุ! ความตรัสรู้ดจีริงของพระพุทธเจ้า
สาธุ ธัมมะสุธัมมะตา
สาธุ! ความเป็นธรรมดจีริงของพระธรรม
สาธุ สังฆัสสุปะฏิปัตติ
สาธุ! ความปฏิบัติดจีริงของพระสงฆ์
อะโห พุทโธ
พระพุทธเจ้า น่าอัศจรรย์จริง
อะโห ธัมโม
พระธรรมเจ้า น่าอ ัศจรรย์จริง
อะโห สังโฆ
พระสังฆเจ้า น่าอัศจรรย์จริง
อะหัง พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญ จะ สะระณัง
คะโต (สะระณัง คะตา)๑
ข้าพเจ้าถึงแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า
พระสังฆะเจ้า ว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกถึง
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
214
อุปาสะกัตต ัง (อุปาสิกัตต ัง)๑ เทเสสิง ภิกขุสังฆัสสะ
สัมมุขา
ข้าพเจ้าขอแสดงตน ว่าเป็นอุบาสก (อุบาสิกา)
ในที่จำ�เพาะหน้าพระภิกษุส งฆ์
เอตัง เม สะระณัง เขมัง, เอตัง สะระณะมุตต ะมัง
พระรัตนตรัยน เี้ป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าอันเกษม
พระรัตนตรัยน เี้ป็นที่พึ่งอันส ูงสุด
เอตัง สะระณะมาคัมม ะ, สัพพะทุกข า ปะมุจจะเย
เพราะอาศัยพ ระรัตนตรัยน เี้ป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้าพึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ยะถาพะลัง จะเรยยาหัง สัมมาสัมพุทธะสาสะนัง
ข้าพเจ้าจักป ระพฤติ ซึ่งพระธรรมคำ�สั่งสอน
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสมควรแก่ก ำ�ลัง
ทุกขะน สิ สะระณัสเสวะ ภาคีอัสสัง (ภาคินสิ สัง)๑
อะนาคะเต
ขอข้าพเจ้าพึงมีส่วนแห่งพระนิพพาน
อันเป็นที่ยกตนออกจากทุกข์ในอนาคตกาล
เบื้องหน้าโน้นเทอญ
๑
หญิงว่าในวงเล็บ
215
คำ�ล ากลับบ้าน
(โยม) หันท ะทานิ, มะยัง ภันเต, อาปุจฉามะ,
พะหุกิจจา มะยัง, พะหุกะระณียา
ข้าแต่ท ่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอกล่าวลา
เพราะมีกิจม าก มีธ ุระมาก
(พระ) ยัสส ะทานิ ตุมฺเห กาลัง มัญญะถะ
ท่านทั้งหลายจงรู้กาล รู้เวลาเถิด
(โยม) สาธุ ภันเต
ดีละเจ้าข้า
(กราบ ๓ ครั้ง)
216
พิธีการทำ�บุญบ้าน
ประธานในพธิ จี ดุ เทียนธปู และถวายขนั น �้ำ มนต์ (ถ้าม )ี
แล้วกราบพระพร้อมกัน ๓ ครั้ง ผู้นำ�กล่าวนำ�
คำ�บ ูชาพระรัตนตรัย
อิมินา สักก าเรนะ, ตัง พุทธัง อะภิป ูชะยามะ.
อิมินา สักก าเรนะ, ตัง ธัมมัง อะภิป ูชะยามะ.
อิมินา สักก าเรนะ, ตัง สังฆัง อะภิปูชะยามะ.
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา,
พุทธัง ภะคะวันต ัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สฺวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สังฆัง นะมามิ (กราบ)
217
คำ�อ าราธนาเบญจศีล
มะยัง ภันเต, (วิส ุง วิสุง รักขะณัตถ ายะ๑ )
ติส ะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีล านิ ยาจามะ,
ทุตยิ ัมปิ มะยัง ภันเต, ติส ะระเณนะ สะหะ,
ปัญจะ สีล านิ ยาจามะ,
ตะตยิ ัมปิ มะยัง ภันเต, ติส ะระเณนะ สะหะ,
ปัญจะ สีล านิ ยาจามะ
เมื่อพระภิกษุให้ศีลท่านกล่าว นะโมฯ ๓ จบ จบแล้ว
โยมจึงก ล่าว นะโมฯ ๓ จบ พร้อมกัน
หลังจากนั้นให้ว่าตามพระ ทีละวรรค เมื่อพระกล่าว
ถึงคำ�ว่า “ติส ะระณะคะมะนัง นิฏฐิตงั” ให้ก้มลงเล็กน้อย
พร้อมกับรับคำ�พร้อมกันว่า “อามะ ภันเต”
แล้วจงึ ก ล่าวสมาทานศลี ต ามพระทลี ะขอ้ จนจบ ดังนี้
ปาณาติปาตา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
อะทินน าทานา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
กาเมสุมิจฉาจารา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
มุสาวาทา เวระม ะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระม ะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ,
๑
ขอแยกสมาทานรักษาเป็นข้อๆ (ผู้ตั้งใจสมาทานทั้งหมดไม่ต้องกล่าว)
218
เมือ่ พ ระกล่าวสรุปอ านิสงส์ของศลี วา่ “อิม านิ ปัญจะ
สิกขาปะทาน,ิ สีเลนะ สุค ะตงิ ยันต ,ิ สีเลนะ โภคะสัมป ะทา,
สีเลนะ นิพพุติง ยันต ิ, ตัสมฺ า สีลัง วิโสธะเย” พึงรับ
พร้อมกันว่า “สาธุ”
ผูน้ ำ�กล่าวคำ�อาราธนาพระปริตร (คำ�อาราธนาพระสงฆ์
เจริญพระพุทธมนต์) ดังนี้
คำ�อ าราธนาพระปริตร
วิป ัตติป ะฏิพาหายะ, สัพพ ะสัมปัตติส ิทธิยา,
สัพพะทุกขะวนิ าสายะ, ปะริตต ัง พฺรูถะ มังค ะลัง,
วิป ัตติป ะฏิพาหายะ, สัพพ ะสัมปัตติส ิทธิยา,
สัพพะภะยะวนิ าสายะ, ปะริตต ัง พฺรูถะ มังค ะลัง,
วิป ัตติป ะฏิพาหายะ, สัพพ ะสัมปัตติส ิทธิยา,
สัพพะโรคะวนิ าสายะ, ปะริตต ัง พฺรูถะ มังค ะลัง.
พระภิกษุรูปที่สามขัดชุมนุมเทวดา พระสงฆ์เจริญ
พระพุทธมนต์จนจบ แล้วจงึ เปิดฝาบาตร เชิญผมู้ ารว่ มงาน
ใส่บ าตร ไม่ค วรใส่บ าตรขณะพระสงฆ์เจริญพ ระพุทธมนต์
(เพื่อเป็นการเคารพในพระธรรม) เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้ว
ปิดฝาบาตร นำ�บาตรมาวางไว้ ตรงหน้าพระภิกษุทุกรูป
โดยยังไม่ต้องประเคน
219
กล่าวคำ�ถวายสังฆทาน โดยตั้ง นะโมฯ ๓ จบ
(จะยกภาชนะหรือไม่ย กก็ได้ แต่ไม่ควรเปิดฝาภาชนะ)
แล้วจึงว่าตามผู้นำ�ดังนี้
220
คำ�ถ วายสังฆทาน (สามัญ)
อิมานิ, มะยัง ภันเต, ภัตต านิ, สะปะริวารานิ,
ภิกขุส ังฆัสสะ, โอโณชะยามะ,
สาธุ โน ภันเต, ภิกขุส ังโฆ, อิมานิ, ภัตต านิ,
สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณฺหาตุ, อัมหฺ ากัง, ท ีฆะรัตตัง,
หิตายะ, สุขายะ
ข้าแต่พ ระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอนอ้ มถวาย ซึง่ ภ ตั ตาหาร กับท งั้ บ ริวารทงั้ ห ลายเหล่าน ี้
แด่พ ระภิกษุส งฆ์ ขอพระภิกษุส งฆ์โปรดรับ
ซึ่งภัตตาหาร กับท ั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้
ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข
แก่ข ้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนานเทอญ
221
ในกรณีทเ่ี ป็นการท�ำ บุญ อุทศิ กศุ ล ให้ผทู้ ล่ี ว่ งลบั ไปแล้ว
ให้ใช้คำ�ถวายสังฆทานอุทิศให้ผู้ตาย ดังนีแ้ ทน
คำ�ถ วายสังฆทานอุทิศให้ผตู้ าย
อิมานิ, มะยัง ภันเต, มะตะกะภัตต านิ,
สะปะริวารานิ, ภิกขุส ังฆัสสะ, โอโณชะยามะ,
สาธุ โน ภันเต, ภิกขุสงั โฆ, อิมาน,ิ มะตะกะภตั ตาน,ิ
สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณฺหาตุ, อัมฺหากัญเจวะ,
มาตาปิตอุ าทีนัญจะ, ญาตะกานัง, ทีฆะรัตต ัง,
หิตายะ, สุขายะ
ข้าแต่พ ระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอน้อมถวาย ซึ่งม ะตะกะภัตตาหาร
กับท ั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ แด่พ ระภิกษุส งฆ์
ขอพระภิกษุส งฆ์โปรดรับ ซึ่งมะตะกะภัตตาหาร
กับท ั้งบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย
เพื่อประโยชน์แ ละความสุขแก่ข ้าพเจ้าทั้งหลาย
และญาติท ั้งหลายของข้าพเจ้า มีมารดาบิดาเป็นต้น
และขออทุ ศิ ให้ (ชือ่ ของผตู้ าย) ตลอดทงั้ เจ้าก รรมนายเวร
และสรรพสัตว์ท ั้งหลาย สิ้นก าลนานเทอญ
เสร็จแล้วถ วายบาตร และอาหารบางสว่ นแก่ป ระธาน
สงฆ์ พระภกิ ษุรปู ห นึง่ จะกล่าวค�
ำ อปโลกนภ์ ตั ตาหาร ดังนี้
222
คำ�อ ปโลกนภ์ ัตตาหาร
ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ, อะยัง ปะฐะมะภาโค
เถรัสสะ ปาปุณาติ, อะวะเสสา ภาคา อัมฺหากัญเจวะ
ปาปุณันติ, ภิกขูนัญจะ สามะเณรานัง๑ คะหัฏฐานัง,
เต ยะถาสุขัง ปะริภุญชัน ต ุ
ข้าแต่พ ระสงฆ์ผู้เจริญ ขอสงฆ์จงทราบ
บัดนีท้ ายกทายิกาทง้ั ห ลาย (ซึง่ ม นี าย... นาง... เป็นป ระธาน
พร้อมดว้ ยลกู หลาน และญาติมติ ร) ได้นอ้ มนำ�มาถวาย
ซึ่งภัตตาหาร พร้อมทั้งบริวาร แด่พระภิกษุส งฆ์
จะได้จำ�เพาะเจาะจงแก่ภ ิกษุรูปใดรูปหนึ่งนั้นห ามิได้
กระผมขอสมมุตติ นเองเป็นพระภตั ตเุ ทสก์ แจกแบ่งของสงฆ์
ขอแจกดังนี้ ส่วนที่หนึ่งย่อมถึงแก่พ ระเถระ
ส่วนที่สองย่อมถึงแก่พ ระอนุเถระ
เป็นลำ�ดับลงไปจนกระทั่งถึงพระสังฆนวกะ
เหลือนอกนั้นย ่อมถึงแก่ส ามเณรและคฤหัสถ์ท ั้งหลาย
ขอท่านเหล่านั้นพ ึงบริโภคได้ต ามสบาย ถ้าภ ิกษุรูปใด
เห็นไม่สมควรขอจงทักท้วงขึ้น ณ ทีป่ ระชุมสงฆ์นี้,
(หยุดฟ ังเสียงสักระยะหนึ่ง)
ถ้าเห็นส มควรแล้ว ขอจงเปล่งส าธุการขน้ึ ให้พ ร้อมกนั เทอญ
(พระสงฆ์ สาธุพร้อมกัน)
๑
ใช้สำ�หรับสามเณรตั้งแต่ ๒ รูปข ึ้นไป ถ้ารูปเดียวใช้ สามะเณรัสสะ
223
จากนั้นโยมจึงประเคนบาตรพระเณรทุกรูป พร้อม
ภาชนะเปล่า เพือ่ รบั อ าหารบางสว่ นออกจากบาตร ประเคน
ภัตตาหารเฉพาะพระสงฆ์ผ เู้ ป็นป ระธาน โดยทา่ นจะสง่ ต อ่
ให้แก่พ ระภกิ ษุรปู ต อ่ ไป จนถึงรปู ส ดุ ท้าย (ให้โยมคนหนึง่
ไปรอรบั จากรปู สดุ ท้าย) ประเคนอาหารและเครือ่ งไทยทาน
ในคราวเดียวทั้งหมด
จากนนั้ ผ รู้ ว่ มงานมารวมกนั เพือ่ รอรบั คำ�อนุโมทนา
หรือการแสดงธรรมตามแต่ประธานสงฆ์เห็นควร พระสงฆ์
ให้พ ร และประพรมน� ำ้ พระพุทธมนต์ (ถ้าม )ี จากนน้ั พ ระสงฆ์
จะฉนั ภ ตั ตาหาร ส่วนผรู้ ว่ มพธิ รี บั ป ระทานอาหารจดั เลีย้ งกนั
ตามประเพณี เป็นอันเสร็จพิธี
224
สิ่งที่ควรทราบในพิธีทำ�บุญ
*การนิมนต์พ ระสงฆ์ไปทำ�บุญ ควรติดต่อเจ้าอาวาส
ล่วงหน้าอย่างนอ้ ย ๓ วัน โดยระบุวนั ท ี่ เวลามารบั สถานที่
จำ�นวนพระ (โดยคำ�นึงถ งึ ค วามเหมาะสมของสถานทพี่ ธิ )ี
ทางวัดงดเว้นก ารรับนิมนต์ในวันพระ และวันท ี่ทางวัดม ี
ศาสนพิธีพิเศษ
*การนิมนต์ห ้ามระบุชื่ออาหารที่จะถวาย
*ผูร้ ว่ มพธิ คี วรแต่งกายให้ส ภุ าพ สะดวกในการนงั่ และ
การกราบ
*ควรงดมหรสพ การพนันต า่ งๆ ตลอดจนกระทัง่ ส รุ า
ยาเสพติดท ุกช นิด
* ในขณะทำ�พธิ ี คือ ระหว่างพระสงฆ์เจริญพ ระพุทธมนต์
แสดงธรรม หรืออ นุโมทนาให้พ ร ไม่ค วรสวมหมวก คลุม
ศีรษะ สวมรองเท้า และให้อ ยูใ่ นอาการสงบ สำ�รวมเพือ่ ให้
ได้รบั ประโยชน์จากการฟงั และเป็นการเคารพในพระธรรม
* ไม่ควรถวายหมากพลู บุหรี่ และอาหารที่ขัดต่อ
พระธรรมวนิ ยั เช่น อาหารประเภทเนือ้ ทีป่ รุงไม่ส กุ (ควร
ทำ�ให้ส กุ ด ว้ ยไฟกอ่ นถวาย) เนือ้ ส ตั ว์ ๑๐ ชนิด ทีท่ รงหา้ ม
(คือ เนือ้ ม นุษย์ ช้าง ม้า สุนขั ราชสีห์ หมี เสือโคร่ง เสือดาว
เสือเหลือง งูหรือปลาไหล)
225
*การถวายหรือป ระเคนสงิ่ ของ ผูถ้ วายควรอยูห่ า่ งจาก
พระไม่เกินห นึง่ ศ อกกบั อ กี ห นึง่ ค บื ยกของถวายให้พ น้ พ นื้
ถวายทลี ะอย่างโดยอาการนอบน้อม ไม่ค วรถวายสงิ่ ท เี่ ป็น
อาหารภายหลังจากพระฉันเสร็จแล้วในวันน ั้น ถ้ามีสิ่งที่
เป็นอาหารจะถวายอีกค วรมอบไว้แ ก่โยมผู้อุปัฏฐากพระ
*พืชผกั ผ ลไม้ทสี่ ามารถปลูกหรืองอกได้ เมือ่ จะถวายพระ
พึงทำ� ตามวนิ ยั กรรม ให้เป็นของควรแก่พระภกิ ษุฉนั โดย
เมือ่ นำ� เข้ามาประเคน พระทา่ นจะกล่าววา ่ “กัปปยิ งั กะโรหิ”
ให้ผู้ประเคนใช้ของมีคม ไฟ หรือเล็บ ตัด แทง จิม้ ของ
สิง่ นนั้ ภายในภาชนะนนั้ พร้อมกบั กล่าววา ่ “กัปปยิ งั ภันเต”
* ไม่ค วรถวายธนบัตร เงิน ทองแก่พ ระภกิ ษุ สามเณร
หากตอ้ งการถวายให้ถ วายเป็นใบปวารณาโดยมอบธนบัตร
เงินท องนนั้ แก่โยมอปุ ฏั ฐากพระหรือ ผูท้ จี่ ะไปสง่ พ ระ เพือ่
ให้นำ�เข้ากองกลางบำ�รุงปจั จัย ๔ แก่พระภกิ ษุสามเณร
*ภายหลังจากเทีย่ งไปแล้ว หากจะถวายเครือ่ งดมื่ แ ก่
พระควรเป็นน ำ�้ ผ ลไม้ท ไ่ี ม่มเี นือ้ ผ ลไม้ผ สมและขนาดไม่ใหญ่
กว่าผ ลมะตูม ควรเป็นเครือ่ งดมื่ ชนิดท ไี่ ม่มสี ว่ นผสมของ
นม ไม่ควรเป็นเครื่องดื่มเจือด้วยน้ำ�เมา และไม่ควรเป็น
เครื่องดื่มพ วกธัญพืช พวกข้าวโอ๊ต ข้าวโพด น้ำ�ถ ั่ว (นม
ถัว่ เหลือง) ตลอดทงั้ ไม่ค วรเป็นส งิ่ อ นื่ ท สี่ ามารถสำ�เร็จก จิ
อาหารได้ เช่น น้ำ�ผ ัก เป็นต้น
226
มนุษย์เราเอ๋ย...
มนุษย์เราเอ๋ย เกิดม าทำ�ไม
นิพพานมีสุข อยูไ่ยไม่ไป
ตัณหาหน่วงหนัก หน่วงชักห น่วงไว้
ฉันไปไม่ได้ ตัณหาผูกพัน
ห่วงนั้นพ ันผูก ห่วงลูกห ่วงหลาน
ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร จงสละเสียเถิด
จะได้ไปนิพพาน ข้ามพ้นภพสาม
ยามหนุ่มสาวน้อย หน้าตาแช่มช้อย
งามแล้วท ุกป ระการ แก่เฒ่าหนังยาน
แต่ล ้วนเครื่องเหม็น เอ็นใหญ่เก้าร้อย
เอ็นน้อยเก้าพัน มันม าทำ�ให้เข็ญใจ
ให้ร้อนให้เย็น เมื่อยขบทั้งตัว
ขนคิ้วก ข็ าว นัยน์ตากม็ ัว
เส้นผมบนหัว ดำ�แล้วกลับหงอก
หน้าตาเว้าวอก ดูห น้าบัดสี
จะลุกก โ็อย จะนั่งก โ็อย
เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร
จะเข้าที่นอน พึงสอนภาวนา
พระอนิจจัง พระอนัตตา
227
เราท่านเกิดม า รังแต่จะตาย
ผู้ดเีข็ญใจ ก็ต ายเหมือนกัน
เงินทองทั้งนั้น มิติดตัวไป
ตายไปเป็นผี ลูกเมียผัวรัก
เขาชักห น้าหนี เขาเหม็นซากผี
เปื่อยเน่าผุพอง หมู่ญาติพ ี่น้อง
เขาหามเอาไป เขาวางลงไว้
เขานั่งร้องไห้ แล้วกลับคืนม า
อยูแ่ ต่ผ ู้เดียว ป่าไม้ชายเขียว
เหลียวไม่เห็นใคร เห็นแต่ฝ ูงแร้ง
เห็นแต่ฝ ูงกา เห็นแต่ฝ ูงหมา
ยื้อแ ย่งก ันก ิน ดูน ่าส มเพช
กระดูกก เูอ๋ย เรี่ยรายแผ่นด ิน
แร้งกาหมากิน เอาเป็นอาหาร
เที่ยงคืนส งัด ตื่นข ึ้นม ินาน
ไม่เห็นลูกห ลาน พี่น้องเผ่าพันธุ์
เห็นแต่น กเค้า จับเจ่าเรียงกัน
เห็นแต่น กแสก ร้องแรกแหกขวัญ
เห็นแต่ฝ ูงผี ร้องไห้หากัน
228
มนุษย์เราเอ๋ย อย่าหลงนักเลย ไม่มีแก่นส าร
อุตส่าห์ทำ�บุญ ค้ำ�จุนเอาไว้ จะได้ไปสวรรค์
จะได้ท ันพ ระพุทธเจ้า จะได้เข้าพระนิพพาน
อะหัง วันทามิ สัพพะโส
อะหัง วันทามิ นิพพานะปัจจะโย โหตุ
บทพิจารณาอาหาร
ข้าพเจ้าพิจารณาอาหาร ก่อนรับประทานในมื้อนี้
มิใช่เพื่อสนุกสนานเปรมปรีดิ์ มิให้มีพลังกายอันเมามัน
มิให้เป็นเครือ่ งประดับและตกแต่ง แต่เพื่อให้แข็งแรงและขยัน
เพือ่ พากเพียรภาวนาตลอดวนั ให้ธาตุขนั ธ์ได้ลองลม้ิ อม่ิ พ ระธรรม
229
มูลนิธปิ ัญญาประทีป
ความเป็นมา
มูลนิธิปัญญาประทีป จัดตั้งโดยคณะผู้บริหารโรงเรียนทอสี ด้วยความร่วมมือ
จากคณะครู ผู้ปกครองและญาติโยมซึ่งเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ชยสาโร กระทรวงมหาดไทย
อนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลอย่างเป็นทางการ เลขที่ทะเบียน กท. ๑๔๐๕ ตั้งแต่วันที่
๑ เม ษายน ๒๕๕๑
วัตถุประสงค์
๑ ) สนับสนุนก ารพัฒน าสถาบันก ารศึกษาวิถ ีพุทธที่มีระบบไต ร ส ิกขาของพระพุทธ
ศาสนาเป็นหลัก
๒ ) เผยแผ่หลกั ธรรมค�ำ สอนผ่า นการจัดการฝึกอ บรม และปฏิบตั ธิ รรม และการเผยแผ่
สื่อธรรมะรูปแบบต่าง ๆ โดยแจกเป็นธรรมทาน
๓) เพิม่ พูนความเข้าใจในเรือ่ งความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และสิง่ แวดล้อม สนับสนุน
การพัฒนาที่ยั่งยืน และส่งเสริมการดำ�เนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
๔) ร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่น ๆ เพื่อดำ�เนินกิจการที่เป็นสาธารณประโยชน์
คณะที่ปรึกษา
พระอาจารย์ชยสาโรเป็นองค์ประธานทีป่ รึกษา โดยมีคณะทีป่ รึกษาเป็นผูท้ รงคุณวุฒใิ น
สาขาต่างๆ อาทิ ดา้ นนิเวศวิทยา พลังงานทดแทน สง่ิ แวดล้อม เกษตรอินทรีย ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ
วิทยาศาสตร์สุขภาพ การเงิน กฎหมาย การสื่อสาร การละคร ดนตรี วัฒนธรรม ศิลปกรรม
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
คณะกรรมการบริหาร
มูลนิธฯิ ได้รบั เกียรติจากรองศาสตราจารย์นายแพทย์ปรีดา ทัศนประดิษฐ เป็นประธาน
คณะกรรมการบริหาร และมีคุณบุบผาสวัสดิ์ รัชชตาตะนันท์ ผู้อำ�นวยการโรงเรียนทอสีเป็น
เลขาธิการฯ
การดำ�เนินการ
•มูลนิธิฯ เป็นผู้จัดตั้งโรงเรียนมัธยมปัญญาประทีป ในรูปแบบโรงเรียนบ่มเพาะชีวิต
เพื่อดำ�เนินกิจกรรมต่าง ๆ ด้านการศึกษาวิถีพุทธ ให้บรรลุวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ ข้างต้น
โรงเรียนนี้ตั้งอยู่ที่ บ้านหนองน้อย อำ�เภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
• มูลนิธฯิ ร่วมมือกับโรงเรียนทอสี ในการผลิตและเผยแผ่สอ่ื ธรรมะ แจกเป็นธรรมทาน
โดยในส่วนของโรงเรียนทอสีฯ ได้ดำ�เนินการต่อเนื่องตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๕