Professional Documents
Culture Documents
วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๔
วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๔
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
วิสัยทัศน์
ราชบัณฑิตยสถานเป็นสถาบันหลักของ
เครือข่ายทางปัญญาแห่งชาติ
และ
เป็นองค์การพัฒนาความรู้ที่สามารถ
เป็นแหล่งอ้างอิงทางวิชาการ
วารสาร
The Journal of The Royal Institute of Thailand
ราชบัณฑิตยสถาน
The Journal of
Volume 36 Number 4 October-December 2011
สำ�นักงาน : ราชบัณฑิตยสถาน
สนามเสือป่า เขตดุสิต กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐ โทรศัพท์ ๐ ๒๓๕๖ ๐๔๖๖-๗๐ โทรสาร ๐ ๒๓๕๖ ๐๔๙๒
Office: The Royal Institute
Sanam Sueapa, Khet Dusit, Bangkok 10300, Thailand. Tel. 0 2356 0466-70 Facsimile 0 2356 0492
http://www.royin.go.th
ที่ปรึกษาคณะบรรณาธิการ
ศาสตราจารย์ ดร.ปัญญา บริสุทธิ ์ นายกราชบัณฑิตยสถาน
ดร.โสภา ชูพิกุลชัย ชปีลมันน์ อุปนายกราชบัณฑิตยสถาน
ประธานคณะบรรณาธิการ
รองศาสตราจารย์อัศนีย์ ชูอรุณ ราชบัณฑิต
คณะบรรณาธิการ
รองศาสตราจารย์ ดร.ชยันต์ พิเชียรสุนทร ราชบัณฑิต
ศาสตราจารย์ ดร.มงคล เดชนครินทร์ ราชบัณฑิต
ศาสตราจารย์ ดร.ณัชชา พันธุ์เจริญ ภาคีสมาชิก
รองศาสตราจารย์ ดร.นิตยา กาญจนะวรรณ ภาคีสมาชิก
รองศาสตราจารย์ ดร.ผลิน ภู่จรูญ ภาคีสมาชิก
รองศาสตราจารย์มาลิทัต พรหมทัตตเวที ภาคีสมาชิก
รองศาสตราจารย์ ดร.วรวุฒิ หิรัญรักษ์ ภาคีสมาชิก
ศาสตราจารย์ ดร.สมชาย วงศ์วิเศษ ภาคีสมาชิก
นางสาวกนกวลี ชูชัยยะ เลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน
นายบัณฑิต ตั้งประเสริฐ รองเลขาธิการราชบัณฑิตยสถาน
นางแสงจันทร์ แสนสุภา ผู้อ�ำนวยการกองธรรมศาสตร์และการเมือง
นางสาวสุปัญญา ชมจินดา ผู้อ�ำนวยการกองวิทยาศาสตร์
นางสาวศิริพร อินทรเชียรศิร ิ ผู้อ�ำนวยการกองศิลปกรรม
นางทิพาภรณ์ ธารีเกษ ผู้ประสานงานกองศิลปกรรม
นางสาวกุลศิรินทร์ นาคไพจิตร ผู้ประสานงานกองศิลปกรรม
นางสาวปาริชาติ กิตินนั ทน์ ผู้ประสานงานกองศิลปกรรม
นางธนิดา สุขจรนิ ผู้ประสานงานกองศิลปกรรม
กองบรรณาธิการ
นางสาวบุญธรรม กรานทอง นางสาวชลธิชา สุดมุข
นางชวนพิศ เชาวน์สกุล นางสาวพัชนะ บุญประดิษฐ์
นางสาวกระล�ำภักษ์ แพรกทอง นางสาวลัดดา วรลัคนากุล
นางพรทิพย์ เดชทิพย์ประภาพ นายปิยะพงษ์ โพธิ์เย็น
นางสาววรรณทนา ปิติเขตร นางสาวศยามล แสงมณี
ผู้จัดการ
นางนัยนา วราอัศวปติ เลขานุการกรม
The Journal of the Royal Institute of Thailand
Quarterly Journal
ADVISORY BOARD
Panya Borisutdhi, FRI President of the Royal Institute
Sobha Chupikulchai Spielmann, FRI Vice-President of the Royal Institute
EDITOR-IN-CHIEF
Asanee Chooarun Fellow of the Royal Institute
EDITORIAL BOARD
Chayan Picheansoonthon Fellow of the Royal Institute
Mongkol Dejnakarintra Fellow of the Royal Institute
Malithat Promathatavedi Associate Fellow of the Royal Institute
Natchar Pancharoen Associate Fellow of the Royal Institute
Nitaya Kanchanawan Associate Fellow of the Royal Institute
Palin Phoocharoon Associate Fellow of the Royal Institute
Somchai Wongwises Associate Fellow of the Royal Institute
Vorawoot Hirunruk Associate Fellow of the Royal Institute
Kanokwalee Chuchaiya Secretary-General, the Royal Institute
Bundit Tungprasert Deputy Secretary-General, the Royal Institute
Saengchant Sansupa Director, the Royal Institute of Moral and Political
Sciences Division
Supanya Chomjinda Director, the Royal Institute of Sciences Division
Siriporn Intarachiensiri Director, the Royal Institute of Arts Division
Tipaporn Tareeges Coordinator, Academy of the Royal Institute
Kulsirin Nakpaijit Coordinator, Academy of the Royal Institute
Parichat Kittinan Coordinator, Academy of the Royal Institute
Tanida Sukjornni Coordinator, Academy of the Royal Institute
EDITORIAL STAFF
Boontham Granthong Cholticha Sudmuk
Chuanpit Chaovanasakul Patchana Bunpradit
Kalumpak Praekthong Ladda Woralukanakul
Pornthip Dettippraphap Piyapong Poyen
Wantana Pitikhet Sayamol Saengmani
MANAGER
Naiyana Vara-Asvapati Head, Secretariat office of the Royal Institute
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
The Journal of the Royal Institute of Thailand
ไผทไทยเย็นร่มแท้ ทิพสถาน
โดยพระราชสมภาร เอกเอื้อ
ไอศวรรย์รุ่งเรืองตระการ ก้องโลก
เผยแผ่กฤษดาเกื้อ แหล่งหล้าสุขเกษม
เปรมปรีดิ์ปราโมทย์ทั้ง ปถพี
เฉลิมพระชนม์ภูบดี เพริศพร้อม
บุญเบิกพระบารมี ไตรตรัส
ทวยราษฎร์ทั่วหน้าน้อม แซ่ซ้องชัยพร
ประนมกรกราบก้ม ศิระสา
นบพระมหากรุณา เลิศล้วน
ปวงพสกเทิดบุญญา เหนือเกศ เกล้าแฮ
คือประทีปถ่องถ้วน สว่างล�้ำแหล่งสยาม
ทุกคามเขตพร�่ำพร้อง สรรพมงคลเฮย
ทรงพระเจริญยิ่งยง เพริศแพร้ว
พาลภัยพ่ายพระทรง มหิทธิเดช
ทรงพระสราญเลิศแล้ว ราษฎร์พร้อมภักดี
เชิญตรีรัตนะคุ้ม ครองไอ-ศวรรย์เอย
ราชจักรีเกริกไกร เด่นด้าว
เกษมสุขนิรัติศรัย ยืนยิ่ง พระชนม์แฮ
พระเกียรติพระยศอะคร้าว อยู่ฟ้าแลดิน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า คณะผู้จัดท�ำวารสารราชบัณฑิตยสถาน
(คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ ราชบัณฑิต ประพันธ์)
ประธานคณะบรรณาธิการ แถลง
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ขอเสนอความรู้ทางวิชาการต่าง ๆ
ที่น่าสนใจจาก ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง เช่น เรื่อง การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐตามหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง โดย ศ. ดร.วรเดช จันทรศร ส�ำนักวิทยาศาสตร์ เรื่อง กรณีอุบัติเหตุเรือน�้ำตาลอับปางใน
แม่น�้ำเจ้าพระยา โดย ศ. ดร.เปี่ยมศักดิ์ เมนะเศวต และคณะ ส�ำนักศิลปกรรม เรื่อง ชุมชนจีนในประเทศไทย :
หลากหลายส� ำ เนี ย งจี น โดย รศ. ดร.ประพิ ณ มโนมั ย วิ บู ล ย์ เรื่ อ ง เรื่ อ งยุ ่ ง ๆ เกี่ ย วกั บ อั ก ษรควบ โดย
รศ. ดร.นววรรณ พันธุเมธา เรื่อง วรรณกรรมทักษิณ : หลักฐานส�ำคัญของภาคใต้ ที่ท้าทายการศึกษา โดย
ศ.ชวน เพชรแก้ว เรื่อง เอร็อสทรัต : กรณีศึกษาตัวเอกปฏิลักษณ์ โดย รศ. ดร.จินตนา ด�ำรงค์เลิศ เรื่อง การอนุรักษ์
โขนหน้าจอ โดย ดร.ไพโรจน์ ทองค�ำสุก และเรือ่ ง น�ำ้ ท่วม ปัญหาโลกแตก โดย รศ.มาลิทตั พรหมทัตตเวที นอกจากนี้
ยังมีบทความพิเศษที่น่าสนใจอีก ได้แก่ เรื่อง ปัญหาบางประการในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา โดย
ศ.ไชยยศ เหมะรัชตะ เรื่อง การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมาอย่างยั่งยืนภายใต้หลัก
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดย ผศ. ดร.สุวิมล ตั้งประเสริฐ และเรื่อง ความมหัศจรรย์ทางตัวเลข ๗ ประการ
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๗ รอบ โดย นายลอย ชุนพงษ์ทอง
ราชบัณฑิตยสถานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะติดตามวารสารราชบัณฑิตยสถานต่อไป หากมีข้อติชม หรือ
ข้อเสนอแนะประการใด ทางคณะบรรณาธิการฯ ขอน้อมรับด้วยความขอบคุณ และจะได้น�ำไปพิจารณาปรับปรุง
วารสารราชบัณฑิตยสถานให้ดียิ่งขึ้น
วรเดช จันทรศร
ภาคีสมาชิก ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
ราชบัณฑิตยสถาน
บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งน�ำเสนอแนวทางการน้อมน�ำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการ
บริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐใน ๕ ด้าน ซึง่ ได้แก่ (๑) การวางแผนก�ำลังคน (๒) การสรรหาก�ำลังคน (๓) การคัดเลือก
(๔) การฝึกอบรมและการพัฒนา และ (๕) การรักษาและการใช้ประโยชน์จากบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้แก่
ประชาชนไทยเป็นแนวทางการด�ำรงชีวิต เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งและ
ยั่งยืน
สาระหลักที่ส�ำคัญ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งชี้ให้เห็นถึงแนวทางการด�ำรงอยู่และปฏิบัติตน
ของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับชาติทั้งในการพัฒนาและการบริหาร
ประเทศให้ดำ� เนินไปในทางสายกลาง เป็นแนวทางการพัฒนาทีเ่ น้นความสมดุล ความพอประมาณ ความมีเหตุผล
ความส�ำนึกในคุณธรรม การมีภมู คิ มุ้ กันในตัวทีด่ พี อทีจ่ ะต่อต้านและลดผลกระทบจากการเปลีย่ นแปลงต่าง ๆ จาก
กระแสโลกาภิวัตน์
*
ผูเ้ ขียนขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.อิสระ สุวรรณผล ผูอ้ �ำนวยการสถาบันทีป่ รึกษาเพือ่ พัฒนาประสิทธิภาพในราชการ ส�ำนักงาน ก.พ. ทีไ่ ด้อนุญาตให้น�ำ
เนื้อหาในรายงานการวิจัย เรื่อง “การน้อมน�ำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ในการบริหารราชการ” ซึ่งเป็นรายงานการวิจัยที่ผู้เขียนจัดท�ำให้สถาบันฯ
มาตีพิมพ์ ส่วนหนึง่ ของรายงานการวิจัยนี้ผู้เขียนได้น�ำเสนอในที่ประชุมส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓
วรเดช จันทรศร
519
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
อนึ่ง นอกจากการยกย่ อ งและ ศึกษาค้นคว้ามาก่อนเลย เป็ นการกระท� ำ ที่ ไม่ มี ค วามเป็ นธรรม
ยอมรับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใน บทความนี้ จึ ง มี วั ต ถุ ป ระสงค์ เกิดความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างผู้
ระดับโลกแล้ว ในระดับประเทศ รัฐบาล ในการน� ำ เสนอแนวทางการน้ อ มน� ำ บริหารกับผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อให้เกิดผล
ของพระบาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว ยั ง หลั ก ปรั ช ญาของเศรษฐกิ จ พอเพี ย งมา เสียต่อประสิทธิภาพของหน่วยงาน และ
ได้ น ้ อ มอั ญ เชิ ญ ปรั ช ญาของเศรษฐกิ จ ประยุกต์ใช้ในการจัดการภาครัฐในส่วน ประโยชน์ต่อสาธารณะโดยรวม
พอเพียงไปบรรจุใช้เป็นปรัชญาน�ำทาง ที่เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรบุคคลใน การจะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดข้าง
ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ด้านการสรรหา พัฒนารักษาไว้ และใช้ ต้น และสามารถพัฒนาหน่วยงานภาครัฐ
ชาติ ทั้งในฉบับที่ ๙ และฉบับที่ ๑๐ อีก ประโยชน์ และเพื่อที่จะให้การบริหาร ไปในทิศทางทีม่ นั่ คง ก้าวหน้า และยัง่ ยืน
ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานภาครัฐ ผู้บริหารจึงควรที่จะมีเหตุผลใช้เงื่อนไข
พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๗๘(๑) สามารถบรรลุ วั ต ถุ ป ระสงค์ ที่ ส� ำ คั ญ ความรู้ และเงื่อนไขคุณธรรม ในการ
ยังก�ำหนดให้ “รัฐต้องด�ำเนินการตาม ได้ คือ เพื่อจัดหาบุคคลที่มีคุณสมบัติ บริหารงาน กระท�ำในสิ่งที่ถูกต้อง ได้แก่
แนวนโยบายด้ า นการบริ ห ารราชการ เหมาะสมกับงาน เพื่อพัฒนาทักษะและ มีการวางแผนทรัพยากรบุคคลทีเ่ หมาะสม
แผ่นดิน ให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม ความสามารถ เพื่ อ รั ก ษาพนัก งานที่ มี มีการสรรหาและการคัดเลือกเพื่อให้ได้
เศรษฐกิจ และความมั่งคงของประเทศ ความสามารถให้คงอยู่นานที่สุด เพื่อใช้ คนทีต่ อ้ งการและเหมาะสมกับวัฒนธรรม
อย่างยัง่ ยืนโดยต้องส่งเสริมการด�ำเนินการ ทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขององค์การ มีการฝึกอบรมและพัฒนา
ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและค�ำนึง (สมชาย, ๒๕๔๒ : ๑๐) ท�ำให้การบริหาร ตลอดจนการรักษาและใช้ประโยชน์จาก
ถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพ ราชการของหน่วยงานภาครัฐโดยรวมมี บุคคล
รวมเป็นส�ำคัญ” นอกจากนี้รัฐบาลยังมี ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เกิดประโยชน์ การเสนอเรื่องในบทความนี้ ได้
การก�ำหนดเป็นประเด็นวาระแห่งชาติ ต่อสาธารณะ และเป็นกลไกส�ำคัญในการ แบ่งการน�ำเสนอออกเป็น ๖ ส่วน ส่วนที่ ๑
ในการน้อมน�ำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พัฒนาประเทศ เป็ น การน� ำ เสนอหลั ก ปรั ช ญาของ
พอเพียงมาปรับใช้ เพื่อสร้างการบริหาร ในสภาพความเป็ นจริ ง เราคง เศรษฐกิจพอเพียง ส่วนที่ ๒ เป็นการน�ำ
ราชการแผ่ น ดิ น ที่ ป ระชาชนเชื่ อ มั่ น ไม่ ส ามารถปฏิ เ สธได้ ว ่ า การบริ ห าร หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับ
ศรัทธา เป็นหลักการส�ำคัญที่จะช่วยวาง ทรัพยากรบุคคลของหน่วยงานภาครัฐ ใช้ กั บ การวางแผนทรั พ ยากรบุ ค คลใน
รากฐานการบริหารราชการอย่างสุจริต บางแห่งยังคงเกิดข้อผิดพลาดขึ้นในบาง หน่วยงานภาครัฐ ส่วนที่ ๓ เป็นการน�ำ
เป็นธรรม และเป็นไปเพื่อประโยชน์สุข ประการ เช่ น มี ก ารรั บ และบรรจุ ค น มาปรับใช้กับการสรรหาบุคคลในหน่วย
ของประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยความไม่เป็นธรรม บุคคลที่ถูกบรรจุ งานภาครัฐ ส่วนที่ ๔ เป็นการน�ำมาปรับ
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การ ไม่ เหมาะสมกั บ งาน มี อั ต ราการออก ใช้กับการคัดเลือกบุคคลของหน่วยงาน
น� ำ หลั ก ปรั ช ญาของเศรษฐกิ จ พอเพี ย ง จากงานสูง มีการค้นพบว่า ข้าราชการ/ ภาครัฐ ส่วนที่ ๕ เป็นการน�ำมาปรับใช้
ไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ ของ พนักงาน/ลูกจ้าง ไม่ตั้งใจที่จะท�ำงานให้ กับการฝึกอบรมและการพัฒนาของหน่วย
ภาครัฐยังมีน้อยมาก และขาดแนวทางที่ ดีที่สุด ผู้บริหารไม่ให้ความเป็นธรรม งานภาครัฐ ส่วนที่ ๖ เป็นการน�ำมาปรับ
เป็นรูปธรรมที่สามารถส่งประโยชน์ได้ ในการแต่งตั้ง โยกย้าย มีการฟ้องร้อง ใช้กบั การรักษาและการใช้ประโยชน์จาก
อย่างทั่วถึงและยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้นใน ทั้งทางศาลปกครอง และศาลยุติธรรม บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ และส่วน
เชิ ง วิ ช าการ การน� ำ หลั ก ปรั ช ญาของ บางส่วนราชการไม่มีการฝึกอบรมและ ที่ ๗ เป็นการสรุปความเกี่ยวกับการน�ำ
เศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการ พัฒนา ไม่มีการแต่งตั้งข้าราชการตาม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับ
บริหารจัดการภาครัฐยังแทบจะไม่มีการ ช่วงเวลาที่ควรจะเป็น ซึ่งในภาพรวม ใช้ในการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
520
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
วรเดช จันทรศร
521
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
ภาพที่ ๑ ภาพรวมของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถสรุปเป็นเชิงบูรณาการได้ดังนี้
การพัฒนาที่มุ่งไปสู่
ความสมดุล มั่นคง ยั่งยืน
จุดมุ่งหมายของการพัฒนาตามหลัก พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ชีวิตเศรษฐกิจ/สังคม/สิ่งแวดล้อม/เทคโนโลยี
ก้าวทัน สนองตอบ
และสามารถจัดการต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์
ทางสายกลาง
ความพอประมาณ
คุณลักษณะ ๓ ประการ
ที่สัมพันธ์กัน ความมีเหตุผล
การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
522
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ภาพที่ ๒ การวางแผนทรัพยากรบุคคลตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
การวางแผนทรัพยากรบุคคล
เงื่อนไขความรู้
การศึกษาวิจัยจ�ำนวนบุคคล
(รอบรู้)
และความสามารถที่ต้องการ
เงื่อนไขความรู้
การเตรียมแผนรองรับก�ำลัง
(รอบคอบ/ระมัดระวัง)
ที่อาจจะขาดหายไป
เงื่อนไขคุณธรรม
การสร้างโอกาสการจ้างงาน
การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง
ที่เท่าเทียมกัน
การลดจ�ำนวนข้าราชการ เงื่อนไขความรู้
ที่มากเกินไป เงื่อนไขคุณธรรม
ความพอประมาณ ความมีเหตุผล
และการมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
ของส่วนราชการ
วรเดช จันทรศร
523
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
๓. การสรรหา แง่ความมัน่ คงปลอดภัยภายในหน่วยงาน บอร์ ด ให้ เห็ น ได้ โดยเปิ ด เผยเป็ น เวลา
การสรรหาบุคลากร (Recruitment) และอาจเสียค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ภายหลัง เช่น ล่วงหน้า เช่น ไม่น้อยกว่า ๑๐ วันท�ำการ
เป็ น กิ จ กรรมและกระบวนการของ การปฐมนิเทศและการฝึกอบรมน้อยกว่า (๒) การตรวจสอบคุ ณ -
องค์การในการจูงใจให้บุคคลที่มีความ การรับจากภายนอก ส่วนการสรรหาจาก สมบัติและประสบการณ์ของบุคคลที่จะ
สามารถและมี ทั ศ นคติ ที่ เ หมาะสมที่ ภายนอก อาจจ�ำเป็นต้องมีการด�ำเนินการ ได้รับการบรรจุนนั้ ให้ฝ่ายการเจ้าหน้าที่
ต้ อ งการมาสมั ค รในต� ำ แหน่ ง งานที่ ให้สอดคล้องกับความขาดแคลนที่ศึกษา เป็นผู้ตรวจสอบ และผู้สมัครสามารถ
ต้ อ งการ เพื่ อ ช่ ว ยให้ ก ารท� ำ งานของ ได้จากการวางแผนทรัพยากรบุคคล หาก ตรวจสอบความถูกต้องได้จากฝ่ายการ
องค์การบรรลุวัตถุประสงค์ (Ivancevich, ส่วนราชการด�ำเนินการโดยยึดหลักการ เจ้าหน้าที่
1998: 711 อ้างใน สมชาย, ๒๕๔๒ : ๘๗) ข้างต้นก็ถอื ได้วา่ ได้นำ� เงือ่ นไขบนความรู้ (๓) ข้าราชการทีอ่ ยูร่ ะหว่าง
การน้ อ มน� ำ หลั ก ปรั ช ญาของ และเงื่ อ นไขของคุ ณ ธรรม ตามหลั ก การลา หากเป็นผู้มีสิทธิ ควรได้รับการ
เศรษฐกิ จ พอเพี ย งมาปรั บ ใช้ กั บ การ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ แจ้งให้ทราบด้วย
สรรหาบุ ค ลากรของหน่ ว ยงานภาครั ฐ อย่างถูกต้องเหมาะสม (๔) เ พื่ อ ค ว า ม ถู ก ต ้ อ ง
สามารถพิจารณาได้ดังนี้ ๓. ในการสรรหาบุคคลทัง้ หลาย รอบคอบ ตรวจสอบได้ ผูบ้ ริหารควรแจ้ง
๑. หน่วยงานภาครัฐควรศึกษา จากภายในและภายนอก หน่วยงานภาค ให้สมาชิกภายในหน่วยงานได้ทราบก่อน
กระบวนการตามกฎหมาย และระเบียบ รัฐควรยึดนโยบายโปร่งใส เสมอภาค ที่จะประกาศอย่างเป็นทางการ
ที่เกี่ยวข้องและด�ำเนินการให้การสรรหา เป็นธรรม สุจริตและรับผิดชอบ สามารถ (๕) การสรรหากลุ่มผู้ด้อย
บุคลากรเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตรวจสอบได้ ซึ่ ง ถื อ ว่ า เป็ นการสร้ า ง โอกาส ชนกลุ่มน้อย สตรี และผู้สูงอายุ
ทุกขัน้ ตอน ซึง่ ถือได้วา่ เป็นการน�ำเงือ่ นไข ภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับส่วนราชการ และ ควรใช้เกณฑ์เฉพาะ มีการพัฒนาทางเลือก
ความรู้ (รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) เป็นการน�ำเงื่อนไขความรู้ และเงื่อนไข งานที่ยืดหยุ่น มีการออกแบบงานใหม่
และเงื่อนไขคุณธรรม ตามหลักปรัชญา คุณธรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ หากจ� ำ เป็ น และอาจจั ด ให้ มี แ ผนผล
ของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ พอเพียงมาใช้ ประโยชน์ที่ยืดหยุ่น แต่ทั้งนี้ให้ยึดหลัก
๒. การสรรหาบุคลากรสามารถ ๔. การด�ำเนินการให้เป็นไปตาม ความเสมอภาคเป็นธรรม และไม่มีการ
ท� ำ ได้ ทั้ ง จากภายในและภายนอก ซึ่ ง ข้อ ๓ ข้างต้น ส่วนราชการ อาจมีนโยบาย เลือกปฏิบัติที่เป็นโทษ
โดยปกติ หน่ ว ยงานภาครั ฐ อาจใช้ วิ ธี และแนวทางในการด�ำเนินการดังนี้ (๖) หน่วยงานภาครัฐควร
การสรรหาจากภายในก่อน หากมีบุคคล (๑) มีการประกาศรับสมัคร มีการรับสมัคร ทดลองให้คัดเลือกอย่าง
ที่ มี ค วามรู ้ ค วามสามารถเพี ย งพอ ซึ่ ง ให้ทุกคนทราบอย่างทั่วถึง และประกาศ สม�่ำเสมอ เพื่อประโยชน์ของสมาชิกใน
จะเป็ น การสร้ า งขวั ญ ก� ำ ลั ง ใจให้ กั บ ล่วงหน้าเป็นเวลาพอสมควร หากเป็นการ หน่วยงานจะได้รับรู้ และวางแผนความ
ข้าราชการหรือพนักงานภายใน ท�ำให้ สรรหาจากภายนอก ให้ใช้สอื่ ทีป่ ระชาชน ก้าวหน้าในอาชีพได้
เกิ ด ความผู ก พั นกั บ หน่ ว ยงานมากขึ้ น ทั่วไปสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย ประกาศ
การรับจากภายในยังอาจมีประโยชน์ใน ต� ำ แหน่ ง งานที่ เปิ ด รั บ จะต้ อ งมี ก ารติ ด
การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
524
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ภาพที่ ๓ การสรรหาบุคลากรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ศึกษาและด�ำเนินการในการสรรหา เงื่อนไขความรู้
ให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง
ทุกขั้นตอน
การสรรหาทั้งจากวิธีการภายในและ เงื่อนไขคุณธรรม
ภายนอกตามเหตุผลความจ�ำเป็นและ ซื่อสัตย์สุจริต อุตสาหะ มีสติปัญญา
เพื่อประโยชน์ทางราชการ แบ่งปัน
วรเดช จันทรศร
525
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
ภาพที่ ๔ การคัดเลือกบุคลากรตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
การคัดเลือก
เงื่อนไขความรู้
๑. ได้บุคคลที่มีลักษณะ ความสามารถ ปฏิบัติงาน รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง
ให้ราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่คดั เลือกและ
ไม่รับคนตามระบบอุปถัมภ์หรือโดยไม่สุจริต
เงื่อนไขคุณธรรม
๒. ลงทุนในการคัดเลือกพอประมาณ ไม่สร้างภาระให้
ซื่อสัตย์สุจริต อุตสาหะ มีสติปัญญา
ผู้สมัคร
แบ่งปัน
๓. ใช้การคัดเลือกหลากหลาย ถูกต้อง เที่ยงตรง
เชือ่ ถือได้ ยุตธิ รรม โปร่งใส รับผิดชอบ มีสมั ฤทธิ พอประมาณ มีเหตุผล
ผล การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีภายใน
๔. ตรวจสอบให้เกิดความถูกต้องตามกฎหมายและ ส่วนราชการ
ป้องกันความไม่รอบคอบในการจ้างงาน
การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
526
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
วรเดช จันทรศร
527
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
528
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ภาพที่ ๖ การรักษาและการใช้ประโยชน์จากบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ
การออกแบบวางระบบบริหารค่าตอบแทน เงื่อนไขความรู้
สวัสดิการ และรางวัลที่เป็นธรรม
และพอประมาณ
เงื่อนไขคุณธรรม
ค่าตอบแทนที่จับต้องไม่ได้
- โอกาสความก้าวหน้า
ความพอประมาณ
- การได้รับการยกย่องในผลงาน
ความมีเหตุผล
- ความซื่อสัตย์ สุจริต การอุทิศตน
การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีของหน่วยงานภาครัฐ
ให้ทางราชการ
ความสอดคล้องสมดุลของชีวิตส่วนตัว ทางสายกลางในการด�ำรงชีวิต
และชีวิตการท�ำงาน ตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
การส่งเสริมให้มีการยืดหยุ่นในเวลา
และสถานที่ท�ำงานให้สอดคล้องกับ
มีเหตุผล/พอประมาณ/มีภูมิคุ้มกันไว้ในตัวที่ดี
ยุคโลกาภิวัตน์
การท�ำงานเสาร์ อาทิตย์ และนอกเวลา
ราชการ ควรมีเท่าที่จ�ำเป็น สมดุล ยั่งยืน/พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง
ก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัตน์
การส่งเสริมให้ข้าราชการออกก�ำลังกาย
พักผ่อน รักษาสุขภาพ
วรเดช จันทรศร
529
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
Abstract The Management of Goverment Sector Human Resources according to the Principles of Sufficiency
Economy Philosophy
Voradej Jantarasorn
Associate Fellow of the Academy of Moral and Political Science, The Royal Institute, Thailand
This article illustrates various ways to adopt the philosophy of sufficiency economy into the
management of public sector human resource. The focus is on five functions that are related to human
resource management: (1) planning; (2) recruitment; (3) selection; (4) training and development; and
(5) utilization and retention
การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
530
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
กรณีอุบัติเหตุเรือน�้ำตาล
อับปางในแม่น�้ำเจ้าพระยา*
สันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์๑
เปี่ยมศักดิ
์ เมนะเศวต
ราชบัณฑิต ส�ำนักวิทยาศาสตร์
ราชบัณฑิตยสถาน
สมชัย บวรกิตติ
ราชบัณฑิต ส�ำนักวิทยาศาสตร์
ราชบัณฑิตยสถาน
บทคัดย่อ
เหตุการณ์เรือบรรทุกน�ำ้ ตาลทรายแดงล่มในแม่นำ�้ เจ้าพระยา บริเวณต�ำบลภูเขาทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เกิดขึ้นขณะที่เรือล�ำเลียงน�้ำตาลทรายแดง ๓ ล�ำโดยเรือลากจูง ได้เข้าชนตอม่อสะพาน ส่งผลให้เรือพ่วงล�ำที่ ๒
อับปาง และก่อนที่จะจมลง ได้พุ่งเข้าชนตลิ่งท�ำให้ตลิ่งพังบ้านเรือนเสียหาย และเกิดผลกระทบต่อเนื่องจากเรือ
คือ เรือบรรทุกน�ำ้ ตาลล�ำที่อับปางได้ขวางทางน�ำ
้ ท�ำให้กระแสน�ำ้ เปลี่ยนทิศทาง ไหลเข้าเซาะตลิ่งท�ำให้พังทลาย
เป็นบริเวณกว้าง น�้ำตาลทรายแดงที่เรือบรรทุกมาได้ละลายในแม่น�้ำ ท�ำให้ปริมาณออกซิเจนละลายในแม่น�้ำลดลง
อย่างรวดเร็ว เป็นผลให้สัตว์น�้ำโดยเฉพาะปลา ตายเป็นจ�ำนวนมาก เนื่องจากขาดออกซิเจน
กว้าง (ภาพที่ ๑)๒ นอกจากนี้แล้ว น�้ำตาล วางทุ่นรอบบริเวณ ออกประกาศไม่ให้ ตัง้ เป้าหมายของการกูเ้ รือว่า จะต้องด�ำเนิน
ทรายแดงที่เรือพ่วงบรรทุกมาละลายลง เรือผ่านจนกว่าจะกู้เรือได้ส� ำ เร็จ และ การเสร็จสิ้นภายในวันที่ ๓ มิถุนายน
ในแม่น�้ำ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตในแม่น�้ำโดย พยายามท�ำการกู้เรือที่จมนัน้ โดยสูบน�้ำ พ.ศ. ๒๕๕๔ แต่การด�ำเนินการดังกล่าว
เฉพาะปลาตายเป็นจ�ำนวนมาก เนื่องจาก และน�้ำตาลทรายแดงที่อยู่ในเรือขึ้นมา เกิดอุปสรรคขึ้นคือ การกู้เรือ เมื่อวันที่ ๒
ขาดออกซิเจน ผลกระทบดังกล่าวไม่ได้ เพือ่ ให้เรือมีนำ�้ หนักเบาขึน้ โดยทางบริษทั มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เรือที่ไปกู้เรือได้
เกิดขึน้ เฉพาะบริเวณต�ำบลภูเขาทอง แต่ได้ JNP ที่ได้น�ำเรือเปล่าขนาด ๒,๔๐๐ ตัน ล่มลงอีก๔ ทั้งนี้เนื่องจากเขื่อนเจ้าพระยา
ขยายวงกว้างจากบริเวณต�ำบลภูเขาทอง กินน�้ำลึกประมาณ ๕ เมตร ยาวประมาณ ได้ระบายน�้ำเพิ่มมากขึ้นจากเดิม มาอยู่ที่
ไปยังบริเวณทีก่ ระแสน�ำ้ ไหลผ่าน คือ จาก ๔๐ เมตร มาเทียบกับเรือที่ล่มอยู่ และใช้ ประมาณ ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปยังจังหวัด เครื่องสูบน�้ำ ๕ เครื่อง สูบน�้ำตาลทราย ส่ ง ผลให้ ก ระแสน�้ ำ ในแม่ น�้ ำ เชี่ ย วมาก
นนทบุรี ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร และ แดงและน�้ำในเรือล�ำที่จมออกใส่เรือเปล่า และระดับน�้ำในแม่น�้ำเพิ่มสูงขึ้นมาก จึง
สมุทรปราการ ก่อนที่จะไหลออกสู่อ่าว แต่ ก ารท� ำ งานเป็ น ไปอย่ า งยากล� ำ บาก ท�ำให้การกู้เรือบรรทุกน�้ำตาลทรายแดง
ไทยบริเวณจังหวัดสมุทรปราการ เนือ่ งจากกระแสน�ำ้ ไหลแรงมาก ประกอบ ทีล่ ม่ ท�ำได้ยากขึน้ โดยวันรุง่ ขึน้ เจ้าหน้าที่
การด�ำเนินการของภาครัฐในการ กับล�ำน�ำ้ แคบจึงเกรงว่าเรือจะกระแทกกับ หยุดการกู้เรือชั่วคราว เนื่องจากแนวบัง
แก้ไขปัญหาจากอุบัติภัยครั้งนี้คือ การ ตลิ่งพังลงไปอีก๓ อย่างไรก็ตามได้มีการ ใบเรือที่ท�ำไว้สูงประมาณ ๑.๕ เมตร ยาว
๖ เมตร ยังไม่สามารถต้านทานกระแส
น�้ำได้ รวมถึงต้องยุติ การท�ำงานของนัก
ประดาน�ำ ้ ทีก่ องทัพเรือส่งมาด�ำส�ำรวจเรือ
เนื่องจากกระแสน�้ำหัวเรือในจุดที่รั่วและ
จมน�้ำนัน้ ไหลแรงมาก๕
จากเหตุการณ์เรือบรรทุกน�้ำตาล
ทรายแดงล่ม ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจน
ละลายน�้ำในน�้ำลดลง จึงก่อให้เกิดน�้ ำ
เน่าเสีย สร้างความเดือดร้อนให้ราษฎร
ในบริเวณใกล้เคียงเป็นอย่างมาก สมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
องค์ประธานกรรมการมูลนิธิชัยพัฒนา
จึ ง พระราชทานพระราชกระแสให้
ส� ำ นั ก งานมู ล นิ ธิ ชั ย พั ฒ นาประสาน
กั บ กรมชลประทานด� ำ เนิ น การติ ด ตั้ ง
เครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและ
ดูดน�ำ ้ RX-5C จ�ำนวน ๑๒ เครือ่ ง บริเวณ
หน้าวัดโพธิ์ทองบน วัดช่องลม วัดสลัก
ภาพที่ ๑ เรือน�้ำตาลล่มขวางทางกระแสน�้ำ บริเวณต�ำบลภูเขาทอง จังหวัด เหนือ วัดโพธิ์บ้านอ้อย วัดเกาะพญาเจ่ง
พระนครศรีอยุธยา[๒] วัดกลางเกร็ด วัดบางพัง และวัดหงส์ทอง
ที่มา: httpm://krobkruakao.comdetail.phpnews=39418 อ�ำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อ
กรณีอุบัติเหตุเรือน�้ำตาลอับปางในแม่น�้ำเจ้าพระยา
532
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ปรับปรุงคุณภาพน�้ำบริเวณดังกล่าวที่ได้
รั บ ผลกระทบจากน�้ ำ เสี ย ที่ ไหลมาจาก
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้มีคุณภาพ
ดี ขึ้ น โดยเครื่ อ งกลเติ ม อากาศชนิด นี้
สามารถดึ ง น�้ ำ เสี ย ที่ อ ยู ่ ก ้ น บ่ อ เข้ า ผสม
กับอากาศและเกิดคลื่นน�ำ ้ ท�ำให้น�้ำไหล
หมุนเวียน น�้ำเสียจะผสมกับออกซิเจน
ในอากาศซึ่ ง ท� ำ ให้ น�้ ำ มี คุ ณ ภาพดี ขึ้ น
ขณะเดียวกันผูว้ า่ ราชการจังหวัดปทุมธานี
ได้ประกาศเขตพื้นที่อ�ำเภอเมืองฯ และ
อ�ำเภอสามโคก เป็นเขตภัยพิบตั ิ เนือ่ งจาก
น�้ ำ เสี ย ในแม่ น�้ ำ เจ้ า พระยาท� ำ ให้ สั ต ว์
น�้ำตายเป็นจ�ำนวนมาก๖
วันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔
นายเสวก พวงทอง หั ว หน้ า ชุ ด กู ้ เรื อ
เปิดเผยว่า หลังจากสูบน�้ำตาลทรายแดง
ออกจากเรื อ จนหมดแล้ ว จะวางแผน
เสริมบังใบที่กราบเรือให้สูงขึ้น จากนัน้ ภาพที่ ๒ การพังทลายของตลิ่งจากการเปลี่ยนทิศทางของกระแสน�้ำ
จะท�ำการปะส่วนที่แตกเสียหาย ก่อน บริเวณที่เรือน�้ำตาลล่ม[๒]
สูบ น�้ ำ ออกจากตัวเรือ แต่ขณะนี้ยังไม่ ที่มา: httpm://krobkruakao.comdetail.phpnews=39418
สามารถด�ำเนินการได้เนือ่ งจากกระแสน�้ำ
ไหลเชี่ยว คาดว่าหากสามารถเสริมบัง ท�ำให้ระดับน�้ำเพิ่มสูง และไหลแรงมาก บอลลูนลอยเรือดังกล่าวขึ้นเพื่อสะดวก
ใบเรือได้จะใช้เวลาประมาณ ๕-๘ วัน ขึ้ น แต่ ห ากฝนไม่ ต กลงมาสมทบอี ก ในการลากจู ง ออกจากที่ เ กิ ด เหตุ แต่
จึงจะสามารถกู้เรือขึ้นมาได้๗ ส่วนการ คาดว่ า เจ้ า หน้ า ที่ จ ะลงมื อ กู ้ เรื อ อี ก ครั้ ง เนื่ อ งจากกระแสน�้ ำ ค่ อ นข้ า งแรงเป็ น
กัดเซาะตลิ่งจากกระแสน�ำ้ เปลี่ยนทิศทาง ภายในช่วงเย็นของวันที่ ๕ มิถุนายน อุปสรรคในการด�ำเนินงาน ในเบื้องต้น
นั้น ตลิ่งถูกกัดเซาะลึกเข้าไปมากกว่า พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเจ้าหน้าที่ได้เตรียม ได้ประสานกับกรมชลประทานเพื่อขอ
๑ เมตร การป้ อ งกั นการกั ด เซาะตลิ่ ง เรือยนต์ที่ใช้กู้ไว้ประมาณ ๔-๕ ล�ำเพื่อ ลดการปล่อยน�้ำ ผลการด�ำเนินงานท�ำให้
ด�ำเนินการโดยทหารและเจ้าหน้าที่หน่วย รอสภาพอากาศเอื้ออ�ำนวยก็จะสามารถ สามารถเคลื่อนย้ายเรือดังกล่าวออกจาก
งานทีเ่ กีย่ วข้อง โดยเร่งตอกเสาเข็มบริเวณ ลงมือกู้เรือที่ล่มได้ทันที๘ ส�ำหรับการกู้ ทีเ่ กิดเหตุได้สำ� เร็จเมือ่ วันที่ ๑๒ มิถนุ ายน
ริมตลิง่ ใกล้กบั จุดทีเ่ รือพ่วงบรรทุกน�ำ้ ตาล ซากเรือที่ด�ำเนินการตั้งแต่เบื้องต้นแบ่ง พ.ศ. ๒๕๕๔ (ภาพที่ ๑)๒
ทรายแดงล่มเพื่อชะลอการกัดเซาะตลิ่ง เป็น ๓ ส่วนดังนี้๙ ๒. กรณีตลิง่ ทีพ่ งั ท�ำให้ประชาชน
อย่างไรก็ตามความพยายามในการกู้เรือ ๑. ขนถ่ า ยน�้ ำ ตาลทรายแดง หวั่นเกรงอันตรายจากกระแสน�้ำกัดเซาะ
ในวันที่ ๕ ก็ยงั ไม่สามารถท�ำได้ เนือ่ งจาก ออกมาไว้ ที่ เรื อ อี ก ล�ำ จนหมด และส่ ง จนท�ำให้บา้ นเรือนประชาชนเสียหาย ต้อง
มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ นักประดาน�้ำลงไปตรวจสอบรอยรั่วของ ย้ายหนีออกไปแล้วจ�ำนวน ๒ หลัง (ภาพที่
น�้ ำ ที่ ป ล่ อ ยออกมาจากเขื่ อ นเจ้ า พระยา เรือก่อนจะเคลื่อนย้าย และจะใช้โป๊ะท�ำ ๒)๒ ระหว่างนี้ หากกระแสน�ำ้ ลดลง คาดว่า
กรณีอุบัติเหตุเรือน�้ำตาลอับปางในแม่น�้ำเจ้าพระยา
534
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
กรณีอุบัติเหตุเรือน�้ำตาลอับปางในแม่น�้ำเจ้าพระยา
536
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
The accident that caused a raw sugar barge sunk in Chao Phraya river at Tumbon
Phukao Thong Ayutthaya province occurred when 3 barges in a series was towed passing under a bridge.
The first barge collided the bridge pillar causing the barge no.2 to sink into the river. The barge also
collided a house before sinking. This accident subsequently caused other impacts as follows: The sunken
barge interrupted river flow resulting in the change of flow direction, and this subsequently causing
several house collapsed by the erosion of the river bank. Raw sugar in the sunken barge dissolved in
the river resulted to the oxygen depletion. Significant amount of aquatic animals, especially fish, died
because of the oxygen depletion.
Key words : raw sugar barge sunk, raw sugar, oxygen depletion
กรณีอุบัติเหตุเรือน�้ำตาลอับปางในแม่น�้ำเจ้าพระยา
538
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ประพิณ มโนมัยวิบูลย์
ภาคีสมาชิก ส�ำนักศิลปกรรม
ราชบัณฑิตยสถาน
บทคัดย่อ
คนจีนเดินทางมาเมืองไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าชาวจีนที่เดินเรือเข้ามาติดต่อค้าขาย
ครั้นถึงสมัยอยุธยาบางส่วนได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและช่วยด้านการค้าส�ำเภาของไทย จนถึงสมัยกรุงธนบุรีจึงมีชาว
จีนเข้ามาค้าขายและพ�ำนักอยูเ่ ป็นจ�ำนวนมาก ชาวจีนทีเ่ ข้ามาตัง้ ถิน่ ฐานในประเทศไทยตัง้ แต่สมัยธนบุรจี นถึงสมัย
รัตนโกสินทร์มักมาจากมณฑลกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน และไหหล�ำ
ชุมชนจีนในสังคมอาจจ�ำแนกได้ตามกลุ่มภาษาถิ่นที่พูดเป็น ๕ กลุ่ม คือ กลุ่มที่พูดส�ำเนียงภาษาจีน
แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน แคะ กว้างตุ้ง และไหหล�ำ ใน ๕ กลุ่มนี้ กลุ่มที่เดินทางเข้ามาระยะแรกในสมัยอยุธยาคือ ชาวจีน
ฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง แต่หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นชาวจีนแต้จิ้วได้อพยพเข้ามา
เป็นจ�ำนวนมากจนเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ตามด้วยชาวจีนไหหล�ำและแคะ
ค�ำส�ำคัญ : ชุมชนจีนในไทย, จีนแต้จิ๋ว, จีนฮกเกี้ยน, จีนแคะ, จีนกวางตุ้ง, จีนไหหล�ำ
ประพิณ มโนมัยวิบูลย์
539
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
ชุมชนจีนในประเทศไทย : หลากหลายส�ำเนียงจีน
540
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ชาวจี น ที่ เ ข้ า มาตั้ ง ถิ่ น ฐานใน จนมีมากกว่าชาวจีนกวางตุ้ง แต่หลังจาก โดยประมาณ แสดงว่าในสมั ย รั ช กาล
ประเทศไทยตั้งแต่สมัยธนบุรีจนถึงสมัย เสียกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๒๓๑๐) จนถึง ที่ ๓ บางกอกมีคนจีนรวมร้อยละ ๔๗
รัตนโกสินทร์ ส่วนใหญ่มาจากมณฑล สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ชาวจีนแต้จิ๋ว (วิลาสวงศ์ ๒๕๔๘ : ๙)
กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน และเกาะไหหล�ำ๑ (ดู ได้อพยพเข้ามาเป็นจ�ำนวนมากจนเป็น ชาวจีน ๓๖,๐๐๐ คนนี้ ส่วนใหญ่
แผนที่ประกอบ) ชุมชนจีนในสังคมไทย กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และแถบ ตั้งถิ่นฐานในบริเวณส�ำเพ็ง ซึ่งกินพื้นที่
อาจจ� ำ แนกได้ ต ามกลุ ่ ม ภาษาถิ่ นที่ พู ด ที่ราบลุ่มภาคกลาง ตามมาด้วยชาวจีน ตัง้ แต่วดั สามปลืม้ (วัดจักรวรรดิราชาวาส)
เป็น ๕ กลุ่ม คือ กลุ่มที่พูดส�ำเนียงภาษา ไหหล�ำและแคะ (Skinner 1957: 40-41) ถึงวัดปทุมคงคา ส�ำเพ็งจึงเป็นชุมชนที่อยู่
จีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน แคะ กวางตุ้ง และ ไม่ มี ห ลั ก ฐานที่ เป็ นทางการว่ า ชาวจี น อาศัยและค้าขายของชาวจีนทุกกลุม่ ภาษา
ไหหล�ำ ชุมชนจีนในไทย ๕ กลุ่มภาษานี้ อพยพมี จ� ำ นวนเท่ า ใดในสมั ย แรกตั้ ง ที่มาตั้งถิ่นฐานในส�ำเพ็ง จากการส�ำรวจ
กลุ่มที่เดินทางเข้ามาในระยะแรกในสมัย กรุ ง รั ต นโกสิ นทร์ มี เพี ย งบั นทึ ก ของ ส�ำมะโนครัวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
อยุธยา คือชาวจีนฮกเกี้ยนและกวางตุ้ง จาคอบ ทอมลิน (Jacob Tomlin) ทีก่ ล่าวว่า พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฏว่าใน
ในสมั ย นั้นชาวจี นที่ เดิ นทางมาค้ า ขาย ใน พ.ศ. ๒๓๗๐ บางกอกมีประชากร ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๒) มีชาวจีน
และตั้งถิ่นฐานในไทยกลุ่มใหญ่ที่สุดคือ ประมาณ ๗๗,๓๐๐ คน ในจ�ำนวนนี้เป็น อพยพในมณฑลกรุงเทพฯ แยกตามภาษา
ชาวจี น ฮกเกี้ ย น ซึ่ ง ได้ เพิ่ ม จ�ำ นวนขึ้ น ชาวจีน ๓๑,๐๐๐ คน และลูกจีน ๕,๐๐๐ คน จีนถิ่นที่พูดเป็น ๕ กลุ่ม ดังนี้ (สถาบัน
เอเชียศึกษา ๒๕๓๔ : ๒)
จ�ำนวนคน
ภาษาจีนถิ่น
ชาย หญิง รวม
แต้จิ๋ว ๗๘,๐๙๑ ๘,๒๐๗ ๘๖,๒๙๘
ฮกเกี้ยน ๑๙,๘๒๓ ๒,๓๖๗ ๒๒,๑๙๐
กวางตุ้ง ๒๕,๙๗๘ ๔,๑๕๑ ๓๐,๑๙๒
ไหหล�ำ ๑๒,๑๖๕ ๙๐๓ ๑๓,๐๖๘
แคะ ๙,๔๑๑ ๑,๔๐๙ ๑๐,๘๒๐
ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ร.๕ น. ๓๐/๙ ยอดส�ำมะโนครัว มณฑลกรุงเทพฯ ศก. ๑๒๘
๑
ในบทความนี้ ค�ำภาษาจีนซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของคนไทยจะให้เสียงอ่านตามที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ส่วนที่กล่าวถึงชาวจีนทั้ง ๕ กลุ่มก็จะพิมพ์
อักษรจีนและสัทอักษรตามระบบเสียงภาษาจีนกลางไว้ในวงเล็บท้ายค�ำแต่ละค�ำเมื่อปรากฏเป็นครั้งแรก
ประพิณ มโนมัยวิบูลย์
541
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
“...ใช่ว่าแต่ตัวเราฤๅในเวลาปัจจุบันนี้ ถึง ตัง้ แต่ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จ ก็ ยั ง มี จ�ำ นวนน้ อ ยกว่ า ชาวจี น แต้ จิ๋ ว ใน
พระเจ้าแผ่นดินอันเปนบรรพบุรษุ ของเรา พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั จ�ำนวนชาวจีน กรุงเทพฯ (Skinner 1958: 20)
แต่ในปางก่อนล่วงลับมาแล้วช้านาน ย่อม ที่เดินทางมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและ
ลงเห็นเปนอย่างเดียวยั่งยืนมาว่า พวกจีน มาตั้ ง หลั ก แหล่ ง ในไทยได้ ท วี จ� ำ นวน ชาวจีนแต้จิ๋ว
ทัง้ หลายซึง่ เข้ามาในกรุงสยามนีย้ อ่ มมาท�ำ ขึ้นทุกปี จนมีถึง ๒๖๕,๔๔๑ คน ใน แต้ จิ๋ ว หรื อ เฉาโจว ( 潮 州
การให้เปนความเจริญแก่แผ่นดินของเรา ย่านธุรกิจบริเวณส�ำเพ็งและพื้นที่อื่น ๆ Cháozhōu) ในภาษาจีนกลาง เป็นภาษาถิน่
เปนอันมาก เพราะเหตุฉะนัน้ พวกจีนจึง โดยรอบใน พ.ศ. ๒๔๙๗ (วิลาสวงศ์ ของชาวจี น แต้ จิ๋ ว ในมณฑลกวางตุ ้ ง
ได้รบั ความปกครอง ท�ำนุบ�ำรุงด้วยความ ๒๕๔๘ : ๗๐) อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง (广东 Guangdōng) ทางใต้ของมณฑล
เอื้อเฟื้อเสมอเหมือนอย่างคนไทย ความ จ� ำ นวนชาวจี น ฮกเกี้ ย นและชาวจี น ฮกเกี้ยน (福建 Fújiàn) พื้นที่ที่ชาว
สนิทสนมในระหว่างพวกจีนกับราษฎร กวางตุง้ ได้ลดลงอย่างมาก (Skinner 1957: จีนแต้จิ๋วมีภูมิล�ำเนาอยู่ ด้านหน้าติดกับ
ของเราย่อมเปนอันหนึง่ อันเดียวกัน มิได้ 41) ท�ำให้ชาวจีนอพยพทั้ง ๕ กลุ่มนี้มี ทะเล ด้านหลังเป็นภูเขา ต้องเผชิญกับ
ถือว่าเปนคนมาแต่ต่างประเทศ เราย่อม การเปลี่ยนแปลงไปดังจ�ำนวนชาวจีนใน ภั ย ธรรมชาติ อ ยู ่ เป็ น ประจ� ำ ทั้ ง น�้ ำ ท่ ว ม
สังเกตอยู่ด้วยความยินดีว่า พวกจีนได้ กรุงเทพฯ ที่สกินเนอร์ให้ไว้เมื่อประมาณ น�้ำทะเลหนุน ฝนแล้ง และมีไอเค็มจาก
เข้ า มาในพระราชอาณาเขตทวี ขึ้ น โดย ปี ๒๕๐๐ ว่ามีชาวจีนแต้จิ๋วร้อยละ ๖๐ ทะเลที่ส่งผลต่อการท�ำนา จึงไม่ใช่พื้นที่
ล�ำดับ แต่มิได้มีความล�ำบากอันใดทวีขึ้น ชาวจีนแคะร้อยละ ๑๖ ชาวจีนไหหล�ำ ที่ดีนกั ประกอบกับพื้นที่เพาะปลูกและ
ในการปกครองรักษา ด้วยเหตุว่าพวกจีน ร้อยละ ๑๑ ชาวจีนกวางตุ้งร้อยละ ๗ ทีด่ นิ ท�ำกินก็มนี อ้ ย ผลผลิตทีไ่ ด้จากไร่นา
เปนคนมีความเพียรพยายาม ตั้งหน้าท�ำ ชาวจีนฮกเกีย้ นร้อยละ ๔ และชาวจีนทีไ่ ม่ มีไม่เพียงพอ จนทางการจีนต้องให้พ่อค้า
มาค้าขายโดยกวดขัน เมืองเรามีแต่แผ่น ได้อยู่ใน ๕ กลุ่มนี้อีกร้อยละ ๒ ดังนัน้ ส่งเรือส�ำเภามาซื้อข้าวจากสยาม จึงมี
ดินเปนอันมากซึ่งยังต้องการคนอันจะมา ชาวจีนแต้จิ๋วจึงเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดใน พ่อค้าส�ำเภาและชาวจีนแต้จวิ๋ อพยพมาตัง้
ท�ำการให้เกิดผลทวียิ่งขึ้น เพราะฉะนัน้ กรุงเทพฯ และยังนับว่ามากที่สุดในโลก ถิ่นฐานที่กรุงศรีอยุธยาและแถบหัวเมือง
เมื่อพวกจีนเข้ามามากขึ้นเพียงใด เราก็ยิ่ง แม้แต่ที่เมืองซัวเถาซึ่งเป็นภูมิล�ำเนาเดิม ชายฝั่งทะเลตะวันออกตั้งแต่สมัยอยุธยา
เป็นที่พอใจ...” ตอนปลาย (วิลาสวงศ์ ๒๕๔๘ : ๒๒๘)
ชุมชนจีนในประเทศไทย : หลากหลายส�ำเนียงจีน
542
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
พริกไทย
เนื่ อ งจากมี ช าวจี น แต้ จิ๋ ว เป็ น โดยการติดต่อค้าขาย จนกลายเป็นภาษา ค�ำยืมจากภาษาจีนฮกเกีย้ นร้อยละ ๒๔ ค�ำ
จ�ำนวนมากกว่าชาวจีนกลุ่มอื่น ๆ ใน ในวงการค้ า เพราะธุ ร กิ จ เรื่ อ งค้ า ขาย ยืมภาษาจีนแต้จวิ๋ และฮกเกีย้ น (แต้จวิ๋ และ
เมื อ งไทย ประกอบกั บ ความสั ม พั นธ์ ส่วนใหญ่อยู่ในมือชาวจีนแต้จิ๋ว ฮกเกีย้ นเป็นภาษาจีนถิน่ หมิน่ ใต้) ร้อยละ ๑
อันยาวนาน ชาวจีนแต้จิ๋วจึงมีความสนิท ค�ำยืมภาษาจีนในภาษาไทยมีคำ� ที่ และมีค�ำยืมที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็น
ใกล้ ชิ ด กั บ คนไทยทั้ ง ด้ า นสั ง คมและ ยืมมาจากภาษาจีนแต้จิ๋วเป็นจ�ำนวนมาก ค�ำยืมภาษาจีนแต้จวิ๋ หรือภาษาจีนฮกเกีย้ น
วัฒนธรรมจนเป็นเหมือนสื่อกลางในการ จากการศึกษาเรือ่ ง ค�ำยืมภาษาจีนในภาษา ประมาณร้อยละ ๑๙ ที่เหลืออีกร้อยละ
ถ่ายทอดวัฒนธรรมจีนหลาย ๆ อย่างให้แก่ ไทยปัจจุบนั ทีร่ วบรวมได้ประมาณ ๕๐๐ ค�ำ ๑๒ เป็นค�ำยืมจากภาษาจีนส�ำเนียงอื่น ๆ
สังคมไทย ทีเ่ ห็นได้อย่างชัดเจนคือ ภาษา ปราณี กายอรุณสุทธิ์ (๒๕๒๖ : ๓๒๐) พบ เช่น ภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาจีนไหหล�ำ
จี น ส� ำ เนี ย งแต้ จิ๋ ว ที่ เข้ า มาในภาษาไทย ว่าเป็นค�ำยืมจากภาษาจีนแต้จวิ๋ ร้อยละ ๔๔ ภาษาจีนแคะ ภาษาจีนกลาง
ประพิณ มโนมัยวิบูลย์
543
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
ชุมชนจีนในประเทศไทย : หลากหลายส�ำเนียงจีน
544
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ก็ ต ้ อ งกลายเสี ย งวรรณยุ ก ต์ ต ามระบบ ไปทางภาคเหนือ คือกลุ่มที่ไปกับการ อีกหลาย ๆ อย่าง คือ เต้าหูย้ ดั ไส้ ไก่อบเกลือ
เสียงภาษาแต้จิ๋วโดยออกเสียงรวมกันว่า สร้างทางรถไฟและถนนที่สร้างไปทาง ผั ด เปรี้ ย วหวานกระเพาะหมู ห รื อ ไส้
แคะนัง้ (= คนแคะ) ด้วยเหตุนคี้ นไทยจึง ภาคเหนือถึงล�ำปางในรัชสมัยพระบาท หมูตัน ลูกชิ้นหมู เนื้อตุ๋นจีนแคะที่ใส่
ใช้คำ� ว่า “แคะ” ในการเรียกชาวจีนกลุม่ นี้ สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดย เครื่ อ งในวั ว และเนื้ อ ผั ด ขิ ง หรื อ มะระ
ด้วย (วรศักดิ์ ๒๕๔๘ : ๑๒-๑๓) ไปพ�ำนักอยู่ที่ล�ำปางก่อน หลังจากนั้น (วรศักดิ์ ๒๕๔๘ : ๑๒๔-๑๓๒)
ชาวจี น แคะบางกลุ ่ ม อพยพมา จึงขยายไปสู่จังหวัดใกล้เคียง เช่น น่าน แม้ว่าชาวจีนแคะจะเป็นนักเดิน
เมืองไทยโดยเดินทางมากับชาวจีนแต้จิ๋ว เชียงราย แพร่ จนจังหวัดทั้งสี่นี้มีชาวจีน ทางอพยพมาแต่อดีต มีวถิ ชี วี ติ แบบเร่รอ่ น
แล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ทางภาคกลางและภาค แคะชุ ม ชนใหญ่ (วรศั ก ดิ์ ๒๕๔๘ : แต่ก็มีอัตลักษณ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันใน
กลางตอนบนของไทย งานอาชีพที่ถนัด ๑๔๖-๑๔๗) หมู่ชาวจีนทั่วไปว่า ชาวจีนแคะเป็นพวก
คือ งานช่างฝีมือ เช่น ช่างฟอกหนัง ช่าง เมื่ อ แรกอพยพมาเมื อ งไทยชาว ที่ชอบเก็บตัว ใฝ่ศึกษาหาความรู้ และ
ท�ำเครื่องหนัง ช่างท�ำรองเท้า ช่างตัดผม จีนแคะบางกลุ่มเดินทางมากับเรือของ ยึดมัน่ ในจารีตประเพณีของตน เป็นต้นว่า
ช่างตัดเสื้อผ้าบุรุษ ช่างเงิน ช่างเหล็ก ชาวจี น ฮกเกี้ ย นไปขึ้ น บกที่ ท างใต้ ประเพณีการตั้งชื่อชาวจีนแคะที่ต่างจาก
ช่างเชือ่ ม เมือ่ มีหลักฐานฐานะดีกม็ กี จิ การ ของไทย และไปตั้งถิ่นฐานอยู่ตามเมือง ชาวจีนกลุ่มอื่น ๆ คือ ไม่ตั้งชื่อเด็กทารก
เป็นของตนเอง เป็นเจ้าของโรงงานฟอก ส�ำคัญ ๆ โดยเฉพาะที่สงขลา มีชุมชน จนกว่าจะถึงวันที่สามนับจากวั นที่ เด็ ก
หนัง เจ้าของโรงงานผลิตยาสูบ เจ้าของ ชาวจี น แคะที่ ห าดใหญ่ ซึ่ ง เป็ น ชุ ม ชน ทารกคลอดจากครรภ์มารดา (วรศักดิ์
ร้านตัดเสื้อผ้าบุรุษ เจ้าของร้านค้าของช�ำ ชาวจีนแคะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ๒๕๔๘ : ๙๘, ๑๘๘)
เมื่อถึงรุ่นลูกรุ่นหลานก็ขยายไปสู่อาชีพ ชาวจี น แคะที่ ภ าคใต้ ป ระกอบอาชี พ แซ่บางแซ่เป็นแซ่เฉพาะของชาว
อื่น ๆ เช่น ผู้ได้รับการศึกษาก็ไปเป็น ท�ำสวนยางพารา เป็นเจ้าของสวนยาง จีนแคะ ดังนั้นแม้จะเป็นแซ่ซึ่งไม่ค่อย
นักหนังสือพิมพ์ นักวิชาการ ครูอาจารย์ เจ้าของร้านอาหาร (วรศักดิ์ ๒๕๔๘ : ได้ยินบ่อยมาก แต่เมื่อเอ่ยขึ้นมาก็จะรู้กัน
และข้าราชการ (วรศักดิ์ ๒๕๔๘ : ๑๕๖) ๑๕๗) ในหมู่คนจีนว่าเป็นแซ่ของชาวจีนแคะ
ชาวจี น แคะทางภาคกลางของไทยอยู ่ อาหารที่ ขึ้ นชื่ อ ของชาวจี น แคะ เป็นต้นว่า แซ่ชวิ (丘 Qiū) แซ่วู (巫Wū)
กระจายกันไปเหมือนจีนกลุ่มภาษาพูด และเป็ นที่ นิ ย มทั่ ว ไปในเมื อ งไทย คื อ แซ่ลี่ (利 Lìì) เช่นเดียวกับ แซ่ยฺหวิน
อื่น ๆ แต่จังหวัดที่มีชุมชนชาวจีนแคะ ก๋วยเตีย๋ วแคะทีใ่ ส่ลกู ชิน้ ทีเ่ ป็นเต้าหูย้ ดั ไส้ (云 Yún) และแซ่ฝู (符 Fú) ที่เอ่ยขึ้น
เป็ น กลุ ่ ม ใหญ่ คื อ จั ง หวั ด กาญจนบุ รี และลูกชิ้นอื่น ๆ อีกหลายอย่าง อาหาร มาก็จะรู้กันว่าเป็นแซ่ของคนไหหล�ำ
ชาวจีนแคะอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งย้ายถิ่นฐาน จานโปรดของชาวจีนแคะที่เรารู้จักกันดี
ประพิณ มโนมัยวิบูลย์
545
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
Hainanese emigrant area. The native places of practically all overseas Hainanese in the northeast part of the island enclosed by
the dashed line (Skinner 1957: 38)
ชุมชนจีนในประเทศไทย : หลากหลายส�ำเนียงจีน
546
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ประพิณ มโนมัยวิบูลย์
547
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
Cantonese emigrant area. The native places of practically all overseas Cantonese are in the delta area
enclosed by the dashed line (Skinner 1957: 34)
ชุมชนจีนในประเทศไทย : หลากหลายส�ำเนียงจีน
548
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
๒
เนื่องจากมณฑลกวางตุ้งเป็นมณฑลที่มีเมืองท่าส�ำคัญ จึงมีสถานเริงรมย์อยู่ทั่วไป และเมื่อจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่นอีกเป็นครั้งที่ ๒ จนต้องลงนามในสนธิ
สัญญาเทียนสินใน พ.ศ. ๒๔๐๑ ทีี่ท�ำให้รัฐบาลจีนต้องยอมเปิดซัวเถาเป็นเมืองท่าเสรี และต้องยอมให้พลเมืองโดยเฉพาะชายฉกรรจ์จีน เดินทางออกไปรับจ้างเป็น
แรงงานนอกประเทศที่ขาดแคลนแรงงานในอาณานิคมของชาติตะวันตก สภาพสังคมจีนจึงเปลี่ยนไปจากเดิม หญิงชาวกวางตุ้งที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด จึงต้อง
หันมาขายบริการ (ยุวดี ตันสกุลรุ่งเรือง ๒๕๔๓ : ๑๒๖-๑๒๗)
ประพิณ มโนมัยวิบูลย์
549
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
เจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ ได้เป็น เป็นต้นตระกูล ณ ระนอง) ในรัชกาลที่ ๓ เข้ า มาที่ ภ าคใต้ ข องไทยซึ่ ง อุ ด มด้ ว ย
ขุนนางผู้ใหญ่ เช่น จีนเหยียง (ต้นตระกูล และเจริญก้าวหน้าในหน้าทีร่ าชการจนใน แร่ ดี บุ ก โดยผู ้ ที่ มี ฐ านะก็ ม าเป็ นนาย
ณ สงขลา) ได้ ย ศต� ำ แหน่ ง เป็ น หลวง สมัยรัชกาลที่ ๕ ได้รบั ยศเป็นพระยาด�ำรง เหมืองท�ำเหมืองดีบกุ ผูท้ ไี่ ม่มเี งินทองก็มา
สุ ว รรณคี รี ส มบั ติ ผู ้ ว ่ า ราชการสงขลา สุจริตมหิศรภักดี นอกจากนี้ลูกอีกหลาย ท�ำงานเป็นกุลเี หมืองแร่ มีการชักชวนชาว
ในสมัยธนบุรี บุตรชาย (บุญหุ้ย) ได้ยศ คนก็ได้ยศต�ำแหน่งเป็นพระยา ผู้ส�ำเร็จ จีนฮกเกี้ยนด้วยกันเข้ามาเป็นกุลีเหมือง
ต�ำแหน่งเป็นเจ้าพระยาอินทคิรีศรีสมุทร ราชการเมืองระนอง หลังสวน ตรัง ชุมพร จนมี ก ารอพยพเข้ า มาเป็ นจ� ำ นวนมาก
สงครามฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ และลูกหลาน และมณฑลภู เ ก็ ต (มั ล ลิ ก า ๒๕๑๘ : ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
หลายคนของจีนเหยียงได้รับการแต่งตั้ง ๒๑๗-๒๑๘)๓ เจ้ า อยู ่ หั ว และพระบาทสมเด็ จ พระ-
เป็นผู้ส�ำเร็จราชการเมืองสงขลาสืบต่อมา เมือ่ ตลาดโลกมีความต้องการดีบกุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลายคนได้ไต่เต้าจน
ชาวจีนฮกเกี้ยนที่ช่วยงานราชการจนได้ อย่างมาก เพราะมีการค้นพบว่าเหล็กเมื่อ ได้ เป็ นนายอากรสิ นค้ า และเจ้ า เมื อ ง
ยศต�ำแหน่งอีกผูห้ นึง่ คือ หลวงรัตนเศรษฐี เคลือบดีบุกแล้วสามารถป้องกันสนิมได้ (วิลาสวงศ์ ๒๕๔๘ : ๒๓๒)
(คอซู้เจียง 许泗漳 Xu Sìzhāng ซึ่ง จึงมีชาวจีนฮกเกีย้ นพากันอพยพจากปีนงั
๓
จากการศึกษาส�ำเนียงภาษาจีนของชื่อบุคคลและชื่อสถานที่ใน สามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พบว่าชื่อทุกชื่อออกเสียงตามภาษาถิ่นฮกเกี้ยน ส�ำเนียง
เอ้หมึง (ประพิณ มโนมัยวิบูลย์ ๒๕๑๐) ทัั้งนี้ คงเป็นเพราะชาวจีนฮกเกี้ยนเป็นกลุ่มที่รับราชการต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ดังที่กล่าวข้างต้น
(วิลาสวงศ์ พงศะบุตร และประพิณ มโนมัยวิบูลย์ ๒๕๔๘ : ๒๓๓)
ชุมชนจีนในประเทศไทย : หลากหลายส�ำเนียงจีน
550
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
๔
บ้านตึกดินสร้างด้วยดินที่ผสมกับวัสดุซึ่งท�ำให้ดินยึดตัว แล้วน�ำมากระทุ้งให้เรียบเพื่อท�ำเป็นพื้นเรือนและฝาผนังบ้าน และใช้กระเบื้องดินเผามุงเป็นหลังคา
(วิลาสวงศ์ พงศะบุตร และประพิณ มโนมัยวิบูลย์ ๒๕๔๘ : ๒๓๓)
๕
ชาวจีนฮกเกีย้ นเรียกรุน่ ลูกรุน่ หลานซึง่ เกิดต่างแดนว่า ฮกเกีย้ นบ่าบ่า ไม่วา่ จะถือก�ำเนิดจากพ่อแม่ทเี่ ป็นชาวฮกเกีย้ น หรือจากพ่อชาวฮกเกีย้ นทีแ่ ต่งกับหญิงไทย
(วิลาสวงศ์ พงศะบุตร และประพิณ มโนมัยวิบูลย์ ๒๕๔๘ : ๒๓๔)
ประพิณ มโนมัยวิบูลย์
551
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
Chinese people stated coming to Thailand in the Sukhothai Period. Most of them
ware merchants transporting goods on board their junks for trading, In the Ayutthaya Period
some Chinese traders settled in Ayutthaya and played a role in the Thai junk trade. In the Thon
Buri Period a large number of Chinese came to trade and reside in Thailand. The Chinese who
had settled in Thailand from the Thon Buri to the Rattanakosin Periods usually came from Guangdong,
Fujian and Hainan provinces.
Chinese communities in Thailand can be divided into five groups according to the dialects
they speak, namely Teochew, Hokkien, Hakka, Cantonese, and Hainanese. Among these five groups,
the Hokkiens and Cantonese came to Thailand in the Ayutthaya Period. But after the fail of Ayutthaya
to the Early Rattanakosin Period a large number of Teochew Chinese migrated until they formed the
biggest group in Bangkok, followed by Hainanese and Hakkas.
Key words : Chinese communities in Thailand, Teochew, Hokkien, Hakka, Cantonese, Hainanese
ชุมชนจีนในประเทศไทย : หลากหลายส�ำเนียงจีน
552
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
เรื่องยุ่ง ๆ เกี่ยวกับอักษรควบ*
นววรรณ พันธุเมธา
ราชบัณฑิต ส�ำนักศิลปกรรม
ราชบัณฑิตยสถาน
บทคัดย่อ
บทความนี้เสนอปัญหาบางประการเกี่ยวกับอักษรควบ ดังนี้
๑. อักษรควบในค�ำบางค�ำออกเสียงไม่ควบกล�้ำ
๒. ค�ำที่มีอักษรควบบางค�ำไม่น่าจะเขียนเช่นนั้น เพราะค�ำเดิมไม่มีเสียงควบกล�้ำ
๓. ค�ำที่มีอักษรควบบางค�ำเคยออกเสียงไม่ควบกล�้ำ
๔. ค�ำที่เขียนต่างกันในปัจจุบัน คือเขียนโดยมีอักษรควบและไม่มีอักษรควบ แต่เดิมเป็นค�ำเดียวกัน
๕. ค�ำที่ปัจจุบันไม่ออกเสียงควบกล�้ำ ในอดีตอาจจะเคยออกเสียงควบกล�้ำ
*
บทความนี้ปรับปรุงจากการบรรยายผลงานทางวิชาการในที่ประชุมส�ำนักศิลปกรรม เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒
๑
เดิมพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เรียก อักษรควบว่า อักษรประโยค ท่านเขียนไว้ว่า
วิธีประสมอักษรใช้ในค�ำภาษาไทยแต่เพียงอักษรสูงน�ำอักษรต�่ำ ดังแจกมาในวาหนิติ์นิกรนั้น ก็ยังหาภอที่จะใช้ในค�ำภาษาไทยไม่ ต้องจัดตัว (ร ล ว)
ประสมกับอักษรที่ควรจะประสมกันได้ สองอักษรร่วมสะระกันเป็นค�ำเดียว ตั้งชื่อว่า อักษรประโยค...
(ศรีสุนทรโวหาร, ๒๕๑๔ : ๑๙๓)
ค�ำว่าอักษรควบอาจเป็นค�ำที่พระยาอุปกิตศิลปสารใช้ตามผู้เขียนหนังสือ สยามไวยากรณ์ แต่ค�ำว่าอักษรควบแท้และอักษรควบไม่แท้อาจเป็นค�ำที่ท่านคิดขึ้นเอง
นววรรณ พันธุเมธา
553
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
นอกจากนั้ น มี บ างค� ำ ที่ เ ขี ย น จรวจ [จฺรวด] (แบบ) ก. กรวด, หางยาว เมือ่ จุดชนวนแล้วเหวีย่ งให้พงุ่ ขึน้
คล้ า ยกั น แต่ พจนานุ ก รม ฉบั บ หลั่งน�้ำ. (เทียบ ข. จฺรวจทึก ว่า กรวดน�้ำ) สูง, กรวด ก็เรียก.
ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ จรวด ๑ [จะหฺรวด] น. ชื่อดอกไม้ (ข. ก�ำชฺรัวจ ว่า พลุ) ว. สูงชัน,
ก�ำหนดการอ่านออกเสียงไว้ต่างกัน เช่น ไฟชนิด หนึ่ง ใช้ ไม้ อ ้ อ บรรจุ ดิ นด� ำ มี ใช้ว่า กรวด ก็มี
๒
สาเหตุที่อาจารย์ภาษาไทยแต่ก่อนก�ำหนดให้พยัญชนะที่เรียงกัน ๒ ตัวในค�ำบางค�ำออกเสียงเรียงพยางค์ ไม่ใช่เสียงควบกล�้ำ น่าจะเกี่ยวเนื่องกับที่มาของค�ำ
เช่น ผลิต มาจากค�ำ ผลิต (ออกเสียง ผะ-ลิ-ตะ) ในภาษาบาลี ผล ในค�ำนีจ้ ึงต้องออกเสียงเรียงพยางค์ คือออกเสียงค�ำ ผลิต ว่า ผะ-หลิด
เรื่องยุ่ง ๆ เกี่ยวกับอักษรควบ
554
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
(ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๖ : ๒๘๙) ก. อั ก ษรควบไม่ แ ท้ ที่ ไม่ อ อก เรือ่ งยุง่ ๆ ทีเ่ กิดขึน้ ก็คอื มีคำ� ทีอ่ อก
อันทีจ่ ริง เสียง จฺร ไม่มใี นภาษาไทย เสียง ร ออกเสียงแต่อักษรตัวหน้า เช่น เสียงเหมือนกัน แต่เขียนต่างกัน ความ
จริง ไซร้ สร่าง เศร้า ไม่ออกเสียง ร ที่ หมายก็ต่างกัน ท�ำให้บางครั้งเกิดปัญหา
๒) ค�ำที่มีอักษรควบไม่แท้ ควบอยู่ด้วย ในการเขียน เช่น
เราอาจแบ่งอักษรควบไม่แท้ได้ ข. อักษรควบไม่แท้ ทร ที่ออก
เป็น ๒ กลุ่มคือ เสียง เป็น ซ เช่น ทรง ทราบ ทราม ทราย
นววรรณ พันธุเมธา
555
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
ศาสตราจารย์ ดร.คุ ณ บรรจบ เสียงต่างกับปัจจุบนั ตัวอย่างเช่น ค�ำ สร้อย เพชรเสมอ (บรรจบ พันธุเมธา, ๒๕๒๙ :
พันธุเมธา เคยเล่าว่า ชาวนครศรีธรรมราช ปัจจุบันออกเสียง ส้อย แต่เมื่อก่อนตัว ร ๒๒-๒๓)
บางคนมักออกเสียง ตฺร เป็น ซ เช่น ชาตรี อาจออกเสียงด้วยก็ได้ ดังที่ศาสตราจารย์
ออกเสียง ชาซี ชาวสงขลาทีอ่ อกเสียง ตฺร ดร.คุณบรรจบ พันธุเมธา เขียนไว้ใน ค�ำที่เขียนอย่างอักษรควบ แต่ไม่น่าจะ
เป็น ซ ก็มี เช่น ไม้ตรี ออกเสียงเป็น ไม้ซี บทความชื่อ “จริงท�ำไมจึงมี ร” ว่า เป็นอักษรควบ
ค�ำบอกเล่านีช้ วนให้สนั นิษฐานว่า ทีน่ า่ สนใจมากก็คอื ค�ำ สร้อย ทีอ่ อก ค�ำทีจ่ ะกล่าวถึงแยกได้เป็น ๒ พวก
ไทยคงรับค�ำเขมรที่ออกเสียง ตฺร มาออก เสียงกันตามลุ่มน�ำ้ เมาว่า จ้ะหร่อย หรือ พวกหนึง่ น่าจะเป็นค�ำยืม อีกพวกหนึง่ น่า
เสียง ซ ค�ำทีอ่ อกเสียง โตฺรม จึงกลายเป็น ซะหร่ อ ย อธิ บ ายว่ า เป็ น สร้ อ ยระย้ า จะเป็นค�ำไทยเอง
โซม ตฺร็วง กลายเป็น ซง ส่วนรูปเขียน ประดับศอเจ้านางเมืองมหาเทวี มีลกั ษณะ ๑) ค�ำที่น่าจะเป็นค�ำยืม
ไทยมิได้เปลี่ยน ยังใช้ ทร ตามแบบเขมร เป็นสร้อยหลายสาย ยาวบ้าง สัน้ บ้าง รวบ จะกล่าวถึง ๒ ค�ำคือ สรวม กับ สร้าง
๒. ค�ำทีม่ อี กั ษรควบไม่แท้เป็นค�ำ เข้าไว้ดว้ ยกัน และคงจะประดับเพชรด้วย ค�ำ ๒ ค�ำนี้ไทยอาจยืมจากภาษาเขมร แต่
ที่มีการเปลี่ยนแปลงเสียง เมื่อก่อนออก จึงมักมากับค�ำว่าส้อยแสง ทีแ่ ปลว่า สร้อย ภาษาเขมรไม่มี ร ควบ
อย่างไรก็ตาม ในภาษามอญมีคำ� ว่า เศร้า หมายถึง หมอง ไม่ผ่องใส อักษรควบ ก็ถูกแล้ว เพราะน่าจะยืมจาก
สรงฺ (สะรัง) หมายถึง การกระท�ำ มีผู้ สลดหดหู่ เช่น หน้าเศร้า เศร้าใจ ภาษา ค�ำเขมร ทฺราย (เตฺรียย) ซึ่งหมายถึงเนื้อ
สันนิษฐานว่า เป็นทีม่ าของค�ำว่า สร้าง ใน ไทขาวมีค�ำ เสา หมายถึง จาง เลือน เช่น ทราย แต่ ทราย ที่หมายถึงเศษหินขนาด
ภาษาไทย ถ้าไทยยืมค�ำว่า สร้าง จากค�ำ ฮุ้นเสา หมายถึง รูปที่สีซีดเลือน หนาเสา เล็กน่าจะใช้ ซ เป็นพยัญชนะต้น เพราะค�ำ
สรงฺ ก็พอจะมีเหตุผลว่าท�ำไมมี ร ในค�ำว่า หมายถึง หน้าเศร้า ภาษาไทพ่าเก่ มีคำ� เส่า นีเ้ ป็นค�ำไทยเราเอง ภาษาไทหลายภาษาก็
สร้าง หมายถึง มัว ครึ้ม เช่น พ่าเส่า หมายถึง มีค�ำที่ออกเสียงคล้ายค�ำนี้ เช่น
๒) ค�ำที่น่าจะเป็นค�ำไทย ฟ้าครึ้ม ภาษาไทขาว ซาย
จะกล่าวถึง ๓ ค�ำคือ สร่าง เศร้า อาจเป็นได้ว่า สร่าง และ เศร้า ไม่ ภาษาไทพ่าเก่ ซ้าย
ทราย ทั้ง ๓ ค�ำพบในภาษาไท๓ ด้วย ได้ออกเสียง ร มาแต่เดิม ทั้ง ๒ ค�ำจึงไม่ ภาษาไทเหนือ ซ้าย
ภาษาไทเท่าที่พบ ไม่ได้ออกเสียง ร น่าจะเขียนอย่างอักษรควบ
สร่าง หมายถึง คลาย ทุเลา เช่น ส่วนค�ำว่า ทราย ในภาษาไทย มี ๒ ค�ำที่ปัจจุบันออกเสียงควบกล�ำ้ แต่น่าจะ
สร่างไข้ สร่างโศก สร่างเมา ภาษาไท ความหมาย ความหมายหนึง่ คือชือ่ สัตว์ปา่ เคยออกเสียงไม่ควบกล�้ำ
ขาวมีค�ำ ซ้างหมายถึง ทุเลา เช่น ซ้าง ประเภทกวาง อีกความหมายหนึง่ คือ เศษ ค�ำที่จะกล่าวถึงคือ ค�ำที่ออกเสียง
ไตฺส หมายถึง สร่างไข้ ซ้างเหลา หมาย หินขนาดเล็ก มีลกั ษณะซุยร่วนไม่เกาะกัน ควบกล�้ำ ทฺร ปัจจุบันคนไทยออกเสียง
ถึง สร่างเหล้า ทราย ที่เป็นชื่อสัตว์ เขียนอย่าง อักษรควบ ทร ในค�ำยืมจากภาษาต่าง
๓
ภาษาไท หมายถึงภาษาในตระกูลไทที่พูดนอกประเทศไทย
เรื่องยุ่ง ๆ เกี่ยวกับอักษรควบ
556
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
บทกลอนยังมีต่อไปอีกยาว มีค�ำที่ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๓๙ ก็มคี �ำ อินทรา บอก ค�ำที่แยกเขียนเป็น ๒ แบบคือ เขียนอย่าง
ใช้ ทร แทน ซ อีกมาก เช่น ทรง ทราง เสียงอ่านว่า ǏNTHǍRA นิทรา บอกเสียง อักษรควบ และไม่ใช่อักษรควบ
แทรก ทรุด อ่านว่า NǏTTHRA และจันทรา บอกเสียง ค� ำ ที่ จ ะกล่ า วถึ ง คื อ ทราบ กั บ
น่ า สั ง เกตว่ า ค� ำ นิทรา อินทรา อ่านว่า CHǍNTHRA ซาบ ทราบ พยัญชนะต้นเป็น ทร ซึ่งเป็น
จั นทรา ซึ่ง ปัจ จุ บัน ออกเสียงควบกล�้ำ ถ้าเชื่อพจนานุกรมทั้ง ๒ เล่ม ก็ อักษรควบไม่แท้ ค�ำนี้หมายถึง รู้ ซาบ
พระยาศรีสนุ ทรโวหารกล่าวว่า ออกเสียง ซ คงต้องถือว่าในสมัยที่ท�ำพจนานุกรมคือ พยัญชนะต้นเป็น ซ ซึ่งเป็นอักษรเดี่ยว
แต่ ถ ้ า ดู พ จนานุก รมที่ ท� ำ ในระยะเวลา ประมาณ พ.ศ. ๒๓๙๗-๒๔๓๙ ค�ำ นิทรา ไม่ใช่อักษรควบ ค�ำนี้หมายถึง ซึมแผ่ไป
ไล่เลีย่ กันนัน้ จะรูส้ กึ สับสน สัพะ พะจะนะ และจันทรา ออกเสียงควบกล�ำ้ ส่วนค�ำ ทราบ กับ ซาบ ดูเหมือนว่าจะเป็น
พาสาไท ของชอง-บาตีสต์ ปาเลอกัวซึ่ง อินทรา ออกเสียงเรียงพยางค์ ค�ำ ๒ ค�ำที่พ้องเสียงกัน แม้จะออกเสียง
พิมพ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๗ มีค�ำว่า อินทะรา นี่แสดงว่าเพิ่งจะมีการออกเสียง เหมือนกัน แต่กม็ คี วามหมายต่างกัน ทัง้ ยัง
บอกเสียงอ่านไว้วา่ ǏNTHA:RA ค�ำนิดทรา ทร ในค�ำบางค�ำเป็นเสียงควบกล�้ำในสมัย เขียนต่างกันอีกด้วย แต่ถา้ พิจารณาถึงทีม่ า
บอกเสียงอ่านไว้ว่า NǏTTHRA และค�ำ รัตนโกสินทร์นี่เอง แต่เดิมเสียงควบกล�้ำ ของค�ำ ทั้งค�ำว่า ทราบ และ ซาบ อาจมา
จันตรา บอกเสียงอ่านไว้ว่า CHǍNTRA ทฺร ไม่มีในภาษาไทย๔ จากค�ำเขมรค�ำเดียวกันคือ ชฺราบ (เจฺรียบ)
ศริพจน์ภาษาไทย์ ซึง่ พิมพ์เมือ่ ค.ศ. ๑๘๙๖ ซึ่งมีความหมาย ๒ อย่างคือ ๑ ซึมซาบ
๔
พระยาอุปกิตศิลปสารเขียนไว้ว่า
อนึง่ ค�ำตัว ท ควบ ร ที่มาจากบาลีและสันสกฤตควรเป็นเสียงควบแท้ เช่น นิทรา, อินทรีย์, จันทร, อินทรา (ถ้าเขียน จันทร, อินทร อ่าน จัน-ทอน,
อิน-ทอน ก็ได้) ฯลฯ, ถ้าเป็นค�ำไทยต้องเป็นเสียง ซ เช่น ทราบ (ซาบ), ทรง (ซง), ทราม (ซาม) ฯลฯ
(อุปกิตศิลปสาร, ๒๕๑๑ : ๕๓)
ปัจจุบัน ค�ำว่า อินทรีย์ อ่าน อิน-ซี
นววรรณ พันธุเมธา
557
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
เช่ น ทึ ก ชฺ ร าบ (ตึ ก เจฺ รี ย บ) หมายถึ ง ๒ ... แลมีพระราชหฤไทย ทราบ ซาบข่าว, คือความที่รู้ข่าวนัน้ , แต่
น�้ำซึมซาบ ๒ ทราบ เช่น สูมชฺราบ (โซม ในพระต�ำราถวายนัน้ แลมีพระราชศรัทธา เปนค�ำพูดกับผู้มีบันดาศักดิ์, เหมือนอย่าง
เจฺรียบ) หมายถึง ขอได้ทราบ ไว้ ต ามพระราชทานพระกั ล ปนาแต่ ขุนนางผู้ใหญ่ เปนต้น.
สาเหตุที่สันนิษฐานเช่นนี้เพราะ โบราณราชประเวณี... ซาบความ, เปนชือ่ การทีร่ คู้ วามนัน้ ,
ในเอกสารสมัยอยุธยา ไทยเขียนค�ำนี้ว่า (ประชุมจดหมายเหตุ สมัยอยุธยา ภาค ๑, แต่ เปนความเปรี ย บเหมื อ นอย่ า งน�้ ำ ที่
ชราบ ซึ่งตรงกับค�ำเขมร ชฺราบ ดังนี้ ๒๕๑๐: ๗๗) ทราบไป.
บอกมาให้ ชราบ ในวันจันทร ค�ำว่า ทราบ ในตัวอย่างแรกหมายถึง ถ้ า เชื่ อ ตามค� ำ อธิ บ ายของผู ้ ท� ำ
เดือนอาย... ซึมแผ่ไป สิง่ ทีซ่ มึ แผ่ไปคือ น�ำ้ ค�ำว่า ทราบ อักขราภิธานศรับท์ ซาบ หมายถึง เปียก
(ประชุมจดหมายเหตุ สมัยอยุธยา ในตัวอย่างหลัง หมายถึง รู้ ความหมายดู ซ่ า นไป และรู ้ เหมื อ นอย่ า งน�้ำ ที่ เปี ย ก
ภาค ๑, ๒๕๑๐: ๔) เหมือนจะต่างออกไป แต่อันที่จริงความ ซ่านไป ซาบ ความหมายแรก ปัจจุบันเรา
ค�ำว่า ชราบ ในตัวอย่างข้างต้น หมายก็เหมือนกับตัวอย่างแรก คือหมายถึง เขียน ซาบ ส่วน ซาบ ความหมายหลัง
หมายถึง รู้ ซึมแผ่ไป สิง่ ทีซ่ มึ แผ่ไปในพระราชหฤทัย ปัจจุบันเราเขียน ทราบ
นอกจากจะเขียนว่า ชราบ ค�ำนีเ้ คย คือความรู้เกี่ยวกับพระต�ำรา
เขียนว่า ทราบ มีความหมายที่ดูเหมือน ในสมั ย ต้ น รั ต นโกสิ นทร์ ค� ำ นี้ ค�ำทีป่ จั จุบนั ไม่ออกเสียงควบกล�้ำ แต่อาจ
จะต่างกันเป็น ๒ อย่าง เขียนว่า ซาบ มีความหมาย ๒ อย่างซึ่ง จะเคยออกเสียงควบกล�้ำ
๑ ... กาลเมือ่ วันหนึง่ นัน้ ก็เลงเห็น เกี่ยวข้องกัน ดัง อักขราภิธานศรับท์ ให้ ค�ำที่จะกล่าวถึงคือค�ำที่มี มล เป็น
น�้ำอันรดลงก่อนนั้น ครั้นรดลงก็ทราบ ความหมายไว้ว่า พยัญชนะต้น ปัจจุบนั ต้องอ่านว่า มะล ค�ำ
หายไป... ซาบ, รู้, แจ้ง คือเปนชื่ออาการ เหล่านี้บางค�ำพบในภาษาที่ใช้ทั่วไป เช่น
(ประชุมจดหมายเหตุ สมัยอยุธยา ภาค ๑, ที่เปียกซ่านไปนั้น, เหมือนอย่างผ้าฤๅ แมลง เมล็ด บางค�ำพบในวรรณคดี เช่น
๒๕๑๐: ๔๑) กะดาดเปียกน�ำ้ เปนต้น. อนึง่ คือรูน้ นั้ ด้วย. มละ พบในลิลติ ตะเลงพ่าย เมลือง พบใน
ซาบเกล้าซาบกระหม่อม เปนชื่อ โคลงยวนพ่าย (โบราณเรียกว่า ลิลิตยวน
ความทีร่ นู้ นั้ , แต่เปนค�ำใช้จำ� เภาะกราบทูล พ่าย) และมหาชาติค�ำหลวง ดังนี้
เท่านัน้ .
มันเห็นเศิกสระทก ตระดกดาลระรัว
ยิ่งกว่ากลัวสวามิศ บ เต้าติดตูต้อย
มละแต่ข้อยสองคน เข้าโรมรณราวิศ
ในอมิตรหมู่กลาง แสนเสนางค์เนืองบร
(ลิลิตตะเลงพ่าย)
เรื่องยุ่ง ๆ เกี่ยวกับอักษรควบ
558
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ค�ำว่า มละ ความหมายเหมือนกับ ๑๓. แผลง ล เป็น ล-บ, ล-ม, ม-ล มาจาก ล และเดิมอาจจะออกเสียงควบกล�ำ้
ค�ำ ละ ค�ำว่าเมลือง ความหมายเหมือนกับ เช่น ลัด เป็น ละบัด, โลภ เป็น ลโมภ ลาว เป็น มฺล ก็ได้ ทั้งนี้เพราะเสียง มฺล ยังมี
ค�ำ เรือง อาจมีผคู้ ดิ ว่าเกิดจากการแผลงค�ำ เป็น มลาว, แล เป็น มแล, ลัก เป็น มลัก ในภาษาไทยถิ่นบางภาษา เช่น ภาษาไทย
ต�ำราไวยากรณ์ไทยบางเล่มก็กล่าวถึงการ (วรเวทย์พิสิฐ, ๒๕๐๒ : ๒๙) ถิน่ ใต้ ใน พจนานุกรมภาษาถิน่ ใต้ ๒๕๒๕
แผลง ล เป็น มล ดังนี้ อย่างไรก็ตาม มล อาจไม่ได้แผลง มีค�ำที่พยัญชนะต้นเป็น มฺล อยู่ ๘ ค�ำ
ได้แก่
นววรรณ พันธุเมธา
559
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
เรื่องยุ่ง ๆ เกี่ยวกับอักษรควบ
560
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ค�ำที่พยัญชนะต้นเป็น ล ได้แก่ แมลง แมง แลง ค�ำทีพ่ ยัญชนะต้น ไตรภูมิพระร่วง มีข้อความว่า “แลไม้นนั้
ค�ำว่า เลื่อย พบในภาษาไทยถิ่นเหนือ เป็น มล ได้แก่ ค�ำว่า แมลง ค�ำทีพ่ ยัญชนะ หาด้วงหาแลงมิได้”
หมายถึง เมื่อยล้า เหนื่อยอ่อน และพบ ต้นเป็น ม ได้แก่ค�ำว่า แมง (ภาษาไทย แมลบ แมบ แลบ ค�ำที่พยัญชนะ
ในวรรณคดี เช่น บทเห่กล่อมพระบรรทม ถิ่นเหนือ เขียน แมลง อ่าน แมง) ต้นเป็น มล ได้แก่ค�ำว่า แมลบ พบใน
ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณมีกาพย์ ว่า ค�ำทีพ่ ยัญชนะต้นเป็น ล ได้แก่คำ� ว่า ภาษาไทยถิ่ น ใต้ แ ละภาษาไทลื้ อ ที่ พู ด
“ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยนัก พระวรพักตร์ แลง ใน แลงกินฟัน ซึ่งบางคนก็พูดว่า ในมณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐ
หม่นหมอง” แมงกินฟัน และพบในวรรณคดี เช่น ประชาชนจีน ผ่าแมลบ หมายความว่า
ฟ้าแลบ และพบในวรรณคดี เช่น
นววรรณ พันธุเมธา
561
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
ประชุมจดหมายเหตุ สมัยอยุธยา ภาค ๑. วรเวทย์ พิ สิ ฐ , พระ. หลั ก ภาษาไทย. อั ก ขราภิ ธ านศรั บ ท์ ของหมอปรั ด เล.
พระนคร : คณะกรรมการจัดพิมพ์ พระนคร : โร ง พิ ม พ ์ วิ ท ย า ลั ย พระนคร : องค์การค้าของคุรสุ ภา;
เอกสารทางประวั ติ ศ าสตร์ เทคนิค; ๒๕๐๒. ๒๕๑๔.
วัฒนธรรมและโบราณคดี ส�ำนัก ศริ พ จน์ ภ าษาไทย์ พจนานุก รมไทย- อุดม รุง่ เรืองศรี. พจนานุกรมล้านนา-ไทย
นายกรัฐมนตรี; ๒๕๑๐. ฝรั่งเศส-อังกฤษ ฉบับ Bishop ฉบับแม่ฟ้าหลวง. กรุ ง เทพฯ :
ปาเลอกัว, ชอง-บาตีสต์. สัพะ พะจะนะ J.L.Vey จั ด ท� ำ พิ เ ศษส� ำ หรั บ มู ล นิธิ แม่ ฟ ้ า หลวงและธนาคาร
พาสาไท. กรุงเทพฯ : สถาบัน คณะอนุกรรมการช�ำระกฎหมาย ไทยพาณิชย์ จ�ำกัด; ๒๕๓๓.
ภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวง ตราสามดวง ส� ำ นัก เลขาธิ ก าร อุปกิตศิลปสาร, พระยา. หลักภาษาไทย.
ศึกษาธิการ; ๒๕๔๒. นายกรัฐมนตรี; ๒๕๔๙. พระนคร : ไทยวั ฒ นาพานิช ;
พจนานุกรม ภาคอีสาน-ภาคกลาง ฉบับ ศรีสุนทรโวหาร, พระยา. ภาษาไทยของ ๒๕๑๑.
ปณิธาน. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พระยาศรี สุ น ทรโวหาร (น้ อ ย ÐìêÐìêu Chinh Nhim, Jean Donaldson.
(ติสฺสมหาเถระ). กรุงเทพฯ : ไทย อาจารยางกูร). พิมพ์ครั้งที่ ๓. Tai-Vietnamese-English Diction-
วัฒนาพานิช; ๒๕๑๕. พระนคร : แพร่พิทยา; ๒๕๑๔. ary. Saigon; 1970.
พจนานุ ก รมภาษาถิ่ น ใต้ ๒๕๒๕. ศานติ ภักดีค�ำ. พจนานุกรมค�ำยืมภาษา Halliday, R. A Mon-English Dictionary.
กรุงเทพฯ : สถาบันทักษิณคดีศกึ ษา เขมรในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : Bangkok : Siam Society;1922.
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ; อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์พับลิชชิ่ง Luo Yongxian. A Dictionary of Dehong,
๒๕๒๕. จ�ำกัด มหาชน, ๒๕๔๙. Southwest China. Canberra : Paciffiic
มหาชาติ ค� ำ หลวง ฉบั บ หอพระสมุ ด ศิลปากร, กรม. ประถม ก กา ประถม Linguistics, Research School of
วชิรญาณ; ๒๔๖๐. ก กา หัดอ่าน ปฐมมาลา อักษรนิติ Paciffiic and Asian Studies, The
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับ แบบเรียนหนังสือไทย. ธนบุรี : Australian National University;
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. ศิลปาบรรณาคาร; ๒๕๑๓. 1999.
กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์; ๒๕๔๖. ศิลปากร, กรม. เรื่องกฎหมายตราสาม
ลิลติ พระลอ. ธนบุรี : บรรณาคาร; ๒๕๑๔. ดวง. กรุ ง เทพฯ : อุ ด มศึ ก ษา;
ลิลิตยวนพ่าย. พระนคร : ศรีหงส์ ๒; ๒๕๒๑.
๒๔๗๗.
เรื่องยุ่ง ๆ เกี่ยวกับอักษรควบ
562
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
This paper presents some confusion concerning double letters for a consonant as follows:
1. Double letters for an initial consonant in some words are pronounced as a single consonant.
2. Some words should not be written with double letters since the original words were pronounced as
a single consonant.
3. Initial consonant clusters of some words used to be pronounced as a single consonant in former
time.
4. Some words which at present are written differently, for example, written with double letters and
with a single letter, were originally the same words.
5. Two consecutive letters which at present are pronounced as initial consonants of two consecutive
syllables might have been pronounced as initial consonant cluster of the second syllable.
นววรรณ พันธุเมธา
563
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
วรรณกรรมทักษิณ :
หลักฐานส�ำคัญของภาคใต้ ที่ท้าทายการศึกษา*
ชวน เพชรแก้ว
ภาคีสมาชิก ส�ำนักศิลปกรรม
ราชบัณฑิตยสถาน
บทคัดย่อ
หนังสือบุด เป็นวรรณกรรมลายลักษณ์ของภาคใต้ที่บันทึกสรรพวิทยาการต่าง ๆ ไว้ก่อนที่การพิมพ์จะ
แพร่หลาย แหล่งรวบรวมที่ส�ำคัญได้แก่ วัด และบ้านของผู้ใฝ่รู้ ในสมัยแรกเริ่มการพิมพ์ได้มีการน�ำวิทยาการ
จากหนังสือบุดมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กเพื่อเผยแพร่ ต่อมามีนกั วิชาการภาคใต้จ�ำนวนหนึง่ ได้เก็บรวบรวม
หนังสือบุด หนังสือใบลาน เอกสารต่าง ๆ กันอย่างจริงจังท�ำให้มวี รรณกรรมไม่นอ้ ยพิมพ์ออกเผยแพร่อย่างต่อเนือ่ ง
ใน พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๔๗ โครงการวิจัยภูมิปัญญาทักษิณจากวรรณกรรมและพฤติกรรมได้คัดสรรวรรณกรรม
๘๔ เรื่อง จัดท�ำเป็น วรรณกรรมทักษิณ : วรรณกรรมคัดสรร พิมพ์เผยแพร่ ใน พ.ศ. ๒๕๔๘ มีเนื้อหาสาระ
เกีย่ วกับ ศิลาจารึกและจารึก ต�ำรา คัมภีร์ ประวัตศิ าสตร์ พงศาวดาร ต�ำนาน การแพทย์ เหตุการณ์สำ� คัญในท้องถิน่
นิทานประโลมโลก ความเชื่อและคตินิยม นิราศ หลักศาสนา ปรัชญาวรรณกรรมเฉพาะกิจ กฎหมาย บุคคลและ
สถานที่ ประเพณีและพิธีกรรม ปกิณกะ และสุภาษิตค�ำสอนนีค่ ือ ส่วนเสี้ยวของฐานรากสังคมภาคใต้อันเป็นวิถี
และพลังที่ท้าทายการศึกษา
*
บทความนี้ปรับปรุงจากการบรรยายผลงานทางวิชาการในที่ประชุมส�ำนักศิลปกรรม เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓
วรรณกรรมทักษิณ : หลักฐานส�ำคัญของภาคใต้ที่ท้าทายการศึกษา
564
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ชวน เพชรแก้ว
565
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
วรรณกรรมทักษิณ : หลักฐานส�ำคัญของภาคใต้ที่ท้าทายการศึกษา
566
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ชวน เพชรแก้ว
567
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
วรรณกรรมทักษิณ : หลักฐานส�ำคัญของภาคใต้ที่ท้าทายการศึกษา
568
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ เนื้อเรื่องกล่าวถึงเรื่อง บทสรุป ทั้ ง หนั ง สื อ บุ ด หนั ง สื อ ใบลาน และ
ราวของพลายจ�ำเริญตั้งแต่เกิดจนถึงล้ม สังคมไทยภาคใต้ใช้วรรณกรรม หนังสือเล่มเล็กที่พิมพ์เผยแพร่ในยุคเก่า
ว่าเป็นช้างแสนรู้ มีความรู้สึกนึกคิดและ ท้องถิ่นส�ำหรับถ่ายทอดความรู้ ความคิด ยั ง คงกระจั ด กระจายอยู ่ ทั่ ว ไปในพื้ นที่
มีพฤติกรรมคล้ายมนุษย์ รักผู้เลี้ยงที่มี สร้างคุณลักษณะของผู้คน หรือการใช้ ภาคใต้ วรรณกรรมเหล่ า นี้ เป็ น มรดก
ความเมตตากรุณา ท�ำร้ายผูเ้ ลีย้ งทีห่ ยาบช้า ประโยชน์เพื่อแก้ไขปัญหาบางประการ ทางภู มิ ป ั ญ ญาของชาติ ที่ ก� ำ ลั ง รอการ
ทารุณ และไม่รักษาสัญญาถึงแก่สิ้นชีวิต วรรณกรรมจึ ง เป็ น เครื่ อ งมื อ ส� ำ คั ญ ใน เสื่อมสูญ หากไม่สนใจศึกษากันอย่าง
เสียมากต่อมาก ผลสุดท้ายช้างเชือกนี้ การสร้ า งพลั ง ให้ สั ง คมมี ส มรรถนะ จริงจัง การศึกษาแค่ วรรณกรรมทักษิณ :
ถูกช้างเถื่อนรุมแทงจนเสียชีวิต ในเรื่อง ศักยภาพ เจตคติ ตลอดจนค่านิยม และ วรรณกรรมคัดสรร ได้เพียง ๘๔ เรื่อง
นี้นอกจากเล่าเรื่องราวของพลายจ�ำเริญ คุ ณ ธรรมจริ ย ธรรมตามที่ สั ง คมพึ ง ยังเป็นส่วนเสี้ยวที่น้อยนิดซึ่งไม่เพียงพอ
แล้ว ยังสอดแทรกสาระส�ำคัญเกี่ยวกับ ประสงค์ สิ่งดังกล่าวช่วยให้ชาวภาคใต้ ต่อการอยู่รอดตลอดไปของวรรณกรรม
การด� ำ รงชี วิ ต สภาพสั ง คม ประเพณี เป็นผู้รู้จักตนเอง สามารถจัดการตนเอง ดังกล่าว อนึง่ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
วัฒนธรรมของชาวภาคใต้ชว่ งนัน้ ไว้อย่าง กั บ สภาพแวดล้ อ มที่ ต นด� ำ รงอยู ่ ไ ด้ ทีส่ ำ� คัญยิง่ อย่างหนึง่ คือ การเรียนรูข้ อม -
น่าสนใจอีกด้วย ท�ำให้สามารถยืนหยัดด้วยตนเองอย่าง บาลี และขอม-ไทย หากในส่วนนี้ผู้รู้ยัง
อิสระ มีคุณลักษณะเฉพาะหลายประการ คงหดหายไปเรื่อย ๆ วรรณกรรมจาก
เกาะตะรุเตาทัณฑสถานประวัติศาสตร์ ที่โดดเด่น เช่น เป็นคนชอบสงสัย ไม่เชื่อ หนังสือบุดที่บันทึกด้วยอักษรขอมก็คงมี
วรรณกรรมชิ้นนี้เป็นบันทึกส่วน อะไรง่าย ๆ รักพวกพ้อง มีวิจารณญาณ โอกาสแพร่หลายได้ยาก การฟื้นกลับไป
บุคคลที่บันทึกในสมุดฝรั่งของอดีตพัศดี ในการตัดสินใจ ยอมรับและปรับเปลี่ยน เรียนรู้สิ่งดังกล่าวน่าจะยังไม่สายเกินไป
เรื อ นจ�ำเกาะตะรุ เตา เกาะตะรุเตาเป็น ความคิดความเชื่อบนฐานของข้อมูลและ หากสถาบันการศึกษาทีช่ นู โยบายว่า “เป็น
ทัณฑสถานกักขังนักโทษทัง้ คดีอกุ ฉกรรจ์ ความมีเหตุผล มีแนวทางการคิด วิเคราะห์ สถาบันอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น”
และนักโทษการเมือง เรื่องราวที่บันทึก สังเคราะห์ สร้างสรรค์เป็นของตนเอง ด�ำเนินการอย่างจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวม
เป็นเหตุการณ์ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๔- ๒๔๙๘ ด้วยการตีค่า ปรับรูปแบบตามยุคสมัย ทั้งหน่วยงานวัฒนธรรมในระดับชาติให้
สาระส�ำคัญของบันทึก คือ สภาพทาง และสภาวการณ์ เพื่อน�ำไปใช้ตามความ ความสนใจสนับสนุนด้านวิชาการและ
ภู มิ ศ าสตร์ ข องเกาะตะรุ เ ตาขณะนั้ น เหมาะสม ทุนการศึกษาค้นคว้า การอนุรักษ์ อีกทั้ง
แผนการจัดตั้งเกาะตะรุเตาเป็นที่กักกัน พัฒนาการการศึกษาวรรณกรรม ส่งเสริมการน�ำไปใช้ประโยชน์ด้านการ
ควบคุมนักโทษ และนิคมฝึกอาชีพผู้ต้อง ทั ก ษิ ณ และการน�ำ วรรณกรรมท้ อ งถิ่ น ศึกษาและการพัฒนาอย่างแท้จริง
กั ก กั น สภาพความเป็ น อยู ่ ข องนัก โทษ ภาคใต้มากล่าวถึงเพียง ๗ เรื่อง เป็น ส่วนเสี้ยวการศึกษาวรรณกรรม
ธรรมดาและนักโทษการเมือง การหลบหนี เพียงส่วนเสีย้ วเล็ก ๆ เพือ่ ชีแ้ นะให้เห็นว่า ท้องถิ่นภาคใต้ครั้งนี้ ประจักษ์ว่าภาคใต้
ของนักโทษการเมือง การบริหารงานอย่าง วรรณกรรม คือ ส่วนส�ำคัญของสังคม คือ คลังวรรณกรรมอันอุดมไปด้วยความ
แหลกเหลวและขบวนการคอร์ รั ป ชั น ภาคใต้ ที่ ท รงคุ ณค่ า อย่ า งอเนกอนันต์ หลากหลายด้านเนื้อหาสาระ ต้นฉบับที่
ของเจ้าหน้าที่ และการปราบปรามสลัด หากมุ่งศึกษาให้ถึงแก่นสารและน� ำมา เป็นหนังสือบุด และใบลาน ซึ่งมีอยู่เป็น
ตะรุเตา สาระของบันทึกเรื่องนีน้ ับเป็น ใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง วรรณกรรม อเนกอนันต์นนั้ ยังมีหลงเหลือให้ศึกษา
ประสบการณ์อันมีคุณค่าที่ตีแผ่อีกแง่มุม ท้องถิ่นดังกล่าวแม้จะสูญเสียไปมาก แต่ โดยเก็บรวบรวมไว้ตามวัดวาอาราม บ้าน
หนึง่ ให้ภายนอกได้รับรู้ นับเป็นบันทึก ก็ยังมีต้นฉบับหลงเหลือกระจัดกระจาย ของผู้ใฝ่รู้และเจริญด้วยการศึกษา และ
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่น่าสนใจ ซึ่งหา อยู่ตามวัด และที่เป็นสมบัติส่วนตัวอีก สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ต้นฉบับที่คัด
ได้ยากจากงานในระบบราชการ ส่วนหนึง่ ประมาณไม่น้อยกว่าหมื่นเล่ม ลอกลงสมุ ด อย่ า งฝรั่ ง และต้ นฉบั บ ที่
ชวน เพชรแก้ว
569
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
วรรณกรรมทักษิณ : หลักฐานส�ำคัญของภาคใต้ที่ท้าทายการศึกษา
570
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
Abstract Southern Literature: A Significant Evidence from the South that Challenges Studying
Chuan Phetkaew
Associate Fellow of the Academy of Arts, The Royal Institute, Thailand
ÉNangsue Bud is a written southern literature that recorded various fields of knowledge before
printing became prominent. Significant sources for the compilation of knowledge were temples and
houses of learned persons. During the time when printing was first introduced some knowledge from
the Nangsue Bud was printed as booklets for distribution. Later a number of southern scholars began to
seriously collect Nangsue Bud, palm-leaf manuscripts, and documents, resulting in the publication of
a large number of literary works being published in succession. During 2001-2004 the Research
Project on Southern Wisdom from Literature and Behavior selected 84 literary works to be included in
Southern Literature: Selected Works, issued in 2005. Their subject matters deal with stone inscriptions
and inscriptions, texts, scriptures, history, chronicles, legends, medicine, significant local incidents,
romantic fiction, beliefs and traditions, travels, religious principles, special literary philosophy, law,
people and places, customs and rituals, miscellany, and proverbs. This is a fraction of the foundation of
southern society which has become way and force that challenge studying.
Key words : southern literature, selected literary works, Nangsue Bud, palm-leaf manuscripts
ชวน เพชรแก้ว
571
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
เอร็อสทรัต (Érostrate):
กรณีศึกษาตัวเอกปฏิลักษณ์* จินตนา ด�ำรงค์เลิศ
ภาคีสมาชิก ส�ำนักศิลปกรรม
ราชบัณฑิตยสถาน
บทคัดย่อ
เอร็อสทรัตเป็นชื่อเรื่องสั้นซึ่ง ฌ็อง-ปอล ซาทร์ เขียนขึ้นและพิมพ์เผยแพร่ใน ค.ศ. ๑๙๓๙ ตัวเอก
ของเรื่องนี้ชื่อ ปอล อีลแบร์ มีลักษณะเป็นตัวเอกปฏิลักษณ์ กล่าวคือ ท�ำงานเป็นลูกจ้างระดับไม่ส�ำคัญ เกลียดการ
สัมผัสเพือ่ นมนุษย์ เบือ่ ชีวติ ทีจ่ ำ� เจซ�ำ้ ซาก วันหนึง่ เขาเกิดความคิดทีจ่ ะท�ำให้ตวั เองเด่นดังขึน้ มาเช่นเดียวกับเอร็อส
ทรัต ผู้เผาวิหารของเทพีอาร์เทอมิส ธิดาของซุส วิหารนี้เป็น ๑ ใน ๗ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก เขาซื้อปืนพกมาและ
น�ำไปยิงชายอ้วนคนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้จักที่กลางถนน หลังจากนั้นเขาจึงวิ่งไปขังตัวเองอยู่ในห้องสุขาของร้านกาแฟ
แห่งหนึ่ง พยายามจะฆ่าตัวตายแต่ก็ไม่กล้าท�ำ กลับออกมามอบตัวในที่สุด
ค�ำส�ำคัญ : ตัวเอกปฏิลักษณ์, เอร็อสทรัต, ฌ็อง-ปอล ซาทร์
ที่มาของชื่อเอร็อสทรัต ของฌ็อง-ปอล ซาทร์ มาเซ (Massé) เรือ่ งสัน้ Érostrate ของฌ็อง-ปอล ซาทร์
ชือ่ เอร็อสทรัต (ÉÉrostrate) ตรงกับ เพือ่ นของตัวเอกของเรือ่ งคือ ปอล อีลแบร์ ฌ็อง-ปอล ซาทร์ด�ำเนินเรื่องราว
ภาษากรีกว่า Hêrostratos เป็นชาวเมือง (Paul Hilbert) กล่ า วว่ า ผู ้ ค นจ� ำ ชื่ อ โดยใช้สรรพนาม “Je (ผม)” เป็นผู้เล่า
เอฟิเซิส (Ephesus) ซึ่งเป็นเมืองท่าเรือ สถาปนิกผู้สร้างวิหารอันงดงามที่ถูกเผา ผู้อ่านไม่รู้จักชื่อของเขาเมื่อเริ่มต้นเรื่อง
ในเอเชียไมเนอร์ และเป็นที่ตั้งวิหารของ ไปไม่ได้ แต่กลับจ�ำชื่อเอร็อสทรัตผู้เผา แต่จะรู้ภายหลังว่าเขาชื่อปอล อีลแบร์ ผู้
เทพีอาร์เทอมิส (Artemis) ธิดาของซุส วิหารได้ แสดงว่าเอร็อสทรัตประเมิน ประกาศตนว่าเป็นศัตรูตวั ฉกาจของมนุษย์
(Zeus) ซึง่ วิหารนีเ้ ป็น ๑ ใน ๗ สิง่ มหัศจรรย์ ถูกแล้วที่ไปเผาวิหารของเทพีอาร์เทอมิส อีลแบร์เช่าห้องพักอยู่ชั้นที่ ๖ ของอาคาร
ของโลก เอร็อสทรัตเป็นชายหนุ่มสามัญ อีลแบร์ เล่าว่า “...เอร็อสทรัตตายไปแล้ว ซึ่งท�ำให้เขารู้สึกว่าอยู่เหนือผู้คนที่เดิน
ชนผู้ไม่มีความส�ำคัญแต่อย่างใด วันหนึง่ กว่าสองพันปี แต่การกระท�ำของเขายัง ขวักไขว่อยู่บนทางเท้าข้างถนน อีลแบร์
เขาปรารถนาจะให้โลกจดจ�ำการกระท�ำ เปล่งประกายประดุจเพชรสีดำ� ...”(Sartre เล่าว่าเขาชอบยืนมองผูค้ นทีร่ ะเบียงชัน้ ๖
ของเขา จึงได้เผาวิหารของเทพีอาร์เทอมิส 2007: 88) อีลแบร์จึงประสงค์จะเดิน เช่นเดียวกับชอบสถานทีท่ มี่ คี วามสูงแห่ง
ลงเสียในวันเดียวกับวันเกิดของพระเจ้า รอยตามเอร็อสทรัต อื่นด้วย เขาเล่าว่า
อเล็กซานเดอร์มหาราช ในเรือ่ ง Érostrate
จินตนา ด�ำรงค์เลิศ
573
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
อีลแบร์สรุปความรู้สึกที่เขามีต่อ พวกเขา” (Sartre 2007: 81) ความเกลียด ไปยิงคน ก่อนหน้านี้ อีลแบร์ไปซือ้ ปืนพก
มนุษย์ว่าคือความเกลียดชัง เขากล่าวว่า นี้รุนแรงมากขึ้นทุกที จนกระทั่งเย็นวัน มา ๑ กระบอก แล้วพกใส่กระเป๋ากางเกง
“ผมมีเหตุผลที่หนักแน่นกว่าที่จะเกลียด เสาร์วันหนึง่ เขาเกิดความคิดที่จะเอาปืน ก่อนออกไปเดินเล่นในถนน เขาเล่าว่า
...ผมเลื่อนมือขวาลงไปในกระเป๋าและก�ำด้ามปืนแน่น สักครู่ต่อมาผมเห็น
ตัวเองก�ำลังลั่นปืนยิงพวกเขา (ที่เดินออกมาจากโรงแสดงคอนเสิร์ต) จนล้มกลิ้ง
ทับถมกัน พวกทีร่ อดชีวติ มีสหี น้าหวาดกลัว วิง่ ฝ่าประตูกระจกเข้าไปในโรงแสดง
คอนเสิร์ต นี่เป็นเกมรบกวนประสาท มือผมสั่นระริกจนต้องไปนัง่ ดื่มเหล้าที่ร้าน
เดรอแอร์เพื่อสงบสติอารมณ์
(Sartre 2007: 86-87)
จินตนา ด�ำรงค์เลิศ
575
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
...คุณโชคดีที่มีความรักมนุษย์อยู่ในสายเลือด...เมื่อคุณเห็นคนเหมือนคุณ
ทั้ง ๆ ที่คุณไม่รู้จัก คุณก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขา...
ผมคิดว่าคุณคงจะอยากรู้ว่าคนที่ไม่รักคนอื่นนัน้ เป็นอย่างไร ก็ผมไงล่ะ ผม
รักคนอืน่ น้อยมากจนกระทัง่ จะฆ่าพวกเขาสักครึง่ โหลเร็ว ๆ นี้ บางทีคณ
ุ อาจถามว่า
ท�ำไมแค่ครึ่งโหลล่ะ ก็เพราะปืนพกของผมบรรจุกระสุนแค่ ๖ นัดน่ะซิ...
...ทุกสิ่งเกิดขึ้นราวกับว่าคุณได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้า แต่ผมไม่ได้รับพร
นัน้ เลย ...ถ้าผมไม่รักคนอื่น ๆ ก็เป็นเพราะว่าผมมันเป็นคนยากแค้น และผมไม่
สามารถมีที่รับแสงแดด พวกเขาฉกชิงความหมายของชีวิตไปจากผมจนหมดสิ้น
ผมหวังว่าคุณเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร เป็นเวลา ๓๓ ปีแล้วที่ผมต้องเผชิญกับ
ประตูที่ปิดตายซึ่งมีข้อความเขียนไว้เหนือประตูว่า “ไม่มีใครเข้าประตูนี้ได้ถ้าเขา
ไม่รักเพื่อนมนุษย์”...
ปอล อีลแบร์
(Sartre 2007: 90-91)
อี ล แบร์ ป ิ ด ตั ว เองอยู ่ ในห้ อ งต่ อ เมือ่ ถึงวันทีเ่ ขาวางแผนไว้ อีลแบร์ เพราะปืนเขาบรรจุกระสุนไว้ ๖ นัด พอถึง
มาอีก ๓ วัน โดยไม่กินไม่นอน (Sartre เหงือ่ ตกจนเสือ้ ชุม่ เขารูส้ กึ กลัว พอถึงเวลา เวลา ๑ ทุม่ ๕ นาที มีชาย ๑ คน หญิง ๑ คน
2007: 94) ต่อมาในวันจันทร์ มีคนมากด ๖ โมงเย็น เขาจึงออกจากห้อง เอาจดหมาย เดินมากับเด็ก ๒ คน ข้างหลังเขามีหญิงชรา
สัญญาณเรียก แต่อีลแบร์ไม่เปิดประตู ลูกโซ่ไปหยอดใส่ตไู้ ปรษณีย์ เขาเดินไปถึง เดินตามมาอีก ๓ คน อีลแบร์เดินตามไป
พอตกกลางคืนเขาไปหาโสเภณีคนโปรด ถนนโอแดซาและยืนรออยู่ ผู้หญิง ๒ คน แต่เขามิได้ลงมือฆ่าบุคคลเหล่านัน้ แม้แต่
เมื่อเธอเปลือยร่าง เขาใช้ปืนจี้บังคับให้ เดิ น ผ่ า นไป เขาก็ ยั ง ไม่ ไ ด้ ลั่ น ไกปื น คนเดียว เขาเล่าว่า
เธอคลานบนพื้นห้อง หลังจากนั้นก็จับ ต่อมาอีกครู่หนึง่ มีผู้ชายเดินมาอีก ๓ คน
เธอมัดไว้ที่เสาแล้วเล่าให้เธอฟังว่าเขาจะ เขายังคงปล่อยให้ผ่านไป บอกกับตนเอง
ไปฆ่าคน ว่ า เขาต้ อ งการยิ ง คนติ ด ต่ อ กั น ๖ คน
...ผมไม่อยากฆ่าพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาเดินลับไปในฝูงคนบนถนน ผม
ยืนพิงผนังตึก ได้ยินนาฬิกาตีบอกเวลา ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่ม ผมพูดย�้ำกับตัวเองว่า:
“ท�ำไมต้องฆ่าผู้คนเหล่านีซ้ ึ่งตายแล้ว” ผมอยากจะหัวเราะเสียจริง สุนขั ตัวหนึง่
เข้ามาเลียเท้าผม
(Sartre 2007: 97)
จินตนา ด�ำรงค์เลิศ
577
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
...ผมพยายามที่จะไม่ท�ำให้วรรณคดีสูญค่าหรือด้อยค่าลงในแง่พันธกิจ
ที่มีต่อสังคม ในทางตรงกันข้าม ผมตั้งใจจะท�ำให้วรรณคดีมีความส�ำคัญยิ่งขึ้น
มีความยิง่ ใหญ่กว่าช่วงเวลาทีผ่ า่ นมา ถ้าวรรณคดีเป็นเพียงสิง่ บันเทิง ก็จะมีคณ
ุ ค่า
ไม่ถึง ๑ ชั่วโมงด้วยซ�้ำ เมื่อเราพิจารณาวรรณคดีในฐานะเป็นบ่อเกิดของมนุษย์
จะพบว่าวรรณคดีแสดงถึงความหวังและความเย้ยหยันทุกด้านของสังคม เป็น
เสมือนภาพสะท้อนสังคม…
Érostrate is a short story by Jean-Paul Sartre which was published in 1939. In the
story the main character is an anti-hero who works a menial job and lives an insignificant
routine life. He is out of touch with humanity. One day, he conceives of an idea to make himself famous.
He would follow the path of mythological Greek character Érostrate. Érostrate burned down one of the
Seven Wonders of the World; the Temple of Artemis, one of Zeus’ daughters. From this inspiration,
he concocts a plan to shoot and kill people at random. When comes the time to implement his plan, he
cannot bring himself to kill until he comes across a fat man in the middle of the street. The man evokes
something inside him; prompting him to take a shot. After which, he runs and locks himself in a toilet
in the nearest café. He tries to commit suicide but fails. In the end, he surrenders himself to the police.
จินตนา ด�ำรงค์เลิศ
579
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
บทคัดย่อ
โขน เป็นนาฏกรรมชัน้ สูงอย่างหนึง่ ของไทยทีม่ มี าแต่โบราณ การแสดงโขนนัน้ มีววิ ฒ ั นาการมาอย่างต่อ
เนื่อง รูปแบบของการแสดงแบ่งได้เป็น ๕ ประเภท ประกอบด้วย โขนกลางแปลง โขนนัง่ ราว โขนหน้าจอ โขน
โรงใน และโขนฉาก ส�ำหรับการแสดงโขนหน้าจอนัน้ จะจัดแสดงในงานพระราชพิธีเฉลิมฉลองในโอกาสต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังจัดแสดงในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ และนิยมจัดแสดงในงานศพของบุคคลทั่วไป
แต่ในปัจจุบันหาชมได้ยากมาก การแสดงโขนหน้าจอมีเอกลักษณ์เฉพาะคือ จัดแสดงกลางแจ้ง สร้างเป็นเวที มีจอ
อยู่ด้านหลังเวที โดยด้านขวามือ (ของผู้ชม) เขียนภาพปราสาทราชวัง สมมติเป็นกรุงลงกา หรือเมืองยักษ์ ส่วน
ด้านซ้ายมือ เขียนภาพพลับพลา สมมติเป็นที่พักของกองทัพพระราม ตรงกลางเป็นผ้าขาวจอด้านหลังทั้งหมดจะ
มีเสาขึน้ อยูเ่ จ็ดต้นเป็นส่วนทีย่ ดื ผ้าขาว ดนตรีทใี่ ช้ประกอบการแสดงคือวงปีพ่ าทย์ ในอดีตมีการจัดการแสดงอย่าง
ต่อเนื่องเดือนหนึง่ ประมาณ ๔-๕ ครั้ง แต่ในปัจจุบันมีการจัดการแสดงปีหนึง่ ประมาณ ๒-๓ ครั้งเท่านัน้
ค�ำส�ำคัญ : โขนหน้าจอ
“การเล่นโขนน่าจะมาจากเล่นหนัง ซึ่งก็อาจเป็นไปได้เพราะมีบทพากย์
เจรจา เรื่อง รามเกียรติ์ส�ำหรับเล่นหนังที่นับว่าเป็นวรรณคดีรุ่นเก่าถึงสมัยกรุง
ศรีอยุธยาเหลือปรากฏอยู่... บทที่ใช้ส�ำหรับศิลปะของการเล่นหนังมีแต่ค�ำพากย์
และค�ำเจรจา แต่ผู้เชิดหนังต้องใช้ไม้ทั้งสองถือไม้ทาบตัวหนังแล้วก็ใช้เท้าเต้น
ออกท่าไปตามค�ำพากย์ ค�ำเจรจา และตามเพลงหน้าพาทย์ของปี่พาทย์ คล้าย
*
บทความนี้ปรับปรุงจากการบรรยายผลงานทางวิชาการในที่ประชุมส�ำนักศิลปกรรม เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒
การอนุรักษ์โขนหน้าจอ
580
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
กับเต้นระบ�ำร�ำเท้า ศิลปะแห่งการเล่นหนังของเราจะมีความเดิมมาว่าได้รับแบบอย่าง
มาจากชวามลายูหรือที่ไหนก็ตามที แต่ควรพิจารณาว่าศิลปะแห่งการเต้นเท้าของ
ผู้เชิดหนังนั้น ส่วนส�ำคัญจะใช้หลักมาจากไหน เคยสังเกตเห็นนักกระบี่กระบอง
ร�ำออกท่าคล้ายท่าของโขนละครอยู่หลายท่า... และยังมีชื่อเพลงประกอบการร�ำการ
ต่อสู้ของกระบี่กระบองเป็นอันมากที่มีชื่อเหมือนเพลงของโขนละคร จึงชวนให้คิดว่า
ท่าเต้นของผู้เชิดหนังแต่เดิมคงจะเอามาหรือดัดแปลงมาจากท่าร� ำต่อสู้แบบ วีรชัย
(War Dance) เช่นร�ำกระบี่กระบองด้วยก็ได้ และศิลปะของการเต้นโขนบางอย่างบาง
ตอนก็ได้มาจากท่ากระบีก่ ระบองด้วย.... จึงเห็นได้วา่ โขนน�ำเอาศิลปะของการเล่นหลาย
อย่างมาผสมกัน” (ธนิต อยู่โพธิ์ ๒๕๑๑ : ๒๑-๒๒)
ไพโรจน์ ทองค�ำสุก
581
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การอนุรักษ์โขนหน้าจอ
582
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ไพโรจน์ ทองค�ำสุก
583
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
นางเมขลาร�ำเชิดฉิ่งในการแสดงโขนหน้าจอ นนทุกขึ้นเฝ้าพระอิศวรในการแสดงโขนหน้าจอ
ชุดเมขลา-รามสูร ชุดนารายณ์ปราบนนทุก
การอนุรักษ์โขนหน้าจอ
584
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
คนพากย์ในการแสดงโขนหน้าจอ จะยืนอยู่ด้านข้างเวทีตรงประตูเข้า-ออก
ไพโรจน์ ทองค�ำสุก
585
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การอนุรักษ์โขนหน้าจอ
586
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ไพโรจน์ ทองค�ำสุก
587
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
น�้ำท่วม ปัญหาโลกแตก*
มาลิทัต พรหมทัตตเวที
ภาคีสมาชิก ส�ำนักศิลปกรรม
ราชบัณฑิตยสถาน
บทคัดย่อ
อุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ท�ำความเสียหาย
อย่างใหญ่หลวงทั้งทางด้านการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพราะน�้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่ประมาณ
๒ ใน ๓ ของประเทศตั้งแต่ภาคเหนือจดใต้ สาเหตุของน�้ำท่วมส่วนหนึ่งมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่อยู่
เหนือการควบคุมของมนุษย์ แต่การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติบางครั้งก็เป็นผลมาจากการกระท�ำของมนุษย์ เช่น
เทคโนโลยีสมัยใหม่ท�ำให้เกิดการท�ำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศ เกิดภาวะเรือนกระจก ท�ำให้โลกร้อน น�้ำแข็งขั้ว
โลกละลาย เกิดน�้ำท่วม ในประเทศไทยการตัดไม้ท�ำลายป่า การถางป่าเพื่อท�ำไร่เลื่อนลอยท�ำให้เกิดภูเขาหัวโล้น
ไม่มีต้นไม้ไว้ปะทะการไหลของน�้ำ ท�ำให้ดินถล่ม การถมคูคลองเพื่อสร้างถนน สิ่งก่อสร้างและโรงเรือนเป็นการ
กีดขวางทางระบายน�้ำออกสู่ทะเล ท�ำให้น�้ำท่วมหนักและนาน เรื่องน�้ำท่วมใหญ่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่มีมา
ช้านานในต�ำนานของชาติต่าง ๆ ไม่วา่ เล็กหรือใหญ่ในแทบจะทุกมุมโลก เรื่องเหล่านี้มีทั้งความคล้ายคลึงกันใน
ประเด็นส�ำคัญและความแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อย ในสมัยโบราณผู้คนมักตั้งถิ่นฐานอยู่ติดแม่น�้ำหรือ
ทะเลเพื่อความสะดวกในการคมนาคมและการค้าขาย เมื่อถึงหน้าน�้ำก็เป็นธรรมดาที่น�้ำจะหลากท่วมบ้านเรือนได้
ท�ำให้สันนิษฐานได้ว่า ครั้งหนึ่งน่าจะเกิดน�้ำท่วมใหญ่ในระดับโลก ท�ำให้ผู้คนล้มตายแทบจะไม่เหลือสืบเผ่าพันธุ์
คนโบราณจึงคิดว่าน�้ำท่วมโลกคือการที่พระเจ้าหรือเทพเจ้าลงโทษมนุษย์ซึ่งกระท�ำผิดบาป แต่เหตุที่ยังมีมนุษย์
สืบเผ่าพันธุ์ต่อมาก็เพราะยังมีคนดีเหลืออยู่ที่ปฏิบัติตามค�ำสั่งของพระเจ้าหรือเทพเจ้าท�ำให้รอดชีวิตได้
*
บทความนี้ปรับปรุงจากการบรรยายผลงานทางวิชาการในที่ประชุมส�ำนักศิลปกรรม เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๔
น�้ำท่วม ปัญหาโลกแตก
588
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
๑
เออา (Ea): เทพแห่งน�้ำและความฉลาด พร้อมด้วย เอนู (Anu) เทพแห่งสวรรค์ และ เอ็นลิล (Enlil) เทพแห่งอากาศหรือลม ประกอบเป็นไตรเทพของเมโสโปเตเมีย
มาลิทัต พรหมทัตตเวที
589
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
๔ เท้า/๒ เท้า รวมทัง้ มนุษย์บรรทุกไปให้ รวมทั้งแก้วแหวนเงินทองไว้ในเรือ เมื่อ เกิดน�้ำท่วมเรือก็ลอยอยู่ ๙ วัน ๙ คืน เมื่อ
เต็ม ซิซุทรอสท�ำตามค�ำแนะน�ำ เมื่อเกิด ถึงเวลาได้เกิดพายุฟ้าฝน ๖ วัน ๖ คืน ซึ่ง ฝนหยุดตกในวันที่ ๑๐ เรือได้ไปติดค้าง
น�้ำท่วม ผู้ที่อยู่บนเรือเท่านัน้ ที่มีชีวิตรอด แม้แต่เทพเจ้าเองยังหวาดผวา ในวันที่ ๗ บนยอดเขา พาร์นสั ซุส (Parnassus) เมือ่
ไปได้โดยติดอยู่บนยอดเขา มีการส่งนก พายุสงบลง เมือ่ น�ำ้ ลดยอดเขาก็โผล่ เรือไป น�ำ้ ลดดูเคเลียนกับภรรยาออกจากเรือและ
๓ ชนิดคือนกเขา นกนางแอ่น และนก ติดอยู่ที่เขาไนเซอร์ (Nisir หรือ Nizir)๒ ท�ำพิธีสังเวยซุส ซึ่งประทับใจในความ
กาน�ำ้ ไปส�ำรวจพืน้ ทีเ่ มือ่ น�ำ้ ลด นก ๒ ชนิด อุตนาพิชติมสั่งให้นกเขากับนกนางแอ่น ภักดีของเขาและสัญญาว่าจะให้ พ รแก่
แรกบินกลับมาโดยที่ขาเปื้อนโคลน เมื่อ ออกไปดู ส ถานการณ์ นกทั้ ง ๒ บิ น ดูเคเลียน สิ่งที่เขาขอคือให้ซุสบันดาลให้
นกกาน�้ำไม่กลับมาแสดงว่าแผ่นดินแห้ง กลั บ มาเพราะหาที่ แห้ ง ไม่ ได้ เมื่ อ ส่ ง เผ่าพันธุ์มนุษยชาติกลับมาด�ำรงอยู่ต่อไป
แล้ว ซิซุทรอสกับครอบครัวจึงออกจาก นกกาน�้ำออกไปมันไม่บินกลับมาแสดง อี ก ต� ำ นานหนึ่ ง กล่ า วว่ า ดู เ คเลี ย นกั บ
เรือและสร้างแท่นบูชาเพือ่ สักการะเทพเจ้า ว่าน�้ำแห้งดีแล้ว อุตนาพิชติมจึงท�ำการ เพอร์ราเดินทางไปที่เดลฟี (Delphi) เพื่อ
คนที่ยังอยู่บนเรือได้ยินแต่เสียงของพวก สักการะเทพเจ้าบนยอดเขา ซึ่งเหล่าเทพ สวดขอพรจากเทพีทีมิส (Themis) ซึ่ง
เขาพูดว่าจะไปอยู่กับเทพเจ้าแล้ว ต่อไป ต่างก็ชื่นชมกับเครื่องสังเวยของพวกเขา สั่งให้ทั้งคู่คลุมศีรษะ แก้สายรัดเอวออก
พวกที่ เหลื อ จะต้ อ งหาทางกลั บ ไปยั ง มาก มีแต่เทพเอ็นลิลเท่านัน้ ที่ยังขุ่นข้อง และโยนกระดูกของบรรพบุรษุ คนแรกไป
บาบิโลเนียและขุดข้อเขียนที่ซิซุทรอส เพราะเห็นว่ายังมีมนุษย์เหลือรอดอยู่ แต่ ข้างหลัง ดูเคเลียนกับภรรยางงอยูพ่ กั ใหญ่
ฝั ง ไว้ ที่ นครซิ ป ปาราขึ้นมาเผยแพร่ต่อ ในที่สุดเอ็นลิลก็หายโกรธและให้พรแก่ ก่อนจะไขปริศนาได้ จึงใช้ผ้าคลุมศีรษะ
ผู้คนและตั้งบ้านเมืองสืบต่อไป อุตนาพิชติมและภรรยาให้เป็นเหมือน เดินข้ามท้องทุ่งไปพร้อมทั้งโยนก้อนหิน
ต� ำ นานเก่ า แก่ แ ละน่ า สนใจอี ก เทพเจ้า คือเป็นอมตะมีชวี ติ อยูไ่ ด้ตลอดไป ซึ่ ง เก็ บ ขึ้ น มาจากพื้ น ดิ น ข้ า มไหล่ ไ ป
เรื่องหนึ่งจากเมโสโปเตเมียคือเรื่องจาก ข้างหลัง ค�ำไขปริศนาคือ พวกเขาสืบ
มหากาพย์ กิลกาเมช (Gilgamesh) ตัว ต�ำนานกรีก เชื้อสายมาจากจีอา (Gaia) ผู้เป็นแม่ธรณี
กิลกาเมชเองซึ่งเป็นวีรบุรุษนั้นไม่ได้มี ส�ำหรับต�ำนานกรีก เมื่อศตวรรษ และก้ อ นหิ นก็ คื อ กระดู ก ของแม่ ธ รณี
ส่วนเกีย่ วข้องกับน�้ำท่วมซึง่ เกิดก่อนสมัย ที่ ๕ ก่อนคริสตกาล พินดาร์ (Pindar) นัน่ เอง ก้อนหินที่ดูเคเลียนโยนเกิดเป็น
ของเขา แต่เป็นเรื่องที่เขาได้รับฟังมาจาก กวีชาวกรีกได้เขียนไว้ว่า เทพซุส (Zeus) มนุ ษ ย์ ผู ้ ช าย ส่ ว นก้ อ นหิ น ที่ เพอร์ ร า
บรรพบุรุษผู้เป็นอมตะคือ อุตนาพิชติม บันดาลให้น�้ำท่วมโลกเนื่องจากมนุษย์ โยนเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิง ท�ำให้มีมนุษย์
(Utnapishtim) เรื่ อ งนี้ เ กิ ด ขึ้ น มานาน ท�ำตัวเลวร้ายมาก มีผรู้ อดตายคือ ดูเคเลียน สืบเผ่าพันธุ์ต่อไป ในต�ำนานนี้ไม่มีการ
แล้วเมื่อเหล่าเทพประชุมตกลงกันว่าจะ (Deucalion) กั บ เพอร์ ร า (Pyrrha) กล่าวถึงสัตว์วา่ รอดชีวติ มาได้อย่างไร แต่
ส่งน�้ำมาท่วมโลกเพื่อให้มนุษย์จมน�ำ้ ตาย ภรรยาของเขา ดูเคเลียนเป็น บุตรของ อีกต�ำนานหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับเรื่องของ
แต่เทพเออา ได้แอบเตือนอุตนาพิชติม โพรมีทอี สุ (Prometheus) ผูเ้ ฉลียวฉลาด บาบิโลเนีย กล่าวว่า ดูเคเลียนน�ำสัตว์ทงั้ ที่
ล่วงหน้าโดยการบอกเป็นนัยให้เขาต่อเรือ และได้ ชื่ อ ว่ า เป็ น บิ ด าแห่ ง มนุ ษ ยชาติ ดุรา้ ยและไม่ดรุ า้ ยอย่างละคูไ่ ปในเรือด้วย
ถ้าใครถามก็ห้ามบอกเรื่องน�้ำท่วม แต่ให้ เพราะเป็นผู้น� ำไฟมามอบให้มนุษย์ใช้ และเทพเจ้าก็บันดาลให้สัตว์ทั้งหลายอยู่
ตอบว่าได้ท�ำให้ เอ็นลิล (Enlil) เทพแห่ง และยั ง ได้ ให้ ค� ำ แนะน� ำ สั่ ง สอนที่ เป็ น ด้วยกันได้โดยไม่ท�ำอันตรายซึ่งกันและ
อากาศหรื อ ลมพิ โรธจึงต้องหาทางหนี ประโยชน์แก่มนุษย์ในการด�ำรงชีวิตด้วย กันจะเห็นว่าดูเคเลียนท�ำหน้าที่เป็นผู้สืบ
อุ ต นาพิ ช ติ ม ต่ อ เรื อ ด้ ว ยเปลื อ กไม้ แ ละ ดูเคเลียนเป็นคนดีจึงได้รับค�ำแนะน�ำให้ ต่อเผ่าพันธุ์มนุษยชาติให้ด�ำรงต่อมา
บรรทุกครอบครัว ผู้คน และสัตว์ต่าง ๆ ต่อเรือ ทัง้ คูข่ นึ้ ไปอยูบ่ นเรือ ซึง่ เมือ่ ฝนตก
๒
Niser (Nizir) : ชื่อสถานที่ที่เชื่อกันว่าเรือของอุตนาพิชติมไปติดอยู่ เทียบได้กับ Mount Ararat ซึ่งเรือของโนอาห์ในพระคัมภีร์เก่าไปติดอยู่
ในปัจจุบันนักโบราณคดีคาดว่าน่าจะเป็นภูเขา Pir Magrun (Gudrun) ซึ่งอยู่แถบ Suleimani ใน Kurdistan ของอิรัก
น�้ำท่วม ปัญหาโลกแตก
590
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
๓
ในพระคัมภีรข์ องศาสนายิวระบุไว้วา่ “บรรดาสัตว์ทเี่ ราสร้างแล้วมอบให้เป็นอาหารของเจ้า และเจ้ากินสัตว์นไี้ ด้คอื สัตว์ทมี่ เี ท้าแยกเป็นกีบด้วย บดเอือ้ งด้วย
แต่ถ้ามีลักษณะอย่างเดียว ไม่ครบทั้ง ๒ อย่าง กินไม่ได้ เช่นอูฐ เท้ากีบไม่ผ่า แต่บดเอื้อง หรือหมู เท้ากีบผ่า แต่ไม่บดเอื้อง กินไม่ได้ มันเป็นสัตว์ไม่สะอาด อย่ากิน
อย่าถูกต้อง”
๔
Mount Ararat : ปัจจุบันเชื่อกันว่า คือภูเขาที่อยู่ในตุรกีตะวันออก มีชื่อเรียกว่า Aghri Dagh ในภาษาเติร์ก และ Masis ในภาษาอาร์มีเนียน อารารัตใน
พระคัมภีร์อาจไม่ใช่ภูเขา เป็นแต่เพียงเนินหรือเขาเตี้ย ๆ เหตุที่เรียกภูเขาอาจเนื่องมาจากความสับสนในการแปลเพราะค�ำว่า har ในภาษาอัคเคเดียนและ
ภาษาฮีบรูแปลได้ทั้ง “ภูเขา” และ “เนินเขา”
มาลิทัต พรหมทัตตเวที
591
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
ท่อระบายน�้ำทิง้ ไว้ ท�ำให้น�้ำทะเลไหลเข้า พระองค์ ล งไปในน�้ ำ เกิ ด เป็ น ไข่ ท อง พระพรหมจะบรรทมหลับ ระหว่างนีโ้ ลก
มาได้และท่วมพื้นที่ทั้งหมด มีคนเพียง พระพรหมเข้าไปอยู่ในไข่ทอง ๑ ปี แล้ว จะกลายเป็นมหาสมุทรไป ในระหว่าง ๑
ไม่กคี่ นทีร่ อดชีวติ รวมทัง้ กวิดโน การันฮีร์ ออกจากไข่มาเป็นพระพรหมาปิตามหา กัลปนัน้ มีพระมนูซึ่งมีหน้าที่สร้างมนุษย์
บุตรชายของเขาชื่อ เอ็ลฟิน (Elphin) ผู้สร้างโลก เมื่อสิ้นเวลา ๑ กัลป คือ บังเกิด ๑๔ องค์ ภาพของพระมนูที่เรา
และตั ว เซตเท็ นนิน เอง ที่ ตั้ ง ของเมื อ ง ๑,๐๐๐ มหายุค หรือ ๑ วันของพระพรหม คุน้ ตาคือฤๅษีนงุ่ หนังเสือ ว่ากันว่าพระมนู
ที่จมหายไปนี้ ว่ากันว่ามีก้อนหินใหญ่ใต้ โลกจะแตกสลายกลายเป็นกลางคืน ซึ่ง เป็นเพียงฤๅษีที่รอดชีวิตจากมหายุคหนึง่
น�ำ้ แถบ ซาร์น คึนเฟลิน (Sarn Cynfelin)
เป็นเครื่องหมายบอกให้รู้ เรื่องนี้ท�ำให้
นึ ก ถึ ง นค ร ส า ป สู ญ แ อ็ ต แ ล นติ ส
(Atlantis) ทีจ่ มหายไปซึง่ เพลโต (Plato)
ปรั ช ญาเมธี ช าวกรี ก เคยกล่ า วถึ ง และ
ยั ง เป็ นที่ ถ กเถี ย งกั นจนถึ ง ปั จ จุ บั นนี้ ว ่ า
แอ็ตแลนติส มีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็น
เพียงต�ำนานเท่านัน้
ต�ำนานสแกนดิเนเวีย
ในต� ำ นานสแกนดิ เนเวี ย การที่
น�้ำท่วมโลกไม่ใช่การลงโทษของเทพเจ้า
แต่เป็นเพราะเมื่อโลกจะแตกดับลง สัตว์
เลื้อยคลานรูปร่างคล้ายงูยักษ์ที่เรียกว่า
World Serpent หรือ The Serpent of
Midgard ซึ่งขดตัวอยู่รอบโลกและคอย
กัดกินรากของต้น อึกดราซิล (Yggdrasil)
หรือ World Tree อยู่ตลอดเวลาได้โผล่
ขึ้นมาจากมหาสมุทร พ่นพิษไปทั่วโลก
ท�ำให้น�้ำท่วมโลก
ต�ำนานอินเดีย
ส่วนต�ำนานอินเดีย เรื่องของน�้ำ
ท่วมใหญ่มีความเกี่ยวพันกับการสร้าง
และท�ำลายโลก ในความเชื่อโดยทั่วไป
ของชาวอินเดีย ผู้ที่ท�ำหน้าที่สร้างโลก
คือ พระพรหม ซึ่งเป็นองค์อาตมภู คือ
ผู้เกิดเองแต่เดิมนั้นมีแต่พื้นน�้ำอันกว้าง เรือ่ งของโนอาห์ จากแง่มมุ ของมุสลิม จิตรกรรม Mogul miniature จากศตวรรษที่ ๑๖
ใหญ่ พระพรหมจึงได้หว่านน�้ำเชื้อของ (Encyclopedia of World Mythology, Octopus Books Limited, 1975)
น�้ำท่วม ปัญหาโลกแตก
592
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
และมีบทบาทส�ำคัญในการสร้างมหายุค ใหญ่ในโลกเพื่อลงโทษมนุษย์ที่ชั่วร้าย
ต่อไป (๑ มหายุค = ๔,๓๒๐,๐๐๐ ปีมนุษย์) ผู้คนต้องไปซ่อนตัวตามภูเขา แย่งอาหาร
พระมนูองค์ส�ำคัญที่มีบทบาทเกี่ยวกับ และที่อยู่กับสัตว์ร้าย ท�ำให้ต้องทนทุกข์
น�ำ้ ท่วมคือ พระมนูองค์ที่ ๗ หรือพระมนู ทรมานมาก มีเทพเจ้าองค์เดียวบนสวรรค์
ไววัสวัต เกิดขึน้ ในกฤตะยุคซึง่ เป็นยุคแรก คือ คุน (Khun) ซึง่ มีเมตตาต่อมนุษยชาติ
ตามต�ำนานฮินดู วันหนึง่ ขณะที่พระมนู และรู้สึกว่าการลงโทษนี้รุนแรงเกินไป
ผู้ได้บ�ำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลาหมื่นปีจนมี จึงขอร้องให้เง็กเซียนฮ่องเต้ท�ำให้น�้ำลด
บารมีแก่กล้าเท่าพระพรหมเองก�ำลังเข้า แต่ไม่เป็นผล คุนท�ำการสร้างเขื่อนซึ่ง
ฌานอยู่ใกล้ธารน�้ำ มีปลาน้อยตัวหนึง่ มา ไม่สามารถทานน�้ำหนักของน�้ำได้ มีเต่า
ขอร้องให้ช่วยปกป้องมันจากปลาอีกตัว ๓ ขา และนกฮูกมีเขาปรากฏตัวขึ้นและ
ที่ก�ำลังไล่ล่ามันอยู่ พระมนูจึงเอาปลาใส่ แนะน�ำให้คุนขโมย ดินงอก (Swelling
ไหไปปล่อยในสระ แต่ปลาโตขึ้นจนอยู่ Earth) ซึ่งมีสรรพคุณในการงอกไม่มี
ในสระไม่ได้ต้องน�ำไปยังแม่น�้ำคงคา แม้ ที่สิ้นสุดมาจากเง็กเซียนฮ่องเต้ เพราะมัน
แต่แม่นำ�้ คงคาก็ยงั ใหญ่ไม่พอส�ำหรับปลา เป็นสิ่งเดียวที่จะปิดกั้นน�้ำได้ คุนหาดิน
เลยต้ อ งเอามั น ไปปล่ อ ยในมหาสมุ ท ร นี้มาได้ก้อนหนึง่ แล้วลงไปยังโลกมนุษย์
และแล้วปลาก็แสดงตนเป็นพระพรหม โยนก้อนดินลงไปในน�้ำ ทันใดนัน้ ดินก็
เตือนพระมนูว่าน�้ำจะท่วมโลกให้ต่อเรือ เริม่ โก่งตัวขึน้ ไม่ชา้ ก็กลายเป็นภูเขากัน้ น�ำ้
เพื่อบรรทุกฤๅษี ๗ ตน และสรรพสิ่งทั้ง เอาไว้ น�้ำจึงแห้งสนิท เหล่ามนุษย์พา
หลายที่พวกพราหมณ์ถือว่าสลักส�ำคัญ กันปีติยินดี แต่เง็กเซียนฮ่องเต้โกรธมาก
เมื่อน�้ำเริ่มสูงขึ้นปลาจ�ำแลงก็ใช้เขาของ Noah’s ark จากต้นฉบับของเอธิโอเปีย จึงส่ง ชู-จุง (Chu-jung) ภูตแห่งไฟและ
มันดึงเรือขึ้นไปบนยอดสูงสุดของภูเขา สมัยศตวรรษที่ ๑๘ เพชฌฆาตแห่ ง สวรรค์ ล งมาก� ำ จั ด คุ น
หิมาลัย หลังจากเวลาผ่านไปหลายปีน�้ำก็ (Encyclopedia of World Mythology, แล้วน�ำดินที่เหลือกลับไปสวรรค์ น�้ำจึง
ลดลง พระมนูท�ำพิธบี �ำเพ็ญเพียรเพือ่ บูชา Octopus Books Limited, 1975) ท่วมโลกอีกครั้งหนึง่ แม้คุนจะถูกฆ่าแต่
ปลา ของถวายก็มีนม เนยใส นมเปรี้ยว ข้างต้น แต่มีเพิ่มเติมว่าสาเหตุที่พระวิษณุ วิญญาณของเขายังอยู่เพื่อท�ำภารกิจให้
ซึ่งเมื่อ ๑ ปีผ่านไปของเหล่านี้ได้กลาย ต้องอวตารลงมาเพราะขณะที่พระพรหม เสร็จสิ้น มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นในร่างของ
เป็นสาวสวยผู้บอกว่าเธอเป็นธิดาของ บรรทมหลับนัน้ อสูรหัยครีพได้มาขโมย เขาซึง่ ไม่เน่าเปือ่ ย โดยมีมนุษย์ทเี่ ศร้าโศก
พระมนู และจะช่ ว ยให้ พ ระองค์ มี ลู ก คั ม ภี ร ์ พ ระเวท ไปจากพระโอษฐ์ ข อง คิดถึงเขาเฝ้าระวังอยู่ เมือ่ เวลาผ่านไป ๓ ปี
หลานมากมาย ดังนัน้ ต่อมาพระมนูจงึ ได้ พระองค์ เป็นเหตุให้นำ�้ ท่วมโลก ปลาทอง เง็ ก เซี ย นฮ่ อ งเต้ ส ่ ง เทวดาถื อ ดาบของ
ให้กำ� เนิดมนุษยชาติและได้รบั พรมากมาย อวตารสังหารหัยครีพได้ เมือ่ น�ำ้ ลดลงแล้ว หวู่ (Wu) จักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์
หลายประการ พระมนูจงึ สร้างเผ่าพันธุม์ นุษย์ขนึ้ มาใหม่ โจว (Chou Dynasty) ลงมาสังหารคุน
ปลาตั ว ที่ ม าเตื อ นพระมนู นั้ น เมื่อคมดาบผ่าท้องของคุน มีมังกรมีปีก
บางส�ำนวนก็ว่าคือพระวิษณุ หรือพระ ต�ำนานจีน และเขาโผล่ออกมา มังกรนีค้ ือ หยู (Yu)
นารายณ์ ซึง่ อวตารเป็นปลาในมัสยาวตาร ในต�ำนาน จีน มีเรือ่ งเล่าว่า เจ้าแห่ง ลูกของเขานัน่ เอง คุนเองกลายสภาพเป็น
อวตารปางที่ ๑ เพือ่ มาช่วยพระมนูไววัสวัต สวรรค์คอื เทียนเฉิน (Tien-shen) ทีไ่ ทย หมีหรือมังกรสีเหลืองกระโดดหายไปอยู่
เนื้ อ หาของอวตารปางนี้ก็ เหมื อ นเรื่ อ ง เรียกว่า เง็กเซียนฮ่องเต้ ท�ำให้เกิดน�ำ้ ท่วม ที่ก้นทะเล
มาลิทัต พรหมทัตตเวที
593
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
เมื่ อ หยู ท ราบเรื่ อ งเศร้ า ที่ เ กิ ด ขึ้ น น�้ำเต้า ซึ่งเธอเอาไปวางไว้หลังบ้าน เมื่อ บนยอดเขาและน�้ำได้ลดลงแล้ว บัดนี้เกิด
กับบิดา เขาจึงขออนุญาตเง็กเซียนฮ่องเต้ ได้ยินเสียงดังมาจากน�ำ้ เต้าทั้งสองจึงลอง ดวงอาทิตย์ ๙ ดวงและดวงจันทร์ ๗ ดวง
เพือ่ ใช้ดนิ งอกไปควบคุมน�้ำท่วม โดยการ เผาเปลือกน�้ำเต้าดู มีผู้คนหลายเผ่าพันธุ์ ขึ้นบนท้องฟ้า ท�ำให้โลกถูกแผดเผาใน
เอาดินไปอุดล�ำธารทั้งหมด ๒๓๓,๕๕๙ ออกมาจากน�้ำเต้า ได้แก่ชาว Rumeet เวลากลางวัน
สายด้ ว ยกั น แล้ ว สร้ า งภู เขาทั่ ว ทุ ก มุ ม ชาวขมุ ชาวไทย ชาวตะวันตก และชาวจีน นกสี ท องทั้ ง สองกลั บ มาพร้ อ ม
โลกเพือ่ น�้ำจะได้ทว่ มไม่ถงึ และจะได้เป็น ชาว Rumeet ผิวด�ำกว่าเพื่อนเพราะออก ด้วยฆ้อนทองและคีมเงิน นกสอนวิธีใช้
เหมือนสมอยึดโลกไว้ด้วย แต่เหตุที่ยังมี มาก่อนจึงถูกเขม่าไฟที่เปลือกน�้ำเต้าจับ เครื่องมือทั้ง ๒ อย่างให้เด็กทั้งคู่เพื่อจะ
น�้ำท่วมอยู่บ้างเพราะยังมีช่องว่างเล็ก ๆ ในตอนแรกผู้คนเหล่านี้พูดไม่ได้ ได้แต่ ได้ไปเอาคันธนูและลูกธนูมาจากราชา
ซึ่งหยูไม่สามารถอุดได้หมด ส่วนน�้ำที่ นัง่ เรียงกันเป็นแถวบนท่อนไม้ เมื่อท่อน แห่งมังกรผู้เป็นเจ้าของ สองพี่น้องเดิน
ท่วมขังโลกอยู่แล้ว หยูให้มังกรมีปีกใช้ ไม้หัก ด้วยความตกใจจึงเปล่งเสียงร้อง ทางไปยังสระมังกรและใช้ฆอ้ นทองเคาะ
หางของมันท�ำเขือ่ นกัน้ น�ำ้ ให้ไหลกลับไป ออกมา ท�ำให้พูดได้ ต่อมาคนเผ่าต่าง ๆ วังที่สร้างจากโขดหินของราชามังกรด้วย
สูท่ ะเล ซึง่ บางครัง้ ต้องเจาะภูเขาเพือ่ ให้นำ�้ ก็เรียนรู้วิธีเขียนที่แตกต่างกันออกไป เสียงอันดัง จนกระทั่งราชามังกรต้องส่ง
ระบายออกไปได้ หยูจึงได้ชื่อว่าเป็นนาย บริวาร คือปลาหลายชนิด ออกไปดูว่า
ของน�้ำท่วมเพราะเขาสามารถควบคุมไม่ ต�ำนานลีซอ เกิดอะไรขึ้น เด็ก ๆ ใช้คีมคีบปลาและ
ให้น�้ำท่วมโลกได้ ต�ำนานชนเผ่าลีซอ มีอยู่ว่า หลัง โยนมันไปบนฝั่ง ในที่สุด ราชามังกรก็
จากความตายเกิดขึ้นในโลกอันสืบเนื่อง ออกมาดูเหตุการณ์ด้วยตนเองและถูกจับ
ต�ำนานขมุ มาจากค�ำสาปของลิงเสนตัวหนึง่ ท้องฟ้า ด้วยวิธีเดียวกัน จึงต้องมอบคันธนูกับ
ต� ำ นานของชนชาติ ขมุ ใน และแผ่นดินก็กระหายที่จะได้วิญญาณ ลูกธนูให้สองพี่น้องซึ่งน� ำอาวุธนี้ไปยิง
ประเทศไทยมีว่า พี่น้องชายหญิงคู่หนึง่ และกระดูกของมนุษย์ นีค่ ือสาเหตุที่เกิด ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ตก เหลือไว้แต่
พยายามจะจับหนูออกมาจากกระบอก น�้ำท่วม มีเด็กก�ำพร้าสองพี่น้องชายหญิง ดวงที่ส่องแสงสว่างที่สุดคู่เดียว จากนัน้
ไม้ไผ่ แต่หนูบอกว่ามันก�ำลังขุดไม้ไผ่เพือ่ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอย่างยากจนข้นแค้น ทั้งสองก็ออกไปเสาะหาคนอื่น ๆ ทั้ง
หนีน�้ำท่วม และสั่งให้พี่น้องเข้าไปซ่อน วันหนึ่งมีนกสีทองคู่หนึ่งบินมาหาสอง ทางเหนือและทางใต้ แต่ก็ไม่พบใครเลย
อยู่ในกลอง คนอื่น ๆ ใช้แพเป็นพาหนะ พี่น้องและเตือนให้รู้ว่าคลื่นมหึมาก�ำลัง นกสีทองแนะน�ำให้ทั้งคู่แต่งงานกัน ซึ่ง
หนีน�้ำท่วม แต่แพคว�่ำท�ำให้ทั้งหมดจม จะซัดมาท่วมโลก ให้ทั้งคู่เข้าไปซ่อนตัว ทั้งสองปฏิเสธ แต่นกบอกว่านี่เป็นลิขิต
น�้ำตาย สองพี่น้องเจาะหนังกลองดู เมื่อ ในน�้ำเต้าและอย่าออกมาจนกว่าจะได้ยิน สวรรค์ หลังจากลองเสี่ยงทายด้ ว ยวิ ธี
เห็นน�้ำก็ปิดหนังกลองและรอคอย ครั้งที่ เสียงนกสีทองอีกครั้ง เด็กทั้งสองเตือน ต่าง ๆ ถึง ๓ ครั้ง ทั้งคู่ก็ยินยอมแต่งงาน
๒ เมื่อเจาะหนังกลองก็มองเห็นดินแห้ง เพือ่ นบ้านแต่ไม่มใี ครเชือ่ ทัง้ คูจ่ งึ เลือ่ ยขัว้ กันและมีบตุ รชายและหญิงอย่างละ ๖ คน
จึงออกมาจากกลอง อีกต�ำนานหนึง่ ว่า เขา ของน�้ำเต้าออกและเข้าไปอยู่ข้างใน ไม่มี ซึ่งเดินทางไปยังทิศต่าง ๆ และได้กลาย
ใช้เข็มเล่มยาว ๆ เจาะหนังกลอง เมือ่ ไม่มี ลมหรือฝนเป็นเวลา ๙๙ วัน ท�ำให้โลก เป็นบรรพบุรุษของเชื้อชาติต่าง ๆ
น�้ำรั่วเข้ามาแสดงว่า น�้ำแห้งแล้ว ทั้งสอง แห้งผาก และแล้วฝนก็ตกอย่างหนักท�ำให้
มองหาคู่ครองแต่ไม่พบใครเพราะเหลือ เกิดน�้ำท่วม พัดพาทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด ต�ำนานเมารี
กันแค่ ๒ คนพี่น้อง เขาได้ยินเสียงนก สองพี่น้องได้ยินเสียงน�้ำเต้ากระแทกกับ ต�ำนานน�ำ้ ท่วมของพวกเมารี จาก
กาเหว่าร้องเพลงว่า “พี่ชายและน้องสาว ฐานของสวรรค์ หลังจากรอเป็นเวลานาน นิวซีแลนด์มีอยู่ว่า นานมาแล้วมีผู้คนอยู่
ควรกอดกัน” ทัง้ สองจึงหลับนอนด้วยกัน เขาจึงได้ยินเสียงนกสีทองร้องเรียก และ มากมายหลายเผ่าซึ่งต่างก็ทะเลาะเบาะ
๗ ปีผา่ นไปน้องสาวคลอดลูกออกมาเป็น ออกจากน�้ำเต้าเพื่อพบว่าตนเองมาติดอยู่ แว้งและต่อสูก้ นั อยูเ่ สมอ ท�ำให้ละเลยการ
น�้ำท่วม ปัญหาโลกแตก
594
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
บูชา ตาเน (Tane) เทพผูส้ ร้างและปฏิเสธ หนึง่ มีว่าวีรบุรุษชื่อ ตาฮวากิ (Tawhaki) ๓ กลุ่มนีค้ ือ ตัวแทนของพวกคนสามัญ
ค�ำสั่งสอนของเทพเจ้า ศาสดา ๒ ท่านคือ ถูกน้องเขย ๒ คนของเขาท�ำร้ายปางตาย พวกผู้ดี และพวกพระในสังคมของพวก
ปารา-เวนูอา-เมอา (Para-whenua-mea) แต่ตาฮวากิรอดไปได้และน�ำเหล่านักรบ แนตเชซโบราณ
กับ ตูปู-นูอิ-อา-ตูอา (Tupu-nui-a-tua) ของเขากับครอบครัวของคนเหล่านัน้ ไป
สอนหลักค�ำสอนที่แท้จริงเกี่ยวกับการ อยู่บนเขาสูง เขาสร้างหมู่บ้านที่มีการ ต�ำนานอเมริกาใต้
แยกตัวระหว่างท้องฟ้าและแผ่นดิน แต่คน ป้องกันขันแข็งบนเขา แล้วจึงขอให้เหล่า ส่วนทางอเมริกาใต้ น�้ำท่วมใหญ่
อื่น ๆ กลับหัวเราะเยาะพวกเขา ทั้งสอง เทพซึ่งเป็นบรรพบุรุษของตนช่วยเขาแก้ เกี่ยวพันกับการสร้างโลก เป็นผลของ
โกรธมาก จึงต่อแพขนาดใหญ่ขึ้นที่ต้น แค้น น�้ำจากสวรรค์จึงตกลงมาท่วมทุก การลงโทษเพื่อสร้างมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่
แม่น�้ำ โตฮิงกา (Tohinga River) สร้าง คนบนโลกตายหมด ให้ดีกว่าเดิม ในต�ำนานของพวก คอยาโอ
บ้านบนแพและน�ำรากเฟิร์น มันเทศ กับ (Collao) เล่าว่า ชายเผ่าผู้หนึง่ พาตัวจามรี
สุนขั ไปไว้บนแพด้วย เสร็จแล้วทั้งคู่จึง ต�ำนานแนตเชซ ของเขาไปหาหญ้ากิน แต่มนั ท�ำท่าโศกเศร้า
สวดอ้อนวอนให้ฝนตกหนักเพือ่ ให้มนุษย์ ทางทวีปอเมริกาเหนือ มีเรื่องราว ไม่ยอมกินหญ้า มันบอกว่าอีก ๕ วัน
เชื่อในอ�ำนาจของตาเน ชายหนุ่ม ๒ คน ของอินเดียแดงเผ่าแนตเชซ (Natchez) ซึง่ น�้ ำ ทะเลจะท่ ว มโลกและท� ำ ลายทุ ก สิ่ ง
ชื่อ ติอู (Tiu) และ เรติ (Reti) หญิงสาว เคยอาศัยอยู่แถบแม่น�้ำมิสซิสซิปปีตอน ทุกอย่าง ตัวจามรีแนะน�ำให้เขาขึ้นไปบน
ชื่อ ไว-ปูนา-ฮาอู (Wai-puna-hau) กับ ล่าง พวกนีส้ ร้างบ้านบนเนินดิน และเป็น ยอดเขาวิลคาโคโต (Villcacoto) และน�ำ
ผูห้ ญิงอีกหลายคนก็โดยสารไปกับแพด้วย เผ่าเดียวที่แบ่งเป็นวรรณะต่าง ๆ มีการ อาหารไปให้พอส�ำหรับ ๕ วัน ทีบ่ นยอดเขา
ติอูท�ำหน้าที่เป็นนักบวชบนแพ เขาสวด ติดต่อระหว่างเมืองต่าง ๆ และมีการจัด มีสตั ว์และนกอยูแ่ น่นขนัด น�ำ้ ทะเลเริม่ สูง
มนตร์เพื่อขอฝน และฝนก็ตกหนักเป็น ระบบสังคมอย่างมีแบบแผน จนกระทั่ง ขึ้นและท่วมเขาทุกลูกยกเว้นวิลคาโคโต
เวลา ๕-๖ วัน จนติอูต้องสวดมนตร์ขอ ถู ก อารยธรรมของพวกผิ ว ขาวท� ำ ลาย การที่ต้องอยู่กันอย่างเบียดเสียดเยียดยัด
ให้ฝนหยุดตก แต่แม้ฝนจะหยุดแล้วน�้ำก็ ต�ำนานของอินเดียแดงเผ่านี้เล่าว่า สุนขั ท�ำให้หางสุนัขจิ้งจอกแหย่ลงไปในน�้ำ
ยังสูงขึ้นเรื่อย ๆ และพัดแพลอยไปตาม ตัวหนึง่ เตือนมนุษย์ซงึ่ เป็นนายของมันให้ ปลายหางของมันจึงกลายเป็นสีด�ำตั้งแต่
แม่น�้ำโตฮิงกา จนออกทะเลไป ในเดือน ต่อแพเพราะน�้ำจะท่วม เมื่อระดับน�้ำสูง นัน้ มา หลังจากเวลาผ่านไป ๕ วันน�้ำก็ลด
ที่ ๘ น�้ำเริ่มเบาบางลง ซึ่งติอูรู้ได้จากร่อง ขึ้นทั้งคนและสุนขั ก็เห็นภูเขาระเบิดและ และมีผู้คนสืบเชื้อสายจากชายผู้นตี้ ่อมา
รอยบนไม้เท้าของเขา ในที่สุดแพก็ไปถึง มีสัตว์ประหลาดต่าง ๆ ออกมา แต่น�้ำก็
ฮาวายกิ (Hawaiki) น�ำ้ ทีท่ ว่ มท�ำให้สภาพ ท่วมทุกสิง่ ทุกอย่างตายหมด ยกเว้นมนุษย์ ต�ำนานกีโต
ของโลกเปลี่ยนแปลงไป และคนที่อยู่บน และสุนขั ของเขาซึง่ แพถูกน�้ำพัดพาให้ขนึ้ ทางแถบชายฝัง่ ทะเลแถวเมือง กีโต
แพก็เป็นผูร้ อดชีวติ เพียงกลุม่ เดียว พวกเขา ไปอยูบ่ นเมฆ สุนขั บอกมนุษย์ให้โยนมัน (Quito) ชนพืน ้ เมืองเล่าว่าเมือ่ เกิดน�้ำท่วม
ท�ำพิธีบูชาเทพ ตาเน เทพรังจิ (ท้องฟ้า) ลงไปในน�้ำ มิฉะนัน้ พวกเขาจะกลับไปที่ พี่น้อง ๒ คนหนีขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสูง
เทพเรฮูอา (Rehua) และเทพเจ้าองค์ เก่าไม่ได้ เมื่อมนุษย์ท�ำตาม แพของทั้ง ชือ่ ฮัวคายยัน (Huacayñan) ระดับน�ำ้ สูง
อื่น ๆ ที่แท่นบูชาแยกกันแต่ละองค์ หลัง สองก็ลอยต�ำ่ ลง สุนขั บอกมนุษย์ไม่ให้ลง ขึน้ เท่าใด ภูเขาก็สงู ขึน้ ตามไปด้วย เมือ่ น�้ำ
จากก่อไฟโดยการใช้ไม้ ๒ อันถูกันแล้ว สู่พื้นดินจนกว่าน�้ำจะแห้งได้ ๗ วัน และ ลดอาหารก็หมดลง พวกเขาพากันไปหา
พวกเขาได้ถวายสาหร่ายทะเลเพื่อแสดง แล้วก็มีคนเข้ามาหามนุษย์ ๓ กลุ่มด้วย อาหารและสร้างกระท่อมเล็ก ๆ อยู่ วันหนึง่
ความขอบคุณทีเ่ ทพเจ้าได้ชว่ ยให้รอดตาย กันเพราะพวกเขาเห็นแสงไฟบนแพ กลุม่ เมื่ อ สองพี่ น ้ อ งกลั บ ถึ ง บ้ า นก็ พ บว่ า มี
ปัจจุบนั นีม้ แี ต่หวั หน้านักบวชเท่านัน้ ทีไ่ ป แรกไม่สวมเสื้อผ้า กลุ่มที่ ๒ เสื้อผ้าขาด อาหารและเครื่องดื่มรออยู่แล้วแต่ไม่รู้ว่า
ยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้ อีกต�ำนาน วิน่ และกลุม่ ที่ ๓ สวมเสือ้ ผ้าสวยงาม คน ใครเป็นผูเ้ ตรียมไว้ให้ เหตุการณ์เช่นนีเ้ กิด
มาลิทัต พรหมทัตตเวที
595
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
น�้ำท่วม ปัญหาโลกแตก
596
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
มาลิทัต พรหมทัตตเวที
597
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
The most devastating flood in the history of Thailand occurring in 2011 has brought about a
great loss of lives and properties since the flood water covered an area approximately two-thirds of the
country from north to south. A part of the flooding was the result of natural phenomena beyond human
control. However, changes in nature are sometimes caused by man. For example, modern technologies
lead to the destruction of the ozone layer, creating a greenhouse effect which in turn causes global warm-
ing. The melting of the polar ice caps causes flooding. In Thailand deforestation and slash-and-burn type
of farming cause the mountains to be denuded. Without trees to brace the flow of rainwater, landslide
occurs. The filling up of canals and waterways to build roads and housings block the water from flowing
out to the sea, causing the inundation to be severe and prolonged. The story of the deluge is not new. It
has been in existence in the myths of many nations big and small all over the world. These stories are
similar in the main points and may differ in some specific details. In ancient times people usually settled
close to the seas or rivers for convenience in communication, transportation and trade. When the tide
was high, it was natural for the water to overflow the banks and flood human settlements. It is therefore
possible to make a hypothesis that at a certain time a deluge must have occurred at a global level, causing
almost all lives on earth to perish. Ancient people thus believed that the deluge was God’s punishment
for human sins. The reason why the human race was able to continue was because there were some good
people who heeded God’s words and so they survived to perpetuate the human race.
น�้ำท่วม ปัญหาโลกแตก
598
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ไชยยศ เหมะรัชตะ
ราชบัณฑิต ส�ำนักธรรมศาสตร์และการเมือง
ราชบัณฑิตยสถาน
บทคัดย่อ
แม้ว่าประเทศไทย จะมีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๕
อันได้แก่ พ.ร.บ.กรรมสิทธิ์ผู้แต่งหนังสือ ร.ศ. ๑๒๐ แต่เริ่มเข้าสู่ยุคการบังคับใช้ทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง
เมือ่ มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึง่ มีระยะเวลาเพียง ๓๐ ปีเท่านัน้ และกฎหมายส่วนใหญ่ทถี่ กู ตรา
ขึน้ นัน้ ล้วนแต่มวี ตั ถุประสงค์เพือ่ อนุวตั ใิ ห้เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศ ไม่วา่ จะเป็นสนธิสญ
ั ญา ณ กรุง
เบิร์น และล่าสุดก็คือ ข้อตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (TRIPs) และ ทริปส์ ผนวก
(TRIPs-PLUS) ซึง่ ให้ความคุม้ ครองทรัพย์สนิ ทางปัญญาทีก่ า้ วล่วงไปเกินกว่าความรูค้ วามเข้าใจของคนไทยทัว่ ไป
เช่น การคุ้มครองเครื่องหมายการค้าที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา เช่น เสียง กลิ่น รส และเรื่องอื่น ๆ ไปจนถึงการ
เสนอให้มกี ารบังคับใช้กฎหมายอาญาเพือ่ ลงโทษผูซ้ อื้ สินค้าทีล่ ะเมิดทรัพย์สนิ ทางปัญญา อันเป็นการแสดงถึงความ
พยายามอย่างยิ่งยวดของหน่วยงานของรัฐที่จะปฏิบัติตามพันธะกรณีเหล่านัน้
เนือ้ หาของบทความนี้ จะเป็นการรายงานถึงผลการศึกษาเกีย่ วกับปัญหาทีเ่ กิดจากการบังคับใช้กฎหมาย
ทรัพย์สินทางปัญญาทั้งที่เป็นส่วนข้อเท็จจริง และความเห็นของผู้เขียน เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถน�ำไปใช้เป็น
ข้อมูลในการปรับปรุงกฎหมายต่อไป ซึ่งพบว่า ปัญหาทางปฏิบัติส่วนใหญ่ เกิดจากการขาดความเข้าใจพื้นฐาน
ในเรื่องวัตถุประสงค์ของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และมีบทบัญญัติที่ไม่เพียงพอต่อการรองรับการบังคับใช้
กฎหมายในกลุ่มนี้ จึงควรจะได้มีการศึกษา และแก้ไขความบกพร่องดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ประเทศไทยมี
ความพร้อมในระดับทีส่ ามารถใช้บทบัญญัตเิ หล่านัน้ ให้เกิดประโยชน์ตอ่ สังคม ก่อนทีจ่ ะอนุวตั กิ ฎหมายอืน่ ๆ เพือ่
ให้เป็นไปตามพันธะกรณีที่มีต่อนานาประเทศ
ไชยยศ เหมะรัชตะ
599
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
และความสัมพันธ์กบั กฎหมายทีเ่ กีย่ วข้อง การแสดงออกทางความคิด จึงเป็นสิ่งที่ พิ จ ารณาถึ ง ทรั พ ย์ สิ นทางปั ญ ญาซึ่ ง มี
ส่งผลการพัฒนากฎหมายทรัพย์สินทาง ไม่มีรูปร่าง ไม่มีมิติ ทั้งยังมีลักษณะที่ ความสัมพันธ์กับสินสมรส และมรดก
ปั ญ ญาของไทยต้ อ งอิ ง อยู ่ กั บ ความคิ ด แตกต่างจากทรัพย์ตามประมวลกฎหมาย ไม่สามารถน�ำประมวลกฎหมายแพ่งและ
กระแสหลักของประเทศที่ ได้รับ แพ่งและพาณิชย์ ที่สามารถยึดถือและ พาณิชย์ในเรื่องดังกล่าวมาบังคับใช้
ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาใน ครอบครองได้ทางกายภาพ จึงไม่อาจ ๑.๑ การให้ ท รั พ ย์ สิ นทาง
ประเทศนัน้ และขาดทิศทางการพัฒนา น�ำหลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมาย ปั ญ ญาตกเป็ น สิ น สมรส ตามมาตรา
ที่เหมาะสม การเริ่มต้นศึกษาความคิด แพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้กับทรัพย์สิน ๑๔๗๔
พื้นฐานโดยอิงจากปัญหาที่เกิดขึ้นจาก ทางปัญญาเป็นการทั่วไป ซึ่งแนวความ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ใช้กฎหมาย จะช่วยให้มขี อ้ เท็จจริงเพิม่ ขึน้ คิ ด ดั ง กล่ า ว ศาลไทยยอมรั บ และวาง ได้วางหลักว่า หากคูส่ มรสได้ทรัพย์สนิ ใด
เพื่อการพัฒนาในเรื่องดังกล่าว บรรทัดฐานอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น มาระหว่างสมรส ให้ถือว่าทรัพย์สินนัน้
การไม่นำ� หลักกฎหมายในเรือ่ งการครอบ เป็นสินสมรส และคู่สมรสจะต้องจัดการ
ส่ ว นที่ ๑ การปรั บ ใช้ ก ฎหมายที่ ไ ม่ ครองปรปักษ์ ตามมาตรา ๑๓๘๒ มาใช้ ทรัพย์สินร่วมกัน ตามมาตรา ๑๔๘๐
เหมาะสม กับทรัพย์สินทางปัญญา ด้วยเหตุผลข้าง ประกอบกับมาตรา ๑๔๗๔ ก�ำหนดต่อไป
เนื่ อ งจากลั ก ษณะของทรัพย์สิน ต้น การครอบครองเทปบันทึกเสียงเพื่อ ว่า ในกรณีทเี่ ป็นทีส่ งสัย ให้สนั นิษฐานไว้
ทางปั ญ ญามี พื้ นฐานมาจากแนวความ ให้ได้มาซึ่งลิขสิทธิ์เพลง๒ หรือการใช้ ก่อนว่าเป็นสินสมรสนัน้
คิดที่แตกต่างกัน การบัญญัติกฎหมาย เครื่องหมายการค้าในลักษณะที่เป็นการ จากหลักกฎหมายข้างต้น เมื่อน�ำ
เพื่ อ คุ ้ ม ครองทรั พ ย์ สิ น ทางปั ญ ญาใน ละเมิด ๓ จึงไม่ท�ำให้ผู้กล่าวอ้างได้รับ ทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งล้วนแต่เกิดจาก
แต่ละประเภท จึงมักจะตราเป็นกฎหมาย สิทธิโดยเหตุแห่งการครอบครองปรปักษ์ การสร้างสรรค์ จะเห็นได้ว่า
เฉพาะ เพื่ออธิบายความหมาย การขอรับ ซึ่งศาลเห็นว่า ทรัพย์สินทางปัญญานั้น ประการที่ ๑ แม้คู่สมรสจะถือว่า
สิทธิ หน้าที่ และข้อก�ำหนดที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าจะเป็นทรัพย์สินประเภทหนึง่ แต่ก็ เป็นบุคคลทีม่ คี วามส�ำคัญต่อผูส้ ร้างสรรค์
โดยเข้าใจว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและ มีลักษณะพิเศษที่มีความแตกต่างไปจาก งาน แต่ไม่ปรากฏความสัมพันธ์หรือจุด
พาณิชย์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่วางพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ จน เกาะเกีย่ วกับงานทีส่ ร้างสรรค์แต่ประการ
ที่เกี่ยวกับสิทธิ และหน้าที่ของปัจเจกชน ไม่อาจจัดเป็นทรัพย์สินในความหมาย ใด จึงไม่มีเหตุผลที่กฎหมายจะให้ความ
มี ค วามเพี ย งพอที่ จ ะน� ำ ไปปรั บ ใช้ โดย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และ คุม้ ครองหรือประโยชน์แก่ผทู้ ไี่ ม่เกีย่ วข้อง
อนุโลมต่อไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ อ าจครอบครองได้ อ ย่ า งทรั พ ย์ สิ น ประการที่ ๒ สิทธิในทรัพย์สิน
การปรับใช้อาจท�ำได้อย่างจ�ำกัดเท่านั้น ทัว่ ไป จึงไม่อาจจะแย่งการครอบครองได้ ทางปัญญา มิได้เป็นสิทธิในทางเศรษฐกิจ
ไม่สามารถน�ำไปปรับใช้ได้เป็นการทัว่ ไป เพราะเจ้าของมิได้สูญเสียสิทธิจากการใช้ แต่เพียงประการเดียว อาทิเช่น “ธรรม
ดังจะได้ให้รายละเอียดในส่วนนี้ ทรัพย์สินทางปัญญาแต่ประการใด สิทธิ” ในกฎหมายเรื่องลิขสิทธิ์อันเป็น
๑. การน�ำหลักกฎหมายเกีย่ วกับ จากบรรทัดฐานดังกล่าวจะเห็น สิทธิของผูส้ ร้างสรรค์ในการทีจ่ ะปกป้อง
ทรั พ ย์ สิ นทั่ ว ไปตามประมวลกฎหมาย ได้ว่า การน�ำประมวลกฎหมายแพ่งและ ชื่ อ เสี ย งเกี ย รติ คุ ณ ของผู ้ ส ร้ า งสรรค์
แพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้ พาณิชย์ไปปรับใช้เพื่อบังคับทรัพย์สิน อันอาจมาจากการกระท�ำในลักษณะต่าง ๆ
เนื่องจากทรัพย์สินทางปัญญามี ทางปัญญา จึงพึงจะต้องปรับใช้ดว้ ยความ ของบุคคลอืน่ เช่น การดัดแปลง ตัดทอน
ลักษณะเป็นนามธรรม เพราะเป็นเพียง ระมัดระวัง โดยในส่วนต่อไป จะเป็นการ งานให้เสียรูป หรือการที่บุคคลใดแอบ
๒
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๔๖/๒๕๓๔
๓
ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๕๔๔/๒๕๔๒ และ ๖๔๖๖/๒๕๓๘
ปัญหาบางประการในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
600
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
๔
ไชยยศ เหมะรัชตะ, ลักษณะของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์นติ ิธรรม, ๒๕๔๕ หน้า ๕๙
๕
ปภาศรี บัวสวรรค์, การจัดการสินสมรสของคูส่ มรสในทรัพย์สนิ ทางปัญญา เปรียบเทียบลิขสิทธิก์ บั สิทธิบตั ร หน้า ๔๘-๖๐, ผลงานทางวิชาการด้านกฎหมาย
และกระบวนการยุตธิ รรม ในการสัมมนาทางวิชาการเพือ่ การพัฒนาการศึกษาด้านนิตศิ าสตร์ ตามโครงการสัมมนาทางวิชาการเพือ่ เสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนา
กระบวนการยุติธรรม ระหว่าง คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยภาครัฐและภาคเอกชน และส�ำนักงานกิจการยุติธรรม ครั้งที่ ๓ จัดโดย ส�ำนักงานคณะกรรมการการ
อุดมศึกษา ส�ำนักงานกิจการยุติธรรม สภานิติศึกษา ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม-๑ เมษายน ๒๕๕๑
ไชยยศ เหมะรัชตะ
601
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
ดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด บุคคลผู้เป็นทายาท ๒.๑ ทรั พ ย์ สิ นทางปั ญ ญา ความส� ำ เร็ จ ในการจดทะเบี ย น ขึ้ น อยู ่
ก็ควรจะได้รับการสืบสิทธิของผู้สร้าง ควรจะได้รับการคุ้มครองซ�้ำซ้อนหรือไม่ กับหลักเกณฑ์ในการรับจดทะเบียนของ
สรรค์งาน เว้นแต่จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า เช่น งานศิลปกรรมที่ถูกใช้เป็นเครื่อง หน่วยงานของรัฐ ทั้งในและต่างประเทศ
ผู้สร้างสรรค์ไม่มีทายาทโดยธรรมและ หมายการค้า ควรจะได้รับความคุ้มครอง ดังนัน้ การจดทะเบียนเครือ่ งหมายการค้า
มิได้ท�ำพินัยกรรมไว้ ย่อมจะถือได้ว่า ในฐานะลิขสิทธิ์ หรือเครื่องหมายการค้า จึงมีต้นทุนที่สูงกว่า
กฎหมายได้ ใ ห้ ค วามคุ ้ ม ครองแก่ ผู ้ เพราะทรัพย์สินทางปัญญาแต่ละลักษณะ (ข) งานอั น มี ลิ ข สิ ท ธิ์ ส ามารถ
สร้างสรรค์จนถึงที่สุดแล้ว และสังคม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยส�ำคัญ โดย ใช้ อ ้ า งได้ เ กื อ บทั่ ว โลก โดยเฉพาะ
ควรจะได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินทาง เฉพาะต้ น ทุ น ในการสร้ า งสรรค์ ง าน ประเทศสมาชิกที่เป็นภาคีของอนุสัญญา
ปัญญาดังกล่าวโดยไม่มีความจ�ำเป็นจะ เหล่านัน้ อาทิเช่น การลงทุนและก�ำหนด เบอร์น โดยไม่มีระบบตรวจสอบความ
ต้องหวงกันอีกต่อไป นัน่ ก็คือทรัพย์สิน มาตรฐานเพื่อให้เครื่องหมายการค้าเป็น ถู ก ต้ อ งในแต่ ล ะประเทศ ในขณะที่
ทางปั ญ ญาจะต้ อ งสิ้ น สภาพไปนั่น เอง ที่ ย อมรั บ นั้น อย่ า งน้ อ ยที่ สุ ด จะต้ อ งมี เครื่องหมายการค้า ใช้อ้างว่าได้เฉพาะใน
การพิจารณาให้ทรัพย์สินทางปัญญาซึ่ง การควบคุมคุณภาพของสินค้า เพื่อให้มี ประเทศที่รับจดทะเบียนเท่านัน้
เป็นมรดกที่ไม่มีผู้รับยังคงสภาพเดิมของ มาตรฐานหรือมีความแตกต่างในระดับ กรณีเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ส่งผล
ทรัพย์สินทางปัญญาไว้ และปล่อยให้รัฐ ที่ ท� ำ ให้ ลู ก ค้ า เลื อ กหรื อ จ� ำ แนกสิ นค้ า ต่อการพัฒนาระบบกฎหมายทรัพย์สิน
เข้ามารับประโยชน์จากการหวงกันนั้น ของตน โดยไม่จำ� ต้องเป็นงานสร้างสรรค์ ทางปั ญ ญาให้ บิ ด เบื อ นไป ซึ่ ง ในท้ า ย
ย่อมจะเห็นได้ว่าการขัดต่อเจตนารมณ์ ที่มีระดับสูงกว่าปกติ ไม่เหมือนกับสิทธิ ที่สุด ระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยว
พืน้ ฐานของกฎหมายทรัพย์สนิ ทางปัญญา บัตร ซึ่งจะต้องให้มีขั้นการประดิษฐ์ที่ กั บ เครื่ อ งหมายการค้ า จะถู ก ท� ำ ให้ เ สี ย
สูงกว่าที่สังคมรับรู้ ดังนัน้ หากให้ความ หายไป หากเรายอมรับให้มีการคุ้มครอง
ส่วนที่ ๒ ความทับซ้อนของกฎหมาย คุ้มครองบิดเบือนไปจากสภาพที่เป็นอยู่ ทรัพย์สนิ ทางปัญญาในลักษณะทีซ่ ำ�้ ซ้อน
ทรัพย์สินทางปัญญา และกฎหมายอื่น ๆ ก็ย่อมจะเป็นการคุ้มครองซ�้ ำซ้อน ซึ่ง กันดังกล่าว
นอกจากความไม่ ส มบู ร ณ์ ใ น ท�ำให้สังคมแบกรับภาระ ตัวอย่างเช่น ๒.๒ ค ว า ม ทั บ ซ ้ อ น กั บ
เรื่องบทบัญญัติทั่วไป จนท�ำให้มีความ เจ้าของเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิบัตร กฎหมายที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ ประโยชน์ โดย
พยายามอุดช่องว่างโดยการใช้กฎหมาย อาจอ้างว่า “งานรูปทรงหลายมิติ” ของ รวมของสังคม
ที่ไม่เหมาะสมแล้ว ในระหว่างกฎหมาย ตนเป็นศิลปกรรมที่ได้รับลิขสิทธิ์ และ แม้ว่าทรัพย์สินทางปัญญา เป็น
ทรัพย์สินทางปัญญา ยังมีความทับซ้อน ถือว่าผูล้ ะเมิดทรัพย์สนิ ทางปัญญาของตน กฎหมายที่ ให้ สิ ท ธิ แ ก่ ผู ้ ส ร้ า งสรรค์ ใน
ในระหว่างกันตัวอย่างเช่น ความทับซ้อน เป็นผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ ทั้ง ๆ ที่ใช้ “งานรูป ลักษณะที่ผูกขาด และหวงกันเพื่อให้หา
ในระหว่างงานศิลปกรรมอันมีลิขสิทธิ์ ทรงหลายมิติ” แบบเครื่องหมายการค้า ประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญา แต่
กับเครื่องหมายการค้า และสิทธิบัตรการ หรือสิทธิบัตร และเมื่อเราพิจารณาถึง โดยสภาพของทรัพย์สินทางปัญญาแต่
ออกแบบ ความทับซ้อนเหล่านีก้ ่อให้เกิด เหตุทเี่ จ้าของงานกล่าว จะสามารถจ�ำแนก เพียงล�ำพัง ยังไม่ก่อให้เกิดระบบผูกขาด
ความยุ่งยากในหลายประการ ตั้งแต่การ เหตุผล ได้ดังนี้ เพราะผู้สร้างสรรค์ก็เป็นเพียงผู้แข่งขัน
ขอรับสิทธิการได้รับความคุ้มครองตาม (ก) งานอันมีลิขสิทธิ์ไม่ต้องจด รายหนึง่ ในระบบตลาด และหากงานของ
กฎหมาย รวมถึงการท�ำงานของเจ้าหน้าที่ ทะเบียน ในขณะที่เครื่องหมายการค้า ผูส้ ร้างสรรค์สามารถ “ทดแทน” โดยงาน
ทีเ่ กีย่ วข้อง โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้ ต้องจดทะเบียนและต้องเสียค่าธรรมเนียม ของผูอ้ นื่ การผูกขาดก็จะไม่เกิดขึน้ ดังนัน้
๖
W.R. Comish, Intellecutual Property: Patent, Copyright, Trade Mark and Allied Right, (London, Weet & Maxwell, 1999. p. 39.
ปัญหาบางประการในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
602
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ไชยยศ เหมะรัชตะ
603
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
๑๒
มาตรา ๑๔ ในกรณีที่เครื่องหมายการค้าที่ขอจดทะเบียนนัน้ จะใช้ส�ำหรับสินค้าจ�ำพวกเดียวกัน หรือต่างจ�ำพวกกันที่นายทะเบียนเห็นว่า มีลักษณะอย่าง
เดียวกันกับสินค้าทีใ่ ช้เครือ่ งหมายการค้าอีกเครือ่ งหมายหนึง่ ทีไ่ ด้จดทะเบียนไว้แล้ว หรือทีอ่ ยูใ่ นระหว่างการขอจดทะเบียนของเจ้าของเดียวกัน ถ้านายทะเบียนเห็นว่า
เครือ่ งหมายการค้าเหล่านัน้ เหมือนกัน หรือคล้ายกันจนถึงกับว่า ถ้าหากบุคคลอืน่ จะเป็นผูใ้ ช้เครือ่ งหมายการค้าทีข่ อจดทะเบียนนัน้ แล้ว ก็อาจจะเป็นการท�ำให้สาธารณชน
สับสนหรือหลงผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้าหรือแหล่งก�ำเนิดของสินค้า ให้นายทะเบียนมีค�ำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเหล่านัน้ เป็นเครื่องหมายชุด...”
ปัญหาบางประการในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
604
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
๑๓
ตัวอย่างเช่น คดีหมายเลขด�ำ ที่ ทป. ๑๓๒/๒๕๔๔ คดีหมายเลขแดงที ่ ๑๒๑/๒๕๔๕ คดีหมายเลขด�ำ ที่ ทป. ๑๐๓/๒๕๔๖ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๙/๒๕๔๘
และ ค�ำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๔๒/๒๕๔๖
๑๔
เมื่อมีการปรับปรุง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ใน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งก�ำหนดให้นติ ิบุคคลสิ้นสภาพนิติบุคคลตั้งแต่เมื่อนายทะเบียนขีดชื่อออกเสียจาก
ทะเบียน (มาตรา ๑๒๗๓/๓) ไม่ใช่เพียงเลิกกัน ชื่อของนิติบุคคลรายดังกล่าว จึงถูกลบออกจากระบบ
ไชยยศ เหมะรัชตะ
605
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
Despite Thailand has been enforcing a series of intellectual property laws since 1902,
initially with the Proprietary Right of Author Act R.E. 120. However, the era of determined
enforcement has come only after the enactment of the Copyright Act B.E. 2521 in the past 30 years. Most
of the laws were enacted with the primary purpose of implementing international treaties; for example, the
Berne Convention for the Protection of Literaryand Artistic Works and recently the Agreement on Trade
Related Aspects of Intellectual Propety Rights (TRIPs) and TRIPs–PLUS (which provide protection to intellectual
properties beyond ordinary cognition of common Thais, for instance, the protection of trademark
that cannot be seen by eyes e.g. sound, scent, taste, etc.). There is also a proposal for the imposition
of criminal liabilities on purchasers of piracy products which demonstrates the utmost endeavor of govern-
ment agencies to act in accordance with those international obligations.
This article is a report on the result of study on problems arisen out of intellectual
property law enforcement-both facts and comments from the author-in order that any interested
person could utilize information contained herein for further development of the law. It is apparent
that most of the practical problems came from lack of fundamental understanding of the
purposes of intellectual property laws; and the current provisions available are insufficient for the
enforcement thereof. Therefore, these flaws should be systematically studied and corrected
in order to improve Thailand’s capability of enforcing those provisions for the highest benefit
of the society before implementing any further obligations toward other nations.
ปัญหาบางประการในการบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
606
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ*
บทคัดย่อ
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมาอย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียง ใช้กระบวนการแบบมีสว่ นร่วมเพือ่ แสวงหาแนวทาง และกระบวนการด�ำเนินงานของกลุม่ ผูป้ ระกอบอาชีพ
การท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งผลดังกล่าวจะท�ำให้การท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมาเป็นแหล่งรองรับ
นักท่องเทีย่ วเชิงเกษตรได้อย่างยัง่ ยืน ผลการวิจยั พบว่า ๑) ได้ระบบฐานข้อมูลการท่องเทีย่ วเชิงเกษตรเพือ่ การพัฒนา
แหล่งท่องเทีย่ วเชิงเกษตรในพืน้ ทีจ่ งั หวัดนครราชสีมา จ�ำนวน ๘ ประเด็นคือ สถานทีต่ งั้ ผูป้ ระกอบการ กิจกรรม
การท่องเทีย่ ว ช่วงเวลาทีเ่ หมาะสมในการท่องเทีย่ ว สินค้าของฝากและของทีร่ ะลึก สถานทีท่ อ่ งเทีย่ วใกล้เคียง แผนที่
การเดินทาง และการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ๒) การจัดท�ำกลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยว
เชิงเกษตร ได้กลยุทธ์การพัฒนาการท่องเทีย่ วเชิงเกษตร ในแต่ละพืน้ ทีค่ รบทัง้ ๕ อ�ำเภอ จ�ำนวน ๔ ด้านคือ ด้านการ
พัฒนาบุคลากร ด้านการเงิน ด้านการผลิต และด้านการตลาด ๓) การสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงเกษตร
ในจังหวัดนครราชสีมา พบว่าได้เครือข่ายการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา จ�ำนวน ๑ เครือข่าย
พร้อมทั้งกลยุทธ์ของเครือข่าย จ�ำนวน ๔ ด้านคือ ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการเงิน ด้านการผลิต และด้าน
การตลาด ๔) การจัดท�ำตัวชี้วัดความส�ำเร็จและความล้มเหลวของการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
ตามแนวทางของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พบว่ามี ๑๐ ปัจจัยที่ส�ำคัญ ได้แก่ นโยบายของภาครัฐ การ
ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเชิงเกษตร แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง ระยะทางในการเดินทางหน่วยงานภาครัฐใน
ท้องถิ่น สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการ กิจกรรมของการท่องเที่ยวเชิงเกษตรค่านิยมของนักท่องเที่ยว และค่า
ใช้จ่ายในการท่องเที่ยวเชิงเกษตร
*
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจ�ำคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
607
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
608
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
609
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
กลยุทธ์การพัฒนา
การท่องเทีย่ วเชิงเกษตร
ระบบฐานข้อมูล ๔ ด้าน คือ การสร้าง ตัวชีว้ ดั ความส�ำเร็จ การจัดการ
การท่องเที่ยว ๑. การพัฒนาบุคลากร เครือข่าย และความล้มเหลว แหล่ ง ท่ อ งเที่ ย ว
เชิงเกษตร ๒. การเงิน การท่องเที่ยว ของการท่องเที่ยว เชิงเกษตร
๓. การผลิต เชิงเกษตร เชิงเกษตร อย่างยั่งยืน
๔. การตลาด
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ทางสายกลาง
พอประมาณ
มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน
เงื่อนไขความรู้ เงื่อนไขคุณธรรม
รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน แบ่งปัน
น�ำสู่
สมดุล/มั่นคง/ยั่งยืน
ภาพประกอบ ๑ การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
610
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
611
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
612
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
613
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
614
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
เองตามธรรมชาติ เช่น แสงแดด ดิน น�้ำ การท่ อ งเที่ ย วเพื่ อ ไปเยี่ ย มชมกิ จ กรรม เลี้ยงไหม การท�ำฟาร์มผึ้ง การท�ำฟาร์ม
พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ หรือการจัดการโดย การเกษตรกรรมไทย ซึ่งได้แบ่งรูปแบบ วัว การท�ำฟาร์มปลา ทัง้ ปลาสวยงาม ปลา
มนุ ษ ย์ เช่ น เครื่ อ งมื อ ทางการเกษตร การท่องเทีย่ วตามความสนใจของนักท่อง น�้ำจืด ปลาน�้ำกร่อย การท�ำฟาร์มมุก การ
ต่าง ๆ เทคโนโลยีการเกษตร ก่อให้เกิด เที่ยวได้ ๗ กิจกรรม คือ เลี้ยงหอยแมลงภู่ หอยแครง หอยนางรม
ผลผลิตทางการเกษตรเพือ่ อุปโภคบริโภค ๑. การท�ำนา (Rice Cultivation) หอยตะโกรม ฟาร์มจระเข้ ฟาร์มจิ้งหรีด
ซึ่ ง ในที่ นี้ อ าจเรี ย กทรั พ ยากรการท่ อ ง การท�ำนา การท�ำนาปรัง การท�ำนาหว่าน บางแห่งเพาะขายพันธุ์สัตว์ป่าที่หายาก
เทีย่ วเกษตรนีโ้ ดยให้ความหมายคือแหล่ง นาตม การท�ำนาขัน้ บันได พิพธิ ภัณฑ์ขา้ ว เช่น ฟาร์มกวาง ฟาร์มไก่ฟ้า ฟาร์มนกยูง
เกษตรกรรม และปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อ ความรู้เรื่องข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ ประเพณี ฟาร์มนกกระจอกเทศ
แหล่งท่องเที่ยว โดยครอบคลุมบทบาท พิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวและวัฒนธรรมการ ๗. งานเทศกาลผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
ของพื้นที่ กระบวนการ และกิจกรรม กินข้าวไทย เป็นต้น (Agro-Festival) การจัดงานเพื่อส่งเสริม
การเกษตร ซึ่งสามารถคัดเลือกน�ำมาใช้ ๒. การท�ำสวนไม้ตดั ดอก (Cutting การขายผลผลิตทางการเกษตร เมื่อถึงฤดู
เป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวได้ Flowers) การท�ำสวนไม้ดอกนานาชนิด ที่พืชผลเหล่านั้นออกชุก เช่น มหกรรม
๒. ตลาดการท่องเที่ยว เนื่องจาก เพื่ อ ตั ด ดอกขาย เช่ น สวนกุ ห ลาบ ไม้ดอกไม้ประดับ งานเทศกาลลิ้นจี่ งาน
ตลาดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเป็นตลาด ฟาร์มกล้วยไม้ สวนเบญจมาศ สวนไม้ เทศกาลล�ำไย งานเทศกาลกินปลา
การท่องเที่ยวเฉพาะ (Niche market) จึง ดอกไม้ประดับนานาชาติ ไม้กระถาง
ท�ำให้การจัดการด้านการตลาดมีลักษณะ ทุกประเภท รวมถึงไร่ทานตะวัน ซึ่งเป็น กรณี ศึ ก ษาการจั ด แหล่ ง ท่ อ งเที่ ย วเชิ ง
ที่เจาะจงเฉพาะกลุ่ม โดยต้องเป็นกลุ่ม พืชเศรษฐกิจด้วย เกษตรในจังหวัดนครราชสีมาอย่างยัง่ ยืน
นักท่องเที่ยวที่มีความสนใจกิจกรรมทาง ๓. การท�ำสวนผลไม้ (Horticul- ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
การเกษตร ต้องการที่จะเรียนรู้ประเพณี ture) การท�ำสวนผลไม้ทกุ ประเภท รวมถึง การศึ ก ษาครั้ ง นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค์
และวัฒนธรรมท้องถิ่น นักการตลาดจึง การท�ำสวนเกษตร การท�ำเกษตรแผนใหม่ ๑) เพื่อจัดท�ำระบบฐานข้อมูลการท่อง
จัดกิจกรรมต่าง ๆ ทีต่ รงกับความต้องการ การท�ำสวนผสม รวมถึงการท�ำสวนยาง เที่ยวเชิงเกษตรเพื่อการพัฒนาในพื้นที่
ของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้และท�ำการตลาด พารา สวนไผ่ สวนปาล์มน�้ำมันเป็นต้น จังหวัดนครราชสีมา โดยบูรณาการกับ
เจาะจงเฉพาะนักท่องเทีย่ วทีม่ คี วามสนใจ ๔. การท� ำ สวนครั ว สวนผั ก กลไกการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย
ด้านนี้ ไร่ถั่ว ไร่ข้าวโพดข้าวฟ่าง ไร่พริกไทย ราชภั ฏ นครราชสี ม า ๒) เพื่ อ จั ด ท� ำ
๓. บริการการท่องเทีย่ ว ในด้านนี้ ไร่สับปะรด บางครั้งรวมถึงพืชไร่ เช่น กลยุ ท ธ์ ก ารพั ฒ นาการท่ อ งเที่ ย วเชิ ง
เกี่ ย วข้ อ งกั บ การท่ อ งเที่ ย วเชิ ง เกษตร อ้อย มันส�ำปะหลัง เกษตรในระดับอ�ำเภอตามแนวทางของ
เช่น ที่พัก (ซึ่งอาจเป็นที่พักค้างคืนกับ ๕. การท�ำสวนสมุนไพร (Herbs) หลั ก ปรั ช ญาเศรษฐกิ จ พอเพี ย ง ด้ ว ย
ชาวบ้าน หรือที่พักตามเรือกสวนนาไร่) การปลูกพืชสมุนไพรนานาชนิดเพื่อใช้ กระบวนการแบบมีส่วนร่วมกับภาคีใน
ร้านอาหาร การบริการน�ำเที่ยวให้ความรู้ เป็นอาหารเสริม พืชผักสวนครัวข้างบ้าน พื้นที่ ๓) เพื่อสร้างเครือข่ายการท่อง
ต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ เป็นอาหารเสริม เที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
ส� ำ หรั บ รู ป แบบของกิ จ กรรม เป็นเครือ่ งส�ำอาง และเพือ่ ใช้ในการแพทย์ ตามแนวทางของหลักปรัชญาเศรษฐกิจ
การท่ อ งเที่ ย วเชิ ง เกษตร ร� ำ ไพพรรณ แผนไทย พอเพี ย งอั น น� ำ ไปสู ่ ก ารจั ด การแหล่ ง
แก้วสุรยิ ะ (๒๕๔๗ : ๑-๒) กล่าวถึงรูปแบบ ๖. การท�ำฟาร์มปศุสัตว์ (Animal ท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างยั่งยืน และ ๔)
ของการท่องเที่ยวเชิงเกษตรว่ากิจกรรม Farming) การเลี้ยงสัตว์และการขยาย เพื่อจัดท�ำตัวชี้วัดความส�ำเร็จและความ
หนึ่งในเก้าของอะเมซิ่งไทยแลนด์ ก็คือ พันธุ์สัตว์เศรษฐกิจนานาชนิด เช่น การ ล้มเหลวของการท่องเที่ยวเชิงเกษตรใน
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
615
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
616
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
617
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
618
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
619
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
620
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
621
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
ตารางที่ ๑ การเปรียบเทียบตัวชี้วัดความส�ำเร็จและความล้มเหลวของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร
ในจังหวัดนครราชสีมาตามแนวของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตัวชี้วัด ความส�ำเร็จของ ความล้มเหลวของ
การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การท่องเที่ยวเชิงเกษตร
๑. นโยบายของภาครัฐ ๑.๑ มีนโยบายชัดเจน ๑.๑ มีนโยบายไม่ชัดเจน
๑.๒ ภาครัฐมีการสนับสนุนการ ๑.๒ ภาครัฐขาดการสนับสนุนอย่างเป็น
ท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างจริงจัง รูปธรรม
๒. การประชาสัมพันธ์ ๒.๑ การประชาสัมพันธ์ครอบคลุมสื่อ ๒.๑ การประชาสัมพันธ์ไม่ครอบคลุม
การท่องเที่ยวเชิงเกษตร ทุกประเภทและทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกกลุ่มเป้าหมาย
๒.๒ มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก ๒.๒ ขาดการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
๓. แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง ๓.๑ มีความคิดโดดเด่นและมีคุณค่าของ ๓.๑ ขาดการสร้างเครือข่ายกับแหล่ง
แหล่งท่องเที่ยว ท่องเที่ยวใกล้เคียง
๓.๒ มีการเชื่อมโยงองค์ความรู้เรื่องราว ๓.๒ ขาดการดูแลและบูรณะแหล่ง
เหตุการณ์ของแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง ท่องเที่ยวให้พร้อมรับต่อการเยี่ยมชม
๔. ระยะทางในการเดินทางมา ๔.๑ การคมนาคมสะดวกและมีความ ๔.๑ เส้นทางการคมนาคมไม่สะดวกและ
ท่องเที่ยว ปลอดภัยในการเดินทาง ไม่ปลอดภัยในการเดินทาง
๔.๒ ระยะทางอยูใ่ กล้ตวั เมือง (ไม่ไกลเกินไป) ๔.๒ ระยะทางไกลเกินไป
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
622
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
623
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
624
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
625
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
626
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
สุวิมล ตั้งประเสริฐ
627
The Journal of the Royal lnstitute of Thailand
สุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง. แนวทางปฏิบัติ ๗ ขั้น ส�ำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสาน อภิชัย พันธเสน, สรวิชญ์ เปรมชื่น และ
สู ่ วิ ถี เ ศรษฐกิ จ พอเพี ย ง. กรุ ง เทพ งานโครงการอันเนือ่ งมาจากพระราช- พิเชษฐ์ เกียรติเดชปัญญา. การประยุกต์
มหานคร : ซีเอ็ดยูเคชั่น; ๒๕๔๙. ด� ำ ริ . ทฤษฎี ใ หม่ ชี วิ ต ที่ พ อเพี ย ง. พระราชด� ำ ริ เ ศรษฐกิ จ พอเพี ย งกั บ
ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและ กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักงานคณะ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาด
สังคมแห่งชาติ. เศรษฐกิจพอเพียง กรรมการพิ เ ศษเพื่ อ ประสานงาน ย่อม กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักงาน
คืออะไร. กรุงเทพมหานคร : คณะ โครงการอันเนือ่ งมาจากพระราชด�ำริ. กองทุนสนับสนุนการวิจัย; ๒๕๔๖.
อนุ ก รรมการขั บ เคลื่ อ นเศรษฐกิ จ อัดส�ำเนา; ๒๕๕๐. Holinhoij, Jurgen H. A New Concept of Tourism
พอเพียง; ๒๕๔๙. Insight. Germany: Institute for
Scientific Cooperation; 1996.
Abstract The Agro Tourism Sustainable Management at Nakhon Ratchasima Province Based on Sufficiency
Economy Philosophy
Suwimon Tungprasert
Assistant Professor in the Faculty of Management Science, Nakhon Ratchasima Rajabhat University
The agro tourism sustainable management at Nakhon Ratchasima Province based on the sufficiency
economy philosophy employed the participatory procedures to find the guideline and the operational
procedures for the agro tourism entrepreneurs. These results assisted the agro tourism in Nakhon Ratchasima
to be sustainable agro tourism attractions. The results were as follows. 1) There was a database of the agro
tourism to develop attractions in Nakhon Ratchasima in eight aspects: location, entrepreneur, tourism
activity, appropriate visiting time, souvenirs, nearby attractions, travelling plan and strength, weakness,
opportunity and threat (SWOT). 2) The agro tourism development strategies covering five districts comprised
of four aspects: human resource development, finance, production and marketing. 3) The creation of the
agro tourism network in Nakhon Ratchasima Province revealed one agro tourism network with strategies in
four aspects: human resource development, finance, production and marketing. 4) The arrangement of the
success and failure index of agro tourism in Nakhon Ratchasima Province based on the sufficiency economy
philosophy revealed ten essential factors, including government policy, agro tourism public relation, nearby
attractions, distance of the destinations, government organization in the community level, educational
institutions, entrepreneur, agro tourism activity, tourists’ value and agro tourism cost.
Key Words : Management, the Agro Tourism Attractions, Sufficiency Economy Philosophy
การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดนครราชสีมา
อย่างยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
628
วารสารราชบัณฑิตยสถาน
ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๔ ต.ค.-ธ.ค. ๒๕๕๔
ลอย ชุนพงษ์ทอง*
เป็นทีท่ ราบโดยทัว่ กันว่า วันเฉลิม ๒) วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ๕) วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
พระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็ จ ตรงกับวันจันทร์ ดังเช่น วันเสด็จพระราช- ตรงกั บ ขึ้ น ๑๐ ค�่ ำ ทั้ ง ในปฏิ ทิ น ไทย
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่เวียนมา สมภพใน พ.ศ. ๒๔๗๐ ปฏิทินปักขคณนา และ ปฏิทินฮิจเราะห์
บรรจบในวันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นการครบ ๖) เป็นวันมงคลส�ำคัญอันเก่าแก่
แต่ใน พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ ผู้เขียนค�ำนวณ ๗ รอบนักษัตร ตรงกับปีนกั ษัตรมะโรง ของชาวมุสลิมและชาวยิว คือ การเฉลิม
พบว่ า มี ค วามมหั ศ จรรย์ ท างตั ว เลข (แบบไทยใหม่) หรือปีเถาะแบบไทยเดิม ฉลองวั น อาชู ร อ หรื อ เทศกาลขนม
ทางธรรมชาติ ๗ ประการ ดังต่อไปนี้ หรือจีน และตรงกับปีสี (จื่อเหม้า) ตาม บูโบซูรอ
๑) วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ปฏิทินล้านนา ดังเช่น วันเสด็จพระราช- ๗) ปฏิทินฮิจเราะห์ ตรงกับวัน
เป็ น วั น ที่ ด วงอาทิ ต ย์ โ คจรกลั บ มายั ง สมภพ พ.ศ. ๒๔๗๐ ขึ้น ๑๐ ค�่ำเดือน ๑ เช่นเดียวกับปฏิทิน
ต�ำแหน่งดาวฤกษ์ดวงเดิม (เสวยฤกษ์เดิม) ๔) ดวงจั นทร์ โ คจรกลั บ มายั ง หลวงของไทย วันขึ้น ๑ ค�่ำ เดือน ๑
ดังเช่นในวันเสด็จพระราชสมภพ พ.ศ. (เสวยฤกษ์) ราศีเดิม และมีปรากฏเป็น
๒๔๗๐ เสี้ ย วเหมื อ นดั ง เช่ น วั น เสด็ จ พระราช-
สมภพใน พ.ศ. ๒๔๗๐ ทุกประการ
*
ที่ปรึกษาการค�ำนวณปฏิทินหลวง ส�ำนักพระราชวัง, ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
ลอย ชุนพงษ์ทอง
629
ผลการค�ำนวณหนังสือปฏิทินไทย ๕,๐๐๐ ปี
ที่ผู้เขียน เขียนขึ้น และจัดพิมพ์โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
Volume 36 No. 4 Oct-Dec 2011
630
วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๗ รอบ
ความมหัศจรรย์ทางตัวเลข ๗ ประการ