You are on page 1of 215

คู่มือเตรียมศรัทธาบู ชา

สังเวชนียสถาน ๔ ตําบล
ณ. ประเทศอินเดีย และเนปาล

สารบัญ

หน้ า
พระพุทธประวัติโดยสังเขป ๔
-ปั ตนะ ๕
-ปาฏลิคามิยสูตร ๗
-กรุงราชคฤห์แห่ งแคว้ นมคธ ๙
-พระเวฬุวัน ๑๐
ตาลปุตตสูตร ๑๕
ติงสมัตตาสูตร ๑๖
จุนทิสตู ร ๑๘
จัณฑสูตร ๑๙
เขาคิชฌกูฏ ๒๑
-มูลคันธกุฎี ๒๓
-อปริหานิยธรรม ๖ ประการ ๒๕
-อาฏานาฏิยปริต ๒๖
-ถํา8 สุกรขาตา ๒๙
-ทีฑนขสูตร ๓๐
พุทธคยา ๓๕
-สัจจกถา ๔๓
-สัตตมหาสถาน ๕๒
พาราณาสี ๕๔
-ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร ๕๖
-จุ ลลกมหาเศรษฐี ชาดก ๕๘
-มกสชาดก-เวริชาดก ๖๐
-ขุรัปปชาดก ๖๑
-สุชาตาชาดก ๖๒
-มังสชาดก ๖๓
-มตโรทนชาดก ๖๔
-ทีฆาวุกุมาร ๖๕
กุสนิ ารา ๗๓
-มหาสุทัสสนสูตร ๗๔
-สุภัททปริพาชก ๘๙

ลุมพินี ๙๒
-มหาปุริสลักษณ์ ๓๒ ประการ ๙๕
สาวัตถี ๑๐๖
-มงคลสูตร ๑๐๗
-อนาถปิ ณฑิโกวาทสูตร ๑๐๙
-วัมมิกสูตร ๑๑๕
-เวรัญชกสูตร ๑๑๙
ทานบารมี ๑๓๐
ศีล ๑๕๓
คาถาธรรมบท ๒๐๐-๒๑๔

Dhammaintrend ร่วมแบ่งปันเป็ นธรรมทาน


พระพุทธประวัติโดยสังเขป

เมืA อ ๒๖๐๐ กว่าปี มาแล้ ว ใต้ ต้นสาละต้ นหนึA ง ในป่ าสาละอันน่ารืA นรมย์ บริเวณเชิง
เขาหิมาลัย พระมหาบุรุษได้ มีประสูติการ ณ ป่ าสาละนั8นทีA มีชืAอเรียกว่า ลุมพินี พระโพธิสัตว์ถอื
กําเนิดในวรรณกษัตริย์ วงศ์สากยะ แห่งแคว้ นสักกะ ทรงได้ รับขนานพระนามว่าสิทธัตถะ
พระองค์ได้ รับการดูแลเลี8ยงดูอย่างดีท่ามกลางราชสมบัตแิ ละหมู่พระญาติ
ทรงศึกษาวิทยาการทุกแขนงจบด้ วยพระชนมายุเพียง๑๖พรรษา ต่อมาได้ ทรง
อภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา พระองค์ทรงเพียบพร้ อมไปด้ วยทรัพย์สมบัติ ข้ าทาสบริวาร
เสวยสุขบนปราสาท๓หลังทีA พระบิดาสร้ างไว้ เพืA อให้ เหมาะแก่ฤดูท8งั สาม ต่อมาเมืA อพระชนมายุ
ได้ ๒๙พรรษา ทรงเบืA อหน่ายต่อโลกียสุข ทรงมองเห็นว่าชีวติ ของมนุษย์น8ันมีแต่ความทุกข์
เพราะ ต้อง แก่ เจ็บ และตายลงในทีสุดเป็ นธรรมดา จึ งมีพระประสงค์อย่างแรงกล้าใน
การที.จะแสวงหาสิ.งที.จะพ้นไปจากสิ.งเหล่านั1น
ทรงพบว่าการบวชนั8นน่าจะเป็ นหนทางทีจะแสวงหาทางทีจะพ้นจาก การเกิด แก่
เจ็บ และตายอันเป็ นทุกข์ จึงตัดสินพระทัยหนีออกจากวัง ทรงถือเพศบรรพชิตทีA ริมฟัAงแม่นาํ8
อโนมานที จานั8นทรงจาริกไปเพืA อแสวงหาการปฏิบัติเพืA อความหลุดพ้ นจากทุกข์ ทรงเสด็จ
เรืA อยมาสู่กรุงราชคฤห์ ได้ เสด็จไปยังอาศรมของ อาฬารดาบสและอุทกดาบส เพียรฝึ กฝนจนจบ
ฌานสมาบัติแล้ วทรงเห็นว่าไม่ใช่มรรคาเพืA อให้ ถงึ โพธิญาณ จึงเสด็จจาริกไปหาทีA บาํ เพ็ญเพียร
จนถึงแถวอุรเุ วลาเสนานิคม บริเวณริมฝัAงแม่นาํ8 เนรัญชราทรงบําเพ็ทุกรกริยาอยู่ถงึ ๖ปี โดยมี
พวกปัญจวัคคีย์คอยปรณนิบัติดูแล เมืA องดเสวยอาหารบําเพ็ญเพียรถึงทีA สดุ จากนั8นได้ ทรง
พบว่าไม่ใช่ทางทีA จะเข้ าถึงสัจจธรรม จึงกลับมาเสวยอาหารใหม่ เป็ นเหตุให้ พวกปัญจวัคคีย์ได้
ละทิ8งพระองค์ไป
พระองค์เปลียนวิธีการบําเพ็ญเพียรใหม่ซ ึงเป็ นทางสายกลาง จนในที.สุดก็ได้
บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จากนั8นได้ ไปทีA ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวันเมืองพาราณสี แสดง
ปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคียใ์ ห้ ได้ บวชเป็ นพระสงฆ์ชุดแรก
ขณะทีA ยังทรงประทับอยู่ ณ ชายป่ า บุตรเศรษฐีคนหนึA งชืA อ ยสะ ซึA งเบืA อหน่ายกามสุข
ก็ลงจากปราสาทออกนอกประตูเมืองมาถึงทีA ประทับของพระพุทธองค์ ได้ ฟังธรรมบรรลุเป็ น
อริยบุคคลบวชเป็ นพระภิกษุและยังทรงแสดงธรรมโปรดบิดามารดาและครอบครัวของ ยส
กุลบุตร จากนั8นได้ โปรดเพืA อนเก่าของยสกุลบุตร ให้ ได้ บรรลุธรรมเป็ นพระอรหันต์บวชเป็ น
ภิกษุอกี ๕๔ รูป

จากนั8นเสด็จมุ่งไปยังกรุงราชคฤห์ แต่ก่อนเข้ าสู่กรุงราชคฤห์ทรงเห็นว่าต้ องเสด็จไป


ปรับแก้ ทฏิ ฐิของพวกชฎิล ในลัทธิบูชาไฟซึA งเป็ นทีA นับถือของชาวเมืองราชคฤห์ก่อน เพืA อการ
สอนชาวกรุงราชคฤห์จะได้ สาํ เร็จผลด้ วยดี จึงย้ อนไปทีA อุรุเวลาเสนานิคม ระหว่างทางพบพวก
ภัททวัคคีย์๓๐คน ทรงแสดงธรรมให้ ได้ เข้ าใจแล้ ว ก็ทรงอุปสมบทให้ แล้ วส่งไปประกาศ ศาสนา
ต่อไป จากนั8นทรงเสด็จผู้เดียวเข้ าไปยังสํานักของชฎิล ๓ พีA น้ องซึA งมีบริวารรวมกันได้ ๑๐๐๐
ทรงใช้ เวลา ๓ เดือน ทรมาน ชฎิล โดยแสดงฤทธิJมากมาย จึงทรงแก้ ความเห็นของพวกชฎิล
ได้ แล้ วทรงบวชให้ เป็ นภิกษุ
จากนั8น ก็ทรงเสด็จเข้ าไปในกรุงราชคฤห์พร้ อมด้ วยภิกษุอดีตชฎิล ๑๐๐๐ รูป ทรงได้
ตั8งหลักประดิษฐานพระพุทธศาสนา ณ กรุงราชคฤห์แห่งนี8 เมืA อเข้ ามาในเมืองพระเจ้ าพิม
พิสารพร้ อมด้ วยหมู่เสนาบริวารได้ มาเข้ าเฝ้ า ได้ ฟังพระธรรมเทศนา ทรงดวงตาเห็นธรรมได้
ถวายวัดแห่งแรกในพุทธศาสนาคือวัดเวฬุวัน จากนั8นการเผยแผ่พระธรรมคําสอนของ
พระองค์ได้ ขยายออกไปเป็ นวงกว้ าง.
บัณฑิตชนทั8งหลายต่างพากันเข้ ามานับถือเลืA อมใสเป็ นอย่างมากจนมีพุทธบริษัท ทั8ง
คฤหัสถ์ และบรรพชิตมากมาย เป็ นปึ กแผ่นมัAนคง หยัAงรากลึกลงในดินแดนชมพูทวีป ในขณะ
นั8นพระพุทธองค์ทรงนําพระภิกษุสงฆ์สาวกเผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ในชมพูทวีปเป็ นเวลา๔๕
ปี แสดงธรรมเทศนาโปรดเวนัยสัตว์มากมายจนมีพระชนม์ชีพได้ ๘๐พรรษา จึ งทรงดําริว่า
พุทธบริษทั ทั1ง๔นั1นมีความเข้มแข็งสามารถสืบอายุพระศาสนาได้ จึ งทําการปลงสังขาร
จากนั8น พระองค์ได้ ไปยังกรุงกุสนิ าราเพืA อบรรลุอนุ ปาทาปรินิพาน อันเป็ นความ
ปรารถนาของพระองค์ทใีA ต้ ต้นสาละคู่ในวนอุทยานของมัลลกษัตริย ์
ขณะนี1 แม้พระองค์จะทรงปรินิพพานไปนานแล้วแต่ พระธรรมวินยั ที.พระองค์
ตรัสไว้ ดีแล้ว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ยงั คงทําหน้าทีเป็ นศาสดาคอยส่องสว่างนําทาง
ให้แก่ชนทัง. หลาย.......... ตราบเท่าทีชนแหล่านัน. ยังคงมองเห็นคุณค่าอันงดงามของ
พระองค์

ปั ตนะ (ปาฏลิคาม,ปั ฏฏนคาม,ปาตลีบุตร )


ปาฏลิคาม ในอดีตคือหมู่บ้านตําบลหนึA งในแคว้นมคธ เล่ากันว่าในวันสร้ างหมู่บ้าน
นั8น หน่อแคฝอย๒-๓ หน่อ ในบริเวณทีA จับจองเพืA อสร้ างบ้ านได้ แทรกออกมาจากแผ่นดิน.
ชนทั8งหลายจึงพากันเรียกหมู่บ้านนี8ว่า “ปาฏลิคาม”

ตรงตําบลปาฏลิคามแห่งนี8เป็ นตําบลหนึA งแห่งบริเวณแม่นาํ8 คงคา พระเจ้ าอชาตศัตรู


ราชาแห่งแคว้ นมคธทรงมีอาํ นาจปกครองในตําบลนี8กงโยชน์ ึA พวกเจ้ าลิจฉวีแคว้ นวัชชีมีอาํ นาจ
ปกครองในตําบลนี8กงโยชน์ึA . ในตําบลนี8น8ันเป็ นทีA ๆวัตถุทมีA ีค่ามากตกจากเชิงเขา เมืA อพระเจ้ า
อชาตศัตรูทรงทราบดังนั8นแล้ ว ทรงพระดําริว่า จะไปนํามาเป็ นของตนจึงตระเตรียมคนทันที
เพืA อเสด็จไปเอามา แต่เหล่าเจ้ าลิจฉวีทรงสมัครสมานกันอยู่ จึงพากันไปก่อน ยึดของมีค่ามาก
นั8นเอาไว้ หมด.
พระเจ้ าอชาตศัตรูเสด็จไปทีA หลัง เมืA อไปถึงมิได้ ทรัพย์น8ันแล้ วทรงกริ8วอย่างมาก แม้
ในปี ต่อมาเจ้ าลิจฉวีเหล่านั8นก็มาชิงตัดหน้ าไปได้ อกี ดังนั8นพระเจ้ าอชาตศัตรูจึงทรงอาฆาตอย่าง
รุนแรง ทีน8ันพระเจ้ าอชาตศัตรูจึงส่งอํามาตย์ 2 คนชืA อสุนีธะและวัสสการะ ไปเพืA อจะสร้ างเมือง
และปราการในปาฏลิคามเพืA อป้ องกันและคุกคามเจ้ าวัชชีท8งั หลาย ในขณะทีA กาํ ลังก่อสร้ างเมือง
อยู่น8ัน มนุษย์และเทวดาต่างก็พากันมาจับจองพื8นทีA ตามสมควรแก่ตน และพุทธองค์เคย
พยากรณ์ว่า เมืองนี8จะเป็ นเมืองค้ าขายทีA มAงั คัAง แต่ถูกทําลายจากภัย3อย่างเท่านั8นคือ จากไฟ
จากนํา8 และจากความแตกแยก ฌ เมืองแห่งนี8พระสมณโคดมจักเสด็จออกโดยประตูใด ประตู
นั8นจักชืA อว่าโคตมทวาร จักเสด็จข้ ามแม่นาํ8 คงคาโดยท่าใด ท่านั8นจักชืA อว่าโคตมติฏฐะ ต่อมา
ภายหลังเมืองนี8ได้ ตกอยู่ในภายใต้ อาํ นาจการปกครองของพระเจ้ าอชาตศัตรูแห่งแคว้ นมคธ
ทั8งหมด
ในภายหลังพุทธกาลไม่นานเมืองปาตลีบุตรนัน. ก็ ได้เป็ นเมืองหลวงของแคว้นมคธ
เรืA อยมาจน ถึงสมัยพระเจ้ าอโศกมหาราชซึA งเป็ นยุคทีA พระพุทธศาสนานั8นมีความรุ่งเรืองอย่างยิA ง
พระเจ้ าอโศกนั8นมีความโหดเหี8ยมอย่างมากเมืA อพระบิดาสวรรคต ได้ ฆ่าพีA น้ องในราชวงศ์เป็ น
จํานวนมาก เพืA อตั8งตัวเป็ นกษัตริย์ยิAงใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ทําสงครามแผ่อาํ นาจเป็ นอย่างมาก
ต่อมาทรงสลดใจเพราะพิษของสงคราม จึงได้ หันมานับถือพระพุทธศาสนา พระองค์เป็ นผู้มี
ศรัทธายิA ง ได้ ทรงช่วยชําระพระศาสนาโดยทรงอุปถัมป์ ในการทําสังคายนาครั8งทีA ๓ ณ วัดอ
โศการาม ได้ จัดการให้ ภิกษุปลอมบวชนั1นสึกออกไปเสีย และได้ส่งสมณทูต ๙ สายไป
ประกาศศาสนาในดินแดนต่างๆ โดยสายหนึ.งเดินทางมายัง สุวรรณภูมิซ. ึงเป็ นดินแดน
แถบประเทศไทย นําโดย พระโสณะ และพระอุตตรเถระ พระเจ้ าอโศกนั8นได้ ได้ สร้ างวัด
๘๔,๐๐๐แห่ง ทัAวราชอาณาจักร และได้ เปลี.ยนนโยบายปกครองโดยนําหลักธรรมมาใช้และ
วางรูปแบบให้ประชาชนได้ปฏิบตั ิตามโดยได้จารึกไว้ท. ีเสาอโศกและนําไปตั1งไว้ทว.ั พระ
ราชอาณาจักร

เมืองแห่งนี8น8นั นับว่าเคยเป็ นแหล่งทีA เป็ นศูนย์กลางความเจริญรุ่งเรืองของ


พระพุทธศาสนาเป็ นอย่างยิA ง ในพระไตรปิ ฎกนั8นได้ มีพระสูตรหนึA งทีA มชี ืA อพ้ องกันกับชืA อเมือง
แห่งนี8จึงจะขอนําข้ อความ ในบางส่วนทีA เป็ นการกล่าวถึงโทษของความเป็ นผูไ้ ม่มีศีลและ
ประโยชน์ของการเป็ นผูร้ กั ษาศีลอย่างเป็ นนิจ มากล่าวไว้ ดังนี8
ปาฏลิคามิยสูตร
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปในแคว้ นมคธ พร้ อมด้ วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
ได้ เสด็จถึงปาฏลิคาม อุบาสก และอุบาสิกา ชาวปาฏลิคามได้ ต่างดูแลต้ อนรับประดับตกแต่ง
สถานทีA ดูแลอุปัฎฐาก ทําบุญถวายทานแก่พระพุทธองค์เป็ นอย่างดี
ลําดับนั8นแล พระผู้มีพระภาคตรัสกะอุบาสกชาวปาฏลิคามว่า ดูกรคฤหบดีทงั หลาย
โทษแห่งศีลวิบตั ิของบุคคลผูท้ ศุ ีล ๕ ประการนี ๕ ประการเป็ นไฉน คือ
บุคคลผูท้ ุศีลมีศีลวิบตั ิในโลกนี8 ย่อมเข้ าถึงความเสื.อมแห่งโภคะใหญ่เพราะความประมาท
เป็ นเหตุ นี8เป็ นโทษแห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศลี ประการทีA ๑ ฯ
กิตติศพั ท์อนั ลามกของบุคคลผูท้ ุศีลมีศีลวิบตั ิ ขจรไปแล้ว นี8เป็ นโทษแห่งศีลวิบัติ
ของบุคคลผู้ทุศีลประการทีA ๒ ฯ
บุคคลผูท้ ุศีลมีศีลวิบตั ิเข้าไปหาบริษทั ใด คือ ขัตติยบริษทั ก็ดี พราหมณบริษทั ก็ดี
คหบดีบริษทั ก็ดี สมณบริษทั ก็ดี ย่อมไม่แกล้วกล้า เก้อเขิน เข้ าไปหาบริษัทนั8น นี8เป็ นโทษ
แห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศีลประการทีA ๓ ฯ
บุคคลผูท้ ุศีลมีศีลวิบตั ิ ย่อมเป็ นผูห้ ลงใหลกระทํากาละ นี8เป็ นโทษแห่งศีลวิบัติของ
บุคคลผู้ทุศีลประการทีA ๔ ฯ
บุคคลผูท้ ุศีลมีศีลวิบตั ิ เมื.อตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาตนรก นี8เป็ นโทษ
แห่งศีลวิบัติของบุคคลผู้ทุศีลประการทีA ๕
ดูกรคฤหบดีท1 งั หลาย โทษแห่งศีลวิบตั ิของบุคคลผูท้ ุศีล ๕ ประการนี1 แล ฯ
ดูกรคฤหบดีทงั หลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผูม้ ีศีล ๕ประการนี ๕
ประการเป็ นไฉน
บุคคลผูม้ ีศีลผูถ้ งึ พร้อมด้วยศีลในโลกนี1 ย่อมได้กองแห่งโภคะใหญ่ เพราะความไม่
ประมาทเป็ นเหตุ นี8เป็ นอานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีลประการทีA ๑ ฯ
กิตติศพั ท์อนั งามของบุคคลผูม้ ีศีล ผูถ้ ึงพร้อมด้วยศีลย่อมขจรไป นี8เป็ นอานิสงส์
แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีลประการทีA ๒ ฯ

บุคคลผูถ้ งึ พร้อมด้วยศีล เข้าไปหาบริษทั ใด คือ ขัตติยบริษทั ก็ดี พราหมณบริษทั


ก็ดี คหบดีบริษทั ก็ดี สมณบริษทั ก็ดีย่อมเป็ นผูแ้ กล้วกล้าไม่เก้ อเขินเข้ าไปหาบริษัทนั8น นี8เป็ น
อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีลประการทีA ๓ ฯ
บุคคลผูม้ ีศีล ผูถ้ งึ พร้อมด้วยศีล ย่อมเป็ นผูไ้ ม่หลงใหลกระทํากาละ นี8เป็ น
อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศีลประการทีA ๔ ฯ
บุคคลผูม้ ีศีล ผูถ้ งึ พร้อมด้วยศีล ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ นี8เป็ นอานิสงส์แห่ง
ศีลสมบัติของบุคคลผู้มีศลี ประการทีA ๕ ดูกรคฤหบดีท8งั หลาย อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของบุคคล
ผู้มีศีล ๕ ประการนี8แล ฯ
พระผู้มีพระภาคทรงชี8แจงให้ อุบาสกชาวปาฏลิคามเห็นแจ้ งให้ สมาทาน ให้ อาจหาญ
ร่าเริงด้ วยธรรมีกถา สิ8นราตรีเป็ นอันมาก อุบาสก อุบาสิกาชาวปาฏลิคามทั8งหลายชืA นชมยินดี
ภาษิตของพระผู้มีพระภาค ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทําประทักษิณ
แล้ วหลีกไป .
*************

ผูท้ ุศีล คือ ผูไ้ ร้ศีล ผูม้ ศี ีลวิบัติ คือผูท้ าํ ลายสังวร


ก็บุคคลผู้ไม่มีศลี นั8นมี ๒ อย่าง คือ เพราะไม่สมาทาน หรือทําลายศีลทีA สมาทาน
แล้ ว.
ใน๒อย่างนั8น การไม่สมาทานมีโทษน้อยกว่าการทําลายศีล การทําลายศีลมีโทษแรงกว่า
เพราะมีความประมาทเป็ นเหตุ จึงจะประสบทุกข์ยากลําบากเข็ญมิใช่น้อย คฤหัสถ์เลี8ยงชีพด้ วย
อาชีพทีA พึงใช้ ความรู้และการศึกษาทีA ดี ไม่ว่าจะเป็ นกสิกรรมก็ดี พาณิชยกรรมก็ดีเป็ นผู้ประมาท
ด้ วยความประพฤติทขีA าดวินัยไม่สามารถจะยังความหมัAนในการศึกษาศิลปะการงานอันนั8น ให้
สําเร็จได้ ตามกาลอันสมควร การงานของเขาก็จักพินาศไป ย่อมถึงความเสืA อมจากโภคะใหญ่
ชืA อเสียงอันลามกของคฤหัสถ์ ย่อมปรากฏว่า คฤหัสถ์ชืAอโน้ นเป็ นผู้ทุศลี เป็ นผู้ไม่ให้
ทานผู้ทุศลี เข้ าไปในทีA ชุมนุมชนเป็ นอันมากเป็ นผู้เก้ อเขินคอตก นัAงก้ มหน้ า เป็ นผู้ไม่กล้ าพูด
ด้ วยคิดว่า ใครๆ จักรู้ความชัAวของเรา
เมืA อบุคคลผู้ทุศีลนอนอยูบ่ นเตียงเป็ นที.ตาย ฐานะทีA ตนสมาทานกรรม คือความ
เป็ นผู้ทุศลี ย่อมมาปรากฏเขาลืมตาเห็นโลกนี8 หลับตาเห็นโลกหน้ า อบาย ๔ ย่อมปรากฏแก่
เขาย่อมเป็ นเหมือนถูกทิA มแทงด้ วยหอก๑๐๐ เล่ม และเหมือนถูกลวกด้ วยเปลวไฟ

ส่วนผู้สมบู รณ์ดว้ ยศีล คือ ผูม้ ีศีล ผูม้ ศี ีลไม่วิบตั ิ คือผูไ้ ม่ทําลายสังวรโดยการ
สมาทานผูส้ มบูรณ์ดว้ ยศีล เพราะยังศีลให้สําเร็จ โดยทําให้บริสุทธิBบริบูรณ์.เพระมีความ
ไม่ประมาทเป็ นเหตุ จะประสบความสุขความสวัสดีหาประมาณมิได้
คฤหัสถ์เลี8ยงชีพด้ วยอาชีพทีA พึงใช้ ความรู้และการศึกษาทีA ดี เป็ นผู้ไม่ประมาท ด้ วยงด
เว้ นจากปาณาติปาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และดืA มสุราของมึนเมา มีมารยาท
งาม ซืA อตรงอ่อนโยนไม่เย่อหยิA งจะยังความหมัAนในศิลปะการงานอันนั8น ให้ สาํ เร็จได้ บริบูรณ์
ย่อมประสบกองอันโภคะใหญ่กิตติศัพท์อนั ดีงามของเขา ย่อมฟุ้ งขจรไปว่า คฤหัสถ์ชืAอโน้ นเป็ น
ผู้มีศีล มีมารยาทงาม พูดจาอ่อนหวานใจทําบุญสุญทาน ผู้ถึงพร้ อมด้ วยศีลเข้ าไปในทีA ชุมนุมชน
เป็ นอันมากเป็ นผู้องอาจ สง่าผ่าเผย เพระกรรมดีทไีA ด้ ทาํ ไว้ แล้ ว เมืA อบุคคลผูม้ ีศีลนอนอยู่บน
เตียงเป็ นที.ตายด้ วยเดชแห่งศีลอันเป็ นกรรมงามเขาลืมตาเห็นโลกนี8 หลับตาเห็นโลกหน้ า
ทิพยวิมานสวรรค์สมบัติย่อมปรากฏแก่เขาบรรพชิตผู้ทุศลี ย่อมถึงความเสืA อมจากศีล จากพระ
พุทธพจน์ จากฌาน และจากอริยทรัพย์ ๗ ประการ เพราะความประมาท
กิตติศัพท์อันลามกของบรรพชิต ย่อมฟุ้ งขจรไปอย่างนี8ว่า บรรพชิตชืA อโน้ น บวชใน
พระศาสนาของพระศาสดาไม่อาจเพืA อจะรักษาศีลไม่อาจเพืA อจะเรียนพระพุทธพจน์ เป็ นผู้
ประกอบด้ วย อคารวะ ๖ ประการเลี8ยงชีพด้ วยอเนสนากรรม ฝ่ ายบรรพชิต ผู้มีภัย
หลีกเลีA ยงไม่ได้ เมืA อเข้ าไปในหมู่ภกิ ษุเป็ นอันมากทีA ประชุมกันย่อมเป็ นผู้ไม่แกล้ วกล้ าสามารถ
จะกล่าวได้ ด้วยคิดว่าบรรพชิตรูปหนึA ง จักรู้ความชัAวของเรา
แต่บางคนถึงเป็ นคนทุศีล ก็ย่อมประพฤติเหมือนผู้มีศลี แม้ คนทุศลี นั8น ก็ย่อมเป็ น
ผู้เก้ อเขิน ด้ วยอัธยาศัยเหมือนกัน เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้ าถึงความเป็ น
สหาย กับเหล่า เปรต สัตว์นรก อสูรกาย สุนัขป่ าและสุนัขบ้ านเขาพลางร้ องครวญครางว่า ขอ
เถอะ ขอทีเถอะดังนี8 จนตาย.
บรรพชิตผู้บริบูรณ์ด้วยศีล ถึงพร้ อมด้ วยอาจารและโคจร บริบูรณ์ด้วยวัตร และ
เมตตาย่อมเข้ าถึง สมถวิปัสนา อภิญญา5 สมาบัติ8 เต็มเปีA ยมด้ วยบุญฤทธิJ นุ่งห่มธงชัยแห่ง
พระอรหันต์ย่อมคว้ า อนุปาทาปรินิพานอันเป็ นทีA ปรารถนายิA งของเหล่าฤษี(พระพุทธเจ้ า เป็ น
ต้ น)ทั8งหลายในการก่อน
กรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ
แคว้ นมคธนั8นเป็ นแค้ วนมหาอํานาจทีA สาํ คัญในสมัยพุทธกาล อีกทั8งต่อมาภายหลัง
พุทธกาลสามารถรวบอํานาจในดินแดนแถบชมพูทวีปได้ มากจนเป็ นศูนย์กลางความ
เจริญรุ่งเรือง และอํานาจทางการเมือง.
๑๐

ราชคฤห์น8ันเป็ นเมืองหลวงของแคว้ นมคธในอดีต พระนครนั8นมีชืAอเรียกกันว่า รา


ชคฤห์ เพราะพระราชาทั8งหลายมีพระเจ้ ามันธาตุราชซึA งเป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิJ และท่านมหาโค
วินท์ เป็ นต้ น สถิตครอบครองอยู่
พระนครราชคฤห์น8 ีเป็ นเมืองทั8งในสมัยพุทธกาล และทั1งในสมัยจักรพรรดิกาล
ส่วนในกาลทีA เหลือ เป็ นเมืองร้ าง พวกยักษ์ครอบครอง เป็ นป่ าทีA อยู่อาศัยของยักษ์เหล่านั8น.
นครราชคฤห์ถูกขนานนามว่านครที-อยู่ในอ้อมกอดแห่งขุนเขา (คิริพพช) เพราะตั8งอยู่ในจุด
ท่ามกลางภูเขาทั8ง5 ซึA งมีชืAอว่า ปัณฑวะ คิชกูฏ เวภาระ อิสคิ ลิ ิ เวปุลละ หรือเรียกว่า เบญจคีรี
นคร ก็ได้
แคว้ นมคธนั8นช่วงต้ นของพุทธกาลนั8นปกครองโดยพระเจ้ าพิมพิสาร ได้ เป็ นทีA
ประดิษฐานพระศาสนาให้ มAันคงทีA เมืองราชคฤห์แห่งนี8 อีกทั8งยังเป็ นทีA ต8ังของสถานทีA สาํ คัญใน
พุทธศาสนาคือ เวฬุวนั , ชีวกัมพวัน และเขาคิชกูฏ เป็ นต้ น และยังเป็ นทีA พระพุทธองค์ได้ ทรง
โปรดอัครสาวก๒ท่านคือ พระโมคลาน กับ พระสารีบุตร

พระเวฬุวนั วิหาร
สถานที.พระราชทานเหยื.อแก่กระแต(เวฬุวน กลนฺ ทกนิวาป)
เวฬุวนั เป็ นชืA อแห่งอุทยานของพระเจ้ าพิมพิสาร. ได้ ยินว่า อุทยานนั8นได้ ล้อมรอบไปด้ วยกอ
ไผ่และกําแพงสูง๑๘ศอก ประกอบด้ วยเชิงเทิน ซุ้มประตู และป้ อม มีสเี ขียวชอุ่มเป็ นทีA
รืA นรมย์ใจ. ด้ วยเหตุน8ัน จึงเรียกกันว่า เวฬุวัน. อนึA ง ชนทั8งหลายได้ ให้ เหยืA อแก่พวกกระแต
ในอุทยานนี8, ด้ วยเหตุน8ัน อุทยานนั8น จึงชืA อว่าเป็ นทีA เลี8ยงเหยืA อแก่กระแต
ได้ ยินว่า ในกาลก่อน พระราชาพระองค์หนึA ง ได้ เสด็จประพาส ณ อุทยานนั8นทรงมึนเมา
เพราะนํา8 จัณฑ์แล้ วบรรทมหลับกลางวัน. แม้ บริวารของพระองค์ ก็พูดกันว่า พระราชาบรรทม
หลับแล้ ว ถูกดอกไม้ และผลไม้ เย้ ายวนใจอยู่ จึงพากันหลีกไปทางโน้ นทางนี8.
ขณะนั8นงูเห่าเลื8อยออกมาจากต้ นไม้ มีโพรงต้ นใดต้ นหนึA ง เพราะกลิA นสุรา เลื8อยมุ่ง
หน้ าตรงมาหาพระราชา รุกขเทวดาเห็นงูเห่านั8นแล้ วคิดว่า เราจักถวายชีวติ แด่พระราชา จึง
แปลงเพศเป็ นกระแตมาทําเสียงร้ องทีA ใกล้ พระกรรณแห่งพระราชาจากนั8น พระราชาทรงตืA น
บรรทม งูกเ็ ลื8อยกลับไป.
ท้ าวเธอทอดพระเนตรเห็นเหตุน8ันแล้ ว ทรงดําริว่า กระแตนี8ให้ ชีวติ เรา จึงเริA มต้ น
เลี8ยงเหยืA อแก่กระแตทั8งหลาย และทรงให้ ประกาศพระราชทานอภัยแก่ฝงู กระแตในอุทยานนั8น
๑๑

เพราะฉะนั8น เวฬุวนั นั8น จึงถึงอันนับว่า กลันทกนิวาปะ (เป็ นทีA เลี8ยงเหยืA อแก่กระแต) จําเดิม
แต่กาลนั8นมา
ในคราวทีA เสด็จพระนครราชคฤห์ครั8งแรกหลังจากทรงประกาศพระธรรมจักรทีA ป่ า
อิสปิ ตนมฤคทายวัน ทรงเริA มเผยแผ่พระศาสนาเพืA ออนุเคราะห์เวไนยสัตว์ เสด็จไปทีA ตาํ บลคยา
สีสะโปรฎชฎิล3พีA น้ องทีA มบี ริวารตั8ง1000ให้ ต8ังอยู่ในพระอรหัตเมืA อประทับตามพระพุทธา
ภิรมย์แล้ วเสด็จจาริก ไปสู่พระนครราชคฤห์ พร้ อมด้ วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จาํ นวน๑๐๐๐ รูป
ล้ วนเป็ นปุราณชฎิลเมืA อถึงพระนครราชคฤห์แล้ วประทับในลัฏฐิวัน(สวนตาลหนุ่ม) เขตพระ
นครราชคฤห์น8ัน พระเจ้ าพิมพิสารเมืA อได้ ทราบข่าวก็เสด็จมาเข้ าเฝ้ าพระพุทธองค์พร้ อมด้ วยข้ า
ราชบริพารจํานวนมาก ทรงมีปฏิสนั ถารแล้ วได้ สดับพระธรรมเทศนาทีA ไพเราะ ลึกซึ8งอันเป็ น
ทางแห่งการดับทุกข์
พระเจ้ าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ ทรงเห็นธรรมแล้ ว ได้ ทรงบรรลุธรรมแล้ ว ทรงข้ าม
ความสงสัยได้ แล้ วได้ ทูลพระวาจานี8ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ครั8งก่อน เมืA อหม่อมฉันยังเป็ นราช
กุมารได้ มคี วามปรารถนา ๕ อย่าง
ความปรารถนาทั.ง ๕
๑. ไฉนหนอ ชนทั8งหลายพึงอภิเษกเราในราชสมบัติดังนี8
๒. ขอพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ า พึงเสด็จมาสู่แว่นแคว้ นของหม่อมฉันนั8น
๓. ขอหม่อมฉันพึงได้ เข้ าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน
๔. ขอพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ันพึงแสดงธรรมแก่หม่อมฉันนี8
๕. ขอหม่อมฉันพึงรู้ทAวั ถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน
บัดนี8 ความปรารถนา ๕ อย่างนั8น ของหม่อมฉันสําเร็จแล้ วพระพุทธเจ้ าข้ า “ภาษิต
ของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนักพระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศ
ธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนีเปรียบเหมือนบุคคลหงายของที-ควํา- เปิ ดของที-ปิด บอกทางแก่
คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที-มืดด้วยตัง ใจว่า คนมีจกั ษุจกั เห็นรูป ดังนี หม่อมฉันนี ขอ
ถึงพระผูม้ ีพระภาค พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็ นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจําหม่อมฉัน
ว่า เป็ นอุบาสกผูม้ อบชีวติ ถึงสรณะจําเดิมแต่วนั นีเป็ นต้นไป
พระเจ้ าพิมพิสารนิมนต์พระผู้มีพระภาคพร้ อมด้ วยภิกษุสงฆ์ให้ รับภัตตาหารในวัน
พรุ่งนี8แล้ วเสด็จลุกจากทีA ประทับถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงทําประทักษิณแล้ วเสด็จ
กลับไป.
๑๒

ถวายวัดเวฬุวนั -อัครสาวก -โอวาทปาฏิโมกข์


ในวันรุ่งขึ8นพระผู้มีพระภาคเจ้ า อันภิกษุหนึA งพันแวดล้ อมเสด็จเข้ ากรุงราชคฤห์
พระราชาถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้ าเป็ นประธาน แล้ วกราบทูลว่า ข้ าแต่
พระองค์ผ้ ูเจริญ หม่อมฉันจักไม่อาจอยู่โดยเว้ นพระรัตนตรัย หม่อมฉันจักมายังสํานักของพระ
ผู้มีพระภาคเจ้ าในเวลาบ้ าง ไม่ใช่เวลาบ้ าง ก็อทุ ยานชืA อว่าลัฏฐิวันไกลเกินไป แต่อุทยานชืA อว่า
เวฬุวนั ของหม่อมฉันแห่งนี8ไม่ไกลเกินไป ไม่ใกล้ เกินไป สมบูรณ์ด้วยการไปและการมาเป็ น
เสนาสนะสมควรแก่พระพุทธเจ้ า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้ าทรงรับอุทยานเวฬุวันของหม่อมฉันนี8เถิด แล้ วทรงเอาพระ
สุวรรณภิงคารตักนํา8 อันมีสดี ังแก้ วมณีอบด้ วยดอกไม้ หอม เมืA อจะทรงบริจาคพระเวฬุวนั
อุทยาน จึงทรงหลัAงนํา8 ให้ ตกลงบนพระหัตถ์ของพระทศพล. เมื.อทรงรับพระเวฬุวนั อุทยาน
นั1นนัน. แล มหาปฐพีได้หวัน. ไหวซึ.งมีอนั ให้รูว้ ่า มูลรากของพระพุทธศาสนาได้หยัง. ลงแล้ว
ในพื1 นชมพูทวีป ยกเว้นพระเวฬุวนั เสีย ชื.อว่าเสนาสนะอื.นที.ทรงรับแล้วมหาปฐพีไหว ไม่มี
เลย. พระศาสดาครั8นทรงรับพระเวฬุวนารามแล้ ว ทรงกระทําอนุโมทนาแก่พระราชาแล้ ว
เสด็จลุกขึ8นจากอาสนะ อันภิกษุสงฆ์แวดล้ อมเสด็จไปยังพระเวฬุวันอุทยาน ฉะนั8นพระเวฬุ
วนาราม นับเป็ นวัดแห่งแรกในพุทธศาสนา
ก็สมัยนั8นแล ปริพาชกสองคน คือ สารีบุตร และ โมคคัลลานะอาศัยกรุงราชคฤห์
แสวงหาอมตธรรมอยู่. สารีบุตรปริพาชกเห็นพระอัสสชิเถระเข้ าไปบิณฑบาตมีจิตเลืA อมใส จึง
เข้ าไปนัAงใกล้ ฟังคาถามีอาทิว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุและความ
ดับแห่งธรรมนั1น” ดังนี8ได้ ต8ังอยู่ในพระโสดาปัตติผล แล้ วได้ กล่าวคาถานั8นนัAนแหละ แก่
โมคคัลลานปริพาชกผู้เป็ นสหายของตน แม้ โมคคัลลานปริพาชกนั8น ก็ได้ ดาํ รงอยู่ในโสดา
ปัตติผล.
ปริพาชกทั8งสองนั8นจึงอําลาสัญชัยปริพาชกผู้เป็ นอาจารย์ไปบวชในสํานักของพระผู้มี
พระภาคเจ้ า พร้ อมทั8งบริษัทของตน. พระโมคคัลลานะบรรลุพระอรหัตโดย ๗ วัน พระสารี
บุตรบรรลุพระอรหัตโดยกึA งเดือน พระศาสดาทรงตั8งพระเถระทั8งสองนั8นไว้ ในตําแหน่งอัคร
สาวก และในวันทีA พระสารีบุตรเถระบรรลุพระอรหัตนัAนแหละได้ ทรงกระทําสันนิบาตคือ
ประชุมพระสาวก แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ณ เวฬุวัน แห่งนี8
โอวาทปาฏิโมกข์ซึAงแบ่งเป็ นคาถาไว้ ๓ส่วน โดยส่วนทีA ๑กล่าวถึงหลักคําสอนทีA เป็ น
บทสรุปของการปฏิบตั ิ ส่วนทีA ๒ทีA แสดงลักษณะทัAวไปของพุทธศาสนา ทีA เป็ นจุดแสดงออก
๑๓

ทางด้ านข้ อประพฤติปฏิบัติ จุดหมายและลักษณะ ของพระสงฆ์ และส่วนทีA ๓ แสดงข้ อปฏิบัติใน


การดําเนินชีวิตของภิกษุ
โอวาทปาฏิโมกข์
"ความไม่ทาํ บาปทั8งสิ8น ความยังกุศลให้ ถึงพร้ อม
ความทําจิตของตนให้ ผ่องใส นีA เป็ นคําสอนของพระพุทธเจ้ าทั8งหลาย.
ขันติ คือ ความอดกลั8น เป็ นธรรมเผาบาปอย่างยิA ง
ท่านผู้ร้ ทู 8งั หลายย่อมกล่าวพระนิพพานว่าเป็ นเยีA ยม,
ผู้ทาํ ร้ ายผู้อืAนไม่ชืAอว่าบรรพชิต
ผู้เบียดเบียนผู้อนอยู ืA ่ ไม่ชืAอว่าเป็ นสมณะ.
การไม่กล่าวร้ าย การไม่ทาํ ร้ าย ความสํารวมในพระปาติโมกข์
ความเป็ นผู้ร้ ปู ระมาณในอาหาร รู้จักอยู่ในทีA นอนทีA นAังอันสงัด
การหมัAนฝึ กฝนพัฒนาจิตใจให้ ดียิAงขึ8น
นีA เป็ นคําสอนของพระพุทธเจ้ าทั8งหลาย."

เพราะเวฬุวนั นางเขมาจึงได้บรรลุธรรม
พระมหาวิหารเวฬุวนั เวลานั8นมีสวนดอกไม้ กาํ ลังแย้ มบาน วู่ว่อนไปด้ วยภมรต่างๆ
ชนิด และมีเสียงนกดุเหว่ารําA ร้ องดังเพลงขับ ทั8งมีเหล่านกยูงฟ้ อนรํา เป็ นเงียบเสียง ไม่
พลุกพล่าน ประดับไปด้ วยทีA จงกรมต่างๆ สะพรัAงไปด้ วยกุฎีและมณฑปทีA พระโยคีชอบปรารภ
บําเพ็ญเพียร
สมัยหนึA งพระเจ้ าพิมพิสารโปรดให้ นักขับร้ องขับเพลงพรรณนาพระมหาวิหารเวฬุวนั
ด้ วยพระประสงค์จะทรงอนุเคราะห์นางเขมาผู้เป็ นชายา ให้ ได้ เข้ าเฝ้ าพระพุทธเจ้ า พระนาง
สําคัญว่าพระมหาวิหารเวฬุวัน อันเป็ นทีA ประทับแห่งพระสุคตเจ้ าเป็ นทีA น่ารืA นรมย์ ผู้ใดยังมิได้
เห็นก็จัดว่าผู้น8ันยังไม่เห็นนันทวัน พระมหาวิหารเวฬุวันเป็ นดังว่า นันทวันอันเป็ นทีA เพลิดเพลิน
ของนรชน ผู้ใดได้ เห็นแล้ ว นับว่าผู้น8ันเห็นดีแล้ ว ซึA งนันทวัน อันเป็ นทีA เพลิดเพลิน ของท้าว
อมรินทร์ สักกเทวราช .
ทวยเทพ ละนันทวันแล้ วลงมาทีA พื8นดินเห็นพระมหาวิหารเวฬุวันอันน่ารืA นรมย์เข้ าแล้ ว
ก็อัศจรรย์ใจเพลินชมมิได้ เบืA อ พระมหาวิหารเวฬุวนั เกิดขึ8นเพราะบุญของพระราชา อัน
บุญญานุภาพแห่งพระพุทธเจ้ าประดับแล้ วใครเล่าจะกล่าวถึงความเจริญด้ วยคุณแห่งพระมหา
วิหารเวฬุวันให้ จบได้
๑๔

ครั8งนั8นนางได้ ฟังความสําเร็จแห่งพระมหาวิหารเวฬุวันอันเป็ นทีA ชอบ โสต และ ชอบ


ใจแล้ วประสงค์จะได้ เห็นนางจึงได้ กราบทูลขอพระราชานุญาติจากพระราชา พระราชาตรัสว่า
เธอไปพระวิหารไม่พบพระศาสดาก็อย่าได้ กลับมา แล้ วทรงสัAงแก่พวกราชบุรุษว่าพวกท่านจง
ให้ พระเทวีเฝ้ าพระทศพล ให้ จงได้ พระเทวี เสด็จไปเทีA ยวทีA วหิ ารจน เวลาล่วงไปครึA งวัน พระ
นางไม่ทรงต้ องการพบพระศาสดาจึงเริA มเสด็จกลับ ราชบุรุษทั8งหลายเห็นดังนั8น ได้ บังคับนํา
พระเทวีทไีA ม่ทรงปรารถนา ให้ เข้ าไปเฝ้ าพระศาสดาจนได้ พระศาสดาทรงเห็นพระเทวีน8ันกําลัง
เสด็จมา ทรงเนรมิตหญิงคล้ ายนางเทพอัปสรด้ วยฤทธิJ ทําให้ ถือพัดใบตาลถวายงานพัดอยู่
พระนางเขมาเทวีทรงเห็นหญิงนั8น ทรงดําริว่า หญิงผู้เห็นปานนี8 มีส่วนเปรียบด้ วย
นางเทพอัปสร ยืนอยู่ไม่ห่างพระผู้มีพระภาคเจ้ า เราไม่พอทีA แม้ แต่จะเป็ นหญิงรับใช้ ของหญิง
เหล่านั8นได้ เลย เราต้ องเสียหายด้ วยอํานาจจิตชัAว เพราะเหตุเล็ก ๆน้ อย ๆ ทรงถือเอานิมิต
ประทับยืนมองดูหญิงนั8นคนเดียว เมืA อพระนางกําลังทอดพระเนตรดูอยู่ หญิงนัAนก็ล่วงปฐมวัย
มัชฌิมวัย ถึงปัจฉิมวัยแล้ ว ฟันหัก ผมหงอก หนังเหีA ยว ล้ มกลิ8งลงพร้ อมกับพัดใบตาล
ด้ วยพระกําลังอธิษฐานของพระศาสดา
จากนั8น เพราะเหตุททรงบํ ีA าเพ็ญบารมีไว้ พระนางเขมาทอดพระเนตรเห็นเหตุน8ันแล้ วทรงพระ
ดําริว่า สรีระแม้ อย่างนี8 ยังถึงความวิบัติเช่นนี8 สรีระของเราก็จักมีคติอย่างนี8เหมือนกัน พระ
ศาสดาตรวจดูวาระจิตของนางทรงแสดงธรรมแก่นางว่า :-

“เขมาเธอคิดว่าสาระมีอยู่ในรูปนีหรือ
เธอจงดูความที-ร่างกายอันหาสาระมิได้....ไม่สะอาดเน่าเปื- อย...
ไหลออกทัง ข้างบนข้างล่าง...อันคนพาลทัง หลายปรารถนายิ-งนัก...
เขมา...สัตว์เหล่านีเยิมอยู่ดว้ ยราคะ ร้อนอยู่ดว้ ยโทสะ งงงวยอยู่ดว้ ยโมหะ
จึงไม่อาจเพื-อก้าวล่วงกระแสตัณหาของตนไปได้ ต้องข้องอยู่ในกระแสตัณหานัน- เอง
สัตว์ผูย้ ินดีแล้วด้วยราคะ ย่อมตกไปสู่กระแสตันหา เหมือนแมลงมุม ตกไปยังใยที-ตัวทําไว้เอง
ธีรชนทัง หลาย ตัดกระแสตัณหานัน แล้ว เป็ นผูห้ มดห่วงใย ละเว้นทุกข์ทงั ปวงไป”
ในการจบเทศนานางเขมาได้บรรลุพระอรหัต เทศนาได้มปี ระโยชน์แก่มหาชนแล้วดังนี.แล.
พระเวฬุวันแห่งนี8เป็ นอารามทีA ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้ า ในพรรษาทีA ๒, ๓, ๔,
๑๗ และ๒๐ นับว่าเป็ นทีA เริA มปลูกฝังพระพุทธศาสนาและมีความสําคัญในช่วงต้ นของพุทธกาล
๑๕

เป็ นอย่างมาก มีพระสูตรต่างๆทีA แสดงไว้ มากมาย ณ พระเวฬุวันแห่งนี8 เช่น ตาลปุตตสูตร


จุนทิสตู ร ติงสมัตตาสูตร ธาตุวภิ ังคสูตร เป็ นต้ น
ตาลปุตตสูตรเป็ นสูตรทีA กล่าวถึงโทษของอกุสลมูลคือ ราคะ โทสะ โมหะ และ
ความเห็นผิดเกี.ยวกับอาชีพนักแสดงว่าเป็ นบุญเมื.อตายไปจะไปสู่สวรรค์ โดยมีนักแสดงทีA
โด่งดังในชมพูทวีปได้ ไปเข้ าเฝ้ าแล้ ว พระพุทธเจ้ าได้ เทสนาว่าการ กระทํานี8เป็ นเหตุให้ หมู่สตั ว์
ยิA งลุ่มหลงมัวเมายิA งขึ8นนําไปสุ่ทุกข์
ตาลปุตตสูตร
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน พ่อบ้ านนักเต้ นรํานามว่า
ตาลบุตร เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคแล้ วนัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ได้ ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ข้ าพระองค์เคยได้ ยินคําของนักเต้ นรํา ผู้เป็ นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ
กล่าวว่า นักเต้ นรําคนใดทําให้ คนหัวเราะ รืA นเริง ด้ วยคําจริงบ้ าง คําเท็จบ้ างในท่ามกลางสถาน
เต้ นรํา ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้น8ันเมืA อแตกกายตายไปย่อมเข้ าถึงความเป็ นสหายแห่ง
เทวดาผู้ร่าเริง ในข้ อนี8พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลยนายบ้ าน
ขอพักข้ อนี8เสียเถิด ท่านอย่าถามข้ อนี8กะเราเลย เขาได้ ถามถึง3ครั8ง
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพ่อบ้ าน เราห้ ามท่านไม่ได้ แล้ วว่า อย่าเลยนายบ้ าน. ขอ
พักข้ อนี8เสียเถิด ท่านอย่าถามข้ อนี8กะเราเลย แต่เราจักพยากรณ์ให้ ท่าน ดูกรนายบ้ าน เมืA อก่อน
สัตว์ท8งั หลายยังไม่ปราศจากราคะอันกิเลสเครืA องผูกคือราคะผูกไว้ นักเต้ นรํารวบรวมเข้ าไว้ ซึAง
ธรรมอันเป็ นทีA ตั8งแห่งความกําหนัด ในท่ามกลางสถานเต้ นรํา ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่
สัตว์เหล่านั8นมากยิA งขึ8น
เมืA อก่อนสัตว์ท8งั หลายยังไม่ปราศจากโทสะ อันกิเลสเครืA องผูกคือโทสะผูกไว้ นักเต้ นรํารวบรวม
เข้ าไว้ ซึAงธรรมเป็ นทีA ต8ังแห่งโทสะ ในท่ามกลางสถานเต้ นรํา ในท่ามกลางสถานมหรสพ แก่สัตว์
เหล่านั8นมากยิA งขึ8น
เมืA อก่อนสัตว์ท8งั หลายยังไม่ปราศจากโมหะ อันกิเลสเครืA องผูกคือโมหะผูกไว้ นัก
เต้ นรําย่อมรวบรวมไว้ ซึAงธรรรมอันเป็ นทีA ต8ังแห่งโมหะ ในท่ามกลางสถานเต้ นรํา ในท่ามกลาง
สถานมหรสพ แก่สัตว์เหล่านั8นมากยิA งขึ8นนักเต้ นรํานั8น ตนเองก็มัวเมาประมาท ตั8งอยู่ในความ
ประมาท เมืA อแตกกายตายไป ย่อมบังเกิดในนรกชืA อปหาสะ
ถ้ าเขามีความเห็นอย่างนี8ว่า นักเต้ นรําคนใดทําให้ คนหัวเราะ รืA นเริงด้ วยคําจริงบ้ าง
คําเท็จบ้ าง ในท่ามกลางสถานเต้ นรํา ในท่ามกลางสถานมหรสพผู้น8ันเมืA อแตกกายตายไป ย่อม
เข้ าถึงความเป็ นสหายแห่งเทวดาชืA อปหาสะ ความเห็นของเขานั8นเป็ นความเห็นผิด นายบ้ าน ก็
๑๖

เราย่อมกล่าวคติสองอย่างคือ นรกหรือกําเนิดสัตว์เดียรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึA ง ของบุคคลผู้มี


ความเห็นผิด ฯ
เมืA อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี8แล้ ว พ่อบ้ านนักเต้ นรํานามว่าตาลบุตรร้ องไห้ สะอื8น
นํา8 ตาไหล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นายบ้ าน เราได้ ห้ามท่านแล้ วมิใช่หรือว่าอย่าเลย นายบ้ าน
ขอพักข้ อนี8เสียเถิด อย่าถามข้ อนี8กะเราเลย ฯ
ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ข้ าพระองค์ไม่ได้ ร้องไห้ ถึงข้ อทีA พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี8กะ
ข้ าพระองค์หรอก แต่ว่าข้ าพระองค์ถูกนักเต้ นรําผู้เป็ นอาจารย์และปาจารย์ก่อนๆ ล่อลวงให้
หลงสิ8นกาลนานว่า นักเต้ นรําคนใดทําให้ คนหัวเราะรืA นเริง ด้ วยคําจริงบ้ าง คําเท็จบ้ าง ใน
ท่ามกลางสถานเต้ นรํา ในท่ามกลางสถานมหรสพ ผู้น8ันเมืA อแตกกายตายไป ย่อมเข้ าถึงความ
เป็ นสหายของเทวดาชืA อปหาสะ
ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้ งยิA งนัก ข้ าแต่พระองค์ผ้ ู
เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้ งยิA งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดย
อเนกปริยาย ดุจหงายของทีA ควําA เปิ ดของทีA ปิด บอกทางแก่คนหลงทางหรือตามประทีปในทีA มดื
ด้ วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปฉะนั8น
ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ข้ าพระองค์น8 ีขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั8งพระธรรมและภิกษุ
สงฆ์ว่าเป็ นสรณะ ข้ าพระองค์พึงได้ บรรพชาอุปสมบท ในสํานักของพระผู้มีพระภาคนายนฏคา
มณีนามว่าตาลบุตรได้ บรรพชา ได้ อปุ สมบทในสํานักพระผู้มีพระภาคแล้ วท่านพระตาลบุตร
อุปสมบทไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผ้ ูเดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจแน่วแน่ ฯลฯ ก็แล
ท่านพระตาลบุตรเป็ นพระอรหันต์องค์หนึA ง ในจํานวนพระอรหันต์ท8งั หลาย ฯ
ตาลปุตตสูตร จบ
ติงสมัตตาสูตร
(ติงสมัตตาสูตร เป็ นพระสูตรที-กล่าวถึงโทษของสังสารวัฏอันยาวนานหาที-สุด เบืองต้นเบืองปลาย
มิได้ซ- ึงเต็มไปด้วยภัยอันตรายและความทุกข์ยากเป็ นอันมากอันอวิชชาปกปิ ดไว้และตัณหาเป็ นเครื-อง
รัง )
พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวนั กลันทกนิวาปสถาน เขตพระนครรา
ชคฤห์ ครั8งนั8นแล ภิกษุชาวเมืองปาวาประมาณ ๓๐ รูป ทั8งหมดล้ วนแต่เป็ นผู้อยู่ป่าเป็ นวัตรถือ
เทีA ยวบิณฑบาตเป็ นวัตร ถือผ้ าบังสุกุลเป็ นวัตรถือทรงผ้ าไตรจีวรเป็ นวัตร แต่ท8งั หมดล้ วนยังเป็ น
ผู้มีสงั โยชน์อยู่ เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับ ถวายบังคมแล้ วนัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง

๑๗

ครั8งนั8นแล พระผู้มีพระภาคได้ ทรงพระดําริว่า ภิกษุชาวเมืองปาวาประมาณ ๓๐รูป


เหล่านี8แล ทั8งหมดล้ วนยังมีสงั โยชน์ ถ้ ากระไรหนอ เราพึงแสดงธรรมโดยประการทีA ภิกษุเหล่านี8
จะพึงมีจิตหลุดพ้ นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมัAน ณ อาสนะนี8ทีเดียว ลําดับนั8นแล พระผู้มีพระ
ภาคตรัสเรียกภิกษุท8งั หลายว่า ดูกรภิกษุท8งั หลาย ภิกษุเหล่านั8นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ข้ าแต่
พระองค์ผ้ ูเจริญ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสว่า ดูกรภิกษุท8งั หลาย สงสารนี8กาํ หนดทีA สดุ เบื8องต้ นเบื8อง
ปลายไม่ได้ เมืA อเหล่าสัตว์ผ้ ูยังมีอวิชชาเป็ นทีA กางกั8น มีตัณหาเป็ นเครืA องประกอบไว้ ท่องเทีA ยวไป
มาอยู่ ทีA สดุ เบื8องต้ นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอจะสําคัญความข้ อนั8นเป็ นไฉน โลหิตทีA หลัAงไหลออก
ของพวกเธอผู้ท่องเทีA ยวไปมาซึA งถูกตัดศีรษะโดยกาลนานนี8 กับนํา8 ในมหาสมุทรทั8ง๔ สิA งไหนจะ
มากกว่ากันภิกษุท8งั หลายกราบทูลว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ข้ าพระองค์ท8งั หลายย่อมทราบธรรม
ตามทีA พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ วว่า โลหิตทีA หลัAงไหลออกของพวกข้ าพระองค์ผ้ ูท่องเทีA ยวไป
มา ซึA งถูกตัดศีรษะโดยกาลนานนี8แหละมากกว่า ส่วนนํา8 ในมหาสมุทรทั8ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ดังนี8

พ. ดูกรภิกษุท8งั หลาย ถูกละๆ พวกเธอทราบธรรมทีA เราแสดงแล้ วอย่างนี8ถูกแล้ ว
โลหิตทีA หลัAงไหลออกของพวกเธอ ผู้ท่องเทีA ยวไปมาซึA งถูกตัดศีรษะโดยกาลนานนี8น8 ีแหละ
มากกว่า ส่วนนํา8 ในมหาสมุทรทั8ง ๔ ไม่มากกว่าเลยเมืA อเธอทั8งหลายเกิดเป็ นโค ซึA งถูกตัดศีรษะ
ตลอดกาลนาน โลหิตทีA หลัAงไหลออกนัAนแหละมากกว่า ส่วนนํา8 ในมหาสมุทรทั8ง ๔ไม่มากกว่า
เลย
เมืA อเธอทั8งหลายเกิดเป็ นกระบือ ซึA งถูกตัดศีรษะตลอดกาลนาน โลหิตทีA หลัAงไหลออก
นัAนแหละมากกว่า ... เมืA อเธอทั8งหลายเกิดเป็ นแกะ ... เกิดเป็ นแพะ ... เกิดเป็ นเนื8อ ... เกิดเป็ น
สุกร ... เกิดเป็ นไก่ ... เมืA อพวกเธอถูกจับตัดศีรษะโดยข้ อหาว่า เป็ นโจรฆ่าชาวบ้ านตลอดกาล
นาน โลหิตทีA หลัAงไหลออกนัAนแหละมากกว่า ... ถูกจับตัดศีรษะโดยข้ อหาว่าเป็ นโจรคิดปล้ น ...
ถูกจับตัดศีรษะ โดยข้ อหาว่าเป็ นโจรประพฤติผดิ ในภรรยาของผู้อืAน ตลอดกาลนานโลหิตทีA
หลัAงไหลออกนัAนแหละมากกว่า นํา8 ในมหาสมุทรทั8ง ๔ ไม่มากกว่าเลย ข้ อนั8นเพราะเหตุไร
เพราะว่าสงสารนี8กาํ หนดทีA สดุ เบื8องต้ นเบื8องปลายไม่ได้ ... พอเพืA อจะหลุดพ้ น ดังนี8 ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสดังนี8แล้ ว ภิกษุเหล่านั8นต่างพอใจชืA นชมภาษิตของพระผู้มีพระ
ภาค เมืA อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี8อยู่ จิตของภิกษุชาวเมืองปาวาประมาณ๓๐รูป
พ้ นจาก อาสวะเพราะไม่ถือมัAน ฯ
ติงสมัตตาสูตร จบ
๑๘

จุนทิสตู ร
(จุนทิสตู รเป็ นพระสูตรทีA กล่าวถึงเรืA องทีA เจ้ าหญิงจุนที
เกิดความสงสัยในคําของพี.ชาย
เรื.องเกี.ยวกับการเข้าสรณคม ศีลห้าและคติหลังความตาย จึงได้ ต8งั ปัญหา ขึ8นถามว่าการเข้ าถึง
สรณและรักษาศีลเช่นไรจึงนําไปสูส่ คุ ติ พระพุทธองค์ทรงตอบปัญหาเหล่านั8นว่าการนับถือและปฏิบัติ
อย่างไรเป็ นสิA งทีA เลิศ)
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถานใกล้
กรุงราชคฤห์ ครั8งนั8นแล ราชกุมารีชืAอว่าจุนที แวดล้ อมด้ วยรถ ๕๐๐ คัน และกุมารี ๕๐๐คน เข้ า
ไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับถวายบังคมแล้ วนัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ครั8นแล้ วได้ กราบ
ทูลว่า
ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ราชกุมารพระนามว่าจุนทะ พระภาดาของหม่อมฉัน กล่าว
อย่างนี8ว่า หญิงหรือชายเป็ นผู้ถงึ พระพุทธเจ้ าเป็ นสรณะ ถึงพระธรรมเป็ นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็ น
สรณะ เว้ นขาดจากปาณาติบาต เว้ นขาดจากอทินนาทาน เว้ นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้ นขาด
จากมุสาวาท เว้ นขาดจากการดืA มนํา8 เมาคือสุราและเมรัย อันเป็ นทีA ต8งั แห่งความประมาท ผู้น8ัน
ตายไปแล้ ว ย่อมเข้ าถึงสุคติอย่างเดียวไม่เข้ าถึงทุคติ ดังนี8
หม่อมฉันจึงขอทูลถามว่า ผู้ทเีA ลืA อมใสในศาสดาเช่นไร เมืA อตายไปแล้ วจึงเข้ าถึงสุคติ
อย่างเดียว ไม่เข้ าถึงทุคติ ผู้ทเีA ลืA อมใสในธรรมเช่นไร เมืA อตายไปแล้ วจึงเข้ าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่
เข้ าถึงทุคติ ผู้ทเีA ลืA อมใสในสงฆ์เช่นไรเมืA อตายไปแล้ วจึงเข้ าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่เข้ าถึงทุคติ ผู้ทีA
ทําให้ บริบูรณ์ในศีลเช่นไร เมืA อตายไปแล้ ว จึงเข้ าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่เข้ าถึงทุคติ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรจุนที สัตว์ทไีA ม่มีเท้ าก็ดี มี ๒ เท้ าก็ดี มี๔ เท้าก็ดี มีเท้ า
มากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มสี ัญญาก็ดีมสี ญ ั ญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่กด็ ี มี
ประมาณเท่าใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ าบัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสัตว์เหล่านั8น ชน
เหล่าใดเลื.อมใสในพระพุทธ- เจ้า ชนเหล่านั1นชื.อว่าเลื.อมใสในสิ.งที.เลิศ ก็วิบากอันเลิศย่อม
มีแก่บุคคลผู้ทเีA ลืA อมใสในสิA งทีA เลิศ ธรรมทีA เป็ นปัจจัยปรุงแต่งก็ดี ทีA ปัจจัยไม่ปรุงแต่งก็ดี มี
ประมาณเท่าใด วิราคะ คือ ธรรมอันยําA ยีความเมา กําจัดความกระหายถอนเสียซึA งอาลัย เข้ าไป
ตัดวัฏฏะ เป็ นทีA ส8 ินตัณหา เป็ นทีA คลายกําหนัด เป็ นทีA ดับ นิพพาน บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าธรรม
เหล่านั8น ชนเหล่าใดเลืA อมใสในวิราคธรรม ชนเหล่านั8น ชืA อว่าเลืA อมใสในสิA งทีA เลิศ ก็วิบากอันเลิศ
ย่อมมีแก่บุคคลผู้เลืA อมใสในสิA งทีA เลิศ ฯ หมู่กด็ ี คณะก็ดี มีประมาณเท่าใด สงฆ์สาวกของพระ
ตถาคต คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี1 สงฆ์สาวกของพระผูม้ ีพระภาค เป็ นผูค้ วรของ
คํานับ เป็ นผูค้ วรของต้อนรับ เป็ นผูค้ วรของทําบุญ เป็ นผูค้ วรทํา อัญชลี เป็ นนาบุญของ
๑๙

โลกไม่มีนาบุญอื.นยิ.งกว่า บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าหมู่หรือคณะเหล่านั1น ชนเหล่าใดเลื.อมใส


ในสงฆ์ ชนเหล่านั1นชื.อว่าเลื.อมใสในสิ.งที.เลิศ ก็วิบากอันเลิศย่อมมีแก่บุคคล
ผู้ทเลืAีA อมใสในสิA งทีA เลิศ ศีลมีประมาณเท่าใด ศีลทีA พระอริยเจ้ าใคร่แล้ ว คือ ศีลทีA ไม่
ขาด ไม่ทะลุไม่ด่าง ไม่พร้ อยเป็ นไทย อันวิญ^ูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฐิไม่ลูบคลํา เป็ นไป
เพืA อสมาธิบัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าศีลเหล่านั8น ชนเหล่าใดย่อมทําให้ บริบูรณ์ในอริยกันตศีล ชน
เหล่านั8นชืA อว่าทําให้ บริบูรณ์ในสิA งทีA เลิศ ก็วบิ ากอันเลิศย่อมมีแก่บคุ คลผู้ทาํ ให้ บริบูรณ์ในสิA งทีA
เลิศ ฯ
บุญอันเลิศ คือ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุขและกําลัง ย่อมเจริญแก่บุคคลผูร้ ูแ้ จ้ง
ธรรมที-เลิศ เลื-อมใสในสิ-งที-เลิศคือ เลื-อมใสในพระพุทธเจ้าผูเ้ ลิศ ผูเ้ ป็ นทักขิเณยบุคคลชัน เยี-ยม
เลื-อมใสในพระธรรมที-เลิศ อันปราศจากราคะ เป็ นที-เข้าไปสงบ เป็ นสุข เลื-อมใสในพระสงฆ์ผู ้
เลิศ เป็ นนาบุญชัน เยี-ยม ให้ทานในสิ-งที-เลิศ ปราชญ์ผถู ้ ือมั-นธรรมที-เลิศ ให้ส- ิงที-เลิศ เป็ น
เทวดาหรือมนุษย์ ย่อมถึงสถานที-เลิศ บันเทิงใจอยู่ ฯ.
จุนทิสตู ร จบ
จัณฑสูตร
(จัณฑสูตร เป็ นพระสูตรที-กล่าวถึงเหตุให้คนเป็ นคนดุ และเหตุให้เป็ นคนสงบเสงียมพระพุทธองค์
ก็ทรงแสดงเหตุเหล่านัน คือ ราคะ โทสะโมหะเป็ นเหตุให้โกรธง่าย ถ้าละได้แม้บุคคลจะยัว- ให้โกรธ
เพียงไรก็ไม่แสดงความโกรธให้ปรากฎ)
ครั8งนั8นแล นายจัณฑคามณีเข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับถวายบังคมแล้ วนัAง
ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ครั8นแล้ วได้ ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่าข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ อะไรหนอ
เป็ นเหตุเป็ นปัจจัยเครืA องให้ บุคคลบางคนในโลกนี8 ถึงความนับว่าเป็ นคนดุ หรือ เป็ นคนดุ ก็
อะไรหนอเป็ นเหตุเป็ นปั จจัยเครื.องให้บุคคลบางคนในโลกนี1 ถึงความนับว่า เป็ นคนสงบ
เสงี.ยม หรือเป็ นคนสงบเสงี.ยม
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรนายคามณี คนบางคนในโลกนียงั ละราคะไม่ได้
เพราะเป็ นผูย้ งั ละราคะไม่ได้ คนอื-นจึงยัว- ให้โกรธ คนที-ยงั ละราคะไม่ได้คนอื-นยัว- ให้โกรธ ย่อม
แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผูน้ นั จึงนับได้วา่ เป็ นคนดุ คนบางคนในโลกนียงั ละโทสะไม่ได้
เพราะเป็ นผูย้ งั ละโทสะไม่ได้ คนอื-นจึงยัว- ให้โกรธคนที-ยงั ละโทสะไม่ได้คนอื- นยัว- ให้โกรธ ย่อม
แสดงความโกรธให้ปรากฏ ผูน้ นั จึงนับได้วา่ เป็ นคนดุ คนบางคนในโลกนียงั ละโมหะไม่ได้
เพราะเป็ นผูย้ งั ละโมหะไม่ได้ คนอื-นจึงยัว- ให้โกรธ คนที-ยงั ละโมหะไม่ได้อันคนอื-นยัว- ให้โกรธ
๒๐

ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผูน้ นั จึงนับได้วา่ เป็ นคนดุ ดูกรนายคามณี นีเป็ นเหตุเป็ นปัจจัย
เครื-องให้คนบางคนในโลกนีถึงความนับว่าเป็ นคนดุ หรือเป็ นคนดุ ฯ
ดูกรนายคามณี อนึA ง คนบางคนในโลกนี8ละราคะได้ แล้ ว เพราะเป็ นผู้ละราคะได้ คน
อืA นจึงยัAวไม่โกรธ คนทีA ละราคะ ได้ แล้ วอันคนอืA นยัAวให้ โกรธก็ไม่แสดงความโกรธให้ ปรากฏ ผู้น8ัน
จึงนับได้ ว่า เป็ นคนสงบเสงีA ยม คนบางคนในโลกนี8ละโทสะได้ แล้ ว เพราะเป็ นผู้ละโทสะได้ คน
อืA นจึงยัAวไม่โกรธ คนทีA ละโทสะได้ แล้ วอันคนอืA นยัAวให้ โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธให้ ปรากฏ ผู้น8ัน
จึงนับได้ ว่า เป็ นคนสงบเสงีA ยม คนบางคนในโลกนี8ละโมหะได้ แล้ ว เพราะเป็ นผู้ละ โมหะได้ คน
อืA นจึงยัAวไม่โกรธ คนทีA ละโมหะได้ แล้ วอันคนอืA นยัAวให้ โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธให้ ปรากฏ ผู้
นั8นจึงนับได้ ว่า เป็ นคนสงบเสงีA ยม ดูกรนายคามณี นี8เป็ นเหตุเป็ นปั จจัยเครืA องให้ คนบางคนใน
โลกนี8ถงึ ความนับว่า เป็ นคนสงบเสงีA ยมหรือเป็ นคนสงบเสงีA ยม
เมืA อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี8แล้ ว นายจัณฑคามณีได้ กราบทูลพระผู้มพี ระภาคว่า
ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้ งยิA งนัก พระธรรมเทศนาของ
พระองค์แจ่มแจ้ งยิA งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือน
หงายของทีA ควําA เปิ ดของทีA ปิด บอกหนทางให้ แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในทีA มืดด้ วยหวัง
ว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปฉะนั8น ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญข้ าพระองค์น8 ีขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั8ง
พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็ นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจําข้ าพระองค์ว่าเป็ น
อุบาสกผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวติ ตั8งแต่วันนี8เป็ นต้ นไป ฯ
จัณฑสูตร จบ
๒๑

เขาคิชฌกูฎ
เขาคิชฌกูฏ หนึA งในเบญจคีคีรีทโีA อบร้ อมกรุงราชคฤห์ ภูเขาซึA
ขา งมียอดจรดหมู่ธารนํา8
เย็นสนิทมียอดอบอวลด้ วยดอกของต้ นไม้ ทมีA ีกลิA นหอมนานาชนิดมียอดวิจิตรงามอย่างยิA ง เป็ น
ทีA สงบวิเวกเหมาะแก่การหลีกเร้ น บนภูเขามีวหิ ารทีA เขาสร้ างถวายพระตถาคตเจ้ า อยู่บนนั8น ให้
เป็ นทีA ประทั
ประทับของพระผู้ มีพระภาคเจ้ าในคราวทีA ทรงประทั
ทรงประทับอยู่ โดยเอากรุง ราชคฤห์เป็ นโคจร
คาม .
ชืA อว่าคิชฌกูฏ เพราะเหตุว่าภูเขานั8นมียอดเคล้ ายนกแร้
นกแร้ ง หรืออีกอย่างหนึA งเพราะ
นกแร้ งอยู่บนยอดของภูเขานั8นอาศัยเป็ นทีA หากิน มีเรืA องราวทีA มาในชาดกทีA กล่าวถึงนกแร้ งบน
เขา คิชฌกูฏนั8นดังนี8
๒๒

นกแร้งสอนลูก
ในอดีตกาล พระโพธิสตั ว์เสวยพระชาติเป็ นนกแร้ งทีA เขาคิชฌกูฏ นกแร้ งนั8นมีบุตร
เป็ นพญาแร้ งชืA อสุปัต ซึA งมีกาํ ลังมาก มีนกแร้ งหลายพันเป็ นบริวาร พญาแร้ งนั8นเลี8ยงดูมารดา
บิดาผู้ชราอยู่ แต่เพราะความทีA ตนมีกาํ ลังมาก จึงชอบบินไปไกลเกินควร บิดาจึงสอนนก
แร้ งบุตรชายให้ บินแต่พอประมาณ ถ้ าบินสูงพอมองเห็นแผ่นดินมีทะเลล้ อมรอบ กลมดุจ
กงจักรลอยอยู่ในนํา8 ไม่ให้ บินสูงเกินไปกว่านั8นเพราะเป็ นทีA เกินภูมิของนก ลมเวรัมพวาตทีA เป็ น
ลมหมุนจะพัดทําลายให้ ตายได้ แต่พญาแร้ งไม่เชืA อฟังจึงถูกลมเวรัมพวาต พัดร่างกายแหลก
ละเอียด นกแร้ งทีA เป็ น บิดามารดา บุตรภรรยา ทีA นกแร้ งนั8นเลี8ยงดูอยู่กอ็ ดอาหารตายตามกัน.
นกแร้ งสุปัตไม่ทาํ ตามโอวาทของบัณฑิต นกแร้ งทีA อาศัยเขาก็ประสบทุกข์อนั ใหญ่หลวง ผู้ไม่ทาํ
ตามคําสอนของผู้ใหญ่ผ้ ูหวังประโยชน์ ย่อมถึงความพินาศ คือทุกข์ใหญ่ อย่างนั8นเหมือนกัน.
แม้ ในศาสนานี8กเ็ หมือนกัน ผู้ใดไม่ใคร่ครวญตรึกตรองถ้ อยคําของผู้แนะประโยชน์ ผู้
นั8นเป็ นผู้ชืAอว่าล่วงศาสนา ดังนกแร้ งไปล่วงเขตแดนต้ องเดือดร้ อนฉะนั8น ผู้ไม่ทาํ ตามคําสอน
ของผู้แนะประโยชน์ ย่อมถึงความพินาศทั8งหมดฉะนั8น เธอจงอย่าเป็ นเหมือนนกแร้ ง จงเชืA อ
ถ้ อยคําของผู้ทหีA วังดี พึงเป็ นผู้ว่าง่ายเถิด
พญาแร้งผูร้ ูค้ ุณ (คราวจะตายก็ไม่เห็นภัย)
ในอดีตกาลครั8ง พระโพธิสตั ว์บังเกิดในกําเนิดพญาแร้ ง เลี8ยงดูมารดาบิดาอยู่ทคีA ิชฌ
บรรพต. ต่อมาคราวหนึA งเกิดพายุฝนใหญ่. แร้ งทั8งหลายไม่สามารถทนพายุฝนได้ จึงพากันบิน
หนีมากรุงพาราณสีเพราะกลัวหนาว จับสัAนอยู่ด้วยความหนาว ณ ทีA ใกล้ กาํ แพงและคูเมือง. ใน
เวลานั8นเศรษฐีกรุงพาราณสีออกจากเมืองเห็นแร้ งเหล่านั8นกําลังลําบาก จึงช่วยก่อไฟให้ ผิงหา
เนื8อโคจากป่ าช้ ามาให้ พวกแร้ งแล้ วคอยดูแล ครั8นพายุฝนสงบแร้ งทั8งหลายก็มีร่างกาย
กระปรี8กระเปร่า พากันบินกลับสู่ภเู ขาตามเดิม.
พวกแร้ งคิดจะตอบแทนคุฌเศรษฐี ตั8งแต่น8ันมาแร้ งทั8งหลายคอยดูความเผลอเรอ
ของพวกมนุษย์ทตีA ากผ้ าและเครืA องอาภรณ์ไว้ กลางแดด ต่างพากันโฉบเฉีA ยวไปทิ8งในทีA ใกล้ เรือน
ของเศรษฐี.
พวกประชาชนเดือดร้ อนจึงทําบ่วงดักแร้ งก็ดักได้ เอาแร้ งทีA เลี8ยงมารดาได้ จึงนําไปเฝ้ า
พระราชา พระราชาถามว่าแร้ งทําไปทําไมก็ทราบความว่า ทีA ทาํ ไปเพราะการทําอุปการะตอบแก่
ผู้มีอปุ การะย่อมสมควรอย่างยิA ง จึงได้ นาํ ของไปให้ เศรษฐี.
พระราชาทรงพอพระทัยแต่สงสัยว่าเขากล่าวกันว่าแร้ งย่อมเห็นซากศพได้ ถงึ ร้ อย
โยชน์ เหตุไรจึงไม่เห็นบ่วงทีA ดักไว้ พญาแร้ งทูลว่าความเสืA อมจะมีในเวลาใด สัตว์ใกล้จะ
๒๓

สินชีวติ ในเวลาใด ในเวลานัน ถึงจะมาใกล้ขา่ ยและบ่วงก็รูไ้ ม่ได้. พระราชาพอพระทัยแล้ วจึงสัAง


คืนสิA งของให้ แก่ทุกคน และปล่อยพยาแร้ งไปเลี8ยงดูมารดาบิดาต่อไป
มูลคันธกุฏี
ณ บนยอดเขาคิชกูฏแห่งนี8อนั เป็ นทีA ต8ังของมูลคันธกุฎีทเีA ขาสร้ างถวายพระผู้มีพระ
ภาคเจ้ า เป็ นสถานทีA ทสีA าํ คัญและชาวพุทธทั8งหลาย พากันมาสักการบูชาเพืA อระรึกถึงพระพุทธ
องค์ทเีA สด็จมาประทับ ณ ยอดเขาแห่งนี8เสมอ เพืA อประโยชน์แห่งวิเวกสุข เหล่าเทวดาทั8งหลาย
ต่างมักมาเข้ าเฟ้ า ถามปัญหา พระพุทธองค์ ณ ทีA แห่งนี8เป็ นประจํา ครั8งหนึA งปั ญจสิขคนธรรพ์
เทพบุตรได้ เคยมากราบทูล คําของท้าวสักกะทีA เป็ นกถาว่าด้วยพระคุณตามที.เป็ นจริง ๘
ประการ ของพระผู้มีพระภาค ทีA ได้ ฟังมาในการประชุมของหมู่เทวดาให้ พระพุทธองค์ทรงทราบ
ว่า
พระคุณตามทีเป็ นจริง ๘ ประการของพระผูม้ พี ระภาค
๑. พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน ทรงปฏิบตั ิเพื.อเกื1 อกูลแก่ชนเป็ นอันมาก เพืA อ
ความสุขแก่ ชนเป็ นอันมาก เพืA ออนุเคราะห์โลก เพืA อประโยชน์เพืA อเกื8อกูลเพืA อความสุขแก่
เทวดาและมนุษย์ท8งั หลายเพียงไรเราไม่เคยเห็นพระศาสดาผู้ประกอบด้ วยองค์คุณเช่นนี8 ผู้ทรง
ปฏิบัติเพืA อเกื8อกูลแก่ชน เป็ น อันมาก เพืA อความสุขแก่ชนเป็ นอันมาก เพืA อ
อนุเคราะห์โลก เพืA อประโยชน์ เพืA อเกื8อกูล เพืA อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ท8งั หลาย
อย่างนี8 ในอดีตกาลเลย ถึงในบัดนี8กไ็ ม่เห็นนอกจากพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน ฯ
๒. พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ันตรัสดีแล้ ว อันบุคคลพึงเห็นเองไม่
ประกอบ ด้ วยกาล ควรเรียกให้ มาดู ควรน้ อมเข้ ามาในตน อันวิญ^ูชน พึงรู้เฉพาะตน เราไม่
เคยเห็นพระศาสดาผู้ประกอบด้ วยองค์คุณเช่นนี8 ผู้ทรงแสดงธรรมอันควรน้ อมเข้ ามาในตน
อย่างนี8ในอดีตกาลเลย ถึงบัดนี8กไ็ ม่เห็น นอกจาก พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน
๓. พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ันทรงบัญญัติไว้ ดีแล้ วว่า นี1 กุศล นี1 มีโทษ นี1 ไม่มีโทษ นี1
ควรเสพ นี1 ไม่ควรเสพ นี1 เลว นี1 ประณีต นี1 มีส่วนเทียบ ด้ วยธรรมดําและธรรมขาว เราไม่เคย
เห็นพระศาสดา ผู้ประกอบด้ วยองค์คุณเช่นนี8 ผู้ทรงบัญญัติธรรมอันเป็ นกุศล อกุศล มี
โทษ ไม่มีโทษ ควรเสพ ไม่ควรเสพ เลว ประณีต มีส่วนเทียบด้ วยธรรมดําและธรรมขาว อย่างนี8
ในอดีตกาลเลย ถึงในบัดนี8 ก็ไม่เห็น นอกจากพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน ฯ
๔. พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน ทรงบัญญัตินพิ พานคามินีปฏิปทา เพืA อพระสาวก
ทั8งหลายไว้ ดีแล้ ว พระนิพพานและปฏิปทาย่อมเทียบเคียงกันได้ ดุจนํา8 ในแม่นาํ8 คงคากับนํา8 ใน
๒๔

แม่นาํ8 ยมุนา ย่อมไหลคลุกคละกันได้ ฉะนั8น เราไม่เคย เห็นพระศาสดาผู้ประกอบด้ วยองค์คุณ


เช่นนี8 ทรงบัญญัตินิพพานคามินีปฏิปทา อย่างนี8 ในอดีตกาลเลย ถึงในบัดนี8กไ็ ม่เห็น นอกจาก
พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน ฯ
๕. พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน ทรงได้ พระเสขะผู้ดาํ รงอยู่ในปฏิปทา และพระ
ขีณาสพผู้อยู่จบพรหมจรรย์เป็ นสหาย เหตุน8ันพระผู้มีพระภาคทรงเบาพระทัยประกอบความ
เป็ นผู้ยนิ ดีอยู่พระองค์เดียวเราไม่เคยเห็นพระศาสดาผู้ประกอบด้ วยองค์คุณเช่นนี8 ทรง
ประกอบความเป็ นผู้ยินดีอยู่พระองค์เดียวอย่างนี8 ในอดีตกาลเลยถึงในบัดนี8กไ็ ม่เห็น นอกจาก
พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน ฯ
๖. ลาภ ความสรรเสริญ เกิดแก่พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน เห็นตลอดถึงกษัตริย์
ทั8งหลายทีA ยินดีอยู่ แต่พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ันปราศจากความเมา เสวยพระกระยาหารเรา
ไม่เคยเห็นพระศาสดาผู้ประกอบด้ วยองค์คุณเช่นนี8 ผู้ปราศจากความเมาเสวยพระกระยาหาร
อย่างนี8ในอดีตกาลเลย ถึงในบัดนี8กไ็ ม่เห็นนอกจากพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน ฯ
๗. พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน มีปรกติตรัสอย่างใดทําอย่างนั8น ทําอย่างใดตรัส
อย่างนั8น เหตุน8ันพระองค์จึงเชืA อว่า ตรัสอย่างใดทําอย่างนั8น ทําอย่างใดตรัสอย่างนั8น เราไม่
เคยเห็นพระศาสดาผู้ประกอบด้ วยองค์คุณเช่นนี8 ทรงปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอย่างนี8 ใน
อดีตกาลเลย ถึงในบัดนี8กไ็ ม่เห็น นอกจากพระผู้มพี ระภาคพระองค์น8ัน ฯ
๘. พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน ทรงข้ ามความสงสัยได้ แล้ วปราศจาก ความ
คลางแคลงมีความดําริถงึ ทีA สดุ ด้ วยพระอัธยาศัยเป็ นเบื8องต้ นแห่งพรหมจรรย์ เราไม่เคยเห็น
พระศาสดาผู้ประกอบ ด้ วยองค์คุณเช่นนี8 ผู้ทรงข้ ามความสงสัยได้ แล้ ว ปราศจากความ
คลางแคลง มีความดําริถงึ ทีA สดุ ด้ วยพระอัธยาศัยเป็ นเบื8องต้ นแห่งพรหมจรรย์อย่างนี8 ในอดีต
กาลเลย ถึงในบัดนี8กไ็ ม่เห็นนอกจากพระผู้มี พระภาคพระองค์น8ัน
บนยอดเขาคิชกูฏนี8พระผู้มีพระภาคเจ้ ายังได้ ทรงแสดงธรรมกล่าวสอนพุทธบริษัทไว้
มากมายโดยจะขอนําธรรมหมวดหนึA งทีA พระพุทธองค์ตรัสไว้ ในกลุ่มของธรรมทีA เรียกว่าอปริ
หานิยธรรม (ธรรมทีA ยังให้ ไม่เกิดความเสืA อม) ซึA งพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ หลายหมวดแต่จะ
ขอยกมากล่าวไว้ สักหนึA งหมวดพอให้ เป็ นหลักใจแก่สาธุชนทั8งหลาย ทีA ได้ มาถวายบังคมพระผู้มี
พระภาคถึงทีA ประทับท่านทั8งหลายพึงฟัง พึงใส่ใจให้ ดี
๒๕

อปริหานิยธรรม ๖ ประการ (สารานิยธรรม)


๑. ดูกรภิกษุท8งั หลาย พวกภิกษุจักเข้ าไปตั1งการกระทําทางกาย ประกอบด้วยเมตตา
ในเพืA อนพรหมจรรย์ท8งั หลาย ทั8งต่อหน้ าและลับหลัง อยู่เพียงใด พึงหวังได้ ซึAงความเจริญอย่าง
เดียวไม่มีเสืA อม เพียงนั8น ฯ
๒. ดูกรภิกษุท8งั หลาย พวกภิกษุจักเข้ าไปตั1งการกล่าววาจาประกอบด้วยเมตตา ใน
เพืA อนพรหมจรรย์ท8งั หลาย ทั8งต่อหน้ าและลับหลังอยู่เพียงใด พึงหวังได้ ซึAงความเจริญอย่าง
เดียว ไม่มีเสืA อม เพียงนั8น ฯ
๓.ดูกรภิกษุท8งั หลายพวกภิกษุจักเข้ าไปตั1งท่าทีทางใจประกอบด้วยเมตตาในเพืA อน
พรหมจรรย์ท8งั หลาย ทั8งต่อหน้ าและลับหลังอยู่เพียงใด พึงหวังได้ ซึA งความเจริญอย่างเดียว ไม่
มีเสืA อม เพียงนั8น ฯ
๔. ดูกรภิกษุท8งั หลาย พวกภิกษุจักเป็ นผูแ้ บ่งปั นลาภอันเป็ นธรรม ทีA ได้ มาโดยธรรม
โดยทีA สดุ แม้ มาตรว่าอาหารในบาตร คือเฉลีA ยกันบริโภค กับเพืA อนพรหมจรรย์ผ้ ูมีศีลทั8งหลาย
อยู่เพียงใด พึงหวังได้ ซึAงความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสืA อม เพียงนั8น ฯ
๕. ดูกรภิกษุท8งั หลาย พวกภิกษุจกั มีศีลเสมอกันกับเพื.อนพรหมจรรย์ ทั8งหลาย ทั8งต่อ
หน้ าและลับหลังในศีลอันไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้ อยเป็ นไทย อันวิญ^ูชนสรรเสริญแล้ ว
อันตัณหาทิฐิไม่ลูบคลําแล้ ว เป็ นไปเพืA อสมาธิ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ ซึAงความเจริญอย่างเดียว
ไม่มีเสืA อม เพียงนั8น ฯ
๖. ดูกรภิกษุท8งั หลาย พวกภิกษุจกั เป็ นผูม้ ีทิฐิเสมอกันกับเพื.อนพรหมจรรย์ท8งั หลาย
ทั8งต่อหน้ าและลับหลังในทิฐิอันประเสริฐนําออกไปจากทุกข์ นําผู้ปฏิบตั ิตามเพืA อความสิ8นทุกข์
โดยชอบ อยู่เพียงใด พึงหวังได้ ซึAงความเจริญ อย่างเดียว ไม่มีเสืA อม เพียงนั8น ฯ
อปริหานิยธรรม ทั8ง ๖ นี8จักตั8งอยู่ในชนหมู่ใด และชนเหล่าใดสนใจในการประพฤติ
อปริหา นิยธรรมทั8ง ๖ นี8 อยู่ พึงหวังได้ ซึAงความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสืA อมเพียงนั8น ฯ
บนยอดเขานี8ท้าวเวสวัณมหาราช ราชาแห่งหมู่ยักษ์ซึAงเป็ นตัวแทนของท้ าวมหาราชทั8ง
สีA นั8นได้ สาธยาย อาฏานาฏิยปริต อันเป็ นมนต์เครืA องรักษาคุ้มครองจากเหล่ายักษ์ถวายพระผู้มี
พระภาคเจ้ าเพืA อตรัสบอกแก่พุทธบริษัท เพืA อไม่ให้ ถูกเบียดเบียนจากเหล่าอมนุษย์ ทีA ดุร้าย เกเร
ทีA ไม่เลืA อมใสในพระพุทธเจ้ า โดยจะนําข้ อความในปริตรนี8 มาแสดงเพืA อใช้ สาธยายอันก่อให้ เกิด
ความเพลิดเพลินแห่งสาธุชนทั8งหลายและให้ เป็ นมงคลอันอุดมดังนี8
๒๖

อาฏานาฏิยปริตร
ขอนอบน้อมแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผูม้ ีพระจักษุ มีพระสิริ
ขอนอบน้อมแด่พระสิขีพุทธเจ้า ผูท้ รงอนุเคราะห์แก่สตั ว์ทว-ั หน้า
ขอนอบน้อมแด่พระเวสสภูพุทธเจ้า ผูท้ รงชําระกิเลสมีความเพียร
ขอนอบน้อมแด่พระกกุสนั ธพุทธเจ้า ผูท้ รงยํ-ายีมารและเสนามาร
ขอนอบน้อมแด่พระโกนาคมน์พุทธเจ้า ผูม้ ีบาปอันลอยแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์
ขอนอบน้อมแด่พระกัสสปพุทธเจ้า ผูพ้ น้ พิเศษแล้วในธรรมทัง ปวง
ขอนอบน้อมแด่พระอังคีรสพุทธเจ้า ผูศ้ ากยบุตร ผูม้ ีพระสิริ
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดได้ทรงแสดงธรรมนี. อันเป็ นเครืองบรรเทาทุกข์ทัง. ปวง
พระพุทธเจ้าเหล่าใด ผูด้ บั แล้วในโลก ทรงเห็ นแจ้งแล้วตามเป็ นจริง
พระพุทธเจ้ าเหล่านั8น เป็ นผู้ไม่ส่อเสียด เป็ นผู้ยิAงใหญ่ ปราศจากความครัAนคร้ าม
เทวดาและมนุษย์ท8งั หลายนอบน้ อมพระพุทธเจ้ าพระองค์ใด ผู้โคตมโคตร ทรงเกื8อกูลแก่ทวย
เทพและมนุษย์ ทรงถึงพร้ อมด้ วยวิชชาและจรณะ เป็ นผู้ยิAงใหญ่ ปราศจากความครัAนคร้ าม.
พระสุริยาทิตย์มีมณฑลใหญ่อุทยั ขึ8นแต่ทศิ ใดแล เมืA อพระอาทิตย์อุทยั ขึ8น ราตรีกห็ าย
ไป ครั8นพระอาทิตย์อทุ ยั ขึ8น ย่อมเรียกกันว่ากลางวัน แม้ น่านนํา8 ในทีA พระอาทิตย์อทุ ยั นั8นเป็ น
สมุทรลึก มีนาํ8 แผ่เต็มไป ชนทั8งหลายย่อมรู้จักน่านนํา8 นั8นในทีA น8ันอย่างนี8ว่า สมุทรมีนาํ8 แผ่เต็มไป

แต่ทนีA 8 ไี ป ทิศทีA ชนเรียกกันว่าปุริมทิศ ทีA ท้าวมหาราชผู้ทรงยศเป็ นเจ้ าเป็ นใหญ่ของ
พวกคนธรรพ์ ทรงนามว่าท้าวธตรฏฐ์ อันพวกคนธรรพ์แวดล้ อมแล้ ว ทรงโปรดปรานด้ วยการ
ฟ้ อนรําขับร้ อง ทรงอภิบาลอยู่ข้าพเจ้ าได้ สดับมาว่า โอรสของท้ าวเธอมีมากองค์ มีพระนาม
เดียวกันทั8งเก้ าสิบเอ็ดองค์ มีพระนามว่าอินทะ ทรงพระกําลังมาก ทั8งท้ าวธตรฏฐ์และโอรส
เหล่านั8นเห็นพระพุทธเจ้ าผู้เบิกบานแล้ ว ผู้เป็ นเผ่าพันธุแ์ ห่งพระอาทิตย์พากันถวายบังคม
พระพุทธเจ้ า ซึA งเป็ นผู้ยงิA ใหญ่ปราศจากความครัAนคร้ าม แต่ทไีA กลว่า ข้ าพระพุทธเจ้ าขอนอบ
น้ อมแด่พระองค์ พระอุดมบุรุษ ข้ าพระพุทธเจ้ าขอนอบน้ อมแด่พระองค์ขอพระองค์ทรงตรวจดู
มหาชนด้ วยพระญาณอันฉลาด แม้ พวกอมนุษย์กถ็ วายบังคมพระองค์ ข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลาย
ได้ สดับมาอย่างนั8นเนืองๆฉะนั8น จึงกล่าวเช่นนี8 ข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลายถามเขาว่า พวกท่าน
ถวายบังคมพระชินโคดมหรือ เขาพากันตอบว่า ถวายบังคมพระชินโคดม ข้ าพระพุทธเจ้ า
ทั8งหลายขอถวายบังคมพระพุทธเจ้ า ผู้ถงึ พร้ อมด้ วยวิชชาและจรณะชนทั8งหลายผู้กล่าวส่อเสียด
๒๗

ผู้กัดเนื8อข้ างหลังทําปาณาติบาตลามก เป็ นโจร เป็ นคนตลบตะแลง ตายแล้ วชนทั8งหลายพากัน


กล่าวว่า จงนําออกไปโดยทิศใด
แต่น8 ไี ป ทิศทีA ชนเรียกกันว่าทักขิณทิศ ทีA ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ เป็ นเจ้ าเป็ นใหญ่ของ
พวกกุมภัณฑ์ ทรงนามว่า ท้าววิรุฬหะอันพวกกุมภัณฑ์แวดล้ อมแล้ ว ทรงโปรดปรานด้ วยการ
ฟ้ อนรําขับร้ อง ทรงอภิบาลอยู่ข้าพเจ้ าได้ สดับมาว่า โอรสของท้ าวเธอมีมากองค์ มีพระนาม
เดียวกันทั8งเก้ าสิบเอ็ดองค์มีพระนามว่า อินทะ ทรงพระกําลังมาก ทั8งท้ าววิรฬุ หะและโอรส
เหล่านั8นได้ เห็นพระพุทธเจ้ าผู้เบิกบานแล้ ว ผู้เป็ นเผ่าพันธุแ์ ห่งพระอาทิตย์ พากันถวายบังคม
พระพุทธเจ้ า ซึA งเป็ นผู้ยิAงใหญ่ปราศจากความครัAนคร้ ามแต่ทไีA กลว่า พระบุรุษอาชาไนย
ข้ าพระพุทธเจ้ าขอนอบน้ อมแด่พระองค์ พระบุรษุ อุดม ข้ าพระพุทธเจ้ าขอนอบน้ อมแด่พระองค์
ขอพระองค์ทรงตรวจดูมหาชนด้ วยพระญาณอันฉลาด แม้ พวกอมนุษย์กถ็ วายบังคมพระองค์
ข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลายได้ สดับมาอย่างนั8นเนืองๆ ฉะนั8น จึงกล่าวเช่นนี8 ข้ าพระพุทธเจ้ า
ทั8งหลายถามเขาว่า พวกท่านถวายบังคมพระชินโคดมหรือ เขาพากันตอบว่า ถวายบังคมพระ
ชินโคดมข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลาย ขอถวายบังคมพระพุทธโคดม ผู้ถงึ พร้ อมด้ วยวิชชาและจรณะ
พระสุริยาทิตย์มีมณฑลใหญ่ อัสดงคตในทิศใด และเมืA อพระอาทิตย์อสั ดงคต กลางวันก็ดับไป
ครั8นพระอาทิตย์อสั ดงคตแล้ ว ย่อมเรียกกันว่ากลางคืน แม้ น่านนํา8 ในทีA พระอาทิตย์อสั ดงคต
แล้ ว เป็ นสมุทรลึก มีนาํ8 แผ่เต็มไปชนทั8งหลายย่อมรู้จักน่านนํา8 นั8น ในทีA น8ันอย่างนี8ว่าสมุทรมีนาํ8
แผ่เต็มไป ฯ
แต่ทนีA 8 ไี ป ทิศทีA มหาชนเรียกกันว่าปัจฉิมทิศ ทีA ท้าวมหาราชผู้ทรงยศเป็ นเจ้ าเป็ นใหญ่
ของพวกนาค ทรงนามว่าท้ าววิรูปักษ์อันพวกนาคแวดล้ อมแล้ ว ทรงโปรดปรานด้ วยการฟ้ อนรํา
ขับร้ อง ทรงอภิบาลอยู่ข้าพเจ้ าได้ สดับมาว่า โอรสของท้ าวเธอมีมากองค์ มีพระนามเดียวกันทั8ง
เก้ าสิบเอ็ดองค์ มีพระนามว่าอินทะทรงพระกําลังมาก ทั8งท้ าววิรูปักษ์และโอรสเหล่านั8น ได้ เห็น
พระพุทธเจ้ า ผู้เบิกบานแล้ ว ผู้เป็ นเผ่าพันธุ์ แห่งพระอาทิตย์พากันถวายบังคมพระพุทธเจ้ า ซึA ง
เป็ นผู้ยิAงใหญ่ ปราศจากความครัAนคร้ าม แต่ทไกลเที ีA ยวว่า พระบุรุษอาชาไนย ข้ าพระพุทธเจ้ า
ขอนอบน้ อมแด่พระองค์ พระอุดมบุรษุ ข้ าพระพุทธเจ้ าขอนอบน้ อมแด่พระองค์ ขอพระองค์
ทรงตรวจดูมหาชน ด้ วยพระญาณอันฉลาดแม้ พวกอมนุษย์กถ็ วายบังคมพระองค์
ข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลาย ได้ สดับมาอย่างนั8นเนืองๆ ฉะนั8น จึงกล่าวเช่นนี8 ข้ าพระพุทธเจ้ า
ทั8งหลายถามเขาว่า พวกท่านถวายบังคมพระชินโคดมหรือ เขาพากันตอบว่าถวายบังคมพระชิน
โคดมข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลาย ขอถวายบังคมพระพุทธโคดม ผู้ถงึ พร้ อมด้ วยวิชชาและจรณะ
อุตตรกุรุทวีปเป็ นรมณียสถาน มีภเู ขาหลวงชืA อสิเนรุแลดูงดงาม ตั8งอยู่ทิศใด พวกมนุษย์ซึAงเกิด
ในอุตตรกุรุทวีปนั8น ไม่ยดึ ถือสิA งใดว่าเป็ นของตน ไม่หวงแหนกันมนุษย์เหล่านั8น ไม่ต้องหว่าน
๒๘

พืช และไม่ต้องนําไถออกไถ หมู่มนุษย์บริโภคข้ าวสาลี อันผลิตผลในทีA ไม่ต้องไถ ไม่มีราํ ไม่มี


แกลบ บริสุทธิJมีกลิA นหอม เป็ นเมล็ดข้ าวสาร หุง [ข้ าวนั8น] ในเตาอันปราศจากควันแล้ วบริโภค
โภชนะแต่ทนีA 8ันทําแม่โคให้ มีกบี เดียว แล้ วเทีA ยวไปสู่ทศิ น้ อย ทิศใหญ่ทาํ ปศุสัตว์ให้ มีกบี เดียว
แล้ วเทีA ยวไปสู่ทศิ น้ อยทิศใหญ่ ทําหญิงให้ เป็ นพาหนะ แล้ วเทีA ยวไปสู่ทศิ น้ อยทิศใหญ่ ทําชายให้
เป็ นพาหนะ แล้ วเทีA ยวไปสู่ทศิ น้ อยทิศใหญ่ ทํากุมารีให้ เป็ นพาหนะแล้ วเทีA ยวไปสู่ทศิ น้ อยทิศ
ใหญ่ ทํากุมารให้ เป็ นพาหนะ แล้ วเทีA ยวไปสู่ทศิ น้ อยทิศใหญ่ บรรดานางบําเรอของพระราชานั8น
ก็ข8 ึนยานเหล่านั8นตามห้ อมล้ อมไปทุกทิศด้ วย ยานช้ างยานม้ า ยานทิพย์ ปราสาทและวอ ก็
ปรากฏแก่ท้าวมหาราชผู้ทรงยศ ฯ และท้ าวมหาราชนั8น ได้ ทรงนิรมิตนครไว้ ในอากาศ คือ
อาฏานาฏานคร กุสนิ าฏานครปรกุสนิ าฏานคร นาฏปริยานคร ปรกุสิตนาฏานคร ทางทิศอุดร
มีกปี วันตนคร และอีกนครหนึA งชืA อชโนฆะ อีกนครหนึA งชืA อ นวนวติยะ อีกนครหนึA งชืA ออัมพร
อัมพรวติยะ มีราชธานีนามว่าอาฬกมันทา ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูนิรทุกข์กร็ าชธานีของท้าวกุเวร
มหาราช ชืA อวิสาณา ฉะนั8น มหาชนจึงเรียกท้ าวกุเวรมหาราชว่าท้ าวเวสวัณยักษ์ชืAอตโตลา ,
อตัตตลา, ชืA อตโตตลา, ชืA อโอชสี ,ชืA อเตชสี . ชืA อตโตชสี , ชืA อสุระ ,ชืA อราชา ,ชืA ออริฏฐะ ,ชืA อเนมิ
ย่อมปรากฏมีหน้ าทีA คนละแผนกในวิสาณาราชธานีน8ัน มีห้วงนํา8 ชืA อธรณีเป็ นแดนทีA เกิดเมฆ เกิด
ฝนตกในวิสาณาราชธานีน8ันมีสภาชืA อภคลวดี เป็ นทีA ประชุมของพวกยักษ์ ณทีA น8ัน มีต้นไม้ เป็ น
อันมาก มีผลเป็ นนิจ ดารดาษด้ วยหมู่นกต่างๆ มีนกยูงนกกะเรียน นกดุเหว่า อันมีเสียงหวาน
ประสานเสียง มีนกร้ องว่าชีวะชีวะ และบางเหล่ามีเสียงปลุกใจ มีไก่ป่า มีปู และนกโปกขรสาต
กะอยู่ในสระประทุม ในทีA น8ันมีเสียงนกสุกะและนกสาลิกา และหมู่นกทัณฑมานวกะ [มีหน้า
เหมือนมนุษย์] สระนฬินขี องท้ าวกุเวรนั8นงดงามอยู่ตลอดเวลาทุกเมืA อ ฯ
แต่ทศิ นี8ไป ทิศทีA ชนเรียกกันว่าอุตตรทิศ ทีA ท้าวมหาราชผู้ทรงยศเป็ นเจ้ าเป็ นใหญ่
ของยักษ์ท8งั หลาย ทรงนามว่าท้ าวกุเวร อันยักษ์ท8งั หลายแวดล้ อมแล้ ว ทรงโปรดปรานด้ วยการ
ฟ้ อนรํา ขับร้ อง ทรงอภิบาลอยู่ข้าพเจ้ าได้ สดับมาว่า โอรสของท้ าวเธอมีมากองค์มีพระนาม
เดียวกันทั8งเก้ าสิบเอ็ดพระ องค์ มีพระนามว่าอินทะทรงพระกําลังมาก ทั8งท้ าวกุเวรและโอรส
เหล่านั8นได้ เห็นพระพุทธเจ้ า ผู้เบิกบานแล้ ว ผู้เป็ นเผ่าพันธุแ์ ห่งพระอาทิตย์พากันถวายบังคม
พระพุทธเจ้ าซึA งเป็ นผู้ยิAงใหญ่ ปราศจากความครัAนคร้ ามแต่ทไีA กลว่า พระบุรุษอาชาไนย
ข้ าพระพุทธเจ้ าขอนอบน้ อมแด่พระองค์ พระอุดมบุรษุ ข้ าพระพุทธเจ้ าขอนอบน้ อมแด่พระองค์
ขอพระองค์ทรงตรวจดูมหาชนด้ วยพระญาณอันฉลาด แม้ พวกอมนุษย์กถ็ วายบังคมพระองค์
ข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลายได้ สดับมาอย่างนั8นเนืองๆ ฉะนั8น จึงกล่าวเช่นนี8 ข้ าพระพุทธเจ้ า
ทั8งหลายถามเขาว่าพวกท่านถวายบังคมพระชินโคดมหรือเขาพากันตอบว่าถวายบังคมพระชิน
โคดม ข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลายขอถวายบังคมพระพุทธโคดมผู้ถึงพร้ อมด้ วยวิชชาและจรณะ ฯ”
๒๙

ถํ1าสุกรขาตา
ถํา8 สูกรขาตาคือที.เร้นที.หมู ขุดไว้ เล่ากันว่าในเวลาพระกัสสปพุทธเจ้ า ถํา8 นั8นเมืA อ
แผ่นดินงอกขึ8นมาในพุทธันดรหนึA งก็จมอยู่ในแผ่นดิน.
วันหนึA ง หมูตัวหนึA ง ขุดคุ้ยดินทีA ใกล้ รอบ ๆ หลังคาถํา8 นั8น. เมืA อฝนตกมาดินก็ถูกชะ
จึงปรากฏรอบ ๆ เป็ นหลังคา พรานป่ าคนหนึA งมาพบเข้ า จึงคิดว่า แต่ก่อนต้ องเป็ นทีA ททีA ่านผู้
มีศีลทั8งหลายเคยใช้ สอยมาแล้ วเป็ นแน่ เราจะปรับปรุงมัน จึ งขนเอาดินโดยรอบออกไป ทํา
ถํ1าให้สะอาด ล้อมรั1วรอบกระท่อม ติดประตูหน้าต่าง โบกปูนขาววาดภาพจิ ตรกรรมจน
สําเร็จเป็ นอย่างดี แล้วเอาทรายที.เหมือนแผ่นเงินมาเกลี.ยจนทัว. บริเวณ ตั1งเตียงและตั.งไว้
แล้ว ได้ถวายเพื.อประโยชน์เป็ นที.ประทับของพระผูม้ ีพระภาคเจ้า ถํา8 เป็ นสถานทีA ๆลึก เป็ น
สถานทีA ๆทีA พึงขึ8นลงได้ ในพระไตรปิ ฎกนั8นมีพระสูตรหนึA งทีA มีชืAอเดียวกันกับถํา8 สุกรขาตาจึงขอ
นํามาแสดงไว้ เพืA อความบันเทิงใจแก่พุทธบริษัททั8งหลายผู้ทไีA ด้ มาถึงถํา8 แห่งนี8
สูกรขาตาสูตร
(ธรรมเป็ นแดนเกษมจากโยคะ)
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ถํา8 สูกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ใกล้ พระนครรา
ชคฤห์ ณ ทีA นั8น พระองค์ตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรแล้ วตรัสถามว่า ดูกรสารีบุตรภิกษุผขู ้ ีณาสพ
เห็นอํานาจประโยชน์อะไรหนอ จึงประพฤตินอบน้อมอย่างยิ-งในตถาคต หรือในศาสนาของ
ตถาคต.
ท่านสารีบตุ รกราบทูลว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ภิกษุผ้ ูขณ
ี าสพ เห็นธรรมเป็ นแดน
เกษมจากโยคะอันยอดเยีA ยม จึงประพฤตินอบน้ อมอย่างยิA งในพระตถาคต หรือในศาสนาของ
พระตถาคต.
พ. ถูกละๆสารีบุตร ภิกษุผ้ ูขีณาสพ เห็นธรรมเป็ นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยีA ยม
จึงประพฤตินอบน้ อม ในตถาคต หรือในศาสนาของตถาคต ดูกรสารีบุตร ก็ธรรมเป็ นแดน
เกษมจากโยคะ อันยอดเยีA ยม ทีA ภิกษุขีณาสพเห็นอยู่ จึงประพฤตินอบน้ อมอย่างยิA ง ในตถาคต
หรือในศาสนาของตถาคตนั8น เป็ นไฉน?
สา. ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ภิกษุผ้ ูขีณาสพในธรรมวินัยนี8 ย่อมเจริญสัทธินทรีย์อนั ให้
ถึงความสงบ ให้ ถงึ ความตรัสรู้ ย่อมเจริญวิริยินทรีย์ ... สตินทรีย์ ... สมาธินทรีย์ ...ปัญญินทรีย์
อันให้ ถงึ ความสงบ ให้ ถงึ ความตรัสรู้ ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ธรรมเป็ นแดนเกษมจากโยคะอัน
ยอดเยีA ยมนี8แล ทีA ภิกษุผ้ ูขณ
ี าสพเห็นอยู่ จึงประพฤตินอบน้ อมอย่างยิA งในตถาคตหรือในศาสนา
ของพระตถาคต
๓๐

พ. ถูกละๆ สารีบตุ ร ธรรมเป็ นแดนเกษมจากโยคะ อันยอดเยีA ยมนี8แลทีA ภิกษุผ้ ู


ขีณาสพเห็นอยู่ จึงประพฤตินอบน้ อมอย่างยิA งในตถาคต หรือในศาสนาของตถาคต. ดูกร
สารีบุตร การนอบน้ อมอย่างยิA ง ทีA ภิกษุผ้ ูขณ
ี าสพประพฤติในตถาคตหรือในศาสนาของตถาคต
เป็ นไฉน?
สา. ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ภิกษุผ้ ูขีณาสพในธรรมวินัยนี8 มีความเคารพยําเกรงใน
พระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในการศึกษา ในสมาธิ ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญการนอบ
น้ อมอย่างยิA งแล ทีA ภิกษุผ้ ูขณ
ี าสพประพฤติ ในพระตถาคต หรือในศาสนาของตถาคต.
พ. ถูกละๆ สารีบุตร การนอบน้ อมอย่างยิA งนี8แล ทีA ภิกษุผ้ ูขณ
ี าสพประพฤติในตถาคต
หรือในศาสนาของตถาคต.
(และถํา8 สุกรขาตาแห่ งนี8เป็ นสถานทีA ทีA พระสารีบุตรเถระได้ บรรลุธรรมเป็ นพระอรหันต์ กระทํา
ทีA สุดแห่ งสาวกบารมีญาณ ในขณะทีA พระพุทธองค์ทรงแสดงเทศนา โปรดปริพาชกผู้หนึA ง เทสนานี8จึงนับเป็ น
พระสูตรหนึA งทีA พึงกล่าวถึงเมืA อได้ มีโอกาศได้ เดินทางมา ณ สถานทีA แห่ งนี8)
สูกรขาตาสูตร จบ

ทีฆนขสูตร ( เรืองทีฆนขปริพาชก)
ข้ าพเจ้ าได้ สดับมาอย่างนี8 สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ถํา8 สุกรขาตา
เขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์.ครั8งนั8น ปริพาชกชืA อทีฆนขะ เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA
ประทับ ได้ ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั8นผ่านการปราศรัยพอให้ ระลึกถึงกันไปแล้ ว ได้ ยืน
อยู่ ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA งแล้ ว.ได้ กราบทูลว่า ท่านพระโคดม ความจริงข้ าพเจ้ ามีปกติกล่าวอย่าง
นี8 มีปกติเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่เรา.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อัคคิเวสสนะ แม้ ความเห็นของท่านว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่
เรานั8น ก็ไม่ควรแก่ท่าน.
ท่านพระโคดม ถ้ าความเห็นนี8ควรแก่ข้าพเจ้ า แม้ ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8น แม้
ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8น.
อัคคิเวสสนะ ชนในโลกผู้ทกล่ ีA าวอย่างนี8ว่า แม้ ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8นทั8งนั8นแม้
ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8นทั8งนั8น ดังนี8 ชนเหล่านั8นละความเห็นนั8นไม่ได้ และยังยึดถือ
ความเห็นอืA นนั8น มีมาก คือมากกว่าคนทีA ละได้ . อัคคิเวสสนะ ชนในโลกผู้ทกล่ ีA าวอย่างนี8ว่าแม้
ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8นทั8งนั8น แม้ ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8นทั8งนั8น ดังนี8 ชนเหล่านั8น
ละความเห็นนั8นได้ และไม่ยึดถือความเห็นอืA นนั8น มีน้อยคือน้ อยกว่าคนทีA ยังละไม่ได้ .
๓๑

ทิฎฐิเป็ นเหตุให้เกิดวิวาท
อัคคิเวสสนะ สมณพราหมณ์พวกหนึA งมักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวง
ควรแก่เรา ดังนี8 ก็ม.ี สมณพราหมณ์พวกหนึA งมักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8 สิA งทั8งปวงไม่ควร
แก่เรา ดังนี8 ก็มี สมณพราหมณ์พวกหนึA งมักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า บางสิA งควรแก่เรา
บางสิA งไม่ควรแก่เรา ดังนี8 ก็มี
อัคคิเวสสนะ บรรดาความเห็นนั8น ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกทีA มักกล่าวอย่าง
นี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงควรแก่เรานั8น ใกล้ ข้างกิเลสอันเป็ นไปกับด้ วยความกําหนัด ใกล้
ข้ างกิเลสเครืA องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุเพลิดเพลิน ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุกลํา8
กลืน ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุยึดมัAน. อัคคิเวสสนะบรรดาความเห็นนั8น ความเห็นของสมณ
พราหมณ์พวกทีA มักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่เรานั8น ใกล้ ข้างธรรมไม่
เป็ นไปกับด้ วยความกําหนัด ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเครืA องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ น
เหตุเพลิดเพลิน ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเหตุกลํา8 กลืน ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเหตุยึดมัAน. เมืA อพระผู้มี
พระภาคตรัสอย่างนี8แล้ ว ทีฆนขปริพาชกได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดมทรงยก
ย่องความเห็นของข้ าพเจ้ า ท่านพระโคดมทรงยกย่องความเห็นของข้ าพเจ้ า.
อัคคิเวสสนะ ในความเห็นนั8นๆ ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกทีA มักกล่าวอย่างนี8
มักเห็นอย่างนี8ว่า บางสิA งควรแก่เรา บางสิA งไม่ควรแก่เรา นั8นส่วนทีA เห็นว่าควร ใกล้ ข้างกิเลสอัน
เป็ นไปกับด้ วยความกําหนัด ใกล้ ข้างกิเลสเครืA องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุ
เพลิดเพลิน ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุกลํา8 กลืน ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุยดึ มัAน ส่วนทีA เห็นว่าไม่ควร
ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นไปด้ วยความกําหนัด ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเครืA องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ ข้าง
ธรรมไม่เป็ นเหตุเพลิดเพลิน ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเหตุกลํา8 กลืน ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเหตุยดึ มัAน.
อัคคิเวสสนะ บรรดาความเห็นนั8น ในความเห็นของสมณพราหมณ์ผ้ ูทมีA ักกล่าวอย่าง
นี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงควรแก่เรานั8น วิญ^ูชนย่อมเห็นตระหนักว่า เราจะยึดมัAน ถือมัAน
ซึA งทิฏฐิของเราว่า สิA งทั8งปวงควรแก่เรา ดังนี8 แล้ วยืนยันโดยแข็งแรงว่า สิA งนี8เท่านั8นจริง สิA งอืA น
เปล่า เราก็พึงถือผิดจากสมณพราหมณ์สองพวกนี8 คือ สมณพราหมณ์ผ้ ูมกั กล่าวอย่างนี8 มักเห็น
อย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่เรา ๑ สมณพราหมณ์ผ้ ูมักกล่าวอย่างนี8มกั เห็นอย่างนี8ว่า บางสิA ง
ควรแก่เรา บางสิA งไม่ควรแก่เรา ๑. เมื.อความถือผิดกันมีอยู่ดงั นี1 ความทุ่มเถียงกันก็มี เมื.อมี
ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกันก็มี. เมื.อมีความแก่งแย่งกัน ความเบียดเบียนกันก็ม.ี
วิญ^ูชนนั8นพิจารณาเห็นความถือผิดกัน ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกันและ
๓๒

ความเบียดเบียนกัน ในตนดังนี1 อยู่ จึ งละทิฏฐิ น1นั เสียด้วย ไม่ยึดถือทิฎฐิอ. ืนด้วย การละการ


สละคืนทิฎฐิ เหล่านี1 ย่อมมีได้ดว้ ยประการฉะนี1 .
อัคคิเวสสนะ บรรดาความเห็นนั8น ในทิฎฐิของสมณพราหมณ์ผ้ ูทมัีA กกล่าวอย่างนี8 มัก
เห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่เรา ดังนี8น8ันวิญ^ูชนย่อมเห็นตระหนักว่า ถ้ าเราจะยึดมัAน ถือ
มัAนซึA งทิฎฐิของเราว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่เราดังนี8 แล้ วยืนยันโดยแข็งแรงว่า สิA งนี8เท่านั8นจริง สิA ง
อืA นเปล่า เราก็พึงถือผิดจากสมณพราหมณ์สองพวกนี8 คือ สมณพราหมณ์ผ้ ูมักกล่าวอย่างนี8 มัก
เห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงควรแก่เรา ๑สมณพราหมณ์ผ้ ูมักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า บางสิA ง
ควรแก่เรา บางสิA งไม่ควรแก่เรา ๑. เมืA อความถือผิดกันมีอยู่ดังนี8 ความทุม่ เถียงกันก็มี เมืA อมี
ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกันก็มีเมืA อมีความแก่งแย่งกัน ความเบียดเบียนกันก็มี. วิญ^ู
ชนนั8นพิจารณาเห็นความถือผิดกัน ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกัน และความเบียดเบียน
กัน ในตนดังนี8อยู่ จึงละทิฎฐิน8ันเสียด้ วยไม่ยึดถือทิฎฐิอืAนด้ วย. การละ การสละคืนทิฎฐิเหล่านั8น
ย่อมมีได้ ด้วยประการฉะนี8.
อัคคิเวสสนะบรรดาความเห็นนั8น ในทิฎฐิของสมณพราหมณ์ผ้ ูมักกล่าวอย่างนี8 มัก
เห็นอย่างนี8ว่า บางสิA งควรแก่เรา บางสิA งไม่ควรแก่เรา ดังนี8น8ัน วิญ^ูชนย่อมเห็นตระหนักว่า ถ้ า
เราจะยึดมัAนถือมัAน ซึA งทิฎฐิของเราว่า บางสิA งควรแก่เรา บางสิA งไม่ควรแก่เราดังนี8 แล้ วยืนยันโดย
แข็งแรงว่า สิA งนี8เท่านั8นจริง สิA งอืA นเปล่า เราก็พึงถือผิดจากสมณพราหมณ์สองพวกนี8 คือ สมณ
พราหมณ์ผ้ ูมักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงควรแก่เรา ๑ สมณพราหมณ์ผ้ ูมักกล่าว
อย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่เรา ๑.
เมืA อความถือผิดกันมีอยู่ดังนี8 ความทุ่มเถียงกันก็มี เมืA อมีความทุ่มเถียงกัน ความ
แก่งแย่งกันก็มี เมืA อมีความแก่งแย่งกัน ความเบียดเบียนกันก็มี. วิญ^ูชนนั8นพิจารณาเห็นความ
ถือผิดกัน ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกัน และความเบียดเบียนกันในตนดังนี8อยู่ จึงละ
ทิฎฐิน8ันเสียด้ วย ไม่ยึดถือทิฎฐิอนด้ ืA วย การละ การสละคืนทิฎฐิเหล่านั8นย่อมมีได้ ด้วยประการ
ฉะนี8.
อัคคิเวสสนะ ก็กายนี8มีรูป เป็ นทีA ประชุมมหาภูตทั8งสีA มีมารดาบิดาเป็ นแดนเกิด เจริญ
ด้ วยข้ าวสุกและขนมสด ต้ องอบและขัดสีกนั เป็ นนิจ มีความแตกกระจัดกระจายเป็ นธรรมดา
ท่านควรพิจารณาโดยความเป็ นของไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ เป็ นโรค เป็ นดังหัวฝี เป็ นดังลูกศร เป็ น
ความลําบาก เป็ นความเจ็บไข้ เป็ นดังผู้อืAน เป็ นของทรุดโทรม เป็ นของว่างเปล่าเป็ นของมิใช่
ตน. เมืA อท่านพิจารณาเห็นกายนี8 โดยความเป็ นของไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ เป็ นโรคเป็ นดังหัวฝี เป็ น
ดังลูกศร เป็ นความลําบาก เป็ นความเจ็บไข้ เป็ นดังผู้อนืA เป็ นของทรุดโทรมเป็ นของว่างเปล่า
๓๓

เป็ นของมิใช่ตนอยู่ ท่านย่อมละความพอใจในกาย ความเยืA อใยในกาย ความอยู่ในอํานาจของ


กายในกายได้ .

เวทนา ๓
อัคคิเวสสนะ เวทนาสามอย่างนี8 คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑.
อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้ เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั8นไม่ได้ เสวยทุกขเวทนา ไม่ไม่ได้
เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้ เสวยแต่สขุ เวทนาเท่านั8น.
ในสมัยใดได้ เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั8นไม่ได้ เสวยสุขเวทนาไม่ได้ เสวยอทุกขมสุข
เวทนา ได้ เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั8น.
ในสมัยใดได้ เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั8นไม่ได้ เสวยสุขเวทนา ไม่ได้ เสวย
ทุกขเวทนา ได้ เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั8น.
อัคคิเวสสนะ สุขเวทนาไม่เทีA ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ8นอาศัยปัจจัยเกิดขึ8น มีความสิ8น
ไป เสืA อมไป คลายไป ดับไปเป็ นธรรมดา. แม้ ทุกขเวทนาก็ไม่เทีA ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ8น อาศัย
ปัจจัยเกิดขึ8น มีความสิ8นไป เสืA อมไป คลายไป ดับไปเป็ นธรรมดา. แม้ อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่
เทีA ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ8น อาศัยปัจจัยเกิดขึ8น มีความสิ8นไป เสืA อมไป คลายไป ดับไปเป็ น
ธรรมดา.
อัคคิเวสสนะอริยสาวกผู้ได้ สดับแล้ ว เมืA อเห็นอยู่อย่างนี8 ย่อมหน่ายทั8งในสุขเวทนา
ทั8งในทุกขเวทนา ทั8งในอทุกขมสุขเวทนา เมืA อหน่ายย่อมคลายกําหนัด เพราะคลายกําหนัด ย่อม
หลุดพ้ น เมืA อหลุดพ้ นแล้ ว ก็มีญาณหยัAงรู้ว่าหลุดพ้ นแล้ ว รู้ชัดว่าชาติส8 ินแล้ ว พรหมจรรย์อยู่จบ
แล้ ว กิจทีA ควรทําสําเร็จแล้ ว กิจอืA นเพืA อความเป็ นอย่างนี8มิได้ ม.ี
อัคคิเวสสนะ ภิกษุผ้ ูมจี ิตหลุดพ้ นแล้ วอย่างนี8แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใครๆ
โวหารใดทีA ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั8น แต่ไม่ยดึ มัAนด้ วยทิฎฐิ.
ก็โดยสมัยนั8น ท่านพระสารีบุตรนัAงถวายอยู่งานพัด ณ เบื8องพระปฤษฎางค์พระผู้มี
พระภาค. ได้ มีความดําริว่า ได้ ยินว่า พระผู้มีพระภาคตรัสการละธรรมเหล่านั8น ด้ วยปัญญาอัน
ยิA งแก่เราทั8งหลาย ได้ ยินว่า พระสุคตตรัสการสละคืนธรรมเหล่านั8น ด้ วยปัญญาอันยิA งแก่เรา
ทั8งหลาย เมืA อท่านพระสารีบุตรเห็นตระหนักดังนี8 จิตก็หลุดพ้ นแล้ ว จากอาสวะทั8งหลายไม่ถือ
มัAนด้ วยอุปาทาน ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้ เกิดขึ8นแล้ ว แก่ทฆี นขปริพาชกว่า
สิA งใดสิA งหนึA งมีความเกิดขึ8นเป็ นธรรมดา สิA งนั8นทั8งหมดมีความดับไปเป็ นธรรมดา.
๓๔

ทีฆนขปริพาชกแสดงตนเป็ นอุบาสก
[๒๗๕] ลําดับนั8น ทีฆนขปริพาชกมีธรรมอันเห็นแล้ ว มีธรรมอันถึงแล้ ว มีธรรมอัน
ทราบแล้ ว มีธรรมอันหยัAงลงแล้ ว ข้ ามความสงสัยได้ แล้ ว ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความ
เป็ นผู้แกล้ วกล้ า ไม่ต้องเชืA อต่อผู้อนในคํ
ืA าสอนของพระศาสดา ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้ า
แต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ งนัก ข้ าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่ม
แจ้ งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของทีA ควําA เปิ ดของทีA ปิ ด บอกทางให้ แก่คนหลงทางหรือตาม
ประทีปในทีA มืด ด้ วยคิดว่า ผู้มีจักษุเห็นรูป ดังนี8 ฉันใด ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดย
อเนกปริยาย ฉันนั8นเหมือนกัน ข้ าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์
ว่าเป็ นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจําข้ าพระองค์ว่าเป็ นอุบาสก ผู้ถงึ สรณะตลอดชีวิตตั8งแต่
วันนี8เป็ นต้ นไป ดังนี8แล.
ทีฆนขสูตร จบ
๓๕

พุทธคยา
ช่วงเวลาประมาณ ๒๕๐๐ ปี ก่อน ท่ามกลางภูมภิ าคอันรืA นร่มย์ แวดล้ อมด้ วยไพร
สณฑ์อันร่มรืA น น่าชืA นใจ มีแม่นาํ8 ไหลผ่านเย็นสบาย ชายฝัAงแม่นาํ8 ทีA ราบเรียบ. พระพุทธเจ้ าได้
ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติ ทีA ใต้ ร่มพฤกษาใกล้ ใกล้ ฝAงั แม่นาํ8 เนรัญชรา อุรเุ วลาประเท
วลาประเทศแห่ง
นี8.
บริเวณนี8เรียกว่าอุรุเวลาประเทศ เพราะได้ได้ ยินว่าในอดีตสมัย เมืA อพระพุทธเจ้ ายังไม่
เสด็จอุบัติ กุลบุตรหมืA นคนบวชเป็ นดาบสอยู่ทปีA ระเทศนั8 น วันหนึA งได้ ประชุมกันทํากติกาวัตร
ไว้ ว่า ผู้ใดตรึกกามวิตก หรือพยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก พึงเอาห่ห่อใบไม้ ขนทรายมาเกลีA ย
ในทีA น8 ี ด้ วยตั8งใจว่า นีA พึงเป็ นทัณฑกรรม จําเดิมแต่น8ันมาผู้ ใดตรึกวิตกเช่นนั8น ผู้ น8ันย่อมใช้
ห่อแห่งใบไม้ ขนทรายมาเกลีA ยในทีA นนั8ัน. ด้ วยประการอย่ย่างนี8 กองทรายในทีA นนั8นั จึงใหญ่ข8 ึนโดย
ลําดับ. ภายหลังมาประชุมชนในภายหลัง จึงได้ แวดล้ อมกองทรายใหญ่น8ันทําให้ เป็ น
เจดียสถาน.
๓๖

ณ ใต้ ร่มพฤกษาทีA พระผู้มีพระภาคเจ้ าประทับและทรงบรรลุโพธิญาณนี8 เป็ นเหตุให้


ต้ นไม้ จึงพลอยได้ นามว่าโพธิพฤกษ์ไปด้ วย. ณ สถานทีA บริเวณนี8ซึAงเป็ นทีA บําเพ็ญเพียรของพระ
โพธิสตั ว์ก่อน
ตรัสรู้โพธิญาณ พระโพธิสตั ว์มีแนวคิดอย่างไรก่อนทีA จะบรรลุเป็ นพระพุทธเจ้ า และทรงบรรลุสงิA
ไร เนื8อหาทีA นาํ มาจากคําสอนบางส่วนต่อไปนี8 เป็ นแนวทางให้ เข้ าใจได้ เพืA อประโยชน์ในการ
พัฒนาจิตเพืA อเข้ าถึงพระสัทธรรมของพระพุทธองค์
แนวคิดก่อนทีจะตรัสรูเ้ ป็ นพระพุทธเจ้า
เมืA อก่อนตรัสรู้ เราเป็ นพระโพธิสตั ว์ ยังมิได้ ตรัสรู้ ได้ คดิ ว่า ในโลก อะไรหนอเป็ นคุณ
อะไรหนอเป็ นโทษ อะไรหนอเป็ นอุบายเครืA องออกไป ดูกรภิกษุท8งั หลาย เรานั8นได้ คิดว่า สุข
โสมนัส อาศัยสภาพใดเกิดขึ8นในโลก สภาพนี8เป็ นคุณในโลก โลกไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์มีความ
แปรปรวนเป็ นธรรมดา นี8เป็ นโทษในโลก การปราบปรามฉันทราคะ การละฉันทะราคะได้
เด็ดขาดในโลก นี8เป็ นอุบายเครืA องออกไปในโลก ก่อนแต่การตรัสรู้ เมืA อเรายังเป็ นโพธิสตั ว์ ยัง
ไม่ได้ ตรัสรู้ได้ มีความคิดดังนี8ว่า อะไรเป็ นคุณ อะไรเป็ นโทษ อะไรเป็ นความสลัดออกแห่งจักษุ
ฯลฯ แห่งหู ฯลฯ แห่งจมูก ฯลฯ แห่งลิ8น ฯลฯ แห่งกายฯลฯ อะไรเป็ นคุณ อะไรเป็ นโทษ อะไร
เป็ นความสลัดออกแห่งใจ ดูกรภิกษุท8งั หลาย เรานั8นได้ มีความคิดดังนี8ว่า สุขโสมนัสเกิดขึ8น
เพราะอาศัยจักษุ นี8เป็ นคุณแห่งจักษุ จักษุเป็ นของไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ น
ธรรมดานี8เป็ นโทษแห่งจักษุ การกําจัด การละฉันทราคะในจักษุ นี8เป็ นความสลัดออกแห่งจักษุ
ฯลฯ สุขโสมนัสเกิดขึ8นเพราะอาศัยใจ นี8เป็ นคุณแห่งใจ ใจเป็ นสภาพไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ มีความ
แปรปรวนเป็ นธรรมดา นี8เป็ นโทษแห่งใจ การกําจัด การละฉันทราคะ ในใจนี8เป็ นความสลัด
ออกแห่งใจ
ก่อนแต่การตรัสรู้ เมืA อเรายังเป็ นโพธิสตั ว์ ยังไม่ได้ ตรัสรู้ได้ มีความคิดดังนี8ว่า อะไร
เป็ นคุณ อะไรเป็ นโทษ อะไรเป็ นความสลัดออกแห่งรูป ฯลฯ แห่งเสียง ฯลฯ แห่งกลิA น ฯลฯ
แห่งรส ฯลฯ แห่งโผฏฐัพพะ อะไรเป็ นคุณ อะไรเป็ นโทษ อะไรเป็ นความสลัดออกแห่ง
ธรรมารมณ์. เรานั8นได้ มีความคิดดังนี8ว่า สุขโสมนัสเกิดขึ8นเพราะอาศัยรูป นี8เป็ นคุณแห่งรูป
รูปเป็ นของไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ นธรรมดา นี8เป็ นโทษแห่งรูป การกําจัด การ
ละฉันทราคะในรูป นี8เป็ นความสลัดออกแห่งรูป ฯลฯสุขโสมนัสเกิดขึ8นเพราะอาศัยธรรมารมณ์
นี8เป็ นคุณแห่งธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์เป็ นสภาพไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ น
ธรรมดา นี8เป็ นโทษแห่งธรรมารมณ์ การกําจัด การละฉันทราคะในธรรมารมณ์ นี8เป็ นความสลัด
ออกแห่งธรรมารมณ์
๓๗

เมืA อก่อนแต่ตรัสรู้ ครั8งยังมิได้ ตรัสรู้ ยังเป็ นโพธิสัตว์อยู่เราได้ มคี วามคิดอย่างนี8ว่า


เวทนาเป็ นไฉนหนอ ความเกิดขึ8นแห่งเวทนาเป็ นไฉน ปฏิปทาเครืA องให้ ถงึ ความเกิดขึ8นแห่ง
เวทนาเป็ นไฉน ความดับแห่งเวทนาเป็ นไฉน ปฏิปทาเครืA องให้ ถงึ ความดับแห่งเวทนาเป็ นไฉน
อะไรเป็ นคุณแห่งเวทนา อะไรเป็ นโทษแห่งเวทนา อะไรเป็ นอุบายเครืA องสลัดออกแห่งเวทนา
เราได้ มคี วามคิดอย่างนี8ว่า เวทนา ๓ นี8 เหล่านี8 คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา นี8
เราเรียกว่าเวทนา เพราะผัสสะเกิด เวทนาจึงเกิด ตัณหาเป็ นปฏิปทาเครืA องให้ ถึงความเกิดขึ8น
แห่งเวทนา ฯลฯ ความกําจัดความละฉันทราคะในเวทนานี8เป็ นอุบายเครืA องสลัดออกแห่งเวทนา

สิงนี.มีเพราะสิงนี.
ก่อนแต่กาลตรัสรู้ เมืA อเรายังเป็ นพระโพธิสตั ว์ ยังมิได้ ตรัสรู้ เราได้ มคี วามคิดอย่างนี8
ว่า โลกนี8ถงึ ความลําบากหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุตแิ ละอุบตั ิ ก็เมืA อเป็ นเช่นนั8นไม่มีผ้ ูใดทราบ
ชัดซึA งธรรมเป็ นทีA สลัดออกจากกองทุกข์ คือ ชราและมรณะนี8ได้ เลย เมืA อไรหนอธรรมเป็ นทีA สลัด
ออกไปจากกองทุกข์คือชราและมรณะนี8จึงจักปรากฏ ฯ
เราได้ มคี วามคิดอย่างนี8ว่า เมืA ออะไรหนอแลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็ น
ปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั8นจึงรู้ได้ ด้วยปัญญาว่า เมืA อชาติ
แลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะชาติเป็ นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เรานั8นได้ มีความคิดดังนี8
ว่าเมืA ออะไรหนอ แลมีอยู่ ชาติจึงมี ... ภพจึงมี ... อุปาทานจึงมี ... ตัณหาจึงมี ...เวทนาจึงมี ...
ผัสสะจึงมี ... สฬายตนะจึงมี ... นามรูปจึงมี ... เพราะอะไรเป็ นปั จจัย จึงมีนามรูป เพราะการ
ใส่ใจโดยแยบคายของเรานั8น จึงได้ ร้ ูด้วยปัญญาว่า เมืA อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะ
วิญญาณเป็ นปั จจัย จึงมีนามรูป เรานั8นได้ มีความคิดดังนี8ว่าเมืA ออะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี
เพราะอะไรเป็ นปั จจัยจึงมีวญ ิ ญาณ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั8น จึงได้ ร้ ูด้วยปัญญาว่า
เมืA อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็ นปัจจัย จึงมีวิญญาณเรานั8นได้ มีความคิดดังนี8ว่า
วิญญาณนี8แลได้ กลับแล้ วเพียงเท่านี8 ไม่ไปพ้ นจากนามรูปได้ เลยด้ วยเหตุเพียงเท่านี8 โลกย่อม
เกิด แก่ ตาย จุตแิ ละอุบัติ กล่าวคือ เพราะนามรูปเป็ นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็ น
ปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็ นปัจจัย จึงมีสฬายตนะเพราะสฬายตนะเป็ นปั จจัย จึงมี
ผัสสะ ฯลฯความเกิดขึ8นแห่งกองทุกข์ท8งั มวลนี8 ย่อมมีด้วยประการอย่างนี8 จักษุ ญาณ ปัญญา
วิชชา แสงสว่าง ได้ เกิดขึ8นแล้ วแก่เราในธรรมทั8งหลายทีA เราไม่เคยได้ ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้
ทุกข์เกิด เหตุให้ ทุกข์เกิด ดังนี8 ฯ
๓๘

เมือไม่มสี  งิ นี. ก็ ดบั สิงนี.


เราได้ มคี วามคิดดังนี8 เมืA ออะไรหนอแลไม่มีอยู่ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ
ชราและมรณะจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั8น จึงรู้ได้ ด้วยปัญญาว่า เมืA อชาติไม่
มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับเรานั8นได้ มคี วามคิดดังนี8ว่า เมืA อ
อะไรไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี ... ภพจึงไม่มี ... อุปาทานจึงไม่มี ... ตัณหาจึงไม่มี ... เวทนาจึงไม่มี
... ผัสสะจึงไม่มี ... สฬายตนะจึงไม่มี ... นามรูปจึงไม่มี ... เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ
เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั8นจึงรู้ได้ ด้วยปัญญาว่า เมืA อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มี
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เรานั8นได้ มคี วามคิดดังนี8ว่าเมืA ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ วิญญาณ
จึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับเพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั8น จึงรู้ได้ ด้วย
ปัญญาว่า เมืA อนามรูปไม่มี วิญญาณจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เรานั8นได้ มี
ความคิดดังนี8ว่ามรรคนี8เราได้ บรรลุแล้ วแล ด้ วยปัญญาเครืA องตรัสรู้ คือ เพราะนามรูปดับ
วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ท8งั มวลนี8 ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี8
จักษุ ญาณ ปัญญาวิชชา แสงสว่างได้ เกิดขึ8นแล้ วแก่เราในธรรมทั8งหลายทีA เรายังไม่เคยได้ ฟังมา
ในกาลก่อนว่า เหตุให้ ทุกข์ดับ เหตุให้ ทุกข์ดับ ดังนี8

ก่อนตรัสรูแ้ ยกความคิดเป็ นสองส่วน เป็ นฝ่ ายบุญกับฝ่ ายบาป


เมืA อพระโพธิสตั ว์ ยังไม่ได้ ตรัสรู้ ก่อนแต่ตรัสรู้ทเี ดียว ได้ คิดอย่างนี8ว่า ถ้ ากระไร เรา
พึงแยกวิตก(ความคิด)ให้ เป็ น ๒ ส่วนๆ ดังนี8 ดูกรภิกษุท8งั หลาย เรานั8นจึงแยก กามวิตก
พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตก นี8ออกเป็ นส่วนทีA ๑ และแยกเนกขัมมวิตก(ความดําริออกจาก
กาม) อัพยาบาทวิตก และอวิ-หิงสาวิตก นี8ออกเป็ นส่วนทีA ๒.
เป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเครืA องเผากิเลสอยู่อย่างนี8 เมือรูว้ ่าบาปคือกามวิตก
พยาบาท วิหิงสาเกิดก็จัดการดับด้วยการพิจารณากามวิตกย่อมบังเกิดขึ8น เรานั8นย่อมทราบ
ชัดอย่างนี8ว่า กามวิตกเกิดขึ8นแก่เราแล้ วแล ก็แต่ว่ามันย่อมเป็ นไปเพืA อเบียดเบียนตนบ้ าง ย่อม
เป็ นไปเพืA อเบียดเบียนผู้อนืA บ้ าง ย่อมเป็ นไปเพืA อเบียดเบียนตนและผู้อืAนทั8งสองบ้ าง ทําให้
ปัญญาดับ ก่อให้ เกิดความคับแค้ น ไม่เป็ นไปเพืA อพระนิพพาน
ดูกรภิกษุท8งั หลาย เมืA อเราพิจารณาเห็นว่า มันเป็ นไปเพืA อเบียดเบียนตนบ้ าง มันก็ถงึ
ความดับสูญไปเมืA อเราพิจารณาเห็นว่ามันเป็ นไปเพืA อเบียดเบียนผู้อนบ้ ืA างมันก็ถงึ ความดับสูญ
ไป เมืA อเราพิจารณาเห็นว่า มันเป็ นไปเพืA อเบียดเบียนทั8งตนและผู้อืAน มันก็ถงึ ความดับสูญไป
๓๙

เมืA อเราพิจารณาเห็นว่า มันทําให้ ปัญญาดับ ทําให้ เกิดความคับแค้ น ไม่เป็ นไปเพืA อพระนิพพาน


ดังนี8บ้าง มันก็ถงึ ความดับสูญไป ดูกรภิกษุท8งั หลาย เรานั8นแล ละเสีย บรรเทาเสีย ซึA งกามวิตกทีA
เกิดขึ8นแล้ วๆ ได้ ทาํ ให้ มันหมดสิ8นไป ดูกรภิกษุท8งั หลาย เมืA อเรานั8นไม่ประมาท มีความเพียร
เครืA องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่อย่างนี8 พยาบาทวิตกย่อมบังเกิดขึ8น ฯลฯ วิหิงสาวิตกย่อมบังเกิด
ขึ8น เรานั8นย่อมทราบชัดอย่างนี8ว่า วิหิงสาวิตกนี8เกิดขึ8นแก่เราแล้ วแล ก็แต่ว่า มันเป็ นไปเพืA อ
เบียดเบียนตนบ้ าง เป็ นไปเพืA อเบียดเบียนผู้อนบ้ ืA าง เป็ นไปเพืA อเบียดเบียนตนและผู้อนืA ทั8งสอง
บ้ าง ทําให้ ปัญญาดับ ทําให้ เกิดความคับแค้ นไม่เป็ นไปเพืA อพระนิพพาน
ดูกรภิกษุท8งั หลาย เมืA อเราพิจารณาเห็นว่า มันเป็ นไปเพืA อเบียดเบียนตนบ้ าง มันก็ถงึ
ความดับสูญไป เมืA อเราพิจารณาเห็นว่ามันเป็ นไปเพืA อเบียดเบียนผู้อนืA บ้ าง มันก็ถึงความดับสูญ
ไป เมืA อเราพิจารณาเห็นว่า มันเป็ นไปเพืA อเบียดเบียนตนและผู้อืAนทั8งสองบ้ าง มันก็ถงึ ความดับ
สูญไป เมืA อเราพิจารณาเห็นว่ามันทําให้ ปัญญาดับ ทําให้ เกิดความคับแค้ น ไม่เป็ นไปเพืA อพระ
นิพพาน ดังนี8บ้าง มันก็ถึงความดับสูญไป ดูกรภิกษุท8งั หลาย เรานั8นแลละเสีย บรรเทาเสีย ซึA ง
วิหิงสาวิตกทีA เกิดขึ8นแล้ วๆได้ ทาํ ให้ มันหมดสิ8นไป.

ยิงตรองถึงวิตกใดๆ มาก ก็มใี จน้อมไปข้างวิตกนัน. ๆ


ถ้ ายิA งตรึก ยิA งตรองถึงกามวิตกมาก ก็จะละทิ8งเนกขัมมวิตกเสีย มากระทําอยู่แต่
กามวิตกให้ มาก จิตนั8นก็น้อมไปเพืA อกามวิตก ถ้ ายิA งตรึก ยิA งตรองถึงพยาบาทวิตกมาก ก็จะละ
ทิ8งอัพยาบาทวิตกเสีย มากระทําอยู่แต่พยาบาทวิตกให้ มาก จิตนั8นก็น้อมไปเพืA อพยาบาทวิตก
ถ้ ายิA งตรึกยิA งตรองถึงวิหิงสาวิตกมาก ก็ละทิ8งอวิหิงสาวิตกเสีย มากระทําอยู่แต่วิหิงสาวิตกให้
มาก จิตนั8นก็น้อมไปเพืA อวิหิงสาวิตก.
เหมือนในสรทสมัยเดือนท้ ายแห่งปี คนเลี8ยงโคต้ องคอยระวังโคทั8งหลายในทีA คับคัAง
ด้ วยข้ าวกล้ า เขาต้ องตี ต้ อนโคทั8งหลายจากทีA น8ันๆ กั8นไว้ ห้ ามไว้ ข้ อนั8นเพราะเหตุว่าคนเลี8ยงโค
มองเห็นการฆ่า การถูกจําการเสียทรัพย์ การถูกติเตียน เพราะโคทั8งหลายเป็ นต้ นเหตุ แม้ ฉัน
เราก็ฉันนั8นเหมือนกัน ได้ แลเห็นโทษ ความเลวทราม ความเศร้ าหมอง ของอกุศลธรรม
ทั8งหลาย และเห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม อันเป็ นฝ่ ายแห่งความผ่องแผ้ ว ของกุศลธรรม
ทั8งหลายแล้ ว เมืA อเรานั8นไม่ประมาท เป็ นผู้มคี วามเพียรเครืA องเผากิเลสอยู่อย่างนี8
พยายามน้อมจิตไปข้างกุศล
เนกขัมมวิตกย่อมบังเกิดขึ8น เรานั8นย่อมทราบชัดอย่างนี8ว่า เนกขัมมวิตกนี8เกิดขึ8นแก่
เราแล้ วแล ก็แต่ว่าเนกขัมมวิตกนั8นไม่เป็ นไปเพืA อเบียดเบียนตน ไม่เป็ นไปเพืA อเบียดเบียนผู้อืAน
๔๐

ไม่เป็ นไปเพืA อเบียดเบียนทั8งสองฝ่ าย เป็ นทางทําให้ ปัญญาเจริญ ไม่ทาํ ให้ เกิดความคับแค้ น


เป็ นไปเพืA อพระนิพพาน ก็ถ้าเราจะตรึกตรองถึงเนกขัมมวิตกนั8นอยู่ตลอดคืน เราก็ยังมองไม่
เห็นภัยอันจะบังเกิดแต่เนกขัมมวิตกนั8นได้ เลย ถึงหากเราจะตรึกตรองถึงเนกขัมมวิตกนั8นอยู่
ตลอดทั8งกลางคืนและกลางวันก็ดีเราก็ยังมองไม่เห็นภัยอันจะบังเกิดขึ8นจากเนกขัมมวิตกนั8นได้
เลย. หากเราจะตรึกตรองถึงเนกขัมมวิตกนั8น ตลอดทั8งกลางคืนและกลางวันก็ดี เราก็ยังไม่
มองเห็นภัยอันจะบังเกิดขึ8นจากเนกขัมมวิตกนั8นได้ เลย ก็แต่ว่าเมื.อเราตรึกตรองอยู่นาน
เกินไป ร่างกายก็เหน็ดเหนื.อย เมื.อร่างกายเหน็ดเหนื.อย จิ ตก็ฟุ้งซ่านเมื.อจิ ตฟุ้ งซ่ าน จิ ตก็
ห่างจากสมาธิ เรานั1นแลดํารงจิ ตไว้ในภายใน ทําให้สงบ ทําให้เกิดสมาธิ ประคองไว้ดว้ ยดี
ข้อนั1นเพราะเหตุอะไร? เพราะปรารถนาไว้ ว่า จิตของเราอย่าฟุ้ งซ่านอีกเลย ดังนี8 เมืA อเรานั8นไม่
ประมาท มีความเพียรเครืA องเผากิเลส อยู่อย่างนี8อพั ยาบาทวิตกย่อมบังเกิดขึ8นฯลฯ อวิหิงสา
วิตกย่อมบังเกิดขึ8น เรานั8นย่อมทราบชัดอย่างนี8ว่า อวิหิงสาวิตกนี8เกิดขึ8นแก่เราแล้ วแล ก็แต่ว่า
อวิหิงสาวิตกนั8นไม่เป็ นไปเพืA อเบียดเบียนตน ไม่เป็ นไปเพืA อเบียดเบียนผู้อนืA ไม่เป็ นไปเพืA อ
เบียดเบียนทั8งตนและบุคคลอืA นเป็ นทางทําให้ ปัญญาเจริญ ไม่ทาํ ให้ เกิดความคับแค้ น เป็ นไป
เพืA อพระนิพพาน ก็ถ้าเราจะตรึกตรองถึงอวิหิงสาวิตกนั8นอยู่ตลอดคืนก็ดีเราก็ยังไม่มองเห็นภัย
อันจะเกิดขึ8นจากอวิหิงสาวิตกนั8นได้ เลย ถึงหากเราจะตรึกตรองถึงอวิหิงสาวิตกนั8นอยู่ตลอดวัน
ก็ดีเราก็ยงั ไม่มองเห็นภัยอันจะเกิดขึ8นจากอวิหิงสาวิตกนั8นได้ เลย หากเราจะตรึกตรองถึงอ
วิหิงสาวิตนั8น ตลอดทั8งคืนและกลางวันก็ดี เราก็ยงั มองไม่เห็นภัย ภัยจะเกิดขึ8นจากอวิหิงสา
วิตกนั8นได้ เลย ก็แต่ว่าเมืA อเราตรึกตรองอยู่นานเกินไป ร่างกายก็เหน็ดเหนืA อย เมืA อร่างกายเหน็ด
เหนืA อย จิตก็ฟุ้งซ่าน เมืA อจิตฟุ้ งซ่าน จิตก็ห่างจากสมาธิ. เรานั8นดํารงจิตไว้ ในภายใน ทําให้ สงบ
ทําให้ เกิดสมาธิ ประคองไว้ ด้วยดี ข้ อนั8นเพราะหมายในใจว่า จิตของเราอย่าฟุ้ งซ่านอีกเลยดังนี8.
พยายามรักษาความคิดทีเป็ นกุศล
ยิA งตรึกยิA งตรองถึงวิตกใดๆ มาก ก็มีใจน้ อมไปข้ างวิตกนั8นๆมาก คือ ถ้ าภิกษุยิAงตรึก
ยิA งตรองถึงเนกขัมมวิตกมาก ก็จะละกามวิตกเสียได้ ทําเนกขัมมวิตกอย่างเดียวให้ มาก จิตก็จะ
น้ อมไปเพืA อเนกขัมมวิตก ถ้ ายิA งตรึกยิA งตรองถึงอัพยาบาทวิตกมาก ก็จะละพยาบาทวิตกเสียได้
ทําอัพยาบาทวิตกอย่างเดียวให้ มาก จิตก็จะน้ อมไปเพืA ออัพยาบาทวิตก ถ้ ายิA งตรึกยิA งตรองถึงอ
วิหิงสาวิตกมาก ก็จะละวิหิงสาวิตกเสียได้ ทําอวิหิงสาวิตกอย่างเดียวให้ มากจิตก็น้อมไปเพืA ออ
วิหิงสาวิตก เหมือนในเดือนท้ ายแห่งฤดูร้อน คนเลี8ยงโคจะต้ องรักษาโคทั8งหลาย ในทีA ใกล้ บ้าน
ในทุกด้ าน เมืA อเข้ าไปสู่โคนต้ นไม้ หรือไปสู่ทแีA จ้ ง จะต้ องทําสติอยู่เสมอว่า นั8นฝูงโคของเรา ดังนี8
ฉันใด เราก็ฉันนั8น ต้ องทําสติอยู่เสมอว่า เหล่านี8เป็ นธรรม คือกุศลวิตก ดังนี8.
๔๑

ว่าด้วยวิชชา ๓
เราได้ ปรารภความเพียร มีความเพียรไม่ย่อหย่อนแล้ ว มีสติมAันคง ไม่เลอะเลือน
แล้ ว มีกายสงบ ไม่ระสับกระส่ายแล้ ว มีจิตตั8งมัAน มีอารมณ์เป็ นอันเดียว เรานั8นแล สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานมีวิตก มีวจิ าร มีปิติและสุขเกิดแต่วเิ วกอยู่ บรรลุทุติยฌาน
มีความผ่องใสแห่งใจในภายในเป็ นธรรมเอกผุดขึ8น ไม่มีวติ ก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป
มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ... บรรลุจตุตถฌาน ... เรานั8น เมืA อจิตเป็ น
สมาธิ บริสทุ ธิJ ผ่องแผ้ ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั8งมัAน ไม่หวัAนไหว
อย่างนี8 ย่อมโน้ มน้ อมจิตไปเพืA อปุพเพนิวาสานุสติญาณ ย่อมระลึกชาติก่อนได้ เป็ นอักมาก คือ
ระลึกได้ ชาติหนึA งบ้ าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เรานั8นย่อมระลึกชาติก่อนได้ เป็ นอันมาก พร้ อมทั8ง
อุเทศ ด้ วยประการฉะนี8 วิชชาทีA หนึA งนี8แล เราบรรลุแล้ วในปฐมยามแห่งราตรี เรากําจัดอวิชชา
เสียแล้ ววิชชาจึงบังเกิดขึ8น กําจัดความมืดเสียแล้ ว ความสว่างจึงบังเกิดขึ8น ก็เพราะเราไม่
ประมาทมีความเพียรเครืA องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่ ฉะนั8น เรานั8น เมืA อจิตเป็ นสมาธิ บริสทุ ธิJ ผ่อง
แผ้ วไม่มีกเิ ลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั8งมัAน ไม่หวัAนไหวอย่างนี8แล้ ว เราจึง
โน้ มน้ อมจิตไปเพืA อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ท8งั หลาย เรานั8นย่อมเห็นสัตว์ทกีA าํ ลังจุติ กําลังอุปบัติ
เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ ดี ตกยาก ด้ วยทิพยจักษุอันบริสทุ ธิJ ล่วงจักษุ
ของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึA งหมู่สตั ว์ผ้ ูเป็ นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี8ประกอบด้ วยกายทุจริตวจี
ทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้ า เป็ นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทําด้ วยอํานาจมิจฉาทิฏฐิ
เมืA อตายไป เขาเข้ าถึงอธิบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ส่วนสัตว์เหล่านี8ประกอบด้ วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ตเิ ตียนพระอริยเจ้ า
เป็ นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทําด้ วยอํานาจสัมมาทิฏฐิ เมืA อตายไป เขาเข้ าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดังนี8เราย่อมเห็นหมู่สตั ว์กาํ ลังจุติ กําลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ ดี
ตกยาก ด้ วยทิพยจักษุอนั บริสทุ ธิJล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึA งหมู่สตั ว์ผ้ ูเป็ นไปตามกรรม
ด้ วยประการฉะนี8 ดูกรภิกษุท8งั หลายวิชชาทีA สองนี8แล เราบรรลุแล้ วในมัชฌิมยามแห่งราตรี เรา
กําจัดอวิชชาเสียแล้ ว วิชชาจึงบังเกิดขึ8น กําจัดความมืดเสียแล้ ว ความสว่างจึงเกิดขึ8น ก็เพราะ
เราไม่ประมาท มีความเพียรเครืA องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่ ฉะนั8น เรานั8น เมืA อจิตเป็ นสมาธิ
บริสทุ ธิJ ผ่องแผ้ ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร แก่การงาน ตั8งมัAน ไม่หวัAนไหวอย่าง
นี8 จึงโน้ มน้ อมจิตไปเพืA ออาสวักขยญาณย่อมรู้ชัดตามความเป็ นจริงว่า นี8ทุกข์ นี8ทุกขสมุทยั นี8
ทุกขนิโรธ นี8ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเหล่านี8อาสวะ นี8อาสวสมุทยั นี8อาสวนิโรธ นี8อาสวนิโรธคา
มินีปฏิปทา เมืA อเรานั8นรู้เห็นอย่างนี8จิตจึงหลุดพ้ นแล้ ว แม้ จากกามาสวะ แม้ จากภวาสวะ แม้ จาก
๔๒

อวิชชาสวะ เมืA อจิตหลุดพ้ นแล้ วก็มีญาณหยัAงรู้ว่า หลุดพ้ นแล้ ว รู้ชัดว่า ชาติส8 นิ แล้ ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ ว กิจทีA ควรทํา ทําเสร็จแล้ ว กิจอืA นเพืA อความเป็ นอย่างนี8มิได้ มี ดังนี8
ดูกรภิกษุท8งั หลาย วิชชาทีA สามนี8 เราบรรลุแล้ วในปัจฉิมยามแห่งราตรี เรากําจัด
อวิชชาเสียแล้ ว วิชชาจึงบังเกิดขึ8น กําจัดความมืดเสียแล้ วความสว่างจึงบังเกิดขึ8น ก็เพราะเราไม่
ประมาทมีความเพียรเครืA องเผากิเลสอยู่ฉะนั8น.
ทางปลอดภัยและไม่ปลอดภัย
ดูกรภิกษุท8งั หลาย มีหมู่เนื8อเป็ นอันมาก พากันเข้าไปอาศัยบึงใหญ่ในป่ าดงอยู่ ยังมี
บุรุษคนหนึA งปรารถนาความพินาศ ประสงค์ความไม่เกื8อกูล ใคร่ความไม่ปลอดภัย เกิดขึ8นแก่
หมู่เนื8อนั8น เขาปิ ดทางทีA ปลอดภัย สะดวก ไปได้ ตามชอบใจของหมู่เนื8อนั8นเสีย เปิ ดทางทีA ไม่
สะดวกไว้ วางเนื8อต่อตัวผู้ไว้ วางนางเนื8อต่อไว้
ดูกรภิกษุท8งั หลาย เมืA อเป็ นเช่นนี8 โดยสมัยต่อมา หมู่เนื8อเป็ นอันมาก ก็พากันมาตาย
เสีย จนเบาบาง ดูกรภิกษุท8งั หลาย แต่ยังมีบุรุษอีกคนหนึA งปรารถนาประโยชน์ ใคร่ความเกื8อกูล
ใคร่ความปลอดภัย แก่หมู่เนื8อเป็ นอันมากนั8นเขาเปิ ดทางทีA ปลอดภัย สะดวก ไปได้ ตามชอบใจ
ให้ แก่หมู่เนื8อนั8น ปิ ดทางทีA ไม่สะดวกเสียกําจัดเนื8อต่อ เลิกนางเนื8อต่อ ดูกรภิกษุท8งั หลาย เมืA อ
เป็ นเช่นนี8 โดยสมัยต่อมา หมู่เนื8อเป็ นอันมาก จึงถึงความเจริญ คับคัAง ล้ นหลาม แม้ ฉันใด ดูกร
ภิกษุท8งั หลาย ข้ ออุปมานี8กฉ็ ันนั8นแล เราได้ ทาํ ขึ8นก็เพืA อจะให้ พวกเธอรู้ความหมายของเนื8อความ
ก็ในอุปมานั8น มีความหมายดังต่อไปนี8
ดูกรภิกษุท8งั หลาย คําว่า บึงใหญ่ นี8เป็ นชืA อของกามคุณทั8งหลาย คําว่า หมู่เนื8อเป็ นอันมาก นี8
เป็ นชืA อของหมู่สัตว์ท8งั หลาย คําว่า บุรษุ ผู้ปรารถนาความพินาศ ประสงค์ความไม่เกื8อกูล จํานง
ความไม่ปลอดภัย นี8เป็ นชืA อของตัวมารผู้มีบาป คําว่า ทางทีA ไม่สะดวกนี8เป็ นชืA อของทางผิด อัน
ประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการ คือ มิจฉาทิฏฐิ ๑ มิจฉาสังกัปปะ ๑มิจฉาวาจา ๑ มิจฉากัมมันตะ
๑ มิจฉาอาชีวะ ๑ มิจฉาวายามะ ๑ มิจฉาสติ ๑ มิจฉาสมาธิ ๑ คําว่า เนื8อต่อตัวผู้ นี8เป็ นชืA อของ
นันทิราคะ [ความกําหนัดด้ วยความเพลิน] คําว่า นางเนื8อต่อ นี8เป็ นชืA อของอวิชชา คําว่า บุรุษ
คนทีA ปรารถนาประโยชน์ หวังความเกื8อกูล หวังความปลอดภัย [แก่เนื8อเหล่านั8น] นี8หมายเอา
ตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ า คําว่า ทางอันปลอดภัย สะดวก ไปได้ ตามชอบใจ นี8เป็ นชืA อ
ของทางอันประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการซึA งเป็ นทางถูกทีA แท้จริง คือสัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมา
สังกัปปะ ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑
สัมมาสมาธิ ๑.
๔๓

ด้ วยอาการดังทีA กล่าวมานี8แล เป็ นอันว่าทางอันปลอดภัยซึA งเป็ นทางสวัสดี เป็ นทางทีA


พวกเธอควรไปได้ ด้วยความปลาบปลื8ม เราได้ เผยให้ แล้ ว [และ]ปิ ดทางทีA ไม่สะดวกให้ ด้วย เนื8อ
ต่อก็ได้ กาํ จัดให้ แล้ ว ทั8งนางเนื8อต่อก็สังหารให้ เสร็จ. กิจอันใดทีA ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์
เกื8อกูล เอ็นดู อาศัยความอนุเคราะห์ แก่เหล่าสาวกจะพึงทํา กิจอันนั8นเราทําแก่เธอทั8งหลาย
แล้ ว ดูกรภิกษุท8งั หลาย นัAนโคนไม้ นัAนเรือนว่างเปล่า เธอทั8งหลายจงเพ่งพินิจ อย่าประมาท
อย่าได้ เป็ นผู้มีความเดือดร้ อนในภายหลัง นี8เป็ นคําพรําA สอนของเราแก่เธอทั8งหลาย.

สัจจกถา
ดูกรภิกษุท8งั หลายสัจจะ ๔ ประการนี8 เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผิด ไม่เป็ นอย่างอืA น ๔
ประการเป็ นไฉน ดูกรภิกษุท8งั หลาย สัจจะว่านี8ทุกข์ นี8ทุกขสมุทยั นี8ทุกขนิโรธนี8ทุกขนิโรธคามินี
ปฏิปทา เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น สัจจะ๔ ประการนี8แลเป็ นของแท้ เป็ นของ
ไม่ผิด ไม่เป็ นอย่างอืA น ฯ
ทุกข์เป็ นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็ นของแท้อย่างไร ฯ สภาพแห่งทุกข์เป็ นทุกข์ ๔
ประการ เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผิดไม่เป็ นอย่างอืA น คือสภาพทีA บีบคั8นแห่งทุกข์ ๑ สภาพแห่ง
ทุกข์ อันปัจจัยปรุงแต่ง ๑ สภาพทีA ให้ เดือดร้ อน ๑ สภาพทีA แปรไป ๑ สภาพแห่งทุกข์เป็ นทุกข์๔
ประการนี8 เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น ทุกข์เป็ นสัจจะด้ วยอรรถว่าเป็ นของแท้
อย่างนี8 ฯ
สมุทยั เป็ นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็ นของแท้อย่างไร ฯ สภาพแห่งสมุทยั เป็ นเหตุ
เกิด ๔ ประการ เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น คือ สภาพทีA ประมวลมาแห่งสมุทยั
๑ สภาพทีA เป็ นเหตุ ๑สภาพทีA ประกอบไว้ ๑ สภาพพัวพัน ๑สภาพแห่งสมุทยั เป็ นเหตุเกิด ๔
ประการนี8 เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น สมุทยั เป็ นสัจจะด้ วยอรรถว่าเป็ นของแท้
อย่างนี8 ฯ
นิโรธเป็ นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็ นของแท้อย่างไร ฯ สภาพดับแห่งนิโรธ ๔
ประการ เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น คือสภาพสลัดออกแห่งนิโรธ ๑ สภาพสงัด
๑ สภาพทีA ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ๑ สภาพเป็ นอมตะ ๑สภาพดับแห่งนิโรธ ๔ ประการนี8 เป็ นของแท้
เป็ นของไม่ผิด ไม่เป็ นอย่างอืA น นิโรธเป็ นสัจจะด้ วยอรรถว่าเป็ นของแท้ อย่างนี8 ฯ
มรรคเป็ นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็ นของแท้อย่างไร ฯ สภาพเป็ นทางแห่งมรรค ๔
ประการ เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผิดไม่เป็ นอย่างอืA นคือ สภาพนําออกแห่งมรรค ๑ สภาพเป็ น
เหตุ ๑ สภาพทีA เห็น ๑สภาพเป็ นใหญ่ ๑ สภาพเป็ นทางแห่งมรรค ๔ ประการนี8 เป็ นของแท้
เป็ นของไม่ผิด ไม่เป็ นอย่างอืA น มรรคเป็ นสัจจะด้ วยอรรถว่าเป็ นของแท้ อย่างนี8 ฯ
๔๔

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๔ คือ ด้ วยความเป็ นของแท้ ๑
ด้ วยความเป็ นอนัตตา ๑ ด้ วยความเป็ นของจริง ๑ ด้ วยความเป็ นปฏิเวธ ๑ สัจจะ ๔ ท่าน
สงเคราะห์เป็ นหนึA งด้ วยอาการ ๔ นี8 สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA งสัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคล
ย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณ
เดียว ฯ.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็ นของแท้อย่างไร ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๔ คือ สภาพทีA ทนได้ ยากแห่งทุกข์เป็ น
สภาพแท้ ๑ สภาพเป็ นเหตุเกิดแห่งสมุทยั เป็ นสภาพแท้ ๑สภาพดับแห่งนิโรธเป็ นสภาพแท้ ๑
สภาพเป็ นทางแห่งมรรคเป็ นสภาพแท้ ๑สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง ด้ วยความเป็ นของ
แท้ ด้วยอาการ ๔ นี8สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอด
สัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็ นอนัตตาอย่างไร ฯ


สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยความเป็ นอนัตตา ด้ วยอาการ ๔ คือ สภาพทีA ทนได้
ยากแห่งทุกข์ เป็ นสภาพมิใช่ตัวตน ๑ สภาพเป็ นเหตุเกิดแห่งสมุทยั เป็ นสภาพมิใช่ตัวตน ๑
สภาพดับแห่งนิโรธ เป็ นสภาพมิใช่ตัวตน ๑ สภาพเป็ นทางแห่งมรรค เป็ นสภาพมิใช่ตัวตน ๑
สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง ด้ วยความเป็ นอนัตตา ด้ วยอาการ ๔ นี8 สัจจะใดท่าน
สงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะ
เหตุน8ันสัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็ นของจริงอย่างไร ฯ


สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยความเป็ นของจริง ด้ วยอาการ ๔ คือ สภาพทีA ทนได้
ยากแห่งทุกข์ เป็ นสภาพจริง ๑ สภาพเป็ นเหตุเกิดแห่งสมุทยั เป็ นสภาพจริง ๑ สภาพดับแห่ง
นิโรธ เป็ นสภาพจริง ๑สภาพเป็ นทางแห่งมรรค เป็ นสภาพจริง ๑ สัจจะ๔ ท่านสงเคราะห์เป็ น
หนึA งด้ วยความเป็ นของจริง ด้ วยอาการ ๔ นี8 สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA งสัจจะนั8นเป็ นหนึA ง
บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ันสัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วย
ญาณเดียว ฯ
๔๕

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็ นปฏิเวธอย่างไร ฯ


สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยความเป็ นปฏิเวธด้ วยอาการ ๔ คือ สภาพทีA ทนได้
ยากแห่งทุกข์ เป็ นสภาพแทงตลอด ๑ สภาพเป็ นเหตุเกิดแห่งสมุทยั เป็ นสภาพแทงตลอด ๑
สภาพดับแห่งนิโรธ เป็ นสภาพแทงตลอด ๑ สภาพเป็ นทางแห่งมรรค เป็ นสภาพแทงตลอด ๑
สัจจะ ๔ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียวด้ วยความเป็ นปฏิเวธ ด้ วยอาการ ๔ นี8 สัจจะใดท่าน
สงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียวเพราะ
เหตุน8ันสัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร ฯ
สิA งใดไม่เทีA ยง สิA งนั8นเป็ นทุกข์ ๑ สิA งใดไม่เทีA ยงและเป็ นทุกข์ สิA งนั8นเป็ นอนัตตา ๑สิA งใดไม่เทีA ยง
เป็ นทุกข์และเป็ นอนัตตา สิA งนั8นเป็ นของแท้ ๑สิA งใดไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาและเป็ นของ
แท้ สิA งนั8นเป็ นของจริง ๑สิA งใดไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา เป็ นของแท้ และเป็ นของจริง สิA ง
นั8นท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สิA งใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สิA งนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอด
สัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๙ คือ ด้ วยความเป็ นของแท้ ๑ด้ วยความ
เป็ นอนัตตา ๑ ด้ วยความเป็ นของจริง ๑ ด้ วยความเป็ นปฏิเวธ ๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA ควรรู้ยิAง
๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA ควรกําหนดรู้ ๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA ควรละ ๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA
ควรเจริญ ๑ ด้ วยความเป็ นธรรม
ทีA ควรทําให้ แจ้ ง ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA งด้ วยอาการ ๙ นี8สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ น
หนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔
จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็ นของแท้อย่างไร ฯ


สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยความเป็ นของแท้ ด้ วยอาการ ๙ คือสภาพทนได้
ยากแห่งทุกข์ เป็ นสภาพแท้ ๑ สภาพเป็ นเหตุเกิดแห่งสมุทยั เป็ นสภาพแท้ ๑ สภาพดับแห่ง
นิโรธ เป็ นสภาพแท้ ๑ สภาพเป็ นทางแห่งมรรค เป็ นสภาพแท้ ๑ สภาพแห่งอภิญญาเป็ นสภาพ
ทีA ควรรู้ยิAงเป็ นสภาพแท้ ๑ สภาพแห่งปริญญาเป็ นสภาพทีA ควรกําหนดรู้ เป็ นสภาพแท้ ๑สภาพ
แห่งปหานะเป็ นสภาพทีA ควรละ เป็ นสภาพแท้ ๑ สภาพแห่งภาวนาเป็ นสภาพทีA ควรเจริญเป็ น
๔๖

สภาพแท้ ๑ สภาพแห่งสัจฉิกริ ิยา เป็ นสภาพทีA ควรทําให้ แจ้ ง เป็ นสภาพแท้ ๑ สัจจะ ๔ ท่าน
สงเคราะห์เป็ นหนึA ง ด้ วยความเป็ นของแท้ ด้ วยอาการ ๙ นี8 สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง
สัจจะนั8นเป็ นหนึA งบุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมี
การแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็ นอนัตตาด้วยความเป็ นของ
จริงด้วยความเป็ นปฏิเวธอย่างไรฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยความเป็ นปฏิเวธด้ วยอาการ ๙ คือ


สภาพแห่งทุกข์เป็ นสภาพทีA ทนได้ ยาก เป็ นสภาพควรแทงตลอด ๑สภาพแห่งสมุทยั เป็ นเหตุเกิด
เป็ นสภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่งนิโรธเป็ นทีA ดับ เป็ นสภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่ง
มรรคเป็ นทางดําเนิน เป็ นสภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่งอภิญญาเป็ นสภาพทีA ควรรู้ยิAง เป็ น
สภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่งปริญญาเป็ นสภาพทีA ควรกําหนดรู้ เป็ นสภาพควรแทงตลอด
๑ สภาพแห่งปหานะเป็ นสภาพทีA ควรละ เป็ นสภาพทีA ควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่งภาวนาเป็ น
สภาพทีA ควรเจริญ เป็ นสภาพควรแทงตลอด ๑ สภาพแห่งสัจฉิกริ ิยาเป็ นสภาพทีA ควรทําให้ แจ้ ง
เป็ นสภาพควรแทงตลอด ๑ สัจจะ ๔ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียว ด้ วยความเป็ นปฏิเวธ ด้ วย
อาการ ๙ นี8สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอด สัจจะ
หนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๑๒ คือ ด้ วยความเป็ นของแท้ ๑ด้ วยความ
เป็ นอนัตตา ๑ ด้ วยความเป็ นของจริง ๑ ด้ วยความเป็ นปฏิเวธ ๑ ด้ วยความเป็ นเครืA องรู้ยิAง ๑
ด้ วยความเป็ นเครืA องกําหนดรู้ ๑ด้ วยความเป็ นธรรม ๑ ด้ วยความเป็ นเหมือนอย่างนั8น ๑ด้ วย
ความเป็ นธรรมทีA ร้ ูแล้ ว ๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA ควรทําให้ แจ้ ง ๑ ด้ วยความเป็ นเครืA องถูกต้ อง
๑ด้ วยความเป็ นเครืA องตรัสรู้ ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๑๒ อย่างนี8
สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณ
เดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็ นของแท้ อย่างไร ฯ


สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยความเป็ นของแท้ ด้ วยอาการ ๑๖ คือสภาพแห่ง
ทุกข์เป็ นสภาพบีบคั8น ๑ เป็ นสภาพทีA ปัจจัยปรุงแต่ง ๑เป็ นสภาพให้ เดือดร้ อน ๑ เป็ นสภาพ
๔๗

แปรปรวน ๑ เป็ นสภาพแท้ สภาพแห่งสมุทยั เป็ นสภาพประมวลมา ๑ เป็ นเหตุ ๑ เป็ นเครืA อง
ประกอบไว้ ๑ เป็ นสภาพกังวล ๑ เป็ นสภาพแท้ สภาพแห่งนิโรธเป็ นทีA สลัดออก ๑ เป็ นสภาพ
สงัด๑ เป็ นสภาพทีA ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ๑ เป็ นอมตะ ๑ เป็ นสภาพแท้ สภาพแห่งมรรคเป็ นเครืA อง
นําออก ๑ เป็ นเหตุ ๑ เป็ นทัสนะ ๑ เป็ นใหญ่ ๑ เป็ นสภาพแท้ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วย
ญาณเดียว ด้ วยความเป็ นของแท้ ด้ วยอาการ ๑๖ นี8 สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8น
เป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทง
ตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยความเป็ นอนัตตา ฯลฯ ด้ วยความเป็ น


ของจริง ด้ วยความเป็ นปฏิเวธ ด้ วยความเป็ นเครืA องรู้ยิAง ด้ วยความเป็ นเครืA องกําหนดรู้ ด้ วย
ความเป็ นธรรม ด้ วยความเป็ นเหมือนอย่างนั8น ด้ วยความเป็ นธรรมทีA ร้ ูแล้ ว ด้ วยความเป็ นธรรม
ทีA ควรทําให้ แจ้ ง ด้ วยความเป็ นเครืA องถูกต้ องด้ วยความเป็ นเครืA องตรัสรู้ อย่างไร ฯ

สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยความเป็ นเครืA องตรัสรู้ด้วยอาการ ๑๖


คือ สภาพแห่งทุกข์เป็ นสภาพบีบคั8น ... เป็ นสภาพแปรปรวนเป็ นสภาพเครืA องตรัสรู้ สภาพแห่ง
สมุทยั เป็ นสภาพประมวลมา ... เป็ นสภาพกังวลเป็ นสภาพเครืA องตรัสรู้ สภาพแห่งนิโรธเป็ นทีA
สลัดออก ...เป็ นอมตะ เป็ นสภาพเครืA องตรัสรู้ สภาพแห่งมรรคเป็ นเครืA องนําออก ... เป็ นใหญ่
เป็ นสภาพเครืA องตรัสรู้ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียว ด้ วยความเป็ นเครืA องตรัสรู้ด้วย
อาการ ๑๖ นี8สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะ
หนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ
สัจจะมีลักษณะเท่าไร สัจจะมีลักษณะ๒ คือสังขตลักษณะ๑ อสังขตลักษณะ ๑สัจจะมี
ลักษณะ๒นี8
สัจจะมีลักษณะเท่าไร สัจจะมีลักษณะ ๖ คือ สัจจะทีA ปัจจัยปรุงแต่ง มีความเกิด
ปรากฏ ๑ ความเสืA อมปรากฏ ๑ เมืA อยังตั8งอยู่ความแปรปรากฏ ๑สัจจะทีA ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง
ความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสืA อมไม่ปรากฏ ๑ เมืA อยังตั8งอยู่ความแปรไม่ปรากฏ ๑ สัจจะมี
ลักษณะ ๖ นี8 ฯ
สัจจะมีลักษณะเท่าไร สัจจะมีลักษณะ ๑๒ คือ ทุกขสัจ มีความเกิดขึ8นปรากฏ ๑ความ
เสืA อมปรากฏ ๑ เมืA อยังตั8งอยู่ความแปรปรากฏ ๑สมุทยั สัจมีความเกิดขึ8นปรากฏ ๑ ความเสืA อม
ปรากฏ ๑ เมืA อยังตั8งอยู่ความแปรปรากฏ ๑ มรรคสัจมีความเกิดขึ8นปรากฏ ๑ ความเสืA อม
๔๘

ปรากฏ ๑ เมืA อยังตั8งอยู่ความแปรปรากฏ ๑ นิโรธสัจ ความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสืA อมไม่


ปรากฏ ๑เมืA อยังตั8งอยู่ความแปรไม่ปรากฏ ๑ สัจจะมีลักษณะ ๑๒ นี8 ฯ

สัจจะ ๔ เป็ นกุศลเท่าไร เป็ นอกุศลเท่าไร เป็ นอัพยากฤตเท่าไร ฯ


สมุทยั สัจเป็ นอกุศล มรรคสัจเป็ นกุศล นิโรธสัจเป็ นอัพยากฤต ทุกขสัจ เป็ นกุศลก็มเี ป็ นอกุศลก็
มี เป็ นอัพยากฤตก็มี สัจจะ ๓ นี8ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ
๓ ด้ วยสามารถแห่งวัตถุโดยปริยาย ฯ
คําว่า พึงมี คือ ก็พึงมีอย่างไร ฯ
ทุกขสัจเป็ นอกุศล สมุทยั สัจเป็ นอกุศล สัจจะ ๒ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ สัจจะ ๑
ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๒ ด้ วยความเป็ นอกุศลพึงมีอย่างนี8 ทุกขสัจเป็ นกุศล มรรคสัจเป็ น
กุศล สัจจะ ๒ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๒ ด้ วยความเป็ น
กุศล พึงมีอย่างนี8 ทุกขสัจเป็ นอัพยากฤต นิโรธสัจเป็ นอัพยากฤต สัจจะ ๒ ท่านสงเคราะห์ด้วย
สัจจะ ๑ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๒ ด้ วยความเป็ นอัพยากฤต พึงมีอย่างนี8สัจจะ ๓
ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ สัจจะ ๑ ท่านสงเคราะห์ด้วยสัจจะ ๑ ด้ วยสามารถแห่งวัตถุ โดย
ปริยาย ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ก่อนแต่ตรัสรู้ เมืA อเราเป็ นโพธิสัตว์ยังมิได้ ตรัสรู้ ได้ มีความคิดว่า
อะไรหนอแลเป็ นคุณ เป็ นโทษ เป็ นอุบายเครืA องสลัดออก แห่งรูป เวทนา สัญญาสังขาร
วิญญาณ ดูกรภิกษุท8งั หลายเรานั8นได้ มคี วามคิดดังนี8ว่า สุข โสมนัส อาศัยรูปเกิดขึ8นนี8เป็ นคุณ
แห่งรูป ความกําจัดฉันทราคะ ความละฉันทราคะในรูป นี8เป็ นอุบายเครืA องสลัดออกแห่งรูป ...
สุขโสมนัส อาศัยวิญญาณเกิดขึ8น นี8เป็ นคุณแห่งวิญญาณ วิญญาณไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ มีความ
แปรปรวนเป็ นธรรมดา นี8เป็ นโทษแห่งวิญญาณความกําจัดฉันทราคะ ความละฉันทราคะใน
วิญญาณ นี8เป็ นอุบายเครืA องสลัดออกแห่งวิญญาณ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย เรายังไม่ร้ ูทAวั ถึงซึA งคุณโดยความเป็ นคุณ ซึA งโทษโดยความเป็ น
โทษ และซึA งอุบายเป็ นเครืA องสลัดออกโดยเป็ นอุบายเครืA องสลัดออก แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ นี8
ตามความเป็ นจริง เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณว่าได้ ตรัสรู้ซึAงอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก
พร้ อมทั8งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้ อมทั8งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
เพียงนั8น ดูกรภิกษุท8งั หลาย แต่เมืA อใด เราได้ ร้ ูทวAั ถึงซึA งคุณโดยความเป็ นคุณซึA งโทษโดยความ
เป็ นโทษ และซึA งอุบายเป็ นเครืA องสลัดออกโดยเป็ นอุบายเครืA องสลัดออก แห่งอุปาทานขันธ์ ๕ นี8
ตามความจริง เมืA อนั8น เราจึงปฏิญาณว่าได้ ตรัสรู้ซึAงอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้ อมทั8งเท
๔๙

วโลกมารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์พร้ อมทั8งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ก็แล ญาณทัสนะ


เกิดขึ8นแก่เราว่า เจโตวิมุติของเราไม่กาํ เริบ ชาติน8 มี ีในทีA สดุ บัดนี8ความเกิดอีกมิได้ มี ฯ
การแทงตลอดด้ วยการละว่า สุข โสมนัส อาศัยรูปเกิดขึ8น นี8เป็ นคุณแห่งรูป ดังนี8
เป็ นสมุทยั สัจ การแทงตลอดด้ วยการกําหนดรู้ว่ารูปไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ น
ธรรมดา นี8เป็ นโทษแห่งรูป ดังนี8เป็ นทุกขสัจ การแทงตลอดด้ วยการทําให้ แจ้ งว่า การกําจัด
ฉันทราคะ การละฉันทราคะในรูป นี8เป็ นอุบายเครืA องสลัดออกแห่งรูป ดังนี8 เป็ นนิโรธสัจ การ
แทงตลอดด้ วยภาวนา คือ สัมมาทิฐิ สัมมา สังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ในฐานะทั1ง ๓ นี1 เป็ นมรรคสัจ การแทงตลอดด้ วยการ
ละว่า สุขโสมนัส อาศัยเวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณเกิดขึ8น นี8เป็ นคุณแห่งวิญญาณ ดังนี8เป็ น
สมุทยั สัจ การแทงตลอดด้ วยการกําหนดรู้ว่า วิญญาณไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็ น
ธรรมดา นี8เป็ นโทษแห่งวิญญาณ ดังนี8เป็ นทุกขสัจ การแทงตลอดด้ วยทําให้ แจ้ งว่า การกําจัด
ฉันทราคะ การละฉันทราคะในวิญญาณ นี8เป็ นอุบายเครืA องสลัดออกแห่งวิญญาณ ดังนี8 เป็ น
นิโรธสัจการแทงตลอดด้ วยภาวนา คือ ทิฐิสงั กัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ วายามะสติ สมาธิ
ในฐานะทั8ง ๓ นี8 เป็ นมรรคสัจ ฯ
สัจจะด้วยอาการเท่าไรฯ สัจจะด้วยอาการ ๓ คือ ด้วยความแสวงหา ๑ ด้วย
ความกําหนด๑ ด้วยความแทงตลอด ๑
สัจจะด้วยความแสวงหาอย่างไร ฯ สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า ชราและ
มรณะมีอะไรเป็ นเหตุ มีอะไรเป็ นสมุทยั มีอะไรเป็ นกําเนิด มีอะไรเป็ นแดนเกิด ฯ
สัจจะด้ วยความกําหนดอย่างนี8ว่า ชราและมรณะมีชาติเป็ นเหตุ มีชาติเป็ นสมุทยั มีชาติเป็ น
กําเนิด มีชาติเป็ นแดนเกิด ญาณย่อมรู้ชัดซึA งชราและมรณะเหตุเกิดแห่งชราและมรณะความดับ
แห่งชราและมรณะ และข้ อปฏิบตั ิเครืA องให้ ถงึ ความดับแห่งชราและมรณะ สัจจะด้ วยความแทง
ตลอดอย่างนี8 ฯ
สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า ชาติมีอะไรเป็ นเหตุ ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด สัจจะ
ด้ วยความกําหนดอย่างนี8ว่า ชาติมีภพเป็ นเหตุ ... มีภพเป็ นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึA งชาติ เหตุเกิด
แห่งชาติ ความดับแห่งชาติ และข้ อปฏิบัติเครืA องให้ ถงึ ความดับแห่งชาติ สัจจะด้ วยความแทง
ตลอดอย่างนี8 ฯ
สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า ภพมีอะไรเป็ นเหตุ ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด สัจจะ
ด้ วยความกําหนดอย่างนี8ว่า ภพมีอปุ าทานเป็ นเหตุ ...มีอปุ าทานเป็ นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึA งภพ
๕๐

เหตุเกิดแห่งภพ ความดับแห่งภพและข้ อปฏิบัตเิ ครืA องให้ ถึงความดับแห่งภพ สัจจะด้ วยความ


แทงตลอดอย่างนี8 ฯ
สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า อุปาทานมีอะไรเป็ นเหตุ ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด
สัจจะด้ วยความกําหนดอย่างนี8ว่า อุปาทานมีตัณหาเป็ นเหตุ ...มีตัณหาเป็ นแดนเกิด ญาณรู้ชัด
ซึA งอุปาทาน เหตุเกิดแห่งอุปาทาน ความดับแห่งอุปาทาน และข้ อปฏิบตั ิเครืA องให้ ถึงความดับ
แห่งอุปาทาน สัจจะด้ วยความแทงตลอดอย่างนี8 ฯ
สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า ตัณหามีอะไรเป็ นเหตุ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด สัจจะด้ วยความ
กําหนดอย่างนี8ว่า ตัณหามีเวทนาเป็ นเหตุ ...มีเวทนาเป็ นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึA งตัณหา เหตุเกิด
แห่งตัณหา ความดับแห่งตัณหา และข้ อปฏิบัติเครืA องให้ ถงึ ความดับแห่งตัณหา สัจจะด้ วยความ
แทงตลอดอย่างนี8 ฯ
สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า เวทนามีอะไรเป็ นเหตุ ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด
สัจจะด้ วยความกําหนดอย่างนี8ว่า เวทนามีผัสสะเป็ นเหตุ ...มีผัสสะเป็ นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึA ง
เวทนาเหตุเกิดแห่งเวทนา ความดับแห่งเวทนา และข้ อปฏิบัติเครืA องให้ ถงึ ความดับแห่งเวทนา
สัจจะด้ วยความแทงตลอดอย่างนี8 ฯ
สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า ผัสสะมีอะไรเป็ นเหตุ ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด
สัจจะด้ วยความกําหนดอย่างนี8ว่า ผัสสะมีสฬายตนะเป็ นเหตุ... มีสฬายตนะเป็ นแดนเกิด ญาณ
รู้ชัดซึA งผัสสะ เหตุเกิดแห่งผัสสะ ความดับแห่งผัสสะ และข้ อปฏิบัติเครืA องให้ ถงึ ความดับแห่ง
ผัสสะสัจจะด้ วยความแทงตลอดอย่างนี8
สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า สฬายตนะมีอะไรเป็ นเหตุ ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด
สัจจะด้ วยความกําหนดอย่างนี8ว่า สฬายตนะมีนามรูปเป็ นเหตุ ...มีนามรูปเป็ นแดนเกิด ญาณรู้
ชัดซึA งสฬายตนะ เหตุเกิดสฬายตนะ ความดับสฬายตนะ และข้ อปฏิบัติเครืA องให้ ถงึ ความ
ดับสฬายตนะสัจจะด้ วยความแทงตลอดอย่างนี8 ฯ
สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า นามรูปมีอะไรเป็ นเหตุ ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด
สัจจะด้ วยความกําหนดอย่างนี8ว่า นามรูปมีวิญญาณเป็ นเหตุ ...มีวิญญาณเป็ นแดนเกิด ญาณรู้
ชัดซึA งนามรูปเหตุเกิดนามรูป ความดับนามรูปและข้ อปฏิบัติเครืA องให้ ถงึ ความดับนามรูป สัจจะ
ด้ วยความแทงตลอดอย่างนี8 ฯ
สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า วิญญาณมีอะไรเป็ นเหตุ ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด
สัจจะด้ วยความกําหนัดอย่างนี8ว่า วิญญาณมีสงั ขารเป็ นเหตุ ...มีสังขารเป็ นแดนเกิด ญาณรู้ชัด
ซึA งวิญญาณ เหตุเกิดวิญญาณ ความดับวิญญาณและข้ อปฏิบัติเครืA องให้ ถึงความดับวิญญาณ
สัจจะด้ วยความแทงตลอดอย่างนี8 ฯ
๕๑

สัจจะด้ วยความแสวงหาอย่างนี8ว่า สังขารมีอะไรเป็ นเหตุ ... มีอะไรเป็ นแดนเกิด


สัจจะด้ วยความกําหนดอย่างนี8ว่า สังขารมีอวิชชาเป็ นเหตุ ...มีอวิชชาเป็ นแดนเกิด ญาณรู้ชัดซึA ง
สังขารเหตุเกิดสังขาร ความดับสังขารและข้ อปฏิบตั ิเครืA องให้ ถงึ ความดับสังขาร สัจจะด้ วยความ
แทงตลอดอย่างนี8 ฯ
ชราและมรณะเป็ นทุกขสัจ ชาติเป็ นสมุทยั สัจ ความสลัดชรามรณะและชาติแม้ ท8งั สองเป็ นนิโรธ
สัจ การรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจชาติเป็ นทุกขสัจ ภพเป็ นสมุทยั สัจ การสลัดชาติและภพแม้ ท8งั
สองเป็ นนิโรธสัจการรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจ อุปาทานเป็ นทุกขสัจ ตัณหาเป็ นสมุทยั สัจการ
สลัดอุปาทานและตัณหาแม้ ท8งั สองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจตัณหาเป็ นทุกข
สัจ เวทนาเป็ น สมุทยั สัจ การสลัดตัณหาและเวทนาแม้ ท8งั สองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความดับ
เป็ นมรรคสัจ เวทนาเป็ นทุกขสัจ ผัสสะเป็ นสมุทยั สัจ การสลัดเวทนาและผัสสะแม้ ท8งั สองเป็ น
นิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจ ผัสสะเป็ นทุกขสัจ สฬายตนะเป็ นสมุทยั สัจการสลัด
ผัสสะและสฬายตนะแม้ ท8งั สองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจ สฬายตนะเป็ นทุกข
สัจ นามรูปเป็ นสมุทยั สัจ การสลัดสฬายตนะและนามรูปแม้ ท8งั สองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความ
ดับเป็ นมรรคสัจ นามรูปเป็ นทุกขสัจ วิญญาณเป็ นสมุทยั สัจ การสลัดนามรูปและวิญญาณแม้ ท8งั
สองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจ วิญญาณเป็ นทุกขสัจ สังขารเป็ นสมุทยั สัจ การ
สลัดวิญญาณและสังขารแม้ ท8งั สองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจ สังขารเป็ นทุกข
สัจ อวิชชาเป็ นสมุทยั สัจ การสลัดสังขารและอวิชชาแม้ ท8งั สองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความดับ
เป็ นมรรคสัจ ชรามรณะเป็ นทุกขสัจ ชาติเป็ นทุกขสัจก็มี เป็ นสมุทยั สัจก็มี การสลัดชรามรณะ
และชาติแม้ ท8งั สองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจ ชาติเป็ นทุกขสัจ ภพเป็ นทุกขสัจ
ก็มี เป็ นสมุทยั สัจก็มกี ารสลัดชาติและภพแม้ ท8งั สองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจ
ฯลฯสังขารเป็ นทุกขสัจ อวิชชาเป็ นทุกขสัจก็มี เป็ นสมุทยั สัจก็มี การสลัดสังขารและอวิชชาแม้
ทั8งสองเป็ นนิโรธสัจ การรู้จักความดับเป็ นมรรคสัจ ฉะนี8แล ฯ
สัจจกถา จบ

สัตตมหาสถาน
สัตตมหาสถาน คือสถานทีA ททีA รงอยู่เสวยวิมุตติสขุ หลังจากตรัสรู้แล้ ว๗แห่ง แหล่งละ
๗วันรวมเป็ น๔๙วันเพืA อพิจารณาโพธิญาณ โดยเรียงลําดับจากสัปดาห์แรกถึงสัปดาห์ท๗ดั ีA งนี8
โพธิบัลลังก์ อนิมสิ เจดีย์ รัตนจงกรมเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ ต้ นอชปาลนิโครธ ควงไม้
มุจลินท์ ราชายตนะ
๕๒

โพธิบลั ลังก์ พระผู้มพี ระภาคเจ้ าทรงบรรลุสมั มาสัมโพธิญาณ แล้ วประทับ


นัAงขัดสมาธิเสวยวิมุติสขุ ด้ วยบัลลังก์อนั เดียว พิจารณธรรม ปฏิจจสมุปบาท ตลอดสัปดาห์หนึA ง
อนิมิสเจดีย ์ เทวดาบางพวกเกิดความสงสัยขึ8นว่าพระผู้มีพระภาคเจ้ าไม่เสด็จออก
ธรรมอันกระทําความเป็ นพระพุทธเจ้ าแม้ อย่างอืA นยังมีอยู่หรือหนอ. ครั8นในวันทีA ๘ พระผู้มี
พระภาคเจ้ าเสด็จออกจากสมาบัติ ทรงทราบความสงสัยของพวกเทวดา จึงเหาะขึ8นไปบน
อากาศเพืA อกําจัดความสงสัยของเทวดาเหล่านั8นแล้ วแสดงยมกปาฏิหาริย์ประทับยืนทางด้ านทิศ
อุดรอันเฉียงไปทางทิศปราจีน(ทิศตะวันออก เฉียงเหนือ)เยื8องกับโพธิบัลลังก์ ทรงลืมพระ
เนตรแลดูบัลลังก์และโพธิพฤกษ์ อันเป็ นสถานทีA บรรลุผลแห่งพระบารมีททีA รงสะสมมาตลอด
๔ อสงไขย ยิA งด้ วยแสนกัป ทรงยับยั8งอยู่สปั ดาห์หนึA ง
รัตนจงกรมเจดีย.์ พระผู้มีพระภาคเจ้ าทรงจงกรมในทีA รัตนจงกรมอันยาวทางด้ านปุ
รัตถิมทิศและปัจฉิมทิศ ระหว่างบัลลังก์กับทีA ประทับยืน ทรงยับยั8งอยู่สปั ดาห์หนึA ง.
รัตนฆรเจดีย ์ .ทางด้ านปัจฉิมทิศจากสถานทีA นั8น เทวดาเนรมิตเรือนแก้ ว ทรง
ประทับนัAงสมาธิในเรือนแก้ วนั8น ทรงพิจารณาอภิธรรมปิ ฎกอันเป็ นสมันตปัฏฐานอนันตนัยโดย
พิเศษ ทรงยับยั8งอยู่ ๑ สัปดาห์
ต้นอชปาลนิโครธ ทรงประทับนัAงสมาธิ ณ ควงต้ นอชปาลนิโครธนั8นตลอด ๗ วัน
พอล่วงสัปดาห์น8ัน พราหมณ์คนหนึA งผู้มักตวาดผู้อืAนว่า หึ หึ เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA
ประทับ ได้ ปราศรัยกับพระพุทธองค์ ได้ ทูลถามว่าบุคคลจะเป็ นพราหมณ์เพราะเหตุใด. พระผู้มี
พระภาคทรงเปล่งอุทานนี8ในเวลานั8นว่า พราหมณ์ใดมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ ว ไม่มักตวาด
ผู้อืAนว่าหึ หึ ไม่มีกิเลสดุจนํา8 ฝาดมีตนอันสํารวมแล้ วถึงทีA สดุ แห่งเวท อยู่จบพรหมจรรย์แล้ ว ไม่
มีกิเลสเครืA องฟูข8 นึ ในโลกไหนๆ พราหมณ์น8ันควรกล่าววาทะว่าเป็ นพราหมณ์โดยชอบธรรม ฯ
ควงไม้มุจลินท์ พระผู้มีพระภาคประทับนัAงเสวยวิมุติสุขด้ วยบัลลังก์อนั เดียวตลอด
๗ วัน สมัยนั8นฝนตกพรําตลอด ๗ วัน มีลมหนาว พระยามุจลินทนาคราชมาวงรอบพระกาย
ของพระผู้มีพระภาคด้ วยขนดหาง๗ รอบ แผ่พังพานใหญ่เบื8องบนพระเศียรเพืA อกัน ความ
หนาว ความร้ อนเหลือบ ยุงลม แดด และสัตว์เลื8อยคลานอย่าได้ เบียดเบียนพระผู้มีพระภาค
ครั8นพอล่วงสัปดาห์น8ันไป พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธิ ทรงเปล่งอุทานในเวลานั8นว่า
วิเวกเป็ นสุขของผู้ยินดี มีธรรมอันสดับแล้ ว พิจารณาเห็นอยู่ความไม่เบียดเบียน คือ ความ
สํารวมในสัตว์ท8งั หลาย เป็ นสุขในโลก ความเป็ นผู้มีราคะไปปราศแล้ ว คือ ความก้ าวล่วงซึA งกาม
ทั8งหลายเสียได้ เป็ นสุขในโลก ความนําซึA งอัสมิมานะเสียได้ นี8แลเป็ นสุขอย่างยิA ง ฯ
๕๓

ราชายตนะ พระพุทธองค์เสวยวิมุตติสขุ ณ ควงไม้ ราชายตนะ ตลอด ๗ วัน. พ่อค้ า


ชืA อตปุสสะ และภัลลิกะ ถือสัตตุผงและสัตตุก้อนเข้ าไปเฝ้ าพระผู้มี พระผู้มีพระภาคได้ ทรง
ปริวิตกว่า พระตถาคตทั8งหลาย ไม่รับวัตถุด้วยมือ เราจะพึงรับสัตตุผง และสัตตุก้อนด้ วยอะไร
หนอ. ท้ าวมหาราชทั8ง ๔ ทรงทราบพระปริวติ กได้ เสด็จมาจาก ๔ ทิศ ทรงนําบาตรทีA สําเร็จด้ วย
ศิลา ๔ ใบเข้ าไปถวายพระผู้มี พระภาค พระผู้มีพระภาคทรงใช้ บาตรสําเร็จด้ วยศิลาอัน
ใหม่เอีA ยม รับสัตตุผงและสัตตุก้อนแล้ วเสวย. ครั8งนั8น พ่อค้ าตปุสสะและภัลลิกะ ได้ ทูลขอถึง
พระผู้มีพระภาคและพระธรรมว่า เป็ นสรณะ เป็ นอุบาสกผู้มอบชีวติ ถึงสรณะ จําเดิมแต่วันนี8
เป็ นต้ นไป.ก็นายพาณิชสองคนนั8น ได้ เป็ นอุบาสกกล่าวอ้ าง ๒ รัตนะ เป็ นชุดแรกในโลก.
๕๔

นครพาราณสี-ปฐมเทศนา-เมื
เมืองแห่งชาดก
พาราณสี
ชืA อของเมืองพาราณสีน8ันในอรรถกถา อธิบายว่า เพระว่า เมืองนั8นตั8งอยู่ไม่ไกลจาก
แม่นํนา8ํ สายหนึA งทีA ชืAอว่าพาราณสา ดังนั8นจึงชืA อว่าพาราณสี. หรืออีกนัยหนึA งเพราะมาจากคําว่า
วานรสีสะโดยอาศัยนัยจากชาดกเรืA องมหากปิ ลวานร ผู้มีคุณธรรมของความเป็ นผู้นาํ ทีA ยอมสละ
ชีวิตเพืA อช่วยบริวารให้ พ้นภัยเมืA อสิ8นชีพพระราชาจึงได้ งได้ สร้ างเจดีย์ไว้ ในเมืองจึงได้ มีชืA อว่า วา
ราณสี เมืองแห่งศรีษะของพญาวานรโพธิสตั ว์ ได้ ยินว่าในกรุงพาราณสีนัน8นั ทั8งฝ้ ายก็อ่อน ทั8ง
คนกรอด้ าย ทั8งช่างทอก็ฉลาด แม้ นาํ8 ก็สะอาดสนิท เพราะฉะนั8นผ้ านั8นจึงเกลี8ยงทั8งสองข้ างอ่อน
สนิทจึงทําให้ ได้ ผ้าดี พาราณสีจึงเป็ นเมืองทีA มชี ืA อเสียงเรืA องผ้ า
๕๕

อิสิปตน มิคทายวัน
ทีA ชืAอว่า อิสปิ ตน มิคทายวัน เพราะนัยว่า ณ ทีA น8ันเมืA อยังไม่เกิดพระสัมมาสัมพุทธุ
เจ้ า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้ าทั8งหลาย ยับยั8งอยู่ด้วยนิโรธสมาบัตติ ลอดสัปดาห์ ณ คันธมาทน์
บรรพต ออกจากนิโรธสมาบัติแล้ วเคี8ยวไม้ ชาํ ระฟันชืA อนาคลดา บ้ วนปากทีA สระอโนดาดถือ
บาตรจีวรเหาะไปแล้ วลงห่มจีวรในทีA น8ันแล้ วเทีA ยวไปบิณบาตในพระนคร ฉันเสร็จแล้ วถึงเวลาก็
เหาะจากทีA น8ันไป. ดังนั8นฤษีท8งั หลายลงและเข้ าไปในทีA น8ัน เหตุน8ัน ทีA นั8นจึงนับว่าอิสปิ ตน
ส่วนทีA เรียกว่า มิคทายะ เพราะให้ อภัยแก่เนื8อทั8งหลาย ด้ วยเหตุน8ันท่านจึงเรียกว่า อิสิป
ตน มิคทายวัน ซึA งเป็ นสถานทีA ทพีA ระพุทธเจ้ าทุกพระองค์ได้ ทรงเสด็จมาประกาศพระธรรมจักร
อันเป็ นปฐมเทศนา

ทรงรําพึงถึงปฐมเทศนา-โปรดเบญจวัคคีย ์
หลังจากพระพุทธเจ้ าทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ วได้ เสวยวิมุตติสขุ อยู่๗
สัปดาห์ และท้ าวสหัมปดีพรหมทรงทูลอาราธนาให้ แสดงธรรมแล้ ว ทรงรําพึงว่าจะพึงแสดง
ธรรมเป็ นครั8งแรกแก่ใครหนอ ใครจักทราบชัดธรรมนี8ได้ โดยเร็ว. พระองค์จึงคิดถึง อาฬา
รดาบส กาลามโคตรผู้ฉลาด เป็ นบัณฑิต มีปัญญา ก็ทรงทราบว่าตายไปแล้ วได้ ๗ วันนับว่าเป็ น
ผู้เสืA อมจากคุณอันยิA งใหญ่เสียแล้ ว จากนั8นจึงทรงคิดว่า อุททกดาบส รามบุตรผู้เป็ นบัณฑิต มี
กิเลสดุจธุลีในดวงตาน้ อยมานาน ทรงทราบว่าได้ ตายไปเสียแล้ วเมืA อเย็นวานนี8นับว่าเป็ นผู้เสืA อม
จากคุณอันยิA งใหญ่เช่นกัน เพราะถ้ าเธอพึงได้ สดับธรรมนี8ไซร้ ก็พึงทราบชัดได้ โดยเร็ว. และ
พระองค์จึงทรงคิดว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์ได้ อปุ ัฏฐากเรา ผู้กาํ ลังบําเพ็ญเพียรอยู่ เป็ นผู้มีอปุ การะ
แก่เรามากนัก ถ้ าไฉน เราพึงแสดงธรรมเป็ นครั8งแรกแก่พวกเธอ จึง คํานึงต่อไปว่า ภิกษุ
ปัญจวัคคีย์อยู่ทไีA หนก็ทรงรู้ได้ ว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ในป่ าอิสปิ ตนมฤคทายวัน เขตพระนคร
พาราณสี ด้ วยทิพยจักษุทบีA ริสทุ ธิJ ครั8นเราอยู่ทตีA าํ บลอุรุเวลาพอสมควรแล้ ว จึงได้ ออกจาริกไป
เมืองพาราณสี. เมืA อพระองค์เดินทาง จนถึงพวกภิกษุปัญจวัคคีย์ทปีA ่ าอิสปิ ตนมฤคทายวัน พวก
ภิกษุปัญจวัคคีย์ได้ เห็นพระองค์มาแต่ไกลจึงได้ นดั หมายกันว่า จะไม่ไหว้ ไม่ลุกขึ8นยืนรับ ไม่ลุก
รับบาตรจีวร แต่ว่าจะปูอาสนะไว้ ถ้ าทรงปรารถนา ก็จักประทับนัAง. เมืA อพระองค์เข้ าไปใกล้
พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ ก็ไม่สามารถดํารงอยู่ในข้ อนัดหมายกัน คือ บางรูปลุกขึ8นรับบาตรจีวร
บางรูปปูอาสนะ บางรูปตั8งนํา8 ล้ างเท้ า แต่พดู กะพระองค์โดยระบุนาม และใช้ คาํ พูดว่า "อาวุโส"
พระองค์จึงบอกภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุท8งั หลาย พวกเธออย่าได้ พูดกับตถาคตโดยระบุ
นาม และใช้ คาํ พูดว่า "อาวุโส" ตถาคตได้ เป็ นอรหันตสัมมาสัมพุทธ พวกเธอจงเงีA ยโสตลงสดับ
เราจะสอนอมฤตธรรมทีA เราได้ บรรลุ เมืA อพวกเธอปฏิบัติตามทีA เราสอน ก็จักกระทําให้ แจ้ งซึA ง
๕๖

ทีA สดุ พรหมจรรย์ได้ . พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ได้ กล่าวตอบว่า ดูกรอาวุโส โคดมเพราะการบําเพ็ญ


ทุกกรกิริยาอย่างนั8น ท่านก็ไม่ได้ บรรลุอตุ ตริมนุสสธรรม ทีA เป็ นอริยญาณทัสสนะ ไฉนเล่า ท่านผู้
คลายความเพียร เวียนมาเพืA อความเป็ นคนมักมาก จักบรรลุอุตตริมนุสสธรรม ทีA เป็ นอริย
ญาณทัสสนะชั8นพิเศษอย่างเพียงพอได้
พระองค์จึงกล่าวว่า ดูกรภิกษุท8งั หลาย ตถาคต มิได้ คลายความเพียร เวียนมาเพืA อ
ความเป็ นคนมักมาก ตถาคตได้ เป็ นอรหันตสัมมาสัมพุทธ พวกเธอจงเงีA ยโสตลงสดับ เราจะ
แสดงธรรมทีA เราได้ บรรลุแล้ ว เมืA อพวกเธอปฏิบัตติ ามไม่นานนัก ก็จักกระทําให้ แจ้ งซึA งคุณยอด
เยีA ยม ทีA กุลบุตรผู้ออกบรรพชามุ่งหมายรู้ยิAงด้ วยตนเอง. พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ได้ กล่าวคัดค้ านถึง
๓ครั8งพระองค์จึงได้ กล่าวว่า ดูกรภิกษุท8งั หลาย เธอทั8งหลายจําได้ หรือไม่ว่า คําอย่างนี8 เราได้
เคยพูดมาแล้ วแต่ก่อน. พวกปัญจวัคคีย์กล่าวว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ คําอย่างนี8พระองค์มิได้
เคยตรัสเลย.พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ทราบว่าพระองค์ทรงเป็ นพระพุทธเจ้ าแล้ วจึงได้ ต8ังใจทีA จะฟัง
อมตธรรม พระองค์จึงได้ แสดงปฐมเทศนา
ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร
“ดูกรภิกษุทงั หลาย ส่วนสุด ๒ อย่างนี อันบรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนสุด ๒ อย่างนัน
เป็ นไฉน? คือ การประกอบตนให้พวั พันด้วยกามสุขในกามทัง หลาย เป็ นของเลว เป็ นของ
ชาวบ้าน เป็ นของปุถชุ น ไม่ประเสริฐไม่ประกอบด้วยประโยชน์ การประกอบความลําบากแก่
ตน เป็ นทุกข์ ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ข้อปฏิบตั ิอันเป็ นสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้
ส่วนสุด ๒ อย่างเหล่านี อันตถาคตได้ตรัสรูแ้ ล้ว กระทําจักษุ กระทําญาณ ย่อมเป็ นไปเพื-อความ
สงบ เพื-อความรูย้ - ิง เพื-อความตรัสรู ้ เพื-อนิพพาน ก็ขอ้ ปฏิบตั ิอันเป็ นสายกลางนัน ... เป็ นไฉน?
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นีแหละ ซึ-งได้แก่ ความเห็นชอบ ความดําริชอบ วาจาชอบ
การงานชอบ เลียงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตัง ใจชอบ ข้อปฏิบตั ิอันเป็ นสายกลางนีแล อัน
ตถาคตได้ตรัสรูแ้ ล้ว กระทําจักษุ กระทําญาณ ย่อมเป็ นไปเพื-อความสงบ เพื-อความรูย้ - ิง เพื-อ
ความตรัสรู ้ เพื-อนิพพาน.
ดูกรภิกษุทงั หลาย ก็ทุกขอริยสัจนีแล คือ ความเกิดก็เป็ นทุกข์ ความแก่กเ็ ป็ นทุกข์
ความเจ็บก็เป็ นทุกข์ ความตายก็เป็ นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ-งอันไม่เป็ นที-รกั ก็เป็ นทุกข์ ความ
พลัดพรากจากสิ-งอันเป็ นที-รกั ก็เป็ นทุกข์ ปรารถนาสิ-งใดไม่ได้แม้ขอ้ นัน ก็เป็ นทุกข์โดยย่อ
อุปาทานขันธ์ ๕ เป็ นทุกข์ ก็ทกุ ขสมุทยอริยสัจนีแล คือ ตัณหาอันทําให้มีภพใหม่ประกอบด้วย
ความกําหนัดด้วยอํานาจความพอใจ ความเพลิดเพลินยิ-งนักในอารมณ์นนั ๆ ได้แก่กามตัณหา
ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็ทกุ ขนิโรธอริยสัจนีแล คือ ความดับด้วยการสํารอกโดยไม่เหลือแห่ง
ตัณหานัน แหละ ความสละ ความวาง ความปล่อย ความไม่อาลัย ก็ทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทา
๕๗

อริยสัจนีแล คือ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ซึ-งได้แก่สมั มาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ


สัมมาสัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ดูกรภิกษุทงั หลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึนแก่เรา ในธรรมที-เรา
ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นีทกุ ขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขอริยสัจนัน ควรกําหนดรู ้ ฯลฯทุกขอริยสัจนัน
เรากําหนดรูแ้ ล้ว.
ดูกรภิกษุทงั หลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึนแก่เราในธรรมที-เรา
ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นีทกุ ขสมุทยอริยสัจ ฯลฯ ทุกขสมุทยอริยสัจนัน ควรละ ฯลฯ ทุกขสมุทยั
อริยสัจนัน เราละแล้ว.
ดูกรภิกษุทงั หลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึนแก่เราในธรรมที-เรา
ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นีทกุ ขนิโรธอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธอริยสัจนัน ควรกระทําให้แจ้ง. ฯลฯ
ทุกขนิโรธอริยสัจนัน เรากระทําให้แจ้งแล้ว
ดูกรภิกษุทงั หลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึนแก่เรา ในธรรมที-เรา
ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นีทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ
นัน ควรเจริญ จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึนแล้วแก่เราในธรรมที-เราไม่เคยได้ฟัง
มาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนัน เราเจริญแล้ว.
ดูกรภิกษุทงั หลาย ก็ญาณทัสสนะ (ความรูค้ วามเห็น) ตามความเป็ นจริงมีวนรอบ ๓
อย่างนี มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านีของเรา ยังไม่บริสุทธิOเพียงใดเราก็ยงั ไม่ปฏิญาณตนว่า
ป็ นผูต้ รัสรูอ้ นุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลกพร้อมทัง เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สตั ว์
พร้อมทัง สมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนัน ก็เมื-อใดญาณทัสสนะ(ความรู ้
ความเห็น) ตามความเป็ นจริง มีวนรอบ ๓ อย่างนี มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านีของเรา
บริสทุ ธิOดีแล้ว เมื-อนัน เราจึงปฏิญาณตนว่า เป็ นผูต้ รัสรูอ้ นุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อม
ทัง เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สตั ว์ พร้อมทัง สมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ก็
ญาณทัสสนะได้บงั เกิดขึนแก่เราว่า วิมตุ ิของเราไม่กาํ เริบ ชาติน ีเป็ นชาติท- ีสดุ บัดนี ภพใหม่ไม่
มี”
ก็เมืA อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี8อยู่ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี
ปราศจากมลทิน ได้ เกิดขึ8นแก่ท่านโกณฑัญญะว่า สิA งใดสิA งหนึA งมีความเกิดขึ8นเป็ นธรรมดาสิA งนั8น
ทั8งมวลล้ วนมีความดับเป็ นธรรมดา. พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสพระพุทธพจน์น8 ีจบแล้ ว ภิกษุปัญจ
วัคคีย์ปลื8มใจ ชืA นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค. พวกเทวดาต่างป่ าวประกาศว่า ธรรมจักรอัน
ยอดเยีA ยม อันพระผู้มีพระภาคทรงประกาศแล้ ว ณ ป่ าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้ พระนคร
๕๘

พาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ปฏิวัติไม่ได้ โดยครู่น8ัน
เสียงได้ ระบือขึ8นไปจนถึงพรหมโลกหมืA นโลกธาตุน8 ีสะเทือนสะท้ านหวัAนไหว ทั8งแสงสว่างอันยิA ง
หาประมาณมิได้ ได้ ปรากฏแล้ วในโลก ล่วงเทวานุภาพของพวกเทพดาทั8งหลาย. ครั8งนั8น พระ
ผู้มีพระภาคได้ ทรงเปล่งอุทานว่า โกณฑัญญะได้ ร้ ูแล้ วหนอโกณฑัญญะได้ ร้ ูแล้ วหนอ
เพราะเหตุน8ันคําว่า อัญญาโกณฑัญญะ จึงได้ เป็ นชืA อของท่านโกณฑัญญะด้ วยประการ
ฉะนี8 ท่านได้ ขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระบรมศาสดาจึงนับว่าสังฆรัตนได้ อบุ ัติข8 นึ แล้ ว ณ ป่ า
แห่งนี8
พาราณสีเมืองแห่งชาดก
เมืองพาราณสีน8ันเป็ นเมืองทีA เก่าแก่มปี ระวัติมาช้ านาน เมืองแห่งนี8น8ันในอดีตมี
ปรากฏว่าเป็ นฉากแห่งเรืA องราวต่างๆในครั8งทีA พระโพธิสตั ว์ทรงสัAงสมบารมีซงมี ึA เรืA องทั8งทีA มาใน
พระสูตรและโดย เฉพาะทีA มาในชาดกก็ได้ มเี รืA อง เกิดขึ8น ณ เมืองพาราณสีแห่งนี8 มากเกินกว่า
ครึA ง เช่น สุตโสมชาดก จุลลกมหาเศรษฐีชาดก ขุรัปปชาดก สุชาตาชาดก มตโรทนชาดก
ทีฆาวุกุมาร เป็ นต้ น
เรืA องจุลลกมหาเศรษฐีชาดก นั8นเป็ นเรืA องทีA กล่าวถึงบุคคลผู้มีปัญญาผู้ฉลาดในโวหาร
รู้จักคิดใคร่ครวญ ย่อมตั8งตนได้ ด้วยทรัพย์ทเีA ป็ นต้ นทุนแม้ ประมาณน้ อย ด้ วยประกอบอุบาย
ต่างๆ ครั8นให้ เพิA มขึ8นแล้ วก็ดาํ รงตนไว้ ในทรัพย์และยศนั8นได้ เหมือนคนก่อไฟกองน้ อยให้ เป็ น
กองใหญ่
จุลลกมหาเศรษฐีชาดก
ในอดีตกาล เมืA อพระเจ้ าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมืองพาราณสีในแคว้ นกาสี
พระโพธิสตั ว์บังเกิดในตระกูลเศรษฐี เจริญวัยแล้ ว ได้ รับตําแหน่งเศรษฐี ได้ ชืAอว่าจุลลก
เศรษฐี จุลลกเศรษฐีน8ันเป็ นบัณฑิตฉลาดเฉียบแหลมรู้นิมิตทั8งปวง วันหนึA ง จุลลกเศรษฐีน8ัน
ไปสู่ทบีA าํ รุงพระราชา เห็นหนูตายในระหว่างถนน คํานวนนักขัตฤกษ์ในขณะนั8นแล้ ว กล่าวคํา
นี8ว่ากุลบุตรผู้มดี วงตาคือปัญญา อาจเอาหนูตัวนี8ไปกระทําการเลี8ยงดูภรรยาและประกอบการ
งานได้ .
กุลบุตรผู้ยากไร้ คนหนึA งชืA อว่า จูฬันเตวาสิก ได้ ฟังคําของเศรษฐีน8ันแล้ วคิดว่า ท่าน
เศรษฐีน8 ไี ม่ร้ ู จักไม่พูด จึงเอาหนูไปขายในตลาดแห่งหนึA งเพืA อเป็ นอาหารแมว . ได้ ทรัพย์
กากณึกหนึA ง จึงนําไปซื8อนํา8 อ้ อย แล้ วเอาหม้ อใบหนึA งตักนํา8 ไป เขาเห็นพวกช่างดอกไม้ มาจาก
๕๙

ป่ าจึงให้ ช8 ินนํา8 อ้ อยคนละหน่อยหนึA ง แล้ วให้ ดืAมนํา8 กระบวยหนึA ง พวกช่างดอกไม้ เหล่านั8นได้ ให้
ดอกไม้ คนละกํามือแก่เขาเขาก็ได้ นาํ ดอกไม้ ไปขาย.
ในวันรุ่งขึ8น เขาก็เอาค่าดอกไม้ น8ันซื8อนํา8 อ้ อยและนํา8 ดืA มหม้ อหนึA งไปยังสวนดอกไม้
ทีเดียว พวกช่างดอกไม้ ได้ ให้ กอดอกไม้ ทเก็ ีA บไปแล้ วครึA งกอแก่เขาในวันนั8นแล้ วก็ไป ไม่นาน
นัก เขาก็ได้ เงิน ๘ กหาปณะ โดยอุบายนี8.ในวันมีฝนเจือลมวันหนึA ง ไม้ แห้ งกิA งไม้ และใบไม้
เป็ นอันมาก ในพระราชอุทยาน ถูกลมพัดตกลงมาอีก คนเฝ้ าอุทยานไม่เห็นอุบายทีA จะทิ8ง
เขาไปในพระราชอุทยานนั8นแล้ วกล่าวกะคนเฝ้ าอุทยานว่า ถ้ าท่านจักให้ ไม้ และใบไม้ เหล่านั8น
แก่ข้าพเจ้ า ข้ าพเจ้ าจักนําของทั8งหมดออกไปจากสวนนี8ของท่านคนเฝ้ าอุทยานนั8นรับคําว่า เอา
ไปเถอะนาย.จูฬันเตวาสิกจึงไปยังสนามเล่นของพวกเด็ก ๆ ให้ นาํ8 อ้ อย เด็กจึงช่วยเก็บให้
ต้ นไม้ และใบไม้ ท8งั หมดออกไปกองไว้ ทปีA ระตูอทุ ยานโดยเวลาครู่เดียว ในกาลนั8น ช่างหม้ อ
หลวงเทีA ยวหาฟื นเพืA อเผาภาชนะดินของหลวง เห็นไม้ และใบไม้ เหล่านั8นทีA ประตูอทุ ยานจึงซื8อ
เอาจากมือของจูฬันเตวาสิกนั8น วันนั8น จูฬันเตวาสิกได้ ทรัพย์๑๖ กหาปณะ และภาชนะ๕อย่าง
มีตุ่มเป็ นต้ น ด้ วยการขายไม้ .
เมืA อมีทรัพย์๒๔กหาปณะ จูฬันเตวาสิกนั8นจึงคิดว่า เรามีอุบายนี8แล้ ว. จากนั8นเขาตั8ง
ตุ่มนํา8 ดืA มตุ่มหนึA งไว้ ในทีA ไม่ไกลประตูพระนคร บริการคนหาบหญ้ า๕๐๐คนด้ วยนํา8 ดืA ม. คนหาบ
หญ้ าเหล่านั8นกล่าวว่า สหายท่านมีอปุ การะมากแก่พวกเรา พวกเราจะกระทําอะไรแก่ท่านได้
บ้ าง จูฬันเตวาสิกนั8น กล่าวว่า เมืA อเรืA องเกิดขึ8นแก่เราจะขอให้ ท่านช่วย แล้ วเทีA ยวไปกระทํา
ความสนิทสนมผูกมิตรกับชาวเมืองทั8งคนผู้ทาํ งานทางบก และคนทํางานทางนํา8 . คนทํางาน
ทางบกบอกแก่จูฬันเตวาสิกว่า พรุ่งนี8 พ่อค้ ามาจักพาม้ า ๕๐๐ ตัวมายังนครนี8.
นายจูฬันเตวาสิกได้ ฟังดังนั8นแล้ ว จึงไปบอกกะพวกคนหาบหญ้ าว่าวันนี8 ท่านจงให้
หญ้ าแก่เราคนละกํา และเมืA อเรายังไม่ได้ ขายหญ้ า พวกท่านอย่าขายหญ้ าของตน คนหาบหญ้ า
เหล่านั8นรับคําแล้ ว นําหญ้ า๕๐๐กํามาให้ ทปีA ระตูบ้านของจูฬันเตวาสิกนั8น. พ่อค้ าม้ ามาถึงทีA
เมืองหาอาหารสําหรับม้ าในพระนครจนทัAวก็ไม่ได้ จึงต้ องซื8อกะจูฬันเตวาสิกนั8น เขาจึงขายได้
ราคาดีเป็ นเงินได้ ๑,๐๐๐กหาปณะ. แต่น8ันล่วงไป ๒-๓ วัน สหายผู้ทาํ งานทางนํา8 บอกแก่จูฬัน
เตวาสิกนั8นว่า เรือใหญ่มาจอดทีA ท่าแล้ ว.
เขาก็คดิ อุบายได้ จึงเอาเงิน๘กหาปณะไปเช่ารถ ซึA งเพียบพร้ อมด้ วยบริวารทั8งปวง
แล้ วไปยังท่าเรือด้ วยยศใหญ่ ให้ แหวนวงหนึA งเป็ นมัดจําแก่นายเรือ ให้ วงม่านนัAงอยู่ในทีA ไม่
ไกลสัAงคนไว้ ว่า เมืA อพ่อค้ าภายนอกมา พวกท่านจงบอก โดยการบอกประวิงไว้ สามครั8ง. ใน
เวลาทีA พ่อค้ าประมาณร้ อยคนจากเมืองพาราณสีได้ ร้ ูว่า เรือมาแล้ ว จึงมาเพืA อจะซื8อเอาสินค้ า.
นายเรือกล่าวว่า พวกท่านจักไม่ได้ สินค้ า พ่อค้ าใหญ่ในทีA ชืAอโน้ น ให้ มัดจําไว้ แล้ ว พ่อค้ า
๖๐

เหล่านั8นได้ ฟังดังนั8นจึงมายังสํานักของจูฬันเตวาสิกนั8น. คนผู้รับใช้ ใกล้ ชิดจึงบอกความทีA พวก


พ่อค้ าเหล่านั8นมาโดยการบอกประวิงไว้ สามครั8ง ตามสัญญาเดิม. พ่อค้ าประมาณ ๑๐๐คนนั8น
ให้ ทรัพย์คนละพัน เป็ นผู้มีห้ ุนส่วนเรือกับ จูฬันเตวาสิกนั8น แล้ วให้ อกี คนละพันให้ ปล่อยหุ้น
ได้ กระทําสินค้ าให้ เป็ นของตน จูฬันเตวาสิกถือเอาทรัพย์สองแสนกลับมาเมืองพาราณสี คิดว่า
เราควรเป็ นคนกตัญ^ู จึงให้ ถอื เอาทรัพย์แสนหนึA งไปยังหาจุลลกเศรษฐี. เมืA อไปถึงจุลลก
เศรษฐีจึงถามจูฬันเตวาสิกนั8นว่า เธอทําอะไรจึงได้ ทรัพย์น8 ีมา. จูฬันเตวาสิกนั8นตอบว่า ผม
ตั8งอยู่ในอุบายทีA ทา่ นบอก จึงได้ ทรัพย์ภายใน๔เดือนเท่านั8น แล้ วบอกเรืA องราวทั8งหมด ตั8งแต่
หนูตายเป็ นต้ นไป.
ท่านจุลลกมหาเศรษฐี ได้ ฟังเรืA องจูฬันเตวาสิกนั8นแล้ วคิดว่า เขาเป็ นคนทีA ฉลาด จึง
ให้ ธดิ าของตนผู้เจริญวัยแล้ วแต่งงานด้ วยแล้ วเป็ นเจ้ าของทรัพย์ของตน. เมืA อท่านเศรษฐี
ล่วงลับไปแล้ ว จูฬันเตวาสิกนั8นก็ได้ ตาํ แหน่งเศรษฐีในนครนั8น. ฝ่ ายพระโพธิสัตว์กไ็ ด้ ไปตาม
ยถากรรม.

จุลลกมหาเศรษฐี ชาดก จบ

มกสชาดก
(เรืA องมกสชาดก กล่าวถึงการมีมิตรทีA โง่น8นั เป็ นสิA งไม่ดี เหมือนดังลูกของช่างไม้ ทคีA ิดว่า จะช่วยพ่อโดย
การฆ่ายุง แต่กลับฆ่าพ่อตัวเองตายคนอืA นมา)
ในอดีตกาล ครั8งพระเจ้ าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์
เลี8ยงชีวิตด้ วยการค้ า. ครั8งนั8นทีA บ้านชายแดนแห่งหนึA ง มีพวกช่างไม้ อาศัยอยู่ด้วยกันมาก.
ช่างไม้ หัวล้ านคนหนึA ง กําลังตากไม้ ขณะนั8นมียุงตัวหนึA ง บินมาจับทีA ศีรษะ แล้ วกัดศีรษะเขาทํา
ให้ ร้ ูสกึ เจ็บ. เขาจึงบอกลูกของตน ผู้นAังอยู่ใกล้ ๆ ว่าไอ้ หนู ยุงมันกัดศรีษะพ่อ เจ็บเหมือน
ถูกแทงด้ วยหอก จงฆ่ามันเสีย. ลูกพูดว่า พ่อจงอยู่นิAง ๆ ฉันจะฆ่ามัน ด้ วยการตบครั8งเดียว
เท่านั8น. แม้ ในเวลานั8น พระโพธิสัตว์ ก็กาํ ลังเทีA ยวแสวงหาสินค้ าของตนอยู่ ลุถงึ บ้ านนั8น นัAง
พักอยู่ในโรงของช่างไม้ น8ัน.เป็ นเวลาเดียวกันกับทีA ช่างไม้ น8ัน บอกลูกว่า ไอ้ หนู ไล่ยุงนี8ท.ี ลูก
ขานรับว่า จ่ะพ่อ ฉันจะไล่มัน พูดพลางก็เงื8อขวานเล่มใหญ่คมกริบ ยืนอยู่ข้างหลังพ่อ ฟัน
ลงมาเต็มทีA ด้ วยคิดว่าจักประหารยุง เลยผ่าสมองของบิดาเสียสองซีก. ช่างไม้ ถึงความตายใน
ทีA น8ันเอง. พระโพธิสตั ว์เห็นการกระทําของลูกช่างไม้ แล้ ว ได้ กล่าวว่า "ศัตรูผมู ้ ีความรู ้
ประเสริฐกว่ามิตรผูป้ ราศจากความรู ้ ไม่ประเสริฐเลย เพราะลูกชายผูโ้ ง่เขลา คิดว่าจักฆ่ายุง
๖๑

กลับผ่าหัวของพ่อเสีย"โพธิสัตว์ ครั8นกล่าวคาถานี8แล้ ว ก็ลุกขึ8นไปทํางานตามหน้ าทีA . แม้ พวก


ทีA เป็ นญาติกไ็ ด้ จัดการทําศพให้ ช่างไม้ .
มกสชาดก จบ

เวริชาดก
(เรืA องเวริชาดก กล่าวถึงผู้เป็ นบัณฑิตไม่พึงไปอยู่ในทีA มีภัยทีA มีผ้ ูจะทําร้ าย ในทีA ๆจะทําให้ ตน
เดือดร้ อน)
ในอดีตกาล ครั8งพระเจ้ าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระ
โพธิสตั ว์เสวยพระชาติเป็ นเศรษฐี มีสมบัติมากได้ รับเชิญไปยังหมู่บ้าน เพืA อการสังสรร เมืA อ
เดินทางกลับ พบพวกโจรในระหว่างทางรีบขับโคทั8งหลายมาสู่เรือนของตนทีเดียว ไม่หยุดใน
ระหว่างทางเลยเมืA อมาถึงบ้ านบริโภคอาหารด้ วยรสอันเลิศ นัAงเหนือทีA นอนอันมีราคามาก ดําริ
ว่า เราพ้ นจากเงื8อมมือโจร มาสู่เรือนตนอันเป็ นทีA ปลอดภัย แล้ วอุทานว่า

"ไพรีอาศัยอยู่ในที-ใด บัณฑิตไม่พึงอยู่ในที-นนั
บุคคลอยู่ในพวกไพรี คืนหนึ-งหรือสองคืน ย่อมอยู่เป็ นทุกข์"
พระโพธิสตั ว์ เปล่งอุทานด้ วยประการฉะนี8 กระทําบุญมีให้ ทานเป็ นต้ น แล้ วไปตามยถากรรม.
เวริชาดก จบ
ขุรัปปชาดก
(เรืA องขุรัปปชาดก กล่าวถึงการทีA คนมีความเพียรไม่ย่อท้อกล้ าหาญยอมสละได้ แม้ ชีวติ ย่อมทําสิA งทีA
ยากให้ เป็ นไปได้ )
ในอดีตกาล เมืA อพระเจ้ าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสตั ว์
บังเกิดในตระกูลพรานดงแห่งหนึA ง พอเจริญวัยมีบุรษุ ๕๐๐ เป็ นบริวาร เป็ นหัวหน้ าคนทั8ง
ปวง ในบรรดาคนพรานดง อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึA งทีA ปากดง. หัวหน้ าผู้รักษาดงนั8นรับจ้ างพา
พวกมนุษย์ให้ ข้ามดง. วันหนึA ง บุตรพ่อค้ าชาวเมืองพาราณสีกบั เกวียน ๕๐๐ เล่ม มาถึงบ้ าน
นั8น เรียกหัวหน้ าพรานดงนั8นมาพูดว่า สหาย เราจ้ างท่าน๑,๐๐๐ ให้ พาเราข้ ามดง เขารับคํา
แล้ วรับทรัพย์ ๑,๐๐๐ จากบุตรพ่อค้ านั8น เมืA อรับค่าจ้ างอย่างนี8 จะต้ องสละชีวิตเพืA อบุตร
พ่อค้ านั8น.
เขาพาบุตรพ่อค้ านั8นเข้ าดง. พวกโจร ๕๐๐ ซุ่มอยู่กลางดง.บุรุษทีA เหลือพอแลเห็น
พวกโจรเท่านั8นพากันนอนราบ. หัวหน้ าพรานผู้อารักขาคนเดียวเท่านั8นเปล่งสีหนาทวิA งเข้ า
ประหัตประหารให้ พวกโจร๕๐๐ หนีไป. ให้ บุตรพ่อค้ าข้ ามพ้ นทางกันดารโดยปลอดภัย. ฝ่ าย
๖๒

บุตรพ่อค้ าให้ หมู่เกวียนพักอยู่ในทีA ห่างไกลทางกันดารแล้ ว ให้ หัวหน้ าพรานผู้อารักขาบริโภค


โภชนะมีรสเลิศต่างๆ ส่วนตนเองบริโภคอาหารเช้ าแล้ วนัAงสบาย เจรจาอยู่กับหัวหน้ าพรานผู้
อารักขานั8น เมืA อจะถามว่า สหาย ในเวลาทีA พวกโจรผู้ร้ายกาจนั8นจับอาวุธกรูเข้ ามาเพราะเหตุ
ไร แม้ ความสดุ้งตกใจกลัวก็ไม่เกิดขึ8น เมืA อท่านเห็นพวกโจรยิงลูกธนูอนั แหลมคม ถือดาบอัน
คมกล้ าซึA งขัดด้ วยนํา8 มันเมืA อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้ าแล้ ว เหตุไฉนท่านจึงไม่มีความครัAน
คร้ าม.หัวหน้ าพรานผู้ทาํ หน้ าทีA อารักขาได้ ฟังดังนั8น จึงได้ กล่าวว่า เมืA อเราเห็นพวกโจรยิงลูกธนู
อันแหลมคม ถือดาบอันคมกล้ าซึA งขัดแล้ วด้ วยนํา8 มัน เมืA อมรณภัยปรากฏเฉพาะหน้ าแล้ วเรา
กลับได้ความยินดีและความโสมนัสมากยิ.ง. เรานั.นเกิดความยินดีและโสมนัสแล้วก็
ครอบงําศัตรูทัง. หลายเสียได้ เพราะว่าชีวติ ของเรา เราได้สละมาแต่ก่อนแล้วตัง. แต่เมือรับ
ค่าจ้างจากมือของท่าน ก็บุคคลผูก้ ล้าหาญ เมือทําความอาลัยในชีวติ อยู่ จะพึงกระทํากิจ
ของคนผูก้ ล้าหาญในกาลบางคราวหาได้ไม่. หัวหน้ าพรานผู้ทาํ หน้ าทีA อารักขานั8น ทําบุตร
ของพ่อค้ าให้ ร้ ูว่าตนได้ ทาํ กิจของคนกล้ าหาญแล้ ว เพราะได้ สละความยินดีในชีวติ ซึA งสละให้ ไว้
ในอํานาจของคนอืA น ได้ ส่งบุตรพ่อค้ าไปแล้ วกลับมายังบ้ านของตนตามเดิม ทําบุญทั8งหลายมี
ทานเป็ นต้ น ไปตามยถากรรมแล้ ว.
ขุรัปปชาดก จบ

สุชาตาชาดก
(เรืA องสุชาตาชาดก ความเป็ นคนมีมารยาทดีร้ จู กั กล่าววาจาทีA ไพเราะย่อมเป็ นทีA รักของทุกคนส่วนผู้
ชอบกล่าววาจาหยาบคาย ชอบด่าว่าผู้อนืA ย่อมเป็ นทีA น่ารังเกียจ)
ในอดีตกาล เมืA อพระเจ้ าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระ
โพธิสตั ว์ได้ บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี พอเจริญวัยได้ ศึกษาเล่าเรียนศิลปะทั8งปวง
ในเมืองตักกศิลา เมืA อพระราชบิดาสวรรคต ก็ได้ ดาํ รงอยู่ในราชสมบัติทรงครองราชย์โดยธรรม
โดยสมําA เสมอ. พระมารดาของพระโพธิสตั ว์น8ัน เป็ นผู้มักโกรธ ดุร้าย หยาบช้ า ชอบด่า ชอบ
บริภาษ. พระโพธิสตั ว์น8ันประสงค์จะถวายโอวาทแก่พระมารดา ทรงพระดําริว่า การกราบทูล
ถ้ อยคําทีA ไม่มีเรืA องอ้ างอิงอย่างนี8 ไม่สมควร จึงเสด็จเทีA ยวมองหาข้ อเปรียบเทียบ เพืA อทรง
แนะนําพระมารดา.
วันหนึA ง ได้ เสด็จไปยังพระราชอุทยาน. แม้ พระมารดาก็ได้ เสด็จไปพร้ อมกับพระโอรส
เหมือนกัน. ครั8งนั8น นกต้ อยตีวิดกําลังส่งเสียงร้ องอยู่ในระหว่างทาง. บริษัทของพระโพธิสตั ว์
ได้ ยินเสียงนั8น จึงพากันปิ ดหูแล้ วกล่าวว่า เจ้ านกผู้มีเสียงกระด้ างหยาบช้ า เจ้ าอย่าได้ ส่งเสียง
ร้ อง. ก็เมืA อพระโพธิสตั ว์แวดล้ อมด้ วยนักฟ้ อนเสด็จเทีA ยวพระราชอุทยานกับพระมารดา มีนก
๖๓

ดุเหว่าตัวหนึA งแอบอยู่ทตีA ้ นสาละต้ นหนึA งมีดอกบานสะพรัAง ส่งเสียงร้ องด้ วยสําเนียงอันไพเราะ.


มหาชนพากันหลงใหลเสียงนั8น ประคองอัญชลีกล่าวว่า นกผู้มีเสียงอ่อนหวานสละสลวย
นุ่มนวล เจ้ าจงร้ องต่อไปๆ แล้ วต่างแหงนคอเงีA ยโสตยืนแลดูอยู่. ลําดับนั8น พระโพธิสัตว์ได้
ทรงทราบเหตุการณ์ท8งั สองแล้ ว ทรงพระดําริว่า เราจักสามารถทําพระมารดาให้ ยินยอมได้ ใน
บัดนี8 จึงกราบทูลว่า ข้ าแต่พระมารดา มหาชนได้ ยินเสียงนกต้ อยตีวิดในระหว่างทาง ต่างพูด
ว่า เจ้ าอย่าส่งเสียงร้ อง แล้ วปิ ดหูเสียชืA อว่าวาจาหยาบไม่เป็ นทีA รักของใครๆ แล้ วได้ ตรัสพระ
คาถาว่า
“สัตว์เหล่านีสมบูรณ์ดว้ ยสีสรร วรรณะ มีสําเนียงอ่อนหวานน่ารักน่า
ชม
แต่เป็ นสัตว์มีวาจากระด้าง ย่อมไม่เป็ นที-รกั ของใคร ๆ ทัง ในโลกนีและโลก
หน้า. พระองค์กไ็ ด้เห็นมิใช่หรือว่า นกดุเหว่าตัวนี ดํา สีไม่สวยตัวลาย
พร้อย แต่เป็ นที-รกั ของสัตว์ทงั หลายเป็ นอันมาก เพราะวาจาอ่อนหวาน.
เพราะฉะนัน ผูท้ - ีตอ้ งการจะให้ตนเป็ นที-รกั ของมหาชน พึงเป็ นผูม้ ี
วาจาสละสลวย พูดด้วยความคิด ไม่ฟุ้งซ่าน ถ้อยคําของผูท้ - ีแสดงอรรถ
และธรรม
เป็ นถ้อยคําไพเราะ”.
ข้ าแต่พระมารดา สัตว์เหล่านี8ประกอบด้ วยสีกายมีสเี หมือนดอกประยงค์ ชืA อว่ามีเสียง
ไพเราะ เพราะเสียงเปล่งไพเราะ ชืA อว่าน่ารักน่าชม เพราะมีรูปร่างงดงาม แต่ชืAอว่าเป็ นสัตว์มี
วาจาหยาบ เพราะประกอบด้ วยวาจาแข็งกระด้ างอันเป็ นไปด้ วยการด่าและการบริภาษเป็ นต้ น
ย่อมไม่เป็ นทีA รักของใคร ๆ โดยทีA สดุ บิดามารดา ในโลกนี8และในโลกหน้ าเหมือนนกต้ อยตีวดิ ทีA
มีวาจากระด้ างในระหว่างทางฉะนั8นส่วนนกดุเหว่ามีปกติกล่าวอ่อนหวานประกอบด้ วยวาจากลม
เกลี8ยง ไพเราะถึงจะมีรูปไม่งามก็เป็ นทีA รักใคร่ได้ . ด้ วยเหตุน8ัน กระหม่อมฉัน จึงขอกล่าวกะ
พระองค์ว่า พระองค์เห็นมิใช่หรือ นกดุเหว่าตัวนี8 ดํามีสีไม่สวย แม้ จะเป็ นสัตว์มีสกี ายไม่
สวยงามอย่างนี8 ก็ยงั เป็ นทีA รักของสัตว์ท8งั หลายเป็ นอันมาก เพราะมีวาจาอ่อนหวาน. ดังนั8น
เพราะเหตุทสีA ัตว์ท8งั หลายมีวาจาแข็งกระด้ าง ย่อมไม่เป็ นทีA รักแม้ ของบิดามารดา ในโลก
ฉะนั8น บุคคลผู้ปรารถนาจะให้ เป็ นทีA รักของชนเป็ นอันมาก พึงเป็ นผู้มีวาจาสละสลวย
อ่อนหวาน กลมกล่อม ไพเราะนุ่มนวล ใช้ ปัญญาคิดใคร่ครวญก่อนพูด กล่าวถ้ อยคํา
พอประมาณ เว้ นความฟุ้ งซ่านเพ้ อเจ้ อ. ก็บุคคลใดผู้เป็ นเช่นนี8 ถ้ อยคําของเขา ชืA อว่าไพเราะ
อาศัยเหตุกล่าวไม่ทาํ คนอืA นให้ โกรธเคือง. พระโพธิสตั ว์แสดงธรรมแก่พระมารดาทําให้ พระ
๖๔

มารดารู้สึกพระองค์ได้ . จําเดิมแต่น8ัน พระมารดาได้ เป็ นผู้เพียบพร้ อมด้ วยพระมารยาท. ก็


พระโพธิสตั ว์ทรงกระทําพระมารดาให้ หมดพยศ ด้ วยพระโอวาท เพียงโอวาทเดียวเท่านั8น
แล้ วเสด็จไปตามยถากรรม
สุชาตาชาดก จบ

มังสชาดก
(เรืA อง มังสชาดก เป็ นการเปรียบเทียบถ้ อยคําของคนประดุจดังส่วนต่างๆของเนื8อ โดยอุปมาไว้ ๔
แบบ)
ในอดีตกาล เมืA อพระเจ้ าพรหมทัตครองราชสมบัตอิ ยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสตั ว์
ได้ เป็ นบุตรเศรษฐี. อยู่มาวันหนึA ง นายพรานเนื8อคนหนึA งได้ เนื8อมาเป็ นอันมาก บรรทุกเต็มยาน
น้ อย มายังนครด้ วยหวังใจว่าจักขาย. ในกาลนั8น บุตรเศรษฐี ๔ คนออกจากนครแล้ วนัAง
สนทนากัน ณ สถานทีA อนั เป็ นทางแยก. บรรดาเศรษฐีบุตร ๔ คนนั8นเศรษฐีบุตรคนทีA ๑ เห็น
พรานเนื8อนั8นบรรทุกเนื8อมา จึงกล่าวว่า เราจะให้ นายพรานนี8นาํ ชิ8นเนื8อมาให้ เรา. เศรษฐีบุตร
ทีA เหลือกล่าวว่า ท่านจงลองดูส.ิ เศรษฐีบตุ รคนทีA ๑เข้ าไปหานายพรานเนื8อแล้ วกล่าวว่า เฮ้ย
พราน จงให้ ช8 ินเนื8อแก่ข้าบ้ าง. นายพรานตอบว่า ธรรมดาผู้จะขออะไรผู้อนืA ต้ องมีคาํ พูดอัน
เป็ นทีA น่ารัก วาจาของท่านหยาบคายจริงหนอ ท่านขอเนื8อ วาจาของท่านเช่นกับพังผืด สหาย
เราจะให้ พังผืดแก่ท่าน, เนื8ออันไม่มีรสชิ8นนี8สมควรแก่วาจาทีA ท่านกล่าว.
ลําดับนั8น เศรษฐีบุตรคนทีA ๒ถามเศรษฐีบุตรคนทีA ๑ว่าท่านพูดว่าอย่างไรแล้ วจึงขอ
,เขาตอบว่าว่า เราพูดว่าเฮ้ ยแล้ วจึงขอ. เศรษฐีบตุ รคนทีA ๒ บอกว่างั8นเราจะไปของบ้ าง เข้ าไป
แล้ วกล่าวว่า พีA ชาย ท่านจงให้ ช8 ินเนื8อแก่ฉันบ้ าง. นายพรานจึง ตอบว่า คําว่า พีA น้ องชายหรือ
พีA น้ องหญิงนี8เป็ นส่วนประกอบของมนุษย์ท8งั หลาย อันเขากล่าวกันอยู่ในโลก วาจาของท่าน
เป็ นเช่นกับส่วนประกอบ ดูก่อนสหาย เราจะให้ ช8 ินเนื8อแก่ท่าน,เนื8อชิ8นนี8สมควรแก่คาํ พูดของ
ท่าน. นายพรานจึงได้ ยกเนื8ออันเป็ นอวัยวะส่วนประกอบให้ ไป. เศรษฐีบตุ รคนทีA ๓ถามเศรษฐี
บุตรคนทีA ๒ว่า ตอนไปขอท่านพูดอย่างไร. เศรษฐีบุตรคนทีA ๒ ตอบว่า เราพูดว่าพีA ชายแล้ วจึง
ขอ. เศรษฐีบุตรคนทีA ๓ กล่าวว่า ทีเราไปขอบ้ าง เข้ าไปกล่าวว่าข้ าแต่พ่อ ท่านจงให้ ช8 ินเนื8อแก่
ฉันบ้ าง นายพรานกล่าวว่า บุตรเรียกบิดาว่า พ่อ ย่อมทําให้ หัวใจของพ่อหวัAนไหว วาจาของ
ท่านเช่นกับนํา8 ใจ เราจะให้ เนื8อหัวใจแก่ท่าน.เนื8อชิ8นนี8สมควรแก่คาํ พูดของท่าน,จึงได้ ยกเนื8ออัน
อร่อยพร้ อมกับเนื8อหัวใจให้ ไป. เศรษฐีบุตรคนทีA ๔ จึงถามเศรษฐีบุตรคนทีA ๓ว่า ท่านพูดว่า
กระไรแล้ วจึงขอ. เศรษฐีบุตรคนทีA ๓ตอบว่า เราพูดว่าพ่อแล้ วจึงขอ. เศรษฐีบุตรคนทีA ๔ นั8น
จึงกล่าวว่า เราก็จะเข้ าไปขอละ จึงเข้ าไปพูดว่า สหาย ท่านจงให้ ช8 ินเนื8อแก่ฉันบ้ าง. นายพราน
๖๕

กล่าวว่า ในบ้ านของผู้ใดไม่มีเพืA อน บ้ านของผู้น8ันก็เป็ นเหมือนกับป่ า วาจาของท่านเป็ นเช่นกับ


สมบัตทิ 8งั มวล ดูก่อนสหาย เราจะให้ เนื8อทั8งหมดแก่ท่าน, เนื8อชิ8นนี8สมควรแก่คาํ พูดของท่าน.
ในบ้ านของบุรุษใดไม่มีเพืA อนกล่าวคือชืA อว่าสหาย เพราะไปร่วมกันในสุขและทุกข์ สถานทีA น8ัน
ของบุรุษนั8น ย่อมเป็ นเหมือนป่ าไม่มีมนุษย์ ดังนั8น วาจาของท่านนี8จึงเป็ นเช่นกับสมบัติท8งั หมด
เพราะฉะนั8น เราจะให้ ยานบรรทุกเนื8ออันเป็ นของๆ เรานี8ท8งั หมดเลยแก่ทา่ น.
ครั8นกล่าวอย่างนี8แล้ ว นายพรานจึงกล่าวว่า มาเถิดสหาย ข้ าพเจ้ าจักนํายานบรรทุก
เนื8อนี8ท8งั หมดทีเดียวไปยังบ้ านของท่าน. เศรษฐีบุตรให้ นายพรานนั8นขับยานไปยังเรือนของตน
ให้ ขนเนื8อลง กระทําสักการะสัมมานะแก่นายพราน ให้ เรียกแม้ บุตรและภรรยาของนายพราน
นั8นมาให้ เลิกจากกรรมอันหยาบช้ า ให้ อยู่ในท่ามกลางกองทรัพย์สมบัติของตน เป็ นสหายทีA
แน่นแฟ้ นกับนายพรานนั8น อยู่สมัครสมานกันจนตลอดชีวิต.
มังสชาดก จบ
มตโรทนชาดก
(เรืA องมตโรทนชาดก กล่าวถึงการทีA สตั ว์ท8งั หลายมีความตายเป็ นธรรมดา ผู้ทเีA ป็ นบัณฑิตเมืA อเข้ าใจ
อย่างนี8ย่อมไม่เศร้ าโศกเสียใจ เมืA อญาติพนีA ้ องมิตรสหายนั8นตายไป เพราะเป็ นธรรมดาของโลก)
ในอดีตกาล เมืA อพระเจ้ าพรหมทัตครองราชสมบัตอิ ยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสตั ว์
บังเกิดในตระกูลเศรษฐีมที รัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ.เมืA อเขาเจริญวัยแล้ ว มารดาบิดาก็ได้ เสียชีวิต
ไป.เมืA อมารดาบิดาตายไปแล้ ว พีA ชายของพระโพธิสัตว์จึงจัดแจงทรัพย์สมบัตแิ ทน. พระ
โพธิสตั ว์กอ็ าศัยอยู่กบั พีA ชาย. ในกาลต่อมา พีA ชายนั8นได้ ตายไปด้ วยความป่ วยไข้ . ญาติมติ ร
และอํามาตย์ท8งั หลายพากันครําA ครวญร้ องไห้ ส่วนพระโพธิสัตว์ไม่ครําA ครวญ ไม่ร้องไห้ คน
ทั8งหลายพากันติเตียนพระโพธิสตั ว์ว่า ดูเอาเถิดท่านผู้เจริญทั8งหลาย เมืA อพีA ชายของผู้น8 ตี ายไป
แล้ วอาการแม้ สกั ว่าหน้ าสยิ8วก็ไม่มี เขามีใจแข็งกระด้ างมาก เห็นจะอยากให้ พีAชายตายด้ วยคิด
ว่า เราเท่านั8นจักได้ ใช้ สอยทรัพย์สมบัติ ทั8งสองส่วน. ฝ่ ายญาติท8งั หลายก็ติเตียนพระโพธิสตั ว์
นั8นเหมือนว่า เมืA อพีA ชายตายเจ้ าไม่ร้องไห้ . พระโพธิสตั ว์น8ันได้ ฟังคําของญาติเหล่านั8นจึงกล่าว
ว่า ท่านทั8งหลายไม่ร้ ูจกั โลกธรรม ๘ ประการ เพราะความทีA ตนเป็ นคนบอดเขลา จึงพากัน
ร้ องไห้ ว่า พีA ชายของเราตาย แม้ เราเองก็จักตาย เพราะเหตุไรท่านทั8งหลายจึงไม่ร้องไห้ ถงึ เรา
บ้ างว่า ผู้น8 ีกจ็ ักตาย แม้ ท่านทั8งหลายก็จักตาย เพราะเหตุไรจึงไม่ร้องให้ ถงึ ตนเองบ้ างว่า แม้
เราทั8งหลายก็จักตาย ๆ สังขารทั8งปวงย่อมเป็ นของไม่เทีA ยง แม้ สังขารอย่างหนึA งซึA งสามารถ
ดํารงอยู่ตามสภาวะนั8นนัAนแหละย่อมไม่มี ท่านทั8งหลายเป็ นผู้บอดเขลา ไม่ร้ จู ักโลกธรรม ๘
๖๖

ประการจึงพากันร้ องไห้ เพราะความไม่ร้ ู เราจักร้ องไห้ เพืA ออะไรกัน แล้ วกล่าวคาถาเหล่านี8ว่า


:-

ท่านทัง หลายย่อมร้องไห้ถึงแต่คนที-ตายแล้วๆ ทําไมจึงไม่รอ้ งให้ถึงคนที-จกั ตายบ้างเล่าสัตว์ทกุ


จําพวกผูค้ รองสรีระไว้ย่อมละทิงชีวติ ไปเมื-อถึงเวลา.เทวดา มนุษย์ สัตว์จตุบาท หมู่ปักษีชาติ
และพวกงู ไม่มีอิสระในสรีระร่างกายนีถึงจะอภิรมย์อยู่ในร่างกายนัน ก็ตอ้ งละทิงชีวติ ไป
ทัง นัน .สุขทุกข์ท- ีเพ่งเล็งกันอยู่ในหมู่มนุษย์เป็ นของผันแปรไม่มน-ั คงอยู่อย่างนี ความครํ-าครวญ
ความรํ-าไห้ ไม่เป็ นประโยชน์เลยเพราะเหตุไร กองโศกจึงท่วมทับท่านได้.พวกนักเลง และ
พวกคอเหล้า ผูไ้ ม่ทาํ ความเจริญ เป็ นพาล ห้าวหาญ ไม่มีความขยันหมัน- เพียร ไม่ฉลาดใน
ธรรม ย่อมสําคัญนักปราชญ์วา่ เป็ นคนพาล.
พระโพธิสตั ว์แสดงธรรมแก่ญาติเหล่านั8น ด้ วยประการอย่างนี8แล้ ว ได้ กระทําญาติ
แม้ ท8งั หมดนั8นให้ หายโศกแล้ ว.
มตโรทนชาดก จบ

ทีฆาวุกุมาร
ในอดีตกาล พระนครพาราณสี ได้ มีพระเจ้ ากาสีพระนามว่าพรหมทัต ทรงเป็ น
กษัตริย์มAังคัAง มีพระราชทรัพย์มาก มีพระราชสมบัติมาก มีร8 ีพลมาก มีพระราชพาหนะมาก มี
พระราชอาณาจักรใหญ่ มีคลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์ และคลังธัญญาหารบริบูรณ์ ส่วนพระเจ้ า
โกศลพระนามทีฆีติ ทรงเป็ นกษัตริย์ขดั สน มีพระราชทรัพย์น้อย มีพระราชสมบัติน้อย มีร8 ีพล
น้ อย มีพระราชพาหนะน้ อย มีพระราชอาณาจักรเล็ก มีคลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์และคลัง
ธัญญาหารไม่ส้ จู ะบริบูรณ์ ครั8งนั8น พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราช เสด็จกรีธาจาตุรงคเสนาไปโจมตี
พระเจ้ าทีฆีติโกศลราช พระเจ้ าทีฆีตโิ กศลราชได้ ทรงสดับข่าวว่า พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราช
เสด็จกรีธาจาตุรงคเสนามาโจมตีพระองค์ เมืA อทรงทราบจึงพระราชดําริว่า พระเจ้ าพรหมทัตกา
สิกราชทรงเป็ นกษัตริย์มAังคัAง กองกําลังเข้ มแข็ง ส่วนเราเป็ นกษัตริย์ขดั สน มีร8 ีพลน้ อย เราไม่
สามารถจะต่อยุทธกับพระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราช แม้ เพียงศึกเดียว ถ้ ากระไร เราพึงรีบหนีออก
จากพระนครไปเสียก่อนดีกว่า แล้ วทรงพาพระมเหสีเสด็จหนีออกจากพระนครไปเสียก่อน ฝ่ าย
พระเจ้ าพรหมทัตทรงยึดรี8พลพาหนะ ชนบท คลังศัตราวุธยุทธภัณฑ์และคลังธัญญาหาร ของ
พระเจ้ าทีฆีติโกศลราชไว้ ได้ แล้ วเสด็จเข้ าครอบครองแทน.
ครั8งนั8น พระเจ้ าทีฆีติโกศลราช พร้ อมกับพระมเหสีได้ เสด็จหนีไปยังพระนครพาราณ
สีเมืA อถึงแล้ ว ทรงปลอมแปลงพระองค์มิให้ ใครรู้จัก ทรงนุ่งห่มเยีA ยงปริพาชก เสด็จอาศัยอยู่ใน
๖๗

บ้ านของช่างหม้ อ ซึA งตั8งอยู่ชายแดนแห่งหนึA งเขตพระนครพาราณสีน8ัน ต่อมาไม่นานนัก พระ


มเหสีของพระเจ้ าองค์ทรงตั8งพระครรภ์ พระนางทรงแพ้ พระครรภ์อย่างประหลาด จึงกราบทูล
คํานี8แด่พระราชสามีในทันทีว่า หม่อมฉันมีครรภ์ได้ แพ้ ครรภ์คือ เมืA อยามรุ่งอรุณ หม่อมฉัน
ปรารถนาจะดูจตุรงคเสนา ผู้ผูกสอดสรวมเกราะยืนอยู่ในสนามรบ และจะดืA มนํา8 ล้ างพระแสง
ขรรค์ พระพุทธเจ้ าข้ า พระราชารับสัAงว่า เทวี เราทั8งสองกําลังตกยาก จะได้ จตุรงคเสนาผู้ผูก
สอดสรวมเกราะยืนอยู่ในสนามรบ และนํา8 ล้ างพระแสงขรรค์มาแต่ไหน. พระราชเทวีกราบทูล
ว่า ถ้ าหม่อมฉันไม่ได้ คงตายแน่ พระพุทธเจ้ าข้ า.
ก็สมัยนั8น พราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้ าพรหมทัตกาเป็ นสหายของพระเจ้ าทีฆีตโิ กศล
ราช พระองค์จึงเสด็จเข้ าไปหาพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้ าพรหมทัตแล้ วได้ ตรัสคํานี8พราหมณ์
ว่า สหาย เพืA อนหญิงของเพืA อนมีครรภ์นางแพ้ ท้องมีอาการอย่างนี8 คือ เมืA อยามรุ่งอรุณนาง
ปรารถนาจะดูจตุรงคเสนา ผู้ผูกสอดสรวมเกราะยืนอยู่ในสนามรบ และจะดืA มนํา8 ล้ างพระแสง
ขรรค์ พราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลว่า ขอเดชะ ถ้ ากระนั8น หม่อมฉันจะขอเฝ้ าพระเทวีก่อน ลําดับ
นั8น พระมเหสีของพระเจ้ าทีฆตี ิ ได้ เสด็จเข้ าไปหาพราหมณ์ปุโรหิตของเจ้ าพรหมทัต พราหมณ์
ปุโรหิตของพระเจ้ าพรหมทัต ได้ แลเห็นพระมเหสีของพระเจ้ าทีฆีติ กําลังเสด็จมาแต่ไกลเทียว
ลุกจากทีA นAังห่มผ้ าเฉวียงบ่าประนมมือไปทางพระมเหสีของพระเจ้ าทีฆตี ิโกศลราช แล้ วเปล่ง
อุทานขึ8นว่า ท่านผู้เจริญพระเจ้ าโกศลประทับอยู่ในพระอุทรแน่แล้ ว ถึง๓ ครั8ง เพราะฉะนั8น
พระเทวีอย่าได้ เสียพระทัย เมืA อยามรุ่งอรุณจักได้ ทอดพระเนตรจตุรงคเสนา ผู้ผูกสอดสรวม
เกราะยืนอยู่ในสนามรบ และจักได้ ทรงเสวยนํา8 ล้ างพระแสงขรรค์เป็ นแน่
พราหมณ์ปุโรหิตจึง เข้ าไปในพระราชสํานัก กราบทูลพระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราชว่า ขอเดชะ
นิมิตทั8งหลายปรากฏตามกําหนดวิธกี าร คือในเวลารุ่งอรุณพรุ่งนี8 จตุรงคเสนาจะผูกสอดสรวม
เกราะยืนอยู่ในสนามรบ และเจ้ าพนักงานจะเอานํา8 ล้ างพระแสงขรรค์ด้วย พระพุทธเจ้ าข้ า.
พระเจ้ าพรหมทัตจึงมีพระบรมราชโองการสัAงเจ้ าพนักงานทั8งหลายว่า พนาย พราหมณ์ปุโรหิต
สัAงการอย่างใด พวกเจ้ าจงทําอย่างนั8น. พระมเหสีของพระเจ้ าทีฆีติได้ ทอดพระเนตรจตุรงค
เสนา สมความปรารถนา
ครั8นต่อมาทรงอาศัยความแก่แห่งพระครรภ์น8ัน ได้ ประสูติพระราชโอรส ได้ ขนาน
พระนามว่า ทีฆาวุ และต่อมาไม่ช้านานเท่าไร ทีฆาวุราชกุมารเติบโตเป็ นผู้ร้ เู ดียงสา ครั8งนั8น
พระเจ้ าทีฆีติ ดําริว่า พระเจ้ าพรหมทัตนี8 ก่อความพินาศให้ แก่พวกเรามากมาย ได้ ช่วงชิงเอา
ราชทรัพย์ของพวกเราไป ถ้ าท้ าวเธอสืบทราบถึงพวกเรา คงสัAงให้ ประหารชีวิตหมดทั8งสามคน
ถ้ ากระไรเราพึงให้ พ่อทีฆาวุกุมารหลบอยู่นอกพระนคร แล้ วได้ ให้ ทฆี าวุราชกุมารหลบอยู่นอก
๖๘

พระนครครั8นทีฆาวุราชกุมารหลบอยู่นอกพระนคร ไม่นานเท่าไรนัก ก็ได้ ศึกษาศิลปะสําเร็จทุก


สาขา.
ก็สมัยนั8น นายช่างกัลบกของพระเจ้ าทีฆีติได้ สวามิภักดิJอยู่ในพระเจ้ าพรหมทัต เขาได้
เห็นพระเจ้ าทีฆีตโิ กศลราช พร้ อมกับมเหสีทรงปลอมแปลงพระกายมิให้ ใครรู้จักอาศัยอยู่ใน
บ้ านของช่างหม้ อ ณ ชายแดน เขตพระนครพาราณสี ครั8นแล้ วจึงเข้ าไปเฝ้ าพระเจ้ าพรหมทัต
กราบทูลว่า ขอเดชะ พระเจ้ าทีฆีตโิ กศลราชพร้ อมกับมเหสีทรงปลอมแปลงพระกายมิให้ ใคร
รู้จัก อาศัยอยู่ในบ้ านของช่างหม้ อ ซึA งตั8งอยู่ชายแดนเขตพระนครพาราณสี พระพุทธเจ้ าข้ า.
พระเจ้ าพรหมทัต จึงมีพระบรมราชโองการสัAงเจ้ าพนักงานทั8งหลายว่า พวกเจ้ าจงไปจับพระเจ้ า
ทีฆีติพร้ อมกับพระมเหสี. พวกเขาทูลรับราชโองการแล้ วไปจับพระเจ้ าทีฆีตพิ ร้ อมพระมเหสีมา
ถวาย.พระเจ้ าพรหมทัต จึงมีราชโองการสัAงเจ้ าพนักงานทั8งหลายว่า พวกเจ้ าจงเอาเชือกทีA
เหนียวๆ มัดพระเจ้ าทีฆีติพร้ อมกับพระมเหสี มัดให้ แน่น แล้ วนําตระเวนไปตามถนน ตาม
ตรอกทุกแห่งแล้ วออกไปทางประตูด้านทักษิณ บัAนตัวออกเป็ น ๔ ท่อนวางเรียงไว้ ในหลุม ๔
ทิศ ทางด้ านทักษิณแห่งพระนครพวกรับสนองราชโองการดังนั8นแล้ ว ได้ มดั พระเจ้ าทีฆตี ิพร้ อม
กับมเหสีนาํ ตระเวนไปตามตรอกตามถนนทัAวทุกแห่ง
ครั8งนั8น ทีฆาวุราชกุมารดําริว่าจะไปเฝ้ าเยีA ยมพระชนกชนนีเข้ าไปในพระนคร ได้ ทอด
พระ เนตรเห็นเจ้ าพนักงาน เอาเชือกมัดพระชนกชนนีจนแน่น นําตระเวนไปตามตรอก ก็เสด็จ
พระดําเนินเข้ าไปใกล้ พระชนกชนนี.
พระราโชวาทของพระเจ้าทีฆีติโกศลราช
พระเจ้ าทีฆีติ ได้ ทอดพระเนตรเห็นทีฆาวุกุมารเสด็จดําเนินมาแต่ไกลได้ ตรัสพระบรม
ราชโอวาทนี8แก่ทฆี าวุกุมารว่า พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว เจ้าอย่าเห็นแก่สนั เวรทัง หลายย่อม
ไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่จองเวร
เมืA อท้ าวเธอตรัสอย่างนี8แล้ ว เจ้ าพนักงานเหล่านั8นได้ ทูลคํานี8แด่ท้าวเธอว่า พระเจ้ าทีฆี
ติโกศลราชนี8เป็ นผู้วิกลจริตจึงบ่นเพ้ ออยู่ ทีฆาวุของพระองค์คือใคร พระองค์ตรัสอย่างนี8กะใคร.
พระเจ้ าทีฆีติโกศลราชตรัสว่า พนาย เราไม่ได้ เสียจริตบ่นเพ้ ออยู่ แต่ผ้ ูใดรู้เรืA อง ผู้น8ันจักเข้ าใจ
พระเจ้ าทีฆีติโกศลราช ได้ ตรัสพระบรมราโชวาทนี8แก่ทฆี าวุราชกุมาร ถึง๓ครั8ง
จึงพนักงานเหล่านั8น ได้ นาํ พระเจ้ าทีฆีติพร้ อมกับพระมเหสีไปตามถนนตามตรอกทัAว
ทุกแห่ง แล้ วให้ ออกไปทางประตูด้านทักษิณ บัAนพระกายเป็ น ๔ ท่อน วางเรียงไว้ ในหลุม ๔ ทิศ
ด้ านทักษิณแห่งพระนคร วางยามคอยระวังเหตุการณ์ไว้ แล้ วกลับไป ครั8งนั8นทีฆาวุราชกุมาร เข้ า
ไปสู่พระนครพาราณสี นําสุรามาเลี8ยงพวกเจ้ าหน้ าทีA อยู่ยาม เมืA อเวลาทีA คนเหล่านั8นเมาฟุบลง
๖๙

ทีฆาวุราชกุมารจึงจัดหาฟื นมาวางเรียงกันไว้ ยกพระบรมศพของพระชนกชนนีข8 นึ สู่พระ


จิตกาธาร ถวายพระเพลิง แล้ วประนมพระหัตถ์ทาํ ประทักษิณพระจิตกาธาร ๓ รอบ.
ขณะนั8น พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราช ประทับอยู่ช8ันบนแห่งปราสาทได้ ทอดพระเนตร
เห็นทีฆาวุราชกุมาร ได้ ทรงพระดําริแน่ในพระทัยว่า เจ้ าคนนั8นคงเป็ นญาติหรือสายโลหิต ของ
พระเจ้ าทีฆีติแน่นอน น่ากลัวจะก่อความฉิบหายแก่เรา ช่างไม่มีใครบอกเราเลย. ทีฆาวุราช
กุมารได้ เสด็จหลบเข้ าป่ าไป ทรงกันแสงรําA ไห้ จนพอแก่เหตุ ทรงซับนํา8 พระเนตร แล้ วเสด็จเข้ า
พระนครพาราณสี ไปถึงโรงช้ างใกล้ พระบรมมหาราชวัง แล้ วได้ ตรัสคํานี8แก่นายหัตถาจารย์ว่า
ท่านอาจารย์ ข้ าพเจ้ าปรารถนาจะศึกษาศิลปะนายหัตถาจารย์ตอบว่า เชิญมาศึกษาเถิดพ่อหนุ่ม
น้ อย อยู่มาวันหนึA งทีฆาวุราชกุมาร ทรงตืA นบรรทมตอนปั จจุสสมัยแห่งราตรีแล้ วทรงขับร้ องและ
ดีดพิณคลอเสียงเจื8อยแจ้ วอยู่ทโีA รงช้ าง.พระเจ้ าพรหมทัต ทรงตืA นบรรทมได้ ทรงสดับเสียงเพลง
และเสียงพิณทีA ดีดคลอเสียงอันเจื8อยแจ้ วดังแว่วมาทางโรงมงคลหัตถี จึงมีพระดํารัสถามพวก
มหาดเล็กว่า ใครตืA นในเวลาเช้ ามืดแห่งราตรีแล้ ว ขับร้ องและดีดพิณแว่วมาพวกมหาดเล็กกราบ
ทูลว่า ขอเดชะ ชายหนุ่มศิษย์ของนายหัตถาจารย์ ตืA นในเวลาเช้ ามืดแล้ ว ขับร้ องและดีดพิณคลอ
เสียงอันเจื8อยแจ้ วดังทีA โรงช้ าง พระพุทธเจ้ าข้ า. พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า ถ้ า
กระนั8น จงพาชายหนุ่มมาเฝ้ า พวกเขาทูลรับสนองพระราชโองการแล้ ว พาทีฆาวุมาเฝ้ า พระเจ้ า
พรหมทัตได้ ตรัสถามทีฆาวุว่า พ่อนายชายหนุ่ม เจ้ าตืA นในเวลาเช้ าแห่งราตรีแล้ ว ขับร้ องและดีด
พิณคลอเสียงอันเจื8อยแจ้ วดังทางโรงช้ างหรือ? ทีฆาวุทูลรับว่า พระพุทธเจ้ าข้ า. พระเจ้ า
พรหมทัตตรัสว่า พ่อหนุ่ม ถ้ าเช่นนั8น เจ้ าจงขับร้ องและดีดพิณไป.ทีฆาวุรับสนองราชโองการ
แล้ วประสงค์จะให้ ทรงโปรดปราน จึงขับร้ องและดีดพิณด้ วยเสียงอันไพเราะทีน8ัน พระเจ้ า
พรหมทัตตรัสว่า พ่อหนุ่ม เจ้ าจงอยู่รับใช้ เราเถิด. ทีฆาวุราชกุมารทูลรับราชโองการว่า
พระพุทธเจ้ าข้ า แล้ วจึงประพฤติทาํ นองตืA นก่อนนอนทีหลัง คอยเฝ้ าฟังพระราชดํารัสใช้
ประพฤติให้ ถูกพระอัธยาศัย เจรจาถ้ อยคําไพเราะ ต่อพระเจ้ าพรหมทัต ต่อมาไม่นานนักท้ าว
เธอทรงแต่งตั8งทีฆาวุ ไว้ ในตําแหน่งผู้ไว้ วางพระราชหฤทัย ใกล้ ชิดสนิทภายในอยู่มาวัน หนึA ง
ท้ าวเธอได้ ชวนทีฆาวุ ว่า พ่อหนุ่ม เจ้ าจงเทียมรถพวกเราจักไปล่าเนื8อ ทีฆาวุราชกุมารรับสนอง
พระราชโองการ แล้ วจัดเทียมรถไว้ เสร็จเรียบร้ อย. พระเจ้ าพรหมทัตจึงเสด็จขึ8นราชรถ ทีฆาวุ
ราชกุมารขับราชรถไปแต่ขับไปโดยวิธที ีA หมู่ทหารองครักษ์ได้ แยกไปทางหนึA ง ราชรถได้ แยกไป
ทางหนึA ง
ครั8งนั8น พระเจ้ าพรหมทัตเสด็จไปไกล แล้ วได้ ตรัสคํานี8แก่ทฆี าวุราชกุมารว่า พ่อหนุ่ม
เจ้ าจงจอดรถ เราเหนืA อยอ่อนจักนอนพัก. ทีฆาวุราชกุมารทูลรับสนองพระราชโองการดังนั8น
๗๐

แล้ วจอดราชรถนัAงขัดสมาธิอยู่ทพีA 8 ืนดิน จึงพระเจ้ าพรหมทัตทรงพาดพระเศียรบรรทมอยู่บนตัก


ของทีฆาวุราชกุมาร เมืA อท้ าวเธอทรงเหน็ดเหนืA อยมา เพียงครู่เดียวก็บรรทมหลับ.
ขณะนั8น ทีฆาวุราชกุมารคิดถึงความหลังว่า พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราชนี8แล ทรงก่อ
ความฉิบหายแก่พวกเรามากมาย ท้ าวเธอทรงช่วงชิงราชสมบัตขิ องพวกเราไป และยังปลงพระ
ชนมชีพพระชนกชนนีของเราเสียด้ วย เวลานี8เป็ นเวลาทีA เราพบคู่เวร ดังนี8จึงชักพระแสงขรรค์
ออกจากฝัก แต่เจ้ าชายได้ ทรงยั8งพระทัยไว้ ได้ ในทันทีว่า พระชนกได้ ทรงสัAงเราไว้ เมืA อใกล้
สวรรคตว่า พ่อทีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่ยาว เจ้าอย่าเห็นแก่สนั เวรทัง หลายย่อมไม่ระงับเพราะเวร
เลย แต่ย่อมระงับได้เพราะไม่จองเวร การทีA เราจะละเมิดพระ
ดํารัสสัAงของพระชนกนั8น ไม่สมควรแก่เราเลย ดังนี8 แล้ วสอดพระขรรค์เข้ าไว้ ในฝัก.
ทรงคิดทีA จะแก้ แค้ นสลับไปมากับการหักห้ ามใจ เพราะได้ คิดถึงคําสัAงเสียของพระราชบิดาทีA ทรง
สอนไว้ ก่อนสิ8นพระชนม์
ขณะนั8น พระเจ้ าพรหมทัต ทรงกลัวหวัAนหวาดสะดุ้งพระทัย รีบเสด็จลุกขึ8นทีฆาวุราช
กุมารได้ กราบทูลคํานี8แด่พระเจ้ าพรหมทัตในทันทีว่า ขอเดชะ เพราะอะไรหรือพระองค์จึงทรง
กลัว หวัAนหวาด สะดุ้งพระทัยรีบเสด็จลุกขึ8น. พระเจ้ าพรหมทัตตรัสตอบว่า พ่อหนุ่ม ฉันฝันว่า
ทีฆาวุราชกุมารโอรสของพระเจ้ าทีฆีติโกศลราชฟาดฟันฉันด้ วยพระแสงขรรค์ ณ ทีA น8 ี เพราะเหตุ
นั8น ฉันจึงกลัวหวัAนหวาด ตกใจรีบลุกขึ8น
ทันใดนั8น ทีฆาวุราชกุมารจับพระเศียรของพระเจ้ าพรหมทัตด้ วยพระหัตถ์ซ้ายชักพระ
แสงขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา แล้ วได้ กล่าวคําขู่แก่พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราชว่า ขอเดชะ
ข้ าพระพุทธเจ้ า คือ ทีฆาวุราชกุมาร โอรสของพระเจ้ าทีฆีติโกศลราชคนนั8น พระองค์ทรงก่อ
ความฉิบหายแก่พวกข้ าพระพุทธเจ้ ามากมาย ทรงช่วงราชบัลลังก์ของข้ าพระพุทธเจ้ าไป
มิหนําซํา8 ยังปลงพระชนมชีพพระชนกชนนีของข้ าพระพุทธเจ้ าเสียด้ วย เวลานี8เป็ นเวลาทีA
ข้ าพระพุทธเจ้ าจะแก้ แค้ นละ.
พระเจ้ าพรหมทัต ซบพระเศียรลงแทบยุคลบาทของทีฆาวุราชกุมาร แล้ วได้ ตรัสคํา
วิงวอนแก่เจ้ าชายว่า พ่อทีฆาวุ พ่อจงให้ ชีวิตแก่ฉันด้ วยเถิด. เจ้ าชายกราบทูลว่า ข้ าพระพุทธเจ้ า
หรือจะเอื8อมอาจทูลเกล้ าถวายชีวิตแก่พระองค์ พระองค์ต่างหากควรพระราชทานชีวติ แก่
พระพุทธเจ้ า. พระเจ้ าพรหมทัตตรัสว่า พ่อทีฆาวุ ถ้ าเช่นนั8นพ่อจงให้ ชีวติ แก่ฉัน และฉันก็ให้
ชีวิตแก่พ่อ.
ครั8งนั8น พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราช และทีฆาวุราชกุมาร ต่างได้ ให้ ชีวติ แก่กนั และกัน
ได้ จับพระหัตถ์กนั และได้ ทาํ การสาบาน เพืA อไม่ทาํ ร้ ายกัน พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราชจึงได้ ตรัส
คํานี8แก่ทฆี าวุราชกุมารว่า พ่อทีฆาวุ ถ้ ากระนั8นพ่อจงเทียมรถไปกันเถอะ.
๗๑

ทีฆาวุราชกุมารทูลรับสนองพระบรมราชโองการดังนั8น แล้ วเทียมรถ ได้ กราบทูลพระ


เจ้ าพรหมทัตว่า รถพระทีA นAังเทียมเสร็จแล้ ว ขอพระองค์โปรดทรงทราบกาลอันควรเถิด
พระพุทธเจ้ าข้ า.พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราชจึงเสด็จขึ8นรถทรงแล้ ว ทีฆาวุราชกุมารขับรถไป ได้
ขับรถไปไม่นานนักก็มาพบกองทหาร ครั8นพระเจ้ าพรหมทัต เสด็จเข้ าสู่พระนครพาราณสีแล้ ว
ทรงพระกรุณาโปรดให้ เรียกประชุมหมู่อาํ มาตย์ราชบริษัท ได้ ตรัสถามความเห็นข้ อนี8ว่าพ่อนาย
ทั8งหลาย ถ้ าพวกท่านพบทีฆาวุราชกุมารโอรสของพระเจ้ าทีฆีตโิ กศลราช จะพึงทําอะไรแก่เขา.
อํามาตย์บางพวกกราบทูลอย่างนี8ว่า ขอเดชะ พวกข้ าพระพุทธเจ้ า จะพึงตัดมือ จะพึงตัดเท้ า จะ
พึงตัดทั8งมือและเท้ า จะพึงตัดหู จะพึงตัดจมูก จะพึงตัดทั8งหูและจมูก จะพึงตัดศีรษะ
พระพุทธเจ้ าข้ า.
พระเจ้ าพรหมทัตตรัสว่า พ่อนายทั8งหลาย ชายหนุ่มผู้น8 แี ล คือ ทีฆาวุราชกุมารโอรส
ของพระเจ้ าทีฆีตโิ กศลราชคนนั8น ชายหนุ่มผู้น8 ใี ครๆ จะทําอะไรไม่ได้ เพราะชายหนุ่มผู้น8 ีได้ ให้
ชีวิตแก่เรา และเราก็ได้ ให้ ชีวิตแก่ชายหนุ่มผู้น8 ี ครั8นแล้ วได้ ตรัสถามความข้ อนี8แก่ทฆี าวุราชกุมาร
ว่าพ่อทีฆาวุ พระชนกของเธอได้ ตรัสคําใดไว้
เมืA อใกล้ จะสวรรคตว่า พ่อทีฆาวุ เจ้ าอย่าเห็นแก่ยาว เจ้ าอย่าเห็นแก่ส8ัน เวรทั8งหลาย
ย่อมไม่ระงับได้ เพราะไม่จองเวร ดังนี8 พระชนกของเธอได้ ตรัสคํานั8น หมายความว่าอย่างไร?
ทีฆาวุราชกุมารกราบทูลว่า ขอเดชะ พระชนกของข้ าพระพุทธเจ้ าได้ ตรัสพระบรมราโชวาทอันใด
ไว้ เมืA อใกล้ จะสวรรคตว่า เจ้ าอย่าเห็นแก่ยาว ดังนี8หมายความว่า เจ้ าอย่าได้ จองเวรให้ ยืดเยื8อ
เพราะฉะนั8น
พระชนกของข้ าพระพุทธเจ้ า จึงได้ ตรัสพระบรมราโชวาทวันนี8แลไว้ เมืA อใกล้ จะสวรรคตว่า เจ้ า
อย่าเห็นแก่ยาว พระชนกของข้ าพระพุทธเจ้ า ได้ ตรัสพระบรมราโชวาทอันใดไว้ ว่า เจ้ าอย่าเห็น
แก่ส8นั ดังนี8 หมายความว่า เจ้ าอย่าแตกร้ าวจากมิตรเร็วนัก พระชนกของข้ าพระพุทธเจ้ าได้ ตรัส
พระบรมราโชวาทอันใดไว้ ว่า พ่อทีฆาวุ เวรทั8งหลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับได้
เพราะไม่จองเวร ดังนี8 หมายความว่า พระชนกชนนีของข้ าพระพุทธเจ้ า ถูกพระองค์ปลงพระชน
ชีพเสีย ถ้ าข้ าพระ พุทธเจ้ า จะพึงปลงพระชนชีพของพระองค์เสียบ้ าง คนทีA รักพระองค์ ก็จะพึง
ปลงชีวติ ข้ าพระพุทธเจ้ า จากนั8นคนเหล่าใดทีA รักข้ าพระพุทธเจ้ า คนเหล่านั8นแก้ แค้ นให้
ข้ าพระพุทธเจ้ าอีกทีหนึA ง เมืA อเป็ นเช่นนี8 เวรนั8นไม่พึงระงับเพราะเวร แต่มาบัดนี8
พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานชีวติ แก่ข้าพระพุทธเจ้ า และข้ าพระพุทธเจ้ า
ก็ได้ ทูลถวายพระชนมชีพแก่พระองค์เป็ นอันว่าเวรนั8นระงับแล้ วเพราะไม่จองเวรพระชนกของ
ข้ าพระพุทธเจ้ า จึงได้ ตรัสพระบรมราโชวาทอันนี8แลไว้ เมืA อใกล้ จะสวรรคตว่า พ่อทีฆาวุ เวร
ทั8งหลายย่อมไม่ระงับเพราะเวรเลย แต่ย่อมระงับได้ เพราะไม่จองเวร พระพุทธเจ้ าข้ า.
๗๒

ลําดับนั8น พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราชตรัสว่า ท่านผู้เจริญทั8งหลาย น่าอัศจรรย์นัก ไม่


เคยมีเลย ทีฆาวุราชกุมารนี8เป็ นบัณฑิต จึงได้ เข้ าใจความแห่งภาษิต อันพระชนกตรัสแล้ วโดยย่อ
ได้ โดยพิสดาร แล้ วทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานคืนรี8พล ราชพาหนะ ชนบท คลังศัสตรา
วุธ-ยุทธภัณฑ์และคลังธัญญาหารอันเป็ นพระราชสมบัติของพระชนก และได้ ระราชทานพระ
ราชธิดาอภิเษกสมรสด้ วย
ทีฆาวุกุมาร จบ
๗๓

กุสินารา
พระพุทธจ้ า ผู้ไม่ปรารถนาสมบัติใดๆในโลก ไม่ปรารถนาความสุ ามสุข ไม่ปรารถนาความ
ทุกข์ทรมาน ไม่ปรารถนาการเวี
ารถนาการเวียนว่ายตายเกิดไม่ปรารถนาสุ
ารถนาสุขทีA ได้ จากวิมุต พระองค์ทรง
ปรารถนาเฉพาะอนุ
ารถนาเฉพาะอนุปาทาปรินิพานเท่านั8น กุสนิ าราจึงน่าจะเป็ นสถานทีA ทีA ยงั ความป ความปรารถนาของ
พระพุทธองค์ให้ ทรงสําเร็จได้ เป็ นสถานทีA ทมีA หาบุรุษผู้ เป็ นทีA รักแห่งปวงชนได้ ประสบสิA งทีA ทรง
ต้ องการพระองค์ได้ มาปรินิพพาน ณ เมืองแห่งนี8
เมืองนี8ชืAอว่ากุสินาราเพราะเล่าว่า ในเวลาทีA
ในเวลา กาํ ลังสร้ างเมือง พวกพราหมณ์ ตรวจดู
นิมิตได้ เห็นคนถือกุสะ(หญ้ หญ้ าคา)เมืA
คา อสร้ างเสร็จแล้ วจึงได้ด้ ต8ังชืA อเมืองอย่างนั8น ในช่วงสุดท้ าย
ก่อนทีA จะสิ8 นพุทธกาล ใต้ ไม้ สาละคู่ ในอุทยานของพวก มัลลกษัตริย์ พระพุทธเจ้ าทรงประทับ
ประทับสีหไสยาเป็ นครั8งสุดท้ ายบนเตียง ทีA ต8ังอยู่ระหว่างไม้ สาละคู่น8ันซึA งผลิดอกบานสะพรัAง
นอกฤดูกาล กุสนิ าราเป็ นเมืองเป็ นเมืองเล็กๆในสมัยพุ ยพุทธกาล ซึA งพระอานนท์ทูลคัดค้ านมิให้
มาปรินิพพาน แต่เพราะเหตุ เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้ า จึงเสด็จมาในทีA นีน8 ดี ้ วยอุตสาหะใหญ่
๗๔

พระองค์ไม่อาจไปปรินิพพานในทีA อืAนหรือเปล่าเลย พระพุทธองค์เสด็จมาด้ วยเหตุ ๓ ประการ


คือ
๑. เพืA อเป็ นเหตุให้ แสดงมหาสุทสั สนสูตร เมืAอชนเป็ น อัน มากฟั งธรรมแล้ ว จักสําคัญกุ ศลควร
กระทํา.
๒. เพืA อโปรดสุภัททะอันเป็ นเวไนยของพระพุทธเจ้ า สาวกทั8งหลายไม่อาจแนะนําสุภัท
ทะได้ .
๓. เพืA อป้ องกันเกิดทะเลาะวิวาทกันยกใหญ่ในเวลาแจกพระธาตุ

มหาสุทสั สนสูตร
เรื-องพระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทสั สนะเมืองกุสาวดี
ในสมัยใกล้ เสด็จปรินิพพานคราวหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับในระหว่าง ไม้ สาละ
ในสาลวัน อันเป็ นทีA แวะพักของเหล่ามัลละกษัตริย์ เขตกรุงกุสินารา ครั8งนั8นแล ท่านพระ
อานนท์ เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับ ครั8นเข้ าไปเฝ้ า แล้ ว ถวายอภิวาทแล้ วนัAง ณ ทีA
ควรส่วนข้ างหนึA ง ท่านพระอานนท์นAังเรียบร้ อยแล้ ว ได้ กราบทูลพระผู้มพี ระภาคว่า ข้ าแต่
พระองค์ผ้ ูเจริญ ขอพระผู้มีพระภาคอย่าเสด็จ ปรินิพพาน ในเมืองเล็ก เมืองดอน กิA งเมืองนี8
เลย นครใหญ่เหล่าอืA น มีอยู่คือ เมืองจัมปา เมืองราชคฤห์ เมืองสาวัตถี เมืองสาเกต เมือง
โกสัมพีเมืองพาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคจงเสด็จปรินิพพาน
ในเมืองเหล่านี8เถิด กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล ทีA เลืA อมใสพระ
ตถาคตอย่างยิA ง มีอยู่มากใน เมืองเหล่านี8 ท่านเหล่านั8นจักกระทําการบูชาพระสรีระของพระ
ตถาคต ดังนี8 ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อานนท์ เธออย่าได้ กล่าวอย่างนี8ว่า เมืองเล็ก เมืองดอนกิA ง
เมือง ดังนี8เลย อานนท์แต่ปางก่อน มีพระเจ้ าจักรพรรดิ ทรงพระนามว่า มหาสุทสั สนะเป็ น
กษัตริย์ผ้ ูได้ มูรธาภิเษก เป็ นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็ นขอบเขต ทรงชนะแล้ วมี
ราชอาณาจักรมัAนคง เมืองกุสนิ ารานี8 มีนามว่า กุสาวดี เป็ นราชธานีของพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ
โดยยาวด้ านทิศบูรพาและทิศประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้ างด้ านทิศอุดรและทิศ ทักษิณ ๗โยชน์
กุสาวดี ราชธานีเป็ นเมืองทีA มAังคัAงรุ่งเรือง มีชนมาก มนุษย์หนาแน่นและมีภิกษาหาได้ ง่าย
อานนท์ เมืองอาลกมันทาราชธานี แห่ง เทพเจ้ าทั8งหลายเป็ นเมืองทีA มAังคัAงรุ่งเรือง มีชนมาก ยักษ์
หนาแน่น และมีภิกษา หาได้ ง่าย แม้ ฉันใด เมืองกุสาวดีราชธานีกฉ็ ันนั8นเหมือนกัน เป็ นเมืองทีA
มัAงคัAง รุ่งเรือง มีชนมาก มนุษย์หนาแน่น และมีภกิ ษาหาได้ ง่าย กุสาวดีราชธานี มิได้ เงียบจาก
๗๕

เสียง ๑๐ ประการ ทั8งกลางวันและกลางคืน คือ เสียงช้ าง เสียงม้ า เสียงรถ เสียงกลอง เสียง


ตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้ อง เสียงกังสดาล เสียงประโคม และเสียงเป็ นทีA ๑๐ ว่า ท่าน
ทั8งหลาย จงบริโภค จงดืA มจงเคี8ยวกิน อานนท์ กุสาวดีราชธานี แวดล้ อมด้ วยกําแพง ๗ ชั8น คือ
กําแพงทองชั8น ๑ กําแพงเงินชั8น ๑ กําแพงแก้ วไพฑูรย์ช8ัน ๑ กําแพงแก้ วผลึกชั8น ๑ กําแพงแก้ ว
โกเมนชั8น ๑ กําแพงบุษราคัมชั8น ๑ กําแพงรัตนะทุกอย่างชั8น ๑ อานนท์ เมืองกุสาวดีราชธานี
มีประตูสาํ หรับวรรณะทั8ง ๔ คือ ประตูด้วยทอง ประตูเงิน ประตูแก้ วไพฑูรย์ ประตูแก้ วผลึก ใน
ประตู ๑ๆ มีเสาระเนียดปักไว้ ประตูละ ๗ เสา ปั กลึก ๓ ชัAวบุรุษ โดยส่วนสูง ๑๒ ชัAวบุรุษ เสา
ระเนียดทองต้ นหนึA ง เสาเงินต้ นหนึA ง เสาแก้ วไพฑูรย์ต้นหนึA ง เสาแก้ วผลึกต้ นหนึA ง เสาแก้ ว
โกเมนต้ นหนึA ง เสาบุษราคัมต้ นหนึA ง และเสารัตนะทุกอย่าง
กุสาวดีราชธานีแวดล้ อมด้ วยต้ นตาล ๗ แถว ต้ นตาลทองแถวหนึA ง ตาลเงิน ตาลแก้ ว
ไพฑูรย์ ตาลแก้ วผลึก ตาลแก้ วโกเมนแถวหนึA ง ตาลแก้ วบุษราคัม และตาลรัตนะทุกอย่าง ต้ น
ตาลทอง ใบ และผลเป็ นเงิน ต้ นตาลเงิน ใบและผลทอง ต้ นตาลแก้ วไพฑูรย์ ใบและผลแก้ ว
ผลึก ต้ นตาลแก้ วผลึกใบและ ผลแก้ วไพฑูรย์ ต้ นตาลแก้ วโกเมนใบและผลเป็ นแก้ วบุษราคัม
ต้ นตาลแก้ วบุษราคัม ใบและผลเป็ นแก้ วโกเมน ต้ นตาลรัตนะทุกอย่าง ใบและผลเป็ นรัตนะทุก
อย่าง แถวต้ นตาลเหล่านั8น เมืA อต้ องลมพัดแล้ ว มีเสียงไพเราะยวนใจ ชวนให้ ฟัง ให้ เคลิบเคลิ8ม
เปรียบเหมือนดนตรีทบีA ุคคลปรับดีแล้ วประโคมดีแล้ วบรรเลงโดยผู้เชีA ยวชาญ ชวนให้ ฟังมิร้ ูเบืA อ
ก็สมัยนั8น ในกุสาวดีราชธานี มีนักเลง นักเล่นและนักดืA ม พวกเขาบําเรอกัน ด้ วยเสียง
แห่งแถวต้ นตาลทีA ต้องลมเหล่านั8น ฯ
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ ว๗ ประการ และด้ วยฤทธิJ ๔ ประการ แก้ว ๗
ประการ เป็ นไฉน เมืA อพระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงสนานพระเศียรในวัน ๑๕ คําA อันเป็ นวัน
อุโบสถ ทรงรักษาอุโบสถ เสด็จขึ8นบนปราสาทจักรแก้ วอันเป็ นทิพย์ มีซีAพันหนึA งมีกง มีดุม
พร้ อมบริบูรณ์ ได้ ปรากฏขึ8น ท้ าวเธอทอดพระเนตรเห็นจึงทรงดําริว่าก็เราได้ สดับเรืA องนี8มาแล้ ว
ว่า ผู้ใดเป็ นขัตติยราชผู้ได้ มูรธาภิเษกแล้ ว สนานพระเศียรในวัน ๑๕ คําA อันเป็ นวันอุโบสถ
ทรงรักษาอุโบสถ เสด็จขึ8นสู่ปราสาท จักรแก้ วอันเป็ นทิพย์ มีซีAพันหนึA ง มีกง มีดุม พร้ อม
บริบูรณ์ โดยอาการทั8งปวงย่อมปรากฏขึ8น
พระราชาผู้น8ันย่อมเป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิดังนี8 เราพึงเป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิหรือลําดับ
นั8นพระเจ้ ามหาสุทสั สนะเสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกระทําพระภูษาเฉวียงบ่า พระหัตถ์ซ้ายทรง
จับพระเต้ าทอง พระหัตถ์ขวาทรงชูจักรแก้ วขึ8น ตรัสว่า จักรแก้ วอันเจริญจงหมุนไป จักรแก้ วอัน
เจริญจงชํานะวิเศษยิA ง. ครั8งนั8นแล จักรแก้ วนั8นก็หมุนไปทางปุรัตถิมทิศ พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ
๗๖

พร้ อมด้ วยจตุรงคเสนาก็เสด็จตามไป จักรแก้ วหยุดอยู่ในประเทศใด พระราชาเหล่านั8นก็ยินดี


ยกราชสมบัติให้ เป็ นของพระองค์ และขอให้ พระองค์จงประทานพระบรมราโชวาท ฯ
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะจึงตรัสอย่างนี8ว่า พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาของทีA
เจ้ าของไม่ได้ ให้ ไม่พึงประพฤติผิดในกาม ไม่พึงกล่าวเท็จ ไม่พึงดืA ม นํา8 เมา จงบริโภคตามเคย
เถิด จากนั8นจักรแก้ วก็ย่างเข้ าสู่สมุทรด้ านปุรัตถิมทิศแล้ วกลับเวียนไปทางทิศทักษิณ ย่างเข้ าสู่
สมุทรด้ านทักษิณทิศแล้ วกลับเวียนไปทางทิศปัจจิมย่างเข้ า สู่สมุทรด้ านทิศปัจจิมแล้ วกลับ
เวียนไปทางทิศอุดร พระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงติดตามไปพร้ อมด้ วย จตุรงคเสนา ก็จักรแก้ ว
หยุดอยู่ในประเทศใด พระเจ้ ามหาสุทสั สนะก็เสด็จเข้ าพักแรม พร้ อมด้ วยจตุรงคเสนาใน
ประเทศนั8น ในทุกทิศ พระราชาเหล่าใดเป็ นปฏิปักษ์ พระราชาเหล่านั8น เข้ าเฝ้ ายินดียกพระ
ราชสมบัติของตนให้ ของพระองค์ และขอให้ พระองค์ประทานพระบรมราโชวาท ฯ

รัตนทั1ง ๗ ของพระเจ้าจักรพรรดิB
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะจึงตรัสอย่างนี8ว่า พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือ เอาของทีA
เจ้ าของมิได้ ให้ ไม่พึงประพฤติผิดในกามไม่พึงกล่าวเท็จ ไม่พึงดืA ม นํา8 เมา จงบริโภคตามเคย
เถิดดูกรอานนท์ ก็ในทุกทิศ พระราชาเหล่าใดเป็ นปฏิปักษ์ พระราชาเหล่านั8นกลับอ่อนน้ อมต่อ
พระเจ้ ามหาสุทสั นะ จักรแก้ วนั8นก็ปราบปรามปฐพีมีสมุทรเป็ นขอบเขตให้ ราบคาบเสร็จแล้ วก็
กลับมา กุสาวดีราชธานี ปรากฏแก่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ทีA พระทวารภายในพระราชวัง ณ มุข
สําหรับทําเรืA องราว ยังภายในราชวังของพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ให้ สว่างไสว อยู่ จักรแก้ วเห็นปาน
นี8ได้ ปรากฏแก่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ฯ
ช้ างแก้ วได้ ปรากฏแก่พระเจ้ า มหาสุทสั สนะเป็ นช้ างเผือกล้ วน เป็ นทีA พึAงของเหล่าสัตว์
มีฤทธิJ ไปในอากาศได้ เป็ นพระยาช้ างสกุลอุโบสถพระเจ้ ามหาสุทสั สนะทอดพระเนตรแล้ วทรง
พอพระทัย ดํารัสว่า ท่านผู้เจริญ ยานคือช้ างอันเจริญถ้ าได้ ฝึกหัด ช้ างแก้ วก็เข้ าถึงการฝึ กหัด
เหมือนอย่างช้ างอาชานัยทีA เจริญอันเขาฝึ กหัด เรียบร้ อยดีแล้ วตลอดเวลานานฉะนั8น พระเจ้ า
มหาสุทสั สนะ เมืA อจะทรงทดลองช้ างแก้ วตัวนั8นแหละพอเวลาเช้ าก็เสด็จขึ8นทรง แล้ วเสด็จเลียบ
ไปตลอดปฐพีอนั มีสมุทรเป็ นขอบเขต เสด็จกลับกุสาวดีราชธานี แล้ วเสวยพระกระยาหารเช้ า
ดูกรอานนท์ ช้ างแก้ วเห็นปานนี8ได้ ปรากฏแก่ พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ฯ
อีกประการหนึA ง ม้ าแก้ วได้ ปรากฏแก่พระเจ้ า มหาสุทสั สนะเป็ นม้ าขาวล้ วน ศีรษะดํา
มีผมเป็ นพวงประดุจหญ้ าปล้ อง มีฤทธิJ ไปในอากาศได้ ชืA อวลาหกอัศวราช ท้ าวเธอ
ทอดพระเนตรแล้ วทรงพอ พระหฤทัย ตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ยานคือม้ าอันเจริญถ้ าได้ ฝึกหัด ม้ า
แก้ วนั8นก็เข้ าถึงการฝึ กหัดเหมือนอย่างม้ าอาชานัยตัวเจริญ ทีA ได้ รับการฝึ กหัดเรียบร้ อยดีแล้ ว
๗๗

ตลอดเวลานาน พระเจ้ ามหาสุทสั สนะเมืA อจะทรงทดลองม้ าแก้ ว ได้ เสด็จขึ8นทรงในเวลาเช้ า


เสด็จเลียบไปตลอดปฐพีอนั มีสมุทรเป็ นขอบเขต แล้ วเสด็จกลับมากุสาวดีราชธานี แล้ วเสวย
พระกระยาหารเช้ า ดูกรอานนท์ม้าแก้ วเห็นปานนี8ได้ ปรากฏแก่พระเจ้ า มหาสุทสั สนะ ฯ
อีกประการหนึA ง แก้ วมณีได้ ปรากฏแก่พระเจ้ า มหาสุทสั สนะเป็ นแก้ วไพฑูรย์อนั งาม
เกิดเองอย่างบริสุทธิJ แปดเหลีA ยม นายช่างเจียรไนดีแล้ ว สุกใสแวววาวสมส่วนทุกอย่าง แสง
สว่าง ของแก้ วมณีน8นั แผ่ไปโดยรอบประมาณโยชน์หนึA ง พระเจ้ ามหาสุทสั สนะเมืA อจะทรง
ทดลองแก้ วมณีดวงนั8น ทรงยังจตุรงคเสนาให้ ผูกสอดเครืA องรบ ทรงยกแก้ วมณีไว้ ปลายธง แล้ ว
เสด็จไปยืนในทีA มืด ในราตรีกาล ชาวบ้ านทีA อยู่โดยรอบ ต่างพากันสําคัญว่ากลางวัน
ประกอบการงานด้ วยแสงสว่างนั8น ดูกรอานนท์ แก้ วมณีเห็นปานนี8 ได้ ปรากฏแก่พระเจ้ ามหา
สุทสั สนะ ฯ
อีกประการหนึA ง นางแก้ วได้ ปรากฏแก่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะเป็ นสตรีรูปงาม น่าดู น่า
เลืA อมใส กอปรด้ วยผิวพรรณผุดผ่อง ยิA งนัก ไม่สงู เกิน ไม่ตาAํ เกินไม่ผอมเกิน ไม่อ้วนเกิน ไม่ดาํ
เกิน ไม่ขาวเกิน เย้ ยวรรณของหญิงมนุษย์ แต่ไม่ถึงวรรณทิพย์ สัมผัสแห่งกายของ นางแก้ ว
นั8น เหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝ้ าย นางแก้ วนั8น ฤดูหนาว ตัวอุ่น ฤดูร้อนตัวเย็น กลิA นจันทร์ฟุ้งออก
จากกาย กลิA นอุบลฟุ้ งออกจากปาก ของนางแก้ วนั8น นางแก้ วนั8นมีปรกติตืAนก่อน มีปรกตินอน
ภายหลัง คอยฟังว่าจะโปรดให้ ทาํ อะไร ประพฤติต้องพระทัย เพ็ดทูลด้ วยถ้ อยคําทีA น่ารัก นาง
แก้ วนั8น แม้ ใจก็ไม่คิดนอกพระทัยพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ไหนเลยกายนางจะเป็ นได้ เล่า ดูกร
อานนท์ นางแก้ วเห็นปานนี8 ได้ ปรากฏแก่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ฯ
อีกประการหนึA ง คฤหบดีแก้ วได้ ปรากฏแก่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะคฤหบดีแก้ วนั8น
ปรากฏว่ามีจักษุเป็ นทิพย์ซึAงเกิดแต่ผลแห่งกรรม อาจเห็นขุมทรัพย์ท8งั ทีA มีเจ้ าของและไม่มี
เจ้ าของ คฤหบดีแก้ วเข้ าเฝ้ าพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ แล้ วกราบทูลอย่างนี8ว่า ขอพระองค์จงมีความ
ขวนขวายน้ อย ข้ าพระพุทธเจ้ าจักกระทําหน้ าทีA เรืA องทรัพย์ด้วยทรัพย์ของพระองค์ พระเจ้ า
มหาสุทสั สนะเมืA อจะทรงทดลองคฤหบดีแก้ วนั8นแหละได้ เสด็จลงเรือตัดข้ ามกระแสนํา8 ไปกลาง
แม่นาํ8 คงคา แล้ วตรัสกะคฤหบดีแก้ วว่า คฤหบดี เราต้ องการเงินและทอง คฤหบดีแก้ วกราบ
ทูลว่า ข้ าแต่มหาราช ถ้ าเช่นนั8น จงเทียบเรือเข้ าไปริมตลิA งข้ างหนึA ง คฤหบดีเราต้ องการเงินและ
ทองทีA นีA ลําดับนั8นคฤหบดีแก้ วนั8นเอามือทั8งสองจุ่มนํา8 ลงไปยกหม้ อ อันเต็มด้ วยเงินและทอง
ขึ8นมา แล้ วกราบทูลพระเจ้ ามหาสุทสั สนะว่า ขอเดชะเท่านี8พอหรือไม่พระเจ้ าข้ า พระเจ้ ามหา
สุทสั สนะ ตรัสอย่างนี8ว่า คฤหบดี เท่านี8พอละ เท่านี8เป็ นอันทําแล้ ว เท่านี8เป็ นอันบูชาแล้ ว ดูกร
อานนท์ คฤหบดีแก้ วเห็นปานนี8ได้ ปรากฏแก่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ฯ
๗๘

อีกประการหนึA ง ปริณายกแก้ วได้ ปรากฏแก่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะปริณายกแก้ วนั8นเป็ น


บัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญาสามารถ เพืA อยังพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ให้ ดาํ เนินเข้ าไปยังทีA ทคีA วร
เข้ าไป ให้ หลีกไปยังทีA ทคีA วรหลีกไป หรือให้ ทรงยับยั8งในทีA ทคีA วรยับยั8งปริณายกแก้ วนั8นเข้ าเฝ้ า
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ แล้ วกราบทูลอย่างนี8ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์จงเป็ นผู้ขวนขวายน้ อย
ข้ าพระพุทธเจ้ าจักปกครองเอง ดูกรอานนท์ ปริณายกแก้ วเห็นปานนี8 ได้ ปรากฏแก่พระเจ้ ามหา
สุทสั สนะ
แก้ ว ๗ประการ คือ จักรแก้ ว ช้ างแก้ ว ม้ าแก้ ว แก้ วมณี นางแก้ ว คฤหบดีแ ก้ ว ปริน ายก
แก้ ว ดังนี8 ฯ
กถาว่าด้วยฤทธิB ๔
พระเจ้ามหาสุทสั สนะทรงประกอบได้ดว้ ยฤทธิB ๔ ประการ ฤทธิB๔ ประการ เป็ น
ไฉน ฯ
๑. พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ มีพระรูปงามน่าดู น่าเลืA อมใส กอปรด้ วยผิวพรรณผุดผ่อง
ยิA งนัก เกินกว่ามนุษย์
๒. พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ เป็ นผู้มีพระชนม์ยืนดํารงอยู่ส8 นิ กาลนานกว่ามนุษย์เหล่า
อืA นยิA งนัก
๓. พระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงมี พระโรคาพาธน้ อยมีทุกข์น้อย ประกอบด้ วยไฟธาตุ
อันเกิดแต่วิบากสมําA เสมอ ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เกินกว่ามนุษย์เหล่าอืA น
๔. พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ เป็ นทีA รักใคร่เป็ นทีA ชอบใจของพวกพราหมณ์และคฤหบดี
ทั8งหลาย เหมือนอย่างบิดา ย่อมเป็ นทีA รักใคร่ เป็ นทีA ชอบใจของบุตรทั8งหลาย
พราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย เป็ นทีA รักใคร่ เป็ นทีA ชอบใจของพระเจ้ ามหาสุทสั
สนะเหมือนอย่างบุตร ย่อมเป็ นทีA รักใคร่เป็ นทีA ชอบใจของบิดา
เมืA อพระเจ้ ามหาสุทสั สนะเสด็จออกประพาสพระราชอุทยาน พวกพราหมณ์และ
คฤหบดีเข้ าเฝ้ า แล้ วกราบทูลว่า ขอพระองค์อย่าด่วนเสด็จไป พวกข้าพระพุทธเจ้าจักได้เห็น
พระองค์นานๆ ฝ่ ายพระเจ้ามหาสุทสั สนะ ตรัสเตือนสารถีวา่ จงขับรถช้าๆ เราจะพึงได้ดูพวก
พราหมณ์และคฤหบดีนานๆ
การสร้างสระโบกขรณี
ครั8งนั8น พระเจ้ามหาสุทสั สนะ ได้ ทรงพระดําริว่าเราจะขุดสระโบกขรณี ระยะห่างกัน
สระละร้ อยชัAวธนู ในระหว่างต้ นตาลเหล่านี8 พระเจ้ ามหาสุทสั สนะให้ สร้ างสระโบกขรณี
ระยะห่างกัน สระละร้ อยชัAวธนู ในระหว่างต้ นตาลเหล่านั8น สระโบกขรณีเหล่านั8น ก่อด้ วยอิฐ ๔
๗๙

ชนิด อิฐทอง อิฐเงิน อิฐแก้ วไพฑูรย์ อิฐแก้ วผลึก สระหนึA งมีบันได๔ด้ าน๔ชนิด บันไดทองด้ าน
หนึA ง เงินด้ านหนึA ง แก้ วไพฑูรย์ด้านหนึA ง แก้ วผลึกด้ านหนึA ง
บันไดทองลูกบันไดและพนักทําด้ วยเงิน บันไดเงินลูกบันไดและพนักทําด้ วยทอง
บันไดแก้ วไพฑูรย์ลูกบันไดและพนักทําด้ วยแก้ วผลึก บันไดแก้ วผลึก ลูกบันไดและพนักทํา
ด้ วยแก้ วไพฑูรย์ สระโบกขรณีเหล่านั8น แวดล้ อมด้ วยเวทีสองชั8นเวทีช8ันหนึA งเป็ นทอง เวที
ชั8นหนึA งเป็ นเงิน เวทีทอง เสาทําด้ วยทองคัAนและ
กรอบทําด้ วยเงิน เวทีเงิน เสาทําด้ วยเงิน คัAนและกรอบทําด้ วยทอง พระเจ้ ามหาสุทสั
สนะทรงพระดําริว่า เราพึงให้ ปลูกไม้ ดอกในสระโบกขรณีอนั เผล็ดดอกได้ ทุกฤดูกาล ไม่ต้องให้
ปวงชนผู้มาต้ องกลับไปมือเปล่า
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะรับสัAงให้ คนปลูกไม้ ดอกคือ อุบล ปทุม โกมุท บุณฑริกอันเผล็ด
ดอกได้ ทุกฤดูกาล พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ได้ ทรงพระดําริว่า เราพึงวางบุรุษผู้เชิญคนให้ อาบนํา8 ไว้
ทีA ฝAังสระโบกขรณีเหล่านี8 จักได้ เชิญคนผู้มาแล้ วๆ ให้ อาบ พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ทรงได้ วางบุรษุ
ผู้เชิญคนให้ อาบนํา8 ไว้ ทีA ขอบสระโบกขรณี เหล่านั8น จากนั8น พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ ทรงพระ
ดําริว่า เราพึงตั8งทาน คือ ข้ าว สําหรับผู้ต้องการข้ าว นํา8 สําหรับผู้ต้องการนํา8 ผ้ าสําหรับผู้
ต้ องการผ้ า ยานสําหรับผู้ต้อง การยาน ทีA นอนสําหรับผู้ต้องการทีA นอน สตรีสาํ หรับผู้ต้องการ
สตรี เงินสําหรับผู้ต้องการเงิน และทองสําหรับผู้ต้องการทอง ไว้ ทขีA อบสระโบกขรณีเหล่านี8
จากนั8นได้ ทรงตั8งทานเห็นปานนี8ไว้ ทขีA อบสระโบกขรณีเหล่านั8น
ครั8งนั8นแล พวกพราหมณ์และคฤหบดี ถือเอาทรัพย์ สมบัติเป็ นอันมาก เข้ าไปเฝ้ า
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ แล้ วกราบทูลอย่างนี8ว่า ขอเดชะ ทรัพย์สมบัติเป็ นจํานวนมากนี8 พวก
ข้ าพระพุทธเจ้ านํามาเฉพาะพระองค์เท่านั8น ขอพระองค์จงทรงรับทรัพย์สมบัติน8ัน ทรงมีพระ
ราชดํารัสว่า ช่างเถอะ ทรัพย์สมบัติอนั มากมายนี8 พวกท่านนํามาเพืA อเราโดยพลีอันชอบธรรม
จงเป็ นของ พวกท่านเถิด และจงนําเอาไปยิA งกว่านี8 พวกเขาถูกพระราชาตรัสห้ าม ได้ หลีกไป
แล้ วปรึกษากันว่า การทีA พวกเราจะนําทรัพย์สมบัติเหล่านี8 กลับคืนไปยังเรือนของตนอีก ไม่
สมควรเลย ถ้ ากระไร พวกเราจงช่วยกัน สร้ างนิเวศน์ถวายพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ พวกเขาได้
เข้ าเฝ้ าพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ กราบทูลว่า ขอเดชะพวกข้ าพระพุทธเจ้ าจะช่วยกันสร้ างนิเวศน์
ถวายแด่พระองค์ พระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงรับด้ วยดุษณีภาพ ฯ
กถาว่าด้วยการสร้างธรรมปราสาท
ครั8งนั8นแล ท้าวสักกะจอมเทพได้ ทรงทราบพระดําริของพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ จึงมีเท
วโอง การตรัสเรียกวิศวกรรมเทพบุตรมา สัAงว่า เพืA อนวิศวกรรม เธอจงไปสร้ างนิเวศน์ชืAอว่า
ธรรมปราสาท เพืA อพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ วิศวกรรมเทวบุตรรับสนองเทวบัญชาแล้ วอันตรธาน
๘๐

ไปจากดาวดึงสเทวโลก ได้ ปรากฏเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ลําดับนั8น


วิศวกรรมเทวบุตร ได้ กราบทูลพระเจ้ ามหาสุทสั สนะว่า ขอเดชะข้ าพระพุทธเจ้ าจักนิรมิตนิเวศน์
ชืA อธรรมปราสาทถวาย พระองค์ พระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงรับด้ วยดุษณีภาพ ฯ
วิศวกรรมเทวบุตรได้ นิรมิตนิเวศน์ชืAอธรรมปราสาท แด่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ธรรม
ปราสาทได้ มปี ริมาณ โดยยาวหนึA งโยชน์ ด้ านปุรัตถิม ทิศและปัจจิมทิศ โดยกว้ างกึA งโยชน์ ด้ าน
อุตตรทิศและทักษิณทิศ
ดูกรอานนท์ ธรรมปราสาทมีวัตถุทกีA ่อด้ วยอิฐ ๔ ชนิด โดยส่วนสูงกว่าสามชัAวบุรุษ คือ
อิฐทอง อิฐเงิน อิฐแก้ วไพฑูรย์ อิฐแก้ วผลึก ธรรมปราสาทมีเสาแปดหมืA นสีA พันต้ น แบ่งเป็ นสีA
ชนิดคือ เสาทําด้ วยทอง เสาทําด้ วยเงิน เสาทําด้ วยแก้ วไพฑูรย์ เสาทําด้ วยแก้ วผลึก
ธรรมปราสาทปูลาดด้ วยแผ่นกระดาน ๔ ชนิดคือ กระดานทอง กระดานเงิน กระดาน
แก้ วไพฑูรย์ กระดานแก้ วผลึก ธรรมปราสาทมีบนั ได ๒๔ บันได แบ่งเป็ น ๔ ชนิด คือ บันได
ทอง บันไดเงิน บันไดแก้ วไพฑูรย์ บันไดแก้ วผลึก บันไดทอง ลูกบันไดและพนักทําด้ วยเงิน
บันไดเงิน ลูกบันไดและพนักทําด้ วยทอง
บันไดแก้ วไพฑูรย์ ลูกบันไดและพนักทําด้ วยแก้ วผลึก บันไดแก้ วผลึก ลูกบันไดและ
พนักทําด้ วยแก้ วไพฑูรย์ ในธรรมปราสาทมีเรือนยอดแปดหมืA นสีA พัน แบ่งเป็ น ๔ ชนิดคือ เรือน
ยอดทอง เรือนยอดเงิน เรือนยอดแก้ วไพฑูรย์ ชนิดเรือนยอดแก้ วผลึก ในเรือนยอดทอง
แต่งตั8งบัลลังก์เงินไว้ ในเรือนยอดเงิน แต่งตั8งบัลลังก์ทองไว้
ในเรือนยอดแก้ วไพฑูรย์ แต่งตั8งบัลลังก์งาไว้ ในเรือนยอดแก้ วผลึก แต่งตั8งบัลลังก์
แก้ วบุษราคัมไว้ ทีA ประตูเรือนทอง มีต้นตาลเงินตั8งอยู่ ทีA ประตูเรือนยอดเงิน มีต้นตาลทอง
ตั8งอยู่ ทีA ประตูเรือนยอดแก้ วไพฑูรย์ มีต้นตาลแก้วผลึกตั8งอยู่ ทีA ประตู เรือนยอดแล้ วด้ วยแก้ ว
ผลึก มีต้นตาลแก้ วไพฑูรย์ต8ังอยู่
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ ทรงพระดําริว่า เราพึงให้ สร้ างสวนตาลแล้ วด้ วยทองล้ วนไว้ ทีA
ประตูเรือนยอดหลังใหญ่ สําหรับเรา จักได้ นAังพักกลางวัน จึงรับสัAงให้ สร้ างสวนตาลทองล้ วนไว้
ทีA ประตูยอดเรือนหลังใหญ่ ธรรมปราสาทแวดล้ อมด้ วยเวที๒ชั8น เวทีช8ันหนึA งทําด้ วยทอง
ชั8นหนึA งทําด้ วยเงิน ธรรมปราสาทแวดล้ อมด้ วยข่ายแห่งกระดึงสองชั8น ข่ายชั8นหนึA งทําด้ วยทอง
ชั8นหนึA งทําด้ วยเงิน ข่ายแห่งกระดึงเหล่านั8นต้ องลมพัดแล้ ว มีเสียงไพเราะยวนใจ ชวนให้ ฟัง
และให้ เคลิบเคลิ8ม เปรียบเหมือนดนตรี ทีA บุคคลปรับดีแล้ ว ประโคมดีแล้ วบรรเลงโดย
ผู้เชีA ยวชาญ ธรรมปราสาททีA สําเร็จแล้ ว ยากทีA จะดู ทํานัยน์ตาให้ พร่าพราย เปรียบเหมือนในสร
ทกาล คือ ท้ ายเดือนแห่งฤดูฝน เมืA ออากาศแจ่มใสปราศจากเมฆหมอกพระอาทิตย์ส่องนภา
๘๑

กาศสว่างจ้ า ยากทีA จะดูย่อมทํานัยน์ตาให้ พร่าพราย ฉันใด ธรรมปราสาทก็ฉันนั8นเหมือนกัน

กถาว่าด้วยการสร้างธรรมโบกขรณี
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงพระดําริว่า เราพึงสร้ างสระชืA อธรรมโบกขรณีไว้ เบื8องหน้ า
ธรรมปราสาท จึงได้ ทรงสร้ างสระชืA อธรรมโบกขรณีไว้ เบื8องหน้ าธรรมปราสาท ธรรมโบกขรณี
โดยยาว ด้ านทิศบูรพาและทิศปั จจิม ๑ โยชน์ โดยกว้ าง ด้ านทิศอุดรและทิศทักษิณ กึA งโยชน์
ธรรมโบกขรณีก่อด้ วยอิฐ ๔ ชนิด อิฐทอง อิฐเงิน อิฐด้ วยแก้ วไพฑูรย์ อิฐแก้ วผลึก ฯ ธรรม
โบกขรณีมีบันได ๒๔ บันได แบ่งเป็ น ๔ ชนิดคือ บันไดทอง บันไดเงิน บันไดแก้ วไพฑูรย์
บันไดแก้ วผลึก แวดล้ อมด้ วยเวทีสองชั8น คือ เวทีทอง และเวทีเงิน ล้ อมรอบด้ วยต้ นตาล ๗
แถว คือ แถวต้ นตาลทอง เงิน แก้ วไพฑูรย์ แก้ วผลึก แก้ วโกเมน บุษราคัม และรัตนะทุกอย่าง
แถวต้ นตาลเหล่านั8นเมืA อต้ องลมพัดแล้ ว เสียงอันไพเราะ ยวนใจชวนให้ ฟังและให้
เคลิบเคลิ8ม เมืA อธรรมปราสาทและธรรมโบกขรณีสาํ เร็จแล้ ว พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ ทรงยัง
สมณพราหมณ์ท8งั หลาย ให้ เอิบอิA มด้ วยการถวายสมณบริขารและพราหมณบริขาร ทีA ตน
ปรารถนาทุกอย่าง แล้ วเสด็จขึ8นสู่ธรรมปราสาท ฉะนี8แล.
การเข้าฌาน
ครั8งนั8นแล พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ ทรงพระดําริว่า นี8เป็ นผลแห่งกรรมอะไรของเรา
หนอ เป็ นวิบากแห่งกรรมอะไร ทีA เป็ นเหตุให้ เรา มีฤทธิJมากอย่างนี8 มีอานุภาพมากอย่างนี8 ใน
บัดนี8ทรงทราบว่านี8เป็ นผลแห่งกรรม ๓ ประการ ของเรา เป็ นวิบากแห่งกรรม ๓ ประการ ทีA
เป็ นเหตุให้ เรามีฤทธิJมากอย่างนี8 มีอานุภาพมาก
อย่างนี8 ในบัดนี8 กรรม ๓ ประการ คือ ทาน(การสละ) ทมะ(การฝึ กตน) สัญญมะ
(ศีล). พระเจ้ ามหาสุทสั สนะเสด็จเข้ าไปยังกุฏาคารหลังใหญ่ แล้ วประทับยืนทีA ประตู ทรงเปล่ง
พระอุทานว่า กามวิตก จงหยุด พยาบาท
วิตกจงหยุด วิหิงสาวิตกจงหยุด กามวิตกจงกลับเพียงแค่น8 ีเถิด พยาบาทวิตกจงกลับ
เพียงแค่น8 ีเถิด วิหิงสาวิตกจงกลับเพียงแค่น8 เี ถิด
จากนั8นประทับนัAงบนบัลลังก์ทอง ทรงสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม ทรงบรรลุ
ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปิติ และสุขเกิดแต่วเิ วกอยู่ ทรงบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใส แห่ง
จิตในภายใน เป็ นธรรมเอกผุดขึ8น ไม่มีวิตก ไม่มวี ิจาร เพราะวิตกวิจาร สงบไปมีปีติและสุขเกิด
แต่สมาธิอยู่เป็ นผู้มีอุเบกขา มีสติสมั ปชัญญะ และเสวยสุขด้ วยนามกายเพราะปี ติส8 ินไป ทรง
บรรลุตติยฌาน ทีA พระอริยะทั8งหลาย สรรเสริญว่าผู้ได้ ฌานนี8 เป็ นผู้มอี เุ บกขามีสติอยู่เป็ นสุข
๘๒

ทรงบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มสี ุข เพราะละทุกข์ละสุข และดับโทมนัสโสมนัสก่อนๆ


ได้ มีอเุ บกขาเป็ นเหตุให้ สติบริสทุ ธิJอยู่ ฯ
พรหมวิหารภาวนา
ครั8งนั8นแล พระเจ้ ามหาสุทสั สนะเสด็จออกจากกุฏาคารหลังใหญ่เ สด็จเข้ าไปยังกุฏา
คารทอง ประทับบนบัลลังก์เงิน ทรงมีพระทัยประกอบด้ วยเมตตา แผ่ไปตลอดทิศหนึA งอยู่ ทิศทีA
สองทีA สามทีA สีA ก็หมือนกัน ทั8งเบื8องบน เบื8องล่าง เบื8องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทัAวสัตว์ทุกเหล่า
ในทีA ทุกสถาน ด้ วยพระทัยอันประกอบด้ วยเมตตาอันไพบูลย์ ถึงความเป็ นใหญ่ หาประมาณ
มิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่ มีพระทัยประกอบด้ วยกรุณา ... มีพระทัยประกอบด้ วย
มุทติ า ... มีพระทัยประกอบด้ วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึA งอยู่ ทิศทีA สอง ทีA สาม ทีA สกีA ็
เหมือนกัน ทั8งเบื8องบน เบื8องล่าง เบื8องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทัAวสัตว์ทุกเหล่า ในทีA ทุกสถาน
ด้ วยพระทัย อันประกอบด้ วยอุเบกขาอันไพบูลย์ถงึ ความเป็ นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่
มีความเบียดเบียนอยู่ ฯ
กถาว่าด้วยพระนางสุภทั ทาเทวี
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ มีพระนครขึ8นแปดหมืA น สีA พัน มีกุสาวดีราชธานีเป็ นประมุข มี
ปราสาทแปดหมืA นสีA พัน มีธรรมปราสาท มีเรือนยอดหลังใหญ่เป็ นประมุข มีบลั ลังก์แปดหมืA นสีA
พันแล้ วด้ วยทอง เงิน งา และแก้ วบุษราคัม ลาดด้ วยขนเจียม สักหลาด ผ้ าปักลวดลาย และ
หนังกวางอย่างดีมีพนักอันสูง มีนวมทั8งสองข้ างแดง มีช้างแปดหมืA นสีA พันเชือก มีเครืA อง
อลังการแล้ วด้ วยทอง มีธงทอง คลุมด้ วยตาข่ายทอง มีพระยาช้ างสกุลอุโบสถเป็ นประมุข
มีม้าแปดหมืA นสีA พัน มีเครืA องอลังการแล้ วด้ วยทอง มีธงทอง คลุมด้ วยตาข่ายทองมี
วลาหกอัศวราชเป็ นประมุข มีรถแปดหมืA นสีA พันหุ้มด้ วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง และหนังเสือ
เหลือง หุ้มด้ วยผ้ ากัมพลเหลือง
ประดับด้ วยทอง มีธงทอง มีตาข่ายทองปกคลุม มีรถเวชยันต์เป็ นประมุข มีแก้ ว
แปดหมืA นสีA พันดวง มีแก้ วมณี เป็ นประมุข มีสตรีแปดหมืA นสีA พันนาง มีสุภัททาเทวีเป็ น
ประมุข มีคฤหบดี แปดหมืA นสีA พันคน มีคฤหบดีแก้ วเป็ นประมุข มีกษัตริย์แปดหมืA นสีA พัน
องค์ ผู้สวามิภักดิJ มีปริณายกแก้ วเป็ นประมุข มีโคนมแปดหมืA นสีA พัน กําลังกําดัดหลัAงนํา8 นม
กําลังเอาภาชนะรองได้ มีผ้าโขมพัสตร์อย่างเนื8อดี ผ้ าฝ้ ายอย่างเนื8อดี และผ้ าไหมอย่างเนื8อดี
ผ้ ากัมพลอย่างเนื8อดี ประมาณแปดหมืA นสีA พันโกฏิพับ มีพระกระยาหารเต็มภาชนะแปดหมืA นสีA
พันสํารับมีคนนํามาถวายทั8งเวลาเช้ าและเวลาเย็น ฯ
๘๓

สมัยนั8นแล. ช้ างแปดหมืA นสีA พันเชือกมาสู่ทเีA ฝ้ าพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ทั8งเวลาเช้ าและ


เวลาเย็น ครั8งนั8น พระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงพระดําริว่า ช้ างแปดหมืA นสีA พันเชือกของเราเหล่านี8
ย่อมมายังทีA เฝ้ า ทั8งเช้ าทั8งเย็น ถ้ ากระไร ช้ างจํานวนสีA หมืA นสองพัน พึงมาสู่ทเีA ฝ้ าโดยล่วงร้ อยปี
ต่อครั8ง จึงตรัสเรียกปริณายกแก้ วมา ตรัสว่าปริณายก ช้ างแปดหมืA นสีA พันเหล่านี8 มาสู่ทเีA ฝ้ าทั8ง
เช้ าทั8งเย็น อย่ากระนั8นเลย โดยล่วงไปร้ อยปี พวกมันจงมาสู่ทเฝ้ ีA าคราวละสีA หมืA นสองพันเชือก
ปริณายกแก้ วรับสนองพระบรมราชโองการของพระเจ้ ามหาสุทสั สนะแล้ ว สมัยต่อมา
ช้ างมาสู่ทเีA ฝ้ าพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ คราวละสีA หมืA นสองพันเชือกโดยล่วงร้ อยปี ต่อครั8ง โดยล่วง
ไปหลายปี หลายร้ อยปี หลายพันปี พระนางสุภัททาเทวีทรงพระดําริว่า เราไม่ได้ เฝ้ าพระเจ้ า
มหาสุทสั สนะนานมาแล้ ว ถ้ ากระไร เราพึงเข้ าไปเฝ้ าเยีA ยมพระองค์ จึงได้ ตรัสเรียกนางสนม
มาแล้ วตรัสว่า พวกท่าน จงอาบนํา8 ชําระเกล้ าเสีย จงห่มผ้ าสีเหลือง พวกเราจักเข้ าไปเฝ้ าเยีA ยม
พระองค์กนั พวกนางสนมรับสนองพระราช เสาวนีย์ของพระราชเทวี แล้ วอาบนํา8 ชําระเกล้ า
ห่มผ้ าสีเหลือง เข้ าไปหา ครั8งนั8นแล.
พระเทวีตรัสเรียกปริณายกแก้ วมาตรัสว่า พ่อปริณายกแก้ ว ท่านจงจัดจตุรงคเสนา
พวกเราจักไปเฝ้ าพระเจ้ ามหาสุทสั สนะพระองค์ ปริณายกแก้ วรับสนองพระราชเสาวนีย์แล้ ว
จัดเตรียมจตุรง คเสนาไว้ เรียบร้ อยแล้ วไปทูลว่า จตุรงคเสนา จัดพร้ อมแล้ ว ขอพระองค์จงทรง
ทราบกาลอันควรในบัดนี8เถิดฯ ครั8งนั8นแล พระนางสุภัททาเทวีพร้ อมด้ วยจตุรงคเสนาและนาง
สนมเสด็จไปยังธรรมปราสาท ครั8นเสด็จเข้ าไปขึ8นสู่ธรรมปราสาทแล้ ว เสด็จเข้ าไปสู่เรือนยอด
หลังใหญ่ แล้ วประทับยืนเหนีA ยวบานประตูเรือนยอดหลังใหญ่
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ สดับเสียงทรงพระดําริว่าอะไรหนอ เหมือนเสียงคนหมู่มาก
จึงเสด็จออกจากเรือนยอดหลังใหญ่ ทอดพระเนตรพระนางสุภัททาเทวียืนเหนีA ยวบานประตู
ครั8นแล้ วได้ ตรัสกะพระนางว่า เทวี เธอจงหยุดอยู่ทนีA ีA แหละอย่าเข้ ามาเลย จากนั8น พระเจ้ ามหา
สุทสั สนะตรัสเรียกราชบุรษุ คนหนึA งมาตรัสว่า พ่อมานีA แน่ะ พ่อจงนําบัลลังก์แล้ วด้ วยทองจาก
เรือนยอดหลังใหญ่ไปตั8งในสวนตาลอันทองล้ วน ราชบุรุษนั8นรับสนองพระราชโองการแล้ ว ยก
บัลลังก์ทองไปตั8งไว้ ในสวนตาลทอง จากนั8น พระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงสําเร็จสีหไสยาด้ วยพระ
ปรัศว์เบื8องขวาซ้ อนพระบาทเหลืA อมพระบาท มีพระสติสมั ปชัญญะฯ
ครั8งนั8นแล พระนางสุภัททาเทวีได้ ทรงพระดําริว่าพระอินทรีย์ของพระเจ้ ามหาสุทสั
สนะผ่องใสยิA งนัก บริสทุ ธิJ พระฉวีวรรณผุดผ่องพระองค์อย่าได้ ทรงทํากาลกิริยาเลย
พระนางจึงกราบทูลพระเจ้ ามหาสุทสั สนะว่า เทวะ พระนครแปดหมืA นสีA พันอันมีกุสาวดี
ราชธานีเป็ นประมุขเหล่านี8 ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดในพระนคร
เหล่านี8เถิด จงทําความใยดีในชีวิตเทวะ ปราสาทแปดหมืA นสีA พัน อันมีธรรมปราสาทเป็ นประมุข
๘๔

เหล่านี8ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดในปราสาทเหล่านี8 ขอจงทรงทํา


ความใยดีในชีวิต เทวะเรือนยอดแปดหมืA นสีA พันหลัง มีเรือนยอดหลังใหญ่เป็ นประมุขเหล่านี8
ของทูลกระหม่อมขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดในเรือนยอดเหล่านี8 จงกระทําความใยดีใน
ชีวิต เทวะ บัลลังก์แปดหมืA นสีA พันแล้ วด้ วยทอง แล้ วด้ วยเงิน แล้ วด้ วยงา แล้ วด้ วยแก้ วบุษราคัม
ลาดด้ วยขนเจียม ลาดด้ วยสักหลาด ลาดด้ วยผ้ าปักเป็ นลวดลาย ลาดด้ วยหนังกวางอย่างดี มี
พนักอันสูง มีนวมสีแดงทั8งสองข้ างเหล่านี8ของทูลกระหม่อม
ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะ ให้ เกิดในบัลลังก์เหล่านี8 จงกระทําความไยดีในชีวิต เท
วะ ช้ างแปดหมืA นสีA พันเชือก มีเครืA องอลังการแล้ วด้ วยทอง มีธงแล้ วด้ วยทอง มีตาข่ายเครืA อง
ปกคลุม แล้ วด้ วยทอง มีพระยาช้ างตระกูลอุโบสถเป็ นประมุขเหล่านี8ของทูลกระหม่อม ขอ
ทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดในช้ างเหล่านี8 จงกระทําความไยดีในชีวิต เทวะ ม้ าแปดหมืA นสีA
พันตัว มีเครืA องประดัลด้ วยทองมีธงทอง มีตาข่าย ทองปกคลุม มีวลาหกอัศวราชเป็ นประมุข
เหล่านี8ของทูลกระหม่อมขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดในม้ าเหล่านี8 จงกระทําความไยดี
ในชีวติ เทวะ รถแปดหมืA นสีA พันคัน หุ้มด้ วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง และหนังเสือเหลือง
หุ้มด้ วยผ้ ากัมพลเหลือง มีเครืA องประดับเป็ นทอง มีธงทอง มีตาข่ายทองปกคลุม มีรถ
เวชยันต์เป็ นประมุขเหล่านี8ของทูลกระหม่อม
ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดในรถเหล่านี8 จงกระทําความไยดีในชีวิต เทวะ
แก้ วแปดหมืA นสีA พันดวง มีแก้ วมณีเป็ นประมุขเหล่านี8ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยัง
ฉันทะให้ เกิดในแก้ วมณีเหล่านี8 จงกระทําความไยดีในชีวิต เทวะ สตรีแปดหมืA นสีA พันนาง มีนาง
แก้ วเป็ นประมุขเหล่านี8ของทูลกระหม่อม ขอทูล กระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดในสตรีเหล่านี8 จง
กระทําความไยดีในชีวิต เทวะ คฤหบดีแปดหมืA นสีA พันคน มีคฤหบดีแก้ วเป็ นประมุขเหล่านี8
ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดในคฤหบดีเหล่านี8จงกระทําความไยดีใน
ชีวิต เทวะกษัตริย์แปดหมืA นสีA พันองค์ผ้ ูสวามิภักดิJ มีปริณายกแก้ วเป็ นประมุขเหล่านี8 ของ
ทูลกระหม่อม
ขอทูลกระหม่อมจะยังฉันทะให้ เกิดในกษัตริย์เหล่านี8 จงทําความไยดีในชีวติ เทวะโค
นมแปดหมืA นสีA พันตัว กําลังกําดัดหลัAงนํา8 นมกําลังเอาภาชนะรองได้ เหล่านี8ของทูลกระหม่อม
ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดใน โคนมเหล่านี8 จงกระทําความไยดีในชีวิตเทวะ ผ้ าโขม
พัสตร์อย่างเนื8อดี ผ้ าฝ้ าย อย่างเนื8อดี และผ้ าไหมอย่างเนื8อดี ผ้ ากัมพลอย่างเนื8อดี แปดหมืA นสีA
พันโกฏิพับนี8 ของทูลกระหม่อม
ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะให้ เกิดในผ้ าเหล่านี8จง กระทําความไยดีในชีวิต พระ
กระยาหารเต็มภาชนะแปดหมืA นสีA พันสํารับ มีคนนํามา ถวายทั8งเวลาเย็นและเวลาเช้ าเหล่านี8
๘๕

ของทูลกระหม่อม ขอทูลกระหม่อมจงยังฉันทะ ให้ เกิดในพระกระยาหารเหล่านี8 จงกระทํา


ความไยดีในชีวิต ดังนี8 ฯ
กถาว่าด้วยพระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงสังเวช
เมืA อพระนางกราบทูลอย่างนี8แล้ ว พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ ตรัสตอบพระเทวีว่า เทวีเธอ
ได้ ทกั ทายเราด้ วยสิA งทีA น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ สิ8นกาลนานแล แต่ในกาลภายหลัง เธอจะทักเรา
ด้ วยสิA งทีA ไม่น่ารัก ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ พระนางกราบทูลว่าหม่อมฉันจะกราบทูลพระองค์
อย่างไร. เทวี เธอจงทักทายเราอย่างนี8ว่า ความเป็ นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็ นโดย
ประการอืA น จากสิA งทีA น่ารัก น่าพอใจทั8งหลาย ทั8งปวงทีเดียว ย่อมมีทูลกระหม่อม อย่าได้ มี
ความอาลัยทํากาลกิริยาเลย กาลกิริยาของผู้มีความอาลัยเป็ นทุกข์ และ กาลกิริยาของผู้มคี วาม
อาลัย บัณฑิตติเตียน
ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัย ในพระนครแปดหมืA นสีA พัน อันมีกุสาวดีราช
ธานีเป็ นประมุขเหล่านี8ของทูลกระหม่อมเสียเถิด อย่าได้ กระทําความอาลัยในชีวิตเลย ขอ
ทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัยในปราสาทแปดหมืA นสีA พัน... ในเรือนยอดแปดหมืA นสีA พัน...
ในบัลลังก์ แปดหมืA นสีA พัน... ในช้ างแปดหมืA นสีA พัน... ในม้ าแปดหมืA นสีA พัน...ในรถแปดหมืA นสีA
พัน...ในแก้ วมณีแปดหมืA นสีA พัน...ในสตรีแปดหมืA นสีA พัน ... ในคฤหบดีแปดหมืA นสีA พัน ... ใน
กษัตริย์แปดหมืA นสีA พัน...ในโคนมแปดหมืA นสีA พัน ... ในผ้ าโขมพัสตร์อย่างเนื8อละเอียด ผ้ าฝ้ าย
อย่างเนื8อดี ผ้ าไหมอย่างเนื8อดี ผ้ ากัมพลอย่างเนื8อดีแปดหมืA นสีA พันโกฏิพับ... ในสํารับคาวหวาน
แปดหมืA นสีA พันทีA ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัยในสิA งเหล่านี8ๆ เสียเถิด อย่างได้ ทรงทํา
ความอาลัย ในชีวติ เลย ดังนี8 เมืA อพระเจ้ ามหาสุทสั สนะตรัสอย่างนี8แล้ ว พระนางสุภัททาเทวี
ทรงพระกรรแสงหลัAงพระอัสสุชล ฯ
ครั8งนั8นแล พระนางสุภัททาเทวีทรงเช็ดพระอัสสุชลแล้ ว กราบทูลพระเจ้ ามหาสุทสั
สนะว่า เทวะ ความเป็ นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็ นโดยประการอืA น จากสิA งทีA น่ารัก น่า
พอใจทั8งปวงทีเดียว ย่อมมี ทูลกระหม่อม อย่าได้ มีความอาลัยทํากาลกิริยาเลย กาลกิริยาของผู้
มีความอาลัยเป็ นทุกข์ กาล กิริยาของผู้มีอาลัย บัณฑิตติเตียน ขอทูลกระหม่อมจงละความพอ
พระทัยในพระนครแปดหมืA นสีA พัน อันมีกุสาวดีราชธานีเป็ นประมุขเหล่านี8ของทูลกระหม่อม
เสียเถิด อย่าได้ ทรงทําความอาลัยในชีวิตเลย ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยใน
ปราสาทแปดหมืA นสีA พัน... ในเรือนยอดแปดหมืA นสีA พัน... ในบัลลังก์ แปดหมืA นสีA พัน ... ในช้ าง
แปดหมืA นสีA พัน ... ในม้ าแปดหมืA นสีA พัน ... ในรถ แปดหมืA นสีA พัน... ในแก้ วมณีแปดหมืA นสีA พัน
... ในสตรีแปดหมืA นสีA พัน... ในคฤหบดีแปดหมืA นสีA พัน ... ในกษัตริย์แปดหมืA นสีA พัน...ในโคนม
๘๖

แปดหมืA นสีA พัน ...ในผ้ าโขมพัสตร์อย่างเนื8อดี ผ้ าฝ้ ายอย่างเนื8อดี ผ้ าไหมอย่างเนื8อดี ผ้ ากัมพล


อย่างเนื8อดีแปดหมืA นสีA พันโกฏิพับ...ในสํารับคาวหวานแปดหมืA นสีA พันทีA ขอทูลกระหม่อมจงละ
ความพอพระทัยในสิA งเหล่านี8ๆ เสียเถิด อย่าทรงกระทําความอาลัย ในชีวิตเลย ดังนี8 ฯ
พระเจ้าสุทัสสนะสิ.นพระชนม์
ต่อมาไม่นาน พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ ทรงกระทํากาลกิริยา ดูกรอานนท์ คฤหบดีหรือ
บุตรแห่งคฤหบดี เมืA อบริโภคโภชนะ อันเป็ นทีA ชอบใจ ย่อมมึนเมาในอาหาร ฉันใด ความเสวย
อารมณ์ในเวลาใกล้ มรณะ ของพระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ เป็ นฉันนั8นเหมือนกัน และพระเจ้ ามหา
สุทสั สนะ ครั8นเสด็จสวรรคตแล้ ว ทรงเข้ าถึงสุคติพรหมโลก ดูกรอานนท์ พระเจ้ ามหา สุทสั
สนะทรงเล่นอย่างเด็กอยู่ประมาณแปดหมืA นสีA พันปี ทรงดํารงตําแหน่งอุปราช อยู่แปดหมืA นสีA
พันปี ทรงครอบครองราชสมบัติอยู่แปดหมืA นสีA พันปี ทรงดํารง เพศคฤหัสถ์ประพฤติ
พรหมจรรย์ในธรรมปราสาทแปดหมืA นสีA พัน ท้าวเธอทรง เจริญพรหมวิหารสีA เบื8องหน้ าแต่ตาย
เพราะกายแตก จึงเสด็จเข้ าถึงพรหมโลก ฯ
สรุปธรรมเทศนา
ดูกรอานนท์ เธอคงจะคิดอย่างนี8ว่าสมัยนั8น พระเจ้ ามหา สุทสั สนะคงจะเป็ นคนอืA นแน่
ข้ อนั8นเธอไม่พึงเห็นอย่างนั8นสมัยนั8น เราได้ เป็ นพระเจ้ ามหาสุทสั สนะพระนครแปดหมืA นสีA พัน
อันมีกุสาวดี ราชธานีเป็ นประมุขเหล่านั8นของเราปราสาทแปดหมืA นสีA พันอันมีธรรมปราสาทเป็ น
ประมุขเหล่านั8น เรือนยอดของเราแปดหมืA นสีA พันอันมีเรือนยอดหลังใหญ่เป็ นประมุข เหล่านั8น
ของเรา บัลลังก์แปดหมืA นสีA พันอัน ทําด้ วยทอง เงิน งา แก้ ว บุษราคัม ลาดด้ วยขนเจียม ลาด
ด้ วยสักหลาด ลาดด้ วยผ้ า ปักเป็ นลวดลายลาดด้ วยหนังกวางอย่างดี มีพนักอันสูง มีนวมแดง
ทั8งสองข้ างเหล่านั8นของเรา
ช้ างแปดหมืA นสีA พันมีเครืA องประดับด้ วยทอง มีธงทอง มีตาข่ายทองปกคลุมมีพระยา
ช้ างตระกูลอุโบสถเป็ นประมุขเหล่านั8นของเรา ม้ าแปดหมืA นสีA พัน มีเครืA องประดับด้ วยทอง มีธง
ทอง มีตาข่ายเครืA องปกคลุมแล้ วด้ วยทอง มีวลาหกอัศวราชเป็ นประมุขเหล่านั8นของเรา รถ
แปดหมืA นสีA พัน หุ้มด้ วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง หุ้มด้ วยผ้ ากัมพลเหลือง มี
เครืA องประดับด้ วยทอง มีธงทอง มีตาข่ายเทอง ปกคลุม มีรถเวชยันต์เป็ นประมุขเหล่านั8นของ
เรา แก้ วมณีแปดหมืA น สีA พันดวง มีแก้ วมณีเป็ นประมุขเหล่านั8นของเรา สตรีแปดหมืA นสีA พัน
นาง มี สุภทั ทาเทวีเป็ นประมุขเหล่านั8นของเรา คฤหบดีแปดหมืA นสีA พันคนมีคฤหบดีแก้ ว เป็ น
ประมุขเหล่านั8นของเรา กษัตริย์แปดหมืA นสีA พันองค์ผ้ ูสวามิภกั ดิJ มีปริณายกแก้ วเป็ นประมุข
เหล่านั8นของเรา โคนมแปดหมืA นสีA พันตัว ผ้ าโขมพัสตร์อย่างเนื8อดี ผ้ าฝ้ ายอย่างเนื8อดี ผ้ าไหม
๘๗

อย่างเนื8อดี ผ้ ากัมพลอย่างเนื8อดี แปดหมืA นสีA พันโกฏิพับเหล่านั8นของเรา สํารับคาวหวานแปด


หมืA นสีA พันทีA มีคนใส่ภตั ตาหารนํามาถวายทั8งเวลาเช้ าและเวลาเย็น เหล่านั8นของเรา.
บรรดาพระนครแปดหมืA นสีA พัน พระนครทีA เราอยู่ครอบครองสมัยนั8น คือกุสาวดีราช
ธานีเมืองเดียว ,บรรดาปราสาทแปดหมืA นสีA พันเราอยู่ ธรรมปราสาทหลังเดียวเท่านั8น, บรรดา
เรือนยอดแปดหมืA นสีA พันหลัง เรือนยอดทีA เราอยู่ครอบครอง คือเรือนยอดหลังใหญ่หลังเดียว
เท่านั8น, บรรดาบัลลังก์แปดหมืA นสีA พันเหล่านั8น บัลลังก์ทเราใช้
ีA สอย คือบัลลังก์ทอง หรือเงิน
หรืองา หรือแก้ วบุษราคัม บัลลังก์เดียวเท่านั8น
บรรดาช้ างแปดหมืA นสีA พันเชือกช้ างทีA เราขึ8นขีA คือพระยาช้ างตระกูลอุโบสถเชือกเดียว
เท่านั8น,บรรดาม้ าแปดหมืA นสีA พันตัว ม้ าทีA เราขึ8นขีA สมัยนั8นคือวลาหกอัศวราชตัวเดียวเท่านั8น,
บรรดารถแปดหมืA นสีA พันคัน รถทีA เราขึ8นขีA คือรถเวชยันต์คันเดียวเท่านั8น,บรรดาสตรีแปดหมืA นสีA
พันคน สตรีซึAงบํารุงบําเรอเรา เป็ นนางกษัตริย์หรือแพศย์คนเดียวเท่านั8น, บรรดา ผ้ าแปด
หมืA นสีA พันโกฏิพับ ผ้ าทีA เรานุ่งห่มสมัยนั8น เป็ นผ้ าโขมพัสตร์เนื8อดี หรือผ้ าฝ้ ายเนื8อดี หรือผ้ าไหม
อย่างดี หรือผ้ ากัมพลเนื8อดี สํารับเดียวเท่านั8น บรรดาสํารับคาวหวานแปดหมืA นสีA พันทีA สํารับทีA
เรา บริโภคข้ าวสุกทะนานหนึA งเป็ นอย่างยิA ง และ กับพอสมควรแก่ข้าวสุกนั8นสํารับเดียวเท่านั8น
ดูกรอานนท์ เธอจงดูเถิด สังขารทั8งหลายเหล่านั8นทั8งหมดล่วงไปแล้ ว ดับไปแล้ ว แปร
ไปแล้ วดูกรอานนท์ สังขารทั8งหลายไม่เทีA ยงอย่างนี8แล สังขารทั8งหลายไม่ยAังยืนอย่างนี8แล สังขาร
ทั8งหลายไม่น่ายินดีอย่างนี8แล ดูกรอานนท์ ข้ อนี8ควรจะเบืA อหน่ายในสังขารทั8งหลายทั8งปวง
ทีเดียว ควรทีA จะคลายกําหนัด ควร เพืA อจะหลุดพ้ นไป เราย่อมรู้ททอดทิ
ีA 8 งร่างกาย เราทอดทิ8ง
ร่างกายไว้ ในประเทศนี8
การทีA เราเป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิผ้ ูทรงธรรม เป็ นพระราชาโดยธรรม เป็ นใหญ่ใน
แผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็ นขอบเขตชนะแล้ ว มีอาณาจักรมัAนคง สมบูรณ์ด้วยแก้ ว๗ประการ
การทอดทิ8งร่างกายไว้ น8 ี นับเป็ นครั8งทีA เจ็ด
ดูกรอานนท์ เราไม่เล็งเห็นประเทศนั8นๆ ในโลก ทั8งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ในหมู่สตั ว์ท8งั สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ทีA ตถาคตจะทอดทิ8งสรีระไว้ เป็ นครั8งทีA แปด ดังนี8
ฯ พระผู้มีพระภาคผู้สคุ ตศาสดา ได้ ตรัสไวยากรณภาษิตนี8จบลงแล้ ว ได้ ตรัสคาถาประพันธ์
ต่อไปอีกว่า
สังขารทัง หลายไม่เที-ยงหนอ มีอันเกิดขึนและเสื-อมไปเป็ น ธรรมดาบังเกิดขึนแล้ว
ย่อมดับไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านัน เสียได้เป็ นความสุข
๘๘

มหาสุทัสสนสูตร ทีA ๔ จบ

อดีตกรรมทีทรงทําไว้ก่อนทีได้เป็ นพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ
ได้ ยินว่าในกาลก่อน พระราชาทรงสมภพในตระกูลคหบดี. ก็โดยสมัยนั8น พระเถระ
รูปหนึA งในพระศาสนาของพระพุทธเจ้ ากัสสปะทรงพระชนม์อยู่ จําพรรษาในป่ า. พระโพธิสตั ว์
เข้ าป่ าด้ วยการงานของตน เห็นพระเถระแล้ ว เข้ าไปเฝ้ า ไหว้ แล้ ว แลดูทนีA AังและทีA จงกรมเป็ น
ต้ น ของพระเถระ จึงถามว่า ข้ าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็ นเจ้ าอยู่ในทีA น8ันหรือ.
ได้ ฟังอย่างนัAนอุบาสก จึงคิดว่าสมควรทีA จะสร้ างบรรณศาลาถวายพระผู้เป็ นเจ้ าในทีA น8 ี
แล้ วเลิกการงานของตนขนทัพพสัมภาระ ทําบรรณศาลา ฉาบ โบกฝาด้ วยดินเหนียวติดประตู
ทําพนักนัAง นัAง ณ ทีA ควรส่วนสุดข้ างหนึA ง ด้ วยคิดว่า พระผู้เป็ นเจ้ าจักทําการบริโภค หรือไม่
หนอ. พระเถระมาจากภายในบ้ าน เข้ าไปสู่บรรณศาลา แล้ วนัAงทีA พนัก. แม้ อบุ าสกมาแล้ วไหว้ นAัง
ณ ทีA ใกล้ แล้ ว ถามว่าข้ าแต่ท่านผู้เจริญบรรณศาลาผาสุกไหม. ผาสุกสมควรแก่บรรพชิต. ท่าน
จักอยู่ทนีA 8 ีหรือ. อย่างนั8นอุบาสก.
อุบาสกนั8นรู้แล้ วว่า พระเถระจักอยู่โดยอาการรับให้ พระเถระทราบว่าท่านพึงไปสู่
ประตูเรือนของกระผมเป็ นนิตย์แล้ วเรียนว่า ข้ าแต่ท่านผู้เจริญขอท่านจงให้ พรอย่างหนึA ง แก่
กระผมเถิด. ดูก่อนอุบาสก บรรพชิตก้ าวล่วงแล้ ว. ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริญ เป็ นพรทีA ควรและไม่มี
โทษ. อุบาสกจงบอก. ข้ าแต่ท่านผู้เจริญมนุษย์ท8งั หลายในทีA เป็ นทีA อยู่ประจํา ย่อมปรารถนา
การมาในมงคลหรือ อมงคล ย่อมโกรธแก่พระเถระผู้ไม่มา เพราะฉะนั8น ท่านแม้ ไปสู่ทีA
นิมนต์อนแล้ ืA ว เข้ าไปสู่เรือนของกระผมแล้ ว พึงทําภัตกิจ พระเถระได้ รับแล้ ว.
ก็โพธิสตั ว์น8ัน ปูเสืA อลําแพนในศาลาตั8งเตียงตัAง วางพนักพิงวางทีA เช็ดเท้ า ขุดสระ ทํา
ทีA จงกรมเกลีA ยทราย เห็นสัตว์มาทําลายฝา ทําดินเหนียวให้ ตก ก็ล้อมรั8วหนาม เห็นสัตว์ลงสระ
ทํานํา8 ให้ ขุ่นก็ก่อบันไดภายใน ล้ อมรั8วหนามภายนอกปลูกแถวตาลในทีA สดุ รั8วภายใน เห็นสัตว์
ทําสกปรกทีA อันสมควรในมหาจงกรม ก็ล้อมทีA จงกรมด้ วยรั8วปลูกแถวตาลในทีA สุดรั8วภายใน
ยังอาวาสให้ สาํ เร็จอย่างนี8 ถวายไตรจีวร บิณฑบาต ยา ภาชนบริโภค เหยือกนํา8 กรรไกร มีดตัด
เล็บ เข็ม ไม้ เท้ า รองเท้ า ตุ่มนํา8 ร่ม คบเพลิง ไม้ แคะมูลหู บาตร ถลกบาตร ผ้ ากรองนํา8 ทีA
กรองนํา8 ก็หรือสิA งทีA บรรพชิตควรบริโภคอืA นแด่พระเถระ ชืA อว่า บริขารทีA พระโพธิสัตว์ไม่ถวาย
แก่พระเถระไม่มี.
พระโพธิสตั ว์น8ัน รักษาศีล รักษาอุโบสถ บํารุงพระเถระตลอดชีวิต. พระเถระอยู่ใน
อาวาสนั8นเทียวบรรลุพระอรหัตแล้ วนิพพาน. ฝ่ ายพระโพธิสัตว์ทาํ บุญตลอดอายุแล้ วไปเกิดใน
เทวโลก จุติจากเทวโลกนั8น มาสู่มนุษย์โลกไปเกิดเป็ นพระเจ้ ามหาสุทสั สนจักรพรรดิในราชธานี
๘๙

ชืA อว่า กุสาวดี. บุญแม้ อนั ไม่ใหญ่ยิAงได้ กระทําแล้ วในศาสนาของท่านอย่างนี8มหาวิบากจึงมี


เพราะฉะนั8น ผู้มีปัญญาพึงทําบุญนั8น.
พระนคร ๘๔,๐๐๐แห่ง ปราสาทพันหลัง และกูฎาคารหนึA งพันเกิดขึ8นเพราะผลบุญ
ไหลมาแห่งบรรณศาลาหลังเดียว.
บัลลังก์๘๔,๐๐๐หลังเกิดขึ8นด้ วยผลบุญไหลมาแห่งเตียงทีA ถวายเพืA อประโยชน์แก่การ
นอน. ช้ าง๘๔,๐๐๐เชือก ม้ า ๑,๐๐๐ตัว รถ๑,๐๐๐ คัน เกิดขึ8นด้ วยผลบุญทีA ไหลมาแห่งตัAงทีA
ถวายเพืA อประโยชน์แก่การนัAง.
แก้ วมณี๘๔,๐๐๐ดวง เกิดขึ8นด้ วยผลบุญทีA ไหลมาแห่งประทีปหนึA งดวง. สระโบกขรณี
๘๔,๐๐๐ สระ เกิดขึ8นด้ วยผลบุญทีA ไหลมาแห่งสระโบกขรณีหนึA งสระ.
สตรี ๘๔,๐๐๐ นางบุตร ๑,๐๐๐คน คหบดี๑,๐๐๐ คน เกิดขึ8นด้ วยผลบุญทีA ไหลมา
แห่งการถวายบริโภคภาชนะ บาตร ถลกบาตร ธรมกรก ผ้ ากรองนํา8 หม้ อนํา8 กรรไกร
มีดตัดเล็บ เข็ม กุญแจ ไม้ แคะมูลหู ผ้ าเช็ดเท้ า รองเท้ า ร่ม และไม้ เท้า.
แม่โคนม ๘๔,๐๐๐ ตัวเกิดขึ8นด้ วยผลบุญทีA ไหลมาแห่งทาน โครส .ผ้ า๘๔,๐๐๐โกฏิ
พับเกิดขึ8นด้ วยผลบุญอันไหลมาแห่งทานผ้ านุ่งผ้ าห่ม. สํารับใส่พระกระยาหาร ๘๔,๐๐๐สํารับ
พึงทราบว่าเกิดขึ8นด้ วยผลบุญทีA ไหลมาแห่งทานโภชนา.
อดีตกรรมทีทรงทําไว้ก่อนทีได้เป็ นพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ จบ

เรื.องสุภทั ทปริพาชก
ก็สมัยนั8นปริพาชกนามว่า สุภทั ทะ อาศัยอยู่ในเมืองกุสนิ ารา ทราบว่า พระสมณโคดม
จักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรี ในวันนี8แหละสุภัททปริพาชกจึงไปเข้ าเฝ้ าพระศาสดา
พระอานนท์กไ็ ด้ ห้ามไว้ ถงึ ๓ครั8ง พระภาคทรงได้ ยินถ้ อยคําท่านพระอานนท์เจรจากับสุภัทท
ปริพาชก จึงให้ โอกาสเข้ าเฝ้ าทั8งทีA ทรงประชวรหนัก ท่านพระอานนท์จึงเชิญเข้ าไป ครั8นเข้ าไป
เฝ้ าแล้ วทูลถามปัญหา ทรงตรัสตอบแสดงหลักธรรมว่าตราบใดทีA มีการประพฤติตามอริยมรรค
มีองค์๘ตราบนั8นโลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์.
สุภัททปริพาชกได้ บรรพชา อุปสมบทในสํานักพระผู้มีพระภาคไม่นานหลีกออกไปอยู่
แต่ผ้ ูเดียว เป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรไม่ช้านานนัก ก็ทาํ ให้ แจ้ งซึA งทีA สดุ พรหมจรรย์ เป็ น
พระอรหันต์ ปัจฉิมสาวกเรียกว่า ท่านเป็ นสักขิสาวกองค์สดุ ท้ ายของพระผู้มพี ระภาค คือสาวกทีA
เป็ นอรหันต์องสุดท้ายทีA ได้ เห็นพระพุทธเจ้ าฯ
มรรคมีองค์ ๘
๙๐

มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐนี8มีดังนี8 (๑)สัมมาทิฐิ (๒)สัมมาสังกัปปะ (๓)


สัมมาวาจา
(๔)สัมมากัมมันตะ (๕)สัมมาอาชีวะ (๖)สัมมาวายามะ (๗)สัมมาสติ (๘)
สัมมาสมาธิ ฯ
สัมมาทิฐิเป็ นไฉน ได้ แก่ ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในทุกขสมุทยั ความรู้ในทุกขนิโรธ
ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี8เรียกว่าสัมมาทิฐิฯ (ด้ วยการฟังและพิจารณา)
สัมมาสังกัปปะเป็ นไฉน ได้ แก่ ความดําริในเนกขัมมะ ความดําริในอันไม่พยาบาท
ความดําริในอันไม่เบียดเบียน นี8เรียกว่าสัมมาสังกัปปะ ฯ
สัมมาวาจาเป็ นไฉน ได้ แก่ เจตนาเป็ นเครืA องงดเว้ นจากพูดเท็จ จากพูดส่อเสียด
จากพูดคําหยาบ จากเจรจาเพ้ อเจ้ อ นี8เรียกว่า สัมมาวาจา ฯ
ก็สมั มากัมมันตะเป็ นไฉน ได้ แก่เจตนาเป็ นเครืA องงดเว้ นจากปาณาติบาต จาก
อทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร นี8เรียกว่าสัมมากัมมันตะ ฯ
สัมมาอาชีวะเป็ นไฉน คือ อริยสาวกในธรรมวินัยนี8ละมิจฉาชีพแล้ ว สําเร็จความ
เป็ นอยู่ด้วยสัมมาชีพ นี8เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ฯ
สัมมาวายามะเป็ นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี8 ย่อมให้ เกิดฉันทะ พยายาม ปรารภ
ความเพียร ประคองจิตตั8งจิตไว้ เพืA อไม่ให้ อกุศลธรรมอันลามกทีA ยังไม่เกิดได้ เกิดขึ8น๑ เพืA อละ
อกุศลธรรมอันลามกทีA เกิดขึ8นแล้ วเสีย๑ เพืA อให้ กุศลธรรมทีA ยังไม่เกิดขึ8นได้ เกิดขึ8น๑ เพืA อความ
ตั8งมัAนไม่ฟAันเฝื อ เพิA มพูน ไพบูลย์ เจริญ และบริบูรณ์ของกุศลธรรมทีA เกิดขึ8นแล้ ว๑ นี8
เรียกว่าสัมมาวายามะ ฯ
สัมมาสติเป็ นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี8 เป็ นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย มีความ
เพียร รู้สึกตัว มีสติ กําจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกเสียได้ อยู่ เป็ นผู้พิจารณาเห็นเวทนาใน
เวทนา ... เป็ นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิต ... เป็ นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร
รู้สกึ ตัว มีสติกาํ จัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ อยู่ นี8เรียกว่าสัมมาสติฯ (เพืA อความเข้ าใจอย่า
ชัดเจนและถูกต้ องพึงดูในสติปัฏฐานสูตรเพิA มเติม)
สัมมาสมาธิเป็ นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี8 สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม เข้ า
ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เข้ าทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งใจ
ภายใน มีความเป็ นธรรมเอกผุดขึ8น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะสงบวิตกและวิจารเสีย มีปีติ
และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เข้ าตติยฌาน ... อยู่เข้ าจตุตถฌาน ... อยู่น8 ีเรียกว่าสัมมาสมาธิ ฯ
๙๑

พระดํารัสสุดท้ายของพระผูม้ ีพระภาค
ลําดับนั8น พระผู้มีพระภาครับสัAงกะภิกษุท8งั หลายว่า ดูกรภิกษุท8งั หลาย บัดนี8เราขอ
เตือนพวกเธอว่า สังขารทั8งหลายมีความเสืA อมไปเป็ นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาท
ให้ ถงึ พร้ อมเถิด ฯ
นี8เป็ นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต ฯ

**********************
๙๒

ลุมพินี
บริเวณตอนใต้ ของเทือกเขาหิมาลัย ท่ามกลางความเชืA อของสังคมทีA ข8 ึนกับการอ้ อน
วอนร้ องขอกับเทพเจ้ าทั8งหลาย ชีวติ ของมนุษย์ ษย์ข8 นึ อยู่กับเทวดา พรหมบันดาลให้ ท8งั สิ8 น ณ ป่ า
ไม้ สาละแห่งหนึA งทีA ไม่ไกลจาก
กลจากเทืทือกเขาหิมาลัยนี8 มหาบุรุษได้ อบุ ัตเิ กิดขึ8 น ณ ป่ าแห่งนี8 ทเีA รียกกัน
ว่า ลุมพินีวัน ทีA แห่งนี8 จึงนับเป็ นนิมิตหมายแห่งอิสรภาพของมนุษย์ทพีA ้ นจากรอบของเทพเจ้ า
เพืA อเข้ าสู่หลักการอันเป็ นเหตุผลทีA ข8 นึ อยู่กับการกระทําของตน .
พระโพธิสตั ว์มีสติสมั ปชัญญะ ตั8งแต่จุติจากสวรรค์ช8ันดุสติ จนลงสู่พระครรภ์ ของ
มารดา ขณะนั8น หมืA นโลกธาตุได้ หวัAนไหว พระมารดาทรงบริหารครรภ์อยู่ ๑๐ เดือน มีพระ
ครรภ์ครบกําหนด ประสงค์จะไปยังวังของพระญาติทีA เทวหทหนครเพืA อทําการคลอด การค จึงได้ จัด
ขบวนเดินทาง ระหว่างทางทรงทอดพระเนตรเห็น ป่ าไม้ สาละทีA ผลิดอกบานนั8น จึงทรงเสด็จเข้ า
ไปยังอุทยานลุมพินีวัน
เมืA อทรงประสงค์จะจับกิA งไม้ ซึAงมีดอกประดับสวยงามนั8 น กิA งงไม้ ไม้ กโ็ น้ มลงมาถึงฝ่ าพระ
หัตถ์พระนางสิริมหามายาประทับยืนเหนีA ยวกิA งต้ นสาละนั8น ลมกรรมชวาตก็ ลมกรรมชวาตก็เกิดหวัAนไหว พระ
๙๓

นางได้ ยืนประสูติพระโอรสโดยอาการอย่างนี8 พระโพธิสตั ว์ประสูติออกจากครรภ์มารดา ทรง


สะอาดผ่องใส รุ่งเรืองเป็ นประกาย ทรงแกล้ วกล้ าปราศจากความกลัว มี สติ สัมปชัญญะ ลืม
พระเนตร ก้ าวลงด้ วยพระบาททั8งสอง ทรงเหลียวดูทAวั ทั8ง๑๐ทิศ ไม่ทรงเห็นใครทีA เสมอเหมือน
พระองค์ จึงทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ เสด็จดําเนินไป๗ก้ าว แล้ วประทับยืนอยู่
จากนั8นจึงทรงบันลือสีหนาทเปล่งอาสภิวาจาว่า “เราคือผู้เลิศของโลก เราคือผู้เจริญ
สุดของโลก เราคือผู้ประเสริฐสุดของโลกชาติน8 ีเป็ นชาติสดุ ท้ ายบัดนี8ภพใหม่ไม่มีอกี ” การ
ประสูตรของพระโพธิสัตว์ในครั8งนั8นเปรียบเสมือนกับการก่อตัวของสายลมอันบริสทุ ธิJ ทีA จะพัด
พานําเอาความ มืดมน อันธกาล ทางความคิด ทีA ปกคลุมดินแดนทัAวชมพูทวีปให้ ปลาสนาการไป
หลังจากทีA พระองค์ทรงมีพระประสูติกาลแล้ ว ชาวเมืองได้ พาพระโพธิสตั ว์กลับไปยัง
นครกบิลพัสดุ์ เหล่าเทวดาในสวรรค์ช8ันดาวดึงส์ต่างร่าเริงยินดีว่า “พระกุมารนี1 จะประทับนัง. ที.
ใต้ตน้ ไม้สําหรับตรัสรูแ้ ล้วจักเป็ นพระพุทธเจ้า จักแสดงพระธรรมจักร พวกเราจักได้เห็น
พุทธลีลาอันหาที.สุดมิได้และจักได้ฟังธรรมของพระองค์” กาฬเทวิลดาบสทีA พักผ่อนอยู่บน
สวรรค์ช8ันดาวดึงส์ ได้ ทราบความดังนั8นก็ลงจากเทวโลก เข้ าไปยังราชนิเวศน์เพืA อได้ เฝ้ าพระ
กุมาร เมืA อได้ เห็นพระกุมารก็ประนมอัญชลีไหว้ แก่พระโพธิสตั ว์
พระราชาทอดพระเนตรเห็นความอัศจรรย์น8ันจึงไหว้ บุตรของตน ดาบสผู้ทรงอภิญญา
ก็ใครครวญดูลักษณะของพระกุมาร ก็ทราบว่าพระองค์จักได้ เป็ นพระพุทธเจ้ าอย่างไม่ต้องสงสัย
จึงได้ เกิดความยินดี จากนั8นเมืA อตรวจดูต่อไปอีกก็พบว่าตนเองจะไม่มีโอกาสได้ เห็น
พระพุทธเจ้ า ได้ ถงึ ความเสืA อมใหญ่ จึงได้ ร้องไห้ แล้ วได้ ลาพระราชากลับไป ดาบสใครครวญดู
ว่า ในหมู่ญาติเราใครบ้ างจะได้ เห็นพระพุทธเจ้ า ก็พบว่านาลกผู้เป็ นหลานจะได้ พบ จึงไปยัง
เรือนน้ องสาวเข้ าไปหานาลกผู้หลาน กล่าวบอกว่า “พระราชโอรสประสูติแล้วในตระกูลของพระ
เจ้าสุทโธทน พระองค์เป็ นหน่อพุทธางกูล จะได้เป็ นพระพุทธเจ้า เมื-อล่วงไป๓๕ปี เจ้าจะได้เห็น
พระองค์ เจ้าจงบวชในวันนีทีเดียว”
นาลกผู้เกิดในตระกูลทีA มที รัพย์มากถึง๘๗โกฏิ คิดว่าลุงคงจะไม่ชวนเราในสิA งไม่มี
ประโยชน์ จึงให้ คนไปซื8อผ้ ากาสาวะ แลบาตรมา ตนเองปลงผมและหนวด ห่มผ้ ากาสาวะแล้ ว
ประณมอัญชลีบ่ายหน้ าไปทางพระโพธิสตั ว์ กล่าวว่า “บุคคลใดเป็ นผูส้ ูงสุดในโลก ข้าพเจ้า
บวชอุทิศบุคคลนั1น” ท่านาลกได้ บวชรอพระพุทธเจ้ า ก่อนทีA พระองค์จะตรัสรู้ และเมืA อพระองค์
ได้ ตรัสรู้กไ็ ด้ เข้ าเฝ้ า ทูลขอให้ พระพุทธองค์แสดงนาลกปฏิปทา แล้ วข้ าป่ า บําเพ็ญเพียรอย่าง
อุกฤษณ์ จนบรรลุอรหันต์ท่านรักษาอายุได้ ๗เดือน เป็ นผู้ยืนพิงภูเขา ลูกหนึA งแล้ วปรินิพพาน
๙๔

นาลกปฏิปทา (ปฏิปทาของมุนีท. ีบุคคลทําได้ยากให้เกิดความยินดีได้ยาก)


๑. พึงกระทําการด่าและการไหว้ ในบ้ านให้ เสมอกัน พึงรักษาความประทุษร้ ายแห่งใจ
พึงเป็ นผู้สงบไม่มีความเย่อหยิA งเป็ นอารมณ์ อารมณ์ทสีA ูงตําA มีอปุ มาด้ วยเปลวไฟในป่ า ย่อมมาสู่
ครองจักษุเป็ นต้ น เหล่านารีย่อมประเล้ าประโลมมุนี นารีเหล่านั8น อย่าพึงประเล้ าประโลมท่าน
มุนีละกามทั8งหลายทั8งทีA ดแี ล้ ว งดเว้ นจากเมถุนธรรมไม่ยินดียินร้ าย ในสัตว์ท8งั หลายผู้สะดุ้งและ
มัAนคง พึงกระทําตนให้ เป็ นอุปมาว่า เราฉันใด สัตว์เหล่านี8กฉ็ ันนั8น สัตว์เหล่านี8 ฉันใด เราก็ฉัน
นั8น ดังนี8แล้ ว ไม่พึงฆ่าเอง ไม่พึงใช้ ผ้ ูอืAนให้ ฆ่า มุนีละความปรารถนาและความโลภในปั จจัยทีA
ปุถุชนข้ องอยู่แล้ ว เป็ นผู้มีจักษุ
๒. พึงปฏิบัติปฏิปทาของมุนีน8 ีพึงข้ ามความทะเยอทะยานในปั จจัย ซึA งเป็ นเหตุแห่ง
มิจฉาชีพทีA หมายรู้กนั ว่านรกนี8เสีย พึงเป็ นผู้มีท้องพร่อง(ไม่เห็นแก่ท้อง) มีอาหารพอประมาณ
มีความปรารถนาน้ อย ไม่มีความโลภเป็ นผู้หายหิว ไม่มีความปรารถนาด้ วยความปรารถนาดับ
ความเร่าร้ อนได้ แล้ วทุกเมืA อ มุนีน8ันเทีA ยวไปรับบิณฑบาตแล้ ว พึงไปยังชายป่ า เข้ าไปนัAงอยู่ทโีA คน
ต้ นไม้
๓. พึงเป็ นผู้ขวนขวายในฌาน เป็ นนักปราชญ์ ยินดีแล้ วในป่ า พึงทําจิตให้ ยินดียิAง เพ่ง
ฌานอยู่ทโีA คนต้ นไม้ ครั8นเมืA อล่วงราตรีไปแล้ ว พึงเข้ าไปสู่บ้าน ไม่ยินดีโภชนะทีA ยังไม่ได้ และ
โภชนะทีA เขานําไปแต่บ้าน ไปสู่บ้านแล้ ว ไม่พึงเทีA ยวไปในสกุลโดยรีบร้ อน ตัดถ้ อยคําเสียแล้ ว
ไม่พึงกล่าววาจาเกีA ยวด้ วยการแสวงหาของกิน มุนีน8ันคิดว่า เราได้ สิAงใด สิA งนี8ยังประโยชน์ให้
สําเร็จ เราไม่ได้ กเ็ ป็ นความดี ดังนี8แล้ ว เป็ นผู้คงทีA เพราะการได้ และไม่ได้ ท8งั สองอย่างนั8นแล
ย่อมก้ าวล่วงทุกข์เสียได้ เปรียบเหมือนบุรุษแสวงหาผลไม้ เข้ าไปยังต้ นไม้ แล้ ว แม้ จะได้ แม้
ไม่ได้ ก็ไม่ยินดี ไม่เสียใจวางจิตเป็ นกลางกลับไป ฉะนั8น
มุนีมีบาตรในมือเทีA ยวไปอยู่ไม่เป็ นใบ้ ก็สมมุติว่าเป็ นใบ้ ไม่พึงหมิA นทานว่าน้ อย ไม่พึง
ดูแคลนบุคคลผู้ให้ ก็ปฏิปทาสูงตําA พระพุทธสมณะประกาศแล้ ว มุนีท8งั หลายย่อมไม่ไปสู่
นิพพานถึงสองครั8น นิพพานนี8ควรถูกต้ องครั8งเดียวเท่านั8น ก็ภิกษุผ้ ูไม่มตี ัณหา ตัดกระแสร์
กิเลสได้ แล้ ว ละกิจน้ อยใหญ่ได้ เด็ดขาดแล้ ว ย่อมไม่มีความเร่าร้ อน
๔. พึงเป็ นผู้มีคมมีดโกนเป็ นเครืA องเปรียบ กดเพดานไว้ ด้วยลิ8นแล้ ว พึงเป็ นผู้
สํารวมทีA ท้อง มีจติ ไม่หย่อหย่อน และไม่พึงคิดมาก เป็ นผู้ไม่มีกลิA นดิบ อันตัณหาและทิฐิไม่
อาศัยแล้ วมีพรหมจรรย์เป็ นทีA ไปในเบื8องหน้ า พึงศึกษาเพืA อการนัAงผู้เดียวและเพืA อประกอบ
ภาวนาทีA สมณะพึงอบรมท่านผู้เดียวแลจักอภิรมย์ความเป็ นมุนีทเีA ราบอกแล้ วโดยส่วนเดียว ที
นั8นจงประกาศไปตลอดทั8งสิบทิศ ท่านได้ ฟังเสียงสรรเสริญ ของนักปราชญ์ท8งั หลายผู้เพ่งฌาน
ผู้สละกามแล้ ว แต่น8ันพึงกระทําหิริและศรัทธาให้ ยิAงขึ8นไป เมืA อเป็ นเช่นนี8 ก็เป็ นสาวกของเรา
๙๕

ได้ ท่านจะรู้แจ่มแจ้ งซึA งคําทีA เรากล่าวนั8นได้ ด้ วยการแสดงแม่นาํ8 ทั8งหลาย ทั8งในเหมืองและ


หนอง แม่นาํ8 ห้ วยย่อมไหลดังโดยรอบ แม่นาํ8 ใหญ่ย่อมไหลนิA ง สิA งใดพร่องสิA งนั8นย่อมดัง สิA งใด
เต็ม สิA งนั8นสงบ คนพาลเปรียบด้ วยหม้ อนํา8 ทีA มีนาํ8 ครึA งหนึA ง บัณฑิตเปรียบเหมือนห้ วงนํา8 ทีA เต็ม
สมณะกล่าวถ้ อยคําใดมากทีA เข้ าถึงประโยชน์ประกอบด้ วยประโยชน์ รู้ถ้อยคํานั8นอยู่ ย่อมแสดง
ธรรม สมณะผู้น8ันรู้อยู่ ย่อมกล่าวถ้ อยคํามาก สมณะใดรู้อยู่ สํารวมตน สมณะนั8นรู้เหตุทไีA ม่นาํ
ประโยชน์เกื8อกูล และความสุขมาให้ แก่สตั ว์ท8งั หลาย ย่อมไม่กล่าวมาก สมณะผู้น8ันเป็ นมุนี ย่อม
ควรซึA งปฏิปทาของมุนี สมณะนั8นได้ ถึงธรรมเครืA องเป็ นมุนีแล้ ว ฯ.”
เฉลิมพระนาม ได้รบั ทํานาย
ในวันทีA ๕หลังจากพระโพธิสตั ว์มีประสูติกาล พวกญาติท8งั หลายก็ได้ จดั งาน เฉลิมพระ
นามแด่พระกุมารว่าสิตธัตถะ โดยให้ พราหมณ์ ๑๐๘ คนตรวจดูพระลักษณะ พระมหาสัตว์ทรง
เพียบพร้ อมด้ วยมหาปุริสลักษณะ๓๒ประการ พราหมณ์ท8งั หลายได้ ทาํ นายว่า “ผู้ประกอบด้ วย
ลักษณะเหล่านี8 ถ้ าอยู่ครองเรือนจักได้ เป็ นพระเจ้ าจักรพรรดิJ ถ้ าบวชจะได้ เป็ นพระพุทธเจ้ า”
แต่มีพราหมณ์คนเดียวทีA ทาํ นายว่า พระองค์จะได้ เป็ นพระพุทธเจ้ าเท่านั8น คือโกณฑัญญ
พราหมณ์
มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย มหาปุริสลักษณะ๓๒ ประการ เหล่านี8แล ทีA มหาบุรุษประกอบแล้ ว
ย่อมเป็ นเหตุให้ มีคติเป็ นสองเท่านั8น ไม่เป็ นอย่างอืA น คือถ้ าครองเรือนจะได้ เป็ นพระเจ้ า
จักรพรรดิJ อนึA งถ้ าพระมหาบุรษุ นั8นออกจากเรือนทรงผนวชเป็ นบรรพชิต จะเป็ นพระอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้ า ผู้กาํ จัด กิเลศได้ แล้ วในโลก

ลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ
๑. มีพระบาทประดิษฐานเป็ นอันดี
๒. ณ พื8นภายใต้ ฝ่าพระบาท ๒ ของพระมหาบุรุษ มีจักรเกิดขึ8น มีซีAกํา ข้ างละพันมีกง มีดุม
บริบูรณ์ด้วยอาการทั8งปวง
๓. มีส้นพระบาทยาวฯ
๔. มีพระองคุลียาวฯ
๕. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่ าพระบาทอ่อนนุ่มฯ
๖. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่ าพระบาทมีลายดุจตาข่ายฯ
๙๖

๗. มีพระบาทเหมือนสังข์ควําA ฯ
๘. มีพระชงฆ์ รี เรียว ดุจแข้ งเนื8อทรายฯ
๙. เสด็จสถิตยืนอยู่มิได้ น้อมลง เอาฝ่ าพระหัตถ์ท8งั สองลูบคลําได้ ถงึ พระชาณุท8งั สองฯ
๑๐. มีพระคุยหะเร้ นอยู่ในฝักฯ
๑๑. มีพระฉวีวรรณดุจวรรณะแห่งทองคํา คือ มีพระตจะ ประดุจหุ้ม ด้ วยทองฯ
๑๒. มีพระฉวีละเอียด เพราะพระฉวีละเอียด ธุลีละอองจึงมิตดิ อยู่ใน พระกายได้ ฯ
๑๓. มีพระโลมชาติเส้ นหนึA งๆ เกิดในขุมละเส้ นๆฯมีพระโลมชาติมีปลายขึ8นช้ อยขึ8นข้ างบน
๑๔. มีสีเขียว มีสเี หมือนดอกอัญชัญ ขดเป็ นกุณฑล ทักษิณาวัฏ ฯ
๑๕. มีพระกายตรงเหมือนกายพรหม ฯ
๑๖. มีพระมังสะเต็มในทีA ๗ สถาน ฯ
๑๗. มีกึAงพระกายท่อนบนเหมือนกึA งกายท่อนหน้ าของสีหะ ฯ
๑๘. มีระหว่างพระอังสะเต็ม ฯ
๑๙. มีพระวรกายเป็ นปริมณฑลดุจต้ นไทร วาของพระองค์เท่ากับพระกายของพระองค์
พระกายของพระองค์กเ็ ท่ากับ วาของพระองค์ ฯ
๒๐. มีลาํ พระศอกลมเท่ากัน ฯ
๒๑. มีปลายเส้ นประสาทสําหรับนํารสอาหารอันดีฯ
๒๒. มีพระหนุดุจคางราชสีห์ ฯ
๒๓. มีพระทนต์ ๔๐ ซีA ฯ
๒๔. มีพระทนต์เรียบเสมอกัน ฯ
๒๕. มีพระทนต์ไม่ห่าง ฯ
๒๖. มีพระทาฐะขาวงาม ฯ
๒๗. มีพระชิวหาใหญ่ ฯ
๒๘. มีพระสุรเสียงดุจเสียงแห่งพรหม ตรัสมีสาํ เนียงดังนกกรวิก ฯ
๒๙. มีพระเนตรดําสนิท [ดําคม] ฯ
๓๐. มีดวงพระเนตรดุจตาแห่งโค ฯ
๓๑. มีพระอุณณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างพระขนง มีสขี าวอ่อน ควร เปรียบด้ วยนุ่น ฯ
๓๒. มีพระเศียรดุจประดับด้ วยกรอบพระพักตร์ ฯ
๙๗

เหตุให้ได้มหาปุริสลักษณะ ๓๒ประการ
เป็ นทีA แน่นอนว่าลักษณะอันดีงามทั8งหลายนั8นย่อมมาด้ วยบุญ พระพุทธเจ้ าทรงทําบุญ
เช่นไรไว้ จึงได้ มีพระรูปโฉมเช่นนี8 ผู้ทมีA ลี ักษณะเช่นนี8จะได้ ประสบกับผลอย่างไร และเราสามารถ
จะนําไปใช้ เป็ นแนวทางในการดําเนินชีวิตได้ หรือไม่นับเป็ นสิA งทีA น่าสนใจมิใช่น้อย
๑ เหตุให้มีพระบาทราบเรียบเสมอกัน
พระมหาบุรุษยินดีในวจีสจั ในกุศลกรรมบถ ๑๐ บําพ็ญทาน มีการฝึ กตนสํารวมด้วย
ศีล เป็ นผูส้ ะอาดทางกาย วาจา ใจ ดํารงอยู่ใน ศีล รักษาอุโบสถ ปฏิบตั ิดีในมารดา ในบิดา
สมณะพราหมณ์ เป็ นผูเ้ คารพต่อผูใ้ หญ่ในสกุลไม่เบียดเบียนเหล่าสัตว์ สมาทานความ
ประพฤตินอี. ย่างมัน คง ทรงประพฤติอย่างรอบคอบ เพราะกรรมนั8นพระมหาบุรษุ จึงหลีกไปสู่
ไตรทิพย์ เสวย ความสุขและสมบัตเิ ป็ นทีA เพลิดเพลินยินดี จุติจากไตรทิพย์แล้ ว เวียนมาในโลก
นี8เหยียบปฐพีด้วยฝ่ าพระบาทอันเรียบ พวกพราหมณ์ผ้ ูทาํ นายพระลักษณะมาประชุมกันแล้ ว
ทํานายว่า พระราชกุมารนี8มีฝ่าพระบาทประดิษฐานเรียบ เป็ นคฤหัสถ์หรือ บรรพชิต ก็ไม่มีใคร
ข่มได้ พระลักษณะนั8นย่อมเป็ นนิมติ ส่อง เนื8อความนั8น พระราชกุมารนี8เมืA ออยู่ครองฆราวาส ไม่
มีใคร สามารถข่มได้ มีแต่ครอบงําพวกปรปั กษ์เหล่าศัตรูมิอาจยําA ยีได้ ใครๆ ทีA เป็ นมนุษย์ใน
โลกนี8หาข่มได้ ไม่ เพราะผลแห่งกุศล กรรมนั8น ถ้ าพระราชกุมารเช่นนั8น เข้ าถึงบรรพชา ทรง
ยินดี ยิA งด้ วยความพอใจในเนกขัมมะ จะมีพระปรีชาเห็นแจ่มแจ้ ง เป็ นอัครบุคคล ไม่ถงึ ความ
เป็ นผู้อนั ใครๆ ข่มได้ ย่อมเป็ นผู้ สูงสุดกว่านรชน อันนี8แลเป็ นธรรมดาของพระกุมารนั8น ฯ
๒ เหตุแห่งพื1 นใต้ฝ่าพระบาทมีจกั ร
พระมหาบุรุษเคยเป็ นมนุษย์ในชาติก่อนๆ ผูน้ ําความสุขมา ให้แก่ชนมาก บรรเทา
ภัยคือ ความหวาดกลัวและความหวาดเสียว ขวนขวายในความคุม้ ครองรักษาป้องกัน
เพราะกรรมนั8นพระมหาบุรษุ จึงหลีกไปสู่ไตรทิพย์ เสวยความสุข และสมบัติเป็ นทีA เพลิดเพลิน
ยินดี ครั8นจุติจากไตรทิพย์แล้ ว เวียนมาในโลกนี8ย่อมได้ ลายจักรทั8งหลาย มีซีAกําพันหนึA ง มีกง มี
ดุม โดยรอบ ในฝ่ าพระบาททั8ง๒พวกพราหมณ์ ผู้ทาํ นายลักษณะมาประชุมกันแล้ วเห็นพระราช
กุมารมีลักษณะอัน เกิดด้ วยบุญเป็ นร้ อยๆ แล้ วทํานายว่า พระราชกุมารนี8จักมี บริวาร ยําA ยีเสีย
ซึA งศัตรู เพราะจักรทั8งหลายมีกงโดยรอบอย่าง นั8น ถ้ าพระราชกุมารเช่นนั8นไม่เข้ าถึงบรรพชา จะ
ยังจักรให้ เป็ นไป และปกครองแผ่นดิน มีกษัตริย์ทมีีA ยศมากเป็ นอนุยนต์ ติดตามห้ อมล้ อม
พระองค์ ถ้ าและพระราชกุมารเช่นนั8นเข้ าถึง บรรพชา เป็ นผู้ยินดียิAงด้ วยความพอใจในเนกขัม
มะ จะมีพระปรีชาเห็นแจ่มแจ้ ง พวกเทวดา มนุษย์ อสูร ท้าวสักกะยักษ์ คนธรรพ์ นาค วิหค
๙๘

และสัตว์ ๔ เท้า ทีA มียศมากจะ ห้ อมล้ อมพระองค์ผ้ ไู ม่มีใครยิA งกว่า อันเทวดาและมนุษย์บูชา


แล้ ว ฯ
๓. ส้นพระบาทยาว
๔. มีนิ1วพระหัตถ์ และนิ1 วพระบาทยาว
๕. มีพระกายตรงดังว่ากายแห่งพรหม (ลักษณะทีA ๑๕)
พระมหาบุรุษทรงทราบว่าการฆ่าสัตว์ให้ตายเป็ นภัยแก่ตนได้เป็ นผูเ้ ว้นขาดจากการ
ฆ่าสัตว์ สิ8นชีวิตแล้ วได้ ไปแล้ วสู่สวรรค์ เพราะกรรมทีA ทรงประพฤติดแี ล้ วนั8น เสวยวิบากอันเป็ น
ผลแห่งกรรมทีA ทรงทําดีแล้ วจุติ[จากสวรรค์] แล้ วเวียนมาในโลกนี8 ย่อมได้ เฉพาะซึA งลักษณะ ๓
ในโลกนี8 คือ มีส้นพระบาทยาวงาม๑ พระกายเกิดดีตรงสวยงาม ประหนึA งว่ากายพรหม มีพระ
พาหางาม มีความเป็ นหนุ่มทรวดทรงสวยเป็ นสุชาต ๑ มีน8 ิวพระหัตถ์และนิ8วพระบาทยาวอ่อน
ดังปุยฝ้ าย ๑ พระชนกเป็ นต้ นทรงบํารุงพระราชกุมาร เพืA อให้ มีพระชนมายุเป็ นไปนาน
เพราะพระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยปุริสลักษณะ๓ประการถ้ าพระราชกุมารเป็ นคฤหัสถ์ ก็จะให้ พระ
ชนม์ชีพเป็ นไปนาน ถ้ าทรงผนวชก็จะให้ พระชนม์ชีพเป็ นไปนานกว่านั8นด้ วยความชํานาญใน
อิทธิภาวนา พระลักษณะนั8นเป็ นนิมิต เพืA อความเป็ นผู้มีชนมายุยืนด้ วยประการดังนี8 ฯ
๖. มีมงั สะอูมในที. ๗ สถาน (ลักษณะทีA ๑๖)
คือทีA หลังพระหัตถ์ท8งั ๒ ทีA หลังพระบาททั8ง ๒ ทีA บนพระอังสาทั8ง ๒ ทีA ลาํ พระศอ

พระมหาบุรุษอุดม เป็ นผูใ้ ห้ของที-ควรเคียว และของที-ควรบริโภค และนํา ที-ควรซดควรดื-ม มีรส
อันเลิศ เพราะกรรมทีA ทรงประพฤติดีแล้ วนั8นพระมหาบุรุษนั8น จึงบันเทิงใจอยู่นานใน
สวนนันทวัน มาในโลกนี8ย่อมได้ มังสะอูมเจ็ดแห่ง และได้ พ8 ืนพระหัตถ์และพระบาทอ่อนนุ่ม
บัณฑิตผู้ฉลาดในนิมิตแห่งลักษณะ กล่าวไว้ ว่าพระมหาบุรุษผู้เป็ นคฤหัสถ์ เป็ นผู้ได้ ของควร
เคี8ยวและโภชนะอันมีรส อร่อย ถึงพระมหาบุรษุ ทรงผนวช ก็ได้ ของควรเคี8ยว ของควรบริโภค
นั8นเหมือนกัน พระองค์เป็ นผู้ได้ ของควรเคี8ยวและโภชนะมีรสอันอุดม บัณฑิตทั8งหลายกล่าว
แล้ วว่าพระองค์เป็ นผู้ตัดกิเลสเป็ นเครืA องผูกของคฤหัสถ์ท8งั ปวงเสีย ฯ

๗. พระหัตถ์และ พระบาทมีพื1นอ่อนนุ่ม (ลักษณะทีA ๕)


๘. พระหัตถ์และพระบาทมีลายดังว่าร่างข่าย (ลักษณะทีA ๖)
พระมหาบุรุษทําแล้ว ประพฤติแล้วซึ-ง๑ การให้ ๒ ความเป็ นผูป้ ระพฤติให้เป็ น
ประโยชน์๓ความเป็ นผูก้ ล่าวคําเป็ นที-รกั ๔ ความเป็ นผูม้ ีพระฉันทะเสมอกัน ให้เป็ นความ
๙๙

สงเคราะห์อย่างดีแก่ชนเป็ นอันมาก ย่อมไปสู่สวรรค์ด้วยคุณอันตนมิได้ ดูหมิA น จุติ[จากสวรรค์]


แล้ วเวียนมาในโลกนี8 เป็ นพระกุมารยังหนุ่มแน่นงดงามย่อมได้ เฉพาะซึA งความเป็ นผู้มีฝ่าพระ
หัตถ์และฝ่ าพระบาทอ่อนนุ่ม ด้ วยซึA งความเป็ นผู้มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่ าพระบาทมีลายเป็ นร่างข่าย
งามยิA ง และมีส่วนสวยน่าชมด้ วย พระองค์มาสู่แผ่นดินนี8 มีบริวารชนอันพระองค์พึงตรวจตรา
และสงเคราะห์ดี ตรัสถ้ อยคําเป็ นทีA น่ารักแสวงหาผลประโยชน์เกื8อกูลและความสุขให้ ทรง
ประพฤติความดีมากหลายทีA พระองค์โปรดยิA ง ถ้ าพระองค์ทรงละความบริโภคกามารมณ์ท8งั ปวง
เป็ นพระชินะตรัสธรรมกถาแก่ประชุมชน ประชุมชนก็จะสนองคําของพระองค์ เลืA อมใสยิA งนัก
ครั8งฟังธรรมแล้ ว ย่อมจะพากันประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ฯ
๙. มีพระบาทดุจสังข์ควํ.า ๑ (ลักษณะทีA ๗)
๑๐. มีพระโลมชาติลว้ นมีปลายช้อนขึ1 นข้างบนทุกๆ เส้น ๑ (ลักษณะทีA ๑๔)
พระมหาบุรุษพิจารณาก่อน จึงกล่าวคําอันประกอบด้วยอรรถและธรรมกะประชาชน
เป็ นอันมาก เป็ นผูน้ ําประโยชน์และความสุขมาให้แก่สตั ว์ทงั หลาย เป็ นผูไ้ ม่ตระหนี-ได้ให้ธรรม
ทานแล้วพระองค์ย่อมไปสู่สุคติ บันเทิงอยู่ในสุคติน8ัน เพราะกรรมอันพระองค์ประพฤติดแี ล้ ว
มาในโลกนี8 ย่อมได้ ลักษณะ ๒ ประการ เพืA อความเป็ นผู้มีความสุขอันอุดม พระมหาบุรุษนั8น มี
พระโลมชาติมปี ลายช้ อนขึ8นข้ างบนและมีพระบาทดํารงอยู่แล้ วเป็ นอันดี อันพระมังสะและโลหิต
ปิ ดบัง อันหนังหุ้มห่อแล้ ว และมีพระเพลาเบื8องบนงาม พระมหาบุรุษเช่นนั8น ถ้ าอยู่ครองเรือน
จะถึงความเป็ นผู้เลิศกว่าพวกทีA บริโภคกาม ไม่มใี ครๆ ยิA งกว่าพระองค์ทรงครอบงําชมพูทวีป
เสียสิ8น หากพระองค์ทรงผนวช ก็จะทรงพระวิริยะอย่าง ประเสริฐ ถึงความเป็ นผู้เลิศกว่าสรรพ
สัตว์ ไม่มีใครๆ ยิA งกว่า พระองค์ได้ ทรงครอบงําโลกทั8งปวงอยู่ ฯ
๑๑ มีพระชงฆ์เรียวดังแข้งแห่ งเนื1 อทราย (ลักษณะทีA ๘)
พระมหาบุรษุ ปรารถนาอยู่ว่า ทําไฉน พวกศึกษาเหล่านี8จะรู้แจ่มแจ้ งเร็วในศิลปะ ใน
วิชชา ในจรณะ และในกรรม และด่วนบอกศิลปะทีA ไม่เป็ นไปเพืA อจะเบียดเบียนแก่ใครๆ ด้ วย
ความตั8งใจว่า ผู้ศึกษาจะไม่ลาํ บาก นานครั8นทํากุศลกรรมมีความสุขเป็ นผลนั8นแล้ ว ย่อมได้ พระ
ชงฆ์ท8งั คู่เป็ นทีA ชอบใจ มีทรวดทรงดี กลมกล่อม เป็ นสุชาต เรียวไปโดยลําดับมีโลมชาติมปี ลาย
ช้ อยขึ8นข้ างบน มีหนังอันละเอียดหุ้มห่อแล้ ว บัณฑิตทั8งหลายชมพระมหาบุรุษนั8นว่า พระองค์มี
พระชงฆ์ดังว่าแข้ งแห่งเนื8อทราย และชมพระลักษณะ คือโลมชาติเส้ นหนึA งๆ อันประกอบด้ วย
สมบัตทิ ใีA ครๆ ปรารถนา รวมเข้ าไว้ ในทีA น8 ี พระมหาบุรุษเมืA อยังไม่ทรงผนวช ก็ได้ ลักษณะนั8น ใน
ทีA น8 ี เร็วพลัน ถ้ าพระมหาบุรุษเช่นนั8นเข้ าถึงบรรพชา ทรงยินดียิAงแล้ วด้ วยความพอพระทัยใน
เนกขัมมะมีพระปรีชาเห็นแจ่มแจ้ งทรงพระวิริยะยอดเยีA ยม จะทรงได้ พระลักษณะเป็ นอนุโลม
แก่พระลักษณะทีA สมควรเร็วพลัน ฯ
๑๐๐

๑๒. มีพระฉวีสุขุมละเอียด ธุลีละอองมิติดพระวรกาย


พระมหาบุรุษ เคยเป็ นมนุษย์ในชาติก่อนๆ ประสงค์จะรูท้ ว-ั ถึง เข้าหาบรรพชิต
สอบถามตัง ใจฟังด้วยดี มุ่งความเจริญอยู่ภายในไตร่ตรองกถาอันประกอบด้วยอรรถมาอุบัติ
เป็ นมนุษย์ มีพระฉวีละเอียด เพราะกรรมอันดําเนินไปเพืA อความได้ เฉพาะซึA งปัญญา บัณฑิตผู้
ฉลาดในลักษณะและนิมติ ทํานายว่า พระราชกุมารเช่นนี8จะทรงหยัAงทราบอรรถอันสุขุมแล้ วเห็น
อยู่ ถ้ าไม่เข้ าถึงบรรพชาก็จะยังจักรให้ เป็ นไปปกครองแผ่นดินในการสัAงสอนสิA งทีA เป็ นประโยชน์
และในการกําหนด ไม่มีใครประเสริฐหรือเสมอเท่าพระองค์ ถ้ าพระราชกุมารเช่นนั8น เข้ าถึง
บรรพชายินดียิAงด้ วยความพอพระทัยในเนกขัมมะ จะมีพระปรีชาเห็นแจ่มแจ้ ง ทรงได้ พระปรีชา
อันพิเศษอันยอดเยีA ยมบรรลุพระโพธิญาณทรงพระปรีชาอันประเสริฐกว้ างขวางดังแผ่นดิน
๑๓. มีวรรณะดังทองคํา (ลักษณะทีA ๑๑)
พระมหาบุรุษอธิษฐานความเป็ นผูไ้ ม่โกรธไว้ และได้ให้ทานคือผ้าเป็ นอันมาก ล้วนแต่
มีเนือละเอี ยดและมีสีดี เป็ นผูด้ าํ รงอยู่ในภพก่อนๆทรงเสียสละเหมือนฝนตกทัว- แผ่นดิน ครั8น
ทรงทํากุศลกรรมนั8นแล้ วจุติจากมนุษยโลกเข้ าถึงเทวโลก เสวยวิบาก อันเป็ นผลกรรมทีA ทาํ ไว้ ดีมี
พระฉวีเปรียบด้ วยทอง ดุจพระอินทร์ผ้ ูประเสริฐกว่าสุรเทวดา ย่อมลบล้ นอยู่ในเทวโลกถ้ าเสด็จ
ครองเรือนยังไม่ประสงค์ทจีA ะทรงผนวช ก็จะทรงปกครองแผ่นดินใหญ่ ทรงได้ เฉพาะซึA งรัตนทั8ง
๗ และความเป็ นผู้มีพระฉวีสะอาดละเอียดงามลบล้ นประชุมชนในโลกนี8 ถ้ าเข้ าถึงบรรพชา ก็จะ
ทรงได้ ซึAงผ้ าสําหรับทรงครอง เป็ นผ้ าเครืA องนุ่งห่มอย่างดีและเสวยผลกรรมทีA เป็ นประโยชน์ดีทีA
ทรงทําไว้ ในภพก่อน ความหมดสิ8นแห่งผลกรรมทีA พระองค์ทาํ แล้ ว หามีไม่
๑๔. มีพระคุยหะเร้นอยูใ่ นฝัก (ลักษณะทีA ๑๐)
พระมหาบุรุษเป็ นมนุษย์ในชาติก่อนๆ ได้ทรงนําพวกญาติมิตรสหายที-สญ ู หายพลัด
พรากไปนานให้กลับมาพบกัน ครัน ทําให้เขาพร้อมเพรียงกันแล้วก็ช- ืนชม เพราะกุศลกรรมนั8น
พระองค์จึงหลีกไปสู่ไตรทิพย์ เสวยความสุขและสมบัตเิ ป็ นทีA เพลิดเพลินยินดี จุติจากเทวโลก
แล้ วเวียนมาเกิดในโลกนี8 ย่อมได้ องคาพยพทีA ปิดบังด้ วยผ้ าตั8งอยู่ในฝัก เมืA อทรงเป็ นคฤหัสถ์
พระมหาบุรษุ เช่นนั8นมีพระโอรสมาก พระโอรสของพระองค์มากกว่าพัน เป็ นผู้กล้ าหาญ เป็ น
วีรบุรษุ สามารถให้ ศัตรูพ่ายไป ให้ ปีติเกิดและทูลปิ ยพจน์แก่พระองค์ เมืA อพระมหาบุรษุ ทรง
ผนวชบําเพ็ญพรต มีพระโอรสมากกว่านั8นล้ วนแต่ดาํ เนินตามพระพุทธพจน์พระลักษณะนั8น
ย่อมเป็ นนิมติ ส่องความนั8นสําหรับพระมหาบุรุษทีA เป็ นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ฯ
๑๕. มีพระกายเป็ นดังปริมณฑลแห่งต้นไทร (ลักษณะทีA ๑๙)
๑๖. เมื.อทรงยืนอยู่ไม่ตอ้ งทรงน้อมพระกายลง ย่อมลูบคลําพระชาณุท1 งั ๒
๑๐๑

ด้วยฝ่ ายพระหัตถ์ท1 งั ๒ ได้ (ลักษณะทีA ๙)


พระมหาบุรุษ เมื-อตรวจดูมหาชนที-ควรสงเคราะห์ พิจารณาแล้วสอดส่องแล้ว คิดแล้ว
ทราบว่า บุคคลนีควรแก่การสงเคราะห์น ี แล้วทําการสงเคราะห์ตามที-เหมาะในบุคคลนัน ๆ ใน
กาลก่อน ด้ วยเศษกรรมทีA ประพฤติมาดีแล้ ว มหาบุรษุ ทรงยืนตรงไม่ต้องน้ อมพระกายลง ก็
ถูกต้ องพระชาณุท8งั ๒ ด้ วยพระกรทั8ง ๒ ได้ และมีพระกายเป็ นปริมณฑลดังว่า ต้ นไทรทีA งอก
งามบนแผ่นดิน มนุษย์ท8งั หลาย ทีA มีปัญญาอันละเอียด รู้จักลักษณะเป็ นนิมิตมากอย่างทํานายว่า
พระราชโอรสเมืA อยังทรงพระเยาว์ ย่อมได้ เฉพาะซึA งลักษณะอันคู่ควรแก่คฤหัสถ์มากอย่าง
(รูปร่างดี) และกามโภคะอันสมควรแก่คฤหัสถ์เป็ นอันมาก(รวย) ย่อมมีแก่พระราชกุมารผู้เป็ น
ใหญ่ในแผ่นดิน ในฆราวาสวิสยั นี8 ถ้ าพระราชกุมารนี8ทรงละกามโภคะทั8งปวง จะทรงได้ อนุตตร
ธรรมอันเป็ นทรัพย์อย่างประเสริฐสูงสุด ฯ
๑๗. มีส่วนพระกายข้างหน้าดังว่ากึ.งกายข้างหน้าแห่งราชสีห์
๑๘. มีระหว่างพระปฤษฎางค์เต็มดี
๑๙. มีลําพระศอกลมเสมอกัน (ลักษณะทีA ๒๐)
พระมหาบุรุษปรารถนาความเจริญกับด้วยประชาชนเหล่าอื-นว่า ทําไฉน ชนทัง หลาย
พึงไม่เสื-อมจากศรัทธา, ศีล, สุตะ ,พุทธิ, จาคะ, ธรรมและคุณอันให้สําเร้จประโยชน์เป็ นอัน
มาก. ชนทัง หลายไม่พึงเสื-อมจาก ทรัพย์ ข้าวเปลือกนา สวน บุตร ภรรยาสัตว์สองเท้าและสัตว์ส- ี
เท้า ญาติมิตร พวกพ้อง และพละ วรรณะสุข ทัง ๒ ประการ ดังนีทงั หวังความมั-งมีและ
ความสําเร็จ แก่ชนเหล่านัน พระมหาบุรษุ นั8นมีส่วนพระกายข้ างหน้ าดํารงอยู่เป็ นอันดี ดังว่ากึA ง
กายข้ างหน้ าแห่งราชสีห์และมีพระศอกลมเสมอกัน ทั8งมีระหว่างพระปฤษฎางค์เต็มดีลักษณะ
ทั8ง๓ นี8เป็ นบุพพนิมิต ไม่เสืA อมปรากฏอยู่ เพราะกรรมทีA พระมหาบุรษุ ประพฤติดีแล้ ว ทําแล้ วใน
กาลก่อน พระมหาบุรษุ แม้ ดาํ รงอยู่ในคิหิวสิ ัย ย่อมทรงเจริญด้ วยข้ าวเปลือกทรัพย์ บุตร ภรรยา
สัตว์สองเท้ าและสัตว์สเท้ ีA า ถ้ าทรงตัดกังวลเสีย ทรงผนวช ย่อมทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณอัน
ประเสริฐ มีความไม่เสืA อมเป็ นธรรมดา ฯ
๒๐. มีเส้นประสาทสําหรับรับรสอาหารอันดีเลิศ(ลักษณะทีA ๒๑)
พระมหาบุรุษไม่เบียดเบียน ไม่ย-ํายีสตั ว์ดว้ ยฝ่ ามือ ด้วยท่อนไม้ ด้วยก้อนดิน ด้วย
ศัสตรา ด้วยฆ่าเอง และให้ผูอ้ - ืนฆ่า ด้วยจําจอง หรือด้วยทําให้หวาดกลัว เพราะกรรมนั8น นัAน
แหละ พระมหาบุรษุ ไปจากมนุษยโลกจึงบันเทิงใจในสุคติ และเพราะทํากรรมมีผลเป็ นสุขจึงได้
สุขมาก และมีเส้ นประสาทสําหรับนํารสอาหาอันดีเลิศรเพราะฉะนั8น พวกพราหมณ์ผ้ ูฉลาดมี
๑๐๒

ปัญญาอันเห็นแจ่มแจ้ งจึงทํานายว่าพระราชกุมารผู้มีลักษณะเช่นนี8จักมีความสุขมาก ทั8งเมืA อยัง


ดํารงอยู่ในคิหิวิสยั หรือเมืA อผู้ทรงผนวช ฯ
๒๑. มีพระเนตรสีดําสนิท (ลักษณะทีA ๒๙)
๒๒. มีดวงพระเนตรผ่องใสดังตาแห่งลูกโค (ลักษณะทีA ๓๐)
พระมหาบุรุษไม่ถลึงตาดู ไม่คอ้ นตาดู ไม่ชาํ เลืองดู [พหุชนด้วยอํานาจความโกรธ]
เป็ นผูม้ องตรง มีใจเป็ นปรกติ แลดูชนทังหลายด้วยแววตาเปี ยมด้วยความรัก พระองค์เสวย
วิบากอันเป็ นผล บันเทิงอยู่ในสุคติท8งั หลาย มาในโลกนี8มีดวงพระเนตรดังตาแห่งลูกโคและมี
พระนัยนาคือพระเนตรมีสดี าํ สนิทมีการเห็นแจ่มใส พวกมนุษย์ผ้ ูประกอบในลักษณศาสตร์ มี
ความละเอียด ผู้ฉลาดในลักษณะเป็ นนิมิต ฉลาดในการตรวจ เห็นนัยน์ตามีสดี าํ สนิทและ
ดวงตาเป็ นดังตาแห่งโค จะชมเชยพระราชกุมารนั8นว่า พระองค์เป็ นทีA เห็นแล้ วน่ารัก มหาบุรษุ
ดํารงอยู่ในคิหิวิสยั เป็ นทีA เห็นแล้ วน่ารัก เป็ นทีA รักของชนมาก ก็ถ้าพระองค์ทรงละคิหิวสิ ัยเป็ น
พระสมณะ ย่อมเป็ นทีA รักของมหาชน และยังชนเป็ นอันมากให้ สร่างโศก ฯ
๒๓. มีพระเศียรได้ปริมณฑลดุจดังว่าประดับด้วยอุณหีส (ลักษณะทีA ๓๒)
พระมหาบุรุษ เป็ นหัวหน้าในธรรมทัง หลายที-เป็ นสุจริต ยินดีย- ิงแล้วในธรรมจริยา เป็ น
ผูท้ - ีชนอันมากคล้อยตาม เสวยผลแห่งบุญในสวรรค์ท8งั หลาย ครั8นเสวยผลแห่งสุจริตแล้ ว มาใน
โลกนี8 ได้ ถึงความเป็ นผู้มีพระเศียรดุจดังว่าประดับด้ วยอุณหีส พวกผู้ร้ ทู ทีA รงจําลักษณะเป็ น
นิมิตอันปรากฏอยู่ทาํ นายว่า พระราชกุมารนี8 จักเป็ นหัวหน้ าแห่งชนเป็ นอันมาก และหมู่ชนทีA จะ
ช่วยเหลือพระองค์ในคราวทีA พระองค์ทรงพระเยาว์จักมีมาก ครั8งนั8นพวกพราหมณ์กพ็ ยากรณ์
แก่พระองค์ว่า พระราชกุมารนี8 ถ้ าเป็ นกษัตริย์จะเป็ นใหญ่ในแผ่นดิน จะได้ ความช่วยเหลือใน
ชนเป็ นอันมากโดยแท้ ถ้ าพระองค์จะทรงผนวช จะปราชญ์เปรืA อง มีความชํานาญวิเศษในธรรม
ทั8งหลาย และชนเป็ นอันมาก จะเป็ นผู้ยินดียิAงในคุณคือความสัAงสอนของพระองค์และจะคล้ อย
ตาม ฯ
๒๔. มีโลมชาติขุมละเส้นเสมอไปทุกขุมขน (ลักษณะทีA ๑๓)
๒๕. มีอุณาโลมในระหว่างคิ1 วมีสีขาวอ่อนเหมือนปุยฝ้ าย (ลักษณะทีA ๓๑)
ในชาติก่อนๆ พระมหาบุรุษมีปฏิญญาเป็ นสัจจะ มีพระวาจาไม่เป็ นสองเว้นคํา
เหลวไหล ไม่พดู ให้เคลือนคลาดต่อใครๆตรัสโดยคําจริงคําแท้ คําคงที ทรงมีพระอุณาโลม
สีขาวสะอาดอ่อนดีดงั ปุยฝ้ าย เกิดในระหว่างพระโขนงและไม่มโี ลมชาติเกิดเป็ นสองเส้ นในขุม
เดียวกัน ทัAวพระสรีระมีโลมชาติขุมละเส้ นเท่านั8น พวกผู้ร้ ลู ักษณะ ฉลาดในนิมิตทีA ปรากฏ เป็ น
จํานวนมากมาประชุมกัน แล้ วทํานายพระมหาบุรษุ ว่า พระอุณาโลมตั8งอยู่ดี โดยนิมิตบ่งว่าพหุ
๑๐๓

ชนย่อมประพฤติตาม พระมหาบุรุษดํารงอยู่ในคิหิวสิ ัยมหาชนก็ประพฤติตาม เพราะกรรมทีA


ทรงทําดีมากในชาติก่อน แม้ มหาบุรุษผู้ตดั กังวลทรงผนวชเป็ นพระพุทธเจ้ าผู้ประเสริฐ หมู่ชน
ก็จะประพฤติตามพระพระองค์
๒๖. มีพระทนต์ ๔๐ ซี. (ลักษณะทีA ๒๓)
๒๗. มีพระทนต์ไม่ห่าง (ลักษณะทีA ๒๕)
พระมหาบุรุษ ไม่ได้กล่าววาจาส่อเสียด อันทําความแตกแยกแก่พวกทีดกี ัน ทํา
ความวิวาทให้ขยายใหญ่ขึ.นให้ความแตกกันมากขึ.น ไม่ทาํ กิจอันไม่ควรที-เป็ นเหตุให้ความ
ทะเลาะกันมากขึนและยังความแตกกันให้เกิดแก่พวกที-ดีกนั พระองค์กล่าวแต่วาจาอ่ อนหวาน
อันทําความไม่ววิ าทกันให้เจริญขึน ยังความสมานฉันท์ให้เกิดแก่พวกที-แตกกัน บรรเทาความ
ทะเลาะกันของหมู่ชน ทําให้มีความสามัคคีกนั ทรงยินดีเพลิดเพลินกับผูท้ - ีปรองดองกัน ย่อม
เสวยวิบากอันเป็ นผลเบิกบานอยู่ในสุคติท8งั หลาย มาในโลกนี8 ย่อมมีพระทนต์ไม่ห่างเรียบดี
และมีพระทนต์๔๐ ซีA เกิดอยู่ในพระโอษฐ์ต8ังอยู่เป็ นอย่างดี ถ้ าพระองค์เป็ นกษัตริย์เป็ นใหญ่ใน
แผ่นดิน จะมีบริษัทไม่แตกกัน หากพระองค์เป็ นสมณะจะปราศจากกิเลส ปราศจากมลทิน
บริษัทของพระองค์จะดําเนินตามไม่มคี วามหวัAนไหว ฯ
๒๘. มีพระชิวหาใหญ่
๒๙. มีพระสุรเสียงดังว่าเสียงพรหม
พระมหาบุรุษ ไม่ได้กล่าววาจาหยาบ ก่อให้เกิดการด่า ความบาดหมาง ความ
ลําบากใจ ทําความเจ็บใจทีเป็ นคําชัวร้ายหยามเหยียดชนเป็ นอันมาก ทรงตรัสแต่วาจา
อ่อนหวานไพเราะอันมีประโยชน์ดี กล่าววาจาเป็ นที-รกั ถูกใจ จับใจ เสนาะหู ได้ เสวยผลบุญใน
สวรรค์ท8งั หลาย ครั8นเสวยผลแห่งกรรมทีA ประพฤติดีแล้ ว มาในโลกนี8 ได้ ความเป็ นผู้มีเสียงดังว่า
เสียงแห่งพรหม และมีพระชิวหาไพบูลย์กว้ างมีคาํ ทีA ตรัสอันพหุชนเชืA อถือ ผลนี8ย่อมสําเร็จแก่
พระองค์ แม้ เป็ นคฤหัสถ์ตรัสอยู่ฉันใด ถ้ าพระองค์ทรงผนวช เมืA อตรัสคําทีA ตรัสคําสุภาษิตแก่
พหุชนคํานั8นพหุชนก็เชืA อถือ โดยแท้ ฯ
๓๐. มีพระหนุ ดงั ว่าคางราชสีห์ (ลักษณะทีA ๒๒)
พระมหาบุรุษ ไม่กล่าวคําเพ้อเจ้อ ไม่กล่าวคําปราศจากหลักฐาน มีกระแสพระ
ดํารัสไม่เหลวไหล ทรงบรรเทาเสียซึงคําทีไม่เป็ นประโยชน์ ตรัสแต่คําที-เป็ นประโยชน์และคํา
ที-เป็ นสุขแก่มหาชน ครั8นทํากรรมนั8นแล้ วจุตแิ ล้ วจากมนุษยโลก เข้ าถึงแล้ วซึA งเทวโลกเสวยวิบาก
อันเป็ นผลแห่งกรรมทีA ทาํ ดีแล้ ว จุติแล้ วเวียนมาในโลกนี8 ได้ แล้ วซึA งความเป็ นผู้มีพระหนุดังว่า
๑๐๔

คางราชสีห์ทปีA ระเสริฐกว่าสัตว์สเท้ ีA า เป็ นพระราชาทีA เป็ นใหญ่กว่ามนุษย์แสนยากทีA ใครจะกําจัด


พระองค์ได้ พระองค์เป็ นผู้ใหญ่ยิAงของมวลมนุษย์ มีอานุภาพมากเป็ นผู้เสมอด้ วยเทวดาผู้
ประเสริฐในชั8นไตรทิพย์และเป็ นเหมือนพระอินทร์ผ้ ูประเสริฐกว่าเทวดาเป็ นผู้มAันคง อัน
คนธรรพ์ อสูร ท้ าวสักกะและยักษ์ผ้ ูกล้ าไม่กาํ จัดได้ โดยง่ายเลยพระมหาบุรษุ เช่นนั8น ย่อมเป็ น
ใหญ่ทุกทิศในโลกนี8โดยแท้ ฯ
๓๑. มีพระทนต์เสมอกัน (ลักษณะทีA ๒๔)
๓๒. มีพระทาฐะสีขาวงาม (ลักษณะทีA ๒๖)
พระมหาบุรุษนัน ละมิจฉาอาชีวะเสีย ดํารงตนอยู่ดว้ ยสัมมาอาชีวะอันสะอาด
เป็ นไปโดยธรรม ละกรรมอันไม่เป็ นประโยชน์ประพฤติแต่กรรมทีเป็ นประโยชน์และเป็ นสุข
แก่พหุชน ทํากรรมดีท- ีหมู่สตั บุรุษผูม้ ีปัญญาละเอียดผูฉ้ ลาดสรรเสริญแล้ว เสวยสุขอยู่ในสวรรค์
เป็ นผู้พรัAงพร้ อมด้ วยสมบัติ ทีA น่าเพลิดเพลินยินดีอภิรมย์อยู่ เสมอด้ วยท้ าวสักกะผู้ประเสริฐใน
ชั8นไตรทิพย์ จุติจากสวรรค์แล้ วได้ ภพเป็ นมนุษย์ ได้ มีพระทนต์ทเีA รียบเสมอ ขาวสะอาด หมด
จด เพราะผลแห่งกรรมดี พวกมนุษย์ผ้ ูทาํ นายลักษณะทีA มีปัญญาอันละเอียดทีA มหาชนยกย่อง
เป็ นจํานวนมาก มาประชุมกันแล้ วพยากรณ์ว่า พระราชกุมารนี8จะมีหมู่ชนทีA สะอาดเป็ นบริวาร มี
พระทนต์ทเีA กิดสองหนเสมอ และมีสขี าวสะอาดงาม ชนเป็ นอันมากทีA สะอาดเป็ นบริวารของพระ
มหาบุรุษผู้เป็ นพระราชาปกครองแผ่นดินใหญ่น8 ี ไม่กดขีA เบียดเบียนชาวชนบท ชนทั8งหลายต่าง
ประพฤติกิจเป็ นประโยชน์และเป็ นสุขแก่ส่วนรวม ถ้ าพระองค์ทรงผนวชจะเป็ นสมณะ
ปราศจากบาปธรรม มีกเิ ลสเป็ นดังธุลีระงับไป เป็ นผู้ไม่มกี เิ ลศปราศจากความกระวนกระวาย
และความลําบาก จะทรงเห็นโลกนี8และโลกอืA น และบรมธรรมโดยแท้ คฤหัสถ์เป็ นจํานวนมาก
และพวกบรรพชิตทีA ยังไม่สะอาด จะทําตามพระโอวาทของพระองค์ ผู้กาํ จัดบาปธรรมทีA บัณฑิตติ
เตียนเสียแล้ ว พระองค์จะเป็ นผู้อันบริวารทีA สะอาดผู้กาํ จัดกิเลสเป็ นมลทินเป็ นดังว่าตออันให้
โทษ ห้ อมล้ อมแล้ ว ฯ
๑๐๕

ชีวิตในวัง-สลดพระทัย-ออกบวช
ในกาลนั8นพระราชาสงสัยว่าพระโอรสเห็นนิมิตใดจึงบวช พวกอํามาตย์กท็ ูลว่า เห็น
นิมิต๔ คือ คนแก่ คนเจ็ บ คนตาย และบรรพชิต พระราชาก็ทรงกระทําการสัAงให้ อาํ มาตย์
ทั8งหลายทําการป้ องกัน มิให้ พระโอรสได้ เห็นนิมิตเหล่านั8น พระกุมารทรงได้ รบั การดูแลปรณ
นิบัติเป็ นอย่างดี ท่ามกลางทรัพย์สมบัติ นางฟ้ อนทีA แต่งตัวงดงาม ในปราสาททีA โอราฬ๓หลังทีA
เหมาะแก่ฤดูท8งั ๓ หลังจากใช้ ชีวิตในฐานะองค์รัชทายาทได้ ๒๙ ปี เจ้ าชายสิทธัตถะทรงได้ เข้ า
ไปเห็นความจริงของชีวติ อันเป็ นทุกข์ในหมู่ประชาชนซึA งแตกต่างอย่างสิ8นเชิงกับชีวิตอันหรูหรา
เปีA ยมสุขในราชวัง ทําให้ เจ้ าชายสิทธัตถะตัดสินใจละทิ8งความสุขทางโลก เสด็จหนีออกจาก
พระราชวังในคําคืนหนึA งเพืA อเข้ าสู่โลกของนักบวช เพืA อแสวงหาทางแห่งความหลุดพ้ นจากทุกข์…
๑๐๖

กรุงสาวัตถี แห่งแคว้นโกศล
ในสมัยพุทธกาล เมืองสาวั งสาวัตถีน8 ตี 8ังอยู่ในแคว้ นโกศล ของพระเจ้ าปเสนธิโกศลผู้มี
ศรัทธาในพระพุทธเจ้ าเป็ นอย่างมากปกครองอยู่ ทีA ชืA อว่าสาวัตถีน8ัน นักอักษรศาสตร์วจิ ารณ์กนั
ไว้ ว่า คําว่า สาวตฺถี คือพระนครอันเป็ นสถานทีA อยู่ของฤาษี ชืA อ สวัตถะ ส่วนพระอรรถกถา
จารย์กล่าวไว้ ว่า วัตถุเครืA องอุปโภคและบริโภคของมนุษย์ทุกอย่างมีอยู่ในเมื ในเมืองนี8 ฉะนั8น เมือง
นี8จึงชืA อว่า สาวัตถี. หรือเพราะอาศัยเหตุทวีA ่า เมืA อมี
อ คนถูถูกเขาถามว่า มีของอะไรอยู่บ้ างก็ตอบว่า
มีครบทุกอย่าง(ภาษาบาลี
ภาษาบาลีว่า สพพํ อตฺถิ จึง แผลงเป็ นสาวตฺถี ).
เมืองแห่งนี8มีบคุ ลสําคัญมากมายทีA เเป็ป็ นผู
นผู้ อุปถัมป์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ าและคณะสงฆ์
เช่นพระเจ้ าปเสนทิโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา สาวัตถีน8ันเป็ นเมืองทีA
พระพุทธเจ้ าประทับมากทีA สดุ จึงเป็ นเหตุทพระธรรมเทศนาของพระองค์
พีA ระธรรมเทศนาของพระองค์เกิดขึ8 นทีA นีA มากมาย
โดยมีวัดทีA สาํ คัญคือ เชตะวันมหาวิหาร ทีA พระพุทธเจ้ ธเจ้ าจําพรรษามากทีA สุด
๑๐๗

อนาถปิ ณฑิกคฤหบดี
คฤหบดีน8ันชืA อว่า "สุทัตตะ" โดยเป็ นชืA อทีA บิดามารดาตั8งให้ แต่มาได้ ชืAอว่าอนาถปิ ณ
ฑิกะ โดยเหตุท- ีได้ให้อาหารแก่คนอนาถาทัง หลายเป็ นประจําเพราะเป็ นผูม้ ง-ั คั-งด้วยสมบัติทกุ
อย่าง และเพราะปราศจากความตระหนี-ทงั เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมมีความกรุณา เป็ นต้ น.
อนาถปิ ณฑิกเศรษฐีน8ัน มีความศรัทธาในพุทธเจ้ าเป็ นอย่างมากเป็ นผู้ทาํ นุบาํ รุงภิกษุ
สงฆ์ในเมืองสาวัตถีเป็ นอย่างดี ทั8งเป็ นผู้ใจบุญ. พระพุทธเจ้ าจึงทรงยกย่องว่าเป็ น อุบาสกทีA
เลิศกว่าอุบาสกสาวกทั8งปวงผู้ยินดียิAงในการถวายทาน
วิสาขามหาอุบาสิกา
อุบาสิกาคนสําคัญในสมัยพุทธกาลนางเกิดทีA เมือง ภททิยะแคว้ นอังคะ ต่อมาย้ ายมา
อยู่ทเีA มืองสาเกต แคว้ นโกศล บรรลุโสดาบันตั8งแต่๗ขวบ ต่อมานางอายุได้ ๑๖ปี เป็ นผู้มีความ
งามเพียบพร้ อม ด้ วยลักษณะเบญจกัลป์ ยานี คือ ผมงาม เนื. องาม ฟั นงาม ผิว งาม และริม
ฝี ปากงาม ได้ เข้ าสู่มงคลสมรสกับ ชายหนุ่มชืA อปุณณวัฒนกุมาร แห่งกรุงสาวัตถีนางจึงย้ ายมา
อยู่กบั สามี เมืA อนางไปอยู่ทบีA ้ านสามีช่วงแรกได้ มปี ัญหาเกิดขึ8นเพราะทีA บ้านสามีน8ันนับถือพวกชี
เปลือย แต่นางก็แก้ ไขความขัดแย้ งได้ ต่อมาก็ได้ ทาํ ให้ ครอบครัวของสามีได้ ฟังธรรมและเปลีA ยน
มานับถือศาสนาพุทธได้ นางได้ สร้ างวัดหลังหนึA งชืA อ บุพพาราม ได้ อปุ ถัมป์ บํารุงภิกษุสงฆ์ไม่ได้
ขาด ไปวัดแต่ละครั8งไม่เคยมาวัดมือเปล่าเลยจะถือของทีA ควรไปถวายแก่ภกิ ษุ พระพุทธเจ้ าจึง
ทรงยกย่องนางว่า เป็ นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั8งหลายผู้ยินดียิAงในการถวายทาน
พระเชตะวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศณษฐี
วิหารแห่งนี8ชืAอว่า เชตวัน. เพราะพระอุทยานเชตวันนั8น อันพระราชกุมารทรงพระนาม
ว่า "เชตะ" นั8น ทรงปลูกสร้ างทะนุบาํ รุงให้ เจริญงอกงามทั8งพระองค์กท็ รงเป็ นเจ้ าของพระ
อุทยานนั8นด้ วย ฉะนั8นจึงเรียกว่า เชตะวัน(สวนเจ้ าเชต). อนาถปิ ณฑิกะเศรษฐี ได้ ฟังพระ
ธรรมเทศนาเกิดความศรัทธาในพุทธศาสนา จึงนิมนต์พระพุทธองค์มาทีA เมืองสาวัตถี แล้ ว
เศรษฐีได้ ไปขอซืA อสวนป่ านั8นของเจ้ าเชต เพืA อสร้ างอารามถวาย ตอนแรกเจ้ าเชตไม่ยอมขายแต่
ได้ ต8งั เงืA อนไขว่า ให้ เศรษฐีเอาเหรียญทองมาปูเต็มป่ าจึงจะยอมขาย ซึA งเศรษฐีกน็ าํ เหรียญทอง
มาปูจนเต็มพื8นป่ าจริงๆ เจ้ าเชตจึงได้ ขายให้
อนาถปิ ณฑิกคฤหบดีได้ มอบถวายสงฆ์ มีพระพุทธเจ้ าเป็ นประมุข ด้ วยการบริจาค
ทรัพย์ถึง ๕๔ โกฏิ คือบริจาคซื8อทีA ดินจากพระหัตถ์ของพระเจ้ าเชตด้ วยการเอาเงิน ๑๘ โกฏิ ปู
(เต็มบริเวณพื8นทีA ) บริจาคเป็ นค่าก่อสร้ างเสนาสนะต่าง ๆ ๑๘ โกฏิ บริจาคเป็ นค่าทําการ
๑๐๘

ฉลองพระวิหารอีก ๑๘ โกฏิ ส่วนพระเจ้ า เชต นั8นทรงร่วมบริจาคทรัพย์ ๑๘ โกฏิ ทีA พระองค์


ได้ มาด้ วยการขายสถานทีA โดยการให้ สร้ างซุ้มประตูและปราสาท และทรงบริจาคต้ นไม้ ซึAงมีค่า
หลายโกฏิ วัดนั8นจึงชืA อว่า เชตะวัน.ในพระวิหารเชตวันนั8น บรรพชิต หมู่ ชนและสัตว์ท8งั หลาย
มาแต่ทตีA ่าง ๆ กัน ย่อมยินดี เพลิดเพลิน อยู่อย่างสบายเพราะสวนนั8นงามไปด้ วยไม้
ดอกไม้ ผล เป็ นต้ น สมบูรณ์ไปด้ วยองค์ประกอบแห่งเสนาสนะ ๕ ประการมีไม่ไกลไม่ใกล้
(โคจรคาม) เกินไปนัก.
เชตะวันมหาวิหาร นั8นเป็ นทีA พระพุทธเจ้ าจําพรรษามากทีA สดุ อยู่ถงึ ๑๙ พรรษา จึง
นับเป็ นแหล่งทีA มีการแสดงธรรมเกิดขึ8นมากมายเช่น มงคลสูตร วัมมิกสูตร เวรญชกสูตร

มงคลสูตร
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณ
ฑิกเศรษฐี ใกล้ พระนครสาวัตถี ครั8งนั8นแล ครั8นปฐมยามล่วงไปเทวดาตนหนึA งมีรัศมีงามยิA งนัก
ยังพระวิหารเชตวันทั8งสิ8นให้ สว่างไสว เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับ ถวายบังคมแล้ ว
ยืนอยู่ ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ครั8นแล้ ว ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้ วยคาถาว่าเทวดาและ
มนุษย์เป็ นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้ พากันคิดมงคลทั8งหลาย ขอพระองค์จงตรัสอุดมมงคล.
พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาตอบว่า การไม่คบคนพาล การคบบัณฑิต การบูชาบุคคลทีA ควร
บูชา นี8เป็ นอุดมมงคล การอยู่ในประเทศอันสมควร ความเป็ นผู้มีบุญอันกระทําแล้ วในกาลก่อน
การตั8งตนไว้ ชอบ นี8เป็ นอุดมมงคล พาหุสจั จะ ศิลป วินัยทีA ศึกษาดีแล้ ว วาจาสุภาสิต นี8เป็ น
อุดมมงคล
การบํารุงมารดาบิดา การสงเคราะห์บุตรภรรยา การงานอันไม่อากูล นี8เป็ นอุดม
มงคลทาน การประพฤติธรรม การสงเคราะห์ญาติ กรรมอันไม่มีโทษ นี8เป็ นอุดมมงคลการงด
การเว้ นจากบาป ความสํารวม จากการดืA มนํา8 เมา ความไม่ประมาทในธรรมทั8งหลาย นี8เป็ นอุดม
มงคลความเคารพ ความประพฤติถ่อมตน ความสันโดษ ความกตัญ^ู การฟังธรรมโดยกาล
นี8เป็ นอุดมมงคล
ความอดทน ความเป็ นผู้ว่าง่าย การได้ เห็นสมณะทั8งหลาย การสนทนาธรรมโดยกาล
นี8เป็ นอุดมมงคลความเพียร พรหมจรรย์ การเห็นอริยสัจ การกระทํานิพพานให้ แจ้ ง นี8เป็ น
อุดมมงคล จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั8งหลายถูกต้ องแล้ วย่อมไม่หวัAนไหว ไม่เศร้ าโศก
ปราศจากธุลี เป็ นจิตเกษม นี8เป็ นอุดมมงคล เทวดาและมนุษย์ท8งั หลาย ทํามงคลเช่นนี8แล้ ว
เป็ นผู้ไม่ปราชัยในข้ าศึกทุกหมู่เหล่า ย่อมถึงความสวัสดีในทีA ทุกสถาน นี8เป็ นอุดมมงคลของ
เทวดาและมนุษย์เหล่านั8น ฯ มงคลสูตร จบ.
๑๐๙

ในมงคลสูตรนั8นจะเห็นได้ สิAงทีA เป็ นมงคล คือหลักการในการปฏิบตั ิตนเช่นรู้จักคบคน


รู้จักปฏิบัตติ น ต่อผู้อนืA รู้จักให้ เสียสละ ศึกษาหาความรู้ขัดเกลาจิตใจซึA งไม่เกีA ยวกับการร้ องขอ
บูชาเทวดาเลยจึงเป็ นจุดทีA น่าสนใจ และจะขอนําหลักการเกีA ยวกับความไม่เป็ นมงคลในศาสนานี8
มากล่าวเพืA อความชัดเจนยิA งขึ8น
ความไม่เป็ นมงคล (อุบาสกจัณฑาล)
ดูก่อนภิกษุท8งั หลาย อุบาสกผู้ประกอบด้ วยธรรม๕อย่าง ย่อมเป็ นอุบาสกจัณฑาล เป็ น
อุบาสกมลทิน และเป็ นอุบาสกทีA น่ารังเกียจ ๕ อย่างอะไรบ้ าง ? คือ
๑. เป็ นผู้ไม่มีศรัทธา (ไม่ศรัทธาพระพุทธเจ้ า ไม่ชอบธรรม ไม่ฟังธรรม เป็ นต้ น)
๒. เป็ นคนทุศีล (ไม่รักษาศีล ชอบฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ โกหก เป็ นต้ น)
๓. เป็ นผู้ถอื มงคลตืA นข่าว (เชืA อหมอดู ร่างทรง ชอบงมงาย มากกว่า เหตุผล)
๔. เชืA อมงคลไม่เชืA อกรรม (อาบนํา8 มนต์ ดูดวง ไหว้ เจ้ าขอให้ ช่วย)
๕. แสวงหาทักขิไณยบุคคลนอกพระพุทธศาสนาและ ทําบุญในทักขิไณยบุคคล
เหล่านั8น
(ชอบไปหาเจ้ าพ่อเจ้ าแม่ต่างๆเช่นทีA ขมัีA งกร ถือขวดนํา8 มีพันมือ แล้ วก็ทาํ บุญ
เฮงๆเป็ นต้ น)
ฉะนั8 นชาวพุทธจึงควรละและเลิกความไม่ เป็ น มงคลเสียและพึ งปฏิบัติตาหลักอันเป็ นมงคล
เถิด
อนาถปิ ณฑิโกวาทสูตร
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ทพีA ระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั8นแล อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วยทนทุกขเวทนา เป็ นไข้
หนัก จึงเรียกบุรุษคนหนึA งมาสัAงว่า มาเถิดพ่อมหาจําเริญ พ่อจงเข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคยัง
ทีA ประทับแล้ วจงถวายบังคมพระบาทพระผู้มีพระภาคด้ วยเศียรเกล้ าตามคําของเรา แล้ วจง
กราบทูลอย่างนี8ว่า
ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญอนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย ทนทุกขเวทนา เป็ นไข้หนัก ขอ
ถวายบังคมพระบาท พระผู้มีพระภาคด้ วยเศียรเกล้ า อนึA ง จงเข้ าไปหาท่านพระสารีบุตรยังทีA
อยู่ แล้ วจงกราบเท้ าท่านพระสารีบุตรตามคําของเรา และเรียนอย่างนี8ว่า
ข้ าแต่ท่านผู้เจริญ อนาถบิณฑิกคฤหบดีป่วย ทนทุกขเวทนา เป็ นไข้ หนัก ขอกราบ
เท้ าท่านพระสารีบุตรด้ วยเศียรเกล้ า และเรียนอย่างนี8อีกว่า ข้ าแต่ท่านผู้เจริญ โอกาสเหมาะ
๑๑๐

แล้ ว ขอท่านพระสารีบุตรจงอาศัยความอนุเคราะห์ เข้ าไปยังนิเวศน์ของอนาถบิณฑิกคฤหบดี


เถิด บุรุษนั8นรับคําอนาถบิณฑิกคฤหบดีแล้ วเข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคยังทีA ประทับ ถวาย
อภิวาทแล้ ว นัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ฯ
พอนัAงเรียบร้ อยแล้ ว ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี8ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญอนาถ
บิณฑิกคฤหบดีป่วย ทนทุกขเวทนา เป็ นไข้ หนัก ขอถวายบังคมพระผู้มีพระภาคด้ วยเศียร
เกล้ า ต่อนั8น เข้ าไปหาท่านพระสารีบุตรยังทีA อยู่ กราบท่านพระสารีบุตรแล้ วนัAง ณ ทีA ควร
ส่วนข้ างหนึA ง พอนัAงเรียบร้ อยแล้ วจึงเรียนท่านพระสารีบุตรดังนี8ว่า ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริญอนาถบิณ
ฑิกคฤหบดีป่วย ทนทุกขเวทนา เป็ นไข้ หนัก ขอกราบเท้ าท่านพระสารีบุตรด้ วยเศียรเกล้ าและ
สัAงมา อย่างนี8ว่า
ข้ าแต่ท่านผู้เจริญ โอกาสเหมาะแล้ ว ขอท่านพระสารีบุตรจงอาศัยความอนุเคราะห์
เข้ าไปยังนิเวศน์ของอนาถบิณฑิกคฤหบดีเถิด ท่านพระสารีบุตรรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ ครั8ง
นั8นแล ท่านพระสารีบตุ รนุ่งสบงทรงบาตรจีวร มีท่านพระอานนท์เป็ นปัจฉาสมณะ เข้ าไปยัง
นิเวศน์ของอนาถบิณฑิกคฤหบดี แล้ วนัAงบนอาสนะทีA เขาแต่งตั8งไว้ ฯ
พอนัAงเรียบร้ อยแล้ ว จึงกล่าวกะอนาถบิณฑิกคฤหบดีดังนี8ว่าดูกรคฤหบดีท่านพอทน
พอเป็ น ไปได้ หรือ ทุกขเวทนา ทุเลา ไม่กาํ เริบ ปรากฏความทุเลาเป็ นทีA สดุ ไม่ปรากฏความ
กําเริบละหรือ ฯ
อ. ข้ าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ กระผมทนไม่ไหว เป็ นไปไม่ไหวทุกขเวทนาของ
กระผมหนัก กําเริบไม่ทุเลา ปรากฏความกําเริบเป็ นทีA สดุ ไม่ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
ข้ าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ลมเหลือประมาณกระทบขม่อมของกระผมอยู่เหมือนบุรษุ
มีกาํ ลังเอาของแหลมคมทิA มขม่อมฉะนั8น กระผมจึงทน ไม่ไหว เป็ นไปไม่ไหวทุกขเวทนาของ
กระผมหนัก กําเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏมีความกําเริบเป็ นทีA สดุ ไม่ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
ข้ าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ลมเหลือประมาณเวียนศีรษะกระผมอยู่ เหมือนบุรุษมี
กําลังให้ การขันศีรษะด้ วยชะเนาะมัAนฉะนั8น กระผมจึงทน ไม่ไหว เป็ นไปไม่ไหว ทุกขเวทนา
ของกระผมหนัก กําเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏมีความกําเริบเป็ นทีA สดุ ไม่ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
ข้ าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ลมเหลือประมาณปัAนป่ วนท้ องของกระผมอยู่ เหมือนคน
ฆ่าโค หรือลูกมือคนฆ่าโคผู้ฉลาดเอามีดแล่โคอันคมคว้ าน ท้อง ฉะนั8น กระผมจึงทนไม่ไหว
เป็ นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผมหนักกําเริบ ไม่ทุเลา ปรากฏความกําเริบเป็ นทีA สดุ ไม่
ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
ข้ าแต่พระสารีบุตรผู้เจริญ ความร้ อนในกายของกระผมเหลือประมาณ เหมือนบุรุษ
มีกาํ ลัง ๒ คน จับบุรษุ มีกาํ ลังน้ อยกว่าทีA อวัยวะป้ องกันตัวต่างๆ แล้ ว นาบ ย่าง ในหลุม
๑๑๑

ถ่านเพลิง ฉะนั8นกระผมจึงทนไม่ไหว เป็ นไปไม่ไหว ทุกขเวทนาของกระผมหนัก กําเริบไม่


ทุเลา ปรากฏความกําเริบเป็ นทีA สดุ ไม่ปรากฏความทุเลาเลย ฯ
สา. ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนจักษุ
และวิญญาณทีA อาศัยจักษุจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนโสต และวิญญาณทีA อาศัยโสตจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนฆานะ และวิญญาณทีA อาศัยฆานะ จักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนชิวหา และวิญญาณทีA อาศัยชิวหาจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนกาย และวิญญาณทีA อาศัยกายจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนมโน และวิญญาณทีA อาศัยมโนจักไม่มีแก่เรา
คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนรูปและวิญญาณทีA
อาศัยรูปจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเสียง และวิญญาณทีA อาศัยเสียงจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนกลิA น และวิญญาณทีA อาศัยกลิA นจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนรส และวิญญาณทีA อาศัยรสจัก ไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนโผฏฐัพพะและวิญญาณทีA อาศัย โผฏฐัพพะจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนธรรมารมณ์ และวิญญาณทีAอาศัยธรรมารมณ์จักไม่มีแก่เรา
คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนจักษุวญ ิ ญาณ และ
วิญญาณทีA อาศัยจักษุวิญญาณจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนโสตวิญญาณ และวิญญาณทีA อาศัยโสตวิญญาณ
จักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนฆานวิญญาณ และวิญญาณทีA อาศัยฆานวิญญาณ
จักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนชิวหาวิญญาณ และวิญญาณทีA อาศัยชิวหาวิญญาณ
จักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนกายวิญญาณ และวิญญาณทีA อาศัย กายวิญญาณ
จักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนมโนวิญญาณ และวิญญาณทีA อาศัยมโนวิญญาณ
จักไม่มีแก่เรา
๑๑๒

คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ


ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนจักษุสมั ผัส และ
วิญญาณทีA อาศัยจักษุสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนโสตสัมผัส และวิญญาณทีAอาศัยโสตสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนฆานสัมผัส และวิญญาณทีAอาศัยฆานสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนชิวหาสัมผัสและวิญญาณทีAอาศัยชิวหาสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนกายสัมผัส และวิญญาณทีAอาศัยกายสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนมโนสัมผัส และวิญญาณทีAอาศัยมโนสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเวทนาเกิดแต่จักษุ
สัมผัส และวิญญาณทีA อาศัยเวทนาเกิดแต่จักษุสมั ผัส จักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเวทนาเกิดแต่โสตสัมผัสและวิญญาณทีA อาศัยเวทนาเกิด
แต่โสตสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเวทนาเกิดแต่ฆานสัมผัส และ วิญญาณทีA อาศัยเวทนา
เกิดแต่ฆานสัมผัสจักไม่มแี ก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเวทนาเกิดแต่ชิวหาสัมผัส และวิญญาณทีA อาศัยเวทนา
เกิดแต่ชิวหาสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเวทนาเกิดแต่กายสัมผัส และ วิญญาณทีA อาศัยเวทนา
เกิดแต่กายสัมผัสจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเวทนาเกิดแต่มโนสัมผัส และ วิญญาณทีA อาศัยเวทนา
เกิดแต่มโนสัมผัสจักไม่มแี ก่เรา
คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนปฐวีธาตุ และวิญญาณ
ทีA อาศัยปฐวีธาตุจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนอาโปธาตุ และวิญญาณทีA อาศัย อาโปธาตุจักไม่มแี ก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเตโชธาตุ และวิญญาณทีA อาศัย เตโชธาตุจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนวาโยธาตุ และวิญญาณทีA อาศัย วาโยธาตุจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนอากาสธาตุและวิญญาณทีAอาศัยอากาสธาตุจกั ไม่มีแก่เรา
คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนรูปและวิญญาณ
๑๑๓

ทีA อาศัยรูปจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเวทนา และวิญญาณทีA อาศัยเวทนาจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนสัญญา และวิญญาณทีA อาศัยสัญญาจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนสังขาร และวิญญาณทีA อาศัยสังขารจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนวิญญาณ และวิญญาณทีA อาศัยวิญญาณจักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนอากาสานัญจายตน
ฌานและวิญญาณทีA อาศัยอากาสานัญจายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนวิญญาณัญจายตนฌานและวิญญาณ ทีA อาศัย
วิญญาณัญจายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนอากิญจัญญายตนฌานและวิญญาณ ทีA อาศัย
อากิญจัญญายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และวิญญาณ
ทีA อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
[๗๓๕] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAน
โลกนี8 และวิญญาณทีA อาศัยโลกนี8จักไม่มีแก่เรา พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนโลกหน้ า
และวิญญาณทีA อาศัย โลกหน้ าจักไม่มีแก่เรา
คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า อารมณ์ใดทีA เราได้ เห็น
ได้ ฟัง ได้ ทราบ ได้ ร้ แู จ้ ง ได้ แสวงหา ได้ พิจารณาด้ วยใจแล้ ว เราจักไม่ยึดมัAนอารมณ์แม้ น8ัน
และวิญญาณทีA อาศัยอารมณ์น8ันจักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
เมื.อท่านพระสารีบุตรกล่าวแล้วอย่างนี1 อนาถบิณฑิกคฤหบดีรอ้ งไห้ นํ1าตาไหล
ขณะนั1นท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะอนาถบิณฑิกคฤหบดีดงั นี1 ว่า ดูกรคฤหบดี ท่านยัง
อาลัยใจจดใจจ่ ออยู่หรือฯ
อ. ข้ าแต่พระอานนท์ผ้ ูเจริญ กระผมมิได้ อาลัย มิได้ ใจจดใจจ่อ แต่ว่ากระผมได้ นAัง
ใกล้
๑๑๔

พระศาสดาและหมู่ภิกษุทนีA ่าเจริญใจมาแล้ วนาน ไม่เคยได้ สดับธรรมีกถาเห็นปานนี8 ฯ


อา. ดูกรคฤหบดี ธรรมีกถาเห็นปานนี8 มิได้ แจ่มแจ้ งแก่คฤหัสถ์ผ้ ูนุ่งผ้ าขาวแต่แจ่ม
แจ้ งแก่บรรพชิตฯ
อ. ข้ าแต่พระสารีบตุ รผู้เจริญ ถ้ าอย่างนั8น ขอธรรมีกถาเห็นปานนี8 จงแจ่มแจ้ งแก่
คฤหัสถ์ผ้ ูนุ่งผ้ าขาวบ้ างเถิด เพราะมีกุลบุตรผู้เกิดมามีกเิ ลสธุลีในดวงตาน้ อย จะเสืA อมคลาย
จากธรรม จะเป็ นผู้ไม่ร้ ูธรรม โดยมิได้ สดับฯ
ครั8งนั8นแลท่านพระสารีบุตรและท่านพระอานนท์กล่าวสอนอนาถบิณฑิกคฤหบดีด้วย
โอวาทนี8แล้ วจึงลุกจากอาสนะหลีกไป ฯ
ต่อนั8น อนาถบิณฑิกคฤหบดีเมืA อท่านพระสารีบุตรและท่าน พระอานนท์หลีกไปแล้ ว
ไม่นาน ก็ได้ ทาํ กาลกิริยาเข้ าถึงชั8นดุสติ แล ครั8งนั8น ล่วงปฐมยามไปแล้ ว อนาถบิณฑิก
เทพบุตรมีรัศมีงามส่องพระวิหารเชตวันให้ สว่างทัAวเข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคยังทีA ประทับ แล้ ว
ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ยืน ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง พอยืนเรียบร้ อยแล้ วได้ กราบทูลพระ
ผู้มีพระภาคด้ วยคาถาเหล่านี8ว่า
พระเชตวันนีมีประโยชน์ อันสงฆ์ผแู ้ สวงบุญอยู่อาศัยแล้ว อันพระองค์ผูเ้ ป็ นธรรมราชา
ประทับ เป็ นที-เกิดปี ติแก่ขา้ พระองค์สตั ว์ทงั หลายย่อมบริสทุ ธิOดว้ ยธรรม ๕ อย่างนี คือ กรรม
๑วิชชา ๑ ธรรม๑ ศีล๑ ชีวติ อุดม ๑ ไม่ใช่บริสุทธิOดว้ ยโคตรหรือด้วยทรัพย์ เพราะฉะนัน
แล บุคคลผูเ้ ป็ นบัณฑิต เมื-อเล็งเห็นประโยชน์ของตน พึงเลือกเฟ้ นธรรมโดยแยบคาย จะ
บริสทุ ธิOในธรรมนัน ได้ดว้ ยอาการนี พระสารีบุตรนัน แล ย่อมบริสุทธิOได้ดว้ ยปัญญา ด้วยศีล
และด้วยความสงบ ความจริง ภิกษุผถู ้ ึงฝั-งแล้ว จะอย่างยิ-งก็เท่าพระสารีบุตรนี ฯ
อนาถบิณฑิกเทวบุตรกล่าวดังนี8แล้ ว พระศาสดาทรงพอพระทัย ต่อนั8น อนาถบิณฑิก
เทวบุตรทราบว่า พระศาสดาทรงพอพระทัยจึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้ วกระทํา
ประทักษิณหายตัวไป ณ ทีA น8ันเอง ฯ
ครั8งนั8นแล พอล่วงราตรีน8ันไปแล้ ว พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุท8งั หลายว่าดูกรภิกษุ
ทั8งหลาย เมืA อคืนนี8ล่วงปฐมยามไปแล้ ว มีเทวบุตรตนหนึA ง มีรัศมีงาม ส่องพระวิหารเชตวัน
ให้ สว่างทัAว เข้ ามาหาเรายังทีA อยู่ อภิวาทเราแล้ ว ได้ ยืน ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง พอยืน
เรียบร้ อยแล้ ว ได้ กล่าวกะเราด้ วยคาถานี8ว่าพระวิหารเชตวันนี8มีประโยชน์ อันสงฆ์ผ้ ูแสวงบุญ
อยู่อาศัยแล้ ว อันพระองค์ผ้ ูเป็ นธรรมราชาประทับอยู่ เป็ นทีA เกิดปี ติแก่ข้าพระองค์สตั ว์ท8งั หลาย
ย่อมบริสทุ ธิJได้ ด้วยธรรม ๕ อย่างนี8 คือ กรรม ๑วิชชา๑ ธรรม๑ ศีล๑ ชีวิตอุดม ๑ ไม่ใช่
บริสทุ ธิJด้วยโคตรหรือด้ วยทรัพย์ เพราะฉะนั8นแล บุคคลผู้เป็ นบัณฑิต เมืA อเล็งเห็นประโยชน์
ของตน พึงเลือกเฟ้ นธรรมโดยแยบคาย จะบริสทุ ธิJในธรรมนั8นได้ ด้วยอาการนี8 พระสารีบุตร
๑๑๕

นั8นแล ย่อมบริสุทธิJได้ ด้วยปัญญา ด้ วยศีล และด้ วยความสงบ ความจริง ภิกษุผ้ ูถงึ ฝัAงแล้ ว
จะอย่างยิA งก็เท่าพระสารีบุตรนี8
ดูกรภิกษุท8งั หลาย เทวบุตรนั8นได้ กล่าวดังนี8แล้ วรู้ว่าพระศาสดาทรงพอพระทัย จึง
อภิวาทเรา แล้ วกระทําประทักษิณหายตัวไป ณ ทีA น8ันแล ฯ
[๗๔๐] เมืA อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้ วอย่างนี8 ท่านพระอานนท์ได้ กราบทูลพระผู้มี
พระภาคดังนี8ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ก็เทวบุตรนั8น คงจักเป็ นอนาถบิณฑิกเทวบุตรแน่
เพราะอนาถบิณฑิกคฤหบดีได้ เป็ นผู้เลืA อมใสแล้ วในท่าน พระสารีบุตร ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ถูกแล้ วๆ เท่าทีA คาดคะเนนั8นแล เธอลําดับเรืA องถูกแล้ ว เทวบุตร
นั8นคืออนาถบิณฑิกเทวบุตร มิใช่อืAน ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสพระภาษิตนี8แล้ ว ท่านพระอานนท์จึงชืA นชมยินดี พระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคแล.
อนาถปิ ณฑิโกวาทสูตร ทีA ๑จบ

วัมมิกสูตร
ว่าด้ วยปริศนาจอมปลวก
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณ
ฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั8นแล ท่านพระกุมารกัสสปะพักอยู่ทปีA ่ าอันธวัน.
ครั8งนั8น เทวดาองค์หนึA ง มีวรรณงามยิA ง เมืA อราตรีล่วงปฐมยามแล้ ว ยังป่ าอันธวันทั8งสิ8นให้ สว่าง
เข้ าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะถึงทีA อยู่ ได้ ยืน ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ได้ กล่าวกะท่านพระกุมาร
กัสสปะดังนี8ว่า ดูกรภิกษุ จอมปลวกนี8พ่นควันในกลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ได้
กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงเอาศาตราไปขุดดู.
สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นลิA มสลักจึงเรียนว่า ลิA มสลักขอรับ. พราหมณ์กล่าว
อย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยกลิA มสลักขึ8นเอาศาตราขุดดู.สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นอึA ง
จึงเรียนว่า อึA งขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะเจ้ าจงยกอึA งขึ8น เอาศาตราขุดดู. สุเมธะ
เอาศาตราขุดลง ได้ เห็นทาง ๒ แพร่ง จึงเรียนว่า ทาง ๒แพร่ง ขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า
พ่อสุเมธะ เจ้ าจงก่นทาง ๒ แพร่งเสีย เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นหม้ อ
กรองนํา8 ด่าง จึงเรียนว่า หม้ อกรองนํา8 ด่าง ขอรับ.พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยก
หม้ อกรองนํา8 ด่างขึ8น เอาศาตราขุดลง.
สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นเต่า จึงเรียนว่าเต่าขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า
พ่อสุเมธะเจ้ าจงยกเต่าขึ8น เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นเขียงหัAนเนื8อ จึง
๑๑๖

เรียนว่า เขียงหัAนเนื8อ ขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยกเขียงหัAนเนื8อขึ8น เอา


ศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นชิ8นเนื8อ จึงเรียนว่าชิ8นเนื8อ ขอรับพราหมณ์กล่าว
อย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยกชิ8นเนื8อขึ8น เอาศาตราขุดดู.
สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นนาค จึงเรียนว่า นาคขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า
นาคจงอยู่ เจ้ าอย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทําความนอบน้ อม ต่อนาค. ดูกรภิกษุ ท่านพึงเข้ าไป
เฝ้ าพระผู้มีพระภาค แล้ วทูลถามปั ญหา ๑๕ ข้ อ เหล่านี8แล ท่านพึงทรงจําปัญหาเหล่านั8น ตามทีA
พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ดูกรภิกษุ ข้ าพเจ้ า ย่อมไม่เห็นบุคคลในโลก พร้ อมทั8งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก ในหมู่สตั ว์ พร้ อมทั8งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ทีA จะยังจิตให้ ยินดี
ด้ วยการพยากรณ์ปัญหาเหล่านี8 นอกจากพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต หรือเพราะฟัง
จากสํานักนี8. เทวดานั8นครั8นกล่าวคํานี8แล้ ว ได้ หายไปในทีA น8ันแล.
กุมารกัสสปะทูลถามปั ญหา ๑๕ ข้อ
ครั8งนั8นแล ท่านพระกุมารกัสสปะ เมืA อราตรีน8ันล่วงไปแล้ ว เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาค
ถึงทีA ประทับ ครั8นแล้ วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ได้ กราบทูลพระผู้
มีพระภาคดังนี8ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ เมืA อคืนนี8 เทวดาองค์หนึA ง มีวรรณงามยิA งราตรีล่วง
ปฐมยามไปแล้ ว ยังป่ าอันธวันทั8งสิ8นให้ สว่างแล้ ว เข้ าไปหาข้ าพระองค์ถงึ ทีA อยู่ ยืน ณ ทีA ควรส่วน
ข้ างหนึA ง ได้ กล่าวกะข้ าพระองค์ว่า:-
ดูกรภิกษุ จอมปลวกนี8 พ่นควันในเวลากลางคืนลูกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ได้ กล่าว
อย่างนี8ว่าพ่อสุเมธะ เจ้ าจงเอาศาตราขุดดู.
สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นลิA มสลัก จึงเรียนว่า ลิA มสลัก ขอรับ. พราหมณ์กล่าว
อย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะเจ้ าจงยกลิA มสลักขึ8น เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นอึA ง
จึงเรียนว่า อึA งขอรับ.พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยกอึA งขึ8น เอาศาตราขุดดู. สุเมธะ
เอาศาตราขุดลงไปได้ เห็นทาง ๒ แพร่ง จึงเรียนว่า ทาง ๒ แพร่ง ขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8
ว่า พ่อสุเมธะเจ้ าจงก่นทาง ๒ แพร่งเสีย เอาศาตราขุดดู.
สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นหม้ อกรองนํา8 ด่างจึงเรียนว่า หม้ อกรองนํา8 ด่าง ขอรับ.
พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยกหม้ อกรองนํา8 ด่างขึ8น เอาศาตราขุดดู.
สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นเต่า จึงเรียนว่า เต่าขอรับ.พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า
พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยกเต่าขึ8น เอาศาตราขุดดู.
สุเมธะเอาศาตราขุดลงไปได้ เห็นเขียงหัAนเนื8อ จึงเรียนว่า เขียงหัAนเนื8อ ขอรับ.
พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะเจ้ าจงยกเขียงหัAนเนื8อขึ8น เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตรา
๑๑๗

ขุดลงไปได้ เห็นชิ8นเนื8อ จึงเรียนว่าชิ8นเนื8อ ขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยก


ชิ8นเนื8อขึ8น เอาศาตราขุดดู.สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นนาค จึงเรียนว่า นาคขอรับ.
พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า นาคจงอยู่เถิด เจ้ าจงอย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทําความนอบน้ อมต่อ
นาค. ดูกรภิกษุ ท่านพึงเข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาค ทูลถามปัญหา ๑๕ ข้ อเหล่านี8แล ท่านพึงทรง
จําปั ญหาเหล่านั8นตามทีA พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์.
ดูกรภิกษุ ข้ าพเจ้ า ย่อมไม่เห็นบุคคลในโลก พร้ อมทั8งเทวโลก มารโลกพรหมโลก ใน
หมู่สตั ว์พร้ อมทั8งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ทีA จะยังจิตให้ ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหา
เหล่านี8 นอกจากพระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคต หรือเพราะฟังจากสํานักนี8. เทวดานั8น
ครั8นกล่าวคํานี8แล้ วได้ หายไปในทีA น8ันแล.
ข้าแต่พระองค์ผูเ้ จริญ
๑ อะไรหนอแลชืA อว่าจอมปลวก
๒ อย่างไรชืA อว่าพ่นควันในกลางคืน
๓ อย่างไรชืA อว่าลุกโพลงในกลางวัน
๔ อะไรชืA อว่าพราหมณ์
๕ อะไรชืA อว่าสุเมธะ
๖ อะไรชืA อว่าศาตรา
๗ อย่างไรชืA อว่าการขุด
๘ อะไรชืA อว่าลิA มสลัก
๙ อะไรชืA อว่าอึA ง
๑๐ อะไรชืA อว่าทาง ๒ แพร่ง
๑๑อะไรชืA อว่าหม้ อกรองนํา8 ด่าง
๑๒ อะไรชืA อว่าเต่า
๑๓ อะไรชืA อว่าเขียงหัAนเนื8อ
๑๔ อะไรชืA อว่าชิ8นเนื8อ
๑๕ อะไรชืA อว่านาคดังนี8?
๑๑๘

พระผูม้ พี ระภาคทรงพยากรณ์ปัญหา ๑๕ ข้อ


พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า ดูกรภิกษุ
๑. คําว่า จอมปลวกนัAนเป็ นชืA อของกายนี8 อันประกอบด้ วยมหาภูตรูปทั8ง ๔ ซึA งมีมารดา
บิดาเป็ นแดนเกิด เจริญด้ วยข้ าวสุกและขนมกุมมาส ไม่เทีA ยง ต้ องอบรม ต้ องนวดฟั8น มีอนั
ทําลายและกระจัดกระจายไปเป็ นธรรมดา.
๒. ปัญหาข้ อว่า อย่างไรชืA อว่าพ่นควันในกลางคืนนั8น ดูกรภิกษุ ได้ แก่การทีA บุคคล
ปรารภการงานในกลางวัน แล้ วตรึกถึง ตรองถึงในกลางคืน นี8ชืAอว่าพ่นควันในกลางคืน.
๓. ปัญหาข้ อว่า อย่างไรชืA อว่าลุกโพลงในกลางวันนั8น ดูกรภิกษุ ได้ แก่การทีA บุคคลตรึก
ถึงตรองถึง(การงาน) ในกลางคืน แล้ วย่อมประกอบการงานในกลางวัน ด้ วยกาย ด้ วยวาจา นี8
ชืA อว่าลุกโพลงในกลางวัน.
๔. ดูกรภิกษุ คําว่า พราหมณ์น8ัน เป็ นชืA อของพระตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ า.
๕. คําว่า สุเมธะนั8น เป็ นชืA อของเสขภิกษุ.
๖. คําว่า ศาตรานั8นเป็ นชืA อของปัญญาอันประเสริฐ.
๗. คําว่า จงขุดนั8นเป็ นชืA อของการปรารภความเพียร.
๘. คําว่า ลิA มสลักนั8น เป็ นชืA อของอวิชชา. คํานั8นมีอธิบายดังนี8ว่าพ่อสุเมธะ เจ้ าจงใช้
ปัญญาเพียงดัAงศาตรา ยกลิA มสลักขึ8น คือจงละอวิชชาเสีย จงขุดมันขึ8นเสีย.
๙. คําว่า อึ.ง นั8น เป็ นชืA อแห่งความคับแค้ นด้ วยสามารถความโกรธ. คํานั8นมีอธิบาย
ดังนี8ว่าพ่อสุเมธะ เจ้ าจงใช้ ปัญญาเพียงดัAงศาตรา ยกอึA งขึ8นเสีย คือจงละความคับแค้ นด้ วย
สามารถความโกรธเสีย จงขุดมันเสีย.
๑๐. คําว่า ทาง ๒ แพร่งนั8น เป็ นชืA อแห่งวิจิกิจฉา. คํานั8นมีอธิบายดังนี8ว่าพ่อสุเมธะ
เจ้ าจงใช้ ปัญญาเพียงดังศาตราก่นทาง ๒ แพร่งเสีย คือจงละวิจิกจิ ฉาเสีย จงขุดมันเสีย
๑๑. คําว่าหม้ อกรองนํา8 ด่างนั8น เป็ นชืA อของนิวรณ์ ๕ คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาบาท
นิวรณ์ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกจิ ฉานิวรณ์. คํานั8นมีอธิบายดังนี8ว่า พ่อสุเมธะ
เจ้ าจงใช้ ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกหม้ อกรองนํา8 ด่างขึ8นเสีย คือจงละนิวรณ์ ๕ เสีย จงขุดขึ8นเสีย.
๑๒. คําว่าเต่านั8น เป็ นชืA อของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์
สัญ^ูปาทานขันธ์สงั ขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์. คํานั8นมีอธิบายดังนี8 พ่อสุเมธะ เจ้ าจง
ใช้ ปัญญาเพียงดัง ศาตรา ยกเต่าขึ8นเสียคือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ เสีย จงขุดขึ8นเสีย.
๑๓. คําว่าเขียงหัAนเนื8อนั8น เป็ นชืA อของกามคุณ ๕ คือ รูปอันจะพึงรู้แจ้ งด้ วยจักษุ น่า
ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็ นรูปทีA น่ารัก ประกอบด้ วยกาม เป็ นทีA ต8ังแห่งความกําหนัด เสียง
อันจะพึงรู้แจ้ งด้ วยโสตกลิA นอันจะพึงรู้แจ้ งด้ วยฆานะ ... รสอันจะพึงรู้แจ้ งด้ วยชิวหา ...
๑๑๙

โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้ งด้ วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็ นรูปทีA น่ารัก ประกอบด้ วย
กาม เป็ นทีA ต8ังแห่งความกําหนัด.คํานั8นมีอธิบายดังนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงใช้ ปัญญาเพียงดังศาต
รา ยกเขียงหัAนเนื8อเสีย คือ จงละกามคุณ ๕ เสีย จงขุดขึ8นเสีย.
๑๔ คําว่าชิ8นเนื8อนั8น เป็ นชืA อของนันทิราคะ. คํานั8นมีอธิบายดังนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงใช้
ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกชิ8นเนื8อขึ8นเสีย คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ8นเสีย
๑๕ คําว่านาคนั8น เป็ นชืA อของภิกษุผ้ ูขณ ี าสพ คํานั8นมีอธิบายดังนี8ว่า นาคจงหยุดอยู่
เถิดเจ้ าอยเบียดเบียนนาค จงทําความนอบน้ อมต่อนาคดังนี8.
พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสพระพุทธพจน์น8 ีแล้ ว ท่านพระกุมารกัสสปะมีใจชืA นชม
เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี8แล.
วัมมิกสูตร ทีA ๓ จบ

เวรัญชกสูตร
ว่าด้วยเหตุปัจจัยให้เข้าถึงสุคติ
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ทพีA ระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั8งนั8น พวกพราหมณ์และคฤหบดี ชาวเมืองเวรัญชา พักอยู่ใน
เมืองสาวัตถีด้วยกิจบางอย่าง ได้ สดับข่าวว่า พระสมณโคดมผู้เจริญ เป็ นศากยสกุลทรงผนวช
แล้ ว ประทับอยู่ทพีA ระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์น8ันขจรไปแล้ วอย่างนี8ว่า
แม้ เพราะเหตุน8 ีๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน เป็ นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึง
พร้ อมด้ วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ ว ทรงรู้แจ้ งโลกเป็ นสารถีฝึกบุรุษทีA ควรฝึ ก ไม่มีผ้ ูอนืA ยิA ง
กว่า เป็ นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ท8งั หลาย เป็ นผู้เบิกบาน เป็ นผู้จาํ แนกพระธรรม พระองค์
ทรงทําโลกนี8พร้ อมทั8งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้ แจ้ งชัดด้ วยปัญญาอันยิA งของพระองค์เอง
แล้ ว ทรงสัAงสอนหมู่สตั ว์ พร้ อมทั8งสมณพราหมณ์เทวดา และมนุษย์ให้ ร้ ตู าม ทรงแสดงธรรม
งามในเบื8องต้ น งามในท่ามกลาง งามในทีA สดุ ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้ อมทั8งอรรถ พร้ อม
ทั8งพยัญชนะ บริสทุ ธิJ บริบูรณ์ส8 นิ เชิงก็การเห็นพระอรหันต์ท8งั หลายเห็นบาปนั8น ย่อมเป็ นการดี
ดังนี8.
ครั8งนั8น พวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวเมืองเวรัญชา จึงเข้ าไปเฝ้ าพระผู้มพี ระภาคถึง
ทีA ประทับ ครั8นแล้ ว บางพวกถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค บางพวกทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระ
ภาคพอให้ ระลึกถึง บางพวกประนมอัญชลี ต่อพระผู้มีพระภาค บางพวกประกาศชืA อและโคตร
ในสํานักพระผู้มีพระภาค บางพวกก็นิAงอยู่ แล้ วต่างก็นAัง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ครั8นแล้ วได้ ทูล
๑๒๐

ถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้ าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็ นเหตุ เป็ นปัจจัย ให้ สัตว์บางพวกใน


โลกนี8 เข้ าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต และนรก เบื8องหน้ าแต่ตาย เพราะกายแตก
ข้ าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็ นเหตุ เป็ นปัจจัย ให้ สตั ว์บางพวกในโลกนี8 เข้ าถึงสุคติ
โลกสวรรค์เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก?
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย สัตว์บางพวกในโลกนี8
เข้ าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต และนรก เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุ คือ ความ
ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติธรรม ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย สัตว์บางพวก
ในโลกนี8เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้ าถึงสุคติ โลกสวรรค์ เพราะเหตุประพฤติ
เรียบร้ อย คือประพฤติธรรม
พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั8นทูลว่า พวกข้ าพระองค์ ย่อมไม่ร้ ูเนื8อความโดยพิสดาร
แห่งธรรมทีA พระโคดมผู้เจริญตรัสโดยย่อ มิได้ ทรงจําแนกความให้ พิสดาร ขอท่านพระโคดม
โปรดแสดงธรรมแก่พวกข้ าพระองค์ โดยให้ พวกข้ าพระองค์ พึงรู้เนื8อความอย่างพิสดารแห่ง
ธรรมทีA ท่านพระโคดมตรัสโดยย่อ มิได้ ทรงจําแนกความให้ พิสดารเถิด.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าเช่นนั8น พวกท่านจงฟัง
จงทําในใจให้ ดี เราจักกล่าว.
พวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวเมืองเวรัญชา ทูลรับพระดํารัสพระผู้มีพระภาคแล้ ว.

อกุศลกรรมบถ ๑๐
[๔๘๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลเป็ นผู้
ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติธรรมด้ วยกายมี ๓ อย่าง ด้ วยวาจามี ๔ อย่าง ด้ วยใจมี ๓
อย่างดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลเป็ นผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติ
ด้ วยกาย๓ อย่างเป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลบางคนในโลกนี8 เป็ นผู้
ฆ่าสัตว์คือเป็ นผู้มีใจหยาบ มีมือเปื8 อนเลือด พอใจในการประหารและการฆ่า ไม่มีความละอาย
ไม่ถงึ ความเอ็นดูในสัตว์ท8งั ปวง.
เป็ นผู้ถอื เอาทรัพย์ทเีA ขามิได้ ให้ คือ ลักทรัพย์อันเป็ นอุปกรณ์เครืA องปลื8มใจของบุคคล
อืA น ทีA อยู่ในบ้ าน หรือทีA อยู่ในป่ า ทีA เจ้ าของมิได้ ให้ ซึA งนับว่าเป็ นขโมย เป็ นผู้ประพฤติผดิ ในกาม
ทั8งหลาย คือ ถึงความสมสู่ในพวกหญิงทีA มารดารักษา ... ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย
บุคคลผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติธรรมด้ วยกาย ๓ อย่าง เป็ นอย่างนี8แล.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บคุ คลผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติ
ธรรมด้ วยวาจา ๔ อย่างเป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลบางคนในโลกนี8
๑๒๑

เป็ นผู้กล่าวคําเท็จ ... เป็ นผู้กล่าวเท็จทั8งรู้อยู่ เป็ นผู้พูดส่อเสียด คือ ได้ ฟังแต่ข้างนี8แล้ วนําไป
บอกข้ างโน้ น ... และกล่าววาจาทีA เป็ นเครืA องทําให้ แตกกันเป็ นพวก ด้ วยประการฉะนี8 เป็ นผู้มี
วาจาหยาบ คือกล่าววาจาหยาบทีA เป็ นโทษ ... เป็ นผู้กล่าวไร้ ประโยชน์ คือ พูดในเวลาทีA ไม่ควร
พูดพูดเรืA องทีA ไม่เป็ นจริง พูดไม่เป็ นประโยชน์ พูดไม่เป็ นธรรม พูดไม่เป็ นวินัย กล่าววาจาไม่มี
หลักฐาน ไม่มีทอีA ้ าง ไม่มีทสีA ดุ ไม่ประกอบด้ วยประโยชน์ โดยกาลไม่สมควร.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อยคือ ไม่ประพฤติ
ธรรมด้ วยวาจา ๔ อย่าง เป็ นอย่างนี8แล.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติ
ธรรมด้ วยใจ ๓ อย่างเป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลบางคนในโลกนี8
เป็ นผู้มคี วามโลภมาก คือเพ่งต่อทรัพย์อนั เป็ นอุปกรณ์เครืA องปลื8มใจของบุคคลอืA นว่า ขอของ
ผู้อืAนพึงเป็ นของเรา ดังนี8.
เป็ นผู้มีจิตพยาบาท คือ ความดําริในใจคิดประทุษร้ ายว่า ขอสัตว์เหล่านี8จงถูกฆ่าบ้ าง
จงถูกทําลายบ้ างจงขาดสูญบ้ าง อย่าได้ มีแล้ วบ้ าง ดังนี8.
เป็ นผู้มคี วามเห็นผิด คือ มีความเห็นวิปริตว่า ผลงานแห่งทานทีA ให้ แล้ วไม่มี ผลแห่ง
การบูชาไม่มีผลแห่งการเซ่นสรวงไม่มี ... สัAงสอนผู้อืAนให้ ร้ ู ไม่มีในโลก ดังนี8.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือไม่ประพฤติ
ธรรมด้ วยใจ ๓ อย่าง เป็ นอย่างนี8แล.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย สัตว์บางพวกในโลกนี8 เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะ
กายแตก ย่อมเข้ าถึงอบายทุคติ วินิบาต และนรกอย่างทีA กล่าวนั8น เพราะเหตุแห่งความประพฤติ
ไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติธรรม อย่างนี8แล.

กุศลกรรมบถ ๑๐
[๔๙๐] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ ผู้
ประพฤติธรรมด้ วยกายมี ๓ อย่าง ด้ วยวาจามี ๔ อย่าง ด้ วยใจมี ๓ อย่าง ดูกรพราหมณ์และ
คฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลประพฤติธรรมด้ วยกาย ๓ อย่างเป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และ
คฤหบดีท8งั หลายบุคคลบางคนในโลกนี8 ละการฆ่าสัตว์ เว้ นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วาง
ศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื8อกูลแก่สตั ว์ท8งั ปวงอยู่.
ละการถือเอาทรัพย์ทเีA ขามิได้ ให้ เว้ นขาดจากการลักทรัพย์ ไม่ลักทรัพย์อันเป็ น
อุปกรณ์เครืA องปลื8มใจของผู้อนืA ทีA อยู่ในบ้ าน หรือทีA อยู่ในป่ า ทีA เจ้ าของมิได้ ให้ ซึAงนับว่าเป็ นขโมย.
๑๒๒

ละความประพฤติผิดในกายทั8งหลาย เว้ นขาดจากการประพฤติผิดในกามทั8งหลาย คือ


ไม่ถงึ ความสมสู่ในพวกหญิง ทีA มารดารักษา ... ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลผู้
ประพฤติเรียบร้ อย คือผู้ประพฤติธรรมด้ วยกาย ๓ อย่าง เป็ นอย่างนี8แล.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บคุ คลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือประพฤติธรรม
ด้ วยวาจา ๔ อย่าง เป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลบางคนในโลกนี8 ละ
การพูดเท็จ เว้ นขาดจากการพูดเท็จ ไปในทีA ประชุม ... และไม่กล่าวเท็จทั8งรู้อยู่ ...ละวาจาอัน
ส่อเสียด เว้ นขาดจากวาจาอันส่อเสียดกล่าววาจาทีA เป็ นเครืA องทําความพร้ อมเพรียงกัน. ละวาจา
หยาบ เว้ นขาดจากวาจาหยาบ ... กล่าววาจาทีA ไม่มีโทษ ... ละการพูดไร้ ประโยชน์ เว้ นขาดจาก
การพูดไร้ ประโยชน์ ... มีหลักฐานมีทอีA ้ าง มีทสีA ดุ ประกอบด้ วยประโยชน์ โดยกาล
อันควร. ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ
ประพฤติธรรมด้ วยวาจา อย่าง เป็ นอย่างนี8แล.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บคุ คลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือประพฤติธรรม
ด้ วยใจ๓ อย่าง เป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลบางคนในโลกนี8 เป็ นผู้ไม่
มีความโลภ ไม่เพ่งเล็งต่อทรัพย์อันเป็ นอุปกรณ์เครืA องปลื8มใจของผู้อนว่ ืA า ขอของผู้อนืA พึงเป็ น
ของเราดังนี8.
เป็ นผู้มีจิตไม่พยาบาท ไม่มีความดําริในใจคิดประทุษร้ ายว่า ขอสัตว์เหล่านี8 จงเป็ นผู้
ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนกัน ไม่มีทุกข์ มีแต่สขุ รักษาตนเถิด ดังนี8. เป็ นผู้มีความเห็นชอบ
มีความเห็นไม่วิปริตว่า ผลแห่งทานทีA ให้ แล้ วมีอยู่ผลแห่งการบูชามีอยู่ ... สมณะและพราหมณ์
ทั8งหลาย ผู้ดาํ เนินชอบ ปฏิบัตชิ อบ ผู้ทาํ โลกนี8และโลกหน้ า ให้ แจ้ งชัดด้ วยปัญญาอันรู้ยิAงเอง
แล้ ว สอนให้ ผ้ ูอนรู ืA ้ ได้ มีอยู่ในโลก ดังนี8.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือประพฤติธรรม
ด้ วยใจ๓ อย่าง เป็ นอย่างนี8แล.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย สัตว์บางพวกในโลกนี8 ย่อมเข้ าถึงสุคติโลกสวรรค์
เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะเหตุแห่งความประพฤติเรียบร้ อย คือ ประพฤติธรรม
อย่างนี8แล.
ว่าด้วยผลแห่งความประพฤติเรียบร้อย
[๔๙๑] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ
ประพฤติธรรมพึงหวังว่า เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกกษัตริย์
มหาศาลข้ อนี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ คือ บุคคลนั8นพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกกษัตริย์มหาศาล นัAนเป็ น
๑๒๓

เพราะเหตุอะไร เป็ นเพราะบุคคลนั8นเป็ นผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ เป็ นผู้ประพฤติธรรม อย่าง


นั8นแหละ.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวังว่า เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกพราหมณ์มหาศาล ...
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ ประพฤติธรรมพึงหวังว่า
เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกคฤหบดีมหาศาล ข้ อนี8เป็ นฐานะทีA
จะมีได้ คือบุคคลนั8นเบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก พึงเข้ าถึงความเป็ นพวกคฤหบดีมหาศาล
นัAนเป็ นเพราะเหตุอะไร เป็ นเพราะบุคคลนั8นเป็ นผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ เป็ นผู้ประพฤติธรรม
อย่างนั8นแหละ.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวังว่า เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกเทวดาชั8นจาตุมหาราชิกา
ข้ อนี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ คือ เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั8นพึงเข้ าถึงความเป็ นพวก
เทวดาชั8นจาตุมหาราชิกา นัAนเป็ นเพราะเหตุอะไร เพราะบุคคลนั8นเป็ นผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ
เป็ นผู้ประพฤติธรรม อย่างนั8นแหละ.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ ประพฤติ
ธรรมพึงหวังว่า เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกเทวดาชั8นดาวดึงส์
... ความเป็ นพวกเทวดาชั8นยามา ... ความเป็ นพวกเทวดาชั8นดุสติ ... ความเป็ นพวกเทวดาชั8น
นิมมานรดี ...ความพวกเทวดาชั8นปรนิมมิตวสวัตตี ... ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ า
บุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือประพฤติธรรมพึงหวังว่า เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เรา
พึงเข้ าถึงความเป็ นพวกเทวดาผู้เนืA องในหมู่พรหมข้ อนี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ คือ เบื8องหน้ าแต่ตาย
เพราะกายแตก บุคคลนั8นพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกเทวดาผู้เนืA องในหมู่พรหม นัAนเป็ นเพราะเหตุ
อะไร เพราะบุคคลนั8นเป็ นผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือเป็ นผู้ประพฤติธรรม อย่างนั8นแหละ.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวังว่า เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกเทวดาชั8นอาภา ข้ อนี8เป็ น
ฐานะทีA จะมีได้ คือ เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั8นพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกเทวดาชั8น
อาภา นัAนเป็ นเพราะเหตุอะไร เพราะบุคคลนั8นเป็ นผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ เป็ นผู้ประพฤติ
ธรรมอย่างนั8นแหละ.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวังว่า เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกเทวดาชั8นปริตตาภา ...
ความเป็ นพวกเทวดาชั8นอัปปมาณาภา ... ความเป็ นพวกเทวดาชั8นอาภัสสระ ... ความเป็ น
๑๒๔

เทวดาชั8นปริตตสุภา ... ความเป็ นพวกเทวดาชั8นอัปปมาณสุภา ... ความเป็ นพวกเทวดาชั8นสุภ


กิณหกะ ... ความเป็ นพวกเทวดาชั8นเวหัปผละ ... ความเป็ นพวกเทวดาชั8นอวิหา ... ความเป็ น
พวกเทวดาชั8นอตัปปา ...ความเป็ นพวกเทวดาชั8นสุทสั สา ... ความเป็ นพวกเทวดาชั8นสุทสั สี ...
ความเป็ นพวกเทวดาชั8นอกนิฏฐะ ... ความเป็ นพวกเทวดาผู้เข้ าถึงอากาสานัญจายตนภพ ...
ความเป็ นพวกเทวดาผู้เข้ าถึงวิญญาณัญจายตนภพ ... ความเป็ นพวกเทวดาผู้เข้ าถึงอา
กิญจัญญายตนภพ ...
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือประพฤติธรรม
พึงหวังว่า เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึงเข้ าถึงความเป็ นพวกเทวดาผู้เข้ าถึงเนวสัญญา
นาสัญญายตนภพ ข้ อนี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ คือ เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก บุคคลนั8นพึง
เข้ าถึงความเป็ นพวกเทวดาผู้เข้ าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนภพ นัAนเป็ นเพราะเหตุอะไร เพราะ
บุคคลนั8นเป็ นผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ เป็ นผู้ประพฤติธรรม อย่างนั8นแหละ.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ถ้ าบุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ ประพฤติธรรม
พึงหวังว่า ขอเราพึงทําให้ แจ้ งซึA งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มอี าสวะ เพราะสิ8นอาสวะเพราะรู้
ยิA งเองแล้ ว เข้ าถึงอยู่ในชาติน8 ีเถิด ข้ อนี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ คือ บุคคลนั8นพึงทําให้ แจ้ งซึA งเจโต
วิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะ เพราะสิ8นอาสวะ เพราะรู้ยิAงเองแล้ ว เข้ าถึงอยู่ในชาติน8 ี นัAน
เป็ นเพราะเหตุอะไร เพราะบุคคลนั8นเป็ นผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ เป็ นผู้ประพฤติธรรมอย่าง
นั8นแหละ.
ความเป็ นผูถ้ งึ พระรัตนตรัยเป็ นสรณะตลอดชีวติ
[๔๙๒] เมืA อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี8แล้ ว พวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวเมือง
เวรัญชา ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้ าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ งนัก
ข้ าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ งนักพระองค์ทรงประกาศพระธรรมโดย
อเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของทีA ควําA เปิ ดของทีA ปิดบอกทางแก่ผ้ ูหลงทาง หรือส่อง
ประทีปในทีA มืดด้ วยตั8งใจว่าคนมีจักษุจักเห็นรูปได้ ดังนี8 พวกข้ าพระองค์น8 ี ขอถึงพระโคดมผู้
เจริญกับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็ นสรณะ ขอพระโคดมผู้เจริญ ขอทรงจําพวกข้ า
พระองค์ว่าเป็ นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัย เป็ นสรณะตลอดชีวิต จําเดิมแต่วันนี8เป็ นต้ นไป ฉะนี8
แล.
เวรัญชกสูตร ทีA ๒ จบ
๑๒๕

อาทิยสูตร
ครั8งนั8น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับถวายบังคม
แล้ วนัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ครั8นแล้ วพระผู้มีพระภาคได้ ตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า
ดูกรคฤหบดี ประโยชน์ทจีA ะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ ๕ ประการนี8 ๕ ประการเป็ นไฉน คือ
อริยสาวกในธรรมวินัยนี8ย่อมใช้ จ่ายโภคทรัพย์ทตีA นหามาได้ ด้วยความหมัAน ความขยัน
สะสมขึ8นด้ วยกําลังแขน อาบเหงืA อต่างนํา8 ชอบธรรม ได้ มาโดยธรรม
เลี8ยงตนให้ เป็ นสุข ให้ อมิA หนําบริหารตนให้ เป็ นสุขสําราญ เลี8ยงมารดาบิดาให้ เป็ นสุข
ให้ อมหนํ ิA าบริหารให้ เป็ นสุขสําราญ เลี8ยงบุตร ภรรยา ทาสกรรมกร คนใช้ ให้ เป็ นสุข ให้ อมิA หนํา
บริหารให้ เป็ นสุขสําราญ นี8เป็ นประโยชน์ทจีA ะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อทีA ๑ ฯ
อีกประการหนึA ง อริยสาวกย่อมใช้ จ่ายโภคทรัพย์ทตีA นหามาได้ ด้วยความหมัAน ความ
ขยัน สะสมขึ8นด้ วยกําลังแขน อาบเหงืA อต่างนํา8 ชอบธรรม ได้ มาโดยธรรม เลี8ยงมิตรสหายให้
เป็ นสุข ให้ อมิA หนํา บริหารให้ เป็ นสุขสําราญ นี8เป็ นประโยชน์ทจีA ะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อทีA ๒

อีกประการหนึA ง อริยสาวกย่อมใช้ จ่ายโภคทรัพย์ทตีA นหามาได้ ด้วยความหมัAน ความ
ขยัน สะสมขึ8นด้ วยกําลังแขน อาบเหงืA อต่างนํา8 ชอบธรรม ได้ มาโดยธรรม ป้ องกันอันตรายทีA
เกิดแต่ไฟ นํา8 พระราชา โจร หรือทายาทผู้ไม่เป็ นทีA รัก ทําตนให้ สวัสดี นี8เป็ นประโยชน์ทจีA ะพึง
ถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อทีA ๓ ฯ

อีกประการหนึA ง อริยสาวกย่อมใช้ จ่ายโภคทรัพย์ทตีA นหามาได้ ด้วยความหมัAน ความ


ขยัน สะสมขึ8นด้ วยกําลังแขน อาบเหงืA อต่างนํา8 ชอบธรรม ได้ มาโดยธรรม ทําพลี ๕อย่าง คือ
๑. ญาติพลี [บํารุงญาติ]
๒. อติถพิ ลี [ต้ อนรับแขก]
๓. ปุพพเปตพลี [บํารุงญาติผ้ ูตายไปแล้ วคือทําบุญอุทศิ กุศลให้ ]
๔. ราชพลี [บํารุงราชการ คือบริจาคทรัพย์ช่วยชาติ]
๕. เทวตาพลี [บํารุงเทวดา คือทําบุญอุทศิ ให้ เทวดา]
นี8เป็ นประโยชน์ทจีA ะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อทีA ๔ ฯ
อีกประการหนึA ง อริยสาวกย่อมใช้ จ่ายโภคทรัพย์ทตีA นหามาได้ ด้วยความหมัAน ความ
ขยัน สะสมขึ8นด้ วยกําลังแขน อาบเหงืA อต่างนํา8 ชอบธรรม ได้ มาโดยธรรม บําเพ็ญทักษิณามีผล
๑๒๖

สูงเลิศ เกื8อกูลแก่สวรรค์ มีวิบากเป็ นสุข ยังอารมณ์เลิศให้ เป็ นไปด้ วยดีในสมณพราหมณ์ผ้ ูเว้ น


จากความมัวเมาประมาท ตั8งอยู่ในขันติและโสรัจจะ ผู้มAันคง ฝึ กฝนตนให้ สงบระงับดับกิเลส
โดยส่วนเดียวนี8เป็ นประโยชน์ทจีA ะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อทีA ๕ ฯ
ดูกรคฤหบดี ประโยชน์ทจีA ะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์๕ประการนี8แล ถ้ าเมืA ออริยสาวกนั8น
ถือเอาประโยชน์แต่โภคทรัพย์๕ประการนี8 โภคทรัพย์หมดสิ8นไปอริยสาวกนั8นย่อมมีความคิด
อย่างนี8ว่า เราได้ ถอื เอาประโยชน์แต่โภคทรัพย์น8ันแล้ วและโภคทรัพย์ของเราก็หมดสิ8นไป ด้ วย
เหตุน8 ี อริยสาวกนั8น ย่อมไม่มีความเดือดร้ อน ถ้ าเมืA ออริยสาวกนั8นถือเอาประโยชน์แต่โภค
ทรัพย์ ๕ ประการนี8โภคทรัพย์เจริญขึ8น อริยสาวกนั8นย่อมมีความคิดอย่างนี8ว่า เราถือเอา
ประโยชน์แต่โภคทรัพย์น8 แี ล้ ว และโภคทรัพย์ของเราก็เจริญขึ8น อริยสาวกนั8นย่อมไม่มีความ
เดือดร้ อน ด้ วยเหตุท8งั ๒ ประการฉะนี8แล ฯ
นรชนเมืA อคํานึงถึงเหตุน8 ีว่า เราได้ ใช้ จ่ายโภคทรัพย์เลี8ยงตนแล้ ว ได้ ใช้ จ่ายโภคทรัพย์
เลี8ยงคนทีA ควรเลี8ยงแล้ ว ได้ ผ่านพ้ นภัยทีA เกิดขึ8นแล้ ว ได้ ให้ ทกั ษิณาอันมีผลสูงเลิศแล้ ว ได้ ทาํ พลี
๕ประการแล้ ว และได้ บาํ รุงท่านผู้มีศลี สํารวมอินทรีย์ประพฤติพรหมจรรย์แล้ ว บัณฑิตผู้อยู่
ครองเรือนพึงปรารถนาโภคทรัพย์ เพืA อประโยชน์ใด ประโยชน์น8นั เราก็ได้ บรรลุแล้ ว เราได้ ทาํ
สิA งทีA ไม่ต้องเดือดร้ อนแล้ ว ดังนี8ชืAอว่าเป็ นผู้ดาํ รงอยู่ในธรรมของพระอริยะ บัณฑิตทั8งหลายย่อม
สรรเสริญเขาในโลกนี8 เมืA อเขาละจากโลกนี8ไปแล้ ว ย่อมบันเทิงใจในสวรรค์ ฯ
อาทิยสูตร จบ

กามสูตร
มีเรืA องเล่าว่า เมืA อพระผู้มพี ระภาคเจ้ าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี พราหมณ์ผ้ ูหนึA งคิด
ว่า เราจักหว่านข้ าวเหนียวใกล้ ฝAังแม่นาํ8 อจิรวดี ในระหว่างกรุงสาวัตถีและพระเชตวันมหา
วิหารจึงไถนา. พระผู้มีพระภาคเจ้ าแวดล้ อมด้ วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้ าไปบิณฑบาตเห็นพราหมณ์
นั8นทรงรําพึงเห็นว่าข้ าวเหนียว ของพราหมณ์น8ันจักเสียหาย จึงทรงรําพึงถึงอุปนิสยั สมบัติของ
พราหมณ์น8ันต่อไปได้ ทรงเห็นอุปนิสยั แห่งโสดาปัตติมรรคของพราหมณ์น8ัน ทรงรําพึงว่า
พราหมณ์น8 ีจักบรรลุเมืA อไร ได้ ทรงเห็นว่า เมืA อข้ าวกล้ าเสียหายพราหมณ์จะถูกความโศก
ครอบงํา เป็ นเหตุให้ ได้ ฟังพระธรรมเทศนา.
ทรงดําริต่อไปว่า หากเราจักเข้ าไปหาพราหมณ์ในตอนนั8น พราหมณ์จักไม่สาํ คัญ
โอวาทของเราทีA ควรจะฟัง เพราะพราหมณ์ท8งั หลายมีความชอบต่าง ๆ กัน เอาเถิด เราจัก
๑๒๗

สงเคราะห์ต8ังแต่บดั นี8ทเี ดียว พราหมณ์มีจิตอ่อนในเราอย่างนี8กจ็ ักฟังโอวาทของเราในตอนนั8น


แล้ วเสด็จเข้ าไปหาพราหมณ์ตรัสถามว่า พราหมณ์ท่านทําอะไร.
พราหมณ์คิดว่าพระสมณโคดมเป็ นผู้มตี ระกูลสูงยังทรงทําการปฏิสนั ถารกับเรา จึงมี
จิตเลืA อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้ า ทันใดนั8นเองกราบทูลว่า ข้ าแต่พระโคดมผู้เจริญข้ า
พระองค์กาํ ลังไถนา จักหว่านข้ าวเหนียวพระเจ้ าข้ า. ลําดับนั8น พระสารีบุตรเถระคิดว่า พระผู้
มีพระภาคเจ้ าได้ ทรงทําการปฏิสันถารกับพราหมณ์ พระตถาคตทั8งหลาย ไม่มีเหตุปัจจัยแล้ ว
จะไม่ทรงทําอย่างนั8น เอาเถิดแม้ เราก็จะทําปฏิสันถารกับพราหมณ์น8ันจึงเข้ าไปหาพราหมณ์
แล้ วได้ ทาํ การปฏิสนั ถารอย่างนั8นเหมือน กัน. พระมหาโมคคัลลานเถระและพระมหาสาวก ๘๐
ก็ทาํ อย่างนั8น พราหมณ์พอใจเป็ นอย่างยิA ง.
ลําดับนั8นพระผู้มีพระภาคเจ้ า เมืA อข้ าวกล้ าสมบูรณ์วันหนึA งเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ ว
เสด็จจากกรุงสาวัตถีไปสู่พระเชตวันแวะแยกทางเข้ าไปหาพราหมณ์ตรัสว่า พราหมณ์นาข้ าว
เหนียวของท่านดีอยู่หรือ,พราหมณ์กราบทูลว่า ข้ าแต่พระโคดมผู้เจริญ หากนาข้ าวเหนียว
สมบูรณ์ดีอยู่อย่างนี8 ข้ าพระพุทธเจ้ าจักแบ่งถวายแด่พระองค์บ้างพระเจ้ าข้ า. ครั8นต่อมาล่วงไป
ได้ ๔ เดือน ข้ าวเหนียวของพราหมณ์ได้ ผลิตผลบริบูรณ์. เมืA อพราหมณ์กาํ ลังขวนขวายว่า
เราจักเกีA ยววันนี8หรือพรุ่งนี8 มหาเมฆตั8งขึ8นแล้ วฝนได้ ตกตลอดคืน. แม่นาํ8 อจิรวดีเต็มเปีA ยมไหล
พัดพาข้ าวเหนียวไปหมด.
พราหมณ์เสียใจตลอดคืน พอสว่างก็ไปยังฝัAงแม่นาํ8 เห็นข้ าวกล้ าเสียหายหมดเกิด
ความโศกอย่างแรงว่า เราฉิบหายแล้ ว บัดนี8เราจักมีชีวติ อยู่ได้ อย่างไร ตอนใกล้ รุ่งของคืน
นั8นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้ าทรงตรวจดูสตั ว์โลกด้ วยพุทธจักษุทรงทราบว่า วันนี8 ถึงเวลา
แสดงธรรมแก่พราหมณ์แล้ ว จึงเสด็จเข้ าไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถีประทับยืนใกล้ ประตูเรือน
ของพราหมณ์.
พราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ าแล้ วคิดว่า พระสมณโคดมมีพระประสงค์จะ
ปลอบใจเรา ผู้ถูกความโศกครอบงําจึงเสด็จมาแล้ วปูอาสนะรับบาตรทูลนิมนต์ให้ ประทับนัAง.
พระผู้มีพระภาคเจ้ าทรงทราบอยู่จึงตรัสถามพราหมณ์ว่า พราหมณ์ท่านเสียใจเรืA องอะไรหรือ.
พราหมณ์กราบทูลว่า ข้ าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถูกแล้ วพระเจ้ าข้ า นาข้ าวเหนียวของข้ า
พระองค์ถูกนํา8 พัดพาเสียหายหมดพระเจ้ าข้ า. ลําดับนั8นพระผู้มีพระภาคเจ้ าตรัสว่า พราหมณ์
เมืA อถึงคราววิบัติ ก็ไม่ควรเสียใจ และเมืA อถึงคราวสมบูรณ์ ก็ไม่ควรดีใจ เพราะชืA อว่ากาม
ทั8งหลาย ย่อมสมบูรณ์บ้าง ย่อมวิบัติบ้างดังนี8 ทรงรู้ธรรมเป็ นทีA สบายของพราหมณ์น8ันจึงได้
ตรัสพระสูตรนี8 ด้ วยอํานาจการแสดงธรรม ดังนี8
๑๒๘

“ถ้าว่าวัตถุกามจะสําเร็จแก่สตั ว์ผปู ้ รารถนาอยู่ไซร้ สัตว์ปรารถนาสิ-งใดได้ส- ิงนัน แล้ว ก็


ย่อมเป็ นผูม้ ีใจเอิบอิ- มแน่แท้ถา้ เมื-อสัตว์นนั ปรารถนาอยู่ เกิดความอยากได้แล้ว กามเหล่านัน
ย่อมเสื-อมไปไซร้ สัตว์นนั ย่อมยับเหมือนถูกลูกศรแทง ฉะนัน ผูใ้ ดงดเว้นกามทัง หลาย เหมือน
อย่างบุคคลเว้นศีรษะงูดว้ ยเท้าของตน ผูน้ นั เป็ นผูม้ ีสติ ย่อมก้าวล่วงตัณหาในโลกนีได้
นรชนใดย่อมยินดีกามเป็ นอันมาก คือนา ที-ดิน เงิน โค ม้า ทาสกรรมกร เหล่าสตรี
และพวกพ้อง กิเลสทัง หลายอันมีกาํ ลังน้อย ย่อมครอบงํายํ-ายีนรชนนัน ได้ อันตรายทัง หลายก็
ย่อมยํ-ายี นรชนนัน แต่นนั ทุกข์ย่อมติดตามนรชนผูถ้ กู อันตรายครอบงํา เหมือนนํา ไหลเข้าสู่เรือ
ที-แตกแล้ว ฉะนัน เพราะฉะนัน สัตว์พึงเป็ นผูม้ ีสติทกุ เมื-อ งดเว้นกามทัง หลายเสีย สัตว์ละกาม
เหล่านัน ได้แล้วพึงข้ามโอฆะได้เหมือนบุรุษวิดเรือแล้วพึงไปถึงฝั-ง ฉะนัน ฯ”
ในบทเหล่านั8นบทว่า กามํ ได้ แก่ วัตถุกามคือธรรมเป็ นไปในภูมิ๓ มีรูปทีA น่ารัก เป็ น
ต้ น บทว่า กามยมานสฺส คือปรารถนา. บทว่า ตสฺส เจตํ สมิชฌ ฺ ติ ความว่า หากวัตถุกาม
นั8นจะสําเร็จแก่สตั ว์ผ้ ูปรารถนานั8น. ท่านอธิบายว่า หากเขาได้ วัตถุกามนั8น. บทว่า อทฺธา ปี ติ
มโน โหติ ได้ แก่ย่อมเป็ นผู้มีใจยินดีโดยส่วนเดียว. บทว่า ลทฺธา แปลว่าได้ แล้ ว. บทว่า มจฺ
โจคือสัตว์. บทว่า ยทิจฉฺ ติ ตัดบทเป็ น ยํ อิจฉฺ ติ ย่อมปรารถนาสิA งใด. บทว่าตสฺส เจ
กามยมานสฺส คือแก่บคุ คลนั8นผู้ปรารถนากาม. หรือชืA นชมด้ วยกาม. บทว่า ฉนฺทชาตสฺส
เกิดความพอใจคือเกิดความอยาก. บทว่า ชนฺตโุ นคือ สัตว์. บทว่า เต กามา ปริหายนฺติ
คือ หากกรรมเหล่านั8นย่อมเสืA อมไปไซร้ . บทว่า สลฺลวิทโฺ ธว รุปฺปติ สัตว์น8ันย่อมย่อยยับ
เหมือนถูกลูกศรแทงคือต่อแต่น8ัน สัตว์ย่อมย่อยยับเหมือนถูกลูกศรทําด้ วยเหล็กเป็ นต้ นแทง.
ในคาถาทีA ๓ มีความสังเขปดังต่อไปนี8. ผู้ใดเว้ นกามเหล่านี8ด้วยการข่มความกําหนัด
ด้ วยความพอใจ หรือด้ วยการตัดเด็ดขาดในกามนั8นเหมือนเว้ นศีรษะงูด้วยเท้ าของตน ผู้น8นั
เป็ นผู้มสี ติ ย่อมก้ าวล่วงตัณหานี8 คือความอยากในโลกได้ เพราะไม่ระลึกถึงโลกแล้ ว.
ต่อแต่น8 ีไปเป็ นความย่อแห่งคาถาทีA แสดงแล้ ว. บุคคลใด ยินดีนามีนาข้ าวเหนียวเป็ น
ต้ น ทีA ดินมีทปีA ลูกเรือนเป็ นต้ น เงิน คือกหาปณะ โค ม้ าประเภทโคและม้ า หญิงทีA ร้ ูกันว่า
เป็ นหญิง พวกพ้ องมีพวกพ้ องของญาติเป็ นต้ น หรือกามเป็ นอันมากมีรปู น่ารักเป็ นต้ นเหล่า
อืA น กิเลสทั8งหลายมีกาํ ลังน้ อยย่อมครอบงํายําA ยีบุคคลนั8นได้ . อธิบายว่ากิเลสทั8งหลายมีกาํ ลัง
น้ อยย่อมครอบงําบุคคลนั8นผู้มีกาํ ลังน้ อย เพราะเว้ นจากกําลังศรัทธาเป็ นต้ น หรือเพราะไม่มี
กําลัง. เมืA อเป็ นเช่นนั8นอันตรายทีA ปรากฏมีราชสีห์เป็ นต้ น และอันตรายทีA ไม่ปรากฏมีกายทุจริต
เป็ นต้ น ย่อมยําA ยีบุคคลนั8น ผู้อยากในกาม รักษากาม และแสวงหากาม. แต่น8ันทุกข์มีชาติ
๑๒๙

เป็ นต้ น ย่อมติดตามบุคคลนั8น ผู้ถูกอันตรายไม่ปรากฏครอบงํา เหมือนนํา8 ไหลเข้ าสู่เรือทีA


แตกแล้ วฉะนั8น เพราะฉะนั8นสัตว์พึงเป็ นผู้มีสติทุกเมืA อด้ วยการเจริญกายคตาสติ เป็ นต้ น
เมืA อเว้ นกิเลสกามแม้ ท8งั หมดในวัตถุกามมีรปู เป็ นต้ น ด้ วยการข่มไว้ และการตัด
เด็ดขาด พึงเว้ นกามทั8งหลาย สัตว์ละกามเหล่านั8นได้ อย่างนี8แล้ ว พึงข้ ามคือสามารถข้ ามโอฆะ
แม้ ๔ อย่างด้ วยมรรคอันทําการละกามนั8นเสียได้ . แต่น8นั พึงวิดเรือคืออัตภาพอันหนักด้ วยนํา8
คือกิเลสแล้ วพึงถึงฝัAงด้ วยอัตภาพอันเบา พึงถึงนิพพานอันเป็ นฝัAงแห่งธรรมทั8งปวง และพึงถึง
ด้ วยการบรรลุพระอรหัต ย่อมปรินิพพานด้ วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เหมือนอย่างบุรษุ วิด
เรือทีA เต็มด้ วยนํา8 แล้ วพึงถึงฝัAง คือไปถึงฝัAงด้ วยเรือทีA เบาด้ วยความลําบากเล็กน้ อยเท่านั8น
ฉะนั8น. พระผู้มีพระภาคเจ้ าทรงจบเทศนาด้ วยธรรมอันเป็ นยอดคือพระอรหัต.
เมืA อจบเทศนา พราหมณ์และพราหมณีต8ังอยู่ในโสดาปัตติผล.

*************
๑๓๐

เรืA อง
“หม้อนํา ที-เต็มด้วยนํา เมื-อวางควํา- ปากลงก็สาํ รอกนํา ออก
ออกไม่เหลือเลย
ไม่รกั ษานํา ไว้ในหม้อนัน แม้ฉนั ใด.
ท่านเห็นยาจก ทัง ชัน ตํ-าชัน กลางและชัน สูง แล้ว
จงให้ทานไม่เหลือเลย เหมือนหม้อนํา ที-ควํา- ปากลง ปาก ฉันนัน เหมือนกัน.”
๑๓๑

เรื.องเกี.ยวกับ ทานบารมี
ทาน คือ กุศลเจตนาอันเป็ นเหตุแห่งการให้ เจตนาทีA คดิ ให้ แบ่งปันเสียสละ และความ
ไม่โลภทีA เป็ นไปกับการให้ กน็ ับว่าเป็ นทาน (เมืA อส่งผลให้ เพียงความสุขในมนุษย์และเทวดา มิ
อาจช่วยให้ ถึงมรรคผลโดยเร็ว)
ทานบารมี คือ คุณธรรม คือทาน(การให้ เจตนาทีA คิดให้ ) ทีA กาํ หนดด้ วยความเป็ นผู้
ฉลาดในอุบาย คือกรุณาอันตัณหามานะ และทิฏฐิไม่เข้ าไปกําจัด.(เมืA อส่งผลให้ ได้ เสวยสุขใน
มนุษย์และเทวดา และสามารถ ให้ ถงึ มรรค ผล นิพพานได้ โดยเร็ว)
ลักษณะ, รส(กิจ) , ปั จจุปัฏฐาน(อาการปรากฏ), ปทัฏฐาน(เหตุใกล้ )
๑. ทานบารมี มีการบริจาค เป็ นลักษณะ
๒. มีการกําจัดโลภในไทยธรรม เป็ นรส.
๓. มีภวสมบัติ และวิภวสมบัติ เป็ นปั จจุปัฏฐาน.
๔. มีวัตถุอนั ควรบริจาค เป็ นปทัฏฐาน.
หรือมี ความเลืA อมใสในสิA งทีA ควรเลืA อมใส เป็ นปทัฏฐาน

ลักษณะแห่งทานบารมีของมหาบุรุษผูม้ อี ัธยาศัยในทาน
(แบบอย่างในการให้ ทาน)
๑. มหาบุรุษตามปกติเป็ นผูม้ ีอธั ยาศัยในทาน ยินดีในทาน เมื.อมีไทยธรรมย่อมให้
ทีเดียว.
๒. ไม่เบืA อหน่ายจากการเป็ นผูม้ ีปกติแจกจ่ ายเนืองๆสมํ.าเสมอ มีความเบิกบาน
เอื1 อเฟื1 อให้มีความสนใจให้.
๓. ครั8นให้ ทานแม้ มากมาย ก็ยงั ไม่พอใจด้วยการให้ ไม่ตอ้ งพูดถึงให้นอ้ ยละ.
๔. เมืA อจะยังอุตสาหะให้ เกิดแก่ผ้ ูอนืA มหาบุรุษย่อมกล่าวถึงคุณในการให้ .
๕. แสดงธรรมปฏิสังยุตด้ วยการให้ .
๖. เห็นคนอืA นให้ แก่คนอืA นก็พอใจ.
๗. ให้ อภัยแก่คนอืA นในฐานะทีA เป็ นภัย.
๘. การพิจารณาเห็นโทษและอานิสงส์ ตามลําดับในการไม่บริจาคและการบริจาค
ข้ อเหล่านี8 เป็ นปั จจัยแห่งบารมี มีทานบารมี เป็ นต้ น
๑๓๒

วิธีพจิ ารณาโทษและอานิสงส์
ในการไม่บริจาคและการบริจาค มีดังต่อไปนี.
การนํามาซึA งความพินาศมากมายหลายอย่างนี8 คือ จากความเป็ นผู้ปรารถนามากด้ วย
วัตถุกามอันมีทดีA ินเป็ นต้ น ของสัตว์ท8งั หลายผู้มีใจหวงแหนข้ องอยู่ มีทดีA ิน สวน เงิน ทอง โค
กระบือ ทาสหญิง ทาสชาย บุตรภรรยาเป็ นต้ น จากความเป็ นสาธารณภัยมีราชภัย โจรภัยเป็ น
ต้ น จากการตั8งใจวิวาทกัน จากการเป็ นข้ าศึกกัน จากสิA งไม่มีแก่นสาร จากเหตุการเบียดเบียน
ผู้อืAน ในการได้ และการคุ้มครองนิมิตแห่งความพินาศ เพราะนํามาซึA งความพินาศหลายอย่าง
มีความโศกเป็ นต้ น และมีความไม่สามารถเป็ นเหตุ เพราะความเป็ นเหตุให้ เกิดในอบายของผู้
มีจิตหมกมุ่นอยู่ในมลทิน คือความตระหนีA ชืA อว่า ปริคคหวัตถุ คือวัตถุทหีA วงแหน. ควรทํา
ความไม่ประมาทในการบริจาคว่า การบริจาควัตถุเหล่านั8นเป็ นความสวัสดีอย่างเดียว.
อีกอย่างหนึA งพิจารณาว่า ผูข้ อเมื.อขอเป็ นผูค้ ุน้ เคยของเราเพราะบอกความลับของตน
เป็ นผูแ้ นะนําแก่เราว่า ท่านจงละสิ.งควรถึง ถือเอาของของตนไปสู่โลกหน้า เมืA อโลกถูกไฟ
คือมรณะเผา เหมือนเรือนถูกไฟเผาเป็ นสหายช่วยแบกของของเราออกไปจากโลกนั8น เมืA อเขา
ยังไม่แบกออกไปเขาก็ยังไม่เผา วางไว้ เป็ นกัลยาณมิตรอย่างยิA ง เพราะความเป็ นสหายใน
กรรมงาม คือทานและเพราะความเป็ นเหตุให้ ถงึ พุทธภูมิทไีA ด้ ยากอย่างยิA งเลิศกว่าสมบัตทิ 8งั ปวง.
อนึA ง พึงเข้ าไปตั8งความน้ อมในการบริจาคว่า ผู้น8 ียกย่องเราในกรรมอันยิA ง.
เพราะฉะนั8นควรทําความยกย่องนั8นให้ เป็ นความจริง. แม้ เขาไม่ขอเราก็ให้ เพราะชีวิตของเขา
แจ้ งชัดอยู่แล้ ว. ไม่ต้องพูดถึงขอละ. ผู้ขอมาแล้ วเองจากทีA เราแสวงหาด้ วยอัธยาศัยอันยิA ง ควร
ให้ ด้วยบุญของเรา. การอนุเคราะห์ของเรานี8โดยมุ่งถึงการให้ แก่ยาจก. เราควรอนุเคราะห์โลก
แม้ ท8งั หมดนี8เหมือนตัวเรา.
เมืA อยาจกไม่มี ทานบารมีของเราจะพึงเต็มได้ อย่างไร.เราควรยึดถือทั8งหมดไว้ เพืA อ
ประโยชน์แก่ยาจกเท่านั8น. เมืA อไรยาจกทั8งหลายไม่ขอเราพึงถือเอาของของเราไปเอง. เราพึง
เป็ นทีA รักและเป็ นทีA ชอบของยาจกทั8งหลายได้ อย่างไร. ยาจกเหล่านั8นพึงเป็ นทีA รัก เป็ นทีA ชอบใจ
ของเราได้ อย่างไร. เราเมืA อให้ กพ็ อใจ แม้ ให้ แล้ วก็ปลื8มใจ เกิดปี ติโสมนัสได้ อย่างไร. หรือ
ยาจกทั8งหลายของเราพึงเป็ นอย่างไร เราจึงจะเป็ นผู้มีอธั ยาศัยกว้ างขวาง. ยาจกไม่ขอเราจะรู้ใจ
ของยาจกทั8งหลายได้ อย่างไรแล้ วจึงให้ .
เมื.อทรัพย์มี ยาจกมี การไม่บริจาค เป็ นการหลอกลวงของเราอย่างใหญ่หลวง. เรา
พึงสละอวัยวะหรือชีวติ ของตนแก่ยาจกทั8งหลายได้ อย่างไร. อีกอย่างหนึA งควรทําจิตให้ เกิดขึ8น
๑๓๓

เพราะไม่คาํ นึงถึงประโยชน์ว่าชืA อว่าประโยชน์น8 ี ย่อมติดตามทายกผู้ไม่สนใจ. เหมือนแมลงวัน


ติดตามนายพรานผู้ล่าเนื8อได้ ย่อมไม่เป็ นทีA สนใจของนายพรานนั8น.
อนึA ง ผิว่า ผู้ขอเป็ นคนทีA รัก พึงให้ เกิดโสมนัสว่า ผู้เป็ นทีA รักขอเรา. แม้ ผ้ ูขอเป็ นคน
เฉยๆ พึงให้ เกิดความโสมนัสว่า ยาจกนี8ขอเราย่อมเป็ นมิตรด้ วยการบริจาคนี8แน่แท้ . แม้ ผ้ ูให้ ก ็
ย่อมเป็ นทีA รักของยาจกทั8งหลาย.แม้ บุคคลผู้มีเวรขอ ก็พึงให้ เกิดโสมนัสเป็ นพิเศษว่าศัตรูขอเรา.
ศัตรูน8 ีเมืA อขอเราเป็ นผู้มีเวร ย่อมเป็ นมิตรทีA รักด้ วยการบริจาคนี8แน่แท้ . พึงยังกรุณามีเมตตา
เป็ นเบื8องหน้ าให้ ปรากฏ แล้ วพึงให้ แม้ ในบุคคลเป็ นกลางและบุคคลมีเวร.
ก็หากว่า โลภธรรมอันเป็ นวิสยั แห่งไทยธรรม พึงเกิดขึ8นแก่โลภะเพราะบุคคลนั8น
อบรมมาช้ านาน. อันผู้ปฏิญญาเป็ นพระโพธิสตั ว์น8ันพึงสําเหนียกว่า ดูก่อนสัตบุรุษท่าน
บําเพ็ญอภินิหารเพื.อความตรัสรูม้ ิใช่หรือ ได้สละกายนี1 เพื.อเป็ นอุปการะแก่สรรพสัตว์ และ
บุญสําเร็จด้วยการบริจาคกายนั1น. ความข้องเป็ นไปในวัตถุแม้ภายนอกของท่านนั1น เป็ น
เช่นกับอาบนํ1าช้าง. เพราะฉะนั8น ท่านไม่ควรให้ ความข้ องเกิดในทีA ไหนๆ. เหมือนอย่างว่าเมืA อ
ต้ นไม้ เป็ นยาใหญ่เกิดขึ8น ผู้ต้องการรากย่อมนํารากไป. ผู้ต้องการสะเก็ดเปลือก ลําต้ น
ค่าคบ แก่น กิA ง ใบ ดอก ย่อมนําไป ผู้ต้องการผลย่อมนําผลไป. ต้ นไม้ น8ัน ใช่เรียกร้อง
ด้วยความวิตกว่า คนพวกนี1 นําของของเราไป ฉันใด เมืA อกายไม่สะอาดเป็ นนิจ จมอยู่ในทุกข์
ใหญ่อนั เราผู้ถึงความขวนขวาย เพืA อประโยชน์แก่สรรพโลกประกอบการ เพืA ออุปการะแก่สตั ว์
เหล่าอืA น ไม่ควรให้ มิจฉาวิตกแม้ เล็กน้ อยเกิดขึ8นฉันนั8น. หรือว่าความพิเศษในธรรมเครืA อง
ทําลาย กระจัดกระจาย และกําจัดโดยส่วนเดียว อันเป็ นมหาภูตรูปภายในและภายนอกเป็ น
อย่างไร. แต่ข้อนี8เป็ นความหลงและความซบเซาอย่างเดียว. คือการยึดถือว่า นัAนของเรา เรา
เป็ นนัAน นัAนเป็ นตนของเรา. เพราะฉะนั8น ผู้ไม่คาํ นึงในมือเท้ านัยน์ตาเป็ นต้ น และในเนื8อ
เป็ นต้ นแม้ ในภายในดุจภายนอก พึงมีใจสละว่า ผู้มีความต้ องการสิA งนั8นๆ จงนําไปเถิด.
อนึA ง เมืA อมหาบุรุษสําเหนียกอย่างนี8 ประกอบความเพียรเพืA อตรัสรู้ไม่คาํ นึงในกายและ
ชีวิต กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็ นอันบริสทุ ธิJด้วยดีโดยไม่ยากเลย. มหาบุรุษนั8นมี
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมบริสุทธิJด้วยดี มีอาชีพบริสุทธิJต8ังอยู่ในการปฏิบัติเพืA อรู้ เป็ นผู้
สามารถเพืA ออนุเคราะห์สรรพสัตว์ ด้ วยการถึงพร้ อมด้ วยความเป็ นผู้ฉลาดในความเสืA อม และ
ฉลาดในอุบาย ด้ วยการบริจาคไทยธรรมโดยประมาณยิA ง และด้ วยการให้ อภัยให้ พระสัทธรรม
นี8เป็ นนัยแห่งการพิจารณาในทานบารมีด้วยประการฉะนี8.
๑๓๔

การพิจารณาโทษและอานิสงส์ ตามลําดับ ในการไม่บริจาคและการบริจาคเป็ นต้ น


อย่างนี8
พึงเห็นว่า เป็ นปัจจัยแห่งบารมีมีทานบารมีเป็ นต้ น.
อะไรเป็ นความเศร้าหมอง ความลูบคลําด้ วยตัณหาเป็ นต้ น เป็ นความเศร้ าหมอง
แห่งบารมีท8งั หลาย หรือ ความเศร้ าหมองแห่งทานบารมี เพราะกําหนดได้ จากไทยธรรมและ
ปฏิคาหก.
ทานบารมีนัน. มีทาน ๓ อย่าง คือ
๑. อามิสทาน ได้ แก่ วัตถุทคีA วรให้ ได้ แก่ วัตถุภายนอก ๑๐ อย่าง มีข้าว นํา8 เป็ น
ต้ น
และอารมณ์ ๖ ได้ แก่ รูปารมณ์ เป็ นต้ น เป็ นการให้โดยทําความอนุเคราะห์
สัตว์ทงั หลาย โดยส่วนมากด้วยการสละเครื-องอุปกรณ์ความสุข ร่างกายและ
ชีวติ
๒. อภัยทาน การกําจัดภัย
๓. ธรรมทาน การชี8แจงธรรมเป็ นข้ อปฏิบัติของทานบารมี.

รายละเอียด เกี.ยวกับอามิสทาน
วัตถุทพระโพธิ
ีA สัตว์ควรให้ มี ๒ อย่าง คือ วัตถุภายนอก วัตถุภายใน
วัตถุภายนอกมี ๑๐ อย่าง คือ ข้ าว๑ นํา8 ๑ ผ้ า๑ ยาน๑ ดอกไม้ ๑ ของหอม๑ เครืA อง
ลูบไล้ ๑ ทีA นอน๑ ทีA อาศัย๑ ประทีป๑. บรรดาวัตถุมีข้าวเป็ นต้ น มีวตั ถุหลายอย่าง โดย
จําแนกของควรเคี8ยวและของควรบริโภคเป็ นต้ น.
อนึA ง วัตถุ ๖ อย่าง คือ รูปารมณ์จนถึงธรรมารมณ์. อนึA ง บรรดาวัตถุมีรปู ารมณ์เป็ นต้ น
วัตถุหลายอย่าง โดยการจําแนกเป็ นสีเขียวเป็ นต้ น. อนึA งวัตถุหลายอย่าง ด้ วยเครืA องอุปกรณ์อนั
ทําความปลาบปลื8มหลายชนิด มีแก้ วมณี กนก เงิน มุกดาประพาฬ นา ไร่ สวน ทาสหญิง
ทาสชาย โค กระบือ เป็ นต้ น.
ในวัตถุเหล่านั8นพระมหาบุรุษเมื.อจะให้วตั ถุภายนอก รู้ด้วยตนเองว่าจะให้ วตั ถุแก่
ผู้มีความต้องการ. แม้เขาไม่ขอก็ให้. ไม่ต้องพูดถึงขอละ. มีของให้ จึงให้ . ไม่มีของให้ ย่อม
ไม่ให้ .
๑๓๕

ให้ส. ิงที.ปรารถนา. เมื.อมีไทยธรรมย่อมไม่ให้ส. ิงที.ไม่ปรารถนา. อาศัยอุปการะ


ตอบย่อมให้ . เมืA อไม่มีไทยธรรมย่อมแบ่งสิA งทีA ปรารถนาให้ สมควรแก่การแจกจ่าย.
อนึA ง ไม่ให้ศตั รายาพิษและของเมาเป็ นต้ น อันจะนํามาซึA งความเบียดเบียนผู้อนืA .
แม้ ของเล่นอันประกอบด้ วยความพินาศ และนํามาซึA งความประมาทก็ไม่ให้ .
อนึA ง ไม่ให้ของไม่เป็ นที.สบาย มีน1 าํ ดื.มและของบริโภคเป็ นต้ น หรือของทีA เว้ น
จากการกําหนดแก่ผ้ ูขอทีA เป็ นไข้ . แต่ให้ ของเป็ นทีA สบายเท่านั8นอันสมควรแก่ประมาณ.
อนึA ง คฤหัสถ์ขอก็ให้ของสมควรแก่คฤหัสถ์. บรรพชิตขอก็ให้ ของสมควรแก่
บรรพชิต. ให้ ไม่ให้ เกิดความเบียดเบียนแก่ใครๆ ในบรรดาบุคคลเหล่านี8 คือ มารดาบิดา
ญาติสาโลหิต มิตรอํามาตย์ บุตรภรรยา ทาสและกรรมกร.
อนึA ง รูไ้ ทยธรรมดีมาก ไม่ให้ของเศร้าหมอง.
อนึA ง ไม่ให้อาศัยลาภสักการะความสรรเสริญ. ไม่ให้อาศัยการตอบแทน.
ไม่ให้หวังผลเว้นแต่สมั มาสัมโพธิญาณ. ไม่ให้รงั เกียจผูข้ อหรือไทยธรรม.
อนึA ง ไม่ให้ทานทอดทิ1 งยาจกผูไ้ ม่สาํ รวม แม้ผูด้ ่าและผูโ้ กรธ. ทีA แท้มีจิตเลืA อมใส
ให้ อนุเคราะ ห์ด้วยความเคารพอย่างเดียว.
ไม่ให้เพราะเชื.อมงคลตื.นข่าว. ให้เพราะเชื.อกรรมและผลแห่งกรรมเท่านั1น.
ไม่ให้โดยที.ทํายาจกให้เศร้าหมองด้วยการให้เข้าไปนัง. ใกล้เป็ นต้น. ให้ไม่ทํา
ให้ยาจกเศร้าหมอง.
อนึA งไม่ให้ประสงค์จะลวงหรือประสงค์จะทําลายผูอ้ . ืน.ให้มีจิตไม่เศร้าหมอง
อย่างดียว.
ไม่ให้ ทานใช้ วาจาหยาบ หน้ านิA วคิ8วขมวด. ให้ พูดน่ารัก พูดก่อน พูดพอประมาณ.
โลภะมีมากในไทยธรรมใด เพราะความพอใจยิA งก็ดี เพราะสะสมมานานก็ดี เพราะความ
อยากตามสภาพก็ดี.
พระโพธิสตั ว์ร้ ูอยู่บรรเทาไทยธรรมนั8นโดยเร็ว แล้ วแสวงหายาจกให้ .
อนึA ง ไทยวัตถุใดนิดหน่อยแม้ ยาจกก็ปรากฏแล้ ว แม้ ไม่คิดถึงไทยวัตถุน8นั ก็ทาํ ตนให้
ลําบาก แล้ วให้ ยาจกนับถือเหมือนอกิตติบัณฑิต ฉะนั8น.
๑๓๖

อนึA ง มหาบุรษุ เมื.อบุตรภรรยาทาสกรรมกรบุรุษของตน ไม่รอ้ งเรียกถึงความ


โทมนัสขอย่อมไม่ให้แก่ยาจกทั1งหลาย. แต่เมืA อชนเหล่านั8นร้ องเรียกถึงความโสมนัสโดย
ชอบ จึงให้ .
อนึA ง เมืA อให้ ร้ ูอยู่ย่อมไม่ให้แก่ยกั ษ์ รากษส ปี ศาจ เป็ นต้น หรือแก่มนุ ษย์
ผูท้ ําการงานหยาบช้า. อนึA ง แม้ ราชสมบัติกไ็ ม่ให้ แก่คนเช่นนั8น. ให้ แก่ผ้ ูทไีA ม่ปฏิบตั ิเพืA อ
ความไม่เป็ นประโยชน์ เพืA อทุกข์ เพืA อความพินาศแก่โลกผู้ทตีA 8ังอยู่ในธรรม คุ้มครองโลกโดย
ธรรม. พึงทราบการปฏิบัติในทานภายนอก ด้ วยประการฉะนี8.
การให้ทานด้วยวัตถุทานภายใน มีรายละเอียดดังนี1
เหมือนบุรุษคนใดคนหนึA งสละตน เพราะเหตุอาหารและเครืA องปกปิ ดแก่ผ้ ูอน. ืA ย่อมถึง
ความเป็ นผู้เชืA อฟัง ความเป็ นทาสฉันใด. พระมหาบุรษุ ก็ฉันนั8นเหมือนกัน มีจิตปราศจาก
อามิสเพราะเหตุสมั โพธิญาณ ปรารถนาประโยชน์สขุ อันยอดเยีA ยมแก่สตั ว์ท8งั หลาย ประสงค์จะ
บําเพ็ญทานบารมีของตน จึงสละตนเพืA อคนอืA น ย่อมถึงความเป็ นผู้เชืA อฟัง ความเป็ นผู้ต้องทํา
ตามความประสงค์.ไม่หวัAนไหว ไม่ท้อแท้ มอบอวัยวะน้ อยใหญ่มีมือเท้ าและนัยน์ตาเป็ นต้ น
ให้ แก่ผ้ ูต้องการด้ วยอวัยวะนั8นๆ.
ไม่ขอ้ งใจ ไม่ถงึ ความสยิ1 วหน้า ในการมอบให้น1นั เหมือนในวัตถุภายนอก. เป็ น
ความจริงอย่างนั8น พระมหาบุรษุ ยังความปรารถนาของยาจกเหล่านั8นให้ บริบูรณ์ ด้ วยการ
บริโภคตามสบายหรือด้ วยความชํานาญของตน จึงสละวัตถุภายนอกด้ วยอาการ ๒ อย่าง ด้ วย
หวังว่า เราให้ทานหมดสิ1 นแล้ว จักบรรลุสมั โพธิญาณด้วยการเสียสละอย่างนี1 ดังนี1 . พึง
ทราบการปฏิบัติในวัตถุภายใน ด้ วยประการฉะนี8.
ให้ วัตถุภายในทีA ให้ ย่อมเป็ นไปเพืA อประโยชน์แก่ยาจก โดยส่วนเดียวเท่านั8น. ใช่จะให้
พวกนั8น. อนึA ง พระมหาบุรุษ เมืA อรู้ย่อมไม่ให้ อตั ภาพหรืออวัยวะน้ อยใหญ่ของตนแก่มารหรือ
แก่เทวดาผู้เนืA องด้ วยหมู่มาร ผู้ประสงค์จะเบียดเบียน ด้ วยคิดว่า ความฉิบหายอย่าได้ มีแก่มาร
เหล่านั8น. ย่อมไม่ให้ แม้ แต่ตุก๊ ตาแป้ ง เหมือนไม่ให้ แก่เทวดาผู้เนืA องด้ วยหมู่มาร ฉะนั8น.ไม่ให้
แม้ แก่คนบ้ า. แต่คนพวกนั8นขอให้ ตลอดไป. เพราะการขอเช่นนั8นหาได้ ยาก และเพราะการ
ให้ เช่นนั8นทําได้ ยาก.
๑๓๗

รายละเอียด เกี.ยวกับอภัยทาน
ส่วนอภัยทาน พึงทราบโดยความป้ องกันจากภัย ทีA ปรากฏแก่สตั ว์ท8งั หลาย จาก
พระราชา โจร ไฟ นํา8 ศัตรู สัตว์ร้ายมีราชสีห์ เสือโคร่งเป็ นต้ น.
รายละเอียด เกี.ยวกับธรรมทาน
ส่วนธรรมทาน ได้ แก่การแสดงธรรมไม่วปิ ริต แก่ผ้ ูมีจิตไม่เศร้ าหมอง. การชี8แจง
ประโยชน์อนั สมควร นําผู้ยังไม่เข้ าถึงศาสนาให้ เข้ าถึงผู้เข้ าถึงแล้ วให้ เจริญงอกงาม ด้ วยทิฏฐ
ธรรมิกประโยชน์ สัมปรายิกและปรมัตถประโยชน์.
ในการแสดงธรรมนั8น พึงทราบนัยโดยสังเขป ดังนี8ก่อน คือ ทานกถา ศีลกถา สัคค
กถา โทษและความเศร้ าหมองของกามและอานิสงส์ในการออกจากกาม. ส่วนโดยพิสดาร.
พึงทราบประดิษฐานและการทําให้ ผ่องแผ้ วในธรรมนั8นๆ ตามสมควร ด้ วยสามารถการ
ประกาศคุณของธรรมเหล่านั8น แก่ผ้ ูมีจิตน้ อมไปแล้ วในสาวกโพธิญาณ คือ การเข้ าถึงสรณะ
การสํารวมศีล ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์ท8งั หลาย ความรู้จักประมาณในการบริโภค การ
ประกอบความเพียรเนืองๆ สัทธรรม ๗ การประกอบสมถะ ด้ วยการทํากรรมในอารมณ์ ๓๘
การประกอบวิปัสสนา ด้ วยหัวข้ อคือการยึดมัAนตามสมควรในการยึดมัAนวิปัสสนา ในรูปกาย
เป็ นต้ น. ปฏิปทาเพืA อความหมดจดอย่างนั8น การยึดถือความถูกต้ อง วิชชา ๓ อภิญญา ๖
ปฏิสมั ภิทา ๔ สาวกโพธิญาณ. อนึA งพึงทราบการประดิษฐาน การทําให้ ผ่องแผ้ วในญาณทั8ง
สอง ด้ วยการประกาศความเป็ นผู้มีอานุภาพมาก ของพระพุทธเจ้ าเหล่านั8น ในฐานะแม้ ๓
อย่าง โดยหัวข้ อประกาศ มีสภาวะลักษณะและรสเป็ นต้ น ของบารมีมีทานบารมีเป็ นต้ น ตาม
สมควรแก่สตั ว์ท8งั หลาย ผู้น้อมไปในปัจเจกโพธิญาณ และในสัมมาสัมโพธิญาณ. พระมหา
บุรุษย่อมให้ ธรรมทานแก่สตั ว์ท8งั หลาย ด้ วยประการฉะนี8.
อนึA ง พระมหาบุรุษเมืA อให้ อามิสทานแก่สตั ว์ท1 งั หลาย ย่อมให้ทานข้าวด้วยตั1งใจว่า
เราพึงยังสมบัติมีอายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณเป็ นต้น และสมบัติคอื ผลเลิศน่ารืA นรมย์ให้
สําเร็จแก่สัตว์ท8งั หลายด้ วยทานนี8.
อนึA ง ให้น1 าํ เพื.อระงับความกระหายคือกามกิเลสของสัตว์ท1 งั หลาย.
ให้ ผ้าเพืA อให้ ผวิ พรรณงาม และเพื.อให้สําเร็จเครื.องประดับคือหิริโอตตัปปะ.
ให้ ยานเพื.อให้สําเร็จอิทธิวิธี คือการแสดงฤทธิได้ และนิพพานสุข.
ให้ ของหอม เพื.อให้สําเร็จความหอมคือศีล.
ให้ ดอกไม้และเครื.องลูบไล้เพื.อให้สําเร็จความงามด้วยพุทธคุณ.
๑๓๘

ให้ อาสนะเพื.อให้สําเร็จอาสนะ ณ โพธิมณฑล.


ให้ ท. ีนอนเพื.อให้สําเร็จตถาคตไสยาคือนอนแบบพระตถาคต.
ให้ ท. ีพกั เพื.อให้สําเร็จความเป็ นสรณะ.
ให้ ประทีปเพื.อให้ได้ปัญจจักขุ.
ให้ รูปเป็ นทานเพื.อให้สําเร็จรัศมีออกจากกายวาหนึ.ง.
ให้ เสียงเป็ นทานเพื.อให้สําเร็จเสียงดุจเสียงพรหม.
ให้ รสเป็ นทานเพื.อเป็ นที.รกั ของโลกทั1งปวง.
ให้ โผฏฐัพพะเป็ นทานเพื.อความเป็ นพุทธสุขุมาล คือความละเอียดอ่อนของ
พระพุทธเจ้า.
ให้ เภสัชเป็ นทานเพื.อความไม่แก่ไม่ตาย.
ให้ ความเป็ นไทแก่ทาสทั1งหลายเพื.อปลดเปลื1 องความเป็ นทาสคือกิเลส.
ให้ ความยินดีในของเล่นที.ไม่มีโทษเป็ นทานเพื.อความยินดีในพระสัทธรรม.
ให้ บุตรเป็ นทานเพื.อนําสัตว์ท1งั หมดออกไปจากความเป็ นบุตรของตนในชาติ
เป็ นอริยะ.
ให้ ภรรยาเป็ นทานเพื.อถึงความเป็ นใหญ่แห่งโลกทั1งสิ1 น.
ให้ ทองแก้วมณี แก้วมุกดา แก้วประพาฬเป็ นต้ น เป็ นทานเพื.อความสมบู รณ์
ด้วยลักษณะงาม.
ให้ เครื.องประดับนานาชนิดเป็ นทานเพื.อความสมบู รณ์แห่งอนุพยัญชนะ.
ให้ คลังสมบัติเป็ นทานเพื.อบรรลุพระสัทธรรม.
ให้ ราชสมบัติเป็ นทานเพื.อความเป็ นพระธรรมราชา.
ให้ สวน สระ ป่ า เป็ นทานเพื.อความสมบูรณ์แห่งฌานเป็ นต้ น.
ให้ เท้าเป็ นทานเพื.อก้าวไปสู่รศั มีโพธิมณฑลด้วยเท้ามีรอยจักร.
ให้ มือเป็ นทานเพื.อให้มือคือพระสัทธรรมแก่สตั ว์ท1 งั หลาย เพื.อถอนออก
จากโอฆะ ๔.
ให้ หูและจมูกเป็ นทานเพื.อได้อินทรียม์ ีสทั ธินทรียเ์ ป็ นต้ น.
ให้ จกั ษุเป็ นทานเพื.อได้สมันตจักข คือจักษุโดยรอบ.
๑๓๙

ให้ เนื1 อและเลือดเป็ นทานด้วยหวังว่าจะนําประโยชน์สุขมาให้แก่สรรพสัตว์


ตลอดกาลทั1งปวง ในการเห็น การฟัง การระลึกถึง การบําเรอเป็ นต้ น. และกายของเรา
พึงเป็ นกายอันโลกทั8งปวงพึงเข้ าไปอาศัย.
ให้ อวัยวะสูงที.สุด เป็ นทานด้วยหวังว่าเราจะพึงเป็ นผูส้ ูงที.สดุ ในโลกทั1งปวง.
อนึA ง มหาบุรุษเมืA อให้อย่างนีไม่ให้เพื-อแสวงหาผิด ไม่ให้เพื-อเบียดเบียนผูอ้ - ื น ไม่ให้
เพราะกลัว เพราะละอาย เพราะเคืองทักขิไณยบุคคล. เมื.อมีของประณีตไม่ให้ของเศร้า
หมอง. ไม่ให้ดว้ ยการยกตน ด้วยการข่มผูอ้ . ืน ด้วยหวังผล ด้วยเกลียดยาจก
ด้วยไม่เคารพ. ทีA แท้ ให้ ด้วยความเคารพ. ให้ ด้วยมือของตน. ให้ ตามกาล. ทําความเคารพ
แล้ วให้ . ให้ ด้วยไม่แบ่งออก. ให้ มีใจยินดีใน ๓ กาล. ครั8นให้ แล้ วก็ไม่เดือดร้ อนในภายหลัง.
ไม่ยกย่องและดูหมิA นปฏิคาหก. เปล่งถ้ อยคําน่ารัก รู้คาํ พูด ผู้เข้ าไปขอให้ พร้ อมทั8งบริวาร.
เพราะเมืA อให้ ข้าวเป็ นทานย่อมให้ พร้ อมด้ วยผ้ าเป็ นต้ นด้ วยตั8งใจว่า เราจักทําสิA งนั8นให้ เป็ น
บริวารแล้ วให้ .
อนึA ง เมื.อให้ผา้ เป็ นทานย่อมให้พร้อมกับข้าวเป็ นต้ น ด้ วยตั8งใจว่า เราจักทําผ้ า
นั8นให้ บริวารแล้ วให้ แม้ ในการให้ ยานเป็ นต้ นก็มีนยั นี8เหมือนกัน.
อนึA ง มหาบุรุษเมืA อให้ รูปเป็ นทานกระทําแม้อารมณ์นอกนั1น ให้เป็ นบริวารของ
รูปนั1นแล้วให้. แม้ ในบททีA เหลือก็อย่างนี8.
ได้ รูปเป็ นทานอย่างใดอย่างหนึA ง ในบรรดาดอกไม้ และผ้ าเป็ นต้ น มีสเี ขียว เหลือง
แดงและขาวเป็ นต้ น แล้วนัง. ขัดสมาธิกาํ หนดรูปคิดว่า เราจักให้รูปเป็ นทาน. รูปเป็ น
ทาน เป็ นของเราทําพร้ อมวัตถุยังทานให้ ต8ังอยู่ในทักขิไณยบุคคลเช่นนั8น. นี8ชืAอว่ารูปเป็ นทาน.
พึงทราบการให้เสียงเป็ นทานด้วยเสียงกลองเป็ นต้น
ในการให้เสียงเป็ นทานนั8นไม่สามารถให้ เสียงได้ ดุจถอนเง่าและรากบัว และดุจวางกํา
ดอกบัวเขียวลงบนมือ. แต่ทําให้พร้อมกับวัตถุ แล้วให้ช. ือว่าให้เสียงเป็ นทาน.
เพราะฉะนั8น ในกาลใดทําเองและใช้ ให้ ทาํ เพลงบูชาพระรัตนตรัยด้ วยดนตรีอย่างใดอย่างหนึA ง
มีกลอง และตะโพน เป็ นต้ น ด้ วยคิดว่าเราจักให้ เสียงเป็ นทาน. ตั8งไว้ เองและให้ ผ้ ูอนืA ตั8งกลอง
เป็ นต้ น ด้ วยตั8งใจว่า เสียงเป็ นทานของเรา.
๑๔๐

ให้ ยาเสียงมีน1 าํ มันและนํ1าผึ1 งเป็ นต้ น แก่พระธรรมกถึกทั8งหลาย. ประกาศฟังธรรม.


สวดสรภัญญะ. กล่าวธรรมกถา. ทําเองและให้ ผ้ ูอนทํ ืA าอุปนิสนิ นกถา คือกถาของผู้เข้ าไปนัAง
ใกล้ และอนุโมทนากถา คือกถาอนุโมทนา. ในกาลนั8นชืA อว่าให้ เสียงเป็ นทาน.
อนึA ง มหาบุรุษได้ วัตถุมกี ลิ.นหอมน่ายินดีอย่างใดอย่างหนึ.ง มีกลิA นหอมทีA รากของ
ต้ นไม้ มีกลิA นเป็ นต้ น หรือกลิA นไรๆ ทีA อบแล้ ว นัAงขัดสมาธิกาํ หนดกลิA นคิดว่า เราจักให้ กลิA นเป็ น
ทาน. กลิA นเป็ นทานของเราแล้ วทําเองและให้ ผ้ ูอนืA ทําการบูชาพระพุทธรัตนะเป็ นต้ น. มหาบุรุษ
บริจาควัตถุมีกลิA นมีกฤษณาและจันทน์เป็ นต้ นเพืA อบูชากลิA น. นี8ชืAอว่าให้ กลิA นทาน.
อนึA ง มหาบุรุษได้วตั ถุมีรสน่ายินดีอย่างใดอย่างหนึ.งมีรสที.รากเป็ นต้ น นัง. ขัดสมาธิ
กําหนดรสคิดว่าเราจักให้รสเป็ นทาน รสเป็ นทานของเราแล้วให้แก่
ทักขิไณยบุคคล. หรือสละข้ าว เปลือก และโคเป็ นต้ น อันมีวัตถุเป็ นรส. นี8ชืAอว่าให้ รสเป็ น
ทาน.
อนึA ง ให้ โผฏฐัพพะเป็ นทานพึงทราบด้วยสามารถเตียงและตัง. เป็ นต้ น และด้ วย
สามารถเครืA องลาดและเครืA องคลุมเป็ นต้ น. มหาบุรุษได้ วตั ถุเป็ นโผฏฐัพพะไม่มีโทษ
น่ายินดี มีสมั ผัสสบาย มีเตียงตัง. ฟูกหมอนเป็ นต้ น หรือมีผา้ นุ่งผ้าห่มเป็ นต้ น
นัง. ขัดสมาธิกาํ หนดโผฏฐัพพะคิดว่า เราจักให้โผฏฐัพพะเป็ นทาน. โผฎฐัพพะ
เป็ นทานของเราแล้วให้แก่ทกั ขิไณยบุคคล. ได้ วัตถุเป็ นโผฏฐัพพะตามทีA กล่าวแล้ วสละ.
นี8ชืAอว่าให้ โผฏฐัพพะเป็ นทาน.
อนึA ง พึงทราบธรรมทานด้ วยสามารถแห่งชีวิตดื.มดํ.ามีโอชะ เพราะประสงค์เอา
ธรรมารมณ์. จริงอยู่ มหาบุรุษได้วตั ถุน่ายินดีอย่างใดอย่างหนึ.งมีรสโอชาเป็ นต้น
แล้วนัง. ขัดสมาธิคิดว่า เราจักให้ธรรมเป็ นทาน. ธรรมเป็ นทานของเราแล้วให้ของ
มีรสอร่อยมีเนยใสเนยข้นเป็ นต้นเป็ นทาน. ให้ ปานะ ๘ อย่าง มีอมั พปานะเป็ นต้ น.
มหาบุรุษนัAงขัดสมาธิคดิ ว่าจะให้ ชีวติ เป็ นทาน จึงให้ สลากภัตรและปักขิกภัตรเป็ นต้ น. จัดหา
หมอเยียวยาคนเจ็บป่ วย. ทําลายตาข่าย. รื8อไซดักปลา. เปิ ดกรงนก. ให้ ปล่อยสัตว์ทผีA ูกไว้
ด้ วยเครืA องผูก. ตีกลองป่ าวประกาศมิให้ ฆ่าสัตว์. ทําเองและให้ ผ้ ูอนทํ ืA ากรรมอย่างอืA นและ
กรรมเห็นปานนี8เพืA อป้ องกันชีวิตสัตว์ท8งั หลาย. นี8ชืAอว่าให้ ธรรมเป็ นทาน.
มหาบุรุษน้ อมทานสัมปทาตามทีA กล่าวแล้ วนี8ท8งั หมด เพืA อประโยชน์สขุ แก่โลกทั8งสิ8น.
๑๔๑

อนึA ง น้ อมทานสัมปทาเพืA อสัมมาสัมโพธิญาณของตนเพืA อวิมุติ ไม่กาํ เริบ เพืA อฉันทะ


วิริยะ สมาธิ ปฏิภาณ ญาณวิมุติไม่ส8 นิ ไป. พระมหาสัตว์ปฏิบตั ิทานบารมีน8 ีพึงปรากฏอนิจจ
สัญญาในชีวิต. ในโภคะก็เหมือนกัน. พึงมนสิการถึงความเป็ นสาธารณะอย่างมากแก่สตั ว์
เหล่านั8น.
พึงให้ ปรากฏมหากรุณาในสัตว์ท1 งั หลายเนืองๆ สมํ.าเสมอ. ถือเอาทรัพย์สินทีA
ควรถือเอาไปได้ นําสมบัติท8งั หมดและตนออกจากเรือนดุจออกจากบ้ านทีA ถูกไฟไหม้ ไม่ให้ มี
อะไรเหลือ. ไม่ทาํ การแบ่งในทีA ไหนๆ.โดยทีA แท้ เป็ นผู้ไม่เพ่งเล็งสละหมดเลย. นี1 เป็ นลําดับ
แห่งการปฏิบตั ิทานบารมี.
อนึA ง เพราะพระมหาสัตว์ผ้ ูบาํ เพ็ญบารมีเพืA อสัมมาสัมโพธิญาณ พึงเป็ นผู้ประกอบ
ความขวนขวายตลอดกาล เพืA อให้ บารมีบริบูรณ์ด้วยบําเพ็ญเกีA ยวเนืA องกันไป. ฉะนั8น
ตลอดเวลาพระมหาสัตว์พิจารณาทุกๆ วันว่า วันนี8เราจะสะสม บุญสมภาร หรือญาณสมภาร
อะไรหนอ. หรือว่า เราจะทําประโยชน์เพืA อผู้อืAนอย่างไรดี พึงทําความอุตสาหะเพืA อประโยชน์
แก่สตั ว์.พระโยคาวจรมีจิตไม่คาํ นึงถึงกายและชีวติ พึงสละวัตถุอันเป็ นทีA หวงแหนของตน เพืA อ
ช่วยสัตว์แม้ ท8งั ปวง. กระทํากรรมอย่างไรอย่างหนึA งด้ วยกาย หรือวาจา. พึงทํากรรมนั8น
ทั8งหมดด้ วยใจน้ อมไปในสัมโพธิญาณเท่านั8น. พึงมีจิตพ้ นจากกามทั8งหลายทั8งทีA ยิAงและยอด.
พระโยคาวจร พึงเข้ าไปตั8งความเป็ นผู้ฉลาดในอุบายแล้ วพึงปฏิบัติในบารมีท8งั ปวงทีA ควร
กระทํา.
พึงปรารภความเพียรในประโยชน์ของสัตว์น8ันๆ พึงอดกลั8นสิA งทั8งปวงมีสิAงทีA น่า
ปรารถนาและไม่น่าปรารถนาเป็ นต้ น. พึงไม่พูดผิดความจริง. พึงแผ่เมตตาและกรุณาแก่สตั ว์
ทั8งปวงโดยไม่เจาะจง. การเกิดขึ8นแห่งทุกข์อย่างใดอย่างหนึA งจะพึงมีแก่สตั ว์ท8งั หลาย พึงหวัง
การเกิดขึ8นแห่งทุกข์ท8งั ปวงนั8นไว้ ในตน.
พึงอนุโมทนาบุญของสัตว์ท8งั ปวง. พึงพิจารณาเนืองๆถึงความทีA พระพุทธเจ้ าเป็ นใหญ่มี
อานุภาพมาก. กระทํากรรมใดๆ ด้ วยกายหรือวาจา พึงทํากรรมนั8นทั8งหมดให้ มีจิตน้อมไปเพื.อ
โพธิญาณเป็ นเบื8องแรก. ก็ด้วยอุบายนี8 พระโพธิสตั ว์ผูเ้ ป็ นมหาสัตว์ประกอบความ
ขวนขวายในทาน เป็ นต้น มีเรี.ยวแรงมีความเพียรมัน. เข้าไปสะสมบุญสมภารและญาณสมภาร
หาประมาณมิได้ทุกๆ วัน
๑๔๒

อีกอย่างหนึA ง เพื.อให้สตั ว์ได้บริโภคและเพื.อคุม้ ครองสัตว์ จึ งสละร่างกาย


และชีวิตของตน พึงแสวงหาและพึงนําสิA งกําจัดทุกข์ มีความหิวกระหาย หนาว ร้ อน ลม
และแดดเป็ นต้ น. ย่อมได้ รับความสุขอันเกิดแต่การกําจัดทุกข์ตามทีA กล่าวแล้ วด้ วยตน. อนึA ง
ย่อมได้ รับความสุขด้ วยตนเพราะไม่มีความร้ อนทางกายและใจในสวน ในปราสาท ในสระ เป็ น
ต้ น และในแนวไพรอันน่ารืA นรมย์.
อนึA งฟังมาว่า พระพุทธเจ้า พระอนุพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทัง หลาย และพระ
มหาโพธิสตั ว์ทงั หลาย ตั1งอยู่ในเนกขัมมปฏิบตั ิย่อมเสวยสุขในฌานและสมาบัติเช่นนี8
อันเป็ นธรรมเครืA องอยู่เป็ นสุขในปัจจุบันดังนี8 ทําความสุขทั8งหมดนั8นไปในสัตว์ท8งั หลายโดยไม่
เจาะจง นี8เป็ นนัยของผู้ต8งั อยู่ในพื8นฐานอันไม่มAันคง.
การทําความอนุเคราะห์ด้วยการบริจาคอุปกรณ์ความสุขแก่สตั ว์ท8งั หลายโดยส่วนมาก
ชืA อว่าปฏิบัติด้วยการให้ . เหตุท8งั หลายมีอาทิ การรักษาชีวิตสมบัติ ภรรยา และกล่าวคําไม่ให้
แตกกันน่ารักเป็ นประโยชน์ และไม่เบียดเบียนสัตว์ท8งั หลายเหล่านั8น.
ความสําเร็จแห่งคู่คือทําและไม่ทํา สิA งเป็ นประโยชน์และไม่เป็ นประโยชน์ -
เพืA อผู้อนืA ด้ วยคู่ คือทานกับศีล.
ความสําเร็จคู่อโลภะและอโทสะ ด้ วยคู่ คือทานกับขันติ.
ความสําเร็จคู่จาคะและสุตะ ด้ วยคู่ คือทานกับวิริยะ.
ความสําเร็จคู่การละกามและโทสะ ด้ วยคู่ คือทานกับฌาน.
ความสําเร็จแห่งคู่คือยานและแอกของพระอริยะ ด้ วยคู่ คือทานกับปัญญา.
ทาน เป็ นปทัฏฐานแห่งอธิษฐานธรรม
ทาน เป็ นปทัฏฐานแห่งอธิษฐานธรรม ๔ แห่งกุศลธรรมทั8งหลาย เพราะปฏิญญาว่า
-เราจักให้ ไม่ให้ ยาจกผิดหวัง
-เพราะให้ ไม่ผิดปฏิญญา
-เพราะอนุโมทนาไม่ผดิ ทาน
-เพราะสละสิA งเป็ นปฏิปักษ์ต่อมัจฉริยะเป็ นต้ น
-เพราะสงบจากภัยคือโลภะ โทสะ และโมหะในไทยธรรมปฏิคคาหก
-ทานและความสิ8นไปแห่งไทยธรรม
-เพราะให้ ตามสมควรตามกาลและตามวิธี
-และเพราะปัญญายิA ง
๑๔๓

เมืA อมหาบุรุษนั8นตั8งใจเพืA อบริจาคโดยชอบอย่างนี8


วัตถุทหวงแหนหรื
ีA อวัตถุไม่มีวิญญาณอันใดเกิดขึ8น. การผูกใจในทาน ๔ คือ การไม่
สะสมทานในกาลก่อน๑ ความทีA วัตถุหวงแหนมีน้อย๑ ความพอใจยิA ง๑ ความคิดถึงความ
หมดสิ8น ๑ ในวัตถุน8ัน.
ในการติดตามทานเหล่านั8น ในกาลใด เมืA อไทยธรรมมีอยู่แก่พระมหาโพธิสตั ว์ และเมืA อยาจก
ปรากฏ จิตในกาลให้ ไม่แล่นไปไม่ก้าวไป. ด้ วยเหตุน8ันควรแน่ใจในข้ อนั8นได้ ว่า เมืA อก่อนเรา
มิได้ สะสมในการให้ เป็ นแน่. ดังนั8นในบัดนี8 ความใคร่ทจะให้ ีA ของเราจึงไม่ต8ังอยู่ในใจ. พระ
มหาโพธิสตั ว์น8ัน บริจาค มีมือสะอาด ยินดีในการเสียสละมีผ้ ูขอ ยินดีในการแจกทาน ย่อม
ให้ ทานด้ วยคิดว่า ต่อแต่น8 ไี ป เราจักมีใจยินดีในทานเป็ นอย่างยิA ง. เอาเถิดเราจักให้ ทานตั8งแต่
วันนี8ไป. การผูกใจในทานข้ อทีA หนึA ง เป็ นอันถูกขจัดไป ตัดขาดไปด้ วยประการฉะนี8.
อนึA ง พระมหาสัตว์ เมืA อไทยธรรมมีน้อยและบกพร่อง ย่อมสําเหนียกว่า เมื-อก่อน
เพราะเราไม่ชอบให้ บัดนีเราจึงขาดแคลนปัจจัยอย่างนี. เพราะฉะนัน บัดนีแม้เราจะ
เบียดเบียนตนด้วยไทยธรรมตามที-ได้นิดหน่อยก็ตาม เลวก็ตาม จะต้องให้ทานจนได้. เราจัก
บรรลุทานบารมีแม้ ต่อไปจนถึงทีA สดุ .
พระมหาสัตว์น8ัน บริจาค มีฝ่ามือสะอาด ยินดีในการเสียสละ มีผ้ ูขอ ยินดีในการ
แจกจ่ายทาน ให้ ทานตามมีตามได้ . การผูกใจในทานข้ อทีA ๒. เป็ นอันถูกขจัดไป ตัดขาดไป ด้ วย
อาการอย่างนี8.
อนึA ง พระมหาสัตว์ เมืA อจิตใคร่จะไม่ให้ เกิดขึ8นเพราะเสียดายไทยธรรม ย่อมสําเหนียกว่า
ดูก่อนสัตบุรุษ ท่านปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณอย่างสูงสุด ประเสริฐกว่าสิA งทั8งปวงมิใช่หรือ.
เพราะฉะนั8นท่านควรให้ ไทยธรรมทีA พอใจอย่างยิA ง เพืA อสัมมาสัมโพธิญาณนั8นเท่านั8น. พระมหา
สัตว์น8ันบริจาค มีมือสะอาด ยินดีในการเสียสละ มีผ้ ูขอยินดีในการแจกจ่ายทาน.การผูกใจ
ทานข้ อทีA ๓ ของพระมหาสัตว์ เป็ นอันถูกขจัดไป ตัดขาดไป ด้ วยอาการอย่างนี8.
อนึA ง พระมหาสัตว์เมืA อให้ ทาน ย่อมเห็นความสิ8นเปลืองของไทยธรรมในกาลใด. ย่อม
สําเหนียกว่า สภาพของโภคะทั8งหลายเป็ นอย่างนี8 คือมีความสิ8นไป เสืA อมไปเป็ นธรรมดา.
อีกอย่างหนึA ง เพราะเราไม่ทาํ ทานเช่นนั8นมาก่อน. โภคะทั8งหลายจึงปรากฏความสิ8นไป
อย่างนี8. เอาเถิดเราจะพึงให้ ทานด้ วยไทยธรรมตามทีA ได้ น้อยก็ตาม ไพบูลย์กต็ าม. เราจักบรรลุ
ถึงทีA สดุ แห่งทานบารมีต่อไป. พระมหาสัตว์น8ัน บริจาค มีมือสะอาด ยินดีในการเสียสละ มี
ผู้ขอ ยินดีในการแจกจ่ายทาน ให้ ทานด้ วยของตามทีA ได้ .
การผูกใจในทานข้ อทีA ๔ ของพระมหาสัตว์ เป็ นอันถูกขจัดไป ตัดขาดไปด้ วยอาการ
อย่างนี8. การพิจารณาตามสมควรแล้ วปัดเป่ าไป เป็ นอุบายของความไม่มีประโยชน์ อันเป็ น
๑๔๔

การผูกใจในทานบารมี ด้ วยอาการอย่างนี8. พึงเห็นแม้ ในศีลบารมีเป็ นต้ น อย่างเดียวกับทาน


บารมี.
อีกอย่างหนึA ง การมอบตนแด่พระพุทธเจ้ าทั8งหลาย ของพระมหาสัตว์น8ันเป็ นอุบายให้
บารมีท8งั ปวงสําเหนียกโดยชอบ. จริงอยู่พระมหาบุรษุ มอบตนแด่พระพุทธเจ้ าทั8งหลายแล้ ว
ดํารงอยู่ เพียรพยายามเพืA อความบริบูรณ์แห่งโพธิสมภารในบารมีน8ันๆ เมืA อตัดอุปกรณ์อนั ทํา
ให้ ร่างกายเป็ นสุขทนได้ ยากบ้ าง ลําบาก มีความยินดีได้ ยากบ้ าง ความพินาศร้ ายแรง อันคร่า
ชีวิตไปน้ อมนําเข้ าไปในสัตว์และสังขารตั8งความปรารถนาว่า เราบริจาคอัตภาพนี8แด่
พระพุทธเจ้ าทั8งหลาย. ขอการบริจาคนั8นจงเป็ นผลในโลกนี8เถิด. นิมติ นั8นไม่หวัAน ไม่ไหว ไม่
ถึงความเป็ นอย่างอืA นแม้ แต่น้อย เป็ นผู้มอี ธิษฐานมัAนคงในการทํากุศลโดยแท้ . แม้ การมอบตน
อย่างนี8กเ็ ป็ นอุบายให้ บารมีเหล่านั8นสําเร็จได้ .
อานิสงค์ของทาน
ดูกรภิกษุท8งั หลาย อานิสงส์แห่งการให้ ทาน ๕ ประการนี8 ๕ ประการ เป็ นไฉน คือ
๑. ผู้ให้ ทานย่อมเป็ นทีA รักทีA ชอบใจของชนหมู่มาก
๒. สัปบุรษุ ผู้สงบย่อมคบหาผู้ให้ ทาน
๓. กิตติศัพท์อันงามของผู้ให้ ทานย่อมขจรทัAวไป
๔. ผู้ให้ ทานย่อมไม่ห่างเหินจากธรรมของคฤหัสถ์
๕. ผู้ให้ ทานเมืA อตายไปแล้ วย่อมเข้ าถึงสุคติโลกสวรรค์
ทายกผู้ให้ โภชนะเป็ นทาน ชืA อว่าให้ ฐานะ ๕ อย่างแก่ปฏิคาหก ๕ อย่าง คือ ให้ อายุ ๑
ให้ วรรณะ ๑ ให้ สขุ ๑ให้ กาํ ลัง ๑ ให้ ปฏิภาณ ๑ครั8นให้ อายุแล้ วย่อมเป็ นผู้มสี ่วนแห่งอายุท8งั ทีA
เป็ นทิพย์ท8งั ทีA เป็ นมนุษย์ ครั8นให้ วรรณะแล้ วย่อมเป็ นผู้มีส่วนแห่งวรรณะทั8งทีA เป็ นทิพย์ท8งั ทีA เป็ น
มนุษย์
ครั8นให้ สุขแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มสี ่วนแห่งสุขทั8งทีA เป็ นทิพย์ท8งั ทีA เป็ นมนุษย์ ครั8นให้ กาํ ลังแล้ ว
ย่อมเป็ นผู้มสี ่วนแห่งกําลังทั8งทีA เป็ นทิพย์ท8งั ทีA เป็ นมนุษย์ครั8นให้ ปฏิภาณแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มีส่วน
แห่งปฏิภาณทั8งทีA เป็ นทิพย์ท8งั ทีA เป็ นมนุษย์ดูกรภิกษุท8งั หลาย ทายกผู้ให้ โภชนะเป็ นทานชืA อว่าให้
ฐานะ ๕ อย่างนี8แล ฯ
ปราชญ์ผ้ ูมปี ั ญญา ให้ อายุย่อมได้ อายุ ให้ กาํ ลัง ย่อมได้ กาํ ลัง ให้ วรรณะย่อมได้ วรรณะ
ให้ ปฏิภาณย่อมได้ ปฏิภาณให้ สขุ ย่อมได้ สขุ ครั8นให้ อายุกาํ ลัง วรรณะ สุข และปฏิภาณแล้ วจะ
เกิดในทีA ใดๆ ย่อมเป็ นผู้มีอายุยืนมียศ ฯ
๑๔๕

ให้ทานเองและชวนคนอืน ได้สมบัติ ๒ อย่าง


"อุบาสกอุบาสิกาทั8งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี8 ให้ ทานด้ วยตน, แต่ไม่ชักชวนผู้อืAน,
เขาย่อมได้ โภคสมบัตแิ ต่ไม่ได้ บริวารสมบัติ ในทีA แห่งตนเกิดแล้ วๆ
บางคนไม่ให้ ทานด้ วยตน, ชักชวนแต่คนอืA น. เขาย่อมได้ บริวารสมบัติ แต่ไม่ได้ โภค
สมบัติในทีA แห่งตนเกิดแล้ วๆ
บางคนไม่ให้ ทานด้ วยตนด้ วย ไม่ชักชวนคนอืA นด้ วย, เขาย่อมไม่ได้ โภคสมบัตไิ ม่ได้
บริวารสมบัติ ในทีA แห่งตนเกิดแล้ วๆเป็ นคนเทีA ยวกินเดน
บางคน ให้ ทานด้ วยตนด้ วย ชักชวนคนอืA นด้ วย,เขาย่อมได้ ท8งั โภคสมบัติและบริวาร
สมบัติ ในทีA แห่งตนเกิดแล้ วๆ."
สัปปุริสทาน ๘
ดูกรภิกษุท8งั หลาย สัปปุรสิ ทาน ๘ ประการนี8 ๘ ประการเป็ นไฉน คือ
๑. ให้ ของสะอาด (ให้ ของทีA สะอาดคือทีA บริสุทธิJสดใส)
๒. ให้ ของประณีต (ให้ ของทีA สมบูรณ์ดี)
๓. ให้ ตามกาล (สมควรแก่การประกอบขวนขวาย)
๔. ให้ ของสมควร (ให้ แต่ของทีA เป็ นกัปปิ ยปะ)
๕. เลือกให้ (เลือกปฏิคคาหก ให้ ทานโดยตั8งใจว่าทานทีA ให้ แล้ วแก่ผ้ ูน8 ี จักมีผลมาก
ทีA ให้ แก่ผ้ ูน8 ีไม่มผี ลมาก)
๖. ให้ เนืองนิตย์
๗. เมืA อให้ จิตผ่องใส
๘. ให้ แล้ วดีใจ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย สัปปุรสิ ทาน ๘ ประการนี8แลฯ สัปบุรษุ ย่อมให้ ทาน คือ ข้ าวและนํา8 ทีA
สะอาด ประณีตตามกาล สมควร เนืองนิตย์ ในผู้ประพฤติพรหมจรรย์ผ้ ูเป็ นเขตดี บริจาคของ
มากแล้ วก็ไม่ร้ ูสกึ เสียดาย ท่านผู้มปี ัญญาเห็นแจ้ ง ย่อมสรรเสริญทานทีA สปั บุรุษให้ แล้ วอย่างนี8
เมธาวีบัณฑิตผู้มีศรัทธา มีใจอันสละแล้ ว บริจาคทานอย่างนี8แล้ ว ย่อมเข้ าถึงโลกอันไม่มีความ
เบียดเบียน เป็ นสุข ฯ
สัปปุริสทาน ๕
ดูกรภิกษุท8งั หลาย สัปปุรสิ ทาน ๕ ประการนี8 ๕ ประการเป็ นไฉน คือ
๑. สัตบุรุษย่อมให้ ทานด้ วยศรัทธา
๒. ย่อมให้ ทานโดยเคารพ
๑๔๖

๓. ย่อมให้ ทานโดยกาลอันควร
๔. เป็ นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ ทาน
๕. ย่อมให้ ทานไม่กระทบตนและผู้อนืA
ดูกรภิกษุท8งั หลาย สัตบุรุษครั8นให้ ทานด้ วยศรัทธาแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มAังคัAง มีทรัพย์มาก มี
โภคะมาก และเป็ นผู้มีรปู สวยงาม น่าดูน่าเลืA อมใสประกอบด้ วยผิวพรรณงามยิA งนัก ในทีA ททีA าน
นั8นเผล็ดผล (บังเกิดขึ8น) ครั8นให้ ทานโดยเคารพแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มAังคัAง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
และเป็ นผู้มีบตุ รภรรยา ทาสคนใช้ หรือคนงาน เป็ นผู้เชืA อฟัง เงีA ยโสตลงสดับคําสัAง ตั8งใจใคร่ร้ ใู น
ทีA ททีA านนั8นเผล็ดผล ครั8นให้ ทานโดยกาลอันควรแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มAังคัAง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
และย่อมเป็ นผู้มีความต้ องการทีA เกิดขึ8นตามกาลบริบูรณ์ ในทีA ททีA านนั8นเผล็ดผล
ครั8นเป็ นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ ทานแล้ วย่อมเป็ นผู้มAงั คัAง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และ
เป็ นผู้มีจิตน้ อมไปเพืA อบริโภคกามคุณ๕สูงยิA งขึ8นในทีA ททานนั
ีA 8นเผล็ดผล ครั8นให้ ทานไม่กระทบ
ตนและผู้อืAนแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มAังคัAง มีทรัพย์มากมีโภคะมาก และย่อมเป็ นผู้มีโภคทรัพย์ไม่มี
ภยันตรายมาแต่ทไีA หนๆคือ จากไฟ จากนํา8 จากพระราชา จากโจร จากคนไม่เป็ นทีA รัก หรือจาก
ทายาทในทีA ททีA านนั8นเผล็ดผล ดูกรภิกษุท8งั หลายสัปปุริสทาน ๕ ประการนี8แล ฯ
กาลทาน
ดูกรภิกษุท8งั หลาย กาลทาน ๕ ประการนี8 ๕ ประการเป็ นไฉน คือ
๑. ทายกย่อมให้ ทานแก่ผ้ ูมาสู่ถนของตน
ิA
๒. ทายกย่อมให้ ทานแก่ผ้ ูเตรียมจะไป
๓. ทายกย่อมให้ ทานในสมัยข้ าวแพง
๔. ทายกย่อมให้ ข้าวใหม่แก่ผ้ ูมีศีล
๕. ทายกย่อมให้ ผลไม้ ใหม่แก่ผ้ ูมีศีล
ดูกรภิกษุท8งั หลาย กาลทาน๕ ประการนี8แล ฯ
ผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ ปราศจากความตระหนีA ย่อมให้ ทานในกาลทีA ควรให้ เพราะ
ผู้ให้ ทานตามกาลในพระอริยเจ้ าทั8งหลาย ผู้ปฏิบัติซืAอตรงผู้มีใจคงทีA เป็ นผู้มีใจผ่องใสทักขิณา
ทานจึงจะมีผลไพบูลย์ ชนเหล่าใดย่อมอนุโมทนาหรือช่วยเหลือในทักขิณาทานนั8น ทักขิณาทาน
นั8นย่อมไม่มีผลบกพร่อง เพราะการอนุโมทนาหรือการช่วยเหลือนั8นแม้ พวกทีA อนุโมทนาหรือ
ช่วยเหลือ ย่อมเป็ นผู้มสี ่วนแห่งบุญเพราะฉะนั8น ผู้มีจิตไม่ท้อถอยจึงควรให้ ทานในเขตทีA มีผล
มาก บุญทั8งหลายย่อมเป็ นทีA พึAงของสัตว์ท8งั หลายในปรโลก ฯ
๑๔๗

ทานวัตถุสตู ร
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ทานวัตถุ ๘ ประการนี8 ๘ ประการเป็ นไฉน คือ
๑. บางคนให้ ทานเพราะชอบพอกัน
๒. บางคนให้ ทานเพราะโกรธ
๓. บางคนให้ ทานเพราะหลง
๔. บางคนให้ ทานเพราะกลัว
๕. บางคนให้ ทานเพราะนึกว่าบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ มา
เคยทํามา เราไม่ควรให้ เสียวงศ์ตระกูลดั8งเดิม
๖. บางคนให้ ทานเพราะนึกว่า เราให้ ทานนี8แล้ ว เมืA อตายไปจักเข้ าถึงสุคติโลกสวรรค์
๗. บางคนให้ ทานเพราะนึกว่า เมืA อเราให้ ทานนี8 จิตใจย่อมเลืA อมใส
ความเบิกบานใจ ความดีใจ ย่อมเกิดตามลําดับ
๘. บางคนให้ ทานเพืA อประดับปรุงแต่งจิต
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ทานวัตถุ ๘ ประการนี8แล ฯ

ทักษิณาทานอันประกอบด้วยองค์ ๖
ทักษิณาทานอันประกอบด้ วยองค์ ๖ คือแบ่งออกเป็ นองค์ ๓ ของทายก และองค์ ๓
ของปฏิคาหก
องค์ ๓ ของทายก เป็ นไฉน ดูกรภิกษุท8งั หลาย ทายกในศาสนานี8
ก่อนให้ทาน เป็ นผู้ดีใจ ๑
กําลังให้ทานอยู่ย่อมยังจิตให้ เลืA อมใส ๑
ครั1นให้ทานแล้วย่อมปลื8มใจ๑นี8องค์ ๓ ของทายก
องค์ ๓ ของปฏิคาหกเป็ นไฉน
- ดูกรภิกษุท8งั หลาย ปฏิคาหกในศาสนานี8เป็ นผู้ปราศจากราคะ หรือปฏิบตั ิเพืA อกํา
จักราคะ ๑
- เป็ นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพืA อกําจัดโทสะ ๑
- เป็ นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพืA อกําจัดโมหะ ๑นี8องค์ ๓ ของปฏิคาหก
ทักษิณาที.เป็ นปาฏิปุคคลิกทาน มี ๑๔ อย่าง
ดูกรอานนท์ ก็ทกั ษิณาเป็ นปาฏิปุคคลิกทาน มี ๑๔ อย่าง คือ
๑. ให้ ทานในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ
๑๔๘

๒. ให้ ทานในพระปัจเจกสัมพุทธนี8
๓. ให้ ทานในสาวกของตถาคตผู้เป็ นพระอรหันต์
๔. ให้ ทาน ในท่านผู้ปฏิบตั เิ พืA อทําอรหัตผลให้ แจ้ ง
๕. ให้ ทานแก่พระอนาคามี
๖. ให้ ทานในท่านผู้ปฏิบัตเิ พืA อทําอนาคามิผลให้ แจ้ ง
๗. ให้ ทาน แก่พระสกทาคามี
๘. ให้ ทานในท่านผู้ปฏิบัตเิ พืA อทําสกทาคามิผลให้ แจ้ ง
๙. ให้ ทานในพระโสดาบัน
๑๐. ให้ ทานในท่านผู้ปฏิบัตเิ พืA อทําโสดาปัตติผลให้ แจ้ ง
๑๑. ให้ ทาน ในบุคคลภายนอกศาสนาผู้ปราศจากความกําหนัดในกาม
๑๒. ให้ ทานในบุคคลผู้มีศีลนอกศาสนา
๑๓. ให้ ทานในปุถุชนผู้ทุศีลนอกศาสนา
๑๔. ให้ ทานในสัตว์เดียรัจฉาน

ผลของทักษิณาทีเป็ นปาฏิปุคคลิก
ดูกรอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั8น
บุคคลให้ ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ ร้อยเท่า ให้ ทานในปุถุชนผู้ทุศลี พึง
หวังผลทักษิณาได้ พันเท่า ให้ ทานในปุถุชนผู้มีศลี พึงหวังผลทักษิณาได้ แสนเท่า ให้ ทานใน
บุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกําหนัดในกามพึงหวังผลทักษิณาได้ แสนโกฏิเท่า ให้ ทานใน
ท่านผู้ปฏิบตั ิเพืA อทํา โสดาปัตติผลให้ แจ้ ง พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้ จนประมาณไม่ได้ จะ
ป่ วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพืA อทําสกทาคามิผลให้ แจ้ ง ในพระสกทาคามี
ในท่านผู้ปฏิบตั ิเพืA อทําอนาคามิผลให้ แจ้ ง ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัตเิ พืA อทําอรหัตผลให้
แจ้ ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็ นพระอรหันต์ ในพระปัจเจกสัมพุทธ และในตถาคตอรหันต
สัมมาสัมพุทธ ฯ
๑๔๙

ทักษิณาที.ถงึ แล้วในสงฆ์มี ๗ อย่าง


ดูกรอานนท์ ก็ทกั ษิณาทีA ถึงแล้ วในสงฆ์มี ๗ อย่าง คือ
๑. ให้ ทานในสงฆ์ ๒ฝ่ าย มีพระพุทธเจ้ าเป็ นประมุข
๒. ให้ ทานในสงฆ์๒ ฝ่ าย ในเมืA อตถาคตปรินิพพานแล้ ว
๓. ให้ ทานในภิกษุสงฆ์
๔. ให้ ทานในภิกษุณสี งฆ์
๕. เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้ โปรดจัดภิกษุและภิกษุณีจาํ นวนเท่านี8 ขึ8นเป็ นสงฆ์แก่ข้าพเจ้ า แล้ ว
ให้ ทาน
๖. เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้ โปรดจัดภิกษุจาํ นวนเท่านี8ข8 นึ เป็ นสงฆ์แก่ข้าพเจ้ า แล้ วให้ ทาน
๗. เผดียงสงฆ์ว่า ขอได้ โปรดจัดภิกษุณจี าํ นวนเท่านี8ข8 นึ เป็ นสงฆ์แก่ข้าพเจ้ า แล้ วให้
ทาน
ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มี ผ้ ากาสาวะพันคอเป็ นคน
ทุศีล มีธรรมลามก คนทั8งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ ในเหล่าภิกษุทุศีลนั8น ดูกรอานนท์
ทักษิณาทีA ถงึ แล้ วในสงฆ์แม้ ในเวลานั8นเราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่ว่าเราไม่
กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่ามีผลมากกล่าวทักษิณาทีA ถงึ แล้ วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย ฯ
ความบริสุทธิKแห่งทักษิณานี.มี ๔ อย่าง
ดูกรอานนท์ ก็ความบริสทุ ธิJแห่งทักษิณานี8มี ๔ อย่าง ๔ อย่าง เป็ นไฉนดูกรอานนท์
ทักษิณาบางอย่างบริสุทธิJฝ่ายทายก ไม่บริสุทธิJฝ่ายปฏิคาหกบางอย่างบริสทุ ธิJฝ่ายปฏิคาหก ไม่
บริสทุ ธิJฝ่ายทายก บางอย่างฝ่ ายทายกก็ไม่บริสทุ ธิJฝ่ายปฏิคาหกก็ไม่บริสทุ ธิJ บางอย่างบริสุทธิJ
ทั8งฝ่ ายทายกและฝ่ ายปฏิคาหก
ดูกรอานนท์ ก็ทกั ษิณาชืA อว่าบริสทุ ธิJฝ่ายทายก ไม่บริสทุ ธิJฝ่ายปฏิคาหกอย่างไร ดูกร
อานนท์ ในข้ อนี8 ทายกมีศีล มีธรรมงาม ปฏิคาหก เป็ นผู้ทุศีล มีธรรมลามก อย่างนี8แล
ทักษิณาชืA อว่าบริสทุ ธิJฝ่ายทายก ไม่บริสทุ ธิJฝ่ายปฏิคาหก ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ทกั ษิณาชืA อว่าบริสุทธิJฝ่ายปฏิคาหก ไม่บริสุทธิJฝ่ายทายกอย่างไร ดูกร
อานนท์ ในข้ อนี8 ทายกเป็ นผู้ทุศลี มีธรรมลามกปฏิคาหกเป็ นผู้มีศลี มีธรรมงาม อย่างนี8แล
ทักษิณาชืA อว่าบริสทุ ธิJฝ่ายปฏิคาหกไม่บริสุทธิJฝ่ายทายก ฯ
๑๕๐

ดูกรอานนท์ ก็ทกั ษิณาชืA อว่าฝ่ ายทายกก็ไม่บริสทุ ธิJ ฝ่ ายปฏิคาหกก็ไม่บริสทุ ธิJอย่างไร


ดูกรอานนท์ในข้ อนี8 ทายกก็เป็ นผู้ทุศลี มีธรรมลามก ปฏิคาหกก็เป็ นผู้ทุศีล มีธรรมลามก
อย่างนี8แล ทักษิณาชืA อว่าฝ่ ายทายกก็ไม่บริสุทธิJ ฝ่ ายปฏิคาหกก็ไม่บริสทุ ธิJ ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ทกั ษิณาชืA อว่าบริสุทธิJท8งั ฝ่ ายทายก และฝ่ ายปฏิคาหกอย่างไรดูกร
อานนท์ ในข้ อนี8 ทายกก็เป็ นผู้มีศลี มีธรรมงาม ปฏิคา หกก็เป็ นผู้มีศลี มีธรรมงาม อย่าง
นี8แล ทักษิณาชืA อว่าบริสทุ ธิJท8งั ฝ่ ายทายกและฝ่ ายปฏิคาหก ฯ
ดูกรอานนท์ นี8แล ความบริสทุ ธิJแห่งทักษิณา ๔ อย่าง ฯ
พระผู้มีพระภาคผู้สคุ ตศาสดาได้ ตรัสไวยากรณภาษิตนี8แล้ ว ได้ ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี8
ต่อไปอีกว่า
๑. ผู้ใดมีศลี ได้ ของมาโดยธรรม มีจติ เลืA อมใสดี เชืA อกรรมและผลแห่งกรรม
อย่างยิA ง ให้ ทานในคนทุศีล ทักษิณาของผู้น8ัน ชืA อว่าบริสุทธิJฝ่ายทายก ฯ
๒. ผู้ใดทุศลี ได้ ของมาโดยไม่เป็ นธรรม มีจิตไม่เลืA อมใส ไม่เชืA อกรรมและผล
ของกรรมอย่างยิA ง ให้ ทานในคนมีศลี ทักษิณาของผู้น8ันชืA อว่า บริสทุ ธิJฝ่ายปฏิคาหก ฯ
๓. ผู้ใดทุศีล ได้ ของมาโดยไม่เป็ นธรรม มีจิตไม่เลืA อมใส ไม่เชืA อกรรมและผล
ของกรรมอย่างยิA ง ให้ ทานในคนทุศลี เราไม่กล่าวทานของผู้น8ันว่า มีผลไพบูลย์ ฯ
๔. ผู้ใดมีศลี ได้ ของมาโดยธรรม มีจิตเลืA อมใสดี เชืA อกรรม และผลของกรรม
อย่างยิA ง ให้ ทานในคนมีศีล เรากล่าวทาน ของผู้น8ันแลว่ามีผลไพบูลย์ ฯ
๕. ผู้ใดปราศจากราคะแล้ ว ได้ ของมาโดยธรรม มีจิตเลืA อมใสดี เชืA อกรรมและผล
ของกรรมอย่างยิA ง ให้ ทานในผู้ปราศจาก ราคะ ทานของผู้น8ันนัAนแล เลิศกว่าอามิสทาน
ทั8งหลาย ฯ
ทายก ทานบดี สหายทาน ทาสทาน
ทายโก แปลว่า ผู้ให้ ทานเป็ นปกติ. ทานปติ ได้ แก่ เป็ นเจ้ าแห่งทานทีA ให้ แล้ วให้
ไม่ใช่เป็ นทาสไม่ใช่เป็ นสหาย. จริงอยู่ ผู้ใดบริโภคของอร่อยด้ วยตนเอง และให้ ของไม่อร่อย
แก่คนอืA น ผู้น8ัน ชืA อว่า เป็ นทาสแห่งไทยธรรม กล่าวคือทาสให้ ทาน [ทาสทาน]. ก็ผ้ ูใด
บริโภคของใดด้ วยตนเองให้ ของนั8นนัAนแหละ ผู้น8ันชืA อว่าเป็ นสหายให้ ทาน [สหายทาน]. ส่วน
ผู้ใดดํารงชีวิตด้ วยของนั8นใดด้ วยตนเอง และให้ ของอร่อยแก่ผ้ ูอืAน ผู้น8ัน ชืA อว่าเป็ นเจ้ า เป็ น
ใหญ่ เป็ นนายให้ ทาน [ทานบดี].
อทนฺตทมนํ ทานํ อทานํ ทนฺตทูสกํ
อเนน ปิ ยวาเจน โอณมนฺติ นมนฺติ จ.
๑๕๑

การให้ ทานเป็ นเครืA องฝึ กจิตทีA ยังไม่ได้ ฝึก


การไม่ให้ ทานเป็ นเครืA องประทุษร้ ายจิตทีA ฝึกแล้ ว
ชนทั8งหลายมีจติ โอนอ่อน และน้ อมลงด้ วยปิ ยวาจานี8.

ความประพฤติท. ีเป็ น กุศลธรรม และ อกุศลธรรม


ความประพฤติทจีA ะนําให้ เกิดกุศลหรือ อกุศลนั8น ได้ แก่ ความประพฤติทางทวารทั8ง ๓
ความประพฤติทเีA ป็ นกุศลเรียกว่า สุจริต ความประพฤติทเีA ป็ นอกุศล เรียกว่า ทุจริต มี
รายละเอียด ดังนี8
๑. สุจริตธรรม คือความประพฤติปฏิบัติดี มีประโยชน์ ให้ ผลเป็ นสุข มี ๓ประการ
(หรือ๑๐)
๑.๑ กายสุจริต ทําสิA งทีA ดีงามถูกต้ องประพฤติชอบด้ วยกาย แบ่งเป็ น ๓ คือ
∗ ละเว้ นการฆ่า สังหาร เบียดเบียน บีบคั8น ; มีเมตตา ช่วยเหลือเกื8อกูล สงเคราะห์
กัน
∗ ละเว้ นการแย่งชิง ลักขโมย เอเปรียบ คดโกง ; เคารพสิทธิในทรัพย์สนิ ของกันและ
กัน
∗ ละเว้ นการประพฤติผิดในกาม ไม่ละเมิดของรักของผู้อนืA
๑.๒ วจี สุจริต พูดสิA งทีA ดงี ามถูกต้ องประพฤติชอบด้ วยวาจา แบ่งเป็ น ๔ คือ
∗ ละเว้ นการพูดเท็จโกหก หลอกลวง ; กล่าว แต่คาํ สัตย์ ไม่จงใจพูดผิดความจริง
∗ ละเว้ นการพูดส่อเสียด ยุยง สร้ างความแตกแยก ; พูดคําส่งเสริมความสมาน
สามัคคี
∗ ละเว้ นจากการพูดหยาบคาย สกปรกเสียหาย ; พูดแต่คาํ สุภาพชวนฟัง ด้ วยจิตใจ
ทีA อ่อนโยน
∗ ละเว้ นการพูดเหลวไหล เพ้ อเจ้ อ ; พูดแต่คาํ จริง มีประโยชน์ และถูกกาลเทศะ
๑.๓ มโนสุจริต คิดสิA งทีA ดีงามถูกต้ องประพฤติชอบด้ วยใจ แบ่งเป็ น ๓คือ
∗ ไม่ละโมบ เพ่งเล็งหาทางเอาแต่จะได้ ; คิดเสียสละ คิดให้ ปัน ไม่ตระหนีA
∗ ไม่คดิ มุ่งร้ ายเบียดเบียน หรือมองในแง่ทจีA ะทําลาย ; ตั8งความปรารถนาดีต่อกัน
∗ มีความเห็นถูกต้ อง เข้ าใจว่า ทําดีได้ ดี ทําชัAวได้ ชAัว ; รู้เท่าทันความจริงของโลกตาม
ความ เป็ นจริง
๑๕๒

๒. ทุจริตธรรม คือ ความประพฤติปฏิบัติทไีA ม่ดี เป็ นไปกับโทษ ให้ ผลเป็ นทุกข์ มี ๓


ประการ (หรือ๑๐)
๒.๑ กายทุจริต (ความทุจริตทางกาย) ทําสิA งทีA ไม่ดีงามไม่ถูกต้ องประพฤติผดิ ด้ วย
กาย แบ่งเป็ น๓
∗ การฆ่า สังหาร เบียดเบียน บีบคั8น
∗ การแย่งชิง ลักขโมย เอเปรียบ คดโกง ไม่เคารพสิทธิในทรัพย์สนิ ของกันและกัน
∗ การประพฤติผดิ ในกาม ละเมิดของรักของผู้อนืA

๒.๒ วจี ทุจริต(ความทุจริตทางวาจา) พูดสิA งไม่ทดีA ีงามไม่ถูกต้ องประพฤติผิดด้ วยวาจา


แบ่งเป็ น๔
∗การพูดเท็จโกหก หลอกลวง
∗การพูดส่อเสียด ยุยง สร้ างความแตกแยก
∗การพูดหยาบคาย สกปรกเสียหาย
∗การพูดเหลวไหล เพ้ อเจ้ อ พูดคําไม่จริง ไม่มปี ระโยชน์ และไม่ถูกกาลเทศะ
๒.๓ มโนทุจริต คิดสิA งทีA ไม่ดีงามไม่ถูกต้ องประพฤติผดิ ด้ วยใจ แบ่งเป็ น ๓
∗ มีความละโมบ เพ่งเล็งหาทางเอาแต่จะได้ ตระหนีA
∗ คิดมุ่งร้ ายพยาบาทเบียดเบียน หรือมองในแง่ทจีA ะทําลาย
∗ มีความเห็นผิด ไม่เชืA อกรรม และผลของกรรม เชืA อดวง ไม่ร้ เู ท่าทันความจริงของ
โลกตามความเป็ นจริง
จบ เรืA องทาน
๑๕๓

ศีล
๑. อะไร คือ ศีล ?
เจตนา ชืA อว่า ศีล เจตสิก ชืA อว่า ศีล สังวรชืA อว่า ศีล
การไม่กา้ วล่วง ชืA อว่า ศีล
๑.๑ เจตนาศีล
ศีล คือ ธรรมทั8งหลายมี เจตนา (ความตั8งใจ) ของบุคคลทีA งดเว้ นจากบาปธรรม
(ทุจริตธรรม) มีปาณาติบาต เป็ นต้ น แล เจตนาของผู้ทบีA าํ เพ็ญวัตรปฏิบตั ิ (กิจหน้ าทีA ข้ อประพฤติ
ตามทําเนียม ทีA ควรกระทํา) ให้ บริบูรณ์ หรือ เจตนาในกุศลกรรมคือ กายสุจริต ๓ และวจีสจุ ริต
๔ เป็ นต้ น
๑.๒ เจตสิกศีล
ศีล คือ วิรตีเจตสิก(การงดเว้ นจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต) ของบุคคลผู้งด
เว้ นจากบาปธรรมมีการฆ่าสัตว์เป็ นต้ น หรือ กุศลธรรมทั8งหลาย คือ ความไม่โลภ ความไม่
พยาบาท ความเห็นทีA ถูกต้ อง
๑.๓ สังวรศีล
ศีล คือ ความสํารวม การระวังปิ ดกั8นบาป อกุศลทั8งหลาย ทาง กายวาจา และใจมี ๕ประเภท

๑. ปาติโมกขสังวร(สํารวมในการไม่ล่วงศีล)
๒. สติสงั วร(สํารวมด้ วย สติ ในการดู,การฟั ง,การกิน เป็ นต้ น)
๓. ญาณสังวร (สํารวมด้ วยปั ญญา,สํารวมในการเสพปั จจัย๔)
๔. ขันติสงั วร (สํารวมด้ วยความอดทน)
๕. วิริยสังวร (สํารวมด้ วยความเพียรในการไม่ให้ ความคิดไม่ดีเกิด,การประกอบอาชีพทีA
บริสทุ ธิJ)
๑.๔ อวีตกมศีล
ศีล คือ การไม่ล่วงละเมิด ทีA เป็ นไปทางกายวาจาของบุคคลทีA สมาทานศีลแล้ ว
๒. ศีลมีลกั ษณะ กิจ อาการ และเหตุใกล้ ดังนี1
๒.๑ ศีล มีลกั ษณะ คือ ความปกติ ในความเป็ นผู้มีกริยาเรียบร้ อย สํารวมไม่
เกะกะฟุ้ งซ่าน (เช่นไม่ทาํ สิA งทีA เป็ นบาป ไร้ สาระ วางตัวดี พูดจาดี เป็ นต้ น) และเป็ นฐานทีA ต8ัง
มัAนรองรับกุศลธรรมทั8งหลาย เช่น สมาธิและวิปัสสนา.
๑๕๔

๒.๒ ผู้ทมีีA ศลี นั8นจะขจัดเสียซึA งความทุศีลมีความไม่สาํ รวม ทาง กาย วาจา ใจ และ
เป็ นผู้มคี ุณทีA หาโทษอันตนเองหรือผู้อนติ ืA เตียนมิได้ เป็ นกิจ .
๒.๓ ผู้มีศีลนั8นสังเกตได้ จากความเป็ นผู้มีกาย วาจา ใจ สะอาดเรียบร้ อยเป็ นผู้ทีA
ปราศจากความเดือดเนื8อร้ อนใจ และทําให้ มีสมาธิดี เป็ นอาการปรากฏ.
๒.๔ คุณธรรมทีA เป็ นเหตุใกล้ให้ เกิดศีลนั8นคือ หิริ (ความละอายต่อทุจริต)
โอตตัปปะ(ความเกรงกลัวต่อทุจริต) เพราะเมืA อบุคคลเมืA อมีความละอาย เกรงกลัวต่อทุจริต
ย่อม สมาทานศีลแล้ ว ศีลย่อมเกิดขึ8นและเพราะความละอายและเกรงต่อทุจริตนั8น จึงไม่ก้าว
ล่วงละเมิดศีล ศีลก็ยังมีอยู่
๓. เหตุท. ีทําให้ล่วงละเมิดศีลที.สมาทานไว้แล้ว
บุคคลบางคนในโลกนี8ย่อมล่วงสิกขาบทตามทีA ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุ ๕ อย่าง คือ
ศีลขาดเพราะลาภ, ศีลขาดเพราะยศ, ไม่มีศีลเพราะญาติ, ทําลายศีลเพราะอวัยวะ,
ศีลขาดเพราะชีวิต, เพราะมีเหตุ๕อย่างนี8ทาํ ให้ ล่วงศีล ศีลขาด จึงเรียกว่า ศีลมีทีA
สิ8นสุด(สปริยันตศีล)
ส่วนบุคคลใดผู้หนักแน่นยินดีในกุศลธรรม ไม่ยอมก้ าวล่วงศีล ด้ วย ลาภ ยศ ญาติ
อวัยวะ หรือ แม้ ด้วยชีวติ ศีลนี8เรียกว่าศีลไม่มีทสีA ดุ (อปริยันตศีล)
๔. ปาริสุทธิศีล ๔ ศีล คือความบริสทุ ธิJ ความประพฤติทบีA ริสทุ ธิJ
๔.๑ ปาฏิโมกขสังวรศีล (ศีลคือการสํารวมในปาฏิโมกข์ มาจาก คําว่า ปาฏิโมกข +
สังวร)
ศีลคือความสํารวมใน ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรืพระปาฏิโมกข์ เว้ นจากการประพฤติ
อนาจาร (สิA งทีA ไม่ควรกระทําดี เป็ นบาป ก่อให้ เกิดโทษ) และประพฤติตามในอาจาร(มารยาท ความ
ประพฤติทีAดี) เคร่งครัดในสิกขาบททั8งหลาย
คําว่า ปาฏิโมกข คือ สิกขาบทศีล เป็ นศีลทีA ค้ ุมครองผู้ทรีA ักษาศีลนั8นให้ พ้นจากทุกข์
ทั8งหลาย มีอบายทุกข์ เป็ นต้ น
คําว่า สังวร คือ ความระวังของการไม่ละเมิด ทางกาย วาจา เมืA อรวมกันคําว่า ปาฏิ
โมกขสังวร คือ ความระวังไม่ละเมิดสิกขาบทศีล ทางกาย วาจา
ภิกษุผ้ ูมปี าฏิโมกข์สงั วรแล้ วพึงเป็ นผู้ถงึ พร้ อมด้ วย อาจารและโคจร (พึงมีมารยาท
และความประพฤติวตั รทีA ดีงาม และ ย่อมคบหากับผู้ทมีA ีศรัทธาในพระพุทธศาสนา อันยัง
ประโยชน์มาให้ )
๑๕๕

* ส่วนอุบาสกอุบาสิกาผู้ มีปาฏิโมกข์สงั วร(ศีล๕ ศีล๘)แล้ ว พึงประพฤติตามมารยาท


จารีตธรรมทีA ดีและคุณธรรมทั8งหลาย มีหลักทิศ ๖ เป็ นต้ น
๔.๒ อินทริยสังวรศีล (ศีลคือการสํารวมอินทรีย์ มาจากคําว่า อินทรีย+สังวร)
อินทรีย ์ คือ ความเป็ นใหญ่ในหน้ าทีA มี๖คือ ตา หู จมูก ลิ8น กาย ใจ (เช่นตาเป็ น
ใหญ่ในการเห็น)
อินทรียส์ งั วร คือ การสํารวมทาง ตา หู จมูก ลิ8น กาย ใจ ไม่ให้ อกุศลครอบงําเมืA อ
รับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ ๖ ไม่ถอื เอาในนิมิตลักษณะทั8งหลาย รายละเอียด ท่าทาง ในรูปทีA เห็น
อันจะเป็ นเหตุให้ กิเลสเกิดขึ8น เช่น ความสวยงาม ของผู้หญิง ผู้ชาย สถานทีA สิA งของอันจะทํา
ให้ กิเลศทั8งหลายมีความโลภ เป็ นต้ น เกิดขึ8น หรือนิมิตทีA ไม่น่าพอใจ คืออาการทีA ไม่น่า
ปรารถนา ของรูปทีA เห็นอันทําให้ เกิดความ ขัดเคืองไม่พอใจ เศร้ าใจ
ทางหูกพ็ ึงพิจารณาและระวังในการรับฟังในเสียงทีA น่าพอใจและทําให้ ขุ่นเคือง จมูก
กับกลิA นทีA ทาํ ให้ ตดิ ข้ องหรือไม่พอใจ ลิ8นกับรสทีA น่ายินดีไม่ยินดี กายกับสัมผัส และใจ กับ
ธรรมารมณ์
การขาดสติ ไม่มีสติสาํ รวมจิตใจ ในยาม เห็น ได้ ยนิ ได้ กลิA น รู้รส สัมผัส รับรู้เรืA องราว
ย่อมเป็ นช่องทางให้ อภิชฌา(ความยินดี)โทมนัส(ความยินร้ าย) และอกุศลอืA น เช่นความ ไม่ร้ ู
หลงมึน ฟุ้ งซ่าน เป็ นต้ นเกิดขึ8นยําA ยีจิตใจ ฉะนั8นพึงมีสติพิจารณาสํารวมในยามได้ เห็นได้ ยิน
เป็ นต้ น เพืA อป้ องกันกิเลศ
๔.๓ อาชีวปาริสุทธิศีล (ศีลคือความบริสุทธิJแห่งอาชีพ )
การเลี8ยงชีวิตโดยทางทีA ชอบ ไม่ประกอบอเนสนา มีการหลอกลวงเขาเลี8ยงชีพ ทํา
นิมิต ด่าแช่งนําลาภต่อลาภ และ ประกอบอาชีพทีA ไม่พึงประกอบอันเป็ นมิจฉาชีพ เป็ นต้ น
สําหรับพระภิกษุการเว้ นจากมิจฉาชีพด้ วยการไม่ละเมิดสิกขาบท๖ประการ เพราะ
อาชีพเป็ นเหตุ
สิกขาบท ๖ ประการ ที.พึงเว้น มีดงั นี1
๑. มีความปราถนาลามกอันอิจฉาครอบงํา กล่าวอวดอุตต์ ริมนุสสธรรม คือ ธรรม
อันเป็ นองค์แห่งพระอริยเจ้ ามิได้ มีในตน ว่ามีในตน มิได้ บังเกิดมีในตน ว่า
บังเกิดมีในตน เพราะเหตุทจีA ะเลี8ยงชีวิต เพราะเหตุคือจะเลี8ยงชีวิต ต้องอาบัติ
ปาราชิก
๒. การชักสืA อหญิงให้ แก่บุรุษ ชักบุรุษให้ แก่หญิง จะให้ เป็ นสามีภริยากันโดยทีA สดุ แม้
หญิงคณิกา ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๑๕๖

๓. การกล่าวถ้ อยคําแก่อบุ าสกว่า พระภิกษุองค์ใดอยู่ในวิหารของท่าน พระภิกษุ


องค์น8ันเป็ นพระอรหันต์กล่าวคําดังนี8 เป็ นเหตุจะเลี8ยงชีวติ เมืA ออุบาสกรู้ว่า
พระภิกษุกล่าวดังนั8นแน่แล้ ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย
๔. อนึA งภิกษุใดมิได้ เป็ นไข้ ขอโภชนอันประณีตจากสกุลเพืA อตนจะบริโภค
ต้องอาบัติปาจิตต์ ิย์
๕. ภิกษุนีไดไม่เป็ นไข้ ขอโภชนอันประณีตเพืA อตนมาบริโภค ต้องอาบัติปาฏิเทสนิ
ยะ
๖. พระภิกษุใดมิได้ เป็ นไข้ ขอแกงหรือข้ าวเพืA อฉันต้ อง อาบัตวิ ่าทุกกฏ

กิริยาอาการที.พงึ งดเว้น
๑. การหลอกลวง (กุหนา) คือ การสยิ8วหน้ า การทํากริยาหลอกลวง การแกล้ งทํา
การวางท่า ของภิกษุผ้ ูต้องการลาภสักการะและคําสรรเสริญ ของผู้มีความ
ปรารถนาลามก เช่น แกล้ งใช้ จีวรเก่าๆ กินอาหารไม่ดี อยู่ทโีA ทรมๆ, บอกเป็ นนัย
ว่าตัวเองมีคุณวิเศษ, แต่ง ท่านัAง , ท่าเดิน เป็ นต้ น เพืA อต้ องการชืA อเสียงลาภ
ยศ
๒. การเลาะเล็ม (ลปนา) คือ พูดทัก เอาใจ ยกยอ ยกตน พูดให้ รัก พูดรับเลี8ยง
เด็ก ของภิกษุผ้ ู
ต้ องการลาภสักการะและคําสรรเสริญ ผู้มีความปรารถนาลามก เช่น พูดกะคนอืA น
ว่าตนเป็ นพระทีA ชาวบ้ านแถบนี8เลืA อมใส พูดชมโยมว่า โยมนีA เป็ นคนมีชืAอเสียงรํา
รวยเงินทอง เป็ นต้ น
๓. การทํานิมิต(เนมิตติกตา) คือ ทําท่าทางเป็ นนิมติ พูดเป็ นนัย พูดเลียบเคียงแก่
ผู้อืAน ของภิกษุผ้ ูต้องการลาภสักการะและคําสรรเสริญ ของผู้มีความปรารถนา
ลามก เช่น ถามว่าท่าได้ ของอะไรมา พูดอ้ อมไปออ้ อมมาเพืA อต้ องการปัจจัยนั8น
เป็ นต้ น
๔. การด่าแช่ง (นิปเปสิกตา) คือ พูดด่า พูดแช่ง พูดให้ ร้าย โพนทะนาโทษ ติ
เตียน ผู้อืAนของภิกษุผ้ ูต้องการลาภสักการะและคําสรรเสริญ ของผู้มีความ
ปรารถนาลามก เช่น พูดข่มว่าท่านนี8ช่างตระหนีA ไม่ยอมให้ ทาน พูดประชด
ประชันว่า “โยมนีA ใจกว้ างมากไม่ให้ ทานทีปีละครั8ง” เป็ นต้ น
๑๕๗

๕. การแสวงหาลาภด้วยลาภคือนําของทีA ได้ จากคนหนึA งไปให้ อีกคนหนึA งของภิกษุผ้ ู


ต้ องการลาภสักการะและคําสรรเสริญ ของผู้มีความปรารถนาลามก
*** สําหรับคฤหัสถ์น8นั ไม่พึงประกอบอาชีพทีA เป็ นไปกับบาปธรรม คืออาชีพทีA
เกีA ยวกับ การฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดหยาบคาย พูดส่อเสียด
เพ้ อเจ้ อ. พึงเว้ นจากการคดโกง หลอกลวง รีดไถ เห็นแก่ได้ ทําของปลอม หลอกคนให้ งม
งายด้ วยการเข้ าทรง ดูดวง เป็ นต้ น
๖ พึงเว้นและไม่พึงชักชวนผูอ้ . ืนให้ทําการค้าขาย ๕ อย่างคือ
๑. การค้ าขายศาตรา ๒.การค้ าขายมนุษย์ ๓.การค้ าขายเนื8อสัตว์(เลี8ยงสัตว์
ขาย) ๔. การค้ าขายนํา8 เมา ๕. การค้ าขายยาพิษ

๔.๔ ปั จจยสันนิสสิตศีล (ศีลคือการพิจารณาในการใช้สอยปั จจัย๔)


การบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาตร เสนาสนะ ยารักษาโรค ทีA บริสุทธิJด้วยการ
พิจารณาให้ ร้ จู ักคุณค่าทีA แท้ ของปัจจัยสีA ว่าแต่ละอย่างใช้ สอยเพืA ออะไร ไม่ติดกับความโก้ หรู
สวยงาม เรคาแพง
๑. จี วร พิจารณาโดยแยบคายแล้ ว เสพจีวรเพียงเพืA อกําจัดหนาว ร้ อน สัมผัส
แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื8อยคลาน เพียงเพืA อจะปกปิ ดอวัยวะทีA ให้ ความละอาย
กําเริบ
๒. บิณฑบาต พิจารณาโดยแยบคายแล้ ว เสพบิณฑบาตมิใช่เพืA อจะเล่น มิใช่เพืA อมัว
เมา มิใช่ เพืA อประดับ มิใช่เพืA อตบแต่ง เพียงเพืA อให้ กายนี8ดาํ รงอยู่ เพืA อให้ เป็ นไปเพืA อกําจัด
ความลําบาก เพืA ออนุเคราะห์แก่พรหมจรรย์ ด้ วยคิดว่า จะกําจัดเวทนาเก่าเสียด้ วยจะไม่ให้
เวทนาใหม่เกิดขึ8นด้ วย ความเป็ นไป ความไม่มีโทษ และความอยู่สบายด้ วย จักมีแก่เราฉะนี8
๓. เสนาสนะ พิจารณาโดยแยบคายแล้ ว เสพเสนาสนะ เพียงเพืA อกําจัดหนาวร้ อน
สัมผัสแห่งเหลือบยุง ลม แดด และสัตว์เลื8อยคลาน เพียงเพืA อบรรเทาอันตรายแต่ฤดู เพืA อ
รืA นรมย์ในการหลีกออกเร้ นอยู่
๔. ยารักษาโรค พิจารณาโดยแยบคายแล้ ว เสพบริขาร คือ ยาอันเป็ นปัจจัยบําบัด
ไข้ เพียงเพืA อกําจัดเวทนาทีA เกิดแต่อาพาธต่างๆ ทีA เกิดขึ8นแล้ ว เพืA อความเป็ นผู้ไม่มีอาพาธ
เบียดเบียนเป็ นอย่างยิA ง.
๑๕๘

* ส่วนคฤหัสถ์น8ัน ให้ พิจารณาในการ ใช้ เสื8อผ้ า อาหาร บ้ านทีA อยู่อาศัย ยารักษาโรค


เพืA อให้ ร้ จู ักใช้ สอยสิA งของต่างๆให้ เกิดประโยชน์ ไม่ให้ ฟุ่มเฟี อย ไม่ติดในค่านิยมตามสมัย แต่
ให้ ตระหนักถึงคุณค่าประโยชน์ใช้ สอยทีA จาํ เป็ นต่อชีวิตทีA แท้ จริง

ข้อศีลแต่ละประเภท แบ่งเป็ น ศีล๕ ศีล๘ ศีล๑๐ ศีล๒๒๗ ศีล๓๑๑


ศีล ๕
๑. เจตนางดเว้ นจากการฆ่าสัตว์
๒. เจตนางดเว้ นจากการลักทรัพย์
๓. เจตนางดเว้ นจากการประพฤติผดิ ในกาม
๔. เจตนางดเว้ นจากมุสาวาท
๕. เจตนางดเว้ นจากการดืA มนํา8 เมา คือ สุราและเมรัยอันเป็ นทีA ต8งั แห่งความประมาท

ศีล ๘
๑. เจตนางดเว้ นจากการฆ่าสัตว์
๒. เจตนางดเว้ นจากการลักทรัพย์
๓. เจตนางงดเว้ นจากอพรหมจรรย์
๔. เจตนางดเว้ นจากมุสาวาท
๕. เจตนางดเว้ นจากการดืA มนํา8 เมาคือ สุราและเมรัยอันเป็ นทีA ต8ังแห่งความประมาท
๖. เจตนางดเว้ นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. เจตนางดเว้ นจากการฟ้ อน การขับ การประโคมการดูการเล่นอันเป็ นข้ าศึก และ
การลูบ
ไล้ ทดั ทรงประดับดอกไม้ และของหอม อันเป็ นลักษณะแห่งการแต่งตัว
๘. เจตนางดเว้ นจากการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนใหญ่

ศีล๑๐
๑. เจตนางดเว้ นจากการฆ่าสัตว์
๒. เจตนางดเว้ นจาก การลักทรัพย์
๓. เจตนางดเว้ นจากอพรหมจรรย์
๑๕๙

๔. เจตนางดเว้ นจาก มุสาวาท


๕. เจตนางดเว้ นจากการดืA มนํา8 เมาคือ สุรา และเมรัยอันเป็ นทีA ต8ังแห่งความประมาท
๖. การบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. เจตนางดเว้ นจากการฟ้ อน การขับ การประโคม และการดูการเล่นอันเป็ นข้ าศึก
ข้ าพเจ้ า
๘. เจตนางดเว้ นจากการลูบไล้ ทดั ทรงประดับดอกไม้ และของหอม อันเป็ นลักษณะแห่ งการ
แต่งตัว
๙. เจตนางดเว้ นจากการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนใหญ่
๑๐. เจตนางดเว้ นจากการรับทองและเงิน
ศีล ๒๒๗ คือ ศีลของพระภิกษุ ทีA มาในพระปาฏิโมกข์ ในวินัยปิ ฎก
ศีล ๓๑๑ คือ ศีลของนางภิกษุณี ทีA มาในพระปาฏิโมกข์ ในวินัยปิ ฎก

• ลักษณะสังเกตความสมบูรณ์ของศีล
๑. ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล คือ ผู้มีศีล ผู้มีศีลไม่วิบัติ (ผู้ไม่ทาํ ลายสังวรโดยการ
สมาทาน)
๒. ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เพราะยังศีลให้ สาํ เร็จ โดยทําให้ บริสุทธิJบริบูรณ์.
๓. ความมีศีลสมบูรณ์ดี เพระมีความไม่ประมาทเป็ นเหตุ

• ลักษณะสังเกตความไม่มีศีล
ผู้ทุศีล คือ ผู้ไร้ ศลี ผู้มีศีลวิบัติ คือผู้ทาํ ลายสังวร ก็บุคคลผู้ไม่มีศลี นั8นมี ๒ อย่าง
คือ
๑. เพราะไม่สมาทาน
๒. เพราะทําลายศีลทีA สมาทานแล้ ว
ใน ๒ อย่างนั8น การไม่สมาทานมีโทษน้ อยกว่าการทําลายศีลมีโทษแรงกว่าเพราะมี
ความประมาทเป็ นเหตุ

• อานิสงค์ของศีล ๕ ประการ (อย่างย่อ)


๑. บุคคลผู้มีศีลผู้ถงึ พร้ อมด้ วยศีลในโลกนี8ย่อมได้ กองแห่งโภคะใหญ่เพราะความไม่
ประมาทเป็ นเหตุ
๒. กิตติศัพท์อันงามของบุคคลผู้มีศลี ผู้ถึงพร้ อมด้ วยศีลย่อมขจรไป
๑๖๐

๓. บุคคลผู้ถงึ พร้ อมด้ วยศีล ย่อมเป็ นผู้แกล้ วกล้ าไม่เก้ อเขินเมืA อเข้ าไปหาบริษัท คือ
ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดีบริษัท หรือ สมณบริษัท.
๔. บุคคลผู้มีศีล ผู้ถงึ พร้ อมด้ วยศีล ย่อมเป็ นผู้ไม่หลงใหลกระทํากาละ(ไม่หลงตาย)
๕. บุคคลผู้มีศีล ผู้ถงึ พร้ อมด้ วยศีล ย่อมเข้ าถึงสุคติโลกสวรรค์ เหมือนถูกเชิญมา
• โทษของการไม่มีศีล หรือศีลวิบตั ิ ๕ ประการ
๑. บุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติในโลกนี8 ย่อมเข้ าถึงความเสืA อมแห่งโภคะใหญ่ เพราะความ
ประมาทเป็ นเหตุ
๒. กิตติศัพท์อันลามกของบุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติ ขจรไปแล้ ว(ชืA อเสียงไม่ดี)
๓. บุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติเข้ าไปหาบริษัท คือ ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดี
บริษัท หรือ สมณบริษัท ย่อมไม่แกล้ วกล้ า เก้ อเขิน
๔. บุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติ ย่อมเป็ นผู้หลงใหลกระทํากาละ(หลงตายทําให้ ไปสู่อบาย)
๕. บุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติ เมืA อตายไป ย่อมเข้ าถึงอบายทุคติ วินิบาตนรก
นอกจากนี8บุคคลผู้มีศลี มีความประพฤติดี เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ค้ ายา เป็ นต้ น
พระราชา รัฐบาล เจ้ าหน้ าทีA ต่างๆ ย่อม จับเขามาประหาร จองจํา เนรเทศ หรือดําเนินคดี
ไม่ได้
ส่วนบุคคลทีA ฆ่ามนุษย์ ก่อการทะเละวิวาท ปล้ นจี8 ข่มขืน ปลอมเอกสาร เสพยาเสพ
ติด เมืA อเขาถูกจับได้ ย่อมถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย ซึA งนับว่าการไม่มีศีลนี8นาํ ความเดือดร้ อน
มาให้
ใน ศีล ๕ นั8น การประพฤติตามศีลแต่ละข้ อย่อมได้ อานิสงส์ทแีA ตกต่างกันไปแต่ละข้ อ
ดังนี8

• อานิสงส์แห่งการรักษาศีล
๑. การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ มีผลอย่างนี8เป็ นต้ น คือ
๑. ความเป็ นผู้สมบูรณ์ด้วยวัยวะน้ อยใหญ่
๒. ความถึงพร้ อมด้ วยส่วนสูงและส่วนกว้ าง
๓. ความถึงพร้ อมด้ วย เชาว์ไวไหวพริบ
๔. ความเป็ นผู้มีเท้ าตั8งอยู่เหมาะสม
๕. ความสวยงาม
๖. ความเป็ นผู้อ่อนโยน
๑๖๑

๗. ความสะอาด
๘. ความกล้ าหาญ
๙. ความเป็ นผู้มีกาํ ลังมาก
๑๐. ความเป็ นผู้มีถ้อยคําสละสลวย
๑๑. ความเป็ นผู้น่ารัก น่าพอใจ ของสัตว์ท8งั หลาย
๑๒. ความเป็ นผู้มีบริษัทไม่แตกแยกกัน
๑๓. ความเป็ นผู้ไม่สะดุ้งหวาดเสียว
๑๔. ความเป็ นผู้อนั ใคร ๆ กําจัดได้ ยาก
๑๕. ความเป็ นผู้ไม่ตายดับการปองร้ ายของผู้อนืA
๑๖. ความเป็ นผู้มีบริวารมาก
๑๗. ความเป็ นผู้มีผิวดังทอง
๑๘. ความเป็ นผู้มีทรวดทรงงาม
๑๙. ความเป็ นผู้มีอาพาธน้ อย
๒๐. ความเป็ นผู้ไม่เศร้ าโศก
๒๑. ความเป็ นผู้ไม่พลัดพราก จากของรักของชอบใจ
๒๒. ความเป็ นผู้มีอายุยืน.

๒. การงดเว้นจากการถือเอาสิ.งของที.เขามิได้ให้โดยการขโมย มีผลอย่างนี8
เป็ นต้ น คือ
๑. ความเป็ นผู้มีทรัพย์ และข้ าวเปลือกมาก
๒. ความเป็ นผู้มีโภคะ อเนกอนันต์
๓. ความเป็ นผู้มีโภคะยัAงยืน
๔. การได้ โภคทรัพย์ตามทีA ต้องการอย่างฉับพลัน
๕. การมีโภคะไม่ทAวั ไปกับพระราชาเป็ นต้ น
๖. ความเป็ นผู้มีโภคะโอฬาร
๗. ความเป็ นหัวหน้ าในทีA น8ัน ๆ
๘. ความเป็ นผู้ไม่ร้ ูจักคําว่าไม่มี
๙. ความเป็ นผู้อยู่อย่างสบาย
๑๖๒

๓. การงดเว้นจากการประพฤติผิดในกามและการประพฤติพรหมจรรย์
มีผลอย่างนี8เป็ นต้ น คือ
๑. ความเป็ นผู้ปราศจากข้ าศึกความเป็ นทีA รักเป็ นทีA พอใจของสรรพสัตว์
๒. ความเป็ นผู้มีปกติได้ ของต่าง ๆ เช่น ข้ าว นํา8 ผ้ า และวัตถุเครืA อง
ปกปิ ด
๓. การนอนหลับสบาย
๔. การตืA นขึ8นมาสบาย
๕. การพ้ นจากภัยในอบาย
๖. ความไม่ควรแก่การเกิดเป็ นหญิง เป็ นกะเทย
๗. ความเป็ นผู้ไม่โกรธ
๘. ความเป็ นผู้มีปกติทาํ จริง
๙. ความเป็ นผู้ไม่เก้ อเขิน
๑๐. ความเป็ นผู้มคี วามสุขด้ วยการรับเชิญ
๑๑. ความเป็ นผู้มีอนิ ทรียบ์ ริบูรณ์
๑๒. ความเป็ นผู้ปราศจากความระแวง
๑๓. ความเป็ นผู้มคี วามขวนขวายน้ อย
๑๔. ความเป็ นผู้อยู่อย่างเป็ นสุข
๑๕. ความเป็ นผู้ไม่มีภัยจากทีA ไหน ๆ
๑๖. ความเป็ นผู้ไม่มีการพลัดพรากจากของรัก

๔. การงดเว้นจากการพูดเท็จ มีผลอย่างนี1 เป็ นต้นคือ


๑. ความเป็ นผู้มีอนิ ทรีย์ผ่องใส
๒. ความเป็ นผู้มีปกติพดู ด้ วยคําสละสลวย อ่อนหวาน
๓. ความเป็ นผู้มีฟันเรียบเสมอ ทั8งขาว ทั8งสะอาด
๔. ความเป็ นผู้ไม่อ้วนจนเกินไป
๕. ความเป็ นผู้ไม่ผอมจนเกินไป
๖. ความเป็ นผู้ไม่ตาAํ เกินไป
๗. ความเป็ นผู้ไม่สงู เกินไป
๘. ความเป็ นผู้มสี มั ผัสเป็ นสุข
๙. ความเป็ นผู้มีกลิA นปากหอมเหมือนกลิA นดอกอุบล)
๑๖๓

๑๐. ความเป็ นผู้มีบริษัท เชืA อฟังตั8งอยู่ในโอวาท


๑๑.ความเป็ นผู้มีวาจาเชืA อถือได้
๑๒.ความเป็ นผู้มลี 8 ิน อ่อน แดง และบางเหมือนกลีบดอกอุบล
๑๓.ความเป็ นผู้ไม่หดหู่
๑๔.ความเป็ นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน

๕. การงดเว้นจากการเสพสุราและของมึนเมา มีผลอย่างนี8เป็ นต้ นคือ


๑. ความเป็ นผู้ไม่ประมาทในกิจและกรณียกิจ ทั8งทีA เป็ นอดีต อนาคต และ
ปัจจุบัน)
๒. ความเป็ นผู้มีญาณ
๓. ความเป็ นผู้มสี ติปรากฏอยู่ทุกเมืA อ)
๔. ความเป็ นผู้มีปฏิภาณ เกิดขึ8นทุกสถาน ในเมืA อมีกจิ และกรณียกิจเกิดขึ8น
๕. ความเป็ นผู้ไม่เกียจคร้ าน
๖. ความเป็ นผู้ไม่โง่เขลา
๗. ความเป็ นผู้ไม่บ้าใบ้
๘. ความเป็ นผู้ไม่หวาดสะดุ้ง
๙. ความเป็ นผู้ไม่มีการแข่งดี
๑๐. ความเป็ นผู้ไม่มีความริษยา
๑๑. ความเป็ นผู้ไม่ตระหนีA
๑๒. ความเป็ นผู้มีปกติกล่าวคําสัตย์
๑๓. ความเป็ นผู้มีปกติไม่พูดส่อเสียด ไม่พดู คําหยาบ ไม่พูดเพ้ อเจ้ อ
๑๔. ความเป็ นคนกตัญ^ู
๑๕. ความเป็ นผู้มีกตเวที
๑๖. ความเป็ นผู้มีโภคะ
๑๗. ความเป็ นผู้มีศลี
๑๘. ความเป็ นผู้ซืAอตรง
๑๙. ความเป็ นผู้ไม่โกรธ
๒๐. ความเป็ นผู้ถงึ พร้ อมด้ วยหิริและโอตัปปะ
๒๑. ความเป็ นผู้มีความเห็นตรง
๒๒.ความเป็ นผู้ฉลาดในสิA งทีA เป็ นประโยชน์ และสิA งมิใช่ประโยชน์
๑๖๔

• ผลของอกุศลเจตนาล่วงอทินนาทาน
ส่วนผลของอกุศลเจตนาล่วงศีล๕แต่ละข้ อมีดังนี8
๑. ผลของอกุศลเจตนาล่วงปาณาติบาต
๑. อายุส8นั ๒. มีโรคมาก ๓. เป็ นคนทุพพลภาพ
๔. อ่อนแอ ๕. เฉืA อยชา ๖. รูปไม่งาม
๗. ปริวารพินาศ ๘. ถูกคนอืA นฆ่าหรือฆ่าตัวตาย
๙. เป็ นคนขี8ขลาด ๑๐. ถูกรังแก
๑๑. เป็ นทีA รังเกียจ ๑๒. มีคนปองร้ าย
๑๓. มีศัตรูมาก ๑๔. ประสบความทุกข์โศก
๑๕. พลัดพรากจากของรัก ๑๖. ลักษณะท่าทางไม่ดี
๒. ผลของอกุศลเจตนาล่วงอทินนาทาน
๑. เป็ นคนมีทรัพย์น้อยยากจน ๒. อดอยาก
๓. ไม่ได้ สมบัติทตีA ้ องการ ๔. การค้ าเสียหายไม่เจริญ
๕. มีทรัพย์กต็ ้ องพินาศไปเพราะภัย ๖. อยู่อย่างไม่สุขสบาย
๗. ไม่มีอยู่เป็ นนิจ ๘. มียศตําA
๓. ผลของอกุศลเจตนาล่วงกาเมสุมิจฉาจารและการประพฤติ
พรหมจรรย์
๑. เป็ นผู้มีศตั รูมาก ๒. เป็ นทีA เกลียดชังของชนทุกจําพวก
๓. ขัดสนลาภ ๔. นอนไม่เป็ นสุข
๕. ตืA นก็เป็ นทุกข์ ๖. ทําให้ เกิดเป็ นหญิงหรือกระเทย
๗. คนขี8ระแวง ๘. มีภัยมาก
๔. ผลของอกุศลเจตนาล่วงมุสาวาจา
๑. เป็ นคนพูดไม่ชัด ๒. มีฟันไม่เสมอกัน
๓. ปากเหม็น ๔. กายมีไอร้ อนผิดปกติ
๕. มีตาเหลือกโปน ๖. วาจาหยาบคาย
๗. ท่าทางไม่สง่างาม ๘. คําพูดไม่เป็ นทีA เชืA อถือ
๕. ผลของอกุศลเจตนาล่วงการดื.มสุราและเมรัย
๑. เป็ นคนบ้ า ๒. ปัญญาอ่อน
๓. เกียจคร้ าน ๔. ไม่มีสติ
๑๖๕

๕. เป็ นคนเงะงะ ๖. เป็ นคนประมาทเผลเรอ


๗. เป็ นคนตระหนีA ๘. ทําให้ เป็ นคนไม่มีคุณธรรม
๙.เป็ นเหตุให้ ทาํ กรรมชัAวอืA นๆได้ ง่าย
• ลักษณะการสมาทานศีลของ อุบาสก อุบาสิกา การสมาทาน ๒ ลักษณะ คือ
๑. การสมาทานเอง
๒. สมาทานในสํานักของผู้อนืA (ต่อหน้ าผู้อืAนเช่นพระ)
∗ วิธีสมาทาน โดยจะสมาทานรวมข้อกัน หรือสมาทานแยกข้อกันก็ได้
- บุคคลสมาทานรวมกันก็มีวริ ัติเดียว มีเจตนาเดียวเท่านั8น แต่ปรากฏว่า
วิรัติและ
เจตนาเหล่านั8น มีถึง ๕ โดยอํานาจกิจคือหน้ าทีA ของศีลแต่ละข้ อๆ
- ส่วนบุคคลทีA สมาทานแยกกันก็พึงทราบว่ามีวิรัติ ๕ เจตนาก็ ๕

ศีล ๕ มีรายละเอียดดังนี1
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี (การงดเว้ นจากการฆ่าสัตว์)
ปาณาติปาตา เวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น จาก
ปาณาติบาต กิริยาไม่ทาํ ปาณาติบาต การไม่ทาํ ปาณาติบาต การไม่ล่วงละเมิดปาณาติบาต การ
ไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งปาณาติบาต การกําจัดต้ นเหตุแห่งปาณาติบาต ในขณะนั8น ของบุคคลผู้
งดเว้ นปาณาติบาต หรือการคิดอ่าน กิริยาทีA คดิ อ่าน ความคิดอ่านในขณะนั8น ของบุคคลผู้งด
เว้ นจากปาณาติบาต หรือ การประคองรักษาไว้ (ปัคคาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ)
ของบุคคลผู้งดเว้ นจากปาณาติบาต
วิเคราะห์เกียวกับศีลข้อ ปาณาติปาตาเวรมณี
ปาณาติปาต (กาฆ่าสัตว์) ในภาษาบาลี มาจากคําว่า ปาณ (สิA งมีชีวิต,ขันธสันดานทีA
เรียกกันว่าสัตว์ ) + อติปาต (การฆ่าสัตว์มีชีวิตให้ ล่วงตกไป) ขันธสันดานนั8นโดยปรมัตถ์ ได้ แก่
รูป-ชีวิตินทรีย์ และนามชีวิตินทรีย์ เมืA อรูปชีวิตินทรีย์ทบีA ุคคลทําให้ พินาศแล้ ว นามชีวติ ินทรีย์ก็
พินาศไปด้ วย เพราะนามชีวติ ินทรีย์ เนืA องกับรูปชีวติ ินทรีย์น8ัน.
๑๖๖

ปาณาติบาต คือ เจตนาคิดจะฆ่าของผู้มคี วามสําคัญในสัตว์มีชีวิตนั8น ว่าเป็ นสัตว์มี


ชีวิต ทีA มีความพยายาม เข้ าไปตัดขาดชีวิตินทรีย์ โดยทางกายทวาร หรือวจีทวาร ทวารใด
ทวารหนึA ง
การทําปาณาติบาต ด้ วยวธกเจตนา(เจตนาฆ่า)ทีA เป็ นไปแล้ วในมโนทวาร(ทางใจ)นั8น
ไม่นับ เป็ นปาณาติบาต เพราะปาณาติบาตเกิด ทางกาย คือ ฆ่าเอง หรือ วาจาคือใช้ ผ้ ูอนืA ฆ่า
หรือใช้ มนต์ดาํ
ลักษณะโทษของปาณาติบาต
เมืA อว่าโดยโทษมาก บรรดาสัตว์มีชีวิตทีA เว้ นจากคุณ มีสตั ว์เดียรัจฉาน เป็ นต้ น
ปาณาติบาตชืA อว่ามีโทษน้ อย. ก็เพราะสัตว์ตัวเล็ก, ชืA อว่ามีโทษมาก ก็เพราะสัตว์ตัวใหญ่.
เพราะประโยคใหญ่ (ความพยายามมาก) แม้ เมืA อมีประโยคเสมอกัน ชืA อว่า มีโทษมาก
เพราะวัตถุใหญ่
ส่วนบรรดาสัตว์มีชีวิตทีA มคี ุณ มีมนุษย์เป็ นต้ น ปาณาติบาต ชืA อว่ามีโทษน้ อย ก็
เพราะมนุษย์มีคุณน้ อย, ชืA อว่ามีโทษมาก ก็เพราะมนุษย์มีคุณมาก แต่เมืA อมีตัวและคุณเสมอ
กัน ก็พึงทราบว่า มีโทษน้ อย เพราะกิเลสและความพยายามอ่อนและมีโทษมาก เพราะ
กิเลสและความพยายามแรงกล้ า
อนึA งในเรืA องแห่งปาณาติบาตนี8 การทีA ปาณาติบาตมีโทษมาก เพราะมีประโยคและ
วัตถุใหญ่เป็ นต้ น พึงทราบโดยความมีเจตนาทีA เกิดขึ8น เพราะปั จจัยเหล่านี8มีกาํ ลัง ความทีA
ประโยคเป็ นประโยคใหญ่ เพราะเจตนาอันเป็ นตัวให้ สาํ เร็จ ทีA ทาํ กิจของตนให้ สาํ เร็จลงด้ วย
สามารถยังประโยคตามทีA ตนประสงค์ให้ สาํ เร็จโดยเร็ว และทีA ได้ เสวนะด้ วย ชวนะทั8งหลายทีA
เป็ นไปมากครั8ง บางครั8งเมืA อประโยคเสมอกัน ทั8งในสัตว์ทมีA ชี ีวิตตัวเล็กและตัวใหญ่ แม้ มีอยู่
เจตนาของผู้ฆ่าสัตว์ใหญ่ มีกาํ ลังกล้ ากว่าจะเกิดขึ8น เพราะฉะนั8น แม้ ความทีA วัตถุเป็ นของ
ใหญ่ จึงเป็ นเหตุแห่งความทีA เจตนามีกาํ ลังกว่า ดังนั8นทั8งสองอย่างนี8 จึงเป็ นเหตุแห่งความทีA
ปาณาติบาตมีโทษมาก โดยภาวะทีA เจตนามีกาํ ลังนัAนเอง อนึA ง เมืA อความทีA สตั ว์จะต้ องฆ่ามีคุณ
มาก ความทีA ปาณาติบาตนั8นมีโทษมาก พึงเห็นได้ ว่า แม้ เจตนาทีA ไม่เป็ นอุปการะ แก่การยัง
เขตพิเศษให้ สาํ เร็จ เป็ นเจตนาทีA มีกาํ ลังและแรงกล้ ากว่าจะเกิดขึ8น เหมือนเจตนาทีA เป็ น
อุปการะทีA เป็ นไปแล้ ว ในสัตว์ทจีA ะต้ องฆ่านั8นเพราะฉะนั8น แม้ เมืA อความทีA ปัจจัยทั8งหลายมี
ประโยคและวัตถุเป็ นต้ นไม้ ใหญ่กพ็ ึงทราบความทีA ปาณาติบาตมีโทษมาก ด้ วยสามารถแห่ง
ความทีA เจตนาเป็ นเจตนามีกาํ ลัง เพราะปัจจัยทั8งหลาย มีความเป็ นผู้มีคุณมากเป็ นต้ นนัAนเอง.
ปาณาติบาตนั.นมีองค์ประกอบ ๕ อย่าง คือ
๑๖๗

๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต ๔. อุปกกโม ความพยายามทีA จะฆ่า


๒. ปาณสญญิตา รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต ๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้ วยความ
พยายามนั8น.
๓. วธกจิตตํ จิตคิดจะฆ่า
ปาณาติบาตทีA ประกอบไปด้ วยองค์ ๕ ไม่พ้นไปจากองค์ ๕ พึงทราบว่าเป็ น
ปาณาติบาต. ในองค์ประกอบ ๕ อย่างนั8น การรู้ว่าสัตว์มีชีวิต และจิตคิดจะฆ่า จัดเป็ นบุพ
ภาค(เบื8องต้ น) ของปาณาติบาต ส่วนความพยายามทีA จะฆ่า เป็ นองค์ประกอบให้ วธกเจตนา
ปรากฏชัด.
ปาณาติบาตนั.นมีประโยค(ความพยายาม) ๖ คือ
๑. สาหัตถิกประโยค (ฆ่าด้ วยมือตนเอง) การฆ่าทีA บังเกิดขึ8นด้ วยมือของตน
๒. อาณัตติกประโยค (ใช้ ผ้ ูอนฆ่ ืA า) การใช้ ,การสัAงบังคับผู้อนให้ ืA ฆ่า
๓. นิสสัคคิยประโยค (การขว้ างอาวุธไป ) การยิงด้ วยลูกศร และพุ่งด้ วยหอกเป็ น
ต้ นออกไป
๔. ถาวรประโยค(เครืA องมือฆ่าสัตว์ททีA าํ ไว้ ประจํา) การขุดหลุมพราง กับดัก เป็ นต้ น

๕. วิชชามยประโยค (อํานาจคุณแลไสยศาสตร์) การร่ายเวทย์ของหมออาถรรพ์


เป็ นต้ น
๖. อิทธิมยประโยค (การบันดาลด้ วยฤทธิJ) ผู้มีฤทธิJทาํ ฤทธิJ ให้ สัตว์มีพิษขบกัด
เป็ นต้ น
ลักษณะอืนๆว่าโดย สภาพ, อารมณ์, เวทนา ,มูล, กรรม
โดยสภาพ เป็ น สภาวะของเจตนาอย่างเดียว โดยอารมณ์มสี ังขาร(ชีวิตินทรีย์)เป็ น
อารมณ์
โดยเวทนา ประกอบด้ วยทุกขเวทนา. โดยมูล มีโทสะและโมหะเป็ นมูล
โดยกรรม เป็ นกายกรรม และเป็ นกรรมบถ
ข้อโต้แย้ง และคําแก้ไขบางประเด็นเกียวกับการฆ่าสัตว์(นัยสภาวธรรม)
ในข้ อนี8มีผ้ ูกล่าวท้ วงว่า ในเมืA อสังขารทั8งหลายมีการดับอยู่ทุก ๆ ขณะเป็ นสภาพ
ใครเล่าเป็ นผู้ฆ่า หรือใครถูกฆ่า ถ้ าความสืบต่อแห่งจิตและเจตสิกมีอยู่ ความสืบต่อแห่งจิต
และเจตสิกนั8น เป็ นสิA งทีA ไม่สามารถจะหวัAนไหวได้ ท8งั ใคร ๆ ก็ให้ หวัAนไหวไม่ได้ ด้ วยสามารถ
๑๖๘

แห่งการสับและการทุบเป็ นต้ นเพราะไม่มีรูปร่างไซร้ เมืA อเป็ นเช่นนั8น การสืบต่อแห่งรูปอันใด


มีอยู่ การสืบต่อแห่งรูปนั8น อุปมาเหมือนดุ้นฟื นและท่อนไม้ เพราะหาเจตนามิได้
เพราะฉะนั8น จะหาปาณาติบาตไม่ได้ ในการสืบต่อแห่งรูปนั8น ด้ วยการสับเป็ นต้ น เหมือน
แม้ ประโยคในร่างทีA ตายแล้ ว ปาณาติบาตก็จะพึงมีประโยคมีการประหาร และไม่ประหารเป็ น
ต้ นตามทีA กล่าวแล้ ว ในสัตว์และสังขารทีA เป็ นอดีต เป็ นอนาคต หรือปัจจุบนั ก่อนอืA นในกาล
ทั8ง ๓ นั8น ประโยคตามทีA กล่าวแล้ ว จะไม่เกิดมีในอดีตและอนาคต เพราะอดีตและอนาคต
เหล่านั8นเป็ นสภาวะไม่มีอยู่ ประโยคในปัจจุบัน ทีA กาํ ลังบ่ายหน้ าไปสู่ความสิ8นสูญไปก็จะหา
ประโยชน์มิได้ เพราะสังขารทั8งหลายเป็ นไปชัAวขณะ (และ) เพราะสังขารทั8งหลายมีการดับ
ไปตามหน้ าทีA ของตนนัAนแหละ เป็ นสภาพ ความตายเป็ นตัวเหตุแห่งประโยคมีการประหาร
และไม่ประหารเป็ นต้ นก็จะไม่มี เพราะเว้ นจากเหตุแห่งการสูญสิ8นไป และใครเล่าจะเป็ น
เจ้ าของประโยค เพราะสังขารทั8งหลายไม่มีจิตใจ ปาณาติบาตจะเป็ นกรรมพันธ์ของใครเล่า
เพราะสังขารทีA แตกสลายตลอดเวลาทีA พอเหมาะกับการประสงค์จะฆ่านัAนเอง ไม่หยุดอยู่จนให้
ถึงเวลาสิ8นสุดการกระทํา เนืA องจากเป็ นไปชัAวขณะ.
ข้ าพเจ้ าจะกล่าวเฉลยต่อไป กองสังขารกล่าวคือสัตว์ ทีA พร้ อมเพรียงไปด้ วยวธก
เจตนา ตามทีA กล่าวแล้ ว (นัAนแล) เป็ นผู้ฆ่า กองแห่งรูปธรรมและอรูปธรรม ทีA มีประโยค
แห่งการฆ่า อันกองสังขารให้ เป็ นไปแล้ ว เป็ นเครืA องหมาย อันเป็ นทีA ต8ังแห่งการกล่าวว่า
ชีวิตินทรีย์คือวิญญาณทีA ปราศจากไออุ่น ตายแล้ วซึA งควรแก่การเป็ นไปในเบื8องบน (สืบต่อกัน
ไปในอนาคต)เหมือนทีA เป็ นไปแล้ วในกาลก่อน (นัAนแหละ) ถูกฆ่า ในเพราะกระทําประโยค
แห่งการฆ่าตามทีA กล่าวแล้ ว อีกอย่างหนึA ง การสืบต่อแห่งจิตและเจตสิก (นัAนเอง)ถูกฆ่า
แม้ เมืA อความทีA แห่งการสืบต่อแห่งจิตและเจตสิก ไม่เป็ นอารมณ์ของประโยคแห่งการ
ฆ่ามีอยู่ การสืบต่อแห่งจิตและเจตสิก แม้ น8นั จะขาดสูญไปโดยการขาดสูญแห่งชีวิตินทรีย์
ด้ วยสามารถแห่งประโยคทีA กระทําแล้ วในภูตรูปทั8งหลาย เพราะความสืบต่อแห่งจิตและเจตสิก
นั8น มีพฤติกรรมไม่หย่อนไปกว่าการสืบต่อแห่งรูป ในปั ญจโวการภพ (ขันธ์ ๕)
เพราะฉะนั8น ปาณาติบาตจะไม่เกิดก็หาไม่ ทั8งไม่ใช่ไม่เป็ นเหตุ และจะเป็ นประโยคทีA ไร้
ประโยชน์กห็ าไม่มรณะไม่ใช่ไม่มเี หตุ เพราะ (เหตุ ๓ ประการ) คือ ๑. เพราะสังขาร(นาม)
และกลาปะ(รูป) ทีA ควรจะเกิดขึ8นถัดจากนั8น ก็ไม่เกิดขึ8นเหมือนอย่างนั8นด้ วยสามารถประโยค
ทีA ทาํ แล้ วในสังขารทั8งหลาย ทีA เป็ นปัจจุบัน ๒. เพราะขณิกมรณะของสังขารทั8งหลาย ทีA มีอยู่
ชัAวขณะ พระองค์ไม่ทรงประสงค์เอาโดยเป็ นมรณะในทีA น8 ีและ ๓. เพราะการดับแห่งสันตติ
เป็ นสิA งทีA มีเหตุตามนัยทีA ได้ กล่าวมาแล้ ว สังขารท่านกล่าวว่า ทําเหตุทมีA ีการยังผลให้ เกิดขึ8น
๑๖๙

โดยสมควรแก่ตน ๆ แน่นอนด้ วยเหตุสกั ว่า ความมีอยู่ (อัตถิตา) นัAนเอง เพราะเกิดขึ8น


ตามปัจจัย ในสังขารทั8งหลาย แม้ ทปีA ราศจากเจตนา ดวงประทีปย่อมส่องสว่างฉันใด
เพราะฉะนั8นการเรียกว่าการฆ่า ย่อมปรากฏชัดฉันนั8น และไม่ปรารถนาเอา
ปาณาติบาต แห่งจิตเจตสิก (นาม) และกลาปะ (รูป) ทีA เกิดพร้ อมกับ ความประสงค์จะ
ฆ่าอย่างเดียว แต่ประสงค์เอาปาณาติบาตแห่งจิตเจตสิกและกลาปะ ทีA กาํ ลังเป็ นไปด้ วย
สามารถแห่งการสืบต่อเท่านั8น เพราะฉะนั8นกรรมพันธุเ์ พราะปาณาติบาต จึงมีอยู่ทเี ดียว
และการทําประโยชน์ย่อมปรากฏแก่ประทีปเป็ นต้ น ทีA กาํ ลังส่องแสงอยู่ด้วยสามารถแห่งการ
ต่อเนืA องกัน ดังนี8แล. ก็แม้ ในอทินนาทานเป็ นต้ น ข้ อวิจารณ์น8 ีควรอธิบายให้ ชัด ตามสภาพ
ทีA เป็ นจริงเป็ นผู้งดเว้ นจากปาณาติบาตนั8น. ชืA อว่า อปปฏิวริ ตา เพราะไม่เว้ นขาด.
เวรมณี คือ การเว้ นเวร ละบรรเทาเวร ทําให้ ส8 นิ สุด ให้ ถงึ ความไม่ม.ี อีกนัยหนึA ง
บุคคลย่อมเว้ นจากเวร ด้ วยเจตนาตัวกระทํานั8น เหตุน8ัน เจตนานั8นจึงชืA อว่า เวรมณี
๒. อทินนาทานาเวรมณี (การงดเว้ นจากการลักเอา สิA งของทีA เขามิได้ ให้ )
อทินนาทานาเวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น จาก
อทินนาทาน กิริยาไม่ทาํ อทินนาทาน การไม่ทาํ อทินนาทาน การไม่ล่วงละเมิดอทินนาทาน การ
ไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งอทินนาทาน การกําจัดต้ นเหตุแห่งอทินนาทาน ในขณะนั8น ของบุคคลผู้
งดเว้ นอทินนาทาน หรือ การคิดอ่าน กิริยาทีA คดิ อ่าน ความคิดอ่าน ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งด
เว้ นจากอทินนาทาน หรือการประคองรักษาไว้ (ปัคคาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ) ของ
บุคคลผู้งดเว้ นจากอทินนาทาน

วิเคราะห์เกียวกับศีลข้อ อทินนาทาน
อทินนาทาน คือ การถือเอาของทีA เจ้ าของไม่ได้ ให้ การนําของผู้อืAนไป คือการลัก
ได้ แก่ความเป็ นขโมย คําว่า อทินนํ แปลว่า ของทีA คนอืA นหวงแหน
บุคคลใดเป็ นผู้ทาํ ตามชอบใจ ในของทีA ผ้ ูอืAนหวงแหน แม้ ไม่ควรได้ รับโทษทัณฑ์
และไม่ควรถูกตําหนิ ความตั8งใจลักของผู้ทมีA คี วามสําคัญในสิA งของทีA ผ้ ูอนหวงแหนนั
ืA 8น ว่าเป็ น
ของทีA ผ้ ูอืAนหวงแหน ทําความพยายามถือเอาสิA งของนั8นให้ เกิดขึ8น ชืA อว่า อทินนาทาน.
โทษของ อทินนาทาน
๑๗๐

อทินนาทานนั8นมีโทษน้ อย เพราะของผู้อนเลว ืA (ราคาน้ อย) มีโทษมากเพราะของ


ผู้อืAนประณีต (ราคามาก) คือ เพราะวัตถุประณีต มีโทษน้ อย เพราะของผู้อืAนมีปริมาณน้ อย
มีโทษมากเพราะของผู้อืAนมีปริมาณมาก เพราะวัตถุใหญ่ และเพราะประโยคใหญ่
แต่เมืA อมีวตั ถุเสมอกันอทินนาทาน ชืA อว่ามีโทษมาก ในเพราะวัตถุของผู้มีคุณธรรม
สูง ชืA อว่ามีโทษน้ อย เพราะวัตถุของผู้มีคุณธรรมตําA กว่าผู้มคี ุณธรรมสูงนั8น ๆ โดยหมายเอา
คุณธรรมทีA สูงนั8น ๆ เป็ นเกณฑ์ แต่เมืA อวัตถุและคุณไม่เท่ากัน อทินนาทานชืA อว่ามีโทษน้ อย
เพราะความทีA กิเลสและประโยคเป็ นของอ่อน ชืA อว่ามีโทษมากเพราะกิเลสและประโยคเป็ นของ
กล้ า.
อทินนาทานนัน. มีองค์ประกอบ ๕ อย่าง คือ
๑. ปรปริคคหิตํ (ของทีA เจ้ าของหวงแหน)
๒. ปรปริคคหิตสญญิตา (รู้อยู่ว่าเป็ นของทีA เจ้ าของเขาหวงแหน)
๓. เถยยจิตตํ (จิตคิดจะลัก)
๔. อุปกกโม (ทําความพยายามทีA จะลัก )
๕. เตน หรณํ (ลักมาได้ ด้วยความพยายามนั8น)
ประโยคะมี ๖ อย่าง มีสาหัตถิกประโยคะเป็ นต้นเหมือนกัน
๑. สาหัตถิกประโยค (ลักเอาด้ วยมือตนเอง) การลักทีA บังเกิดขึ8นด้ วยมือของตน
๒. อาณัตติกประโยค (ใช้ ผ้ ูอนลั ืA ก) การใช้ ,การสัAงบังคับผู้อนให้ ืA ลัก
๓. นิสสัคคิยประโยค (เลีA ยงของ หนีภาษี ) การฝากของไปเพืA อเลีA ยงภาษี
๔. ถาวรประโยค(เครืA องมือลักทีA ทาํ ไว้ ประจํา) การทําเครืA องโกง โกงตราชัAงเป็ น
ต้ น
๕. วิชชามยประโยค (อํานาจคุณแลไสยศาสตร์) การลักของผู้อนด้ ืA วยการร่ายเวทย์
มนต์
๖. อิทธิมยประโยค (การบันดาลด้ วยฤทธิJ) การลักของผู้อนืA โดยใช้ ฤทธิJ

ประโยคเหล่านัน. เป็ นไปแล้วด้วยสามารถแห่งอวหารเหล่านี. คือ


๑. เถยยาวหาร (การลักด้ วยความขโมย) หยิบฉวยเอาของทีA มีเจ้ าของ ย่อง
เบา โกงตาช่าง
๑๗๑

๒.ปสยยาวหาร (ลักด้ วยความข่มขู่) ข่มขีA ถือเอาโดยพลากาลเหมือน


โจร
๓.ปริกปปาวหาร(ลักตามทีA กาํ หนดไว้ ) กําหนดสิA งของและสถานทีA ไว้ ล่วงหน้ า
๔. ปฏิจฉนนาวหาร (ลักด้ วยกิริยาปกปิ ด) เห็นของผู้อนแล้ ืA วนําเอาไปซ่อน
หรือบังไว้ เพืA อขโมย
๕.กุสาวหาร(ลักด้ วยการสัปเปลีA ยนสลาก) เมืA อจับลากเห้ นของคนอืA นแล้ วอยากได้ จึง
สลับเอา

ลักษณะอืนๆว่าโดย สภาพ, อารมณ์, เวทนา ,มูล, กรรม


โดยสภาพ เป็ น สภาวะของเจตนาอย่างเดียว
โดยอารมณ์ มีสตั ว์บ้างหรือมีสงั ขารบ้ างเป็ นอารมณ์
โดยเวทนา ประกอบด้ วยเวทนา ๓ สุข ทุกข์ เฉยๆ
โดยมูล มีโลภโทสะและโมหะเป็ นมูล
โดยกรรม เป็ นกายกรรม และเป็ นกรรมบถ

๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี (การงดเว้ นจากการประพฤติผดิ ในกาม)


อพรหมจริยา เวรมณี (การงดเว้ นจากความประพฤติม่ไม่ประเสริฐ)ในศีล ๘
กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น
จากกาเมสุ มิจฉาจาร กิริยาไม่ทาํ กาเมสุมิจฉาจาร การไม่ทาํ กาเมสุมิจฉาจาร การไม่ล่วงละเมิด
กาเมสุมิจฉาจาร การไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งกาเมสุมิจฉาจาร การกําจัดต้ นเหตุแห่ง
กาเมสุมิจฉาจาร ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นกาเมสุมิจฉาจารหรือ การคิดอ่าน กิริยาทีA คิด
อ่าน ความคิดอ่าน ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นจากกาเมสุมิจฉาจาร หรือการประคองรักษา
ไว้ (ปัคคาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ) ของบุคคลผู้งดเว้ นจากกาเมสุมิจฉาจาร
วิเคราะห์ศีลข้อ กาเมสุมจิ ฉาจาร
กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกาม) ภาษาบาลีมาจากคําว่า
กาเมสุ (เมถุนสมาจาร ) +มิจฉาจาโร (การกระทําอันลามก ทีA ท่านตําหนิไว้ โดยส่วน
เดียว)
๑๗๒

แต่โดยลักษณะ เจตนาทีA คดิ จะล่วงละเมิด อคมนียัฏฐาน (ฐานะทีA ไม่ควรล่วง


ละเมิด) อันเป็ นไปแล้ วทางกายทวารด้ วยความประสงค์จะเสพอสัทธรรม ชืA อว่า
กาเมสุมิจฉาจาร

หญิงเป็ นฐานะที.ไม่ควรล่วงละเมิดของบุรุษทั1งหลาย ๒๐ จํ าพวก คือ


หญิง ๑๐ จําพวก มีหญิงที-มารดารักษาแล้ว เป็ นต้น
๑. หญิงทีA มีมารดาปกครอง ๖.หญิงทีA มีญาติปกครอง
๒. หญิงทีA มีบิดาปกครอง ๗.หญิงทีA มีวงศ์สกุลปกครอง
๓.หญิงทีA มีมารดาบิดาปกครอง ๘.หญิงทีA มีธรรมปกครอง (ผู้มีศีล)
๔. หญิงทีA มีพีAชายน้ องชายปกครอง ๙.หญิงทีA มีสามี
๕. หญิงทีA มีพีAหญิงน้ องหญิงปกครอง ๑๐.หญิงทีA มรี าชทัณฑ์ (หญิงของพระราชา)
และอีก ๑๐ จําพวก มีหญิงที.ซื1อมาด้วยทรัพย์เป็ นต้น
๑. หญิงทีA ซ8 ือมาด้ วยทรัพย์ ๖. หญิงผู้มีช่วยปลงภาระบนศรีษะ
ให้ เป็ นภริยา
๒. หญิงทีA อยู่ด้วยความพอใจ ๗. ภริยาผู้เป็ นคนใช้
๓. หญิงทีA อยู่ด้วยกันเพราะหวังโภคะ ๘.ภริยาผู้เป็ นทาสี
๔. หญิงทีA อยู่ด้วยกันเพราะหวังเครืA องนุ่งห่ม ๙. หญิงภริยาทีA เป็ นชเลยศึก (นํามาด้ วย
ธง)
๕. หญิงผู้ร่วมกันด้ วยหลัAงนํา8 สังข์เป็ นภริยา ๑๐.หญิงผู้อยู่ชAัวครู่
หญิง๒๐จําพวกนี8ถ้าผู้ชายล่วงละเมิดนั8นถือว่าศีลขาดโดยเว้ นแต่หญิงนั8นจะเป็ นภริยา
ตนทีA ได้ มาชอบด้ วยกฎหมายและประเพณี(คือมีผ้ ูปกครองหรือเป็ นกรรมสิทธิJของผู้อนอยู ืA ่)
สําหรับหญิง ๑๒ จํ าพวกที.ไม่ควรละเมิดในชาย(คบชู)้ คือ
๑. หญิงทีA มสี ามี(นับแต่หมัAนไป) ๗.หญิงผู้ร่วมกันด้ วยหลัAงนํา8 สังข์เป็ นภริยา
๒. หญิงทีA มีราชทัณฑ์ (หญิงของพระราชา) ๘.หญิงผู้มชี ่วยปลงภาระบนศรีษะให้
เป็ นภริยา
๓.หญิงทีA ซ8 ือมาด้ วยทรัพย์ ๙. ภริยาผู้เป็ นคนใช้
๔. หญิงทีA อยู่ด้วยความพอใจ ๑๐. ภริยาผู้เป็ นทาสี
๕. หญิงทีA อยู่ด้วยกันเพราะหวังโภคะ ๑๑. หญิงภริยาทีA เป็ นชเลยศึก
(นํามาด้ วยธง)
๑๗๓

๖. หญิงทีA อยู่ด้วยกันเพราะหวังเครืA องนุ่งห่ม ๑๒. หญิงผู้อยู่ชAัวครู่


หญิง๑๒จําพวกนี8(เป็ นหญิงทีA มีเจ้ าของแล้ ว) ถ้ าประพฤติผิดกับชายอืA นทีA ไม่ใช่สามี
ย่อมเป็ นโทษทั8งชายทีA เป็ นชู้และหญิงนั8นด้ วย ส่วนหญิง๘จําพวกทีA เหลือเป็ นหญิงทีA มีผ้ ูปกครอง
เช่นมารดา หากล่วงละเมิดย่อมมีโทษแต่ฝ่ายชายฝ่ ายเดียว
โทษของกาเมสุมจิ ฉาจาร
มิจฉาจารนี8น8ัน มีโทษน้ อย เพราะฐานะทีA พึงเว้ น(ชายหรือหญิงทีA พึงเว้ น)นั8นปราศจาก
คุณความดีมีศีลเป็ นต้ น มีโทษมาก เพราะถึงพร้ อมด้ วยคุณความดี มีศลี เป็ นต้ น.
แม้ ในฐานทีA พึงเว้ นทีA ปราศจากคุณความดี มิจฉาจารของผู้ประพฤติผิดเพราะข่มขืนก็
มีโทษมาก. แต่ มีโทษน้ อย เพราะคนทั8งสองมีฉันทะร่วมกัน.
ถึงเมืA อคนทั8งสองจะมีฉันทะร่วมกัน กาเมสุมิจฉาจาร ชืA อว่า มีโทษน้ อย เพราะกิเลส
และความพยายามอ่อน ชืA อว่ามีโทษมาก เพราะกิเลสและความพยายามแรงกล้ า.
กาเมสุมิจฉาจารนั1นมีองค์ ๔ คือ
๑. อคมนียวัตถุ (วัตถุทจะพึ ีA งล่วงเกิน)
๒. ตตถ เสวนจิตตํ (จิตคิดจะเสพในอคมนียวัตถุน8ัน)
๓. เสวนปโยโค(ประโยคในการเสพ)
๔. มคเคน มคคปปฏิปตติอธิวาสนํ (การยังมรรคให้ ดาํ เนินไปทางมรรคหรือหยุด
อยู่)
ในบรรดาองค์ ๔ เหล่านั8น กาเมสุมิจฉาจารของผู้ทใีA ห้ เป็ นไปตามความพอใจของตนมี
องค์ ๓ ส่วนของผู้ทใีA ห้ เป็ นไปแล้ วโดยพลการ มีองค์ ๓ เพราะฉะนั8น พึงเห็นว่ามีองค์ ๔ โดย
ถือเอาไม่ให้ มีส่วนเหลือ แต่ความสําเร็จประโยชน์จะมีได้ กด็ ้ วยองค์ ๓ เท่านั8นกาเมสุมิจฉาจาร
มีประโยคเดียว คือสาหัตถิกประโยค(กระทําเอง)เท่านั8น.
วิเคราะห์ในส่วนศีลข้อ อพรหมจริยา
อพฺรหฺมจริยา คือ ความประพฤติไม่ประเสริฐ เหตุทจีA ะทําให้ เกิดความเศร้ าหมองแก่
พรหมจรรย์. เจตนาเป็ นเหตุละเมิดฐาน คือ การซ่องเสพ อสัทธรรม เป็ นไปทางกายทวาร
โดยการซ่องเสพเมถุนคือการสมสู่กนั สองต่อสอง
ศีลข้ ออพรหมจริยานั8นมีมาใน ศีล ๘ และศีล๑๐ สําหรับผู้ทจีA ะขัดเกลากิเลศให้
ยิA งขึ8นไป
ในศีลข้ อกาเมสุมิจฉาจารนั8น สามารถเสพเมถุนธรรมในภรรยาหรือสามีตนเองได้ ศีล
ไม่ขาดส่วนในข้ อ อพฺรหฺมจริยา แม้ ภรรยาหรือสามีของตน ก็ไม่ได้
๑๗๔

ลักษณะอืนๆว่าโดย สภาพ, อารมณ์, เวทนา ,มูล, กรรม


โดยสภาพ เป็ นสภาวะของเจตนาอย่างเดียว
โดยมูล มีโลภะและโมหะเป็ นมูล
โดยอารมณ์ สังขารเป็ นอารมณ์ด้วยอํานาจโผฏฐัพพะ
(แต่) อาจารย์อกี พวกหนึA งกล่าวว่า มีสตั ว์เป็ นอารมณ์
โดยเวทนา ประกอบด้ วยสุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา
โดยกรรม เป็ นกายกรรม และเป็ นกรรมบถ

๔ มุสาวาทา เวรมณี (การงดเว้ นจากการพูดเท็จ)


มุสาวาทาเวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น จาก
มุสาวาท กิริยาไม่ทาํ มุสาวาท การไม่ทาํ มุสาวาท การไม่ล่วงละเมิดมุสาวาท การไม่ล่วงเลย
ขอบเขตแห่งมุสาวาทการกําจัดต้ นเหตุแห่งมุสาวาท ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นมุสาวาท
หรือ การคิดอ่าน กิริยาทีA คิดอ่าน ความคิดอ่าน ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นจากมุสาวาท
หรือการประคองรักษาไว้ (ปัคคาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ) ของบุคคลผู้งดเว้ นจาก
มุสาวาท
วิเคราะห์ศีลข้อมุสาวาทาเวรมณี
มุสา คือ กายประโยค(ความพยายามทางกาย) และวจีประโยค(วาจา) ทีA มุ่งหักราน
ประโยชน์ของผู้มุ่งจะกล่าวให้ ผิด
มุสาวาท คือ เจตนาทีA ยังกายประโยคและวจีประโยคในการกล่าวให้ ผิดต่อผู้อนืA ของ
ผู้น8ัน ด้ วยความประสงค์จะกล่าวให้ ผิดพลาด
อีกนัยหนึA ง เรืA องทีA ไม่เป็ นจริงชืA อว่ามุสา การยังผู้อนืA ให้ เข้ าใจเรืA องทีA ไม่เป็ นจริงนั8น
ว่าจริง ว่าแท้ ชืA อว่า วาทะ เพราะฉะนั8น เจตนาของผู้ประสงค์จะให้ ผ้ ูอืAนเข้ าใจเรืA องทีA ไม่จริง
ว่าจริง ทีA ยังประโยคในการให้ ผ้ ูอืAนเข้ าใจนั8น ให้ ต8งั ขึ8น ชืA อว่า มุสาวาท.
โทษของมุสาวาท
มุสาวาทนั8น มีโทษน้ อย เพราะประโยชน์ทตีA นจะหักรานนั8นมีน้อย มีโทษมาก เพราะ
ประโยชน์ทตีA นหักรานมีมาก
อีกอย่างหนึA ง สําหรับคฤหัสถ์ มุสาวาททีA เป็ นไปแล้ วโดยนัยมีอาทิว่าไม่มี เพราะไม่
ประสงค์จะให้ ของ ๆ ตน (แก่ผ้ ูอนืA ) มีโทษน้ อย (แต่) ทีA กล่าวโดยเป็ นพยานหักล้ าง
ผลประโยชน์ มีโทษมาก
๑๗๕

สําหรับบรรพชิต มุสาวาททีA เป็ นไปแล้ วโดยนัยแห่งปูรณกถา ว่าวันนี8 ทีA บ้าน นํา8 มัน
เห็นจะไหลไปเหมือนแม่นาํ8 โดยประสงค์จะหัวเราะ เพราะได้ นาํ8 มัน หรือเนยใสนิดหน่อย ชืA อ
ว่ามีโทษน้ อยแต่เมืA อกล่าวถึงสิA งทีA ไม่ได้ เห็นเลยโดยนัยมีอาทิว่า ได้ เห็น มุสาวาทชืA อว่ามีโทษ
มาก
อนึA ง มุสาวาทชืA อว่ามีโทษน้ อย เพราะผู้ทตีA นหักรานประโยชน์มีคุณน้ อย ชืA อว่ามี
โทษมาก เพราะผู้ทตีA นหักรานประโยชน์มีโทษมาก และความทีA มุสาวาทมีโทษน้ อย หรือมี
โทษมาก จะมีได้ ก็ด้วยสามารถกิเลสอ่อนและแรงกล้ านัAนเอง.
องค์ของมุสาวาทนั.นมี ๔ คือ
๑. อตถํ วตถุ (เรืA องไม่จริง)
๒. วิสวํ าทนจิตตํ (จิตคิดจะพูดให้ ผิด)
๓. ตชโช วายาโม (ความพยายามอันเกิดแต่จิตนั8น)
๔. ปรสส ตทตถวิชานนํ (การให้ ผ้ ูอืAนเข้ าใจเนื8อความนั8น)
แม้ การให้ ผ้ ูอนเข้ ืA าใจเนื8อความนั8น พึงทราบว่าเป็ นองค์ (ประกอบ)ข้ อ๑ เพราะแม้
เมืA อทําประโยค กล่าวโดยประสงค์จะพูดให้ ผดิ เมืA อผู้อืAนไม่เข้ าใจเนื8อความนั8น การพูดให้ ผิด ก็
ไม่สาํ เร็จ (ความประสงค์)
ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า มุสาวาทมีองค์ประกอบ ๓ คือ อภูตวจนํ (พูดไม่
จริง) ๑ วิสวํ าทนจิตตํ (จิตคิดจะพูดให้ ผิด) ๑ ปรสส ตทตถวิชานนํ (การให้ ผ้ ูอืAนเข้ าใจ
เนื8อความนั8น) ๑ ก็ถ้าบุคคลอืA น พิจารณาแล้ วจึงรู้ความหมายนั8นเพราะรู้ได้ ช้า เจตนาทีA เป็ น
เหตุให้ กิริยาตั8งขึ8น ย่อมเกีA ยวเนืA องกับมุสาวาทกรรมในชัAวขณะนัAนเอง เพราะเจตนาทีA เป็ นเหตุ
ให้ ตกลงใจเป็ นไปแล้ ว.
ลักษณะอืนๆว่าโดย สภาพ, อารมณ์, เวทนา ,มูล, กรรม
โดยสภาพ เป็ น สภาวะของเจตนาอย่างเดียว โดยมูล มีโลภะโทสะและโมหะเป็ นมูล
โดยอารมณ์ มีสตั ว์บ้างหรือสังขารบ้ างเป็ นอารมณ์ โดยเวทนา มีเวทนา ๓
โดยกรรม เป็ นวจีกรรมอย่างเดียวทีA หักรานประโยชน์กเ็ ป็ นกรรมบถนอกนี8เป็ นกรรม
อย่างเดียว
๕. สุราเมรยมัชชปมาทฐานา เวรมณี (การงดเว้ นจากการดืA มสุราเมรัย)
สุราเมรยมัชชปมาทฐานาเวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การ
งดเว้ น จากการเสพสุราเมรัย กิริยาไม่ทาํ การเสพสุราเมรัย การไม่ทาํ การเสพสุราเมรัย การไม่
๑๗๖

ล่วงละเมิดการเสพสุราเมรัย การไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งการเสพสุราเมรัย การกําจัดต้ นเหตุ


แห่งการเสพสุราเมรัย ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นการเสพสุราเมรัย หรือ การคิดอ่าน กิริยา
ทีA คิดอ่าน ความคิดอ่าน ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นจากการเสพสุราเมรัย หรือการประคอง
รักษาไว้ (ปัคคาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ) ของบุคคลผู้งดเว้ นจากการเสพสุราเมรัย
วิเคราะห์ศีลข้อสุราเมรยมัชชปมาทฐานาเวรมณี
สุรา ได้ แก่สรุ า ๕ อย่างคือ ปิ ฏฐสุรา (สุราทําด้ วยแป้ ง) ๑ปูวสุรา (สุราทําด้ วย
ขนม) ๑ โอทนสุรา (สุราทําด้ วยข้ าวสุก) ๑ กิณณปกขิตตา (สุราทีA เติมด้ วยส่าเหล้ า) ๑
สมภารสํยุตตา (สุราทีA ประกอบด้ วยเครืA องปรุง) ๑
เมรยํ ได้ แก่ ของหมักดอง ๕ อย่าง คือ ปุปผาสวะ(เครืA องดองด้ วยดอกไม้ ) ๑
ผลาสวะ (เครืA องดองด้ วยผลไม้ ) ๑ มัธวาสวะ(เครืA องดองด้ วยนํา8 ผึ8ง) ๑ คุฬาสวะ (เครืA อง
ดองด้ วยนํา8 อ้ อยงบ) ๑ สัมภารสังยุตตะ (เครืA องดองทีA ประกอบด้ วยเครืA องปรุง) ๑ แม้ ท8งั
สองอย่างนั8นชืA อว่ามัชชะ เพราะ เป็ นทีA ต8ังแห่งความเมา เจตนาเป็ นเหตุดืAมนํา8 เมานั8น ชืA อว่า
ปมาทัฏฐานะ เพราะเป็ นเหตุแห่งความประมาท
สุราเมรยมัชชปทาทัฏฐาน คือเจตนาทีA ประมาท อันเป็ นไปแล้ วทางกายทวาร ด้ วย
สามารถแห่งความมึนเมาเริA มแต่เชื8อนํา8 เมากล่าวคือสุราเมรัย ตามทีA กล่าวแล้ ว
สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน มีองค์ประกอบ ๔ อย่างคือ
๑. มชชภาโว(ความเป็ นของเมา)
๒. ปาตุกมยตาจิตตํ (จิตคิดจะดืA ม)
๓. ตชโชวายาโม (ความพยายามอันเกิดแต่จติ นั8น)
๔. อชโฌหรณํ (กลืนให้ ล่วงลงในลําคอ)
ภาวะทีA สรุ าเมรยมัชชปมาทัฏฐานนั8น มีโทษโดยส่วนเดียวเพราะเขาดืA มด้ วยจิตเป็ น
อกุศลอย่างเดียว แต่สุรานั8นไม่ไหลเข้ าปากของพระอริยสาวกทั8งหลาย ทั8ง ๆ ทีA ไม่ร้ ูวัตถุ
(ว่าเป็ นนํา8 เมา) จะป่ วยกล่าวไปไยถึงทีA รู้อยู่. การดืA มนํา8 เมาเพียงเล็กน้ อยก็มโี ทษน้ อย การดืA ม
นํา8 เมาเพียงครึA งอาฬหกะ มากกว่านํา8 เมาเล็กน้ อยนั8น มีโทษมาก เมืA อดืA มนํา8 เมามากแล้ วยัง
สามารถให้ กายเคลืA อนไหวไปทํากรรมมีการปล้ นชาวบ้ านเป็ นต้ น มีโทษมากทีเดียว.
จริงอยู่ การทําชัAวในพระขีณาสพ ถึงขั8นปาณาติบาต มีโทษมาก การทําชัAวในสํานัก
ของพระขีณาสพ ถึงขั8นอทินนาทาน มีโทษมาก บาปกรรมในเพราะการล่วงเกินภิกษุณี ผู้
เป็ นพระขีณาสพ ถึงขั8นมิจฉาจาร มีโทษมากการทําชัAวในเพราะการทําลายสงฆ์ (ให้ แตกกัน)
๑๗๗

ด้ วยมุสาวาท ถึงขั8นมุสาวาทมีโทษมาก การทําชัAวในเพราะกรรมมีการดืA มนํา8 เมามาก จน


สามารถให้ กายเคลืA อนไหว ปล้ น ฆ่าชาวบ้ านเป็ นต้ น เพราะสุราบาน มีโทษมาก. การทําสงฆ์
ให้ แตกกันด้ วยมุสาวาทอย่างเดียว มีโทษมากกว่าบาปกรรมเหล่านี8แม้ ท8งั ทั8งหมด. เพราะผู้ทาํ
สังฆเภทนั8น ย่อมหมกไหม้ อยู่ในนรกตลอดกัป.
ลักษณะอืนๆว่าโดย สภาพ, อารมณ์, เวทนา ,มูล, กรรม
โดยสภาพ เป็ น สภาวะของเจตนาอย่างเดียว
โดยมูล มีโลภะและโมหะเป็ นมูล
โดยอารมณ์ มีสังขารเป็ นอารมณ์
โดยเวทนา มีเวทนา ๒ คือสุข และเฉยๆ
โดยกรรม เป็ นกายกรรม
ข้อวินิจฉัยแห่งเวรมณีในศีล ๕
พึงทราบวินิจฉัย แห่งเวรมณีท8งั หลาย มี ปาณาติปาตาเวรมณีเป็ นต้ น โดยสภาพ
อารมณ์ เวทนา มูล กรรม ดังนี8
โดยสภาพแล้ วเวรมณีท8งั ๕เป็ นเจตนาบ้ าง เป็ นวิรัติบ้าง แต่ว่าเทศนามีมาแล้ ว
ด้ วยสามารถแห่งวิรัติ.ได้ แก่วิรัติของผู้ทงดเว้ ีA นจากปาณาติบาตทีA ประกอบด้ วยกุศลจิต
โดยประเภทมี ๓ อย่าง คือ สัมปัตตวิรัติ สมาทานวิรัติ สมุจเฉทวิรัติ
สัมปัตตวิรัติ คือ วิรัติทเีA กิดขึ8นแก่ผ้ ูไม่ได้ สมาทานสิกขาบท(มาก่อน) แต่พิจารณา
เห็น ชาติ วัย และความเป็ นพหูสูตเป็ นต้ น ของตน แล้ วไม่ฝ่าฝื น วัตถุทมีA าประจวบเข้ า
ด้ วยคิดว่า เรืA องนี8ไม่เหมาะแก่เราทีA จะกระทํา ดังนี8.
สมาทานวิรัติ คือ วิรัติทเีA กิดขึ8นแก่ผ้ ูสมาทานสิกขาบท (มาก่อน) แล้ ว แม้ สละชีวิต
ของตนทีA มีคุณค่ายิA งกว่าสิกขาบทนั8น ก็ไม่ล่วงละเมิดวัตถุ เพราะสมาทานสิกขาบทไว้
สมุจเฉทวิรัติวิรัติทสีA ัมปยุตด้ วยอริยมรรค ซึA งเริA มแต่เกิดขึ8นแล้ ว แม้ ความคิดว่า เรา
จักฆ่าสัตว์ ก็ไม่เกิดขึ8นแก่พระอริยบุคคลทั8งหลาย
ในบรรดาวิรัติท8งั ๓ นั8น ในทีA น8 ี ท่านประสงค์เอาสมาทานวิรัติ.
โดยอารมณ์ อารมณ์ของปาณาติบาตเป็ นต้ นนัAนเอง เป็ นอารมณ์ของปาณาติปาตา
เวรมณีเป็ นต้ นนั8น. ด้ วยว่า การงดเว้ น จะมีได้ กเ็ พราะมีสงทีA ิA จะต้ องล่วงละเมิดนัAนเอง อนึA ง
กุศลธรรมเหล่านี8 ทีA มีชีวิตินทรีย์เป็ นอารมณ์นAันเอง ย่อมละความทุศีลทั8งหลาย มี
๑๗๘

ปาณาติบาตเป็ นต้ นได้ เหมือนอริยมรรคทีA มีพระนิพพานเป็ นอารมณ์ ย่อมละกิเลสทั8งหลายได้


ฉะนั8น.
โดยเวทนา วิรัติท8งั หมด เป็ นสุขเวทนาทั8งนั8น
โดยมูล กุศลธรรมเหล่านี8 ของผู้ทงีA ดเว้ น ด้ วยจิตทีA สมั ปยุตด้ วยญาณ มีมูล ๓
ด้ วยสามารถแห่ง อโลภะ อโทสะ และอโมหะ, ของผู้ทงีA ดเว้ นด้ วยจิตทีA เป็ นญาณวิปยุต มีมูล
๒ ด้ วยสามารถแห่ง อโลภะและอโทสะ.
โดยกรรม การงดเว้ นจากมุสาวาทเป็ นวจีกรรม (ส่วน) ทีA เหลือเป็ นกายกรรม.
ศีล ๓ ข้อ ที.เพิ.มขึ1 นในศีล ๘
ศีลทีA เพิA มเติมขึ8นมา๓ข้ อในศีล ๘นั8น เป็ นศีลทีA เพิA มเติมขึ8นมาสําหรับคฤหัสถ์ หรือ แม่
ชี และนักบวชพรหมจารี เน้ นเพืA อประโยชน์ในความ เป็ นผู้ขัดเกลาฝึ กฝนตนเอง สันโดษ มัก
น้ อย กินง่าย นอนง่ายไม่ติดมัวเมาอยู่ในกามสุข เพืA อให้ เกิดการปรารภความเพียรเพืA อความ
เจริญยิA งขึ8นไปแก่กุศลธรรม

อานิสงค์ของศีลแต่ละข้อมีดงั นี1
อานิสงค์ของการงดเว้นการบริโภคอาหารในยามวิกาล
๑. มีโรคน้ อย
๒. มีความลําบากน้ อย
๓. เนื8อตัวเบาคล่องแคล่ว
๔. แข็งแรง
๕ บรรเทาการติดรสอาหาร
๖. ไม่มีอาการแน่นท้ อง
อานิสงค์ของการงดเว้นจากการฟ้ อน การขับ การประโคม และการดูการเล่นอันเป็ น
ข้าศึกและ
การลูบไล้ทัดทรงประดับดอกไม้และของหอม อันเป็ นลักษณะแห่งการแต่งตัว
๑. ทําให้ มีเวลาขัดเกลาตนเอง มากขึ8น
๒.ไม่หมกมุ่นการบันเทิง
๓. บรรเทาความยินดีในการละเล่น และเครืA องแต่งตัว
๔. มีความประพฤติเบาสบาย
๑๗๙

อานิสงค์ของการงดเว้น จากการนังการนอนบนทีนังทีนอนใหญ่
๑. บรรเทาความยินดีในการนอน ๒.ช่วยในการปรารภความเพียร
๓. บรรเทาการติดในความสบาย ๔.บรรเทาการติดในสิA งทีA ประณีต

ลักษณะของศีลแต่ละข้อ
๖. วิกาลโภชนา เวรมณี (การงดเว้ นจากการบริโภคอาหารยามวิกาล)
วิกาลโภชนาเวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น จาก
การบริโภคอาหารยามวิกาล การไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งการบริโภคอาหาร ในขณะนั8น ของ
บุคคลผู้งดเว้ นการบริโภคอาหารยามวิกาล หรือ การคิดอ่าน กิริยาทีA คดิ อ่าน ความคิดอ่าน
ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นจากการบริโภคอาหารยามวิกาลหรือการประคองรักษาไว้ (ปัค
คาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ) ของบุคคลผู้งดเว้ นจากการบริโภคอาหารยามวิกาล
วิกาลโภชนา ได้ แก่การบริโภคอาหารเมืA อล่วงเลยเวลาเทีA ยงตรง. การบริโภคอาหาร
เมืA อล่วงเลยเวลาเทีA ยงตรงนั8น ก็คือการบริโภคอาหารเมืA อล่วงเลยกาลทีA ทรงอนุญาตไว้ เพราะ
เหตุน8ัน
วิกาลโภชนาเวรมณี คือเจตนางดเว้ นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาลนั8น.
วิกาลโภชนา มีองค์ ๔คือ
๑. วิกาโล (เป็ นเวลาวิกาลคือตั8งแต่เทีA ยงวันไปแล้ ว)
๒. ยาวกาลิก ํ (เป็ นอาหารของกินทีA เป็ นไปชัAวกาลคืออนุญาตก่อนเทีA ยงวัน)
๓. อชฺโฌหรณํ (กลืนล่วงลําคอลงไป)
๔. อนุมมฺ ตฺตกตา (ไม่ใช่คนบ้ า)
๗.นจฺ จคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคัณฑวิเลปน ธารณมัณฑน วิภู
สนฏฐานา เวรมณี (การงดเว้ นจากการฟ้ อน การขับ การประโคม และการดูการเล่นอัน
เป็ นข้ าศึกข้ าพเจ้ าการลูบไล้ ทดั ทรงประดับดอกไม้ และของหอม อันเป็ นลักษณะแห่งการ
แต่งตัว)
นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคัณฑวิเลปน ธารณมัณฑน วิภสู นฏฐานา เวรมณี คือ
จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น จากการขับร้ อง ดูการละเล่น และการ
แต่งตัว การไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งจากการขับร้ อง ดูการละเล่น และการแต่งตัว ในขณะนั8น
ของบุคคลผู้งดเว้ นจากการขับร้ อง ดูการละเล่น และการแต่งตัว หรือ การคิดอ่าน กิริยาทีA คดิ
อ่าน ความคิดอ่าน ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นจากจากการขับร้ อง ดูการละเล่น และการ
๑๘๐

แต่งตัว หรือการประคองรักษาไว้ (ปัคคาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ) ของบุคคลผู้งด


เว้ นจากจากการขับร้ อง ดูการละเล่น และการแต่งตัว
วิเคราะห์ นจฺ จคีตวาทิตวิสกู ทสฺ สนา
นัจจ คีตวาทิตวิสูกทัสสนะ ในภาษาบาลี มาจากคําว่า
นัจจะ(การฟ้ อนรําอย่างใดอย่างหนึA ง)+คีตะ (การขับร้ องอย่างใดอย่างหนึA ง )+วาทิตะ
(การประโคมอย่างใดอย่างหนึA ง)+วิสกู ทัสสนะ (การดูสิAงทีA เป็ นข้ าศึก เพราะทําลายธรรมฝ่ าย
กุศล โดยเป็ นปัจจัยทําให้ เกิดกิเลส หรือการดูการเห็นทีA เป็ นข้ าศึก)
เมืA อรวมคําได้ ว่านัจจ คีตวาทิตวิสูกทัสสนะ คือ การฟ้ อนรําด้ วยการขับร้ อง การ
ประโคมและ การดูสิAงทีA เป็ นข้ าศึก ก็วิสกู ทัสสนะ ในทีA น8 ี พึงถือเอาตามนัยทีA ตรัสไว้ ในพรหม
ชาลสูตร. อันพระผู้มีพระภาคเจ้ าตรัสไว้ ว่า:-
อนึA ง ท่านสมณพราหมณ์พวกหนึA งบริโภคโภชนะทีA เขาให้ ด้วยศรัทธา ยังชอบดูการ
เล่นทีA เป็ นข้ าศึกเห็นปานนี8อยู่ คือ ฟ้ อนรํา ขับร้ อง ประโคม เล่นมหรสพเล่นเล่านิทาน
เล่นปรบมือ เล่นเคาะปลุกยาม เล่นตีกลอง เล่นของสวย ๆ ทําของสวย ๆ เล่น เล่นเลียน
คนจัณฑาล เล่นไม้ สูง เล่นหน้ าศพ เล่นชนช้ างเล่นชนม้ า เล่นชนกระบือ เล่นชนโค
เล่นชนแพะ เล่นชนแกะ เล่นชนไก่ เล่นชนนกกระทา เล่นกระบีA กระบอง เล่นแข่งสุนขั
เล่นมวยชก เล่นมวยปลํา8 เล่นรบกัน เล่นสนามรบ เล่นตรวจพล เล่นจัดกระบวนทัพ ดู
กองทัพดังนี8เห็นปานใด พระสมณโคดมเว้ นขาดจากการดูการละเล่นเห็นปานนั8น ดังกล่าวมา
ฉะนี8.
อีกอย่างหนึA ง การฟ้ อนรํา การขับร้ องและการประโคม โดยความตามทีA กล่าว
มาแล้ วเท่านั8นเป็ นข้ าศึก ชืA อว่า นัจจคีตวาทิตวิสกู ะ การดูการฟ้ อนรําขับร้ องและประโคมทีA
เป็ นข้ าศึกเหล่านั8น ชืA อว่านัจจคีตวาทิตวิสกู ทัสสนะ เจตนางดเว้ นจากการฟ้ อนรําขับร้ องและ
ประโคมทีA เป็ นข้ าศึกนั8น เมืA อควรจะกล่าวว่าทสฺสนสวนา แม้ การฟังท่านก็เรียกว่า ทัสสนะ
เหมือนกัน เหมือนการจับอารมณ์ แม้ มิใช่เป็ นไปทางจักษุทวาร ท่านก็เรียกว่าทัสสนะ ใน
ประโยคเป็ นต้ นอย่างนี8ว่า โส จ โหติ มิจฉฺ าทิฏฐิโก วิปรีตทสฺสโน ผู้น8ันย่อมเป็ นมิจฉาทิฏฐิ
มีความเห็นผิด มีทสั สนะความเห็นวิปริต อันการล่วงละเมิดในสิกขาบทนี8 ย่อมมีแก่ผ้ ูเข้ าไป
ดูเพราะอยากจะดูเท่านั8น ส่วนผู้เดินไปพบหรือเห็นเฉพาะทีA มาปรากฏ ในโอกาสทีA ยืน นัAง
นอนก็มีแต่ความเศร้ าหมองมิใช่ล่วงละเมิด ก็ในสิกขาบทนี8 การขับร้ องแม้ ทอีA ิงธรรมะ ก็ไม่
ควร แต่ธรรมะทีA องิ การขับร้ อง พึงทราบว่าสมควร.
๑๘๑

ดอกไม้ เป็ นต้ น พึงใช้ ประกอบด้ วยการทัดทรงเป็ นอาทิ ตามสมควรในสิกขาบทนั8น


คําว่ามาลา ได้ แก่ดอกไม้ ชนิดใดชนิดหนึA ง. คําว่า วิเลปนะได้ แก่ ของอย่างใดอย่างหนึA ง ทีA
เขาบดจัดไว้ เพืA อลูบไล้ นอกจากนั8นของหอมมีผงและควันอบเป็ นต้ นทุกอย่าง ชืA อว่า ของ
หอม ของหอมนั8น ทุกอย่าง ใช้ ตกแต่งประดับ ไม่ควร แต่ใช้ เป็ นยา ก็ควร. แต่ของ
หอมทีA เขานํามาเพืA อบูชาสําหรับผู้รับไว้ ย่อมไม่ควร โดยปริยายไร ๆ หามิได้ .
การดูการละเล่นฟ้ อนรํา มีองค์ ๔ คือ
๑. นจฺจทิตา (ความเป็ นการเล่นฟ้ อนรํา เป็ นต้ น)
๒. อนนุ^ญ ฺ าตกภาโว (เป็ นกิจทีA พระองค์ไม่อนุญาต)
๓. ทสฺสนตฺถาย คมนํ (ไปเพืA อต้ องการจะดู)
๔. ทสฺสนํ (การดู)
การประดับตกแต่งร่างกายด้วยดิกไม้ของหอมเป็ นต้น มีองค์ ๔ คือ
๑. มาลาทีนํ อ^ฺญตรตา (ความเป็ นเครืA องประดับมีพวงดอกไม้ เป็ นต้ น)
๒. อนนุ^ญ ฺ าตกภาโว (ใช้ ของหอมในเหตุทพระองค์
ีA ไม่อนุญาต)
๓. มณฺฑนาย (ตกแต่งเพืA อต้ องการประดับ)
๔. อลฺงกตภาโว (ความเป็ นผู้มีกายประดับตกแต่งแล้ ว)

๘. อุจจาสยนมหาสยนา เวรมณี (การงดเว้ นจากการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอน


ใหญ่)
อุจจาสยนมหาสยนาเวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น
จากการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนใหญ่ การไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA
นอนใหญ่ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนใหญ่ หรือ การคิดอ่าน
กิริยาทีA คิดอ่าน ความคิดอ่าน ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นจากการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอน
ใหญ่หรือการประคองรักษาไว้ (ปัคคาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ) ของบุคคลผู้งดเว้ น
จากการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนใหญ่ ทีA นอนเกินขนาด ท่านเรียกว่า ทีA นอนสูง ทีA นอนเป็ น
อกัปปิ ยะ และเครืA องปูทนีA อนเป็ นอกัปปิ ยะ ท่านเรียกว่า ทีA นอนใหญ่ ทีA นอนแม้ ท8งั สองอย่าง
นั8น สําหรับผู้รับไว้ ย่อมไม่ควรไม่ว่าโดยปริยายไร ๆ.
การนัง. การนอนบนที.นง.ั ที.นอนใหญ่มีองค์ ๔ คือ
๑. อกปฺปิยธารตา (ความเป็ นเครืA องลาดทีA ไม่สมควร)
๒. ปมาณาติกกฺ นฺตา (ความเป็ นเตียงและตัAงทีA เกินประมาณ )
๑๘๒

๓. อกปฺปิยตราทีนํ คเวสนตา เสาะหาเครืA องลาดทีA ไม่เหมาะสม


๔. อภินสิ ที นํ วา อภินิปชฺชนํวา (การนัAงหรือการนอน)

การขาดของศีล
สําหรับคฤหัสถ์ เมื.อศีลข้อหนึ.งขาด ก็ขาดข้อเดียวเท่านั1น เพราะศีลของ
คฤหัสถ์เหล่านั8น ย่อมจะสมบูรณ์อีกด้ วยการสมาทานศีลนั8นเท่านั8น สําหรับบรรพชิต เมื.อล่วง
ละเมิดสิกขาบทเดียว ก็ขาดทั1งหมด.
อาจารย์อกี พวกหนึA งกล่าวว่าบรรดาศีลทีA คฤหัสถ์สมาทานเป็ นข้ อ ๆ เมืA อศีลข้ อหนึA ง
ขาด ก็ขาดข้ อเดียวเท่านั8น เพราะศีลข้ ออืA นทีA สมาทานไม่ขาด แต่บรรดาศีลทีA คฤหัสถ์สมาทาน
รวมกันอย่างนี8ว่า ข้ าพเจ้ าสมาทานศีล ทีA ประกอบด้ วยองค์ ๕ ดังนี8 เมืA อศีลข้ อหนึA งขาด ศีล
แม้ ทเีA หลือ ก็เป็ นอันขาดหมดทุกข้ อ ด้ วยศีลทีA คฤหัสถ์ล่วงละเมิดนัAนแล ก็มีความผูกพันด้ วย
กรรม
*สภาพจิตในขณะรักษาศีลนั8น อาจมีความรู้สึกยินดีหรือเฉยๆในการรักษาศีล ขึ8นอยู่
กับข้ อมูลและความเข้ าใจในการฝึ กฝน ทั8งนี8 การรักษาศีลอาจเกิดจากการ กระตุ้นโดยการ
ชักชวนชี8นาํ ของผู้อนืA และสภาพแวดล้ อม โดย อาจเกิดขึ8นมาจากปัญญาทีA เข้ าใจในเหตุผลว่า
ทําไมจึงต้ องรักษาศีล หรือความเคยชินในศีลนั8น การฝึ กปฏิบตั ิมาเป็ นเวลานานนั8นมีส่วนช่วย
ให้ การักษาศีลได้ ดีข8 ึน
*************
มารยาท ความประพฤติ วัตรที.ดีงาม
มารยาท ความประพฤติ ทีA ดีงาม นั8นก็คือ กริยา วาจา ทีA ถือว่าเรียบร้ อย น่ารักน่า
เลืA อมใส เป็ นธรรมเนียม หลักปฏิบัติ ทีA ควรทํา เพืA อก่อให้ เกิดประโยชน์ต่อตนเองในการทีA จะ
รู้จักใช้ ชีวิตให้ ถูกต้ องดีงาม ปฏิบัติตามหน้ าทีA ของตนเองได้ อย่างเหมาะสม

มารยาท หรือวัตรปฏิบตั ิ ของพระภิกษุสงฆ์


ข้ อปฏิบัติเหล่านี8 พระพุทธองค์ได้ ทรงแสดงเพืA อเป็ นแนวทางในการปฏิบัติไว้ แล้ ว ไม่
ว่าจะเป็ นเรืA องการแต่งกาย การบริโภคอาหาร ใช้ สอยเสนาสนะยารักษาโรค การปฏิบัติตนต่อ
อุปัชฌาย์ อาจารย์ เพืA อนสหธรรมมิก ลูกศิษย์ รวมไปถึงญาติโยม เช่น.
๑๘๓

เสขิยวัตร คือ ข้ อปฏิบัติทเีA ป็ นธรรมเนียมเกีA ยวกับมารยาทในเรืA องต่างๆ เช่น ในการ


นุ่งห่ม ขบฉันอาหาร การเดิน การนัAง การแสดงธรรม การถ่ายอุจาระและปัสสาวะ
อุปัชฌายวัตร คือ วัตรทีA สัทธิวหิ าริก พึงปฏิบัติต่ออุปัชฌาย์ เช่นปรนนิบัตริ ับใช้ ด้วย
ความเต็มใจ ศึกษาหาความรู้จากท่าน ให้ ความเคารพ และดูแลเมืA ออาพาธ เป็ นต้ น
สัทธิวิหาริกวัตร คือ ธรรมเนียมทีA อุปัชฌาย์พึงปฏิบัตติ ่อสัทธิวิหาริก เช่น ให้
การศึกษา ช่วยเหลือเรืA องเครืA องใช้ สอย เอาใจใส่ดูแลเมืA ออาพาธ ระวังป้ องกันความเสืA อมทีA จะ
เกิดแก่ศิษย์ เป็ นต้ น
อาคันตุกวัตร คือ ธรรมเนียมทีA พระอาคันตุกะพึงปฏิบัตติ ่อพระเจ้ าถิA น เช่น ให้
ความเคารพเกรงใจ สุภาพอ่อนน้ อม ให้ ความคุ้นเคย ปฏิบัตติ ามกฎของวัด ช่วยเหลืองาน
เป็ นต้ น
อาวาสิกวัตร คือ ธรรมเนียมทีA พระเจ้ าถิA นพึงปฏิบัติต่อพระอาคันตุกะ เช่น ให้ การ
ต้ อนรับทีA เหมาะสม แสดงนํา8 ใจ เอื8อเฟื8 อจัดทีA พักให้ เป็ นต้ น
คมิกวัตร คือ ธรรมเนียมทีA ผ้ ูทจะไปอยู
ีA ่ทอีA นืA พึงปฏิบัติ เช่น ดูแลความสะอาด
เรียบร้ อยก่อนส่งคืนเสนาสนะ บอกลาพระเจ้ าถิA น เป็ นต้ น
วัจจกุฏิวตั ร คือ ธรรมเนียมทีA ภิกษุผ้ ูใช้ ห้องนํา8 ห้ องส้ วมพึงปฏิบตั ิ เช่น เข้ าตามลําดับ
ผู้มาก่อนหลัง รักษาความสะอาด ถอดจีวรก่อนเข้ าห้ องนํา8 พึงส่งเสียงถามก่อนเข้ าห้ องนํา8 เป็ น
ต้ น
ปิ ณฑจาริกวัตร คือ ธรรมเนียมทีA ภิกษุผ้ ูทจะเข้ ีA าไปบิณฑบาตพึงปฏิบัติ เช่น นุ่งห่ม
เรียบร้ อย สํารวมกริยามารยาท รับบิณฑบาตด้ วยความเคารพ เป็ นต้ น
ภัตตัคควัตร คือ ธรรมเนียมในการฉันอาหารของพระภิกษุ เช่น นัAงในทีA สมควรแก่
ตน ฉันด้ วยความสํารวม ระวังอย่าให้ นาํ8 ล้ างมือกระเด็นถูกผู้อนืA เป็ นต้ น
นอกจากนี8ยังมีวัตร อืA นๆอีก เช่นเสนาสนวัตร(วัตรในการใช้ สอยเสนาสนะ)
อนุโมทนาวัตร(วัตรในการอนุโมทนา)อารัญญิกวัตร(วัตรในการอยู่ป่า) ชันตาฆรวัตร (วัตรใน
เรือนไฟ) และข้ อปฏิบตั รต่างๆในการทําสังฆกรรม อันผู้สนใจพังศึกษาเพิA มเติมได้ ใน คัมภีร์
พระวินัย

มารยาท หรือวัตรปฏิบตั ิของคฤหัสถ์


มารยาท หลักธรรมและความประพฤติทดีA ี ของคฤหัสถ์น8ันเป็ นประโยชน์ในการทีA
คฤหัสถ์จะนําไปใช้ ในการอยู่ร่วมอย่างสังคมได้ ดี ปฏิบัติต่อบุคคลอืA นได้ อย่างถูกต้ อง รู้จัก
๑๘๔

ขนบธรรมเนียม ทําให้ เป็ นผู้มคี วามน่าเคารพรัก รู้จักใช้ ชีวิตได้ อย่างคุ้มค่าและเจริญก้ าวหน้ า


ยังความสงบสุขและการพัฒนามาสู่ครอบครัวและสังคม โดยหลักต่างๆนี8พระพุทธองค์ได้ ทรง
แสดง ไว้ มากมาย เช่น ทิศ๖ อบายมุข ๖ สารานิยธรรม๖ สังคหวัตถุ๔ บุญญกริยาวัตถุ๑๐ วัตร
บท๗

ทิศ ๖
หน้ าทีA หลักการวางตัวต่อบุคคลในระดับต่างๆกันได้ อย่างเหมาะสมทีA เปรียบกับทิศทั8ง
๖ ดังนี8
๑. ทิศเบื8องหน้ าคือ มารดาบิดา ๔. ทิศเบื8องซ้ ายคือมิตรและอํามาตย์
๒. ทิศเบื8องขวาคือ อาจารย์ ๕. ทิศเบื8องตําA คือทาสและกรรมกร
๓. ทิศเบื8องหลังคือ บุตรและภรรยา ๖. ทิศเบื8องบนคือ สมณพราหมณ์
๑. ทิศเบื. องหน้าคือ มารดาบิดา (เพราะเป็ นผู้มอี ุปการก่อน)
บุตรพึงบํารุง มารดาบิดาผู้เป็ นทิศเบื8องหน้ า อันด้ วยสถาน๕ คือ
๑. ท่านเลี8ยงเรามา เราจักเลี8ยงท่านตอบ (บิดามารดาเลี8ยงดูเรามาแต่ เล็ก เราก็ดูแลท่าเมืA อ
ท่านแก่ เฒ่ า)
๒. ช่วยทํากิจของท่าน (ช่วยทํางานแทนบิดามารดา เป็ นต้ น)
๓. ดํารงวงศ์สกุล (ไม่ทาํ เสืA อมเสียชืA อตระกูล ดูแลทรัพย์ไม่ให้ พินาศ เป็ นต้ น)
๔. ปฏิบัตติ นให้ เป็ นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก (ประพฤติตัวดีอยู่ในโอวาท)
๕. เมืA อท่านล่วงลับไปแล้ ว ทําบุญอุทศิ ให้ ท่าน (ทําทานแล้ วแผ่ส่วนบุญไปให้ )
มารดาบิดาอันบุตรบํารุงด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8แล้ วย่อมอนุเคราะห์บุตรด้ วยสถาน ๕ คือ
๑. ห้ ามจากความชัAว (ห้ ามปรามมิให้ ทาํ ชัAวเช่นทําผิดศีลธรรม)
๒. ให้ ต8ังอยู่ในความดี (สอนให้ ทาํ ความดีมีคุณธรรม รู้จักให้ แบ่งปัน มีศีลรู้จักฟัง
ธรรม)
๓. ให้ ศึกษาศิลปวิทยา (ให้ มีการศึกษาเพืA อใช้ ประกอบอาชีพและตั8งตนได้ )
๔. หาคู่ครองทีA สมควรให้ (หาคู่ครองทีA สมควรด้ วย ตระกูล ศีลและรูป เป็ นต้ น)
๕. มอบทรัพย์ให้ ในโอกาสอันควร (เช่นให้ เงินค่าขนม หรือค่าทําบุญเป็ นต้ น)
๑๘๕

มารดาบิดาผู้เป็ นทิศเบื8องหน้ าอันบุตรบํารุงด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8แล้ วย่อมอนุเคราะห์บุตร


ด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8 ทิศเบื8องหน้ านั8น ชืA อว่าอันบุตรปกปิ ดให้ เกษมสําราญให้ ไม่มีภัยด้ วย
ประการฉะนี8 ฯ
๒. ทิศเบื.องขวาคือ อาจารย์ (เพราะเป็ นผูค้ วรแก่ทกั ษิณา)
ศิษย์พึงบํารุงอาจารย์ผ้ ูเป็ นทิศเบื8องขวาด้ วยสถาน ๕ คือ
๑. ด้ วยลุกขึ8นยืนรับ ๒. ด้ วยเข้ าไปยืนคอยรับใช้
๓. ด้ วยการเชืA อฟัง ๔. ด้ วยการปรนนิบัติ
๕. ด้ วยการเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ (ตั8งใจเรียน)
อาจารย์ อันศิษย์บํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี1 แล้วย่อมอนุ เคราะห์ศิษย์ดว้ ยสถาน ๕ คือ
๑. แนะนําให้ เป็ นคนดี (แนะนํามารยาท คุณธรรมเป็ นต้ น)
๒. สอนให้ แจ่มแจ้ ง (ชี8แจงในแง่มุม ทีA ศิษย์จะเข้ าใจได้ ง่าย)
๓. บอกศิษย์ด้วยดีในศิลปวิทยาทั8งหมด (แนะนํา ความรู้ให้ อย่างสิ8นเชิง)
๔. ยกย่องให้ ปรากฏในเพืA อนฝูง (ยกย่องความสามารถศิษย์ให้ คนอืA นทราบ)
๕. ทําความป้ องกันในทิศทั8งหลาย (แนะนําให้ เลีA ยงในทีA ไม่ควรไป หรือสิA งทีA จาํ นําภัย
มา)
อาจารย์ผ้ ูเป็ นทิศเบื8องขวาอันศิษย์บาํ รุงด้ วยสถาน ๕ เหล่า นี8แล้ ว ย่อมอนุเคราะห์
ศิษย์ด้วยสถาน ๕ เหล่านี8 ทิศเบื8องขวานั8น ชืA อว่าอันศิษย์ปกปิ ดให้ เกษมสําราญให้ ไม่มีภัยด้ วย
ประการฉะนี8
๓. ทิศเบื1 องหลังคือ บุตรและภรรยา (เพราะติดตามมาข้ างหลัง)
สามีพึงบํารุงภรรยาผู้เป็ นทิศเบื8องหลังด้ วยสถาน ๕ คือ
๑. ยกย่องให้ เกียรติว่าเป็ นภรรยา
๒. ไม่ดูหมิA น
๓. ไม่ประพฤตินอกใจ
๔. มอบความเป็ นใหญ่ให้ (มอหน้ าทีA การงานในบ้ านให้ )
๕. ให้ เครืA องแต่งตัว (ตามสมควรแก่ฐานะ)
ภรรยาผู้เป็ นอันสามีบาํ รุงด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8แล้ วย่อมอนุเคราะห์สามีด้วยสถาน ๕ คือ
๑. จัดการงานดี (ดูแลงานบ้ านเป็ นอย่างดี)
๒. สงเคราะห์คนข้ างเคียงของผัวดี
๑๘๖

๓. ไม่ประพฤตินอกใจผัว
๔. รักษาทรัพย์ทผีA ัวหามาได้ (รู้จักใชจ่ายทรัพย์ในบ้ าน)
๕. ขยันไม่เกียจคร้ านในกิจการทั8งปวง
ภรรยาผู้เป็ นทิศเบื8องหลังอันสามีบาํ รุงด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8แล้ ว ย่อมอนุเคราะห์สามี
ด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8 ทิศเบื8องหลังนั8น ชืA อว่าอันสามีปกปิ ดให้ เกษมสําราญให้ ไม่มีภัยด้ วย
ประการฉะนี8

๔. ทิศเบื1 องซ้ายคือมิตรและอํามาตย์ (เพราะอาศัยมิตรและสหาย จึงข้ ามพ้ นปัญหา


บางอย่างได้ )
กุลบุตรพึงบํารุงมิตรผู้เป็ นทิศเบื8องซ้ ายด้ วยสถาน ๕ คือ
๑. ด้ วยการให้ ปัน ๔.ด้ วยความเป็ นผู้มตี นเสมอ
๒. ด้ วยเจรจาถ้ อยคําเป็ นทีA รัก ๕. ด้ วยไม่แกล้ งกล่าวให้ คลาดจากความ
จริง (จริงใจ)
๓. ด้ วยประพฤติประโยชน์
มิตรอันกุลบุตรบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี1 แล้วย่อมอนุ เคราะห์กุลบุตรด้วยสถาน ๕ คือ
๑.รักษามิตรผู้ประมาทแล้ ว
๒.รักษาทรัพย์ของมิตรผู้ประมาทแล้ ว
๓. เมืA อมิตรมีภัยเอาเป็ นทีA พึAงพํานักได้
๔.ไม่ละทิ8งในยามวิบัติ
๕.นับถือตลอดถึงวงศ์ของมิตร(มีสมั พันธ์ทดีA ีกบั ครอบครัวของมิตร)
มิตรผูเ้ ป็ นทิศเบื1 องซ้ายอันกุลบุตรบํารุงด้วยสถาน ๕ เหล่านี1 แล้วย่อมอนุ เคราะห์
กุลบุตรด้วยสถาน ๕ เหล่านี8 ทิศเบื8องซ้ ายนั8น ชืA อว่าอันกุลบุตรปกปิ ดให้ เกษมสําราญ ให้ ไม่มี
ภัยด้ วยประการฉะนี8
๕. ทิศเบื1 องตํ.าคือทาสและกรรมกร (เพราะอยู่ภายใต้ การปกครอง)
นายพึงบํารุงทาสกรรมกรผูเ้ ป็ นทิศเบื1 องตํ.าด้วยสถาน ๕ คือ
๑. จัดการงานให้ ทาํ ตามสมควรแก่กาํ ลัง (put the right man on the right job)
๒. ให้ อาหารและรางวัล (เลี8ยงอาหารและให้ ค่าจ้ างทีA เหมาะสม)
๓. รักษาในคราวเจ็บไข้ (ให้ พักเมืA อไม่สบาย และมีสวัสดิการให้ )
๑๘๗

๔. แจกของมีรสแปลกประหลาดให้ กนิ (เมืA อมีของกินทีA อร่อยแปลกใหม่ไม่กนิ หมด


เสียเอง)
๕. ปล่อยในสมัย (จัดให้ หยุดงานตามวันทีA เหมาะสม)
ทาสกรรมกรอันนายบํารุงด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8แล้ วย่อมอนุเคราะห์นายด้ วยสถาน ๕ คือ
๑.ลุกขึ8นทําการงานก่อนนาย ๔.ทําการงานให้ ดีข8 ึน
๒.เลิกการงานทีหลังนาย ๕.นําคุณของนายไปสรรเสริญ
๓.ถือเอาแต่ของทีA นายให้ (ไม่ฉ้อโกงผลประโยชน์ของนาย)
ทาสกรรมกรผู้เป็ นทิศเบื8องตําA อันนายบํารุงด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8แล้ วย่อมอนุเคราะห์นาย
ด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8 ทิศเบื8องตําA นั8น ชืA อว่าอันนายปกปิ ดให้ เกษมสําราญให้ ไม่มีภัย ด้ วย
ประการฉะนั8น
๖. ทิศเบื1 องบนคือ สมณพราหมณ์ (เพราะเป็ นผู้ต8ังอยู่ในเบื8องบนด้ วยคุณธรรมทั8งหลาย)
กุลบุตรพึงบํารุง สมณพราหมณ์(พระสงฆ์เป็ นต้น)ผูเ้ ป็ นทิศเบื1 องบน ด้วยสถาน ๕ คือ
๑. ด้ วยกายกรรมประกอบด้ วยเมตตา ๔.ด้ วยความเป็ นผู้ไม่ปิดประตู (ต้ อนรับด้ วย
ความเต็มใจ)
๒. ด้ วยวจีกรรมประกอบด้ วยเมตตา ๕.ด้ วยให้ อามิสทานเนืองๆ (บํารุงด้ วย ปัจจัย
๔)
๓. ด้ วยมโนกรรมประกอบด้ วยเมตตา
สมณพราหมณ์ อันกุลบุตรบํารุงด้วยสถาน ๕เหล่านี1 แล้ว ย่อมอนุ เคราะห์กุลบุตรด้วย
สถาน ๖ คือ
๑. ห้ ามไม่ให้ ทาํ ความชัAว ๔.
ให้ ได้ ฟังสิA งทีA ยังไม่เคยฟัง
๒. ให้ ต8ังอยู่ในความดี ๕. ทําสิA งทีA เคยฟังแล้ วให้ แจ่มแจ้ ง
๓. อนุเคราะห์ด้วยนํา8 ใจอันงาม ๖. บอกทางสวรรค์ให้
สมณพราหมณ์ผ้ ูเป็ นทิศเบื8องบน อันกุลบุตรบํารุงด้ วยสถาน ๕นี8แล้ ว ย่อมอนุเคราะห์
กุลบุตรด้ วยสถาน ๖ นี8 ทิศเบื8องบนนั8น ชืA อว่าอันกุลบุตรปกปิ ดให้ เกษมสําราญ ให้ ไม่มีภัย ด้ วย
ประการฉะนี8
เมืA อเรารู้จักวางตัวได้ เหมาสมถูกต้ องกับบุคคลทีA อยู่ในสถานะทีA ต่างกัน เป็ นผู้ร้ ูธรรม
เนียม นั8นก็จะเป็ นผู้ไม่เก้ อเขินในทีA ไหนๆ ไม่เป็ นทีA ติเตียนของตนเองและผู้อืAนได้ เพราะได้ ทาํ
๑๘๘

ตามหลักการทีA ดีงามอย่างเต็มทีA และเมืA ออยู่ในสังคมก็ได้ อย่างราบรืA น เกิดความสบายใจ


ครอบครัว ญาติมติ ร ก็จะอบอุ่น องค์กรบริษัทก็เป็ นไปได้ ดีการงานราบรืA น

อบายมุข ๖
ทางเสื.อมแห่งโภคะ ๖
อบายมุข คือ เป็ นการกระทําอันเป็ นทีA ต8ังแห่งความประมาทนําไปสู่ความฉิบหาย มี ๖
คือ
๑.การดื.มนํ1าเมาคือสุราและเมรัย อันมีโทษคือเกิดความเสืA อมทรัพย์อันผู้ดืAมพึงเห็น
เอง ก่อการทะเลาะวิวาท เป็ นบ่อเกิดแห่งโรค เสียชืA อเสียง ทําให้ ไม่ร้ จู ักละอาย เป็ นเหตุ
ทอนกําลังปัญญา
๒. การเที.ยวไปในตรอกต่างๆ ในกลางคืน อันมีโทษคือไม่ค้ ุมครอง ไม่รักษาตัว และ
บุตรภรรยา ไม่ค้ ุมครองรักษาทรัพย์สมบัติ ๑ เป็ นทีA ระแวงของคนอืA น ๑ คําพูดอันไม่เป็ นจริง
ในทีA น8ันๆ ย่อมปรากฏในผู้น8ัน ๑อันเหตุแห่งทุกข์เป็ นอันมากแวดล้ อม
๓. การเที.ยวดูมหรสพ มีโทษคือเมืA อมีการรํา ขับร้ องเพลงทีA ไหนก็ไปทีA นAัน ติดละคร
ทําให้ เสียการงาน
๔.การพนัน อันมีโทษคือ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ ย่อมเสียดายทรัพย์ทเีA สียไป คําพูดฟัง
ไม่ข8 ึน ถูกมิตรอมาตย์หมิA นประมาท ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้ วย
๕.การคบคนชั.วเป็ นมิตร อันมีโทษคือชักชวนในทางทีA ไม่ดีคือ นําให้ เป็ น นักเลงการ
พนัน นักเลงเจ้ าชู้ นักเลงเหล้ า คนลวงผู้อนด้ ืA วยของปลอม คนโกงเขาซึA งหน้ า คนหัวไม้
๖.ความเกียจคร้าน อันมีโทษคือ มักให้ อ้างว่าหนาวนัก ร้ อนนัก เวลาเย็นแล้ ว ยังเช้ า
อยู่ หิว กระหายแล้ วไม่ทาํ การงาน เมืA อเขามากไปด้ วยการอ้ างเลศ ผลัดเพี8ยนการงานอยู่อย่างนี8
โภคะทีA ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ8น ทีA เกิดขึ8นแล้ วก็ถึงความสิ8นไป

จักร ๔
ดูกรภิกษุท8งั หลาย จักร๔ประการนี8 เป็ นเครืA องเป็ นไปแก่มนุษย์และเทวดาผู้ประกอบ
เป็ นเครืA องทีA มนุษย์และเทวดาประกอบแล้ ว ย่อมถึงความเป็ นผู้ใหญ่ (และ) ความไพบูลย์ใน
โภคะทั8งหลาย ต่อกาลไม่นานนักจักร ๔ ประการ คือ
๑. ปฏิรูปเทสวาสะ(การอยู่ในถิA นทีA เหมาะ)
๑๘๙

๒. สัปปุรสิ ูปัสสยะ (การคบสัตบุรุษมีพระพุทธเจ้ าเป็ นต้ น)


๓. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั8งตนไว้ ชอบ)
๔. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็ นผู้มีบุญได้ กระทําไว้ แล้ วในปางก่อน)
การเลือกอยู่ถนทีA ิA เหมาะสมคือ มีแหล่งเล่าเรียนและดําเนินชีวิตทีA ดี อยู่ในสังคมทีA
เหมาะสม เหมาะแก่การพัฒนาชีวติ การอยู่ถิAนทีA ดีน8ันทําให้ ได้ พบกับ สัตบุรษผู้มีความรู้ ทรง
คุณ ได้ ง่ายเมืA อได้ คบหาแล้ วก็จะเกื8อกูลแก่การแสวงหาธรรม หาความรู้ ให้ งอกงาม มีหลักใน
การดําเนินชีวิตทีA ถูกทีA ควร การได้ ศึกษาหาความรู้ มีหลักการดําเนินชีวิตทีA ถูกต้ อง ก็กระทําสิA งทีA
เป็ นบุญเป็ นกุศลไว้ ได้ เป็ นเหตุให้ สร้ างสรรค์ประโยชน์สขุ แก่ตนให้ ยิAงขึ8นไป
“นรชนพึงอยู่ในถิA นทีA เหมาะ พึงกระทําอริยชนให้ เป็ นมิตร
ถึงพร้ อมด้ วยความตั8งตนไว้ ชอบ มีบุญได้ กระทําไว้ แล้ วในปางก่อน
ธัญชาติ ทรัพย์ ยศ ชืA อเสียง และความสุขย่อมหลัAงไหลมาสู่นรชนนั8น”

สังคหวัตถุ ๔
สังคหวัตถุ ๔ เป็ นธรรมเครืA องสงเคราะห์โลก ประดุจสลักเพลาควบคุมรถทีA แล่นไป
อยู่ไว้ ได้ ฉะนั8น ถ้ าธรรมเครืA องสงเคราะห์เหล่านี8 ไม่มีไซร้ มารดาหรือบิดาก็จะไม่ พึงได้ ความ
นับถือหรือบูชาจากบุตร เมืA อผู้ปฏิบัติธรรมเครืA องสงเคราะห์เหล่านี8 พวกเขาจึงจะได้ ถงึ ความ
เป็ นใหญ่ และเป็ นทีA น่าสรรเสริญ ทั8งธรรมนี8ยังเป็ นเครืA องยึดเหนีA ยวนํา8 ใจกัน
สังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ ทาน ปิ ยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา
๑. ทาน การให้ แบ่งปั น เสียสละสงเคราะห์ด้วยปัจจัย๔ ตลอดจนวิชาความรู้
๒. ปิ ยวาจา ความเป็ นผู้มีวาจาน่ารัก พูดจาสุภาพ มีประโยชน์ สมานสามัคคี มีเหตุผล
น่านับถือ
๓. อัตถจริยา ความประพฤติประโยชน์ ช่วยเหลือผู้อืAน บําเพ็ญสาธารณประโยชน์
๔. สมานัตตา ความเป็ นผู้วางตนเสมอต้ นเสมอปลาย ทําตัวให้ เข้ ากับผู้อนืA ได้ ให้
ความเสมอภาคแก่คนทั8งหลาย ไม่เอาเปรียบ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมแก้ ไขปัญหา
บุคคลบางพวกเป็ นผู้ควรสงเคราะห์ ด้ วยการให้ ทาน พึงยึดเหนีA ยวจิตใจเขาด้ วยการ
ให้ ปัน ส่วน คนบางคนไม่ต้องการทาน แต่ต้องการคํากล่าววาจาน่ารักประกอบด้ วยประโยชน์
พึงสงเคราะห์เขาด้ วยการกล่าวปิ ยวาจาบางคนไม่ต้องการทานและปิ ยวาจา แต่หวังการ
๑๙๐

ประพฤติประโยชน์พึงสงเคราะห์เขาด้ วย อัตถจริยา คนบางคนไม่หวังทาน ปิ ยวาจาและอัตถ


จริยา แต่หวังความเสมอภาค มีทุกข์สขุ เสมอกัน พึงสงเคราะห์เขาด้ วย สมานัตตา
*ธรรมหมวดนี8เหมาะแก่ผ้ ูทมีA ีปัญหาในการเข้ ากับสังคม เช่นเข้ ากับผู้อนไม่ ืA ค่อยได้
เป็ นต้ น

อุบาสกธรรม ๗
ธรรม เพืA อความ เป็ นอุบาสก อุบาสิกา ในพระศาสนา
๑. ไม่ขาดการเยีA ยมเยียนภิกษุ รู้จักเข้ าวัด ไม่ กลัวพระภิกษุโดยเฉพาะพระทีA ชอบกล่าวธรรมะ
๒. ไม่ละเลยการฟังธรรม เข้ าหาพระทีA สอนธรรมเพืA อฟั งธรรม
๓. ศึกษาในอธิศลี รักษาศีล๕ ศีล๘ เป็ นประจํา
๔. มากด้ วยความเลืA อมใสในภิกษุท8งั ทีA เป็ นเถระ ทั8งเป็ นผู้ใหม่ท8งั ปานกลาง
๕.ไม่ต8ังจิตติเตียน ไม่คอยเพ่งโทษฟังธรรม ฟังธรรมเน้ นจับผิดเพืA อนําไปต่อว่าเพราะมีวาระ
ซ่อนเร้ น
๖. ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี8 ชอบหาทําบุญกับพวกดูดวง ไหว้ เจ้ า หลอกให้ งมงาย
ต่างๆ
๗. กระทําสักการะก่อนในเขตบุญในศาสนานี8 ให้ ความสําคัญในการทําบุญในพระศาสนาก่อน
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ธรรม ๗ ประการนี8แลย่อมเป็ นไปเพืA อความไม่เสืA อมแก่อบุ าสก ฯ
วัตรบท ๗
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ท้าวสักกะจอมเทพ เมืA อยังเป็ นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ สมาทาน
วัตรบท ๗ ประการนี8บริบูรณ์ เพราะเป็ นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการดังนี8 จึงได้ ถึงความเป็ น
ท้ าวสักกะ ฯ
วัตรบท ๗ ประการ คือ
๑. พึงเลี8ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต
๒. พึงประพฤติอ่อนน้ อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลจนตลอดชีวติ
๓. พึงพูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวติ
๔. ไม่พึงพูดวาจาส่อเสียดตลอดชีวติ
๕. พึงมีใจปราศจากความตระหนีA อันเป็ นมลทินอยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อย
แล้ ว มี
ฝ่ ามืออันชุ่มยินดีในการสละควรแก่การขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวติ
๑๙๑

๖. พึงพูดคําสัตย์ตลอดชีวิต
๗. ไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ถ้ าความโกรธพึงเกิดขึ8น พึงกําจัดมันเสียโดยฉับพลัน
ทีเดียว
นรชน ผู้เป็ นบุคคลเลี8ยงมารดาบิดามีปรกติประพฤติอ่อนน้ อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
เจรจาอ่อนหวาน กล่าวแต่คาํ สมานมิตรสหาย ละคําส่อเสียด ประกอบในอุบายเป็ นเครืA องกําจัด
ความตระหนีA มีวาจาสัตย์ ครอบงําความโกรธได้ นั8นแลว่า เป็ นสัปบุรุษดังนี8

บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
บุญกิริยาวัตถุคือ ทีA ต8ังแห่งการทําบุญ ,ทางทําความดี
๑ทานมัย ทําบุญด้ วยการให้ ปันทรัพย์สิAงของ
๒ ศีลมัย ทําบุญด้ วยการรักษาศีล หรือประพฤติดปี ฏิบัติชอบ
๓ ภาวนามัย ทําบุญด้ วยการเจริญภาวนา คือฝึ กอบรมจิตใจให้ เจริญด้ วยสมาธิ และ
ปัญญา
๔ อปจายมัย ทําบุญด้ วยการประพฤติสภุ าพอ่อนน้ อม
๕ เวยยาวัจจมัย ทําบุญด้ วยการขวนขวายช่วยเหลือบําเพ็ญประโยชน์
๖ ปัตติทานมัย ทําบุญด้ วยการให้ ผ้ ูอนมี ืA ส่วนร่วมในการทําความดี (การให้ ส่วนบุญ)
๗ ปัตตานุโมทนามัย ทําบุญด้ วยการพลอยยินดีในการทําความดีของผู้อนืA (การ
อนุโมทนาส่วนบุญ)
๘ ธัมมัสสวนมัย ทําบุญด้ วยการฟังธรรมศึกษาความรู้ทปีA ราศจากโทษ
๙ ธัมมเทสนามัย ทําบุญด้ วยการสัAงสอนธรรมให้ ความรู้ทเป็ ีA นประโยชน์
๑๐ ทิฏUุชุกรรม ทําบุญด้ วยการทําความเห็นให้ ถูกต้ อง มองสิA งทั8งหลายตามความ
เป็ นจริง
ศีล ๕ มหาทานอันให้ผลเลิศ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ทาน ๕ ประการนี8 เป็ นมหาทาน อันบัณฑิตพึงรู้ว่าเป็ นเลิศ มีมา
นาน เป็ นเชื8อสาย เป็ นของเก่า ทีA ไม่ถูกทอดทิ8งไม่เคยถูกทอดทิ8ง อันบัณฑิตไม่ทอดทิ8ง และจัก
ไม่ทอดทิ8ง อันสมณพราหมณ์ผ้ ูเป็ นวิญ^ูไม่คัดค้ าน ทาน ๕ ประการเป็ นไฉนดูกรภิกษุท8งั หลาย
อริยสาวกในธรรมวินัยนี8 เป็ นผู้ละปาณาติบาต งดเว้ นจากปาณาติบาต
อริยสาวกผู้งดเว้ นจากปาณาติบาต ชืA อว่าให้ ความไม่มีภัย ความไม่มีเวรความไม่
เบียดเบียน แก่สตั ว์หาประมาณมิได้ ครั8นให้ ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียน
๑๙๒

แก่สตั ว์หาประมาณมิได้ แล้ ว ย่อมเป็ นผู้มีส่วนแห่งความไม่มีภัยความไม่มีเวร ความไม่


เบียดเบียน หาประมาณมิได้ ดูกรภิกษุท8งั หลาย นี8เป็ นทานประการทีA ๑ ทีA เป็ นมหาทาน
อีกประการหนึA ง อริยสาวกละอทินนาทาน งดเว้ นจากอทินนาทาน ฯลฯ นี8เป็ นทาน
ประการทีA ๒ ทีA เป็ นมหาทาน
อีกประการหนึA ง อริยสาวกละกาเมสุมิจฉาจาร งดเว้ นจากกาเมสุมิจฉาจาร ฯลฯ นี8เป็ น
ทานประการทีA ๓ ทีA เป็ นมหาทาน
อีกประการหนึA ง อริยสาวกละมุสาวาท งดเว้ นจากมุสาวาท ฯลฯ นี8เป็ นทานประการทีA
๔ ทีA เป็ นมหาทาน
อีกประการหนึA ง อริยสาวกละการดืA มนํา8 เมา คือ สุราและเมรัย อันเป็ นทีA ต8ังแห่งความ
ประมาท งดเว้ นจากการดืA มนํา8 เมา คือ สุราและเมรัยอันเป็ นทีA ต8ังแห่งความประมาท อริยสาวก
ผู้งดเว้ นจากการดืA มนํา8 เมา คือสุราและเมรัย อันเป็ นทีA ตั8งแห่งความประมาทแล้ วชืA อว่าให้ ความ
ไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนแก่สตั ว์หาประมาณมิได้ ครั8นให้ ความไม่มีภัย ความ
ไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนแก่สตั ว์หาประมาณมิได้ แล้ ว ย่อมเป็ นผู้มีส่วนแห่งความไม่มีภัย
ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียนหาระมาณมิได้ ดูกรภิกษุท8งั หลายนี8เป็ นทานประการทีA ๕ ทีA
เป็ นมหาทาน บัณฑิตพึงรู้ว่าเป็ นเลิศ มีมานาน เป็ นเชื8อสาย เป็ นของเก่า ทีA ไม่ถูกทอดทิ8งไม่เคย
ถูกทอดทิ8ง อันบัณฑิตไม่ทอดทิ8ง และจักไม่ทอดทิ8ง อันสมณพราหมณ์ผ้ ูเป็ นวิญ^ูไม่คัดค้ าน
นี8เป็ นห้ วงบุญห้ วงกุศลทีA นาํ สุขมาให้ ให้ อารมณ์อันเลิศ มีสุขเป็ นผล เป็ นไปเพืA อ
สวรรค์ ย่อมเป็ นไปเพืA อสิA งทีA น่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ เพืA อประโยชน์เกื8อกูล เพืA อความสุข

สัพพลหุสสูตร (ผลอย่างเบาทีA สุดแห่งบาปกรรม)


ดูกรภิกษุท8งั หลาย ปาณาติบาตอันบุคคลเสพแล้ ว เจริญแล้ วกระทําให้ มากแล้ วย่อม
ยังสัตว์ให้ เป็ นไปในนรก ในกําเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสยั วิบากแห่งปาณาติบาตอย่างเบา
ทีA สดุ ย่อมยังความเป็ นผู้มีอายุน้อยให้ เป็ นไปแก่ผ้ ูมาเกิดเป็ นมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย อทินนาทานอันบุคคลเสพแล้ ว เจริญแล้ ว กระทําให้ มากแล้ วย่อม
ยังสัตว์ให้ เป็ นไปในนรก ในกําเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสยั วิบากแห่งอทินนาทานอย่างเบา
ทีA สดุ ย่อมยังความพินาศแห่งโภคะให้ เป็ นไปแก่ผ้ ูมาเกิดเป็ นมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย กาเมสุมิจฉาจารอันบุคคลเสพแล้ ว เจริญแล้ ว กระทําให้ มากแล้ ว
ย่อมยังสัตว์ให้ เป็ นไปในนรก ในกําเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสยั วิบากแห่งกาเมสุมิจฉาจาร
อย่างเบาทีA สดุ ย่อมยังศัตรูและเวรให้ เป็ นไปแก่ผ้ ูมาเกิดเป็ นมนุษย์ ฯ
๑๙๓

ดูกรภิกษุท8งั หลาย มุสาวาทอันบุคคลเสพแล้ ว เจริญแล้ ว กระทําให้ มากแล้ ว ย่อมยัง


สัตว์ให้ เป็ นไปในนรก ในกําเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสยั วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาทีA สดุ
ย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคําไม่เป็ นจริงให้ เป็ นไปแก่ผ้ ูมาเกิดเป็ นมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ปิ สุณาวาจาอันบุคคลเสพแล้ ว เจริญแล้ ว กระทําให้ มากแล้ ว ย่อม
ยังสัตว์ให้ เป็ นไปในนรก ในกําเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสยั วิบากแห่งปิ สุณาวาจาอย่างเบา
ทีA สดุ ย่อมยังการแตกจากมิตรให้ เป็ นไปแก่ผ้ ูมาเกิดเป็ นมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ผรุสวาจาอันบุคคลเสพแล้ ว เจริญแล้ ว กระทําให้ มากแล้ ว ย่อมยัง
สัตว์ให้ เป็ นไปในนรก ในกําเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสยั วิบากแห่งผรุสวาจาอย่างเบาทีA สดุ
ย่อมยังเสียงทีA ไม่น่าพอใจให้ เป็ นไปแก่ผ้ ูมาเกิดเป็ นมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย สัมผัปปลาปะอันบุคคลเสพแล้ ว เจริญแล้ ว กระทําให้ มากแล้ ว
ย่อมยังสัตว์ให้ เป็ นไปในนรก ในกําเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสยั วิบากแห่งสัมผัปปลาปะอย่าง
เบาทีA สดุ ย่อมยังคําไม่ควรเชืA อถือให้ เป็ นไปแก่ผ้ ูมาเกิดเป็ นมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย การดืA มนํา8 เมาคือสุราและเมรัยอันบุคคลเสพแล้ ว เจริญแล้ ว
กระทําให้ มากแล้ ว ย่อมยังสัตว์ให้ เป็ นไปในนรก ในกําเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสยั วิบาก
แห่งการดืA มสุราและเมรัยอย่างเบาทีA สดุ ย่อมยังความเป็ นบ้ าให้ เป็ นไปแก่ผ้ ูมาเกิดเป็ นมนุษย์ ฯ

วิสาขสูตร
อานิสงค์อันเลิศของการรักษาศีล ๘
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพาราม ปราสาทของมิคารมารดาใกล้
พระนครสาวัตถี ครั8งนั8นแล นางวิสาขามิคารมารดา เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับ
ถวายบังคมแล้ วนัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสว่า ดูกรวิสาขา อุโบสถอัน
ประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการบุคคลเข้ าอยู่แล้ ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรือง
มาก มีความแพร่หลายมาก ดูกรวิสาขา ก็อุโบสถอันประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการ บุคคลเข้ า
อยู่แล้ วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแพร่หลายมาก ดูกร
วิสาขาอริยสาวกในธรรมวินัยนี8 ตระหนักชัดดังนี8ว่า พระอรหันต์ท8งั หลายละปาณาติบาต งดเว้ น
จากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศาตรา มีความละอายเอื8อเอ็นดูอนุเคราะห์เกื8อกูลสรรพสัตว์
อยู่ตลอดชีวติ ในวันนี8แม้ เราก็ละปาณาติบาต งดเว้ นจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศาตรามี
ความละอายเอื8อเอ็นดู อนุเคราะห์เกื8อกูลสรรพสัตว์อยู่ ตลอดคืนและวันนี8 เราชืA อว่ากระทําตาม
๑๙๔

พระอรหันต์แม้ ด้วยองค์น8 ี และอุโบสถชืA อว่าจักเป็ นอันเราเข้ าอยู่แล้ ว อุโบสถประกอบด้ วยองค์


ทีA ๑ นี8 ฯ
พระอรหันต์ท8งั หลายละอทินนาทาน งดเว้ นจากอทินนาทาน ถือเอาแต่สงิA ของทีA เขาให้
หวังแต่สงิA ของทีA เขาให้ มีตนไม่เป็ นขโมย สะอาดอยู่ตลอดชีวติ ในวันนี8 แม้ เราก็ละอทินนาทาน
งดเว้ นจากอทินนาทาน ถือเอาแต่สงของทีA ิA เขาให้ หวังแต่สงิA ของทีA เขาให้ มีตนไม่เป็ นขโมย
สะอาดอยู่ตลอดคืนและวันนี8 เราชืA อว่ากระทําตามพระอรหันต์แม้ ด้วยองค์น8 ี และอุโบสถชืA อว่า
จักเป็ นอันเราเข้ าอยู่แล้ ว อุโบสถประกอบด้ วยองค์ทีA ๒ นี8 ฯ
พระอรหันต์ท8งั หลายละอพรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ประพฤติห่างไกล เว้ นจาก
เมถุนอันเป็ นธรรมของชาวบ้ านตลอดชีวิต ในวันนี8 แม้ เราก็ละอพรหมจรรย์ ประพฤติ
พรหมจรรย์ประพฤติห่างไกล เว้ นจากเมถุนอันเป็ นธรรมของชาวบ้ านอยู่ ตลอดคืนและวันนี8
เราชืA อว่ากระทําตามพระอรหันต์ท8งั หลายแม้ ด้วยองค์น8 ี และอุโบสถชืA อว่าจักเป็ นอันเราเข้ าอยู่
แล้ ว อุโบสถประกอบด้ วยองค์ทีA ๓ นี8 ฯ
พระอรหันต์ท8งั หลายละมุสาวาท งดเว้ นจากมุสาวาท พูดแต่คาํ สัตย์ ส่งเสริมคําจริง
มัAนคง ควรเชืA อถือได้ ไม่กล่าวให้ คลาดจากความจริงแก่โลกตลอดชีวิต ในวันนี8 แม้ เราก็ละ
มุสาวาท งดเว้ นจากมุสาวาท พูดแต่คาํ สัตย์ส่งเสริมคําจริง มัAนคง ควรเชืA อถือได้ ไม่แกล้ งกล่าว
ให้ คลาดจากความจริงแก่โลกตลอดคืนและวันนี8 เราชืA อว่าทําตามพระอรหันต์ท8งั หลายแม้ ด้วย
องค์น8 ี และอุโบสถชืA อว่าจักเป็ นอันเราเข้ าอยู่แล้ ว อุโบสถประกอบด้ วยองค์ทีA ๔ นี8 ฯ
พระอรหันต์ท8งั หลาย ละการดืA มนํา8 เมา คือ สุราและเมรัยอันเป็ นทีA ต8ังแห่งความ
ประมาทงดเว้ นการดืA มนํา8 เมา คือ สุราและเมรัยอันเป็ นทีA ต8ังแห่งความประมาทตลอดชีวิต ใน
วันนี8 แม้ เราก็ละการดืA มนํา8 เมา คือ สุราและเมรัยอันเป็ นทีA ตั8งแห่งความประมาท งดเว้ นจากการ
ดืA มนํา8 เมา คือ สุราและเมรัยอันเป็ นทีA ต8ังแห่งความประมาทตลอดคืนและวันนี8 เราชืA อว่ากระทํา
ตามพระอรหันต์ท8งั หลายแม้ แม้ ด้วยองค์น8 ี และอุโบสถชืA อว่าจักเป็ นอันเราเข้ าอยู่แล้ ว อุโบสถ
ประกอบด้ วยองค์ทีA ๕ นี8 ฯ
พระอรหันต์ท8งั หลายเป็ นผู้บริโภคอาหารครั8งเดียว งดบริโภคอาหารในกลางคืนเว้ น
จากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาลอยู่ตลอดชีวติ ในวันนี8 แม้ เราก็บริโภคอาหารครั8งเดียวงด
การบริโภคอาหารในกลางคืนเว้ นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล ตลอดคืนและวันนี8 เราชืA อ
ว่ากระทําตามพระอรหันต์ท8งั หลายแม้ ด้วยองค์น8 ี และอุโบสถชืA อว่าจักเป็ นอันเราเข้ าอยู่แล้ ว
อุโบสถประกอบด้ วยองค์ทีA ๖ นี8 ฯ
พระอรหันต์ท8งั หลายงดเว้ นจากการฟ้ อนรํา ขับร้ อง การประโคม ดูการเล่นอันเป็ น
ข้ าศึก และการทัดทรง ประดับตบแต่งด้ วยดอกไม้ ของหอมและเครืA องลูบไล้ อันเป็ นฐานแห่ง
๑๙๕

การแต่งตัวตลอดชีวิต ในวันนี8 แม้ เราก็งดเว้ นจากการฟ้ อนรํา ขับร้ อง การประโคมดูการเล่น


อันเป็ นข้ าศึก และงดเว้ นการทัดทรงประดับตกแต่งด้ วยดอกไม้ ของหอม และเครืA องลูบไล้ อัน
เป็ นฐานแห่งการแต่งตัว ตลอดคืนและวันนี8 เราชืA อว่ากระทําตามพระอรหันต์ท8งั หลายแม้ ด้วย
องค์น8 ีและอุโบสถชืA อว่าจักเป็ นอันเราเข้ าอยู่แล้ ว อุโบสถประกอบด้ วยองค์ทีA ๗ นี8 ฯ
พระอรหันต์ท8งั หลายละการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนสูงใหญ่ งดเว้ นจากการนัAงการ
นอนบนทีA นัAงทีA นอนสูงใหญ่ สําเร็จการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนตําA คือ บนเตียงหรือเครืA อง
ลาดด้ วยหญ้ า ตลอดชีวติ ในวันนี8 แม้ เราก็ละการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนสูงใหญ่ งดเว้ นจาก
การนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนสูงใหญ่สาํ เร็จการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนตําA คือ บนเตียงหรือ
เครืA องลาดด้ วยหญ้ าตลอดคืนและวันนี8 เราชืA อว่ากระทําตามพระอรหันต์ท8งั หลาย แม้ ด้วยองค์น8 ี
และอุโบสถชืA อว่าจักเป็ นอันเราเข้ าอยู่แล้ ว อุโบสถประกอบด้ วยองค์ทีA ๘ นี8ดูกรภิกษุท8งั หลาย
อุโบสถประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการ บุคคลเข้ าอยู่แล้ วอย่างนี8แล จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
มีความรุ่งเรืองมาก มีความแพร่หลายมาก ฯ
อุโบสถประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการ บุคคลเข้ าอยู่แล้ ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก มี
ความรุ่งเรืองมาก มีความแพร่หลายมาก เพียงไร ดูกรภิกษุท8งั หลาย เปรียบเหมือนพระราชา
เสวยราชย์ดาํ รงอิสรภาพและอธิปไตยในชนบทใหญ่ๆ ๑๖ รัฐ มีรัตนะ ๗ ประการมากมาย
เหล่านี8 คือ อังคะ มคธะกาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจดีย์ วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะสุรเสนะอัสส
กะ อวันตี คันธาระ กัมโพชะ การเสวยราชดํารงอิสรภาพและอธิปไตยของพระราชานั8น ย่อมไม่
ถึงเสี8ยวทีA ๑๖ แห่งอุโบสถทีA ระกอบด้ วยองค์ ๘ประการ ข้ อนั8นเพราะเหตุไร เพราะราชสมบัติ
มนุษย์เป็ นเหมือนของคนกําพร้ าเมืA อเทียบสุขอันเป็ นทิพย์ ดูกรภิกษุท8งั หลาย ๕๐ ปี มนุษย์ เป็ น
คืนหนึA งวันหนึA งของเทวดาชั8นจาตุมมหาราช ๓๐ ราตรีโดยราตรีน8ันเป็ นเดือนหนึA ง ๑๒ เดือน
โดยเดือนนั8นเป็ นปี หนึA ง ๕๐๐ ปี ทิพย์โดยปี นั8น เป็ นประมาณอายุของเทวดาชั8นจาตุมมหาราช
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ข้ อทีA บุคคลบางคนในโลกนี8จะเป็ นหญิงหรือชายก็ตามเข้ าอยู่อโุ บสถอัน
ประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการแล้ ว เมืA อตายไป พึงเข้ าถึงความเป็ นสหายแห่งเทวดาชั8นจาตุมม
หาราช นี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ ดูกรภิกษุท8งั หลาย เราหมายเอาข้ อนี8จึงกล่าวว่าราชสมบัตมิ นุษย์
เป็ นเหมือนของคนกําพร้ าเมืA อเทียบกับสุขอันเป็ นทิพย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ๑๐๐ ปี มนุษย์เป็ นคืนหนึA งวันหนึA งของเทวดาชั8นดาวดึงส์ ๓๐
ราตรีโดยราตรีน8ันเป็ นเดือนหนึA ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั8นเป็ นปี หนึA งพันปี ทิพย์โดยปี นั8น เป็ น
ประมาณอายุของเทวดาชั8นดาวดึงส์ ดูกรภิกษุท8งั หลายข้ อทีA บุคคลบางคนในโลกนี8จะเป็ นหญิง
หรือชายก็ตาม เข้ าอยู่อโุ บสถอันประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการแล้ ว เมืA อตายไป พึงเข้ าถึงความ
๑๙๖

เป็ นสหายแห่งเทวดาชั8นดาวดึงส์น8 ีเป็ นฐานะทีA จะมีได้ ดูกรภิกษุท8งั หลาย เราหมายเอาข้ อนี8จึง


กล่าวว่าราชสมบัติมนุษย์เป็ นเหมือนของคนกําพร้ า เมืA อเทียบกับสุขอันเป็ นทิพย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ๒๐๐ ปี มนุษย์เป็ นคืนหนึA งวันหนึA งของเทวดาชั8นยามา ๓๐ ราตรี
โดยราตรีน8ันเป็ นเดือนหนึA ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั8นเป็ นปี หนึA ง ๒,๐๐๐ปี ทิพย์โดยปี นั8น เป็ น
ประมาณของอายุเทวดาชั8นยามา ดูกรภิกษุท8งั หลาย ข้ อทีA บุคคลบางคนในโลกนี8 จะเป็ นหญิง
หรือชายก็ตามเข้ าอยู่อโุ บสถอันประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการแล้ ว เมืA อตายไป พึงเข้ าถึงความ
เป็ นสหายแห่งเทวดาชั8นยามานี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ ดูกรภิกษุท8งั หลาย เราหมายเอาข้ อนี8จึงกล่าว
ว่า ราชสมบัติมนุษย์เป็ นเหมือนของคนกําพร้ า เมืA อเทียบกับสุขอันเป็ นทิพย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ๔๐๐ ปี มนุษย์เป็ นคืนหนึA งวันหนึA งของเทวดาชั8นดุสิต ๓๐ ราตรี
โดยราตรีน8ันเป็ นเดือนหนึA ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั8นเป็ นปี หนึA ง ๔,๐๐๐ ปี ทิพย์โดยปี นั8น เป็ น
ประมาณอายุของเทวดาชั8นดุสติ ดูกรภิกษุท8งั หลาย ข้ อทีA บุคคลบางคนในโลกนี8จะเป็ นหญิงหรือ
ชายก็ตาม เข้ าอยู่อโุ บสถอันประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการแล้ ว เมืA อตายไป พึงเข้ าถึงความเป็ น
สหายแห่งเทวดาชั8นดุสติ นี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ ดูกรภิกษุท8งั หลาย เราหมายเอาข้ อนี8จึงกล่าวว่า
ราชสมบัติมนุษย์เป็ นเหมือนของคนกําพร้ า เมืA อเทียบกับสุขอันเป็ นทิพย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ๘๐๐ ปี มนุษย์เป็ นคืนหนึA งวันหนึA งของเทวดาชั8นนิมมานรดี ๓๐
ราตรีโดยราตรีน8ันเป็ นเดือนหนึA ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั8นเป็ นปี หนึA ง ๘,๐๐๐ ปี ทิพย์โดยปี นั8น
เป็ นประมาณอายุของเทวดาชั8นนิมมานรดี ดูกรภิกษุท8งั หลาย ข้ อทีA บคุ คลบางคนในโลกนี8จะ
เป็ นหญิงหรือชายก็ตาม เข้ าอยู่อุโบสถอันประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการแล้ ว เมืA อตายไป พึง
เข้ าถึงความเป็ นสหายแห่งเทวดาชั8นนิมมานรดี นี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ ดูกรภิกษุท8งั หลาย เรา
หมายเอาข้ อนี8จึงกล่าวว่า ราชสมบัติมนุษย์เป็ นเหมือนของคนกําพร้ า เมืA อเทียบกับสุขอันเป็ น
ทิพย์ ฯ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ๑,๖๐๐ ปี มนุษย์เป็ นคืนหนึA งวันหนึA งของเทวดาชั8นปรนิมมิตว
สวัตตี ๓๐ ราตรีโดยราตรีน8ันเป็ นเดือนหนึA ง ๑๒ เดือนโดยเดือนนั8นเป็ นปี หนึA ง ๑๖,๐๐๐ ปี
ทิพย์โดยปี นั8นเป็ นประมาณอายุของเทวดาชั8นปรนิมมิตวสวัตตี ดูกรภิกษุท8งั หลาย ข้ อทีA บุคคล
บางคนในโลกนี8จะเป็ นหญิงหรือชายก็ตามเข้ าอยู่อโุ บสถอันประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการแล้ ว
เมืA อตายไป พึงเข้ าถึงความเป็ นสหายแห่งเทวดาชั8นปรนิมมิตวสวัตตี นี8เป็ นฐานะทีA จะมีได้ ดูกร
ภิกษุท8งั หลายเราหมายเอาข้ อนี8จึงกล่าวว่า ราชสมบัติมนุษย์เป็ นเหมือนของคนกําพร้ า เมืA อ
เทียบกับสุขอันเป็ นทิพย์ ฯ
บุคคลไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือเอาสิ-งของที-เจ้าของไม่ให้ พึงเว้นจากเมถุนธรรม อันมิใช่
ความประพฤติของพรหม ไม่พึงพูดเท็จ ไม่พึงดื-มนํา เมา ไม่พึงบริโภคอาหารในเวลาวิกาลใน
๑๙๗

ราตรี ไม่พึงทัดทรงดอกไม้และของหอม พึงนอนบนเตียง บนแผ่นดิน หรือบนเครื-องลาดด้วย


หญ้า บัณฑิตทัง หลายกล่าวอุโบสถ ๘ ประการนีแล ที-พระพุทธเจ้าผูถ้ ึงที-สดุ แห่งทุกข์ทรง
ประกาศแล้ว พระจันทร์และพระอาทิตย์ทงั สองส่องแสงสว่างไสว ย่อมโคจรไปตามวีถีเพียงไร
พระจันทร์และพระอาทิตย์นนั ก็ขจัดมืดได้เพียงนัน ลอยอยู่บนอากาศ ส่องแสงสว่างทัว- ทุกทิศ
ในท้องฟ้ าทรัพย์ใดอันมีอยู่ในระหว่างนี คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์อย่างดี หรือทองมี
สีสุกใส ที-เรียกกันว่า หตกะ พระจันทร์ พระอาทิตย์และทรัพย์นนั ๆ ก็ยงั ไม่ได้แม้เสียวที- ๑๖
แห่งอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ เปรียบเหมือนรัศมี พระจันทร์ ข่มหมู่ดวงดาว
ทัง หมด ฉะนัน เพราะฉะนัน แหละ หญิงหรือชายผูม้ ีศีล เข้าอยู่อุโบสถอันประกอบด้วยองค์ ๘
ประการแล้ว กระทําบุญทัง หลายอันมีสุขเป็ นกําไรไม่มีใครติเตียน ย่อมเข้าถึงสวรรค์ ฯ

อปมาทคาถา เพื.อความไม่ประมาท
ความเกิดเป็ นเหตุเพียงอย่างเดียวเพืA อถึงความตายอันแน่นอนในหมู่สตั ว์ เหล่าสัตว์
ย่อมบรรลุความตายในภพสามแน่นอน ท่านทั8งหลายจงขจัดความยินดีในทรัพย์และชีวิตเถิดไม่
มีใครเลยทีA ดาํ รงอยู่ในโลกได้ ตลอดกาล โชคลาภ สมบัตินานัปการ ความงามด้ วยรูปกาย มิตร
สหาย บุตรธิดาและ ภรรยาทั8งหมด สิA งไหนเล่าจะติดตามใครผู้ย่างสู่ความตายได้ พรหม เทพ
และเหล่าอสูรผู้มีฤทธ์มาก กับทั8งชนทั8งชนทุกเหล่าย่อมตกไปในเปลวไฟคือความตายในทีA สดุ
แม้ พระพุทธเจ้ าผู้มีพระเนตรงามหมดจดดัAงบัวบาน มีพระรูปกายบรรเจิดด้ วยพระลักษณะ๓๒
ทรงกําจัดอาสวทั8งปวงแล้ วก็ถูก พญามฤตยูยาAํ ยีแล้ ว ความตาย ปราศจากความการุณย์ในคนไข้
คนแก่ และเด็กน้ อย มันฆ่าชาวโลกอยู่เสมอ
ชลาศัยย่อมไม่เต็มด้ วยนํา8 ไฟ ไม่อมิA ด้ วยฟื น ฉันใด มัจจุราชผู้ปราศจากความเอ็นดู
แม้ กลืนกินโลกสามทั8งสิ8นแล้ วก็ไม่เข้ าถึงความอิA มใจเลย ฉันนั8น ชาวโลกผู้ไร้ อาํ นาจขาดบุญ
เพราะถูกความหลงครอบงํา ย่อมตกไปสู่ปากแห่งมัจจุราชอันน่าสะพรึงกลัว คนเขลาย่อมสวง
หาความเพลิดเพลินในสมบัติพัสถานอันเปรียบเหมือนความฝัน ไม่ยAังยืนเหมือนชิงช้ าและ
ระลอกคลืA นทีA แกว่งไปมา ใครเล่าผู้เกิดแล้ วไปตามความแก่และความตายอยู่เสมอ จะพึงทํา
ความต้ องการในชีวติ และทรัพย์อนั เหมือนการพบเห็นในยามฝัน ความแก่ย่อมนํารูปทีA น่ารักยิA ง
ให้ เศร้ าหมอง โรคร้ ายย่อมขจัดเรีA ยวแรงทั8งหมดในร่างกาย ความตายย่อมฉุดคร่า อัตภาพทีA
บํารุงรักษาด้ วยเครืA องใช้ สอยนานัปการท่านทั8งหลายผู้ตกลงไปในห้ วงทะเลคือ สงสารอันกว้ าง
ใหญ่ ซึA งมีคลืA น คือโรคภัย และพายุคือกรรมพัดพาไป อย่ามัวประมาทอยู่จงแสวงหาความหลุด
พ้ น ความประมาทเป็ นบ่อเกิดแห่งทุกข์ของชนทั8งหลายมิใช่หรือ ทรัพย์สมบัติ ญาติมติ ร บุตร
ธิดา คนใช้ และภริยาสามีทรีA ักปานชีวิต พร้ อมด้ วยบ้ านทีA ดิน ทั8งหมดนั8นย่อมไม่ตดิ ตามผู้ทจีA าก
๑๙๘

โลกนี8ไปสู่ปรโลก ความดีและความชัAวเท่านั8นย่อมติดตามไปได้ เรือคือร่างกายทีA ถูกกรรมเก่า


อันเหมือนลมซัดไปในสาครแห่งภพอันไม่ยAังยืนดังสายฟ้ าแลบ ย่อมอัปปางไปเพียงชัAวขณะ
เป็ นแน่แท้ ด้ วยเหตุน8ันท่านทั8งหลายพึงสัAงสมคุณงามความดีไว้ ในตนเถิด บุญนั8นแลเป็ นแก่น
สารทีA ควรถือเอามิใช่หรือ ท่าทั8งหลายพึงให้ ทาน รักษาศีล อบบรมจิตใจ จงกําจัดโทษ คือ ความ
โลภ โกรธ และหลง ทีA ข่นุ มัวจมปลักอยู่ในจิตใจ จงซ่องเสพพระธรรมอันมีผลเลิศ ในการกําจัด
อาสวได้ ชนเหล่าใดเมืA อได้ พบพระพุทธศาสนาทีA หาได้ ยากยิA ง พระสัทธรรมอันประเสริฐให้ ความ
เกษมไม่มสี ิA งใดเปรียบ กัลยาณมิตรทีA ดีงาม เพืA อความไพบูลย์แห่งปัญญา จะไม่พึงศึกษาพระ
ธรรมเป็ นนิตย์หรือ ท่านทั8งหลายผู้ทไีA ด้ รับอริยทรัพย์ทไีA ด้ โดยยากยิA ง จงปราศจากความตระหนีA
และความขัดเคือง ปรารถนาประโยชน์ในปั จจุบันและประโยชน์ในอนาคต พึงหมัAนประกอบ
คุณะรรม คือ ศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญาเป็ นต้ นพึงศึกษาธรรม อย่ามัวประมาท จง
บําเพ็ญกุศลเพืA อบรรลุอมตธรรมเถิด
**********************
๑๙๙

คาถาธรรมบท พาลวรรค

ข้ าพเจ้ าขอถวายนมัสการแด่พระผู้เป็ น ทีA พึA ง ผู้ ประกอบด้ วยพระมหากรุ ณ า


พระองค์ผ้ ูทรงกระทํากรรมทีA ทําได้ ยากยิA งตลอดกาลซึA งจะนับประมาณมิได้ แม้ ด้วยหลายโกฏิ
กัป ข้ าพเจ้ าขอถวายนมัสการแก่พระธรรมอันประเสริฐ พระอริยสงฆ์ ผู้ประกอบ.ด้ วย
คุณ ผู้เป็ นเนื8อนาบุญของเหล่ าชนผู้มีความต้ องการด้ วยกุศล. ข้ าพเจ้ านมัสการอยู่ ซึA งพระ
รัตนตรัย อันมีคุณหาประมาณมิได้
นรชนผู้ยินดีในกุศลทั8งหลาย พึงตั8งตนอยู่ในความไม่ประมาทเถิด ราตรียาวแก่คนผู้ตืAน
อยู่ ระยะทาง ๑โยชน์ยาวแก่คนผู้เมืA อยล้ า สงสารยาวแก่คนพาลผู้ไม่ร้ ูแจ้ งพระสัทธรรม ถ้ าว่า
บุคคลเมืA อเทีA ยวไปไม่พึงประสบสหายประเสริฐกว่าตน หรือสหายผู้เช่นด้ วยตนไซร้ บุคคลนั8น
พึงทําการเทีA ยวไปผู้เดียวให้ มAัน เพราะว่าคุณเครืA องความเป็ นสหาย ย่อมไม่มีในคนพาล คนพาล
ย่อมเดือดร้ อนว่า บุตรของเรามีอยู่ ทรัพย์ของเรามีอยู่
ผู้ใดเป็ นพาลย่ อมสําคัญความทีA ตนเป็ นพาลได้ ด้ วยเหตุน8ัน ผู้น8ันยังเป็ นบัณฑิตได้ บ้าง
ส่วนผู้ ใดเป็ นพาลมี ความสําคัญตนว่ าเป็ นบั ณฑิต ผู้น8ันแลเป็ นพาล ถ้ าคนพาลเข้ าไปนัAงใกล้
บัณฑิตแม้ ตลอดชีวิต เขาย่อมไม่ร้ ูแจ้ งธรรมเหมือนทัพพีไม่ร้ ูจักรสแกง ถ้ าว่าวิญ^ูชนเข้ าไปนัAง
ใกล้ บัณฑิตแม้ ครู่หนึA ง ท่านย่อมรู้ธรรมได้ ฉับพลัน เหมือนลิ8นรู้รสแกงฉะนั8น คนพาลมีปัญญา
ทราม มีตนเหมือนข้ าศึกเทีA ยวทําบาปกรรมอันมีผลเผ็ดร้ อน
บุคคลทํากรรมใดแล้ วย่อมเดือดร้ อนในภายหลัง กรรมนั8นทําแล้ วไม่ดี บุคคลมีหน้ าชุ่ม
ด้ วยนํา8 ตา ร้ องไห้ อยู่ ย่อมเสพผลของกรรมใดกรรมนั8นทําแล้ วไม่ดี บุคคลทํากรรมใดแล้ ว ย่อม
ไม่เดือดร้ อนในภายหลัง กรรมนั8นแลทําแล้ วเป็ นกรรมดี บุคคลอันปี ติโสมนัสเข้ าถึงแล้ ว ด้ วย
กําลังแห่ งปี ติ ด้ วยกําลังแห่งโสมนัสย่ อมเสพผลแห่งกรรมใด กรรมนั8นทําแล้ วเป็ นกรรมดี คน
พาลย่อมสําคัญบาปประดุจนํา8 หวาน ตลอดกาลทีA บาปยังไม่ให้ ผลแต่บาปให้ ผลเมืA อใด คนพาล
ย่อมเข้ าถึงทุกข์เมืA อนั8น
ก็บ าปกรรมบุ ค คลทํา แล้ ว ยั ง ไม่ แ ปรไป เหมื อ นนํ8า นมในวั น นี8 ยั ง ไม่ แ ปรไปฉะนั8 น
บาปกรรมนั8นย่อมตามเผาคนพาล เหมือนไฟอันเถ้ าปกปิ ดแล้ ว ความรู้ย่อมเกิดแก่คนพาลเพืA อ
สิA งมิใช่ ประโยชน์อย่างเดียว ความรู้ ยังปั ญญาชืA อว่ามุทธาของเขาให้ ฉิบหายตกไป ย่ อมฆ่าส่วน
แห่งธรรมขาวของคนพาลเสีย
๒๐๐

คาถาธรรมบท บัณฑิตวรรค
ข้ า พเจ้ า ขอนมั ส การด้ ว ยเศี ย รเกล้ า ซึA งพระสุค ตผู้ พ้ น คติ ๕ คื อ นิ ร ยคติ เปตคติ
ติรัจฉานคติ มนุสสคติ เทวคติ มี พระทัยเยือกเย็นด้ วยพระกรุณา มีความมืดคือโมหะอันดวง
ประทีปคือปั ญญาขจัดแล้ วทรงเป็ นครูของโลกพร้ อมทั8งมนุ ษย์และเทวดา.ก็พระพุทธเจ้ าทรง
อบรม และทรงทําให้ แจ้ ง ซึA ง ความเป็ นพระพุทธเจ้ า ทรงบรรลุพระธรรมใดทีA ปราศจากมลทิน
ข้ าพเจ้ าขอนมัสการด้ วยเศียรเกล้ า ซึA งพระธรรมนั8น อันยอดเยีA ยม. ข้ า พเจ้ า ขอนมัส การ
ด้ วยเศียรเกล้ า ซึA งพระอริยสงฆ์หมู่โอรสของพระสุคตเจ้ า ผู้ยาAํ ยีกองทัพมาร.
บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี8โทษ เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ มักกล่ าวข่มขีA มีปัญญา
พึงคบ
บุคคลผู้เป็ นบัณฑิตเช่นนั8น เพราะว่าเมืA อคบบัณฑิตเช่นนั8น มีแต่คุณทีประเสริฐโทษทีA ลามกย่อม
ไม่มี บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพรําA สอนและพึงห้ ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั8น ย่อมเป็ น
ทีA รักของสัตบุรุษทั8งหลาย แต่ไม่เป็ นทีA รักของพวกอสัตบุรุษบุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่
ควรคบบุรุษอาธรรม์ ควรคบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด บุคคลผู้อิAมเอิบในธรรมมีใจผ่องใสแล้ ว
ย่อมอยู่เป็ นสุข
บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมทีA พระอริยเจ้ าประกาศแล้ วทุกเมืA อ ก็พวกคนไขนํา8 ย่อมไขนํา8 ไป
พวกช่างศรย่อมดัดลูกศร พวกช่างถากย่อมถากไม้ บัณฑิตทั8งหลายย่อมฝึ กฝนตน ภูเขาหินล้ วน
เป็ นแท่งทึบย่ อมไม่ หวัAนไหวเพราะลมฉันใด บัณฑิตทั8งหลายย่อมไม่หวัAนไหวเพราะนินทาและ
สรรเสริญ ฉันนั8น ห้ วงนํา8 ลึกใสไม่ขุ่นมัว แม้ ฉันใด บัณฑิตย์ท8ังหลายฟั งธรรมแล้ วย่ อมผ่องใส
ฉันนั8นสัตบุรุษทั8งหลายย่อมเว้ นในธรรมทั8งปวงโดยแท้ สัตบุรษุ ทั8งหลายหาใคร่กามบ่นไม่
บัณฑิตทั8งหลายผู้อนั สุขหรือทุกข์ถูกต้ องแล้ ว ย่อมไม่แสดงอาการสูงๆ ตําA ๆ บัณฑิตย่อม
ไม่ทาํ บาปเพราะเหตุแห่งตน ไม่ทาํ บาป เพราะเหตุแห่ งผู้อืAน ไม่พึงปรารถนาบุตร ไม่ พึง
ปรารถนาทรัพย์ ไม่พึงปรารถนาแว่นแคว้ น ไม่พึงปรารถนาความสําเร็จแก่ตนโดยไม่ชอบธรรม
บัณฑิตนั8นพึงเป็ นผู้มีศีลมีปัญญา ประกอบด้ วยธรรม ในหมู่มนุษย์ ชนผู้ทีAถึงฝัAงมีน้อย ส่วนหมู่
สัตว์นอกนี8ย่อมเลาะไปตามฝัAงทั8งนั8น ก็ชนเหล่ าใดแล ประพฤติตามธรรมในธรรมอันพระสุคต
เจ้ าตรัสแล้ วโดยชอบ ชนเหล่า นั8นข้ ามบ่วงมารทีA ข้ ามได้ โดยยาก แล้ วจักถึงฝัAง บัณฑิตออกจาก
อาลัยแล้ ว อาศัยความไม่มีอาลัยละธรรมดําแล้ วพึงเจริญธรรมขาว
บัณฑิตพึงปรารถนาความยินดียิAงในวิเวกทีA ยินดีได้ โดยยาก ละกามทั8งหลายแล้ วไม่มี
กิเลสเครืA องกังวล พึงชําระตนให้ ผ่องแผ้ ว จากเครืA องเศร้ าหมองจิต ชนเหล่าใดอบรมจิตด้ วยดี
๒๐๑

โดยชอบ ในองค์แห่ งธรรมสามัคคีเป็ นเครืA องตรัสรู้ ชนเหล่ าใดไม่ถือมัAน ยินดีแล้ วในการสละ


คืนความถือมัAนชนเหล่านั8นมีอาสวะสิ8นแล้ วมีความรุ่งเรืองปรินิพพานแล้ วในโลก ฯ

คาถาธรรมบท สหัสสวรรค

ข้ าพเจ้ าขอกราบไหว้ พระพุทธเจ้ า ผู้ประเสริฐ สุดหาบุคคลผู้เปรียบปานมิได้ ผู้


เสด็จขึ8นจากสาครแห่งไญยธรรม ผู้ทรงข้ ามสงสารสาครเสียได้ ด้วยเศียรเกล้ า พร้ อมทั8งพระ
ธรรมอันลึกซึ8ง สงบยิA งละเอียดยากทีA คนจะมองเห็นได้ ทีA ทาํ ลายเสียได้ ซึAงภพน้ อยและภพใหญ่
สะอาดอันเขาบูชาแล้ ว เพราะพระสัทธรรม อีกทั8งพระสงฆ์ผ้ ูไม่มีกเิ ลสเครืA องข้ อง ผู้สูงสุดแห่ ง
หมู่ ผู้สงุ สุดแห่งทักขิไณยบุคคล ผู้มีอินทรีย์อันสงบแล้ ว หาอาสวะมิได้ .
หากว่าวาจาแม้ ต8ังพันประกอบด้ วยบทอันไม่เป็ นประโยชน์ไซร้ บทอันเป็ นประโยชน์บท
หนึA งทีA บุคคลฟังแล้ วย่อมสงบ ประเสริฐกว่า คาถาแม้ ต8ังพันประกอบด้ วยบทอันไม่เป็ นประโยชน์
ไซร้ คาถาบทหนึA งทีA บุคคลฟังแล้ วย่อมสงบประเสริฐกว่าก็บุคคลใดพึงกล่าวคาถา ประกอบด้ วย
บทอันไม่เป็ นประโยชน์ต8ังร้ อย บทธรรมบทหนึA งทีA บุคคลฟังแล้ วย่อมสงบ ประเสริฐกว่า
บุคคลใดพึงชนะหมู่มนุษย์ต8ังพันคูณด้ วยพัน ในสงคราม บุคคลนั8นไม่ชืAอว่าเป็ นผู้ชนะ
อย่างสูงในสงครามส่วนบุคคลใดพึงชนะตนผู้เดียว บุคคลนั8นแล ชืA อว่าเป็ นผู้ชนะอย่างสูงสุดใน
สงคราม ตนแลอั น บุ ค คลชนะแล้ ว ประเสริ ฐ ส่ ว นหมู่ สั ต ว์ น อกนี8 ๆ อั น บุ ค คลชนะแล้ ว จั ก
ประเสริฐอะไร เพราะว่า เทวดา คนธรรพ์ มารกับทั8งพรหม พึงทําความชนะของบุรุษผู้มีตนอัน
ฝึ กแล้ ว มีปกติประพฤติสาํ รวมเป็ นนิตย์ ผู้เป็ นสัตว์เกิดเห็นปานนั8นให้ กลับแพ้ ไม่ได้
ก็การบูชาของผู้ทีAบูชาท่านผู้มีตนอันอบรมแล้ วคนหนึA ง แม้ เพียงครู่หนึA ง ประเสริฐกว่า
การบูชาของผู้ทีAบูชาด้ วยทรัพย์พันหนึA งตลอดร้ อยปี เสมอทุ กเดือนๆ การบูชาตั8งร้ อยปี นั8นจะ
ประเสริฐอะไร ก็การบูชา ของผู้ ทีAบูช าท่ านผู้มีต นอันอบรมแล้ วคนหนึA งแล แม้ เพี ยงครู่หนึA ง
ประเสริฐกว่าผู้บาํ เรอไฟในป่ าตั8งร้ อยปี การบําเรอไฟตั8งร้ อยปี นั8นจะประเสริฐอะไร
ธรรม ๔ ประการคือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีการอภิวาทเป็ นปกติ
ผู้อ่อนน้ อมต่อผู้เจริญเป็ นนิตย์ ก็บุคคลผู้มีศีลเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่าบุคคลผู้
ทุศีล มีจิตไม่มAันคง มีชีวิตอยู่ต8ังร้ อยปี ก็บุคคลผู้มีปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียวประเสริฐ
กว่าบุคคลผู้ไร้ ปัญญามีจิตไม่มAันคง มีชีวิตอยู่ต8ังร้ อยปี ก็บุคคลผู้ปรารภความเพียรมัAน มีชีวิตอยู่
วันเดียว ประเสริฐกว่าบุคคลผู้เกียจคร้ านมีความเพียรอันเลว มีชีวติ อยู่ต8ังร้ อยปี
๒๐๒

ก็บุคคลผู้พิจารณาเห็นความเกิดขึ8นและเสืA อมไป มีชีวิตอยู่วันเดียวประเสริฐกว่าบุคคล


ผู้ไม่พิจารณาเห็นความเกิดขึ8น และความเสืA อมไปมีชีวิตอยู่ต8ังร้ อยปี ก็บุคคลผู้พิจารณาเห็นอม
ตบท มีชีวติ อยู่วันเดียว ประเสริฐกว่าบุคคลผู้ไม่พิจารณาเห็นอมตบทมีชีวิตอยู่ร้อยปี ก็บุคคลผู้
พิจารณาเห็นธรรมอันสูงสุด มีชีวิตอยู่วันเดียวประเสริฐกว่าบุคคล ผู้ไม่ พิจารณาเห็นธรรมอัน
สูงสุดมีชีวติ อยู่ร้อยปี

คาถาธรรมบท ปาปวรรค

พระชินเจ้ าพระองค์ใดทรงกําจัดเสียซึA งลิA มคือ อวิชชา และความกําหนัด ด้ วยสามารถ


แห่ ง ความยิ น ดี อย่ า งถอนราก ทรงเจริ ญ อั ฏ ฐั ง คิ ก มรรคถู ก ต้ อ งอมตบท. ทรงบรรลุ พ ระ
โพธิญาณ เสด็จหยัAงลงสู่ อิสิปตนมฤคทายวันประกาศธรรมจักรยังเวไนยสัตว์๑๘โกฏิ มีพระ
โกณฑัญญเถระเป็ นต้ นให้ บรรลุธรรมในวันนั8นในทีA นั8น.ข้ าพเจ้ าขอนมัสการด้ วยเศียรเกล้ า ซึA ง
พระชินเจ้ าพระองค์น8ัน ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ท8งั ปวง และพระธรรมอันสูงสุด ทั8งพระสงฆ์ผ้ ูไม่มีสิAงอืA น
ยิA งกว่า.ก็ธรรมจักรใดทีA พระผู้มีพระภาคเจ้ าตรัสไว้ โดยย่อพระสารีบุตรผู้มีปัญญามากเกือบเท่า
พระศาสดา ผู้เกิดแต่องค์พระชินเจ้ า จําแนกธรรมจักรนั8นเป็ นส่วน ๆ กล่าวมหานิทเทสซึA งชืA อว่า
เป็ นปาฐะประเสริฐและวิเศษ.
บุคคลพึงรีบทําความดี พึงห้ ามจิตจากบาป เพราะเมืA อทําบุญช้ าไป ใจย่อมยินดีในบาป
หากบุรุษพึงทําบาปไซร้ ไม่พึงทําบาปนั8นบ่อยๆ ไม่พึงทําความพอใจในบาปนั8น เพราะการสัAง
สมบาปนําทุกข์มาให้ หากว่าบุรุษพึงทําบุญไซร้ พึงทําบุญนั8นบ่อยๆ พึงทําความพอใจในบุญนั8น
เพราะการสัAงสมบุญนําสุขมาให้ แม้ คนลามกย่อมเห็นความเจริญตราบเท่าทีA บาปยังไม่ให้ ผล แต่
เมืA อใดบาปย่ อมให้ ผล คนลามกจึ งเห็นบาปเมืA อนั8น แม้ คนเจริญก็ย่อมเห็นบาป ตราบเท่า ทีA
ความเจริญยังไม่ให้ ผล
บุคคลอย่าพึงดูหมิA นบาปว่า บาปมีประมาณน้ อย[พอประมาณ] จักไม่มาถึง แม้ หม้ อนํา8
ย่อมเต็มได้ ด้วยหยาดนํา8 ทีA ตกทีละหยาดๆ [ฉันใด] คนพาลสัAงสมบาปแม้ ทีละน้ อยๆ ย่อมเต็ม
ด้ วยบาป [ฉันนั8น]
บุคคล อย่าพึงดูหมิA นบุญว่า บุญมีประมาณน้ อยจักไม่มาถึง แม้ หม้ อนํา8 ย่อมเต็มได้ ด้วย
หยาดนํา8 ทีA ตกทีละหยาดๆ นักปราชญ์สAังสมบุญแม้ ทีล ะน้ อยๆ ย่ อมเต็มด้ วยบุญ ภิกษุพึงเว้ น
บาปดุจพ่อค้ ามีพวกน้ อย มีทรัพย์มาก เว้ นทางทีA ควรกลัว ดุจบุรุษผู้ใคร่ต่อชีวิตเว้ นยาพิษ ฉะนั8น
๒๐๓

ถ้ าทีA ฝ่ามือไม่พึงมีแผลไซร้ บุคคลพึงนํายาพิษไปด้ วยฝ่ ามือได้ เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมซาบฝ่ ามือ


ทีA ไม่มีแผล
บาปย่อมไม่มีแก่คนไม่ทาํ ผู้ใดย่อมประทุษร้ าย ต่อคนผู้ไม่ประทุษร้ าย ผู้เป็ นบุรุษหมด
จด ไม่มีกิเลสเครืA องยัAวยวน บาปย่อมกลับถึงผู้น8ันแหละ ผู้เป็ นพาลดุจธุลีละเอียดทีA บุคคลซัด
ทวนลมไป ฉะนั8น คนบางพวกย่อมเข้ าถึงครรภ์ บางพวกมีกรรมอันลามกย่อมเข้ าถึงนรกผู้ทีAมี
คติดีย่อมไปสู่สวรรค์
ผู้ทีAไม่ มีอาสวะย่อมปรินิพพานอากาศ ท่ามกลางสมุทร ช่ องภูเขาอันเป็ นทีA เข้ าไป ส่วน
แห่งแผ่นดินทีA บุคคลสถิตอยู่แล้ ว พึงพ้ นจากกรรมอันลามกได้ ไม่มีเลย อากาศ ท่ามกลางสมุทร
ช่องภูเขาอันเป็ นทีA เข้ าไปส่วนแห่งแผ่นดิน ทีA บุคคล สถิต อยู่ แ ล้ ว มั จจุ พึง ครอบงํา ไม่ ได้ ไม่ มี
เลย ฯ

คาถาธรรมบท ชราวรรค

ข้ าพเจ้ าขอไหว้ พระพุทธเจ้ า ผู้ มีพระมหากรุณาเป็ นนาถะ ทรงข้ า มสังสารสาครด้ วย


ไญยธรรม ทรงแสดงธรรมอันละเอียดลุ่มลึกมีนัยวิจิตรข้ าพเจ้ าขอไหว้ พระธรรมสูงสุด ทีA พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้ าทรงบูชาแล้ ว ซึA งเป็ นเครืA องนําผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะออกไปจากโลก.
ข้ าพเจ้ าขอไหว้ พระอริยสงฆ์ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็ นต้ น ตั8งอยู่ในมรรคผล เป็ นบุญเขตอัน
ยอดเยีA ยม.
อนึA ง ข้ าพเจ้ าขอนมัสการพระสารีบุตรพุทธชิโนรสองค์น8ัน ผู้เป็ นพระเถระทีA มีเถรคุณมิใช่
น้ อยเป็ นทีA ยินดียิAง ผู้มีเกียรติคุณสูงสุดเพราะสภาพปัญญา และผู้มีความประพฤติอ่อนน้ อมถ่อม
ตนเป็ นอันดี
บุคคลร่ าเริงอะไรกันหนอ ยินดีอะไรกัน ในเมืA อโลกสันนิวาสถูกไฟไหม้ โพล่งแล้ วเป็ น
นิตย์ ท่านทั8งหลายถูกความมืดหุ้มห่อแล้ ว เพราะเหตุไรจึงไม่แสวงหาประทีป ท่านจงดูอัตภาพ
อั น บุ ญ กรรมทํ า ให้ วิ จิ ต รแล้ ว มี ก ายเป็ นแผล อั น กระดู ก สามร้ อยท่ อ นปรุ ง ขึ8 นแล้ ว
กระสับกระส่าย
อันมหาชนดําริกันโดยมาก ไม่มีความยัAงยืนมัAนคง รูปนี8ครํAาคร่ าแล้ ว เป็ นรังแห่ งโรค ผุ
พัง กายของตนอันเปืA อยเน่ า จะแตกเพราะชี วิต มีค วามตายเป็ นทีA สุด กระดูก เหล่ า ใดเขาไม่
ปรารถนาแล้ ว เหมือนนํา8 เต้ าในสารทกาล มีสี เหมื อ นนกพิ ร าบ จะยิ น ดี อ ะไรเพราะได้ เห็ น
กระดูกเหล่านั8น สรีระอันกรรมสร้ างสรรให้ เป็ นเมืองแห่งกระดูก มีเนื8อและเลือดเป็ นเครืA องไล้
๒๐๔

ทา เป็ นทีA ตั8งแห่ งความแก่ ความตาย ความถือตัว และความลบหลู่ ราชรถทั8งหลายอันวิจิตร


ย่อมครําA คร่าได้ โดยแท้
อนึA งแม้ สรีระก็เข้ าถึงความครําA คร่ า ส่ วนธรรมของสัต บุรุษ ย่ อ มไม่ เข้ าถึงความครํAาคร่ า
สัตบุรุษแลย่ อมสนทนาด้ วยสัต บุรุษบุรุษมีสุตะน้ อยนี8 ย่ อมแก่ เหมือนโคถึก เนื8อของเขาย่ อม
เจริญ [แต่] ปัญญาของเขาหาเจริญไม่ เราแสวงหานายช่ างเรือนอยู่ เมืA อยังไม่ประสบ แล่ นไป
แล้ วสู่สงสารมีชาติไม่น้อย ความเกิดเป็ นทุกข์ราAํ ไป แน่ะนายช่างเรือน บัดนี8เราพบท่านแล้ ว ท่าน
จักไม่ต้องสร้ างเรือนอีก ซีA โครงของท่านทั8งหมดเราหักแล้ ว ยอดเรือนเราขจัดเสียแล้ ว จิตของ
เราถึงแล้ วซึA งนิพพานอันปราศจากสังขาร เราบรรลุความสิ8นแห่งตัณหาแล้ ว
คนพาลทั8ง หลายไม่ ป ระพฤติพรหมจรรย์ ไม่ ได้ ทรัพย์ในคราวเป็ นหนุ่ ม ย่ อมซบเซา
เหมื อ นนกกะเรี ย นแก่ ซบเซาอยู่ บ นเปื อกตม ซึA งสิ8 นปลาแล้ ว ฉะนั8 น คนพาลทั8ง หลายไม่
ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ ได้ ทรัพย์ในคราวเป็ นหนุ่ มย่ อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่า เหมือน
ลูกศรสิ8นไปแล้ วจากแล่ง ฉะนั8น ฯ

คาถาธรรมบท อัตตวรรค

ข้ า พเจ้ า ขอนอบน้ อมพระพุทธเจ้ า ผู้ มีพระญาณอันหาทีA สุด มิได้ มีพระกรุณาเป็ นทีA


อาศัย ทรงทําลายมลทิน มีพระหฤทัยมัAนคง อํานวยประโยชน์เกื8อกูล พระธรรมราชาจอมทัพ
ธรรมผู้ทรงถึงฝัAง ทีA หาขอบเขตมิได้ ผู้ไร้ มลทิน.ขอนอบน้ อมพระธรรมอันประเสริฐ เครืA อง
ป้ องกันภพ.ขอนอบน้ อมพระสงฆ์ เหล่ าโอรสพระสุคต ผู้ปราศจากมลทินและเป็ นบ่อเกิดคุณ
ความดี.
หากว่ าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็ นทีA รักไซร้ พึงรักษาตนนั8นไว้ ให้ เป็ นอัตภาพอันตนรักษาดี
แล้ ว บัณฑิตพึงประคับประคองตนไว้ ตลอดยามทั8งสาม ยามใดยามหนึA ง บุคคลพึงยังตนนั8นแล
ให้ ต8ังอยู่ในคุณอันสมควรเสียก่อน พึงพรําA สอนผู้อืAนในภายหลัง บัณฑิตไม่ พึงเศร้ าหมอง หาก
ว่าภิกษุพึงทําตนเหมือนอย่างทีA ตนพรําA สอนคนอืA นไซร้ ภิกษุน8ันมีตนอันฝึ กดีแล้ วหนอ พึงฝึ ก ได้
ยินว่าตนแลฝึ กได้ ยาก ตนแลเป็ นทีA พึAงของตน บุคคลอืA นไรเล่าพึงเป็ นทีA พึA งได้ เพราะว่าบุคคลมี
ตนฝึ กฝนดีแล้ ว ย่อมได้ ทพีA ึA งอันได้ โดยยาก ความชัAวทีA ตนทําไว้ เองเกิดแต่ตน มีตนเป็ นแดนเกิด
ย่อมยําA ยีคนมีปัญญาทรามดุจเพชรยําA ยีแก้ วมณีทเีA กิดแต่หิน ฉะนั8น
ความเป็ นผู้ทุศีลล่วงส่วน ย่อมรวบรัดอัตภาพของบุคคลใด ทําให้ เป็ น อั ต ภาพอั น
ตนรัดลงแล้ ว เหมือนเถาย่านทรายรวบรัดไม้ สาละให้ เป็ นอันท่วมทับแล้ ว บุคคลนั8นย่อมทําตน
๒๐๕

เหมือนโจรผู้เป็ นโจกปรารถนาโจร ผู้เป็ นโจก ฉะนั8น กรรมไม่ดีและไม่เป็ นประโยชน์แก่ตน ทํา


ได้ ง่าย ส่วนกรรมใดแล เป็ นประโยชน์ด้วย ดีด้วย กรรมนั8นแลทําได้ ยาก อ ย่ า ง ยิA ง ผู้ ใ ด มี
ปัญญาทราม อาศัยทิฐิอันลามก ย่อมคัดค้ านคําสัAงสอนของพระพุทธเจ้ า ผู้อรหันต์ เป็ นพระอริย
เจ้ า มีปกติเป็ นอยู่โดยธรรม การคัดค้ านและทิฐิอนั ลามกของผู้น8ัน ย่อมเผล็ดเพืA อฆ่าตน เหมือน
ขุย ไผ่ฆ่าต้ นไผ่ฉะนั8น
ทําชัA วด้ วยตนเอง ย่อมเศร้ าหมองด้ วยตนเอง ไม่ ทาํ ชัAวด้ วยตนเอง ย่ อมหมดจดด้ วย
ตนเอง ความบริสุทธิJ ความไม่บริสุทธิJ เป็ นของเฉพาะตัวคนอืA นพึงชําระคนอืA นให้ หมดจดหาได้
ไม่ บุค คลไม่ พึงยั ง ประโยชน์ ข องตนให้ เสืA อม เพราะประโยชน์ ของผู้ อืA นแม้ ม ากบุ ค คลรู้ จั ก
ประโยชน์ของตนแล้ ว พึงขวนขวายในประโยชน์ของตน ฯ

คาถาธรรมบท โลกวรรค

พระจริยาเป็ นประโยชน์เกื8อกูลแก่สรรพโลกของพระผู้มีพระภาคเจ้ าผู้ทรงแสวงหาคุณ


ใหญ่พระองค์ใด ข้ าพเจ้ าขออภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้ าพระองค์น8ัน ผู้มีอานุภาพเป็ นอจินไตย
ผู้เป็ นนายกเลิศของโลก พระจริยาสมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะนําสัตว์ออกจากโลกด้ วยพระ
ธรรมใด ข้ าพเจ้ าขอนมัสการพระธรรมอันอุดมนั8น อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้ าทรงบูชาแล้ ว.พระ
อริยสงฆ์ใด เป็ นผู้ต8ังอยู่ในมรรคและผลสมบูรณ์ด้วยคุณมีศีลเป็ นต้ น ข้ าพเจ้ าขอนอบน้ อม
พระอริยสงฆ์น8ัน ผู้เป็ นเนื8อนาบุญอันยอดเยีA ยม.
บุคคลไม่พึงเสพธรรมอันเลว ไม่พึงอยู่ร่วมกับความประมาทไม่พึงเสพมิจฉาทิฐิ ไม่พึง
เป็ นคนรกโลก ภิกษุ ไม่ พึงประมาทในบิณฑะทีA ลุกพึงขึ8นยืนรับ พึงประพฤติธรรมให้ สุจริต ผู้
ประพฤติธรรมย่ อ มอยู่เป็ นสุขทั8งในโลกนี8และในโลกหน้ า พึงประพฤติธรรมให้ สุจริต ไม่ พึง
ประพฤติให้ ทุจริต ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็ นสุขทั8งในโลกนี8และในโลกหน้ า
มัจ จุ ร าชย่ อ มไม่ เ ห็น บุ ค คลผู้ พิ จ ารณาเห็น โลก ดุ จ บุค คลเห็น ฟองนํ8า เห็น พยั บ แดด
ฉะนั8น ท่านทั8งหลายจงมาดูโลกนี8อันวิจิตรเปรียบด้ วยราชรถ ทีA พวกคนเขลาหมกอยู่ [แต่] พวก
ผู้ร้ ูหาข้ องอยู่ไม่ ก็ผ้ ูใดประมาทแล้ วในกาลก่อน ในภายหลังผู้ น8ันย่อมไม่ประมาท เขาย่อมยัง
โลกนี8ให้ สว่างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้ วจากเมฆ ฉะนั8น ผู้ใดทํากรรมอันลามกผู้น8ันย่อมปิ ด
[ละ] เสียได้ ด้ วยกุศล บุคคลนั8นย่ อมยังโลกนี8ให้ สว่ างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้ วจากเมฆ
ฉะนั8น โลกนี8มืดมน ในโลกนี8น้อยคนทีA จะเห็นแจ้ ง สัตว์ไปสวรรค์ได้ น้อยดุจนกพ้ นจากข่าย ฝูง
๒๐๖

หงส์ย่อมไปในทางพระอาทิตย์ ท่านผู้เจริญอิทธิบาทดีแล้ ว ย่อมไปใน อาก าศ ด้ วยฤ ท ธิJ


นักปราชญ์ท8งั หลายชนะมารพร้ อมทั8งพาหนะได้ แล้ ว ย่อมออกไปจากโลก
คนล่ วงธรรมอย่ างเอกเสียแล้ ว เป็ นคนมักพูดเท็จข้ ามโลกหน้ าเสียแล้ ว ไม่ พึงทําบาป
ย่ อมไม่ มี คนตระหนีA ย่ อ มไปสู่ เทวโลกไม่ ได้ เ ลย คนพาลย่ อมไม่ ส รรเสริ ญทานโดยแท้ ส่ วน
นักปราชญ์อนุ โมทนาทาน เพราะการอนุโมทนาทานนัAนเอง ท่านย่ อมเป็ นผู้ มีความสุขในโลก
หน้ า โสดาปั ตติผลประเสริฐกว่าความเป็ นพระราชาเอกในแผ่ นดิน กว่าความไปสู่สวรรค์ และ
กว่าความเป็ นอธิบดีในโลกทั8งปวง ฯ

คาถาธรรมบท พุทธวรรค

ข้ าพเจ้ าขอนอบน้ อมพระพุทธเจ้ า ผู้มีพระจริยาเป็ นประโยชน์เกื8อกูลแก่สรรพ


โลก ขอนอบน้ อมพรธรรมซึA งชี8นาํ ปัญญาหมูสัตว์ให้ สว่างไสว ขอนอบน้ อมพระสงฆ์ผ้ ูฝึกตนแล้ ว
กิเลสชาติอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้ าพระองค์ใดทรงชนะแล้ วอันพระองค์ย่อมไม่กลับแพ้
กิเลสชาติอนั พระสัมมาสัมพุทธเจ้ าพระองค์ นั8นทรงชนะแล้ ว กิเลสบางอย่างย่อมไม่ไปตามใน
โลก ท่านทั8งหลายจักนําพระสัมมาสัมพุทธเจ้ าพระองค์น8ันผู้ตรัสรู้แล้ ว มีอารมณ์หาทีA สุดมิได้ ผู้
ไม่มีร่องรอย ไปด้ วยร่ องรอยอะไร ตัณหามีข่ายส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ ไม่มีแก่พระสัมมาสัม
พุทธเจ้ าพระองค์ใด เพืA อจะนําไปในภพไหนๆ
ท่านทั8งหลายจักนําพระสัมมาสัมพุทธเจ้ าพระองค์น8ันผู้ตรัสรู้แล้ ว มีอารมณ์หาทีA สุดมิได้
ผู้ไม่มีร่องรอย ไปด้ วยร่องรอยอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้ าเหล่าใด ผู้ขวนขวายแล้ วในฌาน เป็ น
นักปราชญ์ ยินดีแล้ วในธรรมเป็ นทีA เข้ าไประงับ คือ เนกขัมมะ แม้ เทวดาและมนุ ษย์ท8ังหลาย
ย่อมรักใคร่พระสัมพุทธเจ้ าผู้มีสติเหล่านั8น การได้ เฉพาะความเป็ นมนุษย์ยาก ความเป็ นอยู่ของ
สัตว์ท8งั หลายยาก การฟังพระสัทธรรมยาก การเกิดขึ8นแห่งพระพุทธเจ้ าทั8งหลายยาก
ความอิA มในกามทั8 ง หลาย ย่ อ มไม่ มี เ พราะฝน คื อ กหาปณะ กามทั8ง หลายมี ค วาม
เพลิ ด เพลิ น [ยิ น ดี] น้ อ ยเป็ นทุ ก ข์ บั ณ ฑิต รู้ ดั ง นี8 แล้ ว ท่ า นย่ อ มไม่ ถึ ง ความยิ น ดี ใ นในกาม
ทั8งหลายแม้ อันเป็ นทิพย์ สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ า เป็ นผู้ยินดีแล้ วในธรรมเป็ นทีA สิ8นไป
แห่ งตัณหามนุ ษย์เป็ นอันมากแล ถูกภัยคุกคามแล้ ว ย่อมถึงภูเขา ป่ าอารามและรุกขเจดีย์ว่า
เป็ นทีA พึAง ทีA พึAงนั8นแลไม่เกษม ทีA พึAงนั8นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยทีA พึA งนั8น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์
ทั8งปวงได้ ส่วนผู้ใดถึงพระพุทธเจ้ า พระธรรม และพระสงฆ์ว่าเป็ นทีA พึA ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ คือ
ทุกข์ เหตุให้ เกิดทุกข์ความก้ าวล่ วงทุ กข์ และอริยมรรคประกอบด้ วยองค์ ๘ อันให้ ถึง
๒๐๗

ความสงบระงับทุกข์ ด้ วยปัญญาอันชอบ ทีA พึAงนั8นแล เป็ นทีA พึA งอัน เกษม ทีA พึA งนั8 น อุด ม เพราะ
บุคคลอาศัยทีA พึAงนั8นย่อมพ้ นจากทุกข์ท8งั ปวงได้
บุรุษอาชาไนยหาได้ ยาก ท่านย่อมไม่เกิดในทีA ทAวั ไป ท่านเป็ นนักปราชญ์ย่อมเกิดในสกุล
ใด สกุลนั8นย่อมถึงความสุข ความ เกิ ด ขึ8 นแห่ ง พระพุ ท ธเจ้ าทั8 ง หลาย นํ า สุ ข มาให้ พระ
สัทธรรมเทศนานําสุขมาให้ ความพร้ อ มเพรี ยงแห่ งหมู่น ําสุขมาให้ ความเพีย รของผู้พร้ อม
เพรียงกันให้ เกิดสุข ใครๆ ไม่ อาจนับบุญของบุคคลผู้บูชาซึA งปูชารหบุคคล คือ พระพุทธเจ้ า
หรือสาวกของพระพุทธเจ้ า ผู้ก้าวล่วงธรรมเครืA องเนิA นช้ า ผู้ข้ามความโศกและความรํAาไรได้ แล้ ว
ว่าบุญนี8มีประมาณเท่านี8 ใครๆ ไม่อาจนับบุญของบุคคลผู้บูชาปูชารหบุคคลเหล่ านั8น ผู้คงทีA ผู้
นิพพานแล้ ว ไม่มีภัยแต่ทไีA หนๆ ว่าบุญนี8ประมาณเท่านี8 ฯ

คาถาธรรมบท สุขวรรค

พระสัมพุทธเจ้ าผู้เป็ นนาถะ ทรงเห็น สัจจะทั8ง ๔ จึงทรงประกาศพระธรรม ทรงเป็ น


นายกประกอบด้ วยธรรมของพระพุทธเจ้ า ๑๘ประการ ทรงเป็ นพระบรมศาสดา ทรงพระสิริ
โสภาคย์ ดุจพระอาทิตย์อทุ ยั เหนือขุนเขายุคันธร ผู้อนั หมู่แห่งเทพเจ้ าทั8งหมืA นจักรวาลได้ มา
แวดล้ อม
เมืA อพวกมนุษย์มีเวรกันอยู่ เราเป็ นผู้ไม่มีเวรอยู่ เมืA อพวกมนุษย์มีเวรกันอยู่ เราเป็ นผู้ไม่
มีเวรอยู่ เป็ นอยู่สบายดีหนอเมืA อพวกมนุษย์มีความเร่าร้ อนกันอยู่ เราเป็ นผู้ไม่มีความเร่าร้ อน
อยู่ เป็ นอยู่สบายดีหนอ เมืA อพวกมนุษย์มีความขวนขวายอยู่ เราเป็ นผู้ไม่มคี วามขวนขวายอยู่
เมืA อพวกมนุษย์มีความขวนขวายกันอยู่ เราเป็ นผู้ไม่มีความขวนขวายอยู่เป็ นอยู่สบายดีหนอ เรา
ไม่มีกิเลสชาติเครืA องกังวล เป็ นอยู่สบายดีหนอ เรามีปีติเป็ นภักษาเหมือนเหล่าเทวดาชั8น
อาภัสสระ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ ย่อมเป็ นทุกข์พระขีณาสพผู้สงบระงับ ละความชนะความแพ้
ได้ แล้ วย่อมอยู่เป็ นสุข
ไฟเสมอด้ วยราคะไม่มี โทษเสมอด้ วยโทสะไม่มี ทุกข์ เช่นด้ วยขันธ์ไม่มี สุขยิA งกว่าความ
สงบไม่มี ความหิวเป็ นโรคอย่างยิA ง สังขารเป็ นทุกข์อย่างยิA งบัณฑิตทราบเนื8อความนี8ตามความ
เป็ นจริงแล้ ว ย่อมทําให้ แจ้ งซึA งนิพพาน เพราะนิพพานเป็ นสุขอย่างยิA ง ลาภทั8งหลายมีความไม่มี
โรคเป็ นอย่างยิA ง ทรัพย์มคี วามสันโดษเป็ นอย่างยิA งญาติท8งั หลายมีความคุ้นเคยเป็ นอย่างยิA ง
นิพพานเป็ นสุขอย่างยิA ง บุคคลผู้ปีติในธรรม เมืA อดืA มรส ดืA มรสอันเกิดแต่วเิ วกและรสแห่งความ
๒๐๘

สงบแล้ ว ย่อมไม่มคี วามกระวนกระวายไม่มีบาป การเห็นพระอริยะเจ้ าทั8งหลายเป็ นความดี การ


อยู่ร่วมกับพระอริยะเจ้ าเหล่านั8น เป็ นสุขทุกเมืA อ
บุคคลพึงเป็ นผู้มคี วามสุขเป็ นนิตย์ได้ เพราะการไม่เห็นคนพาลทั8งหลายด้ วยว่าบุคคลผู้
สมคบกับคนพาลเทีA ยวไป ย่อมเศร้ าโศกสิ8นกาลนาน การอยู่ ร่วมกับคนพาลเป็ นทุกข์ทุกเมืA อ
เหมือนการอยู่ร่วมกับศัตรู ส่วนนักปราชญ์มกี ารอยู่ร่วมเป็ นสุข เหมือนสมาคมแห่งญาติ เพราะ
เหตุน8ันแล บุคคลพึงคบบุคคลนั8นผู้เป็ นนักปราชญ์ มีปัญญา เป็ นพหูสูต มีปกตินาํ ธุระไปมีวัตร
เป็ นพระอริยะ เป็ นสัปบุรษุ ผู้มปี ัญญาดีเช่นนั8นเหมือนพระจันทร์คบครองแห่งนักษัตร ฉะนั8น ฯ

คาถาธรรมบท ปิ ยวรรค

พระสัพพัญ^ุตญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ าพระองค์ใด ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่


เป็ นไปทัAวในไญยธรรมทั8งปวงตามความพอพระทัย ดุจพระกรุณาทีA ทรงแผ่ไปในสัตว์ท8งั หลาย
พระสัมพุทธะพระองค์ใดมีพระทัยอันความกรุณานั8นให้ อตุ สาหะขึ8นด้ วยดีในสัตว์ท8งั หลาย ทรง
ประกาศธรรม ด้ วยเดชแห่งพระสัพพัญ^ุตญาณนั8น.ข้ าพเจ้ าขอน้ อมนมัสการพระยุคลบาทของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ าผู้ทรงมีพระสิริโสภาคย์พระองค์น8ัน ขอบูชาพระสัทธรรมและทําอัญชลี
ต่อพระสงฆ์ ด้ วยอานุภาพแห่งการทําความนอบน้ อมในพระรัตนตรัย
บุคคลประกอบตนในกิจทีA ไม่ควรประกอบ และไม่ประกอบตนในกิจทีA ควรประกอบ ละ
ประโยชน์เสีย มักถือเอาสัตว์หรือสังขารว่าเป็ นทีA รัก ย่อมทะเยอทะยานต่อบุคคลผู้ประกอบตาม
ตน บุคคลอย่าสมาคมแล้ วด้ วยสัตว์หรือสังขารอันเป็ นทีA รัก หรือด้ วยสัตว์หรือสังขารอันไม่เป็ นทีA
รัก ในกาลไหนๆเพราะการไม่เห็นสัตว์หรือสังขารอันเป็ นทีA รัก และการเห็นสัตว์หรือสังขารอัน
ไม่เป็ นทีA รัก เป็ นทุกข์ เพราะเหตุน8ันบุคคลไม่พึงทําสัตว์หรือสังขารให้ เป็ นทีA รัก เพราะการพลัด
พรากจากสัตว์ และสังขารอันเป็ นทีA รัก ลามก กิเลสเครืA องร้ อยรัดทั8งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลทีA
ไม่มีสตั ว์และสังขารอันเป็ นทีA รักและไม่เป็ นทีA รัก ความโศกย่อมเกิดแต่ของทีA รักภัยย่อมเกิดแต่
ของทีA รัก ความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ ว จากของทีA รัก ภัยจักมีแต่ทไีA หน
ความโศกย่อมเกิดแต่ความรัก ภัยย่อมเกิดแต่ความรัก ความโศกย่อมไม่มีแก่ผ้ ูพ้นวิเศษ
แล้ ว จากความรัก ภัยจักมีแต่ทไีA หน ความโศกย่อมเกิดแต่ความยินดี ภัยย่อมเกิดแต่ความยินดี
ความโศกย่อมไม่มีแก่บคุ คลผู้พ้นวิเศษแล้ วจากความยินดี ภัยจักมีแต่ทไีA หน ความโศกย่อมเกิด
แต่กาม ภัยย่อมเกิดแต่กามความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษแล้ วจากกาม ภัยจักมีแต่ทีA
๒๐๙

ไหน ความโศกย่อมเกิดแต่ตัณหา ภัยย่อมเกิดแต่ตณ ั หาความโศกย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้พ้นวิเศษ


แล้ วจากตัณหา ภัยจักมีแต่ทไีA หน ชนย่อมกระทําบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและทัศนะผู้ต8ังอยู่ใน
ธรรม มีปกติกล่าวคําสัจ ผู้ทาํ การงานของตน ให้ เป็ นทีA รัก
ภิกษุพึงเป็ นผู้มีความพอใจในนิพพานอันใครๆบอกไม่ได้ เป็ นผู้อันใจถูกต้ อง และเป็ น
ผู้มีจิตไม่เกีA ยวเกาะแล้ วในกาม ภิกษุน8ันเรากล่าวว่าผู้มีกระแสในเบื8องบนญาติมติ ร และเพืA อนผู้
มีใจดี ย่อมชืA นชมต่อบุรุษผู้จากไปสิ8นกาลนาน กลับมาแล้ วโดยสวัสดี แต่ทไีA กล ว่ามาแล้ ว บุญ
ทั8งหลาย ย่อมต้ อนรับแม้ บุคคลผู้ทาํ บุญไว้ ซึA งจากโลกนี8ไปสู่โลกอืA น ดุจญาติต้อนรับญาติทรีA ัก ผู้
มาแล้ ว ฉะนั8น ฯ

คาถาธรรมบท โกธวรรค

ข้ า พเจ้ า ขอนอบน้ อ ม แด่ พ ระผู้ มี พ ระภาคอรหั น ตสัม มาสั ม พุ ท ธเจ้ า พระองค์ พ ระ


โลกนาถเจ้ า ผู้ทรงแสวงหาทางแห่งการหลุดพ้ นจากโลก ผู้ทรงมีปกติละเสียซึA งความเสียหาย
แม้ เล็กน้ อย พระรรมอันเป็ นสิA งทีA จริงแท้เป็ นธรรมดา พระสงฆ์ผ้ ูมีคุณยิA งผู้เดินตามคุณเห่งพระ
ผู้มีพระภาคเจ้ าข้ าพเจ้ า ขอถวายอภิวาทแด่พระรัตนตรัย อันสูงสุดกว่าสิA งทีA ควรไหว้ ท8งั หลาย
บุ ค คลพึ ง ละความโกรธเสีย พึ ง ละมานะเสีย พึ ง ก้ า วล่ วงสัง โยชน์ เ สี ย ทั8ง หมด ทุ ก ข์
ทั8งหลายย่อมไม่ตกตามบุคคลนั8นผู้ไม่ข้องอยู่ในนามรูป ไม่มีกิเลสเครืA องกังวล บุคคลใดแล พึง
ห้ ามความโกรธทีA เกิดขึ8นแล้ วไว้ ได้ ดุจบุคคลห้ ามรถซึA งกําลังแล่นไปได้ ฉะนั8น เรากล่าวบุคคลนั8น
ว่าเป็ นสารถี คนนอกนี8เป็ นคนถือเชือก พึงชนะความโกรธด้ วยความไม่โกรธ
พึงชนะความไม่ ดีด้วยความดี พึงชนะความตระหนีA ด้ วยการให้ พึงชนะคนมักกล่ าวคํา
เหลาะแหละด้ วยคําสัต ย์ พึ ง กล่ า วคําสัต ย์ ไม่ พึง โกรธ แม้ เมืA อมีของน้ อย ถู กขอแล้ วก็พึง ให้
บุคคลพึงไปในสํานักแห่ง เทวดาทั8 ง หลาย เพราะเหตุ ๓ ประการนี8 มุ นี เ หล่ า ใดผู้ ไม่
เบียดเบียน สํารวมแล้ วด้ วยกายเป็ นนิตย์มุนีเหล่านั8นย่อมไปสู่สถานทีA ไม่จุติ ทีA คนทั8งหลายไป
แล้ วไม่ เศร้ าโศก อาสวะทั8งหลายของผู้ตืAนอยู่ทุกเมืA อ ศึกษาเนืองๆทั8งกลางวันและกลางคืน ผู้
น้ อมไปแล้ วสู่นิพพาน ย่อมถึง ความไม่ มี ดู ก รอตุ ล ะ การนิ น ทาหรื อ การสรรเสริ ญนี8 มีม าแต่
โบราณ มิใช่มีเพียงวันนี8 คนย่อมนินทาแม้ ผ้ ูนAังนิA ง แม้ ผ้ ูพูดมาก แม้ พูดพอประมาณ
ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก บุรุษผู้ถูกนินทาโดยส่วนเดียว หรือถูกสรรเสริญโดยส่วนเดียว
ไม่มีแล้ ว จักไม่มี และไม่มีในบัดนี8 ถ้ าว่าผู้ร้ ใู คร่ครวญแล้ วทุกวัน ย่อมสรรเสริญบุคคลใด ผู้มี
ความประพฤติไม่ขาดเป็ นนักปราชญ์ ตั8งมัAนแล้ วในปัญญาและศีล ใครย่อมควร เ พืA อ จ ะ
๒๑๐

นิ น ทาบุ ค คลนั8 น ผู้ เ หมื อ นดั ง แท่ ง แห่ ง ทองชมพู นุ ช แม้ เ ทวดาและมนุ ษ ย์ ท8ั ง หลาย ก็ย่ อ ม
สรรเสริญบุคคลนั8น แม้ พรหมก็สรรเสริญบุคคลนั8น ภิกษุพึงรักษาความกําเริบทางกายพึงเป็ นผู้
สํารวมด้ วยกาย ละกายทุจริต แล้ ว พึงประพฤติสุจริตด้ วยกาย พึงรักษาความกําเริบทางวาจา
พึงเป็ นผู้สาํ รวมด้ วยวาจา ละวจีทุจริตแล้ ว พึงประพฤติสุจริตด้ วยวาจา พึงรักษาความ
กําเริบทางใจ พึง เป็ นผู้ส าํ รวมด้ วยใจ ละมโนทุจริตแล้ วพึงประพฤติสุจริตด้ วยใจ นักปราชญ์
ทั8งหลาย สํารวมแล้ วด้ วยกาย สํารวมแล้ วด้ วยวาจา สํารวมแล้ วด้ วยใจ ท่านเหล่านั8นแล สํารวม
เรียบร้ อยแล้ ว ฯ

คาถาธรรมบท มลวรรค

พระจอมมุนีผ้ ูทรงเพียบพร้ อมด้ วยกรุณา เป็ นบ่อเกิดแห่ งความหลุดพ้ น ดังพระจันทร์


วันเพ็ญท่ามกลางนภา พระจันทร์อันเป็ นดังบันไดสู้สวรรค์ เป็ นสะพานข้ ามสงสาร พระสงฆ์ผ้ ู
เป็ นนาบุญอันไพศาล ข้ าพเจ้ าขอนมัสการพระรัตนตรัยอันเป็ นสิA งประเสริฐในโลก
บัดนี8ท่านเป็ นดุจใบไม้ เหลือง แม้ บุรุษของพระยายมก็ปรากฏแก่ท่านแล้ ว ท่านตั8งอยู่ใน
ปากแห่งความเสืA อม อนึA งเสบียงเดินทางของท่านก็ยังไม่มี ท่านจงทําทีA พึงแก่ตน จงรีบพยายาม
จงเป็ นบัณฑิตท่านเป็ นผู้มีมลทินอันขจัดแล้ วไม่ มีกิเลสเครืA องยียวนจักถึงอริยภูมิอันเป็ นทิพย์
บัดนี8ท่านเป็ นผู้มีวัยอันชรานําเข้ าไปแล้ ว เตรียมจะไปยังสํานักของพระยายม
อนึA ง ทีA พักในระหว่างของท่านก็ยังไม่มี และเสบียงเดินทางของท่านก็ยังไม่มี ท่านจงทําทีA
พึA งแก่ตน จงรีบพยายาม จงเป็ นบัณฑิต ท่านเป็ นผู้มีมลทินอันขจัดแล้ ว ไม่มีกิเลสเครืA องยียวน
จักไม่เข้ าถึงชาติและชราอีก นักปราชญ์ทาํ กุศลทีละน้ อยๆ ในขณะๆ พึงขจัดมลทินของตนออก
ได้ โดยลําดับ เหมือนช่างทองขจัดมลทินของทอง ฉะนั8น สนิมเกิดขึ8นแต่เหล็กเอง ครั8นเกิดขึ8น
แต่ เหล็กนั8นแล้ ว ย่อมกัดเหล็กนั8นแหละ ฉันใด กรรมของตนย่อมนําบุคคลผู้มักประพฤติล่วง
ปัญญาชืA อโธนา ไปสู่ทุคติ ฉันนั8น
มนต์ มีอันไม่ ท่องบ่ นเป็ นมลทิน เรื อนมีการไม่ หมัAนเป็ นมลทิน ความเกียจคร้ านเป็ น
มลทินของผิวพรรณ ความประมาทเป็ นมลทินของผู้รักษา ความประพฤติชAัวเป็ นมลทินของ
หญิง ความตระหนีA เป็ นมลทินของผู้ให้ ธรรมทั8งหลายทีA ลามกเป็ นมลทินแท้ ทั8งในโลกนี8ท8ังใน
โลกหน้ า เราจะบอกมลทินกว่ามลทินนั8น คืออวิชชาเป็ นมลทินอย่างยิA ง ดูกรภิกษุท8ังหลาย เธอ
ทั8งหลายละมลทินนี8เสียแล้ ว จงเป็ นผู้ไม่มีมลทินเถิด
๒๑๑

นรชนใดย่อมล้ างผลาญสัตว์มีชีวิต ถือเอาสิA งของทีA เจ้ าของไม่ได้ ให้ ในโลก คบหาภริยา


คนอืA น กล่าวคําเท็จ และประกอบการดืA มสุราเมรัยเนืองๆ นรชนนี8ย่อมขุดทรัพย์อันเป็ นต้ นทุน
ของตนในโลกนี8แล ดูกรบุรุษผู้เจริญท่านจงรู้อย่างนี8ว่า บาปธรรมทั8งหลายอันบุคคลไม่สาํ รวม
แล้ วความโลภและสภาวะมิใช่ธรรม อย่าพึงยําA ยีท่านเพืA อทุกข์ส8 ินกาลนาน
ไฟเสมอด้ วยราคะไม่มี ผู้ จับเสมอด้ วยโทสะไม่ มีข่ายเสมอด้ วยโมหะไม่ มี แม่ นาํ8 เสมอ
ด้ วยตัณหาไม่ มี โทษของผู้อืAนเห็นได้ ง่าย ส่วนโทษของตนเห็นได้ ยาก เพราะว่าบุคคลนั8นย่ อม
โปรยโทษของคนอืA น ดุจบุคคลโปรยแกลบแต่ ปกปิ ดโทษของตนไว้ เหมือนพรานนกปกปิ ด
อัตภาพด้ วยกิA งไม้ ฉะนั8น อาสวะทั8งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลผู้ตามเพ่งโทษผู้อืAน มีความสําคัญ
ในการยกโทษเป็ นนิตย์ บุคคลนั8นเป็ นผู้ไกลจากความสิ8นอาสวะ

สัลลสูตร

ชี วิตของสัตว์ ท8ังหลายในโลกนี8 ไม่ มีเครืA องหมาย ใครๆ รู้ไม่ ได้ ทั8งลําบาก ทั8งน้ อ ย และ
ประกอบด้ วยทุกข์ สัตว์ท8งั หลาย ผู้เกิดแล้ ว จะไม่ตายด้ วยความพยายามอันใดความพยายามอันนั8น
ไม่มีเลย แม้ อยู่ได้ ถึงชราก็ต้องตายเพราะสัตว์ท8งั หลายมีอย่างนี8เป็ นธรรมดา ผลไม้ สกุ งอมแล้ วชืA อว่า
ย่อมมีภัยเพราะจะต้ องร่ วงหล่นไปในเวลาเช้ า ฉันใดสัตว์ท8ังหลายผู้เกิดแล้ ว ชืA อว่าย่อมมีภัย เพราะ
จะต้ องตายเป็ นนิตย์ ฉันนั8น
ภาชนะดินทีA นายช่างทําแล้ วทุกชนิด มีความแตกเป็ นทีA สดุ แม้ ฉันใด ชีวิตของสัตว์ท8งั หลาย ก็
ฉันนั8น ทั8งเด็ก ทั8งผู้ใหญ่ ทั8งคนเขลา ทั8งคนฉลาด ล้ วนไปสู่อาํ นาจของมฤตยู มีม ฤตยูเป็ นทีA ไปใน
เบื8องหน้ าด้ วยกันทั8งหมด เมืA อสัตว์เหล่านั8นถูกมฤตยูครอบงําแล้ วต้ องไปปรโลก บิดาจะป้ องกันบุตร
ไว้ กไ็ ม่ ไ ด้ หรือ พวกญาติจะป้ องกันพวกญาติไว้ กไ็ ม่ ได้ ท่านจงเห็น เหมือ นเมืA อหมู่ ญาติของสัตว์
ทั8งหลายผู้จะต้ องตาย กําลังแลดูราํ พันอยู่โดยประการต่างๆ สัตว์ผ้ ูจะต้ องตายผู้เดียวเท่านั8นถูกมฤตยู
นําไปเหมือนโคทีA บุคคลจะพึงฆ่าถูกนําไปตัวเดียว
ความตายและความแก่กาํ จัดสัตว์โลกอยู่อย่างนี8 เพราะเหตุน8ัน นักปราชญ์ท8งั หลายทราบชัด
สภาพของโลกแล้ ว ย่อมไม่เศร้ าโศกท่านย่อมไม่ร้ ทู างของผู้มาหรือผู้ไป ไม่เห็นทีA สดุ ทั8งสองอย่างถึงจะ
ครําA ครวญไปก็ไร้ ประโยชน์ ถ้ าผู้ครําA ครวญหลงเบียดเบียนตนอยู่จะยังประโยชน์อะไรๆ ให้ เกิดขึ8นได้
ไซร้ บัณฑิตผู้เห็นแจ้ งก็พึงกระทําความครําA ครวญ นั8น บุค คลจะถึงความสงบใจได้ เพราะการ
ร้ องไห้ เพราะความเศร้ าโศกก็หาไม่ทุกข์ย่อมเกิดแก่ผ้ ูน8ันยิA งขึ8น และสรีระของผู้น8ันก็จะซูบซีดบุคคลผู้
เบียดเบียนตนเอง ย่อมเป็ นผู้ซบู ผอม มีผิวพรรณเศร้ าหมองสัตว์ท8ังหลายผู้ละไปแล้ ว ย่อมรักษาตน
๒๑๒

ไม่ได้ ด้วยความรําพันนั8น การรําพันไร้ ประโยชน์ คนผู้ทอดถอนถึงบุคคลผู้ทาํ กาละแล้ ว ยังละความ


เศร้ าโศกไม่ได้ ตกอยู่ในอํานาจแห่งความเศร้ าโศก ย่อมถึงทุกข์ยงขึ ิA 8 น
ท่านจงเห็นคนแม้ เหล่าอืA นผู้เตรียมจะดําเนินไปตามยถากรรม (และ)สัตว์ท8งั หลายในโลกนี8
ผู้มาถึงอํานาจแห่ งมัจจุ แล้ ว กําลังพากันดิ8นรนอยู่ทีเดียว ก็สัตว์ท8ังหลายย่อมสําคัญด้ วยอาการใดๆ
อาการนั8นๆ ย่อมแปรเป็ นอย่างอืA นไปในภายหลัง ความพลัดพรากกัน เช่นนี8ย่อมมีได้ ท่านจงดูสภาพ
แห่งโลกเถิดมาณพแม้ จะพึงเป็ นอยู่ร้อยปี หรือยิA งกว่านั8น ก็ต้องพลัดพรากจากหมู่ญาติ ต้ องละทิ8งชีวิต
ไว้ ในโลกนี8 เพราะเหตุน8ัน บุคคลฟังพระธรรมเทศนาของพระอรหันต์แล้ ว เห็นคนผู้ล่วงลับทํากาละ
แล้ ว กําหนดรู้อยู่ว่า บุคคลผู้ล่วงลับทํากาละแล้ วนั8นเราไม่พึงได้ ว่า จงเป็ นอยู่อกี เถิด ดังนี8
พึงกําจัดความรําพันเสีย บุคคล พึ ง ดั บ ไฟทีA ไหม้ ลุ ก ลามไปด้ วยนํ8 า ฉั น ใดนรชนผู้ เป็ น
นักปราชญ์ มีปัญญา เฉลียวฉลาด พึงกําจัดความเศร้ าโศกทีA เกิดขึ8นเสีย โดยฉับพลันเหมือนลมพัดนุ่น
ฉะนั8น คนผู้แสวงหาความสุขเพืA อตน พึงกําจัดความรําพันความทะยานอยากและความโทมนัสของตน
พึงถอนลูกศรคือกิเลสของตนเสีย เป็ นผู้มีลูกศร คือ กิเลสอันถอนขึ8นแล้ ว อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัย
แล้ วถึงความสงบใจ ก้ าวล่วงความเศร้ าโศกได้ ท8งั หมด เป็ นผู้ไม่มีความเศร้ าโศกเยือกเย็น ฉะนี8แล ฯ

สัลเลขธรรม
ธรรมเครืA องขัดเกลากิเลส

เธอทั8งหลาย พึงทําความขัดเกลาว่า …
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้เบียดเบียนกัน ในข้ อนี8เราทั8งหลายจักเป็ นผู้ไม่เบียดเบียนกัน.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้ฆ่าสัตว์ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการฆ่าสัตว์.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้ลักทรัพย์ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการลักทรัพย์.
ชนเหล่าอืA นจักเสพเมถุนธรรม ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักประพฤติพรหมจรรย์.
ชนเหล่าอืA นจักกล่าวเท็จ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการกล่าวเท็จ.
ชนเหล่าอืA นจักกล่าวส่อเสียด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการกล่าวส่อเสียด.
ชนเหล่าอืA นจักกล่าวคําหยาบ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการกล่าวคําหยาบ.
ชนเหล่าอืA นจักกล่าวคําเพ้ อเจ้ อ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการกล่าวเพ้ อเจ้ อ.
ชนเหล่าอืA นจักมักเพ่งเล็งภัณฑะของผู้อืAน ในข้ อนี8เราทั8งหลายจักไม่เพ่งเล็งภัณฑะของ
ผู้อืAน.
ชนเหล่าอืA นจักมีจิตพยาบาท ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่มีจิตพยาบาท.
ชนเหล่าอืA นจักมีความเห็นผิด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีความเห็นชอบ.
๒๑๓

ชนเหล่าอืA นจักมีความดําริผิด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีความดําริชอบ.


ชนเหล่าอืA นจักมีวาจาผิด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีวาจาชอบ.
ชนเหล่าอืA นจักมีการงานผิด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีการงานชอบ.
ชนเหล่าอืA นจักมีอาชีพผิด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีอาชีพชอบ.
ชนเหล่าอืA นจักมีความเพียรผิด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีความเพียรชอบ.
ชนเหล่าอืA นจักมีสติผดิ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีสติชอบ.
ชนเหล่าอืA นจักมีสมาธิผิด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีสมาธิชอบ.
ชนเหล่าอืA นจักมีญาณผิด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีญาณชอบ.
ชนเหล่าอืA นจักมีวิมุตผิ ดิ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีวมิ ุติชอบ.
ชนเหล่าอืA นจักถูกถิA นมิทธะกลุ้มรุม ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักปราศจากถิA นมิทธะ.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้ฟุ้งซ่าน ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน.
ชนเหล่าอืA นจักมีวิจิกิจฉา ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักห้ ามพ้ นจากวิจิกิจฉา.
ชนเหล่าอืA นจักมีความโกรธ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่มีความโกรธ.
ชนเหล่าอืA นจักผูกโกรธไว้ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่ผูกโกรธไว้ .
ชนเหล่าอืA นจักลบหลู่คุณท่าน ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่ลบหลู่คุณท่าน.
ชนเหล่าอืA นจักยกตนเทียมท่าน ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่ยกตนเทียมท่าน.
ชนเหล่าอืA นจักมีความริษยา ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่มีความริษยา.
ชนเหล่าอืA นจักมีความตระหนีA ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่มีความตระหนีA .
ชนเหล่าอืA นจักโอ้ อวด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่โอ้ อวด.
ชนเหล่าอืA นจักมีมารยา ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่มีมารยา.
ชนเหล่าอืA นจักดื8อด้ าน ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่ด8 อื ด้ าน.
ชนเหล่าอืA นจักดูหมิA นท่าน ในข้ อนี8เราทั8งหลายจักไม่ดูหมิA นท่าน.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้ว่ายาก ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นผู้ว่าง่าย.
ชนเหล่าอืA นจักมีมิตรชัAว ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีกลั ยาณมิตร.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นคนประมาท ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นคนไม่ประมาท.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นคนไม่มีศรัทธา ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นคนมีศรัทธา.
ชนเหล่าอืA นจักไม่มีหิริ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นผู้มีหิริในใจ.
ชนเหล่าอืA นจักไม่มีโอตตัปปะ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นผู้มีโอตตัปปะ.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้มีสตุ ะน้ อย ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นผู้มีสตุ ะมาก.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นคนเกียจคร้ าน ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นผู้ปรารภความเพียร.
๒๑๔

ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้มีสติหลงลืม ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นผู้มสี ติดาํ รงมัAน.


ชนเหล่าอืA นจักเป็ นคนมีปัญญาทราม ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักเป็ นคนถึงพร้ อมด้ วย
ปัญญา.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นคนลูบคลําทิฏฐิของตน ยึดถืออย่างมัAนคง และสละคืนได้ โดยยาก ใน
ข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่เป็ นผู้ลูบคลําทิฏฐิของตน ไม่ยึดถืออย่างมัAนคง และสละคืนได้ โดยง่าย.

จบ..หนังสือ

ขอกราบนอบน้อมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กายกรรม วจี กรรม มโนกรรม
ที.เกิดจากกุศลเจตนาในการช่วยเหลือกิจนี1
ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเป็ นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
กุศลคุณงามความดีอนั พึ.งเกิดมีปรากฏ
ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบูชาครูอาจารย์ ทุกท่าน ทุกรูป

มีสิAงใดบกพร่อง ข้ าพเจ้ าขอน้ อมรับความบกพร่องนั8น


และขอน้ อมรับคําแนะนํา เพืA อกลับมาปรับปรุงแก้ ไข
08-28-33-99-88
๒๑๕

เตรียมศรัทธาบู ชาสังเวชนียสถาน ๔
ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งเหล่านี8 เป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ
๑. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
ด้ วยมาตามระลึกว่า พระตถาคต ประสูติ ในที.นี1 ฯ
๒. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
ด้ วยมาตาม ระลึกว่า พระตถาคตตรัสรูพ้ ระอนุ ตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที.นี1 ฯ
๓. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
ด้ วยมาตามระลึกว่า พระตถาคตทรงยังอนุ ตตรธรรมจักรให้เป็ นไปในที.นี1 ฯ
๔. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
ด้ วยมาตามระลึกว่า พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว
ด้วยอนุ ปาทิเสสนิพพานธาตุ ในที.นี1 ฯ

สังเวชนียสถาน ๔ แห่งนี1
แลเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธาฯ
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จักมาด้วยความเชือว่า
พระตถาคตประสูติในที.นี1 ก็ดี
พระตถาคตตรัสรูพ้ ระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในที.นก็ี1 ดี
พระตถาคตทรงยังอนุตรธรรมจักร ให้เป็ นไปในที.นี1ก็ดี
พระตถาคตเสด็จปรินพิ พานแล้วด้วยอนุ ปาทิเสสนิพพานธาตุ ในที.นี1ก็ดี
ชนเหล่าใด เที-ยวจาริกไปยังเจดีย์ มีจติ เลื-อมใสแล้ว จักทํากาละลง
ชนเหล่านัน ทัง หมดเบืองหน้า แต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ

You might also like