Professional Documents
Culture Documents
คู่มือเตรียมศรัทธาบูชาสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล
คู่มือเตรียมศรัทธาบูชาสังเวชนียสถาน ๔ ตำบล
สังเวชนียสถาน ๔ ตําบล
ณ. ประเทศอินเดีย และเนปาล
๒
สารบัญ
หน้ า
พระพุทธประวัติโดยสังเขป ๔
-ปั ตนะ ๕
-ปาฏลิคามิยสูตร ๗
-กรุงราชคฤห์แห่ งแคว้ นมคธ ๙
-พระเวฬุวัน ๑๐
ตาลปุตตสูตร ๑๕
ติงสมัตตาสูตร ๑๖
จุนทิสตู ร ๑๘
จัณฑสูตร ๑๙
เขาคิชฌกูฏ ๒๑
-มูลคันธกุฎี ๒๓
-อปริหานิยธรรม ๖ ประการ ๒๕
-อาฏานาฏิยปริต ๒๖
-ถํา8 สุกรขาตา ๒๙
-ทีฑนขสูตร ๓๐
พุทธคยา ๓๕
-สัจจกถา ๔๓
-สัตตมหาสถาน ๕๒
พาราณาสี ๕๔
-ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร ๕๖
-จุ ลลกมหาเศรษฐี ชาดก ๕๘
-มกสชาดก-เวริชาดก ๖๐
-ขุรัปปชาดก ๖๑
-สุชาตาชาดก ๖๒
-มังสชาดก ๖๓
-มตโรทนชาดก ๖๔
-ทีฆาวุกุมาร ๖๕
กุสนิ ารา ๗๓
-มหาสุทัสสนสูตร ๗๔
-สุภัททปริพาชก ๘๙
๓
ลุมพินี ๙๒
-มหาปุริสลักษณ์ ๓๒ ประการ ๙๕
สาวัตถี ๑๐๖
-มงคลสูตร ๑๐๗
-อนาถปิ ณฑิโกวาทสูตร ๑๐๙
-วัมมิกสูตร ๑๑๕
-เวรัญชกสูตร ๑๑๙
ทานบารมี ๑๓๐
ศีล ๑๕๓
คาถาธรรมบท ๒๐๐-๒๑๔
พระพุทธประวัติโดยสังเขป
เมืA อ ๒๖๐๐ กว่าปี มาแล้ ว ใต้ ต้นสาละต้ นหนึA ง ในป่ าสาละอันน่ารืA นรมย์ บริเวณเชิง
เขาหิมาลัย พระมหาบุรุษได้ มีประสูติการ ณ ป่ าสาละนั8นทีA มีชืAอเรียกว่า ลุมพินี พระโพธิสัตว์ถอื
กําเนิดในวรรณกษัตริย์ วงศ์สากยะ แห่งแคว้ นสักกะ ทรงได้ รับขนานพระนามว่าสิทธัตถะ
พระองค์ได้ รับการดูแลเลี8ยงดูอย่างดีท่ามกลางราชสมบัตแิ ละหมู่พระญาติ
ทรงศึกษาวิทยาการทุกแขนงจบด้ วยพระชนมายุเพียง๑๖พรรษา ต่อมาได้ ทรง
อภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา พระองค์ทรงเพียบพร้ อมไปด้ วยทรัพย์สมบัติ ข้ าทาสบริวาร
เสวยสุขบนปราสาท๓หลังทีA พระบิดาสร้ างไว้ เพืA อให้ เหมาะแก่ฤดูท8งั สาม ต่อมาเมืA อพระชนมายุ
ได้ ๒๙พรรษา ทรงเบืA อหน่ายต่อโลกียสุข ทรงมองเห็นว่าชีวติ ของมนุษย์น8ันมีแต่ความทุกข์
เพราะ ต้อง แก่ เจ็บ และตายลงในทีสุดเป็ นธรรมดา จึ งมีพระประสงค์อย่างแรงกล้าใน
การที.จะแสวงหาสิ.งที.จะพ้นไปจากสิ.งเหล่านั1น
ทรงพบว่าการบวชนั8นน่าจะเป็ นหนทางทีจะแสวงหาทางทีจะพ้นจาก การเกิด แก่
เจ็บ และตายอันเป็ นทุกข์ จึงตัดสินพระทัยหนีออกจากวัง ทรงถือเพศบรรพชิตทีA ริมฟัAงแม่นาํ8
อโนมานที จานั8นทรงจาริกไปเพืA อแสวงหาการปฏิบัติเพืA อความหลุดพ้ นจากทุกข์ ทรงเสด็จ
เรืA อยมาสู่กรุงราชคฤห์ ได้ เสด็จไปยังอาศรมของ อาฬารดาบสและอุทกดาบส เพียรฝึ กฝนจนจบ
ฌานสมาบัติแล้ วทรงเห็นว่าไม่ใช่มรรคาเพืA อให้ ถงึ โพธิญาณ จึงเสด็จจาริกไปหาทีA บาํ เพ็ญเพียร
จนถึงแถวอุรเุ วลาเสนานิคม บริเวณริมฝัAงแม่นาํ8 เนรัญชราทรงบําเพ็ทุกรกริยาอยู่ถงึ ๖ปี โดยมี
พวกปัญจวัคคีย์คอยปรณนิบัติดูแล เมืA องดเสวยอาหารบําเพ็ญเพียรถึงทีA สดุ จากนั8นได้ ทรง
พบว่าไม่ใช่ทางทีA จะเข้ าถึงสัจจธรรม จึงกลับมาเสวยอาหารใหม่ เป็ นเหตุให้ พวกปัญจวัคคีย์ได้
ละทิ8งพระองค์ไป
พระองค์เปลียนวิธีการบําเพ็ญเพียรใหม่ซ ึงเป็ นทางสายกลาง จนในที.สุดก็ได้
บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ จากนั8นได้ ไปทีA ป่าอิสปิ ตนมฤคทายวันเมืองพาราณสี แสดง
ปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคียใ์ ห้ ได้ บวชเป็ นพระสงฆ์ชุดแรก
ขณะทีA ยังทรงประทับอยู่ ณ ชายป่ า บุตรเศรษฐีคนหนึA งชืA อ ยสะ ซึA งเบืA อหน่ายกามสุข
ก็ลงจากปราสาทออกนอกประตูเมืองมาถึงทีA ประทับของพระพุทธองค์ ได้ ฟังธรรมบรรลุเป็ น
อริยบุคคลบวชเป็ นพระภิกษุและยังทรงแสดงธรรมโปรดบิดามารดาและครอบครัวของ ยส
กุลบุตร จากนั8นได้ โปรดเพืA อนเก่าของยสกุลบุตร ให้ ได้ บรรลุธรรมเป็ นพระอรหันต์บวชเป็ น
ภิกษุอกี ๕๔ รูป
๕
ส่วนผู้สมบู รณ์ดว้ ยศีล คือ ผูม้ ีศีล ผูม้ ศี ีลไม่วิบตั ิ คือผูไ้ ม่ทําลายสังวรโดยการ
สมาทานผูส้ มบูรณ์ดว้ ยศีล เพราะยังศีลให้สําเร็จ โดยทําให้บริสุทธิBบริบูรณ์.เพระมีความ
ไม่ประมาทเป็ นเหตุ จะประสบความสุขความสวัสดีหาประมาณมิได้
คฤหัสถ์เลี8ยงชีพด้ วยอาชีพทีA พึงใช้ ความรู้และการศึกษาทีA ดี เป็ นผู้ไม่ประมาท ด้ วยงด
เว้ นจากปาณาติปาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และดืA มสุราของมึนเมา มีมารยาท
งาม ซืA อตรงอ่อนโยนไม่เย่อหยิA งจะยังความหมัAนในศิลปะการงานอันนั8น ให้ สาํ เร็จได้ บริบูรณ์
ย่อมประสบกองอันโภคะใหญ่กิตติศัพท์อนั ดีงามของเขา ย่อมฟุ้ งขจรไปว่า คฤหัสถ์ชืAอโน้ นเป็ น
ผู้มีศีล มีมารยาทงาม พูดจาอ่อนหวานใจทําบุญสุญทาน ผู้ถึงพร้ อมด้ วยศีลเข้ าไปในทีA ชุมนุมชน
เป็ นอันมากเป็ นผู้องอาจ สง่าผ่าเผย เพระกรรมดีทไีA ด้ ทาํ ไว้ แล้ ว เมืA อบุคคลผูม้ ีศีลนอนอยู่บน
เตียงเป็ นที.ตายด้ วยเดชแห่งศีลอันเป็ นกรรมงามเขาลืมตาเห็นโลกนี8 หลับตาเห็นโลกหน้ า
ทิพยวิมานสวรรค์สมบัติย่อมปรากฏแก่เขาบรรพชิตผู้ทุศลี ย่อมถึงความเสืA อมจากศีล จากพระ
พุทธพจน์ จากฌาน และจากอริยทรัพย์ ๗ ประการ เพราะความประมาท
กิตติศัพท์อันลามกของบรรพชิต ย่อมฟุ้ งขจรไปอย่างนี8ว่า บรรพชิตชืA อโน้ น บวชใน
พระศาสนาของพระศาสดาไม่อาจเพืA อจะรักษาศีลไม่อาจเพืA อจะเรียนพระพุทธพจน์ เป็ นผู้
ประกอบด้ วย อคารวะ ๖ ประการเลี8ยงชีพด้ วยอเนสนากรรม ฝ่ ายบรรพชิต ผู้มีภัย
หลีกเลีA ยงไม่ได้ เมืA อเข้ าไปในหมู่ภกิ ษุเป็ นอันมากทีA ประชุมกันย่อมเป็ นผู้ไม่แกล้ วกล้ าสามารถ
จะกล่าวได้ ด้วยคิดว่าบรรพชิตรูปหนึA ง จักรู้ความชัAวของเรา
แต่บางคนถึงเป็ นคนทุศีล ก็ย่อมประพฤติเหมือนผู้มีศลี แม้ คนทุศลี นั8น ก็ย่อมเป็ น
ผู้เก้ อเขิน ด้ วยอัธยาศัยเหมือนกัน เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้ าถึงความเป็ น
สหาย กับเหล่า เปรต สัตว์นรก อสูรกาย สุนัขป่ าและสุนัขบ้ านเขาพลางร้ องครวญครางว่า ขอ
เถอะ ขอทีเถอะดังนี8 จนตาย.
บรรพชิตผู้บริบูรณ์ด้วยศีล ถึงพร้ อมด้ วยอาจารและโคจร บริบูรณ์ด้วยวัตร และ
เมตตาย่อมเข้ าถึง สมถวิปัสนา อภิญญา5 สมาบัติ8 เต็มเปีA ยมด้ วยบุญฤทธิJ นุ่งห่มธงชัยแห่ง
พระอรหันต์ย่อมคว้ า อนุปาทาปรินิพานอันเป็ นทีA ปรารถนายิA งของเหล่าฤษี(พระพุทธเจ้ า เป็ น
ต้ น)ทั8งหลายในการก่อน
กรุงราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ
แคว้ นมคธนั8นเป็ นแค้ วนมหาอํานาจทีA สาํ คัญในสมัยพุทธกาล อีกทั8งต่อมาภายหลัง
พุทธกาลสามารถรวบอํานาจในดินแดนแถบชมพูทวีปได้ มากจนเป็ นศูนย์กลางความ
เจริญรุ่งเรือง และอํานาจทางการเมือง.
๑๐
พระเวฬุวนั วิหาร
สถานที.พระราชทานเหยื.อแก่กระแต(เวฬุวน กลนฺ ทกนิวาป)
เวฬุวนั เป็ นชืA อแห่งอุทยานของพระเจ้ าพิมพิสาร. ได้ ยินว่า อุทยานนั8นได้ ล้อมรอบไปด้ วยกอ
ไผ่และกําแพงสูง๑๘ศอก ประกอบด้ วยเชิงเทิน ซุ้มประตู และป้ อม มีสเี ขียวชอุ่มเป็ นทีA
รืA นรมย์ใจ. ด้ วยเหตุน8ัน จึงเรียกกันว่า เวฬุวัน. อนึA ง ชนทั8งหลายได้ ให้ เหยืA อแก่พวกกระแต
ในอุทยานนี8, ด้ วยเหตุน8ัน อุทยานนั8น จึงชืA อว่าเป็ นทีA เลี8ยงเหยืA อแก่กระแต
ได้ ยินว่า ในกาลก่อน พระราชาพระองค์หนึA ง ได้ เสด็จประพาส ณ อุทยานนั8นทรงมึนเมา
เพราะนํา8 จัณฑ์แล้ วบรรทมหลับกลางวัน. แม้ บริวารของพระองค์ ก็พูดกันว่า พระราชาบรรทม
หลับแล้ ว ถูกดอกไม้ และผลไม้ เย้ ายวนใจอยู่ จึงพากันหลีกไปทางโน้ นทางนี8.
ขณะนั8นงูเห่าเลื8อยออกมาจากต้ นไม้ มีโพรงต้ นใดต้ นหนึA ง เพราะกลิA นสุรา เลื8อยมุ่ง
หน้ าตรงมาหาพระราชา รุกขเทวดาเห็นงูเห่านั8นแล้ วคิดว่า เราจักถวายชีวติ แด่พระราชา จึง
แปลงเพศเป็ นกระแตมาทําเสียงร้ องทีA ใกล้ พระกรรณแห่งพระราชาจากนั8น พระราชาทรงตืA น
บรรทม งูกเ็ ลื8อยกลับไป.
ท้ าวเธอทอดพระเนตรเห็นเหตุน8ันแล้ ว ทรงดําริว่า กระแตนี8ให้ ชีวติ เรา จึงเริA มต้ น
เลี8ยงเหยืA อแก่กระแตทั8งหลาย และทรงให้ ประกาศพระราชทานอภัยแก่ฝงู กระแตในอุทยานนั8น
๑๑
เพราะฉะนั8น เวฬุวนั นั8น จึงถึงอันนับว่า กลันทกนิวาปะ (เป็ นทีA เลี8ยงเหยืA อแก่กระแต) จําเดิม
แต่กาลนั8นมา
ในคราวทีA เสด็จพระนครราชคฤห์ครั8งแรกหลังจากทรงประกาศพระธรรมจักรทีA ป่ า
อิสปิ ตนมฤคทายวัน ทรงเริA มเผยแผ่พระศาสนาเพืA ออนุเคราะห์เวไนยสัตว์ เสด็จไปทีA ตาํ บลคยา
สีสะโปรฎชฎิล3พีA น้ องทีA มบี ริวารตั8ง1000ให้ ต8ังอยู่ในพระอรหัตเมืA อประทับตามพระพุทธา
ภิรมย์แล้ วเสด็จจาริก ไปสู่พระนครราชคฤห์ พร้ อมด้ วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จาํ นวน๑๐๐๐ รูป
ล้ วนเป็ นปุราณชฎิลเมืA อถึงพระนครราชคฤห์แล้ วประทับในลัฏฐิวัน(สวนตาลหนุ่ม) เขตพระ
นครราชคฤห์น8ัน พระเจ้ าพิมพิสารเมืA อได้ ทราบข่าวก็เสด็จมาเข้ าเฝ้ าพระพุทธองค์พร้ อมด้ วยข้ า
ราชบริพารจํานวนมาก ทรงมีปฏิสนั ถารแล้ วได้ สดับพระธรรมเทศนาทีA ไพเราะ ลึกซึ8งอันเป็ น
ทางแห่งการดับทุกข์
พระเจ้ าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ ทรงเห็นธรรมแล้ ว ได้ ทรงบรรลุธรรมแล้ ว ทรงข้ าม
ความสงสัยได้ แล้ วได้ ทูลพระวาจานี8ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ครั8งก่อน เมืA อหม่อมฉันยังเป็ นราช
กุมารได้ มคี วามปรารถนา ๕ อย่าง
ความปรารถนาทั.ง ๕
๑. ไฉนหนอ ชนทั8งหลายพึงอภิเษกเราในราชสมบัติดังนี8
๒. ขอพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ า พึงเสด็จมาสู่แว่นแคว้ นของหม่อมฉันนั8น
๓. ขอหม่อมฉันพึงได้ เข้ าเฝ้ าพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน
๔. ขอพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ันพึงแสดงธรรมแก่หม่อมฉันนี8
๕. ขอหม่อมฉันพึงรู้ทAวั ถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน
บัดนี8 ความปรารถนา ๕ อย่างนั8น ของหม่อมฉันสําเร็จแล้ วพระพุทธเจ้ าข้ า “ภาษิต
ของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนักพระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศ
ธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนีเปรียบเหมือนบุคคลหงายของที-ควํา- เปิ ดของที-ปิด บอกทางแก่
คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที-มืดด้วยตัง ใจว่า คนมีจกั ษุจกั เห็นรูป ดังนี หม่อมฉันนี ขอ
ถึงพระผูม้ ีพระภาค พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็ นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจําหม่อมฉัน
ว่า เป็ นอุบาสกผูม้ อบชีวติ ถึงสรณะจําเดิมแต่วนั นีเป็ นต้นไป
พระเจ้ าพิมพิสารนิมนต์พระผู้มีพระภาคพร้ อมด้ วยภิกษุสงฆ์ให้ รับภัตตาหารในวัน
พรุ่งนี8แล้ วเสด็จลุกจากทีA ประทับถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงทําประทักษิณแล้ วเสด็จ
กลับไป.
๑๒
เพราะเวฬุวนั นางเขมาจึงได้บรรลุธรรม
พระมหาวิหารเวฬุวนั เวลานั8นมีสวนดอกไม้ กาํ ลังแย้ มบาน วู่ว่อนไปด้ วยภมรต่างๆ
ชนิด และมีเสียงนกดุเหว่ารําA ร้ องดังเพลงขับ ทั8งมีเหล่านกยูงฟ้ อนรํา เป็ นเงียบเสียง ไม่
พลุกพล่าน ประดับไปด้ วยทีA จงกรมต่างๆ สะพรัAงไปด้ วยกุฎีและมณฑปทีA พระโยคีชอบปรารภ
บําเพ็ญเพียร
สมัยหนึA งพระเจ้ าพิมพิสารโปรดให้ นักขับร้ องขับเพลงพรรณนาพระมหาวิหารเวฬุวนั
ด้ วยพระประสงค์จะทรงอนุเคราะห์นางเขมาผู้เป็ นชายา ให้ ได้ เข้ าเฝ้ าพระพุทธเจ้ า พระนาง
สําคัญว่าพระมหาวิหารเวฬุวัน อันเป็ นทีA ประทับแห่งพระสุคตเจ้ าเป็ นทีA น่ารืA นรมย์ ผู้ใดยังมิได้
เห็นก็จัดว่าผู้น8ันยังไม่เห็นนันทวัน พระมหาวิหารเวฬุวันเป็ นดังว่า นันทวันอันเป็ นทีA เพลิดเพลิน
ของนรชน ผู้ใดได้ เห็นแล้ ว นับว่าผู้น8ันเห็นดีแล้ ว ซึA งนันทวัน อันเป็ นทีA เพลิดเพลิน ของท้าว
อมรินทร์ สักกเทวราช .
ทวยเทพ ละนันทวันแล้ วลงมาทีA พื8นดินเห็นพระมหาวิหารเวฬุวันอันน่ารืA นรมย์เข้ าแล้ ว
ก็อัศจรรย์ใจเพลินชมมิได้ เบืA อ พระมหาวิหารเวฬุวนั เกิดขึ8นเพราะบุญของพระราชา อัน
บุญญานุภาพแห่งพระพุทธเจ้ าประดับแล้ วใครเล่าจะกล่าวถึงความเจริญด้ วยคุณแห่งพระมหา
วิหารเวฬุวันให้ จบได้
๑๔
“เขมาเธอคิดว่าสาระมีอยู่ในรูปนีหรือ
เธอจงดูความที-ร่างกายอันหาสาระมิได้....ไม่สะอาดเน่าเปื- อย...
ไหลออกทัง ข้างบนข้างล่าง...อันคนพาลทัง หลายปรารถนายิ-งนัก...
เขมา...สัตว์เหล่านีเยิมอยู่ดว้ ยราคะ ร้อนอยู่ดว้ ยโทสะ งงงวยอยู่ดว้ ยโมหะ
จึงไม่อาจเพื-อก้าวล่วงกระแสตัณหาของตนไปได้ ต้องข้องอยู่ในกระแสตัณหานัน- เอง
สัตว์ผูย้ ินดีแล้วด้วยราคะ ย่อมตกไปสู่กระแสตันหา เหมือนแมลงมุม ตกไปยังใยที-ตัวทําไว้เอง
ธีรชนทัง หลาย ตัดกระแสตัณหานัน แล้ว เป็ นผูห้ มดห่วงใย ละเว้นทุกข์ทงั ปวงไป”
ในการจบเทศนานางเขมาได้บรรลุพระอรหัต เทศนาได้มปี ระโยชน์แก่มหาชนแล้วดังนี.แล.
พระเวฬุวันแห่งนี8เป็ นอารามทีA ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้ า ในพรรษาทีA ๒, ๓, ๔,
๑๗ และ๒๐ นับว่าเป็ นทีA เริA มปลูกฝังพระพุทธศาสนาและมีความสําคัญในช่วงต้ นของพุทธกาล
๑๕
จุนทิสตู ร
(จุนทิสตู รเป็ นพระสูตรทีA กล่าวถึงเรืA องทีA เจ้ าหญิงจุนที
เกิดความสงสัยในคําของพี.ชาย
เรื.องเกี.ยวกับการเข้าสรณคม ศีลห้าและคติหลังความตาย จึงได้ ต8งั ปัญหา ขึ8นถามว่าการเข้ าถึง
สรณและรักษาศีลเช่นไรจึงนําไปสูส่ คุ ติ พระพุทธองค์ทรงตอบปัญหาเหล่านั8นว่าการนับถือและปฏิบัติ
อย่างไรเป็ นสิA งทีA เลิศ)
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถานใกล้
กรุงราชคฤห์ ครั8งนั8นแล ราชกุมารีชืAอว่าจุนที แวดล้ อมด้ วยรถ ๕๐๐ คัน และกุมารี ๕๐๐คน เข้ า
ไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับถวายบังคมแล้ วนัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ครั8นแล้ วได้ กราบ
ทูลว่า
ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ราชกุมารพระนามว่าจุนทะ พระภาดาของหม่อมฉัน กล่าว
อย่างนี8ว่า หญิงหรือชายเป็ นผู้ถงึ พระพุทธเจ้ าเป็ นสรณะ ถึงพระธรรมเป็ นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็ น
สรณะ เว้ นขาดจากปาณาติบาต เว้ นขาดจากอทินนาทาน เว้ นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้ นขาด
จากมุสาวาท เว้ นขาดจากการดืA มนํา8 เมาคือสุราและเมรัย อันเป็ นทีA ต8งั แห่งความประมาท ผู้น8ัน
ตายไปแล้ ว ย่อมเข้ าถึงสุคติอย่างเดียวไม่เข้ าถึงทุคติ ดังนี8
หม่อมฉันจึงขอทูลถามว่า ผู้ทเีA ลืA อมใสในศาสดาเช่นไร เมืA อตายไปแล้ วจึงเข้ าถึงสุคติ
อย่างเดียว ไม่เข้ าถึงทุคติ ผู้ทเีA ลืA อมใสในธรรมเช่นไร เมืA อตายไปแล้ วจึงเข้ าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่
เข้ าถึงทุคติ ผู้ทเีA ลืA อมใสในสงฆ์เช่นไรเมืA อตายไปแล้ วจึงเข้ าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่เข้ าถึงทุคติ ผู้ทีA
ทําให้ บริบูรณ์ในศีลเช่นไร เมืA อตายไปแล้ ว จึงเข้ าถึงสุคติอย่างเดียว ไม่เข้ าถึงทุคติ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรจุนที สัตว์ทไีA ม่มีเท้ าก็ดี มี ๒ เท้ าก็ดี มี๔ เท้าก็ดี มีเท้ า
มากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มสี ัญญาก็ดีมสี ญ ั ญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่กด็ ี มี
ประมาณเท่าใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ าบัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าสัตว์เหล่านั8น ชน
เหล่าใดเลื.อมใสในพระพุทธ- เจ้า ชนเหล่านั1นชื.อว่าเลื.อมใสในสิ.งที.เลิศ ก็วิบากอันเลิศย่อม
มีแก่บุคคลผู้ทเีA ลืA อมใสในสิA งทีA เลิศ ธรรมทีA เป็ นปัจจัยปรุงแต่งก็ดี ทีA ปัจจัยไม่ปรุงแต่งก็ดี มี
ประมาณเท่าใด วิราคะ คือ ธรรมอันยําA ยีความเมา กําจัดความกระหายถอนเสียซึA งอาลัย เข้ าไป
ตัดวัฏฏะ เป็ นทีA ส8 ินตัณหา เป็ นทีA คลายกําหนัด เป็ นทีA ดับ นิพพาน บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าธรรม
เหล่านั8น ชนเหล่าใดเลืA อมใสในวิราคธรรม ชนเหล่านั8น ชืA อว่าเลืA อมใสในสิA งทีA เลิศ ก็วิบากอันเลิศ
ย่อมมีแก่บุคคลผู้เลืA อมใสในสิA งทีA เลิศ ฯ หมู่กด็ ี คณะก็ดี มีประมาณเท่าใด สงฆ์สาวกของพระ
ตถาคต คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นี1 สงฆ์สาวกของพระผูม้ ีพระภาค เป็ นผูค้ วรของ
คํานับ เป็ นผูค้ วรของต้อนรับ เป็ นผูค้ วรของทําบุญ เป็ นผูค้ วรทํา อัญชลี เป็ นนาบุญของ
๑๙
ย่อมแสดงความโกรธให้ปรากฏ ผูน้ นั จึงนับได้วา่ เป็ นคนดุ ดูกรนายคามณี นีเป็ นเหตุเป็ นปัจจัย
เครื-องให้คนบางคนในโลกนีถึงความนับว่าเป็ นคนดุ หรือเป็ นคนดุ ฯ
ดูกรนายคามณี อนึA ง คนบางคนในโลกนี8ละราคะได้ แล้ ว เพราะเป็ นผู้ละราคะได้ คน
อืA นจึงยัAวไม่โกรธ คนทีA ละราคะ ได้ แล้ วอันคนอืA นยัAวให้ โกรธก็ไม่แสดงความโกรธให้ ปรากฏ ผู้น8ัน
จึงนับได้ ว่า เป็ นคนสงบเสงีA ยม คนบางคนในโลกนี8ละโทสะได้ แล้ ว เพราะเป็ นผู้ละโทสะได้ คน
อืA นจึงยัAวไม่โกรธ คนทีA ละโทสะได้ แล้ วอันคนอืA นยัAวให้ โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธให้ ปรากฏ ผู้น8ัน
จึงนับได้ ว่า เป็ นคนสงบเสงีA ยม คนบางคนในโลกนี8ละโมหะได้ แล้ ว เพราะเป็ นผู้ละ โมหะได้ คน
อืA นจึงยัAวไม่โกรธ คนทีA ละโมหะได้ แล้ วอันคนอืA นยัAวให้ โกรธ ก็ไม่แสดงความโกรธให้ ปรากฏ ผู้
นั8นจึงนับได้ ว่า เป็ นคนสงบเสงีA ยม ดูกรนายคามณี นี8เป็ นเหตุเป็ นปั จจัยเครืA องให้ คนบางคนใน
โลกนี8ถงึ ความนับว่า เป็ นคนสงบเสงีA ยมหรือเป็ นคนสงบเสงีA ยม
เมืA อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี8แล้ ว นายจัณฑคามณีได้ กราบทูลพระผู้มพี ระภาคว่า
ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้ งยิA งนัก พระธรรมเทศนาของ
พระองค์แจ่มแจ้ งยิA งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือน
หงายของทีA ควําA เปิ ดของทีA ปิด บอกหนทางให้ แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปในทีA มืดด้ วยหวัง
ว่า คนมีจักษุจักเห็นรูปฉะนั8น ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญข้ าพระองค์น8 ีขอถึงพระผู้มีพระภาคกับทั8ง
พระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็ นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจําข้ าพระองค์ว่าเป็ น
อุบาสกผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวติ ตั8งแต่วันนี8เป็ นต้ นไป ฯ
จัณฑสูตร จบ
๒๑
เขาคิชฌกูฎ
เขาคิชฌกูฏ หนึA งในเบญจคีคีรีทโีA อบร้ อมกรุงราชคฤห์ ภูเขาซึA
ขา งมียอดจรดหมู่ธารนํา8
เย็นสนิทมียอดอบอวลด้ วยดอกของต้ นไม้ ทมีA ีกลิA นหอมนานาชนิดมียอดวิจิตรงามอย่างยิA ง เป็ น
ทีA สงบวิเวกเหมาะแก่การหลีกเร้ น บนภูเขามีวหิ ารทีA เขาสร้ างถวายพระตถาคตเจ้ า อยู่บนนั8น ให้
เป็ นทีA ประทั
ประทับของพระผู้ มีพระภาคเจ้ าในคราวทีA ทรงประทั
ทรงประทับอยู่ โดยเอากรุง ราชคฤห์เป็ นโคจร
คาม .
ชืA อว่าคิชฌกูฏ เพราะเหตุว่าภูเขานั8นมียอดเคล้ ายนกแร้
นกแร้ ง หรืออีกอย่างหนึA งเพราะ
นกแร้ งอยู่บนยอดของภูเขานั8นอาศัยเป็ นทีA หากิน มีเรืA องราวทีA มาในชาดกทีA กล่าวถึงนกแร้ งบน
เขา คิชฌกูฏนั8นดังนี8
๒๒
นกแร้งสอนลูก
ในอดีตกาล พระโพธิสตั ว์เสวยพระชาติเป็ นนกแร้ งทีA เขาคิชฌกูฏ นกแร้ งนั8นมีบุตร
เป็ นพญาแร้ งชืA อสุปัต ซึA งมีกาํ ลังมาก มีนกแร้ งหลายพันเป็ นบริวาร พญาแร้ งนั8นเลี8ยงดูมารดา
บิดาผู้ชราอยู่ แต่เพราะความทีA ตนมีกาํ ลังมาก จึงชอบบินไปไกลเกินควร บิดาจึงสอนนก
แร้ งบุตรชายให้ บินแต่พอประมาณ ถ้ าบินสูงพอมองเห็นแผ่นดินมีทะเลล้ อมรอบ กลมดุจ
กงจักรลอยอยู่ในนํา8 ไม่ให้ บินสูงเกินไปกว่านั8นเพราะเป็ นทีA เกินภูมิของนก ลมเวรัมพวาตทีA เป็ น
ลมหมุนจะพัดทําลายให้ ตายได้ แต่พญาแร้ งไม่เชืA อฟังจึงถูกลมเวรัมพวาต พัดร่างกายแหลก
ละเอียด นกแร้ งทีA เป็ น บิดามารดา บุตรภรรยา ทีA นกแร้ งนั8นเลี8ยงดูอยู่กอ็ ดอาหารตายตามกัน.
นกแร้ งสุปัตไม่ทาํ ตามโอวาทของบัณฑิต นกแร้ งทีA อาศัยเขาก็ประสบทุกข์อนั ใหญ่หลวง ผู้ไม่ทาํ
ตามคําสอนของผู้ใหญ่ผ้ ูหวังประโยชน์ ย่อมถึงความพินาศ คือทุกข์ใหญ่ อย่างนั8นเหมือนกัน.
แม้ ในศาสนานี8กเ็ หมือนกัน ผู้ใดไม่ใคร่ครวญตรึกตรองถ้ อยคําของผู้แนะประโยชน์ ผู้
นั8นเป็ นผู้ชืAอว่าล่วงศาสนา ดังนกแร้ งไปล่วงเขตแดนต้ องเดือดร้ อนฉะนั8น ผู้ไม่ทาํ ตามคําสอน
ของผู้แนะประโยชน์ ย่อมถึงความพินาศทั8งหมดฉะนั8น เธอจงอย่าเป็ นเหมือนนกแร้ ง จงเชืA อ
ถ้ อยคําของผู้ทหีA วังดี พึงเป็ นผู้ว่าง่ายเถิด
พญาแร้งผูร้ ูค้ ุณ (คราวจะตายก็ไม่เห็นภัย)
ในอดีตกาลครั8ง พระโพธิสตั ว์บังเกิดในกําเนิดพญาแร้ ง เลี8ยงดูมารดาบิดาอยู่ทคีA ิชฌ
บรรพต. ต่อมาคราวหนึA งเกิดพายุฝนใหญ่. แร้ งทั8งหลายไม่สามารถทนพายุฝนได้ จึงพากันบิน
หนีมากรุงพาราณสีเพราะกลัวหนาว จับสัAนอยู่ด้วยความหนาว ณ ทีA ใกล้ กาํ แพงและคูเมือง. ใน
เวลานั8นเศรษฐีกรุงพาราณสีออกจากเมืองเห็นแร้ งเหล่านั8นกําลังลําบาก จึงช่วยก่อไฟให้ ผิงหา
เนื8อโคจากป่ าช้ ามาให้ พวกแร้ งแล้ วคอยดูแล ครั8นพายุฝนสงบแร้ งทั8งหลายก็มีร่างกาย
กระปรี8กระเปร่า พากันบินกลับสู่ภเู ขาตามเดิม.
พวกแร้ งคิดจะตอบแทนคุฌเศรษฐี ตั8งแต่น8ันมาแร้ งทั8งหลายคอยดูความเผลอเรอ
ของพวกมนุษย์ทตีA ากผ้ าและเครืA องอาภรณ์ไว้ กลางแดด ต่างพากันโฉบเฉีA ยวไปทิ8งในทีA ใกล้ เรือน
ของเศรษฐี.
พวกประชาชนเดือดร้ อนจึงทําบ่วงดักแร้ งก็ดักได้ เอาแร้ งทีA เลี8ยงมารดาได้ จึงนําไปเฝ้ า
พระราชา พระราชาถามว่าแร้ งทําไปทําไมก็ทราบความว่า ทีA ทาํ ไปเพราะการทําอุปการะตอบแก่
ผู้มีอปุ การะย่อมสมควรอย่างยิA ง จึงได้ นาํ ของไปให้ เศรษฐี.
พระราชาทรงพอพระทัยแต่สงสัยว่าเขากล่าวกันว่าแร้ งย่อมเห็นซากศพได้ ถงึ ร้ อย
โยชน์ เหตุไรจึงไม่เห็นบ่วงทีA ดักไว้ พญาแร้ งทูลว่าความเสืA อมจะมีในเวลาใด สัตว์ใกล้จะ
๒๓
อาฏานาฏิยปริตร
ขอนอบน้อมแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า ผูม้ ีพระจักษุ มีพระสิริ
ขอนอบน้อมแด่พระสิขีพุทธเจ้า ผูท้ รงอนุเคราะห์แก่สตั ว์ทว-ั หน้า
ขอนอบน้อมแด่พระเวสสภูพุทธเจ้า ผูท้ รงชําระกิเลสมีความเพียร
ขอนอบน้อมแด่พระกกุสนั ธพุทธเจ้า ผูท้ รงยํ-ายีมารและเสนามาร
ขอนอบน้อมแด่พระโกนาคมน์พุทธเจ้า ผูม้ ีบาปอันลอยแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์
ขอนอบน้อมแด่พระกัสสปพุทธเจ้า ผูพ้ น้ พิเศษแล้วในธรรมทัง ปวง
ขอนอบน้อมแด่พระอังคีรสพุทธเจ้า ผูศ้ ากยบุตร ผูม้ ีพระสิริ
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดได้ทรงแสดงธรรมนี. อันเป็ นเครืองบรรเทาทุกข์ทัง. ปวง
พระพุทธเจ้าเหล่าใด ผูด้ บั แล้วในโลก ทรงเห็ นแจ้งแล้วตามเป็ นจริง
พระพุทธเจ้ าเหล่านั8น เป็ นผู้ไม่ส่อเสียด เป็ นผู้ยิAงใหญ่ ปราศจากความครัAนคร้ าม
เทวดาและมนุษย์ท8งั หลายนอบน้ อมพระพุทธเจ้ าพระองค์ใด ผู้โคตมโคตร ทรงเกื8อกูลแก่ทวย
เทพและมนุษย์ ทรงถึงพร้ อมด้ วยวิชชาและจรณะ เป็ นผู้ยิAงใหญ่ ปราศจากความครัAนคร้ าม.
พระสุริยาทิตย์มีมณฑลใหญ่อุทยั ขึ8นแต่ทศิ ใดแล เมืA อพระอาทิตย์อุทยั ขึ8น ราตรีกห็ าย
ไป ครั8นพระอาทิตย์อทุ ยั ขึ8น ย่อมเรียกกันว่ากลางวัน แม้ น่านนํา8 ในทีA พระอาทิตย์อทุ ยั นั8นเป็ น
สมุทรลึก มีนาํ8 แผ่เต็มไป ชนทั8งหลายย่อมรู้จักน่านนํา8 นั8นในทีA น8ันอย่างนี8ว่า สมุทรมีนาํ8 แผ่เต็มไป
ฯ
แต่ทนีA 8 ไี ป ทิศทีA ชนเรียกกันว่าปุริมทิศ ทีA ท้าวมหาราชผู้ทรงยศเป็ นเจ้ าเป็ นใหญ่ของ
พวกคนธรรพ์ ทรงนามว่าท้าวธตรฏฐ์ อันพวกคนธรรพ์แวดล้ อมแล้ ว ทรงโปรดปรานด้ วยการ
ฟ้ อนรําขับร้ อง ทรงอภิบาลอยู่ข้าพเจ้ าได้ สดับมาว่า โอรสของท้ าวเธอมีมากองค์ มีพระนาม
เดียวกันทั8งเก้ าสิบเอ็ดองค์ มีพระนามว่าอินทะ ทรงพระกําลังมาก ทั8งท้ าวธตรฏฐ์และโอรส
เหล่านั8นเห็นพระพุทธเจ้ าผู้เบิกบานแล้ ว ผู้เป็ นเผ่าพันธุแ์ ห่งพระอาทิตย์พากันถวายบังคม
พระพุทธเจ้ า ซึA งเป็ นผู้ยงิA ใหญ่ปราศจากความครัAนคร้ าม แต่ทไีA กลว่า ข้ าพระพุทธเจ้ าขอนอบ
น้ อมแด่พระองค์ พระอุดมบุรุษ ข้ าพระพุทธเจ้ าขอนอบน้ อมแด่พระองค์ขอพระองค์ทรงตรวจดู
มหาชนด้ วยพระญาณอันฉลาด แม้ พวกอมนุษย์กถ็ วายบังคมพระองค์ ข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลาย
ได้ สดับมาอย่างนั8นเนืองๆฉะนั8น จึงกล่าวเช่นนี8 ข้ าพระพุทธเจ้ าทั8งหลายถามเขาว่า พวกท่าน
ถวายบังคมพระชินโคดมหรือ เขาพากันตอบว่า ถวายบังคมพระชินโคดม ข้ าพระพุทธเจ้ า
ทั8งหลายขอถวายบังคมพระพุทธเจ้ า ผู้ถงึ พร้ อมด้ วยวิชชาและจรณะชนทั8งหลายผู้กล่าวส่อเสียด
๒๗
ถํ1าสุกรขาตา
ถํา8 สูกรขาตาคือที.เร้นที.หมู ขุดไว้ เล่ากันว่าในเวลาพระกัสสปพุทธเจ้ า ถํา8 นั8นเมืA อ
แผ่นดินงอกขึ8นมาในพุทธันดรหนึA งก็จมอยู่ในแผ่นดิน.
วันหนึA ง หมูตัวหนึA ง ขุดคุ้ยดินทีA ใกล้ รอบ ๆ หลังคาถํา8 นั8น. เมืA อฝนตกมาดินก็ถูกชะ
จึงปรากฏรอบ ๆ เป็ นหลังคา พรานป่ าคนหนึA งมาพบเข้ า จึงคิดว่า แต่ก่อนต้ องเป็ นทีA ททีA ่านผู้
มีศีลทั8งหลายเคยใช้ สอยมาแล้ วเป็ นแน่ เราจะปรับปรุงมัน จึ งขนเอาดินโดยรอบออกไป ทํา
ถํ1าให้สะอาด ล้อมรั1วรอบกระท่อม ติดประตูหน้าต่าง โบกปูนขาววาดภาพจิ ตรกรรมจน
สําเร็จเป็ นอย่างดี แล้วเอาทรายที.เหมือนแผ่นเงินมาเกลี.ยจนทัว. บริเวณ ตั1งเตียงและตั.งไว้
แล้ว ได้ถวายเพื.อประโยชน์เป็ นที.ประทับของพระผูม้ ีพระภาคเจ้า ถํา8 เป็ นสถานทีA ๆลึก เป็ น
สถานทีA ๆทีA พึงขึ8นลงได้ ในพระไตรปิ ฎกนั8นมีพระสูตรหนึA งทีA มีชืAอเดียวกันกับถํา8 สุกรขาตาจึงขอ
นํามาแสดงไว้ เพืA อความบันเทิงใจแก่พุทธบริษัททั8งหลายผู้ทไีA ด้ มาถึงถํา8 แห่งนี8
สูกรขาตาสูตร
(ธรรมเป็ นแดนเกษมจากโยคะ)
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ถํา8 สูกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ใกล้ พระนครรา
ชคฤห์ ณ ทีA นั8น พระองค์ตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรแล้ วตรัสถามว่า ดูกรสารีบุตรภิกษุผขู ้ ีณาสพ
เห็นอํานาจประโยชน์อะไรหนอ จึงประพฤตินอบน้อมอย่างยิ-งในตถาคต หรือในศาสนาของ
ตถาคต.
ท่านสารีบตุ รกราบทูลว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ภิกษุผ้ ูขณ
ี าสพ เห็นธรรมเป็ นแดน
เกษมจากโยคะอันยอดเยีA ยม จึงประพฤตินอบน้ อมอย่างยิA งในพระตถาคต หรือในศาสนาของ
พระตถาคต.
พ. ถูกละๆสารีบุตร ภิกษุผ้ ูขีณาสพ เห็นธรรมเป็ นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยีA ยม
จึงประพฤตินอบน้ อม ในตถาคต หรือในศาสนาของตถาคต ดูกรสารีบุตร ก็ธรรมเป็ นแดน
เกษมจากโยคะ อันยอดเยีA ยม ทีA ภิกษุขีณาสพเห็นอยู่ จึงประพฤตินอบน้ อมอย่างยิA ง ในตถาคต
หรือในศาสนาของตถาคตนั8น เป็ นไฉน?
สา. ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ภิกษุผ้ ูขีณาสพในธรรมวินัยนี8 ย่อมเจริญสัทธินทรีย์อนั ให้
ถึงความสงบ ให้ ถงึ ความตรัสรู้ ย่อมเจริญวิริยินทรีย์ ... สตินทรีย์ ... สมาธินทรีย์ ...ปัญญินทรีย์
อันให้ ถงึ ความสงบ ให้ ถงึ ความตรัสรู้ ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ธรรมเป็ นแดนเกษมจากโยคะอัน
ยอดเยีA ยมนี8แล ทีA ภิกษุผ้ ูขณ
ี าสพเห็นอยู่ จึงประพฤตินอบน้ อมอย่างยิA งในตถาคตหรือในศาสนา
ของพระตถาคต
๓๐
ทีฆนขสูตร ( เรืองทีฆนขปริพาชก)
ข้ าพเจ้ าได้ สดับมาอย่างนี8 สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ถํา8 สุกรขาตา
เขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์.ครั8งนั8น ปริพาชกชืA อทีฆนขะ เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA
ประทับ ได้ ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั8นผ่านการปราศรัยพอให้ ระลึกถึงกันไปแล้ ว ได้ ยืน
อยู่ ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA งแล้ ว.ได้ กราบทูลว่า ท่านพระโคดม ความจริงข้ าพเจ้ ามีปกติกล่าวอย่าง
นี8 มีปกติเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่เรา.
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อัคคิเวสสนะ แม้ ความเห็นของท่านว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่
เรานั8น ก็ไม่ควรแก่ท่าน.
ท่านพระโคดม ถ้ าความเห็นนี8ควรแก่ข้าพเจ้ า แม้ ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8น แม้
ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8น.
อัคคิเวสสนะ ชนในโลกผู้ทกล่ ีA าวอย่างนี8ว่า แม้ ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8นทั8งนั8นแม้
ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8นทั8งนั8น ดังนี8 ชนเหล่านั8นละความเห็นนั8นไม่ได้ และยังยึดถือ
ความเห็นอืA นนั8น มีมาก คือมากกว่าคนทีA ละได้ . อัคคิเวสสนะ ชนในโลกผู้ทกล่ ีA าวอย่างนี8ว่าแม้
ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8นทั8งนั8น แม้ ความเห็นนั8นก็พึงเป็ นเช่นนั8นทั8งนั8น ดังนี8 ชนเหล่านั8น
ละความเห็นนั8นได้ และไม่ยึดถือความเห็นอืA นนั8น มีน้อยคือน้ อยกว่าคนทีA ยังละไม่ได้ .
๓๑
ทิฎฐิเป็ นเหตุให้เกิดวิวาท
อัคคิเวสสนะ สมณพราหมณ์พวกหนึA งมักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวง
ควรแก่เรา ดังนี8 ก็ม.ี สมณพราหมณ์พวกหนึA งมักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8 สิA งทั8งปวงไม่ควร
แก่เรา ดังนี8 ก็มี สมณพราหมณ์พวกหนึA งมักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า บางสิA งควรแก่เรา
บางสิA งไม่ควรแก่เรา ดังนี8 ก็มี
อัคคิเวสสนะ บรรดาความเห็นนั8น ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกทีA มักกล่าวอย่าง
นี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงควรแก่เรานั8น ใกล้ ข้างกิเลสอันเป็ นไปกับด้ วยความกําหนัด ใกล้
ข้ างกิเลสเครืA องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุเพลิดเพลิน ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุกลํา8
กลืน ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุยึดมัAน. อัคคิเวสสนะบรรดาความเห็นนั8น ความเห็นของสมณ
พราหมณ์พวกทีA มักกล่าวอย่างนี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่เรานั8น ใกล้ ข้างธรรมไม่
เป็ นไปกับด้ วยความกําหนัด ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเครืA องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ น
เหตุเพลิดเพลิน ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเหตุกลํา8 กลืน ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเหตุยึดมัAน. เมืA อพระผู้มี
พระภาคตรัสอย่างนี8แล้ ว ทีฆนขปริพาชกได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดมทรงยก
ย่องความเห็นของข้ าพเจ้ า ท่านพระโคดมทรงยกย่องความเห็นของข้ าพเจ้ า.
อัคคิเวสสนะ ในความเห็นนั8นๆ ความเห็นของสมณพราหมณ์พวกทีA มักกล่าวอย่างนี8
มักเห็นอย่างนี8ว่า บางสิA งควรแก่เรา บางสิA งไม่ควรแก่เรา นั8นส่วนทีA เห็นว่าควร ใกล้ ข้างกิเลสอัน
เป็ นไปกับด้ วยความกําหนัด ใกล้ ข้างกิเลสเครืA องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุ
เพลิดเพลิน ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุกลํา8 กลืน ใกล้ ข้างกิเลสเป็ นเหตุยดึ มัAน ส่วนทีA เห็นว่าไม่ควร
ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นไปด้ วยความกําหนัด ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเครืA องประกอบสัตว์ไว้ ใกล้ ข้าง
ธรรมไม่เป็ นเหตุเพลิดเพลิน ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเหตุกลํา8 กลืน ใกล้ ข้างธรรมไม่เป็ นเหตุยดึ มัAน.
อัคคิเวสสนะ บรรดาความเห็นนั8น ในความเห็นของสมณพราหมณ์ผ้ ูทมีA ักกล่าวอย่าง
นี8 มักเห็นอย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงควรแก่เรานั8น วิญ^ูชนย่อมเห็นตระหนักว่า เราจะยึดมัAน ถือมัAน
ซึA งทิฏฐิของเราว่า สิA งทั8งปวงควรแก่เรา ดังนี8 แล้ วยืนยันโดยแข็งแรงว่า สิA งนี8เท่านั8นจริง สิA งอืA น
เปล่า เราก็พึงถือผิดจากสมณพราหมณ์สองพวกนี8 คือ สมณพราหมณ์ผ้ ูมกั กล่าวอย่างนี8 มักเห็น
อย่างนี8ว่า สิA งทั8งปวงไม่ควรแก่เรา ๑ สมณพราหมณ์ผ้ ูมักกล่าวอย่างนี8มกั เห็นอย่างนี8ว่า บางสิA ง
ควรแก่เรา บางสิA งไม่ควรแก่เรา ๑. เมื.อความถือผิดกันมีอยู่ดงั นี1 ความทุ่มเถียงกันก็มี เมื.อมี
ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกันก็มี. เมื.อมีความแก่งแย่งกัน ความเบียดเบียนกันก็ม.ี
วิญ^ูชนนั8นพิจารณาเห็นความถือผิดกัน ความทุ่มเถียงกัน ความแก่งแย่งกันและ
๓๒
เวทนา ๓
อัคคิเวสสนะ เวทนาสามอย่างนี8 คือ สุขเวทนา ๑ ทุกขเวทนา ๑ อทุกขมสุขเวทนา ๑.
อัคคิเวสสนะ สมัยใดได้ เสวยสุขเวทนา ในสมัยนั8นไม่ได้ เสวยทุกขเวทนา ไม่ไม่ได้
เสวยอทุกขมสุขเวทนา ได้ เสวยแต่สขุ เวทนาเท่านั8น.
ในสมัยใดได้ เสวยทุกขเวทนา ในสมัยนั8นไม่ได้ เสวยสุขเวทนาไม่ได้ เสวยอทุกขมสุข
เวทนา ได้ เสวยแต่ทุกขเวทนาเท่านั8น.
ในสมัยใดได้ เสวยอทุกขมสุขเวทนา ในสมัยนั8นไม่ได้ เสวยสุขเวทนา ไม่ได้ เสวย
ทุกขเวทนา ได้ เสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาเท่านั8น.
อัคคิเวสสนะ สุขเวทนาไม่เทีA ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ8นอาศัยปัจจัยเกิดขึ8น มีความสิ8น
ไป เสืA อมไป คลายไป ดับไปเป็ นธรรมดา. แม้ ทุกขเวทนาก็ไม่เทีA ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ8น อาศัย
ปัจจัยเกิดขึ8น มีความสิ8นไป เสืA อมไป คลายไป ดับไปเป็ นธรรมดา. แม้ อทุกขมสุขเวทนาก็ไม่
เทีA ยง อันปัจจัยปรุงแต่งขึ8น อาศัยปัจจัยเกิดขึ8น มีความสิ8นไป เสืA อมไป คลายไป ดับไปเป็ น
ธรรมดา.
อัคคิเวสสนะอริยสาวกผู้ได้ สดับแล้ ว เมืA อเห็นอยู่อย่างนี8 ย่อมหน่ายทั8งในสุขเวทนา
ทั8งในทุกขเวทนา ทั8งในอทุกขมสุขเวทนา เมืA อหน่ายย่อมคลายกําหนัด เพราะคลายกําหนัด ย่อม
หลุดพ้ น เมืA อหลุดพ้ นแล้ ว ก็มีญาณหยัAงรู้ว่าหลุดพ้ นแล้ ว รู้ชัดว่าชาติส8 ินแล้ ว พรหมจรรย์อยู่จบ
แล้ ว กิจทีA ควรทําสําเร็จแล้ ว กิจอืA นเพืA อความเป็ นอย่างนี8มิได้ ม.ี
อัคคิเวสสนะ ภิกษุผ้ ูมจี ิตหลุดพ้ นแล้ วอย่างนี8แล ย่อมไม่วิวาทแก่งแย่งกับใครๆ
โวหารใดทีA ชาวโลกพูดกัน ก็พูดไปตามโวหารนั8น แต่ไม่ยดึ มัAนด้ วยทิฎฐิ.
ก็โดยสมัยนั8น ท่านพระสารีบุตรนัAงถวายอยู่งานพัด ณ เบื8องพระปฤษฎางค์พระผู้มี
พระภาค. ได้ มีความดําริว่า ได้ ยินว่า พระผู้มีพระภาคตรัสการละธรรมเหล่านั8น ด้ วยปัญญาอัน
ยิA งแก่เราทั8งหลาย ได้ ยินว่า พระสุคตตรัสการสละคืนธรรมเหล่านั8น ด้ วยปัญญาอันยิA งแก่เรา
ทั8งหลาย เมืA อท่านพระสารีบุตรเห็นตระหนักดังนี8 จิตก็หลุดพ้ นแล้ ว จากอาสวะทั8งหลายไม่ถือ
มัAนด้ วยอุปาทาน ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้ เกิดขึ8นแล้ ว แก่ทฆี นขปริพาชกว่า
สิA งใดสิA งหนึA งมีความเกิดขึ8นเป็ นธรรมดา สิA งนั8นทั8งหมดมีความดับไปเป็ นธรรมดา.
๓๔
ทีฆนขปริพาชกแสดงตนเป็ นอุบาสก
[๒๗๕] ลําดับนั8น ทีฆนขปริพาชกมีธรรมอันเห็นแล้ ว มีธรรมอันถึงแล้ ว มีธรรมอัน
ทราบแล้ ว มีธรรมอันหยัAงลงแล้ ว ข้ ามความสงสัยได้ แล้ ว ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความ
เป็ นผู้แกล้ วกล้ า ไม่ต้องเชืA อต่อผู้อนในคํ
ืA าสอนของพระศาสดา ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่าข้ า
แต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้ งนัก ข้ าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่ม
แจ้ งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของทีA ควําA เปิ ดของทีA ปิ ด บอกทางให้ แก่คนหลงทางหรือตาม
ประทีปในทีA มืด ด้ วยคิดว่า ผู้มีจักษุเห็นรูป ดังนี8 ฉันใด ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดย
อเนกปริยาย ฉันนั8นเหมือนกัน ข้ าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์
ว่าเป็ นสรณะ ขอท่านพระโคดมจงทรงจําข้ าพระองค์ว่าเป็ นอุบาสก ผู้ถงึ สรณะตลอดชีวิตตั8งแต่
วันนี8เป็ นต้ นไป ดังนี8แล.
ทีฆนขสูตร จบ
๓๕
พุทธคยา
ช่วงเวลาประมาณ ๒๕๐๐ ปี ก่อน ท่ามกลางภูมภิ าคอันรืA นร่มย์ แวดล้ อมด้ วยไพร
สณฑ์อันร่มรืA น น่าชืA นใจ มีแม่นาํ8 ไหลผ่านเย็นสบาย ชายฝัAงแม่นาํ8 ทีA ราบเรียบ. พระพุทธเจ้ าได้
ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติ ทีA ใต้ ร่มพฤกษาใกล้ ใกล้ ฝAงั แม่นาํ8 เนรัญชรา อุรเุ วลาประเท
วลาประเทศแห่ง
นี8.
บริเวณนี8เรียกว่าอุรุเวลาประเทศ เพราะได้ได้ ยินว่าในอดีตสมัย เมืA อพระพุทธเจ้ ายังไม่
เสด็จอุบัติ กุลบุตรหมืA นคนบวชเป็ นดาบสอยู่ทปีA ระเทศนั8 น วันหนึA งได้ ประชุมกันทํากติกาวัตร
ไว้ ว่า ผู้ใดตรึกกามวิตก หรือพยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก พึงเอาห่ห่อใบไม้ ขนทรายมาเกลีA ย
ในทีA น8 ี ด้ วยตั8งใจว่า นีA พึงเป็ นทัณฑกรรม จําเดิมแต่น8ันมาผู้ ใดตรึกวิตกเช่นนั8น ผู้ น8ันย่อมใช้
ห่อแห่งใบไม้ ขนทรายมาเกลีA ยในทีA นนั8ัน. ด้ วยประการอย่ย่างนี8 กองทรายในทีA นนั8นั จึงใหญ่ข8 ึนโดย
ลําดับ. ภายหลังมาประชุมชนในภายหลัง จึงได้ แวดล้ อมกองทรายใหญ่น8ันทําให้ เป็ น
เจดียสถาน.
๓๖
สิงนี.มีเพราะสิงนี.
ก่อนแต่กาลตรัสรู้ เมืA อเรายังเป็ นพระโพธิสตั ว์ ยังมิได้ ตรัสรู้ เราได้ มคี วามคิดอย่างนี8
ว่า โลกนี8ถงึ ความลําบากหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุตแิ ละอุบตั ิ ก็เมืA อเป็ นเช่นนั8นไม่มีผ้ ูใดทราบ
ชัดซึA งธรรมเป็ นทีA สลัดออกจากกองทุกข์ คือ ชราและมรณะนี8ได้ เลย เมืA อไรหนอธรรมเป็ นทีA สลัด
ออกไปจากกองทุกข์คือชราและมรณะนี8จึงจักปรากฏ ฯ
เราได้ มคี วามคิดอย่างนี8ว่า เมืA ออะไรหนอแลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็ น
ปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั8นจึงรู้ได้ ด้วยปัญญาว่า เมืA อชาติ
แลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะชาติเป็ นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เรานั8นได้ มีความคิดดังนี8
ว่าเมืA ออะไรหนอ แลมีอยู่ ชาติจึงมี ... ภพจึงมี ... อุปาทานจึงมี ... ตัณหาจึงมี ...เวทนาจึงมี ...
ผัสสะจึงมี ... สฬายตนะจึงมี ... นามรูปจึงมี ... เพราะอะไรเป็ นปั จจัย จึงมีนามรูป เพราะการ
ใส่ใจโดยแยบคายของเรานั8น จึงได้ ร้ ูด้วยปัญญาว่า เมืA อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี เพราะ
วิญญาณเป็ นปั จจัย จึงมีนามรูป เรานั8นได้ มีความคิดดังนี8ว่าเมืA ออะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี
เพราะอะไรเป็ นปั จจัยจึงมีวญ ิ ญาณ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั8น จึงได้ ร้ ูด้วยปัญญาว่า
เมืA อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะนามรูปเป็ นปัจจัย จึงมีวิญญาณเรานั8นได้ มีความคิดดังนี8ว่า
วิญญาณนี8แลได้ กลับแล้ วเพียงเท่านี8 ไม่ไปพ้ นจากนามรูปได้ เลยด้ วยเหตุเพียงเท่านี8 โลกย่อม
เกิด แก่ ตาย จุตแิ ละอุบัติ กล่าวคือ เพราะนามรูปเป็ นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็ น
ปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็ นปัจจัย จึงมีสฬายตนะเพราะสฬายตนะเป็ นปั จจัย จึงมี
ผัสสะ ฯลฯความเกิดขึ8นแห่งกองทุกข์ท8งั มวลนี8 ย่อมมีด้วยประการอย่างนี8 จักษุ ญาณ ปัญญา
วิชชา แสงสว่าง ได้ เกิดขึ8นแล้ วแก่เราในธรรมทั8งหลายทีA เราไม่เคยได้ ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้
ทุกข์เกิด เหตุให้ ทุกข์เกิด ดังนี8 ฯ
๓๘
ว่าด้วยวิชชา ๓
เราได้ ปรารภความเพียร มีความเพียรไม่ย่อหย่อนแล้ ว มีสติมAันคง ไม่เลอะเลือน
แล้ ว มีกายสงบ ไม่ระสับกระส่ายแล้ ว มีจิตตั8งมัAน มีอารมณ์เป็ นอันเดียว เรานั8นแล สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานมีวิตก มีวจิ าร มีปิติและสุขเกิดแต่วเิ วกอยู่ บรรลุทุติยฌาน
มีความผ่องใสแห่งใจในภายในเป็ นธรรมเอกผุดขึ8น ไม่มีวติ ก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป
มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ... บรรลุจตุตถฌาน ... เรานั8น เมืA อจิตเป็ น
สมาธิ บริสทุ ธิJ ผ่องแผ้ ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั8งมัAน ไม่หวัAนไหว
อย่างนี8 ย่อมโน้ มน้ อมจิตไปเพืA อปุพเพนิวาสานุสติญาณ ย่อมระลึกชาติก่อนได้ เป็ นอักมาก คือ
ระลึกได้ ชาติหนึA งบ้ าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เรานั8นย่อมระลึกชาติก่อนได้ เป็ นอันมาก พร้ อมทั8ง
อุเทศ ด้ วยประการฉะนี8 วิชชาทีA หนึA งนี8แล เราบรรลุแล้ วในปฐมยามแห่งราตรี เรากําจัดอวิชชา
เสียแล้ ววิชชาจึงบังเกิดขึ8น กําจัดความมืดเสียแล้ ว ความสว่างจึงบังเกิดขึ8น ก็เพราะเราไม่
ประมาทมีความเพียรเครืA องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่ ฉะนั8น เรานั8น เมืA อจิตเป็ นสมาธิ บริสทุ ธิJ ผ่อง
แผ้ วไม่มีกเิ ลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั8งมัAน ไม่หวัAนไหวอย่างนี8แล้ ว เราจึง
โน้ มน้ อมจิตไปเพืA อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ท8งั หลาย เรานั8นย่อมเห็นสัตว์ทกีA าํ ลังจุติ กําลังอุปบัติ
เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ ดี ตกยาก ด้ วยทิพยจักษุอันบริสทุ ธิJ ล่วงจักษุ
ของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึA งหมู่สตั ว์ผ้ ูเป็ นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี8ประกอบด้ วยกายทุจริตวจี
ทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้ า เป็ นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทําด้ วยอํานาจมิจฉาทิฏฐิ
เมืA อตายไป เขาเข้ าถึงอธิบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ส่วนสัตว์เหล่านี8ประกอบด้ วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ตเิ ตียนพระอริยเจ้ า
เป็ นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทําด้ วยอํานาจสัมมาทิฏฐิ เมืA อตายไป เขาเข้ าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดังนี8เราย่อมเห็นหมู่สตั ว์กาํ ลังจุติ กําลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ ดี
ตกยาก ด้ วยทิพยจักษุอนั บริสทุ ธิJล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึA งหมู่สตั ว์ผ้ ูเป็ นไปตามกรรม
ด้ วยประการฉะนี8 ดูกรภิกษุท8งั หลายวิชชาทีA สองนี8แล เราบรรลุแล้ วในมัชฌิมยามแห่งราตรี เรา
กําจัดอวิชชาเสียแล้ ว วิชชาจึงบังเกิดขึ8น กําจัดความมืดเสียแล้ ว ความสว่างจึงเกิดขึ8น ก็เพราะ
เราไม่ประมาท มีความเพียรเครืA องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่ ฉะนั8น เรานั8น เมืA อจิตเป็ นสมาธิ
บริสทุ ธิJ ผ่องแผ้ ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร แก่การงาน ตั8งมัAน ไม่หวัAนไหวอย่าง
นี8 จึงโน้ มน้ อมจิตไปเพืA ออาสวักขยญาณย่อมรู้ชัดตามความเป็ นจริงว่า นี8ทุกข์ นี8ทุกขสมุทยั นี8
ทุกขนิโรธ นี8ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเหล่านี8อาสวะ นี8อาสวสมุทยั นี8อาสวนิโรธ นี8อาสวนิโรธคา
มินีปฏิปทา เมืA อเรานั8นรู้เห็นอย่างนี8จิตจึงหลุดพ้ นแล้ ว แม้ จากกามาสวะ แม้ จากภวาสวะ แม้ จาก
๔๒
อวิชชาสวะ เมืA อจิตหลุดพ้ นแล้ วก็มีญาณหยัAงรู้ว่า หลุดพ้ นแล้ ว รู้ชัดว่า ชาติส8 นิ แล้ ว พรหมจรรย์
อยู่จบแล้ ว กิจทีA ควรทํา ทําเสร็จแล้ ว กิจอืA นเพืA อความเป็ นอย่างนี8มิได้ มี ดังนี8
ดูกรภิกษุท8งั หลาย วิชชาทีA สามนี8 เราบรรลุแล้ วในปัจฉิมยามแห่งราตรี เรากําจัด
อวิชชาเสียแล้ ว วิชชาจึงบังเกิดขึ8น กําจัดความมืดเสียแล้ วความสว่างจึงบังเกิดขึ8น ก็เพราะเราไม่
ประมาทมีความเพียรเครืA องเผากิเลสอยู่ฉะนั8น.
ทางปลอดภัยและไม่ปลอดภัย
ดูกรภิกษุท8งั หลาย มีหมู่เนื8อเป็ นอันมาก พากันเข้าไปอาศัยบึงใหญ่ในป่ าดงอยู่ ยังมี
บุรุษคนหนึA งปรารถนาความพินาศ ประสงค์ความไม่เกื8อกูล ใคร่ความไม่ปลอดภัย เกิดขึ8นแก่
หมู่เนื8อนั8น เขาปิ ดทางทีA ปลอดภัย สะดวก ไปได้ ตามชอบใจของหมู่เนื8อนั8นเสีย เปิ ดทางทีA ไม่
สะดวกไว้ วางเนื8อต่อตัวผู้ไว้ วางนางเนื8อต่อไว้
ดูกรภิกษุท8งั หลาย เมืA อเป็ นเช่นนี8 โดยสมัยต่อมา หมู่เนื8อเป็ นอันมาก ก็พากันมาตาย
เสีย จนเบาบาง ดูกรภิกษุท8งั หลาย แต่ยังมีบุรุษอีกคนหนึA งปรารถนาประโยชน์ ใคร่ความเกื8อกูล
ใคร่ความปลอดภัย แก่หมู่เนื8อเป็ นอันมากนั8นเขาเปิ ดทางทีA ปลอดภัย สะดวก ไปได้ ตามชอบใจ
ให้ แก่หมู่เนื8อนั8น ปิ ดทางทีA ไม่สะดวกเสียกําจัดเนื8อต่อ เลิกนางเนื8อต่อ ดูกรภิกษุท8งั หลาย เมืA อ
เป็ นเช่นนี8 โดยสมัยต่อมา หมู่เนื8อเป็ นอันมาก จึงถึงความเจริญ คับคัAง ล้ นหลาม แม้ ฉันใด ดูกร
ภิกษุท8งั หลาย ข้ ออุปมานี8กฉ็ ันนั8นแล เราได้ ทาํ ขึ8นก็เพืA อจะให้ พวกเธอรู้ความหมายของเนื8อความ
ก็ในอุปมานั8น มีความหมายดังต่อไปนี8
ดูกรภิกษุท8งั หลาย คําว่า บึงใหญ่ นี8เป็ นชืA อของกามคุณทั8งหลาย คําว่า หมู่เนื8อเป็ นอันมาก นี8
เป็ นชืA อของหมู่สัตว์ท8งั หลาย คําว่า บุรษุ ผู้ปรารถนาความพินาศ ประสงค์ความไม่เกื8อกูล จํานง
ความไม่ปลอดภัย นี8เป็ นชืA อของตัวมารผู้มีบาป คําว่า ทางทีA ไม่สะดวกนี8เป็ นชืA อของทางผิด อัน
ประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการ คือ มิจฉาทิฏฐิ ๑ มิจฉาสังกัปปะ ๑มิจฉาวาจา ๑ มิจฉากัมมันตะ
๑ มิจฉาอาชีวะ ๑ มิจฉาวายามะ ๑ มิจฉาสติ ๑ มิจฉาสมาธิ ๑ คําว่า เนื8อต่อตัวผู้ นี8เป็ นชืA อของ
นันทิราคะ [ความกําหนัดด้ วยความเพลิน] คําว่า นางเนื8อต่อ นี8เป็ นชืA อของอวิชชา คําว่า บุรุษ
คนทีA ปรารถนาประโยชน์ หวังความเกื8อกูล หวังความปลอดภัย [แก่เนื8อเหล่านั8น] นี8หมายเอา
ตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ า คําว่า ทางอันปลอดภัย สะดวก ไปได้ ตามชอบใจ นี8เป็ นชืA อ
ของทางอันประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการซึA งเป็ นทางถูกทีA แท้จริง คือสัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมา
สังกัปปะ ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑
สัมมาสมาธิ ๑.
๔๓
สัจจกถา
ดูกรภิกษุท8งั หลายสัจจะ ๔ ประการนี8 เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผิด ไม่เป็ นอย่างอืA น ๔
ประการเป็ นไฉน ดูกรภิกษุท8งั หลาย สัจจะว่านี8ทุกข์ นี8ทุกขสมุทยั นี8ทุกขนิโรธนี8ทุกขนิโรธคามินี
ปฏิปทา เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น สัจจะ๔ ประการนี8แลเป็ นของแท้ เป็ นของ
ไม่ผิด ไม่เป็ นอย่างอืA น ฯ
ทุกข์เป็ นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็ นของแท้อย่างไร ฯ สภาพแห่งทุกข์เป็ นทุกข์ ๔
ประการ เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผิดไม่เป็ นอย่างอืA น คือสภาพทีA บีบคั8นแห่งทุกข์ ๑ สภาพแห่ง
ทุกข์ อันปัจจัยปรุงแต่ง ๑ สภาพทีA ให้ เดือดร้ อน ๑ สภาพทีA แปรไป ๑ สภาพแห่งทุกข์เป็ นทุกข์๔
ประการนี8 เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น ทุกข์เป็ นสัจจะด้ วยอรรถว่าเป็ นของแท้
อย่างนี8 ฯ
สมุทยั เป็ นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็ นของแท้อย่างไร ฯ สภาพแห่งสมุทยั เป็ นเหตุ
เกิด ๔ ประการ เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น คือ สภาพทีA ประมวลมาแห่งสมุทยั
๑ สภาพทีA เป็ นเหตุ ๑สภาพทีA ประกอบไว้ ๑ สภาพพัวพัน ๑สภาพแห่งสมุทยั เป็ นเหตุเกิด ๔
ประการนี8 เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น สมุทยั เป็ นสัจจะด้ วยอรรถว่าเป็ นของแท้
อย่างนี8 ฯ
นิโรธเป็ นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็ นของแท้อย่างไร ฯ สภาพดับแห่งนิโรธ ๔
ประการ เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผดิ ไม่เป็ นอย่างอืA น คือสภาพสลัดออกแห่งนิโรธ ๑ สภาพสงัด
๑ สภาพทีA ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ๑ สภาพเป็ นอมตะ ๑สภาพดับแห่งนิโรธ ๔ ประการนี8 เป็ นของแท้
เป็ นของไม่ผิด ไม่เป็ นอย่างอืA น นิโรธเป็ นสัจจะด้ วยอรรถว่าเป็ นของแท้ อย่างนี8 ฯ
มรรคเป็ นสัจจะด้วยอรรถว่าเป็ นของแท้อย่างไร ฯ สภาพเป็ นทางแห่งมรรค ๔
ประการ เป็ นของแท้ เป็ นของไม่ผิดไม่เป็ นอย่างอืA นคือ สภาพนําออกแห่งมรรค ๑ สภาพเป็ น
เหตุ ๑ สภาพทีA เห็น ๑สภาพเป็ นใหญ่ ๑ สภาพเป็ นทางแห่งมรรค ๔ ประการนี8 เป็ นของแท้
เป็ นของไม่ผิด ไม่เป็ นอย่างอืA น มรรคเป็ นสัจจะด้ วยอรรถว่าเป็ นของแท้ อย่างนี8 ฯ
๔๔
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๔ คือ ด้ วยความเป็ นของแท้ ๑
ด้ วยความเป็ นอนัตตา ๑ ด้ วยความเป็ นของจริง ๑ ด้ วยความเป็ นปฏิเวธ ๑ สัจจะ ๔ ท่าน
สงเคราะห์เป็ นหนึA งด้ วยอาการ ๔ นี8 สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA งสัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคล
ย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณ
เดียว ฯ.
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็ นของแท้อย่างไร ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๔ คือ สภาพทีA ทนได้ ยากแห่งทุกข์เป็ น
สภาพแท้ ๑ สภาพเป็ นเหตุเกิดแห่งสมุทยั เป็ นสภาพแท้ ๑สภาพดับแห่งนิโรธเป็ นสภาพแท้ ๑
สภาพเป็ นทางแห่งมรรคเป็ นสภาพแท้ ๑สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง ด้ วยความเป็ นของ
แท้ ด้วยอาการ ๔ นี8สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอด
สัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร ฯ
สิA งใดไม่เทีA ยง สิA งนั8นเป็ นทุกข์ ๑ สิA งใดไม่เทีA ยงและเป็ นทุกข์ สิA งนั8นเป็ นอนัตตา ๑สิA งใดไม่เทีA ยง
เป็ นทุกข์และเป็ นอนัตตา สิA งนั8นเป็ นของแท้ ๑สิA งใดไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตาและเป็ นของ
แท้ สิA งนั8นเป็ นของจริง ๑สิA งใดไม่เทีA ยง เป็ นทุกข์ เป็ นอนัตตา เป็ นของแท้ และเป็ นของจริง สิA ง
นั8นท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สิA งใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สิA งนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอด
สัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๙ คือ ด้ วยความเป็ นของแท้ ๑ด้ วยความ
เป็ นอนัตตา ๑ ด้ วยความเป็ นของจริง ๑ ด้ วยความเป็ นปฏิเวธ ๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA ควรรู้ยิAง
๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA ควรกําหนดรู้ ๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA ควรละ ๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA
ควรเจริญ ๑ ด้ วยความเป็ นธรรม
ทีA ควรทําให้ แจ้ ง ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA งด้ วยอาการ ๙ นี8สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ น
หนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔
จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ
สภาพแท้ ๑ สภาพแห่งสัจฉิกริ ิยา เป็ นสภาพทีA ควรทําให้ แจ้ ง เป็ นสภาพแท้ ๑ สัจจะ ๔ ท่าน
สงเคราะห์เป็ นหนึA ง ด้ วยความเป็ นของแท้ ด้ วยอาการ ๙ นี8 สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง
สัจจะนั8นเป็ นหนึA งบุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมี
การแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยความเป็ นอนัตตาด้วยความเป็ นของ
จริงด้วยความเป็ นปฏิเวธอย่างไรฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้วยญาณเดียวด้วยอาการเท่าไร ฯ
สัจจะ ๔ มีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๑๒ คือ ด้ วยความเป็ นของแท้ ๑ด้ วยความ
เป็ นอนัตตา ๑ ด้ วยความเป็ นของจริง ๑ ด้ วยความเป็ นปฏิเวธ ๑ ด้ วยความเป็ นเครืA องรู้ยิAง ๑
ด้ วยความเป็ นเครืA องกําหนดรู้ ๑ด้ วยความเป็ นธรรม ๑ ด้ วยความเป็ นเหมือนอย่างนั8น ๑ด้ วย
ความเป็ นธรรมทีA ร้ ูแล้ ว ๑ ด้ วยความเป็ นธรรมทีA ควรทําให้ แจ้ ง ๑ ด้ วยความเป็ นเครืA องถูกต้ อง
๑ด้ วยความเป็ นเครืA องตรัสรู้ ๑ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วยญาณเดียวด้ วยอาการ ๑๒ อย่างนี8
สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8นเป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณ
เดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทงตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ
แปรปรวน ๑ เป็ นสภาพแท้ สภาพแห่งสมุทยั เป็ นสภาพประมวลมา ๑ เป็ นเหตุ ๑ เป็ นเครืA อง
ประกอบไว้ ๑ เป็ นสภาพกังวล ๑ เป็ นสภาพแท้ สภาพแห่งนิโรธเป็ นทีA สลัดออก ๑ เป็ นสภาพ
สงัด๑ เป็ นสภาพทีA ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง ๑ เป็ นอมตะ ๑ เป็ นสภาพแท้ สภาพแห่งมรรคเป็ นเครืA อง
นําออก ๑ เป็ นเหตุ ๑ เป็ นทัสนะ ๑ เป็ นใหญ่ ๑ เป็ นสภาพแท้ สัจจะ ๔ ท่านสงเคราะห์ด้วย
ญาณเดียว ด้ วยความเป็ นของแท้ ด้ วยอาการ ๑๖ นี8 สัจจะใดท่านสงเคราะห์เป็ นหนึA ง สัจจะนั8น
เป็ นหนึA ง บุคคลย่อมแทงตลอดสัจจะหนึA งด้ วยญาณเดียว เพราะเหตุน8ัน สัจจะ ๔ จึงมีการแทง
ตลอดด้ วยญาณเดียว ฯ
สัตตมหาสถาน
สัตตมหาสถาน คือสถานทีA ททีA รงอยู่เสวยวิมุตติสขุ หลังจากตรัสรู้แล้ ว๗แห่ง แหล่งละ
๗วันรวมเป็ น๔๙วันเพืA อพิจารณาโพธิญาณ โดยเรียงลําดับจากสัปดาห์แรกถึงสัปดาห์ท๗ดั ีA งนี8
โพธิบัลลังก์ อนิมสิ เจดีย์ รัตนจงกรมเจดีย์ รัตนฆรเจดีย์ ต้ นอชปาลนิโครธ ควงไม้
มุจลินท์ ราชายตนะ
๕๒
นครพาราณสี-ปฐมเทศนา-เมื
เมืองแห่งชาดก
พาราณสี
ชืA อของเมืองพาราณสีน8ันในอรรถกถา อธิบายว่า เพระว่า เมืองนั8นตั8งอยู่ไม่ไกลจาก
แม่นํนา8ํ สายหนึA งทีA ชืAอว่าพาราณสา ดังนั8นจึงชืA อว่าพาราณสี. หรืออีกนัยหนึA งเพราะมาจากคําว่า
วานรสีสะโดยอาศัยนัยจากชาดกเรืA องมหากปิ ลวานร ผู้มีคุณธรรมของความเป็ นผู้นาํ ทีA ยอมสละ
ชีวิตเพืA อช่วยบริวารให้ พ้นภัยเมืA อสิ8นชีพพระราชาจึงได้ งได้ สร้ างเจดีย์ไว้ ในเมืองจึงได้ มีชืA อว่า วา
ราณสี เมืองแห่งศรีษะของพญาวานรโพธิสตั ว์ ได้ ยินว่าในกรุงพาราณสีนัน8นั ทั8งฝ้ ายก็อ่อน ทั8ง
คนกรอด้ าย ทั8งช่างทอก็ฉลาด แม้ นาํ8 ก็สะอาดสนิท เพราะฉะนั8นผ้ านั8นจึงเกลี8ยงทั8งสองข้ างอ่อน
สนิทจึงทําให้ ได้ ผ้าดี พาราณสีจึงเป็ นเมืองทีA มชี ืA อเสียงเรืA องผ้ า
๕๕
อิสิปตน มิคทายวัน
ทีA ชืAอว่า อิสปิ ตน มิคทายวัน เพราะนัยว่า ณ ทีA น8ันเมืA อยังไม่เกิดพระสัมมาสัมพุทธุ
เจ้ า พระปัจเจกสัมพุทธเจ้ าทั8งหลาย ยับยั8งอยู่ด้วยนิโรธสมาบัตติ ลอดสัปดาห์ ณ คันธมาทน์
บรรพต ออกจากนิโรธสมาบัติแล้ วเคี8ยวไม้ ชาํ ระฟันชืA อนาคลดา บ้ วนปากทีA สระอโนดาดถือ
บาตรจีวรเหาะไปแล้ วลงห่มจีวรในทีA น8ันแล้ วเทีA ยวไปบิณบาตในพระนคร ฉันเสร็จแล้ วถึงเวลาก็
เหาะจากทีA น8ันไป. ดังนั8นฤษีท8งั หลายลงและเข้ าไปในทีA น8ัน เหตุน8ัน ทีA นั8นจึงนับว่าอิสปิ ตน
ส่วนทีA เรียกว่า มิคทายะ เพราะให้ อภัยแก่เนื8อทั8งหลาย ด้ วยเหตุน8ันท่านจึงเรียกว่า อิสิป
ตน มิคทายวัน ซึA งเป็ นสถานทีA ทพีA ระพุทธเจ้ าทุกพระองค์ได้ ทรงเสด็จมาประกาศพระธรรมจักร
อันเป็ นปฐมเทศนา
ทรงรําพึงถึงปฐมเทศนา-โปรดเบญจวัคคีย ์
หลังจากพระพุทธเจ้ าทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ วได้ เสวยวิมุตติสขุ อยู่๗
สัปดาห์ และท้ าวสหัมปดีพรหมทรงทูลอาราธนาให้ แสดงธรรมแล้ ว ทรงรําพึงว่าจะพึงแสดง
ธรรมเป็ นครั8งแรกแก่ใครหนอ ใครจักทราบชัดธรรมนี8ได้ โดยเร็ว. พระองค์จึงคิดถึง อาฬา
รดาบส กาลามโคตรผู้ฉลาด เป็ นบัณฑิต มีปัญญา ก็ทรงทราบว่าตายไปแล้ วได้ ๗ วันนับว่าเป็ น
ผู้เสืA อมจากคุณอันยิA งใหญ่เสียแล้ ว จากนั8นจึงทรงคิดว่า อุททกดาบส รามบุตรผู้เป็ นบัณฑิต มี
กิเลสดุจธุลีในดวงตาน้ อยมานาน ทรงทราบว่าได้ ตายไปเสียแล้ วเมืA อเย็นวานนี8นับว่าเป็ นผู้เสืA อม
จากคุณอันยิA งใหญ่เช่นกัน เพราะถ้ าเธอพึงได้ สดับธรรมนี8ไซร้ ก็พึงทราบชัดได้ โดยเร็ว. และ
พระองค์จึงทรงคิดว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์ได้ อปุ ัฏฐากเรา ผู้กาํ ลังบําเพ็ญเพียรอยู่ เป็ นผู้มีอปุ การะ
แก่เรามากนัก ถ้ าไฉน เราพึงแสดงธรรมเป็ นครั8งแรกแก่พวกเธอ จึง คํานึงต่อไปว่า ภิกษุ
ปัญจวัคคีย์อยู่ทไีA หนก็ทรงรู้ได้ ว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ในป่ าอิสปิ ตนมฤคทายวัน เขตพระนคร
พาราณสี ด้ วยทิพยจักษุทบีA ริสทุ ธิJ ครั8นเราอยู่ทตีA าํ บลอุรุเวลาพอสมควรแล้ ว จึงได้ ออกจาริกไป
เมืองพาราณสี. เมืA อพระองค์เดินทาง จนถึงพวกภิกษุปัญจวัคคีย์ทปีA ่ าอิสปิ ตนมฤคทายวัน พวก
ภิกษุปัญจวัคคีย์ได้ เห็นพระองค์มาแต่ไกลจึงได้ นดั หมายกันว่า จะไม่ไหว้ ไม่ลุกขึ8นยืนรับ ไม่ลุก
รับบาตรจีวร แต่ว่าจะปูอาสนะไว้ ถ้ าทรงปรารถนา ก็จักประทับนัAง. เมืA อพระองค์เข้ าไปใกล้
พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ ก็ไม่สามารถดํารงอยู่ในข้ อนัดหมายกัน คือ บางรูปลุกขึ8นรับบาตรจีวร
บางรูปปูอาสนะ บางรูปตั8งนํา8 ล้ างเท้ า แต่พดู กะพระองค์โดยระบุนาม และใช้ คาํ พูดว่า "อาวุโส"
พระองค์จึงบอกภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุท8งั หลาย พวกเธออย่าได้ พูดกับตถาคตโดยระบุ
นาม และใช้ คาํ พูดว่า "อาวุโส" ตถาคตได้ เป็ นอรหันตสัมมาสัมพุทธ พวกเธอจงเงีA ยโสตลงสดับ
เราจะสอนอมฤตธรรมทีA เราได้ บรรลุ เมืA อพวกเธอปฏิบัติตามทีA เราสอน ก็จักกระทําให้ แจ้ งซึA ง
๕๖
พาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ปฏิวัติไม่ได้ โดยครู่น8ัน
เสียงได้ ระบือขึ8นไปจนถึงพรหมโลกหมืA นโลกธาตุน8 ีสะเทือนสะท้ านหวัAนไหว ทั8งแสงสว่างอันยิA ง
หาประมาณมิได้ ได้ ปรากฏแล้ วในโลก ล่วงเทวานุภาพของพวกเทพดาทั8งหลาย. ครั8งนั8น พระ
ผู้มีพระภาคได้ ทรงเปล่งอุทานว่า โกณฑัญญะได้ ร้ ูแล้ วหนอโกณฑัญญะได้ ร้ ูแล้ วหนอ
เพราะเหตุน8ันคําว่า อัญญาโกณฑัญญะ จึงได้ เป็ นชืA อของท่านโกณฑัญญะด้ วยประการ
ฉะนี8 ท่านได้ ขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระบรมศาสดาจึงนับว่าสังฆรัตนได้ อบุ ัติข8 นึ แล้ ว ณ ป่ า
แห่งนี8
พาราณสีเมืองแห่งชาดก
เมืองพาราณสีน8ันเป็ นเมืองทีA เก่าแก่มปี ระวัติมาช้ านาน เมืองแห่งนี8น8ันในอดีตมี
ปรากฏว่าเป็ นฉากแห่งเรืA องราวต่างๆในครั8งทีA พระโพธิสตั ว์ทรงสัAงสมบารมีซงมี ึA เรืA องทั8งทีA มาใน
พระสูตรและโดย เฉพาะทีA มาในชาดกก็ได้ มเี รืA อง เกิดขึ8น ณ เมืองพาราณสีแห่งนี8 มากเกินกว่า
ครึA ง เช่น สุตโสมชาดก จุลลกมหาเศรษฐีชาดก ขุรัปปชาดก สุชาตาชาดก มตโรทนชาดก
ทีฆาวุกุมาร เป็ นต้ น
เรืA องจุลลกมหาเศรษฐีชาดก นั8นเป็ นเรืA องทีA กล่าวถึงบุคคลผู้มีปัญญาผู้ฉลาดในโวหาร
รู้จักคิดใคร่ครวญ ย่อมตั8งตนได้ ด้วยทรัพย์ทเีA ป็ นต้ นทุนแม้ ประมาณน้ อย ด้ วยประกอบอุบาย
ต่างๆ ครั8นให้ เพิA มขึ8นแล้ วก็ดาํ รงตนไว้ ในทรัพย์และยศนั8นได้ เหมือนคนก่อไฟกองน้ อยให้ เป็ น
กองใหญ่
จุลลกมหาเศรษฐีชาดก
ในอดีตกาล เมืA อพระเจ้ าพรหมทัตครองราชสมบัติในเมืองพาราณสีในแคว้ นกาสี
พระโพธิสตั ว์บังเกิดในตระกูลเศรษฐี เจริญวัยแล้ ว ได้ รับตําแหน่งเศรษฐี ได้ ชืAอว่าจุลลก
เศรษฐี จุลลกเศรษฐีน8ันเป็ นบัณฑิตฉลาดเฉียบแหลมรู้นิมิตทั8งปวง วันหนึA ง จุลลกเศรษฐีน8ัน
ไปสู่ทบีA าํ รุงพระราชา เห็นหนูตายในระหว่างถนน คํานวนนักขัตฤกษ์ในขณะนั8นแล้ ว กล่าวคํา
นี8ว่ากุลบุตรผู้มดี วงตาคือปัญญา อาจเอาหนูตัวนี8ไปกระทําการเลี8ยงดูภรรยาและประกอบการ
งานได้ .
กุลบุตรผู้ยากไร้ คนหนึA งชืA อว่า จูฬันเตวาสิก ได้ ฟังคําของเศรษฐีน8ันแล้ วคิดว่า ท่าน
เศรษฐีน8 ไี ม่ร้ ู จักไม่พูด จึงเอาหนูไปขายในตลาดแห่งหนึA งเพืA อเป็ นอาหารแมว . ได้ ทรัพย์
กากณึกหนึA ง จึงนําไปซื8อนํา8 อ้ อย แล้ วเอาหม้ อใบหนึA งตักนํา8 ไป เขาเห็นพวกช่างดอกไม้ มาจาก
๕๙
ป่ าจึงให้ ช8 ินนํา8 อ้ อยคนละหน่อยหนึA ง แล้ วให้ ดืAมนํา8 กระบวยหนึA ง พวกช่างดอกไม้ เหล่านั8นได้ ให้
ดอกไม้ คนละกํามือแก่เขาเขาก็ได้ นาํ ดอกไม้ ไปขาย.
ในวันรุ่งขึ8น เขาก็เอาค่าดอกไม้ น8ันซื8อนํา8 อ้ อยและนํา8 ดืA มหม้ อหนึA งไปยังสวนดอกไม้
ทีเดียว พวกช่างดอกไม้ ได้ ให้ กอดอกไม้ ทเก็ ีA บไปแล้ วครึA งกอแก่เขาในวันนั8นแล้ วก็ไป ไม่นาน
นัก เขาก็ได้ เงิน ๘ กหาปณะ โดยอุบายนี8.ในวันมีฝนเจือลมวันหนึA ง ไม้ แห้ งกิA งไม้ และใบไม้
เป็ นอันมาก ในพระราชอุทยาน ถูกลมพัดตกลงมาอีก คนเฝ้ าอุทยานไม่เห็นอุบายทีA จะทิ8ง
เขาไปในพระราชอุทยานนั8นแล้ วกล่าวกะคนเฝ้ าอุทยานว่า ถ้ าท่านจักให้ ไม้ และใบไม้ เหล่านั8น
แก่ข้าพเจ้ า ข้ าพเจ้ าจักนําของทั8งหมดออกไปจากสวนนี8ของท่านคนเฝ้ าอุทยานนั8นรับคําว่า เอา
ไปเถอะนาย.จูฬันเตวาสิกจึงไปยังสนามเล่นของพวกเด็ก ๆ ให้ นาํ8 อ้ อย เด็กจึงช่วยเก็บให้
ต้ นไม้ และใบไม้ ท8งั หมดออกไปกองไว้ ทปีA ระตูอทุ ยานโดยเวลาครู่เดียว ในกาลนั8น ช่างหม้ อ
หลวงเทีA ยวหาฟื นเพืA อเผาภาชนะดินของหลวง เห็นไม้ และใบไม้ เหล่านั8นทีA ประตูอทุ ยานจึงซื8อ
เอาจากมือของจูฬันเตวาสิกนั8น วันนั8น จูฬันเตวาสิกได้ ทรัพย์๑๖ กหาปณะ และภาชนะ๕อย่าง
มีตุ่มเป็ นต้ น ด้ วยการขายไม้ .
เมืA อมีทรัพย์๒๔กหาปณะ จูฬันเตวาสิกนั8นจึงคิดว่า เรามีอุบายนี8แล้ ว. จากนั8นเขาตั8ง
ตุ่มนํา8 ดืA มตุ่มหนึA งไว้ ในทีA ไม่ไกลประตูพระนคร บริการคนหาบหญ้ า๕๐๐คนด้ วยนํา8 ดืA ม. คนหาบ
หญ้ าเหล่านั8นกล่าวว่า สหายท่านมีอปุ การะมากแก่พวกเรา พวกเราจะกระทําอะไรแก่ท่านได้
บ้ าง จูฬันเตวาสิกนั8น กล่าวว่า เมืA อเรืA องเกิดขึ8นแก่เราจะขอให้ ท่านช่วย แล้ วเทีA ยวไปกระทํา
ความสนิทสนมผูกมิตรกับชาวเมืองทั8งคนผู้ทาํ งานทางบก และคนทํางานทางนํา8 . คนทํางาน
ทางบกบอกแก่จูฬันเตวาสิกว่า พรุ่งนี8 พ่อค้ ามาจักพาม้ า ๕๐๐ ตัวมายังนครนี8.
นายจูฬันเตวาสิกได้ ฟังดังนั8นแล้ ว จึงไปบอกกะพวกคนหาบหญ้ าว่าวันนี8 ท่านจงให้
หญ้ าแก่เราคนละกํา และเมืA อเรายังไม่ได้ ขายหญ้ า พวกท่านอย่าขายหญ้ าของตน คนหาบหญ้ า
เหล่านั8นรับคําแล้ ว นําหญ้ า๕๐๐กํามาให้ ทปีA ระตูบ้านของจูฬันเตวาสิกนั8น. พ่อค้ าม้ ามาถึงทีA
เมืองหาอาหารสําหรับม้ าในพระนครจนทัAวก็ไม่ได้ จึงต้ องซื8อกะจูฬันเตวาสิกนั8น เขาจึงขายได้
ราคาดีเป็ นเงินได้ ๑,๐๐๐กหาปณะ. แต่น8ันล่วงไป ๒-๓ วัน สหายผู้ทาํ งานทางนํา8 บอกแก่จูฬัน
เตวาสิกนั8นว่า เรือใหญ่มาจอดทีA ท่าแล้ ว.
เขาก็คดิ อุบายได้ จึงเอาเงิน๘กหาปณะไปเช่ารถ ซึA งเพียบพร้ อมด้ วยบริวารทั8งปวง
แล้ วไปยังท่าเรือด้ วยยศใหญ่ ให้ แหวนวงหนึA งเป็ นมัดจําแก่นายเรือ ให้ วงม่านนัAงอยู่ในทีA ไม่
ไกลสัAงคนไว้ ว่า เมืA อพ่อค้ าภายนอกมา พวกท่านจงบอก โดยการบอกประวิงไว้ สามครั8ง. ใน
เวลาทีA พ่อค้ าประมาณร้ อยคนจากเมืองพาราณสีได้ ร้ ูว่า เรือมาแล้ ว จึงมาเพืA อจะซื8อเอาสินค้ า.
นายเรือกล่าวว่า พวกท่านจักไม่ได้ สินค้ า พ่อค้ าใหญ่ในทีA ชืAอโน้ น ให้ มัดจําไว้ แล้ ว พ่อค้ า
๖๐
จุลลกมหาเศรษฐี ชาดก จบ
มกสชาดก
(เรืA องมกสชาดก กล่าวถึงการมีมิตรทีA โง่น8นั เป็ นสิA งไม่ดี เหมือนดังลูกของช่างไม้ ทคีA ิดว่า จะช่วยพ่อโดย
การฆ่ายุง แต่กลับฆ่าพ่อตัวเองตายคนอืA นมา)
ในอดีตกาล ครั8งพระเจ้ าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์
เลี8ยงชีวิตด้ วยการค้ า. ครั8งนั8นทีA บ้านชายแดนแห่งหนึA ง มีพวกช่างไม้ อาศัยอยู่ด้วยกันมาก.
ช่างไม้ หัวล้ านคนหนึA ง กําลังตากไม้ ขณะนั8นมียุงตัวหนึA ง บินมาจับทีA ศีรษะ แล้ วกัดศีรษะเขาทํา
ให้ ร้ ูสกึ เจ็บ. เขาจึงบอกลูกของตน ผู้นAังอยู่ใกล้ ๆ ว่าไอ้ หนู ยุงมันกัดศรีษะพ่อ เจ็บเหมือน
ถูกแทงด้ วยหอก จงฆ่ามันเสีย. ลูกพูดว่า พ่อจงอยู่นิAง ๆ ฉันจะฆ่ามัน ด้ วยการตบครั8งเดียว
เท่านั8น. แม้ ในเวลานั8น พระโพธิสัตว์ ก็กาํ ลังเทีA ยวแสวงหาสินค้ าของตนอยู่ ลุถงึ บ้ านนั8น นัAง
พักอยู่ในโรงของช่างไม้ น8ัน.เป็ นเวลาเดียวกันกับทีA ช่างไม้ น8ัน บอกลูกว่า ไอ้ หนู ไล่ยุงนี8ท.ี ลูก
ขานรับว่า จ่ะพ่อ ฉันจะไล่มัน พูดพลางก็เงื8อขวานเล่มใหญ่คมกริบ ยืนอยู่ข้างหลังพ่อ ฟัน
ลงมาเต็มทีA ด้ วยคิดว่าจักประหารยุง เลยผ่าสมองของบิดาเสียสองซีก. ช่างไม้ ถึงความตายใน
ทีA น8ันเอง. พระโพธิสตั ว์เห็นการกระทําของลูกช่างไม้ แล้ ว ได้ กล่าวว่า "ศัตรูผมู ้ ีความรู ้
ประเสริฐกว่ามิตรผูป้ ราศจากความรู ้ ไม่ประเสริฐเลย เพราะลูกชายผูโ้ ง่เขลา คิดว่าจักฆ่ายุง
๖๑
เวริชาดก
(เรืA องเวริชาดก กล่าวถึงผู้เป็ นบัณฑิตไม่พึงไปอยู่ในทีA มีภัยทีA มีผ้ ูจะทําร้ าย ในทีA ๆจะทําให้ ตน
เดือดร้ อน)
ในอดีตกาล ครั8งพระเจ้ าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระ
โพธิสตั ว์เสวยพระชาติเป็ นเศรษฐี มีสมบัติมากได้ รับเชิญไปยังหมู่บ้าน เพืA อการสังสรร เมืA อ
เดินทางกลับ พบพวกโจรในระหว่างทางรีบขับโคทั8งหลายมาสู่เรือนของตนทีเดียว ไม่หยุดใน
ระหว่างทางเลยเมืA อมาถึงบ้ านบริโภคอาหารด้ วยรสอันเลิศ นัAงเหนือทีA นอนอันมีราคามาก ดําริ
ว่า เราพ้ นจากเงื8อมมือโจร มาสู่เรือนตนอันเป็ นทีA ปลอดภัย แล้ วอุทานว่า
"ไพรีอาศัยอยู่ในที-ใด บัณฑิตไม่พึงอยู่ในที-นนั
บุคคลอยู่ในพวกไพรี คืนหนึ-งหรือสองคืน ย่อมอยู่เป็ นทุกข์"
พระโพธิสตั ว์ เปล่งอุทานด้ วยประการฉะนี8 กระทําบุญมีให้ ทานเป็ นต้ น แล้ วไปตามยถากรรม.
เวริชาดก จบ
ขุรัปปชาดก
(เรืA องขุรัปปชาดก กล่าวถึงการทีA คนมีความเพียรไม่ย่อท้อกล้ าหาญยอมสละได้ แม้ ชีวติ ย่อมทําสิA งทีA
ยากให้ เป็ นไปได้ )
ในอดีตกาล เมืA อพระเจ้ าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสตั ว์
บังเกิดในตระกูลพรานดงแห่งหนึA ง พอเจริญวัยมีบุรษุ ๕๐๐ เป็ นบริวาร เป็ นหัวหน้ าคนทั8ง
ปวง ในบรรดาคนพรานดง อยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึA งทีA ปากดง. หัวหน้ าผู้รักษาดงนั8นรับจ้ างพา
พวกมนุษย์ให้ ข้ามดง. วันหนึA ง บุตรพ่อค้ าชาวเมืองพาราณสีกบั เกวียน ๕๐๐ เล่ม มาถึงบ้ าน
นั8น เรียกหัวหน้ าพรานดงนั8นมาพูดว่า สหาย เราจ้ างท่าน๑,๐๐๐ ให้ พาเราข้ ามดง เขารับคํา
แล้ วรับทรัพย์ ๑,๐๐๐ จากบุตรพ่อค้ านั8น เมืA อรับค่าจ้ างอย่างนี8 จะต้ องสละชีวิตเพืA อบุตร
พ่อค้ านั8น.
เขาพาบุตรพ่อค้ านั8นเข้ าดง. พวกโจร ๕๐๐ ซุ่มอยู่กลางดง.บุรุษทีA เหลือพอแลเห็น
พวกโจรเท่านั8นพากันนอนราบ. หัวหน้ าพรานผู้อารักขาคนเดียวเท่านั8นเปล่งสีหนาทวิA งเข้ า
ประหัตประหารให้ พวกโจร๕๐๐ หนีไป. ให้ บุตรพ่อค้ าข้ ามพ้ นทางกันดารโดยปลอดภัย. ฝ่ าย
๖๒
สุชาตาชาดก
(เรืA องสุชาตาชาดก ความเป็ นคนมีมารยาทดีร้ จู กั กล่าววาจาทีA ไพเราะย่อมเป็ นทีA รักของทุกคนส่วนผู้
ชอบกล่าววาจาหยาบคาย ชอบด่าว่าผู้อนืA ย่อมเป็ นทีA น่ารังเกียจ)
ในอดีตกาล เมืA อพระเจ้ าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระ
โพธิสตั ว์ได้ บังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี พอเจริญวัยได้ ศึกษาเล่าเรียนศิลปะทั8งปวง
ในเมืองตักกศิลา เมืA อพระราชบิดาสวรรคต ก็ได้ ดาํ รงอยู่ในราชสมบัติทรงครองราชย์โดยธรรม
โดยสมําA เสมอ. พระมารดาของพระโพธิสตั ว์น8ัน เป็ นผู้มักโกรธ ดุร้าย หยาบช้ า ชอบด่า ชอบ
บริภาษ. พระโพธิสตั ว์น8ันประสงค์จะถวายโอวาทแก่พระมารดา ทรงพระดําริว่า การกราบทูล
ถ้ อยคําทีA ไม่มีเรืA องอ้ างอิงอย่างนี8 ไม่สมควร จึงเสด็จเทีA ยวมองหาข้ อเปรียบเทียบ เพืA อทรง
แนะนําพระมารดา.
วันหนึA ง ได้ เสด็จไปยังพระราชอุทยาน. แม้ พระมารดาก็ได้ เสด็จไปพร้ อมกับพระโอรส
เหมือนกัน. ครั8งนั8น นกต้ อยตีวิดกําลังส่งเสียงร้ องอยู่ในระหว่างทาง. บริษัทของพระโพธิสตั ว์
ได้ ยินเสียงนั8น จึงพากันปิ ดหูแล้ วกล่าวว่า เจ้ านกผู้มีเสียงกระด้ างหยาบช้ า เจ้ าอย่าได้ ส่งเสียง
ร้ อง. ก็เมืA อพระโพธิสตั ว์แวดล้ อมด้ วยนักฟ้ อนเสด็จเทีA ยวพระราชอุทยานกับพระมารดา มีนก
๖๓
มังสชาดก
(เรืA อง มังสชาดก เป็ นการเปรียบเทียบถ้ อยคําของคนประดุจดังส่วนต่างๆของเนื8อ โดยอุปมาไว้ ๔
แบบ)
ในอดีตกาล เมืA อพระเจ้ าพรหมทัตครองราชสมบัตอิ ยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสตั ว์
ได้ เป็ นบุตรเศรษฐี. อยู่มาวันหนึA ง นายพรานเนื8อคนหนึA งได้ เนื8อมาเป็ นอันมาก บรรทุกเต็มยาน
น้ อย มายังนครด้ วยหวังใจว่าจักขาย. ในกาลนั8น บุตรเศรษฐี ๔ คนออกจากนครแล้ วนัAง
สนทนากัน ณ สถานทีA อนั เป็ นทางแยก. บรรดาเศรษฐีบุตร ๔ คนนั8นเศรษฐีบุตรคนทีA ๑ เห็น
พรานเนื8อนั8นบรรทุกเนื8อมา จึงกล่าวว่า เราจะให้ นายพรานนี8นาํ ชิ8นเนื8อมาให้ เรา. เศรษฐีบุตร
ทีA เหลือกล่าวว่า ท่านจงลองดูส.ิ เศรษฐีบตุ รคนทีA ๑เข้ าไปหานายพรานเนื8อแล้ วกล่าวว่า เฮ้ย
พราน จงให้ ช8 ินเนื8อแก่ข้าบ้ าง. นายพรานตอบว่า ธรรมดาผู้จะขออะไรผู้อนืA ต้ องมีคาํ พูดอัน
เป็ นทีA น่ารัก วาจาของท่านหยาบคายจริงหนอ ท่านขอเนื8อ วาจาของท่านเช่นกับพังผืด สหาย
เราจะให้ พังผืดแก่ท่าน, เนื8ออันไม่มีรสชิ8นนี8สมควรแก่วาจาทีA ท่านกล่าว.
ลําดับนั8น เศรษฐีบุตรคนทีA ๒ถามเศรษฐีบุตรคนทีA ๑ว่าท่านพูดว่าอย่างไรแล้ วจึงขอ
,เขาตอบว่าว่า เราพูดว่าเฮ้ ยแล้ วจึงขอ. เศรษฐีบตุ รคนทีA ๒ บอกว่างั8นเราจะไปของบ้ าง เข้ าไป
แล้ วกล่าวว่า พีA ชาย ท่านจงให้ ช8 ินเนื8อแก่ฉันบ้ าง. นายพรานจึง ตอบว่า คําว่า พีA น้ องชายหรือ
พีA น้ องหญิงนี8เป็ นส่วนประกอบของมนุษย์ท8งั หลาย อันเขากล่าวกันอยู่ในโลก วาจาของท่าน
เป็ นเช่นกับส่วนประกอบ ดูก่อนสหาย เราจะให้ ช8 ินเนื8อแก่ท่าน,เนื8อชิ8นนี8สมควรแก่คาํ พูดของ
ท่าน. นายพรานจึงได้ ยกเนื8ออันเป็ นอวัยวะส่วนประกอบให้ ไป. เศรษฐีบตุ รคนทีA ๓ถามเศรษฐี
บุตรคนทีA ๒ว่า ตอนไปขอท่านพูดอย่างไร. เศรษฐีบุตรคนทีA ๒ ตอบว่า เราพูดว่าพีA ชายแล้ วจึง
ขอ. เศรษฐีบุตรคนทีA ๓ กล่าวว่า ทีเราไปขอบ้ าง เข้ าไปกล่าวว่าข้ าแต่พ่อ ท่านจงให้ ช8 ินเนื8อแก่
ฉันบ้ าง นายพรานกล่าวว่า บุตรเรียกบิดาว่า พ่อ ย่อมทําให้ หัวใจของพ่อหวัAนไหว วาจาของ
ท่านเช่นกับนํา8 ใจ เราจะให้ เนื8อหัวใจแก่ท่าน.เนื8อชิ8นนี8สมควรแก่คาํ พูดของท่าน,จึงได้ ยกเนื8ออัน
อร่อยพร้ อมกับเนื8อหัวใจให้ ไป. เศรษฐีบุตรคนทีA ๔ จึงถามเศรษฐีบุตรคนทีA ๓ว่า ท่านพูดว่า
กระไรแล้ วจึงขอ. เศรษฐีบุตรคนทีA ๓ตอบว่า เราพูดว่าพ่อแล้ วจึงขอ. เศรษฐีบุตรคนทีA ๔ นั8น
จึงกล่าวว่า เราก็จะเข้ าไปขอละ จึงเข้ าไปพูดว่า สหาย ท่านจงให้ ช8 ินเนื8อแก่ฉันบ้ าง. นายพราน
๖๕
ทีฆาวุกุมาร
ในอดีตกาล พระนครพาราณสี ได้ มีพระเจ้ ากาสีพระนามว่าพรหมทัต ทรงเป็ น
กษัตริย์มAังคัAง มีพระราชทรัพย์มาก มีพระราชสมบัติมาก มีร8 ีพลมาก มีพระราชพาหนะมาก มี
พระราชอาณาจักรใหญ่ มีคลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์ และคลังธัญญาหารบริบูรณ์ ส่วนพระเจ้ า
โกศลพระนามทีฆีติ ทรงเป็ นกษัตริย์ขดั สน มีพระราชทรัพย์น้อย มีพระราชสมบัติน้อย มีร8 ีพล
น้ อย มีพระราชพาหนะน้ อย มีพระราชอาณาจักรเล็ก มีคลังศัสตราวุธยุทธภัณฑ์และคลัง
ธัญญาหารไม่ส้ จู ะบริบูรณ์ ครั8งนั8น พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราช เสด็จกรีธาจาตุรงคเสนาไปโจมตี
พระเจ้ าทีฆีติโกศลราช พระเจ้ าทีฆีตโิ กศลราชได้ ทรงสดับข่าวว่า พระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราช
เสด็จกรีธาจาตุรงคเสนามาโจมตีพระองค์ เมืA อทรงทราบจึงพระราชดําริว่า พระเจ้ าพรหมทัตกา
สิกราชทรงเป็ นกษัตริย์มAังคัAง กองกําลังเข้ มแข็ง ส่วนเราเป็ นกษัตริย์ขดั สน มีร8 ีพลน้ อย เราไม่
สามารถจะต่อยุทธกับพระเจ้ าพรหมทัตกาสิกราช แม้ เพียงศึกเดียว ถ้ ากระไร เราพึงรีบหนีออก
จากพระนครไปเสียก่อนดีกว่า แล้ วทรงพาพระมเหสีเสด็จหนีออกจากพระนครไปเสียก่อน ฝ่ าย
พระเจ้ าพรหมทัตทรงยึดรี8พลพาหนะ ชนบท คลังศัตราวุธยุทธภัณฑ์และคลังธัญญาหาร ของ
พระเจ้ าทีฆีติโกศลราชไว้ ได้ แล้ วเสด็จเข้ าครอบครองแทน.
ครั8งนั8น พระเจ้ าทีฆีติโกศลราช พร้ อมกับพระมเหสีได้ เสด็จหนีไปยังพระนครพาราณ
สีเมืA อถึงแล้ ว ทรงปลอมแปลงพระองค์มิให้ ใครรู้จัก ทรงนุ่งห่มเยีA ยงปริพาชก เสด็จอาศัยอยู่ใน
๖๗
กุสินารา
พระพุทธจ้ า ผู้ไม่ปรารถนาสมบัติใดๆในโลก ไม่ปรารถนาความสุ ามสุข ไม่ปรารถนาความ
ทุกข์ทรมาน ไม่ปรารถนาการเวี
ารถนาการเวียนว่ายตายเกิดไม่ปรารถนาสุ
ารถนาสุขทีA ได้ จากวิมุต พระองค์ทรง
ปรารถนาเฉพาะอนุ
ารถนาเฉพาะอนุปาทาปรินิพานเท่านั8น กุสนิ าราจึงน่าจะเป็ นสถานทีA ทีA ยงั ความป ความปรารถนาของ
พระพุทธองค์ให้ ทรงสําเร็จได้ เป็ นสถานทีA ทมีA หาบุรุษผู้ เป็ นทีA รักแห่งปวงชนได้ ประสบสิA งทีA ทรง
ต้ องการพระองค์ได้ มาปรินิพพาน ณ เมืองแห่งนี8
เมืองนี8ชืAอว่ากุสินาราเพราะเล่าว่า ในเวลาทีA
ในเวลา กาํ ลังสร้ างเมือง พวกพราหมณ์ ตรวจดู
นิมิตได้ เห็นคนถือกุสะ(หญ้ หญ้ าคา)เมืA
คา อสร้ างเสร็จแล้ วจึงได้ด้ ต8ังชืA อเมืองอย่างนั8น ในช่วงสุดท้ าย
ก่อนทีA จะสิ8 นพุทธกาล ใต้ ไม้ สาละคู่ ในอุทยานของพวก มัลลกษัตริย์ พระพุทธเจ้ าทรงประทับ
ประทับสีหไสยาเป็ นครั8งสุดท้ ายบนเตียง ทีA ต8ังอยู่ระหว่างไม้ สาละคู่น8ันซึA งผลิดอกบานสะพรัAง
นอกฤดูกาล กุสนิ าราเป็ นเมืองเป็ นเมืองเล็กๆในสมัยพุ ยพุทธกาล ซึA งพระอานนท์ทูลคัดค้ านมิให้
มาปรินิพพาน แต่เพราะเหตุ เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้ า จึงเสด็จมาในทีA นีน8 ดี ้ วยอุตสาหะใหญ่
๗๔
มหาสุทสั สนสูตร
เรื-องพระเจ้าจักรพรรดิมหาสุทสั สนะเมืองกุสาวดี
ในสมัยใกล้ เสด็จปรินิพพานคราวหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับในระหว่าง ไม้ สาละ
ในสาลวัน อันเป็ นทีA แวะพักของเหล่ามัลละกษัตริย์ เขตกรุงกุสินารา ครั8งนั8นแล ท่านพระ
อานนท์ เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับ ครั8นเข้ าไปเฝ้ า แล้ ว ถวายอภิวาทแล้ วนัAง ณ ทีA
ควรส่วนข้ างหนึA ง ท่านพระอานนท์นAังเรียบร้ อยแล้ ว ได้ กราบทูลพระผู้มพี ระภาคว่า ข้ าแต่
พระองค์ผ้ ูเจริญ ขอพระผู้มีพระภาคอย่าเสด็จ ปรินิพพาน ในเมืองเล็ก เมืองดอน กิA งเมืองนี8
เลย นครใหญ่เหล่าอืA น มีอยู่คือ เมืองจัมปา เมืองราชคฤห์ เมืองสาวัตถี เมืองสาเกต เมือง
โกสัมพีเมืองพาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคจงเสด็จปรินิพพาน
ในเมืองเหล่านี8เถิด กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล ทีA เลืA อมใสพระ
ตถาคตอย่างยิA ง มีอยู่มากใน เมืองเหล่านี8 ท่านเหล่านั8นจักกระทําการบูชาพระสรีระของพระ
ตถาคต ดังนี8 ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อานนท์ เธออย่าได้ กล่าวอย่างนี8ว่า เมืองเล็ก เมืองดอนกิA ง
เมือง ดังนี8เลย อานนท์แต่ปางก่อน มีพระเจ้ าจักรพรรดิ ทรงพระนามว่า มหาสุทสั สนะเป็ น
กษัตริย์ผ้ ูได้ มูรธาภิเษก เป็ นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็ นขอบเขต ทรงชนะแล้ วมี
ราชอาณาจักรมัAนคง เมืองกุสนิ ารานี8 มีนามว่า กุสาวดี เป็ นราชธานีของพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ
โดยยาวด้ านทิศบูรพาและทิศประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้ างด้ านทิศอุดรและทิศ ทักษิณ ๗โยชน์
กุสาวดี ราชธานีเป็ นเมืองทีA มAังคัAงรุ่งเรือง มีชนมาก มนุษย์หนาแน่นและมีภิกษาหาได้ ง่าย
อานนท์ เมืองอาลกมันทาราชธานี แห่ง เทพเจ้ าทั8งหลายเป็ นเมืองทีA มAังคัAงรุ่งเรือง มีชนมาก ยักษ์
หนาแน่น และมีภิกษา หาได้ ง่าย แม้ ฉันใด เมืองกุสาวดีราชธานีกฉ็ ันนั8นเหมือนกัน เป็ นเมืองทีA
มัAงคัAง รุ่งเรือง มีชนมาก มนุษย์หนาแน่น และมีภกิ ษาหาได้ ง่าย กุสาวดีราชธานี มิได้ เงียบจาก
๗๕
รัตนทั1ง ๗ ของพระเจ้าจักรพรรดิB
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะจึงตรัสอย่างนี8ว่า พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ไม่พึงถือ เอาของทีA
เจ้ าของมิได้ ให้ ไม่พึงประพฤติผิดในกามไม่พึงกล่าวเท็จ ไม่พึงดืA ม นํา8 เมา จงบริโภคตามเคย
เถิดดูกรอานนท์ ก็ในทุกทิศ พระราชาเหล่าใดเป็ นปฏิปักษ์ พระราชาเหล่านั8นกลับอ่อนน้ อมต่อ
พระเจ้ ามหาสุทสั นะ จักรแก้ วนั8นก็ปราบปรามปฐพีมีสมุทรเป็ นขอบเขตให้ ราบคาบเสร็จแล้ วก็
กลับมา กุสาวดีราชธานี ปรากฏแก่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ทีA พระทวารภายในพระราชวัง ณ มุข
สําหรับทําเรืA องราว ยังภายในราชวังของพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ให้ สว่างไสว อยู่ จักรแก้ วเห็นปาน
นี8ได้ ปรากฏแก่พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ฯ
ช้ างแก้ วได้ ปรากฏแก่พระเจ้ า มหาสุทสั สนะเป็ นช้ างเผือกล้ วน เป็ นทีA พึAงของเหล่าสัตว์
มีฤทธิJ ไปในอากาศได้ เป็ นพระยาช้ างสกุลอุโบสถพระเจ้ ามหาสุทสั สนะทอดพระเนตรแล้ วทรง
พอพระทัย ดํารัสว่า ท่านผู้เจริญ ยานคือช้ างอันเจริญถ้ าได้ ฝึกหัด ช้ างแก้ วก็เข้ าถึงการฝึ กหัด
เหมือนอย่างช้ างอาชานัยทีA เจริญอันเขาฝึ กหัด เรียบร้ อยดีแล้ วตลอดเวลานานฉะนั8น พระเจ้ า
มหาสุทสั สนะ เมืA อจะทรงทดลองช้ างแก้ วตัวนั8นแหละพอเวลาเช้ าก็เสด็จขึ8นทรง แล้ วเสด็จเลียบ
ไปตลอดปฐพีอนั มีสมุทรเป็ นขอบเขต เสด็จกลับกุสาวดีราชธานี แล้ วเสวยพระกระยาหารเช้ า
ดูกรอานนท์ ช้ างแก้ วเห็นปานนี8ได้ ปรากฏแก่ พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ฯ
อีกประการหนึA ง ม้ าแก้ วได้ ปรากฏแก่พระเจ้ า มหาสุทสั สนะเป็ นม้ าขาวล้ วน ศีรษะดํา
มีผมเป็ นพวงประดุจหญ้ าปล้ อง มีฤทธิJ ไปในอากาศได้ ชืA อวลาหกอัศวราช ท้ าวเธอ
ทอดพระเนตรแล้ วทรงพอ พระหฤทัย ตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ยานคือม้ าอันเจริญถ้ าได้ ฝึกหัด ม้ า
แก้ วนั8นก็เข้ าถึงการฝึ กหัดเหมือนอย่างม้ าอาชานัยตัวเจริญ ทีA ได้ รับการฝึ กหัดเรียบร้ อยดีแล้ ว
๗๗
ชนิด อิฐทอง อิฐเงิน อิฐแก้ วไพฑูรย์ อิฐแก้ วผลึก สระหนึA งมีบันได๔ด้ าน๔ชนิด บันไดทองด้ าน
หนึA ง เงินด้ านหนึA ง แก้ วไพฑูรย์ด้านหนึA ง แก้ วผลึกด้ านหนึA ง
บันไดทองลูกบันไดและพนักทําด้ วยเงิน บันไดเงินลูกบันไดและพนักทําด้ วยทอง
บันไดแก้ วไพฑูรย์ลูกบันไดและพนักทําด้ วยแก้ วผลึก บันไดแก้ วผลึก ลูกบันไดและพนักทํา
ด้ วยแก้ วไพฑูรย์ สระโบกขรณีเหล่านั8น แวดล้ อมด้ วยเวทีสองชั8นเวทีช8ันหนึA งเป็ นทอง เวที
ชั8นหนึA งเป็ นเงิน เวทีทอง เสาทําด้ วยทองคัAนและ
กรอบทําด้ วยเงิน เวทีเงิน เสาทําด้ วยเงิน คัAนและกรอบทําด้ วยทอง พระเจ้ ามหาสุทสั
สนะทรงพระดําริว่า เราพึงให้ ปลูกไม้ ดอกในสระโบกขรณีอนั เผล็ดดอกได้ ทุกฤดูกาล ไม่ต้องให้
ปวงชนผู้มาต้ องกลับไปมือเปล่า
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะรับสัAงให้ คนปลูกไม้ ดอกคือ อุบล ปทุม โกมุท บุณฑริกอันเผล็ด
ดอกได้ ทุกฤดูกาล พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ได้ ทรงพระดําริว่า เราพึงวางบุรุษผู้เชิญคนให้ อาบนํา8 ไว้
ทีA ฝAังสระโบกขรณีเหล่านี8 จักได้ เชิญคนผู้มาแล้ วๆ ให้ อาบ พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ ทรงได้ วางบุรษุ
ผู้เชิญคนให้ อาบนํา8 ไว้ ทีA ขอบสระโบกขรณี เหล่านั8น จากนั8น พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ ทรงพระ
ดําริว่า เราพึงตั8งทาน คือ ข้ าว สําหรับผู้ต้องการข้ าว นํา8 สําหรับผู้ต้องการนํา8 ผ้ าสําหรับผู้
ต้ องการผ้ า ยานสําหรับผู้ต้อง การยาน ทีA นอนสําหรับผู้ต้องการทีA นอน สตรีสาํ หรับผู้ต้องการ
สตรี เงินสําหรับผู้ต้องการเงิน และทองสําหรับผู้ต้องการทอง ไว้ ทขีA อบสระโบกขรณีเหล่านี8
จากนั8นได้ ทรงตั8งทานเห็นปานนี8ไว้ ทขีA อบสระโบกขรณีเหล่านั8น
ครั8งนั8นแล พวกพราหมณ์และคฤหบดี ถือเอาทรัพย์ สมบัติเป็ นอันมาก เข้ าไปเฝ้ า
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะ แล้ วกราบทูลอย่างนี8ว่า ขอเดชะ ทรัพย์สมบัติเป็ นจํานวนมากนี8 พวก
ข้ าพระพุทธเจ้ านํามาเฉพาะพระองค์เท่านั8น ขอพระองค์จงทรงรับทรัพย์สมบัติน8ัน ทรงมีพระ
ราชดํารัสว่า ช่างเถอะ ทรัพย์สมบัติอนั มากมายนี8 พวกท่านนํามาเพืA อเราโดยพลีอันชอบธรรม
จงเป็ นของ พวกท่านเถิด และจงนําเอาไปยิA งกว่านี8 พวกเขาถูกพระราชาตรัสห้ าม ได้ หลีกไป
แล้ วปรึกษากันว่า การทีA พวกเราจะนําทรัพย์สมบัติเหล่านี8 กลับคืนไปยังเรือนของตนอีก ไม่
สมควรเลย ถ้ ากระไร พวกเราจงช่วยกัน สร้ างนิเวศน์ถวายพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ พวกเขาได้
เข้ าเฝ้ าพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ กราบทูลว่า ขอเดชะพวกข้ าพระพุทธเจ้ าจะช่วยกันสร้ างนิเวศน์
ถวายแด่พระองค์ พระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงรับด้ วยดุษณีภาพ ฯ
กถาว่าด้วยการสร้างธรรมปราสาท
ครั8งนั8นแล ท้าวสักกะจอมเทพได้ ทรงทราบพระดําริของพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ จึงมีเท
วโอง การตรัสเรียกวิศวกรรมเทพบุตรมา สัAงว่า เพืA อนวิศวกรรม เธอจงไปสร้ างนิเวศน์ชืAอว่า
ธรรมปราสาท เพืA อพระเจ้ ามหาสุทสั สนะ วิศวกรรมเทวบุตรรับสนองเทวบัญชาแล้ วอันตรธาน
๘๐
กถาว่าด้วยการสร้างธรรมโบกขรณี
พระเจ้ ามหาสุทสั สนะทรงพระดําริว่า เราพึงสร้ างสระชืA อธรรมโบกขรณีไว้ เบื8องหน้ า
ธรรมปราสาท จึงได้ ทรงสร้ างสระชืA อธรรมโบกขรณีไว้ เบื8องหน้ าธรรมปราสาท ธรรมโบกขรณี
โดยยาว ด้ านทิศบูรพาและทิศปั จจิม ๑ โยชน์ โดยกว้ าง ด้ านทิศอุดรและทิศทักษิณ กึA งโยชน์
ธรรมโบกขรณีก่อด้ วยอิฐ ๔ ชนิด อิฐทอง อิฐเงิน อิฐด้ วยแก้ วไพฑูรย์ อิฐแก้ วผลึก ฯ ธรรม
โบกขรณีมีบันได ๒๔ บันได แบ่งเป็ น ๔ ชนิดคือ บันไดทอง บันไดเงิน บันไดแก้ วไพฑูรย์
บันไดแก้ วผลึก แวดล้ อมด้ วยเวทีสองชั8น คือ เวทีทอง และเวทีเงิน ล้ อมรอบด้ วยต้ นตาล ๗
แถว คือ แถวต้ นตาลทอง เงิน แก้ วไพฑูรย์ แก้ วผลึก แก้ วโกเมน บุษราคัม และรัตนะทุกอย่าง
แถวต้ นตาลเหล่านั8นเมืA อต้ องลมพัดแล้ ว เสียงอันไพเราะ ยวนใจชวนให้ ฟังและให้
เคลิบเคลิ8ม เมืA อธรรมปราสาทและธรรมโบกขรณีสาํ เร็จแล้ ว พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ ทรงยัง
สมณพราหมณ์ท8งั หลาย ให้ เอิบอิA มด้ วยการถวายสมณบริขารและพราหมณบริขาร ทีA ตน
ปรารถนาทุกอย่าง แล้ วเสด็จขึ8นสู่ธรรมปราสาท ฉะนี8แล.
การเข้าฌาน
ครั8งนั8นแล พระเจ้ ามหาสุทสั สนะได้ ทรงพระดําริว่า นี8เป็ นผลแห่งกรรมอะไรของเรา
หนอ เป็ นวิบากแห่งกรรมอะไร ทีA เป็ นเหตุให้ เรา มีฤทธิJมากอย่างนี8 มีอานุภาพมากอย่างนี8 ใน
บัดนี8ทรงทราบว่านี8เป็ นผลแห่งกรรม ๓ ประการ ของเรา เป็ นวิบากแห่งกรรม ๓ ประการ ทีA
เป็ นเหตุให้ เรามีฤทธิJมากอย่างนี8 มีอานุภาพมาก
อย่างนี8 ในบัดนี8 กรรม ๓ ประการ คือ ทาน(การสละ) ทมะ(การฝึ กตน) สัญญมะ
(ศีล). พระเจ้ ามหาสุทสั สนะเสด็จเข้ าไปยังกุฏาคารหลังใหญ่ แล้ วประทับยืนทีA ประตู ทรงเปล่ง
พระอุทานว่า กามวิตก จงหยุด พยาบาท
วิตกจงหยุด วิหิงสาวิตกจงหยุด กามวิตกจงกลับเพียงแค่น8 ีเถิด พยาบาทวิตกจงกลับ
เพียงแค่น8 ีเถิด วิหิงสาวิตกจงกลับเพียงแค่น8 เี ถิด
จากนั8นประทับนัAงบนบัลลังก์ทอง ทรงสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม ทรงบรรลุ
ปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปิติ และสุขเกิดแต่วเิ วกอยู่ ทรงบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใส แห่ง
จิตในภายใน เป็ นธรรมเอกผุดขึ8น ไม่มีวิตก ไม่มวี ิจาร เพราะวิตกวิจาร สงบไปมีปีติและสุขเกิด
แต่สมาธิอยู่เป็ นผู้มีอุเบกขา มีสติสมั ปชัญญะ และเสวยสุขด้ วยนามกายเพราะปี ติส8 ินไป ทรง
บรรลุตติยฌาน ทีA พระอริยะทั8งหลาย สรรเสริญว่าผู้ได้ ฌานนี8 เป็ นผู้มอี เุ บกขามีสติอยู่เป็ นสุข
๘๒
มหาสุทัสสนสูตร ทีA ๔ จบ
อดีตกรรมทีทรงทําไว้ก่อนทีได้เป็ นพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ
ได้ ยินว่าในกาลก่อน พระราชาทรงสมภพในตระกูลคหบดี. ก็โดยสมัยนั8น พระเถระ
รูปหนึA งในพระศาสนาของพระพุทธเจ้ ากัสสปะทรงพระชนม์อยู่ จําพรรษาในป่ า. พระโพธิสตั ว์
เข้ าป่ าด้ วยการงานของตน เห็นพระเถระแล้ ว เข้ าไปเฝ้ า ไหว้ แล้ ว แลดูทนีA AังและทีA จงกรมเป็ น
ต้ น ของพระเถระ จึงถามว่า ข้ าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็ นเจ้ าอยู่ในทีA น8ันหรือ.
ได้ ฟังอย่างนัAนอุบาสก จึงคิดว่าสมควรทีA จะสร้ างบรรณศาลาถวายพระผู้เป็ นเจ้ าในทีA น8 ี
แล้ วเลิกการงานของตนขนทัพพสัมภาระ ทําบรรณศาลา ฉาบ โบกฝาด้ วยดินเหนียวติดประตู
ทําพนักนัAง นัAง ณ ทีA ควรส่วนสุดข้ างหนึA ง ด้ วยคิดว่า พระผู้เป็ นเจ้ าจักทําการบริโภค หรือไม่
หนอ. พระเถระมาจากภายในบ้ าน เข้ าไปสู่บรรณศาลา แล้ วนัAงทีA พนัก. แม้ อบุ าสกมาแล้ วไหว้ นAัง
ณ ทีA ใกล้ แล้ ว ถามว่าข้ าแต่ท่านผู้เจริญบรรณศาลาผาสุกไหม. ผาสุกสมควรแก่บรรพชิต. ท่าน
จักอยู่ทนีA 8 ีหรือ. อย่างนั8นอุบาสก.
อุบาสกนั8นรู้แล้ วว่า พระเถระจักอยู่โดยอาการรับให้ พระเถระทราบว่าท่านพึงไปสู่
ประตูเรือนของกระผมเป็ นนิตย์แล้ วเรียนว่า ข้ าแต่ท่านผู้เจริญขอท่านจงให้ พรอย่างหนึA ง แก่
กระผมเถิด. ดูก่อนอุบาสก บรรพชิตก้ าวล่วงแล้ ว. ข้ าแต่ทา่ นผู้เจริญ เป็ นพรทีA ควรและไม่มี
โทษ. อุบาสกจงบอก. ข้ าแต่ท่านผู้เจริญมนุษย์ท8งั หลายในทีA เป็ นทีA อยู่ประจํา ย่อมปรารถนา
การมาในมงคลหรือ อมงคล ย่อมโกรธแก่พระเถระผู้ไม่มา เพราะฉะนั8น ท่านแม้ ไปสู่ทีA
นิมนต์อนแล้ ืA ว เข้ าไปสู่เรือนของกระผมแล้ ว พึงทําภัตกิจ พระเถระได้ รับแล้ ว.
ก็โพธิสตั ว์น8ัน ปูเสืA อลําแพนในศาลาตั8งเตียงตัAง วางพนักพิงวางทีA เช็ดเท้ า ขุดสระ ทํา
ทีA จงกรมเกลีA ยทราย เห็นสัตว์มาทําลายฝา ทําดินเหนียวให้ ตก ก็ล้อมรั8วหนาม เห็นสัตว์ลงสระ
ทํานํา8 ให้ ขุ่นก็ก่อบันไดภายใน ล้ อมรั8วหนามภายนอกปลูกแถวตาลในทีA สดุ รั8วภายใน เห็นสัตว์
ทําสกปรกทีA อันสมควรในมหาจงกรม ก็ล้อมทีA จงกรมด้ วยรั8วปลูกแถวตาลในทีA สุดรั8วภายใน
ยังอาวาสให้ สาํ เร็จอย่างนี8 ถวายไตรจีวร บิณฑบาต ยา ภาชนบริโภค เหยือกนํา8 กรรไกร มีดตัด
เล็บ เข็ม ไม้ เท้ า รองเท้ า ตุ่มนํา8 ร่ม คบเพลิง ไม้ แคะมูลหู บาตร ถลกบาตร ผ้ ากรองนํา8 ทีA
กรองนํา8 ก็หรือสิA งทีA บรรพชิตควรบริโภคอืA นแด่พระเถระ ชืA อว่า บริขารทีA พระโพธิสัตว์ไม่ถวาย
แก่พระเถระไม่มี.
พระโพธิสตั ว์น8ัน รักษาศีล รักษาอุโบสถ บํารุงพระเถระตลอดชีวิต. พระเถระอยู่ใน
อาวาสนั8นเทียวบรรลุพระอรหัตแล้ วนิพพาน. ฝ่ ายพระโพธิสัตว์ทาํ บุญตลอดอายุแล้ วไปเกิดใน
เทวโลก จุติจากเทวโลกนั8น มาสู่มนุษย์โลกไปเกิดเป็ นพระเจ้ ามหาสุทสั สนจักรพรรดิในราชธานี
๘๙
เรื.องสุภทั ทปริพาชก
ก็สมัยนั8นปริพาชกนามว่า สุภทั ทะ อาศัยอยู่ในเมืองกุสนิ ารา ทราบว่า พระสมณโคดม
จักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรี ในวันนี8แหละสุภัททปริพาชกจึงไปเข้ าเฝ้ าพระศาสดา
พระอานนท์กไ็ ด้ ห้ามไว้ ถงึ ๓ครั8ง พระภาคทรงได้ ยินถ้ อยคําท่านพระอานนท์เจรจากับสุภัทท
ปริพาชก จึงให้ โอกาสเข้ าเฝ้ าทั8งทีA ทรงประชวรหนัก ท่านพระอานนท์จึงเชิญเข้ าไป ครั8นเข้ าไป
เฝ้ าแล้ วทูลถามปัญหา ทรงตรัสตอบแสดงหลักธรรมว่าตราบใดทีA มีการประพฤติตามอริยมรรค
มีองค์๘ตราบนั8นโลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์.
สุภัททปริพาชกได้ บรรพชา อุปสมบทในสํานักพระผู้มีพระภาคไม่นานหลีกออกไปอยู่
แต่ผ้ ูเดียว เป็ นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรไม่ช้านานนัก ก็ทาํ ให้ แจ้ งซึA งทีA สดุ พรหมจรรย์ เป็ น
พระอรหันต์ ปัจฉิมสาวกเรียกว่า ท่านเป็ นสักขิสาวกองค์สดุ ท้ ายของพระผู้มพี ระภาค คือสาวกทีA
เป็ นอรหันต์องสุดท้ายทีA ได้ เห็นพระพุทธเจ้ าฯ
มรรคมีองค์ ๘
๙๐
พระดํารัสสุดท้ายของพระผูม้ ีพระภาค
ลําดับนั8น พระผู้มีพระภาครับสัAงกะภิกษุท8งั หลายว่า ดูกรภิกษุท8งั หลาย บัดนี8เราขอ
เตือนพวกเธอว่า สังขารทั8งหลายมีความเสืA อมไปเป็ นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาท
ให้ ถงึ พร้ อมเถิด ฯ
นี8เป็ นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต ฯ
**********************
๙๒
ลุมพินี
บริเวณตอนใต้ ของเทือกเขาหิมาลัย ท่ามกลางความเชืA อของสังคมทีA ข8 ึนกับการอ้ อน
วอนร้ องขอกับเทพเจ้ าทั8งหลาย ชีวติ ของมนุษย์ ษย์ข8 นึ อยู่กับเทวดา พรหมบันดาลให้ ท8งั สิ8 น ณ ป่ า
ไม้ สาละแห่งหนึA งทีA ไม่ไกลจาก
กลจากเทืทือกเขาหิมาลัยนี8 มหาบุรุษได้ อบุ ัตเิ กิดขึ8 น ณ ป่ าแห่งนี8 ทเีA รียกกัน
ว่า ลุมพินีวัน ทีA แห่งนี8 จึงนับเป็ นนิมิตหมายแห่งอิสรภาพของมนุษย์ทพีA ้ นจากรอบของเทพเจ้ า
เพืA อเข้ าสู่หลักการอันเป็ นเหตุผลทีA ข8 นึ อยู่กับการกระทําของตน .
พระโพธิสตั ว์มีสติสมั ปชัญญะ ตั8งแต่จุติจากสวรรค์ช8ันดุสติ จนลงสู่พระครรภ์ ของ
มารดา ขณะนั8น หมืA นโลกธาตุได้ หวัAนไหว พระมารดาทรงบริหารครรภ์อยู่ ๑๐ เดือน มีพระ
ครรภ์ครบกําหนด ประสงค์จะไปยังวังของพระญาติทีA เทวหทหนครเพืA อทําการคลอด การค จึงได้ จัด
ขบวนเดินทาง ระหว่างทางทรงทอดพระเนตรเห็น ป่ าไม้ สาละทีA ผลิดอกบานนั8น จึงทรงเสด็จเข้ า
ไปยังอุทยานลุมพินีวัน
เมืA อทรงประสงค์จะจับกิA งไม้ ซึAงมีดอกประดับสวยงามนั8 น กิA งงไม้ ไม้ กโ็ น้ มลงมาถึงฝ่ าพระ
หัตถ์พระนางสิริมหามายาประทับยืนเหนีA ยวกิA งต้ นสาละนั8น ลมกรรมชวาตก็ ลมกรรมชวาตก็เกิดหวัAนไหว พระ
๙๓
ลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ
๑. มีพระบาทประดิษฐานเป็ นอันดี
๒. ณ พื8นภายใต้ ฝ่าพระบาท ๒ ของพระมหาบุรุษ มีจักรเกิดขึ8น มีซีAกํา ข้ างละพันมีกง มีดุม
บริบูรณ์ด้วยอาการทั8งปวง
๓. มีส้นพระบาทยาวฯ
๔. มีพระองคุลียาวฯ
๕. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่ าพระบาทอ่อนนุ่มฯ
๖. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่ าพระบาทมีลายดุจตาข่ายฯ
๙๖
๗. มีพระบาทเหมือนสังข์ควําA ฯ
๘. มีพระชงฆ์ รี เรียว ดุจแข้ งเนื8อทรายฯ
๙. เสด็จสถิตยืนอยู่มิได้ น้อมลง เอาฝ่ าพระหัตถ์ท8งั สองลูบคลําได้ ถงึ พระชาณุท8งั สองฯ
๑๐. มีพระคุยหะเร้ นอยู่ในฝักฯ
๑๑. มีพระฉวีวรรณดุจวรรณะแห่งทองคํา คือ มีพระตจะ ประดุจหุ้ม ด้ วยทองฯ
๑๒. มีพระฉวีละเอียด เพราะพระฉวีละเอียด ธุลีละอองจึงมิตดิ อยู่ใน พระกายได้ ฯ
๑๓. มีพระโลมชาติเส้ นหนึA งๆ เกิดในขุมละเส้ นๆฯมีพระโลมชาติมีปลายขึ8นช้ อยขึ8นข้ างบน
๑๔. มีสีเขียว มีสเี หมือนดอกอัญชัญ ขดเป็ นกุณฑล ทักษิณาวัฏ ฯ
๑๕. มีพระกายตรงเหมือนกายพรหม ฯ
๑๖. มีพระมังสะเต็มในทีA ๗ สถาน ฯ
๑๗. มีกึAงพระกายท่อนบนเหมือนกึA งกายท่อนหน้ าของสีหะ ฯ
๑๘. มีระหว่างพระอังสะเต็ม ฯ
๑๙. มีพระวรกายเป็ นปริมณฑลดุจต้ นไทร วาของพระองค์เท่ากับพระกายของพระองค์
พระกายของพระองค์กเ็ ท่ากับ วาของพระองค์ ฯ
๒๐. มีลาํ พระศอกลมเท่ากัน ฯ
๒๑. มีปลายเส้ นประสาทสําหรับนํารสอาหารอันดีฯ
๒๒. มีพระหนุดุจคางราชสีห์ ฯ
๒๓. มีพระทนต์ ๔๐ ซีA ฯ
๒๔. มีพระทนต์เรียบเสมอกัน ฯ
๒๕. มีพระทนต์ไม่ห่าง ฯ
๒๖. มีพระทาฐะขาวงาม ฯ
๒๗. มีพระชิวหาใหญ่ ฯ
๒๘. มีพระสุรเสียงดุจเสียงแห่งพรหม ตรัสมีสาํ เนียงดังนกกรวิก ฯ
๒๙. มีพระเนตรดําสนิท [ดําคม] ฯ
๓๐. มีดวงพระเนตรดุจตาแห่งโค ฯ
๓๑. มีพระอุณณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างพระขนง มีสขี าวอ่อน ควร เปรียบด้ วยนุ่น ฯ
๓๒. มีพระเศียรดุจประดับด้ วยกรอบพระพักตร์ ฯ
๙๗
เหตุให้ได้มหาปุริสลักษณะ ๓๒ประการ
เป็ นทีA แน่นอนว่าลักษณะอันดีงามทั8งหลายนั8นย่อมมาด้ วยบุญ พระพุทธเจ้ าทรงทําบุญ
เช่นไรไว้ จึงได้ มีพระรูปโฉมเช่นนี8 ผู้ทมีA ลี ักษณะเช่นนี8จะได้ ประสบกับผลอย่างไร และเราสามารถ
จะนําไปใช้ เป็ นแนวทางในการดําเนินชีวิตได้ หรือไม่นับเป็ นสิA งทีA น่าสนใจมิใช่น้อย
๑ เหตุให้มีพระบาทราบเรียบเสมอกัน
พระมหาบุรุษยินดีในวจีสจั ในกุศลกรรมบถ ๑๐ บําพ็ญทาน มีการฝึ กตนสํารวมด้วย
ศีล เป็ นผูส้ ะอาดทางกาย วาจา ใจ ดํารงอยู่ใน ศีล รักษาอุโบสถ ปฏิบตั ิดีในมารดา ในบิดา
สมณะพราหมณ์ เป็ นผูเ้ คารพต่อผูใ้ หญ่ในสกุลไม่เบียดเบียนเหล่าสัตว์ สมาทานความ
ประพฤตินอี. ย่างมัน คง ทรงประพฤติอย่างรอบคอบ เพราะกรรมนั8นพระมหาบุรษุ จึงหลีกไปสู่
ไตรทิพย์ เสวย ความสุขและสมบัตเิ ป็ นทีA เพลิดเพลินยินดี จุติจากไตรทิพย์แล้ ว เวียนมาในโลก
นี8เหยียบปฐพีด้วยฝ่ าพระบาทอันเรียบ พวกพราหมณ์ผ้ ูทาํ นายพระลักษณะมาประชุมกันแล้ ว
ทํานายว่า พระราชกุมารนี8มีฝ่าพระบาทประดิษฐานเรียบ เป็ นคฤหัสถ์หรือ บรรพชิต ก็ไม่มีใคร
ข่มได้ พระลักษณะนั8นย่อมเป็ นนิมติ ส่อง เนื8อความนั8น พระราชกุมารนี8เมืA ออยู่ครองฆราวาส ไม่
มีใคร สามารถข่มได้ มีแต่ครอบงําพวกปรปั กษ์เหล่าศัตรูมิอาจยําA ยีได้ ใครๆ ทีA เป็ นมนุษย์ใน
โลกนี8หาข่มได้ ไม่ เพราะผลแห่งกุศล กรรมนั8น ถ้ าพระราชกุมารเช่นนั8น เข้ าถึงบรรพชา ทรง
ยินดี ยิA งด้ วยความพอใจในเนกขัมมะ จะมีพระปรีชาเห็นแจ่มแจ้ ง เป็ นอัครบุคคล ไม่ถงึ ความ
เป็ นผู้อนั ใครๆ ข่มได้ ย่อมเป็ นผู้ สูงสุดกว่านรชน อันนี8แลเป็ นธรรมดาของพระกุมารนั8น ฯ
๒ เหตุแห่งพื1 นใต้ฝ่าพระบาทมีจกั ร
พระมหาบุรุษเคยเป็ นมนุษย์ในชาติก่อนๆ ผูน้ ําความสุขมา ให้แก่ชนมาก บรรเทา
ภัยคือ ความหวาดกลัวและความหวาดเสียว ขวนขวายในความคุม้ ครองรักษาป้องกัน
เพราะกรรมนั8นพระมหาบุรษุ จึงหลีกไปสู่ไตรทิพย์ เสวยความสุข และสมบัติเป็ นทีA เพลิดเพลิน
ยินดี ครั8นจุติจากไตรทิพย์แล้ ว เวียนมาในโลกนี8ย่อมได้ ลายจักรทั8งหลาย มีซีAกําพันหนึA ง มีกง มี
ดุม โดยรอบ ในฝ่ าพระบาททั8ง๒พวกพราหมณ์ ผู้ทาํ นายลักษณะมาประชุมกันแล้ วเห็นพระราช
กุมารมีลักษณะอัน เกิดด้ วยบุญเป็ นร้ อยๆ แล้ วทํานายว่า พระราชกุมารนี8จักมี บริวาร ยําA ยีเสีย
ซึA งศัตรู เพราะจักรทั8งหลายมีกงโดยรอบอย่าง นั8น ถ้ าพระราชกุมารเช่นนั8นไม่เข้ าถึงบรรพชา จะ
ยังจักรให้ เป็ นไป และปกครองแผ่นดิน มีกษัตริย์ทมีีA ยศมากเป็ นอนุยนต์ ติดตามห้ อมล้ อม
พระองค์ ถ้ าและพระราชกุมารเช่นนั8นเข้ าถึง บรรพชา เป็ นผู้ยินดียิAงด้ วยความพอใจในเนกขัม
มะ จะมีพระปรีชาเห็นแจ่มแจ้ ง พวกเทวดา มนุษย์ อสูร ท้าวสักกะยักษ์ คนธรรพ์ นาค วิหค
๙๘
ชีวิตในวัง-สลดพระทัย-ออกบวช
ในกาลนั8นพระราชาสงสัยว่าพระโอรสเห็นนิมิตใดจึงบวช พวกอํามาตย์กท็ ูลว่า เห็น
นิมิต๔ คือ คนแก่ คนเจ็ บ คนตาย และบรรพชิต พระราชาก็ทรงกระทําการสัAงให้ อาํ มาตย์
ทั8งหลายทําการป้ องกัน มิให้ พระโอรสได้ เห็นนิมิตเหล่านั8น พระกุมารทรงได้ รบั การดูแลปรณ
นิบัติเป็ นอย่างดี ท่ามกลางทรัพย์สมบัติ นางฟ้ อนทีA แต่งตัวงดงาม ในปราสาททีA โอราฬ๓หลังทีA
เหมาะแก่ฤดูท8งั ๓ หลังจากใช้ ชีวิตในฐานะองค์รัชทายาทได้ ๒๙ ปี เจ้ าชายสิทธัตถะทรงได้ เข้ า
ไปเห็นความจริงของชีวติ อันเป็ นทุกข์ในหมู่ประชาชนซึA งแตกต่างอย่างสิ8นเชิงกับชีวิตอันหรูหรา
เปีA ยมสุขในราชวัง ทําให้ เจ้ าชายสิทธัตถะตัดสินใจละทิ8งความสุขทางโลก เสด็จหนีออกจาก
พระราชวังในคําคืนหนึA งเพืA อเข้ าสู่โลกของนักบวช เพืA อแสวงหาทางแห่งความหลุดพ้ นจากทุกข์…
๑๐๖
กรุงสาวัตถี แห่งแคว้นโกศล
ในสมัยพุทธกาล เมืองสาวั งสาวัตถีน8 ตี 8ังอยู่ในแคว้ นโกศล ของพระเจ้ าปเสนธิโกศลผู้มี
ศรัทธาในพระพุทธเจ้ าเป็ นอย่างมากปกครองอยู่ ทีA ชืA อว่าสาวัตถีน8ัน นักอักษรศาสตร์วจิ ารณ์กนั
ไว้ ว่า คําว่า สาวตฺถี คือพระนครอันเป็ นสถานทีA อยู่ของฤาษี ชืA อ สวัตถะ ส่วนพระอรรถกถา
จารย์กล่าวไว้ ว่า วัตถุเครืA องอุปโภคและบริโภคของมนุษย์ทุกอย่างมีอยู่ในเมื ในเมืองนี8 ฉะนั8น เมือง
นี8จึงชืA อว่า สาวัตถี. หรือเพราะอาศัยเหตุทวีA ่า เมืA อมี
อ คนถูถูกเขาถามว่า มีของอะไรอยู่บ้ างก็ตอบว่า
มีครบทุกอย่าง(ภาษาบาลี
ภาษาบาลีว่า สพพํ อตฺถิ จึง แผลงเป็ นสาวตฺถี ).
เมืองแห่งนี8มีบคุ ลสําคัญมากมายทีA เเป็ป็ นผู
นผู้ อุปถัมป์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ าและคณะสงฆ์
เช่นพระเจ้ าปเสนทิโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกา สาวัตถีน8ันเป็ นเมืองทีA
พระพุทธเจ้ าประทับมากทีA สดุ จึงเป็ นเหตุทพระธรรมเทศนาของพระองค์
พีA ระธรรมเทศนาของพระองค์เกิดขึ8 นทีA นีA มากมาย
โดยมีวัดทีA สาํ คัญคือ เชตะวันมหาวิหาร ทีA พระพุทธเจ้ ธเจ้ าจําพรรษามากทีA สุด
๑๐๗
อนาถปิ ณฑิกคฤหบดี
คฤหบดีน8ันชืA อว่า "สุทัตตะ" โดยเป็ นชืA อทีA บิดามารดาตั8งให้ แต่มาได้ ชืAอว่าอนาถปิ ณ
ฑิกะ โดยเหตุท- ีได้ให้อาหารแก่คนอนาถาทัง หลายเป็ นประจําเพราะเป็ นผูม้ ง-ั คั-งด้วยสมบัติทกุ
อย่าง และเพราะปราศจากความตระหนี-ทงั เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมมีความกรุณา เป็ นต้ น.
อนาถปิ ณฑิกเศรษฐีน8ัน มีความศรัทธาในพุทธเจ้ าเป็ นอย่างมากเป็ นผู้ทาํ นุบาํ รุงภิกษุ
สงฆ์ในเมืองสาวัตถีเป็ นอย่างดี ทั8งเป็ นผู้ใจบุญ. พระพุทธเจ้ าจึงทรงยกย่องว่าเป็ น อุบาสกทีA
เลิศกว่าอุบาสกสาวกทั8งปวงผู้ยินดียิAงในการถวายทาน
วิสาขามหาอุบาสิกา
อุบาสิกาคนสําคัญในสมัยพุทธกาลนางเกิดทีA เมือง ภททิยะแคว้ นอังคะ ต่อมาย้ ายมา
อยู่ทเีA มืองสาเกต แคว้ นโกศล บรรลุโสดาบันตั8งแต่๗ขวบ ต่อมานางอายุได้ ๑๖ปี เป็ นผู้มีความ
งามเพียบพร้ อม ด้ วยลักษณะเบญจกัลป์ ยานี คือ ผมงาม เนื. องาม ฟั นงาม ผิว งาม และริม
ฝี ปากงาม ได้ เข้ าสู่มงคลสมรสกับ ชายหนุ่มชืA อปุณณวัฒนกุมาร แห่งกรุงสาวัตถีนางจึงย้ ายมา
อยู่กบั สามี เมืA อนางไปอยู่ทบีA ้ านสามีช่วงแรกได้ มปี ัญหาเกิดขึ8นเพราะทีA บ้านสามีน8ันนับถือพวกชี
เปลือย แต่นางก็แก้ ไขความขัดแย้ งได้ ต่อมาก็ได้ ทาํ ให้ ครอบครัวของสามีได้ ฟังธรรมและเปลีA ยน
มานับถือศาสนาพุทธได้ นางได้ สร้ างวัดหลังหนึA งชืA อ บุพพาราม ได้ อปุ ถัมป์ บํารุงภิกษุสงฆ์ไม่ได้
ขาด ไปวัดแต่ละครั8งไม่เคยมาวัดมือเปล่าเลยจะถือของทีA ควรไปถวายแก่ภกิ ษุ พระพุทธเจ้ าจึง
ทรงยกย่องนางว่า เป็ นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั8งหลายผู้ยินดียิAงในการถวายทาน
พระเชตะวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศณษฐี
วิหารแห่งนี8ชืAอว่า เชตวัน. เพราะพระอุทยานเชตวันนั8น อันพระราชกุมารทรงพระนาม
ว่า "เชตะ" นั8น ทรงปลูกสร้ างทะนุบาํ รุงให้ เจริญงอกงามทั8งพระองค์กท็ รงเป็ นเจ้ าของพระ
อุทยานนั8นด้ วย ฉะนั8นจึงเรียกว่า เชตะวัน(สวนเจ้ าเชต). อนาถปิ ณฑิกะเศรษฐี ได้ ฟังพระ
ธรรมเทศนาเกิดความศรัทธาในพุทธศาสนา จึงนิมนต์พระพุทธองค์มาทีA เมืองสาวัตถี แล้ ว
เศรษฐีได้ ไปขอซืA อสวนป่ านั8นของเจ้ าเชต เพืA อสร้ างอารามถวาย ตอนแรกเจ้ าเชตไม่ยอมขายแต่
ได้ ต8งั เงืA อนไขว่า ให้ เศรษฐีเอาเหรียญทองมาปูเต็มป่ าจึงจะยอมขาย ซึA งเศรษฐีกน็ าํ เหรียญทอง
มาปูจนเต็มพื8นป่ าจริงๆ เจ้ าเชตจึงได้ ขายให้
อนาถปิ ณฑิกคฤหบดีได้ มอบถวายสงฆ์ มีพระพุทธเจ้ าเป็ นประมุข ด้ วยการบริจาค
ทรัพย์ถึง ๕๔ โกฏิ คือบริจาคซื8อทีA ดินจากพระหัตถ์ของพระเจ้ าเชตด้ วยการเอาเงิน ๑๘ โกฏิ ปู
(เต็มบริเวณพื8นทีA ) บริจาคเป็ นค่าก่อสร้ างเสนาสนะต่าง ๆ ๑๘ โกฏิ บริจาคเป็ นค่าทําการ
๑๐๘
มงคลสูตร
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณ
ฑิกเศรษฐี ใกล้ พระนครสาวัตถี ครั8งนั8นแล ครั8นปฐมยามล่วงไปเทวดาตนหนึA งมีรัศมีงามยิA งนัก
ยังพระวิหารเชตวันทั8งสิ8นให้ สว่างไสว เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับ ถวายบังคมแล้ ว
ยืนอยู่ ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ครั8นแล้ ว ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้ วยคาถาว่าเทวดาและ
มนุษย์เป็ นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้ พากันคิดมงคลทั8งหลาย ขอพระองค์จงตรัสอุดมมงคล.
พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาตอบว่า การไม่คบคนพาล การคบบัณฑิต การบูชาบุคคลทีA ควร
บูชา นี8เป็ นอุดมมงคล การอยู่ในประเทศอันสมควร ความเป็ นผู้มีบุญอันกระทําแล้ วในกาลก่อน
การตั8งตนไว้ ชอบ นี8เป็ นอุดมมงคล พาหุสจั จะ ศิลป วินัยทีA ศึกษาดีแล้ ว วาจาสุภาสิต นี8เป็ น
อุดมมงคล
การบํารุงมารดาบิดา การสงเคราะห์บุตรภรรยา การงานอันไม่อากูล นี8เป็ นอุดม
มงคลทาน การประพฤติธรรม การสงเคราะห์ญาติ กรรมอันไม่มีโทษ นี8เป็ นอุดมมงคลการงด
การเว้ นจากบาป ความสํารวม จากการดืA มนํา8 เมา ความไม่ประมาทในธรรมทั8งหลาย นี8เป็ นอุดม
มงคลความเคารพ ความประพฤติถ่อมตน ความสันโดษ ความกตัญ^ู การฟังธรรมโดยกาล
นี8เป็ นอุดมมงคล
ความอดทน ความเป็ นผู้ว่าง่าย การได้ เห็นสมณะทั8งหลาย การสนทนาธรรมโดยกาล
นี8เป็ นอุดมมงคลความเพียร พรหมจรรย์ การเห็นอริยสัจ การกระทํานิพพานให้ แจ้ ง นี8เป็ น
อุดมมงคล จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั8งหลายถูกต้ องแล้ วย่อมไม่หวัAนไหว ไม่เศร้ าโศก
ปราศจากธุลี เป็ นจิตเกษม นี8เป็ นอุดมมงคล เทวดาและมนุษย์ท8งั หลาย ทํามงคลเช่นนี8แล้ ว
เป็ นผู้ไม่ปราชัยในข้ าศึกทุกหมู่เหล่า ย่อมถึงความสวัสดีในทีA ทุกสถาน นี8เป็ นอุดมมงคลของ
เทวดาและมนุษย์เหล่านั8น ฯ มงคลสูตร จบ.
๑๐๙
ทีA อาศัยรูปจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเวทนา และวิญญาณทีA อาศัยเวทนาจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนสัญญา และวิญญาณทีA อาศัยสัญญาจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนสังขาร และวิญญาณทีA อาศัยสังขารจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนวิญญาณ และวิญญาณทีA อาศัยวิญญาณจักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนอากาสานัญจายตน
ฌานและวิญญาณทีA อาศัยอากาสานัญจายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนวิญญาณัญจายตนฌานและวิญญาณ ทีA อาศัย
วิญญาณัญจายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนอากิญจัญญายตนฌานและวิญญาณ ทีA อาศัย
อากิญจัญญายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน และวิญญาณ
ทีA อาศัยเนวสัญญานาสัญญายตนฌานจักไม่มีแก่เรา
คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
[๗๓๕] ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAน
โลกนี8 และวิญญาณทีA อาศัยโลกนี8จักไม่มีแก่เรา พึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า เราจักไม่ยึดมัAนโลกหน้ า
และวิญญาณทีA อาศัย โลกหน้ าจักไม่มีแก่เรา
คฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
ดูกรคฤหบดี เพราะฉะนั8นแล ท่านพึงสําเหนียกอย่างนี8ว่า อารมณ์ใดทีA เราได้ เห็น
ได้ ฟัง ได้ ทราบ ได้ ร้ แู จ้ ง ได้ แสวงหา ได้ พิจารณาด้ วยใจแล้ ว เราจักไม่ยึดมัAนอารมณ์แม้ น8ัน
และวิญญาณทีA อาศัยอารมณ์น8ันจักไม่มีแก่เรา
ดูกรคฤหบดี ท่านพึงสําเหนียกไว้อย่างนี1 เถิด ฯ
เมื.อท่านพระสารีบุตรกล่าวแล้วอย่างนี1 อนาถบิณฑิกคฤหบดีรอ้ งไห้ นํ1าตาไหล
ขณะนั1นท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะอนาถบิณฑิกคฤหบดีดงั นี1 ว่า ดูกรคฤหบดี ท่านยัง
อาลัยใจจดใจจ่ ออยู่หรือฯ
อ. ข้ าแต่พระอานนท์ผ้ ูเจริญ กระผมมิได้ อาลัย มิได้ ใจจดใจจ่อ แต่ว่ากระผมได้ นAัง
ใกล้
๑๑๔
นั8นแล ย่อมบริสุทธิJได้ ด้วยปัญญา ด้ วยศีล และด้ วยความสงบ ความจริง ภิกษุผ้ ูถงึ ฝัAงแล้ ว
จะอย่างยิA งก็เท่าพระสารีบุตรนี8
ดูกรภิกษุท8งั หลาย เทวบุตรนั8นได้ กล่าวดังนี8แล้ วรู้ว่าพระศาสดาทรงพอพระทัย จึง
อภิวาทเรา แล้ วกระทําประทักษิณหายตัวไป ณ ทีA น8ันแล ฯ
[๗๔๐] เมืA อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้ วอย่างนี8 ท่านพระอานนท์ได้ กราบทูลพระผู้มี
พระภาคดังนี8ว่า ข้ าแต่พระองค์ผ้ ูเจริญ ก็เทวบุตรนั8น คงจักเป็ นอนาถบิณฑิกเทวบุตรแน่
เพราะอนาถบิณฑิกคฤหบดีได้ เป็ นผู้เลืA อมใสแล้ วในท่าน พระสารีบุตร ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ถูกแล้ วๆ เท่าทีA คาดคะเนนั8นแล เธอลําดับเรืA องถูกแล้ ว เทวบุตร
นั8นคืออนาถบิณฑิกเทวบุตร มิใช่อืAน ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสพระภาษิตนี8แล้ ว ท่านพระอานนท์จึงชืA นชมยินดี พระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคแล.
อนาถปิ ณฑิโกวาทสูตร ทีA ๑จบ
วัมมิกสูตร
ว่าด้ วยปริศนาจอมปลวก
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณ
ฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั8นแล ท่านพระกุมารกัสสปะพักอยู่ทปีA ่ าอันธวัน.
ครั8งนั8น เทวดาองค์หนึA ง มีวรรณงามยิA ง เมืA อราตรีล่วงปฐมยามแล้ ว ยังป่ าอันธวันทั8งสิ8นให้ สว่าง
เข้ าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะถึงทีA อยู่ ได้ ยืน ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ได้ กล่าวกะท่านพระกุมาร
กัสสปะดังนี8ว่า ดูกรภิกษุ จอมปลวกนี8พ่นควันในกลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ได้
กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงเอาศาตราไปขุดดู.
สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นลิA มสลักจึงเรียนว่า ลิA มสลักขอรับ. พราหมณ์กล่าว
อย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยกลิA มสลักขึ8นเอาศาตราขุดดู.สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นอึA ง
จึงเรียนว่า อึA งขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะเจ้ าจงยกอึA งขึ8น เอาศาตราขุดดู. สุเมธะ
เอาศาตราขุดลง ได้ เห็นทาง ๒ แพร่ง จึงเรียนว่า ทาง ๒แพร่ง ขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า
พ่อสุเมธะ เจ้ าจงก่นทาง ๒ แพร่งเสีย เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นหม้ อ
กรองนํา8 ด่าง จึงเรียนว่า หม้ อกรองนํา8 ด่าง ขอรับ.พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงยก
หม้ อกรองนํา8 ด่างขึ8น เอาศาตราขุดลง.
สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นเต่า จึงเรียนว่าเต่าขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี8ว่า
พ่อสุเมธะเจ้ าจงยกเต่าขึ8น เอาศาตราขุดดู. สุเมธะเอาศาตราขุดลงไป ได้ เห็นเขียงหัAนเนื8อ จึง
๑๑๖
โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้ งด้ วยกาย น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็ นรูปทีA น่ารัก ประกอบด้ วย
กาม เป็ นทีA ต8ังแห่งความกําหนัด.คํานั8นมีอธิบายดังนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงใช้ ปัญญาเพียงดังศาต
รา ยกเขียงหัAนเนื8อเสีย คือ จงละกามคุณ ๕ เสีย จงขุดขึ8นเสีย.
๑๔ คําว่าชิ8นเนื8อนั8น เป็ นชืA อของนันทิราคะ. คํานั8นมีอธิบายดังนี8ว่า พ่อสุเมธะ เจ้ าจงใช้
ปัญญาเพียงดังศาตรา ยกชิ8นเนื8อขึ8นเสีย คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ8นเสีย
๑๕ คําว่านาคนั8น เป็ นชืA อของภิกษุผ้ ูขณ ี าสพ คํานั8นมีอธิบายดังนี8ว่า นาคจงหยุดอยู่
เถิดเจ้ าอยเบียดเบียนนาค จงทําความนอบน้ อมต่อนาคดังนี8.
พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสพระพุทธพจน์น8 ีแล้ ว ท่านพระกุมารกัสสปะมีใจชืA นชม
เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี8แล.
วัมมิกสูตร ทีA ๓ จบ
เวรัญชกสูตร
ว่าด้วยเหตุปัจจัยให้เข้าถึงสุคติ
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ทพีA ระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั8งนั8น พวกพราหมณ์และคฤหบดี ชาวเมืองเวรัญชา พักอยู่ใน
เมืองสาวัตถีด้วยกิจบางอย่าง ได้ สดับข่าวว่า พระสมณโคดมผู้เจริญ เป็ นศากยสกุลทรงผนวช
แล้ ว ประทับอยู่ทพีA ระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์น8ันขจรไปแล้ วอย่างนี8ว่า
แม้ เพราะเหตุน8 ีๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์น8ัน เป็ นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึง
พร้ อมด้ วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ ว ทรงรู้แจ้ งโลกเป็ นสารถีฝึกบุรุษทีA ควรฝึ ก ไม่มีผ้ ูอนืA ยิA ง
กว่า เป็ นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ท8งั หลาย เป็ นผู้เบิกบาน เป็ นผู้จาํ แนกพระธรรม พระองค์
ทรงทําโลกนี8พร้ อมทั8งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้ แจ้ งชัดด้ วยปัญญาอันยิA งของพระองค์เอง
แล้ ว ทรงสัAงสอนหมู่สตั ว์ พร้ อมทั8งสมณพราหมณ์เทวดา และมนุษย์ให้ ร้ ตู าม ทรงแสดงธรรม
งามในเบื8องต้ น งามในท่ามกลาง งามในทีA สดุ ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้ อมทั8งอรรถ พร้ อม
ทั8งพยัญชนะ บริสทุ ธิJ บริบูรณ์ส8 นิ เชิงก็การเห็นพระอรหันต์ท8งั หลายเห็นบาปนั8น ย่อมเป็ นการดี
ดังนี8.
ครั8งนั8น พวกพราหมณ์และคฤหบดีชาวเมืองเวรัญชา จึงเข้ าไปเฝ้ าพระผู้มพี ระภาคถึง
ทีA ประทับ ครั8นแล้ ว บางพวกถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค บางพวกทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระ
ภาคพอให้ ระลึกถึง บางพวกประนมอัญชลี ต่อพระผู้มีพระภาค บางพวกประกาศชืA อและโคตร
ในสํานักพระผู้มีพระภาค บางพวกก็นิAงอยู่ แล้ วต่างก็นAัง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ครั8นแล้ วได้ ทูล
๑๒๐
อกุศลกรรมบถ ๑๐
[๔๘๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลเป็ นผู้
ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติธรรมด้ วยกายมี ๓ อย่าง ด้ วยวาจามี ๔ อย่าง ด้ วยใจมี ๓
อย่างดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลเป็ นผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติ
ด้ วยกาย๓ อย่างเป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลบางคนในโลกนี8 เป็ นผู้
ฆ่าสัตว์คือเป็ นผู้มีใจหยาบ มีมือเปื8 อนเลือด พอใจในการประหารและการฆ่า ไม่มีความละอาย
ไม่ถงึ ความเอ็นดูในสัตว์ท8งั ปวง.
เป็ นผู้ถอื เอาทรัพย์ทเีA ขามิได้ ให้ คือ ลักทรัพย์อันเป็ นอุปกรณ์เครืA องปลื8มใจของบุคคล
อืA น ทีA อยู่ในบ้ าน หรือทีA อยู่ในป่ า ทีA เจ้ าของมิได้ ให้ ซึA งนับว่าเป็ นขโมย เป็ นผู้ประพฤติผดิ ในกาม
ทั8งหลาย คือ ถึงความสมสู่ในพวกหญิงทีA มารดารักษา ... ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย
บุคคลผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติธรรมด้ วยกาย ๓ อย่าง เป็ นอย่างนี8แล.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บคุ คลผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติ
ธรรมด้ วยวาจา ๔ อย่างเป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลบางคนในโลกนี8
๑๒๑
เป็ นผู้กล่าวคําเท็จ ... เป็ นผู้กล่าวเท็จทั8งรู้อยู่ เป็ นผู้พูดส่อเสียด คือ ได้ ฟังแต่ข้างนี8แล้ วนําไป
บอกข้ างโน้ น ... และกล่าววาจาทีA เป็ นเครืA องทําให้ แตกกันเป็ นพวก ด้ วยประการฉะนี8 เป็ นผู้มี
วาจาหยาบ คือกล่าววาจาหยาบทีA เป็ นโทษ ... เป็ นผู้กล่าวไร้ ประโยชน์ คือ พูดในเวลาทีA ไม่ควร
พูดพูดเรืA องทีA ไม่เป็ นจริง พูดไม่เป็ นประโยชน์ พูดไม่เป็ นธรรม พูดไม่เป็ นวินัย กล่าววาจาไม่มี
หลักฐาน ไม่มีทอีA ้ าง ไม่มีทสีA ดุ ไม่ประกอบด้ วยประโยชน์ โดยกาลไม่สมควร.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อยคือ ไม่ประพฤติ
ธรรมด้ วยวาจา ๔ อย่าง เป็ นอย่างนี8แล.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลประพฤติไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติ
ธรรมด้ วยใจ ๓ อย่างเป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลบางคนในโลกนี8
เป็ นผู้มคี วามโลภมาก คือเพ่งต่อทรัพย์อนั เป็ นอุปกรณ์เครืA องปลื8มใจของบุคคลอืA นว่า ขอของ
ผู้อืAนพึงเป็ นของเรา ดังนี8.
เป็ นผู้มีจิตพยาบาท คือ ความดําริในใจคิดประทุษร้ ายว่า ขอสัตว์เหล่านี8จงถูกฆ่าบ้ าง
จงถูกทําลายบ้ างจงขาดสูญบ้ าง อย่าได้ มีแล้ วบ้ าง ดังนี8.
เป็ นผู้มคี วามเห็นผิด คือ มีความเห็นวิปริตว่า ผลงานแห่งทานทีA ให้ แล้ วไม่มี ผลแห่ง
การบูชาไม่มีผลแห่งการเซ่นสรวงไม่มี ... สัAงสอนผู้อืAนให้ ร้ ู ไม่มีในโลก ดังนี8.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย บุคคลผู้ประพฤติไม่เรียบร้ อย คือไม่ประพฤติ
ธรรมด้ วยใจ ๓ อย่าง เป็ นอย่างนี8แล.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย สัตว์บางพวกในโลกนี8 เบื8องหน้ าแต่ตายเพราะ
กายแตก ย่อมเข้ าถึงอบายทุคติ วินิบาต และนรกอย่างทีA กล่าวนั8น เพราะเหตุแห่งความประพฤติ
ไม่เรียบร้ อย คือ ไม่ประพฤติธรรม อย่างนี8แล.
กุศลกรรมบถ ๑๐
[๔๙๐] ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลผู้ประพฤติเรียบร้ อย คือ ผู้
ประพฤติธรรมด้ วยกายมี ๓ อย่าง ด้ วยวาจามี ๔ อย่าง ด้ วยใจมี ๓ อย่าง ดูกรพราหมณ์และ
คฤหบดีท8งั หลาย ก็บุคคลประพฤติธรรมด้ วยกาย ๓ อย่างเป็ นไฉน? ดูกรพราหมณ์และ
คฤหบดีท8งั หลายบุคคลบางคนในโลกนี8 ละการฆ่าสัตว์ เว้ นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วาง
ศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื8อกูลแก่สตั ว์ท8งั ปวงอยู่.
ละการถือเอาทรัพย์ทเีA ขามิได้ ให้ เว้ นขาดจากการลักทรัพย์ ไม่ลักทรัพย์อันเป็ น
อุปกรณ์เครืA องปลื8มใจของผู้อนืA ทีA อยู่ในบ้ าน หรือทีA อยู่ในป่ า ทีA เจ้ าของมิได้ ให้ ซึAงนับว่าเป็ นขโมย.
๑๒๒
อาทิยสูตร
ครั8งนั8น ท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดี เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับถวายบังคม
แล้ วนัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง ครั8นแล้ วพระผู้มีพระภาคได้ ตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกคฤหบดีว่า
ดูกรคฤหบดี ประโยชน์ทจีA ะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ ๕ ประการนี8 ๕ ประการเป็ นไฉน คือ
อริยสาวกในธรรมวินัยนี8ย่อมใช้ จ่ายโภคทรัพย์ทตีA นหามาได้ ด้วยความหมัAน ความขยัน
สะสมขึ8นด้ วยกําลังแขน อาบเหงืA อต่างนํา8 ชอบธรรม ได้ มาโดยธรรม
เลี8ยงตนให้ เป็ นสุข ให้ อมิA หนําบริหารตนให้ เป็ นสุขสําราญ เลี8ยงมารดาบิดาให้ เป็ นสุข
ให้ อมหนํ ิA าบริหารให้ เป็ นสุขสําราญ เลี8ยงบุตร ภรรยา ทาสกรรมกร คนใช้ ให้ เป็ นสุข ให้ อมิA หนํา
บริหารให้ เป็ นสุขสําราญ นี8เป็ นประโยชน์ทจีA ะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อทีA ๑ ฯ
อีกประการหนึA ง อริยสาวกย่อมใช้ จ่ายโภคทรัพย์ทตีA นหามาได้ ด้วยความหมัAน ความ
ขยัน สะสมขึ8นด้ วยกําลังแขน อาบเหงืA อต่างนํา8 ชอบธรรม ได้ มาโดยธรรม เลี8ยงมิตรสหายให้
เป็ นสุข ให้ อมิA หนํา บริหารให้ เป็ นสุขสําราญ นี8เป็ นประโยชน์ทจีA ะพึงถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อทีA ๒
ฯ
อีกประการหนึA ง อริยสาวกย่อมใช้ จ่ายโภคทรัพย์ทตีA นหามาได้ ด้วยความหมัAน ความ
ขยัน สะสมขึ8นด้ วยกําลังแขน อาบเหงืA อต่างนํา8 ชอบธรรม ได้ มาโดยธรรม ป้ องกันอันตรายทีA
เกิดแต่ไฟ นํา8 พระราชา โจร หรือทายาทผู้ไม่เป็ นทีA รัก ทําตนให้ สวัสดี นี8เป็ นประโยชน์ทจีA ะพึง
ถือเอาแต่โภคทรัพย์ข้อทีA ๓ ฯ
กามสูตร
มีเรืA องเล่าว่า เมืA อพระผู้มพี ระภาคเจ้ าประทับอยู่ ณ กรุงสาวัตถี พราหมณ์ผ้ ูหนึA งคิด
ว่า เราจักหว่านข้ าวเหนียวใกล้ ฝAังแม่นาํ8 อจิรวดี ในระหว่างกรุงสาวัตถีและพระเชตวันมหา
วิหารจึงไถนา. พระผู้มีพระภาคเจ้ าแวดล้ อมด้ วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้ าไปบิณฑบาตเห็นพราหมณ์
นั8นทรงรําพึงเห็นว่าข้ าวเหนียว ของพราหมณ์น8ันจักเสียหาย จึงทรงรําพึงถึงอุปนิสยั สมบัติของ
พราหมณ์น8ันต่อไปได้ ทรงเห็นอุปนิสยั แห่งโสดาปัตติมรรคของพราหมณ์น8ัน ทรงรําพึงว่า
พราหมณ์น8 ีจักบรรลุเมืA อไร ได้ ทรงเห็นว่า เมืA อข้ าวกล้ าเสียหายพราหมณ์จะถูกความโศก
ครอบงํา เป็ นเหตุให้ ได้ ฟังพระธรรมเทศนา.
ทรงดําริต่อไปว่า หากเราจักเข้ าไปหาพราหมณ์ในตอนนั8น พราหมณ์จักไม่สาํ คัญ
โอวาทของเราทีA ควรจะฟัง เพราะพราหมณ์ท8งั หลายมีความชอบต่าง ๆ กัน เอาเถิด เราจัก
๑๒๗
*************
๑๓๐
เรืA อง
“หม้อนํา ที-เต็มด้วยนํา เมื-อวางควํา- ปากลงก็สาํ รอกนํา ออก
ออกไม่เหลือเลย
ไม่รกั ษานํา ไว้ในหม้อนัน แม้ฉนั ใด.
ท่านเห็นยาจก ทัง ชัน ตํ-าชัน กลางและชัน สูง แล้ว
จงให้ทานไม่เหลือเลย เหมือนหม้อนํา ที-ควํา- ปากลง ปาก ฉันนัน เหมือนกัน.”
๑๓๑
เรื.องเกี.ยวกับ ทานบารมี
ทาน คือ กุศลเจตนาอันเป็ นเหตุแห่งการให้ เจตนาทีA คดิ ให้ แบ่งปันเสียสละ และความ
ไม่โลภทีA เป็ นไปกับการให้ กน็ ับว่าเป็ นทาน (เมืA อส่งผลให้ เพียงความสุขในมนุษย์และเทวดา มิ
อาจช่วยให้ ถึงมรรคผลโดยเร็ว)
ทานบารมี คือ คุณธรรม คือทาน(การให้ เจตนาทีA คิดให้ ) ทีA กาํ หนดด้ วยความเป็ นผู้
ฉลาดในอุบาย คือกรุณาอันตัณหามานะ และทิฏฐิไม่เข้ าไปกําจัด.(เมืA อส่งผลให้ ได้ เสวยสุขใน
มนุษย์และเทวดา และสามารถ ให้ ถงึ มรรค ผล นิพพานได้ โดยเร็ว)
ลักษณะ, รส(กิจ) , ปั จจุปัฏฐาน(อาการปรากฏ), ปทัฏฐาน(เหตุใกล้ )
๑. ทานบารมี มีการบริจาค เป็ นลักษณะ
๒. มีการกําจัดโลภในไทยธรรม เป็ นรส.
๓. มีภวสมบัติ และวิภวสมบัติ เป็ นปั จจุปัฏฐาน.
๔. มีวัตถุอนั ควรบริจาค เป็ นปทัฏฐาน.
หรือมี ความเลืA อมใสในสิA งทีA ควรเลืA อมใส เป็ นปทัฏฐาน
ลักษณะแห่งทานบารมีของมหาบุรุษผูม้ อี ัธยาศัยในทาน
(แบบอย่างในการให้ ทาน)
๑. มหาบุรุษตามปกติเป็ นผูม้ ีอธั ยาศัยในทาน ยินดีในทาน เมื.อมีไทยธรรมย่อมให้
ทีเดียว.
๒. ไม่เบืA อหน่ายจากการเป็ นผูม้ ีปกติแจกจ่ ายเนืองๆสมํ.าเสมอ มีความเบิกบาน
เอื1 อเฟื1 อให้มีความสนใจให้.
๓. ครั8นให้ ทานแม้ มากมาย ก็ยงั ไม่พอใจด้วยการให้ ไม่ตอ้ งพูดถึงให้นอ้ ยละ.
๔. เมืA อจะยังอุตสาหะให้ เกิดแก่ผ้ ูอนืA มหาบุรุษย่อมกล่าวถึงคุณในการให้ .
๕. แสดงธรรมปฏิสังยุตด้ วยการให้ .
๖. เห็นคนอืA นให้ แก่คนอืA นก็พอใจ.
๗. ให้ อภัยแก่คนอืA นในฐานะทีA เป็ นภัย.
๘. การพิจารณาเห็นโทษและอานิสงส์ ตามลําดับในการไม่บริจาคและการบริจาค
ข้ อเหล่านี8 เป็ นปั จจัยแห่งบารมี มีทานบารมี เป็ นต้ น
๑๓๒
วิธีพจิ ารณาโทษและอานิสงส์
ในการไม่บริจาคและการบริจาค มีดังต่อไปนี.
การนํามาซึA งความพินาศมากมายหลายอย่างนี8 คือ จากความเป็ นผู้ปรารถนามากด้ วย
วัตถุกามอันมีทดีA ินเป็ นต้ น ของสัตว์ท8งั หลายผู้มีใจหวงแหนข้ องอยู่ มีทดีA ิน สวน เงิน ทอง โค
กระบือ ทาสหญิง ทาสชาย บุตรภรรยาเป็ นต้ น จากความเป็ นสาธารณภัยมีราชภัย โจรภัยเป็ น
ต้ น จากการตั8งใจวิวาทกัน จากการเป็ นข้ าศึกกัน จากสิA งไม่มีแก่นสาร จากเหตุการเบียดเบียน
ผู้อืAน ในการได้ และการคุ้มครองนิมิตแห่งความพินาศ เพราะนํามาซึA งความพินาศหลายอย่าง
มีความโศกเป็ นต้ น และมีความไม่สามารถเป็ นเหตุ เพราะความเป็ นเหตุให้ เกิดในอบายของผู้
มีจิตหมกมุ่นอยู่ในมลทิน คือความตระหนีA ชืA อว่า ปริคคหวัตถุ คือวัตถุทหีA วงแหน. ควรทํา
ความไม่ประมาทในการบริจาคว่า การบริจาควัตถุเหล่านั8นเป็ นความสวัสดีอย่างเดียว.
อีกอย่างหนึA งพิจารณาว่า ผูข้ อเมื.อขอเป็ นผูค้ ุน้ เคยของเราเพราะบอกความลับของตน
เป็ นผูแ้ นะนําแก่เราว่า ท่านจงละสิ.งควรถึง ถือเอาของของตนไปสู่โลกหน้า เมืA อโลกถูกไฟ
คือมรณะเผา เหมือนเรือนถูกไฟเผาเป็ นสหายช่วยแบกของของเราออกไปจากโลกนั8น เมืA อเขา
ยังไม่แบกออกไปเขาก็ยังไม่เผา วางไว้ เป็ นกัลยาณมิตรอย่างยิA ง เพราะความเป็ นสหายใน
กรรมงาม คือทานและเพราะความเป็ นเหตุให้ ถงึ พุทธภูมิทไีA ด้ ยากอย่างยิA งเลิศกว่าสมบัตทิ 8งั ปวง.
อนึA ง พึงเข้ าไปตั8งความน้ อมในการบริจาคว่า ผู้น8 ียกย่องเราในกรรมอันยิA ง.
เพราะฉะนั8นควรทําความยกย่องนั8นให้ เป็ นความจริง. แม้ เขาไม่ขอเราก็ให้ เพราะชีวิตของเขา
แจ้ งชัดอยู่แล้ ว. ไม่ต้องพูดถึงขอละ. ผู้ขอมาแล้ วเองจากทีA เราแสวงหาด้ วยอัธยาศัยอันยิA ง ควร
ให้ ด้วยบุญของเรา. การอนุเคราะห์ของเรานี8โดยมุ่งถึงการให้ แก่ยาจก. เราควรอนุเคราะห์โลก
แม้ ท8งั หมดนี8เหมือนตัวเรา.
เมืA อยาจกไม่มี ทานบารมีของเราจะพึงเต็มได้ อย่างไร.เราควรยึดถือทั8งหมดไว้ เพืA อ
ประโยชน์แก่ยาจกเท่านั8น. เมืA อไรยาจกทั8งหลายไม่ขอเราพึงถือเอาของของเราไปเอง. เราพึง
เป็ นทีA รักและเป็ นทีA ชอบของยาจกทั8งหลายได้ อย่างไร. ยาจกเหล่านั8นพึงเป็ นทีA รัก เป็ นทีA ชอบใจ
ของเราได้ อย่างไร. เราเมืA อให้ กพ็ อใจ แม้ ให้ แล้ วก็ปลื8มใจ เกิดปี ติโสมนัสได้ อย่างไร. หรือ
ยาจกทั8งหลายของเราพึงเป็ นอย่างไร เราจึงจะเป็ นผู้มีอธั ยาศัยกว้ างขวาง. ยาจกไม่ขอเราจะรู้ใจ
ของยาจกทั8งหลายได้ อย่างไรแล้ วจึงให้ .
เมื.อทรัพย์มี ยาจกมี การไม่บริจาค เป็ นการหลอกลวงของเราอย่างใหญ่หลวง. เรา
พึงสละอวัยวะหรือชีวติ ของตนแก่ยาจกทั8งหลายได้ อย่างไร. อีกอย่างหนึA งควรทําจิตให้ เกิดขึ8น
๑๓๓
รายละเอียด เกี.ยวกับอามิสทาน
วัตถุทพระโพธิ
ีA สัตว์ควรให้ มี ๒ อย่าง คือ วัตถุภายนอก วัตถุภายใน
วัตถุภายนอกมี ๑๐ อย่าง คือ ข้ าว๑ นํา8 ๑ ผ้ า๑ ยาน๑ ดอกไม้ ๑ ของหอม๑ เครืA อง
ลูบไล้ ๑ ทีA นอน๑ ทีA อาศัย๑ ประทีป๑. บรรดาวัตถุมีข้าวเป็ นต้ น มีวตั ถุหลายอย่าง โดย
จําแนกของควรเคี8ยวและของควรบริโภคเป็ นต้ น.
อนึA ง วัตถุ ๖ อย่าง คือ รูปารมณ์จนถึงธรรมารมณ์. อนึA ง บรรดาวัตถุมีรปู ารมณ์เป็ นต้ น
วัตถุหลายอย่าง โดยการจําแนกเป็ นสีเขียวเป็ นต้ น. อนึA งวัตถุหลายอย่าง ด้ วยเครืA องอุปกรณ์อนั
ทําความปลาบปลื8มหลายชนิด มีแก้ วมณี กนก เงิน มุกดาประพาฬ นา ไร่ สวน ทาสหญิง
ทาสชาย โค กระบือ เป็ นต้ น.
ในวัตถุเหล่านั8นพระมหาบุรุษเมื.อจะให้วตั ถุภายนอก รู้ด้วยตนเองว่าจะให้ วตั ถุแก่
ผู้มีความต้องการ. แม้เขาไม่ขอก็ให้. ไม่ต้องพูดถึงขอละ. มีของให้ จึงให้ . ไม่มีของให้ ย่อม
ไม่ให้ .
๑๓๕
รายละเอียด เกี.ยวกับอภัยทาน
ส่วนอภัยทาน พึงทราบโดยความป้ องกันจากภัย ทีA ปรากฏแก่สตั ว์ท8งั หลาย จาก
พระราชา โจร ไฟ นํา8 ศัตรู สัตว์ร้ายมีราชสีห์ เสือโคร่งเป็ นต้ น.
รายละเอียด เกี.ยวกับธรรมทาน
ส่วนธรรมทาน ได้ แก่การแสดงธรรมไม่วปิ ริต แก่ผ้ ูมีจิตไม่เศร้ าหมอง. การชี8แจง
ประโยชน์อนั สมควร นําผู้ยังไม่เข้ าถึงศาสนาให้ เข้ าถึงผู้เข้ าถึงแล้ วให้ เจริญงอกงาม ด้ วยทิฏฐ
ธรรมิกประโยชน์ สัมปรายิกและปรมัตถประโยชน์.
ในการแสดงธรรมนั8น พึงทราบนัยโดยสังเขป ดังนี8ก่อน คือ ทานกถา ศีลกถา สัคค
กถา โทษและความเศร้ าหมองของกามและอานิสงส์ในการออกจากกาม. ส่วนโดยพิสดาร.
พึงทราบประดิษฐานและการทําให้ ผ่องแผ้ วในธรรมนั8นๆ ตามสมควร ด้ วยสามารถการ
ประกาศคุณของธรรมเหล่านั8น แก่ผ้ ูมีจิตน้ อมไปแล้ วในสาวกโพธิญาณ คือ การเข้ าถึงสรณะ
การสํารวมศีล ความคุ้มครองทวารในอินทรีย์ท8งั หลาย ความรู้จักประมาณในการบริโภค การ
ประกอบความเพียรเนืองๆ สัทธรรม ๗ การประกอบสมถะ ด้ วยการทํากรรมในอารมณ์ ๓๘
การประกอบวิปัสสนา ด้ วยหัวข้ อคือการยึดมัAนตามสมควรในการยึดมัAนวิปัสสนา ในรูปกาย
เป็ นต้ น. ปฏิปทาเพืA อความหมดจดอย่างนั8น การยึดถือความถูกต้ อง วิชชา ๓ อภิญญา ๖
ปฏิสมั ภิทา ๔ สาวกโพธิญาณ. อนึA งพึงทราบการประดิษฐาน การทําให้ ผ่องแผ้ วในญาณทั8ง
สอง ด้ วยการประกาศความเป็ นผู้มีอานุภาพมาก ของพระพุทธเจ้ าเหล่านั8น ในฐานะแม้ ๓
อย่าง โดยหัวข้ อประกาศ มีสภาวะลักษณะและรสเป็ นต้ น ของบารมีมีทานบารมีเป็ นต้ น ตาม
สมควรแก่สตั ว์ท8งั หลาย ผู้น้อมไปในปัจเจกโพธิญาณ และในสัมมาสัมโพธิญาณ. พระมหา
บุรุษย่อมให้ ธรรมทานแก่สตั ว์ท8งั หลาย ด้ วยประการฉะนี8.
อนึA ง พระมหาบุรุษเมืA อให้ อามิสทานแก่สตั ว์ท1 งั หลาย ย่อมให้ทานข้าวด้วยตั1งใจว่า
เราพึงยังสมบัติมีอายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณเป็ นต้น และสมบัติคอื ผลเลิศน่ารืA นรมย์ให้
สําเร็จแก่สัตว์ท8งั หลายด้ วยทานนี8.
อนึA ง ให้น1 าํ เพื.อระงับความกระหายคือกามกิเลสของสัตว์ท1 งั หลาย.
ให้ ผ้าเพืA อให้ ผวิ พรรณงาม และเพื.อให้สําเร็จเครื.องประดับคือหิริโอตตัปปะ.
ให้ ยานเพื.อให้สําเร็จอิทธิวิธี คือการแสดงฤทธิได้ และนิพพานสุข.
ให้ ของหอม เพื.อให้สําเร็จความหอมคือศีล.
ให้ ดอกไม้และเครื.องลูบไล้เพื.อให้สําเร็จความงามด้วยพุทธคุณ.
๑๓๘
๓. ย่อมให้ ทานโดยกาลอันควร
๔. เป็ นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ ทาน
๕. ย่อมให้ ทานไม่กระทบตนและผู้อนืA
ดูกรภิกษุท8งั หลาย สัตบุรุษครั8นให้ ทานด้ วยศรัทธาแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มAังคัAง มีทรัพย์มาก มี
โภคะมาก และเป็ นผู้มีรปู สวยงาม น่าดูน่าเลืA อมใสประกอบด้ วยผิวพรรณงามยิA งนัก ในทีA ททีA าน
นั8นเผล็ดผล (บังเกิดขึ8น) ครั8นให้ ทานโดยเคารพแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มAังคัAง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
และเป็ นผู้มีบตุ รภรรยา ทาสคนใช้ หรือคนงาน เป็ นผู้เชืA อฟัง เงีA ยโสตลงสดับคําสัAง ตั8งใจใคร่ร้ ใู น
ทีA ททีA านนั8นเผล็ดผล ครั8นให้ ทานโดยกาลอันควรแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มAังคัAง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
และย่อมเป็ นผู้มีความต้ องการทีA เกิดขึ8นตามกาลบริบูรณ์ ในทีA ททีA านนั8นเผล็ดผล
ครั8นเป็ นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ ทานแล้ วย่อมเป็ นผู้มAงั คัAง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และ
เป็ นผู้มีจิตน้ อมไปเพืA อบริโภคกามคุณ๕สูงยิA งขึ8นในทีA ททานนั
ีA 8นเผล็ดผล ครั8นให้ ทานไม่กระทบ
ตนและผู้อืAนแล้ ว ย่อมเป็ นผู้มAังคัAง มีทรัพย์มากมีโภคะมาก และย่อมเป็ นผู้มีโภคทรัพย์ไม่มี
ภยันตรายมาแต่ทไีA หนๆคือ จากไฟ จากนํา8 จากพระราชา จากโจร จากคนไม่เป็ นทีA รัก หรือจาก
ทายาทในทีA ททีA านนั8นเผล็ดผล ดูกรภิกษุท8งั หลายสัปปุริสทาน ๕ ประการนี8แล ฯ
กาลทาน
ดูกรภิกษุท8งั หลาย กาลทาน ๕ ประการนี8 ๕ ประการเป็ นไฉน คือ
๑. ทายกย่อมให้ ทานแก่ผ้ ูมาสู่ถนของตน
ิA
๒. ทายกย่อมให้ ทานแก่ผ้ ูเตรียมจะไป
๓. ทายกย่อมให้ ทานในสมัยข้ าวแพง
๔. ทายกย่อมให้ ข้าวใหม่แก่ผ้ ูมีศีล
๕. ทายกย่อมให้ ผลไม้ ใหม่แก่ผ้ ูมีศีล
ดูกรภิกษุท8งั หลาย กาลทาน๕ ประการนี8แล ฯ
ผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ ปราศจากความตระหนีA ย่อมให้ ทานในกาลทีA ควรให้ เพราะ
ผู้ให้ ทานตามกาลในพระอริยเจ้ าทั8งหลาย ผู้ปฏิบัติซืAอตรงผู้มีใจคงทีA เป็ นผู้มีใจผ่องใสทักขิณา
ทานจึงจะมีผลไพบูลย์ ชนเหล่าใดย่อมอนุโมทนาหรือช่วยเหลือในทักขิณาทานนั8น ทักขิณาทาน
นั8นย่อมไม่มีผลบกพร่อง เพราะการอนุโมทนาหรือการช่วยเหลือนั8นแม้ พวกทีA อนุโมทนาหรือ
ช่วยเหลือ ย่อมเป็ นผู้มสี ่วนแห่งบุญเพราะฉะนั8น ผู้มีจิตไม่ท้อถอยจึงควรให้ ทานในเขตทีA มีผล
มาก บุญทั8งหลายย่อมเป็ นทีA พึAงของสัตว์ท8งั หลายในปรโลก ฯ
๑๔๗
ทานวัตถุสตู ร
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ทานวัตถุ ๘ ประการนี8 ๘ ประการเป็ นไฉน คือ
๑. บางคนให้ ทานเพราะชอบพอกัน
๒. บางคนให้ ทานเพราะโกรธ
๓. บางคนให้ ทานเพราะหลง
๔. บางคนให้ ทานเพราะกลัว
๕. บางคนให้ ทานเพราะนึกว่าบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ มา
เคยทํามา เราไม่ควรให้ เสียวงศ์ตระกูลดั8งเดิม
๖. บางคนให้ ทานเพราะนึกว่า เราให้ ทานนี8แล้ ว เมืA อตายไปจักเข้ าถึงสุคติโลกสวรรค์
๗. บางคนให้ ทานเพราะนึกว่า เมืA อเราให้ ทานนี8 จิตใจย่อมเลืA อมใส
ความเบิกบานใจ ความดีใจ ย่อมเกิดตามลําดับ
๘. บางคนให้ ทานเพืA อประดับปรุงแต่งจิต
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ทานวัตถุ ๘ ประการนี8แล ฯ
ทักษิณาทานอันประกอบด้วยองค์ ๖
ทักษิณาทานอันประกอบด้ วยองค์ ๖ คือแบ่งออกเป็ นองค์ ๓ ของทายก และองค์ ๓
ของปฏิคาหก
องค์ ๓ ของทายก เป็ นไฉน ดูกรภิกษุท8งั หลาย ทายกในศาสนานี8
ก่อนให้ทาน เป็ นผู้ดีใจ ๑
กําลังให้ทานอยู่ย่อมยังจิตให้ เลืA อมใส ๑
ครั1นให้ทานแล้วย่อมปลื8มใจ๑นี8องค์ ๓ ของทายก
องค์ ๓ ของปฏิคาหกเป็ นไฉน
- ดูกรภิกษุท8งั หลาย ปฏิคาหกในศาสนานี8เป็ นผู้ปราศจากราคะ หรือปฏิบตั ิเพืA อกํา
จักราคะ ๑
- เป็ นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฏิบัติเพืA อกําจัดโทสะ ๑
- เป็ นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฏิบัติเพืA อกําจัดโมหะ ๑นี8องค์ ๓ ของปฏิคาหก
ทักษิณาที.เป็ นปาฏิปุคคลิกทาน มี ๑๔ อย่าง
ดูกรอานนท์ ก็ทกั ษิณาเป็ นปาฏิปุคคลิกทาน มี ๑๔ อย่าง คือ
๑. ให้ ทานในตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธ
๑๔๘
๒. ให้ ทานในพระปัจเจกสัมพุทธนี8
๓. ให้ ทานในสาวกของตถาคตผู้เป็ นพระอรหันต์
๔. ให้ ทาน ในท่านผู้ปฏิบตั เิ พืA อทําอรหัตผลให้ แจ้ ง
๕. ให้ ทานแก่พระอนาคามี
๖. ให้ ทานในท่านผู้ปฏิบัตเิ พืA อทําอนาคามิผลให้ แจ้ ง
๗. ให้ ทาน แก่พระสกทาคามี
๘. ให้ ทานในท่านผู้ปฏิบัตเิ พืA อทําสกทาคามิผลให้ แจ้ ง
๙. ให้ ทานในพระโสดาบัน
๑๐. ให้ ทานในท่านผู้ปฏิบัตเิ พืA อทําโสดาปัตติผลให้ แจ้ ง
๑๑. ให้ ทาน ในบุคคลภายนอกศาสนาผู้ปราศจากความกําหนัดในกาม
๑๒. ให้ ทานในบุคคลผู้มีศีลนอกศาสนา
๑๓. ให้ ทานในปุถุชนผู้ทุศีลนอกศาสนา
๑๔. ให้ ทานในสัตว์เดียรัจฉาน
ผลของทักษิณาทีเป็ นปาฏิปุคคลิก
ดูกรอานนท์ ใน ๑๔ ประการนั8น
บุคคลให้ ทานในสัตว์เดียรัจฉาน พึงหวังผลทักษิณาได้ ร้อยเท่า ให้ ทานในปุถุชนผู้ทุศลี พึง
หวังผลทักษิณาได้ พันเท่า ให้ ทานในปุถุชนผู้มีศลี พึงหวังผลทักษิณาได้ แสนเท่า ให้ ทานใน
บุคคลภายนอกผู้ปราศจากความกําหนัดในกามพึงหวังผลทักษิณาได้ แสนโกฏิเท่า ให้ ทานใน
ท่านผู้ปฏิบตั ิเพืA อทํา โสดาปัตติผลให้ แจ้ ง พึงหวังผลทักษิณาจนนับไม่ได้ จนประมาณไม่ได้ จะ
ป่ วยกล่าวไปไยในพระโสดาบัน ในท่านผู้ปฏิบัติเพืA อทําสกทาคามิผลให้ แจ้ ง ในพระสกทาคามี
ในท่านผู้ปฏิบตั ิเพืA อทําอนาคามิผลให้ แจ้ ง ในพระอนาคามี ในท่านผู้ปฏิบัตเิ พืA อทําอรหัตผลให้
แจ้ ง ในสาวกของตถาคตผู้เป็ นพระอรหันต์ ในพระปัจเจกสัมพุทธ และในตถาคตอรหันต
สัมมาสัมพุทธ ฯ
๑๔๙
ศีล
๑. อะไร คือ ศีล ?
เจตนา ชืA อว่า ศีล เจตสิก ชืA อว่า ศีล สังวรชืA อว่า ศีล
การไม่กา้ วล่วง ชืA อว่า ศีล
๑.๑ เจตนาศีล
ศีล คือ ธรรมทั8งหลายมี เจตนา (ความตั8งใจ) ของบุคคลทีA งดเว้ นจากบาปธรรม
(ทุจริตธรรม) มีปาณาติบาต เป็ นต้ น แล เจตนาของผู้ทบีA าํ เพ็ญวัตรปฏิบตั ิ (กิจหน้ าทีA ข้ อประพฤติ
ตามทําเนียม ทีA ควรกระทํา) ให้ บริบูรณ์ หรือ เจตนาในกุศลกรรมคือ กายสุจริต ๓ และวจีสจุ ริต
๔ เป็ นต้ น
๑.๒ เจตสิกศีล
ศีล คือ วิรตีเจตสิก(การงดเว้ นจากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต) ของบุคคลผู้งด
เว้ นจากบาปธรรมมีการฆ่าสัตว์เป็ นต้ น หรือ กุศลธรรมทั8งหลาย คือ ความไม่โลภ ความไม่
พยาบาท ความเห็นทีA ถูกต้ อง
๑.๓ สังวรศีล
ศีล คือ ความสํารวม การระวังปิ ดกั8นบาป อกุศลทั8งหลาย ทาง กายวาจา และใจมี ๕ประเภท
๑. ปาติโมกขสังวร(สํารวมในการไม่ล่วงศีล)
๒. สติสงั วร(สํารวมด้ วย สติ ในการดู,การฟั ง,การกิน เป็ นต้ น)
๓. ญาณสังวร (สํารวมด้ วยปั ญญา,สํารวมในการเสพปั จจัย๔)
๔. ขันติสงั วร (สํารวมด้ วยความอดทน)
๕. วิริยสังวร (สํารวมด้ วยความเพียรในการไม่ให้ ความคิดไม่ดีเกิด,การประกอบอาชีพทีA
บริสทุ ธิJ)
๑.๔ อวีตกมศีล
ศีล คือ การไม่ล่วงละเมิด ทีA เป็ นไปทางกายวาจาของบุคคลทีA สมาทานศีลแล้ ว
๒. ศีลมีลกั ษณะ กิจ อาการ และเหตุใกล้ ดังนี1
๒.๑ ศีล มีลกั ษณะ คือ ความปกติ ในความเป็ นผู้มีกริยาเรียบร้ อย สํารวมไม่
เกะกะฟุ้ งซ่าน (เช่นไม่ทาํ สิA งทีA เป็ นบาป ไร้ สาระ วางตัวดี พูดจาดี เป็ นต้ น) และเป็ นฐานทีA ต8ัง
มัAนรองรับกุศลธรรมทั8งหลาย เช่น สมาธิและวิปัสสนา.
๑๕๔
๒.๒ ผู้ทมีีA ศลี นั8นจะขจัดเสียซึA งความทุศีลมีความไม่สาํ รวม ทาง กาย วาจา ใจ และ
เป็ นผู้มคี ุณทีA หาโทษอันตนเองหรือผู้อนติ ืA เตียนมิได้ เป็ นกิจ .
๒.๓ ผู้มีศีลนั8นสังเกตได้ จากความเป็ นผู้มีกาย วาจา ใจ สะอาดเรียบร้ อยเป็ นผู้ทีA
ปราศจากความเดือดเนื8อร้ อนใจ และทําให้ มีสมาธิดี เป็ นอาการปรากฏ.
๒.๔ คุณธรรมทีA เป็ นเหตุใกล้ให้ เกิดศีลนั8นคือ หิริ (ความละอายต่อทุจริต)
โอตตัปปะ(ความเกรงกลัวต่อทุจริต) เพราะเมืA อบุคคลเมืA อมีความละอาย เกรงกลัวต่อทุจริต
ย่อม สมาทานศีลแล้ ว ศีลย่อมเกิดขึ8นและเพราะความละอายและเกรงต่อทุจริตนั8น จึงไม่ก้าว
ล่วงละเมิดศีล ศีลก็ยังมีอยู่
๓. เหตุท. ีทําให้ล่วงละเมิดศีลที.สมาทานไว้แล้ว
บุคคลบางคนในโลกนี8ย่อมล่วงสิกขาบทตามทีA ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุ ๕ อย่าง คือ
ศีลขาดเพราะลาภ, ศีลขาดเพราะยศ, ไม่มีศีลเพราะญาติ, ทําลายศีลเพราะอวัยวะ,
ศีลขาดเพราะชีวิต, เพราะมีเหตุ๕อย่างนี8ทาํ ให้ ล่วงศีล ศีลขาด จึงเรียกว่า ศีลมีทีA
สิ8นสุด(สปริยันตศีล)
ส่วนบุคคลใดผู้หนักแน่นยินดีในกุศลธรรม ไม่ยอมก้ าวล่วงศีล ด้ วย ลาภ ยศ ญาติ
อวัยวะ หรือ แม้ ด้วยชีวติ ศีลนี8เรียกว่าศีลไม่มีทสีA ดุ (อปริยันตศีล)
๔. ปาริสุทธิศีล ๔ ศีล คือความบริสทุ ธิJ ความประพฤติทบีA ริสทุ ธิJ
๔.๑ ปาฏิโมกขสังวรศีล (ศีลคือการสํารวมในปาฏิโมกข์ มาจาก คําว่า ปาฏิโมกข +
สังวร)
ศีลคือความสํารวมใน ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรืพระปาฏิโมกข์ เว้ นจากการประพฤติ
อนาจาร (สิA งทีA ไม่ควรกระทําดี เป็ นบาป ก่อให้ เกิดโทษ) และประพฤติตามในอาจาร(มารยาท ความ
ประพฤติทีAดี) เคร่งครัดในสิกขาบททั8งหลาย
คําว่า ปาฏิโมกข คือ สิกขาบทศีล เป็ นศีลทีA ค้ ุมครองผู้ทรีA ักษาศีลนั8นให้ พ้นจากทุกข์
ทั8งหลาย มีอบายทุกข์ เป็ นต้ น
คําว่า สังวร คือ ความระวังของการไม่ละเมิด ทางกาย วาจา เมืA อรวมกันคําว่า ปาฏิ
โมกขสังวร คือ ความระวังไม่ละเมิดสิกขาบทศีล ทางกาย วาจา
ภิกษุผ้ ูมปี าฏิโมกข์สงั วรแล้ วพึงเป็ นผู้ถงึ พร้ อมด้ วย อาจารและโคจร (พึงมีมารยาท
และความประพฤติวตั รทีA ดีงาม และ ย่อมคบหากับผู้ทมีA ีศรัทธาในพระพุทธศาสนา อันยัง
ประโยชน์มาให้ )
๑๕๕
กิริยาอาการที.พงึ งดเว้น
๑. การหลอกลวง (กุหนา) คือ การสยิ8วหน้ า การทํากริยาหลอกลวง การแกล้ งทํา
การวางท่า ของภิกษุผ้ ูต้องการลาภสักการะและคําสรรเสริญ ของผู้มีความ
ปรารถนาลามก เช่น แกล้ งใช้ จีวรเก่าๆ กินอาหารไม่ดี อยู่ทโีA ทรมๆ, บอกเป็ นนัย
ว่าตัวเองมีคุณวิเศษ, แต่ง ท่านัAง , ท่าเดิน เป็ นต้ น เพืA อต้ องการชืA อเสียงลาภ
ยศ
๒. การเลาะเล็ม (ลปนา) คือ พูดทัก เอาใจ ยกยอ ยกตน พูดให้ รัก พูดรับเลี8ยง
เด็ก ของภิกษุผ้ ู
ต้ องการลาภสักการะและคําสรรเสริญ ผู้มีความปรารถนาลามก เช่น พูดกะคนอืA น
ว่าตนเป็ นพระทีA ชาวบ้ านแถบนี8เลืA อมใส พูดชมโยมว่า โยมนีA เป็ นคนมีชืAอเสียงรํา
รวยเงินทอง เป็ นต้ น
๓. การทํานิมิต(เนมิตติกตา) คือ ทําท่าทางเป็ นนิมติ พูดเป็ นนัย พูดเลียบเคียงแก่
ผู้อืAน ของภิกษุผ้ ูต้องการลาภสักการะและคําสรรเสริญ ของผู้มีความปรารถนา
ลามก เช่น ถามว่าท่าได้ ของอะไรมา พูดอ้ อมไปออ้ อมมาเพืA อต้ องการปัจจัยนั8น
เป็ นต้ น
๔. การด่าแช่ง (นิปเปสิกตา) คือ พูดด่า พูดแช่ง พูดให้ ร้าย โพนทะนาโทษ ติ
เตียน ผู้อืAนของภิกษุผ้ ูต้องการลาภสักการะและคําสรรเสริญ ของผู้มีความ
ปรารถนาลามก เช่น พูดข่มว่าท่านนี8ช่างตระหนีA ไม่ยอมให้ ทาน พูดประชด
ประชันว่า “โยมนีA ใจกว้ างมากไม่ให้ ทานทีปีละครั8ง” เป็ นต้ น
๑๕๗
ศีล ๘
๑. เจตนางดเว้ นจากการฆ่าสัตว์
๒. เจตนางดเว้ นจากการลักทรัพย์
๓. เจตนางงดเว้ นจากอพรหมจรรย์
๔. เจตนางดเว้ นจากมุสาวาท
๕. เจตนางดเว้ นจากการดืA มนํา8 เมาคือ สุราและเมรัยอันเป็ นทีA ต8ังแห่งความประมาท
๖. เจตนางดเว้ นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. เจตนางดเว้ นจากการฟ้ อน การขับ การประโคมการดูการเล่นอันเป็ นข้ าศึก และ
การลูบ
ไล้ ทดั ทรงประดับดอกไม้ และของหอม อันเป็ นลักษณะแห่งการแต่งตัว
๘. เจตนางดเว้ นจากการนัAงการนอนบนทีA นAังทีA นอนใหญ่
ศีล๑๐
๑. เจตนางดเว้ นจากการฆ่าสัตว์
๒. เจตนางดเว้ นจาก การลักทรัพย์
๓. เจตนางดเว้ นจากอพรหมจรรย์
๑๕๙
• ลักษณะสังเกตความสมบูรณ์ของศีล
๑. ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล คือ ผู้มีศีล ผู้มีศีลไม่วิบัติ (ผู้ไม่ทาํ ลายสังวรโดยการ
สมาทาน)
๒. ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เพราะยังศีลให้ สาํ เร็จ โดยทําให้ บริสุทธิJบริบูรณ์.
๓. ความมีศีลสมบูรณ์ดี เพระมีความไม่ประมาทเป็ นเหตุ
• ลักษณะสังเกตความไม่มีศีล
ผู้ทุศีล คือ ผู้ไร้ ศลี ผู้มีศีลวิบัติ คือผู้ทาํ ลายสังวร ก็บุคคลผู้ไม่มีศลี นั8นมี ๒ อย่าง
คือ
๑. เพราะไม่สมาทาน
๒. เพราะทําลายศีลทีA สมาทานแล้ ว
ใน ๒ อย่างนั8น การไม่สมาทานมีโทษน้ อยกว่าการทําลายศีลมีโทษแรงกว่าเพราะมี
ความประมาทเป็ นเหตุ
๓. บุคคลผู้ถงึ พร้ อมด้ วยศีล ย่อมเป็ นผู้แกล้ วกล้ าไม่เก้ อเขินเมืA อเข้ าไปหาบริษัท คือ
ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดีบริษัท หรือ สมณบริษัท.
๔. บุคคลผู้มีศีล ผู้ถงึ พร้ อมด้ วยศีล ย่อมเป็ นผู้ไม่หลงใหลกระทํากาละ(ไม่หลงตาย)
๕. บุคคลผู้มีศีล ผู้ถงึ พร้ อมด้ วยศีล ย่อมเข้ าถึงสุคติโลกสวรรค์ เหมือนถูกเชิญมา
• โทษของการไม่มีศีล หรือศีลวิบตั ิ ๕ ประการ
๑. บุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติในโลกนี8 ย่อมเข้ าถึงความเสืA อมแห่งโภคะใหญ่ เพราะความ
ประมาทเป็ นเหตุ
๒. กิตติศัพท์อันลามกของบุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติ ขจรไปแล้ ว(ชืA อเสียงไม่ดี)
๓. บุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติเข้ าไปหาบริษัท คือ ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดี
บริษัท หรือ สมณบริษัท ย่อมไม่แกล้ วกล้ า เก้ อเขิน
๔. บุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติ ย่อมเป็ นผู้หลงใหลกระทํากาละ(หลงตายทําให้ ไปสู่อบาย)
๕. บุคคลผู้ทุศีลมีศลี วิบัติ เมืA อตายไป ย่อมเข้ าถึงอบายทุคติ วินิบาตนรก
นอกจากนี8บุคคลผู้มีศลี มีความประพฤติดี เช่นไม่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ค้ ายา เป็ นต้ น
พระราชา รัฐบาล เจ้ าหน้ าทีA ต่างๆ ย่อม จับเขามาประหาร จองจํา เนรเทศ หรือดําเนินคดี
ไม่ได้
ส่วนบุคคลทีA ฆ่ามนุษย์ ก่อการทะเละวิวาท ปล้ นจี8 ข่มขืน ปลอมเอกสาร เสพยาเสพ
ติด เมืA อเขาถูกจับได้ ย่อมถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย ซึA งนับว่าการไม่มีศีลนี8นาํ ความเดือดร้ อน
มาให้
ใน ศีล ๕ นั8น การประพฤติตามศีลแต่ละข้ อย่อมได้ อานิสงส์ทแีA ตกต่างกันไปแต่ละข้ อ
ดังนี8
• อานิสงส์แห่งการรักษาศีล
๑. การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ มีผลอย่างนี8เป็ นต้ น คือ
๑. ความเป็ นผู้สมบูรณ์ด้วยวัยวะน้ อยใหญ่
๒. ความถึงพร้ อมด้ วยส่วนสูงและส่วนกว้ าง
๓. ความถึงพร้ อมด้ วย เชาว์ไวไหวพริบ
๔. ความเป็ นผู้มีเท้ าตั8งอยู่เหมาะสม
๕. ความสวยงาม
๖. ความเป็ นผู้อ่อนโยน
๑๖๑
๗. ความสะอาด
๘. ความกล้ าหาญ
๙. ความเป็ นผู้มีกาํ ลังมาก
๑๐. ความเป็ นผู้มีถ้อยคําสละสลวย
๑๑. ความเป็ นผู้น่ารัก น่าพอใจ ของสัตว์ท8งั หลาย
๑๒. ความเป็ นผู้มีบริษัทไม่แตกแยกกัน
๑๓. ความเป็ นผู้ไม่สะดุ้งหวาดเสียว
๑๔. ความเป็ นผู้อนั ใคร ๆ กําจัดได้ ยาก
๑๕. ความเป็ นผู้ไม่ตายดับการปองร้ ายของผู้อนืA
๑๖. ความเป็ นผู้มีบริวารมาก
๑๗. ความเป็ นผู้มีผิวดังทอง
๑๘. ความเป็ นผู้มีทรวดทรงงาม
๑๙. ความเป็ นผู้มีอาพาธน้ อย
๒๐. ความเป็ นผู้ไม่เศร้ าโศก
๒๑. ความเป็ นผู้ไม่พลัดพราก จากของรักของชอบใจ
๒๒. ความเป็ นผู้มีอายุยืน.
๒. การงดเว้นจากการถือเอาสิ.งของที.เขามิได้ให้โดยการขโมย มีผลอย่างนี8
เป็ นต้ น คือ
๑. ความเป็ นผู้มีทรัพย์ และข้ าวเปลือกมาก
๒. ความเป็ นผู้มีโภคะ อเนกอนันต์
๓. ความเป็ นผู้มีโภคะยัAงยืน
๔. การได้ โภคทรัพย์ตามทีA ต้องการอย่างฉับพลัน
๕. การมีโภคะไม่ทAวั ไปกับพระราชาเป็ นต้ น
๖. ความเป็ นผู้มีโภคะโอฬาร
๗. ความเป็ นหัวหน้ าในทีA น8ัน ๆ
๘. ความเป็ นผู้ไม่ร้ ูจักคําว่าไม่มี
๙. ความเป็ นผู้อยู่อย่างสบาย
๑๖๒
๓. การงดเว้นจากการประพฤติผิดในกามและการประพฤติพรหมจรรย์
มีผลอย่างนี8เป็ นต้ น คือ
๑. ความเป็ นผู้ปราศจากข้ าศึกความเป็ นทีA รักเป็ นทีA พอใจของสรรพสัตว์
๒. ความเป็ นผู้มีปกติได้ ของต่าง ๆ เช่น ข้ าว นํา8 ผ้ า และวัตถุเครืA อง
ปกปิ ด
๓. การนอนหลับสบาย
๔. การตืA นขึ8นมาสบาย
๕. การพ้ นจากภัยในอบาย
๖. ความไม่ควรแก่การเกิดเป็ นหญิง เป็ นกะเทย
๗. ความเป็ นผู้ไม่โกรธ
๘. ความเป็ นผู้มีปกติทาํ จริง
๙. ความเป็ นผู้ไม่เก้ อเขิน
๑๐. ความเป็ นผู้มคี วามสุขด้ วยการรับเชิญ
๑๑. ความเป็ นผู้มีอนิ ทรียบ์ ริบูรณ์
๑๒. ความเป็ นผู้ปราศจากความระแวง
๑๓. ความเป็ นผู้มคี วามขวนขวายน้ อย
๑๔. ความเป็ นผู้อยู่อย่างเป็ นสุข
๑๕. ความเป็ นผู้ไม่มีภัยจากทีA ไหน ๆ
๑๖. ความเป็ นผู้ไม่มีการพลัดพรากจากของรัก
• ผลของอกุศลเจตนาล่วงอทินนาทาน
ส่วนผลของอกุศลเจตนาล่วงศีล๕แต่ละข้ อมีดังนี8
๑. ผลของอกุศลเจตนาล่วงปาณาติบาต
๑. อายุส8นั ๒. มีโรคมาก ๓. เป็ นคนทุพพลภาพ
๔. อ่อนแอ ๕. เฉืA อยชา ๖. รูปไม่งาม
๗. ปริวารพินาศ ๘. ถูกคนอืA นฆ่าหรือฆ่าตัวตาย
๙. เป็ นคนขี8ขลาด ๑๐. ถูกรังแก
๑๑. เป็ นทีA รังเกียจ ๑๒. มีคนปองร้ าย
๑๓. มีศัตรูมาก ๑๔. ประสบความทุกข์โศก
๑๕. พลัดพรากจากของรัก ๑๖. ลักษณะท่าทางไม่ดี
๒. ผลของอกุศลเจตนาล่วงอทินนาทาน
๑. เป็ นคนมีทรัพย์น้อยยากจน ๒. อดอยาก
๓. ไม่ได้ สมบัติทตีA ้ องการ ๔. การค้ าเสียหายไม่เจริญ
๕. มีทรัพย์กต็ ้ องพินาศไปเพราะภัย ๖. อยู่อย่างไม่สุขสบาย
๗. ไม่มีอยู่เป็ นนิจ ๘. มียศตําA
๓. ผลของอกุศลเจตนาล่วงกาเมสุมิจฉาจารและการประพฤติ
พรหมจรรย์
๑. เป็ นผู้มีศตั รูมาก ๒. เป็ นทีA เกลียดชังของชนทุกจําพวก
๓. ขัดสนลาภ ๔. นอนไม่เป็ นสุข
๕. ตืA นก็เป็ นทุกข์ ๖. ทําให้ เกิดเป็ นหญิงหรือกระเทย
๗. คนขี8ระแวง ๘. มีภัยมาก
๔. ผลของอกุศลเจตนาล่วงมุสาวาจา
๑. เป็ นคนพูดไม่ชัด ๒. มีฟันไม่เสมอกัน
๓. ปากเหม็น ๔. กายมีไอร้ อนผิดปกติ
๕. มีตาเหลือกโปน ๖. วาจาหยาบคาย
๗. ท่าทางไม่สง่างาม ๘. คําพูดไม่เป็ นทีA เชืA อถือ
๕. ผลของอกุศลเจตนาล่วงการดื.มสุราและเมรัย
๑. เป็ นคนบ้ า ๒. ปัญญาอ่อน
๓. เกียจคร้ าน ๔. ไม่มีสติ
๑๖๕
ศีล ๕ มีรายละเอียดดังนี1
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี (การงดเว้ นจากการฆ่าสัตว์)
ปาณาติปาตา เวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น จาก
ปาณาติบาต กิริยาไม่ทาํ ปาณาติบาต การไม่ทาํ ปาณาติบาต การไม่ล่วงละเมิดปาณาติบาต การ
ไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งปาณาติบาต การกําจัดต้ นเหตุแห่งปาณาติบาต ในขณะนั8น ของบุคคลผู้
งดเว้ นปาณาติบาต หรือการคิดอ่าน กิริยาทีA คดิ อ่าน ความคิดอ่านในขณะนั8น ของบุคคลผู้งด
เว้ นจากปาณาติบาต หรือ การประคองรักษาไว้ (ปัคคาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ)
ของบุคคลผู้งดเว้ นจากปาณาติบาต
วิเคราะห์เกียวกับศีลข้อ ปาณาติปาตาเวรมณี
ปาณาติปาต (กาฆ่าสัตว์) ในภาษาบาลี มาจากคําว่า ปาณ (สิA งมีชีวิต,ขันธสันดานทีA
เรียกกันว่าสัตว์ ) + อติปาต (การฆ่าสัตว์มีชีวิตให้ ล่วงตกไป) ขันธสันดานนั8นโดยปรมัตถ์ ได้ แก่
รูป-ชีวิตินทรีย์ และนามชีวิตินทรีย์ เมืA อรูปชีวิตินทรีย์ทบีA ุคคลทําให้ พินาศแล้ ว นามชีวติ ินทรีย์ก็
พินาศไปด้ วย เพราะนามชีวติ ินทรีย์ เนืA องกับรูปชีวติ ินทรีย์น8ัน.
๑๖๖
วิเคราะห์เกียวกับศีลข้อ อทินนาทาน
อทินนาทาน คือ การถือเอาของทีA เจ้ าของไม่ได้ ให้ การนําของผู้อืAนไป คือการลัก
ได้ แก่ความเป็ นขโมย คําว่า อทินนํ แปลว่า ของทีA คนอืA นหวงแหน
บุคคลใดเป็ นผู้ทาํ ตามชอบใจ ในของทีA ผ้ ูอืAนหวงแหน แม้ ไม่ควรได้ รับโทษทัณฑ์
และไม่ควรถูกตําหนิ ความตั8งใจลักของผู้ทมีA คี วามสําคัญในสิA งของทีA ผ้ ูอนหวงแหนนั
ืA 8น ว่าเป็ น
ของทีA ผ้ ูอืAนหวงแหน ทําความพยายามถือเอาสิA งของนั8นให้ เกิดขึ8น ชืA อว่า อทินนาทาน.
โทษของ อทินนาทาน
๑๗๐
สําหรับบรรพชิต มุสาวาททีA เป็ นไปแล้ วโดยนัยแห่งปูรณกถา ว่าวันนี8 ทีA บ้าน นํา8 มัน
เห็นจะไหลไปเหมือนแม่นาํ8 โดยประสงค์จะหัวเราะ เพราะได้ นาํ8 มัน หรือเนยใสนิดหน่อย ชืA อ
ว่ามีโทษน้ อยแต่เมืA อกล่าวถึงสิA งทีA ไม่ได้ เห็นเลยโดยนัยมีอาทิว่า ได้ เห็น มุสาวาทชืA อว่ามีโทษ
มาก
อนึA ง มุสาวาทชืA อว่ามีโทษน้ อย เพราะผู้ทตีA นหักรานประโยชน์มีคุณน้ อย ชืA อว่ามี
โทษมาก เพราะผู้ทตีA นหักรานประโยชน์มีโทษมาก และความทีA มุสาวาทมีโทษน้ อย หรือมี
โทษมาก จะมีได้ ก็ด้วยสามารถกิเลสอ่อนและแรงกล้ านัAนเอง.
องค์ของมุสาวาทนั.นมี ๔ คือ
๑. อตถํ วตถุ (เรืA องไม่จริง)
๒. วิสวํ าทนจิตตํ (จิตคิดจะพูดให้ ผิด)
๓. ตชโช วายาโม (ความพยายามอันเกิดแต่จิตนั8น)
๔. ปรสส ตทตถวิชานนํ (การให้ ผ้ ูอืAนเข้ าใจเนื8อความนั8น)
แม้ การให้ ผ้ ูอนเข้ ืA าใจเนื8อความนั8น พึงทราบว่าเป็ นองค์ (ประกอบ)ข้ อ๑ เพราะแม้
เมืA อทําประโยค กล่าวโดยประสงค์จะพูดให้ ผดิ เมืA อผู้อืAนไม่เข้ าใจเนื8อความนั8น การพูดให้ ผิด ก็
ไม่สาํ เร็จ (ความประสงค์)
ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า มุสาวาทมีองค์ประกอบ ๓ คือ อภูตวจนํ (พูดไม่
จริง) ๑ วิสวํ าทนจิตตํ (จิตคิดจะพูดให้ ผิด) ๑ ปรสส ตทตถวิชานนํ (การให้ ผ้ ูอืAนเข้ าใจ
เนื8อความนั8น) ๑ ก็ถ้าบุคคลอืA น พิจารณาแล้ วจึงรู้ความหมายนั8นเพราะรู้ได้ ช้า เจตนาทีA เป็ น
เหตุให้ กิริยาตั8งขึ8น ย่อมเกีA ยวเนืA องกับมุสาวาทกรรมในชัAวขณะนัAนเอง เพราะเจตนาทีA เป็ นเหตุ
ให้ ตกลงใจเป็ นไปแล้ ว.
ลักษณะอืนๆว่าโดย สภาพ, อารมณ์, เวทนา ,มูล, กรรม
โดยสภาพ เป็ น สภาวะของเจตนาอย่างเดียว โดยมูล มีโลภะโทสะและโมหะเป็ นมูล
โดยอารมณ์ มีสตั ว์บ้างหรือสังขารบ้ างเป็ นอารมณ์ โดยเวทนา มีเวทนา ๓
โดยกรรม เป็ นวจีกรรมอย่างเดียวทีA หักรานประโยชน์กเ็ ป็ นกรรมบถนอกนี8เป็ นกรรม
อย่างเดียว
๕. สุราเมรยมัชชปมาทฐานา เวรมณี (การงดเว้ นจากการดืA มสุราเมรัย)
สุราเมรยมัชชปมาทฐานาเวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การ
งดเว้ น จากการเสพสุราเมรัย กิริยาไม่ทาํ การเสพสุราเมรัย การไม่ทาํ การเสพสุราเมรัย การไม่
๑๗๖
อานิสงค์ของศีลแต่ละข้อมีดงั นี1
อานิสงค์ของการงดเว้นการบริโภคอาหารในยามวิกาล
๑. มีโรคน้ อย
๒. มีความลําบากน้ อย
๓. เนื8อตัวเบาคล่องแคล่ว
๔. แข็งแรง
๕ บรรเทาการติดรสอาหาร
๖. ไม่มีอาการแน่นท้ อง
อานิสงค์ของการงดเว้นจากการฟ้ อน การขับ การประโคม และการดูการเล่นอันเป็ น
ข้าศึกและ
การลูบไล้ทัดทรงประดับดอกไม้และของหอม อันเป็ นลักษณะแห่งการแต่งตัว
๑. ทําให้ มีเวลาขัดเกลาตนเอง มากขึ8น
๒.ไม่หมกมุ่นการบันเทิง
๓. บรรเทาความยินดีในการละเล่น และเครืA องแต่งตัว
๔. มีความประพฤติเบาสบาย
๑๗๙
อานิสงค์ของการงดเว้น จากการนังการนอนบนทีนังทีนอนใหญ่
๑. บรรเทาความยินดีในการนอน ๒.ช่วยในการปรารภความเพียร
๓. บรรเทาการติดในความสบาย ๔.บรรเทาการติดในสิA งทีA ประณีต
ลักษณะของศีลแต่ละข้อ
๖. วิกาลโภชนา เวรมณี (การงดเว้ นจากการบริโภคอาหารยามวิกาล)
วิกาลโภชนาเวรมณี คือ จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น จาก
การบริโภคอาหารยามวิกาล การไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งการบริโภคอาหาร ในขณะนั8น ของ
บุคคลผู้งดเว้ นการบริโภคอาหารยามวิกาล หรือ การคิดอ่าน กิริยาทีA คดิ อ่าน ความคิดอ่าน
ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นจากการบริโภคอาหารยามวิกาลหรือการประคองรักษาไว้ (ปัค
คาหะ) ความไม่หวัAนไหว (อวิกเขปะ) ของบุคคลผู้งดเว้ นจากการบริโภคอาหารยามวิกาล
วิกาลโภชนา ได้ แก่การบริโภคอาหารเมืA อล่วงเลยเวลาเทีA ยงตรง. การบริโภคอาหาร
เมืA อล่วงเลยเวลาเทีA ยงตรงนั8น ก็คือการบริโภคอาหารเมืA อล่วงเลยกาลทีA ทรงอนุญาตไว้ เพราะ
เหตุน8ัน
วิกาลโภชนาเวรมณี คือเจตนางดเว้ นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาลนั8น.
วิกาลโภชนา มีองค์ ๔คือ
๑. วิกาโล (เป็ นเวลาวิกาลคือตั8งแต่เทีA ยงวันไปแล้ ว)
๒. ยาวกาลิก ํ (เป็ นอาหารของกินทีA เป็ นไปชัAวกาลคืออนุญาตก่อนเทีA ยงวัน)
๓. อชฺโฌหรณํ (กลืนล่วงลําคอลงไป)
๔. อนุมมฺ ตฺตกตา (ไม่ใช่คนบ้ า)
๗.นจฺ จคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคัณฑวิเลปน ธารณมัณฑน วิภู
สนฏฐานา เวรมณี (การงดเว้ นจากการฟ้ อน การขับ การประโคม และการดูการเล่นอัน
เป็ นข้ าศึกข้ าพเจ้ าการลูบไล้ ทดั ทรงประดับดอกไม้ และของหอม อันเป็ นลักษณะแห่งการ
แต่งตัว)
นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนา มาลาคัณฑวิเลปน ธารณมัณฑน วิภสู นฏฐานา เวรมณี คือ
จิตทีA เกิดขึ8นในการงด การเว้ น การเลิกละ การงดเว้ น จากการขับร้ อง ดูการละเล่น และการ
แต่งตัว การไม่ล่วงเลยขอบเขตแห่งจากการขับร้ อง ดูการละเล่น และการแต่งตัว ในขณะนั8น
ของบุคคลผู้งดเว้ นจากการขับร้ อง ดูการละเล่น และการแต่งตัว หรือ การคิดอ่าน กิริยาทีA คดิ
อ่าน ความคิดอ่าน ในขณะนั8น ของบุคคลผู้งดเว้ นจากจากการขับร้ อง ดูการละเล่น และการ
๑๘๐
การขาดของศีล
สําหรับคฤหัสถ์ เมื.อศีลข้อหนึ.งขาด ก็ขาดข้อเดียวเท่านั1น เพราะศีลของ
คฤหัสถ์เหล่านั8น ย่อมจะสมบูรณ์อีกด้ วยการสมาทานศีลนั8นเท่านั8น สําหรับบรรพชิต เมื.อล่วง
ละเมิดสิกขาบทเดียว ก็ขาดทั1งหมด.
อาจารย์อกี พวกหนึA งกล่าวว่าบรรดาศีลทีA คฤหัสถ์สมาทานเป็ นข้ อ ๆ เมืA อศีลข้ อหนึA ง
ขาด ก็ขาดข้ อเดียวเท่านั8น เพราะศีลข้ ออืA นทีA สมาทานไม่ขาด แต่บรรดาศีลทีA คฤหัสถ์สมาทาน
รวมกันอย่างนี8ว่า ข้ าพเจ้ าสมาทานศีล ทีA ประกอบด้ วยองค์ ๕ ดังนี8 เมืA อศีลข้ อหนึA งขาด ศีล
แม้ ทเีA หลือ ก็เป็ นอันขาดหมดทุกข้ อ ด้ วยศีลทีA คฤหัสถ์ล่วงละเมิดนัAนแล ก็มีความผูกพันด้ วย
กรรม
*สภาพจิตในขณะรักษาศีลนั8น อาจมีความรู้สึกยินดีหรือเฉยๆในการรักษาศีล ขึ8นอยู่
กับข้ อมูลและความเข้ าใจในการฝึ กฝน ทั8งนี8 การรักษาศีลอาจเกิดจากการ กระตุ้นโดยการ
ชักชวนชี8นาํ ของผู้อนืA และสภาพแวดล้ อม โดย อาจเกิดขึ8นมาจากปัญญาทีA เข้ าใจในเหตุผลว่า
ทําไมจึงต้ องรักษาศีล หรือความเคยชินในศีลนั8น การฝึ กปฏิบตั ิมาเป็ นเวลานานนั8นมีส่วนช่วย
ให้ การักษาศีลได้ ดีข8 ึน
*************
มารยาท ความประพฤติ วัตรที.ดีงาม
มารยาท ความประพฤติ ทีA ดีงาม นั8นก็คือ กริยา วาจา ทีA ถือว่าเรียบร้ อย น่ารักน่า
เลืA อมใส เป็ นธรรมเนียม หลักปฏิบัติ ทีA ควรทํา เพืA อก่อให้ เกิดประโยชน์ต่อตนเองในการทีA จะ
รู้จักใช้ ชีวิตให้ ถูกต้ องดีงาม ปฏิบัติตามหน้ าทีA ของตนเองได้ อย่างเหมาะสม
ทิศ ๖
หน้ าทีA หลักการวางตัวต่อบุคคลในระดับต่างๆกันได้ อย่างเหมาะสมทีA เปรียบกับทิศทั8ง
๖ ดังนี8
๑. ทิศเบื8องหน้ าคือ มารดาบิดา ๔. ทิศเบื8องซ้ ายคือมิตรและอํามาตย์
๒. ทิศเบื8องขวาคือ อาจารย์ ๕. ทิศเบื8องตําA คือทาสและกรรมกร
๓. ทิศเบื8องหลังคือ บุตรและภรรยา ๖. ทิศเบื8องบนคือ สมณพราหมณ์
๑. ทิศเบื. องหน้าคือ มารดาบิดา (เพราะเป็ นผู้มอี ุปการก่อน)
บุตรพึงบํารุง มารดาบิดาผู้เป็ นทิศเบื8องหน้ า อันด้ วยสถาน๕ คือ
๑. ท่านเลี8ยงเรามา เราจักเลี8ยงท่านตอบ (บิดามารดาเลี8ยงดูเรามาแต่ เล็ก เราก็ดูแลท่าเมืA อ
ท่านแก่ เฒ่ า)
๒. ช่วยทํากิจของท่าน (ช่วยทํางานแทนบิดามารดา เป็ นต้ น)
๓. ดํารงวงศ์สกุล (ไม่ทาํ เสืA อมเสียชืA อตระกูล ดูแลทรัพย์ไม่ให้ พินาศ เป็ นต้ น)
๔. ปฏิบัตติ นให้ เป็ นผู้สมควรรับทรัพย์มรดก (ประพฤติตัวดีอยู่ในโอวาท)
๕. เมืA อท่านล่วงลับไปแล้ ว ทําบุญอุทศิ ให้ ท่าน (ทําทานแล้ วแผ่ส่วนบุญไปให้ )
มารดาบิดาอันบุตรบํารุงด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8แล้ วย่อมอนุเคราะห์บุตรด้ วยสถาน ๕ คือ
๑. ห้ ามจากความชัAว (ห้ ามปรามมิให้ ทาํ ชัAวเช่นทําผิดศีลธรรม)
๒. ให้ ต8ังอยู่ในความดี (สอนให้ ทาํ ความดีมีคุณธรรม รู้จักให้ แบ่งปัน มีศีลรู้จักฟัง
ธรรม)
๓. ให้ ศึกษาศิลปวิทยา (ให้ มีการศึกษาเพืA อใช้ ประกอบอาชีพและตั8งตนได้ )
๔. หาคู่ครองทีA สมควรให้ (หาคู่ครองทีA สมควรด้ วย ตระกูล ศีลและรูป เป็ นต้ น)
๕. มอบทรัพย์ให้ ในโอกาสอันควร (เช่นให้ เงินค่าขนม หรือค่าทําบุญเป็ นต้ น)
๑๘๕
๓. ไม่ประพฤตินอกใจผัว
๔. รักษาทรัพย์ทผีA ัวหามาได้ (รู้จักใชจ่ายทรัพย์ในบ้ าน)
๕. ขยันไม่เกียจคร้ านในกิจการทั8งปวง
ภรรยาผู้เป็ นทิศเบื8องหลังอันสามีบาํ รุงด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8แล้ ว ย่อมอนุเคราะห์สามี
ด้ วยสถาน ๕ เหล่านี8 ทิศเบื8องหลังนั8น ชืA อว่าอันสามีปกปิ ดให้ เกษมสําราญให้ ไม่มีภัยด้ วย
ประการฉะนี8
อบายมุข ๖
ทางเสื.อมแห่งโภคะ ๖
อบายมุข คือ เป็ นการกระทําอันเป็ นทีA ต8ังแห่งความประมาทนําไปสู่ความฉิบหาย มี ๖
คือ
๑.การดื.มนํ1าเมาคือสุราและเมรัย อันมีโทษคือเกิดความเสืA อมทรัพย์อันผู้ดืAมพึงเห็น
เอง ก่อการทะเลาะวิวาท เป็ นบ่อเกิดแห่งโรค เสียชืA อเสียง ทําให้ ไม่ร้ จู ักละอาย เป็ นเหตุ
ทอนกําลังปัญญา
๒. การเที.ยวไปในตรอกต่างๆ ในกลางคืน อันมีโทษคือไม่ค้ ุมครอง ไม่รักษาตัว และ
บุตรภรรยา ไม่ค้ ุมครองรักษาทรัพย์สมบัติ ๑ เป็ นทีA ระแวงของคนอืA น ๑ คําพูดอันไม่เป็ นจริง
ในทีA น8ันๆ ย่อมปรากฏในผู้น8ัน ๑อันเหตุแห่งทุกข์เป็ นอันมากแวดล้ อม
๓. การเที.ยวดูมหรสพ มีโทษคือเมืA อมีการรํา ขับร้ องเพลงทีA ไหนก็ไปทีA นAัน ติดละคร
ทําให้ เสียการงาน
๔.การพนัน อันมีโทษคือ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ ย่อมเสียดายทรัพย์ทเีA สียไป คําพูดฟัง
ไม่ข8 ึน ถูกมิตรอมาตย์หมิA นประมาท ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้ วย
๕.การคบคนชั.วเป็ นมิตร อันมีโทษคือชักชวนในทางทีA ไม่ดีคือ นําให้ เป็ น นักเลงการ
พนัน นักเลงเจ้ าชู้ นักเลงเหล้ า คนลวงผู้อนด้ ืA วยของปลอม คนโกงเขาซึA งหน้ า คนหัวไม้
๖.ความเกียจคร้าน อันมีโทษคือ มักให้ อ้างว่าหนาวนัก ร้ อนนัก เวลาเย็นแล้ ว ยังเช้ า
อยู่ หิว กระหายแล้ วไม่ทาํ การงาน เมืA อเขามากไปด้ วยการอ้ างเลศ ผลัดเพี8ยนการงานอยู่อย่างนี8
โภคะทีA ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ8น ทีA เกิดขึ8นแล้ วก็ถึงความสิ8นไป
จักร ๔
ดูกรภิกษุท8งั หลาย จักร๔ประการนี8 เป็ นเครืA องเป็ นไปแก่มนุษย์และเทวดาผู้ประกอบ
เป็ นเครืA องทีA มนุษย์และเทวดาประกอบแล้ ว ย่อมถึงความเป็ นผู้ใหญ่ (และ) ความไพบูลย์ใน
โภคะทั8งหลาย ต่อกาลไม่นานนักจักร ๔ ประการ คือ
๑. ปฏิรูปเทสวาสะ(การอยู่ในถิA นทีA เหมาะ)
๑๘๙
สังคหวัตถุ ๔
สังคหวัตถุ ๔ เป็ นธรรมเครืA องสงเคราะห์โลก ประดุจสลักเพลาควบคุมรถทีA แล่นไป
อยู่ไว้ ได้ ฉะนั8น ถ้ าธรรมเครืA องสงเคราะห์เหล่านี8 ไม่มีไซร้ มารดาหรือบิดาก็จะไม่ พึงได้ ความ
นับถือหรือบูชาจากบุตร เมืA อผู้ปฏิบัติธรรมเครืA องสงเคราะห์เหล่านี8 พวกเขาจึงจะได้ ถงึ ความ
เป็ นใหญ่ และเป็ นทีA น่าสรรเสริญ ทั8งธรรมนี8ยังเป็ นเครืA องยึดเหนีA ยวนํา8 ใจกัน
สังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ ทาน ปิ ยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา
๑. ทาน การให้ แบ่งปั น เสียสละสงเคราะห์ด้วยปัจจัย๔ ตลอดจนวิชาความรู้
๒. ปิ ยวาจา ความเป็ นผู้มีวาจาน่ารัก พูดจาสุภาพ มีประโยชน์ สมานสามัคคี มีเหตุผล
น่านับถือ
๓. อัตถจริยา ความประพฤติประโยชน์ ช่วยเหลือผู้อืAน บําเพ็ญสาธารณประโยชน์
๔. สมานัตตา ความเป็ นผู้วางตนเสมอต้ นเสมอปลาย ทําตัวให้ เข้ ากับผู้อนืA ได้ ให้
ความเสมอภาคแก่คนทั8งหลาย ไม่เอาเปรียบ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมแก้ ไขปัญหา
บุคคลบางพวกเป็ นผู้ควรสงเคราะห์ ด้ วยการให้ ทาน พึงยึดเหนีA ยวจิตใจเขาด้ วยการ
ให้ ปัน ส่วน คนบางคนไม่ต้องการทาน แต่ต้องการคํากล่าววาจาน่ารักประกอบด้ วยประโยชน์
พึงสงเคราะห์เขาด้ วยการกล่าวปิ ยวาจาบางคนไม่ต้องการทานและปิ ยวาจา แต่หวังการ
๑๙๐
อุบาสกธรรม ๗
ธรรม เพืA อความ เป็ นอุบาสก อุบาสิกา ในพระศาสนา
๑. ไม่ขาดการเยีA ยมเยียนภิกษุ รู้จักเข้ าวัด ไม่ กลัวพระภิกษุโดยเฉพาะพระทีA ชอบกล่าวธรรมะ
๒. ไม่ละเลยการฟังธรรม เข้ าหาพระทีA สอนธรรมเพืA อฟั งธรรม
๓. ศึกษาในอธิศลี รักษาศีล๕ ศีล๘ เป็ นประจํา
๔. มากด้ วยความเลืA อมใสในภิกษุท8งั ทีA เป็ นเถระ ทั8งเป็ นผู้ใหม่ท8งั ปานกลาง
๕.ไม่ต8ังจิตติเตียน ไม่คอยเพ่งโทษฟังธรรม ฟังธรรมเน้ นจับผิดเพืA อนําไปต่อว่าเพราะมีวาระ
ซ่อนเร้ น
๖. ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี8 ชอบหาทําบุญกับพวกดูดวง ไหว้ เจ้ า หลอกให้ งมงาย
ต่างๆ
๗. กระทําสักการะก่อนในเขตบุญในศาสนานี8 ให้ ความสําคัญในการทําบุญในพระศาสนาก่อน
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ธรรม ๗ ประการนี8แลย่อมเป็ นไปเพืA อความไม่เสืA อมแก่อบุ าสก ฯ
วัตรบท ๗
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ท้าวสักกะจอมเทพ เมืA อยังเป็ นมนุษย์อยู่ในกาลก่อน ได้ สมาทาน
วัตรบท ๗ ประการนี8บริบูรณ์ เพราะเป็ นผู้สมาทานวัตรบท ๗ ประการดังนี8 จึงได้ ถึงความเป็ น
ท้ าวสักกะ ฯ
วัตรบท ๗ ประการ คือ
๑. พึงเลี8ยงมารดาบิดาจนตลอดชีวิต
๒. พึงประพฤติอ่อนน้ อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลจนตลอดชีวติ
๓. พึงพูดวาจาอ่อนหวานตลอดชีวติ
๔. ไม่พึงพูดวาจาส่อเสียดตลอดชีวติ
๕. พึงมีใจปราศจากความตระหนีA อันเป็ นมลทินอยู่ครองเรือน มีการบริจาคอันปล่อย
แล้ ว มี
ฝ่ ามืออันชุ่มยินดีในการสละควรแก่การขอ ยินดีในการแจกจ่ายทานตลอดชีวติ
๑๙๑
๖. พึงพูดคําสัตย์ตลอดชีวิต
๗. ไม่พึงโกรธตลอดชีวิต ถ้ าความโกรธพึงเกิดขึ8น พึงกําจัดมันเสียโดยฉับพลัน
ทีเดียว
นรชน ผู้เป็ นบุคคลเลี8ยงมารดาบิดามีปรกติประพฤติอ่อนน้ อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
เจรจาอ่อนหวาน กล่าวแต่คาํ สมานมิตรสหาย ละคําส่อเสียด ประกอบในอุบายเป็ นเครืA องกําจัด
ความตระหนีA มีวาจาสัตย์ ครอบงําความโกรธได้ นั8นแลว่า เป็ นสัปบุรุษดังนี8
บุญกิริยาวัตถุ ๑๐
บุญกิริยาวัตถุคือ ทีA ต8ังแห่งการทําบุญ ,ทางทําความดี
๑ทานมัย ทําบุญด้ วยการให้ ปันทรัพย์สิAงของ
๒ ศีลมัย ทําบุญด้ วยการรักษาศีล หรือประพฤติดปี ฏิบัติชอบ
๓ ภาวนามัย ทําบุญด้ วยการเจริญภาวนา คือฝึ กอบรมจิตใจให้ เจริญด้ วยสมาธิ และ
ปัญญา
๔ อปจายมัย ทําบุญด้ วยการประพฤติสภุ าพอ่อนน้ อม
๕ เวยยาวัจจมัย ทําบุญด้ วยการขวนขวายช่วยเหลือบําเพ็ญประโยชน์
๖ ปัตติทานมัย ทําบุญด้ วยการให้ ผ้ ูอนมี ืA ส่วนร่วมในการทําความดี (การให้ ส่วนบุญ)
๗ ปัตตานุโมทนามัย ทําบุญด้ วยการพลอยยินดีในการทําความดีของผู้อนืA (การ
อนุโมทนาส่วนบุญ)
๘ ธัมมัสสวนมัย ทําบุญด้ วยการฟังธรรมศึกษาความรู้ทปีA ราศจากโทษ
๙ ธัมมเทสนามัย ทําบุญด้ วยการสัAงสอนธรรมให้ ความรู้ทเป็ ีA นประโยชน์
๑๐ ทิฏUุชุกรรม ทําบุญด้ วยการทําความเห็นให้ ถูกต้ อง มองสิA งทั8งหลายตามความ
เป็ นจริง
ศีล ๕ มหาทานอันให้ผลเลิศ
ดูกรภิกษุท8งั หลาย ทาน ๕ ประการนี8 เป็ นมหาทาน อันบัณฑิตพึงรู้ว่าเป็ นเลิศ มีมา
นาน เป็ นเชื8อสาย เป็ นของเก่า ทีA ไม่ถูกทอดทิ8งไม่เคยถูกทอดทิ8ง อันบัณฑิตไม่ทอดทิ8ง และจัก
ไม่ทอดทิ8ง อันสมณพราหมณ์ผ้ ูเป็ นวิญ^ูไม่คัดค้ าน ทาน ๕ ประการเป็ นไฉนดูกรภิกษุท8งั หลาย
อริยสาวกในธรรมวินัยนี8 เป็ นผู้ละปาณาติบาต งดเว้ นจากปาณาติบาต
อริยสาวกผู้งดเว้ นจากปาณาติบาต ชืA อว่าให้ ความไม่มีภัย ความไม่มีเวรความไม่
เบียดเบียน แก่สตั ว์หาประมาณมิได้ ครั8นให้ ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียน
๑๙๒
วิสาขสูตร
อานิสงค์อันเลิศของการรักษาศีล ๘
สมัยหนึA ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ บุพพาราม ปราสาทของมิคารมารดาใกล้
พระนครสาวัตถี ครั8งนั8นแล นางวิสาขามิคารมารดา เข้ าไปเฝ้ าพระผู้มีพระภาคถึงทีA ประทับ
ถวายบังคมแล้ วนัAง ณ ทีA ควรส่วนข้ างหนึA ง พระผู้มีพระภาคได้ ตรัสว่า ดูกรวิสาขา อุโบสถอัน
ประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการบุคคลเข้ าอยู่แล้ ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรือง
มาก มีความแพร่หลายมาก ดูกรวิสาขา ก็อุโบสถอันประกอบด้ วยองค์ ๘ ประการ บุคคลเข้ า
อยู่แล้ วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก มีความแพร่หลายมาก ดูกร
วิสาขาอริยสาวกในธรรมวินัยนี8 ตระหนักชัดดังนี8ว่า พระอรหันต์ท8งั หลายละปาณาติบาต งดเว้ น
จากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศาตรา มีความละอายเอื8อเอ็นดูอนุเคราะห์เกื8อกูลสรรพสัตว์
อยู่ตลอดชีวติ ในวันนี8แม้ เราก็ละปาณาติบาต งดเว้ นจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศาตรามี
ความละอายเอื8อเอ็นดู อนุเคราะห์เกื8อกูลสรรพสัตว์อยู่ ตลอดคืนและวันนี8 เราชืA อว่ากระทําตาม
๑๙๔
อปมาทคาถา เพื.อความไม่ประมาท
ความเกิดเป็ นเหตุเพียงอย่างเดียวเพืA อถึงความตายอันแน่นอนในหมู่สตั ว์ เหล่าสัตว์
ย่อมบรรลุความตายในภพสามแน่นอน ท่านทั8งหลายจงขจัดความยินดีในทรัพย์และชีวิตเถิดไม่
มีใครเลยทีA ดาํ รงอยู่ในโลกได้ ตลอดกาล โชคลาภ สมบัตินานัปการ ความงามด้ วยรูปกาย มิตร
สหาย บุตรธิดาและ ภรรยาทั8งหมด สิA งไหนเล่าจะติดตามใครผู้ย่างสู่ความตายได้ พรหม เทพ
และเหล่าอสูรผู้มีฤทธ์มาก กับทั8งชนทั8งชนทุกเหล่าย่อมตกไปในเปลวไฟคือความตายในทีA สดุ
แม้ พระพุทธเจ้ าผู้มีพระเนตรงามหมดจดดัAงบัวบาน มีพระรูปกายบรรเจิดด้ วยพระลักษณะ๓๒
ทรงกําจัดอาสวทั8งปวงแล้ วก็ถูก พญามฤตยูยาAํ ยีแล้ ว ความตาย ปราศจากความการุณย์ในคนไข้
คนแก่ และเด็กน้ อย มันฆ่าชาวโลกอยู่เสมอ
ชลาศัยย่อมไม่เต็มด้ วยนํา8 ไฟ ไม่อมิA ด้ วยฟื น ฉันใด มัจจุราชผู้ปราศจากความเอ็นดู
แม้ กลืนกินโลกสามทั8งสิ8นแล้ วก็ไม่เข้ าถึงความอิA มใจเลย ฉันนั8น ชาวโลกผู้ไร้ อาํ นาจขาดบุญ
เพราะถูกความหลงครอบงํา ย่อมตกไปสู่ปากแห่งมัจจุราชอันน่าสะพรึงกลัว คนเขลาย่อมสวง
หาความเพลิดเพลินในสมบัติพัสถานอันเปรียบเหมือนความฝัน ไม่ยAังยืนเหมือนชิงช้ าและ
ระลอกคลืA นทีA แกว่งไปมา ใครเล่าผู้เกิดแล้ วไปตามความแก่และความตายอยู่เสมอ จะพึงทํา
ความต้ องการในชีวติ และทรัพย์อนั เหมือนการพบเห็นในยามฝัน ความแก่ย่อมนํารูปทีA น่ารักยิA ง
ให้ เศร้ าหมอง โรคร้ ายย่อมขจัดเรีA ยวแรงทั8งหมดในร่างกาย ความตายย่อมฉุดคร่า อัตภาพทีA
บํารุงรักษาด้ วยเครืA องใช้ สอยนานัปการท่านทั8งหลายผู้ตกลงไปในห้ วงทะเลคือ สงสารอันกว้ าง
ใหญ่ ซึA งมีคลืA น คือโรคภัย และพายุคือกรรมพัดพาไป อย่ามัวประมาทอยู่จงแสวงหาความหลุด
พ้ น ความประมาทเป็ นบ่อเกิดแห่งทุกข์ของชนทั8งหลายมิใช่หรือ ทรัพย์สมบัติ ญาติมติ ร บุตร
ธิดา คนใช้ และภริยาสามีทรีA ักปานชีวิต พร้ อมด้ วยบ้ านทีA ดิน ทั8งหมดนั8นย่อมไม่ตดิ ตามผู้ทจีA าก
๑๙๘
คาถาธรรมบท พาลวรรค
คาถาธรรมบท บัณฑิตวรรค
ข้ า พเจ้ า ขอนมั ส การด้ ว ยเศี ย รเกล้ า ซึA งพระสุค ตผู้ พ้ น คติ ๕ คื อ นิ ร ยคติ เปตคติ
ติรัจฉานคติ มนุสสคติ เทวคติ มี พระทัยเยือกเย็นด้ วยพระกรุณา มีความมืดคือโมหะอันดวง
ประทีปคือปั ญญาขจัดแล้ วทรงเป็ นครูของโลกพร้ อมทั8งมนุ ษย์และเทวดา.ก็พระพุทธเจ้ าทรง
อบรม และทรงทําให้ แจ้ ง ซึA ง ความเป็ นพระพุทธเจ้ า ทรงบรรลุพระธรรมใดทีA ปราศจากมลทิน
ข้ าพเจ้ าขอนมัสการด้ วยเศียรเกล้ า ซึA งพระธรรมนั8น อันยอดเยีA ยม. ข้ า พเจ้ า ขอนมัส การ
ด้ วยเศียรเกล้ า ซึA งพระอริยสงฆ์หมู่โอรสของพระสุคตเจ้ า ผู้ยาAํ ยีกองทัพมาร.
บุคคลพึงเห็นบุคคลใดผู้มักชี8โทษ เหมือนบุคคลผู้บอกขุมทรัพย์ มักกล่ าวข่มขีA มีปัญญา
พึงคบ
บุคคลผู้เป็ นบัณฑิตเช่นนั8น เพราะว่าเมืA อคบบัณฑิตเช่นนั8น มีแต่คุณทีประเสริฐโทษทีA ลามกย่อม
ไม่มี บุคคลพึงกล่าวสอน พึงพรําA สอนและพึงห้ ามจากธรรมของอสัตบุรุษ ก็บุคคลนั8น ย่อมเป็ น
ทีA รักของสัตบุรุษทั8งหลาย แต่ไม่เป็ นทีA รักของพวกอสัตบุรุษบุคคลไม่ควรคบมิตรเลวทราม ไม่
ควรคบบุรุษอาธรรม์ ควรคบมิตรดี ควรคบบุรุษสูงสุด บุคคลผู้อิAมเอิบในธรรมมีใจผ่องใสแล้ ว
ย่อมอยู่เป็ นสุข
บัณฑิตย่อมยินดีในธรรมทีA พระอริยเจ้ าประกาศแล้ วทุกเมืA อ ก็พวกคนไขนํา8 ย่อมไขนํา8 ไป
พวกช่างศรย่อมดัดลูกศร พวกช่างถากย่อมถากไม้ บัณฑิตทั8งหลายย่อมฝึ กฝนตน ภูเขาหินล้ วน
เป็ นแท่งทึบย่ อมไม่ หวัAนไหวเพราะลมฉันใด บัณฑิตทั8งหลายย่อมไม่หวัAนไหวเพราะนินทาและ
สรรเสริญ ฉันนั8น ห้ วงนํา8 ลึกใสไม่ขุ่นมัว แม้ ฉันใด บัณฑิตย์ท8ังหลายฟั งธรรมแล้ วย่ อมผ่องใส
ฉันนั8นสัตบุรุษทั8งหลายย่อมเว้ นในธรรมทั8งปวงโดยแท้ สัตบุรษุ ทั8งหลายหาใคร่กามบ่นไม่
บัณฑิตทั8งหลายผู้อนั สุขหรือทุกข์ถูกต้ องแล้ ว ย่อมไม่แสดงอาการสูงๆ ตําA ๆ บัณฑิตย่อม
ไม่ทาํ บาปเพราะเหตุแห่งตน ไม่ทาํ บาป เพราะเหตุแห่ งผู้อืAน ไม่พึงปรารถนาบุตร ไม่ พึง
ปรารถนาทรัพย์ ไม่พึงปรารถนาแว่นแคว้ น ไม่พึงปรารถนาความสําเร็จแก่ตนโดยไม่ชอบธรรม
บัณฑิตนั8นพึงเป็ นผู้มีศีลมีปัญญา ประกอบด้ วยธรรม ในหมู่มนุษย์ ชนผู้ทีAถึงฝัAงมีน้อย ส่วนหมู่
สัตว์นอกนี8ย่อมเลาะไปตามฝัAงทั8งนั8น ก็ชนเหล่ าใดแล ประพฤติตามธรรมในธรรมอันพระสุคต
เจ้ าตรัสแล้ วโดยชอบ ชนเหล่า นั8นข้ ามบ่วงมารทีA ข้ ามได้ โดยยาก แล้ วจักถึงฝัAง บัณฑิตออกจาก
อาลัยแล้ ว อาศัยความไม่มีอาลัยละธรรมดําแล้ วพึงเจริญธรรมขาว
บัณฑิตพึงปรารถนาความยินดียิAงในวิเวกทีA ยินดีได้ โดยยาก ละกามทั8งหลายแล้ วไม่มี
กิเลสเครืA องกังวล พึงชําระตนให้ ผ่องแผ้ ว จากเครืA องเศร้ าหมองจิต ชนเหล่าใดอบรมจิตด้ วยดี
๒๐๑
คาถาธรรมบท สหัสสวรรค
คาถาธรรมบท ปาปวรรค
คาถาธรรมบท ชราวรรค
คาถาธรรมบท อัตตวรรค
คาถาธรรมบท โลกวรรค
คาถาธรรมบท พุทธวรรค
ความสงบระงับทุกข์ ด้ วยปัญญาอันชอบ ทีA พึAงนั8นแล เป็ นทีA พึA งอัน เกษม ทีA พึA งนั8 น อุด ม เพราะ
บุคคลอาศัยทีA พึAงนั8นย่อมพ้ นจากทุกข์ท8งั ปวงได้
บุรุษอาชาไนยหาได้ ยาก ท่านย่อมไม่เกิดในทีA ทAวั ไป ท่านเป็ นนักปราชญ์ย่อมเกิดในสกุล
ใด สกุลนั8นย่อมถึงความสุข ความ เกิ ด ขึ8 นแห่ ง พระพุ ท ธเจ้ าทั8 ง หลาย นํ า สุ ข มาให้ พระ
สัทธรรมเทศนานําสุขมาให้ ความพร้ อ มเพรี ยงแห่ งหมู่น ําสุขมาให้ ความเพีย รของผู้พร้ อม
เพรียงกันให้ เกิดสุข ใครๆ ไม่ อาจนับบุญของบุคคลผู้บูชาซึA งปูชารหบุคคล คือ พระพุทธเจ้ า
หรือสาวกของพระพุทธเจ้ า ผู้ก้าวล่วงธรรมเครืA องเนิA นช้ า ผู้ข้ามความโศกและความรํAาไรได้ แล้ ว
ว่าบุญนี8มีประมาณเท่านี8 ใครๆ ไม่อาจนับบุญของบุคคลผู้บูชาปูชารหบุคคลเหล่ านั8น ผู้คงทีA ผู้
นิพพานแล้ ว ไม่มีภัยแต่ทไีA หนๆ ว่าบุญนี8ประมาณเท่านี8 ฯ
คาถาธรรมบท สุขวรรค
คาถาธรรมบท ปิ ยวรรค
คาถาธรรมบท โกธวรรค
นิ น ทาบุ ค คลนั8 น ผู้ เ หมื อ นดั ง แท่ ง แห่ ง ทองชมพู นุ ช แม้ เ ทวดาและมนุ ษ ย์ ท8ั ง หลาย ก็ย่ อ ม
สรรเสริญบุคคลนั8น แม้ พรหมก็สรรเสริญบุคคลนั8น ภิกษุพึงรักษาความกําเริบทางกายพึงเป็ นผู้
สํารวมด้ วยกาย ละกายทุจริต แล้ ว พึงประพฤติสุจริตด้ วยกาย พึงรักษาความกําเริบทางวาจา
พึงเป็ นผู้สาํ รวมด้ วยวาจา ละวจีทุจริตแล้ ว พึงประพฤติสุจริตด้ วยวาจา พึงรักษาความ
กําเริบทางใจ พึง เป็ นผู้ส าํ รวมด้ วยใจ ละมโนทุจริตแล้ วพึงประพฤติสุจริตด้ วยใจ นักปราชญ์
ทั8งหลาย สํารวมแล้ วด้ วยกาย สํารวมแล้ วด้ วยวาจา สํารวมแล้ วด้ วยใจ ท่านเหล่านั8นแล สํารวม
เรียบร้ อยแล้ ว ฯ
คาถาธรรมบท มลวรรค
สัลลสูตร
ชี วิตของสัตว์ ท8ังหลายในโลกนี8 ไม่ มีเครืA องหมาย ใครๆ รู้ไม่ ได้ ทั8งลําบาก ทั8งน้ อ ย และ
ประกอบด้ วยทุกข์ สัตว์ท8งั หลาย ผู้เกิดแล้ ว จะไม่ตายด้ วยความพยายามอันใดความพยายามอันนั8น
ไม่มีเลย แม้ อยู่ได้ ถึงชราก็ต้องตายเพราะสัตว์ท8งั หลายมีอย่างนี8เป็ นธรรมดา ผลไม้ สกุ งอมแล้ วชืA อว่า
ย่อมมีภัยเพราะจะต้ องร่ วงหล่นไปในเวลาเช้ า ฉันใดสัตว์ท8ังหลายผู้เกิดแล้ ว ชืA อว่าย่อมมีภัย เพราะ
จะต้ องตายเป็ นนิตย์ ฉันนั8น
ภาชนะดินทีA นายช่างทําแล้ วทุกชนิด มีความแตกเป็ นทีA สดุ แม้ ฉันใด ชีวิตของสัตว์ท8งั หลาย ก็
ฉันนั8น ทั8งเด็ก ทั8งผู้ใหญ่ ทั8งคนเขลา ทั8งคนฉลาด ล้ วนไปสู่อาํ นาจของมฤตยู มีม ฤตยูเป็ นทีA ไปใน
เบื8องหน้ าด้ วยกันทั8งหมด เมืA อสัตว์เหล่านั8นถูกมฤตยูครอบงําแล้ วต้ องไปปรโลก บิดาจะป้ องกันบุตร
ไว้ กไ็ ม่ ไ ด้ หรือ พวกญาติจะป้ องกันพวกญาติไว้ กไ็ ม่ ได้ ท่านจงเห็น เหมือ นเมืA อหมู่ ญาติของสัตว์
ทั8งหลายผู้จะต้ องตาย กําลังแลดูราํ พันอยู่โดยประการต่างๆ สัตว์ผ้ ูจะต้ องตายผู้เดียวเท่านั8นถูกมฤตยู
นําไปเหมือนโคทีA บุคคลจะพึงฆ่าถูกนําไปตัวเดียว
ความตายและความแก่กาํ จัดสัตว์โลกอยู่อย่างนี8 เพราะเหตุน8ัน นักปราชญ์ท8งั หลายทราบชัด
สภาพของโลกแล้ ว ย่อมไม่เศร้ าโศกท่านย่อมไม่ร้ ทู างของผู้มาหรือผู้ไป ไม่เห็นทีA สดุ ทั8งสองอย่างถึงจะ
ครําA ครวญไปก็ไร้ ประโยชน์ ถ้ าผู้ครําA ครวญหลงเบียดเบียนตนอยู่จะยังประโยชน์อะไรๆ ให้ เกิดขึ8นได้
ไซร้ บัณฑิตผู้เห็นแจ้ งก็พึงกระทําความครําA ครวญ นั8น บุค คลจะถึงความสงบใจได้ เพราะการ
ร้ องไห้ เพราะความเศร้ าโศกก็หาไม่ทุกข์ย่อมเกิดแก่ผ้ ูน8ันยิA งขึ8น และสรีระของผู้น8ันก็จะซูบซีดบุคคลผู้
เบียดเบียนตนเอง ย่อมเป็ นผู้ซบู ผอม มีผิวพรรณเศร้ าหมองสัตว์ท8ังหลายผู้ละไปแล้ ว ย่อมรักษาตน
๒๑๒
สัลเลขธรรม
ธรรมเครืA องขัดเกลากิเลส
เธอทั8งหลาย พึงทําความขัดเกลาว่า …
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้เบียดเบียนกัน ในข้ อนี8เราทั8งหลายจักเป็ นผู้ไม่เบียดเบียนกัน.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้ฆ่าสัตว์ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการฆ่าสัตว์.
ชนเหล่าอืA นจักเป็ นผู้ลักทรัพย์ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการลักทรัพย์.
ชนเหล่าอืA นจักเสพเมถุนธรรม ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักประพฤติพรหมจรรย์.
ชนเหล่าอืA นจักกล่าวเท็จ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการกล่าวเท็จ.
ชนเหล่าอืA นจักกล่าวส่อเสียด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการกล่าวส่อเสียด.
ชนเหล่าอืA นจักกล่าวคําหยาบ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการกล่าวคําหยาบ.
ชนเหล่าอืA นจักกล่าวคําเพ้ อเจ้ อ ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักงดเว้ นจากการกล่าวเพ้ อเจ้ อ.
ชนเหล่าอืA นจักมักเพ่งเล็งภัณฑะของผู้อืAน ในข้ อนี8เราทั8งหลายจักไม่เพ่งเล็งภัณฑะของ
ผู้อืAน.
ชนเหล่าอืA นจักมีจิตพยาบาท ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักไม่มีจิตพยาบาท.
ชนเหล่าอืA นจักมีความเห็นผิด ในข้ อนี8 เราทั8งหลายจักมีความเห็นชอบ.
๒๑๓
จบ..หนังสือ
ขอกราบนอบน้อมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
กายกรรม วจี กรรม มโนกรรม
ที.เกิดจากกุศลเจตนาในการช่วยเหลือกิจนี1
ข้าพเจ้าขอน้อมถวายเป็ นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
กุศลคุณงามความดีอนั พึ.งเกิดมีปรากฏ
ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบูชาครูอาจารย์ ทุกท่าน ทุกรูป
เตรียมศรัทธาบู ชาสังเวชนียสถาน ๔
ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งเหล่านี8 เป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง คือ
๑. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
ด้ วยมาตามระลึกว่า พระตถาคต ประสูติ ในที.นี1 ฯ
๒. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
ด้ วยมาตาม ระลึกว่า พระตถาคตตรัสรูพ้ ระอนุ ตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที.นี1 ฯ
๓. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
ด้ วยมาตามระลึกว่า พระตถาคตทรงยังอนุ ตตรธรรมจักรให้เป็ นไปในที.นี1 ฯ
๔. สังเวชนียสถานอันเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธา
ด้ วยมาตามระลึกว่า พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว
ด้วยอนุ ปาทิเสสนิพพานธาตุ ในที.นี1 ฯ
สังเวชนียสถาน ๔ แห่งนี1
แลเป็ นทีA ควรเห็นของกุลบุตรผู้มศี รัทธาฯ
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จักมาด้วยความเชือว่า
พระตถาคตประสูติในที.นี1 ก็ดี
พระตถาคตตรัสรูพ้ ระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในที.นก็ี1 ดี
พระตถาคตทรงยังอนุตรธรรมจักร ให้เป็ นไปในที.นี1ก็ดี
พระตถาคตเสด็จปรินพิ พานแล้วด้วยอนุ ปาทิเสสนิพพานธาตุ ในที.นี1ก็ดี
ชนเหล่าใด เที-ยวจาริกไปยังเจดีย์ มีจติ เลื-อมใสแล้ว จักทํากาละลง
ชนเหล่านัน ทัง หมดเบืองหน้า แต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ