Professional Documents
Culture Documents
KW-Infectious Disease in Skin and GI Systems
KW-Infectious Disease in Skin and GI Systems
ี่ ีปัญหา
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
วัตถุประสงค์
่ ้นิ สต
เพือให ิ
่ งผลต่อ
o มีความรู ้และความเข ้าใจโรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหารทีส่
ภาวะสุขภาพของผูร้ ับบริการวัยผูใ้ หญ่และผูส้ งู อายุได ้
o มีความรู ้ ความเข ้าใจในการนากระบวนการพยาบาลไปใช ้ในการดูแล
ี่ โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหารได ้
ผูร้ ับบริการวัยผูใ้ หญ่และผูส้ งู อายุทมี
้
รวมทังสามารถน ่ ยวข
าความรู ้ทีเกี ่ ี่ ปัญหาดังกล่าว
้องกับโภชนาการสาหร ับผูท้ มี
ได ้อย่างถูกต ้อง เหมาะสม
2
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
หัวข้อการสอน
• กลุม
่ โรคติดต่อโดยการสัมผัส/ผิวหนัง
• เลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis)
• พิษสุนัขบ้า (Rabies)
• บาดทะยัก (Tetanus)
• เมลิออยด ์ หรือเมลิออยโดสิส (Melioidosis)
• กลุม
่ โรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร
• อหิวาตกโรค (Cholera)
• บิด (Dysentery)
• ไทฟอยด ์ (Typhoid)
• โบทูลซิ มึ (Botulism)
่ ปัญหาโรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
• การพยาบาลผูป้ ่ วยทีมี
่ ปัญหาโรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
• โภชนาการสาหร ับผู ้ทีมี
3
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
กลุ่มโรคติดต่อโดยการสัมผัส/ผิวหนัง
• เลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis)
• พิษสุนัขบ ้า (Rabies)
• บาดทะยัก (Tetanus)
• เมลิออยด ์ หรือเมลิออยโดสิส (Melioidosis)
้ ออั
• เซลล ์เนื อเยื ่ กเสบ (Cellulitis)
4
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
เลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis)
่ 1886 โดยนักวิทยาศาสตร ์ชาวเยอรมัน (Adolf
เลปโตสไปรซิสถูกค ้นพบเมือปี
Weil) ต่อมาในปี 1920 นักวิทยาศาสตร ์ชาวญีปุ่่ นและเยอรมันได ้ร่วมกันศึกษาโรคนี ้
่ เชือแบคที
จนพบว่าเป็ นโรคซึงมี ้ ่ นสาเหตุคอื เชือกลุ
เรียทีเป็ ้ ่มจีนัส Leptospira (Riggs,
2018)
เนื่ องจากอาการของโรคมีความคล ้ายคลึงกับโรคไข ้หวัดใหญ่และโรคอืนๆ ่
้
รวมทังในผู ป้ ่ วยบางรายก็อาจไม่มอ ี ารรายงานอัตราความชุกที่
ี าการแสดง ทาให ้ไม่มก
แท ้จริงของโรคนี ้ (WHO, 2012)
5
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
้
เชือโรคเข ้าสูร่ า่ งกาย Hepatitis
้ ออ่
ทางเนื อเยื ่ อนต่างๆ Nephritis
ปัสสาวะและสาร แพร่กระจายสู่สต ้
ั ว ์เลียง
่
คัดหลังของสัตว ์ เช่น ตา จมูก ปาก
่ นแผล
ผิวหนังทีเป็
้
ติดเชือไหลลงสู ่
หรือจากการดืมกิ ่ น ้
แหล่งน้า ระยะเวลาฟักเชือปกติ
5 -14 วัน แต่บางรายอาจ
นานถึง 4สัปดาห ์
พยากรณ์โรคขึนอยู ้ ก ้ ติ
่ บั ชนิ ดของเชือที ่ ด
ความรุนแรงหรือปริมาณของเชือที ้ ได
่ ้ร ับ
้
ความแข็งแรงของผู ้ป่ วย รวมทังระยะเวลา
่ มต
ทีเริ ่ ้นการร ักษา
8
(Thomas and Stephens, 2006)
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
่
หลีกเลียงการลุ ยน้า เกษตรกรควรใช ้ ล ้างมือ ล ้างเท ้าให ้สะอาด ควบคุมกาจัดหนูใน ฉี ดวัคซีนป้ องกันโรคแก่ปศุสต
ั ว ์และ
หรือแช่น้า ถุงมือยางและ หลังลุยน้า หรือสัมผัส ่ ่อาศัย
บริเวณทีอยู ้
สัตว ์เลียง
รองเท ้าบูต
๊ ผลิตภัณฑ ์ทางการเกษตร
พิษสุนัขบ้า (Rabies)
้ั
ถูกค ้นพบครงแรกโดยนั กปราชน์ชาวกรีก อริสโตเติล ทีสั ่ งเกตพบว่ามนุ ษย ์
สามารถติดเชือพิ ้ ษสุนัขบ ้าได ้จากการโดนสุนัขทีติ ่ ดเชือกั
้ ด ในปี 2018 องค ์การ
อนามัยโรค (WHO) รายงานว่ามีผูเ้ สียชีวต ่
ิ จากโรคพิษสุนัขบ ้าทัวโลกประมาณ
55,000 คนต่อปี โดยการเสียชีวต ิ ส่วนใหญ่มก ่ ่ง
ั พบในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ครึงหนึ
ี่ ดเชือ้ เป็ นเด็กอายุต่ากว่า 15 ปี ทีเกิ
ของผูท้ ติ ่ ดจากการถูกสุนัขกัด
10
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
่
ไวร ัสเคลือนที ่
จากระบบประสาทส่วน
10 อน ่
ั ด ับจ ังหวัดทีพบผู ป
้ ่ วยติด
ปลายเข ้าสูร่ ะบบประสาทส่วนกลางใน ้
เชือไวร ัสพิษสุนข ั บ้าสู งสุด
ระดับไขสันหลัง
1. ร ้อยเอ็ด 63 ราย
่
ไวร ัสเริมแบ่ งตัวใน เปอร ์เซ็นต ์ของสัตว ์ที่ 2. สุรน
ิ ทร ์ 23 ราย
้
กล ้ามเนื อใกล ้กับ เป็ นสาเหตุการติดเชือ้
3. ยโสธร 17 ราย
บริเวณทีถู ่ กกัด 4. กาฬสินธุ ์ 14 ราย
5. อานาจเจริญ 11 ราย
6. มหาสารคาม 11 ราย
้ อ่
ไวร ัสเข ้าสูเ่ นื อเยื 7. สงขลา 10 ราย
้
ผ่านทางนาลายของ 8. ชลบุร ี 8 ราย
สัตว ์ติดเชือ้ 9. ปราจีนบุร ี 8 ราย
10. ศีระเกษ 7 ราย
การให้ยาปฏิชีวนะ โดยให ้ใช ้ amoxicillin ร ับประทาน ถ ้าแพ้ยา penicillin ให ้ doxycycline หรือ พิจารณาใช ้ 2nd
และ 3rd cephalosporins ร ับประทานกรณี ทแพ้ ่ี penicillin ไม่รน ุ แรง
่ ข ้อบ่งชี ้ ดังนี ้
การให ้ยาสามารถให ้ได ้เมือมี
่ องกันการติดเชือประมาณ
• ให ้เพือป้ ้ 3-5 วัน พิจารณาในกรณี บาดแผลขนาดใหญ่ บาดแผลบริเวณนิ วมื ้ อ มือ ใบหน้า
บาดแผลลึกถึงกระดูก ผูป้ ่ วยมีภาวะภูมค ิ ุ ้มกันบกพร่อง ผูป้ ่ วยไตวาย เบาหวานควบคุมไม่ดี ตับแข็ง ผู ป
้ ่ วยตัดมา้ มแล ้ว
่ ักษาการติดเชือ้ อาจทาการเพาะเชือจากหนอง
• ให ้เพือร ้ ้ นแรงควรร ับไว ้ในโรงพยาบาล
ถ ้าการติดเชือรุ
15
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
พิษสุนัขบ้า (Rabies):การรักษาด้วยวัคซีน
การให้ post-exposure prophylaxis การให ้วัคซีนและอิมมูโนโกลบุลนิ (rabies immunoglobulin: RIG) แก่ผูป้ ่ วย
ภายหลังสัมผัสโรคพิษสุนัขบ ้า สามารถให ้ได ้ 2 วิธค
ี อื
1. การฉี ดเข ้ากล ้าม (Intramuscular regimen: IM) สูตร ESSEN (standard WHO intramuscular regimen)
(1-1-1-1-1-0) วิธก ่
ี าร ฉี ดวัคซีน 1 เข็ม (1 มล. หรือ 0.5 มล.แล ้วแต่ชนิ ดของวัคซีนใน 1 หลอดเมือละลายแล ้ว) เข ้า
้ ้นแขน (deltoid) ในวันที่ 0, 3, 7, 14 และ 28
บริเวณกล ้ามเนื อต
2. สูตรการฉี ดเข ้าในหนัง (Intradermal regimen: ID) สูตร TRC - ID (2-2-2-0-2-0) วิธก ี าร ฉี ดวัคซีนเข ้าใน
หนังบริเวณต ้นแขน 2 ข ้าง ข ้างละ 1 จุด (รวม 2 จุด ) ปริมาณจุดละ 0.1 มล. ในวันที่ 0, 3, 7 และ 28
พิษสุนัขบ้า (Rabies):การรักษาด้วยวัคซีน
การให้ ERIG (highly purified equine rabies immunoglobulin) หรือ HRIG (human rabies
immunoglobulin)
่ ดในวันแรกพร ้อมกับการให ้วัคซีน
• ฉี ดเร็วทีสุ
• ในกรณี ทไม่ ี่ สามารถให ้ RIG ในทันที ควรพิจารณาให ้ในวันต่อมา แต่ไม่ควรให ้หลังวันที่ 7 ของการได ้ร ับวัคซีน (เพราะจะมีผลใน
การกดภูมค ิ มกั ่ ดขึนจากการให
ุ ้ นทีเกิ ้ ้วัคซีน)
• ฉี ด RIG บริเวณทีแผลทุ ่ กแผลให ้มากทีสุ่ ดเท่าทีท
่ าได ้ แม้ว่าบาดแผลจะหายแล ้วก็ตาม โดยฉี ดบริเวณในและรอบบาดแผล (ถ ้า
ปริมาณ RIG ไม่เพียงพอ ให ้เจือจางด ้วย normal saline เป็ น 2-3 เท่า) ทีเหลื ่ อให ้ฉี ดเข ้ากล ้ามเนื อที
้ สะโพก
่ ้
หรือกล ้ามเนื อหน้
าขา
• ในกรณี ทมี ี่ การสัมผัสโรคทีเยื่ อบุ
่ ตา อาจล ้างตาโดยใช ้ HRIG 1:10 (dilute ด ้วย normal saline) หรือ ล ้างด ้วย normal saline
หลายๆ ครง้ั
• ก่อนฉี ดทา intradermal skin test โดยเจือจาง ERIG หรือ HRIG เป็ น1:100 ด ้วย normal saline และใช ้ 0.02 มล.อ่านผล 15
นาทีถอื ว่าผลบวกเมือ ่ wheal มากกว่า 10 มม.
• ERIG ให ้ในขนาด 40 IU/กก. และ HRIG ให ้ในขนาด 20 IU/กก.
บาดทะยัก (Tetanus)
โรคบาดทะยักเป็ นการติดเชือร้ ้ายแรงทีเกิ
่ ดขึนจากแบคที
้ เรีย Clostridium
tetani ผ่านทางผิวหนังทีมี่ การบาดเจ็บหรือมีแผล หรือผูป้ ่ วยอาจได ้รบั เชือจาก
้
อุปกรณ์ทางการแพทย ์ทีไม่่ สะอาด เช่น จากการฉี ดยา หรือสักผิวหนัง ทารกแรกเกิด
้ ได
เองก็สามารถร ับเชือนี ้ ้ หากในระหว่างการคลอดไม่ได ้อยูใ่ นสภาวะทีสะอาดเพี
่ ยงพอ
โดยปกติเชือ้ C. tetani สามารถพบได ้ในดินหรืออุจจาระของสัตว ์ต่างๆ หาก
้
ผูป้ ่ วยได ้ร ับเชือแล ้
้ว จะมีระยะเวลาฟักตัวตังแต่ ่ อาการ
2-21 วัน โดยผูป้ ่ วยมักเริมมี
แสดงให ้เห็นประมาณวันที่ 7-8 หลังได ้ร ับเชือ้
(Cataldo, 2018) 18
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
้ อยสารพิษแพร่กระจายจากกระแสเลือดและ
เชือปล่
เส ้นประสาทเข ้าสูร่ ะบบประสาทส่วนกลางและสมอง
ในระยะแรกผูป้ ่ วยจะมีอาการกราม
่ ้
ค ้าง ใบหน้าและกล ้ามเนื อคอเกร็ง
เส ้นประสาททีควบคุ มการทางานของกล ้ามเนื อ้
้ นเป็ น ้
(trimus หรือ lock jaw) รวมทังมี
และก ้านสมองไวต่อการกระตุ ้นมากขึนอั
ผลมาจากสารพิษไปทาลายระบบป้ องกันการถูก อาการกลืนลาบาก
กระตุ ้นของเซลล ์สมอง
(Cataldo, 2018) 19
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
่ งแรงส่วนใหญ่ อาการต่างๆจะค่อยๆดีขนใช
**ในผูป้ ่ วยทีแข็ ึ ้ ้เวลาประมาณ 17 วัน อาการเกร็งอาจคงอยู่นาน 3-4 เดือน และการฟื ้ นหาย
โดยสมบูรณ์จะใช ้เวลาหลายเดือน
(Afshar, Raju, Ansell, & Bleck, 2011) 20
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
สูดดมอากาศที่
กินอาหารหรือดืม ่
ปนเปื ้ อนเชือ้
้ ปนเปื
นาที ่ ้ อนเชือ้
้
เชือแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น
่ ทางเดินอาหาร ้ ้าสูก
เชือเข ่ ระแสเลือด ม้าม ต่อมลูกหมาก ไต หรือตับ
เกิดแผลในเยือบุ
หรือมีตอ ้
่ มนาเหลืองโต
้ กกระตุ ้นด ้วยปัจจัยต่างๆ เช่น
เชือถู
้
เกิดการติดเชือในเลื
อดอย่างรุนแรง การมีโรคร่วม ความอ่อนแอของ
ร่างกาย ฯลฯ ทาให ้กลับมามี
(Severe sepsis) หรือ
อาการแสดงเกิดขึน้
้
เชืออาจแฝงตั
วอยูใ่ นร่างกายแต่ยงั
ไม่แสดงอาการ
่ วหนัง
แผลเปิ ดทีผิ
อาการแสดงในระยะเฉี ยบพลัน ้ ัง
อาการแสดงในระยะเรือร
ไข ้ ปวดศีรษะ ไม่อยากอาหาร ปวดกล ้ามเนื อ้ หรือเป็ นฝี ้
เกิดฝี หลายบริเวณในร่างกาย เช่น ในกล ้ามเนื อแขนขา
ในปอด ม้าม หรือตับ ทาให ้มีอาการปวดท ้อง ถ ้าเป็ นฝี ในสมอง
จะทาให ้ระดับความรู ้สึกตัวลดลง
26
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
การดู แลตามอาการ
• Septic shock ➔ NSS + Vasopressor drug
• Respiratory failure หรือ Adult respiratory distress syndrome (ARDS) ➔ Ventilatory support
• Acute renal failure ➔ Fluid and Electrolyte support
• Collections of pus ➔ Drainage + Wound care
27
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
กลุ่มโรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร
• อหิวาตกโรค (Cholera)
• บิด (Dysentery)
• ไทฟอยด ์ (Typhoid)
• โบทูลซ
ิ มึ (Botulism)
28
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
อหิวาตกโรค (Cholera)
่ งมานี
สารพิษทีหลั่ ้
ไปเคลื อบผนังลาไส ้ ทาให ้ไม่
สามารถดูดกลับนาที ้ อยู
่ ใ่ นลาไส ้เข ้าสูร่ ะบบ
ไหลเวียนเลือดได ้ ทาให ้เกิดภาวะขาดนา้ และ
hypovolemic shock ในทีสุ ่ ด
่
เมือแบคที เรียเข ้าสูล
่ าไส ้เล็กจะ
่
เริมแบ่ งตัวอย่างรวดเร็ว
้ ้าว
อุจจาระสีนาข
ระยะเวลาฟักตัวของเชือ้
(rice-water stool)
กินเวลา 2 ชม. – 5 วัน
บิด (Dysentery)
โรคบิดมีสาเหตุการเกิดโรคคล ้ายอหิวาตกโรค คือการอาศัยอยู่ในทีไม่ ่ ถก ู สุขลักษณะ และกิน
่ ้าและอาหารทีมี
หรือดืมน ่ การปนเปื ้อนของเชือ้ โรคบิดสามารถเกิดได ้จากเชือก่
้ อโรคหลายประเภท
้
ได ้แก่ แบคทีเรีย ไวร ัส หรือปรสิต แต่สว่ นมากมักมีสาเหตุมาจากเชืออะมี บา Entamoeba
histolytica และแบคทีเรียตระกูล Shigella ดังนั้นแม้จะมีสาเหตุการเกิดโรคจากการบริโภคคล ้ายกัน
แต่ความแตกต่างระหว่างบิดและอหิวาตกโรคและโรคบิดคือเชือก่ ้ อโรค และลักษณะอุจจาระ โดยผูท้ ี่
เป็ นโรคบิดมักมีอจุ จาระเหลวปนเลือดหรือหนอง ในขณะทีอหิ ่ วาตกโรค อุจจาระจะเป็ นสีขาวขุน ่
เหมือนน้าซาวข ้าว
อัตราการตายจากโรคบิดและอหิวาตกโรคขึนอยู ้ ่กบั ความเร็วในการวินิจฉัยและให ้การร ักษา
้ างทันท่วงที อัตราการตายจะเหลือเพียง 1% ในขณะที่
โดยหากผูป้ ่ วยได ้ร ับการร ักษาภาวะขาดนาอย่
หากปล่อยให ้อาการของโรคดาเนิ นต่อไปโดยไม่มก
ี ารร ักษา อัตราการตายอาจสูงถึง 50-60%
้ ้าสูล
เชือเข ่ ผนังลาไส ้
่ าไส ้ และแบ่งตัวในเยือบุ
่ ทเคลื
เกิดการทาลายเยือบุ ่ี อบผนังลาไส ้
ทาให ้เกิดแผล
(Stein, 2003) 32
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
้
ประเมินอาการซาในอี ่
ก 3 ชัวโมง
่
กระตุ ้นให ้เริมทานอาหาร ึ ้ ไม่มภ
อาการดีขน ี าวะขาดน้า
ทางปากและดืมน ่ ้าทดแทน
35
(W. H. O. Global Task Force on Cholera Control, 2010)
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
4. กระตุ้นให้ทานอาหาร โดยผู้ป่วยสามารถทานอาหารปกติได้ทันทีหากอาการคลื่นไส้อาเจียนหมดไป
(W. H. O. Global Task Force on Cholera Control, 2010; Williams & Berkley, 2018) 36
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
ไทฟอยด์ (Typhoid)
(Barnett, 2016) 37
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
้ นทางผ่านปาก
เชือเดิ
กระเพาะอาหาร ไปจนถึง
้
เชือแพร่เข ้าสูก
่ ระแสเลือด ทาให ้
jejunum และ ileum ซึง่
เป็ นส่วนท ้ายของลาไส ้เล็ก อวัยวะต่างๆในช่องท้องและ
้ ้วย
บริเวณใกล ้เคียงได ้ร ับเชือด
้ ม้าม ทรวงอก
เช่น ตับ ถุงนาดี
่ ้ ปวดท ้อง
เกิดอาการไข ้ คลืนไส
้ บกับเซลล ์นาเหลื
เชือจั ้ องที่
และท ้องเสีย
ระยะเวลาฟักตัวของเชือ้ อยูบ ่ ริเวณผนังลาไส ้
กินเวลา 5-14 วัน เรียกว่า Peyer’s patches
(Wain, Hendriksen, Mikoleit, Keddy, & Ochiai, 2015) 38
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
โบทูลิซึม (Botulism)
โรคโบทูลซ ่ ดจากสารพิษ botulinum ทีสร
ิ มึ เป็ นโรคทีเกิ ่ ้างมาจากเชือแบคที
้ เรีย
Clostridium botulinum ซึงเป็ ่ นเชือที ้ เจริ่ ญเติบโตได ้ดีในสภาวะออกซิเจนต่า ผูป้ ่ วย
สามารถเป็ นโรคนี ได้ ้โดยติดเชือจากการกิ
้ นอาหารทีมี ่ สารพิษหรือเชือ้ การระบาดส่วน
ใหญ่มส ี าเหตุจากผัก หน่ อไม้ และปลาทีบรรจุ ่ กระป๋ องเองทีบ ่ ้าน ไส ้กรอก นาผึ
้ ง้ หรืออาจ
ติดโรคจากบาดแผลสัมผัสกับดินทีปนเปื ่ ้ อน แต่กรณี นีพบได
้ ้น้อยมากและไม่มรี ายงาน
ระยะฟักตัวของเชือใช ้ ้เวลาประมาณ 18-36 ชัวโมง ่ โดยผูป้ ่ วยจะมีอาการคลืนไส ่ ้ อาเจียน
ปวดท ้อง แล ้วเกิดอัมพาตอย่างรวดเร็วโดยเริมจากที ่ ่ วนหัวและคอไปทีแขนขาหน้
ส่ ่ าอก
ทาให ้หายใจไม่ได ้และอาจเสียชีวต ิ ได ้
(Hoyle, 2018) 41
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
้
สารพิษจากเชือแทรกซึ
มเข ้าสูผ
่ นังลาไส ้ และแพร่เขา้ สูห
่ ลอดเลือด
สารพิษแพร่เข ้าถึงปลายประสาท
(Hoyle, 2018) 42
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
(Hoyle, 2018) 43
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
การพยาบาลผู้ที่มีปัญหาโรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
่ อการเกิดอันตรายจากการติดเชือในกระแสเลื
• เสียงต่ ้ อด
้ อพร่
• มีภาวะเนื อเยื ่ องออกซิเจนเนื่ องจากการทางานของระบบหายใจล ้มเหลว
่ อการเกิดภาวะไตวายเฉี ยบพลันเนื่ องจากการกาซาบทีไตลดลง
• เสียงต่ ่
่ อการเกิดอันตรายจากการเสียสมดุลสารนาและอิ
• เสียงต่ ้ เล็กโตรลัยท ์
44
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการติดเชื้อในกระแสเลือด
1. ้
ประเมิน ค ้นหาแหล่งติดเชือจากบริ ่ มออกทางบาดแผล
เวณบาดแผล เช่น อาการบวม แดง ร ้อน และการมีสารคัดหลังซึ
้ แลเก็บสิงส่
รวมทังดู ่ งตรวจตามแผนการร ักษา เพือตรวจเพาะเชื
่ ้
อสาเหตุ
ของโรค
2. ้
ตรวจสอบและบันทึกสัญญาณชีพ อาการ และอาการแสดงของการติดเชือในกระแสเลื อดจากกลุ่มอาการตอบสนองต่อการ
่ างกาย (Systemic inflammatory response syndrome หรือ SIRS) ซึงจะมี
อักเสบทัวร่ ่ อาการและอาการแสดงอย่างน้อย
้
2 อย่างขึนไปได ้แก่
• มีไข ้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส หรือ มีอณ ิ องร่างกายต่ากว่า 36 องศาเซลเซียส
ุ หภูมข
• ้ั อนาที
หัวใจเต ้นเร็วมากกว่า 90 ครงต่
• ั้ อนาที หรือ วัดค่าความดันคาร ์บอนไดออกไซด ์ในเลือดได ้มากกว่า 32 มิลลิเมตรปรอท
หายใจเร็วมากกว่า 20 ครงต่
• การตรวจเลือดพบมีเม็ ดเลือดขาวมากกว่า 12,000 ตัวต่อมิลลิลต
ิ รหรือน้อยกว่า 4,000 ตัวต่อมิลลิลต
ิ ร
3. ่ ดเตรียมอุปกรณ์ในการ รวมทังส่
ประเมินลักษณะบาดแผลเพือจั ้ งเสริมความสุขสบายให ้แก่ผป ู ้ ่ วยโดยดูแลให ้ได ้รบั ยาบรรเทา
อาการปวดตามแผนการรักษา
4. ่
ติดตามผลโลหิตวิทยาโดยดูจากเม็ ดโลหิตขาว (WBC) และค่านิ วโตรฟิ ว (neutrophil) เพือประเมิ นภาวะติดเชือ้
5. ดูแลให ้ผู ้ป่ วยได ้ร ับยาปฏิชวี นะ ตามแผนการร ักษาของแพทย ์
6. ้
ดูแลให ้ผู ้ป่ วยให ้ได ้ร ับสารนาทางหลอดเลื
อดดา ตามแผนการร ักษาของแพทย ์
45
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
มีภาวะเนื้อเยื่อพร่องออกซิเจนเนื่องจากการทางานของระบบหายใจล้มเหลว
่ ท่อช่วยหายใจทีต่
1. ให ้การพยาบาลผูป้ ่ วยทีใส่ ่ อเครืองช่
่ วยหายใจ และปร ับการตังค่
้ าการทางานของเครืองช่
่ วยหายใจตาม
แผนการร ักษา มีตรวจสอบทุกเวรให ้ตรงตามแผนการร ักษา
่
2. ตรวจสอบตาแหน่ งของท่อหลอดลมคอ (Endotracheal tube) ให ้ตรงตามตาแหน่ งทีระบุไว ้ในใบบันทึกทางการพยาบาล
่ั
3. ตรวจสอบและบันทึกสัญญาณชีพอาการ และอาการแสดงทุก 1 ชวโมง ่ั
แล ้วเป็ นทุกๆ 4 ชวโมงเมื ่
ออาการเริ ่
มคงที ่
่ วของออกซิเจนปลายนิ วทุ
4. ติดตามค่าความอิมตั ้ กเวรและหรือบ่อยตามอาการผูป้ ่ วย
5. ให ้ยาบรรเทาอาการปวดตามแผนการร ักษา
46
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันเนื่องจากการกาซาบที่ไตลดลง
่ ้อาเจียน ประเมินทุก 1 ชวโมงในระยะแรก
1. วัดสัญญาณชีพ ประเมินระดับความรู ้สึกตัว อาการกระสับกระส่าย คลืนไส ่ั และทุก 4
่ั
ชวโมงเมื ่ อาการคงที่
อมี
่
2. ประเมินจังหวะการเต ้นของหัวใจติดตามโดยใช ้เครืองการติ
ดตามการทาางานของหัวใจ สังเกตดูลก
ั ษณะ T – Wave EKG วัด
ความดันหลอดเลือดดาส่วนกลาง ถ ้ามากกว่า 12 cmH2O รายงานแพทย ์
4. ควบคุมการให ้สารน้าทีให
่ ้ทางหลอดเลือดดาโดยผ่านเครืองควบคุ
่ มปริมาตรทุกชนิ ด
่
6. ฟังเสียงปอดทุกเวรเพือประเมิ ่
นภาวะ Pulmonary edema เพือจะได ้ให ้การดูแลทันท่วงที
7. ติดตามค่าการทางานของไตตามแผนการร ักษา
47
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากการเสียสมดุลสารน้าและอิเล็กโตรลัยต์
1. ประเมินภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโตรลัยต ์ในร่างกายจากอาการแสดง ผลการตรวจทางห ้องปฏิบต
ั ก
ิ าร และรายงานแพทย ์ทราบ
กรณี เกลือแร่ผด
ิ ปกติ
3. บันทึกปริมาณสารน้าเข ้า และออก
่ ประโยชน์ตอ
4. แนะนาการร ับประทานอาหารทีมี ่ อเิ ล็กโตรลัยต ์ทีผู
่ ร่างกาย โดยเน้นประเภทอาหารทีมี ่ ป้ ่ วยพร่องอยู่
้
5. ดูแลให ้ได ้ร ับยาและสารนาทางหลอดเลื
อดดาตามแผนการร ักษา
6. ประเมินภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโตรลัยต ์ในร่างกาย
48
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
โภชนาการสาหรับผู้ที่มีปัญหาโรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
49
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
โภชนาการสาหรับผู้ที่มีปัญหาโรคติดต่อทางผิวหนัง
50
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
โภชนาการสาหรับผู้ที่มีปัญหาโรคติดต่อทางเดินอาหาร
51
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
REFERENCES
สถานเสาวภา สภากาชาดไทย. (2559). แนวทางการให้การดูแลรักษาผูป้ ่ วยสัมผัสโรคพิษสุนขั บ้า. กรุงเทพ: สภากาชาดไทย.
Riggs, T. (2018). Leptospirosis. In T. Riggs (Ed.), Infectious Diseases (2nd ed. ed., Vol. 1, pp. 548-551). Farmington Hills, MI: Gale.
World Health Organization. (2012). Leptospirosis. Retrieved from
http://www.wpro.who.int/mediacentre/factsheets/fs_13082012_leptospirosis/en/
Centers for Disease Control and Prevention. (2017). Leptospirosis. Retrieved from https://www.cdc.gov/leptospirosis/index.html
Thomas, J. H., & Stephens, D. P. (2006). Leptospirosis: an unusual presentation. Crit Care Resusc, 8(3), 215-218.
Aldridge, S., & Atkins, W. A. (2018). Rabies. In T. Riggs (Ed.), Infectious Diseases (2nd ed. ed., Vol. 2, pp. 775-780). Farmington
Hills, MI: Gale.
Cataldo, L. J. (2018). Tetanus. In T. Riggs (Ed.), Infectious Diseases (2nd ed. ed., Vol. 2, pp. 952-955). Farmington Hills, MI: Gale.
Afshar, M., Raju, M., Ansell, D., & Bleck, T. P. (2011). Narrative Review: Tetanus—A Health Threat After Natural Disasters in
Developing Countries. Annals of Internal Medicine, 154(5), 329. doi:10.7326/0003-4819-154-5-201103010-00007
Wuthiekanun, V., & Peacock, S. J. (2006). Management of melioidosis. Expert Review of Anti-infective Therapy, 4(3), 445-455.
doi:10.1586/14787210.4.3.445
52
โรคติดต่อทางผิวหนังและทางเดินอาหาร
REFERENCES
Melbourne, E. L., & Melbourne, E. L. (2011). Cholera symptoms, diagnosis, and treatment. New York: New York :
Nova Science Publishers.
Stein, G. (2003). Dysentery. Jama, 289(21), 2767-2767. doi:10.1001/jama.289.21.2767
W. H. O. Global Task Force on Cholera Control. (2010). Acute diarrhoeal diseases in complex emergencies:
critical steps: decision-making for preparedness and response. Geneva: World Health Organization.
Williams, P. C. M., & Berkley, J. A. (2018). Guidelines for the treatment of dysentery (shigellosis): a systematic
review of the evidence (Vol. 38, pp. S50-S65).
Barnett, R. (2016). Typhoid fever. The Lancet, 388(10059), 2467-2467. doi:10.1016/S0140-6736(16)32178-X
Wain, J., Hendriksen, R. S., Mikoleit, M. L., Keddy, K. H., & Ochiai, R. L. (2015). Typhoid fever. The Lancet,
385(9973), 1136-1145. doi:https://doi.org/10.1016/S0140-6736(13)62708-7
Langwith, J., & Langwith, J. (2010). Hepatitis (1st ed. ed.). Farmington Hills, MI: Farmington Hills, MI :
Greenhaven Press.
Hoyle, B. (2018). Botulism. In T. Riggs (Ed.), Infectious Diseases (2nd ed. ed., Vol. 1, pp. 133-135). Farmington
Hills, MI: Gale.
53