Professional Documents
Culture Documents
สัทศาสตร์
กระบวนการ คือ
กระแสลมที่ใช้ในการออกเสียง (airstream)
o ทิศทางของกระแสลม (directions of airstream)
- กระแสลมพุง่ ออก (egressive airstream)
- กระแสลมพุง่ เข้า (ingressive airstream)
- กระแสลมทางตรง (central airstream) (ส = ลิน
้ ยกขึน
้ ไป
ติดกับฟั นบนด้านข้าง)
- กระแสลมทางข้างลิน
้ (lateral airstream) (ล = ปลายลิน
้
จรดปุ ่มเหงือก)
ก็จะดึงกระแสลมให้พุ่งออก กลไกกระแสลมประเภทนีจ
้ ะใช้ลม
เฉพาะที่เหนือจากช่องคอ (pharynx) ขึน
้ ไปเท่านัน
้ ทำให้มี
ปริมาตรอากาศน้อย ได้ยินเป็ นเสียงค่อนข้างสัน
้ (เด็กหัดพูด)
กลไกกระแสลมประเภทนีท
้ ำให้เกิดเสียง 2 ประเภท คือ
1) เสียงที่เกิดจากกลไกส่งกระแสลมจากกล่องเสียงชนิดพุ่ง
ออก (an egressive glottalic
airstream mechanism) หรือเสียงลมจากคอออก (ejective)
[ p’ Bilabial / t’ Dental alveolar / k’ Velar / s’
Alveolar fricative ]
เสียงประเภทนี ้ มีเส้นเสียงที่ปิดสนิทเป็ นตัวผลักดันลม
และมีการกักลม ณ จุดใดจุด
หนึ่งในช่องปาก ซึ่งอาจจะเป็ นที่ริมฝี ปากทัง้ สอง ที่ปุ่มเหงือก
หรือที่เพดานอ่อน เส้นเสียงจะ
เคลื่อนตัวเข้าหากันและปิ ดสนิท และจะเคลื่อนตัวขึน
้ ทำให้
อากาศที่อยู่ภายในที่ถูกกักมีความ
ดันมากขึน
้ และเมื่อเปิ ดที่กักลมส่วนหน้าออก ลมก็จะพุ่งออก
เสียงลมจากคอออกนีถ
้ ือว่าเป็ น
เสียงอโฆษะ (voiceless)
Example :
p’ = voiceless bilabial ejectives
เสียงนีใ้ ช้กลไกกระแสลมจากกล่องเสียงชนิดพุ่งออก (an
egressive glottalic airstream
4
2) เสียงที่เกิดจากกลไกส่งกระแสลมจากกล่องเสียงชนิดพุ่ง
เข้าร่วมกับกลไกส่งกระแสลมจากปอดชนิดพุ่งออก (an
ingressive glottalic airstream mechanism and an
egressive pulmonic airstream mechanism) หรือเสียงลม
จากคอเข้า (implosive)
เสียงประเภทนีม
้ ีการเคลื่อนตัวลงของเส้นเสียงเป็ นตัวผลัก
ดันลม มีการกักลมที่ส่วนหนึ่ง
ของช่องปาก ซึ่งอาจจะเป็ นที่ริมฝี ปากทัง้ สอง ปุ ่มเหงือก
เพดานแข็ง เพดานอ่อน หรือลิน
้ ไก่
เส้นเสียงที่ไม่ได้ปิดสนิทจะเคลื่อนตัวลงเล็กน้อย และเนื่องจาก
เส้นเสียงนัน
้ ไม่ได้ปิดสนิท ทำให้
ลมจากปอดสามารถเคลื่อนผ่านเส้นเสียงออกมาได้เล้กน้อย จึง
ทำให้เส้นเสียงสั่นเป็ นเสียงโฆษะ
(voiced) จากการเคลื่อนตัวของเส้นเสียง ทำให้อากาศในช่อง
ปากมีความดันน้อยลง เมื่อเปิ ดที่
5
กักลมส่วนหน้าออก กระแสลมจากภายนอกที่มีความดัน
มากกว่าจึงพุ่งเข้ามา ทำให้เกิดกระแส
ลมชนิดพุง่ เข้า
[ b Bilabial / d Dental alveolar / ʄ Palatal / g
Velar / G Uvula ]
Example :
เส้นเสียงนีใ้ ช้กลไกกระแสลมจากกล่องเสียงชนิดพุ่งเข้าร่วม
กับกลไกส่งกระแสลมจากปอด
ชนิดพุ่งออก (an ingressive glottalic airstream
mechanism and an egressive
pulmonic airstream mechanism) เกิดจากมีการกักลม
ณ....... เส้นเสียงจะเคลื่อนตัวเข้า
หากันแต่ไม่ปิดสนิท จึงทำให้ลมจากปอดสามารถเคลื่อนตัวผ่าน
เส้นเสียงออกมาได้เล็กน้อย ทำ
ให้เส้นเสียงสั่นเป็ นเสียงโฆษะ (voiced) ขณะเดียวกันเส้นเสียง
จะเคลื่อนตัวลงเล็กน้อย ทำให้
พื้นที่ในช่องปากใหญ่ขน
ึ ้ (oral cavity) อากาศในช่องปากมี
ความดันน้อยลง พอเปิ ดปากอากาศ
ภายนอกซึ่งมีความดันมากกว่าจึงพุ่งเข้า จึงทำให้เกิดกระแสลม
แบบพุ่งเข้า (ingressive
airstream)
สภาพช่องเส้นเสียงที่มีลักษณะต่างๆกัน เกิดจากการทำงานของ
เส้นเสียง (vocal cords) ร่วมกับกระดูกอ่อนไทรอยด์, ไครคอยด์,
และแอริทินอยด์ ทำให้เกิดสภาพช่องเส้นเสียงแตกต่างกัน ดังนี ้
ลมจากใต้เส้นเสียงจะดันให้เส้นเสียงแยกตัวออกจากกัน เมื่อแรงดัน
หมดไป ก็ทำให้เส้นเสียงปิ ดตัวเข้าหากัน จากนัน
้ กระแสลมกลุ่มต่อไป
ก็จะดันให้เส้นเสียงแยกออกจากกันอีก ลักษณะนีท
้ ำให้เส้นเสียงมี
ลักษณะเปิ ด-ปิ ดสลับกันไป ทำให้เกิดสภาวะเส้นเสียงสั่น เกิดเสียง
ประเภทโฆษะ (voiced) ขึน
้ และจำนวนครัง้ ของการเปิ ด-ปิ ด ทำให้
เกิดระดับเสียง (pitch) (เสียงสูง-ต่ำ)
กลไกกระแสลมประเภทนีเ้ กิดจากการที่ลน
ิ ้ ส่วนหลัง (back
of the tongue) ยกขึน
้ ไปจรด
เพดานอ่อน (velum) เมื่อเคลื่อนลิน
้ ส่วนหลังที่ติดกับเพดานอ่อน
ไปข้างหน้าจะเกิดกระแสลมแบบ
พุ่งออก ถ้าเคลื่อนไปข้างหลังจะเกิดกระแสลมแบบพุง่ เข้า
เป็ นการใช้กระแสลมภายในช่องปาก
เท่านัน
้ เช่น เสียงเดาะลิน
้ (clicks)
กลไกกระแสลมประเภทนีท
้ ำให้เกิดเสียง 1 ประเภท คือ
1) เสียงที่เกิดจากกลไกส่งกระแสลมจากเพดานอ่อนชนิดพุ่ง
เข้า (an ingressive
velaric airstream mechanism) หรือเสียงเดาะลิน
้ (click)
[ ]
= voiceless bilabial clicks (เสียงเดาะลิน
้ ฐานริม
ฝี ปากทัง้ สอง)
เสียงประเภทนีม
้ ีลน
ิ ้ ส่วนหลัง (back of the tongue) ซึ่งยก
ขึน
้ ไปจรดเพดานอ่อน
(velum) เป็ นตัวผลักดันลม มีการปิ ดกักในช่องปากตาม
ตำแหน่งต่างๆ (ริมฝี ปากทัง้ สอง) ขณะเดียวกันก็ยกลิน
้ ส่วนหลัง
ขึน
้ ไปติดกับเพดานอ่อน จากนัน
้ อุ้งลิน
้ ก็จะหย่อนไปข้างหลังเล็ก
น้อย ทำให้ภายในช่องปากมีพ้น
ื ที่มากขึน
้ อากาศในช่องปากมี
ความดันน้อยลง เมื่อเปิ ดที่กักลมส่วนหน้าออก กระแสลมจาก
ภายนอกที่มีความดันมากกว่าก็จะเคลื่อนเข้ามา ทำให้เกิด
9
อวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง (articulators)
ฐานหรืออวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงซึ่งไม่เคลื่อนที่ (passive
articulators)
- ริมฝี ปากบน (upper lip) - เพดานแข็ง
(hard palate)
- ฟั นบน (upper teeth) - เพดานอ่อน
(velum)
- ปุ ่มเหงือก (alveolar ridge, gumridge) - ลิน
้ ไก่
(uvula)
- หลังปุ ่มเหงือก (postalveolar) - ผนังคอ
(pharyngeal wall)
- หน้าเพดานแข็ง (the front part of hard palate)
กรณ์หรืออวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงซึ่งเคลื่อนที่ (active
articulators)
- ริมฝี ปากล่าง (lower lip) - ลิน
้ ส่วนหลัง
(back of the tongue)
- ปลายสุดลิน
้ (tip of the tongue) - โคนลิน
้
(root of the tongue)
- ลิน
้ ส่วนปลาย (blade) - เส้นเสียง
(vocal cords)
- ลิน
้ ส่วนหน้า (front of the tongue)
2. เสียงนาสิก (nasal)
12
มีการกักลมไว้ในช่องปาก แต่เพดานอ่อนไม่ได้ยกตัวขึน
้
ทำให้ลมที่ถูกกักอยู่ในช่องปากสามารถผ่านออกมาทางช่องจมูกได้
3. เสียงรัวลิน
้ (trill)
AA เคลื่อนไปตีกับ PA ปิ ด-เปิ ดซ้ำๆกันอย่างเร็ว ติดต่อกัน
หลายครัง้ ขณะที่มีกระแสลมเคลื่อน
ผ่าน
4. เสียงกระดกลิน
้ หรือเสียงสะบัดลิน
้ (tap or flap)
คล้ายกับเสียงรัวลิน
้ เพียงแต่ AA เคลื่อนไปตีกบ
ั PA เพียงครัง้
เดียว ส่วนเสียงสะบัดลิน
้ คือส่วน
ของปลายลิน
้ ยกขึน
้ ไปจรดส่วนหลังของปุ ่มเหงือก แล้วสะบัด
ผ่านลงอย่างรวดเร็ว
5. เสียงเสียดแทรก (fricative)
เป็ นเสียงที่เกิดขึน
้ โดย AA เคลื่อนที่เข้าไปใกล้กับ PA ทำให้
ช่องทางเดินของกระแสลมเป็ นช่องแคบ ลมที่ผ่านออกมาจึงต้อง
แทรกออกมาเป็ นเสียงเสียดแทรก
6. เสียงกึ่งเสียดแทรก (affricate)
เป็ นเสียงผสมระหว่างเสียงกักกับเสียงเสียดแทรก คือ AA จะ
เคลื่อนไปปิ ดสนิทกับ PA จากนัน
้
จะเคลื่อนตัวแยกออกช้าๆ จึงทำให้เกิดช่องแคบให้กระแสลม
แทรกออกมา
7. เสียงเปิ ด (approximant)
เป็ นเสียงที่เกิดจาก AA เคลื่อนที่เข้าไปยัง PA แต่อยู่ห่างกัน
มากจนเกิดช่องว่างทำให้กระแสลม
สามารถผ่านไปได้อย่างสะดวก
8. เสียงข้างลิน
้ (lateral app.)
13