Professional Documents
Culture Documents
แนวทางการจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดสำหรับเด็กพิเศษ ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ดนตรีเด็ก
แนวทางการจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดสำหรับเด็กพิเศษ ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ดนตรีเด็ก
แนวทางการจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดสำหรับเด็กพิเศษ
ผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ดนตรีเด็ก
The Guideline on Music Therapy Activities for Children
with Special Needs through Learning Management
Activities of Music Education for Children
1อาจารย์ ประจำหลั กสู ตรดนตรี สากล คณะมนุ ษยศาสตร์ และสัง คมศาสตร์ มหาวิ ท ยาลัยราชภัฏ
พระนครศรีอยุธยา
JOURNAL OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES
86 Vol. 8 No. 1 (January – June 2020)
บทคัดย่อ
ในปัจจุบันการพัฒนาศักยภาพเด็กพิเศษมีวิธีการที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ
การใช้กิจกรรมดนตรีบำบัด บทความวิชาการนี้จึงมีจุดประสงค์ในการแนะนำแนวทางการ
จัดกิจกรรมดนตรีบำบัดสำหรับเด็กพิเศษโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ดนตรีเด็กที่
ได้รับความนิยมแพร่หลายในระดับโลกอย่างวิธีการของ 3 นักดนตรีศึกษา ได้แก่ 1) เอมีล
ฌาคส์ ดาลโครซ 2) โซลทาน โคดาย 3) คาร์ล ออร์ฟ ซึ่งเป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้
ดนตรีสำหรับเด็กที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ กระตุ้นการมีส่วนร่วมและการลงมือทำจริง ผ่าน
การปฏิบัติกิจกรรมที่สนุกสนานตามวัย ทั้งนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้เด็กพิเศษมีพัฒนาการ
ทางด้านดนตรีเป็นหลัก หากแต่ คาดหวังการพัฒนาในด้านอื่น ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้าน
จิตใจและอารมณ์ ด้านทักษะทางสังคม ด้านการเรียนรู้และทักษะในการสื่อสาร
คำสำคัญ: ดนตรีบำบัด การจัดการเรียนรู้ดนตรีเด็ก เด็กพิเศษ
บทนำ
เด็กพิเศษเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการในด้านต่าง ๆ เช่น ความล่าช้า
ทางพัฒนาการด้านสังคม การสื่อความหมาย ภาษาและจินตนาการ มีพฤติกรรมบาง
ประการที่ไม่พึงประสงค์อย่างชัดเจน เนื่องจากหน้าที่ของสมองบางส่วนทำงานผิดปกติ
เด็กเหล่านี้มีปัญหาในการใช้ความคิดสติปัญ ญาและการรับรู้ ซึ่งมีผลทำให้เด็กสามารถ
เรียนรู้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร มีปัญหาในการสื่อสาร การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น และการคบเพื่อน
จัดเป็นภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือทุก ๆ ด้าน เพราะฉะนั้น เด็กประเภทนี้จึงควร
ได้รับการดูแลและช่วยเหลือทางด้านการศึกษาเป็นพิเศษ
การช่วยเหลือและพัฒนาศักยภาพในเด็กพิเศษ มีแนวทางการดูแลรักษาอยู่
พอสมควร แต่อาจยังไม่สามารถตอบสนองต่อความหลากหลายของปัญหา และความ
แตกต่างของเด็กแต่ละคนได้ จึงมีการบำบัดทางเลือกเกิดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางเสริมที่ช่วย
ให้การบำบัดรักษาทางการแพทย์ซึ่ง เป็น แนวทางหลักมีประสิท ธิผ ลมากขึ้ น ดัง นั้น
แนวทางเลือกหรือแนวทางเสริมนี้เองที่จ ะช่วยเติมเต็มในส่วนที่แนวทางหลักยั ง ไม่
สามารถรักษาได้ครอบคลุมในทุกด้าน
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) 87
ในปัจจุบันมีศาสตร์การบำบัดทางเลือกประเภทต่าง ๆ ได้กำเนิดขึ้นมาเพื่อใช้
เป็นแนวทางเสริมสำหรับการรักษาพยาบาลตามการแพทย์แผนปัจจุบัน อย่างมากมาย
การบำบัดเหล่านี้เชื่อว่ามีผลช่วยบรรเทาและบำบัดความป่วยไข้ อาการผิดปกติ และ
ความบกพร่องต่าง ๆ ของมนุษย์ได้ ตลอดจนช่วยฟื้นฟูความผิดปกติดังกล่าวให้ดีขึ้นได้
ซึ่ง มีร ายงานการวิจ ัยสนับสนุนว่าการบำบัดทางเลือ กต่าง ๆ นั้น มีประสิทธิผ ลที่ดี
พอสมควร เช่น สุคนธบำบัด ศิลปะบำบัด นาฏบำบัด เป็นต้น นอกเหนือจากนี้ ยังมีการ
บำบัดประเภทหนึ่งที่มีความน่าสนใจ นั่นคือการใช้ดนตรีในการบำบัด
ดนตรีค ือทางเลือกหนึ่งที่ได้ถูกนำมาใช้บำบัดผู้ป่วยร่วมกับการแพทย์แผน
ปัจจุบัน โดยการจัดประสบการณ์ดนตรีและกิจกรรมทางดนตรีให้แก่ผู้ ป่วย เพื่อเพิ่มเติม
พัฒนาการทางด้านอารมณ์ จิตใจ ตลอดจนร่างกาย และกล้ามเนื้อให้ดียิ่งขึ้น การนำ
กิจกรรมทางดนตรีไปใช้เพื่อเพิ่มพัฒนาการของเด็กพิเศษ เรียกว่าดนตรีบำบัด ซึ่งมีหลาย
วิธีการ วิธีที่น่าสนใจคือการใช้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ดนตรีเด็กตามวิธีการของดาล
โครซ โคดาย และออร์ฟ ที่เน้นการทำกิจกรรมสนุกสนานเป็นแนวทางในการจัดกิจ กรรม
ดนตรีบำบัดสำหรับเด็กพิเศษ
ลักษณะของเด็กพิเศษ
เด็กที่มีความบกพร่องในด้านต่าง ๆ เช่น สติปัญญา การเรียนรู้ อารมณ์ การเข้า
สังคม ฯลฯ มักถูกเรียกเป็นภาพรวมว่าเด็กพิเศษ นอกจากคำว่าเด็กพิเศษแล้ว อาจพบคำ
อื่น ๆ ที่มีความหมายเช่นเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น คำว่า “เด็กที่มีความต้องการ
พ ิ เ ศ ษ ” , “children with special needs” “special children” และ “exceptional
children”
เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมีการแยกแยะอาการผิดปกติของเด็กพิเศษออกเป็นหลายประเภท
เช่น ดาวน์ซินโดรม (down syndrome) การบกพร่องทางการเรียนรู้ (learning disorder)
อาการหู ห นวกหรือ บกพร่ อ งในการได้ย ิ น (deaf or hard of hearing) ตาบอดหรือ
บกพร่องในการมองเห็น (blind or visually handicapped) เด็กพิการทางกาย (physically
handicapped) เด็กที่มีความสามารถพิเศษ (gifted)
เด็กพิเศษคือบุคคลที่มีความต้องการพิเศษ เมื่อใช้ชีวิตในสังคมทั่วไปอาจทำสิ่ง
ต่าง ๆ ได้เพียงบางส่วน ไม่สามารถทำทั้งหมดได้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่อง
ทางร่างกายหรื อสมอง โดยอาจเป็ นมาตั้ งแต่ กำเนิ ดหรื อไม่ก ็ ได้ (เบญจา ชลธารนนท์ ,
JOURNAL OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES
88 Vol. 8 No. 1 (January – June 2020)
ดนตรีบำบัดและรายงานการวิจัยด้านดนตรีบำบัด
ดนตรีบำบัดคือศาสตร์ที่ว่าด้วย การนำดนตรีหรือองค์ประกอบอื่น ๆ ทางดนตรี
มาประยุกต์ใช้เพื่อปรับเปลี่ยน พัฒนา และคงรักษาไว้ซึ่งสุขภาวะของร่างกาย จิตใจ
อารมณ์ สัง คม โดยนักดนตรีบำบัดเป็นผู้ดำเนินการไปสู่เป้าหมายที่ตั้ง ไว้ ผ่านทาง
กิจกรรมทางดนตรีต่าง ๆ อย่างมีรูปแบบโครงสร้างที่ชัดเจน มีหลักเกณฑ์ และระเบียบวิธี
ทางวิทยาศาสตร์ เป้าหมายของดนตรีบำบัดไม่ได้เน้นที่ทักษะทางดนตรี แต่เน้นในด้าน
พัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละบุคคลที่มา
รับการบำบัด สามารถประยุกต์ใช้ได้ในหลายบริบท เช่น ด้านการศึกษา ด้านการแพทย์
(ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา, 2550: 19) กิจกรรมดนตรีที่ใช้ในการบำบัด เช่น การฟังดนตรี การ
ร้องเพลง การขยับร่างกายประกอบเสียงเพลง หรือการเล่นเครื่องดนตรี เพื่อบำบัดรักษา
ฟื้นฟูผู้ป่วยทั้ง ทางจิตใจและอารมณ์ และโรคทางกาย (กลุ่มดนตรีบำบัดภาควิช าเวช
ศาสตร์ฟื้นฟูคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , 2554: 6) ดนตรีประเภทนี้เป็น
กระบวนการของความคิ ด สร้ า งสรรค์ ท ี ่ น ำไปสู ่ พ ั ฒ นาการ เป็ น กระบวนการของ
ความสัมพันธ์และการตอบสนองระหว่างผู้ป่วย นักบำบัด และดนตรี นักดนตรีบำบัด
จะต้ อ งเป็ น ผู ้ ท ี ่ ม ี ค วามคิ ด สร้ า งสรรค์ แ ละมี ค วามอ่ อ นไหวในการดำเนิ น การตาม
กระบวนการของการบำบัด ช่วงเวลาในการบำบัดควรเป็นเวลาที่คนไข้รู้สึกไว้วางใจที่จะ
แสดงความรู้สึกต่อดนตรีและกิจกรรมดนตรี ซึ่งต้องถูกเลือกให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา (เจิดนภา หัตถกิจโกศล, 2542 : 12)
การนำดนตรีไปใช้ส ำหรับ เป็ นเครื ่องมือบำบั ดหรื อที ่เรี ยกว่ าดนตรี บ ำบั ด
เป็นการผสมผสานกันระหว่างดนตรีและการบำบัด โดยที่ตัวดนตรีนั้นเป็นสิ่งกระตุ้นให
เกิดการเปลี่ยนแปลง ดนตรีก่อใหเกิดความสัมพันธ์แหงการบำบัด เพื่อการเยียวยา
สู่สภาพเดิม การรักษา และการเปลี่ยนแปลงด้านจิตวิทยา สภาพจิตใจและสุขภาพกาย
เพื่อรักษาไวซึ่งพฤติกรรมที่ดีและปรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพื่อพัฒนาการด้าน
ร่างกายและทักษะทางสังคม ดนตรีบำบัดมีคุณค่าต่อบุคคลทุกชวงอายุ เป็นสิ่งที่ประยุกต์
ใชได้อย่างกว้างขวางเพื่อตอบสนองต่อความผิดปกติที่หลากหลายของบุคคล สามารถ
นำไปใช้เพื่อกระตุน และสนับสนุนวิธีการรักษาอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเป้าประสงค์หลักของดนตรี
บำบัดคือการสร้างเปลี่ ย นแปลงที่ ดี ข ึ้ น ของบุค คล เสริมสร้างการเจริญเติ บโตและ
JOURNAL OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES
92 Vol. 8 No. 1 (January – June 2020)
ลักษณะการจัดกิจกรรมดนตรีบำบัด
การนำดนตรีไปใช้เยียวยาผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความบกพร่องในด้านต่าง ๆ โดยการ
จัดกิจกรรมดนตรีบำบัด ควรมีการคำนึงถึงลักษณะของการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับ
บริ บ ทนั ้น ๆ โดยที่ ท รงฤทธิ ์ ศรี ส ารคาม (2559: 60-62) ได้ แ บ่ ง ลั ก ษณะการบำบัด
ออกเป็น 3 ประเภท
1. ดนตรีบำบัดประเภทรายบุคคล ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีล ักษณะพิเศษเฉพาะ
เช่น ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องและพิการทางร่างกายจนไม่อาจเข้ากิจกรรมกลุ่มกับผู้อื่นได้
เช่น บกพร่องเรื่องการรับรู้ การฟัง การอ่าน ตลอดจนผู้ป่วยที่มีปัญหาอื่น ๆ เช่น ผู้ป่วย
ประเภทหลีกหนีจากสังคม ผู้ ป่วยจิตเภทบางประเภทและผู้ป่วยที่มีอาการหวาดระแวง
เป็นต้น
2. ดนตรีบำบัดประเภทกลุ่ม ใช้กรณีที่ผู้ป่วยเป็นผู้ที่สามารถควบคุมได้ สามารถ
รับรู้ เชื่อฟัง ปฏิบัติตามคำแนะนำ และสามารถเข้ากลุ่มร่วมกับผู้อื่นได้ แม้ว่าบางครั้งอาจ
มีความเป็นส่วนตัวสูงและแยกตัวออกจากกลุ่มอยู่บ้าง ซึ่งผู้จัดกิจกรรมดนตรีบำบัดอาจ
ต้องพิจารณาและตัดสินใจว่าควรนำผู้ป่วยคนไหนเข้ากลุ่มได้หรือไม่ได้ โดยที่สังเกตจาก
พฤติกรรมของผู้ป่วยร่วมกับการตัดสินใจของผู้ค วบคุมดูแลที่ร ู้ประวัติและพฤติกรรม
ผู้ป่วยเป็นอย่างดี
3. ดนตรีบำบัดประเภทรายบุคคลและกลุ่มผสมกัน ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหา
บกพร่อง แตกต่างจากผู้ป่วยรายอื่น แต่สามารถเข้ากลุ่มได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องการ
ความช่วยเหลือเป็นรายบุคคลในเรื่องเทคนิคบางประการของการเล่นเครื่องดนตรี การ
ออกเสียง การอ่าน เป็นต้น กระบวนการรักษาเป็นกลุ่มเป็นกระบวนการที่เหมาะกั บ
สภาพในโรงพยาบาลมากที่ส ุดทั้ง ด้านเวลา และบุคลากรเป็นผลดีที่ผ ู้ป่วยได้มีโ อกาส
สัมผัสกับบรรยากาศที่มีประโยชน์กับผู้ป่วยในด้านการเข้าสังคมเป็นอย่างดี
ลักษณะการจัดดนตรีบำบัดในการศึกษาพิเศษมีความหลากหลาย โดยที่แอด
เลอร์ (Adler, 2006) ได้อธิบายไว้ดังนี้
1. การจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดแบบตัวต่อตัว (one-on-one sessions) เป็น
การจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดให้กับเด็กพิเศษเป็นรายบุคคล มักเป็นการจัดกิจกรรมเสริม
นอกเวลาเรียน โดยแยกเด็กออกมาบำบัดเดี่ยวทีละคน โดยจัดกิจกรรมสัปดาห์ละครั้ง ๆ
ละประมาณ 45–60 นาที หรือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ๆ ละ 30 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) 95
ในการพัฒนาเด็กแต่ละคน การบำบัดในลักษณะนี้มีตอบสนองการพัฒนาเฉพาะบุคคลได้
ดี ทำให้เกิดผลลัพธ์ของการพัฒนาเด็กที่รวดเร็วกว่าการบำบัดแบบกลุ่ม
2. การจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดแบบกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ (small and large
group) เป็ น การจั ด กิ จ กรรมแบบกลุ ่ ม โดยที ่ น ั ก บำบั ด ควรจั ด กลุ ่ ม เด็ ก ตามระดั บ
ความสามารถ และพื้นฐานความต้องการในระดับเดียวกัน รวมทั้งตามเป้าหมายและ
จุดประสงค์ของการบำบัดเดียวกัน ซึ่งการบำบัดในลักษณะนี้คาดหวังให้เด็กมีพัฒนาการ
ในการเรียนรู้และเกื้อหนุนให้เกิดทักษะทางสังคมเพื่อการอยู่ร่วมกันของเด็กทุกคนในกลุ่ม
3. การจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดในชั้นเรียนรวม (inclusive classroom) เป็น
การเปิดโอกาสให้เด็กพิเศษได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของชั้นเรียนเช่นเดียวกับเด็กปกติ ได้
ร่วมปฏิบัติกิจกรรมและเรียนรู้ไปพร้อมกัน โดยนักดนตรีบำบัดจะต้องพิจารณานักเรียน
เป็นรายบุคคลตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมในลักษณะ
นี้นักดนตรีบำบัดต้องทำงานเป็นทีมร่วมกั บผู้อื่น เช่น ครู ผู้ปกครอง นักวิชาการศึกษา
พิเศษ เป็นต้น ทั้ง เพื่อส่ง เสริมให้เกิดผลลัพธ์ส ูง สุดต่อเด็กพิเศษตามเป้าหมายที่ไ ด้
กำหนดไว้
4. การจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดแบบกลุ่มบูรณาการ (integrated group-music
experiences) คือ กิจกรรมดนตรีที่มีการแสดงร่วมกันกับผู้อื่น เช่น การขับร้องประสาน
เสียง การบรรเลงรวมวง แสดงละครร้อง เป็นต้น โดยที่กิจกรรมแสดงดนตรีต่าง ๆ นั้นมี
การจัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอในโรงเรียนอยู่เป็นปกติ นักดนตรีบำบัดมีหน้าที่ส่งเสริมและ
สนับสนุนเด็กทุกคนให้ขึ้นเวทีการแสดงดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเปิดโอกาสและ
เสริมแรงให้กับเด็กพิเศษได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ อีกด้วย
ลักษณะการจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดมีความสำคัญ คือ ทำให้ผู้จัดได้ออกแบบ
กิจกรรมให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้รับการบำบัด กิจกรรมดนตรีบำบัดที่จัดขึ้น
นอกจากต้องคำนึงถึงเรื่องลักษณะของการจัดแล้ว ยังต้องคำนึงถึงวิธีการที่ใช้ในการ
บำบัดอีกด้วย การบำบัดด้วยดนตรีมีหลายวิธีการ เช่น การฟังดนตรีสำเร็จรูปจากสื่อ
ต่าง ๆ การฟังดนตรีสดที่ผู้ให้การบำบัดเป็นผู้บรรเลงโดยผู้รับการบำบัดอาจมีส่วนร่วมใน
การร้องเพลงด้วย การบำบัดด้วยการฝึกปฏิบัติเครื่องดนตรี เป็นต้น วิธีการจัดกิจกรรม
ดนตรีบำบัดสำหรับเด็กพิเศษที่มีความน่าสนใจอย่างหนึ่งคือใช้การจัดการเรียนรู้ดนตรี
สำหรับเด็กเป็นเครื่องมือในการบำบัด
JOURNAL OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES
96 Vol. 8 No. 1 (January – June 2020)
แนวคิดเรื่องการจัดการเรียนรู้ดนตรีสำหรับเด็ก
ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับรองวิชา
ดนตรีให้อยู่ในหลักสูตร เนื่องจากเห็นว่าดนตรีช่วยสนับสนุนศาสตร์อื่นและส่งเสริม
การทำงานเป็นกลุ่มร่วมกับผู้อื่น ช่วยเสริมสร้างบุค ลิกลักษณะของคน ช่วยส่ง เสริม
จริยธรรม ช่วยพัฒนาสุขภาพร่างกายและจิตใจ อีกทั้งช่วยทำให้การสอนภาษาและวิชา
สังคมศาสตร์สนุกมากขึ้น ต่อมาวิชาดนตรีได้รับการยอมรับว่าเป็นวิชาที่มีเนื้อหาสำคัญ
เป็นของตัวเอง และบทบาทสำคัญของวิช านี้ก็คือการทำให้มนุษ ย์แต่ละคนในสัง คมมี
รสนิยมในการฟังเพลงที่ดี ดังนั้นวงการศึกษาจึงมักจัดวิชาดนตรีไว้ในกลุ่มของวิช าศิลปะ
แม้นักการศึกษาจะพยายามนำดนตรีไปช่วยในการเรียนการสอนวิชาอื่น ๆ แต่วิชาดนตรี
ก็มีเนื้อหาสาระที่มีความสำคัญและรายละเอียดมาก (ธวัชชัย นาควงษ์, 2543: 1)
ดนตรี ศ ึ ก ษาเป็ น วิ ช าการที ่ ม ี ค วามสำคั ญ ที ่ ช ่ ว ยสร้ า งและพั ฒ นาความมี
จิตวิญญาณทางดนตรีของคนในสังคมอย่างมีแบบแผน ทำให้เด็ก เยาวชน และประชาชน
ทั่วไปในทุกสังคมเกิดสุนทรียภาพในโสตศิลป์ได้อย่างดี ช่วยให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็น
ผู้ใหญ่ในฐานะผู้ฟังที่ดี รู้จักรักษาและดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมดนตรีที่ดี สำหรับประเทศไทย
การศึกษาดนตรีในระดับก่อนอุดมศึกษา คือ 1) ระดับปฐมวัยศึกษาซึ่งตามหลักสูตร
การศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ได้มีการกล่าวถึงดนตรี เช่น การร้องเพลง การ
ปฏิบัติเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ การเคลื่อนไหวร่างกายประกอบจังหวะ เพื่อให้ได้
คุณลักษณะอันพึงประสงค์คือทำให้เด็กมี สนใจและมีความสุขกับจังหวะการเคลื่อนไหว
และดนตรี เป็นต้น 2) ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา โดยที่ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ได้กำหนดให้วิชาดนตรีอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
ศิลปะ ประกอบด้วย ทัศนศิลป์ นาฏศิลป์ และดนตรี (โสตศิลป์) ซึ่งมีแนวทางก ารศึกษา
ดนตรีไว้ชัดเจน และค่อนข้างครบถ้วน แต่มีปัญหาเรื่องระยะเวลาการเรียนที่น้อยเกินไป
(ณรุทธ์, 2561: 13, 20-21 ,165 ,251 ,282)
เมื่อกล่าวถึงระบบการศึกษาดนตรีในประเทศไทยระดับปฐมวัย ประถมศึกษา
มัธยมศึกษา จะพบว่าดนตรีได้แทรกซึมเข้าไปในหลายส่วน ได้แก่
1. ดนตรี/เพลงได้ถูกใช้เป็นสื่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรายวิชาต่าง ๆ เช่น
วิชาภาษาไทย วิชาภาษาอังกฤษ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาลูกเสือ เป็นต้น ทั้งนี้อาจกล่าวได้
ว่าดนตรี/เพลงได้ถูกนำไปใช้เป็นสื่อการสอนในทุกรายวิชา
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) 97
การจัดการเรียนรู้ดนตรีตามวิธีการของดาลโครซ
เอมีล ฌาคส์ ดาลโครซ (Emile Jaques-Dalcroze, ค.ศ. 1865-1950) เป็น
นักประพันธ์เพลงและนักดนตรีศึกษาชาวสวิส ผู้บุกเบิกเรื่องการเคลื่อนไหวร่างกายกับ
ดนตรี (movement and music) เขามีแนวคิ ด ว่าร่างกายเป็ นเครื่ องตอบสนองต่ อ
อารมณ์ดนตรีได้ดีที่สุด เมื่อเด็กได้แสดงออกทางดนตรีอย่างดื่มด่ำผ่า นการเคลื่อนไหว
ร่างกายทำให้เด็กได้คุ้นชินกับการแสดงออกนั้น ซึ่งเป็นพื้นฐานให้พวกเขามีจิตวิญญาณ
ความเป็นนักดนตรีสูงต่อไปในอนาคต หากบุคคลใดไม่ได้ฝึกการตอบสนองทางร่างกายต่อ
ดนตรีตั้งแต่เด็ก เมื่อโตขึ้นจะขาดความเป็นนักดนตรีที่สมบูรณ์ เนื่องจากการบรรเลง
ดนตรีกับการแสดงออกทางร่างกายไม่สัมพันธ์กัน (ธวัชชัย นาควงษ์, 2543 : 95)
วิธีการสอนของดาลโครซได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากสามารถทำให้ผู้เรียน
เกิ ด ความเข้ าใจในดนตรี ได้ เป็น อย่ า งดี ดาลโครซใช้ หลั กการที ่เ รีย กว่า ยูร ิ ธึมมิกส์
(Eurhythmics) คือการเคลื่อนไหวตามจังหวะที่ดี หลักการนี้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา
ความรู้ส ึกของผู้เรี ยนในการตอบสนองต่อ ดนตรี และแสดงออกความรู้ส ึก นั้ น ผ่ า น
การเคลื่อนไหว ทำให้ผ ู้เรียนเข้าใจตนเอง พัฒนาการแสดงออกผ่านการเคลื่อนไหว
ร่ า งกาย นอกจากนี ้ ก ็ เ ป็ น การพั ฒ นาความคิ ด และจิ ต ใจซึ ่ ง มี ค วามสั ม พั น ธ์ กั บ
การเคลื่อนไหวร่างกาย อารมณ์ และความรู้สึกของผู้เรียนอีกด้วย
สาระสำคัญของวิธีการสอนแบบดาลโครซตามหลักยูริธึมมิกส์ ประกอบด้วย
3 ส่วน ได้แก่ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอิส ระตามจัง หวะดนตรี (Eurhythmics)
การฝึกโสตประสาทและร้องโซลเฟจแบบโดคงที่ (fixed-do) และการคิดสร้างสรรค์ด้วย
การแต่งทำนอง จังหวะ หรือท่าทางการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ (improvisation)
การจัดการเรียนรู้ดนตรีตามวิธีการของโคดาย
โซลทาน โคดาย (Zoltán Kodály, ค.ศ. 1882-1967) เขาเป็นบุคคลที่มีความ
โดดเด่ น ต่ อ วั ฒ นธรรมของประเทศฮั ง การี ช ่ ว งศตวรรษที ่ 20 ในฐานะที ่ เ ขาเป็ น
นักประพันธ์เพลง นักมานุษยวิทยาดนตรี ครูดนตรี และนักภาษาศาสตร์ แนวคิดการสอน
ดนตรีของเขาได้ร ับ การยอมรับในระดับสากล กลายเป็นรากฐานการสอนดนตรี ใ น
ประเทศฮังการี และมีบทบาทสำคัญในการสร้างนักดนตรีมืออาชีพ
โคดายเชื่อว่าการเรียนดนตรีเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สำหรับเด็กทุกคน ไม่จำกัด
เฉพาะแต่กับเด็กที่มีแววทางดนตรีเท่านั้น เขาเชื่อว่าด้วยวิธีการสอนที่ดีจะสามารถทำให้
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) 99
เรี ย กว่ า แบบฝึ ก หั ด สำหรั บ ใช้ ใ นโรงเรี ย น แนวคิ ด ของออร์ ฟ คื อ ดนตรี (music)
การเคลื่อนไหว(movement) และการพูด (speech) เป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปด้วยกันโดยไม่
สามารถแยกออกจากกันได้ ทั้ง สามสิ่งหลอมรวมกันเป็นสิ่งที่เรียกว่าดนตรีเบื้องต้น
(elemental music) เขาสั ง เกตว่ า เมื ่ อ เด็ ก แสดงออกทาง ดนตรี ด ้ ว ยตนเองใน
สภาพแวดล้ อ มที ่ เ ป็ น ปกติ โ ดยไม่ ม ี ก ฎเกณฑ์ ม าบั ง คั บ จะทำให้ เ ด็ ก ใช้ ด นตรี
การเคลื่อนไหว และภาษาพูดไปพร้อม ๆ กัน เด็กที่กำลังเต้นหรือรำจะร้องเพลงไปด้วย
และแน่นอนว่า เขามั กเคลื ่อ นไหวร่ างกายไปตามจัง หวะของบทเพลงโดยธรรมชาติ
(ธวัชชัย นาควงษ์, 2542 : 1)
วิธีการสอนของออร์ ฟได้ร ับ การยอมรั บอย่ างกว้างขวางในนานาประเทศ
แต่ออร์ฟไม่เชิงสนับสนุนให้ใช้เพลงของตนในการสอนเด็กชาติอื่น และเขาก็ไม่ส นับสนุน
การแปลเพลงที่เขาประพันธ์ออกเป็นภาษาต่าง ๆ เนื่องจากเพลงเหล่านั้นมีรากฐานมา
จากเพลงพื้นเมืองในประเทศที่เด็กชาวเยอรมั นคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในขณะที่ไม่เป็นที่คุ้น
ชินกับเด็กชาติอื่น ออร์ฟส่งเสริมให้แต่ล ะประเทศนำบทเพลงประจำชาติที่เป็นเพลง
พื้นบ้านพื้นเมืองสำหรับเด็กในการสอนดนตรีของชาตินั้น ๆ (ธวัชชัย นาควงษ์, 2548 : 2)
ออร์ฟมีแนวคิดตรงกับดาลโครซหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่ องของจังหวะ
เขาให้ความสำคัญของจังหวะในการพูด จังหวะของการเคลื่อนไหวร่างกาย และจังหวะใน
ดนตรี ตลอดจนการใช้เครื่องดนตรีเครื่องกระทบ (percussion) ในการสร้างจังหวะ
และหัวใจสำคัญคือใช้ความคิดสร้างสรรค์โดยการแต่งทำนองหรือจังหวะขึ้นมาใหม่
ทั้งดาลโครซและออร์ฟต่ างให้ความสำคัญในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ทาง
ดนตรี โดยที่สุกรี เจริญสุข (2557 :71-72) ก็มีความคิดที่สอดคล้องกัน เขากล่าวว่าครู
ดนตรีมีหน้าที่ส อนความคิดสร้างสรรค์ให้กับ เด็ กสร้างสรรค์ส ิ่ง ใหม่ การด้นเพลงก็
เหมือนกับการด้นชีวิต ปรับเปลี่ยนชีวิต ไม่ได้แตกต่างจากการด้นเพลง สร้างแนวใหม่
การนำคีตปฏิภาณ ดุริยปฏิภาณ เป็นการพัฒนาจินตนาการ เป็นการสร้างรสนิยม สร้าง
บรรยากาศ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อการเรียนดนตรี ซึ่งความคิดสร้างสรรค์เป็นบทบาท
สูงสุดของคนเรียนดนตรี เป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาดนตรี
สาระสำคัญของวิธีการสอนแบบออร์ฟคือการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของ
เด็กผ่านการบรรเลงเครื่องดนตรีประเภทเครื่องกระทบ เน้นการเคลื่อนไหวร่างกาย การ
ออกเสียง (พูด ท่อง ร้อง) ผลลัพธ์สุดท้ายของออร์ฟคือต้องการให้เด็กสามารถปฏิบตั ิคีต
ปฏิภาณได้ (improvisation)
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) 101
การจัดการเรียนรู้ดนตรีเด็กและดนตรีบำบัดสำหรับเด็กพิเศษ
ดนตรีส ามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเด็กปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา
ตลอดจนเด็กพิเศษได้ดี เนื่องจากสามารถสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ดนตรีที่หลากหลาย
และสนุกสนาน การออกแบบกิจกรรมที่ดีของผู้สอนช่วยให้เด็กมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ
ดีขึ้นได้ โดยที่ผู้สอนหรือนักกิจกรรมควรวางเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าต้องการช่วยเหลือ
บำบัดเด็กในเรื่องใด ดนตรีสามารถนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างทักษะสังคมได้ โดยช่วยให้เด็ก
มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมห้องเรียนผ่านกิจกรรมดนตรีรูปแบบต่าง ๆ การละเล่นประกอบ
ดนตรีต่าง ๆ เช่น เก้าอี้ดนตรี มอญซ่อนผ้า เป็นต้น
การจัดกิ จ กรรมการเรียนรู้วิช าดนตรีและดนตรีบำบัดต่างก็มีดนตรีเข้ามา
เกี่ยวข้อง หากแต่มีความแตกต่างกันในเรื่องของวัตถุประสงค์เบื้องต้น กล่าวคือ การจัด
กิจ กรรมการเรียนรู้ดนตรีมุ่งเน้นที่จ ะพัฒนาทักษะต่าง ๆ ทางด้านดนตรีเป็นสำคัญ
ในขณะที่การจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดนั้น ไม่ได้ มีจุดประสงค์เพื่อทำให้เด็กมีพัฒนาการ
ทางด้านดนตรีโดยตรง แต่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยพัฒนาผู้บำบัดในด้านอารมณ์ จิตใจ
และร่างกาย
การจัดการศึกษาดนตรีให้กับเด็กพิเศษมีจุดประสงค์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับ
สาระทางดนตรี ซึ่งผู้สอนมีความจำเป็นต้องทำความเข้าใจลัก ษณะความบกพร่องของ
ผู้เรียนอย่างดีพอและเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้เพื่อช่วยให้ผู้เรียน
เหล่านี้เกิดความรู้ด้านดนตรี ส่วนการบำบัดด้วยดนตรีหมายถึงการรักษาผู้ป่วยไม่ว่าทาง
กายหรือทางจิตด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งโดยใช้ดนตรีเป็นสื่อหรือเครื่องมือในการบำบัด
อาการป่วยนั้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น คลายกังวล หรือคลายเครียด โดยไม่ได้มุ่งหวังให้
ผู้ป่วยเรียนรู้และทำความเข้าใจในสาระดนตรีอย่างจริงจังแต่ประการใด โดยที่ผู้บำบัด
ต้องศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องสาระดนตรี การบำบัดเชิงจิตวิทยา และเรื่องทาง
พฤติ ก รรมศาสตร์ อย่ า งไรก็ ต าม ในการใช้ ด นตรี บ ำบั ด นั ้ น ผู ้ ป ่ ว ยบางคนอาจมี
ความสามารถที่จะเรียนรู้ดนตรีได้ ในขณะที่ผู้ป่วยบางคนใช้ประสบการณ์ดนตรี ที่ ตน
ได้รับเพื่อช่วยให้ตนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย อารมณ์ ความคิด หรือพฤติกรรม
ทางสังคมเท่านั้น โดยทั่วไปผู้สอนดนตรีเด็กพิเศษ จึงมิใช่ผู้ทำดนตรีบำบัดโดยตรง แต่การ
จัดการเรียนรู้ด้านดนตรีให้กับเด็กพิเศษ มีส่วนเช่นกันในการบำบัดอาการหรือพฤติกรรม
บางอย่าง เนื่องจากผลของสาระดนตรี (ณรุทธ์ สุทธจิตต์, 2541 : 65-66)
JOURNAL OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES
102 Vol. 8 No. 1 (January – June 2020)
ภาพที่ 1 : ทายชื่อเพลงจากภาพการ์ตูน
2. ขั้นเนื้อหา
2.1 ผู ้ ส อนอ่ า นเนื้ อ ร้ อ งให้ เ ด็ก ฟั ง และให้ เ ด็ ก พู ด ตามไปที ล ะประโยค
ทำแบบเดิม 2 รอบหรือมากกว่านี้ ต่อมาเมื่อเด็กเริ่มคุ้นเคยกับเนื้อร้อง จึงเริ่มฝึกท่องเนื้อ
เพลงให้เป็นจังหวะตามบทเพลงนั้นโดยยังไม่เน้นเรื่องทำนองเพลงที่ถูกต้อง หลังจากนั้น
จึงเริ่มฝึกร้องทำนองเพลงและจังหวะให้ถูกต้องโดยผู้สอนร้องให้ฟังทีละประโยคพร้อมทั้ง
บรรเลงคีย์บอร์ดไปด้วยเพื่อให้ได้ระดั บเสียงที่ถูกต้อง แล้วให้เด็กเลียนแบบการร้องตาม
ฝึกร้องซ้ำไปมาหลาย ๆ รอบ โดยให้เด็กพยายามร้องเพลงตามกันไป การร้องเพลงทำให้
เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์ กล่าวให้ถึงที่สุดได้ว่าการร้องเพลงเป็นกิจกรรมทางดนตรีที่
จำเป็นและมีความสำคัญอย่างมากในการเรียนการสอนดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ
เด็กเล็กในระดับปฐมวัยและประถมศึกษา ในขั้นตอนนี้เป็นการใช้วิธีการของโคดายที่เน้น
การร้องเพลงและนำวิธีการยูริธึมมิกส์ของ ดาลโครซมาใช้ประกอบกัน โดยให้เด็กโยกตัว
ปรบมือตามจังหวะ หรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างอิสระไปรอบห้องเรียนตามเสียงร้องและ
เสียงคีย์บอร์ดของผู้สอน ควรเน้นย้ำให้เด็กพยายามเคลื่อนไหวให้ตรงจังหวะของบทเพลง
ด้วย ซึ่งวิจารณ์ พานิช และวิมลศรี ศุษิลวรณ์ (2560) ได้อธิบายถึงการเคลื่อนไหวร่างกาย
ว่าเป็นการช่วยเพิ่มพลังและความมีชีวิตชีวาของเด็ก และทำให้ไม่น่าเบื่อ ในทางสรีรวิทยา
JOURNAL OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES
104 Vol. 8 No. 1 (January – June 2020)
ภาพที่ 2 : แสดงโน้ตเพลงเครื่องบิน
ภาพที่ 3 : เด็กฝึกร้องเพลง
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) 105
ภาพที่ 4 : ปฏิบัติกิจกรรมบำบัดร่อนเครื่องบินกระดาษไปพร้อม ๆ
กับการร้องเพลงเครื่องบิน
2.3 เมื่อเด็กได้ร้องเพลงพร้อมกับกิจกรรมบำบัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผู ้ ส อนได้ ใ ห้ โ อกาสเด็ ก ปฏิ บ ั ต ิ เ ครื ่ อ งดนตรี ป ระเภทเครื ่ อ งกระ ทบ (Percussion
Instrument) อย่างอิสระตามวิธีของออร์ฟที่เน้นการบรรเลงเครื่องกระทบ กระบวนการ
คิดสร้างสรรค์ และการด้น เครื่องดนตรีที่ใช้ ได้แก่ ระนาดไม้สำหรับเด็ ก (baby xylophone)
JOURNAL OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES
106 Vol. 8 No. 1 (January – June 2020)
ภาพที่ 5 : ตัวอย่างเครื่องดนตรีที่ใช้ในการปฏิบัติกิจกรรม
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) 107
ภาพที่ 7 : ทดลองกดเครื่องดนตรีคีย์บอร์ด
JOURNAL OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES
108 Vol. 8 No. 1 (January – June 2020)
บทสรุป
เรื่องที่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทางดนตรีให้กับเด็ก
พิเศษคือพวกเขาเหล่านี้สามารถเรียนรู้ส าระทางดนตรีและปฏิบัติตามกฎกติกาของ
กิจกรรมได้ไม่เทียบเท่ากับเด็กปกติ เด็กพิเศษแต่ละคนอาจมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ที่
แตกต่างกันไป กิจกรรมดนตรีบำบัดที่ เด็กได้เข้าร่วม เด็กอาจเรียนรู้และปฏิบัติตามได้
ทั้งหมด เกือบทั้งหมด เป็นบางส่วน หรือไม่ได้เลย ขึ้นอยู่กับตัวเด็กเอง บริบทแวดล้อมใน
ช่วงเวลานั้น ตลอดจนเทคนิคของผู้จัดกิจกรรมดนตรีบำบัด ทั้งนี้ ผู้สอนหรือผู้จัดกิจกรรม
ควรมีการประเมินหลัง จัดกิจกรรมทุกครั้ง เพื่ อทำให้ทราบถึง ปัญหา ข้อติดขัด และ
วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 (มกราคม – มิถุนายน 2563) 109
ข้อบกพร่องในการจัดกิจกรรมครั้งนั้น ๆ เพื่อนำไปปรับกลยุทธ์สำหรับการจัดกิจกรรมใน
ครั้งถัดไป
การจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ทางดนตรีตามวิธี
ของดาลโครซ โคดาย และออร์ฟ ไม่ได้มุ่งพัฒนาเด็กพิเศษในด้านทักษะต่าง ๆ ทางดนตรี
โดยตรง หากแต่มุ่งพัฒนาศักยภาพเด็กพิเศษในด้านอื่น ๆ ได้แก่ การพัฒนาทางด้ าน
ร่างกาย การพัฒนาทางด้านจิตใจและอารมณ์ การพัฒนาทางด้านทักษะทางด้านสังคม
การพัฒนาทางด้านการเรียนรู้และทักษะในการสื่อสาร ทั้งนี้ก็ด้วยความคาดหวังให้พวก
เขาช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้ มากขึ้น ตลอดจนสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้
อย่างเป็นปกติสุข
การจัดกิจกรรมดนตรีบำบัดสำหรับเด็กพิเศษที่ไม่อาจจัดเป็นรายบุคคลได้ด้วย
เหตุต่าง ๆ จึงมีความจำเป็นต้องจัดในลักษณะเป็นกลุ่ม ทางเลือกที่ช่วยได้คือการนำการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ดนตรีสำหรับเด็กตามวิธีของดาลโครซ โคดาย และออร์ฟมาใช้ ซึ่ง
วิธีของนักดนตรีศึกษาทั้ง 3 ได้รับการยอมรับไปทั่วโลกและถูกใช้อย่างแพร่หลาย เป็น
แนวทางที่ถูกจริตกับทั้งเด็กทั้งหลายเพราะมีลักษณะเป็นการเรียนปนเล่น ทำให้เด็กพิเศษ
ได้เรียนรู้ผ่านการเล่นและการปฏิบัติกิจกรรม ตลอดจนเป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่
เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นการมีส่วนร่วมและการลงมือทำจริง เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนา
ตนเองอย่างสูงสุดเต็มกำลัง
เอกสารอ้างอิง
กลุ่มดนตรีบำบัดภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟูคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ .
2554 . แนวทางการใช้ดนตรีบําบัดสำหรับผู้ป่วยและผู้พิการทางกาย พ.ศ. 2554.
ม.ป.พ.
จิรวัฒน์ ตนุสิทธิ์ธนกุล. (2552). ผลของการจัดกิจกรรมเสริมทักษะดนตรีรายบุคคลที่มี
ต่อ การพัฒ นากล้ามเนื้อ มัดเล็ก: กรณีศึกษาเด็กออทิสติก ศูนย์ว ิจัยและ
พัฒนาการจัดการศึกษาพิเศษแบบเรียนรวมสำหรับเด็กออทิสติก โรงเรียน
สาธิ ต มหาวิ ท ยาลั ย ขอนแก่ น . วิ ท ยานิ พ นธ์ ป ริ ญ ญาศึ ก ษามหาบั ณ ฑิ ต
สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
เจิ ด นภา หั ต ถกิ จ โกศล. (2542). ดนตรี บ ำบั ด สำหรั บ เด็ กออทิส ติ ก. วารสารการ
ศึกษาศาสตร์, 1(1), 12-14.
ทรงฤทธิ์ ศรีสารคาม. (2559). ดนตรีบำบัด.นนทบุรี: สัมปชัญญะ.
JOURNAL OF HUMANITIES AND SOCIAL SCIENCES
110 Vol. 8 No. 1 (January – June 2020)