Professional Documents
Culture Documents
สรุปความหาระ ๑๖ ในเนตติปกรณ์
๑. เทสนาหาระ
เทสนาหาระ คือ แนวทางในการแสดงข ้อความ ๖ อย่าง
คือ
๑. อัสสาทะ สภาวะน่ายินดีพอใจ คือ สุข โสมนัส และ
สงั ขารในภูม ิ ๓ ทีเ่ ป็ นอิฏฐารมณ์ หรือความหลงติดซงึ่ ทำให ้
ยินดีพอใจ คือ ตัณหา และวิปัลลาส ๓ ได ้แก่ สญ ั ญาวิปัลลาส
ทิฏฐิวปิ ั ลลาส และจิตตวิปัลลาส
๒. โทษ โทษของอัสสาทะ คือ ทุกขเวทนา หรือ
ทุกข์ ๓ อย่าง คือ ทุกขทุกข์ วิปริณามทุกข์ และสงั ขารทุกข์
๓. นิสสรณะ เหตุพ ้นไปจากทุกข์ คือ อริยมรรค โพธิปักขิ
ยธรรม และอนุปัสสนา ๔ หรือความพ ้นทุกข์ คือพระนิพพาน
๔. ผละ จุดมุง่ หมายของการแสดงธรรมทีเ่ กิดแก่ผู ้
ฟั งธรรมเป็ นต ้น คือ ทิฏฐธัมมิกประโยชน์อน ั ได ้แก่ สุตมย
ปั ญญา คือ ปั ญญาจากการฟั ง อัตถเวทะ คือ ความเข ้าใจอรรถ
ธัมมเวทะ คือ ความเข ้าใจธรรม วิสท ุ ธิ ๖ และสม ั ปรายิกต ั ถ
ประโยชน์ อันได ้แก่ ภพสมบัต ิ คือ การเกิดในภูมท ิ ดี่ ี และโภค
สมบัต ิ คือ การบริบรู ณ์ด ้วยโภคทรัพย์ ทีม ่ ก
ี ารฟั งธรรมเป็ นต ้น
เป็ นมูลเหตุ
๕. อุปายะ วิธป ี ฏิบต
ั เิ พือ
่ ให ้บรรลุความดับทุกข์ คือ ศล ี
สมาธิ ปั ญญา อันเป็ นเหตุให ้บรรลุอริยมรรค ซงึ่ เรียกว่า ปุพพ
ภาคปฏิปทา (ปฏิปทาเบือ ้ งต ้น) ของอริยมรรค
๖. อาณั ตติ การแนะนำให ้ละเว ้นความชวั่ และกระทำ
ความดี
หมายเหตุ อร ย ิ มรรค ค อ
ื มรรคญาณอัน ประเสร ฐ ิ ท ี่
ประกอบด ้วยองค์ ๘ โดยองค์ธรรมคือส ม ั มาทิฏฐิทป
ี่ ระกอบ
กับองค์มรรค ๗ ทีเ่ หลือ
2
ตัวอย่าง
ปูชา จ ปูชนียานํ . (ขุ.ธ. ๒๕/๓/๔)
“การบูชาผู ้ทีค ่ วรบูชา”
จำแนกองค์ธรรม
การบูชามี ๒ อย่าง คือ
๑. อามิสบูชา การบช ู า ด ้ว ย ว ต ั ถส ุ งิ่ ข อ ง
หมายถ งึ กุศ ลเจตนาหรือ ก ริ ย ิ าเจตนาในขณะให ้ทานของ
ปุถชุ นหรือพระอรหันต์
๒. ธรรมบูชา การบูช าด ้วยการปฏิบ ต ั ธิ รรม
หมายถึง กุศ ลเจตนาหรือ กิร ย ิ าเจตนาในขณะรัก ษาศ ล ี หรือ
เจริญ ภาวนาอัน มีป พ ุ พภาคปฏิป ทา (การปฏิบ ต ั เิ บือ ้ งต ้นคือ
วิปัสสนา) เป็ นเบือ ้ งต ้น มรรคผลเป็ นท่ามกลาง และนิพพาน
เป็ นทีส่ ด
ุ
จำแนกเป็ นอัสสาทะเป็ นต ้น
๑. อัสสาทะ สภาวะน่า ย น ิ ดีพ อใจ ค อ ื โลก ย ิ ธรรมอัน
ได ้แก่ สุข โสมนัส และส งั ขารในภูม ิ ๓ ทีเ่ ป็ นอ ฏ ิ ฐารมณ์
เพราะเป็ นสงิ่ ทีน
่ ่ายินดี และสภาวะทำให ้เหล่าสต ั ว์ยน ิ ดีพอใจ
คือ ตัณหาทีเ่ ป็ นเหตุให ้เกิดความยินดี
๒. อาทีนวะ โทษของอัสสาทะ คือ ส งั ขารทุกข์อน ั เป็ น
เตภูมกธรรมเหล่านัน ้
๓. นิสสรณะ เหตุพ ้นไปจากทุก ข ์ ค อ ื อร ย ิ มรรค และ
ความพ ้นทุกข์ คือ พระนิพพาน
๔. ผละ จุด มุง่ หมายของการบูช าผู ้ทีค ่ วรบูช า คือ
ผลจ ต ิ ตุป บาท และอานิส งส ข ์ องการบูช ามีก ารพ ้นไปจาก
อัต ตานุว าทภัย (ภัย คือ การตำหนิต น) ปรานุว าทภัย (ภัย คือ
การตำหนิของผู ้อืน ่ ) ทัณฑภัย (ภัยคืออาชญา) และทุคคติภย ั
(ภัยคือการไปเกิดในทุคคติ) เป็ นต ้น ดังพระพุทธดำรัสว่า ธมฺ
โม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ (พระธรรมย่อมรักษาผู ้ประพฤติธรรม)
3
๕. อุปายะ ว ธิ ปี ฏบ
ิ ต
ั เิ พือ
่ ให ้บรรลุค วามดับ ทุก ข ์ ค อื
การบูชาอันเป็ นเหตุของการได ้รับผลดังกล่าว
๖. อาณั ตติ การแนะนำให ้ละเว ้นความช วั่ และกระทำ
ความดี คือ การแนะนำให ้บูช าผู ้ทีค ่ วรบูช า ตามทีต่ รัส ไว ้ใน
คาถานี้
วิธรี วมอัสสาทะเป็ นต ้นในอริยสจ ั ๔
๑. อัสสาทะ ปรากฏในสมุทยสจ ั
๒. โทษและผละ ปรากฏในทุกขสจ ั
๓. นิสสรณะทีเ่ ป็ นความดับทุกข์ ั
ปรากฏในนิโรธสจ
๔. นิสสรณะทีเ่ ป็ นเหตุแห่งการออกจากทุกข์ อุปายะ
และอาณั ตติ ปรากฏในมรรคสจ ั
วิธรวมอริ
ี ั ๔ ในอัสสาทะเป็ นต ้น
ยสจ
อีกอย่างหนึง่ อาจจำแนกองค์ธรรมออกเป็ นอริยสจ ั ๔
ก่อน แล ้วจึงจำแนกอริยสจ ั ๔ เป็ นอัสสาทะเป็ นต ้น กล่าวคือ
๑. ทุกขสจ ั คือ โลกิยขันธ์ ๕ เว ้นโลภะของผู ้บูชาผู ้ที่
ควรบูชามีพระพุทธเจ ้า พระปั จเจกพุทธเจ ้า พระอรหันต์ บิดา
มารดา ครูอาจารย์ สมณพราหมณ์ผู ้ทรงศล ี เป็ นต ้น
๒. สมุทยสจ ั คือ ตัณหาทีย ่ นิ ดีการบูชานัน ้
อันเป็ นเหตุเกิดของทุกข์
๓. นิโรธสจ ั คือ นิพพานอันเป็ นสภาวะดับทุกขสจ ั และ
สมุทยสจ ั ทัง้ สอง ในทีน ่ ค
ี้ อ
ื มหากุศลจิตทีเ่ ป็ นไปเพือ ่ ดับภพ
ชาติ จึงจัดเป็ นนิโรธสจ ั โดยอ ้อม
๔. มรรคสจ ั คือ ปฏิปทาอันเป็ นเหตุให ้บรรลุนโิ รธสจ ั ใน
ทีน
่ ก
ี้ ารบูชาด ้วยปฏิบต ั บ ิ ชู าตามหลักสมถภาวนาหรือวิปัสสนา
ภาวนาจัดเป็ นการเจริญมรรคสจ ั
ในสจ ั จะ ๔ เหล่านัน ้ :-
4
๑. อัสสาทะ ปรากฏในสมุทยสจั
ั
๒. อาทีนวะ ปรากฏในทุกขสจ
๓. นิสสรณะ ปรากฏในนิโรธสจ ั และมรรคสจ
ั
๔. ผละ ปรากฏในทุกขสจั
๕. อุปายะ คือ โยนิโสมนสก ิ าร (การใสใ่ จโดย
แยบคาย) สท ั ธัมมสวนะ (การฟั งธรรม) และจตุจักกสม ั ปั ตติ
(ความถึงพร ้อมด ้วยจักร ๔) เป็ นต ้นทีป ่ รากฏในขณะบูชาผู ้ที่
ควรบูชา อันเป็ นเหตุให ้บรรลุจด
ุ มุง่ หมาย ปรากฏในมรรคสจ ั
๖. อาณั ตติ คือ คำว่า ปูชา จ ปูชนียานํ แม ้จะมิได ้ระบุวา่
ให ้กุลบุตรจงบูชาผู ้ทีค ั ชวนโดยอ ้อม
่ วรบูชา ก็เป็ นการกล่าวชก
ปรากฏในมรรคสจ ั
๒. วิจยหาระ
วิจยหาระ คือ แนวทางในการจำแนก ๑๑ อย่าง คือ
๑. ปทวิจัย การจำแนกบทโดยศพ ั ท์และอรรถ การ
จำแนกโดยศพ ั ท์เป็ นการแจกแจงศพ ั ท์นัน
้ ๆ ตามหลักภาษา
โดยแบ่งเป็ น :-
ก. ประเภท คือ บทนาม บทอาขยาต บทอุปสรรค และ
บทนิบาต
ข. ลิงค์ คือ ปุงลิงค์ อิตถีลงิ ค์ และนปุงสกลิงค์
ค. กาล คือ อดีตกาล ปั จจุบน
ั กาล และอนาคตกาล
ฆ. สาธนะ คือ กัตตุสาธนะ กรณสาธนะ และกรรมสาธนะ
เป็ นต ้น
ง. วิภต
ั ติ คือ ปฐมาวิภต
ั ติ และทุตย
ิ าวิภต
ั ติ เป็ นต ้น
จ. พจน์ คือ เอกพจน์ และพหูพจน์
สว่ นการจำแนกโดยอรรถก็คอื ความหมายทีก
่ ล่าวไว ้ตาม
5
ประเภทและลิงค์เป็ นต ้นเหล่านัน
้
๒. ปั ญหวิจัย การจำแนกคำถาม เชน ่ อทิฏฐโชตนา
(แสดงสงิ่ ทีไ่ ม่รู ้เห็น) เป็ นต ้น, สต ั ตาธิษฐาน (มีบค ุ คลเป็ นที่
ั มุตวิ ส
ตัง้ ), สม ั (มีบญ
ิ ย ั ญัตเิ ป็ นวิสยั ) และอตีตวิสยั (มีอดีตกาล
เป็ นวิสย ั )
๓. วิสช ั ชนาวิจัย การจำแนกคำตอบ เชน่ เอกังส
พยากรณ์ (คำตอบทีแ ่ สดงความแน่นอน), สาวเสสพยากรณ์
(คำตอบทีแ ่ สดงโดยมีข ้อความเหลืออยู่), สอุตตรพยากรณ์
(คำตอบทีม ่ ข
ี ้อความอืน ่ ยิง่ ไปกว่า)
๔. ปุพพาปรวิจัย การจำแนกข ้อความก่อนและหลัง
หมายถึง การจับคูค ่ ำถามและคำตอบทีส ่ อดคล ้องกัน เพือ ่
ศกึ ษาความเป็ นเอกภาพของคำหน ้าและคำหลังซงึ่ เป็ น
คำถามและคำตอบทีไ่ ม่ขด ั แย ้งกัน
๕. อัสสาทวิจัย การจำแนกอัสสาทะ เชน ่ ตัณหาเป็ น
สภาวะทำให ้ยินดี สว่ นสุขเวทนาเป็ นสภาวะทีน ่ ่ายินดี
๖. อาทีนววิจัย การจำแนกโทษ เชน ่ ธรรมนีเ้ ป็ นทุกข
ทุกข์ วิปริณามทุกข์ หรือสงั ขารทุกข์
๗. นิสสรณวิจัย การจำแนกนิสสรณะ เชน ่ พระนิพพาน
เป็ นสภาวะพ ้นจากทุกข์ สว่ นมรรคเป็ นเหตุให ้พ ้นทุกข์
๘. ผลวิจัย การจำแนกจุดมุง่ หมาย เชน ่ การปฏิบต ั ิ
ธรรมสง่ ผลให ้พ ้นจากทุคติ หรือข ้ามพ ้นความตายได ้
๙. อุปายวิจัย การจำแนกอุบาย เชน ่ การหยั่งเห็นความ
ไม่เทีย
่ งเป็ นต ้นวิปัสสนาญาณตัง้ แต่นพ ิ พิทาญาณเป็ นต ้นไป
หรือศรัทธาและสติทบ ี่ ค
ุ คลอบรมไว ้ในขณะเจริญวิปัสสนา
ภาวนา เป็ นเหตุแห่งความหมดจด
๑๐. อาณั ตติวจิ ัย การจำแนกการชก ั ชวน
6
่ การชก
เชน ั ชวนให ้เว ้นจากบาปหรือชก
ั ชวนให ้เห็นโลกว่าว่าง
เปล่า
๑๑. อนุคตี วิ จ
ิ ัย การจำแนกโดยอ ้างพระพุทธ
พจน์ซงึ่ กล่าวไว ้ในพระสูตรทีก ่ ำลังอธิบายอยู่ หรือเป็ น
พระพุทธพจน์ในพระสูตรอืน ่ ทีน ่ ำมาอ ้างไว ้
ตัวอย่าง
ปูชา จ ปูชนียานํ . (ขุ.ธ. ๒๕/๓/๔)
“การบูชาผู ้ทีค
่ วรบูชา”
ปทวิจัย
บทว่า ปูชา ชอ ื่ ว่า ศพ ั ท์ (เสย ี ง) เพราะถูกเปล่งออก ตาม
รูปวิเคราะห์วา่ สทฺทย ี ติ อุจฺจารียตีต ิ สทฺโท (เสย ี งใดย่อมถูก
เปล่งออก เหตุนัน ้ เสย ี งนัน
้ ชอ ื่ ว่า ศพ ั ท์) หรือชอ ื่ ว่า ศพ ั ท์
เพราะเป็ นอารมณ์ของโสตวิญญาณ ตามรูปวิเคราะห์วา่ สปฺปติ
โสตวิญฺญาณารมฺมณภาวํ คจฺฉตีต ิ สทฺโท (เสย ี งใดย่อมถึง
ความเป็ นอารมณ์ของโสตวิญญาณ เหตุนัน ้ เสย ี งนัน ้ ื่ ว่า
ชอ
ศพั ท์)
ปูชา ศพ ั ท์นัน ้ จัดเป็ น :-
- จิตตชศพ ั ท์ ในบรรดาศพ ั ท์ ๒ ประเภท คือ จิตตชศพ ั ท์
(เสย ี งทีเ่ กิดจากจิต) และอุตช ุ ศพ ั ท์ (เสย ี งทีเ่ กิดจากอุต)ุ
- อริยศพ ั ท์ ในบรรดาศพ ั ท์ ๒ ประเภท คือ อริยศพ ั ท์
(ศพ ั ท์ของชาวเมือง) และมิลก ั ขศพ ั ท์ (ศพ ั ท์ของชาวดอย)
- มาคธศพ ั ท์ในบรรดาศพ ั ท์ ๑๐๑ ประเภทมีศพ ั ท์
สน ั สกฤตเป็ นต ้น
ปูชา ศพ ั ท์นัน ้ ชอ ื่ ว่า บท เพราะบทคือหมูพ ่ ยางค์ ตาม
ข ้อความว่า อกฺขรสมูโห ปทํ (หมูพ ่ ยางค์ ชอ ื่ ว่า บท) หรือ
7
รวมเป็ นวิปัลลาส ๑๒
ื่ ว่า อัสสา
การจำแนกอัสสาทะตามนัยอย่างนีเ้ ป็ นต ้น ชอ
ทวิจัย
อาทีนววิจัย
โทษมีหลายประการ เชน ่ ทุกฺข, โทมนสฺส, ทุกฺขทุกฺข,
สงฺขารทุกฺข, เตภูมก ิ สงฺขารทุกฺข เป็ นต ้น การจำแนกโทษตาม
ื่ ว่า อาทีนววิจัย
นัยอย่างนี้ ชอ
นิสสรณวิจัย
นิสสรณ มี ๒ คือ
๑. อริยมรรค ๒. นิพพาน
อริยมรรค มี ๓ คือ
๑. สุญญตมรรค ๒. อนิมต
ิ ตมรรค
๓. อัปปณิหต ิ มรรค
นิพพาน มี ๒ คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ๒. อนุปาทิเสสนิพพาน
ื่ ว่า นิสสรณวิจัย
การจำแนกนิสสรณะตามนัยอย่างนี้ ชอ
ผลวิจัย
ผล มี ๒ อย่าง คือ
๑. มุขยผล ผลโดยตรง
๒. ปรัมปรผล ผลทีต
่ ามมาในภายหลัง
มุขยผล มี ๙ อย่าง คือ
๑. สุตมยญาณ ปั ญญาทีเ่ กิดจากการฟั ง
๒. อัตถเวทะ การรู ้อรรถ
๓. ธัมมเวทะ การรู ้ธรรม
13
๔-๙. วิสท
ุ ธิ ๖
ปรัมปรผลมีหลายประการ เชน ่ ภวสมบัต ิ และโภคสมบัต ิ
เป็ นต ้น
ื่ ว่า ผลวิจัย
การจำแนกผลตามนัยอย่างนีเ้ ป็ นต ้น ชอ
อุปายวิจย
อุบายมี ๒ อย่าง คือ
๑. อุบายอันเป็ นปุพพภาคปฏิปทาของอริยมรรค
๒. อุบายอันเป็ นเหตุแห่งภวสมบัต ิ
การจำแนกอุบายตามนัยอย่างนี้ ชอ ื่ ว่า อุปายวิจัย
อาณั ตติวจ
ิ ัย
การชกั ชวนมีหลายอย่าง เชน ่ การชก ั ชวนของมนุษย์
เทวดา พรหม การแนะนำของคฤหัสถ์ บรรพชต ิ การตักเตือน
ของพระพุทธเจ ้า พระปั จเจกพุทธเจ ้า พระสาวก ด ้วยคำเป็ น
ี ํ รกฺขถ (จงรักษาศล
ต ้นว่า ทานํ เทถ (จงให ้ทาน), สล ี ), ภาวนํ
ภาเวถ (จงเจริญภาวนา)
การจำแนกอาณั ตติตามนัยอย่างนี้ ชอ ื่ ว่า อาณั ตติวจ ิ ัย
โดยประการดังนี้ พระบาลีวา่ ปูชา จ ปูชนียานํ ชอ ื่ ว่า วิจย
หาระ เพราะจำแนกอรรถ ๑๑ อย่างคือ ปท, ปุจฉา ฯลฯ อาณั ต
ติ
๓. ยุตติหาระ
ยุตติหาระ คือ แนวทางในการแยกแยะความเหมาะสม
โดยศพ ั ท์และอรรถ
ยุตติหาระมีประโยชน์เพือ ่ ป้ องกันความคลาดเคลือ ่ นของ
พระสท ั ธรรมทีเ่ กิดจากการจำผิด และเพือ
่ ป้ องกันสทั ธรรม
ปฏิรป
ู ทีเ่ กิดจากการอ ้างพระพุทธพจน์ ตามอย่างในพระสูตร
14
ั ท์และอรรถ ชอ
โดยศพ ื่ ว่า ยุตติหาระ
๔. ปทัฏฐานหาระ
ปทัฏฐานหาระ คือ แนวทางในการแสดงปทัฏฐานคือ
เหตุใกล ้ โดยอนุโลมนัยและปฏิโลมนัย
ปทัฏฐานหาระเป็ นแนวทางในการชแ ี้ จงเหตุใกล ้ของสงิ่
ต่างๆ ด ้วยการพิจารณาลักษณะของสงิ่ นัน ้ ก่อน เชน่ เมือ
่
พิจารณาว่าลักษณะของตัณหา คือ การยึดติดผูกพัน ก็จะ
เข ้าใจได ้ว่า รูปทีช
่ วนให ้หลงใหลเป็ นปทัฏฐานแก่ตณ ั หา
เป็ นต ้น แนวทางข ้อนีเ้ ป็ นไปตามหลักพุทธธรรม คือ เริม ่ ต ้น
จากการดูลก ั ษณะของปั ญหาหรือสงิ่ ทีป ่ รากฏตามความเป็ น
จริง ต่อจากนัน ้ จึงหาสาเหตุในการเกิดขึน ้ ของสงิ่ เหล่านัน
้ อัน
จะนำไปสูก ่ ารแก ้ไขด ้วยการตัดต ้นเหตุของปั ญหา และยังนับ
ว่าเป็ นการพิจารณาธรรมตามขัน ้ ตอนอริยสจ ั ๔
ตัวอย่างฝ่ ายกุศล เชน ่ คำว่า นโม พุทฺธสฺส (ขอนอบน ้อม
พระพุทธเจ ้า) โดยองค์ธรรมได ้แก่ มหากุศลจิตตุปบาททีม ่ ี
ศรัทธาเป็ นประธาน จำแนกตามปทัฏฐานหาระดังนี้ คือ
- โยนิโสมนสก ิ ารเป็ นปทัฏฐานแก่มหากุศลจิตตุปบาท
- การฟั งธรรมเป็ นปทัฏฐานแก่โยนิโสมนสก ิ าร
- การคบหาสต ั บุรษ
ุ เป็ นปทัฏฐานแก่การฟั งธรรม
ในฝ่ ายอกุศล เชน ่ คำว่า ปาณํ หนติ (ย่อมฆ่าสต ั ว์) โดย
องค์ธรรมได ้แก่ อกุศลจิตตุปบาททีม
่ โี ทสะเป็ นประธาน
จำแนกตามปทัฏฐานหาระดังนี้ คือ
- อโยนิโสมนสก ิ ารเป็ นปทัฏฐานแก่อกุศลจิตตุปบาท
- การไม่ได ้ฟั งธรรมเป็ นปทัฏฐานแก่อโยนิโสมนสก ิ าร
- การไม่คบหาสต ั บุรษ
ุ เป็ นปทัฏฐานแก่การไม่ได ้ฟั งธรรม
ตัวอย่าง
17
แก่นธรรมและการปฏิบต
ั ธิ รรม จำแนกออกเป็ น
ก. สหจาริตา (การดำเนินไปร่วมกัน) เชน ่ เนวสญฺญา
นาสญฺญายตนํ (ฌานทีไ่ ม่มส ั ญา[หยาบ]และมี
ี ญ
สญ ั ญา[ละเอียด]เป็ นทีต ่ งั ้ ) ในทีน ่ แี้ ม ้จะกล่าวถึงสญ ั ญาอย่าง
เดียวก็รวมเอาเจตสก ิ อืน
่ ๆ มีผัสสะ เวทนา เป็ นต ้นทีด ่ ำเนินไป
ร่วมกับสญ ั ญา
ข. สหกิจจตา (การมีหน ้าทีเ่ สมอกัน) เชน ่ ททํ มิตฺตานิ
คนฺ ถติ (ผู ้ให ้ย่อมผูกมิตร) ประโยคนีแ ้ ม ้จะกล่าวถึงทานก็รวม
เอาสงั คหวัตถุอน ื่ คือ ปิ ยวาจา (การพูดไพเราะ)อัตถจริยา
(การบำเพ็ญประโยชน์) และสมานัตตตา (การวางตัวเสมอกัน)
เพราะเป็ นสงั คหวัตถุเหมือนกัน
ค. สมานเหตุตา (การมีเหตุเสมอกัน) เชน ่ ผสฺสปจฺจยา
เวทนา (เวทนาย่อมเกิดขึน ้ เพราะผัสสะเป็ นปั จจัย) แม ้ประโยค
นีจ
้ ะกล่าวถึงเวทนาก็รวมเอาสญ ั ญาเป็ นต ้นทีเ่ กิดจากผัสสะอีก
ด ้วย เพราะมีเหตุเสมอกัน
ฆ. สมานผลตา (การมีผลเสมอกัน) เชน ่ อวิชฺชาปจฺจยา
สงฺขารา (สงั ขารย่อมเกิดขึน ้ เพราะอวิชชาเป็ นปั จจัย) แม ้
ประโยคนีจ ้ ะกล่าวถึงสงั ขารก็รวมเอาตัณหาและอุปาทาน
เป็ นต ้นทีเ่ ป็ นผลของอวิชชาเหมือนกัน
ง. สมานารัมมณตา (การมีอารมณ์เสมอกัน) เชน ่ รูปํ อสฺ
สาเทติ อภินนฺ ทติ. ตํ อารพฺภ ราโค อุปฺปชฺชติ (บุคคลย่อม
เพลิดเพลินยินดีรป ู ราคะย่อมอาศย ั รูปนัน ้ เกิดขึน ้ ) แม ้ประโยค
นีจ้ ะกล่าวถึงราคะก็รวมเอาเวทนาเป็ นต ้นอีกด ้วย เพราะมี
อารมณ์เสมอกับราคะทีเ่ กิดขึน ้ โดยอาศย ั รูป
ตัวอย่าง
ปูชา จ ปูชนียานํ . (ขุ.ธ. ๒๕/๓/๔)
20
“การบูชาผู ้ทีค
่ วรบูชา”
เมือ่ ถือเอาองค์ธรรมของบทว่า ปูชา ว่าคือเจตนาทีเ่ ป็ น
กุศลและอัพยากฤต
ก็ควรถือเอาสหจรณจิตตุปบาท (จิตเจตสก ิ ทีเ่ กิดร่วมกับ
เจตนานัน ้ ) ด ้วย เพราะมีสภาพเหมือนกับเจตนานัน ้ โดย
ลักษณะคือการนอบน ้อมปูชนียบุคคล โดยหน ้าทีค ่ อ
ื การกำจัด
มัจฉริยะ เป็ นต ้น โดยเหตุ คือโยนิโสมนสก ิ าร โดยผล คือภว
สมบัต ิ เป็ นต ้น และโดยอารมณ์คอ ื มีปช
ู นียบุคคลเป็ นอารมณ์
อย่างเดียวกัน
อีกอย่างหนึง่ คำว่า ปูชา คือ วิญญัตติ ๒ อันได ้แก่ กายวิ
ญญัตติ และวจีวญ ิ ญัตติ
อันเป็ นกิรย ิ าอาการของการบูชา ดังนัน ้ จึงควรถือเอารูปที่
เหลืออีก ๒๖ อย่างอีกด ้วย เพราะมีสภาพเหมือนกันวิญญัตติ
รูปโดยลักษณะคือความแปรปรวน
อีกอย่างหนึง่ เมือ
่ มีคำว่า ปูชา จ ปูชนียานํ ก็ควรถือเอา
คำว่า มาโน จ มานิตพฺพานํ (การนอบน ้อมผู ้ทีค ่ วรนอบน ้อม)
สกฺกาโร สกฺกเรยฺยานํ (การสก ั การะผู ้ทีค ่ วรสก ั การะ) เป็ นต ้น
อีกด ้วย เพราะมีสภาพเหมือนกันโดยหน ้าที่
โดยประการดังนี้ แนวทางในการแสดงธรรมทีม ่ ส
ี ภาพ
เสมอกันโดยลักษณะเป็ นต ้น ชอ ื่ ว่า ลักขณหาระ
๖ จตุพยูหหาระ
จตุพยูหหาระ คือ แนวทางในการอธิบายวิธ ี ๔ กลุม ่
ได ้แก่ รูปวิเคราะห์ ความมุง่ หมายของพระพุทธเจ ้าหรือพระ
สาวก เหตุของการแสดงธรรม และการเชอ ื่ มโยงพระสูตร
จตุพยูหหาระเน ้นความสำคัญของความรู ้หลักภาษาและ
ไวยากรณ์อย่างแตกฉานเพือ ่ ประโยชน์ในการเข ้าใจคำสอน
และแสดงอรรถาธิบายเพิม ่ เติม โดยต ้องเริม
่ ต ้นเข ้าใจบททีจ
่ ะ
21
ธรรม
๓. นิทานะ เหตุของการแสดงธรรม คือ การที่
บุคคลใดบุคคลหนึง่ ทูลถามปั ญหาพระพุทธเจ ้า หรือพระองค์
ทรงแสดงธรรมโดยปรารภบุคคลหรือเรือ ่ งราวอย่างใดอย่าง
หนึง่
๔. ปุพพาปรสนธิ การเชอ ื่ มโยงพระสูตรหน ้าซงึ่ กำลัง
กล่าวถึงกับพระสูตรหลังทีน ่ ำมาอ ้างอิงเป็ นสาธก หรือการ
เชอื่ มโยงข ้อความหน ้ากับข ้อความหลังในพระสูตรเดียวกัน
ตัวอย่าง
ปูชา จ ปูชนียานํ . (ขุ.ธ. ๒๕/๓/๔)
“การบูชาผู ้ทีค
่ วรบูชา”
หาระนีจ
้ ำแนกได ้ดังต่อไปนี้
๑. เนรุตตะ รูปวิเคราะห์ คือ
คำว่า ปูชา มีวเิ คราะห์วา่ ปูชนํ ปูชา เป็ นภาวสาธนะ ปูช
ธาตุ + อ ปั จจัย
องค์ธรรมของ ปูช ธาตุ ได ้แก่ จิตตุปบาทอันเป็ นกิรย ิ า
บูชา แม ้องค์ธรรมของ อ ปั จจัยก็ได ้แก่จต ่ กัน
ิ ตุปบาทเชน
เพราะอรรถของธาตุและอรรถของปั จจัยไม่ตา่ งกันในภาวสา
ธนะ ดังทีโ่ บราณาจารย์กล่าวไว ้ว่า
ธาตฺวตฺถปจฺจยตฺถสฺส วิสํุ ภาเว อภาวโต
ธาตฺวตฺโถว ปจฺจเยนอุทรี โิ ตติ ภาสโิ ต. (วาจโกเทส
๘๓)
“ท่านกล่าวว่าอรรถของธาตุถก ู ปั จจัยกล่าวไว ้ เพราะ
อรรถของธาตุและอรรถของปั จจัยไม่มโี ดยเฉพาะในภาวสา
ธนะ”
ั ท์ใน ปูชา จ เป็ น สมุจจยัตถโชตกนิปาต ตัง้ รูป
จ ศพ
23
วิเคราะห์ไม่ได ้ (บททีต
่ งั ้ รูปวิเคราะห์ไม่ได ้ มี ๖ อย่าง คือ รุฬหี
นาม อาขยาต นิบาต อุปสรรค อาลปนะ และสรรพนาม) สว่ น
องค์ธรรมของ จ ศพ ั ท์นัน ้ ได ้แก่ สมุจจยัตถะ คือ รวบรวมการ
ไม่คบคนพาลและการคบบัณฑิตอีกด ้วย
คำว่า ปูชนียา มีรป
ู วิเคราะห์วา่ ปูเชตพฺพาติ ปูชนียา เป็ น
กรรมสาธนะ ปูช ธาตุ อนีย ปั จจัย จำแนกเป็ น :-
ก. องค์ธรรมโดยตรง คือ กัตตุฏฐกริยาอันเป็ นองค์ธรรม
ของ ปูช ธาตุ ได ้แก่ จิตตุปบาท
ข. องค์ธรรมโดยอ ้อม คือ กัมมัฏฐกริยาอันเป็ นองค์ธรรม
ของคำว่า ปูชนียานํ ได ้แก่ กรรมการก กล่าวคือ อารัม
มณปั จจยสต ั ติของคุณวิสฏ ิ ฐบุคคลมีพระพุทธเจ ้าและพระ
อรหันต์ เป็ นต ้น ซงึ่ เป็ นอุปการะต่อจิตตุปบาทนัน ้ มีได ้โดยผลู
ปจาระ คือ สำนวนทีก ่ ล่าวถึงผล แต่มงุ่ ให ้หมายถึงเหตุอก ี ด ้วย
ค. องค์ธรรมของ อนีย ปั จจัย ได ้แก่ ทัพพะคือรูปนาม
ขันธ์ ๕ ของพระพุทธเจ ้าและพระอรหันต์ เป็ นต ้น อันเป็ นสต ั ติ
มันตะ (สงิ่ ทีส่ ามารถเป็ นอารมณ์ได ้)
การตัง้ รูปวิเคราะห์คำว่า ปูชนียานํ มี ๒ ขัน ้ ตอน คือ
ก. ตัง้ เป็ นปฐมาวิภต ั ติกอ ่ น (ปทาวัตถิกน ั ตะ ทันตเฉทน
นัย) เชน่ ปูเชตพฺพาติ ปูชนียา
ข. เปลีย ่ นให ้เป็ นวิภต ั ตินามตามประโยคทีก ่ ำลังกล่าวถึง
(วากยาวัตถิกน ั ตะ ทันตโสธนนัย) เชน ่ เตสํ ปูชนียานํ
องค์ธรรมของ นํ วิภต ั ติ ได ้แก่ พหูพจน์สงั ขยาอันเป็ น
กรรมการก คือ กริยาปาปุณนสต ั ติ (ความสามารถในการเข ้าถึง
กิรย
ิ า) หรือสม ั ปทานการก คือ สม ั ปทานสต ั ติ (ความสามารถ
ในการเป็ นทีใ่ ห ้ด ้วยดี)
ด ้วยเหตุนัน ้ คำว่า ปูชนียานํ จึงมีอรรถ ๕ ประการ คือ
24
นี้ ทัง้ ๕ อย่างมีอะไรบ ้าง คือ ได ้ยินสงิ่ ทีไ่ ม่เคยได ้ยิน เข ้าใจ
ชด ั เจนถึงสงิ่ ทีเ่ คยได ้ยินแล ้ว พ ้นไปจากความสงสย ั ทำความ
เห็นให ้ถูกต ้อง และจิตผ่องใส”
เมือ่ มีอโยนิโสมนสก ิ าร อกุศลธรรมย่อมเวียนสบ ื ๆ กันไป
ดังพระบาลีวา่
อโยนิโส ภิกฺขเว มนสก ิ โรโต อนุปฺปนฺ นา เจว อกุสลา ธมฺ
มา อุปฺปชฺชนฺ ต.ิ
อุปฺปนฺ นา จ อกุสลา ธมฺมา ภิยฺโยภาวาย เวปุลฺลาย สํวตฺตนฺ ต.ิ
“ภิกษุ ทงั ้ หลาย เมือ ่ บุคคลใสใ่ จโดยไม่แยบคาย อกุศล
ธรรมทีย ่ ังไม่เกิดย่อมเกิดขึน ้ อกุศลธรรมทีเ่ กิดแล ้วย่อมเจริญ
ไพบูลย์”
อสฺสวนตา ธมฺมสฺส ปริหายนฺ ต.ิ
“บุคคลย่อมเสอ ื่ มจากธรรมเพราะไม่ได ้สดับ”
ทุกฺโข พาเลหิ สํวาโส.
“การคบหากับคนชวั่ นำทุกข์มาให”้
๘. วิภต ั ติหาระ
วิภต ั ติหาระ คือ แนวทางในการจำแนกสภาวธรรม เหตุ
ใกล ้ และภูม ิ โดยทั่วไป และไม่ทั่วไป
วิภต ั ติหาระนีจ
้ ำแนกข ้อความในพระพุทธพจน์ออกเป็ น
๕ อย่าง คือ
๑. สภาวธรรมทีเ่ สมอกันและทีต ่ รงกันข ้าม เชน ่ กุศลจิต
เสมอกับกุศลจิต แต่ตรงกันข ้ามกับอกุศลธรรมฝ่ ายเศร ้าหมอง
๒. เหตุใกล ้ เชน ่ เหตุใกล ้ของกุศล คือ ศล ี เป็ นเหตุใกล ้
แก่มหัคคตธรรม ศล ี และฌานเป็ นเหตุใกล ้แก่โลกุตตรธรรม
๓. ภูม ิ เชน ่ ภูมข ิ องกุศล คือ ความเป็ นปุถช ุ นเป็ นภูมข ิ อง
31
ทีพ ้
่ ระพุทธเจ ้าและพระสาวกใชในการสอนธรรมเสมอ ใน
มัชฌิมนิกาย มหาจัตตารีสกสูตร พระพุทธองค์ทรงอธิบาย
ธรรมทีเ่ ป็ นกุศล ๒๐ ชนิด และธรรมทีเ่ ป็ นอกุศล ๒๐ ชนิด ใน
ตอนท ้ายพระองค์ได ้อธิบายถึงความสำคัญของการเข ้าใจ
ธรรมะทัง้ สองด ้านซงึ่ ตรงข ้ามกัน เพือ่ ประโยชน์ในการบรรลุ
ธรรม เพราะทำให ้แบ่งแยกได ้ว่า สงิ่ ใดถูกควรสรรเสริญ สงิ่ ใด
ผิดควรตำหนิ มิฉะนัน ้ แล ้วอาจถือผิดได ้ ดังข ้อความในพระ
สูตรนัน
้ ว่า
โย หิ โกจิ ภิกฺขเว สมโณ วา พฺราหฺมโณ วา อิมํ มหาจตฺ
ตารีสกํ ธมฺมปริยายํ ครหิตพฺพํ ปฏิกฺโกสต ิ พฺพํ มญฺเญยฺย, ตสฺส
ทิฏฺเฐว ธมฺเม ทส สหธมฺมก ิ า วาทานุวาทา คารยฺหํ ฐานํ
อาคจฺฉนฺ ต.ิ สมฺมาทิฏฺฐ ึ เจ ภวํ ครหติ, เย จ มิจฺฉาทิฏฺฐ ี สมณพฺ
ราหฺมณา เต โภโต ปุชฺชา, เต โภโต ปาสส ํ า. (ม.อุ.
๑๔/๑๔๓/๑๒๙)
“ภิกษุ ทงั ้ หลาย สมณะหรือพราหมณ์ผู ้ใดผู ้หนึง่ พึง
สำคัญทีจ ่ ะติเตียนคัดค ้านธรรมเทศนาชอ ื่ มหาจัตตารีสกะนี้
การพูดและการพูดตามทีป ่ รากฏในปั จจุบน ั อันชอบด ้วยเหตุ
๑๐ อย่างของสมณะหรือพราหมณ์ผู ้นัน ้ ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิ
ในปั จจุบนั โดยแท ้ ถ ้าใครติเตียนสม ั มาทิฏฐิ เขาก็ต ้องบูชา
สรรเสริญสมณะพราหมณ์ผู ้มีทฏ ิ ฐิผด
ิ ”
ตัวอย่าง
ปูชา จ ปูชนียานํ . (ขุ.ธ. ๒๕/๓/๔)
“การบูชาผู ้ทีค่ วรบูชา”
การบูชา คือ อามิสบูชาและธรรมบูชา มีโยนิโสมนสก ิ าร
เป็ นมูลเหตุ เมือ
่ บุคคลมีโยนิโสมนสก ิ ารแล ้ว อโยนิโสมนสกิ าร
ย่อมหายไป เมือ ่ อโยนิโสมนสก ิ ารหายไป อกุศลธรรมทัง้
หลายอันมีอโยนิโสมนสก ิ ารนัน
้ เป็ นมูลเหตุยอ ่ มหมดไป เมือ ่
34
เวไนยชน
ตัวอย่าง
ปูชา จ ปูชนียานํ . (ขุ.ธ. ๒๕/๓/๔)
“การบูชาผู ้ทีค
่ วรบูชา”
คำว่า ปูชา มีคำไวพจน์วา่ ปูชนา, มานํ , มานนํ , สกฺกาโร
เป็ นต ้น
คำว่า จ มีคำไวพจน์วา่ วา, ตถาปิ , อปิ เป็ นต ้น
คำว่า ปูชนียานํ มีคำไวพจน์วา่ ปูเชตพฺพานํ , มาเนตพฺ
พานํ , มานเนยฺยานํ , สกฺกเรยฺยานํ เป็ นต ้น
พระบาลีวา่ ปูชา จ ปูชนียานํ ชอ ื่ ว่า เววจนหาระ เพราะ
เป็ นแนวทางในการแสดงคำไวพจน์
๑๑. ปั ญญัตติหาระ
ปั ญญัตติหาระ คือ แนวทางในการแสดงบัญญัต ิ
ปั ญญัตติหาระนีเ้ ป็ นการวิเคราะห์ความหมายของคำหรือ
ข ้อความด ้วยการอธิบายความหมายทีน ่ ่าจะเป็ นไปได ้อย่าง
ละเอียดทุกแง่มม ุ ลักษณะนีต ้ รงกับการอธิบายขยายความ
อย่างละเอียดซงึ่ พระอรรถกถาจารย์นย ิ มใช ้ เชน ่ เมือ
่ กล่าวถึง
เรือ
่ งทุกข์ ก็อาจอธิบายกว ้างไปถึงธรรมชาติของขันธ์ ๕ ธาตุ
๖ ธาตุ ๑๘ อายตนะ ๑๒ เป็ นต ้น
หาระประเภทนีไ ้ ม่มขี อบเขตในการแสดงโดยเฉพาะ ขึน ้
อยูก่ บ ั ข ้อความนัน
้ ๆ ทีน
่ ย ้
ิ มใชมากคือนิกเขปบัญญัต ิ = บัญญัต ิ
ทีต
่ งั ้ ข ้อความอย่างใดอย่างหนึง่ ไว ้ เชน ่ คำว่า นโม พุทฺธสฺส
(ขอนอบน ้อมแด่พระพุทธเจ ้า) เป็ นการแสดงการตัง้ ความ
นอบน ้อมแด่พระพุทธเจ ้า (นิกเขปบัญญัต)ิ และแสดงการ
ทำลายอกุศลธรรมอันต่ำทราม (อภินฆ ิ าตบัญญัต)ิ ดังนีเ้ ป็ นต ้น
บัญญัตม
ิ ี ๒ ประการ คือ
36
๑๒. โอตรณหาระ
โอตรณหาระ คือ แนวทางในการหยั่งลงสูข ่ น
ั ธ์ อายตนะ
ธาตุ อินทรีย ์ และปฏิจจสมุปบาท
ในหาระนีไ ้ ด ้แนะนำว่า ความเข ้าใจธรรมะเรือ ่ งใดเรือ
่ ง
หนึง่ อย่างละเอียดลึกถึงแก่นจะนำไปสูค ่ วามเข ้าใจธรรมอืน ่ ๆ
ได ้ทัง้ หมด โดยเน ้นความเข ้าใจสภาวธรรมเรือ ่ งขันธ์ อายตนะ
ธาตุ อินทรีย ์ และปฏิจจสมุปบาท โดยเฉพาะอย่างยิง่ ควรจะมี
ความเข ้าใจเรือ ่ งปฏิจจสมุปบาทเป็ นอย่างดี เพราะเป็ นหลัก
ของพุทธธรรม คำอธิบายนีต ้ รงกับพระพุทธพจน์วา่
โย ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ, โส ธมฺมํ ปสฺสติ. โย ธมฺมํ ปสฺ
สติ, โส ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ. (ม.มู. ๑๒/๓๐๖/๒๗๓)
“ผู ้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู ้นัน
้ เห็นธรรม ผู ้ใดเห็นธรรม ผู ้
นัน
้ เห็นปฏิจจสมุปบาท”
ตัวอย่าง
ปูชา จ ปูชนียานํ . (ขุ.ธ. ๒๕/๓/๔)
“การบูชาผู ้ทีค
่ วรบูชา”
การหยั่งลงด ้วยขันธ์ ๕ คือ วิญญัตติรป ู และจิตตุปบาทอัน
เป็ นองค์ธรรมของคำว่า ปูชา และขันธ์ ๕ คือ คุณวิสฏ ิ ฐบุคคล
ผู ้ควรบูชาอันเป็ นองค์ธรรมของคำว่า
ปูชนียานํ ตามสมควรแก่ขน ั ธ์นัน ื่ ว่า ขันโธตรณะ
้ ๆ ชอ
การหยั่งลงด ้วยอายตนะเป็ นต ้น ชอ ื่ ว่า อายตโนตรณะ ธา
โตตรณะ อินทริโยตรณะ
ขันธ์ ๕ นัน้ มีอวิชชาเป็ นมูลเหตุ เมือ ่ มีอวิชชา สงั ขาร
วิญญาณ และนามรูป เป็ นต ้น ย่อมเกิดขึน ้ เมือ ่ กำจัดอวิชชานัน
้
ได ้ด ้วยอรหัตตมรรค สงั ขารเป็ นต ้นย่อมดับไป การหยั่งลงด ้วย
ปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ ชอ ื่ ว่า ปฏิจจสมุปปาโทตรณะ
39
ฝ่ ายโวทานเจริญขึน
้ ย่อมทำลายอสท ั ธิยะ โกสช ั ชะ ปมาทะ
โมหะ และธรรมฝ่ ายสงั กิเลสอันเป็ นปฏิปักษ์ ให ้หมดสนิ้ ไป
พระบาลีวา่ ปูชา จ ปูชนียานํ ชอ ื่ ว่า สมาโรปนหาระ
เพราะเป็ นแนวทางในการยกขึน ้ แสดงด ้วยเหตุใกล ้ คำไวพจน์
การภาวนา และการละกิเลสอย่างนี้