Professional Documents
Culture Documents
ย่อหนังสือนิติปรัชญา
ย่อหนังสือนิติปรัชญา
น.๔๖๐ นิ ติปรัชญา
ย่อหนั งสือ ของ ศ.ดร. ปรีดี เกษมทรัพย์ และ รศ. สมยศ เชือ้ ไทย
ตามแนวการสอน รศ.สมยศ และ ดร.ฐาปนั นท์
โดย นาย ปิ ยวัฒน์ อินเจริญ
(ส่วนที่ ๑)
บทที่ ๑ ข้อความคิดทัว่ ไป
๑.วิวฒ
ั นาการของความรู้
วิชาความรู้แบ่งได้เป็น ๑. ความรู้แบบสามัญสำนึก
๒. ความรู้ที่เป็นศาสตร์
ความรู้ในระดับสามัญสำนึกมีอยู่ในมนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณดึกดำบรรพ์สะสมความรู้จากประสบการณ์
ชีวิตต่าง ๆ เช่น ความรู้เกี่ยวกับอาหารการกินและความเป็นอยู่ซึ่งเป็นความรู้ง่าย ๆ มีสาระความรู้ที่เกี่ยวข้อง
กับข้อเท็จจริงอันเกิดจากการจดจำข้อเท็จจริงและประสบพบเห็นใช้ความคิดง่าย ๆ ปฏิบัติต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ
ตามลำดับก่อนหลังและเชื่อมโยงความเป็นเหตุเป็นผลรวมทั้งใช้วิธีการวาดภาพเชื่อมโยงเอา ความรู้ดังกล่าวนั้น
อาจจะเป็นความรู้เชื่ออย่างเข้าใจผิดก็ ได้เพราะในยุคดึกดำบรรพ์มนุษย์ยังไม่มีความสามารถในการสั งเกตและ
วิเคราะห์ยังไม่ละเอียดแม่นยำ โดยสามัญสำนึกในยุคแรกมีลักษณะ ดังนี้
๑.ความรู้ที่มาจากการประจำเป็นความรู้ที่มาจากประสบการณ์และจดจำนำมาใช้
๒.ความรู้ที่มีขอบเขตจำกัดเป็นความรู้ที่ให้ความสนใจในขณะจำกัดเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องใน
การนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น เรื่องราวความเป็นอยู่หรือเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มอาหารการ
กิน เป็นต้น
๓.ความรู้ที่นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์เป็นความรู้ที่นำมาใช้แล้วจดจำไปใช้ในคราวต่อไป
โดยสรุปแล้วความรู้แบบสามัญสำนึกเป็นความรู้ระยะแรกของมนุษยชาติเป็นความรู้ที่เกิ ดขึ้นจากการ
สั่งสมประสบการณ์ด้วยการสังเกตการจำได้หมายรู้ ซึ่งมีลักษณะเป็นธรรมดาสามัญมีความเชื่อและไม่สงสัย ไม่
มีการพิสูจน์ตรวจสอบ จึงเป็นความรู้ที่มีลักษณะจำกัดเฉพาะ
มีปัญหาในการเริ่มขึ้นอันเกิดจากความสามารถในการใช้สติปัญญาแยกแยะความรู้บางอย่างเข้าใจและ
ทำให้ถูกต้องก็จะมีระบบความคิดที่มีระบบระเบียบและมีส ารเฉพาะมากขึ้นเริ่มมีวิธีการคิดวิธีการค้นหาและ
วิธีการพิสูจน์ยืนยันความถูกต้องเป็นจริงได้
วิชาความรู้ในศาสตร์แขนงต่าง ๆ ในระยะแรกนั้นเมื่อได้รับความรู้เช่นนี้แล้วนาน ๆ ก็จะพัฒนาความรู้
ให้เป็นความรู้ทั่วไป กล่าวคือ การทำความรู้ที่เป็นรูปธรรมให้ เป็นนามธรรมและนำเอาความรู้ที่เป็นนามธรรม
เหล่านี้ไปจากรวมเข้าให้เป็นเรื่องเดียวกัน และโยงให้เข้าใจอย่างเป็นระบบวิชาความรู้จึงเริ่มต้น จากวิชา
ประยุกต์ หรือ ศาสตร์ประยุกต์ แล้วค่อย ๆ พัฒนาความรู้ทางที่ดีเป็นความรู้พิเศษ มีวิธีค้นหาและวิธีตรวจสอบ
พิสูจน์เป็นความรู้ที่ตรวจสอบหาความรู้ให้ขยายพรหมแดนออกไปได้ทางการศึกษาหรือมีความมุ่งหมายของ
ตนเอง
สรุปได้ว่าวิชาการประยุกต์นั้น แตกต่างไปจากวิชาการ หรือ ศาสตร์ทาทฤษฎีตรงที่ว่าสามารถประยุกต์
เป็นความรู้ที่ศึกษาเพื่อนำไปใช้ในทางปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันให้เกิดความรู้ความเข้าใจเป็นการ
แสวงหาความรู้อย่างบริสุทธิ์เห็นความจริง จึงเรียกว่า ศาสตร์บริสุทธิ์
ศาสตร์ในทางทฤษฎีหรือศาสตร์บริสุทธิ์ เป็นความรู้ทำให้ความรู้ขยายตัวมากขึ้นเพราะเป็นความรู้ที่
เป็นกิจกรรมทางวิชาการโดยแท้เป็นแหล่งที่มีความสามารถเฉพาะและขยายความรู้ได้ด้วยตนเองได้หรือไม่หรือ
2
กล่าวโดยสรุป ความรู้เป็นศาสตร์ที่ต้องมีวิธีการศึกษาค้นคว้าค้นหาความรู้และมีวิธียืนยันได้ว่าความรู้
นั้นเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
๓.๒ การแบ่งหมวดหมู่ของศาสตร์
(ก) ปัญหาการแบ่งหมวดหมู่
การแบ่งหมวดหมู่และการจัดระบบของศาสตร์ต่าง ๆ ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ ๑๙ จนถึงปัจจุบัน มีข้อ
โต้แย้งทางวิชาการว่า การที่ศาสตร์ต่าง ๆ แยกออกจากกันได้อย่างไร การแยกประเภทของศาสตร์ต่าง ๆ โดย
อาศัยปรากฏการณ์หรือวัตถุที่ศึกษาตามที่กล่าวมานั้นมีปัญหาว่าการแยกออกจากกันได้ขาดจริงหรือ เพราะ
วิชาการหรือศาสตร์บางกลุ่มก็ต้องศึกษาค้นคว้าถึงสิ่ งเดียวกัน เช่น การศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับมนุษย์ก็
อาจมีการศึกษาในวิช าต่าง ๆ หลายวิช าคือ วิช าชีว วิทยาวิทยา ในทางวิทยาศาสตร์ธ รรมชาติ และวิช า
เศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ในทางวิชาวัฒนธรรมเป็นต้น
ความเห็นแรก มีความเห็นว่าการที่สามารถแบ่งหมวดหมู่และจั ดระบบทางวิชาการหรือศาสตร์ต่าง ๆ
นั้นหาใช่เพราะว่าปรากฏการณ์ หรือวัตถุ แต่จัดทำโดยพิจารณาจาก แง่มุม ที่ศึกษาหรือวัตถุนั้น กล่าวคือ
วัตถุป ระสงค์ หรือ หน้าที่ ของศาสตร์นั้นแตกต่างกัน อาจจะกล่าวได้ว่าศาสตร์ต่าง ๆ แตกต่างกันเพราะ
จุดประสงค์ หรือ หน้าที่ของศาสตร์เหล่านั้นแตกต่างกัน
ความเห็นที่สอง มีความเห็นว่าวิชาการหรือต่าง ๆ แตกต่างกันจนสามารถแยกออกจากกันได้นั้นเป็น
เพราะ วิธีการ ในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในแต่ละวิชาแตกต่างกัน ทั้งนี้เนื่องจากเคยมีผู้เอาวิธีการดังกล่าวนี้
นั้นไปการตั้งปัญหา การสังเกต และการตั้งข้อสมมติฐานรวมทั้งการทดลองมาใช้ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
เท่าที่ควร เพราะ สภาพทางวัฒนธรรมนั้นศึกษาถึงปรากฏการณ์ที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้นมาด้วยจิตของตน ไม่
สามารถเป็นตามกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัวได้ นอกจากศึกษาเพื่อค้นหา “ความน่าจะเป็น” เท่านั้น
จะเห็นได้ว่าศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแขนงเคมีเมื่อเอาถ้า ๒ ธาตุมารวมกันจะเกิดธาตุที่
รวมขึ้นเหมือนกันทุกครั้ง หรือในวิชาฟิสิกส์เมื่อโยนจากวัตถุที่สูง ตกสูงที่ต่ำทุกครั้ ง จึงถือเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว
แต่ในทางวิชาธรรมศาสตร์ หรือศาสตร์ทางวัฒนธรรมทำให้เห็นว่าเมื่อ นาย ก ลักทรัพย์ ผู้อื่นไปเขาควรถูก
ลงโทษ ในกรณีทรัพย์ของผู้อื่นไปจริง ๆ นาย ก อาจจะตายก่อนหรือตำรวจสืบจับไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้นั้น
เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ในความเห็น ที่สองนี้ จึงให้ความเห็นว่าศาสตร์ ต่าง ๆ น่าจะแตกต่างกันที่ วิธีการ ใน
การศึกษาค้นคว้าความรู้เป็นสำคัญ
สรุปได้ว่าการแบ่งหมวดหมู่และการจัดระบบของศาสตร์นั้นอาจจะทำได้โดยอาศัย ๑. วัตถุที่ศึกษา ๒.
ของวัตถุที่ศึกษา ๓. จุดประสงค์ของการแสวงหาความรู้หรือหน้าที่ของวิ ชา ๔. วิธีการที่ใช้ในการศึกษาค้นหา
ความรู้
(ข) การแบ่งหมวดหมู่ตามแนวคิดของ วิลเฮล์ม วุ้นท์
ได้แบ่งศาสตร์ทั้งหลายของโลกนี้ออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ ศาสตร์เฉพาะ และศาสตร์สากลหรือ
ปรัชญา การที่วิชาหรือศาสตร์ต่าง ๆ ในโลกนี้แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ก็เนื่องมาจากการแสวงหาความรู้ที่
เกี่ยวกับโลกและชีวิตนั้นอาจจะทำได้โดยการพิจารณาถึงสิ่งที่ต้องการศึกษาด้วยวิธีที่มองโลกในส่วนใดส่วนหนึ่ง
เฉพาะส่วนนั้น ๆ เราเรียกว่าวิชาเฉพาะ เช่น วิชาฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เป็นต้น
ซึ่งมีความรู้ที่มีขอบเขตจำกัดเฉพาะส่วนจึงเป็นความรู้ที่อยู่ในวงจำกัด ๆ และไม่สมบูรณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความคับ
แคบของความรู้ที่จะต้องศึกษาหาความรู้ในแง่ของวิชาปรัชญา กล่าวคือเราต้องพยายามศึกษาโลกอย่างไม่แยก
ส่วนเรียกว่า “ทั้งมวล”
4
บทที่ ๒ นิติศาสตร์
5
ประมวลกฎหมายแพ่งเยอรมันนั้นซึ่งรับแนวกฎหมายของโรมันมาบังคับใช้ต้องถูกปรุงแต่งขึ้นโดยบทบัญญัติ
ของรัฐธรรมนูญที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญไวร์มาร์ นั้นก็ทำให้มีลักษณะเป็นสิทธิสัมผัสหรือเป็นสิ่งที่ถูกกำจัดได้ ใน
ประเทศไทยเอง
แต่เดิมในเรื่องกรรมสิทธิ์ของสังคมไทยแต่เดิมก็ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ที่มีกรรมสิทธิ์เด็ดขาด
ในที่ดิน เอกชนก็เป็นเพียงผู้ยึดถือที่ดินตามที่พระองค์มอบให้เท่านั้น ดังนั้นเมื่อดูประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิ ช ย์ ม าตรา 1335 และมาตรา 1336 ซึ ่ ง มี ค วามว่ า ภายใต้ บ ั ง คั บ แห่ ง กฎหมาย ถ้ า มี ค วามรู้ ท าง
ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของหลักกฎหมายเรื่องกรรมสิทธิ์ ก็พอที่จะเข้าใจได้โดยง่ายว่าการที่กฎหมาย
บัญญัติไว้เช่นนี้นั้น ก็มีความหมายว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นหาได้มี
ลักษณะเป็นสิทธิ์เด็ดขาดปราศจากขอบเขตหรือเงื่อนไขใด ๆ แต่อยู่ภายใต้บังคับอำนาจของสังคมที่จะออก
กฎหมายมาจำกัดตัดทอนการใช้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเพื่อความเรียบร้อยภายในสังคมก็ย่อมได้
ประวัติศาสตร์กฎหมายสากล คือการศึกษาค้นคว้าถึงการเกิดและวิวัฒนาการของกฎหมายโดยทั่ว ๆ
ไปไม่จำกัดเฉพาะว่าเป็นหลักกฎหมายเรื่องใด แต่เป็นการศึกษาค้นคว้าในหลักเกณฑ์ทั่วไปเพื่อจะทราบว่า
กฎหมายกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร จากปัจจัยอะไรบ้างและพัฒนาการการเจริญงอกงามนั้นเกิดขึ้นได้ในลักษณะ
อย่างไร ทฤษฎีการกำเนิดว่าด้วยวิวัฒนาการของกฎหมายของ สำนักประวัติศาสตร์ (Historical School) ซึ่ง
Prof. Savigny เป็นผู้สถาปนาขึ้นสำนัก ประวัติศาสตร์กฎหมายมี ทัศนะว่า กฎหมายทั้งมวลไม่ได้เกิดขึ้นจาก
เจตจำนงของมนุษย์ผู้ใดบุคคลใดคนหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกทางศีลธรรม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
และความเชื ่ อ มั ่ น ของชนชาติ ท ี่ เ รีย กว่ า จิ ต วิ ญ ญาณประชาชาติ (Volksgeist) และค่ อ ยๆเปลี ่ ย นแปลง
วิวัฒนาการไปเป็นตัวของมันเหมือนกับภาษาประจำถิ่น
ส่วนวิวัฒนาการของกฎหมายจะเริ่มพัฒนาระยะแรกนั้นเริ่มจากจิตใจของชนชาติเป็นเพียงความรู้สึก
ผิดชอบชั่วดีและสามัญชนที่แสดงออกมา เมื่อเวลานานผ่านไปก็เปลี่ยนกลายเป็นจารีตประเพณีที่ประชาชนใน
สมัยนั้นรู้ว่าอะไรดีและอะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมือ่ ชีวิตและสังคมนั้นมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นข้อขัดแย้งก็มีมาก
ขึ้น การที่จะใช้จารีตประเพณีดั้งเดิมก็ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหากฎหมาย จึงจะต้องพัฒนาวิธีการใช้เหตุผลที่
ละเอียดอ่อนกว่าเหตุผลธรรมดาสามัญจึงเกิดหลั กกฎหมายที่มีความวิวั ฒนาการและซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเมื่อ
กฎหมายพัฒนาถึงขั้นนี้แล้วจึงต้องเป็นหน้าที่ของวิชาชีพนักกฎหมายซึ่ง Savigny ถือว่านักกฎหมายเป็นผู้ทรง
ไว้ซึ่ง จิตวิญญาณประชาชาติ Volksgeist ในยุคนี้นั่นเอง
ดังนั้นกฎหมายของชนชาติใดก็ย่อมเป็นไปตามความรู้สึกสำนึกคิดของชนชาตินั้น ๆ และชนชาติแต่ละ
ชนชาติที่มีประวัติความเป็นมาไม่เหมือนกันความรู้สึกนึกคิดทางศีลธรรมและความเชื่อมั่นย่อมแตกต่างกันจึง
เป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับให้ชนชาติหนึ่งไปใช้กฎหมายของอีกชนชาติหนึ่ง
(๒) วิชาสังคมวิทยากฎหมาย
วิชาสังคมวิทยาโดยทั่ว ไปเป็นวิชาที่ว่าด้ว ยข้อเท็จ จริงในสังคมซึ่งเป็นการศึกษาค้นคว้ าเกี่ยวกับ
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสังคมด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง การปกครองการศึกษาค้นคว้าข้อเท็จจริงทางสังคมด้าน
เศรษฐกิจ เรียกว่าวิชาสังคมวิทยาเศรษฐกิจ เป็นต้นส่วน วิชาสังคมวิทยากฎหมาย จึงเป็นการศึกษาค้นคว้า
สภาพถึงความเป็นจริงที่เกี่ยวกับกฎหมายในสังคมว่าปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย และมีวิธีการดำเนินชีวิต
ของตนภายในกรอบเกณฑ์ทางกฎหมายนั้นด้วยความเป็นจริงอย่างไร วิชาสังคมวิทยากฎหมาย จึงเป็นการที่
ศึกษาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ กฎหมายอย่างใกล้ชิดในแง่ที่ว่าเกี่ยวข้องกับข้อเท็ จจริงในชีวิตทาง
กฎหมายในเรื่องของหลักการ วิชาสังคมวิทยากฎหมายจะไม่ไปก้าวล่วงขอบเขตข้อเท็จจริงที่เป็นการกระทำ
หรือคำพิพากษาชี้ขาดและปรากฏการณ์ทางกายภาพและจิตวิทยาอื่น ๆ
8
เมื่อพิจารณาขอบเขตของวิชาสังคมวิทยากฎหมายจะพบว่ามีการแบ่งสภาพการค้นคว้าออกเป็น ๒ แง่
ด้วยกันคือ
1. การศึกษาค้นคว้าสภาพเป็น จริงเกี่ยวกับสังคมในตำนานการกำเนิดของกฎหมายซึ่งเป็นการศึกษา
ค้นคว้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์กฎหมายและวิชามานุษยวิทยาอย่างใกล้ชิด
2. การวิเคราะห์ถึงอิทธิพลของกฎหมายที่มีต่อสังคมในฐานะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือหรือกลไกอย่าง
หนึ่งที่จะควบคุมพฤติกรรมของคนในสังคมและเป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนดวิถีชีวิตของคนในสังคม
อาจกล่าวโดยสรุปว่า การศึกษากฎหมายวิชาสังคมวิทยากฎหมายเป็นการศึกษาถึงความสัมพันธ์และ
การพึ่งพาอาศัยกันและกันระหว่างกฎหมายกับสังคม ความรู้ทางสังคมวิทยากฎหมายจะเป็นประโยชน์แก่เรา
ในการช่วยปรุงแต่งกฎหมายให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านนิติบัญญัติ
๓. นิติศาสตร์ในแง่คุณค่า (legal science of values)
การศึกษาในแง่ของคุณค่าคือการวิจารณ์กฎหมายที่มีอยู่ว่าดีหรือไม่ดีมีผลหรือไม่มีผลตามมาตรฐาน
ของอุดมคติอย่างใดอย่างหนึ่งวิชานิติศาสตร์ที่สำคัญใน แขนง นี้ได้แก่
(1) วิชานิติบัญญัติ
คือ วิชาเกี่ยวกับเรื่องการบัญญัติกฎหมายซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ
ภาคทั่วไป ว่าด้วยประวัติความเป็นมาทางกระบวนการนิติบัญญัติหน้าที่และข้อจำกัดทาง
กระบวนการนิติบัญญัติรวมทั้งปัญหานิตินโยบาย
ภาคเฉพาะ ว่าด้วยเทคนิคการบรรยายกฎหมายอันได้แก่การเลือกสรรถ้อยคำต่าง ๆ มาใช้ใน
การเขียนกฎหมายให้ได้ผลตามความมุ่งหมายซึ่งในการนี้ผู้บัญญัติจะต้องวิเคราะห์ถึงนิติวิธีของระบบกฎหมาย
แต่ละระบบด้วย
(2) วิชากฎหมายเปรียบเทียบ
วิชากฎหมายเปรียบเทียบนี้เป็นวิชาใหม่ซึ่งมีขึ้นมาในศตวรรษที่ 20 เป็นการเอานำระบบกฎหมายมา
เปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะระบบกฎหมายระบบใหญ่ ๆ คือ ระบบคอมมอนลอว์ และ ระบบซีวิลลอว์ ทั้งสอง
ระบบนี้มีความคิดและวิธีการแตกต่างกันอย่างไรประโยชน์ของกฎหมายเปรียบเทียบก็คือ เพื่อการทำความ
เข้าใจในบทบัญญัติของกฎหมาย เพื่อประโยชน์ในการใช้กฎหมายระหว่างกฎหมายต่างประเทศกั บกฎหมาย
ภายใน เพื่อให้กฎหมายประเทศต่าง ๆ นั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกัน
อาจกล่าวโดยสรุปว่าแม้จะศึกษาแยกได้เป็นหลายวิชา หลายแขนงด้วยกันแต่ก็มีเอกภาพในแง่ที่ต่างก็
มุ่งศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในวัตถุที่ศึกษาสิ่งเดียวกัน คือ กฎหมาย การศึกษาวิชานิติศาสตร์โดยแท้เพียง
แขนงเดียวที่สอนให้รู้กฎหมายและใช้กฎหมายเป็นซึ่งหมายถึงนิติศาสตร์ ในความหมายอย่างแคบจึงน่าจะเป็น
ความคิดที่คับแคบและล้าสมัยไม่สมกับวัตถุประสงค์ของทางวิชาการอันเป็นหลักการศึกษาอันเป็นกฎหมาย
สากล
(ข) พิจารณาจากวิธีการศึกษา
การพิจารณาในแง่วิธีการศึกษาเราอาจแบ่งวิชานิติศาสตร์ออกเป็น 3 แขนงคือ
1. นิติศาสตร์อรรถาธิบาย (Commentary Jurisprudence)
เป็นวิชาที่ศึกษากฎหมายโดยการอธิบายตัวบทต่าง ๆ ที่ใช้บังคับอยู่ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ใน
เยอรมัน เชื่อว่ากฎหมายได้ถูกบัญญัติขึ้นโดยนักปราชญ์ทางนิติศาสตร์อย่างดีแล้ว ผู้ใดประสงค์ที่ทำความเข้าใจ
ให้ถูกต้องก็ต้องอ่านตัวบทและทำความเข้าใจในบทนั้น ๆ โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังประวัติและหน้าที่ทางสังคม
ของบทบัญญัติ แต่ละบทบัญญัติ จึงเรียกวิธีการศึกษาเช่นนี้ว่า “วิชานิติศาสตร์ข้อความคิด” คือเชื่อว่าตัวอักษร
9
บทที่ ๓ วิชานิติปรัชญา
ในแง่ปรัชญานั้นนิติปรัชญาก็เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่ศึกษากฎหมายในเชิงปรัชญาในขณะเดียวกัน
ก็น่าจะพิจารณาได้ว่านิติปรัชญานั้นเป็นวิชานิติศาสตร์ชั้นสูงกล่าวคือเป็นวิชาที่ศึกษากฎหมายในลักษณะทั่วไป
อย่างนามธรรมรวมทั้งวิธีคิดค้นหาความรู้ในแง่นิติศาสตร์ที่เรียกว่านิติศาสตร์ในแง่ทฤษฎีกฎหมาย เริ่มมีปัญหา
ในด้านกฎหมายต่าง ๆ เกิดขึ้นจึงมีการศึกษาค้นคว้าหาความตอบในแง่ทฤษฎีกฎหมายจนทำให้วิชานิติปรัชญา
ค่อยๆกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิ ชานิติศาสตร์ในความหมายอย่างกว้างจึงจะกล่าวได้ว่าวิชานิติปรัชญาเป็นทั้ง
ความรู้ในแง่ปรัชญาและนิติศาสตร์ในเวลาเดียวกัน
นิติปรัชญา : พิจารณาในแง่ปรัชญา
๑.ปรัชญา หรือศาสตร์สากล (Universal Science)
ปรัชญาเป็นวิชาที่ไม่เอาปรากฏการณ์ประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงมาศึกษา แต่จะเป็น
การศึกษาถึงโลก และชีวิตอย่างเป็น ทั้งมวล (as a whole) เพื่อให้เกิดความเข้าใจในโลก จักรวาล ชีวิตและสิ่ง
ที่เป็นอยู่อย่างสมบูรณ์
ความรู้ที่ได้จากสาขาเฉพาะทางต่าง ๆ ก็ล้วนเป็นความรู้ที่ได้มาจากปรากฏการณ์ ซึ่งปรากฏการณ์แต่
ละอย่างนั้นจะต้องมีสาเหตุที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ นั้นขึ้น แต่ละปรากฏการณ์จึงเป็นเพียงผลของสาเหตุ
เท่านั้น หน้าที่ของวิชาปรัชญา คือ การค้นคว้าว่าสาเหตุสุดท้ายที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์นั้นคืออะไร จึงเป็นการ
ตั้งคำถามว่าทำไมสิ่งต่าง ๆ จึงมีอยู่ และดับสลายไป สิ่งเหล่านี้จึงเป็นปัญหาเกี่ยวกับ “ความเป็น” Das Sein
ในขณะที่มีอยู่สิ่งเหล่านี้มีอยู่อย่างแท้จริง หรือเป็นการถามเกี่ยวกับปัญหาเกี่ยวกับปรากฏการณ์กับความจริง
เหล่านั้น
กล่าวโดยสรุปว่าวิชาปรัชญามีลักษณะพิเศษ ดังนี้
1. พิจารณาสิ่งทั้งหลายให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงจนเป็นเอกภาพ
2. ค้นคว้าหาสาเหตุรากฐานของปรากฏการณ์ของเรื่องต่าง ๆ ทั้งหลายอย่างถึงที่สุด
3. ยกระดับความคิด
4. ศึกษาเชิงวิจารณ์ในข้อความคิดพื้นฐานของศาสตร์เฉพาะต่าง ๆ
วิชาปรัชญานั้นแบ่งออกเป็น ปรัชญาภาคทั่วไป และ ปรัชญาภาคเฉพาะ
(ก) ปรัชญาภาคทั่วไป หรือปรัชญาโดยแท้ นั้นอยู่ 4 แขนงด้วยกัน คือ
อภิปรัชญา หรือ ทฤษฎีความเป็น คือ ปรัชญาแท้ ๆ ที่พยายามค้นคว้าหา ความเป็น แท้ๆว่าคืออะไร
สิ่งที่ปรากฏแก่ตัวเราและเปลี่ยนแปลงไปอยู่ทุกขณะเป็นการศึกษาของเรื่อง แก่น หรือ สาร ของ ความเป็น ที่มี
อยู่ในทางสภาวะวิทยา
ญาณปรัชญา หรือ ทฤษฎีความรู้ เป็นการศึกษาที่พยายามจะค้นคว้าหาความรู้คืออะไร และเรารู้ได้
อย่างไรและความสามารถที่จะรับรู้ของคนเรานั้นมีจำกัดหรือไม่
10
จึงสรุปได้ว่าปัญหาเกี่ยวกับคุณค่าของกฎหมายเป็นปัญหาเกี่ยวกับความยุติธรรมที่ต้องแบ่งปันส่วน
ทางสังคมซึ่งเป็นปัญหาแห่งคุณค่าทางกฎหมายหรือปัญหาทาง จริยธรรมปรัชญากฎหมาย นั่นเอง
ส่วนทฤษฎีความงาม หรือ ปัญหากฎหมายสวยหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของทาง สุนทรียปรัชญา ไม่เป็น
สำคัญในทางกฎหมาย ดังนั้นในแง่ของวิชานิติปรัชญานั้นอาจเลือกศึกษาได้ 3 ประการคือ 1. ปัญหาทาง
อภิปรัชญากฎหมาย 2. ปัญหาทางญาณปรัชญากฎหมาย 3. ปัญหาทางจริยปรัชญากฎหมาย อีกนัยหนึ่งกล่าว
ได้ว่า นิติปรัชญาศึกษากฎหมายว่าที่แท้จริงคืออะไร เรารู้กฎหมายได้อย่างไร ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายมี
ลักษณะอย่างไร และความยุติธรรมคืออะไรเกี่ยวข้องกับกฎหมายได้อย่างไร นั่นเอง
นิติปรัชญา : พิจารณาในแง่นิติศาสตร์
ความรู้ที่เป็นศาสตร์ หรือวิชานั้นต่างจากความรู้ธรรมดา เพราะความรู้ธรรมดาเป็นเพียงแต่ความรู้
ข้อเท็จจริงเฉพาะเรื่อง แต่ศาสตร์นั้นเป็นความรู้ที่มีลักษณะนามธรรมเป็นหลักการทั่วไป มีการเชื่อมโยงทาง
ตรรกวิทยาอย่างเป็นระบบ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างในลักษณะทั่วไป 3 ระดับคือ ลำดับต้น เรียกว่าวิชาเฉพาะ
ลำดับกลาง เรียกว่าวิชาหลักทั่วไปหรือความรู้กฎหมายทั่วไป และ ลำดับสูงเรียกว่า ทฤษฎี หรือ ปรัชญา ดังนั้น
หากเราศึกษาในวิชานิติศาสตร์โดยแท้ ศาสตร์ทางข้อเท็จจริงและนิติศาสตร์ทางคุณค่า แล้วค่อย ๆ ยกระดับ
ความรู้ทั่ว ไป หรือศึกษาให้ล ึกซึ้งถึงแก่ น หรือ รากฐานของปัญหา ปัญหากฎหมายดังกล่าวก็จะค่อย ๆ
กลายเป็นปัญหาในทางนิติปรัชญา
๑. การศึกษาวิชานิติศาสตร์โดยแท้
เป็นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจในตัวบทบัญญัติกฎหมายที่บังคับใช้อยู่การศึกษาในระดับทั่วไปนี้
เรียกว่า Jurisprudence ดั่งเช่นวิชา Analytical Jurisprudence ของ John Austin เป็นต้น แต่ถ้าศึกษา
ในระดับสูงขึ้นไปอีก เช่นการถามว่า กฎหมายต่างจากกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมอย่างไร ต่างจากจารีตประเพณี
อย่างไร อะไรคือกฎเกณฑ์ที่เป็นแบบแผนความประพฤติที่เป็นกฎหมาย ปัญหาเหล่านี้นั้นเป็นปัญหาเกี่ยวกับ
สาระสำคัญของกฎหมายหรือเรียกว่า ทฤษฎีความเป็น นั่นเอง
๒. การศึกษานิติศาสตร์ทางข้อเท็จจริง
การศึกษากฎหมายในแง่นี้เป็นการศึกษาในกฎหมายที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วในสังคม
ได้แก่ วิชาประวัติศาสตร์กฎหมาย เช่นวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายไทย มีการศึกษาเรื่องความเป็นมาของ
กฎหมาย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยาจนถึงปัจจุบัน จะมีการอธิบายให้เห็นถึงหลักของความเปลี่ยนแปลงของ
กฎหมายจากอดีตถึงปัจจุบัน
ส่วนวิชาสังคมวิทยากฎหมาย เป็นการศึกษากฎหมายในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงในสังคมเช่นกัน แต่
การศึกษาในแง่ความที่เป็นเหตุและผลของกฎหมายที่มีข้อเท็ จจริงอื่น ๆ ในสังคมคำสอนในระดับหลักทั่วไปจะ
เรียกว่า นิติศาสตร์ทางสังคม และนักกฎหมายโรมันได้อธิบายเอาไว้ว่า กฎหมายมีความมุ่งหมาย กล่าวคือ
กฎหมายมีฐานะเป็นวิธีการไปสู่เป้าหมายส่วน Pound ซึ่งเป็นนักกฎหมายชาวอเมริกันก็ได้ให้มีความเห็นว่า
กฎหมายเป็นวิศวกรทางสังคม ก็คือเป็นการตอบคำถามว่า กฎหมายคืออะไร โดยพิจารณาจากการทำหน้าที่
ของกฎหมายในสังคมนั่นเอง
๓. การศึกษานิติศาสตร์ทางคุณค่า
การศึกษาในแง่นี้นั้น เป็นการศึกษาในคุณค่าของกฎหมายในระดับวิชาเฉพาะ เป็นการศึกษาว่ามี
หลักการอะไรในการวินิจฉัยปัญหากฎหมาย เช่นคำสอนของ Bentham อธิบายว่า กฎหมายที่ดี คือกฎหมายที่
ให้ความสุขมากที่สุดแก่คนจำนวนมากที่สุด คำสอนนี้เป็น ทฤษฎีนิติบัญญัติทางทฤษฎีหนึ่งนั่นเอง แต่การนิติ
12
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้น โดยจะไม่มีการคำนึงว่ากฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในบ้านเมืองนั้นมี
เนื้อหาสาระของวิชานี้จะเป็นกฎหมายที่ดีเลว ยุติธรรม หรือ อยุติธรรม
วัตถุประสงค์หรือหน้าที่ (Function) ของวิชา Jurisprudence นี้ก็ คือการอธิบายข้อความคิดทั่ว ไป
และหลักการทั่วไปที่มาจาก Positive Law กล่าวคือ John Austin ได้ชี้ให้เห็นว่าระบบกฎหมายที่เจริญแล้ว
ทุกระบบมีโครงสร้างทางความคิดที่เหมือนกันคล้ายคลึงกั น โดยมีการศึกษาโดยเอาคำแต่ละคำนั้นเอามา
แยกแยะ และหาเหตุผลเพื่อให้ได้ข้อความคิดที่มีลักษณะทั่วไป เป็นจริงในทุกระบบกฎหมายทุกหนทุกแห่งและ
ทุกกาลเวลาตลอดจนการแบ่งแยกหมวดหมู่และจัดระบบ สิทธิ และหน้าที่ ที่ชี้ให้เห็นถึงลักษณะเด่นอันเป็น
พื้นฐานในแต่ละระบบกฎหมายด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เรียก Jurisprudence ของ จอห์นออสติน อีกชื่อหนึ่งว่า Analytical Jurisprudence
แต่เนื่องจากถ้อยคำเหล่านี้นอกจะเป็นถ้อยคำที่เป็นรากฐานใน Positive Law {คือกฎหมายที่มีสภาพบังคับอยู่ Law as it
is, not as it ought to be} แล้ว ยังเป็น ถ้อยคำที่ ใช้กัน อยู่ในวิช าการต่าง ๆ อีกด้ว ย ด้ว ยเหตุน ี้เองความรู้ในวิช า
Jurisprudence นี้จึงนำไปสู่ทฤษฎีที่ว่าด้วยลักษณะทั่ว ไปของกฎหมายหรือ ทฤษฎีกฎหมาย ของ จอห์น
ออสติน ที่นักกฎหมายโดยทั่วไปให้ความสนใจยิ่งกว่าเนื้อหาสาระของวิชานี้เสียอีก
คำสอนของ John Austin กล่าวโดยสรุปมีลักษณะพิเศษต่อไปนี้
1. ทฤษฎีกฎหมาย (Theory of law)
กฎหมายคือ คำสั่ง ของ รัฏฐาธิปัตย์ เมื่อออกกฎหมายเป็นคำสั่ง จะต้องถือว่าเป็นเรื่องของเจตจำนง (
Will ) ของคน กฎหมายจึงกลายเป็นเรื่องของอำนาจที่จะเลือกใช้ Austin ก็เห็นว่าต้องเป็นคำสั่งทั่วไป Austin
เองต้องการแสดงว่า กฎหมายจะต้องมี Authority จึงเน้นว่าเป็นคำสั่งโดยไม่คิดว่าเมื่อเป็นเช่นนั้น กฎหมาย
จะต้องมีเจตจำนง ซึ่งมีผลให้ไม่มีความแน่นอน เพราะย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ
เมื่อเป็นคำสั่งของ รัฏฐาธิปัตย์ แล้วแสดงว่าจะต้องมีกฎหมายของชุมชนที่มี อำนาจอธิปไตย หรือเป็น
ชุมชนที่เป็นรัฐแล้ว ดังนั้นชุมชนในสมัยโบราณ จึงไม่มีกฎหมายตามทัศนะคติของ Austin เมื่อกฎหมายเป็น
คำสั่งจึงจะต้องมีสภาพบังคับ ใครขัดขืนจะต้องได้รับผลร้าย ซึ่งทำให้ต้องเน้นว่า กฎหมายต่างกับศีลธรรมตรงที่
มีสภาพบังคับ
๒. ทฤษฎีวิชาการนิติศาสตร์
วิชานิติศาสตร์ของ Austin ศึกษาเฉพาะกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงถึงความยุติธรรมหรือ
คุณค่าอื่น วิชา Jurisprudence นี้ Austin กล่าวว่าเป็น Philosophy of Positive Law ควรสังเกตว่า Austin
ใช้คำว่า ปรัชญา ในความหมายของวิชาความรู้ที่เป็นระบบทั้งหมด ซึ่งควรใช้คำว่า ศาสตร์ (Science) น่าจะ
ตรงมากกว่า ส่วนคำว่ากฎหมายบ้านเมือง หมายถึง กฎหมายที่มีสภาพบังคับ จะเห็นได้ว่ากฎหมายควรจะเป็น
อย่างไรนั้นไม่ใช่หน้าที่ของนักกฎหมายที่จะไปสนใจว่ากฎหมายควรจะเป็นอย่างไร นั้นเป็นหน้าที่ของวิชานิติ
บัญญัติซึ่งเป็นการสอนที่เป็นการตรงกันข้ามกับการศึกษาว่ากฎหมายคืออะไร ที่ศึกษามาตั้งแต่สมัยโบราณ
เพราะสมัยโบราณเห็นว่านิติศาสตร์เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรม แต่ Austin ไม่เห็นว่าจะเกี่ยวสัมพันธ์กัน
๓. ทฤษฎีนิติวิธีวิทยา
เป็นการศึกษากฎหมายใช้วิธีนำข้อความคิดในกฎหมายมาแยกแยะเปรียบเทียบ วิธีการศึกษากฎหมาย
จะต้องใช้วิธีการแยกแยะ วิเคราะห์ และแยกองค์ประกอบให้ดี ถึงสิทธิ หน้าที่ และความรับผิด รวมถึงการ
ลงโทษต่าง ๆ มาวิเคราะห์หาข้อความคิดก่อนแยกองค์ประกอบให้ชัดเจน ความรู้เกี่ยวกับ กฎหมายลักษณะ
ดังกล่าวมีความแน่นอนยืนไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลสมัย และตัวผู้พิพากษาที่เปลี่ยนไปในแต่ละคดี Austin จึง
เรียกวิชา Analytical Jurisprudence ว่า Philosophy of Positive Law
14
ขอบเขตของวิชานิติปรัชญา
การสอนและการศึกษาวิชานิติปรัชญานั้นจะแบ่งออกเป็น ๒ ภาคคือ
1. ภาคประวัติศาสตร์ (Historical Part)
2. ภาคระบบ (Systematic Part)
นิติปรัชญาภาคประวัติศาสตร์นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของทฤษฎี
กฎหมาย ในสํานักความคิดทางทฤษฎีกฎหมายสำนักต่าง ๆ ตามยุคและขั้นตอนแห่งประวัติศาสตร์ ส่วนนิติ
ปรัชญาใน ภาคระบบ นั้นจะเป็นส่วนที่ศึกษาในเนื้อหาละเอียดที่แท้จริงของวิชานิติป รัชญาการศึกษาออกเป็น
นิติปรัชญาภาคทั่วไป และ นิติปรัชญาภาคเฉพาะ
(ก) นิติปรัชญาภาคทั่วไป
ศึกษาถึงเรื่องรากฐานทางทฤษฎีทั่วไปโดยมีรากฐานที่สำคัญอยู่ 3 ประการคือ
1. ปัญหาว่ากฎหมายคืออะไร ศึกษาในเรื่องของปัญหาที่จะดีบ่อเกิดของกฎหมายหรือปัญหาว่า
กฎหมายเกิดจากวิวัฒนาการหรือเกิดจากอะไรปัญหาเหล่านี้เรียกว่า ทฤษฎีวิวัฒนาการกฎหมาย
2. ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับวิชานิติศาสตร์และตรรกวิทยา โดยศึกษาว่านิติศาสตร์คืออะไรมี
ขอบเขตอย่างไรซึ่งเป็นปัญหาที่ทฤษฎีวิชานิติศาสตร์ และมีวิธีคิดต่างจากวิชาอื่น ๆ หรือไม่ซึ่ง ทฤษฎีนิติวิธี
วิทยา นี้ เป็นทฤษฎีว่าด้วยวิธีในวิชานิติศาสตร์ว่าต่างจากศาสตร์อื่นอย่างไร
3. ปัญหาเกี่ยวกับคุณค่าของกฎหมายกฎหมายหนี้นั้นมีภารกิจอย่างไรส่งเสริมความยุติธรรม
หรือไม่อย่างไรปัญหาเหล่านี้ที่เชื่อมโยงกับทฤษฎีว่าด้วยกฎหมายหรือทฤษฎีความยุติธรรมหรือทฤษฎีการนิติ
บัญญัติ
(ข) นิติปรัชญาภาคเฉพาะ
จะเป็นการศึกษาเฉพาะปัญหาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละยุคสมัย
การศึกษานี้นั้นนอกจากจะศึกษาจากหลักฐานคดีกฎหมาย ทั้งระบบต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจและระบบทรัพย์สิน
ของสังคมซึ่งเป็นระบบที่เกิดขึ้นได้ และก็จะเป็นการศึกษาหาเหตุผลว่าทำไมรัฐจึงมีความชอบธรรมที่จะบังคับ
บัญชาราษฎร เมื่อใดราชการมีหน้าที่หรือผูกพันกันจะต้องเคารพเชื่อฟังกฎเกณฑ์แบบแผนที่กำหนดขึ้น เมื่อจะ
หลุ ด พ้ น จากหน้ า ที ่ ด ั ง กล่ า วนั ้ น ซึ่ ง เป็ น ปั ญ หาว่ า ความชอบธรรมของ การปฏิ ว ั ติ หรื อ การดื ้ อ แพ่ ง
(Disobedience) ไม่ปฏิบัติตามนี้หรือการศึกษาถึงสถานะของรัฐในประชาคมโลกและความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของ
รัฐในระบบของโลกว่ามีลักษณะอย่างไร เป็นต้น
15
(ส่วนที่ ๒)
บทที่ ๑ สำนักความคิด
I.สำนักธรรมนิยม (Natural Law School)
สำนักกฎหมายธรรมชาติหรือธรรมนิยมเน้นว่า กฎเกณฑ์ต่าง ๆ มีระเบียบอยู่โดยธรรมชาติของมันเอง
ไม่ขึ้นอยู่กับอำเภอใจของบุคคล มนุษย์ใช้ปัญญาไปค้นพบได้เท่านั้น
(ก) ลักษณะสำคัญของกฎหมายธรรมชาติ
สำนักธรรมนิยมมีความเห็นว่ากฎหมายธรรมชาติ เป็นกฎหมายที่แท้จริง หรือมีลักษณะสำคัญ 2
ประการ
ประกาศแรก ต้องเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป คือ เป็นจริงในทุกสถานที่ หลักเกณฑ์ใดที่เป็นจริงในสถานที่หนึ่ง
จะต้องเป็น จริงในอี กสถานที่หนึ่งด้วย ถ้าหากกฎเกณฑ์นั้นเป็นจริงในบางแห่งก็ถือว่ากฎเกณฑ์นั้นไม่ ใช่
กฎเกณฑ์ธรรมชาติ
ประการที่สอง กฎเกณฑ์ธรรมชาติจะต้องมีลักษณะนิรันดร คือเป็นจริงตลอดไป ต้องเป็นจริงในสมัย
หนึ่ง อีกสมัยหนึ่งก็ต้องเป็นจริงด้วย
ด้วยความเชื่อมั่นในความคิดต่าง ๆ นั้นจึงได้มีการพยายามค้นหาหลักเกณฑ์นี้คือต้องเป็นกฎเกณฑ์
ทั่วไป และ เป็นนิรนั ดร เพื่อนำมาใช้เป็นกฎเกณฑ์ของสังคมมนุษย์แต่ความพยายามนี้ยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดสอง
ประการ คือ
1 สังคมในสมัยนั้นเป็นสังคมแคบ ๆ ไม่ได้สื่อสารกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีจารีตประเพณีแตกต่าง
ออกไปจึงเชื่อว่า จารีตประเพณีของตนนั้น เป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป
2 การพัฒนาทางสังคมในสมัยนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและกฎเกณฑ์ไม่ชัด
กฎเกณฑ์ทางสังคมมีลักษณะเป็นจารีตประเพณีที่นับถือปฏิบัติต่อกันเรื่อย ๆ จึงเชื่อว่าจารีตของตนเป็นนิรันดร
(ข) ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายธรรมชาติและกฎหมายบ้านเมือง
ในเรื่องนี้นั้นได้มีการแบ่งแนวความคิดเป็น 2 แนวความคิด คือ
แนวความคิดหนึ่ง เห็นว่า กฎหมายธรรมชาติเป็น กฎหมายที่สงู กว่า (Higher Law) เป็นกฎหมายที่สูง
กว่ากฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในบ้านเมือง(Positive Law) ในแง่นี้จึงมองได้ว่ากฎหมายบ้านเมืองจะขัด แย้งกับ
กฎหมายธรรมชาติไม่ได้
ส่วนอีกแนวหนึ่งเห็นว่ากฎหมายธรรมชาติเป็น กฎหมายอุดมคติ กฎหมายที่บัญญัติขึ้นเป็นกฎหมายที่
เป็นจริงความสัมพันธ์ระหว่างอุดมคติ และความเป็นจริง เป็นความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งและมีลักษณะดึงดูด และ
ผลักไล่กัน เพราะในอุดมคติเป็นอย่างหนึ่ง ความเป็นจริงแตกต่างกัน
ก่อนสมัยกลางถือว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ (Positive Law) ไม่ควรขัดกฎหมายธรรมชาติแต่ในสมัย
กลางนักกฎหมายธรรมชาติ สำนักคริสเตียน ยังยืนยันว่ากฎหมายที่เป็นอยู่จะขัดกับกฎหมายธรรมชาติไม่ได้ ถ้า
ขัดถือว่าไม่เป็นกฎหมายหรือไม่มีผลบังคับ ประชาชนไม่มีหน้าที่ต้องเคารพกฎหมายนั้น เช่นนี้จึงหมายความว่า
กฎหมายธรรมชาตินั้นเป็นกฎหมายบังคับจริง ๆ จึงถือว่ากฎหมายธรรมชาติเป็นรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูง
กว่าส่วนกฎหมายที่เป็นอยู่จะเป็นกฎหมายต่ำกว่า
(ค) ความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์
ความคิดในเรื่องกฎหมายธรรมชาตินี้มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติของมนุษย์ตั้งแต่ใน
สมัยกรีกจนถึงสมัยปัจจุบัน โดยมีทฤษฎีอยู่ 2 ทฤษฎี คือ
16
เป็นการปฏิเสธความคิดเรื่องความเป็นธรรมหรือความยุติธรรมมันเป็นรากฐานความคิดทางกฎหมายแต่โบราณ
ด้วยเหตุนี้ความคิดของสำนักนี้ทำให้นักกฎหมายไม่สำนึกถึงหน้าที่ของตนว่าวิชานิติศาสตร์เป็นวิชาที่แสวงหา
ความเป็นธรรมอันเป็นอุดมคติในทางกฎหมายที่มีมาแต่เดิมนั่นเอง
กล่าวโดยสรุป แล้วสำนักกฎหมายบ้านเมือง มีความคิดว่า กฎหมายบ้านเมือง หรือกฎหมายที่ใช้บังคับ
อยู่ในบ้านเมือง (Positive Law) ซึ่งบัญญัติขึ้นโดยรัฐเป็นกฎหมายที่แท้จริง มีความบริบูรณ์ในตัวเอง ไม่มี
กฎหมายอื่นที่เหนือกว่า การแก้ไขข้อปัญหาทั้งปวงจากข้อคิดกฎหมายบ้านเมืองที่ใช้บังคับอยู่ไม่ต้องพึ่งพา
หลักการอื่นใดสูงกว่า ความคิดของสำนักกฎหมายบ้านเมืองนั้นแบ่งออกเป็น 2 แง่คือ
๑.ทฤษฎีกฎหมาย (Theory of Law) สำนักกฎหมายบ้านเมืองมีทัศนะว่า มีแต่กฎหมายบ้านเมืองที่ได้
บัญญัติขึ้นโดยเจตจำนงของรัฐที่ พิจารณาอย่างดีแล้วเท่านั้นที่เป็นกฎหมายแท้จริง ความคิดในแง่นี้เกิดขึ้น
พร้อม ๆ กับการขยายตัวของรัฐสมัยใหม่ที่ต้องการความคิดทางทฤษฎีการเมืองและกฎหมายมาปรุงแต่ง รัฐ
เกิดขึ้นใหม่ที่จะต้องสนับสนุน รัฐฆราวาส ว่ามีความชอบธรรมที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องอ้างศาสนจักรซึ่งเชื่ อ
กันว่าผู้แสดงพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและควบคุมอาณาจักรมาตลอดในสมัยกลาง จึงทำให้รัฐสมัยใหม่
นั้นมีอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ความคิดที่ส่งเสริมอำนาจสมัยใหม่นี้ก่อให้เกิดผลทางทฤษฎีกฎหมายที่เรียกว่า
สำนักความคิดกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งถือว่ากฎหมายนั้นเป็นผลผลิตของอำนาจแห่งรัฐ
๒.ทฤษฎีว ิชาการนิติศาสตร์ มีความคิดในทางนิติศาสตร์ว ่าระบบกฎหมายมีความสมบูรณ์ในตัว
กล่าวคือนิติศาสตร์นั้นเป็นวิชาการที่พยายามสร้างตัวเองให้สมบูรณ์ คือ พยายามเอาตัวเองออกจากสำนักธรรม
นิยม และจารีตประเพณี ว่าลักษณะพิเศษของกฎหมายมีความแตกต่างจากกฎเกณฑ์ของสังคมอย่างอื่นอย่างไร
และพยายามพัฒนาตนเองให้มีความแน่นอนชัดเจนสม่ำเสมอ ดังนั้นนักกฎหมายไม่ต้องไปสนใจสิ่งอื่นใด
นอกจากกฎหมายบ้านเมือง
วิชาการนิติศาสตร์จึงเป็นผลมาจากความพยายามของนักวิชาการที่จะแสวงหากฎเกณฑ์ที่แน่นอน
ชัดเจนตายตัวและพยายามแยกแยะองค์ประกอบแล้วชี้ว่าอะไรคือกฎหมายดังเช่น ทฤษฎีกฎหมายบริสุทธิ์
จากคำสอนของสำนักกฎหมายบ้านเมือง (Legal Positivsm) ทำให้เกิดผลทางความคิดต่อไปนี้
1. กฎหมายเป็นเรื่องของคำสั่งของรัฐ หรือว่ารัฐเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดไม่ตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใด ๆ
กฎหมายจึงเป็นเรื่องของเจตจำนงของรัฐหรือของผู้มีอำนาจ มิใช่เรื่องของความดี-ชั่ว ถูก-ผิด ในตัวเอง หรือ
เป็นเรื่องของความยุติธรรมกลาง ๆ ไม่ขึ้นอยู่กับจิตใจของใคร
2. กฎหมายเป็น เรื่ องของเจตจำนงของมนุษย์ไม่ใช่เรื่อ งเหตุผ ลของมนุษย์ ดังนั้นกฎหมายจะมี
เนื้อความอย่างไรก็ได้ มีความยุติธรรม หรือไม่มี ไม่ใช่ที่เรื่องนักนิติศาสตร์จะต้องพิจารณาเพราะเมื่อเป็นเรื่อง
ของอำนาจผู้มีอำนาจจะสั่งอย่างไรก็ได้ ดังนั้นกฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรมเสมอ นักกฎหมายในสำนัก
ความคิดนี้จึงนิยมว่า นี่เป็นความยุติธรรมตามกฎหมาย มีความหมายโดยปริยายว่าความยุติธรรมตามกฎหมาย
นั้นอาจไม่เป็น ธรรมตามเหตุผลธรรมดาที่มนุษย์สามัญจะรู้สึก ก็ได้
IV.สำนักความคิดกฎหมายทางสังคมวิทยา (The Sociological School of Law)
เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป กฎเกณฑ์เก่าที่มีอยู่ก็ไม่ทันกับเหตุการณ์ ในความคิดของนักกฎหมายพอใจ
ดื่มด่ำอยู่ในระบบของตน ทำให้เกิดปัญหาสังคม โดยสภาพเช่นนี้การโน้มเอียงที่จะศึกษากฎหมายในแง่อื่น
นอกจากในแง่วิชานิติศาสตร์โดยแท้จึงเกิดให้เป็นแนวคิด กฎหมายทางสังคมวิทยา หรือนิติศาสตร์ทางสังคม
กล่าวคือ สนใจว่าการศึกษากฎหมายนั้นไม่ใช่แต่จะพิจารณาระบบของกฎหมายเท่านั้น จะต้องพิจารณาว่า
ระบบกฎหมายมีบริบท คือมีสภาพแวดล้อมอย่างไร อยู่ในสังคมไหนมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาและอยู่ใน
ประเทศที่มีภูมิอากาศอย่างไร
20
มองเตสกิเออร์อธิบายว่ากฎหมายทั้งหลายเป็นส่วนสำคัญทั่วไปอย่างที่สุด คือความสัมพันธ์ที่จำจะต้อง
เป็นอันเช่นที่เกิดจากเหตุผลของเรื่องนั้น เพราะฉะนั้น มนุษย์ก็มีกฎหมายของมนุษย์ พระเจ้าก็มีกฎหมายของ
พระเจ้า สัตว์ก็มีกฎหมายของสัตว์ คำกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่ามองแต่ในเนื้อแท้ยังเป็นนักกฎหมายธรรมชาติในแง่ที่
ถือว่ามีความถูกผิดอยู่ในตัวของมันเองตามเหตุผล เรื่องของจริงไม่ใช่เป็นคนที่ตั้งขึ้นเองตามใจชอบแต่เป็นนัก
คิดในสำนักกฎหมายธรรมชาติที่เน้นเหตุผลเรื่องภายนอก เน้นความสัมพันธ์ของสิ่งใดนอกทำให้รู้ว่าอะไรถูก
อะไรผิดไม่ได้เน้นเรื่องเหตุผลภายในนั้นหนังสือ The Spirit of The Law ของท่านมีความมุ่งหมายอย่างเดียว
คือเพื่อแสดงให้เห็นถึงเหตุผลเรื่องของกฎหมายว่า แต่ละเรื่องมีบริบทอย่างไร จึงก่อให้เกิดผลทางกฎหมาย
เช่นนั้น
สิ่งเหล่านี้มีส่วนในการปรุงแต่งกฎหมายตามความคิดของ มองเตสกิเออ กฎหมายไม่ใช่คำสั่งของ
รัฏฐาธิปัตย์ กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ กฎหมายจึงเป็นไปตามเหตุผลของเรื่องลักษณะ
หรือรูปนั้นเอง จึงนับได้ว่าเป็นผู้เริ่มต้นสอนนักกฎหมายว่า การเรียนกฎหมายไม่ใช่เรียนแต่ระบบกฎหมายที่
เป็นอยู่คือศึกษาตัวบทกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องศึกษาสังคมด้วย กล่าวได้ว่าสังคมวิทยากฎหมายนอกจากมอง
เตสกิเออ แล้วยังมี ซาวิญญี่ จัดว่าเป็นผู้ที่มีความคิดโน้มเอียงไปทางสังคมวิทยาด้วย เขาเสนอแนะว่าการศึกษา
ธรรมดาทำอย่างไรนั้นก็ไม่พอ ต้องเอามาวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ประวัติศาสตร์ทางภาษาให้เข้าใจตัวบทกฎหมาย
ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ด้วย เหตุนี้มีคุณูปการต่อวิชานิติศาสตร์ คือ ปลดปล่อยนักกฎหมายให้มีสายตาที่ยาวและกว้าง
ขึ้นกว่าเดิม นั่นเอง
การศึกษาในลักษณะที่มีแนวโน้มไปทางสังคมวิทยาก็มาถึงจุดสิ้นสุดลงเอยเป็นวิชาใหม่ที่เรียกว่า
sociology of law ,Anthropology of laws ,Ethnology of Law ผู ้ ท ี ่ เ ริ ่ ม วิ ช า Ethnology คื อ Joseph
Kohler เป็ น นั ก ปรั ช ญาทางนิ ต ิ ป รั ช ญาของเยอรมั น ในสมั ย นั ้ น ซึ ่ ง เน้ น ว่ า กฎหมายจะต้ อ งถื อ ว่า เป็น
ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม เป็นความคิดที่ต่อเนื่องจากเขาคิดว่ากฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมบทบาท
ขอให้เกิดวิวัฒนาการในการดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมของมนุษยชาติโดยปกปักรักษาคุ้มค่าที่มีอยู่แต่บนจารีต
ประเพณีเหล่านั้ นมารักษาไว้ในรูปแบบของหมายประเพณีในรูปแบบเอามาเก็บไว้ในรูปของกฎหมายลาย
ลักษณ์อักษรและสร้างคุณค่าใหม่ การนำเอาจารีตประเพณีเหล่านั้นมารักษาไว้ในรูปของกฎหมายประเพณีหรือ
ในรูปที่เอามาเขียนไว้ในกฎหมายลายลักษณ์อักษรและสร้างคุณค่าใหม่ คือ กฎเกณฑ์ใหม่สร้างขึ้นโดยฝ่ายนิ ติ
บัญญัติ เช่น จารีตประเพณีของไทยเดิม มีภรรยาได้หลายคน เมื่อมีประมวลกฎหมายใหม่กำหนดว่าต้อง มีสามี
ภรรยาได้คนเดียว จึงเป็นการเอากฎหมายของฝรั่งมาในเมืองไทย อย่างนี้เป็นตัวอย่างของเรื่อง การสร้างคุณค่า
ใหม่ นั่นเอง
(ส่วนที่ ๓)
บทที่ ๑ นักคิดทั่วไป
โซฟิสต์ (Sophist)
เป็นช่วงที่ทำให้คนกรีกนั้นได้เรียนรู้คุณค่าของตนเองมากขึ้น และเชื่อมั่นในปัญญาและมนุษย์ มากกว่า
การผูกตนไว้กับการเคารพและความศรัทธาในอำนาจเหนือธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่าความคิดของชาวกรีกนั้น
ออกมาจากความเชื ่ อ ทางศาสนา และนิ ย ายปรั ม ปรา ในช่ ว งนี้ ก ารปกครองของกรี ก ได้ ผ ่ า นเข้ า สู ่ ยุ ค
ประชาธิปไตย และมีสามัญชนได้เข้ามาร่วมในการจัดการกิจการบ้านเมืองมากขึ้น ก่อให้เกิดความแตกแยกทาง
ความคิดและการใช้เหตุผล และวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ
ความคิดเหล่านี้ช่วยผลักดันให้ชนชาวกรีกนั้นคิดและทำการอย่างเป็นอิสระ และในระยะหลั งๆก็ค่อยๆ
เสื่อมทรามลงจนกลายเป็นการคิดและทำตามใจอย่างสุดโต่ง ความเชื่อทางศาสนาและความเคารพในสิ่ ง
ศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาอยู่แต่เดิมก็ไ ม่ได้รับความยกย่องนับถืออีกต่อไป ระบบการปกครองดีงามเสื่อมคลายลงจุด
กลายเป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัว ความเจริญงอกงามทางปัญญาก็ถูกแทนที่ ด้วยความปั่นป่วนทางสังคมใน
บ้านเมืองในตัวแทนความคิดเห็นถึงแนวโน้มความเสื่อมลงของยุคสมัยก็คือกลุ่มนักปราชญ์นักเรียกว่า ผู้ชาญ
ฉลาด หรือ ผู้ทรงปัญญา
กลุ่มโซฟิสต์ นี้ไม่ใช่สำนักทางความคิดทางปรัชญา ไม่ได้มุ่งแสวงหาสัจธรรมแต่อย่างใด แต่มุ่งนำการ
ชักจูงให้คนกลุ่มใหญ่ทำตามเขาต้องการเท่านั้น ใช้วิธีการทางการโต้แย้ง และวาทะ เป็นสำคัญจึงเป็นผู้ก่อตั้ง
วิชาวาทศิลป์ในโลกตะวันตก จึงถูกเปรียบเปรยว่ าเป็นเสมือนหมอความที่จะต้องการจะเอาชนะด้วยฝีปากใน
การโต้แย้งเท่านั้น
โซฟิสต์ ที่เป็นที่รู้จักกันคือ Protagoras (โพทากอรัส) เป็นผู้กล่าวคำ Homo Mensura ซึ่งเป็นคำสั้นๆ
แต่แปลว่า {Man is the measure of all things} “มนุษย์เป็นเครื่องวัดสรรพสิ่ง” มนุษย์ในความหมายนี้ไม่ได้หมายถึง
มนุษย์ทั่วไปแต่หมายถึง มนุษย์แต่ละคนที่รวมอัตวิสัยของแต่ละคนเป็นเครื่องตัดสินทุกอย่าง มนุษย์คนหนึ่ง
ย่อมจะจริงสำหรับคนคนนั้นเท่านั้น ความจริงเป็นเรื่องนานาจิตตัง ตามแล้วแต่ว่าใครจะคิดอย่างไร การที่โพทา
กอรัสกล่าว เพราะเขาเห็นว่าความรู้ที่คนได้รับนั้นเกิดจากการสัมผัสของแต่ละคนขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของ
แต่ละคนมีประสบการณ์ของแต่ละคนต่างกัน ความรู้ที่เกิดขึ้นนั้นก็ต้องเกิ ดจากประสบการณ์ไม่เหมือนกัน
เช่นกัน
ความคิดแบบโซฟิสต์ นี้ทำให้ความเป็นระเบียบแบบแผนของสังคมถูกปฏิเสธ ถูกบั่นทอนไป การที่
สอนว่าพวกมนุษย์เป็นเครื่องวัดสรรพสิ่ง และการถือว่าประโยชน์ส่วนของผู้มีอำนาจก็คือกฎหมายนี้ นับเป็น
ความสะท้อนทรรศนะเกี่ยวกับความรู้ของมนุษย์แบบหนึ่ง ทำนองเดียวกันกับพวกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเห็นว่า ไม่มี
กฎหมายตายตัวแน่นอนความรู้ต่าง ๆ ของมนุษย์ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาสถานที่และตัวผู้สังเกตทั้งสิ้น
ดังนั้น ความดี ความยุติธรรม ก็เป็นสิ่งไม่แน่นอน
การที่พวกเขาปฏิเสธความคิดดั้งเดิมแตกไปจากเดิม จึ งทำให้มีผู้พยายามต่อปัญหาของพวกโซฟิสต์ มี
การมาแก้ไขและอธิบายเป็นการต่อยอดทางความคิด จึงกลายเป็นเรื่องของหมอตำแยของความคิดทางปรั ชญา
ตะวันตกก็ได้ นักปราชญ์คนแรกตอบโต้พวกโซฟิสต์ ก็คือโสกราตีส ต่อมา ปลาโต้ ต่อมา เป็นอริสโตเติล
ความคิดของเขาเหล่านี้จึงกลายเป็นความคิดที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ตะวันตก ถึงความมีอยู่จริงของสัจ
ธรรม ศีลธรรม และคุณธรรมความ คิดนี้มีการสืบทอดต่อลงมาแม้ว่าบางสมัยจะถูกคัดค้านโต้แย้งอย่างหนักจน
เสื่อมความนิยมลงไปบ้าง แต่ความคิดก็ยังทนทานยืนหยัดอยู่ท่ามกลางการคัดค้านและการวิพากษ์วิจารณ์อยู่
เสมอ
24
สโตอิค (Stoicism)
สโตอิค (Stoicism)