Professional Documents
Culture Documents
การรักษาสภาพซากสัตว์หลังการตายเพื่อการศึกษา
Post-mortem preservation for education
นางสาวรีลนิล เอกพัน รหัสนักศึกษา634261107
นายกิตติศักดิ์ ประแจนิ่ง รหัสนักศึกษา634261114
บทคัดย่อ
วิวัฒนาการการรักษาสภาพตัวอย่างมนุษย์และสัตว์
วิธีการเก็บรักษาสภาพสัตว์
วิธีรักษาสภาพสัตว์มีทั้งหมด 3 วิธี ดังต่อไปนี้
1. การทากระดูก
การทากระดูกมีประโยชน์ในการศึกษาทางด้านกายวิภาคของโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิต มี
หลักการในการศึกษา คือ การแยกชิ้นส่วน การต้ม การแช่ และการต่อ โดยการแยกชิ้นส่วนเป็นการ
เลาะเนื้ อ เยื่ อ ออกจากกระดู ก ในแต่ ล ะโครงสร้ า งออกทั้ ง หมด ก่ อ นน ากระดู ก เหล่ า นี้ ไ ปต้ ม ด้ ว ย
ผงซักฟอก เพื่อช่วยในการกาจั ดไขมันและเศษเนื้อออกจากโครงกระดูก ต่อจากนั้นจึงทาให้โ ครง
กระดูกที่ได้ทั้งหมดไปทาให้มีสีขาวขึ้นด้วยสารละลายไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (hydrogen peroxide)
เป็นระยะเวลาประมาณ 12 – 48 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้ตากแดดให้แห้ง ก่อนนาตัวอย่างไปจัดเรียงต่อ
กัน โดยมีลวดเป็นตัวเชื่อมแล้วกาวเป็นตัวประสาน (ธชัคณิน จงจิตวิมล, 2553)
2-5
ภาพที่ 1 ตัวอย่างการจัดต่อกระดูก
ที่มา : พิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2021)
2. การรักษาการทาตัวอย่างแห้ ง (การสตัฟฟ์ )
2.1 ตัวอย่างกลุ่มแมลง สัตว์ทะเลบางประเภท
การทาตัวอย่างแห้งวิธีนี้มักจะใช้กับสัตว์ที่มีโครงร่างแข็งภายนอก ได้แก่ โครงร่างของ
ปะการัง กลุ่มของสัตว์ขาข้อ เปลือกหอย เม่นทะเล เป็นต้น โดยต้องนาเอาส่วนที่สามารถเน่าเปื่อย
ออกให้หมดหรือทาให้แห้งด้วยระดับความร้อนที่เหมาะสม หรือเอาฟอร์มาลินที่มีความเข้มข้นสูงเข้า
ไปแทนที่ ตัวอย่างเช่น การทาแห้งตัวอย่างแมลง โดยวิธีการปักเข็มแมลงจะปักเข็มจากด้านหลังทะลุ
ท้องให้เข็มอยู่ในแนวดิ่งหรือตัวแมลงอยู่ในแนวตั้งฉากกับเข็มเสมอ หลังจากนั้นให้จัดระเบียบร่างกาย
ของแมลง โดยมีรายละเอียดการปักต่างกันในแมลงแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มผีเสื้อให้ปักเข็มตรงบริเวณอก
ระหว่างฐานปีกคู่ห น้า ให้ กางปี กคู่หน้าจนกระทั่งขอบปีกหลั งกางตั้งฉากกับลาตัว ดึงปีกคู่หลั งไป
ข้ า งหน้ า เล็ ก น้ อ ยและให้ ข อบปี ก หน้ า อยู่ ใ ต้ ข อบปี ก หลั ง ของปี ก คู่ ห น้ า กลุ่ ม ผึ้ ง แมลงชี ป ะขาว
และแมลงวัน ให้ปักเข็มตรงบริเวณระหว่างฐานปีกคู่หน้า โดยให้เยื้องไปทางขวาเล็กน้อย และให้กาง
ปีกคู่หน้าจนกระทั่งขอบปีกหลังกางตั้งฉากกับลาตัว ดึงปีกคู่หลังไปข้างหน้าเล็กน้อยและให้ขอบปีก
หน้าอยู่ใต้ขอบปีกหลังของปีกคู่หน้า กลุ่มมวน ให้ปั กตรงแผ่นสามเหลี่ยมกลางหลังโดยให้ตาแหน่งที่
ปั ก อยู่ ใ กล้ ฐ านสามเหลี่ ย ม และเยื้ อ งไปทางขวาเล็ ก น้ อ ยและไม่ ก างปี ก กลุ่ ม ตั๊ ก แตน แมลงสาบ
และจิ้ งหรี ด ให้ ปั กตรงบริเวณส่ว นท้ายของโพโรนา โดยเยื้องไปทางขวาเล็ กน้อยให้กางปีกคู่ ห ลั ง
จนกระทั่งขอบปีกหน้ากางตั้งฉากกับลาตัว ดึงปีกคู่หน้าไปข้างหน้าเล็กน้อย และให้ยกขึ้นเล็กน้อย
จนกระทั่งปีกคู่หน้าและหลังไม่เกยทับกันเหมือนปีกผีเสื้อ หรืออาจไม่กางปีก เป็นต้น หากเป็นแมลง
ที่ขนาดเล็กจะผนึกแมลงด้วยกระดาษรูปสามเหลี่ยม แทนการปั กเข็มบนตัวแมลง โดยตัดกระดาษ
เป็นรูปสามเหลี่ยมฐานกว้าง 3 – 4 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 8 – 10 มิลลิเมตร ในการผนึกแมลง
ให้ เ อาเข็ ม ปั ก ที่ ฐ านของกระดาษสามเหลี่ ย มเอาปลายแหลมของกระดาษแตะกาวเล็ ก น้ อ ย
แล้วนาไปติดกับด้านข้างอกขวาของแมลง
2-6
ภาพที่ 2 ตัวอย่างการทาตัวอย่างแห้ง
ที่มา : Gullan and Cranston (2000)
2.2 ตัวอย่างสัตว์เล็กด้วยเทคนิคพาราฟิน
การสตัฟฟ์สัตว์ด้วยเทคนิคพาราฟินซึ่งเป็นเทคนิคการสตัฟฟ์สัตว์ที่ง่ายและขั้นตอนน้อยที่สุด
เทคนิคนี้ใช้หลักการดึง น้าออกจากเซลล์ด้วยเอทานอลแล้วแทนที่ด้วยพาราฟินหลอมเหลว เหมาะ
สาหรับการสตัฟฟ์สัตว์ที่มีขนาดเล็กและมีน้าในร่างกายน้อย ได้แก่ กลุ่มสัตว์สะเทินน้าสะเทินบกและ
สัตว์เลื้อยคลาน โดยมีวิธีการดังนี้
1. ใช้เข็มทิ่มบริเวณขาและหางของสัตว์ตัวอย่าง เพื่อให้สารเคมีซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อได้ทั่วถึง
ในกรณีที่หางค่อนหนาให้กรีดหางทางด้านล่างด้วย
ภาพที่ 3 แสดงการใช้เข็มทิ่มบริเวณขาและหางของสัตว์ตัวอย่าง
ที่มา: ตติยนุช แช่มใส (2022)
2. ผ่าเปิดช่องท้องเพื่อให้สารเคมีซึมเข้าไปอย่างทั่วถึง จากนั้นยัดสาลีเข้าไปในช่องท้องให้ได้
สัดส่ว น โดยไม่ต้องน าอวัย วะภายในออก เนื่องจากสั ตว์ที่ตายแล้ว ขนาดของช่องท้องและอวัยวะ
ภายในจะมีการเปลี่ ยนขนาดและรูปร่าง การยัดส าลี เข้าไปภายในช่องท้องจะช่ว ยให้สั ตว์มีขนาด
และสัดส่วนเหมือนตอนมีชีวิต
2-7
ภาพที่ 4 แสดงการผ่าเปิดช่องท้องเพื่อให้สารเคมีซึมเข้าไปอย่างทั่วถึงจากนั้นยัดสาลีเข้าไปในช่องท้อง
ที่มา : ตติยนุช แช่มใส (2022)
ภาพที่ 5 การใช้ลวดแทงบริเวณฝ่าเท้าจากขาข้างหนึ่งไปยังขาอีกข้างหนึ่ง
ที่มา : ตติยนุช แช่มใส (2022)
4. ใส่สาลีเข้าไปในช่องท้องและคอให้ผิวหนังตึง จากนั้นใช้เข็มแทงบริเวณปลายปากล่าง
เพื่อให้ปากปิด ในขั้นตอนนี้สามารถใส่ตาปลอมเข้าไปบริเวณตาแหน่งตาได้เลยโดยไม่ต้องเอาตาจริง
ออก หรือหากใส่ตาหลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมด สามารถทาได้โดยการกรีดบริเวณตาจริงแล้ว
จึงใส่ตาปลอมเข้าไป
ภาพที่ 6 การใส่สาลีในช่องท้อง
ที่มา : ตติยนุช แช่มใส (2022)
2-8
5. น าสั ต ว์ ว างบนแผ่ น รอง (ไม้ หรื อ ฟิว เจอร์ บ อร์ด ) จัด ท่ า ทางให้ เ หมื อนธรรมชาติ
โดยใช้หมุดปักบริเวณด้านข้างผิวหนัง (ห้ามปักลงไปบนตัวสัตว์ เนื่องจากจะทาให้เกิดรูบริเวณผิวหนัง)
เพื่อให้สัตว์ที่จัดท่าทางแล้วไม่ขยับและเสียรูปทรง
ภาพที่ 7 การนาสัตว์วางบนแผ่นรอง
ที่มา : ตติยนุช แช่มใส (2022)
6. นาสัตว์ที่จัดท่าทางและยึดบนแผ่นรองแล้วแช่ในสารละลายฟอร์มาลิน ความเข้มข้น 4
เปอร์เซ็นต์ ในภาชนะที่มีฝาปิดเป็นเวลา 1 วัน สารละลายฟอร์มาลินจะช่วยให้เนื้อเยื่อของสัตว์แข็ง
และเป็นการทาให้สัตว์คงสภาพอยู่ในท่าที่จัดไว้
ภาพที่ 8 การนาสัตว์ที่จัดท่าทางและยึดบนแผ่นรองแล้วแช่ในสารละลายฟอร์มาลิน
ที่มา : ตติยนุช แช่มใส (2022)
ภาพที่ 9 การนาสัตว์ตัวอย่างแช่ในเอทานอล
ที่มา : ตติยนุช แช่มใส (2022)
8. เตรียมสารละลายผสมระหว่างโพรพานอลและพาราฟินที่หลอมเหลวแล้ว ในอัตราส่วน
1 : 1โดยรอให้พาราฟินมีความร้อนลดลง สังเกตจากพาราฟินเริ่มจับตัวแข็งที่ก้นภาชนะแล้วจึง
เทโพรพานอลลงไปในภาชนะเดียวกัน จากนั้นจึงนาสัตว์ลงไปแช่ เป็นเวลา 2 วัน รักษาสารละลาย
ให้อยู่ในสถานะของเหลวด้วยการนาไปใส่ในตู้ควบคุมอุณหภูมิที่ 65 องศาเซลเซียส ปิดฝาภาชนะ
ให้มิดชิด เพื่อป้องกันโพรพานอลระเหย
9. เปลี่ ย นสารละลายเป็ น พาราฟิ น หลอมเหลว แล้ ว แช่ ใ นตู้ ค วบคุ ม อุ ณ หภู มิ
ที่ 65 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3-4 วัน โดยไม่ต้องปิดฝา เนื่องจากพาราฟินมีจุดหลอมเหลวสูง
11. แต่งสีให้เหมือนจริงโดยใช้สีน้ามัน
ภาพที่ 12 สัตว์ตัวอย่างหลังการสตัฟฟ์เสร็จ
ที่มา : ตติยนุช แช่มใส (2022)
2.3 ตัวอย่างสัตว์เล็กและสัตว์ใหญ่ด้วยเทคนิคการแปลงซากให้มีชีวิตมีดังนี้
วีธีการแปลงซากสัตว์เล็ก
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมตัวอย่างก่อนการชาแหละ
2-11
เมื่อได้สัตว์ที่ตายมาแล้วต้องจัดท่าทางของนกลงกระดาษ และใช้ดินสอร่างภาพไปตามรอบ
ลาตัว (ตามภาพที่ 13) ยัดสาลีเข้าไปในปาก เพื่อป้องกันเลือดหรือของเหลวต่างๆ ไหลออกมาจากตัว
นกระหว่างเลาะหนังในขณะเดียวกัน (ตามภาพที่ 14) กรณี : ของสัตว์ใหญ่กรรมวิธีในการทาสตัฟฟ์
คือนาสัตว์ที่เสีย ชีวิตมาลอกผิวหนังออกกับนามาฟอกและนามาหุ้ มโพลียูรีเทนโฟมแล้วเย็บติดกัน
(ตามภาพที่ 15)
ภาพที่ 13 เตรียมตัวอย่างสัตว์ทดลอง
ที่มา : MGR Online (2554)
ภาพที่ 15 นาสัตว์ที่เสียชีวิตมาลอกผิวหนังออกกับนามาฟอกและนามาหุ้มโพลียูรีเทนโฟม
ที่มา : ศิลป์สตัฟฟ์ (2565)
ขั้นตอนที่ 2 ชาแหละและเลาะหนังออกจากลาตัว
ขั้น ตอนการช าแหละหนั ง ต้ อ งใช้ นิ้ ว มื อ ค่ อ ยๆ แยกขนกลางหน้ า อกออกให้ ม องเห็ น เนื้ อ
จากนั้นใช้มีดกรีดกลางหน้าอกให้หนังขาดออกจากกันเป็นแนวตรงจนเกือบถึงด้านหน้ารูทวาร ใช้นิ้ว
มือหรือด้ามมีดสอดเข้าไปในรอยแผลค่อยๆ ดันเลาะไปด้านข้างจนรอบตัว (ตามภาพที่ 16) เมื่อเลาะ
หนังไปจนส่วนสุดท้ายของลาตัวแล้ว ใช้กรรไกรตัดกระดูกหางข้อแรกเพื่อแยกส่วนหางออกจากลาตัว
แล้วเลาะขึ้นไปจนถึงส่วนปีก ให้ใช้มีดหรือกรรไกรตัดกระดูกโคนปีก จากนั้นค่อยๆ ใช้มือถลกหนังไป
ทางด้านหัว ดึงเนื้อส่วนคอออกมาใช้นิ้วค่อยๆสะกิด เลาะไปจนถึงกะโหลก หลังจากนั้นตัดหัวออกจาก
คอ โดยตัดที่กระดูกคอข้อแรก ให้เหลือกะโหลกติดกับหนังไว้ (ตามภาพที่ 17)
ภาพที่ 16 ชาแหละและเลาะหนังออกจากลาตัว
ที่มา : MGR Online (2554)
2-13
ภาพที่ 17 เลาะหนังไปจนส่วนสุดท้ายของลาตัว
ที่มา : MGR Online (2554)
ภาพที่ 18 วาดรูปร่างที่เลาะออกมาจากหนังลงบนกระดาษ
ที่มา : MGR Online (2554)
2-14
ภาพที่ 19 วัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตาด้วยเวอร์เนียร์
ที่มา : MGR Online (2554)
ภาพที่ 20 เลาะกล้ามเนื้อขาและปีกออกจากกระดูก
ที่มา : MGR Online (2554)
ขั้นตอนที่ 4 รักษาสภาพหนัง
ล้างหนังที่ได้จากการเลาะเนื้อออกแล้วด้วยน้ายาล้างจานผสมน้า นาหนังไปแช่ในสารละลาย
อีรานสปา 10 (Eulan spa 10) ที่มีความเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ โดยปริมาตร ประมาณ 40-45 นาที
(ตามภาพที่ 21) เมื่อแช่ครบเวลายกหนังขึ้นมาบีบน้าพอหมาด ห่อด้วยผ้าขาวบางแล้วนาไปปั่นแห้ง
หลังจากนั้นจึงเป่าด้วยเครื่องเป่าผมจนขนนกแห้งสนิท ลักษณะนกที่เป่าจนแห้งสนิทแล้ว (ตามภาพที่
21) ใช้พู่กันจุ่มเอธานอล ทาหนังด้านในให้ทั่ว รวมไปถึงกระดูกและปาก และฉีดเอธานอลเข้าไปที่น่อง
ขา ปลายปีก และปาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเน่า (ตามภาพที่ 22)
2-15
ภาพที่ 21 ล้างหนังที่ได้จากการเลาะเนื้อออกแล้วด้วยน้ายาล้างจานผสมน้า
ที่มา : MGR Online (2554)
ขั้นตอนที่ 5 ปั้นหุ่นนก
นาเยื่อไผ่มาปั้นหุ่น พรมเยื่อไผ่ให้ชื้นด้วยน้า นามาขยาให้เป็นก้อนให้ได้ขนาดของลาตัวตามที่
วาดไว้ จากนั้นมัดด้วยเชือกป่านให้แน่นจนได้เป็นรูปทรงตามตัว เมื่อได้ลาตัวแล้ว ใช้ลวดมาทาเป็น
แกนคอ จากนั้นจึงนาลวดขนาดเล็กสุดมาพันรอบลวด และพันด้วยกระดาษชาระเพื่อใช้แทนเป็นเนื้อ
ส่วนคอ จากนั้นใช้เชือกพันให้แน่น และใช้มือดัดคอให้เป็นตัวเอส ตามลักษณะของคอ (ตามภาพที่
24)
ภาพที่ 26 นกสตัฟฟ์ที่ได้หลังจากขั้นตอนสุดท้าย
ที่มา : MGR Online (2554)
2.3 การรักษาสภาพสัตว์ด้วยการดอง
การดองนิ ย มทาใน 2 รู ป แบบ คือ การดองปกติ และการดองใส การดองปกตินิยมทาใน
สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สะเทินน้าสะเทินบก การดองใสเป็ นเทคนิคที่ใชในการเก็บรักษาตัวอย่างสัตว์ มี
กระดูกสันหลังขนาดเล็กหรือสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
วัสดุและอุปกรณ์
1. ขวดดอง
2. ฟอร์มาลีน เข้มข้น 10 เปอร์เซ็นต์
3. กลีเซอรีน
4. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3 เปอร์เซ็นต์
5. น้ากลั่น
6. โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ 0.5 เปอร์เซ็นต์ และ 2 เปอร์เซ็นต์
7. สีย้อมอัลเชียนบลู
8. สีย้อมอลิซาลินเรดเอส
9. เอทิลแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์
10. ตัวอย่างสัตว์
แบบที่ 1 การดองสัตว์ด้วยวิธีปกติ
1. ตัวอย่างสัตว์ที่นามาดองควรทาให้สลบหรือตาย เพื่อป้ องกันการดิ้นเมื่อถูกน้ายา จะทาให้ส่วน
ต่างๆ ของร่างกายเสียหาย
2. นาสัตว์ที่จะดองล้างน้าให้สะอาดใส่ในขวดดองเทน้ายาให้ท่วมตัวสัตว์ ปิดจุกให้แน่นพันด้วย
เทปรอบฝาขวด เพื่อป้องกันอากาศเข้าไปในขวดและป้องกันการระเหยของน้ายา
2-18
ภาพที่ 27 การดองปกติ
ที่มา : วารุณี ไชยรงศรี (2565)
แบบที่ 2 การดองสัตว์ด้วยวิธีดองใส
1. นาตัวอย่างล้างด้วยน้าให้สะอาด
2. แช่ใน ฟอร์มาลิน คืออะไร นาน 40 นาที ประมาณ 2 ชั่วโมง
3. ล้าง ฟอร์มาลิน ออกด้วยน้ากลั่น 3 ครั้งๆ ละ 10 นาที
4. ยอมสีกระดูกอ่อนด้วย alcian blue solution นาน 36-48 ชั่วโมงหรือตามขนาดของตัวอย่ าง
โดยสังเกตเปลือกหุ้มตัวติดสีฟ้าประมาณ 7 วัน
5. เปลี่ยนมาแช่ใน 95 เปอร์เซ็นต์ alcohol, 70 เปอร์เซ็นต์ alcohol, 50 เปอร์เซ็นต์ alcohol,
30เปอร์เซ็นต์ alcohol และน้ากลั่นตามลาดับ ขั้นตอนละ 2 ชั่วโมง
6. เปลี่ยนมาแช่ใน trypsin solution นาน 6-72 ชั่วโมง แล้วแต่ขนาดตัวอย่าง โดยสังเกตเห็น
เนื้อเยื่อใส จากบริเวณขอบดานนอกของลาตัวเข้าดานในของลาตัว (ลักษณะเนื้อเยื่อของลาตัวสัตว์มีสี
ขาวขุ่น ) ใหเนื้ อเยื่ อใสประมาณครึ่งหนึ่งของล าตัว และถ้าเนื้อเยื่อใสมากเกินไป อาจจะเปื่อยใน
ขั้นตอนต่อไป
2-19
ภาพที่ 28 การดองใส
ที่มา : THE Cloud (2563)
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องการรักษาสภาพซากสัตว์หลังการตายเพื่อการเรียนการสอน
จากการศึกษาของ ปิยะมาศ คงถึง (2553) เกี่ยวกับการใช้เกลือแกลงเพื่อลดความเข้มข้นของ
ฟอร์มาลินในการรักษาสภาพสุนัข โดยนาเกลือแกงซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ราคาถูก และสามารถ
หาซื้อได้ง่ายพัฒนาเป็นตาหรับรักษาสภาพซากสุนัขสาหรับการเรียนการสอนวิชากายวิภาคศาสตร์
สาหรับนักศึกษา เพื่อลดปัญหาสุขภาพจากความเป็นพิษของฟอร์มาลิน โดยการลดความเข้มข้นของ
ฟอร์มาลินอยู่ในระดับที่ไม่เป็นพิษต่อสุขภาพที่ความปลอดภัยต้องไม่เกิน 0.016 ppm และค่าความ
เข้มข้นของสารเคมีในบรรยากาศที่อนุญาตให้มีได้ตามกฎหมายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่ง
สหรัฐอเมริกา เท่ากับ 0.75 ppm
2-20
ตารางที่ 1 แสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของร้อยละการเน่าโดยรวมของซากสุนัข
กลุ่มน้ายา อัตราการเน่าของซาก (mean±SD)
1 (ไม่มีเกลือแกง/10%ฟอร์มาลิน) 0.00b±0.00
2 (18%เกลือแกง/1%ฟอร์มาลิน) 24.93ab±17.18
3 (25%เกลือแกง/1%ฟอร์มาลิน) 24.03ab±20.16
4 (18%เกลือแกง/0.1%ฟอร์มาลิน) 45.00a±32.76
5 (25%เกลือแกง/0.1%ฟอร์มาลิน) 34.93ab±9.10
ที่มา : ปิยะมาศ คงถึง (2553)
หมายเหตุ: abมีความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญที่ระดับความเชื่อมั่น (P<0.05)
ผลการศึกษาการเน่าของซากสุนัข พบว่าซากสุนัขในกลุ่มควบคุมที่1 ไม่พบการเน่าในทุก
อวัยวะ ซากสุนัขกลุ่มที่ 2, 3, 4 และ 5 พบว่าอวัยวะที่มีการเน่ามากกว่าร้อยละ 50 คือ ผิวหนัง
หลอดลม ตับ ลาไส ตับอ่อน ต่อมไทมัส ม้าม ไต และอวัยวะ สืบพันธุ์ และเมื่อทาการวิเคราะห์ข้อมูล
เปรีย บเทีย บอัตราการเน่าของซากสุนัขและการเน่าของอวัยวะต่างๆ ทีละคู่ คือ กลุ่มที่ 2 (18/1)
กับกลุ่มที่ 4 (18/0.1) กลุ่มที่3 (25/1) กับกลุ่มที่ 5 (25/0.1) กลุ่มที่ 2 (18/1) กับกลุ่มที่ 3 (25/1)
และกลุ่มที่ 4 (18/0.1) กับ กลุ่มที่ 5 (25/0.1) นั้น พบว่ าไมมีความแตกต่างกันทางสถิติ (ตารางที่1)
ซึง่ ปริมาณเกลือแกงที่เหมาะสมสาหรับรักษาสภาพซากคือ ร้อยละ 25 สามารถลดปริมาณฟอรมาลิน
ให้ เหลือเพียงร้อยละ 0.1 ซึ่งมีทาให้การเน่าไม่ต่างจากกลุ่มควบคุม (0/10) แต่ ปริมาณเกลือแกง
ร้อยละ 18 กับฟอร์มาลินร้อยละ 0.1 ในกลุ่มที่ 4 (18/0.1) นั้นยังไม่เพียงพอที่จะรักษาสภาพซาก
ไมให้เน่าได้ ซึ่งสาเหตุที่ทาให้อวัยวะภายในมีสภาพการเน่าแตกต่างกันเกิดจากการเปลี่ยนแปลง
ของโครงสร้างขนาดเล็ก (Ultrastructure) ของไต ตับ ตับ-อ่อน หัวใจ และกล้ามเนื้อลายโครงสร้าง
พบว่า อวัยวะที่พบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์อย่างรวดเร็วภายใน 1 ชั่วโมง คือ ตับ และตับอ่อน
รองลงมาคือไตและหัวใจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อ เวลาผ่านไปไป 3 ชั่ว โมง สวนกล้ามเนื้อลาย
โครงสร้างจะเกิดการ เปลี่ยนแปลงช้าที่สุด เนื่องจากกล้ามเนื้อประกอบด้วยโครงสร้างที่เป็นใยไฟเบอร์
(Fibroblasts) และมีเอ็นไซม์โซโซมอยูน้อยจึงเกิดการเน่าสลายช้า (Yukari Tomita, et.al 2004)
2-21
ภาพที่ : 29 แผนภูมิแท่งแสดงค่าเฉลี่ยของสีกล้ามเนื้อของซากสุนัขต่างๆ
หมายเหตุ : แผนภูมิแท่งแสดงค่าเฉลี่ยของสีกล้ามเนื้อของซากสุนัขต่างๆ ตัวอักษรที่แตกต่างกัน a,b
แสดงความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญ (P<0.05) แสดงความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญ (P<0.05)
ที่มา : ปิยะมาศ คงถึง (2553)
ภาพที่ 30 คาแรงกดของซากสุนัข
หมายเหตุ : a,b แสดงความแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญ (P<0.05)
ที่มา : ปิยะมาศ คงถึง, (2553)
2-23
สรุปผล
เอกสารอ้างอิง
rats.LegalMedicine.2004;6:2531.http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/66594383
2/18499.ค้นเมื่อ 31 ตุลาคม 2565