Professional Documents
Culture Documents
คณะวิทยาการจัดการ
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2560
คานา
สุรชั นี เคนสุโพธิ ์
ธันวาคม 2560
(2)
แผนบริหารการสอนประจาวิชา
รหัสวิ ชา HR 11204
คาอธิ บายรายวิ ชา
ศึ ก ษ าโ คร งส ร้ า งก าร บริ ห า รจั ด ก าร หน่ ว ย งา นค ว า มป ล อ ดภั ย ใ นโ รง งา น
และสภาพแวดล้อมของการทางานภายในอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ การจัดการความ
ปลอดภัย อาชีว อนามัย และสิ่งแวดล้อมในการทางาน มาตรการป้ อ งกันภัย บทบาท หน้ าที่
และความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในโรงงานตามกฎหมายกาหนด ความสาคัญ
ของอุบตั เิ หตุ การประเมินความเสี่ยง การรายงานและสอบสวนการเกิดอุบตั เิ หตุในการทางาน
การจัดทาตัวอย่างแผนการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อมประจาปี ของ
โรงงานอุตสาหกรรม
วัตถุประสงค์ทวไป
ั่
1. เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารจัดการหน่ วยงาน
ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมของการทางานภายในอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ การ
จัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อมในการทางาน
2. เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ และเข้าใจถึงมาตรการป้ องกันภัย บทบาท หน้ าที่ และ
ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในโรงงานตามกฎหมาย และกฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง
กับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
3. เพื่อให้นกั ศึกษามีความรู้ และเข้าใจเกีย่ วกับองค์กรด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสิง่ แวดล้อมในการทางาน
4. เพื่อให้นกั ศึกษามีความรู้ และเข้าใจถึงการเกิดอุบตั เิ หตุ การประเมินความเสีย่ ง การ
รายงานและสอบสวนการเกิด อุ บ ัติเ หตุ ใ นการท างาน และการจัด ท าแผนการจัด การความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อมประจาปี ของโรงงานอุตสาหกรรมรวมทัง้ การศึกษาดูงาน
เกีย่ วกับความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อมในโรงงานอุตสาหกรรม
(3)
เนื้ อหา
วิ ธีสอนและกิ จกรรม
1. การบรรยายในชัน้ เรียน
2. ผูเ้ รียนนาเสนอกิจกรรมปฏิบตั จิ ริง (สถานการณ์จาลอง)
3. แบ่งกลุ่มปฏิบตั แิ ละอภิปราย
4. การค้นคว้าเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง
5. วิเคราะห์กรณีศกึ ษา
6. แบบฝึกปฏิบตั ิ
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคาสอนวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. หนังสือ/ตารา
3. ภาพนิ่ง (power-point)
4. วิดที ศั น์
การวัดและประเมิ นผล
การวัดผล
1. ฝึกปฏิบตั จิ ริง (สถานการณ์จาลอง) 20 คะแนน
2. แบบฝึกปฏิบตั แิ ละวิเคราะห์กรณีศกึ ษา 10 คะแนน
3. ทดสอบย่อย 10 คะแนน
4. สอบกลางภาค 30 คะแนน
5. สอบปลายภาค 30 คะแนน
(9)
การประเมิ นผล
คะแนนระหว่าง ความหมายของผลการเรียน ระดับคะแนน
80 - 100 ดีเยีย่ ม A
75 - 79 ดีมาก B+
70 - 74 ดี B
65 - 69 ดีพอใช้ C+
60 - 64 พอใช้ C
55 - 59 อ่อน D+
50 - 54 อ่อนมาก D
0 - 49 ไม่ผา่ น F
(10)
(11)
สารบัญ
หน้ า
คานา……………………………………………………………………………………………. (1)
แผนบริหารการสอนประจาวิชา………………………………………………………………… (2)
สารบัญ…………………………………………………………………………………………. (11)
สารบัญภาพ…………………………………………………………………………………..... (19)
สารบัญตาราง ………………………………………………………………………………... (23)
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1……………………………………………………………..… 1
บทที่ 1 ความรูเ้ บือ้ งต้นเกี่ยวกับความปลอดภัย และอาชีวอนามัย…………………………….. 3
แนวคิดเกีย่ วกับความปลอดภัย และอาชีวอนามัย …………………………………….. 4
ความเป็ นมาเกีย่ วกับความปลอดภัย และอาชีวอนามัย………………………………... 5
ความหมายของความปลอดภัย และอาชีวอนามัย…………………………………….. 15
ความสาคัญของความปลอดภัย และอาชีวอนามัย…………………………………… . 22
วัตถุประสงค์ของความปลอดภัย และอาชีวอนามัย…………………………………… 24
ประโยชน์ของความปลอดภัย และอาชีวอนามัย………………………………………. 25
เป้ าหมายของงานด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย……………………………... 27
ขอบเขตของงานด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย………………………………. 28
บุคลากรทีเ่ กี่ยวข้องกับงานด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย…………………… 30
หน่วยงานทีเ่ กี่ยวข้องกับงานความปลอดภัย และอาชีวอนามัย………………………. 32
หน่วยงานด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัยระหว่างประเทศ……………………. 49
สรุป………….…………………………………………………………………………. . 54
แบบฝึกหัด................…………………………………………………………………. 56
เอกสารอ้างอิง…………………………………………………………………………... 57
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 2……………………………………………………………… 59
บทที่ 2 การบริหารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทางาน……………………. 61
แนวคิดในการบริหารจัดการ…………………………………………………………… 61
ความหมายของการบริหารจัดการ…………………………………………………...... 63
ความสาคัญของการบริหารจัดการ…………………………………………………….. 69
(12)
สารบัญ (ต่อ)
หน้ า
บทที่ 2 การบริหารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทางาน (ต่อ)
หลักการในการบริหารจัดการ………………………………………………………….. 70
กระบวนการในการบริหารจัดการ ……………………………………………………… 76
แนวคิดในการบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย………………. 79
ความหมายของการบริหารจัดการงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย…………….. 82
แนวคิดพืน้ ฐานของการบริหารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย……………… 82
การเปลีย่ นแปลงกับการบริหารจัดการงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ……….. 84
หลักการบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย……………………. 88
โครงสร้างหน่วยงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย…………………………… 97
นโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัย……………………………………………. 104
แผนงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย……………………………………………. 114
กระบวนการบริหารจัดการแผนงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย………………. 117
กิจกรรมด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย………………................................. 120
สรุป……….…………………………………………………………………………… 128
แบบฝึกหัด……………………………………………………………………………. 130
เอกสารอ้างอิง…………………………………………………………………………. 131
สารบัญ (ต่อ)
หน้ า
บทที่ 3 การสอบสวน และวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ (ต่อ)
บันทึกการรายงานการสอบสวนอุบตั เิ หตุ……………………………………………. 181
การวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ………………………………………………………………… 182
ความสาคัญ และวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ…………………………… 187
แนวทางการวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ……………………………………………………….. 188
การประเมินค่าทางสถิตขิ องอุบตั เิ หตุ………………………………………………… 196
สรุป…………………………………………………………………..……………….. 200
แบบฝึกหัด……………………………………………………………………………. 202
เอกสารอ้างอิง…………………………………………………………………………. 203
สารบัญ (ต่อ)
หน้ า
บทที่ 5 การบริหารงานกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย และอาชีวอนามัยในการทางาน (ต่อ)
พระราชบัญญัติ เงินทดแทน พ.ศ. 2537……………………………………………. 319
หน่วยงานภาครัฐทีเ่ กีย่ วข้องกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม
ในการทางาน………………………………………………………………………….. 324
หน่วยงาน สมาคม และองค์กรอื่นทีเ่ กีย่ วข้องกับงานความปลอดภัย
และอาชีวอนามัย……………………………………………………………………… 327
สรุป…………….……………………………………………………………………… 330
แบบฝึกหัด……………………………………………………………………………. 332
เอกสารอ้างอิง………………………………………………………………………… 333
สารบัญ (ต่อ)
หน้ า
บทที่ 6 วิศวกรรมความปลอดภัยเบือ้ งต้น (ต่อ)
เอกสารอ้างอิง…………………………………………………………………………. 414
สารบัญ (ต่อ)
หน้ า
บทที่ 8 พฤติกรรมความปลอดภัยในการทางาน (ต่อ)
สิง่ ทีก่ าหนดพฤติกรรมมนุษย์………………………………………………………… 499
ระดับพฤติกรรมและการวัดพฤติกรรม……………………………………………….. 501
ทฤษฎีเกีย่ วข้องในการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์…………………………………….. 503
ความหมายของพฤติกรรมความปลอดภัยในการทางาน…………………………… 511
พฤติกรรมมนุ ษย์เพื่อความปลอดภัยในการทางาน…………………………………. 514
หลักการทางพฤติกรรมการบริหารเพื่อความปลอดภัยในการทางาน………………. 515
การส่งเสริมพฤติกรรมความปลอดภัย……………………………………………….. 518
รูปแบบการทางานเป็ นทีมทีม่ ผี ลต่อความปลอดภัยในการทางาน………………….. 527
สีและเครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัย……………………………………………….. 529
บทสรุป………………………………………………………………………………… 536
แบบฝึกหัด…………………………………………………………………………….. 538
เอกสารอ้างอิง…………………………………………………………………………. 539
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้ า
1.1 องค์ประกอบของงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย……………………………… 20
1.2 ขอบเขตความสัมพันธ์ของงานด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย……………… 30
2.1 บทบาทหน้าทีข่ นั ้ พืน้ ฐานของผูบ้ ริหารหรือผูจ้ ดั การในการบริหารจัดการ………….. 69
2.2 ระดับของผูบ้ ริหาร…………………………………………………………………….. 74
2.3 ทักษะของผูบ้ ริหาร……………………………………………………………………. 76
2.4 กระบวนการบริหารจัดการ ตามแนวคิดของ Luther Gulick และ Lymdall Urwick.. 78
2.5 รูปแบบความปลอดภัยในองค์การ……………………….…………………………... 95
2.6 โครงสร้างหน่วยงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย………………………………. 103
2.7 วงจร PDCA ในการพัฒนาแผนงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย……………… 120
3.1 ภาพจาลองการเกิดอุบตั เิ หตุตามทฤษฎีโดมิโน ของ Heinrich……………………… 146
3.2 ปั จจัยทีเ่ กิดความผิดพลาดของมนุษย์…………………………………………………147
3.3 ทฤษฎีปัจจัยมนุษย์……………………………………………………………………. 148
3.4 แบบจาลองของทฤษฎีอุบตั เิ หตุ/อุบตั กิ ารณ์ของปี เตอร์เซน…………………………. 150
3.5 แบบจาลองของทฤษฎีระบาดวิทยา………………………………………………….. 152
3.6 แบบจาลองของทฤษฎีระบบ………………………………………………………….. 154
3.7 การเกิดอุบตั เิ หตุทเ่ี กิดจากสาเหตุพน้ื ฐาน………………….………………………… 158
3.8 การเกิดอุบตั เิ หตุอนั เนื่องจากการกระทาทีไ่ ม่ปลอดภัย……………………………… 159
3.9 การเกิดอุบตั เิ หตุอนั เนื่องจากสภาพการณ์ทไ่ี ม่ปลอดภัย……………………………. 160
3.10 ตัวอย่างแบบฟอร์มการบันทึกคาให้สมั ภาษณ์ของพยานในการสอบสวนอุบตั เิ หตุ .. 178
3.11 ตัวอย่างแบบบันทึกข้อมูลการวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ …………………………………… 194
3.12 แบบบันทึกข้อมูลการวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ……………………………………………. 195
4.1 โรคทีเ่ กิดจากการทางานในสถานประกอบการ………………….………………….. 222
4.2 หมวกนิรภัยสาหรับสวมใส่ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล……….…………………….. 244
4.3 อุปกรณ์ป้องกันตา…………………………………………………………………..... 246
4.4 อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนใบหน้า…………………………………………………. 248
4.5 อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนหู…………..…………………………………………… 249
(20)
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้ า
4.6 อุปกรณ์ป้องกันมือ นิ้วมือ และแขน………………………………………………….. 251
4.7 อุปกรณ์ป้องกันเท้าและขา……………………………………………………………. 254
4.8 ชนิดของหน้ากากครอบป้ องกันส่วนใบหน้า…………………………………………. 259
4.9 อุปกรณ์ป้องกันพิเศษทีใ่ ช้งานเฉพาะ………………………………………………… 262
6.1 ทฤษฎีภเู ขาน้าแข็งเกีย่ วกับค่าใช้จ่ายทีเ่ กิดจากการเกิดอุบตั เิ หตุ……..……………. 341
6.2 เหตุการณ์การเกิดอุบตั เิ หตุเนื่องจากวิศวกรรมการก่อสร้าง………………………… 342
6.3 ทางหนีไฟ และไฟฉุกเฉินทางเดินช่องหนีไฟ…………..……………………………. 353
6.4 ตัวอย่างการออกแบบโรงงานอุตสาหกรรม………………………………………….. 355
6.5 องค์ประกอบสาคัญของการขนถ่ายวัสดุ……………………………………………... 356
6.6 หลักการจัดวางผังโรงงานเพื่อความปลอดภัยในโรงงาน…………………………..... 359
6.7 การติดตัง้ ไฟฉุกเฉินในสถานประกอบการ…………………………………………… 362
6.8 การวางผังโรงงานแบบตามกระบวนการผลิต……………………………………….. 370
6.9 การวางผังโรงงานตามชนิดของผลิตภัณฑ์………………………………………….. 371
6.10 แสดงลักษณะการแปรสภาพการผลิตสินค้าแบบผสม……………………………… 372
6.11 แสดงการวางผังโรงงานแบบชิน้ งานอยูก่ บั ที่………………………………………. 373
6.12 องค์ประกอบของการเกิดไฟ………………………………………………………… 375
6.13 การแสดงสัญลักษณ์ไฟประเภทเอ………………………………………………….. 382
6.14 การแสดงสัญลักษณ์ไฟประเภทบี…………………………………………………... 383
6.15 การแสดงสัญลักษณ์ไฟประเภทซี………………………………………………….. 383
6.16 การแสดงสัญลักษณ์ไฟประเภทดี………………………………………………….. 384
6.17 การแสดงสัญลักษณ์ไฟประเภทเค…………………………………………………. 384
6.18 เครือ่ งดับเพลิงชนิดกรดโซดา………………………………………………………. 385
6.19 เครือ่ งดับเพลิงชนิดฟองโฟม……………………………………………………….. 386
6.20 เครือ่ งดับเพลิงชนิดฟองโฟม……………………………………………………….. 386
6.21 เครือ่ งดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือซีโอทู…………………………… 387
6.22 เครือ่ งดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง……………………………………………………… 388
(21)
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้ า
6.23 เครือ่ งดับเพลิงชนิดน้ายาเหลวระเหยฮาโลตรอน………………………………….. 388
6.24 ถังดับเพลิงเอนกประสงค์แห้ง………………………………………………………. 389
6.25 มาตรวัดเครือ่ งดับเพลิง……………………………………………………………… 393
6.26 การติดตัง้ เครือ่ งดับเพลิง……………………………………………………………. 394
6.27 การออกแบบทางด้านสถาปั ตยกรรมกับการป้ องกันอัคคีภยั ……………………… 397
6.28 ขัน้ ตอนการเกิดไฟซึง่ จะเป็ นตัวกาหนดอุปกรณ์ตรวจจับของไฟ………………….. 398
6.29 แสดงอุปกรณ์ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้……………………………………. 401
7.1 กระบวนการรับรู… ้ …………………………………………………………………… 425
7.2 องค์ประกอบของการสื่อสารความเสีย่ ง……………………………………………… 429
7.3 ขัน้ ตอนพืน้ ฐานของการประเมินความเสีย่ ง…………………………………………. 443
7.4 ภาพรวมระบบการจัดการความเสีย่ ง………………………………………………… 448
7.5 กรอบการบริหารความเสีย่ ง………………………………………………………….. 451
7.6 กระบวนการจัดการความเสีย่ ง……………………………………………………….. 475
7.7 กระบวนการบาบัดความเสีย่ ง………………………………………………………… 477
8.1 ปิ รามิดแสดงลาดับขัน้ ความต้องการของมาสโลว์…………………………………… 498
8.2 การวิเคราะห์พฤติกรรมความปลอดภัยตามแนวคิดของสกินเนอร์……………….... 505
8.3 ตัวอย่างการแสดงเครือ่ งหมายเสริมเพื่อความปลอดภัย……………………………. 533
8.4 แสดงเครือ่ งหมายเสริมไว้ใต้เครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัย………………………. 534
9.1 ขัน้ ตอนการดาเนินการกิจกรรม 5 ส. ................................................................... 553
9.2 หลักการของสะสาง ............................................................................................ 556
9.3 การขจัดสิง่ ของทีไ่ ม่ใช้แล้วมาจัดให้เป็ นหมวดหมูแ่ ละมีระเบียบเรียบร้อย ............... 557
9.4 ส. สะดวกง่ายต่อการใช้งานเกีย่ วกับเอกสารต่าง ๆ .............................................. 559
9.5 ส. สะอาดดูงามตาเป็ นระเบียบเรียบร้อย .............................................................. 560
9.6 ส. สุขลักษณะสถานทีท่ างานหน้าอยู่ .................................................................... 592
9.7 การทากิจกรรม 5ส ให้ประสบความสาเร็จ…………………………………………… 575
10.1 รูปแบบการจัดโครงสร้างองค์กรตามแนวดิง่ ………………………………………... 602
(22)
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้ า
2.1 บทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบของหน่วยงานการจัดองค์การบริหารงาน
ด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ..………………………………………………. 99
3.1 จานวนลูกจ้างทีป่ ระสบอันตรายหรือเจ็บป่ วยเนื่องจากการทางานจาแนกตาม
ความรุนแรง ปี 2549 - 2558 ………………………………………………………... 143
3.2 จังหวัดทีม่ อี ตั ราการประสบอันตรายในการทางานของลูกจ้าง..…………...………… 144
3.3 จานวนการประสบอันตรายหรือเจ็บป่ วยเนื่องจากการทางาน จาแนกตามสาเหตุท่ี
ประสบอันตราย ..…………………………………………………………………….. 162
3.4 จานวนการประสบอันตรายหรือเจ็บป่ วยอันเนื่องจากการทางาน จาแนกตามสิง่ ทีท่ า
ให้ประสบอันตราย.……………………………………………………...................... 163
3.5 จานวนการประสบอันตรายหรือเจ็บป่ วยอันเนื่องจากการทางาน จาแนกตาม
อวัยวะทีไ่ ด้รบั อันตราย......................................................................................... 164
3.5 การประสบอันตรายหรือเจ็บป่ วยอันเนื่องจากการทางาน จาแนกตามผลของการ
ประสบอันตราย................................................................................................... 165
3.6 สาเหตุของการเกิดอุบตั เิ หตุ………………………………………………………….. 183
3.7 แสดงจานวนวันทางานสูญเสีย……………………………………………………….. 198
4.1 การกาหนดมาตรฐานความดังของเสียง…………………………………………….. 229
4.2 ชนิดของรองเท้านิรภัยตามความสามารถในการรับแรงอัดและแรงกระแทก..……… 252
4.3 ส่วนกรองอากาศสาหรับกรองก๊าซ และไอระเหยตามมาตรฐาน..………….............. 258
6.1 การเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสียของการวางผังโรงงานแบบตามกระบวนการผลิต.. 370
6.2 การเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสียของการวางผังโรงงานแบบตามชนิดผลิตภัณฑ์.... 372
6.3 การเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสียของการวางผังโรงงานแบบชิน้ งานอยูก่ บั ที่..…….. 373
6.4 แหล่งเกิดเพลิงไหม้..………………………………………………………………….. 380
6.5 การสังเกตสีของกลุ่มควันทีบ่ ่งบอกถึงประเภทและชนิดของเชือ้ เพลิงทีล่ ุกไหม้..…... 382
6.6 การแสดงชนิด/ประเภทของถังดับเพลิง.……………………………………………... 389
6.7 วิธใี ช้เครือ่ งดับเพลิงแบบมือถือ..…………………………………………………….. 392
(24)
สารบัญตาราง (ต่อ)
สารบัญตาราง (ต่อ)
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1
ความรู้เบือ้ งต้นเกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
หัวข้อเนื้ อหา
1. แนวคิดเกีย่ วกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
2. ความเป็ นมา ของงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
3. ความหมาย และความสาคัญของความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
3. วัตถุประสงค์ และประโยชน์ของความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
4. เป้ าหมาย และขอบเขตของงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
5. บุคลากรทีเ่ กีย่ วข้องกับงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
6. หน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้องกับงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในประเทศไทย
7. หน่วยงานด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัยระหว่างประเทศ
8. สรุป
9. แบบฝึกหัด
10. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
2
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคาสอนรายวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
3. กรณีศกึ ษา/ใบงาน
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดทิ ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. แบบสังเกต
5. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
3
บทที่ 1
ความรู้เบือ้ งต้นเกี่ยวกับความปลอดภัย และอาชีวอนามัย
แนวคิ ดเกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
1. เพื่อ ให้บุ ค ลากรผู้ป ฏิบ ัติง านปราศจากอุ บ ัติเ หตุ อ ัน ตราย บาดเจ็บ และเจ็บ ป่ วย
อันเนื่องจากการทางาน ด้วยการจัดระบบการจัดการความปลอดภัย และอาชีวอนามัยในการ
ทางานทีเ่ ป็ นระบบตามมาตรฐานความปลอดภัย และอาชีวอนามัย
2. ระบบมาตรฐานความปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเป็ น
สิ่ง ที่ช่ ว ยให้อ งค์ก ารสามารถลดอุ บ ัติเ หตุ และการเจ็บ ป่ วยอัน เนื่ อ งมาจากการท างานของ
บุคลากรในองค์การ และเกิดความปลอดภัยเชิงระบบนาไปสู่การจัดการความเสี่ยงในการเกิด
อุบตั เิ หตุ รวมทัง้ สามารถทาให้องค์การได้มรี ะบบการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานทีไ่ ด้มาตรฐานสากลเป็ นทีย่ อมรับขององค์การภายนอกได้
3. การให้ค วามส าคัญ กับ คุ ณ ค่ า ของทรัพ ยากรมนุ ษ ย์ ซึ่ง นั บ ว่ า เป็ น ทรัพ ยากรอัน
ก่อให้เกิดมูลค่าทีม่ คี วามสาคัญที่สุดทางการบริหารองค์การในด้านการบริหารจัดการด้านความ
ปลอดภัยอาชีวอนามัยของพนักงาน จึงต้องมีการจัดระบบการจัดการความปลอดภัย และอาชีวอ
นามัยในการทางานเพื่อให้พนักงานมีสุขภาพทีด่ เี พื่อสร้างมูลค่าในการเพิม่ ผลผลิตให้กบั องค์การ
4. ให้เป็ นไปตามกฎหมายคุม้ ครองแรงงานและกฎหมายความปลอดภัย และอาชีวอนา-
มัยในการทางาน และให้เ ป็ นไปข้อ ตกลงขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ และองค์การ
อนามัยโลก รวมทัง้ ทาให้เกิดหลักความเป็ นธรรมและมนุษยธรรม
5. เป็ นความรับผิดชอบของนายจ้างหรือ ฝ่ ายจัดการของสถานประกอบการที่ต้อ งมี
ดาเนินธุรกิจภายใต้ความมีคุณธรรม จริยธรรมต่อเพื่อนมนุ ษย์และเห็นถึงความเป็ นมนุ ษยชาติ
และให้เป็ นทีย่ อมรับอย่างสากล
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเป็ นสิง่ ทีน่ ายจ้างต้องตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากร-
มนุ ษย์ ผู้มสี ุขภาพอนามัยที่แข็งแรง ปราศจากการบาดเจ็บ หรือเจ็บป่ วย ย่อมเป็ นความโชคดี
ของผู้ปฏิบตั ิงานและรวมถึงการสะท้อ นถึงการบริหารจัดการองค์การโดยองค์รวมที่ส ามารถ
ดาเนินงานได้ดว้ ยความราบรื่น และเป็ นทีย่ อมรับของบุคคลภายนอกได้
ความเป็ นมาของงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ค.ศ. 1867 Engel Dollfus จึงได้ก่อ ตัง้ สมาคมป้ องกันอุ บตั ิเหตุใ นโรงงาน
อุตสาหกรรมขึน้ ทีเ่ มือง Mulhouse อันที่จริงในฝรังเศส ่ ได้มกี ารออกกฎหมายเกี่ยวกับการจ้าง
แรงงานเด็ก การทางานในโรงงานทีม่ กี ระบวนการผลิตตลอด 24 ชัวโมง ่
1.3 ประเทศเยอรมัน
ค.ศ. 1494 – ค.ศ. 1553 Georg Bouur หรือทีร่ จู้ กั กันในนามของ จอเจียส อะกริ-
โคล่า (Georgius Agricola) เป็ นนักโลหะวิทยาชาวเยอรมัน ค.ศ. 1526 หลังจากทีศ่ กึ ษาแพทย์
และภาษาศาสตร์ธรรมชาติจากประเทศอิต าลีแล้ว อะกริโคล่า ได้ทางานในฐานะเป็ นแพทย์
ประจาเหมืองแร่ในเมืองแห่งหนึ่ง ค.ศ. 1556 เขาได้เขียนบทความตีพมิ พ์ลงในหนังสือ De Re
Metallica ซึง่ เป็ นหนังสือทีม่ ชี ่อื เสียงมากทางด้านโลหะวิทยา
ประเทศเยอรมันความตื่นตัวในเรื่องของความปลอดภัยสูงกว่าประเทศอื่น โดยในปี
ค.ศ. 1839 ได้มกี ฎหมายเกี่ยวกับการจ้างแรงงานเด็ก และในปี ค.ศ. 1845 ได้มกี ฎหมาย
เกีย่ วกับการต้องมีแพทย์เพื่อตรวจสอบโรงงาน ในปี ค.ศ. 1853 ได้มกี ฎหมายเกี่ยวกับพนักงาน
ตรวจสอบโรงงานโดยรัฐบาลสาหรับเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรม อาทิ Dusseldorf, Aachen
และ Arnsberge และในปี ค.ศ.1869 ได้ออกกฎหมายว่าด้วยการป้ องกันคนงานให้ปลอดภัยจาก
โรคทางอุตสาหกรรม และกฎหมาย The Imperial Act ในปี ค.ศ. 1878 ซึ่งได้บงั คับให้ทุก
โรงงานต้องมีผู้ตรวจสอบประจานัน้ ได้ออกบังคับ ใช้ตลอดทัง้ ประเทศ และนับแต่ปี ค.ศ. 1884
เป็ นต้นมาได้มกี ฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัยในโรงงานและกฎหมายที่ว่าด้วยการร่วมเสียค่า
รักษาพยาบาลได้นาออกใช้ในปั จจุบนั
1.4 ประเทศสหรัฐอเมริ กา
ค.ศ. 1877 รัฐแมสซาซูเสทส์ (Massachusetts) เป็ นรัฐแรกที่ผ่านกฎหมายว่าด้วย
การป้ องกันอุบตั เิ หตุในโรงงานตัง้ แต่ปี ค.ศ. 1877 สาระสาคัญในกฎหมายฉบับนี้คอื กาหนดทาง
หนีไฟที่เหมาะสม การทาฝาครอบเครื่องจักรกลสายพาน เพลาส่งกาลังและชุดเฟื องขับต่างๆ
การห้ามทาความสะอาดเครื่องจักรกลขณะเครื่องกาลังทางาน และในปี ค.ศ. 1886 ก็ได้ออก
กฎหมายบังคับให้ต้องรายงานแจ้งอุบตั เิ หตุต่อรัฐ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ก็ได้รบั การประกาศใช้
อีกหลายรัฐต่อมา ในขณะนัน้ สหรัฐอเมริกาก็มสี ภาพคล้ายกันกับยุโรป กล่าวคือ กฎหมายทีอ่ อก
มาแล้วไม่ได้รบั การปฏิบตั เิ ท่าทีค่ วร โดยเกิดจากสาเหตุสาคัญคือ คนงานทีไ่ ด้รบั อันตรายไม่กล้า
เรียกร้องสิทธิในค่าชดเชยต่างๆ จากนายจ้างเพราะเกรงว่าจะถูกไล่ออก ทาให้ในปี ค.ศ. 1860
รัฐแมสซาซูเ สทส์ ได้อ อกกฎหมายว่าด้ว ยการมีเจ้าหน้ าที่ตรวจโรงงานจากทางรัฐบาล ซึ่งมี
หน้าทีต่ รวจสภาพโรงงานโดยไม่จาเป็ นต้องได้รบั คาร้องเรียนจากคนงานก่อน ซึง่ ทาให้กฎหมาย
มีประสิทธิภาพยิง่ ขึน้ และอีกหลายรัฐก็ได้ออกกฎหมายทานองเดียวกันนี้ออกมาในระยะเวลาถัด
มา ในระยะต่อมาได้มกี ารทางานเป็ นทีมมีผเู้ ชีย่ วชาญหลายสาขามาร่วมกัน ทาให้พนักงานตรวจ
โรงงานสามารถเป็ นทีป่ รึกษาแก่คนงานและนายจ้างเกี่ยวกับความปลอดภัยได้อย่างกว้างขวาง
นอกเหนือจากเจ้าหน้าทีเ่ ดิมแต่เริม่ แรกซึง่ เป็ นเพียงผูร้ กั ษากฎหมายเท่านัน้
9
ความหมายของความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ในสถานประกอบการเมื่อกล่าวถึงความปลอดภัย และอาชีวอนามัย มักมีความเข้าใจ
ตรงกันว่าเป็ นการกระทา ที่ป ราศจากอันตราย ภัยคุ ก คาม และความไม่มโี รคภัย ด้ว ยความมี
สภาวะสมบูรณ์ทงั ้ ทางร่างกาย จิตใจ และสังคม ดังนัน้ หากสถานทีท่ างานมีการสร้างระบบความ
ปลอดภัย และอาชีวอนามัยที่ดตี ่ อบุคลากรในหน่ วยงาน ย่อมหมายถึง พนักงานผู้ปฏิบตั งิ านมี
สภาวะที่ปราศจากภัยอันตราย บาดเจ็บ และ เจ็บป่ วยทางร่างกาย จิตใจ และสังคมอันเกิดจาก
การประกอบอาชีพ หรือ พ้น จากภัย ที่เ ป็ น ภาวะที่ไ ม่ ป ลอดภัย จากการบาดเจ็บ เจ็บ ป่ วย
ทรัพย์ส ินเสียหายอัน เกิดจากกระบวนการผลิต และการไม่ม ีโรคภัยต่ า ง ๆ จากการท างาน
เป็ นต้น ดังนัน้ ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการปฏิบตั ิงานจึงเป็ นสภาพที่ปราศจาก
อุบตั เิ หตุ อันตราย บาดเจ็บ เจ็บป่ วยอันเกิดจากการทางานทัง้ หลายทัง้ ปวง ซึง่ หน่ วยงานต้อง
สร้างระบบและมาตรฐานทีด่ เี พื่อให้บุคลากรผูป้ ฏิบตั งิ านมีความปลอดภัยและอาชีวอนามัย จึงให้
ความหมายของคาว่า ความปลอดภัย และอาชีวอนามัยตามคานิยามของนักวิชาการ ซึง่ จะแยก
ประเด็นในการอธิบายดังนี้
1. ความหมายของความปลอดภัย ได้มนี กั วิชาการหลายท่านให้ความหมายของคาว่า
“ความปลอดภัย” (Safety) ไว้ดงั นี้
เสนาะ ติเ ยาว์ และ จีร ะ ประทีป (2548, หน้ า 5) ได้ ใ ห้ ค วามหมายค าว่ า
ความปลอดภัย (Safety) หมายถึง การปราศจากภัย หรือสภาพการณ์อนั ปราศจากการประสบ
16
กระบวน
การผลิ ต
ความปลอดภัย
อาชีวอนามัย
คน
สิ่ งแวดล้อมใน
การทางาน
ความสาคัญของความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยนับว่ามีความสาคัญต่อชีวติ มนุ ษย์ในแต่ละสาขาอาชีพ
ทุกตาแหน่ งงาน โดยเฉพาะอย่างยิง่ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต พาณิชยกรรม งานบริการ และ
งานประมง เกษตรกรรม กสิกรรม ซึง่ มีการใช้เครื่องจักรกล เครื่องยนต์ เครื่องไฟฟ้ า และเครื่อง
ทุ่นแรงต่าง ๆ จานวนเพิม่ ขึน้ เรื่อย ๆ ดังนัน้ แรงงานคนซึ่งต้องสัมผัสกับลักษณะการทางาน
เหล่านัน้ อย่างใกล้ชดิ และตลอดเวลา โอกาสในการเกิดอันตราย บาดเจ็บ และเจ็บป่ วยในการ
ทางานก็ย่อมเกิดขึน้ ได้เสมอ ซึ่งผลสถิตทิ ่รี วบรวมโดยสานักงานประกันสังคม กองทุนทดแทน
พบว่า ผูป้ ระสบอันตราย และเจ็บป่ วยอันเนื่องมาจากการทางานเป็ นจานวนมากในแต่ละปี ซึง่ มี
การเปิ ดเผยจากปลัดกระทรวงอุ ต สาหกรรม ได้รบั ข้อ ร้อ งเรียนที่จงั หวัดระยองซึ่งเป็ นพื้น ที่
ที่มอี ุ ต สาหกรรมการผลิต จ านวนมาก ได้มรี ายงานเกิด เหตุ ฉุ ก เฉิ นจากการประกอบกิจ การ
โรงงาน มีจานวน 197 เรื่อง จาก 42 จังหวัด หรือเฉลี่ย 16 เรื่องต่อเดือนโดยเกิดจากปั ญหา
เพลิงไหม้มากทีส่ ุด รองลงมาคือ อุบตั เิ หตุจากการทางานสารเคมีรวไหล ั่ การชุมนุ มคัดค้านการ
ตัง้ โรงงาน เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ระเบิด เป็ นต้น จากผลการรายงานใน ปี 2558 มีเหตุฉุกเฉิน
โรงงานปี น้ียงั ทาให้มผี ู้เสียชีวติ รวมทัง้ สิ้น 27 คน บาดเจ็บ 81 คน คิดเป็ นมูลค่าความเสียหาย
ของทรัพย์สนิ ราว 992 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักเกิดเพราะอุบตั เิ หตุจากการทางาน เครื่องจักร
และอุปกรณ์ระเบิด และเพลิงไหม้ ซึ่งจังหวัดที่มกี ารเกิดเหตุฉุกเฉินสูงที่สุด คือ จังหวัดระยอง
19 เรื่อ ง กรุงเทพฯ ชลบุร ี และสมุ ทรปราการ จังหวัดละ 17 เรื่อง และ นครปฐม 15 เรื่อ ง
สาหรับจังหวัดทีไ่ ม่มเี หตุฉุกเฉินเลย มีทงั ้ สิน้ 35 จังหวัด หรือคิดเป็ นร้อยละ 45 ของทัง้ หมดของ
ประเทศ (กรุงเทพธุรกิจ, 2558, หน้ า 6) จากเหตุการณ์รายงานดังกล่าว ทาให้นายจ้างต้อง
ตระหนักและเห็นความสาคัญของการจัด ระบบความปลอดภัยและอาชีอนามัยในการทางานที่ดี
มีวธิ กี ารป้ องกัน กากับ ดูแล และส่งเสริมให้เหมาะสมอาจจะทาให้การดาเนินธุรกิจเป็ นไปอย่าง
ราบรื่น ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ทาให้เกิดกาไรมากขึน้ สร้างความเป็ นธรรมให้กบั
พนักงาน และสร้างภาพลักษณ์ท่ดี ตี ่อองค์การในสายตาลูกค้า จึงสามารถสรุปความสาคัญของ
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ดังนี้
1. ช่วยส่งเสริ มให้ผลผลิ ตเพิ่ มสูงขึ้น และสร้างประโยชน์ ให้ เศรษฐกิ จของประเทศ
ช่วยส่งผลให้ต้นทุนทางการผลิตสินค้าและบริการลดลง หรือช่วยลดความสูญเสียกิจการของ
นายจ้างอันเนื่องจากการเกิดอุบตั เิ หตุ หากองค์การมีระบบการจัดการความปลอดภัยและอาชีว -
อนามัยที่ดี ก็ย่อมทาให้ การเกิดอุบตั ิเ หตุ ลดลง หรือ แทบจะไม่เ กิดขึ้นเลย ความสูญ เสียหรือ
ค่าใช้จา่ ยสาหรับการเกิดอุบตั เิ หตุกน็ ้อยลงตามลาดับ สถานประกอบการสามารถประหยัดเงินค่า
23
รัก ษาพยาบาล การสมทบกองทุ น ทดแทนก็จ ะได้ล ดลงในปี ถ ัด ไปได้ รวมทัง้ เป็ นผลดีใ น
ภาพลักษณ์ขององค์การด้านการบริหารจัดการควบคุมความปลอดและอาชีวอนามัยได้ และการ
ทางานของพนักงานมีความปลอดภัยมากเท่าไหร่ก็ย่อมส่งผลให้เกิดขวัญกาลังใจดี ส่งผลผลิต
โดยรวมให้สงู ขึน้ ได้
2. ช่วยทาให้เกิ ดกาไรมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนลดลงย่อมส่งผลให้ผลผลิตเพิม่ ขึน้ เป็ น
เหตุให้ผลการดาเนินกิจการได้กาไรมากขึน้ เนื่องจาก กาไร = รายได้ – รายจ่าย ทาให้สถาน
ประกอบการสามารถให้ผลตอบแทน และเพิม่ สวัสดิการต่าง ๆ ให้กบั พนักงานได้เป็ นการกระตุ้น
และจูงใจให้พนักงานเกิดความตระหนักในการทางานให้เกิดความปลอดภัยอย่ างสม่าเสมอและ
ต่อเนื่อง
3. ช่ วยป้ องกันและควบคุมให้ เกิ ดสภาพความปลอดภัยในการทางาน หากสภาพ
การทางานมีความปลอดภัยโดยการจัดสถานที่เหมาะสม ติดตัง้ เครื่องมือเครื่องจักรที่มคี วาม
ปลอดภัย มีการตรวจสอบเป็ นระยะ ๆ ตามกาหนด พร้อมทัง้ การฝึ กอบรมพนักงานเป็ นประจา
สม่ าเสมอไม่ว่าจะเริม่ งานใหม่ หรือพนักงานเก่าที่ปฏิบตั ิงานอยู่แล้ว ก็ย่อมหมายถึงการช่วย
ป้ องกัน และควบคุมให้สภาพการทางานมีความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่ดใี ห้กบั บุคลากร
4. ช่วยลดผลกระทบทางสังคมที่ตามมาหลังจากการประสบอันตรายและเจ็บป่ วย
อันเกิ ดจากการทางาน ในกรณีท่หี วั หน้าครอบครัวประสบอันตรายหรือเจ็บป่ วยจนเสียชีวติ
ทุพ ลภาพ ไม่สามารถปฏิบตั ิงานได้ก็ทาให้ขาดรายได้ใ นการดูแลครอบครัว ขาดเสาหลักใน
ครอบครัว บันทอนสุ่ ขภาพจิตใจของคนในครอบครัวขาดกาลังใจ ลูกหลานต้องเสียโอกาสที่จะ
ศึก ษาเล่ าเรียน ทาให้ครอบครัว ประสบปั ญหาต่ าง ๆ ตามมา หากให้ค วามสาคัญ ด้านความ
ปลอดภั ย และอาชี ว อนามั ย ในการท างานกั บ ผู้ ป ฏิ บ ั ติ ง านก็ จ ะช่ ว ยลดผลกระทบได้
5. ช่ วยธารงรักษา และสงวนรักษาทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ สภาพแวดล้อม
การทางานทีม่ คี วามปลอดภัย ส่งผลต่อการลดอุบตั เิ หตุในการทางาน พนักงานผูป้ ฏิบตั งิ านก็จะ
มีค วามปลอดภัย และสุ ข ภาพที่ดีใ นการด ารงชีว ิต ท าให้จูง ใจ และสร้า งขวัญ ก าลัง ใจให้
ผู้ป ฏิบ ัติง านต้อ งการท างานอยู่อ งค์ก ารไปนานเท่ า นาน เนื่ อ งจากระบบการจัด การความ
ปลอดภัยและอาชีวอนามัยดี ผู้ปฏิบตั ิงานก็ทาให้ บาดเจ็บ หรือตายน้ อยลง จึงเป็ นการสงวน
รักษาทรัพยากรมนุษย์ทส่ี าคัญของชาติไว้ได้
6. ช่ วยในการสร้างความเป็ นธรรมให้ กบั พนักงานในการจ้างงาน ไม่ขดั ต่ อหลัก
มนุษยธรรมในการประกอบธุรกิ จ การดาเนินงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย เป็ น
เรื่องที่นายจ้างต้องกระทาให้ผู้ปฏิบตั งิ านมีความปลอดภัย และสุขภาพอนามัย เพื่อเป็ นไปตาม
หลักมนุษยธรรม คุณธรรมสาหรับการประกอบการของนายจ้างด้วย ดังนัน้ นายจ้างต้องมีหน้าที่
ดูแล กากับ ควบคุมและปกป้ องคุ้มครองลูกจ้าง โดยมีการกากับดูแลสถานที่ทางานให้มคี วาม
ปลอดภัยและป้ องกันอันตรายในการทางาน เช่น อุปกรณ์สวมใส่ป้องกันอันตรายในการทางาน
24
วัตถุประสงค์ของความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ประโยชน์ ของความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ทรัพยากรมนุษย์เป็ นปั จจัยทางการผลิตทีส่ าคัญทางการบริหาร หากสถานประกอบการ
ทีด่ าเนินกิจการมีผลประกอบการที่ดไี ด้กาไรสูงสุด ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าสถานประกอบการนัน้
ให้ความสาคัญกับสภาพการทางานของบุคลากรให้ม ีความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการ
26
ขอบเขตของงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ได้ประชุม
ร่ว มกันในลัก ษณะงานด้านความปลอดภัยและอาชีว อนามัย ในการทางาน ซึ่ง ประกอบด้ว ย
ลักษณะงาน 5 ประการสาคัญ David L.Goetsch. (2005, p.16) ดังนี้
1. การส่งเสริ ม (Promotion) หมายถึง การส่งเสริมและธารงรักษาไว้ เพื่อให้พนักงาน
หรือผูป้ ฏิบตั งิ านทุกอาชีพมีสุขภาพร่างกายทีแ่ ข็งแรง มีจติ ใจทีส่ มบูรณ์ทส่ี ุด และมีความเป็ นอยู่
ในสังคมทีด่ ตี ามสถานะทีพ่ งึ มีได้
2. การป้ องกัน (Prevention) หมายถึง งานด้านป้ องกันผูป้ ฏิบตั งิ านไม่ให้มสี ุขภาพ
อนามัยทีเ่ สื่อมโทรม อ่อนแอ ทุพลภาพ หรือผิดปกติอนั มีสาเหตุอนั เนื่องมาจากสภาพแวดล้อม
การทางานทีผ่ ดิ ปกติ หรือ เป็ นการวางแผนการดาเนินงานไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับ การป้ องกันไม่ให้
ผู้ปฏิบตั ิงานได้รบั อันตราย บาดเจ็บ และเจ็บป่ วยอันเนื่องมาจากการทางานไม่ว่าจะเกิดจาก
สภาพแวดล้อม หรือ การกระทาทีไ่ ม่ปลอดภัยก็ตาม
3. การปกป้ องคุ้มครอง (Protection) หมายถึง การปกป้ องดูแลผูป้ ฏิบตั งิ านในสถาน
ประกอบการ หรือลูกจ้างไม่ให้ทางานทีเ่ สีย่ งต่อสภาพแวดล้อมในการปฏิบตั งิ านทีเ่ ป็ นอันตราย
จนเป็ นสาเหตุ ส าคัญ ที่ท าให้เ กิดปั ญ หาอุ บตั ิเ หตุ การบาดเจ็บ และเจ็บป่ วยอันเกิด จากการ
ปฏิบตั ิงาน ซึ่งการควบคุมดูแลจะเป็ นส่ว นหนึ่งของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และกฎหมาย
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
29
Promotion
Prevention
Protection
ขอบเขตของงาน
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
Placing
Adaptation
Supporting
บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานความปลอดภัย และอาชีวอนามัย
งานด้า นความปลอดภัยและอาชีว อนามัย เป็ น ลัก ษณะการดาเนิ น งานที่เ ป็ น ศาสตร์
ทางการประยุก ต์ห รือ วิช าการความรู้แ ขนงต่ า ง ๆ ไม่ว่ า จะเป็ นความรู้พ้ืน ฐานทางด้า น
วิทยาศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานด้านอาชีวอนามัยจะมีการ
ผสมผสานและอาศัยความร่วมมือของบุคลากรที่มสี ่วนเกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือ
ป้ องกัน คุ้มครอง รักษา และส่งเสริมสนับ สนุ นให้งานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยมี
ประสิทธิภาพมากยิง่ ขึน้ ใน 7 ด้าน (วิภารัตน์ โพธิ ์ขี, 2557, หน้า 11-12) ด้วยกันมีดงั นี้
1. ด้านความปลอดภัย (Safety) ได้แก่ ลูกจ้าง ทีน่ ายจ้างแต่งตัง้ ให้เป็ นเจ้าหน้าที่ความ
ปลอดภัยตามกฎหมายพระราชบัญญัตคิ วามปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อ ม พ.ศ.
2549 กฎกระทรวง หรือสหภาพแรงงาน ทีม่ หี น้าทีป่ กป้ อง ส่งเสริมสนับสนุ นลูกจ้างด้วยกันให้ม ี
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทางาน
2. ด้านอาชี วสุขศาสตร์ (Occupational Medicine) หรือ เวชศาสตร์อุตสาหกรรม
(Industrial Medicine) มีหน้าทีศ่ กึ ษาในด้านการตรวจวินิจฉัย และรักษาโรคอันเนื่องมาจากการ
31
บาดเจ็บ และเจ็บ ป่ วยอัน เกิด จากการท างานรวมทัง้ ให้ค วามเห็น และแนะน าผู้บ ริห ารให้
ดาเนินการตามหลักการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยทีถ่ ูกต้อง
1. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 1 พระนครศรีอยุธยา
2. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 2 ชลบุร ี
3. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 3 นครราชสีมา
4. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 4 อุดรธานี
5. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 5 ลาปาง
6. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 6 นครสวรรค์
7. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 7 ราชบุร ี
8. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 8 สุราษฎร์ธานี
9. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 9 สงขลา
10. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 10 สมุทรปราการ
11. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 11 ตลิง่ ชัน
12. ศูนย์ความปลอดภัยเขต 12 ลาดกระบัง
ซึ่งศูนย์ความปลอดภัยในการทางาน มีหน้าทีร่ บั ผิดชอบดังนี้
1) ศึกษา วิเคราะห์ สารวจ และเฝ้ าระวังเกี่ยวกับความปลอดภัย และ
สุขภาพอนามัยในการทางานในพืน้ ทีท่ ร่ี บั ผิดชอบ
2) ส่งเสริมปรับปรุง และพัฒนาสภาพแวดล้อมความปลอดภัยในการ
ทางาน
3) ควบคุมและพัฒนาระบบป้ องกันอุบตั เิ หตุ และโรคซึง่ เกิดขึน้ เกี่ยวกับ
การทางาน
4) ตรวจวิเคราะห์สงิ่ แวดล้อมในการทางานและตัวอย่างชีวภาพ
5) ให้บริการงานด้านวิชาการ
6) เป็ น ศู น ย์ส ารสนเทศเกี่ย วกับ ความปลอดภัย ในการท างานและ
สุขภาพของแรงงาน
7) ส่ ง เสริม เผยแพร่ ค วามรู้ ความเข้า ใจเกี่ย วกับ ความปลอดภัย
ในการทางาน
8) สนับสนุนและประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ
(พ.ศ. 2522) ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2528) และฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2530) พระราชบัญญัตเิ ครื่องสาอาง
พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัตวิ ตั ถุอนั ตราย พ.ศ. 2535 เป็ นต้น
4. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่ งแวดล้อม มีบทบาทหน้าทีโ่ ดยตรงเกี่ยวกับ
การดูแล ควบคุมและรายงานสถานการณ์มลพิษสิง่ แวดล้อมต่างๆโดยมีหน่ วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้แ ก่ สานัก นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อ ม ซึ่งเป็ นหน่ ว ยงานที่ดูแล
เกี่ยวกับการประเมินผลกระทบ สิง่ แวดล้อมจากการดาเนินการกิจการต่างๆที่กาหนดไว้ตาม
กฎหมายหรือ พระราชบัญ ญัติท่เี กี่ย วข้อ งและ กรมควบคุ มมลพิษ ซึ่ง มีห น้ าที่โดยตรงในการ
ควบคุ ม มลพิษ สิ่ง แวดล้อ มต่ า งๆ และกรมส่ งเสริม คุ ณ ภาพสิ่งแวดล้อ มที่มหี น้ า ที่ส่ งเสริมให้
ประชาชนในชุมชนดูแลสิง่ แวดล้อมให้ดใี ห้ปราศจากมลพิษจากอุตสาหกรรมและมลพิษอื่นๆ
เพื่อสิง่ แวดล้อมที่ยงยื
ั ่ น โดยทัวไปแล้
่ ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม จะมีการ
รายงานสถานการณ์มลพิษสิง่ แวดล้อมและการประเมินผลกระทบที่ศกึ ษาจากการดาเนินงาน
กิจการต่างๆทีก่ าหนดไว้ตามพระราชบัญญัตสิ ่งเสริมและรักษาคุณภาพสิง่ แวดล้อมเผยแพร่แก่
สาธารณชนรวมทัง้ มีศูนย์ขอ้ มูลวัตถุอนั ตรายและเคมีภณ ั ฑ์เพื่อเผยแพร่ขอ้ มูลเกีย่ วกับสารเคมี
5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีบทบาทหน้ าที่เ กี่ยวกับการสนับสนุ นการ
ดาเนินงานทางด้านเกษตรกรรมของประเทศ ถึงแม้ว่าภารกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
จะไม่เ กี่ยวข้องกับสุ ขภาพของเกษตรกร โดยตรงแต่นโยบายและการดาเนินการบางอย่างมี
ผลกระทบต่ อ สุ ข ภาพของเกษตรกรได้ เช่น นโยบายทางด้า นควบคุ มการนาเข้า และการใช้
สารเคมีทางการเกษตร เป็ นต้น ในกรณีเ กี่ย วกับข้อ มูล ข่าวสารต่ างๆสามารถที่จะนาข้อ มูล
บางอย่างมาใช้เ พื่อ ประเมินสถานการณ์ ค วามเสี่ยงที่เ กี่ยวข้อ งกับสุ ขภาพเกษตรกรได้ เช่น
ระบบเครือ ข่า ย สารสนเทศการเกษตร ซึ่งมีข้อ มูล จ านวนเกษตรกรหรือ ผู้ป ระกอบอาชีพ
เกีย่ วข้องกับการเกษตร จานวนแผนงาน/โครงการ และกิจกรรมทีก่ าหนดขึน้ จากระบบการเตือน
ภัย และการบริหารจัดการความเสีย่ งภายใต้ระบบเครือข่ายสารสนเทศการเกษตรทีจ่ ดั ตัง้ ขึน้ อีก
หน่ วยงานหนึ่ง คือ สานักงานเศรษฐกิจการเกษตร จะเป็ นแหล่งข้อมูลสถิติ เกี่ยวกับการเกษตร
ทุกชนิดทัง้ ในด้านผลผลิตของพืชและสัตว์ ภาวะเศรษฐกิจทางการเกษตร รายได้ รายจ่ายของ
เกษตรกร ภาวะหนี้สนิ ของเกษตรกร ภาวะตลาดของผลิตผลทางการเกษตร และข้อมูลอื่นๆ
ทางเศรษฐกิจการเกษตรที่จาเป็ นเพื่อใช้ในการวิเคราะห์นโยบายการเกษตร และแผนพัฒนา
การเกษตรและสหกรณ์ ยกเว้นข้อมูลทีเ่ ฉพาะเจาะจง เช่น ข้อมูลสารเคมีเพื่อใช้ในการเกษตรซึง่
ต้องมีการขออนุญาตการนาเข้าขอได้ทก่ี รมวิชาการเกษตร ข้อมูลสถิตปิ ระมงขอได้ทก่ี รมประมง
ข้อมูลด้านการเลีย้ งสัตว์ขอได้ทก่ี รมปศุสตั ว์ เป็ นต้น
6. กรมป้ องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เป็ นหน่ วยงานทีม่ กี าร
จัดตัง้ ขึ้นภายหลังการปฏิรูประบบราชการ เพื่อให้มหี น้ าที่ในการจัดการบรรเทาสาธารณภัยที่
44
หน่ วยงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของต่างประเทศ
จากการปฏิว ตั ิอุ ต สาหกรรมครัง้ ที่ยงิ่ ใหญ่ ท่เี กิดจากสาเหตุ ค วามไม่พอใจของชนชัน้
แรงงานที่ทางานในโรงงานที่ไม่ได้รบั ความปลอดภัยในการทางานจึงทาให้มกี ารเปลี่ยนแปลง
ครัง้ สาคัญ ในประเทศแถบตะวันตกเพื่อให้นายจ้างในโรงงานอุต สาหกรรมได้ใ ห้ค วามสาคัญ
เกี่ยวกับการทางานของคนงานให้เกิดความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทางานให้มากขึน้
ซึง่ มีหน่วยงานของประเทศต่าง ๆ ดังนี้
1. หน่ วยงานของสหราชอาณาจักร การปฏิวตั ิอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18 ทาให้
สังคมอุตสาหกรรมในสหราชอาณาจักรอังกฤษเปลี่ยนแปลงและขยายตัวอย่างรวดเร็ว จึงต้อง
อาศัยแรงงานทีม่ าทางานในอุตสาหกรรมเป็ นจานวนมาก ผูใ้ ช้แรงงานเหล่านัน้ ไม่ได้รบั การดูแล
50
สรุป
ความปลอดภัยและอาชีว อนามัย หมายถึง สภาพการทางานที่ปราศจากภัยอันตราย
อุบตั เิ หตุ บาดเจ็บ เจ็บป่ วย ทุพลภาพ และเสียชีวติ อันเนื่องมาจากการทางาน หรือ สภาพการ
ทางานทีไ่ ม่มอี นั ตรายใดๆ ด้วยสภาพทีม่ สี ุขภาพกาย สุขภาพจิตทีด่ สี ามารถอยู่ในสังคมได้อย่าง
มีความสุข ซึ่งมีขอบเขตของงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ได้แก่ ส่งเสริม ป้ องกัน
ปกป้ องคุม้ ครอง จัดการงาน การปรับงานให้กบั คนและปรับคนให้กบั งาน และการสนับสนุ นให้
งานด าเนิ น ไปได้อ ย่ า งราบรื่น ซึ่ง ความส าคัญ ของงานความปลอดภัย และอาชีว อนามัย มี
ความสาคัญช่วยส่งเสริมให้องค์การมีผลผลิตสูงขึ้น ทาให้เกิดกาไรต่อธุรกิจ ช่วยป้ องกัน และ
ควบคุมให้เกิดสภาพการทางานทีป่ ลอดภัย ช่วยลดผลกระทบทางสังคมด้านการประสบอันตราย
และเจ็บป่ วยเนื่องมาจากการทางาน ช่วยธารงรัก ษา และสงวนพนักงานไว้ ช่วยสร้างความเป็ น
ธรรมให้ก ับพนั ก งานและเป็ นการสร้างแรงงจูงใจในการทางานให้กับพนักงาน รวมทัง้ ความ
ปลอดภัยและอาชีว อนามัยยังมีว ัต ถุ ป ระสงค์เ พื่อ ส่ ง เสริมและรัก ษาสุ ขภาพทางกาย ทางใจ
และการมีชวี ติ ที่ดขี องพนักงานในสังคม สามารถลดความเสี่ยง และป้ องกันอันตรายและการ
เจ็บป่ วยอันเนื่องจากการทางาน และทาให้ปรับปรุงสิ่งแวดล้อ มในการทางานที่เ หมาะสมได้
หากองค์การมีความปลอดภัยและอาชีวอนามัยยังก่อให้เกิดประโยชน์ในการช่วยป้ องกัน ควบคุม
ลดความสูญ เสีย ส่ ง ผลต่ อ สภาพเศรษฐกิจ สร้างความเป็ น ธรรม และมันใจให้ ่ กับพนักงาน
รวมทัง้ ลดค่าใช้จา่ ยในการรักษาพยาบาลด้านการเกิดอันตราย บาดเจ็บป่ วยจากการทางานด้วย
55
แบบฝึ กหัด
เอกสารอ้างอิ ง
กาญจนา นาถะพินธุ. (2551). อาชีวอนามัยและความปลอดภัย.(พิมพ์ครัง้ ที่ 2).ขอนแก่น:
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
กันยรัตน์ โหละสุต. (2555). การจัดการความปลอดภัยในอุตสาหกรรมเคมี.
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น: ขอนแก่น.
การบริหารงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย. (2553).หน่วยที่ 1-7 (พิมพ์ครัง้ ที่ 1)
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (พิมพ์ครัง้ ที่ 4). กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์.
การบริหารจัดการด้านความมันคงปลอดภั
่ ย อาชีวอนามัยและสิง่ แวดล้อม, ค้นเมือ่ 20 ธันวาคม
2559, จ า ก http://www.pttplc.com/th/Sustainability/Sustainability/Governance/
Pages/sshe-management.
กรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงาน. (2548). คาชีแ้ จงกระทรวงแรงงาน เรือ่ งกฎกระทรวงว่าด้วย
การจัดสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ., ค้นเมือ่ 25 ธันวาคม 2560, ค้นจาก
http://www.labour.go.th/th%20/doc/law/desc_welfare_2548.pdf.
กรุงเทพธุรกิจ. (2558). พืน้ ทีร่ ะยองแชมป์ โรงงานเกิดอุบตั เิ หตุ, ปี ท่ี 30 ฉบับที่ 10301
วันจันทร์ท่ี 5 ธันวาคม 2559, หน้า 6.
ฉันทนา ผดุงทศ. (2546). อาชีวเวชศาสตร์ – อาชีวอนามัย. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์หมอ
ชาวบ้าน.
ณัฏฐพันธ์ ขจรนันท์ .(2549). การจัดการทรัพยากรมนุษย์.ซีเอ็ดยูเคชัน: ่ กรุงเทพฯ.
พรพิมล กองทิพย์. (2554). สุขศาสตร์อุตสาหกรรม. (พิมพ์ครัง้ ที่ 2) นาอักษรการพิมพ์ :
กรุงเทพฯ.
เลิศศักดิ ์ สืบทรัพย์. (2555). การจัดการความปลอดภัยพนักงานในอุตสาหกรรมเครือ่ งทาความ
เย็นไทย.กรุงเทพฯ:ปั ญญาชน.
วัฒนา วงศ์เกียรติรตั น์ และคณะ. (2550). การวางแผนกลยุทธ์ : ศิลปะการกาหนดแผนองค์การ
สู่ความเป็ นเลิศ. (พิมพ์ครัง้ ที่ 5). อินโนกราฟฟิ กส์ จากัด: กรุงเทพฯ.
วิภารัตน์ โพธิ ์ขี. (2557). การจัดการด้านวิศวกรรมความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม.
มหาวิทยาลัยขอนแก่น : ขอนแก่น.
สุดาว เลิศวิสุทธิไพบูลย์. (2553). เอกสารการสอนชุดวิชา การบริหารงานอาชีวอนามัยและ
ความปลอดภัย. หน่วยที่ 1-7, (ฉบับปรับปรุง ครัง้ ที่ 1).กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
องค์การอนามัยโลก. (1948). ค้นเมือ่ 28 สิงหาคม 2559, จาก https://th.wikipedia.org/wiki.
องค์การอนามัยโลก. (2015). รายงานสถานการณ์โลกด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย.
กรุงเทพฯ: บริษทั สแกนด์-มีเดีย คอร์ปอเรชัน่ จากัด
58
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 2
การบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
หัวข้อเนื้ อหา
1. แนวคิดเกีย่ วกับการบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
2. ความหมาย ความสาคัญ กระบวนการ และวัตถุประสงค์ของการบริหารจัดการ
3. หลักการบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
4. รูปแบบความปลอดภัยในองค์การ
5. รูปแบบของผูน้ าด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
6. โครงสร้างการบริหารจัดการหน่วยงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
7. นโยบายในด้านการบริหารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
8. ปั จจัยทีม่ ผี ลกระทบต่อการบริหารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
9. แผนงานและกิจกรรมในด้านการบริหารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
10. สรุป
11. แบบฝึกหัด
12. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
สื่อการเรียนการสอน
1.เอกสารคาสอนรายวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดทิ ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
61
บทที่ 2
การบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
งานด้า นความปลอดภัย และอาชีว อนามัย ในการท างานมีค วามส าคัญ ต่ อ ชีว ิต และ
ทรัพย์สนิ ของพนักงาน และองค์การย่อมปราศจากภัยอันตรายทัง้ ปวง การบริหารจัดการจึงเป็ น
เครื่องมือสาคัญที่จะทาให้องค์การมีการดาเนินงานไปด้วยความปลอดภัยปราศจากอุบตั ิเหตุ
โรคอันเนื่องจากการทางาน และลดความสูญเสียทัง้ ต้นทุน ชื่อเสียง และความซ้าซ้อนต่าง ๆ
ในการด าเนิ น งานขององค์ก าร รวมทัง้ ปั จ จุบ ัน การแข่ง ขัน ที่ม ีผู้แ ข่ง ขัน จ านวนมากที่ท าให้
องค์การมีความอยู่รอดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกแล้วนัน้ ต่างให้ความสนใจด้านการ
จัดการงานความปลอดภัย และอาชีวอนามัยเพื่อให้การผลิตสินค้าและบริการมีความเชื่อมันหรื ่ อ
เกิดความเชื่อถือและไว้วางใจต่อผูม้ ารับบริการต่าง ๆ
โดยทัว่ ไปแล้ว การบริห ารจัดการเป็ นการวางแผนการต่ าง ๆ ในการดาเนินงานไว้
ล่ว งหน้ าก่ อนที่มกี ารลงมือ กระทา และเป็ นกาหนดทิศ ทางต่ าง ๆ เพื่อ ให้นาไปสู่เป้ าหมายที่
ชัดเจน รวมทัง้ แนวทางในการดาเนินงานให้เกิดความเป็ นระบบ ระเบียบ ชัดเจนสามารถนาไปสู่
การบรรลุตามเป้ าหมายทีต่ ้องการหรือทีก่ าหนดไว้ได้ การบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัย
และอาชีว อนามัย ในการท างานเป็ นหน้ า ที่ข องผู้ บ ริห ารในทุ ก ระดับ ขององค์ ก ารต้ อ งให้
ความสาคัญเป็ นอย่างยิง่ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงขององค์การที่มวี สิ ยั ทัศน์ ในการกาหนด
นโยบายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยให้ชดั เจน และให้เป็ นนโยบายองค์การควบคู่ไปกับ
วิสยั ทัศน์ขององค์การเพื่อทีจ่ ะให้องค์การมีการปฏิบตั งิ านทุกระดับหน้าทีใ่ ห้เกิดความปลอดภัย
และอาชีวอนามัยให้มปี ระสิทธิภาพในการทางาน ดังนัน้ บทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบ
ของผู้บริหารจึงมีความสาคัญและเน้นให้เกิดขึน้ กับผู้บริหารทุกระดับ โดยกระตุ้น และส่งเสริม
สนับสนุนให้พนักงานผูป้ ฏิบตั งิ านมีพฤติกรรมด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
แนวคิ ดเกี่ยวกับการบริ หารจัดการ
พัฒนาการทางการบริห ารจัดการนัน้ เริม่ ต้นมาในช่ว งที่มกี ารปฏิว ตั อิ ุต สาหกรรมใน
ประเทศอังกฤษ ระหว่างศตวรรษที่ 18 และ 19 และมีการปรับปรุงจากแนวคิด หลักการ ทฤษฎี
ของนักวิชาการต่างๆ ซึ่งหลายแนวคิดทางการบริหารจัดการได้นามาประยุกต์ใช้ในยุคปั จจุบนั
จนสามารถทาให้ผบู้ ริหารในหน่ วยงาน และองค์การมากมายสามารถดาเนินกิจกรรม ไม่ว่าทาง
ราชการ ทางภาคการผลิต การตลาด และการเงิน จนสามารถส่งผลให้ เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ
สังคม การเมืองของประเทศชาติและโลกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกสถานการณ์ และทุก
เงื่อนไขของสภาพแวดล้อมนัน้ ดังนัน้ การบริหารจัดการ โดยทัวไป
่ ผู้บริหารจาเป็ นต้องอาศัย
แนวคิดทีส่ าคัญ ดังนี้
62
ความหมายของการบริ หารจัดการ
การบริหารจัดการเกิดขึน้ มาพร้อมกับมนุ ษย์ทม่ี กี ารรวมกลุ่ มกันเพื่อการดาเนินกิจกรรม
ต่างๆ ในกลุ่มให้เกิดความสาเร็จ จึงเห็นได้ว่านับตัง้ แต่ความเจริญก้าวหน้าและการเปลีย่ นแปลง
เกิดขึน้ อย่างรวดเร็ว การบริหารจัดการจึงมีนักวิชาการต่างๆ มีการพัฒนาแนวคิด หลักการ ทฤษฎี
เพื่อนามาปรับใช้กบั องค์การทัง้ หลายไม่ว่าภาครัฐและธุรกิจเอกชน เพื่อให้เกิดความเหมาะสม
นาไปใช้จริงได้ในสถานการณ์แตกต่างกัน ดังนัน้ องค์การโดยส่วนใหญ่จะให้ประกอบกิจการหรือ
ดาเนินงานให้สาเร็จลุล่วงไปได้นนั ้ จาเป็ นต้องอาศัยการบริหารจัดการ เพื่อเป็ นแนวทางในการ
กาหนดทิศทางหรือแผนทีจ่ ะให้องค์การหน่ วยงานสามารถทีจ่ ะใช้ผบู้ ริหารทีม่ คี วามรู้ ความสามารถ
ทักษะ และความกล้าหาญนาพาองค์ การไปได้ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ
การเมือง การปกครอง และเทคโนโลยี เป็ นต้น ด้วยเหตุน้ีผู้บริหารจึงต้องอาศัยความรู้ ทักษะ
และความสามารถทางการบริหารจัดการมาประยุกต์ใช้ในการดาเนินการเกี่ยวกับคน เงิน วัสดุ
อุปกรณ์ เครือ่ งมือเครือ่ งจักร ให้เกิดผลผลิตตามทีอ่ งค์การได้กาหนดไว้พร้อมกับ ให้องค์การเกิด
ความเป็ นระเบียบเรียบร้อย และตอบสนองความต้องการทัง้ ภายในและภายนอกองค์การ
คาว่า การบริ หาร และ การจัดการ มีความหมายที่เหมือนกัน หากแต่อาจะมีความ
แตกต่างกันในการนาไปใช้ จึงไม่สามารถแยกออกจากกันได้เปรียบเสมือนเหรียญที่มสี องด้าน
จึงมีความหมายสองด้านแต่กค็ ล้ายคลึงกันสามารถใช้แทนกันได้ จะเห็นได้ว่า คาสองคานี้อาจจะ
ใช้อธิยายความหมายย่อมขึน้ อยูก่ บั เจตนารมณ์ของผูต้ อ้ งการทีใ่ ห้ความหมาย การบริหารเป็ นทัง้
ศาสตร์ และศิลป์ การบริหารจึงเป็ นสาขาทีม่ กี ารจัดอย่างมีระบบ คือ หลักการ กฎเกณฑ์ และทฤษฎี
ที่มคี วามน่ าเชื่อได้ อันเกิดการจากการค้ นคว้าทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อนามาใช้ประโยชน์
ทางการบริหารงาน จึงทาให้การบริหารนัน้ เป็ นศาสตร์ (sciences) ในขณะเดียวกันหากการพิจารณา
ลักษณะของการใช้การปฏิบตั ทิ อ่ี าศัยกลยุทธ์ ความสามารถ และทักษะของผูบ้ ริหารมาประยุกต์ใช้
ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อให้การปฏิบตั งิ านบรรลุตามเป้ าหมายที่กาหนดไว้จงึ
เป็ นการบริหารทีเ่ ป็ นศิลปะ (arts) อย่างหนึ่ง
ได้มนี กั วิชาการได้ให้ความหมายของคาว่า “การบริหาร” (administration) ได้ดงั นี้
ไซมอน (Herbert A. Simon, 1965, p.3) ได้ให้ความหมายของ การบริหาร ไว้ว่าการ
ทางานของบุคคลตัง้ แต่สองคนขึน้ ไปร่วมกันทากิจกรรมต่างๆ ด้วยความเห็นพ้องต้องกันเพื่อให้
บรรลุตามจุดประสงค์ทไ่ี ด้รว่ มกันกาหนดไว้
เฟรดเดอริค เทเลอร์ (Frederick W. Taylor, 1986, p.4) ได้ให้ความหมายของการบริหาร
ไว้ว่า งานบริหารทุกอย่างจาเป็ นต้องกระทาโดยมีหลักเกณฑ์ ซึง่ กาหนดจากการวิเคราะห์ศกึ ษา
โดยรอบคอบ ทัง้ นี้ เพื่อให้มวี ธิ ที ่ดี ที ส่ี ุดในอันที่จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตมากยิง่ ขึน้
เพื่อประโยชน์สาหรับทุกฝ่ ายทีเ่ กีย่ วข้องการบริหาร
64
ความสาคัญของการบริ หารจัดการ
หลักการในการบริ หารจัดการ
10. สร้า งระบบควบคุ ม คุ ณ ภาพให้เ กิด ขึ้น ทุก ขณะ เวลาในการปฏิบตั ิง าน (Quality
Control) เพื่อสร้างมาตรฐานการทางานให้เกิดขึน้ ในจิตวิญญาณ
11. มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพงานอย่างต่อเนื่อง (Continuous Quality Improvement:
CQI) เป็ นการอาศัยเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรมมาปรับใช้ในการปรับปรุงงานอย่าง
เป็ นระบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และผูม้ ารับบริการอย่างต่อเนื่อง
ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการในองค์การ แสดงให้เห็นถึงความสามารถ ทักษะ
ของผูบ้ ริหาร รวมทัง้ บทบาทหน้าทีข่ องผูบ้ ริหารทีจ่ ะดาเนินการในกิจกรรมต่างๆ ตัง้ แต่การระดม
สรรพกาลัง ทรัพยากรต่างๆ ในองค์การให้ซง่ึ จะนาเสนอ ระดับของผูบ้ ริหารในการบริหารจัดการ
และทักษะของผูบ้ ริหารโดยทัวไป
่
กาหนดนโยบาย
นานโยบายสู่การปฏิ บตั ิ
ทักษะของผูบ้ ริ หาร
การด าเนิ นการตัง้ แต่ อดีตจนถึงปั จจุบ ันผู้บริหารเป็ นผู้น าพาพนั กงานไปสู่ เป้ าหมาย
เดียวกันได้ และขับเคลื่อ นองค์ก ารไปสู่ค วามส าเร็จในทุก สภาวการณ์ ดัง นัน้ ผู้บริห ารหรือ
ผู้จดั การจาเป็ นต้องมีทกั ษะในการบริหารจัดการองค์การ จึงมีมนี ักวิชาการได้กาหนดทักษะที่
จาเป็ นของผูบ้ ริหาร ทีต่ อ้ งมีทกั ษะทางการบริหาร ดังนี้ (L.Katz,1955, p.33-42)
75
Planning
Budgeting
Organizing
POSDCORB
Reporting Staffing
Coordinating Directing
และอาชีวอนามัยอย่างเป็ นระบบเพื่อช่วยในการธารงรักษาแรงงานในการผลิตและช่วยให้ประเทศ
ได้พฒ ั นาก้าวหน้าด้วยการมีประชาชนหรือแรงงานทีม่ สี ุขภาพ อนามัยทีด่ ปี ลอดภัยจากอันตราย
และเจ็บป่ วยอันเนื่องมาจากการทางานต่อไป
จากแนวคิดในการบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยมีการพัฒนา
ตามความก้าวหน้ าทางการเปลี่ยนแปลงของโลกที่มคี วามเจริญทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง จึงทาให้เกิดแรงผลักดันในแนวคิดงานด้านด้านความปลอดภัย
และอาชีวอนามัยทีม่ สี าเหตุทเ่ี ป็ นปั จจัยต่างๆ ดังนี้
1. ปั จจัยที่เ ป็ นแรงผลัก ดัน จากสังคมที่ต้อ งการให้ผู้ปฏิบตั ิง านทางานอย่า ง
ปลอดภัย มีสถานทีท่ างานทีป่ ลอดภัย
2. ปั จจัยทางด้านการเมืองทัง้ ภายในและภายนอกประเทศทีม่ คี วามต้องการให้
ภาคอุตสาหกรรมให้ความสนใจต่อความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของผู้ปฏิบตั งิ านและผู้อยู่
อาศัยรอบๆ สถานประกอบกิจการ ทาให้มกี ารผลักดันออกกฎหมายเพื่อคุม้ ครองผูป้ ฏิบตั งิ าน
รวมไปถึงลูกค้า และการกาหนดเงือ่ นไขทางการค้าของประเทศคู่คา้
ปั จจัยทางด้านเศรษฐกิจที่มองว่า การจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยใน
องค์กรเป็ นอีกรูปแบบหนึ่งของการควบคุมความสูญเสีย
จากปั จจัยดังกล่าว การบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ต้องเป็ น
บทบาทสาคัญทีน่ าไปสู่เป้ าหมายหนึ่งที่องค์กรจะต้องดาเนินการให้ได้ดว้ ยจัดสรรงบประมาณ และ
ทรัพยากรให้เหมาะสม จัดโครงสร้างงานด้านความปลอดภัย เจ้าหน้ าที่ การพัฒนาฝึ กอบรม
งบประมาณ เวลา และองค์ความรูต้ ่างๆ เพื่อให้การบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและ
อาชีวอนามัย มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้กบั การดาเนินงานขององค์การ เพื่อทาให้องค์การ
ได้เกิดประโยชน์ ดังนี้
(1) ช่วยเสริมสร้างให้พนักงานมีความมันใจในสภาพชี
่ วติ การทางานที่มคี วาม
ปลอดภัยของชีวติ และขวัญกาลังในการพัฒนางานต่อไป
(2) ช่วยทาให้อ งค์ก ารลดค่าใช้จ่ายในการรัก ษาพยาบาลอันมีส าเหตุมาจาก
พนักงานเกิดอุบตั เิ หตุ บาดเจ็บ และเจ็บป่ วยในการทางาน และการหยุดงานของพนักงานด้วย
(3) ช่วยลดอัตราการเกิดอุบตั ิเหตุ เจ็บป่ วย และบาดเจ็บอันเนื่องมาจากการ
ทางาน ทาให้พนักงานมีขวัญกาลังใจทีด่ แี ละเกิดความจงรักภักดีต่อองค์การ
(4) ช่วยทาให้พนักงานเกิดความมันใจในการท่ างาน ซึง่ ทาให้องค์การสามารถ
เสริมสร้างคุณภาพขององค์การได้และช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กบั สินค้าและบริการต่อสายตา
ประชาโลก
(5) ช่วยทาให้องค์การเกิดความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดการค้าและเป็ น
ผูน้ าทางธุรกิจได้
82
ความหมายของการบริ หารจัดการงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ได้มนี กั วิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของคาว่า การบริหารจัดการความปลอดภัย
และอาชีวอนามัย ไว้ดงั นี้
สุดาว เลิศวิสุทธิไพบูลย์ (2553, หน้า 46) ได้ให้ความหมายของ การบริหารจัดการ
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ไว้ว่า กรรมวิธเี กีย่ วกับการวางแผน (planning) การจัดองค์การ
(organizing) การจัดบุคลากร (staffing) การเป็ นผูน้ า (leading) การควบคุม (controlling) เพื่อให้
บรรลุวตั ถุประสงค์ของงานการบริหารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ทีก่ าหนดขึน้ โดย
ความร่วมมือของทรัพยากรทีม่ อี ยูใ่ ห้เกิดประโยชน์สงู สุด
ศีขรินทร์ สุขโต (2553, หน้า 41) ได้ให้ความหมายของ การบริหารความปลอดภัย ไว้ว่า
กระบวนการเกี่ยวกับการวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การจัดบุคลากร (staffing)
การเป็ นผูน้ า (leading) การควบคุม (controlling) เพื่อให้บรรลุวตั ถุประสงค์ของความปลอดภัยที่
กาหนดขึน้ โดยความร่วมมือของพนักงานและใช้ทรัพยากรทีม่ อี ยูใ่ ห้เกิดประโยชน์สงู สุด
สรุปความหมายของ การบริห ารจัดการความปลอดภัย และอาชีว อนามัย หมายถึง
กระบวนการทีผ่ บู้ ริหารใช้ความรู้ ความสามารถ และทักษะให้สมาชิกในองค์การมาร่วมมือร่วมใจ
กันในการจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ซึ่งอาศัยกระบวนการในการบริหาร
จัดการ เรื่องตัง้ แต่การวางแผน (planning) การจัดองค์การ (organizing) การจัดบุคคลเข้าทางาน
(staffing) การชักจูงใจหรือโน้มน้าว (leading) และ การควบคุม (controlling) ในการระดมสรรพ
กาลังทรัพยากรในองค์การ ได้แ ก่ คน เงิน วัสดุ เครื่องมือ และการจัดการ เพื่อ ให้บรรลุตาม
วัตถุประสงค์ของงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยขององค์การ
แนวคิ ดพืน้ ฐานของการบริ หารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
การบริหารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ตัง้ แต่อดีตถึงแม้ว่ายังไม่มกี ารบริหารที่
เป็ นระบบมากนัก หรือบางคนกฎเกณฑ์ขอ้ บังคับต่าง ๆ ทีถ่ ูกกาหนดมาจากความต้องการของ
ผูใ้ ช้แรงงาน และหน่ วยงานภาครัฐทีก่ าหนดขึน้ มาเพื่อให้คนงานมความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ทีด่ ี รวมทัง้ เหตุผลบางประการของนายจ้างเองในการแสดงถึงเจตนารมณ์ทด่ี ตี ่อมนุ ษยธรรมของ
นายจ้างเอง และการต่อสู้ของลูกจ้างที่ไม่ได้รบั ความเป็ นธรรมของการกระทาของฝ่ ายนายจ้าง
ซึง่ เป็ นแนวคิดพืน้ ฐานของการพัฒนาการในการบริหารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
มาถึงปั จจุบนั นี้การบริหารจัดการความปลอดภัยถูกเปลีย่ นแปลงด้วยผลกระทบของโลกาภิวตั น์
ทีม่ กี ารแข่งขันกันอย่างรุนแรง และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีส่ ามารถนามาเป็ นเครื่องมือ
ทางการบริหารจัดการงานต่างๆ ในองค์การให้เกิดความทันสมัยในการทางานให้กบั องค์การ
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยจาเป็ นอาศัยการบริหารจัดการเข้ามาช่วยใน
83
ภาวะผูน้ า
สภาพการ
ทางาน
ระบบการบริ หารจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
โดยทัวไปหน้
่ าทีส่ าคัญของฝ่ ายบริหารจัดการงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ต้องมี
การจัดสรรงบประมาณและวางแผนงานงบประมาณเพื่อ ใช้ใ นกิจ กรรมความปลอดภัย และ
อาชีว อนามัย ให้เกิดความคุ้มค่ าสอดคล้องกับการเพิ่มผลผลิต หรือก าไรขององค์การที่ได้ร ับ
หากผูบ้ ริหารไม่สามารถบริหารงบประมาณหรือใช้งบประมาณไม่สมดุลกัน ก็ย่อมทาให้องค์การเกิด
ความสูญเสีย และทาให้พนักงานเสียเวลาในการทางานอาจทาให้พนักงานขาดขวัญกาลังใจใน
การทางาน คุณภาพงานลดลง ดังนัน้ ผู้บริหารจึงมีหน้ าที่สาคัญที่จะต้องดาเนินการให้งานด้าน
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อพนักงาน องค์การ
ผูร้ บั บริการ และประเทศชาติ ซึง่ มีหน้าทีท่ ส่ี าคัญ ดังนี้ (กันยรัตน์ โหละสุต, 2555, หน้า 35-36)
1. ต้องมีการกาหนดนโยบาย (policy) ได้มนี ักวิชาการได้ให้คานิยามของ นโยบายไว้ว่า
หลัก และวิธ ีการปฏิบตั ิซ่งึ ถือ เป็ นแนวทางดาเนินการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจเพื่อให้การ
ปฏิบตั งิ านเป็ นไปโดยถูกต้องและบรรลุตามวัตถุประสงค์ทก่ี าหนดไว้ (Haimann & Scott, 1974,
p.9; Hodgetts, Richard M.,1982) จึงเห็นได้ว่า การกาหนดนโยบายทางด้านความปลอดภัยและ
อาชีวอนามัย เป็ นแนวทาง วิธ ีการ และหลักการที่ชดั เจนในการปฏิบตั ิเกี่ยวกับการจัดกิจกรรม
ต่างๆ เพื่อให้พนักงานปราศจากภัย อันตราย เจ็บป่ วย และบาดเจ็บอันเนื่องมาจากการทางาน
โดยต้องมีผดู้ าเนินงานร่วมกันทุกฝ่ าย ทุกระดับ ให้มามีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้
เกิดความปลอดภัยสามารถทาให้ พนักงานทุกปฏิบตั ิงานให้บรรลุ เป้ าหมาย สร้างผลผลิตที่ม ี
คุณภาพให้องค์การได้รบั ผลกาไรสูงสุด แข่งขันกับองค์การอื่นได้ รวมทัง้ พนักงานเกิดความสุขใน
การทางาน
2. การมอบหมายหน้า ที่ ความรับ ผิด ชอบด้า นความปลอดภัย และอาชีว อนามัย
จาเป็ นต้องเลือกสรร หรือคัดเลือกบุคคลทีเ่ หมาะสมกับความรู้ ความสามารถในการเป็ นผูน้ าการ
เปลีย่ นแปลงทีจ่ ะนาพาองค์การไปสู่ความสาเร็จ สอดคล้องกับนโยบายทีก่ าหนดไว้
3. จัด ให้ ม ีก ารพัฒ นาบุ ค ลากรเพื่อ เพิ่ม พู น ความรู้ ทัก ษะ ความช านาญด้า นการ
ปฏิบตั งิ าน เช่น การฝึกอบรม การให้ความรู้ การสัมมนา การจัดนิทรรศการ และการศึกษาดูงาน
เป็ นต้น รวมทัง้ การจัดให้มกี ารประเมินผลและ ติดตามผล เพื่อนามาพัฒนาและปรับปรุงการ
พัฒนาบุคลากรต่อไป
4. การจัดสภาพแวดล้อมในการทางานให้เหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิศวกรรมความ
ปลอดภัยในการทางาน รวมทัง้ เป็ นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกาหนด และสร้างบรรยากาศ หรือ
สภาพแวดล้อมให้มคี วามผ่อนคลาย เพื่อให้สภาพจิตใจของพนักงานรูส้ กึ พร้อมที่จะดาเนินงานใน
แต่ละกิจกรรม
5. จัด ให้ ม ีเ จ้า หน้ า ที่ค วามปลอดภัย ในการท างาน ตามข้อ ก าหนดของ ประกาศ
กระทรวงมหาดไทย เรื่อง ความปลอดภัยในการทางานของลูกจ้าง พ.ศ. 2528 สถานประกอบ
กิจการทีม่ ลี ูกจ้าง 100 ขึน้ ไป ต้องมีเจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในการทางาน อย่างน้อย 1 คน
97
ซึ่ง เจ้าหน้ าที่ปลอดภัยในการท างาน หมายถึง ลูกจ้างซึ่งนายจ้างแต่ งตัง้ ให้ปฏิบตั ิหน้ าที่เป็ น
เจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในการทางานระดับหัวหน้างาน ระดับบริหาร ระดับเทคนิค ระดับหัวหน้า
งาน และระดับวิชาชีพ โดยบังคับใช้กบั สถานประกอบการ ดังนี้ 1) การทาเหมืองแร่ เหมืองหิน
ปิ โตรเคมี 2) การทาผลิต ประกอบซ่อมบารุงเก็บรักษา (โรงงานอุตสาหกรรม) 3) ก่อสร้าง 4) ขนส่ง
คน สินค้า
6. จัดให้ตงั ้ คณะกรรมการ ตรวจโรงงาน (Safety audit) เพื่อหาสารวจสภาพเบือ้ งต้น
สถานการณ์เกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในสถานทีท่ างาน และหาแนวทางป้ องกันมิให้เกิดอันตราย
บาดเจ็บ หรือ เจ็บอันเกิดจากการทางาน โดยมีการแจ้งข้อ มูล ข่าวสารไปสู่ผู้รบั ผิดชอบ เช่น
หัวหน้างาน พนักงานทีเ่ กี่ยวข้อง และคณะกรรมการความปลอดภัยประจาสถานประกอบการ เป็ น
ต้น เพื่อดาเนินการไม่ให้เกิดการลุกลามต่อไป
7. ให้ก ารสนับสนุ น จัด กิจ กรรมด้า นความปลอดภัย และอาชีว อนามัย โดยมีก ารจัด
กิจกรรม นิทรรศการ ภายในโรงงาน และประสานความร่วมมือกับหน่ วยงานภายนอกทีเ่ กี่ยวข้องใน
การจัดกิจกรรม และร่วมมือเข้ามาช่วยเหลือในการฝึกอบรมพัฒนาพนักงาน เช่น การป้ องกันอัคคี
ขับขีป่ ลอดภัยเรื่องกฎจราจร การอบรมเกี่ยวกับเอดส์ เป็ นต้น อย่างไรก็ตาม ในการจัดกิจกรรม
ความปลอดภัยต้องมีการกาหนดแผนนโยบายทีม่ กี ารจัดสรรงบประมาณจากผู้บริหารระดับสูง
เห็นชอบ และให้ความสาคัญจึงจะทาให้มคี วามชัดเจน ปฏิบตั ใิ ห้สอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์การ
และมีความต่อเนื่องยังยื ่ น ซึ่งกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ ได้แก่ การจัดนิทรรศการ การทัศนศึกษา
ประกวดคาขวัญ ตอบปั ญหาชิงรางวัล การแข่งขันเกีย่ วกับความสะอาดในสถานทีท่ างาน เป็ นต้น
8. ก ากับ ตรวจติดตามผลงานความปลอดภัยเป็ นประจาสม่ าเสมอ รวมทัง้ มีการจัด
กิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง และมีการประเมินผลประจาปี เพื่อนาไป
เปรียบเทียบความก้าวหน้าในการพัฒนาต่อไป เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงานและคณะทางาน
เกีย่ วกับความปลอดภัยของสถานประกอบการ
ดังนัน้ ผู้บริหารระดับสูง ซึ่งเป็ นผู้กาหนดนโยบายในระดับวิสยั ทัศน์ ขององค์การต้อง
กาหนดนโยบายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยให้เป็ นระบบการบริหารจัดการขององค์การ
เองโดยมีคณะกรรมการทีจ่ ดั ตัง้ ขึน้ โดยความเห็นชอบของผูบ้ ริหารระดับสูง และความร่วมมือทุก
ระดับ ทุกฝ่ ายเพื่อควบคุมระบบให้ได้มาตรฐานและเป็ นไปตามข้อกาหนดของกฎหมาย รวมทัง้
ควบคุมความสูญเสียเกีย่ วกับอุบตั เิ หตุทจ่ี ะเกิดขึน้ ในองค์การ
โครงสร้างหน่ วยงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
การจัดองค์การบริ หารงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
โครงสร้างหน่ ว ยงานความปลอดภัยและอาชีว อนามัย เป็ นการจัดตัง้ ขึ้นมาเพื่อ ให้ม ี
ผูร้ บั ผิดชอบทีช่ ดั เจน และบทบาทหน้าทีค่ วามรับผิดชอบโดยตรงต่อชีวติ ของพนักงานผูป้ ฏิบตั งิ าน
98
ผูบ้ ริหารระดับสูง
คณะกรรมการฝ่ ายบริหารเพื่อความปลอดภัย
ผูบ้ ริหารฝ่ ายต่าง ๆ หน่ วยงานความปลอดภัย สหภาพแรงงาน คณะกรรมการความปลอดภัย หน่ วยซ่อมบารุง หน่ วยการแพทย์
และอาชีวอนามัย
ฝ่ ายผลิต คณะกรรมการ กรรมการจากหน่ วยงานต่าง ช่างเทคนิค อาชีวเวชศาสตร์
เจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัย สหภาพ ๆ
อาชีวสุขศาสตร์
ฝ่ ายบัญชีและ ระดับเทคนิค ที่ปรึ กษาด้านความปลอดภัย ช่างบารุงรักษา
การเงิน หัวหน้างาน ปลอดภัยภายนอก นักอาชีวสุขศาสตร์
เจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัย
ฝ่ ายตลาด ระดับวิชาชีพ พนักงาน
นักกายภาพบาบัด
ฝ่ ายจัดซือ้ พยาบาล
เจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัย
ฝ่ ายบริหาร ระดับหัวหน้างาน
ทรัพยากรมนุษย์
เจ้าหน้าทีค่ วาม
ฝ่ ายวิศวกรรม ปลอดภัยระดับบริหาร
ฝ่ ายวางแผนผลิต
นโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
การบริหารจัดการงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่ดตี ้องมาจากความต้องการที่
ผูบ้ ริหารระดับสูงมีวสิ ยั ทัศน์ และความมุง่ มันที
่ จ่ ะเห็นความสาคัญสนับสนุ นงานด้านความปลอดภัย
และอาชีวอนามัยในสถานประกอบการด้วยการกาหนดนโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ประกาศให้ทราบทัวกั ่ นในสถานประกอบการ นโยบายจึงเปรียบเสมือนเครื่องชีน้ ากาหนดแนวทาง
ปฏิบตั ใิ นปั จจุบนั ไปสู่อนาคต นโยบายจึงเป็ นเรื่องของผูบ้ ริหารทีส่ ามารถประสานความพยายาม
ในการทาหน้าทีใ่ ห้สมาชิกในองค์การร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบตั ภิ ารกิจให้สาเร็จลุล่วงไปได้ ดังนัน้
นโยบาย จึงหมายถึง หลักและวิธกี ารปฏิบตั ซิ ง่ึ เป็ นแนวทางในการดาเนินการของผูบ้ ริหารใช้ใน
การตัดสินใจเพื่อให้การปฏิบตั งิ านทีก่ าหนดไว้เป็ นไปอย่างถูกต้องและบรรลุเป้ าหมายนัน้ ๆ
ความสาคัญของนโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
โดยทัวไปแล้
่ วองค์การต่างๆ ย่อมมีเครื่องมือทางการบริหารจัดการสาหรับให้ผบู้ ริหาร
ได้ใช้ในการปฏิบตั งิ านให้สาเร็จลุล่วงไปด้วยดี การกาหนดนโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนา
มัยในสถานประกอบการจึงมีความสาคัญที่จะทาให้เป็ นเครื่องบ่งชี้ทศิ ทางการบริหารงาน จึงมี
ความสาคัญ ดังนี้
1. เป็ นเครื่องยืนยันเจตนารมณ์ของนายจ้างทีใ่ ห้ความสาคัญของงานด้านความปลอดภัย
และอาชีวอนามัย และบ่ งบอกถึงภารกิจที่ต้ องปฏิบ ั ติต่ อลู กจ้างเกี่ยวกับ ความปลอดภัยและ
อาชีวอนามัย ส่งผลพนักงานและฝ่ ายที่เกี่ยวข้องสามารถลงมือปฏิบตั ติ ามแนวทางที่วางไว้และเกิด
ผลดีต่อองค์การ
2. ช่วยให้เห็นภาพพจน์ในการดาเนินงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่เป็ น
เอกลักษณ์หรือมีความเด่นชัดของสถานประกอบการ เป็ นแนวทางให้ผู้เกี่ยวข้องปฏิบตั ติ ามที่
กาหนดไว้
3. ทาให้พนักงานทุกคนทุกระดับให้ความสาคัญกับงานด้านความปลอดภัย และอาชีว-
อนามัย และทราบถึงภาระหน้าทีอ่ นั สาคัญทีต่ ้องปฏิบตั ติ าม ซึง่ เป็ นแรงจูงใจในการให้ความร่วมมือ
สาคัญยิง่ ในการบริหารงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
4. แสดงออกถึงความห่วงใยของนายจ้างทีม่ ตี ่อความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของ
พนักงาน เป็ นการสร้างความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างพนักงานฝ่ ายจัดการ และเกิดความรักสามัคคี
และความจงรักภักดีต่อองค์การ
5. ช่วยให้ผบู้ ริหารได้ให้ความสาคัญต่อการใช้ดุลพินิจของผู้บริหารและผู้ปฏิบตั งิ านใน
ระดับต่างๆ ให้การดาเนินงานเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามความต้องการ
6. ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กบั องค์การและทาให้เป็ นที่รจู้ กั ของประชาชน รวมทัง้ เกิดภาพ
ลักษณะต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการขององค์การ
105
คุณลักษณะของนโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
นโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยทีด่ ี มีลกั ษณะดังนี้
1. นโยบายทีด่ จี ะต้องมีการกาหนดเป็ นลายลักษณ์อกั ษร มีขอ้ ความชัดเจน กระชับเข้าใจ
ง่าย สามารถถ่ายทอดไปสู่ผปู้ ฏิบตั ไิ ด้โดยง่าย และมีความเข้าใจตรงกัน รวมทัง้ ต้องมีการลงนาม
กากับโยผูบ้ ริหารระดับสู
2. นโยบายต้องมีการประกาศให้พนักงานทุกคน ทุกระดับและผูท้ เ่ี กี่ยวข้องทราบโดยทัวกั ่ น
และต้องมีการนามาปรับปรุงแก้ไขให้มคี วามทันสมัยอยูต่ ลอดเวลา
3. นโยบายทีด่ ตี ้องมีความยืดหยุ่น และสามารถนาไปปรับใช้ได้ทุกสถานการณ์ นัน่ คือ
ต้องมีการกาหนดนโยบายในการปฏิบตั ไิ ว้อย่างกว้างๆ เนื่องจากในแต่ละสภาพงาน ลักษณะงาน
เครือ่ งจักร เครือ่ งมือ จะมีวธิ กี ารทีแ่ ตกต่างกัน ต้องเลือกการปฏิบตั งิ านทีแ่ ตกต่างกันเพื่อให้บรรลุ
นโยบาย
4. นโยบายที่ดตี ้องมาจากความต้อ งการของพนักงานทุกคนที่มกี ารร่วมแรงร่วมกัน
เนื่องจากผูป้ ฏิบตั ติ ามนโยบายคือพนักงานทุกคนในองค์การ ดังนัน้ นโยบายด้านความปลอดภัย
จึงเป็ นความต้องการทีพ่ นักงานต้องมีส่วนร่วม รวมทัง้ เป็ นข้อเสนอแนะมาจากลูกค้าด้วย
5. นโยบายความปลอดภัยต้องมีการกาหนดไว้อย่างกว้าง ทาให้ง่ายต่อการนาลงไป
ปฏิบตั กิ บั ทุกระดับ ทุกฝ่ าย ครอบคลุมภารกิจทุกด้านและสอดคล้อง สนับสนุนซึง่ กันและกัน
6. นโยบายความปลอดภัยต้องกาหนดทุกคน ทุกระดับมีหน้าที่รบั ผิดชอบและให้ความ
ร่วมมือในกิจกรรมด้านความปลอดภัย และให้ถอื ว่าการดาเนินการตามนโยบายความปลอดภัย
เป็ นส่วนหนึ่งในการปฏิบตั งิ านและการประเมินผลงาน
7. นโยบายกาหนดมาตรการ/กิจกรรมหลักด้านความปลอดภัยไว้ และมีตรวจติดตาม
ประเมินความสาเร็จทัง้ ในเชิงปริมาณและคุณภาพ
8. กาหนดให้ผู้บริหารได้มกี ารตัดสินใจและรับผิดชอบงานด้านความปลอดภัย รวมทัง้
กระตุน้ ให้ผบู้ ริหารได้สร้างพลังในการใช้อานาจของผูบ้ ริหารให้เป็ นไปอย่างยุตธิ รรมและถูกต้อง
9. การกาหนดนโยบายต้องคานึงถึงปั จจัยภายในและภายนอก เพื่อนามาพิจารณาใน
การกาหนดนโยบาย ดังเช่น ปั จจัยภายใน ได้แก่ อัตราการเกิดอุบตั เิ หตุ สถิตกิ ารเกิดอุบ ั ตเิ หตุ
เป็ น ต้ น ส่ ว นปั จ จัย ภายนอก ได้แ ก่ ข้อ ก าหนดและมาตรฐานทางกฎหมาย เทคโนโลยีท่ี
เปลีย่ นแปลงไป เป็ นต้น
106
หลักการกาหนดนโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
หลัก การที่สาคัญ ในการก าหนดนโยบายความปลอดภัยและอาชีว อนามัยมีห ลักการ
สาคัญดังนี้
1. คานึงถึงข้อกาหนดของกฎหมายและมาตรฐานต่างๆ ด้านความปลอดภัยและอา-
ชีว อนามัย ที่เ กี่ย วข้อ งกับ สภาพกิจการของตนให้ม ีค วามครอบคลุ ม ทัง้ หมด โดยมีแ นวทาง
ตามลาดับดังนี้
1.1 วิเคราะห์ความมุ่งหมาย/ข้อกาหนดของกฎหมายความปลอดภัยและอาชีว -
อนามัยทีบ่ งั คับใช้ตามกฎหมาย
1.2 ประเมินภาระงานทีต่ ้องปฏิบตั ติ ามกฎหมาย โดยทาการวิเคราะห์งาน (job
analysis)
1.3 พัฒนาและกาหนดมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของสถาน
ประกอบการให้สอดคล้องเป็ นไปตามกฎหมาย
1.4 ก าหนดวัต ถุ ป ระสงค์ แ ละเนื้ อ หาของนโยบายความปลอดภัย และ
อาชีวอนามัย
2. คานึงถึงการสร้างความร่วมมือในกิจกรรมด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของ
พนักงานทุกระดับ ซึง่ มีแนวทางดังนี้
2.1 วิเคราะห์/สารวจทัศนคติและความร่วมมือของพนักงานทุกระดับ
2.2 วิเคราะห์หาความจาเป็ นในการจัดกิจกรรมความปลอดภัย
2.3 หาเทคนิค/วิธกี ารทีใ่ ช้ในการสื่อสารข้อความเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย
2.4 ศึกษา/ค้นคว้าเนื้อหาของนโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่จะทา
ให้ความร่วมมืออันดีระหว่างฝ่ ายจัดการและฝ่ ายลูกจ้าง
3. การกาหนดนโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยต้องให้สอดคล้องกับกระบวนการ
ผลิตและวิธกี ารปฏิบตั ิ ซึง่ มีแนวทางดังนี้
3.1 รวบรวมข้อมูล/สภาพปั ญหาอันตรายของแต่ละงานในกระบวนการผลิตทุก
ขัน้ ตอน โดยเฉพาะทีเ่ กิดปั ญหาบ่อย ซ้าๆ และไม่สามารถแก้ไขได้ดว้ ยวิธกี ารพืน้ ฐาน
3.2 มีการวิเคราะห์ความเสีย่ ง คาดการณ์ถงึ อุบตั เิ หตุอนั ตรายทีอ่ าจเกิดจากการ
ทางาน
3.3 มีการประเมินวิเคราะห์ความเสี่ยง และคาดการณ์ ถึงอันตรายจากการนา
วัตถุดบิ /การนาเครือ่ งมือเทคโนโลยีแบบใหม่มาใช้
3.4 หาวิธกี าร/ทราบถึงวิธกี ารป้ องกันควบคุ มอุบตั ิเหตุ และอันตรายที่อ าจจะ
เกิดขึน้ จากการทางาน
107
3.5 พิจารณากาหนดถึงข้อความของนโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
เกี่ยวกับ มาตรการ/เทคนิ ค วิธ ีก ารที่เ หมาะสมในการเสริมสร้า งความปลอดภัยให้เ กิด ขึ้น ใน
สถานทีท่ างาน
4. มีการกาหนดข้อตกลงด้านความปลอดภัยให้กบั ผูร้ บั เหมาต้องปฏิบตั ิ ซึ่งเงื่อนไขใน
นโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่กาหนดให้ผู้รบั เหมาช่วงที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ความ
รับผิดชอบในการดูแลความปลอดภัยของลูกจ้าง
5. คานึงถึงการลูกค้าสัมพันธ์/ความพึงพอใจของลูกค้าต่อความปลอดภัยของผลผลิตที่
ผู้บริหารได้กาหนดนโยบาย ถึงการยอมรับ ความคิดเห็นและข้อเรียกร้องด้านความปลอดภัย
ของลูกค้า
6. ต้องสร้างความพึงพอใจต่อความคาดหวังในกิจกรรมทีเ่ กี่ยวข้องของผูม้ สี ่วนได้เสีย
(ผูถ้ อื หุน้ พนักงานลูกจ้างหรือ ตัวแทน ลูกค้าหรือสังคมโดยรวม)
7. มีการกาหนดจุดยืนด้านความปลอดภัยในตลาดการค้า เพื่อสร้างภาพลักษณ์ท่ดี ตี ่อ
สังคม หรือความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) เช่น การเป็ นผูน้ าด้านความปลอดภัยในอุตสาหกรรม
โรงงานสีขาว และ Green Factory เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมันศรั ่ ทธาในสินค้าและบริหารทีม่ คี ุณภาพ
ควบคุมไปกับความปลอดภัย
การกาหนดนโยบายด้า นความปลอดภัยและอาชีว อนามัยในสถานประกอบการนัน้
สามารถน าหลัก การก าหนดนโยบายที่ดี โดยน ามาประยุ ก ต์ใ ช้ใ ห้เ กิด ความเหมาะสมตาม
ประเภทของกิจการ ลักษณะงาน ขนาด โครงสร้างองค์การ และลักษณะของอันตรายของสถาน
ประกอบการ เพื่อให้การกาหนดนโยบายมีความเหมาะสม ชัดเจน สามารถนาลงไปสู่การปฏิบตั ใิ ห้
บรรลุเป้ าหมายงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเกิดประสิทธิภาพทัวทั ่ ง้ องค์การ
อย่างไรก็ตาม หน่ วยงานต่างๆ มีลกั ษณะการประกอบกิจการทีแ่ ตกต่างกันก็ย่อมมีลกั ษณะ
นโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยทีแ่ ตกต่างกัน สิง่ ที่เหมือนกัน คือหลักการในการกาหนด
จึงขอยกตัวอย่างนโยบายของบริษทั ทีม่ กี ารกาหนดนโยบายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
นโยบายของหน่วยงานต่างๆ ดังนี้
108
………………………….
(นายวิจกั ษ์ สิรสิ งิ ห์)
ประธานเจ้าหน้าทีบ่ ริหาร
109
(ตัวอย่างนโยบายความปลอดภัย และอาชีวอนามัย)
นโยบายด้านคุณภาพ ความมันคง ่ ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสิ่ งแวดล้อม
(Quality Security Safety Health and Environment Policy)
………………………….
(.............................)
ประธานกรรมการฝ่ ายบริหาร
111
………………………….
(นายวินยั ตรงใจดี)
ประธานเจ้าหน้าทีบ่ ริหาร
112
………………………….
(...............................)
ประธานกรรมการบริหาร
114
แผนงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
การวางแผนงาน หมายถึง กระบวนการในเตรียมการไว้ล่วงหน้า ซึง่ เป็ นหลักการในการ
บริหาร โดยการกาหนดวัตถุประสงค์ เป้ าหมาย วิธกี าร และทรัพยากรทีจ่ ะใช้ในการดาเนินงาน
ในอนาคต นั บ ว่ า เป็ นตัด สิน ใจล่ ว งหน้ า เกี่ ย วกับ คิด วิเ คราะห์ ว่ า จะท าอย่ า งไรให้ บ รรลุ
วัตถุประสงค์ หากมองในแง่สถานการณ์ทเ่ี ปลี่ยนแปลงไป การวางแผนเป็ นกระบวนการในการ
เผชิญกับความไม่แน่ นอนโดยการกาหนดการกระทาขึน้ ล่วงหน้าเพื่อให้ได้ผลตามที่กาหนดไว้
การวางแผนงาน จะเกี่ยวข้อ งกัน 2 อย่าง คือ จุดหมายปลายทางกับวิธ กี าร จุดหมาย
ปลายทางก็คอื จะทาอะไร วิธกี ารก็คอื จะทาอย่างไร
การบริห ารจัดการงานความปลอดภัยและอาชีว อนามัยให้บรรลุผ ลที่ได้ต งั ้ ไว้อย่างมี
ประสิทธิภาพ การวางแผนงาน จึงเป็ นข้อความที่กาหนดขึน้ มาล่วงหน้า ว่าจะทาอะไร อย่างไร
ทาเมื่อไหร่ ใครเป็ นผูท้ า จะใช้ทรัพยากรต่างๆ จานวนเท่าไหร่ เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ท่ี
กาหนด จะเห็นได้ว่าการวางแผนเป็ นการเชื่อมโยงจากปั จจุบนั ที่เป็ นอยู่ไปสู่จุดมุ่งหมายในอนาคต
จึงเป็ นกระบวนการในการคิด วิเคราะห์ เพื่อให้ทราบถึงสถานการณ์ทเ่ี ป็ นอยู่ในปั จจุบนั พิจารณา
ถึงวัตถุประสงค์ทต่ี อ้ งการให้เกิดขึน้ ทัง้ นี้จะต้องมีการคิดพิจารณาถึงรายละเอียดของสิง่ ทีต่ ้องทา
พร้อมกับการระบุผลสาเร็จต่างๆ ทีต่ อ้ งการ ซึง่ จะนาไปสู่วตั ถุประสงค์ตามทีไ่ ด้ตงั ้ ไว้
คุณลักษณะของแผนงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ในการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ของงานด้านปลอดภัยและอาชีอนามัย ที่ได้รบั ทราบมา
จากนโยบายขององค์การแล้ว จึงนามาจัดทาแผนงานเป็ นรายปี โดยการจัดทาแผนงานความ
ปลอดภัยและอาชีวอนามัยให้สอดคล้องกับนโยบายขององค์การ ดังนัน้ กระบวนการของการ
วางแผนงานเป็ นขัน้ ตอนที่สาคัญในระบบการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย โดยมี
กาหนดนโยบายด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และกฎหมาย ข้อกาหนดต่างๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง
มาพิจารณา เตรียมการวางแผนงาน โดยครอบคลุมการกาหนดแผนงาน และวัตถุประสงค์ดา้ น
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย การวางแผนปฏิบตั กิ าร ให้เกิดความชัดเจนเป็ นรูปธรรมนาไป
ปฏิบตั จิ ริงได้ โดยทุกฝ่ ายสามารถเข้าใจได้ง่าย สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปั จจุบนั ที่เป็ นจริง
และสามารถนาไปดาเนินการได้ทุกหน่ วยงาน เช่น หน่ วยงานทีม่ กี ารผลิต ในส่วนเนื้อหาของแผน
ก็ไม่จาเป็ นต้องมีรายละเอียดทีย่ ุ่งยากซับซ้อนมากนัก ให้ง่ายต่อการนาไปใช้หรือปฏิบตั ไิ ด้ดว้ ย
พนักงานทุกระดับ
สรุป ได้ว ่า การวางแผนงานด้า นความปลอดภัย และอาชีว อนามัย ที่ด จี ะต้อ งเป็ น
กระบวนการมองภาพการดาเนินงานขององค์การทัง้ หมด ควรระบุประเด็นสาคัญๆ ดังนี้
1. จะทาอะไร (What to do) จะต้องทราบว่างานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
กาหนดว่าจะต้องทาอะไรบ้าง ควรจะต้องชัดเจน มีเป้ าหมาย โดยระบุโครงการ / กิจกรรมแต่ละ
กิจกรรม และมีเป้ าหมายให้ชดั เจน เป็ นไปได้ตามสภาพการณ์ทเ่ี ป็ นจริง
115
กระบวนการบริ หารจัดการแผนงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
การบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยอาจใช้แนวทางในการบริหาร
ทีเ่ ป็ นขัน้ ตอนในกระบวนการวางแผนงานตัง้ แต่เริม่ จนสิน้ สุด ว่าจะต้องทาอะไร ทาอย่างไร ทาแล้ว
จะเริม่ ลงมือทาวันเวลาใด และสิ้นสุดเมื่อไหร่ จะให้ใครเป็ นผู้รบั ผิดชอบ และต้องใช้ทรัพยากร
จานวนเท่าไหร่ กระบวนการวางแผนงานความด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยจึงต้องมี
แนวทางการบริหารงานอย่างเป็ นระบบ (systematic) โดยอาศัยวงจร PDCA ซึ่งเป็ นแนวทาง
การดาเนินให้มปี ระสิทธิภาพ ให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง W. Edwards Deming ได้
นามาเผยแพร่ เป็ นเครื่องมือสาหรับการปรับปรุงกระบวนการ หรือเรียกว่า Deming Cycle เป็ น
วงจรการบริหารงานคุณภาพ ประกอบด้วย 4 ขัน้ ตอน ได้แก่ P (Plan) คือ ขัน้ การวางแผน D
(Do) คือ ขัน้ การปฏิบตั ติ ามแผน C (Check) คือ ขัน้ ตอนการตรวจสอบผลการปฏิบตั งิ านเป็ นไป
ตามแผน และ A (Action) คือ ขัน้ แก้ไข ปรับปรุง เพื่อการปรับปรุง ดาเนินการอย่างเหมาะสม หรือ
การจัดทามาตรฐานใหม่ ซึง่ ถือว่าเป็ นพืน้ ฐานการยกระดับคุณภาพ ให้เกิดการพัฒนาให้ดยี งิ่ ขึน้
อย่างเป็ นระบบวัฎจักร
อธิบายโดยมีรายละเอียดในแต่ละขัน้ ตอน ดังต่อไปนี้
1. ขัน้ การวางแผน การวางแผนงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย มีแนวทางในการ
วางแผนงานดังนี้
1.1 ศึกษาสภาพ และวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ เกี่ยวกับความปลอดภัยและ
อาชีวอนามัยขององค์การอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อน ามาเป็ นข้อมูลในการวางแผนก าหนด
วัตถุประสงค์ท่จี ะปรับปรุงแผนการปฏิบตั ิงานให้บรรลุ ตามวัต ถุประสงค์ท่กี าหนด รวมทัง้ นา
ข้อ มูล ตัง้ แต่อ ดีต และปั จจุบนั มาพิจารณาร่ว มกันเพื่อ สามารถคาดการณ์ ส ิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ใ น
อนาคต โดยจะต้อ งมีการพิจารณาล าดับความส าคัญ เกี่ยวกับเรื่อ งความเสี่ยงภัย และความ
สูญเสีย
1.2 การกาหนดวัตถุประสงค์และเป้ าหมาย ควรมีลกั ษณะดังนี้
1.2.1 มีความสอดคล้องกับนโยบายขององค์การ
1.2.2 มีความสอดคล้องกับข้อกาหนดต่างๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง กฎหมาย และมาตรฐาน
1.2.3 สามารถวัดถึงความสาเร็จของวัตถุประสงค์และประสิทธิภาพของแผนได้
1.2.4 สามารถปฏิบตั ไิ ด้จริง และได้รบั ความร่วมมือจากพนักงานทุกส่วนงาน
และทุกระดับในองค์การ
1.2.5 มีการจัด ท าแผนงานและก าหนดเป้ า หมายของแผนอย่า งละเอีย ด
เพื่อตรวจสอบว่าแผนงานได้นาไปใช้ครบถ้วนหรือไม่
1.2.6 มีการกาหนดผูร้ บั ผิดชอบอย่างชัดเจน มีการแบ่งหน้าทีใ่ ห้เหมาะสมเพื่อ
ประสิทธิภาพและความร่วมมือกัน
118
(ฝ่ ายบริหาร)
วางแผน
วางแผน
(ฝ่ ายบริหาร)
(พนักงาน)
ดาเนิ นการให้ ดาเนิ นการให้
เหมาะสม เหมาะสม ปฏิ บตั ิ ปฏิ บตั ิ
ตรวจสอบ
ตรวจสอบ
กิ จกรรมด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
การสร้างความปลอดภัยในสถานประกอบการเป็ นหน้าทีท่ ส่ี าคัญของผูบ้ ริหารทีจ่ ะต้องมี
การกาหนดนโยบายอย่างชัดเจน ด้วยการวางแผนงาน การนาไปปฏิบตั ิ การตรวจสอบ และการ
ประเมิน ผลที่ม ีร ะบบ รวมทัง้ มีก ารจัด กิจ กรรมหลัก ที่เ ป็ น พื้น ฐานด้า นความปลอดภัย และ
อาชีว อนามัยตามกฎหมายก าหนด มีการก าหนดโยบายความปลอดภัย ก าหนดหน้ าที่ของ
ผูร้ บั ผิดชอบของบุคลากรทุกระดับในองค์การ การแต่งตัง้ คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอ
นามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน การมอบหมายเจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในการทางาน
ด้านความปลอดภัยให้ถูกต้องตามกฎหมายกาหนด การรายงานผลการดาเนินงานของเจ้าทีห่ น้า
ความปลอดภัยในการทางานระดับวิชาชีพ เพื่อให้การจัดกิจกรรมด้านความปลอดภัยและอาชีว -
อนามัยสามารถนาไปสู่การพัฒนาบุคลากรให้มสี ุขภาพอนามัย และความปลอดภัยในการทางาน
ทัง้ นี้ องค์การอาจพิจารณาในการเลือกกิจกรรมเสริมอื่นๆ ทีม่ คี วามเหมาะสมกับสภาพ
การณ์ท่เี หมาะสมมีความพร้อมในการดาเนินงานของสถานประการนัน้ ๆ เพื่อให้เ ป็ นรณรงค์
121
1. การจัดนิ ทรรศการ
เป็ นกิจกรรมที่มคี ่าใช้จ่ายในการดาเนินการต่ า สามารถจัดทาภาพชุดนิทรรศการได้
จากเรื่องราวภายในสถานประกอบการเอง โดยนาภาพอุบตั เิ หตุทเ่ี กิดขึน้ สถิตกิ ารประสบอันตราย
ของลูกจ้างเมือ่ มีภาพเหตุการณ์จริงให้ระบุสาเหตุ ผลเสียหาย และวิธกี ารป้ องกันแก้ไข นิทรรศการ
สามารถจัดแสดงในวันแห่งความปลอดภัย หรือสัปดาห์ความปลอดภัยเพื่อให้ลูกจ้างเกิดความ
ตระหนักและมีจติ สานึกในการทางานอย่างปลอดภัย และทาให้ลูกจ้างเข้ามามีส่วนร่วมได้เป็ น
จานวนมาก
1.1 รูปแบบของการจัดนิทรรศการทีป่ ระกอบด้วยเรือ่ งราวและแผ่นภาพต่างๆ
1.2 การนาชมนิทรรศการโดยมีวทิ ยากรนากลุ่ม เพื่อชีแ้ จงลาดับเรื่องราวพร้อม
กับชีภ้ าพประกอบของนิทรรศการด้วย
1.3 การแสดงเรื่อ งราวต่ า งๆ ด้ ว ยการฉายภาพสไลด์ธ รรมดา หรือ
สไลด์มลั ติวชิ นั ่ คลิปวีดโี อ เป็ นต้น
1.4 นิทรรศการทีน่ าเรือ่ งราวทีเ่ กิดขึน้ จริงมาเสนอ
2. การบรรยายพิ เศษ
เป็ นกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจของลูกจ้าง อาจเชิญวิทยากรภายใน
หน่วยงาน หรือจากภายนอกก็ได้ มาให้ขอ้ แนะนาแก่ผบู้ ริหารหรือลูกจ้างของสถานประกอบการนัน้
อันเป็ นการปลูกจิตสานึกให้ปฏิบตั ติ ามกฎแห่งความปลอดภัยจนเกิดประสิทธิภาพการทางานสูงสุด
3. การสนทนาความปลอดภัย
เป็ นกิจกรรมหนึ่งที่สถานประกอบการจัดในรูปของการประชุม การพูดคุย หรือการ
อภิปรายเกี่ยวกับความปลอดภัย มีการสนทนา โดยนาผูช้ านาญการเฉพาะเรื่องมาร่วมสนทนา
พร้อมทัง้ เปิ ดโอกาสให้มกี ารซักถาม ทาให้เกิดแนวคิดสร้างสรรค์ และได้ขอ้ สรุปนาไปดาเนินการ
ต่อไป
4. การประกวดคาขวัญความปลอดภัย
เป็ นกิจกรรมที่เปิ ดโอกาสให้พนักงานทุกระดับได้มสี ่วนร่วมในการรณรงค์ โดยการ
พัฒนาจิตสานึกและทัศนคติของพนักงานในรูปข้อความหรือคาขวัญทีเ่ ป็ นการเตือนให้เกิดความ
ระมัดระวัง หรือเสริมสร้างความปลอดภัยในการทางาน สถานประกอบการสามารถจัดการประกวด
เอง ส่วนกติกาการประกวดอาจกาหนดขึน้ เอง
5. การประกวดภาพโปสเตอร์
เป็ นกิ จ กรรมเพื่ อ ให้ ลู ก จ้ า งของสถานประกอบการมีส่ ว นร่ ว มในการผลิ ต สื่ อ
ประชาสัมพันธ์ในการกระตุ้นจิตสานึกด้านความปลอดภัย ส่วนกติกาของการประกวดสถาน
ประกอบการสามารถกาหนดได้เอง
127
6. การประกวดการรายงานสภาพงานที่ไม่ปลอดภัย
เป็ นกิจกรรมเพื่อ ให้พนักงานได้สารวจสภาพการทางาน ค้นหาจุดที่ไม่ปลอดภัย
ดาเนินการถ่ายภาพ บันทึกจากจุดอันตรายจากขัน้ ตอนการทางานต่างๆ เสนอภาพและรายงาน
ข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาคัดเลือก สามารถนามาปรับปรุงแก้ไขสภาพการทางาน
ทีไ่ ม่ปลอดภัย
7. การแข่งขันประกวดความสะอาด
เป็ นกิจกรรมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากลูกจ้างทุกคนในแต่ละแผนก และเป็ นจุด
เริม่ ต้นของการจัดกิจกรรม 5 ส เพื่อความปลอดภัยในโอกาสต่อไป หากสถานประกอบการยังไม่
พร้อมในการจัดกิจกรรม 5 ส การประกวดความสะอาดจะเป็ นกิจกรรมทีง่ ่ายและก่อให้เกิดสุขภาพ
อนามัยทีด่ ขี องลูกจ้างและผูบ้ ริหาร อันนาไปสู่ความปลอดภัยในการทางาน
8. การจัดฉายวีดีโอความปลอดภัย
เป็ นกิจกรรมที่สถานประกอบการจะจัดไปพร้อมกับนิทรรศการในวันหรือ สัปดาห์
ความปลอดภัย โดยขอใช้วดี โี อความปลอดภัยนาไปฉายให้ลูกจ้างได้ดู เสริมสร้างความรูค้ วาม
เข้าใจ ทัศนคติทด่ี แี ก่ลกู จ้าง
9. การรณรงค์การใช้อปุ กรณ์ ค้มุ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
เมื่อสถานประกอบการได้จดั อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยที่เหมาะสมให้ลูกจ้าง
สวมใส่ แล้ว ควรจัดการรณรงค์ให้ลูกจ้างใช้ เนื่องจากสถานประกอบการส่วนใหญ่จะประสบปั ญหา
ลูกจ้างไม่นิยมใช้ทาให้เกิดการสูญเปล่า การรณรงค์จะดาเนินการในช่วงใดช่วงหนึ่ง มีการประกวด
แข่งขัน ให้รางวัลแก่ลกู จ้างทีส่ วมใส่ถูกต้องและครบถ้วน
10. การรณรงค์กิจกรรม 5 ส
สถานประกอบการต้อ งประกาศเป็ น นโยบายและต้อ งกระท าโดยลูก จ้า งทุ ก คน
ทุกระดับโดยมีผบู้ ริหารระดับสูงลงมาตรวจตราเป็ นระยะๆ เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกฝ่ ายเห็นความ
สาคัญและปฏิบตั กิ จิ กรรม 5ส อย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอ
11. การรณรงค์ด้วยโปสเตอร์ และสัญลักษณ์ความปลอดภัย
โปสเตอร์และสัญลักษณ์ความปลอดภัยเป็ นอุปกรณ์อย่างหนึ่งในการเตือนให้ระวัง
และสามารถสร้างจิตสานึกของคนงานให้เกิดความตระหนักถึงอันตรายทีอ่ าจเกิดขึน้ โปสเตอร์
ต่างๆ
12. การรณรงค์ลดอุบตั ิ เหตุเป็ นศูนย์ด้วย KYT
สถานประกอบการสามารถดาเนินการโดยใช้เทคนิค KYT ด้วยวิธกี ารฝึกอบรมลูกจ้าง
ให้หยังรู่ อ้ นั ตรายที่จะเกิด และให้มกี ารย้าเตือนตนเอง เพื่อให้สามารถลดอุบตั เิ หตุให้เป็ นศูนย์
13. การทาแผ่นป้ ายแสดงสถิ ติอบุ ตั ิ เหตุหรือป้ ายประกาศ
สถานประกอบการสามารถจัดทาแผ่นป้ ายขนาดใหญ่แสดงสถิตอิ ุบตั เิ หตุ หรือป้ าย
128
สรุป
การบริห ารจัดการความปลอดภัยและอาชีว อนามัยในสถานประกอบการเป็ นหน้ าที่
สาคัญของผูบ้ ริหารระดับสูงทีเ่ ป็ นผูก้ าหนดนโยบายทีเ่ ห็นความสาคัญของความปลอดภัยและอา-
ชีวอนามัยของผูป้ ฏิบตั งิ านให้เป็ นระบบทีช่ ดั เจนโดยอาศัยหลักการบริหารจัดการทีเ่ ริม่ ตัง้ แต่การ
วางแผน การจัดองค์การ การจัดบุคคลเข้าทางานทีเ่ หมาะสม การอานวยการ การประสานงาน
การจูงใจ การรายงาน และการควบคุม ซึ่งหน้าที่เหล่านี้เป็ นหน้าที่ของผู้บริหารหรือผู้จดั การที่
ต้องอาศัยทักษะต่าง ๆ ในการดาเนินงานให้กระบวนการทางานมีความปลอดภัยลดอุบตั ิเหตุ
บาดเจ็บและเจ็บป่ วยอันเกิดจากการทางาน รวมทัง้ ให้มสี ุขภาพอนามัยที่ดี ซึ่งแนวคิดพื้นฐาน
ของการบริหารจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยต้อ งมาจากแผนงานที่กาหนดขึ้นโดย
ผูบ้ ริหารระดับสูง ทีม่ กี ารจัดทาอย่างเป็ นระบบเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพ และจูงใจให้พนักงาน
129
แบบฝึ กหัด
ให้ตอบคาถามให้ถกู ต้องและสมบูรณ์ที่สดุ
1. ให้อธิบายถึงความหมายของ “การบริหาร” และ “การจัดการ” ความแตกต่างกันอย่างไร
พร้อมอธิบายให้เข้าใจ
2. ให้อธิบายถึงความสาคัญของการบริหารจัดการ และการบริหารจัดการมีลกั ษณะทีเ่ ด่น
ทางการนามาปฏิบตั หิ รือปรับประยุกต์ใช้ในองค์การอย่างไร
3. ให้อธิบายถึงหลักการบริหารจัดการหรือ กระบวนการในการบริหารจัดการ
4. ให้บอกและอธิบายความหมายของการบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัย และ
อาชีวอนามัย
5. ให้บอกถึงประเด็นในการเปลีย่ นแปลงทางการบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัย และ
อาชีวอนามัย
6. ให้อธิบายถึงหลักการบริหารจัดการงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย พร้อมอธิบาย
7. ให้อธิบายถึงรูปแบบความปลอดภัยในองค์การ
8. ให้เขียนแผนผังโครงสร้างหน่วยงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของหน่วยงาน
9. นโยบายงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยมีความสาคัญอย่างไร
10. ให้บอกถึงลักษณะของงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
11. การกาหนดนโยบายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยต้องคานึงถึงปั จจัยสาคัญอะไรบ้าง
12. ให้นกั ศึกษาเขียนวงจร PDCA ของงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย และอธิบายถึงการ
นามาปรับใช้กบั การงานแผนงาน
13. ให้บอกถึงกิจกรรมด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยมีอะไรบ้างอธิบายให้เข้าใจ
131
เอกสารอ้างอิง
Bartol, Kathryn.,M., & David C. Martin.(1997). Management. (2nd ed). New York:
McGraw – Hill, New York.
Bridges,F.J.,&Roquemore,L.L.(2001). Management for athletic/ sport administration:
Theory and practice (3rd ed.). Decatur, GA: ESM Books.
Bovee, Courtland L. and others. (1993). Management. New York : Mc Graw – Hill.
Carroll,S.J. and Gillen,D.A.(1987).”Are the Classical Management Functions Useful in
Describing Managerial Work” Academy of Management Review, January,
1987,p.48.
132
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 3
การสอบสวนและวิเคราะห์อบุ ตั ิ เหตุ
หัวข้อเนื้ อหา
1. แนวคิดเกีย่ วกับการเกิดอุบตั เิ หตุ
2. ความหมาย และความสาคัญของอุบตั เิ หตุ
3. ทฤษฎีทเ่ี กีย่ วข้องกับอุบตั เิ หตุ
4. การสอบสวนอุบตั เิ หตุ
5. ความสาคัญ วัตถุประสงค์ และการสอบสวนอุบตั เิ หตุ
6. หลักและวิธกี ารสอบสวนอุบตั เิ หตุ
7. บันทึกการรายงานการสอบสวนอุบตั เิ หตุ
8. การวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ ความสาคัญ และวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ
9. แนวทางการวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ
10. การประเมินค่าทางสถิตขิ องอุบตั เิ หตุ
11. ความสาคัญ และวัตถุประสงค์ของการการประเมินค่าของอุบตั เิ หตุ
12. สรุป
13. แบบฝึกหัด
14. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคาสอนรายวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดที ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
135
บทที่ 3
การสอบสวนและวิเคราะห์อบุ ตั ิ เหตุ
ความหมายของอุบตั ิ เหตุ
การเกิดอุบตั เิ หตุในแต่ละครัง้ มิใช่จะเกิดขึน้ จากโชคชะตาหรือเคราะห์กรรมของแต่ละ
บุคคล หากแต่เกิดขึน้ โดยมี “สาเหตุ” สามารถชีช้ ดั ในการเกิดอุบตั วิ ่ามาจากสาเหตุใด การป้ องกัน
แก้ไข สนับสนุ น และเสริมสร้างความปลอดภัยในการทางาน จึงเป็ นกิจกรรมจะเกิด ขึน้ ได้ด้วย
การวิเคราะห์ท่ี “สาเหตุของอุบตั เิ หตุ” ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม จะเห็นได้ว่า อุบตั เิ หตุเป็ น
เหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้ อย่างไม่คาดคิดมาก่อน เหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้ อาจจะทาให้เกิดความเสียหายแก่
ร่างกายและทรัพย์สนิ หรือไม่กต็ าม เรียกว่า อุบตั เิ หตุ แต่ถ้าหากอุบตั เิ หตุทเ่ี กิดขึน้ ทาให้เกิดผล
เสียหายเราเรียกว่า อุบตั ภิ ยั อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน คาว่าเกิด อุบตั เิ หตุใน
บทความฉบับนี้ ถือว่า เกิดสิง่ ทีไ่ ม่คาดคิดมาก่อนและก่อให้เกิดผลเสียหายแก่ทรัพย์สนิ และเป็ น
อันตรายต่ อ ร่างกายและจิต ใจ ได้มนี ักวิชาการเกี่ยวกับอุ บตั ิเหตุ ได้ใ ห้ค วามหมายของค าว่า
อุบตั เิ หตุ (Accident) ไว้ดงั นี้
ศิขรินทร์ สุขโต ( 2553, หน้า 2) ได้ให้ความหมายของ อุบตั เิ หตุ ไว้ว่า เหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้
โดยมิได้วางแผนไว้ล่วงหน้า ซึง่ ก่อให้เกิดความบาดเจ็บ พิการ หรือตายและทาให้ทรัพย์สนิ เกิด
ความเสียหาย หรือความหมายในเชิง วิศวกรรมความปลอดภัยนัน้ ยังมีความหมายครอบคลุมถึง
เหตุการณ์ท่เี กิดขึน้ แล้ว มีผลกระทบกระเทือนต่ อขบวนการผลิตที่มกี ารดาเนินการปกติ ทาให้
เกิดความล่าช้า หยุดชะงัก เสียหายของผลิต ภัณฑ์ หรือเสียเวลาในการทางาน แม้จะไม่ก่อให้
เกิดอันอันตราย หรือบาดเจ็บ เจ็บป่ วย พิการของคนงานก็ตาม
กันยรัตน์ โหละสุต ( 2553, หน้า 4) ได้ให้ความหมายของ อุบตั เิ หตุ ไว้ว่า เหตุการณ์ท่ี
เกิดขึน้ อย่างไม่พงึ ประสงค์ในระหว่างการทางาน และมีผลไปขัดขวางหรือก่อผลกระทบต่อความ
137
เสียหายแก่ ก ารทางานนัน้ ได้แ ก่ การตกจากที่สูง การถู ก กระแทก การถู กหนีบ การถู กตัด
และการถูกดึง เป็ นต้น
Dessler, G. (2015, p. 529) ได้ให้ความหมายของ อุบตั เิ หตุ ไว้ว่า เหตุการณ์อนั ตรายที่
เกิดขึน้ โดยไม่ได้ ตัง้ ใจ หรือคิดมาก่อนทีจ่ ะให้เกิดขึน้ ไม่สามารถควบคุมได้ และหลีกเลีย่ งไม่ได้
ขณะนัน้ ทาให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สนิ บุคคลทัง้ ทางร่างกาย จิตใจ อาจบาดเจ็บ ทุพลภาพ
หรือรุนแรงถึงขัน้ เสียชีวติ ซึง่ เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อทัง้ ตัวเอง ครอบครัว นายจ้าง
หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน เศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ
DeCenzo,D. A. and Robbins, S. P. (2002, p. 479) ได้ให้ความหมายของ อุบตั เิ หตุ
ไว้ว่า เหตุการณ์อนั ตรายทีเ่ กิดขึน้ โดยไม่ได้ตงั ้ ใจ หรือคาดคิดมาก่อน ทาให้เกิดความเสียหายแก่
ทรัพย์สนิ ร่างกาย จิตใจ หรืออาจถึงบาดเจ็บ เจ็บป่ วย ทุพลภาพ หรือรุนแรงอาจถึงขัน้ เสียชีวติ
ได้
สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (2542, หน้า 67) ได้ให้ความหมายของ
อุบตั เิ หตุ ไว้ว่า เหตุการณ์ทไ่ี ม่พงึ ประสงค์ทอ่ี าจเกิดจากการทีไ่ ม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า หรือไม่
ทราบล่วงหน้ า หรือขาดการควบคุม แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลทาให้เกิดการบาดเจ็บหรือความ
เจ็บป่ วยจากการทางานหรือการเสียชีวติ หรือความสูญเสียต่อทรัพย์สนิ สินหรือความเสียหายต่อ
สภาพแวดล้อมในการทางานหรือต่อสาธารณชน”
สภาความปลอดภัยแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (National Safety Council : NSC) ได้ให้
ความหมายของ อุบตั เิ หตุ ไว้ว่า เหตุการณ์ท่ไี ม่ได้มกี ารวางแผน เหตุการณ์ท่ไี ม่พงึ ประสงค์
ซึ่ง เมื่อ เกิดขึ้นแล้ว ไม่จ าเป็ นต้อ งมีการบาดเจ็บ หรือ ทรัพย์ส ินเสียหายเท่ านัน้ แต่ ยงั รวมถึง
เหตุการณ์ ท่สี ่งผลกระทบต่อความสาเร็จ หรือนาไปสู่การเสียชีวติ การเจ็บป่ วย การบาดเจ็บ
ทรัพย์สนิ เสียหาย หรือความสูญเสียอื่นๆ
สถาบันมาตรฐานแห่งชาติองั กฤษ (British Standard Institution: BSI) ได้ให้ความหมาย
ของ อุ บตั ิเ หตุ ไว้ว่า เหตุก ารณ์ ท่ไี ม่พงึ ประสงค์ท่นี าไปสู่การเสียชีว ิต การเจ็บป่ วย บาดเจ็บ
ทรัพย์สนิ เสียหาย หรือความสูญเสียอื่นๆ
กาญจนา นาถะพินธุ (2553, หน้า 195) ได้ให้ความหมายของ อุบตั เิ หตุ ไว้ว่า เหตุการณ์
ทีไ่ ม่พงึ ประสงค์ทอ่ี าจเกิดจากการที่ไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้าหรือไม่ทราบล่วงหน้าหรือขาดการ
ควบคุม แต่เมื่อเกิดขึน้ แล้วมีผลให้เกิดการบาดเจ็บหรือความเจ็บป่ วยจากการทางานหรือการ
เสียชีวติ หรือความสูญเสียต่อทรัพย์สนิ หรือความเสียหายต่ อสภาพแวดล้อมหรือต่อสาธารณชน
วิฑูรย์ สิมะโชคดี และ วีรพงศ์ เฉลิมจิระรัตน์ (2550, หน้า 20) ได้ให้ความหมายของ
อุบตั เิ หตุ ไว้ว่า เหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้ โดยมิได้วางแผนไว้ล่วงหน้า ซึง่ ก่อให้เกิดความบาดเจ็บ พิการ
หรือตามและทาให้ทรัพย์สนิ ได้รบั ความเสีย
วิวรรธน์กร สวัสดี (2556, หน้า19) ได้ให้ความหมายของ อุบตั เิ หตุ ไว้ว่า เป็ นเหตุการณ์
ทีเ่ กิดขึน้ โดยไม่คาดคิด ไม่มกี ารวางแผนล่วงหน้าและควบคุมไมได้ เช่น การตกจากทีส่ ูง การหกล้ม
138
คาที่เกี่ยวข้องกับอุบตั ิ เหตุ
ได้มนี กั วิชาการให้ความของคานิยามทีเ่ กี่ยวข้องกับการเกอดอุบตั เิ หตุไว้ดงั นี้ (ศิขรินทร์
สุขโต, 2553, หน้า 1-2 ; Goetsch, D.L.2005, p. 17-18)
ภัย (Hazard) หมายถึง สภาวการณ์ซง่ึ มีแนวโน้มทีจ่ ะก่อให้เกิดการบาดเจ็บของ บุคคล
หรือเกิดความเสียหายต่ อทรัพย์สนิ รวมทัง้ การกระทบกระเทือนต่อขีด ความสามารถในการ
ปฏิบตั งิ านตามปกติของบุคคล
อันตราย (Danger) หมายถึง สภาวะทีเ่ ป็ นอันตรายไม่ว่าจะอยู่ในระดับของความ รุนแรง
มากหรือน้อยขึน้ อยู่กบั สภาพของการทางานและการป้ องกัน เช่น การทางานบนทีส่ ูง ซึ่งถือว่า
เป็ นสภาพการณ์ทม่ี คี วามเสีย่ งทีจ่ ะมีโอกาสเกิดอันตรายขึน้ ได้ถา้ หากเกิด ความผิดพลาดเกิดขึน้
และอาจทาให้เกิดการบาดเจ็บหรือถึงกับชีวติ ได้
อุบตั ิ การณ์ (Incident) หมายถึง เหตุการณ์ทไ่ี ม่ปรารถนาจะให้เกิดขึน้ แต่เมื่อเกิดขึน้
จะทาให้เกิดการสูญเสียตามมาอีกมากมาย หรือ เหตุการณ์ท่เี กิดขึน้ ในลักษณะเช่นเดียวกันกับ
การเกิดอุบตั เิ หตุ แต่ผลของอุบตั กิ ารณ์ไม่ทาให้ผใู้ ดได้รบั บาดเจ็บ ทรัพย์สนิ ไม่เสียหายหรืออาจ
เรียกเหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้ นี้อกี อย่างหนึ่งว่า เป็ นเหตุการณ์เกือบเกิดอุบตั เิ หตุ (Incident or Near
Miss) หมายถึง เหตุก ารณ์ที่ไม่พ งึ ประสงค์ท่เี กิดขึน้ แล้ว มีผ ลให้เ กิดอุบตั เิ หตุ หรือเรียกว่า
อุบตั กิ ารณ์ (incident) ซึง่ การเกิดอุบตั กิ ารณ์บ่อยครัง้ อาจนามาซึง่ การเกิดอุบตั เิ หตุได้ ถ้าไม่ได้
รับการควบคุมป้ องกัน เช่น งานซ่อมบารุงเครื่องจักรต้องการ เปลีย่ นชิน้ ส่วนอะไหล่ตามกาหนด
แต่ปรากฏว่าได้อะไหล่ไม่ครบทาให้งานล่าช้าและเป็ นผลเสียกับระบบการทางาน
139
ความสาคัญของอุบตั ิ เหตุ
อุบตั เิ หตุทเ่ี กิดจากการปฏิบตั งิ านในสถานประกอบการ หรืออุตสาหกรรมการผลิตและ
บริการ ทีเกิดขึน้ ในแต่ละครัง้ มิใช่จะเกิดขึน้ จากโชคชะตาหรือเคราะห์กรรมของแต่ละบุคคล เมื่อ
พนัก งานประสบอุบตั เิ หตุ ทาให้ได้รบั การบาดเจ็บ เจ็บป่ วย ทุพลภาพ และถ้ารุนแรงก็ถ งึ ขัน้
เสียชีวติ ซึง่ ในการประสบอุบตั เิ หตุ โดยทัวไปแล้
่ วมี “สาเหตุ” ทีช่ ช้ี ดั ได้ว่าเป็ นผลมาจากการกระทา
ทีไ่ ม่ปลอดภัย ซึง่ ผลจากการประสบอันอันตรายนัน้ ย่อมทาให้มผี ลกระทบต่อความสูญเสียโดยตรง
และโดยอ้อม คือ โดยตรง ได้แก่ ตัวผูป้ ฏิบตั งิ าน ส่วนผลกระทบโดยอ้อม ได้แก่ ครอบครัว ญาติ
พีน่ ้องคนใกล้ชดิ หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน นายจ้าง และสังคม ตลอดจนประเทศชาติ ดังนัน้
สรุปได้ว่าอุบตั เิ หตุมคี วามสาคัญทีส่ ่งผลเสีย อันได้แก่
1. ผลกระทบต่ อผู้ปฏิ บตั ิ งานหรือพนั กงาน หากได้เมื่อใดที่ผู้ปฏิบตั ิงานประสบ
อันตรายจากการปฏิบตั ิงานจะส่ งผลกระทบโดยตรงต่ อผู้ปฏิบตั ิงานทัง้ ทางด้านร่างกายที่ได้
บาดเจ็บ เจ็บป่ วย ทุพลภาพ สูญเสียอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และเสียชีวติ ด้านจิตใจจะผลต่อ
ขวัญ กาลังใจในการทางานทาให้มคี วามกลัว วิต กกังวล ขาดความเชื่อ มั ่น และมั ่นใจในการ
ปฏิบตั งิ าน หรือหากสูญเสียความมันใจหากเกิ่ ดทุพลภาพ และด้านเศรษฐกิจของครอบครัวจะทา
ให้ขาดรายได้ โดยผลทีก่ ระทบต่อผูป้ ฏิบตั โิ ดยตรงทีส่ าคัญ ได้แก่
1.1 เกิดการบาดเจ็บ เจ็บป่ วย พิการ ทุพพลภาพ และเสียชีวติ
1.2 เกิดความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานร่างกาย จิตใจจากอาการทีป่ ระสบอันตราย
1.3 สูญ เสีย ค่า ใช้จ ่า ยในการที่ต ้อ งจ่า ยค่า รัก ษาพยาบาล ถึง แม้ว ่า นายจ้า งจะ
รับผิดชอบโดยมีกองทุนทดแทน แต่ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามมา ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการ
ฟื้ นฟูสภาพหลังจากได้รบั การรักษาพยาบาลหายแล้วก็ตามต้องมีการฟื้ นฟูให้มสี ภาพทีด่ ที ส่ี ุดทัง้
ร่างกาย และจิตใจ
1.4 สูญ เสียรายได้ใ นกรณีท่ผี ู้ประสบอันตรายบาดเจ็บรุนแรง เจ็บป่ วยรุนแรงไม่
สามารถปฏิบตั งิ านได้ หรือถ้าหากเกิดขัน้ เสียชีวติ
1.5 สูญเสียเวลาในการปฏิบตั งิ านเนื่องจากการประสบอันตราย บาดเจ็บ เจ็บป่ วย
และพิการ
1.6 ทาให้ขาดความมันใจ ่ หรือขาดความเชื่อมันในการปฏิ
่ บตั งิ าน เนื่องจากหวาดกลัว
ในสิง่ ทีเ่ คยเกิดขึน้
1.7 ต้องเป็ นภาระของครอบครัวทีด่ ูแลในการเลีย้ งดูหากเกิดความพิการ หรือสูญเสีย
อวัยวะทีส่ าคัญ เช่น ดวงตา แขน ขา เป็ นต้น
1.8 ต้องมีการเปลีย่ นแปลงอาชีพให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายทีเ่ กิดความพิการ
1.9 เสียเวลาในการเรียนรูง้ านใหม่ท่เี หมาะสมกับสภาพร่างกายทุพลภาพในกรณี
ต้องเปลีย่ นงาน
140
สภาพแวดล้อมและ
ภูมหิ ลังของบุคคล
การรับภาระมากเกิ นไป
ทฤษฎีปัจจัยมนุษย์
ความผิ ดพลาดของมนุษย์
ความล้มเหลวของระบบ
- นโยบาย อุบตั ิ เหตุ
- ความรับผิดชอบ
- การฝึกอบรม
- การตรวจสอบ การบาดเจ็บ/ความเสียหาย
- ความถูกต้อง
- มาตรฐาน
กดดัน นั น้ อาจท าให้พ นัก งานท างานผิด พลาดและเพิ่ม โอกาสของการเกิด อุ บ ัติเ หตุ ไ ด้ ใน
ขณะเดียวกัน ถึงแม้ผปู้ ฏิบตั งิ านจะเป็ นคนวิตกกังวลและเครียดง่าย แต่ถ้าไม่มแี รงกดดันในการ
ทางาน ก็จะเป็ นการป้ องกันโอกาสของการเกิดอุบตั เิ หตุได้
ทฤษฎีระบาดวิ ทยา
ลักษณะเฉพาะก่อนการจัดการ ลักษณะเฉพาะของสถานการณ์
- การตอบสนองของบุคคล - การประเมินความเสีย่ งของแต่ละบุคคล
- การับรูข้ องบุคคล - แรงกดดันจากผูร้ ว่ มงาน
- ปั จจัยสิง่ แวดล้อม - การให้ความสนใจของผูบ้ งั คับบัญชา
ย้อนกลับ
บุคคล
ให้น้าหนัก
เครือ่ งจักร สิง่ แวดล้อม เก็บข้อมูล ความเสีย่ ง ตัดสินใจ การปฏิบตั งิ าน
การปฏิสมั พันธ์กนั
ป้ องกันอันตรายส่วนเคลื่อนไหวของเครื่องจักรหรือการ์ดที่ดนี นั ้ จะต้องไม่เกะกะกรีดขวางการ
ทางานปกติแต่อย่างใด)
ในทานองเดียวกัน แม้จะมีขอ้ บังคับห้ามถอดการ์ดแล้ว หากคนงานไม่ได้รบั คาแนะนา
หรือชี้แนะวิธกี ารทางานที่ถู กต้องปลอดภัย และไม่รู้ความสาคัญของการ์ด (ไม่ม ี Education)
คนงานก็อาจจะปฏิบตั อิ ย่างผิดวิธหี รืออันตรายได้ นอกจะทาให้เกิดอุบตั เิ หตุได้แล้ว เครื่องจักร
อาจเสียหายด้วย
เมือ่ สถานประกอบการนาหลักการของ วิชาการวิศวกรรม (Engineering) การให้ความรู้
(Education) การออกกฎระเบียบ ข้อบังคับ (Enforcement) แล้วยังจาเป็ นต้องมี การกระตุ้นเตือน
(Encouragement) ให้ผู้ปฏิบตั งิ าน ปฏิบตั ติ ามหรือดาเนินการตามกิจกรรมต่างๆ ที่องค์การได้
จัดดาเนินการเพื่อให้เกิดความปลอดภัย อาจจะกระตุ้นทัง้ ด้านบวก และด้านลบก็เป็ นได้ขน้ึ อยู่กบั
สถานการณ์ และความเหมาะสม
ดังนัน้ การใช้หลัก 4E โดยนาทัง้ วิชาการวิศวกรรม (Engineering) การให้การศึกษาอบรม
แก่คนงาน (Education) และการออกกฎข้อบังคับ (Enforcement) การกระตุ้นเตือน (Encou-
ragement) ให้ผปู้ ฏิบตั งิ าน มาดาเนินการพร้อมกันอย่างเหมาะสมในขบวนการผลิตและการบริหาร
โรงงานนัน้ จึงเป็ นมาตรการที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดต่อ การป้ องกันอุบตั เิ หตุและการเสริมสร้าง
ความปลอดภัยในการทางานภายในเวลาอันสัน้
ความสาคัญของการสอบสวนอุบตั ิ เหตุ
การสอบสวนอุบตั ิเหตุ หมายถึง วิธกี ารค้นหาสาเหตุของการเกิดอุบตั ิเหตุ ซึ่งจะต้อ ง
ดาเนินการหลักจากการเกิดอุบตั เิ หตุโดยทันที หรือเร็วทีส่ ุดเพื่อไม่ให้พยานหลักฐานถูกลบหายไป
เคลื่อนย้าย หรือเปลี่ย นแปลงสภาพไม่ว่าจะโดยเจตนา หรือไม่ก็ตาม การสอบสวนอุบตั เิ หตุ มี
ความสาคัญต่อการเกิดอุบตั เิ หตุอย่างยิง่ เนื่องจากเป็ นเครื่องมือทีจ่ ะนามาใช้ในการรวบรวมข้อมูล
รายละเอียดของการเกิดอุบตั เิ หตุ เพื่อนาผลมาวิเคราะห์ และค้นหาสาเหตุพ้นื ฐานของการเกิด
อุบตั เิ หตุไม่ให้เกิดซ้า เพื่อนาไปสู่มาตรการ แนวทางในการป้ องกัน แก้ไข ปรับปรุง และหามาตรการ
ในการลดการเกิดอุบตั เิ หตุ ในการสอบสวนการเกิดอุบตั เิ หตุ
168
หลักการสอบสวนอุบตั ิ เหตุ
แนวทางในการสอบสวนการเกิดอุบตั เิ หตุ เครื่อ งมือ สาคัญ เกิดอุบตั เิ หตุขนึ้ ในสถาน
ประกอบการผูด้ าเนินการหรือมีหน้าทีใ่ นการสอบสวนอุบตั เิ หตุจะต้องรีบดาเนินการในการสอบถาม
ค้นหาสาเหตุทเ่ี กิดขึน้ โดยทันที เพื่อให้ได้ขอ้ มูลอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และชัดเจนมากที่สุด
โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การสอบสวนต้องรีบดาเนินการสอบสวนอุบตั เิ หตุทนั ทีภายหลังการเกิดเหตุ
หรือ ภายในรวดเร็ว ที่สุ ดเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เนื่องจากหากปล่ อยไว้จะทาให้ข้อมูล
รายละเอียดต่างๆ ลบเลือนหายไป โดยเฉพาะอย่างยิง่ ผูท้ เ่ี ห็นเหตุการณ์จะได้ไม่ลมื และข้อมูลที่
ได้กเ็ ป็ นปั จจุบนั ถูกต้อง ชัดเจน ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็ นจริง อันจะนามาใช้ในการป้ องกัน
แก้ไข ทีส่ าเหตุของการเกิดอุบตั เิ หตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ตรวจสอบและสังเกตสภาพข้อเท็จจริงทีเ่ กิดขึน้ โดยหากมีผไู้ ด้รบั บาดเจ็บต้อง
รีบให้การช่วยเหลือทันที และสังเกตสภาพแวดล้อมต่างๆ ทีอ่ ยู่ใกล้ทเ่ี กิดเหตุ และพยายามอย่า
เคลื่อนย้ายวัตถุพยานก่อนทีม่ กี ารบันทึก และการบันทึกรูปภาพเหตุการณ์ไว้
3. ผูท้ าหน้าทีใ่ นการสอบสวนจะต้องเป็ นผูท้ ม่ี คี วามคิดรอบคอบ ปฏิภาณไหวพริบ
ดี และมีความเป็ นธรรมยึดหลักความมีเหตุมผี ล
4. ผู้สอบสวนจะต้องเป็ นผู้ท่มี คี วามรูใ้ นเรื่องนัน้ ในการสอบสวน ความคุ้นเคย
กับกระบวนการผลิตทุกขัน้ ตอน เช่น เครื่องจักร ผู้ปฏิบตั งิ าน สภาพแวดล้อมต่างๆ ในการทางาน
ของพืน้ ทีท่ เ่ี กิดอุบตั เิ หตุเป็ นอย่างดี
5. ใช้ประสบการณ์จากการสอบสวนและวิเคราะห์อุบตั เิ หตุในอดีตทีผ่ ่านมา โดย
การดาเนินการใช้ประสบการณ์มาวิเคราะห์การตัง้ สมมติฐานเพื่อนาไปสู่การวิเ คราะห์หาสาเหตุ
ได้โดยไม่ผดิ พลาด
6. การสอบสวนควรจะทาเป็ นกลุ่มหรือเป็ นคณะเพื่อให้ได้ขอ้ มูล ซึง่ เป็ นสาเหตุ
ทีแ่ ท้จริงละเอียดรอบด้าน เพื่อจะได้หาแนวทางและมาตรการป้ องกันได้ถูกต้อง และตรงจุดให้
มากทีส่ ุด
7. การสอบสวนจะเสร็จสมบูรณ์ท่สี ุดก็ต่อเมื่อมีการทางานรายงาน เสนอแนะ
ต่อผูบ้ ริหารเพื่อนาไปสู่แนวทางการป้ องกันและหามาตรการต่อไป ดังนัน้ จึงต้องมีการรายงาน
ผลการสอบสวนอย่างชัดเจน
8. ผลที่ได้จากการสอบสวนอุบตั เิ หตุ ภายหลังจากการสอบสวนอุบตั เิ หตุ ผู้ทา
หน้าทีส่ อบสวนจะต้องตอบคาถาม ดังต่อไปนี้ได้
8.1 เกิดเหตุการณ์อะไรขึน้ บ้าง
8.2 ทาไมถึงเกิดเหตุการณ์นนั ้
8.3 ใครจะเป็ นผูท้ เ่ี หมาะสมในการแก้ไขป้ องกันการเกิดอุบตั เิ หตุ
171
8.4 มีข้อเสนอแนะอะไรบ้างที่ต้องนาเสนอจากการสอบสวนเพื่อนาไปหา
แนวทางป้ องกันการเกิดอุบตั เิ หตุไม่ให้เกิดซ้า
รหัสข้อมูลที่ .........
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทัวไป ่
วัน เดือน ปี ทีส่ มั ภาษณ์ ............................... เวลา ................ น. ระยะการสัมภาษณ์ ................. ชม./นาที
สถานทีส่ มั ภาษณ์ ..........................................................................................................................................
ผูท้ าการสัมภาษณ์ นาย /นาง/นางสาว ............................................... ตาแหน่งงาน .......................................
หน้าที.่ ............................................................. แผนก/ฝ่ าย ...........................................................................
วัน เดือน ปี ทีเ่ กิดเหตุการณ์/อุบตั เิ หตุ .............................................................. เวลา ...........................น.
ชือ่ – สกุลผูป้ ระสบอันตราย/อุบตั เิ หตุ ..............................................................................................................
ตาแหน่งงาน ................................................ ลักษณะงานทีป่ ฏิบตั งิ าน ............................................................
แผนก/ฝ่ าย ....................................................................................................
ทีอ่ ยู่ ...............................................................................................................................................................
ส่วนที่ 2 ข้อมูลทัวไปของพยาน่
พยานผูเ้ ห็นเหตุการณ์ นาย/นางสาว /นาง ..........................................................................................................
อายุ .................ปี เพศ ......................ทีอ่ ยู่ปัจจุบนั .............................................................................................
..................................................................................................................... เบอร์โทรศัพท์ .............................
ตาแหน่งงาน ...............................................................................แผนก/ฝ่ าย.......................................................
ลักษณะหน้าทีท่ ป่ี ฏิบตั ิ ........................................................................................................................................
ส่วนที่ 3 รายละเอียดของการสัมภาษณ์พยาน
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………
ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อความทีป่ รากฏในเอกสารนี้เป็ นจริงทุกประการ
ลงชือ่ ..................................................
(…………………………………..)
พยาน
ลงชือ่ ..................................................
(…………………………………..)
ผูส้ มั ภาษณ์
(สาเนาให้พยานเก็บไว้ 1 ฉบับ)
การบันทึกรายงานการสอบสวนอุบตั ิ เหตุ
การบันทึกรายงานการเกิดอุบตั เิ หตุ เป็ นการรวบรวมข้อมูลทีเ่ กี่ยวกับการสอบสวนการเกิด
อุบตั เิ หตุเพื่อนาข้อมูลไปเป็ นหลักฐานในการวิเคราะห์หาสาเหตุ ของการเกิดอุบตั เิ หตุ เพื่อหา
แนวทางป้ องกัน แก้ไขไม่ให้เกิดอุบตั เิ หตุเกิดขึน้ อีก อีกทัง้ การบันทึกรายงานการเกิดอุบตั เิ หตุยงั
นาเป็ นหลักฐานในการประกอบการวินิจฉัย
วัตถุประสงค์ของการบันทึกรายงานการสอบสวนอุบตั ิ เหตุ
1. เพื่อเก็บรวบรวมเป็ นข้อมูลและสถิตใิ นการเกิดอุบตั เิ หตุ การจ่ายเงินทดแทน การ
วิเคราะห์และการสอบสวนอุบตั เิ หตุ
2. เพื่อเป็ นแนวทางในการดาเนินงานป้ องกันอุบตั เิ หตุ
หลักการบันทึกรายงานการสอบสวนอุบตั ิ เหตุ
1. จะต้องมีการบันทึกและรายงานการรายงานการเกิดอุบตั เิ หตุทุกครัง้ (แม้จะเป็ นการ
บาดเจ็บเล็กน้อยก็ตาม)
2. รายงานจะต้องประกอบด้วยหัวข้อทีเ่ กีย่ วข้องกับการวิเคราะห์เหตุการณ์ การสอบสวน
สาเหตุของการเกิดอุบตั เิ หตุ ข้อเสนอแนะในการแก้ไขป้ องกัน และการสังการของฝ่ ่ ายปริหาร
3. รายงานอุบตั เิ หตุตอ้ งมีลกั ษณะง่ายต่อการรวบรวมหรือแยกประเภทตามลักษณะของ
สาเหตุหรือการบาดเจ็บ เพื่อเป็ นประโยชน์ในทางสถิตแิ ละวิเคราะห์ใช้ในการป้ องกันอุบตั เิ หตุ
การจ่ายเงินทดแทนและอื่นๆ ต่อไป
วิ ธีเขียนบันทึกรายงานการสอบสวนอุบตั ิ เหตุ
การบันทึกรายงานการสอบสวนการเกิดอุบตั เิ หตุ นับว่าเป็ นการสรุปรวบรวมข้อมูลทีไ่ ด้
จากการสอบสวนการเกิดอุบตั เิ หตุ เพื่อเสนอต่อผู้บริหาร และใช้เป็ นข้อมูลพืน้ ฐานในการวิเคราะห์
อุบตั เิ หตุเพื่อนาไปสู่การหนมาตรการ แนวทางในการแก้ไข ปรับปรุง ดังนัน้ วิธกี ารเขียนรายงาน
การสอบสวนการเกิดอุบตั เิ หตุจงึ ต้องมีการกาหนดรายละเอียดข้อมูลต่างๆ ทีต่ อ้ งทาดังนี้
1. รายละเอี ยดของผู้ประสบอันตรายหรืออุบตั ิ เหตุ/บาดเจ็บ เป็ นข้อมูลที่สาคัญ
อันดับแรกของการเขียนรายงาน เพราะจะได้ทราบถึงประวัติ ภูมหิ ลังส่วนบุคคลของผู้ประสบ
อันตราย บาดเจ็บ โดยข้อมูลประกอบด้วย ชื่อ นามสกุล เลขประจาตัวพนักงาน อายุ เพศ แผนก
ทีส่ งั กัด การศึกษา ตาแหน่ งงานปั จจุบนั ลักษณะของงานทีท่ า สถานทีข่ องแผนก ประสบการณ์
หรืออายุงานในปั จจุบนั เป็ นต้น
2. ความรุนแรงของอุบตั ิ เหตุที่ได้รบั เป็ นส่วนทีใ่ ห้ขอ้ มูลเกี่ยวกับการเกิดอุบตั เิ หตุทม่ี ี
ผลต่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบุ ส่วนของร่างกายที่ได้รบั บาดเจ็บ และบาดเจ็บอย่างไร
รวมทัง้ การได้รบั อันตรายในส่วนของการได้รบั สารเคมีกระเด็นโดนส่วนทีส่ าคัญของร่างกาย เช่น
ดวงตา จมูก เป็ นต้น และการได้รบั ผลกระทบนี้ได้รบั การปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร นาส่ง
สถานพยาบาลแหล่งใด ได้รบั การรักษาด้วยวิธกี ารอย่างไร ต้องหยุดงานหรือไม่ หรือเสียชีวติ
180
อุบตั ิเหตุตามกฎกระทรวงกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ. 2549 ทีก่ ล่าวไว้ขา้ งต้น
แบบฟอร์มบันทึกรายงานการสอบสวนอุบตั ิ เหตุ
หลักฐานและเอกสารประกอบ (ถ้ามี)
1. .....................................................................
2. .....................................................................
3. .....................................................................
4. .....................................................................
5. .....................................................................
ลงนามสอบสวนอุบตั เิ หตุ
...................................................
(..................................................)
ตาแหน่ง......................................
...................................................
(..................................................)
ตาแหน่ง......................................
...................................................
(..................................................)
ตาแหน่ง......................................
วันที่ ..........................................
183
ความรุนแรงของอุบตั ิ เหตุ
ไม่ได้รบั บาดเจ็บ
ได้รบั บาดเจ็บ ระบุสว่ นของร่างกาย นิ้วกลางข้างขวากระดูกแตก ข้อที่ 2 แตก
ปฐมพยาบาล นาส่งสถานพยาบาล
ไม่หยุดงาน หยุดงาน
เสียชีวติ
หลักฐานและเอกสารประกอบ (ถ้ามี)
แบบบันทึกการให้สมั ภาษณ์พยาน
ผู้สอบสวนอุบตั ิ เหตุ
ลงชื่อ นายสดใส สดชื่น
หัวหน้าแผนกผลิต
5 มีนาคม 2560
186
แบบบันทึกคาให้สมั ภาษณ์ของพยาน
ส่วนที่ 3 รายละเอียดการสัมภาษณ์พยาน
ขณะที่ข้า พเจ้า นายอาชีพ อุ ต สาหกรรม ก าลัง ปฏิบ ัติง านส่ ง แผ่ น ไม้อ ัด เข้า ลู ก กลิ้ง ทากาวเรซิ่น อยู่ ท่ี
เครื่องจักรเครื่องที่ 1 ซึงอยู่ใกล้กบั นายสาขา ขณะเกิดเหตุ เวลา 16.30 น. ระหว่างที่ขา้ พเจ้ากาลังปฏิบตั งิ าน ได้เห็น
นายสาขากาลังใช้ฟองน้ าเช็ดทาความสะอาดลูกกลิ้งของเครื่องทากาวเครื่องที่ 2 ที่นายสาขาประจาอยู่โดยไม่ได้หยุด
เครื่องจักร จึงได้ส่งเสียงร้องห้ามแต่กไ็ ม่ทนั การเนื่องจากมือขวาของนายสาขาได้ถูกลูกกลิ้งดึงเข้า ไปแล้ว จึงได้รบี วิง่
ไปกดปุ่มหยุดเครื่องจักรฉุ กเฉินที่เครื่องทากาวที่นายสาขาประจาอยู่ แล้วทาการช่วยเหลือโดยค่อยๆ ดึงมือนายสาขา
ออกมาและพบว่านิ้ วหัวแม่มือขวาขาดขณะเดียวกันผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์ได้ไปตามพยาบาลประจา
โรงงานมาทาการปฐมพยาบาลเบือ้ งต้น แจ้งหัวหน้าแผนก และนาส่งโรงพยาบาล
(สาเนาให้พยานเก็บไว้ 1 ฉบับ)
187
ทาให้เป็ นองค์การพื้นฐานผู้บริหารงานด้านโครงการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยจะนามา
ดาเนินการเพื่อไม่เกิดการบาดเจ็บ หรือหลีกเลีย่ งการได้รบั อันตรายดังกล่าวได้
2. ประเด็นการวิ เคราะห์อบุ ตั ิ เหตุ ส่วนที เป็ นสาเหตุพื้นฐาน ซึง่ มีประเด็นการวิเคราะห์
อุบตั เิ หตุ มีรายละเอียด ดังนี้
2.1 ลักษณะของการบาดเจ็บ (nature of injury) หมายถึง สภาพร่างกายทีไ่ ด้รบั บาดเจ็บ
จากการปฏิบ ตั งิ านในลัก ษณะงานที่มหี น้าที่แตกต่างกัน และเกิด จากสภาพการกระทาของ
ผู้ปฏิบตั ิงานอาจด้วยสาเหตุปัจจัยที่เกิดจากคน และปั จจัยงาน ได้แก่ เคล็ดขัดยอก ฟกช้า มี
เลือดคลัง่ ขูดข่วน ถลอก อวัยวะถูกบาด ตัด หนีบ กระแทก ทับ ดึง กระชาก บาดแผลถูก เจาะ
กระดูกหัก ผิวหนังอักเสบ ศีรษะถูกกระแทก แผลถูกไฟไหม้ น้ าร้อนลวก ลักษณะของการเกิด
อุบตั เิ หตุทม่ี ผี ลกระทบต่อความเสียหาย บาดเจ็บ เจ็บปวด ต่อร่างกาย จึงต้องมีการระบุให้ชดั เจน
ในกรณีทป่ี ระสบอันตราย หรือบาดเจ็บมากกว่า 1 แห่ง ให้ระบุลกั ษณะการบาดเจ็บทีร่ ุนแรงทีส่ ุด
หากไม่สามารถระบุได้เนื่องจากประสบอันตรายได้รบั บาดเจ็บหลายแห่ง ก็ให้ระบุในแบบวิเคราะห์
ว่า “บาดเจ็บหลายแห่ง” (multiple injuries)
2.2 การให้การดูแลรักษา เมือ่ ผูป้ ฏิบตั งิ านประสบอันตรายหรืออุบตั เิ หตุขน้ึ ย่อมได้รบั
การรักษาอย่างถูกต้อง ในสถานพยาบาลทีม่ เี ครื่องมือที่ท นั สมัย โดยการระบุอาการ ลักษณะการ
บาดเจ็บอย่างชัดเจน เพื่อให้หายจากอาการบาดเจ็บให้มาใช้ชวี ติ ปกติได้ หรือมีการดาเนินชีวติ
ได้อย่างปกติ
2.3 การฟื้ นฟูหลังการรักษาให้หายจากอาการบาดเจ็บ หรือเจ็บป่ วย เมื่อผู้ปฏิบตั งิ าน
ได้รบั การรักษาให้หายเป็ นปกติแล้ว จะต้องได้รบั การฟื้ นฟูด้านร่างกาย และจิตใจเพื่อให้เข้าสู่
ภาวะปกติ เช่น ฟื้ นสภาพส่วนแขน ขา มือ นิ้ว เป็ นต้น ส่วนจิตใจจะต้องให้กาลังใจในการต่อสู้
หากมีความหวาดกลัวในเหตุการณ์ และหากเกิดความพิการหรือทุพลภาพ เป็ นต้น
3. ส่วนของร่างกายที่ได้รบั บาดเจ็บ (part of body) หมายถึง อวัยวะ หรือส่วนต่างๆ
ของร่างกายทีไ่ ด้รบั บาดเจ็บจากอุบตั เิ หตุหรือประสบอันตราย ได้แก่
3.1 ส่วนของศีรษะ และคอ (head and neck) เช่น หนังศีรษะ ตา หู ปาก และฟั น
3.2 ส่วนรยางค์บน (upper extremities) เช่น ไหล่ แขนท่อนบน ข้อศอก แขนท่อน
ล่างระหว่างข้อศอกกับข้อมือ นิ้วมือ และนิ้วหัวแม่มอื
3.3 ส่วนท่อนร่างกาย (body) เช่น หลัง หน้าอก ท้อง ขาหนีบ
3.4 ส่วนของรยางค์ล่าง (lower extremities) เช่น สะโพก ต้นขา ขาหัวเข่า ข้อเท้า
เท้า นิ้วเท้า
4. แหล่งที่ ทาให้ เกิ ดการบาดเจ็บ (source of injury) สิง่ ทีท่ าให้ร่างกายได้รบั การบาดเจ็บ
และเกิดอันตราย ได้แก่ วัตถุสงิ่ ของ การสัมผัส หรือการเคลื่อนไหวของร่างกายซึง่ ส่งผลโดยตรง
ต่อการได้รบั การบาดเจ็บ เช่น เครื่องตัดเหล็กตัดนิ้วมือขาด และกรณีทไ่ี ด้รบั บาดเจ็บเล็กน้อย เช่น
190
2.9 ปั จจัยจากคน
2.10 ปั จจัยจากงาน
3. ข้อ เสนอแนะ แนวทางหรือ วิธ ีก ารแก้ไข โดยใช้ห ลัก 4E ได้แ ก่ ด้านวิศ วกรรม
การศึกษา กฎระเบียบ ข้อบังคับ และการกระตุ้นเตือน รวมทัง้ มีการกาหนดแผนงานระยะสัน้
และระยะยาว เป็ นต้น
4. จดบันทึกรายงานการวิเคราะห์อุบตั เิ หตุ
5. ส่งผลการวิเคราะห์อุบตั เิ หตุไปยังผูบ้ ริหารหรือฝ่ ายจัดการในการนาไปกาหนดนโยบาย
ในการกาหนดแผนงาน /โครงการด้านความปลอดภัยและดาเนินการควบคุมป้ องกันอุบตั เิ หตุต่อไป
194
ลาดับ ชือ่ - หน่วยงาน วันทีเ่ กิด เวลาที่ สถานที่ อายุ อายุงาน งานทีท่ า ลักษณะ ส่วน แหล่งที่ ชนิดของ สภาพที่ สิง่ ทีท่ า ส่วนของ การ ปั จจัย ปั จจัย
ที่ สกุล ทีส่ งั กัด อุบตั เิ หตุ เกิด เกิด (ปี ) ใน ขณะเกิด ของการ ของ ทาให้ อุบตั เิ หตุ เป็ น ให้เกิด สิง่ กระทาที่ จาก จาก
(แผนก/ อุบตั เิ หตุ อุบตั เิ หตุ หน่วยงาน อุบตั เิ หตุ บาดเจ็บ ร่างกาย เกิดการ อันตราย อุบตั เิ หตุ ทีท่ าให้ ไม่ คน งาน
ฝ่ าย) ปั จจุบนั ที่ บาดเจ็บ เกิด ปลอดภัย
บาดเจ็บ อุบตั เิ หตุ หรือต่า
กว่า
มาตรฐาน
แนวทางแก้ไข/มาตรการควบคุมป้ องกัน
..............................................................................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................................................................................
ลาดับ ชือ่ - หน่วยงาน วันทีเ่ กิด เวลาที่ สถานที่ อายุ อายุงาน งานทีท่ า ลักษณะ ส่วน แหล่งที่ ชนิด สภาพที่ สิง่ ทีท่ า ส่วนของ การ ปั จจัย ปั จจัย
ที่ สกุล ทีส่ งั กัด อุบตั เิ หตุ เกิด เกิด (ปี ) ใน ขณะ ของการ ของ ทาให้ ของ เป็ น ให้เกิด สิง่ กระทาที่ จาก จาก
(แผนก/ อุบตั เิ หตุ อุบตั เิ หตุ หน่วยงาน เกิด บาดเจ็บ ร่างกาย เกิดการ อุบตั เิ หตุ อันตราย อุบตั เิ หตุ ทีท่ าให้ ไม่ คน งาน
ฝ่ าย) ปั จจุบนั อุบตั เิ หตุ ที่ บาดเจ็บ เกิด ปลอดภัย
บาดเจ็บ อุบตั เิ หตุ หรือต่า
กว่า
มาตรฐาน
1. นาย แผนก 14 16.30 แผนก 22 2 ขันสกรู อวัยวะ นิ้ว เครือ่ ง การถูก เครือ่ ง เครือ่ ง ขณะตอก
สาขา ขันสกรู มีนาคม น. ขันสกรู สัปดาห์ ชิน้ งาน กระดูก กลาง ขันสกรู หนีบ ขันสกรู ตอกสกรู สกรูแล้ว
วิชา 2560 ลงแผ่น แตก ข้างขวา ง่วงนอน
บอร์ด
แนวทางแก้ไข/มาตรการควบคุมป้ องกัน
.................................................................................................................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................................................................................................
ตารางการคานวณอัตราความรุนแรงของการบาดเจ็บตามมาตรฐานอเมริกนั (American
Standard of Industrial Injury Rate) และ I.L.O ได้กาหนดวันทางานทีส่ ูญเสียไปจากการ
ประสบอันตรายและบาดเจ็บในการทางานของอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายดังนี้คอื
จากตารางคานวณ
รวมเวลาการทางานทีส่ ญ ู เสียไป = 750 + 175 = 925 วัน
อัตราความรุนแรง = จานวนวันทีเ่ สียไป x 1,000,000
ของการบาดเจ็บ จานวนชัวโมงการท ่ างานของคนงานทัง้ หมด
(อัตรามาตรฐาน) = 925 x 1,000,0000 = 3705.9
200 x 48 x 26
อัตราความรุนแรงของการบาดเจ็บตามอัตรามาตรฐานเท่ากับ 3705.9
1.4 อัตราความรุนแรงโดยเฉลีย่ ของการบาดเจ็บ
อัตราความรุนแรงโดยเฉลีย่ = จานวนวันทัง้ หมดทีเ่ สียไป
จานวนคนบาดเจ็บพิการ
= 200/15 = 13.3
1.5 อัตราการเกิดอุบตั เิ หตุ (IR)
IR = จานวนชัวโมงที่ ไ่ ด้รบั บาดเจ็บ x 2,000,000
ชัวโมงการท
่ างานของลูกค้าทัง้ หมด
= 15 x 200,000 = 12.01
200 x 48 x 26
สถานประกอบการมีอตั ราการเกิดอุบตั เิ หตุเท่ากับ 12.01
สรุป
อุบตั เิ หตุเป็ นเหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้ โดยไม่คาดคิดหรือวางแผนมาก่อน เมื่อเกิ ดขึน้ ก็ทาให้
บาดเจ็บ ป่ วยป่ วย ทุพลภาพ หรืออาจถึงแก่ชวี ติ ได้ รวมทัง้ ก่อให้เกิดความสูญเสียทรัพย์สนิ ต่างๆ
ซึง่ การเกิดอุบตั เิ หตุอาจเกิดขึน้ มาจากหลายสาเหตุ เช่น สาเหตุพน้ื ฐาน สาเหตุขณะนัน้ เป็ นต้น
อุบตั เิ หตุจงึ มีความสาคัญต่อพนักงานผูป้ ฏิบตั งิ าน ต่อครอบครัว ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อนายจ้างและ
ต่อประเทศชาติ ซึ่งการป้ องกันสาเหตุของการเกิดอุบตั เิ หตุมแี นวคิด ทฤษฎีทเ่ี กี่ยวข้องกับการ
เกิดอุบตั ิเหตุ ได้แก่ ทฤษฎีโดมิโน ทฤษฎีปัจจัยมนุ ษย์ ทฤษฎีอุ บตั ิการณ์ ทฤษฎีระบาดวิทยา
ทฤษฎีระบบ เป็ นต้น ผูบ้ ริหารด้านความปลอดภัยและอาชีอนามัยจาเป็ นต้องมีหลักการนาทฤษฎี
เหล่านี้มาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์หาแนวทางในการป้ องกัน แก้ไขปั ญหาต่างๆ เกี่ยวกับการ
ป้ องกันอันตรายทีจ่ ะเกิดขึน้ ในการทางาน โดยส่วนใหญ่อาศัยหลัก 3E การจัดองค์กรเพื่อความ
ปลอดภัย ได้แก่ Engineering (หลักวิศวกรรมศาสตร์) Education (การให้ความรู้ การฝึกอบรม)
Enforcement (การออกกฎระเบียบ ข้อบังคับ) และเพิม่ E4 คือ Encouragement (การกระตุ้น
เตือน)
201
แบบฝึ กหัด
เอกสารอ้างอิง
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 4
สุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทางาน
หัวข้อเนื้ อหา
1. แนวคิดเกีย่ วกับสุขภาพและความปลอดภัยในการทางาน
2. ความหมาย และความสาคัญของสุขภาพและความปลอดภัย
3. ระบบการคุม้ ครองสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทางาน
4. สภาพและสาเหตุของสุขภาพและความไม่ปลอดภัยในการทางาน
5. โรคทีเ่ กิดจากการทางานทีม่ ผี ลต่อสุขภาพ
6. อันตรายและการป้ องกันอันตรายจากสภาพแวดล้อมในการทางาน
7. อุปกรณ์ป้องกันอันตรายในการทางานส่วนบุคคล
8. การเสริมสร้างสุขภาพและความปลอดภัยในการทางาน
9. สรุป
10. แบบฝึกหัด
11. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคาสอนรายวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดที ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
207
บทที่ 4
สุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทางาน
ประเทศชาติจะพัฒนาและก้าวไกลทัดเทียมกับนานาประเทศอื่นได้ก็เพราะประชากร
ของประเทศมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงทัง้ ด้านร่างกาย จิตใจ คุณธรรม และสังคม ใน
ขณะเดีย วกัน ยุ ค ปั จ จุ บ ัน การพัฒ นาของโลกก้ า วกระโดดไปอย่ า งรวดเร็ว เป็ นผลมาจาก
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เศรษฐกิจ การค้าพาณิชย์แบบไร้พรหมแดน และสังคมที่ม ี
การเปลี่ย นแปลงที่ม ีล ัก ษณะพลวัต ท าให้อุ ต สาหกรรมการผลิต และบริก ารจ าเป็ น อาศัย
เทคโนโลยีท่ที นั สมัยเพื่อการผลิต สินค้าและบริการเป็ นจานวนมหาศาลเพื่อตอบสนองความ
ต้องการของมนุษย์ ทาให้การผลิตในลักษณะอุตสาหกรรมจึงมีเครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์
ในการนามาใช้ในโรงงานเป็ นอันตรายต่อผูป้ ฏิบตั งิ านหรือคนงานในโรงงานมากขึน้ รวมทัง้ การ
ใช้สารเคมีท่มี อี นั ตรายมากขึ้น ดังนัน้ หน่ วยงานที่รบั ผิดชอบเกี่ยวกับด้านสุขภาพอนามั ยและ
ความปลอดภัยในการทางานของโรงงานหรือสถานประกอบการต้องจัดทาระบบการป้ องกันทีไ่ ด้
มาตรฐานตามกฎหมายความปลอดภัยในการทางานอย่างเคร่งครัดเพื่อให้พนักงานผูป้ ฏิบตั งิ าน
ได้เกิดความปลอดภัยและมีสุขภาพอนามัยที่ดใี นการทางาน ในปั จจุบนั ได้มกี ฎหมายเกี่ยวกับ
ความปลอดภัยในการทางานออกมาใช้บงั คับหลายฉบับ ซึง่ พระราชบัญญัตคิ วามปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ. 2554 ทีไ่ ด้มกี ารประกาศใช้เพื่อให้นายจ้าง
หรือ สถานประกอบการได้จดั ดาเนิ นการให้ถู กต้อ งเพื่อ ให้ลูก จ้า งหรือ พนัก งานได้ม ีสุ ข ภาพ
อนามัยทีด่ ี และมีความปลอดภัยในการทางาน
แรงงานนับ ว่ า มีค วามสาคัญ ต่ อ ก าลัง การผลิต ทุ ก ประเภทของประเทศ แรงงานที่ม ี
สุขภาพดี สมบูรณ์ไม่เป็ นโรคต่าง ๆ อันเนื่องจากการทางาน นันแสดงให้
่ เห็นว่าผูบ้ ริหารองค์การ
มีความตระหนักและใส่ใจในการดูแลชีวติ ร่างกาย และจิตใจของพนักงาน สุขภาพอนามัยทีด่ จี งึ
มาจากการไม่เจ็บป่ วยเป็ นโรค หรือทุพพลภาพด้วยสาเหตุจากการทางานให้กบั นายจ้าง ซึ่ง
นายจ้างนอกจากจะต้องปฏิบตั ติ ่อพนักงานด้วยความมีคุณธรรมจริยธรรมแล้วนัน้ ยังต้องปฏิบตั ิ
ตามกฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานด้วย หากไม่ปฏิบตั ิ
ตามอาจทาให้พนัก งานผู้ปฏิบตั ิงานเกิ ดโรคต่าง ๆ จากการทางานได้ ดังนัน้ ในบทที่ 4 จะ
อธิบายถึงสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทางาน โรคต่าง ๆ และอุบตั เิ หตุอนั เนื่องจาก
การทางาน ไม่ว่าเป็ นเครือ่ งจักร สารเคมี สภาพแวดล้อมอันจะก่อให้เกิดอันตรายจากการทางาน
ทัง้ โรคและอุบตั เิ หตุรวมถึงด้านจิตใจ และสังคมอันส่งผลกระทบต่อการทางาน และวิถชี วี ติ ทัง้ ใน
ปั จจุบนั และหลังจากเกษียณอายุงานไปแล้ว จะเห็นได้ว่าการมีสุขภาพและอนามัยที่ดจี ะทาให้
องค์การเกิดประสิทธิภาพในการทางาน และช่วยทาให้ผลผลิตในการทางานสูงขึน้
208
แนวคิ ดเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยในการทางาน
การจัด การทรัพ ยากรมนุ ษ ย์ม ีบ ทบาทหน้ า ที่ใ นการด าเนิ น งาน เพื่อ ให้ บุ ค ลากร
ผู้ปฏิบตั ิงานมีสุขภาพที่แข็งแรงทัง้ ร่างกาย จิตใจ และสังคม ด้วยการดูแล ส่งเสริม สนับสนุ น
และทานุ บารุงรัก ษาบุค ลากรมีก ารทางานที่ปลอดภั ย ปราศจากภัยอันตรายใด ๆ ขณะการ
ปฏิบตั ิงาน ผู้บริห ารนอกเหนือ จากมีห น้ าที่ ใ นการบริห ารค่ าตอบแทน และสวัส ดิการต่ าง ๆ
ทีเ่ หมาะสมเป็ นธรรมแล้วก็ตาม หน้าทีส่ าคัญที่เป็ นกิจกรรมหนึ่งในการจัดการทรัพยากรมนุ ษย์
สถานที่ท างานต้ อ งมีค วามปลอดภัย ในการปฏิบ ัติห น้ า ที่ข องพนั ก งานไม่ ใ ห้เ กิด อุ บ ัติเ หตุ
และความไม่ปลอดภัยจากการเป็ นโรคร้ายแรงต่า ง ๆ จากการทางาน หรือสารพิษเข้าสู่ร่างกาย
ขณะปฏิบตั งิ าน ซึง่ เกีย่ วข้องกับสุขภาพด้านร่างกาย และความปลอดภัยของบุคลากร อีกทัง้ การ
ดูแลด้านสุขภาพจิตใจของพนักงาน ไม่ให้เกิดความเครียดในการทางาน เพราะจะส่งผลต่อการ
ปฏิบตั งิ านของพนักงาน ดังนัน้ จุดมุ่งหมายในการสร้างเสริมสุขภาพ และความปลอดภัยในการ
ทางานให้กบั บุคลากร ผูบ้ ริหารจึงต้องมีการกาหนดเป็ นนโยบาย แผนงาน และกิจกรรมส่งเสริม
ให้ บุ ค ลากรมีสุ ข ภาพที่ดี ปราศจากอัน ตรายและป้ องกั น อัน ตรายจากสภาพแวดล้ อ ม
ในการทางาน และให้มคี วามปลอดภัยจากการบาดเจ็บ ทุพพลภาพ และเสียชีวติ อันเนื่องจาก
การทางาน และการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้อ งกับด้านสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน
ถึงแม้ว่าเป็ นการปฏิบตั ิงานตามกฎหมายที่เกี่ยวกับความปลอดภัยและสุขภาพก็ตาม แต่หาก
เป็ นเจตนารมณ์ของนายจ้าง หรือฝ่ ายจัดการทีต่ ้องดาเนินการเพื่อให้เกิดความเป็ นธรรมในการ
ดาเนินธุรกิจ รวมถึงการมีมนุ ษยธรรม และจริยธรรมในการประกอบกิจการของนายจ้าง ทัง้ นี้
เพื่อ จะท าให้ ก ารปฏิบ ัติง านของบุ ค ลากรมีสุ ข ภาพอนามัย ที่ดี ส่ ง ผลให้ ก ารปฏิ บ ัติง านมี
ประสิทธิภาพเพื่อผลผลิต พัฒนางาน พัฒนาองค์การ และประเทศชาติต่อไป
ความหมายของสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย
ความสาคัญของสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย
การดาเนินธุรกิจทุกประเทศในโลกมีความเจริญก้าวหน้ าอย่างรวดเร็ วเป็ นผลมาจาก
การเปลี่ ย นแปลงของโลกาภิ ว ั ต น์ ท าให้ ม ี ก ารแข่ ง ขัน ในด้ า นอุ ต สาหกรรมการผลิ ต
บริการพาณิชยกรรม การเกษตร และเทคโนโลยีต่าง ๆ สาเหตุดงั ้ กล่ าวจาเป็ นต้องมีการนา
ความทันสมัย สะดวก สบาย รวดเร็วมาใช้ในการผลิต ได้แก่ เครื่องจักร อุปกรณ์ สารเคมีต่าง ๆ
เป็ นต้น ผลตามมาของการนาสิง่ เหล่านี้เข้ามาใช้จานวนมากก็ทาให้มผี ลกระทบต่อสิง่ แวดล้อม
ทางธรรมชาติ และสิง่ แวดล้อมทางเคมี เช่น สารเคมีเป็ นพิษพิษไอระเหยของฝุ่ น ละอองของ
สารพิษ เป็ นต้น
การดูแลสุขภาพของผู้ปฏิบตั งิ านเป็ นหน้าทีข่ องฝ่ ายบริหารหรือนายจ้าง จะต้องเป็ นผู้ม ี
หน้าที่ในการกาหนดนโยบายเกี่ยวกับอาชีวอนามัยเพื่อให้มแี ผนงาน และกิจกรรมให้การดูแล
กากับ ส่งเสริม จัดหาบริการให้มผี ู้ปฏิบตั งิ านสามารถปฏิบตั ิงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมี
สุ ขภาพอนามัยที่แข็ง แรง สมบูร ณ์ ไม่เ จ็บป่ วยด้ว ยโดยการเป็ นโรคอันเนื่อ งจากการทา งาน
และเกิดอุบตั ิเ หตุ ในการทางาน ในขณะเดียวกันเมื่อผู้ปฏิบตั ิงานมีสุขภาพอนามัยที่ดี ก็ย่อ ม
ส่งผลให้ผลผลิตในการทางานสูง รวมทัง้ พนักงานก็มขี วัญกาลังใจที่ดใี นการปฏิบตั ิงานให้กบั
องค์ก าร ซึ่ง นับ เป็ น ความส าคัญ ของสุ ข ภาพอนามัย ดัง นั น้ สรุ ป ได้ว่ า สุ ข ภาพอนามัย ของ
พนักงานมีความสาคัญดังนี้
1. เมื่อ พนัก งานมีสุ ข ภาพอนามัย ที่ดี ก็ย่อ ม ท าให้ ผ ลผลิ ต เพิ่ ม ขึ้ น หากสถาน
ประกอบการมีการจัดการมีสภาพแวดล้อมทีถ่ ูกสุขลักษณะ มีอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล
ให้ก ับ พนัก งานผู้ปฏิบ ัติงานอย่า งถู ก ต้อ ง และฝึ ก อบรม สอนงานให้พนักงาน ย่อ มไม่ทาให้
พนักงานเกิดอุบตั เิ หตุ และมีความเจ็บป่ วยอันเกิดจากการทางาน หรือเกิดอุบตั เิ หตุ เจ็บป่ วย
ทางกาย ทางจิต และสัง คมน้ อ ยที่สุ ด จะท าให้ผู้ป ฏิบ ัติง านมีค วามรู้ส ึก สบายใจ มีค วามสุ ข
และปลอดภัยในการทางาน ซึ่งจะส่งผลต่อการทางานด้วยความเต็มใจไม่กงั วลมีค วามมันใจ ่
และทางานได้เต็มทีส่ ่งผลให้ผลผลิตโดยรวมขององค์การเพิม่ ขึน้
2. โดยปกติแ ล้ว พนัก งานผู้ป ฏิบ ัติง านจะเป็ น ผู้ท่ีช่ ว ยให้ก ารผลิต สามารถน าไปสู่
การผลิ ต ที่ ม ี ต้ น ทุ น ในการผลิ ตลดลง หากองค์ ก ารมี ก ารจัด สภาพการท างานหรื อ
สภาพแวดล้อ มในการท างานที่ปลอดภัยด้านเครื่อ งจักร อุ ปกรณ์ ใ นการทางาน รวมทัง้ การ
ป้ องกันอันตรายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ นสิง่ แวดล้อมทางเคมี และทางกายภาพ ก็ย่อมทาให้พนักงาน
ปฏิ บ ัติ ง านได้ อ ย่ า งปลอดภัย ไม่ ม ีอุ บ ัติ เ หตุ เ กิ ด ขึ้น ในขณะปฏิ บ ัติ ง าน รวมทัง้ ไม่ ไ ด้ ร ับ
213
ระบบการคุ้มครองสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทางาน
ตัง้ แต่ตน้ ศตวรรษที่ 19 ในประเทศอังกฤษเริม่ มีกฎหมายเกี่ยวกับโรงงานเพื่อคุม้ ครองผู้
ประกอบอาชีพ นับตัง้ แต่วนั นัน้ มาจนถึงศตวรรษที่ 21 นี้ กฎหมายยังมีความสาคัญเนื่องจาก ยัง
มีก ารใช้ ส ารเคมีท่ีม ีอ ัน ตรายอยู่ ต ลอดเวลาแม้ ว่ า มีก ารปรับ เปลี่ย นให้ ป ลอดภัย มากขึ้น
กระบวนการทางานในโรงงานอุตสาหกรรมก็ยงั มีอนั ตรายทัง้ ที่เกี่ยวกับเครื่องจักร สิง่ แวดล้อม
ในการทางาน และกระบวนการทางานที่ไ ม่ป ลอดภัย การท าให้เ จ้าของสถานประกอบการ
หรือนายจ้างเห็นความสาคัญของสุขภาพอนามัยของลูกจ้างก็ยงั ต้องทาความเข้าใจกันอีกมากว่า
การลงทุ น ส่ ว นนี้ เ ป็ นสิ่ง จ าเป็ น นอกจากนี้ ก ฎหมายยัง ออกข้อ บัง คับ ให้ ผู้ ป ระกอบอาชีพ
214
หรือผู้ปฏิบตั งิ านให้ตระหนักถึงความสาคัญของการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลขณะ
ปฏิบ ัติง านอย่า งเคร่ง ครัด นอกจากนี้ ย งั ต้อ งมีค วามรู้ ความเข้า ใจเกี่ย วกับ ความปลอดภัย
และอันตรายต่าง ๆ จากการทางานไม่ว่าจะเกี่ยวกับสารเคมี กายภาพต่าง ๆ และสิง่ คุกคามที่ม ี
อยูใ่ นสภาพแวดล้อมการทางาน
พระราชบัญ ญัติค วามปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้ อ มในการท างาน
พ.ศ. 2554 พระราชบัญญัตคิ วามปลอดภัยฯ พ.ศ. 2554 มีสาระสาคัญใน หมวด 1 กาหนดหน้าที่
ของนายจ้างในการจัดให้มสี ภาพการทางานและสภาพแวดล้อมในการทางานทีป่ ลอดภัยและถูก
สุขลักษณะแก่ลูกจ้าง โดยนายจ้างเป็ นผู้รบั ผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดาเนินการดังกล่าว เพื่อให้
เกิดความปลอดภัยและส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของพนักงาน จึงต้องจัดทาระบบการคุ้มครอง
สุขภาพอนามัยและความปลอดภัย ดังนี้
1. ระบบการป้ องกัน หมายถึง การป้ องกันปั จจัยต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดการเจ็บป่ วย
เป็ นโรค หรือประสบอันตราย รวมทัง้ การป้ องกันแหล่งกาเนิดมลพิษ หรือต้นกาเนิดภาวะเสีย่ ง
2. ระบบการคุ้มครอง หมายถึง การคุ้มครองสุขภาพและชีวติ ตลอดจนคุณภาพ
สิง่ แวดล้อม
3. ระบบการส่ งเสริ ม หมายถึง การส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของภาคประชาสังคม
ในเรื่อ งการรวมตัว การเจรจาต่ อ รองในเรื่อ งที่ ม ีผ ลกระทบต่ อ สุ ข ภาพ ความปลอดภัย
และสิง่ แวดล้อม
4. ระบบการมีส่วนร่วม หมายถึง การมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ ทัง้ ในด้าน
นโยบาย กฎหมายการจัดการด้านสุ ขภาพและความปลอดภัยในการทางานและสิง่ แวดล้อ ม
ชุมชน และการตรวจสอบ ควบคุม กากับและการประเมินผล
5. ระบบการยึดประชาชนเป็ นเป้ าหมาย หมายถึง การยึดถือคุณค่าและศักดิ ์ศรีความ
เป็ นมนุ ษย์ของประชาชนเป็ นเป้ าหมายของการพัฒนาอย่างแท้จริง มิใช่มุ่งเน้นทีก่ ารเติบโตทาง
เศรษฐกิจหรือการลงทุน
ปัญหาสุขภาพจากการทางาน
เมื่อ มีก ารขยายตัว ทางเศรษฐกิจ ทาให้อุ ต สาหกรรมมีการเจริญ เติบโตอย่างรวดเร็ว
เฉพาะอย่างยิง่ การเข้าสู่ประเทศไทย 4.0 ทาให้ก ารนาเอาความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
218
ปัจจัยที่ทาให้เกิ ดโรคจากการประกอบอาชีพ
1. ปั จจัยเกี่ยวกับตัวผู้ประกอบอาชี พ ซึ่งผู้ปฏิบตั ิงานแต่ละคนย่อมมีโอกาสในการ
เกิดได้มากหรือน้อยแตกต่างกันตามคุณสมบัตทิ ่สี าคัญ ดังนี้ (B.Balkin & L.Cardy, 2001,
p.535-546.)
1.1 เพศ ในสภาวะแวดล้อมของการทางานเดียวกัน ส่วนใหญ่เพศหญิงมักมีโอกาส
เจ็บป่ วยเป็ นโรคจากการประกอบอาชีพมากกว่าเพศชาย
2.2 อายุ บุคคลทางานทีอ่ ยู่ในวัยหนุ่ มสาวจะมีความแข็งแรง และมีความต้านทาน
ต่ อ โรคภัย อัน ตราย ได้มากกว่ าบุ ค คลท างานที่เ ป็ นผู้เ ยาว์ และผู้สูงอายุ เนื่อ งจากข้อ จ ากัด
ทางด้านสรีระวิทยาของร่างกาย และวัยทีธ่ รรมชาติสร้างให้พร้อมทีจ่ ะทางาน
2.3 สภาวะสุขภาพ บุคคลทีม่ รี ่างกายไม่แข็งแรงสมบูรณ์ มีโรคประจาตัวหรือเคย
เป็ นโรคบางอย่างมาก่ อนอาจเกิดอันตรายหรือโรคจากการทางานได้ง่าย ส่วนบุคคลที่มภี าวะ
ความสมบูรณ์ของร่างกายที่ดยี ่อมปฏิบตั งิ านได้ปราศจากการเจ็บป่ วยได้มากกว่าคนที่มภี าวะ
สุขภาพทีอ่ ่อนแอ
2.4 ระยะเวลาในการทางานแต่ ละวัน หากมีการทางานที่เกินกว่ามาตรฐานสากล
กาหนด อาจก่อให้เกิดโรคหรืออันตรายจากการทางานได้มากขึน้
2.5 ระยะเวลาทีผ่ ปู้ ระกอบอาชีพได้ปฏิบตั งิ าน ทาให้มโี อกาสของการเกิดสะสมของ
สิง่ ของทีเ่ ป็ นพิษมากยิง่ ขึน้ จะทาให้ป่วยเป็ นโรคได้ง่าย
219
2. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับต้นเหตุของโรค ได้แก่
2.1 สาเหตุจากภัยคุกคามทางกายภาพ หมายถึง สิง่ คุกคามตัวต้นเหตุทท่ี าให้เกิด
โรคหรือการเจ็บป่ วยจากความร้อน ความเย็น แสง เสียง ความสันสะเทื ่ อน รังสีฝนุ่ ความกดดัน
อากาศทีผ่ ดิ ปกติ และความไม่เหมาะสมของผูป้ ฏิบตั งิ าน รวมทัง้ ประเภทของลักษณะงานทีท่ า
2.2 สาเหตุทม่ี าจากสิง่ คุกคามทางเคมี หมายถึง สิง่ คุกคามตัวต้นเหตุ ทีท่ าให้เกิด
โรคและความเจ็บป่ วยจากการได้รบั สารพิษหรือสารเคมีต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิต การ
ทางานเข้าสู่ร่างกายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สารละลาย ของแข็ง ก๊าซ หรือ ฝุ่ นละออง และไอ
ระเหยของสารเคมี ทาให้เกิดอาการเจ็บป่ วย
2.3 สาเหตุทม่ี าจากสิง่ คุกคามทางชีวภาพ หมายถึง สิง่ คุกคามหรือตัวต้น เหตุท่ี
ทาให้เกิดโรค หรือความเจ็บป่ วยจากการทีร่ ่างกายรับเชื้อโรค จุลนิ ทรียต์ ่างๆ ในกระบวนการ
ทางาน เช่น โรคทีเ่ กิดจากการทางานกับสัตว์ โรคปอดอักเสบจากฝุ่ นฝ้ าย โรคหลอดเลือดขอด
เพราะการยืนเป็ นเวลานาน ๆ และโรคทีเ่ กิดจากการใช้งานอวัยวะ ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
ซ้าซากและนานเกินไป ได้แก่ การปวดหลัง ปวดไหล่ และปวดขา เป็ นต้น
2.4 สาเหตุทม่ี าจากสิง่ คุกคามทางจิตวิทยาสังคม หมายถึง สิง่ แวดล้อมทางการ
ทางานทีก่ ่อให้เกิดความเครียด (Occupational stress) จากภาวะของจิตใจทีถ่ ูกบีบคัน้ เกิดการ
เปลี่ยนแปลงทางสรีระของร่างกาย จากสภาวะแวดล้อมการทางานที่ไม่เหมาะสม การทางาน
ซ้าซาก งานหนัก เกินไป สัมพันธภาพระหว่ างบุค คลต่ าง ๆ ในที่ทางานความรับผิดชอบสูง
บทบาทที่ไ ม่ช ัด เจน ความก้า วหน้ า ในต าแหน่ ง งานน้ อ ย ซึ่งนับ ว่ า สาเหตุ ท่จี ะน าไปสู่ภ าวะ
ความเครียดสะสม
3. ปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่ งแวดล้อมทัวไป
่ เป็ นภาวะทีเ่ กิดจากสภาพแวดล้อมทีร่ อบตัวเรา
ที่อาจเกิดขึ้นโดยตรง และโดยอ้อมที่รบั มาในลักษณะรู้ตวั และไม่รู้ตวั ทัง้ ภายในและภายนอก
ได้แก่
220
โรคที่เกิ ดจากการทางานที่มีผลต่อสุขภาพ
โรคจากการท างาน หมายถึง โรคและการบาดเจ็บจากการทางาน โดยแบ่ง สาเหตุ
หรือลักษณะการเกิดโรค เป็ น 2 ประเภท คือ (กาญจนา นาถะพินธุ, 2551, หน้า 162-170)
1. โรคหรื อ ความผิ ด ปกติ จากการท างาน (Occupational diseases) หมายถึง
โรคหรือความเจ็บป่ วยที่เกิดขึน้ กับผู้ปฏิบตั ิงานโดยมีสาเหตุจากการสัมผัสสิง่ คุกคามสุขภาพ
ในการทางานของสถานทีป่ ฏิบตั งิ าน ซึง่ อาการเจ็บป่ วยทีเ่ กิดขึน้ กับผู้ปฏิบตั งิ านในขณะทางาน
หรือ หลังจากทางานเป็ นระยะเวลานาน และโรคบางอย่างอาจจะเกิดขึ้นภายหลังที่หยุดการ
ทางานหรือ ลาออกจากงานนัน้ ๆ แล้ว ทัง้ นี้ข้นึ อยู่กับประเภทของสิง่ คุกคามสุ ขภาพอนามัย
ปริมาณสารที่ได้รบั และโอกาสหรือวิธกี ารที่ได้รบั ตัวอย่าง โรคที่สาคัญ ๆ เช่น โรคพิษตะกัว่
(ซึ่งพบมาในคนงานที่ทางานในโรงงานกลุ่ ม อิเ ล็ก ทรอนิค ส์) การทางานในสภาพที่ม ีฝุ่ นหิน
และหายใจเอาฝุ่ นหินทรายเข้าไปในปอดเกิดโรคปอดจากโรคซิลโิ คซิส (Silicosis) โรคพิษสารทา
ละลายต่าง ๆ (Organic Solvent toxicity) อาการอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น หรือ ข้อ ต่ อ
อันเป็ นผลการจากทางานที่ซ้าซากด้วยท่า ทางที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมเป็ นเวลานานๆ เป็ นต้น
ซึง่ สามารถพิสจู น์ได้ในเชิงสาเหตุและผลกระทบ
2. โรคเนื่ องจากงานหรื อ การบาดเจ็บจากการทางาน (Work-related diseases
/Occupational injuries) หมายถึ ง โรคหรือ ความเจ็ บ ป่ วยที่เ กิ ด ขึ้น กั บ คนท างาน
หรือ ผู้ปฏิบตั ิงาน ซึ่งเป็ นการบาดเจ็บจากการทางานเป็ นผลเนื่อ งมาจากการได้รบั อุ บตั ิเ หตุ
ขณะทางาน โดยมีสาเหตุมาจากปั จจัยต่าง ๆ ที่มสี ่วนทาให้เกิดโรค เช่น พันธุกรรม พฤติกรรม
221
2.20 โรคจากสารกาจัดศัตรูพชื
2.21 โรคจากสารเคมีอ่นื หรือสารประกอบของเคมีอ่นื
2.22 โรคจากเสียง
2.23 โรคจากความร้อน
2.24 โรคจากความเย็น
2.25 โรคจากความสันสะเทื
่ อน
2.26 โรคจากความกดดันอากาศ
2.27 โรคจากรังสีไม่แตกตัว
2.28 โรคจากรังสีแตกตัว
2.29 โรคจากแรงหรือแคดเมีย่ มเหล็กไฟฟ้ าอื่นๆ
2.30 โรคจากฝุ่ น
2.31 โรคติดเชือ้ จากการทางาน
2.32 โรคอื่น ๆ ซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่อ งจากการ
ทางาน
จะเห็นได้ว่า การประกอบอาชีพต่ าง ๆ ของพนักงานในสถานประกอบการเป็ นส่ ว น
สาคัญที่ทาให้เกิดโรคต่าง ๆ อันเนื่องจากการทางาน ซึ่งก่อให้เกิดโรคหลายโรค หากขาดการ
ป้ องกัน ดูแลทีด่ จี ากผูบ้ ริหารซึง่ สามารถกาหนดเป็ นนโยบายอย่างชัดเจนให้ทุกคนได้ ปฏิบตั ติ าม
รวมทัง้ มีก ฎระเบีย บข้อ บัง คับ อย่ า งเคร่ ง ครั ด ในการเอาใจใส่ ข องพนั ก งานผู้ ป ฏิบ ัติง าน
ซึง่ โรคต่าง ๆ ทีส่ ามารถเกิดจากการทางาน สามารถแสดงให้เห็นได้ดงั ภาพที่ 4.1
อันตรายและการป้ องกันอันตรายจากสภาพแวดล้อมในการทางาน
การประกอบอาชีพในสถานประกอบการจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมในการทางานที่
เป็ นปั จจัยทีอ่ าจก่อให้เกิดอุบตั เิ หตุในการทางานโดยเฉพาะอย่างยิง่ สภาพแวดล้อมการทางานที่
มีเครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจักรทีเ่ ป็ นกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมหนักและเบา ดังนัน้ การ
เกิดอันตรายในการทางานกับสภาพแวดล้อมทีม่ เี ครื่องจักรที่มกี าลังการผลิตสูงก็ยอ้ มต้องมีการ
ป้ องกันอันตรายอันทีจ่ ะเกิดขึน้ เนื่องจากอุบตั เิ หตุนนั ้ สามารถเกิดขึน้ ได้ตลอดเวลาไม่ว่าเกิดจาก
ปั จจัยสาเหตุพน้ื ฐานหรือเกิดจากสภาพแวดล้อมการทางานก็ตาม จึงสามารถจาแนกถึงอันตราย
ทีจ่ ะเกิดขึน้ ได้จากการประกอบอาชีพได้ดงั นี้
228
ความดัง (เดซิเบล เอ) 106 107 108 109 110 111 112 113 114 115
ระยะเวลาสัมผัส (ชั ่วโมง) 52 45 37 33 30 25 22 18 16 15
ทีม่ า : วิทยา อยูส่ ุข, 2549, หน้า 59
วิ ธีป้องกันอันตรายจากเสียง
ในสถานประกอบการที่มกี ารทางานที่ทาให้เกิดเสียงดังรบกวนนัน้ ควร จะต้องมีการ
วิเคราะห์ความเสี่ยง และหาวิธกี ารจัดการป้ องกันเพื่อมิให้เกิดเป็ นอันตรายต่อ สภาพแวดล้อม
ในการทางานของทุกคน ดังนี้
1. ตรวจวิเคราะห์หาค่าระดับความดังของเสียงภายในสถานประกอบการว่าอยู่ในเกณฑ์
ปกติหรือควรจะต้องดาเนินการควบคุมป้ องกัน
2. มีมาตรการกาหนดเพื่อควบคุมมิให้เกิดการสูญเสียการได้ยนิ ของผูป้ ฏิบตั งิ าน
3. หาวิธกี ารลดระดับเสียงดังจากแหล่งกาเนิดของเสียงและพยายาม ควบคุมเพื่อมิให้
เป็ นอันตรายกับผูป้ ฏิบตั งิ าน
4. กาหนดระยะเวลาการทางานทีต่ อ้ งสัมผัสกับเสียง
5. ควรมีการตรวจวัดระดับการได้ยนิ ของคนงานทีส่ มั ผัสกับเสียงดัง
6. ใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
7. การตรวจเช็คเครือ่ งมืออุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการตรวจวัดค่าระดับความดัง ให้อยู่ในสภาพดี
พร้อมใช้งานเสมอ
8. การบันทึกรายงานหรือสถิตติ ่างๆ เพื่อเป็ นข้อมูลในการวิเคราะห์
230
2. อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางเคมี
การที่ พ นั ก งานหรื อ ผู้ ป ระกอบอาชี พ จะได้ ร ั บ อั น ตรายจากสารเคมี จ าก
สภาพแวดล้อมในการปฏิบตั งิ าน มากหรือน้อยขึน้ อยูก่ บั ปั จจัยเกีย่ วข้อง ดังนี้
2.1 คุณสมบัตขิ องสารเคมี เช่น ขนาด รูปร่างและความหนาแน่ น และคุณสมบัติ ทาง
เคมี
2.2 ปริมาณหรือน้าหนักทีไ่ ด้รบั เข้าสู่รา่ งกายและการสะสม
2.3 สภาวะของร่างกายของผูไ้ ด้รบั สารเคมีเข้าสู่ร่างกาย เช่น เด็ก ผูใ้ หญ่ เพศหญิง
เพศชาย ผูส้ งู อายุ จะมีความต้านทานทีแ่ ตกต่างกัน
2.4 สภาวะแวดล้อม เช่น อุณหภูม ิ ความชืน้ และบริเวณสถานทีอ่ บั อากาศมีผลทา
ให้ให้เป็ นอันตรายต่อสุขภาพมากขึน้ ได้
อันตรายทีเ่ กิดจากสารเคมีทเ่ี ป็ นอันตรายทีเ่ กิดจากสภาพแวดล้อมทางเคมีสามารถ
เข้าสู่ร่างกายของผูป้ ฏิบตั งิ าน โดยขณะทีผ่ ปู้ ฏิบตั งิ านได้รบั จากการสัมผัสทีจ่ ะเข้าสู่ร่างกายของ
สารเคมีได้ 3 ทาง ดังนี้
235
หายใจเข้าสู่ร่างกายจะทาให้เกิดอาการระคายเคืองต่อจมูกและเยื่อบุจมูก หรือเยื่อบุจมูกอักเสบ
เป็ นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจได้
3.6 ไอสาร (Vapor) เกิดจากการระเหยเป็ นไอสารไปปนอยู่ในอากาศของ ก๊าซ
ของสารที่เป็ นของแข็งหรือของเหลว เช่น เบนซิน (Benzene) เมื่อหายใจเข้าสู่ร่างกายใน
ปริมาณมากจะเป็ นอันตรายต่อระบบหายใจและระบบอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้
3.7 สารตัวทาละลาย (Solvents) เป็ นสารเคมีทเ่ี ป็ นอันตรายต่อสุขภาพซึง่ มี ใช้
กัน มากในอุ ต สาหกรรม ของเหลวใช้ส าหรับ เป็ น ตัว ท าละลายอิน ทรีย์อ่ ืน ๆ ได้แ ก่ เบนซิน
(Benzene) น้ ามันสน (Turpentine) และแอลกอฮอล์ (Alcohol) เมื่อเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก
จะทาให้เป็ นอันตรายต่อสุขภาพของร่า งกาย เกิดอาการแพ้หรือ เป็ นพิษ หรืออาการผิดปกติ
เรือ้ รังได้ คือ จะทาลายโลหิต ปอด ตับ ไต ระบบทางเดินอาหารและอวัยวะสาคัญๆ หรือเนื้อเยื่อ
ซึง่ ความรุนแรงขึน้ อยูก่ บั องค์ประกอบและขนาดความรุนแรงของตัว ทาละลาย การได้รบั สารเคมี
บางชนิ ด เข้า สู่ร่า งกายทีล ะน้ อ ยๆ และสะสมในร่า งกายจนเกิด เป็ น พิษ ขึ้น มาท าให้ม ีอ าการ
ผิดปกติ หรือเป็ นโรคปอดชนิดอื่นๆ และอาจทาให้เกิด โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งที่
ระบบสร้างเม็ดโลหิต มะเร็งระบบทางเดินหายใจ มะเร็งทีก่ ระเพาะปั สสาวะ เป็ นต้น
วิ ธีการควบคุมฝุ่ นละออง
ในสถานประกอบการจาเป็ นต้องหาวิธกี ารควบคุมและป้ องกันมิให้ สภาพแวดล้อมของ
การทางานเป็ นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพหรือ พนักงาน และสิง่ แวดล้อมที่มกี าร
ผลิตทีม่ สี ารพิษทีเ่ ป็ นอันตราย เช่น สารเคมีฝนุ่ ต่าง ๆ โดยใช้วธิ กี ารทางวิศวกรรมควบคุม หรือ
วิธกี าร อื่นทีม่ คี วามเหมาะสมสอดคล้องกับการทางาน ได้แก่
1. วิธกี ารปิ ดคลุมต้นตอหรือแหล่งทีม่ กี ารเกิดปั ญหาฝุ่ นละอองเป็ นจานวนมาก เช่น
ติดตัง้ ระบบระบายอากาศเฉพาะจุดทีม่ ปี ั ญหาและต้องไม่ทาความเดือดร้อนเสียหายไปยังทีอ่ ่นื ๆ
2. แยกกระบวนการหรือเครื่องจักรที่เป็ นต้นเหตุของปั ญหาออกจากบริเวณที่ม ี
พนั ก งานท างานเป็ น จ านวนมาก หรือ หาวิธ ีก ารที่จ ะท าให้พ นั ก งานท างานสัม ผัส กับ สิ่ง ที่
ก่อให้เกิดปั ญหาน้อยทีส่ ุด
3. ใช้วธิ กี ารหาวัสดุทม่ี อี นั ตรายน้อยกว่ามาใช้แทนวัสดุทเ่ี ป็ นอันตรายมาก
4. การทาให้เกิดความชื้นหรือระบบเปี ยกเข้าช่วยเพี่อช่วยลดการฟุ้งกระจายของ
ฝุ่ น หรือ สารเคมี
5. การติดตัง้ ระบบกาจัด หรือกักเก็บบรรจุถุงหรือติดตัง้ เครื่องดูดเฉพาะที่ ณ
สถานทีท่ ม่ี กี ารทางานจุดทีเ่ ฉพาะ
6. ทาความสะอาดบริเวณสถานทีท่ างานทีม่ คี วามเสีย่ วบ่อยและเป็ นประจาเพื่อให้
เกิดการกาจัดสารพิษตกค้าง
7. การใช้วสั ดุสาหรับเครือ่ งป้ องกันร่างกายอย่างรัดกุมและปลอดภัย
237
5. อันตรายด้านการยศาสตร์ (Ergonomics)
เป็ นอันตรายที่เ กิดจากการทางานที่มใี ช้ท่าทางการทางานที่ไม่เหมาะสม วิธกี าร
ปฏิบ ัติงานไม่ถู ก ต้อ งการปฏิบตั ิงานที่ซ้า ซาก และความไม่สมั พันธ์กัน ระหว่างคนกับงานที่
ปฏิบตั งิ าน เครือ่ งจักร เครือ่ งมือ อุปกรณ์ในการปฏิบตั งิ าน รวมทัง้ สิง่ แวดล้อ มอื่น ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง
ในการทางานซึง่ สิง่ ต่าง ๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดความเจ็บป่ วย อันตราย หรืออุบตั เิ หตุจากการทางาน
จากการพิจารณาถึงสภาพปั ญหาและอันตรายของการเกิดโรคที่เนื่องจากการทางาน
ทาให้ได้มกี ารออกกฎหมายเพื่อมากาหนดให้นายจ้างหรือผูป้ ระกอบการรวมทัง้ ลูกจ้างได้มกี าร
ปฏิบ ัติต ามอย่า งเคร่ง ครัด โดยเฉพาะนายจ้า ง ต้อ งปฏิบ ัติต ามเพื่อ ให้ เ ป็ น ไปตามกฎหมาย
คุม้ ครองแรงงาน ซึ่งได้มกี ารกาหนดหลักเกณฑ์และวิธกี ารตรวจสุขภาพของลูกจ้าง และส่งผล
การตรวจแก่พนักงานตรวจแรงงาน พ.ศ.2547 อาศัยอานาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา
107 แห่งพระราชบัญญัตคิ ุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้อ 2 ในกฎกระทรวงนี้ ให้นายจ้างต้องมี
การดูแลลูกจ้างผู้ปฏิบตั ิงานตัง้ แต่การเข้ามาเริม่ งานโดยการดาเนินการตรวจสุขภาพร่างกาย
ลูกจ้างก่อนทางานในตาแหน่งนัน้ โดยมีขอ้ ความว่า
“การตรวจสุขภาพ” หมายความว่า การตรวจร่างกายและสภาวะทางจิตใจตามวิธที าง
การแพทย์เพื่อให้ทราบถึงความเหมาะสม และผลกระทบต่อสุขภาพของลูกจ้างอันอาจเกิดจาก
การทางาน “งานเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยง” หมายความว่างานทีล่ กู จ้างทาเกีย่ วกับ
(1) สารเคมีอนั ตรายตามทีร่ ฐั มนตรีประกาศกาหนด
(2) จุลชีวนั เป็ นพิษซึง่ อาจเป็ นเชือ้ ไวรัส แบคทีเรียรา หรือสารชีวภาพอื่นตามทีร่ ฐั มนตรี
ประกาศกาหนด
(3) กัมมนตภาพรังสี
239
ชื่อนายจ้าง ........................................................
( .......................................................)
ตาแหน่ง .............................................................
241
ความหมายและความสาคัญของอุปกรณ์ ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล
ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง กาหนดมาตรฐานอุปกรณ์คุม้ ครอง
ความปลอดภัยส่วนบุคคล พ.ศ. 2554
โดยที่พระราชบัญญัตคิ วามปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
พ.ศ. 2554 กาหนดให้นายจ้างจัดและดูแลให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วน
บุคคล ทีไ่ ด้มาตรฐานตามทีอ่ ธิบดีประกาศกาหนด อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๒๒ แห่ง
พระราชบัญญัตคิ วามปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ. 2554
อันเป็ นกฎหมายที่มบี ทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการ จากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ซึ่ง มาตรา 29 ประกอบด้ว ยมาตรา 33 มาตรา 41 และมาตรา 43 ของรัฐ ธรรมนู ญ แห่ ง
ราชอาณาจักรไทย บัญญัตใิ ห้กระทาได้โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมายอธิบดีกรม
สวัสดิการและคุม้ ครองแรงงานจึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกรมสวัสดิก ารและคุ้มครองแรงงาน เรื่อ ง ก าหนด
มาตรฐานอุปกรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคล พ.ศ. 2554”
ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บงั คับตัง้ แต่วนั ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็ นต้นไป
ข้อ 3 มาตรฐานอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล ได้แก่ มาตรฐานผลิตภัณฑ์
อุตสาหกรรม มาตรฐานขององค์การมาตรฐานสากล (International Standardization and
Organization : ISO) มาตรฐานสหภาพยุโรป (European Standards : EN) มาตรฐานประเทศ
ออสเตรเลีย และประเทศนิวซีแลนด์ (Australia Standards/New Zealand Standards :
AS/NZS) มาตรฐาน สถาบันมาตรฐานแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา (American National
Standards Institute : ANSI) มาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศญี่ป่ ุน (Japanese Industrial
Standards : JIS) มาตรฐานสถาบัน ความปลอดภัยและอนามัยในการทางานแห่งชาติประเทศ
สหรัฐอเมริกา (The national Institute for Occupational Safety and Health : NIOSH)
มาตรฐานสานักงานบริหารความปลอดภัย และอาชีวอนามัยแห่งชาติ กรมแรงงาน ประเทศ
สหรัฐอเมริกา (Occupational Safety and Health Administration : OSHA) และมาตรฐาน
สมาคมป้ องกันอัคคีภยั แห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Fire Protection Association : NFPA)
ทัง้ นี้ ให้เหมาะสมกับชนิดหรือประเภทของงานทีล่ กู จ้างปฏิบตั ิ
และประกาศกระทรวงมหาดไทย ข้อ 2(7) และข้อ 14 ฉบับที่ 103 กาหนดสวัสดิการ
เกี่ยวกับสุขภาพอนามัย และความปลอดภัยสาหรับลูกจ้าง โดยในแต่ละฉบับได้กาหนดให้
นายจ้างจัดหาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลแต่ละประเภทให้ลูกจ้างสวมใส่ขณะปฏิบตั งิ าน
และในบางฉบับ จะก าหนดเป็ นหมวดมาตรฐานเกี่ย วกับ อุ ป กรณ์ คุ้ม ครองความปลอดภัย
ส่วนบุคคล
242
ความหมายของอุปกรณ์ ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล
อุปกรณ์ ป้องกันอันตรายส่ วนบุคคล (Personal Protective Devices = PPD
หรือ Personal Protective Equipment = PPE) หมายถึง อุปกรณ์สาหรับผูป้ ฏิบตั งิ านสวมใส่
ขณะทางานเพื่อป้ องกันอันตรายทีอ่ าจเกิดขึน้ อันเนื่องมาจากสภาพ และสิง่ แวดล้อมการทางาน
การใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เป็ นวิธกี ารหนึ่งในหลายวิธกี ารป้ องกัน อันตรายจาก
การทางาน โดยทัวไปจะยึ
่ ดหลักการป้ องกัน ควบคุมทีส่ งิ่ แวดล้อมการทางานก่อน ในกรณีทไ่ี ม่
สามารถดาเนินการได้ จึงนากลวิธกี ารใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลมาแทน
ความสาคัญของอุปกรณ์ ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล
1. อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่ วนบุคคลเป็ นอุปกรณ์ท่ใี ช้ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
เนื่องจากอุบตั ิเหตุขณะทางาน เมื่อผู้ปฏิบตั ิงานในสภาพแวดล้อมที่มคี วามเสี่ยงในการเกิด
อันตรายหรืออาจจะประสบอุบตั เิ หตุกย็ อ่ มมีอุปกรณ์ป้องกันอันตรายเพื่อสวมใส่ป้องกันไม่ให้เกิด
ความเสีย่ งทีอ่ าจจะเกิดอันตรายได้ ในลักษณะการช่วยลดจากหนักให้เป็ นเบาได้
2. อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลช่วยป้ องกันอันตรายทีเ่ กิดขึน้ โดยตรงในสภาพ
การทางานนัน้ เช่น ที่อบั อากาศมีอุปกรณ์ทช่ี ่วยในการหายใจจะช่วยได้ในระยะเวลาอาจจะไม่
นานมาก แต่กย็ งั ช่วยชีวติ ได้ในขณะทีก่ าลังเกิดภาวะวิกฤติได้
3. อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลเป็ นอุปกรณ์ท่สี ามารถช่วยลดความรุน แรงหรือ
หยุดยัง้ อันตรายที่จะเกิดขึน้ กับผู้ปฏิบตั งิ าน เช่น รองเท้านิรภัยเมื่อสิง่ ของหรือวัตถุของแข็งตก
หล่น หรือกระแทกสู่เท้าจะช่วยป้ องกันให้ลดอันตราย บาดเจ็บ และเจ็บป่ วย
ซึ่งโดยทัวไปจะมี
่ การป้ องกันและควบคุมที่สภาพและสิง่ แวดล้อมของการทางานก่อน
โดยการแก้ไขปรับปรุงทางวิศวกรรม การกัน้ แยกไม่ให้ปะปนกับสิง่ อื่น หรือการใช้เซฟการ์ดแบบ
ต่าง ๆ หรือการที่จะต้องปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เปลี่ยนกรรมวิธกี ารทางาน ส่วนในกรณีท่ไี ม่
สามารถ ดาเนินการดังกล่ าวได้ก็จะนากลวิธกี ารใช้อุ ปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลมาใช้
ประกอบด้วย เพื่อช่วยป้ องกันอวัยวะของร่างกายในส่วนที่ต้องสัมผัสงานมิให้ประสบอันตราย
จากภาวะอันตรายทีอ่ าจเกิดขึน้ ขณะทางานอยูไ่ ด้ ซึง่ สามารถแบ่งออกได้ดงั นี้
1. เครื่องป้ องกันศีรษะ (Head Protection Devices)
เป็ นอุปกรณ์คุม้ กันทีใ่ ช้สาหรับป้ องกันศีรษะจากการถูกกระแทก ชน หรือวัตถุตกจาก
ทีส่ งู มากระทบศีรษะ มีลกั ษณะแข็งแรงและทาด้วยวัสดุทแ่ี ตกต่างกันออกไป หมวกนิรภัยซึง่ แบ่ง
ออกเป็ น 2 แบบ คือ แบบมีขอบหมวกโดยรอบ กับแบบทีม่ เี ฉพาะกระบังด้านหน้า
หมวกนิรภัยประกอบด้วย ตัวหมวก ทามาจากพลาสติก โลหะ หรือ ไฟเบอร์กลาส
สายพยุง ได้แก่ สายรัดศีรษะ และสายรัดด้านหลังศีรษะ ซึง่ สามารถปรับ ให้เหมาะสมกับผูส้ วม-
ใส่ได้ดว้ ย สายรัดคาง คือ สายรัดใต้คางเพื่อให้กระชับยิง่ ขึน้ แผ่นซับเหงือ่ ทามาจาก
243
5) ทนความร้อนไม่ตดิ ไฟง่าย
6) ราคาถูก
การดูแลรักษาแว่นนิ รภัย
1. ทาความสะอาดด้วยการล้างด้วยสบู่กบั น้าอุ่น แล้วแช่ในน้ายาฟี นอล น้ ายาไฮโดรคลอ
ไรด์ หรือน้ายาแอมโมเนียนานประมาณ 10 นาที แล้วทิง้ ไว้ให้แห้งหรือใช้เครือ่ งเป่ าให้แห้ง
2. เก็บไว้ในทีท่ ไ่ี ม่มฝี นุ่ และความชืน้ สูง
3. เมื่อ มีก ารชารุดเสียหายควรซ่อ มแซมปรับปรุงให้ส ามารถใช้งานได้อ ย่างปกติ
และควรใช้เป็ นอุปกรณ์ส่วนตัว ไม่ควรใช้รว่ มกันแบบของส่วนรวม
5. อุปกรณ์ป้องกันเท้าและขา
เป็ นอุปกรณ์ป้องกันเท้าและขาที่สาคัญ และมีความจาเป็ นอย่างยิง่ สาหรับ ผู้ท่ี ต้อง
ทางานในสถานทีท่ อ่ี าจเกิดอันตรายกับเท้า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อส่วนเท้าทีอ่ าจจะได้รบั
252
ชนิดของอุปกรณ์ป้องกันเท้ากับการใช้งาน
1. รองเท้าชนิดหุม้ ข้อ (congress shoes) ใช้สาหรับป้ องกันอันตรายจากการกระเด็น
ของน้าโลหะ หรืองานทีอ่ าจมีอนั ตรายจากการกระเด็นของเศษวัสดุหรือการระเบิดทีไ่ ม่รุนแรงนัก
และ เป็ นฉนวนทีด่ สี าหรับการใช้งานไฟฟ้ า
2. รองเท้าหุ้มแข้ง หรือรองเท้าป้ องกันการจุดประกายไฟ (non sparking shoes)
เป็ นรองเท้าที่อ อกแบบสาหรับป้ องกันอันตรายจากการทางาน ที่มคี วามร้อนจากการถลุ ง
หรือหลอมโลหะ งานเชื่อมต่าง ๆ ซึ่งจะต้องไม่มกี ารเจาะตาไก่ ร้อยเชือก เนื่องจากจะเป็ น
ช่องทางให้โลหะทีห่ ลอมเหลวกระเด็นหรือไหลเข้ารองเท้าได้ และจะต้องสวมใส่สะดวกและถอด
ได้งา่ ยรวดเร็วในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
3. รองเท้าพื้นแข็ง (reinforced shoes) เป็ นโลหะที่ยดื หยุ่นได้ใช้สาหรับงานก่อสร้าง
ป้ องกันการกระแทก การกดทับและของแหลมคมทิม่ ตา หรือไม่ให้โลหะ หรือตะปูตาเท้า แต่ต้อง
มันใจว่
่ าการทางานไม่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้ า
4. รองเท้าพืน้ ไม้เหมาะสาหรับการใช้งานในสถานทีท่ างานทีพ่ ้นื เปี ยกชืน้ ตลอดเวลา
หรือ มีความร้อน เช่น โรงงานผลิตเบียร์ และ งานทีเ่ กีย่ วกับการลาดยางแอสฟั ลท์
5. รองเท้านิรภัยครอบโลหะหลังเท้า (safety shoes with metatarsal) เหมาะสาหรับใช้
กับการทางานทีอ่ าจมีวตั ถุสงิ่ ของน้าหนัก วัสดุหนักหล่นใส่เท้า มากตกใส่ทบั หรือกระแทกเท้าใน
การเคลื่อนย้ายสิง่ ของทีน่ ้าหนักมาก นิยมใช้ในโรงงานถลุงเหล็ก และหล่อโลหะ
6. รองเท้าป้ องกันสารเคมี ทาจากวัสดุท่ที นต่อการกัดกร่อนของสารเคมี เช่น ไวนิล
นีโอพรีน ยางธรรมชาติ หรือยางสังเคราะห์ แบ่งเป็ นชนิดทีม่ หี วั โลหะ และไม่มหี วั โลหะ
253
การดูแลรักษารองเท้าและอุปกรณ์ป้องกันขา
การดูแลรักษารองเท้าและอุปกรณ์ป้องกันขาหลังการใช้งานต้องทาความสะอาดทัง้ ด้าน
นอกด้านในด้วยน้าธรรมดา หรือใช้น้าฆ่าเชือ้ เช็ดให้แห้ง หรือล้างด้วยน้าแล้ววางไว้ให้แห้ง
วิ ธีการใช้เครื่องกรองอากาศอย่างปลอดภัย
1. ต้องตรวจสอบสภาพของเครื่องกรองอากาศทัง้ หน้ากากและแผ่นกรอง ให้อยู่
ในสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย
2. เวลาจะใช้งานต้องตรวจดูและปรับแผ่นกรองต่อกับหน้ากากหรือ กระป๋ อง
ภาชนะบรรจุสารเคมีให้เรียบร้อย และอยูใ่ นตาแหน่งทีไ่ ม่เกะกะในการทางาน
3. ตรวจสอบและทดสอบลิ้นเปิ ด – ปิ ดว่าอากาศผ่ านเข้าออกได้เ ป็ นอย่างดี
หากผิดปกติตอ้ งแก้ไขก่อนนาไปใช้
4. หมันสั
่ งเกตและตรวจสอบขณะทางานหากมีการรัวซึ ่ มของอุปกรณ์ ต้องรีบออก
จากบริเวณทางานทันที
5. หลังการใช้งานต้องมีการทาความสะอาดดูแลบารุงรักษาอย่างถูกวิธ ี ทุกครัง้
ทัง้ แผ่นกรองและวัสดุบรรจุสารเคมี
3. หน้ ากากกรองสารเคมี มีลกั ษณะเป็ นหน้ ากากปิ ดครึง่ ใบหน้ า ผลิตจากพลาสติก
หรือยาง และมีท่กี รองอากาศติดอยู่บริเวณจมู ก ซึ่งภายในบรรจุผงถ่าน เพื่อ ทาหน้ าที่ดูดซับ
ไอของสารหรือก๊าซพิษ ประเภทไอพิษของสารอินทรีย์ เช่น แอลกอฮอล์ เบนซิน ไอน้ า มัน
อะซีโตน คาร์บอนเตตราคลอไรด์ คลอโรฟอร์ม หน้ากากชนิดนี้เหมาะสาหรับใช้ในที่ทม่ี อี ากาศ
พิษความเข้มข้นตาเท่านัน้ และไม่เหมาะสาหรับบริเวณที่มอี อกซิเจนน้ อย บริเวณที่มสี ารพิษ
ชนิดไม่มกี ลิน่ หรือสารพิษชนิดทีท่ าให้เกิดการระคายเคืองตา และมีระยะเวลาใช้ทจ่ี ากัดเช่นกัน
259
หน้ ากากแบบเปลี่ยนตลับกรอง
7. อุปกรณ์ป้องกันพิ เศษที่ใช้งานเฉพาะ
ในการปฏิบตั ิงานใดที่มคี วามเสี่ยงอันอาจเกิดอุบตั ิเหตุหรือความไม่ปลอดภัยจาก
สภาพของการทางานจาเป็ นอย่างยิง่ ที่จะต้องมีอุปกรณ์อานวยความสะดวกเฉพาะงาน แต่ละ
ชนิดในการป้ องกันอันตรายให้กบั ผูป้ ฏิบตั งิ าน ได้แก่
7.1 อุปกรณ์ป้องกันลาตัวเพื่อใช้ป้องกันของแหลมคมหรือมีแง่คมต่าง ๆ ใช้ในการ
บรรจุหบี ห่ อ กันการกระทบกระแทกที่ไม่รุ นแรงนัก และกันสิ่งของกระเด็นมากระทบบริเ วณ
260
การเลื อ กและใช้ อุปกรณ์ ป้อ งกันอันตรายส่ วนบุค คล ให้ เกิ ด ประสิ ท ธิ ภ าพนั ้น
ผูร้ บั ผิดชอบควรยึดหลัก ดังนี้
การเลือกและใช้อปุ กรณ์ ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลให้ เกิ ดประสิ ทธิ ภาพ
1. รูจ้ กั และเข้าใจในการใช้ให้แน่นอนเสียก่อน ผูป้ ฏิบตั งิ านจะใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตราย
ส่วนบุคคลแต่ละชนิดของการป้ องกันจะต้องมีความเข้าใจ และความรูก้ ่อนใช้งานเสมอ โดยการ
ฝึกอบรมการใช้จากผูท้ ่มี คี วามรูห้ รือหัวหน้างานทีไ่ ด้รบั การฝึกอบรมมาก่อน เพื่อให้การใช้งาน
เกิดประสิทธิภาพ และสามารถใช้งานได้ดชี ่วยป้ องกันอันตราย การบาดเจ็บจากการปฏิบตั งิ าน
2. โน้มน้าวให้ผปู้ ฏิบตั งิ านเห็นถึงประโยชน์จากการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วน
บุคคลแต่ละประเภทของการใช้ป้องกัน จะส่งผลดีให้เกิดความปลอดภัยในการทางาน หัวหน้า
งานผู้ควบคุมการทางานต้องมีวธิ กี ารโน้มน้าว หรือชักนาให้ผู้ปฏิบตั งิ านที่เกี่ยวกับความเสี่ยง
ในการทางานให้ส วมใส่ อุ ป กรณ์ ป้ อ งกัน อัน ตรายส่ ว นบุ ค คลเพื่อ ให้เ กิด การลดการบาดเจ็บ
เจ็บป่ วยอันเกิดจากการทางาน นับได้ว่าเป็ นดูแลเอาใจใส่กบั ผู้ปฏิบตั งิ านอีกทางหนึ่งซึ่งเป็ น
หน้าทีแ่ ละบทบาทของหัวหน้างาน
3. รูว้ ธิ เี ก็บและดูแลบารุงรักษาอยู่เสมอ การทาให้อุปกรณ์สวมใส่ป้องกันอันตรายส่วน
บุคคลของผูป้ ฏิบตั งิ านจะมีอายุการใช้งานได้นานและเกิดประสิทธิภาพคุม้ ค่าต้องมีความรูใ้ นการ
วิธกี ารเก็บรักษาและดูแลบารุงรักษาอย่างใส่ใจ สม่าเสมอและถูกวิธ ี เช่น การทาความสะอาดที่
ถูกวิธ ี การเก็บไว้ในทีท่ เ่ี หมาะสม เป็ นต้น เพื่อเป็ นลดต้นทุนในการจัดซือ้ หากชารุดบ่อยหรือพัง
ก่อนระยะเวลาการใช้งาน
4. จัดแผนการใช้เ พื่อ ให้เ คยชิน มีก ารจัดกิจกรรมการฝึ กอบรม หรือ จูงใจให้เ กิด
ความคุน้ เคยกับการใช้อุปกรณ์สวมใส่ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล โดยให้มหี วั หน้างานคอยกากับ
ตรวจสอบในสถานทีห่ รือบริเวณพนักงานปฏิบตั งิ านอย่างเคร่งครัด และสม่าเสมออย่างต่อเนื่อง
5. มีระเบียบ ข้อบังคับให้ผปู้ ฏิบตั งิ านใช้ ควรจัดกิจกรรมการรณรงค์ในเรือ่ งการสวมใส่
อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลโดยให้มกี ารใช้กฎ ระเบียบข้อบังคับในการสวมใส่อุปกรณ์
ป้ องกันอันตราย หากผู้ปฏิบตั ิงานมีการฝ่ าฝื นหรือละเมิด ก็มมี าตรการลงโทษ หรือตักเตือ น
และสร้างความตระหนักถึงอันตรายจากการทางานทีไ่ ม่มกี ารสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
การเสริ มสร้างสุขภาพและความปลอดภัยในการทางาน
การสร้ า งเสริม สุ ข ภาพเป็ นกระบวนการที่ เ อื้ อ อ านวยให้ บุ ค ลากรผู้ ป ฏิ บ ัติ ง าน
ตระหนักถึงการมีสุขภาพทีด่ ี มีความรูแ้ ละศักยภาพในการควบคุมและปรับปรุงสุขภาพอนามัย
และความปลอดภัยให้กบั ตนเองทีเ่ ข้าถึงสภาวะทีส่ มบูรณ์ทงั ้ กาย จิตและสังคมอย่างมีความสุข
บุคคลหรือกลุ่มบุคคลต้องสามารถระบุถงึ สิง่ ทีต่ อ้ งการในการดูแลสุขภาพอนามัย และบรรลุในสิง่
ที่ต้ อ งการได้ร วมถึง สามารถปรับ ตัว เข้า กับ สิ่ง แวดล้อ มหรือ สภาพแวดล้อ มในการท างาน
หรือ สามารถปรับ ตัว ให้เ ข้า กับ สิ่ง แวดล้อ มที่เ ปลี่ย นไปได้สุ ข ภาพจึงมิใ ช่ เ ป้ า หมายแห่ ง การ
ดารงชีวติ อยู่อกี ต่อไป หากแต่เป็ นแหล่งประโยชน์ ของทุกวันทีท่ าให้บุคคลสามารถดาเนินชีวติ
ไปด้ว ยความมีสุ ขภาพที่ดี สุ ขภาพเป็ นแนวคิดด้านบวกที่มุ่ง เน้ นแหล่ ง ประโยชน์ ท างสังคม
และแหล่งประโยชน์ส่วนบุคคล รวมถึงศักยภาพทางกายของบุคคล ดังนัน้ การสร้างเสริมสุขภาพ
จึงไม่เ ป็ นเพียงความรับ ผิดชอบของผู้บริห ารระดับสูง ที่ไ ด้ก าหนดแนวนโยบายให้ทุกระดับ
ในองค์การได้ปฏิบตั ใิ ห้เกิดสุขภาพอนามัยที่ดใี นการทางานเท่านัน้ แต่หากต้องเป็ นหน้าที่ของ
265
สรุป
สุขภาพอนามัยเป็ นเรื่อ งสาคัญต่อผู้ป ฏิบตั ิงานมากซึ่งการที่มสี ุขภาพอนามัยที่ดยี ่อ ม
ส่งผลทาให้การดารงชีวติ ในสังคมเป็ นบุค คลที่มคี ุ ณภาพต่ อ ประเทศชาติ ทาให้ประเทศชาติ
ลดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่ วยทัง้ กาย จิตใจ และสังคม
รวมทัง้ ด้านเศรษฐกิจ ยังส่งผลถึงผูท้ ป่ี ระกอบกิจการทีต่ ้องใช้กาลังแรงงานซึ่งเป็ นกาลังแรงงาน
ของประเทศ การเป็ นผูท้ ม่ี สี ุขภาพอนามัยทีด่ ี หมายถึงลักษณะของสุขภาพทีส่ มบูรณ์ทงั ้ ร่างกาย
จิตใจ สังคม และศีลธรรมในการดารงดีงาน และเข้มแข็งอย่างมีความสุข สุขภาพอนามัยทีด่ จี งึ มี
ความสาคัญต่อบุคคลในการประกอบอาชีพการงาน เมื่อมีสุขภาพอนามัยที่ดกี ็ย่อมทาให้ผลิต
เพิม่ ขึน้ ไม่เจ็บป่ วยใดก็ทาให้การผลิตมีต้นทุนทีล่ ดลง ทาให้องค์การมีกาไรสูงขึน้ ทาให้องค์ การ
มีการสงวนรักษาทรัพยากรมนุษย์ทม่ี คี วามรูท้ กั ษะ ความสามารถและสุขภาพทีด่ ไี ว้ได้เป็ นปั จจัย
จูงใจขององค์ก ารด้วย การที่ทาให้บุค ลากรในองค์การมีสุ ขภาพที่ดีอ งค์การต้อ งมีระบบการ
คุม้ ครองสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทางานให้กบั ผูป้ ฏิบตั งิ าน โดยจัดทาระบบการ
268
แบบฝึ กหัด
ให้ตอบคาถามให้ถกู ต้องสมบูรณ์ที่สดุ
1. ให้อธิบายความหมายของคาว่า “สุขภาพ” พร้อมยกตัวอย่าง
2. สาเหตุทท่ี าให้ผปู้ ฏิบตั งิ านเกิดโรคต่าง ๆ เกิดจากสาเหตุใดเป็ นสาคัญ
3. ให้บอกถึงความสาคัญของสุขภาพอนามัย มีอย่างไรบ้าง บอกมา 5 ข้อ พร้อมอธิบาย
4. ระบบการคุม้ ครองสุขภาพและความปลอดภัยในการทางานมีอย่างไรบ้าง
5. ให้บอกและอธิบายความหมายของของอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE)
6. ให้บอกถึงความสาคัญของอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE)
7. ให้บอกโรคทีเ่ กิดจากการทางานมีโรคอะไรบ้างและการเกิดโรคจากการทางานมีสาเหตุการ
เกิดโรคจากปั จจัยใดบ้าง
8. อันตรายและการป้ องกันอันตรายจากสภาพแวดล้อมในการทางานทีม่ ผี ลต่อร่างกายได้แก่
อะไรบ้าง
9. อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลมีกป่ี ระเภทอะไรบ้าง (บอกและอธิบายมาให้ครบ)
10. การเลือกและใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลควรมีหลักการเลือกอย่างไร
11. ลักษณะของการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยทีด่ แี ละความปลอดภัยในการทางานมีลกั ษณะที่
สาคัญอย่างไรบ้าง
12. ให้บอกประเด็นทีส่ าคัญของการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการทางาน
ว่ามีอย่างไรบ้าง
270
เอกสารอ้างอิง
กรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงาน.อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล. ค้นเมือ่
25 ธันวาคม 2559, ค้นจาก http://www.siamsafetygroup.com/article-th-34650.
กาญจนา นาถะพินธุ.(2551). อาชีวอนามัยและความปลอดภัย. (พิมพ์ครัง้ ที่ 2). ขอนแก่น:
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ความรูเ้ กีย่ วกับรองเท้านิรภัย.นิตยสาร Safetylife, ปี ท่ี 2556. ค้นเมือ่ 25 ธันวาคม 2556,
ค้นจาก http://www.thai-safetywiki.com/safety-shoe.
พจนานุกรมฉบบราชบัณฑิตยสถาน. (2525). พจนานุกรม. (ครัง้ ที่ 6). กรุงเทพฯ:
อักษรเจริญทัศน์.
พระราชบัญญัตสิ ุขภาพแห่งชาติพ.ศ.2550. (2550). ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 24 ตอน
16 มีนาคม 2550.
โรคทีเ่ กิดจากการทางาน.(ม.ป.ป.,ม.ป.น.). ค้นเมือ่ 24 ธันวาคม 2559, ค้นจาก
https://www.google.co.th/search.
วิทยา อยูส่ ุข.(2549). อาชีวอนามัยและความปลอดภัย. (พิมพ์ครัง้ ที่ 3).
คณะสาธารณสุขศาสตร์,มหาวิทยาลัยมหิดล: กรุงเทพฯ.
สินศักดิ ์ชนม์ อุ่นพรมมี.(2556). พัฒนาการสาคัญของการสร้างเสริมสุขภาพ.นนทบุร:ี
โครงการสวัสดิการวิชาการ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข.
เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหารงานอาชีวอนามัยและความปลอดภั ย.(2556).หน่ วยที่ 1-7.
(พิมพ์ครัง้ ที่ 8). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
B.Balkin & L.Cardy.(2001). Gestión de recursos humanos. Pearson Educación., Prentice-
Hall.
David, L.Goetsch. (2005). Occupationall Safety and Health. Fifth Editin. , New Jersey:
Prince-Hall.
David B.Balkin & Robert L. Cardy. (2001). Managing Human Resources. (3ed). By
Prentice – Hall,Inc., Upper Saddle Rivers :New Jersey.
Donatelle, R.J. & David, L.Goetsch. (1993). Access to Health. (2nd ed.) New Jersy:
Prince-Hall.
Kemm, J. & Close, A. (1995). Health Promotion Theory and Practice. London: Mac
Millian Press.
Gary Dessler. (2015). Human Resource Management. Fourteenth Edition. The United
States of America:. Pearson Education
271
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 5
การบริหารงานกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย
และอาชีวอนามัยในการทางาน
หัวข้อเนื้ อหา
1. พระราชบัญญัตคิ ุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541
2. การบริหารกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน
3. ขอบเขตของการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย แลสภาพแวดล้อม
ในการทางาน
4. กฎหมายกองทุนเงินทดแทน
5. หน่วยงานภาครัฐทีเ่ กีย่ วข้องกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมใน
การทางาน
6. หน่วยงาน สมาคม และองค์กรอื่น ทีเ่ กีย่ วข้องกับงานด้านความปลอดภัยและอาชีว-
อนามัย
7. สรุป
8. แบบฝึกหัด
9. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคาสอนรายวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดทิ ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
275
บทที่ 5
การบริหารงานกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย
และอาชีวอนามัยในการทางาน
การตีความกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
การตีความกฎหมายคุ้มครองแรงงานในส่วนที่กาหนดความผิดและมีโทษทางอาญา
จะต้องให้เป็ นไปเช่นเดียวกับการตีความกฎหมายอาญาทัวไป ่ ส่วนการตีความในกรณีมปี ั ญหา
หรือข้อสงสัยว่าจะตีความบทกฎหมายทีไ่ ม่ชดั แจ้งไปในทางใด ให้ ตีความไปในทางหรือนัย ที่
จะให้ การคุ้มครองลูกจ้าง และสร้างปทัสถานที่ ดีแ ก่สงั คมแรงงาน ยิง่ กว่าที่จะตีความไป
ในทางหรือนัยทีจ่ ะให้ประโยชน์แก่นายจ้างหรือปั จเจกบุคคล
ขอบเขตการบังคับใช้
พระราชบัญญัตคิ ุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ใช้บงั คับแก่นายจ้าง ลูกจ้างในการจ้างงาน
ทุก รายการ ไม่ว่ าจะประกอบกิจ การประเภทใด และไม่ว่ า จะมีจานวนลูกจ้า งเท่ าใด ยกเว้น
นายจ้างหรือกิจการตามทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้ในมาตรา 4 คือ
1. ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมภิ าค และราชการส่วนท้องถิน่ ราชการส่วนกลาง
278
5) ลากิจ ธุ ร ะ ลู ก จ้า งลาเพื่อ กิจ ธุ ร ะอัน จ าเป็ น ได้ต ามข้อ บัง คับ เกี่ย วกับ การ
ทางาน แล้วแต่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน
6) ลาเพื่อเข้ารับการอบรม ลูกจ้าง มีสทิ ธิลาเพื่อการฝึ กอบรมหรือพัฒนาความรู้
ความสามารถเพื่อประโยชน์ต่อการแรง งานและสวัสดิการสังคมหรือการเพิม่ ทักษะความชานาญ
เพื่อเพิม่ ประสิทธิภาพในการ ทางานของลูกจ้างตามโครงการหรือหลักสูตร ซึง่ มีกาหนดช่วงเวลา
ทีแ่ น่ นอนและชัดเจน และเพื่อการสอบวัดผลทางการศึกษาที่ทางราชการจัดหรืออนุ ญาตให้จดั
ขึ้น ลูกจ้างต้องแจ้งเหตุ ใ นการลาโดยชัดแจ้ง พร้อ มทัง้ แสดงหลักฐานที่เ กี่ยวข้อง (ถ้ามี) ให้
นายจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันลา นายจ้างอาจไม่อนุ ญาตให้ลาหากในปี ทล่ี า
ลูกจ้างเคยได้รบั อนุ ญาตให้ลามาแล้วไม่ น้อยกว่า 30 วัน หรือ 3 ครัง้ หรือแสดงได้ว่าการลาของ
ลูกจ้างอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือกระทบต่อ การประกอบธุรกิจของนายจ้าง
4. วันหยุด
1) วันหยุดประจาสัปดาห์
นายจ้างต้องจัด ให้มวี นั หยุดประจาสัปดาห์ให้กบั ลู กจ้างไม่ น้อยกว่า 1 วันต่อ
สัปดาห์ โดยให้มรี ะยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน สาหรับงานโรงแรม งานขนส่ง งานในป่ า งานในที่
ทุรกันดาร หรืองานอื่นตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวงอาจตกลงกันสะสมและเลื่อนวันหยุ ดประจา
สัปดาห์ไปหยุดเมือ่ ใดก็ได้ภายในระยะเวลา 4 สัปดาห์ตดิ ต่อกัน
2) วันหยุดตามประเพณี
นายจ้างต้องจัดให้มวี นั หยุดตามประเพณีให้กบั ลูกจ้างไม่ ไม่ น้อยกว่า 13 วัน
ต่อปี โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติ โดยได้รบั ค่าจ้าง ซึ่ง พิจารณาจากวันหยุดราชการประจาปี
วันหยุดทางศาสนาหรือขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าวันหยุดตามประเพณีตรงกับ
วันหยุดประจาสัปดาห์ให้หยุดชดเชยวันหยุดตาม ประเพณีในวันทางานถัดไป สาหรับงานใน
กิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม ฯลฯ อาจตกลงกันหยุดวันอื่น
ชดเชยวันหยุดตามประเพณี หรือจ่ายค่าทางานในวันหยุดให้กไ็ ด้
3) วันหยุดพักผ่อนประจาปี
นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างหยุดพักผ่อนประจาปี ไม่ น้อยกว่า 6 วันทางานต่อปี
สาหรับลูกจ้างซึ่งทางานติดต่อกันมาครบ 1 ปี อาจตกลงกันล่วงหน้ าสะสมและเลื่อนวันหยุด
พักผ่อนประจาปี ไปรวมหยุดในปี ต่อ ๆ ไปได้ โดยได้รบั ค่าจ้าง ซึง่ นายจ้างเป็ นผูก้ าหนดวันหยุด
ดังกล่าว
5. ค่าชดเชย
5.1 ลูกจ้างมีสทิ ธิได้รบั ค่าชดเชย หากนายจ้างเลิกจ้าง โดยลูกจ้างไม่มคี วามผิดดังนี้
5.1.1 ลู ก จ้า งซึ่ง ท างานติด ต่ อ กัน ครบ 120 วัน แต่ ไ ม่ ค รบ 1 ปี มีส ิท ธิไ ด้ร ับ
เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
282
6. การว่าจ้างแรงงานเด็ก
1) ห้ามใช้แรงงานเด็ก อายุต่ากว่า 15 ปี ทางานโดยเด็ดขาด
2) ห้ามใช้แรงงานเด็กอายุต่ ากว่า 18 ปี ในกิจการบางประเภท และทางาน
ระหว่างเวลา 22.00 น. - 06.00 น. ทางานวันหยุดและทางานล่วงเวลา
3) ห้ามใช้แรงงานเด็กในสถานที่ เต้นรา ราวง หรือรองเง็ง และตามทีก่ าหนดใน
กฏหมาย
4) ให้ลูกจ้างเด็กทีอ่ ายุต่ ากว่า 18 ปี มีสทิ ธิลาเพื่อรับการอบรม สัมมนา ที่จดั
โดยสถานศึกษา หรือหน่วยงานของรัฐ โดยได้รบั ค่าจ้างแต่ไม่เกิน 30 วันต่อปี
5) การว่าจ้างแรงงานเด็กต่ ากว่า 18 ปี ต้องแจ้งพนักงานตรวจแรงงานภายใน
15 วัน นับตัง้ แต่วนั ทีเ่ ด็กเข้าทางาน
7. การว่าจ้างแรงงานหญิ ง
1) การใช้แรงงานหญิง ห้ามนายจ้างให้ลกู จ้างหญิงทางานต่อไปนี้
1.1 งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้างที่ต้องทาใต้ดนิ ใต้น้ า ในถ้า ใน
อุโมงค์ หรือปล่องในภูเขาเว้นแต่ลกั ษณะของงาน ไม่เป็ นอันตรายต่อสุขภาพหรือ ร่างกายของ
ลูกจ้างหญิงนัน้
1.2 งานทีต่ อ้ งทาบนนังร้
่ านทีส่ งู กว่าพืน้ ดินตัง้ แต่ 10 เมตรขึน้ ไป
1.3 งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ
1.4 งานอื่นตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวง
2) ห้ามนายจ้างให้ลูกจ้างหญิงทีม่ คี รรภ์ทางานในระหว่างเวลา 22.00 - 06.00 น.
ทางานล่วงเวลา ทางานในวันหยุดหรือทางานอย่างหนึ่งอย่างใด
3) ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างหญิงเพราะเหตุมคี รรภ์
4) ให้แรงงานหญิงมีสทิ ธิลาเพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 90 วัน
5) ห้ามนายจ้าง หัวหน้างาน ผูค้ วบคุมงานหรือผูต้ รวจงาน ล่วงเกินทางเพศต่อ
แรงงานหญิง หรือเด็ก
8. ความปลอดภัย
1) ให้นายจ้างหรือสถานประกอบการที่มลี ูกจ้างน้อยกว่า 50 คน ต้องจัดให้ม ี
เจ้าหน้าที่รกั ษาความปลอดภัยในการทางาน ระดับพืน้ ฐาน ระดับหัวหน้างาน และระดับบริหาร
เพื่อดูแลความปลอดภัยในการทางานของสถานประกอบการร่วมกับนายจ้าง
2) การกาหนดให้นายจ้างหรือสถานประกอบการทีม่ ลี ูกจ้างตัง้ แต่ 50 คน ขึน้ ไป
ต้องจัดให้มเี จ้าหน้ าที่ความปลอดภัย ในการทางานระดับหัวหน้ างาน ระดับบริหาร และระดับ
วิชาชีพ
284
บทกาหนดโทษ
1. กฎหมายคุม้ ครองแรงงานเป็ นกฎหมายทีม่ บี ทลงโทษทางอาญา
2. นายจ้างผูใ้ ดฝ่ าฝืนหรือไม่ปฏิบตั ติ ามขัน้ ต่าปรับไม่เกิน 5,000 บาท จาคุก
ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
3. การปฏิบตั ติ ามคาสังของพนั
่ กงานตรวจแรงงานคดีอาญาเป็ นอันระงับ
4. การฝ่ าฝื นกฏหมาย อธิบดีมอี านาจเปรียบเทียบปรับสาหรับความผิดที่
เกิดขึน้ ใน กรุงเทพฯผู้ว่าราชการจังหวัด มีอานาจเปรียบเทียบปรับสาหรับความผิด ที่เกิดขึ้น
ภายในจังหวัดชาระค่าปรับภายใน 30 วัน นับเท่าวันที่ได้รบั แจ้งผลคดี คดีอาญา เป็ นอันเลิก
กัน ถ้าไม่ยอมเปรียบเทียบปรับหรือไม่ชาระค่าปรับภายในกาหนด พนักงานสอบสวน (ตารวจ)
จะดาเนินการตามขัน้ ตอนของกฏหมายต่อไป
หมวด ๒
การบริ หาร การจัดการ และการดาเนิ นการด้ านความปลอดภัย อาชี วอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน
มาตรา ๘ ให้นายจ้างบริหาร จัดการ และดาเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน ให้เป็ นไปตามมาตรฐานทีก่ าหนดในกฎกระทรวง การกาหนด
มาตรฐานตามวรรคหนึ่ง ให้นายจ้างจัดทาเอกสารหรือรายงานใด โดยมีการ ตรวจสอบหรือ
รับรองโดยบุคคล หรือนิติบุคคลตามที่กาหนดในกฎกระทรวง ให้ลูกจ้างมีหน้าที่ปฏิบตั ติ าม
หลักเกณฑ์ดา้ นความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทางานตามมาตรฐานที่
กาหนดในวรรคหนึ่ง
มาตรา ๒๒ ให้นายจ้างจัดและดูแลให้ลกู จ้างสวมใส่อุปกรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วน
บุคคล ทีไ่ ด้มาตรฐานตามทีอ่ ธิบดีประกาศกาหนดลูกจ้างมีหน้าทีส่ วมใส่อุปกรณ์คุม้ ครองความ
ปลอดภัยส่วนบุคคลและดูแลรักษาอุปกรณ์ ตามวรรคหนึ่งให้สามารถใช้งานได้ตามสภาพและ
ลักษณะของงานตลอดระยะเวลาทางาน ในกรณีทล่ี ูกจ้างไม่สวมใส่อุปกรณ์ดงั กล่าว ให้นายจ้าง
สังให้
่ ลกู จ้างหยุดการทางานนัน้ จนกว่า ลูกจ้างจะสวมใส่อุปกรณ์ดงั กล่าว
เพื่อให้เกิดความเป็ นระเบียบเรียบร้อย และทาให้เกิดความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานในสถานประกอบการจึงต้องจัดให้นายจ้างดาเนินการตามดังกล่าว
หมวด ๓
คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
มาตรา ๒๔ ให้มคี ณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการความปลอดภัย อา-
ชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน” ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงแรงงานเป็ นประธาน
กรรมการ อธิบดี กรมควบคุมมลพิษ อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบดีกรมพัฒนาฝี มอื แรงงาน
อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง อธิบดีกรมโรงงานอุ ตสาหกรรม อธิบดีกรมส่งเสริมการ
ปกครองท้องถิน่ และอธิบดีกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน เป็ นกรรมการ กับผูแ้ ทนฝ่ าย
นายจ้างและผูแ้ ทนฝ่ ายลูกจ้าง ฝ่ ายละแปดคน และผูท้ รงคุณวุฒอิ กี ห้าคนซึง่ รัฐมนตรีแต่งตัง้ เป็ น
กรรมการ ให้ขา้ ราชการกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตัง้ เป็ นเลขานุ การ
การได้มาและการพ้นจากตาแหน่ งของผู้แทนฝ่ ายนายจ้างและฝ่ ายลูกจ้างตามวรรคหนึ่ง ให้
288
มาตรา ๒๘ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ
จานวน กรรมการทัง้ หมด โดยมกรรมการผู้แทนฝ่ ายนายจ้างและฝ่ ายลูกจ้างอย่างน้อยฝ่ ายละ
หนึ่งคน จึงจะเป็ นองค์ประชุม
ในการประชุมเพื่อพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คราวใด ถ้าไม่ได้องค์ประชุมตามทีก่ าหนดไว้
ในวรรคหนึ่ง ให้จดั ให้มกี ารประชุมอีกครัง้ ภายในสิบห้าวันนับแต่วนั ที่นัดประชุมครัง้ แรก การ
ประชุมครัง้ หลังแม้ไม่มกี รรมการซึ่งมาจากฝ่ ายนายจ้างหรือฝ่ ายลูกจ้างมาร่วมประชุม ถ้ามี
กรรมการมาประชุม ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจานวนกรรมการทัง้ หมด ก็ให้ถอื เป็ นองค์ประชุม ใน
การประชุมคราวใด ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือ ไม่ส ามารถปฏิบตั ิห น้ าที่ได้ ให้
กรรมการซึ่งมาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็ นประธานในที่ประชุมสาหรับการประชุมคราว
นัน้ มติทป่ี ระชุมให้ถอื เสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่งมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้ าคะแนน
เสียง เท่ากัน ให้ประธานในทีป่ ระชุมออกเสียงเพิม่ ขึน้ อีกเสียงหนึ่งเป็ นเสียงชีข้ าด
มาตรา ๒๙ คณะกรรมการมีอ านาจแต่ ง ตัง้ คณะอนุ ก รรมการเพื่อ พิจ ารณาหรือ
ปฏิบตั กิ าร อย่างหนึ่งอย่างใดตามทีค่ ณะกรรมการมอบหมายได้ ให้คณะกรรมการกาหนดองค์
ประชุมและวิธดี าเนินงานของคณะอนุกรรมการได้ตามความ เหมาะสม
มาตรา ๓๐ ในการปฏิบตั ิหน้ าที่ตามพระราชบัญ ญัติน้ี ให้กรรมการและอนุ กรรมการ
ได้รบั เบีย้ ประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นตามระเบียบทีร่ ฐั มนตรีกาหนดโดยความเห็นชอบ
ของกระทรวงการคลัง
มาตรา ๓๑ ให้กรมสวัส ดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานรับผิดชอบงาน
ธุรการ ของคณะกรรมการ และมีอานาจหน้าทีด่ งั ต่อไปนี้
(1) สรรหา รวบรวม และวิเ คราะห์ข้อ มู ล ด้ า นความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานเพื่อการจัดทานโยบาย แผนงาน โครงการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเสนอต่อคณะกรรมการ
(2) จั ด ท าแนวทางการก าหนดมาตรฐานความปลอดภั ย อาชี ว อนามัย และ
สภาพแวดล้อม ในการทางานเสนอต่อคณะกรรมการ
(3) จัดทาแผนปฏิบตั กิ ารด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน ประจาปี เสนอต่อคณะกรรมการ
(4) ประสานแผนและการดาเนินการของคณะกรรมการและคณะอนุ กรรมการตลอดจน
หน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้อง
(5) ติดตามและประเมินผลการปฏิบตั งิ านตามมติของคณะกรรมการ
(6) รับผิดชอบงานธุรการของคณะอนุกรรมการ
(7) ปฏิบตั หิ น้าทีอ่ ่นื ตามทีค่ ณะกรรมการหรือคณะอนกรรมการมอบหมาย
290
หมวด ๔
การควบคุม กากับ ดูแล
มาตรา ๓๒ เพื่อประโยชน์ในการควบคุม กากับ ดูแลการดาเนินการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน ให้นายจ้างดาเนินการดังต่อไปนี้
(1) จัดให้มกี ารประเมินอันตราย
(2) ศึกษาผลกระทบของสภาพแวดล้อมในการทางานทีม่ ผี ลต่อลูกจ้าง
(3) จัดทาแผนการดาเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมใน
การทางาน และจัดทาแผนการควบคุมดูแลลูกจ้างและสถานประกอบกิจการ
(4) ส่งผลการประเมินอันตราย การศึกษาผลกระทบ แผนการดาเนินงานและแผนการ
ควบคุมตาม (1) (2) และ (3) ให้อธิบดีหรือผูซ้ ง่ึ อธิบดีมอบหมาย หลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไข
ในการดาเนินการตามวรรคหนึ่ง ประเภทกิจการ ขนาดของ กิจการที่ต้องดาเนินการ และ
ระยะเวลาทีต่ ้องดาเนินการ ให้เป็ นไปตามที่รฐั มนตรีกาหนดโดยประกาศในราชกิจจานุ เบกษา
ในการดาเนินการตามวรรคหนึ่ง นายจ้างจะต้องปฏิบตั ิตามคาแนะนาและได้รบั การรับรองผล
จากผูช้ านาญการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
มาตรา ๓๓ ผู้ใ ดจะทาการเป็ นผู้ชานาญการด้า นความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานจะต้องได้รบั ใบอนุญาตจากอธิบดีตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
มาตรา ๓๔ ในกรณีท่สี ถานประกอบกิจการใดเกิดอุบตั ภิ ยั ร้ายแรง หรือลูกจ้างประสบ
อันตรายจากการทางาน ให้นายจ้างดาเนินการดังต่อไปนี้
(1) กรณีท่ลี ูกจ้างเสียชีวติ ให้นายจ้างแจ้งต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยในทันทีท่ี
ทราบ โดยโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิธอี ่นื ใดที่มรี ายละเอียดพอสมควร และให้แจ้งรายละเอียด
และสาเหตุ เป็ นหนังสือภายในเจ็ดวันนับแต่วนั ทีล่ กู จ้างเสียชีวติ
(2) กรณีทส่ี ถานประกอบกิจการได้รบั ความเสียหายหรือต้องหยุดการผลิต หรือมีบุคคล
ในสถานประกอบกิจการประสบอันตรายหรือ ได้รบั ความเสียหาย อันเนื่อ งมาจากเพลิงไหม้
การระเบิด สารเคมีรวไหล ั่ หรืออุ บตั ภิ ยั ร้ายแรงอื่น ให้นายจ้างแจ้งต่อพนักงานตรวจความ
ปลอดภัยในทันทีท่ที ราบ โดยโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิธอี ่นื ใด และให้แจ้งเป็ นหนังสือโดยระบุ
สาเหตุอนั ตรายทีเ่ กิดขึน้ ความเสียหาย การแก้ไขและวิธกี ารป้ องกันการเกิดซ้าอีกภายในเจ็ดวัน
นับแต่วนั เกิดเหตุ
(3) กรณีท่ีม ีลูก จ้า งประสบอัน ตราย หรือ เจ็บ ป่ วยตามกฎหมายว่ า ด้ว ยเงิน ทดแทน
เมื่อนายจ้าง แจ้งการประสบอันตรายหรือเจ็บป่ วยต่อสานักงานประกันสังคมตามกฎหมาย
ดังกล่าวแล้ว ให้นายจ้าง ส่งสาเนาหนังสือแจ้งนัน้ ต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยภายในเจ็ดวัน
ด้วย
291
หมวด ๖
กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอมในการทางาน
มาตรา ๔๔ ให้จดั ตัง้ กองทุ นขึ้น กองทุน หนึ่ง ในกรมสวัส ดิการและคุ้ม ครองแรงงาน
เรียกว่า “กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน” เพื่อเป็ นทุนใช้
จ่ายในการ ดาเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานตาม
พระราชบัญญัตนิ ้ี มาตรา ๔๕ กองทุนประกอบด้วย
(1) เงินทุนประเดิมทีร่ ฐั บาลจัดสรรให้
(2) เงินรายปี ทไ่ี ด้รบั การจัดสรรจากกองทุนเงินทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน
293
หมวด ๗
สถาบันส่งเสริ มความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
มาตรา ๕๒ ให้มสี ถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน และมีอานาจ หน้าทีด่ งั ต่อไปนี้
(1) ส่งเสริมและแก้ไขปั ญหาเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม
ในการ ทางาน
(2) พัฒนาและสนับสนุ นการจัดทามาตรฐานเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน
(3) ดาเนินการ ส่งเสริม สนับสนุ น และร่วมดาเนินงานกับหน่ วยงานด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานของภาครัฐและเอกชน
(4) จัด ให้ม ีก ารศึก ษาวิจ ัย เกี่ย วกับ การส่ ง เสริม ความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางาน ทัง้ ในด้านการพัฒนาบุคลากรและด้านวิชาการ
(5) อานาจหน้ าที่อ่ ืนตามที่กาหนดในกฎหมาย ให้กระทรวงแรงงานจัดตัง้ สถาบัน
ส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน โดยอยู่ภายใต้การกากับ
ดูแลของรัฐมนตรี ทัง้ นี้ ภายในหนึ่งปี นบั แต่วนั ทีพ่ ระราชบัญญัตนิ ้ี ใช้บงั คับ
295
บทกาหนดโทษ
มาตรา ๕๓ นายจ้างผู้ใดฝ่ าฝื น หรือไม่ปฏิบตั ิตามมาตรฐานที่กาหนดในกฎกระทรวง
ทีอ่ อกตาม มาตรา ๘ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสีแ่ สนบาท หรือทัง้ จา
ทัง้ ปรับ
มาตรา ๕๔ ผูใ้ ดมีหน้าทีใ่ นการรับรอง หรือตรวจสอบเอกสารหลักฐาน หรือรายงานตาม
กฎกระทรวงที่อ อกตามมาตรา ๘ วรรคสอง กรอกข้อ ความอัน เป็ นเท็จ ในการรับ รองหรือ
ตรวจสอบ เอกสารหลักฐานหรือรายงาน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกิน
สองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๕๕ ผูใ้ ดให้บริการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรอง ประเมินความเสีย่ ง จัด
ฝึกอบรม หรือให้คาปรึกษาโดยไม่ได้ขน้ึ ทะเบียนตามมาตรา ๙ หรือไม่ได้รบั อนุ ญาตตามมาตรา
๑๑ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๕๖ นายจ้า งผู้ ใ ดไม่ ป ฏิบ ัติต ามมาตรา ๑๓ มาตรา ๑๖ หรือ มาตรา ๓๒
ต้องระวางโทษ จาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๕๗ นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา ๑๔ หรือมาตรา ๓๔ ต้องระวางโทษปรับ
ไม่เกินห้าหมืน่ บาท
มาตรา ๕๘ นายจ้างผูใ้ ดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา ๑๕ หรือมาตรา ๑๗ ต้องระวางโทษจาคุก
ไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๕๙ นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจาคุกไม่
เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสีแ่ สนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๐ ผู้ใดไม่ปฏิบตั ิตามมาตรา ๑๘ วรรคสอง ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสาม
เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๑ ผู้ใดขัดขวางการดาเนินการของนายจ้างตามมาตรา ๑๙ หรือขัดขวางการ
ปฏิบตั ิ หน้าทีข่ องพนักงานตรวจความปลอดภัย หรือบุคคลซึง่ ได้รบั มอบหมายตามมาตรา ๓๗
วรรคหนึ่ง โดยไม่มเี หตุอนั สมควร ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสน
บาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๒ ผู้ใดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษ
จาคุก ไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๓ ผู้ใดกระทาการเป็ นผู้ชานาญการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานโดยไม่ได้รบั ใบอนุญาตตามมาตรา ๓๓ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน
หกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
296
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภัยในการทางาน
เพื่อ ให้ ก ารบริห ารจัด การเกี่ ย วกับ กฎหมายความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานได้มกี ารปฏิบตั ิตามทัง้ ฝ่ ายนายจ้าง และลูกจ้าง รวมทัง้ ได้มกี าร
ดาเนินการให้ถูกต้องเหมาะสม และช่วยให้ผู้ปฏิบตั งิ านหรือพนักงานได้เกิดความปลอดภัยใน
การทางาน รวมทัง้ ช่วยให้นายจ้างลดภาระเกี่ ยวกับรักษาพยาบาลและให้การดเนินกิจการของ
นายจ้างเป็ นไปด้วยความราบรื่น กระทรวงมหาดไทยจึงได้มกี ารประกาศกระทรวงมหาดไทยให้
นายจ้างได้ปฏิบตั ติ ามข้อบังคับตามประกาศเกี่ยวกับการควบคุมดูให้ลู กจ้างเกิดความปลอดภัย
ดังนี้
1) กฎกระทรวงแรงงานกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานในทีอ่ บั อากาศ พ.ศ. 2547
2) กฎกระทรวงแรงงานกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเกีย่ วกับรังสีชนิดก่อไอออน พ.ศ. 2547
3) กฎกระทรวงแรงงานกาหนดหลักเกณฑ์และวิธกี ารตรวจสุขภาพของลูกจ้างและส่งผล
การตรวจแก่พนักงานตรวจแรงงาน พ.ศ. 2547
4) กฎกระทรวงแรงงานกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเกีย่ วกับงานประดาน้ า พ.ศ. 2548
5) กฎกระทรวงแรงงานกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเกีย่ วกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง
พ.ศ. 2549
6) กฎกระทรวงแรงงานกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ. 2549
7) กฎกระทรวงแรงงานกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเกีย่ วกับงานก่อสร้าง พ.ศ. 2551
8) กฎกระทรวงแรงงานกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเกี่ยวเครื่องจักร ปั ้นจัน่ และหม้อน้ า
พ.ศ. 2552
297
9) กฎกระทรวงแรงงานกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน (ฉบับที ่ 2) พ.ศ. 2553
นอกจากกฎหมายทีก่ ฎกระทรวงออกตามพระราชบัญญัตคิ ุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541
ในหมวด 8 ที่ได้กล่าวข้างต้น ยังมีกฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อ งกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางาน ทีอ่ อกตามพระราชบัญญัตอิ ่นื ดังนี้
1) พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พ.ศ. 2543 ประกาศคณะกรรมการ
แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรือ่ ง มาตรฐานขัน้ ต่าของ สภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2549
2) พระราชบัญญัตคิ ุม้ ครองผูร้ บั งานไปทา ทีบ่ า้ น พ.ศ. 2553
3) พระราชบัญญัตคิ ุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แก้ไขเพิม่ เติมโดย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.
2551 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2551 กฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2541) กาหนดประเภทของงานที่
อาจเป็ นอันตราย ต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง กฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2541)
กาหนดประเภทของงานทีห่ า้ มมิให้ลกู จ้าง ซึง่ เป็ นเด็กอายุต่ากว่า 18 ปี ทางาน กฎกระทรวงฉบับ
ที1่ 1 (พ.ศ.2541) กาหนดเกี่ยวกับการคุม้ ครองแรงงานในงานบรรทุก หรือขนถ่ายสินค้าเรือเดิน
ทะเล กฎกระทรวงกาหนดอัตราน้าหนักทีน่ ายจ้างให้ลกู จ้างทางานได้พ.ศ. 2547 กฎกระทรวงว่า
ด้วยการคุม้ ครองแรงงานในงานเกษตรกรรม พ.ศ. 2547 กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดสวัสดิการใน
สถานประกอบกิจการ พ.ศ. 2548
ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
สถานประกอบกิจการทุกประเภทที่ผลิตหรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งต้นกาเนิดรังสีท่ี
สามารถแผ่รงั สีชนิดก่อไอออนได้ กล่าวคือ มีการแตกตัวเป็ นไอออนได้ทงั ้ โดยตรงหรือโดย
ทางอ้อมในตัวกลางทีผ่ ่านไป ได้แก่ รังสีแอลฟา รังสีเบต้า รังสีแกมม่า รังสีเอ็กซ์ อนุ ภาค
นิวตรอน อิเล็คตรอนหรือโปรตรอนทีม่ คี วามเร็วสูง
สาระสาคัญประกอบด้วย
หมวด 1 บททัวไป ่
หมวด 2 การควบคุมและป้ องกันอันตราย
หมวด 3 เครือ่ งหมาย ฉลาก และสัญญาณเตือนภัย
หมวด 4 การแจ้งเหตุและการรายงาน
หมวด 5 การคุม้ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
หมวด 6 เบ็ดเตล็ด
สาระสาคัญของกฎหมาย
ให้นายจ้างซึง่ ผลิตหรือมีไว้ในครอบครองซึง่ ต้นกาเนิดรังสี มีหน้าทีต่ อ้ งดาเนินการ ดังนี้
1.1 หน้ าที่ของนายจ้างในการควบคุมและป้ องกันอันตราย
(1) แจ้งจานวนและปริมาณความแรงรังสีของต้นกาเนิดรังสีต่ ออธิบดีกรม
สวัสดิการและคุม้ ครองแรงงานหรือผูซ้ ง่ึ อธิบดีฯ มอบหมายภายใน 7 วันนับแต่วนั ทีผ่ ลิตหรือมีไว้
ในครอบครอง
(2) กาหนดพืน้ ทีค่ วบคุมโดยจัดทารัว้ คอกกัน้ หรือเส้นแสดงแนวเขต และจัดให้
มีป้ายข้อความ “ระวังอันตรายจากรังสี ห้ามเข้า” เป็ นภาษาไทยตัวอักษรสีดาบนพืน้ สีเหลือง
แสดงให้เห็นโดยชัดเจนในบริเวณนัน้
(3) จัดให้มเี ครื่องมือหรืออุปกรณ์ช่วยลดปริมาณรังสีทต่ี ้นกาเนิดรังสีทท่ี างผ่าน
รังสี และกาหนดวิธกี ารและเวลาการทางานเพื่อป้ องกันมิให้ลูกจ้างซึง่ ปฏิบตั งิ านในพืน้ ทีค่ วบคุม
ได้รบั ปริมาณรังสีเกินเกณฑ์กาหนด
(4) จัด ให้ลูก จ้า งซึ่งปฏิบ ัติงานเกี่ยวกับรังสีใ ช้อุ ปกรณ์ บนั ทึกปริมาณรัง สี
ประจาตัวบุคคลตลอดเวลาทีม่ กี ารปฏิบตั งิ าน
(5) จัดทาข้อมูลปริมาณรังสีสะสมทีล่ ูกจ้างได้รบั เป็ นประจาทุกเดือนตามแบบที่
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงานกาหนด และแจ้งปริมาณรังสีสะสมให้ลูกจ้างทราบทุก
ครัง้ และเก็บไว้ ณ สถานทีท่ างานของลูกจ้างพร้อมให้พนักงานตรวจแรงงานตรวจสอบได้
(6) จัดให้มลี ูก จ้างอย่างน้ อย 1 คนประจาสถานประกอบกิจการ เป็ น
ผูร้ บั ผิดชอบดาเนินการทางด้านเทคนิคในเรื่องรังสีตลอดระยะเวลาที่มกี ารทางานเกี่ยวกับรังสี
299
ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
ใช้บงั คับกับสถานประกอบกิจการทุกประเภททีม่ ที อ่ี บั อากาศ โดยทีอ่ บั อากาศหมายถึง
ทีซ่ ง่ึ มีทางเข้าออกจากัดและมีการระบายอากาศไม่เพียงพอทีจ่ ะทาให้อากาศภายในอยู่ในสภาพ
ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย เช่น อุโมงค์ ถ้า บ่อ หลุม ห้องใต้ดนิ ห้องนิรภัย ถังหมัก ถัง
ไซโล ท่อ เตา ภาชนะหรือสิง่ อื่นทีม่ ลี กั ษณะคล้ายกัน
301
สาระสาคัญประกอบด้วย
หมวด 1 บททัวไป ่
หมวด 2 มาตรการความปลอดภัย
หมวด 3 การอนุญาต
หมวด 4 การฝึกอบรม
สาระสาคัญของกฎหมาย
2.1 ให้ นายจ้างที่ สถานประกอบกิ จการมีที่อบั อากาศต้ องดาเนิ นการเพื่อให้ เกิ ด
ความปลอดภัยในการทางาน ดังนี้
(1) จัดทาป้ ายแจ้งข้อความ “ที่อบั อากาศ อันตราย ห้ามเข้า ” บริเวณ
ทางเข้าออกทีอ่ บั อากาศทุกแห่ง พร้อมทัง้ จัดให้มสี งิ่ ปิ ดกัน้ เพื่อมิให้บุคคลเข้าหรือตกลงไปได้
(2) ต้องมีหนังสืออนุญาตให้ลกู จ้างทางานในทีอ่ บั อากาศซึง่ มีรายละเอียดตามที่
กฎกระทรวงกาหนด
(3) จัดให้มกี ารตรวจ บันทึกผลการตรวจวัดและประเมินสภาพอากาศในทีอ่ บั
อากาศก่อนให้ลกู จ้างเข้าทางานและระหว่างที่ลกู จ้างทางานในทีอ่ บั อากาศ
(4) จัดให้มกี ารฝึกอบรมความปลอดภัยในการทางานในทีอ่ บั อากาศแก่ลูกจ้าง
ทุกคนทีท่ างานในทีอ่ บั อากาศ ตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร และหลักสูตรทีอ่ ธิบดีกรมสวัสดิการและ
คุม้ ครองแรงงานประกาศกาหนด และเก็บหลักฐานการฝึ กอบรมไว้ให้พนักงานตรวจแรงงาน
ตรวจสอบได้
(5) แต่งตัง้ ลูกจ้างที่มคี วามรูค้ วามสามารถ และได้รบั การฝึ กอบรมความ
ปลอดภัยในการทางานในทีอ่ บั อากาศให้เป็ นผูค้ วบคุมงาน กรณีทม่ี กี ารทางานในทีอ่ บั อากาศ
(6) จัดให้ลูกจ้างซึ่งได้รบั การฝึ กอบรมความปลอดภัยในการทางานในที่อบั
อากาศเป็ นผูช้ ่วยเหลือ พร้อมด้วยอุปกรณ์ช่วยเหลือและช่วยชีวติ ทีเ่ หมาะสมกับลักษณะงาน
(7) จัดให้มอี ุปกรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคล อุปกรณ์ช่วยเหลือและ
ช่วยชีวติ ที่เหมาะสมกับลักษณะงานตามมาตรฐานที่อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
ประกาศกาหนด และควบคุมดูแลให้ลูกจ้างสวมใส่ห รือใช้อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย
ดังกล่าว
(8) ปิ ด กัน้ หรือกระทาการใดๆ เพื่อป้ องกันมิให้พลังงาน สาร หรือสิง่ ที่เป็ น
อันตรายจากภายนอกเข้าสู่ทอ่ี บั อากาศในระหว่างทีล่ กู จ้างกาลังทางานในทีอ่ บั อากาศ
(9) จัดบริเวณทางเดิน หรือทางเข้าออกให้เดินหรือเข้าออกได้สะดวก และ
ปลอดภัย
(10) ปิ ดประกาศห้ามลูกจ้างสูบบุหรี่ ณ ทางเข้าออกทีอ่ บั อากาศ
(11) จัดอุปกรณ์ไฟฟ้ าทีเ่ หมาะสมกับการใช้งานในทีอ่ บั อากาศ
302
สาระสาคัญของกฎหมาย
3.1 จัดให้ ลูกจ้างทางานเกี่ยวกับปั จจัยเสี่ยง ต้ องดาเนิ นการเพื่อให้ เกิ ดความ
ปลอดภัยในการทางาน ดังนี้
3.1.1 จัดให้ลกู จ้างได้รบั การตรวจสุขภาพจากแพทย์ทม่ี คี ุณสมบัติ ดังนี้
(1) แพทย์แผนปั จจุบนั ชัน้ หนึ่งทีไ่ ด้รบั ใบอนุ ญาตประกอบวิชาชีพเวช-
กรรมด้านอาชีวเวชศาสตร์ หรือ
303
(4) นักประดาน้าพร้อมดา
(5) ผูค้ วบคุมระบบการจ่ายอากาศและติดต่อสื่อสาร
ทัง้ นี้ขน้ึ อยูก่ บั ระดับความลึกและข้อกาหนดของกฎหมาย
4.5 ต้องควบคุมลูกจ้างปฏิบตั ติ ามตารางมาตรฐานการดาน้ าและการลดความกดดัน
ตลอดจนการพัก เพื่อ ปรับสภาพร่างกายก่ อ นที่จะดาลงในครัง้ ต่ อ ไปตามหลักเกณฑ์ท่อี ธิบ ดี
กาหนด
4.6 จัดให้มพี ยาบาลเวชศาสตร์ใต้น้า แพทย์เวชศาสตร์ใต้น้ า และอุปกรณ์ทเ่ี กี่ยวข้องกับ
การทางานประดาน้ าตามข้อกาหนดของกฎหมาย
4.7 จัดให้มบี ริการการปฐมพยาบาลเบือ้ งต้น และออกซิเจนหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์พร้อม
หน้ากากช่วยหายใจ เพื่อช่วยเหลือนักประดาน้าตลอดระยะเวลาทีม่ กี ารดาน้า
4.8 ลูกจ้างทีท่ างานประดาน้ าอาจปฏิเสธการดาน้ าในคราวใดก็ได้ หากเห็นว่าการดาน้ า
คราวนัน้ อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวติ ร่างกาย หรือสุขภาพอนามัยของตน
4.9 นายจ้างและหัวหน้านักประดาน้ าต้องสังให้ ่ ลูกจ้างหยุดหรือเลิกการดาน้ าในกรณี
ต่อไปนี้
(1) เมือ่ พีเ่ ลีย้ งนักประดาน้าและนักประดาน้าไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้
(2) เมื่อนักประดาน้ าต้องใช้อากาศสารองจากขวดอากาศ หรือขวดอากาศ
สารอง
(3) เมือ่ นายจ้างหรือหัวหน้านักประดาน้ าพิจารณาแล้วเห็นว่าการดาน้ าในพืน้ ที่
บริเวณนัน้ ไม่ปลอดภัย
4.10 นายจ้างต้องจัดอุปกรณ์สาหรับการทางานประดาน้ า ดังต่อไปนี้
(1) เครื่องประดาน้ าประเภทขวดอากาศ (Scuba) ประกอบด้วยอุปกรณ์อย่าง
น้อยดังต่อไปนี้
(ก) ขวดอากาศ (Tank)
(ข) เข็มขัดน้าหนัก (Weight belt)
(ค) เครือ่ งผ่อนกาลังดันอากาศ (Regulator)
(ง) เครือ่ งวัดความลึก (Depth gauge)
(จ) เครือ่ งวัดอากาศ (Pressure gauge)
(ฉ) ชุดดาน้า (Diving suit)
(ช) ชูชพี (Life preserver or Buoyancy compensator)
(ซ) เชือกช่วยชีวติ (Life line)
(ฌ) ตีนกบ (Fins)
(ญ) นาฬิกาดาน้า (Submersible wrist watch)
(ฎ) มีดดาน้า (Dive knife)
306
หมวด 6 การตรวจสุขภาพและการรายงานผลการตรวจสุขภาพ
สาระสาคัญของกฎหมาย
5.1 ให้นายจ้างดาเนิ นการเพื่อให้เกิ ดความปลอดภัยในการทางาน ดังนี้
5.1.1 ความร้อน ให้นายจ้างควบคุมและรักษาระดับความร้อนภายใน
สถานประกอบกิจการมิให้เกินมาตรฐาน ดังนี้
(1) งานทีล่ กู จ้างทาในลักษณะงานเบา มีระดับความร้อนไม่เกินค่าเฉลีย่
อุณหภูมเิ วตบัลบ์โกลบ 34 องศาเซลเซียส
(2) งานทีล่ ูกจ้างทาในลักษณะงานปานกลาง มีระดับความร้อนไม่เกิน
ค่าเฉลีย่ อุณหภูมเิ วตบัลบ์โกลบ 32 องศาเซลเซียส
(3) งานที่ลูกจ้างทาในลักษณะงานหนัก มีระดับความร้อนไม่เกิน
ค่าเฉลีย่ อุณหภูมเิ วตบัลบ์โกลบ 30 องศาเซลเซียส
แนวทางแก้ไข กรณีสถานประกอบกิจการมีระดับความร้อนเกินมาตรฐาน
ให้นายจ้างดาเนินการปรับปรุงแก้ไขสภาวะการทางานทางด้านวิศวกรรม หากปรับปรุงแก้ไข
ไม่ได้ตอ้ งปิ ดประกาศเตือนให้ลกู จ้างทราบ และจัดอุปกรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคลให้
ลูกจ้างสวมใส่ตลอดเวลาทีท่ างาน
5.1.2 แสงสว่าง ให้นายจ้างจัดให้สถานประกอบกิจการมีความเข้มของแสง
ไม่ต่ากว่ามาตรฐานทีก่ าหนด โดยจาแนกตามลักษณะงาน ดังนี้
(1) บริเวณพืน้ ทีท่ วไปของสถานประกอบกิ
ั่ จการ เช่น ทางเดิน ห้องน้ า
ให้เป็ นไปตามมาตรฐานตารางที่ 1
(2) บริเวณพืน้ ทีก่ ระบวนการผลิต ให้เป็ นไปตามมาตรฐานตารางที่ 2
(3) บริเวณทีล่ ูกจ้างต้องใช้สายตามองเฉพาะจุด หรือใช้สายตาอยู่กบั ที่
ให้เป็ นไปตามมาตรฐานตารางที่ 3
(4) บริเวณทีล่ ูกจ้างต้องใช้สายตามองเฉพาะจุด หรือใช้สายตาอยู่กบั ที่
ทีม่ ไิ ด้กาหนดไว้ในตารางที่ 3 ให้เป็ นไปตามมาตรฐานตารางที่ 4
(5) บริเวณรอบๆ สถานที่ท่ลี ูกจ้างต้องใช้สายตามองเฉพาะจุดให้
เป็ นไปตามมาตรฐานตารางที่ 5
แนวทางแก้ไข ให้นายจ้างจัดให้มฉี าก แผ่นพิมพ์กรองแสง หรือมาตรการ
อื่นทีเ่ หมาะสม เพื่อป้ องกันแสงส่องเข้านัยน์ตาลูกจ้าง กรณีทป่ี ้ องกันมิได้ ให้จดั อุปกรณ์คุม้ ครอง
ความปลอดภัยส่วนบุคคลให้ลกู จ้างสวมใส่ตลอดเวลาทีท่ างาน
5.1.3 เสียง
(6) ให้นายจ้างควบคุมระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รบั เฉลี่ยตลอดเวลาการ
ทางานในแต่ละวันมิให้เกินมาตรฐานทีก่ าหนด
308
ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
ใช้บงั คับกับสถานประกอบกิจการ ทีม่ ลี กู จ้างตัง้ แต่ 1 คนขึน้ ไปทุกประเภท
317
สาระสาคัญของกฎหมาย
1. ให้นายจ้างจัดให้ม ี
1.1 น้ าสะอาดสาหรับดื่มไม่น้อยกว่าหนึ่งทีส่ าหรับลูกจ้างไม่เกินสีส่ บิ คน และเพิม่ ขึน้
ในอัตราส่วนหนึ่งทีส่ าหรับลูกจ้างทุก ๆ สีส่ บิ คน เศษของสีส่ บิ คนถ้าเกินยีส่ บิ คนให้ถอื เป็ นสีส่ บิ
คน
1.2 ห้องน้ าและห้องส้วมตามแบบและจานวนทีก่ าหนด และมีการดูและรักษาความ
สะอาดให้อยู่ในสภาพทีถ่ ูกสุขลักษณะเป็ นประจาทุกวัน โดยให้แยกห้องน้ าและห้องส้วมสาหรับ
ลูกจ้างชายและลูกจ้างหญิง และให้จดั ห้องน้าและห้องส้วมสาหรับคนพิการแยกไว้โดยเฉพาะ
2. สถานทีท่ างานทีม่ ลี กู จ้างทางานตัง้ แต่สบิ คนขึน้ ไป ต้องจัดให้ม ี
เวชภัณฑ์และยาเพื่อ ใช้ในการปฐมพยาบาลในจานวนที่เพียงพอ อย่างน้ อยตามรายการที่
กาหนด ดังนี้
2.1 ให้น ายจ้า งจัด ให้ม ีส ิ่ง จ าเป็ น ในการปฐมพยาบาลและการรัก ษาพยาบาล
ดังต่อไปนี้
2.1.1 กรรไกร
2.1.2 แก้วยาน้า และแก้วยาเม็ด
2.1.3 เข็มกลัด
2.1.4 ถ้วยน้า
2.1.5 ทีป่ ้ ายยา
2.1.6 ปรอทวัดไข้
2.1.7 ปากคีบปลายทู่
2.1.8 ผ้าพันยืด
2.1.9 ผ้าสามเหลีย่ ม
2.1.10 สายยางรัดห้ามเลือด
2.1.11 สาลี ผ้าก๊าซ ผ้าพันแผล และผ้ายางปลาสเตอร์ปิดแผล
2.1.12 หลอดหยดยา
2.1.13 ขีผ้ ง้ึ แก้ปวดบวม
2.1.14 ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือโพวิโดน-ไอโอดีน
2.1.15 น้ายาโพวิโดน-ไอโอดีน ชนอดฟอกแผล
2.1.16 ผงน้าตาลเกลือแร่
2.1.17 ยาแก้ผดผื่นทีไ่ ม่ได้มาจากการติดเชือ้
2.1.18 ยาแก้แพ้
2.1.19 ยาทาแก้ผดผื่นคัน
2.1.20 ยาธาตุน้าแดง
318
2.1.21 ยาบรรเทาปวดลดไข้
2.1.22 ยารักษาแผลน้าร้อนลวก
2.1.23 ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
2.1.24 เหล้าแอมโมเนียหอม
2.1.25 แอลกอฮอล์เช็ดแผล
2.1.26 ขีผ้ ง้ึ ป้ ายตา
2.1.27 ถ้วยล้างตา
2.1.28 น้ากรดบอริคล้างตา
2.1.29 ยาหยอดตา
3. สถานทีท่ างานทีม่ ลี ูกจ้างทางานในขณะเดียวกันตัง้ แต่สองร้อยคนขึน้ ไป ต้องจัดให้ม ี
3.1 เวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลตาม (1)
3.2 ห้องรักษาพยาบาลพร้อมเตียงพักคนไข้อย่างน้อยหนึ่งเตียง เวชภัณฑ์และยา
นอกจากทีร่ ะบุไว้ใน (1) ตามความจาเป็ น
3.3 พยาบาลตัง้ แต่ระดับพยาบาลเทคนิคขึน้ ไปไว้ประจาอย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลา
ทางาน
3.4 แพทย์แผนปั จจุบนั ชัน้ หนึ่งอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อตรวจรักษาพยาบาลไม่น้อย
กว่าสัปดาห์ละสองครัง้ และเมือ่ รวมเวลาแล้วต้องไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละหกชัวโมงในเวลาท
่ างาน
4. สถานทีท่ างานทีม่ ลี กู จ้างทางานในขณะเดียวกันต้องแต่หนึ่งพันคนขึน้ ไป ต้องจัดให้ม ี
4.1 เวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ในการปฐมพยาบาลตาม (2.1)
4.2 ห้องรักษาพยาบาลพร้อมเตียงพักคนไข้อย่างน้อยสองเตียง เวชภัณฑ์และยา
นอกจากทีร่ ะบุไว้ใน (2.1) ตามความจาเป็ น
4.3 พยาบาลตัง้ แต่ระดับพยาบาลเทคนิคขึน้ ไปไว้ประจาอย่างน้อยสองคนตลอดเวลา
ทางาน
4.4 แพทย์แผนปั จจุบนั ชัน้ หนึ่งอย่างน้อยหนึ่งคน เพื่อตรวจรักษาพยาบาลไม่น้อย
กว่าสัปดาห์ละสามครัง้ และเมื่อรวมเวลาแล้วต้องไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละสิบสองชัวโมงในเวลา ่
ทางาน
4.5 ยานพาหนะซึง่ พร้อมทีจ่ ะนาลูกจ้างส่งสถานพยาบาลเพื่อให้การรักษาพยาบาล
ได้โดยพลัน
5. นายจ้างอาจทาความตกลงเพื่อส่งลูก จ้างเข้ารับการรักษาพยาบาลกับสถานพยาบาล
ที่เปิ ดบริการตลอดยี่สบิ สี่ชวโมงและเป็
ั่ นสถานพยาบาลที่นายจ้างอาจนาลูกจ้างส่งเข้ารับการ
รักษาได้โดยสะดวกและรวดเร็ว แทนการจัดให้มแี พทย์ได้ โดยต้องได้รบั อนุ ญาตจากอธิบดีหรือ
ผูซ้ ง่ึ อธิบดีมอบหมาย
319
การตรวจสอบความปลอดภัยตามข้อกาหนดของกฎหมาย
แนวทางการตรวจสอบความปลอดภัยตามข้อกาหนดของกฎหมาย
ผู้ท่ไี ด้รบั มอบหมายให้ก ารด าเนินการตรวจสอบความปลอดภัย ตามข้อ ก าหนดของ
กฎหมายควรศึกษาแนวทางการตรวจสอบความปลอดภัยดังต่อไปนี้
1. ศึกษาข้อกาหนดตามกฎหมายและรายละเอียดต่างๆทีก่ าหนดไว้
2. ใช้แบบตรวจสอบซึง่ อาจมีผทู้ าไว้แล้วหรือสถานประกอบกิจการอาจจัดทาหรือพัฒนา
แบบตรวจสอบขึน้ ใช้เอง
3. กาหนดแผนการตรวจสอบ
4. จัด เตรีย มเครื่อ งมือ ตรวจวัด หรือ อุ ป กรณ์ ก ารตรวจในกรณี ท่ีจ าเป็ น ต้อ งระบุ
รายละเอียด
5. ลงมือตรวจสอบพืน้ ทีก่ ารปฏิบตั งิ าน
6. บันทึกผลการตรวจสอบเพื่อนาเสนอการปรับปรุงแก้ไข
7. ตรวจสอบเพื่อติดตามผลการปรับปรุงแก้ไข
พระราชบัญญัติ เงิ นทดแทน พ.ศ. 2537
มาตรา 4 พระราชบัญญัตนิ ้มี ใิ ช้บงั คับแก่
(1) ราชการส่วนกลางราชการส่วนภูมภิ าค และราชการส่วนท้องถิน่
(2) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
(3) นายจ้างซึง่ ประกอบธุรกิจโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
เฉพาะในส่วนทีเ่ กีย่ วกับครูหรือครูใหญ่
(4) นายจ้างซึง่ ดาเนินกิจการทีม่ ไิ ด้มวี ตั ถุประสงค์เพื่อแสวงหากาไรในทาง เศรษฐกิจ
(5) นายจ้างอื่นตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวง
วัตถุประสงค์ของกองทุนทดแทน
เพื่อ เป็ น กองทุ น ในการจ่ า ยเงิ น ทดแทนนายจ้า งให้แ ก่ ลู ก จ้า ง ซึ่ง ประสบอัน ตราย
เจ็บป่ วย หรือตายเนื่องจากการทางาน หรือป้ องกันรักษาผลประโยชน์ให้แก่นายจ้างหรือเจ็บป่ วย
เป็ นโรค ซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงาน หรือโรคซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากการทางานให้แก่
นายจ้าง
ขอบเขตการบังคับใช้
ให้นายจ้างซึง่ มีลกู จ้างทางานตัง้ แต่ 1 คนขึน้ ไป มีหน้าทีต่ อ้ งจ่ายเงินสมทบกองทุน
การขึ้นทะเบียน
ให้นายจ้างทีม่ ลี กู จ้างตัง้ แต่ 1 คนขึน้ ไปมีหน้าทีข่ น้ึ ทะเบียนภายใน 30 วัน
320
อัตราเงิ นสมทบ
อัตราเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน ที่จดั เก็บจากนายจ้างแต่ละรายจะแตกต่างกันตาม
ลักษณะความเสีย่ งภัยในการทางานของแต่ละกิจการ ซึง่ ปั จจุบนั กาหนดไว้ 131 ประเภทกิจการ
อัตราเงินสมทบระหว่าง 0.2% - 1.0% ของค่าจ้าง เช่น กิจการขายอาหารจ่ายเงินสมทบ
0.2% ของค่าจ้าง ถ้าเป็ นกิจการก่อสร้างจ่ายเงินสมทบ 1.0% ของค่าจ้าง เป็ นต้น
เมือ่ นายจ้างจ่ายเงินสมทบครบ 4 ปี ปฏิทนิ แล้ว ตัง้ แต่ปีท่ี 5 เป็ นต้นไป อัตราเงินสมทบ
อาจจะลด หรือเพิม่ ขึน้ จากเดิมทัง้ นี้ขน้ึ อยู่กบั ค่าของอัตราส่วนการสูญเสียซึง่ สานักงานฯ ได้เก็บ
สถิตขิ อ้ มูลไว้
ค่าจ้างและการคานวณเงิ นสมทบ
เงินสมทบจะคานวณจากค่าจ้างทีน่ ายจ้างจ่ายให้กบั ลูกจ้างทุกคนรวมทัง้ ปี X อัตราเงิน
สมทบของกิจการนัน้
หากลูกจ้างคนใดได้รบั ค่าจ้างเกินกว่า 240,000 บาทต่อปี ให้นามาคานวณเพียง
240,000 บาท
แจ้งการประสบอันตรายของลูกจ้าง
เมือ่ ลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่ วยเนื่องจากการทางานให้นายจ้าง นายจ้างต้องจัด
ให้ลูกจ้างได้รบั การรักษาพยาบาลทันที และแจ้งสานักงานประกันสังคม ภายใน 15 วันนับแต่
วันทีท่ ราบ โดยใช้แบบแจ้งการประสบอันตราย หรือเจ็บป่ วยฯ (กท 16) ลูกจ้างสามารถเข้ารับ
การรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลใดก็ได้ โดยทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน หรือใช้
แบบ กท.44 ส่งตัวลูกจ้างเข้ารับการรักษาหากโรงพยาบาลนัน้ เป็ นโรงพยาบาลในความตกลงกับ
กองทุนเงินทดแทน โดยโรงพยาบาลจะเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลจากสานักงานฯ โดยตรง
หมวด 5 ในพระราชบัญญัตินี้
นายจ้า ง หมายความว่ า ผู้ ซ่ึง ตกลงรับ ลู ก จ้า งเข้ า ท างานโดยจ่ า ยค่ า จ้า งให้ และ
หมายความรวมถึงผู้ซง่ึ ได้รบั มอบหมายให้ทางานแทนนายจ้าง ในกรณีทน่ี ายจ้างเป็ นนิตบิ ุคคล
ให้หมายความรวมถึงผูม้ อี านาจกระทาการแทนนิตบิ ุคคลและผูซ้ ง่ึ ได้รบั มอบหมายจากผูม้ อี านาจ
กระทาการแทนนิตบิ ุคคลให้ทาการแทนด้วย
ลูกจ้าง หมายความว่า ผูซ้ ่งึ ทางานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรแต่
ไม่รวมถึงลูกจ้างซึง่ ทางานเกี่ยวกับงานบ้านอันมิได้มกี ารประกอบธุรกิจรวมอยูด่ ว้ ย
ค่าจ้าง หมายความว่า เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็ นค่าตอบแทนการ
ทางานในวันและเวลาทางานปกติไม่ว่าจะค านวณตามระยะเวลา หรือค านวณตามผลงานที่
ลูกจ้างทาได้และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูก จ้างในวันหยุดและวันลาซึ่ง
ลูกจ้างไม่ได้ทางานด้วย ทัง้ นี้ ไม่ว่าจะกาหนด คานวณ หรือจ่ายในลักษณะใดหรือโดยวิธกี ารใด
และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร
321
จังหวัดแล้วแต่กรณี
คณะกรรมการ หมายความว่าคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน
กรรมการ หมายความว่ากรรมการกองทุนเงินทดแทน
เลขาธิการ หมายความว่าเลขาธิการสานักงานประกันสังคม
พนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่ หมายความว่ า ผู้ ซ่ึง รัฐ มนตรีแ ต่ ง ตัง้ ให้ ป ฏิบ ัติ ก ารตาม
พระราชบัญญัตนิ ้ี
2.1 เพื่อ ส่ ง เสริม วิช าการด้ า นอาชีว อนามัย และความปลอดภัย แก่ ส มาชิก
และสังคมโดยรวม
2.2 เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าในวิชาชีพด้านอาชีวอนามัย และความปลอดภัยใน
การทางาน
2.3 เพื่อสนับสนุ นและประสานงานกับสถานประกอบการ และชุมชนอุตสาหกรรมใน
การพัฒนา ความปลอดภัย สุขภาพ และคุณภาพชีวติ ของผูป้ ระกอบอาชีพ
2.4 เพื่อประสานงานร่วมมือทางวิชาการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการ
ทางานกับหน่วยงานทัง้ ภาครัฐและภาคเอกชน หรือสมาคมทัง้ ภายในและต่างประเทศ
2.5 เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ และการกระชับความสัมพันธ์ภายในกลุ่มสมาชิก
2.6 เพื่อจัดหาแหล่งประโยชน์สนับสนุ นทางวิชาการด้านอาชีวอนามัย และความ
ปลอดภัยในการทางานให้แก่สมาชิก
2.7 ไม่ดาเนินการใดๆ เกี่ยวกับการเมืองสมาคมอาชีวอนามัยและความปลอดภัยใน
การทางาน มีสานักงานอยู่ทภ่ี าควิชาอาชีวอนามัย และความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล กรุงเทพมหานคร
3. สมาคมการยศาสตร์ไทย (Ergonomics Society of Thailand) สมาคมการย-
ศาสตร์ไทย จัดตัง้ ขึน้ โดยมีวตั ถุประสงค์ดงั นี้
3.1 เป็ นศูนย์ก ลางแลกเปลี่ยนความรู้ค วามคิดเห็น ประสบการณ์และเผยแพร่
ข่าวสาร รวมทัง้ ผลิตและเผยแพร่ส่อื สิง่ พิมพ์ และเอกสารทางวิชาการเกีย่ วกับการยศาสตร์
3.2 ให้การส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
เกีย่ วกับการยศาสตร์แก่สถานประกอบการ และผูส้ นใจอื่นๆ
3.3 ร่วมมือและประสานงานกับองค์กรเอกชน และส่วนราชการเพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ
เกีย่ วกับการยศาสตร์
3.4. ส่ ง เสริม และสนับ สนุ น การศึก ษา ค้น คว้า วิจ ัย เกี่ย วกับ การพัฒ นางาน
การยศาสตร์
329
สรุป
การบริหารงานกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมใน
การทางานเป็ นกฎหมายทีบ่ ญ ั ญัตขิ น้ึ มาเพื่อนามาใช้กบั สถานประกอบกิจการทีด่ าเนินกิจการที่ม ี
การดาเนินการผลิต ตัง้ อุตสาหกรรมการผลิตและบริการ พาณิชยกรรม ขนส่ง และบริการต่าง ๆ
ซึง่ ใช้บงั คับระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างทีม่ กี ารตกลงว่าจ้างกันทางานตามข้อตกลง ตามกฎหมาย
หมายคุ้ ม ครองแรงงาน โดยทัว่ ไปแล้ ว การบริห ารงานเกี่ย วกับ กฎหมายความปลอดภัย
อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้อ มในการท างานนัน้ มีค วามเกี่ ย วข้อ งสัม พัน ธ์กัน โยตรงกับ
331
แบบฝึ กหัด
ให้ตอบคาถามให้ถกู ต้องและสมบูรณ์ที่สดุ
1. ขอบข่ายในการบริห ารกฎหมายความปลอดภัย อาชีว อนามัยและสภาพแวดล้อ มในการ
ทางานของกระทรวงแรงงาน
2. ขอบเขตของการบังคับใช้กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อ มในการ
ทางาน มีขอบเขตการบังคับใช้อย่างไร
3. บทลงโทษผู้ฝ่าฝื นกฎหมายความปลอดภัยในการทางาน อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อม
ในการทางาน
4. อานาจของพนักงานตรวจแรงงานต้องกระทาหน้าทีอ่ ย่างไรบ้าง
5. การด าเนิ น การในการลงโทษกรณี น ายจ้ า งมีก ารฝ่ าฝื น หรือ ไม่ ป ฏิบ ัติ ต ามกฎหมาย
ความปลอดภัย ในการท างาน อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้ อ มในการท างานจ าต้ อ ง
ดาเนินการอย่างไร
6. ตาม มาตรา100 ให้มคี ณะกรรมการกฎหมายความปลอดภัยในการทางาน อาชีวอนามัยและ
สภาพแวดล้อมในการทางานประกอบด้วยเจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในการทางานกี่ระดับ
7. ตาม มาตรา100 ให้มคี ณะกรรมการกฎหมายความปลอดภัยในการทางาน อาชีวอนามัยและ
สภาพแวดล้อมในการทางานประกอบด้วยเจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในการทางานมีหน้าที่
8. การเสริมสร้างความปลอดภัยในการทางานในโรงงานอุตสาหกรรมมีหลักการอย่างไรบ้าง
9. ให้นัก ศึก ษาอธิบายเกี่ย วกับ ประกาศกรมสวัส ดิก ารและคุ้ม ครองแรงงาน เรื่อ ง ก าหนด
มาตรฐานอุปกรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคล พ.ศ. 2554
10. หน่วยงาน สมาคม และองค์กรอื่น ทีเ่ กีย่ วข้องกับงานความปลอดภัย และ
อาชีวอนามัยมีหน่วยงานใดบ้าง (อธิบาย)
11. หน่วยงานภาครัฐทีม่ บี ทบาทหน้าทีด่ า้ นความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม
ในการทางานมีหน่วยงานใดบ้าง (อธิบาย)
12. ให้อธิบายเกีย่ วกับกฎหมายกองทุนทดแทนมาอย่างสังเขป
333
เอกสารอ้างอิง
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 6
วิศวกรรมความปลอดภัยเบือ้ งต้น
หัวข้อเนื้ อหา
1. แนวคิดของวิศวกรรมความปลอดภัย ความหมาย และความสาคัญของ
2. วิศวกรรมความปลอดภัย
3. ความหมาย ความสาคัญ วัตถุประสงค์ และประโยชน์ของการวางผังโรงงาน
4. การวางผังโรงงานเพื่อความปลอดภัย
5. ปั จจัยในการวางผังโรงงาน
6. ขัน้ ตอนในการวางผังโรงงาน และระบบการวางผังโรงงาน
7. ความหมายของอัคคีภยั องค์ประกอบของการเกิดอัคคีภยั และแหล่งกาเนิดของ
อัคคีภยั
8. สาเหตุและผลกระทบจากอัคคีภยั
9. หลักการและแนวทางการระงับอัคคีภยั
10. ระบบและอุปกรณ์ทเ่ี กีย่ วข้องในการระงับอัคคีภยั
11. ชนิดและประเภทของเครือ่ งมือ และอุปกรณ์ในการดับเพลิง
12. แผนป้ องกันและระงับอัคคีภยั
13. สรุป
14.แบบฝึกหัด
15. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย (จัดอบรมเกีย่ วกับการป้ องกันอัคคีภยั )
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคาสอนรายวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดที ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
337
บทที่ 6
วิศวกรรมความปลอดภัยเบือ้ งต้น
ความรูพ้ ้นื ฐานโดยทางทฤษฎีเกี่ยวกับความปลอดภัยในการปฏิบตั งิ านในโรงงานหรือ
สถานประกอบการที่มเี ครื่องมือ เครื่องจักร รวมทัง้ ระบบวิศวกรรมต่าง ๆ จะถูกจัดให้มขี น้ึ โดย
อาศัยหลักพืน้ ฐาน 3 ประการ หรือทีเ่ รียกว่า 3 E คือ Engineering หลักการทางด้านวิศวกรรม
Education หลักการศึกษาอบรม และ Enforcement หลักการบังคับให้เป็ นไปตามระเบียบ
ข้อ บังคับขององค์การและบ้านเมือ งความปลอดภัยจะต้อ งสอดแทรกและกลมกลืนเข้าไปใน
ขบวนการผลิตสินค้าของโรงงาน จึงจะบรรลุเป้ าหมายการบริหารงานได้เพราะจุดประสงค์หลัก
ของการบริหารโรงงาน คือ การผลิตที่มปี ระสิทธิภาพที่สุด (การผลิตที่มตี ้นทุนต่ าสุด หรือการ
ผลิตทีม่ ผี ลกาไรสูงสุด) การที่จะบรรลุจุดประสงค์ดงั กล่าวได้ต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบหรือ
ทรัพยากรพืน้ ฐานของโรงงาน 2 ประเภท คือ ประเภทแรก คือ แรงงาน (คน) ประเภทที่ 2 คือ
เครือ่ งจักรเครือ่ งมือ และอุปกรณ์ (ทีใ่ ช้ในกระบวนการผลิต)
ถึงแม้ว่าหลัก วิศวกรรมความปลอดภัยจะถูกนาเข้ามาใช้การออกแบบ ติดตัง้ ก่อสร้าง
อย่างเป็ นระบบทีม่ กี ารตรวจสอบในเบื้องต้นจากผูท้ ม่ี คี วามรู้ ความสามารถ และเชี่ ยวชาญด้าน
การออกแบบ ก ากับ ควบคุ ม ตามกฎหมายเพีย งใด ในอดีต ที่ผ่ า นมาพบว่ า มีโ รงงานหรือ
อุ ต สาหกรรมการผลิต หลายแห่ ง ที่ต้ อ งประสบกับ เหตุ ก ารณ์ โ ศกนาฏกรรมครัง้ ยิ่ง ใหญ่
ยกตัวอย่าง บริษัท เคเดอร์อนิ ดัสเตรียล ไทยแลนด์ จากัด ตัง้ อยู่อาเภอสามพราน จังหวัด
นครปฐม ซึ่งนักธุรกิจชาวไต้หวันเป็ นนักลงทุน สร้างเป็ น อาคาร 5 ชัน้ เกิดไฟไหม้ ในวันที่ 10
พฤษภาคม 2536 ซึ่งไฟไหม้ชนั ้ ล่างของอาคารทาให้คนงานเสียชีวติ จานวน 188 รายจาก
คนงานกว่า 1,400 คน และต่อมา อาคารถล่มทับซ้าคนงานอีกทาให้เสียชีวติ จากอาคารถล่มอีก
200 ราย คนงานพยายามหนีเอาตัวรอด แต่ไฟลุกไหม้อ ย่างรวดเร็วเนื่องจากเป็ นโรงงานตุ๊กตา
ผลิตเศษผ้า และวัสดุไวไฟอยู่เป็ นจานวนมาก และยังมีเหตุการณ์โรงแรมรอยัลพลาซ่า จังหวัด
นครราชสีมา ซึ่งเป็ นโรงแรมระดับสุดหรูเกิดถล่ม เนื่องจากมีการต่อเติมอาคารที่ผดิ หลักการ
ก่อสร้างและวิศวกรรม โดยผูก้ ่อสร้างและผูร้ บั ผิดชอบด้านการก่อสร้างไม่ได้เอาใจใส่ถงึ กฎความ
ปลอดภัย ทาให้ในวันที่ 13 สิงหาคม 2536 ตัวอาคารเกิดถล่มลงมาอย่างรุนแรง ทาให้ทบั ร่างอยู่
มาใช้บริการของโรงแรมทัง้ หมด รวมเจ้าหน้าทีท่ ป่ี ฏิบตั งิ านในเวลานัน้ ต้องใช้เวลาในการค้นร่าง
ผู้เสียชีว ติ เป็ นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์ ทาให้เกิดการเสียชีวติ จานวน 137 ราย ทัง้ ลูกค้าและ
เจ้าหน้าทีข่ องโรงแรม ซึง่ นับว่าเป็ นความสูญเสียในแต่ครัง้ ยิง่ ใหญ่มากกมายมหาศาลทัง้ ชีวติ คน
และทรัพย์สนิ ยังนาไปสู่ความเสียหายต่อชื่อเสียงของธุรกิจและประเทศชาติ
338
ดัง นัน้ การพยายามสร้า งความปลอดภัย ในเบื้อ งต้น เพื่อ ให้เ ป็ น บรรทัด ฐานให้กับ
ผูป้ ระกอบการหรือนายจ้าง นัน้ หลักวิศวกรรมความปลอดภัยเบือ้ งต้นจึงเป็ นทีส่ าคัญ และจาเป็ น
ตัง้ แต่ ก ารออกฎหมาย สร้างกฎระเบียบให้ผู้ใ ดก็ต ามที่ดาเนิ นธุ รกิจจะต้อ งปฏิบตั ิต ามอย่า ง
เคร่งครัดเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทางานลดความสูญเสีย และเสียหายที่จะเกิดขึน้ ต่อ
บุคคล ธุรกิจ และประเทศต่อไป
ความหมายของวิ ศวกรรมความปลอดภัย
หลัก เกณฑ์ของระบบความปลอดภัยและวิศ วกรรม เป็ นสิ่งที่ผู้บริห ารในโรงงานหรือ
สถานประกอบการต้อ งมีค วามเข้าใจถึงหลัก ความปลอดภัยในการทางานซึ่งเริม่ ตัง้ แต่ การ
ดาเนินงานจะต้องมีแผนงานด้านความปลอดภัยเบื้อ งต้นให้ชดั เจนซึ่งต้อ งทาความเข้าใจใน
ความหมายของวิศวกรรมความปลอดภัยซึ่งต้องได้รบั คาปรึกษาจากวิศวกรทีม่ คี วามเชีย่ วชาญ
และมีประสบการณ์ เ ป็ นอย่า งดี ดังนัน้ จึงต้อ งทาความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของค าว่ า
“วิศวกรรมความปลอดภัย” ซึง่ สามารถให้ความหมายได้ดงั นี้
ความปลอดภัย (Safety) หมายถึง สภาวะที่ปราศจากภยันตรายใด ๆ ทัง้ ปวง หรือ
สภาวะที่ปราศจากอุบตั เิ หตุในโรงงาน หรือสภาวะที่ปลอดภัยจากความเจ็บปวด การบาดเจ็บ
เจ็บป่ วย ทรัพย์ส ินเสียหาย และ ความสูญ เสียเนื่อ งจากกระบวนการผลิต ซึ่งการควบคุมจะ
รวมถึงการป้ องกันไม่ให้เกิดอุบตั เิ หตุในโรงาน และการดาเนินการให้สูญเสียน้อยที่สุดเมื่อเกิด
อุบตั เิ หตุขน้ึ
วิ ศวกรรมความปลอดภัย (Safety Engineering) หมายถึง เป็ นลักษณะสหวิทยาการ
ที่มุ่งเน้ นศึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ทางการวิศวกรรม เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ และออกแบบ
ระบบที่เกี่ยวข้องกับคน เครื่องจักร องค์การ และสิง่ แวดล้อม รวมทัง้ ผลกระทบ การป้ องกัน
อุบตั เิ หตุ และอุบตั ภิ ยั ในอุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ เช่น การก่อสร้าง การผลิต การขนส่ง การ
แปรรูป และการบริการ เป็ นต้น โดยเริม่ ตัง้ แต่ กระบวนการออกแบบ (design) การก าหนด
มาตรฐานความปลอดภัย การผลิต การติดตัง้ ขัน้ ตอนและวิธกี ารทางานต่าง ๆ การจัดเก็บรักษา
การส่ งมอบ การบารุงรัก ษา การป้ อ งกันภัยธรรมชาติท่เี กิดขึ้นจากสาเหตุ ท่คี วบคุ มได้ และ
ควบคุมไม่ได้ การมีจติ สานึกทางด้านสิง่ แวดล้อม การป้ องกันมลพิษและภัยจากสารเคมี ตลอด
จนถึงการประเมินความเสีย่ ง (risk assessment) ของอันตรายทีเ่ กิดขึน้ ในการพัฒนาด้านต่าง ๆ
รวมทัง้ หลักเกณฑ์ของระบบการบริหารความปลอดภัยและวิศวกรรม และองค์ประกอบอื่นๆ
เกีย่ วกับการควบคุมความสูญเสียด้วย
ความสาคัญของวิ ศวกรรมความปลอดภัย
ระบบโครงสร้างของอาคารหรือโรงงานทุกกิจการถึงแม้จะมีความแตกต่างกันในลักษณะ
ของประเภทแต่ ท่สี าคัญ คือ ต้อ งให้มคี วามปลอดภัย นัน่ คือ การออกแบบต้ อ งให้เป็ นไปตาม
กฎหมายข้อ บัง คับ มีก ารออกแบบ ตรวจสอบ ควบคุ ม การก่ อ สร้า งจากวิศ วกรที่ม ีค วามรู้
เชีย่ วชาญโดยตรง และเป็ นไปตามกฎหมายกาหนด หรือเป็ นไปตามพระราชบัญญัตโิ รงงาน
ในปั จจุบนั ภาครัฐได้มกี ารออกกฎหมายข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยเกี่ยวกับวิศวกรรม
ความปลอดภัยเพื่อ ให้สถานประกอบการหรือ นายจ้างที่มกี ารก่อ สร้าง การติดตัง้ เครื่อ งจักร
อุ ป กรณ์ ท่ีช่ ว ยในการผลิต และใช้เ กี่ย วกับ คนงาน โดยมีค วามมุ่ ง หมายให้ค นงานมีค วาม
340
ปลอดภัย และลดความเสีย หายหรือ สูญ เสีย ที่จ ะเกิด ขึ้น กับ นายจ้า ง ดัง นัน้ นายจ้า งจึง ให้
ความสาคัญทีจ่ ะทาให้เกิดความปลอดภัยในการทางานด้วยเหตุผลทีส่ าคัญดังนี้
1. ออกกฎหมาย ข้ อบัง คับ ในสถานประกอบการในด้า นการก าหนดหลักเกณฑ์
เกี่ยวกับเครื่องจักรในการผลิต ได้แก่ กฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไขการ
ทดลองเดินเครือ่ งจักร พ.ศ. 2553 เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทางานกับลูกจ้าง เครื่องจักร
และสภาพแวดล้อมในการทางาน
2. สภาพการแข่งขันทางธุรกิ จ การดาเนินธุรกิจสิง่ ทีต่ ้องเกิดขึน้ อย่างหลีกเลีย่ งไม่ได้ก็
คือ สภาพการแข่งขัน โดยเฉพาะปั จจุบนั มีความรุนแรงมากขึน้ เรื่อย ๆ องค์การจาเป็ นต้องมีกล-
ยุทธ์ในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซึง่ การทาให้เกิดความปลอดภัยในการทงานใน
สถานประกอบการเป็ นสิง่ ทีไ่ ด้โอกาสเนื่องจากช่วยลดต้นทุนในการผลิต สร้างชื่อเสียงและความ
เชื่อมันให้
่ กบั ลูกค้า และพนักงานมีความจงรักภักดีต่อองค์การ
3. ความต้องการให้องค์สามารถเติ บโตและสร้างกาไร เมื่อองค์การมีความปลอดภัย
ในการทางานสูง โอกาสทีจ่ ะทากาไรก็ย่อมมีมากกว่า เพราะองค์การไม่จาเป็ นต้องมีค่าใช้จ่ายใน
การรักษาพยาบาลการเกิดอุบตั เิ หตุของลูกจ้าง การจ่ายค่าชดเชยต่าง ๆ ลูกจ้างไม่มกี ารหยุด
เพราะการเจ็บป่ วย ย่อมส่งผลต่อกาไรทางธุรกิจได้ ดังนัน้ การให้มคี วามปลอดภัยในการทางาน
ก็ยอ่ มส่งเสริมให้ธุรกิจมีความก้าวหน้าเติบโตทางกลางการแข่งขันกันอย่างรุนแรงและก่อให้เกิด
กาไร
4. จริ ยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมหรือเพื่อส่วนรวม เมื่อองค์การได้มรี ะบบ
การจัดสภาพองค์การให้มคี วามปลอดภัยเป็ นการสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อพนักงาน
ลูกค้า และสังคมในอันที่จะส่งผลต่อความเสียหายต่อสิง่ แวดล้อม และเป็ นการสร้างความเป็ น
ธรรมให้กบั ลูกจ้างในอันจะเกิดอันตรายต่อร่างกายลูกจ้างซึ่งยังส่งผลต่อครอบครัว และสังคม
ประเทศชาติ
5. ภาพลักษณ์ และชื่อเสียงขององค์การ องค์การย่อมต้องการให้ธุรกิจดาเนินการไป
ด้วยความราบรื่น ความปลอดภัยในการทางานเป็ นกิจกรรมหน้ าที่งานสาคัญของผู้บริห ารที่
จะต้องกาหนดนโยบายอย่างชัดเจนเพื่อให้การดาเนินธุรกิจเป็ นที่รจู้ กั ไม่ว่าจะเป็ นด้านคุณภาพ
ของผลิตภัณฑ์ และชื่อเสียงทางการบริหารจัดการด้านต่าง ๆ ในองค์การ หากองค์การมีระบบ
การจัดการความปลอดภัยที่ดีก็ย่อ มทาให้พนักงานผู้ปฏิบตั ิงานมีสุขภาพอนามัยที่ดีสามารถ
ปฏิบตั งิ านได้อย่างมีประสิทธิภาพส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์การนาไปสู่การสร้างชื่อเสียงต่อ
สังคมและลูกค้า
จากความสาคัญหากมีการประเมินถึงความคุ้มค่าในการจัดการความปลอดภัยให้เกิด
ผลสาเร็จได้ผไู้ ด้รบั ประโยชน์กจ็ ะเห็นถึงความสาคัญและเป็ นหลักประกันความปลอดภัยให้กบั ผู้
ประกอบกิจการโรงงาน ผู้บริหาร และผู้ปฏิบตั ิงาน และยังให้ความมันใจแก่ ่ ชุมชนผู้อยู่อาศัย
341
ความหมายของการวางผังโรงงาน
การวางผังโรงงานเป็ นขัน้ ตอนการต่อจากการก่อสร้างโรงงานเสร็จเรียบร้อย จึงเป็ นเรื่อง
ของการการออกแบบและจัดวางผังโรงงานให้การดาเนินการระบบการผลิตมีกระบวนการที่
ส่งผลให้ขนั ้ ตอนการผลิตดาเนินไปด้วยความเหมาะสม ซึง่ จะทาให้ทราบถึงการวางตาแหน่ งของ
เครือ่ งจักร อุปกรณ์ คน วัสดุ สิง่ ของ และสิง่ อานวยความสะดวกอื่นใดทีส่ นับสนุ นให้มกี ารผลิตที่
มีประสิทธิภาพ ให้อยูใ่ นตาแหน่งทีเ่ หมาะสมทีส่ ุด เกิดการไหลของงานอย่างต่อเนื่อง การทางาน
343
ความสาคัญของการวางผังโรงงาน
การวางผัง โรงงาน จะด าเนิ น การหลัง จากที่ไ ด้ท าการก่ อ สร้า งอาคารโรงงานเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็ นกิจกรรมในการกาหนดตาแหน่ งของคน เครื่องจักร วัสดุ อุปกรณ์ และสิง่
สนับสนุ นการผลิตให้อยู่ในตาแหน่ งเหมาะสม การวางผังโรงงานทีด่ จี งึ ช่วยให้กระบวนการผลิต
สามารถลดเวลาที่สูญ เปล่า การไหลของวัส ดุเ ป็ น ไปอย่างต่อ เนื่อง ระยะเวลาการผลิตสัน้ ลง
มีความยืดหยุ่นสูง และนาไปสู่ก ารปฏิบตั ิงานที่ปลอดภัยต่อ พนักงาน ทรัพย์สนิ ขององค์การ
ทาให้แต่ถ้าจัดการวางตาแหน่ งเครื่องจัก ร และอุปกรณ์ไม่เหมาะสมผลที่ตามมาก็อาจจะเกิด
ความสูญเสียในการทางาน เครื่องจักรไม่ได้มาตรฐาน คนงานเกิดบรรลุตามวัตถุประสงค์ของ
องค์การได้ ในทางกลับกันหากองค์การไม่มกี ารวางผังโรงงานทีด่ เี ป็ นระบบ ย่อมทาให้พนักงาน
เกิด ความสับ สนในการท างานท าให้เ กิด อุ บตั ิเ หตุ ใ นการทางาน ท าให้ห ยุด งาน เสีย ค่ า
รักษาพยาบาล และพนักงานขวัญกาลังใจในการทางาน รวมทัง้ หากวางผังโรงงานผิดพลาดก็
อาจทาให้เครื่องจักรไม่ได้เกิดการใช้งาน คนงานก็ว่างงานได้ ดังนัน้ การวางผังโรงงานจึงมี
ความสาคัญ ดังนี้
1. ช่วยให้เกิดความสมดุลในการปฏิบตั งิ าน ทาให้กระบวนการผลิตมีการแบ่งปริมาณ
งานแต่ ล ะแผนกงานได้เ ท่ากัน ไม่ทาให้ส่ ว นงานบางส่ ว นต้อ งมีก าลังการผลิต ที่เ กินแรงงาน
รวมทัง้ ท าให้เ กิด ความสะดวก รวดเร็ว และมีท รัพ ยากรการผลิต ที่ใ ช้ส นับสนุ นการผลิต ให้
พอเพียง
2. ช่ว ยลดสิ่งรบกวนต่ าง ๆ ที่เ กิดจากเครื่อ งจัก ร เครื่อ งมือ ขณะปฏิบตั ิงาน เช่ น
การสัน่ สะเทือ น เสีย ง ควัน กลิ่น ฝุ่ น ละออง สารพิษ ปนเปื้ อ น และเศษโลหะที่เ กิด ขึ้น ใน
กระบวนการผลิต
3. ช่วยลดอุบตั เิ หตุ และอันตรายทีจ่ ะเกิดขึน้ กับผู้ปฏิบตั งิ าน โดยการติดตัง้ เครื่องจักร
เครื่องมือที่ถูกต้องตามมาตรฐานกฎหมายกาหนด เช่น ฐานการติดตัง้ เครื่องจักรถูกยึดแน่ นไม่
สันสะเทื
่ อน เครือ่ งจักรไม่วางชิดติดกันจนเกินไป เป็ นต้น
4. สุขภาพร่างกาย และจิตใจของพนักงานต้องมาก่อน ทาให้เกิดบรรยากาศการทางาน
ทีด่ ี ลดความขัดแย้งระหว่างพนักงานกับฝ่ ายจัดการ และหัวหน้างาน เกิดความสุขในการทางาน
เช่น สถานทีท่ างานมีระบบถ่ายเทอากาศได้ดี แสงสว่างเพียงพอ เป็ นต้น
5. การใช้ประโยชน์จากโรงงานจาเป็ นต้องใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พื้นที่ทุกตาราง
จะต้องสามารถใช้ให้เต็มพืน้ ทีแ่ ละคุม้ ค่า
6. การใช้แรงงานให้เต็มความสามารถอันเนื่องมาจากการวางผังเครื่องมือ เครื่องจักรที่
เหมาะสมกับ การจัด คน ย่ อ มท าให้เ กิด การท างานที่เ ต็ม ประสิท ธิภ าพระหว่ า งแรงงานกับ
เครือ่ งจักรและเทคโนโลยีได้
346
วัตถุประสงค์ในการวางผังโรงงาน
โดยทัวไปการออกแบบโรงงานหรื
่ อการวางผังโรงงานในอุต สาหกรรมการผลิต ที่ดีม ี
ระบบย่อ มท าให้เ กิดความได้เ ปรีย บในเชิงธุ ร กิจ จึง ต้อ งมีก ารก าหนดวัต ถุ ประสงค์ท่จี ะต้อ ง
ดาเนินการว่าจะทาอย่างไร เพื่อ ไม่ใ ห้เ สียเวลา ค่ าใช้จ่ายในการติดตัง้ เครื่องจักร เครื่อ งมือ
อุปกรณ์ต่าง ๆ ในกระบวนการผลิต และเป็ นให้ทราบกระบวนการไหลของการผลิตที่ถูกต้อง
เกิดความปลอดภัยในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนในการดาเนินงานต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนย้าย
สินค้า การไหลของงาน เครื่องจักร อุปกรณ์ และความสะดวกในการปฏิบตั งิ านของผูป้ ฏิบตั งิ าน
รวมทัง้ ช่วยลดอุบตั เิ หตุในการทางานด้วย หากกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คอื เมื่อใดที่องค์การได้มกี าร
กาหนดวัต ถุ ประสงค์ของการวางผังโรงงานไว้อ ย่างชัดเจนและเหมาะสม ก็ ย่อ มเป็ นไปตาม
เป้ าหมายและวัตถุประสงค์ท่กี าหนดไว้ ทาให้เกิดประสิทธิภาพทัง้ ด้านต้นทุนการผลิต ใช้พ้นื ที่
ได้คุม้ ค่าเกิดความปลอดภัย การวางผังโรงงานจึงมีวตั ถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อลดระยะทางและเวลาการเคลื่อนย้ายวัสดุ ในการเคลื่อนย้ายวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ
ในการผลิตหากมีการวางแผนโรงงานทีเ่ หมาะสมว่าจัดวางสิง่ ต่าง ๆ ไว้ตรงไหนอย่างไรแล้วย่อม
ทาให้ประหยัดเวลา และระยะทางในการขนย้าย ส่งผลทาให้ลดอุบตั เิ หตุระหว่างการเคลื่อนย้าย
วัสดุ และชิน้ ส่วนต่าง ๆ
2. เพื่อช่วยให้การไหลของวัตถุดบิ ไปได้อย่างรวดเร็ว และช่วยขจัดปั ญหาเกี่ยวกับการ
ท างานที่ม ีม ากเกิน ไป จะช่ ว ยให้พ นัก งานลดความเมื่อ ยล้า ส่ ง ผลในการลดอุ บ ัติเ หตุ ข ณะ
ปฏิบตั งิ าน
3. เพื่อสะดวกในการดาเนินงาน เพราะการวางผังโรงงานทีเ่ หมาะสมจะช่วยแบ่งเนื้อที่
ได้เป็ นสัดส่วน ช่องทางเดิน พืน้ ทีเ่ ก็บสินค้า พืน้ ทีพ่ กั สินค้า จุดปฏิบตั งิ าน จัดพัก วัตถุดบิ ทาให้
เป็ นการทากิจกรรม 5ส.ได้อย่างเหมาะสม
347
ประโยชน์ ของการวางผังโรงงาน
1. ช่วยทาให้เกิดความสมดุลในกระบวนการผลิต การวางผังโรงงานทีด่ จี ะช่วยแบ่งเบา
ภาระงาน หรือปริมาณงานต่าง ๆ ในหน่ วยงานการผลิตให้เกิดความสมดุลของงาน หมายถึ ง
เกิดความสมดุลระหว่างคน งาน และผลิตทีไ่ ด้รบั
2. ลดระยะทางและเวลาการเคลื่อนย้ายวัสดุ การวางผังโรงงานให้เหมาะสมจะทาให้ลด
ระยะทางและเวลาในการเคลื่อนย้ายทาให้ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และส่งผลทาให้ลดการเกิด
อุบตั เิ หตุ
3. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนเกี่ยวกับเครื่องจักร หากมีการวางผังโรงงานเกี่ยวกับ
เครื่องจักรให้เหมาะสมมีความสมดุล ทาให้กระบวนการผลิตราบรื่นไม่ต้องปรับรือ้ เครื่องจักรทา
ให้ลดค่าใช้จา่ ยในกระบวนการผลิตได้
4. ช่วยทาให้วตั ถุดบิ ไหลไปได้รวดเร็ว และราบรื่นพร้อมทัง้ ขจัดปั ญหาเกี่ยวกับการ
ทางานทีม่ มี ากเกินไป
350
และการลงทุ น ดัง นั ้น การเลื อ กท าเลที่ ต ัง้ ของโรงงานจะต้ อ งพิจ ารณาอย่ า งรอ บคอบ
ทาการศึกษาปั จจัยเกีย่ วข้องเพื่อให้ได้ทาเลทีต่ งั ้ ทีเ่ หมาะสมทีส่ ุด
1.1 ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกทาเลที่ ตงั ้ โรงงาน การพิจารณาเลือกทาเลทีต่ งั ้
โรงงานต้องคานึงถึงปั จจัยต่าง ๆ ดังนี้
1.1.1 แหล่งวัตถุดบิ โรงงานทีต่ ้องอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดบิ เช่น อุตสาหกรรม
แปรรูป อาหารทีต่ อ้ งการวัตถุดบิ สด และลดการขนส่ง
1.1.2 ตลาด พิจารณาถึงลูกค้าที่รบั บริการเป็ นสาคัญ มีการปรับเปลี่ยน
กระบวน การผลิตให้ทนั กับความต้องการของลูกค้า
1.1.3 แรงงานและค่าจ้าง โรงงานที่ต้องใช้แรงงานจานวนมาก เลือกทาเล
ทีต่ งั ้ ในบริเวณทีม่ แี รงงานเป็ นจานวนมาก
1.1.4 สาธารณูปโภค น้า ไฟฟ้ า ประปา โทรศัพท์ต่าง ๆ
1.1.5 การจราจรขนส่ง การขนส่งเป็ นต้นทุนการผลิตทีส่ าคัญ ควรพิจารณา
การขนส่งทางบก ทางน้า ทางอากาศ และปั ญหาการจราจร
1.1.6 สิ่งแวดล้อ ม โรงงานทุก ประเภทก่ อ ให้เ กิดมลพิษ ด้านสิ่งแวดล้อ ม
เช่น แหล่งน้าเน่าเหม็น อากาศเป็ นพิษ โรคจากสารพิษ แหล่งเสื่อมโทรม เป็ นต้น
1.1.7 กฎหมายทีเ่ กี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัตโิ รงงาน พระราชบัญญัติ
สิง่ แวดล้อม และอาชีวอนามัย รวมทัง้ เขตส่งเสริมการลงทุนและกฎหมายผังเมือง เป็ นต้น
1.2 การตัดสิ นใจเลือกที่ตงั ้ ทาเล ได้แก่
1.2.1 พื้นที่ทาเลที่ตงั ้ โรงงาน ที่มผี ลต่อการสร้างรายได้ให้กบั ชุมชน การ
จ้างแรงงาน ความต้องการแรงงานท้องถิน่ เป็ นต้น
1.2.2 เป็ นศูนย์กลางด้านต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง เช่น ทีต่ งั ้ ตลาด แหล่งวัตถุดบิ
ทีส่ าคัญ และตลาดแรงงาน การคมนาคม เป็ นต้น
1.2.3 ราบรวมข้อมูลทางเลือกที่เป็ นไปได้จากพื้นที่ และส่วนที่เกี่ยวข้อ ง
และสภาพปั จจุบนั
1.2.4 วิเคราะห์และประเมินทางเลือกทีเ่ ป็ นไปได้มากทีส่ ุดเพื่อการตัดสินใจ
1.3 พิ จารณาทาเลที่ตงั ้ โรงงานเพื่อความปลอดภัย ได้แก่
1.3.1 ผังโรงงานที่มพี ้นื ที่เพียงพอสาหรับการจัดระบบกระบวนผลิตให้ม ี
ความปลอดภัยด้วยการบริหารจัดการที่มคี วามปลอดภัยตามหลักความปลอดภัย และรองรับ
ขยายโรงงานในอนาคตโดยหลักการความยืดหยุ่น
1.3.2 หน่ วยงานทีส่ นับสนุ นฝ่ ายผลิตให้ตงั ้ อยู่บริเวณรอบนอก เพื่อลดการ
เกิด อุ บ ัติเ หตุ จ ากการขนย้า ยวัส ดุ อุ ป กรณ์ เนื่ อ งจากต้อ งการลดการจราจรภายในโรงงาน
ลดแรงสันสะเทื่ อนจากการผลิตและลดอันตรายจากสารพิษ สารเคมีต่าง ๆ
352
2. การออกแบบโครงสร้างและระบบในอาคาร
การออกแบบแผนผังอาคารให้โครงสร้างที่มคี วามมันคงแข็ ่ งแรงสอดคล้องกับชนิด
ของการผลิตผลิตภัณฑ์ทส่ี ามารถทาให้มคี วามปลอดภัย จัดวางเครื่องมือ เครื่องจักรอุปกรณ์ใน
การปฏิบตั ิงานได้อย่างเหมาะสม ง่ายในการไหลของงาน สะดวก รวดเร็วไม่ทาให้เกิดความ
ยุ่ง ยากในการปฏิบตั ิง านของพนัก งาน โดยให้เ กิด การประหยัด เวลา และลดต้ น ทุ น ในการ
กระบวนการผลิตได้
3. การออกแบบผังโรงงาน
การออกแบบผังโรงงานทีเ่ หมาะสม ถูกต้องตามทีว่ ศิ วกรโรงงานได้มกี ารออกแบบจะ
ทาให้มกี ารควบคุมโรงงานให้มกี ารผลิตที่ปลอดภัยในการกระบวนการทางาน การจัดวางผัง
โรงงานเราจาเป็ นต้องจัดให้เป็ นไปตามรูปแบบหรือรูปร่างลักษณะอาคารทีจ่ ะสร้างขึน้ มาใหม่ก็
ควรจะสร้า งให้ม ีรูป ร่า งเป็ น ไปตามผัง โรงงานที่ดี ฉะนัน้ รูป แบบการไหลของงานลัก ษณะ
โรงงานผลิตที่ดกี ว่าสาหรับรูปแบบการไหลของอาคารชัน้ เดียวย่อมมีความซับซ้อนน้ อ ยกว่า
อาคารหลายชัน้ โดยส่ ว นใหญ่ ก ารออกแบบผังโรงงานจะต้อ งได้ร บั การอนุ ญ าตจากวิศ วกร
โรงงานผู้ท่มี คี วามเชีย่ วชาญด้านการออกแบบโรงงานทีก่ ฎหมายกาหนด โรงงานอุตสาหกรรม
การผลิตมักจะมีการออกแบบให้มคี วามเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของลักษณะของผลิตภัณฑ์
หรือการผลิตสินค้าและบริการนัน้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทางาน และสะดวกรวดเร็ว
ประสิทธิภาพสูงสุด และทันสมัย รวมทัง้ ให้เกิดการประหยัด
การวางผังโรงงานเป็ นส่วนหนึ่งของการออกแบบโรงงาน ซึ่งการวางผังโรงงานเป็ น
การจัดวางตาแหน่ งของเครื่อ งจักร เครื่องมือ อุ ปกรณ์ คนงาน วัต ถุดบิ และสิง่ อานวยความ
สะดวกต่าง ๆ ในกระบวนการผลิต รวมทัง้ สิง่ สนับสนุ นอื่น ๆ ตามทีถ่ ูกต้องเหมาะสมให้สามารถ
ด าเนิ น งานไปได้อ ย่า งราบรื่น และเกิด ความปลอดภัย อาชีว อนามัย ในการท างาน ดัง นั น้
การออกแบบผังโรงงานจึงต้องดาเนินการตัง้ แต่ การวางระบบวิศวกรรมโรงงาน การออกแบบ
สภาพแวดล้อมภายนอกโรงงาน ได้แก่ บ่อบาบัดน้ าเสีย เส้นทางการจราจร เข้า – ออกโรงงาน
เพื่อความปลอดภัยในการเคลื่อนย้าย ขนส่ง ลาเลียงต่าง ๆ ให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว และ
ประหยัดเวลา ต้นทุนด้วย ดังภาพที่ 6.4
355
4. การออกแบบระบบขนถ่ายลาเลียงวัสดุ
ในระบบการผลิตต้องมีการออกแบบระบบขนถ่ายลาเลียงวัสดุ การจัดเตรียมสถานที่
และตาแหน่ งของวัสดุเพื่ออานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย หรือเก็บ รักษา ซึง่ การทีจ่ ะทา
ให้เ กิด สิ่งเหล่ านี้ไ ด้ต้อ งอาศัยศิล ปะในการจัด หาเครื่อ งมือ อุ ปกรณ์ การขนถ่ ายวัส ดุมาใช้ใ ห้
เหมาะสมกับงาน ในระบบการผลิต ต้อ งมีการเคลื่อ นที่ห รือ เคลื่อ นย้ายระบบการขนถ่ ายวัส ดุ
ลาเลียงไปยังจุด
องค์ประกอบสาคัญของการขนถ่ายวัสดุ
ในระบบการขนถ่ า ยวัส ดุ หรือ เคลื่ อ นย้ า ยวัส ดุ ส ิ น ค้ า และบริก าร ควรค านึ ง ถึ ง
องค์ประกอบทีส่ าคัญ 4 ประการคือ
1. การเคลื่อนที่ เป็ นการเคลื่อนย้ายวัสดุสนิ ค้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง หรือการ
เคลื่อนย้ายวัสดุ สินค้าจากจุดต้นทาง (จุดทีเ่ อาของขึน้ ) ไปยังจุดปลายทาง (จุดทีเ่ อาของลง) ซึง่
356
การเคลื่อนที่
ปริมาณ
ลักษณะของงานในการขนถ่ายวัสดุ
ในการออกแบบระบบขนถ่ายลาเลียงวัสดุ ประกอบด้วยหน้าทีห่ ลัก 2 ประการ คือ
1. ลักษณะของงานเคลื่อนย้ายวัสดุ หมายถึง การเคลื่อนย้ายวัสดุจากจุดหนึ่งไปยังอีก
จุดหนึ่งในตาแหน่งทีท่ างานเอง หรือระหว่างตาแหน่งทีท่ างาน ระหว่างเครื่องจักร ระหว่างแผนก
ระหว่างโรงงาน หรือระหว่างอาคาร ตลอดจนการขนวัสดุขน้ึ และลง
2. ลัก ษณะงานจัด เก็ บ พัส ดุ หมายถึง การเก็ บ วัต ถุ ดิบ ที่ส่ ง เข้า มาก่ อ นป้ อนเข้ า
กระบวนการผลิต การเก็บพัก วัสดุในขัน้ ตอนงานผลิต ตลอดจนการเก็บผลิตภัณฑ์สาเร็จรูป
ก่อนทีจ่ ะส่งออกไปยังผูใ้ ช้หรือเข้าสู่กระบวนการผลิต
357
5. การวางแผนกิ จกรรมการขาย
การวางแผนกิจ กรรมการขายเป็ น หน้ า ที่อ ย่ า งหนึ่ ง ของฝ่ ายการจัด การที่ต้อ งมี
จัดเตรียมสิง่ ที่จะดาเนินการนาสินค้าไปสู่ผู้บริโภคหรือตลาด การวางแผนกิจกรรมการขายจึง
หมายถึง กระบวนการคิดวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ ด้านการตลาดและการขายแล้ว
ตัดสินใจไว้ล่วงหน้าโดยอาศัยข้อมูลในอดีตการพยากรณ์อนาคต เพื่อกาหนดแผนงาน วิธกี าร
ทางานไว้ล่วงหน้าให้มโี อกาสและสาเร็จผลด้วยดีอย่างมีประสิทธิภาพ
การวางแผนกิจกรรมการขายจึง มีล กั ษณะหรือ รูป แบบที่ห ลากหลายเมื่อ ก่ อ น จะใช้
บุคคลในการนาสินค้าไปสู่ผู้บริโภค หมายถึง บุคคล สื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือพิมพ์ สื่อสิง่ พิมพ์
วิทยุ โทรทัศน์ เป็ นต้น โดยเฉพาะในปั จจุบนั ที่มคี วามทันสมัยด้านเทคโนโลยีท่มี กี ารนาระบบ
อินเตอร์เน็ตเข้ามามีส่วนช่วยในการจัดดาเนินการเกี่ยวกับกิจกรรมการขายโดยอาศัยช่องทางที่
สามารถน าไปสู่ ก ารเพิ่ม ประสิท ธิภ าพได้เ ป็ น อย่ า งดี ได้แ ก่ ทางไปรษณีย์ ทางตู้อ ัต โนมัติ
และทางอินเตอร์เน็ต เป็ นต้น
หลักเกณฑ์ในการวางผังโรงงาน
1. ความคล่องตัว คือในการเคลื่อนย้ายวัสดุ เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ จะต้องมี
ความคล่องตัว สามารถเปลีย่ นแปลงได้งา่ ย
2. การประสานงาน คือแต่ละแผนกงานจะต้องมีการประสานทีด่ แี ละสอดคล้องกันเพื่อ
ทาการผลิต สามารถดาเนินการผลิตให้สมั พันธ์ซง่ึ กันและกัน
3. การใช้ประโยชน์ของเนื้ อที่ คือทุกส่วนของพืน้ ทีโ่ รงงาน จะต้องใช้ให้เกิดประโยชน์
มากทีส่ ุด
4. เข้าถึงง่ายที่ สุด หรือหยิ บใช้ ได้ง่ายสะดวก คืออุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรต่าง ๆ
จะต้องมีทางผ่านเข้าถึงได้งา่ ย สะดวก และไม่ควรมีสงิ่ กีดขวางทางเดิน
5. มองเห็นได้ชดั เจน คือบริเวณของโรงงานมีแสงสว่ างที่สามารถมองเห็นได้ชดั เจน
เครือ่ งจักรควรมีการจัดไว้ให้เป็ นสัดส่วนและเป็ นระเบียบเพื่อช่วยลดอุบตั เิ หตุทอ่ี าจจะเกิดขึน้ ได้
6. การเคลื่อนย้ายน้ อย คือควรจะหลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายวัตถุดบิ และผลิตภัณฑ์
ระหว่างการผลิตโดยไม่จาเป็ นและควรเลือกใช้อุปกรณ์ในการขนถ่ายให้เหมาะสมกับลักษณะงาน
เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทางาน
7. เคลื่อนย้ายวัสดุทางเดียว คือเส้นทางในกระบวนการผลิตควรที่จะเป็ นเส้นทาง
เดียวกันไม่ควรที่จะสวนทางกัน เพราะอาจทาให้เกิดความสับสนเกิดความล่าช้าในการทางาน
หรืออาจจะเกิดอุบตั เิ หตุเกิดขึน้ ได้เช่นกัน
8. ระยะทางสัน้ ที่สุด คือในการเคลื่อนย้ายวัตถุดบิ และผลิตภัณฑ์จะต้องมีระยะทางที่
สัน้ ที่สุดเพื่อ ทาให้ก ารดาเนินการผลิต เป็ นไปได้อย่างต่ อเนื่องสม่ าเสมอ ซึ่งจะช่วยประหยัด
และลดต้นทุนการผลิต
358
ระบบไฟส่องสว่างฉุกเฉิ น
ระบบไฟฉุกเฉินถือเป็ นการรักษาความปลอดภัยอีกระบบ หนึ่งทีม่ คี วามสาคัญอย่างมาก
ในทุกอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้กระทังบ้ ่ านที่อยู่อาศัย ระบบไฟฟ้ าแสงสว่างฉุ กเฉิน
(Emergency Light System) จะใช้สาหรับสารองไฟฟ้ ากรณีไฟฟ้ า ดับกะทันหัน อุปกรณ์ไฟฟ้ า
ไฟฟ้ าฉุกเฉินก็จะทางานทันที
หลักการทางานของไฟฉุ กเฉิน ไฟฉุ กเฉินเป็ นอุปกรณ์ทเ่ี ก็บพลังงานไว้ในแบตเตอรี่ ซึง่
แบตเตอรีจ่ ะมี 2 แบบ คือ แบบชนิดเติมน้ ากลัน่ และ ชนิดแห้ง ไม่ต้องเติมน้ ากลัน่ และเมื่อ
ไฟฟ้ าดับจะใช้ไฟฟ้ าจากแบตเตอรีไ่ ป On หน้า Contact ของ Relay และจะทาให้หลอดไฟสว่าง
เมื่อ กระแสไฟฟ้ าจ่ายให้ไฟฉุ กเฉินก็จะมีวงจรลดแรงดันไฟฟ้ าและแปลง กระแสไฟฟ้ าให้เป็ น
กระแส DC เพื่อประจุให้แบตเตอรีแ่ ละมี วงจร off หน้า Contact relay เพื่อไม่ให้หลอดไฟสว่าง
โดยการ ทางานของไฟฉุ กเฉินต้องสามารถทางานได้เมื่อแหล่งจ่ายไฟฟ้ า ปกติลม้ เหลว หรือ
เมื่อเครื่องป้ องกันกระแสเกินเปิ ดวงจร และ แหล่งจ่ายไฟฟ้ าฉุ กเฉินต้องทางานได้อย่างต่อเนื่อง
และทางานได้ อีกโดยอัตโนมัติ โดยการเปลีย่ นจากแหล่งจ่ายไฟฟ้ าปกติมาเป็ น แหล่งจ่ายไฟฟ้ า
ฉุกเฉิน ต้องทาสมบูรณ์ภายใน 5 วินาที
สิ่ งที่ต้องพิ จารณาในการเลือกซื้อไฟแสงสว่างฉุกเฉิ น (Emergency Light)
1. หลังจากไฟดับไฟแสงสว่างฉุกเฉินควรติดขึน้ มาภายใน เวลาไม่เกิน 3 วินาที
2. ต้องมีระบบการอัดประจุแบบช้าเพื่อป้ องกันความร้อ นที่เกิดจากการอัดประจุแบบเร็ว
ซึง่ จะใช้กระแสสูง ความร้อนจะ ทาให้อายุแบตเตอรีต่ ่าลง
3. มีระบบป้ องกันการลัดวงจรทัง้ ด้านไฟ AC และไฟ DC
4. ควรมีระบบแสดงผลหน้าเครือ่ งเพื่อดูสถานะ การทางานของเครือ่ งและแบตเตอรี่
5. ต้องมีสวิทซ์ควบคุมการเปิ ด ปิ ดหลอดไฟ
ข้อควรระวังในการใช้งานไฟฉุกเฉิ น
1. ไม่ควรติดตัง้ โคมไฟฉุ กเฉินชนิดแบตเตอรี่แบบเติม น้ ากลัน่ ไว้บริเวณที่มอี ากาศ
ถ่ายเทไม่ดี เพราะจะทา ให้ไอตะกัวระเหย
่ กระจายในอากาศ เป็ นอันตรายต่อระบบทางเดิน
หายใจ
2. การติดตัง้ โคมไฟฉุ กเฉิน ต้องมันคงแข็
่ งแรง เพราะ แบตเตอรีจ่ ะมีน้ าหนักมากอาจ
จะร่วงหล่นเป็ นอันตรายได้
3. ควรเสียบปลักไฟฟ้
๊ า เพื่อ ประจุไ ฟฟ้ า ให้แ บตเตอรี่เ ต็ม อยู่เ สมอ พร้อ มใช้งาน
ตลอดเวลาหากกระแสไฟฟ้ าในเวลาปกติดบั ลง
361
ปัจจัยที่ใช้ในการพิ จารณาในการวางผังโรงงาน
1. ความต้ อ งการส าหรับ ผลิ ต ภัณ ฑ์ ซึ่ง ต้อ งการเครื่อ งจัก รในการผลิต ส าหรับ
วัตถุประสงค์ก็แตกต่างไปในการผลิตแต่ละชนิด ซึ่งการวางแผนทีค่ วรจะให้มคี วามยืดหยุ่นเพื่อ
การเปลีย่ นแปลงในเรื่องการใช้เครื่องจักรต่าง ๆ ควรมีการวางแผนไว้สาหรับการใช้เครื่องจักร
โดยทัว่ ๆ ไปเมือ่ มีการเปลีย่ นแปลงก็อาจจะเปลีย่ นได้โดยง่าย
2. การเสี่ยงภัยของความล้าสมัยของเครื่องจักร โดยในปั จจุบนั มีความล้าสมัยเร็ว
เพราะโรงงานผลิตได้พยายามปรับปรุงและผลิตรูปแบบใหม่ ๆ มันจึงเป็ นเรื่องเสี่ยงภัย และไม่
ฉลาดเลยในการจะลงทุนซือ้ เครือ่ งจักรทีใ่ กล้จะล้าสมัยมาติดตัง้ ใช้ในโรงงาน
3. คุณภาพของผลผลิ ต เป็ นสิง่ หนึ่งทีต่ ้องคานึงในเรื่องการวางแผนผังโรงงาน เพราะ
วัตถุประสงค์ของการผลิต คือต้องการให้สนิ ค้ามีคุณภาพสูงดังนัน้ ในบางครัง้ คุณภาพของสินค้า
อาจจะลดลง เพราะแบบการติดตัง้ เครื่องจักรไม่ถูกต้องจึงทาให้คุณภาพของสินค้าอาจลดลง
ด้ว ยสาเหตุ จ ากการใช้เ ครื่อ งจัก รล้า สมัย จึง ท าให้ส ิน ค้า นัน้ ล้า สมัย ไปด้ว ย ดัง นัน้ จึง ควรใช้
เครื่อ งจัก รใหม่ เพื่อ ปรับ ปรุ ง คุ ณ ภาพของสิน ค้า ให้ใ หม่ ต ามไปด้ว ย ซึ่ง เป็ น การลดต้ น ทุ น
ค่าใช้จา่ ยในการผลิตไปในตัว
4. ค่ าใช้ จ่ายในการบารุงรักษา เครื่องจักรมักจะเสียค่าใช้จ่ายในการบารุงรักษาน้อย
และถ้ า หากติด ตัง้ เครื่อ งจัก ร เพื่อ ที่จ ะใช้ ผ ลิต ต่ อ เนื่ อ งกัน ได้ ก็ นั บ ว่ า จะลดต้ น ทุ น ในการ
บารุงรักษาให้น้อยลงได้
การเตรียมข้อมูลพื้นฐานในการวางผังโรงงาน
ผูบ้ ริหารอุตสาหกรรมควรจะเตรียมข้อมูลพืน้ ฐานในการวางผังโรงงานเอาไว้ดงั นี้ (ฉลวย
ธีระเผ่าพงษ์ และอุทยั วรรณ สุวคันธกุล, 2553 หน้า 63 – 64)
1. วางผังโรงงานขัน้ ต้นก่อนทีจ่ ะมีการวางผังอย่างละเอียดอีกครัง้ หนึ่ง
363
ขัน้ ตอนการวางผังโรงงาน
ในการวางผังโรงงาน เป็ นขัน้ ตอนที่ผู้บริห ารโรงงานจะวางผังโรงงาน จากการสร้าง
โรงงานใหม่ หรือวางผังโรงงานอาคารทีส่ ร้างไว้แล้ว หรือเป็ นการขยายโรงงาน ผูบ้ ริหารโรงงาน
ก็จะต้องดาเนินการ 3 ขัน้ ตอน ดังนี้
1. วางผังโรงงานขัน้ ต้น
2. วางผังโรงงานอย่างละเอียด
3. ติดตัง้ เครือ่ งจักรตามผังทีว่ างไว้แล้ว
1. การวางผังโรงงานขัน้ ต้น ในการวางผังโรงงานขัน้ ต้นจะต้องพิจารณาถึงการขนย้าย
วัสดุและพื้นที่บริเวณทัง้ ภายในและภายนอกโรงงานอุตสาหกรรม สาหรับบริเวณภายนอก
จะต้องกาหนดบริเวณที่ตงั ้ ของ โรงงาน สนามหญ้า ถนน ที่จอดรถ สถานที่พกั ผ่อนหย่อนใจ
โกดังเก็บของหน่ วยบริการอื่น ๆ และหน่ วยขนส่งตลอดจนสิง่ อานวยความสะดวกอื่น ๆ ส่วน
สาหรับพืน้ ทีบ่ ริเวณภายในโรงงานก็ จะต้องรูว้ ่าจะแบ่งส่วนงานอย่างไร ติดตัง้ เครื่องมือบริเวณ
ใด ส่วนไหนของตัวอาคารโรงงานจะ ทาอะไร การไหลเวียนของชิน้ งานเป็ นอย่างไร ซึ่งการผัง
โรงงานในขัน้ ต้นนี้จะมีขอ้ ทีต่ อ้ ง พิจารณาอยู่ 2 ประการ คือ
1.1 การขนย้ายวัสดุ (material handling) ในการวางผังโรงงาน จะต้องพยายาม
หาวิธที จ่ี ะทาให้การขนย้ายวัสดุ (material handling) เป็ นไปอย่างสะดวกทีส่ ุด และการขนย้าย
วัสดุทด่ี จี ะต้องให้เป็ นเส้นตรงสายการผลิต ไม่ยอ้ นเส้นทางเดิม ปั จจุบนั มีการประดิษฐ์เครื่องมือ
ใหม่ ๆ สาหรับใช้ในการขนย้ายวัสดุ ในการวางผังการขนย้ายวัสดุ ผู้รบั ผิดชอบจะต้องรูว้ ่าทาง
โรงงาน จะเลือกเครื่องมือทีใ่ ช้ในการขนย้าย วัสดุแบบใด และในอนาคตจะนาเครื่องมือแบบใด
เข้ามาใช้ในการขนย้ายวัสดุ การวางผังเส้นทาง การขนย้ายวัสดุ จะต้องวางผังให้สอดคล้องกับ
เครือ่ งมือ เครื่องจักร ในการขนย้ายวัสดุทจ่ี ะมาใช้ ด้วย เช่น ลักษณะเครื่องขนย้าย ขนาดความ
364
ระบบการวางผังโรงงาน
เพื่อให้โรงงานมีระบบการผลิตสินค้าและบริการทีม่ ปี ระสิทธิภาพ และเน้นให้เกิดความ
ปลอดภัย ในการทางาน ซึ่ง การบริห ารระบบการผลิต ในกระบวนการผลิต นัน้ จ าเป็ น ต้อ งมี
ผลผลิตมีค วามสอดคล้องไปกับความปลอดภัยในการทางาน เมื่อผลผลิตเพิม่ มากขึ้น ความ
ปลอดภัยในการทางานก็ยอ่ มสูงขึน้ ด้วย ปั จจุบนั การวางผังโรงงานมีดว้ ยกัน 4 ระบบ คือ
1. การวางผังโรงงานแบบตามกระบวนการผลิต
2. การวางผังโรงงานแบบตามชนิดของผลิตภัณฑ์
3. การวางผังโรงงานแบบผสม
4. การวางผังโรงงานแบบชิน้ งานอยูก่ บั ที่
1. การวางผังโรงงานแบบตามกระบวนการผลิ ต (Process Layout)
เป็ นการวางเครือ่ งจักรให้เป็ นหมวดหมูต่ ามลักษณะของกระบวนการผลิต เช่น เครื่อง
ตัด เครือ่ งปั ม๊ เครือ่ งบรรจุหบี ห่อ การวางผังตามกระบวนการนี้สนิ ค้าทีผ่ ลิตจะต้องเคลื่อนย้ายไป
ตามกระบวนการต่ า งๆ ตามขัน้ ตอนในการผลิต สิน ค้านัน้ ตามกระบวนการผลิต ซึ่งเหมาะ
สาหรับการผลิตประเภทไม่ต่อเนื่อง หรือการผลิตตามคาสัง่ แบบสินค้ามีหลากหลาย แต่ละรุ่น
การผลิตจะผลิตไม่มาก นอกจากการวางผังกระบวนการผลิตในโรงงานแล้ว ยังมีการวางผังตาม
กระบวนการผลิต ที่พ บโดยทัว่ ไป คือ อู่ ซ่ อ มรถยนต์ ซูเ ปอร์ม าร์เ ก็ต ห้า งสรรพสิน ค้า
โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย โรงกลึง โรงงานผลิต เครื่องปรับอากาศ โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย
ธนาคาร และห้อ งสมุด โรงพยาบาลมีแ ผนกต่ างๆ เช่น แผนกทันตกรรม แผนกสูตินารีเ วช
370
วัตถุดิบ A
วัตถุดิบ B
ภาพที่ 6.10 แสดงลักษณะการแปรสภาพการผลิตสินค้าแบบผสม, 2559.
373
ความหมายของอัคคีภยั
ไฟเป็ นพลังงานชนิดหนึ่งซึ่งก่อประโยชน์ต่อมนุ ษย์มหาศาล เพราะเป็ นตัวกาเนิดของ
พลังงานต่าง ๆ มนุ ษย์นาไปใช้ในชีวติ ประจาวัน “แต่ไฟ” อาจก่อให้เกิดภัยอย่างมหันต์ได้ หาก
374
องค์ประกอบที่สาคัญของการเกิ ดอัคคีภยั
องค์ประกอบของไฟ มี 3 อย่าง คือ
1. ออกซิ เจน (Oxygen) เป็ นก๊าซทีช่ ่วยให้ตดิ ไฟ ซึง่ ต้องมีออกวิเจนไม่ต่ ากว่า 16 %
(ในบรรยากาศ ปกติจะมีออกซิเจนอยู่ประมาณ 21 %) ซึ่งโดยทัวไปมนุ ่ ษย์เราจะหายใจเอา
ออกซิเจนเข้าไปไม่เกิน 21%
2. เชื้อเพลิ ง (Fuel) ส่วนทีเ่ ป็ นไอเท่านัน้ (เชือ้ เพลิงไม่มไี อ ไฟไม่ตดิ ) หมายถึง อะไรก็
ได้ทส่ี ามารถติดไฟได้ เช่น เสือ้ ผ้า เฟอร์นิเจอร์ ม่าน พรม น้ามัน สารไวไฟต่าง ๆ
3. ความร้อน (Heat) เพียงพอทาให้เกิดการลุกไหม้ ความร้อนเป็ นองค์ประกอบหนึ่งที่
ทาให้เกิดการติดไฟ เพราะเป็ นสิง่ จาเป็ นทีท่ าให้เชือ้ เพลิงมีอุณหภูมถิ งึ จุดวาบไฟ (ถ้าจุดวาบไฟ
สูงกว่าอุณหภูมบิ รรยากาศ) และเพื่อใช้ในการจุดไอทีไ่ วไฟให้ตดิ ไฟ
ดังนัน้ การเกิดไฟ หรืออัคคีภยั จะเกิดขึน้ ได้ต้องมีองค์ประกอบครบ 3 อย่าง การลุกติด
ของไฟอย่างต่อเนื่องหรือที่เรียกว่า การเกิดเพลิงไหม้ นัน้ จะต้องมีองค์ประกอบอีกหนึ่งตัว คือ
ปฏิกิรยิ าลูกโซ่ของการเผาไหม้ หรือ มีการทาปฏิกิรยิ าทางเคมีต่อเนื่องเป็ นลูกโซ่ (Chemical
Chain Reaction) จะเห็นได้ว่าปฏิกริ ยิ าลูกโซ่ของการเผาไหม้ เป็ นปฏิกริ ยิ าทางเคมีทจ่ี ะทาให้ไฟ
375
องค์ประกอบของไฟที่เป็ นเชื้อเพลิ ง
สถานะของเชื้อเพลิง สารที่เ ป็ นเชื้อ เพลิงที่พบในงานอุ ตสาหกรรมต่ าง ๆ อาจอยู่ใ น
สถานะดังนี้
1. ของแข็ง ได้แก่ ไม้ กระดาษ พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เสือ้ ผ้า และเส้นใย ตลอดจนฝุ่ น
ลออกงและเศษผงต่างๆ
2. ของเหลว ได้แก่ น้ ามันเตา น้ ามันเชื้อ เพลิง น้ า มันหล่ อ ลื่น สี น้ ามัน และสารท า
ละลายต่าง ๆ เช่น ทินเนอร์ แอลกอฮอล์ โทลูอนี เป็ นต้น
3. ก๊ า ซ เช่ น ก๊ า ซเอททิล ลีน และก๊ า ซโพรไพรี ที่เ ป็ น วัต ถุ ดิบ ส าคัญ ในการผลิต ใด
พลาสติกต่าง ๆ รวมทัง้ สารเชือ้ เพลิงทีเ่ กิดจากปฏิกริ ยิ าเคมี
376
คุณสมบัติของเชื้อเพลิ ง
1. จุดวาบไฟ (flash point)
2. อุณหภูมติ ดิ ไฟ (ignition temperature)
3. อุณหภูมติ ดิ ไฟได้เอง (auto – ignition temperature)
4. เปอร์เซ็นต์ส่วนผสมของเชือ้ เพลิงในอากาศ (percentage mixture) คือ ปริมาณไอ
ของสารเชือ้ เพลิงทีแ่ ขวนลอยหรือผสมอยูใ่ นอากาศ
5. ความสามารถในการละลายน้าได้ (water solubility)
6. ความถ่วงจาเพาะ (specific gravity)
7. ความหนาแน่นไอ (vapor density)
วิ ธีการดับไฟ
การที่จะทาให้ไฟดับหรือไม่เกิดไฟไหม้ จึงต้องทาการตัดไฟจาเป็ นตัด อย่างน้อย 3 วิธ ี
คือ
1. ทาให้อบั อากาศ ขาดออกซิเจน
2. ตัดเชือ้ เพลิงกาจัดเชือ้ เพลิงให้หมดไป
3. ลดความร้อน ทาให้เย็นตัวลง และ การตัดปฏิกริ ยิ าลูกโซ่
ระยะของการเกิ ดไฟไหม้มี 3 ระยะ ดังนี้
1. ไฟไหม้ขนั ้ ต้น คือ ตัง้ แต่เห็นเปลวไฟจนถึง 4 นาที สามารถดับได้ โดยใช้เครื่อง
ดับเพลิงเบือ้ งต้น แต่ผใู้ ช้จะต้องเคยฝึกอบรมการใช้เครือ่ งดับเพลิงมาก่อน จึงจะมีโอกาสระงับได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ไฟไหม้ขนั ้ ปานกลางถึงรุนแรง คือ ระยะเวลาไฟไหม้ไปแล้ว 4-8 นาที อุณหภูมจิ ะสูง
กว่า 400 องศาเซลเซียส หากจะใช้เครือ่ งดับเพลิง ต้องมีความชานาญ และต้องมีอุปกรณ์จานวน
มากพอ จึงควรใช้ระบบดับเพลิงขัน้ สูง จึงจะมีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากกว่า
3. ไฟไหม้ขนั ้ รุนแรง คือ ระยะเวลาไฟไหม้ต่อเนื่องเกิน 8 นาที และยังมีเชื้อเพลิงอีก
มากมายอุณหภูมจิ ะสูงกว่า 600 องศาเซลเซียส ไฟจะลุกลามขยายตัวไปทุกทิศทางอย่างรุนแรง
และรวดเร็วการดับเพลิงจะต้องใช้ผทู้ ไ่ี ด้รบั การฝึกฝนมาเป็ นอย่างดีและถูกต้อง พร้อมอุปกรณ์ ใน
การระงับเหตุขนั ้ รุนแรง
2. คุมเขตลุกลาม
3. ลดความสูญเสีย
สาเหตุและผลกระทบจากอัคคีภยั
สาเหตุของอัคคีภยั
การเกิดไฟทีผ่ ่านมานัน้ สาเหตุโดยส่วนใหญ่ลว้ นนามาซึง่ ความเสียหายต่อทรัพย์สนิ และ
ชีว ิต มนุ ษ ย์ บ่ อ ยครัง้ การเกิ ด ไฟจะส่ ง ผลให้ ม ีก ารลุ ก ลามจนกลายเป็ นอัค คีภ ัย ในสถาน
ประกอบการ และอาจสร้างความเสียหายต่อสิง่ แวดล้อม หรือชุมชนใกล้เคียงด้วยนัน้ อาจเกิดขึน้
ได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ (ธัญวัฒน์ โพธิศริ ,ิ 2558, หน้า 78)
1) สาเหตุของอัคคีภยั อันเกิดจากความตัง้ ใจ เช่น การลอบวางเพลิงหรือการก่อ
วิน าศกรรม ซึ่ง เกิด จากการจูง ใจอัน มีมูล สาเหตุ จูง ใจที่ท าให้ เ กิด การลอบวางเพลิง อาจ
เนื่องมาจากเป็ นพวกโรคจิต เกิดขึน้ โดยความตัง้ ใจ การวางเพลิงเพื่อประโยชน์ บางอย่างของ
ตนเอง เป็ นต้น
2) สาเหตุของอัคคีภยั ทีเ่ กิดขึน้ จากความผิดพลาด ซึง่ เกิดในหลายลักษณะ เช่น
ขาดความระมัดระวังในการควบคุมเชื้อเพลิง ขาดความระมัดระวัง และการใช้ความร้อน ขาด
ความรู้ ความเข้าใจในงานนัน้ จนทาให้เกิดอัคคีภยั ขาดความชานาญ มีความบกพร่อง ประมาท
เลินเล่อ ขาดความระมัดระวัง และไม่ได้ตงั ้ ใจ เป็ นต้น
ผลกระทบจากอัคคีภยั
หากเมื่อใดมีก ารเกิดเพลิงไหม้ใ นโรงงานอุตสาหกรรม หรือ สถานประกอบการ ย่อ ม
เกิดผลกระทบตามมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นามาซึ่งความเสียหายทัง้ ร่างกายชีวติ ทรัพย์สนิ
ความเชื่อมันของบุ
่ คคลภายนอก พนักงานเสียขวัญกาลังใจ และ ชื่อเสียงองค์การ ที่สาคัญคือ
การประกอบกิจการย่อมมีความสูญเสียต่อธุรกิจทัง้ ภายในองค์การและเศรษฐกิจของประเทศ
โดยสรุปได้ถงึ ผลกระทบจากการเกิดอัคคีภยั ได้ ดังนี้
1. ผลกระทบต่อความปลอดภัยของชีวติ
2. ผลกระทบต่อความปลอดภัยของทรัพย์สนิ
3. ผลกระทบต่อความปลอดภัยของธุรกิจ
4. ผลกระทบต่อความปลอดภัยของสิง่ แวดล้อม
แหล่งกาเนิ ดของอัคคีภยั
แหล่งกาเนิดของอัคคีภยั ที่เป็ นสาเหตุของเพลิงไหม้ในสถานประกอบการหรือโรงงาน
อุต สาหกรรม เกิดเพลิงไหม้นัน้ เกิดขึ้นเนื่องจากปฏิกิรยิ าระหว่างความร้อ นของเชื้อไฟ และ
ออกซิเ จนใน อากาศเมื่อ ทราบว่ าอะไรบ้างที่ส ามารถผลิตความร้อนสูงพอที่จะติดไฟได้ก็
จาเป็ นต้องควบคุม ไม้ให้มอี งค์ประกอบอีก 2 อย่างเข้าไปอยูร่ ว่ มด้วย แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ทงั ้ สอง
378
หลักการและแนวทางป้ องกันอัคคีภยั
หลักการป้ องกันอัคคีภยั
โรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องป้ องกันไม่ให้เกิดการรวมตัวขององค์ประกอบของการ
เกิดไฟหรือ ทาการแยกองค์ประกอบเหล่ านี้อ อกจากกัน เพื่อ มิใ ห้เ กิดการลุ กไหม้และติดต่ อ
ลุกลาม โดยปฏิบตั ติ ามหลักการดังนี้
1. การจัดเก็บเพลิง หรือวัสดุท่อี าจทาให้เกิดอัคคีภยั ได้ง่าย โดยแยกให้ห่างจากแหล่ง
ความร้อนหรือประกายไฟทีอ่ าจทาให้เกิดการจุดติดได้
2. การแยกหรือป้ องกันแหล่งความร้อนทีเ่ ป็ นเหตุให้เกิดลุกไหม้ ความร้อนหรือประกาย
ไฟทีเ่ กิดขึน้ นี้อาจมาจากกระบวนการผลิต จากการไม่เข้มงวดในการใช้ไฟและความร้อนรวม ทัง้
การไม่ปฏิบตั ติ ามกฎระเบียบด้านความปลอดภัย ซึง่ เป็ นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ได้
381
ชนิ ด CO2 บรรจุ เป็ น น้ าแข็ง แห้ง ที่บ รรจุไ ว้ใ นถัง ที่ท นแรงดัน สูง เหมาะส าหรับ ใช้ภ ายในอาคาร
ถังสีแดง ประมาณ 1800 PSI ต่อตารางนิ้ว ที่ปลายสายฉีด ไ ฟ ที่ เ กิ ด จ า ก แ ก๊ ส น้ า มั น
จะมี ล ัก ษณะเป็ นกระบอกหรื อ กรวย เวลาฉี ด และไฟฟ้ า
ลัก ษณะน้ า ยาที่อ อกมา จะเป็ นหมอกหิม ะ ที่ไ ล่ - ขนาดตัง้ แต่ 5 ปอนด์ 10 ปอนด์
ความร้อน และออกซิเจน สามารถใช้กบั ไฟชนิด B และ 15 ปอนด์
และ C
ชนิ ดน้ า ยาเหลวระเหย บรรจุถงั สีเ หลือ ง ใช้ด บั เพลิง ได้ดีโดย คุณสมบัติ เหมาะสาหรับ ที่ใช้อุปกรณ์ กบั
บีซีเอฟ ฮาลอน1211 ของสารเคมีคอื มีความเย็นจัด และมีประสิทธิภาพ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ ส่อื สาร
ทาลายออกซิเจนทีท่ าให้ตดิ ไฟ น้ ายาชนิดนี้ ในอุ ต สาหกรรม อิเ ลคทรอนิ ก ส์
ไม่ท้งิ คราบสกปรก หลังการดับเพลิงและสามารถ เรือ เครื่องบิน และรถถัง
ใช้ได้หลายครัง้ ข้อเสีย ของน้ ายาดับเพลิงชนิ ดนี้
คือ มีสาร CFC ที่ส่งผลกระทบต่อ
สภาพแวดล้อม
-ขนาดตัง้ แต่ 5 ปอนด์ 10 ปอนด์
และ 15 ปอนด์
ชนิ ด HCFC-123
(Halatron) เป็ นสารดับเพลิงทีใ่ ช้ทดแทนสารฮาลอน 1211 เ ห ม า ะ ส า ห รั บ ที่ ใ ช้ อุ ป ก ร ณ์
ไม่ท าลายชัน้ โอโซนและเป็ น มิต รต่ อสิ่ง แวดล้อ ม คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ ส่อื สาร
สามารถใช้กบั ไฟชนิด A B และ C ลักษณะการฉีด ในอุ ต สาหกรรม อิ เ ลคทรอนิ ก ส์
ออกเป็ นแก๊สเหลวระเหย น้ ายาชนิดนี้ ไม่ท้งิ คราบ เรือ เครื่องบิน และรถถัง
สกปรก ไม่ ท าลายสิ่ ง ของเครื่ อ งใช้ หลั ง การ - ขนาด ตัง้ แต่ ปอนด์ 10 ปอนด์
ดับเพลิงและสามารถใช้ได้หลายครัง้ และ 15 ปอนด์
การตรวจสอบแรงดันในถังดับเพลิ ง
ถ้ามีมาตรวัด (Pressure Gauge) ต้องดูท่เี ข็ม “เข็มตัง้ ยังใช้ได้ เข็มเอียงซ้ายไม่ได้
การ” หากแรงดันไม่ม ี เข็มจะเอียงมาทางซ้ายต้องรีบนาไปเติมแรงดันทันที อย่าติดตัง้ ไว้ให้คน
เข้า ใจผิด คิด ว่ า ยัง ใช้ไ ด้ การตรวจสอบนี้ ค วรเป็ น หน้ า ที่ข องผู้ท่ีดูแ ลบริเ วณที่ติด ตัง้ เครื่อ ง
ดับเพลิงนัน้ ๆ ควรตรวจสอบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครัง้ ถ้าไม่มมี าตรวัด (Pressure Gauge) คือ
เครื่องดับเพลิงชนิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (ซีโอทู) ใช้วธิ ชี งน ั ่ ้ าหนักก๊าซทีอ่ ยู่ในถัง หากลดลง
ต่ากว่า80 % ควรนาไปอัดเพิม่ เติม
393
การบารุงรักษาเครื่องดับเพลิ ง
เครื่องดับเพลิงเป็ นอุปกรณ์ท่สี าคัญต่อ ชีวติ และทรัพย์สนิ เป็ นอย่างยิง่ จึงควรได้รบั การ
ดูแลเอาใจใส่ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวนานขัน้ ตอนที่สาคัญในการ
บารุงรักษา คือ
1. อย่าติดตัง้ อุปกรณ์ดบั เพลิงไว้ในอุณหภูมสิ งู มีความชืน้ หรือเกิดความ สกปรกได้ง่าย
เช่น ตากแดด ตากฝนติดตัง้ ใกล้จุดกาเนิดความร้อนต่างๆอาทิ หม้อต้มน้ า เครื่องจักรทีม่ คี วาม
ร้อนสูง เตาหุงต้ม ห้องอบต่างๆ เป็ นต้น
2. ทาความสะอาดตัวถังและอุปกรณ์ประกอบ (สายฉีด หัวฉีด) เป็ นประจา สม่าเสมอ
(อย่างน้อยเดือนละ1 ครัง้ ) เพื่อให้ดดู มี รี ะเบียบและพร้อมใช้งาน
3. หากเป็ นเครื่องดับเพลิงชนิดผงเคมีแห้ง ควรเคลื่อนผงเคมีทบ่ี รรจุอยู่ภายใน โดยยก
ถังพลิกคว่า-พลิกหงาย 5-6 ครัง้ (จนแน่ ใจว่าผงเคมีแห้งไม่จบั ตัวเป็ นก้อน) อย่างน้อยเดือนละ
1 ครัง้
4. ตรวจสอบสลากวิธใี ช้ป้ายบอกจุดติดตัง้ ป้ าย แสดงกาหนดการบารุงรักษาและผูต้ รวจ
สอบ (Maintenance Tag) ให้สามารถอ่านออกได้ชดั เจนตลอดเวลา
ดัง นั น้ การติด ตัง้ เครื่อ งดับ เพลิง ควรอยู่ใ นที่ท่ีเ ห็น ได้ง่า ยใช้ไ ด้ส ะดวกและติด ตัง้ ใน
ลักษณะทีใ่ ช้ได้สะดวก เช่น ควรติดอยูต่ ามผนัง หรือเสา และอยู่สูงจากพืน้ ไม่เกิน 5 ฟุต สาหรับ
เครือ่ งดับเพลิงขนาดไม่เกิน 40 ปอนด์ และไม่เกิน 3.5 ฟุต จากพืน้ สาหรับเครื่องดับเพลิง ขนาด
มากกว่า 40 ปอนด์ ผูค้ วบคุมงานต้องถือเป็ นหน้าทีท่ จ่ี ะต้องดูแลไม่ให้มสี งิ่ ใด ไปขัดขวางการเข้า
ไปใช้เครื่องดับเพลิง บริเวณทีต่ ดิ ตัง้ เครื่องดับเพลิงควรทาสีแดงเพื่อสังเกต เห็นได้ง่าย ควรมี
การตรวจสอบการบารุงรักษาเครื่องดับเพลิงอย่างสม่ าเสมอ เพราะเครื่องดับเพลิงบางชนิดจะ
ต้องมีการบรรจุน้ายาใหม่ทุกๆ ระยะ และการละเลยอาจหมายถึง ความสูญเสียจากอัคคีภยั อย่าง
มหาศาล ดังแสดงการติดตัง้ เครือ่ งดับเพลิงทีถ่ ูกต้อง ดังแสดงในภาพที่ 6.26
หลักการออกแบบอาคารให้ปลอดภัยจากอัคคีภยั
การป้ องกันและระงับอัคคีภยั ทีม่ ปี ระสิทธิภาพนัน้ จะต้องมีการออกแบบป้ องกันอัคคีภยั
ตัง้ แต่การวางผังการก่อสร้างอาคารโดยแนวคิดสาหรับการวางระบบป้ องกันอัคคีภยั ทีม่ กี ารนามา
ประยุ ก ต์ ใ ช้อ ย่ า งกว้ า งขวางในปั จ จุ บ ัน เป็ น แนวคิด ของ National Fire Protection
Association หรือ NFPA (National Fire Protection Association, Quincy, Massachusetts,
1998) ซึง่ เป็ นแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการกับอัคคีภยั โดยได้กาหนดการแบ่งการจัดการอัคคีภยั
ออกเป็ น 3 ส่วนได้แก่ (1) การควบคุมกระบวนการเผาไหม้ (2) การระงับเมื่อเกิดอัคคีภยั และ
(3) การควบคุ มไฟโดยการออกแบบโครงสร้างที่เ หมาะสม (National Fire Protection
Association.,2000) ซึง่ ในแต่ละส่วนยังมีการจาแนกสิง่ ทีต่ ้องจัดการควบคุมแตกแขนงแยกย่อย
ออกไปคล้ายแผนภูมติ ้นไม้ โดยในแต่ ล ะแขนงมีการก าหนดในสิ่งที่ต้อ งควบคุ มหรือ จัดการ
ร่วมกันหรือสามารถเลือกควบคุมหรือจัดการอีกสิง่ หนึ่งแทนได้ซง่ึ สามารถอธิบายในแต่ละส่วนได้
ดังนี้
ส่ วนที่ 1 การควบคุมกระบวนการเผาไหม้จะต้องมีการควบคุมที่เชื้อเพลิงและควบคุม
สภาพแวดล้อมในบริเ วณนัน้ ควบคู่กนั ซึง่ การควบคุมกระบวนการเผาไหม้ก็จะต้องมีการมีการ
ควบคุมคุณสมบัตขิ องเชือ้ เพลิง การควบคุมปริมาณเชื้อเพลิง และการควบคุมการแพร่กระจาย
396
ของเชื้อ เพลิง ร่ว มกัน ไป โดยในส่ ว นของการควบคุ ม สภาพแวดล้อ มก็จ ะต้อ งมีก ารควบคุ ม
สภาพแวดล้อมทางกายภาพร่วมกับทางเคมี
ส่วนที่ 2 การระงับอัคคีภยั จะต้องมีการดาเนินงาน 2 ส่วนร่วมกัน คือ การใช้ระบบระงับ
อัคคีภยั อัตโนมัตซิ ง่ึ อาจจะใช้ระบบตรวจจับไฟ หรือใช้อุปกรณ์ระงับอัคคีภยั ทีเ่ พียงพอ และการ
ใช้ระบบระงับอัคคีภยั ด้วยมือซึง่ อาจจะเลือกระบบการตรวจจับไฟ ระบบสัญญาณเตือนภัย การ
ดาเนินการตามข้อกาหนด การตอบสนองภายในพืน้ ที่ การใช้อุปกรณ์ระงับอัคคีภยั ทีเ่ พียงพอซึง่
เราสามารถเลือกการจัดการในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือหลายรูปแบบพร้อมกันก็ได้
ส่วนที่ 3 การควบคุมไฟโดยการออกแบบโครงสร้างทีเ่ หมาะสม โดยสามารถเลือกการ
ดาเนินการควบคุมโดยการจัดให้มโี ครงสร้างที่มเี สถียรภาพ เช่นการสร้างกาแพงทนไฟ การใช้
วัสดุทนไฟหรือการควบคุมการเคลื่อนทีข่ องไฟ ซึ่งในกรณีทเ่ี ลือกการควบคุมการเคลื่อนทีข่ อง
ไฟจะต้องควบคุมทิศทางลมของไฟและควบคุมขอบเขตของไฟให้ได้ดว้ ย
ประเทศไทยมีแ นวความคิด ในการน าการออกแบบทางด้า นสถาปั ต ยกรรมกับ การ
ป้ องกันอัคคีภยั ผนวกไว้รว่ มกัน ซึง่ จะแบ่งเป็ น 2 ส่วน คือ (เกชา ธีระโกเมน, 2545, หน้า 20)
(1) การออกแบบเพื่อการป้ องกันอัคคีภยั เชิงรุก (Active) และ
(2) การออกแบบเพื่อ ป้ อ งกันอัค คีภ ัยเชิง รับ (Passive) เป็ น การออกแบบเพื่อ การ
ป้ องกันอัคคีภยั เชิงรุกจะประกอบด้วย การแบ่งส่วนพืน้ ทีอ่ าคารให้เหมาะแก่การใช้งาน การสร้าง
เส้นทางหนีไฟให้เหมาะสมและเป็ นไปตามมาตรฐาน การปิ ดในส่วนของช่องเปิ ดต่างๆ ของตัว
อาคาร เช่น ช่องลิฟท์ ช่องระบายอากาศเพื่อไม่ให้ไฟลุกลามผ่านไปยังส่วนอื่นของอาคาร ส่วน
การออกแบบเพื่อป้ องกันอัคคีภยั เชิงรับ ได้แก่การติดตัง้ ระบบเฝ้ าระวังอัคคีภยั เช่น อุปกรณ์แจ้ง
เหตุเพลิงไฟชนิดต่างๆ ตามความเหมาะสมการติดตัง้ ระบบป้ องกันอัคคีภยั เช่น ระบบดับเพลิง
แบบหัวกระจายน้ าดับเพลิง และการติดตัง้ ระบบควบคุมควันไฟไม่ให้แพร่กระจายไปยังส่วน
พืน้ ทีป่ ลอดภัย เช่น ระบบอัดอากาศเข้าสู่บนั ไดหนีไฟ ซึง่ แสดงให้เห็นได้ในภาพที่ 6.27
397
Fire Safety
Passive Active
จะต้อ งอยู่ใ นช่วง 2-3 เมตรต่อวินาที วัสดุท่ใี ช้ในงานท่อ ลมทัง้ หมดจะต้องไม่ติดไฟ และวัส ดุ
จะต้องมีค่าอุณหภูมขิ องการหลอมละลายไม่น้อยกว่า 1,000 องศาเซลเซียส
1.1.3 การใช้วสั ดุประเภทไม่ลามไฟหรือสร้างความเสถียรภาพของโครงสร้าง
เป็ นวัสดุประเภทป้ องกันโครงสร้างของอาคารขณะเกิดเพลิงไหม้ ไม่ให้เกิดการแตกร้าว การ
ทลายตัวเป็ นการเลือกวัสดุของสร้างอาคารให้มโี ครงสร้างทนไฟตัง้ แต่เริม่ การออกแบบ
1.2 การป้ องกันอัคคีภยั เชิ งรุก (Active Fire Safety) เป็ นการป้ องกันอัคคีภยั เมื่อไฟ
ได้เกิดขึน้ แล้ว ซึง่ จะต้องมีการติดตัง้ อุปกรณ์การเฝ้ าระวัง อุปกรณ์การป้ องกันการลุกลามของไฟ
และอุปกรณ์สาหรับการควบคุมควันไฟ
1.2.1 ระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้นัน้ ความสามารถของอุปกรณ์ตรวจจับเพลิงไหม้
จะจาแนกตามระยะเวลาของการเกิดไฟเริม่ ต้นตัง้ แต่การเป็ นสถานะของเชือ้ เพลิงทีเ่ ป็ นของแข็ง
กลายเป็ นเชื้อเพลิงที่อยู่ในสถานะก๊าซ จากนัน้ ควันไฟจะก่อตัวขึน้ ต่อมาจะเกิดเปลวไฟ และใน
ทีส่ ุดจะเกิดความร้อนจากเปลวไฟแพร่กระจายออกไปดังแสดงในภาพที่ 6.28
แผนป้ องกันและระงับอัคคีภยั
ในสถานประกอบการย่อ มต้อ งมีแผนป้ องกันและระงับอัค คีภยั ตามกฎหมายก าหนด
ประกอบด้วย
1. แผนการตรวจตรา
2. แผนการอบรม
3. แผนการรณรงค์ป้องกันอัคคีภยั
4. แผนการดับเพลิง
5. แผนอพยพหนีไฟ
6. แผนบรรเทาทุกข์
1. แผนการตรวจตรา เป็ นแผนการสารวจความเสีย่ งและตรวจตรา เพื่อเฝ้ า
ระวังป้ อ งกันและขจัด ต้น เหตุ ของการเกิด เพลิง ไหม้ ก่ อ นจัดท าแผนควรมีข้อ มูล ต่ า ง ๆ
ดังต่อไปนี้เชือ้ เพลิง สารเคมีสารไวไฟ ระบบไฟฟ้ าจุดทีม่ โี อกาสเสีย่ ง ต่อการเกิดเพลิงไหม้ และ
ต้องมีการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับ คุณสมบัตลิ กั ษณะการลุกไหม้ ปริมาณของสารอันตราย ทีม่ อี ยู่
สูงสุด ชนิดของสารดับเพลิงและปริมาณทีต่ ้องใช้เพื่อประกอบการวางแผน การตรวจตรา ควรมี
การกาหนดบุคคล พืน้ ทีท่ ่รี บั ผิดชอบ หัวข้อและจุดที่ต้องตรวจ ระยะเวลา ความถี่ผตู้ รวจสอบ
รายงาน การส่งรายงานผล การแจ้งข้อบกพร่องในการตรวจตราทีช่ ดั เจน
402
4. แผนการดับเพลิ ง สถานประกอบการจะต้องมีการเขียนแผนการดับเพลิงให้
ถูกต้องชัดเจนสอดคล้องกับกฎหมายกาหนด หรือเป็ นไปตามกฎหมายความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
แผนป้ อ งกันและระงับอัค คีภยั จาเป็ นต้อ งมีก ารจัดทาแผนเพื่ อ ให้มกี ารเตรียมความ
พร้อมรองรับสิง่ ที่จะเกิดขึน้ ให้สามารถมีประสิทธิภาพและเป็ นไปตามกฎหมายกาหนด ได้แก่
แผนการตรวจตรา แผนการอบรม แผนการรณรงค์ป้อ งกัน อัค คีภยั แผนอพยพหนี ไฟ และ
แผนการดับเพลิง เป็ นต้น
402
แผนการดับเพลิ ง
ตัวอย่างลาดับขัน้ ตอนการปฏิบตั เิ มือ่ พนักงานพบเหตุเพลิงไหม้
เจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัย
ในการทางาน ผูอ้ านวยการดับเพลิง
ระดับวิชาชีพ หรือผูจ้ ดั การโรงงาน
แจ้ง หรือผูร้ บั ผิดชอบ
พนักงาน แจ้งเพื่อนร่วมงาน
ทีพ่ บเหตุ ดับได้ แจ้ง
หรือหัวหน้างาน
เพลิงไหม้ และเข้าดับเพลิงทันที
ตัวอย่าง
การกาหนดตัวบุคคลและหน้าที่เพื่อระงับเหตุเพลิงไหม้ขนั ้ ต้น
ฝ่ าย / แผนก..........................................................
บริเวณ................................................................. หัวหน้าชุดดับเพลิงขัน้ ต้น
ชุด........................................................................ ชื่อ........................................................................
ผูอ้ านวยการดับเพลิง
ชื่อ........................................
หน้ าที่ ของผู้ปฏิ บตั ิ งานตามโครงสร้างหน่ วยงานป้ องกันระงับอัคคี ภยั เมื่อเกิ ดเหตุเพลิ ง
ไหม้ขนั ้ รุนแรง (ถ้ามี)
ผู้ปฏิ บตั ิ งาน หน้ าที่รบั ผิดชอบ
ผูอ้ านวยการดับเพลิง ให้ปฏิ บตั ิ ดงั นี้
1. รับฟังรายการต่าง ๆ เพือ่ สังการการใช้ ่ แผนต่าง ๆ
2. ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้อง
3. รายงานผลการเกิดเพลิงไหม้ตอ่ ผูบ้ งั คับบัญชาระดับสูงขึน้ ไป
4. ให้ขา่ วแก่สอ่ื มวลชน
ฝ่ ายไฟฟ้ า ให้ปฏิ บตั ิ ดงั นี้
1. เมื่อเกิดเพลิงไหม้ให้รบี เข้าไปที่เกิดเหตุ เพื่อรับคาสังตั ่ ดไฟ จากฝ่ าย
ปฏิบตั กิ าร
2. รับคาสังจากผู
่ อ้ านวยการดับเพลิง
ฝ่ ายปฏิ บตั ิ การ หัวหน้ าฝ่ ายปฏิ บตั ิ การให้ถือปฏิ บตั ิ ดงั นี้
1. เมื่อเกิดเพลิงไหม้ในพืน้ ที่ให้หวั หน้าฝ่ ายปฏิบตั กิ ารแยกชุด ปฏิบตั กิ าร
ออกเป็ น 2 ชุด คือ (1) ชุดควบคุมเครื่องจักร และ (2) ชุดดับเพลิง
1.1 ชุดควบคุมเครื่องจัก ร เมื่อเกิดเพลิงไหม้ในพืน้ ที่ใด ให้ชุดควบคุม
เครื่องจักร ทาการควบคุมเครื่องจักรให้ทางานต่อไปจนกว่าจะได้รบั คาสังให้ ่
หยุด เครื่องจากหัวหน้าฝ่ ายปฏิบตั กิ ารกรณีท่ี ไมสามารถเดินเครื่อง หรือ
ได้รบั คาสังให้
่ หยุดเครื่องให้ชุดควบคุมเครื่องจักรไปช่วยทาการ ดับเพลิง
1.2 ชุดดับเพลิง เมื่อเกิดเพลิงไหม้ในพืน้ ทีต่ วั เองไม่ว่ามากหรือน้อย ชุด
ปฏิบตั ิก ารชุด นี้จ ะแยกตัว ออกจากการควบคุมเครื่องจัก ร ออกทาการ
ดับเพลิงโดยทันทีทเ่ี กิดเพลิงไหม้โดยไม่ตอ้ ง หยุดเครื่องและ ให้ปฏิบตั กิ าร
ภายใต้คาสังของหั ่ วหน้าฝ่ าย ปฏิบตั กิ ารในพืน้ ที่ ใน การปฏิบตั กิ ารหาก
จาเป็ นต้องขอ ความช่วยเหลือจากหน่วยอื่นให้หวั หน้าฝ่ ายปฏิบตั ิการ สัง่
ดาเนินการ
2. ทันทีทท่ี ราบเหตุเพลิงไหม้ในพืน้ ทีข่ องตัวเอง ให้แจ้งข่าว โทรศัพท์ถงึ เข้า
หน้าทีค่ วามปลอดภัยถึงผูอ้ านวยการดับเพลิง และโทรศัพท์แจ้งศูนย์รวม
ข่าว
ฝ่ ายสื่อสารและประสานงาน ให้ปฏิ บตั ิ ดงั นี้
1. คอยช่วยเหลือประสานงานระหว่างบุคคลทีเ่ กีย่ วข้อง
2. รับคาสังจากผู ่ อ้ านวยการดับเพลิงและติดต่อผ่านศูนย์รวมข่าว
3. สังการแทนผู
่ อ้ านวยการดับเพลิง ถ้าได้รบั มอบหมาย
ห น่ ว ย จั ด ห า แ ล ะ ส นั บ ส นุ น ใ น ก า ร ให้เจ้าหน้ าที่ความปลอดภัยคอยช่วยเหลือดังนี้
ดับเพลิง 1. คอยช่วยเหลือประสานงานระหว่างผูอ้ านวยการดับเพลิง ยามรักษาการณ์
- ผูป้ ระสานงาน และผูเ้ กีย่ วข้อง
2. คอยรับ-ส่งคาสังจากผู ่ อ้ านวยการดับเพลิงในการติดต่อ ศูนย์ขา่ ว
3. สังการแทนผู
่ ้อ านวยการดับเพลิง ในกรณีท่ีผู้อ านวยการ ดับเพลิง
มอบหมาย
406
หน้ าที่ ของผู้ปฏิ บตั ิ งานตามโครงสร้างหน่ วยงานป้ องกันระงับอัคคี ภยั เมื่อเกิ ดเหตุเพลิ ง
ไหม้ขนั ้ รุนแรง (ถ้ามี) (ต่อ)
ผู้ปฏิ บตั ิ งาน หน้ าที่รบั ผิดชอบ
- ยามรักษาการณ์ 1. ให้รบี ไปยังจุดเกิดเหตุคอยรับคาสั ่งจากผู้อานวยการดับเพลิง และ
หัวหน้าฝ่ ายประสานงาน
2. ป้ องกันมิให้บุคคลภายนอกที่ไม่ม ีหน้ าที่เกี่ยวข้องเข้าก่อ น ได้รบั
อนุญาต
3. ควบคุมป้ องกันทรัพย์สนิ ทีฝ่ ่ ายเคลื่อนย้ายนามาเก็บไว้
ฝ่ ายเคลื่อนย้ายภายใน - ภายนอก 1. ให้รบั ผิดชอบในการกาหนดจุดปลอดภัยอัคคีภยั ในการเก็บ วัสดุ
ครุภณั ฑ์
2. อานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายขนส่งวัสดุครุภณ ั ฑ์
3. จัดยานพาหนะและอุปกรณ์ขนย้าย
ฝ่ ายส่งเสริมปฏิ บตั ิ การ ให้ปฏิ บตั ิ ดงั นี้
- หน่วยติดต่อดับเพลิงจากพืน้ ทีอ่ ่นื 1. ให้แจ้งสัญญาณ SAFETY ORDER SYSTEM (SOS)
2. พนักงานที่ทราบเหตุเพลิงไหม้และต้องการเข้ามาช่วยเหลือ ดับเพลิง
ให้รายงานตัวต่อผูอ้ านวยการดับเพลิงเพื่อทาการ แบ่งเป็ นชุดช่วยเหลือ
ส่งเสริมการปฏิบตั งิ าน
3. สาหรับการเกิดอัคคีภยั ในบริเวณเครื่องจักร ชุดดับเพลิง ควรมาจาก
ชุดดับเพลิงในสถานทีน่ นั ้ ผูท้ ่มี าช่วยเหลือควร ช่วยเหลือในการลาเลียง
อุปกรณ์ดบั เพลิง
4. คอยคาสั ่งจากผูอ้ านวยการดับเพลิง ให้คอยอยูบ่ ริเวณทีเ่ กิด เพลิงไหม้
- หน่วยเดินเครื่องสูบน้ าฉุกเฉิน ให้ปฏิ บตั ิ ดงั นี้
1. ให้เดินเครื่องสูบน้ าดับเพลิงทันทีทไ่ี ด้รบั แจ้งเหตุเพลิงไหม้
2. ทาการควบคุมดูแลเครื่องสูบน้ าดับเพลิงขณะทีเ่ กิดเพลิงไหม้
3. ในเวลาปกติให้ตรวจสอบเครื่องมือ อุปกรณ์ ใช้งานตาม รายการ
ตรวจเช็ค
ศูนย์รวมข่าว / สื่อสาร ให้ปฏิ บตั ิ ดงั นี้
1. เมื่อทราบข่าวเกิดเพลิงไหม้จะต้องทาการตรวจสอบข่าว
2. แจ้งเหตุเพลิงไหม้
3. ติดตามข่าว แจ้งข่าวเป็ นระยะ
4. ติดต่อขอความช่วยเหลือ (ถ้ามีการสื่อสาร)
5. แจ้งข่าวอีกครัง้ เมื่อเพลิงสงบ
ทีม่ า: กรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงาน, 2541.
407
ตัวอย่าง
แผนอพยพหนี ไฟ
ประชาสัมพันธ์ประกาศ
พร้อมกดสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้
ผูน้ าทางนาพนักงานไปยังจุดรวมพล
สรุป
วิศวกรรมความปลอดภัย เป็ นลักษณะสหวิทยาการที่มุ่งเน้ นให้โรงงานอุตสาหกรรมมี
โครงสร้างความปลอดภัยด้วยการประยุกต์ทางวิศวกรรมทีต่ อ้ งควบคุมเกี่ยวกับการวางแผน และ
ออกแบบโรงงานโดยวิศวกรโรงงานที่เป็ นผู้เชีย่ วชาญ เพื่อให้เป็ นไปตามกฎหมายกาหนดหลัง
จากนัน้ ต้องนามาวางผังโรงงานให้ตาแหน่ งของเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ วัสดุต่าง ๆ ทีเ่ ป็ น
สิง่ สนับสนุ นอานวยความสะดวกเพื่อให้กระบวนการผลิตสามารถดาเนินการไปโดยเพิม่ ผลผลิต
ให้มากขึน้ และในขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับให้เกิดความปลอดภัยในการทางานของพนักงาน
ด้วย วิศวกรรมความปลอดภัยจึงมีความสาคัญ คือ การกาหนดข้อบังคับ และออกกฎหมายใน
สถานประกอบการ สภาพการแข่งขันทางธุรกิจทาให้หนั มาใส่ใจกับชีวติ ความเป็ นอยู่ท่ดี ขี อง
พนัก งาน ความต้อ งการให้อ งค์ก ารสามารถเติบ โตและสร้า งก าไรให้กับ องค์ก ารด้ว ยการที่
พนักงานมีสุขภาพอนามัยทีด่ พี ร้อมปฏิบตั งิ านให้กบั องค์การได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็ น
ความรับผิดชอบต่อสังคมและจริยธรรม คุณธรรมของนายจ้างหรือผู้ประกอบการ รวมทัง้ การ
ต้องการสร้างภาพลักษณ์ท่ดี ใี ห้กบั องค์การ องค์การจึงต้องการมีการวางผังโรงงานด้วยสาเหตุ
ดังนี้ การเปลีย่ นแปลงของลักษณะผลิตภัณฑ์ การเปลีย่ นแปลงขององค์การทีม่ กี ารขยาย และลด
ขนาดองค์การ การเปลีย่ นแปลงของเทคโนโลยี การย้ายหน่ วยงาน การเพิม่ ชนิดของผลิตภัณฑ์
ใหม่ และการเปลี่ยนแปลงสภาพการทางานที่ไม่เ หมาะสม เป็ นต้น การวางผังโรงงานจึง มี
วัตถุประสงค์เพื่อลดระยะเวลาในการเคลื่อนย้ายวัสดุส่องของ ช่วยให้การไหลของงานเป็ นไป
อย่างรวดเร็วประหยัดเวลา ต้นทุน ขจัดสิง่ รบกวน และทาให้แผนกต่าง ๆ สามารถทางานได้
อย่างดีเอือ้ ต่อกระบวนการผลิต และทาให้การทางานเกิดความปลอดภัยและมีสุขภาพอนามัยทีด่ ี
ดัง นัน้ การวางผัง โรงงานจึง มีห ลัก การส าคัญ คือ การเลือ กท าเลที่ต ัง้ ของโรงงาน
การออกแบบโครงสร้างและระบบในอาคาร การออกแบบผังโรงงาน และการออกแบบระบบขน
ถ่ายลาเลียงวัสดุ ซึง่ องค์ประกอบสาคัญของการขนถ่ายวัสดุ ได้แก่ การเคลื่อนที่ เวลา ปริมาณ
และเนื้อที่ การวางผังโรงงานเพื่อให้เกิดความปลอดภัยจึงออกแบบให้มกี ารจัดวางเครื่องจักร
เครื่อ งมือ อุ ปกรณ์ และสิ่งสนับสนุ นให้มคี วามสะดวกเหมาะสมสัมพันธ์กับกระบวนการผลิต
ผู้ออกแบบโรงงานจะต้องทราบถึง ขัน้ ตอนการผลิต รวมทัง้ ตาแหน่ งในการจัดวางให้เกิดความ
ปลอดภัยในการทางานทัง้ ภายในและภายนอกและต้องส่งผลต่อการออกแบบระบบไฟฟ้ าเพื่อ
ความปลอดภัยทัง้ โรงงาน การออกแบบและวางผังโรงงานจึงต้อ งมีขนั ้ ตอน ดังนี้ การวางผัง
โรงงานขัน้ ต้น การกาหนดพืน้ ทีภ่ ายในโรงงาน และการวางผัง โรงงานอย่างละเอียด การวางผัง
โรงงานจึงมีก ารจัดดาเนินการวางผังโรงงานให้เ ป็ นระบบซึ่งในปั จจุบนั มีการวางผังโรงงาน
ด้วยกัน 4 ระบบ ดังนี้ การวางผังโรงงานแบบตามกระบวนการผลิต การวางผังโรงงานแบบตาม
ชนิดของผลิตภัณฑ์ การวางผังโรงงานแบบผสม และการวางผังโรงงานแบบชิ้นงานอยู่ กบั ที่
การวางผังโรงงานจึงต้องคานึงถึงการป้ องกันอัคคีภยั เพื่อเป็ นการป้ องกันไม่ให้เกิดอัคคีภยั ใน
412
แบบฝึ กหัด
ให้ตอบคาถามให้ถกู ต้องและสมบูรณ์ที่สดุ
1. จงบอกถึงความหมายและอธิบายคาว่า “วิศวกรรมความปลอดภัย”
2. จงบอกถึงความหมายของการวางผังโรงงานมาอย่างละเอียด
3. จงบอกถึงวัตถุประสงค์ของการวางผังโรงงานมาอย่างน้อย 6 ข้อ (พร้อมอธิบายโดยสังเขป)
4. ให้บอกถึงความสาคัญของการวางผังโรงงานมาอย่างน้อย 6 ข้อ (พร้อมอธิบายโดยสังเขป)
5. ให้บอกถึงประโยชน์ของการวางผังโรงงานมาอย่างน้อย 6 ข้อ (พร้อมอธิบายโดยสังเขป)
6. ปั จจัยทีเ่ กีย่ วข้องกับการวางผังโรงงานได้แก่ปัจจัยอะไรบ้าง
7. ลักษณะทีด่ ขี องการวางผังโรงงานมีลกั ษณะอย่างไรบ้าง
8. การจัดวิศวกรรมความปลอดภัยในสถานทีท่ างาน จะต้องมีการดาเนินการจัดอย่างไรบ้าง
เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
9. ระบบไฟฉุกเฉิน (Emergency Lighting System) มีความจาเป็ นอย่างไรในสถานประกอบการ
10. จงบอกความหมายของคาว่า “อัคคีภยั ”
11. องค์ประกอบทีส่ าคัญของการเกิด “อัคคีภยั ”มีอะไรบ้าง (พร้อมอธิบายโดยสังเขป)
12. ชนิดของถังดับเพลิงทีใ่ ช้ในการดับเพลิงเมือ่ เกิดอัคคีภยั มีกช่ี นิดแต่ละชนิดมีองค์ประกอบ
หรือคุณสมบัตอิ ย่างไร
13. ชนิดของสารดับเพลิงมีกช่ี นิดอะไรบ้าง (อธิบายพอสังเขป)
14. ให้นกั ศึกษาเขียนแผนป้ องกันและระงับอัคคีภยั ในสถานประกอบการ
414
เอกสารอ้างอิ ง
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 7
การจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
หัวข้อเนื้ อหา
1. แนวคิด ความหมายของการจัดการความเสีย่ ง
2. กรอบของการจัดการความเสีย่ ง
3. ข้อกาหนดและกระบวนการในการบริหารความเสีย่ ง
4. การรับรูค้ วามเสีย่ ง
5. การบ่งชีอ้ นั ตรายและการประเมินความเสีย่ ง
6. ประเภทความเสีย่ ง
7. การวิเคราะห์ความเสีย่ ง
8. หลักเกณฑ์ทใ่ี ช้ในการประเมิน และการพิจารณาตอบสนองต่อความเสีย่ งอันตราย
9. กระบวนการจัดการความเสีย่ ง
10. การบาบัดความเสีย่ ง การเฝ้ าระวัง และการทบทวน
11. สรุป
12. แบบฝึกหัด
13. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
418
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารการเรียนการสอน (เอกสารประกอบคาสอน)
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดทิ ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
419
บทที่ 7
การจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
เครือ่ งมือสาคัญในระบบการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการการทางานใน
สถานประกอบการเพื่อให้ผปู้ ฏิบตั งิ านลดอุบตั เิ หตุ ความเจ็บป่ วยต่าง ๆ อันเนื่องจากการทางาน
ซึ่ง เป็ น เครื่อ งมือ ในการช่ ว ยให้ผู้บ ริห ารน ามาใช้ใ นการวางแผนและจัด กิจ กรรมด้า นความ
ปลอดภัยอย่างเป็ นระบบ ซึง่ จะช่วยให้คน้ พบสิง่ ทีเ่ ป็ นอันตราย หรือความเสีย่ งในการปฏิบตั งิ าน
ในทุกตาแหน่ งงาน อันจะนาไปสู่การหาแนวทาง มาตรการ และการแก้ไขปรับปรุง เครื่องมือ
อุปกรณ์ เครื่องจักร คน และสภาพแวดล้อมในการทางานให้เกิดความปลอดภัยให้ มากทีส่ ุด ซึ่ง
จะสามารถกระทาได้หลายวิธกี าร โดยเฉพาะอย่างยิง่ หากจะดาเนินการในการสารวจเพื่อบ่งชี้
ความเสี่ยงในการปฏิบตั งิ าน เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และสภาพแวดล้อมในการทางาน
ได้แก่ แบบสารวจ (check-list) แบบประเมินความเสี่ยง (risk assessment) เพื่อช่วยในการ
สารวจและประเมินความเสี่ยงต่ าง ๆ ได้ค รบถ้ว นและได้ข้อ มูลที่ส ามารถบ่งชี้อ ันตราย และ
ประเมินความเสี่ยงได้ชดั เจน นอกจากนี้ยงั สามารถนาข้อมูลอื่น ๆ ทีเ่ ก็บรวบรวมเป็ นหลักฐาน
ในการวิเคราะห์ความเสีย่ งในการทางานได้
การวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทางานนับว่าเป็ น
การดาเนินการตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2542) และ 4 (พ.ศ. 2552)
เรื่อง มาตรการคุม้ ครองความปลอดภัยในโรงงาน กาหนดให้โรงงานทีม่ คี วามเสี่ยง 12 ประเภท
ต้องจัดทารายงานการวิเคราะห์ความเสีย่ งจากอันตรายที่อาจเกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน
เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการโรงงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการทราบถึงอันตรายและจัดให้ มมี าตรการ
ป้ อ งกัน อันตรายที่เ หมาะสม แต่ จ ากการด าเนิน งานที่ผ่ า นมาพบว่ า แม้ว่า โรงงานได้จ ดั ท า
รายงานการวิเ คราะห์ค วามเสี่ยง แต่ ก็ยงั พบอุ บตั ิเ หตุ เ กิดขึ้นในโรงงาน ดังนัน้ กรมโรงงาน
อุตสาหกรรมจึงได้มกี ารพิจารณาทบทวนแนวทางการบริหารจัดการความเสีย่ งในโรงงานเพื่อให้
มีมาตรการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยให้มปี ระสิทธิภาพมากยิง่ ขึน้
แนวคิ ดเกี่ยวกับการจัดการความเสี่ยง
การปฏิบ ัติง านในทุ ก ต าแหน่ ง ในสถานประกอบการ โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ง สถาน
ประกอบการทีม่ กี ารใช้เครือ่ งมือ เครือ่ งจักรทีม่ กี ารผลิตจานวนมาก และต้องการความรวดเร็วใน
การผลิตสินค้าและบริการย่อมทาให้เกิดความเสีย่ งทีม่ อี ยู่ในการปฏิบตั งิ านซึง่ อาจส่งผลกระทบ
ชีวติ และทรัพย์สนิ ของผูป้ ฏิบตั งิ านและนายจ้างโดยตรง ดังนัน้ ทัง้ ผูป้ ฏิบตั งิ านและนายจ้างก็ต้อง
มีว ิธกี าร หรือ แนวทางในการป้ อ งกันเพื่อ ที่ล ดความเสี่ยงหรือไม่ใ ห้ค วามเสี่ยงเกิดขึ้นในการ
ปฏิบตั ิงานให้ไ ด้ การจัดการความเสี่ยงจึงเป็ นแนวทางการป้ อ งกันควบคุมความเสี่ยงที่ต้อ ง
420
ความหมายของการจัดการความเสี่ยง
มีนักวิชาการได้ให้ความหมายของการจัดการความสีย่ งในงานด้า นความปลอดภัยและ
อาชีวอนามัยไว้หลายท่าน พอจะสรุปได้ดงั นี้
สานักงานมาตรฐานแห่งชาติออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (Standards New Zealand) ได้
ให้ความหมายของคาว่า การจัดการความเสี่ยง (risk management) ไว้ว่า การประยุกต์อย่าง
เป็ น ระบบในการใช้น โยบายการจัด การ ขัน้ ตอนการด าเนิ น งาน (procedure) และปฏิบ ัติ
(practice) เพื่อชี้บ่ง วิเคราะห์ ประเมินผล แก้ไข และเฝ้ าระวังความเสี่ยงที่ มอี ยู่ในงาน (task)
หนึ่งๆ
(The Royal Society) ได้ใ ห้ค วามหมายของค าว่า การจัดการความเสี่ยง (risk
management) ไว้ว่า กระบวนการตัดสินใจที่จะยอมรับความเสี่ยงที่ผ่านการประเมิน (assess)
แล้ว และ/หรือการลงมือดาเนินการทีจ่ ะลดความรุนแรงหรือโอกาสเกิดเหตุการณ์นัน้ ๆ
สเต็บเฟว่น(Stephenson,2001, p.219) ได้ให้ความหมายของคาว่า การจัดการความ
เสีย่ ง (risk management) ไว้ว่า กระบวนการทัง้ หมดของการชีบ้ ่ง ประเมินผล ควบคุม หรือลด
และยอมรับความเสีย่ ง
สานัก งานปลัดกระทรวงการคลัง (2557, หน้ า 3) ได้ใ ห้ค วามหมายของ การจัดการ
ความเสีย่ ง (risk management) ไว้ว่า การจัดการความเสีย่ ง ( Risk Management) หมายถึง
กระบวนการที่ใช้ในการระบุความเสี่ยง การวิเคราะห์ความเสี่ยงและการกาหนดแนวทางการ
ควบคุมเพื่อป้ องกันหรือลดความเสีย่ ง การบริหารความ เสีย่ งแบบบูรณาการ (Enterprise Risk
Management : ERM) คือ ขบวนการทีจ่ ดั ทาโดยฝ่ ายบริหาร เพื่อ ประยุกต์ใช้ในการจัดทาแผน
กลยุทธ์ทวทั ั ่ ง้ องค์กร ซึง่ ออกแบบมาเพื่อระบุเหตุการณ์ทอ่ี าจเกิดขึน้ มีผลกระทบกับองค์กรและ
จัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับยอมรับได้ เพื่อให้บรรลุวตั ถุประสงค์ขององค์กร กรอบการ
บริหารความเสีย่ งประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1. วัฒนธรรมองค์กร (Culture) เป็ นเครื่องมือสาคัญในการสร้างค่านิยม ปลูกฝั ง
ให้ผมู้ สี ่วนเกีย่ วข้องในการทางานได้มสี ่วนร่วมในการปฏิบตั งิ านในองค์การให้เกิดผล โดยเฉพาะ
ด้านความปลอดภัยในการทางาน วัฒนธรรมองค์การจะมีผลสะท้อนให้แสดงเห็น ถึงศักยภาพ
ขององค์การและพนักงานในองค์การ
2. โครงสร้างการบริหารความเสีย่ ง (Structure) การจัดทาโครงการควบคุมโดย
พิจารณาจาก ความสัมพันธ์ของทรัพยากรต่าง ๆ กระบวนการทางาน กระบวนการบริหาร
ภายในองค์กรนัน้ ๆ ซึง่ จะต้องมีการแต่งตัง้ ในรูปแบบคณะกรรมการมาจากหลาย ๆ ส่ว นงานทีม่ ี
ความเกีย่ วข้องทัวทั ่ ง้ องค์การ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ผูบ้ ริหารระดับสูงจะต้องเป็ นผูก้ าหนดนโยบาย
อย่างชัดเจนเพื่อให้การดาเนินการด้านการจัดการความเสีย่ งบรรลุตามเป้ าหมายทีก่ าหนดไว้
422
ประสบการณ์เดิ ม
ความสนใจ ความตัง้ ใจ
ความสาคัญของการรับรู้
ความปลอดภัยในการทางานจะเริม่ ตัง้ แต่การตระหนักถึงความปลอดภัยในตนเองซึง่ เกิด
การการรับรูถ้ งึ สิง่ ทีจ่ ะเกิดขึน้ ดังนัน้ ความสาคัญของการรับรูแ้ บ่งออกเป็ น 2 ชนิด คือ (สิทธิโชค
วรานุสนั ติกกุล, 2546, หน้า 269)
1. การรับรูม้ คี วามสาคัญต่อการเรียนรูโ้ ดยทีก่ ารรับรูท้ าให้เกิดการเรียนรูถ้ ้าไม่มกี ารรับรู้
จะเกิดการเรียนรู้ไม่ได้ในทานองเดียวกันการเรียนรู้มผี ลต่อการรับรู้ครัง้ ใหม่ เนื่องจากความรู้
ประสบการณ์เดิม จะแปลความหมายให้ทราบว่าคืออะไร
2. การรับรูม้ คี วามสาคัญต่อเจตคติอารมณ์และแนวโน้มพฤติกรรม เมื่อรับรู้แล้ว ยอม
เกิดความรูส้ กึ และมีอารมณ์พฒ ั นาเป็ นเจตคติแล้วเกิดพฤติกรรมตามมาในทีส่ ุด
ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้
ปั จจัยทีม่ ผี ลต่อการรับรู้ ซึง่ เป็ นสิง่ ทีม่ คี วามสัมพันธ์กบั การรับรู้ สามารถแบ่งออกได้ดงั นี้
(บัณฑิต เผ่าวัฒนา, 2548, หน้า 9)
1. ปั จ จัย ทางกายภาพของผู้ร บั รู้ ได้แ ก่ ระบบประสาทสัม ผัส เช่ น หู ตา จมูก ลิ้น
ผิวหนัง เป็ นต้น
2. ปั จจัยทางด้านบุคลิกภาพของผู้รบั รู้ ได้แก่ ทัศนคติ อารมณ์ ค่านิยม ความต้องการ
ความสนใจ ความพอใจ ความรู้ และประสบการณ์ เป็ นต้น
3. ปั จจัยทางด้านสิง่ เร้าภายนอก ได้แก่ ลักษณะของสิง่ เร้า ความแตกต่างของสิง่ เร้า
เช่น สิง่ เร้าทีม่ คี วามเข้มกว่า สิง่ เร้าทีม่ คี วามชัดเจน สิง่ เร้าทีม่ กี ารกระทาซ้าบ่อย ๆ เป็ นต้น
การรับรูถ้ อื ว่าเป็ นกระบวนการแปลความหมายจากการสัมผัสการรับรูข้ องแต่ละบุคคล
นัน้ แตกต่างกันต้องอาศัยปั จจัยหลายอย่าง และปั จจัยทีส่ าคัญ คือ ความสนใจต่อสิง่ เร้าซึ่งมีผล
ต่อการเลือกรับ โดยเฉพาะความปลอดภัยในการทางานผู้ปฏิบตั งิ านย่อมเป็ นผูท้ ่รี บั รูใ้ นสิง่ ที่จะ
ทาให้ตนเองทีป่ ฏิบตั งิ านไม่ให้เกิดอุบตั เิ หตุ บาดเจ็บ หรือเจ็บป่ วยในการทางาน นอกจากนี้การ
จะรับรูไ้ ด้ดมี ากน้อยเพียงใดขึน้ อยู่กบั สิง่ ที่มอี ทิ ธิพลต่อการรับรูข้ องบุคคล เช่น อวัยวะรับสัมผัส
และประสบการณ์ทผ่ี ่านมา
คู่มอื บริหารความเสี่ยง (2558, หน้า 9) ได้ให้ความหมายของ การรับรูค้ วามเสี่ยง ไว้ว่า
ความสามารถในการประเมินค่าความเสีย่ งทีล่ ูก ค้าต้องเผชิญในการตัดสินใจใช้บริการ ซึง่ การมี
ความสามารถดังกล่าวทีแ่ ตกต่างกันของลูกค้า มีผลกระทบทาให้พฤติกรรมของลูกค้าแตกต่าง
กันออกไป
กรอบการบริหารความเสี่ยง (2558, หน้า 7) ได้ให้ความหมายของ การรับรูค้ วามเสี่ยง
ไว้ว่า ความสามารถในการตัดสินใจ ทีจ่ ะยอมรับในเหตุการณ์ทจ่ี ะเกิดขึน้ ซึง่ จะต้องมีการประเมิน
ค่าความเสี่ยงที่ผู้ปฏิบตั งิ านหรือพนักงานที่ต้องเผชิญ เมื่อการการรับรู้ และยอมรับความเสี่ยง
นัน้ ก็ย่อมนาไปสู่การวิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงเพื่อการลดความเสี่ยง หรือหาแนวทาง
มาตรการและการแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทเ่ี ป็ นความเสีย่ งทีจ่ ะเกิดขึน้ อีก
427
การรับ รู้ถึง ความเสี่ย งของมนุ ษ ย์ม ีล ัก ษณะที่แ ตกต่ า งกัน ตามแนวคิด ของทฤษฎี
นัก จิต วิท ยา ซึ่ง น ามาอธิบ ายในการจัด การความเสี่ย งในสถานประกอบการเกี่ย วกับ การ
ปฏิบตั งิ านของพนักงานมีทฤษฎีหลายทฤษฎีจะนามากล่าวได้ดงั นี้ (สราวุธ สุธรรมาสา, 2560,
หน้า 5-8)
ทฤษฎีท่เี ป็ นพื้นฐานที่สุ ด คือ Knowledge Theory ซึ่งระบุว่าการที่คนเราจะรับรูว้ ่า
สิง่ ของหรือสถานการณ์ใดทีเ่ ป็ นอันตรายนัน้ มาจากความรูข้ องเขาว่าสิง่ ของหรือสถานการณ์นัน้
เป็ นอันตราย ซึง่ บุคคลนัน้ ก็จะมีพฤติกรรม หรือทัศนะทีส่ อดคล้องกับความรูเ้ กี่ยวกับความเสีย่ ง
นัน้
สาหรับทฤษฎีอ่นื ๆ เช่น Personality Theory เป็ นทฤษฎีทบ่ี ่งชี้ คนเราจะพฤติกรรม
รับรูส้ มั ผัสถึงความเสีย่ งแตกต่างกัน บางคนจะมีพฤติกรรมไม่ยอมรับรูค้ วามเสีย่ ง (risk –averse
behavior) ขณะที่บางคนมีพฤติกรรมรับรู้ถึงความเสี่ยง (risk - taking behavior) หรือ
Economic Theory ซึง่ เป็ นทฤษฎีท่วี างอยู่บนพืน้ ฐานด้านเศรษฐกิจว่าหากยอมรับความเสีย่ ง
มากขึ้น อาจจะได้รบั รางวัลมากขึ้น และ Cultural Theory ที่มฐี านความคิดว่าอันตราย
(Hazards) ใดทีค่ น (Individual) หรือกลุ่มคนกลัว และกลัวมากแค่ไหนก็กาหนดขึน้ มาเป็ นระดับ
การยอมรับความเสีย่ งนัน้
นัก จิต วิทยาหลายคนได้พยายามที่จะวัดการยอมรับความเสี่ยงโดยใช้เครื่องมือหรือ
เทคนิคทีเ่ รียกว่า Psychometric – Paradigm ดังเช่น Slovic, P.(1897) ได้ทาการวัดหลายครัง้
ในปี 1984 และปี 1987 สามารถระบุถงึ ปั จจัยหลัก 2 ประการทีม่ ผี ลต่อการยอมรับความเสีย่ ง
ของมนุ ษย์ คือ “น่ ากลัว/ไม่น่ากลัว (Dread/Non – Dread)” และ “รู้ /ไม่รู้ (Know /Unknown)”
ดังตารางที่ 20
428
ตารางที่ 7.1 ลักษณะ (Characteristics) หรือ พารามิเตอร์ (Parameter) ทีส่ มั พันธ์กบั ปั จจัย
การยอมรับความเสีย่ ง “กลัว/ไม่กลัว” และ “รู/้ ไม่ร”ู้
ปัจจัย ลักษณะหรือพารามิเตอร์ที่สมั พันธ์กบั ปัจจัย
น่ากลัว กลัว
ควบคุมไม่ได้
ผลทีเ่ กิดทั ่วโลก
ผลทาให้ตาย
เกิดผลเสียหายอย่างหนัก
ความเสีย่ งสูงต่อคนรุน่ ต่อไป
ยากต่อการควบคุม
ระดับความเสีย่ งเพิม่ ขึน้
ไม่เต็มใจสัมผัสความเสีย่ ง
ไม่น่ากลัว ไม่กลัว
ควบคุมได้
ผลทีเ่ กิดไม่ท ั ่วโลก
ไม่ตาย
ไม่เสียหายมาก
ความเสีย่ งต่าต่อคนรุน่ ต่อไป
ง่ายต่อการควบคุม
ระดับความเสีย่ งต่าลง
เต็มใจสัมผัสความเสีย่ ง
รู้ ความเสีย่ งทีส่ งั เกตเห็น
คนทีส่ มั ผัสรูว้ า่ เสีย่ ง
ผลเสียหายทันที
ความเสีย่ งทีเ่ ป็ นวิทยาศาสตร์
ไม่รู้ สังเกตไม่เห็น
ไม่รวู้ า่ เสีย่ ง
ความเสียหายอาจล่าช้า
ความเสีย่ งไม่เป็ นวิทยาศาสตร์
ทีม่ า: สราวุธ สุธรรมาสา, 2560, หน้า 5-8,5-9.
สื่อ
ผู้ส่งสาร เข้ารหัส (media) ถอดรหัส ผู้รบั สาร
(Sender) (encode) ข่าวสาร (decode) (Receiver)
(message)
สิ่ งรบกวน
(noise)
ข้อมูลย้อนกลับ การตอบสนอง
(feedback) (response)
การรัวไหลของสารเคมี
่ หรือวัตถุอนั ตราย เป็ นต้น โดยพิจารณาถึงโอกาสและความรุนแรงของ
เหตุการณ์ เหล่านัน้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายแก่ ชวี ติ ทรัพย์สนิ และ
สิง่ แวดล้อม เป็ นต้น
2.3 ข้อมูลรายละเอียดแผนงานบริหารจัดการความเสีย่ ง
แผนงานบริหารจัดการความเสีย่ ง (Risk Management Program) หมายถึง
แผนการดาเนินงานในการกาหนด มาตรการความปลอดภัยที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพใน
การจัดการความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น รวมทัง้ การจัดหาสิง่ อานวยความสะดวก
เครื่องมือหรืออุปกรณ์ และบุคลากรที่เหมาะสม เพื่อดาเนินการตามระเบียบปฏิบตั ใิ นมาตรการ
ความปลอด ภัยเพื่อป้ องกัน ควบคุม บรรเทาหรือลดความเสี่ยงจากอันตรายทีอ่ าจเกิดขึน้ จาก
การประกอบกิจการนัน้ ๆ โดยต้องคานึงถึงผล กระทบทีอ่ าจเกิดขึน้ จากแผนงานบริหารจัดการ
ความเสีย่ งดังกล่าวต่อระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม รวมทัง้ ปั จจัยอื่น ๆ เช่น ความเป็ นไป
ได้ของเทคโนโลยี เป็ นต้น
ข้อ 3 การชีบ้ ่งอันตรายและการประเมินความเสีย่ ง ผูป้ ระกอบกิจการโรงงานอาจเลือกใช้
วิธกี ารใดวิธกี ารหนึ่งหรือหลาย วิธที ่เี หมาะสมตามลักษณะการประกอบกิจการหรือลักษณะ
ความเสีย่ งจากอันตรายทีอ่ าจเกิดขึน้ จากการประกอบกิจการโรงงาน ดังต่อไปนี้
3.1 Checklist
3.2 WHAT - IF Analysis
3.3 Hazard and Operability Studied (HAZOP)
3.4 Fault - Tree Analysis (FTA)
3.5 Failure Modes and Effects Analysis (FMEA)
3.6 Event - Tree Analysis หรือวิธกี ารอื่นใดทีก่ รมโรงงานอุตสาหกรรม
เห็นชอบ
ข้อ 4 แผนงานบริหารจัดการความเสี่ยง ผูป้ ระกอบกิจการโรงงานต้องดาเนินการจัดทา
แผนงานเพื่อกาหนดมาตรการ ความปลอดภัยที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพในการจัดการ
ความเสีย่ งเพื่อป้ องกันและควบคุม บรรเทาหรือลดความเสีย่ งจาก อันตรายทีอ่ าจเกิดขึน้ จากการ
ประกอบกิจการ ซึง่ ได้ผา่ นการชีบ้ ่งอันตรายและการประเมินความเสีย่ ง ในข้อ 3 มาตรการความ
ปลอดภัย เหล่ า นัน้ ให้ พิจ ารณาถึง ทุ ก ขัน้ ตอนการทางานตัง้ แต่ ก ารออกแบบ การสร้ าง การ
ประกอบกิจการและการบริหารงาน เป็ นต้น โดยองค์ประกอบหลักในแผนงานบริหารจัดการ
ความเสีย่ งต้องประกอบด้วย
4.1 มาตรการป้ อ งกัน และควบคุ ม สาเหตุ ของการเกิดอัน ตราย (Control
Measure) ได้แก่
4.1.1การออกแบบ การสร้างและการติดตัง้ เครื่องจักรอุปกรณ์ เครื่องมือ
ตลอดจนการใช้วสั ดุทไ่ี ด้มาตรฐาน
437
องค์ประกอบรายงานการบริ หารจัดการความเสี่ยง
การจัดทารายงานการวิเ คราะห์ค วามเสี่ยงจากอันตรายที่ อ าจเกิดจากการประกอบ
กิจการโรงงาน ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบอย่างน้อย ดังนี้
1. ข้อมูลทัวไปของโรงงาน
่
2. แผนทีแ่ สดงที่ตงั ้ โรงงาน รวมทัง้ สถานที่ต่าง ๆ เช่น ที่พกั อาศัย โรงงาน โรงเรียน
โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา เส้นทางจราจร และชุมชนใกล้เคียง ในระยะ 500 เมตร
3. แผนผังรวมทีแ่ สดงตาแหน่ งของโรงงาน ที่อาจก่อให้เกิดอุบตั ภิ ยั ร้ายแรง เช่น การ
เกิดเพลิงไหม้ การระเบิด การรัวไหลสารเคมี
่ หรือวัตถุอนั ตราย ในกรณีท่มี หี ลายโรงงานอยู่ใน
บริเวณเดียวกัน
ชื่อโรงงาน ..............................................................................................................................
วัน เดือน ปี ทีท่ าการวิเคราะห์ และทบทวนการดาเนินงานในโรงงาน .......................................
ตารางที่ 7.3 การจัดทาบัญชีรายการสิง่ ทีเ่ ป็ นความเสีย่ งและอันตราย
การดาเนินการในโรงงาน สิง่ ทีเ่ ป็ นความเสีย่ งและ ผลกระทบทีอ่ าจเกิดขึน้ หมายเหตุ
อันตราย
ให้ระบุกจิ กรรมการ ให้ระบุสภาวะหรือการกระทา ระบุผลกระทบทีอ่ าจเกิดขึน้ ระบุวธิ กี ารชีบ้ ่ง
ดาเนินการโดยเรียงลาดับ ทีอ่ าจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ ต่อบุคคล ชุมชน สิง่ แวดล้อม อันตรายทีใ่ ช้
ดังนี้ หรือความเจ็บป่ วยจากการ และทรัพย์สนิ
1. กระบวนการรับวัตถุดบิ ทางาน ความเสียหายต่อ
และสารเคมี บุคคล ชุมชน สิง่ แวดล้อม
1.1 กลุ่มไวไฟ และทรัพย์สนิ
1.2 กลุ่มกัดกร่อน
1.3 กลุ่มเป็ นพิษ
2. กระบวนการจัดเก็บ
วัตถุดบิ และสารเคมี
2.1 กลุ่มไวไฟ
2.2 กลุ่มกัดกร่อน
2.3 กลุ่มเป็ นพิษ
3. กระบวนการเตรียม
วัตถุดบิ และสารเคมี
4. กระบวนการผลิตให้ระบุ
ขัน้ ตอนการผลิตทุก
ขัน้ ตอนการผลิตทุก
ขัน้ ตอน และทุกกลุ่ม
441
กระบวนการประเมิ นความเสี่ยง
โดยหลักการประเมินความเสีย่ ง เป็ นขัน้ ตอนทีร่ ะบุลาดับความเสีย่ งของอันตรายทัง้ หมด
ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของงานที่ครอบคลุมสถานที่ เครื่องจักร อุปกรณ์ บุคลากรและวิธกี าร
ขัน้ ตอนในการปฏิบ ัติงาน ที่อ าจจะเกิดให้ เ กิดการบาดเจ็บ หรือ เจ็บ ป่ วย ความเสียหายต่ อ
ทรัพ ย์ส ิน ความเสีย หายต่ อ สิ่ง แวดล้ อ ม หรือ สิ่ง ต่ า ง ๆ การประเมิน ความเสี่ย งอย่ า งมี
ประสิทธิภาพ จึงจาเป็ นต้อ งประเมินความเสี่ยงด้วยการประมาณระดับความเสี่ยงที่สามารถ
ยอมรับได้เพื่อลดความเสี่ยงนัน้ ๆ องค์การจาเป็ นต้องมีการดาเนินการตามเกณฑ์ท่จี ะทาให้ม ี
การประเมินความเสี่ยงให้เกิดประสิทธิภาพสามารถบ่งชี้อนั ตรายและความเสี่ยงที่จะเกิดการ
ยอมรับความเสีย่ งนัน้ ดังนี้
1. จาแนกประเภทของกิ จกรรมของงาน
ให้สารวจและศึกษาชนิดของกิจกรรมของงานแล้วเขียนชนิดของกิจกรรมของงานที่
ปฏิบตั หิ น้ าที่อยู่ประจา และให้เขียนขัน้ ตอนการปฏิบตั งิ านของแต่ละกิจกรรมโดยให้ครอบคลุม
สถานทีป่ ฏิบตั งิ าน สภาพการทางาน เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และบุคลากร รวมทัง้ ทาการ
จัดเก็บรวบรวมข้อมูลทีไ่ ด้สารวจและศึกษาไว้ ซึง่ ถือว่าเป็ นการจาแนกประเภทของกิจกรรมของ
งานไว้อย่างละเอียด
2. ชี้บ่งอันตราย
กิจกรรมของงานใด ๆ ที่ได้สารวจ และศึกษารวบรวมข้อมูลไว้แล้วต้องนามาชี้บ่งอันตราย
ทัง้ หมดทีเ่ กีย่ วข้อง แต่ละกิจกรรม พิจารณาว่าตาแหน่งงานผูป้ ฏิบตั งิ านจะได้รบั อันตรายและ จะ
ได้รบั อันตรายอย่างไร รวมทัง้ ผลทีเ่ กิดขึน้ จะมีแนวทางการแก้ไข ป้ องกันอย่างไร
442
3. กาหนดความเสี่ยง
คาดการประมาณความเสีย่ งจากอันตรายแต่ละชนิด โดยมีการตัง้ สมมติฐานว่ามีการ
ควบคุมตามแผน หรือตามขัน้ ตอนการทางานทีม่ อี ยู่ ผูป้ ระเมินความเสีย่ งจะต้องมีการพิจารณา
ประสิทธิภาพของการควบคุม และผลทีจ่ ะเกิดจากความล้มเหลวของการควบคุมด้วย
4. ตัดสิ นว่าความเสี่ยงยอมรับได้หรือไม่
ตัดสินใจว่าแผนงานหรือการเฝ้ าระวังป้ องกันด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัยทีม่ ี
อยู่ (ถ้ามี) เพียงพอทีจ่ ะจัดการเกี่ยวกับความเสีย่ งอันตรายให้อยู่ภายใต้การควบคุมและเป็ นไป
ได้ตามข้อกาหนดตามกฎหมายหรือไม่
5. เตรียมแนวทางการปฏิ บตั ิ การควบคุมความเสี่ยง
หากมีการพบว่า ขัน้ ตอนการปฏิบตั ิงานข้อใดไม่มกี ารกาหนดระเบียบ ข้อบังคับใน
การปฏิบตั งิ าน จนนามาซึง่ เป็ นการละเลยเกี่ยวกับการปฏิบตั งิ านซึ่งจะนาไปสู่การเกิดอุบตั เิ หตุ
ในขัน้ ตอนการปฏิบตั งิ าน หรือการปฏิบตั งิ านไม่ถูกต้ องตามคู่มอื การปฏิบตั งิ าน และต้องมีการ
ปรับปรุงแก้ไข เพื่อนาไปสู่การลดอุบตั เิ หตุหรือ หรืออัตราความเสีย่ งลดลงให้อยู่ในระดับยอมรับ
ได้ ให้มกี ารรวบรวมเตรียมแผนงานทีเ่ กี่ยวข้องกับสิง่ ต่าง ๆ ทีพ่ บในการประเมิน หรือทีค่ วรเอา
ใจใส่ องค์การต้องแน่ ใจว่าการควบคุมทีจ่ ดั ทาแผนการควบคุมความเสีย่ งทีจ่ ดั ทาใหม่และทีม่ อี ยู่
แล้วนาไปปฏิบตั ไิ ด้อย่างเกิดประสิทธิภาพมากทีส่ ุด
6. ทบทวนแผนการปฏิ บตั ิ การ
มีการประเมินความเสีย่ งอีกครัง้ ก่อนนาแผนลงไปปฏิบตั ิ ด้วยคณะกรรมการทีไ่ ด้ดาเนิน
จัดตัง้ ไว้ และรวบรวมด้วยการประเมินความเสีย่ งใหม่ดว้ ยวิธกี ารควบคุมทีไ่ ด้มกี ารปรับปรุง และ
ตรวจสอบว่ามีความเสีย่ งนัน้ อยูใ่ นระดับทีย่ อมรับได้
จากกระบวนการประเมินความเสีย่ งด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทางาน
ขององค์การเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็ นกระบวนการให้มกี าร
ยอมรับได้ จึงสามารถสรุปกระบวนการประเมินความเสีย่ งได้ ดังภาพที่ 7.4
443
จาแนกประเภทของกิจกรรมของงาน
ชีบ้ ่งอันตราย
เตรียมแผนปฏิบตั กิ ารควบคุมความ
เสีย่ ง (ถ้าจาเป็ น)
ทบทวนความเพียงพอของ
แผนปฏิบตั กิ าร
การพัฒนาระบบและข้อกาหนดการจัดการความเสี่ยง
การพัฒนาระบบการจัดการความเสี่ยง
โดยส่วนใหญ่สถานประกอบการหรือโรงงาน มุ่งเน้นการพัฒนาระบบการจัดการความ
เสี่ยงขึ้นมาในโรงงาน จาต้อ งพิจารณาถึงสิ่งที่จาเป็ นหรือ กิจกรรมพื้นฐานที่ต ัอ งจัดให้มกี าร
จัดการความเสี่ยงในโรงงานเพื่อ ให้เ กิดความปลอดภัยกับพนัก งาน รวมทัง้ เป็ นหลักในการ
พัฒนาระบบการจัดการความเสี่ย งให้ส ามารถดาเนิ นไปได้ โดยต้อ งมีก ารกระทาเริ่มตัง้ แต่
นโยบายการจัดการความเสีย่ ง องค์การ การทบทวนการจัดการ และการดาเนินโปรแกรมต่าง ๆ
1. นโยบายการจัดการความเสี่ยง (Risk Management Policies)
การก าหนดนโยบายด้ า นการจัด การความเสี่ย งเป็ น หน้ า ที่ค วามรับ ผิด ชอบของ
ผู้บริหารระดับสูงที่ต้องกาหนดนโยบายขึน้ มาให้เป็ นลายลักษณ์อกั ษรที่ชดั เจนในการแสดงถึง
วัตถุประสงค์และเจตจานง (commitment) ที่โรงงานหรือสถานประกอบกิจการมีต่อการจัดการ
ความเสีย่ งทีม่ อี ยู่ในโรงงาน นโยบายนี้จะต้องสอดคล้องกับบริบทหรือสภาพธรรมชาติของธุรกิจ
444
ต้อ งให้ก ารจัด การความเสี่ย งเป็ น ส่ ว นหนึ่ ง หรือ บู ร ณาการเข้า กับ การวางแผนกลยุท ธ์แ ละ
กระบวนการจัดการของโรงงานหรือสถานประกอบการ ซึง่ รวมถึงเรือ่ งต่อไปนี้
1) องค์การและบริบทของการจัดการความเสีย่ ง
2) การชีบ้ ่งอันตรายขององค์การ
3) การวิเคราะห์และประเมินผลความเสีย่ งเหล่านัน้
4) ยุทธศาสตร์การบาบัดความเสีย่ ง
5) กลไกการทบทวนโปรแกรม
6) ยุทธศาสตร์สาหรับการยกระดับความห่วงใย ความชานาญที่ต้องการ การ
ฝึกอบรม และการใช้ความรูโ้ ปรแกรมการจัดการความเสีย่ ง โดยพื้นทีใ่ นโซนแผนกต่าง ๆ หรือ
ในพืน้ ทีร่ ะดับโปรแกรม โครงการ และ/หรือทีท่ มี งาน โดยการประยุกต์กระบวนการจัดการความ
เสี่ยง สามารถทาได้โดยการบูรณาการเข้ากับกับกิ จกรรมการวางแผนและการจัดการที่มกี าร
ดาเนินการอยูเ่ ดิม
ขัน้ ตอนที่ 5 การจัดการความเสี่ยงที่ระดับโปรแกรม โครงการ และทีมงาน
เป็ นการพัฒนา และกาหนดโปรแกรมการจัด การความเสี่ยง ในแผนกงานต่าง ๆ หรือ
การจัดการความเสี่ยงในระดับโปรแกรม โครงการ และ/หรือ ที่ทีมงาน โดยการประยุก ต์
กระบวนการจัดการความเสีย่ งสามารถทาได้โดยการบูรณาการเข้ากับกิจกรรมการวางแผนและ
การจัดการที่มกี ารดาเนินการเกี่ยวกับความเสี่ยงในสถานที่ปฏิบตั ิงานในตาแหน่ งงานนัน้ ๆ
ซึง่ โดยทัวไปแล้
่ วในระดับการจัดการนี้หวั หน้างานหรือผูน้ าทีมงานทีไ่ ด้จดั ตัง้ ขึน้ มาต้องสามารถ
ดาเนินกิจกรรมเกีย่ วกับแนวทางในการจัดการความเสีย่ งให้เกิดผลสาเร็จ นันหมายความว่
่ า ต้อง
ลดความเสีย่ งในการปฏิบตั งิ านในสถานทีน่ นั ้ คือการลดอุบตั เิ หตุในการทางานลงให้ได้นนเอง ั่
ขัน้ ตอนที่ 6 การเฝ้ าระวังและการทบทวน
การพัฒนาและประยุกต์กลไกทีจ่ าดาเนินการทบทวนความเสีย่ งเป็ นระยะๆ ทาให้เกิดผล
ลัพธ์ทท่ี าให้มคี วามมันใจได้
่ ว่านโยบายและการดาเนินงานเกี่ยวกับความเสีย่ งยังคงเป็ นปั จจุบนั
คือเหมาะสมกับสภาพความเป็ นจริงในขณะนัน้ อันตรายและความเสี่ยงเป็ นสิง่ ที่ไม่ได้อยู่ นิ่งจึง
ต้องมีการเฝ้ าระวังและทบทวนอยู่เสมอ ซึ่งในการทบทวนจาเป็ นต้องมีขอ้ มูลต่าง ๆ จากเกิด
อุบตั เิ หตุ หรือ การประเมินความเสีย่ งเพื่อเป็ นข้อนามาทบทวน และหามาตรการเฝ้ าระวังไม่ให้
เกิดความเสีย่ งเหล่านัน้ ขึน้ มาอีก
โดยเฉพาะอย่างยิง่ การเฝ้ าระวังเป็ นวิธกี าร หรือการหาแนวทางในการป้ องกัน แก้ไข
เกี่ย วกับ ความเสี่ย งซึ่ง ได้ แ ก่ การบาดเจ็บ เจ็บ ป่ วย ที่อ าจเกิด จากการท างานในสถาน
ประกอบการ โดยทีมงานจะต้องมีการประชุมหารือเพื่อทบทวน เพื่อนาไปสู่การแก้ไขปั ญหา
448
ข้อกาหนดและกระบวนการจัดการความเสี่ยง
ข้อกาหนดของการจัดการความเสี่ยง
ข้อก าหนดและกระบวนการจัดการความเสี่ยง มาตรฐาน AS/NZS 4360: 1998
ประกอบด้วยข้อกาหนดหลัก 6 ข้อ แต่ละข้อจะมีความสัมพันธ์ในเชิงกระบวนการจัดการความ
เสีย่ งตามภาพข้างล่างนี้ คือเริม่ จากการกาหนดบริบทของการจัดการ ความเสีย่ ง แล้วตามด้วย
การชี้บ่งความเสี่ยง การวิเคราะห์ความเสี่ยง การประเมินผลและจัดลาดับความเสี่ยงและการ
บ าบัด ความเสี่ย งในขณะเดีย วกัน ในทุ ก ๆ ข้อ ก าหนดจะมีก ารเฝ้ า ระวัง และการทบทวนกา
ดาเนินการควบคู่กนั ไปด้วย ดังภาพที่ 7.4
การกาหนดบริบท
การชีบ้ ่งความเสีย่ ง
การเฝ้ าระวังและ
การวิเคราะห์ความเสีย่ ง การทบทวน
การ
ประเมิน
ความเสีย่ ง การประเมินผลและจัดทาลาดับความเสีย่ ง
การบาบัดความเสีย่ ง
A D
C
ภาพที่ 7.5 กรอบการบริหารความเสีย่ ง
ทีม่ า: ดัดแปลงมาจาก Deming, (1989)
นโยบายการบริ หารความเสี่ยง
จากนัน้ ผู้บริหารระดับสูงขององค์การจะต้อง กาหนดนโยบายการบริหารความเสี่ยง
(risk management policy) โดยนโยบายในการบริหาร ความเสี่ยงจะต้องมีความชัดเจนใน
วัตถุประสงค์ ขององค์การ และแสดงถึงความมุง่ มันต่ ่ อการบริหารความเสีย่ ง
ทัง้ นี้ นโยบายจะต้องระบุถงึ หน้าทีค่ วามรับผิดชอบในการบริหารความเสีย่ งของส่วนต่าง ๆ
ใน องค์การ แนวทางในการจัดการกับความขัดแย้งที่ อาจเกิดขึน้ มีการดาเนินการทบทวนเป็ น
ระยะ ๆ และทวนสอบถึงความถูกต้องของนโยบายการบริหารความเสีย่ ง รวมถึงนโยบายจะต้อง
เชื่อมโยงเข้ากับวัตถุประสงค์ขององค์การด้วย
453
1. การบูรณาการเข้ากับกระบวนการขององค์การ
การบริห ารความเสี่ย งจะต้ อ งน ามาเป็ นส่ ว น หนึ่ ง ของแนวปฏิบ ัติ ห ลัก
และกระบวนการทางธุรกิจ ขององค์การ ซึง่ มีความเกี่ยวข้อง มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและ
สร้างให้เ กิดความสาเร็จอย่างยังยื ่ นให้ก ับองค์ก าร โดยเฉพาะการบริห ารความเสี่ยงจะต้อ ง
ผสมผสานเข้ากับการถ่ายทอดนโยบาย การวางแผนธุรกิจและกลยุทธ์ และกระบวนการบริหาร
การเปลีย่ นแปลง
2. ความรับผิดชอบ (accountability)
องค์การจะต้องกาหนดความรับผิดชอบ และอานาจหน้าทีใ่ นการจัดการความเสีย่ ง
รวมถึง การดาเนินการกระบวนการบริหารความเสีย่ ง และ การดูแลความเพียงพอและความมี
ประสิทธิผลของ การควบคุมความเสีย่ ง โดยการกาหนดผูร้ บั ผิดชอบในการพัฒนา การนาไป
ปฏิบตั ิ และการดูแลรักษากรอบการบริหาร ความเสีย่ ง กาหนดเจ้าของความเสีย่ ง (risk owner)
ในการดาเนินการจัดการความเสีย่ ง การควบคุม ความเสี่ยง และการรายงานข้อมูลความเสีย่ ง
ต่าง ๆ กาหนดการวัดผลการดาเนินงาน และการจัดทารายงานทัง้ ภายในและภายนอกองค์การ
การดูแลระดับทีเ่ หมาะสมของการยอมรับ การให้รางวัล การอนุมตั ิ และการเข้าแทรกแซง
3. ทรัพยากร
องค์การจะต้องจัดทาแนวทางในการจัดสรรทรัพยากรที่ เหมาะสม สาหรับการบริหาร
ความเสีย่ ง โดยจะต้องพิจารณาถึง เอกสารวิธกี ารปฏิบตั งิ าน และกระบวนการระบบการจัดการ
สารสนเทศ และความรูบ้ ุคลากร ทัก ษะ ประสบการณ์ และความสามารถทรัพยากรที่จาเป็ นใน
แต่ละขัน้ ตอนของกระบวนการบริหารความเสีย่ ง
4. การกาหนดกลไกในการสื่อสาร และการรายงานภายในองค์การ
องค์การจะต้องจัดทากลไกในการสื่อสารและการรายงานภายในองค์การเพื่อให้
4.1 องค์ประกอบของกรอบการบริหารความเสีย่ ง และการเปลีย่ นแปลงต่าง ๆ ได้รบั
การสื่อสารอย่างเหมาะสม
4.2 มีการรายงานภายในเกี่ยวกับกรอบการบริหารความเสี่ยง ความมีประสิทธิผล
และผลลัพธ์ทไ่ี ด้
4.3 มีขอ้ มูลที่เกี่ยวข้องที่ได้จากการบริหารความเสี่ยงพร้อมสาหรับใช้งานในระดับ
และเวลาทีเ่ หมาะสม
4.4 มีกระบวนการในการให้คาปรึกษากับผูม้ สี ่วนได้เสียภายในองค์การ
กลไกดังกล่าวจะประกอบด้วยกระบวนการในการรวบรวม ข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่
เหมาะสมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ภายในองค์การ โดยคานึงถึงความอ่อนไหวของข้อมูลนัน้ ๆ
454
5. การกาหนดกลไกในการสื่อสาร และการรายงานภายนอกองค์การ
องค์การจะต้องจัดทา และดาเนินการตามแผนการสื่อสาร กับผูม้ สี ่วนได้เสียภายนอก
องค์การ โดยจะต้อง
5.1 สื่อสารกับผูม้ สี ่วนได้เสียถึงเหตุวกิ ฤต หรือเหตุฉุกเฉินทีเ่ กิดขึน้
5.2 สร้างการมีส่วนร่วมอย่างเหมาะสมกับผูม้ สี ่วนได้เสียจากภายนอกองค์การ และ
เกิดการแลกเปลีย่ นข้อมูลระหว่างกัน อย่างมีประสิทธิผล
5.3 รายงานให้กบั ภายนอกองค์การตามข้อกฎหมาย QualityTips For Quality
February 2009 121 ฉบับหน้า อ่านต่อ ระเบียบบังคับ และหลักธรรมาภิบาล
5.4 เปิ ดเผยข้อมูลต่าง ๆ ตามทีก่ าหนดในข้อกฎหมาย
5.5 รับรูข้ อ้ มูลป้ อนกลับและการรายงานจากการสื่อสาร และการให้คาปรึกษา
5.6 ใช้กระบวนการสื่อสารในการสร้างความโปร่งใส และความเชื่อมันให้ ่ กบั องค์การ
6. การดาเนิ นการบริ หารความเสี่ยง (do)
ในการดาเนินการตามกรอบการบริหารความเสีย่ ง องค์การจะต้อง
6.1 กาหนดช่วงเวลาและกลยุทธ์ทเ่ี หมาะสมสาหรับการดาเนินการตามกรอบ
การบริหารความเสีย่ ง
6.2 การนานโยบายและกระบวนการบริหารความเสีย่ งมาใช้กบั กระบวนการ
ต่าง ๆ ในองค์การ
6.3 ดาเนินการให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ
6.4 จัดทาเอกสารอธิบายถึงการตัดสินใจ รวมถึงการจัดทาวัตถุประสงค์
6.5 จัดให้มขี อ้ มูลสารสนเทศ และการฝึกอบรม
6.6 สื่อ สารและให้ ค าปรึก ษากับ ผู้ ม ีส่ ว นได้ เ สีย เพื่อ ให้ ม ัน่ ใจได้ ถึ ง ความ
เหมาะสมของกรอบการบริหารความเสีย่ ง
การบริหารความเสีย่ งจะถูกดาเนินการเพื่อให้มนใจว่ ั ่ า กระบวนการบริหารความเสีย่ ง
ต่าง ๆ ได้รบั การนาไปปฏิบตั ใิ นทุกระดับและหน้าทีง่ านทีเ่ กี่ยวข้องในองค์การ โดยเป็ นส่วนหนึ่ง
ของการปฏิบตั งิ านขององค์การ และกระบวนการทางธุรกิจ
7. การเฝ้ าติ ดตามและการทบทวน กรอบการบริ หารงาน (check)
ในการดูแลรักษาความสาเร็จอย่างยังยื ่ น ของระบบบริหารความเสีย่ งขององค์การให้
เป็ นไป อย่างมีประสิทธิผลต่อเนื่อง องค์การจะต้อง
7.1 กาหนดการวัดผลการดาเนินงาน
7.2 ทาการวัดความก้าวหน้าเทียบกับแผนการบริหารความเสีย่ งเป็ นระยะๆ
7.3 ทาการทบทวนถึงกรอบการบริหาร ความเสีย่ ง นโยบาย และแผนงานอย่าง
สม่าเสมอ
455
หากเมื่อพิจารณาถึงการจัดระดับความรุนแรงของเหตุการณ์ต่า ง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อ
ชุมชน ดังมีระดับความรุนแรง ดังนี้
3. แผนงานบริ หารจัดการความเสี่ยง
คือ แผนงานลดความเสีย่ ง และแผนงานควบคุมความเสีย่ ง ซึง่ ผูป้ ระกอบกิจการ
โรงงานต้องดาเนินการจัดทาแผนงานเพื่อ กาหนดมาตรการความปลอดภัยที่เ หมาะสมและมี
ประสิทธิภาพ ในการลดและควบคุมความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจเกิดจากการประกอบกิจการ
ดังต่อไปนี้
3.1 หากผลการประเมินความเสี่ยงของสิง่ ที่เป็ นความเสี่ยงและอันตรายเป็ น
ระดับความเสีย่ งทีย่ อมรับไม่ได้ ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องหยุดดาเนินการทันที และทาการ
ปรับปรุงแก้ไข เพื่อลดความเสี่ยง ก่อนดาเนินการต่อไป โดยจัดทาแผนงานลดความเสี่ยง และ
แผนงานควบคุมความเสีย่ ง
3.2 หากผลการประเมินความเสี่ยงของสิง่ ที่เป็ นความเสี่ยงและอันตราย เป็ น
ระดับความเสี่ยงสูง ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องจัด ทาแผนงานลดความเสี่ยง และแผนงาน
ควบคุมความเสีย่ ง
3.3 หากผลการประเมินความเสี่ยงของสิง่ ที่เป็ นความเสี่ยงและอันตราย เป็ น
ระดับความเสีย่ งทีย่ อมรับได้ ผูป้ ระกอบกิจการโรงงานต้องจัดทาแผนควบคุมความเสีย่ ง
3.4 แผนงานลดความเสีย่ ง เป็ นแผนงานปรับปรุงแก้ไขการดาเนินงานในเรื่อง
ต่างๆ ในการลดความเสี่ยงให้อยู่ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งต้องประกอบด้วยมาตรการ
หรือ กิจกรรมหรือการดาเนินการเพื่อลดความเสีย่ ง โดยระบุรายละเอียดของขัน้ ตอนการปฏิบตั ิ
ผูร้ บั ผิดชอบ ระยะเวลา ในการดาเนินงาน รวมทัง้ การตรวจติดตามการดาเนินงาน
3.5 มาตรการหรือกิจกรรมหรือการดาเนินการเพื่อลดความเสีย่ ง ประกอบด้วย
3.5.1 มาตรการป้ องกันและควบคุมสาเหตุของการเกิดอันตราย
3.5.2 ลดหรือกาจัดอันตรายด้วยวิธกี ารทางวิศวกรรม
3.5.3 กาหนดวิธกี ารทางานหรือการปฏิบตั งิ านตามขัน้ ตอนทีถ่ ูกต้อง
3.5.4 กาหนดวิธกี ารทดสอบ ตรวจสอบ และการซ่อมบารุงเครือ่ งจักร
อุปกรณ์และระบบความปลอดภัย
460
วิ ธีการชี้บ่งความเสี่ยง
อันตรายหรือการเกิดอุบตั เิ หตุในโรงงานหรือสถานประกอบการส่วนใหญ่ทพ่ี บสรุปได้ 3
ประการใหญ่ๆ คือ
1. การกระทาที่ ไม่ปลอดภัย (Unsafe Acts) เป็ นสาเหตุใหญ่ท่กี ่อให้เกิดอุบตั เิ หตุ
ได้แก่
1.1 การใช้เครื่องมือ เครื่องจักร และการทางานโดยไม่มคี วามรู้ ทาให้ไม่ถูกวิธ ี และ
ไม่ถูกขัน้ ตอน
461
2. พิ จารณาจากโอกาสในการเกิ ดอันตราย
ตารางที่ 7.10 พิจารณาจากโอกาสในการเกิดอันตราย
โอกาสในการเกิ ดอันตราย เกณฑ์ในการพิจารณา
ระดับความเสี่ยงตา่ (1) มีโอกาสเกิดขึ้น "ต่ า" เช่น ไม่เกิดขึน้ เลยในระยะเวลา 6
เดือน
ระดับความเสี่ยงปานกลาง (2) มีโอกาสเกิดขึ้น "ปานกลาง" เช่น เกิดขึ้นอย่างน้ อย 1
ครัง้ ในระยะเวลา 6 เดือน
ระดับความเสี่ยงสูง (3) มีโอกาสเกิดขึน้ "สูง" เช่น เกิดขึน้ เป็ นประจาทุกเดือน ทุก
สัปดาห์หรือทุกวัน
ทีม่ า: จักรกฤษณ์ สิวะเดชาเทพ,2559, หน้า 12-32.
463
4. หลักเกณฑ์ในการตอบสนองต่อความเสี่ยงระดับต่างๆ
ตารางที่ 7.12 หลักเกณฑ์ในการตอบสนองต่อความเสีย่ งระดับต่าง ๆ
ระดับความเสี่ยง หลักเกณฑ์การพิจารณาตอบสนองต่อความเสี่ยง
ระดับความเสี่ยงตา่ (1) 1. ไม่ตอ้ งมีการควบคุมเพิม่ เติม การพิจารณาความเสีย่ ง
อาจทาเมื่อเห็นว่า คุ้มค่า หรือการปรับปรุงไม่ต้องเสีย
ค่าใช้จา่ ยเพิม่ ขึน้
2. การติด ตามตรวจสอบยัง คงต้อ งท าเพื่อ ให้แ น่ ใ จว่า
ความเสีย่ งได้รบั การควบคุมต่อเนื่อง
3. รายงานถึงการดาเนิ นงานตามระยะเวลาที่กาหนด
อย่างต่อเนื่อง
3. รายงานถึงการดาเนินงานตามระยะเวลาทีก่ าหนด
อย่างต่อเนื่อง
5. การเตือนอันตราย
1. เตือนโดยการประกาศให้ทราบหลังจากทราบผลการประเมินความเสีย่ งใน
งานนัน้ ๆ แล้วเสร็จ
2. เตือนเมื่อมีอุบตั เิ หตุจากการทางานเกิดขึน้ โดยจะต้องทาการเตือนอันตราย
ให้เร็วทีส่ ุดเพื่อป้ องกันการเกิดเหตุซ้า
3. การเตือ นอันตรายอาจใช้วธิ ีการจัดทาคู่มอื การปิ ดประกาศ การอบรมให้
ทราบ การจัดทาป้ ายห้าม ป้ ายเตือน ป้ ายบังคับอย่างชัดเจน การตรวจสอบควบคุมโดยสามารถ
ทาอย่างหนึ่งหรือทุกวิธรี วมกันตามความเหมาะสม
การชี้บ่งอันตรายตามวิธที ่กี าหนดและการประเมินความเสี่ยงจะต้องกรอกข้อมูลลงใน
แบบฟอร์ม โดยมีรายละเอียดใน ตารางที่ 7.13
466
(2) แผนงานลดความเสี่ยง
กรณีประเมิน ความเสี่ยงแล้ว ได้ระดับความเสี่ยง 3 และ 4 ต้อ งจัดทาแผนงานลด
ความเสี่ยงสาหรับการจัดทาแผนงานลดความเสี่ยง ให้นาข้อเสนอแนะ ที่ระบุในตารางการชี้บ่ง
อันตราย มาจัดทาแผนงานลดความเสีย่ ง โดยนาข้อเสนอแนะของทุก ข้อทีไ่ ด้ระดับความเสีย่ ง 3
และ 4 มาจัดทาแผนงานลดความเสี่ยง โดยระบุลงในช่อง : มาตรการ/กิจกรรม/การดาเนินการ/
กิจกรรม/การดาเนินงานลดความเสี่ยง” และกาหนดระยะเวลาดาเนินการ (โดยให้ระบุเป็ น วัน
เดือน ปี ที่แน่ นอนที่จะดาเนินการให้แล้วเสร็จ) พร้อมกาหนดผู้รบั ผิดชอบและผู้ตรวจติดตาม
(ซึ่ง ต้ อ งไม่ ใ ช่ บุ ค คลหรือ หน่ ว ยงานเดีย วกัน ) เมื่อ จัด ท าแผนงานลดความเสี่ย งด าเนิ น การ
เรียบร้อยแล้วให้นาแหนงานลดความเสีย่ งมาจัดทาเป็ นแผนงานควบคุมความเสีย่ งต่อไป
การจัดทาแผนงานลดความเสี่ยงจะต้องกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม แสดงดัง ตารางที่
7.17
471
กระบวนการจัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงเป็ นกระบวนการดาเนิน งานต่อเนื่องทีต่ ้องทาเป็ นวงจรเริม่ ตัง้ แต่
การกาหนดบริบทความสัมพันธ์ระหว่างสถานประกอบการหรือ กับสิง่ แวดล้อมโดยรอบไปจนถึง
การบาบัดความเสี่ยงที่อยู่ในระดับที่ไม่อาจยอมรับได้ กระบวนการจัดการความเสี่ยงควรเป็ น
กระบวนการทีส่ อดคล้องสัมพันธ์หรือถือเป็ นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการบริหารจัดการของสถาน
ประกอบการหรือโรงงาน ไม่ควรแยกออกมาเป็ นกระบวนการต่างหาก
ในปั จจุบนั พบว่า อุบตั เิ หตุทเ่ี กิดจากการทางานนัน้ มีอตั ราทีส่ ูงขึน้ ซึง่ สาเหตุท่เี กิดนัน้ มี
หลายประการ ผู้ประกอบการหรือ เจ้า ของโรงงานอุ ต สาหกรรมจะต้อ งปฏิบ ัติอ ย่างไรหรือ มี
นโยบายทีช่ ดั เจนอย่างไรในการลดอุบตั เิ หตุอนั เกิดจากการทางานในสถานประกอบการ และให้
ความเชื่อมันความปลอดภั
่ ยในการทางานแก่คนงาน การทางานทีม่ คี วามปลอดภัยคือสภาพทีไ่ ม่
มีภยันตราย ดังนัน้ ความปลอดภัยในการทางานจึงหมายถึงการทางานที่ปราศจากอันตราย
ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอุบตั ิเหตุ กล่าวคือ ไม่ก่อให้เกิดสิง่ ต่าง ๆ ได้แก่ การเจ็บป่ วย หรือเป็ นโรค
การบาดเจ็บ พิการ หรือตาย ทรัพย์สนิ เสียหาย เสียเวลา ขบวนการผลิตหยุดชะงัก คนงานเสีย
ขวัญและกาลังใจในการทางาน กิจการเสียชื่อเสียง ซึง่ ทัง้ หมดนี้ลว้ นแต่เป็ นผลเสียทัง้ สิน้ การกีด
กันทางการค้าระหว่างประเทศ ก็ได้ยกเอาประเด็นเรื่อ งความปลอดภัยในการทางานมาเป็ น
เครื่องมือพิจารณาในการค้าขายระหว่างประเทศ เนื่องจากความปลอดภัยในการทางานนัน้ เป็ น
ปั จ จัยพื้น ฐานในการเพิ่ม ผลผลิต ที่ม ีคุ ณ ภาพ รัฐบาลจึง สนับ สนุ นส่ ง เสริม ให้ผู้ประกอบการ
เสริมสร้างประสิทธิภาพการผลิตสินค้าทีม่ คี ุณภาพ โดยเน้นให้สถานประกอบการคานึงถึงความ
ปลอดภัยในการทางาน ได้มกี ารออกระเบียบโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์
การชีบ้ ่งอันตราย การประเมินความเสีย่ ง และการจัดทาแผนงานบริหารความเสี่ยง พ.ศ. 2543
ขึ้น เพื่อ ให้ผู้ป ระกอบกิจ การโรงงาน หรือ ผู้ข อรับ ใบอนุ ญ าตประกอบกิจ การโรงงาน หรือ
ใบอนุ ญาตขยายโรงงาน ต้องจัดทารายงานการวิเคราะห์ความเสีย่ งจากอันตรายทีอ่ าจเกิด จาก
การประกอบกิจการโรงงาน โดยต้องทาการศึกษา วิเคราะห์ และทบทวนการดาเนินงานเพื่อชีบ้ ่ง
อัน ตราย ประเมิน ความเสี่ย ง และจัด ท าแผนงานการจัด การความเสี่ย งจึง น ามาเขีย นเป็ น
กระบวนการจัดการความเสีย่ งได้ดงั ภาพที่ 7.6
475
กาหนดบริบท
บริบท ด้านยุทธศาสตร์
บริบทด้านองค์กร
บริบทด้านการจัดการความเสีย่ ง
ตัดสิ นใจเรื่องโครงสร้าง
จัดทาเกณฑ์
บ่งชี้ความเสี่ยง
อันตรายอะไรอาจจะเกิดขึน้
เกิดขึน้ ได้อย่างไร
กาหนดระดับความเสี่ยง
ประเมินผลความเสี่ยง
เปรียบเทียบกับเกณฑ์
กาหนดลาดับความสาคัญ
การบาบัดความเสี่ยง
ชีบ้ ่งทางเลือกการบาบัด
-ประเมินผลทางเลือก
-จัดเตรียมแผนบาบัด
-ดาเนินการตามแผน
ชีบ้ ่งทางเลือก
ความเสีย่ งที่เหลืออยูย่ อมรับไม่ได้
การบาบัด
ความเสีย่ ง
ลดโอกาสเกิด ลดความรุนแรง ย้ายความเสีย่ ง หลีกเลีย่ ง
ทัง้ หมดบางส่วน
ชีบ้ ่งทางเลือก
การบาบัด พิจารณาความเป็ นไปได้ ค่าใช้จ่าย ประโยชน์ และระดับความเสีย่ ง
ความเสีย่ ง
แนะนายุทธศาสตร์การบาบัด
การเฝ้ าระวัง
เลือกยุทธศาสตร์การบาบัด และ
การทบทวน
เตรียมแผน
เตรียมแผนบาบัดความเสีย่ ง
บาบัด
ความเสีย่ ง
ดาเนินการ ลดโอกาสเกิด ลดความ ย้ายความเสีย่ ง หลีกเลีย่ ง
ตามแผน รุนแรง ทัง้ หมด/บางส่วน
บาบัด
ความเสีย่ ง ความเสีย่ ง ย้ายความเสีย่ ง
บางส่วนยังคงอยู่ บางส่วนไป
ยอมรับความ ได้
เสีย่ งทีเ่ หลืออยู่ คงความเสีย่ งไว้
ได้หรือไม่
ไม่ได้
สรุป
การจัดการความเสี่ยง หมายถึง การดาเนินการอย่างเป็ นระบบที่จะตัดสินใจยอมรับ
ความเสีย่ งทีเ่ กิดขึน้ และมีการประยุกต์อย่างเป็ นระบบในการใช้นโยบายเพื่อจัดการตามขัน้ ตอน
ที่ได้กาหนดไว้ตงั ้ แต่การชี้บ่งอันตราย การประเมินผล การควบคุมหรือลด การแก้ไข การเฝ้ า
ระวัง และการทบทวนให้นาไปการดาเนินการอย่างมีประสิทธิภาพด้า นความปลอดภัยและ
อาชีวอนามัยในการทางาน การรับรูส้ มั ผัสความเสีย่ ง หมายถึง ความสามารถในการตัดสินใจที่
จะยอมรับในเหตุ ก ารณ์ ท่จี ะเกิดขึ้นซึ่งจะต้อ งมีการประเมินค่ าความเสี่ยงที่ผู้ปฏิบตั ิงานหรือ
พนั ก งานที่ต้ อ งเผชิญ เมื่อ การรับ รู้แ ละยอมรับ ความเสี่ย งนั น้ ก็ย่ อ มน าไปสู่ ก ารวิเ คราะห์
และประเมินความเสีย่ งเพื่อการลดความเสีย่ ง หรือหาแนวทาง มาตรการและการแก้ไขไม่ให้เกิด
เหตุการณ์ท่เี ป็ นความเสี่ยงที่จะเกิดขึน้ อีก กระบวนการจัดในการจัดการความเสีย่ งต้องมีการ
ดาเนินการตามเกณฑ์ทจ่ี ะทาให้มกี ารยอมรับความเสีย่ งนัน้ ได้แก่ จาแนกประเภทของกิจกรรม
ของงาน ชีบ้ ่งอันตราย กาหนดความเสีย่ ง ตัดสินว่าความเสีย่ งยอมรับได้หรือไม่ เตรียมแนวทาง
การปฏิบตั กิ ารควบคุมความเสี่ยง และทบทวนแผนการปฏิบตั กิ าร เมื่อจะให้การจัดการความ
เสีย่ งในโรงงานให้สามารถดาเนินไปได้จะต้องมีการพัฒนาระบบการจัดการความเสีย่ ง ซึง่ ได้แก่
นโยบายการจัดการความเสี่ยง องค์การ การทบทวนการจัดการการดาเนินโปรแกรม เป็ นต้น
481
แบบฝึ กหัด
ให้ตอบคาถามให้ถกู ต้องสมบูรณ์ที่สดุ
1. ให้อธิบายความหมายของ ความเสีย่ ง พร้อมยกตัวอย่าง
2. ให้อธิบายความหมายของการจัดการความเสีย่ ง พร้อมยกตัวอย่าง
3. ให้อธิบายความหมายของ อันตราย (hazard) ทีม่ คี วามเกีย่ วข้องกับความเสีย่ ง
4. การประเมินความเสีย่ ง หมายถึง
5. การควบคุมความเสีย่ ง (risk control)
6. การประเมินความเสีย่ ง หมายถึง และสามารถทาให้การประเมินความเสีย่ งได้อย่างไรบ้าง
7. การพัฒนาระบบการจัดการความเสีย่ งในสถานประกอบการมีขนั ้ ตอนทีส่ าคัญอย่างไรบ้าง
8. การบ่งชีค้ วามเสีย่ งทีพ่ บในสถานประกอบการส่วนใหญ่มลี กั ษณะเป็ นอย่างไร และมีการบ่งชี้
อันตรายทีพ่ บในสถานประกอบการมีอะไรบ้าง
9. ให้บอกถึงกระบวนการในการจัดการความเสีย่ งมีกระบวนการอย่างไรบ้าง
10. การสื่อสารความเสีย่ ง หมายถึง และมีลกั ษณะอย่างไร
11. การรับรูส้ มั ผัสถึงความเสีย่ งสามารถนาทฤษฎีใดมาอธิบายได้บา้ ง
12. ให้เขียนแบบฟอร์มการประเมินความเสีย่ ง หรือ การวิเคราะห์ความเสีย่ งในสถานทีท่ างาน
มา 1 เหตุการณ์
483
เอกสารอ้างอิ ง
เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหารงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สาขาวิชาวิทยาศาสตร์
สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ฉบับปรับปรุง หน่วยที่ 1-7.(2560).
กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์.
เอกสารการสอนชุดอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ฉบับปรับปรุง หน่ วยที่ 1-7.(2559).กรุงเทพฯ: อรุณ
การพิมพ์.
Bernstein,D. A.(1999).Essentials of Psychology. Boston : Houghton Mifflin
Company.
Colin W.Fuller และ Luise H.Vassie.(2004). Health and Safety Management : Principles
and Best Practice. Essex :Prentice Hall.
Goetsch, David L.(2005). Occupational Safety and Health.,15th Edition Person Prentice
Hall,Upper Saddle River,New Jersey : United States of America.
Kast. Fremont E. and Rosenzweig. James E. (1985). Organization and Contingency
Approach. 4th ed. Singapore : McGraw – Hill.
Newsome,Bruce.(2014). A Practical introduction to Security and Risk Management.
SAGE Publications India Pvt.Ltd.: New Delhi.
Roediger, H. L.(2007). Science of memory: Concepts. Oxford: Oxford University
Press.
Schiffman, Leon G. and Kanuk, Leslie L (2007).Consumer Behavior. 9th ed. New
Jersey: Prentice Hall.
Slovic, P. (1987). Perception of Risk. Science 236(17 April): 280-285. Page 2. Page 3.,
ค้นเมือ่ 25 ตุลาคม 2559, ค้นจาก https://www.unc.edu/~fbaum/teaching/articles/
Science-1987-Slovic.pdf.
Standards Australia/Standards New Zealand,AS/NZS 4360:1995.Risk Management.
New Zealand,1995.
485
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 8
พฤติกรรมความปลอดภัยในการทางาน
หัวข้อเนื้ อหา
1. แนวคิดเกีย่ วกับพฤติกรรมมนุษย์
2. พืน้ ฐานการเกิดพฤติกรรมมนุษย์
3. ทฤษฎีเกีย่ วข้องในการพัฒนาพฤติกรรมมนุษย์
4. พฤติกรรมมนุษย์เพื่อความปลอดภัยในการทางาน
5. รูปแบบผูน้ าด้านความปลอดภัยและวัฒนธรรม บรรยากาศในการทางาน
6. รูปแบบทีมงานความปลอดภัยในสถานประกอบการ
7. รูปแบบการทางานเป็ นทีมทีม่ ผี ลต่อความปลอดภัยในการทางาน
8. สรุป
9. แบบฝึกปฏิบตั ิ
10. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
486
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคาสอนวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อมบทที่ 8
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดทิ ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
487
บทที่ 8
พฤติกรรมความปลอดภัยในการทางาน
โดยธรรมชาติของมนุ ษย์มพี ฤติกรรมที่แสดงออกมา หรือปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึน้ กับ
มนุษย์เมือ่ ได้เผชิญกับสิง่ เร้า พฤติกรรมที่แสดงออกมานัน้ จะเป็ นพฤติกรรมทีไ่ ม่สามารถควบคุม
ได้หรือเรียกว่าปฏิกริ ยิ าสะท้อน และพฤติกรรมทีส่ ามารถควบคุมได้และจัดระเบียบได้ เนื่องจาก
มนุษย์มสี ติปัญญา และอารมณ์ เมื่อมีสงิ่ เร้ามากระตุ้น ทาให้ความคิดหรือสติปัญญาทาหน้าทีใ่ น
การรับรูแ้ ละตัดสินใจว่าควรจะต้องทาอย่างไร จึงทาให้มนุ ษย์แสดงให้เห็นถึงตัวตนของตนเอง ที่
มีความรูส้ กึ อารมณ์ ทีม่ อี ทิ ธิพลทีม่ พี ลังในการเกิดปฏิกริ ยิ าทีแ่ สดงอารมณ์ ความรูส้ กึ เนื่องจาก
มนุ ษย์ทุกคนมีค วามรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง และต้อ งการทาให้พฤติกรรมของ
มนุ ษย์ส่วนใหญ่เป็ นไปตามความรู้สกึ และอารมณ์เป็ นพื้นฐาน มนุ ษย์จ ึ งมีรูปแบบพฤติกรรมที่
แสดงออกมา 2 อย่างคือ พฤติกรรมเปิ ดเผย หรือพฤติกรรมภายนอก และพฤติกรรมปกปิ ดหรือ
พฤติกรรมภายใน ทัง้ สองพฤติกรรมที่แสดงออกมาย่อมเกิดความความรูส้ กึ นึกคิด อารมณ์ กา
รับรู้ โดยมนุ ษย์แสดงออกมาที่เกิดขึน้ จากแรงผลักดันภายในตัวมนุ ษย์ท่มี าจากความต้องการ
ทางร่างกาย และความต้องการทางจิตใจ ซึง่ ไม่ว่าจะทัง้ ทางร่างกายและจิตใจก็ย่ อมทาให้มนุ ษย์
ต้องการความอยูร่ อดและปลอดภัยให้กบั ตนเอง
ดังนัน้ การทีบ่ ุคคลได้แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ของตนเองออกมานัน้ ย่อมล้วนแล้วแต่เป็ น
ปกป้ องให้ตนเองเกิดความปลอดภัย หรือเพื่อทาให้ตนเองปลอดภัยในการปฏิบตั กิ จิ กรรมต่าง ๆ
ภายใต้สภาพแวดล้อมทางกายภาพการที่จะอธิบายถึ งพฤติกรรมความปลอดภัยในการทางาน
ของบุคคลในการทาหน้ าที่ของแต่ละตาแหน่ งงานย่อมต้องแสดงพฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความ
ปลอดภัย ในการท างาน ผู้ทาหน้ าที่ด้า นการจัด การความปลอดภัยในการทางานของสถาน
ประกอบการจาเป็ นต้องศึกษาพฤติกรรมมนุ ษย์ท่มี คี วามแตกต่างกันตามหลักการ ทฤษฎี และ
แนวคิดเพื่อนามาสนับสนุ นในการจัดกิจกรรมเพื่อให้บุคคลในองค์การหรือสถานประกอบการได้
เกิดความปลอดภัยในการทางาน ซึง่ ในบทนี้จะกล่าวถึงแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมความ
ปลอดภัย เป้ าหมายและความสาคัญของการศึกษาพฤติกรรม องค์ประกอบ ประเภทของ
พฤติกรรม อันจะนาไปสู่การสร้างจิตสานึกในความปลอดภัยในการทางาน
แนวคิ ดและทฤษฎีเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทางาน
มนุ ษ ย์โ ดยส่ ว นใหญ่ เ กิด มาต้อ งท างานเพื่อ แสดงให้เ ห็นถึง ความสามารถ และการ
แสดงออกถึงศักยภาพ รวมถึงการอยูร่ อด มนุ ษย์อยู่ลอ้ มรอบโดยธรรมชาติทม่ี มี าแต่กาเนิด และ
สิง่ ทีเ่ ป็ นการกระทาของมนุ ษย์สร้างขึน้ มนุ ษย์ย่อมต้องการความปลอดภัยในชีวติ และทรัพย์สนิ
ของตนเอง เมื่อ มนุ ษ ย์ต้อ งท างานแม้ใ นอดีต ที่ม ีค วามปลอดภัย ค่ อ นข้า งสูง เนื่ อ งจากเกิด
ธรรมชาติและการกระทาจากเรีย่ วแรงของมนุ ษย์ จนโลกมีการพัฒนาก้าวหน้าขึน้ มากจากหน้า
488
ความหมายของพฤติ กรรม
ได้มนี กั วิชาการได้ให้ความหมายของคาว่า พฤติกรรม ไว้ในทัศนะทีแ่ ตกต่างกันดังนี้
Allen and Santrock (1993, p.8) ได้ให้ความหมายของ พฤติกรรม (behavior) ไว้ว่า
ทุก ๆ สิง่ ทีบ่ ุคคลทาซึง่ สามารถ สังเกตได้โดยตรง หรืออยู่ในกระบวนการทางจิตใจ ซึ่ง ได้แก่
ความคิด ความรูส้ กึ และแรงขับซึ่งเป็ นประสบการณ์ของแต่ละบุคคลที่ไม่สามารถจะสังเกตได้
โดยตรง
Lewin (1951, p.197) ได้ให้ความหมายของ พฤติกรรม (behavior) ไว้ว่า มนุ ษย์นนั ้ เกิด
จากความสัม พัน ธ์ร ะหว่ า งอิท ธิพ ลภายในตัว บุ ค คลกับ อิท ธิพ ลภายนอกที่แ ต่ ล ะบุ ค คลรับ รู้
บุคคลจะมีพฤติกรรมอะไร อย่างไร และเมื่อไร จึงไม่ได้ถูกกาหนดโดยความต้องการของมนุ ษย์
หรือโดยสิง่ เร้าภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถูกกาหนดโดยอิทธิพลมากมายหลากหลายทัง้
ภายในและภายนอกทีส่ มั พันธ์กนั ตามทีเ่ ป็ นประสบการณ์ของบุคคล
489
พฤติกรรมจะช่วยให้ได้แนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริม
การปรับตัวของบุคคลต่อไป
2.4 ความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมช่วยเสริมสร้างพัฒนาคุณภาพชีวติ คือ จากความ
เข้าใจใน อิทธิพลของพันธุกรรมและสิง่ แวดล้อมต่อพฤติกรรม ช่วยให้ผู้ศึกษารู้จกั เลือกรับ
ปรับเปลีย่ นสิง่ แวดล้อมอย่างเหมาะสมเพื่อพัฒนาตนทัง้ ทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ช่วย
ให้เข้าใจธรรมชาติภายในตน เข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งเป็ นแนวทางไปสู่การ
เสริมสร้างตนและบุคคลอื่น ๆ ได้อย่างเหมาะสม
วิ ธีการศึกษาพฤติ กรรม
วิธกี ารศึกษาพฤติกรรม คือ วิธกี ารที่ถูกนามาใช้ในการแสวงหาความรูต้ ่าง ๆ เกี่ยวกับ
พฤติกรรม ซึง่ วิชาใด ๆ ที่มคี วามเป็ นศาสตร์ จะนาวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษา
แสวงหาความรู้เพื่อ ให้มคี วามเท็จจริงที่ต้อ งการทราบ ซึ่งวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์น้ี สาหรับ
วิธกี ารศึกษาพฤติกรรม กระทาได้ห ลายวิธ ี ตามลักษณะของพฤติกรรมที่ศึกษา (ลักขณา
สริวฒ ั น์, 2544, หน้า 13) ดังนี้
1. การทดลอง (Experimental Method) เป็ นการศึกษาพฤติกรรมในทางจิตวิทยาทีเ่ ป็ น
วิทยาศาสตร์สงู มาก โดยมุ่งศึกษาความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลระหว่างเหตุการณ์สองเหตุก ารณ์
และเหตุการณ์ทเ่ี ป็ นเหตุ เรียกว่า ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ส่วนเหตุการณ์ทเ่ี ป็ น
ผล เรียกว่า ตัวแปรตาม (Dependent Variable) การปฏิบตั ติ ่อตัวแปรอิสระ เรียกว่า การจัด
กระทา (Treatment) ใน การทดลองแต่ละครัง้ ผูท้ ดลองต้องตัง้ สมมุตฐิ านก่อนแล้วทาการทดลอง
2. การสารวจ (Survey Method) เป็ นการศึกษาในเชิงวิทยาศาสตร์เช่นกัน แม้ว่าจะไม่
เข้มข้น นักก็ยงั มีวธิ กี ารศึกษาตัวแปรเหมือนการทดลอง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรจะเป็ น
เหตุเป็ นผลแก่กนั ไม่ได้ และผูศ้ กึ ษาไม่มกี ารจัดกระทาต่อตัวแปร กระทาเพียงแค่ศกึ ษาตัวแปร
อย่างมีระบบในสถานการณ์ท่ีพบการสารวจจาเป็ นต้องอาศัยเครื่องมือ ที่มที งั ้ ความเชื่อถือได้
(Reliability) ความเที่ยงตรง (Validity) รวมทัง้ กลุ่มตัวอย่างที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างด้วย
วิธกี ารทีเ่ หมาะสม
3. วิธกี ารตรวจสอบจิตตนเอง (Introspection Method) วิธกี ารตรวจสอบจิตตนเอง หรือ
วิ ธ ี ก ารพิ นิ จ ภายใ นนี้ หมา ยถึ ง วิ ธ ี ก ารที่ บุ ค คล สั ง เก ตตนเอง หรื อ ส าร ว จตนเอ ง
โดยการให้บุคคลพิจารณา ความรูส้ กึ ของตนเอง สารวจตรวจสอบตนเอง แล้วรายงานถึงสาเหตุ
และความรูส้ กึ ของตนเองออกมา
4. วิธที างคลินิก (Clinical Method) เป็ นการศึกษาพฤติกรรมแบบลึก (In-Depth Study)
รายใดรายหนึ่ ง โดยใช้เ ครื่อ งมือ หลาย ๆ อย่ า งเพื่อ ให้ไ ด้ข้อ มูล หลาย ๆ ด้า น และใช้ร ะยะ
เวลานานเพื่อให้ทราบสาเหตุของพฤติกรรมของบุคคลนัน้ ๆ ตลอดจนได้ขอ้ ความรูใ้ หม่ ๆ ทีจ่ ะ
นาไปใช้กบั กรณีอ่นื ๆ ได้
492
องค์ประกอบของพฤติ กรรม
ครอนบาค (Cronbach,1963, p. 68-70) ได้อธิบายว่าพฤติกรรมของบุคคลจะเกิดขึน้
จาก องค์ประกอบ 7 ประการ ดังนี้
1. เป้ าหมายหรือ ความมุ่งหมาย (goal) เป็ นความต้องการหรือวัตถุประสงค์ทท่ี าให้เกิด
กิจกรรม คนเรามีพฤติกรรมเกิดขึน้ ก็เพราะต้องการตอบสนองความต้องการของตนเอง หรือ
ต้องการทาตามวัตถุประสงค์ท่ี ตนได้ตงั ้ ไว้ คนเรามักมีความต้องการหลาย ๆ อย่างในเวลา
เดียวกัน และมักจะเลือกสนองต่อความต้องการ ทีร่ บี ด่วนก่อนความต้องการอื่นๆ
2. ความพร้อม (readiness) ระดับวุฒภิ าวะ หรือความสามารถทีจ่ าเป็ นในการประกอบ
พฤติกรรมเพื่อสนองต่อความต้องการ คนเราจะมีความพร้อมในแต่ละด้านทีไ่ ม่เหมือนกัน ดังนัน้
พฤติกรรมของทุกคนจึงไม่จาเป็ นต้องเหมือนกัน และไม่สามารถจะประกอบพฤติกรรมได้ทุก
รูปแบบ
3. สถานการณ์ (situation) คนเรามักจะประกอบพฤติกรรมที่ตนเองต้องการ เมื่อมี
โอกาสหรือ สถานการณ์นนั ้ ๆ เหมาะสมสาหรับการประกอบพฤติกรรม
4. การแปลความหมาย (interpretation) แม้จะมีโอกาสในการประกอบพฤติกรรมแล้ว
คนเราก็ มักจะประเมินสถานการณ์ หรือคิดพิจารณาก่อนทีจ่ ะทาพฤติกรรมนัน้ ๆ ลงไป เพื่อให้
พฤติกรรมนัน้ มีความเสี่ยงน้ อยที่สุด และสามารถที่จะตอบสนองความต้องการของเขาได้มาก
ทีส่ ุด
5. การตอบสนอง (respond) หลังจากได้แปลความหมาย หรือได้ประเมินสถานการณ์
แล้ว พฤติกรรมก็จะถูกกระทา ตามวิธกี ารทีไ่ ด้เลือกในขัน้ ตองของการแปลความหมาย
6. ผลที่ได้รบั (consequence) เมื่อประกอบพฤติกรรมไปแล้วผลที่ได้จากการกระทา
นัน้ ๆอาจจะ ตรงกับความต้องการ หรืออาจะไม่ตรงกับความต้องการทีต่ นเองได้คาดหวังไว้
493
ประเภทของพฤติ กรรม
สุภทั ทา ปิ ณฑะแพทย์ (2542, หน้า 2-5) ได้แบ่งประเภทของพฤติกรรมที่เกิดขึน้ ใน
ลักษณะต่าง ๆ ได้ ดังนี้
1. พิจารณาจากพฤติกรรมที่ปรากฏด้วยการสังเกตหรือเปิ ดเผย พฤติกรรมภายนอก
(Overt Behavior) คือ พฤติกรรมที่ปรากฏเห็นได้อย่างชัดเจน เป็ นพฤติกรรมที่บุคคลแสดง
ออกมาทาให้ผอู้ ่นื สามารถมองเห็นได้ สังเกตได้ เช่น การเดิน การหัวเราะ การพูด ฯลฯ
2. พฤติกรรมปกปิ ดหรือพฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) คือ พฤติกรรมที่ไม่
ปรากฏให้สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เป็ นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงแล้ว แต่ผู้อ่นื ไม่
สามารถมองเห็นได้ สังเกตได้โดยตรงจนกว่าบุคคลนัน้ จะเป็ นผู้บอกหรือแสดงบางอย่างเพื่อให้
คนอื่นรับรูไ้ ด้ เช่น ความคิด อารมณ์ การรับรู้ เป็ นต้น
3. พิจารณาจากแหล่งทีเ่ กิดพฤติกรรม พฤติกรรมทีเ่ กิดขึน้ ภายในร่างกายเมื่อบุคคลมี
วุฒภิ าวะ เป็ นพฤติกรรมความพร้อมที่เกิดขึ้นโดยมีธรรมชาติเป็ นตัวกาหนดให้เป็ นไปตาม
เผ่าพันธุ์ และวงจรชีวติ และพฤติกรรมทีเ่ กิดขึน้ โดยมีสงิ่ แวดล้อมเป็ นตัวกระตุ้น เป็ นพฤติกรรม
ทีเ่ กิดขึน้ เนื่องจากประสบการณ์ซง่ึ ก่อให้เกิดการเรียนรูข้ น้ึ
4. พิจารณาจากภาวะทางจิตของบุคคล พฤติกรรมที่กระทาโดยรู้ต ัว (Conscious)
เป็ นพฤติกรรม ที่อยู่ในระดับจิตสานึก และพฤติกรรมที่ก ระทาโดยไม่รู้ตวั (Unconscious)
เป็ นพฤติกรรมทีอ่ ยูใ่ นระดับจิต ไร้สานึก หรือจิตใต้สานึก หรือเรียกอีกอย่างว่า พฤติกรรมทีข่ าด
สติสมั ปชัญญะ
5. พิจารณาจากแหล่งพฤติกรรมการแสดงออกของอิ นทรีย์ พฤติกรรมทางกายภาพ
(Physiological Activities) เป็ นพฤติกรรมที่แสดงออกโดยใช้อวัยวะของร่างกายอย่างเป็ น
รูปธรรม เช่น การ เคลื่อนไหวร่างกายด้วยแขนหรือขา การปรับเปลี่ยนอิรยิ าบถของร่างกาย
การพยักหน้า การโคลงตัว เป็ นต้น และพฤติกรรมทางจิตใจ (Psychological Activities) เป็ น
พฤติกรรมทีอ่ ยูใ่ นระดับความคิด ความเข้าใจ หรือเกิดอารมณ์ เป็ นต้น
6. พิจารณาจากการทางานของระบบประสาท พฤติกรรมที่ควบคุมได้ (Voluntary)
เป็ นพฤติกรรมที่อยู่ในความควบคุม และการสังการด้ ่ วยสมอง จึงสามารถแสดงพฤติกรรมได้
494
ต้องการเข้าใจตนเอง
อย่างแท้จริงทาตามสิ่ ง
ที่ตนเองใฝ่ ฝัน
ความต้องการยกย่อง
ชมเชยจากตนเองและ
ผู้อื่น
ต้องการได้รบั การยอมรับจาก
ตนเองและผู้อื่น
ความต้องการความปลอดภัยในชีวิต
ความต้องการพืน้ ฐานทางกายภาพ
การวัดพฤติ กรรม
1. การวัดพฤติกรรมโดยตรง สามารถดาเนินการจัดกระทาได้ดงั นี้
1.1 การสังเกตแบบมีส่วนร่วมหรือโดยให้ผถู้ ูกสังเกตรูต้ วั คือ มีการแจ้งให้ทราบ
ล่วงหน้าว่าจะมีการเข้าร่วมในการกระทากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความร่วมมือ จะมีการนัด
เวลาในการเข้าร่วมสังเกต วิธกี ารนี้จะมีขอ้ ดี คือ ผูเ้ ข้าร่วมสังเกตจะรูต้ วั มาก่อนจะเตรียมตัวและ
ให้ความร่วมมือได้ดหี ากได้มกี ารทาความเข้าใจกับกลุ่มทีเ่ ข้าร่วมสังเกต แต่กม็ กั จะมีขอ้ เสีย คือ
เมือ่ ผูเ้ ข้าร่วมสังเกตทราบอาจจะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมาด้วยวิธกี ารตรงกันข้าม
1.2 การสังเกตแบบไม่มสี ่วนร่วมหรือโดยธรรมชาติ เป็ นการสังเกตโดยไม่ให้ผู้
สังเกตรู้ตวั มาก่อน หรือไม่มกี ารแจ้งให้ทราบล่วงหน้ า ผู้สงั เกตจะไม่ขดั ขวางการทางานหรือ
กิจกรรมผูถ้ ูกสังเกตเลย วิธกี ารนี้หากทาในการเฝ้ าสังเกตดูกจิ กรรมการปฏิบตั งิ านของพนักงาน
ว่าปฏิบตั ติ ามกฎระเบียบข้อบังคับด้านความปลอดภัยในการทางานจะทาให้ทราบถึงพฤติกรรม
ทีป่ ลอดภัยหรือเสีย่ งอันตรายได้ หากขณะที่หวั หน้ างานไม่ได้ควบคุมตลอดเวลา มีขอ้ ดี คือ ได้
ทราบถึงพฤติกรรมหรือการกระทาที่แท้จริงโดยไม่แต่งเติม หรือเป็ นธรรมชาติมากที่สุด แต่ก็ม ี
ข้อเสีย คือ อาจต้องใช้เวลาในการสังเกตนานมาก
2. การวัดพฤติกรรมโดยทางอ้อม สามารถทาได้โดย การสัมภาษณ์ การทาบันทึก
และการทดลอง เป็ นต้น
503
ทฤษฎีเกี่ยวข้องในการพัฒนาพฤติ กรรมมนุษย์
ทฤษฎีการเรียนรู้
มนุ ษย์เป็ นสัตว์สงั คมเมื่อเกิดมาย่อมต้องการความอยู่รอดทัง้ ทางร่างกาย และจิตใจซึ่ง
ร่างกายนัน้ มนุ ษ ย์มคี วามต้องการตามธรรมชาติห รือ กายภาพต้อ งการที่อ ยู่อาศัยมาปกป้ อ ง
คุม้ ครองตัวเองให้มคี วามสุขสบาย ได้แก่ ความหิว ความร้อน หนาว เจ็บปวด เป็ นความต้องการ
ขัน้ พื้นฐานต้องมีการตอบสนองเมื่อมีภาวะดังกล่าวเกิดขึน้ เมื่อได้รบั ความต้องการแล้วก็ย่อมมี
ความต้องการเพิม่ ขึน้ เรือ่ ย ๆ เพื่อให้ตนเองมีความปลอดภัย มนุ ษย์มกี ารเรียนรูท้ จ่ี ะอยู่รอดด้วย
ประสบการณ์ตนเองที่เกิดขึน้ ทุกวันจนเกิดความชานาญ หรือทักษะ มนุ ษย์จงึ ต้องเรียนรูท้ ุกสิง่
ทุกอย่างในโลกอยูต่ ลอดเวลาเพื่อสนองตอบความต้องการของตนเองและผูอ้ ่นื
มีนกั วิชาการต่าง ๆ ได้เสนอแนวคิดทฤษฎีเกีย่ วกับการเรียนรูไ้ ว้ดงั นี้
(Klein,1991,p. 2) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้ (Learning) ไว้ว่า กระบวนการของ
ประสบการณ์ท่ที าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร ซึ่งการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมนี้ไม่ได้มาจากภาวะชัวคราว ่ วุฒภิ าวะ หรือสัญชาตญาณ
(Mednick, 1959, p. 9) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้ (Learning) ไว้ดงั นี้
1) การเรียนรูท้ าให้เกิดการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม
2) การเรียนรูเ้ ป็ นผลจากการฝึกฝน
3) การเรียนรูเ้ ป็ นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวรจนเป็ นนิสยั มิใช่การ
เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมซื่อตรง
4) การเรียนรูไ้ ม่อาจสังเกตได้โดยตรง แต่ทราบจากการกระทาทีเ่ ป็ นผลจากการเรียนรู้
บรูม (Bloom, B p.3) ได้ให้ความหมายของการเรียนรู้ (Learning) ไว้ว่า การเรียนรูข้ อง
มนุ ษย์ท่ที าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสิง่ ใหม่ ๆ ด้วยกัน 3 ด้าน คือ ด้านพุทธิพสิ ยั ซึ่งเป็ นการ
เปลี่ยนแปลงความรู้ ความคิด ความเข้าใจ เป็ นการเกิดขึน้ ทางสมอง ด้านจิตพิสยั เป็ นด้าน
อารมณ์หรือความรูส้ กึ ความเชื่อ เจตคติ และด้านทักษะเป็ นการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อให้
เกิดทักษะ และความชานาญ
คลินน์ (Klein,1991,p.2) ได้ใ ห้ค วามหมายของ การเรีย นรู้ (Learning) ไว้ว่ า
กระบวนการของประสบการณ์ท่ที าให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร
ซึง่ การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมนี้ไม่ได้มาจากภาวะชัวคราว ่ วุฒภิ าวะ หรือสัญชาตญาณ
คิมเบิล้ และ แกรมเมซี่ (Kimble and Garmezy, 1961, p.11) ได้ให้ความหมายของ
การเรียนรู้ (Learning) ไว้ว่า เป็ นการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมทีค่ ่อนข้าง ถาวร โดยเป็ นผลจาก
การฝึ กฝนเมื่อ ได้รบั การเสริมแรง มิใช่เป็ นผลจากการตอบสนองตามธรรมชาติท่ี เรียกว่า
ปฏิกริ ยิ าสะท้อน
504
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้
ทฤษฏี การเรียนรู้ของสกิ นเนอร์ (Skinner) หรือทฤษฎี การวางเงื่อนไขด้ วยการ
กระทา (Operant Conditioning Theory)
สกินเนอร์ มีความคิดว่าทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของ Pavlov นัน้ จากัดอยู่
กับพฤติกรรมการเรียนรูท้ เ่ี กิดขึน้ เป็ นจานวนน้อยของมนุ ษย์ พฤติกรรมส่วนใหญ่แล้ วมนุ ษย์จะ
เป็ นผูล้ งมือปฏิบตั เิ อง เป็ นการเรียนรูแ้ บบลงมือกระทา
สกินเนอร์ ได้แบ่ง พฤติกรรมของสิง่ มีชวี ติ ไว้ 2 แบบ คือ
1. Respondent Behavior หมายถึง พฤติกรรมหรือการตอบสนองทีเ่ กิดขึน้ โดย
อัตโนมัติ หรือเป็ นปฏิกริ ยิ าสะท้อน (Reflex) ซึง่ สิง่ มีชวี ติ ไม่สามารถควบคุม ตัวเองได้ เช่น การ
กระพริบตา น้าลายไหล
2. Operant Behavior หมายถึง พฤติกรรมที่เกิดจากสิง่ มีชวี ติ เป็ นผู้กาหนด
หรือเลือกทีจ่ ะแสดงออกมา ส่วนใหญ่จะเป็ นพฤติกรรมทีบ่ ุคคลแสดงออกในชีวติ ประจาวัน เช่น
กิน นอน พูด เดิน ทางาน ขับรถ
การเรีย นรู้ต ามแนวคิด ของสกิน เนอร์ เกิ ด จากการเชื่อ มโยงระหว่ า งสิ่ง เร้า กับ การ
ตอบสนองเช่นเดียวกัน แต่สกินเนอร์ให้ความสาคัญต่อการตอบสนองมากกว่าสิง่ เร้า จึงมีคน
เรียกว่าเป็ นทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบ Type R นอกจากนี้สกินเนอร์ให้ความสาคัญต่อการ
เสริมแรง (Reinforcement) ว่ามีผลทาให้เกิดการเรียนรู้ท่คี งทนถาวร ยิง่ ขึ้นด้วย สกินเนอร์ได้
สรุ ป ไว้ ว่ า อัต ราการเกิด พฤติก รรมหรือ การตอบสนองขึ้น อยู่ ก ับ ผลของการกระท า คือ
การเสริมแรง หรือการลงโทษ ทัง้ ทางบวกและทางลบ
สกินเนอร์ไ ด้อธิบาย ค าว่า "พฤติกรรม" ว่าประกอบด้ว ยองค์ประกอบ 3 ตัว คือ ว่า
ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ตัว คือ
1. Antecedents คือ เงื่อ นไขน าหรือ สิ่ง เร้า ที่ก ระตุ้น ให้เ กิด พฤติก รรม (สิ่ง ที่
ก่อให้เกิดขึน้ ก่อน) ทุกพฤติกรรมต้องมีเงือ่ นไขนา เช่น วันนี้ตอ้ งเข้าเรียนบ่ายโมง พฤติกรรมเรา
ถูกกาหนดด้วยเวลา
2. Behavior คือ พฤติกรรมทีแ่ สดงออก
505
- ให้ความเอาใจ
- กฎระเบียบ ทางานอย่าง ไม่เกิ ดอุบตั ิ เหตุ
- คุณธรรม ปลอดภัย
-รางวัล
- การลงโทษ
A B C
ดังนัน้ ในการกระตุ้นพฤติกรรมความปลอดภัยในการทางานของตัวเสริมแรงปฐมภูม ิ
ต้อ งทราบว่า พนัก งานปฏิบ ัติงานในลักษณะงานที่มคี วามเสี่ยงในการท างานหัว หน้ า งานจะ
สนับสนุนให้พนักงานเกิดความร่วมมือในการปฏิบตั ติ ามกฎระเบียบ ข้อบังคับในการทางานโดย
จัด หาอุปกรณ์ส วมใส่ ป้อ งกันอันตรายส่ ว นบุค คลให้กับพนักงานทุกคน ให้ ต ระหนักถึงความ
ปลอดภัยในการทางาน และการชีใ้ ห้เห็นถึงอันตรายทีเ่ กิดขึน้ หากไม่ปฏิบตั ติ าม
3.4 ตัวเสริ มแรงทุติยภูมิ (Second Reinforcer) ตัวเสริมแรงประเภทนี้เป็ นสิง่
เร้าทีเ่ ป็ นกลาง (Natural Stimulus) สิง่ เร้าทีเ่ ป็ นกลางนี้เมื่อนาเข้าคู่กบั ตัวเสริมแรงปฐมภูมบิ ่อย
ๆ เข้า สิง่ เร้าซึ่งแต่ เดิมเป็ นกลางก็กลายเป็ นตัวเสริมแรง และจะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับตัว
เสริมแรงปฐมภูม ิ ซึง่ จะเรียกตัวเสริมแรงนี้ว่า ตัวเสริมแรงทุตยิ ภูม ิ
ในกรณีท่เี ป็ นตัวเสริมแรงทุ ตยิ ภูมหิ ากมีการปฏิบตั ิตามกฎระเบียบประจาสม่ าเสมอก็
ต้องกระตุน้ ด้วยการให้มกี ารแข่งขัน ประกวด แสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ผ่านการมีส่วนร่วม หรือ
การตอบแทนรางวัล และมีก ารให้ร างวัล หากพนัก งานคนใดปฏิบ ัติต ามกฎระเบีย บประจ า
สม่าเสมอเพื่อสร้างขวัญกาลังใจในการปฏิบตั แิ ละให้เห็นถึงความสาคัญในการปฏิบตั ติ ามให้สร้าง
พฤติกรรมความปลอดภัยในการทางาน
ลักษณะของเครื่องมือหรือตัวเสริ มแรง
1. Material Reinforcers คือ ตัวเสริมแรงทีเ่ ป็ นวัตถุ หรือสิง่ ของจับต้องได้ เช่น เงิน
รางวัล เป็ นต้น
2. Social Reinforcers เป็ นสิง่ ทีท่ ุกคนต้องการ เนื่องจากมนุ ษย์เป็ นสัตว์ส ังคมต้องการ
เพื่อน สังคม ความปลอดภัย จึงแสดงออกด้วยการเอาใจใส่ ห่วงใย เห็นอกเห็นใจ การชม เป็ น
3. Activity Reinforcers เป็ นการใช้กจิ กรรมทีก่ ระตุ้นให้พนักงานที่พนักงานชอบหรือ
สนใจทามาเสริมแรงกิจกรรมทีต่ ้องการทาน้อยทีส่ ุด เช่น หากชอบทางานเป็ นทีมก็ให้มอบหมาย
งานที่ต้องทากิจกรรมร่วมกันแล้วให้พนักงานทุกคนสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล
โดยให้เ พื่อ นในทีมเป็ นผู้ก ระตุ้นโดยการสวมใส่ และปฏิบตั ิใ ห้เ หมือ นกันเพื่อ ให้พฤติกรรมที่
กระทาติดเป็ นนิสยั เป็ นต้น
4. Positive Feedback จะเป็ นการให้ขอ้ มูลป้ อนกลับทางบวก จะให้กระทากิจกรรมที่
เป็ นบวกเท่านัน้ ที่เป็ นผลของการกระทา เช่น คาชม แต่สงิ่ ที่ผดิ ให้หาแนวทางหรือวิธ ีการให้
คาปรึกษาให้พนักงานหาวิธกี ารเปลีย่ นพฤติกรรมของจนเองให้พบด้วยตนเอง
5. Intrinsic Reinforcers หรือตัวเสริมแรงภายใน เช่น การให้พนักงานมองเห็นสิง่ ที่
ตนเองกระทาแล้วให้ชมตนเอง เมื่อมีการปฏิบตั งิ านถูกต้องตามกฎระเบียบความปลอดภัย หรือ
ปฏิบตั งิ านถูกต้อง
509
ปัจจัยที่มีผลต่อการเสริ มแรง
1. การเสริมแรงต้องกระทาทันทีเ่ มื่อมีการปฏิบตั ถิ ูกต้อง เช่น เมื่อพนักงานปฏิบตั ติ าม
ระเบียบข้อบังคับในการทางานเกีย่ วกับความปลอดภัย เช่น เมื่อพนักงานสวมใส่อุ ปกรณ์ป้องกัน
อันตรายส่วนบุคคลต้องรีบเสริมแรงด้วยการชมทันทีหรือให้รางวัลหากเป็ นข้อตกลง
2. การเสริมแรงต้องมีการตอบสนองการเสริมแรงอย่างพอเหมาะหรือเหมาะสมตาม
ลักษณะของการกระทาไม่ควรมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
3. การเสริมแรงต้องมีการกระทาประจาสม่าเสมอ เพื่อให้เกิดการปฏิบตั ิงานอย่างต่อ
เนื่องถือว่าเป็ นการสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยในการทางาน
ทฤษฎีการเรียนรูข้ องสกินเนอร์ หรือ การวางเงื่อนไขแบบการกระทา สามารถสรุปได้
ดังนี้
1. การกระทาใด ๆ ถ้าได้รบั การเสริมแรงจะมีแนวโน้มเกิดขึน้ อีก ส่ วนการกระทาทีไ่ ม่ม ี
การเสริมแรงแนวโน้มทีค่ วามถีข่ องการกระทานัน้ จาลดลง และหยุดทาไปโดยทันที
2. การเสริมแรงทีแ่ ปรเปลีย่ นทาให้เกิดการตอบสนองว่าการเสริมแรงทีต่ ายตัว
3. การลงโทษทาให้เรียนรูไ้ ด้เร็ว และไม่สามารถทาให้เกิดความยังยื ่ นได้เนื่องจากไม่ได้
เกิด จากจิต ส านึ ก ของพนั ก งานหรือ ไม่ เ กิด จากความเข้า ใจหรือ เห็น แจ้ง ด้ ว ยตนเองแล้ ว
เปลีย่ นแปลง
การให้แรงเสริมหรือให้รางวัลเมือ่ มีการแสดงพฤติกรรมทีต่ ้องการ สามารถช่วยปรับหรือ
ปลูกฝั งวินยั ทีต่ อ้ งการได้
การนาทฤษฎีน้ีไปปรับใช้ในการเสริมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความปลอดภัยในการ
ทางานทัง้ ในด้านเสริมแรง และการลงโทษได้แต่การจะใช้วธิ กี ารใดย่อมศึกษาบริบทของสภาพ
การทางานและพนักงานให้ถ่อ งแท้ก่อนเพื่อจะเกิดการเสริมพฤติกรรมความปลอดภัยในการ
ทางานอย่างแท้จริง
ทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจ
ความหมายของแรงจูงใจ (Motivation)
แรงจูงใจ หมายถึง พลังผลักดันให้คนมีพฤติกรรม และยังกาหนดทิศทางและเป้ าหมาย
ของพฤติกรรมนัน้ ด้วย คนทีม่ แี รงจูงใจสูง จะใช้ความพยายามในการกระทาไปสู่เป้ าหมายโดย
ไม่ลดละ แต่คนที่มแี รงจูงใจต่ า จะไม่แสดงพฤติกรรม หรือไม่ก็ล้มเลิก การกระทา ก่อนบรรลุ
เป้ าหมาย
(Walters, 1978, p.218) ได้ให้ความหมายของ แรงจูงใจ ไว้ว่า เป็ นบางสิง่ บางอย่างที่
อยู่ภายในตัว ของบุค คลที่มผี ลทาให้บุคคลต้องกระทา หรือเคลื่อนไหว หรือมี พฤติกรรม ใน
ลักษณะทีม่ เี ป้ าหมาย" กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คอื แรงจูงใจเป็ นเหตุผล ของการกระทานันเอง
่
510
ความหมายของพฤติ กรรมความปลอดภัยในการทางาน
สมถวิล เมืองพระ (2537, หน้า 54) กล่าวว่า พฤติกรรมความปลอดภัยในการทางาน
หมายถึง ลักษณะของการกระทาหรือแสดงออกของบุคคลต่อสิง่ ใดสิง่ หนึ่ง ซึง่ อยูภ่ ายใต้สภาวะที่
ปราศจากอันตรายการเกิด อุ บ ัติเ หตุ ร วมถึง ปราศจากโอกาสเสี่ย งต่ อ การเกิด อุ บ ัติเ หตุ กา ร
บาดเจ็บพิการ ตาย อันเนื่องจากการทางาน ทัง้ ต่อบุคคล ทรัพย์สนิ และสิง่ แวดล้อม ตามหลัก
พฤติกรรมศาสตร์แล้ว พฤติกรรมความปลอดภัยจะเกิดขึน้ ได้ ต้องมีปัจจัยต่าง ๆ หลายประการ
ด้วยกัน สามารถจาแนกได้ 3 ลักษณะ คือ ปั จจัยที่ช่วยโน้มน้ าวบุคคลให้เกิดพฤติกรรมความ
ปลอดภัยทีเ่ ป็ นปั จจัยเกีย่ วข้องกับความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อ ทัศนคติ และค่านิยมของบุคคล
ที่มตี ่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมอนามัยของบุค คล ซึ่งพฤติกรรมนี้เกิดขึน้ จาก
การเรียนรูห้ รือประสบการณ์ทไ่ี ด้รบั จากการเรียนรูข้ องแต่ละบุคคล ซึง่ ส่วนใหญ่มกั จะได้รบั ทัง้ ใน
ทางตรงและทางอ้อ มหรือจากการเรียนรู้ด้ว ยตนเอง ปั จจัยที่ช่วยสนับสนุ นให้เ กิดพฤติกรรม
ความปลอดภัยเป็ นปั จจัยที่เกิดขึน้ จากการที่แต่ละบุคคลต่างมีโอกาสทีจ่ ะใช้บริการหรืออุปกรณ์
รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่มอี ยู่แ ละจัดหาไว้ให้อ ย่างทัวถึ
่ ง ได้แก่ สถานพยาบาล แหล่ งอาหารหรือ
อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย เป็ นต้น เป็ นปั จจัยทีช่ ่วยส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมความปลอดภัย
เป็ นปั จจัยทีน่ อกเหนือจากปั จจัยดังกล่าวข้างต้น ได้แก่ ปั จจัยทีเ่ กิดจากการกระทาของบุคคลที่
เกี่ยวข้องกับการดาเนินงานทัง้ ทางตรงและทางอ้อม เช่น ครอบครัว ญาติ เพื่อน นายจ้างและ
บุคลากรอื่น ๆ รวมถึงบุคคลทีเ่ ป็ นสิง่ แวดล้อมในสังคมภายนอกบ้านหรือทีท่ างานด้วย ซึง่ บุคคล
เหล่านี้จะมีอทิ ธิพลต่อการปลูกฝั ง หรือเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมอนามัยโดยสังสอน ่ การอบรมการ
กระตุน้ เตือน การชักจูง การเป็ นตัวอย่าง การควบคุมดูแล รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการกระทา
หรือ การปฏิบตั ิท่ถี ู ก ต้อ งและเหมาะสมที่จ ะนาไปสู่การมีสุ ข ภาพหรือ พฤติกรรมอนามัยตาม
เป้ าหมายทีก่ าหนด
สรุปได้ว่า พฤติกรรมความปลอดภัยในการทางาน หมายถึ ง การกระทาของบุคคลที่
แสดงออกมาในขณะทางาน ซึง่ มีผลทาให้เกิดความปลอดภัยและปราศจากการเกิดอันตรายใน
ระหว่างการทางาน
การที่จะเข้าใจพฤติกรรมที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทางาน หรือสุขภาพอนามัย
ของบุค คลนัน้ ส่ว นใหญ่ จะอาศัยแนวคิดและทฤษฎีทางจิตวิทยา เพื่อ แก้ปัญ หาทางสุ ขภาพ
อนามัยของบุคคล จะต้องเปลี่ยนแปลงลักษณะการดาเนินชีวติ ของบุคคลนัน้ ๆ และควบคุ ม
ปั ญหาสิง่ แวดล้อมมากกว่าทีจ่ ะเป็ นการให้บริการทางด้านการรักษาพยาบาล โดยให้การศึกษา
แก่บุคคลเกี่ยวกับความสามารถและความรับผิดชอบของตัวเขาในการที่จะปกป้ องสุขภาพของ
512
พฤติ กรรมมนุษย์เพื่อความปลอดภัยในการทางาน
1. ทฤษฎีค่านิ ยม –ทัศนคติ –พฤติ กรรม (value-Attitude –Behavior Theory)
ได้อธิบายถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ที่มนุ ษย์ได้แสดงออกนัน้ เป็ น ผลมาจากค่านิยมที่มนุ ษย์
เรียนรู้มาจากสิ่งแวดล้อ มรอบตัว เองโดยการสังเกตและเลียนแบบจากตัว แบบ (model) และ
ค่านิยมเป็ นสิง่ ที่ได้รบั การยอมรับที่เป็ นพฤติก รรมที่ทุก คนในองค์การได้แสดงออกทาให้เกิด
ทัศ นคติหรือ เจตคติท่บี ุค คลเห็นว่ามีความเหมาะสมแก่ การประพฤติปฏิบตั ิต ามพฤติกรรมที่
ถูกต้องเหมาะสมดีงาม ซึ่งค่านิยมจะเกิดจากขึ้นจากพันธุกรรมที่บุคคลได้รบั จากบิดา มารดา
บรรพบุรุษตัง้ แต่เกิดมาได้รบั การเลีย้ งดู อบรมสังสอนรวมทั ่ ง้ ได้รบั การขัดเกลาจากสังคม และ
สิง่ แวดล้อมทีอ่ ยูร่ อบตัวของบุคคลนัน้ ค่านิยมจึงมีลกั ษณะดังนี้
1.1 ค่ า นิ ย มเป็ นสิ่ง ที่เ รีย นรู้ ไ ด้ กล่ า วคือ บุ ค คลจะเรีย นรู้ ค่ า นิ ย มได้ จ าก
สิ่ง แวดล้อ ม และด้ว ยการอบรม จดจ า เลีย นแบบ และแนวปฏิบ ัติท่ีเ ป็ น บรรทัด ฐาน เช่ น
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทางานมีการยึดถือปฏิบตั สิ บื ต่อกันมาในด้านความมีคุณธรรม
จริยธรรม ในการประกอบวิชาชีพจนกลายเป็ นค่านิยมของวิชาชีพ เป็ นต้น
1.2 ค่านิยมเป็ นสิง่ ทีไ่ ด้รบั การยอมรับ เมื่อมีการยอมรับค่านิยมต่าง ๆ ทีม่ อี ยู่ใน
สังคมทีม่ กี ารประพฤติสบื ต่อกันมาจนกลายเป็ นขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมในองค์การ
หรือบริษทั ทีเ่ ป็ นการปฏิบตั แิ ละเกิดการยอมรับทีถ่ อื ปฏิบตั กิ นั จนเป็ นกฎระเบียบข้อบังคับ เช่น
การใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลเมื่อต้องปฏิบตั งิ านในบริเวณที่มคี วามเสี่ยงอันตราย
จากเครือ่ งจักร หรือสารเคมีอนั ตราย ความร้อน ฝุ่ น เสียงดัง เป็ นต้น
1.3 ค่านิยมเป็ นแรงจูงใจ ค่านิยมเป็ นสิง่ ปลุกเร้าหรือกระตุ้ นให้บุคคลเกิดความ
ต้องการที่ต้องแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมาเพื่อให้บรรลุค่านิยมเหล่านัน้ ในสังคม เช่น ความ
มันคงในชี
่ วติ การได้รบั การยอมรับในวิชาชีพ ค าชมเชย รางวัล เกียรติยศชื่อ เสียง ความมี
อานาจ และบารมี เป็ นต้น
1.4 ค่านิยมสามารถเปลีย่ นแปลงไปได้ จากสภาพแวดล้อมทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลง
ด้า นสัง คม วัฒ นธรรม เศรษฐกิจ การเมือ ง และเทคโนโลยีต่ า ง ๆ ท าให้ค่ า นิ ย มสามารถ
เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา และค่านิยมของกลุ่มต่าง ๆ ก็อาจแตกต่างกันไปตามสถานภาพ
ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา และตัวแปรอื่น ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง
2. การปลูกฝังค่านิ ยมเพื่อความปลอดภัยในการทางาน
การปลูกฝั งค่านิยมสาหรับพนักงานเป็ นสิง่ จาเป็ นและทาให้พนักงานมีการเรียนรู้ รับรูใ้ น
สิง่ ทีด่ ี โดยเฉพาะอย่างยิง่ การปฏิบตั งิ านตามกฎ ระเบียบข้อบังคับของสถานประกอบการ ทัง้ นี้
พนัก งานแต่ ล ะย่อ มมีค วามแตกต่ า งกันตามพื้น ฐานของแต่ ล ะบุ ค คล ทัง้ จากการเลี้ ยงดูและ
สภาพแวดล้อมที่รายล้อมในสังคม ดังนัน้ สถานประกอบการจึงต้องดาเนินการปลูกฝั งค่านิยม
ต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยในการทางาน ดังนี้
515
การเกิด อุ บ ัติเ หตุ ไ ม่ ไ ด้เ กิด จากเคราะห์ก รรม เกิด จากการกระท าของมนุ ษ ย์ ท่ีข าดความ
ระมัดระวัง ประมาท เลินเล่อ ขาดความรู้ ความเข้าใจ ดังนัน้ การจะช่วยให้พนักงานได้ตระหนัก
ถึงความปลอดภัยหัวหน้างานจะต้องทาให้เป็ นแบบอย่างทีถ่ ูกต้อง
3. หัวหน้ างานต้ องทาให้ เป็ นแบบอย่างที่ ถกู ต้ อง หัวหน้างานต้องเป็ นผู้มภี าวะผูน้ า
โดยการทาให้ดูเป็ นตัวอย่าง ซึ่งโดยทัวไปแล้ ่ วหัวหน้างานกะลูกน้ องจะมีความใกล้ชดิ กันมาก
ทีส่ ุด ซึง่ พฤติกรรมทีม่ กี ารสังเกต ได้แก่
3.1 ลูกน้องมักจะสังเกตหัวหน้าเมือ่ เวลาทางานเสมอ หัวหน้าจึงต้องทางานด้วยการ
ปฏิบตั ติ ามขัน้ ตอนการทางานโดยเคร่งครัด เพื่อให้เป็ นแบบอย่างทีถ่ ูกต้องหรือเป็ นตัวอย่างที่ดี
ซึง่ จะสามารถกระตุน้ ลูกน้องได้มากเนื่องจากลูกน้องได้เห็นเป็ นประจาทุกวัน
3.2 หัวหน้างานจะต้องกากับติดตามการทางานของลูกน้องอย่างใกล้ชดิ เมื่อลูกน้อง
ปฏิบตั งิ านอย่างถูกต้องก็ให้การชมเชย หรือรางวัล และหากเมื่อ ลูกน้องปฏิบตั งิ านไม่ถูกต้องก็
ต้องให้ได้รบั การแก้ไขให้ถู กต้อง และต้องอธิบายถึงความเสียหายหากเกิดอันตรายจากการ
ทางานทีไ่ ม่ถูกต้องด้วย
4. พาไปศึ กษาดูงาน โดยผู้ท่รี บั ผิดชอบโดยเฉพาะเจ้าหน้ าที่ความปลอดภัยในการ
ทางานควรไปดูงานเพื่อนาเอาเทคนิคความปลอดภัยมาประยุกต์ใช้ในการทางาน และเมื่อเกิดผล
สัมฤทธิ ์ก็นาลูกน้องไปดูเช่นเดียวกัน
5. เข้ า รับ การฝึ กอบรม หัว หน้ า งานจะต้อ งให้ผู้ป ฏิบ ัติง านเข้า รับ การฝึ ก อบรมใน
ลักษณะงานทีล่ กู น้องปฏิบตั เิ นื่องจากจะได้พฒ ั นา และเพิม่ พูนความรู้ ให้สามารถทางานได้อย่าง
ปลอดภัย
กิ จกรรมในการสร้างจิ ตสานึ กด้านความปลอดภัย
1. กิ จกรรม KYT เพื่อความปลอดภัย
กิจกรรมกลุ่มย่อยเพื่อความปลอดภัยทาให้อุบตั เิ หตุเป็ นศูนย์หรือการปราศจากอุบตั เิ หตุ
ในการทางาน (Kiken Yochi Training) หรือ การหยังรู ่ อ้ นั ตรายล่วงหน้า กิจกรรม KYT ซึ่ง
หมายถึง กิจกรรมทีจ่ ดั ทาขึน้ อย่างเป็ นระบบส่งเสริมความปลอดภัยของทุกหน่ วยงานในองค์การ
เป็ นระบบการควบคุมและการจัดการที่กลุ่มกิจกรรมย่อยจัดทาขึน้ เอง ซึ่งเป็ นการรณรงค์เพื่อ
หาทางป้ องกันและแก้ไขปั ญหาด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัยในการทางาน และทีมงาน
ต้องยึดหลักการ (หัวใจ) ให้ความสาคัญต่อคน (ปราศจากอุบตั เิ หตุ) อย่างจริงจัง ซึง่ KYT จึง
หมายถึง การวิเคราะห์หรือคาดการณ์ว่าจะมีอ ันตรายใด ๆ แอบแฝงอยู่ในงานที่ทุกคนกาลัง
ปฏิบตั ิ แล้วหาทางป้ องกัน หรือลดความเสีย่ งทีจ่ ะเกิดขึน้ ให้เป็ นศูนย์
โดยทัวไปในสถานประกอบการอุ
่ บตั เิ หตุส่วนใหญ่เกิดจากการปฏิบตั งิ านทีผ่ ดิ พลาดของ
คน ได้แก่ การทางานลัดขัน้ ตอน เผลอเลอ เหม่อลอย ขาดสมาธิหรือขาดสติ เมื่อเป็ นเช่นนัน้
พนักงานสามารถมองเห็นอันตรายล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว อุบตั เิ หตุกจ็ ะลดลงได้ กิจกรรม KYT
526
เป็ น แนวคิด ของญี่ป่ ุนซึ่ง ใช้ท ดลองและปฏิบ ัติใ ห้ก ับ พนัก งานด้ว ยการฝึ ก ฝนพนัก งานให้ม ี
ความสามารถพิเศษในการมองเห็นอันตรายล่วงหน้าได้ จึงต้องฝึกฝนทุกวัน เสมือนการคิดเลข
เร็ว ถ้ามีการฝึ กฝนทุกวันก็จะทาให้เกิดประสบการณ์ท่จี ะรู้ล่วงหน้ าถึงอันตรายก็จะทาให้เกิด
ความระมัดระวัง ดังนัน้ กิจกรรม KYT จะเป็ นการฝึกฝนมองหาอันตรายทุกวัน สมองก็จะได้รบั รู้
ทัง้ จากมือ ตา หู และปาก กลายเป็ นความสามารถในการหยังรู ่ อ้ นั ตรายล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว
ซึง่ กิจกรรม KYT ประกอบด้วยหลักการดังนี้
1. Kiken หมายถึง อันตราย
2. Yochi หมายถึง การพยากรณ์หรือคาดการณ์
3. Training หมายถึง การฝึกอบรม หรือการให้ความรู้
ดังนัน้ กิจกรรม KYT เป็ นการฝึ กการหยังรู่ ร้ ะวังอันตราย คือ กิจกรรมที่ปฏิบตั ริ ่วมกัน
เป็ นทีมเพื่อความปลอดภัยในการทางาน ซึ่งไม่สามารถทาเพียงคนเดียวได้ เป็ นกิจกรรมที่ฝึก
การพยากรณ์อนั ตรายภายใต้แนวความคิด ‚ช่วยกันทาอย่างรวดเร็ว แม่นยาถูกต้อง‛ โดยเฉพาะ
การชี้น้ิว พูดย้า หรือ กระทาด้วยมือชี้ปากย้า เป็ นการฝึ กอบรม และเทคนิคการใช้ความเร็ว
ประสาทสัมผัส ด้านอันตราย การมีสมาธิ ความกระตือรือร้น ความร่วมมือร่ว มใจ และความ
สามัคคีเป็ นหนึ่งเดียว กิจกรรม KYT จึงเน้นกิจกรรมการแก้ปัญหาด้วยตนเอง รูจ้ กั คิดแก้ปัญหา
ด้วยตนเองก่อน ส่งเสริมให้พนักงานลงมือทาด้วยตนเอง ไม่มกี ารบังคับ เมื่อพนักงานพบปั ญหา
ก็คดิ แก้ปัญหาด้วยตนเองคิดร่วมกันจุดสาคัญของกิจกรรมนี้ จึงให้ความสาคัญในการสร้างวินัย
ความสามัคคี ความกระตือรือร้น ให้เกิดขึน้ ในการทากิจกรรมให้สาเร็จ
ขัน้ ตอนการทากิ จกรรม KYT
จะดาเนินการตามขัน้ ตอนที่เรียกว่า ทา Touch and Call หรือมือชี้ ปากย้า หรือ
เรียกว่า 4R ดังนี้
1. ค้นหาอันตราย ซึง่ กิจกรรมจะมีการดาเนินการ โดยสมาชิกช่วยกันตอบว่า
1.1 เพราะสมชายหันไปคุย น้ามันจึงหกออกนอกถัง
1.2 เพราะสมชายมัวแต่คุย จึงอาจเติมน้ามันล้นถังได้
1.3 เพราะถังน้ามันวางเกะกะ สมชายจึงอาจสะดุดล้มได้
1.4 เพราะสมชายไม่ได้สวมหน้ากากจึงสูดหายใจเอาไอน้ามันเข้าไปในปอด
รูปแบบการทางานเป็ นทีมที่มีผลต่อความปลอดภัยในการทางาน
ในการจัดการความปลอดภัยในการทางานการสร้างให้พนักงานเกิดพฤติกรรมที่มกี าร
รับรูใ้ นการรับรูถ้ งึ ความปลอดภัยในการทางานผูน้ าจาเป็ นต้องอาศัยทักษะในการทางานเป็ นทีม
ให้ผปู้ ฏิบตั งิ านให้ความร่วมมือในการปฏิบตั งิ านให้เกิดความปลอดภัยด้วยการปฏิบตั ติ ามผูน้ าที่
แสดงความต้องการให้เกิดความปลอดภัยในการทางาน ซึง่ สามารถแสดงให้เห็นถึงปั จจัยต่าง ๆ
ดังแสดงให้เห็นในตารางที่ 8.2
รูปแบบของผูน้ าด้านความปลอดภัยในการทางาน
ผู้นาด้านความปลอดภัยในการทางาน เป็ นบทบาทหนึ่งที่ผลักดันให้พนักงานสามารถ
ปฏิบตั ติ ามกฎระเบียบข้อบังคับในการทางานอย่างเคร่งครัดได้ โดยอาศัยผูน้ าทีเ่ ป็ นแบบอย่างที่
ดีชกั จูงใจหรือนาพาให้ผู้ตามปฏิบตั ิตามได้ ซึ่งต้องอาศัยคุณลักษณะของผู้นาที่ต้องมีบทบาท
สาคัญ สามารถสรุปได้ตามคุณลักษณะของผูน้ า ดังนี้
1. จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติ ลักษณะการแสดงออกกิรยิ าทีด่ งี ามเหมาะสมเกิด
ความดีในทางทีถ่ ูกต้อง ยุตธิ รรม กฎเกณฑ์ หรือกฎหมายทีก่ าหนด และแบบแผนในการปฏิบตั ิ
ที่ดีงาม ดังนัน้ ผู้นาจึงต้อ งมีบทบาทในการประพฤติปฏิบตั ิต ัว ให้เ ป็ นแบบอย่างที่ดใี ห้กับ
พนักงานหรือลูกน้องในด้านการส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยในการทางาน รวมทัง้ ค่าจ้างทีจ่ ่าย
อย่างเป็ นธรรม การดู แลความเป็ นอยู่การทางานที่ปลอดภัยด้านเครื่องมือ เครื่อ งจักร ไม่ใ ห้
ลูกน้องทางานเกินกว่ากาลังจนนาไปสู่อนั ตรายหรืออุบตั เิ หตุในการทางาน
2. แรงจูงใจ หมายถึง พลังผลักดันให้ค นมีพฤติกรรม และยังกาหนดทิศ ทางและ
เป้ าหมายของพฤติก รรมนัน้ ด้ว ย คนที่มแี รงจูงใจสูง จะใช้ค วามพยายามในการกระทาไปสู่
เป้ าหมายโดยไม่ลดละ แต่คนทีม่ แี รงจูงใจต่ า จะไม่แสดงพฤติกรรม หรือไม่กล็ ม้ เลิก การกระทา
ก่อนบรรลุเป้ าหมาย ดังนัน้ ผู้นาจึงมีบทบาทสร้างแรงจูงใจหรือผลักดันให้พนักงานได้ประพฤติ
ปฏิบตั งิ านด้วยความปลอดภัยในการทางาน
3. ขอบเขตของงาน เมือ่ มอบหมายงานให้พนักงานตามขอบเขตหน้าทีข่ องงานพนักงาน
ย่อ มได้ร บั การสนับ สนุ น สิ่ง อ านวยความสะดวกในการท างานที่เ หมาะสมและถู ก ต้ อ งตาม
529
สีและเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย
เครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย (safety sign)
สลิลทิพย์ สินธุ สนธิชาติ (2557, หน้ า 269) เครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย (safety
sign) หมายถึ ง เครื่อ งหมายที่ ต้ อ งการใช้ ส่ ือ ความหมาย โดยใช้ รู ป สี หรือ ข้ อ ความ ที่
เฉพาะเจาะจงกับผู้ท่ีอาจได้รบั อันตรายในสถานที่ทางาน โดยข้อความภายในป้ ายอาจจะสื่อ
ความหมายเพื่อป้ องกันไม่ให้เกิดอุบตั เิ หตุ (prevent accidents), อันตรายต่อสุขภาพ (health
hazards), ระบุสถานทีต่ งั ้ ของอุปกรณ์ป้องกันไฟไหม้ (fire protection) หรือการให้คาแนะนาใน
กรณีทเ่ี กิดเหตุฉุกเฉิน
ตาม มอก. 635 เล่ม 1 ได้กาหนดสีเพื่อความปลอดภัย, รูปแบบของเครื่องหมายเพื่อ
ความปลอดภัย, เครื่องหมายเสริม และขนาดของเครื่องหมายและตัวอักษรของป้ ายสัญลักษณ์
เพื่อความปลอดภัยทีใ่ ช้ส่อื ความหมายต่าง ๆ แทนการใช้ขอ้ ความ โดยมีสาระสาคัญดังนี้
530
1. สีเพื่อความปลอดภัยและสีตดั
2. รูปแบบของเครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัย
3. เครือ่ งหมายเสริม
4. ขนาดของเครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัยและความหมาย
5. ข้อแนะนาในการเลือกและการใช้เครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัย
สีม ีค วามสัม พัน ธ์ เ กี่ย วกับ ความปลอดภัย ต่ อ การปฏิบ ัติง าน การเดิน ทาง และใน
ชีวติ ประจาวันของคน ความสัมพัน ธ์ของสีกบั ความปลอดภัย ซึ่งจะมีแสงมาช่วยให้เกิดความ
สว่างภายในห้องที่กาลังทางานหรือปฏิบตั งิ าน สีและแสงมีความสัมพัน ธ์ต่อความปลอดภัย สี
และแสงมีส่วนช่วยให้ภายในห้อง ทางานสว่างโดยการใช้แสงเท่าเดิม กล่าวคือ สีทใ่ี ช้ทาผนังและ
ฝ้ าเพดานทีอ่ ยู่ในโซนขาว จะทาให้การ สะท้อนของแสงเป็ นไปได้ดี ทาให้ภายในห้องดังกล่าวมี
ความสว่างผู้ปฏิบตั ิงานในห้อ งดังกล่าวเกิดการกระปรี้กระเปร่าอยากปฏิบตั ิงาน ไม่ง่วงนอน
ในทางตรงกันข้ามถ้าภายในห้องดังกล่าวทาสีมดื ทึบ เช่น สี เทา สีดา จะทาให้ผูป้ ฏิบตั งิ านรูส้ กึ
อึดอัด เกิดอาการง่วงนอน การปฏิบตั งิ านก็จะเกิดอันตรายขึน้ ได้
1. สีเพื่อความปลอดภัย
คือ สีท่กี าหนดในการบอกความหมายเพื่อความปลอดภัย ตาม มอก. 635 เล่ ม 1
กาหนดให้ใช้สเี พื่อความปลอดภัย เพื่อผูป้ ฏิบตั งิ านในสถานประกอบการได้มคี วามรูแ้ ละเข้าใจใน
การเกิดความปลอดภัยในการปฏิบตั งิ าน ซึง่ สามารถสรุปได้ดงั ตารางที่ 8.4
2. รูปแบบของเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย
เครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัย หมายถึง เครือ่ งหมายทีใ่ ช้ส่อื ความหมายเกี่ยวกับความ
ปลอดภัยโดยมีส ี รูปแบบ และสัญลักษณ์หรือข้อความแสดงความหมายโดยเฉพาะเพื่อความ
ปลอดภัย
1. รูปแบบของเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยและสีทใ่ี ช้ แบ่งเป็ น 4 ประเภท
ตามจุดประสงค์ของการแสดงความหมาย ดังตารางที่ 41
2. ให้แสดงสัญลักษณ์ภาพไว้ตรงกลางของเครื่องหมาย โดยไม่ทบั แถบขวาง
สาหรับเครือ่ งหมายห้าม
3. ในกรณีท่ไี ม่มสี ญ ั ลัก ษณ์ ภาพที่เ หมาะสมสาหรับสื่อ ความหมายตามที่
ต้ อ งการ ให้ ใ ช้ เ ครื่อ งหมายทัว่ ไปส าหรับ เครื่อ งหมายเพื่อ ความปลอดภัย แต่ ล ะประเภท
(ดูในภาคผนวก ก.) ร่วมกับเครือ่ งหมายเสริม
3. เครื่องหมายเสริ ม
หมายถึง เครือ่ งหมายทีใ่ ช้ส่อื ความหมายเกีย่ วกับความปลอดภัยโดยมีส ี รูปแบบ และ
ข้อความเพื่อ ใช้รว่ มกับเครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัยในกรณีทจ่ี าเป็ น
3.1 รูปแบบของเครือ่ งหมายเสริม เป็ นสีเ่ หลีย่ มผืนผ้า หรือสีเ่ หลีย่ มจัตุรสั
3.2 สีพน้ื ให้ใช้สเี ดียวกับสีเพื่อความปลอดภัย และสีของข้อความให้ใช้สตี ดั หรือ
สีพน้ื ให้ใช้สขี าวและสีของข้อความให้ใช้สดี า
3.3 ตัวอักษรที่ใช้ในข้อความ ซึ่ งช่องไฟระหว่างตัวอักษรต้องไม่แตกต่างกัน
มากกว่าร้อยละ 10 และ ลักษณะของตัวอักษรต้องดูเรียบง่าย ไม่เขียนแรงเงาหรือลวดลาย
ดังภาพที่ 8.3
533
4. ให้แสดงเครื่องหมายเสริ มไว้ใต้เครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย
การแสดงเครื่องหมายเสริมในโรงงานอุตสาหกรรมเป็ นการป้ องกันด้วยการให้ขอ้ มูล
ข่าวสารเพื่อให้พนักงานเกิดความระมัดระวังและช่วยให้พนักงานเตือนความจาเกี่ยวกับอุบตั เิ หตุ
อันจะเกิดขึน้ ในโรงงานขณะมีการปฏิบตั งิ าน รวมทัง้ เป็ นเฝ้ าระวัง และฝึกให้พนักงานเป็ นคนช่าง
สังเกต ไตร่ตรองและ รอบคอบในการปฏิบตั งิ านเมื่ออยู่ในโรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิง่ เป็ นการ
ตรวจติดตามการทางานของหัวหน้าเกี่ยวการดูแ ลเอาใจใส่แก่ลูกน้อง และที่สาคัญที่สุดในการ
สื่อสารเพื่อความปลอดภัยในการทางานที่ต้องจัดทาป้ าย สัญลักษณ์เตือนภัยต่าง ๆ ก็เพื่อให้
พนักงานผูป้ ฏิบตั งิ านเกิดความปลอดภัยในการทางาน ดังแสดงในภาพที่ 8.4
534
5. ตัวอย่างเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยและความหมาย
ในโรงงานอุตสาหกรรมทีม่ กี ารผลิตสินค้าและบริการ โดยเฉพาะอย่างโรงงานทีม่ กี าร
ผลิตสินค้าด้วยเครื่องจักรทีม่ อี นั ตราย หรือพืน้ ที่ทม่ี กี ารใช้อุปกรณ์เครื่องมือทีม่ กี ารใช้เครื่องทุ่น
แรงหนัก หรืออุตสาหกรรมหนักย่อมก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสีย่ งทีจ่ ะเกิดอุบตั เิ หตุค่อนข้าง
สูงการแสดงเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์เพื่อให้พนักงานได้ทราบความหมายของการเฝ้ าระวัง
อันตรายทีจ่ ะเกิดขึน้ ก็ส่งผลให้พนักงานได้ลดการเกิดอุบตั เิ หตุลงได้มาก เนื่องจากสามารถทาให้
พนักงานได้มกี ารจดจาสัญลักษณ์และสีท่ชี ่วยในการจาหรือความจาที่แยกสีแตกต่าง ๆ ให้เกิด
ความปลอดภัย ท าให้ติด เป็ น พฤติก รรมในการท างานของพนัก งานได้ ดัง แสดงให้เ ห็น ถึง
เครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัยและความหมายดังตารางที่ 8.6
535
เครื่องหมายห้าม
เครื่องหมายเตือน
เครื่องหมายบังคับ
เครื่องหมายสารนิเทศเพื่อความปลอดภัย
6. ข้อแนะนาในการเลือกและการใช้เครื่องหมายเพื่อความปลอดภัย
1. การใช้เครื่องหมายเพื่อ ความปลอดภัยร่วมกับเครื่องหมายเสริม ในกรณีท่ไี ม่ม ี
เครือ่ งหมายทีใ่ ช้สญ
ั ลักษณ์ภาพ ตามทีแ่ สดงในภาคผนวก ก. หากต้องการจะแสดงเครื่องหมาย
ตามทีต่ อ้ งการ ให้เลือกปฏิบตั ดิ งั นี้
1.1 ใช้สญั ลักษณ์ภาพทีเ่ หมาะสม ทีด่ แู ล้วเข้าใจง่ายทีส่ ุด ไม่ต้องแสดงรายละเอียดใน
สัญลักษณ์ภาพทีไ่ ม่จาเป็ นต่อการสื่อความหมาย แต่ใช้เครือ่ งหมายเสริมร่วมด้วยถ้าจาเป็ น
1.2 ใช้เครื่อ งหมายทัวไปส ่ าหรับเครื่องหมายเพื่อความปลอดภัยแต่ละประเภท
ร่วมกับเครือ่ งหมายเสริม
2. การใช้เครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัย เพื่อจุดประสงค์ในการสื่อความหมายมากกว่า
1 ความหมาย
536
สรุป
พฤติกรรมมนุ ษย์เป็ นเครื่องหมายแสดงออกถึง การกระทาหรือ แสดงออกของมนุ ษย์
จากภายในทีม่ สี งิ่ เร้ามากระทบ ทาให้เกิดความรู้ อารมณ์ หรือปฏิกริ ยิ าออกมาทัง้ ทีร่ สู้ กึ ตัว และ
ไม่รสู้ กึ ตัวภายใต้สถานการณ์ใด สถานการณ์หนึ่ง พฤติกรรมในการทางานของมนุ ษย์ย่อมส่งผล
ต่อความปลอดภัยในการทางาน โดยมีการพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิทธิพลภายในตัว
บุ ค คลกับ อิท ธิพ ลภายนอกที่แ ต่ ล ะบุ ค คลรับ รู้ ซึ่ง จะท าให้ม นุ ษ ย์แ สดงพฤติก รรมออกมา
การศึกษาถึงพฤติกรรมมนุษย์จงึ ทาให้นกั บริหารทรัพยากรมนุ ษย์ดา้ นการจัดการความปลอดภัย
ในการทางานจาเป็ นต้องให้ความสาคัญด้านการศึกษาพฤติกรรมทีเ่ กี่ยวข้องของมนุ ษย์เกี่ยวกับ
ความปลอดภัยในการทางานเพื่อให้เข้าใจตนเอง เพื่อช่วยให้เข้าผู้อ่นื เพื่อช่วยบรรเทาปั ญหา
ทางสังคม และช่ว ยเสริมสร้างพัฒนาคุณภาพชีว ิต ของมนุ ษย์ผู้ปฏิบตั ิงาน องค์ประกอบของ
พฤติกรรมมนุ ษ ย์เ พื่อให้เ กิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่ดี จงึ มีอ งค์ประกอบ ดังนี้
เป้ าหมาย ความพร้อม สถานการณ์ การแปลความหมาย การตอบสนอง ปฏิกิรยิ าต่ อความ
ผิด หวัง จึง มีก ารแบ่ ง ประเภทของพฤติก รรมของมนุ ษ ย์ม ีเ กิด ขึ้น ในลัก ษณ ะต่ า ง ๆ ดัง นี้
พฤติกรรมที่สงั เกตได้อย่างชัดเจน พฤติกรรมที่ปกปิ ด พฤติกรรมทีเ่ ป็ นแหล่งที่เกิดจากภายใน
ร่างกาย และจิตใจของบุคคล พฤติกรรมทีเ่ กิดจากระบบประสาท ดังนัน้ พฤติกรรมมนุ ษย์จงึ แบ่ง
ออกได้เป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ พฤติกรรมที่มมี าแต่กาเนิด และพฤติกรรมที่เกิดจากอิทธิพล
ของกลุ่ม ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุ ษย์มรี ะดับของพฤติกรรมในการกระทาในระดับบุคคล
ระดับกลุ่ม และระดับสังคม เพื่อแสดงออกในเห็นถึงการรับรู้ ทัศนคติ ค่านิยม และความเชื่อ
นามาสู่การศึกษาทฤษฎีการเรียนรูแ้ ละแรงจูงใจของมนุ ษย์ในการพัฒนาพฤติกรรมเพื่อให้มนุ ษย์
ได้เ รีย นรู้จ ากประสบการณ์ ใ ห้เ กิด ความปลอดภัย ในการท างาน ซึ่ง ทฤษฎีก ารเรีย นรู้ข อง
สกินเนอร์ เป็ นการเรียนรูก้ ารวางเงื่อนไขด้วยการกระทา โดยเงื่อนไขนาหรือสิง่ เร้าทีก่ ระตุ้นให้
เกิดพฤติกรรมทีแ่ สดงออกมาทีเ่ ป็ นผลทีต่ ามมา
การสร้างจิตสานึกด้านความปลอดภัยในการทางาน โดยองค์การต้องหาเทคนิควิธกี าร
เพื่อให้พนักงานเกิดความตระหนักถึงอันตรายของการเกิดอุบตั เิ หตุหากขาดจิตสานึกทีด่ ใี นการ
537
แบบฝึ กหัด
ให้ตอบคาถามให้ถกู ต้องและสมบูรณ์ที่สดุ
1. ให้บอกความหมายของ พฤติกรรม
2. สิง่ ทีก่ าหนดพฤติกรรมมนุษย์หรือสิง่ ทีท่ าให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมมีอะไรบ้าง
3. ให้บอกความหมายของพฤติกรรมการรับรู้ และการรับรูห้ มายถึง
4. ให้บอกถึงพฤติกรรมความต้องการของมนุษย์ ตามทฤษฎีแนวคิดของ Maslow’s ทีก่ าหนดว่า
มนุษย์มคี วามต้องการ 5 ขัน้ อย่างไรพร้อมอธิบาย
5. รูปแบบผูน้ าด้านความปลอดภัยและวัฒนธรรม บรรยากาศในการทางาน
6. รูปแบบทีมงานความปลอดภัยในสถานประกอบการ
7. รูปแบบการทางานเป็ นทีมทีม่ ผี ลต่อความปลอดภัยในการทางาน
539
เอกสารอ้างอิง
กุญชรี ค้าขาย และคณะ.(2553).พฤติกรรมกับการพัฒนาตน. กรุงเทพฯ: ,มหาวิทยาลัยราชภัฏ
สวนสุนนั ทา.
กิจกรรม 5 ส การทา 5ส พร้อมกับการทางาน.(ม.ป.ป.,ม.ป.น.).สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี
(ไทย-ญีป่ ่ นุ ).,ค้นเมือ่ 26 มกราคม 2560, จากhttp://www.tpif.or.th/2012/shindan.
ชัยวัฒน์ สุทธิรตั น์.(2552). สอนเด็กให้มีจิตสาธารณะ.กรุงเทพฯ: วี พรินท์.
ณรัฐ วัฒนพานิช.(2554). รูปแบบการจัดองค์กรแห่งการเรียนรู้สาหรับกลุ่มโรงเรียนใน
เครือสารสาสน์ .วิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ณัฐวัตร มนต์เทวัญ.(2553).การบริหารงานความปลอดภัย. นนทบุร:ี
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สีและเครือ่ งหมายเพื่อความปลอดภัย.(2554).เล่ม 1 สีและ
รูปแบบมาตรฐานเลขที่ มอก. 635 เล่ม 1.
ลักขณา สริวฒ ั น์.(2544). จิตวิทยาในชีวติ ประจาวัน.กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
วิทยา อยูส่ ุข.(2554). อาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ ง่ แวดล้อม. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยมหิดล.
สวินทร์ พงษ์เก่า.(ม.ป.ป.). การเสริมสร้างทัศนคติความปลอดภัย. สมาคมส่งเสริมความ
ปลอดภัยและอนามัยในการทางาน (ประเทศไทย).,ค้นเมือ่ 27 มกราคม 2560,
จาก http://www.shawpat.or.th.
สิทธิโชค วรานุสนั ติกูล.(2556). จิตวิทยาสังคม: ทฤษฎีและการประยุกต์กรุงเทพฯ:
ซีเอ็ดยูเคชัน.่
สลิลทิพย์ สินธุสนธิชาติ.(2557). http://www.eng.mut.ac.th/article_detail.php?id=68
สุภทั ทา ปิ ณฑะแพทย์.( 2542). พฤติกรรมมนุษย์และการพัฒนาคน.กรุงเทพฯ:
สถาบันราชภัฎสวนสุนนั ทา.
สุรวี ลั ย์ ใจกล้า. (2557). พฤติกรรมความปลอดภัยในการทางานของพนักงาน บริษทั เอสอีไอ
อินเตอร์คอนเนคส์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จากัด. สาขาวิชาการจัดการภาครัฐและ
ภาคเอกชน วิทยาลัยการบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา.(งานนิพนธ์).
สมถวิล เมืองพระ. (2547). พฤติกรรมของคนงานในระดับปฏิบตั กิ ารเรือ่ งป้ องกันอุบตั เิ หตุ
เนื่องจากการทางาน : ศึกษาเฉพาะกรณีอุตสาหกรรมการผลิตภัณฑ์โลหะเครือ่ งจักร
และอุ ป กรณ์ เ ขตบางปะกงจัง หวัดฉะเชิง เทราวิท ยานิพนธ์ ศิล ปศาสตร์มหาบัณฑิต
(สังคมสงเคราะห์) กรุงเทพฯ:บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สานักความปลอดภัยแรงงาน. (ม.ป.ป.). 5ส.เพื่อความปลอดภัย. กรมสวัสดิการและคุม้ ครอง
แรงงาน., ค้นเมือ่ 12 เมษายน 2560, จาก www.oshthai.org.
540
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 9
กิจกรรม 5ส. เพื่อความปลอดภัยในการทางาน
หัวข้อเนื้ อหา
1. แนวคิด หลักการ ความหมาย และวัตถุประสงค์ของการทากิจกรรม 5ส.
2. ความสาคัญของการดาเนินงานกิจกรรม 5ส.
3. เป้ าหมายองค์การในการจัดดาเนินงานกิจกรรม 5ส.
4. ประโยชน์ทไ่ี ด้จากการดาเนินงานกิจกรรม 5ส.
5. ปั จจัยสาคัญทีม่ ผี ลต่อความสาเร็จในการทากิจกรรม 5ส.
6. ขัน้ ตอนการดาเนินการกิจกรรม 5ส.ทีม่ ปี ระสิทธิภาพ
7. องค์ประกอบสาคัญของกิจกรรม 5ส.
8. สรุป
9. แบบฝึกหัด
10. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. แจกบัตรคาเกีย่ วกับกิจกรรม 5ส. เพื่อเข้าสู่บทเรียน
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. ให้ดวู ดี ที ศั น์กจิ กรรม 5ส. ความปลอดภัยและให้แสดงความคิดเห็น
4. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน - หลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
542
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคาสอนวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดทิ ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
543
บทที่ 9
กิจกรรม 5ส. เพื่อความปลอดภัยในการทางาน
การด าเนิ น งานของทุ ก องค์ก ารย่ อ มต้ อ งการให้ ก ารปฏิบ ัติง านทุ ก ขัน้ ตอนมี ค วาม
ปลอดภัย และเกิด ประสิท ธิภ าพต่ อ บุ ค คล สิน ค้า และบริก าร รวมทัง้ ลดต้น ทุ น สิน ค้า และ
ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายในการดาเนินงาน นัน่ หมายถึง การบริหารคุณภาพองค์การย่อมเกิดขึน้
แล้ว กิจกรรม 5ส. เป็ นปั จจัยพืน้ ฐานการบริหารคุณภาพทีจ่ ะช่วยให้การปฏิบ ัตงิ านของบุคคลใน
องค์ก ารได้เกิดความปลอดภัย ซึ่งเป็ นผลมาจากการมีสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศในการ
ทางานที่เหมาะสมและดีต่อการปฏิบตั งิ าน เกิดความสะอาดเรียบร้อย ถูกสุขลักษณะ จูงใจให้
บุคคลได้มกี ารพัฒนาตนเองอยูต่ ลอดเวลา และสามารถนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มกาลัง
ความสามารถ รวมทัง้ ท าให้บุ ค คลเกิดทัศ นคติท่ดี ีต่ อ การทางาน กิจ กรรม 5ส. เป็ น เทคนิ ค
ทางการบริห ารงานที่ผู้บริห ารจะนามาใช้เ ป็ นกลยุทธ์อีกแนวทางหนึ่ง ที่จะได้ใ ห้บุค ลากรใน
องค์ก ารได้เข้ามามีส่ ว นร่ว มในการทางานด้ว ยความเต็มใจ ร่ว มแรงร่ว มใจกันในการพัฒนา
ตนเอง พัฒนางาน และพัฒนาองค์การไปพร้อม ๆกัน กิจกรรม 5ส. ยังทาให้บุคลากรทุกคนใน
องค์การได้มกี ารคิดสร้างสรรค์สงิ่ ใหม่ในการพัฒนาองค์การให้เข้าสู่การแข่งขันเพื่อให้เกิดแนวคิด
ใหม่ ๆ ซึง่ เกิดจากพืน้ ฐานของการดาเนินการกิจกรรม 5ส.
ปั จจุบนั กิจกรรม 5ส. นิยมนามาใช้ในการปฏิบตั งิ านทุกกิจกรรมในสถานประกอบการไม่
ว่าในสานักงาน ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ เนื่องเพราะว่า กิจกรรม 5
ส.เป็ นเทคนิคในการปรับปรุงง่าย ไม่ยุ่งยาก เพียงแต่ทุกคนมีความพร้อมและเชื่อมันว่ ่ าการนา
เทคนิคของกิจกรรม 5ส.เป็ นสิง่ ทีท่ าได้ และเมือ่ ทาแล้วจะทาให้บุคลากรทุกคนในองค์การมีความ
เป็ นระเบียบ เรียบร้อย สะดวกในการทางาน ทาให้เกิด สุขภาพอนามัยทีด่ ี และทาสิง่ เหล่านี้จน
ติดเป็ นนิสยั การดาเนินกิจกรรม 5ส.จึงเริม่ ต้นด้วยการสะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ และ
สร้างนิสยั การปฏิบตั กิ จิ กรรม 5ส. อย่างสม่า เสมอจนกลายเป็ นสิง่ ปกติในชีวติ ประจาวันของเรา
ย่ อ มท าให้เ กิด ความเป็ น ระเบีย บเรีย บร้อ ย สร้า งวินั ย ให้ผู้ป ฏิบ ัติง าน ท าให้ก ารท างานมี
ประสิทธิภาพสูง ยังทาให้เป็ นพื้นฐานของการดาเนินกิจกรรมการเพิม่ ผลผลิตอื่น ๆ เช่น ระบบ
บริหารคุณภาพ ระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม การบริหารความปลอดภัยในการทางาน และลด
อุบตั เิ หตุในสถานทีท่ างานได้
544
ปัจจัยสาคัญที่มีผลต่อความสาเร็จในการทากิ จกรรม 5ส
การท ากิจ กรรม 5 ส. จะมีค วามส าเร็จ ได้จ ะต้ อ งมีก ารเตรีย มความพร้อ มภายใน
หน่ ว ยงานประกอบด้ว ย บุ ค คลทุ ก ระดับ ซึ่ง บุค คลตัง้ แต่ ร ะดับ ผู้บ ริห ารซึง จะเป็ น ผู้ก าหนด
นโยบาย วัตถุประสงค์ ทิศทางเป้ าหมาย ไปจนถึงผูป้ ฏิบตั งิ านทุกคนต้องให้ความร่วมแรงร่วมใจ
ในการดาเนินงานให้สาเร็จ ดังนัน้ ปั จจัยสาคัญทีม่ ตี ่อการดาเนินกิจกรรม 5ส. ให้เกิดความสาเร็จ
ได้นนั ้ ต้องอาศัยปั จจัยสาคัญดังนี้
1. ปัจจัยด้านบุคคล ได้แก่
1.1 ผู้บ ริ ห ารระดับ สู ง ซึ่ง ต้ อ งเป็ น ผู้ก าหนดนโยบาย วัต ถุ ป ระสงค์ เป้ า หมาย
กิจกรรม 5ส. ซึง่ จะต้องปฏิบตั หิ น้าทีแ่ ละรับผิดชอบ ดังนี้
1.1.1 ผูบ้ ริหารต้องให้ความสาคัญ และให้การสนับสนุ นอย่างจริงจัง มีส่วนร่วม
ทุกกิจกรรม โดยถือว่าการดาเนินกิจกรรม 5ส. เป็ นส่วนหนึ่งของการทางานปกติของหน่วยงาน
1.1.2 ผู้บริหารต้องให้ความเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชดิ เกี่ยวกับการดาเนินงาน
และติดตามประเมินผลการดาเนินงาน โดยมีการตัง้ คณะกรรมการ หรือคณะทางานเกี่ยวกับ
กิจกรรม 5ส.ให้ทุกระดับ ทุกฝ่ ายเข้ามาทางานเพื่อ เป็ นการสร้างพลังการจูงใจให้สร้างความ
เข้าใจได้ตรงกัน
1.1.3 บทบาทของผูบ้ ริหารในการทาหน้าทีเ่ กี่ยวกับการดาเนินงานกิจกรรม 5ส.
ดังนี้
1) เป็ นแบบอย่างที่ดีในการทากิจกรรม 5ส. เช่น ลงมือ สะสาง และทา
ความสะอาดร่วมกันกับพนักงานทุกระดับเพื่อให้ทุกคนเชื่อมันและไว้ ่ วางใจในความสาเร็จและ
เอาใจใส่ของผูบ้ ริหารอย่างจริงจังและชัดเจน
2) ตรวจสอบติดตาม ประเมิน การดาเนินงาน และประชุมเพื่อทราบการ
ดาเนินงานของกิจกรรม 5ส.อย่างต่อเนื่องและประจาสม่าเสมอ
3) ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างเหมาะสมพียงพอในกิจกรรมทุก
ขัน้ ตอน
4) สร้างวัฒนธรรมการทางานทีเ่ อื้อต่อการทากิจกรรม 5ส.ให้เป็ นอันหนึ่ง
อันเดียวกันทัวทั ่ ง้ องค์การ
5) ให้คาชมเชย รางวัล และการจัดงานประกวดแข่งขัน ในหน่ วยงาน
อย่างต่อเนื่อง
1.2 หัวหน้ างาน จะเป็ นผูป้ ฏิบตั งิ านเกี่ยวกับกิจกรรม 5ส. อย่างใกล้ชดิ กับพนักงาน
ผูป้ ฏิบตั งิ าน ซึง่ จะมีบทบาทหน้าที่ ดังนี้
1.2.1 หัวหน้างานจะเป็ นผูท้ าหน้าทีใ่ นการผลักดันให้ผใู้ ต้บงั คับบัญชาร่วมมือใน
การปฏิบตั กิ จิ กรรม 5ส. ให้เกิดผลสาเร็จ
550
ผูบ้ ริหารระดับสูงกาหนดนโยบาย
ประกาศให้พนักงานทราบทัวทั
่ ง้
องค์การ
แต่งตัง้ คณะกรรมการ
จัดทามาตรฐานเพื่อประเมิน
และติดตามผล
จัดทา
Big Cleaning Day
สรุปผลการตรวจพืน้ ที่
ประชาสัมพันธ์ผลการตรวจพืน้ ทีแ่ ละ
ผลการดาเนินงาน
ปรับปรุงแก้ไข (PDCA)
ดังนัน้ หลัก การหรือ องค์ป ระกอบของกิจกรรม 5ส. จาเป็ นต้อ งอธิบายลัก ษณะของ
องค์ประกอบของแต่ละ ส. ว่าประกอบด้วยลักษณะ วิธกี าร การปฏิบตั ิ และประโยชน์ของการทา
กิจกรรม 5ส.มีผลต่อการปฏิบตั งิ านเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อด้านการผลิต หรือสานักงาน และ
ช่วยให้ลดอุบตั เิ หตุในการทางาน โดยลักษณะดังนี้
1. ส. ตัวที่ 1 สะสาง (SEIRI : เซริ )
หลักการของสะสาง
เป็ นการแยกของที่ไม่ต้องการออกจากของที่ต้องการ เพราะถ้าเรามีของมากเกินความ
จาเป็ นแล้วจะทาให้เกิดปั ญหาเกี่ยวพืน้ ทีค่ บั แคบ ไม่มพี น้ื ทีใ่ นการวางสิง่ ของหรือใช้สอย จึงต้อง
มีการสารวจแยกแยะให้ชดั เจนว่าจุดใด บริเวณพืน้ ทีท่ ท่ี างาน อุปกรณ์ ลิน้ ชักโต๊ะทางานของแต่
ละคน ตูเ้ ก็บเอกสาร / ตูเ้ ก็บของ / ชัน้ วางของ บริเวณรอบโต๊ะทางาน เป็ นต้น อย่างไรก็ตามการ
สะสาง ไม่ได้มคี วามหมายว่าทิง้ ของ แต่มคี วามหมายว่าแยกแยะของมีค่า และไม่มคี ่า ส่วนของมี
ค่าก็ขาย และบริจาค ขัน้ ตอนของการสะสาง จะต้องทาการสารวจสิง่ ของในพื้ นทีป่ ฏิบตั งิ านโดย
แบ่งสิง่ สารวจ 3 ประเภท
1.1 สิง่ ของทีจ่ าเป็ นในการปฏิบตั งิ าน ได้แก่ เอกสาร อุปกรณ์ เครือ่ งมือ ทีใ่ ช้ทางานเป็ น
556
สิ่ งของ
จัดสะดวก
ใช้ได้ ใช้ไม่ได้
สิ่ งที่ควรหลีกเลี่ยงในการสะสาง
1. ให้รบี ลงมือสะสาง “ไม่ผดั วันประกันพรุง่ ”
2. ไม่เกีย่ งงาน หรือขอร้องให้ช่วยสะสางแทน โดยอ้าง “ไม่มเี วลา” เพราะผูท้ ส่ี ะสางแทน
จะไม่กล้าตัดสินใจในการเก็บหรือทาลาย และนี่คอื จุดอ่อนของการสะสาง ที่จะนาไปสู่การไม่
บรรลุวตั ถุประสงค์ของกิจกรรม 5 ส
3. ไม่เป็ นนักสะสมของเก่า เพราะส่วนใหญ่ชอบเก็บของเก่า เช่น นามบัต ร ไว้ใต้กระจก
หรือถ่ายเอกสารต่าง ๆ ไว้เตือนความจา ควรตรวจสอบดูถ้าเอกสารเลยกาหนดเวลาควรกาจัด
ออกไป
ประโยชน์ที่ได้รบั จากการสะสาง
1. ขจัดความสิ้นเปลือ งของการใช้พ้นื ที่ก ล่ าวคือ มีพ้นื ที่ว่ างจากการขจัดสิ่งของที่ไ ม่
จาเป็ นหรือวางเกะกะออกไป
2. ขจัดความสิ้นเปลือ งทรัพยากร วัส ดุ ต่ าง ๆ ที่ใ ช้ใ นการผลิต รวมทัง้ ลดการชารุด
เสียหายของเครือ่ งมือเครือ่ งใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ
3. ลดปริมาณการเก็บ / สารองวัสดุสงิ่ ของ ขจัดสิง่ ทีไ่ ม่จาเป็ นออกประหยัดพืน้ ทีใ่ นการ
เก็บสิง่ ของ
4. ลดการเก็บเอกสารซ้าซ้อน สามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วเมื่อเวลาค้นหาต้องการใช้
เอกสาร หรือลดเวลาในการค้นหาเอกสาร
5. เหลือเนื้อทีข่ องห้องทางาน ตู้ หรือ ชัน้ เก็บเอกสารไว้ใช้ประโยชน์มากขึน้
6. สถานทีท่ างานดูกว้างขวาง โปร่ง / สะอาดตา น่าทางานยิง่ ขึน้
7. ลดข้อผิดพลาดหรือขจัดความผิดพลาดจากการทางาน
12. แบบฟอร์มต่าง ๆ เก็บไว้ในลิน้ ชักตู้ เช่น ตู้ ลิน้ ชัก เพื่อสะดวก ต้องการนามาใช้หรือ
การทางานแทนกัน โดยมีช่อื แบบฟอร์มติดไว้ทล่ี น้ิ ชัก
13. กุญแจ หรือวัสดุต่าง ๆ ควรมีเลขแสดงลาดับ หรือเลขรหัส และจัดวางในพื้นที่
เหมาะสม
14. ป้ ายประกาศ ควรมีจานวนทีเ่ หมาะสมกับความจาเป็ นในการใช้งาน และควรมีป้าย
ของแต่ละกลุ่มที่แสดงถึงความก้าวหน้ากิจกรรม 5ส และควรมีการสะสาง ประกาศทีห่ มดความ
จาเป็ นในการใช้งาน
เนื่อ งจากสานัก งานทัวไป ่ มีจานวนเอกสารค่ อ นข้างมาก ปั ญ หาส่ ว นใหญ่ อ ยู่ท่กี าร
จัดเก็บเอกสารทีถ่ ูกต้อง ผูป้ ฏิบตั งิ านจึงต้องมีความรูค้ วามเข้าใจในระบบของการจัดเก็บเอกสาร
ด้วย เพื่อให้ ส. สะดวก
ประโยชน์ ที่ได้รบั จากการเก็บสิ่ งของที่ตาแหน่ งความสะดวก
1. ลดเวลาการหยิบสิง่ ของมาใช้งาน
2. ลดอุบตั เิ หตุในการทางาน
3. ตรวจสอบสิง่ ของต่าง ๆ ได้ง่ายขึน้ หายก็ทราบ ดูก็มคี วามเป็ นระเบียบเรียบร้อย
สบายตา ทาให้เกิดบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการทางานทีด่ ี
4. เพิม่ ประสิทธิภาพการทางานหรือเพิม่ ผลิต ทาให้สร้างกาไรให้องค์การ
และให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในการทากิจกรรมดังกล่าวนี้ให้ประสบความสาเร็จ ซึ่งจะต้องมี
หลักการสาคัญ ๆ ดังนี้
1. กาหนดหัวข้อสาคัญทีจ่ ะดาเนินการในแต่ละเดือนไว้ให้ชดั เจนและแบ่งช่วงระยะเวลา
และผูร้ บั ผิดชอบในการปฏิบตั ิ เช่น การขจัดของทีไ่ ม่ต้องการ การเช็ดถูทาความสะอาด การเก็บ
กวาดทีท่ างานทุกวัน การตรวจตราสิง่ ของทีม่ กี ารชารุดเสียหาย เป็ นต้น
2. การดาเนินงานให้ดาเนินการโดยบุคคลทีม่ คี วามรับผิดชอบในงานตนเองทีอ่ ยู่ในกลุ่ม
ทีจ่ ดั ไว้ ซึง่ เป็ นการทางานแบบร่วมมือกันทางานให้บรรลุเป้ าหมาย
3. หัวหน้างานมีความตัง้ ใจจริงและมีความกระตือรือร้น โดยหัวหน้างานเป็ นผู้นา และ
ปฏิบตั ใิ ห้เป็ นตัวย่างแก่ผใู้ ต้บงั คับบัญชา
4. การตรวจให้ค ะแนน โดยคณะกรรมการตรวจให้ค ะแนน ต้อ งมีการประกาศหรือ
ประชาสัมพันธ์คะแนนของแต่ละกลุ่มรวมทัง้ นาจุดเด่นมาสนับสนุ นและให้กาลังใจ ส่วนหากพบ
จุดบกพร่องต่าง ๆ ให้ดาเนินการปรับปรุงหาแนวทางแก้ไขให้ดขี น้ึ อย่างต่อเนื่อง
5. การกาหนดเป็ นมาตรฐานที่เป็ นแนวปฏิบตั ิ ทาการรวบรวมหลักเกณฑ์แล้วนามา
กาหนดเป็ นมาตรฐานในการปฏิบตั งิ าน และปรับปรุงไปสู่การตรวจเช็คภายในโรงงาน และให้
สอดคล้องกับมาตรฐานทีก่ าหนดไว้
6. สนับ สนุ นให้ด าเนิน การปรับปรุง โดยมุ่งหวัง ว่า งานปรับ ปรุงที่ส ามารถทาได้เ อง
จะต้องให้พนักงานในกลุ่มเป็ นผูด้ าเนินการเอง
7. แจ้งข้อคิดเห็นให้ทราบโดยทัว่ ๆ กัน พร้อมทัง้ แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นซึ่งกันและกัน
จัดให้มกี ารประชุมคณะกรรมการดาเนินงานของแต่ละกลุ่ม ภายในบริเวณกลุ่มของตนเอง และ
ควรติดป้ ายแสดงให้ทราบว่ากลุ่มเป็ นใครบ้าง โดยติดป้ ายเป็ นชื่อต่าง ๆ ตามทีก่ าหนด
การตรวจติดตามและประเมินผลกิจกรรม 5ส. เป็ นงานที่สาคัญเมื่อมีการจัดกิจกรรมการ
ทา 5ส.ขึน้ ในสานักงานหรือสถานประกอบการ คณะกรรมการจึงจาเป็ นต้องมีการตรวจติดตาม
ประเมินผลโดยมีคณะกรรมการเป็ นผูแ้ บ่งงานกันทาและมอบหมายให้แต่ละทีมทาหน้าที่ ในการ
ตรวจติดตามทุก ๆ เดือน ดังมีการออกแบบการประเมินดังนี้
565
ลงชื่อกรรมการตรวจให้คะแนน/กลุ่มกรรมการผูต้ รวจ
1)....................................................................... 2)....................................................................
3) ..................................................................... 4) ....................................................................
หมายเหตุ : 1) ค่าระดับคะแนนทีป่ ระเมิน ดังนี้
571
ดีมาก เท่ากับ 4,ดี เท่ากับ 3, พอใช้ เท่ากับ 2, และ ต้อ งปรับปรุง เท่ากับ 1
2) การประเมินคะแนนรวมทีไ่ ด้
น้อยกว่า 50 = ต้องปรับปรุง
60 – 69 = ดี
80 - 89 = ดีมาก และ
90 -100 = ยอดเยีย่ ม
การกาหนดมาตรฐานในการดาเนิ นการ 5ส.ตามข้อตกลงร่วมกันสาหรับสานักงาน
สานักงาน หรือ หน่ วยงานที่ไม่ใ ช่โรงงานอุต สาหกรรม ส่ว นใหญ่ คณะกรรมการในการ
ตรวจสอบประเมินผลการดาเนิน งานกิจกรรม 5ส. เมื่อ มีก ารตรวจสอบ ประเมิน ผลการ
ดาเนินงานทุกครัง้ จะต้องมีการประชุม หารือ ในการตรวจสอบ ให้มกี ารปรับปรุงอย่างต่อเนื่องใน
ความจาเป็ นคานึงถึง อุปกรณ์ท่ใี ช้ในการทางาน เพื่อให้เกิดคุณภาพในการทางาน และช่วยลด
อุบตั ิเหตุ ลดขัน้ ตอนในการทางาน ประหยัดค่าใช้จ่าย และเกิดความรวดเร็วในการให้บริการ
ต้องประกอบด้วยสิง่ ต่าง ๆ ดังนี้
โต๊ะทางาน ต้องมีการจัดโต๊ะทางานให้เหมาะสม ดังนี้
1. ไม่วางสิง่ ของทีไ่ ม่จาเป็ นไว้บนโต๊ะ
2. กาจัดสิง่ ต่าง ๆ ทีไ่ ม่จาเป็ นในลิน้ ชักออกให้หมดเพื่อให้งา่ ยต่อการหยิบสิง่ ของใช้งาน
3. จัดสิง่ ของในลิน้ ชักโต๊ะทางานให้เป็ นระเบียบ เพื่อง่ายต่อการหยิบใช้สงิ่ ของ
4. จัดเก็บเอกสารบนโต๊ะให้เป็ นระเบียบ
5. เมือ่ เลิกงานไม่ควรวางเอกสารทีไ่ ม่จาเป็ นไว้บนโต๊ะทางาน
6. ทาความสะอาดให้มคี วามสะอาดเรียบร้อยเสมอ
เก้าอี้ในสานักงาน เพื่อให้การปฏิบตั งิ านมีความเรียบร้อยดูแล้วงามตา และส่งผลต่อ
ความปลอดภัยในการทางาน ต้องปฏิบตั ดิ งั นี้
1. เมือ่ ลุกออกจากทีท่ างานทุกครัง้ จะต้องเลื่อนเก้าอีเ้ ข้าไว้ใต้โต๊ะ
2. ไม่พาดเสือ้ หรือผ้าใด ๆ บนพนักเก้าอี้
3. ต้องทาความสะอาดอยูป่ ระจาสม่าเสมอเพื่อให้ดสู ะอาด และมีสุขลักษณะทีด่ ี
อุปกรณ์ สานักงาน สานักงานมีอุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการปฏิบตั งิ านหลายชนิดซึง่ แต่ละชนิด
มีการใช้งานทีแ่ ตกต่างกันเพื่อให้มกี ารยืดอายุงานจะต้องมีการปฏิบตั ิ ดังนี้
1. ทาความสะอาดเครื่องพิมพ์ดดี คอมพิว เตอร์ เครื่อ งถ่ายเอกสาร เครื่องแฟกซ์
เครือ่ งพิมพ์ เป็ นต้น ทีแ่ ต่ละแผนกรับผิดชอบ
2. เก็บเอกสารไวไฟให้เรียบร้อย เพื่อความเป็ นระเบียบเรีย บร้อยและความปลอดภัย
3. เตรียมอุปกรณ์สานักงานให้พร้อมใช้งานตอลดเวลา
572
ความมุ่งมันของผู
่ บ้ ริหาร
๏ การกาหนดนโยบาย 5ส
๏ บทบาทการสนับสนุนงาน
ในด้านต่าง ๆ
การปรับปรุงอย่างต่อเนื่ อง โครงสร้างคณะกรรมการ
๏ กลไกลการปรับปรุง ๏ คณะกรรมการบริหารงาน
๏ การนางานอื่นมาร่วมกับงาน 5ส ๏ คณะทางาน 5ส
- Visual control ๏ กลุ่มพืน้ ที่ 5ส
- Suggestion scheme
- Internal communication
ขัน้ การปรับปรุงและสร้างมาตรฐาน
การนาผลการตรวจติดตามความคืบหน้าปรับปรุงให้ดยี งิ่ ขึน้ ถือว่าเป็ นขัน้ ตอนของการ
ปรับปรุง ซึ่งเป็ นไปตามหลักการของ PDCA คือ เมื่อได้วางแผนไว้ (Plan) แล้วลงมือปฏิบตั ิ
(Do) พร้อมกับต้องมีการตรวจสอบ (Check) เพื่อหาข้อควรปรับปรุงแล้วจึงนามาดาเนินการ
แก้ไข (Act) ซึง่ จะส่งผลให้มกี ารปรับปรุง 5ส ในแต่ละพืน้ ทีใ่ ห้ดยี งิ่ ขึน้ อันนามาซึง่ ประสิทธิภาพ
คุณภาพ และการเพิม่ ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง สามารถอธิบายได้ ดังนี้
1. ขัน้ วางแผน (Plan) หมายถึง เมื่อได้มกี ารประกาศนโยบายทัวทั ่ ง้ องค์การ ทุกคน
รับทราบ ผู้บริหารแต่ละฝ่ ายจะต้อ งมีการประชุมวางแผนการดาเนินงานในแต่ละขัน้ ตอน ให้
พนักงานทุกฝ่ าย ทุกระดับ มีส่วนร่วมในกิจกรรมการดาเนินงาน กิจกรรม 5ส. โดยทุกอย่างต้อง
จัดทาเป็ นเอกสารลายลักษณ์อกั ษร
2. ขัน้ การลงมือปฏิ บตั ิ (Do) หมายถึง การมอบหมายหน้าที่ ความรับผิดชอบให้ทุก
นาไปกระทากิจกรรมตามที่ได้รบั มอบหมาย และมีการร่วมมือ ร่ว มแรงร่วมใจในการดาเนิน
กิจกรรม 5ส. ที่ได้มกี ารวางแผนไว้ทุกขัน้ ตอนอย่างละเอียด รวมทัง้ การเตรียมพร้อมในการให้
ตรวจสอบการดาเนินงาน
3. ขัน้ การตรวจสอบ (Check) หมายถึง แต่งตัง้ กรรมการในการตรวจสอบ ติดตาม
และประเมิน ผลการด าเนิ นงานกิจ กรรม 5ส. โดยแต่ ล ะฝ่ าย แต่ ล ะระดับเป็ น กรรมการร่ว ม
รับผิดชอบในการตรวจสอบ ติดตามและประเมินผลร่วมกัน เพื่อนาไปสู่การปรับปรุง แก้ไขและ
พัฒนา
4. ขัน้ การปรับปรุง แก้ ไข (Act) หมายถึง การยอมรับในการดาเนินงานที่ผ่ านมา
หลังจากได้รบั การตรวจสอบ พบว่ามีข้อบกพร่อง มีปัญ หา ต้องให้มกี ารดาเนินการปรับปรุง
แก้ไขภายในระยะเวลาทีก่ าหนด เพื่อให้การดาเนินกิจกรรม 5ส.ได้ผลสาเร็จตามเป้ าหมายทีไ่ ด้
ตัง้ ไว้
577
(ตัวอย่าง)
นโยบาย วัตถุประสงค์ และเป้ าหมายกิ จกรรม 5ส.
นโยบาย 5 ส.
เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทางานให้มคี วามเป็ นระเบียบเรียบร้อย ปลอดภัย ถูก
สุขลักษณะ เสริมสร้างบรรยากาศทีด่ ใี นการปฏิบตั งิ าน
วัตถุประสงค์
1. เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในการทางานให้เป็ นระเบียบเรียบร้อย สะดวกสะอาด ถูก
สุขลักษณะ และเสริมสร้างนิสยั ให้รกั ความมีระเบียบวินัย
2. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรมีความเข้าใจในการปรับปรุงพัฒนางานโดยเห็น
ความสาคัญของกิจกรรม 5 ส และปฏิบตั อิ ย่างต่อเนื่อง
3. เพื่อ พัฒ นาบุค ลากรให้ม ีส่ ว นร่ว มในการด าเนิ น งานในการทางานเป็ น ทีม ที่ม ี
ประสิทธิภาพ มีระเบียบ รักความสะอาด และสร้างความสามัคคีในหน่วยงาน
4. เพื่อเป็ นส่วนหนึ่งของการดาเนินการประกันคุณภาพของกองการเจ้าหน้าที่
5. เพื่อ น ากิจ กรรม 5 ส. มาเป็ นแนวทางในการบริห ารจัด การทรัพ ยากรอย่ า งมี
ประสิทธิภาพ
เป้ าหมาย 5 ส.
1. สถานทีท่ างานของหน่วยงาน สะอาด มีความเป็ นระเบียบ และมีสภาพแวดล้อมดีขน้ึ
2. บุค ลากรมีส่ ว นร่ว มมีค วามภาคภูมใิ จในความสะอาดความเป็ นระเบียบเรียบร้อ ย
สามารถปฏิบตั งิ านได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึน้
3. สามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึน้
4. ระดับ ความสาเร็จ ของการด าเนิ น กิจ กรรม 5 ส. เพื่อ รองรับ ความมันใจให้
่ ใ ห้กับ
พนักงาน ผูถ้ อื หุน้ และลูกค้าผูม้ ารับบริการ
(นายขยัน หมันดี ่ )
กรรมการผูจ้ ดั การ
บริษทั สหสยามอิเล็คทรอนิคส์ (ประเทศไทย)จากัด
578
สรุป
กิจกรรม 5ส.เป็ นกระบวนการในการจัดสถานที่ทางานให้เ กิด ความเป็ นระเบีย บ
เรีย บร้อ ย สะดวก สะอาด ถู ก สุ ข ลัก ษณะ และสร้า งนิ ส ัย ให้พ นัก งานปฏิบ ัติง านด้ว ยความ
รับผิด ชอบต่ อ การทางาน วัต ถุ ประสงค์ข องการทากิจกรรม 5ส. เพื่อ เป็ นพื้นฐานของระบบ
คุ ณ ภาพด้า นการผลิต สิน ค้า และการบริห ารงาน เพื่อ ให้ เ กิด ความปลอดภัย และมีสุ ข ภาพ
ช่วยสร้างประสิทธิภาพในการทางาน สร้างสานึกและปลูกจิตสานึกให้พนักงาน เพื่อสร้างระบบ
ระเบียบ และการจัดเก็บความเป็ นระเบียบแก่องค์การ และเพื่อสร้างประสิทธิภาพการทางานและ
ปรับปรุงงานให้ดขี น้ึ และเพื่อทาให้บุคลากรทุกคนมีส่วนร่วมในการทางานและการทางานเป็ น
ทีม รวมทัง้ ให้พนักงานเกิดความภาคภูมใิ จในความสาเร็จของกิจกรรม 5ส. ในการดาเนินงาน
กิจกรรม 5ส.ต้องมีเป้ าหมายองค์การในการจัดดาเนินงานกิจกรรม 5ส. จะต้องมีการกาหนด
ความชัดเจนของสถานที่ใ นการจัดท ากิจกรรม โดยจัดท าแผนผัง และแบ่ งพื้นที่รบั ผิด ชอบ
เปิ ดโอกาสให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการดาเนินงาน ต้องจัดการบริหารทรัพยากรองค์การให้
เกิด ประสิท ธิภ าพ และต้ อ งการบริห ารคุ ณ ภาพโดยรวมให้เ กิด ความส าเร็จ ตามเป้ า หมาย
กิจกรรม 5ส.จึงมีความสาคัญที่จะเป็ นหลักพื้นฐานในการปฏิบตั งิ าน ทาให้เกิดความปลอดภัย
และมีสุ ขภาพอนามัยที่ดี ทาให้การผลิต สินค้าและบริการ ทาให้เ กิดการประหยัดทรัพยากร
องค์ก าร และทาให้ส ร้างความไว้ว างให้ก ับลูกค้า ทาให้เ กิดประโยชน์ ต่ อ องค์การ พนักงาน
และลูกค้า และปั จจัยสาคัญทีม่ ผี ลต่อความสาเร็จในการทากิจกรรม 5ส. ได้แก่ ปั จจัยด้านบุคคล
ปั จจัยด้านการดาเนินงาน
กิจกรรม 5ส. จะเกิดความสาเร็จได้นนั ้ จะต้องดาเนินการตามขัน้ ตอนดังนี้ ผูบ้ ริหารต้อง
กาหนดนโยบายและประกาศทัวทั ่ ง้ องค์การ จัดตัง้ กรรมการหรือคณะทางาน จัดให้มกี ารอบรม
ฝึ กอบรมและให้ความรูเ้ กี่ยวกับกิจกรรม 5ส. จัดให้มกี ารทา 5ส. ทัวทั ่ ง้ องค์การ ทุกหน่ วยงาน
หรือทุกฝ่ ายในสถานประกอบการ องค์การต้องจัดทากิจกรรม 5ส.ทัวทั ่ ง้ องค์การ สรุปผลการ
ตรวจพืน้ ที่ สื่อสารผลการตรวจ และปรับปรุงแก้ไข องค์ประกอบของกิจกรรม 5ส. ประกอบด้วย
สะสาง สะดวก สะอาด สุ ข ลัก ษณะ และสร้า งนิ ส ัย ในการด าเนิ น กิจ กรรม 5ส.ใ ห้ป ระสบ
ความสาเร็จจะต้องกระทา ดังนี้ ผูบ้ ริหารต้องมีความมุ่งมัน่ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรม 5ส.
จัดโครงสร้างคณะกรรมการ มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง และประเมินผลงานเป็ นประจา ทัง้ นี้
ต้องจัดให้มกี ารประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
579
แบบฝึ กหัด
ให้ตอบคาถามให้ถกู ต้องและสมบูรณ์ที่สดุ
1. ให้อธิบายความหมาย และวัตถุประสงค์ของกิจกรรม 5ส. ให้เข้าใจ
2. ให้บอกถึงความสาคัญของกิจกรรม 5ส. ว่ามีความสาคัญอย่างต่อหน่ วยงานบ้าง
3. ประโยชน์ของการดาเนินงานกิจกรรม 5ส. มีอย่างไรบ้าง
4. กิจกรรม 5ส. มีองค์ประกอบอะไรบ้างอธิบาย แต่ละองค์ประกอบมีหลักการ และประประโยชน์
อย่างไรต่อองค์การนัน้ ๆ (อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ)
5. ให้ยกตัวอย่างถึงการดาเนินงานกิจกรรม 5ส. เพื่อความปลอดภัยในการทางาน ทีส่ ามารถทา
ให้ลดอุบตั เิ หตุในการทางานได้ มา 1 ตัวอย่าง
6. การจัดทากิจกรรม 5ส. ให้ประสบความสาเร็จต้องทาอย่างไรบ้าง
7. ให้นกั ศึกษาแบบฟอร์มในการตรวจสอบติดตามและประเมินผลดาเนินงานกิจกรรม 5ส.
8. ให้นกั ศึกษาออกแบบตัวอย่างแบบตรวจการให้คะแนนการทากิจกรรม 5ส.ในส่วนโรงงาน
อุตสาหกรรมมา 1 ตัวอย่าง
9. ให้นักศึกษาออกแบบตัวอย่างแบบตรวจการให้คะแนนการทากิจกรรม 5ส.ในส่วนสานักงาน
มา 1 ตัวอย่าง
580
เอกสารอ้างอิ ง
กิจกรรม 5 ส พร้อมกับการทางาน.(2560).,(ม.ป.น.).สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญีป่ ่ นุ ).,
ค้นเมือ่ 26 มกราคม 2560, จากhttp://www.tpif.or.th/2012/shindan
กฤษฎ์ อุทยั รัตน์.(2556). ถกคุณภาพ ภาค 2 Quality Story.(พิมพ์ครัง้ ที่ 4). กรุงเทพฯ: บริษทั
ส.เอเชียเพรส จากัด.
สานักความปลอดภัยแรงงาน. (2554). 5ส.เพื่อความปลอดภัย. กรมสวัสดิการและคุม้ ครอง
แรงงาน,กระทรวงแรงงาน., ค้นเมือ่ 12 เมษายน 2560, จาก www.oshthai.org.
สุดใจ ธนไพศาล.(2550). การพัฒนาห้องสมุดให้ก้าวหน้า ด้วยกิจกรรม ๕ส. (พิมพ์ครัง้ ที่ 2).
ขอนแก่น:โรงพิมพ์ศริ ภิ ณ
ั ฑ์ ออฟเซ็ท.
สวินทร์ พงษ์เ ก่า.(2560). 5ส.เพื่อคุณภาพความปลอดภัยอย่างยังยื ่ น.สมาคมส่งเสริมความ
ปลอดภัยและอนามัยในการทางาน (ประเทศไทย). ค้นเมื่อ 30 สิงหาคม 2560, จาก
www.shawpat.or.th.
องค์การคลังสิ นค้า,กระทรวงพาณิ ชย์. (2559). คู่มอื 5ส. ค้นเมือ่ 25 สิงหาคม 2560, จาก
www.pwo.co.th/ewt_dl_link.php.
581
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 10
องค์กรด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
หัวข้อเนื้ อหา
1. หน่วยงานทีม่ หี น้าทีแ่ ละรับผิดชอบเกีย่ วกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
2. บทบาทของผูท้ เ่ี กีย่ วข้องในงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
3. หน้าทีข่ องผูท้ เ่ี กีย่ วข้องในงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
4. การจัดองค์กรความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
5. รูปแบบการจัดตัง้ องค์กรความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
6. คณะกรรมการความปลอดภัยในการทางาน
7. การสื่อสารเพื่อความปลอดภัย
8. สรุป
9. แบบฝึกหัด
10. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
582
สื่อการเรียนการสอน
1.เอกสารคาสอนรายวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดที ศั น์
6. สื่อออนไลน์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
583
บทที่ 10
องค์กรความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
งานด้านความปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้อ มในการท างานในโรงงาน
อุตสาหกรรมเป็ นงานที่ต้องอาศัยองค์ก รหรือ หน่ วยงานที่มหี น้ าที่และบทบาทที่สาคัญในการ
บริหารจัดการให้เกิดความปลอดภัยในการทางาน ซึ่งที่ทาหน้ าที่และเกี่ยวข้องโดยตรง ได้แก่
ผูบ้ ริหาร หัวหน้างาน นักอาชีวอนามัยและความปลอดภัย และผูป้ ฏิบตั งิ าน ผูเ้ กี่ยวข้องเหล่านี้ก็
ย่อมมีบทบาทหน้าทีท่ ่ี แตกต่างกันออกไป แต่มคี วามสัมพันธ์เสริมกันในด้านการทางานทีต่ ้อง
อาศัย ความร่ ว มมือ ในการท าให้เ กิด ความปลอดภัย ของผู้ป ฏิบ ัติง าน ผู้ท่ีท าหน้ า ที่ใ นการ
ปฏิบตั งิ านในแต่ละหน้าทีจ่ าเป็ นต้องรับผิด ชอบตามบทบาทหน้าทีท่ ่ไี ด้รบั มอบหมายและปฏิบตั ิ
หน้าที่ให้เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่เหล่านัน้ บุคลากรในโรงงานเป็ นบุคคลที่ผลักดันเพื่อให้ม ี
การดาเนินการให้เกิดความปลอดภัยในการทางาน
หน่ ว ยงานที่ม ีห น้ า ที่ใ นการท าให้เ กิด ความปลอดภัย และอาชีว อนามัย คือ การจัด
หน่ วยงานให้เป็ นระบบ โดยการจัดทาโครงสร้างองค์การอย่างชัดเจนซึ่งในองค์การส่วนใหญ่มกั
นิยมจัดรูปแบบโครงสร้างองค์ก าร 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ รูปแบบโครงสร้างองค์การตาม
แนวดิง่ รูปแบบโครงสร้างองค์การตามแนวนอน และรูปแบบโครงสร้างองค์การแบบเมตริกส์ ซึง่
หน่วยงานในการจัดโครงสร้างองค์การจะทาให้มกี ารแบ่งหน้าทีค่ วามรับผิดชอบการทางานอย่าง
ชัดเจน โดยมีผรู้ บั ผิดชอบได้แก่ ผูบ้ ริหาร หัวหน้างาน เจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัย (จป.) ทุกระดับ
และผูป้ ฏิบตั งิ านทุกคนมีหน้าทีใ่ นการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมใน
การทางาน รวมทัง้ องค์กรภายนอกที่มหี น้าที่ และบทบาทในการจัดการให้เกิดความปลอดภัย
ด้วยการสนับสนุ น กากับ ดูแล ควบคุมให้เป็ นไปตามกฎหมายที่กาหนดและให้เกิดมาตรฐาน
ด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย ซึ่งได้แก่ กระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย สานักความ
ปลอดภัยแรงงาน สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน เป็ นต้น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสมาคมทีม่ บี ทบาทด้านอาชีวอ
นามัยและความปลอดภัย
584
บทบาทของผูท้ ี่เกี่ยวข้องงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
บทบาทผูบ้ ริ หารกับงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ผูบ้ ริหารองค์การเป็ นบุคคลทีม่ คี วามสาคัญต่อองค์การ ต่อพนักงาน และความคาดหวัง
ของผู้ถือ หุ้น เนื่อ งจากผู้บริห ารต้อ งเป็ นผู้นาพาองค์การไปสู่เ ป้ าหมายที่ว างไว้ ซึ่งผู้บริห าร
จะต้อ งเป็ นผู้ท่มี คี วามคิดรวบยอด คิดสิง่ ใหม่ ๆ ตามสถานการณ์ ท่เี ปลี่ยนแปลง โดยนาการ
เปลีย่ นแปลงด้านต่าง ๆ มาสู่การเปลีย่ นแปลงวิธกี ารทางานให้สามารถแข่งขันกับองค์การอื่นได้
โดยเฉพาะอย่างยิง่ งานด้านความปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้ อมในการทางาน
องค์การต้องมองถึงระบบการจัดการมาตรฐานด้วยระบบการจัดการที่เป็ นที่ยอมรับของคนทัว่
โลก ไม่ว่าจะเป็ นมาตรฐาน ISO 9000 , ISO 14000 , หรือ มอก./OHSAS 18000 ก็เป็ นเรื่อง
ของการกาหนดให้เป็ นไปตามมาตรฐานทีก่ าหนดไว้ตามกฎหมาย และสากลยอมรับ ผูบ้ ริหารใน
589
ความปลอดภัย เพื่อ จะท าให้ ก ารจัด การอาชีว อนามัย และความปลอดภัย เป็ นไปอย่ า งมี
ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ถึง แม้จ ะเป็ น ผู้บ ริห ารด้ า นอาชีว อนามัย และความปลอดภัย ก็ต าม บทบาทที่ต้ อ ง
แสดงออกเพื่อทาให้สามารถทาหน้าทีข่ องความเป็ นผู้ บริหารได้กไ็ ม่ได้แตกต่างไปจากผูบ้ ริหาร
ด้านการผลิต การบริหารทรัพยากรมนุ ษย์ การวางแผนวัตถุดบิ การตลาด การเงิน บัญชี หรือ
แม้ก ระทังการตลาด
่ และด้านอื่น ๆ ที่เ กี่ยวข้อ งกับการดาเนินงานขององค์การเนื่อ งจากว่ า
ผู้ บ ริ ห ารงานด้ า นความปลอดภัย อาชี ว อนามัย จะต้ อ งท าหน้ า ที่ ให้ ผู้ ป ฏิ บ ั ติ ง านหรื อ
ผูใ้ ต้บงั คับบัญชาในหน่ วยงานของตนเองทีท่ าหน้าทีใ่ นฐานะเป็ นผูท้ าหน้าทีใ่ นบริหารหน่ วยงาน
นัน้ ๆ ให้เกิดความปลอดภัย และให้ผู้ปฏิบตั ิงานความปลอดภัยปราศจากอันตราย บาดเจ็บ
เจ็บป่ วยอันเนื่องจากการทางาน เป็ นการสร้างขวัญกาลังใจในการปฏิบตั ขิ องผูป้ ฏิบตั งิ านรวมทัง้
ให้ลดค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการรักษาพยาบาล การหยุดงาน และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผูบ้ ริหารจึง
ต้องทาหน้าที่เป็ นตัวแทนหน่ วยงานเพื่อนาเสนอต่อผู้บริหารสูงสุดเกี่ยวกับปั ญหาต่าง ๆ ที่จะ
เกิดความไม่ปลอดภัยในสถานที่ทางาน ทาหน้าที่ในการประสานงานเชื่อมโยงกับ หน่ วยงานที่
ดูแ ลรับผิดชอบในด้านการจัดการความปลอดภัยให้มปี ระสิทธิภาพในการทางานด้านความ
ปลอดภัยต่อผู้ปฏิบตั ิงาน ทาหน้าที่ในการอานวยการให้พนักงานสามารถปฏิบตั ิงานได้อย่าง
ปลอดภัย
Henry Mintzberg ศาสตราจารย์ดา้ นการจัดการได้ตดิ ตามการทางานของผูบ้ ริหารอย่าง
ใกล้ชดิ และในทีส่ ุดได้เสนอว่าโดยพืน้ ฐานแล้วผูบ้ ริหารมีบทบาทสาคัญ 10 บทบาท ซึง่ สามารถ
จัดกลุ่ มได้เ ป็ นกลุ่ ม 3 ด้าน คือ ด้านบุคคล (Interpersonal) ด้านข้อมูลข่าวสาร (Information)
และด้านการตัดสินใจ (Decisional) ได้ประยุกต์ ตัวอย่างกิจกรรมทางด้านอาชีวอนามัยและความ
ปลอดภัย ซึง่ สามารถเปรียบเทียบได้ดงั ตารางที่ 10.1
4. บทบาทของหัวหน้ างาน
หัวหน้างานเป็ นผูท้ ่มี บี ทบาทสาคัญ และใกล้ชดิ กับผู้ปฏิบตั งิ านในสถานประกอบการ
หัว หน้ า งานจะเป็ น ผู้ท่ีค อยช่ ว ยเหลื อ แนะน าการปฏิบ ัติง านให้เ ป็ น ไปอย่า งถู ก ต้อ งและให้
ผู้ปฏิบตั ิงานเกิดความปลอดภัย ในการทางาน รวมทัง้ ควบคุมป้ องกันไม่ให้มอี ุบตั ิเหตุเกิดขึ้น
ในขณะปฏิบตั งิ าน รวมทัง้ ด้านอาชีวอนามัย ซึ่งถ้าหัวหน้างานมีความรูค้ วามเข้าใจในหลักการ
ดาเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย ก็จะสามารถช่วยส่งเสริมให้พนักงานรวมไปถึง
องค์กรดาเนินงานด้วยความปลอดภัย และหัวหน้างานมีความสาคัญต่อการบริหารงานความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย
สถานประกอบกิจการที่มกี ารผลิตและบริการ บทบาทหัวหน้างานมีความสาคัญและ
จาเป็ นมากในการสังการ ่ กากับควบคุมดูแลการทางานอย่างใกล้ชดิ ทัง้ ในด้านกระบวนการผลิต
ในโรงงานและงานความปลอดภัย อาชีวอนามัยในการทางาน ทัง้ นี้เ พราะหัวหน้ าเป็ นผู้ท่อี ยู่
ใกล้ชดิ กับคนงานมากทีส่ ุดและอยูใ่ นสถานทีท่ างาน (หน้างานหรือจุดทีท่ างาน) ตลอดเวลาทาให้
สามารถทีจ่ ะมีบทบาทในการควบคุมดูแลการทางานของคนงานให้เป็ นไปตามกฎความปลอดภัย
ได้ทวถึั ่ ง ด้วยวิธกี ารต่าง ๆ สนับสนุ นให้ปฏิบตั ติ ามกฎระเบียบ ข้อบังคับ ทัง้ เชิงบวกและเชิงลบ
ได้ขน้ึ อยูก่ บั สถานการณ์เพื่อให้ลกู น้องได้มกี ารปฏิบตั ติ ามอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้หวั หน้ายังมี
บทบาทในการเป็ นตัวอย่างทีด่ ดี า้ นความปลอดภัยเพื่อให้คนงานยึดถือเป็ นแบบปฏิบตั ดิ ว้ ย
594
ผูร้ บั ผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
ภารกิจในการดาเนินธุรกิจ คือ การผลิตสินค้านัน้ เป็ นบทบาทและความรับผิดชอบของ
หน่ วยงานหลัก (Line Organization) ซึ่งจะมีผู้อานวยการหรือผูจ้ ดั การรับผิดชอบที่จะให้มกี าร
ดาเนินงานจนในที่สุ ดได้ส ินค้าตามต้อ งการ ภารกิจ นี้ต้อ งบริห ารทัง้ คน เวลา วัต ถุ ดิบ แล ะ
กระบวนการผลิต ท าให้ห น่ ว ยงานหลัก ไม่ ม ีเ วลาและทัก ษะเพีย งพอที่จ ะคัด เลือ กคนที่ม ี
คุ ณ สมบัติเ หมาะสมกับ งานหรือ ศึก ษาค้นคว้า ในเรื่อ งอาชีว อนามัย และความปลอดภัย และ
สิง่ แวดล้อม ภารกิจเหล่านี้จงึ มอบหมายให้ผทู้ ่เี ชีย่ วชาญเฉพาะ (Specialists) มาช่วยเสนอแนะ
และจัดทาระบบให้ ผู้เชีย่ วชาญเหล่านี้จะอยู่ในหน่ อยงานสนับสนุ น (Staff Organization) โดย
สรุป ในโรงงานจึงมีห น่ ว ยงานหลัก และหน่ ว ยงานสนับสนุ นที่จะช่ว ยกันทาให้บ รรลุ พ ันธกิจ
นโยบาย และวัตถุประสงค์ของโรงงาน
หน้ าที่ความรับผิดชอบของผูเ้ กี่ยวข้องงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
1. หน้ าที่ความรับผิดชอบของผูบ้ ริ หาร
1.1 ผู้บ ริ ห ารระดับ สู ง คือ ประธานบริษัท รองประธานบริห าร กรรมการใน
คณะกรรมการบริหาร และผูอ้ านวยการควรมีหน้าทีค่ วามรับผิดชอบดังนี้
1.1.1 กาหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคคลทีเ่ กี่ยวข้องในระบบการจัดการ
อาชีวอนามัยและความปลอดภัยไว้ให้ช ดั เจน ซึง่ รวมถึงหน้าทีค่ วามรับผิดชอบในการตอบสนอง
ต่อสภาพแวดล้อมหรือเหตุการณ์ทเ่ี ปลีย่ นแปลงหรือผิดปกติ เช่น สภาวะฉุ กเฉิน โดยอาจระบบ
ไว้ในคาบรรยายลักษณะงาน (Job Description) ผูป้ ฏิบตั งิ านทุกคนควรมีความรับผิดชอบใน
ความปลอดภัยของตัวเองและผูอ้ ่นื ด้วย
1.1.2 มอบอ านาจและทรัพยากร รวมทัง้ เวลาตามความจาเป็ นในการปฏิบตั ิ
หน้าทีใ่ ห้แก่บุคลากรทุกคนตามความรับผิดชอบ
595
หน้ าที่ความรับผิดชอบของนักอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
โดยทัวไปหน้
่ าที่ความรับผิดชอบของนักอาชีวอนามัยและความปลอดภัย จะเน้นเรื่อง
การบริหารจัดการโปรแกรมความปลอดภัยในการทางาน ซึง่ รวมถึงการวางแผน การดาเนินงาน
การประเมิน ผลและการปรับ ปรุ ง ในที่น้ี จ ะน าเสนอความรับ ผิด ชอบที่ ส มาคมวิศ วกรความ
ปลอดภัยอเมริกนั (American Society of Safety Engineers: ASSE) กาหนดไว้สาหรับ
ตาแหน่ง Safety Professional ดังนี้
1. การบ่งชี้และประเมิ น (Appraisal) ปั ญหาอุบตั เิ หตุและความสูญเสีย
ซึง่ มีรายละเอียดดังนี้
1.1 พัฒนาวิธกี ารบ่งชีแ้ ละประเมินปั ญหาอุบตั เิ หตุและความสูญเสียที่อาจเกิ ดจาก
ระบบและกระบวนการผลิตโดย
1.1.1 ศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับอันตรายทีม่ อี ยู่โครงการทีว่ างแผนทีจ่ ะทาทัง้
ในประเด็นโครงสร้างและสิง่ อานวยความสะดวก (Facilities) การปฏิบตั งิ าน (Operation) หรือ
ผลิตภัณฑ์
1.1.2 วิเคราะห์เ กี่ยวกับอันตราย (Hazard Analysis) ที่มอี ยู่ใ นโรงงานที่
เดิน เครื่อ งแล้ว ทัง้ ในประเด็น โครงสร้า งและสิ่ง อ านวยความสะดวก การปฏิบ ัติง าน หรือ
ผลิตภัณฑ์
1.2 การเตรียมและการอธิบายผลการวิเคราะห์ความสูญเสียทางเศรษฐกิจอันเป็ นผล
มาจากอุบตั เิ หตุ
1.3 ทบทวนระบบทัง้ หมดเพื่อกาหนดสิง่ ทีเ่ กิดความผิดพลอด (Mode of Failure) ซึง่
รวมถึงความผิดพลาดของมนุษย์และผลกระทบทีม่ ตี ่อความปลอดภัยของระบบ
1.3.1 ชี้บ่งความผิดพลาดที่เกิดขึน้ เช่น จากการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ การ
ตัดสินใจทีผ่ ดิ การปฏิบตั ทิ ผ่ี ดิ
1.3.2 ชีบ้ ่งจุดอ่อนทีพ่ บในนโยบาย มาตรการ วัตถุประสงค์ และการปฏิบตั งิ าน
1.4 การทบทวนรายงานการประสบอันตรายทีเ่ กิดการบาดเจ็บ เจ็บป่ วย โรคจากการ
ทางานทรัพย์สนิ เสียหาย รวมถึงเหตุทเ่ี กิดขึน้ กับสาธารณะ และการวิเคราะห์และปลงผลข้อมูล
เกีย่ วกับสาเหตุการประสบอุบตั เิ หตุ
1.5 การให้คาปรึกษาและแนะนาเกี่ยวกับการปฏิบตั ติ ามกฎหมายและมาตราต่างๆ
การศึกษาวิจยั ในปั ญหาทางเทคนิคทางด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย การพิจารณาความ
จาเป็ นทีต่ ้องอาศัยผูเ้ ชีย่ วชาญเฉพาะด้านด้านมาช่วยประเมินสถานการณ์ทอ่ี าจเป็ นอันตรายใน
การทางาน การศึกษาอย่างเป็ นระบบเพื่อมันใจว่ ่ าสิง่ แวดล้อมการทางานไม่ทาให้เกิดอันตรายทัง้
กายและใจของผูป้ ฏิบตั งิ าน
597
รูปแบบการจัดโครงสร้างองค์การ
การจัดโครงสร้างองค์การในงานด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย ทีม่ คี วามชัดเจน
มีการแบ่งหน้าทีค่ วามรับผิดชอบ และการมอบหมายงานแต่ละส่วนงาน แต่คนรับผิดชอบจะช่วย
ให้งานด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัยเกิดประสิทธิภาพมากยิง่ ขึน้ ก็ เนื่องจากว่างานด้าน
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยเป็ นงานทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลงของเทคโนโลยีและเป็ นงานที่ต้อง
อาศัยทัง้ ศาสตร์ ผู้ทางานมีความเป็ นนักวิชาการมาก การจัดองค์กรตามแนวนอนจึงมีค วาม
เหมาะสมสาหรับการจัดตัง้ หน่วยงานความปลอดภัยขึน้ ในโรงงาน
ในการจัดตัง้ องค์การของรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์การงานด้านความปลอดภัย และ
อาชีวอนามัยในสถานประกอบกิจการหรือในโรงงานทีม่ ีลกั ษณะเป็ นหน่ วยงานใดๆ ก็ตาม โดย
ส่วนใหญ่นิยมแบ่งออกตามรูปแบบโครงสร้างองค์การดังต่อไปนี้
1. การจัดองค์กรตามแนวดิ่ ง (Tall Organization) รูปแบบการจัดตัง้ องค์กรนี้ จะแบ่ง
องค์กรนัน้ ออกเป็ นหน่วยงานย่อยๆ ตามแนวดิง่ อีกหลายหน่วยงานย่อย ดังภาพที่ 10.1
602
การจัด ตัง้ องค์ก รตามแนวดิ่ง จะมีส ายการบัง คับบัญ ชาที่ยาว เมื่อ มีก ารสัง่ การจาก
ผูบ้ งั คับบัญชาก็จะส่งการเป็ นลาดับชัน้ ไป ทาให้ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าข่าวสารที่จะสื่อสาร
(สังการ)
่ จะไปถึงผูร้ บั และในทานองเดียวกัน หากผูใ้ ต้บงั คับบัญชาต้องการเสนอความคิดเห็นไป
ยังผูบ้ งั คับบัญชา ก็ต้องใช้เวลาและผ่านการพิจารณาในแต่ล่ะชัน้ อาจส่งผลต่อความพยายามที่
จะสื่อสารไปยังผู้บงั คับบัญชา นอกจากนี้ ความที่สายการบังคับบัญชายาว จึงมีผลกระทบต่อ
ความก้าวหน้าในตาแหน่ งหน้าที่การงานที่ต้องใช้เวลามาก อาจทาให้คนระดับล่างหมดความ
กระตือรือร้นในการทางาน อย่างไรก็ตาม ลักษณะการจัดองค์กร แบบนี้จะเห็นได้ว่าในแต่ล่ะสาย
บัง คับ บัญ ชา ผู้บ ัง คับ บัญ ชาในแต่ ล ะชัน้ จะสามารถตรวจสอบ ควบคุ ม ดู แ ลและสอนงาน
ผูใ้ ต้บงั คับบัญชาได้อย่างใกล้ชดิ
2. การจัดองค์กรตามแนวนอน (Flat Organization) การจัดองค์กรในรูปแบบนี้จะ
แบ่งองค์กรนัน้ เป็ นหน่ วยงานย่อยๆ ตามแนวนอน ดังภาพที่ 10.2 ซึ่งมีความแตกต่างอย่าง
ชัดเจนกับรูปแบบการจัดโครงสร้างองค์การตามแนวดิง่
603
Project Manager 1
Project Manager 2
Project Manager 3
ตัว อย่างเช่ น โรงงานสิ่งทอ หน่ ว ยงานหลัก คือ ฝ่ ายผลิต ที่ท าหน้ า ที่ผ ลิต สิ่งทอตาม
วัต ถุประสงค์ของการตัง้ โรงงาน แต่เ นื่องจากในการผลิต สิ่งทอ จาเป็ นต้อ งการรับคนเข้ามา
ทางาน ต้อ งมีก ารฝึ ก อบรมพัฒ นาคนให้มคี วามรู้ค วามสามารถ จาเป็ นต้อ งดูแ ลเรื่อ งความ
ปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม และจาเป็ นต้องมีการจัดทาบัญชีการเงินต่างๆ ฯลฯ จึงทาให้ต้องมี
หน่วยงานสนับสนุน คือ ฝ่ ายทรัพยากรมนุษย์ ฝ่ ายความปลอดภัยและสิง่ แวดล้อม และฝ่ ายบัญชี
และการเงิน ซึง่ จะมีผเู้ ชีย่ วชาญสนับสนุ น แนะนา ให้ปรึกษา ทาให้ฝ่ายผลิตสามารถทางานได้ดี
ยิง่ ขึน้
หน่ วยงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย
1. บทบาทของหน่ วยงานความปลอดภัย สืบเนื่องมาจากเหตุผลที่งานอาชีวอนามัย
และความปลอดภัยเป็ นความรับผิดชอบของทุกคน (Occupational health safety is everyone
responsibility) และโดยเฉพาะอย่า งยิง่ ถือ เป็ นความรับ ผิดชอบของหน่ ว ยงานหลักที่ต้อ ง
ดาเนินงานด้วยความปลอดภัย ทาให้บทบาทของหน่ วยงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยซึ่ง
ถือเป็ นหน่วยงานสนับสนุน คือการเป็ นทีป่ รึกษาทีจ่ ะสนับสนุ นให้หน่ วยงานสายงานหลักคือฝ่ าย
โรงงานหรือฝ่ ายโรงงานทีต่ อ้ งดูแลรับผิดชอบให้ผปู้ ฏิบตั งิ านสวมใส่ทอ่ี ุดหู/ทีค่ รอบหูตลอดเวลาที่
ทางาน ต้องการมอบหมายให้หวั หน้างานตรวจตราดูการปฏิบตั ดิ งั กล่าวผู้ปฏิบตั งิ าน ในขณะที่
หน่วยงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยจะรับผิดชอบในด้านการแนะนาทีอ่ ุดหู/ทีค่ รอบหู ยีห่ อ้
ใด รุ่นใด มีล กั ษณะเหมาะสมที่จะน ามาใช้ แนะน าหรือ สอนวิธ ีการสวมใส่ ท่ีถู ก ต้อ ง ท าการ
ประเมินการสัมผัสเสียงของผูป้ ฏิบตั งิ านเพื่อ เฝ้ าระวังทางด้านเสียง หรือกรณีทางฝ่ ายโรงงานจะ
ขยายการผลิตด้วยการเพิม่ สายการผลิตขึน้ มาอีกนัน้ ฝ่ ายโรงงานต้องรับผิดชอบที่จะซื้อเครื่อง
ปั ม๊ โลหะในแง่เสียงดังและระบบความปลอดภัยของเครื่องปั ม๊ โลหะด้วย ในขณะทีห่ น่ วยงานอาชี
วอนามัยและความปลอดภัยจะสนั บสนุ นในเรื่องข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และแนะนาว่าไม่ควรติดตัง้
สายการผลิตบริเวณนี้ เพราะจะ ทาให้จานวนผูส้ มั ผัสเสียงดังเกินมาตรฐานมีจานวนมากขึน้ โดย
ใช่เหตุ
2. ระดับสถานะและขนาดของหน่ วยงานอาชี วอนามัยและความปลอดภัย เมื่อ
พิจารณาในเรื่องระดับสถานะ(Position Status) ว่าหน่ วยงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
ควรมีส ถานะระดับใดนัน้ หากพิจารณาจากปั ญหาอุ ปสรรคของการดาเนินงานที่ผ่ านๆ มาที่
พบว่าผู้บริหารและผู้ปฏิบตั ิงานต่างไม่ให้ความสาคัญกับงานด้านนี้อย่างจริงจัง แสดงว่าควร
กาหนดให้หน่ วยงานดังกล่าวมีสถานะในระดับที่ไม่เล็กจนเกินไปจนไม่ สามารถที่จะทางานได้
US-National Safety Council สารวจเมื่อหลายสิบปี มาแล้วพบว่าหน่ วยงานดังกล่าวในโรงงาน
ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ร้อยละ 44.8 จะรายงานขึน้ ตรงกับผูบ้ ริหารระดับสูง คือ ประธาน
กรรรมการ หรือรองประธานกรรมการผู้อานวยการ ร้อยล่ะ 30.4 รายงานกับผู้อานวยการฝ่ าย
บุคคล ร้อยล่ะทีเ่ หลือก็จะกระจายรายงานไปถึงผูจ้ ดั การโรงงาน (ร้อยละ 19.8) และผูจ้ ดั การฝ่ าย
607
คณะกรรมการความปลอดภัยในการทางาน
ตามกฎกระทรวงก าหนดมาตรฐานในการบริห ารและการจัดการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ. 2549 อาศัยอานาจตามความในมาตรา 6
และมาตรา 103 แห่ ง พระราชบัญ ญัติคุ้ม ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 อันเป็ นกฎหมายที่ม ี
บทบัญญัตบิ างประการเกีย่ วกับการจากัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึง่ มาตรา 29 ประกอบกับ
มาตรา 31 มาตรา 35 มาตรา 28 และมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติ
ให้กระทาได้โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมาย ซึง่ ได้ให้ความหมายของบุคคลต่าง ๆ
ในสถานประกอบกิจการทีเ่ กีย่ วข้องตามกฎกระทรวงนี้
“ลูกจ้างระดับหัวหน้างาน” หมายความว่า ลูกจ้างซึง่ ทาหน้าทีค่ วบคุม ดูแล บังคับบัญชา
สังงานให้
่ ลกู จ้างทางานตามหน้าทีข่ องหน่วยงานนัน้ ๆ
“ลูกจ้างระดับปฏิบตั กิ าร” หมายความว่า ลูกจ้างซึง่ ทาหน้าทีเ่ ป็ นผูป้ ฏิบตั งิ าน
“คณะกรรมการ” หมายความว่ า คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานของสถานประกอบกิจการ
“กรรมการ” หมายความว่า กรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม
ในการทางานของสถานประกอบกิจการ
“ผูแ้ ทนลูกจ้าง” หมายความว่า ผูแ้ ทนลูกจ้างซึง่ เป็ นลูกจ้างระดับปฏิบตั กิ ารที่ได้รบั การ
เลือกตัง้ จากฝ่ ายลูกจ้างให้เป็ นกรรมการเพื่อปฏิบตั ใิ ห้เป็ นไปตามกฎกระทรวงนี้
“หน่วยงานความปลอดภัย” หมายความว่า หน่วยงานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานซึง่ นายจ้างให้ดูแลและปฏิบตั งิ านด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางานของสถานประกอบกิจการ
องค์ประกอบของคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน ของสถานประกอบกิจการ ประกอบด้วย
1. ประธานกรรมการ เป็ นนายจ้างหรือผูแ้ ทนนายจ้างระดับบริหาร
2. กรรมการผูแ้ ทนนายจ้างระดับบังคับบัญชา แพทย์อาชีวเวชศาสตร์หรือพยาบาลอาชี
วอนามัย ประจาสถานประกอบกิจการ ทีไ่ ด้รบั การแต่งตัง้ จากนายจ้าง
3. กรรมการผูแ้ ทนลูกจ้าง โดยให้นายจ้างจัดให้มกี ารเลือกตัง้
4. กรรมการและเลขานุการ ซึง่ เป็ นเจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในการทางานระดับวิชาชีพ
หรือ เจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในการทางานระดับเทคนิคขัน้ สูง หรือผูแ้ ทนนายจ้าง แล้วแต่กรณี
608
2. รายงานและเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมาย
เกี่ยวกับความ ปลอดภัยในการทางาน และมาตรฐานความปลอดภัยในการทางานต่อนายจ้าง
เพื่อความปลอดภัยในการ ทางานของลูกจ้างผูร้ บั เหมาและบุคคลภายนอกที่เข้ามาปฏิบตั งิ าน
หรือเข้ามาใช้บริการในสถานประกอบกิจการ
3. ส่ งเสริม สนับสนุ น กิจกรรมด้านความปลอดภัยในการทางานของสถานประกอบ
กิจการ
4. พิจารณาข้อบังคับและคู่มอื ความปลอดภัยในการทางาน รวมทัง้ มาตรฐานด้านความ
ปลอดภัย ในการทางานของสถานประกอบกิจการเสนอต่อนายจ้าง
5. สารวจการปฏิบตั ิด้านความปลอดภัยในการทางานและตรวจสอบสถิติการประสบ
อันตราย ทีเ่ กิดขึน้ ในสถานประกอบกิจการ อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครัง้
6. พิจ ารณาโครงการหรือ แผนการฝึ ก อบรมเกี่ย วกับ ความปลอดภัย ในการท างาน
รวมถึงโครงการหรือ แผนการอบรมเกี่ยวกับบทบาทหน้ าที่ค วามรับผิดชอบในด้านความ
ปลอดภัยของลูกจ้าง หัวหน้างาน ผูบ้ ริหาร นายจ้าง และบุคลากรทุกระดับเพื่อเสนอความเห็น
ต่อนายจ้าง
7. วางระบบการรายงานสภาพการทางานที่ไม่ปลอดภัยให้เป็ นหน้ าที่ของลูกจ้างทุก
ระดับ ต้องปฏิบตั ิ
8. ติดตามผลความคืบหน้าเรือ่ งทีเ่ สนอนายจ้าง
9. รายงานผลการปฏิบตั งิ านประจาปี รวมทัง้ ระบุปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะใน
การปฏิบตั ิ หน้าทีข่ องคณะกรรมการเมือ่ ปฏิบตั หิ น้าทีค่ รบหนึ่งปี เพื่อเสนอต่อนายจ้าง
10. ประเมินผลการดาเนินงานด้านความปลอดภัยในการทางานของสถานประกอบ
กิจการ
11. ปฏิบตั งิ านด้านความปลอดภัยในการทางานอื่นตามทีน่ ายจ้างมอบหมาย
การจัด ด าเนิ นการประชุ ม คณะกรรมการความปลอดภัย อาชี ว อนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานของสถาน ประกอบกิ จการ
การจัดดาเนินการประชุมให้เป็ นตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกาหนด อย่างน้อยเดือน
ละหนึ่งครัง้ หรือเมื่อกรรมการไม่น้อย กว่าครึ่งหนึ่งร้องขอ โดยแจ้งกาหนดการประชุมและ
ระเบียบวาระการประชุมให้กรรมการทราบอย่างน้อย สามวันก่อนถึงวันประชุม
หลักเกณฑ์และวิ ธีการเลือกตัง้ กรรมการผู้แทนลูกจ้างในคณะกรรมการ ความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทางาน
ในการด าเนิ น การจัด การประชุ ม คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อ มในการท างาน นายจ้า งต้อ งให้ม ีก ารด าเนิ น การตามกฎหมายว่ า ด้ว ยความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน จึงมีแนวปฏิบตั ิตามหลักเกณฑ์และ
610
ขัน้ ตอนที่ 2
1. ประกาศกาหนดวัน เวลา สถานที่รบั สมัคร และ
จ านวนกรรมการผู้แ ทนลู ก จ้า งที่จ ะได้ร ับ การเลือ กตัง้
ภายใน 5 วัน นับตัง้ แต่วนั ที่นายจ้างปิ ดประกาศรายชื่อ
คณะกรรมการดาเนินการเลือกตัง้
2. กาหนดวัน และเวลายื่นใบสมัครได้ภายในระยะเวลา
ไม่น้อยกว่า 3 วัน แต่ไม่เกิน 5 วัน นับจากวันที่ ประกาศ
รับสมัคร
613
การสื่อสารเพื่อความปลอดภัยในการทางาน
การสื่อสารมีบทบาท หน้าทีท่ ส่ี าคัญต่อมนุ ษย์ในการดารงชีวติ ไม่ว่าจะประกอบอาชีพใด ๆ
ไม่ว่าภาครัฐ และเอกชนก็ตาม ต้องอาศัยการสื่อสารทางการบริหารเพื่อสร้างความเข้าใจต่อกัน
ในการสื่อ สาร ในการบริห ารจัดการความปลอดภัย อาชีว อนามัยและสภาพแวดล้อ มในการ
ทางาน หากจะให้ประสบความสาเร็จไปตามทีม่ ุ่งหวังไว้ทต่ี ้องการก็ย่อมต้องอาศัยการสื่อสารทีม่ ี
กระบวนการทีเ่ ป็ นขัน้ ตอนในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจให้พนักงานทุกได้ปฏิบตั ติ ามอย่าง
เคร่งครัด และเป็ นการแจ้งข่าวสารข้อมูล โน้มน้าว จูงใจให้ทุกคนได้ปฏิบตั ติ ามอย่างเคร่งครัด
615
ความหมายของการสื่อสารเพื่อความปลอดภัย
การสื่อสารเนื่องจากมีบทบาทสาคัญและจาเป็ นต่อมนุ ษย์ การสื่อสารจึงเป็ นความสาคัญ
และประโยชน์มากต่อการบริหารจัดการในองค์การ ได้มนี ักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมาย
ของ การสื่อสาร (Communication) ไว้ต่าง ๆ ดังนี้
(สุรสิทธิ ์ วิทยารัฐ, 2549, หน้า 9) ได้ให้ความหมายของ การสื่อสาร ไว้ว่า กระบวนการ
ส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รบั ข่าวสาร มีวตั ถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รบั ข่าวสารมี
ปฏิกริ ยิ าตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็ นไปตามทีผ่ สู้ ่งต้องการ
(Denis McQuail, 2005, p.76) ได้ให้ความหมายของการสื่อสาร ไว้ว่า การให้และการ
รับความหมายการถ่ายทอดและการรับสาร ซึ่งรวมถึงแนวคิดของการโต้ตอบ แบ่งปั น และมี
ปฏิสมั พันธ์กนั ด้วย
(Wilbur Schramm, 1971, p.39) ได้ให้ความหมายของการสื่อสาร ไว้ว่า กระบวนการ
แลกเปลีย่ นข่าวสาร เกิดขึน้ โดยการถ่ายทอดสารจากบุคคลฝ่ ายหนึ่งซึง่ ทาหน้าทีส่ ่งสารผ่านสื่อ
หรือช่องทางต่าง ๆ ไปยังผูร้ บั สาร โดยมีวตั ถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง
จากความหมายของการสื่อสารข้างต้น สรุปว่า การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการในการ
ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ รูส้ กึ ไปยังบุคคลอีกฝ่ ายหนึ่งเพื่อให้ได้รบั การตอบสนอง
โดยผ่านกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ ช่องทาง สื่อต่าง ๆ โดยมีเป้ าหมายทีต่ อ้ งการ
(ปราโมช เชี่ย วชาญ, 2553, หน้ า 6) ได้ใ ห้ ค วามหมายของ การสื่อ สารเพื่อ ความ
ปลอดภัย ไว้ว่า กระบวนการส่งหรือถ่ายทอดข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับความปลอดภัยจากผูส้ ่งสาร
ไปยังผู้รบั สารโดยผ่านช่องทางหรือสื่อต่าง ๆ เพื่อให้เกิดสภาวะที่เป็ นอิสระหรือปราศจากภัย
คุกคาม ไม่มอี นั ตราย ไม่เกิดการบาดเจ็บและการสูญเสียรวมถึงไม่มคี วามเสีย่ งใด ๆ เกิดขึน้
วัตถุประสงค์ของการสื่อสารเพื่อความปลอดภัย
1. เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสาร เป็ นการรับและส่ งข่าวสารด้านต่างๆ การนาเสนอเรื่ องราว
ความรู ้ สึกนึ กคิ ด ความรู ้ หรื อสิ่ งอื่ นใด ที่ ต้องการให้ผูร้ ั บสารรู ้ และเข้าใจข้อมู ลนั้นๆ โดยมุ่งให้
ความรู ้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
2. เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แสดงความคิดเห็นต่อกันในทางที่สอดคล้องกัน
สร้างสรรค์ในสิง่ ใหม่ทจ่ี ะสนับสนุ นให้การสื่อสารเพื่อความปลอดภัยเกิดประสิทธิภาพยิง่ ขึน้
3. เพื่อให้ความรูท้ างด้านความปลอดภัย ให้เห็นถึงผลการลดอุบตั เิ หตุอนั อาจเกิดจาก
การทางาน ด้วยการสื่อสารเป็ นเอกสาร แผ่นพับ การประชาสัมพันธ์ดว้ ยสื่อต่าง ๆ
4. เพื่อโน้มน้าวให้เกิดการปฏิบตั อิ ย่างปลอดภัย การนาเสนอเรื่องราวหรือสิง่ อื่นใดเพื่อ
จูงใจให้เกิดความร่วมมือ สร้างกาลังใจ เพื่อให้ผรู้ บั สารเกิดความคิดคล้อยตาม หรือปฏิบตั ติ ามที่
ผูส้ ่งสารต้องการ และนาไปสู่การปรับปรุงแก้ไข
616
ความสาคัญของการสื่อสารเพื่อความปลอดภัยในการทางาน
1. การสื่อสารเพื่อความปลอดภัยในการทางานเป็ นองค์ประกอบในการดาเนินงานด้าน
ความปลอดภัย และอาชีวอนามัย กระบวนการสื่อสารเป็ นองค์ประกอบสาคัญในการบูรณาการ
ความรูจ้ ากศาสตร์สาขาต่าง ๆ ซึ่งต้องมีการวางแผน กาหนดมาตรการป้ องกันกระตุ้น ด้วยการ
สื่อ สารให้เ กิด ประสิท ธิภ าพในการสร้า งความปลอดภัย ในการท างาน รวมทัง้ การเฝ้ าระวัง
ตรวจสอบ ประเมินติดตามผลการปฏิบตั งิ านอย่างต่อเนื่อง
2. การสื่อสารเพื่อความปลอดภัยเป็ นข้อกาหนดตามกฎหมายและอนุ กรมมาตรฐาน
ต่าง ๆ ให้เกิดความเป็ นมาตรฐานสากลให้ทุกหน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้องยึดถือปฏิบตั ิ
3. การสื่อสารเพื่อความปลอดภัย เป็ นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทีจ่ ะ
เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลภายในและภายนอกองค์การ
อุปสรรคในการสื่อสารเพื่อความปลอดภัยในการทางานมีดงั นี้
1. อุปสรรคที่เกิดจากผู้ส่งสาร เช่น ขาดความรู้ ความเข้าใจ ทักษะในการสื่อสารไม่
น่าเชื่อถือขาดความมันใจในตนเอง
่
2. อุปสรรคที่เกิดจากตัวสาร เช่น สารไม่ชดั เจน ไม่สมบูรณ์ ไม่น่าสนใจ ข้อมูลมาก
เกินไป หรือขาดการเรียบเรียง
3. อุปสรรคทีเ่ กิดจากสื่อหรือช่องทางการสื่อสาร คือ การเลือกสื่อไม่เหมาะสม สื่อสารผิด
ช่องทาง ได้แก่ วัยรุน่ หากใช้ช่องทางทีไ่ ม่เหมาะสมก็จะทาให้ไม่รบั ข้อมูลข่าวสารนัน้ ๆ
4. อุปสรรคเกิดจากผู้รบั สาร เช่น ขาดความสามารถในการรับสาร ทัศนคติไ ม่ดไี ม่สนใจ
ทีจ่ ะรับสาร คือปฏิเสธข้อมูลข่าวสาร หรือเพิกเฉยไม่สนใจ
5. อุปสรรคทีเ่ กิดจากสิง่ แวดล้อมของการสื่อสาร ขาดความเหมาะสมในแง่เวลา สถานที่
บุคคล เช่น หัวหน้าสื่อสารกับลูกน้อง ในสถานทีม่ เี สียงดังมาก ทาให้ผูร้ บั สารไม่ได้ยนิ หรือไม่ม ี
สมาธิทจ่ี ะฟั งหัวหน้างาน
นักสังเกตความปลอดภัย
ในการปฏิบตั งิ านในโรงงานอุตสาหกรรมเกี่ยวกับปฏิบตั งิ านไม่ว่าทาหน้าที่ในการดูแล
ควบคุมเครือ่ งจักร อุปกรณ์ เครือ่ งมือในการทางานใด ๆ ก็ตาม หากจะทาให้เกิดความปลอดภัย
ในการทางานมากที่สุด หรือลดอุบตั เิ หตุ ความเสี่ยงอันอาจจะก่อให้เกิดอันตรายที่เกิดขึน้ จาก
การทางาน แม้กระทังผู ่ บ้ งั คับบัญชา หรือหัวหน้างานต้องเป็ นนักสังเกตความปลอดภัย โดยต้อง
สังเกตทุก ครัง้ ที่เ ดินออกไปตรวจงาน โดยไม่แบ่งแยกความปลอดภัยออกจากการตรวจงาน
โดยทัวไป่ ซึง่ การเกิดอุบตั เิ หตุส่วนใหญ่มาจากการกระทาทีไ่ ม่ปลอดภัย ดังนัน้ นักสังเกตความ
617
สรุป
องค์ก รด้า นความปลอดภัย และอาชีว อนามัย เป็ น องค์ ก รที่ท าหน้ า ที่ใ นการก าหนด
นโยบาย กากับ ควบคุม ดูแลให้เป็ นไปตามกฎหมาย ข้อบังคับ และให้สถานประกอบการกิจการ
ได้มกี ารปฏิบตั ติ ามอย่างเคร่งครัด ซึง่ หน่ วยงานของภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงแรงงาน กระทรวง
สาธารณะสุข และกระทรงอุต สาหกรรม เป็ นต้น บทบาทหน้ าที่ของผู้ท่เี กี่ยวข้องกับงานด้าน
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ทาหน้าทีเ่ ป็ นหน่ วยงานหลัก (Line Organization) ทีม่ อี านาจ
ในการก าหนดนโยบาย ก ากับ ควบคุ มดูแ ลให้เ ป็ นไปตามวิส ยั ทัศ น์ ขององค์ก ารด้านความ
ปลอดภัยและอาชีวอนามัย เริม่ ตัง้ แต่ผบู้ ริหารระดับสูง ผูจ้ ดั การ เป็ นต้น บทบาทของผูบ้ ริหารที่
เกีย่ วข้องกับงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย โดยบทบาทของผูบ้ ริหารนัน้ จะต้องอาศัย
รูปแบบของการเป็ นผูน้ าทีม่ คี วามเป็ นภาวะผูน้ าทีจ่ ะนาพางานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนา
มัย ไปสู่ เ ป้ า หมายที่ช ัด เจนเพื่อ ลดอุ บ ัติเ หตุ บาดเจ็บ เจ็บ ป่ วยอัน เนื่ อ งจากการท างานให้
ผู้ปฏิบตั ิงานมีค วามปลอดภัย และมีสุ ขภาพอนามัยที่ส มบูรณ์ ทงั ้ ทางร่างกายและจิต ใจ และ
บทบาทของทีเ่ กีย่ วข้องกับงานด้านการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในสถานประกอบ
กิจการ ได้แก่ บทบาทของผูบ้ ริหารระดับสูง บทบาทของผูบ้ ริหารระดับกลาง และบทบาทนักอา
ชีวอนามัยและความปลอดภัย ซึง่ บทบาทดังกล่าวได้แก่ บทบาทด้านบุคคล ด้านข้อมูลข่าวสาร
และด้า นตัด สิน ใจ เป็ น ต้น ส่ ว นบทบาทของหัว หน้ า งานมีค วามส าคัญ ที่ม ีค วามใกล้ชิด กับ
ผู้ใ ต้บงั คับบัญ ชาที่จะสร้างความปลอดภัยให้เ กิดขึ้นกับพนักงานหรือ ลูกน้ องก็อาศัยบทบาท
หน้ าที่ของหัวหน้ างานที่เป็ นแบบอย่างให้ผู้ใต้บงั คับบัญชาได้ปฏิบตั ิตามอย่างเคร่งครัด และ
บทบาทของลูกน้องก็มหี น้าที่ในการปฏิบตั ติ ามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด รวมทัง้ หน้าที่ของนัก
618
แบบฝึ กหัด
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงแรงงาน.(2558). สถานการณ์ การดาเนิ นงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยใน
ประเทศไทยปี 2558. ส านั ก ความปลอดภัย แรงงาน กรมสวัส ดิก ารและคุ้ม ครอง
แรงงาน.
กระทรวงแรงงาน.(2549). กฎกระทรวงกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ.2549.
มาตรฐานอาชีพและคุณวุฒวิ ชิ าชีพ Occupational Standard and Professional Qualifications,
มาตรฐานอาชีพสาขาวิชาชีพความปลอดภัยในการทางาน. สถาบันคุณวุฒวิ ชิ าชีพ
(องค์การมหาชน).
วีระ ซื่อสุวรรณ.(2550). Safety 52 weeks. สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญีป่ ่ นุ ). กรุงเทพฯ:
สานักพิมพ์ ส.ส.ท.
สราวุธ สุธรรมาสา.(2557). บทบาทผูบ้ ริหารกับงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย.,จุลสาร
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพออนไลน์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช.,ฉบับที ่ 1 ปี 2557.
สุรสิทธิ ์ วิทยารัฐ.(2549). การสื่อสารเพื่อการพัฒนา :พัฒนาการแนวคิด สภาพการณ์ใน
สังคมไทย.กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนนั ทา.
เอกสารการสอนชุดวิ ชา การบริ หารงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย.(ฉบับปรับปรุง
ครัง้ ที่ 1).หน่วยที่ 8-15.สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช:
ห้างหุน้ ส่วนจากัด อรุณการพิมพ์.
Denis McQuail.(2005). McQuail's mass communication theory. 5th ed., London ;
Thousand Oaks,: Publications.
Wilbur Schramm.(1971). The Process and Effects of mass communication. 2ed,
University of Illinois Press.
621
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 11
ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
หัวข้อเนื้ อหา
1. ความรูท้ วไปเกี
ั่ ย่ วกับระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
2. ข้อกาหนดทัวไปว่
่ าด้วยหลักเกณฑ์และเงือ่ นไขในการรับรองระบบการบริหารจัดการ
อนุกรมมาตรฐาน มอก.18000
3. ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามมาตรฐาน มอก.18001
4. ขัน้ ตอนการจัดทาระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มอก.18001
5. การประยุกต์ใช้มาตรฐานมาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
6. ประโยชน์ ท่ีไ ด้ร ับ จากมาตรฐานมาตรฐานระบบการจัด การอาชีว อน ามัย
และความปลอดภัย
7. ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตาม ILO-OSH 2001
10. สรุป
11. แบบฝึกหัด
12. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
622
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารการคาสอนรายวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดทิ ศั น์
6. สื่อสิง่ พิมพ์ต่าง ๆ
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
623
บทที่ 11
ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
สภาพสังคมไทยในปั จจุบนั มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สงั คมอุตสาหกรรมมากขึน้ โดยการ
เข้าสู่นวัตกรรม เทคโนโลยี มีการใช้แรงงานที่ต้องเสีย่ งต่ออันตรายมากตามความก้าวหน้าและ
ทันสมัยของเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ท่นี ามาใช้ในกระบวนการผลิ ต ความปลอดภัยและ
สุ ข ภาพของผู้ ใ ช้ แ รงงานในการท างาน จึง เป็ น เรื่อ งส าคัญ อย่ า งยิ่ง ที่ น ายจ้า ง หรือ สถาน
ประกอบการต่าง ๆ ต้องตระหนักและใส่ใจตลอดเวลาเพราะผลจากสภาพแวดล้อมในการทางาน
หรือผลของอุบตั เิ หตุทเ่ี กิดขึน้ นอกจากจะก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ตนเองแล้ว ยังส่งผลกระทบ
ไปยังครอบครัว ญาติพ่นี ้อง รวมทัง้ สังคม และประเทศชาติ อกี ด้วย ซึ่งเป็ นความสูญเสียที่เกิน
กว่าที่คาดคิดหรือเรียกกลับคืนมาได้ บางครัง้ อุบตั เิ หตุยงั ทิ้งร่องรอยของความขมขื่นเอาไว้อกี
ตลอดชีวติ เช่น ทุพพลภาพ ความเจ็บปวดทรมาน บางธุรกิจอุตสาหกรรม อุบตั ิเหตุท่เี กิดขึ้ น
อาจหมายถึงความล้มเหลว และอาจจะต้องปิ ดกิจการขององค์กร อีกทัง้ ยังมีผลต่อสภาพแวด
ล้อม และสังคมโดยรอบอีกด้วย เช่น ไฟไหม้โรงงาน และอาคาร โรงงานระเบิด พนักงานและ
ชุมชนโดยรอบได้รบั สารพิษอันตราย ซึ่งอาจถึงแก่ชวี ติ ได้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวง
แรงงานและสวัส ดิก ารสัง คมได้ต ระหนั ก ถึง ปั ญ หาเหล่ า นี้ จึง ได้ ม ีก ารประกาศกระทรวง
อุ ต สาหกรรม ฉบับ ที่ ๔๓๔๑ (พ.ศ. ๒๕๕๔) ออกตามความในพระราชบัญ ญัติม าตรฐาน
ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ.๒๕๑๑ เรื่องยกเลิกและกาหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ระบบการจัด การอาชีว อนามัย และความปลอดภัย : ข้อ ก าหนด ให้สานักงานมาตรฐาน
ผลิต ภัณฑ์อุ ต สาหกรรม ก าหนดอนุ ก รมมาตรฐานระบบการจัด การอาชีว อนามัยและความ
ปลอดภัย (มอก.18000) ขึ้นเพื่อ เป็ นแนวทางให้ห น่ ว ยงานต่ างๆนาไปปฏิบตั ิ ทัง้ นี้มไิ ด้ม ี
จุ ด มุ่ ง หมายเพีย งการแก้ ไ ขปั ญ หาอาชีว อนามัย และความปลอดภัย ในการท างาน แต่ ย ัง
ครอบคลุ ม ถึง แนวทางในการป้ อ งกัน มิใ ห้เ กิด ปั ญ หาด้า นสุ ข ภาพ และอุ บ ัติเ หตุ ต่ า งๆ ต่ อ
ผูป้ ฏิบตั งิ าน หน่วยงานภายนอกหรือชุมชน ใกล้เคียง และสังคม
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ตาม
อนุ กรมมาตรฐาน มอก.18000 นอกจากจะกาหนดขึ้นเพื่อเป็ นแนวทางในการปรับปรุงการ
ดาเนินงานอาชีวอนามัย และความปลอดภัยในองค์กรแล้ว ยังใช้เป็ นข้อก าหนดในการตรวจ
ประเมิน เพื่อให้การรับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยขององค์ก ารอีกด้วย
624
วัตถุประสงค์ของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
ในการจัดระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเพื่อให้เป็ นมาตรฐานและช่วย
ให้ ส ถานประกอบกิ จ การต่ า ง ๆ ได้ ม ีร ะบบที่ท าให้ เ กิ ด ความปลอดภัย จึง มีก ารก าหนด
วัตถุประสงค์ให้เกิดความสาคัญของงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยทีส่ าคัญคือ การป้ องกัน
การเกิดอุบตั เิ หตุ การบาดเจ็บ และการเจ็บป่ วยด้วยโรคอันเกิดจากการทางาน ดังนัน้ ระบบของ
การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยจึงมีวตั ถุประสงค์สาคัญ ๆ ดังนี้
1. เพื่อควบคุม ความเสี่ ยงต่ อผู้ปฏิ บตั ิ งานและสังคม ในการปฏิบตั ิงานในโรงงาน
อุตสาหกรรมไม่ว่าขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่ ทัง้ ภาคเกษตรและพาณิชยกรรมก็ตามจะมีอนั ตราย
เกิดขึน้ จากการทางานเสมอ และโอกาสในประสบอุบตั เิ หตุบาดเจ็บ หรือเจ็บป่ วยทีเ่ กิดจากการ
ทางาน และระบบการควบคุมก็มรี ะบบทีเ่ ป็ นไปตามกฎหมายกาหนด หากแต่สถานประกอบการ
จาเป็ นต้องมีการควบคุมให้มปี ระสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเป็ นการดาเนินการป้ องกันที่ปัญหา
หรือต้นเหตุ
2. เพื่อเพิ่ มประสิ ทธิ ภาพในการทางาน ความสูญเสียทีเ่ กิดจากการประสบอันตราย
หรือเจ็บป่ วยอันเกิดจากการทางานทาให้นาซึ่งความสูญเสียอันยิง่ ใหญ่และมหาศาลทัง้ ทางตรง
และทางอ้ อ ม เมื่อ เกิด ขึ้น จากการรายงานของส านั ก งานกองทุ น เงิน ทดแทน ส านั ก งาน
ประกันสังคม กระทรวงแรงงานในช่วงปี 2554 – 2558 พบว่าตาแหน่ งหน้าที่ทม่ี จี านวนการ
ประสบอันตรายสูงสุด คือ ผูป้ ฏิบตั งิ านในโรงงาน ผูค้ วบคุมเครื่องจักร และผูป้ ฏิบตั งิ านด้านการ
ประกอบ เฉลีย่ ร้อยละ 70.42 ต่อปี จากข้อมูลดังกล่าวทาให้การปฏิบตั งิ านลดประสิทธิภาพใน
การทางานอย่างชัดเจน ดังนัน้ สถานประกอบการจาเป็ นต้องมีการจัดระบบการจัดการอาชีวอนา
มัยและความปลอดภัยให้เป็ นมาตรฐานเพื่อให้เกิดการลดอุบตั เิ หตุดงั กล่าวเพื่อเพิม่ ประสิทธิภาพ
ในการทางาน
3. เพื่อความเป็ นรูปธรรมหรือสิ่ งที่ เห็นได้ ชดั เจนของความรับผิ ดชอบต่ อสังคม
ยุคการแข่งขันทางด้านธุรกิจ ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็ นการสร้างภาพลักษณ์ทใ่ี นการจัดการ
ทางธุรกิจให้มชี ่อื เสียงและการผลิตทีไ่ ด้คุณภาพเป็ นทีต่ ้องการของลูกค้าและสังคม รวมทัง้ การ
นาไปเป็ นเครื่องมือในการทาธุรกิจเพื่อเป็ นทีย่ อมรับต่างประเทศ การมีระบบการจัดการอาชีวอ
นามัยและความปลอดภัยทีไ่ ด้มาตรฐานสากลย่อมนามาซึง่ การดาเนินธุรกิจได้อย่างเป็ นรูปธรรม
ที่ช ัด เจนยัง ต้ อ งเป็ น การแสดงให้เ ห็น ถึง การรับ รู้ข องสัง คมในความรับ ผิด ชอบของสถาน
ประกอบการกิจการ
625
ความสาคัญของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
การดาเนินธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมการผลิต บริการ เกษตรกรรม และพาณิชยกรรม
ต่ า ง ๆ ที่ม ีเ ป้ า หมายคือ ก าไรสูง สุ ด ย่อ มต้อ งการที่จ ะลดความสูญ เสีย อัน อาจเกิด จากการ
ปฏิบตั งิ านทัง้ ทางตรงและทางอ้อม การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยทีด่ จี ะทาให้ธุรกิจ
เกิดก าไร เพิ่มประสิท ธิภ าพ และลดความสูญ เสียท าให้ส ร้า งชื่อ เสีย งให้กับธุ รกิจและทาให้
ผูป้ ฏิบตั งิ านเกิดขวัญกาลังใจทีด่ ใี นการปฏิบตั งิ าน จึงทาให้มคี วามสาคัญ ดังต่อไปนี้
1. การตอบสนองความต้องการของลูกค้า เป็ นผลจากการทีส่ ถานประกอบการต้องมี
ความรับ ผิด ชอบต่ อ สัง คม ท าให้ ป ระเทศตะวัน ตกที่ป ระกอบธุ ร กิจ ที่ม ีก ารว่ า จ้า งโรงงาน
อุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็ นผูผ้ ลิตสินค้าให้นัน้ ต่างต้องการให้พฒ ั นาและรักษาไว้ซ่งึ ระบบ
การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย เพื่อจะได้เป็ นระบบมาตรฐานให้กบั สินค้าและไม่ถูก
โจมตีในการผลิตสินค้าที่มองว่าการผลิตสินค้าที่เอาเปรียบแรงงานในด้านค่าแรง ด้านการใช้
แรงงานทีข่ ดั ต่อกฎหมาย อาจทาให้ไม่จา้ งผลิตสินค้าหันไปหาเจ้าอื่นมาเป็ นผูผ้ ลิตสินค้าแทน ทา
ให้โรงงานในประเทศไทยต้องมีการพัฒนาระบบดังกล่าวเพื่อให้สามารถเป็ นทีย่ อมรับของนานา
ประเทศ (ซึง่ อาจรวมถึงโรงงานทีร่ บั ผลิตชิน้ ส่วนหรืออะไหล่และอุปกรณ์ต่าง ๆ ส่งให้กบั โรงงาน
ผูผ้ ลิตนัน้ ๆ)
2. ประโยชน์ ในการทาธุรกิ จ ในปั จจุบนั นี้การแข่งขันในการเติบโตทางธุรกิจทาให้ต้อง
มีความรับผิดชอบในการผลิตสินค้าและบริการต่อสังคมทาให้ต้องนาระบบการจัดการอาชีวอนา
มัยและความปลอดภัยเพื่อเป็ นการรับรองกระบวนการในการผลิตสินค้าและบริการทีม่ คี ุณภาพ
ตัง้ แต่การบริหารจัดการด้านพนักงานให้เกิดความปลอดภัยในการทางาน
3. ความเป็ นระบบในการทางาน เมื่อก่อนการทางานด้านอาชีวอนามัยและความ
ปลอดภัยแบบเก่า (Conventional Health and Safety Management) เป็ นความรับผิดชอบหลัก
ของฝ่ ายความปลอดภัย คนของฝ่ ายผลิตหรือฝ่ ายอื่น ๆ จะไม่ถอื ว่าต้องรับผิดชอบ จึงทาให้การ
ทางานเมื่อก่อนเป็ นการทางานแบบตัง้ รับ ฝ่ ายความปลอดภัยจะเป็ นผู้ทางานอยู่ฝ่ายเดียวซึ่ง
ขาดการมีส่วนร่วมทัง้ จากฝ่ ายบริหารและฝ่ ายลูกจ้าง ผลงานจึงออกมาค่อนข้างล้มเหลว แต่ใน
ปั จจุบนั นี้การทางานของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยจะมีขอ้ กาหนดของ
การดาเนินงานทีท่ าให้ฝ่ายต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้องได้มหี น้าทีค่ วามรับผิดชอบทีช่ ดั เจนและมีส่วนร่วม
ในการดาเนินงาน ทาให้การทางานเป็ นระบบ มีกลไกขับเคลื่อนการทางานให้เป็ นไปตามระบบ
และขัน้ ตอนการดาเนินงาน (work procedure) ตามทีก่ าหนดไว้
4. คุณภาพชี วิตที่ ดีของผู้ปฏิ บตั ิ งานและลดความสูญเสียที่ เกิ ดขึ้นจากการทางาน
เมือ่ ใดทีพ่ นักงานผูป้ ฏิบตั งิ านประสบอันตราย บาดเจ็บ และเจ็บป่ วยในแต่ละครัง้ ย่อมทาให้เกิด
ค่าใช้จา่ ยในการรักษาพยาบาล ค่าฟื้ นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ สูญเสียด้านกาลังแรงงานทีจ่ ะใช้
ในการผลิต และเสีย โอกาสในการทาธุ ร กิจ รวมทัง้ ท าให้เ กิดความเสียหายทางชื่อ เสียงหรือ
626
แนวคิ ดมาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
แนวคิด มาตรฐานระบบการจัด การอาชีว อนามัย และความปลอดภัย ของกระทรวง
แรงงานประกอบด้วยเรือ่ ง
1. การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในประเทศไทย
2. ระบบการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ILO-OSHMS 2001
3. แนวคิดของมาตรฐานระบบการจัดการด้า นความปลอดภัยในการทางานของ
กระทรวงแรงงาน
แนวคิดการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยมาจากปั จจัย 3 ประการคือ
1. ปั จจัยที่เป็ นแรงผลักดันจากสังคมที่ต้ องการให้ผู้ปฏิบตั งิ านทางานอย่างปลอดภัย
มีสถานทีท่ างานทีป่ ลอดภัย
2. ปั จ จัย ทางด้านการเมือ งทัง้ ภายในและภายนอกประเทศที่ม ีค วามต้อ งการให้
ภาคอุตสาหกรรมให้ความสนใจต่อความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของผู้ปฏิบตั งิ านและผู้อยู่
อาศัยรอบๆ สถานประกอบกิจการ ทาให้มกี ารผลักดันออกกฎหมายเพื่อคุม้ ครองผูป้ ฏิบตั งิ าน
รวมไปถึงลูกค้า และการกาหนดเงือ่ นไขทางการค้าของประเทศคู่คา้
3. ปั จจัยทางด้านเศรษฐกิจทีม่ องว่า การจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยใน
องค์กรเป็ นอีกรูปแบบหนึ่งของการควบคุมความสูญเสีย
ปั จจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึน้ จากแนวคิด การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย จึงเป็ น
เป้ าหมายหนึ่งที่อ งค์กรจะต้อ งดาเนินการให้ได้ด้ว ยจัดสรรงบประมาณ และทรัพยากรให้
เหมาะสม ทัง้ บุคลากร งบประมาณ เวลา หรือองค์ความรูต้ ่างๆ เพื่อนามาสู่การกาหนดนโยบาย
ด้านการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ให้ส อดคล้องกับการเปลี่ ยนแปลงของภาพ
การณ์ทเ่ี กิดขึน้ ในปั จจุบนั
จากแนวคิดของมาตรฐานระบบการจัด การอาชีว อนามัย และความปลอดภัยจึง เป็ น
เจตนารมณ์ด้ว ยความมุ่งมันให้ ่ เ กิดความปลอดภัย ความมีสุ ขภาพอนามัยที่ดี และยกระดับ
มาตรฐานคุณภาพชีวติ ของผู้ปฏิบตั ิงานให้ดขี ้นึ จึงได้มกี ารพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ตลอดเวลา ทัง้ นี้เพื่อให้องค์การสะท้อนผลการดาเนินงาน ดังนี้
(1) ลดความเสีย่ งภัยอันตรายและอุบตั เิ หตุ บาดเจ็บ และเจ็บป่ วยเนื่องจากการ
ทางานของผูป้ ฏิบตั งิ านและผูเ้ กีย่ วข้อง
(2) เพื่อให้เกิดการปรับปรุงการดาเนินงานขององค์การให้เกดความปลอดภัยทัง้
ระบบ
(3) ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความรับผิดชอบขององค์การต่อพนักงานในองค์การ
ต่อองค์การ ต่อผูถ้ อื หุน้ ต่อสังคมและประเทศชาติ
628
2.4 เพื่อการบูรณาการส่วนต่างๆของระบบการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนา
มัยในองค์กรให้เป็ นส่วนหนึ่งของนโยบายและการจัดการโดยรวม
2.5 เพื่อจูงใจสมาชิกทัง้ หมดขององค์กร ในการประยุกต์หลักการและวิธกี ารจัดการ
ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยทีเ่ หมาะสม ในการปรับปรุงการดาเนินงานความปลอดภัยและ
อาชีวอนามัยอย่างต่อเนื่อง
3. มาตรฐานระบบการจัดการอาชี วอนามัยและความปลอดภัย ได้ นามาตรฐาน
BS 8800 (British Standard 8800) มาเป็ นต้นแบบในการกาหนดมาตรฐานระบบการจัดการอา
ชีวอนามัยและความปลอดภัยและประกาศเป็ นมาตรฐาน มอก.18001: 2542 ให้สถานประกอบ
กิจการดาเนินการโดยสมัค รใจซึ่งสามารถนาระบบการจัดการไปใช้ใ นการลดความเสี่ยงต่ อ
อันตรายและอุ บตั ิเหตุ ต่างๆ ของผู้ปฏิบตั ิงานและผู้เ กี่ยวข้อ ง ตลอดจนมีการปรับปรุงการ
ดาเนินงานของธุรกิจให้เกิดความปลอดภัย และช่วยสร้างภาพพจน์ความรับผิดชอบขององค์กร
ต่อพนักงานภายในองค์กร ต่อองค์การเองและต่อสังคม
ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเริม่ ขึน้ ทีป่ ระเทศอังกฤษ (BS 8800)
โดยสถาบันมาตรฐานสหราชอาณาจักร (British Standard Institute) จุดประสงค์ให้องค์การใช้
เป็ นแนวทางในการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยแบบบูรณาการให้เป็ นส่วนหนึ่งของ
การจัดการในองค์การ และ มีเป้ าหมายเพื่อลดและควบคุมความเสี่ยงอันตรายของพนักงาน
และผู้ ท่ีเ กี่ย วข้ อ งการเพิ่ม ประสิท ธิ ภ าพการด าเนิ น งานของธุ ร กิจ ให้ เ กิด ความปลอดภัย
และส่งเสริมภาพ พจน์ด้านความรับผิดชอบขององค์กรที่มตี ่อพนักงาน และสังคม มาตรฐาน
ระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัย ได้กาหนดขึน้ เพื่อตอบสนองความต้องการ
ของผูเ้ กีย่ วข้อง เพื่อให้เกิดระบบการตรวจประเมินและการรับรองความสอดคล้องของระบบการ
จัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
มาตรฐานผลิต ภัณฑ์อุ ต สาหกรรมระบบการจัดการอาชีว อนามัยและความปลอดภัย
(Occupational health and safety management system standards) ตามอนุ กรมมาตรฐาน
มอก.18000 นี้ กาหนดขึน้ โดยใช้ BS 8800 : Guide to occupational health and safety
(OH&S) management systems เป็ นแนวทางและอาศัยหลักการของระบบการจัดการตาม
อนุ กรมมาตรฐาน มอก. 9000/ISO 9000 และ มอก.14000/ISO 14000 เพื่อให้ระบบการจัดการ
อาชีวอนามัยและความปลอดภัยเข้ากันได้กบั ระบบการจัดการอื่นๆ ขององค์การ
ความหมายของมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการอาชีวอนามัย และ
ความปลอดภัย (Occupational health and safety management system standards : OHSAS
18000) หมายถึง ระบบการจัด การอชีว อนามัย และความปลอดภัย ซึ่ง จัด ท าโดยสถาบัน
มาตรฐานของอัง กฤษ เพื่อ ตอบสนองความต้ อ งการในการจัด การปั ญ หาความปลอดภัย
และสุขภาพเกีย่ วกับอาชีพ
630
ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามมาตรฐาน มอก.18001
เป้ าหมายของมอก.18001
มอก. 18001 เป็ นมาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ทีม่ ุ่งเน้น
ให้โรงงานอุตสาหกรรมทีผ่ ลิตสินค้าและบริการทุกขนาด ทุกประเภทกิจการสามารถนาไปใช้ใน
การรับ รองคุ ณ ภาพผลิต ภัณ ฑ์เ พื่อ ให้ค วามคุ้ม ครองกับ ชีว ิต ของผู้ป ฏิบ ัติง านให้ป ราศจาก
อุบตั เิ หตุ การเจ็บป่ วย และเสียชีวติ อันเนื่องจากการทางาน รักษาคุณภาพของสิง่ แวดล้อมใน
การทางาน (work environment) และเป็ น เป้ าหมายส าคัญ ที่เ ป็ นรูปธรรมของการมีค วาม
รับผิดชอบต่อสังคม (social responsibility) ดังนัน้ เป้ าหมายของ มอก.18001 มี 3 ข้อ ดังนี้
1. ลดและควบคุมความเสี่ยงอันตรายของลูกจ้างและผูเ้ กี่ยวข้อง การปฏิบตั งิ าน
ของผูป้ ฏิบตั ใิ นโรงงานทีต่ อ้ งอาศัยการปฏิบตั งิ านด้วยเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ทเ่ี ป็ นประจา
ซ้า จึงทาให้มโี อกาสที่เกิดอันตรายและเป็ นความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบตั ิงานเนื่องจากการสัมผัสกับ
อุปกรณ์ เครื่องมือ แม้กระทัง่ สารเคมีอนั ตรายที่ต้องใช้ในการผลิตสินค้า ซึ่งเป็ นสิง่ ที่เกิดขึ้น
โดยตรง หรือผูร้ บั เหมาช่วง และต่อผูเ้ กีย่ วข้องซึง่ อาจเป็ นผูป้ ฏิบตั งิ านในแผนกอื่น ๆ ลูกค้า กลุ่ม
ผูม้ าศึกษาดูงาน นักศึกษาฝึกงาน และประชาชนในชุมชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนัน้ ทาให้ได้ผล
631
ข้อกาหนดที่ 2 นโยบายอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
ผูบ้ ริหารระดับสูงสุดขององค์กรจะต้องกาหนดนโยบายและจัดทาเป็ นเอกสาร พร้อมทัง้
ลงนามกากับ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ และความมุ่งมันในการปฏิ
่ บตั ติ ามกฎหมายและข้อกาหนด
อื่น ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย จากนัน้ จึงมอบหมายให้มกี ารดาเนินการ
ตามนโยบายและแผนงาน พร้อมทัง้ จัดสรรทรัพยากรทีจ่ าเป็ นในการดาเนิ นการ ต้องประกาศให้
พนั ก งานทุ ก ระดับ เข้า ใจ รับ ทราบนโยบายโดยต้ อ งได้ร ับ การฝึ ก อบรมที่เ หมาะสมและมี
ความสามารถที่จะปฏิบตั งิ านตามหน้าทีแ่ ละความรับผิดชอบรวมทัง้ ส่งเสริมให้เข้ามามีส่วนร่วม
ในระบบการจัดการ เพื่อให้การนาลงไปปฏิบตั สิ ามารถบรรลุตามเป้ าหมายได้
ข้อกาหนดที่ 3 การวางแผน
เป็ นบ่งชีอ้ นั ตรายทีอ่ าจจะเกิดขึน้ ได้ทุกเวลาอย่างไม่คาดการณ์ หรือวางแผนไว้ล่วงหน้า
ดังนัน้ จึงควรมีการประเมินความเสี่ยง รวมทัง้ สื่อสารให้เห็นหรือ ชี้บ่งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ทัง้ นี้เพื่อใช้ในการจัดทาแผนงานควบคุมความเสีย่ ง การปฏิบตั งิ านตามเกณฑ์ เพื่อให้เกิดความ
ปลอดภัยและข้อบังคับกฎหมายอย่างเคร่งครัด การวัดผลและการทบทวนระบบการจัดการอาชี
วอนามัยและความปลอดภัยได้อย่างเหมาะสมพร้อมทัง้ กาหนดวัตถุ ประสงค์และเป้ าหมายที่
ชัดเจน เพื่อให้สามารถจัดสรรทรัพยากรได้ถูกต้องทัง้ ด้านงบประมาณและบุคลากร ในขัน้ ตอน
การวางแผนจะเป็ น ข้อ ก าหนดที่ส าคัญ ของการพัฒ นาและด าเนิ น การระบบ ประกอบด้ว ย
ข้อกาหนดย่อย ดังนี้
1) การประเมินความเสีย่ ง
2) กฎหมายและข้อกาหนดอื่น ๆ
3) การเตรียมการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
ข้อกาหนดที่ 4 การนาไปใช้และการปฏิ บตั ิ
องค์กรต้องนาแผนงานที่กาหนดไว้มาปฏิบตั ิ โดยมีผู้บริหารระดับสูงเป็ นผู้รบั ผิดชอบ
โครงการทัง้ หมด มีการกาหนดโครงสร้างองค์การ การกระจายอานาจ หน้าที่ ความรับผิดชอบ
ไปตามระดับที่มคี วามรูค้ วามสามารถที่เหมาะสม จัดให้มกี ารฝึ กอบรมบุคลากรเพื่อให้มคี วามรู้
และความสามารถที่เ หมาะสมและจ าเป็ น จั ด ท า ควบคุ ม และปรับ ปรุ ง เอกสารให้ม ีค วาม
ทันสมัย เพิม่ ช่อ งทางการสื่อ สาร และประชาสัมพันธ์เ พื่อ กระตุ้น สร้างจิต สานึกให้ทุกคนใน
องค์กรตระหนักถึงความรับผิดชอบร่วมกัน ให้ความสาคัญและร่วมมือกันนาไปใช้ปฏิบตั พิ ร้อม
ทัง้ ควบคุมการปฏิบตั ใิ ห้มนใจว่
ั ่ ากิจกรรมดาเนินไปด้วยความปลอดภัยและสอดคล้องกับแผนงาน
ทีว่ างไว้รวมถึงมีการเตรียมความพร้อมการวางแผนฉุ กเฉินรองรับ สาหรับกรณีท่เี กิดภาวะที่ม ี
การเปลีย่ นแปลงทีเ่ ร่งด่วนหรือภาวะฉุกเฉินขึน้ เป็ นเรื่องการกาหนดโครงสร้าง ความรับผิดชอบ
ของบุค ลากรในโรงงานรวมถึงสิ่งที่ค วรด าเนิ นการเพื่อ ให้เ กิดความปลอดภัยในการทางาน
ประกอบด้วยข้อกาหนดย่อย ๆ ดังนี้
634
1) โครงสร้างและความรับผิดชอบ
2) การฝึกอบรม การสร้างจิตสานึก และความรูค้ วามสามารถ
3) การสื่อสาร
4) เอกสารและการควบคุมเอกสาร
5) การจัดซือ้ และการจัดจ้าง
6) การควบคุมการปฏิบตั ิ
7) การเตรียมความพร้อมสาหรับภาวะฉุกเฉิน
8) การเตือนอันตราย
ข้อกาหนดที่ 5 การตรวจสอบและแก้ไข
ผูบ้ ริหารขององค์กรต้องกาหนดให้มกี ารตรวจติดตามและประเมินผลการปฏิบตั งิ านเป็ น
ระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยการตรวจประเมิน ทัง้ นี้ เพื่อวัดผลการปฏิบตั แิ ละหาข้อบกพร่องของ
ระบบ แล้วนาไปวิเคราะห์หาสาเหตุและทาการแก้ไข ป้ องกันมิให้เกิดข้อผิดพลาดซ้าซ้อนขึน้ อีก
ภายหลัง และต้องมีการบันทึกไว้เป็ นลายลักษณ์อกั ษร ซึง่ เป็ นข้อกาหนดทีส่ ร้างความมันใจว่
่ าสิง่
ทีไ่ ด้กาหนดเป็ นนโยบายการวางแผนและการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ประสบความสาเร็จ หรือไม่
มีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง สาเหตุทแ่ี ท้จริงของปั ญหามีอะไร มีขอ้ กาหนดย่อย ดังนี้
1) การติดตามตรวจสอบและการวัดผลการปฏิบตั ิ
2) การตรวจประเมิน
3) การแก้ไขและการป้ องกัน
4) การจัดทาและเก็บบันทึก
ข้อกาหนดที่ 6 การทบทวนการจัดการ
เป็ นข้ อ ก าหนดส าคัญ ที่ น าไปสู่ ห ลัก การการปรับ ปรุ ง อย่ า งต่ อ เนื่ อ ง ( continual
Improvement) ผูบ้ ริหารระดับสูงขององค์กรจะต้องกาหนดให้มกี ารทบทวนระบบการจัดการอา-
ชีวอนามัยและความปลอดภัย ในข้อกาหนดนี้ผู้บริหารจะต้องมีการทบทวนทาความเข้าใจถึง
สภาพของการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานทัง้ หมดที่
เกิดขึน้ ทีเ่ ป็ นจริงและได้มกี ารตรวจสอบ ประเมินผลการดาเนินงานอย่างครบถ้วนแล้ว ซึง่ จากผล
การดาเนินงาน ผลการตรวจประเมิน รวมทัง้ ปั จจัยต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป และนามาทาการ
ปรับปรุงดาเนินงานเพื่อลดความเสี่ยงที่มผี ลต่ อความปลอดภัย อย่างต่ อเนื่อ งรวมทัง้ กาหนด
แผนงานในเชิงป้ องกัน และนาไปสู่การบริหารเชิงรุกต่อไป
635
การจัดทาระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามมาตรฐาน มอก.
18001 ในองค์การ
องค์การตัดสินใจจะพัฒนา
ระบบ มอก.18001
ตัง้ ทีมพัฒนาระบบ
ฝึกอบรมหลักสูตรต่าง ๆ
จัดทาระบบเอกสาร
ประกาศนโยบาย
ดาเนินงาน
การตรวจประเมินภายใน
การทบทวนการจัดการ
การนามาตรฐานไปใช้
การน ามาตรฐานผลิต ภัณ ฑ์อุ ต สาหกรรมระบบการจัด การอาชีว อนามัย และความ
ปลอดภัยไปใช้ จะช่วยเสริมสร้างความมันใจในความปลอดภั
่ ยในชีวติ และทรัพย์สนิ ช่วยองค์กร
ลดค่ าใช้จ่ายในการรัก ษาพยาบาลผู้ป ฏิบตั ิงานและประการส าคัญ คือ ช่ว ยลดอัต ราการเกิด
อุบตั เิ หตุภายในองค์กร ซึง่ เป็ นการแสดงออกถึงความห่วงใยขององค์กรทีม่ ตี ่อพนักงาน นาไปสู่
ความมันใจในการท
่ างาน เสริมสร้างคุณภาพขององค์กร อันก่ อให้เกิดความได้เปรียบต่อองค์กร
636
คู่แ ข่ง ในตลาดการค้า และเป็ น ผู้น าในวงการธุ ร กิจ ระบบการจัด การอาชีว อนามัย และความ
ปลอดภัยนี้สามารถนามาใช้ได้กบั การจัดการขององค์กรไม่ว่าประเภทหรือขนาดใดๆ การนา
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุ ต สาหกรรมระบบการจัดการอาชีว อนามัยและความปลอดภัยไปใช้ใ น
องค์กรให้เกิดประโยชน์สงู สุด ดังนัน้ ในตอนนาไปสู่การปฏิบตั จิ งึ ต้องพิจารณา ดังต่อไปนี้
1) ผู้บ ริห ารระดับ สู ง ต้อ งมีค วามมุ่ ง มัน่ และตัง้ ใจในการน าระบบไปใช้ และให้ก าร
สนับสนุนอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ด้วยการกาหนดนโยบายและแผนงานให้ชดั เจน
2) พนักงานทุกคน ทุกระดับในองค์การจะต้องมีความเข้าใจ ให้ความสาคัญในการจัดทา
มาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย โดยการให้ความร่วมมือ ร่วมแรง
ร่วมใจอย่างจริงจังเพื่อให้เกิดความสาเร็จ
3) ต้องมีการจัดสรรงบประมาณ และทรัพยากรต่าง ๆ อย่างเพียงพอ และมีการควบคุม
กากับ ติดตาม และตรวจสอบอย่างเป็ นระบบเพื่อความคุม้ ค่าในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ นามาซึง่
ความคุม้ ค่า
4) จัดระบบการติดตามประเมินผลทัง้ ระบบ เพื่อให้ทราบถึงจุดบกพร่องต่าง ๆ ทีเ่ กิดขึน้
ระหว่ า งการด าเนิ น งาน และน ามาปรับ ปรุง แก้ไ ขระบบการจัด การอาชีว อนามัย และความ
ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
องค์การใดที่จะต้องจัดทามาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและ
ความปลอดภัย
สภาพการณ์ ปั จ จุ บ ัน ที่ม ีก ารแข่ ง ขัน กัน ด้า นการผลิต สิน ค้า และบริก าร ไม่ ว่ า เป็ น
อุตสาหกรรมประเภทใดหรือขนาดใดก็ตามย่อมต้องทาให้ผลิตภัณฑ์ หรือสินค้า และบริการของ
กิจ การได้ ร ับ มาตรฐานสากลเป็ นที่ย อมรับ จึง จะท าให้ อ งค์ ก ารสามารถด ารงอยู่ ไ ด้ ใน
ขณะเดี ย วกั น การจัด ท ามาตรฐานระบบการจัด การอาชีว อนามัย และความปลอดภัย
(มอก.18001) องค์การสามารถนาระบบนี้ไปใช้ได้ทุกองค์การ ซึ่งการนาไปใช้นนั ้ แต่ละองค์การ
จะต้องพิจารณาสภาพการณ์ขององค์การ หรือมีการวิเคราะห์สถานการณ์ขององค์ การให้ทราบ
อย่างละเอียด และชัดเจนเกี่ยวกับกิจกรรมที่ปฏิบตั ิอ ยู่ใ นปั จจุบนั มีอ ันตรายที่เ กิดขึ้นในการ
ปฏิบตั งิ านอย่างไรลักษณะใด และอันตรายนัน้ มีความเสีย่ งมากน้อยเพียงใด แล้วนามาจัดลาดับ
ตามระดับความเสี่ยงจากน้ อยไปหามากที่อ าจจะเกิดขึ้นโดยประมาณค่ าจากโอกาสที่จะเกิ ด
อันตรายและความรุนแรงของความเสียหาย แล้วจึงทาการวางแผนปฏิบตั ิ การควบคุมความ
เสีย่ งทีอ่ าจจะเกิดขึน้ โดยอาจเปรียบเทียบกับข้อกาหนดตามกฎหมาย รวมทัง้ วิธปี ฏิบตั ทิ ถ่ี ูกต้อง
สาหรับกิจกรรมนัน้ ๆ แล้วกาหนดเป้ าหมายในการดาเนินการในเชิงปริมาณเพื่อความสะดวกใน
การผลและประเมินผลการดาเนินงาน
หลักการและวิธกี ารในการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในสถานประกอบการ
นัน้ ถ้าหากองค์การใดมีก าหนดนโยบายที่เหมาะสม มีแผนงานที่ชดั เจน จะทาให้ระบบการ
637
6. ทาให้องค์การสามารถเตรียมความพร้อมในการแข่งขันทางด้านการประกอบธุรกิจใน
ตลาดโลก ซึง่ ทาให้องค์การพัฒนาเจริญก้าวหน้าสู่สากลเป็ นทีย่ อมรับของนานชาติได้
ขอรับการรับรองการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
องค์กรทีไ่ ด้จดั ทาระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยขอการรับรองได้จาก
หน่ วยรับรองทีใ่ ห้บริการการรับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยได้โดยยื่น
คาขอรับรองพร้อมเอกสารประกอบการพิจารณาทีเ่ กีย่ วข้องตามทีห่ น่วยรับรองกาหนด
ขัน้ ตอนการรับรองโดยทัวไป ่
การขอรับการรับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
1. ยื่นคารับการรับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย พร้อมทัง้
เอกสาร ประกอบด้วย
1.1 คู่ ม ือ ระบบการจัด การอาชี ว อนามัย และความปลอดภัย และเอกสาอื่ น ๆ ที่
เกีย่ วข้อง
1.2 ข้อมูลทัวไปของผู
่ ย้ น่ ื คาขอ
2. หน่ วยรับรองจะประเมินเอกสารแล้วจัดทารายงานผลการประเมิน แจ้งให้ผยู้ ่นื คาขอ
ทราบ พร้อมรายชื่อเจ้าหน้าทีผ่ ปู้ ระเมินและกาหนดการตรวจประเมินเบือ้ งต้น
3. หน่ วยรับรองส่งเจ้าหน้าทีผ่ ปู้ ระเมินทีผ่ ปู้ ระเมินไปตรวจประเมินเบื้องต้นตามกาหนด
เพื่อรวบรวมข้อมูลความพร้อมขององค์กรและรายละเอียดอื่นๆ เพื่อกาหนดแผนกี่ตรวจประเมิน
พร้อมทัง้ จัดทารายงานผลการตรวจประเมินเบือ้ งต้น แจ้งและกาหนดการตรวจประเมิน
4. หน่ วยรับรองส่งเจ้าหน้าที่ผปู้ ระเมินไปตรวจประเมิน ณ สถานประกอบตามกาหนด
พร้อมทัง้ จัดทารายงานผลการตรวจประเมินแจ้งให้ผยู้ น่ ื คาขอทราบ
5. หน่วยรับรองสรุปรายงานผลการตรวจประเมิน เสนอคณะกรรมการของหน่ วยรับรอง
พิจารณาให้การรับรอง
6. หน่วยรับรองจัดพิมพ์ใบรับรองระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
7. หน่วยรับรองตรวจประเมินเพื่อการติดตามผลอย่างน้อยปี ละ 1 ครัง้
8. หน่วยรับรองตรวจประเมินใหม่ทงั ้ ระบบ
(เมือ่ ครบกาหนด 3 ปี และขอรับรองต่อเนื่อง)
จากความเข้าใจเกีย่ วกับการตรวจสอบรับรองข้างต้น องค์กรจะเห็นว่าการตัดสินใจเลือก
หน่ วยรับรองเป็ นสิง่ ที่มคี วามสาคัญ ทัง้ นี้เพื่อให้ผลองการรับรองที่ได้รบั จากหน่ วยงานรับรอง
นัน้ ๆ จะมีค วามน่ า เชื่อ ถือ และเป็ น ที่อ มรับ ขององค์ก ร ซึ่ง เป็ น แนวทางควรน ามาพิจ ารณา
ประกอบการตัดสินใจเลือกหน่วยรับรอง จะต้องดาเนินการทีป่ ระกอบด้วย คือ
640
2. ทาการประเมินระบบการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย โดยคณะบุคลที่
มีความสามารถจากภายใน หรือภายนอกองค์การ ซึง่ เป็ นอิสระจากกิจกรรมที่ตรวจสอบ อย่าง
น้อยปี ละ 1 ครัง้
3. บันทึกและรวบรวมผลการตรวจประเมินระบบและการทบทวนการจัดการไว้เพื่อเป็ น
ข้อมูลในการแก้ไขปรับปรุง
องค์ประกอบที่ 5 การดาเนินการปรับปรุง
1. จัดให้มแี ผนงานและการดาเนินการสาหรับการปรับปรุงอย่างต่ อ เนื่อ งของทุ ก
องค์ประกอบในระบบ
ขัน้ ตอนที่ 5 ประชุ ม หารื อ ฝ่ ายบริ ห ารขององค์ก าร เพื่อ น าผลที่ไ ด้จ ากการ
ประเมินผล มาพิจารณาร่วมกับปั จจัยต่าง ๆ ของ ระบบการจัดการในภาพรวมขององค์การ แล้ว
นามาประกอบการพิจารณาปรับนโยบายแผนงานและเป้ าหมายเพื่อประสิทธิผล ของระบบการ
จัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยทีจ่ ะดาเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องและยังยื
่ น
สรุป
จัดระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มีวตั ถุประสงค์ เพื่อควบคุมความ
เสีย่ งต่อผูป้ ฏิบตั งิ านและสังคม เพื่อเพิม่ ประสิทธิภาพการทางาน และเพื่อความเป็ นรูปธรรมหรือ
สิง่ ที่เห็นได้ชดั เจนของความรับผิดชอบต่อสังคม โดยความสาคัญของระบบการจัดระบบการ
จัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มีความสาคัญต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ต่อประโยชน์ในการทาธุรกิจ ต่อความเป็ นระบบการทางาน ต่อคุณภาพชีว ิตทีด่ ขี องผูป้ ฏิบตั งิ าน
และลดความสูญเสียทีเ่ กิดขึน้ จากการทางาน และต่อภาพลักษณ์ทด่ี ตี ่อองค์การ ด้วยความสาคัญ
ของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มีหลายหน่ วยงานทัง้ ภาครัฐและเอกชน
ได้แก่ องค์กรกาหนดมาตรฐานชาติ องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ องค์กรบังคับใช้กฎหมาย
และองค์ก รวิชาชีพ แนวคิดมาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของ
กระทรวงแรงงานประกอบด้วยเรื่อง (1) การจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในประเทศ
ไทย (2) ระบบการจัดการความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ILO-OSHMS 2001 และ (3) แนวคิด
ของมาตรฐานระบบการจัดการด้านความปลอดภัยในการทางานของกระทรวงแรงงาน
เป้ าหมายของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ตามมาตรฐาน มอก.
18001 (มอก.18001) ได้แ ก่ ลดและควบคุ ม ความเสี่ย งอัน ตรายของลูก จ้า งและผู้เ กี่ย วข้อ ง
เพิม่ ประสิทธิภาพการดาเนินงานขององค์การ และแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์ การ
อย่างเป็ นรูปธรรม และรูปแบบของ มอก. 18001 มีขอ้ กาหนดหลัก ดังนี้ (1) การทบทวนสถานะ
เริม่ ต้น (2) นโยบายอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (3) การวางแผน (4) การนาไปใช้และการ
ปฏิบตั ิ (5) การตรวจสอบและแก้ไ ข (6) การทบทวนการจัดการ องค์ก ารแรงงานระหว่ า ง
645
แบบฝึ กหัด
ให้ตอบคาถามให้ถกู ต้องและสมบูรณ์ที่สดุ
1. แนวคิดการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยมีปัจจัยเหตุผลใดบ้าง
2. ให้บอกถึงวัตถุประสงค์ของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
3. ให้บอกถึงความสาคัญของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
4. ในการจัดทาระบบตามข้อกาหนดในมาตรฐาน มอก.18001 มีขนั ้ ตอนหลัก
5. อนุกรมมาตรฐาน มอก.18000 แบ่งออกเป็ นกีเ่ ล่ม
6. ให้บอกถึงขัน้ ตอนหลักในการจัดทาระบบการจัดการอาชีอนามัยและความปลอดภัย
7. ให้บอกถึงเป้ าหมายและรูปแบบของ มอก.18001
8. ขัน้ ตอนหลักในการจัดทาระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (มอก. 18001)
9. ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตามมาตรฐาน มอก.18001 ในองค์การ
10. ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยตาม ILO – OSH 2001
647
เอกสารอ้างอิง
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย(มอก.18001)
: ข้อกาหนด.(2554)., ค้นเมือ่ 28 กรกฎาคม 2559, จาก http://cste.sut.ac.th/cste/.
ราชกิจจานุเบกษา,ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ ๔๓๔๑ (พ.ศ. ๒๕๕๔), ค้นเมือ่
25 กรกฎาคม 2559, จาก http://www.ratchakitcha.soc.go.th.
สราวุธ สุธรรมาสา.(2554). มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.18001.วารสารความ
ปลอดภัยและสุขภาพ. ปี ท่ี 4 ฉบับที่ 15 ประจาเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2554.
สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม. (2554). มาตรฐานผลิ ตภัณฑ์อตุ สาหกรรม
มอก.18001-2554 ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย:
ข้อกาหนด สมอ.: กรุงเทพฯ.
อาดิษ เย็นประสิทธิ ์และจุฑาพนิต บุญดีกุล.(2553). เอกสารการสอนชุดวิชา การบริหารอาชีว-
อนามัยและความปลอดภัย.(ฉบับปรับปรุง ครัง้ ที่ 1).หน่วยที่ 8-15., มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช.,อรุณการพิมพ์ : กรุงเทพฯ.
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 12
ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม
หัวข้อเนื้ อหา
1. ความรูท้ วไปเกี
ั่ ย่ วกับระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม
2. ความหมาย และความสาคัญของการจัดการเชิงระบบ
3. ระบบ Eco-Management and Audit Scheme (EMAS)
4. อนุกรมมาตรฐานการจัดการสิง่ แวดล้อม ISO 14000
5. ระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมตามมาตรฐานสากล ISO 14001
6. ระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมตามมาตรฐานสากล ISO 14001: 2015
7. กฎหมายเกีย่ วกับระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม
8. สรุป
9. แบบฝึกหัด
10. เอกสารอ้างอิง
วิ ธีการสอนและกิ จกรรมการเรียนการสอน
1. ทาแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน (แบบทดสอบก่อนเรียน)
2. ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามทีไ่ ด้รบั มอบหมาย/นาเสนอกิจกรรมกลุ่มหน้าชัน้
3. บรรยายประกอบการเรียนการสอนด้วยโปรแกรม Power-Point
4. ทาแบบทดสอบหลังเรียน
5. ฝึกทาแบบฝึกปฏิบตั ิ
650
สื่อการเรียนการสอน
1. เอกสารคาสอนรายวิชาการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิง่ แวดล้อม
2. แบบฝึกปฏิบตั ิ
4. สื่อภาพประกอบและโปรแกรม Power-Point
5. วีดที ศั น์
การวัดผลและประเมิ นผล
1. ประเมินผลการทาแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน
2. ประเมินผลจากกิจกรรมมอบหมาย
3. ประเมินผลแบบฝึกปฏิบตั ทิ า้ ยบท
4. ประเมินผลแบบทดสอบประจาภาคการศึกษา
651
บทที่ 12
ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม
มาตรฐานระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม หรือ ISO 14000 เป็ นมาตรฐานสากลสาหรับ
การจัดการสิง่ แวดล้อมขององค์กร ให้เกิดผลกระทบต่อ สิง่ แวดล้อมให้น้อยที่สุด โดยองค์กร
สามารถจัดทาระบบ และขอการรับรองได้โดยความสมัครใจแต่ต้องมีการประกาศเป็ นนโยบาย
อย่างชัดเจน และเปิ ดเผยต่อสาธารณชน ISO 14000 ประกอบด้วยมาตรฐานหลายฉบับ ฉบับที่
มีความสาคัญมากทีส่ ุดคือ ISO14001 (Environmental Management System) หรือ มาตรฐาน
ระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม ซึง่ เป็ นมาตรฐานเพียงฉบับเดียวใน อนุ กรม ISO14000 ทีส่ ามารถ
สร้างความเชื่อมันกั ่ บผูเ้ กี่ยวข้อง ได้โดยการออกใบรับรอง (Certificate) เพื่อเป็ นการแสดงว่า
องค์กรได้มกี ารดาเนินธุรกิจที่จะไม่ทาให้มกี ารทาลายสิง่ แวดล้อมหรือทาให้สงิ่ แวดล้อมมีความ
เสียหาย ซึ่งในปั จจุบนั นี้ปัญหาที่สาคัญของโลกคือปั ญหาด้านสิง่ แวดล้อม ได้ปรับเปลี่ยนการ
แก้ปัญหาจากปลายเหตุ มาแก้ปัญ หาที่ต้นเหตุ ของปั ญ หาที่เ กิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิง่ การ
ทาลายสิง่ แวดล้อมโดยมนุ ษย์ ที่มกี ารพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ
ก้ า วหน้ า ที่น าเทคโนโลยีส มัย ใหม่ เ ข้า มาใช้ รวมทัง้ สารเคมี สารพิษ ต่ า ง ๆ ท าให้ท าลาย
สิง่ แวดล้อม เพื่อสร้างความตระหนักให้กบั ผู้ประกอบการหรือผู้บริหารองค์การช่วยกันดูรกั ษา
สิ่งแวดล้อ มร่ว มกัน โดยอาศัยความร่ว มมือ ทุก ภาคส่ ว นได้แก่ ภาครัฐที่เ ป็ นผู้อ อกกฎหมาย
ต่าง ๆ เกี่ยวกับสิง่ แวดล้อม การให้ความร่วมมือหรือเป็ นสมาชิกกับหน่ วยงานระหว่างประเทศ
เกี่ยวกับมาตรฐานระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมอย่างเป็ นระบบและมาตรฐานสากลให้เป็ นการ
กาหนดแนวทางที่สาคัญในการนามาพัฒนาระบบการจัดการสิ่งแวดล้ อมในประเทศไทยเพื่อ
ส่งผลต่อสิง่ แวดล้อม ประชาชน และประเทศชาติต่อไป
มีนกั วิชาการต่าง ๆ ได้ให้ความหมายของคาว่าสิง่ แวดล้อม ไว้ต่าง ๆ ดังนี้
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 และ พระราชบัญญัตสิ ่งเสริมและรักษา
สิง่ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้ให้ความหมายของคาว่า สิง่ แวดล้อม (Environment) ไว้ว่า
สิง่ ต่าง ๆ ที่มลี กั ษณะทางกายภาพและชีวภาพทีอ่ ยู่รอบตัวมนุ ษย์ ซึง่ เกิดขึน้ โดยธรรมชาติและ
สิง่ ทีม่ นุษย์ได้กระทาขึน้
ศดินา ภารา (2552, หน้า 18) ได้ให้ความหมายของ สิง่ แวดล้อม (Environment) ไว้ว่า
ทุกสิง่ ทุกอย่างทีร่ อบคอบตัวมนุษย์ทงั ้ ในระยะใกล้ และไกลอาจเป็ นสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติ
หรือที่มนุ ษย์สร้างขึน้ ทัง้ ที่เป็ นรูปธรรมและนามธรรม เป็ นสิง่ ที่มชี วี ติ และไม่มชี วี ติ ก็ได้ทุกอย่าง
เกีย่ วข้องเป็ นระบบ และมีอทิ ธิพลต่อการดารงชีวติ ของมนุษย์หรือสิง่ มีชวี ติ
อาดิ ษ เย็ น ประสิ ท ธิ (์ 2553, หน้ า 15-5) ได้ ใ ห้ ค วามหมายของ สิ่ ง แวดล้ อ ม
(Environment) ไว้ว่า ทุกสิง่ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรา มนุ ษย์ก็เป็ นสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งที่อยู่ร่วมกัน
652
กับสิง่ แวดล้อมอื่น ๆ เช่น อากาศ น้ า ดิน พืช สัตว์ ทรัพยากรธรรมชาติ หรืออื่น ๆ อย่างพึง่ พิง
และสัมพันธ์กนั ความเปลีย่ นแปลงใด ๆ ต่อคุณภาพสิง่ แวดล้อมอย่างหนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบต่อ
คุณภาพของสิง่ แวดล้อมอีกย่างหนึ่งไปด้วย
เปลื้อง ณ นคร (ม.ป.ป.) ได้ให้ความหมายของ สิง่ แวดล้อม (Environment) ไว้ว่า สิง่
ต่าง ๆ ทีอ่ ยูโ่ ดยรอบตัวมนุษย์ ทัง้ ทีม่ นุษย์ประดิษฐ์ขน้ึ และทีเ่ กิดขึน้ ตามธรรมชาติ
กมลทิพ ย์ วงศ์ล ีธ นาภรณ์ (2556, หน้ า 2) ได้ใ ห้ค วามหมายของ สิ่ง แวดล้อ ม
(Environment) ไว้ว่า สิง่ ต่าง ๆ ทีอ่ ยูร่ อบตัวมนุษย์ ซึง่ มีทงั ้ มีชวี ติ และไม่มชี วี ติ ทัง้ ทีเ่ ป็ นรูปธรรม
(จับต้องและมองเห็นได้) และนามธรรม (จับต้องไม่ได้และมองไม่เห็น) ทัง้ ที่เกิดขึ้นเองตาม
ธรรมชาติและทีม่ นุษย์ได้สร้างขึน้ มา
จากความหมายข้างต้น สรุปว่า สิ่ งแวดล้อม หมายถึง สิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ตามธรรมชาติและที่
มนุษย์สร้างขึน้ ทีเ่ ป็ นรูปธรรมและนามธรรมสิง่ ทีเห็นได้ดว้ ยตาและไม่ส ามารถเห็นได้ดว้ ยตาสิง่ ที่
มีชวี ติ และไม่มชี วี ติ ตลอดจนสิง่ ทีเ่ ป็ นทัง้ คุณและให้โทษ หรืออีกนัยหนึ่ง หมายถึง ทุกสิง่ ทุกอย่าง
ที่อ ยู่ล้อ มรอบตัว มนุ ษ ย์ มีทงั ้ สิ่ง ที่มชี ีว ิต และสิ่งที่ไ ม่มชี ีว ิต ทัง้ สิ่งที่เ ป็ นรูป ธรรมและสิ่งที่เ ป็ น
นามธรรมมีทงั ้ สิง่ ที่เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติและสิง่ ทีม่ นุ ษย์สร้างขึน้ มีอทิ ธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน
เป็ นปั จจัยในการเกื้อ กู ลซึ่งกันและกัน ผลกระทบจากปั จจัยหนึ่งมีส่ วนเสริมสร้างหรือ ทาลาย
ปั จจัยอื่นอย่างหลีกเลีย่ งมิได้ เป็ นวงจรหรือวัฏจักรทีเ่ กีย่ วเนื่องกันทัง้ ระบบ
สิง่ แวดล้อมสามารถแยกประเภทได้ 2 ประเภท ได้ดงั นี้
1. สิ่ งแวดล้อมทางธรรมชาติ (Natural Environment) เป็ นลักษณะทีเ่ กิดขึน้ เองตาม
ธรรมชาติ เช่น ป่ าไม้ สัตว์ อากาศ ดิน น้ า มนุ ษย์ สิง่ เหล่านี้ต้องอาศัยสิ่ งแวดล้อมอื่นประกอบ
แบ่งออกเป็ น 2 ประเภทย่อย ได้แก่
1.1 สิ่ง ที่ม ีชีว ิต (Biotic Environment) หรือ เรีย กว่ า สิ่ง แวดล้อ มทางชีว ภาพ
(Biological Environment) เกิดขึน้ เองตามธรรมชาติมคี ุณสมบัตเิ ฉพาะตัวของสิง่ ที่มชี วี ติ เช่น
พืช สัตว์ มนุษย์ เป็ นต้น
1.2 สิง่ ที่ไม่มชี วี ติ (Abiotic Environment) หรือ สิง่ แวดล้อมทางกายภาพ อาจจะ
มองเห็นหรือมองไม่เห็น เช่น แร่ธาตุ อากาศ เสียง เป็ นต้น
2. สิ่ งแวดล้อมที่ มนุษย์สร้างขึ้น (Human made Environment) สภาพดัง้ เดิมเป็ นสิง่
ทีม่ อี ยู่ในธรรมชาติ แล้วมนุ ษย์เป็ นผู้มาดัดแปลง เช่น ถนน บ้านเมือง ตึก เขื่อนกักน้ า เป็ นต้น
ซึง่ เป็ นสิง่ ทีเ่ ป็ นนามธรรม เช่น วัฒนธรรม ประเพณี การเมือง ศาสนา เป็ นต้น
653
ความหมายของการจัดการเชิ งระบบ
ปั จจุบนั โลกหันมาให้ค วามสาคัญ กับสิ่งแวดล้ อ ม โดยมีก ารดาเนินการจัดการในเชิง
ระบบมากขึน้ เพื่อเป็ นการรักษาความสมดุลของธรรมชาติให้สงิ่ มีชวี ติ สามารถดารงอยู่ได้อย่าง
ยังยื
่ น เกิดความปลอดภัย
อาดิษ เย็นประสิทธิ ์, (2553,หน้า 15-5) ได้ให้ความหมายของ การจัดการ ไว้ว่า ภารกิจ
ของบุคคลหรือที่เรียกว่าผูบ้ ริหาร ที่ต้องเข้ามาทาหน้าที่ประสานการทางานของบุคคล ซึ่งหาก
แยกกันทาแล้วงานนัน้ อาจจะไม่ประสบความสาเร็จ
ร็อบบินส์ และ ค็อตเลอร์ Robbins. S.P, & Coulter.M. (2009, p.22) ได้ให้ความหมาย
ของ การจัดการ ไว้ว่า กระบวนการทีท่ าให้งานกิจกรรมต่าง ๆ สาเร็จลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และมีประสิทธิผลด้วยคน และทรัพยากรขององค์การ
การจัดการ หมายถึง กระบวนการทางานหรือกิจกรรมของบุคคลในองค์การ ซึ่งต้อง
อาศัยผู้บริหารทีต่ ้องทาหน้าที่ในการสังการ ่ ประสานงานให้บุคคลในองค์การ ร่วมแรงร่วมใจใน
การท างานเพื่อ ให้บ รรลุ ว ัต ถุ ป ระสงค์ข ององค์ก าร ซึ่ง ระดมทรัพ ยากรทางการบริห ารมา
ดาเนินการโดยอาศัยกระบวนการทางการจัดการ เริม่ ตัง้ แต่การวางแผน การจัดองค์การ การ
อานวยการ การจัดบุคคลเข้าทางาน และการควบคุม เป็ นต้น
กมลทิพย์ วงศ์ล ีธ นาภรณ์ (2556, หน้ า 259) ได้ใ ห้ค วามหมายของ ระบบนิเ วศ
(Ecosystem) ไว้ว่าระบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิง่ มีชวี ติ ทีอ่ าศัยอยู่ร่วมกันในบริเวณนัน้ และ
ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิง่ มีชวี ติ กับสภาพแวดล้อ มของแหล่ งที่อยู่ ได้แก่ ดิน น้ า แสง ใน
ระบบนิเวศจะมีการถ่ายทอดพลังงานระหว่างกลุ่มสิง่ มีชวี ติ กลุ่มต่างๆ และมีการหมุนเวียนสาร
ต่างๆจากสิง่ แวดล้อมสู่สงิ่ มีชวี ติ และจากสิง่ มีชวี ติ สู่สงิ่ แวดล้อม
กรมส่ ง เสริ ม สิ่ ง แว ดล้ อ ม ( ม.ป.ป.,จาก https://web.ku.ac.th/schoolnet) ได้ ใ ห้
ความหมายของ ระบบนิ เ วศ (ecosystem) ไว้ว่ า ความสัม พัน ธ์ข องสิ่ง มีชีว ิต ในแหล่ ง ที่อ ยู่
อาศัย ณ ที่ใ ดที่ห นึ่ ง ความสัม พัน ธ์ม ี 2 ลัก ษณะคือ ความสัม พัน ธ์ร ะหว่ า งสิ่ง มีชีว ิต กับ
สิ่ง ไม่ม ีชีว ิต และระหว่ า งสิ่ง มีชีว ิต กับ สิ่ง มีชีว ิต ด้ว ยกัน เอง โดยมีก ารถ่ า ยทอดพลัง งานและ
สารอาหารในบริเวณนัน้ ๆ สู่สงิ่ แวดล้อม
อาดิษ เย็นประสิทธิ ์ (2553, หน้า 15-5) ได้ให้ความหมายของ การจัดการสิง่ แวดล้อม
เชิงระบบ หรือ ระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม ไว้ว่า กระบวนการของกิจกรรมที่มขี นั ้ ตอน การ
แก้ไขปรับปรุงปั ญหาสิง่ แวดล้อมขององค์การโดยใช้กระบวนการจัดการ ซึ่งประกอบด้วย การ
วางแผน การดาเนินการ การตรวจสอบ และการแก้ไข ทัง้ นี้ การจัดการสิง่ แวดล้อมเชิงระบบ นัน้
จะต้องดาเนินการเป็ นวงจรที่ดาเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเป็ นส่วนหนึ่งของการจัดการที่ต้อง
ดาเนินการทัง้ องค์การ
654
โดยการจัดการสิง่ แวดล้อมจะต้องมีการดาเนินการด้วยระบบการตรวจสอบและติดตาม
โดยอาศัยวงจรเดมมิง่ (Deming cycle) หรือ PDCA มาใช้ในการจัดการ ดังภาพที่ 12.1
การวางแผน
การแก้ไข การดาเนินการ
การตรวจสอบ
4. ลดผลกระทบต่อผูท้ ี่เกี่ยวข้อง
4.1 ลดผลกระทบด้านสิง่ แวดล้อมต่อชุมชน
4.2 ลดผลกระทบต่อพนักงานภายในองค์ก ารซึง่ ทาให้เกิดสภาพแวดล้อมการทางาน
ทีด่ ี รวมทัง้ มีการป้ องกันในกรณีทม่ี อี ุบตั เิ หตุเกิดขึน้
4.3 สร้ า งความสัม พัน ธ์ อ ัน ดีต่ อ หน่ ว ยงานราชการ การออกข้อ กฎหมายเพื่อ
กาหนดให้หน่ วยงานภาครัฐและเอกชนต้องมีการจัดทาระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมเนื่องจากให้
มีความตระหนักและรับผิดชอบต่อสังคมโดยส่วนรวมและรวมไปถึงคุณภาพชีวติ ทีด่ ขี องพนักงาน
ในองค์การ ทาให้ตอ้ งผลงานทีด่ ดี า้ นสิง่ แวดล้อมต่อกันทาให้คลายความขัดแย้งต่าง ๆ
มาตรฐานอื่นภายใต้ TC 207
1. ISO/TR 14061: 1998 การนามาตรฐาน ISO14001 และ ISO 14004 ไปใช้ใน
หน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้องกับการจัดการป่ าไม้
2. ISO/TR 14062: 2002 มาตรฐานการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสิง่ แวดล้อม
3. ISO 14063 มาตรฐานการสื่อสารด้านสิง่ แวดล้อม
4. ISO/IEC Guide 64 ข้อแนะนาประเด็นปั ญหาสิง่ แวดล้อมของมาตรฐานผลิตภัณฑ์
สาหรับประเทศไทยได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับ ที่ 2208 (พ.ศ. 2539)
เรื่องกาหนด มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม : ข้อแนะนาทัวไป ่
เกี่ย วกับ หลัก การระบบและเทคนิ ค ในทางปฏิบ ัติโ ดยมีส าระส าคั ญ ว่ า ด้ว ยขอบข่า ยที่ร ะบบ
ข้อแนะนาในการนาหลักการของระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมไปใช้ในหน่ วยงานเป็ นการรับเอา
มาตรฐาน ISO 14001 มาใช้เป็ นมาตรฐานของประเทศไทยด้วย
การดาเนิ นการมาตรฐานในอนุกรมมาตรฐานการจัดการสิ่ งแวดล้อม ISO 14000
ISO 14000 เป็ นอนุ กรมมาตรฐานที่ประกอบไปด้ว ยหลายมาตรฐาน โดยแต่ล ะ
มาตรฐานเป็ นเรื่องทีเ่ กี่ยวข้องกับการจัดการสิง่ แวดล้อมทัง้ สิน้ ซึง่ สามารถแบ่งได้เป็ น 3 กลุ่ม
หลัก ได้แก่ มาตรฐานทีเ่ กี่ยวกับองค์กรหรือกระบวนการ (Organization-oriented standards)
มาตรฐานที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (Product- oriented standards) และคาศัพท์และคานิยาม
(Terms and Definitions) โดยสองมาตรฐานแรกจะช่วยให้องค์กรสามารถใช้ในการวางแผนและ
การตัด สิน ใจส าหรับ การจัด การสิ่ง แวดล้อ ม พร้อ มทัง้ ยัง สามารถใช้ส่ ือ สารนโยบายด้า น
สิง่ แวดล้อมขององค์กรไปสู่ลกู ค้าและองค์กรอื่น ๆ ได้อกี ด้วย
1. มาตรฐานที่ เกี่ยวกับองค์กร เป็ นกลุ่มมาตรฐานทีอ่ ธิบายและแนะนาเกี่ยวกับการ
จัด ตัง้ การด าเนิ น งาน และการประเมิน ผลระบบการจัด การสิ่ง แวดล้ อ ม ( Environmental
Management System: EMS) ซึง่ ประกอบด้วยมาตรฐานต่าง ๆ ดังนี้
1.1 ระบบการจัดการสิ่ งแวดล้อม (Environmental Management System:
EMS) เป็ น มาตรฐานควบคุ ม ระบบการจัดการสิ่ง แวดล้อ มขององค์ก รทัง้ ด้า นนโยบาย การ
วางแผน การปฏิบตั ติ ามแผน การตรวจสอบ และการทบทวนปรับปรุงระบบ ได้แก่
1.1.1 ISO 14001: 2015 ข้อ ก าหนดระบบการจัด การสิ่งแวดล้อ ม
(Environmental Management System Specification) เป็ นข้อกาหนดระบบการจัดการ
สิง่ แวดล้อม ซึง่ ถือเป็ นกรอบการทางานทีอ่ งค์กรต้องปฏิบตั ติ าม และขอรับการตรวจประเมินเพื่อ
รับรองระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม (EMS Certification)
1.1.2 ISO 14004: 2004 หลักการทัวไปของระบบการจั
่ ดการสิง่ แวดล้อม
(General Guidelines) เป็ นข้อแนะนาด้านหลักการและเทคนิคการจัดการระบบและการใช้ใน
องค์กรใช้เป็ นแนวทางในการปรับปรุงระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมทีใ่ ช้อยู่ในปั จจุบนั ให้ดขี น้ึ หรือ
665
ก ข ค
Recyclable Recycled 100% Recycled Fiber
การประกาศและเผยแพร่ข้อมูลเรื่องระบบการจัดการสิ่ งแวดล้อม
การดาเนินงานจัดระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมและการปฏิบตั ติ ้องอาศัยความร่วมมือ
จากพนั ก งานทุ ก ฝ่ ายและทุ ก ระดับ ควรมีก ารสื่อ สารให้ พ นั ก งานทุ ก คนในองค์ ก รเข้า ใจ
ความสาคัญของการดาเนินงานจัดทาระบบ ISO 14001 อันได้แก่ นโยบายสิง่ แวดล้อม บทบาท
หน้ าที่ และแผนงาน ซึ่งจะช่วยให้พนักงานทุกคนมีจติ ส านึกด้านสิ่งแวดล้อมและร่ว มมือ กัน
การสื่อสารสามารถทาได้หลายทาง เช่น การติดป้ าย ประกาศ บอร์ดบริษัท จอคอมพิวเตอร์
การอบรม และการประชุม
676
ให้ บ ริก ารให้ ก ารรับ รองระบบอีก เป็ น จ านวนมาก เช่ น บริษัท SGS (Thailand) Ltd.
บริษทั Bureau Veritas(Thailand) Ltd. บริษทั อินเตอร์เทค จากัด และบริษทั BSI Certification
Services Co., Ltd เป็ นต้น
2. ขัน้ ตอนการขอรับรองระบบการจัดการสิ่ งแวดล้อม
2.1 การคัดเลือกหน่ วยงานผู้ให้ การรับรองระบบ องค์กรควรพิจารณาคัดเลือก
หน่ วยงานผู้ให้การรับรองระบบ โดยคานึงถึงความเชื่อถือของผู้มสี ่วนได้ส่วนเสียต่อหน่ วยงาน
ผูใ้ ห้การรับรอง ความสะดวกและรวดเร็วในการติดต่อ ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ (ค่าพาหนะ
ค่าเดินทาง ค่าที่พกั ค่ าอาหาร และค่าใช้จ่ายอื่นๆ) ความเป็ นกลางและยุติธรรมในการตรวจ
ประเมิน ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ ใ นการตรวจระบบมาตรฐานการจัด การ
สิ่งแวดล้อ ม ความรู้ค วามเข้าใจในกฎหมายของไทย มาตรฐานของคนไทยและปั ญ หาด้า น
สิง่ แวดล้อม รวมทัง้ ระยะเวลาในการตรวจประเมินทีเ่ หมาะสม
2.2 การแจ้งขอการรับรองระบบ การยืน่ ใบสมัครเพื่อขอการรับรองระบบโดยทัวไป ่
แล้ว ประกอบด้ว ยคู่มอื สิ่งแวดล้อ มและขัน้ ตอนปฏิบตั ิง าน บางแห่ ง อาจมีแบบสอบถามเพื่อ
ประกอบการพิจารณาความพร้อมในการตรวจประเมิน เวลาทีใ่ ช้ในการตรวจประเมิน ขอบเขต ผู้
ตรวจสอบทีเ่ หมาะสม ผูเ้ ชีย่ วชาญด้านสิง่ แวดล้อมและข้อกฎหมาย และค่าใช้จ่าย จึงค่อยมีการ
ดาเนินงานทาสัญญา
2.3 การนัดหมายและกาหนดการตรวจประเมิ น หน่ วยงานที่ทาหน้าที่รบั รอง
ระบบจะส่งกาหนดการ ระบุวนั เวลา กาหนดการ พร้อมรายชื่อผูต้ รวจสอบให้องค์กรทราบ หาก
ไม่สะดวกก็สามารถแจ้งหน่วยงานรับรองได้
2.4 การตรวจประเมิ นขัน้ ที่ 1คือ การตรวจประเมินเบื้องต้น หน่ วยงานรับรองจะ
เข้า มาที่อ งค์ก ร เพื่อ ตรวจสอบเอกสาร ดูข้อ ก าหนดหลัก เบื้อ งต้น และศึก ษาลัก ษณะงาน
ลักษณะปั ญหาและผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อม พร้อมทัง้ พิจารณาความพร้อมขององค์กร ทัง้ นี้
นามาใช้เป็ นข้อมูลในการประมาณจานวนผูต้ รวจประเมิน และระยะเวลา
2.5 การตรวจประเมิ นขัน้ ที่ 2 หรือการตรวจประเมิ น โดยหน่ วยงานรับรองจะทา
การตรวจสอบระบบการจัดการทัง้ แผนงาน การตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐ จะมีคณะผูต้ รวจ
ประเมินมาทาการตรวจสอบ และเสนอคณะกรรมการพิจารณา ส่วนการตรวจสอบโดยหน่ วยงาน
ภาคเอกชน จะมีคณะผู้ตรวจประเมินมาทาการตรวจสอบ และพิจารณาผลการประเมินให้ การ
ตรวจสอบการปฏิบตั จิ ะเปรียบเทียบกับข้อกาหนด ISO 14001 : 2015 โดยประเมินทัง้ เอกสาร
บัน ทึก ต่ า งๆ สัม ภาษณ์ ผู้ป ฏิบตั ิง านดูส ภาพของสถานที่ กรณีพ บข้อ บกพร่อ งโดยทัว่ ไปจะ
แบ่งเป็ นข้อบกพร่องสาคัญ (Major) และข้อบกพร่องย่อย (Minor) หากพบว่าเป็ นข้อบกพร่อง
สาคัญอันมีผลให้ระบบล้มเหลวหรือมีผลกระทบต่อระบบ หน่ วยงานรับรองระบบจะพิจารณา
ไม่ให้การรับรอง องค์กรต้องรีบดาเนินการแก้ไข หากพบข้อบกพร่องย่อยที่ไม่มผี ลกระทบต่อ
680
ระบบมากนัก หน่ ว ยงานรับ รองระบบจะพิจ ารณาให้อ งค์ก รปรับ ปรุง แก้ ไ ข และแจ้ง ผลให้
หน่วยงานรับรองระบบทราบเพื่อพิจารณาติดตามผลอีกครัง้
2.6 หน่ วยงานรับรองพิ จารณาออกใบรับรอง เมื่อองค์กรผ่านการตรวจประเมิน
ระบบหน่ ว ยงานรับรองระบบจะออกใบรับรองซึ่งมีอ ายุ 3 ปี และมีก ารตรวจเยี่ยมเยีย น
(Surveillance) โดยผู้ตรวจประเมิน ความถี่ในการตรวจประเมินขึน้ อยู่กบั ข้อกาหนดของแต่ละ
หน่ วยงานรับรอง โดยทัวไปแล้
่ ว ประมาณ 6 เดือนหรือไม่น้อยกว่า 1 ครัง้ ต่อปี อาจเลือกตรวจ
เฉพาะบางหน่วยงานหรือบางกิจกรรมหรือตรวจทัง้ องค์กร
2.7 การตรวจประเมิ นเพื่อต่ ออายุใบอนุญาต ก่อนการครบกาหนดอายุใบรับรอง
ซึ่งก าหนดอายุ 3 ปี หากองค์ก รมีค วามต้อ งการที่จะรับการรับรองระบบต่ อ ต้อ งแจ้งต่ อ
หน่วยงานรับรองระบบ เพื่อนัดหมายมาตรวจประเมินใหม่ ซึง่ เป็ นการตรวจทัง้ ระบบเหมือนการ
ตรวจเพื่อขอการรับรองในครัง้ แรก
การ
การปรับปรุง สนับสนุนและ
การนาองค์การ ดาเนินงาน
การประเมิน
D
C การ
ดาเนินงาน
ผลลัพธ์ทม่ี ุ่งหวังของ
ระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม
สรุป
ระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมเป็ นสิง่ สาคัญและจาเป็ นสาหรับอุตสาหกรรม และหน่ วยงาน
ทุก หน่ ว ยงานทัง้ ภาครัฐและเอกชนที่ผ ลิต สินค้าและบริก ารที่เ กี่ย วข้อ งกับระบบนิเ วศที่เ ป็ น
สิง่ มีชวี ติ ทัง้ หมดในโลก ที่สาคัญคือการจัดการระบบการจัดการสิง่ แวดล้อ มต้องจัดทาในเชิง
ระบบจึงจะทาให้มคี วามครอบคลุมทัง้ หมดของสิง่ มีชวี ติ ได้แก่ น้ า อากาศ สัตว์ และพืช เป็ นต้น
ซึง่ เป็ นหน้าที่โดยตรงของผู้บริหารในหน่ วยงานนัน้ จะต้องมีการกาหนดเป็ นนโยบายระดับของ
สถานประกอบการ และระดับประเทศ เพื่อให้พนักงานทุกคนได้ดาเนินการ และมีแนวปฏิบตั ิ
อย่างเคร่งครัด การจัดการสิง่ แวดล้อมเชิงระบบ จึงหมายถึง การดูแล การควบคุม การปรับปรุง
ปั ญหาสิง่ แวดล้อมขององค์การโดยใช้กระบวนการจัดการ ซึง่ ประกอบด้วย การวางแผน (Plan)
การดาเนินการ (Do) การตรวจสอบ (Check) และการแก้ไข (Act)
การนาระบบ Eco –Management and Audit Scheme (EMAS) เป็ นมาตรฐานการ
จัดการสิ่งแวดล้อ มเชิง ระบบขององค์ก ารที่เ ป็ นระบบที่ม ีการพัฒนามาจากต่ างประเทศเพื่อ
นามาใช้ในการประเมิน รายงาน และพัฒนาผลการดาเนินงานสิง่ แวดล้อมของหน่ วยงาน ซึ่งมี
ขัน้ ตอน ดังนี้ (1) การจัดทานโยบายสิง่ แวดล้อม (2) การทบทวนสถานะเริม่ ต้น (3) การจัดทา
โปรแกรมสิง่ แวดล้อม (4) การสร้างระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม (5) การตรวจประเมินระบบ
ภายในองค์การ (6) การทบทวน และ (7) การรายงานผลงานด้านสิง่ แวดล้อม ดังนัน้ ระบบการ
จัดการสิง่ แวดล้อมตามมาตรฐานสากล ISO 14000 เป็ นแนวทางในการจัดการสิง่ แวดล้อมของ
687
แบบฝึ กหัด
ให้ตอบคาถามให้ถกู ต้องและสมบูรณ์ที่สดุ
1. การจัดการสิง่ แวดล้อมเชิงระบบ หรือ ระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม หมายถึง
2. ให้บอกถึงองค์ประกอบของระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม (โดยเขียนเป็ นแผนภาพ) อธิบาย
3. ให้บอกถึงความสาคัญของระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมตามมาตรฐานสากล ISO 14001
4. ให้บอกถึงความหมายของระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมตามมาตรฐานสากล ISO 14001
5. ให้บอกถึงประโยชน์ของระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมตามมาตรฐานสากล ISO 14001
6. ให้บอกถึงความหมายของระบบ Eco – Management and Audit Scheme (EMAS)
7. ให้บอกถึงขัน้ ตอนการทาระบบ Eco – Management and Audit Scheme (EMAS)
8. ให้บอกถึงอนุกรมมาตรฐานการจัดการสิง่ แวดล้อม ISO 14000
9. ให้บอกถึงหมายของอนุกรมมาตรฐานการจัดการสิง่ แวดล้อม ISO 14000
10. ให้บอกถึงองค์ประกอบและหลักการของระบบการจัดการสิง่ แวดล้อมตามมาตรฐานสากล
ISO 14001
689
เอกสารอ้างอิง
เอกสารอ้างอิง
กฎกระทรวงกาหนดมาตรฐานการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ.2549.
กมลทิพย์ วงศ์ลธี นาภรณ์ (2556).ชีวติ กับสิง่ แวดล้อมและเทคโนโลยี., ค้นเมือ่ 25 กรกฏาคม
2559, จาก http://www.technologymedia.co.th/knowledge/measure_ISO14000.
กมลวัฒน์ ยะสารวรรณ.(2547). การรับรูก้ ฎระเบียบของพนักงานท่าเรือแหลมฉบัง. ปั ญหา
พิเศษรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ. ชลบุร:ี
มหาวิทยาลัยบูรพา.
กรมมาตรฐานอุตสาหกรรม.(ม.ป.ป.). ISO 14000 มาตรฐานระบบการจัดการสิง่ แวดล้อม.,
ค้นเมือ่ 25 กรกฏาคม 2559, จาก http://www.technologymedia.co.th/)
กรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงาน.อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล. ค้นเมือ่
25 ธันวาคม 2559, ค้นจาก http://www.siamsafetygroup.com/article-th-34650.
กรอบบริหารความเสีย่ ง(ERP Framework).บริษทั สินมันคงประกั
่ นภัย (จากัด) มหาชน.,
ค้นเมือ่ 23 กรกฎาคม 2559, จาก http://www.smk.co.th/WEBSMK/upload.
กระทรวงแรงงาน.(2549). กฎกระทรวงกาหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้าน
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน พ.ศ.2549.
กระทรวงแรงงาน.(2558). สถานการณ์การดาเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยใน
ประเทศไทยปี 2558. สานักความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุม้ ครอง
แรงงาน.
กระทรวงแรงงาน.กองทุนทดแทน, ค้นเมือ่ 25 ธันวาคม 2559, ค้นจาก
http://www.mol.go.th/employee/compensation.
กรุงเทพธุรกิจ.(2558) พืน้ ทีร่ ะยองแชมป์ โรงงานเกิดอุบตั เิ หตุ, ปี ท่ี 30 ฉบับที่ 10301
วันจันทร์ท่ี 5 ธันวาคม 2559, หน้า 6.
กันยรัตน์ โหละสุต.(2555). การจัดการความปลอดภัยในอุตสาหกรรมเคมี. ขอนแก่น:
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
กาญจนา นาถะพินธุ.(2551). อาชีวอนามัยและความปลอดภัย. (พิมพ์ครัง้ ที่ 2). ขอนแก่น :
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
การบริหารงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย.(2553).หน่วยที่ 1-7 (พิมพ์ครัง้ ที่ 1)
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.(พิมพ์ครัง้ ที่ 4).กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์.
692
เอกสารการสอนชุดวิชาการบริหารงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สาขาวิชาวิทยาศาสตร์
สุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ฉบับปรับปรุง หน่วยที่ 1-7.(2553).
อรุณการพิมพ์: กรุงเทพฯ.
ภาษาอังกฤษ
Allen,R. and Santrock,J.W.(1993). Psychology : The Contexs of Behavior.United State
of American: Wrn. C. Brown Communication.
Apple, J.M.,(1977).Plant Layout and Material Handling. 3rd Edition.John Welley & Sons,
New York.
Bartol, Kathryn.,M., & David C. Martin.(1997). Management. (2nd ed). New York:
Bernstein,D. A.(1999).Essentials of Psychology. Boston : Houghton Mifflin
Bovee, Courtland L. and others. (1993). Management. New York : Mc Graw – Hill.
Bridges, F. J., & Roquemore, L. L. (2001). Management for athletic/ sport
administration: Theory and practice (3rd ed.). Decatur, GA: ESM Books.
British Standards Institute. (2007). BS OHSAS 18001:2007,Occupational Health and
Safety Management Systems-Requirement. BSI: London.
Carroll,S.J. and Gillen,D.A.(1987).”Are the Classical Management Functions Useful in
Describing Managerial Work” Academy of Management Review, January,
1987,p.48.
Clegg,S.,Komberger,M.,& Pitsis,T.(2005). Making sense of management in Managing
and Organizations – An introduction to theory and practice (1st edition,
Colin W.Fuller และ Luise H.Vassie.(2004). Health and Safety Management : Principles
and Best Practice. Essex :Prentice Hall. Company.
Cronbach. Lee. J.(1963). Educational Psychology. New York :Harcourt, Brace and
World.
David A. DeCenzo and Stephen P.Robbins. (2002). Human Resource Management. 7th
edition,New York : John wiley and Sons.
David L.Goetsch.(2005) Occupational Safety and Health for Technologists, Engineers,
and Managers. Pearson Education,Inc.,Upper Saddle River,New Jersey.
David, L.Goetsch.(2005). Occupationall Safety and Health. Fifth Editin. ,New Jersey:
Prince-Hall.
David, L.Goetsch.(2005). Occupationall Safety and Health. Fifth Editin. ,New Jersey:
Prince-Hall.
699
Guide to the Safety, Health and Welfare at Work (General Application) Regulations
2007 (Amended May 2010) Published in December 2007 and revised in May
2010 by the Health and Safety Authority, The Metropolitan Building, James
Joyce Street, Dublin 1.
700
Wilbur Schramm.(1971). The Process and Effects of mass communication. Edition 2.,
University of Illinois Press.
World Health Organization. (1947). Constitution of the World Health Organization:
Principles, (7 April 1948)., Geneva: WHO, New York.
World Health Organization Geneva.(1998). The world health report 1998 – Life in the
21st century: a vision for all., Office of World Health Reporting World Health
Organization 1211 Geneva 27, Switzerland.
703
ภาคผนวก
704
ภาคผนวก ก
พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน
พ.ศ. ๒๕๕๔
705
หน้า ๕
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระราชบัญญัติ
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน
พ.ศ. ๒๕๕๔
----------------------------
หน้า ๖
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๓ พระราชบัญญัตนิ ้มี ใิ ห้ใช้บงั คับแก่
(๑) ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมภิ าค และราชการส่วนท้องถิน่
(๒) กิจการอื่นทัง้ หมดหรือแต่บางส่วนตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวง
ให้ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมภิ าค ราชการส่วนท้องถิน่ และกิจการอื่นตามที่
กาหนด ในกฎกระทรวงตามวรรคหนึ่ง จัดให้มมี าตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความ
ปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้อ มในการทางานในหน่ ว ยงานของตนไม่ต่ ากว่า
มาตรฐานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตนิ ้ี
“ความปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้อ มในการทางาน” หมายความว่า
การกระทา หรือสภาพการทางานซึ่งปลอดจากเหตุอนั จะทาให้เกิดการประสบอันตรายต่อชีวติ
ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัยอันเนื่องจากการทางานหรือเกีย่ วกับการทางาน
“นายจ้าง” หมายความว่า นายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและให้
หมายความ รวมถึง ผู้ป ระกอบกิจ การซึ่ง ยอมให้บุ ค คลหนึ่ ง บุ ค คลใดมาท างานหรือ ท า
ผลประโยชน์ให้แก่หรือในสถาน ประกอบกิจการ ไม่ว่าการทางานหรือการทาผลประโยชน์นนั ้ จะ
เป็ นส่ วนหนึ่งส่ วนใดหรือทัง้ หมด ในกระบวนการผลิต หรือธุ รกิจในความรับผิดชอบของผู้
ประกอบกิจการนัน้ หรือไม่กต็ าม
“ลูก จ้าง” หมายความว่า ลูก จ้างตามกฎหมายว่าด้ว ยการคุ้มครองแรงงานและให้
หมายความ รวมถึงผู้ซ่งึ ได้รบั ความยินยอมให้ทางานหรือทาผลประโยชน์ให้แก่หรือในสถาน
ประกอบกิจการของนายจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม
“ผูบ้ ริหาร” หมายความว่า ลูกจ้างตัง้ แต่ระดับผูจ้ ดั การในหน่วยงานขึน้ ไป
“หัวหน้างาน” หมายความว่า ลูกจ้างซึ่งทาหน้าที่ควบคุม ดูแล บังคับบัญชาหรือสังให้ ่
ลูกจ้าง ทางานตามหน้าทีข่ องหน่วยงาน
“เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทางาน” หมายความว่า ลูกจ้างซึ่งนายจ้างแต่งตัง้ ให้
ปฏิบตั ิ หน้ าที่ด้านความปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้อ มในการท างานตาม
พระราชบัญญัตนิ ้ี
“สถานประกอบกิจการ” หมายความว่า หน่ วยงานแต่ละแห่งของนายจ้างที่มลี ูกจ้าง
ทางาน อยูใ่ นหน่วยงาน
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและ
สภาพแวดล้อมในการทางาน หน้า ๗ เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุ เบกษา ๑๗ มกราคม
๒๕๕๔
707
หน้า ๗
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“กองทุน” หมายความว่า กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมใน
การทางาน
“พนักงานตรวจความปลอดภัย” หมายความว่า ผูซ้ ง่ึ รัฐมนตรีแต่งตัง้ ให้ปฏิบตั กิ าร ตาม
พระราชบัญญัตนิ ้ี
“อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงาน
“รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผรู้ กั ษาการตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
มาตรา ๕ ให้รฐั มนตรีว่าการกระทรวงแรงงานรักษาการตามพระราชบัญญัตนิ ้ี และให้ม ี
อานาจแต่งตัง้ พนักงานตรวจความปลอดภัยกับออกกฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบ เพื่อ
ปฏิบตั ิการตามพระราชบัญญัติน้ี รวมทัง้ ออกกฎกระทรวงกาหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตรา
ท้ายพระราชบัญญัตนิ ้ี และยกเว้นค่าธรรมเนียม
การแต่งตัง้ พนักงานตรวจความปลอดภัยต้องกาหนดคุณสมบัติ ขอบเขต อานาจหน้าที่
และเงือ่ นไขในการปฏิบตั หิ น้าทีด่ ว้ ย
กฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบนัน้ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุ เบกษาแล้วให้ใช้
บังคับได้
หมวด ๑
บททัวไป่
-------------------
มาตรา ๖ ให้นายจ้างมีหน้ าที่จดั และดูแลสถานประกอบกิจการและลูกจ้างให้มสี ภาพ
การทางานและสภาพแวดล้อ มในการทางานที่ปลอดภัยและถู กสุ ข ลักษณะ รวมทัง้ ส่ งเสริม
สนับสนุ น การปฏิบตั ิงานของลูกจ้างมิให้ลูกจ้างได้รบั อันตรายต่อชีวติ ร่างกาย จิตใจ และ
สุขภาพอนามัย
ให้ลูกจ้างมีหน้ าที่ให้ความร่วมมือกับนายจ้างในการดาเนินการและส่งเสริมด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ลูกจ้าง
และสถานประกอบ กิจการ
มาตรา ๗ ในกรณีท่พี ระราชบัญญัตนิ ้ีกาหนดให้นายจ้างต้องดาเนินการอย่างหนึ่งอย่าง
ใด ทีต่ อ้ งเสียค่าใช้จา่ ย ให้นายจ้างเป็ นผูอ้ อกค่าใช้จา่ ยเพื่อการนัน้
708
หน้า ๘
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมวด ๒
การบริหาร การจัดการ และการดาเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน
----------------------------
มาตรา ๘ ให้นายจ้างบริหาร จัดการ และดาเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน ให้เป็ นไปตามมาตรฐานทีก่ าหนดในกฎกระทรวง
การกาหนดมาตรฐานตามวรรคหนึ่ง ให้นายจ้างจัดทาเอกสารหรือรายงานใด โดยมีการ
ตรวจสอบหรือรับรองโดยบุคคล หรือนิตบิ ุคคลตามทีก่ าหนดในกฎกระทรวง
ให้ ลู ก จ้า งมีห น้ า ที่ป ฏิบ ัติต ามหลัก เกณฑ์ด้า นความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อม ในการทางานตามมาตรฐานทีก่ าหนดในวรรคหนึ่ง
มาตรา ๙ บุค คลใดประสงค์จะให้บริก ารในการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรอง
ประเมินความเสี่ยง รวมทัง้ จัดฝึ กอบรมหรือให้คาปรึกษาเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยอาชีวอนา
มัย และสภาพแวดล้อมในการทางานตามมาตรฐานทีก่ าหนดในกฎกระทรวงทีอ่ อกตามมาตรา ๘
จะต้อง ขึน้ ทะเบียนต่อสานักความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงาน
คุณสมบัตขิ องผู้ขอขึ้นทะเบียน การขึน้ ทะเบียน การออกใบแทนการขึน้ ทะเบียน การ
เพิกถอน ทะเบียน การกาหนดค่าบริการ และวิธกี ารให้บริการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็ นไปตาม
หลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงือ่ นไขทีก่ าหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๐ ในกรณีท่สี านักความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงาน
ไม่รบั ขึ้นทะเบียนหรือเพิกถอนทะเบียนตามมาตรา ๙ ผู้ขอขึ้นทะเบียนหรือผู้ถูกเพิกถอน
ทะเบียนมีสทิ ธิอุทธรณ์ เป็ นหนังสือต่ออธิบดีภายในสามสิบวันนับแต่วนั ได้รบั แจ้งการไม่รบั ขึน้
ทะเบียนหรือการเพิกถอนทะเบียน
คาวินิจฉัยของอธิบดีให้เป็ นทีส่ ุด
มาตรา ๑๑ นิตบิ ุคคลใดประสงค์จะให้บริการในการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรอง
ประเมินความเสีย่ ง รวมทัง้ จัดฝึกอบรมหรือให้คาปรึกษาเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนา
มัย และสภาพแวดล้อมในการทางานตามมาตรฐานทีก่ าหนดในกฎกระทรวงทีอ่ อกตามมาตรา ๘
จะต้องได้รบั ใบอนุญาตจากอธิบดี
คุณสมบัตขิ องผูข้ ออนุ ญาต การขออนุ ญาต การอนุ ญาต การขอต่ออายุใบอนุ ญาต การ
ออกใบ แทนใบอนุญาต การพักใช้และการเพิกถอนใบอนุญาต การกาหนดค่าบริการ และวิธกี าร
ให้บริการตาม วรรคหนึ่ง ให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงือ่ นไขทีก่ าหนดในกฎกระทรวง
709
หน้า ๙
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๑๒ ในกรณีท่อี ธิบดีไม่ออกใบอนุ ญาต ไม่ต่ ออายุใบอนุ ญาต ไม่ออกใบแทน
ใบอนุ ญาต หรือพักใช้ใบอนุ ญาตหรือเพิกถอนใบอนุ ญาตทีอ่ อกให้แก่นิตบิ ุคคลตามมาตรา ๑๑
นิตบิ ุคคลนัน้ มีสทิ ธิ อุทธรณ์เป็ นหนังสือต่อคณะกรรมการภายในสามสิบวันนับแต่วนั ทีไ่ ด้รบั
หนังสือของอธิบดีแจ้งการไม่ออก ใบอนุญาต หรือการไม่ต่ออายุใบอนุญาต หรือการเพิก
ถอนใบอนุญาต
คาวินิจฉัยของคณะกรรมการให้เป็ นทีส่ ุด
มาตรา ๑๓ ให้ น ายจ้า งจัด ให้ม ีเ จ้า หน้ า ที่ค วามปลอดภัย ในการท างาน บุ ค ลากร
หน่ วยงาน หรือคณะบุคคลเพื่อดาเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการตาม
หลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงือ่ นไขทีก่ าหนดในกฎกระทรวง
เจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในการทางานและบุคลากรตามวรรคหนึ่งจะต้องขึน้ ทะเบียนต่อ
กรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงาน
ให้นาบทบัญญัติมาตรา ๙ วรรคสอง และมาตรา ๑๐ มาใช้บงั คับกับการขึ้นทะเบียน
เจ้าหน้าทีค่ วามปลอดภัยในการทางาน โดยอนุโลม
มาตรา ๑๔ ในกรณีท่นี ายจ้างให้ลูกจ้างทางานในสภาพการทางานหรือสภาพแวดล้อม
ในการ ทางานทีอ่ าจทาให้ลูกจ้างได้รบั อันตรายต่อชีวติ ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัย ให้
นายจ้างแจ้ง ให้ลูกจ้างทราบถึงอันตรายทีอ่ าจจะเกิดขึน้ จากการทางานและแจกคู่มอื ปฏิบตั งิ าน
ให้ลกู จ้างทุกคนก่อนที่ ลูกจ้างจะเข้าทางาน เปลีย่ นงาน หรือเปลีย่ นสถานทีท่ างาน
มาตรา ๑๕ ในกรณีทน่ี ายจ้างได้รบั คาเตือน คาสัง่ หรือคาวินิจฉัยของอธิบดี คาสังของ ่
พนั ก งานตรวจความปลอดภั ย หรือ ค าวิ นิ จ ฉั ย ของคณะกรรมการให้ ป ฏิ บ ัติ ก ารตาม
พระราชบัญญัตนิ ้ี ให้นายจ้างแจ้งหรือปิ ดประกาศคาเตือน คาสัง่ หรือคาวินิจฉัยดังกล่าว ในทีท่ ่ี
เห็นได้งา่ ย ณ สถานประกอบ กิจการเป็ นเวลาไม่น้อยกว่าสิบห้าวันนับแต่วนั ทีไ่ ด้รบั แจ้ง
มาตรา ๑๖ ให้นายจ้างจัดให้ผบู้ ริหาร หัวหน้างาน และลูกจ้างทุกคนได้รบั การฝึกอบรม
ความปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้อ มในการท างาน เพื่อ ให้บริห ารจัดการ และ
ดาเนินการ ด้านความปลอดภัย อาชีว อนามัย และสภาพแวดล้อ มในการทางานได้อ ย่าง
ปลอดภัย
ในกรณี ท่ีน ายจ้า งรับ ลู ก จ้า งเข้า ท างาน เปลี่ย นงาน เปลี่ย นสถานที่ท างาน หรือ
เปลีย่ นแปลง เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ซึง่ อาจทาให้ลูกจ้างได้รบั อันตรายต่อชีวติ ร่างกาย จิตใจ
หรือสุขภาพอนามัย ให้นายจ้างจัดให้มกี ารฝึกอบรมลูกจ้างทุกคนก่อนการเริม่ ทางาน
การฝึกอบรมตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไข
ที่ อธิบดีประกาศกาหนด
710
หน้า ๑O
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๑๗ ให้นายจ้างติดประกาศสัญลักษณ์เตือนอันตรายและเครื่องหมายเกี่ยวกับ
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน รวมทัง้ ข้อความแสดงสิทธิ และ
หน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้างตามทีอ่ ธิบดีประกาศกาหนดในที่ท่เี ห็นได้ง่าย ณ สถานประกอบ
กิจการ
มาตรา ๑๘ ในกรณีท่สี ถานที่ใดมีสถานประกอบกิจการหลายแห่ง ให้นายจ้างทุกราย
ของสถานประกอบกิจ การในสถานที่นั ้น มีห น้ า ที่ร่ ว มกัน ด าเนิ น การด้า นความปล อดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานให้เป็ นไปตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
ลูก จ้างซึ่งทางานในสถานประกอบกิจการตามวรรคหนึ่ง รวมทัง้ ลูกจ้างซึ่งทางานใน
สถานประกอบ กิจการอื่นทีไ่ ม่ใช่ของนายจ้าง ต้องปฏิบตั ติ ามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานซึง่ ใช้ในสถานประกอบกิจการนัน้ ด้วย
มาตรา ๑๙ ในกรณีทน่ี ายจ้างเช่าอาคาร สถานที่ เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ หรือสิง่
อื่นใด ที่นามาใช้ในสถานประกอบกิจการ ให้นายจ้างมีอานาจดาเนินการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเกี่ยวกับอาคารสถานที่ เครื่องมือ เครื่องจักร
อุปกรณ์หรือสิง่ อื่นใดทีเ่ ช่านัน้ ตามมาตรฐานทีก่ าหนดในกฎกระทรวงทีอ่ อกตามมาตรา ๘
การด าเนิ น การตามวรรคหนึ่ ง ไม่ ก่ อ ให้เ กิด สิท ธิแ ก่ ผู้ม ีก รรมสิท ธิใ์ นอาคาร สถานที่
เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์หรือสิง่ อื่นใดซึ่งให้เช่า หรือผูใ้ ห้เช่าในอันทีจ่ ะเรียกร้องค่าเสียหาย
หรือค่าทดแทนใด ๆ ตลอดจนการบอกเลิกสัญญาเช่า
มาตรา ๒๐ ให้ผู้บริหารหรือหัวหน้ างานมีหน้ าที่สนับสนุ นและร่วมมือกับนายจ้างและ
บุคลากรอื่น เพื่อปฏิบตั กิ ารให้เป็ นไปตามมาตรา ๘ มาตรา ๑๖ มาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๒
มาตรา ๒๑ ลูกจ้างมีหน้ าที่ดูแลสภาพแวดล้อมในการทางานตามมาตรฐานที่กาหนด
ในกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา ๘ เพื่อ ให้เ กิดความปลอดภัยต่ อ ชีว ิต ร่างกาย จิต ใจ และ
สุขภาพอนามัย โดยคานึงถึงสภาพของงานและพืน้ ทีท่ ร่ี บั ผิดชอบ
ในกรณีทล่ี กู จ้างทราบถึงข้อบกพร่องหรือการชารุดเสียหาย และไม่สามารถแก้ไขได้ดว้ ย
ตนเอง ให้แจ้งต่อเจ้าหน้ าที่ความปลอดภัยในการทางาน หัวหน้ างาน หรือผู้บริหาร และให้
เจ้าหน้าที่ ความปลอดภัยในการทางาน หัวหน้างาน หรือผูบ้ ริหาร แจ้งเป็ นหนังสือต่อนายจ้าง
โดยไม่ชกั ช้า
ในกรณีท่หี วั หน้ างานทราบถึงข้อบกพร่องหรือการชารุดเสี ยหายซึ่งอาจทาให้ลูกจ้าง
ได้รบั อันตราย ต่อชีวติ ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัย ต้องดาเนินการป้ องกันอันตรายนัน้
ภายในขอบเขต ทีร่ บั ผิดชอบหรือทีไ่ ด้รบั มอบหมายทันทีท่ที ราบ กรณีไม่อาจดาเนินการได้ ให้
แจ้งผูบ้ ริหารหรือนายจ้าง ดาเนินการแก้ไขโดยไม่ชกั ช้า
711
หน้า ๑๑
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๒๒ ให้นายจ้างจัดและดูแลให้ลกู จ้างสวมใส่อุปกรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วน
บุคคล ทีไ่ ด้มาตรฐานตามทีอ่ ธิบดีประกาศกาหนด
ลูกจ้างมีหน้าทีส่ วมใส่อุปกรณ์คุม้ ครองความปลอดภัยส่วนบุคคลและดูแลรักษาอุปกรณ์
ตามวรรคหนึ่งให้สามารถใช้งานได้ตามสภาพและลักษณะของงานตลอดระยะเวลาทางาน
ในกรณีท่ลี ูกจ้างไม่สวมใส่อุปกรณ์ดงั กล่าว ให้นายจ้างสังให้ ่ ลูกจ้างหยุดการทางานนัน้
จนกว่า ลูกจ้างจะสวมใส่อุปกรณ์ดงั กล่าว
มาตรา ๒๓ ให้ผู้รบั เหมาชัน้ ต้นและผู้รบั เหมาช่ว งตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง
แรงงาน มีหน้าทีด่ าเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
ของลูกจ้าง เช่นเดียวกับนายจ้าง
ในกรณีทน่ี ายจ้างเป็ นผูร้ บั เหมาช่วง และมีผรู้ บั เหมาช่วงถัดขึน้ ไป ให้ผู้รบั เหมาช่วงถัด
ขึน้ ไป ตลอดสายจนถึงผู้รบั เหมาชัน้ ต้นที่มลี ูกจ้างทางานในสถานประกอบกิจการเดียวกัน มี
หน้าทีร่ ว่ มกันในการ จัดสถานทีท่ างานให้มสี ภาพการทางานทีป่ ลอดภัย และมีสภาพแวดล้อมใน
การทางานทีถ่ ูกสุขลักษณะ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ลกู จ้างทุกคน
หมวด ๓
คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
----------------------------
มาตรา ๒๔ ให้มคี ณะกรรมการคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะกรรมการความปลอดภัย อาชี
วอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน” ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงแรงงานเป็ นประธาน
กรรมการ อธิบดี กรมควบคุมมลพิษ อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบดีกรมพัฒนาฝี มอื แรงงาน
อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง อธิบดีกรมโรงงานอุ ตสาหกรรม อธิบดีกรมส่งเสริมการ
ปกครองท้องถิน่ และอธิบดีกรมสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงาน เป็ นกรรมการ กับผูแ้ ทนฝ่ าย
นายจ้างและผูแ้ ทนฝ่ ายลูกจ้าง ฝ่ ายละแปดคน และผูท้ รงคุณวุฒอิ กี ห้าคนซึง่ รัฐมนตรีแต่งตัง้ เป็ น
กรรมการ
ให้ขา้ ราชการกรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงานซึง่ รัฐมนตรีแต่งตัง้ เป็ นเลขานุการ
การได้มาและการพ้นจากตาแหน่ งของผูแ้ ทนฝ่ ายนายจ้างและฝ่ ายลูกจ้างตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงือ่ นไขทีร่ ฐั มนตรีประกาศกาหนด โดยต้องคานึงถึงการมี
ส่วนร่วม ของทัง้ หญิงและชาย
ผูท้ รงคุณวุฒติ ้องเป็ นผูม้ คี วามรู้ ความเชีย่ วชาญ มีผลงานหรือประสบการณ์ทเ่ี กี่ยวข้อง
กับความ ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน โดยต้องคานึงถึงการมีส่วน
ร่วมของทัง้ หญิง และชาย
712
หน้า ๑๒
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๒๕ คณะกรรมการมีอานาจหน้าทีด่ งั ต่อไปนี้
(๑) เสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีเกีย่ วกับนโยบาย แผนงาน หรือมาตรการความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และการพัฒนาสภาพแวดล้อมในการทางาน
(๒) เสนอความเห็นต่ อรัฐมนตรีใ นการออกกฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบ เพื่อ
ปฏิบตั กิ าร ตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
(๓) ให้ความเห็นแก่หน่ วยงานของรัฐเกี่ยวกับการส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน
(๔) วินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๒ มาตรา ๓๓ วรรคสาม และมาตรา ๔๐ วรรคสอง
(๕) ปฏิบตั ิก ารอื่นใดตามที่พระราชบัญ ญัติน้ี ห รือ กฎหมายอื่นบัญ ญัติใ ห้เ ป็ น อ านาจ
หน้าที่ ของคณะกรรมการหรือตามทีร่ ฐั มนตรีมอบหมาย
มาตรา ๒๖ กรรมการผู้ท รงคุ ณ วุ ฒ ิม ีว าระอยู่ใ นต าแหน่ ง คราวละสองปี กรรมการ
ผูท้ รงคุณวุฒ ิ ซึง่ พ้นจากตาแหน่งอาจได้รบั แต่งตัง้ อีกได้
ในกรณีทก่ี รรมการผูท้ รงคุณวุฒพิ น้ จากตาแหน่ งก่อนวาระ ให้รฐั มนตรีแต่งตัง้ กรรมการ
แทนตาแหน่ งที่ว่าง และให้ผู้ไ ด้รบั แต่ งตัง้ ให้ดารงตาแหน่ งแทนอยู่ใ นต าแหน่ งเท่ากับวาระที่
เหลืออยู่ ของกรรมการผูท้ รงคุณวุฒซิ ง่ึ ตนแทน
ในกรณีท่กี รรมการผู้ทรงคุ ณ วุ ฒพิ ้น จากต าแหน่ งตามวาระ แต่ ย งั มิไ ด้ม ีก ารแต่ ง ตัง้
กรรมการใหม่ ให้กรรมการนัน้ ปฏิบตั หิ น้าทีไ่ ปพลางก่อนจนกว่ากรรมการผู้ทรงคุณวุฒทิ ไ่ี ด้รบั
แต่งตัง้ จะเข้ารับหน้าที่
มาตรา ๒๗ นอกจากการพ้ น จากต าแหน่ ง ตามวาระตามมาตรา ๒๖ กรรมการ
ผูท้ รงคุณวุฒ ิ พ้นจากตาแหน่ง เมือ่
(๑) ตาย
(๒) ลาออก
(๓) รัฐมนตรีให้ออก เมือ่ ขาดประชุมสามครัง้ ติดต่อกันโดยไม่มเี หตุอนั สมควร
(๔) เป็ นบุคคลล้มละลาย
(๕) เป็ นบุคคลวิกลจริต หรือจิตฟั น่ เฟื อน
(๖) เป็ นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
(๗) ต้องคาพิพากษาว่าได้กระทาความผิดตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
(๘) ได้รบั โทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงทีส่ ุดให้จาคุก เว้นแต่เป็ นโทษสาหรับความผิดที่
ได้ กระทาโดยประมาทหรือความผิดฐานหมิน่ ประมาทหรือความผิดลหุโทษ
713
หน้า ๑๓
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๒๘ การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของ
จานวน กรรมการทัง้ หมด โดยมกรรมการผูแ้ ทนฝ่ ายนายจ้างและฝ่ ายลูกจ้างอย่างน้อยฝ่ ายละ
หนึ่งคน จึงจะเป็ นองค์ประชุม
ในการประชุมเพื่อพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คราวใด ถ้าไม่ได้องค์ประชุมตามทีก่ าหนดไว้
ในวรรคหนึ่ง ให้จดั ให้มกี ารประชุมอีกครัง้ ภายในสิบห้าวันนับแต่วนั ที่นัดประชุมครัง้ แรก การ
ประชุมครัง้ หลังแม้ไม่มกี รรมการซึ่งมาจากฝ่ ายนายจ้างหรือฝ่ ายลูกจ้างมาร่วมประชุม ถ้ามี
กรรมการมาประชุม ไม่น้อยกว่ากึง่ หนึ่งของจานวนกรรมการทัง้ หมด ก็ให้ถอื เป็ นองค์ประชุม
ในการประชุมคราวใด ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่สามารถปฏิบตั หิ น้าทีไ่ ด้
ให้กรรมการซึง่ มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็ นประธานในทีป่ ระชุมสาหรับการประชุมคราว
นัน้
มติท่ปี ระชุ มให้ถือ เสียงข้างมาก กรรมการคนหนึ่ งมีเ สีย งหนึ่ งในการลงคะแนน ถ้า
คะแนนเสียง เท่ากัน ให้ประธานในทีป่ ระชุมออกเสียงเพิม่ ขึน้ อีกเสียงหนึ่งเป็ นเสียงชีข้ าด
มาตรา ๒๙ คณะกรรมการมีอ านาจแต่ ง ตัง้ คณะอนุ ก รรมการเพื่อ พิจ ารณาหรือ
ปฏิบตั กิ าร อย่างหนึ่งอย่างใดตามทีค่ ณะกรรมการมอบหมายได้
ให้คณะกรรมการกาหนดองค์ประชุมและวิธดี าเนินงานของคณะอนุ กรรมการได้ตาม
ความ เหมาะสม
มาตรา ๓๐ ในการปฏิบตั ิหน้ าที่ตามพระราชบัญ ญัติน้ี ให้กรรมการและอนุ กรรมการ
ได้รบั เบีย้ ประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นตามระเบียบทีร่ ฐั มนตรีกาหนดโดยความเห็นชอบ
ของกระทรวงการคลัง
มาตรา ๓๑ ให้กรมสวัส ดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานรับผิดชอบงาน
ธุรการ ของคณะกรรมการ และมีอานาจหน้าทีด่ งั ต่อไปนี้
(๑) สรรหา รวบรวม และวิเ คราะห์ข้อ มูล ด้า นความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อม ในการทางานเพื่อการจัดทานโยบาย แผนงาน โครงการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเสนอต่อคณะกรรมการ
(๒)จัด ท าแนวทางการก าหนดมาตรฐานความปลอดภั ย อาชี ว อนามัย และ
สภาพแวดล้อม ในการทางานเสนอต่อคณะกรรมการ
(๓) จัดทาแผนปฏิบตั กิ ารด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน ประจาปี เสนอต่อคณะกรรมการ
(๔) ประสานแผนและการดาเนินการของคณะกรรมการและคณะอนุ กรรมการตลอดจน
หน่วยงานทีเ่ กีย่ วข้อ
714
หน้า ๑๔
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(๕) ติดตามและประเมินผลการปฏิบตั งิ านตามมติของคณะกรรมการ
(๖) รับผิดชอบงานธุรการของคณะอนุกรรมการ
(๗) ปฏิบตั หิ น้าทีอ่ ่นื ตามทีค่ ณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการมอบหมาย
หมวด ๔
การควบคุม กากับ ดูแล
--------------------------
มาตรา ๓๒ เพื่อประโยชน์ในการควบคุม กากับ ดูแลการดาเนินการด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน ให้นายจ้างดาเนินการดังต่อไปนี้
(๑) จัดให้มกี ารประเมินอันตราย
(๒) ศึกษาผลกระทบของสภาพแวดล้อมในการทางานทีม่ ผี ลต่อลูกจ้าง
(๓) จัดทาแผนการดาเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมใน
การ ทางานและจัดทาแผนการควบคุมดูแลลูกจ้างและสถานประกอบกิจการ
(๔) ส่งผลการประเมินอันตราย การศึกษาผลกระทบ แผนการดาเนินงานและแผนการ
ควบคุมตาม (๑) (๒) และ (๓) ให้อธิบดีหรือผูซ้ ง่ึ อธิบดีมอบหมาย
หลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไขในการดาเนินการตามวรรคหนึ่ง ประเภทกิจการ ขนาด
ของ กิจการที่ต้องดาเนินการ และระยะเวลาที่ต้องดาเนินการ ให้เป็ นไปตามทีร่ ฐั มนตรีกาหนด
โดยประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา
ในการดาเนินการตามวรรคหนึ่ง นายจ้างจะต้องปฏิบตั ิต ามค าแนะนาและได้รบั การ
รับรองผล จากผูช้ านาญการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
มาตรา ๓๓ ผู้ใ ดจะทาการเป็ น ผู้ช านาญการด้า นความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อม ในการทางานจะต้องได้รบั ใบอนุญาตจากอธิบดีตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
การขอใบอนุ ญ าต การออกใบอนุ ญ าต คุ ณสมบัติของผู้ชานาญการ การควบคุ มการ
ปฏิบตั งิ าน ของผูไ้ ด้รบั ใบอนุ ญาต การต่ออายุใบอนุ ญาต การออกใบแทนใบอนุ ญาต การสังพั ่ ก
ใช้ และการเพิกถอน ใบอนุ ญาตตามวรรคหนึ่ง ให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ วิธกี ารและเงื่อนไขที่
กาหนดในกฎกระทรวง
ให้นาบทบัญญัตใิ นมาตรา ๑๒ มาใช้บงั คับกับการอนุ ญาตเป็ นผู้ชานาญการด้านความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน โดยอนุโลม
มาตรา ๓๔ ในกรณีท่สี ถานประกอบกิจการใดเกิดอุบตั ภิ ยั ร้ายแรง หรือลูกจ้างประสบ
อันตรายจากการทางาน ให้นายจ้างดาเนินการดังต่อไปนี้
715
หน้า ๑๕
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(๑) กรณีท่ลี ูกจ้างเสียชีวติ ให้นายจ้างแจ้งต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยในทันทีท่ี
ทราบ โดยโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิธอี ่นื ใดทีม่ รี ายละเอียดพอสมควร และให้แจ้งรายละเอียดและ
สาเหตุ เป็ นหนังสือภายในเจ็ดวันนับแต่วนั ทีล่ กู จ้างเสียชีวติ
(๒) กรณีทส่ี ถานประกอบกิจการได้รบั ความเสียหายหรือต้องหยุดการผลิต หรือมีบุคคล
ในสถานประกอบกิจการประสบอันตรายหรือได้รบั ความเสียหาย อันเนื่อ งมาจากเพลิงไหม้ การ
ระเบิด สารเคมีรวไหล ั่ หรืออุบตั ภิ ยั ร้ายแรงอื่น ให้นายจ้างแจ้งต่อพนักงานตรวจความปลอดภัย
ในทันทีท่ที ราบ โดยโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิธอี ่นื ใด และให้แจ้งเป็ นหนังสือโดยระบุสาเหตุ
อันตรายทีเ่ กิดขึน้ ความเสียหาย การแก้ไขและวิธกี ารป้ องกันการเกิดซ้าอีกภายในเจ็ดวันนับแต่
วันเกิดเหตุ
(๓) กรณีท่มี ลี ูกจ้างประสบอันตราย หรือเจ็บป่ วยตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน เมื่อ
นายจ้าง แจ้งการประสบอันตรายหรือเจ็บป่ วยต่อสานักงานประกันสังคมตามกฎหมายดังกล่าว
แล้ว ให้นายจ้าง ส่งสาเนาหนังสือแจ้งนัน้ ต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยภายในเจ็ดวันด้วย
การแจ้งเป็ นหนังสือตามวรรคหนึ่ง ให้เป็ นไปตามแบบที่อธิบดีประกาศกาหนดและเมื่อ
พนักงาน ตรวจความปลอดภัยได้รบั แจ้งแล้ว ให้ดาเนินการตรวจสอบและหามาตรการป้ องกัน
อันตรายโดยเร็ว
หมวด ๕
พนักงานตรวจความปลอดภัย
---------------------------
มาตรา ๓๕ ในการปฏิบตั หิ น้าทีต่ ามพระราชบัญญัตนิ ้ี ให้พนักงานตรวจความปลอดภัย
มีอานาจดังต่อไปนี้
(๑) เข้าไปในสถานประกอบกิจการหรือสานักงานของนายจ้างในเวลาทาการหรือเมื่อ
เกิด อุบตั ภิ ยั
(๒) ตรวจสอบหรือบันทึกภาพและเสียงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการทางานทีเ่ กี่ยวกับ
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
(๓) ใช้เครือ่ งมือในการตรวจวัดหรือตรวจสอบเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ในสถานประกอบ
กิจการ
(๔) เก็บ ตัว อย่า งของวัส ดุ ห รือ ผลิต ภัณ ฑ์ใ ด ๆ มาเพื่อ การวิเ คราะห์เ กี่ย วกับ ความ
ปลอดภัย
716
หน้า ๑๖
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
(๕) สอบถามข้อเท็จจริง หรือสอบสวนเรื่องใด ๆ ภายในขอบเขตอานาจและเรียกบุคคล
ที่เ กี่ย วข้อ งมาชี้แจง รวมทัง้ ตรวจสอบหรือ ให้ส่ ง เอกสารหลักฐานที่เ กี่ย วข้อ งและเสนอแนะ
มาตรการ ป้ องกันอันตรายต่ออธิบดีโดยเร็ว
มาตรา ๓๖ ในกรณีท่ีพ นัก งานตรวจความปลอดภัยพบว่า นายจ้า ง ลูกจ้า งหรือ ผู้ท่ี
เกี่ยวข้อ ง ผู้ใ ดฝ่ าฝื นหรือ ไม่ปฏิบตั ิต ามพระราชบัญ ญัติน้ี หรือ กฎกระทรวงซึ่ง ออกตาม
พระราชบัญญัตนิ ้ี หรือพบว่า สภาพแวดล้อมในการทางาน อาคาร สถานที่ เครื่องจักรหรือ
อุปกรณ์ทล่ี ูกจ้างใช้จะก่อให้เกิดความ ไม่ปลอดภัยแก่ลูกจ้าง ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยมี
อานาจสังให้ ่ ผนู้ ัน้ หยุดการกระทาทีฝ่ ่ าฝื น แก้ไข ปรับปรุง หรือปฏิบตั ใิ ห้ถูกต้องหรือเหมาะสม
ภายในระยะเวลาสามสิบวัน ถ้ามีเหตุจาเป็ นไม่อาจดาเนินการ ให้แล้วเสร็จภายในกาหนดเวลา
ดังกล่าวได้ พนักงานตรวจความปลอดภัยอาจขยายระยะเวลาออกไปได้ ไม่เกินสองครัง้ ครัง้ ละ
สามสิบวันนับแต่วนั ทีค่ รบกาหนดเวลาดังกล่าว
ในกรณีจาเป็ นเมื่อได้รบั อนุ มตั จิ ากอธิบดีหรือผู้ซ่งึ อธิบดีมอบหมาย ให้พนักงานตรวจ
ความปลอดภัย มีอ านาจสัง่ ให้ห ยุ ด การใช้เ ครื่อ งจัก ร อุ ป กรณ์ อาคารสถานที่ หรือ ผู ก มัด
ประทับตราสิง่ ทีอ่ าจจะ ก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อลูกจ้างดังกล่าวทัง้ หมดหรือบางส่วน
เป็ นการชัวคราว่ ในระหว่าง การปฏิบตั ติ ามคาสังของพนั ่ กงานตรวจความปลอดภัยได้ เมื่อ
นายจ้างได้ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามคาสัง่ ของพนักงานตรวจความปลอดภัยตามวรรคหนึ่ง
แล้ว ให้นายจ้างแจ้งอธิบดีหรือผูซ้ ง่ึ อธิบดีมอบหมาย เพื่อพิจารณาเพิกถอนคาสังดั ่ งกล่าวได้
มาตรา ๓๗ ในกรณีท่นี ายจ้างไม่ปฏิบตั ิตามคาสังของพนั ่ กงานตรวจความปลอดภัย
ตามมาตรา ๓๖ ถ้ามีเหตุอนั อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงที่กรมสวัสดิการและคุ้มครอง
แรงงาน สมควรเข้าไปดาเนินการแทน ให้อธิบดีห รือผู้ซ่งึ อธิบดีมอบหมายมีอ านาจสังให้ ่
พนักงานตรวจ ความปลอดภัยหรือมอบหมายให้บุคคลใดเข้าจัดการแก้ไขเพื่อให้เป็ นไปตาม
คาสังนั ่ น้ ได้ ในกรณีเช่นนี้ นายจ้างต้องเป็ นผูเ้ สียค่าใช้จ่ายสาหรับการเข้าจัดการแก้ไขนัน้ ตาม
จานวนทีจ่ า่ ยจริง
ก่อนทีอ่ ธิบดีหรือผูซ้ ง่ึ อธิบดีมอบหมายจะดาเนินการตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีคาเตือนเป็ น
หนังสือ ให้นายจ้างปฏิบตั ติ ามคาสังของพนั ่ กงานตรวจความปลอดภัยภายในระยะเวลาทีก่ าหนด
คาเตือนดังกล่าว จะกาหนดไปพร้อมกับคาสังของพนั ่ กงานตรวจความปลอดภัยก็ได้
ในการด าเนิ น การตามวรรคหนึ่ ง ให้ก รมสวัส ดิก ารและคุ้ม ครองแรงงานขอรับ เงิน
ช่วยเหลือจาก กองทุนเพื่อเป็ นเงินทดรองจ่ายในการดาเนินการได้ และเมื่อได้รบั เงินจาก
นายจ้างแล้วให้ชดใช้ เงินช่วยเหลือทีไ่ ด้รบั มาคืนแก่กองทุน
717
หน้า ๑๗
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๓๘ ให้อธิบดีมอี านาจออกคาสังเป็ ่ นหนังสือให้ยดึ อายัด และขายทอดตลาด
ทรัพย์สนิ ของนายจ้างซึ่งไม่จ่ายค่าใช้จ่ายในการดาเนินการตามมาตรา ๓๗ ทัง้ นี้ เพียงเท่าที่
จาเป็ นเพื่อเป็ นค่าใช้จา่ ยสาหรับการเข้าจัดการแก้ไขตามจานวนทีจ่ ่ายจริง
การมีค าสังให้่ ย ึด หรือ อายัดทรัพ ย์ส ินตามวรรคหนึ่ ง จะกระท าได้ต่ อ เมื่อ ได้แ จ้ง เป็ น
หนังสือ ให้นายจ้างนาเงินค่าใช้จา่ ยมาจ่ายภายในระยะเวลาทีก่ าหนด แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบ
วันนับแต่วนั ที่ นายจ้างได้รบั หนังสือนัน้ และนายจ้างไม่จา่ ยภายในระยะเวลาทีก่ าหนด
หลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไขในการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สนิ ตามวรรค
หนึ่ง ให้เป็ นไปตามระเบียบทีร่ ฐั มนตรีกาหนด ทัง้ นี้ ให้นาหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไขตาม
ประมวลกฎหมาย วิธพี จิ ารณาความแพ่งมาใช้บงั คับโดยอนุ โลม
เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สนิ ให้หกั ไว้เป็ นค่าใช้ จ่ายในการยึด อายัด และ
ขายทอดตลาด และชาระค่าใช้จ่ายทีน่ ายจ้างต้องเป็ นผูจ้ ่ายตามมาตรา ๓๗ ถ้ามีเงินเหลือให้คนื
แก่นายจ้างโดยเร็ว โดยให้พนักงานตรวจความปลอดภัยมีหนังสือแจ้งให้ทราบเพื่อขอรับเงินที่
เหลือคืนโดยส่งทางไปรษณีย์ ลงทะเบียนตอบรับ ถ้านายจ้างไม่มาขอรับคืนภายในห้าปี นับแต่
วันได้รบั แจ้ง ให้เงินดังกล่าวตกเป็ นของ กองทุน
มาตรา ๓๙ ระหว่า งหยุด การท างานหรือ หยุด กระบวนการผลิต ตามมาตรา ๓๖ ให้
นายจ้าง จ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างทีเ่ กี่ยวข้องกับการหยุดการทางานหรือการหยุดกระบวนการผลิต
นัน้ เท่ากับค่าจ้าง หรือสิทธิประโยชน์อ่นื ใดทีล่ ูกจ้างต้องได้รบั เว้นแต่ลูกจ้างรายนัน้ จงใจกระทา
การอันเป็ นเหตุให้มกี าร หยุดการทางานหรือหยุดกระบวนการผลิต
มาตรา ๔๐ ในกรณีท่พี นักงานตรวจความปลอดภัยมีคาสังตามมาตรา ่ ๓๖ วรรคหนึ่ง
หากนายจ้าง ลูก จ้าง หรือผู้ท่เี กี่ยวข้องไม่เห็นด้วย ให้มสี ทิ ธิอุ ทธรณ์ เป็ นหนังสือ ต่ ออธิบดีได้
ภายในสามสิบวัน นับแต่วนั ทีท่ ราบคาสัง่ ให้อธิบดีวนิ ิจฉัยอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วนั ที่
รับอุทธรณ์ คาวินิจฉัย ของอธิบดีให้เป็ นทีส่ ุด
ในกรณีท่พี นักงานตรวจความปลอดภัยมีคาสังตามมาตรา ่ ๓๖ วรรคสอง หากนายจ้าง
ลูกจ้าง หรือผู้ทเ่ี กี่ยวข้องไม่เห็นด้วย ให้มสี ทิ ธิอุทธรณ์เป็ นหนังสือต่อคณะกรรมการได้ภายใน
สามสิบวันนับแต่วนั ที่ ทราบคาสัง่ ให้คณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วนั ที่
รับอุทธรณ์ คาวินิจฉัย ของคณะกรรมการให้เป็ นทีส่ ุด
การอุ ท ธรณ์ ย่ อ มไม่ เ ป็ น การทุ เ ลาการปฏิบ ัติต ามค าสัง่ ของพนั ก งานตรวจความ
ปลอดภัย เว้นแต่ อธิบดีหรือคณะกรรมการ แล้วแต่กรณี จะมีคาสังเป็ ่ นอย่างอื่น
718
หน้า ๑๘
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๔๑ ในการปฏิบ ัติต ามหน้ า ที่ พนัก งานตรวจความปลอดภัย ต้อ งแสดงบัต ร
ประจาตัว เมื่อผูท้ เ่ี กี่ยวข้องร้องขอ บัตรประจาตัวพนักงานตรวจความปลอดภัย ให้เป็ นไปตาม
แบบทีร่ ฐั มนตรีประกาศกาหนด
มาตรา ๔๒ ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง หรือโยกย้ายหน้าที่การงานของลูกจ้างเพราะ
เหตุท่ี ลูกจ้างดาเนินการฟ้ องร้องหรือเป็ นพยานหรือให้หลักฐานหรือให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานต่อพนักงานตรวจความปลอดภัย หรือ
คณะกรรมการ ตามพระราชบัญญัตนิ ้ี หรือต่อศาล
มาตรา ๔๓ ในกรณีทน่ี ายจ้าง ลูกจ้าง หรือผูท้ เ่ี กีย่ วข้องได้ปฏิบตั ติ ามคาสังของพนั ่ กงาน
ตรวจความปลอดภัยตามมาตรา ๓๖ ภายในระยะเวลาทีก่ าหนด การดาเนินคดีอาญาต่อนายจ้าง
ลูกจ้าง หรือผูท้ เ่ี กีย่ วข้องให้เป็ นอันระงับไป
หมวด ๖
กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
-------------------------
มาตรา ๔๔ ให้จดั ตัง้ กองทุ นขึ้น กองทุน หนึ่ง ในกรมสวัส ดิการและคุ้ม ครองแรงงาน
เรียกว่า “กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน” เพื่อเป็ นทุนใช้
จ่ายในการ ดาเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานตาม
พระราชบัญญัตนิ ้ี
มาตรา ๔๕ กองทุนประกอบด้วย
(๑) เงินทุนประเดิมทีร่ ฐั บาลจัดสรรให้
(๒) เงินรายปี ทไ่ี ด้รบั การจัดสรรจากกองทุนเงินทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน
(๓) เงินค่าปรับทีไ่ ด้จากการลงโทษผูก้ ระทาผิดตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
(๔) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล
(๕) เงินหรือทรัพย์สนิ ทีม่ ผี บู้ ริจาคให้
(๖) ผลประโยชน์ทไ่ี ด้จากเงินของกองทุน
(๗) ค่าธรรมเนียมใบอนุ ญาตและใบสาคัญ การขึ้นทะเบียนตามมาตรา ๙ มาตรา ๑๑
มาตรา ๑๓ และมาตรา ๓๓
(๘) ดอกผลทีเ่ กิดจากเงินหรือทรัพย์สนิ ของกองทุน
(๙) รายได้อ่นื ๆ
719
หน้า ๑๙
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๔๖ เงินกองทุนให้ใช้จา่ ยเพื่อกิจการดังต่อไปนี้
(๑) การรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
และการพัฒนา แก้ไขและบริหารงานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน ทัง้ นี้ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อม ในการทางาน
(๒) ช่วยเหลือและอุดหนุนหน่วยงานของรัฐ สมาคม มูลนิธ ิ องค์กรเอกชน หรือบุคคล ที่
เสนอโครงการหรือแผนงานในการดาเนินการส่งเสริม สนับสนุ นการศึกษาวิจยั และการพัฒนา
งานด้าน ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
(๓) ค่าใช้จา่ ยในการบริหารกองทุนและตามมาตรา ๓๐
(๔) สนับสนุ นการดาเนินงานของสถาบันส่ งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานตามความเหมาะสมเป็ นรายปี
(๕) ให้นายจ้างกูย้ มื เพื่อแก้ไขสภาพความไม่ปลอดภัย หรือเพื่อป้ องกันการเกิดอุบตั เิ หตุ
และ โรคอันเนื่องจากการทางาน
(๖) เงินทดรองจ่ายในการดาเนินการตามมาตรา ๓๗ การดาเนินการตาม (๑) (๒) (๓)
(๔) (๕) และ (๖) ให้เป็ นไปตามหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไขทีค่ ณะกรรมการบริหารกองทุน
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทางานกาหนด และให้นาเงินดอกผล
ของกองทุนมาเป็ นค่าใช้จ่ายในการดาเนินการตาม (๑) (๒) และ (๓) ได้ไม่เกินร้อยละเจ็ดสิบห้า
ของดอกผลของกองทุนต่อปี
มาตรา ๔๗ เงิ น และทรั พ ย์ ส ิ น ที่ ก องทุ น ได้ ร ั บ ตามมาตรา ๔๕ ไม่ ต้ อ งน าส่ ง
กระทรวงการคลัง เป็ นรายได้แผ่นดิน
มาตรา ๔๘ ให้มคี ณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการบริหารกองทุนความ
ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน” ประกอบด้วย อธิบดีกรมสวัสดิการ
และคุม้ ครองแรงงาน เป็ นประธานกรรมการ ผูแ้ ทนกระทรวงการคลัง ผูแ้ ทนสานักงาน
ประกันสังคม ผูแ้ ทนสานักงบประมาณ และผูท้ รงคุณวุฒอิ กี คนหนึ่งซึง่ รัฐมนตรีแต่งตัง้ กับผูแ้ ทน
ฝ่ ายนายจ้างและผูแ้ ทนฝ่ ายลูกจ้างฝ่ ายละห้าคน เป็ นกรรมการ
ให้ขา้ ราชการกรมสวัสดิการและคุม้ ครองแรงงานซึง่ รัฐมนตรีแต่งตัง้ เป็ นเลขานุการ
การได้มาซึ่งผู้แทนฝ่ ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ ายลูกจ้างตามวรรคหนึ่ง ให้เ ป็ นไปตาม
หลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไขทีร่ ฐั มนตรีประกาศกาหนด โดยต้องคานึงถึงการมีส่วนร่วมของ
ทัง้ หญิงและชาย
720
หน้า ๒o
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๔๙ ให้นาบทบัญญัตมิ าตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ และมาตรา ๒๘ วรรคหนึ่ง วรรค
สาม และวรรคสี่ มาใช้บงั คับกับการดารงตาแหน่ ง การพ้นจากต าแหน่ ง การประชุมของ
คณะกรรมการบริหาร กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
และให้นามาตรา ๒๙ มาใช้บงั คับ กับการแต่งตัง้ คณะอนุ กรรมการของคณะกรรมการบริหาร
กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการทางานโดยอนุโลม
มาตรา ๕๐ ให้ ค ณะกรรมการบริห ารกองทุ น ความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อม ในการทางานมีอานาจหน้าทีด่ งั ต่อไปนี้
(๑) กากับการจัดการและบริหารกองทุน
(๒) พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนเพื่อการช่วยเหลือและการอุดหนุ น การให้กู้ยมื การทด
รองจ่าย และการสนับ สนุ นเงิน ในการด าเนิ นงานด้า นความปลอดภัย อาชีว อนามัยและ
สภาพแวดล้อมในการทางาน
(๓) วางระเบียบเกีย่ วกับการรับเงิน การจ่ายเงิน การเก็บรักษาเงินกองทุนและการจัดหา
ผลประโยชน์ของเงินกองทุน โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
(๔) วางระเบียบเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธกี าร และเงื่อนไขการให้เงินช่วยเหลื อและเงิน
อุดหนุ น การขอเงินช่วยเหลือและเงินอุดหนุ น การอนุ มตั เิ งินทดรองจ่าย การขอเงินทดรองจ่าย
การให้กยู้ มื เงิน และการชาระเงินคืนแก่กองทุน
(๕) ปฏิบตั ิก ารอื่นใดตามที่พระราชบัญ ญัติน้ี ห รือ กฎหมายอื่นบัญ ญัติใ ห้เ ป็ น อ านาจ
หน้าที่ ของคณะกรรมการบริหารกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการ
ทางานหรือ ตามทีร่ ฐั มนตรีมอบหมาย
มาตรา ๕๑ ภายในหนึ่งร้อยยีส่ บิ วันนับแต่วนั สิน้ ปี บญ ั ชี ให้คณะกรรมการบริหารกองทุน
ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานเสนองบดุลและรายงานการรับ
จ่ายเงิน กองทุนในปี ท่ลี ่วงมาแล้วต่อสานัก งานการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อตรวจสอบ
รับรองและเสนอต่อ คณะกรรมการ
งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินดังกล่าว ให้ค ณะกรรมการเสนอต่อรัฐมนตรีและให้
รัฐมนตรี เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและจัดให้มกี ารประกาศในราชกิจจานุเบกษา
721
หน้า ๒๑
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมวด ๗
สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางาน
------------------------
มาตรา ๕๒ ให้มสี ถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการ
ทางาน และมีอานาจ หน้าทีด่ งั ต่อไปนี้
(๑) ส่งเสริมและแก้ไขปั ญหาเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม
ในการ ทางาน
(๒) พัฒนาและสนับสนุ นการจัดทามาตรฐานเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย
และสภาพแวดล้อมในการทางาน
(๓) ดาเนินการ ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมดาเนินงานกับหน่ วยงานด้านความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทางานของภาครัฐและเอกชน
(๔) จัด ให้ม ีก ารศึก ษาวิจ ยั เกี่ย วกับ การส่ ง เสริม ความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อม ในการทางาน ทัง้ ในด้านการพัฒนาบุคลากรและด้านวิชาการ
(๕) อานาจหน้าทีอ่ ่นื ตามทีก่ าหนดในกฎหมาย
ให้ ก ระทรวงแรงงานจัด ตัง้ สถาบัน ส่ ง เสริ ม ความปลอดภัย อาชี ว อนามัย และ
สภาพแวดล้อม ในการทางานโดยอยู่ภายใต้การกากับดูแลของรัฐมนตรี ทัง้ นี้ ภายในหนึ่งปี นับ
แต่วนั ทีพ่ ระราชบัญญัตนิ ้ี ใช้บงั คับ
หมวด ๘
บทกาหนดโทษ
-------------------
มาตรา ๕๓ นายจ้างผู้ใดฝ่ าฝื นหรือไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรฐานที่กาหนดในกฎกระทรวงที่
ออกตาม มาตรา ๘ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสีแ่ สนบาท หรือทัง้ จาทัง้
ปรับ
มาตรา ๕๔ ผูใ้ ดมีหน้าทีใ่ นการรับรอง หรือตรวจสอบเอกสารหลักฐาน หรือรายงานตาม
กฎกระทรวงที่อ อกตามมาตรา ๘ วรรคสอง กรอกข้อ ความอัน เป็ น เท็จ ในการรับ รองหรือ
ตรวจสอบ เอกสารหลักฐานหรือรายงาน ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกิน
สองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
722
หน้า ๒๒
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๕๕ ผูใ้ ดให้บริการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรอง ประเมินความเสีย่ ง จัด
ฝึกอบรม หรือให้คาปรึกษาโดยไม่ได้ขน้ึ ทะเบียนตามมาตรา ๙ หรือไม่ได้รบั อนุ ญาตตามมาตรา
๑๑ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๕๖ นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบตั ิต ามมาตรา ๑๓ มาตรา ๑๖ หรือ มาตรา ๓๒ ต้อ ง
ระวางโทษ จาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๕๗ นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา ๑๔ หรือมาตรา ๓๔ ต้องระวางโทษปรับ
ไม่เกินห้าหมืน่ บาท
มาตรา ๕๘ นายจ้างผูใ้ ดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา ๑๕ หรือมาตรา ๑๗ ต้องระวางโทษจาคุก
ไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๕๙ นายจ้างผู้ใดไม่ปฏิบตั ิตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจาคุกไม่
เกิน หนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสีแ่ สนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๐ ผู้ใดไม่ปฏิบตั ิตามมาตรา ๑๘ วรรคสอง ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินสาม
เดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๑ ผู้ใดขัดขวางการดาเนินการของนายจ้างตามมาตรา ๑๙ หรือขัดขวางการ
ปฏิบตั ิ หน้าทีข่ องพนักงานตรวจความปลอดภัย หรือบุคคลซึง่ ได้รบั มอบหมายตามมาตรา ๓๗
วรรคหนึ่ง โดยไม่มเี หตุอนั สมควร ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินสองแสน
บาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๒ ผู้ใดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา ๒๒ วรรคหนึ่ง หรือมาตรา ๒๓ ต้องระวางโทษ
จาคุก ไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๓ ผู้ใดกระทาการเป็ นผู้ชานาญการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ
สภาพแวดล้อมในการทางานโดยไม่ได้รบั ใบอนุญาตตามมาตรา ๓๓ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน
หกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๔ ผู้ใดขัดขวางหรือไม่อานวยความสะดวกในการปฏิบตั หิ น้ าที่ของพนักงาน
ตรวจ ความปลอดภัยตามมาตรา ๓๕ หรือมาตรา ๓๖ วรรคสอง ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหก
เดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๕ ผู้ใดฝ่ าฝื นหรือไม่ปฏิบตั ติ ามคาสังของพนั ่ กงานตรวจความปลอดภัยตาม
มาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือ
ทัง้ จาทัง้ ปรับ
723
หน้า ๒๓
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตรา ๖๖ ผูใ้ ดฝ่ าฝืนหรือกระทาการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้สงิ่ ทีพ่ นักงานตรวจ ความ
ปลอดภัยสังให้ ่ ระงับการใช้หรือผูกมัดประทับตราไว้กลับใช้งานได้อีกระหว่างการปฏิบตั ิตาม
คาสัง่ ของพนักงานตรวจความปลอดภัยตามมาตรา ๓๖ วรรคสอง ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน
สองปี หรือปรับไม่เกินแปดแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ และปรับอีกเป็ นรายวันไม่เกินวันละห้า
พันบาทจนกว่า จะดาเนินการตามคาสัง่
มาตรา ๖๗ นายจ้างผูใ้ ดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา ๓๙ ต้องระวางโทษปรับครัง้ ละไม่เกินห้า
หมื่นบาท มาตรา ๖๘ นายจ้างผูใ้ ดฝ่ าฝืนมาตรา ๔๒ ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือน หรือ
ปรับ ไม่เกินสองแสนบาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา ๖๙ ในกรณีท่ผี ู้กระทาความผิดเป็ นนิติบุคคล ถ้าการกระทาความผิดของนิติ
บุคคลนัน้ เกิดจากการสังการ ่ หรือการกระทาของบุคคลใด หรือเกิดจากการไม่สงการ ั่ หรือไม่
กระทาการอันเป็ นหน้าที่ ทีต่ ้องกระทาของกรรมการผูจ้ ดั การหรือบุคคลใดซึง่ รับผิดชอบในการ
ดาเนินงานของนิตบิ ุคคลนัน้ ผูน้ นั ้ ต้องรับโทษตามทีบ่ ญ ั ญัตไิ ว้สาหรับความผิดนัน้ ๆ ด้วย
มาตรา ๗๐ ผู้ใดเปิ ดเผยข้อเท็จจริงใดที่เกี่ยวกับกิจการของนายจ้างอันเป็ นข้อเท็จจริง
ที่ปกติว ิสยั ของนายจ้างจะพึงสงวนไว้ไม่เ ปิ ดเผยซึ่งผู้นัน้ ได้ห รือ ล่ ว งรู้ข้อ เท็จจริงดังกล่ าวมา
เนื่องจาก การปฏิบตั กิ ารตามพระราชบัญญัตนิ ้ี ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับ
ไม่เกินสีห่ มืน่ บาท หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ เว้นแต่เป็ นการเปิ ดเผยในการปฏิบตั ริ าชการเพื่อประโยชน์
แห่งพระราชบัญญัตนิ ้ี หรือเพื่อประโยชน์แก่การคุม้ ครองแรงงาน การแรงงานสัมพันธ์ หรือการ
สอบสวนหรือพิจารณาคดี
มาตรา ๗๑ บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตนิ ้ีทม่ี อี ตั ราโทษจาคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ
ปรับ ไม่เกินสี่แสนบาท ถ้าเจ้าพนักงานดังต่อไปนี้ เห็นว่าผู้กระทาผิดไม่ควรได้รบั โทษจาคุก
หรือไม่ควร ถูกฟ้ องร้อง ให้มอี านาจเปรียบเทียบดังนี้
(๑) อธิบดีหรือผูซ้ ง่ึ อธิบดีมอบหมาย สาหรับความผิดทีเ่ กิดขึน้ ในกรุงเทพมหานคร
(๒) ผู้ว่า ราชการจังหวัดหรือ ผู้ซ่งึ ผู้ว่า ราชการจัง หวัดมอบหมาย ส าหรับความผิด ที่
เกิดขึน้ ในจังหวัดอื่น
ในกรณีท่มี กี ารสอบสวน ถ้า พนักงานสอบสวนพบว่าบุค คลใดกระทาความผิดที่เ จ้า
พนักงาน มีอานาจเปรียบเทียบได้ต ามวรรคหนึ่งและบุคคลนั ้นยินยอมให้เ ปรียบเทียบ ให้
พนักงานสอบสวนส่งเรื่อง ให้อธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี ภายในเจ็ดวันนับแต่
วันทีบ่ ุคคลนัน้ แสดงความยินยอม ให้เปรียบเทียบ
เมื่อผู้กระทาผิดได้ชาระเงินค่าปรับตามจานวนที่เปรียบเทียบภายในสามสิบวันนับแต่
วันทีม่ กี าร เปรียบเทียบแล้ว ให้ถอื ว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา
724
หน้า ๒๔
เล่ม ๑๒๘ ตอนที่ ๔ ก ราชกิจจานุเบกษา ๑๗ มกราคม ๒๕๕๔
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าผู้กระทาความผิดไม่ยนิ ยอมให้เปรียบเทียบหรือเมื่อยินยอมแล้วไม่ชาระเงินค่าปรับ
ภายใน กาหนดเวลาตามวรรคสาม ให้ดาเนินคดีต่อไป
มาตรา ๗๒ การกระทาความผิดตามมาตรา ๖๖ ถ้าคณะกรรมการเปรียบเทียบ ซึ่ง
ประกอบด้วยอธิบดี ผู้บญ ั ชาการสานั กงานตารวจแห่งชาติหรือผู้แทน และอัยการสูงสุด หรือ
ผูแ้ ทน เห็นว่าผูก้ ระทาผิดไม่ควรได้รบั โทษจาคุกหรือไม่ควรถูกฟ้ องร้อง ให้มอี านาจเปรียบเทียบ
ได้ และให้นา มาตรา ๗๑ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้บงั คับโดยอนุโลม
บทเฉพาะกาล
-------------------
มาตรา ๗๓ ในวาระเริม่ แรก ให้คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีว อนามัย และ
สภาพแวดล้อ มในการท างานตามพระราชบัญ ญัติคุ้ม ครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่ง ด ารง
ตาแหน่งอยู่ ในวันทีพ่ ระราชบัญญัตนิ ้ใี ช้บงั คับ ปฏิบตั หิ น้าทีค่ ณะกรรมการตามพระราชบัญญัตนิ ้ี
ไปจนกว่าจะมีการ แต่งตัง้ คณะกรรมการตามพระราชบัญญัตนิ ้ี ซึง่ ต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบ
วันนับแต่วนั ทีพ่ ระราชบัญญัตนิ ้ี ใช้บงั คับ
มาตรา ๗๔ ในระหว่างที่ยงั มิได้ออกกฎกระทรวง ประกาศ หรือระเบียบเพื่อปฏิบตั กิ าร
ตามพระราชบัญ ญัติน้ี ให้นากฎกระทรวงที่อ อกตามความในหมวด ๘ แห่ งพระราชบัญ ญัติ
คุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาใช้บงั คับโดยอนุโลม
ผูร้ บั สนองพระบรมราชโองการ
อภิสทิ ธิ ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
ภาคผนวก ข
พระราชบัญญัติป้องกันและระงับอัคคีภยั
พ.ศ. 2542
726
พระราชบัญญัติ
ป้ องกันและระงับอัคคีภยั
พ.ศ. 2542
_________
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2542
เป็ นปี ที่ 54 ในรัชกาลปัจจุบนั
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่าโดยทีเ่ ป็ นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการป้ องกันและระงับอัคคีภยั
พระราชบัญญัตมิ บี ทบัญญัตบิ างประการเกี่ยวกับการจากัดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคล
ซึง่ มาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 35 และมาตราที่ 18 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
บัญญัตใิ ห้กระทาได้โดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัตแิ ห่งกฎหมาย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าให้ตราพระราชบัญญัติ ขน้ึ ไว้โดยคาแนะนาและยินยอมของ
รัฐสภาดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตนิ ้ีเรียกว่า “พระราชบัญญัตปิ ้ องกันและระงับอัคคีภยั พ.ศ.
2542”
มาตรา 2 พระราชบัญญัตนิ ้ใี ห้ใช้บงั คับตัง้ แต่วนั ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุ เบกษา
เป็ นต้นไป
(*ประกาศใน รน.116 ก ตอนที่ 28 หน้า 1 วันลง รจ. 19 เมษายน 2542)
มาตรา 3 ให้ยกเลิก
(1) พระราชบัญญัตปิ ้ องกันและระงับอัคคีภยั พ.ศ. 2495
(2) พระราชบัญญัตปิ ้ องกันและระงับอัคคีภยั (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2499
มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตนิ ้ี
“ป้ องกันอัคคีภยั ” หมายความว่า การดาเนินการเพื่อมิให้เกิดเพลิงไหม้ และ
ให้หมายความรวมถึงการเตรียมการเพื่อรองรับเหตุการณ์เมือ่ เกิดเพลิงไหม้ดว้ ย
“ระงับ อัค คี ภ ัย ” หมายความว่ า การดับ เพลิง และการลดการสู ญ เสีย ชีว ิต
ร่างกายและทรัพย์สนิ อันเนื่องมาจากการเกิดเพลิงไหม้
“สิ่ งที่ ทาให้ เกิ ดอัคคีภยั ได้ง่าย” หมายความว่า เชื้อเพลิง สารเคมี หรือวัตถุ
อื่นใดไม่ว่าจะมีสถานะเป็ นของแข็ง ของเหลวหรือก๊าซ ทีอ่ ยูใ่ นภาวะพร้อมจะเกิดการสันดาปจาก
การจุดติดใดๆ หรือการสันดาปเอง ทัง้ นี้ ตามทีร่ ฐั มนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
“เจ้าพนักงานท้องถิ่ น” หมายความว่า
(1) ผูว้ ่าราชการกรุงเทพมหานคร สาหรับในเขตกรุงเทพมหานคร
727
หมวด 1
การป้ องกันอัคคีภยั
______________
มาตรา 7 ผูอ้ านวยการดับเพลิงประจาท้องถิน่ หรือเจ้าพนักงานท้องถิน่ มีอานาจแต่งตัง้
เทศมนตรีกรรมการสุขาภิบาล ข้าราชการพลเรือน ข้าราชการส่วนท้องถิ่น หรือพนักงานส่วน
ท้องถิ่น ตัง้ แต่ระดับสามขึ้นไปหรือข้าราชการตารวจซึ่งมียศตัง้ แต่ร้อยตารวจตรีขน้ึ ไปให้เป็ น
นายตรวจ เพื่อให้ปฏิบตั หิ น้าทีภ่ ายในเขตราชการส่วนท้องถิน่ นัน้
มาตรา8 เพื่อประโยชน์ในการป้ องกันอัคคีภยั ตามหมวดนี้ ให้นายตรวจมีอานาจและ
หน้าที่ ดังต่อไปนี้
(1) ตรวจตราสิง่ ทีท่ าให้เกิดอัคคีภยั ได้ง่ายหรือสิง่ ทีอ่ ยู่ในภาวะอันอาจทาให้เกิดอัคคีภยั
ได้งา่ ย
(2) ตรวจตราบุคคลผู้ท่มี หี น้ าที่ในการป้ องกันอัคคีภยั และระงับอัคคีภยั ที่บญ ั ญัติไว้ใน
พระราชบัญญัตนิ ้ี ว่าปฏิบตั หิ น้าทีโ่ ดยถูกต้องหรือไม่
(3) เข้าไปในอาคารหรือ สถานที่ ในเวลาระหว่างพระอาทิต ย์ข้นึ ถึงพระอาทิตย์ข้นึ ถึง
พระอาทิต ย์ต ก หรือ ในเวลาท าการสถานที่นัน้ เพื่อ ตรวจตราการเก็บรักษาสิ่งที่ทาให้เ กิด
อัคคีภยั ได้งา่ ย หรือในเวลาอื่นกรณีมเี หตุฉุกเฉินอย่างยิง่ ที่แสดงให้เห็นว่าสถานทีน่ นั ้ อยู่ในภาวะ
ทีจ่ ะเกิดอัคคีภยั
729
หมวด 2
การระงับอัคคีภยั
___________
มาตรา 15 ให้ผอู้ านวยการดับเพลิงประจาท้องถิน่ เจ้าพนักงานท้องถิน่ พนักงาน
ดับเพลิงและเจ้าพนักงานตารวจมีหน้าทีร่ ะงับอัคคีภยั โดยให้ตดิ เครือ่ งหมายและให้แสดงบัตร
ประจาตัวเมือ่ บุคคลทีเ่ กีย่ วข้องร้องขอ
มาตรา 16 ให้ผอู้ านวยการดับเพลิงประจาท้องถิน่ มีอานาจบังคับบัญชาเจ้าพนักงาน
ท้องถิน่ พนักงานดับเพลิงและเจ้าพนักงานตารวจในขณะเกิดเพลิงไหม้
731
หมวด3
บทเบ็ดเตล็ด
__________
หมวด 4
บทกาหนดโทษ
___________
มาตรา 27 ผู้ใดฝ่ าฝื นหรือไม่ปฏิบตั ติ ามกฎกระทรวงนัน้ ออกตามมาตรา6(1) หรือ
(2)ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา 28 ผูใ้ ดขัดขวางไม่ยอมให้นายตรวจหรือเจ้าพนักงานท้องถิน่ เข้าไปในอาคาร
หรือสถานทีต่ ามมาตรา8(3) ต้องระวาง โทษจาคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
หรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา 29 ผู้ใดฝ่ าฝืนหรือไม่ปฏิบตั ติ ามคาสังของเจ้
่ าพนักงานท้องถิน่ ตามมาตรา 9
วรรคหนึ่ง หรือฝ่ าฝืนหรือไม่ปฏิบตั ติ ามคาสังของรั
่ ฐมนตรีตามมาตรา 10 วรรคสาม ต้องระวาง
โทษ จาคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมืน่ บาทหรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา 30 ผูใ้ ดเข้าไปในบริเวณทีเ่ จ้าหน้าที่ปิดกัน้ ตามมาตรา 14 (3) หรือมาตรา
20(3) โดยไม่ได้รบั อนุญาตจากเจ้าหน้าทีต่ อ้ งระวางโทษปรับไม่เกินสองพันบาท
มาตรา 31 ผูใ้ ดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา 22 ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับ
ไม่เกิน 10,000 บาทหรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา 32 ผูใ้ ดไม่ปฏิบตั ติ ามมาตรา 23 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน500 บาท
มาตรา 33 ผู้ใดเข้าไปในบริเวณที่เจ้าหน้าที่ปิดกัน้ ตามมาตรา 24(3) โดยไม่ได้รบั
อนุญาตจากเจ้าหน้าทีต่ อ้ งระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา 34 ผูใ้ ดแต่งเครื่องแบบหรือติดเครื่องแบบสาหรับผูอ้ านวยการดับเพลิงประจา
ท้องถิน่ เจ้าพนักงานท้องถิน่ นายตรวจพนักงานดับเพลิงหรืออาสาดับเพลิงโดยไม่มสี ทิ ธิ ์เพื่อให้
บุค คลอื่นเชื่อ ว่าตนเป็ นบุคคลดังกล่ าวหรือ แสดงตนเป็ นบุค คลดังกล่ าว และกระทาการตาม
พระราชบัญญัตนิ ้ีต้องระวางโทษจาคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทัง้ จาทัง้
ปรับ
ถ้าการกระทาตามวรรคหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่นื ต้องระวังโทษจาคุกไม่เกิน
สองปี หรือปรับไม่เกินสีห่ มืน่ บาทหรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา 35 ผูใ้ ดแจ้งเหตุหรือให้อาณัตสิ ญ ั ญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้อนั เป็ นเท็จต้องระวาง
โทษจาคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
มาตรา 36 ผูใ้ ดไม่มอี านาจโดยชอบด้วยกฎหมายทาลายเคลื่อนย้ายกีดขวางหรือทาให้
เกิดอุปสรรคต่อการใช้อาณัตสิ ญ ั ญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้เครือ่ งดับเพลิงหรือท่อส่งน้าดับเพลิงต้อง
ระวางโทษจาคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสีห่ มื่นบาทหรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
ถ้าการกระทาความผิดตามวรรคหนึ่งน่ าจะเป็ นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นผูก้ ระทา
ต้องระวังโทษจาคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินสีห่ มื่นบาทหรือทัง้ จาทัง้ ปรับ
734
บทเฉพาะกาล
_________
มาตรา 37 บรรดากฎกระทรวงระเบีย บข้อ บัง คับ ประกาศและค าสัง่ ที่อ อกตาม
พระราชบัญญัตปิ ้ องกันและระงับอัคคีภยั พ.ศ. 2495 ทีใ่ ช้บงั คับอยูใ่ นวันทีพ่ ระราชบัญญัตนิ ้ีบงั คับ
ใช้ใ ห้ยงั คงใช้ไ ด้ต่ อ ไปเท่าที่ไ ม่ขดั หรือ แย้งกลับบทบัญ ญัติแห่ งพระราชบัญ ญัติน้ีจนกว่าจะมี
กระทรวง ระเบียบข้อบังคับประกาศและคาสังตามพระราชบั ่ ญญัตนิ ้ใี ช้บงั คับ
ผูร้ บั สนองพระ บรมราชโองการ
ชวน หลีกภัย
นายกรัฐมนตรี
กฎกระทรวง
การเป็ นหน่ วยงานฝึ กอบรมการดับเพลิงขัน้ ต้น
และการเป็ นหน่ วยงานฝึ กซ้อมดับเพลิงและฝึ กซ้อมอพยพหนีไฟ
พ.ศ. ๒๕๕๖
หมวด ๑
การขออนุ ญาต และการอนุ ญาต
ส่วนที่ ๑
คุณสมบัตขิ องผูข้ ออนุ ญาต การขออนุ ญาต และการอนุ ญาต
ข้อ ๒ นิตบิ ุคคลผูข้ ออนุ ญาตเป็ นหน่ วยงานฝึ กอบรมการดับเพลิงขัน้ ต้นหรือหน่ วยงาน
ฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึ กซ้อมอพยพหนีไฟ ต้องมีคณ ุ สมบัตแิ ละไม่มลี กั ษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(๑) มีสานักตัง้ อยู่ในราชอาณาจักรไทย
(๒) มี ว ั ต ถุ ป ระสงค์ ใ นการจั ด ฝึ กอบรมด้ า นความปลอดภั ย อาชี วอนามั ย และ
สภาพแวดล้อมในการทางาน
(๓) ไม่ เ คยถู ก เพิก ถอนใบอนุ ญ าต เว้น แต่ พ้น ก าหนดสามปี นั บ แต่ ว ัน ที่ถู ก เพิก ถอน
ใบอนุ ญาต
736
ข้อ ๑๑ ผูร้ บั อนุ ญาตผูใ้ ดฝ่ าฝื นหรือไม่ปฏิบตั ติ ามกฎกระทรวงนี้ ให้อธิบดีมอี านาจสั ่งพักใช้
ใบอนุ ญาต โดยมีกาหนดระยะเวลา ดังต่อไปนี้
(๑) ครัง้ ทีห่ นึ่ง สามสิบวัน
738
ส่วนที่ ๑
บททั ่วไป
ส่วนที่ ๒
การฝึ กอบรมการดับเพลิงขัน้ ต้น
ส่วนที่ ๓
การฝึ กซ้อมดับเพลิงและฝึ กซ้อมอพยพหนีไฟ
ส่วนที่ ๔
ค่าบริการ
หมวด ๓
ค่าธรรมเนียม
ภาคผนวก ค
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับที่ ๔๓๔๑ (พ.ศ. ๒๕๕๔)
ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิ ตภัณฑ์อตุ สาหกรรม
พ.ศ.๒๕๑๑
745
หน้า ๑๑
เล่ม ๑๒๘ ตอนพิเศษ ๙๙ ง ราชกิจจานุเบกษา ๑ กันยายน ๒๕๕๔
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
ฉบับที่ ๔๓๔๑ (พ.ศ. ๒๕๕๔)
ออกตามความในพระราชบัญญัตมิ าตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
พ.ศ.๒๕๑๑
เรือ่ ง ยกเลิกและกาหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย : ข้อกาหนด
1. ขอบข่าย
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนี้เป็ นข่อกาหนดสาหรับระลดการจัดการอาชีว
อนามัยและความปลอดภัย เพื่อช่วยให้องค์การควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกับอาชีวอ
นามัย และความปลอดภัย และช่ ว ยในการปรับ ปรุ ง สมรรถนะด้า นอาชีว อนามัย และความ
ปลอดภัยขององค์การ
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนี้สามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้กบั ทุกองค์การที่
ต้องการนาไปเพื่อสร้างความเชื่อมันในการประกอบธุ
่ รกิจให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ โดย
มีการประยุกต์ใช้ ดังนี้
1. จัดทาระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยเพื่อกาจัด หรือลดความ
เสี่ยงต่อ ลูก จ้างและผู้มสี ่ว นได้เสียที่ม ี โอกาสประสบกับอันตรายที่เกี่ยวกับอาชีว อนามัยและ
ความปลอดภัยซึง่ เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ
2. นาระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยไปปฏิบตั ริ กั ษาไว้ และมีการ
พัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
3. ให้หลักประกันว่าองค์การสามารถปฏิบตั ิได้สอดคล้องกับนโยบายด้านอาชีวอนา
มัยและความปลอดภัยทีป่ ระกาศไว้
4. แสดงความสอดคล้องกับข้อกาหนดของมาตรฐานนี้โดย
4.1 พิจารณาตนเอง (self- determination) และการประกาศรับรอง
ตนเอง (self – declaration)
747
2. การนาไปใช้
ข้อกาหนดของมาตรฐานนี้ ใช้กรอบแนวคิดตามรูปแบบระบบการจัดการอาชีวอนามัย
และความปลอดภัย เพื่อทาให้องค์กรสามารถกาหนดนโยบายและวัตถุประสงค์ดา้ นอาชีวอนามัย
และความปลอดภัย และกาหนดขัน้ ตอนในการนาไปปฏิบตั ิ พร้อมชี้ให้เห็นความสาเร็จตาม
เกณฑ์ท่กี าหนดขึ้น เพื่อทาให้เกิดวงจรการปรับปรุงระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความ
ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ดังแสดงในภาพที่ 86
ภาพที่ 86 รูปแบบระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
ทีม่ า: สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม, 2554.
748
3. บทนิ ยาม
ความหมายของคาทีใ่ ช้ในมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนี้ มีดงั ต่อไปนี้
1. ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (Occupational Health and
Safety Management Systems : OHSMS) หมายถึงส่วนหนึ่งของระบบการจัดการของ
องค์กร เพื่อใช้ในการกาหนดและนาไปปฏิบตั ซิ ่งึ นโยบายอาชีวอนามัยและความปลอดภัยและ
การจัดการความเสีย่ งต่างๆในด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยขององค์กร
หมายเหตุ 1. ระบบการจัดการประกอบด้วย องค์ประกอบต่างๆ ซึง่ มีความสัมพันธ์ต่อ
กันทีใ่ ช้ในการกาหนดนโยบายและวัตถุประสงค์ และทาให้เพื่อบรรลุวตั ถุประสงค์ดงั กล่าว
2. ระบบการจัดการประกอบด้วย โครงสร้างขององค์กร กิจกรรมการ
วางแผน (เช่น การประเมินความเสี่ยง และการกาหนดวัตถุประสงค์) หน้ าที่ความรับผิดชอบ
แนวปฏิบตั ิ ขัน้ ตอนการดาเนินงาน กระบวนการ และทรัพยากรต่างๆ
2. ความเสีย่ ง (Risk) หมายถึง ผลลัพธ์ของความน่ าจะเกิดอันตรายและผลจากอันตราย
นัน้
3. อาชีวอนามัยและความปลอดภัย (Occupational Health and Safety Management
Systems : OH&S) หมายถึง สภาพและปั จจัยทีม่ หี รืออาจมีผลต่อสุขภาพอนามัย และความ
ปลอดภัยของผู้ปฏิบตั ิงาน ลูกจ้าง หรือคนงานอื่นๆ (รวมถึงคนงานชัวคราว ่ และคนงานของ
ผูร้ บั เหมา)ผูเ้ ยีย่ มชมหรือบุคลอื่นๆในสถานทีท่ างาน
หมายเหตุ : องค์กรต้องปฏิบตั ิต ามกฎหมายเพื่อ สุขภาพและความปลอดภัยของ
ผู้ปฏิบตั ิงานทัง้ ในและนอกสถานที่ทางานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมขององค์กรหรือผู้ท่สี มั ผัสกับ
กิจกรรมการทางาน
4. ผูม้ สี ่วนได้เสีย (Interested Party) หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลทัง้ ทีอ่ ยู่ภายในและ
ภายนอกสถานที่ท างานที่เ กี่ย วข้อ ง หรือ ได้รบั ผลกระทบจากผลการด าเนิ น การด้า นอาชีว
อนามัยและความปลอดภัยขององค์กร
5. อันตราย (Hazard) หมายถึงสิง่ หรือสถานการณ์ท่อี าจก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือ
ความเจ็บป่ วยจากการทางาน ความเสียหายต่อทรัพย์สนิ ความเสียหายต่อสภาพแวดล้อม ใน
การทางาน หรือต่อสาธารณชน หรือสิง่ ต่างๆ เหล่านี้รวมกัน
6. นโยบายอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OH&S Policy) หมายถึง เจตนารมณ์และ
ทิศทางทัง้ หมดขององค์กรเกี่ยวกับการดาเนินการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของ
องค์กรทีก่ าหนดโดยผูบ้ ริหารระดับสูง
749
4. ข้อกาหนดของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
4.1 ข้อกาหนดทัวไป ่
องค์กรต้องจัดทาระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยทีเ่ ป็ นลายลักษณ์
อักษร มีการนาไปปฏิบตั ริ กั ษาไว้ และมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ตามข้อกาหนดทีร่ ะบุ
ไว้ในมาตรฐานนี้ องค์กรต้องกาหนดขอบข่ายของระบบการจัดการของอาชีว อนามัยและความ
ปลอดภัยขององค์กร และจัดทาเป็ นเอกสาร
4.2 นโยบายอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ผูบ้ ริหารระดับสูงขององค์กรต้องกาหนด
นโยบายโดยจัดทาเป็ นเอกสารพร้อมทัง้ ลงนาม เพื่อเป็ นแนวทางในการจัดการอาชีวอนามัยและ
ความปลอดภัย นโยบายดังกล่าวต้อง
(1) เป็ นส่วนหนึ่งของการดาเนินธุรกิจ
(2) เหมาะสมกับลักษณะ ขนาด และระดับความเสีย่ งขององค์กร
(3) เป็ นกรอบในการกาหนดและทบทวนวัตถุประสงค์
(4) แสดงความมุง่ มันในการปฏิ
่ บตั ติ ามกฎหมายและข้อกาหนดอื่นๆ ทีอ่ งค์กร
เกีย่ วข้องหรือได้ทาข้อตกลงไว้
(5) แสดงความมุง่ มันในการป้
่ องกันอันตราย ความเจ็บป่ วยจากการทางานทีจ่ ะ
เกิดกับลูกจ้างและผูม้ สี ่วนได้เสีย และปรับปรุงระบบการจัดการและผลการดาเนินการด้านอาชีวอ
นามัยและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง
(6) ให้ลกู จ้างมีส่วนร่วมในระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
และได้รบั คาปรึกษา แนะนาให้มคี วามรูค้ วามสามารถอย่างเพียงพอทีจ่ ะสามารถปฏิบตั งิ านได้
อย่างปลอดภัย
(7) จัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอและเหมาะสมในการดาเนินการให้บรรลุตาม
นโยบายอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
ผูบ้ ริหารระดับสูงขององค์กรต้องเผยแพร่ให้ลกู จ้าง และผูม้ สี ่วนได้เสียได้รบั ทราบและ
เข้าใจจุดมุง่ หมายของนโยบาย เพื่อให้เกิดความตระหนักในความรับผิดชอบด้านอาชีวอนามัย
และความปลอดภัย และต้องทบทวนตามระยะเวลาทีเ่ หมาะสมเพื่อให้มนใจว่ ั ่ านโยบายทีก่ าหนด
ขึน้ ยังมีความเหมาะสมกับองค์การ
4.3 การวางแผน
4.3.1 การบ่งชีอ้ นั ตรายและการประเมินความเสีย่ ง
องค์กรต้องจัดทาขัน้ ตอนการดาเนินงานสาหรับการชีบ้ ่งอันตราย และการ
ประเมินความเสีย่ งทุกกิจกรรมและสภาพแวดล้อมในการทางานของลูกจ้างและผูม้ สี ่วนได้เสีย
อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการพิจารณากาหนดมาตรการการควบคุมความเสีย่ ง
752
ขัน้ ตอนการด าเนิ น งานส าหรับ การชี้บ่ ง อัน ตรายและการประเมิน ความเสี่ย งต้ อ ง
ครอบคลุมถึง
(1) กิจกรรมทีท่ าเป็ นประจาและทีไ่ ม่เป็ นประจา
(2) กิจกรรมของผู้รบั เหมา บุคคลภายนอกที่มาใช้บริการและผู้เยี่ยมชมใน
สถานทีท่ างาน
(3) พฤติกรรมของมนุษย์ ขีดความสามารถ และปั จจัยอื่นๆ ของมนุษย์
(4) การชี้บ่งอันตรายที่เกิดจากภายนอกสถานที่ทางานซึ่งสามารถทาให้เกิด
อันตรายต่อสุขภาพ และความปลอดภัย ต่อบุคลากรภายใต้การกากับดูแลขององค์กรภายใน
สถานทีท่ างาน
(5) อันตรายทีเ่ กิดขึน้ ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับสถานที่ทางานขององค์กร โดย
เป็ นงานทีม่ คี วามเกีย่ วข้องกับกิจกรรมภายใต้การกากับดูแลขององค์กร
(6) โครงสร้า งพื้น ฐาน อุ ป กรณ์ แ ละวัส ดุ ต่ า งๆ ภายในสถานที่ท างาน ที่
จัดเตรียมโดยองค์กรหรืออื่นๆ
(7) การเปลี่ ย นแปลงหรื อ ข้ อ เสนอให้ ม ี ก ารเป ลี่ ย นแปลงวั ส ดุ อุ ป กรณ์
กระบวนการ วิธปี ฏิบตั งิ าน หรือกิจกรรมต่างๆ ในองค์กร
(8) การปรับปรุงระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย รวมถึงการ
เปลีย่ นแปลงชัวคราว
่ และมีผลกระทบต่อการปฏิบตั งิ าน กระบวนการ และกิจกรรมต่างๆ
(9) กฎหมายทีเ่ กีย่ วข้องกับการประเมินความเสีย่ งและการควบคุมความเสีย่ ง
(10) การออกแบบพืน้ ทีท่ างาน กระบวนการ การติดตัง้ เครื่องจักร และอุปกรณ์
ขัน้ ตอนการดาเนินการและการจัดการเกี่ยวกับงาน (Work Organization) ภายในองค์กรรวมถึง
การประยุกต์ตามขีดความสามารถของมนุษย์
การชีบ้ ่งอันตรายและการประเมินความเสีย่ งขององค์กรต้อง
(1) กาหนดขึน้ โดยคานึงถึงขอบข่าย ลักษณะของกิจกรรมและระยะเวลาเพื่อให้
มันใจว่
่ าเป็ นเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ
(2) ชีบ้ ่งอันตราย จัดลาดับความสาคัญและจัดเตรียมเป็ นเอกสารของความเสีย่ ง
ต่างๆ และกาหนดมาตรการควบคุมต่างๆ ตามความเหมาะสม
สาหรับการจัดการการเปลีย่ นแปลง องค์กรต้องชีบ้ ่งอันตราย และความเสีย่ ง ซึง่ มีความสัมพันธ์
กับการเปลีย่ นแปลงในองค์กร ระบบการจัดการอาชีวอนามัย และความปลอดภัย หรือกิจกรรม
ต่างๆ ก่อนทีจ่ ะทาการเปลีย่ นแปลง
753
เอกสารในระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ต้องประกอบด้วย
(1) นโยบายและวัตถุประสงค์ดา้ นอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
(2) ขอบข่ายของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
(3) เอกสารในระบบการจัดการอาชีว อนามัยและความปลอดภัยที่
องค์ก รจัดท าขึ้นต้อ งอธิบายองค์ประกอบหลักของระบบการจัดการอาชีว อนามัยและความ
ปลอดภัยและความสัมพันธ์ของเอกสารในระบบ และเอกสารทีอ่ ้างอิงอื่นๆ บันทึกถือเป็ นเอกสาร
ประเภทหนึ่งซึ่งต้องจัดทาขึ้นตามข้อกาหนดที่ระบุในมาตรการนี้ และที่องค์กรเห็นว่ามีความ
จาเป็ นเพื่อให้การวางแผน การปฏิบตั กิ าร และการควบคุมการปฏิบตั งิ านที่เกี่ยวข้องกับความ
เสี่ยงด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยได้อ ย่างมีประสิทธิผล การจัดทาแลการควบคุมให้
เป็ นไปตามข้อ....
4.4.5 การควบคุมเอกสาร
องค์ก รต้ อ งจัด ท าขัน้ ตอนการด าเนิ น งานส าหรับ การเก็บ รัก ษา และ
ควบคุมเอกสาร เพื่อให้มนใจว่ั ่ าเอกสารที่มคี วามทันสมัยและใช้ได้ตามวัตถุประสงค์โดยอย่าง
น้อยต้องมีการควบคุม ดังนี้
(1) อนุมตั เิ อกสารว่ามีความเพียงพอก่อนการนาไปใช้
(2) ทบทวน ปรับปรุงเอกสาร (ถ้าจาเป็ น) และอนุมตั ใิ หม่
(3) มันใจว่
่ าการเปลีย่ นแปลง และสถานะปั จจุบนั ของเอกสารได้มกี าร
ระบุไว้
(4) มันใจว่
่ ามีเอกสารต่างๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง ณ จุดปฏิบตั งิ าน
(5) มันใจว่
่ าเอกสารยังคงอ่านได้งา่ ยและมีการชีบ้ ่งไว้อย่างชัดเจน
(6) มันใจว่
่ ามีเอกสารต่างๆ จากภายนอกซึ่งได้รบั การพิจารณาโดย
องค์กรแล้วว่ามีความจาเป็ นสาหรับการวางแผนและการดาเนินการระบบการจัดการอาชีวอนา
มัยและความปลอดภัยได้รบั การชีบ้ ่งและมีการควบคุมการแจกจ่าย
(7) ป้ องกันการนาเอกสารที่ลา้ สมัยแล้วไปใช้โดยไม่ได้ตงั ้ ใจและมีก าร
ชี้บ่งที่ชดั เจนสาหรับเอกสารที่ยกเลิกแล้ว แต่มคี วามจาเป็ นต้อ งเก็บไว้ใช้อ้างอิง องค์กรต้อ ง
จัดทาและเก็บบันทึกตามทีก่ าหนด
4.4.6 การควบคุมการปฏิบตั ิงาน องค์ก รต้อ งพิจารณาถึงการปฏิบตั ิงานและ
กิจกรรมต่างๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกับอันตรายต่างๆ ที่ได้ช้บี ่งไว้ว่ามีความจาเป็ นต้องมีการดาเนินการ
เพื่อ จัด การความเสี่ย งด้ า นอาชีว อนามัย และความปลอดภัย ซึ่ง รวมถึง การจัด การการ
เปลีย่ นแปลงตามข้อกาหนดด้วย สาหรับการปฏิบตั งิ านและกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น องค์กรต้อง
นาไปปฏิบตั แิ ละรักษาไว้ซง่ึ
757
องค์กรต้องจัดทาและเก็บบันทึกตามทีก่ าหนดในข้อกาหนด
4.5.4 การจัดทาและเก็บบันทึก องค์กรต้องจัดทาขัน้ ตอนการดาเนินงานสาหรับ
การชีบ้ ่ง การรวบรวม การทาดัชนี การจัดเก็บ การรักษา และการทาลาย บันทึกด้านอาชีวอนา
มัยและความปลอดภัย บันทึกต้องชัดเจน เข้าใจง่าย สามารถชี้บ่งและสามารถสอบกลับไปยัง
กิจ กรรมต่ างๆ ด้านอาชีว อนามัยและความปลอดภัย รวมทัง้ ต้อ งมีก ารเก็บ รักษาบัน ทึก ให้
สามารถเรียกมาใช้งานได้ง่าย มีการป้ องกันการเสียหาย การเสื่อมสภาพ หรือการสูญหาย และ
ต้องมีการกาหนดระยะเวลาในการเก็บรักษาเพื่อเป็ นหลักฐานที่แสดงว่าเป็ นไปตามข้อกาหนด
ของมาตรฐานนี้
4.5.5 การตรวจประเมินภายใน องค์กรต้องมันใจว่ ่ าตรวจประเมินภายในตาม
ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยได้ดาเนินการตามช่วงเวลา ตามแผนทีก่ าหนด
ไว้เพื่อ
(1) พิจารณาว่าระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย
(1.1) สอดคล้องตามแผนการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยที่
กาหนดไว้ รวมถึงข้อกาหนดของระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยนี้
(1.2) ได้นาไปปฏิบตั อิ ย่างเหมาะสมและสามารถรักษาระบบไว้ได้
(2) จัดเตรียมข้อมูลผลการตรวจประเมินแก่ฝ่ายบริหาร
โปรแกรมการตรวจประเมินต้องมีการวางแผน จัดทา มีการนาไปปฏิบตั ิ และรักษาไว้
โดยองค์กรบนพื้นฐานของผลการประเมินความเสี่ยงในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร และผลการ
ตรวจประเมินครัง้ ที่ผ่ านมา องค์กรต้อ งจัดทาขัน้ ตอนการดาเนินงานเรื่องการตรวจประเมิน
ภายในเพื่อระบุถงึ
(1) ความรับผิดชอบ ความสามารถ และข้อกาหนดต่างๆ ของการวางแผนและ
ดาเนินการตรวจประเมินการรายงานผลการตรวจประเมิน และการจัดเก็บบันทึกทีเ่ กีย่ วข้อง
(2) การกาหนดเกณฑ์การตรวจประเมิน ขอบข่าย ความถี่ และวิธกี ารตรวจ
การคัด เลือ กผู้ต รวจประเมิน และการดาเนิ นการตรวจประเมิน ต้อ งมันใจในการยึ
่ ด ถือ ตาม
วัตถุประสงค์และมีความเป็ นกลางในกระบวนการตรวจประเมิน
องค์กรต้องจัดทาและเก็บบันทึกตามทีก่ าหนดในข้อกาหนด
4.6 การทบทวนการจัดการ
ผู้บริหารระดับสูงต้องทบทวนระบบการจัดการอาชีว อนามัยและความปลอดภัยของ
องค์ก รตามช่ว งเวลาที่ว างแผนไว้ เพื่ อ ให้มนใจว่
ั ่ าระบบยังมีค วามเหมาะสม พอเพียงและมี
ประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง
การทบทวนต้องรวมถึงการประเมินโอกาสเพื่อการปรับปรุง และความจาเป็ นในการ
เปลีย่ นแปลงระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย รวมทัง้ นโยบาย และวัตถุประสงค์
ด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ข้อมูลสาหรับการทบทวน การจัดการต้องรวมถึง
761
ภาคผนวก ง
พระราชบัญญัติ
ส่งเสริ มและรักษาคุณภาพสิ่ งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕
763
พระราชบัญญัติ
ส่งเสริ มและรักษาคุณภาพสิ่ งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
เป็ นปี ที่ ๔๗ ในรัชกาลปัจจุบนั
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า โดยทีเ่ ป็ นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพ
สิง่ แวดล้อมแห่งชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตขิ น้ึ ไว้ โดยคาแนะนา
และยินยอมของสภานิตบิ ญ ั ญัตแิ ห่งชาติ ทาหน้าทีร่ ฐั สภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑
พระราชบัญญัตนิ ้เี รียกว่า "พระราชบัญญัตสิ ่งเสริมและรักษาคุณภาพสิง่ แวดล้อม
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕"
มาตรา ๒
พระราชบัญญัตนิ ้ใี ห้ใช้บงั คับเมือ่ พ้นกาหนดหกสิบวันนับแต่วนั ถัดจากวันประกาศในราช
กิจจานุเบกษาเป็ นต้นไป
มาตรา ๓
ให้ยกเลิก (๑) พระราชบัญญัตสิ ่งเสริมและรักษาคุณภาพสิง่ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๑๘ (๒) พระราชบัญญัตสิ ่งเสริมและรักษาคุณภาพสิง่ แวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.
๒๕๒๑ (๓) พระราชบัญญัตสิ ่งเสริมและรักษาคุณภาพสิง่ แวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๒๒
มาตรา ๔
ในพระราชบัญญัตนิ ้ี
"สิ่ งแวดล้อม" หมายความว่า สิง่ ต่าง ๆ ทีม่ ลี กั ษณะทางกายภาพและชีวภาพทีอ่ ยู่
รอบตัวมนุษย์ ซึง่ เกิดขึน้ โดยธรรมชาติและสิง่ ทีม่ นุษย์ได้ทาขึน้
"คุณภาพสิ่ งแวดล้อม" หมายความ ดุลยภาพของธรรมชาติ อันได้แก่ สัตว์ พืช และ
ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ และสิง่ ทีม่ นุษย์ได้ทาขึน้ ทัง้ นี้ เพื่อประโยชน์ต่อการดารงชีพของ
ประชาชนและความสมบูรณ์สบื ไปของมนุษยชาติ
764
มาตรา ๑๑
ให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิง่ แวดล้อม
รักษาการตามพระราชบัญญัตนิ ้ี ทัง้ นี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับอานาจหน้ าที่ของตน รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิง่ แวดล้อม มีอานาจแต่งตัง้ เจ้าพนักงานควบคุมมลพิษ
และพนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่ กั บ ออกกฎกระทรวงก าหนดค่ า ธรรมเนี ย มไม่ เ กิ น อั ต ราท้ า ย
พระราชบัญญัตนิ ้ี และกาหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบตั กิ ารตามพระราชบัญญัตนิ ้ี กฎกระทรวงนัน้
เมือ่ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บงั คับได้