Professional Documents
Culture Documents
Surveying
Surveying
การสํารวจ (Surveying):
ศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิคในการหาตําแหน่ง หรือการกําหนดตําแหน่ง
ต่างๆ ทีอ่ ยูเ่ หนือ บน และใต้ผวิ โลก ทัง้ ในลักษณะตําแหน่งสัมพัทธ์ (Relative
Introduction positioning) และตําแหน่งสัมบูรณ์ (Absolute positioning) ด้วยการประยุกต์
เทคโนโลยีต่างๆ เข้าด้วยกัน เพือ่ ให้ได้มาซึง่
ข้อมูลเชิงตําแหน่ง (Spatial data)
ข้อมูลชนิดไม่มตี าํ แหน่ง (Non-spatial data)
Surames Piriyawat, Ph.D. ข้อมูลอรรถาธิบาย (Attribute data)
Department of Civil Engineering และบริหารจัดการข้อมูลเหล่านี้ดว้ ย “ระบบภูมสิ ารสนเทศ (Geographic Information
Faculty of Engineering
Burapha University System, GIS)
Dr. Surames Piriyawat 1 Dr. Surames Piriyawat 2
ลักษณะของงานสํารวจ
ิ
ชนดของงานสํ
ารวจ (2) Level of Accuracy
ความถูกต้องเชงตํ
ิ าแหนง่ (Spatial accuracy)
งานสํารวจชลศาสตร์ (Hydrographic surveys)
Federal Geodetic Control Committee (FGCC):
งานสํารวจเส้นทาง (Route surveys)
แบ่งระดับความถูกต้องออกเป็ น 3 ระดับชัน้ งาน
งานสํารวจเหมืองแร่ (Mine surveys) 1. First order: การจัดทําหมุดควบคุมทัง้ ทางราบและทางดิง่ ของ
การสํารวจงานอุตสาหกรรม (Industrial surveys) ประเทศ จังหวัด เมือง และงานวิจยั ต่างๆ ในระดับมาตรฐานสูงสุด
2. Second order: การขยายหมุดควบคุมทัง้ ทางราบและทางดิง่ จาก
หมุดงานชัน้ หนึ่ง เพือ่ ใช้เป็ นหมุดควบคุมสําหรับพืน้ ทีท่ เ่ี ล็กกว่าเมือง
3. Third order: มาตรฐานชัน้ งานตํ่าสุด ใช้สาํ หรับโครงการพืน้ ที่
ั
เล็กๆ งานก่อสร้าง งานสถาปตยกรรม งานวิศวกรรม
Dr. Surames Piriyawat 11 Dr. Surames Piriyawat 12
Earth Shape 3. สัณฐานโลกรูปทรงรี (Ellipsoid):
การใช้รปู ทรงรีซง่ึ มีรปู ทรงใกล้เคียงกับจีออยด์มากทีส่ ดุ เป็ นสัณฐานของโลก
1. สัณฐานโลกทางกายภาพ (Terrestrial surface): ซึง่ เรียกว่า “พืน้ หลักฐาน” (Datum) ทําให้สามารถคํานวณปริมาณต่างๆ ได้
เส้นขอบเขตระหว่างผิวดินหรือผิวนํ้ากับอากาศรอบผิวโลก เป็ นลักษณะ ด้วยสมการคณิตศาสตร์ พืน้ หลักฐานสามารถแบ่งได้เป็ น 2 ประเภท
ทีป่ รากฏจริงของผิวโลก ไม่สามารถนิยามรูปร่างได้ดว้ ยรูปทรงทาง รูปทรงรีภมู ิ สัณฐาน (Terrestrial ellipsoid):
เรขาคณิต หรือแบบจําลองคณิตศาสตร์ รูปทรงรีพน้ื หลักฐานทีใ่ ช้อา้ งอิงแทนลูกโลก มีจดุ ศูนย์กาํ เนิดทีจ่ ดุ ใจกลางโลก และ
แกนหมุนสมมาตรขนานกับแกนหมุนเฉลีย่ ของโลก ทุกๆ จุดบนผิวโลกจะอยูใ่ นระบบ
2. สัณฐานโลกจีออยด์ (Geoid): อ้างอิงเดียวกัน
สัณฐานของโลกทีเ่ กิดจากการจินตนาการพืน้ ผิวของนํ้าทะเลให้แผ่กระจา
อย่างต่อเนื่องเข้าไปในแผ่นดินเป็ นพืน้ ผิวเดียวกันทัวโลก
่ โดยทีท่ ุกๆ จุด รูปทรงรีภมู ิ ภาค (Best-fitting ellipsoid):
รูปทรงรีพน้ื หลักฐานทีใ่ ช้เฉพาะบริเวณหนึ่งในระดับภูมภิ าคหรือระดับประเทศ โดย
บนพืน้ ผิวมีคา่ ศักยภาพแรงโน้มถ่วงเท่ากันซึง่ ยังคงมีลกั ษณะไม่
เป็ นรูปทรงรีทม่ี พี น้ื ผิวใกล้เคียงกับพืน้ ผิวจีออยด์ในบริเวณนัน้
ราบเรียบ แบบจําลองทีไ่ ด้จงึ ไม่สะดวกและยากทีจ่ ะใช้ในการคํานวณ
Dr. Surames Piriyawat 13 Dr. Surames Piriyawat 14
Measurements in Surveying
ิ
การวัดปรมาณในงานสํ
ารวจภาคสนามประกอบด้วย
ระยะเอียง (Slope distance)
ระยะราบ (Horizontal distance)
ระยะดิง่ (Vertical distance)
มุมราบ (Horizontal angle)
มุมดิง่ (Vertical angle)
มุมดิง่ บน (Zenith angle)
การวัด (Measurement):
Theory of Measurements and Errors กระบวนการหาขนาด ปริมาณ ของสิง่ ทีต่ อ้ งการด้วยการเทียบกับมาตรฐาน
อันหนึ่งทีใ่ ช้ในการหาขนาดและปริมาณนัน้ เช่น ความยาว นํ้าหนัก ทิศทาง
เวลา และปริมาตร เป็ นต้น
่ ่ (Reading):
การอานคา
การวัดโดยตรง (Direct measurement): ตัวเลขหลักสุดท้ายทีไ่ ด้จากการอ่านค่าเป็ นตัวเลขทีป่ ระมาณได้จากการ
การวัดปริมาณทีต่ อ้ งการโดยเทียบกับอุปกรณ์ทใ่ี ช้เป็ นมาตรฐานของการ แบ่งขีด
วัดนัน้
การวัดซํา้ (Repeated measurement):
การวัดโดยอ้อม (Indirect measurement): กระบวนการทีท่ าํ ให้ได้คา่ ทีด่ ที ส่ี ดุ จากการวัดปริมาณ ซึง่ ได้แก่คา่ เฉลีย่
การวัดปริมาณอื่นแล้วคํานวณหาปริมาณทีต่ อ้ งการด้วยความสัมพันธ์ทาง (Arithmetic mean) เนื่องจากการวัดแต่ละครัง้ นัน้ ไม่สามารถทราบได้วา่
คณิตศาสตร์ ค่าทีถ่ กู ต้องแท้จริงนัน้ เป็ นเท่าไร
Systematic Errors ิ
1. ความคลาดเคลื่อนที่เกดจากธรรมชาติ (Natural errors):
ค่าความคลาดเคลือ่ นทีเ่ กิดจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในขณะทีท่ าํ
การวัดนัน้ ไม่ใช่สภาวะเดียวกันกับสภาวะมาตรฐานของการใช้เครือ่ งมือที่
ความคลาดเคลื่อนมีระบบ (Systematic errors): บริษทั ผูผ้ ลิตระบุไว้
ความคลาดเคลือ่ นทีม่ ขี นาดและเครือ่ งหมายคงทีภ่ ายใต้สภาวะหนึ่ง บางครัง้
เรียกว่า “ความคลาดเคลือ่ นคงที”่ (Constant errors) หรือ “ความคลาด ิ
2. ความคลาดเคลื่อนที่เกดจากเครื ่องมือวัด (Instrumental
เคลือ่ นสะสม” (Cumulative errors) แบ่งได้เป็ น 4 ชนิดตามสาเหตุการเกิด
errors):
ค่าความคลาดเคลือ่ นของเครือ่ งมืออันเนื่องมาจากความไม่สมบูรณ์ของ
เครือ่ งมือ ซึง่ เราสามารถแก้ไขได้ดว้ ยการตรวจสอบเครือ่ งมือเทียบกับ
มาตรฐาน เรียกว่า “การวัดสอบ” (Calibration)
ิ
4. ความคลาดเคลื่อนที่เกดจากการคํ
านวณ (Calculation xc = ค่าสังเกตทีแ่ ก้คา่ ความคลาดเคลือ่ นมีระบบ
errors): xobs = ค่าสังเกตทีไ่ ด้จากการวัด
ค่าความคลาดเคลือ่ นทีเ่ กิดจากการใช้เครือ่ งคํานวณทีม่ คี วามละเอียดไม่
ั cs = ค่าแก้ความคลาดเคลือ่ นมีระบบ
เพียงพอ และการปดเศษตั วเลข (Round off errors)
ิ (Accidental errors):
ความคลาดเคลื่อนบังเอญ
ความคลาดเคลือ่ นทีเ่ กิดขึน้ กับการวัดทีม่ ขี นาดเล็กมาก มีลกั ษณะและทิศทาง ่
คาเฉลี ่ย (Mean value):
ของความคลาดเคลือ่ นไม่แน่นอน มีได้ทงั ้ ค่าบวกและลบ ไม่สามารถหา คือ ค่าทีด่ ที ส่ี ดุ ทีเ่ ราใช้เป็ นตัวแทนของค่าทีแ่ ท้จริงของสิง่ ทีเ่ ราต้องการวัด
ความสัมพันธ์ของการเกิดได้ จึงเรียกอีกชือ่ หนึ่งว่า “ความคลาดเคลือ่ นสุม่ ” ข้อควรระวังในการใช้คา่ เฉลีย่ จากข้อมูลการวัดคือ ต้องมันใจว่ ่ าไม่มคี วาม
(Random errors) คลาดเคลือ่ นคงที่ ความผิดพลาด (Mistakes) หรือความคลาดเคลือ่ นขนาด
ใหญ่ (Gross error) แฝงอยู่ ถ้ามีจะต้องทําการตรวจสอบและแก้ไขก่อนนํา
ข้อมูลนัน้ ไปใช้
Note: สิง่ ทีต่ อ้ งคํานึงถึงเสมอทุกครัง้ ในการวัดก็คอื ผูท้ าํ การวัดจะต้อง
กําจัดความผิดพลาด ความคลาดเคลือ่ นขนาดใหญ่ และความคลาดเคลือ่ น
มีระบบออกจากข้อมูล ให้เหลือเพียงความคลาดเคลือ่ นสุม่ เท่านัน้
Frequency
ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard deviation)
n
∑ ( xˆ − x ) i
2
σx = ± i =1
n −1
ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐานของค่าเฉลีย่ (Standard deviation of mean)
Random errors
σx
การเกิดความคลาดเคลือ่ นขนาดเล็กจะมากกว่าขนาดใหญ่มาก σ xˆ = ±
n
1. การนับก้าว (Pacing)
Distance Measurement Methods o การนับก้าว (Pacing) เป็ นการหาความยาวก้าวหรือความเร็วของผูเ้ ดิน
12
Dr. Surames Piriyawat 11 Dr. Surames Piriyawat
ิ กทรอนกส์
7. เครื่องวัดระยะอเล็ ิ (Electronic distance meter, EDM
EDM)
o EDM แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท
1. Electro-optical: ใช้คลืน่ แสง (Light waves) ในการวัดระยะทาง
2. Electromagnetic: ใช้คลืน่ Microwave ในการวัดระยะทาง
o ความคลาดเคลือ่ นอยูใ่ นช่วง ± (1 mm + 2 ppm) − ± (5 mm + 5 ppm)
การวัดระยะด้วยเทปแบงเป็
่ น Clinometer
o การวัดระยะราบ
o การวัดระยะราบบนพืน้ ลาดเอียง
ใช้เทคนิคการวัดแบ่งช่วง (Breaking tape) ซึง่ จะทําการวัดในทิศทางลง
เนิน และใช้กล้องวัดความลาดเอียง (Clinometer) ส่องช่วยประมาณระยะ
ทีจ่ ะแบ่งช่วง ซึง่ สามารถทําการวัดระยะราบได้โดยทําการวัดระยะเป็ น
ช่วงสัน้ ๆ แต่ละช่วง
ความคลาดเคลื่อนแบบสุ่มในการวัดระยะด้วยเทป อุณหภูม ิ N S or R
ตกท้องช้าง N, P S
ดึงเทปไม่ได้ตามมาตรฐานทีก่ าํ หนด
เล็งแนว P S
แรงลมพัดทําให้ลกู ดิง่ เคลือ่ น เทปไม่ได้ระดับ P S
การหมายจุด P R
ผูว้ ดั ถือดิง่ ไม่นิ่ง
การอ่านเทป P R
การประมาณค่าทีไ่ ด้จากการอ่านเทปหลักสุดท้าย
การใช้เทปในงานรังวัด การรังวัดแผนที่ด้วยเทป
สร้าง Base line network
การวัดมุม
ใช้หลักการของการวัดระยะตัง้ ฉาก (Offsetting) จากเส้นฐาน
การวางมุมฉาก ด้วยเทคนิคการวัดมุม การวางมุมฉาก และการลากเส้นตัง้
ฉาก หรืออาจใช้อุปกรณ์เล็งมุมฉาก (Optical square)
การลากเส้นตัง้ ฉาก
เหมาะสําหรับพืน้ ทีท่ ม่ี ขี นาดไม่ใหญ่มากนัก
การใช้เทปวางแนวเส้นตรงผ่านสิง่ กีดขวาง
o Telescope:
o Tripod
Important components: eyepiece lens, cross hair,
o Leveling telescope
o Staff
focusing lens, focusing knob, objective lens
o Foot plate o Circular bubble
กล้องระดับ: o Tribach
เครือ่ งมือทีใ่ ช้ในการอ่านค่าความสูงของแนวเล็งกล้องจากไม้ระดับเหนือ
พืน้ ผิวทีไ่ ม้ระดับตัง้ อยู่ เมือ่ กล้องระดับติดตัง้ อยูใ่ นสภาพพร้อมใช้งาน แกน
ดิง่ กล้องจะอยูใ่ นแนวดิง่ และแนวเล็งจะอยูใ่ นแนวระดับ
Telescope ่
การหาคาระดั
บความสูงด้วยกล้องระดับ
Forward direction
FS
BS
HB ΔH AB
H A
msl
o คํานวณค่าความสูงของกล้องเหนือระดับนํ้าทะเลปานกลาง: HI = H A + BS
o คํานวณค่าระดับของจุด B: H B = HI − FS
o ค่าต่างระดับจาก A ไป B: ΔH AB = BS − FS
o ค่าระดับของจุด B: H B = H A + ΔH AB
HA = ค่าระดับของจุด A เหนือระดับนํ้าทะเลปานกลาง (Mean sea level, msl)
BS (Back-sight) = ค่าทีอ่ ่านได้จากไม้ระดับเมือ่ ส่องมาทางด้านหลัง
BS 2
BSn
FSn
BSn + 1
FSn + 1
การตรวจสอบความถูกต้อง
FS 2
BS1 FS1
BM B
การตรวจสอบความถูกต้อง:
การตรวจสอบความถูกต้องงานระดับโดยวิธหี าค่าต่างระดับสามารถทําได้โดยการเดิน
A n +1
BM 101
n TPn B
1 TP1
2
TP 2
TPn −1
HA HB
ระดับย้อนกลับจากหมุด BM B มายังหมุด BM101 อีกครัง้ ซึง่ จะได้วา่
msl ΔH BM B − BM 101 = ∑ BS BM B − BM 101 − ∑ FS BM B − BM 101
o Turning point (TP): จุดพักระดับ หรือจุดถ่ายระดับ
o Vertical control point: หมุดหลักฐานทางดิง่ ทีท่ ราบค่าระดับ ในทีน่ ้ีคอื หมุด BM 101
o หากไม่มคี วามคลาดเคลือ่ นใดๆ ในการเดินระดับไปและกลับจะได้คา่ ความ
o BM B คือ หมุดระดับทีเ่ ราต้องการทราบค่าระดับ แตกต่างของค่าต่างระดับเทีย่ วไปและเทีย่ วกลับควรเท่ากับศูนย์
หลักการคํานวณ:
o ค่าต่างระดับของการตัง้ กล้องแต่ละครัง้ : ΔH i = BSi − FSi ΔH BM 101− BM B − ΔH BM B − BM 101 = 0
ประเภทต่างๆ สายใยกลาง
สายใยล่าง
่ : ความคลาดเคลือ่ นทีย่ อมให้เกิดขึน้ ได้สาํ หรับมาตรฐานงานชัน้ 3 เท่ากับ
o ตัวอยาง
± 12 K mm.
ิ
ความคลาดเคลื่อนและความผดพลาดในงานระดั
บ ความคลาดเคลื่อนจากธรรมชาติ
ความคลาดเคลื่อนจากเครื่องมือ o ความโค้งของผิวโลก (Curvature of the Earth) และการหักเหของแสง (Reflection)
o แนวเล็งไม่อยูใ่ นแนวราบเมือ่ กล้องได้ระดับ หรือแนวเล็งเอียง เรียกว่า “Collimation o การเปลีย่ นแปลงของอุณหภูม ิ
error” ตรวจแก้ได้ดว้ ยการวัดสอบกล้องด้วยวิธี Two-peg test
o แรงลม
o สายใยราบไม่อยูใ่ นแนวราบหรือเอียง
o การตัง้ กล้องบนพืน้ ดินอ่อน
o ไม้ระดับมีความยาวไม่ถกู ต้องหรือไม่ได้มาตรฐาน
o การขันสกรูยดึ กล้องไม่แน่นพอ
ิ
ความผดพลาดที ิ น้ ในงานระดับ
่เกดขึ
ความคลาดเคลื่อนจากบุคคล o การวางไม้ระดับผิดตําแหน่ง
o การเกิดภาพเหลือ่ ม (Parallax) o การอ่านค่าไม้ระดับผิดพลาด การอ่านหลักตัวเลขผิด
o การปรับระดับกล้องไม่ได้ระดับ o การจดบันทึกข้อมูลผิดพลาด
o การอ่านค่าไม้ระดับขณะทีม่ ภี าพเหลือ่ ม หรือเกิดไอแดด หมอกควัน และการ o การจับขากล้องขณะทํางาน
สันสะเทื
่ อน
Dr. Surames Piriyawat 15 Dr. Surames Piriyawat 16
่
การรังวัดระดับจุดรายละเอียดระหวางสถานี หลัก การประยุกต์ใช้งานระดับ
o การหาค่าระดับของตําแหน่งต่างๆ ทีส่ าํ คัญซึง่ อยูร่ ะหว่างการเดินระดับระหว่างจุด
สองจุด เช่น ค่าระดับของประตูระบายนํ้า หรือตําแหน่งของจุดทีจ่ ะติดตัง้ มาตรวัด o การระดับเพือ่ สร้างหมุดหลักฐานทางดิง่ (Vertical control
นํ้า เป็ นต้น bench mark)
o ค่าระดับของจุดทีแ่ ทรกเข้ามานี้ เรียกว่า Intermediate sights (IS)
o การระดับเพือ่ งานวิศวกรรมโยธา: Cross section and Profile
o โดยทัวไปการวั
่ ดค่าระดับ IS นี้ จะอ่านค่าไม้ระดับสายใยกลางเพียงค่าเดียว และจะ
ไม่ถกู นํามาคํานวณเพือ่ ตรวจสอบความคลาดเคลือ่ นบรรจบ (Miss-closure error)
ของการเดินระดับ
ทิศทางการวัดมุม
B
Dr. Surames Piriyawat ขนาดของมุม
มมุ
ของ องิ
อา้ ง
Department of Civil Engineering α AB
ดา้ น
DAB
Faculty of Engineering
Burapha University A
ประเภทของการวัดมุม การวัดมุมราบ
การวัดมุมในงานสํารวจจะมีการวัดมุมบนระนาบสองระนาบ คือ การวัดมุมราบในงานสํารวจมี 3 ประเภท คือ
การวัดมุมภายในหรือมุมภายนอก (Interior or exterior angles):
มุมบนระนาบราบ: มุมราบ (Horizontal angle) ใช้อา้ งอิงถึงตําแหน่ง การวัดมุมภายใน หรือมุมภายนอกของรูปปิ ด (Closed polygon)
ของจุดบนระนาบราบ
การวัดมุมเวียนขวาหรือเวียนซ้าย (Angle to the right or to the left):
มุมบนระนาบดงิ่: มุมดิง่ (Vertical angle) ใช้อา้ งถึงตําแหน่งของจุด การวัดมุมตามเข็มนาฬิกา หรือทวนเข็มนาฬิกา ตามลําดับ เมือ่ เทียบกับ ทิศทางการ
ในแนวดิง่ ว่าอยูส่ งู หรือตํ่ากว่าเป็ นมุมเท่าใด กวาดมุมไปข้างหน้า
การวัดมุมเบีย่ งเบน (Deflection angle):
การวัดขนาดมุมของเส้นข้างหน้าทีเ่ บนออกไปจากแนวเดิมหรือแขนของมุมอ้างอิงทีต่ อ้
ไปข้างหน้า หากเบีย่ งเบนไปทางขวา จะใช้สญ ั ลักษณ์ R หรือ (+) ต่อท้ายค่ามุม ถ้า
เบีย่ งเบนไปทางซ้ายจะใช้สญ
ั ลักษณ์ L หรือ (-) ต่อท้ายค่ามุม
ิ
ระบบการบอกทศ
ิ ยนสมมติ (Assumed meridian):
เส้นเมรเดี
ระบบการบอกทิศของเส้นเทียบกับเมริเดียน สามารถบอกได้ 2 วิธี คือ
การสมมติเส้นแนวเส้นเมริเดียนขึน้ มาใช้ซง่ึ มีขอ้ จํากัดคือข้อมูลต่างๆ ใน
ระบบนี้ไม่สามารถนําไปใช้รว่ มกับข้อมูลในระบบอ้างอิงอื่นได้โดยตรง ระบบแบรงส์ ิ (Bearings):
การบอกทิศของเส้นจากจุดเริม่ ต้นไปยังจุดปลายด้วยค่ามุมทีว่ ดั เทียบกับ
เส้นเมริ เดียนกรดิ (Grid meridian): เส้นเมริเดียนทีผ่ า่ นจุดเริม่ ต้นนัน้ ไปทางทิศตะวันออกหรือตะวันตก เมือ่ จุด
เส้นเมริเดียนในระบบพิกดั บนระนาบ เป็ นการฉายเส้นเมริเดียนบนผิว ปลายอยูท่ างทิศเหนือ ค่ามุมจะอ้างอิงกับทิศเหนือ และเมือ่ จุดปลายอยูท่ าง
โลกลงสูร่ ะนาบ ในกรณีน้ีเส้นทีเ่ ป็ นเส้นเมริเดียนกลางจะเป็ นแนว ทิศใต้ ค่ามุมจะอ้างอิงกับทิศใต้ โดยบอกทิศอ้างอิงเหนือหรือใต้ตามด้วยค่า
เดียวกันกับเส้นเมริเดียนจริง (True meridian) นอกนัน้ จะไม่ใช่เส้น มุมและทิศของจุดปลายนัน้ ทางตะวันออกหรือตะวันตก
เดียวกัน
Note: การบอกค่ามุมในระบบแบริงส์คา่ มุมจะมีคา่ ไม่เกิน 90o และมีชอ่ื เรียกชนิดของ
ทิศแบริงส์ตามชนิดของเส้นเมริเดียนทีใ่ ช้อา้ งอิงในการบอกทิศ คือ Geodetic
bearings, Magnetic bearings, Assumed bearings และ Grid bearings
่ ิ รงส์
ความสัมพันธ์ระหวางทศแบ ิ และแอซมั
ิ ท ิ
การคํานวณทศของเส้ ่ ม
นจากคามุ
Bearings quadrant Bearings Relation Azimuth Azimuth quadrant การคํานวณทิศแบริงส์
NE N 49 E o
= 49o 0 − 90
o o
SE o
S 35 E 180 − 35
o o
145 o
90o − 180o การคํานวณทิศแอซิมทั
NW
SW S 50o W
N 20o W
180o + 50o
360 − 20o o
230o
340 o
180o − 270o
270o − 360o
ิ ดระนาบและการคํานวณคาพกั
ระบบพกั ่ ิ ด
North
ΔE AB = HDAB sin Az AB
N
Azimuth quadrant Azimuth Relation Bearings Bearings quadrant ΔN AB = HDAB cos Az AB
B ( EB , N B )
0 − 90
o o
49 o
N 49 E o o
N 49 E NE
S (180o − 145o ) E SE
E B = E A + ΔE AB
90 − 180
o o o o Az AB
145 S 35 E
ΔN AB
180o − 270o 230o S (230o − 180o )W S 50o W SW HDAB
N B = N A + ΔN AB
270 − 360
o o
340 o
N (360 − 340 )W
o o o
N 20 W NW A (EA , N A ) ΔE AB
HDAB = ( X B − X A ) 2 + (YB − YA ) 2
East
(0,0) (X B − X A)
Az AB = tan −1
(YB − YA )
Dr. Surames Piriyawat 11 Dr. Surames Piriyawat 12
533221 Surveying การวัดมุมราบ
การวัดมุมราบทําได้ 2 วิธี คือ
การวัดมุมราบโดยวธีิ วดั แบบสองหน้ า (Double Sighting):
การวัดมุมแบบวัดทิศทาง (Direction measurement) 2 ครัง ด้วยตําแหน่งกล้องทังหน้าซ้าย
Theodolite และหน้าขวา โดยครังแรกให้วดั ทิศทางแขนของมุมโดยกล้องอยูใ่ นตําแหน่งหน้าซ้าย
จากนันวัดทิศทางแขนมุมย้อนกลับด้วยตําแหน่งกล้องหน้าขวาอีกครังหนึง่ การวัดครบหนึง่
รอบทังหน้าซ้ายและหน้าขวา เรียกว่า การวัดมุม 1 ชุด
STA POS OBJ HOR RDG HOR ANG MEAN HOR ANG
O L A 0o 00′00′′
Dr. Surames Piriyawat L B 139o58′11′′ 139o58′11′′ 139o58′12′′
R B 319o58′11′′ 139o58′14′′
Department of Civil Engineering
R A 179o59′57′′
Faculty of Engineering
Burapha University
กล้องหน้าขวา V = Z − 270o
ิ (Geometrical properties)
1. หลักเกณฑ์ทางเรขาคณต ิ
2. หลักเกณฑ์ทางคณตศาสตร์ (Mathematical properties)
ิ
วงรอบปดทางเรขาคณต ิ (Geometrical closed traverse):
วงรอบทีม่ ลี กั ษณะบรรจบเป็ นรูปปิ ด เงื่อนไขสภาวะทางมุม:
o วงรอบปิ ด: ผลรวมของมุมภายในวงรอบต้องเท่ากับ (n − 2)180o
การคํานวณปรับแก้สภาวะทางมุมของวงรอบ ิ
กรณี วงรอบเปด
ิ
กรณี วงรอบปด o การรังวัดจะเริม่ จากหมุดบังคับ (Control point) ทีท่ ราบค่าพิกดั 2 หมุด หรือเรียกว่า
1. ผลรวมมุมภายในรูปปิด: (n − 2)180 o
หมุดคู่
2. ผลรวมมุมภายนอกรูปปิด: (n + 2)180 o
o คํานวณค่าแอซิมทั เริม่ ต้นจากหมุดคู่
หลักการ o คํานวณค่าแอซิมทั ของเส้นวงรอบต่อเนื่องจากหมุดคูไ่ ปบรรจบกับหมุดบังคับ
o ทําการตรวจสอบผลรวมของมุมภายในทีไ่ ด้จากการรังวัดเทียบกับค่าทีไ่ ด้จากการ ปลายทางทีท่ ราบค่าพิกดั 2 หมุด ซึง่ สามารถคํานวณค่าแอซิมทั ทีถ่ กู ต้องได้
คํานวณ เช่นเดียวกัน
o หาผลต่างของค่าทัง้ สอง (ค่าคลาดเคลือ่ น) และตรวจสอบว่าผลต่างของค่าทัง้ สอง o ทําการตรวจสอบค่าแอซิมทั บรรจบ (แอซิมทั ทีไ่ ด้จากการคํานวณหมุดคูป่ ลายทาง
เกินเกณฑ์ทก่ี าํ หนดหรือไม่ กับแอซิมทั ทีไ่ ด้จากการคํานวณต่อเนื่อง) ว่ามีคา่ ผลต่างอยูใ่ นเกณฑ์ชนั ้ งานที่
o ถ้าอยูใ่ นเกณฑ์ชนั ้ งาน จากนัน้ เฉลีย่ ค่าคลาดเคลือ่ นนี้กระจายไปตามมุมต่างๆ ยอมรับได้หรือไม่
N B = N A + Lat AB ∑ Dep = E − E n 1
การคํานวณคาระดั
่ บจากการรังวัด Stadia: ิ ิ ่อหาความสูงของจุดที่เข้าไมถึ่ ง
การวัดระดับตรีโกณมตเพื
จากรูป ตัง้ กล้องที่ Station a รังวัดด้วยวิธี Stadia ไปยังไม้ระดับทีจ่ ดุ b คํานวณระยะ จุดตัง้ กล้องสองจุดและจุดที่ต้องการวัดอยู่ในระนาบดงเดี ิ่ ยวกัน:
ดิง่ ได้ V และอ่านค่าไม้สายใยกลางได้ทต่ี าํ แหน่ง E (ระยะ bE) ทําการวัดความสูงของ แบ่งได้ 2 วิธี
กล้องจากหมุดสถานี a ถึงแกนราบกล้องคือ ระยะ h1 เมือ่ ค่าระดับสถานี a เท่ากับ Ha 1. เมือ่ จุดตัง้ กล้องมีระดับเดียวกัน (ดูภาพประกอบในแผ่นใส)
d tan β
D=
ดังนัน้ ค่าระดับจุด b คํานวณได้ดงั นี้ tan α − tan β
d tan β . tan α
h=
tan α − tan β
E
2. เมือ่ จุดตัง้ กล้องมีระดับต่างกัน (ดูภาพประกอบในแผ่นใส)
V H b = H a + h1 + V − bE d tan β − h2
D=
tan α − tan β
(d tan β − h2 ). tan α
h = D tan α =
tan α − tan β
่ ดเพื่อเขียนเส้นชัน้ ความสูง
การหาตําแหนงจุ ออกแบบการพัฒนาปรับสภาพพืน้ ที:่
ใช้ในการพัฒนาพืน้ ทีโ่ ดยรวมขึน้ ใหม่ดว้ ยการปรับสภาพภูมทิ ศั น์ (Landscape design)
วิธกี ราฟิก (Graphical method) ซึง่ จะได้แผนทีเ่ ส้นชัน้ ความสูงของพืน้ ทีท่ อ่ี อกแบบใหม่
่
มาตราสวนแผนที ่ (Map scale) ความถูกต้องของแผนที่ (Map accuracy)
สิง่ ต่างๆ ทีป่ รากฏบนแผนทีจ่ ะมีขนาดย่อส่วนจากขนาดจริงด้วยอัตราส่วนระยะบนแผน ิ
ความถูกต้องของแผนที่สามารถพจารณาได้ 2 ประเภท:
ทีต่ อ่ ระยะเดียวกันบนพืน้ ผิวโลกโดยเทียบเศษเป็ น 1
ความครบถ้วนของข้อมูลแผนที่ (Completeness):
มาตราส่วนแผนที่ = ระยะบนแผนที/่ ระยะเดียวกันบนพืน้ ดิน
การตรวจสอบเชิงปริมาณ (Quantitative assessment) ของรายละเอียดทีป่ รากฏ
o ตัวอยาง ่ : แผนทีม่ าตราส่วน 1:1,000 หมายถึง วัดระยะบนแผนทีไ่ ด้ 1 มิลลิเมตร จะ บนแผนทีว่ า่ ครบถ้วนตามวัตถุประสงค์การใช้งานของมาตราส่วนแผนทีท่ ก่ี าํ หนด
มีคา่ เท่ากับระยะบนพืน้ ดิน 1,000 มิลลิเมตร หรือ 1 เมตร ไว้หรือไม่
่
มาตราสวนแผนที ่
่แบงออกได้ เป็ น 3 ประเภท:
แผนทีม่ าตราส่วนใหญ่ (Large scale map): คือ แผนทีม่ าตราส่วน 1:250, 1:500, ความถูกต้องเชงตํ ิ าแหนง่ (Positional accuracy):
1:2,500, 1:4000, 1:5,000 การตรวจสอบความถูกต้องทางตําแหน่งของรายละเอียดต่างๆ ทีป่ รากฏบนแผนที่
เป็ นการตรวจสอบเชิงคุณภาพ (Qualitative assessment) ทีเ่ กีย่ วกับการวัด
แผนทีม่ าตราส่วนกลาง (Medium scale map): คือ แผนทีม่ าตราส่วน 1:10,000,
ปริมาณต่างๆ บนแผนที่ แบ่งได้เป็ น 2 ส่วน คือ ความถูกต้องเชิงตําแหน่งทางราบ
1:20,000, 1:25,000
(Horizontal positional accuracy) และความถูกต้องเชิงตําแหน่งทางดิง่ (Vertical
แผนทีม่ าตราส่วนเล็ก (Small scale map): คือ แผนทีม่ าตราส่วน 1:50,000, positional accuracy)
1:100,000, 1:250,000, 1:500,000, 1:1,000,000
Dr. Surames Piriyawat 3 Dr. Surames Piriyawat 4
ิ าแหนงสามารถแบงการพจารณาออกได้
ความถูกต้องเชงตํ ่ ่ ิ เป็ น 2 ประเภท ตาม
ิ
ความถูกต้องของแผนที่เชงเลข (Digital map)
ิ
ชนดของแผนที ่:
ความถูกต้องของแผนที่กระดาษ ิ
o แผนที่เชงเลข (Digital map) คือ แผนทีท่ จ่ี ดั เก็บในรูปไฟล์คอมพิวเตอร์เป็ นตัวเลข
และสามารถเรียกแสดงผลในรูปแบบต่างๆ เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือพิมพ์ออก
ิ าแหนงทางราบ
o ความถูกต้องเชงตํ ่ (Horizontal positional accuracy): ทางเครือ่ งพิมพ์ตามมาตราส่วนทีต่ อ้ งการก็ได้
ขนาดของจุดทีเ่ ล็กทีส่ ดุ บนแผนทีท่ ส่ี ามารถวัดได้ เท่ากับ 0.2 มิลลิเมตร ค่าพิกดั ตําแหน่งทีอ่ ่านได้ควร
จะมีความถูกต้องในเกณฑ์เท่ากับขนาด 0.2 มิลลิเมตรคูณด้วยมาตรส่วนของแผนทีก่ ระดาษนัน้ เช่น o ข้อมูลของ Digital map มักจะเก็บในรูปของค่าพิกดั โดยมีความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล
แผนทีม่ าตราส่วน 1:1,000 ความถูกต้องของตําแหน่งจุดทีอ่ ่านได้จะอยูใ่ นเกณฑ์ 0.2 x 1,000 = 200 พิกดั และสัญลักษณ์การแสดงผล เพือ่ ให้สามารถแสดงรายละเอียดรูปร่างต่างๆ ทัง้
มิลลิเมตร หรือ 0.20 เมตร ซึง่ หมายถึง เมือ่ นําค่าพิกดั จากแผนทีก่ ระดาษไปเปรียบเทียบกับค่าพิกดั จุด รายละเอียดทางราบและทางดิง่ ได้
ดังกล่าวทีว่ ดั ได้ในสนามจะผิดพลาดได้ในเกณฑ์ไม่เกิน ±0.20 เมตร
o ดังนัน้ ข้อมูลแผนทีเ่ ชิงเลขจะสามารถคงความถูกต้องไว้ได้ตามความถูกต้องของ
ิ าแหนงทางดง
o ความถูกต้องเชงตํ ่ ิ่ (Vertical positional accuracy): กรรมวิธที ใ่ี ช้ในการรังวัดเพือ่ ให้ได้มาซึง่ ข้อมูลนัน้ และเมือ่ พิมพ์ลงในกระดาษ ความ
ทําได้โดยการอ่านค่าระดับความสูง ณ ตําแหน่งทีต่ อ้ งการ และทําการเปรียบเทียบกับค่าทีร่ งั วัดได้จริง ถูกต้องแผนทีจ่ ะพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของมาตราส่วนดังเช่นแผนทีก่ ระดาษ
ในสนามทีต่ าํ แหน่งนัน้ โดยจะยอมให้ผดิ พลาดได้ไม่เกินครึง่ หนึ่งของช่วงเส้นชัน้ ความสูง เช่น แผนทีท่ ม่ี ี
ช่วงเส้นชัน้ ความสูง 1 เมตร จะยอมให้ผดิ พลาดได้ไม่เกิน 0.50 เมตร เป็ นต้น
o ความถูกต้องทางตําแหน่ง:
การวัดสอบในพืน้ ทีโ่ ดยการสุม่ วัดทัง้ ขนาด ทิศทาง ค่าระดับจุดความสูง รวมทัง้
การรังวัดรูปตัดตรวจสอบกับรูปตัดแนวเดียวกันทีไ่ ด้จากการอ่านเส้นชัน้ ความสูงของ
แผนที่