Professional Documents
Culture Documents
16 สถิติ - ม.6เทอม2
16 สถิติ - ม.6เทอม2
สถิติและการวิเคราะหขอมูลเบื้องตน
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 1 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
บทที่ 1
สถิติและการวิเคราะหขอมูลเบือ้ งตน
1.1 ความหมายและประเภทของสถิติ
สถิติ (Statistics) เปน ศาสตรที่วาด วยการเก็บรวบรวมและการวิเคราะหขอมูลเพื่อหาขอสรุปจาก
ขอมูลที่เกี่ยวของแลวนํ ามาอธิบายปรากฏการณหนึ่ งหรือตอบคําถามหรือประเด็นป ญหาที่สนใจ โดยอาศัย
ขอมูลที่ไดจากการเกิดซ้ําๆ ของปรากฏการณนั้นๆ
พิจารณาโดยรวมแลวกลาวไดวา สถิติศาสตรครอบคลุมเรื่องของขอมูลและการเชื่อมโยงกับปญหา
รวมทั้งการสรางวิธีวิเคราะหขอมูล อาจกลาวไดวาสถิติศาสตรครอบคลุมองคประกอบดังตอไปนี้
1. การเก็บรวบรวมขอมูล (Collection of data) เปนขั้นตอนที่มีความสําคัญมาก เมื่อไดขอมูลที่มี
คุณภาพดีมาวิเคราะห ผลสรุปที่ไดรับจะมีคุณภาพดีไปดวย วิธีเก็บรวบรวมขอมูลอาจทําไดหลายวิธี เชน
การสอบถาม การสังเกต การทดลอง เปนตน
2. การวิเคราะหขอมูล (Analysis of data) เปนการหาขอสรุปจากขอมูลที่มี เพื่ออธิบายหรือ
ตอบคําถามที่ตองการ
3. การนําเสนอขอสรุป (Interpretation of data) การนําเสนอขอสรุปในรูปแบบที่เขาใจงาย
และชัดเจน หรือการเชื่อมโยงขอสรุปที่ไดจากวิธีวิเคราะหไปตอบคําถามหรือปญหาที่ตั้งไว
ประเภทของสถิติ
ในวิชาสถิติ แบงสถิติออกเปน 2 ประเภทใหญๆ คือ สถิตเิ ชิงพรรณนา และสถิติเชิงอางอิง
1. สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) หรือเรียกอีกอยางหนึ่งวา “สถิติบรรยาย” เปนสถิติ
ที่มุงศึกษาเพื่ออธิบายเรื่องราวตางๆ ของกลุมประชากร (Population) กลุมใดกลุมหนึ่งโดยเฉพาะ อาจเปน
กลุมใหญ หรือกลุมเล็กก็ได โดยเก็บรวบรวมขอมูลจากสมาชิกทุกหนวยในกลุมประชากรนั้น ผลการศึกษาใช
อธิบ ายหรือสรุปเกี่ยวกับเรื่องราวของกลุมที่ศึกษาเทานั้น เชน ฝ ายแนะแนวของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
สํารวจขอมูลเกี่ยวกับระดับสติปญญา (I.Q.) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 ทุกคน ไดคาเฉลี่ยเทากับ 120
ซึ่งเปนคาเฉลี่ยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 ของโรงเรียนนี้เทานั้น จะนําไปสรุปวานักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปที่ 6 ของโรงเรียนอื่นหรือของจังหวัดอื่น มีระดับสติปญญาเฉลี่ยเทากับ 120 ดวยไมได เปนตน
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 2 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
สถิติเชิงพรรณนา
สุมตัวอยาง
ตัวอยาง วัดคาตัวแปร คาสถิติ (Statistic)
(Sample) เชน x , s, s2
สถิติเชิงอางอิง
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 3 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
1.2 ขอมูลและการเก็บรวบรวมขอมูล
ความหมายของขอมูล
ขอมูล เปนขอความจริงหรือสิ่งที่บงบอกถึงสภาพ สถานการณหรือปรากฏการณใดปรากฏการณหนึ่ง
โดยที่ขอมูลอาจเปนตัวเลขหรือขอความก็ได
ประเภทของขอมูล
1. การจําแนกขอมูลตามวิธีการเก็บรวบรวมขอมูลแบงได 2 ประเภท คือ
1.1. ขอมูลปฐมภูมิ (Primary data) คือขอมูลที่ผูใชจะตองเก็บรวบรวมจากผูใหขอมูลหรือ
แหลงที่มาของขอมูลโดยตรง ทําได 2 วิธี คือ การสํามะโน (Census) และการสํารวจจากกลุมตัวอยาง
(Sample survey)
1.2. ขอมูลทุติยภูมิ (Secondary data) คือขอมูลที่ผูใชไมตองเก็บรวบรวมจากผูใหขอมูลหรือ
แหลงที่มาของขอมูลโดยตรง แตไดจากขอมูลที่มีผูอื่นเก็บรวบรวมไวแลว เชน รายงานและบทความตาง ๆ ของ
หนวยงานราชการหรือเอกชน นอกจากนี้หนังสือพิมพรายวันหรือสื่ออื่นๆ ก็จะมีขอมูลทุติยภูมิประกอบ
บทความหรือรายงานดวย
2. การจําแนกประเภทของขอมูลตามลักษณะของขอมูลจําแนกได 2 ลักษณะ คือ
2.1. ขอมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data) คือ ขอมูลที่ใชแทนขนาดหรือปริมาณซึ่งวัด
ออกมาเปนจํานวนที่สามารถนํามาใชเปรียบเทียบกันไดโดยตรง
2.2. ขอมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative data) คือ ขอมูลที่ไมสามารถวัดออกมาเปนจํานวนได
โดยตรง แตอธิบายลักษณะหรือคุณสมบัติในเชิงคุณภาพได เชน เพศ สถานภาพ หรือความคิดเห็นของ
ประชาชน การวิเคราะหขอมูลประเภทนี้สวนใหญทําโดยการนับจํานวนจําแนกตามลักษณะเชิงคุณภาพหรือวัด
ออกมาเปนลําดับที่หรือตําแหนงที่ก็ได เชน ความชอบ ความคิดเห็น ประสิทธิภาพในการทํางาน ฯลฯ เมื่อนํา
ขอมูลไปวิเคราะหจะตองแทนตําแหนงที่หรือลําดับที่ของขอมูลเชิงคุณภาพนี้ดวยตัวเลข
กรณีที่ขอมูลเชิงคุณภาพใดไมสามารถวัดออกมาเปนลําดับที่หรือตําแหนงที่ได เชน สถานภาพ (โสด
สมรส) เพศ (ชาย หญิง) หากมีความจําเปนตองกําหนดเปนจํานวน อาจใช เลข 0 แทน ชาย หรือ 1 แทนหญิง
จํานวนที่ใชแทนขอมูลเชิงคุณภาพเหลานี้ไมสามารถนําไปตีความหมายในเชิงปริมาณไดเปนเพียงสัญลักษณที่ใช
แทน “กลุม” ตาง ๆ เทานั้น
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 4 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
วิธีเก็บรวบรวมขอมูล
1. วิธีเก็บรวบรวมขอมูลทุติยภูมิ สวนใหญมักจะอยูในหนังสือ รายงาน บทความ หรือเอกสารตาง
ๆ ควรดําเนินการดังนี้
(1) พิจารณาตัวบุคคล วาเปนผูมีความรูและมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียนถึงขั้นที่จะเชื่อถือได
หรือไม การเขียนอาศัยเหตุผลและหลักวิชาการมากนอยเพียงใด ขอมูลที่นํามาใช ควรเก็บรวบรวมมาเอง
โดยตรง ไมควรใชขอมูลที่ผูเขียนนํามาจากแหลงขอมูลอื่น เนื่องจากอาจมีคลาดเคลื่อนจากขอมูลที่ควรจะเปน
จริงไดมาก
(2) ถาขอมูลที่ตองการเก็บรวบรวมสามารถหาไดจากหลาย ๆ แหลงเพื่อใชในการเปรียบเทียบวา
ขอมูลที่ตองการมีความผิดพลาดเนื่องจากการลอกผิด พิมพผิด หรือเขาใจผิดหรือไม
(3) พิจารณาจากลักษณะของขอมูลที่ตองการเก็บรวบรวมขอมูลวาเปนขอมูลที่เปนความจริง หรือ
ขอมูลที่ไดจากทะเบียน ขอมูลที่เปนความคิดเห็นหรือเจตคติ สวนใหญมักจะมีความถูกตองเชื่อถือไดสูง แตถา
เปน ขอมูลประเภทความลับหรือขอมูลซึ่งผูตอบอาจเสียประโยชนจากการตอบ สวนใหญมักจะไมถูกตอง
เชื่อถือไดนอย
(4) ถาขอมูลที่เก็บรวบรวมไดมาจากการสํารวจจากกลุมตัวอยาง หรือตองผานขั้นตอนการวิเคราะห
โดยใชวิธีการทางสถิติมากอน ควรจะตองตรวจสอบวิธีการที่ใชในการเลือกกลุมตัวอยาง ขนาดกลุมตัวอยาง
และวิธีการวิเคราะหวาเหมาะสมที่จะใชหรือไม
การวิเคราะหขอมูลเบื้องตนเปนการวิเคราะหขอมูลเพื่อทราบลักษณะโดยรวมของขอมูลเกี่ยวกับเรื่อง
นั้น ๆ การวิเคราะหขอมูลเบื้องตนเกี่ยวของกับเรื่องการแจกแจงความถี่ของขอมูล การวัดคากลางของขอมูล
(Central value) การวัดตําแหนงที่ของขอมูล และการวัดกระจายของขอมูล ซึ่งเปนวิธีหรือเครื่องมือที่สําคัญ
ในการวิเคราะหขอมูลทุกระดับ
ระดับของขอมูล
ประชากร (Population) หมายถึง กลุมของขอมูลที่ไดจากหนวยทุกหนวยที่ตองการศึกษา เชน
ถาหนวยที่ตองการศึกษา คือ คนอายุ 15 ปขึ้นไปในจังหวัดหนึ่ง ประชากร คือ กลุมที่ประกอบดวยขอมูลที่ได
จากสมาชิกที่เปนคนมีอายุ 15 ปขึ้นไปทุกคนในจังหวัดนั้น เปนตน
ประชากรที่มีจํานวนสมาชิกเปนจํานวนที่สามารถนับไดครบถวน เรียกวา ประชากรจํากัด (Finite
population) เชน จํานวนนักเรียนในหองเรียน สวนประชากรที่มีจํานวนสมาชิกเปนจํานวนที่ไมสามารถนับได
ครบถวน เรียกวา ประชากรอนันต (Infinite population) เชนจํานวนเมล็ดขาวที่เก็บเกี่ยวไดในแตละป
ตัวอยาง (Sample) หมายถึง กลุมยอยของประชากรที่ประกอบดวยสมาชิกที่เปนหนวยที่ถูกเลือก
ขึ้นมาจากประชากรเพื่อเปนตัวแทนในการใหขอมูลที่ตองการศึกษา นั่นคือทุกหนวยของตัวอยางเปนหนวยของ
ประชากรดวย ถาขนาดตัวอยางใหญพอและการเลือกตัวอยางทําอยางถูกตองตามหลักวิชาการแลว ผลสรุปที่ได
จากตัวอยางสามารถนําไปใชอางอิงประชากรได
วัตถุประสงคในการวิเคราะหขอมูลจะทําใหทราบวา จะตองวิเคราะหเพื่อทราบภาพโดยรวมหรือ
ลักษณะกวาง ๆ ของขอมูลโดยใชสถิติเชิงพรรณนา(Descriptive statistics) หรือโดยใชสถิติเชิงอนุมาน
(Inferential statistics)
การนําเสนอขอมูล
Graphical Methods for Describing Data
ขอมูลที่เก็บรวบรวมมาได และยังมิไดมีการจัดหมวดหมู ขอมูลชนิดนี้เรียกวา ขอมูลดิบ (Raw Data)
ขอมูลดิบเหลานี้ถามีจํานวนมากเราจะไมสามารถมองเห็นลักษณะของขอมูลไดจึงตองมีการจัดเตรียมขอมูลดิบ
ใหเปนหมวดหมู ถาขอมูลดิบมีจํานวนนอย ก็ใชวิธีเรียงขอมูลจากมากไปหานอย หรือจากนอยไปหามาก ขอมูล
ที่เรียงลําดับแบบนี้ เรียกวา Ungrouped Data แตถาขอมูลดิบมีจํานวนมาก ตองใชวิธี การแจกแจงความถี่
(Frequency Distribution) ซึ่งเปนการจัดเรียงลําดับขอมูลดิบที่เก็บรวบรวมมาได โดยจัดใหเปนหมวดหมู แลว
หาจํานวนของขอมูลในแตละหมู ขอมูลที่หาไดโดยวิธีการนี้ เรียกวา ขอมูลที่เปนหมวดหมู (Grouped Data)
รูปแบบของการแจกแจงความถี่ สามารถทําได 2 รูปแบบ คือแบบใชตาราง และแบบใชแผนภูมิหรือกราฟ
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 6 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
การแจกแจงความถี่แบบตาราง ไดแก
• ตารางแจกแจงความถี่ (Frequency Distribution)
• ตารางแจกแจงความถี่สะสม (Cumulative Frequency Distribution)
• ตารางแจกแจงความถี่สัมพัทธ (Relative Frequency Distribution)
• ตารางแจกแจงความถี่สะสมสัมพัทธ (Relative Cumulative Frequency Distribution)
การแจกแจงความถี่แบบใชแผนภูมิหรือกราฟ ไดแก
• ฮิสโทแกรม (Histogram)
• รูปหลายเหลี่ยมของความถี่ (Frequency Polygon)
• โคงความถี่ (Frequency Curves)
• โคงความถี่สะสม (Cumulative Frequency หรือ Ogive Curve)
• แผนภาพตน-ใบ (Stem-and-Leaf Plot หรือ Stem Plot)
ขั้นตอนการสรางตารางการแจกแจงความถี่
2) กําหนดขีดจํากัดลางและขีดจํากัดบนของชั้นแรก โดยใหมีความกวางของอันตรภาคชั้นเทากับ I
3) หาอันตรภาคชั้นตอ ๆ ไป โดยนํา I + ขีดจํากัดลาง (ขีดจํากัดบน) ของชั้นที่อยูกอนหนา
4) หารอยขีดคะแนนของขอมูลแตละอันตรภาคชั้น
5) หาความถี่ของขอมูล โดยนับจากจํานวนรอยขีดคะแนนของแตละอันตรภาคชั้น
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 7 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
40 39 52 50 51 64 72 54 52 61 67 74 80 96 80
50 60 59 45 53 47 46 94 44 47 57 50 67 59 63
60 59 33 41 35 90 67 74 75 79 59 48 56 70 63
จงสรางตารางแจกแจงความถี่แสดงน้ําหนัก (กิโลกรัม) ของนักเรียนกลุมหนึ่ง โดยใหมีความกวางของ
แตละอันตรภาคชั้นเทาๆ กัน และมีจํานวนอันตรภาคชั้น 8 ชั้น
พิสัย
วิธีทํา I =
จํานวนชั้น
96 − 33
=
8
= 7.875
≈ 8
ขอสังเกต
1. คานอยที่สุดของขอมูลตองอยูอันตรภาคชั้นแรก และคามากที่สุดของขอมูลตองอยูอันตรภาคชั้นสุดทาย
2. อันตรภาคชั้นที่อยูตรงกลางไมมีขอมูลได
3. อันตรภาคชั้นแรกและชั้นสุดทายตองมีขอมูลเสมอ
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 8 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
2. การแจกแจงความถี่แบบใชกราฟ
2.1 เมื่อตารางแจกแจงความถี่ของขอมูลที่มีความกวางของอันตรภาคชั้นเทากันทุกชั้น
1) ฮิสโทแกรม
ความถี่
30
25
20
15
10
0
29.5 39.5 49.5 59.5 69.5 79.5 89.5 99.5 คะแนน
2) รูปหลายเหลี่ยมของความถี่
ความถี่
30
25
20
15
10
0
24.5 34.5 44.5 54.5 64.5 74.5 84.5 94.5 104.5 คะแนน
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 10 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
3) เสนโคงความถี่
ความถี่
30
25
20
15
10
0
24.5 34.5 44.5 54.5 64.5 74.5 84.5 94.5 104.5 คะแนน
4) เสนโคงความถี่สะสม
ความถี่สะสม
คะแนน
1) อิสโทแกรมของคะแนนสอบของนักเรียนกลุมนี้เปนดังนี้
จํานวนนักเรียน ( f )
25
20
15
10
0
29.5 39.5 49.5 59.5 69.5 79.5 89.5 99.5 คะแนน
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 12 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
จํานวนนักเรียน ( f )
25
20
15
10
0
35 45 55 65 75 85 95 คะแนนคะแนนสอบ
3) เสนโคงของความถี่ (Frequency curve)
ปรับรูปหลายเหลี่ยมของความถี่ใหเปนเสนโคงเรียบ ( Smooth curve )
( ใชกราฟในรูปหลายเหลี่ยมแหงความถี่)
4) เสนโคงความถี่สะสม (Ogive)
ลงจุดคูอันดับ ( ขอบบนของชั้น , ความถี่สะสมของชั้น )
จํานวนนักเรียนสะสม ( cf )
70
60
50
40
30
20
10
0
19.5 29.5 39.5 49.5 59.5 69.5 79.5 89.5 99.5 คะแนน
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 13 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
2.2 เมื่อตารางแจกแจงความถี่ของขอมูลมีความกวางของอันตรภาคชั้นไมเทากันทุกชั้น
คะแนน ความถี่ fi
อัตราสวน
Ii
30 – 39 1
40 – 49 2
50 – 69 26
70 – 79 21
80 – 89 8
90 – 99 2
อิสโทแกรมของคะแนนสอบของนักเรียนกลุมนี้เปนดังนี้
f
ความสูง i
Ii
25
20
15
10
0
29.5 39.5 49.5 59.5 69.5 79.5 89.5 99.5 คะแนน
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 14 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
ตน ใบ
3
4
5
6
7
8
9
จากแผนภาพ พบวา
คะแนนที่มีความถี่สูงสุดคือ ..................................................................................................
ชวงคะแนนที่มีความถี่มากที่สุด คือ.......................................................................................
จํานวนผูสอบไดคะแนนในชวง 40 – 49 และ 50 – 59 คือ...................................................
จากแผนภาพ พบวา
1) คะแนนต่ําสุดของวิชาคณิตศาสตร คือ.....................วิชาฟสิกส คือ..........................
2) คะแนนสูงสุดของวิชาคณิตศาสตร คือ.....................วิชาฟสิกส คือ..........................
3) ความแตกตางของคะแนนสูงสุดและต่ําสุดของวิชาคณิตศาสตรคือ...................................................
ความแตกตางของคะแนนสูงสุดและต่ําสุดของวิชาฟสิกสคือ............................................................
4) คะแนนสวนใหญของวิชาคณิตศาสตรอยูในชวงคะแนน..................................................................
คะแนนสวนใหญของวิชาฟสิกสอยูในชวงคะแนน...........................................................................
5) มีนักเรียนรอยละ....................................................ที่สอบวิชาคณิตศาสตรไดอยางนอย 80 คะแนน
6) มีนักเรียนรอยละ....................................................ที่สอบวิชาฟสิกสไดอยางนอย 80 คะแนน
7) เมื่อพิจารณาจากแผนภาพ วิเคราะหคะแนนเฉลี่ยของวิชา.............................................สูงกวาวิชา.
...................................ทั้งนีเ้ ปนเพราะ...............................................................................................
..........................................................................................................................................................
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 16 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
แบบฝกหัดที่ 1.1
1. ขอมูลที่ผูใชตองการในขอใดตอไปนี้เปนขอมูลปฐมภูมิ
1) ผูใชตองการขอมูลเกี่ยวกับจํานวนนักเรียนและจํานวนครูโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนในปการศึกษา
2540 และขอมูลดังกลาวกรมอาชีวศึกษาเปนผูเก็บรวบรวมไวแลว
2) ผูใชตองการขอมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการประหยัดพลังงานของชาวกรุงเทพฯ แตขอมูลดังกลาวยังไมมี
ผูใดเคยศึกษามากอน
3) ผูใชตองการขอมูลเกี่ยวกับรายชื่อโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดในจังหวัดสมุทรปราการ รายชื่อ
ดังกลาวนี้กองทะเบียนอุตสาหกรรมเปนผูรวบรวมไวเปนหลักฐานทางราชการ
4) ผูใชตองการทราบราคาขาวเปลือก 100 เปอรเซ็นต ราคาขาวเปลือกดังกลาว กรมเศรษฐกิจการ
พาณิชยเปนผูแจงใหประชาชนที่สนใจทราบเปนประจําทุกวัน
5) ผูใชตองการทราบจํานวนรถยนตที่ใชน้ํามันเบนซินไรสารตะกั่วในเดือนนี้
6) ผูใชตองการทราบความคิดเห็นของนักธุรกิจเกี่ยวกับการใชกฎหมายประกันสังคม
2. ขอมูลเชิงคุณภาพใดตอไปนี้สามารถเปลี่ยนเปนขอมูลเชิงปริมาณได
1) ระดับความสามารถของพนักงาน (มีความสามารถสูง, ปานกลาง, ต่ํา )
2) การวางแผนครอบครัวของชาวชนบท (มีการวางแผนครอบครัว, ไมวางแผนครอบครัว)
3) วุฒิการศึกษาของขาราชการ (มัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา, ปริญญาตรี, สูงกวาปริญญาตรี)
4) อาชีพ (ลูกจางรัฐบาล, ลูกจางเอกชน, ประกอบอาชีพสวนตัว)
3. ในการประมาณรายไดเฉลี่ยตอครอบครัวของชาวกรุงเทพฯ เราควรใชวิธีเลือกตัวอยางครอบครัว
ชาวกรุงเทพฯ โดยการสุมหรือไม เพราะเหตุใด
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. จงเขียนแผนภาพตน-ใบ ของขอมูลอัตราเร็วของเครื่องเลน 30 ชนิด (เมตร/วินาที) ดังนี้
1.28 1.36 1.24 2.47 1.94 2.52 2.67 1.29 1.56 2.66
2.17 1.57 2.10 2.54 1.63 2.11 2.57 1.72 0.76 1.02
1.78 0.50 1.49 1.57 1.04 1.92 1.55 1.78 1.70 1.20
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 17 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
5. ขอมูลตอไปนี้เปนคะแนนสอบของนักเรียนจํานวน 30 คน
46 75 70 65 60 87 87 83 93 70
78 72 76 76 71 59 79 98 55 85
73 94 65 76 71 97 67 70 81 78
จงสรางตารางแจกแจงความถี่ประกอบดวยอันตรภาคชั้น 6 ชั้น
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 18 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
6. ผลการทดสอบความสามารถในการคิดอยางมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6 จํานวน 40
คน ของโรงเรียนแหงนี้ เปนดังนี้ ( คะแนนเต็ม 100 คะแนน )
96 78 80 76 84 77 74 85 65 69
82 53 45 67 58 54 56 62 56 54
43 53 45 67 58 54 56 62 56 54
65 66 75 98 97 63 92 94 76 78
จงสราง 1. ตารางแจกแจงความถี่ที่มีอันตรภาคชั้นเทากับ 10
2. กราฟฮิสโทแกรม
3. กราฟรูปหลายเหลี่ยมของความถี่
4. กราฟเสนโคงความถี่สะสม
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 19 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 20 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
x + x + x + ... + x n ∑x i
คือคาเฉลี่ยเลขคณิตของตัวอยาง ซึ่ง
X = 1 2 3 = i =1
n n เปนตัวประมาณคา (Estimator) ของ
พารามิเตอร µโดยที่ X คํานวณจาก
ขอมูลตัวอยางที่เปนตัวแทนของ
การคํานวณคาเฉลี่ยขางตน ใชสูตรคลายกัน นักเรียนตองทําความ ประชากรและ n แทนจํานวนหนวย
เขาใจและแยกสูตรใหชัดเจน คือ ถาเปนประชากร N หนวย ใหใช ของตัวอยาง (Sample units)
µ แตถาเปนตัวอยาง n หนวยใหใช X
หมายเหตุ ถาโจทยไมไดระบุวาเปนขอมูลของระดับตัวอยางใหใชสูตรระดับประชากร
ในการวิเคราะหขอมูลของตัวแปรเดียวกันจากตัวอยางหลายๆ ชุดที่สุมมาจากประชากรเดียวกัน
และหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของตัวอยางแตละชุดไวแลว หากผูวิเคราะหตองการทราบคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูล
ทั้งหมด โดยนับรวมเปนชุดเดียวกันก็สามารถหาไดจากคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลแตละชุดที่คํานวณไวแลว คือ
ถา x1 , x 2 , x 3 ,..., x k เปนคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดที่ 1, 2, 3 , … , k ตามลําดับ
n1 , n 2 , n 3 ,..., n k เปนจํานวนคาจากการสังเกตในขอมูลชุดที่ 1, 2, 3 , ... , k ตามลําดับ
ถาขอมูลเปนระดับประชากร การคํานวณยังคงใชสูตรทํานองเดียวกัน แตเปลี่ยน X เปน µ และ
เปลี่ยน n เปน N ในขอมูลแตละชุด
n1 x1 + n 2 x 2 + ... + n k x k
คาเฉลี่ยเลขคณิตรวม X=
n1 + n 2 + ... + n k
k
∑n X i i
= i =1
k
∑n i =1
i
ตัวอยางที่ 1 คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรโดยเฉลี่ยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาแหงหนึ่งไดผลดังตาราง
จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิตรวมของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนทุกคน
N1µ1 + N 2µ 2 + ... + N 6µ6
วิธีทํา คาเฉลี่ยเลขคณิตรวม µ =
N1 + N 2 + ... + N 6
= ………………………………………….
= …………………………………………. คะแนน
∑w x i i
= i =1
N
∑w
i =1
i
= ………………………………………….
= …………………………………………. คะแนน
1.4 การหาคาเฉลี่ยเลขคณิตกรณีขอมูลแจกแจงความถี่
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 23 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
f x + f x + f x + ... + f k x k ∑f i x i ∑f x i i
μ= 1 1 2 2 3 3 = i =1
= i =1
f1 + f 2 + f 3 + ... + f k k
N
∑f
i =1
i
เมื่อ N เปนจํานวนคาจากการสังเกตทั้งหมด
หรือ สูตรแบบลดทอน µ = a +
i ∑ fd (ใชไดเมื่ออันตรภาคชั้นเทากันทุกชั้น)
∑f
การคํานวณหาคาเฉลี่ยเลขคณิตโดยวิธีนี้ ใชสูตรเดียวกันกับการคํานวณหาคาเฉลี่ยเลขคณิตโดยวิธี
ถวงน้ําหนัก โดยที่ความสําคัญหรือน้ําหนักในที่นี้คือ ความถี่ของคาจากการสังเกตแตละคาหรือของแตละ
อันตรภาคชั้น คาของขอมูลที่อยูในแตละอันตรภาพชั้นจะประมาณดวยจุดกึ่งกลางของแตละชั้น
อยางไรก็ตาม ในปจจุบันมีคอมพิวเตอรชวยในการคํานวณ การหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลที่ตอง
แจกแจงความถี่โดยอาศัยการแบงอันตรภาคชั้นจึงไมนิยมใช
ดังนั้น การหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลที่แจกแจงความถี่จึงใชสําหรับกรณีไมมีขอมูลดิบทุกหนวย
f1x1 + f 2 x 2 + f 3 x 3 + ... + f k x k ∑ fi x i ∑f x i i
µ = = i =1
= i =1
f1 + f 2 + f 3 + ... + f k
k
N
∑f
i =1
i
= ……………………………………………………………………………………………………..
= ……………………………………………………………………………………………………..
วิธีทํา 2 โดยทอนคาขอมูล
เงินเดือน จํานวนพนักงาน จุดกึ่งกลาง xi − a fi di
di =
(fi) (xi) I
5,000 – 6,999 10
7,000 – 8,999 11
9,000 – 10,999 25
11,000 – 12,999 20
13,000 – 14,999 19
15,000 – 16,999 20
17,000 – 18,999 10
19,000 – 20,999 5
= ………………………………………….
= …………………………………………. บาท
N N
(2) ∑ cx i = c∑ x i
i =1 i =1
N N N
(3) ∑ ( x i ± y i ) = ∑x i ± ∑ yi
i =1 i =1 i =1
สมบัติที่สําคัญของคาเฉลี่ยเลขคณิต
1. คาเฉลี่ยเลขคณิตเมื่อคูณกับจํานวนขอมูลทั้งหมดไมวาจะเปนทั้งประชากรขนาด N หรือตัวอยาง
ขนาด n จะมีคาเทากับผลรวมของขอมูลทุก ๆ คา ตามลําดับ ดังนี้
N n
∑ x i = Nµ
i =1
และ ∑x i =1
i
= nx
2. ผลรวมของผลตางระหวางแตละคาของขอมูลกับคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดนั้น จะเทากับ 0
กลาวคือ
n n
∑ ( x i − µ) = 0
i =1
และ ∑ (x
i =1
i − x) = 0
3. ผลรวมของกําลังสองของผลตางของแตละคาของขอมูลกับจํานวนจริง M ใด ๆ จะมีคานอยสุด
เมื่อ M เทากับคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดนั้น กลาวคือ
n
∑ (x
i =1
i
− M) 2 นอยที่สุด เมื่อ M = µ
n
และ ∑ (x
i =1
i
− M) 2 นอยที่สุด เมื่อ M = x
N N
หรือ อาจเขียนไดวา ∑ (x i − µ) 2 ≤ ∑ (x i − M) 2
i =1 i =1
n n
และ ∑ (x
i =1
i
− x) 2 ≤ ∑ (x
i =1
i
− M) 2 เมื่อ M เปนจํานวนจริงใด ๆ
ตัวอยางที่ 4 บริษัทแหงหนึ่งตองการกําหนดเบี้ยประกันอุบัติเหตุรถยนตโดยคํานวณจากความสัมพันธ
Y = 0.73 X + 2,500 เมื่อ Y เปนตัวแปรแทนเบี้ยประกันอุบัติเหตุรถยนตมีหนวยเปนบาท และ X เปน
ตัวแปรแทนอายุการใชงานมีหนวยเปนป จากการสํารวจในปที่ผานมา พบวา อายุการใชงานของรถยนต
สวนมากเปน 2, 3.5, 5, 6.5, 7, 8, 9, 6, 8.5 และ 10 ป จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของเบี้ยประกัน
อุบัติเหตุรถยนตของบริษัทนี้
วิธีทํา จากโจทยกําหนดความสัมพันธของ X และ Y ในรูปเสนตรง คือ Y = 0.73 X + 2,500
เมื่อ yi และ xi เปนคาสังเกตของขอมูล y i = 0.73 x i + 2,500 เมื่อ I = 1, 2, 3, …, 10
ให Y แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตของเบี้ยประกันอุบัติเหตุรถยนตของบริษัทนี้
จะได Y = 0.73 X + 2,500
ให X แทนคาเฉลี่ยเลขคณิตของอายุการใชงานของรถยนต
จะได X = …………………………………………………………………
ดังนั้น Y = …………………………………………………………………
แบบฝกหัดที่ 1.2
1. ถา x1 = 1, x2 = 3, x3 = 4, x4 = 7, x5 = 0, f1 = 10, f2 = 15 , f3 = 5,
f4 = 8 , f5 = 6 และ c = 2 จงหาคาของ
10
(1) ∑ c ………………………………………………………………………………………………………………………
i =1
5
(2) ∑ ( x i − 2) 3 ……………………………………………………………………………………………………………………
i =1
5
(3) ∑ (f i x i + c) ……………………………………………………………………………………………………………………
i =1
4
(4) ∑ ( x i − 3)( x i + 3) …………………………………………………………………………………………………………
i =1
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
5 5 5 5
2. ถา ∑ y i = 10 และ ∑ y i2 = 30 จงหาคาของ ∑ (5y i − 50) และ ∑ ( y i − 3) 2
i =1 i =1 i =1 i =1
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
4 4 4 4
3. ถา ∑ x i =5 , ∑ yi = −2 และ ∑x y i i = 4 จงหาคาของ ∑ (x i + 1)(4 y i − 3)
i =1 i =1 i =1 i =1
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
4. จงเขียนผลบวกของพจนตอไปนี้โดยใชเครื่องหมาย ∑
(1) 2x 12 + 2x 22 + ... + 2x 102 = ..…………………………………………………………………………………..
(3) 1
n
{
( y1 − Y) 2 f 1 + ( y 2 − Y) 2 f 2 + ... + ( y k − Y) 2 f k } = ……………………………………………..
N N N N
5. จงแสดงวา ∑ ( x i − 3y i + 2z i + 1) = ∑ x i − 3∑ y i + 2∑ z i + N
i =1 i =1 i =1 i =1
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 28 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 29 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
8. ถาความสัมพันธระหวางราคาซื้อ (B) และราคาขาย (S) ของสินคาชนิดหนึ่งเปน S = 10 +1.4B
และพอคา 10 ราย ซื้อสินคาดังกลาวมาดวยราคา 80, 85, 70, 80, 75, 78, 82, 86, 79 และ
69 บาท ตามลําดับ จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิตของราคาขายของสินคาชนิดนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 31 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
2. มัธยฐาน ( Median )
มัธยฐานเปนคากลางอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งหมายถึงคาที่มีจํานวนขอมูลที่มากกวาและนอยกวาคานี้อยู
ประมาณเทาๆกัน
การหามัธยฐาน มีขั้นตอนดังนี้
1. เรียงขอมูลจากคานอยไปคามาก หรือ จากคามากไปคานอย
2. หาตําแหนงของมัธยฐาน
2.1. เมื่อขอมูลไมไดแจกแจงความถี่เปนอันตรภาคชั้น
N+1
ตําแหนงของมัธยฐาน คือ เมื่อ N เปนจํานวนขอมูลทั้งหมด
2
2.2. เมื่อขอมูลแจกแจงความถี่เปนอันตรภาคชั้น
N
ตําแหนงของมัธยฐาน คือ เมื่อ N เปนจํานวนขอมูลทั้งหมด
2
3. หาคาที่ตรงกับตําแหนงมัธยฐาน
3.1 โดยการเทียบสัดสวน
3.2 โดยใชสูตร
N N
− ∑ f ∑ f −
L u
2 I
Me = L + 2 I หรือ Me = U −
fm
fm
∑ f แทนผลรวมของความถี่ของทุกอันตรภาคชั้นที่เปนชวงคะแนนต่ํากวาชั้นที่มัธยฐานอยู
L
∑ f แทนผลรวมของความถี่ของทุกอันตรภาคชั้นที่มีมัธยฐานอยูและทุกชั้นทเปนชวงคะแนนต่ํากวา
U
fm แทนความถี่ของชั้นที่มีมัธยฐานอยู
I แทนความกวางของอันตรภาคชั้นที่มีมัธยฐานอยู
ตัวอยางที่ 5 ขอมูลชุดหนึ่งเรียงจากนอยไปมากดังนี้ 98, 100, 101, 104, a, 109, 110, 111, b
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 32 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
3. ฐานนิยม (Mode)
ฐานนิยม คือ คาของขอมูลที่มีความถี่สูงสุด นิยมใชกับขอมูลเชิงคุณภาพมากกวาขอมูลเชิงปริมาณ
การหาฐานนิยม มีดังนี้
1. เมื่อขอมูลไมไดแจกแจงความถี่เปนอันตรภาคชั้น ฐานนิยมเปนคาของขอมูลที่มีความถี่สูงสุดหรือ
ปรากฏบอยครั้งที่สุด
2. เมื่อขอมูลแจกแจงความถี่เปนอันตรภาคชั้น
2.1 เมื่อความกวางของอันตรภาคชั้นเทากันทุกชั้น ชั้นที่ฐานนิยมอยู คือ อันตรภาคชั้นที่มคี วามถี่
สูงสุด
2.2 เมื่อความกวางของอันตรภาคชั้นไมเทากันทุกชั้น ชั้นที่ฐานนิยมอยู คือ อันตรภาคชั้นที่มี
fi
อัตราสวน มีคามากที่สุด
Ii
เมื่อไดชั้นที่ฐานนิยมอยู จึงคํานวณหาฐานนิยม ดังนี้
ฐานนิยมของขอมูล = จุดกึ่งกลางของชั้นที่ฐานนิยมอยู (Modal class)
N
∑ log x
i
log G.M. = i=1
N
k
ในกรณีที่ xi มีความถี่ fi และ ∑ fi = N
i =1
1 k
log G.M. = ∑ fi log x i
N i =1
โจทยฝกทักษะ
1. ถาบริษัทแหงหนึ่งลงทุนในปที่ 1 ไดกําไร รอยละ 10 ในปที่สองไดกําไรรอยละ 50 และในปที่สามได
กําไรรอยละ 30 อัตราผลตอบแทนกําไรโดยเฉลี่ยควรเปนเทาไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ถาเริ่มลงทุนดวยเงินทุน 1,000 บาท ในแตละปไดผลตอบแทน 13% , 22% , 12% , – 5%
และ – 13% ตารางตอไปนี้แสดงเงินรวมที่ไดจากการลงทุนเมื่อสิ้นสุดของแตละป
ปที่ ผลตอบแทนตอป เงินรวม
1 13% 1,000(1.13) ≈ 1,130 บาท
2 22% 1,130(1.22) ≈ 1,379 บาท
3 12% 1,379(1.12) ≈ 1,544 บาท
4 – 5% 1,544(0.95) ≈ 1,467 บาท
5 – 13% 1,467(0.87) ≈ 1,276 บาท
จงหา อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย ตอป และเงินรวมในแตละป
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 36 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
= …………………………………………………………………………………………………………
1
ดังนั้น คาเฉลี่ยของอัตราการทํางานของคนทั้งหา เทากับ 6 นาที ตองานหนึ่งหนวย
4
360
และ ในเวลา 6 ชั่วโมง คนทั้งหาคนนี้จะทํางานได 5× = 288 หนวย
1
6
4
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 37 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
โจทยฝกทักษะ
6. คากึ่งกลางพิสัย (Mid-range)
20 30 40 50 60 65
ค่าเฉลี่ยเลขคณิ ต
ฐานนิยม
จะเห็นวาคาเฉลี่ยเลขคณิตเปนคากลางที่แบงน้ําหนักขอมูล 2 ดาน ใหมีสมดุล (Balance point) สวน
มัธยฐานเปนคาที่อยูตรงกลางของขอมูลที่เรียงจากนอยไปมาก ( หรือมากไปนอย ) และฐานนิยมเปนคากลางที่
อยูตรงจุดที่มีความถี่ของขอมูลมากที่สุด
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 39 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
แบบฝกหัดที่ 1.3
1. จงหาฐานนิยมของอายุเด็ก 15 คน ซึ่งมีอายุดังตอไปนี้
8, 7, 6, 5, 8, 9, 7, 7, 6, 5, 7, 9, 7, 8, 8
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
2. ถาครอบครัว 20 ครอบครัว บริโภคไขไกตอเดือนตามจํานวนตอไปนี้ 60, 32, 51, 60, 48, 52,
46, 38, 35, 60, 48, 54, 44, 49, 47, 48, 48, 44, 65, 60 จงหาฐานนิยมและคากึ่งกลาง
พิสัยของจํานวนไขไกที่แตละครอบครัวบริโภคตอเดือน
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
3. จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยมของเงินเดือนพนักงาน 7 คน ซึ่งเทากับ 3500, 3600,
3450, 3500, 3400, 3500 และ 21,000 บาท นักเรียนคิดวาคากลางที่หาไดชนิดใดควรเปน
ตัวแทนของเงินเดือนของพนักงานทั้ง 7 คนนี้ ไดดีกวากัน จงอธิบาย
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
.......................................................................................................................................................................
4. เรือบินลําหนึ่งเดินทางไดระยะ d1 , d2 และ d3 ไมล ดวยอัตราเร็ว v1 , v2 และ v3 ไมลตอชั่วโมง
d1 + d 2 + d 3
ตามลําดับ จงแสดงวาอัตราเร็วเฉลี่ย v=
d1 d 2 d 3
ไมลตอชั่วโมง
+ +
v1 v 2 v3
6. จงพิจารณาวาขอความที่กําหนดใหเปนจริงหรือเปนเท็จ ถาเปนเท็จจงบอกเหตุผล
(1) คาเฉลี่ยเลขคณิตของจํานวนนักเรียนในแตละหองของโรงเรียนแหงหนึ่ง เทากับ 35 คน
หมายความวามีครึ่งหนึ่งของจํานวนหองเรียนทั้งหมดที่มีจํานวนนักเรียนต่ํากวา 35 คน และอีก
ครึ่งหนึ่งมีจํานวนนักเรียนมากกวา 35 คน
(2) ในกรณีที่คาจากการสังเกตคาหนึ่งคาใด สูงหรือต่ํากวาคาจากการสังเกตอื่น ๆ ในขอมูลชุดเดียวกัน
มาก มัธยฐานยอมใชเปนตัวกลางองขอมูลชุดนั้นไดดีกวาคาเฉลี่ยเลขคณิต
(3) คาเฉลี่ยของขอมูลชุดใด ๆ จะตองมีคาอยูระหวางคาจากการสังเกตนอยที่สุดและคาจากการ
สังเกตมากที่สุดของขอมูลชุดนั้นเสมอ
(4) ฐานนิยมของขอมูลชุดใด ๆ จะมีจํานวนมากกวาหนึ่งคาไมได
(5) คาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดหนึ่งจะมีคามากกวามัธยฐานและฐานนิยมของขอมูลชุดนั้นเสมอ
7. ถาขอมูลมีการแจกแจงแบบสมมาตร (Symmetrical) หรือมีการแจกแจงแบบเบ (Skewed) แลว
จงอธิบายวาคาเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน และฐานนิยมจะแตกตางกันอยางไร
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
8. สําหรับขอมูลเชิงปริมาณ ถาตัวอยางที่นํามาศึกษาไมมีคาผิดปกติและบางครั้งอาจมีจํานวนนอย การ
วิเคราะหขอมูลจึงควรพิจารณาเลือกการใชคากลางใหเหมาะสม เชน ถาตัวอยางของเรามีจํานวนนอย
การใชฐานนิยมอาจมีคาแตกตางกันมากระหวางตัวอยางชุดหนึ่งกับชุดอื่นๆ ที่มีขนาดตัวอยางเทากัน
สวนมัธยฐานหรือคาเฉลี่ยเลขคณิตตางมีแนวโนมที่ไมเปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อเทียบกับฐานนิยม
ระหวางตัวอยางแตละชุดที่มีขนาดเทากัน ดังนั้นเราควรเลือกใชคากลางใด อยางไร จงอธิบาย
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
9. จากขอมูลในตารางเปนรอยละของเมทิลแอลกอฮอลจําแนกตามหองปฏิบัติการ 4 แหง จงตรวจสอบ
วา ขอมูลดังกลาวเปนขอมูลเชิงปริมาณหรือไม ควรใชคากลางชนิดใดเพื่อเปนตัวแทนของแตละ
หองปฏิบัติการ และเปรียบเทียบคากลางนั้นจากแตละหองปฏิบัติการ
หนวยทดลอง หองปฏิบัติการ
LAB 1 LAB 2 LAB 3 LAB 4
1 85.06 84.99 84.48 84.10
2 85.25 84.28 84.72 84.55
3 84.87 84.88 85.10 84.05
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 41 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
แบบฝกหัดทายบทชุดที่ 1
1. ในการแจกแจงขอมูลของคนงานกลุมหนึ่งโดยแยกกลุมคนงานออกเปนเพศชายและเพศหญิงการ
จําแนกขอมูลดังกลาวทําโดยวิธี
1. จําแนกตามคุณภาพ 2. จําแนกตามปริมาณ
3. จําแนกตามกาลเวลา 4. จําแนกตามภูมิศาสตร
3. ขอมูลตอไปนี้ขอมูลใดไมใชขอมูลเชิงปริมาณ
1. น้ําหนักนักเรียน 2. อาชีพบิดา มารดาของนักเรียน
3. อายุของนักเรียน 4. รายไดของบิดามารดาของนักเรียน
4. ในการคํานวณหาคากลางจากขอมูลเชิงคุณภาพควรใชคากลางใด
1. คาเฉลี่ยเลขคณิต 2. มัธยฐาน
3. ฐานนิยม 4. คาเฉลี่ยเรขาคณิต
5. ถาจํานวนนักเรียนในระดับการศึกษาตางๆ ในปการศึกษา 2527 ของจังหวัดหนึ่งเปนดังนี้
ประถมศึกษา 32,510 คน มัธยมศึกษาตอนตน 8,952 คน และมัธยมศึกษาตอนปลาย 6,312 คน ขอมูล
ดังกลาวเปนขอมูลชนิดใด
1. ขอมูลจําแนกตามคุณภาพ 2. ขอมูลจําแนกตามปริมาณ
3. ขอมูลจําแนกตามกาลเวลา 4. ขอมูลจําแนกตามภูมิศาสตร
6. ขอความตอไปนี้ขอใดไมจริง
N
1. ∑x
i =1
i − NX = 0
N
2. ∑ (x
i =1
i − M) 2 จะมีคานอยสุด เมื่อ M = X
N
3. ∑x
i =1
i −M จะมีคานอยสุด เมื่อ M = มัธยฐาน
4. คาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดหนึ่งมีคามากกวาคามัธยฐานของขอมูลชุดนี้เสมอ
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 42 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
4 4 4
7. กําหนด ∑ (x i + y i ) = 9 และ ∑ (x i − y i ) = 7 จะสรุปไดวา ∑ ( x i + a ) 2 จะมีคาต่ําสุด
i =1 i =1 i =1
เมื่อ a มีคาเทาไร
1. 2 2. 3
3. 4 4. 5
10
8. กําหนดใหคาจากการสังเกตเปนดังนี้ 15, 4, 5, 3, 2, 7, 8, 10, 1, 20 และ ∑ x i − a มี
i =1
1. A≤B 2. A≥B
3. A<B 4. A>B
ขอใดตอไปนี้ผิด
1. กิจการของบริษัทดีขึ้นเรื่อยๆ
2. บริษัทเริ่มไดกําไรตั้งแตป พ.ศ. 2546
3. ในชวง 6 ปของการดําเนินงานสรุปแลวบริษัทมีกําไร
4. ปที่บริษัทขาดทุนมากที่สุดคิดเปนเปนจํานวนมากกวาปที่บริษัทกําไรมากสุด
17. ขอใดตอไปนี้ถูกตอง
1. คาเฉลี่ยเลขคณิตหาไดเสมอ จากตารางแจกแจงความถี่
2. มัธยฐาน คาเฉลี่ยเลขคณิต และฐานนิยม สามารถหาจากกราฟของขอมูลไดเสมอ
3. ถาขอมูลมีคาสังเกตบางคาสูงกวาคาอื่น มาก ๆ จะมีผลกระทบตอการหาคาเฉลี่ยเลขคณิต
4. เราสามารถหามัธยฐานจากขอมูลคนไขที่แยกตามโรคที่ปวยได
10 10 10 10
18. ถา ∑ x i = −8 ∑ y i = 4 และ ∑ (5 − x i )( y i + 2) = 76 แลว ∑ x i y y มีคาเทากับเทาไร
i =1 i =1 i =1 i =1
1. -60 2. -30
3. 30 4. 60
8
25. ให a เปนจํานวนจริงที่ทําให ∑ ( x i − a ) 2 มีคาต่ําสุดสําหรับขอมูล
i =1
2 2 6 12 12 20 16 10 แลว มัธยฐานของขอมูล
5 a 2a 6 3 7 15 16 เทากับขอใดตอไปนี้
1. 8.5 2. 8
3. 7.5 4. 7
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 46 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
ขอใดตอไปนี้ถูกตอง
1. ขอ ก และ ข ถูก 2. ขอ กถูก และ ขอ ข ผิด
3. ขอ ก ผิด และ ข ถูก 4. ขอ ก ผิด และ ขอ ข ผิด
n n
28. ถา θ1 และ θ2 เปนคาที่ทําให ∑ (x i − θ1 )2 และ
i =1
∑| x
i =1
i
− θ2 | มีคาต่ําสุด สําหรับขอมูลตอไปนี้
3. θ1 = 8 , θ 2 = 7 4. θ1 = 12 , θ 2 = 7
ขอใดตอไปนี้ถูกตอง
1. ขอ ก และ ข ถูก 2. ขอ ก ถูก และ ขอ ข ผิด
3. ขอ ก ผิด และ ข ถูก 4. ขอ ก ผิด และ ขอ ข ผิด
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 47 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
31. ให x1 , x2 ,… , x10 เปนขอมูล 10 จํานวน ดังนี้ 2, 4, 6, 7, a, b, 12, 12, 12, 19 โดยที่
a , b เปนจํานวนจริงซึ่ง a ≠ 0 ถาฐานนิยมของขอมูลชุดนี้เทากับ b และคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดนี้
10
เทากับ 9.5 แลว ∑ | xi − c | มีคานอยที่สุดเมื่อ c มีคาเทากับขอใดตอไปนี้
i =1
1. 9.0 2. 9.5
3. 10.0 4. 10.5
32. คาเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนหองหนึ่งเปน 43 คะแนน ถาคิดคาเฉลี่ยเลข
คณิตของคะแนนสอบนักเรียนชายและหญิงแยกกันจะได 45 และ 40 คะแนน ตามลําดับแลว อัตราสวน
ระหวางจํานวนนักเรียนชายและนักเรียนหญิงคือขอใด
1. 3:2 2. 2:3
3. 2:5 4. 3:5
34.
การบาน สอบยอย ปลายภาค
ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2
เกณฑการคิดคะแนน 20% 20% 30% 30%
คะแนนที่ไดจากคะแนนเต็ม 100 95 73 67 ……….
จากตาราง เปนเกณฑการใหคะแนนที่ครูกําหนดไว และผลการเรียนของนักเรียนคนหนึ่ง ถานักเรียน
คนนี้ไดคะแนนเฉลี่ยตลอดภาคเรียนเปน 78% แลว คะแนนสอบปลายภาคของเขาเปนเทาไร
1. 74.5 2. 78.0
3. 81.0 4. 83.0
8
39. ให a เปนจํานวนจริงที่ทําให ∑ ( x i − a ) 2 มีคาต่ําสุดสําหรับขอมูล
i =1
2 2 6 12 12 20 16 10 แลว มัธยฐานของขอมูล
5 a 2a 6 3 7 15 16 เทากับขอใดตอไปนี้
1. 8.5 2. 8
3. 7.5 4. 7
Q1 Q2 Q3
เดไซลที่ r เปนคาที่มีจํานวนขอมูลนอยกวาคานี้อยูป ระมาณ r ใน 10 ของจํานวนขอมูลทั้งหมด
เดไซลที่ r เขียนแทนดวย Dr
D1 D2 D3 …. D9
เปอรเซ็นไทลที่ r เปนคาที่มีจํานวนขอมูลนอยกวาคานี้อยูประมาณ r ใน 100 ของจํานวนขอมูล
ทั้งหมด เปอรเซ็นไทลที่ r เขียนแทนดวย Pr
การเปรียบเทียบคาควอรไทล เดไซล และเปอรเซ็นไทล
Q1 = D2.5 = P25 , Q2 = D5 = P50 = มัธยฐาน
D1 = P10 , D9 = P90
r (N + 1)
ตําแหนงของ Qr = 4
,r=1,2,3
r ( N + 1)
ตําแหนงของ Dr = ,r=1,2,3,…,9
10
r (N + 1)
ตําแหนงของ Pr = , r = 1 , 2 , 3 , … , 99
100
จงหา 1. ควอรไทลที่หนึ่งและควอรไทลที่สามของปริมาณการสงออกขาวของประเทศไทยไปยังประเทศ
ตาง ๆ ในทวีปเอเชียทั้ง 10 ประเทศ
2. ประเทศใดบางที่ประเทศไทยสงออกขาวไปในปริมาณที่ต่ํากวาควอรไทลที่หนึ่งที่หาไดในขอ 1
3. ประเทศใดบางที่ประเทศไทยสงออกขาวไปในปริมาณที่สูงกวาควอรไทลที่สามที่หาไดในขอ 1
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 52 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
วิธีทํา
1. เรียงปริมาณขาวสงออกของประเทศไทยจากนอยไปมากจะไดดังนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
หาควอรไทลที่ 1
(N + 1) (10 + 1)
เนื่องจาก Q1 อยูในตําแหนงที่ = = 2.75
4 4
ดังนั้น Q1 มีคาอยูระหวางตําแหนงที่ 2 กับ ตําแหนงที่ 3 คือขอมูล 22 กับ 42 พันตัน
คํานวณคาของขอมูลที่ตรงกับตําแหนง Q1 ไดดังนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดังนั้น ประเทศที่ไทยสงออกขาวไปในปริมาณที่ต่ํากวาควอรไทลที่ 1 ของทั้ง 10 ประเทศ คือ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
จะหาหาควอรไทลที่ 3
3(N + 1)
เนื่องจาก Q3 อยูในตําแหนงที่ =
4
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดังนั้น ประเทศที่ไทยสงออกขาวไปในปริมาณที่สูงกวาควอรไทลที่ 3 ของทั้ง 10 ประเทศ คือ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แบบฝกหัดที่ 1.4
10
4. ให x 1 , x 2 ,..., x 10 เปนขอมูลที่เรียงลําดับจากนอยไปมาก โดยที่ ∑ x i = x 3 + 165 และ
i =1
Qr = L+I
fr Q
rN
-∑ f )
(
Dr = L+I 10
L
fr D
rN
( -∑ f )
100
L
Pr = L+I
fr P
ตัวอยาง 3 ตารางแสดงจํานวนนักเรียนจําแนกตามชวงคะแนนที่สอบไดเปนดังนี้
ชวงคะแนน จํานวนนักเรียน
55 – 64 3
65 – 74 21
75 – 84 78
85 – 94 182
95 – 104 305
105 – 114 209
115 – 124 81
125 – 134 21
135 – 144 5
คะแนน จํานวนนักเรียน
30 – 39 1
40 – 49 4
50 – 59 10
60 – 69 22
70 – 79 45
80 – 89 30
90 – 99 8
วิธีทํา
คะแนน จํานวนนักเรียน ความถี่สะสม
30 – 39 1
40 – 49 4
50 – 59 10
60 – 69 22
70 – 79 45
80 – 89 30
90 – 99 8
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 58 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
วิธีทํา จากตารางเขียนเสนโคงของความถี่สะสมไดดังรูป
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 59 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
รอยละของ
ความถี่สะสม ความถี่สะสมสัมพัทธ
200 - 100
180 - 90
160 - 80
140 - 70
120 - 60
100
- 50
80
- 40
60
- 30
- 20
40
- 10
20
0
49.5 59.5 69.5 79.5 89.5 99.5
Q1 P50 81 ≈ P81
หมายเหตุ
1) คาที่ไดจากการใชกราฟอาจมีความคลาดเคลื่อนไปมากจากที่ควรจะเปนจริงถาความละเอียดใน
กราฟไมมากพอ
2) การหาเปอรเซ็นไทลของขอมูลที่มีจํานวนนอยเกินไปจะทําใหคาเปอรเซ็นไทลที่คํานวณไดมีความ
เชื่อถือไดนอย เนื่องจากสูตรหรือวิธีการที่ใชคํานวณจะใชสําหรับประมาณคาเปอรเซ็นไทลของขอมูลที่มีจํานวน
มากพอ
3) คาวัดตําแหนงของควอรไทล เดไซล หรือเปอรเซ็นไทล ที่คํานวณไดเปนคาโดยประมาณ วิธีการที่ใช
คํานวณ อาจทําไดหลายวิธี แตคาวัดตําแหนงที่คํานวณไดมักจะใกลเคียงกัน ถาจํานวนขอมูลที่นํามาใชมีมากพอ
4) ในทางปฏิบัติ เมื่อมีขอมูลคะแนนของผูเรียนแตละคน อาจไมจําเปนตองแบงอันตรภาคของคะแนน
แตอยางไร สามารถใชคอมพิวเตอรคํานวณคาควอรไทล เดไซล หรือเปอรเซ็นไทลของขอมูลโดยตรงและสะดวก
ดังนั้นวิธีคํานวณที่อาศัยอันตรภาคชั้นนั้นเปนเพียงทางเลือกที่อาจทําได เพราะทําใหเห็นภาพรวมในตาราง
5) นอกจากวิธีการวัดตําแหนงที่ของขอมูลดังกลาวขางตน ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใชมากคือ คามาตรฐาน
(standard score) ซึ่งจะกลาวในบทตอไป
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 61 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
แบบฝกหัดที่ 1.5
คะแนน 12 14 16 18 20 22 24
ความถี่ 7 12 18 22 17 9 5
2. คะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนกลุมหนึ่ง เปนดังนี้
คะแนน ความถี่
5-9 10
10-14 9
15-19 9
20-24 7
25-29 5
1
จงหา ( 1) Q1 , Q2 และ Q3 (2) Q2 = 2
(Q1+Q3) หรือไม
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 62 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
6. กําหนดตารางแจกแจงความถี่ของคะแนนสอบวิชาคณิตศาสตรของนักเรียนหองหนึ่ง ดังนี้
คะแนน ความถี่
16 – 18 a
19 – 21 2
22 – 24 3
25 – 27 6
28 – 30 4
กรณีขอมูลไมไดแจกแจงความถี่
1. พิสัย (Range) คือ คาที่ใชวัดการกระจายที่ไดจากผลตางระหวางขอมูลที่มีคาสูงสุดและ
ขอมูลที่มีคาต่ําสุด
ถา x1 , x 2 , x 3 ,..., x n เปนคาของขอมูลชุดหนึ่ง พิสัยเทากับ x max − x min
Q -Q
สวนเบี่ยงเบนควอรไทล Q.D. = 3 1
10 21 27 33 45 48 55 57 65 65 75 78 80
10 20 30 40 50 60 70 80
Q1 Q2 Q3
ค่าน้ อยสุด ค่ามากสุด
Box
Whisker Whisker
จากแผนภาพกลองทําใหทราบถึงลักษณะการกระจายของขอมูลไดดังตัวอยางตอไปนี้
จากการตรวจปริมาณน้ําตาล (กรัม) ตอปริมาณอาหาร 100 กรัม ของอาหารชนิดหนึ่ง จํานวน 31
จาน ไดขอมูลดังนี้
0 0 0 0 2 2 2 3 3 3 3 3 3 4 5 5 5 5 5 6 6 6 6 6 7 9 10 11 12 12 14
Q2 มัธยฐาน Q3
Q1 Q2 Q3
| | | | | | | |
0 2 4 6 8 10 12 14
จากแผนภาพ พบวา ขอมูลระหวาง Q1 และ Q2 มีการกระจายมากกวาขอมูลที่อยูระหวาง Q2 และ Q3
แตขอมูลที่อยูระหวาง Q3 ถึงคาที่มากที่สุดมีการกระจายมากที่สุด
ม.6/1
60 67 75 88 100
ม. 6/2
64 98
77 85 91
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 69 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
จงตอบคําถามตอไปนี้
1) จงหาวานักเรียนหอง ม. 6/1 ที่ไดคะแนนอยูในกลุม 25% ต่ําสุด มีคะแนนต่ําสุดและคะแนนสูงสุด
เปนเทาใด ...............................................................................................................................................
2) นักเรียนหอง ม.6/2 ที่ไดคะแนนมากกวาหรือเทากับ 91 คะแนนมีประมาณกี่เปอรเซ็นต…………...............
3) นักเรียนหอง ม.6/1 ที่ไดคะแนนนอยกวาหรือเทากับ 75 คะแนนมีประมาณกี่เปอรเซ็นต..........................
4) นักเรียนหอง ม.6/2 ที่ไดคะแนนมากกวาหรือเทากับ 77 คะแนนมีประมาณกี่เปอรเซ็นต.........................
5) ถาในการสอบครูใหระดับคะแนน 4 แกผูทสี่ อบไดคะแนนตั้งแต 80 คะแนนขึ้นไป ถาพิจารณาจาก
แผนภาพกลองที่กําหนดให หองใดควรจะมีผูสอบที่ไดระดับคะแนน 4 ในวิชาภาษาอังกฤษครั้งนี้มากกวากัน
เพราะเหตุใด ....................................................................................................................................................
x1 − X + x 2 − X + ... + x n − X
สวนเบี่ยงเบนเฉลี่ย M.D. =
n
n
∑x
i =1
i −X
M.D. =
n
∑ (x i − µ)2 ∑x i
2
σ = i =1
หรือ σ = i =1
− µ2
N N
n −1 n −1
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 70 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
5. ความแปรปรวน (Variance)
ความแปรปรวน คือ กําลังสองของสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ความแปรปรวนของประชากร (Population variance) หาไดจากสูตร
N N
∑ (x i − µ)2 ∑x 2
i
σ2 = i =1
= i =1
− µ2
N N
ความแปรปรวนของตัวอยาง (Sample variance) หาไดจากสูตร
n n 2
∑ (x i − X)2 ∑x i
2
− nX
s2 = i =1
= i =1
n −1 n −1
2. หาสวนเบี่ยงเบนควอรไทลของเงินคาอาหารกลางวัน
จํานวนเงิน ( xi ) จํานวนนักเรียน ( fi ) F
.50 3
80 6
100 14
120 8
150 5
200 4
∑f =
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 71 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
N
ตําแหนงที่ของ Q1 คือ = จะได Q1 = บาท
4
3N
ตําแหนงที่ของ Q3 คือ = จะได Q3 = บาท
4
Q 3 − Q1
ดังนั้น สวนเบี่ยงเบนควอรไทล (Q.D.) =
2
=
นั่นคือ จํานวนเงินคาอาหารกลางวัน (บาท) ของนักเรียน 40 คน มีคาการกระจายของขอมูลที่
วัดโดยสวนเบี่ยงเบนควอรไทล (Q.D.) มีคาประมาณ 10 บาท
3. หาสวนเบี่ยงเบนเฉลี่ยของเงินคาอาหารกลางวัน
จํานวนเงิน ( x i ) จํานวนนักเรียน ( fi ) fi x i xi − µ fi x i − µ
50 3
80 6
100 14
120 8
150 5
200 4
∑ f = 40 ∑fx = ∑f | x − µ | =
เนื่องจาก คาเฉลี่ยเลขคณิต µ = ∑f x =
N
นั่นคือ โดยเฉลี่ยแลวเงินคาอาหารกลางวันของนักเรียนแตละคนมีคาแตกตางจากคาเฉลี่ยเลขคณิต
ประมาณ 29.025 บาท
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 72 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
(3) จะหาความแปรปรวนของคะแนน
เพราะวา คาเฉลี่ยเลขคณิต X = ∑f x =
n
เนื่องจากเปนขอมูลระดับตัวอยาง
n 2
∑f x i i
2
− nX
ดังนั้น ความแปรปรวน s2 = i =1
n −1
=
=
=
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 73 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
การหาความแปรปรวนโดยวิธีทอนคาขอมูล
จะไดสูตรความแปรปรวนโดยวิธีทอนคาขอมูล คือ
k f (d − d) 2 k f d2
∑ i i
∑ i i 2
ขอมูลระดับประชากร σ2 = I 2 i =1 = I 2 i =1 −d
N N
k f (d − d) 2 k f d 2 − nd 2
∑ i i ∑ i i
ขอมูลระดับตัวอยาง s 2 = I 2 i =1 = I 2 i =1
n −1 n −1
คะแนน จํานวนนักเรียน
0–4 1
5–9 3
10 – 14 5
15 – 19 9
20 – 24 2
จงหาความแปรปรวนของคะแนนสอบวิชาภาษาไทยของนักเรียนกลุมนี้
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 74 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
วิธีทํา
x −a
คะแนน จํานวน ( fi ) xi di = i fi di d i2 f i d i2
I
0–4 1
5–9 3
10 – 14 5
15 – 19 9
20 – 24 2
∑ f = 20 ∑ fd = ∑ fd =2
จากตารางจะได d = ∑nfd =
เนื่องจากเปนขอมูลระดับตัวอยาง
k f d 2 − nd 2
∑ i i
ดังนั้น ความแปรปรวน s 2 = I 2 i =1
n −1
200 200
ตัวอยางที่ 5 ขอมูลชุดหนึ่งมี N = 200 , σ = 3 และ x = 48 จงหา ∑ x i และ ∑ x i2
i =1 i =1
10 10
ตัวอยางที่ 6 ในขอมูลชุดหนึ่งจํานวน 10 ตัว มี ∑ x i = 80 และ ∑ (x i − 11)2 = 180 แลว จงหา
i =1 i =1
สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุดนี้
50
ตัวอยางที่ 7 ขอมูลชุดหนึ่งมี 50 จํานวน แตละจํานวนมีคาเปนบวก ถา ∑ (x i − µ)2 = 450
i =1
50
และ ∑ x i 2 = 1250 เมื่อ µ เปนคาเฉลี่ยเลขคณิตของขอมูลชุดนี้แลว จงหา µ และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
i =1
ของขอมูลชุดนี้
สมบัติของสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( หรือความแปรปรวน )
1. สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานจะมากกวาหรือเทากับศูนย ( S.D. ≥ 0 )
2. S.D. = 0 ก็ตอเมื่อ x 1 = x 2 = x 3 = ... = x N = x
3. ถาคํานวณหาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานโดยใชคากลางของขอมูลชนิดอื่นที่ไมใชคาเฉลี่ยเลขคณิต
สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ได จะมีคามากกวาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ใชคาเฉลี่ยเลขคณิตเสมอ
N N
∑ (x i
− a) 2 ∑ (x − µ )
i
2
นั่นคือ i =1
> i =1
N N
อสมการนี้เปนจริง เมื่อ a เปนจํานวนใดๆ ที่ไมเทากับคาเฉลี่ยเลขคณิต
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 76 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
หรือ Y = aX + b
4.2. ความแปรปรวนรวมของ Y = a2 ( ความแปรปรวนของ X )
σ y2 = a2 σ x2
หรือ σy = | a |σ x
5. ความแปรปรวนรวม (Pooled variance) เขียนยอเปน σ p2
5.1. สําหรับขอมูลประชากร 2 ชุด
N1σ 12 + N 2σ 2 2
เมื่อ µ1 = µ 2 จะได σ 2
p =
N1 + N 2
N1σ12 + N 2 σ2 2 N N (µ − µ ) 2
เมื่อ µ1 ≠ µ 2 จะได σ 2p = + 1 2 1 22
N1 + N 2 (N1 + N 2 )
แบบฝกหัดที่ 1.6
10 10
3. ขอมูลชุดหนึ่งมี ∑ ( xi − 10) 2 = 110 และ ∑ xi = 70 จงหาความแปรปรวนของขอมูลชุดนี้
i =1 i =1
10
4. ขอมูลชุดหนึ่งมี 10 จํานวน คํานวณคาเฉลี่ยเลขคณิตได 9 และ ∑ ( xi − 15) 2 = 450 จงหา
i =1
สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูล
10 10
5. ขอมูลชุดหนึ่งมี 10 จํานวน โดยที่ ∑ ( xi − 10) 2 = 180 และ ∑ ( xi − 8) 2 มีคานอยที่สุด จงหา
i =1 i =1
สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุดนี้
10 10
6. ขอมูลชุดหนึ่งพบวา ∑ ( xi + 2) 2 = 140 และ ∑ ( xi − 2) 2 = 60 คาความแปรปรวนของขอมูลชุดนี้มี
i =1 i =1
คาเปนเทาใด
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 79 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
10
10. กําหนดขอมูล 2 ชุด เปน xi และ yi สัมพันธกันตามสมการ y i = 2 xi + 5 ถา ∑ xi = 120 ,
i =1
10
∑(x
i =1
i − 8) 2 = 200 จงหาคาความแปรปรวนของขอมูลชุด yi มีคาเทาใด
∑ (x i − µ )2
คะแนน โดยคํานวณจากสูตร σ= i =1
ตอมาภายหลังพบวาคํานวณผิด ถาคะแนนเฉลี่ย
N
ที่ถูกตองคือ 32 คะแนนแลว สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ถูกตองเปนเทาใด
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 81 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
N N
∑ (x i − 19) 2 ∑ (x i − 21) 2
16. กําหนด i =1
= i =1
= 5
N N
จงหาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของขอมูลชุดนี้
หอง 1 53 50,800 20
หอง 2 48 75,000 30
จงหาคาเฉลี่ยเลขคณิต และสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบวิชานี้ของนักเรียนทั้งสองหอง
รวมกัน
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 83 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
ในการเปรียบเทียบขอมูลตั้งแตสองชุดขึ้นไปเพื่อตัดสินวาชุดใดมีการกระจายมาก ชุดใดมีการกระจาย
นอย ถาใชคาที่ไดจากการวัดการกระจายสัมบูรณของขอมูลแตละชุดมาเปรียบเทียบกันยอมตัดสินไดยาก เชน
ขอมูลชุดหนึ่งมีคาตั้งแต 0 ถึง 10 มีสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.2
อีกชุดหนึ่งมีคาตั้งแต 200 ถึง 800 มีสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 60.5
ถาจะตัดสินวาขอมูลชุดที่หนึ่งมีการกระจายนอยกวาขอมูลชุดที่สองก็อาจจะไมถูกตองนัก เพราะ
คาของขอมูลสองชุดนี้ตางกันมาก คากลางและคาแสดงการกระจายยอมจะตางกันมากดวย เพือ่ ใหการ
เปรียบเทียบมีความหมาย จึงนิยมหาอัตราสวนของคาที่ไดจากการวัดการกระจายสัมบูรณกับคากลางของขอมูล
ชุดนั้นๆ
การวัดการกระจายสัมพัทธ คือ การหาสัมประสิทธิ์ของขอมูลแตละชุด ซึ่งสัมประสิทธิ์ของขอมูลแตละ
ชุดจะสามารถนําไปเปรียบเทียบกับขอมูลชุดอื่นวา ขอมูลชุดใดมีการกระจายมากหรือนอยกวากัน
ตัวอยางที่ 1 จงเปรียบเทียบการกระจายของราคาสินคาสองชนิดที่ไดจากการสํารวจตัวอยางของรานคาที่ขาย
สินคาดังกลาว
ราคาสินคาชนิดที่ 1 (บาท) 6 7 9 8 12
ราคาสินคาชนิดที่ 2 (บาท) 50 52 49 55 44
สัมประสิทธิ์ของสวนเบี่ยงเบน
10.5 − 6.50 53.50 − 46.50
Q −Q = 0.24 = 0.07
ควอรไทล 3 1 10.5 + 6.50 53.50 + 46.50
Q3 + Q1
สัมประสิทธิ์ของสวนเบี่ยงเบน
1.68 2.80
= 0.20 = 0.06
เฉลี่ยของตัวอยาง
M.D.
8.40 50
X
สัมประสิทธิ์ของการแปรผันของ
2.30 4.06
= 0.27 = 0.08
ตัวอยาง
s
8.40 50
X
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 86 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
วิธีหาสัมประสิทธิ์ของการแปรผันของราคาสินคาทั้ง 2 ชนิด
1. สัมประสิทธิ์ของการแปรผันของราคาสินคาของชนิดที่ 1 หาไดดังนี้
X แทน ราคาสินคาชนิดที่ 1 (บาท) 6 7 9 8 12
คาเฉลี่ยเลขคณิต X =
n 2
∑x i
2
− nX
สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน sX = i =1
n −1
=
=
s
สัมประสิทธิ์การแปรผัน C.V.X =
X
=
2. สัมประสิทธิ์ของการแปรผันของราคาสินคาของชนิดที่ 2
Y แทน ราคาสินคาชนิดที่ 2 (บาท) 50 52 49 55 44
คาเฉลี่ยเลขคณิต Y =
=
n
∑ (y i
− Y) 2
สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน sY = i =1
n −1
=
=
s
สัมประสิทธิ์การแปรผัน C.V.Y =
Y
=
เนื่องจาก C.V.X = 0.27 มากกวา C.V.Y = 0.08
แสดงวาราคาสินคาชนิดที่ 1 มีการกระจายมากกวาราคาสินคาชนิดที่ 2
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 87 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
แบบฝกหัดที่ 1.7
1. กําหนดใหสัมประสิทธิ์ของพิสัยของขอมูลชุดหนึ่งมีคาเทากับ 1 จะสรุปไดหรือไมวาคาเฉลี่ยเลขคณิตของ
ขอมูลชุดนี้มากกวา 0
2
4. กําหนดใหสัมประสิทธิ์ของสวนเบี่ยงเบนควอรไทลของขอมูลชนิดหนึ่งเทากับ และสวนเบี่ยงเบน
3
ควอรไทลเทากับ 2 จะสรุปไดหรือไมวา 75% ของขอมูลทั้งหมดอยูระหวาง 1 กับ 3 คะแนน
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 89 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
10. จากการสอบถามนักเรียนระดับประถมและระดับมัธยมของโรงเรียนในจังหวัดแหงหนึ่งเกี่ยวกับคาใชจายใน
แตละวัน ปรากฏวาคาเฉลี่ยเลขคณิตและสวนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคาใชจายในแตละวันของนักเรียนทั้งสอง
ระดับเปนดังตาราง
ระดับประถม ระดับมัธยม
คาเฉลี่ยเลขคณิต 76 100
สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 13 15
จงเปรียบเทียบคาใชจายของนักเรียนทั้งสองระดับวา นักเรียนชั้นใดมีการกระจายของคาใชจาย
มากกวากัน
18. คะแนนวิชาเคมีและคณิตศาสตรของนักเรียนกลุมหนึ่งเปนดังนี้
วิชาเคมี (X) 8 5 4 2 1
วิชาคณิตศาสตร (Y) 9 6 5 3 2
จงหาอัตราสวนของสัมประสิทธิ์การแปรผันระหวางคะแนนวิชาเคมีและวิชาคณิตศาสตร
กลุมสาระการเรียนรูคณิตศาสตร 93 คณิตศาสตรเสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 6
คะแนน ความถี่สะสม
40 – 49 40
50 – 59 37
60 – 69 31
70 – 79 23
80 – 89 12
90 – 99 5
บทที่ 2
การแจกแจงปกติ
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 94 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
บทที่ 2
การแจกแจงปกติ (Normal distribution)
การเปรียบเทียบข้อมูลตั้งแต่สองข้อมูลขึ้นไปที่มาจากข้อมูลคนละชุดว่ามีความแตกต่างกันหรือไม่
เพียงไร บางครั้งไม่สามารถเปรียบเทียบโดยตรงได้ ทั้งนี้เนื่องจากค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลแต่ละชุด และ
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานมักจะไม่เท่ากัน เช่น ต้องการเปรียบเทียบผลการเรียนวิขาภาษาอังกฤษและวิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนคนใดคนหนึ่งในชั้นว่าเรียนวิชาไหนได้ดีกว่ากัน แม้ว่าจะทาได้โดยดูจากคะแนนสอบ
ของวิชาทั้งสองโดยปรับให้มีคะแนนเต็มเท่ากัน ถ้าคะแนนสอบของวิชาไหนดีกว่าก็สรุปผลว่านักเรียนคนนั้น
เรียนวิชานั้นได้ดีกว่าซึ่งจะเห็นได้ว่า เป็นการสรุปผลที่ยังไม่ถูกต้องนักเพราะค่าเฉลี่ยเลขคณิตหรือส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนสอบวิชาทั้งสองของนักเรียนทั้งหมดในชั้นอาจจะไม่เท่ากัน ทั้งนี้อาจจะ
เนื่องมาจากเนื้อหาหรือข้อสอบของทั้งสองวิชามีความยากง่ายต่างกัน หรือครูผู้สอนแต่ละคนมีวิธีการสอนที่จะ
ให้นักเรียนมีความเข้าใจในวิชานั้น ๆ ต่างกัน เป็นต้น
ดังนั้นเพื่อที่จะให้การเปรียบเทียบมีความถูกต้องมากขึ้น จึงมีความจาเป็นต้องแปลงคะแนนของวิชา
ทั้งสองที่นักเรียนคนนั้นสอบได้ให้เป็นคะแนนมาตรฐานหรือค่ามาตรฐาน ( ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากันเสียก่อน ) แล้วจึงเปรียบเทียบคะแนนมาตรฐานของวิชาทั้งสอง
การแปลงค่าของข้อมูลของตัวแปรแต่ละตัวให้เป็นคะแนนมาตรฐานนี้ โดยทั่วไปคือการแปลงข้อมูลให้
เป็นคะแนนมาตรฐานที่มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น 0 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 95 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
xi
Zi = เมื่อ i คือ 1 , 2 , 3 , … , N
xi X
หรือ Zi = เมื่อ i คือ 1 , 2 , 3 , … , n
s
ค่ามาตรฐานของคะแนนสอบวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนคนนี้สูงกว่าค่ามาตรฐานของคะแนนสอบ
วิชาคณิตศาสตร์ แสดงว่านักเรียนคนนี้เรียนวิชาภาษาอังกฤษได้ดีกว่าวิชาคณิตศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 96 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
จานวนสินค้าที่ขายได้ (ชิ้น)
พนักงาน
ชนิดที่ 1 ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 3
คนที่ 1 10 4 7
คนที่ 2 6 7 8
ค่าเฉลี่ยเลขคณิต 7 6 10
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3 2 1
ข้อสังเกตเกี่ยวกับคะแนนมาตรฐาน
1. คะแนนมาตรฐานของข้อมูลใดๆ จะเป็นจานวนบวกหรือจานวนลบก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับค่าของข้อมูล
นั้นๆ กับค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลชุดนั้นว่าค่าใดมากกว่ากัน
2. คะแนนมาตรฐานของข้อมูลที่มีการแจกแจงปกติหรือใกล้เคียงปกติ โดยทั่วไปจะมีค่าตั้งแต่ –3 ถึง 3
แต่อาจจะมีคะแนนมาตรฐานของข้อมูลบางค่าที่น้อยกว่า –3 หรือมากกว่า 3 ได้
3. เมื่อแปลงทุกๆ ค่าในข้อมูลชุดหนึ่งที่เป็นข้อมูลระดับประชากรให้เป็นคะแนนมาตรฐาน แล้ว
3.1. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของคะแนนมาตรฐาน = 0
3.2. ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนมาตรฐาน = 1
3.3. ผลรวมของกาลังสองของค่ามาตรฐานแต่ละตัว = N (จานวนประชากร)
พิสูจน์
ให้ x1 , x2 , x3 , … , xN เป็นข้อมูลประชากรขนาด N หน่วย
ให้ และ x เป็นค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของ x1 , x2 , x3 ,, xn
ตามลาดับ และ Z1 , Z2 , Z3 , … , ZN เป็นค่ามาตรฐานของ x1 , x2 , x3 , … , xN ตามลาดับ
x1 x 2 x 3 x
1. Z1 Z2 Z3 ... ZN = ... N
x x x x
= ……………………………………………………………………………………
= ……………………………………………………………………………………
N
สรุป Z = 0
i 1
i
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 98 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
Z i
2. ค่าเฉลี่ยเลขคณิตของค่ามาตรฐาน Z = i 1
= 0
N
2 2 2 2
x1 x 2 x 3 xn
3. Z Z Z ... Z
2 2 2 2
= ...
X X X X
1 2 3 N
(x i ) 2
= i 1
X 2 N
(x ) 2
N
i
= …………… เนื่องจาก X 2 i 1
N
N
สรุป Z = 2
i
N
i 1
(Z i Z )2
4. ความแปรปรวนของค่ามาตรฐาน Z2 = i 1
Z2
N N
Zi2 Z i
= i1 เนื่องจาก Z i 1
= 0
N N
สรุป Z2 = 1
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 99 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
แบบฝึกหัดที่ 2.1
ด.ญ.ปารวี เรียนวิชาไหนได้ดีกว่ากัน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. ในการสอบคัดเลือกเข้าทางานในหน่วยงานแห่งหนึ่ง ซึ่งมีวิชาที่จะต้องสอบ 3 วิชา ถ้าผู้สมัครสอบคัดเลือก
จานวน 2 คน คือ นาย ก และนางสาว ข ได้คะแนนในแต่ละวิชาเป็นดังนี้
2.2 การแจกแจงปกติและเส้นโค้งปกติ
(Normal distribution and Normal curve)
จากเรื่องฮิสโทแกรม พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแต่ละรูปในฮิสโทแกรมแทนความถี่ของแต่ละอันตร
ภาคชั้น ถ้าเขียนรูปหลายเหลี่ยมของความถี่และปรับรูปหลายเหลี่ยมของความถี่ให้เป็นเส้นโค้งเรียบ จะได้เส้น
โค้งความถี่ซึ่งพื้นที่ใต้เส้นโค้งความถี่จะแทนความถี่ของค่าจากการสังเกตทั้งหมด
เส้นโค้งความถี่ที่พบบ่อยๆ มักมีลักษณะเป็นรูประฆัง ซึ่งเราเรียกว่า เส้นโค้งปกติ
การแจกแจงความถี่ของข้อมูลซึ่งเส้นโค้งที่ได้มลี ักษณะเป็นรูประฆัง เรียกว่า การแจกแจงปกติ
สมการของเส้นโค้งนี้ขึ้นอยู่กับค่า 2 ค่า คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ถ้ากาหนด
ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานให้จะสามารถหาสมการของเส้นโค้งปกติได้และเขียนรูปได้ดัง
ตัวอย่างในรูป
รูปที่ 1
µ
จากรูปที่ 1 จะเห็นว่า ลักษณะของเส้นโค้งปกติเป็นรูประฆัง ซึ่งเป็นรูปสมมาตร โดยมีเส้นประเป็น
แกนสมมาตร จึงเรียกว่า การแจกแจงปกติ ขนาดของการแจกแจงปกติหรือรูประฆัง จะต่างกันเพียงไรขึ้นอยู่
กับค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ในกรณีข้อมูลประชากร ) และสมการของเส้นโค้ง
ปกติคือ
2
1 x
1 2
y f (x) e เมื่อ x
2
รูปที่ 2
รูปที่ 3
รูปที่ 4
สมบัติของเส้นโค้งปกติ
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 104 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติซึ่งอยู่ระหว่าง พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติซึ่งอยู่ระหว่าง
รูปที่ 5
0
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 105 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ทฤษฎีบท
1. ถ้าตัวแปรสุ่ม X มีการแจกแจงแบบปกติ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตเป็น และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
x
เป็น แล้ว ตัวแปรสุ่ม Z จะมีการแจกแจงแบบปกติ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต คือ 0 และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน คือ 1
รูปที่ 6
X Z
รูปที่ 8
พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติทางซ้ายมือของ Z = 1.64
0.5 0.4495
เท่ากับพื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติ เมื่อ Z < 1.64
Z P( Z < 1.64 ) = …………………………….
0 1.64
= …………………………….
พื้นที่ใต้เส้นโค้งปกติมาตรฐาน ในช่วง Z < 1.64
X 2 2 X X
3 3
0 1.0
จากตาราง พื้นที่ระหว่าง z = 0 ถึง z = 1 เท่ากับ 0.3413
จะได้ พื้นที่ใต้เส้นโค้งเมื่อ z < 1 เท่ากับ 0.5 + 0.3413 = 0.8413 หรือ 84.13%
ดังนั้น ตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ของคะแนน 60 คือ เปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 84.13
หรือ เขียนวิธีทาในรูปความน่าจะเป็น ดังนี้
P( X < 60 ) = P( Z < 1 )
= 0.5 + P( 0 < Z < 1 )
= 0.5 + 0.3413 = 0.8413 หรือ 84.13%
ดังนั้น ตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ของคะแนน 60 คือ 84.13
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 108 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
แบบฝึกหัดที่ 2.2
..................................................................... ……………………………………………………………………
. ..
..................................................................... ……………………………………………………………………
..................................................................... ..
..................................................................... ……………………………………………………………………
. ..
……………………………………………………………………
..
4) น้อยกว่า 621
.....................................................................
.
.....................................................................
.
.....................................................................
.....................................................................
3. น้าหนักสุทธิของกระป๋องบรรจุถั่วที่ผลิตโดยบริษัทแห่งหนึ่งมีการแจกแจงปกติ โดยมีน้าหนักสุทธิเฉลี่ยเป็น
12.00 กรัม ถ้ากระป๋องที่มีน้าหนักสุทธิน้อยกว่า 11.88 กรัม มีอยู่ 11.51 % จงหาความแปรปรวนของน้าหนัก
สุทธิของกระป๋องบรรจุถั่วที่ผลิตโดยบริษัทแห่งนี้
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. ในการผลิตแผ่นพลาสติกของบริษัทแห่งหนึ่งปรากฏว่าความหนาแน่นของแผ่นพลาสติกมีการแจกแจงแบบ
ปกติโดยมีความหนาเฉลี่ย 0.0625 cm ความแปรปรวนเป็น 0.00000625 cm2 จงหาว่าแผ่นพลาสติกที่ผลิตได้
มีความหนาอยู่ระหว่าง 0.0595 cm และ 0.0659 cm มีกี่เปอร์เซ็นต์
7. ครูคนหนึ่งให้ระดับคะแนนนักเรียนในการสอบดังนี้
ระดับคะแนน A ถ้านักเรียนได้คะแนนตั้งแต่ 1.5 ขึ้นไป
ระดับคะแนน B ถ้านักเรียนได้คะแนนอยู่ในช่วง [ 0.5 , 1.5 ]
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 112 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
8. คะแนนจากการสอบครั้งหนึ่งมีการแจกแจงปกติ มีค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเป็น 60
และ 10 คะแนน ตามลาดับ จงหา
8.1. นักเรียนที่สอบได้คะแนนต่ากว่า 50 คะแนน มีกี่เปอร์เซ็นต์
8.2. คะแนนที่เป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 11.51 ของการสอบครั้งนี้
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 113 คณิตศาสตร์เสริม 6
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6