Professional Documents
Culture Documents
ประวัติศาสตร์
ธรรมศาสตร์
THE THAMMASAT
JOURNAL
OF
HISTORY
พัฒนาการของมโนทัศน์เรื่อง
“ประวัติศาสตร์โลก” ในโลกตะวันตก:
World History กับ Global History*
วัชระ สินธุประมา
Vachara Sindhuprama
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำ�สาขาวิชาประวัติศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
*
บทความวิจัยชิ้นนี้เขียนขึ้นจากส่วนแรกของงานวิจัยเรื่อง “พัฒนาการของ
มโนทัศน์เรื่อง “ประวัติศาสตร์โลก” ในวิชาศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยไทย” โดยหยิบยก
สาระส่วนทีว่ า่ ด้วยพัฒนาการของมโนทัศน์ของนักวิชาการตะวันตกเกีย่ วกับประวัตศิ าสตร์
โลก ทัง้ ทีเ่ รียกเป็น “world history” และ “global history” เพือ่ วิเคราะห์ผลทีม่ ตี อ่ พัฒนาการ
ของมโนทัศน์เรื่องดังกล่าวในหมู่นักวิชาการไทยในส่วนต่อไป
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มุ่งส�ำรวจศึกษาพัฒนาการของมโนทัศน์เรื่อง
“ประวัติศาสตร์โลก” ในวงวิชาการตะวันตก เพื่อที่จะสามารถน�ำไปใช้
ประโยชน์ในบริบทของการศึกษาและวงวิชาการไทย
ผลการวิจยั โดยสรุปแสดงให้เห็นว่า ความหมายและความส�ำคัญ
ของ “ประวัติศาสตร์โลก” กับพัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์นิพนธ์ของ
มโนทัศน์เรือ่ งประวัตศิ าสตร์โลก เป็นสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ และปรับเปลีย่ นไปด้วย
กันอย่างแยกไม่ออก โดยเริ่มตั้งแต่ร่องรอยในงานเขียนประวัติศาสตร์
ชิน้ แรกของโลกตะวันตกในสมัยกรีกเฮลเลนิก ผ่านประวัตศิ าสตร์นพิ นธ์
คริสเตียนที่อธิบายประวัติศาสตร์โลกภายในกรอบก�ำหนดแห่งเทวลิขิต
การเข้าสู่โลกสมัยใหม่จนถึงความพยายามแยกแยะประวัติศาสตร์รัฐ
ออกจากความเชือ่ ทางศาสนาในสมัยแห่งภูมธิ รรม การก่อตัวของวิชาชีพ
ประวัตศิ าสตร์ในศตวรรษที่ 19 ซึง่ มุ่งเน้นงานเชิงลึกและกลายเป็นเงือ่ น
ไขตีกรอบวงแคบเชิงพื้นที่ในการเขียนประวัติศาสตร์ ผลสืบเนื่องจาก
สงครามโลกที่มีต่อการเขียนประวัติศาสตร์โลกในเชิงปรัชญา และเพื่อ
อุดมคติแห่งสันติภาพ กระบวนการทางประวัติศาสตร์กับทฤษฎีทาง
สังคมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์อาชีพในศตวรรษที่ 20 ประวัติศาสตร์
โลกาภิวัตน์กับที่มาของ global history ลงท้ายด้วยคุณูปการจากการ
เรียนรูม้ โนทัศน์ประวัตศิ าสตร์โลกทีจ่ ะพึงมีส�ำหรับการศึกษาประวัตศิ าสตร์
ในประเทศไทย
ค�ำส�ำคัญ: ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์นพิ นธ์ตะวันตก
80
Abstract
81
1. บทน�ำ
82
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
83
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
อนึ่ง ในการที่จะเชื่อมโยงเรื่องของประวัติศาสตร์โลกเข้ากับวิชา
ศึกษาทั่วไปของอุดมศึกษานั้น วงวิชาการของสหรัฐอเมริกามีความ
ผูกพันเชิงพัฒนาการกับกรอบคิดและปฏิบตั กิ ารในเรือ่ งวิชาศึกษาทัว่ ไป
มาอย่างเข้มข้นมากกว่าในดินแดนอื่นๆ สาระโดยรวมของงานวิจัยนี้จึง
มีน�้ำหนักที่เอนเอียงไปในแนวทางมโนทัศน์ของนักวิชาการอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม มิใช่วา่ วงวิชาการอเมริกนั จะมีความสนิทสนมกลมเกลียว
และคล้อยตามกันไปเสมอ แต่ในความเป็นจริงนัน้ มีพลวัตอันเข้มข้นและ
ต่อเนื่อง รวมทั้งมีปฏิสัมพันธ์กับวงวิชาการในพื้นที่อันหลากหลายทั่ว
โลก จึงมีนำ�้ หนักความส�ำคัญพอเพียงทีจ่ ะน�ำมาใช้เป็นแกนหลักในการ
ศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้
วิธีด�ำเนินการวิจัย
การรวบรวมข้อมูล โดยการวิจัยเอกสาร (documentary re-
search) ทัง้ นี้ ในส่วนทีเ่ กีย่ วกับพัฒนาการของแนวคิดและมโนทัศน์เรือ่ ง
“ประวัติศาสตร์โลก – world / global history” ใช้เอกสารที่เป็นหนังสือ
รายงานการวิ จั ย บทความวิ จั ย และบทความวิ ช าการ ฐานข้ อ มู ล
อิเล็กทรอนิกส์ เว็บไซต์ ตลอดจนแหล่งข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษร
อืน่ ๆ ทัง้ ทีเ่ ป็นภาษาต่างประเทศ (เน้นภาษาอังกฤษ และงานทีแ่ ปลเป็น
ภาษาอังกฤษ) และภาษาไทย
การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การพรรณนาวิเคราะห์ (descriptive
analysis) และน�ำเสนอผลงานในรูปบทความวิจัยและรายงานผลการ
วิจัย
84
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
ทบทวนผลงานที่เกี่ยวข้องและการน�ำมาศึกษา
ผลงานที่เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์โลกโดยตรง ที่เป็นงานชิ้น
ส�ำคั ญ ของโลกตะวั น ตกได้ รั บ การน�ำมาพิ จ ารณา นั บ ตั้ ง แต่ ง าน
ประวัติศาสตร์ชิ้นแรกของเฮโรโดตัส และงานชิ้นส�ำคัญอื่นๆ จากยุค
คลาสสิคที่อยู่ในขอบข่ายสัมพันธ์กับแนวคิดเรื่องประวัติศาสตร์โลก
อย่างไรก็ตามการติดตามผลงานเหล่านีไ้ ม่อาจท�ำได้ในระดับปฐมภูมิ จึง
เป็นการอ่านบทแปลหรือบทวิเคราะห์ท่เี ป็นภาษาอังกฤษอีกทอดหนึ่ง
ส�ำหรับงานเขียนเชิงประวัติศาสตร์โลกของตะวันตกที่เข้าสู่สมัย
ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิง่ นับตัง้ แต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 พอจะสามารถน�ำ
มาศึกษาพิจารณาได้ เพราะในส่วนที่เป็นภาษายุโรปอื่นๆ นอกเหนือ
จากภาษาอังกฤษก็มกั จะมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว งานทีเ่ ป็นชิน้
หลักซึง่ เรียกได้วา่ เป็นประวัตศิ าสตร์โลกตามนิยามปัจจุบนั ได้ นับตัง้ แต่
ต้นศตวรรษที่ 20 เช่น งานของ Spengler, Wells หรือ Toynbee จะ
น�ำฉบับภาษาอังกฤษมาใช้ศกึ ษาได้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากงานวิจัยชิ้นนี้ยังอยู่ในระดับของการ
ส�ำรวจศึกษา จึงจะยังไม่ได้น�ำผลงานประวัตศิ าสตร์โลกเหล่านัน้ ทัง้ หมด
มาอ่านในแบบวิเคราะห์ตัวบท เนื่องจากไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการ
ศึ ก ษา แต่ จ ะเป็ น การพิ จ ารณาเพื่ อ หาความเชื่ อ มโยงกั บ มิ ติ ข อง
ประวัติศาสตร์โลกเป็นส�ำคัญ
เมื่อเข้าสู่สมัยใกล้ปัจจุบันและงานร่วมสมัย จึงมีการศึกษา
พิจารณาอย่างละเอียดมากขึน้ โดยดูจากงานเขียนในรูปแบบของต�ำรา
ประวัติศาสตร์โลก ที่เขียนโดยนักประวัติศาสตร์คนส�ำคัญในแวดวง
ประวัติศาสตร์โลก อาทิ William H. McNeill, L.S. Stavrianos หรือ
85
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
86
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
ความเคลื่อนไหวและการสร้างผลงานเพื่อสถาปนาการค้นคว้า
วิจัยและการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์โลกให้เป็นกลุ่มสาขาวิชา
เอกเทศสาขาหนึ่งของมหาวิทยาลัยอเมริกัน เริ่มต้นในกรอบมโนทัศน์
ของ world history ตัง้ แต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 จากการก่อตัง้ World
History Association (WHA) และเริม่ จัดการประชุมประจ�ำปีตงั้ แต่ ค.ศ.
1982 จนกระทั่งเริ่มออกวารสารวิชาการของตนคือ Journal of World
History ในปี 1990 พัฒนาการในช่วงนี้ได้รบั การเล่าเรื่องและวิเคราะห์
ไว้โดย Gilbert Allardyce อย่างละเอียดในบทความ “Toward World
History: American Historians and the Coming of the World His-
tory Course” ในฉบับปฐมฤกษ์ของ JWH3 รวมถึง Jerry Bentley ผู้
ร่วมก่อตั้ง WHA มีผลงานการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์นิพนธ์ว่าด้วย
ประวัติศาสตร์โลกอยู่ใน Shapes of World History in Twentieth-
Century Scholarship (1996)4 และเขียนบทความ “Why Study World
History?” ลงใน World History Connected ในปี 20075 เป็นต้น
ตัง้ แต่การสิน้ สุดของสงครามเย็นและการปะทุของกระแส “โลกา
ภิวตั น์” คือ Globalization วิวฒ ั นาการของการเขียนประวัตศิ าสตร์โลก
อีกสายหนึ่งได้ขยายการเติบโตขึ้นภายใต้ร่มของ “global history” ซึ่ง
3
Gilbert Allardyce, “Toward World History: American Historians and
the Coming of the World History Course,” Journal of World History 1:1
(Spring 1990), 23 - 76.
4
Jerry H. Bentley, Shapes of World History in 20th Century Schol-
arship (Washington, D.C.: Amer Historical Assn, 1995).
5
Jerry H. Bentley, “Why Study World History,” World History Con-
nected 5, no. 1 (October 2007), http://worldhistoryconnected.press.illinois.
edu/5.1/bentley.html.
87
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
ได้มีผลงานที่อธิบายนิยามและการตีความสืบต่อกันมา อาทิในหนังสือ
The New Global History ของ Bruce Mazlish (2006)6 หรือ What is
Global History? ของ Pamela K. Crossley (2008)7 เป็นต้นกระแส
ของ Global History ได้เติบโตสืบเนือ่ งมาทัง้ ในอเมริกาและยุโรป มีการ
ออกวารสาร Journal of Global History (2006) จัดตั้งศูนย์ศกึ ษาทาง
วิชาการและวิจยั ในสถาบันอุดมศึกษาชัน้ น�ำ ซึง่ มีกจิ กรรมและบริการไป
ถึงการจัดท�ำฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และการติดต่อสือ่ สารผ่านช่องทาง
เครือข่ายดิจิทัลด้วยเช่นกัน
ในส่วนงานของไทยนั้น บทความนี้ขอยกตัวอย่างผลการส�ำรวจ
งานบางชิ้นเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานของตะวันตกซึ่งจะน�ำมาวิเคราะห์
ในอีกส่วนหนึง่ ของงานวิจยั โดยงานเขียนชุดใหญ่ทสี่ �ำคัญชิน้ แรกน่าจะ
เป็นงานของหลวงวิจติ รวาทการ ในชุด “ประวัตศิ าสตร์สากล” (11 เล่ม)
ตีพิมพ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2472 - 24748 อยู่ในลักษณะของการรวบรวมเอา
ประวัติศาสตร์ต่างๆ เข้ามาไว้ด้วยกัน และยังเน้นการใช้ประวัติศาสตร์
ตะวั น ตกเป็ น ศู น ย์ ก ลาง งานเขี ย นโดยนั ก วิ ช าการหรื อ อาจารย์
มหาวิทยาลัย คือ หม่อมเจ้าทองทีฆายุ ทองใหญ่ ยังคงใช้ชื่อว่า
ประวัติศาสตร์สากล และเขียนในแนวอารยธรรม ตั้งแต่เรื่องก�ำเนิดโลก
มนุษย์ตามโครงเรือ่ งแบบต�ำราตะวันตก แต่กร็ วมเรือ่ งของจีนและอินเดีย
6
Bruce Mazlish, The New Global History (New York: Routledge,
2006).
7
Pamela Kyle Crossley, What Is Global History (Cambridge, UK:
Polity, 2008).
8
วิจิตรวาทการ, ประวัติศาสตร์สากล (พระนคร: โรงพิมพ์วิริยานุภาพ,
2472).
88
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
เอาไว้อย่างละเอียดด้วย9
จนถึง พ.ศ. 2499 จึงได้เห็นหนังสือ ประวัติศาสตร์โลก ของสิริ
เปรมจิตต์ ซึ่งจัดพิมพ์เป็นชุด 5 เล่ม ครอบคลุมตั้งแต่ “ยุคดึกด�ำบรรพ์
พันล้านปี” มาจนปัจจุบัน10 ผู้เขียนได้อ้างอิงผลงานของ H.G. Wells
เป็นแหล่งข้อมูลที่ส�ำคัญ จากนั้นนับตั้งแต่ทศวรรษ 2500 สาระของ
ประวัตศิ าสตร์สากล ได้เข้าไปอยูใ่ นหลักสูตรของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษา
มากขึน้ เช่น งานของ ม.ร.ว. แสงโสม เกษมศรี ตัง้ แต่ พ.ศ. 2501 เป็นต้น
มา11 ส่วนในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ผลงานที่น่าจะน�ำมาเป็นตัวอย่าง
ของการเชือ่ มโยงได้ชดั เจนทีส่ ดุ ชิน้ หนึง่ คือ การแปลหนังสือของ William
H. McNeill ในชื่อ ประวัติศาสตร์โลก โดยสุจิตรา วุฒิเสถียร และคณะ
ซึ่งเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตีพิมพ์เมื่อ
พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) นั่นเอง12
ผลงานและแหล่ ง สารสนเทศทางวิช าการที่ก ล่ า วมานี้ เป็ น
ตัวอย่างจากการส�ำรวจเบื้องต้นที่ชี้ให้เห็นความตื่นตัวและความสนใจ
ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องประวัติศาสตร์โลก ซึ่งครอบคลุมทั้งห้วงเวลา
9
ทองทีฆายุ ทองใหญ่, ประวัติศาสตร์สากล (พระนคร: โรงพิมพ์กรุงเทพ
บรรณาคาร, 2481).
10
สิริ เปรมจิตต์, ประวัติศาสตร์โลก แต่ยุคดึกด�ำบรรพ์ 2 พันล้านปีถึง
ปัจจุบัน (พระนคร: ส. ธรรมภักดี, 2499).
11
แสงโสม เกษมศรี, ประวัติศาสตร์สากลยุคปัจจุบัน (ค.ศ. 1453-1914)
(กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2517).
12
วิ ล เลี ย ม เอช. แมคนี ล ล์ , ประวั ติ ศ าสตร์ โ ลก, แปลโดย สุ จิ ต รา
วุฒิเสถียร และคนอื่นๆ (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2519).
89
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
2. ประวัติศาสตร์โลก: ความหมายและความส�ำคัญ
ในพัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์นิพนธ์
ความหมาย ความส�ำคัญ และพัฒนาการเชิงประวัติศาสตร์
นิพนธ์ของมโนทัศน์เรื่องประวัติศาสตร์โลก เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและปรับ
เปลีย่ นไปด้วยกันอย่างแยกไม่ออก ค�ำนิยาม ประวัตศิ าสตร์โลก (world
history) เป็นไปอย่างกว้างขวางหลากหลาย อีกทั้งยังเลื่อนไหลไปตาม
บริบทของช่วงเวลาในการนิยามตามยุคสมัย โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในช่วง
90
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
สามทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งกระแสการเปลี่ยนแปลงในกรอบโลกาภิวัตน์
ทวีอิทธิพลสูงมากในทุกมิติของสังคม รวมทั้งในแวดวงวิชาการ ท�ำให้
มโนทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับโลกาภิวัตน์ ดังเช่น ประวัติศาสตร์โลก ปรับ
เปลี่ยนไปตามพลวัตแห่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วย จึงมีการศึกษา
ประวัติศาสตร์โลก (global history) เพิ่มขึ้นมาอีก จนอาจกล่าวได้ว่า
ประวัติศาสตร์นิพนธ์ของประวัติศาสตร์โลกนั้น กลายเป็นเรื่องราวทาง
ประวัตศิ าสตร์ทนี่ า่ สนใจและมีนยั ส�ำคัญทางวิชาการของตนเองอยูด่ ว้ ย
ในค�ำนิยามอย่างกว้างแบบหนึ่ง ประวัติศาสตร์โลก ก็คือ การ
ศึกษาประวัตศิ าสตร์จากมุมมองของโลก ซึง่ เน้นการเชือ่ มต่อ (connec-
tions) ระหว่างผู้คนและชุมชนทั้งหลาย โดยผ่านทางการค้า การอพยพ
เครือข่ายอื่นๆ และสถาบันต่างๆ13 ดังเช่นที่นักประวัติศาสตร์โลกคน
ส�ำคัญอย่าง Patrick Manning นิยามค�ำประวัติศาสตร์โลกไว้อย่างสั้น
ที่สุดว่าเป็น “เรื่องราวของการเชื่อมต่อภายในสังคมโลกของมนุษย์”14
ในช่วงเวลาไม่นานมานี้มโนทัศน์เรื่อง “การเชื่อมต่อ” ได้เข้ามาบดบัง
แก่นเรื่องที่เคยมีอิทธิพลสูงอยู่ก่อนหน้านั้น คือ “อารยธรรม” นอกจาก
นัน้ ยังเพิม่ เติมสาระการศึกษาตามหัวข้อใหม่ๆ เช่น การเคลือ่ นย้าย การ
พลัดถิน่ พืน้ ทีช่ ายขอบ ภาวะลูกผสม หรือการผสมผสานทางอัตลักษณ์
เป็นต้น
งานวิ จั ย ชิ้ น นี้ จึ ง ไม่ ตั้ ง เป้ า หมายที่ จ ะก�ำหนดค�ำนิ ย ามของ
ประวัติศาสตร์โลก หรือแสวงหาค�ำนิยามที่ดีกว่าหรือดีที่สุด แต่จะมุ่ง
13
Janny De Jong, “World history: a brief introduction,” (2011), 2.
http://www.rug.nl/research/portal/publications/world-history--a-brief-intro-
duction(03f07613-16de-495d-a314-04f591a66eae)/export.html.
14
Manning, Navigating World History, 3.
91
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
ส�ำรวจพัฒนาการของมโนทัศน์ท่ีก�ำหนดความหมายและความส�ำคัญ
ตามบริบทเงื่อนไขแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคสมัยนั้น
3. ตามหาจุดเริ่มต้นของมโนทัศน์
การเขียนประวัติศาสตร์โลก
ตามกรอบคิดของนักวิชาการตะวันตก การเขียนประวัติศาสตร์
ในมโนทัศน์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์โลกแบบหนึ่งนั้น น่าจะ
เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยกรีกเฮลเลนิก โดย Herodotus (495-425 BCE) อาจ
นับเป็นผูเ้ ริม่ เขียนประวัตศิ าสตร์โลกคนแรก เมือ่ พิจารณาภายในบริบท
แวดล้อมของโลกทัศน์ การรับรู้ และองค์ความรูท้ ปี่ รากฏในสมัยนัน้ ทัง้ นี้
ตั้งแต่การประเมินต่อมาในสมัยโรมัน Cicero ยกย่องว่าเฮโรโดตัสเป็น
ผู้ทใี่ ส่ใจในวัฒนธรรมและสังคมของผู้คนทีห่ ลากหลายอย่างกว้างขวาง
มากส�ำหรับยุคสมัยของตน เฮโรโดตัสเขียนถึงดินแดนและผูค้ นทีอ่ ยูข่ า้ ง
เคียงจนถึงไกลโพ้นจากโลกของกรีกเฮลเลนิก เขากล่าวไว้เองว่าเขา
ประสงค์ที่จะ “เก็บรักษาความทรงจ�ำแห่งอดีต ด้วยการบันทึกความ
ส�ำเร็จอันน่าอัศจรรย์ทงั้ ของพวกเราเองและของผูค้ นแห่งเอเชีย”15เขาใช้
หลักฐานจากทั้งค�ำบอกเล่า พยานวัตถุทางโบราณคดี และเอกสารที่
เกีย่ วข้อง ในการเรียบเรียงล�ำดับเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ บนดินแดนสามทวีป
ผ่านช่วงเวลายาวนาน เมื่อเปรียบเทียบกับวิสัยทัศน์ของ Thucydides
(471 - 400 BCE) ผูม้ ชี อื่ เสียงในแง่มมุ การวิเคราะห์วพิ ากษ์ประวัตศิ าสตร์
การเมืองของกรีกในช่วงเวลาถัดจากงานของเฮโรโดตัส จะเห็นได้วา่ งาน
15
Patrick O’Brien, “Historiographical Traditions and Modern Imper-
atives for the Restoration of Global history,” Journal of Global History 1, no.
1 (March 1, 2006), 7.
92
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
4. โลกทัศน์ของนักประวัติศาสตร์คริสเตียน:
สมัยจักรวรรดิโรมัน–ยุคกลาง–จนถึงต้นสมัยใหม่
ตามค�ำนิยามแบบหนึง่ คัมภีรไ์ บเบิลและค�ำอธิบายทีส่ บื เนือ่ งกับ
พระคัมภีร์ของชาวคริสเตียนนับเป็นประวัติศาสตร์โลกที่เริ่มกล่าวถึง
ตั้งแต่การสร้างโลกและจุดเริ่มต้นของมนุษยชาติ นักประวัติศาสตร์ยิว
และคริสเตียนเป็นผู้เริ่มต้นขนบการเขียนแบบบรรยายตามก�ำหนดของ
93
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
16
William H. McNeill, “The Changing Shape of World History,”
History and Theory 34, no. 2 (1995), 9.
94
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
5. สมัยใหม่ของยุโรป
และการปรับเปลี่ยนโลกทัศน์
การเดิ น ทางและการค้ น พบดิ น แดนใหม่ ตั้ ง แต่ ป ลายคริ ส ต์
ศตวรรษที่ 15 ท�ำให้ยุโรปทลายวงล้อมอันเป็นกรอบทั้งด้านการเมือง
เศรษฐกิจ และความรู้สกึ นึกคิดที่เคยถูกโลกอิสลามกีดกั้นเอาไว้ ข้อมูล
ข่าวสารจากดินแดนห่างไกลทั่วโลกหลั่งไหลเข้าสู่ยโุ รป รวมถึงเรื่องราว
เกี่ยวกับดินแดนและผู้คนที่ชาวยุโรปไม่เคยรู้จักมาก่อน เช่น จากทวีป
อเมริกา เป็นต้น ปรากฏการณ์ดงั กล่าวมิได้ท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
การเขียนประวัตศิ าสตร์เฉพาะแต่ในเชิงขอบเขตและปริมาณ แต่ยงั เกิด
ควบคู่ไปกับพัฒนาการของกระแสฆราวาสนิยม (secularism)19 ทีก่ ่อร่าง
ขนบใหม่ทางการเขียนประวัติศาสตร์ซึ่งแยกออกมาจากขนบเดิมของ
ศาสนจักร แม้จะใช้เวลากว่าสองศตวรรษหลังจาก “การค้นพบโลกใหม่”
17
Patrick J. Barry, “Bossuet’s ‘Discourse on Universal History,’” The
Catholic Historical Review (1934), 273.
18
Saint Thomas Aquinas (1225 - 1274) นักเทววิทยาผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค
กลาง ผู้แต่ง Summa Theologiae.
19
การแยกอิทธิพลของศาสนาหรือศาสนจักรออกจากรัฐ ซึ่งในกรณีของ
ยุโรปสมัยใหม่มีพัฒนาการของแนวคิดที่ชัดเจนตั้งแต่สมัยแห่งภูมิธรรมหรือ The
Enlightenment ในคริสต์ศตวรรษที่ 18
95
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
20
O’Brien, “Historiographical Traditions,” 10.
21
McNeill, “Changing Shape of World History,” 11.
22
Stearns, World History, 7.
23
O’Brien, “Historiographical Traditions,” 10.
96
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
24
Ibid., 23.
97
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
ภายนอกที่มาจากการแข่งขันในการแสวงหาทรัพยากรและรายได้จาก
การค้าในดินแดนอาณานิคมนอกทวีปยุโรป กระแสชาตินิยมอันรุนแรง
ส่งผลโดยตรงต่อการผลิตประวัตศิ าสตร์ทสี่ ร้างความชอบธรรมและเกือ้
หนุนต่อการด�ำรงอยูแ่ ละความก้าวหน้าของรัฐชาติ การเปลีย่ นแปลงทาง
เศรษฐกิจและสังคมส่งผลต่อผู้คนจ�ำนวนมากขึ้น เช่น การก่อตัวของ
สังคมอุตสาหกรรมและชีวิตความเป็นเมือง รวมทั้งพัฒนาการทางการ
ศึกษาทีข่ ยายสูผ่ คู้ นจ�ำนวนมากขึน้ โดยเฉพาะในยุโรปตะวันตก การสร้าง
ผลงานทางประวัติศาสตร์ก็ขยายตัวขึ้น ประวัติศาสตร์กลายเป็นวิชาที่
เข้าไปอยู่ในหลักสูตรของโรงเรียนทั้งในยุโรปและอเมริกา แต่จุดรวม
ความสนใจกลับไปอยูท่ ปี่ ระสบการณ์ของชาติและการใช้ประวัตศิ าสตร์
เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งให้กบั รัฐชาติ25
6. วิชาชีพประวัติศาสตร์
กับประวัติศาสตร์โลก
ในขณะที่ปัจจัยภายนอกคือจักรวรรดินิยมเพิ่มความส�ำคัญของ
ยุโรปทีเ่ ป็นศูนย์กลาง และชาตินยิ มตีกรอบขอบเขตให้เน้นประวัตศิ าสตร์
ของรัฐชาตินั้น ปัจจัยภายในของการศึกษาประวัติศาสตร์ คือ แนวคิด
ด้านระเบียบวิธรี ว่ มกับพัฒนาการของวิชาชีพประวัตศิ าสตร์ในศตวรรษ
ที่ 19 มีผลอันส�ำคัญยิง่ ต่อความเป็นไปของมโนทัศน์เรือ่ งประวัตศิ าสตร์
โลกในสมัยเดียวกัน
นั ก วิ ช าการยุ โ รปเริ่ ม สนใจอย่ า งมากในระเบี ย บวิ ธีท าง
ประวัติศาสตร์เชิงประจักษ์ที่เป็นวิทยาศาสตร์หรือตั้งอยู่บนฐานแห่ง
25
Stearns, World History, 7.
98
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
26
ในช่วงนี้ ประวัติศาสตร์กลายเป็นศาสตร์ทางวิชาการที่ส�ำคัญและมีที่มี
ทางในมหาวิทยาลัย โดยเริ่มจากมหาวิทยาลัยในเยอรมนี ดู วิศรุต พึ่งสุนทร,
ประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตกก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 20 (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์, 2556), 388 - 389.
27
Stearns, World History, 7 - 8.
28
Jerry H. Bentley, “The Task of World History,” in The Oxford
Handbook of World History, Edited by Jerry H. Bentley (Oxford: Oxford
University Press, 2011), 6.
99
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
7. ประวัติศาสตร์โลกในรูปปรัชญาจากประวัติศาสตร์
“สมัครเล่น” หรือ “ประชานิยม” สู่วงวิชาการ
ผลรวมของแรงกระตุ ้ น ทางชาติ นิ ย มกั บ ความเคลื่ อ นไหวสู ่
ประวัติศาสตร์ท่ถี ูกต้องแม่นย�ำมากขึ้นนี้ ท�ำให้การเขียนประวัติศาสตร์
โลกในศตวรรษที่ 19 ไม่คืบหน้ามากนัก จนกระทั่งช่วงครึ่งแรกของ
ศตวรรษที่ 20 จึงมีนักประวัติศาสตร์บางคนเสนอผลงานที่ต้องการ
สะท้อนภาพประสบการณ์ของมนุษย์ในกรอบรวมทัง้ โลกแทนทีจ่ ะจ�ำกัด
อยู่ในระดับชาติหรือภูมิภาค เนื่องจากการขยายตัวของมหาวิทยาลัย
ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ท�ำให้ได้มงี านเฉพาะทางด้านประวัติศาสตร์
ผลิ ต ออกมามากพอสมควร จึ ง ท้ า ชวนต่ อ การน�ำมารวบรวมและ
สังเคราะห์เป็นงานประวัติศาสตร์ที่ครอบคลุมประวัติศาสตร์ของมวล
มนุษยชาติ และยังตอบสนองต่อกลุม่ ผูอ้ า่ นทีต่ อ้ งการเสพประวัตศิ าสตร์
ประชานิยม (popular history)29 มากกว่างานวิชาการที่แคบเฉพาะทาง
ลึกซึ้ง ซับซ้อน และเข้าใจยาก นอกจากนั้นภัยพิบัติจากมหาสงคราม
(The Great War) หรือที่เรียกกันภายหลังว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังก่อ
ความตืน่ ตระหนก หวาดผวา และพะวงสงสัยในสิง่ ผิดพลาดทีไ่ ด้เกิดขึน้
กับมวลมนุษย์ จึงท�ำให้ผลงานประวัติศาสตร์โลกเหล่านี้มีส่วนช่วยให้
ค�ำตอบ ค�ำเตือน หรือค�ำปลอบใจส�ำหรับโจทย์ร่วมสมัยเหล่านั้นด้วย
หนังสือชุดขนาดใหญ่ของ Oswald Spengler ตีพิมพ์ในภาษา
เยอรมันและแปลเป็นภาษาอังกฤษภายใต้ชอื่ Decline of the West เริม่
29
หมายถึงงานเขียนทางประวัตศิ าสตร์ทเี่ น้นปริมาณผูอ้ า่ นในวงกว้าง เน้น
การบรรยายเหตุการณ์อย่างมีสีสันและรายละเอียดชัดเจน มากกว่าการวิเคราะห์
เชิงลึกแบบวิชาการ
100
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
30
Bentley, Shapes of World History, 4.
101
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
31
Manning, Navigating World History, 40. เวลส์จินตนาการถึงรัฐบาล
โลกที่จะเกิดขึ้นหลังสงครามใหญ่อีกครั้งหนึ่ง.
32
Bentley, Shapes of World History, 7.
102
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
33
De Jong, “World history: a brief introduction,” 3.
34
O’Brien, “Historiographical Traditions,” 33 - 34.
103
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
และในประเทศอดีตเจ้าอาณานิคมดั้งเดิม เงื่อนไขทั้งมวลเหล่านี้เป็น
ปัจจัยก�ำหนดลักษณะของการสร้างงานประวัตศิ าสตร์หลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2 ซึ่งยังคงด�ำเนินต่อไปในกรอบพรมแดนของรัฐชาติที่แต่ละ
ประเทศจะต้องมีประวัติศาสตร์ชาติอันเป็นเอกลักษณ์และความภาค
ภูมิใจของตนเอง ถึงกระนั้นก็ตาม พัฒนาการของมโนทัศน์บางส่วนที่
จะเกื้ อ หนุ น ต่ อ การรั บ รู ้ แ ละการประกอบสร้ า งสิ่ ง ที่ จ ะกลายเป็ น
ประวัติศาสตร์โลกยังคงด�ำเนินต่อมา ภายใต้รูปแบบ เงื่อนไข และ
วัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันในช่วงเวลาประมาณสี่ทศวรรษ (คือ จนถึง
ทศวรรษ 1980)
8. ประวัติศาสตร์โลกเพื่ออุดมคติแห่งสันติภาพ:
โครงการจัดท�ำ ประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ
(History of Mankind) โดย UNESCO
โครงการส�ำคัญในยุคหลังสงคราม ซึ่งเป็นที่รับทราบกันอย่าง
กว้างขวางในระดับโลกก็คือ การจัดพิมพ์ประวัตศิ าสตร์แห่งมนุษยชาติ
(History of Mankind) ขนาดใหญ่ 6 เล่มจบ โดยมี UNESCO เป็นผู้
สนับสนุนงบประมาณและการด�ำเนินการ35 งานชิน้ นีจ้ ะเป็นส่วนส�ำคัญ
ในภารกิจของยูเนสโก ซึ่งเป็นองค์กรขับเคลื่อนทางด้านสังคมและ
วัฒนธรรมขององค์การสหประชาชาติ ภายใต้เงือ่ นไขอันเป็นผลกระทบ
มาจากสงครามโลกครัง้ ที่ 2 เนือ่ งมาจากอุดมคติหรือความฝันทีจ่ ะสร้าง
โลกใหม่ หลังจากยุคสมัยแห่งการท�ำลายล้างและบาดแผลสงคราม ผูน้ �ำ
35
สามารถดูรายละเอียดโดยตรงได้ที่เว็บไซต์ทางการของ UNESCO คือ
http://www.unesco.org/new/en/culture/themes/dialogue/general-and-re-
gional-histories/history-of-humanity/ (เข้าถึงเมื่อ 22 สิงหาคม 2559)
104
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
36
Paul Betts, “Humanity’s New Heritage: Unesco and the Rewriting
of World History,” Past & Present 228, no. 1 (August 1, 2015): 251 - 253.
37
Allardyce, “Toward World History,” 31.
105
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
38
Betts, “Humanity’s New Heritage,” 257 - 258.
39
Betts, “Humanity’s New Heritage,” 259.
106
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
107
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
เกิดสงครามขึ้นอีกได้ในอนาคต40 สหภาพโซเวียตมีปฏิกิริยาตอบโต้
โครงการของยูเนสโกด้วยโครงการของตนเอง โดยใน ค.ศ. 1953 สภา
สังคมศาสตร์แห่งโซเวียตได้รบั มอบหมายให้เรียบเรียงประวัตศิ าสตร์โลก
ชุดยาว 10 เล่มทีต่ งั้ อยูบ่ นแนวการอธิบายตามอุดมการณ์มาร์กซิสต์เป็น
หลัก ในเวลาต่อมาหลังจากยุคสตาลินและผู้แทนของสหภาพโซเวียต
เข้ามีสว่ นร่วมพิจารณางานเขียนประวัตศิ าสตร์ของยูเนสโก งานดังกล่าว
ก็ถูกวิจารณ์ว่าให้ภาพที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ตลอดจน
ความเป็นไปทางเศรษฐกิจและสังคมของโซเวียต ปฏิกริ ยิ าดังกล่าวท�ำให้
โครงการนี้ต้องยืดเยื้อล่าช้าไปอีกหลายปี
ไม่ เ พีย งแต่ ค วามแตกต่ างทางอุด มการณ์ทางการเมืองและ
เศรษฐกิจเท่านั้นที่สะท้อนปัญหาของการเรียบเรียงประวัติศาสตร์โลก
ฉบับทีพ่ ยายามสร้างสันติบนฐานแห่งความเป็นกลางนี้ ผูน้ �ำและองค์กร
ทางศาสนาทีส่ �ำคัญต่างแสดงปฏิกริ ยิ าคัดค้านต่อสาระและการน�ำเสนอ
ผลงานดังกล่าว ศาสนจักรโรมันคาทอลิกเห็นว่า ประวัติศาสตร์แห่ง
มนุษยชาติชุดนี้จัดท�ำโดยคนไม่มีศาสนาหรือคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า
คริสต์ศาสนาถูกลดทอนความส�ำคัญและคุณปู การทางจิตวิญญาณทีไ่ ด้
มีและพึงมีต่อมวลมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นในเชิงกรอบแนวคิด น�้ำหนักเชิง
ปริมาณ หรือล�ำดับความส�ำคัญที่ปรากฏในการเรียบเรียงงานชิ้นนี้
สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อยูเนสโกประกาศจุดยืนและรณรงค์ใน
ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน (human rights) โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่
ช่วงทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา องค์กรยืนยันว่าความผาสุกของสังคม
มนุษย์ขึ้นอยู่กับวิวัฒนาการของสิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนเป็น
ประจักษ์พยานแห่งภราดรภาพของมนุษย์ และสันติภาพแห่งโลกขึน้ อยู่
40
Allardyce, “Toward World History,” 38.
108
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
กับการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นสากล
ท่ามกลางการเน้นย�ำ้ เรือ่ งสิทธิมนุษยชนดังกล่าวในฐานะสิง่ ทีเ่ ป็นมรดก
ตกทอดร่วมกันของเผ่าพันธุม์ นุษย์นนั้ คริสต์ศาสนาแทบจะไม่ได้รบั การ
กล่าวถึงบทบาทและความส�ำคัญอันใดเลย จุดยืนและการเคลื่อนไหว
ของยูเนสโกในเรื่องนี้ จึงยิ่งตอกย�้ำและขยายปฏิกิริยาต่อต้านจาก
สถาบัน องค์กร และบุคลากรทางศาสนาที่มีต่อโครงการประวัติศาสตร์
โลกไปพร้อมกันด้วย41
จากเงื่อนไขและอุปสรรคนานาประการดังตัวอย่างข้างต้นหลัง
จากเริ่มโครงการนี้มาได้เกือบยี่สิบปี คณะกรรมการของยูเนสโกก็ต้อง
ยอมรับความผิดหวังในอันทีจ่ ะได้รบั ฉันทามติจากทุกฝ่ายในทุกประเทศ
ที่จะมีประวัติศาสตร์โลกฉบับหนึ่งร่วมกัน ในเบื้องต้นคณะกรรมการ
ล้มเลิกโครงการที่จะจัดท�ำหนังสือต�ำราเรียนร่วมกันส�ำหรับ “โรงเรียน
โลก” เพราะตระหนักแล้วว่าผู้คนที่แตกต่างย่อมต้องการประวัติศาสตร์
ที่แตกต่างกัน พวกเขาต้องการประวัติศาสตร์ชาติและประวัติศาสตร์
อารยธรรมของเขาเอง และเขาก็ต้องการประวัติศาสตร์โลกของเขาเอง
เช่นกัน42 โดยทีก่ อ่ นหน้านัน้ หลุยส์ ก็อตชัลค์ ผูร้ บั หน้าทีเ่ ป็นบรรณาธิการ
ของเล่มที่ 4 ก็ได้ข้อสรุปว่าการเขียนประวัติศาสตร์โลกที่จะสร้างความ
ชอบธรรมอย่างเท่าเทียมให้กับทุกคน พร้อมกับที่จะไม่สร้างความรู้สึก
เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ใดเลยนั้น เป็นงานที่เกินกว่าความสามารถของตนจะ
ท�ำได้ จึงขอยุติบทบาทการเป็นบรรณาธิการ43
41
Betts, “Humanity’s New Heritage,” 268 - 270.
42
Allardyce, “Toward World History,” 37.
43
Ibid., 34.
109
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
ถึงแม้ว่าในที่สุดโครงการผลิตประวัติศาสตร์โลกดังกล่าวจะไม่
สามารถบรรลุผลได้ตามทีย่ เู นสโกตัง้ เป้าหมายเอาไว้ แต่การติดตามเรือ่ ง
ราวความเป็นมาและเป็นไปของโครงการนี้เอง สามารถให้ข้อมูลและ
ความรู ้ เ กี่ ย วกั บ ประเด็ น ปั ญ หาและสะท้ อ นแง่ คิ ด เกี่ ย วกั บ เรื่ อ ง
ประวัติศาสตร์โลกได้เป็นอย่างดีเรื่องหนึ่ง และท�ำให้เข้าใจการปรับ
เปลี่ยนท่าทีและบทบาทของยูเนสโก ดังเช่นการให้น้ำ� หนักความส�ำคัญ
เรื่อง “มรดกโลก” (World Heritage) ที่ก�ำลังท�ำอยู่ในปัจจุบัน
9. กระบวนการทางประวัติศาสตร์
กับทฤษฎีทางสังคมศาสตร์
ในขณะที่โครงการประวัติศาสตร์โลกของยูเนสโกประสบปัญหา
การบรรลุ “เป้าหมาย” โดยใช้ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือนั้น แวดวง
วิชาการหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็มีพัฒนาการที่ส�ำคัญซึ่งส่งผลต่อ
ความเป็นไปเชิง “กระบวนการ” ของการสร้างงานประวัติศาสตร์ โดย
เฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาการอันเป็นผลมาจากความเคลื่อนไหวของนัก
สังคมศาสตร์ทสี่ ร้างทฤษฎีเพือ่ วิเคราะห์และอธิบายความเป็นไปทางการ
เมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เพื่อตอบสนองต่อปัญหาและ
สภาพความเป็นจริงของโลกในช่วงเวลานัน้ ทฤษฎีของนักสังคมศาสตร์
สองกลุม่ ซึง่ อธิบายการเปลีย่ นแปลงของสังคมโลกตามกรอบมโนทัศน์ที่
แตกต่างกัน คือ ทฤษฎีการท�ำให้ทันสมัย (Modernization Theory) กับ
ทฤษฎีระบบโลก (World System Theory) จะเข้ามามีส่วนอย่างส�ำคัญ
ในการอธิ บ ายกระบวนการเปลี่ ย นแปลงทางประวั ติ ศ าสตร์ แ ละ
ประวัติศาสตร์โลก เมื่อนักวิชาการถูกผลักดันให้มีปฏิสัมพันธ์และแลก
เปลีย่ นทัง้ สารสนเทศและแนวคิดทฤษฎีระหว่างกันในทุกกลุม่ สาขาวิชา
110
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
44
อ้างใน Bentley, Shapes of World History, 8.
111
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
45
ตัวอย่างจากการอธิบายใน Malcolm Waters, Globalization (London
: Psychology Press, 2001), 31.
112
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
46
Immanuel Wallerstein, The Modern World-System I: Capitalist
Agriculture and the Origins of the European World-Economy in the Sixteenth
Century (New York: Academic Press, 1974).
113
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
กลับไปพิจารณาโลกก่อนสมัยใหม่ที่ยึดโยงกับการวิเคราะห์ระบบโลก
ผ่านช่วงเวลาทีย่ าวนานขึน้ ด้วย ดังตัวอย่างเช่น ในงานของ A. G. Frank
กับ B. K. Gills ทีเ่ สนอให้มองภาพระบบโลกย้อนหลังไปไกลถึงห้าพันปี47
ในขณะที่แนวการวิเคราะห์ตามทฤษฎีระบบโลกและการพึ่งพา
ได้ชว่ ยเปิดมุมมองและขยายความเข้าใจในการพิจารณาประวัตศิ าสตร์
โลกโดยเชื่อมโยงกับศาสตร์สาขาต่างๆ มากขึ้นนั้น ก็ยังคงมีข้อวิพากษ์
วิจารณ์ที่ส�ำคัญถึงข้อจ�ำกัดของการวิเคราะห์ในแนวทางดังกล่าว โดย
เฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ว่าทฤษฎีระบบโลกมุ่งเน้นความสนใจอยู่ที่
ระบบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง อันท�ำให้การท�ำความ
เข้าใจกับอดีตในด้านอื่นๆ เช่น วัฒนธรรม ความเชื่อ และภูมปิ ัญญา
ถูกลดทอนอยู่เพียงระดับของปัจจัยทางอุดมการณ์ในองค์ประกอบทาง
เศรษฐกิ จ และการเมื อ ง จึ ง ไม่ อ าจสร้ า งความเข้ า ใจในพลวั ต ของ
ประวัตศิ าสตร์โลกทีส่ มดุลหรือสมบูรณ์ได้ นอกจากนัน้ การทีท่ ฤษฎีระบบ
โลกให้ความส�ำคัญกับตะวันตกเป็นตัวการที่ท�ำให้เกิดการครอบง�ำใน
โลกสมัยใหม่ผ่านช่วงยุคอาณานิคมและทุนนิยมโลกเป็นตัวก�ำหนด
ความเป็นไปที่เกิดขึ้น ปัจจัยด้านของมนุษย์ที่ถูกครอบง�ำหรืออยู่ในดิน
แดนบริวารและชายขอบทัง้ หลายจึงไม่ได้รบั การน�ำมาวิเคราะห์วจิ ารณ์
อย่ า งมี ค วามหมายด้ ว ย แม้ ว ่ า มนุ ษ ย์ เ หล่ า นั้ น จะมี ป ฏิ กิ ริ ย าและ
ปฏิสัมพันธ์ในลักษณะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ความร่วมมือหรือการ
ต่อต้าน อันเป็นการแสดงส่วนร่วมในกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่
เกิดขึ้นมาโดยตลอด การอธิบายด้วยทฤษฎีระบบโลกเท่าที่ผ่านมาจึง
ถูกวิพากษ์ว่ายังไม่สามารถครอบคลุมประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์
47
A. G. Frankand B. K. Gills, The World System: Five Hundred Years
or Five Thousand? อ้างใน Bentley, Shapes of World History, 13.
114
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
ของมนุษยชาติโดยรวมทั้งหมดได้48
10. นักประวัติศาสตร์อาชีพแห่งศตวรรษที่ 20
กับประวัติศาสตร์โลก
นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่
ส�ำคัญในแวดวงนักประวัติศาสตร์อาชีพในส่วนที่สัมพันธ์กับการศึกษา
ประวัติศาสตร์โลก แนวทางการมองประวัติศาสตร์โลกในเชิงปรัชญาที่
เคยถูกมองว่าเป็นงานของพวกนักประวัติศาสตร์สมัครเล่นหรือนัก
ประพันธ์ประชานิยม อย่างเช่น Spengler Wells หรือ Toynbee นั้นจะ
เริ่มกลับมาสะกิดความคิดและความสนใจของนักประวัติศาสตร์อาชีพ
ทีห่ มกมุน่ อยูก่ บั การศึกษาประวัตศิ าสตร์ในกรอบของรัฐชาติอย่างลึกซึง้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องร่วมแลกเปลี่ยนทางวิชาการกับนัก
สังคมศาสตร์สาขาต่างๆ ทีพ่ ฒ ั นาแนวคิดทฤษฎีตลอดจนระเบียบวิธกี าร
ศึกษาค้นคว้าไปอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20
ผลงานของนักประวัตศิ าสตร์สองคนทีก่ ล่าวกันว่ามีอทิ ธิพลอย่าง
ส�ำคัญต่อพัฒนาการของการศึกษาประวัตศิ าสตร์โลกในช่วงหลัง ซึง่ จะ
น�ำมาพิจารณาในบทความนี้ คือ Leften S. Stavrianos กับ William
H. McNeill บทบาทหรือคุณปู การทีแ่ ตกต่างกันของทัง้ สองต่างก็สะท้อน
บริบทความเป็นไปและสาระของพัฒนาการทีจ่ ะก่อตัวเป็นกิจกรรมและ
ความเคลื่อนไหวทางวิชาการอันเกี่ยวเนื่องกับการศึกษาประวัติศาสตร์
โลกต่อมาจนถึงปัจจุบัน
48
Bentley, Shapes of World History, 14.
115
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
116
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
อย่างที่นักวิชาการอเมริกันอ้างถึงนั้นก็ยังสะท้อนวิธีคิดที่เป็นอคติแบบ
ตะวันตกอยูน่ นั่ เอง เขาจึงเสนอว่าวงวิชาการจ�ำเป็นต้องมีมมุ มองทีค่ รอบ
ทั้งโลกอย่างแท้จริงโดยอยู่เหนือวัฒนธรรมและรัฐทั้งหลายทั้งสิ้น49
สตาวริอานอสเข้าไปมีบทบาทส�ำคัญในการพัฒนาการเรียนการ
สอนวิชาประวัตศิ าสตร์โลกในโรงเรียนมัธยม ดังทีก่ ล่าวมาในตอนต้นว่า
วิชาประวัติศาสตร์ได้เข้าไปอยู่ในโรงเรียนมัธยมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19
แล้ว แต่เป็นไปเพื่อรองรับกระแสความรู้สึกชาตินิยมตั้งแต่ยุคสมัยนั้น
ถึงแม้จะมีการสอนวิชา ประวัติศาสตร์ท่วั ไป (General History) โดยมี
เนื้อหาเกี่ยวกับอารยธรรมอยู่ในวิชาดังกล่าว แต่เรื่องของอารยธรรมที่
สอนกันนัน้ เป็นเรือ่ งอารยธรรมตะวันตกหรืออารยธรรมคริสเตียน ซึง่ เป็น
พื้นฐานสนับสนุนการสืบมรดกอันทรงคุณค่ามาสู่ประวัติศาสตร์และ
วัฒนธรรมอเมริกันนั่นเอง สตาวริอานอสมีความเห็นและข้อตัดสินทาง
วิ ช าการที่ ชั ด เจนในการแยกแยะระหว่ า งประวั ติ ศ าสตร์ โ ลกกั บ
ประวัติศาสตร์ตะวันตกหรืออารยธรรมตะวันตกที่สอนกันอยู่ขณะนั้น
เมือ่ เขาเข้ามามีสว่ นร่วมก�ำหนดหลักสูตรและการสอนประวัตศิ าสตร์โลก
ในโรงเรียน จึงเน้นการต่อต้านกระแสนิยมยุโรปเป็นศูนย์กลาง และ
พยายามท�ำวิชาประวัตศิ าสตร์โลกให้เปิดกว้างครอบคลุมโลกอย่างทีค่ วร
จะเป็น50
ผลงานที่ ส ะท้ อ นมโนทั ศ น์ เ รื่ อ งประวั ติ ศ าสตร์ โ ลกของ
สตาวริอานอส เริ่มตั้งแต่การเข้าไปพัฒนาแบบเรียนในโรงเรียนซึ่งเขา
เป็นบรรณาธิการในชื่อเรื่อง A Global History of Man (1962) 4 ปีต่อ
49
Allardyce, “Toward World History,” 48 - 56.
50
Ibid., 42.
117
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
51
L. S.Stavrianos, A Global History: From Prehistory to the Present,
4 ed. (Englewood Cliffs, N.J: Prentice Hall, 1988), xi.
th
118
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
52
McNeill, “Changing Shape of World History,” 14.
53
เมื่อแมคนีลถึงแก่กรรมในเดือนกรกฎาคม 2016, บทความสดุดีจาก
World History Association ยกย่องเขาเป็น “The Father of World History” จาก
http://www.thewha.org/ (เข้าถึงเมื่อ 26 สิงหาคม 2016).
119
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
120
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
1982 เพื่อขยายแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ที่กว้างขึ้นไม่ว่าจะ
เป็นการมองข้ามวัฒนธรรม การเปรียบเทียบ หรือการพิจารณาให้
ครอบคลุมทั้งโลก WHA ได้มีบทบาทที่ขันแข็งในการจัดกรรมทาง
วิชาการ โดยเน้นเครือข่ายนักวิชาการทั่วทั้งโลก และส่งเสริมการเรียน
การสอน ตลอดจนการวิ จั ย เกี่ ย วกั บ ประวั ติ ศ าสตร์ โ ลกในระดั บ
อุดมศึกษา ในปี 1990 WHA ได้เริ่มออกวารสาร Journal of World
History ซึ่งได้กลายเป็นเวทีแลกเปลี่ยนทางวิชาการ และเป็นแหล่งรวม
ผลงานการศึกษาค้นคว้าของนักวิชาการจากทั่วโลก56
การสนับสนุนผลักดันโดยเครื่องมือและเครือข่ายทางวิชาการ
อย่างเป็นระบบมากขึน้ รวมถึงการแลกเปลีย่ นและพัฒนาบูรณาการกับ
ศาสตร์อื่นๆ ท�ำให้การศึกษาและการเผยแพร่ผลงานประวัตศิ าสตร์โลก
เติบโตทัง้ ในเชิงปริมาณ เชิงคุณสมบัติ และความหลากหลาย มีผลงาน
ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและสังคมที่ขยายครอบคลุมเขตพื้นที่อันกว้าง
ไกล จากการศึกษาและการน�ำเสนอของนักวิชาการทีม่ ชี อื่ เสียงในรุน่ ถัด
มาจากแมคนีลและเคอร์ติน เช่น John L. Phelan, Jan Vansina, John
Smail, Michael P. Adas และ Patrick A. Manning เป็นต้น รวมทั้ง
ประวัติศาสตร์ส่งิ แวดล้อมและระบบนิเวศที่สัมพันธ์กบั มนุษยชาติ ซึ่งมี
ผู้บุกเบิกคนส�ำคัญอย่าง Alfred W. Crosby ผู้เขียน The Columbian
Exchange: Biological and Cultural Consequences of 1492 (1977)
ที่จุดประกายทางความคิดและเป็นพื้นฐานให้กับการศึกษาค้นคว้ารุ่น
ต่อมาอย่างส�ำคัญยิ่ง57
56
ดูรายละเอียดและความเคลื่อนไหวได้ในเว็บไซต์ของสมาคม คือ http://
www.thewha.org/.
57
Alfred W. Crosby, The Columbian Exchange: Biological and
121
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
122
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
เนื่องในแนวทางดังกล่าวมาโดยตลอด มาซลิชให้ค�ำนิยามโดยสรุปว่า
global history ก็คือประวัติศาสตร์ของโลกาภิวัตน์ (history of global-
ization) คือ เป็นช่องทางหนึ่งในการเข้าถึงกระบวนการที่ก่อรูปให้กับ
โลกที่ได้ผ่านกระบวนการโลกาภิวัตน์มาแล้วจนถึงปัจจุบัน global
history จึงเป็นเรื่องที่ว่าด้วยล�ำดับความเป็นมาและพัฒนาการของ
โลกาภิวัตน์59
ในเวลาต่อมาเมือ่ มีการตัง้ ประเด็นถามถึงความแตกต่างระหว่าง
world history กับ global history กันมากขึ้น มาซลิชจึงได้ทบทวนและ
น�ำเสนองานของเขาภายใต้ชื่อที่ดัดแปลงไป คือ The New Global
History (2006) ซึง่ เขาพยายามแยกแยะและยืนยันสิง่ ทีเ่ ขาเรียกว่า The
New Global History โดยบ่งบอกความแตกต่างว่า ในฐานะรูปแบบของ
การไต่สวนอย่างหนึ่งนั้น world history มีวิถีการเคลื่อนที่และการ
เปลี่ยนแปลงของตนเอง เขาคิดว่า world history เริ่มเติบโตขึ้นตั้งแต่
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อตระหนักว่ามุมมองแบบที่ใช้ยุโรปเป็น
ศูนย์กลางนั้นจะใช้ไม่ได้อีกต่อไป เขาเล่าว่า Oswald Spengler กับ
Arnold Toynbee คือคนส�ำคัญทีป่ ทู างให้กบั world history ซึง่ ได้กลาย
เป็นรูปแบบหลักสูตรหรืองานวิจยั อย่างเป็นทางการโดยการดูแลของมือ
อาชีพอย่าง William McNeill และนักวิชาการอื่นๆ อีกหลายคน แต่เขา
ก็ยืนยันว่า world history นั้นแตกต่างจากสิ่งที่เขาเรียกว่า New Global
History เพราะในขณะที่ globalization เป็นกระบวนการที่ล้อมรอบเรา
59
Bruce Mazlish and Ralph Buultjens, Conceptualizing Global
History (Boulder: Westview Press, 1993). Reviewed by Jerry H. Bentley,
published on H-World (August 1995), (accessed on 28 August 2016).
123
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
124
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
62
http://journals.cambridge.org/action/displayJournal?jid=JGH
(accessed on 23 August 2016).
125
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
63
Crossley, 106 - 107.
64
ตัวอย่าง เช่น ในงานของ Manfred Steger, Globalization; A Very Short
Introduction (Oxford U. Press, 2003).
126
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
เรื่องสุดท้าย ที่อาจจะเป็นเรื่องส�ำคัญที่สุดคือการเปรียบเทียบ
วัตถุประสงค์หรือจุดหมายปลายทางของการเขียนประวัติศาสตร์ ซึ่ง
world history นับตัง้ แต่ยคุ โบราณมาจนถึงสมัยใหม่มกั จะมีส่วนผูกพัน
อยู่กบั ภารกิจทีเ่ ป็นนามธรรมในปรัชญาหรือความเชือ่ ไม่มากก็น้อย จน
กระทัง่ ในช่วงปลายสุดทีเ่ พิม่ ความเป็นวิชาการเข้มข้นขึน้ นัน้ ก็ยงั เน้นใน
มิติทางวัฒนธรรมไปจนถึงความห่วงใยในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง
มนุษย์กบั ธรรมชาติหรือสิง่ แวดล้อม โดยภาพรวมจึงมักถูกมองหรือมอง
ตนเองในแง่มมุ ทางอุดมคติอยู่มาก ในขณะที่ global history ซึ่งผูกอยู่
กับเรื่องราวของโลกาภิวตั น์นั้น หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะได้รับการพิจารณา
ว่าถูกก�ำหนดโดยเป้าหมายทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะระบบทุนนิยมโลก
ทีท่ �ำให้พรมแดนของรัฐชาตินนั้ ลดถอยความส�ำคัญลง อย่างไรก็ตามนัก
ประวัติศาสตร์โลกที่เขียนเรื่อง global history ดังเช่น Bruce Mazlish
ยังยืนยันภารกิจส�ำคัญของ global history รวมทั้ง globalization ที่จะ
น�ำโลกและมนุษยชาติสู่การยกระดับทางศีลธรรมที่สูงขึ้น (higher mo-
rality) และการสร้างมนุษยชาติแห่งโลก (global humanity) เป็นจุด
หมายปลายทางที่เห็นได้จริงและท�ำได้จริงในอนาคต65
65
Mazlish, New Global History, 80 - 102.
127
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
128
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
66
Diego Olstein, Thinking History Globally (Palgrave Macmillan,
2014).
129
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
ถึงอภิปรายและยกตัวอย่างเปรียบเทียบการศึกษาในแต่ละรูปแบบด้วย
การท�ำความเข้าใจทางเลือกวิธีคิดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในระดับโลก
ดั ง กล่ า ว นอกจากจะส่ ง ผลโดยตรงต่ อ การเลื อ กประเด็ น และการ
ออกแบบการวิจยั ต่อไปในอนาคตแล้ว ยังส่งผลต่อการเชือ่ มต่อระหว่าง
ศาสตร์กบั แขนงวิชาอืน่ ๆ ในลักษณะทีเ่ ป็นสหศาสตร์หรือสหสาขาวิชา
ได้อย่างเหมาะสมด้วย
ประการที่ 2 ในแง่การประยุกต์แนวคิดทฤษฏีเข้ากับเนื้อหา
ประวัติศาสตร์ที่สามารถหยิบยืมหรือเทียบเคียงน�ำมาใช้ได้ จะพบว่า
นอกจากเรือ่ งราวของนักคิดชาวตะวันตกทีน่ �ำมาศึกษาในครัง้ นีแ้ ล้ว ยัง
มีประเด็นศึกษาที่ครอบคลุมเรื่องราวของผู้คนหรือดินแดนใกล้เคียง
ประเทศไทย โดยใช้ทฤษฎีหรือแนวการอธิบายทีน่ า่ สนใจ งานในลักษณะ
ดังกล่าวจะสามารถมีคุณูปการทางการค้นคว้าวิจัยได้เป็นอย่างดี ดัง
ตัวอย่างเช่น Strange Parallels: Southeast Asia in Global Context.
ของ Victor Lieberman 67 ซึ่ ง ให้ แ นวคิ ด ใหม่ เ กี่ ย วกั บ การศึ ก ษา
ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายในกรอบการวิเคราะห์
ประวัติศาสตร์โลกเชิงเปรียบเทียบ (แบบหนึ่ง) งานในลักษณะนี้มี
คุณูปการต่อผู้อ่านทั้งในด้านแนวคิด เนื้อหา และการใช้แนวคิดจัด
กระท�ำกับเนือ้ หา ไปพร้อมกัน สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กบั นักวิจยั
ได้ต่อไปอีก
67
Victor Lieberman, Strange Parallels: Southeast Asia in Global
Context, c.800 - 1830 (U. of Michigan, 2003).
130
บรรณานุกรม
เอกสารภาษาไทย
ทองทีฆายุ ทองใหญ่. ประวัติศาสตร์สากล. พระนคร: โรงพิมพ์กรุงเทพ
บรรณาคาร, 2481.
วิลเลียม เอช. แมคนีลล์. ประวัตศิ าสตร์โลก. แปลโดย สุจติ รา วุฒเิ สถียร
และคนอื่นๆ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
2519.
วิศรุต พึง่ สุนทร. ประวัตศิ าสตร์นพิ นธ์ตะวันตกก่อนคริสต์ศตวรรษทีย่ สี่ บิ .
กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์, 2556.
สิริ เปรมจิตต์. ประวัติศาสตร์โลก แต่ยุคดึกด�ำบรรพ์ 2 พันล้านปีถึง
ปัจจุบัน. พระนคร: ส.ธรรมภักดี, 2499.
แมคนีล, เจ.อาร์. และ วิลเลียม แมคนีล. ประวัติศาสตร์มนุษย์ฉบับย่อ
(The Human Web). แปลโดย คุณากร วาณิชย์วริ ฬุ ห์. กรุงเทพฯ:
มติชน, 2552.
แสงโสม เกษมศรี. ประวัตศิ าสตร์สากลยุคปัจจุบนั (ค.ศ. 1453 - 1914).
กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2517.
131
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
เอกสารภาษาต่างประเทศ
Allardyce, Gilbert. “Toward World History: American Historians
and the Coming of the World History Course.” Journal of
World History. 1:1 (Spring 1990), 23 - 76.
Amsden, Alice Hoffenberg. The Rise of “the Rest”: Challenges
to the West from Late-Industrializing Economies. New York,
N.Y: Oxford University Press, 2001.
Barraclough, Geoffrey. Main Trends in History. New York: Holmes
& Meier, 1979.
Bentley, Jerry H. “Cross-Cultural Interaction and Periodization in
World History.” American Historical Review 101, no. 3
(1996), 749 - 770.
Bentley, Jerry H. Shapes of World History in 20th Century Schol-
arship. Washington, D.C.: American Historical Assn, 1995.
Bentley, Jerry H. “The Task of World History”. in The Oxford
Handbook of World History. Edited by Jerry H. Bentley.
Oxford: Oxford University Press, (2011), 1 - 16.
Bentley, Jerry H. “Why Study World History.” World History Con-
nected 5, no. 1 (October 2007). http://worldhistoryconnect-
ed.press.illinois.edu/5.1/bentley.html.
Bentley, Jerry H., ed. The Oxford Handbook of World History.
Oxford Handbooks in History. Oxford: Oxford University
Press, 2011.
132
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
133
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
134
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
135
วารสารประวัตศิ าสตร์ ธรรมศาสตร์ ปีท่ี 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2559)
136
.
พัฒนาการของมโนทัศน์เรือ่ ง “ประวัตศิ าสตร์โลก” วัชระ สินธุประมา
137