Professional Documents
Culture Documents
receptor การจับกับสารภูมิต้านทานที่ร่างกายสร้างขึ้นเอง
5 Human normal immuno- (neutralization of auto-antibodies) การยับยัง้ การจับและ
globulin, intravenous (IVIG) การกระตุน้ การทำงานของระบบ complement การช่วยขจัด
auto-antibody ที่เป็นพิษ กดการหลั่งของ cytokine ที่
Human normal immunoglobulin, intravenous เป็นพิษ การจับกับ super-antigen และ down-regulation
(IVIG) เป็นสารละลายทีใ่ ห้ทางหลอดเลือดดำ ประกอบด้วย ของหน้าที่ของ T และ B cell
heterogenous human IgG เป็นหลัก ร่วมกับ IgA และ IVIG ขึน้ ทะเบียนในหลายข้อบ่งใช้ แต่คณะอนุกรรมการ
IgM ในปริมาณน้อยมาก โดยได้มาจากเลือดผู้บริจาคซึ่ง พัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติได้พจิ ารณาอนุมตั เิ ฉพาะข้อบ่งใช้
ผ่านการตรวจ ไวรัสเอชไอวี และ ตับอักเสบชนิดบีแล้ว แม้วา่ ที่ มี ห ลั ก ฐานสนั บ สนุ น ประสิ ท ธิ ผ ลและความปลอดภั ย
IVIG ที่ผลิตได้มีปริมาณของ IgG subclass เหมือนกับ อย่างชัดเจน รวมทัง้ เป็นข้อบ่งใช้ทจ่ี ดั เป็นมาตรฐานการรักษา
ในพลาสมาของมนุษย์ แต่ titer จำเพาะต่อแอนติเจนของ แล้ว โดยกำหนดข้อบ่งใช้ไว้ 8 กรณี ดังนี้ (1) โรคคาวาซากิ
แต่ละบริษทั จะแตกต่างกัน นอกจากนี้ IVIG จากแต่ละบริษทั ระยะเฉียบพลัน (acute phase of Kawasaki disease)
ยังมีความแตกต่างกันในกระบวนการเตรียมยา การทำลาย (2) Guillain-Barre syndrome ที่มีอาการรุนแรง (3) โรค
ไวรัสที่อาจปนเปื้อนในเลือด สารที่ช่วยให้ยามีความคงตัว กล้ า มเนื้ อ อ่ อ นแรงชนิ ด ร้ า ยระยะวิ ก ฤต (myasthenia
ออสโมลาริตี และปริมาณของ IgA จึงทำให้ผลิตภัณฑ์ของ gravis, acute exacerbation หรือ myasthenic crisis
แต่ละบริษทั มีความแตกต่างกันเสมอ ในเดือนมีนาคมปี ค.ศ. (4) autoimmune hemolytic anemia (AIHA) ที่ไม่ ตอบ
2000 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ สนองต่อการรักษาตามขัน้ ตอนของมาตรฐานการรักษา และ
อเมริกา ได้กำหนดตัวชี้วัดประสิทธิผลของยาเพื่อการขึ้น มี อ าการรุ น แรงที่ อ าจเป็ น อั น ตรายถึ ง แก่ ชี วิ ต (5) he-
ทะเบียนผลิตภัณฑ์ IVIG ขึ้น โดยพิจารณาจากประสิทธิผล mophagocytic lymphohistiocytosis (HLH) (6) idio-
ในการป้องกันการติดเชื้อสำหรับผู้ป่วยโรค primary im- pathic thrombocytopenic purpura (ITP) ชนิดรุนแรง
munodeficiency (PID) ให้พบการติดเชือ้ ทีร่ นุ แรงได้ไม่เกิน (7) โรค pemphigus vulgaris ที่มีอาการรุนแรงและไม่
1 ครั้งต่อผู้ป่วย 1 คนต่อปี (การติดเชื้อที่รุนแรงหมายถึง ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยามาตรฐาน (8) โรคภูมิคุ้มกัน
ปอดอักเสบ การติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด ภาวะ บกพร่องปฐมภูมิ (primary immunodeficiency diseases)
พิษเหตุติดเชื้อ กระดูกอักเสบ ข้ออักเสบติดเชื้อ ฝีในอวัยวะ การใช้ IVIG นอกเหนือจากข้อบ่งใช้ที่ระบุไว้ข้างต้น
ภายใน เยือ่ หุม้ สมองอักเสบทีม่ สี าเหตุจากแบคทีเรียหรือไวรัส) อาจเป็นการใช้ที่ไม่เกิดประสิทธิผลอย่างชัดเจน ผู้ป่วยอาจ
ในปี 2552 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้เริ่ม ได้รับอันตรายจากยามากกว่าประโยชน์ หรือเป็นการใช้ยาที่
ทบทวนทะเบียนตำรับยา IVIG โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานสากล ไม่มีความคุ้มค่า เนื่องจากค่ายาในแต่ละ course ของการ
ในปัจจุบัน และอยู่ระหว่างการแก้ไขปรับปรุงให้ทะเบียน รักษามักมีคา่ ใช้จา่ ยประมาณ 5,000 บาทต่อน้ำหนักตัวผูป้ ว่ ย
ตำรับยามีข้อมูลบางส่วนเพิ่มเติมให้สมบูรณ์มากขึ้น ทั้งนี้ 1 กิโลกรัม จึงอาจก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่าจำนวนมาก
เพือ่ ประกันความปลอดภัย ประสิทธิผล และคุณภาพมาตรฐาน จนอาจส่งผลเสียต่อความยัง่ ยืนของระบบสวัสดิการการรักษา
ที่สำคัญเช่น การคัดกรองผู้บริจาคโลหิตเพื่อลดความเสี่ยง พยาบาลและระบบประกันสุขภาพของประเทศได้ หากมีการ
การติดเชื้อจากผลิตภัณฑ์ กระบวนการการกำจัดไวรัสหรือ ใช้ยาโดยปราศจากการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้ไวรัสหมดฤทธิ์และการตรวจสอบความถูกต้องของ
กระบวนการดังกล่าว เป็นต้น
กลไกการออกฤทธิ์ของ IVIG ที่ช่วยในการปรับสมดุลให้
กับระบบภูมคิ มุ้ กัน (immunomodulation) ยังไม่เป็นทีเ่ ข้าใจ
กันอย่างสมบูรณ์ แต่เชือ่ ว่าเกิดจากหลายกลไกทีป่ ระสานการ
ทำงานกันอย่างเป็นระบบได้แก่ ผลที่เกิดจากการจับกับ Fc
42 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
ข้อบ่งใช้ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
ช่วยประหยัดค่าการดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจและ
5.1.2 กลุ่มอาการ Guillain-Barre syndrome ที่มี
อาการรุนแรง การดูแลผูป้ ว่ ยในหน่วยอภิบาลไอซียู วันละประมาณหนึง่ ถึง
สองหมืน่ บาท ทัง้ นีต้ อ้ งวินจิ ฉัยโรคให้ถกู ต้อง และเป็นผูป้ ว่ ย
Guillain-Barre syndrome (GBS) เป็นโรคของ
ทีม่ อี าการรุนแรง โดยมีเกณฑ์การสัง่ ใช้ยาทีช่ ดั เจน เนือ่ งจาก
เส้ น ประสาทหลายเส้ น (polyneuropathy) เกิ ด การ
การใช้ยาในแต่ละ course จะมีค่ายาประมาณ 5,000 บาท
อักเสบเฉียบพลัน และเกิดพยาธิสภาพของปลอกไมอีลิน
ต่อน้ำหนักตัวผูป้ ว่ ย 1 กิโลกรัม หากวินจิ ฉัยโรคอย่างถูกต้อง
หรือแกนประสาท (axon) ซึ่งนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้ออ่อน
คาดว่ามีผู้ป่วย GBS ประมาณ 100 คนต่อปี และมีผู้ป่วย
แรงจนถึงการเป็นอัมพาตของแขนขาทั้งสองข้าง ร่วมกับ
ประมาณร้อยละ 15-30 ที่มีอาการรุนแรงจนต้องใช้เครื่อง
อาการอืน่ ๆ เช่น อัมพาตของกล้ามเนือ้ การหายใจ อัมพาตของ
ช่วยหายใจ
เส้นประสาทสมอง (เช่นมีอาการปากเบี้ยว) ความผิดปกติ
ของประสาทสัมผัส (เช่นชาบริเวณปลายมือ ปลายเท้า) 5.1.3 โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้ายระยะวิกฤต
ความผิ ด ปกติ ข องระบบประสาทอั ตโนมั ติ (เช่ น หั วใจ (myasthenia gravis, acute exacerbation
เต้นเร็วขึ้น) ลักษณะของโรคข้างต้นเป็น GBS ในรูปแบบ หรือ myasthenic crisis)
ของ acute inflammatory demyelinating polyneuropathy
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้ายระยะวิกฤต เป็นภาวะ
(AIDP) เป็ น รู ป แบบของโรคที่ พ บบ่ อ ยในประเทศแถบ
กล้ามเนือ้ อ่อนแรงทีเ่ ป็นอันตรายถึงชีวติ ในผูป้ ว่ ยโรค myas-
อเมริกาเหนือ และยุโรป
thenia gravis (MG) ที่มีอาการรุนแรงจนทำให้ต้องใส่ท่อ
GBS เป็นกลุ่มอาการที่อาจมีรูปแบบของโรคได้หลาย
ผ่านหลอดลม (intubation) เพื่อช่วยการหายใจ
แบบ เช่น รูปแบบของโรคแบบ acute motor axonal
MG เป็นโรคของการสื่อสัญญาณประสาทที่ลดลงทำให้
neuropathy (AMAN) เป็นรูปแบบของโรคที่พบบ่อยใน
กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นโรคเรื้อรังซึ่งมีการดำเนินโรคเลวลง
ประเทศจีนตอนเหนือ ญีป่ นุ่ เมกซิโก และอเมริกาใต้ แสดง
อย่างต่อเนื่อง เป็นโรคในกลุ่ม autoimmune disorder
อาการเฉพาะด้านประสาทสัง่ การ (motor) ไม่พบความผิดปกติ
เช่นเดียวกับ Guillain-Barre syndrome (หัวข้อ 5.1.2)
ของประสาทสัมผัส เป็นต้น
โดย MG เป็นโรคที่มีพยาธิสภาพบริเวณเยื่อบุรอยประสาน
สาเหตุของการเกิด GBS ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่า
ประสาทด้านตัวรับ (postsynaptic membrane) อันเป็น
เกิดหลังการติดเชื้อ ซึ่งกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ที่อยู่ของ acetylcholine receptor • ภาวะ autoimmune
ให้มีปฏิกิริยาต่อแอนติเจนที่เส้นประสาทส่วนปลาย ขณะ
(antibody mediated, T-cell dependent) ซึ่งเกิดขึ้น
แสดงอาการของโรคจะไม่พบว่าผู้ป่วยมีไข้ โรคนี้พบได้ทั้ง
โดยไม่ทราบสาเหตุ (แต่อาจมีต้นกำเนิดจากต่อมไทมัส) ทำ
ในเด็กและผู้ใหญ่ แต่พบในเด็กได้ไม่บ่อย
การทำลาย acetylcholine receptor ให้มปี ริมาณลดลงเรือ่ ยๆ
การรักษาที่เป็นมาตรฐานคือ plasma exchange (PE)
จนไม่เพียงพอต่อการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อตามปกติ เช่น
(plasmapheresis) หรือให้ยา IVIG จ(2) ซึ่งมีประสิทธิผล
ผูป้ ว่ ยอาจเคีย้ วอาหารไปได้พกั หนึง่ แล้วเคีย้ วต่อไม่ได้ เพราะ
ไม่แตกต่างกันหากให้ยาภายใน 2 สัปดาห์หลังเริ่มมีอาการ
กล้ามเนื้อขากรรไกรเริ่มไม่มีกำลัง
การให้การรักษาทัง้ สองวิธรี ว่ มกันไม่เกิดประโยชน์ การพิจารณา
MG อาจถูกกระตุ้นให้มีอาการรุนแรงอย่างฉับพลันด้วย
ให้การรักษาแบบใดนั้น ขึ้นอยู่กับภาวะของผู้ป่วย ดุลยพินิจ
ปัจจัยหลายประการ ที่พบบ่อยที่สุดคือเกิดขึ้นร่วมกับการ
ของแพทย์ และความพร้อมของสถานพยาบาล การรักษา
ติดเชื้อ หรืออาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ คลอดลูก ภายหลัง
ด้วยสเตรอยด์ซึ่งเดิมใช้เป็นยาหลักในการรักษาในปัจจุบัน
การผ่าตัด ระหว่างการลดยากดภูมิคุ้มกัน การได้รับยา
พบว่าไม่มีประโยชน์และไม่มีที่ใช้ในปัจจุบัน
บางชนิดเช่น aminoglycoside, erythromycin, azithro-
ประสิทธิผลของการให้ IVIG ในผู้ป่วย GBS ที่มีอาการ
mycin, beta-blocker, procainamide และ quinidine
รุนแรง หากให้ยาทันเวลา (ภายใน 14 วัน) จะทำให้ถอด
รวมทั้ง magnesium นอกจากนี้ภาวะวิกฤตนี้อาจขึ้นเอง
เครือ่ งช่วยหายใจออกได้เร็วขึน้ 9 วัน (จากค่าเฉลีย่ 23 วัน)
จากการดำเนินโรคตามปกติของ MG
44 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
ข้อบ่งใช้ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
mycophenolate mofetil (ง) ตลอดจนการตัดม้าม
5.1.5 hemophagocytic lymphohistiocytosis
(splenectomy) เป็นทางเลือกขั้นต่อไปของการรักษา เมื่อ (HLH)
การรักษาข้างต้นล้มเหลวและผูป้ ว่ ยมีภาวะเลือดจางขัน้ วิกฤติ
ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต จึงใช้ IVIG จ(2) เป็นทางเลือก โรค hemophagocytic lymphohistiocytosis (HLH)
ลำดับถัดไป ทั้งนี้เพราะสำหรับโรคนี้ IVIG มีประสิทธิผลต่ำ หรือที่เรียกในชื่ออื่นๆ ว่า autosomal recessive familial
กล่าวคือได้ผลเพียงประมาณร้อยละ 40 ของผู้ป่วยและ hemophagocytic lymphohistiocytosis (FHL), familial
ในบางกรณีอาจต้องใช้ยาในขนาดสูงกว่าปกติถึง 2 เท่า erythrophagocytic lymphohistiocytosis (FEL) และ
(1 กรัม/กิโลกรัม/วัน นาน 5 วัน) นอกจากนีผ้ ลทีไ่ ด้ยงั ดำรง viral-associated hemophagocytic syndrome (VAHS)
อยู่เพียงชั่วคราวคือไม่เกิน 3 สัปดาห์ การขจัดสิ่งกระตุ้น หรือ infection associated hemophagocytic syndrome
การสร้าง autoantibody เป็นสิ่งจำเป็น เช่น การหยุดยา (IAHS) • HLH เป็นโรคที่อาจคุกคามต่อชีวิตของผู้ป่วย
บางชนิดที่ผู้ป่วยใช้อยู่ (เช่น ยาปฏิชีวนะ และ NSAID) โดยพบบ่อยที่สุดในเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 18
ไม่แนะนำให้ใช้ IVIG เป็นประจำในการรักษาโรค AIHA เดือน แต่มีรายงานการพบได้บ้างในเด็กโตและผู้ใหญ่ โรค
และไม่อนุมัติให้ใช้ในเด็กเนื่องจากไม่มีหลักฐานสนับสนุน HLH มีสาเหตุจากปัจจัยหลายประการ เช่น พันธุกรรม
และเด็กส่วนใหญ่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย IVIG โดย การติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ (เช่น HIV, herpes simplex,
IVIG อาจนำมาพิจารณาเป็นทางเลือกหนึง่ สำหรับการรักษา varicella-zoster และ measles) ภาวะภูมติ า้ นทานต่อต้าน
โรค AIHA ที่เป็นอันตรายและคุกคามต่อชีวิตและเป็นไป ตนเอง (เช่น lupus erythematosus และ rheumatoid
ตามข้อกำหนดของแนวทางกำกับการใช้ยาเท่านั้น arthritis) และมะเร็งบางชนิด (เช่นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
cold agglutinin มีแอนติบอดีชนิด IgM ที่ทำการจับ และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง) รวมทั้งภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
กับโปรตีนบนผิวของเม็ดเลือดแดง ซึ่งถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้น ปฐมภูมิและโรคคาวาซากิ เป็นต้น
ด้วยการติดเชื้อหรือจากมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปุ่ม โรค HLH เป็นกลุ่มอาการที่มีลักษณะสำคัญคือ มีไข้
น้ำเหลือง (lymphoma) การจับกับโปรตีนจะเกิดขึน้ ทีอ่ ณ
ุ หภูมิ ม้ามโต มี cytopenia อย่างน้อย 2 ระบบขึ้นไป มีการตรวจ
ต่ำกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกาย ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะมีภาวะ พบระดับไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือดหรือระดับไฟบริโนเจนต่ำ
เลือดจางที่ไม่รุนแรง จะตรวจพบ direct antiglobulin ในเลือดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างร่วมกัน ร่วมกับ
(Coomb’s) test (Anti-C3) ให้ผลบวก ในขณะที่ตรวจ การตรวจพบภาวะเม็ ด เลื อ ดถู ก กิ นโดย macrophage
Anti-IgG ให้ผลลบ การทำลายเม็ดเลือดแดงจะเกิดขึ้นที่ตับ (hemophagocytosis) ในเนื้อเยื่อของต่อมน้ำเหลืองหรือ
ไม่ใช่ที่ม้าม การรักษาที่มีประโยชน์ที่สุดคือการให้ผู้ป่วย ไขกระดูก
หลีกเลีย่ งความเย็น ด้วยการแต่งกายด้วยเครือ่ งแต่งกายทีม่ ี เนื่องจากโรค HLH เป็นโรคที่วินิจฉัยได้ยาก เป็นโรคที่
ความอบอุ่นตลอดเวลา แม้เป็นช่วงที่อากาศไม่หนาวเย็น มีอตั ราการเสียชีวติ สูงมาก และการรักษาโรคมีความซับซ้อน
ทางเลือกในการรักษาประกอบด้วย cyclophosphamide ผู้ป่วยจึงควรได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทางในอนุสาขา
(ค) chlorambucil (ค) rituximab และ plasmepheresis โลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็กอย่างเร่งด่วน
ส่วนคอร์ตโิ คสเตรอยด์ (ก) IVIG จ(2) และการตัดม้ามแทบ แนวทางการรักษาที่ใช้เป็นมาตรฐานในหลายประเทศ
ไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ และไม่แนะนำให้ใช้ ทั่วโลกอ้างอิงจาก HLH-94 protocol (ต่อมาพัฒนาเป็น
HLH-2004 protocol) ของสมาคม histiocyte แห่ง
ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการใช้ยา dexamethasone (ก)
etoposide (ค) cyclosporine (ค) และ methotrexate
(ค) ร่วมกันอย่างเป็นขัน้ ตอน ตามด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก
ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยบางรายในการรักษา
โรคให้หายขาด
46 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
ข้อบ่งใช้ตามบัญชียาหลักแห่งชาติ < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
5.1.7 โรค pemphigus vulgaris ทีม่ อี าการรุนแรง และ 5.1.8 โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (primary immu-
ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยามาตรฐาน nodeficiency diseases)
pemphigus vulgaris (PV) เป็นโรคที่เกิดภูมิต้านทาน ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ (primary
(IgG) ต่อเซลล์ผิวหนังของตนเอง ทำให้เกิดการหลุดลอก immunodeficiency diseases) จะขาดกลไกสำคัญในการ
แยกตัวของหนังกำพร้าและเยือ่ บุ พบได้บอ่ ยในช่วงอายุ 50-60 ป้องกันตัวต่อเชื้อก่อโรคทั่วไป ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานต่อ
ปี โดยพบในชายและหญิงเท่าๆ กัน มักพบรอยโรคทีห่ นังศีรษะ การติดเชื้อที่รุนแรงถึงชีวิตตลอดชีวิตของผู้ป่วย การติดเชื้อ
ใบหน้า คอ รักแร้ ลำตัว และในช่องปาก รายทีม่ กี ารดำเนิน ดังกล่าวจะทำลายอวัยวะหลายส่วนอย่างถาวร โดยเฉพาะ
ของโรคอย่างรุนแรงอาจพบรอยโรคที่คอหอย กล่องเสียง ปอดและทางเดินอาหาร ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้บ่อยขึ้น
หลอดอาหาร เยื่อตา อวัยวะเพศหญิงภายนอก (vulva) และรุนแรงขึ้น ทั้งนี้มีหลายภาวะที่เป็นโรคทางพันธุกรรม
และไส้ตรง ซึง่ เริม่ แรกอาจมีอาการคัน ต่อมามีการหลุดลอก และไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงต้องให้การรักษาด้วย
ของผิวหนังจนเกิดแผลถลอก รอยโรคเหล่านี้มักหายไปโดย replacement immunoglobulin therapy ตลอดชีวิต จึง
ไม่เกิดแผลเป็น แต่มักเกิดรอยดำ (postinflammatory มีคา่ ใช้จา่ ยทีส่ งู มากโดยเฉพาะอย่างยิง่ เมือ่ ผูป้ ว่ ยมีนำ้ หนักตัว
hyperpigmentation) ตามมา หากมีการติดเชื้อแทรกซ้อน เพิ่มมากขึ้น
หรือเป็นแผลลึกถึงชัน้ หนังแท้จะทำให้เกิดแผลเป็นได้ ในราย ยา IVIG จ(2) มีประโยชน์ในการลดอุบตั กิ ารณ์ของการ
ที่เป็นรุนแรงมากอาจมีแผลเหมือนแผลไฟไหม้ ซึ่งอาจทำให้ ติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง
ผูป้ ว่ ยเสียชีวติ ความรุนแรงของโรคแบ่งตามพืน้ ทีผ่ น่ื โดยแบ่ง ลดการใช้ยาปฏิชวี นะลง ผูป้ ว่ ยต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
เป็น ก. ระดับอ่อนคือ มีพื้นที่ผื่น < 10% ของพื้นที่ผิวกาย น้อยครั้งลง การทำงานของปอดดีขึ้น การเจริญเติบโตและ
ข. ระดับปานกลางคือ มีพนื้ ทีผ่ นื่ 10-30% ของพืน้ ทีผ่ วิ กาย คุณภาพชีวติ ดีขนึ้ การใช้ยา IVIG จึงเป็นวิธรี กั ษาทีช่ ว่ ยรักษา
ค. ระดับรุนแรงคือ มีพื้นที่ผื่น > 30% ของพื้นที่ผิวกาย ชีวิต และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
จำนวนผู้ป่วยระดับรุนแรงที่โรงพยาบาลศิริราชมีประมาณ ปฐมภูมิ
15-20 รายต่อปี โรคนี้แม้ว่าจะพบได้น้อยแต่ก็ทำให้ผู้ป่วย การจะทำให้ผปู้ ว่ ยเข้าถึงยาได้อย่างทัว่ ถึง และสร้างความ
7 ใน 10 รายเสียชีวิตได้ มีอุบัติการณ์การเกิดโรคนี้ทั่วโลก ยั่งยืนให้กับระบบการเงินของหน่วยงานสิทธิประโยชน์และ
ระหว่าง 0.5-3.2 รายต่อประชากร 100,000 คน สวัสดิการด้านสุขภาพ จำเป็นต้องมีการกำหนดเกณฑ์การใช้
ทางเลือกในการรักษาประกอบด้วย plasma exchange และการติดตามการใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมการใช้ยา
(plasmapheresis) เคมีบำบัด ยากดภูมคิ มุ้ กัน และการให้ยา ให้เป็นไปอย่างคุ้มค่า
IVIG จ(2) ซึ่งการรักษาให้เริ่มด้วย prednisolone (ก) กำหนดให้ใช้ยา IVIG ได้ในโรคภูมคิ มุ้ กันบกพร่องปฐมภูมิ
สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อ prednisolone และผู้ป่วย ประเภทใดประเภทหนึง่ ดังนี้ โดยมีการระบุชอื่ โรคอย่างชัดเจน
ระดับปานกลางถึงรุนแรงให้คงยาไว้ แล้วเพิม่ ยากดภูมคิ มุ้ กัน ตามตารางที่ 1
เช่น cyclophosphamide (ค) หรือ azathioprine (ค) 1. ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิประเภทที่ขาด B
เนื่องจากข้อมูลการใช้ยา IVIG ในโรคนี้ยังมีจำกัด จึงไม่ cell เช่น X-linked agammaglobulinemia, severe com-
ทราบประสิทธิผลรวมถึงความปลอดภัยทีแ่ น่ชดั ยา IVIG จึง bined immunodeficiency
ควรใช้เฉพาะเมื่อผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและได้รับการรักษา 2. ผูป้ ว่ ยโรคภูมคิ มุ้ กันบกพร่องปฐมภูมปิ ระเภททีม่ ปี ริมาณ
ด้วยวิธอี นื่ แล้วไม่ได้ผล อนึง่ การรักษาด้วยยา IVIG ในผูป้ ว่ ย immunoglobulin ต่ำ และมีความผิดปกติในการสร้าง
โรค pemphigus vulgaris 1 รายมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2 specific antibody เช่น common variable immuno-
ล้านบาท เนื่องจากต้องให้การรักษาหลาย cycle ซึ่งเป็น deficiency, hyper-IgM syndrome
ค่าใช้จา่ ยทีส่ งู มาก จึงต้องใช้ยานีภ้ ายใต้หลักเกณฑ์และเงือ่ นไข 3. ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิประเภทที่มีปริมาณ
การสั่งใช้ยาอย่างเคร่งครัด immunoglobulin ปกติ แต่มีความผิดปกติในการสร้าง
48 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
เอกสารเฉพาะเรื่อง (monograph) < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
ลดลง ผูป้ ว่ ยโรคไต เบาหวาน ผูส้ งู อายุ ผูอ้ ยูใ่ นภาวะขาดน้ำ ผลข้างเคียง
หรือมีปริมาตรเลือดน้อย ภาวะพิษจากการติดเชื้อ ภาวะ แอนาฟิแล็กซิส แพ้ยา ปฏิกริ ยิ าอันเกิดจากการให้ยา Coombs’
paraproteinemia หรือผูไ้ ด้รบั ยาทีม่ พี ษิ ต่อไตร่วมด้วย) โดย test ให้ผลบวก transfusion-related acute lung injury
ให้ผปู้ ว่ ยได้รบั น้ำอย่างพอเพียง เฝ้าติดตามการทำงานของไต (TRALI) เหงื่อท่วม กลุ่มอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ • หัวใจ
และปริมาณปัสสาวะที่ขับออกมาซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก (ถ้า หยุดเต้น เจ็บหน้าอก ปอดบวมน้ำ ภาวะลิ่มเลือดหลุดอุด
การทำงานของไตลดลงควรพิจารณาหยุดยา) ไม่ให้ยาใน หลอดเลือด ช็อค ออกซิเจนต่ำในเลือด อาการเขียวคล้ำ
ขนาดยาเกินกว่าทีแ่ นะนำ ใช้ความเข้มข้นของยาให้นอ้ ยทีส่ ดุ แน่นหน้าอก บวมน้ำ หน้าแดง ความดันเลือดต่ำหรือสูง ใจสัน่
และปล่อยให้ยาไหลเข้าหลอดเลือดในอัตราที่ต่ำที่สุด (ดู หัวใจเต้นเร็ว • ชัก โคม่า หมดสติ วิตกกังวล กลุ่มอาการ
คำแนะนำในการให้ยา) การตัง้ ครรภ์ ใช้เฉพาะเมือ่ ประโยชน์ เยือ่ หุม้ สมองและไขสันหลังอักเสบชนิดปลอดเชือ้ หนาวสะท้าน
มีมากกว่าความเสี่ยงจากการใช้ยาอย่างชัดเจน (US Preg- เวียนศีรษะ ง่วง รู้สึกล้า ไข้ ปวดศีรษะ หงุดหงิด เซื่องซึม
nancy Category C, ADEC Category ไม่ระบุ หญิงให้นมบุตร หน้ามืด รู้สึกไม่สบาย ไมเกรน ปวด • กลุ่มอาการสตีเวนส์
ยังไม่ทราบแน่ชดั ว่าถูกขับออกทางน้ำนม หรือไม่จงึ ควรระวัง จอห์นสัน ผิวหนังอักเสบเป็นตุ่มพองใหญ่ erythema mul-
ในหญิงให้นมบุตร เด็ก ไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิผลและ tiforme รอยฟกช้ำ จุดเลือดออก คัน เพอร์พวิ รา ผืน่ ลมพิษ
ความปลอดภัยของการใช้ยานี้ในเด็กแรกเกิด และทารก • ตะคริวที่ท้อง ปวดท้อง ท้องร่วง ไม่สบายท้อง อาหาร
ผู้สูงอายุ ผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการ ไม่ย่อย คลื่นไส้ เจ็บคอ อาเจียน • เม็ดเลือดขาวต่ำ ภาวะ
ทำงานของไตผิดปกติเมื่อได้รับยา IVIG อันตรกิริยา ควร พร่องเม็ดเลือดทุกชนิด เลือดจาง เลือดจางเนือ่ งจากเม็ดเลือด
หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับวัคซีนชนิดเชื้อเป็น เช่น วัคซีน แดงแตกจากภูมิต้านตนเอง เม็ดเลือดแดงแตก เลือดออก
ป้องกันโรคหัด หัดเยอรมันและคางทูม วัคซีนป้องกันไวรัส เกล็ดเลือดน้อย • บิลิรูบินเพิ่มขึ้น LDH เพิ่มขึ้น ค่า
โรตา วัคซีนป้องกันโรคอีสกุ อีใส โดยควรมีระยะห่างอย่างน้อย การทำงานของตับผิดปกติ • กล้ามเนื้อสั่น ปวดหรือ
3 เดือนหลังการให้ IVIG ก่อนให้วคั ซีนชนิดเชือ้ เป็น คำเตือน ระคายเคืองบริเวณทีใ่ ห้ยา ปวดข้อ หลัง หรือสะโพก ตะคริว
และข้อควรระวังอื่นๆ ผู้ป่วยต้องไม่อยู่ในภาวะขาดน้ำก่อน ทีข่ าและกล้ามเนือ้ ปวดกล้ามเนือ้ ปวดคอ อ่อนแรง • ปวดหู
เริ่มให้ยา IVIG • อาจพบภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือด • ไตวายแบบเฉียบพลัน acute tubular necrosis ไร้ปสั สาวะ
ได้จากการให้ยา IVIG แม้พบได้น้อยมากแต่ควรใช้ด้วย ค่า BUN และครีแอทินินเพิ่มขึ้น ปัสสาวะน้อย proximal
ความระมัดระวังในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุด tubular nephropathy และ osmotic nephrosis • หยุด
หลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดดำ และในบุคคลที่มีรูปร่าง หายใจ adult respiratory distress syndrome (ARDS)
อ้วน ซึง่ ผลข้างเคียงนีม้ คี วามสัมพันธ์กบั อัตราเร็วในการให้ยา สิง่ หลุดอุดหลอดเลือดแดงในปอด หืดกำเริบ เสียงหวีดขณะ
(ดูคำแนะนำในการให้ยาในหน้าถัดไป) • ผู้ป่วยควรได้รับ หายใจ หลอดลมอักเสบ ไอ หายใจลำบาก เลือดกำเดาไหล
การติดตามปฏิกริ ยิ าอันเกิดจากการให้ยาทัง้ ระหว่างให้ยาและ คัดจมูก เจ็บคอหอย น้ำมูกไหล ไซนัสอักเสบ ทางเดินหายใจ
หลังการให้ยาหยุดการให้ยาเมือ่ พบอาการแสดงของปฏิกริ ยิ า ส่วนบนติดเชื้อ
ดังกล่าว คือมีไข้ หนาวสะท้าน คลื่นไส้ อาเจียน และช็อค
(พบได้น้อย) ความเสี่ยงต่อปฏิกิริยาดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นใน
กรณีท่เี ริ่มให้ยา หรือเมื่อเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของยาและเมื่อ
หยุดการรักษาไปนานกว่า 8 สัปดาห์
ข้อห้ามใช้
ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้อิมมูโนโกลบูลินและส่วนประกอบของยา
ผู้ป่วย selective IgA deficiency
50 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
เอกสารเฉพาะเรื่อง (monograph) < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
52 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
แนวทางกำกับการใช้ยาและแบบฟอร์มกำกับการใช้ยา < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
drug hypersensitivity reactions, Stevens-Johnson 4.5 กรอกแบบฟอร์มที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียา
syndrome, juvenile rheumatoid arthritis, Rocky หลักแห่งชาติกำหนดทุกครั้งที่ใช้ยากับผู้ป่วย***
mountain spotted fever, leptospirosis, mercury 5. ขนาดยาที่แนะนำ และวิธีให้ยา
hypersensitivity reaction (acrodynia) ให้ยาในขนาด 2 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อครั้ง
4.2 วินิจฉัยโรคได้ไม่ครบถ้วนตามเกณฑ์ของคาวาซากิ โดยการให้ยาเพียงครัง้ เดียว (single dose) ภายในระยะ 10
(incomplete Kawasaki disease) แต่มีการตรวจทางห้อง วันหลังจากทีเ่ ริม่ มีไข้ เนือ่ งจากมีหลักฐานว่าการให้ยาเกินกว่า
ปฏิบัติการที่เข้าได้กับโรค ตามเกณฑ์ของ American Heart ระยะเวลาดังกล่าวไม่ให้ประโยชน์ในการรักษา ให้ยาด้วยวิธี
Association และ American Academy of Pediatrics continuous drip โดยเริ่มให้ยาในขนาด 0.6 มิลลิลิตรต่อ
(AHA/AAP guidelines) ได้แก่ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อชัว่ โมง และเพิม่ อัตราครัง้ ละเท่าตัวทุก
4.2.1 มีค่า ESR > 40 mm/hour และ/หรือ CRP 30 นาที (ขนาดสูงสุดไม่เกิน 4.8 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1
> 3 mg/dL ร่วมกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นพบ กิโลกรัมต่อชัว่ โมง) จนได้อตั ราทีใ่ ห้ IVIG ได้หมดใน 12 ชัว่ โมง
ความผิดปกติตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป ได้แก่ 6. การติดตามผลการรักษา
• ALT สูงกว่า 2.5 เท่าของค่าปกติ 6.1 ขณะให้ยาควรบันทึกสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที ใน
• WBC count > 15,000/mm3 2 ชัว่ โมงแรก หลังจากนัน้ ถ้าไม่พบความผิดปกติให้บนั ทึกทุก
• มีภาวะโลหิตจาง (เมือ่ เทียบกับอายุของผูป้ ว่ ย) 1 ชั่วโมง
• platelet count > 450,000/mm3 (ไข้ 6.2 ให้สงั เกตการเกิดผืน่ และการหายใจ ถ้ามีอาการผิดปกติ
มากกว่า 7 วัน) ให้หยุดการให้ยา และรักษาอาการแพ้
• การตรวจปัสสาวะพบเม็ดเลือดขาว > 10/HPF 6.3 ผู้ป่วยโรคคาวาซากิทุกรายที่ยังไม่ได้รับการตรวจ
• serum albumin < 3g/dL echocardiogram ณ วันที่วินิจฉัยโรค ต้องได้รับการตรวจ
4.2.2 ตรวจพบความผิดปกติของ echocardiogram echocardiogram ภายในเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์
4.3 กรณีโรคคาวาซากิระยะเฉียบพลันทีด่ อ้ื ต่อการรักษา 6.4 ควรทำ echocardiogram ซ้ำที่ 2 เดือน หลังเริม่ ป่วย
ด้วย IVIG ในครั้งแรก พิจารณาให้ IVIG ซ้ำได้อีก 1 ครั้ง
เท่านัน้ (ใช้ขนาดยาและวิธกี ารให้ยาตามข้อ 5) โดยมีเกณฑ์
การวินิจฉัยดังต่อไปนี้
• ลักษณะทางคลินกิ และผลการตรวจทางห้องปฏิบตั กิ าร
ยังคงเข้าได้กับโรคคาวาซากิ
• ยังตรวจไม่พบสาเหตุอื่นๆ ของไข้
• หลังจากการให้ IVIG dose แรกเสร็จสิ้นไปแล้ว
นานกว่า 36 - 48 ชั่วโมงผู้ป่วยยังคงมีไข้อยู่
4.4 ต้องไม่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminally ill)**
58 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุผลตามบัญชียาหลักแห่งชาติ บัญชี จ(2) 59
60 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
แนวทางกำกับการใช้ยาและแบบฟอร์มกำกับการใช้ยา < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
4.1.2.4 มี fluctuation of weakness
5.3.3 โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้ายระยะวิกฤต
(myasthenia gravis, acute exacerbation 4.1.3 มีประวัติหรือมีผลทางห้องปฏิบัติการข้อใดข้อ
หรือ myasthenic crisis) หนึ่งดังนี้
4.1.3.1 มีบนั ทึกในประวัตวิ า่ เป็นโรคกล้ามเนือ้
แนวทางกำกับการใช้ยา
อ่อนแรงชนิดร้าย(MG)
1. ระบบอนุมัติการใช้ยา
4.1.3.2 repetition nerve stimulation (RNS)
ขออนุมัติการใช้ยา IVIG จากหน่วยงานสิทธิประโยชน์
test ให้ผลบวก
ภายหลังการรักษา (post authorization) เนือ่ งจากเป็นโรค
4.1.3.3 prostigmine test ให้ผลบวก
ฉุกเฉินและจำเป็นต้องให้ยาในทันทีมิฉะนั้นผู้ป่วยอาจถึงแก่
4.1.3.4 single-fiber electromyography
ชีวิตได้
(SFEMG) ให้ผลบวก
2. คุณสมบัติของสถานพยาบาล
4.2 อนุมัติให้ใช้ยา IVIG ได้ไม่เกิน 2 กรัมต่อกิโลกรัม
เป็นสถานพยาบาลระดับตติยภูมิขึ้นไปที่มีศักยภาพใน
ต่อการรับไว้ในโรงพยาบาล 1 ครัง้ โดยอาจให้ยา 1 หรือ 1.2
การดูแลผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจ
กรัมต่อกิโลกรัมก่อนในวันแรก ถ้าไม่ได้ผลจึงให้ตอ่ จนครบ 2
3. คุณสมบัติของแพทย์ผู้ทำการรักษา
กรัมต่อกิโลกรัม หลังการรักษาภาวะฉุกเฉิน แพทย์ควรให้
เป็นแพทย์ผเู้ ชีย่ วชาญทีไ่ ด้รบั หนังสืออนุมตั ิ หรือวุฒบิ ตั ร
การรักษาโรคด้วยวิธีการอื่นที่เหมาะสมต่อไป
จากแพทยสภาในสาขาประสาทวิทยาหรืออนุสาขากุมารเวช-
4.3 ต้องไม่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminally ill)**
ศาสตร์ประสาทวิทยา ซึง่ ปฏิบตั งิ านในสถานพยาบาลตามข้อ 2
4.4 กรอกแบบฟอร์มทีค่ ณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียา
4. เกณฑ์อนุมัติการใช้ยา*
หลักแห่งชาติกำหนดทุกครั้งที่จะใช้ยากับผู้ป่วย***
อนุมัติการใช้ IVIG ในโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดร้ายระ
5. ขนาดยาที่แนะนำ
ยะวิกฤตเท่านัน้ (ไม่อนุมตั ใิ ห้ใช้ในโรคกล้ามเนือ้ อ่อนแรงชนิด
ให้ยา IVIG ในขนาด 1-1.2 กรัมต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 1
ร้ายในระยะอื่น) โดยมีเกณฑ์ดังนี้
วัน แล้วประเมินผลการรักษา หากไม่ได้ผล จึงให้ตอ่ อีกจนครบ
4.1 ผูป้ ว่ ยได้รบั การตรวจวินจิ ฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนือ้ อ่อน
2 กรัมต่อกิโลกรัม โดยมีวิธีการบริหารยาดังนี้
แรงชนิดร้ายระยะวิกฤต อย่างชัดเจนโดยมีประวัติ อาการ
5.1 ให้ยา IVIG 0.4 กรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน เป็นเวลา 3
และอาการแสดงดังต่อไปนี้
วัน หากไม่ได้ผลจึงพิจารณาให้ต่ออีก 2 วัน จนครบ 2 กรัม
4.1.1 มีการหายใจล้มเหลวซึ่งมีสาเหตุจากกะบังลม
ต่อกิโลกรัม (ขนาดยารวม 1.2 กรัมต่อกิโลกรัม มีประสิทธิผล
หรือกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงอ่อนแรง
เท่ากับ 2 กรัมต่อกิโลกรัม)
4.1.2 มีอาการแสดงทางคลินิกข้อใดข้อหนึ่งดังนี้
5.2 1 กรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน เป็นเวลา 1 วัน หากไม่ได้
4.1.2.1 มี ห นั ง ตาตก เห็ น ภาพซ้ อ น หรื อ
ผลจึงพิจารณาให้ต่ออีก 1 วัน จนครบ 2 กรัมต่อกิโลกรัม
การกลอกตาผิดปกติ (oculomotor disturbance)
(ขนาดยารวม 1 กรัมต่อกิโลกรัม มีประสิทธิผลเท่ากับ 2
4.1.2.2 มีอาการที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นประสาท
กรัมต่อกิโลกรัม)
สมอง เช่น อัมพาตใบหน้าครึ่งซีก (facial palsy) หรือ
bulbar weakness
** ผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminally ill) หมายถึง ผู้ป่วยโรคทางกายซึ่งไม่
4.1.2.3 มี generalized weakness หรือ สามารถรักษาได้ (incurable) และไม่สามารถช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้น
proximal muscle weaknes (irreversible) ซึ่งในความเห็นของแพทย์ผู้รักษา ผู้ป่วยจะเสียชีวิตใน
ระยะเวลาอันสั้น
* กรณีที่แพทย์ผู้รักษาเห็นว่า ควรใช้ยาแตกต่างจากเกณฑ์การใช้ยาที่ หมายเหตุ ผู้ป่วยดังกล่าวควรได้รับการรักษาแบบประคับประคอง
กำหนด ให้ขออนุมตั กิ ารใช้ยาต่อคณะทำงานกำกับดูแลการสัง่ ใช้ยาบัญชี (palliative care) โดยมุง่ หวังให้ลดความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน
จ(2) ทีค่ ณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติแต่งตัง้ โดยนำเสนอ เป็นสำคัญ
หลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนว่าการใช้ยานอกเหนือจากแนวทาง *** โปรดเก็บรักษาข้อมูลไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการใช้ยา
ที่กำหนดไว้ จะเกิดผลดีกับผู้ป่วย และมีความคุ้มค่า โดยหน่วยงานการกำกับดูแลการสั่งใช้ยาบัญชี จ(2)
64 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
แนวทางกำกับการใช้ยาและแบบฟอร์มกำกับการใช้ยา < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
หมายเหตุ ยาแต่ละบริษัทอาจมีวิธีการให้ยาที่แตกต่างกัน
โปรดอ่านวิธีให้ยาจากเอกสารกำกับยาก่อนให้ยา
6. การติดตามผลการรักษา
6.1 ขณะให้ยาควรวัดชีพจร และความดันโลหิต ทุก 15
นาที ใน 2 ชั่วโมงแรก หลังจากนั้นถ้าไม่พบความผิดปกติ
ให้บนั ทึกทุก 1 ชัว่ โมง จนสิน้ สุดการให้ IVIG แล้ว 60 นาที
6.2 ให้สงั เกตการเกิดผืน่ และการหายใจ ถ้ามีอาการผิดปกติ
ให้หยุดการให้ยา และรักษาอาการแพ้
6.3 หากเกิดอาการข้างเคียง เช่น มีอาการเวียนศีรษะ
ปวดศีรษะ หรือคลื่นไส้อาเจียน ให้แก้ไขโดยการลดอัตรา
การให้ยาลงร้อยละ 25-50
68 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุผลตามบัญชียาหลักแห่งชาติ บัญชี จ(2) 69
70 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
แนวทางกำกับการใช้ยาและแบบฟอร์มกำกับการใช้ยา < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
4.3 กรณีมี absolute indication โดยผู้ป่วยโรค ITP
5.3.6 โรค idiopathic thrombocytopenic purpura
(ITP) ชนิดรุนแรง มีอาการรุนแรง เป็นไปตามเกณฑ์ครบถ้วนทุกข้อดังนี้
4.3.1 ไม่ใช้ IVIG เป็นยาขนานแรก และไม่ใช้ IVIG
แนวทางกำกับการใช้ยา เป็นยาเดี่ยวในการรักษา โดยให้ IVIG ร่วมกับเกล็ดเลือด
1. ระบบอนุมัติการใช้ยา และคอร์ติโคสเตอรอยด์
ขออนุมัติการใช้ยา IVIG จากหน่วยงานสิทธิประโยชน์ 4.3.2 มีจำนวนเกล็ดเลือดน้อยกว่า 20,000/mm3
ภายหลังการรักษา (post-authorization) เนื่องจากผู้ป่วย 4.3.3 มีภาวะเลือดออกรุนแรงทีค่ กุ คามต่อชีวติ ได้แก่
ส่วนใหญ่ มักมาด้วยอาการฉุกเฉิน และจำเป็นต้องได้รับยา ภาวะเลือดออกในอวัยวะสำคัญ เช่น สมอง ปอด ช่องท้อง
อย่างทันท่วงทีมิฉะนั้นอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ช่องอก และทางเดินอาหาร
2. คุณสมบัติของสถานพยาบาล 4.3.4 ใช้ยา IVIG ภายหลังการให้การรักษามาตรฐาน
2.1 เป็นสถานพยาบาลระดับตติยภูมิขึ้นไป แล้วไม่ตอบสนองต่อการรักษา เช่น anti-Rho (D) immune
2.2 กรณีเป็นสถานพยาบาลระดับทุตยิ ภูมทิ ม่ี คี วามพร้อม globulin, คอร์ติโคสเตรอยด์ หรือเกล็ดเลือดร่วมกับคอร์ติ-
ในการวินิจฉัยและติดตามผลการรักษา ให้สถานพยาบาล โคสเตรอยด์นาน 3-7 วันยังคงมีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำมาก
แจ้งความประสงค์ต่อหน่วยงานกำกับดูแลการสั่งใช้ยาบัญชี หรือมีจำนวนลดลง
จ(2) เพือ่ ขออนุมตั ิ และลงทะเบียนสถานพยาบาลแต่ละแห่ง 4.4 กรณีมี relative indication โดยผูป้ ว่ ยโรค ITP ทีจ่ ำเป็น
ต้องได้รับการตัดม้าม โดยมีเกณฑ์ครบถ้วนทุกข้อดังนี้
เป็นกรณีไป
4.4.1 มีจำนวนเกล็ดเลือดน้อยกว่า 50,000/mm3
3. คุณสมบัติของแพทย์ผู้ทำการรักษา
ก่อนการผ่าตัด
เป็นแพทย์ผเู้ ชีย่ วชาญทีไ่ ด้รบั หนังสืออนุมตั ิ หรือวุฒบิ ตั ร
4.4.2 ได้รับคอร์ติโคสเตรอยด์ และ anti-Rho (D)
จากแพทยสภาในสาขาอายุรศาสตร์โรคเลือด หรืออนุสาขา immune globulin แล้ว แต่ไม่สามารถเพิม่ จำนวนเกล็ดเลือด
โลหิตวิทยาและมะเร็งในเด็ก ซึง่ ปฏิบตั งิ านในสถานพยาบาล ให้มากกว่า 50,000/mm3 ได้
ที่ได้รับการอนุมัติในข้อ 2 4.5 ต้องไม่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminally ill)**
4. เกณฑ์อนุมัติการใช้ยา* 4.6 กรอกแบบฟอร์มที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียา
อนุมัติการใช้ยา IVIG ในโรค idiopathic thrombocy- หลักแห่งชาติกำหนดทุกครั้งที่จะใช้ยากับผู้ป่วย***
topenic purpura (ITP) ชนิดรุนแรง โดยมีเกณฑ์ดังนี้ 5. ขนาดยาที่แนะนำ และวิธีการให้ยา
4.1 ผูป้ ว่ ยแต่ละรายอนุมตั ใิ ห้ใช้ยา IVIG ได้ไม่เกิน 2 กรัม เด็กและผูใ้ หญ่ ให้ยาในขนาด 400 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว
ต่อกิโลกรัม ต่อการรับไว้ในโรงพยาบาล 1 ครัง้ และไม่ให้ยาซ้ำ 1 กิโลกรัมต่อวัน เป็นเวลา 2-5 วัน หรือ ให้ยาในขนาด 1
ในการรักษาคราวเดียวกัน กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน เป็นเวลา 2 วัน โดยเริม่
4.2 เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค ITP ที่มี ให้ยาในขนาด 0.6 มิลลิลติ รต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อชัว่ โมง
อาการรุนแรง โดยมีเกณฑ์ครบถ้วนทุกข้อดังนี้ และเพิม่ อัตราครัง้ ละเท่าตัวทุก 30 นาที (ขนาดสูงสุดไม่เกิน
4.2.1 มีเลือดออกผิดปกติทเ่ี กิดจากจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ 4.8 มิลลิลติ รต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อชัว่ โมง) จนได้อตั รา
4.2.2 มี isolated thrombocytopenia ร่วมกับมี ที่ให้ IVIG ได้หมดใน 8-12 ชั่วโมง ให้ยาซ้ำครั้งที่สอง 24
จำนวน megakaryocyte ในไขกระดูกปกติ ชั่วโมงหลังการให้ยาครั้งแรก
4.2.3 ไม่มีสาเหตุอื่นๆ ของจำนวนเกล็ดเลือดต่ำ หมายเหตุ ผูป้ ว่ ยหลังการตัดม้าม ไม่จดั อยูใ่ นเกณฑ์การอนุมตั ิ
เช่น ติดเชื้อ ยา เป็นต้น การใช้ยา IVIG
4.2.4 เป็ น ไปตามเกณฑ์ ใ นข้ อ 4.3 absolute
** ผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminally ill) หมายถึง ผู้ป่วยโรคทางกายซึ่งไม่
indication หรือในข้อ 4.4 relative indication ข้อใดข้อหนึง่ สามารถรักษาได้ (incurable) และไม่สามารถช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้น
(irreversible) ซึ่งในความเห็นของแพทย์ผู้รักษา ผู้ป่วยจะเสียชีวิตใน
ระยะเวลาอันสั้น
* กรณีที่แพทย์ผู้รักษาเห็นว่า ควรใช้ยาแตกต่างจากเกณฑ์การใช้ยาที่ หมายเหตุ ผู้ป่วยดังกล่าวควรได้รับการรักษาแบบประคับประคอง
กำหนด ให้ขออนุมตั กิ ารใช้ยาต่อคณะทำงานกำกับดูแลการสัง่ ใช้ยาบัญชี (palliative care) โดยมุง่ หวังให้ลดความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน
จ(2) ทีค่ ณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติแต่งตัง้ โดยนำเสนอ เป็นสำคัญ
หลักฐานทางการแพทย์ที่สนับสนุนว่าการใช้ยานอกเหนือจากแนวทาง *** โปรดเก็บรักษาข้อมูลไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการใช้ยา
ที่กำหนดไว้ จะเกิดผลดีกับผู้ป่วย และมีความคุ้มค่า โดยหน่วยงานการกำกับดูแลการสั่งใช้ยาบัญชี จ(2)
74 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
คู่มือการใช้ยาอย่างสมเหตุผลตามบัญชียาหลักแห่งชาติ บัญชี จ(2) 75
76 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
แนวทางกำกับการใช้ยาและแบบฟอร์มกำกับการใช้ยา < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
หมายเหตุ ผูป้ ว่ ยควรพบแพทย์ผเู้ ชีย่ วชาญผูใ้ ห้การวินจิ ฉัย
5.3.8 โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ
(primary immunodeficiency diseases) ทุก 3-6 เดือน
3.2 แพทย์ในสาขาอืน่ ทีผ่ อู้ ำนวยการโรงพยาบาลมอบหมาย
แนวทางกำกับการใช้ยา ซึง่ สามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ผเู้ ชีย่ วชาญเพือ่ ให้การรักษา
1. ระบบอนุมัติการใช้ยา ผูป้ ว่ ยในภาวะฉุกเฉิน หรือเป็นการรักษาตามปกติแบบต่อเนือ่ ง
ขออนุมัติการใช้ยา IVIG จากหน่วยงานสิทธิประโยชน์ โดยมีหนังสือส่งตัวจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ดังนี้ 4. เกณฑ์การวินิจฉัยโรค
1.1 กรณี Post-Authorization ผูป้ ว่ ยโรคภูมคิ มุ้ กันบกพร่องปฐมภูมอิ าจมีอาการทางคลินกิ
กรณีเมือ่ ผูป้ ว่ ยมาด้วยภาวะฉุกเฉินและจำเป็นต้องได้ ที่หลากหลาย การวินิจฉัยโรคอาจคลาดเคลื่อนได้หากไม่ได้
รับยาในทันที มิเช่นนั้นผู้ป่วยอาจถึงแก่ชีวิตได้ (life-threat- รับการยืนยันด้วยผลการตรวจทางห้องปฏิบตั กิ ารทีเ่ หมาะสม
ening) ให้ขออนุมตั กิ ารใช้ยา IVIG จากหน่วยงานสิทธิประโยชน์ ร่วมกับการตรวจพบลักษณะทางคลินกิ บางประการทีช่ ว่ ยให้
ภายหลังการรักษา พร้อมแนบรายงานการใช้ IVIG โดยเร็วทีส่ ดุ วินจิ ฉัยแยกโรคได้อย่างแม่นยำ เกณฑ์การวินจิ ฉัยโรคภูมคิ มุ้ กัน
1.2 กรณี Pre-Authorization บกพร่องปฐมภูมิประกอบด้วย
สำหรับในกรณีที่ไม่ใช่ภาวะฉุกเฉิน เช่น การให้เพื่อ 4.1 อาการแสดงทางคลินิก (clinical presentation)
การรักษาตามปกติ (Replacement Therapy) จะต้องมีการ 4.1.1 มีภาวะติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ และ
ลงทะเบียนผูป้ ว่ ยไว้ลว่ งหน้ากับหน่วยงานสิทธิประโยชน์ และ ระบบอื่นๆ ได้บอ่ ย เช่น ปอดอักเสบ หูอักเสบ ไซนัสอักเสบ
ก่อนได้รบั ยาในครัง้ (course) ต่อไป ให้ขออนุมตั กิ ารใช้ยา IVIG การติดเชือ้ ในทางเดินอาหาร สมองติดเชือ้ การติดเชือ้ บริเวณ
จากหน่วยงานสิทธิประโยชน์ก่อนการรักษา เนื่องจากผู้ป่วย ผิวหนัง การติดเชื้อของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจ
ไม่จำเป็นต้องได้รบั ยาในทันที ยกเว้นในรายทีม่ อี าการรุนแรง รุนแรงถึงขั้นติดเชื้อในกระแสเลือด โดยมี spectrum ของ
และฉุกเฉินควรทำตามแบบ post-authorization แล้วจึง เชื้อดังแสดงไว้ในตารางที่ 1
แจ้งให้หน่วยงานสิทธิประโยชน์ทราบภายหลังการรักษา 4.1.2 การตรวจร่างกายทีช่ ว่ ยในการวินจิ ฉัยโรค คือ
2. คุณสมบัติของสถานพยาบาล อาจพบน้ำหนักตัวน้อย อาจตรวจไม่พบต่อมน้ำเหลืองหรือ
2.1 เป็นสถานพยาบาลระดับตติยภูมิ ทีม่ แี พทย์ผวู้ นิ จิ ฉัย ต่อมทอนซิล
ตามคุณสมบัติที่ระบุไว้ในข้อ 3 4.1.3 มีผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สนับสนุน
2.2 เป็นสถานพยาบาลทีส่ ามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ การวินิจฉัยโรค ดังแสดงไว้ในตารางที่ 2
ที่มีคุณสมบัติของแพทย์ผู้วินิจฉัยตามที่ระบุไว้ในข้อ 3 โดย
ตารางที่ 1 spectrum ของเชือ้ ทีม่ กั เป็นสาเหตุของการติด
ให้สถานพยาบาลแจ้งความประสงค์ตอ่ หน่วยงานกำกับดูแล
เชื้อในผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องปฐมภูมิ
การสัง่ ใช้ยาบัญชี จ(2) เพือ่ ขออนุมตั ิ และลงทะเบียนสถาน-
พยาบาลแต่ละแห่งเป็นกรณีไป A. Bacterial respiratory tract and gastrointestinal
infections
3. คุณสมบัติของแพทย์ผู้ทำการรักษา • Haemophilus influenzae
สถานพยาบาลจำเป็นต้องใช้ยาโดยแพทย์ผมู้ คี วามพร้อม • Streptococcus pneumoniae
ในการใช้ยานีท้ ง้ั ในแง่ความสามารถในการวินจิ ฉัยโรค การใช้ยา • Staphylococcus aureus
ให้ตรงตามข้อบ่งใช้ การระมัดระวังอันตรายจากยา และ
• Neisseria meningitidis
• Pseudomonas aeruginosa
การติดตามผลการรักษา ได้แก่ • เชื้ออื่นๆ ที่อาจพบได้ คือ Mycoplasma,
3.1 เป็นแพทย์ผเู้ ชีย่ วชาญทีไ่ ด้รบั หนังสืออนุมตั ิ หรือวุฒบิ ตั ร Campylobacter, Ureaplasma urealyticum
B. Enterovirus
จากแพทยสภาในอนุสาขากุมารเวชศาสตร์โรคติดเชื้อ หรือ • Echovirus เป็น virus สำคัญที่พบบ่อย
อนุสาขากุมารเวชศาสตร์โรคภูมแิ พ้และภูมคิ มุ้ กัน หรืออนุสาขา • Coxsackie virus A และ B
อายุรศาสตร์โรคติดเชือ้ หรืออนุสาขาอายุรศาสตร์โรคภูมแิ พ้ • Poliovirus
C. Opportunistic organism เช่น Pneumocystis jirovecii
และภูมิคุ้มกันทางคลินิก (Pneumocystic carinii)
78 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
แนวทางกำกับการใช้ยาและแบบฟอร์มกำกับการใช้ยา < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
4.2.7 Autosomal recessive hyper-IgM 4.2.12 IgA with IgG subclass deficiency
syndrome All of the following
Male or female patient with serum IgG 1. Reduced IgA (value below 2 SD for
and IgA concentration < 2 SD below normal for age appropriate level)
age, serum IgM concentration at least 2 SD above 2. Reduction in one or more of IgG
normal for age, normal number of T cells and B subclass (value below 2 SD for age
cells, and lymphadenopathy appropriate level)
4.2.8 Ataxia telangiectasia 3. No other cause of other primary
Male or female with progressive immunodeficiency can be identified
cerebellar ataxia and at least one of the following 4.2.13 Specific antibody deficiency with normal
1. Ocular or facial telangiectasia Ig concentrations and numbers of B cells
2. Serum IgA < 2 SD normal for age All of the following
3. Alpha fetoprotein > 2 SD 1. Abnormal antibody response to
4. Increased chromosomal breakage vaccine
after exposure to irradiation 2. No other cause of other primary
4.2.9 Wiskott-Aldrich syndrome immunodeficiency can be identified
Male patient with congenital thrombo-
4.2.14 Reticular dysgenesis
cytopenia (less than 70,000/mm3), small platelets,
All of the following without other cause
or male patient splenectomized for thrombocytopenia,
such as malignancy or drug
and at least one of the following
1. Markedly decreased T cells
1. Eczema
2. Decreased or normal B cells
2. Abnormal antibody response to
3. Decreased serum Immunoglobulin
polysaccharide antigens
3. Recurrent bacterial or viral infections 4. Granulocytopenia
4. Autoimmune diseases 5. Thrombocytopenia
5. Lymphoma, leukemia, or brain 4.2.15 Omenn syndrome
tumors All of the following
4.2.10 X-linked lymphoproliferative syndrome 1. Normal or decreased B cells
(XLP) 2. Decreased serum immunoglobulin
Male patient experiencing death, 3. Elevated serum IgE
lymphoma/ Hodgkin disease, immunodeficiency, 4. Erythroderma
aplastic anemia or lymphohistiocytic disorder 5. Eosinophilia
following acute EBV infection 6. Adenopathy
4.2.11 Isolated IgG subclass deficiency 7. Hepatosplenomegaly
All of the following 4.2.16 Thymoma with immunodeficiency (Good
1. Reduction in one or more of IgG syndrome)
subclass (value below 2 SD for age All of the following
appropriate level) 1. Thymoma
2. No other cause of other primary 2. Decreased numbers of B cells
immunodeficiency can be identified 3. Decreased serum immunoglobulin
80 Thai National Formulary 2010 : Special Access Medicines of National List of Essential Medicines
แนวทางกำกับการใช้ยาและแบบฟอร์มกำกับการใช้ยา < Human normal immunoglobulin, intravenous (IVIG)
5.1.4 ผปู้ ว่ ยโรคภูมคิ มุ้ กันบกพร่องปฐมภูมปิ ระเภทที่ ตารางที ่ 3 รายชื่อโรคภูมิค้มุ กันบกพร่องปฐมภูมิแต่ละชนิด
มีปริมาณ immunoglobulin subclass ผิดปกติ ร่วมกับมี ที่ต้องได้รับการระบุในแบบฟอร์มขออนุมัติการใช้ยา (ต่อ)
การติดเชื้อบ่อยๆ หรือมีความผิดปกติในการสร้าง specific 16 Thymoma with immunodeficiency
antibody (Good syndrome)
5.2 ไม่ใช่ผู้ป่วยที่มีภาวะ selective IgA deficiency 17 Transient hypogammaglobulinemia of infancy
เนือ่ งจากไม่มขี อ้ บ่งชี้ และอาจเป็นอันตรายต่อผูป้ ว่ ยเนือ่ งจาก 18 Cartilage hair hypoplasia
เกิดภาวะแอนาฟิแล็กซิสได้ง่ายจากการใช้ IVIG 19 Hyper- IgE syndrome
20 WHIM syndrome
5.3 ต้องไม่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminally ill)**
5.4 กรอกแบบฟอร์มที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียา
6. ขนาดยาที่แนะนำ และวิธีการให้ยา
หลักแห่งชาติกำหนดทุกครั้งที่จะใช้ยากับผู้ป่วย***
เริม่ ด้วย 400-600 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อ
ตารางที ่ 3 รายชื่อโรคภูมิค้มุ กันบกพร่องปฐมภูมิแต่ละชนิด ครั้ง ทุก 2-4 สัปดาห์ จากนั้นปรับระดับให้ได้ IgG trough
ที่ต้องได้รับการระบุในแบบฟอร์มขออนุมัติการใช้ยา level มากกว่า 500 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือ มากกว่า
800 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร กรณีที่มี bronchiectasis หรือ
01 Common variable immunodeficiency
การติดเชื้อที่รุนแรง
02 Severe combined immunodeficiency (SCID)
03 DiGeorge anomaly หมายเหตุ ยาแต่ละบริษทั อาจมีวธิ กี ารให้ยาทีแ่ ตกต่างกัน โปรด
04 X-linked agammaglobulinemia (XLA or Bruton’s อ่านวิธีให้ยาจากเอกสารกำกับยาก่อนให้ยา
agammaglobulinemia) 7. ระยะเวลาในการรักษา
05 Autosomal recessive agammaglobulinemia ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและดุลยพินิจของแพทย์ผู้วินิจฉัย
06 X-linked hyper-IgM syndrome
โดยประเมินว่าผู้ป่วยมีความจำเป็นต้องใช้ IVIG ต่อเนื่อง
07 Autosomal recessive hyper-IgM syndrome
08 Ataxia-telangiectasia and diseases of DNA repair หรือไม่ เช่นกรณี IgG subclass deficiency อาจพิจารณา
defects หยุดการให้ IVIG หลังการรักษา 6 เดือน ถึง 1 ปี สำหรับ
09 Wiskott-Aldrich syndrome ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ได้รับการรักษาด้วยการปลูกถ่าย
10 X-linked lymphoproliferative syndrome (XLP) ไขกระดูก ควรให้แพทย์ผวู้ นิ จิ ฉัยหรือแพทย์ผทู้ ำการรักษาเป็น
11 Isolated IgG subclass deficiency ผูพ้ จิ ารณาให้ความเห็นในการหยุดการให้ IVIG ตามมาตรฐาน
12 IgA with IgG subclass deficiency
13 Specific antibody deficiency with normal Ig การรักษา
concentrations and numbers of B cells
14 Reticular dysgenesis
15 Omenn syndrome