Professional Documents
Culture Documents
อรรถกถาวิธี เพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี โดย ดรธานี สุวรรณประทีป
อรรถกถาวิธี เพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี โดย ดรธานี สุวรรณประทีป
ดร.ธานี สุวรรณประทีป
ป.ธ.๙, ศน.ม. พระพุทธศาสนาและปรัชญา
พธ.ด. (พระพุทธศาสนา)
สาขาบาลีพุทธศาสตร์
คณะพุทธศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
๒๕๖๓
[ ๒ ] อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
ผู้เขียน ดร.ธานี สุวรรณประทีป
ป.ธ.๙, ศน.ม. (พุทธศาสนาและปรัชญา)
พธ.ด. (พระพุทธศาสนา)
วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
คณะกรรมการกลั่นกรองผลงานวิชาการ (Peer Review)
พระราชปริยัติมุนี, ผศ.ดร.
ศ.รท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ
ผศ.ดร.วุฒินันท์ กันทะเตียน
ผศ.ดร.สมบัติ มั่งมีสุขศิริ
รศ.ดร.เวทย์ บรรณากรกุล
ศิลปะและรูปเล่ม นายสมควร ถ้วนนอก/ ดร.ธานี สุวรรณประทีป
ตรวจทาน ผศ.ดร.วิโรจน์ คุ้มครอง/ดร.ชัยชาญ ศรีหานู
พิสูจน์อักษร พระประเทือง ขนฺติโก/ นายสังข์วาล เสริมแก้ว
ISBN xxxxxxxxx
พิมพ์เมื่อ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๓
จำนวนพิมพ์ ๕๐๐ เล่ม
พิมพ์ที่ อักขระการพิมพ์
๘๙/๑๔๓๘ ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่
จังหวัดนนทบุรี
มือถือ ๐๙-๖๔๘๒-๓๕๙๕
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี [๓]
บทนำ
พระพุทธเจ้าทรงอธิบ ายหลักธรรมซึ่ง รวบรวมไว้เป็น พระไตรปิฎ ก
เนื่องจากในสมัยพุทธกาลพระสาวกมีความเข้าใจดี จึงไม่มีการอธิบายขยาย
ความ แต่ในกาลต่อมาเกิดความสังสัยและเข้าใจได้ยาก พระสาวกที่ทรงความรู้
วางหลักการอธิบายไว้ การอธิบายจึงอยู่ในรูปแบบคัมภีร์อรรถกถาในปัจจุบัน
เมื่อเวลาผ่านไปนานเกิดความเข้าใจได้ยาก จึงได้มีการอธิบายอรรถกถาขึ้นมา
อีก ลำดั บ หนึ่ ง ผู้ ที่ อ ธิบ ายอรรถกถาเรี ย กว่า พระฎี กาจารย์ คั ม ภี ร์ที่ บั น ทึ ก
คำอธิบ ายเรียกว่า คัมภีร์ฎีกา การศึกษาพระไตรปิฎ กให้ เข้าใจอย่างถูกต้อง
จำเป็นต้องศึกษาอรรถกถา ฎีกา และใช้หลักไวยากรณ์ที่เรียนมากับไวยากรณ์
อื่นอีกประกอบการศึกษาจึงจะเข้าใจ
ในสั งคมไทย การตี ค วามหลั ก คำสอนแบ่ งเป็ น ๒ ฝ่ า ย ทำให้
ผู้สนใจศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนาเกิดความสังสัยว่า ฝ่ายไหนมีความเห็นที่
ถู ก ต้ อ ง การจะเชื่ อ ถื อ ฝ่ า ยไหนนั้ น ต้ อ งใช้ ห ลั ก การตั ด สิ น ซึ่ งก็ ต้ อ งศึ ก ษา
หลักการพระพุทธศาสนาเถรวาทให้เข้าใจจนมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ก่อน จึงจะ
ตัดสินใจเชื่อถือความเห็นในแต่ละฝ่ายได้ ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาความเห็นไม่ตรงกัน
ทางพระธรรมวินัย พระพุทธเจ้ารับสั่งไม่ให้เชื่อและไม่ให้คัดค้าน แต่ให้จดจำคำ
ที่เขากล่าวนั้นให้ดีแล้วนำไปสอบดูในพระสูตรเทียบดูในพระวินัย ถ้าไม่ลงกัน
ไม่สมกันในพระสูตรและในพระวินัย พึงเข้าใจว่า คำที่ท่านกล่าวนั้นมิใช่คำสอน
ของพระพุทธเจ้า พึงทิ้งความเห็นนั้นเสีย ถ้าลงกันสมกันในพระสูตรและพระ
วินัย พึงเข้าใจว่า คำที่ท่านกล่าวนั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
การตีความไม่เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าเพราะพระองค์ได้ทรงอธิบาย
เนื้ อ หาของคำสอนที่ ป รากฏในพระวิ นั ย พระสู ต ร และพระอภิ ธ รรมด้ ว ย
[ ๔ ] อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
พระองค์เองเพื่อให้สาวกบรรลุธรรม หลังสมัยพุทธกาลจึงพบว่าพระอรรถกถา
จารย์ ได้ เริ่ ม เขี ย นอรรถถาอธิบ ายธรรมสำคั ญ และในทำนองเดี ย วกัน การ
อธิบายในอรรถกถาฎีกา ทั้งนี้เพื่อจำกัดความคลาดเคลื่อนและสงสัยที่เกิดขึ้น
และหลักการตีค วามหลักคำสอนยังมีอิทธิพลและทำกันอยู่ สังคมไทยปัจจุบัน
การตีความต้องอ้างอิงได้และสามารถตรวจสอบความถูกต้องกับพระธรรมวินัย
แล้วจึงสั่งสอนเผยแผ่ การตีความยังเป็นเครื่องมือตรวจสอบความสอดคล้องกับ
หลักคำสอนในสังคมไทย โดยแบ่งเป็น การตีความครั้งพุทธกาล การตีความ
หลั ง พุ ท ธกาล การตี ค วามตามพระธรรมวิ นั ย การตี ค วามตามห ลั ก
พระพุทธศาสนาเถรวาท ด้านภาษาซึ่งเป็นวจีวิญญัติ ภาษาที่พระพุทธเจ้าทรง
ใช้ และการตั ด สิ น การตี ค วามโดยใช้ เกณฑ์ สุ ต ตะ สุ ต ตานุ โลม อาจริย วาท
และอัตโนมติ
ดร.ธานี สุวรรณประทีป
๒๐ มกราคม ๒๕๖๓
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี [๕]
อักษรย่อชื่อคัมภีร์
อั ก ษรย่ อ และเลขที่ น ำมาใช้ ในการเขี ย นที่ น ำมาใช้ ใ นคั ม ภี ร์ จ ตุ ร ารั ก ข
กัมมัฏฐานนี้ ประกอบด้วยพระไตรปิฎก อรรถถา ฎีกา และคัมภีร์ไวยากรณ์อื่นๆ ภาษา
บาลี จะแจ้งเล่ม ข้ อหน้ า เช่ น เช่ น วิ.มหา. (บาลี ) ๒/๓๗๓/๒๘๘, วิ .มหา. (ไทย) ๒/
๓๗๓/๔๙๔. หมายถึง วิ .มหา. วินยปิฏก มหาวิภงฺคปาลิ เล่ม ๒ ข้อ ๓๗๓ หน้า ๒๘๘
ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ และวินัยปิฏก มหาวิภังค์ เล่ม ๒ ข้อ ๓๗๓ หน้า ๔๙๔ ฉบับมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พระวินัยปิฎก
วิ.มหา. (บาลี) = วินยปิฏก มหาวิภงฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
วิ.มหา. (ไทย) = วินัยปิฎก มหาวิภังค์ (ภาษาไทย)
วิ.ภิกฺขุนี. (บาลี) = วินยปิฏก ภิกฺขุนวี ิภงฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) = วินยปิฏก ภิกขุนวี ิภังค์ (ภาษาไทย)
วิ.ม. (บาลี) = วินยปิฏก มหาวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
วิ.ม. (ไทย) = วินัยปิฎก มหาวรรค (ภาษาไทย)
วิ.จู. (บาลี) = วินยปิฏก จูฬวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
วิ.จู. (ไทย) = วินัยปิฎก จูฬวรรค (ภาษาไทย)
วิ.ป. (บาลี) = วินยปิฏก ปริวารวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
วิ.ป. (ไทย) = วินัยปิฎก ปริวารวรรค (ภาษาไทย)
พระสุตตันตปิฎก
ที.สี. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย สีลกฺขนฺธวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
ที.สี. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (ภาษาไทย)
ที.ม. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
ที.ม. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค (ภาษาไทย)
ที.ปา. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก ทีฆนิกาย ปาฏิกวคฺคปาลิ (ภาษาบาลี)
ที.ปา. (ไทย) = สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (ภาษาไทย)
ม.มู. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก มชฺฌิมนิกาย มูลปณฺณาสกปาลิ (ภาษาบาลี)
ม.มู. (ไทย) = สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ (ภาษาไทย)
ม.ม. (บาลี) = สุตฺตนฺตปิฏก มชฺฌิมนิกาย มชฺฌิมปณฺณาสกปาลิ (ภาษาบาลี)
[ ๖ ] อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
สารบัญ
คำนำ [๓]
อักษรย่อชื่อคัมภีร์ [๕]
สารบัญ [๑๔]
๑. ความสำคัญของอรรถกถาวิธี ๑
๒. นิยามของอรรถกถาวิธี ๒๐
๓. อรรถกถาวิธีในสมัยพุทธกาล ๒๓
๓.๑ อรรถกาในพระวินัยปิฎก ๒๔
๓.๒ อรรถกถาในพระสุตตันตปิฎก ๓๖
๓.๓ อรรถกถาในพระอภิธรรมปิฎก ๔๖
๔. รูปแบบอรรถกถาวิธีสมัยพุทธกาล ๖๖
๔.๑ รูปแบบอรรถกถาวิธีของพระพุทธเจ้า ๘๓
๔.๒ รูปแบบอรรถกถาวิธีของพระพุทธสาวก ๘๙
๕. หลักการวิจัยทางภาษาบาลี ๙๑
๕.๑ ความหมายและความสำคัญ ๙๑
๕.๒ หลักการวิจัยในคัมีร์พระไตรปิฎก ๙๕
๕.๓ ความหมายการวิจัยภาษาบาลี ๙๖
๕.๔ วิจัยตามความหมายทีป่ รากฏในอรรถกถา-ฎีกา ๙๘
๕.๕ วิจัย ตามความหมายทีป่ รากฏในไวยากรณ์ ๙๙
๕.๖ หลักการวิจัยในพระวินัยปิฎก ๑๐๐
๕.๗ หลักการวิจัยในพระสุตตันตปิฎก ๑๑๖
๖. หลักการวิจัยในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ๑๒๕
๗. การตีความและการตรวจสอบงานวิจัยทางภาษาบาลี ๑๓๐
๗.๑ หลักการตีความตามหลักพระพุทธศาสนา ๑๓๐
๗.๒ การตีความหลักคำสอนภาษาบาลีเป็นภาษาไทย ๑๔๐
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี [ ๑๕ ]
๑. ความสาคัญของอรรถกถาวิธี
พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและทรงบัญญัติไว้นั้น โดยเนื้อหา
มี ๒ ประการ คือมีเนื้ อหาที่ ทรงแสดงไว้ชัดเจนแล้ ว และมีเนื้ อหาที่ต้องท า
ความเข้าใจ๑ ในพระวินัยปิฎก พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยบางตอนทรง
ใช้ถ้อยคาที่ต้องทาความเข้าใจ เช่น ข้อความที่ทรงบัญญัติพอสรุปได้ว่า “ภิกษุ
คิดขโมยถือเอาทรัพย์ ที่เจ้าของมิได้ให้มีมูลค่าเท่ากับทรัพย์ที่พวกขโมยลักไป
ซึ่งมีโทษถึงถูกประหาร ย่อมเป็นปาราชิก ”๒ จากข้อความนี้ย่อมมีการตีความ
ภิกษุลักทรัพย์มีราคาเท่ากับทรั พย์ที่พวกขโมยลักไปแล้วมีโทษถึงถูกประหาร
ชีวิต ต้องอาบัติปาราชิก แต่จากถ้อยคาที่ทรงอธิบายขยายความมิได้หมายถึง
การประหารชีวิต และข้อความที่ท รงบั ญ ญั ติพอสรุปได้ว่า “ภิกษุกล่ าวอวด
อุตตริมนุสสธรรมว่า ข้าพเจ้ารู้เห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยต่อจากนั้น ผู้ใดผู้หนึ่งโจทก็
ตามไม่โจทก็ตาม เธอผู้ต้องอาบัติแล้วหวังความบริสุทธิ์ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น ได้กล่าวว่ารู้เห็น ข้าพเจ้ากล่าวคาเท็จเป็น
๑
พระธรรมวินัยมีเนื้อหาที่ทรงแสดงไว้ชัดเจน คือ สุตตันตะมีการขยายความแล้ว
พระธรรมวินัยมีเนื้อหาที่ต้องทาความเข้าใจ คือ สุตตันตะที่ควรขยายความ องฺ.ทุก. (บาลี)
๒๐/๒๕/๕๙, องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๒๕/๗๔.
๒
โย ปน ภิกฺขุ คามา วา อร ฺ า วา อทินฺน เถยฺยสงฺขาต อาทิเยยฺย, ยถา
รูเป อทินฺนทาเน ราชาโน โจร คเหตฺวา หเนยฺยุ วา พนฺเธยฺยุ วา ปพฺพาเชยฺยุ วา
โจโรสิ พาโลสิ มูโฬฺหสิ เถโนสีติ ตถารูป ภิกฺขุ อทินฺน อาทิยมาโน อยมฺปิ ปาราชิโก
โหติ อสวาโส. วิ.มหา. (บาลี) ๑/๙๑/๖๐, วิ.มหา. (ไทย) ๑/๙๑/๘๐.
๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๓
โย ปน ภิกฺขุ อนภิชาน อุตฺตริมนุสฺสธมฺม อตฺตูปนายิก อลมริย าณทสฺสน
สมุทาจเรยฺย อิติ ชานามิ อิติ ปสฺ สามีติ ตโต อปเรน สมเยน สมนุคฺคาหิยมาโน วา
อสมนุคฺคาหิยมาโน วา อาปนฺโน วิสุทฺธาเปกฺโข เอว วเทยฺย อชานเมว อาวุโส อวจ
ชานามิ อปสฺส ปสฺสามิ ตุจฺฉ มุสา วิลปินฺติ อ ฺ ตฺร อธิมานา อยมฺปิ ปาราชิโกโหติ
อสวาโส. วิ.มหา. (บาลี) ๑/๑๙๖/๑๒๗, วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๙๖/๑๘๒.
๔
วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๕๒/๑๖๐, วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๕๒/๒๓๒.
๕
วิ.ม. (บาลี) ๕/๓๘๘/๑๘๙–๑๙๐, วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๘๘/๒๗๖.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๓
๖
องฺ.ติ ก. (บาลี) ๒๐/๓๑/๑๒๗, องฺ.ติ ก. (ไทย) ๒๐/๓๑/๑๘๓, องฺ.จตุกฺก .
(บาลี) ๒๑/๖๓/๘๐, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๖๓/๑๐๗.
๗
อภิ.ปุ. (บาลี) ๓๖/๑๐/๑๑๑, อภิ.ปุ. (ไทย) ๓๖/๑๐/๑๔๒.
๘
อภิ.ปุ. (บาลี) ๓๖/๑๕๑/๑๕๒, อภิ.ปุ. (ไทย) ๓๖/๑๕๑/๑๘๗.
๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๙
ดูรายละเอียดใน ส.สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๕๘/๒๘๑, ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๕๘/
๔๐๑.
๑๐
ดูรายละเอียดใน ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๓๕๘/๑๖๕, เนตฺติ.อ. (บาลี) ๑๑๘.
๑๑
ดู ร ายละเอี ย ดใน สั ท ทนี ติ ธ าตุ ม าลา คั ม ภี ร์ ห ลั ก บาลี ม หาไวยากรณ์ ,
(กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๖), หน้า ๘๔๒.
๑๒
ดูรายละเอียดใน ปทรูปสิทธิมัญ ชรี คัมภีร์อธิบายปทรูปสิทธิปกรณ์ , พระ
คันธสาราภิวงศ์ แปลอธิบาย, (กรุงเทพมหานคร : ไทรรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๗), หน้า
๒๖๗.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๕
๑๓
ดูรายละเอียดใน ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๔-๑๕, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๗๕-๗๘.
๑๔
อสฺสาโสติ พหินิกฺขมนวาโต. ปสฺสาโสติ อนฺโตปวิสนวาโต วิ.มหา.อ. (บาลี)
๑/๑๖๕/๔๔๖.
๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๑๕
อสฺ ส าโสติ อนฺ โตปวิ ส นนาสิ ก วาโต. ปสฺ ส าโสติ พหิ นิ กฺ ข มนนาสิ ก วาโต
ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๓๐๕/๑๓๖.
๑๖
ดู รายละเอีย ดใน วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๔๓/๓๘๔-๓๘๕, วิ.จุ . (ไทย) ๑๑/๖๒๒/
๒๖๑–๒๖๓, ฉบับ ๒๕๐๐, (พระนคร : โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๐๐), ข้อ ๖๒๒ หน้า
๒๖๑-๒๖๓, วิ.จุ. (ไทย) ๗/๖๒๒/๓๑๐-๓๑๒ ฉบับ ๒๕๑๔, วิ.จุ. (ไทย) ๗/๖๒๒/๓๑๐-
๓๑๒ ฉบับ ๒๕๒๑), วิ.จุ. (ไทย) ๗/๖๒๒/๒๕๒-๒๕๔ ฉบับ ๒๕๒๕, วิ.จุ. (ไทย) ๗/๒๐๐/
๓๔๖–๓๔๘ ฉบับ ๒๕๓๐, วิ.จุ. (ไทย) ๗/๒/๕๑๘-๕๒๐ ฉบับมหามกุฏฯ, เมตฺตานนฺโท
ภิกฺขุ, เหตุเกิด พ.ศ. ๑ (B.E. 0001) เล่ม ๑ : วิเคราะห์กรณีปฐมสังคายนาและภิกษุณี
สงฆ์, (กรุงเทพมหานคร : S.P.K. Paper f Form, ๒๕๔๕), หน้ า ๗๔-๗๕,๓๒๑-๓๒๒,
รังษี สุทนต์, วิพากษ์หนังสือเหตุเกิด พ.ศ.๑ ใน วารสารบัณฑิตศึกษาปริทัศน์ปีที่ ๒ ฉบับ
ที่ ๓ กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๔๙, หน้า ๒๖-๓๙.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๗
๑๗
ดูรายละเอียดใน วิ.ป. (ไทย) ๑๒/๘๒๖/๓๕๓ ฉบับ ๒๕๐๐, วิ.ป. (ไทย) ๘/
๘๒๖/๒๗๑ ฉบับ ๒๕๑๔,วิ.ป. (ไทย) ๘/๘๒๖/๒๗๑ ฉบับ ๒๕๒๑, วิ.ป. (ไทย) ๘/๘๒๖/
๒๒๔ ฉบับ ๒๕๒๕, วิ.ป. (ไทย) ๑/๑๔๕ ฉบับมหาวิตถารนัย.
๑๘
องฺ.ติก. (บาลี) ๒๐/๕๐๕/๒๔๓ สฺยา., องฺ.ติก. (บาลี) ๒๐/๖๖/๑๘๔ มจร.
๑๙
ดูรายละเอียดใน องฺ.ติก. (ไทย) ๓๑/๕๐๕/๓๐๒ ฉบับ ๒๕๐๐, องฺ.ติก. (ไทย)
๒๐/๕๐๕/๒๑๓ ฉบั บ ๒๕๑๔, องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๕๐๕/๒๒๖ ฉบับ ๒๕๒๑, องฺ.ติก.
(ไทย) ๒๐/๕๐๕/๑๘๐ ฉบับ ๒๕๒๕, องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๖๖/๒๕๖ ฉบับ ๒๕๓๐, องฺ.ติก.
(ไทย) ๒๐/๖๖/๒๕๗ ฉบับ มจร. ๒๕๓๙.
๒๐
พระไตรปิฎกฉบับมหาวิตถารนัย ๕๐๐๐ กัณฑ์ ฉบับ ส.ธรรมภักดี เล่ม ๓๖
คัมภีร์ที่ ๔ อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต หน้า ๒๒๑.
๒๑
ดู ร าย ล ะ เอี ย ด ใน พุ ท ธท า ส ภิ ก ขุ , ธ รรม ะ น าล้ างธ รรม ะ โค ล น ,
(กรุงเทพมหานคร : รุ่งแสงการพิมพ์, ปทม), หน้า ๑๕๔, เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา เล่ม ๓,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า ๔๔๘-๔๗๖, อภิธรรมคือ
อะไร, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสภาจัดพิมพ์ , ๒๕๔๔), หน้า ๔-๑๐๙, คาชี แจงเรื่อ ง
การศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ใน ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์, (คณะธรรมทานไชยา
จัดพิ ม พ์ : ปมท, ๒๕๒๒), หน้ า [๓๓], [๓๕], [๑๑๐], พระเมธา ชาตเมโธ, พุ ท ธไม่ ใช่
พราหมณ์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษรสมัย ๑๙๙๙, ๒๕๔๓), หน้า ๓๐.
๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๒
ขุ.จริยา.อ. (บาลี) ๓๒๔-๓๒๕.
๒๓
ขุ.จริยา.อ. (ไทย) ๙/๓/๕๗๐-๕๗๒.
๒๔
สัททนีติธาตุมาลา คัม ภีร์หลักบาลีมหาไวยากรณ์ , กรุงเทพมหานคร : ไทย
รายวันการพิมพ์, ๒๕๔๖), หน้า ๙๓๙.
๒๕
ดูรายละเอียดใน สรกานต์ ศรีตองอ่อน, “คาสอนเรื่องการสร้างบารมีของวัด
พระธรรมกาย”, วิ ท ยานิ พ นธ์ ศิ ล ปศาสตรมหาบั ณ ฑิ ต สาขาวิ ช าพุ ท ธศาสน์ ศึ ก ษา
จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗, (กรุงเทพมหานคร : บริ ษั ทกราฟฟิ คอาร์ต พริ้ นติ้ ง
จากัด, ๒๕๔๘), หน้า ๒๔๔-๒๔๕.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๙
๒๖
มนตรี เทียมสิงห์ และ เฉลิมลักษณ์ เอกมณี รวบรวม, กฐินและแนวทางใน
การปฏิ บั ติ , (สานั ก งานคณะกรรมการวัฒ นธรรมแห่ งชาติ จัด พิ ม พ์ : โรงพิ ม พ์ คุ รุสภา
ลาดพร้าว, ๒๕๓๗), หน้า ๕.
๒๗
ธรรมวิภาคปริเฉทที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย,
๒๕๓๕), หน้า ๕๐.
๒๘
อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ อธิคณฺหาติ ปณฺฑิโต
ทิฏฺเ ธมฺเม จ โย อตฺโถ โย จตฺโถ สมฺปรายิโก
อตฺถาภิสมยา ธีโร ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ
องฺ.ปญฺจก. (บาลี) ๒๒/๔๓/๕๓, องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๔๓/๖๙.
๑๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๒๙
ท่านยกความมาเท่าที่ต้องการ ดังนี้
อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ อธิคณฺหาติ ปณฺฑิโต
อตฺถาภิสมยา ธีโร ปณฺฑิโตติ ปวุจฺจติ
ศึกษารายละเอียดได้ใน ภาษาคน-ภาษาธรรม, (พระนคร : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์
, ๒๕๑๐), และจากฉบับที่จัดพิมพ์ใหม่เผยแพร่อยู่ในตลาดหนังสือทั่วไป.
๓๐
พุทธทาสภิ กขุ, ธรรมะนาล้างธรรมะโคลน, (กรุงเทพมหานคร : รุ่งแสงการ
พิมพ์, ปทม), หน้า ๑๕๔.
๓๑
วินัยมุข (เล่ม ๑) หลักสูตรนักธรรมชันตรี, พิมพ์ครั้งที่ ๓๙, (กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), (คานา) หน้า ค-ฆ.
๓๒
ดู ร ายละเอี ย ดใน บรรณจบ บรรณรุ จิ , ภิ ก ษุ ณี พุ ท ธสาวิก าครั งพุ ท ธกาล,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๓๙), หน้า ๒๗๖.
๓๓
ดูรายละเอียดใน ธัมมนันนา (รศ. ดร. ฉัตรสุมาล์ กบิลสิงห์), ภิกษุณีบวชไม่ได้
วาทกรรมที่กาลังจะเป็นโมฆะ, (กรุงเทพมหานคร : หจก. เอมี่ เทรดดิ้ง,๒๕๔๖).
๓๔
พระเมธา ชาตเมโธ, พุทธไม่ใช่พราหมณ์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษร
สมัย ๑๙๙๙, ๒๕๔๓), ๓๐, ๔๖-๔๗.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๑
พระสูตรบางสูตรมีลักษณะเป็นสัสสตทิฏฐิ ควรนับเนื่องอยู่ในสัทธรรมปฏิรูป๓๕
ชาดกนั้น เดิมทีหมายถึงเรื่องของพระโพธิสัตว์ก่อนจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าใน
ชาตินี้ นับจากจุติลงมาจากชั้นดุสิตปฏิสนธิเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้วออก
บวชบาเพ็ญทุกกรกิริยาตรัสรู้แล้ว ภาวะพระโพธิสัตว์หมดไป ภายหลังหมายถึง
ชาติก่อนของพระพุท ธเจ้ าที่ บ าเพ็ญ บารมี ก่อนที่ จะบรรลุเป็นพระพุ ทธเจ้า
หลายร้อยชาติหลายพันชาติ เป็นพัฒนาการที่เพิ่มเติมทีหลัง ๓๖ ชาดกเป็นเรื่อง
เท็จนิทานโกหก๓๗ เป็นเรื่องที่แต่งเพิ่มเติม เช่นสุวัณณหังสชาดก ท่านได้แต่ง
เรื่ องพระโพธิสั ตว์เสวยพระชาติเป็ น พราหมณ์ ตายไปเกิด เป็นพญาหงส์ ทอง
ได้มาสลัดขนทองคาให้อดีตภรรยากับธิดาวันละขน แต่ภรรยาโลภจับพญาหงส์
ถอนขนจนหมดตัว ๓๘ สุ วัณณหังสชาดก คล้ายกับเรื่องห่ านไข่เป็นทองคาใน
นิทานอีสป๓๙ อภิธรรมนักโบราณคดีไม่ยอมรับ ไม่จาเป็นต้องศึกษา ๔๐ เรื่อง
พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้ นดาวดึงส์นั้น
๓๕
ดูรายละเอียดใน พุท ธทาสภิกขุ, เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา เล่ม ๓, หน้า ๔๔๘-
๔๗๖.
๓๖
เสฐีย รพงษ์ วรรณปก, พระไตรปิ ฎ กวิเคราะห์ , (กรุงเทพมหานคร : หจก.
ซันต้าการพิมพ์, ๒๕๔๖),หน้า ๒๑-๒๒.
๓๗
พระเมธา ชาตเมโธ, พุทธไม่ใช่พราหมณ์, หน้า ๓๐.
๓๘
พิสิฐ เจริญสุข, เกร็ดความรู้ในนิทานชาดก, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การ
ศาสนา, ๒๕๓๙), หน้า ๒๑.
๓๙
เวสสันตรวินิจฉัย, (พระนคร : พุทธอุปถัมภ์การพิมพ์, ๒๕๑๔), หน้า ๓.
๔๐
ดูรายละเอียดใน พุท ธทาสภิกขุ, เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา เล่ม ๓, หน้า ๔๔๘-
๔๗๖.
๑๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๔๑
พระเมธา ชาตเมโธ, พุทธไม่ใช่พราหมณ์, หน้า ๓๐,๔๖-๔๗.
๔๒
ดู รายละเอี ย ดใน พุ ท ธทาสภิ ก ขุ , อภิ ธรรมคื อ อะไร, (กรุงเทพมหานคร :
ธรรมสภาจัดพิมพ์, ๒๕๔๔), หน้า ๔-๑๐๙.
๔๓
ดูรายละเอียดใน ธัมมนันนา (รศ. ดร. ฉัตรสุมาล์ กบิลสิงห์), ภิกษุณีบวชไม่ได้
วาทกรรมที่กาลังจะเป็นโมฆะ, (กรุงเทพมหานคร : หจก. เอมี่ เทรดดิ้ง,๒๕๔๖), หน้า
๖๙.
๔๔
ดร.บุณย์ นิลเกษ, อุดมการณ์และชีวิตแบบโพธิสัตว์เล่มที่หนึ่ง , (เชียงใหม่ :
วัฒนาการพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า ๓๔-๓๕.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๓
๔๕
ดูรายละเอียดใน พุทธทาสภิกขุ, คาชีแจงเรื่องการศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท
ใน ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์, (คณะธรรมทานไชยาจัดพิมพ์ : ปมท, ๒๕๒๒), หน้า
[๓๓], [๓๕], [๑๑๐].
๔๖
ดู ราย ล ะเอี ย ด ใน พุ ท ธท าส ภิ กขุ , เล่ าไว้ เ มื่ อ วั ย ส น ธ ยา เล่ ม ๓ ,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า ๔๔๘-๔๗๖.
๔๗
เสฐียรพงษ์ วรรณปก,ไปสืบพระพุทธศาสนาที่ศรีลังกา, (กรุงเทพมหานคร :
สานักพิมพ์น้าฝนไอเดีย, ๒๕๔๙), หน้า ๘๙.
๔๘
ดูรายละเอียดใน พุทธทาสภิกขุ, คาชีแจงเรื่องการศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท
ใน ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์, หน้า [๘๘]- [๘๙].
๑๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๔๙
ดูรายละเอียดใน พุทธทาสภิกขุ, เพชรในพระไตรปิฎก, (กรุงเทพมหานคร :
กองทุ น วุ ฒิ ธรรมจั ด พิ ม พ์ , ๒๕๒๘), หน้ า ๔, อภิ ธ รรมคื อ อะไร, (กรุ งเทพมหานคร :
ธรรมสภาจัดพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๕๕,๕๗,๕๙,๖๒.
๕๐
พระเมธา ชาตเมโธ, พุทธไม่ใช่พราหมณ์, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษร
สมัย ๑๙๙๙, ๒๕๔๓), ๓๐, ๔๖.-๔๗.
๕๑
สุ ท ธิ คุ ณ กองทอง สั ม ภาษณ์ เมตฺ ต านนฺ โท ภิ กฺ ขุ , พระเครื่ อ ง คม-ชั ด -ลึ ก ,
หนังสือพิพม์รายวัน คม-ชัด-ลึก ฉบับวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๖.
๕๒
พระธรรมโกศาจารย์ (ประยู ร ธมฺ มจิ ต โต), เยือ นสยามนิ ก ายในศรีลั งกา,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๕๐), หน้า ๓๙-๔๐.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๕
๕๓
พระธรรมปิ ฎ ก (ป.อ. ปยุ ตฺโต), รู้จักพระไตรปิ ฎ กเพื่ อ เป็น ชาวพุ ท ธที่ แ ท้ ,
(กรุงเทพมหานคร : เอดิสัน เพรส โพรดักส์, ๒๕๔๓), หน้า ๘-๕๖.
๕๔
ผลงานที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติประชาชน, ใน สมเด็จพระสังฆราช
องค์ที่ ๑๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ , (กรุงเทพมหานคร : บริษัท อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ
จากัด, ๒๕๓๒), หน้า ๑๔๐.
๑๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๕๕
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช), ขุมปัญญาจากชาดก, (กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์ฟองทอง, ๒๕๔๑), หน้า ๕.
๕๖
อรรถกถาและอรรถกถาจารย์, ใน อบรมบาลีก่อนสอบ ปีที่ ๔, พระครูปลัด
สุวัฒนจริยคุณ (ประสิทธิพฺรหฺมรสี) บรรณาธิการ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย,๒๕๔๕), หน้า ๑๒๘.
๕๗
ธนิต อยู่โพธิ์, พระอภิธรรมเทศนาบนดาวดึงส์ , (กรุงเทพมหานคร : ห้าวหุ่น
ส่วนจากัดศิวพร, ๒๕๒๖), หน้า ๓-๑๘.
๕๘
พระมหาแสวง โชติปาโล, พุทธวิทยาน่ารู้ เล่ม ๓, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท
สหธรรมิก จากัด, ๒๕๓๘), หน้า ๙-๑๓.
๕๙
พระธัมมานันทมหาเถระ, นานาวินิจฉัย, (ลาปาง : กิจเสรีการพิมพ์, ๒๕๔๒),
หน้า ๑๓๐-๑๓๑.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๗
๖๐
ส.นิ. (บาลี) ๑๖/๒/๔, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๗.
๖๑
ดูรายละเอียดใน ส.นิ. (บาลี) ๑๖/๒/๔, ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๒/๖ เป็นต้น.
๖๒
ดู ร ายละเอี ย ดใน วิ.ป.อ. (บาลี ) ๓/๓/๔๒๐, ขุ .วิ .อ. (บาลี ) ๑๒๘๑/๔๑๓,
ขุ.เปต.อ. (บาลี) ๑๕๔,๒๗๔,ขุ.เถร.อ. (บาลี) ๒/๙๘-๙๙.
๑๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
ความเห็นที่ว่า เรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงพระอภิธรรมแก่เทวดาไม่มีใน
พระไตรปิฎก แสดงว่า พระอภิธรรมปิฎก แต่งขึ้นมาภายหลัง
ในเรื่องที่พระพุทธโฆสาจารย์อธิบายปฏิจจสมุปบาทผิดพุทธประสงค์
อรรถกถาที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นอันผิดจากหลักคาสอนพระพุทธศาสนา ผู้ศึกษา
คาอธิบายปฏิจจสมุปบาทในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและคัมภีร์สังยุตตนิกายนิทาน
วรรคอรรถกถา กลายเป็นผู้ศึกษาลัทธิพราหมณ์ไป เป็นเรื่องที่น่าสงสัย คัมภีร์
วิสุทธิมรรค ที่ใช้เป็นแบบเรียนภาษาบาลีชั้นเปรียญธรรม ๘ ประโยคของคณะ
สงฆ์ เป็ น คั ม ภี ร์ ที่ อ ธิ บ ายพระพุ ท ธศาสนาเป็ น พราหมณ์ คณะสงฆ์ ค งต้ อ ง
พิจารณาหาคัมภีร์อื่นมาเป็นแบบเรียนแทนคัมภีร์วิสุทธิมรรค ความเห็นที่ว่า
ผู้ที่เรียนอภิธัมมัตถสังคหะ หลงติดอภิธรรม ยึดมั่นอภิธรรม จะเสียเวลาในชีวิต
ไปเปล่า ถ้าไปเสียเวลากับอภิธรรม ประเทศชาติพลอยเสียเวลาไปด้วย แสดง
ว่ า การศึ ก ษาคั ม ภี ร์ อ ภิ ธั ม มั ต ถสั ง คหะกั บ คั ม ภี ร์ อ ภิ ธั ม มั ต ถวิ ภ าวนี ในชั้ น
เปรี ย ญธรรม ๙ ประโยคท าให้ เสี ย เวลาไปเปล่ า การศึ ก ษาพระอภิ ธ รรมที่
อภิ ธ รรมโชติ ก ะวิ ท ยาลั ย ของมหาวิ ท ยาลั ย มหาจุ ฬ าลงกรณราชวิ ท ยาลั ย
พลอยทาให้ประชาชนของประเทศเสียเวลาไปด้วย ทางผู้จัดการศึก ษาคงต้อง
พิจารณาหาแบบเรียนใหม่ จัดการศึกษาใหม่
ส่วนความเห็นในด้านบวกต่อคัมภีร์พระพุทธศาสนา เช่น ความเห็นที่ว่า
ถ้าไม่มีพระไตรปิฎก พระธรรมวินัยที่เป็นคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อยู่มาถึง
ปัจจุบั น ไม่ได้ จากความเห็น นี้ ชาวพุทธต้องรักษาสืบต่อพระไตรปิฎ กด้วยดี
เพื่อให้พระพุทธศาสนาคงอยู่ ต่อไป ความเห็น ที่ว่า พระไตรปิฎ กบันทึกชีวิต
และงานของพระพุ ท ธเจ้ า ชาวพุ ท ธต้ อ งรั ก ษาพระไตรปิ ฎ กไว้ ด้ ว ยชี วิ ต
ความเห็นที่ว่า ชาดกเป็นเรื่องจริง พระพุทธเจ้าทรงใช้ญาณระลึกรู้นามาเล่า
ตามเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ชาวพุทธควรศึกษาชาดกเพื่อดาเนินชีวิตตามอย่ าง
พระโพธิ สั ต ว์ ความเห็ น ที่ ว่ า พระอภิ ธ รรมเป็ น เทศนาที่ เ ป็ น วิ สั ย ของ
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๙
๖๓
ที .ม. (บาลี ) ๑๐/๑๘๘/๑๐๙–๑๑๑, ที .ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๘/๑๓๔–๑๓๖,
องฺ.จตุกฺก. (บาลี) ๒๑/๑๘๐/๑๙๑–๑๙๔, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๘๐/๒๕๓–๒๕๖.
๒๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๒. นิยามของอรรถกถาวิธี
ในเบื้องต้นนี้ ขอทาความเข้าใจคาว่าอธิบาย ซึ่งเป็นการอธิบายใน
คัมภีร์พระพุทธศาสนา และเป็นการอธิบายโดยพระพุทธเจ้า การอธิบาย
นั้นเป็นคาในภาษาไทย เมื่อทราบความหมายในภาษาไทยแล้วจาเป็นต้อง
หาความหมายจากศัพท์ภาษาบาลีในคัมภีร์ภาษาบาลี และต้องเป็นคัมภีร์
ที่มีการอธิบายความด้วย การอธิบายความโดยพระพุทธเจ้า เมื่อสารวจใน
คัมภีร์ที่มีการอธิบายได้พบศัพท์ที่หมายถึงการอธิบายในข้อความที่มีการ
อธิบาย ดังต่อไปนี้
สิ ก ขาปทวิ ภั ง ค์ หมายถึ ง การจ าแนกอธิ บ ายสิ ก ขาบท เป็ น
คาอธิบาย ที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้ในส่วนพระวินัยปิฎก ส่วนชื่อเรียก
ที่เรียกว่า สิก ขาปทวิภังค์ นั้ น เป็นถ้อยคาที่พระอรรถกถาจารย์ใช้เรียก
ข้อความที่อธิบายสิกขาบทที่มาในพระไตรปิฎก (อิทานิ สิกฺขาปทวิภงฺคสฺส
อตฺถ วณฺณยิสฺสาม. ย วุตฺต “โย ปนาติ โย ยาทิโส”ติอาทิ)
ปทภาชนีย์ หมายถึง การจาแนกอธิบายสิกขาบท เป็นคาอธิบาย ที่
พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้ในส่วนพระวินัยปิฎก เช่นกัน และชื่อเรียกที่
เรียกว่า ปทภาชนีย์ นั้น เป็นถ้อยคาที่พระอรรถกถาจารย์ใช้เรียกข้อความ
ที่อธิบายสิกขาบทที่มาในพระไตรปิฎก เช่น กัน เป็นคาที่ใช้แทนกันกับ
สิ ก ขาบทวิ ภั งค์ (วิ น เย อตฺ ถิ วตฺ ถุ , อตฺ ถิ มาติ ก า, อตฺ ถิ ปทภาชนี ย ...
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๒๑
๖๔
วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๖/๑๕, ส.ม. (บาลี) ๑๙/๑๐๘๑/,ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๓๐/๓๕๓,
เวยฺยากรณสฺสาติ วิตฺถาเรตฺ วา อตฺถทีปกสฺส. ภควตา หิ อพฺยากต นาม ตนฺติปท นตฺถิ,
สพฺเพสเยว อตฺโถ กถิโต. ม.ม.อ. (บาลี) ๓/๗๓.
๖๕
จตุ ปฺป ท เวยฺยากรณนฺ ติ จตุสจฺจพฺ ยากรณ สนฺ ธาย วุตฺ ต . ม.ม.อ. (บาลี ) ๓/
๑๔๓.
๖๖
สกล อภิธมฺมปิฏก, นิคฺคาถก สุตฺต, ยญฺจ อญฺญปิ อฏฺ หิ องฺเคหิ อสงฺคหิต
พุทธฺ วจน, ต เวยฺยากรณนฺติ เวทิตพฺพ. วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๗, ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๒๔.
๒๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
เรื่องนั้นๆ
อตฺโถ คือ อรรถ หมายถึง ข้อความที่เป็ นคาอธิบาย ซึ่งอธิบายโดย
พระพุทธเจ้า และหมายถึงข้อความที่พระสาวกทั้งหลายอธิบายปรากฏใน
ที่นั้นๆ อาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกาฎีกา ได้อธิบายอตฺถศัพท์ที่
หมายถึงคาอธิบายไว้ในคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกาฎีกาข้อ ๗๘๕ ว่า อตฺโถ
สทฺทาภิเธยฺเย อตฺถศัพท์ใช้ในความหมายว่าเนื้อความที่ศัพท์กล่าวถึง เช่น
สาตฺถ สพฺยญฺชน๖๗
อตฺถวณฺณนา คือ อรรถวรรณนา หมายถึง การพรรณนา คือ การ
อธิบายพระสูตรนั้นๆ ที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาทั้งหลาย
อฏฺ กถา คือ อรรถกถา หมายถึงถ้อยคาที่พระพุทธเจ้าตรัสอธิบาย
ไว้ปรากฏอยู่ในข้อความนั้นๆ และพระสาวกทั้ง หลายกล่าวอธิบายปรากฏ
อยู่ ในข้ อ ความนั้ น ๆ ๖๘ และข้ อ ความอธิ บ ายพระไตรปิ ฎ กที่ พ ระสาวก
ทั้งหลายรุ่น ต่อมาทรงจาสืบต่อแล้วพระสาวกทั้งหลาย เช่น พระพุทธ-
๖๗
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๑/๑ อ้างในคัมภีร์อภิธานวรรณนา, พระมหาสมปอง มุทิโต
แปลเรียบเรียง, (กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๔๒), หน้า ๙๔๖.
๖๘
อตฺโถ กถิยติ เอตายาติ อตฺถกถา, สาเยว อฏฺ กถา ตฺถการสฺส ฏฺ การ กตฺวา
“ทุกฺ ขสฺส ปีฬ นฏฺ โ ”ติอ าที สุ๖๘ วิย . สารตฺ ถ.ฏีก า (บาลี) ๑/๒๕ แปลว่า เนื้ อ ความ คื อ
คาอธิบาย อันท่าน(พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย) ย่อมกล่าวด้วยวาจานั่น เหตุนั้น
วาจานั้น ชื่อว่า อัตถกถา คือ วาจาที่ท่านกล่าวอธิบาย ที่อัตถกถา เป็นอัฏฐกถา ก็เพราะ
แปลงตฺถเป็นฏฺ ดุจในคาเป็นต้นว่า ทุกฺขสฺส ปีฬนฏฺโ ทุกข์มีความหมายว่าเบียดเบียน,
ตถาน ฏฺ ยุค. อฏฺ กถา, อตฺถกถา วา. ทุกฺขสฺส ปีฬนฏฺโ สงฺขตฏฺโ นีติ.สุตฺต. (บาลี) ๓๐,
พระมหาประนอม ธมฺ ม าลั งฺก าโร ปริว รรต, วัด จากแดง อ าเภอพระประแดง จั งหวั ด
สมุทรปราการ จัดพิมพ์, ๒๕๔๙.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๒๓
โฆสาจารย์ได้รวบรวมแต่งเป็นอรรถกถาอธิบายพระไตรปิฎก ซึ่งสืบทอด
กันมาปรากฏเป็นเล่มหนังสือในปัจจุบัน
อธิปฺปาย คือ อธิบาย หมายถึงการอธิบายของพระพุทธเจ้าและการ
อธิบายของพระสาวกทั้งหลาย
ปกิณฺณกเทสนา คือ ปกิณกเทศนา หมายถึง พระธรรเทศนาที่เป็น
คาสนทนาทั่วไประหว่างพระพุทธเจ้าพุทธบริษัท เช่น คาสนทนาระหว่าง
พระพุทธเจ้ากับพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์๖๙
๓. อรรถกถาวิธีในสมัยพุทธกาล
พระฎี ก าจารย์ ผู้ ร จนาคั ม ภี ร์ ฎี ก าอธิ บ ายข้ อ ความในคั ม ภี ร์
พระไตรปิฎกและข้อความในคัมภีร์อรรถกถาได้กล่าวถึงการอธิบายความ
ของพระพุ ท ธเจ้ าว่ า “สมฺ ม าสมฺ พุ ทฺ เธเนว หิ ติ ณฺ ณ มฺ ปิ ปิ ฏ กาน อตฺ ถ -
วณฺณนากฺกโม ภาสิโต, ยา ปกิณฺณกเทสนาติ วุจฺจติ ”๗๐ แปลว่า “ก็พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ได้ ตรัสอธิบายความพระไตรปิฎกไว้เป็นลาดับ ซึ่ง
เรียกกันว่า ปกิณกเทศนา” จากข้อความที่พระฎีกาจารย์กล่าวนี้ แสดงให้
เห็ น ว่า ในพระไตรปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระสุต ตันตปิฎก และพระ
๖๙
ตตฺถ ตตฺถ ภควตา ปวตฺติตา ปกิณฺ ณ กเทสนาเยว หิ อฏฺ กถา. สารตฺถ.ฏี กา
(บาลี) ๑/... แปลว่า ก็ปกิณกเทศนาที่พระผู้มีพระภาคทรงให้เป็นไปในสถานที่นั้นๆ ก็เป็น
อรรถกถา คือ ถ้อยคาอธิบาย.
๗๐
สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๖,ที .สี.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๘,ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๕,
ส.ส.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๖, องฺ.เอกก.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๘.
๒๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๗๑
สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๖.
๗๒
สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๖.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๒๕
๓.๑ อรรถกาในพระวินัยปิฎก
พระอรรถกถาจารย์และพระฎีกาจารย์ ผู้อธิบายขยายความได้กล่าว
ไว้ในคัมภีร์อรรถกถาและฎีกาว่า พระพุทธเจ้ าเองทรงอธิบายความหมาย
แห่ งเทศนาของพระองค์ ไ ว้ทั้ ง ๓ ปิ ฎ ก ๗๓ ในข้ อ นี้ ต้ อ งท าความเข้ าใจ
มิฉะนั้น อาจจะคิดว่า ท่านกล่าวสับสน ในส่วนพระวินัยปิฎก พระพุทธ
องค์ได้ทรงอธิบายสิกขาบทที่ทรงบัญญัติ แต่ได้มีการแสดงความเห็นว่า
คาอธิบ ายนั้ น เป็ น ข้อ ความที่ เพิ่ ม เข้ ามา ข้ อความที่ เป็ น สิ ก ขาบทและ
คาอธิบายของพระพุทธเจ้าที่กล่าวถึงนี้ คือ ข้อความสิกขาบทและวิภังค์
บางตอนแห่งปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ ดังต่อไปนี้
โย ปน ภิกฺขุ ภิกฺขูน สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน สิกฺข อปฺปจฺจกฺขาย
ทุ พฺ พ ลฺ ย อนาวิก ตฺ ว า เมถุ น ธมฺ ม ปฏิ เสเวยฺ ย อนฺ ต มโส ติ รจฺ ฉาน -
คตายปิ, ปาราชิโก โหติ อสวาโส๗๔
อนึ่ ง ภิกษุใดถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลาย ไม่
บอกคืน สิกขา ไม่เปิ ดเผยความท้อแท้ เสพเมถุนธรรมโดยที่สุด กับสัต ว์
ดิรัจฉาน ภิกษุนั้นย่อมเป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้๗๕
สิกขาบทวิภังค์
๗๓
สมฺ ม าสมฺ พุ ทฺ เธเนว หิ ติ ณฺ ณ มฺ ปิ ปิ ฏ กาน อตฺ ถ วณฺ ณ นากฺ ก โม ภาสิ โ ต, ยา
ปกิณฺณกเทสนาติ วุจฺจติ สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๖, ที.สี.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๘, ม.มู.ฏีกา
(บาลี) ๑/๑๕, ส.ส.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๖, องฺ.เอกก.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๘.
๗๔
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๔๔/๓๐.
๗๕
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๔/๓๒.
๒๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๗๖
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๔๕/๓๐.
๗๗
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓.
๗๘
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๔๕/๓๐.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๒๗
๗๙
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓.
๘๐
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๔๕/๓๐.
๘๑
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓.
๘๒
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๔๕/๓๐.
๘๓
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓.
๒๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๘๔
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๔๕/๓๐.
๘๕
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๕/๓๓.
๘๖
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๕๕/๓๖.
๘๗
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๔๒.
๘๘
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๕๕/๓๖.
๘๙
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๔๒.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๒๙
๙๐
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๕๕/๓๖.
๙๑
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๔๒-๔๓.
๙๒
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๕๕/๓๖.
๙๓
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๔๓.
๙๔
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๕๕/๓๗.
๓๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
ค าว่ า หาสั งวาสมิ ไ ด้ อธิ บ ายว่ า ที่ ชื่ อ ว่ า สั ง วาส ได้ แ ก่ กรรมที่
กระทาร่วมกัน อุทเทสที่สวดร่วมกัน ความมีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่าสังวาส
สังวาสนั้ น ไม่ มี ร่ ว มกับ ภิ กษุ นั้ น ด้ ว ยเหตุ นั้ น เราตถาคตจึงกล่าวว่า หา
สังวาสมิได้๙๕
บาลีลักษณะนี้ รูปประโยคเหมือนสานวนอรรถกถา ข้อความที่เป็น
สิกขาบทวิภังค์ เช่น ข้อความว่า
อนฺ ต มโส ติ ร จฺ ฉ านคตายปี ติ ติ ร จฺ ฉ านคติ ตฺ ถิ ย าปิ เมถุ น ธมฺ ม
ปฏิเสวิตวา อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย, ปเคว มนุสฺสิตฺถิยา ...
ข้อความนี้มีบทตั้งมีอิติศัพท์อยู่ท้าย บทตั้งคือ อนฺตมโส ติรจฺฉาน-
คตายปีติ และมีคาอธิบาย คือ ติรจฺฉานคติตฺถิยาปิ เมถุน ธมฺม ปฏิเสวิตฺวา
อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย, ปเคว มนุสฺสิตฺติยา ... เหมือนอรรถกถา เป็น
ข้อความชวนให้ คิด ว่า ไม่น่ าจะเป็ น พุ ทธพจน์ เพราะรูปประโยคคล้าย
อรรถกถามากกว่า แต่เมื่อศึกษาข้อความสนับสนุนเรื่องนี้ กาหนดได้ว่า
เป็นข้อความที่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายเอง คือ ข้อความที่เป็นสิกขาบท
วิภังค์นี้ ตรงกับข้อความอกรณียกิจ ที่พระองค์ทรงรับสั่งให้พระอุปัชฌาย์
บอกแก่ภิกษุบวชใหม่ มีเรื่องเล่าพอสรุปได้ว่า
ครั้งหนึ่ ง ภิกษุทั้งหลาย ได้ทาการอุปสมบทภิกษุรูปหนึ่ง แล้วทิ้ง
ท่านให้อยู่ตามลาพัง ภิกษุบวชใหม่ เดินตามมาภายหลังพอดีพบกับภรรยา
นางถามว่า “นี่พี่ไปบวชมาหรือ” ท่านตอบอดีตภรรยาว่า “ใช่พี่บวชแล้ว”
นางจึงกล่าวกับพระบวชใหม่อดีต สามีว่า “พวกที่บวชหาการเสพเมถุน
ธรรมได้ยาก มาเสพเมถุนธรรมกันเถิด”
๙๕
วิ.มหา. (ไทย) ๑/๕๕/๔๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๓๑
พระบวชใหม่จึงเสพเมถุนธรรมกับอดีตภรรยา เสร็จแล้วจึงตามพระ
อุปัชฌาย์อาจารย์ไปอย่างชักช้า พระอุปัชฌาย์อาจารย์ถามว่า “ทาไมจึง
มาล่าช้า” พระบวชใหม่จึงบอกเรื่องที่ตนมัวเสพเมถุนธรรมกับอดีตภรรยา
ให้ทราบ
ภิกษุเหล่านั้ น จึง น าเรื่องนี้ ไปกราบทู ลให้พ ระพุ ทธองค์ท รงทราบ
พระผู้มีพระภาค จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ เมื่อทาการอุปสมบทให้ภิกษุ
ใหม่แล้ว ให้มีภิกษุอยู่เป็นเพื่อนและให้บอกอกรณียกิจ ๔ อย่างด้วย๙๖
ข้อความนี้เป็นเหตุการณ์ต้นเหตุที่ทาให้พระพุทธเจ้า มี รับสั่งให้พระ
อุปั ชฌาย์ห ลังจากทาการอุป สมบทให้ กุลบุต รแล้วต้องบอกสิ่งที่ไม่ควร
กระทา ซึ่งถ้าภิกษุผู้บวชใหม่ไปกระทาเข้าแม้จะไม่ทราบมาก่อน มีโทษถึง
ขาดจากความเป็นภิกษุ ข้อความที่เป็นคาบอกอกรณียกิจ คือสิ่งที่ไม่ควร
กระทา ดังนี้ :-
อุปสมฺปนฺเนน ภิกฺขุนา เมถุโน ธมฺโม น ปฏิเสวิตพฺโพ อนฺตมโส
ติรจฺ ฉ านคตายปิ . โย ภิ กฺขุ เมถุ น ธมฺ ม ปฏิ เสวติ , อสฺส มโณ โหติ
อสกฺ ย ปุ ตฺ ติ โ ย. เสยฺ ย ถาปิ นาม ปุ ริ โ ส สี ส จฺ ฉิ นฺ โน อภพฺ โ พ เตน
สรีรพนฺธเนน ชีวิตุ, เอวเมว ภิกฺขุ เมถุน ธมฺม ปฏิเสวิตฺวา อสฺสมโณ
โหติ อสกฺยปุตฺติโย. ตนฺเต ยาวชีว อกรณีย.๙๗
๙๖
สรุปความจาก วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๒๙/๑๓๙-๑๔๑, วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๒๙/๑๙๗-
๑๙๘.
๙๗
วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๒๙/๑๔๐.
๓๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๙๘
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๒๙/๑๙๗.
๙๙
วิ.ภิกฺขุนี. (บาลี) ๓/๑๐๔๗/๑๖๒.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๓๓
๑๐๐
วิ.ภิกฺขุนี. (บาลี) ๓/๑๐๔๘/๑๖๒.
๑๐๑
วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๑๐๔๘/๒๘๐.
๑๐๒
วิ.ภิกฺขุนี. (บาลี) ๓/๑๐๒๑/๒๖๓-๒๖๔.
๑๐๓
วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๑๐๒๕/๑๕๓.
๓๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๐๔
วิ.ภิกฺขุนี.อ. (บาลี) ๒/๑๔๙/๓๒๑, กงฺขา.อ. (บาลี) ๓๙๑.
๑๐๕
วิ.มหา. (บาลี) ๒/๖๔๔/๔๑๘.
๑๐๖
วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๔๔/๗๒๓.
๑๐๗
วิ.มหา. (บาลี) ๒/๖๔๔/๔๑๘.
๑๐๘
วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๔๔/๗๒๓.
๑๐๙
วิ.มหา. (บาลี) ๒/๖๕๔/๔๒๕.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๓๕
สิกขาบทนี้บทพยัญชนะชัดเจนแล้ว แต่อาจจะมีการไม่เข้าใจแนว
ทางการปฏิ บั ติ พระพุ ท ธองค์ จึ ง ทรงอธิ บ ายว่ า “น อุ ท เก อคิ ล าเนน
อุจฺจาโร วา ปสฺสาโว วา เขโฬ วา กาตพฺโพ . โย อนาทริย ปฏิจฺจ อุทเก
อคิลาโน อุจฺจาร วา ปสฺสาว วา เขฬ วา กโรติ, อาปตฺติ ทุกฺ กฏสฺส”๑๑๑
แปลว่า “ภิกษุไม่เป็นไข้ ไม่พึงถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้าลาย
ลงในน้า ภิกษุใดไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เป็นไข้ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วน
น้าลายลงในน้ า ต้ องอาบั ติ ทุ กกฏ ”๑๑๒ ไม่ เอื้ อเฟื้ อ คือ ไม่ส นใจว่ามี ข้ อ
สิกขาบทห้าม และเนื่องจากในตัวสิกขาบทไม่มีถ้อยคาที่ระบุถึงการปรับ
อาบัติ จึงมีการขยายความให้ทราบว่า ถ้าไม่สนใจที่จะปฏิบัติทาการล่วง
ละเมิดไปต้องอาบัติ
ในวินัยปิฎก ภิกขุนีวิภังค์ในฝ่ายภิกษุณี มีการอธิบายในหลักษณะ
คาอธิบายตัวสิกขาบทที่เรียกว่า “สิกขาบทวิภังค์ ” นั้น คาที่เป็น
ภาษาบาลีในพระวินัยปิฎกไม่ปรากฏ ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ได้นาคา
เรียกที่พระอรรถกถาจารย์ใช้ในอรรถกถามาตั้งเป็นหัวข้อ คือ นาคาที่ท่าน
กล่าวไว้ในวินัยอรรถกถา ดังนี้
อิทานิ สิกฺขาปทวิภงฺคสฺส อตฺถ วณฺณยิสฺสาม. ย วุตฺต “โย ปนาติ โย
ยาทิ โส ”ติอ าทิ . เอตฺ ถ โย ปนาติ วิภ ชิต พฺ พ ปท, “โย ยาทิโส ”ติอาที นิ
๑๑๐
วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๕๔/๗๓๔.
๑๑๑
วิ.มหา. (บาลี) ๒/๖๕๔/๔๒๕.
๑๑๒
วิ.มหา. (ไทย) ๒/๖๕๔/๗๓๔.
๓๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
ตสฺส วิภชนปทานิ.๑๑๓
แปลว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้า(หมายถึงพระพุทธโฆสาจารย์) จักพรรณนา
เนื้อความแห่งสิกขาบทวิภังค์ ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า โย ปนาติ โย
ยาทิโส เป็นต้น ในข้อความนี้ คาว่า โย ปน เป็นบทที่พึงจาแนกอธิบาย
คาว่า โย ยาทิโส เป็นต้น เป็นบทจาแนกอธิบายบทว่า โย ปน นั้น”
คาอธิบายตัวสิกขาบทที่เรียกว่า ปทภาชนีย์ นั้น คาที่เป็นภาษาบาลี
ไม่ปรากฏในพระวินัยปิฎก เช่นกัน พระไตรปิฎกภาษาไทยนาคาที่ท่านใช้
ในอรรถกถามาตั้งเป็นหัวข้อ คาที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถา คือ ข้อความ
ว่า
ปทภาชนี ย โอโลเกนฺ โตปิ “อกฺขยิเต สรีเร เมถุน ธมฺม ปฏิเสวติ,
อาปตฺติ ปาราชิกสฺส. เยภุยฺเยน ขยิเต สรีเร เมถุน ธมฺม ปฏิเสวติ, อาปตฺติ
ถุลฺลจฺจยสฺสา”ติอาทินา๑๑๔ นเยน สตฺตนฺน อาปตฺตีน อญฺ ตร อาปตฺตึ
ปสฺสติ, โส ปทภาชนียโต สุตฺต อาเนตฺวา ต อธิกรณ วูปสเมสฺสติ.๑๑๕
แปลว่า “พระวินัยธรแม้เมือ่ ตรวจดูปทภาชนีย์ ย่อมพบเห็นอาบัติ ๗
อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามนัยเป็นต้นว่า ภิกษุเสพเมถุนในซากศพที่ยังไม่ถูก
สัตว์กัด ต้องอาบัติปาราชิก ภิกษุเสพเมถุนในซากศพที่ถูกสัตว์กัด โดยมาก
ต้องอาบัติถุลลัจจัย พระวินัยธรนั้น จักนาสูตร(หลักการ)จากปทภาชนีย์มา
ระงับอธิกรณ์ได้”
๑๑๓
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๘๑.
๑๑๔
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๕๙/๓๘.
๑๑๕
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๗๘.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๓๗
๓.๒ อรรถกถาในพระสุตตันตปิฎก
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดยวิธีอุทเทส นิทเทส ปฏินิทเทส คือ
ทรงยกหั ว ข้ อ ทรงอธิ บ ายแล้ ว ทรงสรุ ป นิ ท เทสนั้ น คื อ อธิ บ าย เมื่ อ
พระองค์แสดงจบแล้ว รูปแบบการแสดงธรรมวิธีนี้ เช่น พระธรรมเทศนาที่
พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้
ทุ กฺ ข สฺ ส ภิ กฺ ข เว สมุ ท ยญฺ จ อตฺ ถ งฺค มญฺ จ เทเสสฺ ส ามิ , ต สุ ณ าถ,
สาธุ ก มนสิ ก โรถ, ภาสิ สฺ ส ามี ติ . “เอว ภนฺ เต”ติ โข เต ภิ กฺ ขู ภควโต
ปจฺจสฺโสสุ ภควา เอตทโวจ : กตโม จ ภิกฺขเว ทุกฺขสฺส สมุทโย. จกฺขุญฺจ
ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกฺขุวิญฺ าณ, ติณฺณ สงฺคติ ผสฺโส, ผสฺสปจฺจยา
เวทนา, เวทนาปจฺจยา ตณฺหา. อย โข ภิกฺขเว ทุกฺขสฺส สมุทโย. โสตญฺจ
ปฏิจฺจ สทฺเท จ อุปฺปชฺชติ โสตวิญฺ าณ ฯเปฯ ฆานญฺจ ปฏิจฺจ คนฺเธ จ...
ชิวฺห ญฺ จ ปฏิ จฺจ รเส จ... กายญฺ จ ปฏิจฺจ โผฏฺ พฺ เพ จ... มนญฺ จ ปฏิจฺ จ
ธมฺเม จ อุปฺปชฺชติ มโนวิญฺ าณ, ติณฺณ สงฺคติ ผสฺโส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา,
เวทนาปจฺจยา ตณฺหา. อย โข ภิกฺขเว ทุกฺขสฺส สมุทโย.
กตโม จ ภิ กฺ ข เว ทุ กฺ ข สฺ ส อตฺ ถ งฺ ค โม. จกฺ ขุ ญฺ จ ปฏิ จฺ จ รู เ ป จ
อุ ปฺ ป ชฺ ช ติ จกฺ ขุ วิ ญฺ าณ , ติ ณฺ ณ สงฺ ค ติ ผสฺ โ ส, ผสฺ ส ปจฺ จ ยา เวทนา,
เวทนาปจฺจยา ตณฺห า. ตสฺสาเยว ตณฺ หาย อเสสวิราคนิโรธา อุปาทาน-
นิโรโธ, อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ, ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชรา
มรณ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิ รุชฺฌนฺติ ; เอวเมตสฺส เกวลสฺส
ทุกฺขกฺขนฺ ธสฺส นิ โรโธ โหติ. อย โข ภิกฺขเว ทุกฺขสฺส อตฺถงฺคโม. โสตญฺ จ
ปฏิจฺจ สทฺเท จ อุปฺปชฺชติ โสตวิญฺ าณ ฯเปฯ ฆานญฺจ ปฏิจฺจ คนฺเธ จ ...
๓๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
ชิวฺห ญฺ จ ปฏิจฺจ รเส จ ... กายญฺ จ ปฏิจฺจ โผฏฺ พฺเพ จ... มนญฺ จ ปฏิจฺจ
ธมฺเม จ อุปฺปชฺชติ มโนวิญฺ าณ, ติณฺณ สงฺคติ ผสฺโส, ผสฺสปจฺจยา เวทนา,
เวทนาปจฺจยา ตณฺห า. ตสฺสาเยว ตณฺ หาย อเสสวิราคนิโรธา อุปาทาน-
นิ โรโธ, อุ ป าทานนิ โ รธา ภวนิ โรโธ, ภวนิ โรธา ชาติ นิ โรโธ, ชาติ นิ โรธา
ชรามรณ โสกปริ เ ทวทุ กฺ ข โทมนสฺ สุ ป ายาสา นิ รุ ชฺ ฌ นฺ ติ : เอวเมตสฺ ส
เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ. อย โข ภิกฺขเว ทุกฺขสฺส อตฺถงฺคโม๑๑๖
แปลว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงความเกิดแห่งทุกข์ และ
ความดั บ แห่ งทุ ก ข์ เธอทั้ งหลายจงฟั ง จงใส่ ใจให้ ดี เราจั ก กล่ าว ภิ ก ษุ
เหล่านั้นทูลรับสนองพระดารัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสเรื่องนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย ความเกิด แห่ งทุกข์ เป็น ไฉน คือ เพราะอาศัยตาและรูป
จักขุวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะ
ผัสสะเป็ น ปั จจัย เวทนาจึ งเกิด เพราะเวทนาเป็ น ปั จ จัย ตั ณ หาจึงเกิ ด
ความเกิดแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้แล เพราะอาศัยหูและเสียง โสตวิญญาณ
จึงเกิด ฯลฯ เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น ... เพราะอาศัยลิ้นและรส ...
เพราะอาศัยกายและสิ่งที่มาถูกต้อง ... เพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์
มโนวิ ญ ญาณจึ งเกิ ด ความประจวบแห่ งธรรม ๓ ประการ เป็ น ผั ส สะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด เพราะเวทนาเป็นปัจจัยตัณหาจึงเกิด
ความเกิดแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้แล
ความดั บ แห่ ง ทุ ก ข์ เป็ น ไฉน คื อ เพราะอาศั ย ตาและรู ป จั ก ขุ
วิญ ญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะ
ผัสสะเป็ น ปั จจัย เวทนาจึ งเกิด เพราะเวทนาเป็ น ปั จ จัย ตั ณ หาจึงเกิ ด
๑๑๖
ส.นิ. (บาลี) ๑๖/๔๓/๘๗.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๓๙
๑๑๗
ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๓/๘๘-๘๙.
๑๑๘
ส.นิ. (บาลี) ๑๖/๔๓/๘๖.
๔๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๑๙
ส.นิ. (บาลี) ๑๖/๔๓/๘๖.
๑๒๐
ส.นิ. (บาลี) ๑๖/๔๓/๘๖.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๔๑
๑๒๑
ส.นิ. (บาลี) ๑๖/๔๓/๘๖.
๔๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๒๒
ส.นิ. (ไทย) ๑๖/๔๓/๘๘-๘๙.
๑๒๓
เวยฺยากรณสฺสาติ วิตถฺ าเรตฺวา อตฺถทีปกสฺส. ม.ม.อ. (บาลี) ๓/๗๓.
๑๒๔
ภควตา หิ อพฺยากต นาม ตนฺ ติปท นตฺ ถิ, สพฺเพสเยว อตฺโถ กถิโต. ม.ม.อ.
(บาลี) ๓/๗๓.
๔๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
แปลว่า
โภคสุ ข เป็ น อย่ างไร คื อ กุ ล บุ ต รในโลกนี้ ใช้ ส อยโภคทรัพ ย์ แ ละ
ทาบุญ ด้วยโภคทรัพย์ที่ห ามาได้ด้ว ยความหมั่นเพียร เก็บรวบรวมด้วย
น้าพักน้ าแรง อาบเหงื่อต่างน้า ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม เขา
ได้รับสุขโสมนัสว่า “เราใช้สอยโภคทรัพย์และทาบุญด้วยโภคทรัพย์ที่หามา
ได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร เก็บรวบรวมด้วยน้าพักน้าแรง อาบเหงื่อต่าง
น้า ประกอบด้วยธรรม ได้มาโดยธรรม” นี้เรียกว่า โภคสุข
พระพุทธเจ้าทรงอธิบายถ้อยคาของพระองค์เรื่องสุขของคฤหัสถ์
(ตอน ๔)
กตมญฺ จ คหปติ อานณฺ ยสุข. อิธ คหปติ กุลปุตฺโต น กสฺสจิ
กิญฺจิ ธาเรติ อปฺปํ วา พหุ วา, โส “น กสฺสจิ กิญฺจิ ธาเรมิ อปฺปํ
วา พหุ วา”ติ อธิคจฺฉติ สุข, อธิคจฺฉติ โสมนสฺส. อิท วุจฺจติ คหปติ
อานณฺยสุข.
แปลว่า “อานัณยสุข เป็นอย่างไร คือ กุลบุตรในโลกนี้ไม่เป็นหนี้ใคร
ไม่ว่าจะน้อยหรือมากก็ตาม เขาได้รับสุข โสมนัสว่า “เราไม่เป็นหนี้ใคร ไม่
ว่าจะน้อยหรือมาก” นี้เรียกว่า อานัณยสุข”
กตมญฺจ คหปติ อนวชฺชสุข. อิธ คหปติ อริยสาวโก อนวชฺเชน
กายกมฺเมน สมนฺนา คโต โหติ, อนวชฺเชน วจีกมฺเมน สมนฺนาคโต โหติ,
อนวชฺเชน มโนกมฺเมน สมนฺนาคโต โหติ. โส “อนวชฺเชนมฺหิ กายกมฺเมน
สมนฺนาคโต อนวชฺเชน วจีกมฺเมน สมนฺนาคโต อนวชฺเชน มโนกมฺเมน
๔๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๓.๓ อรรถกถาในพระอภิธรรมปิฎก
บทอุททเทสในพระสูตรกับบทนิทเทสในพระอภิธรรม
บทอุทเทส คือ หัวข้อที่ยกขึ้นแสดง ในพระสูตรนั้น ที่พระพุทธเจ้า
ทรงยกขึ้น แสดงแล้วพระสาวกรวบรวมไว้ บางแห่งท่านรวบรวมเฉพาะ
หัวข้อธรรมไม่มีคานิทเทส เช่น ข้อความเรื่องบุคคล ๔ ในอังคุตตร นิกาย
จตุกกนิบาต ดังนี้
จตฺ ต าโรเม ภิ กฺ ข เว ปุ คฺ ค ลา สนฺ โ ต ส วิ ชฺ ช มานา โลกสฺ มึ . กตเม
จตฺตาโร. อุคฺฆฏิตญฺญู วิปจิตญฺญูเนยฺโย ปทปรโม. อิเม โข ภิกฺขเว จตฺตาโร
ปุคฺคลา สนฺโต สวิชฺชมานา โลกสฺมึ.๑๒๕
แปลว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ นี้มีปรากฏอยู่ในโลก บุคคล
๔ คือ (๑) อุคฆฏิตัญญูบุคคล (๒) วิปจิตัญญูบุคคล (๓) เนยยบุคคล (๔)
ปทปรมบุคคล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ นี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก”
๑๒๕
องฺ.จตุกฺก. (บาลี) ๒๑/๑๘๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๔๗
๑๒๖
อภิ.ปุ. (บาลี) ๓๖/๑๓๔.
๔๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๒๗
อภิ.ปุ. (บาลี) ๓๖/๑๘๕.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๔๙
๑๒๘
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๓๐/๔๕๙.
๑๒๙
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๐, ส.ม.(ไทย) ๑๙/๑๐๘๑.
๕๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๓๐
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๖/๓๒๔.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๕๑
พลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความไม่ได้สิ่งที่ปรารถนาก็เป็น
ทุกข์ โดยย่นย่ออุปาทานขันธ์ ๕ ก็เป็นทุกข์”๑๓๑
ข้อความที่เป็ น สุตตานุโลม ช่วยขยายความสุต ตะ คือ ข้อความที่
พระพุทธองค์ทรงอธิบายขยายความธัมมานุปัสสนาในมหาสติปัฏฐานสูตร
ซึ่งพระองค์ทรงขยายความเหมือนที่ทรงขยายความในธัมมจักกัปปวัตตน
สูตรก่อนแล้วทรงขยายความอีกทอดหนึ่ง ตั้งแต่ทุกขอริยสัจไป ดังนี้
“ทุ ก ขอริ ย สั จ เป็ น อย่ างไร คื อ ชาติ (ความเกิ ด ) เป็ น ทุ ก ข์ ชรา
(ความแก่) เป็ น ทุ ก ข์ มรณะ (ความตาย) เป็ น ทุ กข์ โสกะ (ความโศก)
ปริเทวะ (ความคร่าครวญ) ทุกข์ (ความทุกข์กาย) โทมนัส (ความทุกข์ใจ)
อุปายาส (ความคับแค้นใจ) เป็นทุกข์ การประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่
รักเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากอารมณ์อันเป็นที่รักเป็นทุกข์ การไม่ได้
สิ่งที่ต้องการเป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ การไม่ได้สิ่งที่
ต้องการเป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์”
ข้อความข้างต้นทรงอธิบายเหมือนในธัมมจักกัปปวัต ตนสูตร ต่อ
จากนี้ พระองค์ทรงอธิบายขยายความต่อทุกขอริยสัจแต่ละข้อ ดังนี้
“ชาติ เป็ น อย่างไร คื อ ความเกิ ด ความเกิด พร้ อม ความหยั่งลง
ความบังเกิด ความบังเกิดเฉพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะ
ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ชาติ”๑๓๒
๑๓๑
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๐.
๑๓๒
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๗-๓๘๘/๓๒๕.
๕๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๓๓
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๙-๓๙๙/๓๒๕-๓๒๘.
๑๓๔
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๐.
๕๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๓๕
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๗-๓๘๘/๓๒๙-๓๒๑.
๑๓๖
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๒.
๖๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๓๗
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๑/๓๓๒-๓๓๔.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๖๓
๑๓๘
วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๔/๒๒.
๖๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๔. รูปแบบอรรถกถาวิธีสมัยพุทธกาล
การอธิบายที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถานั้น ในส่วนที่อธิบายข้อธรรม
มีทั้งที่อธิบายสภาวธรรมและอธิบายกลุ่มบุคคล ส่วนที่อธิบายบุคคล ซึ่งจัด
๑๓๙
ที.ม. (ไทย) ๑๐/๔๐๒/๓๓๔-๓๓๗.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๖๗
๑๔๐
องฺ.จตุกฺก.อ. (บาลี) ๒/๓๘๐
๖๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
บุ คคลชนิ ด ไหน ชื่ อ ว่า วิป จิตั ญ ญู คือ บุ คคลใด พอท่ านอธิ บ าย
เนื้อความที่ท่านแสดงไว้โดยย่อให้พิศดาร บุคคลนี้ เรียกว่า วิปจิตัญญู
บุคคลชนิดไหน ชื่อว่า เนยยะ คือ บุคคลใด เมื่อทบทวนหัวข้อ หรือ
ให้ท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง สอบถามข้ออธิบาย ทบทวนในใจโดยแยบคาย
คบหาอยู่ใกล้ชิดกัลยาณมิตร จึงจะบรรลุธรรมได้ ดังที่กล่าวมาตามลาดับ
บุคคลนี้ เรียกว่า เนยยะ
บุคคลชนิดไหน ชื่อว่า ปทปรมะ คือ บุคคลใด แม้เล่าเรียนมาก พูด
มาก ทรงจาได้มาก สอนคนอื่นได้มาก แต่ไม่บรรลุธรรมในชาตินนั้ บุคคลนี้
เรียกว่า ปทปรมะ”
ข้อความนี้ในคัมภีร์ทีฆนิกายอรรถกถา เล่ม ๒ มัชฌิมนิกายอรรถ
กถา เล่ม ๒ สังยุตตนิกาย เล่ม ๑-๒ และคัมภีร์สารัตถทีปนีฏีกา ที่อธิบาย
อรรถกถาพระวินยั คัมภีรอ์ รรถกถาและฎีกาเหล่านี้ อธิบายพระไตรปิฎก ที่
กล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตวโลกแล้วทรงเห็นว่ามีบุคคล ๓
ประเภทที่จะรู้ตามธรรมที่ทรงแสดงได้เปรียบด้ วยดอกบัว ๓ เหล่า แล้ว
พระอรรถกถาจารย์เอาเรื่องบุคคล ๔ ประเภทและเพิ่มดอกบัวประเภทที่
๔ ไปสงเคราะห์ เ ข้ า ด้ ว ยกั น ท่ า นยกบทนิ ท เทส คื อ อธิ บ ายจาก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖ ไปเป็นอธิบายของท่าน ดังนี้
ยเถว หิ ตานิ จตุพฺพิธานิ ปุปฺผานิ , เอวเมว อุคฺฆฏิตญฺญู วิปจิตญฺญู
เนยฺโย ปทปรโมติ จตฺตาโร ปุคฺคลา.
ตตฺ ถ ยสฺส ปุ คฺค ลสฺส สห อุท าหฏเวลาย ธมฺ มาภิ ส มโย โหติ , อย
วุจฺจติ ปุคฺคโล อุคฺฆฏิตญฺญู. ยสฺส ปุคฺคลสฺส สงฺขิตฺเตน ภาสิตสฺส วิตฺถาเรน
อตฺเถ วิภชิยมาเน ธมฺมาภิสมโย โหติ , อย วุจุจติ ปุคฺคโล วิปจิตญฺญู. ยสฺส
ปุคฺคลสฺส อุทฺเทสโต ปริปุจฺฉโต โยนิโส มนสิกโรโต กลฺยาณมิตฺเต เสวโต
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๖๙
๑๔๑
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๖๕, ม. อ. (บาลี) ๒/๘๘, ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๙๑, ส.อ. (บาลี)
๒/๔-๕ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๖๕, ม. อ. (บาลี) ๒/๘๘, ส.ส.อ. (บาลี) ๑/๑๙๑, ส.อ. (บาลี) ๒/
๔-๕
๗๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๔๒
ที.ม.ฎีกา ๒/๗๘-๗๙, ม.ฏีกา ๒/๑๖๙-๑๗๐, ส.ฏีกา ๒/๑๐.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๗๑
“ค าว่า อุ ค ฆฏิ ต ญฺ ญู มี อ ธิบ ายดั งนี้ การเปิ ด เผยญาณรั บ รู้ ชื่ อ ว่า
อุคฆฏนะ คื อพอยกขึ้น แสดงก็รู้ หมายความว่า เพี ยงเผยญาณเท่านั้ น
ก็รู้ทันที ผู้ที่รู้เนื้อความต่อเมื่อท่านอธิบายอย่างพิศดาร ชื่อว่า วิปัญจิตัญญู
ผู้ที่ท่านต้องแนะนาพร่าสอนด้วยหัวข้อธรรมเป็นต้น ชื่อว่า เนยยะ
ค าว่า สห อุ ท าหฏเวลาย มี อ ธิบ ายว่ า พอท่ านยกอุ ท าหรณ์ คื อ
หัวข้อธรรมขึ้น เท่านั้ น ธัมมาภิสมัย คือการบรรลุสัจธรรม ๔ พร้อมกับ
ญาณ
คาว่า อย วุจฺจติ มีอธิบายว่า บุคคลนี้ พอท่านแสดงหัวข้อแต่โดยย่อ
ว่า จัตตาโร สติปัฏฐานา การตั้งสติไว้ ๔ ประการ เป็นต้น ก็ส่งญาณไป
ตามแนวที่ ท่ า นแสดงแล้ ว สามารถบรรลุ พ ระอรหั ต ตผลได้ เรี ย กว่ า
อุคฆฏิตัญญูบุคคล
คาว่า อย วุจฺจติ มีอธิบายว่า บุคคลนี้ เมื่อท่านอธิบายเนื้อความ
หัวข้อที่ท่านยกมาโดยย่อ ให้พิศดาร จึงสามารถบรรลุพระอรหัตตผลได้
เรียกว่า วิปัญจิตัญญูบุคคล
คาว่า อุทฺ เทสโต คื อ มี การยกขึ้ น แสดงเป็ น เหตุ คื อยกหั วข้ อขึ้ น
ทบทวนหรือให้ท่านยกหัวข้อขึ้นแสดงใหม่
คาว่า ปริปุจฺฉโต คือ สอบถามถึงคาอธิบาย
คาว่า อนุปุพฺเพน ธมฺมาภิสมโย โหติ คือการบรรลุพระอรหัตตผล
ย่อมมีได้ โดยการปฏิบัติตามลาดับ
คาว่า น ตาย ชาติ ธมฺมาภิสมโย โหติ มีอธิบายว่า ไม่สามารถจะทา
มรรคผลนิพพาน หรืออย่างต่าสมาธิวิปัสสนาให้บังเกิดขึ้นได้
๗๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๔๓
ที.ฏีกา ๒/๗๙, ม.ฏีกา ๒/๑๗๐, ส.ฏีกา ๒/๑๐.
๑๔๔
ที.ฏีกา ๒/๗๙, ม.ฏีกา ๒/๑๗๐, ส.ฏีกา ๒/๑๐.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๗๓
๑๔๕
ที.ฏีกา ๒/๗๙, ม.ฏีกา ๒/๑๗๐, ส.ฏีกา ๒/๑๐.
๗๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๔๖
มิลินฺท. (บาลี) ๓๖๘.
๑๔๗
องฺ.เอกก. (บาลี) ๒๐/๑๘๗/๒๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๗๕
๑๔๘
องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๑๘๗/๒๕.
๑๔๙
ส.ม. (บาลี) ๑๙/๑๐๒๒/๓๓๔.
๑๕๐
ขุ.สุ. (บาลี) ๒๕/๗๗๓-๗๗๘/๔๘๖, ขุ.ม. (บาลี) ๑๙/๑/๑.
๗๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
(พระผู้มีพระภาคตรัสว่า)
ถ้ากามนั้นสาเร็จด้วยดีแก่สัตว์นั้น ผู้อยากได้กามอยู่
สัตว์นั้นได้กามตามที่ต้องการแล้ว ย่อมเป็นผู้อิ่มใจแน่แท้
คาว่า ผู้อยากได้กามอยู่ อธิบายว่า คาว่า กาม ได้แก่ กาม ๒ อย่าง
แบ่งตามหมวด คือ (๑) วัตถุกาม (๒) กิเลสกาม วัตถุกาม คืออะไร คือ รูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าพอใจ เครื่องปูลาดเครื่องนุ่งห่ม ทาสหญิง
ชาย แพะ แกะ ไก่ สุกร ช้าง โค ม้า ลา ที่นา ที่สวน เงิน ทอง หมู่บ้าน
นิคม ราชธานี แคว้น ชนบท กองพลรบ คลังหลวง และวัต ถุที่น่ายิน ดี
อย่างใด อย่างหนึ่ง (เหล่านี้) ชื่อว่าวัตถุกาม
อีกนัยหนึ่ง กามที่เป็นอดีต ที่เป็นอนาคต ที่เป็นปัจจุบัน กามที่ เป็น
ภายใน ที่เป็น ภายนอก ที่เป็น ทั้งภายในและภายนอก กามอย่างหยาบ
อย่างกลาง อย่างประณีต กามที่เป็นของสัตว์ในอบาย ที่เป็นของมนุษย์ ที่
เป็นของทิพย์ กามที่ปรากฏเฉพาะหน้าที่เนรมิตขึ้นเอง ที่ไม่ได้เนรมิตขึ้น
เอง ที่ผู้อื่นเนรมิตให้ กามที่มีผู้ครอบครอง ที่ไม่มีผู้ ครอบครอง ที่ยึดถือว่า
เป็นของเรา ที่ไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา สภาวธรรมที่เป็นกามาวจร ที่เป็นรู
ปาวจร ที่ เป็น อรูป าวจร แม้ทั้งปวง กามที่ เป็นเหตุเกิด แห่ งตัณ หา เป็ น
อารมณ์ แ ห่ งตั ณ หา ที่ ชื่ อ ว่ากาม เพราะมี ค วามหมายว่า น่ าปรารถนา
น่ายินดี น่าลุ่มหลง เหล่านี้เรียกว่า วัตถุกามกิเลสกาม คืออะไร คือ ความ
พอใจ ความกาหนัด ความกาหนัดด้วยอานาจความพอใจ ความดาริ ความ
กาหนัด ความกาหนัดด้วยอานาจความดาริชื่อว่ากาม ได้แก่ ความพอใจ
ด้วยอานาจความใคร่ ความกาหนัดด้วยอานาจความใคร่ ความเพลิดเพลิน
ด้วยอานาจความใคร่ ความทะยานอยากด้วยอานาจความใคร่ ความเยื่อ
ใยด้วยอานาจความใคร่ ความเร่าร้อนด้วยอานาจความใคร่ ความสยบด้วย
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๗๗
๑๕๑
ขุ.ชา. (บาลี) ๒๗/๓๙/๑๘๘, ขุ.จู. (บาลี) ๓๐/๘/๓๙.
๗๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๕๒
ขุ.ม. (บาลี) ๒๙/๑/๑-๓, ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑/๑-๓.
๘๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๕๓
ขุ.สุ. (บาลี) ๒๕/๒๓/๕๒๐.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๘๑
๑๕๔
ขุ.ม. (บาลี) ๒๙/๑๙๐/๕๔๑.
๑๕๕
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๙๐/๕๓๕.
๘๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๕๖
ขุ.ม. (บาลี) ๒๙/๑๙๐/...
๑๕๗
ขุ.ม. (ไทย) ๒๙/๑๙๐/๕๓๘.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๘๓
สาวัตถี พระพุทธเจ้าโปรดให้พระอานนท์จัดที่พักให้ในพระคันธกุฎีหลัง
เดี ย วกั บ พระองค์ ในช่ ว งเวลาใกล้ รุ่งพระพุ ท ธเจ้ าทรงเชื้อ เชิ ญ ให้ ท่ า น
พระโสณะ กล่าวธรรมตามที่ท่านทรงจามา ท่านพระโสณะได้สวดพระสูตร
๑๕ สูตร ในอัฏฐกวรรค โดยทานองสรภัญญะ เมื่อจบลง พระพุทธเจ้าทรง
ชื่นชมได้ประทาน สาธุการ๑๕๘ พระสูตร ๑๕ สูตรนี้ คงเป็นเทศนาที่ พระ
สาวกทั้งหลายนิยมศึกษากันมาก เมื่อมีการศึกษาทรงจากันมาก ท่านพระ
สารีบุตรเถระ จึงได้อธิบายไว้ และได้รับการสืบต่อมา พระสังคีติกาจารย์
ทั้งหลายได้ยกขึ้นสู่สังคายนาจัดเป็นพระไตรปิฎก เรียกว่า คั มภีร์นิทเทส
คาว่า นิ ทเทส หมายถึงการอธิบ ายขยายความ คือคั มภี ร์อ ธิบ ายขยาย
ความพระพุทธพจน์นั่นเอง
๔.๑ รูปแบบอรรถกถาวิธีของพระพุทธเจ้า
การอธิบายของพระพุทธเจ้านั้น คาอธิบายปรากฏติดต่อกับข้อความที่
พระองค์ทรงยกขึ้น เป็ น บทอุทเทส คือ หั วข้อ พระองค์ทรงแสดงธรรม โดย
พระองค์ ท รงยกหั ว ข้ อ ขึ้ น แสดงแล้ ว ทรงอธิ บ ายในตอนต่ อ มา ข้ อ ความที่
พระองค์ทรงอธิบ าย ก็เป็ นข้อความคาอธิบาย การอธิบายนั้น พระองค์ตรัส
อธิบ ายด้วยพระวาจา เมื่อกาหนดความหมายแห่ งคาว่า อรรถกถา ก็พบว่า
คาอธิบายของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอรรถกถา คือ เป็นถ้อยคาที่พระองค์ทรงใช้
พระวาจาตรัสอธิบายออกมา คาว่า อตฺถกถา คือ อรรถกถา ในภาคภาษาไทย
๑๕๘
วิ.ม. (บาลี) ๕/๒๕๗-๒๕๙/๒๐-๒๕, วิ.ม. (ไทย) ๕/๒๕๗-๒๕๙/๓๒-๓๙.
๘๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๕๙
สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๒๕.
๑๖๐
อตฺ โถ = อตฺ ถ กถิ ย ติ = กถา อตฺ ถ+กถา=อตฺ ถ กถา คื อ อตฺ โถ ปฐมาวิภั ติ
บทประธาน สาเร็จเป็นอตฺถในคาว่า อตฺถกถา กถิยติ กิริยากัมมวจากของบทประธาน
สาเร็จเป็นกถาในคาว่าอตฺถกถา บทสาเร็จแห่งกัมมสาธนะนี้ คือ อตฺถกถา.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๘๕
ปกิ ณฺ ณ กเทสนาติ วุจฺ จ ติ ”๑๖๑ แปลว่า “พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ้ า ตรัส อธิบ าย
พระไตรปิฎกไว้ตามลาดับ ซึ่งเรียกว่า ปกิณณกเทศนา” ปกิณณกเทศนา ก็คือ
ค าอธิ บ ายปลี ก ย่ อ ยนอกจากที่ พ ระพุ ท ธองค์ ท รงอธิ บ ายขยายความไว้ ใน
พระไตรปิฎก รวมไปถึงคาสนทนาและเรื่องเล่าบางเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงเล่า
พระสาวกทั้งหลายผู้ทาสังคายนาได้รวบรวมไว้ทรงจาสืบต่อเป็นอรรถกถา
คาอธิบายของพระพุทธเจ้านั้น ได้มาเป็นคาอธิบายของพระอรรถกถา
จารย์ยุคต่อมา เช่น ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “มาตร ปิตร หนฺตฺวา ... นิทฺทุกฺโข :
บุคคลฆ่ามารดาบิ ดาแล้ ว ... ย่ อมเป็ น ผู้ ป ราศจากทุ กข์ ” เมื่อพระอรรถกถา
จารย์อธิบายข้อความนี้ ท่านได้นาข้อความที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อีกแห่ง
หนึ่ งมาเป็ น คาอธิบ าย คือ ท่ านอธิบ ายว่า “ตณฺ ห า ชเนติ ปุริส นฺ ติ วจนโต
ตณฺหามาตา นาม”๑๖๒ แปลว่า “ตัณหาชื่อว่ามารดา ตามคาว่า ตณฺหา ชเนติ
ปุริส : ตัณหาย่อมทาให้คนเกิด” คาว่า “ตณฺหา ชเนติ ปุริส : ตัณหาย่อมทาให้
คนเกิด” นี้ พระพุทธโฆสาจารย์ได้นาข้ อความที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ใน
คัมภีร์สังยุตตนิกาย สคาถวรรค๑๖๓ มาเป็นคาอธิบาย
การอธิบายพระวินัยปิฎก ในส่วนสิกขาบทวิภังค์นั้น เป็นคาอธิบายของ
พระพุทธเจ้า ก็ด้วยการกาหนดจากคาอธิบายในสิกขาบทวิภังค์แห่งพระวินัย
๑๖๑
สารตฺถ. ฏีกา (บาลี) ๑/๒๖, ที.สี.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๘, ม.มู.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๕,
ส.ส.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๖, องฺ.เอกก.ฏีกา (บาลี) ๑/๑๘.
๑๖๒
ขุ.ธ.อ. (บาลี) ๗/๑๐๒ มมร.
๑๖๓
ส.ส. (บาลี) ๑๕/๕๕/...
๘๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๖๔
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๕๕/๓๖.
๑๖๕
วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๒๙/๑๔๐.
๑๖๖
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๘๗–๑๘๘/๑๐๘–๑๑๑, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๗–๑๘๘/
๑๓๔–๑๓๖.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๘๗
๑๖๗
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๘๗–๑๘๘/๑๐๘–๑๑๑, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๗–๑๘๘/
๑๓๔–๑๓๖.
๘๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๖๘
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๕๕/๓๖.
๑๖๙
วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๒๙/๑๔๐.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๘๙
๑๗๐
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๑๖๕/๔๔๖.
๑๗๑
คาว่า อสฺสาสปสฺสาส ในอรรถกถาพระวินัย หมายถึง ลมหายใจออกหายใจ
เข้า ส่วนในพระสูตร หมายถึง ลมหายใจเข้าหายใจออก.
๙๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๗๒
ม.มู.อ. (บาลี) ๒/๓๐๕/๑๓๖.
๑๗๓
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๑๕๗/๑๗๘.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๙๑
๕. หลักการวิจัยทางภาษาบาลี
๕.๑ ความหมายและความสาคัญ
ค าว่ า “วิ จ ย” ที่ ห มายถึ งการ ค้ น หา, แสวงหา ได้ ต รวจสอบค้ น หา
ความหมายแห่งคาว่า วิจัย จากคัมภีร์พระไตรปิฎกอรรถกถาฎีกาปกรณวิเสส
และไวยากรณ์ ก็ได้ข้อสรุปว่า
วิจ ยศั พ ท์ ที่ น ามาใช้ ในภาษาไทยว่ า “การวิ จัย ” ซึ่ งปรากฏในคั ม ภี ร์
พระไตรปิ ฎ ก หมายถึ งการใช้ปั ญ ญาความรู้เลื อกเฟ้นค้นหา ๑๗๔ คือ ค้นคว้า
แสวงข้อมูล เพื่อตอบโจทย์ การวิจั ยที่ตั้งไว้ หมายถึงการเลือกเฟ้นแล้ว ลงมือ
กระท าสิ่ งที่ พึ งท า ๑๗๕ คื อ ด าเนิ น การวิ จั ย นั่ น เอง หมายถึ งการที่ บุ ค คลผู้ มี
ความรู้ใช้ความรู้ค้นคว้า ๑๗๖ คือ การจะทาวิจัยได้ ผู้ทาวิจัยก็ต้องมีค วามรู้ใน
ระเบียบวิธีวิจัย และมีความรู้ในเรื่องที่จะทาวิจัยด้วย หมายถึ งความรู้ เลือก
๑๗๔
โยนิโส วิจิเน ธมม : บุคคลพึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย องฺ.สตฺตก. (บาลี)
๒๓/๓/๒.
๑๗๕
วิเจยฺ ยทาน สุ คตปฺ ป สตฺถ การเลื อ กเฟ้ น แล้ วให้ เป็ น สิ่ งที่ พ ระสุ คตเจ้าทรง
สรรเสริญ ส.ส. (บาลี) ๑๕/๓๓/๒๔.
๑๗๖
ปญฺ า ปชานนา วิจโย ปวิจโย ธมฺมวิจโย ขุ.ม. (บาลี) ๒๙/๑๐/๑๖, ขุ.จู.
(บาลี) ๓๐/๕/๓๔ แปลเอาความว่า “ความรอบรู้ กิริยาที่รอบรู้ การวิจัย การเลือกเฟ้น
การเลือกเฟ้นข้อธรรม.
๙๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๗๗
ทุกฺข ทุกฺขสมุทย ทุกฺขนิโรธ ทุกฺขนิโรธคามินึ ปฏิปท อารพฺภ ยา อุปฺปชฺชติ,
ปญฺ า ปชานนา วิจโย ปวิจโย ธมฺมวิจโย ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๑๐๙/๑๒๒-๑๒๓, แปลเอา
ความว่า “ความรอบรู้ ความรู้ชัดเจน การเลือกเฟ้น การค้นคว้า การวิจัยธรรม ที่เกิดขึ้น
ปรารภทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา”.
๑๗๘
จตุสจฺจธมฺเม วิจินาตีติ ธมฺมวิจโย” ม.ม.อ. (บาลี) ๑/๑๔๒ มมร., แปลว่า
“ธรรมวิจัย หมายถึงการค้นคว้าสัจจธรรม ๔ อย่าง”.
๑๗๙
ปญฺ าปเภทกุ ส ลนฺ ติ ยา ปญฺ า ปชานนา วิ จ โย ปวิ จ โยติ อ าทิ น า นเยน
ปญฺ าย ปเภทชานเน เฉก -ขุ.จู.อ. (บาลี) ๓๘๖ มมร., แปลว่า “ความฉลาดในประเภท
แห่งความรอบรู้ ก็คือ ความเฉลียวฉลาดในความรอบรู้ในวิธีการใช้ความรอบรู้ เช่น ความ
รอบรู้ที่เป็นการวิจัย การค้นคว้า”.
๑๘๐
ธมฺเม วิจินาตีติ ธมฺมวิจโย. ปญฺ าเยต นาม. ปวิจยฏฺโ ติ วิจารฏฺโ ขุ.ป.อ.
(บาลี) ๑/๑๖๓ มมร. แปลว่า “การค้นคว้าข้อธรรมนั้น หมายถึงความรอบรู้ การค้นคว้า
เชิงลึก หมายถึงการวิจารณ์”.
๑๘๑
อนิจฺจาทีนิ วิจินาตีติ วิจโย. ปวิจโยติ อุปสคฺเคน ปท วฑฺฒิต ปกาเรน วิจโยติ
อตฺโถ. ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๖๑๖,อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๓๐๘ มมร., แปลว่า “การวิจัย คือ การ
ค้นคว้าข้อธรรม เช่น ความไม่เที่ยง บทอุปสัคที่เพิ่มเข้ามาเป็น ปวิจย หมายถึงการค้นคว้า
โดยประการต่างๆ”.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๙๓
๑๘๒
โอฬาริ เก อสฺ ส าสปสฺ ส าเส นิ รุ ทฺ เธติ อ าทิ เหฏฺ า วุ ตฺ ต นยมฺ หิ วิ เจตพฺ พ า
การปฺปตฺตสฺส กายสงฺขารสฺส วิจยนวิธึ ทสฺเสตุ อานีต. สารตฺถ.ฏีกา ๒/๒๖๔, วิมติ.ฏีกา
๑/๒๘๐,วิสุทฺธิ.มหาฏีกา ๑/๓๙๙, แปลว่า “คาว่า กาโยปิ จิตฺตมฺปิ ลหุก โหติ : กายก็ดีจิต
ก็ดี ย่อมเบา ท่านนามาเพื่อแสดงวิธีจัย คือ ค้ากายสังขารที่ถึงการพึงวิจัยในนัยที่กล่าวไว้
ตอนต้นว่า เมื่อลมอัสสาสและปัสสาสะหยาบดับลงแล้ว”.
๑๘๓
วิจยน ลงยุปัจจัย แปลงยุเป็น อน วิจย+อน เท่ากับ วิจยน วิจย ลงอปัจจัย
วิจย+อ เท่ากับวิจย.
๑๘๔
อิท ปน ปญฺ าย ปริยายวจน พระอัคควังสเถระ, สัททนีติปทมาลา คัมภีร์
หลักบาลีมหาไวยากรณ์ เล่ม ๑. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์พิทักษ์อักษร, ๒๕๔๖),
หน้า ๒๘๖-๒๘๗.
๙๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๘๕
วิจโย ปวิจโย ธมฺมวิจยเมว แปลว่า “การพิจารณา การไตร่ตรอง การค้นคว้า”
พระอั ค ควั ง สเถระ, สั ท ทนี ติ ป ทมาลา คั ม ภี ร์ ห ลั ก บาลี ม หาไวยากรณ์ เล่ ม ๑.
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์พิทักษ์อักษร, ๒๕๔๖), หน้า ๒๘๖-๒๘๗.
๑๘๖
วิจโย พุทฺธินาม อภิธาน.ฏีกา ๑๕๔, แปลว่า “วิจัย คือการคัดเลือก เป็นชื่อ
แห่งความรู้”.
๑๘๗
วิ จิ ย เตติ วิ จ โย การวิ จั ย ชื่ อ ว่ า วิ จ ยะ” (ลบ ณฺ วุ ท ธิ อิ เป็ น เอ อาเทศ
เอ เป็น อย, ลบสระหน้า อนิจฺจาทีนิ วิจินาตีติ วิจโย การวิจัยซึ่งธรรมที่ไม่เที่ยงเป็นต้น ชื่อ
ว่าวิจัย คัมภีร์อภิธานวรรณนา. หน้า ๙๓๗-๙๓๘.
๑๘๘
วิเคราะห์ว่า วิจินาตีติ วิจโย แปลว่า บุคคลใด ย่อมค้นคว้า เหตุนั้น บุคคลนั้น
ชื่อว่า วิจโย คือผู้ค้นคว้าวิจัย พระอัคควังสเถระ, สัททนีติธาตุมาลา คัมภีร์หลักบาลีมหา
ไวยากรณ์ เล่ม ๒. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์พิทักษ์อักษร, ๒๕๔๖), หน้า ๙๒๔.
๑๘๙
ดูรายละเอียดในบทที่ ๒ หน้า ๑๘-๒๕.
๑๙๐
ดูรายละเอียดในบทที่ ๒ หน้า ๒๕-๓๔.
๑๙๑
ดูรายละเอียดในบทที่ ๒ หน้า ๓๔-๓๕.
๑๙๒
ดูรายละเอียดในบทที่ ๒ หน้า ๓๖-๗๐.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๙๕
กถาฎีกา๑๙๓ โดยใช้ความรู้จากการศึกษาค้นคว้าอ่านตาราทางพระพุทธศาสนา
และหนั งสื อของผู้ ท รงคุ ณ วุฒิ ทั้ งหลาย ค้ น คว้าประเด็น การตีค วามหลั กค า
สอน๑๙๔
หลักการอธิบายความในคัมภีร์พระพุทธศาสนา คือคาอธิบายที่พระพุทธ
องค์กับพระสาวกทั้งหลายอธิบายไว้ ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิ ฎกส่วนหนึ่ง
ปรากฏอยู่ในอรรถกถาส่วนหนึ่ง และคาอธิบายที่พระอรรถกถาจารย์ และพระ
ฎีกาจารย์ทั้งหลายอธิบายในยุคต่อมาปรากฏอยู่ในคัมภีร์อรรถกถา และคัมภีร์
ฎีกา
๕.๒ หลักการวิจัยในคัมีร์พระไตรปิฎก
จากการก าหนดวิ ธี ก ารตั ด สิ น ทางธรรมวิ นั ย ที่ ป รากฏในคั ม ภี ร์
พระพุ ท ธศาสนา มี ทั้งตามแนวพระวินั ย และตามแนวพระสู ต ร ซึ่งเรียกว่า
มหาปเทส คือ หลักการสาหรับใช้อ้างอิงที่สาคัญ เพื่อนาเสนอหลักคาสอนทาง
พระพุทธศาสนาในรูปแบบองค์ความรู้ในเรื่องนั้นๆ เช่น ที่พระโบราณาจารย์
วิจัย คือ เลือกเฟ้นรวบรวมหลักคาสอนแล้วเรียนเรียงเป็นคัมภีร์ เช่น คัมภีร์
วิสุท ธมรรค คัมภีร์ วินั ยสั งคหะ คัมภีร์สุ ตตสั งคหะ คัมภีร์อภิธัมมัตถสั ง คหะ
จนกระทั่งพระสิริมังคลาจารย์ชาวพิงครัฐ เลือกเฟ้นรวบรวมเรื่องมงคลเรียบ
เรียงคัมภีร์มังคลัตถทีปนีและเป็นหลักการใช้สอบสวนเทียบเคียงความเห็นทาง
ธรรมวินั ย ที่ แตกต่ างกั น มี ทั้ งฝ่ ายพระวินั ย ส าหรับ ใช้ ตรวจสอบเที ยบเคี ย ง
๑๙๓
ดูรายละเอียดในบทที่ ๒ หน้า ๗๐-๘๕.
๑๙๔
ดูรายละเอียดในบทที่ ๒ หน้า ๘๕-๑๐๖.
๙๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๑๙๕
ดูรายละเอียดใน วิ.ม. (บาลี) ๕/๓๐๕/๙๐, วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๐๕/๑๓๙–๑๔๐.
๑๙๖
องฺ.สตฺตก. (บาลี) ๒๓/๓/๒.
๑๙๗
ส.ส. (บาลี) ๑๕/๓๓/๒๔.
๑๙๘
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๒๕/๓๔๖,๒๗/๓๕๑.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๙๗
๑๙๙
ขุ.ม. (บาลี) ๒๙/๑๐/๑๖, ขุ.จู. (บาลี) ๓๐/๕/๓๔.
๒๐๐
ขุ.ป. (บาลี) ๓๑/๑๐๙/๑๒๒-๑๒๓.
๒๐๑
ขุ.ป. (บาลี) ๓/๑๒/๑๘.
๒๐๒
ขุ.จู. (บาลี) ๓๐/๑๐๗/๒๒๒.
๙๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจยั ทางภาษาบาลี
๕.๔ วิจัยตามความหมายที่ปรากฏในอรรถกถา-ฎีกา
ความแห่ ง วิ จั ย ตามที่ ป รากฏในคั ม ภี ร์ อ รรถกถา-ฎี ก านี้ ได้ สื บ ค้ น
ตรวจสอบข้ อ ความในคั ม ภี ร์ อ รรถกถา-ฎี ก า ที่ อ ธิ บ ายวิ จ ยศั พ ท์ ที่ ม าใน
พระไตรปิฎก และวิจยศัพท์ที่ปรากฏในอรรถกถาโดยตรง พร้อมทั้งคาอธิบาย
วิจยศัพท์ทฎี่ ีกาอธิบาย ดังต่อไปนี้
๑. ธรรมวิจั ย คือ การค้น คว้าข้อธรรม หมายถึงการค้น สั จจธรรม ๔
ดังข้อความว่า “จตุสจฺจธมฺเม วิจินาตีติ ธมฺมวิจโย”๒๐๔ แปลว่า “ธรรมวิจัย
หมายถึงการค้นคว้าสัจจธรรม ๔ อย่าง”
๒. ธรรมวิ จั ย ในโพชฌงค์ หมายถึ ง การค้ น คว้ า วิ จั ย สั จ จธรรม ๔
ดั ง ข้ อ ความว่ า “ธมฺ ม วิ จ ยสมฺ โพชฺ ฌ งฺค นฺ ติ อ าที สุ ปิ จตุ ส จฺ จ ธมฺ เม วิ จิ น ตี ติ
ธมฺมวิจโย”๒๐๕ แปลว่า “ในธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นต้น ธรรมวิจัย หมายถึง
การค้นคว้าสัจจธรรม ๔ อย่าง”
๒๐๓
ส.ข. (บาลี) ๑๗/๘๑/๗๗–๗๘.
๒๐๔
ม.ม.อ. (บาลี) ๑/๑๔๒ มมร.
๒๐๕
องฺ.เอกก.อ. (บาลี) ๑/๖๗๘ มมร.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๙๙
๒๐๖
ขุ.จู.อ. (บาลี) ๓๘๖ มมร.
๒๐๗
ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๑๖๓ มมร.
๒๐๘
ขุ.ป.อ. (บาลี) ๑/๖๑๖,อภิ.สงฺ.อ. (บาลี) ๑/๓๐๘ มมร.
๑๐๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๐๙
อภิธาน.ฏีกา ๑๕๒-๑๕๔.
๒๑๐
องฺ.สตฺตก. (บาลี) ๒๓/๓/๒.
๒๑๑
ปัจจุบันได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ พระพรหมคุณาภรณ์ ๒๕๔๘.
๒๑๒
พระเทพ เวที (ประยุ ท ธ์ ป ยุ ตฺ โ ต ). มหาวิ ท ยาลั ย กั บ งาน วิ จั ย ทาง
พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : เนติกุลการพิมพ์, ๒๕๓๔), หน้า ๘๕–๘๖.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๐๑
๒๑๓
ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๘๑/๓๓๔.
๒๑๔
ส.ข.ฏีกา (บาลี) ๒/๘๑/๒๘๗.
๒๑๕
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕
พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ -ส.ข. (บาลี) ๑๗/๘๑/๗๗–๗๘, ส.ข. (ไทย) ๑๗/
๘๑/๑๓๐.
๒๑๖
ปาจิตฺยาโยชนา ฉบับอักษรพม่า.
๒๑๗
ส.ข. (บาลี) ๑๗/๘๑/๗๗–๗๘, ส.ข. (ไทย) ๑๗/๘๑/๑๓๐.
๒๑๘
ส.ข.อ. (บาลี) ๒/๘๑/๓๓๔.
๑๐๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๑๙
องฺ.สตฺตก. (บาลี) ๒๓/๓/๒.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๐๓
๒๒๐
มงฺคล. (บาลี) ๑/๑๓.
๒๒๑
ม.อุ . (บาลี ) ๑๔ /๒๔๖ /๒๑๔ ,๒๕๓ /๒๒๑ , ม.อุ . (ไทย) ๑๔/๒ ๔๖ /
๒๙๑,๒๕๓/๒๙๙.
๑๐๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๒๒
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๗๕/๑๐๑, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗๕/๑๒๓–๑๒๔.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๐๕
ปาฏิหาริย์ปราบปรัปวาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยชอบธรรมได้ พระพุทธองค์
จึงตัดสินพระทัยที่จะปรินิพพานตามคาทูลขอของมาร๒๒๓
หน้าที่การปราบปรัปวาทที่เกิดขึ้น ถือว่าเรื่องที่ผู้ศึกษาวิจัยในฐานะเป็น
พุทธบริษัทต้องศึกษาค้นคว้าหลักพระธรรมวินัยที่ที่พระพุทธองค์ทรงตั้งไว้เป็น
องค์แทนพระองค์แล้วชี้แจงให้สังคมเข้าโดยเรียบร้อยตามหลักธรรม
ทฤษฎีการวิจัยทางพระวินัยนั้น สาหรับใช้เป็นเครื่องชี้วัด คือหลักการ
ทางพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้เป็นหลักปฏิบัติสาหรับภิกษุสงฆ์ ซึ่ง
เกิดความสงสัยว่า สิ่งใดพระพุทธเจ้าทรงอนุญาต สิ่งใดไม่ทรงอนุญาต โดยนา
เรื่องเข้ากราบทูลถามพระองค์แล้วพระองค์ได้ทรงแสดงหลักการไว้ ๔ ประการ
คือ
๑. สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามว่า สิ่งนี้ไม่ควร ถ้าสิ่งนั้นอนุโลมเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร
ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร
๒. สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามว่า สิ่งนี้ไม่ควร ถ้าสิ่งนั้นอนุโลมเข้ากับสิ่งที่ควร
ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร จัดเป็นสิ่งที่ควร
๓. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตว่า สิ่งนี้ควร ถ้าสิ่งนั้นอนุโลมเข้ากับสิ่งที่ไ ม่
ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร
๔. สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตว่า สิ่งนี้ควร ถ้าสิ่งนั้นอนุโลมเข้ากับสิ่งที่ควร
๒๒๓
ที .ม. (บาลี ) ๑๐/๑๗๖–๑๗๗/๑๐๒, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗๖–๑๗๗/๑๒๔–
๑๒๕.
๑๐๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร
การที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ ต้องศึกษาหลั กการที่ปรากฏในคัมภีร์วินัยปิฎก
ปริวารด้วย ซึ่งปรากฏหลักการที่สนับสนุนหลักมหาปเทส ๔ ประการนี้
พระพุ ท ธเจ้ า ตรั ส กั บ พระอุ บ าลี ว่ า “วตฺํถุ ชานาติ , นิ ท าน ชานาติ ;
ปญฺ ตฺตึ ชานาติ, ปทปจฺจาภฏฺ ชานาติ, อนุสนฺธิวจนปถ ชานาติ, อิเมหิ โข
อุปาลิ ปญฺจหงฺเคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา สเฆ โวหริตพฺพ”
แปลว่ า “ภิ ก ษุ รู้ วั ต ถุ รู้ นิ ท าน รู้ บั ญ ญั ติ รู้ บ ทที่ ต กหล่ น ในภายหลั ง
รู้ถ้อ ยคาอัน เกี่ย วเนื่ องกั น อุบ าลี ภิ กษุ ผู้ ป ระกอบด้ วยองค์ ๕ นี้ พึ งกล่ าวใน
สงฆ์”๒๒๔
จากข้อความนี้ พอที่จะประยุกต์มาใช้ในการตัดสินการตีความหลักคา
สอนได้ คือ การที่จะตัดสินการตีความเรื่องนั้นๆ ก็ต้องทราบเรื่อง ทราบสาเหตุ
ทราบข้อกาหนด ทราบข้อความที่ตกหล่น ทราบข้อความที่เกี่ยวเนื่องกัน คือ
ข้อความบริบทเป็นอย่างไร (ข้อความบริบทแห่งคาว่า อตฺตภูตโต ธมฺมกายโต)
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สุตฺต ชานาติ, สุตฺตานุโลม ชานาติ, วินย ชานาติ,
วิน ยานุ โลม ชานาติ, านา านกุส โล จ โหติ; อิเมหิ โข อุป าลิ ปญฺ จหงฺเคหิ
สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา สเฆ โวหริตพฺพ”
แปลว่า “ภิก ษุรู้พ ระสูตร รู้ข้อ อนุโลมพระสูตร รู้พ ระวินัย รู้ข้ อ
อนุโลมพระวินัย ฉลาดในฐานะอั น ควรและฐานะอั น ไม่ค วร อุ บ าลี
ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล พึงกล่าวในสงฆ์”
๒๒๔
วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๒๔/๓๘๒, วิ.ป. (ไทย) ๘/๔๒๔/๖๐๔.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๐๗
๒๒๕
วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๒๔/๓๘๓, วิ.ป. (ไทย) ๘/๔๒๔/.
๒๒๖
วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๔๒/๓๙๔.
๒๒๗
วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๔๒/๓๙๔.
๑๐๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๒๘
วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๔๒/๓๙๔.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๐๙
๒๒๙
มิลินฺท. (บาลี) ๑๖๐, วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๔๓.
๒๓๐
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๔๓.
๑๑๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๓๑
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๔๔.
๒๓๒
สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๕๖.
๒๓๓
สุตฺเต หิ ปฏิพาหิเต พุทฺโธว ปฏิพาหิโต โหติ. สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๑/๕๖.
๒๓๔
สุ ตฺ ต านุ โลมโต หิ สุ ตฺ ต เมว พลวตร . วิ .มหา.อ. (บาลี ) ๑/๒๔๔ ที่ ว่ า สู ต ร
น่าเชื่ อถือกว่า สุตตานุ โลมนั้ น หมายเอาสู ตรในมติของตน(ฝ่ายเถรวาท) ในข้อนี้ที่ ต้อ ง
ตรวจสอบสูต รกั บสุ ตตานุ โลม เพราะผู้ที่ เสนอความเห็น อ้างในนิ กายอื่น สารตฺถ .ฏีก า
(บาลี) ๑/๕๗.
๑๑๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๓๕
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๔๔-๒๔๖.
๑๑๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๓๖
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๔๖, สารตฺถ.ฏีกา (บาลี) ๕๗-๕๘.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๑๕
๒๓๗
วชิร.ฏีกา (บาลี) ๑๐๘.
๒๓๘
วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๔๒/๓๙๔.
๒๓๙
วชิร.ฏีกา (บาลี) ๑๐๘-๑๐๙.
๒๔๐
วชิร.ฏีกา ๑๐๙.
๑๑๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๕.๗ หลักการวิจัยในพระสุตตันตปิฎก
วิธีนาหลักการที่กล่าวนั้นมาใช้ตรวจสอบ เช่น สุตตะพึงตรวจสอบกับ
อาจริย วาท ถ้าลงกัน สมกัน จึ งถือเป็ น ฐานข้อมูล อ้างอิงได้ ขอยกตัวอย่างที่
ปรากฏในคัมภีร์ชั้นสุตตะ สุตตะ คือ พระไตรปิฎก ที่ได้ รับการจารจารึกสืบต่อ
กัน มา ปรากฏข้ อ ความที่ ไม่ ล งกั น คื อ พระวินั ยปิ ฎ ก ปริว าร ของศรีลั งกา
ของพม่า และฉบับของสมาคมบาลีปกรณ์ ปาฐะที่ปรากฏต่างกัน ฉบับของไทย
เอง ก็ส่ อว่า ได้มีการปรับ แก้ แต่เมื่อได้อาศัยอาจริยวาท คือ คาอธิบายจาก
อรรถกถาฎีกาตรวจสอบแล้ว จึงได้ข้อความที่ยุติ ในคัมภีร์วินัยปิฎก ปริวาร
ปรากฏข้อความว่า
“ปรมฺ ป รโภชเน ปาจิ ตฺ ติ ย กตฺ ถ ปญฺ ตฺ ต นฺ ติ . เวสาลิ ย า ปญฺ ตฺ ต .
ก อารพฺ ภ าติ . สมฺ พ หุ เล ภิ กฺ ขู อารพฺ ภ . กิ สฺ มึ วตฺ ถุ สฺ มิ นฺ ติ . สมฺ พ หุ ล า ภิ กฺ ขู
อญฺ ตฺ ร นิ ม นฺ ติ ต า อญฺ ตฺ ร ภุ ญฺ ชึสุ ตสฺ มึ วตฺถุ สฺ มึ . เอกา ปญฺ ตฺติ ติ สฺ โ ส
อนุ ปฺ ป ญฺ ตฺ ติ โย”๒๔๑ แปลว่ า “ถามว่ า พระพุ ท ธเจ้ า ทรงบั ญ ญั ติ ป าจิ ต ตี ย์
เพราะฉันปรัมปรโภชนะ ณ ที่ไหน ตอบว่า ทรงบัญญัติ ณ กรุงเวสาลี ถามว่า
ทรงปรารภใคร ตอบว่า ทรงปรารภภิกษุหลายรูป ถามว่า ทรงบัญญัติ เพราะ
เรื่องอะไร ตอบว่า ทรงบัญญัติเพราะเรื่องที่ภิกษุหลายรูป รับนิมนต์ไว้ในที่หนึ่ง
แล้วไปฉันในที่อีกแห่งหนึ่ง ในปรัมปรโภชนสิกขาบทนั้น มี ๑ พระบัญญัติ ๓
พระอนุบัญญัติ”
เฉพาะคาว่า ติสฺโส มีการทาเชิงอรรถว่า โป. ม. จตสฺโส. หมายความว่า
ในพระไตรปิฎกฉบับโบราณ คือ ฉบับเก่าของไทย และฉบับมรัมมรัฐ คือ ฉบับ
ของพม่า เป็น จตสฺโส อนุปฺปญฺ ตฺติโย เมื่อสุตตะ คือ พระไตรปิฎกปรากฏ
๒๔๑
วิ.ป. (บาลี) ๘/๙๕/๔๑ สฺยา.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๑๗
๒๔๒
วิ.มหา. (บาลี) ๒/๒๒๑/๒๒๒.
๑๑๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
อนุญาตให้ภิกษุอาพาธฉันปรัมปรโภชนะได้ แล้วพระองค์ทรงบัญญัติเพิ่มครั้งที่
๑ ดังนี้
เอวญฺ จ ปน ภิ กฺ ข เว อิ ม สิ กฺ ข าปท อุ ทฺ ทิ เสยฺ ย าถ “ปรมฺ ป รโภชเน
อญฺ ตร สมยา ปาจิ ตฺ ติ ย . ตตฺ ถาย สมโย: คิ ล านสมโย; อย ตตฺ ถ สมโย”ติ .
เอวญฺจิท ภควตา ภิกฺขูน สิกฺขาปท ปญฺ ตฺต โหติ.๒๔๓
แปลว่า “พระผู้ มีพระภาคจึ งรับ สั่ งให้ ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้น
แสดงดังนี้ ภิกษุต้องอาบัติปาจิ ตตีย์ เพราะฉันปรัมปรโภชนะนอกสมัย สมัยใน
ข้อนั้น คือ สมัยที่เป็นไข้ นี้เป็นสมัยในข้อนั้น สิกขาบทนี้พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติไว้แก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้”
เต น โข ป น ส ม เย น ม นุ สฺ ส า จี ว ร ท า น ส ม เย ส จี ว ร ภ ตฺ ต
ปฏิ ย าเทตฺวา ภิ กฺขู นิ มนฺ เตนฺ ติ “โภเชตฺว า จี ว เรน อจฺฉาเทสฺ ส ามา”ติ . ภิกฺ ขู
กุกฺกุจฺจายนฺตา นาธิวาเสนฺติ “ปฏิกฺขิตฺต ภควตา ปรมฺปรโภชนนฺ”ติ. จีวร ปริตฺต
อุปฺ ป ชฺ ช ติ . ภควโต เอตมตฺถ อาโรเจสุ ฯเปฯ อนุ ช านามิ ภิ กฺข เว จี ว รทาน-
สมเย ปรมฺปรโภชน ภุญฺชิตุ. เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิม สิกฺขาปท อุทฺทิเสยฺยาถ
“ปรมฺ ป รโภชเน อญฺ ตร สมยา ปาจิ ตฺ ติ ย . ตตฺ ถ าย สมโย: คิ ล านสมโย
จีวรทานสมโย; อย ตตฺถ สมโย”ติ. เอวญฺจิท ภควตา ภิกฺขูน สิกฺขาปท ปญฺ ตฺต
โหติ.๒๔๔
แปลว่า “พระผู้ มีพระภาคจึ งรับ สั่ งให้ ภิกษุทั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้น
แสดงดังนี้ ภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะฉันปรัมปรโภชนะนอกสมัย สมัย
๒๔๓
วิ.มหา. (บาลี) ๒/๒๒๒/๒๒๒.
๒๔๔
วิ.มหา. (บาลี) ๒/๒๒๓/๒๒๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๑๙
๒๔๕
วิ.มหา. (บาลี) ๒/๒๒๔-๒๒๕/๒๒๓.
๑๒๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๔๖
วิ.มหา. (บาลี) ๒/๒๒๖/๒๒๓-๒๒๔.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๒๑
๒๔๗
วิ.มหา. (แปล) ๒/๒๒๖/๓๘๔ และดู สารตฺถ.ฏีกา ๓/๒๒๖/๗๐, วิมติ.ฏีกา
๒/๒๒๑/๓๘, กงฺขา.ฏีกา ๔๐๔
๑๒๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๓. ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่จานวนมาก เป็นพหูสูตเรียน
คั ม ภี ร์ ทรงธรรม ทรงวิ นั ย ทรงมาติ ก า ข้ า พเจ้ า ได้ ส ดั บ รั บ มาเฉพาะหน้ า
พระเถระเหล่านั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นสัตถุศาสน์
๔. ในอาวาสชื่อโน้นมีภิกษุผู้เป็นเถระอยู่รูปหนึ่ง เป็นพหูสูต เรียนคัมภีร์
ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับรับมาเฉพาะพระเถระรูปนั้นว่า
นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นสัตถุศาสน์
ยังไม่พึงชื่นชมเชื่อถือ ยังไม่พึงคัดค้านคากล่าวของภิกษุนั้น พึงเรียนบท
และพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้วตรวจสอบดูในพระสูตรเทียบเคียงดูในพระวินัย
ถ้าสอบลงในสู ตรก็ไม่ได้ เทีย บดู ในพระวินั ย ก็ไม่ได้ พึ งแน่ใจได้เลยว่านี้มิใช่
คาสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน ท่านเหล่านั้นศึกษาจามาผิด ถ้าสอบลงใน
สู ต รได้ เที ย บดู ในพระวินั ย ได้ พึ งแน่ ใจได้เลยว่า นี้ เป็ น ค าสอนของพระผู้ มี
พระภาคแน่นอน ท่านเหล่านั้นศึกษาจามาดี๒๔๘
หลักมหาปเทสนี้ เป็นหลักการอ้างอิงที่สาคัญ สาหรับอ้างอิงใช้ในการ
ตรวจสอบธรรมวินัยที่มีการสั่งสอนเผยแผ่แตกต่างกัน ได้นามาเป็นเครื่องมือ
ตรวจสอบการตีความหลักคาสอนในสังคมไทย
พระมหากัจ จายนเถระได้แสดงมหาปเทส ๔ ไว้ในคัมภีร์เนตติปกรณ์
ดังนี้ จตฺตาโร มหาปเทสา พุทฺธาปเทโส สฆาปเทโส สมฺพหุล ตฺเถราปเทโส
เอกตฺ เถราปเทโส. อิ เม จตฺ ต าโร มหาปเทสา, ตานิ ปทพฺ ย ญฺ ช นานิ สุ ตฺ เต
โอตารยิ ตพฺพ านิ , วิน เย สนฺ ทสฺ ส ยิตพฺ พานิ , ธมฺมตาย อุปนิ กฺขิปิ ตพฺ พานิ๒๔๙
๒๔๘
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๘๗–๑๘๘/๑๐๘–๑๑๑, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๗–๑๘๘/
๑๓๔–๑๓๖.
๒๔๙
เนตฺติ. (บาลี) ๑๘/๒๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๒๓
๒๕๐
ดูรายละเอียดใน ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๘๘/๑๐๙–๑๑๑, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๘/
๑๓๔-๑๓๖.
๒๕๑
เนตฺติ. (บาลี) ๑๘/๒๓.
๑๒๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๕๒
ที.ม.อ. (บาลี) ๒/๑๖๐.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๒๕
๖. หลักการวิจัยในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา
จากการส ารวจวรรณกรรมพระพุ ท ธศาสนา โดยใช้ ห ลั ก การสุ ต ตะ
สุ ต ตานุ โ ลม อาจริ ย วาทอั ต โนมั ติ เป็ น เครื่ อ งชี้ วั ด ได้ พ บว่ า มี ก ารเขี ย น
งานน าเสนอหลั ก ธรรมทางพระพุ ท ธศาสนา เช่ น คั ม ภี ร์มั ง คลั ต ถที ป นี ที่
๑๒๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๕๓
มงฺคล. (บาลี) ๑/๑๓.
๒๕๔
ม.อุ. (บาลี ) ๑๔/๒๔๖/๒๑๔,๒๕๓/๒๒๑, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๔๖/๒๙๑,
๒๕๓/๒๙๙.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๒๗
ผู้ อื่ น กล่ า วร้ า ยจ้ ว งจาบพระธรรมวิ นั ย ได้ ด้ ว ย ซึ่ ง เป็ น ความประสงค์ ข อง
พระสาวกทั้ ง หลายที่ ว างหลั ก การนี้ ไ ว้ และหลั ก การนี้ ก็ ส อดคล้ อ งกั บ
พุทธปณิธานของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงไว้ก่อนดับขันธปรินิพพาน พอสรุป
ความได้ว่า
พระองค์จะยังไม่ป รินิ พ พาน เมื่อสาวกสาวิกาของพระองค์ คือ ภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ยังไม่เฉียบแหลม ไม่ไ ด้รับการแนะนา ไม่แกล้วกล้า
ไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่
ปฏิ บั ติ ต ามธรรม เรี ย นกั บ อาจารย์ ข องตนแล้ ว แต่ ยั งบอก แสดง บั ญ ญั ติ
กาหนด เปิดเผย จาแนก ทาให้ง่ายไม่ได้ ยังแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ปราบปรัป
วาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยชอบธรรมไม่ได้ ๒๕๕
เมื่อสาวกสาวิกาของพระองค์ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้
เฉียบแหลม ได้รับการแนะนา แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรม
สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติ ชอบ ปฏิบั ติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตนแล้ ว
ก็บอก แสดง บัญญัติ กาหนด เปิดเผย จาแนก ทาให้ง่ายได้ แสดงธรรมมี
ปาฏิหาริย์ปราบปรัปวาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยชอบธรรมได้ พระพุทธองค์
จึงตัดสินพระทัยที่จะปรินิพพานตามคาทูลขอของมาร๒๕๖
ที่นาเสนอนี้เป็นหลักการทางพระวินัย ก็ให้หลักการทางพระวินัยเพราะ
มีอธิบายเฉพาะในพระวินัย ถ้าเป็นหลักการทางพระสูตรก็ใช้ หลักฐานทางพระ
๒๕๕
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๗๕/๑๐๑, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗๕/๑๒๓–๑๒๔.
๒๕๖
ที.ม. (บาลี) ๑๐/๑๗๖–๑๗๗/๑๐๒, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗๖–๑๗๗/๑๒๔–
๑๒๕.
๑๒๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๕๗
เต ทุวิธา วินยมหาปเทสา สุตฺตนฺติกมหาปเทสา จาติ. วินยมหาปเทสา
วินเย ปโยค คจฺฉนฺติ, อิตเร อุภยตฺถาปิ –วชิร.ฏีกา (บาลี) ๑๐๘.
๒๕๘
สุ ตฺ ต ชานาติ , สุ ตฺ ต านุ โ ลม ชานาติ , วิ น ย ชานาติ , วิ น ยานุ โลม ชานาติ ,
ฐานาฐานกุสโล จ โหติ … สเฆ โวหริตพพ -วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๒๔/๓๘๓, ๔๔๒/๓๙๔,
วิ.ป. (ไทย) ๘/๔๒๔/๖๐๖–๖๐๗,๔๔๒/๖๒๓–๖๒๔.
๒๕๙
วชิร.ฏีกา (บาลี) ๑๐๘-๑๐๙.
๒๖๐
โย ธมฺม ธมฺมานุโลมญฺ เจว ชานาติ, น วินย วิน ยานุ โลมญฺ จ, โส “ธมฺ ม
รกฺขามี”ติ วินย อุพฺพินย กโรติ อิตโร “ วินย รกฺขามี”ติ ธมฺม อุทฺธมฺม กโรติ, อุภย
ชานนฺโต อุภยมฺปิ สมฺปาเทติ –วชิร.ฏีกา ๑๐๙.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๒๙
๗. การตีความและการตรวจสอบงานวิจัยทางภาษาบาลี
ในการการตี ค วามหลั ก ค าสอนพระพุ ท ธศาสนาในสั ง คมไทยนี้
จะดาเนินการวิจัยโดยศึกษาข้อมูล ที่เป็นหลักฐานจากพระไตรปิฎกอรรถ
กถาฎีกาอนุฎีกาปกรณวิเสสเป็นลาดั บ และจากเอกสารที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้
ศึกษาค้นคว้าแล้วเผยแพร่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ในเบื้องต้น และสารวจ
เอกสารและรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เท่าที่แสวงหาได้ ดังต่อไปน็
๗.๑ หลักการตีความตามหลักพระพุทธศาสนา
การที่จะวินิจฉัยเรื่องการที่นักวิชาการตีความหลักคาสอนนี้ ต้องศึกษา
รายละเอียดในเรื่องนั้น โดยดาเนินการตามหลักการที่นาเสนอไว้ คือ หลักการ
ที่ปรากฏในคัมภีร์วินัยปิฎก ปริวารด้วย ซึ่งเป็นหลักการที่สามารถนามาใช้เป็น
เครื่องมือตัดสินความเห็นแย้งทางธรรมวินัย คื อ ข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัส
กับพระอุบาลีว่า
“วตฺถุ ชานาติ, นิทาน ชานาติ; ปญฺ ตฺตึ ชานาติ, ปทปจฺจาภฏฺ ชานาติ
, อนุสนฺธิวจนปถ ชานาติ, อิเมหิ โข อุปาลิ ปญฺจหงฺเคหิ สมนฺนาคเตน ภิกฺขุนา
สเฆ โวหริตพฺพ” แปลว่า “ภิกษุรู้วัตถุรู้นิทาน รู้บัญญัติ รู้บทที่ตกหล่น รู้ถ้อยคา
อันเกี่ยวเนื่องกัน อุบาลี ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้พึงกล่าวในสงฆ์”๒๖๑
จากข้อความนี้ พอที่จะประยุกต์มาใช้ในการตัดสินการตีความหลักคา
สอนได้ คือ การที่จะตัดสินการตีความเรื่องนั้นๆ ก็ต้องทราบเรื่อง ทราบสาเหตุ
ทราบข้อ ก าหนด ทราบข้ อ ความที่ ต กหล่ น คื อ ที่ ผู้ ตี ค วามแสดงความเห็ น
คลาดเคลื่อนจากหลักการ ทราบข้อความที่เกี่ย วเนื่องกัน คือ ข้อความบริบท
เป็นอย่างไร เช่น ข้อความบริบทแห่งคาว่า อตฺตภูตโต ธมฺมกายโต ซึ่งได้มีการ
๒๖๑
วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๒๔/๓๘๒, วิ.ป. (ไทย) ๘/๔๒๔/๖๐๔.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๓๑
๒๖๒
วิ.ป.อ. (บาลี) ๓/๑๒๔/๕๑๖.
๒๖๓
วิ.ป.อ. (บาลี) ๓/๑๒๔/๕๑๗.
๑๓๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๖๔
ส.สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๕๘/๒๘๑.
๒๖๕
ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๕๘/๔๐๑.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๓๓
๒๖๖
เนตฺติ.อ. (บาลี) ๑๑๘.
๑๓๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๖๗
วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๒๔/๓๘๓, วิ.ป. (ไทย) ๘/๔๒๔/๖๐๖.
๒๖๘
ขุ.ขุ. (บาลี) ๒๕/๓/๕, ขุ.สุ. (บาลี) ๒๕/๒๖๒/๕๐๘.
๒๖๙
ขุ.ขุ. (ไทย) ๒๕/๓/๗, ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๒๖๒/๕๖๒.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๓๕
เอกสารสนับสนุนมาประกอบการเขียนชี้ให้เห็นลักษณะคนพาลว่า “คนพาลใน
โลกนี้ (๑) ชอบคิดแต่เรื่องชั่ว (๒) ชอบพูดแต่เรื่องชั่ว (๓) ชอบทาแต่กรรม
ชั่ว”๒๗๐ และเขียนชี้ให้เห็นลักษณะบัณฑิตว่า “บัณฑิตในโลกนี้ (๑) ชอบคิด
แต่เรื่องดี (๒) ชอบพูดแต่เรื่องดี (๓) ชอบทาแต่กรรมดี ”๒๗๑ ส่วนใช้ ในการ
กาหนดประเด็นสุตตะ คือ ปัญ หาการตีความนั้น จะได้ดาเนินการเขียนใน
ตอนที่ว่าด้วยการตีความหลักคาสอน
หลักการ “วินย ชานาติ, วินยานุโลม ชานาติ : รู้วินัย รู้วินยานุโลม”
คือ รู้หัวข้อทางพระวินัย หรือประเด็นปัญหาแล้ วค้นหาวินยานุโลม คือ
เอกสารที่เป็นข้อความสนับสนุนจากพระวินัยปิฎกนามาใช้เป็ นเครื่องมือ
ตัดสินปัญหาทางพระวินัย เช่น มีผู้เสนอความเห็นสรุปว่า
“วิธีการตรวจสอบพระธรรมวินัยทั้งในอรรถและพยัญชนะ พุทธบริษัท
ทั้งหมด ได้แก่ภิกษุภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ประชุมพร้อมเพรีย งกัน จัดการ
สังคายนา เหตุใดพระมหากัสสปะจึงไม่ดาเนินการสังคายนา ตรวจทานอรรถ
และพยั ญชนะจากทุกฝ่าย คือจากภิกษุบ ริษัท ภิกษุณี บริษัท อุบาสกบริษัท
และอุ บ าสิ ก าบริ ษั ท เนื่ อ งจากพระอริ ย บุ ค คลนั้ น มี อ ยู่ ในบริษั ท ทั้ ง ๔ และ
อัครสาวกผู้เชี่ยวชาญในพระธรรมนั้นมีทั้งในฝ่ายภิกษุและภิกษุณี”๒๗๒
๒๗๐
ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๒๔๖/๒๑๔, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๔๖/๒๙๑.
๒๗๑
ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๒๕๓/๒๒๑, ม.อุ. (ไทย) ๑๔/๒๕๓/๒๙๙.
๒๗๒
เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ, เหตุเกิด พ.ศ. ๑ (B.E. ๐๐๐๑) เล่ม ๒ : วิเคราะห์กรณี
ปฐมสั งคายนาและภิ ก ษุ ณี ส งฆ์ , (กรุ งเทพมหานคร : พิ ม พ์ ที่ SPK Paper f Form,
๒๕๔๕), หน้า ๘๖-๘๗.
๑๓๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๗๓
วิ.ม. (บาลี) ๕/๓๘๘/๒๑๕, วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๘๘/๒๗๖.
๒๗๔
วิ.ม. (บาลี) ๕/๓๘๙/๒๑๖, วิ.ม. (ไทย) ๕/๓๘๙/๒๗๖.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๓๗
๒๗๕
วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๘๓/๒๐๑, วิ.ม. (ไทย) ๕/๑๘๔/๒๘๗.
๑๓๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๗๖
วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๔๓.
๒๗๗
เนตฺติ. (บาลี) ๑๑/๑๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๓๙
ก่ อ นหลั ง ย่ อ มค้ น คว้ า อั ส สาทะ ย่ อ มค้ น คว้ า โทษ ย่ อ มค้ น คว้ า นิ ส สรณะ
(ทางออก) ย่อมค้นคว้าผล(จุดมุ่งหมาย) ย่อมค้นคว้าอุบาย ย่อมค้นคว้าอาณัติ
(การชั ก ชวน) ย่ อ มค้ น คว้ า อนุ คี ติ (การอ้ า งพุ ท ธพจน์ ) ย่ อ มค้ น คว้ า นว
สุตตันตะทั้งปวง (นวังคสัตถุสาสน์ทั้งปวง)”๒๗๘
คาว่า ปท วิจินติ : ผู้วิจัยย่อมค้นคว้าบท หมายถึงผู้วิจัยค้นคว้าศัพท์ที่
ส าหรั บ น ามาเขีย นความหมาย เช่ น ที่ ผู้ วิจั ย ได้ เขี ยนความหมายแห่ งค าว่ า
อธิบายไว้ในบทที่ ๒ ข้อ ๒.๑.๑ ความหมายแห่งคาว่าอธิบาย ๒๗๙ คาว่า ปญฺห
วิจินติ : ผู้วิจัยย่อมค้นคว้าคาถาม หมายถึงคาถามที่เป็นประเด็นปัญหาการวิจัย
เช่น ในวิจัยเรื่องนี้ ได้ตั้งประเด็นปัญหา คือ การอธิบายความของพระพุทธเจ้า
เป็นอย่างไร คาว่า วิสชฺชน วิจินติ : ผู้วิจัยย่อมค้นคว้าคาตอบ หมายถึงคาตอบ
ปัญหาการวิจัยที่ตั้งไว้ คือ ผู้วิจัยได้ค้นหาถ้อยคาที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการ
อธิ บ าย เช่ น ทรงอธิ บ ายพระวิ นั ย ทรงอธิ บ ายพระสู ต ร ทรงอธิ บ ายพระ
อภิ ธ รรม ค าว่ า ปุ พฺ พ าปร วิ จิ น ติ : ผู้ วิ จั ย ย่ อ มค้ น คว้ า ข้ อ ความก่ อ นหลั ง
หมายถึ งได้ดาเนิ น การส ารวจเอกสารแล้ วก าหนดเอกสารที่ พึงเรียบเรียงไว้
ก่ อ นหลั ง ค าว่ า อสฺ ส าท วิ จิ น ติ : ผู้ วิ จั ย ย่ อ มค้ น คว้ าอั ส สาทะ คื อ เรื่อ งที่
น่ายินดี หมายถึงการค้นข้อมูลมาเขียนวิจัยให้ด้านการพัฒ นาสร้างความเจริญ
ให้สังคม คาว่า อาทีนว วิจินติ : ผู้วิจัยย่อมค้นคว้าโทษ หมายถึงการค้นคว้า
หาประเด็นปัญหาการตีความหลักคาสอนที่ไม่สร้างสรรค์รวบรวมมาวิเคราะห์
หาทางออก คาว่า นิ สฺ สรณ วิจิ นติ : ผู้ วิจัย ย่อมค้นคว้านิส สรณะ(ทางออก)
๒๗๘
เนตฺติ. (บาลี) ๑๑/๑๓.
๒๗๙
ดูรายละเอียดบทที่หน้า ๑๖-๒๕.
๑๔๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
หมายถึงการค้นคว้าหาหลักการนามาเพื่อแสดงทางออกแห่งปัญหาที่เกิดขึ้น
คาว่า ผล วิจินติ : ผู้วิจัยย่อมค้นคว้าผล(จุดมุ่งหมาย) หมายถึงการค้นคว้าผล
คือ จุดมุ่งหมายของแต่ละเรื่อง เช่น จุดมุ่งหมายที่พระพุทธองค์ทรงยกบทอุท
เทส จุ ด มุ่ งหมายที่ พ ระองค์ ท รงนิ ท เทส ค าว่า อุ ป าย วิ จิ น ติ : ผู้ วิจั ย ย่ อ ม
ค้ น คว้าอุบ าย หมายถึงการค้ น คว้าหาวิธีการต่างๆ เช่น วิธีวิจัย จากคัม ภี ร์
พระพุทธศาสนา คาว่า อาณตฺตึ วิจินติ : ผู้วิจัยย่อมค้นคว้าอาณัติ(การชักชวน)
หมายถึงการค้นคว้าหาถ้อยคาที่ชักนาให้ผู้ศึกษางานวิจัยน้อมใจยอมรับ คาว่า
อนุ คีตึ วิจิ น ติ : ผู้ วิจัย ย่ อมค้น คว้าอนุ คี ติ (การอ้างพุทธพจน์) หมายถึงการ
ค้นคว้าตรวจสอบข้อความจากคัมภีร์นามาประกอบเขียนงานวิจัย คาว่า สพฺเพ
นว สุตฺตนฺเต วิจินติ : ผู้วิจัยย่อมค้นคว้านวสุตตันตะทั้งปวง (นวังคสัตถุสาสน์
ทั้งปวง) หมายถึงการค้น คว้ารวบรวมทั้งสุ ตตะสุ ตตานุโลมอาจริยวาทนามา
ประกอบในงานวิจัยนี้
๗.๒ การตีความหลักคาสอนภาษาบาลีเป็นภาษาไทย
การตีความภาษาบาลีเป็นภาษาไทย หมายถึงการแปลคัมภีร์ภาษาบาลี
เป็นภาษาไทย ซึ่งคลาดเคลื่อนไปจากความหมายตามความเป็นจริง ทั้งในส่วน
พระไตรปิฎ กและอรรถกถา การแปลความคลาดเคลื่อนนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อ
ความเสื่ อ มแห่ ง พระสั ท ธรรม คื อ พระปริ ยั ติ สั ท ธรรม ในสั ง คมวิ ช าการ
พระพุ ท ธศาสนาในประเทศไทย อาจมองเห็ น เป็ น เรื่อ งเล็ ก น้ อ ย แต่ ต ามที่
พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักการไว้ มิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เพราะเมื่อถอดความสู่
ภาคภาษาไทยคลาดเคลื่อนไปก็ทาให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน และอาจทา
ให้ปฏิบัติผิดไปด้วย ในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักการไว้ว่า
เทฺวเม ภิกฺขเว ธมฺมา สทฺ ธมฺมสฺ ส สมฺโมสาย อนฺตรธานาย สวตฺตนฺ ติ.
กตเม เทฺว,ทุนฺนิกฺขิตฺตญฺจ ปทพฺยญฺชน อตฺโถ จ ทุนฺนีโต. ทุนฺนิกฺขิตฺตสฺส ภิกฺขเว
ปทพฺยญฺชนสฺส อตฺโถปิ ทุนฺนโย โหติ. อิเม โข ภิกฺขเว เทฺว ธมฺมา สทฺธมฺมสฺส
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๔๑
๒๘๐
องฺ.ทุก. (บาลี) ๒๐/๒๐/๕๙.
๒๘๑
องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๒๐/๗๒.
๒๘๒
องฺ.ทุก.อ. (บาลี) ๒/๒๐/๒๘.
๑๔๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๗.๓ การตีความพระธรรมวินัยสาหรับตาราเรียน
สมเด็จ พระมหาสมณเจ้ ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเสนอพระ
วินิจ ฉัย พระธรรมวินั ยไว้ พอสรุปความได้ว่า ในบาลี วิภังค์ ๒๘๕ แก้อรรถแห่ ง
สิกขาบทมาในปาติโมกข์๒๘๖ กล่าวถึงของเจดีย์ นี้บ่งชัดว่า รจนาเมื่อภายหลัง
ครั้งเมื่อมีเจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์แล้ว จึงมีผู้ถวายสิ่งของ กิริยาที่รจนาไม่ปรากฏว่า
๒๘๓
องฺ.ทุก. (บาลี) ๒๐/๒๑/๕๙.
๒๘๔
องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๒๑/๗๓.
๒๘๕
หมายถึงข้อที่อธิบายตัวสิกขาบทที่เรียงไว้ต่อจากสิกขาบท ซึ่งมาในพระวินัย
ปิฎก.
๒๘๖
หมายถึงศีลของภิกษุที่ถูกยกขึ้นสวดในวันปาติโมกข์.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๔๓
๒๘๗
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, วินัยมุขเล่ม ๑, พิมพ์
ครั้งที่ ๓๙, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิท ยาลัย, ๒๕๔๑), (คานา) หน้า
ค-ฆ.
๒๘๘
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, วินัยมุขเล่ม ๑, หน้า
๓๓.
๒๘๙
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, วินัยมุขเล่ม ๑, หน้า
๑๕๕.
๒๙๐
ดูรายละเอียดใน วิ.มหา. (บาลี) ๑/๓๖๕/๒๗๗, วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๖๕/
๔๐๒, วิ.มหา.อ. (บาลี) ๒/๗๐.
๑๔๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๙๑
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, วินัยมุขเล่ม ๑, พิมพ์
ครั้งที่ ๓๙, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ๒๒.
๒๙๒
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส, วินัยมุขเล่ม ๑, หน้า
๒๓-๒๔.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๔๕
จากพระมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ในเรื่องสิกขาบท ๑๕๐ สิกขาบทนี้ ได้มีผู้ถือตาม คือ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้
แสดงความเห็นไว้ในหนังสือ “ตามรอยพระอรหันต์ ” ซึ่งท่านเขียนเมื่อ พ.ศ.
๒๔๗๕ สรุปว่า
ในสู ต รมี พุ ท ธภาษิ ต ว่า “ภิ ก ษุ ท.! สิ ก ขาบท ๑๕๐ ถ้ว นนี้ ย่ อ มมาสู่
อุทเทส (คือการนาขึ้นแสดงในท่ามกลางสงฆ์) ทุกกึ่ง เดือน ...” แสดงให้เห็นว่า
ครั้งพุทธกาลมีการแสดงปกติโมกข์เพียง ๑๕๐ สิกขาบท เท่านั้น ที่กล่าวถึง
๒๒๗ สิกขาบทมีในคัมภีร์วิภังค์แห่งวินัยปิฎก ซึ่งเรียงคาพูดของผู้รวบรวมวินัย
ปิฎ กไม่ใช่พุ ท ธภาษิ ต นั บ ได้ ๒๒๗ สิ กขาบท ทาให้ เห็ น ว่ามีก ารเพิ่ มเข้าอี ก
ภายหลังแต่พุทธปรินิพพาน เมื่อร้อยกรองพระไตรปิฎกครั้งทาสังคายนาครั้งใด
ครั้ งหนึ่ ง ท่ า นเหล่ า นั้ น ได้ น าเอาสิ ก ขาบทอื่ น ๆ ที่ ได้ ท รงบั ญ ญั ติ ไว้ อี ก ๗๗
สิกขาบท สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณ ทรงสันนิษฐานไว้ว่า
ได้แก่เสขิยวัตร ๗๕ สิกขาบทและอนิยตอีก ๒ สิกขาบทนั่นเอง ต่อมาได้สวด
ปาติโมกข์ด้วยสิกขาบท ๒๒๗ สิกาขาบทมาจนถึงทุกวันนี้๒๙๓
จากพระมติของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
และความเห็นของท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นตราประทับ หรือรอยจารึกบนแผ่น
ศิลา จนมาถึงปัจจุบัน กลายเป็นเป็นหลักการหรือหลักปฏิบัติที่คณะสงฆ์กลุ่ม
หนึ่งถือปฏิบัติ คือ คณะสงฆ์วัดนาป่าพง(สาขาที่ ๑๔๙ ของวัดหนองป่าพง) ซึ่ง
มีพระอธิการคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นประธานสงฆ์
๒๙๓
พุทธทาสภิกขุ. ตามรอยพระอรหันต์,พิม พ์ครั้งที่ ๘, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพ์ บริษัท ตถาตา พับลิเคชั่น จากัด,พ.ศ.๒๕๔๘), หน้า ๑๖๖.
๑๔๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๙๔
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show. php?id=
16809, ๓๐ กย.๕๕.
๑๔๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๗.๔ หลักการตีความภาษาบาลีตามความเห็น
การตั้งหัวข้อภาษาไทยในพระไตรปิฎกแปลนั้น เข้าใจว่า กรรมการแปล
พระไตรปิฎกได้กาหนดจากข้อความที่แปลนั้นแล้วตั้งเป็นหัวข้อ ซึ่งเมื่อจัดพิมพ์
หลายครั้งนานไป ก็เป็น ข้อกาหนดความหมายที่แปล ซึ่งข้อความที่แปลนั้น
คลาดเคลื่อนจากความหมายเดิม ก็ทาให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่ อนต่อกัน
ไปยาวนาน ดังข้ อความที่แปลเรื่องพระอานนท์ทาไม่เหมาะเป็นพระอานนท์
ต้องอาบั ติทุกกฏ ที่ปรากฏในพระวินั ยปิ ฎ ก จูฬวรรค ทุติยภาค ดังตัวอย่าง
ดังนี้
อถ โข เถรา ภิ กฺ ขู อายสฺ ม นฺ ต อานนฺ ท เอตทโวจุ “อิ ท นฺ เต อาวุ โ ส
อานนฺ ท ทุ กฺ ก ฏ . ย ตฺ ว ภควนฺ ต น ปุ จฺ ฉิ ‘กตมานิ ปน ภนฺ เ ต ขุ ทฺ ท านุ -
๒๙๕
http://www.oknation.net/blog/SiamBhikhunis/2011/08/09/entry-
1, ๓๐ กย.๕๕.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๔๙
๒๙๖
วิ.จู. (บาลี) ๗/๔๔๓/๒๘๐.
๒๙๗
วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๔๓/๓๘๔.
๑๕๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๒๙๘
วิ.จู.อ. (บาลี) ๓/๔๕๕.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๕๑
๒๙๙
วิ.จู.อ. (บาลี) ๓/๔๕๕.
๑๕๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๗.๕ อิทธิพลของการตีความต่อสังคมไทย
วิเคราะห์ การตีความหลักคาสอนในสังคมไทยในหัวข้อนี้ ผู้ วิจัยขอนา
เอกสารที่น าเสนอไว้ในบทที่ ๒ มาตั้งเป็ น ประเด็น ปัญ หาแล้ วนาหลั กการที่
นาเสนอไว้ในบทที่ ๓ มาเป็นเครื่องวิเคราะห์หาความถูกตามหลักการที่ปรากฏ
ในคัมภีร์
เรื่ อ งการแปลพระวิ นั ย ปิ ฎ กโดยตี ค วามภาษาบาลี ต ามความเห็ น
ซึ่งผู้วิจัยได้นาคาแปลพระวินัยปิฎก จูฬวรรคเรื่องปรับอาบัติอานนท์ ๕ กรณี
ซึ่งผู้วิจัยยกตัวอย่างไว้กรณีหนึ่งว่า
ภิกษุผู้เถระทั้งหลายกล่าวกับท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า “ท่านอานนท์การ
ที่ท่านไม่ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ‘พระพุทธเจ้าข้าสิกขาบทข้อไหนจั ดเป็น
สิกขาบทเล็กน้อย’ เรื่องนี้ปรับอาบัติทุกกฏแก่ท่าน ท่านจงแสดงอาบัตนิ ั้น
ท่านพระอานนท์ชี้แจงว่า “ท่านผู้เจริญ กระผมไม่ได้กราบทูลถามพระผู้
มีพระภาคว่า ‘พระพุทธเจ้าข้า สิกขาบทข้อไหนที่จัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย’
เพราะระลึกไม่ได้กระผมไม่เห็นอาบัติทุกกฏนั้น แต่เ พราะเชื่อฟังท่านทั้งหลาย
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๕๓
กระผมจะแสดงอาบัติทุกกฏ” ๓๐๐
พระอรรถกถาจารย์อธิบายไว้เมื่อพิจารณาคาอธิบายดูเหมือนจะเป็นคน
ละเรื่อง ดังข้อความว่า
อิท มฺ ปิ เต อาวุ โส อานนฺ ท ทุ กฺก ฏนฺ ติ อิท ตยา ทุ ฏฺ ฐุ กตนฺ ติ
เกวล ครหนฺ เตหิ เถเรหิ วุ ตฺ ต , น อาปตฺ ตึ สนฺ ธ าย วุ ตฺ ต . น หิ เต
อาปตฺตานาปตฺตึ น ชานนฺติ. อิทาเนว เหต อนุสฺสาวิต สโฆ อปญฺ ตฺต น
ปญฺ เปติ ปญฺ ตฺต น สมุจฺฉินฺทตีติ.๓๐๑ ข้อความนี้ ผู้วิจัยขอแปลตามที่ตน
พอจะเข้าใจ โดยไม่อนุวัตรคาแปลในพระไตรปิฎก ดังนี้
“คาว่า ท่านอานนท์ แม้เรื่องนี ท่านก็ทาไม่ดี นี้ พระเถระทั้งหลายเมื่อ
จะตาหนิอย่างเดียวจึงกล่าวว่า เรื่องนี้ท่านทาผิดแล้ว มิได้กล่าวหมายถึงอาบัติ
ความจริง พระเถระเหล่านั้นจะไม่รู้อาบัติและอนาบัติก็หาไม่ ดังที่พระมหากัสส
ปะสวดประกาศเรื่องนี้ในบัดนี้ทีเดียวว่า สงฆ์จะไม่บัญญัติสิกขาบทที่พระผู้มี
พระภาคไม่ทรงบัญญัติไว้ จะไม่ถอนสิกขาบทที่พระผู้มี พระภาคทรงบัญญัติไว้
แล้ว” ๓๐๒
พระอรรถกถาจารย์อธิบายสรุปความว่า พระเถระทั้งหลายตาหนิพระ
อานนท์ว่าทาไม่ดี ไม่ได้ปรับอาบัติ เพราะได้ประกาศไปแล้วว่า จะไม่บัญญัติสิ่ง
ที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติ คือ จะไม่บัญญัติการปรับอาบัตินอกเหนือจากที่
พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ แต่พระไตรปิฎกเป็นปรั บอาบัติทุกกฎพระอานนท์
ก็เป็นทานองว่า พระไตรปิฎกเป็นเรื่องหนึ่ง อรรถกถาอธิบายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
๓๐๐
วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๔๓/๓๘๔.
๓๐๑
วิ.จู.อ. (บาลี) ๓/๔๑๓.
๓๐๒
วิ.จู.อ. (ไทย) ๓/๔๑๓.
๑๕๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๓๐๓
เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๙), หน้า ๖๒-๖๓, ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา,
(นครปฐม : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๕๙-๖๐.
๓๐๔
สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปิฎกฉบับสาหรับประชาชน, (กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙), หน้า ๒๘๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๕๕
โพธินันทะ๓๐๕
หลวงจี น พระครู ส มุ ห์ อ ภิ ชั ย (เย็ น เหี่ ย ง) โพธิป ระสิ ท ธิ์ เขีย นหนั งสื อ
พระพุทธศาสนามหายาน ได้เรื่องปฐมสังคายนา กล่าวถึงเรื่องที่พระอานนท์ถูก
ปรับอาบัติทุกกฏ โดยอ้างหนังสืออาจารย์เสถียร โพธินันทะ เช่นกัน๓๐๖
อาจารย์ แ สวง อุ ด มศรี เขีย นหนั งสื อ พระวิ นั ยปิ ฎ ก ๒ ท่ านก็ ว่าตาม
พระไตรปิ ฎ กภาษาไทย เพราะฉบั บ มหาจุฬาฯ ก็แปลตามส านวนเดิม ท่ าน
แสดงความเห็น ว่า “ข้อสงสัยทั้ง ๕ ที่พระอรหันต์ทั้งหลายยกขึ้นมาเป็นเหตุ
ปรับ อาบั ติทุกกฏพระอานนท์นั้ น คงมิใช่ป ระเด็นสาคัญ อะไรนัก แต่น่าจะมี
เป้ าหมายที่ลึ กซึ้งอย่ างอื่น ซ้อนเร้น อยู่เบื้ องหลั ง เพราะพระเถระแต่ล ะรูป ที่
ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้ร่วมประชุมทาสังคายนาในครั้งนี้ ล้วนแต่เป็น
พระอรหันต์เหมือนกันทุกรูป ภิกษุที่ได้บรรลุธรรมในขั้นนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลง
สงสัยในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและบัญญัติไว้ และย่อมเข้าใจ
สภาวธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงทุกประการ”๓๐๗
ความเห็ น เรื่ อ งการปรั บ อาบั ติ พ ระอานนท์ นั้ น เกิ ด จากค าแปล
พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐,พ.ศ.๒๕๑๔,พ.ศ.๒๕๒๑,พ.ศ.๒๕๒๕,
พ.ศ.๒๕๓๐ จนกระทั่ ง ฉบั บ พิ ม พ์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ฉบั บ มหาจุ ฬ าฯ ก็ แ ปล
๓๐๕
พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร์ สระคา), ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในอินเดีย,
(กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔), หน้า ๑๙๒-๑๙๕.
๓๐๖
อภิชัย โพธิประสิทธิ์ศาสต์, พระพุทธศาสนามหายาน, (กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕), หน้า ๗-๙.
๓๐๗
แสวง อุ ด มศรี , พระวิ นั ย ปิ ฎ ก ๒, (กรุ งเทพมหานคร : โครงการช าระ
พระไตรปิฎก, ๒๕๔๒), หน้า ๔๑๗.
๑๕๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
เหมื อ นกั น เป็ น การถื อ ตามกั น เป็ น อนุ สฺ ส ว ซึ่ งพระพุ ท ธเจ้ าตรั ส ห้ า มไว้ ว่ า
มา อนุสฺสเวน อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา (แปลตามกันมา) เรื่องการ
ปรั บ อาบั ติอ านนท์ ได้ ถือตามกัน เผยต่อๆ กัน มา จนหนังสื อเล่ มล่ าที่ผู้ วิจั ย
สารวจพบ คือ หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย เรียบเรียงโดย
พระมหาดาวสยาม วชิ ร ปั ญ โญ ซึ่ ง เนื้ อ หาคล้ า ยกั บ ความเห็ น ในหนั ง สื อ
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ตอน ๒ ของอาจารย์เสถียร โพธินันทะ และชวิ
นทร์ สระค า น าไปอ้ างไว้ในหนั งสื อ ประวัติ ศ าสตร์ พุ ท ธศาสนาในอิ น เดี ย
ข้อความดังนี้
ในการประชุมสังคายนาครั้งที่ ๑ นั้น พระมหาเถระเจ้าทั้งหลายได้มีมติ
เป็นเอกฉันท์ปรับอาบัติพระอานนท์ แม้ว่าท่านจะบรรลุพระอรหันต์แล้วก็ ตาม
เพราะเหตุว่า
๑. ไม่ได้ทูลถามว่าสิกขาบทเล็กน้อยที่ให้ถอนได้หมายเอาสิกขาบทใด
๒. ข้อที่เหยียบผ้าวัสสิกสาฏกของพระพุทธองค์
๓. ปล่ อยให้ ส ตรีถวายบั งคมพระพุท ธสรีระก่อน และนางร้องไห้ จน
น้าตาเปียกพระสรีระ
๔. ไม่อ้อนวอนพระศาสดาให้ทรงอยู่ตลอดกัปแม้ทรงจะมีนิมิตโอภาส
๕. ช่วยเหลือให้สตรีบวชในพุทธศาสนา
พระอานนท์กล่าวแก้ข้อกล่าวหาทั้ง ๕ ข้อดังต่อไปนี้
๑. ไม่ทูลถามสิกขาบท เพราะไม่ได้ระลึกถึง
๒. ที่เหยียบเพราะพลั้งเผลอ ไม่ใช่เพราะไม่คารวะ
๓. ให้สตรีถวายบังคมก่อน เพราะค่ามืดเป็นเวลาวิกาล
๔. ไม่ทรงอ้อนวอนพระศาสดา เพราะถูกมารดลใจจึงไม่ได้อ้อนวอน
๕. เพราะเห็นว่าพระนางประชาปดีโคตมีนี้ เป็นพระมารดาเลี้ยงถวายขี
โรทก (น้านม) แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าในวัยเยาว์ จึงขวนขวายให้สตรีบวช
แม้พ ระอานนท์ จ ะทราบว่าตั วเองไม่ผิ ด แต่เมื่ อสงฆ์พิ จ ารณาลงโทษ
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๕๗
๓๐๘
พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย.
หน้า ๖๖.
๓๐๙
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย, เหตุเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕, (กรุงเทพมหานคร
: บริษัท พิมพ์สวย จากัด, ๒๕๔๖), หน้า ๑๕-๕๒.
๑๕๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๓๑๐
เมตฺตานนฺโท ภิกฺข,ุ เหตุเกิด พ.ศ. ๑ เล่ม ๒ : วิเคราะห์กรณีปฐมสังคายนา
และภิกษุณีสงฆ์, (กรุงเทพมหานคร : S.P.K. Paper and f Form, ๒๕๔๕), หน้า ๗๔–
๗๕.
๓๑๑
เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ, เหตุเกิด พ.ศ. ๑ เล่ม ๒ : วิเคราะห์กรณีปฐมสังคายนา
และภิกษุณีสงฆ์, หน้า ๓๒๑–๓๒๒.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๕๙
อย่ างหนึ่ งแล้ว กลั บ กระท าไปอีกหนึ่ งในตอนท้าย คือ พระมหากัส สปะสวด
ประกาศมีมติไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขพระวินัย พระสาวกทั้งหลายผู้ร่วมสังคายนา
ก็เห็นชอบไม่คัดค้าน ผู้วิจัยขอยกคาสวดประกาศมาประกอบทั้งหมด เพื่อให้
เห็นภาพที่พระสาวกทั้งหลายผู้ทาปฐมสังคายนาได้วางหลักการ ซึ่งพระสาวก
ทั้งหลายในยุคต่อมาได้กาหนดเป็นหลักการแห่งพระพุทธศาสนาเถร ข้อคาสวด
ประกาศภาษาบาลี ดังนี้
อถ โข อายสฺ ม า มหากสฺ ส โป ส ฆ าเปสิ “สุ ณ าตุ เม อาวุ โ ส ส โฆ,
สนฺ ต มฺ ห าก สิ กฺ ข าปทานิ คิ หิ ค ตานิ คิ หิ โ นปิ ชานนฺ ติ ‘อิ ท โว สมณ าน
สกฺ ย ปุ ตฺ ติ ย าน กปฺ ป ติ , อิ ท โว นกปฺ ป ตี ’ติ สเจ มย ขุ ทฺ ท านุ ขุ ทฺ ท กานิ
สิ กฺ ข าปทานิ สมู ห นิ สฺ ส าม, ภวิ สฺ ส นฺ ติ วตฺ ต าโร ‘ธู ม กาลิ ก สมเณน โคตเมน
สาวกาน สิกฺขาปท ปญฺ ตฺต, ยาวิเมส สตฺถา อฏฺ าสิ, ตาวิเม สิกฺขาปเทสุสิกฺขึสุ
, ยโต อิเมส สตฺถา ปรินิพฺพุโต, นทานิ เม สิกฺขาปเทสุ สิกฺขนฺตี ’ติ. ยทิ สฆสฺส
ปตฺ ต กลฺ ล , ส โฆ อปฺ ป ญฺ ตฺ ต น ปญฺ าเปยฺ ย , ปญฺ ตฺ ต น สมุ จฺ ฉิ นฺ เทยฺ ย ,
ยถาปญฺ ตฺเตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย วตฺเตยฺย เอสา ตฺต.ิ ๓๑๒
แปลว่า “ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะประกาศให้สงฆ์ทราบว่า ท่าน
ทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่รู้กันในหมู่คฤหัสถ์ ๓๑๓
มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้อยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่พวกพระสมณะเชื้อสายศากยบุตร
สิ่งนี้ไม่ควร ถ้าพวกเราจักถอนสิ กขาบทเล็กน้อย ก็จะมีผู้กล่าวว่า พระสมณโค
ดมบั ญ ญั ติ สิ ก ขาบทแก่ พ วกสาวกชั่ ว กาลแห่ ง ควั น ไฟ สาวกพวกนี้ ศึ ก ษา
๓๑๒
วิ.จู. (บาลี) ๗/๔๔๒/๒๗๙-๒๘๐.
๓๑๓
คือสิกขาบทที่เกี่ยวข้องกับพวกคฤหัสถ์ , พวกคฤหัสถ์รู้กันอยู่ ที.ม.อ. (บาลี)
๒/๑๓๖/๑๕๕.
๑๖๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
สิกขาบทอยู่เพียงเวลาที่พระศาสดาของตนยังมีชีวิตอยู่ พอพระศาสดาของพวก
เธอปรินิพพานไปแล้ว บัดนี้ พวกเธอก็ไม่ศึกษาสิกขาบท ถ้าสงฆ์พร้อมแล้วก็ไม่
พึ ง บั ญ ญั ติ สิ่ ง ที่ ไ ม่ ได้ ท รงบั ญ ญั ติ ไม่ พึ ง ถอนพระบั ญ ญั ติ ที่ ท รงบั ญ ญั ติ ไ ว้
พึงสมาทานประพฤติตามสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว นี่เป็นญัตติ”
สุ ณ าตุ เม อาวุ โส ส โฆ, สนฺ ต มฺ ห าก สิ กฺ ข าปทานิ คิ หิ ค ตานิ คิ หิ โนปิ
ชานนฺติ‘อิท โว สมณาน สกฺยปุตฺติยาน กปฺป ติ, อิท โว น กปฺปตี ’ติ, สเจ มย
ขุทฺท านุ ขุทฺ ทกานิ สิ กฺขาปทานิ สมู ห นิ สฺ ส าม, ภวิสฺ ส นฺ ติ วตฺ ตาโร ‘ธูมกาลิ ก
สมเณน โคตเมน สาวกาน สิกฺขาปท ปญฺ ตฺต,ยาวิเมส สตฺถา อฏฺ าสิ, ตาวิเม
สิ กฺ ข าปเทสุ สิ กฺ ขึ สุ , ยโต อิ เมส สตฺ ถ า ปริ นิ พฺ พุ โ ต, นทานิ เมสิ กฺ ข าปเทสุ
สิ กฺ ข นฺ ตี ’ ติ . ส โฆ อปฺ ป ญฺ ตฺ ต น ปญฺ าเปติ , ปญฺ ตฺ ต น สมุ จฺ ฉิ นฺ ท ติ ,
ยถาปญฺ ตฺเตสุสิกฺขาปเทสุ สมาทาย วตฺตติ, ยสฺสายสฺมโต ขมติ อปฺปญฺ ตฺตสฺส
อปฺปญฺ าปนา, ปญฺ ตฺตสฺสอสมุจฺเฉโท, ยถาปญฺ ตฺเตสุ สิกฺขาปเทสุ สมาทาย
วตฺ ต นา, โส ตุ ณฺ ห สฺ ส , ยสฺ ส นกฺ ข มติ , โส ภาเสยฺ ย .ส โฆ อปฺ ป ญฺ ตฺ ต น
ปญฺ าเปติ, ปญฺ ตฺต น สมุจฺฉินฺ ทติ, ยถาปญฺ ตฺเตสุ สิ กฺขาปเทสุ สมาทาย
วตฺตติ, ขมติ สฆสฺส, ตสฺมา ตุณฺหี. เอวเมต ธารยามี”ติ.๓๑๔
แปลว่า “ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่รู้
กันในหมู่คฤหัสถ์มีอยู่ แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้อยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่พวกพระสมณะเชื้อ
สายศากยบุตร สิ่งนี้ ไม่ควร ถ้าพวกเราจักถอนสิกขาบทเล็กน้อย ก็จะมีผู้กล่าว
ว่า พระสมณโคดมบัญญัติสิกขาบทแก่พวกสาวกชั่วกาลแห่งควันไฟ สาวกพวก
นี้ศึกษาสิกขาบทอยู่เพียงเวลาที่พระศาสดาของตนยังมีชีวิตอยู่ พอพระศาสดา
ของพวกเธอปรินิพพานไปแล้ว บัดนี้พวกเธอก็ไม่ศึกษาสิกขาบท ถ้าสงฆ์พร้อม
กันแล้วก็ไม่พึงบัญญัติสิ่งที่ไม่ได้ทรงบัญญัติ ไม่พึงถอนพระบัญญัติที่ทรงบัญญัติ
๓๑๔
วิ.จู. (บาลี) ๗/๔๔๒/๒๗๙-๒๘๐.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๖๑
สมุจฺ ฉิ นฺ ท ตี ติ ”๓๑๕ แปลว่า “บั ดนี้ เที ย ว ท่านก็ได้ป ระกาศแล้ ว ว่า สงฆ์ จะไม่
บัญญัติสิ่งที่พระผู้มีพระภาคไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ จะไม่ถอนพระบัญญัติที่พระผู้
มีรพะภาคทรงบัญญัติไว้”
เมื่อผู้วิจัยได้เทียบเคียงบทพยัญชนะแล้ว ก็ได้ข้อยุติว่า การแสดงโทษ
ของพระอานนท์ ไม่ใช่การแสดงอาบัติ เป็นการยอมรับเรื่องที่ท่านประพฤติผิด
ผู้วิจัยใช้การสอบทานเทียบเคียงบทพยัญชนะ คือความรู้ในภาษาบาลี อรรถ
กถา ฎีกา ไวยากรณ์ เป็นเครื่องมือตรวจสอบหาความถูกต้อง
จากข้อความเรื่องปรับโทษพระอานนท์ที่นาเสนอไปนั้นมี ๒ ฝ่าย คือ
เห็ น ว่าเป็ น การต าหนิ พ ระอานนท์ ฝ่ ายหนึ่ ง เห็ น ว่าเป็ น การปรับ อาบั ติพ ระ
อานนท์ฝ่ายหนึ่ ง ซึ่งความเห็นว่าปรับอาบัติพระอานนท์นั้น เกิดจากคาแปล
พระไตรปิฎกภาษาไทย ซึ่งทุกฉบับก็ยังแปลตามๆ กัน มิได้ศึกษาคาอธิบายใน
อรรถกถาแล้วปรับแก้คาแปล
เพื่อเป็นการรับรองความเห็นของพระอรรถกถาจารย์ เรื่องการที่พระ
สาวกทั้งหลายผู้ ทาปฐมสังคายนา มิได้ป รับ อาบัติพระอานนท์ ท่านเพียงแต่
ตาหนิ พระอานนท์ว่าทาไม่ดี และการที่พระอานนท์ยอมรับโทษที่ตนทาไม่ดี
ยอมรับเรื่องที่ท่านประพฤติผิด ไม่ใช่เป็นการแสดงอาบัติ ผู้วิจัย ขอนาเรื่องที่ได้
ดาเนินการสอบทานเทียบเคียงบทพยัญชนะจากเรื่องกรณีพระอานนท์กับบท
พยัญชนะในพระสูตรและในพระวินัย ตามเอกสารที่ผู้วิจัยได้ศึกษาแล้วสรุปมา
ดังต่อไปนี้
เบื้ องต้น พึ งศึกษารายละเอีย ดเรื่ องที่ พ ระไตรปิ ฎ กทุ กฉบั บ แปลการ
ตาหนิพระอานนท์เป็นการปรับอาบัติพระอานนท์ เนื้อหาภาษาไทย ดังนี้
ภาษาบาลีที่กรรมการแปลพระไตรปิฎกแปลเป็นปรับอาบัติทุ กกฎพระ
๓๑๕
วิ.จู.อ. (บาลี) ๓/๔๑๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๖๓
๓๑๖
วิ.จู. (บาลี) ๗/๔๔๓/๒๘๐-๒๘๑ มหาจุฬาเตปิฏก.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๖๕
๓๑๗
วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๔๓/๓๘๔-๓๘๕ ฉบับมหาจุฬา.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๖๗
๓๑๘
วิ.จู. (บาลี) ๗/๔๔๓/๒๘๐-๒๘๑. มหาจุฬาเตปิฏก.
๑๖๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๓๑๙
วิ.จู.อ. (บาลี) ๓/๔๑๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๗๑
๓๒๐
อิทมฺปิ เต อาวุโส อานนฺท ทุกฺกฏ สานวนเดิมแปลกันว่า “เรื่องนี้ปรับ
อาบัติทุกกฎแก่ทา่ น”.
๓๒๑
เทเสหิ ต อาวุโส ทุกฺกฏ สานวนเดิมแปลกันว่า “ท่านจงแสดงอาบัตินั้น”.
๓๒๒
ดูสานวนคาแปลฉบับพิมพ์เผยแพร่ใน จตุตถสมันตปาสาทิกา อรรถกถาพระ
วินัย จุลวรรควรรณา, หน้า ๖๗๑-๖๗๓.
๑๗๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
เมื่อพิจารณาคาอธิบายแล้วดูจะไปต่างเรื่องกัน พระไตรปิฎกแปลเป็น
ปรับอาบัติทุกกฏ อรรถกถาอธิบายเป็นทาไม่เหมาะสม พระพุทธโฆสาจารย์
อธิบายไม่ตรงประเด็น หรือผู้รู้ชาวไทย แปลไปเป็นคนละเรื่อง ผู้วิจัยเข้าใจตาม
ค าอธิ บ ายของพระอรรถกถาจารย์ คื อ การที่ พ ระอานนท์ แ สดงโทษ หรื อ
ยอมรับผิดนั้น มิใช่เป็นการแสดงอาบัติ ตามเรื่องที่ปรากฏ มีพ ระภิกษุที่แสดง
โทษหรือยอมรับผิดในทานองนี้ เช่นกัน ดังเรื่องที่ภิกษุทั้งหลาย ช่วยกันเย็บ
จีวรถวายพระพุทธเจ้า สาหรับทรงใช้เสด็จเที่ยวจาริก แต่ท่านพระภัททาลิ มิได้
ช่ ว ยจึ ง ถู ก ภิ ก ษุ เ หล่ า นั้ น ต าหนิ ตั ก เตื อ นให้ รู้ ว่ า ท่ า นผิ ด ท่ า นจึ ง เข้ า เฝ้ า
พระพุทธเจ้ากราบทูลขอรับผิด ข้อความภาษาบาลี ดังนี้
อายสฺ ม า ภทฺ ท าลิ ... เยน ภควา เตนุ ป สงฺก มิ ; อุ ป สงฺก มิ ตฺ ว า
ภควนฺ ต อภิ ว าเทตฺ ว าเอกมนฺ ต นิ สี ทิ . เอกมนฺ ต นิ สิ นฺ โ น โข อายสฺ ม า
ภทฺ ท าลิ ภควนฺ ต เอตทโวจ “อจฺ จ โย ม ภนฺ เต อจฺ จ คมา ยถาพาล
ยถามูฬฺห ยถาอกุสล , โยห ภควตา สิกฺขาปเท ปญฺญาปิยมาเน ภิกฺขุสเฆ
สิ กฺข สมาทิ ย มาเน อนุ สฺ ส าห ปเวเทสึ . ตสฺ ส เม ภนฺ เต ภควา อจฺจ ย
อจฺจยโต ปฏิคฺคณฺหาตุอายตึ สวรายา”ติ.๓๒๓
ท่านภั ท ทาลิ ได้เข้าเฝ้ าพระผู้ มี พ ระภาคถวายอภิ วาทแล้ ว นั่ง ณ ที่
สมควรด้านหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า “พระองค์ผู้เจริญ โทษได้
ครอบงาข้าพระองค์ ผู้ เป็ น คนโง่ เป็ น คนหลง ไม่ ฉลาด ผู้ ป ระกาศความไม่
สามารถใน(การรักษา)สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ (และ)ให้ภิกษุ
สงฆ์สมาทานศึกษาอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคทรงรับรู้โทษของข้าพระองค์นั้นโดย
ความเป็นโทษ เพื่อความสารวมระวังต่อไปเถิด”
เมื่อ มีผู้ ชี้ โทษแล้ ว ต้องยอมรับ ผู้ ไม่ ย อมรับถื อว่าเป็น คนพาล ดังที่
๓๒๓
ม.ม. (บาลี) ๑๓/๑๓๕/๑๑๑.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๗๓
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เทฺ ว เม ภิ กฺข เว พาลา. กตเม เทฺ ว . โย จ อจฺ จย อจฺ จยโต น
ปสฺ ส ติ , โย จ อจฺ จ ย เทเสนฺ ตสฺ ส ยถาธมฺม นปฺ ปฏิ คฺคณฺ ห าติ . ... ‘เทฺ วเม
ภิ กฺ ข เว ปณฺ ฑิ ต า. กตเม เทฺ ว . โย จ อจฺ จ ย อจฺ จ ยโต ปสฺ ส ติ , โย จ
อจฺ จ ย เทเสนฺ ต สฺ ส ยถาธมฺ ม ปฏิ คฺ ค ณฺ ห าติ . อิ เม โข ภิ กฺ ข เว เทฺ ว
ปณฺ ฑิตา.๓๒๔ แปลว่า “ภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จาพวกนี้ คือ (๑) คนที่ไม่
เห็นโทษโดยความเป็นโทษ (๒) คนที่ไม่ยอมรับตามความเป็นจริงเมื่อบุคคลอื่น
แสดงโทษ … ภิกษุทั้งหลาย บั ณ ฑิต ๒ จาพวกนี้ คือ (๑) คนที่เห็ นโทษโดย
ความเป็นโทษ (๒) คนที่ยอมรับตามความเป็นจริงเมื่อบุคคลอื่นแสดงโทษ”
พระอานนท์ท่านเป็นบัณ ฑิต ท่านไม่เห็นว่าตนผิด แต่เพราะเชื่อพระ
เถระทั้งหลาย ท่านจึงยอมรับ ผิ ด การปรับ อาบัติทุกกฏ เท่าที่ ค้นคว้าศึกษา
พระพุทธองค์ทรงใช้คาว่า “อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส ” แปลว่า “ต้องอาบัติทุกกฏ”
เช่น “น จ ภิกฺข เว สพฺ พมตฺติกามยา กุ ฏิกา กาตพฺพ า, โย กเรยฺย , อาปตฺติ -
ทุกฺกฏสฺส๓๒๕ แปลว่า “ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงทากุฎีดินล้วน ภิกษุใดทา ต้อง
อาบัติทุกกฏ”
น ภิกฺขเว นหายมาเนน ภิกฺขุนา รุกฺเข กาโย อุคฺฆเสตพฺโพ, โย
อุคฺฆเสยฺย, อาปตฺติทุกฺกฏสฺส ๓๒๖ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อจะสรงน้า ไม่พึงขัดสี
กายกับต้นไม้ รูปใดขัดสี ต้องอาบัติทุกกฏ
น ภิ กฺ ข เว ภิ กฺ ขุ นิ ย า อตฺ ต โน ปริ โ ภคตฺ ถ าย ทิ นฺ น อญฺ เ ญส
๓๒๔
องฺ.ทุก. (บาลี) ๒๐/๒๒/๕๘-๕๙.
๓๒๕
วิ.มหา. (บาลี) ๑/๘๕/๕๖.
๓๒๖
วิ.จู. (บาลี) ๗/๒๔๓/๑.
๑๗๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๓๒๗
วิ.จู. (บาลี) ๗/๒๔๓/๑.
๓๒๘
ดูรายละเอียดใน วินยักกมจันทิกา : สิกขาปทักกมะ บาลี -แปล, รังษี สุทนต์
แปลและเรียบเรียง,(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๔๗), หน้า [๒๖] (บทนา),
๒-๑๘๖.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๗๕
๓๒๙
ที.สี. (บาลี) ๙/๔๙๕/๒๒๒.
๑๗๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๓๓๐
ส.สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๕๕/๒๗๙.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๗๗
๓๓๑
ส.สฬา.อ. (บาลี) ๓/๓๕๕/๑๖๕
๓๓๒
ขุ.อิต.ิ (บาลี) ๒๕/๙๗/๓๑๕
๑๗๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
คัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายข้อความตอนที่แปลกันเป็นพระอานนท์ถูกปรับอาบัติ
นี้ ท่านเข้าใจดี ท่านไม่ได้หมายถึงการปรับอาบัติ ซึ่งท่านอธิบายไว้ว่า
อิทมฺปิ เต อาวุโส อานนฺท ทุกฺกฏนฺ ติ อิท “ตยา ทุฏฺฐุ กตนฺ ”ติ
เกวล ครหนฺ เตหิ เถเรหิ วุ ตฺ ต , น อาปตฺ ตึ สนฺ ธ าย วุ ตฺ ต . น หิ เต
อาปตฺตานาปตฺตึ น ชานนฺติ . อิทาเนว เหต อนุสฺสาวิต “สโฆ อปญฺญตฺต
น ปญฺญเปติ ปญฺญตฺต น สมุจฺฉนฺทตี”ติ. เทเสหิ ต ทุกฺกฏนฺติ อิทมฺปิ จ
“อาม ภนฺ เต, ทุ ฏฺ ฐุ มยา กตนฺ ”ติ เอว ปฏิ ช านาหิ ต ทุ กฺก ฏนฺ ติ อิ ท
สนฺธาย วุตฺต, น อาปตฺตเทสน.๓๓๓
คาว่า อิทมฺปิ เต อาวุโส อานนฺท ทุกฺกฏ : ท่านอานนท์เรื่องนี้ท่านทาไม่
ดี อันพระเถระทั้งหลาย เพียงแต่จะกล่าวตาหนิว่า เรื่องนี้ท่านทาไม่ดี มิได้
กล่าวหมายถึงอาบัติ พระเถระเหล่านั้นไม่ใช่จะไม่ทราบว่าอะไรเป็นอาบัติ
อะไรไม่เป็นอาบัติ และพระมหากัสสปะก็ได้สวดประกาศให้ทราบแล้วในบัดนี้
เองว่า สงฆ์จะไม่บัญญัติสิกขาบทที่พระผู้ มีพระภาคไม่บัญญัติไว้ จะไม่เพิก
ถอนสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้
คาว่า เทเสหิ ต ทุกฺกฏ : ท่านจงแสดง(ยอมรับ)เรื่องที่ท่านทาไม่ดีนั้น นี้
พระเถระทั้งหลายกล่าวหมายเอาความนี้ว่า ท่านจงยอมรับการทาไม่ดีนั้นอย่าง
นี้ว่า ใช่แล้วท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าทาไม่ดี มิได้กล่าวหมายถึงการแสดงอาบัติ
นอกจากคาอธิบายในอรรถกถา ที่จัดอยู่ในลาดับอาจริยวาทนี้แล้ว ยังมี
อรรถกถาที่มิได้อธิบายคาว่า ทุกฺกฏ แต่ได้ใช้ศัพท์ว่า ทุกฺกฏ ที่ห มายถึงการ
กระท าไม่ ดี เช่ น ในคั ม ภี ร์ สุ มั งคลวิ ล าสิ นี ที่ เล่ าประวั ติ ข องปู ร ณกั ส สปะ มี
ข้อความที่ใช้คาว่า ทุกฺกฏ ดังนี้
๓๓๓
วิ.จู.อ. (บาลี) ๓/๔๑๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๗๙
๓๓๔
ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๕๑/๑๓๐.
๑๘๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๘. การตีความต่อพระไตรปิฎกในแง่ลบ
การแสดงความต่ อ พระไตรปิ ฎ กในแง่ล บในที่ หมายถึ งการตี ค วาม
พระไตรปิฎกไปในทางที่มีการแก้ไขหรือเพิ่มเนื้อหาแห่งพระไตรปิฎก
ท่านพุทธทาสภิกขุ๓๓๕ แสดงความเห็นต่อคัมภีร์พระไตรปิฎกพอสรุปได้
ว่า พระไตรปิฎ ก ทีแรกจากัน มาด้วยปากฟังด้วยหู บอกกันด้วยปาก ๔๐๐-
๕๐๐ ปีจึงได้เขียนเป็นตัวหนังสือ พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า มา ปิฏกสมฺปทาเนน
อย่าเชื่อเพราะมีในพระไตรปิฎก อย่ารับถือเอาด้วยเหตุว่ามีอ้างในปิฎก ปิฎก
คือสิ่งที่เรียกกันว่าตารา สาหรับพระพุทธศาสนาก็คือบันทึกคาสอนที่เขียนไว้ใน
ใบลาน เอามารวมกันเป็นชุดๆ เรียกว่าปิฎก อย่าเชื่อสักว่าเพราะเหตุที่สมณะนี้
เป็นครูของพวกเรา สมณะนี้คือพระพุทธเจ้าท่านเป็นครูของพวกเรา ก็อย่าเชื่อ
จากข้อความนี้ ท่านพุทธทาสภิกขุแสดงความเห็นต่อคัมภีร์ที่ บันทึกหลัก
คาสอนตามคาแปลว่ า อย่าเชื่อด้วยการอ้างตาราหรือคัมภีร์ ความจริงคาว่า
ปิฏก หมายถึงปริยัติและภาชนะ๓๓๖ สมฺปทาน ไม่ได้มีความหมายว่าอ้าง แต่มี
๓๓๕
ดูรายละเอียดใน พุทธทาสภิกขุ, เพชรในพระไตรปิฎก, (กรุงเทพมหานคร :
กองทุ น วุ ฒิ ธรรมจั ด พิ ม พ์ , ๒๕๒๘), หน้ า ๔, อภิ ธ รรมคื อ อะไร, (กรุ งเทพมหานคร :
ธรรมสภาจัดพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๕๕,๕๗,๕๙,๖๒.
๓๓๖
ดูรายละเอียดใน วิ.มหา.อ. (บาลี) ๑/๒๐, ที.สี.อ. (บาลี) ๑/๑๙, อภิ.สงฺ.อ.
(บาลี) ๑/๒๑.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๘๓
๓๓๗
พระพุทธัปปิยมหาเถระ, รูปสิทฺธิ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ธรรมสภา,
๒๕๔๓), หน้า ๑๘๔, ปทรูปสิทธิมัญชรี คัมภีร์อธิบายปทรูปสิทธิปกรณ์ เล่ม ๑, พระ
คันธสาราภิวงศ์ แปลและอธิบาย. (กรุงเทพมหานคร : ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๗), หน้า
๑๐๐๘, บาลีไวยากรณ์วจีวิภาค ภาคที่ ๒ อาขยาตและกิตก์, (กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๑๘๙.
๓๓๘
เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ, เหตุเกิด พ.ศ. ๑ เล่ม ๒ : วิเคราะห์กรณีปฐมสังคายนา
และภิกษุณีสงฆ์, หน้า ๗๔–๗๕,๓๒๑–๓๒๒.
๑๘๔ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
๓๓๙
ดูรายละเอียดใน วิ.จู.อ. (บาลี) ๓/๔๑๓.
๓๔๐
ดร.บุณย์ นิลเกษ, อุดมการณ์และชีวิตแบบโพธิสัตว์เล่มที่หนึ่ง , (เชียงใหม่ :
วัฒนาการพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า ๓๔-๓๕.
๓๔๑
ดูรายละเอียดใน วิ.จู. (บาลี) ๗/๔๖๖-๔๕๘/๒๘๖-๓๐๔, วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๖๖-
๔๕๘๓๙๓-๔๑๙.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๘๕
๓๔๒
ดูรายระเอียดใน ทีปวส ปริเฉทที่ ๔ คาถาที่ ๖๘-๗๖, วิญญาณ ฉบับที่ ๑-๕
มกราคม – พฤษภาคม ๒๕๔๕, หน้า ๓๙-๔๒.
๓๔๓
องฺ.ติก. (บาลี) ๒๐/๘๕/๒๒๔,๘๗/๒๒๕, ๘๘/๒๒๖, องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๘๕/
๓๑๑,๘๗/๓๑๒, ๘๘/๓๑๔.
๓๔๔
เส ฐี ย รพ งษ์ วรรณ ป ก, พ ระไต รปิ ฎ ก วิ เ ค ราะห์ , พิ ม พ์ ค รั้ ง ที่ ๔ ,
(กรุงเทพมหานคร : ซันต้าการพิมพ์, ๒๕๔๖).
๓๔๕
ดูรายระเอียดใน องฺ.ติก.อ. (บาลี) ๒/๘๕/๒๔๐.
๑๘๖ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
ดร. ฉั ต รสุ มาลย์ กบิ ล สิ งห์ ซึ่งได้ ไปบวชเป็น ภิกษุณี ที่พุ ทธคยากับศรี
ลังกา ได้แสดงความเห็นต่อคัมภีร์ที่บันทึกคาสอนในพระพุทธศาสนา พอสรุป
ได้ ว่า พระไตรปิ ฎ กเป็ น งานที่ จ ดบั น ทึ ก โดยพระภิ ก ษุ ท่ านย่อ มเลื อ กที่ จ ะ
บันทึกเนื้อหาสาระตามที่ตนสนใจและเห็นว่าสาคัญ ขบวนการบันทึกคาสอน
และสาระทางประวั ติ ศ าสตร์ พ ระพุ ท ธศาสนา จึ ง มี ค วามเป็ น อั ต วิ สั ย อยู่
พระไตรปิฎกนั้นมีความเก่าใหม่ไม่เท่ากัน ส่วนที่เก่าที่สุดในพระไตรปิฎก คือ
พระวินัย และในพระวินัยนั้น ส่วนที่เก่าที่สุด คือพระปาติโมกข์ ในความเก่า
ใหม่ไม่เท่ากันนี้ ในส่วนที่ระบุว่า สตรีเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้นั้น เป็นส่วนที่เขียน
ขึ้น เมื่อ ประมาณ ๕๐๐ ปี ห ลั งพุ ท ธกาล ครุ ธ รรมข้ อที่ ๖ ในพระวินั ยปิ ฎ ก
ภิกขุนีวิภังค์ว่า สิกขมานาเมื่อบวชมาครบ ๒ ปีให้ขออุปสมบทเป็นภิกษุณี นั้น
เป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นในสมัยหลัง ครุธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง แต่ภิกษุผู้จด
บันทึกเหตุการณ์นามาใส่ไว้ตอนต้น เพื่ อทาให้เห็นว่าครุธรรมเป็นเรื่องสาคัญ
เพราะเป็นมาตรการที่เปิดโอกาสให้ภิกษุเป็นใหญ่เหนือภิกษุณีสงฆ์๓๔๖
จากความเห็นนี้ ทาให้เข้าใจว่า มีการบันทึกเขียนหลักคาสอนในสมัยที่
ทรงจาแบบมุขปาฐะ ดร. ฉัตรสุมาลย์ ไม่เข้าใจระบบการสืบต่อทรงจาหลักคา
สอนจนกระทั่ ง บั น ทึ ก ลงบนใบลาน ความจริ ง การทรงจ านั้ น พระสาวก
ทั้งหลายจะทรงจาเฉพาะเรื่องที่ท่านยินได้ฟังเท่านั้น ที่ดร. ฉัตรสุมาลย์กล่าวว่า
ไม่ ค่ อ ยบั น ทึ ก เรื่ อ งของภิ ก ษุ ณี ก็ ไ ม่ จ ริ ง เรื่ อ งของภิ ก ษุ ณี ที่ ป รากฏใน
พระไตรปิฎกมี มาก เช่น สิกขาบทของฝ่ายภิกษุณีมีมากกว่าของฝ่ ายภิกษุ ที่
ท่านกล่าวว่า “ส่วนที่เก่าที่สุด คือพระปาติโมกข์” กับที่กล่าวว่า “ครุธรรมข้อที่
๖ ว่ า สิ ก ขมานาเมื่ อ บวชมาครบ ๒ ปี ให้ ข ออุ ป สมบทเป็ น ภิ ก ษุ ณี นั้ น เป็ น
เงื่อนไขที่เกิดขึ้นในสมัยหลัง” ท่านกล่าวออกมาเหมือนมิได้ศึกษา เพราะพระ
๓๔๖
ดูรายละเอียดใน ธัมมนันนา (รศ. ดร. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์), ภิกษุณี … บวช
ไม่ได้ วาทกรรมที่กาลังจะเป็นโมฆะ, (กรุงเทพมหานคร : หจก. เอมี่ เทรดดิ้ง,๒๕๔๖).
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๘๗
ปาติโมกข์ของภิกษุณีที่ท่านว่าเก่ าก็ห้ามภิกษุณีบวชให้สิกขมานาที่ไม่ได้รักษา
ศีล ๖ ข้อเป็นเวลา ๒ ปี๓๔๗ แม้ไม่มีครุธรรมก็มีสิกขาบทห้ามอยู่ ซึ่งมีสิกขาบท
ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติตรงกับครุธรรมถึง ๕ ข้อ และมีสิกขาบทที่ตรงกับครุ
ธรรมข้อที่ ๖ จานวน ๑๒ สิกขาบท แต่สิกขาบทนั้นพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
หลังบัญญัติครุธรรม เพราะภิกษุณี ไม่ปฏิบัติตามครุธรรม ในเรื่องนี้ต้องศึกษา
ตามหลักการ มิฉะนั้นจะเข้าใจว่า พระพุทธองค์ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติซ้าซ้อน
อย่างที่นักวิชาการตะวันตกเข้าใจกัน
๙. การตีความต่อพระไตรปิฎกในแง่บวก
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. (บาลี) ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึงการตีความไว้ พอ
สรุป ได้ว่า การตีความอาจเป็ น ปั ญ หา ถ้าเลยขอบเขตของการตีความอย่าง
อิสระ แม้พระพุทธศาสนาจะให้อิสรภาพในการตีความมาก การตีความอย่าง
อิสระไม่ใช่การตีความตามใจชอบ การตีความที่เป็นอิสระก็ต้องมีหลัก คืออยู่ใน
ขอบเขตของหลั ก ส าคัญ ผู้ ตีค วามเข้าใจถ้อยคาถูกต้ อง รู้ว่าตนกาลั งพู ดถึ ง
ข้อความไหน พูดถึงเรื่องอะไร ตรงกับความหมายของถ้อยคาที่ผู้พูดเดิมกล่าว
ไว้ การตี ค วามจะต้ อ งไม่ ขั ด กั บ หลั ก การพื้ น ฐานของพระธรรมวิ นั ย การ
ตีความทางศาสนามีหลักประกันกากับอยู่ คือความซื่อตรงต่อความจริง๓๔๘
๓๔๗
ดูรายระเอียดใน วิ.ภิกฺขุนี. (บาลี) ๓/๑๐๗๗-๑๐๘๐/๑๗๐-๑๗๒.
๓๔๘
ดูรายละเอียดใน พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต), เพื่อความเข้าใจปัญหา
โพธิรักษ์, (กรุงเทพมหานคร : มาสเตอร์เพรส, ๒๕๓๓), หน้า ๔๘-๕๒.
๑๘๘ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
จากความเห็นของพระพรหมคุณาภรณ์ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาเถร
วาทในประเทศไทย ผู้วิจัยจะได้ใช้เป็นแนววิธีการตีความตามที่ปรากฏในคัมภีร์
พระพุทธศาสนา
พระเทพดิ ล ก (ระแบบ ฐิ ต ญาโณ) ได้ แสดงความเห็ น เกี่ ย วกั บ การที่
พระเถระผู้ทาปฐมสังคายนามีมติตาหนิพระอานนท์ว่า ที่ประชุมสงฆ์(ผู้ทาปฐม
สังคายนา)ยังได้มีมติตาหนิการกระทาของพระอานนท์เถระ ๕ อย่างว่า เป็น
การกระท าไม่ ดี ซึ่งใช้ ค าบาลี ว่า ทุ กฺ ก ฏ ที่ แ ปลกั น ว่า อาบั ติ ทุ ก กฏ แต่ ก าร
กาหนดอาบัติเป็นพุทธอาณา คนอื่นไม่อาจที่จะบัญญัติอาบัติได้ ความหมาย
ของค านี้ จึ งควรเป็ น เพี ย งการต าหนิ ว่า ท าไม่ ดี เท่ านั้ น ข้อ ที่ ส งฆ์ ตาหนิ พ ระ
อานนท์เถระ ๕ ประการนั้น ท่านไม่เห็นว่าเป็นความผิด แต่เมื่อสงฆ์เห็นว่า ไม่
ดี ท่านยินดียอมรับและถ่ายถอนความผิด๓๔๙
จากความเห็นของพระเทพดิลกนี้ ท่านมิได้อ้างคาอธิบายในอรรถกถา
ซึ่งความจริงพระอรรถกถาจารย์ก็ได้อธิบายว่า พระเถระทั้งหลายตาหนิพระ
อานนท์มิได้ปรับอาบัติ และพระมหากัสสปเถระก็ได้สวดประกาศว่า สงฆ์จะไม่
บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติ จะไม่ถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
ไว้๓๕๐ ผู้วิจัยจะทาการวิเคราะห์บนฐานแห่งคาอธิบายของพระอรรถกถาจารย์
พระฎีกาจารย์ ก่อนที่จะแสดงความเห็นส่วนตน
พระธัมมานันทมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต ชาวพม่า ได้แสดงความเห็น
ต่อนักวิชาการชาวไทยที่แสดงความเห็นต่อคัมภีร์พระไตรปิฎกที่บันทึกหลักคา
สอนไว้ พอสรุปได้ว่า อาจารย์ท่านหนึ่งวิจารณ์ว่า “ไม่มีหลักฐานที่จะบอกว่า
๓๔๙
พระเทพดิ ล ก (ระแบบ ฐิ ต ญาโณ), ประวั ติ ศ าสตร์ พ ระพุ ท ธศาสนา,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๑๒๘-๑๒๙.
๓๕๐
ดูรายละเอียดใน วิ.จู.อ. (บาลี) ๓/๔๑๓.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๘๙
๓๕๑
พระธัมมานันทมหาเถระ, นานาวินิจฉัย, (ลาปาง : กิจเสรีการพิมพ์, ๒๕๔๒),
หน้า ๑๓๐-๑๓๑.
๑๙๐ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
พระพุทธศาสนา”๓๕๒
จากความเห็ น นี้ ก็ต้องศึกษาวิเคราะห์ ข้อความที่ไม่ให้ เชื่อคัมภีร์ห รือ
ตารานั้นหมายถึงอะไร เป็นเรื่องที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาวิเคราะห์
ธนิต อยู่โพธิ์ ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับ พระอภิธรรมปิฎกไว้ พอสรุปได้
ว่า พระอภิธรรม พระผู้มีพระภาคผู้ทรงจาแนกธรรม ทรงตั้งเป็นเป็นแม่บทไว้
แล้วทรงจาแนกแจกแจงกระจายขยายความออกไป พระอภิธรรมเป็นปรมัตถ
เทศนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไปตามสภาวะ พระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรม
ตลอด ๓ เดือน ท่านทรงจ าช่าชองขึ้น ใจ จึ งน าวิธี การจาแนกแจกแจงแบบ
อภิธ รรมมาแสดงไว้ในนิ ท เทสและปฎิสั มภิ ทามรรค ถ้ายอมรับ นิท เทสและ
ปฏิสัมภิทามรรคของพระสารีบุตรว่าท่านนาแบบอย่างมาจากพระอภิธรรม ก็
ต้องยอมรับว่า พระอภิธรรมมีมาแต่เริ่มต้นพุทธกาล๓๕๓
๓๕๒
ดูรายละเอียดใน พระคันธสาราภิวงศ์, คาอธิบายขยายความคาถา ใน เต
ลกฏาหคาถา, (กรุงเทพมหานคร : บริษัทแสควร์ปริ้นซ์ 93, ๒๕๔๕), หน้า ๑๖๓-๑๖๕.
๓๕๓
ธนิต อยู่โพธิ์, พระอภิธรรมเทศนาบนดาวดึงส์, (กรุงเทพมหานคร : ห้าวหุ่น
ส่วนจากัดศิวพร, ๒๕๒๖), หน้า ๓-๑๘.
อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี ๑๙๑
บรรณานุกรม
ธนิต อยู่โพธิ์, พระอภิธรรมเทศนาบนดาวดึงส์, กรุงเทพมหานคร : ห้าวหุ่นส่วนจากัดศิว
พร, ๒๕๒๖.
ธนิต อยู่โพธิ์, พระอภิธรรมเทศนาบนดาวดึงส์ , กรุงเทพมหานคร : ห้าวหุ่นส่วนจากัด
ศิวพร, ๒๕๒๖.
ธัมมนันนา (รศ. ดร. ฉัตรสุมาล์ กบิลสิงห์), ภิกษุณีบวชไม่ได้ วาทกรรมที่กาลังจะเป็น
โมฆะ, (กรุงเทพมหานคร : หจก. เอมี่ เทรดดิ้ง,๒๕๔๖.
นาวาเอก ทองย้อย แสงสิน ชัย, เหตุเกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๕, กรุงเทพมหานคร : บริษั ท
พิมพ์สวย จากัด, ๒๕๔๖.
บุณย์ นิลเกษ, อุดมการณ์และชีวิตแบบโพธิสัตว์เล่มที่หนึ่ง, เชียงใหม่ : วัฒนาการพิมพ์,
๒๕๒๙.
ผลงานที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ต่อประเทศชาติประชาชน, ใน สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๔
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์, กรุงเทพมหานคร : บริษัท อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ จากัด ,
๒๕๓๒.
พระคันธสาราภิวงศ์, คาอธิบายขยายความคาถา ใน เตลกฏาหคาถา, กรุงเทพมหานคร
: บริษัทแสควร์ปริ้นซ์ 93, ๒๕๔๕.
พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ), ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา, กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙.
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต), เพื่อความเข้าใจปัญหาโพธิรักษ์ , กรุงเทพมหานคร :
มาสเตอร์เพรส, ๒๕๓๓.
พระเทพเวที (ประยุ ท ธ์ ปยุ ตฺ โต). มหาวิ ท ยาลั ย กั บ งานวิ จั ย ทางพระพุ ท ธศาสนา,
กรุงเทพมหานคร : เนติกุลการพิมพ์, ๒๕๓๔.
พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช), ขุมปัญญาจากชาดก, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ฟองทอง, ๒๕๔๑.
๑๙๒ อรรถกถาวิธีเพื่อการวิจัยทางภาษาบาลี
ประวัติผู้เขียน